ผลประโยชน์ทับซ้อน
By: Dezair
…………………….
ตอนที่ 5
เพราะดิษกรต้องมาติวหนังสือที่คอนโดของเจตน์ถึงสามวันในสัปดาห์นี้ ก็เลยกลายเป็นว่าปกฉัตรต้องติดตามมาทั้งสามวันเช่นเดียวกัน ตั้งแต่วันจันทร์ วันพุธ จนกระทั่งวันนี้...วันศุกร์
มุมติวหนังสือของดิษกรคือที่โต๊ะกินข้าว ส่วนมุมประจำในการรอของปกฉัตรคือโซฟาหน้าโทรทัศน์ ในขณะที่เจ้าของห้องอย่างเจตน์เดี๋ยวสอนมั่ง เดี๋ยวปล่อยให้อ่านเองมั่ง เดี๋ยวก็หายเข้าไปในครัวทำของกินง่ายๆออกมาให้ และเดี๋ยว...ก็มาวุ่นวายกับปกฉัตร
“วันๆมึงเรียนอะไรบ้างวะ อะไรเนี่ย โทษประหารชีวิต?”
มือใหญ่วางจานแอปเปิ้ลที่ปอกแล้วลงบนโต๊ะกระจกเล็กหน้าโซฟา แล้วเอื้อมไปหยิบหนังสือเล่มหนาภาษาอังกฤษล้วนไปเปิดผ่านๆ จากนั้นก็โยนปุลงมาวางที่เดิม ทำเอาคนกำลังพิมพ์รายงานลงในโน้ตบุ้คเครื่องเล็กที่พกมาด้วยต้องเงยหน้ามอง
“ประเด็นโทษประหารชีวิตเป็นประเด็นใหญ่ มีทั้งคนเห็นด้วย ทั้งไม่เห็นด้วย” เจตน์พยักหน้าเหมือนไม่สนใจเท่าไร แล้วกวาดตามองหนังสือเล่มหนาที่วางซ้อนๆกันข้างร่างโปร่ง
“แล้วมึงต้องอ่านหนังสือหมดนั่นเพื่อทำรายงานเหรอ”
“ครับ” ปกฉัตรตอบสั้นๆ แล้วหันกลับไปพิมพ์รายงานต่อ เจ้าของห้องเหลือบมองดวงหน้านิ่งเฉยที่ไม่ค่อยบอกอารมณ์ แล้วเหลือบตาไปมองรุ่นน้องอย่างดิษกร ที่ตอนนี้สลบเหมือดหน้าคว่ำคาหนังสือไปแล้ว สองคนนี้ไม่น่าเป็นเพื่อนกันได้ คนหนึ่งชอบแสดงความรู้สึกทางสีหน้า ส่วนอีกคน...นิ่ง ขรึม ไม่ถามก็ไม่พูด
“แดกแอปเปิ้ลให้หมดล่ะ วางไว้นานๆมันจะดำ” เขาพูดลอยๆเหมือนไม่สนใจ แต่ทำเอาคนกำลังหันไปสนใจพิมพ์รายงานต่อต้องเงยหน้ามอง ดวงตา 2 คู่สบกันอีกหน นัยน์ตาสีอ่อนของปกฉัตรนั้นเต็มไปด้วยความงุนงงและสงสัย ในขณะที่นัยน์ตาสีเข้มของเจตน์เหมือนไม่รู้ไม่ชี้
“แต่ถ้ามึงยังไม่หิวก็เอาไปแช่ตู้เย็น ไม่ใช่แดกแอปเปิ้ลอิ่ม ข้าวเย็นไม่แดก กูจะจับกรอกปากให้”
แล้วเจ้าของคอนโดหรูก็ทำเสียงเข้มขู่อีกหน ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าครัว ร่างโปร่งมองตาม แล้วเหลือบไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนฝาผนัง เกือบจะหกโมงเย็นแล้ว...เขามาที่นี่ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำไมจะไม่รู้ว่าเวลาใกล้หกโมงแบบนี้ เจตน์จะต้องเข้าครัวทำอาหารเลี้ยงคนที่มาสถิตอยู่ในคอนโดนี้
ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบกลับไปมองรายงานที่ยังพิมพ์ค้างอยู่ในโน้ตบุ้ค ก่อนจะตัดสินใจเซฟงาน ปิดหน้าจอลง แล้วลุกขึ้นหยิบจานแอปเปิ้ลเดินเข้าไปในห้องครัว
“ผมยังไม่กินแอปเปิ้ลได้มั้ย จะได้ช่วยพี่ทำกับข้าว” เสียงของร่างโปร่งดังขึ้นในนั้น แล้วกิจวัตรแบบเดิมๆตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
เจตน์ทำอาหารเย็น โดยมีปกฉัตรเป็นลูกมืออยู่ข้างๆ
ดิษกรเงยหน้าจากหนังสือ มองเข้าไปในครัว เพราะครัวของคอนโดนี้เป็นครัวแบบเปิด ไม่ต้องแอบมองก็เห็นคาตาว่าปกฉัตรกำลังหั่นผักเตรียมวัตถุดิบ ส่วนเจตน์กำลังง่วนอยู่ที่หน้าเตา
หนุ่มบัญชีปีหนึ่งลุกอย่างช้าๆ แล้วย่อตัวตัวคลานเข้าไปใกล้ประตูห้องครัวให้มากที่สุด
... ขอฟังหน่อยสิ รุ่นพี่ที่เคารพกับเพื่อนที่รัก เวลาคุยกันเขาคุยกันยังไง...
……………………
ในขณะที่นอกห้องครัวเป็นการแอบฟังอย่างเงียบเชียบ ภายในครัวเองก็เป็นการทำอาหารอย่างเงียบๆเหมือนกัน...แต่...ก็เงียบได้ไม่นานเท่าไร
“กูจะทำหมูกระเทียมพริกไทย แต่ถ้ามึงจะสับกระเทียมแหลกขนาดนั้น มึงไปเอาครกมาเลยไป เดี๋ยวกูจะเปลี่ยนเมนูเป็นตำน้ำพริกแทน” เจ้าของครัวหันไปบ่น
“แต่ถ้าไม่หั่นเล็กๆ ดิษก็กินไม่ได้”
“ก็ลองมันไม่แดกของที่กูทำสิ!!” เจอเข้าแบบนี้ ปกฉัตรก็พูดต่อไม่ออก ต้องยอมหั่นกระเทียมออกเป็นชิ้นใหญ่ขึ้นมาหน่อย
“มึงเองก็ด้วย ถึงบ้านกูจะรวย กูก็ไม่ชอบให้ใครมากินทิ้งกินขว้าง!” พอเลิกบ่นเรื่องกระเทียม เจตน์ก็หันมาบ่นเรื่องการกินทิ้งกินขว้างแทน ประเด็นนี้ปกฉัตรโดนบ่นมาหลายวันแล้ว นับตั้งแต่มาฝากท้องไว้ที่นี่ เพราะเจ้าของห้องตักข้าวให้เขามากเกินกว่าที่จะทานหมด
“ผมก็บอกหลายครั้งแล้วว่ามันเยอะเกินไป”
เนื่องจากเจตน์เป็นเจ้าบ้าน เจ้าตัวเลยถือว่ามีสิทธิ์ขาดในการตักข้าวให้ทุกคน แถมยังตักแบ่งทุกจานอย่างเท่าๆกัน ซึ่งนั่นหมายความว่าจานของปกฉัตรเท่ากับจานของเจตน์และดิษกร คนผอมกะหร่องที่กินข้าวไม่เยอะขอให้ตักส่วนที่เขาทานไม่หมดออกตั้งแต่แรก แต่คนตักไม่ยอม สุดท้ายต้องให้ดิษกรช่วยทาน ซึ่งรายนั้นยอมช่วยแบบที่พอเอาคำสุดท้ายเข้าปาก ก็เกือบตาเหลือกเพราะความอิ่ม แต่เจตน์ยังพูดหน้าตาเฉยว่าถ้าเขากินน้อยแถมให้เพื่อนช่วยกินแบบนี้ ชาตินี้ก็ไม่มีวันโต
“กูกับไอ้ดิษยังแดกหมด มันจะเยอะเกินไปได้ยังไง!” เป็นตรรกะที่ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย ปกฉัตรได้แต่ค่อนแคะในใจ
“คนเราไม่ได้กินเท่ากันทุกคน” ฝ่ายกินน้อยพยายามแย้งอย่างใจเย็น
“แต่มาบ้านกูก็ต้องแดกเท่ากู!” เป็นอีกครั้งที่ร่างโปร่งเถียงไม่ออก ไม่เข้าใจตัวเองว่าไปหลงใหลได้ปลื้มคนอย่างเจตน์ได้ยังไง
“เข้าใจที่กูพูดรึเปล่า?!” พอเขาเงียบ ก็ยังมาคะยั้นคะยอให้รับปากอีกต่างหาก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบไปมอง เพราะลองว่าพูดแบบไม่มองหน้า เดี๋ยวก็ได้ถูกแกล้งแรงๆแบบครั้งก่อนอีก
“เข้าใจ แต่ผมกินเท่าพี่ไม่ได้หรอก”
เจตน์โยนมีดลงในอ่างล้างจานดังเคร้ง
“มึงไม่มีคำว่าแต่สักเรื่องได้มั้ย?!”
“เอาเป็นว่าผมจะพยายามทานให้มากขึ้นแล้วกัน”
“งั้นมาตักข้าว!! กูจะดูซิว่ามึงจะพยายามได้เท่าไร”
แล้วจากนั้นเจตน์กับปกฉัตรก็ใช้เวลาอีกเกือบห้านาทีที่หน้าหม้อหุงข้าว คนหนึ่งบอกให้ตักข้าวเพิ่มจากเดิมอีกหนึ่งทัพพีพูนๆ อีกคนต่อรองเหลือ 1 ใน 4 ทัพพีที่เพิ่มขึ้นมา และสุดท้ายจบลงที่เจตน์แย่งทัพพีมาตักข้าวโปะลงไปในจานของปกฉัตรอีก 1 ทัพพีตามความต้องการของตนเอง
“ผมทานไม่หมดแน่ๆ” ปกฉัตรมองปริมาณข้าวในจานแล้วถอนหายใจ เถียงมาตั้งนานเพื่ออะไร สุดท้ายเจตน์ก็บังคับตักข้าวเท่าที่ตัวเองอยากตักอยู่ดี
“เออ! กูรู้ มึงแดกได้เท่าไรก็เท่านั้น! ที่เหลือกูแดกต่อเอง! แม่ง! เรื่องมากฉิบหาย! ข้าวก็ข้าวกู!” แล้วร่างสูงก็บ่นอีกชุดนึง ก่อนจะเดินไปหยิบกระทะมาผัดหมูกระเทียมเพื่อนำมาราดข้าว 3 จานที่ตักรอไว้แล้ว
แล้วมื้อเย็นวันนั้น ข้าวจำนวนมากในจานของปกฉัตรก็หมดลง ไม่ใช่เพราะเขาขอให้ดิษกรช่วยในส่วนที่ทานไม่หมดเหมือนวันก่อน แต่คนที่เอื้อมช้อนมาตักไปคือเจ้าของคอนโดแห่งนี้เอง
...............................
หลังจากมื้อเย็นอันได้แก่ข้าวราดหมูกระเทียมพริกไทและไข่ดาว ดิษกรก็นั่งติวหนังสือต่อ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ปิดสมุดแล้วผลักออกไปไกลตัวด้วยความอ่อนล้า
“โอย เฮีย พอก่อน ผมไม่ไหวแล้ว” เจตน์หันมองหนุ่มรุ่นน้องที่ผลักหนังสือออกห่างจากตัว
“พอวันนี้ วันหน้ารีไทร์เอามั้ย” ไม่มีการให้กำลังใจใดๆ ขู่ล้วนๆลูกเดียว ดิษกรถึงกับอ้าปากหวอ
“โฮ เฮีย ให้กำลังใจกันบ้างก็ได้นะ”
“ให้เพื่ออะไร กำลังใจมึง มึงก็หาเอาเองสิ” คนเป็นรุ่นน้องทำหน้ายู่ ก่อนจะนึกถึงกำลังใจสุดที่รักหนึ่งเดียวที่พกมาด้วย
“เออ ไอ้ปกล่ะ” เขามองไปที่โซฟาหน้าโทรทัศน์อันเป็นที่สิงสถิตของปกฉัตรในช่วงที่มาคอนโดของเจตน์ รายนั้นก็เงียบเหมือนกัน ดิษกรรีบลุกขึ้นเดินไปดู ถึงได้พบว่าปกฉัตรที่นั่งทำงานอยู่กับพื้นฟุบหลับลงกับโต๊ะกระจกเล็กหน้าโซฟาไปแล้ว
“เพื่อนมึงหลับหรือตาย” เสียงของรุ่นพี่เจ้าของคอนโดดังขึ้นข้างหลัง ดิษกรหันไปมอง
“ถ้าตายก็ตายเพราะข้าวหมูกระเทียมเฮียนั่นล่ะ เดี๋ยวผมปลุกมันกลับบ้านดีกว่า” หนุ่มรุ่นน้องกำลังจะก้มลงสะกิดเพื่อนสนิทให้ตื่นเพื่อชวนกลับบ้าน แต่เสียงของเจตน์ดังขึ้นก่อน
“กูว่าคืนนี้มึงนอนที่นี่เถอะ” รุ่นน้องร่วมคณะหันมองอย่างงุนงงกับคำชวน
“เพื่อนมึงสภาพนี้ มันจะขับกลับยังไง มึงเองก็ขับรถไม่แข็งไม่ใช่เหรอ”
“อ่า...ก็จริง...” ดิษกรมองสภาพเพื่อนรักที่นั่งฟุบอยู่กับกองหนังสือจำนวนมากก็พอรู้ว่าปกฉัตรทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย ตัวเขาเองก็ขับรถไม่แข็ง
“แต่ว่า...จะรบกวนเฮีย...” เขาเอ่ยเบาๆอย่างเกรงใจเจ้าของห้อง
“ถ้ารบกวน กูไม่ชวนหรอก กูมีฟูกอยู่ เดี๋ยวเอาออกมาให้ มึงก็ไปอาบน้ำซะ ผ้าเช็ดตัวอยู่บนชั้นหน้าอ่างล้างหน้า จะใช้ผืนไหนก็หยิบเอา กูจะเอาเสื้อผ้าให้ยืม” พอเจตน์ออกปากแบบนั้น ดิษกรที่ก็ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะยกมือไหว้
“ขอบคุณเฮียมากครับ”
“ขอบคุณเชี่ยอะไร กูให้ค้าง ไม่ได้ยกห้องให้เลย” คนขอบคุณถึงกับหัวเราะก๊าก
“โฮ เฮีย นึกว่าจะป๋า”
“ป๋าพ่อง! ไป ไปอาบน้ำ จะได้มาปลุกเพื่อนมึงไปอาบน้ำต่อ” เจตน์สั่งแล้วชี้ไปทางห้องน้ำ รุ่นน้องตัวใหญ่อย่างกับยักษ์ปักหลั่นก็รีบตะเบ๊ะแล้วพุ่งตัวไปห้องน้ำอย่างว่องไว ทิ้งเขาเอาไว้กับคนที่นั่งฟุบหลับ ดวงตาเรียวมองใบหน้าด้านข้างของคนที่หลับอยู่กับโต๊ะ วูบหนึ่งเขาเหมือนดำดิ่งลงไปกับใบหน้านี้ แต่แล้วจู่ๆ เหตุการณ์เมื่อครู่ก็ไหลกลับเข้ามาในสมอง
...กำลังใจของไอ้ดิษ...
...พวกมันเป็นแฟนกันจริงๆด้วย...
...เป็นแฟนกันจริงๆ...
รู้สึกเหมือนคันยิบๆอีกแล้ว เจตน์ยกมือขึ้นถูอกตัวเองไปมาแล้วรีบเบือนสายตาหนีไปทางอื่น เขาเม้มปากราวกับจะอดกลั้นกับอะไรบางอย่างที่ทำให้หายใจไม่ออก ก่อนจะตัดสินใจเบี่ยงปลายเท้าไปที่บันไดแล้วก้าวเร็วๆหายขึ้นไปชั้นบนโดยไม่หันกลับมามองคนที่ยังหลับอีกเลย
................................
“ไอ้ปก ไอ้ปก ตื่นมาอาบน้ำก่อนค่อยนอนต่อ” ดิษกรที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อยืดและกางเกงเลของรุ่นพี่เจ้าของห้องสะกิดเพื่อนรักที่ยังหลับสนิทแรงๆ ปกฉัตรสะดุ้งลืมตาตื่นแล้วมองไปรอบตัวอย่างตื่นๆ
“ดิษ...อ่า...เอ่อ...มึงติวเสร็จแล้วเหรอ”
“อือ เที่ยงคืนแล้วมึง เฮียเจ๋งเลยให้นอนที่นี่ อ่ะ นี่เสื้อผ้า เฮียเอามาให้มึงยืม ผ้าเช็ดตัวอยู่ที่ชั้นตรงอ่างล้างหน้า หยิบใช้ได้เลย” ปกฉัตรขมวดคิ้วเล็กน้อย พอลดสายตามองก็ถึงได้พบว่าดิษกรเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว มีผ้าขนหนูพาดอยู่ที่ไหล่
“มึง...อาบน้ำแล้วเหรอ?”
“เออสิ ไป มึงไปอาบน้ำ ได้มานอน” ดิษกรโบ้ยไปที่ฟูกนอนที่ถูกปูอยู่หน้าโทรทัศน์ มีหมอน ผ้าห่มเรียบร้อย ปกฉัตรกะพริบตาปริบๆอย่างงุนงง กว่าจะตั้งสติได้ก็เกือบนาที
“น...นอนที่นี่?”
“เออ! มึงนี่เพิ่งตื่นแล้วเบลอรึไง”
“อ่า...จ...จะดีเหรอ...” แม้ใจจะเต้นตึ่กตักเพราะเป็นครั้งแรกที่ได้ค้างที่นี่ แต่ปกฉัตรก็รู้สึกเก้อๆอย่างบอกไม่ถูก
“ดีสิวะ คืนนี้มันดึกมากแล้ว แล้วพรุ่งนี้ก็วันเสาร์ นี่กูโทร.บอกอานิศแล้วด้วยว่ามึงจะค้างกับกูที่คอนโดเฮียเจ๋ง” เป็นอันปิดหนทางจะได้กลับบ้าน เพราะดิษกรพูดจบแล้วก็เดินไปล้มตัวลงนอนบนฟูกหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น ปกฉัตรได้แต่กลืนน้ำลายเอื้อก
...ค้างที่นี่ วันนี้จะได้ค้างที่นี่...
ร่างโปร่งลุกจากพื้นแล้วหมุนตัวเดินไปที่ห้องน้ำทันที เพราะเกรงว่าขืนยังชักช้ากว่านี้อีกนิด จะถูกไล่ให้กลับบ้านไปทั้งๆที่กำลังดีใจแบบนี้
..................................
ห้องน้ำของคอนโดหรูแห่งนี้มีสองห้อง ห้องหนึ่งอยู่ชั้นบนในห้องนอน ส่วนอีกห้องอยู่ชั้นล่างติดกับห้องทำงาน ปกฉัตรเคยใช้ห้องน้ำที่ชั้นล่างมาหลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะต้องใช้ห้องน้ำพร้อมด้วยผ้าเช็ดตัวและเสื้อผ้าของเจตน์
ร่างโปร่งเปิดประตูออกจากห้องน้ำ กระจกบานสูงที่ติดอยู่บนผนังฝั่งตรงข้ามประตูทำให้มองเห็นเภาพเต็มตัวของเขา ปกฉัตรยืนนิ่ง เผลอมองเสื้อผ้าที่อยู่บนร่างกายของเขานาน
เสื้อยืดและกางเกงเล บอกให้รู้ว่าเจ้าของตัวจริงทั้งตัวใหญ่ ไหล่กว้าง และอกหนา
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนทอดมองภาพสะท้อน มือขาวลูบเสื้อเนื้อนิ่มอย่างแผ่วเบา ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะมีโอกาสขนาดนี้...มีโอกาสได้ใส่เสื้อของเจตน์
ใบหน้าที่เคยเรียบเฉยมาตลอด มาวันนี้มันมีรอยยิ้มที่ทำให้ริมฝีปากบางขยับแย้มจนเห็นฟันขาว ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั้นมีแววเขินยามมองสบตัวเองในกระจกด้วยซ้ำ เขาก้มหน้าลง ยกคอเสื้อขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะสูดกลิ่นผงซักฟอกทีติดอยู่บนเสื้อ
...กลิ่นเสื้อของ ‘พี่เจ๋ง’...
ภวังค์ที่มีแต่ใบหน้าของเจตน์ดึงดูดให้เขาเข้าไปอยู่ในโลกนั้น ทว่าเสียงประตูเปิดฉุดสติปกฉัตรกลับออกมา
เขารีบดึงหน้าตัวเองออกจากเสื้อแล้วหันไปมองคนเปิดประตู เจตน์กำลังจ้องเขาอยู่
“มึงทำไร” ปกฉัตรกลืนน้ำลายอึกใหญ่ อยากบอกมากๆว่าเสื้อหอม เสื้อนิ่ม ใส่แล้วสบายทั้งใจทั้งกาย
แต่...พูดความจริงคงถูกมองแปลกๆ
“เอ่อ...รู้สึกว่าเสื้อพี่กลิ่นแปลกๆ” เจ้าของเสื้อขมวดคิ้วฉับ ก้าวเท้าไวๆเข้ามาหาแล้วคว้าชายเสื้อไปดม
“เฮ้ย” คนที่สวมเสื้ออยู่ แต่จู่ๆก็ถูกดึงชายเสื้อเปิดขึ้นไปถึงหน้าอกร้อง ทำเอาเจตน์รีบปล่อยเสื้อออกจากมือ แต่สายตาก็ดันเห็นหน้าท้องแบนราบรำไรนั่น
“ก...กลิ่นผงซักฟอก! ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน!” ตะกุกตะกักนิดหน่อย เพราะเมื่อกี้ที่ดึงเสื้อมาดมนั่นไม่ทันคิดหน้าคิดหลัง พอได้ยินเสียงร้องนั่นแหละ ถึงได้รู้สึกตัว
“เอ่อ...ครับ คงจะอย่างนั้น...”
“มึงไปนอนได้แล้ว” คนถูกไล่ไปนอนยังไม่อยากนอน ยิ่งได้งีบหลับไปแล้วพักหนึ่งก่อนจะถูกปลุกมาอาบน้ำ ตอนนี้ยิ่งตาสว่างมาก
“แล้วพี่...” ปกฉัตรถามด้วยความอยากรู้ เจ้าของคอนโดหรูขนาดสองชั้นเหลือบไปมองที่โต๊ะทำงานซึ่งมีหนังสือกองพะเนินอยู่ข้างๆโน้ตบุ้ค
“อ่านหนังสือ แต่เดี๋ยวกูเอาขึ้นไปอ่านข้างบน ไม่กวนมึงหรอก” วินาทีนี้ ปกฉัตรชักจะไม่ชอบความหรูหราของคอนโดขนาดสองชั้นนี่แล้ว เพราะมันทำให้เขาถูกกันเอาไว้ที่ชั้นล่าง ส่วนเจตน์ก็มีตัวเลือกที่จะขึ้นไปอ่านหนังสือข้างบน
ใบหน้าขาวของหนุ่มรุ่นน้องนิ่งไป เจตน์มองเห็นความเอาแต่ใจของริมฝีปากที่ถูกยกขบเล็กน้อย เขาอยากถาม แต่...พอคิดถึงใครอีกคนที่นอนอยู่ที่หน้าโทรทัศน์ก็ทำให้เขานึกถึงสถานะของคนตรงหน้าขึ้นมาได้
ปกฉัตรกับดิษกรเป็นแฟนกัน
เจตน์ขมวดคิ้วมุ่น ไม่รู้ทำไมทุกครั้งที่เขาคิดอยากจะถาม อยากจะรู้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรของคนตรงหน้าก็ตาม สถานะของดิษกรและปกฉัตรต้องโผล่ขึ้นมาเสมอ
“มึงไปนอนซะ” เขาออกปากไล่แล้วหมุนตัวเดินหนีไปที่โต๊ะทำงาน ทำเป็นไม่สนใจคนที่ยืนอยู่ด้านหลังอีก ร่างสูงไม่เห็นแม้แต่น้อยว่าคนที่ยืนมองเขาอยู่นั้นกำลังทอดสายตาแบบใดมาให้
แต่ต่อให้จะไม่รับรู้สายตา ปกฉัตรก็อยากให้อีกฝ่ายรับรู้ตัวตนของเขาสักนิด
“ขอบคุณสำหรับเสื้อผ้า”
“อือ” เจตน์นิ่งไปเล็กน้อย แต่ก็ตอบกลับสั้นๆโดยไม่หันมอง
“ขอบคุณที่ให้ใช้ห้องน้ำ”
“อือ” ตอบอีกรอบ และไม่หันมองอีก
“ฝ...ฝันดีนะครับ”
“อือ” เขารับคำแล้วอึดใจต่อมาก็เหมือนจะนึกขึ้นได้ว่าตั้งใจจะอ่านหนังสือไม่ได้จะนอน ทว่าพอหันกับไปมองเจ้าของคำอวยพรให้นอนหลับฝันดีก็พบเพียงความว่างเปล่าแล้ว
‘…ฝันดีนะครับ’ เสียงเมื่อครู่ดังซ้ำอยู่ในหัว เป็นอีกครั้งที่รู้สึกคันยุบยิบที่หน้าอกจนต้องเกา เจตน์คว้าหนังสือที่ตั้งจะอ่านคืนนี้เดินออกจากห้องทำงาน เดินเกาอกตัวเองออกตรงไปที่บันได แต่แล้วหางตาก็เห็นเจ้าของคำพูดเมื่อครู่นี้
ดวงตาเรียวหันไปมองเต็มสองตา หนุ่มรุ่นน้องสองคนที่นอนออยู่ข้างกันทำเอามือที่กำลังเกาหยุดชะงัก เจตน์มองภาพนั้นนาน ก่อนจะตัดสินใจเบี่ยงปลายเท้าก้าวขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว
ไม่ใช่แค่คันยุบยิบ...แต่มันเสียวแปลบจนไม่กล้านึกถึงภาพเมื่อครู่อีกเลย
.................................
สัปดาห์สุดท้ายก่อนสอบกลางภาค ไม่ว่านิสิตคณะไหนๆก็ตื่นตัว แต่ที่เห็นจะตื่นเป็นพิเศษก็คือปีหนึ่งที่เพิ่งจะได้สอบในระดับมหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรก
ที่คณะรัฐศาสตร์ บรรดารุ่นพี่หัวกะทิรวมตัวกันจัดโครงการพี่ติวน้อง ปกฉัตรเองก็ตั้งใจจะร่วมติวด้วยเช่นกัน แต่...ปัญหามันอยู่ที่ว่าการติวของรัฐศาสตร์จัดขึ้นในตอนเย็น เวลาเดียวกับที่ดิษกรต้องไปติวกับเจตน์
“กูเลิกทุ่มนึง เดี๋ยวไปหามึงที่คอนโดเฮียของมึงแล้วกัน” ปกฉัตรตัดสินใจ แต่เป็นการตัดสินใจที่ทำให้เพื่อนรักที่คบหากันมานานขมวดคิ้วมุ่น
“กูว่ามันลำบากมึงไปเปล่าวะ งั้นกูไม่เอารถไปดีกว่า มึงติวเสร็จจะได้กลับบ้านเลย ไม่ต้องไปหากูที่คอนโดเฮียเจ๋ง” ร่างโปร่งชะงักไปวูบหนึ่ง สอบก็ต้องสอบ แต่เขาก็อยากเห็นหน้าของเจตน์เช่นกัน
แต่...เรื่องอยากเห็นหน้าเจตน์ จะให้ดิษกรรู้ไม่ได้
“แต่มึงเลิกดึกไม่ใช่เหรอ แล้วจะกลับบ้านยังไง” หลังจากตั้งสติเป็นอย่างดี ปกฉัตรก็หันไปถาม
“ไม่เห็นยากเลย แท็กซี่ก็มี”
“แท็กซี่จะรับมึงเหรอ หน้ามึงเหมือนโจรนะดิษ”
“โห เชี่ยปก” ดิษกรอยากจะยกขาถีบเพื่อนรักสักที แต่เห็นแก่มาดดูดีอย่างกับคุณชายของมัน เขาก็เลยด่าแต่ปากพอ ปกฉัตรยิ้มจางแล้วใช้น้ำเสียงเรียบๆอย่างเป็นผู้ใหญ่ หมายจะให้ดิษกรคล้อยตามให้ได้
“มึงเอารถไปนั่นแหละ กูติวเสร็จจะตามไป แล้วจะขับรถกลับให้” สีหน้าคนฟังดูไม่เห็นด้วยเท่าไร ดิษกรเกรงใจ แต่ปกฉัตรไม่อยากให้เกรงใจเรื่องนี้เลย การที่เพื่อนรักไปติวหนังสือกับเจตน์ เป็นเรื่องดีสำหรับเขา แม้จะทำให้ต้องกลับบ้านดึกหน่อยก็เถอะ
“มึงคิดดูนะดิษ ถ้ามึงไม่เอารถไป ทั้งกูทั้งมึงก็ลำบาก กูเลิกทุ่มนึง กว่าจะกลับถึงบ้าน แถมต้องเดินเข้าซอยอีก มึงก็รู้ว่าซอยบ้านเรามันเงียบ ยิ่งดึกๆก็ยิ่งเงียบเข้าไปใหญ่ ส่วนมึงเอง เลิกติวก็ดึกแล้ว หาแท็กซี่กลับบ้านก็ไม่ใช่จะง่าย แล้ว...สังคมสมัยนี้ก็อันตราย ถึงมึงจะเป็นผู้ชายตัวใหญ่ แต่ถ้ามันหมาหมู่มาสักสามคน มึงก็ไม่รอด” คนมาดดูดีน่าเชื่อถือยกเหตุผลมาอ้าง
“เชี่ย! พูดไรเนี่ย! กูกลัว!” ผู้ชายตัวใหญ่ที่ชื่อดิษกรนั้นใจปลาซิวปลาสร้อยอย่างเห็นได้ชัด ปกฉัตรยิ้มน้อยๆเหมือนจะปลอบใจ
“มึงเอารถไป แล้วกูตามไปหาที่คอนโดของเฮียมึงน่ะ ดีที่สุดแล้ว…เชื่อกูสิ” และไม่ว่าจะด้วยมนต์วิเศษข้อใด ในประโยคสุดท้ายว่า ‘เชื่อกูสิ’ ของปกฉัตร ก็ทำให้ดิษกรคล้อยตามยอมพยักหน้าอย่างง่ายดาย
“ก็ได้ งั้นมึงตามไปนะ เดี๋ยวกูบอกเฮียเจ๋งให้เอง”
............................