ตอนที่ 54 : ไฮโดรควิโนน
“บุ๋น คุณบดินทร์มาแล้ว” พี่แจน สาวสวยผู้จัดการร้านเครื่องสำอางของพ่อพี่บุ๋น ชะโงกหน้าเข้ามาบอกในห้องรับรองที่พวกผมทั้งแปดคนนั่งรอกันอยู่หลังร้าน
พี่บุ๋นคว้าแขนพี่ท๊อปออกจากห้องแทบจะทันที
“ชาๆ” พี่ตองเขย่าแขนผม “รีบตามไอ้บุ๋นไปกันเถอะ”
“เอางั้นเลยเหรอ” ผมไม่ค่อยแน่ใจ ถึงจุดประสงค์ของการมาในวันนี้จะเพื่อมาเป็นทัพเสริมให้พี่ท๊อปกับพี่บุ๋น แต่การจะให้เดินตามสองคนนั้นไป มันก็ยังทำให้รู้สึกเกร็งๆอยู่ดี
“ดีซิ เผื่อเกิดเรื่องขึ้น เราจะได้ช่วยได้ อย่างน้อยอยู่แถวๆนั้น พ่อไอ้บุ๋นจะได้ไม่กล้าของขึ้นมากนัก”
“โอเคๆ” เอาวะ
ผมกับพี่ตองรีบเดินตามออกไปที่หน้าร้าน แต่....
“พี่กั้ง!!” ผมหลุดเรียกคนที่เห็นตรงหน้าออกมาทันที มันยั้งไม่ทันจริงๆ จู่ๆก็เห็นพี่กั้งมายืนอยู่ในร้านพ่อพี่บุ๋น
“อ้าว น้องน้ำชา” พี่กั้งก็ตกใจเหมือนกันที่เห็นผม “มาทำอะไรที่นี่ครับ”
“คือ...”
“อะแฮ่ม” พี่ตองกระแอม แต่ในเสียงขัดจังหวะนี้ผมรู้สึกถึงอารมณ์หงุดหงิดใจได้อย่างชัดเจน “ตรงนี้ไม่ได้มีคนยืนอยู่คนเดียวนะ”
อือหืออออ ทำพูดลอยหน้าลอยตานะพี่ตอง ท่าทางจะอารมณ์บูดจริงที่มาเจอคนๆนี้ ไม่ได้แคร์ความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องเลยนะ
“ตอง” กรรม พี่กั้งก็ทักพี่ตองแค่ผ่านๆแบบชัดเจน เกลียดเวลาที่ต้องอยู่ในสถานการณ์แบบนี้จังเลย “แล้วสรุปว่าน้องน้ำชามาทำอะไรที่นี่เหรอครับ”
“นี่ร้านของพ่อพี่บุ๋นครับ ผมมา...”
“มาทำงานของพวกเรา” พี่ตองก็แทรกขึ้นมาอีกแล้ว แต่ไม่ใช่แค่แทรกเสียงนะ ตัวใหญ่ๆของพี่เค้าก็เดินเข้ามาแทรกด้านหน้าระหว่างผมกับพี่กั้งไว้เหมือนกัน “ว่าแต่... พี่เถอะ ไม่บังเอิญไปหน่อยเหรอที่มาโผล่ที่นี่ ผมคงไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมว่ามีคนพยายามตาม... แฟนของผมอยู่”
“ถ้าจะตามคิดว่าจะห้ามผมได้เหรอ” เอาแล้วไง ผมรีบคว้ามือพี่ตองมาจับไว้แน่นเพื่อให้มั่นใจได้ว่าผมอยู่ตรงนี้และอีกนัยหนึ่งก็เพื่อเป็นการห้ามไม่ให้ไอ้คนเลือดร้อนสองคนถลาเข้าใส่กันกลางร้านเครื่องสำอางค์ด้วย “แต่โทษทีนะที่ต้องทำให้ผิดหวัง พอดีผมมาในนามนักศึกษาวิจัย”
“วิจัย?” พี่ตองยังคงไม่วางใจคนตรงหน้า “ในร้านเครื่องสำอางแบบนี้ จะทำวิจัยอะไรไม่ทราบ”
“ผมเรียนวิทย์เครื่องสำอาง... นี่ไง” พี่กั้งชูอุปกรณ์ที่ปกติมักเห็นในแล็บทดลองขึ้นมาให้ดู “หวังว่าคงเข้าใจนะ เจ้าชายตอง”
“หวังว่าจะไม่มายุ่งกับ...”
“งั้นเราปล่อยให้พี่ทำงานก็แล้วกันนะครับ” ผมพยายามพูดเพื่อระงับสถานการณ์ “ไปกันเถอะพี่ตอง”
“ไว้เจอกันครับ” ยังจะพูดอีกนะพี่กั้ง
“ไปซิ” พี่ตองก็ยืนนิ่งมองหน้าพี่กั้งไม่กระดิกเลย ผมพยายามดึงแขนพี่ตองให้ออกจากตรงนี้แล้วนะ
“คิดว่าตลกมากนักหรือไง” เสียงใครตะคอกวะ
ชิบหายล่ะ ลืมไปเลย
พี่ท๊อปกับพี่บุ๋นกำลังโดนชายในชุดสูทดำคนหนึ่งตะคอกใส่กลางร้าน ไม่ใช่แค่ผมนะที่ตกใจ ลูกค้าที่เดินอยู่ในร้านก็แอบมีชะงักเหมือนกัน
ผมว่าทุกคนคงเดาออกนะว่าใครที่กำลังส่งเสียงดังอยู่....
“นั่นพ่อพี่บุ๋นใช่ไหม?”
“ใช่เลย” พี่ตองเลิกสนใจพี่กั้ง
ผมกับพี่ตองรีบเดินตรงไปที่จุดเกิดเหตุ หวังว่าจะเบาอารมณ์เดือดดานของพ่อพี่บุ๋นได้บ้างนะ
“คุณบดินทร์ สวัสดีครับ” พี่ตองกล่าวทักทายทันทีที่ไปถึง ผมยกมือไหว้ตาม ส่วนพี่ท๊อปกับพี่บุ๋นก้มหน้านิ่งอย่างกับคนสารภาพผิด “สบายดีไหมครับ”
“ก็คงจะสบายดีอยู่หรอก” พ่อพี่บุ๋นยังไม่คลายโมโหลงนัก “ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้ลูกคนนี้มาพูดอะไรไร้สาระ เคยเห็นพ่อขำกับอะไรแบบนี้หรือไง พูดมาได้ยังไงว่าจะมาขอคบกันกับ... ไอ้หนุ่มนี้”
“นี่คือพี่ท๊อปครับคุณบดินทร์ เป็น...”
“ผมไม่สนหรอกว่าเขาจะเป็นใคร” พี่ตองถูกสกัดการพูดไว้ นี่ฉุนเฉียวเบอร์สุดเลยนี่หว่า เอาไงดีวะกู “ไหนบุ๋น พูดมาซิว่านี่มันเรื่องล้อเล่นใช่ไหม”
“ป...เปล่าครับคุณพ่อ..” พี่บุ๋นตอบอย่างกลัวๆ
“ยังจะมาพูดเล่นอีก!!!” เสียงตะคอกระรอกที่สองนี่ดังกว่าเดิมอีก
“เราไม่ได้พูดเล่นกันนะครับคุณพ่อ” พี่ท๊อปพูดบ้าง นี่คงกำลังใจดีสู้เสืออยู่ซินะ “ผมมาที่นี่ก็เพื่อจะมาขออนุญาตคุณพ่อคบหากับน้องบุ๋น”
“หุบปาก!!!! กูไม่ใช่พ่อมึง...”
!!!!!!!!
ชิบหายละมึง ระเบิดลงของจริงแล้วไง
“คุณบดินทร์ครับ” พี่ตองรีบแสดงความช่วยเหลือเพื่อนของตัวเองอย่างรวดเร็ว “แต่พี่ท๊อปเป็นคนดีมากนะครับ และผมคิดว่า...”
“นี่ตองจะมาช่วยกันพูดใช่ไหม” พ่อพี่บุ๋นเบรกพี่ตองไว้อีกแล้ว
ทำไมถึงเป็นคนมีจุดเดือดต่อเนื่องได้ขนาดนี้นะ
ทันใดนั้นเองที่ท่านสังเกตมาเห็นว่าผมกับพี่ตองจับมือกันอยู่
“อ๋อ... แบบนี้นี่เอง เธอสองคนก็คงกำลังทำเรื่องผิดๆกันอยู่ใช่ไหม” นั่นไง กูโดนลูกหลงไปด้วยจนได้ “เพราะแบบนี้ใช่ไหมบุ๋น ลูกถึงได้มีความคิดประหลาดๆแบบนี้”
“มันไม่เกี่ยวกับคนอื่นนะครับพ่อ” พี่บุ๋นเริ่มเถียง
“ไอ้ลูกคนนี้...”
“พอก่อนเถอะครับทุกคน!!!” ครั้งนี้เป็นผมเองที่พูด
“เธอเป็นใคร?” โดนคำถามนี้จากพ่อพี่บุ๋นเข้าไป จุกเลยกู
“ผมจะเป็นใครก็ช่างเถอะครับ แต่ตอนนี้คนมองมาทั้งร้านแล้ว และผมเกรงว่า... จะเกิดความเสียหายกับทางร้านนะครับ ลูกค้าอาจจะตกใจได้”
คุณบดินทร์เหมือนจะเพิ่งรู้สึกตัวเอง ท่านมองไปรอบและเห็นลูกค้าหลายคนมองมา
“เราไม่คุยกันหลังร้านดีกว่านะครับ” ผมเสนอ
พ่อพี่บุ๋นไม่พูดอะไร แต่ก็เดินตรไปยังด้านในห้องรับรองตามคำแนะนำของผม
ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนเดจาวูเลย คล้ายๆกับตอนที่ไปเจอพ่อพี่ตองตอนนั้น โดนด่ากระเจิงแต่ก็ระงับเหตุไว้ได้ด้วยเหตุผลทางธุรกิจ
พวกหัวธุรกิจนี่หวงความเสียหายต่องานมากกว่าเรื่องอื่นจริงๆ แต่ถ้าเข้าห้องรับรองได้ คราวนี้พี่ท๊อปกับพี่บุ๋นได้เจอระเบิดของจริงแน่ๆ
“ขอโทษนะครับ คุณเป็นเจ้าของร้าน Refresh ใช่ไหมครับ” อะไรอีกกกกก จู่ๆพี่กั้งก็เข้ามาขวางพ่อพี่บุ๋นไว้
“ใช่ มีอะไร” คุณบดินทร์ยังคงหัวเสียอยู่ “ผมกำลังรีบ”
“ผมเป็นตัวแทนนิสิตจากมหาวิทยาลัยมัณฑนาครับ” พี่กั้งแนะนำตัวพร้อมกับถือขวดโลชั่นยี่ห้อหนึ่งไว้ในมือ
“แล้วยังไง?”
“ผมควรจะพูดให้ท่านฟังชัดๆนะครับ ผมเป็นนิสิตจากคณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ สาขาวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง และวันนี้ผมมาทำวิจัยเรื่องการตรวจสอบผลิตภัณฑ์เวชสำอางทุกร้านในห้างนี้... นี่ครับ” พี่กั้งยื่นเอกสารสองสามแผ่นให้คุณบดินทร์ “ใบยินยอมให้ทำการสำรวจจากเจ้าของห้างสรรพสินค้ากับใบรับรองงานวิจัยร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข”
“คุณมาบอกผมทำไม จะตรวจอะไรก็เชิญ ผมไม่ว่างมาต้อนรับหรอกนะ ผมมีปัญหาให้ต้องดูแลเยอะแยะ”
“งั้นนี่ก็เป็นปัญหาที่ท่านควรจะต้องมีส่วนในการดูแลรับผิดชอบนะครับ”
“อะไร!?” นั่นซิ อะไร ทำไมพูดแบบนั้นวะ
“ในโลชั่นขวดนี้ตรวจพบสารไฮโดรควิโนนครับ”
“อะไรนะ!! เป็นไปไม่ได้”
“นั่นซิ เป็นไปไม่ได้” พี่บุ๋นสนับสนุน “โลชั่นยี่ห้อนี้ผมเป็นคนไปจัดหามาเอง... ตอนไปเกาหลีไง พี่ท๊อปจำได้ไหม?”
“ได้ครับ” พี่ท๊อปตอบทันที “ต...แต่พี่ไม่ได้ไปด้วย”
พ่อพี่บุ๋นหันมาหาคำตอบจากพี่บุ๋น เรื่องนี้คงสำคัญมากจนทุกคนลืมเรื่องที่ยังค้างคาอยู่เมื่อกี๊ไปเสียสิ้น
“ผมเช็คแล้วแน่นอนครับพ่อ” พี่บุ๋นยืนยัน “สิ่งสำคัญที่พ่อบอก สเตอร์รอยด์ ปรอท ไฮโดรควิโนน ร่วมถึงสารเจือปนเล็กๆน้อยๆ ไม่มีทางที่ผมจะพลาด อย. ก็ให้ผ่านมาแล้ว มันจะมีไฮโดรควิโนนอยู่ในนี้ได้ยังไง”
“นั่นซิกั้ง” พี่ท๊อปแสดงความสงสัย “โลชั่นยี่ห้อนี้กำลังดังในเกาหลีเลยนะ ไม่น่าจะมีสารอันตรายอยู่ได้ ตรวจดีแล้วแน่นะ”
“จะดูอีกทีก็ได้นะ” พี่กั้งวางอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ชุดเล็กๆ ลงบนเค้าเตอร์ใกล้ๆ จากนั้นบีบโลชั่นเล็กน้อยลงบนจานหลุม ก่อนจะตักผงสีเหลืองๆใส่ลงไปด้วยกัน และเมื่อคนจนเข้ากันเพียงวินาทีเดียว โลชั่นก็กลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม “นี่ไงครับ ไฮโดรควิโนน จากระดับความเข้มของสีโลชั่นที่เกิดปฏิกิริยา ผมว่ามีปริมาณไฮโดรควิโนนอยู่เยอะเลยล่ะครับ”
“นี่หมายความว่ายังไงบุ๋น” พ่อพี่บุ๋นหันมาหาลูกชายตัวเองอีกครั้ง
“แต่ผมเช็คดีแล้วจริงๆนะพ่อ” พี่บุ๋นท่าทางไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“เช็คดีแล้วมันจะเป็นแบบนี้ได้ยังไง”
“ใจเย็นก่อนนะครับ ผมขอคุยกับคุณแจนได้ไหมครับ” พี่ท๊อปเสนอ “บางทีอาจจะไม่ได้ผิดที่โลชั่น แต่ถ้าเราสามารถเช็คย้อนกลับไปได้ว่า โรงงานที่ผลิตโลชั่นตัวนี้ไม่ตรงตามโรงงานผลิตปกติที่ผลิต อาจจะบอกได้ว่าเป็นการปลอมแปลงสินค้า... คือผมพอจะรู้จักเกาหลีประมาณนึงครับ ผมทำงานที่นั่น”
“จะทำอะไรก็ไปทำ” คุณบดินทร์บอก “แต่อย่าให้ร้านนี้ต้องเดือดร้อนก็แล้วกัน”
“ผมจะพยายามครับ” พี่ท๊อปนี่โคตรพระเอกเลย ทั้งๆที่เพิ่งจะโดนตะคอกใส่หน้าเมื่อกี๊ แต่กลับยื่นมือเข้ามาช่วยอย่างกับเป็นร้านของตัวอง “...บุ๋นมากับพี่หน่อย พี่ต้องให้ช่วยดูชื่อโรงงาน”
“ครับ...” แล้วพี่บุ๋นก็เดินตามพี่ท๊อปไปหาพี่แจนที่ยืนรับลูกค้าอยู่หน้าร้าน
“แต่ถึงยังไงผมก็จำเป็นต้องบันทึกผลการทดสอบครั้งนี้ลงงานวิจัยนะครับ” โอ้โห ไอ้พี่กั้ง มึงไม่ได้ดูบริบทของเรื่องเลยใช่ไหมว่าร้านเขาไม่ได้มีเจตนา นอกจากจะไม่สนใจแล้ว ยังวางขวดกับเก็บผลวิจัยลงซองเก็บตัวอย่างหน้าตาเฉย “และผมคงต้องบอกนะครับว่า ผลการตรวจนี้จะส่งถึงมือกระทรวงสาธารณสุขแน่นอน”
“อะไรกันพ่อหนุ่ม” คุณบดินทร์ท่าทางวิตกกังวลอย่างชัดเจน ซ้ำยังเสียงอ่อนลงคล้ายเป็นการขอร้อง “นี่มันเหตุสุดวิสัย ร้านของผมทำธุรกิจอย่างถูกต้องและซื่อสัตย์ต่อลูกค้า เหตุเข้าใจผิดเล็กๆน้อยๆแค่นี้ทำเป็นลืมๆไปไม่ได้เหรอ”
“ไฮโดรควิโนนเป็นสารอันตรายนะครับ” พี่กั้งพูดเสียงเรียบ นี่กูผิดไหมที่อยากจะตันหน้าไอ้รุ่นพี่คนนี้ซักหมัด “ผมเรียนมาทางด้านนี้ ความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคเป็นจรรยาบรรณอันดับแรกที่ผมถูกสอนมา คงลืมไม่ได้ง่ายๆหรอกครับ”
พ่อพี่บุ๋นเดินเข้าไปใกล้พี่กั้งก่อนจะกระซิบ แต่ผมก็ยังได้ยินนะ “เอาอย่างงี้ก็แล้วกันนะ ผมจะให้ผู้จัดการดูแลค่าใช้จ่ายในการวิจัยนี้ให้และสัญญาว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก แต่อย่าเขียนเรื่องนี้ส่งสาธารณสุขได้ไหม หรือถ้าขาดเหลือค่าใช้จ่ายอีกเท่าไหร่ก็บอกผมได้เลย ผมยินดีสนับสนุน”
“รู้จักใช้คำพูดดีนะครับท่าน” ไอ้พี่กั้งนี่ยังไงวะ ผู้ใหญ่ยอมทำขนาดนี้แล้วยังจะพูดเสียงแข็งกลับมาอีก “แต่ผมไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินขนาดนั้นครับ”
คุณบดินทร์แสดงสีหน้าบอกความสิ้นหวังอย่างชัดเจน
“เพียงแต่....” จู่ๆ ไอ้นักทดสอบเครื่องสำอางก็หันหน้ามาทางผม “ถ้ามีคนพาผมไปนั่งทานมื้อเที่ยงสักชั่วโมงนึง ก็อาจจะทำเป็นลืมๆไปได้ครับ”
“ได้เลย!!” คุณบดินทร์ยิ้มร่า แต่พี่ตองนี่แสดงออกคนละสีหน้าเลย “เดี๋ยวผมหาคนพาไปทางอาหารดีๆเลยนะ หรือคุณจะเป็นคนเลือกร้านเองก็ได้”
“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกครับ แค่...”
“ผมไปเองครับ” ผมอาสา
“ไม่ได้นะชา” พี่ตองห้ามผมทันที
ให้ตายเหอะ ใครๆก็ดูออกว่าไอ้พี่กั้งมันต้องการอะไร พูดมาซะขนาดนี้ กะว่าจะให้กูไปนั่งกินข้าวด้วยละซิ กูไม่ได้โง่นะ
“ยังไงพี่ก็ไม่ให้ชาไป” พี่ตองยังคงยืนยัน ผมรู้ว่าพี่ตองเองก็ดูออก แต่จะทำใจได้ยังไง ผมก็พอเข้าใจนะ ถ้ามองในสถานการณ์กลับกัน ผมเองก็คงไม่ยอมให้พี่ตองไปนั่งกินข้าวกับใครเหมือนกัน แต่...
“ไม่ต้องห่วงครับ” ผมมองตาพี่ตองอย่างจริงจัง “ชาไม่เป็นไร เพราะแค่... ไปนั่งกินข้าวเฉยๆ ใช่ไหมครับพี่กั้ง”
“ใช่เลย” ดูมันตอบ ไม่ต้องเป็นพี่ตองหรอก กูเองยังอยากจะซัดหน้าไอ้คนพูดเลย แต่จะทำแบบนั้นไม่ได้ ข่มใจไว้ก่อน ต้องพาเรื่องนี้ให้ผ่านไปด้วยดีให้ได้ “แค่มื้อเที่ยง แค่เราสองคน”
“ไอ้...”
“พี่ตอง” ผมรีบห้ามพี่ตองไว้ อย่าต้องให้เรื่องบานปลายไปมากกว่านี้เลย ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าสะพายข้างเพื่อให้พี่ตองดู “ชามีโทรศัพท์ มีอะไรจะรีบโทรหาทันทีเลย”
"......." ถึงพี่ตองจะดูไม่วางใจนักแต่ก็พอเข้าใจสถานการณ์ เพียงแต่เรื่องที่พี่ตองเหมือนโดยหยามนี่ซิ อาจจะทำให้พี่เค้าหมดความอดทนเหมือนไหร่ก็ได้
“เชื่อใจชานะ” ผมให้ความเชื่อมั่นต่อพี่ตอง
“......” พี่ตองยังคงไม่ตอบ เอาแต่เบือนหน้าหนีผมไป นี่คงเป็นสัญญาณของการยอมรับแบบไม่เต็มใจซินะ เอาเถอะ ยังไงก็ถือว่าไม่มีปัญหาแล้ว ผมจึงเก็บโทรศัพท์มือถือใส่ลงในกระเป๋าเสื้อตัวเอง
“ไปกันเลยไหมครับพี่กั้ง” ผมหันไปถาม
“ทันทีที่น้องน้ำชาพร้อมครับ” ยังจะมาทำพูดเสียงอ่อนเสียงหวานใส่กูอีก รีบพาออกจากร้านดีกว่า
“ไปครับ”
“ฝากดูแลแทนผมหน่อยนะ” คุณบดินทร์พยายามพูดตามหลังผม "มาเบิกค่าใช้จ่ายกับผมได้นะ"
ผมเดินนำพี่กั้งออกจากร้านไป ระหว่างที่เดินออกมาก็เจอกับพี่ท๊อปที่พยายามเรียกผม แต่ผมไม่สนใจหยุดคุยด้วย ออกไปจากตรงนี้ให้เร็วดีกว่า
นี่กูต้องออกไปกินข้าวเที่ยงกับไอ้คนที่พยายามสร้างความร้าวฉานในความรักจริงๆใช่ไหมเนี่ย
“พี่ขอเข้าห้องน้ำก่อนได้ไหม” พี่กั้งเอ่ยขึ้นเมื่อออกมาจากร้านได้สักพัก
“เชิญครับ” ผมตอบ ไม่อยากมองหน้ามันเลย พูดตรงๆ
ผมเดินวนเวียนอยู่หน้าห้องน้ำสักพัก จนมาระลึกได้ว่าตัวเองก็เริ่มปวดฉี่แล้วเหมือนกัน จึงเดินตามเข้าไปในห้องน้ำ
ตุ๊บ
หึ!! เสียงอะไรวะ
ระหว่างเข้าประตูห้องน้ำ ผมเหมือนจะเห็นในกระจกแวบๆว่าพี่กั้งทิ้งอะไรลงถังขยะ ที่สังเกตเห็นได้ก็เพราะไม่มีใครเข้าห้องน้ำอยู่เลยในขณะนั้น
“อ้าวน้ำชา จะเข้าห้องน้ำหรอ” พี่กั้งสะดุ้งเล็กน้อยที่เจอผมเข้า
“ครับ” ผมตอบ
“งั้น... ให้พี่เฝ้าไหม”
“อย่าเลยครับ เอ่อ.... ผมเขินน่ะครับ พี่ช่วยออกไปก่อนได้ไหม... นะครับ”
“ก็ได้... แต่พูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้บ่อยๆนะ พี่ชอบ”
“ครับ”
แล้วพี่กั้งก็เดินออกไป
ไอ้ส้นตีนเอ๊ย มึงคิดว่ากูอยากพูดออดอ้อนแล้วก็ทำท่าเหนียงอายให้มึงงั้นเหรอ กูทำเพราะกูมีแผนเว้ย ซึ่งแผนนั่นก็คือการไล่ให้พี่กั้งออกไปจากห้องน้ำก่อน เพื่อดูว่ามันทิ้งอะไรลงถังขยะ