LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ] - ตอนที่ 17 : รับผิดชอบ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ] - ตอนที่ 17 : รับผิดชอบ  (อ่าน 5186 ครั้ง)

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง





--------------


LOVE LEADER 2

เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ

------------------------------------------------
(ภาพปก)>> https://www.picz.in.th/image/BQ2olN
(แนะนำตัวละคร)>> https://www.picz.in.th/image/BQ6wcg


“.....เป็นยังไงกันบ้างคะน้องๆนิสิตใหม่ทุกคน ได้ฟังเรื่องราวของ 'น้ำชา' เด็กหนุ่มผู้มุ่งมั่นสู่การเป็นผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยมัณฑนาไปแล้ว รู้สึกเป็นยังไงกันบ้าง มีใครรู้สึกว่าอยากจะเป็นผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยของเราบ้างไหม...?

 

จ้าๆ ไม่ต้องแย่งกันยกมือขนาดนั้นก็ได้ เพราะถึงอย่างไรก็ตาม ถ้าทุกคนตั้งใจฟังที่พี่เล่ามาทั้งหมดจริงๆ ก็คงรู้แล้วว่า ไม่ใช่แค่คิดว่าอยากเป็นแล้วจะได้เป็น กติกาของเรามันก็ยังเหมือนเดิม ต้องให้รุ่นพี่ประทับตราผู้นำเชียร์ให้ ไม่มีระบบสมัครหรอกนะ....

 

 

อะไรกัน ทำหน้าหงอยอะไรขนาดนั้น..... เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน

 

เพื่อเป็นการปลอบใจทุกคน พี่จะเล่าเรื่องราวหลังจากความสำเร็จของน้ำชาให้ฟัง....ดีไหม แหม! เรื่องราวของคนเราน่ะ ตราบเท่าที่ยังไม่ตาย มันไม่มีคำว่าอวสานหรอก ถึงแม้เส้นทางของน้ำชาจะไปถึงจุดมุ่งหมายของเขาแล้ว แต่นั่นมันก็แค่ในบทบาทของนิสิตปีหนึ่ง เป็นแค่ฉากในฐานะรุ่นน้องเท่านั้น ไม่อยากรู้เหรอว่าถ้าต้องมาอยู่ในบทบาทของรุ่นพี่บ้าง น้ำชาจะยังทำได้ดีอยู่ไหม

 

ไหนจะ พี่ตอง ที่เลื่อนขึ้นไปอยู่ปีสาม ชั้นปีที่ต้องอยู่ในบทบาทคณะกรรมการควบคุมการรับน้องและช่วงสำคัญของการเรียนในคณะวิศวกรรมศาสตร์ นี่ยังไม่นับรวม ต้อม น้ำขิง ท๊อป บุ๋น สุ่ย และข้าวเจ้าอีกนะ ทุกก้าวของชีวิตมันมีเรื่องราวอยู่ทั้งนั้น

 

และมีผู้คนอีกมากมายที่จะเข้ามาในชีวิตของตัวละครเอกของเรา

 

เอาล่ะ.....

 

 

พร้อมจะฟังต่อกันหรือยัง..... ถ้าพร้อมแล้ว ตั้งใจฟังอีกรอบก็แล้วกันนะ.......



(สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยอ่าน ภาค 1) >> https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63181.0
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-11-2018 18:23:18 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 1 [ภาพในอดีต Part 1]
«ตอบ #1 เมื่อ07-08-2018 21:23:44 »

ตอนที่ 1 [ภาพในอดีต] - Part 1









รั้วสีทองส่องแสงในหล้า ศาสตร์มัณฑนา นำปัญญาพาข้าฯ สู่หมาย....



ทำไมถึงยังรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเพลงเพลงนี้นะ ทั้งที่ได้ยินมาเป็นร้อยๆรอบแล้ว ปิดเทอมที่ผ่านมาก็ซ้อมกับเพลงนี้มาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ แต่เอาเถอะ จะบอกว่าไม่ตื่นเต้นก็คงผิดปกติแล้วล่ะ ก็ในเมื่อต้องมาได้ยินเพลงนี้ในขณะที่เต้นโชว์ท่าเต้นมาตรฐานเพลงมาร์ชมหาวิทยาลัยมัณฑนาให้รุ่นน้องปีหนึ่งเป็นพันๆคนดูนี่นา



......ให้คำมั่นสัญญา ว่าจะเป็นคนดี บัณฑิตศรีแห่งรั้วมัณฑนา



กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

ไม่ได้ยินเสียงกรี๊ดแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ รู้สึกเหมือนหูจะดับเลย



ผมและเพื่อนๆ ผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยมัณฑนาทั้งสิบสองคนเดินลงจากเวทีภายในโดมรวมใจ สถานที่แรกสำหรับการนัดพบของนิสิตใหม่ทุกปี แต่ปีนี้ผมมาที่นี่ในฐานะรุ่นพี่ปีสอง..... อ้อ ผมคงต้องแนะนำตัวก่อนซินะ เผื่อว่าบางคนยังไม่รู้จักผมมาก่อน.....

ผมชื่อ ชา ครับ หรือจะเรียก น้ำชา ก็ได้ ผมก็ยอมรับนะว่าไม่ชอบให้ใครเรียกชื่อเล่นแบบสองพยางค์เท่าไหร่นัก มันฟังดูออกจะหน่อมแน้มไปหน่อย แต่ก็ต้องยอมรับอีกนั่นแหละว่าเริ่มชินซะแล้ว เพราะคนรอบข้างแทบจะเรียกผมแบบสองพยางค์กันทั้งนั้นเลย เอาเถอะ อย่างไรซะ จะเรียกผมแบบไหนผมก็ยังเป็นผมคนเดิมอยู่ดี ผมยังเป็น นายธชานา ธนกฤษ นิสิต(ที่ถูกขนานว่า)อัจฉริยะจากภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมัณฑนา และอีกหน้าที่สำคัญของผมก็คือการเป็นผู้นำเชียร์ประจำมหาวิทยาลัยหรือก็คือเชียร์ลีดเดอร์ที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันดี และถึงแม้ว่าผมจะตัวสูงไม่เท่าเพื่อนลีดผู้ชายคนอื่นๆ แต่ด้วยความนิยมเมื่อปีที่แล้วทำให้ผมถูกกำหนดให้ยื่นในตำแหน่งกลาง(Center)



“ไอ้ชาเย็น เสื้อข้างหลังมึงหลุดออกมาจากกางเกงแล้ว หัดดูแลภาพลักษณ์ตัวเองหน่อยดิวะ เป็นรุ่นพี่แล้วนะมึงอ่ะ”

“กูเต้นมันก็ต้องมีหลุดบ้างไหมวะ แล้วก็ไม่ต้องมาทำปากเก่งตำหนิกูเลยนะมึงอ่ะ เสื้อมึงก็หลุด แถมเป็นข้างหน้าเลยด้วย”

“อ้าว เหรอ เพิ่งเห็น พอดีว่าน้องชายกูมันใหญ่ไปหน่อย เสื้อผ้าก็เลยมีหลุดบ้างวะ เข้าใจกูหน่อยนะเพื่อน”

“กล้าพูดนะมึง ไอ้ต้อม”

“ไม่เชื่อเหรอ จะดูก็ได้นะ เพื่อนกันกูไม่หวงหรอก”

“ไอ้สัดต้อม ไอ้เพื่อนเวร เดี๋ยวกูก็ตบเกรียนแตกเลยไอ้นี่ อย่าคิดว่าขึ้นปีสองแล้วกูจะไม่กล้าทำไรมึงนะ แล้วที่สำคัญกูก็ไม่เคยอยากดูอะไรของมึงทั้งนั้น อุบาทว์!”

“เหรอจ๊ะน้องน้ำชา ต้องเป็นของพี่ตองซินะมึงถึงจะอยากดู”

“ไอ้ต้อม!”

“อ่ะๆๆๆ ไม่ทันกูหรอก กูฝึกวิทยายุทธมาหลบหลีกมึงเป็นอย่างดี กูไปส่องเด็กๆปีหนึ่งก่อนนะจ๊ะ น้ำขิงที่รักของกูรออยู่ ไปล่ะนะจ๊ะไอ้ชาเย็นเพื่อนรัก”

“ไอ้...” ไอ้เพื่อนสารเลว ไวนักนะมึงเดี๋ยวนี้

ไอ้คนที่เพิ่งจะต่อล้อต่อเถียงกับผมนั่นน่ะคือเพื่อนผมเอง คิดว่าหลายคนคงรู้อยู่แล้วว่าไอ้ต้อมเป็นเพื่อนสนิทที่สารเลวที่สุดของผมมาตั้งแต่ปีมะโว้(มัธยม) ไม่รู้ว่าผมทนคบกับมันได้ยังไง แถมยังมาเป็นลีดมหาลัยด้วยกันอีก ไม่น่าช่วยติวให้มันสอบติดสถาปัตย์เล๊ยยยยย



“อิชาาาาาาาาาาาาาา เมื่อไหร่จะออกไปซะที น้องๆปีหนึ่งกำลังรอมึงอยู่นะ”

“เออๆ ไปแล้วๆ”

และโจทก์ใหม่ที่เพิ่งสลับสับเปลี่ยนเข้ามาหาผมก็คือ เพื่อนสนิทอีกเช่นเดียวกัน แต่เพิ่งมาสนิทกันเพราะเรียนที่มหาลัยนี้ มันชื่อเจสซี่ แต่ผมชอบเรียกมันว่าอิช้างมากกว่า เพราะมันคือกะเทยร่างยักษ์ที่หลงใหลการกินสุดๆ และที่มันเข้ามาตามผมเนีย ก็เพราะมันเป็นบัดดี้ของผม ก็อารมณ์คล้ายๆกับผู้จัดการส่วนตัวของดารานั่นแหละ ไม่อยากอธิบายแบบนี้เลย ฟังแล้วมันกระดากหูยังไงไม่รู้ ผมไม่เหมาะกับการเป็นคนดังหรือดาราอะไรแนวนั้นหรอก จริงๆแทบจะไม่เข้าข่ายบุคคลที่จะสามารถเป็นลีดมหาลัยได้ด้วยซ้ำ ไม่สูง ไม่เท่ แถมผิวก็ขาวจนซีด แถมยังถูกเข้าใจผิดบ่อยๆว่าเป็นผู้หญิง ด้วยหน้าที่หวานเกินเหตุ..... เฮ้ออออออ ขี้เกียจเล่าแล้ว เอาเป็นว่าถ้าอยากฟังเรื่องราวของผมหรือเพื่อนหรือคนรอบข้างหรืออะไรก็ตามที่มาจากความเดิมตอนที่แล้ว ก็ไปหาข้อมูลเอาเองก็แล้วกัน เรื่องของผมหาได้ไม่ยากหรอก



“อะนี่ค่ะ ตราปั๊มของนายแม่นะคะ” อิช้างส่งตราประทับให้ผมในขณะที่เดินออกจากห้องพักเพื่อกลับเข้าไปในโดมรวมใจ

หน้าที่ของผมวันนี้คือการมองหารุ่นน้องปีหนึ่งไม่ว่าคณะใดก็ตาม แล้วประทับตราผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยลงบนป้ายชื่อ อันเป็นสัญลักษณ์ว่าบุคคลนั้นมีสิทธิ์เข้ารับการคัดตัวเป็นผู้นำเชียร์ในคณะของตนเอง

“อย่าเรียกกูแบบนี้ต่อหน้าคนอื่น” ผมเอ็ด ก็ดูมันดิ รู้ทั้งรู้ว่ากำลังจะไปเจอคนมากมายยังสรรหาคำเรียกแปลกๆมาเรียกผมอยู่นั่นแหละ

“แหมมมม ค่ะ คุณหนูธนาชา” อิช้างจีบปากจีบคอพูดประชดใส่ผม “ไม่ให้เรียกว่านายแม่จะให้เรียกว่าอะไรคะ ก็เล่นคาบสามีแห่งชาติอย่างพี่ตองไปรับประทานคนเดียวซะอยู่หมัดแบบนั้นแล้ว”

“อี สม เจต” มึงจะไม่หยุดใช่ไหม “ไม่ต้องมาทำหน้าไม่พอใจกู ถ้ายังไม่หยุดพูดเรื่องของกู กูจะเรียกมึงแบบนี้ทั้งวันเลย แล้วมึงก็ควรจะรู้ตัวด้วยว่าปีสองเนื้อหาที่เรียนยากแค่ไหน ยังอยากให้กูติวอยู่ไหม”

“โอ๊ยยยยย มึง ก็หยอกกันบ้างอะไรบ้าง ใครจะไปกล้าว่านายแ...... เอ่อ.... เพื่อนรักได้ล่ะ ไปๆๆ ไปดูน้องๆปีหนึ่งวัยใสกันดีกว่าเนาะ โน่นๆๆ คนโน้นหน้าตาใช่ได้อยู่นะ”

เปลี่ยนเรื่องเชียวนะมึง อิช้าง ต้องให้ขู่ตลอด



“เธอๆ นั่นใช่พี่น้ำชาหรือเปล่าอ่ะ” “ใช่จริงด้วย นี่ไง เรามีรูปในโทรศัพท์ด้วย ต้องใช่แน่ๆ” / “เห้ยพี่น้ำชานี่หว่า อย่างน่ารักอ่ะ นี่ถ้าไม่มีข่าวว่าคบกับพี่ลีดคนนึงกูจะพุ่งเข้าไปจีบเดี๋ยวนี้เลย” / “คนนี้ใช่ไหมที่เป็นแฟนกับพี่ตอง ลีดคนที่หล่อจนเป็นตำนานอ่ะ ตัวจริงน่ารักเนอะ ถึงว่าซิทำไมที่ตองถึงชอบ” / “แก!! เห็นพี่น้ำชาแล้ว คนนี้ไงที่ดังมาจากแฮชแท็กพี่ตองน้องน้ำชาอ่ะ” / “ไอ้ชิบหาย มึงดูพี่คนนั้นดิ พี่แกน่ารักโคตรๆอ่ะ กูเป็นผู้ชายด้วยกันกูยังหวั่นไหวเลย”



“เอ่อ.........” อิช้างอ้าปากค้าง ยืนนิ่งไม่กล้าเดินเข้าไปในกลุ่มปีหนึ่งที่กำลังนั่งเป็นระเบียบ

ไม่ใช่แค่มันหรอกที่อึ้ง ผมนี่โคตรอึ้งเลย แถมความอายเข้าไปด้วย บ้าเอ๊ย นี่คนรู้เรื่องของผมกันแค่ไหนเนีย ทำไมการปรากฏตัวของผมถึงได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขนาดนี้ แล้วพวกมึงก็ช่วยนินทากันเบาๆหน่อยได้ไหม ถ้าจะพูดถึงกูดังขนาดนี้ ไม่ไปพูดใส่ไมโครโฟนบนเวทีเลยล่ะ กูเป็นรุ่นพี่พวกมึงนะ เดี๋ยวเหอะ ถ้าพวกมึงคนไหนมาเป็นลีดนะ จะสั่งให้ยืนการ์ดสักสองหมื่น เอาให้ไม่กล้านินทาอีกเลย



“ดังใหญ่นะมึงอ่ะ” ไอ้สุ่ยเดินเข้ามาหาผม นี่ก็เพื่อนลีดอีกคนจากคณะเดียวกับผมเอง

“ใช่ๆ” วาวาเสริม ส่วนผู้หญิงคนนี้เป็นบัดดี๊ของไอ้สุ่ย แต่เป็นเพื่อนสนิทในกลุ่มของผม (กูก็ยังจะมาอธิบายอีกเนาะ พอๆ หาอ่านเอาเองนะ) “เมื่อกี๊นะ เดินไปไหนมาไหนก็มีแต่คนถามหาพี่น้ำชา พี่น้ำชาอยู่ไหน พี่รู้จักพี่น้ำชาไหม จนไม่มีใครฟังแนะแนวบนเวทีเลย”

“หยุดเลยวาวา ไม่ต้องมาแซ็ว” ผมเอ็ด แต่ก็แอบหนักใจด้วย ถ้าขืนผมมีชื่อเสียงมากแบบนี้ รั้งแต่จะทำให้ผมรู้สึกอึดอัดเสียเปล่าๆ รู้สึกว่าความรู้สึกของปีนี้กับปีที่แล้วมันช่างต่างกันจริงๆ จากที่แทบไม่มีใครสนใจ ตอนนี้แทบจะไม่มีใครละความสนใจจากผมเลย

“แต่มึงก็วางตัวดีๆนะเว้ย” ไอ้สุ่ยพูดขึ้นอีกครั้ง “ยิ่งคนรู้จักมึงเยอะๆแบบนี้ จะยิ่งเป็นที่จับตามอง”

“อืม” ยิ่งทำให้รู้สึกหนักใจขึ้นไปใหญ่เลย

“เอาน่า ไม่ต้องทำหน้าตึงขนาดนั้นก็ได้ หน้าตาอย่างมึงดังได้ไม่นานหรอก เดี๋ยวก็ดับ”

“อ้าว” มึงจะมาเป็นเพื่อนสารเลวของกูอีกคนแล้วใช่ไหมไอ้สุ่ย

“กูล้อเล่น ขำๆเพื่อน ไปก่อนนะ ไปหาข้าวเจ้าดีกว่า วันนี้อยากกินบราวนี่ ไปขอให้ข้าวเจ้าทำให้กินดีกว่า”

“เดี๋ยวก่อนซิสุ่ย เราต้องสังเกตการณ์น้องปีหนึ่งก่อนนะ เอาตราปั๊มไปด้วยซิ...” แล้ววาวาก็วิ่งตามไอ้สุ่ยไป



“เอาไงมึง” อิช้างเอ่ยปาก “จะยืนอยู่ตรงนี้หรือจะเข้าไปตามหาเด็กปีหนึ่งดี”

“...........” เห้อออออ ทำไมทุกครั้งที่เข้ามาในโดมรวมใจถึงมีเรื่องให้ลุ้นและเครียดทุกครั้งนะ “ไปก็ไปมึง แต่ขอเดินรอบๆ ให้ชินก่อนก็แล้วกัน”

“โอเค”



แล้วผมกับอิช้างก็เดินเรียบๆเคียงๆอยู่พักใหญ่ ไม่กล้าเข้าไปในจุดที่พวกปีหนึ่งนั่งสักที ก็ไม่ว่าผมจะไปตรงไหนก็มีเสียงพูดหึ่งๆขึ้นมาทันที สายตาจ้องตรงดิ่งมาที่ผมกันหมด แล้วแบบนี้ใครมันจะไปกล้าเดินเข้าไปล่ะ อิช้างก็พลอยตกประหม่าไปด้วย เราสองคนทำอะไรไม่ถูกเลยตอนนี้



“เอ่อ... มึงว่าคนนั้นเป็นยังไง” อิเจสซี่รวบรวมความกล้าและตัดสินใจพูดออกมาในที่สุด มันพยายามชี้เป้าไปที่เด็กหนุ่มคนนึง มันคงพยายามทำตัวมั่นใจเป็นตัวอย่างให้ผมดู

“ก...ก็ดีนะ” ผมเองก็ต้องพยายามบ้าง จะมาปล่อยให้ไอ้พวกเด็กปีหนึ่งทำให้ผู้นำเชียร์ประจำมหาวิทยาลัยที่โด่งดังด้านเชียร์ลีดเดอร์อย่างผมตกประหม่าได้ยังไง เอาวะ เอาไงเอากัน “น้องโดนปั๊มตราลีดหรือยัง มึงช่วยดูหน่อยซิ”

“คิดว่ายังนะ” อิช้างตอบ มันพยายามหรี่ตามอง “เข้าไปเลยไหม”

“ไปกัน” ผมตัดสินใจในที่สุด

ทำไมการเดินไปกี่ก้าวมันถึงได้ดูเหมือนไกลจังวะ ขากูนี่ก็เกร็งจนจะเป็นหุ่นกระบอกอยู่แล้ว

เราสองคนเดินตรงไปหาเด็กหนุ่มคนหนึ่ง หน้าตาโฉบเฉี่ยวแต่มีความดูดีแบบมาดคุณชายนิดๆ แถมตัดผมทรงโคตรแนว ไถข้างบวกกับรากไทรอะไรสักอย่าง(ทรง Under Cut) เอาเป็นว่าถ้าไม่หล่อจริงตัดผมทรงนี้ไม่มีทางรอดแน่นอน



“น้องครับ” ผมเรียกและพยายามอ่านป้ายชื่อ สีชมพู่ นี่เป็นคณะวิทย์เหมือนเรานี่หว่า แบบนี้ค่อยประหม่าน้อยลงหน่อย ว่าแต่ชื่ออะไรนะ อ้อ “น้องแทน”

“ครับ” พูดจาฉะฉาน ไม่มีลังเลเลย บุคลิกมั่นใจดี

“ช่วยยืนป้ายชื่อขึ้นมาให้พี่หน่อยครับ” ผมเอ่ย พร้อมกับเตรียมตรายางขึ้นมารอประทับลงบนป้ายชื่อ

“ป้าย? ป้ายชื่อของผมอะเหรอครับ”

“ใช่ซิครับ” จะหมายถึงอะไรได้อีกล่ะ คนที่นั่งอยู่แถวๆนี้เขาดูท่าว่าจะเข้าใจกันหมด แต่ไอ้เจ้าเด็กคนนี้กลับเลือกที่จะแสดงท่าทีไม่เข้าใจอย่างชัดเจน

“ผมให้ไม่ได้หรอกครับ”

“ห๊ะ” ผมกับอิช้างอุทานออกมาอย่างเป็นอัตโนมัติ

“ผมรู้นะว่าตรายางของพวกพี่หมายถึงอะไร” ไอ้น้องมันเหมือนกำลังจะอธิบาย “แต่ผมมาที่นี่เพื่อมาเรียน ไม่มีเวลาสำหรับเรื่องอื่นหรอกครับ พวกลีดอะไรนั่นผมไม่สนใจหรอกครับ”

“ห๊ะ” ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามีคนคิดแบบนี้ในมหาลัยที่ทุกคนมีฝันอยากเป็นเชียร์ลีดเดอร์แบบนี้ เหมือนเพิ่งได้ยินว่ามะม่วงออกผลเป็นทุเรียนยังไงก็ไม่รู้ ผมหันไปหาอิช้าง ซึ่งก็ได้เห็นแค่สีหน้าอึ้งๆของมัน

“เอ่อ....” ผมพยายามสรรหาคำเพื่อที่จะพูด ไม่นึกเลยว่าการตัดสินใจที่ยากลำบากของผมจะทำให้เจอเรื่องหน้าแตกตั้งแต่แรก แล้วกูควรจะพูดอะไรต่อล่ะเนีย “เอ่อ....”



“มีอะไรหรือเปล่าครับชา”

หึ!!!

“พ...พี่ตอง”

บุคคลที่เข้ามาในการสนทนาคนนี้ไม่อธิบายก็คงไม่ได้ เพราะเขาคือ... เอ่อ... แฟนของผมเอง (อย่าให้ผมแนะนำแบบนี้บ่อยๆนะ มันเขินปากมากจริงๆ)

นี่คือพี่ตอง รุ่นพี่จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาคอมพิวเตอร์ ปีสอง ไม่ใช่ซิ ปีนี้ปีสามแล้ว ก็.... จะให้พูดว่าไงดีล่ะ มันก็เขินๆอะนะ แต่พี่ตองก็ยังดูหล่อและอบอุ่นเสมอในสายตาของผม ภายใต้ทรงผมสกินเฮดกับสายตาที่ชวนหลงไหลนั่นก็ยังทำให้ผมใจเต้นทุกครั้งที่ได้มองมันนานๆ ถึงผมกับพี่เค้าจะเคยเป็นคู่แข่งตัวฉกาจกันมาก่อนเมื่อสมัยมัธยม แต่หลังจากผ่านร้อนผ่านหนาวกันมาเมื่อปีที่แล้ว ปัจจุบันผมก็คงต้องบอกว่าผมโชคดีมากจริงๆที่มีพี่เค้าอยู่ข้างๆในฐานะคนรู้ใจ

“ว่าไงครับ มีเรื่องอะไรตรงนี้หรือเปล่า” พี่ตองถามอีกครั้ง

“คือ...” จะอธิบายยังไงดี

ในขณะที่ผมกำลังนึกคำที่จะอธิบายก็ได้สังเกตเห็นว่ารอบข้างตัวผมยิ่งมีเสียงซุบซิบมากขึ้น ก็แหงล่ะ ไอ้ตัวสูงมายืนทำท่าเป็นห่วงเป็นใยผมซะขนาดนี้ คงยิ่งเหมือนไปราดน้ำมันใส่กองไฟ

“น้องเค้าปฏิเสธตราประดับค่ะพี่ตอง” อิช้างอาสาอธิบายเอง ว่าแต่มึงพูดตรงไปไหมเนีย

“ปฏิเสธ?” ใช่ พี่ทำหน้าได้ถูกต้องแล้ว ใครๆก็เหวอทั้งนั้นแหละ แล้วพี่ตองก็หันไปหาต้นเหตุ “น้อง...แทน รู้ใช่ไหมว่าตราประทับนี้หมายถึงอะไร”

“รู้ครับ” น้องตอบนิ่งๆ

“แต่ก็ยังปฏิเสธ”

“ตามนั้นเลยครับ”

“พี่ขอถามเหตุผลได้ไหม”

“ผมมาที่นี่เพื่อมาเรียนครับ ไม่มีเวลาสำหรับกิจกรรมมากนัก แล้วก็...” อ้าว เงียบเฉยเลย แล้วก็อะไรวะ “เอาเป็นว่าผมไม่สะดวกครับ”

“งั้นพี่ถามอีกข้อนะ รู้ใช่ไหมว่า ต่อให้ไม่ถูกประทับตรายาง ก็ต้องเข้าร่วมกิจกรรมอยู่ดี ทุกคนต้องทำกิจกรรมห้องเชียร์ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งไหนก็ตาม นั่นเป็นกฎ แล้วก็มีผลต่อการเรียนจบด้วย”

“.......” ไอ้น้องหรี่ตาลง เป็นการแสดงความคุ้นคิดอย่างชัดเจน แปลว่าไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนซินะ คงเข้าใจว่าถ้าไม่เป็นลีดก็ไม่ต้องทำอะไร

“ด...เดี๋ยว!” พี่ตองแทบร้อง ผมก็ตกใจเหมือนกัน จู่ๆ ไอ้น้องแทนคนนั้นก็ลุกออกจากเก้าอี้เฉยเลย

พี่ตองกับผมวิ่งตามออกไปเกือบไม่ทัน มันจะไปไหนของมัน

“น้องจะไปไหน” พี่ตองเรียกอีกครั้งเมื่อเราออกมาอยู่นอกโดม

“ผมจะไปหาอธิการบดีครับ”

“ว...ว่าไงนะ”

“ผมจะไปหาอธิการบดี ขอร้องให้เขายกเลิกกฎแบบนี้ ที่นี่เป็นสถาบันการศึกษา ยังไงเขาก็คงเห็นคุณภาพการศึกษาสำคัญกว่าเรื่องอื่นๆอยู่แล้ว”

“น้องจะวิ่งเข้าไปหาอธิการบดีหน้าตาเฉยแบบนี้ไม่ได้ และที่สำคัญพี่ไม่อยากจะทำให้ผิดหวังนะ แต่กฎนี่อธิการบดีเป็นคนกำหนดด้วยตัวเองเลย ที่นี่เราสนับสนุนการทำกิจกรรมคู่กับวิชาการ”

“......” เงียบอีกครั้ง “งั้นผมจะไปยื่นเรื่องลาออก”

“ฮ...เฮ้ ใจเย็น มันถึงขนาดนั้นเลยเหรอ มีอะไรหรือเปล่า ปรึกษาพี่ได้นะ”

“โทษทีนะพี่ แต่ผมไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายอะไรให้พี่ฟัง”

“ทำไมจะไม่จำเป็นล่ะ” ห๊ะ จำเป็นยังไง ไม่ต้องไอ้น้องนั่นหรอก ผมก็อยากรู้เหมือนกัน “น้องรู้จัก ก.น.ช.ไหม”

“ไม่ครับ”

“พี่คือ ก.น.ช.หรือคณะกรรมการควบคุมการรับน้องและการใช้สิทธิโดยมิชอบ พี่มีหน้าที่โดยตรงในการควบคุมกิจกรรมต่างๆของปีหนึ่ง  เพื่อให้อยู่ในจุดที่พอดี เพราะงั้นเรื่องของน้องปีหนึ่งทุกคน พี่ต้องสนใจ”

เนี่ยอะนะคำอธิบาย นึกว่าจะมีอะไรมากกว่านี้  ไอ้พี่ตอง ไอ้หัวเหม่งเอ๊ย

“นี่ไม่ได้เกี่ยวกับการรับน้องนะพี่” น้องมันยังดื้อด้านที่จะไป “ผมขอตัวนะครับ” แล้วมันก็จากไปจริงๆ ทิ้งพวกผมให้อึ้งกิมกี่อยู่กันสามคน (รวมอิช้างเข้าไปด้วย)



“นี่มันเกิดอะไรขึ้นล่ะเนีย” อิเจสซี่คราง “อุตส่ารวบรวมความกล้าเข้าไปหาก็โดนปฏิเสธตั้งแต่คนแรกเลย”

ก็นั่นนะซิ ยิ่งเสียความมั่นใจไปกันใหญ่เลยกู

“ช่างมันเหอะมึง” อิช้างปลอบใจผม “ยังมีปีหนึ่งอีกเยอะแยะ เข้าไปในโดมกันเถอะ”

“.......” พูดตามตรงนะว่าไม่อยากเข้าไปแล้ว ขืนทำให้เด็กคนอื่นๆ วิ่งแจ้นไปลาออกเหมือนไอ้เด็กคนนี้อีกล่ะ

“ทำตามที่เพื่อนบอกเถอะนะชา” พี่ตองพูดก่อนจะวางมือลงบนไหล่ของผมอย่างอ่อนโยน เราอยู่ด้วยกันมานานจนพี่เขาน่าจะรู้ว่าตอนนี้ผมรู้สึกเป็นยังไง “คงไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกหรอกนะ คนที่มาเรียนที่นี่ทุกคนอยากได้ตราปั๊มทั้งนั้นแหละ เข้าไปข้างในเถอะ”

“แต่...” มันหมดความมั่นใจไปแล้วนี่นา

“เชื่อพี่เถอะครับ กลับเข้าไปเถอะนะ แฟนพี่เก่งอยู่แล้ว แต่เดี๋ยวพี่ขอตัวไปทำธุระแป๊บนึงนะ เดี๋ยวตามเข้าไป... เจสซี่ พาน้ำชากลับเข้าไปในโดมเถอะ”

“ค่ะพี่ตอง” อิช้างรับ “ไปเถอะมึง อย่าไปคิดมาก น้องๆสวยหล่ออีกหลายคนยังรอเราอยู่นะ”



ไม่นานผมก็กลับเข้ามาในโดม



“พี่น้ำชา พี่น้ำชาใช่ไหม” ทันทีที่กลับเข้ามาในโดมผมก็โดนเด็กหนุ่มคนหนึ่งวิ่งตรงเข้ามาหา

“ค...ครับ” อะไรวะ

“ปั๊มตราลีดให้ผมหน่อย”

“ห๊ะ!” เดี๋ยวๆๆๆ จู่ๆมายื่นป้ายชื่อให้แบบนี้ก็ได้เหรอ

“ปั๊มตราไงพี่”

“เดี๋ยวนะคะน้อง.... เกล้า” อิช้างอ่านชื่อจากป้ายและพยายามกันเด็กคนนั้นให้ออกห่างจากผม “พวกพี่จะเป็นคนคอยเฝ้าสังเกตการณ์น้องๆเอง ไม่จำเป็นต้องลุกออกมาจากเก้าอี้แบบนี้นะคะ กลับไปนั่งเถอะ น้องยังอยู่ในช่วงแนะแนวการเป็นนิสิตใหม่จากเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยนะคะ ตั้งใจฟังเรื่องบนเวทีก่อนดีกว่านะ”

“พี่จะบอกว่าผมไม่เข้าหลักเกณฑ์การเป็นลีดใช่ไหม” อะไรของมันอีก “โห่พี่ ปั๊มๆไปเหอะ มีรุ่นพี่ลีดเดินผ่านผมไปไม่รู้กี่คนต่อกี่คนแล้ว ไม่เห็นจะมีใครปั๊มตราให้ผมเลย”

“ขอร้องนะคะ กลับไปนั่ง”

แล้วเด็กหนุ่มคนนั้นก็มีสีหน้าไม่พอใจเท่าไหร่นัก ก่อนจะปล่อยป้ายชื่อของตัวเองกลับไปห้อยต่องแต่งเหมือนเดิม

“เดี๋ยวก่อนครับ” ผมตัดสินใจพูดในที่สุด

“อิชา” อิช้างพยายามห้ามผม แต่ผมส่งสัญญาณให้มันเงียบ มันคงพยายามห้ามไม่ให้ผมสนทนากับน้องคนนี้

ผมไม่กล้าพูดหรอกว่าใครมีหน่วยก้านหรือมาตรฐานที่เหมาะแก่การเป็นผู้นำเชียร์ เพราะตัวผมเองก็ไม่ได้เริ่มต้นมาจากความเหมาะสมเหมือนกัน แต่น้องคนนี้ก็อยู่ไกลกับคำว่าใกล้เคียงจริงๆ นอกจากบุคลิกภายนอกที่ไม่ได้น่าสนใจแล้ว ยังมีสีหน้าบึ้งตึงไม่รับแขกอีก อีกทั้งเหมือนกับอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเขาไม่ได้สนใจดูแลตัวเองนัก เพียงแต่เราควรให้โอกาสทุกคนก่อน เหมือนอย่างที่ผมได้รับโอกาสมา

“ป้ายชื่อสีม่วง มาจากคณะสังคมใช่ไหม” ผมถาม

“.....” ไม่ตอบ แต่ใช้การพยักหน้า นี่ก็อีกข้อ ขาดความสุภาพอย่างแรง

“น้องอยากเป็นผู้นำเชียร์เหรอ” ผมถามอีกครั้ง

“ในโดมนี้ ใครๆ ก็อยากเป็นทั้งนั้นแหละพี่ ถ้าเป็นลีดได้ก็เท่ากับมีงานกับเงินมากองตรงหน้าใช่ไหมล่ะ”

นี่ไม่ใกล้กับคำตอบที่อยากได้ยินเลยแม้แต่นิดเดียว

“แล้วน้องเตรียมตัวมาแค่ไหนสำหรับการจะมาเป็นผู้นำเชียร์” ถามอีกสักข้อก็แล้วกัน

“เตรียมตัว? มันต้องเตรียมตัวด้วยเหรอ อ๋อ หมายถึงรูปร่างหน้าตาอะนะ แบบนั้นมันเตรียมตัวกันได้ด้วยเหรอพี่ ผมเลือกเกิดไม่ได้ ก็คงหน้าตาดีเท่าคนอื่นไม่ได้หรอก ก็แค่คิดว่ากฎเกณฑ์พวกนั้นน่าจะเปลี่ยนไปแล้ว เพราะผมได้ยินมาว่าพี่เองก็ไม่ได้เข้ากฎเกณฑ์เท่าไหร่ยังเป็นถึงลีดมหาลัยได้ ผมก็เลยเลือกสอบเข้าที่นี่ ก็แค่นั้น สรุปว่าพี่ยังใช้หลักเกณฑ์เก่าๆ กันอยู่เหรอ”

มึงนี่มัน.... สงบใจไว้

“อยากได้ตราปั๊มจริงๆใช่ไหม” ผมถามหน้านิ่ง

“พี่จะปั๊มให้ผมเหรอ”

“ก็ไม่มีปัญ....”



“ไม่ผ่านครับ” มีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามา

ผมหันไปแล้วพบว่าเป็นไอ้ข้าว หรือที่ทุกคนเรียกว่าข้าวเจ้า เพื่อนลีดของผมอีกคนจากคณะสังคมศาสตร์

“ชาไม่ต้องประทับตราหรอก” ไอ้ข้าวบอกถึงจุดประสงค์ของตัวเองอย่างชัดเจนอีกครั้งในขณะที่จ้ำอ้าวเข้ามา “ยังไงน้องคนนี้ก็ไม่ผ่าน”

“ทำไมอ่ะพี่” ไอ้น้องเกล้าเริ่มโวยวายนิดหน่อย “เพราะผมไม่หน้าตาดีเหมือนคนอื่นใช่ไหม แล้วทีพี่น้ำชาล่ะ ผมก็ไม่เห็นว่าพี่เขาจะดูดีเกินไปกว่าผมเท่าไหร่เลย”

“น้อง...”

“ไม่ต้องเจส” ผมห้ามอิช้างไว้

“พี่เป็นคนที่จะทำหน้าที่ในการคัดเลือกผู้นำเชียร์ของคณะสังคมศาสตร์ในรอบต่อไป” ไอ้ข้าวอธิบายอย่างมีชั้นเชิง “พี่บอกได้เลยว่าน้องไม่ผ่าน แล้วก็ไม่เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาด้วย ถึงน้องจะผ่านตรงนี้เข้าไปได้ก็มีแต่จะเสียเวลาเปล่า ชัดเจนแล้วนะ เพราะงั้นตอนนี้ รบกวนช่วยกลับไปนั่งที่ของตัวเองได้แล้วนะครับ อ้อ พี่ยังมีอีกเรื่องที่อยากจะบอก พี่ไม่รู้ว่าน้องเข้าใจอะไรมาก่อนที่จะมาเรียนที่นี่ แต่อย่างนึงที่น้องเข้าใจผิดแน่ๆก็คือ พี่น้ำชากับน้องมันห่างกันหลายขุมเกินไป อย่าดึงพี่เค้าลงไปเทียบกับน้องอีกนะ พี่บอกในฐานะรุ่นพี่คณะเดียวกับน้องนะ ไปเถอะชา”



ไอ้ข้าวคว้าตัวผมให้ออกไปจากตรงนั้นโดยมีอิเจสซี่กันท่าไว้ข้างหลัง ทำอย่างกับกลัวว่าไอ้น้องคนนั้นจะพุ่งมาทำร้ายผม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-08-2018 08:12:10 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 1 [ภาพในอดีต Part 2]
«ตอบ #2 เมื่อ07-08-2018 21:25:47 »

ตอนที่ 1 [ภาพในอดีต] - Part 2




“ทำไมถึงพูดแบบนั้นวะข้าว” ผมถามทันทีที่เดินห่างออกมาแล้ว “เดี๋ยวก็โดนน้องเกลียดขี้หน้าเอาหรอก”

“ก็น้องคนนั้นว่ามึงอ่ะ” ไอ้ข้าวตอบ “ใครมาว่าไอดอลกู กูก็โกรธทั้งนั้นแหละ”

เวรกรรม นี่ผ่านไปปีนึงแล้วมึงยังไม่เลิกมองกูเป็นไอดอลอีกเหรอ

“เมื่อกี้ยืนดูอยู่” ไอ้ข้าวว่าต่อ “เห็นนะว่ากำลังจะปั๊มตราลีดให้เด็กคนนั้น”

“ก็ถ้ามันอยากได้นักก็จัดให้” ผมตอบเคืองๆ ไม่ได้เคืองไอ้ข้าวนะ เคืองไอ้เด็กปากกวนส้นตีนนั่น “จะได้รู้ว่ามาตรการคัดเลือกโหดขนาดไหน ต่อให้ไม่โดนมึงด่าตอนนี้ ตอนไปคัดที่คณะ คนอย่างมึงก็จัดหนักอยู่ดี กูพูดถูกไหม”

“ไอ้ถูกมันก็ถูก แต่ถ้าเกิดปั๊มให้ใครก็ได้ รุ่นพี่ลีดมหาลัยอย่างพวกเราก็คงไม่ต้องลงมาสังเกตการณ์ก็ได้มั้ง ปล่อยให้ทุกคนเข้ารับการคัดเลือกไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ เราเป็นรุ่นพี่แล้วนะชา ที่สำคัญเราเข้าถึงแก่นแท้ของการเป็นผู้นำเชียร์ในเชิงลึก มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะมองหาคนที่มีบางอย่างเพื่อนำน้องๆ เหล่านั้นเข้าสู่กระบวนการฝึกฝน”

“อือหือมาเป็นชุด นี่สรุปกูเป็นไอดอลหรือเป็นลูกของมึงกันแน่เนีย”

“กูแค่เตือนในฐานะเพื่อน เจสซี่ก็ช่วยชาด้วยนะ”

“ค่ะๆๆ คุณเพื่อน” อิช้างจีบปากจีบคออีกครั้ง “แหม ตั้งแต่กำราบเดือนคณะวิทย์อยู่หมัด รู้สึกว่าข้าวเจ้าจะมั่นอกมั่นใจขึ้นนะ”

“แน่นอนอยู่แล้ว เราต้องเก่งเหมือนชาให้ได้” นี่ก็อีกอย่างที่ยังไม่เปลี่ยน ไอ้ข้าวก็ยังพูดถึงเรื่องของมันกับแฟนได้หน้าตาเฉยเหมือนเดิม “ไปเดินดูต่อกันได้แล้ว ไปกันเหอะปัง” ไอ้ข้าวเรียกบัดดี้ของตัวเอง

อ๋อ คนนี่อะเหรอบัดดี้ของไอ้ข้าวที่เป็นเพื่อนเอกเดียวกับไอ้สุ่ย เด็กหนุ่มตัวเล็ก สูงเกือบจะเท่าๆกับผม มีเหล็กจัดฟันซะด้วย ท่าทางเจี๋ยมเจี้ยม ชอบทำหน้าลนลาน ไอ้สุ่ยคงหาเพื่อนมาคุมแฟนมันซินะ

แล้วกูจะไปสนใจเขาทำไมวะ ทำงานๆๆ เลิกเสียเซลฟ์ได้แล้ว



“มึงๆ พี่น้ำชากำลังจะเดินมาแล้ว พี่เขาอาจจะปั๊มให้มึงก็ได้นะ” “ยืดอกไว้ๆ” /“เธอว่าพี่เขาจะปั๊มให้เราไหม ได้ข่าวว่าพี่เขาไม่ได้เน้นหน้าตามาก” “ก็ได้ยินมางั้นเหมือนกัน โชคดีเราอาจจะโดยปั๊มทั้งสองคนก็ได้นะ”



ชิบ....

ยังไม่ทันจะก้าวเกินสองก้าวเลย เริ่มอีกแล้วเหรอ เออ กูรู้ว่ากูไม่ใช่คนหน้าตาดีมากมาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากูจะปั๊มให้ใครก็ได้นะโว๊ยยยยยย



“เราไปอยู่ห้องพักเหมือนเดิมกันดีกว่าไหม” อิช้างเสนอในที่สุด ในฐานะบัดดี้ของผม มันก็คงลำบากใจไม่ต่างจากผมนัก

“นั่นซิ” ผมเห็นด้วยทันที



ในที่สุดผมและอิเจสซี่ก็ตัดสินใจเดินออกจากโดม แล้วเข้าไปหลบในห้องพักของลีดมหาลัย และหางานอย่างอื่นทำ เช่น การเตรียมดอกไม้เพื่อแจกให้น้องปีหนึ่งตอนเที่ยง



“....죄송합니다” เสียงใครบางคนมาสปีคเกาหลีอยู่แถวๆ หน้าห้อง เสียงคุ้นๆแฮะ แต่ไม่นานความสงสัยก็หมดไป เมื่อพี่บุ๋นเปิดประตูเข้ามาในห้อง พี่ลีดมหาลัยปีสามที่อยู่เอกเดียวกันกับผมเอง เดี๋ยวนี้สวมแว่นตาตลอดแถมยังพูดภาษาเกาหลีเก่งขึ้นมากเลย ไปเป็นศิลปินฝึกหัดที่เกาหลีแค่ครึ่งปี ไม่คิดว่าจะคุยโทรศัพท์เป็นภาษาเกาหลีได้แล้ว “อ้าวไอ้น้ำชา มาทำอะไรในนี้วะ ไม่ออกไปดูปีหนึ่งเหรอ”

“ไม่อ่ะพี่” ผมตอบ “ผมอึดอัด”

“อึดอัดทำไมวะ คนเยอะเหรอ”

“เปล่าพี่ คือ.... น้องปีหนึ่งเข้าใจว่ามาตรฐานในการปั๊มตรายางของผมไม่สูงเท่าพี่ลีดคนอื่น ผมก็เลย... อยู่ตรงนี้ดีกว่า”

“คิดมากไปหรือเปล่า”

“ไม่มากหรอกค่ะพี่บุ๋น” อิช้างเสริม “หนูก็อยู่ในเหตุการณ์ตลอด นี่พี่ยังไม่เห็นนะคะ น้องบางคนถึงขั้นพูดคอมเม้นเรื่องรูปร่างหน้าตาของอิชาต่อหน้าเลย”

“เด็กสมัยนี้มันกล้าขนาดนั้นเลยเหรอ” พี่ท๊อปอ้าปากค้าง “มึงก็อย่าไปคิดมากไอ้น้ำชา มึงอ่ะน่ารักจะตาย กูเป็นพี่มึงกูไม่โกหกหรอก”

“อะไรของพี่ ไม่เห็นจะเป็นเหตุเป็นผลเลย” ผมพูดขำๆ “เพราะเป็นพี่นั่นแหละถึงกล้าโกหกกันได้”

“เออ แต่กูไม่โกหกไง เดี๋ยวถ้ามึงเลิกกับไอ้ตองเมื่อไหร่กูสัญญาว่าจะจีบมึงเลย โอเคไหม”

“หราาาาาาาาาาาาาา แล้วจะเอาพี่ท๊อปไปเก็บไว้ไหนละพี่ถ้าพี่มาจีบผมอ่ะ”

“เอาเก็บไว้ในห้องแล็บไง กูว่าจะให้พี่ท๊อปไปแต่งงานกันเครื่องอัดยาแล้วเนีย”

“ทำไมพูดงั้นอะพี่”

“ก็ไม่มีไรหรอก พี่ท๊อปขึ้นปีสี่แล้วไง ยุ่งมากๆ เห็นบอกว่าต้องทำโปรเจ็คจบ แถมที่เกาหลีก็โทรมาตามตลอด บอกว่าพี่ท๊อปมีสิทธิได้เดบิวท์สูงอยากให้ไปซ้อมเยอะๆ ขนาดเมื่อตอนเดือนที่แล้วเอเจนซี่ยังส่งพี่ท๊อปไปให้สัมภาษณ์รายการดังเลยนะ ทั้งๆที่ยังเป็นแค่เด็กฝึกหัดอยู่ ทางโน้นคงจะคาดหวังกับพี่ท๊อปน่าดู ก็เลยโทรมาตามตลอด กูก็ไม่รู้จะตอบแทนยังไงแล้ว ได้แต่ขอโทษไปวันๆ”

“เหนื่อยแย่เลยเนาะ”

“ก็ธรรมดาแหละ ชินแล้ว ว่าแต่มึงจะไม่ออกไปดูน้องจริงๆเหรอ กูว่าจะไปช่วยปีสองปั๊มตราลีดหน่อย เออ ว่าแต่ตราปั๊มเหลือบ้างไหม”

“เหลือค่ะพี่บุ๋น” อิเจสซี่ตอบทันที มันเดินไปเปิดลิ้นชักแล้วคว้านหาตรายางมายื่นให้พี่บุ๋น “นี่ค่ะ ตรารูปไม้ สัญลักษณ์ประจำตัวของพี่บุ๋น”

“เก่งนะเราเนีย” พี่บุ๋นชมอิช้าง “มึงไม่ออกไปแน่นะไอ้น้ำชา”

“ไม่ดีกว่าพี่ คนอื่นคงทำหน้าที่ได้ดีกว่าผม” ผมตอบตรงๆ

“บอกว่าอย่าคิดมาก ว่าแต่เห็นไอ้ตองกับพวกปีสามไหม”

“พี่ลีดปีสามอยู่ในโดมแล้วพี่ แต่พี่ตองออกไปทำธุระ”

“งั้นเหรอ เสียดายนะ มึงกับไอ้ตองไม่เข้าโดม งั้นเด็กปีนี้อดได้ตรารูปเพชรอะดิ”

“ตรารูปไหนก็เหมือนกันนั่นแหละพี่”

“เออๆ เก็บดอกกุหลาบไว้ให้กูด้วยนะ ไปล่ะ”

“จะเอาไปให้พี่ท๊อปเหรออออ” ผมตะโกนแซ็วไล่หลัง

“พูดมาก” พี่แกก็ยังไม่วายที่จะตะโกนกลับมาทั้งๆที่เดินออกไปแล้ว



ผมกลับมานั่งตัดหลาบกุหลาบต่อ พร้อมกับผูกริบบิ้นทีละดอกๆ



เฮ้อออออออออออออออ

เอาจริงๆนะ ตอนนี้บอกอารมณ์ตัวเองไม่ถูกเลย เคยคิดว่าช่วงปีหนึ่งยากแล้ว แต่การเป็นพี่ลีดที่มีคุณสมบัติไม่ครบแบบนี้ ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรยังไงก็ไม่รู้ กับอีแค่ปั๊มตรายางให้เด็กปีหนึ่งสักคนยังทำไม่ได้เลย



ไม่นานเพลงมาร์ชมหาวิทยาลัยก็ดังขึ้น อันเป็นสัญญาณว่าใกล้ช่วงปล่อยปีหนึ่งไปตามคณะแล้ว งานจัดเตรียมดอกกุหลาบของผมกับอิเจสซี่ก็เสร็จพอดี



“กูไปเข้าห้องน้ำแป๊บนะมึง” ผมบอกอิช้างก่อนจะเดินคอตกออกไปนอกห้อง ตรงดิ่งไปที่ห้องน้ำ

รู้สึกเหมือนเดจาวูเลย อ้อ จำได้แล้ว ปีที่แล้วกูก็เดินมาล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำพร้อมกับอารมณ์เซ็งๆแบบนี้นี่หว่า เพียงแต่ว่าปีที่แล้วเซ็งเพราะไม่มีใครปั๊มตราลีดให้ ส่วนปีนี้เซ็งเพราะปั๊มตราลีดให้คนอื่นไม่ได้ อนาถจริงชีวิตกู

ในขณะที่ผมกำลังเดินกลับไปที่ห้องพักผู้นำเชียร์ สายตาก็เหลือบไปเห็นช่องทางเดินเล็กๆที่นำไปยังด้านหลังของโดม อดขำไม่ได้สักที ก็เพราะปีที่แล้วผมเคยแอบเข้าไปในช่องนี้แล้วเต้นเพลงมาร์ชมหาวิทยาลัยเพียงเพราะอยากระบายความเซ็งที่ไม่โดนประทับตรายางจากพวกพี่ลีด แต่ดันไม่ดูตาม้าตาเรือ ไปเต้นโชว์ให้พี่ท๊อปดูซะได้

ผมเดินเข้าไปในช่องทางเดินนั้นโดยอัตโนมัติ อยากรู้ว่าหนึ่งปีผ่านไป สภาพของด้านหลังจะยังเป็นเหมือนเดิมไหม ก็แอบคิดถึงหน่ยๆ

หวังว่ากูจะไม่เจอใครมาเต้นบ้าๆแบบผมอยู่ตรงนั้นนะ



หึ!

หือออออออ

เห้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ผมแทบจะตาค้างเมื่อเห็นว่ามีคนมาเต้นท่ามาตรฐานเพลงมาร์ชมหาลัยอยู่ตรงนี้จริงๆ



เขาคือเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ผมไม่เห็นหน้าเพราะเขาหันหลังอยู่ แต่วิธีการเต้นแบบนี้ก็บอกได้เลยว่าฝึกมาด้วยตัวเองแน่นอน เสี้ยววินาทีหนึ่งที่ผมเหมือนจะเห็นภาพตัวเองในอดีตกำลังยืนเต้นอยู่ตรงนั้น เหมือนมีเงาของผมครอบร่างของเด็กคนนั้นอยู่เลย นี่เหรอ มุมมองของคนที่มองเห็นความพยายามของคนๆหนึ่งอยู่เบื้องหลัง พี่ท๊อปจะรู้สึกแบบที่ผมรู้สึกอยู่ไหมนะ



.......ให้คำมั่นสัญญา ว่าจะเป็นคนดี บัญฑิตศรีแห่งรั้วมัณฑนา

เพลงจบโดยที่ผมยังยืนช็อกอยู่เลย



#เสียงโทรศัพท์

จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น ปลุกให้ทั้งผมและเด็กหนุ่มที่เต้นอยู่เบื้องหน้ามีสติกลับขึ้นมา เด็กปีหนึ่งคนนั้นหันหลังมาแล้วตาค้างทันทีที่เห็นผมยืนอยู่ แต่ผมยังไม่มีเวลาคุยด้วย เพราะต้องรับโทรศัพท์ก่อน

“ฮัลโหล”

“ฮัลโหลชา อยู่ไหนครับ” พี่ตองนั่นเอง ผมไม่ทันได้มองดูเลยว่าเป็นพี่ตองที่โทรมา

“อยู่... เอ่อ... หลังโดมรวมใจ”

“ไปอยู่อะไรตรงนั้น”

“ก็....”

“ช่างมันเถอะ เดี๋ยวพี่ไปหานะ รออยู่ตรงนั้นแป๊บเดียว”

ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด

จะรีบวางไปไหน



“พ...พี่น้ำชา” เด็กหนุ่มตรงหน้าของผมเอ่ยขึ้นทันทีที่โทรศัพท์ของผมถูกเก็บ

ผมค่อยๆ มองหน้าเขา และอ่านป้ายชื่อ อะตอม ป้ายสีชมพู แปลว่าเป็นเด็กคณะวิทย์ซินะ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีเด็กคณะวิทย์ที่มีความคิดบ้าๆอยู่ถึงสองคนซึ่งมาเต้นตรงนี้ในวันและเวลาเดียวกัน

“ม...มาแล้วเหรอครับ”

ห๊ะ “มาแล้ว?” เมื่อกี้ไอ้น้องคนนี้มันพูดว่ามาแล้วใช่ไหม ผมว่าผมฟังไม่ผิดนะ

“ครับ” เด็กที่ชื่ออะตอมตอบ “ผมเต้นรอที่มาสิบกว่ารอบแล้ว”

“สิบกว่ารอบ!!” เดี๋ยวๆๆๆ เดี๋ยวนะ ถึงว่าซิ หน้าตานี่เหงื่อย้อยเชียว แต่... “รู้ได้ไงว่าพี่จะมานี่”

“ผมชื่ออะตอมครับ อยู่คณะวิทย์ เอกชีวะ”

“โอเค แล้วสรุปว่ารู้ได้ยังไงว่าพี่จะมายืนอยู่ตรงนี้”

“คือผม.... เอ่อ.... ผมศึกษาเรื่องของพี่มาน่ะครับ พี่ท๊อปเคยเล่าเอาไว้ในรายการหนึ่งของเกาหลีเมื่อเดือนก่อน เห็นพี่เขาเล่าถึงเหตุการณ์นี้ด้วย แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าจุดที่พี่น้ำชามาแอบเต้นใช่ตรงนี้จริงๆหรือเปล่า ก็เลยลองเสี่ยงเต้นไปเรื่อยๆดู”

พี่ท๊อปพูดถึงเรื่องนี้จริงเหรอ หรือว่าจะเป็นสัมภาษณ์ที่พี่บุ๋นเล่าให้ฟังเมื่อกี้ “แล้วทำไมถึงต้องอยากอยากหน้าพี่ด้วยล่ะ”

“ก็.... เหมือนกับทุกคนนั่นแหละครับ ผมเองก็อยากได้รับตราประทับของลีดมอมัณฑนาเหมือนกัน แต่.... ผมคิดว่ารูปลักษณ์ของผมคงจะเข้าตารุ่นพี่ได้ยาก ถ้าเป็นพี่น้ำชา ถ้าเป็นพี่อาจจะมองข้ามเรื่องนี้แล้วก็มองเห็นความพยายามของผมก็ได้ ผมก็เลยมาเต้นตรงนี้ไปเรื่อยๆ หวังว่าพี่จะบังเอิญอยากกลับมาดูสถานที่ที่พี่เองก็เคยพยายามมาก่อน”

มีอะไรที่สามารถทำให้กูอึ้งได้มากกว่านี้อีกไหม จัดมาเลย รู้สึกจะเจอแต่เรื่องกระแทกใจทั้งวันเลย

“แล้วทำไมถึงอยากเป็นลีดขนาดนั้นล่ะ” คือผมไม่ได้จะหมายถึงว่าน้องมันหน้าตาไม่ดีนะ เอาจริงๆ น้องมันก็หน่วยก้านใช้ได้นะ ไม่ได้สูงเด่นแต่ก็รับรองว่าไม่จมหายไปในหมู่เพื่อนผู้ชายรุ่นเดียวกันแน่นอน ผิวอาจจะไม่ขาวเท่าผม แต่สีผิวน้ำตาลอ่อนๆนี่ก็มีเสน่ห์ไม่น้อย ส่วนหน้าตาที่บอกว่าไม่มั่นใจก็ไม่เห็นด้วยอย่างแรง ถึงจะไม่ได้ดูดีแบบกระแสนิยม แต่ก็เป็นหนุ่มหน้าไทยหวานๆ ที่น่ามองพอสมควร

“ผมอยากได้ทุนน่ะครับ” น้องตอบ

“ทุน? อ๋อ” ใช่ซินะ ปีนี้ทางบริษัท T-Queen World Wide บริษัทด้านสื่อแฟชั่นของแม่ผมร่วมกับ KTYC บริษัทเรือขนส่งสินค้าของพ่อพี่ตอง จัดแคมเปญพิเศษที่จะมอบทุนเรียนฟรีให้กับนิสิตชายหญิงอย่างละหนึ่งคนที่สามารถเข้าคัดเลือกจนเป็นผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยและได้รับคัดเลือกให้เป็นเซ็นเตอร์(ตำแหน่งกลาง) แถมยังได้เป็นแบรนด์แอมบัสเดอร์ของนิตสารในเครือตลอดหนึ่งซีซั่น ได้ทั้งทุนเรียนฟรีและเงินสดอีกก้อน “นี่ซินะเหตุผล”

“ค...ครับ”

“ศึกษามาดีเหมือนกันนิ”

“บ้านผมค่อนข้างฐานะไม่ดี แล้วผมเองก็ไม่ได้เรียนเก่งขนาดที่จะไปสอบชิงทุนได้ ก็เลยต้องพยายามศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับทุนที่ใช้ความสามารถด้านอื่นๆมาช่วยน่ะครับ”

“เปล่า พี่ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น พี่หมายถึงศึกษาเรื่องลีดมาดีนิ สำหรับคนที่ฝึกเอง พี่ขอชมว่าทำได้ดีมาก”

“อ๋อ ขอบคุณครับพี่ ว่าแต่มัน... ดีพอที่ผมจะได้รับตรา...”



“เจอแล้ว อยู่นี่เอง” การสนทนาถูกแทรกขึ้นมา พี่ตองนั่นเอง “แล้วนี่ใครเนีย”

“สวัสดีครับพี่ตอง ผมชื่ออะตอมครับ เป็นรุ่นน้องจากคณะวิทยาศาสตร์ครับ” โอ้โห พูดอย่างกับซ้อมมาเป็นอย่างดี

“แล้ว...?” พี่ตองหันหน้ามาถามผม

“ก็เป็นรุ่นน้องที่ชากำลังจะปั๊มตราลีดให้ไง” ผมตอบยิ้มๆ ส่วนไอ้น้องอะตอมอะเหรอ ยิ้มกว้างจนปากแทบฉีก

“งั้นเหรอ” พี่ตองเลิกคิ้วมอง “ถ้างั้นพี่มีอีกคนมาให้ชาปั๊มให้ด้วย ออกมาเร็ว”

“อ้าว น้อง...” ผมร้อง ก็ไอ้เด็กคนที่หลบอยู่หลังพี่ตองก็คือเด็กคนแรกที่ผมคิดจะประทับตราให้ แต่ก็ปฏิเสธเสียงแข็งไปแล้วนี่นา แถมยังพูดถึงขั้นว่าจะไปลาออกด้วยซ้ำ

“สวัสดีครับพี่” น้องแทนยกมือไหว้ผม ทำไมท่าทีดูเปลี่ยนไปจัง

“แล้ว... สรุปว่าน้องอยากเป็นผู้นำเชียร์แล้วเหรอ ไหนบอกว่าไม่อยากเสียเวลาเรียนไง” ผมถาม

“ก็กล่อมอยู่นานเหมือนกัน” พี่ตองเป็นคนตอบ “แต่พอบอกว่าปีที่แล้วมีพี่ลีดคนนึงที่เป็นถึงเด็กอัจฉริยะระดับประเทศ น้องมันก็เลยยอมกลับมา”

“ผมกลับมาเพราะเรื่องทุนเรียนฟรีต่างหากละพี่” ไอ้น้องแทนรีบแก้ต่าง แต่ก็มีท่าทีเขินๆ สรุปว่าเพราะเรื่องทุนหรือเพราะเรื่องของผมกันแน่นะ

“เอาเถอะ ไปขอตราประทับจากพี่น้ำชาไป” พี่ตองดันน้องให้มาหาผม

“เอาจริงดิ” ผมหันไปหาพี่ตอง พี่ตองแค่พยักหน้า “โอเค งั้นน้องอะตอมกับน้องแทนครับ รบกวนยื่นป้ายชื่อขึ้นมาให้พี่หน่อย”

ทั้งสองยื่นป้ายขึ้นมาตรงหน้าตัวเอง



เกร็ก  เกร็ก

เรียบร้อย

นึกว่าจะไม่ได้ประทับตราให้ใครซะแล้ว แต่พอมาก็มาทีเดียวสองคนเลย ค่อยรู้สึกมีคุณค่าหน่อย

“เจอกันที่คณะนะ” ผมบอก

“ครับ/ครับ” ทั้งคู่ตอบรับ

“งั้นก็กลับเข้าไปในโดมได้แล้ว เจ้าหน้าที่จะปล่อยให้พักเที่ยงแล้ว”

“ขอบคุณครับพี่น้ำชา ขอบคุณมากนะครับ” “ขอบคุณครับ” ทั้งสองจากไป



“ถามจริง ที่หายไปทำธุระมา ไปกล่อมไอ้น้องแทนนั่นมาใช่ไหม” ผมถามทันทีที่เหลือผมกับพี่ตองแค่สองคน

“ฉลาดเหมือนเดิมเลยนะแฟนพี่” ดูมันตอบ

“ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย น้องมันไม่อยากเป็น ถึงกล่อมมาวันนี้ได้ ก็ไปต่อยากอยู่ดี เรื่องแบบนี้มันต้องใช้แรงบันดาลใจเยอะนะ”

“เหมือนที่ชามีแรงบันดาลใจที่อยากอยู่ใกล้ๆ พี่อ่ะเหรอ”

“......” ไม่ต้องมาหยอดกูเลย

“ก็พี่เห็นว่าชาเสียความมั่นใจเพราะเด็กคนนั้นไง พี่ก็เลยไม่อยากให้แฟนพี่ผิดหวัง เดี๋ยวก็จะคิดมากว่าตัวเองทำให้เด็กคนนั้นต้องลาออกจากมหาลัยอีกอ่ะ พี่รู้นะว่าชาแคร์ความรู้สึกของคนรอบข้างมากแค่ไหน”

“ถ้าแค่นั้น ก็แค่กล่อมให้ไม่ต้องลาออกก็พอนี่นา ไม่เห็นจะต้องถึงขั้นให้ปั๊มตราให้เลย”

“อย่าลืมซิครับ พี่เองก็เป็นลีดมหาลัยเหมือนกันนะ เด็กคนนั้นอ่ะมีของ มีพรสวรรค์ แค่ยังไม่รู้ตัวเอง พี่รู้สึกได้ น้องเค้าแค่ต้องการคนสอนเก่งๆอย่างแฟนพี่เท่านั้นเอง”

“แหวะ ยังจะมาพูดอีก”

“พี่ชมแฟนตัวเอง ผิดตรงไหนครับ ว่าแต่ชาเถอะ น้องคนที่ชื่ออะตอมนั่น คิดดีแล้วเหรอที่ปั๊มตรายางให้”

“ก็ถ้าคนของพี่ตองมากับพรสวรรค์ คนของชาก็มากับพรแสวงเหมือนกัน” ผมตอบก่อนจะเดินออกไปจากตรงนั้น

“ไม่ใช่คนของพี่ซะหน่อย พี่แค่ช่วยกล่อมไม่ได้แปลว่าเป็นคนของพี่นะ ยังไงชาก็เป็นคนเจอเด็กคนนั้นก่อนไม่ใช่หรือไง....” แล้วพี่แกก็พยายามแก้ตัวไปเรื่อยๆ ก็ไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย ชอบทำเป็นเรื่องใหญ่ทุกทีเลยเวลาที่ผมพูดอะไรแนวนี้



กับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น สำหรับผมอ่ะ ก็แค่ปลื้มใจที่ได้ทำหน้าที่ของรุ่นพี่ผู้นำเชียร์ แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่า กับเด็กสองคนนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้......







........จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิต

ออฟไลน์ onlyplease

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
ต่ออออ ขอยาวๆๆๆ

ออฟไลน์ NunanNunan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :z1: :z1:  รอค่ะ คิดถึงพี่ตองน้องน้ำชา

ออฟไลน์ netich

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
มาต่อแล้ว   ชอบบบบบบบบบบ   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

พี่ตอง  น้ำชา   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 2 [อุทกภัย Part 1]
«ตอบ #7 เมื่อ09-08-2018 13:08:45 »

​ตอนที่ 2 : อุทกภัย









“มึงจะให้ดอกกุหลาบใครวะ” ไอ้ต้อมถามผม หลังจากที่กลุ่มผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมายืนรอน้องปีหนึ่งได้สักพัก พวกเขากำลังถูกปล่อยออกจากโดมรวมใจเพื่อไปที่คณะของตนเอง

“ก็ไม่รู้ดิ” ผมตอบ ผมไม่มีใครในหัวเลย “แล้วมึงอ่ะ”

“กูมีแล้ว”

“ใครวะ”

“เดี๋ยวมึงก็รู้... ว่าแต่พี่ตองของมึงไปไหนซะแล้วล่ะ”

“ไปคณะสังคมแล้ว พี่ตองต้องไปช่วยคัดตัวให้ลีดสังคม”

“อ้าว ไม่ได้ไปช่วยที่คณะมึงเหรอ”

“กูเสนอเองแหละ ไม่อยากให้เป็นข้อครหาว่าใช้พวกเดียวกัน”

“ผัวเออออตามเมียงี้เหรอ”

“ไอ้สัด” ผมยื่นมือไปกะจะตบเกรียนไอ้เวรต้อม แต่เดี๋ยวนี้มันเร็วขึ้นจริงๆ คว้ามือผมไว้ได้ทันตลอด “จากที่ดูวันนี้ก็พอจะเดาได้แล้วล่ะว่าเรื่องของกูกับพี่ตองคนรู้เยอะแค่ไหน ก็เลยคิดว่าไม่เอามาตัดสินร่วมกันดีกว่า พี่ตองก็เลยขอร้องให้พี่เก้อมาที่คณะวิทย์แทน แล้วของมึงอ่ะ ได้พี่ปีสามคนไหนไปช่วย”

“พี่แอมคณะมึงนั่นแหละ.... เฮ้ยๆ น้องมากันแล้ว”



มีเด็กปีหนึ่งมากมายเดินออกมาจากโดมรวมใจอย่างเป็นระเบียบ แต่ระเบียบนั้นก็พังทันทีที่เด็กๆ เดินผ่านกลุ่มของลีดมอ ทุกคนพยายามออกจากแถวและเดินเบียดมาใกล้กับพวกผม คงหวังจะได้ดอกกุหลาบจากพวกผู้นำเชียร์ละมั้ง

ผมรู้สึกเกร็งๆยังไงก็ไม่รู้ ไม่รู้จะยื่นให้ใครดี สายตาของน้องๆแต่ละคนนี่แทบจะกระโดดงับดอกกุหลาบเพียงดอกเดียวที่อยู่ในมือของผมอยู่แล้ว



“เห้ย โซนิค ทางนี้ๆ” เสียงไอ้ต้อมดังขึ้นมาอีกครั้ง มันกำลังทักทายเด็กหนุ่มปีหนึ่งตัวสูงคนหนึ่ง ก่อนจะยื่นดอกกุหลาบของมันให้เด็กคนนั้น

“อ้าวโซนิค มาเรียนที่นี่เหรอ” จู่ๆ น้ำขิง(ลูกพี่ลูกน้องของผม)ก็โผล่เข้ามาจากหลังไอ้ต้อมและทักทายเด็กคนนั้น รู้จักกันด้วยเหรอวะ

“พี่น้ำขิงหวัดดีครับ” เด็กหนุ่มคนนั้นตอบ เด็กคนนี้ตัวสูงกว่าไอ้ต้อมซะอีก แถมยังดูเหมือนพวกนักเล่นกล้ามหน่อยๆด้วย ป้ายสีม่วงก็แสดงว่าเป็นเด็กสังคมซินะ เอ๊ะ มีตราปั๊มลีดมอซะด้วย แต่ก็ไม่แปลกใจหรอก หน้าตาหล่อโดดเด่นซะขนาดนี้ น่าจะดูดีพอๆกับเด็กคนที่ชื่อแทนเลยแหละ

“เดี๋ยวๆ กูพี่มึงนะ ไม่คิดจะหวัดดีกูหน่อยเหรอ” ไอ้ต้อมเอ็ดขำๆ

“ก็หวัดดีไปแล้วไงพี่ ตอนที่พี่ปั๊มตราลีดให้ผมไง” อ๋อออออ ไอ้ต้อมปั๊มให้นี่เอง “แต่ผมเพิ่งเจอพี่น้ำขิง ก็ต้องหวัดดีดิพี่ พี่สะใภ้ของผมทั้งคนนะ”

เอิ่มมมมม กูจะอึ้งกับตรงจุดไหนดีล่ะ นิสัยพูดตรงนี่เหมือนไอ้ต้อมไม่มีผิด มันสองคนเป็นพี่น้องกันจริงหรือเปล่าหว่า

“นี่ๆ กูมีคนจะแนะนำให้รู้จัก” ไอ้ต้อมผายมือมาที่ผม “นี่เพื่อนสนิทกูชื่อช....”

ผมมองแรงไปที่ไอ้ต้อมทันที แนะนำกูดีๆนะมึง

“เอ่อ... ชื่อน้ำชา เป็นลูกพี่ลูกน้องกับน้ำขิง ไอ้ชา นี่ลูกพี่ลูกน้องของกู ชื่อโซนิค”

“หวัดดีคร...” โซนิคตกใจเล็กน้อยที่เห็นหน้าผม ก่อนจะสลับมองหน้าผมกับน้ำขิงไปมา “หน้าพี่สองคนเหมือนกันเลย”

“ใครๆก็พูดแบบนี้ทั้งนั้นแหละ” ผมตอบ ก่อนจะหันไปหาไอ้ต้อม “มึงไม่เห็นบอกว่ามึงมีลูกพี่ลูกน้องด้วย”

“อ้าว ทีมึงยังไม่บอกเลยว่ามึงมีลูกพี่ลูกน้อง แถมยังหน้าตาเหมือนกันด้วย” ไอ้ต้อมตอบกลับ

“แล้วกูจะไปเล่าให้มึงฟังทำไม มึงไม่ได้ถามนิ”

“มึงก็ไม่ได้ถามกูเหมือนกัน... ไอ้โซนิคมันเรียนอยู่ต่างจังหวัด แต่ก็ไปๆมาๆบ้านกูตลอด ก็เลยรู้จักน้ำขิง กูก็เพิ่งรู้ไม่นานนี่เองว่ามันมาเรียนที่นี่”

“เหรอ” ผมตอบ แล้วหันกลับไปหาญาติของมัน “ยินดีที่ได้รู้จักนะโซนิค มีปัญหาอะไรก็ปรึกษาพี่ได้นะ”

“ได้เหรอครับ” โซนิคร้องทันที

“ถ้าไม่ใช่เรื่องเงินอะนะ” ผมหัวเราะ

“งั้นผมขอ....”

“เห้ยๆ ไปก่อนๆ คนเริ่มเยอะแล้ว ไว้ค่อยคุยกันวันหลัง” ไอ้ต้อมไล่ญาติของมันเพราะการจราจรบริเวณนั้นเริ่มหนาแน่นแล้ว “เดี๋ยวกูโทรหานะ เร็วดิ รีบออกไป คนเยอะ”

“งั้นไว้เจอกันใหม่นะพี่” โซนิคโดนฝูงผู้คนดันออกไป



“เป็นไงลูกพี่ลูกน้องของกู” ไอ้ต้อมถามผม

“เป็นไงอะไรวะ?” ผมไม่เข้าใจ

“หล่อสู้กูได้ปะ มึงว่าปีนี้นามสกุลอาจแผ่นดินของกูจะคว้าตำแหน่งเดือนมหาลัยมาได้อีกไหมวะ”

“มึงคิดอะไรของมึงเนีย โห๊ะ” ผมส่ายหน้า ระหว่างนั้นก็เจอเด็กหนุ่มคุ้นหน้าเดินมาในความวุ่นวาย “ก็ไม่แน่นะ ถ้ามีเด็กคนนี้เป็นคู่แข่ง แทน แทน”

ผมเรียกแทนเด็กจากคณะของผม คนที่ผมเพิ่งจะประทับตราให้ไปเมื่อสายๆของวันนี้ และพยายามยื่นดอกกุหลาบให้

“เป็นไรอ่ะ อยู่ดีๆ ก็ไม่พอใจเราซะงั้น” อ้าว ไอ้น้องแทน ไม่คิดจะสนใจมองดอกกุหลาบที่กูยื่นให้เลยรึไง แล้วนั่นคุยอยู่กับใครวะ...? อ้อ น้องอะตอมนั่นเอง รู้จักกันแล้วเหรอ

“พี่น้ำชายื่นดอกกุหลาบให้น่ะ รับดิ” ไอ้น้องอะตอมเตือนเพื่อน แต่ดูสีหน้าไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ ก่อนจะเดินหน้ามุ่ยออกไป

“ข....ขอบคุณครับพี่” แทนรีบรับและวิ่งออกไป โดยที่ผมได้แค่อ้าปากค้าง ไม่ทันจะได้พูดอะไรเลย



“น้องคณะมึงเป็นไรมากเปล่าวะ” ไอ้ต้อมถามงงๆ “ทะเลาะกันตั้งแต่วันแรกเลยเหรอ แล้วนี่ดอกกุหลาบจากลีดมอเชียวนะ ทำอย่างกับรับน้ำตอนวิ่งมาราธอน”

“นั่นดิ” ผมเห็นด้วย

“เหมือนน้องคนนั้นจะไม่ค่อยพอใจที่ชายื่นดอกกุหลาบให้น้องอีกคนนะ” ขิงแทรกขึ้นมาอีกครั้ง “ขิงเห็นสายตาของน้องเค้าจ้องชามาแต่ไกลแล้ว”

หึ จริงดิ

หรือว่าจะจริงวะ ไอ้น้องอะตอมมันยิ่งมีความหลังเกี่ยวกับเรื่องผมอยู่ด้วย ถ้าเกิดว่าเป็นอย่างที่ขิงบอกจริงก็แสดงว่าผมทำให้น้องมันผิดหวังซินะ คือที่ผมเข้าใจความรู้สึกก็เพราะเมื่อปีที่แล้วผมเองก็จ้องดอกกุหลาบของพี่ตองเหมือนกัน

“มึง ไอ้ต้อม พากูไปซื้อดอกกุหลาบหน่อยดิ” ผมขอร้องไอ้ต้อม

“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ” ไอ้ต้อมเข้าใจทันทีว่าผมอยากได้ดอกกุหลาบไปให้น้องอะตอม

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวขิงไปเอาตรงฝั่งของพี่เชียร์ให้ ยังไม่หมดหรอก” ขิงอาสา

“ไม่ต้องหรอกขิง” ผมห้ามไว้ก่อน “ชาอยากได้ที่มันแตกต่างหน่อย”

“เอางั้นเหรอ”

“ใช่... ไปไอ้ต้อม หมดหน้าที่ของเราตรงนี้แล้ว พากูไปซื้อดอกกุหลาบหน่อย”

ผมกับไอ้ต้อมและขิงออกมานอกมหาลัยเพื่อหาซื้อดอกกุหลาบที่ร้านดอกไม้ใกล้ๆ ตอนแรกว่าจะซื้อเป็นช่อ แต่นั่นคงเว้อร์เกินไป เอาเป็นแค่ดอกกุหลาบสีขาวละกัน จะได้ดูแตกต่างหน่อย



“ฮัลโหล มึงอยู่ไหนอิชา” อิช้างนั่นเองที่โทรมาหาผม

“กำลังจะถึงคณะแล้ว” ผมตอบ “กูออกไปซื้อของนิดหน่อย”

“เออ รีบๆมานะมึง ใกล้ถึงคิวลีดคณะขึ้นเวทีแล้ว”

“โอเคๆ”



หลังจากวางสายไม่ถึงห้านาที ไอ้ต้อมก็ขับรถมาส่งผมที่คณะวิทยาศาสตร์ แล้วตัวมันเองก็ต้องตรงดิ่งไปที่คณะสถาปัตย์ของมัน

ผมรีบเดินเข้าไปยังโถงกลางของคณะซึ่งกำลังมีการแนะแนวจากเจ้าหน้าที่บนเวที บรรยากาศเหมือนกับปีที่แล้วเลย



เสี้ยววินาทีที่กำลังเดินอยู่นั้น หางตาก็ได้เห็นน้องอะตอมนั่งอยู่แถวริมสุดซึ่งผมเดินผ่านพอดี ดูเหมือนว่าไอ้น้องแทน(ไม่รู้อะไรดลจิตดลใจให้ผมใส่คำว่าไอ้กับเด็กคนนี้เหมือนกัน)จะยังพยายามคุยกับน้องอะตอมอยู่นะ ถึงแม้ว่าจะได้รับการห้อมล้อมจากคนรอบข้างที่สนใจในป้ายชื่อที่มีตราประทับก็ตาม



“อะตอม” ผมหยุดและเรียกน้องอะตอมทันที

“ค...ครับ” อะตอมเงยหน้ามามองผมอย่างงงๆ

“อะนี่ พี่ให้” ผมยื่นดอกกุหลาบสีขาวหนึ่งดอกในช่อตกแต่งเล็กๆ ให้



หึยยยยยยย

เกิดเสียงขึ้นทันที

อะไรวะ เด็กปีหนึ่งเป็นไรกัน

แล้วผมก็ได้คำตอบเมื่อเห็นว่าทุกคนมองมาที่ผม

เดี๋ยวๆๆๆ กูไม่ได้คิดอะไรกับน้องมันนะ แค่ให้เป็นน้ำใจเฉยๆ ชิบหายละกู รู้งี้แอบเอาไปให้ที่อื่นที่เป็นส่วนตัวกว่านี้ดีกว่า ไม่น่าเลยกู น่าจะฉุกคิดนิดนึง

“ขอบคุณมากครับพี่น้ำชา” แต่น้องอะตอมไม่มีเขินอายเลย รีบคว้ากุหลาบไปทันที “จริงๆ พี่ไม่ต้องให้ผมก็ได้นะครับ แค่ปั๊มตราลีดให้ก็ไม่รู้จะขอบคุณยังไงแล้ว”

“อ...เออ” ตอบไงดีวะกู “พี่เอามาปลอบใจเฉยๆ เพราะเดี๋ยวต่อไปถ้าน้องผ่านเข้าไปเป็นลีดคณะได้จริงๆ รับรองว่ามีเหนื่อยจนอยากลาออกแน่”

“ไม่หรอกครับ ผมจะอดทนครับ”



“คราวนี้ก็ได้เหมือนกันแล้วนะ” ไอ้น้องแทนแทรกขึ้นมา “หายเคืองเราแล้วใช่ไหม”

“อืม”

ไอ้สองคนนี้นี่มันอะไรกันวะ

“เอ่อ พี่ขอตัวแล้วนะ” ผมเอ่ย “ต้องขึ้นเวทีแล้ว”

“ครับ ขอบคุณอีกครั้งนะครับ”

แล้วผมก็เดินไปรวมกับเพื่อนลีดคณะที่ด้านข้างของเวที



“เนี่ยอะเหรอของที่มึงไปซื้อ” อิช้างเจสซี่ถามผมทันที มันยืนอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย

“เออ” ผมตอบ “กูก็ให้เป็นน้ำใจเฉยๆ”

“เดี๋ยวนี้นายแม่ของเรามีซื้อดอกไม้ให้ผู้ด้วยเนาะ” นี่คืออิเล็กครับที่กำลังเอ่ยแซ็วผม หนึ่งในสามแก็งนางฟ้า(เจสซี่ เล็ก วาวา)เพื่อนสนิทในเอกของผม “อะไรยังไงค่ะ แล้วเอาเจ้าชายตองไปไว้ไหน”

“พูดมากนะอิเล็ก” พวกมึงนี่มันปากมากจริงๆ “กูก็พูดอยู่นี่ไงว่าให้เป็นน้ำใจเฉยๆ ตอนนั้นกูมีแค่ดอกเดียวก็เลยให้ได้แค่คนเดียว”

“แล้วอีกคนที่ให้คือใครเหรอ” วาวา จำเป็นต้องอยากรู้อีกคนไหมเนี่ย

“ก็น้องคณะเรานี่หลัก ที่ชื่อแทนอ่ะ” ผมตอบผ่านๆ

“น้องแทนที่มีข่าวว่าจะเป็นสามีแห่งชาติคนใหม่อะเหรอ” วาวาร้อง สามีแห่งชาติอะไรวะ

“อ๋อ น้องสองคนที่มึงปั๊มตราลีดสีเงินให้อะนะ” เดี๋ยวๆ อิเล็กรู้เรื่องนี้ได้ไง

“มึงรู้ด้วยเหรอว่ากูปั๊มตราให้ใครบ้าง” ข่าวมันไวขนาดนี้เลยเหรอ

“รู้ซิค่ะ” อิเล็กตอบ ทำปากเหมือนเป็นเรื่องสำบัดสำคัญ “ปีนี้ตราประทับสีเงินของมึงเนียดังสุดเลยรู้ไหม ได้ยินมาว่าปั๊มให้เด็กปีหนึ่งแค่สองคนไม่ใช่เหรอ แถมเป็นเด็กคณะเราด้วย มาตรฐานสูงนะมึงอ่ะ”

“แน่นอน ผู้นำเชียร์ที่กูเป็นบัดดี้ให้ก็ต้องคัดเลือกแต่คนที่มีคุณภาพอยู่แล้ว” แหมอิช้าง มึงก็กล้าโอ้อวดเนาะ รู้อยู่เต็มอกว่าไม่ใช่แบบนั้นเลย



“อะไรกัน หาว่าเราคัดคนไม่มีคุณภาพมาเหรอ” นั่นไงอิช้าง โดนเกตุแขวะจนได้ ถึงจะแค่ขำๆก็เถอะ นี่คือเกตุเพื่อนลีดจากเอกชีวะวิทยา แถมยังเป็นถึงประธานลีดมหาลัยด้วย จริงๆตำแหน่งนี้เพื่อนๆโหวตให้ผม แต่ผมเชื่อในฝีมือของเกตุมากกว่าและที่สำคัญผมยังต้องมารับหน้าที่ประธานลีดของคณะอีก ก็เลยให้เกตุดำรงตำแหน่งประธานของผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยดีกว่า

“ว๊าย เปล่านะเกตุ เราแค่...” อ้าวๆ อิช้าง ดูซิจะแก้ตัวยังไง ตอนพูดละทำชูคอ

“ล้อเล่น” เกตุขำเล็กน้อย “แต่เกตุก็อยากรู้เหมือนกันว่าชาหายไปไหน ทำไมไม่เห็นอยู่ในโดมเลย”

“มีธุระนิดหน่อยน่ะ” ผมโกหก ไม่อยากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเท่าไหร่นัก “ส่วนปีหนึ่งสองคนนั้นที่ได้ตราปั๊มจากเราเพราะว่าเราเจอน้องอยู่นอกโดมพอดี”

“อ๋อ แบบนี้เอง” เกตุคลายสงสัย แต่เหมือนเธอยังมีบางอย่างอยากพูด

“มีอะไรหรือเปล่า” ถามไปเลยดีกว่า

“มีเรื่องพูดถึงชาแปลกๆอ่ะ” หึ!? “ไม่รู้ใครปล่อยข่าวว่าชาลำเอียง ไม่ยอมคัดเลือกลีดให้กับคณะอื่น คงจะคิดกันประมาณว่า ชาหวังไปถึงการแข่งสปีริดเชียร์อะไรอย่างนั้น ถ้าเกิดช่วยคัดคนของคณะอื่นก็จะเป็นการเพิ่มคู่แข่งให้กับคณะวิทย์”

“ใครมันบ้าคิดแบบนั้น” ผมแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน “เราจะตัดคู่แข่งทำไม สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะคณะไหน มันก็ต้องไปคัดลีดมออยู่ดีนั่นแหละ”

“เราก็เชื่อว่าชาไม่น่าจะเป็นคนแบบนั้น ยิ่งมาได้ฟังเหตุผลแล้วก็เลยเข้าใจว่าไม่ว่าง เราก็แค่มาเล่าให้ฟัง อย่าไปคิดมากเลย พี่ท๊อปเองไม่ยิ่งกว่าชาอีกเหรอ ปั๊มให้แค่ปีละคนเอง... เกตุว่าชามาสนใจเรื่องที่จะต้องพูดบนเวทีก่อนดีกว่า ประธานลีดต้องเป็นตัวแทนกล่าวต้อนรับนะ”

ก็เล่นพูดมาแบบนี้ ใครมันจะไม่คิดมากล่ะ โอ๊ะ ช่างแม่ง สนใจเรื่องตรงหน้าก่อนละกัน



“และคนกลุ่มต่ไปที่จะมากล่าวทักทายน้องๆ นะคะ ขอเสียงปรบมือต้อนรับพี่ๆ ผู้นำเชียร์คณะวิทยาศาสตร์ด้วยค่าาาาาาาาาาาาาา”



ก็มีเสียงกรี๊ดตามเคยนั่นแหละ



ผมและเพื่อนๆทั้งสิบสองคนขึ้นสู่เวทีอย่างเป็นระเบียบ ทุกคนยืนในตำแหน่งของตัวเองอย่างรู้งานโดยไม่ได้นัดแนะกันมากนัก ส่วนผมก็ถือไมโครโฟนยืนอยู่หน้าสุดของทุกคน



“สวัสดีน้องๆทุกคนนะครับ”

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

เอิ่มมมมม ใจเย็นไหมน้องๆ พี่ยังไม่ทันจะพูดอะไรเลย



“พี่ชื่อ.... (แนะนำว่าไงดีวะ).... น้ำชานะครับ”  เอ๊า! แล้วทำไมกูถึงเลือกที่จะเรียกแทนตัวเองแบบนี้วะ สงสัยจะเพี้ยนเพราะความตื่นเต้นที่ต้องมาพูดจริงๆจังๆต่อหน้าคนเยอะๆ “ตัวแทนของผู้นำเชียร์คณะวิทยาศาสตร์ของเรา”

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

กรี๊ดอีกแล้วเหรอ



“ก็...ขอกล่าวต้อนรับน้องๆปีหนึ่งคณะวิทยาศาสตร์ทุกคนนะครับ” รีบพูดๆ เดี๋ยวแม่งกรี๊ดกันขึ้นมาอีก “สำหรับปีการศึกษาที่กำลังจะเริ่มขึ้นในวันจันทร์หน้า พี่ก็ขออวยพรให้ทุกคนเริ่มต้นชีวิตในฐานะนิสิตมหาวิทยาลัยมัณฑนาอย่างสวยงามนะครับ... และสำหรับหน้าที่ของพี่ในวันนี้ก็คือการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับกิจกรรมห้องเชียร์ของคณะเรานะครับ สองเดือนหลังเปิดปีการศึกษา น้องๆทุกคนจะต้องเข้าร่วมกิจกรรมห้องเชียร์เพื่อซ้อมและเตรียมตัวสู่การแข่งขันเชียร์กีฬาในงาน Spirit Cheer และอีกหนึ่งเดือนหลังจากนั้นสำหรับการแสดงเชียร์กีฬาประจำมหาวิทยาลัยของเราในงาน Power Cheer” มีเสียงฮือฮาขึ้นเล็กน้อย เหมือนสมัยผมอยู่ปีหนึ่งเลย “และนั่นคือกิจกรรมหลักของเราที่จะคู่ขนานไปกับการเรียนตลอดสามเดือนนี้นะครับ พี่ก็คงจะขอฝากน้องๆทุกคนตั้งใจทั้งเรียนและทำกิจกรรมอย่างเต็มที่นะครับ เพราะทุกๆอย่างมีผลต่อการจบการศึกษาทั้งสิ้น... ต่อไปเป็นอีกเรื่องนะครับที่พี่จะประชาสัมพันธ์ ในกลุ่มของน้องๆที่กำลังนั่งอยู่ในขณะนี้ จะมีบางคนนะครับที่ได้รับการประทับตราผู้นำเชียร์บนป้ายชื่อ รบกวนน้องที่ได้รับการประทับตราในที่นี้ทั้งหมดลุกขึ้นด้วยครับ”

ไม่นานหลังจากที่ผมพูดร้องขอก็มีน้องๆทยอยลุกขึ้น

เอาจริงๆนะ ตอนที่ผมอยู่ปีหนึ่ง ผมยังสงสัยอยู่เลยว่าทำไมต้องให้ลุกขึ้นโชว์ตัวด้วย ก็เพิ่งรู้ว่ามันคือกุศโลบายในการลดความตื่นเต้นของน้องๆที่ผ่านเข้ารอบ เป็นการให้เผชิญเรื่องตื่นเต้นตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะหลังจากนี้จะต้องพบกับการแสดงความสามารถที่ตื่นเต้นยิ่งกว่านี้ ดังนั้นหากลดความตื่นเต้นลงได้ก็จะทำให้น้องๆ สามารถศักยภาพทได้อย่างเต็มที่มากขึ้น



“หลังจากนี้ น้องๆที่ได้รับตราประทับคงจะพอรู้แล้วนะครับว่าจะต้องมีการคัดตัวต่อ หลังจากเลิกกิจกรรมตรงนี้ก็อยู่ด้วยกันก่อนนะครับ ขอบคุณน้องๆทุกคนครับ”



โอเค เสร็จภารกิจตรงนี้สักที ต่อไปก็ขึ้นไปเตรียมตัวในรอบตัดตัวที่ชั้นบนซินะ



“อิชา เมิงงงงง” อิเจสซี่เดินลากเสียงเข้ามาหาผมที่ขึ้นมายังห้องสัมภาษณ์แล้ว

“ว่า”

“พรุ่งนี้ตอนบ่ายมีงานแฟชั่นโชว์ที่ห้องเสื้อ AXA นะ เขานัดสิบโมงเช้า จะให้กูเรียกแท็กซี่ไปรับหรือมึงจะไปเอง”

“อ๋อ ไม่ลืมหรอก งั้นมึงโทรหาพี่ซีซี่ให้หน่อย ถามว่าพรุ่งนี้ช่วงเช้าพี่ตองว่างไหม ถ้าว่าง...”

“โอเค เข้าใจแล้ว ถ้าว่างก็คือจะให้พี่ตองไปส่งใช่ไหม แต่ถ้าไม่ว่างก็ให้กูเรียกแท็กซี่ไปรับมึงที่คอนโด”

“เออ ตามนั้น”

“ได้ เดี๋ยวกูจัดให้”

เคยคิดขำๆเหมือนกันนะว่า ไอ้ตำแหน่งบัดดี้เนีย ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ แต่หลังจากปีที่แล้วที่ได้มาเป็นสิบสองคนสุดท้ายของผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยจริงๆ งานไม่เคยว่างมือเลย ทั้งงานถ่ายแบบ เดินแบบ ถ่ายโฆษณา ยิ่งไอ้ต้อมหรือเกตุที่ถูกจ้างไปร่วมแสดงซีรีย์เป็นครั้งคราว บอกตามตรงว่าจัดการแทบไม่ทัน ผมก็พยายามรับงานน้อยๆแล้วนะ เพราะมีงานวิจารณ์ผลงานวิจัยที่ทำมาตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่บางงานมันก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ เพราะเขาเป็นผู้สนับสนุนที่เหนี่ยวแน่นยาวนานของมหาวิทลัยนี้ ขืนปฏิเสธงานเยอะๆ ได้โดนเจ๊ชมพู่นายใหญ่แห่งตึกลีดมหาลัยฆ่าปาดคอแน่



ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ไอ้สุ่ยก็นำปีหนึ่งที่ได้รับตราประทับขึ้นมายังห้องสัมภาษณ์

ผม ไอ้สุ่ย และเกตุ รับหน้าที่เป็นกรรมการคัดเลือกประจำคณะ แล้วก็ได้มายด์เพื่อนลีดมหาลัยจากคณะสถาปัตย์กับพี่เก้อตัวแทนลีดมอปีสามมาร่วมคัดเลือกด้วย

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 2 [อุทกภัย Part 2]
«ตอบ #8 เมื่อ09-08-2018 13:10:09 »

(ต่อ Part 2)




“พอพี่เรียกชื่อก็ขึ้นไปบนเวทีแล้วก็แนะนำชื่อ นามสกุล แล้วก็ภาควิชาเลยนะครับ” ไอ้สุ่ยแนะนำเบื้องต้นให้ปีหนึ่งฟัง “เริ่มที่ใครก่อนดี”

“ได้ข่าวว่าปีนี้ตราประทับสีเงินมาแรง งั้นพี่ขอเสนอให้เริ่มจากคนที่ได้ตราสีเงินก่อนก็แล้วกัน” เวรกรรมมมมม ขนาดลีดปีสามอย่างพี่เก้อยังได้ยินข่าวเรื่องนี้เหรอเนีย ข่าวสมัยนี้มันแพร่เร็วยิ่งกว่าไข้หวัดอีกเนาะ

“โอเค ได้เลยพี่” ไอ้สุ่ยรับ แล้วหันไปหาน้องปีหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านหลัง “น้องสองคนได้ตราประทับสีเงินใช่ไหม ใครจะขึ้นก่อนดี”

ผมหันไปมอง เห็นน้องอะตอมกับไอ้น้องแทนเลิกคิ้วใส่กัน ในสายตานั้นช่างเต็มไปด้วยคำพูดมากมายแม้จะไม่ได้ออกเสียง ถ้ามีเสียงออกมา ก็คงจะ ‘มึงดิ’ ‘มึงนั่นแหละไปก่อน’



“ผมก่อนก็ได้ครับ” ไอ้น้องแทนคือคนที่ยอมอาสาก่อน จะเรียกว่าเสียสละหรือยอมแพ้ดีล่ะ

“โอเค เราได้พี่น้ำชาสองแล้ว” ไอ้สุ่ยหันมาแซ็วผม “พี่น้ำชาก็เป็นคนแรกของปีที่แล้ว เอ็งอ่ะเหมาะแล้วในฐานะที่ได้ตราประทับจากพี่เค้า”



“ขอโทษครับ” จู่ๆก็มีคนแทรกขึ้นมา หึ น้องอะตอมเองหรอกเหรอ “ผมขอขึ้นก่อนได้ไหมครับ”

เชรดดดดดดดดดด

“เอาจริงเหรอ” ไอ้สุ่ยถามย้ำ

“จริงครับ” น้องอะตอมยืนยัน

“แล้วเอ็งอ่ะ เอ่อ... แทน เพื่อนจะขอขึ้นก่อนได้ไหม”

“ได้ครับ” ไอ้น้องแทนเกาหัวนิดหน่อย ประมาณว่างงๆ น้องมันคงอยากถามน้องอะตอมว่า สรุปว่าอยากขึ้นก่อนหรือขึ้นหลังกันแน่

“เชิญเลยน้อง...อะตอม”



แฟ้มประวัติของน้องอะตอมถูกแจกจ่ายให้กรรมการทั้งห้าในขณะที่น้องกำลังเดินขึ้นเวที



“สวัสดีครับ” น้องอะตอมเริ่มทักทาย “ผมชื่ออะตอมครับ ธราธิป ไอราพิทักษ์ อยู่ภาควิชาชีววิทยาครับ”

“น้องอะตอมเคยเปลี่ยนชื่อมาก่อนเหรอ” เกตุเป็นคนเริ่มถาม “พี่เห็นมีใบเปลี่ยนชื่อในแฟ้มประวัติด้วย ขอถามได้ไหมว่าเปลี่ยนทำไม เกี่ยวกับเรื่องดวงหรือความมั่นใจอะไรทำนองนี้หรือเปล่า”

“ไม่ใช่ครับ ผมยังใช้ชื่อเดิม แต่เปลี่ยนนามสกุลครับ แต่ก่อนผมใช้นามสกุลของ.... แม่ แต่ปัจจุบันใช้นามสกุลพ่อครับ”

ผมคิดไปเองหรือเปล่าว่าน้องไม่ค่อยอยากพูดถึงเรื่องนี้

“แล้ววันนี้จะมาแสดงความสามารถอะไรครับ” ผมจึงเปลี่ยนเรื่อง

“ผมจะมาเต้นโชว์ครับ ผมขอใช้มือถือได้ไหมครับ”

“ได้ครับ”

รั้วสีทองส่องแสงในล้า ศาสตร์มัณฑนา นำปัญญา พาข้าฯ สู่หมาย.......



นั่นไง กูว่าแล้วเชียว ซื้อหวยทำไมไม่ถูกนะ น้องคนนี้ศึกษาเรื่องของผมมาเยอะจริงๆด้วย ถ้าถึงขั้นใช้ความสามารถแบบเดียวกับผมในรอบสัมภาษณ์แบบนี้ แสดงว่าคงรู้อีกหลายเรื่องเกี่ยวกับตัวผมแน่ๆ

เย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้

มีเสียงปรบมือให้กำลังใจจากคนในห้องเมื่อการเต้นจบลง



“พี่ว่าพี่รู้แล้วว่าใครที่เหมาะจะมาเป็นพี่น้ำชาสอง” ไอ้สุ่ยทั้งพูดทั้งยิ้ม “น้องอะตอมนี่แหละ รู้ไหมว่าคนที่ใช้ท่าเต้นมาตรฐานเพลงมาร์ชมอปีที่แล้วก็คือพี่น้ำชาเหมือนกัน ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเห็นอีกในปีนี้”

“มันก็โอเคนะ” เกตุกลับมาพูดอีกครั้ง “แต่พี่ยังไม่รู้สึกว้าวเท่าไหร่ อืมมม อาจจะเป็นเพราะพี่เคยเห็นแบบนี้มาเมื่อปีที่แล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ ว่าแต่... น้องพอจะมีความสามารถอื่นๆที่จะนำเสนออีกไหมอะคะ”

“พี่เห็นด้วยกับพี่เกตุนะ” มายด์สนับสนุน “พี่ก็รู้สึกไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่เหมือนกัน พอดีว่าคณะสถาปัตย์สัมภาษณ์จบไปก่อนหน้านี้แล้ว แล้วก็มีแต่คนเอาเพลงมาร์ชมาโชว์ทั้งนั้นเลย ตอนแรกก็สงสัยอยู่ว่าไอเดียนี้มันมาจากไหน ที่แท้ก็มาจากน้ำชานี่เอง”

ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าปีนี้จะมีคนสิ่งที่กูเคยทำไปเลียนแบบเยอะขนาดนั้น นี่เรื่องของกูคือรู้กันทั้งมหาลัยแล้วใช่ไหมเนี่ย

“ว่าไงครับอะตอม มีความสามารถอย่างอื่นอีกไหม” ไอ้สุ่ยถามย้ำ

“เอ่อ....” เห็นได้ชัดเลยว่าน้องอะตอมไม่มีแผนสำรอง “ผมทำตาเหล่ได้ครับ”

ห๊ะ!!

ไม่ทันจะพูดพร่ำทำเพลง น้องมันก็จัดโชว์ตาเหล่มาให้พวกผมดูเลย

เวรกรรม

ทั้งขำ ทั้งอายแทนน้องมัน ตาเหล่นี่มันเป็นความสามารถพิเศษต้องไหนวะ ใครๆก็ทำได้หรือเปล่า น้องมันก็ทำแล้วดูน่ารักดีนะ เพียงแต่มันน่าตลกมากกว่านี่ซิ

แล้วก็มีเสียงหัวเราะขึ้นมาทั้งห้องอย่างที่คาดไว้จริงๆ วินาทีต่อมาคนบนเวทีก็หน้าเจือนขึ้นมาทันที เป็นกูกูก็เสียเซลฟ์วะ โดนคนหัวเราะใส่ทั้งห้องแบบนี้

อ้าว เห้ยๆๆๆๆๆ นั่นคือตาแดงเหรอ อยากบอกนะว่าจะร้องไห้



“เอ่อ....” ต้องรีบแก้สถานการณ์ก่อน “น้องคิดว่าตอนนี้ตัวเองสามารถยืนการ์ดได้มากที่สุดเท่าไหร่ครับ”

“ยืนการ์ดเหรอ?” พี่เก้อหันมาถามผมทันที “ทำไมถึงถามน้องแบบนั้นล่ะ น้องยังไม่เคยฝึกการเป็นลีดเลย จะรู้จักวิธียืนการ์ดได้ยังไง”

ผมกำลังรอคำถามนี้อยู่เลย

“ผมว่าน้องน่าจะรู้นะครับพี่เก้อ” จริงๆก็เดาเอานั่นแหละ แต่ผมเชื่อในการมีเหตุผลของตัวเองและคิดว่าน่าจะทายไม่ผิดนะ “คือน้องคนนี้อะครับ ผมไปเจอน้องเขาแอบเต้นเพลงมาร์ชมอของเราที่หลังโดมรวมใจ ตอนนั้นน้องเต้นต่อเนื่องไม่หยุดเป็นสิบๆรอบเลย คนที่สามารถเต้นท่ามาตรฐานของเพลงมาร์ชติดต่อกันได้เป็นสิบๆรอบแบบนั้น ผมว่าน้องเค้าน่าจะฝึกฝนร่างกายมาเป็นอย่างดี การยืนการ์ดก็น่าจะเคยทำมาก่อน”

“น้องทำอย่างนั้นจริงๆเหรอ” พี่เก้อดูจะประหลาดใจมาก "ไปเต้นอยู่หลังโดมคนเดียวอะนะ"

“ก็....ครับ” น้องอะตอมตอบเขินๆ ดีแล้ว ดีกว่าให้มายืนร้องไห้โชว์

“แล้วรู้จักการยืนการ์ดหรือเปล่า”

“ก็พอทราบครับ”

“ไหนยืนการ์ดให้พี่ดูสักสิบหน่อยดิ”

“หนึ่งครับพี่เก้อ สองครับพี่เก้อ....” ว้าวววว ขนาดเป็นคนเดาว่าน้องมันทำได้อยู่แล้ว แต่ผมก็ยังรู้สึกทึ้งเลยที่น้องทำได้จริงๆ ทั้งสีหน้า ท่ายืน ความแข็งแรงของมือและท่อนแขน ความจริงจังในการเตรียมตัวนี้ ไม่ธรรมดาเลย “...เก้าครับพี่เก้อ สิบครับพี่เก้อ”

“โอ้โห ทำได้จริงด้วย” พี่เก้อยังทึ้งไม่หาย “เอามือลงได้... แล้วคิดว่าตัวเองทำได้เยอะแค่ไหน”

“ยืนการ์ดอะเหรอครับ  เอ่อ... ผมเคยทำสถิติสูงสุดไว้ที่หกร้อยห้าสิบครับ” น้องตอบซะการเตรียมตัวของพี่เมื่อปีที่แล้วกระจอกไปเลย “แต่ถ้าอดทนจริงๆ ก็น่าจะได้ประมาณแปดร้อยครับ”

“แปดร้อย! แล้วถ้าพี่สั่งแปดร้อยตอนนี้ล่ะ คิดว่าทำได้ไหม” เห้ย!! เอาจริงเหรอพี่เก้อ

“ก็ไม่แน่ใจครับ แต่.... ผมสามารถพยายามได้”

“อืมมมมมมม” พี่เก้อพยักหน้าเหมือนว่าพอใจในคำตอบ “โอเค พี่พอแล้ว มีใครอยากดูอะไรจากน้องอีกไหม”

ผมและพวกที่เหลือส่ายหน้า

“งั้นมาตัดสินกันดีกว่านะ” ไอ้สุ่ยเปิดในที่สุด “เชิญพี่เก้อก่อนเลยครับ”

“ผ่านครับ” พี่เก้อตอบโดยไม่ลังเล

“ก็....” มายด์คิดนิดหน่อย “ผ่านค่ะ พี่เห็นแล้วว่าน้องพยายามมากจริงๆ ดูก็รู้ว่าเตรียมตัวมาดี คณะวิทย์ท่าทางจะได้ลีดสายแข็งนะปีนี้”

“น้องทำให้พี่นึกถึงใครรู้ไหม” คราวนี้เป็นเกตุบ้าง “น้องทำให้พี่นึกถึงพี่น้ำชา คนที่เต็มไปด้วยความพยายามจนน่าชื่นชม พี่ให้ผ่านค่ะ”

โอ๊ยเกตุ พูดซะเราเขินไปด้วยเลย ส่วนน้องอะตอมอะเหรอ เหลือแต่กระโดดดีใจเท่านั้นแหละที่ยังไม่ได้ทำ

“น้องผ่านแล้วนะครับ” ไอ้สุ่ยสรุปให้ “ถ้าได้สามผ่านขึ้นไปก็ถือว่าผ่านทันที แต่ถ้าให้พี่ตัดสินด้วยอีก พี่ก็ให้ผ่านเหมือนกันครับ... ว่าแต่เจ้าของตราประทับเถอะ ถ้ายังตัดสินได้ จะให้ผลน้องว่ายังไง”

“ไม่ต้องถามก็ได้” ผมตอบโดยที่ยังยิ้มให้น้องและแอบภูมิใจในตัวเองเล็กๆ เลือกคนมาไม่ผิดเลย “น้องผ่านตั้งแต่ที่พี่ประทับตราให้แล้ว”

“ขอบคุณมากครับพี่น้ำชา” น้องอะตอมยิ้มกว้าง

“ขอบคุณพี่ๆคนอื่นๆด้วย” น้องยกมือไหว้ขอบคุณตามที่ผมแนะนำ “แต่พี่มีเรื่องนึงอยากจะบอกน้องนะ ด้วยความที่เราได้มีโอกาสคุยกันมาก่อน พี่ถึงได้รู้ว่าน้องอาจจะกำลังมีตัวพี่เป็นแบบอย่างอยู่ พี่ไม่ได้จะห้ามหรือจะตั้งตัวเป็นไอดอล แต่ว่าหลังจากนี้ พี่อยากให้น้องเป็นตัวของตัวเอง มีแนวทางเป็นของตัวเองดีกว่านะครับ และที่สำคัญเลย น้องมีหน่วยก้าน รูปร่างหน้าตาที่ดีนะ ดีกว่าพี่เยอะ มั่นใจในตัวเองเข้าไว้ แล้วก็ขอให้ทำความฝันที่อยากมายืนในตำแหน่งเซ็นเตอร์ให้สำเร็จนะ ตำแหน่งของพี่รอต้อนรับทั้งน้องและทุกๆคนอยู่ วันนี้ทำได้ดีมากครับ”

ทุกคนปรบมือ

“พูดซะกูซึ้งไปด้วยเลย” ไอ้สุ่ยแอบพูดกับผมในขณะที่น้องอะตอมเดินยิ้มกว้างลงจากเวที “ตราประทับสีเงินอีกคนเชิญขึ้นเวทีได้เลยครับ”

ไอ้น้องแทนเดินขึ้นไปบนเวทีทันที การปรากฏตัวของเด็กคนนี้สร้างความฮือฮาให้กับทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องหลายคน ต้องยอมรับจริงๆว่าเขามีหน้าตาที่โดดเด่นมากจริงๆ สาวๆในห้องหลายๆคนถึงขั้นเสียอาการ ม้วนบิดเป็นการใหญ่ นี่ซินะเสน่ห์ที่กูไม่มี

“แนะนำตัวเลย” ไอ้สุ่ยบอก

“รับ” น้องมันตอบแบบสะดุ้งๆ ดูท่าว่าจะตื่นเต้นนะ “ผมชื่อนายอวกาศ คล้ายจันทร ชื่อเล่นชื่อแทน อยู่ภาควิชาธรณีวิทยาครับ....” แล้วก็เงียบอีกครั้ง

ผมเปิดแฟ้มมาดู แล้วเห็นบางอย่างในใบผลการเรียนที่ทำให้เกิดความสนใจ

“น้องจบมัธยมมาจากญี่ปุ่นเหรอครับ?” ผมถาม

“ใช่ครับ”

“ไหนลองแนะนำตัวเป็นภาษาญี่ปุ่นหน่อยได้ไหม”

“ได้ครับ.... こんにちは わたしのなまえは  TAN です どうぞ よろしく おねがいします”

ว้าวววววววววววว

แหม อุทานกันทั้งห้องเชียว ยิ่งอิพวกแก๊งนางฟ้าเพื่อนผมนี่แทบจะคลั่งกันเลยทีเดียว

“แล้วทำไมถึงไม่เรียนที่ญี่ปุ่นต่อละครับ” ผมกลับมาถามอีกครั้ง “ทำไมถึงกลับมาที่ไทย”

“ผมได้ทุนถึงแค่มอปลายครับ” ไอ้น้องอธิบายเหตุผล

“ไม่มีทุนต่อแล้วเหรอ... คือพี่ถามเพราะพี่อยากรู้เฉยๆ ไม่ได้จะขับไล่ไสส่งน้องไปไหนนะ เพราะเท่าที่ดูจากผลการเรียนก็ดูเหมือนว่าจะเป็นประเภทเด็กเรียนดีนี่นา เรื่องขอทุนต่อคงไม่ยาก”

“ก็พอมีครับ แต่ผมอยากกลับมาเรียนที่ไทยมากกว่า มันมีเหตุผลบางอย่าง”

อืมมมมมม แปลว่ากูถามไม่ควรถามต่อซินะ

ตั้งแต่สัมภาษณ์กันมา ถ้าไม่นับรวมเมื่อเช้าที่มีเรื่องกันนิดหน่อย เด็กคนนี้ดูโตกว่าวัยมาก ไม่ใช่หน้าแก่นะ แต่มีบุคลิกของคนคูลๆ เท่แบบฉลาด แถมยังสูงโดดเด่นพร้อมกับออร่าบางอย่างที่ไม่ใช่ว่าใครๆจะมีได้

“แล้ววันนี้จะมาโชว์ความสามารถอะไรคะ” เกตุคือคนถามคำถามถัดไป

“ผมไม่มีความสามารถพิเศษอะไรทำนองนี้เลยครับ” อ้าว ตอบซื่อๆอย่างงี้เลยเหรอ “ผมอยู่ญี่ปุ่นหลายปีก็เลยไม่รู้ว่าที่มหาลัยนี้ให้ความสำคัญกับเชียร์ลีดเดอร์ ผมไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาเลยครับ รู้แต่ว่าตราประทับคืออะไรเพราะมีพี่คนนึงบอกตอนจะเข้าแนะแนวเมื่อเช้า ส่วนอื่นๆก็ไม่รู้มาก่อนเลยครับ”

“ไม่มีอะไรโชว์สักนิดเลยเหรอ” พี่เก้อถามบ้าง “เอาจริงๆ พี่ว่าบุคลิกของน้องดีมากนะ พูดจาก็ฉะฉาน เป็นเดือนมหาลัยได้สบายเลย”

“ก็มีพูดภาษาญี่ปุ่นนี่แหละครับ ยกเว้นซะแต่ว่าพี่ๆอยากฟังความรู้เกี่ยวกับธรณีวิทยา”

“พี่อยากฟัง” ผมตอบทันที ไม่รู้ซิ พี่ตองบอกว่าเด็กคนนี้มีของบางอย่าง ถ้าให้เขาได้แสดงความเป็นตัวเองเยอะๆอาจจะได้เห็นอะไรก็ได้ “เล่าอะไรง่ายๆให้พี่ฟังสักเรื่องนึงหน่อยได้ไหม เกี่ยวกับวิชาธรณีนั่นแหละ”

“ได้ครับ... ผมขอเดินไปหาพวกพี่ด้านล่างได้ไหมครับ”

“เชิญเลย”

น้องมันเดินมาจริงๆ พร้อมกับหยิบแท็บเล็ตอันใหญ่ของตัวเองออกมาจากกระเป๋า แล้วเปิดภาพเคลื่อนไหวบางอย่างขึ้นมาให้พวกผมดู

“ผมขอเล่าเกี่ยวกับปรากฏการณ์การเกิดอุทกภัยนะครับ” นั่นคือการเกริ่น “พวกพี่ๆเคยได้ยินกันใช่ไหมครับว่าการตัดไม้ทำลายป่ามีส่วนทำให้เกิดน้ำท่วมและน้ำป่าไหลหลาก แต่นั่นไม่ใช่แค่สาเหตุเดียวครับ ยังมีสามารถเหตุที่หลายๆคนยังไม่รู้ ดูนี่นะครับ นี่คือชั้นดินทั่วๆไปของโลกเรานะครับ พี่จะสังเกตเห็นว่าดินโดยปกติจะเต็มไปด้วยช่องว่างของอากาศ มีความร่วนอยู่ภายใน ซึ่งภาษาทางการเราเรียนว่ารูพรุนในเนื้อดิน รูพรุนพวกนี้จะมีส่วนสำคัญอย่างมากนะครับ เวลาทีเกิดน้ำท่วมขึ้น เพราะมันจะเป็นช่องทางระบายให้น้ำไม่ขังอยู่บนผิวดิน เปรียบเทียบง่ายๆก็เหมือนกับว่าเรามีช่องระบายน้ำอยู่ในห้องน้ำเยอะๆ น้ำในห้องน้ำก็จะแห้งเร็ว แต่พี่ดูในภาพต่อไปนะครับ นี่คือสภาพพื้นดินของบริเวณที่อยู่อาศัยครับ เพราะการปลูกสร้างบ้านเรือน อาคาร หรือถนน เราจะต้องมีการบีบอัดและเพิ่มชั้นดินให้แน่นเพื่อให้สามารถรักษาโครงสร้างของสิ่งปลูกสร้างไว้ได้ใช่ไหมครับ ผลที่ตามมาก็คือ ช่องอากาศในดินหายไป นั่นก็หมายถึงช่องทางระบายน้ำหายไปด้วย แล้วพี่ลองนึกถึงเมืองที่หนาแน่นไปด้วยสิ่งปลูกสร้างซิครับ เพราะไม่ว่าหันไปทางไหนก็มีแต่บ้าน ตึก ถนน เสาสูง พื้นดินที่จะเป็นตัวช่วยในการระบายน้ำลงสู่ชั้นดินเบื้องล่างก็หายไปด้วย เวลาฝนตกลงมาหนักๆ น้ำก็เลยท่วมได้ง่ายเพราะระบบระบายน้ำทำไม่ทัน แล้วทุกวันนี้พื้นที่ดินร่วนก็เริ่มหายไป เพราะความต้องการสร้างสิ่งปลูกสร้างขยายออกไปเรื่อยๆ

คือ..... ผมสารภาพก็ได้ครับว่าผมกลับมาที่ไทยเพราะผมอยากสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับคนไทยเกี่ยวกับธรณีวิทยา และศึกษาด้านธรณีวิทยาของประเทศไทย" น้องมันหยุดพูดแล้วหายใจเข้าลึกๆ ประหนึ่งว่ากำลังทำใจที่จะพูดเรื่องสำคัญบางอย่าง "สมัยผมแปดขวบ ผมต้องเห็นพ่อตัวเองตายต่อหน้าต่อตาเพราะภัยธรรมชาติที่ได้รับการกระตุ้นจากฝีมือมนุษย์ ผมไม่โทษใครหรอกครับ ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่ถ้าคนเรามีความรู้มากพอ มันก็น่าจะหลีกเลี่ยงได้ สาเหตุที่ผมต้องดั้นด้นไปเรียนที่ญี่ปุ่นก็เพราะอยากศึกษาเกี่ยวกับแผ่นดินไหวที่นั่น ผมศึกษาทุกอย่างที่ทำได้ เพราะมันอาจจะสามารถส่งต่อความรู้ไปยังหลายๆคน จะได้ไม่มีใครเจอเรื่องน่าเศร้าอย่างผม แต่ผมลืมไปว่า เสียงของคนธรรมดาคนหนึ่งไม่มีทางดังมากพอ จนกระทั่งเมื่อเช้า มีพี่ ก.น.ช.คนหนึ่ง(พี่ตองซินะ)แนะนำผมว่า ถ้าผมอยากมีเสียงที่ดังขึ้น ผมก็ต้องทำให้ตัวเองมีชื่อเสียงมากพอ เพื่อให้ทุกๆคนหันมาฟังเสียงของผม ผมก็เลยตัดสินใจเข้ารับการคัดตัวเป็นเชียร์ลีดเดอร์ด้วย เพราะใครๆก็บอกว่าการเป็นเชียร์ลีดเดอร์ของที่นี่เป็นก้าวแรกของการเป็นคนมีชื่อเสียง และที่สำคัญผมก็อยากได้เงินสักก้อนนึงเพื่อไปปรับปรุงสถานที่ๆมันเคยพรากชีวิตพ่อของผมไป ทุกวันนี้ที่ตรงนั้นยังไม่มีใครแก้ไขมันเลย เพราะได้ยินว่าถ้าเป็นที่หนึ่งของรุ่นก็จะได้รับทุนและเงินจำนวนหนึ่ง

ที่ผมเล่ามาทั้งหมด ผมแค่อยากจะขอโอกาสจากพวกพี่ทุกคน ผมอาจจะยังไม่มีอะไรเลยในตอนนี้มาโชว์ให้พวกพี่ได้ดู แต่ผมก็มีความมุ่งมั่นตั้งใจไม่แพ้ใคร ถ้าได้โอกาสผมจะทำอย่างเต็มที่ เพราะงั้น ช่วยพิจารณาผมด้วยนะครับ”

O           M           G



เรื่องเล่ายาวเหยียดนี้ทำให้ความหมายของจุดประสงค์การเป็นผู้นำเชียร์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง บางคนอยากเป็นผู้นำเชียร์ของที่นี่เพราะชื่อเสียง เงินทอง การยอมรับในสังคม หรือในกรณีของผมเพื่อตามมาอยู่ใกล้ชิดกับคนๆหนึ่ง แต่สาเหตุที่ผมเพิ่งจะได้ฟังมานี้ มันยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยคุณค่าจริงๆ



“เอ่อ....” ไอ้สุ่ยยังอ้าปากค้างจากสิ่งที่ได้ฟัง ผมว่าทุกคนก็อาการเดียวกันนั่นแหละ ในขณะที่ไอ้น้องแทนยังคงโค้งตัวลงเหมือนการคาราวะของคนญี่ปุ่น “เงยหน้าได้แล้วน้อง เชิญบนเวทีเลยครับ”

น้องทำตามนั้น

ผมพยายามเรียกสติตัวเองกลับคืนมา รู้สึกยังตกอยู่ในห้วงอารมณ์ความจริงจังของน้องมันอยู่เลย

“ต...ตัดสินกันเลยดีไหม” ไอ้สุ่ยยังช็อกไม่หาย



“ผ่านครับ” ผมขอเป็นคนแรกที่ตัดสินก่อนเลย “ใครอาจจะมองว่ามันไม่ยุติธรรมหรือพี่ตัดสินที่หน้าตาอะไรก็ช่าง แต่พี่ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลย พี่ไม่สนใจว่าน้องจะหน้าตายังไง แต่พี่ขอพูดเลยนะ น้องไม่ได้กำลังจะมาเอาชื่อเสียงจากการเป็นผู้นำเชียร์หรอก แต่ความคิดและทัศนคติของน้องต่างหากที่จะมาเพิ่มคุณค่าให้กับองค์กรผู้นำเชียร์ของเรา พี่ก็เลยให้ผ่านอย่างไม่มีเงื่อนไขอะไรเลย ขอให้น้องทำสำเร็จนะ... พี่คนอื่นๆล่ะครับ”

“พี่ก็ให้ผ่านเหมือนกัน” ไอ้สุ่ยเป็นคนถัดไป “น้องแม่งโคตรเท่อ่ะ พี่ฟังเรื่องของน้องแล้วพี่รู้สึกอยากทำอะไรที่มีประโยชน์ให้กับประเทศชาติเลยอ่ะตอนนี้ เอ็งเจ๋งจริงวะ ผ่านๆๆๆๆ”

“ผ่านเหมือนกันค่ะ” เกตุว่าต่อทันที “เรื่องที่น้องเล่ามันดีมากนะคะ แต่ต่อให้พี่ตัดความรู้สึกในส่วนนั้นทิ้งไป น้องก็ยังผ่านอยู่ดี เพราะในขณะที่น้องเล่าเรื่องยาวๆให้พวกเราทุกคนฟัง น้องมีบุคลิกภาพที่ดีมาก มีความมั่นใจ สายตามั่นคง ยืนแล้วดูสง่า”

“พี่ก็ผ่านค่ะ” มายด์เอ่ย “นอกจากรูปร่างหน้าตาแล้ว น้องแทนมีน้ำเสียงที่น่าฟังมากเลยนะคะ เป็น Voice Leader ได้สบายๆเลย ไม่อยากพูดอีกครั้งเลยว่าคณะวิทย์กำลังจะได้ผู้นำเชียร์สายแข็งไปอีกคน คณะวิทย์ปีนี้น่ากลัวจัง”

“พี่ให้ผ่านอยู่แล้ว” พี่เก้อคือคนสุดท้าย “พี่ให้ผ่านตั้งแต่เห็นน้องครั้งแรกแล้วล่ะ ทรงมันได้ ยังไงก็อยากลืมรักษาสัญญาที่จะทำเต็มที่ด้วยก็แล้วกันนะน้องนะ”

“โอเคครับ ห้าผ่านเลย” ไอ้สุ่ยขมวดจบ “เชิญลงจากเวทีได้ครับ คนต่อไปขอเป็นน้องผู้หญิงบางนะ เอ่อ... น้องเสื้อฟ้าคนนั้น ใช่ครับ น้องนั้นแหละ เชิญบนเวทีเลยครับ”



แล้วหลังจากผ่านสองคนแรกไปก็ไม่มีใครได้ห้าผ่านจากพวกผมอีกเลย



อย่างที่ไอ้สุ่ยพูดนั่นแหละ ตอนนี้ผมเกิดความรู้สึกฮึกเหิมอยากทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ แต่ผมว่าการปั้นให้อะตอมกับแทนมีชื่อเสียงและทำตามความฝันสำเร็จก็อาจจะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้เรื่องอื่นก็ได้



"​เราขอโทษนะที่เคืองนายไปอ่ะ" ผมแอบได้ยินน้องอะตอมคุยกับไอ้น้องแทน "เสียใจเรื่องพ่อของนายด้วยนะ​"

"​เราโอเค" นั่นคือที่ไอ้น้องแทนตอบ "​แล้วเรื่องทุนอ่ะ นายก็อยากได้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ"

"เรื่องนั้น.... เอาเป็นเราต่างก็มีเหตุผลกันทั้งคู่ งั้นก็มาแข่งกันอย่างยุติธรรมก็แล้วกัน"

"สรุปว่าเรากลายเป็นคู่แข่งกันแล้วเหรอ"

"​ทำไม กลัวเหรอ"

"ไม่กลัวอยู่แล้ว"



เอ................?

ไอ้สองคนนี้มันมีปัญหาอะไรกันมาก่อนหน้านี้วะ



อืมมมมมมมม

เอางี้แล้วกัน ย้อนกลับไปดูที่มาที่ไปของสองคนนี้สักหน่อยดีกว่า.........









..........จุดเริ่มต้นของพรสวรรค์และพรแสวง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-08-2018 14:00:27 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ BBChin JungBB

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
ทำไมรู้สึกกลัวอะตอมจัง เหมือนน้องมีจุดประสงค์บางอย่าง
หลายๆอย่างก็ดูตั้งใจจะเป็นน้ำชาสองด้วย


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ]
« ตอบ #9 เมื่อ: 09-08-2018 15:29:50 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Riik

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตามต่ออออออ

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
​ตอนที่ 3 : จุดประสงค์แอบแฝง







1 ปีก่อน



“สวัสดีค่ะ ประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัยมัณฑนาค่ะ”

“สวัสดีครับ เอ่อ... พอดีว่าผมมีเรื่องอยากจะสอบถามหน่อยน่ะครับ”

“สอบถามเรื่องอะไรคะ”

“พอดีผมอ่านเจอโฆษณาในเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยน่ะครับว่า ปีการศึกษาที่จะถึงนี้ ทางมหาวิทยาลัยจะมอบทุนให้กับนิสิตที่ได้รับเลือกเป็นผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยใช่ไหมครับ”

“อ๋อ เรื่องนั้นเอง ใช่ค่ะ แต่ว่าเรามีทุนให้เพียงแค่สองทุนนะคะ คือ ชายหนึ่งคนและหญิงหนึ่งคน สำหรับคนที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยและต้องยืนในตำแหน่งกลางด้วยค่ะ”

“ตำแหน่งกลาง?”

“ใช่ค่ะ เป็นตำแหน่งที่ต้องได้รับการคัดเลือกเป็นพิเศษ”

“อย่างงั้นหรอกเหรอครับ แล้ว.... จริงหรือเปล่าครับที่ว่าจะได้เป็นแบรนด์แอมบัสเดอร์ให้สื่อของ T-Queen ด้วยอะครับ”

“ค่ะ ใช่ค่ะ ตามประกาศในเว็บไซต์เลยค่ะ”

“แล้วพอจะทราบไหมครับว่า เป็นเฉพาะสื่อภายในประเทศหรือต่างประเทศด้วย”

“ในส่วนของรายละเอียดสัญญากับทางบริษัท T-Queen World wide มหาวิทยาลัยของเราไม่ทราบถึงขั้นตอนนั้นนะคะ... ไม่ทราบว่าสนใจอยากรับทุนหรือเปล่าเอ่ย ตอนนี้เรียนอยู่ชั้นอะไรแล้วค่ะ”

“มอหกครับ”

“ถ้าสนใจก็คงต้องสอบเข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยมัณฑนานะคะ นี่เป็นทุนพิเศษ ไม่มีการสอบแข่งขันเหมือนทุนอื่นๆ แต่ถ้าสนใจทุนอื่นๆก็สามารถสอบถามได้นะคะ”

“เอ่อ... ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมากครับ”

“ค่ะ ยินดีค่ะ”

แบบนี้นี่เอง

ผมวางสายและกลับมานั่งมองหน้าจอคอมฯ ในห้องนอนของตัวเองอีกครั้ง



“ยังไม่เลิกล้มความคิดนั้นอีกเหรอ”

ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจู่ๆมีใครคนหนึ่งเปิดประตูห้องนอนของผมเข้ามา

“พ่อ!” พ่อนั่นเอง “พ่อแอบฟังตอมเหรอ”

“พ่อบังเอิญผ่านมาได้ยิน” พ่อของผมอธิบายด้วยสีหน้าหมองเศร้า ท่านยังคงมองมาที่ผม “ตอมคิดจะทำอะไร พ่อไม่เชื่อหรอกว่าตอมอยากได้ทุนเรียนที่มหาลัยนั้น”

“.......” พ่ออ่านใจของผมอย่างถูกต้อง เอาจริงๆพ่อรู้ดีที่สุดว่าทุกอย่างที่ผมเลือกทำเพื่อจุดประสงค์เดียว

“ปล่อยวางซะเถอะนะตอม เรื่องมันก็ผ่านมานานมากแล้ว พ่อรู้ว่าลูกเสียใจ แต่เราก็ทำกันมาทุกวิถีทางแล้วนิ พ่อไม่อยากให้ลูกยึดติดกับอดีต และหวังกับเรื่องที่เป็นไปได้ยากเรื่องนี้อีก”

“แต่มันก็ไม่เสียหายนิพ่อ ก็ถ้าเกิดว่ามันพอจะทำให้มีความหวังขึ้นมาได้บ้าง จะเล็กน้อยแค่ไหน ตอมก็อยากทำ เพื่อแม่ แม่อาจจะกำลังรอตอมกับพ่ออยู่ที่ไหนสักแห่งในโลกก็ได้ ตอมไม่เชื่อหรอกว่าแม่.....ตายแล้ว”

“พ่อก็ไม่อยากจะเชื่อแบบนั้น” ในที่สุดพ่อก็เดินลงมานั่งบนเตียงและวางมือลงบนขาของผม “แต่เราสูญเสียไปมากแล้วนะกับการตามหาแม่ ตอมควรจะปล่อยวางและนึกเรื่องของตัวเองได้แล้ว อนาคตของตอมหลังจากนี้ ตอมก็เห็นว่าบ้านเราไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมาย ถ้าตอมยังมัวเสียเวลากับเรื่องนี้ ตอมจะไม่รู้จักวางแผนเพื่อตัวเองสักที อยากอยู่ทำสวนที่บ้านนอกเหมือนพ่อหรือไงกัน”

“แล้วทำสวนมันไม่ดีตรงไหนอ่ะ ตอมรักที่นี่ ตอมรักพ่อ แต่ตอมก็อยากเจอแม่ อยากให้แม่มาอยู่ด้วยกันกับพวกเรา เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์”

“อะตอม เชื่อพ่อเถอะนะ ปล่อยวางเรื่องนี้เถอะลูก ถ้าลูกยังขืนเป็นทุกข์อยู่แบบนี้ คนที่จะเป็นห่วงลูกที่สุดก็คือแม่ของตอมเอง พ่อเชื่ออย่างงั้นนะ”

"................"



ผมถอนหายใจ พ่อมักพูดแบบนี้เสมอเพื่อให้ผมหยุดความพยายามที่จะตามหาแม่ แม่ที่ถูกพลัดพรากจากผมไปสิบกว่าปี ผมแทบจำหน้าแม่ไม่ได้ด้วยซ้ำ ผมไม่มีรูปถ่ายหรือแม้แต่ของดูต่างหน้าจากแม่เลย มีเพียงความทรงจำเลือนรางที่ยังตกค้างอยู่ในสมอง รอยยิ้มของแม่ ความอบอุ่นจากแม่ ถ้าไม่เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นเมื่อสิบสี่ปีที่แล้ว ผมกับพ่อก็คงไม่ต้องมานั่งปลอบใจกันไปวันๆอย่างนี้ เราคงใช้ชีวิตตามประสาคนต่างจังหวัดอย่างครอบครัวอื่นๆ

ผมยังมองภาพโฆษณาในคอมพิวเตอร์ไม่วางสายตา มีรูปเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักคนหนึ่งอยู่ที่มุมของกรอบโฆษณาพร้อมกับข้อความที่เขียนว่า ‘ทุกความพยายามมีความสำเร็จรออยู่เสมอ – น้ำชา ธชานา ธนกฤษ’



“ตอมขอทำเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายนะพ่อ” ผมหันไปขอร้องผู้เป็นพ่อด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น

“แต่...”

“ตอมจะตั้งใจสอบเข้าที่นี่ให้ได้ ไม่ทิ้งการเรียน ไม่เหลวไหลแน่นอน ตอมจะทำแค่เท่าที่ควรทำ แต่ตอมอยากทำเรื่องนี้จริงๆ ขอแค่ครั้งนี้ครั้งสุดท้าย ถ้าตอมมีโอกาสได้ทำงานกับบริษัทสื่อยักษ์ใหญ่อย่าง T-Queen แม่อาจจะได้เห็นตอมในสื่อ แต่ถ้าไม่... ตอมจะยอมรับความจริง และไม่ขอร้องทำเรื่องพวกนี้อีกแล้ว”

“...........” พ่อของผมนั่งคุ้นคิด นี่เป็นการเจรจาต่อรองที่ดูจะเป็นที่น่าพอใจสำหรับพ่อ “งั้นก็ได้ แต่ตอมต้องตั้งใจเรียนนะ ยังไงก็ต้องเรียนจบให้ได้ และพ่อหวังว่าตอมจะไม่เสียใจถ้ามันไม่เป็นไปอย่างที่ตอมหวังไว้”

“ครับ”



ในความดีใจที่ต่อรองกับพ่อได้ก็ยังมีความเศร้าเล็กๆฝังตัวอยู่ ถึงพ่อจะอนุญาตแต่ก็ไม่ได้หมายถึงว่ามันจะสำเร็จ และถ้าครั้งนี้ไม่สำเร็จ ผมก็คงต้องทำใจที่จะหยุดตามหาแม่จริงๆซินะ



เอาล่ะ เกริ่นเรื่องของผมมาจนถึงตรงนี้ ผมคิดว่าคงถึงเวลาต้องแนะนำตัวแล้ว



ผมชื่อ อะตอม เรียกว่า ตอม เฉยๆก็ได้ ชื่อปัจจุบันของผมตอนนี้คือ ธราธิป ไอราพิทักษ์ ที่บอกว่าชื่อปัจจุบันก็เพราะก่อนหน้านี้ผมไม่ได้ใช้นามสกุลนี้หรอก ผมเคยนามสกุล ไนชวิ ซึ่งเป็นนามสกุลของแม่ของผมเอง ผมรู้นะว่าคุณกำลังคิดว่านามสกุลเก่าของผมมันแปลก ซึ่งถ้าจะเล่าก็คงต้องเท้าความไปถึงแม่ของผม

จากที่ฟังบทสนทนาที่ผมคุยกับพ่อเรื่องของแม่ คุณคงหงุดหงิดใจนิดหน่อยที่ผมเฉไฉพูดท่านั้นท่านี้ ไม่เล่าเรื่องให้ชัดเจนสักที แต่ถ้าคุณเป็นผม คุณก็คงจะอยากเลี่ยงที่จะพูดถึงอดีตอันเจ็บปวดเหมือนกัน และที่สำคัญคือ เรื่องของแม่ในความทรงจำของผมไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้น เพราะตอนนั้นผมยังเด็กมาก เรื่องส่วนใหญ่ที่รู้มาก็มาจากที่พ่อเล่าให้ฟังซะมากกว่า

เอ.... จะเล่าว่ายังไงดีล่ะ เอาเป็นว่า แม่ของผมไม่ใช้ประชาชนของประเทศนี้ เอาจริงๆก็ไม่ใช่ประชาชนของประเทศไหนเลยด้วยซ้ำ แม่เป็นชนกลุ่มน้อยไร้สัญชาติที่อาศัยอยู่ใกล้กับแนวชายแดนฝั่งประเทศพม่า พ่อของผมเล่าว่า พ่อไปพบรักกับแม่ตอนสมัยที่พ่อยังทำงานเป็นผู้รับเหมา ทำธุรกิจเกี่ยวกับการสัมปทานดูดทราย เพราะพ่อต้องทำงานที่แม่น้ำที่อยู่ตรงเขตแดนระหว่างประเทศ ก็เลยได้เจอกับแม่ละมั้ง ก็อย่างที่บอกนั่นแหละว่าผมไม่ค่อยรู้รายละเอียดเท่าไหร่ แต่ในที่สุดผมก็ได้ลืมตาดูโลกจนได้

ความทรงจำที่ผมพอจะจำได้ตอนนั้นก็คือ พ่อ แม่และผมอยู่กันค่อนข้างลำบาก เรามีข้อจำกัดหลายอย่างและแม่ก็เป็นคนไร้สัญชาติ ครอบครัวเราอดทนอยู่นาน แต่ในที่สุดตอนผมสี่ขวบ เมื่อหมดสัญญาทำงานของพ่อที่ชายแดน ครอบครัวเราก็กำลังจะมีชีวิตที่ดีขึ้น พ่อเดินทางกลับเข้าประเทศเพื่อจัดการเรื่องของครอบครัวของเรา ดำเนินเรื่องเพื่อให้แม่และผมมีสัญชาติเหมือนกับพ่อ ภาพความทรงจำที่ชัดเจนที่สุดก็คงเป็นภาพที่แม่ร้องไห้แต่ก็ยิ้ม ตอนนั้นผมไม่เข้าใจหรอก เพิ่งมาเข้าใจตอนโตนี่เองว่า ตอนนั้นแม่คงดีใจมากที่ไม่ต้องอยู่อย่างลำบากอีกแล้ว

สิ่งเดียวที่ผมกับแม่ทำตอนนั้นก็คือ รอวันที่พ่อกลับมารับพวกเรา แม่ร้องรำทำเพลงทุกวัน และทำแต่อาหารดีๆให้ผมกิน ผมเดาว่าตอนนั้นคงดีใจมากอะนะ

แต่แล้วทุกอย่างก็ไม่เป็นไปตามที่คิด........

คืนหนึ่งที่หมู่บ้านชนกลุ่มน้อย ผมกำลังนอนหลับอยู่ในอ้อมกอดของแม่ บรรยากาศกำลังเย็นสบายเพราะฝนตกลงมาค่อนข้างหนัก แต่ก็ต้องตื่นขึ้นและร้องไห้จ้าด้วยความตกใจ เสียงกรีดร้องและเสียงดังของอาวุธปืนสนั่นหวั่นไหวไปทั่วหมู่บ้าน



“อย่าร้องนะลูก อย่าร้องนะ เงียบๆไว้”

นี่เป็นหนึ่งในคำพูดของแม่ที่ผมยังจำได้ไม่ลืม และมันก็เป็นคำพูดสุดท้ายที่ได้ยินจากแม่

แม่ให้ผมเงียบเสียงอยู่ภายในบ้านหลังเล็กๆ แต่ตัวเธอกลับวิ่งออกไปข้างนอก ผมทั้งกลัวและหนาว ไม่รู้นานแค่ไหนที่แม่หายไป จนกระทั้งมีคนเปิดประตูเข้ามา แต่นั่นไม่ใช่แม่ของผม เขาอุ้มผมออกไป ผมจำได้แต่เสื้อสีดำที่มีตัวหนังสือสีเขียวบนอก เขียนว่า SF040 ผมจำได้เพราะผมมองเห็นแค่นั้น เขาจับผมไว้กับอกแน่นมากจนแทบดิ้นไปไหนไม่ได้ ผมถูกพาตัวออกไปจากความวุ่นวาย ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วและสับสนไปหมด ถ้าจำไม่ผิดผมคงไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการร้องไห้ไปเรื่อยๆ

แต่หลังจากเหตุการณ์นั้น ความทรงจำใหม่ที่ผมจำได้แม่นเลยก็คือ พ่อและผมออกตามหาแม่ แม่หายสาบสูญเพราะถูกกลุ่มค้ายาเสพติดจับไปเป็นตัวประกันพร้อมกับชนกลุ่มน้อยจำนวนหนึ่ง การยิงกันที่เกิดขึ้นนั้นคือการปะทะกันของกลุ่มค้ายาเสพติดกับทหาร และคนที่อุ้มผมออกมาก็คงเป็นทหารคนหนึ่ง กลุ่มคนร้ายจับแม่และตัวประกันคนอื่นๆไว้เพื่อใช้ต่อรองให้พวกมันหนีจากการจับกุม ซึ่งก็สำเร็จซะด้วย ข่าวล่าสุดที่ผมกับพ่อรู้มาก็คือ พวกนั้นหนีเข้าไปในพม่า และปล้นเรือสินค้าหนีออกทะเลฝั่งอันดามัน ไปพร้อมกับตัวประกันทุกคน ไม่มีใครรู้ว่าเรือลำนั้นไปเทียบท่าที่ไหน พ่อพยายามขอความช่วยเหลือไปที่รัฐบาลพม่า รัฐบาลไทย สถานทูตหลายต่อหลายแห่ง เราเดินทางไปหลายประเทศอยู่สองสามปี ไม่ว่าจะขอความช่วยเหลือทางไหน ก็ไม่มีวี่แววของแม่หรือแม้กระทั่งข่าวลือเกี่ยวกับเรือที่แม่นั่งออกมาเลย

พ่อใช้เงินเก็บเกือบทั้งหมดไปกับการตามหาแม่ จนเมื่อในที่สุด เมื่อกำลังใจในการตามหาแม่หมดลง ไร้ข่าว ไร้วี่แวว ไร้กำลังทรัพย์ เราสองพ่อลูกก็จำยอมต้องถอดใจ ผมอาจจะยังไม่ถอดใจแต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก ผมเป็นแค่เด็ก ซ้ำร้ายก็คือพ่อพยายามห้ามผมทุกครั้งที่เห็นว่าผมยังพยายามที่จะตามหาแม่ ผมเสียใจอย่างหนักช่วงปีสองปีแรก แทบจะไม่มีคืนไหนเลยที่ไม่ร้องไห้หาแม่ พ่อตัดสินใจเปลี่ยนอาชีพมาทำไร่ผลไม้ที่บ้าน เพื่อเป็นการอยู่กับผม พ่อมักพูดว่าพ่อจะไม่ห่างจากผมอีก เพราะการห่างกันครั้งนั้นสร้างประสบการณ์ที่เลวร้ายอย่างยิ่งให้กับครอบครัวของเรา



นี่แหละเรื่องของผม ตอนนี้คุณคงเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมผมจึงมุ่งมั่นอยากเป็นอันดับหนึ่งของผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนานัก นั่นก็เพราะผมอยากใช้พื้นที่สื่อที่อยู่ในมือของบริษัท T-Queen World Wide แม้จะเป็นความหวังที่เล็กน้อยแค่ไหน แต่ผมก็ยังอยากที่จะมีโอกาสเจอหน้าแม่อีกครั้ง

เพราะงั้นตอนนี้ผมขอตัวไปเตรียมตัวและหาข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับการจะเป็นผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยมัณฑนาก่อน นี่คือโอกาสที่ผมจะปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้

บุญกรรมทั้งหลายที่เคยทำมา ลูกเดินมาจนถึงทางเส้นสุดท้ายแล้ว ถ้าแม่ของลูกยังมีชีวิตอยู่ โปรดให้ลูกได้พบแม่อีกครั้งด้วยเถิด.............................................









ปัจจุบัน



ทำได้แล้ว

ในที่สุดก็ทำได้ ได้เดินเข้ามหาลัยมัณฑนาในฐานะนิสิตอย่างเต็มภาคภูมิ

หนึ่งปีกับการอ่านหนังสือทุกวันเพราะรู้ตัวว่าไม่ใช่คนหัวดีมากนัก แต่ก็สอบติดคณะวิทยาศาสตร์ ภาควิชาชีววิทยาของที่นี่จนได้ ต้องเป็นคณะนี้เท่านั้น

หลังจากนี้ก็คืออีกเรื่องที่ต้องทำให้สำเร็จเหมือนกัน การเป็นผู้นำเชียร์..... นอกจากการอ่านหนังสืออย่างหนักตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา มีอีกเรื่องที่ผมก็ทำไม่เคยขาดเหมือนกัน นั่นก็เคยการเตรียมตัวเพื่อมาเป็นผู้นำเชียร์ของที่มหาลัยนี้ ทั้งศึกษาข้อมูล ซ้อมเต้นด้วยตัวเอง ไล่ค้นหาทุกอย่างที่จะสามารถทำให้ผมขึ้นไปสู่เป้าหมาย ผมรู้ดีว่านี่ไม่ใช่งานง่าย เพราะถ้าถึงขั้นที่ทั้งประเทศยกฉายาของงานลีดเดอร์ของที่นี่ว่าเป็น ผู้นำเชียร์บนหอคอยเกียรติยศ แสดงว่ามันก็ต้องยากไม่ใช่เล่นๆ



เอ.............????

น่าจะเป็นตรงนี้นะ......

จากที่ศึกษาข้อมูลเรื่องผู้นำเชียร์ของมหาลัยนี้มาอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับพี่น้ำชา รุ่นพี่คนที่ดำรงตำแหน่ง Center คนปัจจุบัน ทำให้ค่อนข้างมั่นใจว่า บริเวณหลังโดมรวมใจที่ผมกำลังยืนอยู่ตอนนี้เป็นจุดที่พี่เขาเคยแอบเต้นมาก่อนซึ่งนั่นทำให้พี่เขาได้รับการประทับตราผู้นำเชียร์ ผมก็เลยมีความหวังว่าถ้าหากผมมายืนเต้นตรงนี้ ผมอาจจะได้รับตราประทับอย่างพี่เขาบ้าง

รั้วสีทองส่องแสงในหล้า.....



นั่นไง เพลงขึ้นจนได้

ทันทีที่ได้ยินเสียงเพลงผมก็เริ่มโซโลด้วยการวาดลวดลายที่ซ้อมมาอย่างดี.....



เห้อออออออออออ.......

นี่เต้นไปเป็นสิบรอบแล้วนะ ทำไมยังไม่เห็นมีใครมาซะที

ผมชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าจุดที่ผมกำลังเต้นอยู่นี้ใช่ที่เดียวกับที่พี่น้ำชาเคยมาเต้นหรือเปล่า เพราะไม่มีวี่แววว่าจะมีใครมาเลย เต้นจนเหงื่อท่วมไปหมดแล้ว

รั้วสีทองส่องแสงในหล้า....

เพลงขึ้นอีกแล้ว เอาไงดีๆ

เต้นอีกสักรอบก็แล้วกัน ถ้าไม่มีใครเข้ามาก็กลับเข้าโดม ยังพอมีเวลาเหลืออีกหน่อย ถ้าพลาดจากตรงนี้อาจจะยังมีโอกาสอีกก็ได้ หวังว่าในโดมพวกรุ่นพี่ลีดจะยังไม่กลับออกไปกันหมดนะ

....บัญฑิตศรีแห่งรั้วมัณฑนา

จบไปอีกรอบโดยไม่มีอะไรเลย....



#เสียงโทรศัพท์

เห้ยยยยยยยยย!!!!

เสียงอะไรวะ

ผมหันหลังกลับไปมองอย่างรวดเร็ว



น..... นี่..... นี่มัน....



“ฮัลโหล” คนตรงหน้าผมหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาคุย

“…………”

“อยู่... เอ่อ... หลังโดมรวมใจ”

“………..”

“ก็....”

“.................”

โทรศัพท์ถูกเก็บแล้ว แปลว่าจบการสนทนาแล้วซินะ



“พ...พี่น้ำชา” ปากของผมมันเรียกชื่อพี่เขาออกมาเอง ก็จะไม่ให้เรียกได้ไงล่ะ พี่เขาติดอยู่สมองผมมาเป็นปีแล้ว“ม...มาแล้วเหรอครับ”

“มาแล้ว?” พี่น้ำชาคงงงว่าทำไมผมถึงพูดแบบนั้น

“ครับ” ตอบตรงๆไปเลยก็แล้วกัน “ผมเต้นรอที่มาสิบกว่ารอบแล้ว”

“สิบกว่ารอบ!!” พี่เค้าถึงกับร้องเสียงหลง “รู้ได้ไงว่าพี่จะมานี่”

“ผมชื่ออะตอมครับ อยู่คณะวิทย์ เอกชีวะ” มารยาทที่ดีต้องแนะนำตัวก่อน

“โอเค แล้วสรุปว่ารู้ได้ยังไงว่าพี่จะมายืนอยู่ตรงนี้”

“คือผม.... เอ่อ....” จะพูดว่าไงดีวะ เท่าที่ศึกษามาพี่น้ำชาเป็นคนทำอะไรตรงๆง่ายๆไม่ซับซ้อน เราก็ควรจะพูดตรงๆไปเลยดีกว่า “ผมศึกษาเรื่องของพี่มาน่ะครับ พี่ท๊อปเคยเล่าเอาไว้ในรายการหนึ่งของเกาหลีเมื่อเดือนก่อน เห็นพี่เขาเล่าถึงเหตุการณ์นี้ด้วย แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าจุดที่พี่น้ำชามาแอบเต้นใช่ตรงนี้จริงๆหรือเปล่า ก็เลยลองเสี่ยงเต้นไปเรื่อยๆดู”

“แล้วทำไมถึงต้องอยากหน้าพี่ด้วยล่ะ”

“ก็.... เหมือนกับทุกคนนั่นแหละครับ ผมเองก็อยากได้รับตราประทับของลีดมอมัณฑนาเหมือนกัน แต่.... ผมคิดว่ารูปลักษณ์ของผมคงจะเข้าตารุ่นพี่ได้ยาก ถ้าเป็นพี่น้ำชา ถ้าเป็นพี่อาจจะมองข้ามเรื่องนี้แล้วก็มองเห็นความพยายามของผมก็ได้ ผมก็เลยมาเต้นตรงนี้ไปเรื่อยๆ หวังว่าพี่จะบังเอิญอยากกลับมาดูสถานที่ที่พี่เองก็เคยพยายามมาก่อน”

“แล้วทำไมถึงอยากเป็นลีดขนาดนั้นล่ะ”

“ผมอยากได้ทุนน่ะครับ” ผมเลือกที่จะเลี่ยงตอบจุดประสงค์หลัก ใช้ข้ออ้างอันนี้น่าจะเข้าท่ากว่า

“ทุน? อ๋อ…. นี่ซินะเหตุผล”

“ค...ครับ” อย่าหาว่าผมโกหกเลยนะ แต่เรื่องของผมมันซับซ้อน

“ศึกษามาดีเหมือนกันนิ”

“บ้านผมค่อนข้างฐานะไม่ดี” แอบไขว้นิ้วไว้ล่ะกัน ผมขอโทษที่ต้องโกหกจริงๆนะพี่ “แล้วผมเองก็ไม่ได้เรียนเก่งขนาดที่จะไปสอบชิงทุนได้ ก็เลยต้องพยายามศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับทุนที่ใช้ความสามารถด้านอื่นๆมาช่วยน่ะครับ”

“เปล่า พี่ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น” อ้าว แล้วหมายถึงะไรอ่ะ อุตส่าคิดคำโกหกตั้งหลายประโยค “พี่หมายถึงศึกษาเรื่องลีดมาดีนิ สำหรับคนที่ฝึกเอง พี่ขอชมว่าทำได้ดีมาก”

“อ๋อ” เห้ยยยย พี่เค้าชมเราด้วย เป็นนิมิตหมายที่ดี “ขอบคุณครับพี่ ว่าแต่มัน... ดีพอที่ผมจะได้รับตรา...”



“เจอแล้ว อยู่นี่เอง” ซะงั้น ใครเข้ามาขัดจังหวะละเนีย หึ*!* นี่มันพี่ตอง แฟนของพี่น้ำชานี่นา เจอคนดังสองคนพร้อมกันเลยเรา “แล้วนี่ใครเนีย”

“สวัสดีครับพี่ตอง” มารยาทที่ดีคือการแนะนำตัวก่อน(อีกครั้ง) “ผมชื่ออะตอมครับ เป็นรุ่นน้องจากคณะวิทยาศาสตร์ครับ”

“แล้ว...?” พี่ตองก็คงจะยังไม่เข้าใจอยู่ดี

“ก็เป็นรุ่นน้องที่ชากำลังจะปั๊มตราลีดให้ไง” ว่าไงนะ! เมื่อกี๊พี่น้ำชาพูดว่าอะไรนะ

“งั้นเหรอ” พี่ตองพูดต่อ “ถ้างั้นพี่มีอีกคนมาให้ชาปั๊มให้ด้วย ออกมาเร็ว”

“อ้าว น้อง...” พี่น้ำชาอุทานเมื่อเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังของพี่ตอง

ใครล่ะนั่น?

หน้าตาดีสุดๆ สูงพอๆกับพี่ตองเลย อาจจะไม่ได้ล่ำสัน แต่รูปร่างหน้าตาแบบนี้ก็ไม่แปลกที่พี่ตองจะพามาให้พี่น้ำชาปั๊มตราให้.... เกิดเป็นคนหน้าตาดีนี่มันน่าอิจฉาจริงๆ ไม่ต้องพยายามอะไรมาก

“สวัสดีครับพี่” คนมาใหม่ยกมือไหว้

“แล้ว... สรุปว่าน้องอยากเป็นผู้นำเชียร์แล้วเหรอ ไหนบอกว่าไม่อยากเสียเวลาเรียนไง” พี่น้ำชาพูด

“ก็กล่อมอยู่นานเหมือนกัน” พี่ตองเป็นคนตอบ “แต่พอบอกว่าปีที่แล้วมีพี่ลีดคนนึงที่เป็นถึงเด็กอัจฉริยะระดับประเทศ น้องมันก็เลยยอมกลับมา”

กำลังพูดถึงพี่น้ำชาซินะ แน่นอนว่าผมต้องรู้อยู่แล้ว ผมศึกษาทุกอย่างของลีดมหาลัยนี้มาเป็นอย่างดี เรื่องที่พี่น้ำชาเป็นเด็กอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์แนวหน้าของประเทศถือเป็นข้อมูลที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

“ผมกลับมาเพราะเรื่องทุนเรียนฟรีต่างหากละพี่” อ๋ออออออ ที่แท้เขาก็อยากได้ทุนนี่เอง

“เอาเถอะ ไปขอตราประทับจากพี่น้ำชาไป” พี่ตองดันคนมาใหม่ให้มายืนข้างๆผม สูงชะมัด ยืนใกล้ๆคนหน้าตาดีแบบนี้จะทำให้เราหมองลงไหมเนีย

“เอาจริงดิ” พี่น้ำชาช่างใจอยู่สักพัก “โอเค งั้นน้องอะตอมกับน้องแทนครับ รบกวนยื่นป้ายชื่อขึ้นมาให้พี่หน่อย”

รีบซิครับงานนี้ ผมยื่นป้ายชื่อให้พี่น้ำชาอย่างรวดเร็วจนเกือบจะหลุดออกจากเชือก

เกร็ก เกร็ก

เจ๋ง ได้มาแล้วโว้ยยยยยยยยย เดี๋ยวจะเก็บขึ้นหิ้งบูชาไว้อย่างดีเลย

“เจอกันที่คณะนะ” พี่น้ำชาบอก

“ครับ/ครับ” ผมและคนข้างๆ ตอบรับ



จากนั้นเราสองคนก็เดินออกมาจากด้านหลังของโดมเพราะจะกลับเข้าไปยังงานแนะแนวด้านใน



“อยู่คณะวิทย์เหมือนกันเหรอ” จู่ๆ คนที่เดินมาด้วยกันกับผมก็ตั้งคำถามใส่ “เห็นป้ายชื่อสีเดียวกัน”

“ใช่” ผมตอบสั้นๆ ก็จะให้ตอบว่าไงอ่ะ

“เอกไรอ่ะ”

“ชีวะ”

“เป็นคนแถวนี้หรือเปล่า หรือว่าต่างจังหวัด”

“เดี๋ยวนะ” นี่กำลังสอบสัมภาษณ์กูอยู่หรือไง “เราต้องตอบไหมเนี่ย”

“ก็เราเป็นเพื่อนกัน ก็ต้องรู้ข้อมูลกันไว้ดิ”

“เพื่อน?” นี่กูเป็นเพื่อนกับมึงแล้วเหรอ “เราจะเป็นเพื่อนกับคนที่ไม่รู้จักชื่อได้ไง”

“อ๋อ เราลืมไป เราชื่อแทนนะ อยู่ธรณี ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ”

“เอ่อ....” ฝากเนื้อฝากตัวเนี่ยนะ ทำไมใช้คำแปลกๆจัง “เราชื่ออะตอม อยู่เอก... บอกไปแล้วนี่นา”

“แล้วสรุปว่ามาจากต่างจังหวัดหรือเปล่าอ่ะ”

“ทำไมถึงอยากรู้เรื่องนั้นจัง มันสำคัญเหรอ”

“เรากำลังหาพวกเดียวกันอยู่ เรามาจากต่างจังหวัด ที่นี่ดูเหมือนจะมีแต่เด็กเมืองหลวง เรากลัวทำอะไรประหลาดๆ เราไม่ค่อยรู้วัฒนธรรมของคนแถวนี้สักเท่าไหร่”

เมืองหลวง วัฒนธรรม.... โอเค มึงพูดแปลกจริงๆ ทำตัวหยั่งกับมาจากกาแล็กซี่ไกลโพ้น

“เราเป็นเด็กต่างจังหวัด” ผมยอมตอบในที่สุด ก็ไอ้คนข้างๆผมนี่จ้องรอคำตอบผมจริงจังมาก มึงจริงจังไปปะเนี่ย

“ดีเลย” ดีใจขนาดนั้นเชียว

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
(ต่อ Part 2)




“ว้าวตายแล้ว”

อะไร!!! ใครตายวะ

“เธอๆ ตราปั๊มสีเงินนี่ของใครเหรอ ไม่เคยเห็นเลย” เขา เอ้ย หล่อนถาม เอาเป็นว่าช่างเถอะ แต่คำถามของคนนี้คนเดียว ทำเอาปีหนึ่งระแวกนั้นหันมาสนใจกันหมดเลย แม้กระทั้งรุ่นพี่ที่เดินอยู่แถวนั้นก็อยากรู้ไปด้วย ตอนนี้ผมกลับเข้ามานั่งอยู่ในโดมเรียบร้อยแล้ว



“พี่คนที่ชื่อน้ำชาปั๊มให้”

“เห้ย!” ผมห้ามไอ้เพื่อนใหม่ เอ้ย เออ ช่างมันเถอะ “ทำไมไปบอกเขาง่ายๆอย่างงั้นล่ะ”

“ไม่ควรบอกเหรอ” ดูความซื่อของมันซิ

“ไอ้บอกมันก็ไม่ผิดหรอก แต่ดูนั่นซิ” ผมชี้ไปที่รอบๆตัว

ดูเหมือนทุกคนจะเริ่มมีประเด็นเม้ามอยกันสนุกปากระหว่างช่วงแนะแนวบนเวทีที่ไม่ใครฟังไปเสียแล้ว

“เราทำอะไรผิดไปหรือเปล่าอ่ะ”  ไอ้แทน เรียกมันอย่างงี้ก็แล้วกัน ไอ้แทนชักเริ่มหน้าเสีย

“ก็ไม่ได้ผิดอะไรขนาดนั้นหรอก” ผมคลายความกังวลให้ “สุดท้ายก็คงรู้กันอยู่ดี”

“งั้นเหรอ... แล้วนายชอบชีววิทยาเหรอ ที่เลือกเรียนเอกนี้อ่ะ”

“ก็ไม่เชิงอ่ะ พอดีที่บ้านเราเป็นเกษตรกร แล้วเราก็อยากเข้าคณะวิทย์ ให้ไปสอบเข้าเอกอื่นคงไม่ไหว เราหัวไม่ดีเท่าไหร่ ก็เลยเลือกเอกนี้ ขยันอ่านหนังสือเยอะๆเอา เรียนเอกนี้ก็เผื่อเอาความรู้กลับไปใช้กับที่บ้านได้ด้วย”

“อย่างนี้นี่เอง”

“แล้วนายล่ะ ทำไมสอบเข้าธรณี ไม่ค่อยมีคนสนใจเรียนเท่าไหร่นะ สมัยนี้”

“ก็คล้ายๆกันนั่นแหละ เราอยากเอาความรู้ไปใช้” เป็นคนตอบคำถามซื่อๆดีแฮะ ไม่มีความนัยแอบแฝงอะไรเลย “ว่าแต่... เมื่อกี๊พี่น้ำชาก็กล่อมให้นายเป็นเชียร์ลีดเดอร์เหมือนกันเหรอ”

“ห๊ะ เปล่า....” เอ๊ะ เดี๋ยวนะ “เมื่อกี๊นายพูดว่า...เหมือนกัน เหรอ”

“ใช่ ก็เราเห็นนายคุยกับพี่เขาสองคนหลังโดมแบบนั้น ก็นึกว่าจะเหมือนที่เราโดนพี่อีกคนนึงกล่อมให้มาเป็นเชียร์ลีดเดอร์”

“พี่อีกคน? อ๋อ... นั่นน่ะ พี่ตอง พี่เขาเป็น....” คงไม่ดีเท่าไหร่ถ้าจะแนะนำว่าพี่ตองเป็นแฟนพี่น้ำชา

“เป็น...?”

“เป็น....เอ่อ...พี่ลีดมอปีสาม”

“อ๋อ ถึงว่าดิ ว่าแล้วเชียวทำไมพี่เขาถึงต้องมาเกลี่ยมกล่อมเราด้วย ที่แท้ก็เป็นเชียร์ลีดเดอร์นี่เอง คงพยายามหาคนเข้าชมรมกันอยู่”

“ชมรม?” นี่มันพูดอะไรของมันวะ ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกขัดใจ ตั้งแต่ที่มันบอกว่าโดมเกลี่ยกล่อมให้ได้ตราประทับแล้ว ไอ้บ้านี่มันไม่ให้เกียรติการเป็นผู้นำเชียร์ของที่นี่เลยนี่หว่า “นายคิดว่าผู้นำเชียร์ของที่นี่เป็นชมรมหรือไง รู้ไหมว่าการเป็นลีดของมอมัณฑนาหมายถึงอะไรกันแน่”

“อ๋อ เรื่องนั้น รู้ซิ พี่....อะไรนะ พี่ตองใช่ไหม พี่เค้าบอกแล้วล่ะว่าการเป็นเชียร์ลีดเดอร์ของมหาลัยนี้ก็เท่ากับเป็นจุดเริ่มต้นของคนที่จะมีชื่อเสียง เราถึงได้ตอบตกลงไง”

“ชื่อเสียง? ชื่อเสียงเนี่ยนะ” ไอ้เวรตะไลเอ๊ย ยิ่งฟังยิ่งอยากฉีกป้ายชื่อที่ห้อยคอของมันทิ้ง แม่ง ไม่ให้เกียรติความยิ่งใหญ่ขององค์กรผู้นำเชียร์เลย แถมยังพูดได้หน้าตาเฉย คิดว่าหล่อแล้วจะพูดจองหองยังไงก็ได้หรือไงวะ

“อย่าเข้าใจผิดนะ เรื่องเป็นคนมีชื่อเสียงนั่น เราก็ไม่ถึงกับคาดหวังกับมันนักหรอก แต่เราอยากให้ทุนกับงานที่จะได้รับหลังจาก...”

“พอ! เข้าใจแล้ว อยากได้ทุน เราก็อยากได้เหมือนกัน” กูไม่ทนฟังอีกแล้ว “แต่รู้อะไรไหม เรามาคิดๆดูแล้ว นายเข้ากับเราไม่ได้หรอก”

“อะไรนะ!?”



กูไม่ทนนั่งอยู่ข้างมันแล้ว ผมเดินลุกออกไปเก้าอี้ทันที คือจะบอกว่าผมเป็นคนแรงก็คงไม่ใช่ แต่เพราะถึงเวลาที่พิธีกรบนเวทีปล่อยเด็กปีหนึ่งออกจากโดมแล้ว ส่วนเรื่องโกรธก็โกรธจริง รู้สึกเหมือนโดนถ่มน้ำลายใส่หน้าเลย

ผมไม่โกรธนะที่ไอ้บ้านั่นถูกเกลี่ยกล่อมให้รับตราประทับ ทั้งๆที่ผมพยายามอย่างหนัก แต่การที่มันมองคุณค่าของผู้นำเชียร์แบบนี้ มันเท่ากับเป็นการดูถูกความฝันของผมชัดๆ โอเค ผมอาจจะมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง แต่ก็ไม่เคยลืมเกียรติยศขององค์กรผู้นำเชียร์ที่ยิ่งใหญ่นี้เลย



“นาย นาย อะตอม”

แม่ง ไอ้ชิบหายนิ ยังจะตามกูมาอีก

ไม่สนโว๊ย รีบเดินเข้าไปในแถวดีกว่า....



หึย! นั่นมีพวกรุ่นพี่มาแจกดอกกุหลาบที่ทางออกโดมด้วยเหรอ

เห้ย!! มีพวกพี่ลีดมอด้วย พี่น้ำชาจะให้ดอกกุหลาบใครกันนะ จะให้เราหรือเปล่าหว่า ไม่แน่นะ พี่เขาถึงขั้นปั๊มตราให้เราแค่คนเดียว

“ทำไมนายถึงพูดแบบนั้นอ่ะ เราทำอะไรผิด” อ้อ มีไอ้ปากเสียนี่อีกคน ยิ่งเห็นหน้ามันยิ่งอารมณ์เสีย

“.......” ไม่คุย กูไม่คุยด้วยโว๊ย สนใจพี่น้ำชาดีกว่า

นั่น! พี่น้ำชายื่นดอกกุหลาบมาทางนี้แล้ว ให้เราหรือเปล่านะ



“แทน แทน”

“................” ช็อกเลยกู พี่น้ำชาดันเรียกชื่อไอ้บ้านี่ ทำไมต้องให้ดอกกุหลาบคนอย่างมันด้วยวะ

“เป็นไรอ่ะ อยู่ดีๆ ก็ไม่พอใจเราซะงั้น” มึงยังจะมาพูดกับกูอีก พี่น้ำชาเขายื่นดอกให้อยู่น่ะ ต่อให้มึงมีความคิดไม่ให้เกียรติองค์กรของพี่เขา อย่างน้อยก็ช่วยรับน้ำใจจากคนที่มีน้ำใจกับมึงหน่อยได้ไหม

“พี่น้ำชายื่นดอกกุหลาบให้น่ะ รับดิ” ก็ไม่รู้หรอกว่าผมใช้น้ำเสียงแบบไหนไป แต่ไม่อยากอยู่ตรงนั้นเลย กุลงกุหลาบอะไร กูไม่อยากได้ทั้งนั้นแหละ

“ข....ขอบคุณครับพี่” ผมได้ยินคำขอบคุณของ.... โอ๊ย ช่างแม่งเหอะ อย่าให้ต้องพูดถึงมันอีกนะ



“ไปคณะวิทย์ครับ” ผมบอกกับคนขับรถไฟฟ้าที่ผมเพิ่งจะขึ้นมา

“คณะวิทย์เหมือนกันครับ” แหนะ ไอ้ห่านิ มึงจะตามตอแยกูไปถึงไหน “นี่นายโกรธเราเรื่องอะไรเนีย”

โอ๊ยยยยยย มึงนี่มันไม่เหมือนคนปกติจริงๆ

“เรื่องดอกกุหลาบ” เออ กูตอบไปแม่งอย่างนี้แหละ จะได้เลิกเซ้าซี่กูซะที

“ดอกกุหลาบ? มันทำไมเหรอ นายแพ้ดอกกุหลาบเหรอ”

“เปล่า” ทำไมกูต้องมานั่งอธิบายอะไรพวกนี้ให้มันฟังด้วยวะ “กูอยากได้ดอกกุหลาบจากพี่น้ำชา เข้าใจแล้วก็เลิกถามซะที”

“ดอกกุหลาบนี่อะเหรอ... งั้นเรายกให้ก็ได้นะ”

“นี่! ของแบบนี้เขายกให้กันได้ที่ไหน ให้เกียรติพี่เขาหน่อยเหอะ”

“แต่นายบอก...”

“กูไม่บอกอะไรถึงนั่นอ่ะ เลิกพูดซะที”

“แต่เราเป็นเพื่อนกันนะ”

“ใครเป็นเพื่อนมึงวะ” กูขึ้นจริงๆแล้วนะ “ยังไม่เข้าใจอีกหรือไงว่าไม่อยากคุยด้วย ภาษาคนอ่ะ เข้าใจป่ะ”

“..........” เออ เงียบไปซะที



นั่งรถไฟฟ้าอยู่แค่สองคน แม่ง อึดอัดชิบหาย



หลังจากนั่งรถไฟฟ้ามาสักพัก ผมก็มาถึงบริเวณอาคารเรียนของคณะวิทยาศาสตร์ มีพี่ๆคอยมาต้อนรับและเรียกให้เข้าไปนั่งรวมกันที่โถงกลางของคณะ ส่วนไอ้คนที่เดินทางมากับผม มันหยุดพูดแล้วก็จริง แต่มันก็ยังตามผมติดเป็นเงาไม่ห่าง พอหันไปก็ทำหน้าซื่อ ทำเป็นไม่ได้ตามมา ลอยหน้าลอยตา ทำที่มองนั่นมองนี่นะมึง ที่กูคิดว่ามึงเป็นคนซื่อๆท่าจะคิดผิดซะแล้ว อย่ามาลองดีกับกูนะ มึงสูงกว่ากูนิดหน่อยไม่ใช่ว่ากูจะต่อยไม่ถึงนะ



“อุ๊ย เธอนี่เองเหรอที่ได้ตราปั๊มสีเงิน” มาถึงผมก็โดนเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งทักทันที ตูดยังไม่ทันจะถึงพื้นดีเลย “เธอคนนี้ก็มี สองคนนี้นี่เองที่ได้ตราปั๊มจากพี่น้ำชา”

ไอ้..... หมดคำจะด่ามันแล้ว จะตามติดกูไปถึงไหน เออ มึงอยากอยู่อยู่ตรงไหนก็อยู่ จะนั่งข้างกูก็นั่งไป เดี๋ยวถ้ายังทำตัวตามติดกูมากๆ กูจะพาเดินกลางแดดแม่งทั้งวัน ให้มันหมดหล่อไปเลย

พอถึงตอนเที่ยงก็มีข้าวกล่องจากเจ้าหน้าที่คณะมาเสิร์ฟถึงที่

“ว้าว หมูยอ” ผมอุทานเบาๆอย่างเป็นอัตโนมัติ ก็คนมันชอบอ่ะ พวกหมูยอ กุนเชียง อะไรแนวๆนี้ผมชอบมากเลย อาจจะเป็นเพราะว่าสมัยเด็กๆผมได้กินของพวกนี้บ่อย ที่หมู่บ้านชนกลุ่มน้อยมักจะหาซื้อเนื้อและผักสดยาก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นอาหารสำเร็จรูป ก็เลยติดใจในรสชาติละมั้ง

“...............” !!!!!!!

จู่ๆ ไอ้บ้าข้างๆก็จิ้มหมูยอมาใส่ในกล่องของผม

“ไม่ต้อง” เอาของมึงคืนไป

“..............” แน๊ะ ยังจะเอาคืนมาอีก

“ไอ้....” แล้วมันก็หันกล่องอาหารของมันไปไกลจากผมเพื่อไม่ให้ผมสามารถเอาคืนไปได้ ไอ้บ้านี่ทำไมมันต้องพยายามง้อผมขนาดนี้ด้วยนะ มีจุดประสงค์แอบแฝงอะไรอยู่หรือเปล่า ส่วนไอ้เรื่องที่ว่าผมจะทิ้งของกินน่ะเหรอ ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน คุณค่าของอาหารผมรู้จักดี

เออ เรื่องของมึง ไม่เอาคืนงั้นกูจะแดกแม่งให้หมดเลย ไม่ต้องมาทำเป็นยิ้ม กูกินเพราะกูถูกสอนมาแบบนี้โว๊ย



การแนะแนวจากคณะเริ่มขึ้นในอีกอึดใจต่อมา ใจผมอ่ะก็อยากจะตั้งใจฟังที่พี่ๆบนเวทีเขาพูดนะ แต่พวกปีหนึ่งที่อยู่รอบตัวผมนี่ซิ สนใจอะไรมากมายกับตราปั๊มของผมกับ... ไม่ กูจะไม่พูดถึงมึง จนผมไม่มีสมาธิฟังแนะแนวเลย อุตส่าห์จะแก้ตัวเมื่อเช้าที่มัวแต่สนใจเรื่องตราประทับจนไม่ได้ฟังอะไรเลยสักหน่อย



“อะตอม” หึ! ใครเรียก ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง

“ค...ครับ” เห้ยยยย พี่น้ำชานี่หว่า

“อะนี่ พี่ให้”

!!!!!!!!!!!!!!

ดอกกุหลาบนี่นา ดอกสีขาว ไม่เหมือนของคนอื่นๆซะด้วย นี่ซิของที่ผมอยากได้โดยไม่คิดจะคืนให้

“ขอบคุณมากครับพี่น้ำชา” ผมไม่รู้ว่าเมื่อกี๊ใช้ความเร็วเหนือแสงหรือเปล่าในการคว้าดอกกุหลาบจากพี่เค้า “จริงๆ พี่ไม่ต้องให้ผมก็ได้นะครับ แค่ปั๊มตราลีดให้ก็ไม่รู้จะขอบคุณยังไงแล้ว” แต่ใจจริงก็อยากได้นะ

“อ...เออ” พี่เขาอึ้งๆ “พี่เอามาปลอบใจเฉยๆ เพราะเดี๋ยวต่อไปถ้าน้องผ่านเข้าไปเป็นลีดคณะได้จริงๆ รับรองว่ามีเหนื่อยจนอยากลาออกแน่”

“ไม่หรอกครับ ผมจะอดทนครับ” กำลังใจมาเต็มสุดๆไปเลยตอนนี้

“คราวนี้ก็ได้เหมือนกันแล้วนะ” หลังจากที่ไอ้คนที่ตามติดผมมาเงียบไปนาน ในที่สุดมันก็พูดอีกครั้ง “หายเคืองเราแล้วใช่ไหม”

“อืม” ตอบๆมันไป อารมณ์ดีขึ้นเยอะเลย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากูอยากจะเสวนากับมึงหรอกนะ



หลังจากจบกิจกรรมที่โถงคณะวิทย์ ผมและเหล่าเพื่อนในคณะผู้ได้รับตราประทับจากลีดมหาลัยก็ถูกนำตัวขึ้นไปยังชั้นบนของอาคารเพื่อทำการสอบสัมภาษณ์ต่อ

ในการสอบสัมภาษณ์นั้น ผมได้ตระหนักความจริงสองอย่างคือ

หนึ่ง พี่น้ำชาดีใจกับผมมาก พี่เค้าช่วยแก้สถานการณ์ในขณะที่ผมกำลังแย่ระหว่างแสดงความสามารถพิเศษอันน่าอายของผม จนผมสามารถผ่านเข้ารอบได้

และสอง... กับไอ้บ้านั่น ไม่ซิ เรียกมันว่าไอ้แทนก็แล้วกัน ให้เกียรติมันหน่อย ก็เพราะหลังจากนั่งฟังการสอบสัมภาษณ์ของมันแล้ว ผมถึงได้เห็นถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงในการตอบรับมาเป็นผู้นำเชียร์ มันเองก็มีอดีตเกี่ยวกับครอบครัวเหมือนกัน ก็เลยอยากเป็นคนมีชื่อเสียงและอยากได้ทุนเพื่อแก้ไขอดีตและทำประโยชน์ให้กับสังคม

นี่ซินะคำว่า ไม่ฟังให้ดีๆก่อน ผมก็รู้สึกผิดนะที่ไม่ยอมฟังเรื่องราวของไอ้แทนก่อนที่จะไปโกรธเคืองมันขนาดนั้น



"​เราขอโทษนะที่เคืองนายไปอ่ะ" ผมพูดกับไอ้แทนทันทีที่มันกลับลงมาจากการสัมภาษณ์ เข้าใจผิดก็ต้องขอโทษ นั่นคือสิ่งที่พ่อสอนมา แล้วก็ที่สำคัญ... "เสียใจเรื่องพ่อของนายด้วยนะ​"

"​เราโอเค" ไอ้แทนตอบพร้อมกับรอยยิ้ม ต้องยิ้มขนาดนั้นเลยเหรอ แค่กูกลับมาคุยด้วยเนีย "​แล้วเรื่องทุนอ่ะ นายก็อยากได้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ"

"เรื่องนั้น...” มันก็ไม่ใช่จุดประสงค์หลักเท่าไหร่หรอก “เอาเป็นเราต่างก็มีเหตุผลกันทั้งคู่ งั้นก็มาแข่งกันอย่างยุติธรรมก็แล้วกัน"

"สรุปว่าเรากลายเป็นคู่แข่งกันแล้วเหรอ"

"​ทำไม กลัวเหรอ" เรื่องเปลี่ยนอารมณ์ขอให้บอก ผมเก่งอยู่แล้ว

"ไม่กลัวอยู่แล้ว"



นั่นแหละเรื่องราวของผม เอาเป็นว่าน่าจะพออธิบายถึงตัวผมแบบพอสังเขปได้แล้วนะ ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมเดี๋ยวมาเล่าให้ฟังอีกก็แล้วกัน ส่วนตอนนี้กลับไปสนใจเรื่องของคนที่สำคัญกว่าผมอย่างพี่น้ำชากันดีกว่านะ.....



.........................................................................



(น้ำชา)



“สำหรับการสัมภาษณ์วันนี้ก็จบลงแล้วนะครับ” ผมกล่าวกับน้องๆผู้เข้ารอบ “ตอนนี้เราเหลือกัน สามสิบสองคน มีผู้ชายทั้งหมดสิบห้าคน และผู้หญิงสิบเจ็ดคน” เยอะสุดๆ เลย เด็กมันมาจากไหนกันนักหนาล่ะเนีย “เราต้องมีการคัดออกอีกให้เหลือชายและหญิงอย่างละหกคนนะครับ... เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งโวยวายไป พวกพี่ไม่สามารถคัดใครออกได้อีกแล้ว หน้าที่นั้นจะเป็นของมวลชนในวันเปิดกิจกรรมห้องเชียร์”

“สำหรับการคัดตัวรอบสิบสองคนของทุกคณะนะครับ มีกติกาที่เหมือนกันก็คือ...” ไอ้สุ่ยเล่าต่อจากผม มันทำหน้าที่รองประธานลีดได้เป็นอย่างดี ใช้ได้ๆ “น้องๆ จะต้องแสดงท่าเต้นเพลงมิ่งขวัญมัฑณนาซึ่งเป็นเพลงเก่าแก่ของมหาวิทยาลัยเราในวันเปิดห้องเชียร์ แล้วเพื่อนๆและแขกในวันนั้นจะโหวตให้กับพวกน้องตามที่เขาชื่นชอบ ไม่ว่าน้องจะเต้นได้หรือไม่ได้ เราจะวัดกันที่คะแนนโหวตเท่านั้น”

“มีเต้นไม่ได้ด้วยเหรอครับ?” น้องอะตอมถาม ผมกะไว้อยู่แล้วว่าน้องมันต้องถาม

“มีซิครับ” ผมตอบ “เพราะท่าเต้นเพลงนี้น้องๆทุกคนจะต้องค้นหาและฝึกซ้อมด้วยตัวเอง โดยมีเวลาก่อนถึงวันเปิดห้องเชียร์ ซึ่งก็คือหนึ่งสัปดาห์จากนี้ นี่เป็นการทดสอบความพยายามของน้องๆเอง เพราะฉะนั้น โชคดีนะครับ แล้วพบกันว่าอาทิตย์เพื่อบล็อกกิ้ง สำหรับวันนี้...... ขอบคุณทุกคนครับ”



เฮ้อออออออออออ

เสร็จภารกิจวันนี้สักที ผมเดินลากวิญญาณของตัวเองลงมาข้างล่างหลังจากบอกลาเพื่อนๆ



“เหนื่อยไหมครับวันนี้”

“อ้าว พี่ตอง” ผมแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นพี่ตองมายืนรออยู่ที่โถงคณะวิทย์ “มาถึงนานหรือยัง”

“ก็สักพักแล้วครับ” พี่ตองตอบยิ้มๆ ก่อนจะรับของจากมือของผมไปถือแล้วส่งเสื้อคลุมของคณะวิศวะมาให้ผมถือแทน การกระทำแบบนี้เป็นเรื่องปกติของผมกับพี่เขาไปแล้ว “เด็กปีหนึ่งเป็นไงกันบ้าง”

“อะไรกัน มาถึงก็ถามหาเด็กปีหนึ่งเลยเหรอ”

“คิดไรอยู่ครับ พี่ถามเพราะว่าอยากรู้เรื่องเด็กสองคนนั้นที่ชาปั๊มตราให้ต่างหาก ยังต้องให้พี่พูดอีกเหรอว่าพี่เลิกสนใจคนอื่นไปตั้งนานแล้ว มีแฟนน่ารักแบบ...”

“พอ” ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหนึ่งปีที่ผ่านมายังต้องมาเบรกไอ้หัวเหม่งนี่ไม่ให้พูดอะไรชวนเลี่ยนกลางที่สาธารณะแบบนี้

“ชาเริ่มก่อนเองนะ” ยังจะมาส่งสายตาอีก

“ก็บอกว่าพอไง.... เด็กสองคนนั้นก็ตามที่คาดนั่นแหละ น้องอะตอมมีความพยายามสูงมากจนเอาชนะใจกรรมการได้ทุกคน แต่คนที่พีคกว่าน่าจะเป็นน้องแทน เด็กคนนั้นมีประวัติความเป็นมาที่เหลือเชื่อมากเลย จุดประสงค์ที่อยากเป็นลีดก็ยิ่งใหญ่สุดๆเลย”

“อ๋อ เรื่องพ่อของน้องอะนะ”

“พี่รู้?”

“พี่ก็ต้องรู้ซิ พี่เป็นคนเกลี่ยกล่อมน้องมันเองนี่นา”

อ๋ออออ



“พี่น้ำชาครับ รอก่อนครับพี่น้ำชา”

ใครเรียกละเนีย จะถึงรถอยู่แล้ว

“อ้าว อะตอม ว่าไง” น้องอะตอมนั่นเอง แล้วไอ้น้องแทนก็วิ่งคู่มาด้วยกัน เดี๋ยวดีกันเดี๋ยวทะเลาะกันนะไอ้เด็กสองคนนี้

“เรื่องเพลง....อะไรนะ”

“มิ่งขวัญมัณฑนา” ไอ้น้องแทนบอกให้

“เออใช่” น้องอะตอมร้อง ความจำสั้นจริงๆเด็กกู จะไหวไหมเนี่ย “เพลงมิ่งขวัญมัณฑนาอ่ะครับ คือ... อย่าหาว่าผมขอพี่มากไปเลยนะครับ ถึงแม้พี่จะให้ทั้งตราประทับกับดอกกุหลาบกับเราสองคน แต่ผมขอร้องอีกอย่างนึงได้ไหมครับ ช่วยบอกพวกผมหน่อยว่าผมจะไปหาท่าเต้นเพลงนี้ได้ที่ไหน”

“ผมก็ขอร้องด้วยอีกคนนะครับ” ไอ้น้องแทนเสริม “ผมไม่อยากพึ่งพาปัจจัยอื่นๆอย่างเดียว ผมอยากพิสูจน์ว่าตัวเองก็พยายามเหมือนกัน”

“ก็....” ก็พอรู้อยู่หรอกว่าต้องมีคนเข้ามาขอร้องเรื่องนี้ แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้

“น้องก็ยืนอยู่ต่อหน้าคนที่รู้ท่าเพลงนี้ทั้งสองคนแล้วนี่ไง” เอ้า ไอ้พี่ตอง ตอบเร็วไปไหม

“เดี๋ยวดิ” ห้ามไปก็ห้ามไปทันอยู่ดี

“บอกไปเถอะน่า” ไอ้พี่ตองยิ้มมุมปาก “สุดท้ายก็ต้องบอกน้องอยู่ดี นี่เด็กของเราสองคนเลยนะ”

“หมายความว่าพี่น้ำชากับพี่ตองรู้ท่าเพลงนี้เหรอครับ” น้องอะตอมตาลุกวาว “พี่ๆพอจะสอนพวกเราหน่อยได้ไหมครับ”

“แล้วจะเอาอะไรมาแลกล่ะ” เอาวะ มาถึงจุดนี้แล้ว ตามเกมส์ไปละกัน

“แลกเหรอครับ... ผมไม่มีค่าสอนให้หรอกครับ พี่ก็รู้...”

“เดี๋ยวๆๆๆ จะบ้าเหรอ คิดว่าพี่อยากได้เงินหรือไง” ดูมันคิด

“นั่นดิอะตอม พี่เค้าคงไม่ได้หมายถึงอยากได้ของมีค่าหรอก” โอเค โชคดีที่ไอ้น้องแทนมันยังพอตีความออก “พี่เขาคงหมายถึงให้เราทำอะไรแลก อารมณ์เหมือนกับการรับน้องอะไรแบบนั้นหรือเปล่า”

“อ๋อ แบบนี้เองเหรอ” น้องอะตอมคล้อยตามอย่างง่ายดาย ก็ไม่ถึงกับตีความถูกเป๊ะๆ แต่ประมาณนี้ก็พอได้อยู่ “งั้นพี่น้ำชาสั่งมาได้เลยครับ จะให้พวกเราทำอะไร เต้นท่าไก่ย่างไหมครับ ผมเคยดูในละคร เวลารับน้องในมหาลัยพวกรุ่นพี่ชอบให้เต้นท่าไก่ย่างกัน”

เวรกรรม ผมละอดขำกับเด็กคนนี้ไม่ได้ซะที ขนาดพี่ตองยังหลุดหัวเราะเลย

“ท่าไก่ย่างคืออะไรเหรอ” ไอ้น้องแทนก็บ้าจี้ไปด้วย มันยิ่งอยู่ต่างประเทศนานๆอยู่ ไม่รู้จักวัฒนธรรมการรับน้องของประเทศนี้หรอก

“นี่ยังจะเต้นกันอีกหรือไง” ผมส่ายหน้า “วันนี้ก็เต้นกันไปเยอะแล้วนะ”

“ไม่ให้เต้นแล้วจะให้ทำไรอะครับ” น้องอะตอมยังสงสัย ท่าทางจะอยากได้ท่าเต้นเพลงมิ่งขวัญจริงๆ

“พาไปโรงบาลดีไหม” พี่ตองเสนอ

“ก็คิดๆอยู่” ผมตอบ ส่วนไอ้น้องสองคนก็ทำหน้างงว่าผมกับพี่ตองพูดเรื่องอะไรกัน “แต่ชาว่าตอนนี้พาน้องสองคนนี้ไปหาอะไรกินก่อนดีกว่า”

“ม...ไม่เป็นไรดีกว่าครับ/เกรงใจครับพี่” ปีหนึ่งทั้งสองรีบพูดประสานเสียงพร้อมกัน

“ไม่อยากได้แล้วเหรอท่าเต้นเพลงมิ่งขวัญมัณฑนาน่ะ” ผมถามและใช้จิตวิทยาเชิงบังคับเล็กน้อย

“ก็....”

“ถ้าอยากได้ก็ไปหาไรกินกัน เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง” ผมเร่งสรุปเลย “ไปๆ ขึ้นรถ”

น้องสองคนก็เลยต้องขึ้นรถมาแบบงงๆ

“จริงๆพี่น้ำชาไม่ต้องเลี้ยงพวกเราก็ได้นะครับ” น้องอะตอมพูดขึ้นอีกครั้งเมื่อพี่ตองเริ่มขับรถออกไป “พวกเราควรจะต้องเลี้ยงพี่ซะอีก”

“พี่เป็นพี่นะ” ผมขำในความคิดของเด็กพวกนี้ “เอาเถอะ พี่ชวนไปหาอะไรกิน พี่ก็ต้องมีเหตุผลอยู่แล้ว ที่สำคัญ ก็ไหนบอกว่าอยากได้ทุนกันทั้งคู่ไม่ใช่เหรอ เก็บเงินไว้เถอะ โดยเฉพาะเอ็งนะแทน ถ้าอยากทำตามความฝันระดับนั้นก็ต้องรู้จักเก็บเงินตั้งแต่วันนี้รู้ไหม”

“ขอบคุณที่แนะนำครับพี่” ไอ้น้องแทนพยายามโค้งศีรษะทั้งๆที่อยู่ในรถ นี่มันยังติดนิสัยจากคนญี่ปุ่นไม่หายอีกเหรอ “ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ”

“อะไร?”

“พี่สองคน....”

“จะบ้าเหรอแทน เสียมารยาท” น้องอะตอมรีบห้าม นั่นนะซิ ถ้าจะถามเรื่องของกูกับพี่ตองตรงๆ อันนี้ก็เสียมารยาทจริงๆนะ ไหนมึงชอบติดนิสัยจากคนญี่ปุ่นมาไม่ใช่เหรอ ไม่รับวัฒนธรรมความมีมารยาทของเขามาด้วยหรือไง

“ทำไมอ่ะ แค่จะถามว่าทำไมพี่เขาสองคนถึงใส่ใจพวกเราแค่นั้นเอง” อ้าวเหรอ จะถามแบบนี้หรอกเหรอ ก็มึงเล่นขึ้นต้นประโยคมาอย่างนั้น ใครฟังก็เข้าใจผิดทั้งนั้นแหละ “ดูพวกพี่เขาใจดีกับเราสองคนมากเลย”

“ก็....” ผมนึกว่าเหตุผลที่อธิบายให้ฟังเข้าใจง่ายๆ “น้องสองคนทำให้พี่นึกถึงตัวเองกับ....”

“กับพี่เหรอ” พี่ตองแทรกทันทีพร้อมกับยิ้มกว้าง เวรกรรม กูคงหาเหตุผลที่เข้าใจง่ายไปหน่อย เปลี่ยนๆๆๆ

“พี่หมายถึง พี่อยากทำให้ความฝันของน้องทั้งสองคนเป็นจริง น้องสองคนทำให้พี่มองเห็นพรสวรรค์กับพรแสวงที่อยู่กันคนละคน ก็ถ้าเป็นไปได้พี่ก็อยากให้น้องสนิทๆกันไว้นะ เพราะถ้าเป็นไปได้ มันคงดีมากถ้า............







...........พรสวรรค์กับพรแสวงอยู่ด้วยกัน”

ออฟไลน์ Riik

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ถ้ามีอัพตอนใหม่ ใส่หัวข้อแจ้งหน่อยได้ไหมคะ __ จะได้ตามต่อถูกจ้า

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
ถ้ามีอัพตอนใหม่ ใส่หัวข้อแจ้งหน่อยได้ไหมคะ __ จะได้ตามต่อถูกจ้า

แจ้งยังไงอ่าาาาา ช่วยสอนหน่อย ทำไม่เป็นจริงๆ

ออฟไลน์ BBChin JungBB

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
โล่งละ ตอนแรกคิดว่าอะตอมจะมาร้ายซะแล้ว
ส่วนแทนดูซื่อๆดี สองคนนี้เหมาะสมกันดีนะ

 :really2:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 4 [ภารกิจ Part 1]
«ตอบ #17 เมื่อ10-08-2018 16:21:35 »

​ตอนที่ 4 : ภารกิจ









“โซนิค”



ใครเรียกกูวะ?



“พี่ข้าวเจ้า เรียกผมเหรอพี่” รุ่นพี่ลีดนี่เอง นึกว่าใครที่ไหน มีอะไรหว่าก็เพิ่งจบรอบสัมภาษณ์เมื่อกี๊เองนี่นา

“ใช่” พี่เขาตอบโดยมีพี่คนหนึ่งเดินมาด้วย ตัวเล็กๆ ท่าทางเหนียมๆพร้อมกับเหล็กดัดฟันสีฟ้า “เรื่องรอบต่อไปอ่ะ ที่จะต้องเต้นเพลงมิ่งขวัญมัณฑนา ถ้าอยากติดตัวจริงก็อย่าลืมไปหาข้อมูลด้วยนะ ปกติพี่ไม่ควรจะมาเจ้ากี้เจ้าการอะไร แต่ไหนๆน้องก็มีหน่วยก้านดีกว่าคนอื่นๆ อย่าให้เสียชื่อก็แล้วกัน”

“แต่ผมไม่ค่อยมีเวลามากนักนะพี่ ผมเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ ผมต้องซ้อมทุกเย็นเลย”

“ก็ถ้าจะเอาดีทางนี้ก็ต้องทำให้ได้ จัดการเวลาดีๆ”

“แต่เมื่อกี๊พวกรุ่นพี่ที่ให้ของพวกนี้มา” ผมหมายถึงดอกไม้ ช็อกโกแลต และขนมนมเนยที่ถืออยู่เต็มมือของผมตอนนี้ “เขาบอกว่ายังไงผมก็ผ่านเข้ารอบอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเต้นเพลงนั้นเป็นก็ได้”

“ก็ถ้าจะคิดแบบนั้นพี่ก็จนใจ พี่ก็พูดได้แค่นี้ สมัยก่อนพี่ไม่มีโอกาสได้พิสูจน์ตัวเอง ก็เลยอยากให้น้องทำให้ได้ ถ้าน้องอยากจะแค่ยืนเฉยๆรอคนมาชื่นชม ก็ตามใจ แต่พี่ไม่ชื่นชมด้วยก็แล้วกัน”

แล้วทำไมผมจะต้องแคร์ว่าพี่จะชื่นชมผมหรือไม่ชื่นชม....

นั่นไง ทำหน้าแบบนี้ ไหนบอกว่าตามใจกูไง ไอ้พี่หน้าติ๋มที่ยืนอยู่ด้วยก็ชักสีหน้าใส่กูอย่างชัดเจน

อ่ะๆๆๆ “แล้ว... พี่จะให้ผมทำไงอ่ะ ผมจะไปหาท่าเต้นได้ที่ไหน” ทำเป็นถามไปงั้นแหละ กูไม่เอาเวลาที่มีค่าไปทำเรื่องพวกนั้นหรอก

“สี่ ไม่ซิ ตอนนี้คงเหลือแค่สามคนแล้วที่รู้ว่าท่าเต้นเพลงมิ่งขวัญเต้นยังไง”

“แล้วพี่...”

“ไม่มีพี่อยู่ในนั้นแน่นอน แต่เพื่อนพี่รู้ เพียงแต่... พี่จะไม่เป็นธุระจัดการหรือติดต่อให้นะ น้องต้องจัดการด้วยตัวเอง”

“......” นั่นไง นี่แหละเหตุผลที่กูจะไม่ทำ ใครจะไปว่างขนาดนั้นวะ

“คนที่รู้ท่าเต้นเพลงนี้ก็คือ หนึ่ง อาจารย์หมอพิชิต ถ้าอยากเจอคงต้องไปโรงพยาบาล แต่พี่ไม่แนะนำเท่าไหร่ ชื่อเสียงเรื่องความโหดของอาจารย์ท่านไม่ใช่เล่นๆ ที่สำคัญคงจะเป็นการรบกวนเวลางานมากจนเกินไป... คนที่สองคือ พี่ท๊อป แต่คนนี้พี่ก็ไม่แนะนำเหมือนกัน” เอ้า!! สรุปคือไม่แนะนำใครเลย แล้วจะให้กูไปเรียนกับกระบอกไม้ไผ่รึไง “เพราะพี่เขาอยู่ปีสี่แล้ว ยุ่งเรื่องเรียนมาก แถมยังอยู่แต่ต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่... คนที่สาม คนนี้แหละที่พี่จะแนะนำ พี่ตองกับพี่น้ำชา”

ห๊ะ!!! “เมื่อกี๊พี่พูดถึงใครนะ?”

“พี่ตองกับพี่น้ำชา”

เห้ยยยย พี่น้ำชา เอ๊ะ เดี๋ยวนะ “ทำไมคนที่สามถึงมาสองคนล่ะ?”

“เพราะพี่ตองกับพี่น้ำชาถือเป็นคนๆเดียวกัน”

“ยังไงวะพี่” จะต้องพูดให้งงไหมเนี่ย

“ไม่ใช่เรื่องที่พี่จะมาบอก แต่เอาเป็นว่าโซนิคจะไปขอความช่วยเหลือจากใครก็ได้ในสองคนนี้”

แบบนี้ก็แจ่มเลย แน่นอน คนที่กูจะต้องไปหาก็ต้องเป็น... พี่น้ำชา อยู่แล้ว

อุตส่าห์ชวดขอเบอร์พี่เค้าไปเมื่อตอนเที่ยง ไม่คิดว่าจะมีเหตุให้ได้เจอพี่เขาเร็วขนาดนี้ แบบนี้พลาดไม่ได้ซะแล้ว

“โอเคพี่ ผมจะหาท่าเต้นให้ได้อย่างที่พี่แนะนำก็แล้วกัน ยังไงผมก็จะเอาดีทางนี้แล้วนี่นา” ว่าไปนั่น “ว่าแต่... พี่พอจะมีเบอร์พี่น้ำชาป่ะ”

“มี แต่พี่ไม่ให้ บอกแล้วไงว่าต้องจัดการเรื่องนี้เอง พี่มาแนะนำให้ขนาดนี้ก็ถือว่าทำมากเกินไปแล้ว”

“โหพี่....”



ปี๊บ ปี๊บ

ใครวะ มีบีบแตรแถวนี้



“พี่ต้องไปแล้วนะ” เอ้า! ไปเลยงะ ใครมารับวะ สำคัญขนาดนั้นเลยหรือไง

“เดี๋ยว...”

“ปังจะให้เราไปส่งไหม” อ้าว หันไปคุยกับไอ้พี่หน้าติ๋มซะงั้น เคลียร์กับกูก่อนไหนครับพี่

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราต้องเข้าไปที่คณะวิทย์ก่อน” อืมมมม เสียงเป็นแบบนี้นี่เอง ฟังเหมือนเด็กเนิร์ดเลย แต่เมื่อกี๊พูดว่าอยู่คณะวิทย์ใช่ไหม “มีเรื่องต้องคุยกับบัดดี๊ทางโน้น ข้าวเจ้าไปเถอะ สุ่ยรอในรถนานแล้ว”

“โอเค ยังไงก็ขอบใจสำหรับวันนี้มากนะ พรุ่งนี้เจอกัน”

“ได้ๆ อ้อ อย่าลืมนะพรุ่งนี้สิบโมงที่ AXA”

“ไม่ลืมๆ เจอกันพรุ่งนี้ ไปละ”

บอกลากันเสร็จสับ ลืมกูเฉยเลย



“เดี๋ยวดิ” ผมเรียกพี่คนที่ยังอยู่ ชื่อปังใช่ไหมถ้าฟังไม่ผิด

“เรียกใครเหรอน้อง” พี่แกหันมาทำหน้า... เอ่อ.... เรียกว่าหน้าโหดได้ไหมแบบนี้ ดูยังไงก็เจี๋ยมเจี้ยม “ผมเป็นรุ่นพี่คุณนะ เรียกให้มันดีๆหน่อย”

“โหดซะด้วย” กูจะพูดตรงๆแบบนี้ มีปัญหาไรไหม

“ว่าไงนะ ก็บอกแล้วไงว่าผมเป็นรุ่นพี่ของ...”

“แล้วพี่มีปัญหาอะไรกับผมไหมล่ะ ผมเห็นนะว่าเมื่อกี๊พี่ชักสีหน้าไม่พอใจใส่ผม ผมก็มีความรู้สึกไม่พอใจเหมือนกัน และผมก็ไม่ใช่คนใจเย็นหรือจะอารมณ์ดีกับคนที่ทำเป็นก่างใส่ผมด้วย”

“ค...คุณจะท...ทำอะไรผมอ่ะ” โถ่ เสียงสั้นเชียว โดนขู่แค่นี้ก็หงอซะแล้ว ไหนเมื่อกี๊ทำปากเก่งจัง

“เดี๋ยววววว” ผมพี่คว้าแขนไอ้รุ่นพี่ตัวน้อยที่พยายามจะวิ่งหนีผม แขนสั่นอย่างชัดเจน นี่กลัวกูขนาดนั้นเลยเหรอ

“จ...จะทำอะไรอ่ะ น...นี่มันมหาลัยนะ ผ...ผมสู้นะ” เนี่ยนะท่าทางของคนจะสู้ ทำหน้าอย่างกับเด็กจะร้องไห้

“เอาเป็นว่าถ้าพี่ตอบคำถามผมมาสักสองสามข้อ ผมจะทำเป็นอารมณ์ดีแล้วก็ลืมเรื่องที่พี่ชักสีหน้าใส่ผมก็แล้วกัน”

“จะ...ถามอะไร”

ง่ายกว่าที่คิดแฮะ “พี่อยู่คณะวิทย์ใช่ไหม”

“ทำไมผมต้องบอกค...”

“พูดมากจริงเลย บอกให้ตอบก็ตอบเหอะน่า” ผมรู้ว่าจังหวะไหนควรจะต้องทำเป็นขู่ คนขี้หงอแบบนี้ ผมแกล้งมานักต่อนักแล้ว

“อ...อืม อยู่”

“ก็แค่นั้น ต้องให้เสียงดัง”

“ป...ปล่อยได้ยัง ผมเจ็บนะ”

กรรม เผลอจับแรงไปหน่อย สงสัยจะอินกับบทมากไปหน่อย

“เดี๋ยวดิ” พอปล่อยได้ก็ทำท่าจะหนีอีกรอบ ไวจริงๆ แต่ไม่ไวเท่านักกีฬาอย่างอั๊วหรอก ผมรีบคว้าแขนไว้อีกรอบ(จับเบาลงแล้วนะ)

“อ...อะไรอีก”

“พี่ชื่อปังใช่ป่ะ”

“อ....อืม”

“พอจะรู้จักพี่น้ำชาหรือเปล่า”

“ใครๆก็รู้จักน้ำชาทั้งนั้นแหละ ดังที่สุดในลีดมหาลัยแล้ว”

“พอจะมีเบอร์ของพี่เค้าไหม”

“ไม่มี”

“ตอบดีๆ อย่ามาทำไก๋น่า”

“ย...อย่าทำอะไรผมนะ ไม่งั้นผมร้องให้คนช่วยจริงๆด้วย” ฮึฮึ น่าขำชิบหาย ร้องให้คนช่วยเนี่ยนะ ไม่สมกับเป็นรุ่นพี่เล๊ยยยย

“งั้นก็เอาเบอร์พี่น้ำชามา อย่าลีลา จะได้ไม่ต้องมีปัญหากัน”

“ก็บอกว่าไม่มีไง แค่รู้จัก ไม่ได้หมายความว่าต้องมีเบอร์ซะหน่อย”

“งั้น... พอจะหาทางติดต่อให้ได้ไหม”

“ทำไมผมต้องช่วยคุณด้วย นั่นมันหน้าที่ของคุณไม่ใช่หรือไง อยากติดต่อเรื่องท่าเต้นเพลงมิ่งขวัญละซิ ผมรู้นะ”

“สรุปว่าจะไม่ช่วย” กลับมาขู่อีกรอบดูดิ ดูซิจะมีท่าทียังไง

“ก...ก็... เออ ก็บอกว่าไม่ช่วยไง”

“นี่...” จะลองของใช่ไหม ตัวแค่นี้ทำใจกล้า สะกิดทีเดียวก็กระดูกหักแล้ว

“จะชกจะต่อยอะไรก็เชิญ แต่ไม่ช่วยหรอก คุณมันรุ่นน้องนิสัยไม่ดี ผมไม่ช่วยหรอก”

ห๊ะ เอาจริงดิ หลับตาปี๋ กัดฟันแน่นจนเหล็กดัดฟังจะกระเด็นออกมาอยู่แล้ว นี่เตรียมตัวให้กูชกจริงดิ คนบ้าอะไรวะ แบบนี้ก็มีด้วย

จะบ้าเหรอ ใครมันจะไปชกคนไม่มีทางสู้ลงวะ ถ้าทำอย่างงั้นก็ใจโคตรหมาเลย



“ช่วยผมหน่อยน่าาาาาาา นะนะ” ไม้แข็งไม่ได้ผล งั้นก็ต้องยอมใช้ไม้อ่อน ยังไงก็ต้องหาทางเข้าถึงตัวพี่น้ำชาให้ได้ ผมปล่อยมือจากแขนของรุ่นพี่ตัวน้อย

“เอ่อ....” พี่แกลืมตาก่อนจะงงในท่าทีของผม

“นะพี่ ช่วยติดต่อให้ผมหน่อยดิ เดี๋ยวที่เหลือผมจัดการเอง”

“ไม่ ทำไมผมต้องช่วยคุณด้วย ผมเป็นบัดดี้ของข้าวเจ้า ไม่ใช่ของคุณซะหน่อย”

อ๋ออออ พวกที่เป็นผู้ช่วยของลีดมหาลัยเรียกว่าบัดดี้นี่เอง ว่าแต่ ไอ้คนตรงหน้าผมนิมันยังไง พอกูอ่อนให้แล้วก็ตัวทำได้ใจเลยนะ เดี๋ยวก็กลับไปโหดซะหรอก ไม่ได้ๆ ต้องใจเย็นๆ เมื่อกี๊พี่มันก็ไม่ยอมเราไปรอบนึงแล้ว ขืนขู่อีก คราวนี้จบเกมส์แน่ๆ

“ก็ผมแค่อยากทำตามที่พี่ข้าวเจ้าแนะนำไง” ผมอ้าง “ไหนพี่บอกว่าพี่เป็นบัดดี้ของพี่ข้าวเจ้าไม่ใช่เหรอ พี่เค้าคาดหวังกับผมมากนะพี่ก็น่าจะดูออก พี่ไม่คิดจะช่วยทำสิ่งที่พี่ข้าวเจ้าคาดหวังให้สำเร็จเหรอ”

“......” มีนิ่งคิด แสดงว่าเริ่มได้ผล งั้นขอร้องอีกหน่อยละกัน

“นะครับพี่ปัง ช่วยผมหน่อยนะ ผมขอโทษก็แล้วกันนะที่ตะหวาดพี่ไปเมื่อกี๊ ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมใจร้อนมากไปหน่อย ช่วยติดต่อพี่น้ำชาให้ผมหน่อยนะ หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้ผมได้เจอกับพี่เค้า นะพี่นะ นะครับ” ลูกอ้อนมาเต็ม

“จะลองคิดดูก็แล้วกัน” ได้ทีแล้ววางท่าใหญ่เชียวนะ “จะลองถามบัดดี้ของน้ำชาให้ก็แล้วกัน แต่! ไม่รับรองผลนะ ถ้าไม่ได้ก็ช่วยไม่ได้นะ”

“โอเค แค่นี้ก็พอพี่ ขอบคุณพี่มากเลยนะ”

“อืม”

“อ้าว เดี๋ยวดิพี่”

“อะไรอีกล่ะ จะกลับคณะแล้ว”

“แล้วผมจะติดต่อพี่ได้ไงอ่ะ ขอเบอร์ติดต่อพี่หน่อยดิ”

“เบอร์? ก็.... เอามือถือมาดิ” นึกว่าจะพูดอะไร แต่ก็ดี ง่ายๆแบบนี้ค่อยคุ้มกับที่ผมทำเป็นอ่อนให้หน่อย

ผมส่งโทรศัพท์ของผมให้ แล้วพี่ตัวน้อยก็กดเบอร์ของตัวเองลงเครื่องของผมก่อนจะส่งคืนมาให้

“งั้นเดี๋ยวคืนนี้ซักสองทุ่มผมโทรถามความคืบหน้านะพี่”

“สามทุ่ม สองทุ่มยังอ่านหนังสืออยู่” แหน๊ะ ทำเป็นวางท่า เดี๋ยวเถอะมึง หมดประโยชน์เมื่อไหร่จะขู่ให้หงอเลย

“โอเค สามก็สาม งั้นสามทุ่มผมโทรหานะ อย่าลืมติดต่อให้ผมด้วยนะ”

“อืม... ไปได้ยัง”

“เชิญครับคุณรุ่นพี่”

แล้วคนตรงหน้าผมก็รีบหันหลังแล้ววิ่งไปอย่างรวดเร็ว นี่คือยังกลัวกูอยู่ใช่ไหมเนี่ย ตลกจังรุ่นพี่คนนี้



เอาล่ะ เอาของฝากพวกนี้ไปเก็บในรถดีกว่า แล้วก็ไปซ้อมว่ายน้ำ คืนนี้สามทุ่มค่อยเช็คความคืบหน้าอีกที........



คงสงสัยละซิว่าทำไมผมอยากเจอพี่น้ำชานัก แต่ก็คงพอจะเดากันได้อยู่มั้ง ผมอ่ะชอบพี่น้ำชา ชัดเจนนะ ชอบตั้งแต่แรกเห็นเลยแหละ จะเรียกว่าแรกเห็นก็คงไม่ถูกซะทีเดียว ความจริงคือผมชอบคนที่เหมือนกับพี่น้ำชามาก่อนซะมากกว่า รู้นะว่าทายกันถูกแล้ว ใช่ ผมชอบพี่น้ำขิง

เมื่อปีก่อน พี่ต้อม ลูกพี่ลูกน้องของผม เปิดตัวแฟนของตัวเองกับที่บ้าน แล้วที่ช็อกกว่าก็คือแฟนพี่ต้อมดันเป็นผู้ชายซะงั้น แรกๆผมก็ตกใจอะนะ แต่พอรู้จักพี่น้ำขิงได้ไม่นานก็เข้าใจเลยว่าทำไมพี่ต้อมถึงกล้าเอาแฟนที่เป็นผู้ชายมาเปิดตัวกับพ่อแม่แบบนั้น น่ารัก ฉลาด อ่อนโยน นิสัยดี เหตุผลแค่นี้ก็ทำให้พ่อแม่พี่ต้อมหลงลูกสะใภ้จนหัวปักหัวปำแล้ว แล้วพอผมได้คุกคลีกับพี่น้ำขิงนานๆก็เลยเกิดความรู้สึกแอบชอบแฟนของพี่ตัวเองอย่างไม่รู้ตัว

แต่ครั้นจะให้ผมไปยุ่งกับแฟนของลูกพี่ลูกน้องตัวเองก็คงไม่ใช่เรื่อง แล้วที่ร้ายแรงกว่านั้นก็คืออำนาจบารมีของบ้านพี่ต้อมถือว่าอยู่คนละชั้นกับบ้านผมเลย ขืนไปยุ่งกับคนของบ้านพี่เค้า ไม่ใช่แค่ผมอะดิที่จะซวย พ่อแม่ของผมอาจจะซวยตามไปด้วย เพราะงั้นก็เลยเก็บความชอบไว้ในใจ หาทางออกด้วยการไปลองของกับคนอื่นๆข้างนอกเอา

จะบอกว่าไงดีล่ะ ผมก็เพิ่งจะรู้ตัวเองมาได้ปีนึงนี่แหละว่าผมเป็นพวกไบเซ็กชวล เพียงแต่มันก็ไม่ขนาดนั้น ผมก็ยังชอบผู้หญิงอยู่นะ แค่เกิดอารมณ์บ้างกับผู้ชาย แต่ก็ต้องน่ารักๆหน่อยนะ ถ้ามาแบบหน้าหนวดๆ หุ่นล่ำกล้ามใหญ่ แบบนั้นก็เอาไม่ลงเหมือนกัน แถมรู้สึกอยากจะอ้วกด้วยซ้ำ

แล้วพอเมื่อเที่ยงที่ผ่านมา พอผมได้เจอว่ามีพี่น้ำขิงอยู่อีกคนนึง(หมายถึงพี่น้ำชา) ก็รู้สึกเหมือนสวรรค์ยังเห็นใจผมอยู่ ไม่น่าเชื่อว่าในโลกนี้จะมีคนที่หน้าตาเหมือนกับคนที่ผมแอบชอบอยู่อีกคน เพราะงั้นผมก็เลยตกหลุมพี่น้ำชาทันทีที่เห็นกันเพียงครั้งแรก

คงแปลกใจใช่ไหมล่ะว่าทำไมผมถึงไม่ติดต่อผ่านทางพี่ต้อม แบบนั้นอ่ะห้ามเด็ดขาด ถึงผมจะรู้ตัวแล้วว่าผมมีรสนิยมความชอบแบบไหน แต่พ่อของผมนี่ดิ แอนตี้พวกรักร่วมเพศอย่างแรง ถ้าไม่ติดว่าบารมีของบ้านพี่ต้อมคุ้มกะลาหัวอยู่ พ่อก็คงเป็นหนึ่งคนที่จะชูป้ายขับไล่พี่น้ำขิงออกไปจากตระกูล และอาจรวมไปถึงพี่ต้อมด้วย เพราะงั้นเรื่องความชอบที่เพิ่มเติมมาใหม่ของผมนี้จะบอกให้พี่ต้อมรู้ไม่ได้ เพราะมันอาจจะรู้ไปถึงหูของพ่อผมได้ แล้วพ่อผมอ่ะโคตรโหดนะจะบอกให้ เป็นครูมวยไทยด้วย ขืนโดนพ่อซ้อม ผมได้ตายอย่างเขียดแน่ๆ

ช่วยผมเก็บเรื่องนี้เป็นความลับด้วยก็แล้วกัน......................................................................







และนั่นก็คือหนึ่งคนที่กำลังจะเข้ามามีช่วยเกี่ยวข้องในชีวิตของน้ำชา ผู้นำเชียร์ตำแหน่ง CenTer ของเราจะรู้หรือเปล่านะว่า ชีวิตรักในช่วงปีสองของเขากำลังจะมีบทพิสูจน์ใหม่เข้ามา เอาเป็นว่ากลับไปที่เจ้าตัวดีกว่า กลับไปดูว่าเขามีแผนอะไรเพื่อรับมือกับเรื่องพวกนี้หรือเปล่า.....







(มุมของน้ำชา)



“อยากกินอะไรก็ไปตักเลยนะ” ผมบอกกับอะตอมและแทน รุ่นน้องคณะวิทย์ที่ผมพาพวกเขาออกมาทานอาหารเย็น “ที่นี่เป็นบุพเพ่ ตักได้ตามใจชอบเลย สมัยปีหนึ่งชอบมากินบ่อยๆ”

“เกรงใจจังเลยครับ” น้องอะตอมยังคงวางตัวเกรงใจอยู่ตลอด

“มาถึงร้านแล้ว ยังจะเกรงใจอะไรอีก ถ้าเกรงใจก็กินเข้าไปเยอะๆ จะได้คุ้มกับค่าบุพเพ่”

“งั้นเราไปตักอาหารกันเถอะ” ไอ้น้องแทนชวนเพื่อน “ไม่ได้เห็นอาหารไทยเยอะๆแบบนี้มานานแล้ว น่ากินทุกอย่างเลย”

“ดีๆ เอาอย่างที่แทนพูดนั่นแหละ” ผมสนับสนุน “ว่าแต่... ทำไมสองคนเดินมาตัวเปล่า ไม่มีใครซื้อขนมให้เหรอ”

“ขนม?” ไอ้น้องแทนคิด “อ๋อ เหมือนจะมีนะครับ แต่ผมสองคนรีบวิ่งตามพี่มา ก็เลยไม่ทันได้รับของจากใครเลย”



“ไม่ได้นะ” พี่ตองแทรกขึ้นมา ในขณะที่กำลังดูบางอย่างในมือถือ “เวลาที่มีคนซื้อของมาให้ต้องรับและขอบคุณพวกเขา เราอยู่ในจุดที่การกระทำทุกอย่างกำลังถูกจับตามอง ไม่ว่าเขาจะซื้ออะไรให้หรือขอถ่ายรูปหรือแค่จับมือ ก็ควรให้เกียรติคนที่เขาชื่นชอบเรา”

“พี่ก็เห็นด้วยนะ” ผมเสริม “แต่มันก็มีแค่ช่วงแรกๆเท่านั้นแหละ หลังๆเดี๋ยวกระแสก็ซาลง ช่วงนี้ก็วางตัวดีๆแล้วกัน”

“ครับ เราจะจำไว้ครับ” ไอ้น้องแทนรับปากก่อนจะหันไปหาอะตอม “ไหนๆ ก็กินบุพเพ่แล้ว มาแข่งกันไหมว่าใครกินได้เยอะกว่ากัน”

“เล่นไรเป็นเด็กๆไปได้” อะตอมตอบ

“โห่ แข่งเถอะ ไหนๆเราก็เป็นคู่แข่งกันอยู่แล้ว หรือว่ากลัว”

“เอาคำพูดกูมาใช้เหรอ มา ก็ได้ แข่งก็แข่ง” ในที่สุดก็รับคำท้า เปลี่ยนอารมณ์ซะงั้น “แล้วจะแข่งกันด้วยอะไร ต้องเป็นของที่เหมือนกันนะ เพื่อความยุติธรรม”

“เอาเป็น.... อะตอมชอบกินอะไร”

“ชอบเหรอ? อืมมมม หมูยอก็ชอบนะ แต่วันนี้เพิ่งจะกินไปเอง งั้นเอาเป็นก๋วยเตี๋ยวไทยไหม แข่งกันที่จำนวนชามว่าใครเยอะกว่ากัน”

“เริ่ม”

“เห้ย รอด้วยดิ อย่าโกงนะเว้ย”

“ใครโกง ช้าเอง อย่ามามั่ว”

แล้วปีหนึ่งทั้งสองก็เดินเร็วสี่คูณร้อยไปที่โซนอาหาร

เด็กปีหนึ่งนี่มันสดใสกันจังเลยนะ



“ชาครับ” พี่ตองเรียก

“ว่าไง”

“พี่เช็คตารางงานแล้ว พรุ่งนี้พี่ไปส่งชาได้ แต่พี่ไม่ได้อยู่ที่งานด้วยนะ พี่ต้องไปถ่ายแบบอีกที่หนึ่ง”

“ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว จริงๆถ้าพี่ตองยุ่ง ชาโทรบอกอิเจสซี่ให้โทรตามแท็กซี่ให้ก็ได้นะ”

“ไม่ต้องหรอกครับ พี่อยากไปส่ง แล้วเสร็จงานก็รอพี่ก่อนนะ เดี๋ยวพี่กลับไปรับ พี่ไม่อยากให้ชานั่งแท็กซี่กลับเอง ไม่ชอบเวลาที่พวกแท็กซี่มองชา”

“พูดไรของพี่ เพ้อเจ้อน่า”

“ยังไงก็จะไปรับไปส่งเอง”

“ตามใจก็แล้วกัน ไปถ่ายแบบสายอย่ามาโทรชานะ.... แล้วจะกินอะไร เดี๋ยวชาตักมาให้”

“อะไรก็ได้ครับ”

“โอเค”

ผมเดินไปที่โซนอาหารบ้าง เดี๋ยวนี้พี่ตองไม่ค่อยเซอร์วิสผมทุกอย่างเหมือนแต่ก่อนแล้ว นั่นก็เพราะผมขอไว้เอง ผมอยากเป็นคนทำบ้าง เรื่องการดูแลผมพี่เค้าแทบจะทำทุกอย่างมาตลอด ช่วงหลังๆผมก็เลยออกปากเองว่าอยากทำเกี่ยวกับเรื่องงานบ้าน อาหารการกิน อะไรแนวๆนี้ ก็เป็นแฟนกันนี่นา จะแบมือรอเป็นฝ่ายรับอย่างเดียวได้ไง.......





“แปลว่าปีที่แล้วพี่ก็ไปช่วยงานที่โรงพ... แอ๊ะๆ พยาบาลมาอะดิ” อะตอมตื่นเต้นกับเรื่องที่ผมเล่าถึงการทำงานช่วยโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยเมื่อปีที่แล้ว ในขณะเราทั้งสี่กำลังทานอาหารกัน

“กินกันช้าๆก็ได้นะ” ผมเตือน ก็ไอ้น้องสองคนนี้อะดิ มันแข่งกินกันจริงๆ จริงจังซะด้วย กระหายชัยชนะอะไรกันขนาดนั้น “เดี๋ยวก็สำลักหรอก”

“ไม่ได้หรอกพี่ เดี๋ยวไอ้แทนมัน.... เห้ย กินช้าๆดิ”

“อ้าวอะตอม เอาพริกมาใส่ชามของเราทำไม” ไอ้น้องแทนโวยวาย “เรากินเผ็ดไม่ได้”

“กินก๋วยเตี๋ยวไทยมันก็ต้องเผ็ดซิ ไม่งั้นจะอร่อยได้ไง ไม่ต้องๆ กูใส่เยอะแล้ว”

“เอ็งสองคนนี่เสียงดังนะ เล่นกันเป็นเด็กๆไปได้” ผมเอ็ด

"ขอโทษครับ" "ขอโทษครับ"

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 4 [ภารกิจ Part 2]
«ตอบ #18 เมื่อ10-08-2018 16:22:57 »

(ต่อ Part 2)



“ปล่อยน้องเถอะชา เด็กผู้ชายกำลังทำความรู้จักกันก็งี้แหละ” พี่ตองออกปากพูด เดี๋ยวนะ เด็กผู้ชายบ้าอะไรทำความรู้จักกันด้วยการแข่งกิน “แล้วสองคนอยากทำงานที่โรงบาลไหม”

“ได้ครับ ไม่มีปัญหา” ไอ้น้องแทนตอบรับทันที “ก็บอกว่ามันเผ็ดไง”

"กินๆไปเถอะ" สลดได้ชั่วลมหายใจเดียวจริงๆ

“แต่ยังมีปัญหาอีกอย่างนะ” ผมนึกเรื่องนึงได้

“อะไรอ่ะ” พี่ตองถาม

“ก็แทนยังไม่มีพื้นฐานเกี่ยวกับการเต้นลีดเลยอ่ะ ต่อให้ช่วยงานที่โรงพยาบาลแล้วก็มีปัญหาตอนวันซ้อมอยู่ดี”

“ก็จริง หรือจะส่งไปให้พี่ชมพู่สอนดี”

“อย่าเลย เกรงใจพี่เค้า ปีที่แล้วก็ลำบากกับชามาคนนึงแล้ว”

“งั้นผมไปศึกษาเองก็ได้ครับ” แทนเสนอ “แล้วมันมีผลต่อการไปช่วยงานที่โรงพยาบาลหรือเปล่าครับ”

“เรื่องงานนั่นก็อีกเรื่อง แต่เรื่องพื้นฐานการเต้นสำคัญกว่ามาก ถ้าไม่มีพื้นฐานเลย ต่อให้มีพรสวรรค์แค่ไหนก็ไม่มีทางเต้นออกมาได้ดีหรอก ยังไงก็ต้องมีคนปรับพื้นฐานให้”

“อะตอมสอนหน่อยได้ป่ะ” ไอ้น้องแทนหันไปขอความช่วยเหลือคนข้างๆ

“กูเนี่ยนะ” อะตอมอุทานทันที “ไม่เอาหรอก กูเต้นไม่เก่งขนาดนั้น แล้วอีกอย่าง คู่แข่งที่ไหนเขาสอนให้กัน”

“ก็แค่พื้นฐานเอง ทำไม กลัวกูชนะจริงๆ หรือไง”

กรรม สรรพนามของไอ้เด็กสองคนนี้เริ่มเปลี่ยนแล้ว มึงสนิทกันเร็วไปไหม

“ใครกลัว แต่พื้นฐานของกูก็ไม่ได้ดีถึงขั้นจะไปสอนใครได้หรอก”

“ก็แค่เต้นๆ เอง....”

“เข้าใจใหม่ซะนะแทน” ผมแทรกทันที “ถ้าคิดว่าผู้นำเชียร์แค่เต้นๆ ก็คิดใหม่ตั้งแต่ตอนนี้เลย อะตอมอ่ะพูดถูกแล้ว ถึงจะเต้นท่ามาตรฐานเพลงมาร์ชมหาลัยได้ แต่ที่อะตอมเต้นยังห่างจากคำว่าถูกต้องมาก”

“ขนาดนั้นเลยเหรอพี่น้ำชา” น้องอะตอมเสียงอ่อน “ผมซ้อมหนักมากเลยนะ”

“นี่เป็นความจริง ท่าเต้นเพลงมาร์ชของจริง ไม่ใช่อะไรที่ฝึกเองได้หรอกนะ”

“แล้วแบบนี้จะเอาไงดี” พี่ตองเริ่มใช้ความคิด “ทั้งอาทิตย์นี้ชากับพี่ก็ไม่ค่อยจะว่างด้วยซิ คงลงมาสอนเองไม่ได้”

“คงต้องขอร้องคนอื่นแล้วล่ะ แต่ใครกันที่จะยอมมาปรับพื้นฐานให้สองคนนี้”

ผมเริ่มใช้ความคิด แต่ไอ้นักกินตรงหน้าของผมก็ยังไม่ลืมที่จะแข่งขันกัน

“ในรุ่นของชาก็เห็นจะมีแต่ข้าวเจ้านั่นแหละที่มีพื้นฐานดีกว่าคนอื่นๆ”

“นั่นซิ.... ชาก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ข้าวเจ้าจะยอมมาสอนให้หรือเปล่านี่ซิ”

“ยอมอยู่แล้วถ้าชาขอร้องเองอ่ะ”

ก็รู้อยู่หรอก แต่จะให้ผมเอาเปรียบข้าวเจ้าที่มองผมเป็นไอดอลแล้วถือโอกาสใช้งานเขาได้ยังไง

“ไม่ต้องคิดมากหรอก พี่ว่าข้าวเจ้าเต็มใจช่วย วันนี้ที่พี่ไปช่วยคณะสังคมเป็นกรรมการมา พี่เห็นเด็กท่าทางใช่ได้อยู่คนนึง ข้าวเจ้าก็ดูจะมีความหวังกับเด็กคนนี้อยู่นะ ถ้าให้เด็กคนนั้นมาปรับพื้นฐานร่วมกับเด็กสองคนของคณะวิทย์แล้วแลกกับที่ชาสอนท่าเพลงมิ่งขวัญให้เด็กจากคณะสังคม แบบนี้ก็น่าจะแฟร์เกมส์นะ วินวินกันทั้งสองฝ่าย ชาก็จะไม่ต้องรู้สึกผิดด้วย”

พี่ตองน่าจะกำลังพูดถึงไอ้น้องโซนิค ลูกพี่ลูกน้องของไอ้ต้อม

“งั้นชาจะลองคุยกับไอ้ข้าวดูก็แล้วกัน พรุ่งนี้มีงานเดินแบบด้วยกันพอดี”

“ตามนั้น.... ส่วนน้องสองคน หยุดกินแล้วฟังที่พี่จะพูดแป๊บนึง” พี่ตองสั่ง

อะตอมกับแทนวางตะเกียบอย่างรวดเร็ว

พี่ตองยื่นกระดาษแผ่นนึงให้ปีหนึ่งทั้งสองคน

“เอากระดาษแผ่นนี้ไปยื่นที่โรงบาลพรุ่งนี้ตอนเช้า” พี่ตองอธิบาย “จะมีพยาบาลส่งน้องสองคนไปต่ออีกทีนึง ที่นั่น น้องจะได้เจอกับอาจารย์หมอคนนึง น้องจะต้อง....”

“จะต้องคุยกับอาจารย์ท่าน” ผมรีบแทรก ไม่รู้ว่าพี่ตองจะพูดอะไร แต่ถ้าเป็นการบอกเคล็บลัดที่มากเกินไป อันนี้ผมไม่เห็นด้วยอย่างแรง “บอกว่ารู้จักพี่หรือพี่ตองก็ได้ อาจารย์ท่านจะให้... เอ่อ... ช่วยงานที่โรงพยาบาล เลือกแผนกที่ยากทำก็แล้วกัน”

“แค่นั้นเองเหรอครับ” ไอ้น้องแทนสงสัย “ง่ายไปไหม”

“แค่นั้น นั่นแหละคือภารกิจที่ต้องทำ” ผมตอบ ไม่รู้ว่าน้องมันจับพิรุจของผมได้แค่ไหน แต่ถ้าผมไม่บอก ยังไงสองคนนี้ก็ต้องเผชิญกับบททดสอบของอาจารย์หมอพิชิตอยู่ดี “กินต่อได้ กินซิ เดี๋ยวอะตอมชนะนะ” แกล้งเปลี่ยนเรื่องไป แต่ก็ได้ผล ทั้งคู่กลับมาแข่งกินจุอีกครั้ง

เอาล่ะ พรุ่งนี้คงต้องไปคุยกับไอ้ข้าวซินะ





เช้าวันต่อมา ทันทีที่จบเดินแฟชั่นโชว์ ผมก็เข้าไปคุยกับไอ้ข้าวเรื่องการขอให้มันมาสอนปรับพื้นฐานให้อะตอมกับแทนทันที อย่างที่คาดไว้ ไอ้ข้าวรับคำขอโดยง่าย



“เห็นว่าที่คณะสังคมปีนี้มีเด็กหน่วยก้านดีใช่ไหม มึงจะให้กูสอนเพลงมิ่งขวัญให้ก็ได้นะ” ผมเสนอตามแผนที่วางเอาไว้ "ถือเป็นการแลกกัน"

“ถ้าได้อย่างงั้นก็ดีมากเลย” ไอ้ข้าวดีใจ ท่าทางมันจะคาดหวังกับเด็กคนนี้จริงๆ อย่างที่พี่ตองบอกไว้เลย “แต่ก็ไม่แน่ใจว่าน้องคนนี้จะใส่ใจกระตือรือร้นแค่ไหน ก็แนะนำไปแล้วแหละ ไม่รู้ว่าจะ... อ้าว โซนิค นี่ไงเด็กปีหนึ่งที่กูพูดถึง”

ไอ้ข้าวเห็นใครบางคนมาจากด้านหลังของผม

“สวัสดีครับพี่ข้าวเจ้า” โซนิคจริงๆ ด้วย “สวัสดีครับพี่น้ำชา”

“มาหาพี่น้ำชาเหรอ” ไอ้ข้าวกระตือรือร้นที่จะถามเด็กคณะตัวเอง

“ใช่ครับ” น้องมันก็ท่าทางดีใจที่ได้เจอผมเช่นกัน

“งั้นก็คุยกันไปสองคนนะ” ไอ้ข้าวบอก ก่อนที่มันจะแอบกระซิบกับผมเบาๆ “ถ้าโซนิคไม่พยายามขอร้องมึงก็ไม่จำเป็นต้องตกลงนะ”

แล้วไอ้ข้าวก็เดินออกไป ชัดเจนว่ามันคงอยากให้ไอ้น้องโซนิคแสดงออกถึงความพยายามด้วยตัวเอง แต่ผมไม่รอช้าหรอก ถามไปตรงๆเลยก็แล้วกัน



“อยากให้พี่สอนเพลงมิ่งขวัญให้ไหม” / “สอนเพลงมิ่งขวัญมัณฑนาให้ผมหน่อยครับ”



อ้าว พูดพร้อมกันซะงั้น ถ้างั้นก็ง่ายเลย



“ได้ดิ” ผมบอก “แต่พี่อยากให้...”



“น้ำชา น้ำชา” จู่ๆก็มีใครคนหนึ่งวิ่งหน้าตั้งเข้ามา บัดดี้ของไอ้ข้าวนั่นเอง “ขอโทษนะน้ำชา คุณเข้ามาในนี้ได้ไง คุณจะพรวดพราดเข้ามาหาน้ำชาแบบนี้ไม่ได้นะ ผมแนะนำให้มาหา ไม่ใช่จะให้มาทำตัวเสียมารยาทแบบนี้” นี่กำลังพูดกับโซนิคเหรอ สองคนนี้รู้จักกันด้วยเหรอ

“อะไรวะพี่ นี่มันธุระของผม เรื่องอะไรมาห้ามผมล่ะ ผมไม่มีธุระอะไรกับพี่แล้ว อย่ามายุ่งน่า” โอ้โห นี่คือน้ำเสียงที่ลูกพี่ลูกน้องของไอ้ต้อมใช้พูดกับรุ่นพี่เหรอ ก้าวร้าวเกินไปหรือเปล่า

“ยังไงก็ไม่ได้ ออกไปก่อน” คนห้ามก็ยังพยายามห้ามต่อไป

“บอกว่าอย่ายุ่งไง ฟังไม่รู้เรื่องใช่ไหม”

เห้ย นี่ไม่ปกติแล้วนะ ทำไมถึงขั้นต้องแสดงสีหน้าข่มขู่แบบนั้นด้วยวะ นั่นรุ่นพี่มึงนะ

“ย... อย่าทำอะไรผมนะ” บัดดี้ของไอ้ข้าวรีบปล่อยมือจากแขนของเด็กเกรี้ยวกราดแล้วมายืนเกาะหลบอยู่หลังของผมอย่างรวดเร็ว

ไม่ได้ๆ ต้องพูดอะไรหน่อยแล้ว จะมาแสดงท่าทีแบบนี้ได้ไง ทำตัวไม่สมเป็นรุ่นน้องเลย

“น้อง....”



“เห้ย ขนมปัง” มีใครจะพูดแทรกอีกไหม อะไรกันนักหนา

อ้าว ไอ้สุ่ยนี่หว่า ไม่มีเดินแบบวันนี้นี่นา มันมานี่ทำไม

“เห็นข้าวเจ้าไหม” อ้อ ไม่รับไอ้ข้าวนี่เอง

“เพิ่งออกไปจากห้องเมื่อกี๊นี่เอง” คนที่เกาะหลังผมตอบ

“โอเค  “ ไอ้สุ่ยพูด “งั้นเดี๋ยวเรารับข้าวเจ้ากลับเลยนะ ขนมปังกลับเองได้ใช่ไหม”

“ได้ๆ พรุ่งนี้อย่าลืมเตือนข้าวเจ้าด้วยนะว่ามีประชุมที่คณะสังคม”

“โอเค”



“นี่พี่ชื่อขนมปังเหรอ” ทันทีที่ไอ้สุ่ยจากไป ไอ้โซนิคก็แซ็วบัดดี้ของไอ้ข้าวทันที แถมยังหัวเราะอย่างเปิดเผย “โห่พี่ ติ๋มได้อีกอ่ะ”

“นี่คุณ” ขนมปังเคืองทันทีแต่ก็ยังเกาะหลังผมแน่น

“ทำไม มีปัญหาอะไรกับผมหรือเปล่าครับคุณรุ่นพี่ขนมปัง”

“น...”

“เราขอคุยกับน้องแป๊บนึงได้ไหมขนมปัง” ผมออกปากพูดในที่สุด ทนดูความปีนเกลียวของเด็กคนนี้ไม่ไหวแล้ว ต้องจัดการอะไรซะบ้าง “ไม่ ไม่ต้องไปไหน ขนมปังอยู่ตรงนี้ด้วยกันนี่แหละ”

“ได้ยินแล้วนะ พี่น้ำชาอยากคุยกับผม ช่วยอยู่เงียบๆด้วย” ยังไม่วายจะหันไปขู่เขาอีกนะมึง

“เรื่องที่พี่จะสอนท่าเต้นเพลงมิ่งขวัญให้ ยังสนใจอยู่ไหม” เริ่มแผน

“สนใจซิครับพี่น้ำชา”

“แต่พี่ไม่สอนให้ฟรีๆหรอกนะ ใครจะให้พี่สอนให้ก็ต้องทำอะไรแลกเปลี่ยนทั้งนั้น”

“บอกผมมาเลยครับ ผมยินดีทำทุกอย่างเลย”

“ยินดีทำ แต่ก็ต้องทำสำเร็จด้วยนะ ไม่ใช่สักแต่ว่ารับปากอย่างเดียว”

“ผมเป็นคนจริงครับพี่ พูดแล้วก็ต้องทำได้ พี่ไว้ใจผมได้เลย” พูดซะเว้อร์เชียว เคยคิดว่าไอ้ต้อมเล่นใหญ่แล้วนะ ญาติมันนี่เบอร์ใหญ่กว่าเห็นๆ แต่ก็ดี ถือว่าเป็นไปตามแผน

“พูดได้ดี.... เห็นแล้วใช่ไหมว่าพี่ข้าวเจ้ามีงานเยอะแค่ไหน”

“พี่ข้าวเจ้า?” ไม่ต้องงง กูกำลังจะอธิบาย

“ใช่ พี่ข้าวเจ้าน่ะ เป็นทั้งประธานลีดคณะสังคมของน้อง งานนอกมหาลัยก็ต้องทำ ไหนพี่จะเพิ่งขอร้องให้เขามาทำธุระให้พี่อีก เพราะงั้น... พี่ก็เลยอยากขอร้องให้น้องโซนิค ช่วยมาทำงานเป็น..... ผู้ช่วยของบัดดี้ของพี่ข้าวเจ้าให้หน่อย”

“ห๊ะ” “ห๊ะ”

ผมไม่แปลกใจในการอุทานของขนมปังและไอ้น้องโซนิคเลยสักนิด เพราะกะไว้แล้วว่าต้องมีปฏิกิริยาแบบนี้

“ไม่เอานะน้ำชา” ขนมปังร้องปฏิเสธเป็นการใหญ่

“เชื่อเราเถอะน่าขนมปัง” ผมพยายามใช้จิตวิทยา “ช่วงนี้ข้าวเจ้ากำลังงานเยอะ ขนมปังจะได้เบางานลงมาบ้าง มีผู้ช่วยแข็งแรงๆอยู่ด้วยสักคนก็ดีออกนี่นา”

“แต่ว่า....” ขนมปังมีสีหน้าระหว่างความอึดอัดและหวาดกลัวเมื่อมองหน้าเด็กคนนี้

“ถ้าพี่เห็นว่าขนมปังมีท่าทีหวาดกลัวแบบนี้ พี่จะถือว่าภารกิจของน้องล้มเหลวนะ” ผมหันไปหาเด็กปีหนึ่งตัวสูงตรงหน้าอีกครั้ง พยายามพูดทุกอย่างให้ชัดเจนที่สุด “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่พี่เขาถูกทำร้ายร่างกายหรือข่มขู่หรือแม้กระทั้งบ่นเล็กๆน้อยๆ ถ้าพี่ขนมปังโทรมาฟ้องว่าโซนิคไม่ดูแลหรือไม่ช่วยงานหรือทำให้พี่เขาไม่สบายใจ พี่จะถือว่าการทดสอบล้มเหลวทันที เข้าใจที่พี่พูดไหม”

“คือ...” ไอ้น้องโซนิคหน้าตาลังเลแบบปิดไม่มิด ความมั่นใจของมึงหายไปไหนแล้วล่ะ

“ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ตกลง” ถึงคิวที่มึงต้องฟังคำขู่บ้าง

“ด...ได้ครับ ได้ครับพี่น้ำชา ตกลงครับ” ดีมาก

ตอนแรกก็กะว่าจะให้ไปช่วยงานที่โรงบาลเหมือนอะตอมกับแทน แต่คนแบบนี้ต้องโดนดัดสันดานให้เข็ด

“ช่วยงานพี่ขนมปัง” ผมสั่งย้ำ

“ค...ครับ”

“ดูแลความปลอดภัยให้พี่ขนมปัง”

“ครับ”

“ไปรับไปส่ง”

“ครับ”

“พี่เขาสั่งอะไรก็ต้องทำ”

“เอ่อ....”

“ไม่ตกลงเหรอ”

“ต... ตก....ตกลงครับ ตกลง ผมจะทำทุกอย่างเลยครับ”

“โอเค พี่จะโทรหาพี่ขนมปังทุกวันเพื่อถามถึงการทำงานของน้อง หวังว่าพี่จะไม่ได้ยินว่ามีอะไรหรือใครมาทำให้บัดดี้คนเก่งคนนี้ต้องไม่สบายกายไม่สบายใจนะ”

“ครับ”

“ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีนะ ถ้าทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีก็เจอกันอีกทีวันอาทิตย์นะ.... อืมมมม พี่ว่า เริ่มเลยดีกว่าไหม ด้วยการไปส่งพี่ขนมปังกลับที่พัก” ผมหันไปหาขนมปังบ้าง ซึ่งเจ้าตัวยังคงมองไอ้เด็กปีนเกรียวด้วยความหวั่นใจอยู่เลย “ยังไงฝากน้องคนนี้ไว้ช่วยงานสักอาทิตย์นึงนะ เดี๋ยวเราขอเบอร์ที่เจสซี่โทรไปหาทุกวันนะ ไม่ต้องกลัวนะ”

“แต่ว่า....”

“ไม่ต้องกังวล เชื่อเราซิ”

“ก...ก็ได้”

“โอเค.... งั้นเชิญไปส่งพี่ขนมปังได้ เจอกันวันอาทิตย์นะ”

“ก็ไปดิ ยืนมองหน้าทำไม” แหน๊ะ ดูไอ้โซนิคมันพูด นี่ยังไม่พ้นสายตากูเลยนะ

“อะแฮ่ม” ต้องให้กูเตือนไหม

“อ... เอ่อ... เชิญครับพี่ขนมปัง เดี๋ยวผมไปส่งครับ” ดี แบบนี้แหละที่ต้องการ อย่าหลุดนะมึง “ผมช่วยถือของให้นะครับ เดี๋ยวพี่หนัก”

โถไอ้น้อง หงอเชียวนะ คนแข็งๆอย่างเอ็งต้องเจอไม้นี้แหละ

แล้วในที่สุดทั้งสองก็จากไป



“นี่คิดจะทำอะไรเหรอครับคุณแฟน”

“พ...ตอง” ชอบเข้ามาข้างหลัง เอ้ย เข้ามาทีเผลอแบบนี้ตลอด นี่ไม่ใช่พระพุทธเจ้านะที่จะมีสติรู้แจ้งตลอดเวลาได้ “ให้ซุ่มให้เสียงกันบ้างซิ”

“ก็พูดแล้วนี่ไง ชาตกใจอะไรขนาดนั้น นี่แสดงว่ากำลังวางแผนอะไรอยู่ใช่ไหม”

“แผนอะไรเล่า”

“ก็เมื่อกี๊ไง พี่ยืนดูอยู่ตั้งนานแล้ว นี่คิดจะทำอะไรกันแน่ ทำไมให้เด็กคนนั้นไปเป็นผู้ช่วยของบัดดี้ของข้าวเจ้า”

โอ้โห นี่ยืนฟังมานานแค่ไหนกันเนีย รู้เรื่องละเอียดอะไรเบอร์นั้น

“ก็ไม่มีอะไร” ผมบอก “ก็แค่ดัดนิสัยคนก้าวร้าวนิดหน่อย”

“ยังไง”

“รู้หรือเปล่าว่าน้องคนเมื่อกี๊เป็นลูกพี่ลูกน้องของไอ้ต้อม”

“จริงอ่ะ!?”

“ใช่ ก็ถ้ามันสองคนเป็นญาติกันจริงๆ ก็คงมีอะไรที่คล้ายๆกัน พวกโผงผาง ทำทีเป็นมั่นใจในตัวเองแบบนี้.....









........มักสยบด้วยขั้วที่ตรงกันข้าม”

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
ตอนที่ 5 : ความคาดหวัง









“ฮัลโหลสวัสดีครับ ปังพูดครับ” คนปลายสายรับโทรศัพท์จากผม พูดซะเพราะเชียว ก็รู้อยู่นะว่าขนมปังเป็นคนสุภาพแต่ไม่คิดว่าจะสุภาพขนาดนี้ เคยคิดว่าขิงเรียบร้อยแล้วนะ เจอขนมปังเข้าไป ขิงถือว่าเบาไปเลย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงโดนไอ้น้องโซนิคมันขู่ได้ง่ายๆแบบนั้น

“ขนมปัง นี่ชานะ” ผมบอก

“ชา? อ๋อ น้ำชาเหรอ”

“ใช่ เราขอเบอร์มาจากเจสซี่อ่ะ เป็นไงบ้าง ตอนนี้ทำอะไรอยู่ โซนิคได้ไปช่วยงานตามที่รับปากไว้ไหม”

“เอ่อ.....” อะไรคือการอ้ำอึ้ง “ทำไมถึงโทรมาตอนนี้ล่ะ ไหนน้ำชาบอกว่าจะโทรมาตอนเย็นไม่ใช่เหรอ” บ่ายเบี่ยงซะงั้น

“โทรมาตอนไหนก็ไม่เห็นต่างกันเลย หรือขนมปังยุ่งอยู่”

“เปล่า ไม่ได้ยุ่ง”

“แล้วสรุปว่าไง น้องช่วยงานโอเคไหม”

“ก็....” อ้ำอึ้งอีกแล้ว

“อย่าบอกนะว่าน้องไม่ได้มาช่วยงานตามที่ตกลงกันไว้” ยิงตรงแม่งเลย

“ป..เปล่า มาช่วย น้องช่วยงานดีมากเลย” ไม่จริงอ่ะ เรื่องการจับโกหก คนอย่างผมไม่เป็นสองรองใคร ลองขนมปังพูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้ ต้องมีอะไรไม่ปกติแน่ๆ

“ดีแล้วล่ะ งั้นก็แค่นี้นะ”

“อ...โอเค”

ผมกดวางสายทันที แต่เพียงชั่วอึดใจเดียวผมก็โทรไปหาคนเดิมอีกรอบ เพียงแต่ไม่ใช่การโทรผ่านเสียงธรรมดา ผมเปิดวิดีโอคอลเลย



“น....น้ำชา ทำไมโทรมาอีกล่ะ”

“ก็โทรมาดูความจริงไง” ถามจริงก็ตอบตรง และก็อย่างที่สงสัย จากภาพสถานที่ที่ปรากฏบนหน้าจอตอนนี้ ดูยังไงก็ไม่ใช่คณะสังคมแน่นอน “แล้วนี้ขนมปังอยู่ที่ไหนน่ะ?”

“เรา.....”

“ขนมปัง บอกความจริงกับเรามาดีกว่านะ อย่าให้เราต้องโทรหาข้าวเจ้านะ” นี่กูเพิ่งจะขู่เขาไปหรือเปล่าวะ

“ย...อย่าโทรนะ ก็ได้ๆ” กว่าจะยอมสารภาพได้นะ “เราอยู่หน้าหอของ....”

“ของใคร?”

“โซนิค”

“ห๊ะ! ทำไมไปอยู่ที่นั่นล่ะ”

“เรามา.... รอน้องอยู่หน้าหออ่ะ”

“เดี๋ยวก่อนนะขนมปัง ทำไมขนมปังต้องไปรอโซนิคด้วย น้องไม่ใช่เหรอที่ต้องรอขนมปัง แล้วนี่มันกี่โมงแล้วเนี่ย สิบโมงกว่าแล้วนิ ยังไม่ไปทำงานกันอีกเหรอ”

“น้องบอกให้เรามารอที่นี่ ตอนเช้าน้องไม่ว่าง”

“ห๊ะ” “เห้ยยยย นั่นพูดกับใครอ่ะ”

อืมมมมม มาแล้วเหรอไอ้ตัวแสบ

“อย่าบอกๆ” ไม่ต้องทำมาเป็นกระซิบ กูได้ยิน ต่อให้กูไม่ได้ยินกูก็เดาได้ นี่มึงต้องขู่ให้ขนมปังไปยืนรอที่หอแหงๆ แทนที่ตัวเองจะต้องเป็นคนขับรถไปหาเขา

“ขนมปัง ส่งโทรศัพท์ให้โซนิคหน่อย เราจะคุยกับน้องเอง” ผมบอก

ดูจากสีหน้าแล้ว ขนมปังยังดูกลัวไอ้เด็กคนนี้อยู่มาก ท่าทางยังกล้าๆกลัวๆอยู่เลยที่จะต้องส่งโทรศัพท์ให้กับไอ้ตัวการ   



“พ...พี่น้ำชา”

“ไม่ผ่าน” ผมพูดทันที

“อะไรนะครับ!” ไม่ต้องมา อะไรนะครับ ​กับกูเลย

“พี่พูดชัดเจนแล้วนะว่า ไม่ผ่าน ​ภารกิจของน้องล้มเหลว”

“เดี๋ยวซิครับพี่น้ำชา ค...คือ....คือผมแค่...”

“แค่ให้พี่ขนมปังมารอที่หอ ในเวลาสิบโมงกว่า ทั้งๆที่น้องมีหน้าที่ต้องไปรับพี่เขา จะพูดอย่างนี้หรือเปล่า”

“พอดีว่าผม...”

“พอดีว่าผมขู่พี่เขาได้ ผมก็เลยขู่พี่เขาอย่างเต็มที่ และผมก็ไม่อยากตื่นเช้า พี่ต่อประโยคถูกไหม”

“.....” เงียบไปเลยซิมึง เวลากูโหดกูก็เอาจริงนะ กะอีแค่เขี่ยเด็กไร้ความรับผิดชอบทิ้งทำไมกูจะทำไม่ได้ ยังไงไอ้ข้าวก็ต้องช่วยกูอยู่ดีต่อให้มีหรือไม่มีไอ้เด็กคนนี้ก็ตาม

“น้องคิดว่าความคาดหวังในภารกิจครั้งนี้ของพี่คืออะไรกัน เมื่อวานพี่สั่งน้องชัดเจนทุกอย่าง พยายามไม่พูดตรงๆว่าน้องควรมีสัมมาคาราวะกับพี่ขนมปัง อย่าคิดว่าพี่จะมองข้ามนะ ถ้าน้องแปลสิ่งที่พี่พูดไม่ออก ซ้ำยังทำตามคำสั่งไม่ได้ พี่ก็ขอพูดตามตรงว่าเราสองคนคงไม่สามารถร่วมงานกันได้ พี่ไม่สามารถร่วมงานกับคนไม่มีความรับผิดชอบและขาดความยำเกรงรุ่นพี่อย่างน้องได้จริงๆ”

“พ....พี่น้ำชาครับ ผมผิดไปแล้วครับ ผมจะไม่ทำอีกแล้ว ผมสัญญาครับว่าจะทำตามที่พี่บอกไม่ให้ขาดตกบกพร่องแน่นอน อย่าเพิ่งตัดสินผมเลยนะครับ” พูดเป็นชุดแบบไม่หายใจเชียวนะมึง

“เมื่อวานน้องก็พูดแบบนี้ ไหนล่ะคำว่า คนจริง ที่น้องอวดอ้างสรรพคุณตัวเอง... เอาล่ะ พี่จะไม่พูดกับน้องอีกแล้ว ส่งมือถือให้พี่ขนมปัง พี่จะยกเลิกคำสั่งกับพี่เขา”



ไม่ต้องมาทำหน้าสลดใส่กู เด็กอย่างมึงต้องเจอแบบนี้ คิดว่ากูจะแคร์หรือไง พอเลย เมื่อวานอุตส่าคิดว่าจะเปลี่ยนนิสัยก้าวร้าวของคนได้ แบบนี้ก็เห็นชัดๆว่ามันฝังลงในดีเอ็นเอแล้ว ตอนแรกกะว่าจะใช้เด็กคนนี้เป็นข้ออ้างให้ข้าวเจ้ามาช่วยซะหน่อย แต่ดูแล้ว กูคงต้องขอร้องตรงๆแล้วล่ะ



“น้ำชา คือ...” ขนมปังพยายามจะพูดกับผมเมื่อได้รับโทรศัพท์ของตัวเองคืน

“เราขอโทษที่ต้องทำให้ลำบากนะขนมปัง” ผมพูดตัด “เราผิดเองที่เอาเรื่องของเราไปให้ขนมปังทำ ยังไงก็กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองเถอะนะ เราไม่รบกวนแล้วดีกว่า ยังไงก็ขอบใจมากนะ”

“ไม่เป็นไรเลย แต่ว่า.....ให้โอกาสน้องอีกทีได้ไหม นะ ถือว่าเราขอร้องล่ะ”

“ห๊ะ!! นี่ขนมปังจะไปขอร้องแทนเด็กคนนั้นทำไม เค้าทั้งพูดจาไม่ดีกับขนมปัง ทำตัวก็ไม่สุภาพ แถมยังทำให้ขนมปังลำบากขึ้นอีก ทั้งๆที่หน้าที่ของเขาคือการต้องทำให้ขนมปังสบายขึ้นด้วยซ้ำ”

“ร...เราจะไม่ให้น้องมาข่มขู่ได้อีกแล้ว แต่ว่าครั้งนี้ ขอร้องนะ ให้โอกาสน้องทำภารกิจต่อเถอะนะ ข้าวเจ้าคาดหวังกับน้องคนนี้มาก”

ดู๊ ดูดู ดูความเป็นคนดีของไอ้คนสุภาพนี่ซิ พูดซะกูใจอ่อนเลย

“งั้นเราขอคุยกับน้องอีกทีหน่อย” อ่ะๆ ถ้าเจ้าตัวเขาโอเค กูก็จะทำอะไรได้ล่ะ



“ผมสัญญาครับ ผมจะปรับปรุงตัว ผมสัญญาจริงๆนะครับ ไม่ทำแบบนี้อีกแล้วครับ” ไอ้เด็กนี่ ชิงพูดก่อนเลยนะ ไม่เปิดโอกาสให้กูเตือนมึงก่อนเลย

“ครั้งนี้พี่จะถือว่าพี่ขนมปังขอร้องนะ แต่ถ้ามีครั้งหน้าอีก พี่จะไม่ใจดีอีกแล้ว ต่อให้อธิการบดีมาขอร้องพี่ก็ไม่ใจอ่อนแบบนี้อีกเด็ดขาด”

“ครับ เอาหัวผมเป็นประกันได้เลย”

“พี่ไม่อยากฟังคำโอ้อวดของน้องอีกแล้ว พี่จะขอดูด้วยตัวเอง จากนี้พี่จะโทรหาพี่ขนมปังตลอด ถ้าพี่เห็นพฤติกรรมอะไรทำนองนี้อีก เตือนแล้วนะ” มาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ก็มา เอากะกูดิ

“ครับพี่น้ำชา ขอบคุณครับ งั้นผมขอไปทำหน้าที่ของตัวเองเลยนะครับ... พี่ขนมปังครับ ไปคณะสังคมกันครับ มาครับเดี๋ยวผมถือของให้นะ ไม่ต้องครับเดี๋ยวผมเปิดประตูรถให้เอง....”

ทำเป็นร้างภาพ ไอ้เด็กเวร ทำให้ได้ตลอดนะมึง

ผมยกเลิกวิดีโอคอลก่อนจะยืนจ้องโทรศัพท์มือถือของตัวเอง

เห้ออออออออออออออออ

“เป็นอะไรครับชา ทำไมทำหน้าแบบนั้น” พี่ตองถาม ตอนนี้ผมกับพี่ตองอยู่กับที่โรงพยาบาล ผมกำลังเดินเก็บกล่องอาหารกลางวันให้น้องๆ ในแผนกผู้ป่วยเด็ก ส่วนพี่ตองกำลังเล่นจิ๊กซอว์กับน้องโชกุน “เดี๋ยวจะต้องไปถ่ายแบบแล้วนะ ทำหน้าแบบนั้นเดี๋ยวภาพก็ออกมาไม่สวยหรอก”

“ชาเป็นห่วงเด็กสองคนนั้นอ่ะ” ผมบอก เรียกว่าระบายเสียมากกว่า

“สองคน? อ๋อ อะตอมกับแทนอะเหรอ  ก็แล้วไหนเมื่อวานพี่เห็นชายังทำท่าห้ามไม่ให้พี่บอกวิธีเจรจากับอาจารย์หมอให้สองคนนั้นฟังอยู่เลย ไหงมากลุ้มเองแบบนี้ล่ะ”

“ก็ดูนี่ซิ พี่ตองเห็นแล้วใช่ไหมว่าไอ้น้องโซนิคนั่น แค่เรื่องง่ายๆมันยังทำไม่ได้เลย แล้วอะตอมกับแทนล่ะจะเป็นยังไง ภารกิจของสองคนนี้ถือว่ายากกว่ามากเลยนะ”

“พี่ว่าชาคาดหวังมากเกินไปนะ ถ้ากลัวว่าน้องจะไม่ผ่านทำไมไม่ปล่อยให้พี่บอกเคล็บลัดการพูดกับอาจารย์หมอไปตั้งแต่เมื่อวานล่ะ”

“ชาก็แค่อยากให้ทั้งสองคนผ่านบททดสอบได้ด้วยตัวเอง อยากให้เขาได้เห็นคุณค่าของสิ่งที่กำลังจะได้มา แต่พอมาคิดอีกแง่นึง มันก็ไม่ต่างกับชาส่งคนไปให้อาจารย์หมอดุ แล้วก็ไม่รู้ว่าสองคนนั้นจะรับมือได้หรือเปล่า แล้วถ้าน้องถอดใจล่ะ หรือว่าเสียความรู้สึก ถ้าน้องรับมือกับอาจารย์หมอไม่ได้ล่ะ”

“ชาครับบบบ วิตกจริตเกินไปแล้ว อย่าไปกังวลแทนน้องมันเลยนะ ทุกคนมีเรื่องที่ต้องเจอทั้งนั้น ชาทำถูกแล้วครับ แค่นี้ก็ถือว่าเราช่วยมากแล้วนะ หน้าที่บางอย่างก็ต้องปล่อยให้เค้าได้ทำเองบ้าง”

เห้ออออออออ มันก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี ปีที่แล้วผมโดนด่าซะบ่อน้ำตาแตกเลย นี่ถ้าขืนผมทำให้เด็กสองคนนั้นตกอยู่ในสภาพเดียวกับผม ผมคง.... รู้สึกแย่ชะมัด เห้ออออออออ

“แล้วนั่นชาจะไปไหนครับ?” พี่ตองถามเมื่อเห็นผมหันหลังกำลังเตรียมเดินออกไปนอกห้อง

“ไปห้องน้ำ” ผมโกหก “ชาปวดท้อง”

แท้ที่จริงแล้ว ผมออกมาเพื่อลงไปยังชั้น 3 ห้อง MD1103 ห้องพักของหมอพิชิต ซึ่งตอนนี้อะตอมกับแทนน่าจะกำลังรออาจารย์หมออยู่ในนั้น

หวังว่าทั้งสองคงจะไม่โดน.....



“คิดว่ามันเป็นเรื่องตลกหรือไง เพราะรุ่นพี่แนะนำเหรอ ไม่รู้จักใช้ความคิดกันเองเลยใช่ไหม”



เชี่ยยยยยยยยย เวรกรรมมมมมมมมม

ไม่ทันขาดคำ ให้ตายเถอะ อาจารย์หมอพิชิตกำลังรัวกลองชุดเลย

ผมพยายามเงียบแอบฟังการสนทนา



“ก็พี่น้ำชาเค้า...”

“พี่น้ำชา พี่น้ำชาทำไม เพราะเธอสองคนรู้จักคนดังก็เลยคิดว่าผมจะตอบตกลงรับปากให้มาทำงานที่โรงพยาบาลง่ายๆเลยอย่างงั้นเหรอ”

นี่คงจะเป็นอะตอมซินะที่กำลังโดนตะหวาดใส่ จากสถานการณ์ไอ้น้องแทนก็คงอยู่ในนั้นด้วย

“เราสองคนแค่อยากมา...” เสียงของไอ้น้องแทน

“แค่*?* เธอพูดว่าแค่เหรอ” คุณพระคุณเจ้า อาจารย์หมอจัดหนักกว่าที่ผมโดนซะอีก ขนาดไอ้น้องแทนพยายามจะอธิบบาย อาจารย์ท่านยังไม่เปิดช่องให้เลย เอาไงดีวะกู จะเสียมารยาทเข้าไปช่วยเลยดีไหม “คิดว่าการเป็นผู้นำเชียร์ของที่นี่เราขึ้นอยู่กับคำว่า แค่ อย่างนั้นเหรอ ถ้าพวกเธอไม่รู้จักความสำคัญของระบบนี้ก็ไม่ควรก้าวเท้าเข้ามาหาผม คิดว่าผมตั้งกฎต่างๆขึ้นมาทำไม เพื่อให้เด็กเส้นอย่างพวกคุณมาทำตัวสบายใจ เดินเข้ามาเป็นคนดังได้หน้าตาเฉยหรือไง ผมไม่รับ และต่อให้ใครจะมาพูดช่วยพวกคุณ ผมก็ไม่ยอมรับทั้งนั้น ออกไปจากห้องพักของผม!!”

“ร...เรากลับกันเถอะแทน” อะตอมคงกลัวขึ้นมาจริงๆแล้วล่ะซิเนีย น้ำเสียงแบบนี้

“ให้ตายเถอะ เด็กสมัยนี้นี่มันเป็นยังไงกัน ขยันทำเป็นแต่เรื่องไร้สาระ คิดอะไรดีๆกันเองไม่เป็นหรือยังไง” คุณหมอก็ยังคงบ่นเสียงดัง

ตายแล้วกู คิดถูกคิดผิดวะเนี่ยที่ส่งสองคนนี้มาหาอาจารย์หมอ กะว่าจะให้เป็นไปตามขั้นตอนซะหน่อย ขืนเป็นแบบนี้คงต้องให้ข้ามบางขั้นตอนแล้วล่ะ

ผมยืนรอเด็กปีหนึ่งทั้งสองอยู่หน้าห้องที่ผม....เอ่อ....แอบฟังมานาน ถ้าออกมาเจอกันจะได้ปลอบใจน้องๆ

“ด้วยความเคารพนะครับคุณหมอแต่ช่วยถอนคำพูดด้วยครับ”

“ว่าไงนะ!”

!!!!!! เออ ใช่ เห็นด้วยกับอาจารย์หมอ เมื่อกี๊มึงว่าไงนะไอ้น้องแทน

“ผมบอกว่า ช่วยถอนคำพูดด้วยครับ”

เห้ย!! บ้าแล้ว ไปพูดแบบนั้นกับอาจารย์หมอได้ยังไง กูจะยืนเฉยไม่ได้แล้ว ต้องรีบเข้าห้องเพื่อไปห้าม จะปล่อยให้มีการสาดอารมณ์กับผู้ใหญ่แบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด

“เดี๋ยวก่อน”

!!!!! ตกใจรอบสอง ก็จู่ๆ เอ่อ.... พี่ตองมาจากไหนล่ะเนี่ย

พี่ตองหยุดผมไว้ไม่ให้พรวดพราดเข้าไปในห้องที่กำลังเดือดดาลกันด้วยอารมณ์

“คุณหมายความว่ายังไงที่ให้ผมถอนคำพูด” เสียงของอาจารย์หมอดังออกมาอีกครั้ง ฟังดูเกรี้ยวกราดไม่เปลี่ยนแปลง

“*เรื่องที่บอกว่าผม...* *ไม่ซิ... ที่บอกว่าเราสองคนทำอะไรดีๆ ไม่เป็น”นี่กำลังจะอธิบายหรือเถียงอยู่กันแน่วะไอ้น้องแทน“*ผมอาจจะไม่เข้าใจระบบองค์กรผู้นำเชียร์ของที่นี่ ผมอาจจะเป็นเด็กเส้นอย่างที่คุณหมอกล่าวหา แต่ถ้าจะบอกว่าเราสองคนทำอะไรดีๆ ไม่เป็นอันนี้ผมไม่ขอยอมรับ”

“แทน นี่มึงอย่าไปเถียง...” อะตอมคงกำลังพยายามห้าม

“ได้ไงล่ะอะตอม คนเราต้องรู้จักที่จะมีจุดยืนเป็นของตัวเองนะ จะยอมให้คนอื่นว่าต่อว่าเราฝ่ายเดียวได้ไง.... สำหรับผม ผมยอมรับครับว่าผมไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมากนักสำหรับการเป็นผู้นำเชียร์ของที่นี่ เพราะผมหวังที่จะใช้การเป็นคนมีชื่อเสียงของที่นี่เพื่อยอดยอดต่อการทำประโยชน์ให้กับสังคม แต่สำหรับเพื่อนผมคนนี้ เขามีหัวใจของผู้นำเชียร์อย่างเต็มตัว ฝึกฝน มุ่งมั่น และพยายามมากกว่าใคร เพราะงั้นผมจะขอยืนหยัดเพื่อผมและเพื่อนครับ เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาแบมือขอทำงานจากคุณหมอหรือเพราะมีรุ่นพี่แนะนำให้มา แต่เรามาเพราะนี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่เราควรจะต้องทำ เหมือนกับที่รุ่นพี่หลายๆคนได้โอกาสทำ ผมคือนายอวกาศ คล้ายจันทร จะไม่ยอมเดินกลับออกไปเพราะถูกปฏิเสธหรือได้รับการดูถูกจากใครเด็ดขาด โปรดมองเห็นความมุ่งมั่นของเราสองคนด้วยเถอะครับ”

นี่ถ้าเดาไม่ผิดไอ้น้องแทนมันคงกำลังโค้งคำนับแบบคนญี่ปุ่นอยู่แหงเลย

“ผ....ผมก็ขอร้องด้วยอีกคนครับ” แบบนี้ก็แปลว่าอะตอมทำตามซินะ

แล้วนี่จะออกมาท่าไหนล่ะเนีย ถึงจะไม่ใช่คำตอบที่คาดหวัง แต่ความเด็ดเดี่ยวที่ได้ฟังไอ้น้องแทนพูดก็ส่งพลังออกมาไม่ใช่น้อยๆเลย

“เมื่อกี๊เธอพูดว่าเธอชื่ออะไรนะ” นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมคาดหวังจะได้ฟังจากอาจารย์หมอพิชิตเลย ทำไมอาจารย์ท่านถึงถามแบบนั้น

“อวกาศ คล้ายจันทรครับ” เสียงของไอ้น้องแทนตอบ

“เธอเป็นอะไรกับ เมฆา คล้ายจันทร หรือเปล่า คนที่ถูกเรียกว่าวีรบุรุษเดินดิน รู้จักเขาไหม”

“เขาคือพ่อของผมเองครับ”

“พ่อ? เธอคือลูกชายของวีรบุรุษเดินดินเหรอ”

“ครับ”

“งั้นก็แปลว่าเธอคือคนที่ได้เห็น....”

“ครับ ผมคือคนที่ได้เห็นพ่อของตัวเองตายไปต่อหน้าต่อตา”

“ผมขอโทษ”

“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับคุณหมอ ผมไม่เคยเสียใจกับเรื่องนั้นเลย ผมภูมิใจเสมอที่จะบอกใครๆว่าผมได้เห็นวาระสุดท้ายของพ่อ เพราะแม้กระทั้งวินาทีสุดท้ายของชีวิตพ่อก็ยังทำเพื่อช่วยเหลือชีวิตผู้อื่นอยู่”

“เธอช่างมีจิตใจที่กว้างใหญ่เหมือนพ่อของเธอจริงๆ ผมไม่คิดเลยว่าตัวเองจะโชคดีขนาดนี้ที่ได้เจอลูกชายของเมฆา พวกเราที่ทำงานสายแพทย์ การอุทิศตนเพื่อรักษาชีวิตของผู้อื่นเป็นงานของหมออย่างพวกเรา แต่เมฆาคือคนที่วิ่งชนเข้ากับปัญหา เขาเลือกที่จะรักษาชีวิตของผู้อื่นก่อนเสมอ ถ้ามีคนอย่างพ่อเธอสักร้อยสักพันคน โรงพยาบาลก็คงมีผู้ป่วยน้อยลงมาก.... ว่าแต่ ที่เธอพูดว่าอยากมีชื่อเสียงเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เธอหมายถึงอะไร จะสืบทอดเจตนารมณ์ของพ่ออย่างนั้นเหรอ”

“ไม่เชิงครับ ผมคงไม่ใช่แนวที่จะวิ่งเข้าใส่ปัญหาเหมือนพ่อ แม่เองก็คงไม่อยากเห็นผมทำอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ผมได้รับบทเรียนจากการสูญเสียพ่อว่า การกระทำบางอย่างของมนุษย์ก่อความอันตรายขึ้นได้โดยไม่คาดฝัน ผมอยากมีชื่อเสียงเพื่อให้ทุกคนหันมาฟังสิ่งที่ผมอยากให้ทุกคนร่วมด้วยช่วยกันแก้ไข ถ้าทุกคนในสังคมช่วยกัน ก็จะไม่เกิดเรื่องแย่ๆขึ้นกับใครอีก”

“เธอคงหมายถึงเรื่องหน้าดินแม่น้ำถล่มซินะ เหตุการณ์ที่ทำให้เธอต้องสูญเสียพ่อ”

“ไม่ใช่แค่เรื่องนี้หรอกครับ ทุกๆอย่างที่ผมจะทำได้ ผมพยายามศึกษาด้านธรณีวิทยาทุกๆด้านก็เพื่อให้เข้าใจธรรมชาติ ความอันตราย และวิธีรับมือกับมัน ผมแค่หวังว่าคนอื่นๆจะเห็นว่ามันสำคัญอย่างที่ผมให้ความสำคัญ”

“นี่เป็นวาทะที่ผมไม่ได้คาดหวังจะฟังจากเด็กปีหนึ่งที่เดินเข้ามาหาผมหรอกนะ ถ้าว่ากันตามตรง ผมอยากให้พวกเขาแสดงจิตวิญญาณของคนที่พร้อมจะเป็นผู้นำมากกว่า แต่จุดประสงค์ของเธอมันยิ่งใหญ่กว่าคำว่าจิตวิญญาณอยู่มาก เพราะฉะนั้น ผมให้เธอผ่าน ผมยอมรับในตัวเธอ”

“ขอบคุณมากครับคุณหมอ แต่ถ้าคุณหมออยากดูคนที่มีจิตวิญญาณ ผมขอแนะนำพื่อนคนข้างๆของผมคนนี้ครับ”   

“เธอเหรอ”

“ค...ครับ” มีเสียงของอะตอมดังออกมาบ้าง

“ไหนบอกมาซิว่าจิตวิญญาณของเธอคืออะไร”

“คือ... ผมไม่อยากทำให้อาจารย์ผิดหวัง แต่จริงๆแล้วผมแค่อยากเป็นผู้นำเชียร์ก็เพราะ.... ผมอยากตามหาแม่ที่หายสาบสูญไป”

“ว่าไงนะ” “อะไรนะ” หือ?!?!?

ตอนนี้คือทุกคนคงสัยสงกันหมด ไม่เว้นแม้แต่พี่ตองที่ยืนอยู่ข้างๆผม

“แม่ของผม....” ฟังจากน้ำเสียงแล้ว อะตอมคงกำลังทำใจเพื่ออธิบายของเรื่องยากๆอยู่ “แม่ถูกพวกพ่อค้ายาเสพติดจับไปเป็นตัวประกัน เพื่อหนีการจับกุมออกไปในทะเลตั้งแต่ผมแค่สี่ขวบ ผมไม่รู้ชะตากรรมของแม่เลยว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน เรือของพวกคนร้ายไปจอดที่ประเทศไหน ผมกับพ่อพยายามตามหาแม่มาตลอด แต่ก็ไม่เจอเลย แต่! ผมเชื่อนะครับ ผมเชื่อว่าแม่ยังมีชีวิตอยู่ ผมถึงอยากได้เป็น center ของผู้นำเชียร์เพื่อหวังใช้พื้นที่สื่อของ T-Queen บอกเรื่องราวของผมออกไปยังต่างแดน นี่อาจจะช่วยให้แม่ได้เห็นผมหรือแค่มีสัญญาณบางอย่างจากแม่ก็ยังดี”

“อย่าหาว่าผมทำลายความคาดหวังของเธอเลยนะ แต่ถ้าแม่ของเธอยังมีชีวิตอยู่จริงๆ เธอคงติดต่อมาตั้งนานแล้ว ทุกประเทศต้องส่งประชาชนกลับประเทศบ้านเกิดอยู่แล้ว”

“ผมรู้ครับ แต่มันติดอยู่ตรงที่ว่า... แม่ของผมเป็นคนไร้สัญชาติครับ แม่เป็นชนกลุ่มน้อยของเมียนม่า ไม่เคยมีสัญชาติมาก่อน ซึ่งตอนที่เกิดเรื่องขึ้น แม่กำลังจะได้สัญชาติแล้ว เพียงแต่... มันไม่ทัน เพราะงั้น แม้กระทั่งตอนนี้ ถึงแม่จะเป็นผู้เคราะห์ร้าย แต่แม่ก็ยังเป็นคนผิดกฎหมายยู่ดีไม่ว่าจะอยู่ที่ประเทศไหน มันจึงเป็นหน้าที่ของผมที่จะตามหาแม่ด้วยตัวเอง แม่กลัวและลำบากมานาน ผมอยากใช้โอกาสนี้เพื่อตามหาแม่ให้พบ ผมคงไม่ได้มีจิตวิญญาณอย่างที่ผมพยายามแสดงออกหรอกครับ”

“เรื่องของเธอสองคนนี่มัน....” ผมรู้ว่าคุณหมออยากพูดว่าสะเทือนใจ คนที่แอบฟังอยู่นอกห้องอย่างผมยังอดสงสารไม่ได้เลย “พอได้มารู้เรื่องของเธอสองคนแบบนี้แล้ว มันทำให้ผมตระหนักได้เลยว่า องค์กรผู้นำเชียร์ของเรามีคุณค่ามากมายมหาศาลแค่ไหน เอาล่ะ พวกเธอสองคนสอบผ่าน ไปทำตามความฝันซะ ทำให้สำเร็จ ผมจะเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้”

“ขอบคุณครับ” “ขอบคุณครับ”

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวไปทำงานต่องานนะ เดี๋ยวจะตามคนมาพาพวกคุณไปทำงาน อยากช่วยแผนกไหนก็บอกเขาเลยนะ”

อาจารย์หมอพิชิตเปิดห้องออกมาและชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นผมกับพี่ตองยืนอยู่หน้าห้อง



“อ้าว ผมกำลังจะโทรตามอยู่พอดีเลย” อาจารย์ท่านบอก “เด็กสองคนที่ชาส่งมา ผมขอชมนะว่าเลือกมาได้ดี”

“ขอบคุณครับ” เอาจริงๆ ผมไม่ได้เลือกดีอะไรหรอกครับ แค่มันบังเอิญมากกว่า

“เข้าไปหาสองคนนั้นเถอะ พาพวกเขาไปทำงานด้วยนะ ฝากด้วยล่ะ”

“ครับคุณหมอ”

แล้วหมอพิชิตก็เดินจากไป



“เดี๋ยวก่อน” พี่ตองคว้าผมไว้อีกครั้ง

“ทำไมอ่ะ” ผมถาม

“อย่าเพิ่งเข้าไปเลย ดูนั่นดิ” พี่ตองชี้ให้ผมดูภายในห้องผ่านช่องประตูที่ยังแง้มอยู่

เอิ่มมมมมมมมมมมมม

อะตอมกับแทนกำลังกอดกันอยู่

คงปลอบใจกันอยู่ซินะ ก็พอเข้าใจได้ เพิ่งจะเล่าเรื่องเศร้าของครอบครัวไปนี่นา



“รอตรงนี้ก่อนก็ได้” ผมตัดสินใจยืนรอข้างนอก

“ไม่น่ารักเลยนะครับ” จู่ๆพี่ตองก็พูดกับผม

“พูดอะไรอ่ะ?” ไม่เข้าใจ

“ก็ชาไง ไม่น่ารักเลยนะที่โกหกพี่ว่าจะมาเข้าห้องน้ำ”

“เอ่อ....” ลืมไปเลยว่าโกหกเรื่องนี้ไว้

“เราเป็นแฟนกันนะ พี่ไม่ชอบเลยที่ชาโกหกพี่แบบนี้”

“ก็ชาอยากลงมาดูอะตอมกับแทนอ่ะ ชาไม่อยากบอกเพราะกลัวว่าพี่ตองจะห้ามชาไว้”

“ใช่ พี่ห้ามแน่ แต่ถ้าชาอยากมาจริงๆ พี่จะห้ามอะไรได้ล่ะ”

“ชาขอโทษนะ”

พี่ตองแค่ยักไหล่ “ตอนนี้พี่เข้าใจแล้วว่าชารู้สึกยังไงที่พี่โกหกชาเมื่อตอนที่พี่กับพี่ลูกแก้วสร้างเรื่องกันตอนนั้น”

โหหหหห ย้อนไปซะไกลเชียว

“เอาเป็นว่า หลังจากนี้ไม่โกหกกันแล้วนะ”

“โอเคครับ”

“สัญญามาก่อน”

โอ๊ะ นี่อยู่วิศวะปีสามแล้วนะ มีมาเกี่ยวก้อยสัญญาอะไรอีก

“เร็วซิครับ สัญญาก่อน”

“สัญญาก็สัญญา” ยอมๆทำตามไป ไอ้หัวเหม่งเอ๊ย



“อ้าว พี่น้ำชา พี่ตอง” ในที่สุดอะตอมกับแทนก็เดินออกมาจากห้อง “นึกว่าใครมาคุยกันอยู่หน้าห้องซะอีก”

กรรม ได้ยินหมดเลยเหรอ

“อ๋อ พี่มาพาสองคนไปทำงาน” ผมแก้ตัว

“แล้วทำไมต้องเกี่ยวก้อยกันด้วยล่ะครับ” ไอ้น้องแทนถาม

กรรม ลืมเอานิ้วออก

“ป...เปล่า ไม่มีอะไร” นี่กูทำไมต้องทำตัวรุกรี้รุกรนด้วยล่ะ “ไปทำงานกันได้แล้ว รู้หรือยังว่าอยากจะทำแผนกไหน”

“ผมมีในใจแล้วครับ” ไอ้น้องแทนตอบทันที

“มึงมีแล้วจริงดิ” อะตอมถาม ผมก็อยากรู้เหมือนกัน

“ใช่ ผมอยากทำแผนกฉุกเฉินครับ”

“โห” พี่ตองร้อง “นั่นหนักนะ งานยาก ออกข้างนอกด้วย คิดดีแล้วเหรอ”

“คิดดีแล้วครับ ผมมีฝันที่อยากช่วยเหลือสังคม งั้นก็เริ่มจากออกไปช่วยเหลือคนเจ็บฉุกเฉินก่อนเลยละกัน”

“ไม่ห้ามก็แล้วกัน” ผมไม่อยากจะขัดขว้างความคิดยิ่งใหญ่ของเด็กคนนี้ ภายใต้ใบหน้าหล่อเหลา ทำไมถึงมีความคิดที่ดีขนาดนี้ได้นะ แต่ก็ขัดกับบุคลิกที่เป็นคนขี้เล่น รวมอยู่ในคนๆเดียวได้ยังไง “แล้วอะตอมล่ะ อยากทำแผนกไหน”

“ทำกับแทนก็ได้ครับ” น้องอะตอมตอบ “ม...ไม่ได้หมายถึงทำอะไรกับมันนะ หมายถึงทำงานแผนกเดียวกันมันเฉยๆ”

ไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย ไม่มีใครคิดอะไรเลยเนีย คิดอยู่คนเดียวเลยยยยย

“โอเค งั้นเดี๋ยวพี่พาไปแผนกฉุกเฉินละกัน” ผมบอก



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-08-2018 00:13:21 โดย Kings Racha »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 5 [ความคาดหวัง Part 1]
« ตอบ #19 เมื่อ: 11-08-2018 00:09:36 »





ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
(ต่อ Part 2)




แล้วจากนั้นก็เดินนำเด็กปีหนึ่งทั้งสองไปส่งที่แผนกฉุกเฉิน



เห็นว่าต้องเรียนรู้งานนิดหน่อย แผนกนี้ต้องใช้ความเชี่ยวชาญพอสมควร คงต้องศึกษาข้อมูลกันดีๆ

เอาเป็นว่าผมปล่อยให้ทั้งสองทำงานของตัวเองไป ส่วนตัวผมก็ออกเดินทางในช่วงบ่ายเพื่อไปถ่ายแบบให้กับเครื่องดื่มยี่ห้อหนึ่ง โดยมีพี่ตองขับรถไปส่ง



“พี่ตอง” ผมเรียกในขณะที่เราทั้งสองกำลังนั่งรถ

“ครับ” พี่ตองตอบรับ

“พอจะขอร้องพ่อพี่ตองให้หานักสืบเก่งๆให้ชาหน่อยได้ป่ะ?”

“อะไรนะ!?”

“นักสืบ”

“จะเอาไปทำอะไรครับ”

“นี่เดาไม่ออกจริงๆเหรอ... ก็สืบหาแม่ของอะตอมไง”

“สืบทำไม เราก็ได้ยินแล้วไม่ใช่เหรอว่าอะตอมเขามีจุดประสงค์ที่จะใช้สื่อของแม่ชาเพื่อตามหาแม่ของเค้า”

“ถ้าชาจะช่วยจริงๆ ชาไม่รอจนถึงวันที่อะตอมได้เป็น Center หรอก ชาโทรขอร้องแม่ตอนนี้เลยก็ได้”

“นั่นซินะ จริงๆ ชาก็ขอแม่ได้เลยนี่นา แล้วทำไมถึงไม่ทำล่ะครับ”

“ก็เพราะ.... ชากลัวเรื่องมันจะไม่ได้สวยงามอย่างที่อะตอมคิดเอาไว้ไง ชาอยากให้นักสืบตามหารอยร่องของแม่อะตอมก่อน ให้แน่ใจกว่านี้หน่อยว่าแม่ของน้องยังมีชีวิตอยู่ เพราะถ้ามันไม่ใช่อย่างที่อะตอมคิด..........









...........สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือความคาดหวังนี่แหละ”



.........................................................................





(ในมุมของโซนิค)



“แม่งเอ๊ย เหนื่อยชิบ” ผลสบถกับตัวเอง

ไม่ไหวแล้ว ขอนั่งพักแป๊บ

ไม่เข้าใจเลยว่าพวกบั๊ดดี้ของผู้นำเชียร์ทนทำงานผู้ช่วยแบบนี้ได้ไง เดินทั้งวัน จัดตารางเวลาจนตาลาย ไหนจะค่อยเช็คของถือของอีก



“ฮัลโหลครับ.... ใช่ นี่ปังเอง” นี่ก็อีกคน เห็นหน้าติ๋มๆ แต่คล่องงานชะมัด เดินทั้งวันไม่มีบ่นเลย ไม่รู้ชาติที่แล้วเกิดเป็นทศกัณฑ์หรือเปล่า ถึงสามารถหยิบจับทุกอย่างพร้อมกันได้ โทรศัพท์ไปด้วยถือแก้วน้ำไปด้วย มืออีกข้างก็จดสมุดงาน เดินไปเดินมาจนคนที่มองอยู่อย่างผมตาลายไปหมดแล้ว “น้ำชาโทรบอกเรื่องที่จะให้เด็กคณะวิทย์มาเรียนปรับพื้นฐานกับข้าวเจ้าแล้วใช่ไหมเจสซี่”

หึ! เมื่อกี๊พูดถึงพี่น้ำชาเหรอ

“งั้นวันนี้รบกวนเจสซี่โทรหาน้องสองคนของคณะวิทย์ด้วยนะว่าให้มาซ้อมที่ห้องซ้อมคณะสังคมตอนห้าโมง”

“.............” มีเด็กปีหนึ่งจะมาที่คณะเราซินะ

“พรุ่งนี้ไม่ว่างเหรอ โอเค ไม่เป็นไร เดี๋ยวบอกข้าวเจ้าให้ แต่วันอื่นๆไม่มีปัญหาใช่ไหม”

“.............”

“อ้อ แต่ว่าวันพฤหัสฯ ขอเป็นสี่โมงเย็นนะ”

“..............”

“โอเค งั้นเราจะบุ๊คกิ้งตามนี้เลยนะ” ในที่สุดไอ้รุ่นพี่ตัวน้อยก็วางสาย

เพล้ง

โอ๊ะ กรรม เพิ่งจะชมอยู่หยกๆว่าคล่องงาน ทำแก้วร่วงพื้นแตกซะงั้น



เห้อออออ หน้าที่กูอีกซินะที่ต้องไปช่วยเก็บกวาด

ก็ตั้งแต่เช้าจนถึงเวลาบ่ายสามนี้ ผมก็ทำหน้าที่ช่วยเหลือเขามาตลอด ขืนขาดตกบกพร่องอีกละก็ โดนพี่น้ำชาเอาจริงแน่ นี่กูคิดถูกหรือเปล่าวะที่ไปชอบพี่เค้า ตอนแรกนึกว่าจะน่ารักเหมือนพี่น้ำขิง แต่เมื่อเช้านี้จัดหนักใส่เราซะไปไม่เป็นเลย



“ไม่ต้องๆ เดี๋ยวผมจัดการ...”

“โอ๊ย*!!*” นั่นไง ไม่ทันจะขาดคำ จะรีบก้มลงไปเก็บทำไม หาเรื่องให้ตัวเองโดยเศษแก้วบาดนิ้วจนได้

“ซุ่มซ่ามจริงๆนะพี่เนีย” กรรม กูนี่ก็ปากไวจริง ลืมไปเลยว่าต้องพูดดีๆกับรุ่นพี่คนนี้ ก็ไอ้คนตรงหน้าผมมันน่าแกล้งนี่หว่า ก็เลยเผลอบ่อยไปหน่อย “เอ่อ.... ผมเก็บให้ดีกว่านะ พี่ไปล้างแผลเถอะ”

พูดดีๆ ท่องไว้ๆ

“ไม่เป็นไร แค่แผลนิดหน่อย” แน๊ะ ทำเป็นเก่ง

“บอกให้ไปล้างก็ไปเถอะ....ครับ” เกือบจะเผลออีกแล้ว “ผมเป็นผู้ช่วยของพี่ เดี๋ยวผมเก็บเศษแก้วให้เอง ระวังอย่าเหยียบอะไรอีกก็แล้วกัน”

“งั้นก็.... ฝากด้วยนะ” เจ้าตัวเดินออกไปในที่สุด



ผมจัดการเก็บกวาดเศษแก้วที่แตกบนพื้นจนเรียบร้อย



มหาลัยตอนช่วงปิดเทอมนี่เงียบจังเลยแฮะ นึกว่าจะคึกคักกว่านี้ซะอีก



“วันนี้ตอนห้าโมงเย็นมีซ้อมปรับพื้นฐานนะ” รุ่นพี่ตัวน้อยเดินกลับมาบอกตารางนัดกับผม มือเปียกๆ แสดงว่าไปล้างแผลมาจริงๆอะดิ ว่าง่ายเหมือนกันแฮะ

“โอเคครับ” ผมตอบ แล้วล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบบางสิ่งออกมาจากกระเป๋าเงิน “นั่งลงดิพี่ เดี๋ยวผมติดพลาสเตอร์ยาให้”

“ติด?” ทำไมต้องทำหน้างง ไม่รู้จักพลาสเตอร์ยาหรือไง “ไม่ต้องหรอก แค่นี้เอง”

“ถ้าแค่นี้ก็ติดดิพี่ มันไม่ได้ยุ่งยากตรงไหนเลย ยกเว้นซะแต่ว่าแผลพี่จะใหญ่กว่านี้ อันนั้นผมคงต้องพาไปหาหมอ... เอ่อ... ผมแค่พูดหยอกเฉยๆ พี่อย่าไปฟ้องพี่น้ำชานะ.... มาพี่ นั่งๆ เดี๋ยวผมปิดแผลให้”

ผมรีบแก้ตัวด้วยการดึงคนที่ยืนอยู่ให้นั่งลงข้างๆ

“มีพลาสเตอร์ยาติดตัวด้วยเหรอ” คนตรงหน้าถาม

“มันชินมั้ง ผมเป็นนักว่ายน้ำ แผลเล็กๆน้อยๆโค๊ชก็บังคับให้ปิดตลอด ไม่งั้นลงน้ำไม่ได้ ก็เลยพกของแบบนี้จนชินไปแล้ว”

“งั้นเหรอ.... ว่าแต่ว่า ทำไมถึงรับปากมาช่วยงานล่ะ ก็เห็นบอกว่าต้องซ้อมว่ายน้ำไม่ใช่เหรอ แล้วแบบนี้จะซ้อมได้ไง”

อือหืออออ ถามซะตรงจุดเลย

ความจริงก็คิดไม่ตกเรื่องนี้มาทั้งคืนแล้ว แต่... “ก็ผมเลือกทางนี้แล้วนิ ถ้าจะเป็นลีดก็คงต้องบอกลาเรื่องว่ายน้ำ การคัดตัวนักว่ายน้ำจะมีในช่วงเปิดเทอมเหมือนกัน ผมไม่สามารถแยกร่างทำสองอย่างพร้อมกันได้หรอก... อ่ะพี่ เสร็จแล้ว เป็นแบบกันน้ำ สองสามวันก็เอาออกได้เลย”

“ขอบใจนะ”



“ผู้ช่วยคนนี้ช่วยได้มากเลยนะปัง” ใครบางคนพูดขึ้น

พี่ข้าวเจ้านั่นเอง กำลังเดินออกมาจากห้องประชุมพร้อมกับพี่ลีดคณะคนอื่นๆ แต่เหมือนว่ากำลังจะไปที่ไหนกันอีก

“ก็พอใช้ได้อยู่” แม๊ะ อุตส่าจะชมก็ไม่ชมให้เต็มที่นะ ทำเป็นวางท่า ดูยังไงก็เจี๋ยมเจี้ยมอยู่ดีนั่นแหละ

“ปังก็แนะนำน้องก็แล้วกัน” พี่ข้าวเจ้าพูดยิ้มๆ ก่อนจะหันมาหาผม “ไม่นึกว่าน้ำชาจะสั่งภารกิจแบบนี้มาให้โซนิคทำนะ นึกว่าจะเป็นอะไรที่ยากกว่านี้ แต่เป็นผู้ช่วยของบั๊ดดี้ลีดมหาลัยก็หนักเอาการอยู่นะ อย่าถอดใจก่อนก็แล้วกัน”

“สบายมากพี่” ถึงจะมีแอบบ่นบ้างก็เถอะ

“แล้วพี่น้ำชาสั่งอะไรมาบ้างเนีย หรือแค่มาช่วยงานอย่างเดียว”

“ก็ทุกอย่างแหละครับ ช่วยงาน ไปรับไปส่ง คอยอารักขาความปลอดภัยด้วย”

“แบบนี้ค่อยสมกับเป็นภารกิจหน่อย” จากนั้นพี่เขาก็หันกับไปคุยกับบั๊ดดี้ของตัวเอง “เดี๋ยวเราไปเสนอโครงการกับคณะบดีต่อก่อนนะปัง”

“โอเค เรารู้แล้ว” คนตัวเล็กตอบทันที “เย็นนี้เรานัดน้องจากคณะวิทย์ให้มาซ้อมปรับพื้นฐานที่นี่แล้วนะ แต่พรุ่งนี้น้องสองคนติดภารกิจ ส่วนวันพฤหัสฯ เรานัดให้น้องมาสี่โมงเย็นเพราะข้าวเจ้าต้องมีงานต้อนรับผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงกีฬาตอนสามทุ่ม เผื่อเวลาไว้หน่อย”

“โอเค เอาตามที่ปังบอกเลย ยังไงก็เตือยเราเรื่อยๆนะ”

“ได้” โอ้โห เก่งจริงว่ะ

“งั้นเราไปทำธุระต่อแล้วนะ แล้วก็.... อย่าทำอะไรบาดมืออีกล่ะ”

มีแซวก่อนไปซะด้วย



“ทำไมต้องหน้าแดงด้วยพี่” ผมหันไปเห็นหน้าคนข้างๆพอดี นี่ผมไม่ได้หลงตัวเองนะ แต่พี่ขนมปังเหมือนจะหน้าแดงเพราะว่าผมเพิ่งจะทำแผลให้อย่างที่พี่ข้าวเจ้าแซวจริงๆด้วย

“ค...ใครหน้าแดง บ้าแล้ว อากาศมันร้อน” เหรอออออ ร้อนจัดเลย นี่มันในอาคารชัดๆ

“อย่าบอกนะว่าพี่....”

“พ...พูดอะไรไร้สาระ” มีตะกุกตะกัก นี่อย่าบอกว่าแอบหวั่นใจกับกูจริงๆนะ ก็พอรู้อยู่หรอกว่าผมหน้าตาดี(นี่ไม่ได้หลงตัวเองจริงๆนะ) แต่กับคนที่ผมโหดใส่เขาขนาดนั้น ไม่น่าจะมีผลอะไรนะ “เดี๋ยวผมก็โทรฟ้องน้ำชาเลยนิ”

“พี่จะฟ้องเรื่องอะไรอ่ะ” ไหนลองดูอีกทีดิ ได้แกล้งคนนี่มันเหมือนได้กินของหวานหลังมื้ออาหารยังไงก็ไม่รู้ “จะฟ้องว่าผมหล่อจนทำให้พี่หน้าแดงเหรอ”

“ใครหน้าแดงเพราะคุณ ก็ผมบอกแล้วไงว่าอากาศร้อน คุณกำลังทำให้ผม... ไม่ชอบใจอยู่นะ” ช่างเลือกคำด่าได้เบาเหลือเกิน ยิ่งฟังยิ่งอยากแกล้ง แต่เอาไว้แค่นี้พอ เดี๋ยวแม่งฟ้องจริง กูซวยเลย

“โอเค ไม่พูดก็ไม่พูด”

เจ้าตัวโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด



“มองนาฬิกาทำไมบ่อยๆ” หลังจากเงียบกันอยู่สักพัก คนตัวเล็กก็ถามขึ้นมา

ห๊ะ! กูมองนาฬิกาเหรอ ไม่รู้ตัวเลย “อ๋อ ผมชินอีกแล้ว ก็มันเคยเช็คเวลาตลอด ผมต้องคอยดูเวลาไปซ้อมว่ายน้ำมาเป็นสิบๆปี มันติดเป็นนิสัยไม่แล้วที่ต้องค่อยเช็คเวลาตลอด”

“ถ้าชอบว่ายน้ำขนาดนั้น ก็ไปซ้อมซิ”

“ก็บอกไปแล้วไงว่าผมแยกร่างไม่ได้”

“ไม่ต้องแยกร่างหรอก แค่จัดเวลาดีๆ คนเราก็มียี่สิบสี่ชั่วโมงต่อวันเท่ากันทั้งนั้น น่าเสียดายออกนะ อุตส่าทำมาเป็นสิบปีแล้ว”

“พูดซะผมกลับมาคิดมากเลย เมื่อคืนก็นั่งเครียดกับเรื่องนี้ทั้งคืน อุตส่าตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกทางลีด”

“คนเราไม่ต้องเลือกแค่อย่างใดอย่างหนึ่งหรอกนะ น้ำชากับข้าวเจ้าอ่ะเป็นตัวอย่างที่เห็นชัดมาก สองคนนี้เป็นผู้นำเชียร์ที่ดังมาก แต่ก็เป็นนิสิตที่เรียนเก่งมากเหมือนกัน เรียกว่าระดับอัจฉริยะยังได้เลย มันไม่เกี่ยวซะหน่อยว่าเราจะต้องทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่งไป”

“เลิกพูดเถอะ ผมทำแบบนั้นไม่ได้หรอก แค่แบ่งเวลากินข้าวกับเวลานอนออกจากกันก็ยากแล้ว”

“อะนี่” จู่ๆ พี่ขนมปังก็ส่งสมุดงานเล่มหนึ่งมาให้ผม

“อะไรพี่”

“ก็สมุดจดตารางเวลาไง เอาไปใช้แบ่งเวลา”

“ไม่เอา ผมทำไม่เป็น ผมเรียนเอกวัฒนาธรรมตะวันออกนะพี่ ไม่มีความรู้อะไรแนวนี้หรอก”

เอ้า ถอนหายใจใส่กูซะงั้น

“ต้องซ้อมว่ายน้ำตอนไหน?”

“ถามทำไม”

“ก็จะจดให้นี่ไง ต้องซ้อมว่ายน้ำตอนไหนบ้าง”

“บอกว่าไม่ต้องไง” อย่ามารื้อฟื้นได้ป่ะ ยิ่งอยากจะทำเป็นลืมๆอยู่

“ถ้าไม่บอก ผมจะโทรไปฟ้องน้ำชานะว่าคุณขู่ผม”

“ห๊ะ!?” ใครขู่ใครกันแน่วะ

“จะบอกไม่บอก”

“ตีห้า” ตอบก็ตอบวะ ยุ่งจังเลย

“ถึงตอนไหน”

“ก็...สองชั่วโมง ถึงเจ็ดโมงละมั้ง”

“แค่วันละรอบเหรอ”

“ปกติก็ต้องสองรอบแหละ แต่ตอนเย็นก็ต้องมาซ้อมปรับพื้นฐานลีดนี่ไง ถึงบอกว่าไปว่ายน้ำไม่ได้ ไม่ต้องจดแล้ว เอามานี่...”

“อย่าเพิ่งกวนผมซิ ผมกำลังจดอยู่นะ” เอ.... ไอ้รุ่นพี่คนนี้ พูดไม่รู้เรื่องหรือไง “แล้วตอนเย็นต้องซ้อมกี่ชั่วโมง”

“สองมั้ง” ขี้เกียจจะตอบแล้ว บอกว่าไม่ได้ทำไมไม่เชื่อวะ

“คัดตัววันไหน”

“อีกสองอาทิตย์”

“ต้องมีเงื่อนไขไหมว่าต้องซ้อมอย่างน้อยกี่วัน”

“ก็ต้องมีดิ นี่กีฬานะ อย่างน้อยก็ต้องสิบวันอ่ะ”

“งั้นก็....” เจ้าตัวก็ยังสนุกกับการจดตารางเวลาต่อไป ผ่านไปสักพักก็ส่งตารางเวลาของสองอาทิตย์มาให้ผม “ถ้าทำตามตารางนี้ก็สามารถทำทั้งสองอย่างพร้อมกันได้แล้ว”

“บ้าเหรอ ตารางเช้ากับเย็นชิดกันขนาดนี้ ผมจะเอาเวลาที่ไหนกลับไปอาบน้ำแต่งตัวไม่ทราบครับคุณบั๊ดดี้ อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ นัดผมแปดโมงไม่ใช่เหรอ”

“ที่สระว่ายน้ำไม่มีห้องอาบน้ำเหรอ”

“ก็มี แต่มันยุ่งยากไปไหม เตรียมของ เตรียมเสื้อผ้า ว่ายน้ำ เข้ามหาลัยมาช่วยงานบั๊ดดี้ กลับไปว่ายน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าอีกที กลับมาซ้อมลีด เตรียมของสำหรับวันพรุ่งนี้ กว่าจะได้นอน นี่ผมเป็นแค่คนธรรมดานะ ไม่ใช่ลูกคุณหนูที่จะมีคนคอยทำทุกอย่างรอไว้ให้”

“งั้น.... เดี๋ยวผมจัดการให้ก็ได้”

"ว...ว่าไงนะ” นี่กูหูฟาดไปหรือเปล่า

“ก็แค่มีปัญหาช่วงเวลาคาบเกี่ยวที่กลัวจะไม่ทันใช่ไหมล่ะ งั้นเดี๋ยวผมจัดการเรื่องเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้ละกัน กับพวกรายละเอียดปีกย่อยนิดหน่อยจนกว่าจะถึงวันคัดตัวนักกีฬา ถ้าแบบนี้ก็ไม่มีปัญหาแล้วใช่ไหม ถ้างั้นเดี๋ยวเย็นนี้คุณเอาเสื้อผ้ามาให้ผมสองชุดก็แล้วกัน เดี๋ยวที่เหลือผมจัดการให้เอง แต่อาจจะมีปัญหานิดหน่อยตรงที่ต้องคอยรับส่งผม งั้นก็...มารับผมตอนเช้าก่อนออกมาว่ายน้ำด้วยเลย จะได้ตัดปัญหาตรงนี้ไป”

“ทำไม...” ถึงใจดีกับเราขนาดนี้วะ เฮ้ย! เดี๋ยวดิ “แต่ถ้าพี่ทำแบบนั้น พี่น้ำชาก็หาว่าผมใช้งานพี่แทนที่จะมาช่วยงานพี่อะดิ ยังไงก็ไม่ได้อยู่ดี”

“ถ้าผมไม่พูด คุณไม่พูด น้ำชาก็ไม่รู้หรอก หรือถ้าเขารู้จริงๆ ผมจะช่วยแก้ตัวให้ก็แล้วกัน น้ำชาไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล เขาคงเข้าใจ”

“มันจะดีเหรอ” จากใจเลยนะ จริงๆก็แอบดีใจนะที่จะสามารถกลับไปซ้อมว่ายน้ำได้ เพราะไอ้เรื่องผู้นำเชียร์นี่แหละที่ทำให้ตัดสินใจจะทิ้งการเป็นนักกีฬาไป พอได้ยินว่าจะได้กลับไปซ้อม มันทั้งดีใจแล้วก็โล่งใจไปพร้อมๆกันเลย แต่ว่ามันก็เกรงใจอยู่ดี ไอ้เรื่องจัดการกับเวลาคงต้องยอมรับแล้วล่ะว่าพี่ขนมปังเก่งจริงๆ แต่เรื่องที่พยายามหาทางช่วยเหลือเรานี่ซิที่ยังไม่เข้าใจ ทั้งๆที่เราทั้งขู่ทั้งแกล้งเขาไว้ขนาดนั้น “ผม...เกรงใจ”

“แค่สองอาทิตย์เอง ช่วงนี้ยังไม่เปิดเทอมด้วย ข้าวเจ้ายังไม่มีงานเยอะหรอก ก็พอจะทำได้อยู่”

“แต่....”

“เอาแบบนี้แหละ อย่าทิ้งการว่ายน้ำเลย มันน่าเสียดายจะตาย ถือว่าผมตอบแทนเรื่องพลาสเตอร์ยาก็แล้วกัน” ตอบแทนเรื่องพลาสเตอร์ยาเนี่ยนะ มันเทียบกันไม่ได้เลยสักนิด “ผมขอตัวเอาน้ำไปเสิร์ฟให้คณะบดีก่อนนะ”

“ให้ผมทำดีกว่า” ผมรีบอาสา

“รู้เหรอว่าห้องคณะบดีอยู่ไหน” ก็.... ไม่รู้หรอก “ผมทำเอง ที่สำคัญคือคุณยังไม่มีสิทธิ์เดินเข้าออกสำนักงานคณะบดี ผมไปนะ”

“เดี่ยวก่อนครับ” ผมเรียกพี่ขนมปังไว้ “ผม....เอ่อ.....





.................ขอบคุณนะครับ”

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 6 [การรับมือ Part 1]
«ตอบ #21 เมื่อ11-08-2018 08:39:27 »

ตอนที่ 6 : การรับมือ









“สวัสดีครับ แผนกฉุกเฉิน โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยมัณฑนาครับ”

“จากศูนย์อุบัติเหตุ 1669 แจ้งเหตุรถจักรยานยนต์ล้มที่ถนนเรียบคลองชลประทาน ผู้บาดเจ็บเป็นชายวัยประมาณสามสิบถึงสี่สิบปี มีบาดแผลหลายแห่งแต่ยังมีสติ หมายเลขผู้แจ้ง 08X-XXX-XXXX ชื่อผู้แจ้ง คุณอนันต์  ชัยวงศ์”

“ผมรบกวน...”



ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด



“อ้าว....” อะไรวะ วางสายเร็วไปไหม กูจดไม่ทันเว้ย ผมหันไปหาพี่พยาบาลที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างลังเล

“จดไม่ทันใช่ไหม” พี่พยาบาลถามผมเหมือนว่าเธอจะเข้าใจสถานการณ์อยู่แล้ว พี่เค้าเป็นพี่พยาบาลสาว เอ่อ... ไม่สาวเท่าไหร่ ออกแนวห้าวๆหน่อย “ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่อธิบายให้ฟัง ขอส่งเคสนี้ก่อน”

พี่พยาบาลส่งบอร์ดแบบฟอร์มผ่านช่องกระจกเลื่อนไปให้พนักงานกลุ่มหนึ่งซึ่งรออยู่ด้านนอกของโรงพยาบาล แล้วพนักงานกลุ่มนั้นก็เคลื่อนพลพร้อมอุปกรณ์ปฐมพยาบาลออกไปกับรถพยาบาลที่เปิดไซเรนอย่างรวดเร็ว



“จำไว้นะน้องอะตอม” เธอกลับมาพูดกับผมด้วยเสียงห้าวๆของเธอ “งานแผนกฉุกเฉิน ต้องเร็ว ความจำต้องดี เพราะคนเจ็บกำลังรอเราอยู่ อย่างเคสเมื่อกี๊ การล่าช้านิดหน่อยถือว่าเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้ผู้บาดเจ็บมากขึ้น โชคดีนะที่พี่รับสายร่วมด้วย”

“ข...ขอโทษครับ”

“เปล่า ไม่ต้องรู้สึกผิด พี่เข้าใจ งานนี้ไม่ง่ายอยู่แล้ว เอาเป็นว่าพี่จะบอกเคล็ดลับง่ายๆให้ฟัง ถ้าจดไม่ทัน ให้ฟังไปก่อน เน้นจดที่สถานที่กับเบอร์โทรศัพท์เป็นสำคัญ แล้วค่อยมาใส่ข้อมูลอื่นๆที่หลัง หรือถ้าจำข้อมูลรายละเอียดอื่นๆ ไม่ได้จริงๆ ก็ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวจะมีเจ้าหน้าที่ที่ลงพื้นที่ เขาจะโทรหาคนที่แจ้งเหตุเองอีกทีอยู่แล้ว”

แบบนี้นี่เอง “เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณนะครับ”

“งั้นพี่ขอไปห้องน้ำแป๊บนึงนะ ถ้ามีใครโทรมาแจ้งเหตุอีก จำไว้ มีสติ ฟัง กรอกลงแบบฟอร์ม แล้วส่งให้ทีมกู้ภัย เข้าใจนะ”

“เข้าใจครับ” จะก็พยายามแล้วกัน



รู้สึกสับสนและตื่นเต้นมากเลยตอนนี้ ผมคิดผิดหรือเปล่าเนี่ยที่ขอมาช่วยแผนกฉุกเฉินกับไอ้ขี้แกล้งแทน สงสัยละซิว่าทำไมผมถึงเรยกว่ามันไอ้ขี้แกล้ง ก็ตั้งแต่เมื่อวานที่ผมแกล้งมันนิดหน่อยด้วยการใส่พริกลงไปในก๋วยเตี๋ยว หลังจากนั้นมันก็หาทางเอาคืนผมตลอด เริ่มจากเล็กๆน้อยๆด้วยการโทรมากวนผมตั้งแต่เช้ามืด แอบดึงลิ้นกระเป๋ากางเกงผมออกมา ไปจนถึงแอบผูกเชือกรองเท้าของผมให้มัดติดกันเพื่อให้ผมเสียหลัก เดี๋ยวเถอะมึง กูยังหาจังหวะเอาคืนมึงไม่ได้ กูจะลงทัณฑ์มึงให้สาสมเลย

กลับมาพูดถึงการทำงานในแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยมัณฑนา ทุกอย่างที่นี่รวดเร็วไปหมด มีแต่เสียงร้องของคนเจ็บ ผ้าพันแผล และคราบเลือด ความจริงผมไม่ได้กลัวเลือดหรือจัดการปัญหาไม่ได้หรอก แต่เพราะเมื่อไม่นานมานี้ผมเพิ่งเปิดใจเล่าเรื่องเศร้าเกี่ยวกับแม่ของผมให้คนอื่นฟัง ผมยังไม่สามารถมีสติสตังมากพอในการทำงานด้วยอารมณ์เศร้าซึมนึกถึงอดีต



“มาเล่นเกมส์กันไหม” จู่ๆไอ้แทนก็โผล่มาที่โต๊ะรับโทรศัพท์

“จะเล่นอะไรอีก ว่างมากหรือไง” ผมเอ็ดไอ้คนที่ชอบทำเป็นเล่นได้ทุกเล่น “ไม่ต้องไปช่วยดูแลคนเจ็บหรือไง หน้าที่มึงอ่ะ”

“ว่างแล้ว” เจ้าตัวตอบหน้าระรื่น “คนมันมีความสามารถอ่ะน้อง งานแค่นี้ เล็กน้อยมาก ไม่เหมือนมึงหรอก แค่รับโทรศัพท์ยังทำหน้าเหวออยู่เลย อ่อนจริงๆ”

“ใครน้องมึง มึงว่าใครอ่อน กูก็ทำได้เว้ย”

กริ่งงงงงงงง

​สายเข้าอีกแล้ว



“อ่ะ นี่ไง สายเข้าพอดี ไหนบอกทำได้ ทำให้ดูหน่อยดิ”

มึงกล้าท้าทายกูเหรอ ได้.... ค่อยดูนะ

“สวัสดีครับ แผนกฉุก.....”

“มีเด็กถูกรถเฉียวที่ถนนหน้ามหาลัยค่ะ ส่งรถพยาบาลมาด่วนเลยได้ไหมค่ะ ตรงแถวๆ เอ่อ แถวๆนี้มีเซเว่น แล้วๆๆ รถที่เฉียวก็หนีไปแล้ว น่าจะทะเบียน กอไก่ขอไข่ ห้าแปด...หรืออะไรสักอย่างนี่แหละ ส่งมาเลยได้ไหมค่ะ เด็กไม่ได้สติเลย”

“อ...อะไรนะครับ” รัวไปไหมเนีย ใครจะไปฟังทันวะ “เอ่อ.... คือ.... รถ เอ้ย! เด็ก เอ้ย! หมายเลขอ่ะครับ หมายเลข...” เชี่ย กูจะถามอะไรวะเนี่ย “เห้ย!!”

จู่ๆไอ้แทนก็แย่งหูฟังโทรศัพท์ไปจากผม



“ใจเย็นๆนะครับ ทีมงานเราพร้อมอยู่แล้ว แต่ช่วยแจ้งสถานที่เกิดเหตุอีกครั้งนึงได้ไหมครับ” ทำไมวิธีการรับมือเรื่องฉุกเฉินของไอ้คนที่แย่งการสนทนาจากผมไป มันถึงได้เหมือนกับมืออาชีพเลยวะ ไม่อยากยอมรับเลยว่าต่างกับผมแบบคนละขั้ว “สะพานลอยหน้ามหาวิทยาลัยนะครับ เยื้องกับเซเว่น ครับ....... คนเจ็บเป็นใครครับ?....... เด็กประมาณแปดถึงสิบขวบนะครับ....... ไม่ได้สติ ไม่มีบาดแผลภายนอก โอเคครับ........ ขอหมายเลขโทรศัพท์กับชื่อผู้แจ้งด้วยครับ......... ครับ เรียบร้อยครับ........ อ๋อ ยังไม่ต้องแจ้งรายละเอียดในคดีก็ได้ครับ เรื่องนั้นเป็นกระบวนการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในส่วนของเรา เดี๋ยวเราจะส่งรถพยาบาลไปภายในห้านาทีนะครับ รบกวนรอรับโทรศัพท์ของเจ้าหน้าที่ด้วยนะครับ” ทันทีที่วางสายมันก็รีบยื่นแบบฟอร์มไปนอกกระจกให้ทีมกู้ภัย ทำแบบเดียวกับพี่พยาบาลคนเมื่อกี๊เลย



“เฮ้ย ทุกคน มีเคสเข้า ออกรถๆ” นั่นคือเสียงสุดท้ายของกระบวนการจากพี่ๆทีมกู้ภัย ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติอย่างรวดเร็ว

ก๊อก



“โอ๊ย” จู่ๆไอ้บ้าแทนมันก็ออกปากกามาเคาะที่หัวผม แกล้งอะไรกูอีก “อะไรของมึงเนีย มาตีหัวกูทำไมเนีย”

“ไหนบอกว่าทำได้ไง” นี่กูไม่ใช่น้องมึงนะ ทำอย่างกับกูเป็นเด็กไปได้ “รับโทรศัพท์แค่นี้เอง ทำไมต้องสติแตกขนาดนั้นด้วย”

“ก็....” จะแก้ตัวว่ายังไงดีล่ะ “แล้วมึงมาตีหัวกูทำไมเล่า” ไหนๆก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงแล้ว ทำเป็นโกรธก็แล้วกัน เดี๋ยวเสียหน้า

“เจ็บขนาดนั้นเลย”

“ก็เออดิ”

“ไหนๆดูหน่อย หัวโนไหม”

“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดประชดกูเลยมึงอ่ะ มาโดนมั้งไหมล่ะ”

“โห โกรธขนาดนั้นเลยเหรอ... อ่ะๆ กูให้เคาะหัวกูคืนก็ได้”

เห้ย เดี๋ยวๆ ไม่ต้องจับมือกูไปตีหัวมึงขนาดนั้นก็ได้ กูไม่ใช่เด็กอนุบาลนะ

“ไร้สาระจริงๆเลยมึงเนีย” แต่ผมก็รีบชักมือกลับก่อน

“ก็เนีย ให้ตีคืนแล้วนี่ไง”

“ไม่ตีอะไรทั้งนั้นอ่ะ กลับไปทำงานของมึงเลย”

“ก็บอกว่าไม่มีอะไรให้ทำแล้ว กูว่ากูอยู่ตรงนี้ดีกว่า ขืนปล่อยมึงนั่งรับโทรศัพท์คนเดียว...”

“กูรับโทรศัพท์คนเดียวแล้วมันเป็นยังไง? พูดดีๆนะมึง”

“ก็เดี๋ยวจะ... เหนื่อยไง โทรศัพท์เข้าตลอด ต้องมีคนช่วยบ้าง กูมาช่วย ไม่ดีเหรอ”

“ทำเป็นพูดนะมึงอ่ะ”

“จะขอบคุณกูก็ได้นะ”

“เรื่องไรล่ะ อยากทำก็ทำไปดิ” นี่กูยังเคืองมึงอยู่นะ ไม่ต้องมาทำเป็นแหย่เลย

“ก็ทำอยู่นี่ไง” โอ๊ะ ไม่รู้จะเถียงมันยังไงแล้ว “ไม่ตีหัวกูคืนแน่นะ”

“ไม่” เอ๊ะมึงนิ

“น่า....นะ ตีหน่อยน่า อ่ะนี่ เอาปากกาตีหัวกูคืนก็ได้ถ้ากลัวเจ็บมือ”

“บอกว่าไม่ไง”

“เถอะน่า เดี๋ยวก็โกรธกูอีกอ่ะ เอาหน่อยนะ หรือจะให้กูทำฮาราคีรีเลยไหม เป็นการสารภาพบาป... ข้าน้อยผิดไปแล้วที่บังอาจเอาปากกาไปเคาะหัวท่าน ข้าน้อยสมควรตาย นายท่านโปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วย เฮือกกกก”

ไอ้บ้าเอ๊ย มึงนี่มัน.... หลุดขำเฉยเลยกู  ก็ดูมันดิ ทำท่าเอาปากกาทิ่มพุงตัวเอง แถมยังทำเสียงอย่างกับในหนังญี่ปุ่น นี่ถ้าพวกสาวๆที่กรี๊ดมันมาเห็นว่ามันติ๊งต๊องขนาดนี้ คงหมดพิศวาสในตัวมันเป็นแน่

“อารมณ์ดีขึ้นแล้วนิ”

หึ! ใครอารมณ์ดี?  “หมายถึงกูเหรอ”

“ก็คุยอยู่กับมึงคนเดียวเนีย จะให้หมายถึงใครอีกล่ะ.... ตั้งแต่ที่มึงเล่าเรื่องแม่ ก็ทำหน้าอมทุกข์มาตลอดเลย กว่าจะยิ้มออก ต้องให้กูแสดงหนังตลกให้ดูจนได้ อย่างกะว่ากูต้องมาเลี้ยงเด็กเลย”

นี่อย่าบอกนะว่าที่มึงทำเป็นเข้ามาคุยกับกูเพราะมึงอยากให้กูรู้สึกดีขึ้น

“เออ ก็โอเคขึ้นแล้ว ขอบใจล่ะกัน แต่วันหลังอย่าเอาอะไรมาตีหัวกูอีกนะ”

“โอเค... แต่มึงยังตีกูคืนได้อยู่นะ”

“ไม่ต้อง พอเลย มึงนิ” แปลกคนนะมึงเนีย “ถามจริงเหอะ ทำไมต้องเป็นกูวะ?”

“หมายความว่าไง” คนตรงหน้าผมสงสัย

“ทำไมถึงอยากเป็นเพื่อนกับกู เรารู้จักกันแค่วันเดียว แต่ดูมึงพยายามจะสนิทกับกูให้ได้ มันมีเหตุผลอะไรวะ อย่ามาอ้างว่าเพราะกูกับมึงเป็นเด็กต่างจังหวัดด้วยกันนะ เหตุผลแค่นั้นมันเบาไป” ก็จริงอ่ะ นี่ไม่ใช่ละครนะ ที่คนสองคนจะสนิทสนมกันได้แค่ข้ามตอน

“อันนี้ถามจริงจังเลยเหรอ”

“กูเหมือนพูดเล่นหรือไง”

“ไม่รู้เหมือนกันอ่ะ” นั่นมันใช่คำอธิบายซะที่ไหนวะ “แต่เรื่องที่ว่าเป็นเด็กต่างจังหวัดเหมือนกันนั่นก็เกี่ยวนะ มึงก็รู้แล้วนิว่ากูอยู่ญี่ปุ่นมานาน วัฒนธรรมของวัยรุ่นบ้านเราสมัยนี้กูยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ก็เลยไม่ค่อยกล้าคุยกับใคร ถ้าไม่บังเอิญว่าเราสองคนได้ตราประทับจากพี่น้ำชาพร้อมกัน ตอนนี้กูอาจจะยังไม่กล้าคุยกับเพื่อนคนไหนเลยก็ได้”

“หาคนเกาะว่างั้น”

“ไม่ได้เหรอ”

“ก็ตามใจมึงละกัน แต่มึงกับกูอยู่กันคนละเอกนะ มึงอย่าลืมหาเพื่อนสนิทในเอกมึงไว้บ้างก็ดีนะ”

“ยังไม่เปิดเทอมนี่หว่า แล้วก็อีกอย่าง ก็อยากมีเพื่อนอยู่เอกไบโอมากกว่า”

“ทำไมวะ” บ้าเหรอ คนปกติเขาก็ต้องอยากมีเพื่อนในเอกก่อนทั้งนั้นแหละ

“ก็กูเรียนธรณีใช่ไหมล่ะ ความรู้ทางธรณีบางเรื่องก็ต้องอาศัยความรู้เกี่ยวกับพวกพืชหรือสิ่งมีชีวิตอะไรพวกนี้ด้วย ไม่แน่ว่าในอนาคตกูอาจจะต้องการผนวกความรู้สองเรื่องนี้เข้าด้วยกันก็ได้”

“จริงใจจังนะมึงอ่ะ พูดไปพูดมาก็กะจะคบกับกูเพราะผลประโยชน์"

“นั่นมันแค่ทฤษฎี สุดท้ายแล้วมันก็ต้องมีพื้นฐานที่จิตใต้สำนึก มันคงบอกว่ากูควรอยู่ใกล้ๆมึงละมั้ง”

“ไอ้บ้า พูดไรของมึง” นี่มันรู้ตัวหรือเปล่าว่าคำพูดแบบนี้เขาไม่ได้เอาไว้ใช้พูดกับเพื่อน แต่เอาไว้พูดกับ.... ไม่ กูจะไม่พูดคำนั้นออกมาเด็ดขาด

“ก็พูดความจริงไง” ยังจะย้ำอีก “แต่ถ้ามันทำให้มึงไม่สบายใจ งั้นเอางี้ไหมล่ะ ถ้ามึงยอมมาเป็นแหล่งความรู้ในอนาคตให้กู กูจะช่วยมึงตามหาแม่เป็นการตอบแทน อ้อ พูดถึงเรื่องนี้ ที่มึงอยากเป็น center เพราะอยากใช้สิ่งนี้ตามหาแม่ใช่ไหม งั้นกูไม่ขอแข่งด้วยก็แล้วกัน”

“ขอบใจนะที่เห็นใจกูนะ แต่กูไม่อยากใช้เหตุผลนี้มาเป็นข้ออ้างในการทำให้มึงเลิกล้มปณิธาน ถึงกูจะอยากได้มันแค่ไหน แต่ถึงยังไงจุดประสงค์ของมึงก็สำคัญไม่แพ้กัน เป็นประโยชน์กับคนหมู่มาก เรื่องของกูมันแค่เพื่อตัวกูคนเดียว เอาเป็นว่าแฟร์เกมส์เหอะ สู้กันอย่างยุติธรรม อย่างที่เราตกลงกันตั้งแต่แรก”

“เอาอย่างนั้นก็ได้ แต่ถึงยังไงกูก็จะช่วยมึงตามหาแม่อยู่ดี”

“ถ้ามันง่ายขนาดนั้น กูก็คงไม่เสียเวลาหามาตั้งสี่สิบปีหรอก”

“ก็สิบสี่ปีก่อนหน้านี้ไม่มีกูไง แต่หลังจากนี้ มึงจะมีกูแล้ว”

“...........” ไอ้บ้าแทน มึงพูดแบบนี้อีกแล้วนะ ถึงกูจะไม่ใช่ผู้หญิง แต่กูก็..............









......................................มีความรู้สึกนะ



…………………………………………..





(ในมุมของน้ำชา)



กี่โมงแล้วเนี่ย

ห้าโมงครึ่ง



“อิเจส” ผมเรียกบั๊ดดี้ของตัวเอง

“ว่าไงคะ” มันก็จีบปากจีบคอพูดตามเคย

“มึงช่วยเช็คให้หน่อยว่าพวกปีหนึ่งไปเรียนปรับพื้นฐานกับข้าวเจ้าหรือยัง”

“ไปแล้ว กูเช็คให้แล้ว มึงไม่ต้องห่วงหรอก ระดับกูแล้ว มึงสนใจเรื่องที่จะต้องไปประชุมต่อที่คณะดีกว่าไหม จะไม่ทันอยู่แล้ว พี่ตองทำไมไม่มารับซะที มึงก็ถ่ายแบบเสร็จนานแล้วนะ ผั... เอ้ย แฟนของพวกเราหายไปไหนนานจัง”

“อิช้าง กล้าพูดต่อหน้ากูเลยเหรอ”

“โอ๊ยยยย ให้กูได้อยู่ในจินตนาการบ้างก็ได้ พี่ตองงานดีขนาดนั้น แบ่งๆให้กูหน่อย ถึงจะแค่ในมโนภาพของกูก็เถอะ”

“กู ไม่ อ นุ ญาต”

“อิชาขี้งก” ดูมันพูดกับผมซิ นี่มึงเป็นผู้ช่วยกูนะ “แต่ไม่เป็นไร เห็นว่าน้องโซนิคก็แซ่บอยู่ แถมน้องแทนด้วยอีกคน คนอะไรหล่อลื๊ม โอ๊ย ปีนี้ฟินเว้อร์ พูดแล้วก็หิว อยากไปห้องซ้อมคณะสังคมขึ้นมาเลย”

อยากจะด่าจริงๆ แต่... “อยากไปจริงๆไหมล่ะ”

“ก็อยากนิดนึง” ตอแหลชัดๆ “แต่กูทิ้งมึงไปไม่ได้ กูจะต้องได้ชื่อว่าเป็นบั๊ดดี้ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในบรรดาบั๊ดดี้ทั้งหลายทั้งปวง โดยมีอิเล็กกับอิวาวาเป็นที่สองและที่สามตามลำดับ”

“มึงนี่ก็ช่างสรรหาคำมาพูดเนาะ เออ ถ้ามึงจะไปก็ไป เพราะกูก็จะไปเหมือนกัน”

“จริงอ่ะ ว่าแต่... แล้วพี่ตองล่ะ?”

“เดี๋ยวกูโทรหาเอง มึงโทรหาแท็กซี่ให้มารับเลย”

“โอเค”

ผมกดโทรศัพท์หาพี่ตอง ส่วนอิช้างก็จัดการในส่วนของมัน



“ฮัลโหลครับชา” พี่ตองรับสายในเวลาไม่นาน แล้วจะกระซิบทำไม

“พี่ตองอยู่ไหน?”

“พี่คุยงานอยู่ที่คณะวิศวะครับ”

“อ้าว กลับไปแล้วทำไมไม่บอก”

“พี่ไม่ได้ตั้งใจจะมาครับ โดนเรียกตัวมาด่วน”

“ใครเรียก?”

“อาจารย์ที่คณะครับ พอดีว่าพี่ได้รับคัดเลือกให้ไปดูงานที่ต่างประเทศ”

“ห๊ะ!?”

“ก็ผลการเรียนพี่ออกมาดีจนขยับเข้าไปอยู่ในกลุ่มนิสิตเรียนดี ทางคณะจะจัดโครงการดูงานที่อังกฤษหนึ่งสัปดาห์ ก็เลยเรียกพี่กับพวกเกรดสูงๆเข้ามาด่วน แล้วชาถ่ายแบบเสร็จยังครับ”

“เสร็จแล้ว”

“งั้นรอพี่เดี๋ยวเดียวนะ พี่ใกล้คุยเสร็จแล้ว อาจารย์เขากำลังสรุปแล้ว”

“ไม่ต้องมาหรอก เดี๋ยวชานั่งแท็กซี่กลับเอง”

“ก็บอกแล้วไงว่าพี่ไม่อยากให้ชานั่งแท็กซี่” ดูความคิดไอ้พี่ตองดิ ห่วงไม่เข้าเรื่องอีกแล้ว

“ไม่เป็นไรหรอก ชากลับกับอิเจสซี่ พี่ตองทำธุระไปเถอะ แล้วชาจะไปประชุมลีดที่คณะสายแล้วด้วย”

“พี่ขอโทษนะครับ พี่ไม่รู้ว่าจะโดนเรียกตัวด่วนแบบนี้”

“ไม่เป็นไร งั้นก็เจอกันที่มหาลัยนะ”

“ครับบบ รักนะครับ”

“ครับ”

“อย่าเพิ่งวางดิ ไม่เห็นบอกรักพี่เลย”

“พอเลยพี่ตอง ทำธุระตัวเองไป”

“นะนะนะ พี่อยากฟังบ้าง นี่ถ้าพี่ต้องไปอังกฤษจริงๆ พี่คิดถึงชาแย่เลย”

“นิ....” โอ๊ยยยย “ชารักพี่ตองนะครับบบบ โอเคนะ แค่นี้แหละ”

พอ กดวางสายแม่งเลย




ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 6 [การรับมือ Part 2]
«ตอบ #22 เมื่อ11-08-2018 08:40:27 »

(ต่อ Part 2)



“แหวะ ชารักพี่ตองนะครับบบบ” แซ็วเร็วเชียวนะอิช้าง

“ไหนล่ะแท็กซี่” ผมเปลี่ยนเรื่อง

“แท็กซี่นะคะ ไม่ใช่ประตูโดเรมอน ถึงจะโทรปุ๊บโผล่ปั๊บได้ ยังมีเวลาให้มึงจู๋จี๋กับพี่ตองอีกนานค่ะ”

“อิช้าง หุบปากไปเลย”

“ค่าๆๆๆ กูมันพูดอะไรก็ผิดเนาะ เป็นบั๊ดดี้ของน้ำชานี่มันข่มขื่นจริงๆ”

“ข่มขื่นมากไหม กูจะได้หาบั๊ดดี้ใหม่ ส่วนแบ่งห้าสิบเปอร์เซ็นนี่ไม่พอใช่ไหม”

“แซ็วค่ะแซ็ว คิดจริงคิดจังตล๊อดๆ อ่ะโน่นไง แท็กซี่มาแล้ว เชิญเสด็จเพคะ”



ในที่สุดก็ได้เดินทางสักที ระหว่างการเดินทาง ไม่อยากเชื่อเลยว่าพี่ตองจะพูดไว้ถูก แท็กซี่มองผมแปลกๆจริงๆด้วย ดีนะที่อิเจสซี่มาด้วย ผมนี่ขนลุกตลอดเวลาเลย

พอถึงร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ ผมก็เลยรีบให้แท็กซี่จอดแล้วก็สั่งให้อิช้างเรียกคันใหม่ แต่ไม่ใช่แค่จะหลีกเลี่ยงสายตาลามกของไอ้คนขับรถโรคจิตนั่นหรอก ผมอยากจะซื้ออะไรนิดหน่อยพอดี



“เป็นไงบ้างทุกคน” นี่เป็นคำทักทายแรกเมื่อผมเปิดห้องซ้อมของคณะสังคมเข้ามา “พี่มีขนมมาฝาก”

อะตอม แทน และโซนิคกำลังยืนการ์ดเหงื่อท่วมตัวอยู่ โดยมีไอ้ข้าวเป็นคนสอนและอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆห้องก็คือขนมปัง

ห้องซ้อมคณะสังคมเป็นแบบนี้เองเหรอ ถึงจะไม่ใหญ่เท่าที่คณะวิทย์ แต่สะอาดสะอ้านดี แถมคงคอนเซ็ปสีม่วงไว้ได้เป็นอย่างดีเลย

“อ้าว ไอ้ชา จะมาทำไมไม่บอก” ไอ้ข้าวทักทายผม



“สวัสดีครับพี่น้ำชา” นี่คือการทักทายจากโซนิค ส่วนอะตอมกับแทนแค่ยกมือไหว้เพราะเราเจอกันแล้วเมื่อช่วงเช้า



“ยังไม่ต้องยิ้มตอนนี้เลยโซนิค ยืนการ์ดใหม่อีกทีซิ” ไอ้ข้าวโหมดเซียน เอ้ย โหมดรุ่นพี่ลีด “ก็บอกว่าอย่าถ่างขาออกจากกันไง ดูอะตอมกับแทนเป็นตัวอย่างซิ ส่วนน้องอะตอมแขนตกแล้วนะ ตั้งแขนดีๆ”

“โหดจังเลยนะ” ผมแซ็วเพื่อนพร้อมกับค่อยๆเดินไปยืนคู่กับมัน ไอ้น้องโซนิคนี่ยิ้มแฉ่งเลยตอนเห็นหน้าผม ส่วนอะตอมกับแทนรอยยิ้มแทบจะไม่เปื้อนหน้าแล้ว ท่าทางจะเหนื่อยน่าดูเลย “ให้น้องๆพักกินขนมก่อนไหม”

“เพิ่งพักไปเมื่อกี๊เอง” ไอ้ข้าวบอก “ให้ยืนการ์ดอีกสักพักค่อยกินของว่างก็แล้วกัน”

“โอเค” โหดจริงว่ะ



“มีแต่งานดีๆทั้งนั้นเลยอะมึง” อิช้างที่เดินมาเข้ากับผมทำทีกระมิดกระเมี้ยนพูดเบาๆ เห็นผู้ชายไม่ได้จริงๆนะมึงเนีย



“ว่าแต่มึงไม่ต้องไปประชุมที่คณะวิทย์เหรอ” ไอ้ข้าวถามผม “เห็นสุ่ยบอกว่ามีประชุมภาคค่ำนิ”

“ก็กำลังจะไปนี่แหละ แต่แวะมาดูน้องๆก่อน เดี๋ยวจะหาว่ากูส่งเด็กมาแล้วไม่ตามมาดูแล”

“ไม่ลำบากอะไรหรอก” แล้วจู่ๆไอ้ข้าวก็หันมากระซิบเบาๆกับผม “น้องที่ชื่อแทนมีพรสวรรค์มากเลยนะ ส่วนน้องอะตอมก็ขยันซ้อมสุดๆ”

ผมพยักหน้าเบาๆให้รู้ว่ารับรู้แล้ว

ก็พอจะเดาได้อยู่

“งั้นกูไปประชุมแล้วนะ” ผมกล่าวลา “ฝากตรงนี้ด้วยก็แล้วกัน”

“ไม่มีปัญหา แล้วจะไปยังไงอ่ะ มีรถเหรอ?”



“ให้ผมไปส่งไหมครับ ผมมีรถ” จู่ๆไอ้น้องโซนิคก็ร้องแทรกขึ้นมา

“ไม่ต้องหรอก พี่นั่งรถไฟฟ้าไปได้” ผมตอบยิ้มๆ “คนที่พี่อยากให้น้องไปรับไปส่งไม่ใช่พี่หรอก” เอาเป็นว่ารู้กันนะ ส่วนไอ้น้องโซนิคก็หน้าหงอยไปซะอย่างนั้น นี่หวังจะเอาใจกูอะไรเบอร์นั้น ให้มาฝึกท่าลีดพื้นฐานขนาดนี้แล้ว ยังเดาไม่ออกอีกเหรอว่ากูจะสอนเพลงมิ่งขวัญให้แน่นอนอยู่แล้ว “ไปนะข้าว”

“เจอกัน”

“เจอกันเพื่อน”



จากนั้นผมกับอิช้างก็รีบขึ้นรถไฟฟ้าของมหาลัยตรงดิ่งไปที่คณะวิทยาศาสตร์

เพียงแค่ครู่เดียวก็มาถึงจุดหมาย แต่ก็ต้องประหลาดใจทันทีเมื่อเห็นคนจอแจเต็มตึกคณะวิทย์ไปหมด ทั้งๆที่นี่ก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว ไม่น่ามีคนคนเยอะขนาดนี้นะ



“ชา” เกตุกับไอ้สุ่ยวิ่งออกมาจากความวุ่นวายเพื่อตรงมาหาผม โดยมีวาวากับอิเล็กตามมาด้วย

“เกิดอะไรขึ้นเนีย” ผมถามทันที “ทำไมคนเยอะจัง”

“นี่คือเด็กปีหนึ่งที่ผ่านเข้ารอบ” ไอ้สุ่ยอธิบาย “แต่ไม่ใช่แค่คณะเรานะ มีหลายคณะเลย ทุกคนมาที่นี่เพื่อตามหามึง เพื่อเพลงมิ่งขวัญมัณฑนา”

“ห๊ะ” ผมอุทานทันที



“นั่นพี่น้ำชานิ” “เห้ย พี่น้ำชามาแล้ว” “ไหนๆๆ”

เอาแล้ววววววว



“อิชา มึงขึ้นไปบนตึกก่อน เดี๋ยวกูรับหน้าเสือให้” อิเจสซี่บอกผมทันที

“เดี๋ยวกูกับวาวาอยู่ช่วยด้วย” อิเล็กเสริม

“รีบขึ้นตึกก่อนเถอะชา” เกตุเร่งผมเช่นกัน

“อ....โอเค” ขึ้นก็ขึ้นวะ



“น้องๆเดี๋ยวค่ะ พี่น้ำชาต้องมีประชุมนะคะ” “น้องปีหนึ่งยังไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นบนตึกนะคะ” “น้องคะ ให้พวกพี่เขาทำงานกันก่อน”

นั่นคือเสียงของอิเจสซี่ อิเล็ก และวาวา ทั้งสามดักความวุ่นวายไว้เบื้องล่าง ส่วนผม ไอ้สุ่ย และเกตุรีบวิ่งขึ้นบันไดมาชั้นสอง



“อย่างกับอยู่ในหนังเรื่องผีชีวะ” ไอ้สุ่ยเอ่ย มึงนี่ช่างเปรียบเทียบนะ

“แล้วชาจะเอายังไงดีล่ะทีนี้” เกตุถามผม

“จะบ้าเหรอเกตุ เราสอนเด็กปีหนึ่งทุกคนไม่ไหวหรอกนะ” ผมตอบ สอนได้ก็เก่งแล้ว “แล้วพวกปีหนึ่งแห่มาจากไหนเยอะแยะขนาดนี้”

“ก็ธรรมดาแหละมึง” ไอ้สุ่ยว่า “ปีนี้ดันมีรางวัลมาล่อตาล่อใจ ปีหนึ่งแม่งก็เลยอยากเต้นเพลงมิ่งขวัญกันซะหมดเลย”

“แต่มันก็ไม่ควรจะเยอะขนาดนี้เปล่าวะ”

“เกตุไม่อยากเอาข่าวลือไม่ดีมาบอกชาอีกครั้งเลย” เกตุว่าอะไรนะ “ชารู้ไหมว่า มีพวกลีดปีเดียวกับเราบางคน แอบทำตัวเซี้ยมปีหนึ่งกันลับๆอยู่เบื้องหลัง เหมือนว่าพวกนั้นจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นะที่ชาได้เป็นลีดมหาลัย”

“บ้าแล้ว เราทำหน้าที่มาเป็นปีแล้วนะ มันจะมาไม่พอใจอะไรตอนนี้”

“แค้นฝังหุ่นไงเพื่อน” ไอ้สุ่ยเปรียบเทียบให้ผมฟังอีกครั้ง "ข้าวเจ้าก็บอกกูประมาณนี้เหมือนกัน"

“แต่ถึงยังไงชาก็ต้องมีวิธีรับมือกับเรื่องนี้นะ” เกตุบอก “เด็กปีหนึ่งทุกคนมีสิทธิ์ที่จะรู้เพลงมิ่งขวัญมัณฑนาเท่าๆกัน ขืนชาไปปฏิเสธโต้งๆ มีหวังโดนกระแสโจมตีระลอกใหญ่กว่าเดิมแน่”

อะไรกันวะเนี่ยยยยยยยย ทำไมปีที่แล้วไม่เห็นไอ้พี่ตองมันจะมารับมือกับอะไรแบบนี้เลย ตอนกูไปขอให้มันสอน มันก็ปฏิเสธกูโต้งๆเหมือนกัน แล้วไหงความซวยมาตกที่กูวะ จะบ้าตาย



“เรื่องจะรับมือกับเด็กปีหนึ่งยังไงเอาไว้ก่อน” ผมตัดสินใจพูด “ตอนนี้ถึงเวลาต้องประชุมของลีดคณะเราแล้ว รีบเข้าห้องก่อนดีกว่า เพื่อนๆคงรอกันแล้ว”



ก็ทำไงได้ล่ะ ผมก็ต้องตัดสินใจแบบนี้ไปก่อน ขืนมัวเอาสมองไปคิดเรื่องวุ่นวายที่ชั้นหนึ่ง แผนสำหรับการฝึกผู้นำเชียร์คณะวิทยาศาสตร์ปีนี้ก็คงไม่เกิดกันพอดี

การประชุมเตรียมความพร้อมสำหรับการฝึกและคัดเลือกผู้นำเชียร์รุ่นใหม่ของคณะวิทยาศาสตร์เริ่มต้นขึ้น ส่วนใหญ่เราก็ใช้แนวทางและรูปแบบการฝึกซ้อมคล้ายกับปีที่แล้ว แต่อาจจะเน้นการจัดระเบียบร่างกายให้มากขึ้น เพราะเท่าที่สังเกตเมื่อวันสอบสัมภาษณ์ ถึงแม้ปีหนึ่งส่วนใหญ่จะมีหน้าตาที่ดี บุคลิกดี แต่พื้นฐานการใช้ร่างกายยังถือว่าอ่อนมาก รวมถึงมีมติที่จะดึงพวกพี่ๆจากตึกผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยมาร่วมสอนน้องๆด้วย ส่วนหนึ่งก็เพื่อให้เด็กปีหนึ่งได้สัมผัสถึงระดับความจริงจังของกิจกรรมห้องเชียร์

มีการแบ่งหน้าที่ในการติดต่อประสานงานครูสอนแต่งหน้า ครูสอนการแสดง เทรนเนอร์ปรับบุคลิกภาพ ผู้นำเต้นกายบริหาร และผู้สอนคลาสจำเป็นอื่นๆ และจากการทำงานครั้งนี้ทำให้ผมได้เห็นความยุ่งยากของการทำงานของคณะวิทยาศาสตร์ อาจจะด้วยชื่อเสียงของคณะเราจึงทำให้หน่วยงานเอกชนหลายแห่งแข่งขันเพื่อเข้ามามีส่วนในการร่วมกิจกรรม การคัดเลือกและกำหนดกรอบการทำงานร่วมกันของคณะ ครูฝึกพิเศษ และหน่วยงานเอกชนจึงเต็มไปด้วยข้อถกเถียง งานนี้ถ้าจะขอบคุณใครก็คงต้องขอบคุณตัวหลักทั้งสามคนของคณะวิทยาศาสตร์อย่างผม ไอ้สุ่ย และเกตุ

ผมใช้ความสามารถทางคณิตศาสตร์ของตัวเองในการจัดการรูปแบบตารางเวลาที่ซับซ้อน (ยังจำทฤษฎีกราฟที่ผมใช้แก้ปัญหาเรือขนส่งสินค้าเมื่อปีที่แล้วได้ใช่ไหม นั่นแหละ มันกลับมาอีกครั้งแล้ว)



“งั้นก็ยึดตามแผนนี้ไปก่อนนะ”

ประโยคที่เกตุมักจะพูดบ่อยๆระหว่างการประชุม ถึงแม้เกตุจะไม่ได้มีตำแหน่งสำคัญในคณะวิทยาศาสตร์ แต่เธอก็เป็นถึงประธานผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัย คำพูดของเธอจึงเป็นเสมือนบทสรุปของทุกเรื่องๆ บวกกับความสามารถในการสั่งการอย่างเด็ดขาด เรื่องที่ควรจะยุ่งยากหลายๆเรื่องจึงคลี่คลายไปโดยง่าย



“รายนี้รู้สึกว่าจะยื่นหนังสือประมูลไปที่วิทยาลัยนานาชาติเหมือนกันนะ เรายังจะเก็บรายนี้ไว้พิจารณาอยู่ไหม”

ส่วนนี้ก็เป็นผลงานจากการเป็นคนกว้างขวางของไอ้สุ่ย มันมักจะมีข้อมูลสำคัญที่ได้มาจากไหนก็ไม่รู้มาบอกที่ประชุมเสมอ



“งั้นวันนี้พอแค่นี้ก็แล้วกันนะ” ผมบอกเลิกการประชุมในเวลาเกือบสี่ทุ่ม เพลียมาก หนักตาชะมัด “ส่วนเรื่องโครงการเดี๋ยวจะให้บั๊ดดี้ช่วยกันทำสองสามคนก็แล้วกัน เอ่อ... เจสซี่ เล็ก วาวา ช่วยกันเขียนได้ไหม”

“ได้” อิเพื่อนสามหน่อของผมตอบทันที “จะใช้ตอนไหน”

“พรุ่งนี้เย็นๆก็แล้วกัน” ผมตอบ “ใช้ข้อมูลตามที่ประชุมเลยนะ”

“ไม่มีปัญหา” อิช้างตอบ ถึงแม้อิเพื่อนสามตัวนี้ของผมจะดีดเกินเหตุไปบ้างบางเวลา แต่พวกมันก็ถือว่าทำงานได้ในระดับดีเยี่ยม เก่งงาน อ่านเกมส์ล่วงหน้า และทำงานเป็นระบบ สมแล้วที่เป็นเพื่อนกู (555 วกเข้าหาตัวเองจนได้)

“โอเคนะทุกคน” ผมกลับมาพูดกับที่ประชุมอีกครั้ง “ช่วงนี้ก็แบ่งเวลากันดีๆนะ งานจะค่อนข้างยุ่ง ถ้างานไหนที่ทับกับงานของคณะแล้วเคลียร์ไม่ได้จริงๆก็บอกเรานะ เผื่อเราจะให้พี่ชมพู่ช่วยพูดกับลูกค้าให้ กลับไปพักผ่อนกันดีกว่าทุกคน เจอกันวันมะรืนนะ”

เสียงเก้าอี้เลื่อนเป็นสัญญาณของการกระจายตัวของเหล่าผู้นำเชียร์ในห้องประชุม



“อิชา” อิช้างรีบเข้ามาหาผม

“ว่าไง?”

“ให้กูลงไปดูให้ก่อนดีกว่าไหม เผื่อว่าพวกเด็กปีหนึ่งยังอยู่”

“ไม่ต้องหรอกมึง ลงไปด้วยกันนี่แหละ ยังไงกูก็ต้องเผชิญกับเรื่องนี้”

“เดี๋ยวก่อนชา” เกตุขว้างผมไว้ “แน่ใจแล้วเหรอ เกตุไม่รู้หรอกนะว่าชาจะรับมือกับเรื่องนี้ยังไง แต่ถ้าชาคิดจะสอนเด็กทุกคนที่เดินเข้ามาหา เกตุบอกเลยว่าเกตุไม่เห็นด้วย เพลงมิ่งขวัญเป็นเพลงแรกของมหาลัยเราเลยนะ ถ้าทุกคนสามารถเต้นมันได้ง่ายๆ ความสำคัญของมันก็จะหายไปทันที”

“กูเห็นด้วยกับเกตุนะไอ้ชา” ไอ้สุ่ยคือคนที่เข้ามาเสริมทัพ “มึงอ่ะชอบทำเรื่องพวกนี้ให้เป็นของง่ายเกินไป แต่มันก็ต้องมีข้อจำกัดกันบ้างนะเว้ย ไม่ใช่ว่าทุกคนควรได้รับโอกาส”

“กูคิดเรื่องนี้ดีแล้ว” ผมบอกเพื่อนทั้งสอง “เอาเป็นว่ากูจะไม่ทำให้เรื่องนี้ง่ายเกินไปก็แล้วกัน ลงไปกันเหอะ”

ผมไม่รอช้า รีบเดินลงบันไดทันที ไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้แล้ว ง่วง อยากพักผ่อนเต็มทีแล้ว

และเมื่อลงมาถึง.......



“เจ๊ซีซี่” ผมร้อง รู้สึกแปลกใจอย่างที่สุดที่เจอบั๊ดดี้ของพี่ตองมาอยู่ที่ตึกคณะวิทย์ “มาอยู่นี่ได้ไงอ่ะครับ”

“เจ้าชายตองน่ะซิเรียกพี่มา”

“พี่ตองเรียกมา... แล้วไหนพี่ตองอะครับ”

“โน่นไง” เจ๊ซีซี่ชี้ไปที่ประตูกระจก

พี่ตองกำลังคุยกับเด็กสาวสองคนอยู่นอกอาคาร ท่าทางจริงจังกันน่าดูเลย แล้วพวกปีหนึ่งที่ยกโขยงกันมาหายไปไหนหมด

“อย่าเพิ่งไปน้ำชา” เจ๊ซีซี่ห้ามผมไม่ให้เดินไปหาพี่ตอง “ตองกำลังคุยธุระอยู่”

“ธุระ?” ธุระอะไรวะ ดูยังไงก็เป็นเด็กปีหนึ่งชัดๆ พี่ตองไม่น่าจะมีเรื่องอะไรให้ต้องคุยกับเด็กสาวปีหนึ่งสองคนนั้นนะ



ผมยืนรออยู่สักพัก จนทุกคนที่ลงมาด้วยกันกับผมกลับที่พักกันหมด แม้กระทั่งเจ๊ซีซี่ที่สั่งให้ผมรอก็กลับไปด้วย



“ขอโทษที่ให้รอนะครับ” ในที่สุดพี่ตองก็กลับมา

“คุยอะไรกับเด็กสองคนนั่นน่ะ” ผมถามทันที

“ถามแบบนี้แปลว่า...หึงเหรอครับ”

“ไอ้พี่ตอง” ไม่ต้องมาทำลีลาเลย ตอบมา กูไม่หึงกูก็ไม่ใช่คนแล้ว บ้าหรือเปล่าให้ยืนรอแฟนตัวเองคุยกับผู้หญิง

“โห่ อย่าโหดซิครับ นั่นมันน้องลีดปีหนึ่งที่ผ่านสอบสัมภาษณ์มา น้องเค้าจะมาหาชานั่นแหละ”

“อ้าว ก็แล้วทำไมไม่ให้มาหาชาล่ะ”

“คิดว่าพี่มาที่นี่ทำไมล่ะ แล้วก็เหตุผลที่เรียกซีซี่มาด้วย เด็กปีหนึ่งหายไป ทายไม่ถูกเหรอว่าพี่เพิ่งทำอะไรไป”

“พี่ตองไล่เด็กปีหนึ่งพวกนั้นไปเหรอ” อย่าทำอะไรบ้าๆขนาดนั้นนะขอร้อง

“ไม่ถึงกับไล่หรอก พี่แค่บอกว่าแฟนพี่ยุ่งมากและไม่มีเวลาสอนเพลงมิ่งขวัญให้...”

“จะบ้าเหรอ”

“ฟังให้จบก่อนซิครับ พี่บอกเด็กพวกนั้นไปว่า ถ้าน้องคนไหนสามารถขอลายเซ็นของพี่ชมพู่มาได้ พี่จะยอมให้น้ำชาสอนเพลงมิ่งขวัญให้”

ห๊ะ!!!

กูจะบ้าตาย ต้องรีบโทรไปขอโทษพี่ชมพู่โดยด่วนเลยแบบนี้

“เดี๋ยววววว” จู่ๆ ไอ้พี่ตองก็แย่งโทรศัพท์ของผมไป

“เอาโทรศัพท์ชามานี่” ผมเริ่มโวยวาย นี่ไม่เข้าใจสถานการณ์เลยใช่ไหมเนี่ยว่าเพิ่งจะทำอะไรลงไป “ชาจะรีบโทรไปหาพี่ชมพู่”

“คิดว่าพี่ไม่ได้เตรียมการเรื่องนี้ไว้หรือไง” หึ! ยังไง? “ตอนที่พี่มารับชา พอเห็นเด็กพวกนี้พี่ก็รู้แล้วว่าชากำลังเจอกับปัญหา แล้วพี่ก็รู้อีกว่าชาเป็นคนขี้สงสาร ชอบแคร์คนอื่นมากจนเกินไป ขืนให้ชามารับมือกับเรื่องนี้เอง มีหวังเด็กรุ่นนี้เต้นเพลงมิ่งขวัญกันได้ทั้งมหาลัยแน่ๆเลย พี่ก็เลยโทรไปขอพี่ชมพู่แล้วว่าจะใช้ชื่อพี่เค้าเป็นข้ออ้าง แต่ไม่ต้องห่วงหรอก พี่ชมพู่จะไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากเรื่องนี้แน่นอน พี่เค้าไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่ธิเบต กว่าจะกลับมาก็วันเปิดห้องเชียร์โน่นเลย แต่ต่อให้พี่ชมพู่อยู่ ตึกลีดมอก็ไม่อนุญาตบุคคลภายนอกให้เข้าไปอยู่ดี.... คราวนี้ก็เลิกกังวลได้แล้ว โอเคนะครับ”

“ทำไมต้องออกหน้าแทนชาด้วยล่ะ สุดท้ายเด็กพวกนั้นก็ต้องเข้าใจความเป็นจริงของสถานการณ์นี้อยู่ดี แล้วพี่ตองอาจจะโดนเกลียดได้นะ”

“นั่นพี่ก็คิดแล้ว” ยังจะมายิ้มสบายใจอีก “แต่พี่ไม่เหมือนชา พี่ไม่ได้แคร์ทุกคนแบบที่ชาเป็น ใครจะต่อว่า นินทา หรือเกลียดพี่ก็ให้เกลียดไป ขอแค่........









...........ชาคนเดียวที่ยังรักพี่อยู่ก็พอ”

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
หวานไม่เปลี่ยน
 :L2: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 7 [สิ่งดีๆ Part 1]
«ตอบ #24 เมื่อ11-08-2018 18:03:07 »

​ตอนที่ 7 : สิ่งดีๆ









“ขอโทษนะครับ ผมมาหาขนมปังครับ” ผมพูดกับอาม๊าท่านนึงซึ่งกำลังเก็บกวาดเศษแป้งและชิ้นส่วนของขนมปังที่ตกหล่นอยู่ตามพื้น

เพิ่งรู้นะว่าที่บ้านของรุ่นพี่ตัวน้อยคนนี้เป็นร้านขายแบเกอร์รี่ (เพราะเมื่อเช้าเบี้ยว ไม่ได้มารับพี่เขา แฮ่ๆ) แต่ไม่ใช่แนวสมัยใหม่นะ จากภาพรายการสินค้าที่เห็นตามข้างฝาผนังเหมือนจะเป็นแบเกอร์รี่จำพวกขนมปังสูตรไทยโบราณ กลิ่นหอมๆที่เตะจมูกนี่คงเป็นกลิ่นของการอบแป้งที่ยังคงตกค้างอยู่ในร้านซินะ แม้ว่านี่จะเป็นเวลาค่ำที่ไม่น่ามีการอบขนมปังแล้ว

คิดมานานแล้วว่าพี่ขนมปังมีกลิ่นอะไรหอมๆติดตัว ที่แท้ก็มาจากที่นี่นี่เอง



“ขนมปังลูก ขนมปัง” จากวิธีการเรียกของอาม๊า คงเป็นย่าหรือไม่ก็ยายของพี่ขนมปังแน่เลย เข้าใจแล้วว่าที่มาที่ไปของชื่อหน่อมแน้มมาจากไหน “ขนมปัง มีเพื่อนมาหา”

“...........” ไม่มีการตอบรับแต่อย่างใด

“ขึ้นไปหาเขาเลยก็แล้วกันนะหนู” อาม๊าตัดสินใจบอกผม “สงสัยจะอาบน้ำอยู่ ห้องขนมปังอยู่ชั้นสี่นะ”

“ค...ครับ” สูงจัดเลย “งั้นผมขอรบกวนสักครู่นะครับ”

“ขึ้นไปเลยๆ”



ผมค่อยๆเดินขึ้นบันไดอย่างระมัดระวังจนมาถึงชั้นสี่ที่มีห้องเพียงห้องเดียว แถมเปิดประตูคาไว้ซะด้วย

ตุ๊บ

“เมี๊ยวววว”

นั่นเสียงแมวเหรอหรืออะไร



 “พูริน” เสียงนี้น่าจะเป็นของรุ่นพี่ตัวน้อยนั่นนะ “ซนอีกแล้วนะ เจ็บไหม”

คุยกับใครวะ

ด้วยความสงสัยและช่างเผือก ผมจึงค่อยๆผลักประตูห้องของพี่เค้าเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น......แมว จริงๆด้วย

“บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าปีนขึ้นไปบนชั้นหนังสือ มานี่เลย โอ๋ๆๆ เจ็บไหมเอ่ย”

หน่อมแน้มได้ตลอดเวลาจริงจริ๊งงงง ที่แท้ก็กำลังนั่งโอ๋แมวที่โดนหนังสือร่วงลงมาใส่ แล้วก็อุ้มแมวขนปุยไปด้วยเก็บหนังสือที่ร่วงลงบนพื้นไปด้วย อย่างกะภาพแม่ที่กำลังเลี้ยงลูกเล็กๆอยู่



“สมกับที่เป็นแมวของพี่เลยเนาะ” ผมเริ่มต้นทักทายด้วยการแซ็ว แต่ก็ยืนอยู่หน้าห้องนะ ไม่ได้เข้าไป

“ค...คุณ!” คนตัวเล็กสะดุ้งนิดหน่อยที่เห็นผมมายืนอยู่หน้าห้องนอนตัวเอง แต่แล้วก็ขมวดคิ้วใส่ผม คงจะเพิ่งระลึกได้ว่าโดนผมแซ็ว “คุณหมายความว่าไง”

“ตัวเล็กแล้วก็ซุ่มซ่ามไง” ผมบอก

“นิคุณ”

“แต่ก็น่ารักดี...." ผมรีบแก้ "หน้าแดงอีกแล้วนะพี่เนี่ย ผมชมแมว ไม่ได้ชมพี่ซะหน่อย”

“คุณ...”

“อ่ะๆๆ ชมพี่ด้วยก็ได้”

“คุณมาที่นี่ทำไม” นี่หงุดหงิดแล้วเหรอ ดูยังไงก็ติ๋มเหมือนเดิม

“ก็ให้ผมเอาชุดมาให้ไม่ใช่เหรอ” ผมยกเสื้อผ้าสองชุดในไม้แขวนเสื้อให้ดู

“อ๋อ รอแป๊บนึงนะ ผมขอเก็บของเดี๋ยวเดียว”

“ยังจะมีเวลาเลี้ยงแมวอีกเนาะ งานผู้ช่วยลีดมอก็ยุ่งมากพออยู่แล้ว”

“เรื่องของผมน่า” แล้วรุ่นพี่ตัวน้อยก็เดินมาที่ประตูห้องเมื่อจัดการเก็บกวาดเสร็จ  พร้อมกับถือแมวมาด้วยในมือ “เอาชุดมาได้แล้ว”

“ผมเอาไปเองก็ได้นะจริงๆแล้ว” ผมยังไม่อยากส่งให้ ถึงแม้ว่าคนตรงหน้าจะสั่งให้ผมเอามาให้ก็ตาม “แค่นี้ผมก็เกรงใจพี่จะแย่แล้ว ไหนจะต้องตื่นเช้าไปที่สระกับผม แล้วก็ต้องมาวุ่นวายกับเสื้อผ้าของผมอีก”

“ผมบอกไปแล้วไงว่าผมจัดการได้ แล้วที่ให้เอาชุดมาให้ก็เพราะว่าจะส่งไปให้ร้านซักรีด จะเอาไปนัดหมายให้ร้านเขาเอาไปส่งไว้ที่ล็อดเกอร์ที่สระว่ายน้ำแล้วก็มารับไปซักตามเวลา แบบนี้คุณจะได้ไม่ต้องมีปัญหาเรื่องเตรียมเสื้อผ้าอีก แต่เดี๋ยวผมจัดการให้ เพราะคุณคงยังไม่รู้จักร้านบริการซักรีดที่ดีๆแถวนี้หรอก ผมจัดเตรียมเสื้อผ้าให้ข้าวเจ้าบ่อย พอจะติดต่อกับร้านให้ได้อยู่”



อือหือ ถึงจะหน้าติ๋มๆ ไปหน่อย แต่ก็ต้องยอมรับจริงๆว่ามีระบบการจัดการในสมองที่ดีมาก คิดข้ามฉ็อตไปแค่ไหนวะเนี่ย



“งั้นผมก็รบกวนด้วยนะ” ผมยอมส่งสองชุดที่ถือมาให้คนเลี้ยงแมวตรงหน้า “เรื่องค่าใช้จ่าย เท่าไหร่ก็บอกผมนะ”

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ได้มากมายอะไร”

“ไม่ได้ดิพี่ พี่มาเป็นธุระให้ผมแล้วยังจะมาออกตังให้ผมอีกได้ไง”

“ผมมีรายได้จากการทำงานเป็นบั๊ดดี้ให้ข้าวเจ้า ส่วนคุณเป็นแค่รุ่นน้องปีหนึ่ง เดี๋ยวผมจัดการให้เอง”

“คำก็รุ่นน้อง สองคำก็รุ่นน้อง รุ่นน้องอย่างผมก็หล่อจนทำให้รุ่นพี่บางคนหน้าแดงได้ก็แล้วกัน” ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงชอบแกล้งรุ่นพี่คนนี้นัก เห็นคนหน้าติ๋มๆแบบนี้ทีไร มันอดใจให้ไม่แกล้งไม่ได้จริงๆ

“กลับไปหอของคุณได้แล้ว” แน๊ะๆ หน้าแดงอีกแล้ว ผู้ชายแบบไหนวะ เขินเพราะโดนผู้ชายด้วยกันแซ็ว “ไม่เหนื่อยหรือไง ทำงานหนักมาทั้งวัน ไหนจะโดนฝึกพื้นฐานจากข้าวเจ้าอีก”

“นั่นดิ.... เห้ออออ พูดแล้วก็เหนื่อย พรุ่งนี้ต้องเจออะไรอีกก็ไม่รู้ พี่ข้าวเจ้านี่ก็โหดเหมือนกันนะ” โหดถึงขั้นไม่ปล่อยให้กูพักบ้างเลย วันนี้พี่น้ำชาอุตส่ามาหาถึงห้องซ้อม แต่ก็ไม่ได้คุยอะไรกับพี่เค้าเลย แอบเซ็งหน่อยๆ เพราะความสัมพันธ์ของผมกับพี่เขาไม่พัฒนาไปถึงไหนสักที

“พรุ่งนี้ไม่น่าจะมีอะไรมากหรอก”

“พี่รู้ได้ไง”

“ก็ข้าวเจ้าบอกไง เขาบอกผมว่าจะสอนแต่งหน้าพวกคุณพรุ่งนี้”

“ต้องแต่งหน้าด้วยเหรอ แต่ผมไม่เคยแต่งหน้ามาก่อนเลยนะ เครื่องสำอางก็ไม่เคยมีกับเค้า”

“ผมเตรียมไว้ให้แล้ว คุณแค่ตั้งใจเรียนก็พอ”

โหหหหหห ซึ้งเลยกู

“พี่ขนมปังนี่น่ารักเหมือนน้องแมวจริงๆด้วย น้องแมวชื่ออะไรนะ”

“พูริน” คนตรงหน้าผมตอบเขินๆ

“หวัดดีครับพูริน”

“นี่ตัวเมีย.... กลับไปได้แล้ว ผมจะพักผ่อน ดึกมากแล้ว”

“โอเคครับ ฝันดีนะคะพูริน” ผมแสร้งทำเป็นบอกลาแมว “ส่วนพี่ขนมปังก็ฝันดีนะครับบบบบ”

“อืม”



​ปัง

ปิดประตูใส่ซะเร็วเชียว แค่บอกฝันดีแค่นี้ก็ต้องเขินด้วย แล้วกูจะยิ้มทำไมเนีย สงสัยชอบใจที่แกล้งเขาได้



เมื่อเสร็จธุระทั้งหมด ผมก็ขับรถเดินทางกลับหอพักของตัวเอง

เหนื่อยเหมือนกันแฮะไอ้ลีดอะไรนี่ เพลียไปหมดแล้ว อยากอาบน้ำนอนจะแย่แล้ว

ถึงหอสักที.....



“โซนิค”

เสียงใครเรียกวะ คุ้นๆ

ผมมองหาต้นเสียงที่หน้าประตูห้องตัวเอง



“อ้าว พี่น้ำขิง” แฟนพี่ต้อมนั่นเอง “มาหาพี่ต้อมเหรอครับ แต่เอ๊ะ พี่ต้อมไม่น่าจะอยู่ห้องนี้แล้วนี่นา ผมจำได้ว่าห้องนี้เช่าทิ้งไว้เก็บของๆพี่ต้อมเฉยๆ พี่เค้าไปอยู่กับพี่น้ำขิงแล้วไม่ใช่เหรอ”

“พี่มาเอาเน็คไทร์สำรองให้ต้อมน่ะ พอดีอันที่ใส่อยู่มันไปเกี่ยวโดนตะปูขาด”

“อ๋อ.... อิจฉาพี่ต้อมจังเลยนะ มีแฟนคอยดูแลตลอดเลย แล้วพี่ผมนี่ยังไงถึงใช้ให้แฟนตัวเองมาเอาของให้”

“ต้อมไม่ได้ใช้ พี่มาเอง วันนี้ต้อมทำงานมาหนักทั้งวันแล้ว ป่านนี้คงหลับไปแล้วละมั้ง”

“พี่น้ำขิงทำไมดูแคร์พี่ผมจัง” จริงๆอยากจะพูดว่า โคตรน่าอิจฉาเลย มากกว่า เมื่อไหร่ผมจะมีแฟนแบบนี้สักที อุตส่าได้เจอคนที่เหมือนกับพี่น้ำขิงทุกอย่าง แต่กลับไม่มีโอกาสได้เข้าถึงตัวเขาบ้างเลย

“มันก็ไม่ได้ลำบากอะไรนี่นา ถ้าเรารู้สึกดีกับใครสักคน มันก็เป็นธรรมดาที่เราอยากจะทำสิ่งดีๆให้กับเขา วันนึงถ้าโซนิคได้เจอคนที่เข้ามาทำดีด้วย ก็อาจจะเข้าใจความรู้สึกของพี่เอง”



คนที่มาทำดีด้วยเหรอ......

จะเหมือนกับที่พี่ขนมปังทำหรือเปล่านะ แต่เป้าหมายของเราเป็นพี่น้ำชานี่นา ไม่ใช่พี่ขนมปัง



“ผมก็หวังว่าจะเจอครับ” ผมตอบ

“แล้วนี่รู้หรือเปล่าว่านี่เป็นห้องเก่าของลูกพี่ลูกน้องของพี่เอง” ห๊ะ ห้องไหน หมายถึงห้องของผมเนี่ยเหรอ “จำน้ำชาได้ไหม”

“จ...จำได้ครับ” อึ้งไปเลยกู รู้แต่ว่าพี่ต้อมหาห้องไว้ให้ แต่ไม่นึกว่าจะเช่าห้องเก่าต่อจากพี่น้ำชาให้ บุพเพสันนิวาสชัดๆ

“ได้ข่าวว่าผ่านรอบสัมภาษณ์มาแล้วนิ ทำไมไม่ไปขอร้องน้ำชาล่ะ น้ำชาเต้นเพลงมิ่งขวัญได้นะ รู้หรือเปล่า”

“ก็พอจะเคยได้ยินมาบ้างครับ” ผมโกหก ผมต้องพยายามไม่พูดถึงเรื่องของผมกับพี่น้ำชามากนัก แม้แต่พี่น้ำขิงก็ตาม จะให้ไปเข้าหูพี่ต้อมไม่ได้ “ผมจะลองทำตามที่พี่แนะนำก็แล้วกันครับ”

“โอเค งั้นพี่กลับก่อนนะ”

“หวัดดีครับพี่”



จากนั้นพี่น้ำขิงก็จากไป



ผมรีบเปิดประตูเข้าห้องตัวเองที่เพิ่งจะรู้ว่าเป็นห้องเก่าของพี่น้ำชามาก่อน

ฟินจัง รู้สึกเหมือนได้อยู่ใกล้ๆพี่น้ำชาเลย นี่จะเป็นกลิ่นของพี่เขาหรือเปล่านะ

ผมทิ้งตัวลงบนเตียงของตัวเองแล้วกอดหมอนข้างประหนึ่งว่าได้กอดพี่น้ำชาอยู่



เฮ้ออออออออออ

ไปอาบน้ำนอนดีกว่า พรุ่งนี้เช้าต้องตื่นไปว่ายน้ำอีก คงต้องตื่นให้เร็วขึ้นอีกหน่อยเพราะต้องไปรับพี่ขนมปังที่หอ พูดถึงพี่ขนมปัง รายนี้คงจะกำลังจัดการแผนงานสำหรับวันพรุ่งนี้อยู่ หรือไม่ก็อาจจะกำลังมุ้งมิ้งอยู่กับแมวก็ได้

ส่งข้อความไปแกล้งหน่อยดีกว่า......



‘ฝันดีนะครับ จาก ผู้ช่วยสุดหล่อ’

‘ขอบใจ นอนได้แล้ว’ ตอบกลับมาแล้ว

‘ผมไม่ได้บอกพี่ ผมจะฝากบอกพูรินต่างหาก’ ฮ่าๆๆๆๆ ความแกล้งนี้

‘ได้ เดี๋ยวบอกให้’ ถ้ามองเห็นหน้าได้ก็คงทำหน้าหงุดหงิดอยู่ซินะ

แฮ่ๆๆ แกล้งคนสำเร็จ สบายใจแล้ว อาบน้ำได้............





เช้าตรู่วันต่อมา ผมเดินทางออกจากหอพักแต่เช้าและตรงดิ่งไปรับรุ่นพี่ตัวเล็กที่ร้านเบเกอร์รี่ของเขา ก่อนจะมาซ้อมว่ายน้ำที่สระว่ายน้ำมหาวิทยาลัย

ระหว่างซ้อมผมก็ได้เจอคนคุ้นหน้าคุ้นตาสองสามคน เคยเห็นเมื่อสมัยที่แข่งว่ายน้ำตอนมัธยม ไม่นึกว่าจะได้มาเจอหน้ากันอีกที่นี่ แต่ผมก็ไม่ได้ไปทักทายอะไรเขาหรอกนะ ก็ไม่ได้รู้จักนิ

การซ้อมเป็นไปอย่างรวดเร็ว ผมไม่เพลียหรือเหนื่อยกับการว่ายน้ำตอนเช้าแบบนี้เลยสักนิดเพราะเป็นสิ่งที่ทำมาเป็นสิบปีแล้ว แต่ไม่ใช่กับ......



“พี่ขนมปัง” ผมพยายามปลุกคนที่นอนหลับอยู่บนม้านั่งข้างสระว่ายน้ำให้ตื่น “พี่ขนมปัง”

“ครับ....” นี่ขนาดงัวเงียนะเนี่ย ยังจะพูดเพราะอีก “คุณเองเหรอ ซ้อมเสร็จแล้วเหรอ”

“เสร็จแล้ว” ผมตอบ “เจ็ดโมงกว่าแล้ว”

“ล....แล้วทำไมไม่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าล่ะ มายืน.....แก้ผ้าแบบนี้ทำไม”

“นี่มันชุดว่ายน้ำ จะให้ผมใส่เสื้อคลุมว่ายน้ำหรือไงล่ะ” นี่ก็แปลกคน เห็นผู้ชายแก้ผ้าก็ไม่ได้อีก จะติ๋มไปไหน “แล้วอีกอย่าง ผมยังไม่เห็นเสื้อผ้าที่จะให้ผมไปเปลี่ยนเลย”

“อ...อ๋อ อยู่ในล็อกเกอร์นั่นแหละ ร้านเอามาแขวนไว้ให้แล้ว อ่ะนี่ผ้าเช็ดตัว” หึ! เตรียมผ้าเช็ดตัวไว้ให้ด้วย

“ขอบคุณครับ” ผมขอบคุณในความใส่ใจของคนตรงหน้า

นี่กูทำให้พี่เขาลำบากหรือเปล่าวะ ต้องมานอนรอกูซ้อมกีฬาเป็นชั่วโมงๆ ต้องมาตื่นเช้าเพื่อกู แถมยังเตรียมนั่นนี่ให้อีก พอเห็นแบบนี้แล้วก็รู้สึกผิดเลยที่เคยแกล้งพี่เขาแรงๆ ถ้าเป็นไปได้................







...................อยากย้อนเวลากลับไปทำดีกับเขาให้มากกว่านี้





.......................................................................................





(มุมของน้ำชา)



เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งด้วยความขี้เกียจของผมซึ่งยังไม่สามารถแกะตัวเองออกจากเตียงได้.....

อากาศและเสียงพร่ำๆแบบนี้ แปลว่าเช้านี้มีฝนตกลงมาซินะ น่านอนต่อจัง

อ้าว

พี่ตองหายไปไหน?

ปกติน่าจะยังนอนแอ้งแม้งอยู่ข้างๆเรานี่นา ยิ่งบรรยากาศแบบนี้ด้วยแล้ว กว่าจะปลุกให้ตื่นได้ไม่ใช่ง่ายๆ



“เรายังให้คำตอบไม่ได้อ่ะอร” เสียงพี่ตองนี่หว่า คุยกับใครแต่เช้า

ผมค่อยๆเดินออกจากห้องนอนไปยังส่วนห้องนั่งเล่น เห็นพี่ตองกำลังหันหลังคุยโทรศัพท์อยู่ที่เคาเตอร์ทานอาหาร

“เราไม่อยากทิ้งน้ำชาไปนานๆ แถมไปไกลถึงอังกฤษด้วย” นั่นพูดถึงเราอยู่ใช่ไหม “......เราเข้าใจว่ามันเป็นโอกาสที่ดี แต่....”



“พี่ตอง” ผมตัดสินใจเรียกพี่ตอง พอจะเดาออกแล้วว่าเรื่องอะไร

“อร เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวเราโทรหาอีกที” คนตรงหน้าผมรีบวางสาย “ตื่นแล้วเหรอครับ หิวหรือยัง พี่อุ่นนมให้เอาไหม”

“ไม่เป็นไร นั่นหน้าที่ของชา”

“อ๋อใช่ พี่ลืมไป”



ผมเดินไปหยิบนมในช่องฟีซออกมาใส่หม้ออุ่นนม แล้วเมื่อมันละลายและอุ่นจนได้ที่ก็ตักใส่แก้วมาเสิร์ฟให้พี่ตองที่นั่งอยู่ที่เคาเตอร์



“แล้วไหนแก้วของชาล่ะ” คนตรงหน้าผมถาม

“ชายังไม่หิว” ผมตอบ “พี่ตองดื่มเถอะ ชาอยากนั่งดูพี่ตองแบบนี้ก่อน เดี๋ยวถ้าพี่ไปอังกฤษนานๆ ชาคงไม่ได้เห็นหลายวัน”

“ช...ชาครับ เรื่องนั้น...” คนตัวสูงวางแก้วนมลงทันที

“ตอบตกลงไปดูงานเถอะ” ผมตัดบททันที “ไม่ต้องห่วงชาหรอก ชาอยู่ได้ ชาขึ้นปีสองแล้วนะ”

“แต่...”

“โอกาสแบบนี้ไม่มีมาบ่อยๆนะ พี่อาจจะสามารถไปอังกฤษเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ไปเพื่อดูงานต่างประเทศ ไม่มีมาบ่อยๆหรอกนะ แล้วจะได้ไปที่ไหนรู้หรือยังอ่ะ”

“ที่ Imperial College ครับ”

“ชื่อคุ้นๆนะ มหาลัยเกี่ยวกับวิศวะใช่หรือเปล่า”

“ใช่ครับ”

“งั้นก็ดีเลยซิ แบบนี้พี่ยิ่งควรจะไปมากๆเลยนะ ไปเถอะนะ น่าสนุกดีออก”

“แต่พี่ต้องทนคิดถึงชาไม่ไหวแน่เลย”

“ถ้าพี่ตองคิดถึงชาจริงๆก็ควรจะไปที่สุดเลย”

“ยังไงครับ?”

“ก็เพราะว่าชาอยากมีแฟนเป็นนายวิศวะใหญ่และมีประวัติว่าเคยไปดูงานที่อังกฤษมาแล้วไง”

“พี่รู้นะว่าชากำลังพยายามเกลี่ยกล่อมพี่อยู่”

ผมก็รู้แหละว่ายังไงพี่ตองก็ต้องจับได้ แต่นี่มันเป็นหน้าที่ของผมที่จะมอบสิ่งที่ดีให้คนที่ผมรัก

“ตอบตกลงเถอะนะ” ผมเอื้อมมือไปกุมมือคนตรงหน้าไว้ “ชาอยากให้พี่ตองไปจริงๆ”

“หอมแก้มพี่ก่อน แล้วพี่จะลองคิดอีกที” ไอ้หัวเหม่งเอ๊ย มีลูกเล่นตลอด แต่ยอมก็ได้ อ่ะ...จุ๊บ “ทำไมของ่ายจัง นี่อยากให้พี่ไปจริงๆเหรอ”

“มันสำคัญกับพี่ตองนี่นา ชาไม่อยากให้พี่ใช้ความสัมพันธ์ของเราเป็นข้ออ้างในการหยุดทำสิ่งที่ควรจะทำ ถ้าเรารักกันจริงๆ ชาก็ควรจะทำสิ่งดีๆให้พี่ การสนับสนุนให้พี่ตองไปดูงานครั้งนี้ก็เป็นหนึ่งในเรื่องสำคัญที่ชาควรจะทำไม่ใช่เหรอ”

“ตอนนี้พี่ชักเริ่มสงสัยแล้วว่าชาติที่แล้วพี่ทำบุญด้วยอะไร ถึงได้มีแฟนที่น่ารัก เก่ง ฉลาด และใส่ใจพี่ขนาดนี้”

“สรุปว่าจะไปดูงานแล้วใช่ไหม”

“ไปก็ได้ครับ”

“งั้นก็รีบดื่มนมได้แล้ว แล้วก็รีบโทรไปคอนเฟิร์มกับคณะซะนะ” ผมหันหลังกลับมาที่ส่วนเคาท์เตอร์เครื่องครัว ก่อนจะเปิดตู้เย็นอีกครั้งเพื่อดูวัตถุดิบในนั้น “วันนี้จะกินอะไรดีอ่ะ มีเบคอน มีไข่ เอาเป็นชุดอาหารเช้าแบบง่ายๆ....พี่ตอง จะมากอดชาทำไม”

จู่ๆไอ้หัวเหม่งก็เดินเข้ามากอดผมจากข้างหลัง

“ตอนนี้ไม่อยากกินอาหารช้า อยากกินน้ำชามากกว่า” ไอ้จอมหื่นพูดออกมาหน้าตาเฉยซะงั้น

“ไม่ต้องเลย วันนี้พี่ตองมีถ่ายโฆษณาไม่ใช่เหรอ”

“เขาโทรมาเลื่อนแล้ว ฝนตก ไม่เห็นเหรอครับ”

นั่นซิ ลืมไปเลยว่ามีฝนตก ผมมองออกไปที่กระจกคอนโดฯ สายฝนกำลังตกลงมาอย่างต่อเนื่อง

“แต่ก็ต้องไปประชุม ก.น.ช.ไม่ใช่เหรอ”

“นั่นตั้งบ่ายโมงครับ”

“งั้นเราก็ควรจะเข้าไปที่โรงบาล....พ....พี่ตอง” ข้ออ้างของผมไม่เป็นผลอีกต่อไปเมื่อคนตัวสูงเลิกกอดผมแต่กลับอุ้มผมขึ้นมาแทน

“เดี๋ยวค่อยไปก็ได้” นั่นไง มันเริ่มแล้ว คำโปรยเสน่ห์กับดวงตาที่เหมือนจะสะกดคนมองให้หยุดนิ่งได้ “นานๆทีเราจะว่างพร้อมกัน เดี๋ยวอาทิตย์หน้าเปิดเทอม พี่ก็ต้องไปดูงานตั้งนานแน๊ะ”

“ไปแค่อาทิตย์เดียวเอง”

“นาทีเดียวก็คิดถึง”

“อ....เอาจริงเหรอ”

ไม่มีเสียงตอบ มีแค่การพยักหน้าเบาๆ

“งั้นชาขอไปแปรงฟันก่อนได้.....”

จบเลย

จบการสนทนาและข้ออ้างใดๆ

ทันทีที่ริมฝีปากทั้งสองประกบกัน โลกทั้งใบก็คล้ายจะหยุดหมุนไปด้วย คำออดอ้อนแสนหวานและบรรยากาศที่แสนเป็นใจนี้ก็พาให้ช่วงเช้าของวันนี้ผ่านไปโดยที่มีแต่ผมกับพี่ตองเท่านั้น………………..

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-08-2018 23:22:19 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 7 [สิ่งดีๆ Part 2]
«ตอบ #25 เมื่อ11-08-2018 18:04:57 »

(ต่อ Part 2)



“วันนี้หน้าตาสดใสนะมึงอิชา” อิช้างเจสซี่แซ็วผมทันทีที่เจอหน้ากันที่ห้องซ้อมคณะวิทย์ “โดนยาดีมาละซิท่า”

“หุบปาก” นั่นคือคำตอบจากผม

“อิจฉาอิชาจังเลยเนาะ มีผู้งานดีอยู่ในการครอบครอง” อิเล็กคร่ำครวญ “เมื่อไหร่จะมีผู้ดีๆเข้ามาในชีวิตกูบ้างนะ”

“น้องแทนกับน้องอะตอมไงมึง” วาวา ได้โปรดอย่าติดเชื้ออิสองตัวนี้

“เออใช่” อิเล็กเห็นด้วยทันที “สองคนนี้งานดีอยู่นะ ถึงน้องอะตอมจะหน้าหวานไปหน่อยแต่กูก็ไม่ติดนะถ้าน้องเค้าจะมาชอบกู”

“งั้นกูจองน้องแทนนะ ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ หล๊อหล่อ เท๊เท่ แถมมีดีกรีเป็นนักเรียนญี่ปุ่นด้วยอ่ะ อยากเป็นแม่บ้านญี่ปุ่นขึ้นมาทันทีเลย”

“พวกมึงจะจองใครก็จองไป” อิช้างเริ่มแสดงอิทธิฤทธิ์บ้าง “แต่ห้ามยุ่งกับน้องโซนิคของกูเด็ดขาด”

“โซนิคไหนอ่ะมึง” วาวาถาม

“โอ๊ยยยย อิชะนีตกข่าว” อิเล็กต่อว่าเพื่อน “แรร์ไอเท็มจากคณะสังคมปีนี้ไง ได้ข่าวว่าหล่อจนแผ่นดินไหว เป็นนักกีฬาว่ายน้ำด้วย แซ่บลื๊มมม ตัวเก็งเดือนมหาลัยปีนี้เชียวนะ”

“โอ้โห อิช้าง หวังสูงไปไหมมึงอ่ะ”

“แหม ว่าแต่กูนะอิวาวา น้องแทนของมึงก็ตัวเก็งเหมือนกันนั่นแหละ แต่ใครจะไปรู้ ต้อมกับน้ำขิงก็สร้างตำนานรักระหว่างเดือนมหาลัยกับบั๊ดดี้มาแล้ว ทำไมกูจะมีกับเขาบ้างไม่ได้”

“กูไม่หวังสูงอย่างพวกมึงหรอก ขอแค่หนึ่งในเจ้าชายก็พอ” อิเล็กชูคอ “มึงว่าน้องอะตอมจะชอบแบบกูไหม”

“ตื่นนน!!!” ผมไม่ทนฟังอีกต่อไปแล้ว “ออกมาจากจินตนาการกันได้แล้ว นี่กูชวนพวกมึงมาดูเตรียมเนื้อหาก่อนเรียนนะ ไม่ใช่ให้มาพูดเพ้อเจ้อ ช่วยอยู่กับความจริงตรงหน้าด้วย”

“โอ๊ย อิชา” อิช้างโวยวาย “แสร้งทำเป็นเออ-ออกับพวกกูไปก่อนไม่ได้หรือไง”

“อย่างอิชาจะไปเห็นใจอะไรพวกเรา ก็มันเอาพี่ตองไปกินคนเดียวแล้วนิ”

“อิช้าง อิเล็ก ถ้าพวกมึงยังไม่หยุดพูดนะ....”

“โอเคค่ะซังกุงสูงสุด” อิเล็กรีบตัดบท “เรามาอ่านหนังสือกันดีกว่า หยุดเพ้อเจ้อ พวกมึงสองคนก็เลิกพูดได้แล้ว”

“ค่ะ” อิช้างกับวาวาประชดอิเล็กอย่างกับซ้อมมา พวกมึงควรเลิกดูซิทคอมกันได้แล้วนะ จังหวะตบมุกเก่ามากเลย

“แต่เดี๋ยวก่อน” อิช้างยังมีเรื่องอยากพูด “อ่านหนังสือเสร็จแล้วไปห้องซ้อมคณะสังคมได้ไหม กูอยากไปหาน้องโซนิคของกู”

“อิช้าง” นี่มึงจะถ่วงเวลาไปถึงไหน

“กูล้อเล่น กูจะเอาโครงการซ้อมลีดของคณะเราให้มึงดูต่างหากล่ะ อะนี่”

“เขียนเสร็จแล้วเหรอ” เร็วดีแฮะ ผมรับร่างโครงการมาดู

“แน่นอนซิ กูสามคนเป็นใครให้มันรู้ซะบ้าง”

“เออ มึงสามคนเก่งมากกกก แค่เพ้อเจ้อไปหน่อยเท่านั้นเอง”

“ค่ะ เพ้อเจ้อก็เพ้อเจ้อ แต่.... ไปห้องซ้อมคณะสังคมไม่ได้จริงๆเหรอ” ดูความวอแวของมันซิ

“อ่ะๆๆ ไปก็ไป ถือว่าพวกมึงทำงานดี แต่พวกมึงต้องเตรียมเนื้อหาของเทอมนี้ให้เสร็จก่อนนะ” ผมก็พูดไปงั้นแหละ ที่จริงแล้วก็กะจะเข้าไปหาไอ้ข้าวกับน้องปีหนึ่งพวกนั้นอยู่แล้ว

“ว๊ายยยย นายแม่ใจดีที่สุดเลย ขอกอดหน่อยนะ”

โถมเข้ามากอดกูเนียไม่ดูรูปร่างมึงเลยนะอิช้าง

“กูไปด้วย” “กูด้วย” แล้วอิเล็กกับวาวาก็โถมเข้ามากอดผมเช่นกัน

“พอได้แล้วพวกมึงนิ” ผมพยายามหลุดออกมาจากสัมภเวสีทั้งสามตัว “รีบอ่านหนังสือ อยากไปคณะสังคมเร็วๆไม่ใช่หรือไง”

“อ่านหนังสือๆๆ” คึกเชียวนะ



นี่แหละครับ หนึ่งในหลายๆสาเหตุที่ทำให้ผมไม่มีเวลาว่างมากนักในช่วงใกล้เปิดเทอมอย่างนี้ นอกจากการรับงานนอกมหาวิทยาลัย และการเตรียมตัวสำหรับกิจกรรมห้องเชียร์ เรื่องการเรียนก็เป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่จะขาดไปเสียไม่ได้ ผมให้ความสำคัญกับมันถึงขนาดที่ว่าต้องเขียนลงไว้ในสมุดตารางเวลา

การเตรียมเนื้อหาเป็นไปอย่างราบรื่น ส่วนใหญ่ก็เป็นแค่การทำความเข้าใจกับเนื้อหาอย่างกว้างๆไปก่อนเพื่อทำให้เห็นขอบเขตของสิ่งที่จะต้องเรียน ถึงแม้ผมจะถูกใครๆเรียกว่าเป็นอัจฉริยะ แต่ผมไม่เคยประมาท ผมไม่เคยมีความคิดว่าเพราะเราถนัดจึงไม่จำเป็นต้องตั้งใจเรียนหรืออ่านหนังสือ ไม่มีใครเก่งได้ตลอดไปโดยไม่พยายามหรอก อันนี้ผมบอกไว้เป็นเคล็ดลับเลยนะ ถ้าเราอยากจะเป็นคนเก่ง สิ่งสำคัญก็คือต้องคิดอย่างที่คนเก่งคิด ทำอย่างที่คนเก่งทำ จะเรียกว่าเป็นการสะกดจิตตัวเองก็ได้ นี่แหละเคล็ดลับสำคัญที่ผมใช้สอนพี่ตองจนพี่เค้าขึ้นมาอยู่ในจุดดีเยี่ยมได้

พูดถึงพี่ตองแล้วก็แอบใจหายเหมือนกันแฮะ ถึงผมจะเป็นคนยุให้พี่ต้องไปดูงานต่างประเทศเอง แต่ตัวผมเองนี่แหละที่รู้สึกหดหู่ลึกๆ จู่ๆพี่ตองก็จะหายไปจากชีวิตตั้งเป็นสัปดาห์ ผมคงเหงาน่าดูเลย

เลิกคิดๆ ยิ่งคิดยิ่งเศร้า เอาเป็นว่าตั้งใจอ่านหนังสือดีกว่า แล้วก็ต้องตรวจร่างโครงการอีก ทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก่อน……





#เสียงโทรศัพท์



“ฮัลโหลพี่ตอง” พี่ตองนั่นเองที่โทรมาในเวลาเกือบห้าโมงเย็น

“ชาครับ พี่ต้องไปคุยเรื่องเดินทางไปดูงานที่คณะวิศวะอีกแล้ว ชาเสร็จธุระหรือยัง พี่จะได้ไปรับก่อน”

“พี่ตองไปคุยธุระก่อนก็ได้ เดี๋ยวชาว่าจะเข้าไปดูการฝึกของไอ้ข้าวซะหน่อย ชาไปรอที่คณะสังคมก็ได้”

“เอางั้นเหรอ”

“เอาตามนี้แหละ เย็นนี้ชาว่าจะเข้าไปช่วยไอ้ข้าวสอนน้องๆ”

“โอเคครับ ถ้าเสร็จแล้วก็โทรหาพี่นะ”

“ได้ครับ”

ผมกดวางสาย



“ไปคณะสังคมกันนนน” คึกเกินไปแล้วนะมึงอิช้าง



พวกเราเดินทางไปที่ห้องซ้อมของคณะสังคมศาสตร์ตามแผนที่วางไว้ แต่......



“อ้าว หายไปไหนกันหมดอ่ะ” ผมถาม ก็เมื่อเปิดประตูห้องซ้อมเข้าไป เห็นแต่โซนิคยืนอยู่คนเดียว

“พี่น้ำชา” โซนิคตาลุกวาวที่เห็นผม

“สรุปว่าหายไปไหนกันหมด” ผมถามอีกครั้ง

“นี่อะเหรอน้องโซนิค เนื้อโคขุนเกรดเอชัดๆ” อิสามใบเถา อย่าเพิ่งสะดีดสะดิ้งกันได้ไหม

“พี่ข้าวเจ้ากำลังมาครับ” โซนิคตอบ “ส่วนอีกสองคนไม่รู้ว่าหายไปไหนเหมือนกัน”

สองคน? อ๋อ อะตอมกับแทนซินะ

“เออใช่ กูลืมบอกไป” อิเจสซี่พูดแทรก “น้องสอนคนติดธุระต้องออกไปดูพื้นที่หรืออะไรสักอย่างนี่แหละ เห็นบอกว่าแผนกฉุกเฉินนัดไว้”

“แล้วจะมาฝึกหรือเปล่า”

“มาๆ แต่น่าจะหลังสองทุ่ม”

“โอเค” ผมหันกลับไปหาโซนิคเพราะมีบางอย่างสงสัยอยากถาม “แล้วทำไมน้องมาอยู่ตรงนี้ ถ้าพี่ข้าวเจ้าไม่อยู่ แสดงว่าก็ต้องออกไปทำงานข้างนอกละซิ ซึ่งนั่นหมายความว่าพี่ขนมปังกำลังออกไปทำงานโดยที่น้องไม่ได้ช่วยอยู่”

“เอ่อ คือ....” อะไรคือการนิ่งคิด

“พี่หวังว่าจะไม่ได้ยินอะไรที่เกี่ยวกับการละเลยคำสั่งจากน้องอีกนะ” ผมเริ่มขู่

“ผ...ผมเพิ่งกลับมาจาก...”



“ได้ๆ เดี๋ยวเราบอกน้องให้” จู่ๆก็มีเสียงหนึ่งเข้ามา ผมหันไปหาคนมาใหม่ ขนมปังนั่นเอง “ว...หวัดดีน้ำชา หวัดดีทุกคน” เจ้าตัวทักทาย

“ช่วยบอกเราหน่อยได้ไหมว่าทำไมโซนิคอยู่ตรงนี้ แต่ขนมปังเพิ่งจะเข้ามาในห้อง” ผมเปิดประเด็นถามผู้มาใหม่ทันที “น้องละเลยต่อหน้าที่ ไม่ไปช่วยงานขนมปังอีกแล้วใช่ไหม”

“ป...เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้น คือเราให้น้องไปเอา.... เครื่องสำอางมาให้น่ะ วันนี้ข้าวเจ้าบอกว่าจะมีสอนน้องๆแต่งหน้า”

“นี่ขนมปังไม่ได้กำลังโกหกเราอยู่ใช่ไหม” คิดเหรอว่ากูดูไม่ออก

“ป...เปล่านะ เราให้น้องไปเอาเครื่อง...”



“ผมไปสระว่ายน้ำมาครับ” แล้วไอ้น้องโซนิคก็ตะโกนผ่ากลางปล้องขึ้นมา แต่เมื่อกี๊ได้ยินว่าไปไหนมานะ “ผมไม่ได้ไปเอาเครื่องสำอางมาหรอกครับ ผมไปซ้อมว่ายน้ำมา”

“คุณ...”

“ไม่ต้องโกหกแทนผมหรอกพี่” โซนิคยืนกรานที่จะพูดในสิ่งที่ตนอยากพูด แม้จะดูเหมือนว่าขนมปังกำลังพยายามจะอธิบายความให้เป็นอื่นก็ตาม แถมเจ้าตัวยังเอาตัวเองเข้ามายืนขวางระหว่างผมกับขนมปังไว้ นี่คิดว่ากูจะกระโจนเข้าไปทำร้ายเพื่อนหรือไง “ผมทิ้งงานผู้ช่วยพี่ขนมปังไปสองชั่วโมงครับ เพื่อไปซ้อมว่ายน้ำ”

“นั่นอยู่ในข้อตกลงของเราด้วยเหรอ” ในเมื่อน้องมันกล้าพูดตรง ผมก็กล้าถามตรงเหมือนกัน

“ก็....ไม่มีหรอกครับ” นั่นคือการสารภาพซินะ

“น...น้ำชา” ขนมปังกล้าๆกลัวๆที่จะพูดกับผม ผมว่าผมเคยเห็นภาพนี้มาก่อนนะ ไอ้การพูดโดยหลบอยู่ข้างหลังแบบนี้ แต่ครั้งนี้เจ้าคนพูดเลือกที่จะหลบอยู่ข้างหลังของคนที่เคยขู่ตัวเองมาก่อน “คือว่า...เราเป็นคนให้น้องไปซ้อมเองแหละ อันนี้พูดจริงนะ ไม่ได้โกหก อีกไม่กี่วันจะมีการคัดตัวนักกีฬาว่ายน้ำ เราก็เลยอนุญาตให้น้องไปซ้อมช่วงบ่ายสามถึงห้าโมงเย็น ต...แต่ว่าเวลาที่เหลือน้องก็ช่วยงานเราตามที่น้ำชาสั่งทุกอย่างนะ ไปรับไปส่ง แล้วก็ทำงานได้ดีหมดเลย”

อ๋อออออ นี่คือเหตุผลทั้งหมดเหรอ

“แล้วสรุปว่าจะเอาดีทางไหนกันแน่” ผมหันกลับไปคุยกับโซนิคต่อ “จะเป็นผู้นำเชียร์หรือนักกีฬาว่ายน้ำ”

“ทั้งสองอย่างครับ” ตอบเร็วเชียว อย่างกับว่ารู้อยู่แล้วว่าต้องโดนถามแบบนี้ “พี่น้ำชายังสามารถเป็นลีดและเรียนเก่งไปพร้อมๆกันได้เลย ผมเองก็ต้องทำได้เหมือนกัน”

“ขอบใจที่ชม แต่แบบนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะ ที่คนเราจะทำได้ดีทั้งสองอย่าง”

“ถ้าแต่ก่อนผมอาจจะทำไม่ได้ แต่ตอนนี้ผมมีพี่ขนมปังช่วยสอนเกี่ยวกับการแบ่งเวลาให้ เพราะงั้น... ผมทำได้ครับ”

“..........” แอบทึ่งเหมือนกันแฮะ แค่วันสองวัน เด็กคนนี้กลับได้เรียนรู้อะไรมาเยอะเลย “ก็ได้ พี่อนุญาตให้ไปซ้อมกีฬาก็ได้ แต่ต้องไม่มีเหตุผลอื่นอีกแล้วนะ งานที่ต้องช่วยพี่ขนมปังก็ต้องตั้งใจทำเหมือนเดิม”

“ขอบคุณครับพี่” โซนิคถอนหายใจแสดงถึงความโล่งอกอย่างชัดเจน แสดงว่าเมื่อกี๊ทำใจดีสู้เสืออยู่ซินะ



“น้องโซนิคคะ ถ้าจัดการเวลาไม่ได้ ให้พี่ช่วยก็ได้นะ” เมื่อเห็นว่าบรรยากาศสงบลง อิช้างก็อาศัยจังหวะนี้เข้าชาร์ตไอ้น้องโซนิคทันที “น้องจะได้ทำหลายอย่างเลย ซ้อมลีดซ้อมกีฬา มีเวลาเหลือเยอะแยะ หรือถ้ายุ่งมากๆเดี๋ยวพี่จัดหาอาหารการกินไว้ให้ด้วยก็ได้ สนใจไหมคะ”

“ม...ไม่เป็นไรดีกว่าครับ” สมน้ำหน้าอิช้าง โดนน้องปฏิเสธแบบไม่เหลือเยื้อใยเลย “ผมมีพี่ขนมปังคอยช่วยแล้วครับ”

“แต่พี่เก่งกว่าขนมปังอีกนะ ขนมปังงานเยอะแล้ว ให้พี่ช่วยดูแลน้องโซนิคเถอะ” ยังจะพยายามอีก มึงนี่มันหน้าด้านจริงๆ



“อิช้าง” ผมเรียก “กูก็งานเยอะเหมือนกัน ไม่ต้องใจบุญไปดูแลคนเพิ่มอีกหรอก กลับมานี่เลยมึงอ่ะ”

“แต่...”

“ไปนั่งอยู่ข้างห้องเลย” ผมย้ำ “อิเล็ก วาวา มึงสองคนก็ด้วย จ้องน้องเยอะไปแล้วนะ น้องไม่ใช่กระดูกนะ มาทำลิ้นห้อยกันอยู่ได้ ไปนั่งข้างๆห้องโน่นเลย ไม่งั้นเดี๋ยวกูให้ออกไปนั่งรอข้างนอกนะ”

“มึงอ่ะ” ไม่ต้องมาทำเป็นตัวเล็กต่อหน้าผู้ชายเลย ไปนั่งสงบจิตสงบใจที่มุมห้องกันให้หมดเลยไป



จากนั้นอิเพื่อนสามตัวของผมก็เคลื่อนย้ายตัวเองไปนั่งที่ข้างห้อง แต่ก็ยังไม่วายจ้องมองโซนิคตาเป็นมันเหมือนเดิม



“แล้วข้าวเจ้าจะเข้ามาตอนไหนอ่ะขนมปัง” ผมกลับมาเข้าสู่สาระอีกครั้ง

“กำลังเข้ามา แต่อาจจะช้าหน่อยนะ” ขนมปังตอบ “ข้าวเจ้าเอาอาหารเย็นไปให้สุ่ยที่สตูดิโอถ่ายแบบ”

เอิ่มมมมม ไม่ต้องอธิบายละเอียดขนาดนั้นก็ได้นะขนมปัง ซื่อจริงๆ

“งั้นโทรบอกข้าวเจ้าเลยว่าไม่ต้องรีบ” ผมบอก “เดี๋ยวเราสอนให้ก่อน”

“พ...พี่น้ำชาจะสอนผมเหรอ” ต้องร้องดีใจขนาดนั้นเลย

“พี่ก็เป็นลีดมอเหมือนกัน ทำไมจะสอนไม่ได้ล่ะ” ผมอธิบาย

“งั้นมาเริ่มกันเลยไหมครับ”

“อ...โอเค” จะกระตือรือร้นไปไหมน้อง

“ขนมปังเราขอเครื่องสำอางหน่อย”

“โอเค” ขนมปังรีบวิ่งไปหยิบเครื่องสำอางมาให้ผม



จากนั้นผมกับโซนิคก็มานั่งหันหน้าเข้ากระจกห้องซ้อมกันทั้งคู่ เพื่อเริ่มหลักสูตรการแต่งหน้า ส่วนขนมปังก็เดินไปนั่งที่ข้างห้องกับเพื่อนของผม พวกบั๊ดดี้ของผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยรู้จักกันหมดอยู่แล้ว คงพอจะปล่อยให้อยู่ด้วยกันได้อยู่



“พี่น้ำชาครับ” จู่ๆโซนิคก็เรียกผม เรียกว่ากระซิบกับผมดีกว่า

“ว่าไง” นี่ยังไม่ทันจะเริ่มสอนเลยนะ มีข้อสงสัยแล้วเหรอ

“จะว่าอะไรไหมครับ ถ้าผมจะ.......









..........ขอเบอร์โทรศัพท์หน่อย”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-08-2018 22:53:22 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
สนุก  ชอบบบบบ   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
.
น้ำชา เก่งรอบตัวจริงๆ   :hao3:
โซนิค ชื่นชอบน้ำชาแบบไอด้อล
แล้วจะรู้เองว่าคนที่ใช่น่ะคือใคร  :impress2:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 8 [ความลับ Part 1]
«ตอบ #27 เมื่อ12-08-2018 22:58:34 »

​ตอนที่ 8 : ความลับ









ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ใครมันมาเคาะห้องน้ำของกูฟร่ะ ดูไม่ออกหรือไงว่ามีคนใช้ห้องนี้อยู่ ห้องอื่นมีเยอะแยะ



“미안해요...(ขอโทษทีครับ....)”

“นี่พี่เอง”

หึ! พูดภาษาไทยและน้ำเสียงแบบนี้ นี่มัน....

“พี่ท๊อปเหรอ?” ผมถามทันที จริงๆก็พอจะเดาได้แหละ คนที่พูดไทยได้ในตึกนี้ก็มีแค่ผมกับพี่ท๊อปเท่านั้น

“ครับ” พี่ท๊อปตอบกลับ แต่ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าเสียงเคาะเมื่อกี๊ไม่ได้มาจากประตูหน้าห้องน้ำ แต่มาจากผนังที่กั้นระหว่างห้องน้ำของผมกับห้องข้างๆซึ่งมีพี่ท๊อปพูดอยู่

“มีอะไรสำคัญหรือเปล่า พี่รู้ใช่ไหมว่าเอเจนซี่ห้ามเราสองคนใช้ภาษาไทยที่นี่”

“พี่รู้ครับ”

“แล้วก็ที่สำคัญ เราสองคนไม่ควรทำตัวสนิทสนมกันมากนะเวลาอยู่ที่นี่ ไม่งั้น...”

“พี่รู้แล้วครับว่าอาจจะทำให้คนที่นี่จับได้เกี่ยวกับความสัมพันธ์แล้วเรา”

คำพูดที่ได้ฟังเสมือนการถูกค้อนทุบหัวแรงๆ ถึงแม้นี่จะเป็นข้อตกลงที่ผมขอร้องพี่ท๊อปไว้ แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่อยากจะยอมรับและฟังมากนัก

“พี่ท๊อป...” ผมเสียอ่อน “บุ๋นรู้ว่าพี่ท๊อปอึดอัด แต่ก็อย่างที่เราเคยคุยกันไว้ พี่ท๊อปมีสิทธิ์ที่จะได้เดบิวท์สูง บุ๋นไม่อยากให้เรื่องของเราเป็นเหตุให้พี่เสียอนาคตไป บุ๋น.... ขอโทษนะ แต่บุ๋นมาทีหลังการเป็นศิลปินฝึกหัดของพี่เป็นปีๆ บุ๋นคงรู้สึกแย่ ถ้าการเข้ามาของบุ๋นทำให้โอกาสที่ดีในชีวิตของพี่หายไป”

“พี่เข้าใจครับ” เข้าใจจริงเหรอ ทำไมน้ำเสียงเศร้าจัง “แต่พี่แค่อยากจะมาบอกบุ๋นว่า เพลงที่พี่จะเลือกร้องในรอบสุดท้ายวันนี้ พี่ร้องให้บุ๋นนะครับ วันนี้เป็นรอบสุดท้ายแล้ว ถ้าผลการตัดสินออกมา ไม่ว่าพี่จะได้เดบิวท์หรือไม่ได้ แต่พี่ก็ทำเพราะมีบุ๋นอยู่ข้างๆ ขอบคุณนะครับที่เป็นแฟนกัน ถึงจะไม่มีใครรู้ก็ตาม”

“พี่...”



“나는 정말로 흥분한다…”

ชิบหายล่ะมีคนเข้ามาในห้องน้ำ



การสนทนาระหว่างผมกับพี่ท๊อปเงียบไปทันที

ระหว่างที่รอบุคคลที่เข้ามารบกวนการ(แอบ)สนทนาของผมกับพี่ท๊อปอยู่นั้น ในหัวของผมก็คิดวนซ้ำเรื่องความรักในความลับของผมกับพี่เขา ทุกครั้งที่เดินทางมาเกาหลีจะเป็นเหมือนอีกโลกหนึ่ง

หลายคนคงคิดว่าชีวิตรักของผมกับพี่ท๊อปน่าอิจฉาละซิ ได้อยู่ด้วยกันตลอด ได้มีโอกาสทำงานคล้ายๆกัน แถมเป็นงานที่อนาคตไกลอีกต่างหาก แต่นั่นไม่จริงเลย เราต้องทำเหมือนรู้จักแต่ไม่สนิทกัน ทำเป็นว่าจริงจังกับการซ้อมทั้งที่อยากมีเวลาอยู่ด้วยกันบ้าง เรื่องการซ้อมเต้น ร้องเพลง และการออกกำลังที่ว่าหนัก ยังเทียบไม่ได้กับความรู้สึกหนักอึ้งที่อยู่ในใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา ผมกับพี่ท๊อปเดินทางมาอยู่ยาวที่นี่ตั้งแต่ปิดเทอมจนกระทั่งตอนนี้ที่ภาคเรียนกำลังจะเปิด อาจจะมีเปิดทางกลับไปบ้างตามโอกาสสำคัญ อย่างเช่น พี่ท๊อปต้องกลับไปเตรียมทำงานวิจัยสำหรับเรียนจบ หรือผมที่ต้องกลับไปมอบหมายงานด้านผู้นำเชียร์ของคณะวิทยาศาสตร์ให้กับน้องๆรุ่นต่อไป ซึ่งนั้นก็ทำให้เราแทบไม่เหลือเวลาให้กันเลย ซ้ำร้ายพี่ท๊อปยังถูกจับแยกไปอยู่หอพักอีกทีหนึ่ง นั่นก็เพราะตอนนี้พี่เขาอยู่ในโปรเจ็คคัดเลือกบุคคลที่มีสิทธิ์จะได้เป็นศิลปินจริงๆ ต้องเข้าพักกับพวกที่อาจจะผ่านการตัดตัวเหมือนกัน

และวันนี้คือวันสุดท้ายที่พี่ท๊อปและเหล่าเด็กฝึกหัดซึ่งเข้าทดสอบโปรเจ็คเพื่อเดบิวท์เป็นศิลปินกลุ่ม ต้องมาแสดงความสามารถที่เป็นจุดแข็งของตัวเองผ่านการแสดงที่ดีที่สุด และหากทำการแสดงออกมาเข้าตาผู้บริหารก็จะได้เข้าสู่กระบวนการการเป็นศิลปินกลุ่มที่แท้จริง



“..................” เสียงข้างนอกเงียบลงแล้ว



“บุ๋นครับ” พี่ท๊อปเรียกผมอีกครั้ง

“ครับ” ผมตอบอย่างเศร้าใจ ผมไม่ได้เศร้าที่ไม่ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมโปรเจ็คเดบิวท์นะ (ถึงมันจะเป็นความคาดหวังของศิลปินฝึกหัดทุกคนก็เถอะ) แต่ผมเศร้าที่ความสัมพันธ์ของผมกับพี่ท๊อปมันยากลำบากแบบนี้ ก่อนเคยคิดว่าทุกอย่างกำลังไปได้สวยแล้วเชียว พ่อก็รักพี่ท๊อปมากขึ้นทุกวันๆ แต่กลายเป็นตัวผมเองที่ต้องพยายามลดความสัมพันธ์กับพี่เขาลงทุกวันๆ

“รอฟังเพลงจากพี่ด้วยนะครับ”

“บุ๋นฟังแน่นอนอยู่แล้วครับ.... เอ่อ พี่ท๊อป”

“ครับ”

“Fighting นะ”

“ขอบคุณนะครับ”

แล้วจากนั้นผมก็ได้ยินเสียงพี่ท๊อปเปิดประตูห้องน้ำออกไป



ผมตามออกมาหลังจากนั้นสักพัก แล้วจึงเข้าไปยังสเตเดี้ยมซึ่งอยู่ที่ชั้นใต้ดินของบริษัท ศิลปินฝึกหัดทุกคนของบริษัทที่ผมฝึกอยู่นี้ได้รับสิทธิ์ให้มาชมการแสดงจากคนที่มีสิทธิ์ได้เดบิวท์ แต่ไม่มีสิทธิ์ให้คะแนนหรือร่วมตัดสินแต่อย่างใด มีแค่พวกผู้บริหารเท่านั้นที่จะได้ทำอย่างนั้น

หลังจากนั่งรออยู่กว่าหนึ่งชั่วโมง ไฟจากบนเวทีก็เริ่มสาดแสง อันเป็นสัญญาณว่าการแสดงชุดสุดท้ายของผู้เข้ารอบแต่ละคนกำลังจะเริ่มขึ้น มีพิธีกรเป็นศิลปินที่เคยฝึกในค่ายมาช่วยสร้างความตื่นเต้นให้กับการตัดสิน แสงสีเสียงถูกจัดเตรียมมาเป็นอย่างดีเพื่อความระทึกใจ แต่สำหรับผมไม่มีอะไรที่สามารถทำให้ใจเต้นได้เลย นอกจาก...พี่ท๊อปเท่านั้น

หลายคนเลือกการเต้นหรือร้องพร้อมเต้นมาแสดง นั่นเพราะการเต้นเป็นเอกลักษณ์สำคัญของศิลปินไอด้อลที่นี่ แต่ไม่ใช่กับพี่ท๊อป ต่อให้เราไม่ค่อยมีเวลาได้คุยกัน ผมก็พอจะเดาได้ว่าพี่ท๊อปจะเลือกการร้องเพลงมาแสดงในวันนี้ ไม่ใช่ว่าพี่เขาเต้นไม่เก่งนะ แต่ยอมรับเถอะ นอกจากใบหน้าที่หล่อสะดุดตาสาวเกาหลีแล้ว พี่ท๊อปยังมีน้ำเสียงที่ไพเราะเป็นเอกลักษณ์ซึ่งหาได้ยากมากในเด็กฝึกหัดต่างชาติ

ส่วนผมอ่ะเหรอ ร้องแค่พอใช้ได้ เต้นแค่พอไม่เพี้ยนจากคนอื่นๆ อาจจะมีได้รับการชมบ้างเวลาที่ฝึกแร็ป แต่ก็ยังห่างจากความเป็นจริงอยู่มาก ที่สำคัญคือภาษาเกาหลีของผมยังไม่แข็งแรงมากนัก อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักพัก พวกครูที่นี่มักจะบอกว่าผมอาจจะเป็นคนที่สำคัญที่สุดถ้าได้เดบิวท์เป็นวงเพราะสามารถทำได้ทุกอย่าง สามารถซับพอร์ตทีมได้ แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ ภาษายังเป็นอุปสรรคของผมอยู่ ก็พอฟังได้แล้ว แต่ยังพูดไม่คล่องปากนัก



“....십삼 세 TOP”

มาแล้วววววว

ในที่สุดพี่ท๊อปก็ถูกพิธีกรประกาศให้ทำการแสดงในลำดับคนที่สิบสาม



พี่ท๊อปเดินขึ้นเวทีพร้อมกีต้าร์หนึ่งตัว ท่ามกลางความตื่นเต้นและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้ชมนั้น ก็มีชั่วอึดใจหนึ่งที่สายตาของพี่ท๊อปได้มองเห็นผมที่นั่งอยู่ในเงามืดๆด้านท้ายของสเตเดี้ยม

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าเราทั้งสองอย่างห้ามไม่ได้

และจากนั้นเสียงบรรเลงผ่านการเกากีต้าร์ของพี่ท๊อปก็เริ่มดังขึ้นอย่างอ่อนละมุน......



.......นี่มัน.....เพลงที่ผมชอบเวลาว่างนี่นา พี่ท๊อปคงไม่บังเอิญว่ารู้นะ



When your legs don’t work like they used to before

(เมื่อขาทั้งสองของคุณไม่สามารถใช้งานได้ดีเท่าเดิม)

And I can’t sweep you off of your feet

(และผมไม่สามารถทำให้คุณตกหลุมรักผมได้อีกแล้ว)

Will your mouth still remember the taste of my love?

(ริมฝีปากของคุณจะยังคงจดจำรสชาติความรักของผมได้อยู่ไหม)

Will your eyes still smile from your cheeks?

(ดวงตาของคุณจะส่งยิ้มความคู่กับใบหน้าของคุณได้ไหม)



And, darling, I will be loving you ’til we’re 70

(ที่รัก ผมจะยังคงรักคุณตลอดไป แม้ว่าเราจะอายุล่วงเลยถึง 70)

And, baby, my heart could still fall as hard at 22

(ที่รัก หัวใจดวงนี้ของผมยังคงเป็นของคุณเสมอ และยังมั่นคงเหมือนตอนอายุ 22)

And I’m thinking ’bout how people fall in love in mysterious ways

(และผมได้ครุ่นคิดว่า เหล่าผู้คนต่างตกหลุมรักกันในวิธีที่น่าพิศวงนี้ได้อย่างไร)

Maybe just the touch of a hand

(บางทีอาจเพียงแค่การแตะมือกัน)

Well, me—I fall in love with you every single day

(อย่างไรก็ดี สำหรับผมนั้น ผมตกหลุมรักคุณทุกเมื่อเชื่อวัน)

And I just wanna tell you I am (และผมเพียงต้องการที่จะบอกคุณ ผมตกหลุมรักคุณนะ)

*So honey now

(ดังนั้น ที่รัก ในช่วงวินาทีนี้)

Take me into your loving arms

(โปรดนำพาผมไปสู่อ้อมแขนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักของคุณ)

Kiss me under the light of a thousand stars

(จุมพิตผมภายใต้แสงสว่างของดวงดาวนับพัน)

Place your head on my beating heart

(ซบหัวของคุณมาตรงจุดที่หัวใจของผมกำลังเต้นอยู่)

I’m thinking out loud

(ผมกำลังคิดออกมาดัง ๆ)

That maybe we found love first  where we met

(ว่าบางทีเราอาจพบรักตั้งแต่สถานที่แรกที่เราพบกัน)

When my hair’s all but gone and my memory fades

(แม้ว่าเส้นผมของผมร่วงโรยไปหมด และความทรงจำเลือนหายไป)

And the crowds don’t remember my name

(ทั้งเหล่าผู้คนไม่สามารถนึกชื่อของผมออก ได้อีกแล้ว)

When my hands don’t play the strings the same way

(หรือเมื่อมือคู่นี้ ไม่สามารถเล่นกีตาร์ได้เหมือนเคย)

I know you will still love me the same (แต่ผมรู้ดีว่า คุณจะยังรักผมเหมือนเช่นเดิม)

‘Cause honey your soul could never grow old, it’s evergreen

(ที่รัก… เพราะว่าวิญญาณของคุณจะไม่มีวันแก่ จะยังคงอ่อนเยาว์ตลอดกาล)

And, baby, your smile’s forever in my mind and memory

(และ ที่รัก… รอยยิ้มของคุณจะคงอยู่ในใจและความทรงจำผมตลอดไป)

I’m thinking ’bout how people fall in love in mysterious ways

(ผมได้ครุ่นคิดว่า เหล่าผู้คนต่างตกหลุมรักกันในวิธีที่น่าพิศวงนี้ได้อย่างไร)

Maybe it’s all part of a plan

(บางที มันอาจเป็นทุก ๆ ส่วนประกอบของแผนการก็ได้)

Well, We’ll just keep on making the some mistakes

(แต่ก็นะ เราจะทำผิดพลาดแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ)

Don’t worry l ever understand

(ไม่ต้องกังวล ผมเข้าใจได้เสมอ)

*So baby now

(ดังนั้น ที่รัก ในช่วงวินาทีนี้)

Take me into your loving arms

(โปรดนำพาผมไปสู่อ้อมแขนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักของคุณ)

Kiss me under the light of a thousand stars

(จุมพิตผมภายใต้แสงสว่างของดวงดาวนับพัน)

Place your head on my beating heart

(ซบหัวของคุณมาตรงจุดที่หัวใจของผมกำลังเต้นอยู่)

I’m thinking out loud

(ผมกำลังคิดออกมาดัง ๆ)

That maybe we found love first  where we met

(ว่าบางทีเราอาจพบรักตั้งแต่สถานที่แรกที่เราพบกัน)

*So baby now

(ดังนั้น ที่รัก ในช่วงวินาทีนี้)

Take me into your loving arms

(โปรดนำพาผมไปสู่อ้อมแขนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักของคุณ)

Kiss me under the light of a thousand stars

(จุมพิตผมภายใต้แสงสว่างของดวงดาวนับพัน)

Oh, darling, place your head on my beating heart

(โอ้ ที่รัก… โปรดซบหัวของคุณมาตรงจุดที่หัวใจของผมกำลังเต้นอยู่)

I’m thinking out loud

(ผมกำลังคิดออกมาดัง ๆ)

That maybe we found love first  where we met

(ว่าบางทีเราอาจพบรักตั้งแต่สถานที่แรกที่เราพบกัน)

Oh, baby, we found love first  where we met

(โอ้ ที่รัก… เราอาจพบรักตั้งแต่สถานที่แรกที่เราพบกัน)

And I found love first ‘cause you are…

(และผมพบรักครั้งแรกด้วยสิ่งที่คุณเป็น…)





..............................มีเสียงปรบมือดังขึ้นมามากมายหลังการร้องเพลงสิ้นสุดลง ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน



ผมพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้ใครเห็นว่าผมกำลังน้ำตาไหลออกมา อาจจะมีบางคนที่ร้องไห้ให้กับเพลงและน้ำเสียงที่ไพเราะนี้ แต่สำหรับผมที่ฟังเพลงนี้มาเป็นร้อยๆรอบ หรือแม้แต่ใครก็ตามที่เคยฟังเพลง Thinking Out Loud มาก่อน ก็คงบอกได้ว่านี่ไม่ใช่เวอร์ชั่นต้นฉนับ มันคือเวอร์ชั่นที่พี่ท๊อปเปลี่ยนเนื้อร้องบางส่วน เท่าที่พอจะจับได้ก็อย่างเช่น......

my heart could still fall as hard at 22

(หัวใจดวงนี้ของผมยังคงเป็นของคุณเสมอ และยังมั่นคงเหมือนตอนอายุ 22),

maybe we found love first  where we met

(บางทีเราอาจพบรักตั้งแต่สถานที่แรกที่เราพบกัน),

We’ll just keep on making the some mistakes. Don’t worry l ever understand.

(เราจะทำผิดพลาดแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องกังวล ผมเข้าใจได้เสมอ)

หรือแม้กระทั่งประโยคสุดท้ายที่ร้องว่า

I found love first ‘cause you are…

(ผมพบรักครั้งแรกด้วยสิ่งที่คุณเป็น…)



เนื้อร้องพวกนี้ถูกเปลี่ยน ทั้งหมดนี้เพื่อร้องให้กับผมคนเดียวได้ฟัง ทั้งหมดเพื่อที่พี่ท๊อปจะบอกผมแค่ว่า.........









..............ยินดียอมรับในความลับของเรา



...

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 8 [ความลับ Part 2]
«ตอบ #28 เมื่อ12-08-2018 23:01:19 »

(ต่อ Part 2)



(ในมุมของน้ำชา)



“จะว่าอะไรไหมครับ ถ้าผมจะ...ขอเบอร์โทรศัพท์หน่อย”

“จะเอาไปทำไม” นึกว่าจะพูดอะไร แค่จะขอเบอร์โทรศัพท์เนี่ยนะ นี่ยังไม่เข้าใจอีกเหรอว่ากูสอนเพลงมิ่งขวัญมึงอยู่แล้ว ไม่ต้องกังวลขนาดนั้นก็ได้ “พี่ก็เห็นความเคลื่อนไหวของน้องตลอดนั่นแหละ อย่าลืมซิว่าพี่เองก็โทรหาพี่ขนมปังตลอด”

“ไม่ใช่แบบนั้นครับ” นี่มึงไม่จำเป็นต้องกระซิบก็ได้นะ เรื่องมันไม่ได้เป็นความลับอะไรเบอร์นั้น “ผมจะเอาไว้ติดต่อกับพี่น้ำชา”

“อยากติดต่อกับพี่?”

“ครับ”

“ไม่ยากเลย ติดต่อผ่านพี่ขนมปังซิ”

“แต่...”

“เลิกพูดได้ยัง พี่จะได้เริ่มสอนซะที... เอางี้ ถ้าจะติดต่อพี่จริงๆ พี่ยังยืนยันนะว่าติดต่อผ่านพี่ขนมปัง ที่พี่ให้ทำแบบนี้ก็เพราะ ช่วงนี้น้องกับพี่ขนมปังยังต้องติดต่อประสานงานและช่วยเหลือกันบ่อยๆใช่ไหม พี่อยากให้น้องมีคอนแท็คกับพี่เขาเยอะๆ ตามนี้ โอเคนะ มาเริ่มเรียนกันดีกว่า พี่จะเริ่มจากให้น้องรู้จักเครื่องสำอางและอุปกรณ์ต่างๆที่ผู้ชายจำเป็นต้องใช้ในการแต่งหน้าก่อนนะ เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ” ผมหันไปหาอิช้างเจสซี่ “เจสซี่ มึงโทรหาช่างตัดชุดหน่อยได้ป่ะ ถามเขาให้ทีว่าเข้ามาวัดตัวน้องสักสองสามที่นี่ได้ไหม”

“ให้มาตอนนี้เลยเหรอ” อิช้างถามผมกลับทันที

“กูอยากให้มาตอนสองทุ่มอ่ะ พอจะนัดได้ไหม อยากให้มาวัดชุดให้อะตอมกับแทนด้วย”



“กูเองๆๆๆๆ” จู่ๆอิเล็กก็ร้องขึ้นมา “กูรู้จักร้านที่บริการตอนดึก กูคุยให้เขามาได้ งานนี้เดี๋ยวกูทำให้เอง”

“โอเค” ผมตอบ แต่กูรู้จุดประสงค์มึงนะ พอเกี่ยวกับเรื่องน้องอะตอมนี่รีบเชียว อินี่ท่าทางปลื้มน้องมันจริงๆแฮะ



“งั้นเรากลับมาเรียนกันต่อดีกว่าเนาะ” ผมหันกลับมาพูดกับไอ้น้องโซนิค “ขวดนี่เรียกว่าไพรเมอร์นะ ตัวนี้จะเหมาะกับการแต่งหน้าผู้ชายเพราะช่วยเรื่องรูขุมขน....”

แล้วผมว่าต่อไปเรื่อยๆ ด้วยหลักสูตรการสอนแต่งหน้า

สมัยก่อนถ้าให้ผมมาสอนแต่งหน้าก็คงไม่รอดหรอก แต่เพราะได้รับการเรียนรู้มามาก ไม่ว่าจะจากพี่หนุง(สไตล์ของผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัย) จากการเรียนในช่วงซ้อมของคณะ และที่สำคัญก็คือจากการลงมือแต่งหน้าจริงมานับครั้งไม่ถ้วน ผมก็ไม่ได้เต๊ะท่าว่าเป็นผู้เชียวชาญขนาดนั้นหรอก แต่ถ้าสอนแค่พอให้เข้าใจวิธีการลดจุดด้อยและโชว์จุดเด่นก็พอจะบอกได้อยู่ เอาจริงๆแล้วการแต่งหน้ามันก็แอบมีวิธีการคิดคล้ายกับกระบวนการทางคณิตศาสตร์อยู่นะ มีรูปแบบ ไม่ใช่จะลงแปรงสะเปะสะปะได้ มีหลักการวาดเชิงเรขาคณิต ก็ประยุกต์ๆความรู้ในสิ่งที่ถนัดมาใช้การความรู้ใหม่ๆ ไม่ได้ยากขนาดนั้นถ้าตั้งใจเรียนรู้

แต่ปัญหามันอยู่ที่ได้คนที่นั่งเรียนกับผมนี่แหละ สมาธิสั้นไปไหมไอ้น้อง ชอบมองหน้าผมเหม่อๆแบบคนสติหลุด เด็กคนนี้ทำให้ผมนึกถึงไอ้ต้อมสมัยที่ผมเริ่มรู้จักมันใหม่ๆเลย ชอบมองหน้าผมเป็นเหม่อๆและเหมือนมีคำถามอะไรในใจแบบนี้แหละ สมกับเป็นลูกพี่ลูกน้องกันจริงๆ ถ้าตบเกรียนบ่อยๆอาการจะหายไปเหมือนกันไหมนะ

“ฟังอยู่หรือเปล่าเนีย” ผมพูดประโยคนี้กับน้องมันบ่อยมาก นี่ถ้าไม่เกรงใจว่ายังไม่สนิทกันจะตบเกรียนให้แตกเลย



หลังจากสอนไปได้สักพักใหญ่ๆ ร้านตัดชุดก็เข้ามาที่ห้องซ้อมของคณะสังคม พร้อมกับไอ้ข้าวที่ตามมาติดๆ สำหรับการมาของสองคนนี้ ผมไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก แต่เมื่ออะตอมกับแทนตามเข้ามาหลังจากนั้นไม่นาน ผมจับสังเกตบางอย่างได้



“อะตอม” ผมเรียกคนที่ผมเห็นสิ่งไม่ปกติ

“ค...ครับ” ตกใจเกินไปหรือเปล่า

“เป็นอะไรหรือเปล่า” ผมถามทันที น้องมันมีอาการหน้าซี๊ด ดวงตาสั่นๆ เนื้อตัวก็สั่น



“ความผิดของผมเองครับ” นี่คือคำตอบจากไอ้น้องแทน

“คือ?” อะไรกันอีกแล้วเนียไอ้สองคนนี้

“คือ....” นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นไอ้น้องแทนไม่มั่นใจในการพูดของตัวเอง “อะตอมไปนั่งพักก่อนไหม”

อ้าว นึกว่าจะเล่าให้กูฟัง หันไปคุยกับเพื่อนซะงั้น



“ไม่...ไม่เป็นไร” อะตอมบอกว่าไม่เป็นไร แต่ดูยังไงก็มีอะไรแน่ๆ

“ไม่เป็นไรใช่ไหม” ผมพูด “งั้นก็ไปวัดชุดก่อนไป”

อะตอมค่อยๆเดินไปวัดชุดตามที่ผมสั่งแบบคนไร้สติ

ผมไม่ได้ใจร้ายนะ แต่เห็นว่าน้องมันควรได้รับการพักจริงๆ เพียงแต่ถ้าเขาพูดว่าไหวออกมาเองแบบนี้ ก็ควรหากิจกรรมอย่างอื่นที่ไม่ต้องคิดหรือทำอะไรให้ไปทำ ซึ่งก็คือการไล่ให้ไปพักนั่นแหละ



“ไหนเล่ามาซิ” ผมหันไปคุยกับแทน

“เรื่องมันก็เป็นแบบนี้ครับ..............................









................................(หนึ่งชั่วโมงก่อน)



(ในมุมของอะตอม)



“ตรงนี้เรียกว่าอะไรนะ”  ผมถามคนที่นั่งมาด้วยกัน ไอ้แทนขี้แกล้งนั่นแหละ

ตอนนี้ผมนั่งรถมากับพี่นักกู้ภัยคนหนึ่งเพื่อศึกษาสถานที่บริเวณที่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยนัก รถที่นั่งมาก็คือรถกู้ภัยฉุกเฉินในสังกัดของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยมัณฑนา ส่วนที่ผมกับไอ้แทนนั่งอยู่คือช่วงกระบะของรถที่มีการครอบด้วยหลังคาปิด ก็เดาได้ไม่อยากว่าเป็นส่วนที่ใช้ในการขนส่งผู้บาดเจ็บกรณีฉุกเฉิน

แต่ผมมีปัญหานิดหน่อยก็ตรงที่ ผมดูแผนที่ไม่เก่ง เรียกว่าดูไม่เป็นเลยดีกว่า ความจำก็ไม่ได้ดีขนาดนั้น ถ้าไม่เจอหรือทำจนชินก็ยังไม่สามารถจำอะไรได้ง่ายๆ ความยากทั้งสองอย่างมารวมกันแบบนี้ ทำเอาหัวของผมรับภาระจนจะเกินขีดจำกัดอยู่แล้ว

“ซอยประตูห้า” ไอ้คนที่นั่งอยู่ด้วยกันตอบกลับมา “แต่เด็กมหาลัยนี้เรียกว่าซอยสังสรรค์”

“รู้ได้ไง?”

“ป้าร้านขายน้ำบอก” แล้วมันก็ยื่นแก้วน้ำให้ผม น้ำส้ม

“ขอบใจ”

“ขอบใจทำไม มึงต้องจ่าย”

“อ้าว ทำไมกูต้องจ่ายอ่ะ”

“ก็นี่ไง มึงจำชื่อสถานที่ไม่ได้อีกแล้ว”

“เกี่ยวไรวะ ไม่ได้ตกลงกันซะหน่อยว่าจำไม่ได้ต้องจ่าย”

“เอาน่า หาอะไรแข่งกันจะได้ไม่เบื่อ แถมถ้าไม่มีอะไรมากระตุ้น มึงก็คงจำไม่ได้ซะที”

“นี่มึงว่ากูโง่เหรอ”

“ไม่ได้พูดแบบนั้นซะหน่อย”

“ไหน เอามานี่ดิ” ผมแย่งแผนที่ในมือของไอ้คนตรงหน้ามา “ไหนบอกดิซอยข้างหน้าเรียกว่าอะไร”

“ซอยโรงพัก” !!! ตอบเร็วเกินไปไหม มึงคิดหรือยังเนีย “ถูกหรือเปล่า”

“.........” ชิบหายแล้ว นั่นซิ มันถูกหรือเปล่าวะ ผมพยายามเพ็งดูแผนที่ในมือที่แย่งมา

“ไม่รู้ล่ะซิ”

“ร...รู้ซิ” ไม่รู้หรอก แต่กูแก้ตัวไว้ก่อน “เออ ถูก.... แล้วซอยถัดไปล่ะ”

“ถัดไปมันใช่ซอยที่ไหนกันล่ะ นั่นมันทางเรียบคลองชลประทาน”

“อ...เออ กูก็หมายถึงอันนั้นแหละ แล้ว...”

“ถัดถนนเรียบคลองชลฯ ก็จะต่อตรงไปที่ถนนทางเข้าประตูสามของมหาลัย ถัดไปอีกคือถนนชุมชนแขก ส่วนที่เราผ่านมาคือถนนหน้าโครงการหมู่เพชรอรุณ อยากรู้อะไรอีกไหม”

“......” ไอ้บ้านี่ทำไมมันความจำดีจังวะ มึงจะเก่งเกินไปแล้วนะ

“เอาคืนมานี่เลย” แล้วมันก็แย่งแผนที่คืนไป “กูอ่ะจำได้เกือบหมดแล้ว มึงอ่ะห่วงตัวเองก่อนเหอะ พี่เขาขับรถวนมาสองรอบแล้วยังจะลืมอีก นี่แหละเหตุผลที่มึงต้องจ่ายค่าน้ำ”

“เออ” กูแพ้ก็ได้วะ ก็คนมันความจำไม่ดีนี่หว่า “เท่าไหร่”

“ครั้งหน้าค่อยจ่ายก็แล้วกัน ครั้งนี้กูจ่ายให้ก่อน เอาไว้ทบต้นทบดอกทีเดียว”

ซักวันนึงเถอะมึง กูจะเอาคืนให้ได้....

วี วอ วี วอ วี วอ .......

!!!!!!

เกิดอะไรขึ้น

จู่ๆ สัญญาณฉุกเฉินของรถที่ผมกำลังนั่งก็ดังขึ้น



“มีเคสด่วนนะน้อง” พี่คนขับเปิดกระจกระหว่างคนขับกับส่วนหลังเพื่อบอกถึงจุดประสงค์ “อุบัติเหตุใหญ่ เราต้องไปที่เกิดเหตุ”

“โอเคครับพี่” ไอ้แทนตอบรับทันที



เชี่ยยยยย

จู่ๆ ความเร็วของรถกู้ภัยก็ถูกเร่งอย่างกะทันหัน มันแล่นแหวกการจราจรทั้งหมดเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายอย่างบ้าคลั่ง



“ชิบ...”

“ระวัง” ด้วยแรงเหวี่ยงของรถที่ผมยังรับมือไม่ทัน จึงทำให้เสียหลักโงนเงน แต่... ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีหรือปล่า ที่ไอ้คนข้างๆคว้าตัวผมเข้าไปกอดไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง และเกาะราวเหล็กที่ติดอยู่กับรถไว้ด้วยมืออีกข้างหนึ่ง “เดี๋ยวหัวก็กระแทกหรอก จะไปช่วยคนอื่นเดี๋ยวก็กลายเป็นคนเจ็บซะเองหรอก.... ไม่ต้องขยับแล้ว อยู่อย่างงี้แหละ นิ่งๆไว้ก็พอ”

เอ๊า ไอ้นี่

แต่ก็เถียงไรมันมากไม่ได้ เพราะผมก็ยังไม่ชินกับการเหวี่ยงของรถกู้ภัยจริงๆ ทำตัวเป็นหนึ่งเดียวกับมันไปก่อนก็แล้วกัน เอ้ย! ไม่ใช่ๆ หมายถึงปล่อยให้มันจับผมไว้แนบหน้าอกแบบนี้ เอ้ย! อันนี้ก็ไม่ใช่... ช่างมันเถอะ นี่กูแก้ตัวอยู่กับใครเนีย



“ถึงแล้ว” นั่นคือสัญญาณอันรวดเร็วของพี่คนขับรถ



ไอ้แทนปล่อยกอดออกจากผมแล้วเปิดท้ายประตูรถวิ่งออกไปทันที

ไหนบอกว่ามึงไม่ใช่ประเภทวิ่งเข้าใส่ปัญหาไง นี่มันทะยานเข้าใส่ชัดๆ

ผมยังงุนงงกับความสับสนอลหม่านของบรรยากาศรอบข้างอยู่ จึงค่อยๆก้าวเท้าออกมาจากรถและดูสิ่งที่เกิดขึ้น

รถกู้ภัยอีกหลายคันจอดอยู่ที่นี่ บางส่วนก็กำลังขับเอาไป มีการขนย้ายเปลฉุกเฉิน มีเศษซากของอุปกรณ์ส่วนควบของรถกระจัดกระจายอยู่บนพื้น มีคนพยายามจอดรถมุงดู มีคลอง มีคนอยู่ในคลอง

“ระวังอะตอม เดี๋ยวก็เหยียบศพหรอก” มีศพ

ห๊ะ!!!!!!

ชิบหายแล้ว มีศพด้วย

ผมกระโดดตัวลอยออกจากจุดที่ตนเองยืนอยู่ แม้จะยังไม่เห็นอะไรชัดเจน เห็นเพียงผ้าขาวที่ปิดอะไรบางอย่างไว้เท่านั้น

น....น.....นี่......นี่มัน

ชัดเจนเลย แม้จะเห็นแค่มือที่โผล่ออกมาจากภายใต้ผ้าดิบสีขาว แต่ก็บอกได้ไม่ยากว่านี่คือร่างของคนที่ไร้วิญญาณแน่นอน



“ยืนนิ่งๆนะอย่าขยับไปไหน” ไอ้แทนสั่งผม

“ด...ด....ได้” ผมตอบทันที



ไอ้เพื่อนขี้แกล้งของผมเปลี่ยนโหมดตัวเองทันใดด้วยการวิ่งวุ่นไปช่วยจุดนั้นทีจุดนี้ที บ้างก็ช่วยขนเปล บ้างก็ช่วยยกกล่องพยาบาล บ้างก็ช่วยส่งของ

เท่าที่ผมพอจะประมวลเหตุการณ์ได้ รู้สึกว่านี้จะเป็นอุบัติเหตุรถยนต์พลิกคว่ำ เพราะจากสภาพที่รถยนต์กำลังถูกกู้ขึ้นมาจากในคลองก็เดาได้เลยว่าเป็นอย่างที่คิด คนเจ็บที่ยัง...เอ่อ...ยังมีชีวิตอยู่ ถูกพาตัวไปที่โรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว



“พี่ต้องอยู่ช่วยกู้ซากรถขึ้นมานะ” พี่คนขับรถเดินมาบอกไอ้แทนซึ่งก็อยู่ใกล้ๆ ผมนี่แหละ “เดี๋ยวน้องสองคนกลับไปที่โรงพยาบาลก่อน เอาร่างของผู้หญิงคนนี้ไปด้วยนะ น้องมาช่วยพี่ห่อที”



ม่ายยยยยยยยยย ผมไม่ทำเด็ดขาด

ผมปล่อยให้ไอ้แทนกับพี่คนขับรถจัดการกับร่างของหญิงผู้ไร้ลมหายใจนี้ โดยที่ผมไม่เลือกที่จะหันไปมองตรงนั้นแม้แต่หางตา เห็นแต่ว่าทั้งคู่ช่วยกันแบกร่างนั้นขึ้นไปส่วนหลังของรถกู้ภัยที่ผมเคยนั่ง



“โอเค เอาไปได้เลย” พี่เขาสั่งต่อ “น้องขับรถเป็นใช่ไหม”

“เป็นครับ” ไอ้แทนตอบ

“ดี งั้นน้องอีกคนก็นั่งข้างหลังไปพร้อมกับศพนะ”

ห๊ะ!!!! ม...ม....ไม่ ไม่นะ “พี่...”

“ไปเร็วอะตอม”

“.........” ไม่เอา ไม่เอาเด็ดขาด หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ไป

“อะตอม เร็วดิ ขึ้นรถ”

“......” ใครมันจะไปกล้าวะ

“ทำไมหน้าซี๊ดจังอ่ะ.... นี่อย่าบอกนะว่ากลัว”

“ป...เปล่า” ไม่รู้อ่ะ โกหกไว้ก่อน ถึงจะกลัวแต่ก็ไม่อยากให้ไอ้บ้าแทนเอาเรื่องนี้มาเป็นเหตุผลในการล้อเลียนหรือแกล้งผมในอนาคตอีก

“ไม่กลัว แต่เสียงนี่สั่นเลยนะ เอางี้ มึงไปขับรถล่ะกัน เดี๋ยวกูนั่งข้างหลังเอง”

“ข....ขับไม่เป็น”

“อะไรวะ โตป่านนี้แล้วยังขับรถยนต์ไม่เป็นอีกเหรอ”

“ก็ไม่เคยมีนี่นา”

“แล้วจะเอาไง รถก็ขับไม่เป็น นั่งก็นั่งไม่ได้อีก กลัวขนาดนั้นเลย”

“ก็บอกว่า....ม...ไม่ได้กลัวไง” ไม่กลัวก็บ้าแล้ว

“โอเค ไม่กลัวก็ไม่กลัว งั้นก็รีบขึ้นรถได้แล้ว ก่อนที่คนจะมุงไปมากกว่านี้”

“...........” เอาไงดีวะกู จะขึ้นไปนั่งกับ.... ไม่เอาไม่พูด เอาเป็นว่าไม่กล้าก็แล้วกัน แต่จะบอกเรื่องนี้กับไอ้บ้าแทนก็ไม่ได้ ขืนมันรู้ความลับว่ากูเป็นคนกลัวผี มันได้เอาเหตุผลนี้มาแกล้งอีกแน่เลย

“กลัวก็บอกว่ากลัวดิ” นั่นไง ไม่ทันจะขาดคำ มันก็เริ่มล้อผมแล้ว

“ไม่ได้กลัว”

“อย่ามาทำเก่งน่ะ เดี๋ยวเรียกคนอื่นมานั่งแทนละกัน.... มีใครพอจะว่างไหมวะแถวนี้” ไอ้แทนพยายามมองหาคนมาช่วย ซึ่งไม่มีเลย ทุกคนวุ่นวายกับหน้าที่ตัวเอง ที่ว่างก็คงเป็นพวกกลุ่มคนที่ยืนมุง “เอ่อ.... พี่ครั...”

“ไม่ต้องเรียก บอกว่าไม่กลัวไง ขึ้นรถได้แล้ว” เอาวะ ข่มใจไว้ แค่แป๊บเดียวก็ถึงโรงบาลแล้ว อย่าไปมองก็พอ

“แน่ใจนะ เดี๋ยวลองหา...”

“บอกว่าไม่ต้องไง เร็วๆเข้า” ผมก้าวเท้าขึ้นไปยังส่วนหลังของรถกู้ภัย แต่แม้ว่าจะพูดอย่างนั้น ขาของผมมันก็ไม่ยอมทำงานตามประสิทธิภาพที่ควรจะเป็นเลย

กล้าไว้ๆๆ ไม่มีอะไรหรอก มีผ้าห่ออย่างดี ไม่มีอะไร นั่นมันแค่... ท่อนไม้ ใช่แล้ว นี่คือท่อนไม้

“ไหวแน่นะ” ยังจะมาถามอีก

“เออ รีบไปซะที” ผมเปล่งเสียงเต็มที่เพื่อกลบความกลัวไว้



เมื่อเห็นว่าผมโอเค ไอ้บ้าแทนจึงปิดประตูส่วนครอบหลังรถ ทิ้งไว้ให้ผมอยู่เพียงลำพังกับ....ท่อนไม้



วินาทีต่อมา รถกู้ภัยที่มีไอ้ขี้แกล้งเป็นคนขับก็แล่นออกไปอย่างรวดเร็ว เร็วก็ดีแล้ว อยากถึงโรงพยาบาลไวๆ ไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว

ผมไม่แน่ใจเลยว่าตอนนี้ผมหายใจอยู่หรือเปล่า ที่สัมผัสได้มีอยู่สองอย่างคือ กล้ามเนื้อทั้งตัวของผมกำลังเกร็งแน่นและสายตาที่มองเห็นเพียงหลังคาของรถ ผมจะไม่หันลงมามองสิ่งที่อยู่ใต้สายตาเด็ดขาด



ตึ๊ง ตึ๊ง

รถยนต์สะดุดบางอย่างจนตัวผมลอย หัวแทบจะชนกับหลังคาส่วนครอบ แถมยังหวี่ยงอีกต่างหาก



เอ๊ะ!!!!

อะไรหยุ่นๆที่ขาวะ

“...............................................................................!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

พ....พ......พ่อจ๋า แม่จ๋า ฮื่อออออ.... ช่วยลูกด้วย

ไม่นะ ไม่นะ ทำไมวะ ทำไม ทำไมไอ้สิ่งที่ผมกลัวที่สุดถึงต้องขยับลอยมาเกยอยู่บนตักของผมด้วยล่ะ



“ช.....ช่วย” ผมตะโกนไม่ออก สัมผัสเสียงตัวเองไม่ได้เลย

รู้สึกแต่ว่ามีความรู้สึกขนลุกมันวาบๆต่อเนื่องไม่หยุด ขาในส่วนที่สัมผัสก็คล้ายจะไร้ความรู้สึก ที่รู้สึกคงจะมีแต่ของเหลวที่ไหลออกมาจากดวงตาของผมนี่แหละ ขนาดว่าหลับตาปี๋น้ำตายังไหลออกมาเป็นก๊อกเลยตอนนี้

ช่วยด้วย ผมกลัวแล้ว ผมกลัวแล้ว ฮื่อออออออออออออ

ไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน รู้แต่ว่าสมองของผมมันเริ่มไม่รับรู้ข้อมูลรอบตัวแล้ว ผมไม่ยอมหายใจด้วยซ้ำ อย่างกับวิญญาณของผมไม่อยู่ในร่างไปเป็นนาน



“เห้ย!! อะตอม” ผมทั้งดีใจ โล่งใจ แต่ก็อายอยู่ใรทีที่ได้ยินเสียงนี้ของไอ้บ้าแทน “พี่ครับช่วยผมยกศพลงมาหน่อย”

ถ....ถึง ถึงแล้วใช่ไหม ถึงโรงบาลแล้วใช่ไหม

รีบๆมายกมันออกไปที ได้โปรดดดดดด

ผมบอกไม่ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่อยากให้เวลานี้ผ่านไปให้เร็วที่สุด



“อะตอม อะตอม” ผมถูกเขย่าตัว

ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้น เห็นไอ้บ้าแทนตรงหน้า มันคงขึ้นมาดึงสติของผมกลับ ผมรีบมองไปที่พื้นรถ

ไม่มี ไม่มีแล้ว

“เป็นไรมากไหม กูขอ...”

“ออกไปเลย” ไม่รู้ผมไปเอาความโกรธสุดชีวิตนี้มาจากไหน ผมฮึดฮัดออกมาจากรถกู้ภัย กระทืบเท้าปึงปังเข้าไปที่ห้องแผนกฉุกเฉิน

“เดี๋ยวก่อนอะตอม” ไม่ต้องมาเรียก ไม่ต้องมาตาม “จะไปไหนเนี่ย”

“กูจะกลับแล้ว” ผมตอบโวยวาย

“เบาๆดิ นี่โรงพยาบาลนะ”

“กู จะ กลับ แล้ว” กูพูดเบาแล้ว พอใจหรือยัง

“เดี๋ยวดิ โกรธอะไรเนีย แล้วร้องไห้ทำไม ตัวก็สั่นด้วย กลัวมากขนาดนั้นแล้วทำไม...”

“เออ กูกลัว มึงอยากฟังแบบนี้ใช่ไหม พอใจหรือยัง อยากจะเอาไปล้อหรืออะไรก็เรื่องของมึงเลย กูไม่อยู่ด้วยแล้ว”

“เดี๋ยวๆๆ อะตอม รอก่อน”



ผมไม่ฟังอะไรทั้งนั้น เปิดประตูห้องฉุกเฉินได้ผมก็กระวีกระวาดออกมาทันที



“นี่งอนอะไรเนีย” ยังจะตามมาอีก กูดูเหมือนอยู่ในอารมณ์ที่อยากคุยกับมึงตรงไหนวะ “นี่ไม่ได้คิดจะล้ออะไรเลยนะ แค่จะขอ...”

“ไม่ต้องมาพูดเลยนะ เงียบไปเลย”

“อะตอม ฟังกันก่อนดิ ขอร้อง”

“ปล่อยนะเว้ย” มึงจะมาคว้าแขนกูไว้ทำพระแสงอะไร “มึงรู้ความลับกูแล้วนิ พอใจแล้วใช่ไหมที่รู้ว่ากูกลัวอะไร จะแกล้งอะไรกูอีก”

“โอเคๆๆ ฟังก่อนดิ นะ ใจเย็นๆนะ รู้แล้วว่าผิด ก็แค่อยากจะขอโทษ”

“เออ ดี มึงขอโทษเลยนะ ขอโทษกูมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”

“ครับบบบบ ก็ขอโทษอยู่นี่ไง... ไม่ร้องไห้ดิ โตแล้ว ร้องไห้ทำไม”

“ไม่ต้องมายุ่ง กูเช็ดเองได้” กูไม่ได้กลัวถึงขั้นเช็คน้ำตาตัวเองไม่ได้หรอกนะ

“หายโกรธยัง”

“ไม่รู้อะไรทั้งนั้นอ่ะ” นี่แหละโมเม้นที่กูบ่นจะดื้อ ใครก็เอากูไม่ลงทั้งนั้น

“แล้วนี่โกรธเรื่องอะไรอ่ะ ก็ถามแล้วว่ากลัวหรือเปล่า แล้วก็ตอบว่าไม่กลัว พอจะหาคนมานั่งแทนก็บอกว่าไม่ต้องอีก แล้วก็มาโกรธกันเฉยเลย”

“ก็....” เพราะอะไรวะ ไม่รู้อ่ะ รู้แต่ว่าโกรธ มันอาจจะสวิชมาจากความกลัวกับอายมั้ง ก็เลยต้องเลือกวิธีแสดงออก แต่ก็โกรธไปแล้วนิ จะให้กูให้เหตุผลว่าอะไรล่ะ “ก็มึงขับรถไม่ดีอ่ะ”

“ขับรถไม่ดี? โกรธเพราะเรื่องนี้หรือแค่ข้ออ้าง”

“ไอ้..... ช่างมันเหอะ กูจะกลับแล้ว”

“อ่าๆๆ ขอโทษๆ เมื่อกี๊ที่พูดไปคือไม่ถูกใจใช่ไหม ก็บอกหน่อยซิ ไม่ได้ใช้ภาษาไทยมานาน มันก็เลยลืมไปบ้าง แต่ขอโทษจริงๆ”

“...........” โอ๊ยยยย ไม่รู้จะด่ามันว่าไงแล้ว “เออ จะกลับแล้ว ปล่อย”

“จะกลับไปไหนล่ะ นี่มันจะถึงเวลานัดของพี่ข้าวเจ้าแล้วนะ เราต้องไปคณะสังคมนะ”

เออว่ะ ลืมไปเลย มัวแต่สติหลุดออกนอกโลกไป

“ก็ไปดิ” ผมยังไม่หยุดโวยวาย เชื่อไหมว่ามือยังไม่หยุดสั่นเลยตอนนี้

“ครับบบบๆ แต่รถไฟฟ้ายังไม่มาเลย จะไปยังไงล่ะ.... โอเค ไม่พูดแล้ว หุบปากแล้ว”

ไอ้..... หมดปัญญาจะหาคำมาพูดกับมันแล้ว.................................................







...........................................(ปัจจุบัน)





(ในมุมของน้ำชา)



“โอ้โห” ผมอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัวหลังจากได้ฟังเรื่องทั้งหมด “ร้ายแรงอยู่นะเนี่ย”

“ผมรู้สึกผิดมากเลยครับ” แทนมีสีหน้าการแสดงออกตรงไปตรงมาอย่างที่ตนเองพูดจริงๆ

“รู้สึกผิดเรื่องไหน” ผมถามเพื่อให้แน่ใจ “เรื่องที่ชอบแกล้งอะตอม เรื่องขับรถไม่ดี เรื่องที่ยังง้ออะตอมไม่สำเร็จ หมายถึงอันไหน”

“ผมทำผิดเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ”

“พี่ไม่รู้ พี่ถึงได้ถามนี่ไง”

“ผมรู้สึกผิดที่ไปรู้ความลับของอะตอมเข้า ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยอยากให้ผมรู้เรื่องนี้เท่าไหร่”

เอาจริงๆ ผมก็พอนึกภาพออกนะ ถ้าเป็นเรื่องกลัวความมืด กลัวผีสาง หรืออะไรจำพวกนี้ ผมเองก็คงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าอะตอมสักเท่าไหร่ แต่นาทีนี้คงต้องพูดปลอบใจไอ้เด็กคนที่รู้สึกผิดนี่ก่อน

“ความลับบางอย่างมันก็ไม่ได้เกิดมาเพื่อแค่เป็นความลับอย่างเดียวหรอกนะ บางทีมันก็มีมาเพื่อรอจุดประสงค์อย่างอื่น”

“ผมไม่ค่อยเข้าใจที่พี่พูดเท่าไหร่เลยครับ ขอโทษนะ ผมไม่ได้ใช้ภาษาไทยมานาน”

“ก็อย่างเช่น กรณีนี้ พี่ว่าอะตอมคงไม่ได้อยากจะปิดบังเรื่องแบบนี้ไว้เป็นความลับอะไรขนาดนั้นหรอก แต่มันแค่ไม่ใช่เรื่องที่จะไปป่าวประกาศบอกใครๆ คำถามก็คือ เมื่อเราได้เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ได้รู้ความลับนั้นแล้ว จะทำยังไงกับมัน เพราะสำหรับบางคน ความลับมีไว้เพื่อ..............









....................รอใครสักคนมาเข้าใจ”

ออฟไลน์ BBChin JungBB

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
นอกจากน้ำชาจะส่งต่อหน้าที่ให้รุ่นน้องแล้ว
เหมือนน้ำชากำลังจับคู่ให้น้องๆ แบบไม่รู้ตัวด้วย
เดาว่าเดี๋ยวต้องมีอีก 1-2 คู่ปรากฎตัวมาแน่เลย

 :hao3: :hao3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด