พิมพ์หน้านี้ - LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต) จบแล้ว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Kings Racha ที่ 26-10-2017 15:55:09

หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 26-10-2017 15:55:09
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง





--------------

_____LOVE  LEADER_____
ํ ํ ํ ํ ํ ํ เชียร์รักให้ลงล็อค ํ ํ ํ ํ ํ ํ

( ลิงค์เพื่อดูรูปหน้าปก : https://www.img.in.th/image/r0sMuj )
( ลิงค์เพื่อดูรูปแนะนำตัวละคร : https://www.img.in.th/image/r0sIRw )

ตอนที่ 1 : เหตุผล





“ขอบคุณมากนะครับ แต่ผมไม่สะดวกเท่าไหร่ ใกล้ช่วงเข้ามหาวิทยาลัยแล้วน่ะครับ” วางสาย ดูคลิปต่อดีกว่า

“นี่ รายที่เท่าไหร่แล้ววะมึง”   

“กูไม่ได้นับอ่ะ น่าจะห้ามั้ง  หรือหก... ประมาณนี้แหละว่ะ”   

“เห้อ..... กูละเสียดายจริงๆ นี่ถ้ามึงเอาเวลาที่มึงมัวมาศึกษาเรื่องเชียร์ลีดเดอร์ ไปเป็นติวเตอร์คณิตศาสตร์ เลือกมาสักสถาบันนึง  เขาอุตส่าห์โทรมาทาบทามเด็กอายุสิบแปดอย่างมึงเนีย ป่านนี้มึงก็อาจจะกลายเป็นเถ้าแก่น้อยตามโรงงานสาหร่ายไปแล้วก็ได้ ทำไมกูไม่อัจฉริยะเหมือนมึงบ้างวะ ชิบหาย แค่คูณเลขเกินสองหลักกูก็ลำบากละ”   

“นี่ถ้ามึงจะบ่นขนาดนี้ มาเป็นพ่อกูเลยไหม ไอ้เวรต้อม”   

“อ้าว ว่าไงละชาเย็นลูกพ่อ” แม่ง เก๊กเสียงใส่กูอีก “ เรื่องเข้ามหาลัยที่ลูกพูดถึงเนีย สรุปว่าเลือกที่ไหนดีหละ”   

“ไอ้สัด กูประชด.... แล้วมึงยังจะถามอีก มึงก็ติดที่เดียวกับกูมะ”   

“เห้ยยยยย นี่มึงเอาจริงเหรอวะ กูให้มึงติวให้ เพราะกูอยากเรียนที่นี่ ตอนมึงไปสอบด้วย กูก็นึกว่ามึงจะแค่สอบขำๆ มึงมีทางเลือกมากกว่านี้นะเว้ย อาจารย์เกศสิรินทร์เค้าก็เอาทุนเรียนวิชาเลขที่อังกฤษกับญี่ปุ่นมาให้มึงไม่ใช่เหรอวะ กูจำได้ กูก็เข้าใจว่ามึงตอบตกลงเค้าไปแล้ว”   

“ไม่อ่ะมึง กูจะเรียนที่มัณฑนานี่แหละ”   

“อะไรของมึงวะ กูโคตรไม่เข้าใจเลย”   

“ถ้ามึงไม่เข้าใจก็นั่งแดกกาแฟต่อไป กูจะดูคลิปโชว์ลีดเดอร์ในงานสปีริดโชว์ต่อ”   

“อีกแล้วเหรอวะ” ยังจะไม่เลิกอีก ไอ้เพื่อนเวร เสือกเรื่องกูตลอด “นี่มึงดูย้อนหลังกี่ปีแล้วเนีย..... เห้ย! เดี๋ยวก่อนนะ กูขอใช้สมองน้อยๆของกูคิดก่อน มึงเอาแต่ดูคลิปผู้นำเชียร์ แล้วมึงก็สอบเข้ามัณฑนากับกู แล้วมหาลัยมัณฑนาเนี่ยนะ ก็โคตรมีชื่อเสียงเรื่องลีดเลย ใครแม่งได้เป็นลีดของมหาลัยนี้นะ เท่ากับเป็นดาราไปครึ่งตัวแล้ว กูเคยได้ยินฉายาของลีดมหาลัยนี้ด้วยนะ 'ผู้นำเชียร์บนหอคอยแห่งเกียรติยศ'  สุดยอดไปเลย........ หรือว่า?”   

“มึงจะเดาว่ากูอยากเป็นดาราว่างั้น”   

“อ้าว แล้วมันจะมีเหตุผลอะไรอีกวะ”   

....เออ มันมีเหตุผลมากกว่านั้นเว้ย



อือหือออออ บทนำเรื่องของผมยาวใช่ไหมหละครับ จริงๆแล้วเรื่องมันยาวกว่านี้มากครับ แต่เอาเป็นว่า ผมจะบอกเท่าที่ผมบอกได้ก็แล้วกัน

อย่างแรกเลย ผมชื่อ ‘ชา’ ครับ ธชานา ธนกฤษ หรือที่แม่ผมเรียกว่า น้องน้ำชา จั๊กจี้สุดๆ

ผมกล้าพูดเต็มปากนะว่าผมเป็นอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์ ก็ไม่รู้ว่าไปถนัดเรื่องนี้ได้ยังไง คงเป็นพรสวรรค์มั้งครับ ผมน่ะ มักจะถูกทาบทามให้ไปเป็นติวเตอร์ในสถาบันกวดวิชาต่างๆตั้งแต่อยู่มอห้าแล้ว ที่ผ่านมาก็มีไปรับงานมาบ้าง แต่ก็ไม่บ่อยครับ เพราะผมมีอย่างอื่นที่สนใจอยากทำอยู่มาก บางทีผมก็สนใจเล่นบาส บางทีผมก็สนใจเรื่องดนตรีกีต้าร์อะไรพวกนี้ด้วยนะ มีออกไปแข่งนั่นแข่งนี้ก็เคย แต่ช่วงหนึ่งปีมานี้ ผมสนใจแค่สองอย่าง

อย่างแรกคือติวหนังสือให้ไอ้ต้อม นอกจากมันจะเป็นเพื่อนสารเลวของผมแล้ว มันยังมีพรสวรรค์อย่างมากในการเรียนให้ตัวเองโง่ แต่เสือกอยากเรียนต่อสถาปัตย์ ผมถึงได้ต้องพยายามอย่างมากเพื่อให้มันสอบติดมหาวิทยาลัยเดียวกับผมให้ได้ ผมไม่อยากไปเรียนคนเดียว แฮ่ๆ แต่ผมสอบติดคณะวิทยาศาสตร์นะ ก็แน่ล่ะ ด้านคณิตศาสตร์ในประเทศเราก็ต้องเป็นคณะวิทย์อยู่แล้ว

แล้วก็อีกเรื่องที่สนใจมากๆก็คือการเป็นเชียร์ลีดเดอร์ ใช่ครับ อ่านไม่ผิดหรอก ผู้ชายแมนๆอย่างผมนี่แหละที่อยากเป็นเชียร์ลีดเดอร์ แล้วก็ต้องเป็นเชียร์ลีดเดอร์ของมหาวิทยาลัยมัณฆนาด้วย ก็ในนั้นมันมี.....

พอแล้ว!

เอาเท่าที่บอกได้ก็พอ ขนาดไอ้ต้อมเพื่อนสนิทของผม ผมยังไม่บอกเลย แล้วผมจะบอกคุณทำไม เดี๋ยวพวกคุณก็เลิกติดตามเรื่องของผมกันพอดี

.................





หลังจากรอมานาน ในที่สุดก็ถึงวันก้าวเข้ามหาลัยสักที

มหาวิทยาลัยมัณฑนา

ก่อนเปิดเทอมหนึ่งอาทิตย์

ช่วงที่ยากที่สุด





“มึงว่าไงนะไอ้ต้อม” ผมโคตรตกใจที่ได้ยินเพื่อนตัวเองพูดอะไรแปลกๆออกมา   

“เออ มึงฟังไม่ผิดหรอก กูจะเป็นลีดให้ได้เหมือนกัน”   

“นั่นมันความฝันของกู ไม่ใช่ของมึง”

ตอนนี้ผมกับไอ้ต้อมกำลังเปิดประเด็นร้อนหน้าหอพักที่ผมกับมันตัดสินใจมาเช่า ไม่ไกลจากมหาลัย สภาพยอดเยี่ยม และผมใช้เงินตัวเองจ่ายด้วยนะ อ้อ ผมลืมบอกไปอย่างนึงซินะ ผมมีรายได้จากการเขียนวิจารณ์ผลงานวิจัยให้กับนิตสารวิชาการทุกเดือน งานง่ายแต่รายได้ดีโคตร เป็นการใช้ทักษะให้เกิดประโยชน์ด้วย   

“ทำไมวะ กูเห็นมึงศึกษาเรื่องนี้ทุกวันๆ กูก็ต้องซึมซับบ้าง แล้วที่สำคัญนะเว้ย ถ้ากูเป็นลีดมหาลัยได้ กูก็อาจจะมีงานในวงการ(บันเทิง) มีรายได้เยอะๆเหมือนมึงบ้าง ไอ้ห่า บังคับกูอยู่หอเดียวกัน แล้วค่าหอโคตรจะแพง ถ้ากูไม่ทำไรสักอย่าง กูจะเอาปัญญาที่ไหนมาเป็นเพื่อนคนขี้เอาแต่ใจอย่างมึงวะ”   

“กูเอาแต่ใจตรงไหน พูดดีๆ ไอ้เวร”

 เราเถียงกันจนขึ้นมาบนรถไอ้ต้อม และมันก็ขับพาผมเข้ามหาลัย

เอาจริงๆนะ บ้านไอ้ต้อมอ่ะ รวยกว่าผมอีก แต่ที่บ้านมันชอบเลี้ยงลูกแบบฮาร์ดคอร์ ให้ช่วยเหลือตัวเองอะไรอย่างงี้ แล้วหลายๆอย่างผมก็ต้องพึงพามัน เพราะมันเป็นคนที่ดูโตกว่าผมมาก ถึงจะเรียนไม่เก่ง แต่ที่เหลือทั้งหมดก็เก่งมาก เรื่องทักษะชีวิตไม่ต้องพูดถึง เก่งทุกอย่าง ผมว่าบางทีถ้าเอามันไปปล่อยไว้ในป่าเดือนนึง มันอาจจะอยู่รอดสบายๆ เลยก็ได้       

ย้อนกลับมามองตัวเอง อนาถสุดๆ ถึงผมจะทำอะไรได้หลายๆอย่าง แต่เพราะภาพลักษณ์ของผมไม่ได้สูง เข้ม หุ่นดี หน้าตาอบอุ่นเหมือนไอ้ต้อมไง ผมเลยมักจะถูกแกล้งตั้งแต่เด็กๆ เคยโดนโหดสุดๆ ถึงขั้นเกือบจมน้ำตายมาแล้ว ผมก็ไม่ได้อ้อนแอ้นนะ แต่ผมเกิดมาหน้าแบบนี้อ่ะ ขาวจนซีด ปากแดงอย่างกับทาลิปสติก ความสูงก็เกือบจะไม่แตะมาตรฐานชายไทย นี่ถ้าเทรนเกาหลีไม่เข้ามาในบ้านเรานะ ผมคงไม่มีสาวๆมาเหลียวแลเลย





“อ่ะมึง ถึงแล้ว” ไอ้ต้อมจอดรถหน้าอาคารหลังใหญ่ จุดนัดพบแรกของนิสิตใหม่ทุกคน.... โดมรวมใจ         

“แม่ง คนเยอะชิบหาย” ผมบ่นทันทีที่ลงจากรถ ทั้งเด็กปีหนึ่ง ทั้งรุ่นพี่ ทั้งเจ้าหน้าที่มหาลัย จอแจวุ่นวายไปหมด

อาคารทรงกลมสูงตระหง่าตรงหน้า นั่นคือสถานที่แรกที่เหล่าเด็กปีหนึ่งทุกคนต้องมารวมตัวกัน เพื่อแยกไปตามคณะของตัวเอง และที่นี่ก็มีด่านแรก ด่านสำคัญของผมที่จะเป็นเชียร์ลีดเดอร์ให้ได้ อ่อ..... ไอ้ต้อมด้วย       

“กูว่ามึงคงรู้แล้วใช่ไหม” ไอ้ต้อมเอ่ย ขณะที่เราสองคนกำลังเดินเข้าอาคาร       

“รู้ไรวะ?”       

“ภายในวันนี้ ก่อนที่จะแยกตามคณะต่างๆ ถ้าไม่มีรุ่นพี่ลีด มาปั๊มตราลีดมหาลัยให้ที่ป้ายชื่อ คณะของเราก็ไม่มีสิทธิ์เลือกเราไปเป็นลีดเหมือนกัน”       

“ก็ใช่อะดิ เรื่องนี้แหละที่กูกังวล” ผมสารภาพตามตรง “กูไม่สูง หุ่นดีเหมือนมึง กูจะทำได้เปล่าวะ”       

“เอาน่ามึง” ไอ้ต้อมตีไหล่ผมเบาๆ “กูอ่านมา เขาบอกว่า เขาเลือกคนที่ ...เสน่ห์... มึงอ่ะ ถึงไม่ได้สูง มาดแมนแฮนซัมบอย แต่ก็ถือว่าหน้าตาจิ้มลิ่ม น่ารัก สายเกาหลี น่าจะได้อยู่นะ เขาคงไม่เข้มงวดขนาดนั้นหรอก”       

“จิ้มลิ่ม พ่องงงง” ผมตบเกรียนไอ้ต้อมทันที “ไอ้เวร มึงดูก่อนไหม แต่ละปี มีแต่คนสูงๆ เข้มๆ กู.... กดดันว่ะมึง”

“ไม่ต้องเครียด นี่ถ้ามึงอยากเป็นดารามากนะ เดี๋ยวกูพามึงไปเคสติ้งก็ได้ ไม่ต้องหรอก ไอ้ล่งไอ้ลีดอะไรเนี่ย”       

ผมถองข้อศอกใส่มันเบาๆ  มึงยังคิดว่ากูอยากเป็นดาราอยู่ใช่ไหม เหตุผลกูยิ่งใหญ่กว่านั้นมากเว้ย.....





“น้องคะๆ ทางนี้ค่ะ” ทันทีที่ถึงหน้าทางเข้าใหญ่ก็มีพี่สาวคนหนึ่งเรียกทันที “คณะอะไรกันคะ”       

“วิทยาศาสตร์ครับ” “สถาปัตย์ครับผม”       

“ขอชื่อเล่นด้วยค่ะ” พี่สาวดูจะวุ่นวายกับการจัดการงานตรงหน้ามากๆ เธอเอาแต่ก้มหน้ามองป้ายชื่อที่จะแจกให้นิสิตใหม่         

“ชาครับ”       

“น้ำชาครับพี่ มันชื่อน้ำชา เขียนเลยครับๆ”       

“ไอ้เชี่ยต้อม กูบอกไม่ให้เรียกกูแบบนี้ไง” ไอ้เพื่อนเวรเอ้ย ยังไม่ทันเปิดเรียนแม่งเล่นกูซะแล้ว       

“อ่ะนี่ค่ะ น้องน้ำชา ป้ายสีชมพูประจำคณะวิทย์นะคะ” เธอยื่นป้ายสีชมพูที่เธอเขียนชื่อเล่นของผม น้ำชา ด้วยปากกาเคมี หวานไปอีกกก ผมนี่เซ็งเลย บอกให้พี่แกเขียนใหม่ดีไหนนะ “แล้วน้องอีกค.....” จู่ๆสาวเจ้าก็ทำตาโตใส่ไอ้ต้อม แล้วก็ตามมาด้วยการยิ้มกริ่มจนหน้าแดง “น้องชื่อเล่นว่าอะไรคะ สถาปัตย์เน๊าะ สีเทาค่ะ นี่ไง พร้อมเขียนชื่อได้เลย ว่าไงคะ ชื่ออะไร พี่ชื่อหงส์นะคะ” มีบอกชื่อตัวเองก่อนด้วย ผมก็ยืนอยู่นี่นะพี่ เห็นผมไหม       

“ต้อมครับผม” ไอ้ต้อมตอบ มันลืมเรื่องแกล้งผมไปเลย เพราะงงกับท่าทีของพี่สาวตรงหน้า

เธอเขียนคำว่า ต้อม อย่างบรรจงสุดๆ         

“นี่ค่ะน้องต้อม” พี่หงส์ลุกเดินออกมาจากโต๊ะพร้อมเอาเชือกคล้องป้ายห้อยคอให้ไอ้ต้อมเสร็จสับ แหมเจ๊ ถ้าจะชัดขนาดนี้ เจ๊ไม่ให้เบอร์ไปเลยหละ “วันนี้นั่งตรงไหนก็ได้นะคะ ไม่ต้องแยกตามคณะ ฟรีสไตล์เลย ฮ่าๆๆ” เออ มึงหล่อไอ้ต้อม กูยอมก็ได้ แต่ช่วยปฏิเสธเจ๊แกแล้วพากูเข้าข้างในได้แล้วมั้ง แต่ดูท่าจะยากแล้วหละ เหมือนว่าโต๊ะรับลงทะเบียนอื่นๆก็เริ่มให้ความสนใจไอ้ต้อมบางเช่นกัน “เดี๋ยวพี่หงส์เสร็จงานตรงนี้แล้ว จะไปนั่งติดกับโซนทางออกสามนะคะ”       

“อ๋อ ครับพี่” ไอ้ต้อมตอบเจื่อนๆ “ว่าแต่ พวกพี่ลีดมหาลัย เขานั่งตรงไหนกันเหรอครับ” เออ.... ไอ้นี่อยู่เป็น ไม่ได้หล่อเฉยๆ แต่อุตส่าห์รู้จักหาข้อมูล ดีมากๆ       

“อุ๊ย จะเป็นลีดเหรอ แหมมมมม หน้าตาอย่างน้องต้อมเนีย ยังไงก็ผ่าน พี่คอนเฟิร์มเลย นั่งตรงไหนก็ได้ พวกพี่ลีดเขามองเห็นแน่นอน รัศมีเจิดจรัสแบบนี้ แต่ถ้าอยากให้แน่ใจก็นั่งตรงหน้าเวทีด้านขวาก็ได้จ๊ะ หลังโชว์ลีดเสร็จ พวกพี่เขาก็จะยืนสังเกตการณ์ตรงนั้นเป็นส่วนใหญ่ เห็นกันชัดเจนแน่นอน”       

“แล้วเพื่อนผมอ่ะครับ นี่ๆไอ้ชาเย็นอ่ะพี่ ไอ้นี่มันเก่งมากนะพี่” ไอ้ต้อมกอดคอผมกระชับ เป็นการแนะนำตัว จริงๆผมก็อายนะ แต่อีกใจก็ลุ้นเหมือนกันว่าพอจะมีสิทธิ์บ้างไหม       

“น้องน้ำชาเหรอ” นี่เป็นครั้งแรกที่พี่หงส์สนใจผมบ้าง แต่สายตาแตกต่างกับไอ้ต้อมสุดๆ “ขาว ผมดำ ปากบาง ก็... น่ารักดีนะ อาจจะน่าสนใจเพราะทุกปีไม่เคยมีแบบนี้ แต่ถ้าน้องต้อมเนีย ร้อยทั้งร้อยนะคะ พี่คอนเฟิร์ม” เป็นคำตอบที่ทำให้รู้สึกวูบมาก

ไอ้ต้อมเขย่าไหล่ให้กำลังใจผม       

“ไปนั่งข้างในกันเหอะมึง” ผมชวนเพื่อนเสียงอ่อน       



เราเลือกนั่งกันตรงหน้าเวทีด้านขวา ใช่ครับ ยังไงผมก็ต้องมีหวัง ผมต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อเป้าหมายให้ได้

หลังจากรอมาประมาณยี่สิบนาที เด็กปีหนึ่งก็เข้ามาเต็มโดมในชุดไพรเวท การต้อนรับเฟรชชี่ก็เริ่มขึ้น เวทีขนาดใหญ่มีผู้คนวนเวียนขึ้นมาตลอดเวลา เริ่มกันที่เจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัย รุ่นพี่คณะต่างๆ การโชว์ร้องเพลงประสานเสียงจากชมรมประสานเสียง กฎกติกามากมายและข้อมูลที่ไม่ค่อยมีเด็กคนไหนสนใจฟัง และในที่สุด......



กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด



เสียงกรีดถล่มถลายทั้งจากนิสิตใหม่และรุ่นพี่ที่อยู่ในโดม ต่างพร้อมใจกู่ร้องออกมาแบบมิได้นัดหมาย เมื่อเหล่าเชียร์ลีดเดอร์มหาวิทยาลัยมัณฑนาเดินขึ้นสู่เวทีด้วยออร่าที่ยากจะปิดให้มิด ผู้หญิงก็ขาวสวย ผู้ชายก็หล่อเท่ ทุกสายตาที่เคยเพิกเฉยกลับจับจ้องไปที่เวทีอย่างตื่นเต้น       

ผมเองก็เช่นกัน ผมค่อนข้างอยู่ใกล้กับเวทีจึงเห็นทุกอย่างชัดเจน เหล่ารุ่นพี่เชียร์ลีดเดอร์ในชุดนิสิตสะอาดเรียบร้อยขึ้นท่าพร้อมเตรียมโชว์การออกลีลา สายตาของผมกวาดไปทีละคนๆ อย่างใจจดใจจ่อ หัวใจเต้นแรงและดังกว่าเสียงเกรียวกราวที่ได้ยิน จนในที่สุดก็เห็นสักที คนที่ผมมองหา.....

ผู้นำเชียร์หนุ่มที่ยืนในตำแหน่งกลางด้านหลัง ตัวสูงโดดเด่นออกมาจากทุกคน และแน่นอนว่าออร่าที่โพยพุ่งส่วนใหญ่ก็มาจากคนนี้นี่แหละ 



“มึงๆๆๆ มึงเห็นอย่างที่กูเห็นเปล่าวะ” ไอ้ต้อมสะกิดผมใหญ่ มันแทบจะร้องเสียงหลง ตาโตเบิกกว้างด้วยความตกใจ “นั่นมัน พี่ตอง ไม่ใช่เหรอวะ คู่แข่งตลอดกาลของมึงไง”       

“ใช่ นั่นคือพี่ตอง” ผมตอบ และนั่นแหละคือเหตุผลที่กูต้องเป็นผู้นำเชียร์ให้ได้






นั่นคือเหตุผลทั้งหมดที่ต้องพยายามให้สำเร็จให้ได้......
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 2 [First Kiss]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 26-10-2017 20:52:11
​ตอนที่ 2 : First Kiss         





​“......”  นิ่มจัง อุ่นๆ อ่อนโยน รู้สึกเหมือนพลังชีวิตฟื้นกลับมา ทำไมรู้สึกดีอย่างนี้นะ....        ​

“นาย นาย เฮ้ยนาย เป็นไงบ้างวะ” อีกแล้ว สัมผัสนี้อีกแล้ว สัมผัสบางเบาเกิดขึ้นที่ริมฝีปากอีกแล้ว รู้สึกอยากจะขอบคุณจังที่เขามอบความรู้สึกแสนอบอุ่นนี้มาให้ “ฟื้นดิวะ”         ​

“อ๊อกๆๆๆ” จู่ๆผมก็สำลักน้ำออกมาอย่างห้ามไม่ได้

ในหัวของผมมึนไปหมด จุกเน้นหน้าอกเหลือเกิน แต่ก็รู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก



.......ผมลืมตาขึ้นมา........



ใครคนหนึ่งกำลังตีหน้าผมแรงๆถี่ๆ

ผมพยายามรวบรวมสติที่อ่อนแรง มองคนที่ก้มหน้าลงมามองผมแทบจะหน้าชิดกัน



       ดวงตาของเขาอบอุ่นจัง ………….

       มีปานสีแดงเล็กๆที่ติ่งหูด้านขวาด้วย................

      เนื้อตัวของเขามีไอความร้อนที่ชวนให้แนบกายเข้าหา..................

       ทำไมเขาถึงเปียกนะ.............

       แล้วทำไมเราก็เปียกไปทั้งตัวแบบนี้..............

       อ๋อ.... เราทะเลาะกับเด็กพวกนั้น แล้วก็ตกน้ำ เราว่ายน้ำไม่เป็น เขาช่วยเราไว้ซินะ



“ฟื้นแล้ว” เด็กชายร้องลั่นเมื่อเห็นว่าผมลืมตาขึ้น

ความวุ่นวายเกิดขึ้นทันที รู้สึกเหมือนถูกมือไม้ของคนมากมายพยายามดึงรั้ง อุ้ม แบกตัวผมให้ขยับออกจากตรงนั้น

สายตาของผมยังจับจ้องเด็กชายคนที่เพิ่งช่วยชีวิตผมจากการจมน้ำ

เขาก็จ้องมองผมอย่างเป็นห่วงเป็นใยผ่านความวุ่นวาย เหล่าผู้ใหญ่พยายามนำตัวผมขึ้นรถพยาบาล มีเสียงดังเกิดขึ้นมากมาย แต่ก็ไม่อาจจะทำให้ผมลืมดวงตาคู่นั้นได้ ไม่อาจลืมรอยประทับริมฝีปากครั้งแรกในชีวิตไปได้

..............

.......

...





“ไอ้ชาเย็น!” เสียงไอ้ต้อมเรียกสติให้ผมกลับมาในปัจจุบันขณะ “เม่ออะไรของมึงวะ เขาจะโชว์ลีดแล้ว”       

“มัวคิดไรนิดหน่อย” ผมบอก       

“นั่นมันพี่ตองนี่หว่า รุ่นพี่ที่อยู่โรงเรียนฝั่งตรงข้ามแม่น้ำกับโรงเรียนเรา คู่แข่งของมึง”       

“กูเห็นแล้ว”       

“พี่แกเรียนที่นี่ด้วยเหรอวะ”       

“.......”       

“แถมเป็นลีดมหาลัยด้วย”       

“.......”       

“แบบนี้ มึงแพ้ราบคาบแน่เลยวะ”       

“กูยังไม่แพ้เว้ย”       

“.......นี่อย่าบอกนะว่ามึงลงทุนปฏิเสธทุนเรียนต่อต่างประเทศเพราะอยากมาแข่งกับไอ้พี่ตองที่นี่อีกอ่ะ มึงกับพี่เขาก็แข่งกันจนเป็นตำนานไปแล้วนะ ยังไม่จบอีกเหรอวะ”       

“มึงจะบ้าหรือไงวะ กูไม่ได้บ้าขนาดนั้นหรอก”                 



รั้วสีทองส่องแสงในล้า ศาสตร์มัณฆนา นำปัญญาพาข้าฯสู่หมาย.....



เพลงมาร์ชของมหาวิทยาลัยดังขึ้น เพลงที่ผมคุ้นเคย ผมเฝ้าฟังมันมานับปี ท่วงท่าของผู้นำเชียร์ก็เริ่มในพร้อมกัน ผมจำได้แทบจะทุกอิริยาบท ผมซ้อมเต้นเพลงนี้เป็นพันๆครั้ง แต่จุดโฟกัสเดียวของผมก็คือ พี่ตอง เด็กหนุ่มตัวสูง หุ่นดีล่ำสัน ทรงผมสกินเฮดที่เข้ากับใบหน้า ท่าเต้นของพี่เค้าทั้งแข็งแรงและทรงพลัง ผมคิดว่าไม่ใช่แค่ผมหรอกที่มองพี่เขาอยู่ คนในนี้ส่วนใหญ่ก็จ้องมองพี่เขาอยู่ทั้งนั้น

“กูเห็นพี่แกครั้งล่าสุดก็ตอนแข่งว่ายน้ำกับมึง” ไอ้ต้อมพูดกับผม ผมได้ยินนะแต่ก็ไม่หลุดสายตาไป “มึงชนะมาฉิวเฉียบเลยนิ แม่ง ตอนนั้นพี่เค้าดูแค้นมึงมากเลยนะ แต่ตอนนี้เท่สัดๆ”       

“.....”       

“สูงกว่าเดิมอีก ตัดผมสกินเฮด หุ่นดี สาวๆเห็น ตายสนิท งานนี้ถ้ามึงจะแข่งเรื่องลีดกับพี่แกอีก กูว่ายิ่งกว่ายากอีกว่ะ”       

“มึงให้กำลังใจกูมากเลยนะ” ผมพูดกัดฟัน

"นั่นไง ไหนมึงบอกว่าไม่คิดจะแข่ง"

ไอ้เพื่อนสารเลว หุบปากไปซะมึงอ่ะ

เหมือนจะมีแวบหนึ่งที่ไอ้พี่ตองมันมองเห็นผมนะ หรือผมคิดไปเอง               

ท่าเต้นโคตรแข็งแรง สง่างาม เท่ หล่อ มีออร่า โดดเด่น กูจะทำได้ไงวะ คิดไม่ตกจริงๆ



       กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด



เสียงกรี๊ดดังขึ้นอีกครั้งเมื่อการแสดงจบลง เหล่าผู้นำเชียร์ลงจากเวทีทันที แต่....

“มึง” ไอ้ต้อมเอาศอกสะกิดผมอีกครั้ง “พี่เขามองมาทางนี้เปล่าวะ”       

“.....” เออ กูเห็นแล้วเหมือนกัน       

“กูว่าสายตาพี่เขาเหมือนไม่ค่อยชอบใจมึงเท่าไหร่นะ”



“จบไปแล้วนะครับ สำหรับการแสดงอันแสนภาคภูมิใจของมหาวิทยาลัยของเรา” พิธีกรกลับมาดำเนินรายการอีกครั้ง จากนั้นก็มีพี่ๆสันทนาการมาสร้างความบันเทิงบนเวทีต่อ



“น้องต้อมคะ” ไม่นานก็มีพี่สาวคนสวยคนหนึ่งเรียกไอ้ต้อม เธอยืนต่อหน้าผมและไอ้ต้อม พร้อมกับพี่นางฟ้าหัวโปกยืนประกบข้างอย่างกับผู้จัดการส่วนตัวของดาราดัง “พี่เป็นตัวแทนของผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยนะคะ ช่วยยื่นป้ายชื่อขึ้นมาหน่อยค่ะ”       

“ป... ป้าย อ๋อครับผม” ไอ้ต้อมยังงงๆ

พี่สาวยิ้ม เธอนำตรายางปั๊มสัญลักษณ์เชียร์ลีดเดอร์มหาวิทยาลัยมัณฑนาลงบนป้ายชื่อของไอ้ต้อมอย่างไม่ลังเล แล้วไอ้ต้อมก็ยิ้มตอบให้         

สถานการณ์ตอนนี้ผมไม่รู้จะบรรยายยังไง ทำไมพี่เขาไม่คิดจะทันมาหาผมบ้างวะ       

“อยู่สถาปัตย์ใช่ไหมเราอ่ะ” พี่เค้าถาม ส่วนผมกระแอมนิดหน่อย แต่ก็ไม่เป็นผลเลย       

“ครับผม” ผมยังคงพยายามเสนอหน้าให้มากที่สุด       

“เจอกันที่คณะนะ พี่ชื่อหนิง คณะเดียวกัน ท่าทางปีนี้เราจะมีกำลังสำคัญแล้วนะ”       

“ขอบคุณครับพี่” แม่งเอ๊ยยยย หมดหวังแล้วกู ไม่คิดจะมองเลยเหรอวะ         

“เจอกันนะ” หมดหวังจริงๆ         

“พี่หนิงครับ” จู่ๆไอ้ต้อมก็เรียกพี่เขา “นี่เพื่อนผมนะครับ ชื่อชา อยู่วิดยา เรียนเก่งสุดๆ มันติวให้ผมเรียนติดที่นี่ด้วยนะครับ”         

“จ.... จ๊ะ” ผมอยากจะขอบคุณไอ้ต้อมนะ แต่ก็ยอมรับนะว่าอายมาก เหมือนผมเป็นขอทานเลย ผมไม่กล้าเงยหน้ามองพี่หนิงเลยตอนนี้ พี่แกคงจะงงว่าไอ้ต้อมจะนำเสนอผมทำไม         

“พี่ว่ามันเป็นยังไงบ้างครับ..... เฮ้ยมึง เงยหน้าดิวะ” ไอ้ต้อมจับหัวผมเงยขึ้น ผมพยายามดิ้น         

“ก็น่ารักดีนะ..... แล้ว.... จะบอกอะไรพี่เหรอ หรือจะบอกว่าเป็นแฟนน้อง”         

“ไม่ใช่” ผมกับไอ้ต้อมแผดเสียงออกมาพร้อมกัน         

“คืองี้ครับ” ไอ้ต้อมพยายามพูดอีกครั้ง “เราจบมาจากโรงเรียนเดียวกัน แล้วมันก็น่ารักดีนะพี่ แนวเกาหลีๆไงพี่ โอปป้าตัวเล็กไงครับ คือถ้าผมมีเพื่อนเป็นลีดด้วยสักคน มันก็ดีไม่ใช่เหรอครับพี่”       

พี่หนิงขมวดคิ้วเล็กๆ แล้วพิจารณาหน้าผม อย่างกับจะดูว่าปลาสดหรือไม่สด       

“นี่คัดลีดนะ ไม่มีโควต้าบ้านใกล้หรอก ไม่ใช่ว่าน้อง.... น้องน้ำชาจะขี้หริ้วขี้เหร่อะไรนะ แต่มันก็มีมาตรฐานอยู่ พี่คงปั๊มตราให้ใครซี้ซั้วไม่ได้หรอกจ้ะ ขอโทษนะจ๊ะ”       

ผมสะบัดหน้าออกจากมือของไอ้ต้อมอย่างหงุดหงิด มันก็คงโกรธใครไม่ได้ ผมไม่เจียมตัวเองที่มาสนใจอะไรที่ตัวเองไม่อาจเอื้อม       

“คุณน้องขา” ผู้จัดการส่วนตัวของพี่หนิงพูดขึ้น “เอางี้ไหม น้องก็มาเป็นบัดดี้ของน้องต้อมซิ เหมือนเจ๊นี่ไง ได้เห็น ได้สัมผัสทุกอย่างเหมือนลีดมอเลยนะคะลูก ยิ่งแต่งหน้าเป็นยิ่งรุ่งค่ะ ขอบอก”       

“.....” สัด กูเป็นผู้ชายโว้ย แต่งหน้าอะไรของพี่มึงครับ       

“ไม่ได้เลยเหรอครับ” ไอ้ต้อม มึงเลิกพูดเหอะ กูอายแล้วมึง น้ำตาจะไหลอยู่แล้ว       

“..... เอางี้แล้วกันนะ ถ้าลีดผู้หญิงขาดพี่จะเรียกน้องน้ำชาอีกทีแล้วกัน. นะ”       

อ้าวววววว คิดว่าตัวเองสวยแล้วจะพูดอะไรก็ได้เหรอวะ       

ไอ้ต้อมตบไหล่ผมเบาๆ เป็นการปลอบใจ พี่หนิงกับผู้จัดการเดินไปหาเป้าหมายต่อไป

“พอเลยมึง” ผมเอ็ดไอ้เพื่อนเลว “มึงยิ่งพูด กูยิ่งอาย”       

“มึงจะอายไรวะ มึงอ่ะสมควรได้รับโอกาสนะเว้ย มึงศึกษาเรื่องนี้มามากกว่าใคร มึงเต้นได้สบายๆด้วยซ้ำ ทำไมตัดสินกันด้วยเรื่องแค่นี้วะ”       

“ช่างแม่งเหอะ” ผมยอมรับว่าน้อยใจนะ       

“ถ้างั้นมึงก็จะแพ้ไอ้พี่ตองนะ”         

“กูก็ไม่ได้ชนะมันทุกครั้งเปล่าวะ”       

“มึงอย่ามาพูด กูรู้ว่ามึงไม่เคยคิดจะยอมแพ้ ยิ่งกับคู่แข่งคนนี้ มึงไม่มีทางยอมแพ้”       

“พูดมากนะมึงอ่ะ”       

“กูพูดมากหรือกูพูดถูกกันแน่..... มึงๆมาอีกคนแล้ว”       

พี่ผู้ชายคนหนึ่งเดินผ่านมา พี่คนนี้ชื่อ บุ๋น ผมจำได้ จริงๆผมจำพี่ผู้นำเชียร์ได้ทุกคนนั่นแหละ พี่คนนี้อยู่คณะเดียวกับผม อาจจะมีสิทธิ์ก็ได้ ลองเสนอหน้าดูอีกทีก็ได้วะ

“อ้าว น้องโดนปั๊มไปแล้วเหรอ” พี่บุ๋นเพิ่งจะเห็นตราประทับบนป้ายของไอ้ต้อม แต่พี่แกหันมาหาผมด้วย พี่เขามองผมอยู่สักพักแล้วยิ้มออกมา ในใจผมตอนนี้เต้นแรงสุดๆเลย ถูกใจกูทีเถอะ ขอร้องล่ะ “พี่นึกว่าเราเป็นผู้หญิงซะอีก” นี่คือคำพูดจากปากพี่บุ๋น ซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผมอยากได้ยินโดยสิ้นเชิง “นี่ถ้าไม่มองนานๆ พี่นึกว่าผู้หญิงจริงๆนะ หน้าจะหวานไปไหน” 

“.....”       

“ทำไมทำหน้างั้นวะไอ้น้อง” ผมคงหน้าเจื่อนและผิดหวังให้พี่แกเห็นมากละมั้ง “กูไม่ได้ว่ามึงนะเว้ย แค่บอกว่าหน้าหวานเฉยๆ เสียดาย ถ้าเป็นผู้หญิงกูจะปั๊มตรายางให้เดี๋ยวนี้เลย”       

“พ...” ผมรีบคว้ามือไอ้ต้อมไว้ ก่อนที่มันจะพูดอะไรอีก ผมว่าแค่นี้ก็น่าอายพอแล้ว       

“เออ เด็กวิดยาเหมือนกัน เดี๋ยวเจอกันที่คณะนะมึง เดี๋ยวเลี้ยงหนม กูไปนะ”       

แล้วความหวังก็จากผมไปอีกครั้ง ทำไมมันไม่มีระบบรับสมัครเหมือนมหาลัยอื่นบ้างวะ       

“โอเคเปล่าวะมึง” ไอ้ต้อมเป็นห่วงผม       

“กูก็ต้องโอเคไหมล่ะ กูจะทำไรได้”



ผ่านไปอย่างเชื่องช้า เวลาในโดมรวมใจ ผ่านไปอย่างยากลำบากสำหรับผม ผู้นำเชียร์คนแล้วคนเล่าเดินผ่านผมไป ทุกคนแทบจะหยุดมองไอ้ต้อม และทุกคนแทบจะไม่มองผมเลย

ในที่สุดผมก็ยอมแพ้ เวลาพักกลางวันมาถึง พิธีกรปล่อยให้ทุกคนพักรับประทานอาหารกลางวัน ก่อนที่จะมารวมตัวกันตอนบ่ายเพื่อปล่อยไปตามแต่ละคณะ       

“กูไปเข้าห้องน้ำแป๊บนะมึง เดี๋ยวมา” ผมอยากไปล้างหน้าให้สดชื่น ไล่ความผิดหวังนี้ทิ้งไป         

“กูรอนี่นะ”

ระหว่างทางที่เดินไปห้องน้ำ ผมเหนป้ายชื่อของหลายคนถูกปั๊มด้วยตราเชียร์ลีดเดอร์ อย่างกับนัดกันมาเย๊าะเย้ยผม เออ กูไม่โดนปั๊ม หน้ากูไม่หล่อเหมือนพวกมึง กูไม่ได้สูง กูไม่เท่ห์ แต่กูหน้าหวาน เกลียดคำนี้ชิบ





“อย่างมึงไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่ได้นะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นมา ด้วยสัญชาตญาณ ผมหันไปมอง ให้ตายเหอะ ไอ้พี่ตองนี่หว่า ผมหันซ้ายหันขวา ดูว่ามันคุยกับใครอื่นหรือเปล่า “กูพูดกับมึงนั่นแหละ ไอ้เผือก”       

ในสมองผมว่างเปล่าไปหมด         

พี่ตองเดินเอื่อยๆเข้ามาหาผม มองหน้าอย่างไม่สบอารมณ์นัก แม้พี่แกจะทำหน้าดุ แต่ดวงตานั้นก็ยังทอประกายของความอบอุ่นออกมา ใบหน้าคมเข้มในทรงผมสกินเฮด เผยให้เห็นปานสีแดงที่ติ่งหูด้านขวาอย่างชัดเจน       

ใช่ครับทุกคน พี่ตองคนนี้แหละครับ ที่เคยช่วยชีวิตผมตอนจมน้ำเมื่อแปดปีที่แล้ว ผมมองเห็นพี่เขาเป็นไอดอลมาโดยตลอด และก็พยายามที่จะทำตามสิ่งที่พี่เขาทำ แต่เหมือนพี่แกจะตีความผิดคิดว่าผมตั้งตัวเป็นคู่แข่งมาโดยตลอด พี่เขาจำไม่ได้หรอกครับว่าพี่เขาเคยช่วยชีวิตผมไว้ เพราะตอนนั้นเราทั้งคู่ยังเป็นเด็กประถม และเรียนกันคนละโรงเรียน ดังนั้น ทางเดียวที่ผมจะได้มีโอกาสเจอกันพี่เขาคือต้องเจอกันในสนามแข่ง สามสี่ปีที่ผ่านมา ผมกับพี่ตองจึงเป็นเหมือนตำนานคู่แข่งของโรงเรียนสองฝั่งแม่น้ำ ซึ่งมันหมายถึงว่าผมก็หมดโอกาสที่จะพูดขอบคุณเหมือนกัน       

“ไหนชอบอวดเก่งไม่ใช่เหรอวะ” เสียงของไอ้พี่ตองเรียกสติผมกลับมา “ที่แท้ก็สอบได้ที่เดียวกับกู ไม่สมที่อุตส่าตั้งตัวเป็นศัตรูกับกูนะ ฮึ”       

“ก็อยากเห็นหน้าคนแพ้อีกไง” นี่แหละครับวิธีพูดของผม คือผมก็ไม่เคยคุยกับพี่เขาหรอก แต่มันเป็นศัตรูทางความคิดกันไปแล้ว ผมก็หมดทางเลือกที่จะหาวิธีพูดแบบอื่น       

“เหรอ ไอ้เผือกอย่างมึง จะมาชนะอะไรกูได้ นี่ไง ป้ายชื่อไม่มีตราปั๊ม มึงเป็นลีดเหมือนกูไม่ได้ก็แล้วกัน”       

“ยังไม่หมดเวลาซะหน่อย” ผมเถียงทำไมวะ       

“เสียใจ ตราประทับถูกเก็บเข้ากล่องหมดแล้ว มึงแพ้” ตอกย้ำกูจัง       

“กลัวใช่ไหมล่ะ” ผมไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ถึงพูดออกมาแบบนี้ รู้แค่ว่าต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่พี่แกจะหันกลับไปแล้วก็หัวเราะเย๊าะผม       

“มึงว่าไงนะ” ได้ผล หันกลับมาแล้ว       

“กลัวว่าผมจะชนะอีกใช่ไหมล่ะ แน่จริงปั๊มให้ผมดิ ถ้าไม่กลัวว่าผมจะขึ้นไปเป็นลีดมอบ้าง”       

“หึ เสียใจว่ะ ต่อให้กูปั๊มให้มึง มึงได้เป็นลีดคณะ แต่ตอนคัดลีดมอ ถ้ามีลีดมอรุ่นพี่แม้แต่คนเดียวคัดค้าน มึงก็เป็นลีดมอไม่ได้อยู่ดี”       

“งั้นแน่จริงก็ปั๊มดิ ยังไงผมก็ไม่ได้เป็นลีดมออยู่แล้วนิ ยอมรับมาเหอะว่า  กลัว”       

ไอ้พี่ตองมีสีหน้าที่บอกอาการชัดเจนว่ากำลังลังเลสุดๆ         

“เสียใจ มึงแพ้” ไอ้บ้าเอ้ย แม่งใจแข็งชะมัด กูพูดขนาดนี้แล้วนะ

และแม้แต่คนที่ผมไม่คิดว่าเป็นความหวังก็ดับฝันผมอีกครั้ง พี่มันหายเข้าไปในห้องพักเชียร์ลีดเดอร์ ผมถอนหายใจทันทีอย่างช่วยไม่ได้



หลังออกจากห้องน้ำ ผมกำลังจะเดินกลับไปหาไอ้ต้อม แต่เจอเข้ากับช่องเล็กๆที่นำไปยังหลังอาคารส่วนที่ไร้ผู้คน ใจจริงคือผมรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลออกมา ผมอยากได้ที่หลบมุมสักพัก อุตส่าเกลี่ยกล่อมแม่ให้อนุญาตมาเรียนที่นี่แทนที่จะไปมีอนาคตที่ดีในต่างประเทศ อุตส่าซ้อมเต้นลีดเป็นปีๆทั้งๆที่เต้นไม่เป็น ต้องพยายามดูแลตัวเองให้ดูดีเพราะรู้ว่าการเป็นลีดต้องใช้หน้าตา ที่สำคัญต้องรอมาตั้งแปดปีกว่าจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับผู้มีพระคุณแบบจริงจัง

เสียงเพลงมาร์ชมหาวิทยาลัยดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทีมงานคงกะว่าจะเปิดเพลงมหาลัยกล่อมนิสิตใหม่ทั้งวัน แต่รอบนี้ขอเต้นหน่อยเหอะ ไม่มีใครเห็น อย่างน้อยก็ให้กูได้ระบายในสิ่งที่พยายามออกมาหน่อยเหอะ ผมแสดงทั้งท่ามือและท่าเท้าออกมาอย่างง่ายดาย เก็บทุกรายละเอียดที่เค้าว่าดีมาหมด กะเอาไว้ว่าถ้าได้เต้นโชว์เมื่อไหร่ ทุกคนต้องเห็นศักยภาพของผมแน่นอน



“เห้อออออ โล่งอก” ผมพ่นคำปลอบใจตัวเองออกมาหลังจากเต้นตั้งแต่เริ่มจนจบ   

“เจ๋งนี่หว่า” ผมตกใจสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงคนชัดเจนจากข้างหลัง จึงรีบหันไปดู       

“พ.... พี่ ท๊อป ใช่ไหมครับ” ผมพยายามพูดแก้เขิน นี่กูเพิ่งเต้นลีดโดยไม่มีสาเหตุให้พี่เขาดูเหรอวะ แม่ง เข้าใจคำว่าอยากแทรกแผ่นดินหนีเลย       

“รู้จักพี่ด้วยเหรอ”         

“รู้ดิครับ พี่ท๊อป เภสัช ลีดปีสาม คนที่ได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินฝึกหัดที่เกาหลีคนแรก พี่ดังจะตาย ต่อให้ไม่ใช่ผมก็ต้องรู้จักพี่”       

“ต่อให้ไม่ใช่เอ็ง หมายความว่าไง”       

ก็ต่อให้ไม่ใช่คนที่ศึกษาลีดมหาลัยนี้มาเป็นอย่างดีไงครับพี่       

“ต่อให้เป็นคนที่เต้นลีดเก่งขนาดนี้.... พี่พูดถูกไหม” จี้ใจดำสุดๆ       

“แล้วทำไมพี่มาอยู่ตรงนี้ล่ะ” ผมพยายามเปลี่ยนเรื่อง       

“ก็ถ้าไม่มาอยู่นี่ พี่จะรู้ไหมว่ามีคนที่มีพรสวรรค์จะเป็นลีดมอมาเต้นอยู่ตรงนี้”       

“......” เออ ผมเพิ่งทำอะไรน่าอายออกไป คงเปลี่ยนเรื่องไม่ทันแล้วซินะ       

“พูดเล่น พี่มาอยู่ตรงนี้ก็เพราะอึดอัด พวกลีดชอบแขวะพี่ว่าปั๊มให้ใครไปทั่วไม่มีมาตรฐาน ผู้จัดการก็ตามติดแจ ไม่ให้โอกาสประทับตราให้ใครได้เลย แต่.... ก็ไม่คิดว่าจะมีคนเจ๋งๆ มาให้ปั๊มถึงที่แบบนี้”       

หือออออ เหมือนเสียงสวรรค์เลย แต่.... “ตรายางโดนเก็บไปหมดแล้วไม่ใช่เหรอพี่”       

“เว้นของพี่ไว้อันนึงละกัน” พี่ท๊อปเดินเข้ามาหาผม หยิบป้ายที่หน้าอกผมขึ้นดู บอกตามตรงนะ ผมไม่เห็นเลยว่าพี่เขาหล่อสมคำล่ำลือหรือเปล่า เพราะสมองผมประมวลผลอยู่เรื่องเดียว และใจจดใจจ่อที่จะเห็นตราประทับบนป้ายชื่อ “อย่าให้ตราปั๊มของพี่ต้องผิดหวังนะน้อง... น้ำชา ชื่อหวานได้อีกนะ ไปพิสูจน์แทนพี่หน่อยว่า ใครๆก็เป็นผู้นำเชียร์ที่มีเสน่ห์น่าหลงไหลได้”

เกร๊ก

เสียงตรายางปั๊มลงบนป้ายชื่อ เสียงมันเบาแต่ดังในใจของผมอย่างมาก



หลังจากการขอบคุณไม่รู้จบของผมที่มีให้กับพี่ท๊อป ผมรีบเดินกลับมาเพื่อไปหาไอ้ต้อม แต่ระหว่างทางกลับ รุ่นพี่เชียร์ลีดเดอร์ปีสองกำลังจะออกมาอีกครั้ง เพื่อส่งน้องๆไปยังคณะต่างๆ แน่นอนว่าไอ้พี่ตองก็อยู่ในนั้นด้วย

สายตาของศัตรูมันมักจะสบกันได้ง่ายเสมอ ทันทีที่สบตากัน ผมก็ยกป้ายชื่อขึ้นมา ทำท่าทางว่าร้อนจึงยกขึ้นมาพัด แต่จริงๆแล้ว ผมแค่จะโชว์ตราประทับบนป้ายชื่อให้เขาได้เห็น



สัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่า ผมจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด........
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 3 [ศักยภาพ]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 27-10-2017 02:01:24
​ตอนที่ 3 ศักยภาพ





"นี่มันอะไรกันวะเนี่ยยยย" ไอ้ต้อมร้อง มันแทบจะดีใจเกินผมละ "มึงไปห้องน้ำหรือมึงไปปล้นห้องเชียร์ลีดเดอร์มากันแน่"       

"ไอ้เวร กูได้มาเพราะความสามารถเว้ย...."

ผมเล่าทุกอย่างให้ไอ้ต้อมฟัง มันสำรวจป้ายชื่อของผมยกใหญ่



หลังจากการพักกินอาหารเที่ยง ซึ่งผมกับไอ้ต้อมก็เลือกกินที่โรงอาหารรวมของมหาลัยนั่นแหละ

เรากลับมาที่โดมช่วงบ่ายได้ไม่ถึงห้านาที ก็ถูกจับแยกไปเข้าแถวตามคณะตัวเอง

ในขณะที่ออกจากโดม ก็จะมีรุ่นพี่ปีสองปีสามมามอบดอกกุหลาบให้น้องๆ ส่วนใหญ่เด็กปีหนึ่งทุกคนก็ได้กันทั่วหน้าแหละ แต่ที่เป็นที่น่าจับตามอง ก็คงเป็นดอกกุหลาบจากพวกพี่ๆเชียร์ลีดเดอร์นี่แหละ เหมือนว่าทุกคนจะอยากได้เป็นพิเศษ

ส่วนผมอ่ะเหรอ ก็ไม่รู้ว่าอยากได้หรือเปล่าหรอกนะ แต่แค่อยากรู้ว่าไอ้พี่ตองมันจะให้ใคร พวกผู้นำเชียร์มีกันแค่คนละดอก มันคงไม่ให้ใครซี้ซั้วหรอก

เห้ยนั่น ไอ้พี่ตองยื่นดอกกุหลาบแล้ว ใครได้ไปวะ

ผมพยายามจ้องคนที่ได้ดอกกุหลาบจากพี่ตองไม่ให้ละสายตา จนไม่ได้ดูว่ารับดอกกุหลาบจากใครมา แล้วก็ไม่สนใจพี่ตองด้วย มันก็คงไม่ได้สนใจอะไรผมอยู่แล้วล่ะ



นั่นไงอยู่นั่น ไอ้เสื้อขาวนั่น ต้องรีบเดินไปดูหน้ามันก่อนที่จะไปคณะ จะทันไหมเนี่ย         



"มึงจะเดินไปไหนวะ" ผมรู้ทันทีว่าเป็นไอ้ต้อม แต่ผมไม่อยากคลาดกับคนที่ผมพยายามตามอยู่ "รถกูอยู่ทางนี้โว้ย" 

"เดี๋ยวแป๊บนึง" ผมคว้าแขนไอ้ต้อมให้เดินมาด้วยซะเลย       



ทันซะที

ผมเอามือไปคว้าไหล่ของเขาคนนั้นโดยลืมคิดไปว่า กูจะไปคว้าไหล่คนที่กูไม่รู้จักแบบนี้ไม่ด้ายยยย ซวยละกู จะอ้างยังไงดีล่ะ.....



"อ้าว ชา"

เห้ยนี่มัน       

"ขิงเหรอ" ขอบคุณสวรรค์ นี่มันคนรู้จักนี่นา ว่าแต่... "ขิงเรียนที่นี่เหรอ ไม่เห็นบอกอ่ะ"       

"ก็ชาไม่ถามนิ ถามแต่เรื่องพี่ตอง ชาเองก็ไม่ได้บอกนิว่ามาเรียนที่นี่ แล้วเจอพี่ตองหรือยัง"       

เชี่ยล่ะ ไอ้ขิง ไอ้บ้า ควรจะกลั่นกรองก่อนนะว่าตรงนี้มีใครอยู่ไหม ไม่ใช่จะพูดอะไรก็ได้เหมือนอยู่ที่บ้าน         

ไม่ต้องสงสัยเลย ไอ้ต้อมหันมาหาคำตอบจากผมทันที งานเข้ากูแล้ววววว       

"อ๋อ ไอ้ต้อม นี่ขิงนะ เพื่อนกู" ผมพยายามเปลี่ยนเรื่อง       

"เพื่อน? มึงมีเพื่อนคนอื่นนอกจากกูด้วยเหรอ"       

"ก็มีดิ.... เพื่อนต่างโรงเรียนไง"       

"แล้ว...." ไอ้ต้อมหันไปถามขิงโดยตรง "นายอยู่โรงเรียนไรเหรอ"       

"....." ขิงไม่ตอบ เหมือนขิงจะไม่ค่อยชอบใจไอ้ต้อมเท่าไหร่ แต่ก็แค่หันมาขอความเห็นจากผมเท่านั้น ตอบมันไปเหอะขิง ตอบมันไป ก่อนที่มันจะอยากรู้ไปมากกว่านี้ "ลาซาน"       

"ลาซานนนนนน" ไอ้ต้อมลากเสียงยาว หันมาหาผมอีกครั้ง "โรงเรียนฝั่งตรงข้ามกับโรงเรียนเราอะนะ ไม่ยักกะเคยรู้เนอะ"       

"เออ ก็มีบ้าง"       

"เดี๋ยวนะ ทำไมมึงสองคน หน้าตามัน..... เหมือนๆกันจังวะ จริงๆนะ ไหนลองมายืนเทียบกันดิ" ไอ้ต้อมจับขิงมายืนเทียบกับผมเฉยเลย "จริงๆนะ กูไม่ได้คิดไปเอง แต่มึงหน้าหวานกว่าอยู่ดีแหละไอ้ชาเย็น"       

"เออๆๆๆ กูกับขิงเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน" กูสารภาพก็ได้วะ       

"ถึงว่า.... งั้นแสดงว่า ขิง ชื่อเต็มๆก็ต้อง น้ำขิง อะดิ เพราะว่ามึงชื่อน้ำชา"         

ขิงหน้าแดงขึ้นทันที

ไอ้ต้อมเอ๋ย มึงซวยแล้วววว         

"นี่เราสนิทกันเหรอ" นั่นไง ขิงเริ่มแล้ว "ก็เปล่านะ หรือรู้จักกันมาก่อน ก็เปล่าอีก หรือเป็นญาติกันแบบนี้ ก็ยังไม่ใช่ ทำไมนายไม่ลองคิดล่ะว่า มันเหมาะสมหรือเปล่า โทษทีนะ พอดีเราอายุเท่ากัน จะให้มาสั่งสอนกันแทนที่บ้านนายก็คงไม่ใช่เรื่อง... ชา ขิงไปก่อนนะ ที่คณะจะหาว่าเสียมารยาท ถ้าขิงไปสาย" พูดแดกไอ้ต้อมเต็มๆ ขิงเดินฉับๆออกไปทันที       

"ก... กู" ไอ้ต้อมอ้าปากค้าง มันคงช็อกที่โดนจัดหนักขนาดนี้         

"ขิงอ่ะ ถึงจะหน้าตาเหมือนกู แต่คนละแนวกันเลยนะ เค้ามันเด็กศึกษาศาสตร์ กติกาในชีวิตเนียบมาก ถูกเลี้ยงมาอย่างดี แต่มีอย่างนึงที่เหมือนกันกับกูนะ"       

"ไรวะ?"       

"ไม่ชอบให้ใครมาเรียกชื่อเต็ม"       

"กูก็... แซวเล่นเปล่าวะ แล้วเรียนเอกไรวะ"       

"อ้อ  เหมือนกันอีกอย่าง เก่งคณิตเหมือนกัน"       

"มึงทำไมไม่เล่าให้กูฟังบ้างวะ"       

"จะให้กูบอกมึงยังไงวะ มึงไม่ได้ถาม"       

"โอเค งั้นกูถามก็ได้ ทำไมมึงถึงสนใจเรื่องพี่ตอง อะไรคือการที่มึงมีสปายคอยส่งข่าวอยู่อีกโรงเรียน นี่มึงคอยติดตามพี่เขาตลอดเลย ถูกมะ?"       

เอาแล้วไงกู นี่มึงจะไม่ลืมใช่ไหม หาข้ออ้างสิวะ หาข้ออ้าง "ก็ศึกษาข้อมูลคู่แข่งไง กูก็ไม่ได้ถามบ่อยขนาดนั้น ขิงมันก็พูดไป"       

"มึงมีพิรุจนะ" เออ มึงไม่ต้องเสือกทุกอย่างก็ได้มั้ง       

"ไม่พิรุจอะไรทั้งนั้นแหละ กูต้องรีบไปคณะ ไปส่งกูด่วนเลย"               

ในที่สุด.... กว่าจะบ่ายเบี่ยงไอ้ต้อมได้ ผมก็มาถึงคณะวิทยาศาสตร์สักที จะให้ผมพูดได้ไงว่า สาเหตุที่รู้ว่าไอ้พี่ตองมันกำลังทำอะไรอยู่ รู้ทุกครั้งที่มันมีแผนจะลงแข่งอะไร มาจากสปายคนสนิทของผม



ผมเดินเข้ามายังโถงกลางใต้ตึกคณะ มีการเรียกให้นั่งเข้าแถวมาสักพักแล้ว ผมคงจะเป็นคนเกือบท้ายๆ แล้วล่ะ คิดว่านะ

รีบไปนั่งดีกว่า



นั่นไง สิ่งที่ผมมองหา กลุ่มผู้นำเชียร์คณะวิทยาศาสตร์ ด่านที่สองของวันนี้ 'สอบสัมภาษณ์'

นี่ช่างเป็นหนึ่งวันที่ยากจริงๆ

ผมศึกษาข้อมูลเรื่องลีดมาเป็นอย่างดี นี่ถ้าขยันเรียนแบบนี้บ้าง ผมคงเป็นอัจฉริยะจริงๆไปแล้ว



การกล่าวต้อนรับเกิดขึ้นที่คณะวิทยาศาสตร์อีกครั้ง หลายๆอย่าง คล้ายกับการต้อนรับที่โดมเมื่อเช้า แต่ที่นี่คนน้อยลงมากและไม่มีไอ้ต้อมอยู่ข้างๆ แล้ว



"หวัดดี เอ่อ... น้ำชา"       

"เรียกชาก็พอนะ" ผมรีบตอบการทักทายของผู้หญิงคนข้างๆ         

"ก็น่ารักดีนี่นา หน้าตาก็น่ารัก ชื่อก็น่ารัก เหมาะสมกันดีออก อุ๊ย มีตราประทับด้วย"       

"ไหนๆๆๆ" จู่ๆผู้ชาย เอ้ย! ผู้หญิงในร่างชายตัวใหญ่ยักษ์ต่างหากล่ะ เธอให้ความสนใจทันที "ว้ายตายแล้ว แซ่บสุดเด้อ ตราลีดมอค่ะ ของแท้ของจริง ขอบอก"       

"เดี๋ยวนะมึง" อ้าว คราวนี้มาอีกคนแล้ว รู้สึกว่าผมจะโดนสนใจนะ "นี่มันตรายางสีแดงนะคะหล่อน คนเดียวที่มีตรายางสีแดงคือใครคะ *พูด!*"         

"พี่ท๊อปเลิศเลอของฉันค่ะ" อิคนเมื่อกี้ตอบ       

"พี่ท๊อปคนที่เป็นลีดมหาลัยเราคนแรกที่ได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินฝึกหัดที่เกาหลีอะเหรอแก หล่อลืมมมม" เชดดด ผู้หญิงที่ใสซื่อเมื่อกี้ กลายเป็นพวกเดียวกับแก๊งนางฟ้าไปแล้วเหรอ ผู้หญิงสมัยนี้อินเนอร์กะเทยเยอะจังวะ       

"เธอๆ เธอได้มาไงอ่ะ แผ่เมตตาให้พวกเราฟังบ้างซิ" น้องนางร่างยักษ์ถามผม       

"ก็ไม่มีอะไรพิเศษหรอก เหมือนคนอื่นๆแหละ" กูนี่ก็ช่างโกหกเนาะ                 

ผมลองหันไปสังเกตจุดอื่นๆบ้าง ดูเหมือนว่าคนที่มีตรายางประทับจะได้รับความสนใจแบบสุดๆ แทบไม่มีใครสนใจฟังที่พี่ๆในคณะมาแนะแนวก่อนเรียนเลย ก่อนมาเรียนก็พอจะรู้นะว่าที่นี่ให้ความสนใจในงานเชียร์ลีดเดอร์มากๆ แต่พอมาสัมผัสจริงๆ นี่มันลัทธิเชียร์ลีดเดอร์ชัดๆ แต่นั่นก็หมายถึง การแข่งขันที่เข้มข้น และความเข้มงวดของการคัดเลือก ชักปอดหน่อยๆแล้วแฮะ



เป็นเวลาเกือบสี่โมงเย็นที่ทุกกิจกรรมสิ้นสุดลง เข้าสู่เรื่องประชาสัมพันธ์สุดท้ายที่ผมตั้งตารอ

"ขอเสียงปรบมือให้กับพี่ๆจาก ผู้นำเชียร์คณะวิทยาศาสตร์ ค่าาาา"

ก็ดังสนั่นตามเคยแหละครับ บอกแล้วไง นี่มันลัทธิ จะลีดมอ จะลีดคณะ เหมือนดาราไม่มีผิด

พวกพี่ลีดทั้งชายและหญิงยืนยิ้มพร้อมโบกมือทักทายน้องๆที่ด้านหน้า ทั้งที่พวกพี่เค้าไม่ได้ตั้งใจยืนเรียงแถวกัน แต่กลับดูมีระเบียบอย่างไม่น่าเชื่อ นี่ซินะผู้นำเชียร์ที่ได้รับการขัดเกลามาแล้ว สวย หล่อ สง่า และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

"สวัสดีน้องๆทุกคนนะคะ" พี่คนนี้ชื่อแอม เป็นหนึ่งในเชียร์ลีดเดอร์ของคณะวิทยาศาสตร์ก็จริง แต่ถูกคัดเลือกให้เป็นลีดมหาลัยด้วย แถมยังพ่วงตำแหน่งดาวมหาวิทยาลัย เรียกได้ว่า ออร่าจรัสรองลงมาจากไอ้พี่ตอง เพียบพร้อมกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว "พี่ในฐานะตัวแทนของเชียร์ลีดเดอร์คณะวิทยาศาสตร์ มีความภูมิใจอย่างยิ่งที่จะได้กล่าวต้อนรับน้องๆทุกคนสู่สวนอะตอมแห่งนี้ พี่ๆหลายๆคนที่ขึ้นมาตรงนี้คงได้ให้ข้อมูลน้องๆในหลายๆด้านไปแล้ว ในส่วนของพี่นั่นก็คงไม่พ้นเรื่องรูปแบบกิจกรรมหลักของเรานะคะ สปีริดโชว์" หืยยยยยยยยยย เสียงฮือฮาด้วยความตื่นเต้นของนิสิตปีหนึ่ง "หกสิบวันหลังจากนี้ คือการแสดงความภาคภูมิของทุกๆคณะ และอีกสามสิบวันถัดไป คือการแสดงพลังของมหาวิทยาลัย และนั่นเราเรียกว่ากิจกรรมห้องเชียร์ค่ะ และจากจุดนี้ จะมีน้องๆบางคนซึ่งได้รับการคัดกรองมาจากโดมรวมใจแล้ว ต้องมาทำหน้าที่ของลีดเดอร์คณะเรา เพื่อเป็นตัวแทนในการเข้ารับคัดเลือกเป็นเชียร์ลีดเดอร์ของมหาวิทยาลัยต่อไป ไหนมีใครบ้าง ช่วยลุกขึ้นหน่อยค่ะ"        เสียงปรบมือดังขึ้นโดยไม่ได้นัดหมาย       

มีโชว์ตัวก่อนสัมภาษณ์ด้วยเหรอวะ ผมมองซ้ายมองขวา มีคนค่อยๆลุกขึ้นมา แม่งเอ้ย แต่ละคนทำไมมันหล่อๆสูงๆกันทั้งนั้นเลยว่ะ ใครมันจะไปกล้าลุก       

"ลุกซิชา ลุกเลยๆ สู้ๆ พวกเราเชียร์เธอนะ" นวลนางร่างยักษ์พยายามดันผมขึ้น เอาวะ       

เสียงปรบมือสิ้นสุดลงหลังผมลุกยืนขึ้น ผมพยายามไม่มองหน้าใคร เอาแต่มองพื้น       

"น้องที่ยืนอยู่ในขณะนี้นะคะ" พี่แอมพูดต่อ พร้อมกับทำมือนับจำนวน "น่าจะประมาณสามสิบคน น้องๆต้องอยู่ต่อเพื่อสอบสัมภาษณ์คัดเลือกให้เหลือเพียงสิบสองคนเท่านั้น ชายหก และหญิงอีกหก ปรบมือให้กำลังใจเพื่อนอีกครั้งค่ะ ขอบคุณมากค่ะ แล้วพบกันใหม่นะค๊า"

เอาออกสองในสามเลยเหรอ

และเมื่องานกล่าวต้อนรับที่คณะจบลง ของจริงก็มาถึง  ทุกคนที่มีตราประทับถูกพาตัวขึ้นไปยังห้องประชุมใหญ่ พวกเรานั่งกันต่อหน้าเวที มีโต๊ะกลางห้อง คงเอาไว้ให้กรรมการนั่ง

"ยินดีกับน้องๆทุกคนนะครับที่ได้รับการคัดเลือกในด่านแรก" พี่บุ๋นเป็นคนมากล่าวต้อนรับพวกเรา พี่แกทำหน้างงนิดหน่อยที่เห็นว่าผมขึ้นมาด้วย และยิ่งแปลกใจที่เห็นตราประทับของผมเป็นสีแดง "เอ่อ.... การสัมภาษณ์ก็ไม่ได้มีอะไรมากนะครับ แค่แสดงศักยภาพของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ ได้ไม่ได้ ไม่ต้องเสียใจนะครับ ยังไงเราทุกคนก็เป็นเลือดวิดยาเหมือนกันเนาะ.... ส่วนกรรมการวันนี้ก็ตามกติกาทุกปีนะครับ ต้องมีพี่ลีดในคณะสามคนและนอกคณะสองคนมาร่วมตัดสินวันนี้ ก็จะประกอบด้วย พี่ พี่แอม พี่พลอย ส่วนนอกคณะ... นั่นไง มาพอดีเลย" ทุกคนหันไปที่ประตู เชรดดดด "พี่ตองจากวิศวะ และพี่ท๊อปจากเภสัชครับ"

งานเข้ากูแล้ว ผมคิดในใจ

ทุกๆคนกำลังวิตกกังวลว่าอะไรคือศักยภาพและจะแสดงศักยภาพอะไรดี ใช่ ผมก็ควรจะกังวลเรื่องนั้น แต่ตอนนี้ผมกังวลเรื่องการตัดสินไม่เป็นธรรมของไอ้พี่ตองมากกว่า

"การตัดสินก็ไม่ยากนะครับ ถ้ากรรมการให้ผ่านสามคนขึ้นไป ก็ถือว่าผ่านทันทีครับ"

ตอนนี้กรรมการนั่งกันพร้อมแล้ว พี่ๆลีดที่เหลือก็ยืนเฝ้าดูกันอย่างตั้งใจ แอร์ในห้องนี้ดูจะหนาวขึ้นมาหลายเท่าทันที ตื้นเต้น

"คนแรกใครดีคะพี่ตอง" พี่แอมถามความเห็นไอ้พี่ตอง ผมนี่ก้มหน้าสุดชีวิตเลย         

"ผมได้ข่าวว่ามีคนได้ตราประทับสีแดงที่นี่" ไอ้เชี่ยพี่ตอง มันเล่นกูแล้ว "ก็คงต้องมีอะไรดีสิครับ ผมขอเริ่มด้วยคนนั้นก็แล้วกัน"       

"น้ำชา" พี่บุ๋นเรียก ผมเครียดสุดชีวิตเลยครับตอนนี้ แต่ผมต้องลุกขึ้นไปยืนบนเวทีซินะ         

ระหว่างเดินขึ้นเวที ผมมองเห็นว่ามีแฟ้มประวัติที่ผมใช้ยื่นสอบสัมภาษณ์เข้ามหาลัยนี้อยู่กับกรรมการทุกคนด้วย พี่ท๊อปคงเห็นว่าผมหน้าตื่น พี่เขาชูสองนิ้วให้ผม ขอบคุณครับพี่ อย่างน้อยผมก็สบายใจที่มีพี่ ส่วนไอ้พี่ตอง เอาแต่ก้มหน้าอ่านประวัติของผม อย่างกับจะหาคำผิดให้เจอ นี่กูต้องมาทำอะไรที่ตัวเองไม่ถนัดเพื่อให้ได้เข้าใกล้ไอ้บ้านี่อะนะ กูคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่วะ

"คำถามครับ" ไอ้พี่ตอง แม่ง ไม่กะให้กูทำใจเลยเหรอวะ ยิงคำถามเร็วมาก "จากที่อ่านประวัติมาทั้งหมด ถึงจะมีทักษะหลายอย่างที่เขียนมาว่า ดี แต่ก็ไม่มีทักษะข้อไหนที่จำเป็นต่อการเป็นผู้นำเชียร์นิครับ แล้วคิดว่าตัวเองเหมาะจะทำหน้าที่ตรงนี้อีกเหรอ" เสียงแซวจากรุ่นพี่ลีดดังขึ้น คำถามนี้คงไม่ธรรมดาซินะ ไอ้พี่ตอง แกจะมาไม้นี้ใช่ไหม ได้เลย ยิ่งพี่พยายามกีดกันผมเท่าไหร่ ผมก็จะยิ่งทุบกำแพงของพี่ให้หนักขึ้นเท่านั้น

"ก็เหมือนกับผู้นำเชียร์นาวาพล ขัตติยชาติไงครับ" ชื่อไอ้พี่ตอง ผมพูดชัดเน้นๆทุกคำ "ก่อนจะเข้าเป็นนิสิตที่นี่ก็ไม่ได้มีทักษะหรือพื้นฐานเกี่ยวกับผู้นำเชียร์เหมือนกัน แต่ก็ยังเป็นถึงผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยได้ ผมจึงคิดว่า ไม่น่าจะเป็นปัญหาตรงไหนนะครับ"

"น้องมันก็พูดมีเหตุผลนะตอง" พี่ท๊อปพูด ไอ้พี่ตองดูจะเกรงใจพี่ท๊อปไม่น้อยในฐานะรุ่นพี่ แต่มันก็ไม่ลดลาวาศอกง่ายๆหรอก         

"ในประวัติศาสตร์มหาวิทยาลัยเรา ไม่เคยมีผู้นำเชีย์ชายคนใดมีความสูงต่ำกว่า 175 เซนติเมตรมาก่อน ผมก็แค่ตั้งข้อสังเกต" นั่นไง ไอ้พี่ตอง ไม่ทันขาดคำ       

"งั้นผมก็จะเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของมหาลัย" น้ำโหผมเริ่มมาแล้วนะ กูสูง 170 แล้วไปหนักหัวใครวะ        "โอเค เอาหล่ะ" พี่แอมคงได้กลิ่นสงคราม พี่เขาพยายามลดความตึงเครียดลง "แล้วเหตุผลล่ะ พี่ขอถามบ้าง ทำไมน้องถึงอยากจะเป็นผู้นำเชียร์ละคะ"   

เพราะผมอยากเอาชนะไอ้บ้าพี่ตองให้ได้ นี่คงใช้เป็นคำตอบไม่ได้ซินะ แล้วจะตอบอะไรหละ ที่ทำมาทั้งหมดก็เพราะมันคนเดียวนี่นา ชอบเต้นก็ไม่ใช่ ชอบทำกิจกรรมก็ไม่ใช่ ชอบความเป็นผู้นำนี่ยิ่งโคตรไม่ใช่เลย จะบ้าตาย ต้องตอบยังไงวะ       

"คือผม..." ไอ้พี่ตอง อย่ามองแบบนั้นดิวะ เหมือนกำลังสนใจคำตอบ "เอ่อ..." ผ่านไปเป็นนาทีแล้วมั้ง กูไม่รู้จะตอบอะไรเว้ยยยยย       

"พี่ว่า..." ขอบคุณพี่ท๊อปครับ ขอบคุณที่ทำลายความเงียบให้ผม "เรื่องของเหตุผลกับบางคนอาจจะต้องใช้เวลาหรือแรงบันดานใจนะ ไหนๆการสัมภาษณ์นี้ก็มีเพื่อทดสอบศักยภาพของน้องๆ พี่ว่าให้เขาแสดงศักยภาพของน้องเขาดีกว่าไหม" และขอบคุณในความอาวุโสของพี่ท๊อปอีกครั้ง นั่นทำให้ทุกคนยอมฟัง "ว่าไง เราจะโชว์อะไรดี"

"ผมขอใช้มือถือนะครับ" ผมรีบใช้โอกาสที่พี่ท๊อปยื่นให้นี้ให้เป็นประโยชน์ที่สุด และผมคิดมาตลอดว่าจะต้องทำอะไรเมื่อถึงสถานการณ์นี้ เพลงมหาวิทยาลัยที่โหลดไว้ในมือถือ เอาวะ เต็มที่

นี่เป็นครั้งที่สองของวันที่ผมเต้นท่ามาตรฐานเพลงมาร์ชมหาวิทยาลัยมัณฑนา หนึ่งปีเต็มที่เพียรซ้อม วันนี้ผมจะแสดงออกมาให้หมด ต้องยอมรับว่าการยิ้มของพี่ท๊อปทำให้ผมมีกำลังใจมาก แต่ก็ไม่มากเท่าหน้าเหวอของไอ้พี่ตอง นี่แหละ ผมต้องทำให้มันยอมรับในตัวผมให้ได้



เสียงปรบมือเกรียวกราวจากทุกคนในห้อง ยกเว้นไอ้พี่ตองไว้คนนึงละกัน ผมรู้ อย่างน้อยผมก็ต้องสร้างความประทับในฐานะคนที่ไม่เคยเรียนที่นี่ แต่ออกท่าทางได้ถูกต้องทั้งหมด

"ตัดสินกันดีกว่าไหม" พี่ท๊อปเสนอ "พี่ให้ผ่านอยู่แล้วครับ" ผมขอกระโดดกอดพี่ทีได้ไหม       

คิวต่อไป ไอ้พี่ตอง มันมองหน้าผมด้วยคิ้วขมวด นิ่งและเงียบ ผมใจเต้นตุ๊บๆเป็นครั้งที่ล้านของวันนี้               

"ไม่ผ่าน" .............. นั่นสินะ ยังไงผมก็ไม่ผ่านในสายตาพี่เค้าอยู่แล้ว

"คนต่อไป แอมครับ"

"ไม่ผ่านค่ะ ขอโทษนะ น้องเต้นได้ดีมาก และพี่รู้ว่าน้องฝึกฝนมาด้วยตัวเองอย่างหนัก แต่พี่ก็ยังอยากรักษามาตรฐานของผู้นำเชียร์เอาไว้นะจ๊ะ" หมดหวังแล้วกู เอาวะ อย่างน้อยพี่เขาก็มีเหตุผล

คนต่อไปพี่บุ๋น รายนี้ไม่ต้องเดาเลย เมื่อเช้าเขาปฏิเสธเราไปรอบนึงแล้ว เตรียมลงจากเวทีดีกว่า

"พี่ขอโทษนะน้อง" พี่จะพูดก็พูดเถอะพี่บุ๋น ยิ่งยาวผมยิ่งเจ็บ "เมื่อเช้าพี่พลาดจริงๆว่ะ เอ็งผ่าน"

ห๊ะ

เฮ้ย

เดี๋ยวก่อน.... ใจเย็นๆ ยังเหลือพี่พลอยอีกคน พี่คนนี้ไม่ใช่ลีดมอนี่นา ไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับพี่เขาเลย ยังไงวะกู แม่ง น้ำตาอย่ามาไหลตอนนี้นะเว้ย

"พี่ถามนิดนึงได้ไหม" พี่พลอยเกือบทำผมหัวใจวาย นึกว่าจะประกาศผล "น้องคิดว่าตัวเองคือพรสวรรค์หรือพรแสวง"

คำตอบมันง่ายมาก ผมหันไปหาไอ้พี่ตองอย่างไม่รู้ตัว ก่อนที่จะหันกลับมาตอบคำถาม

"ผมคือความพยายามครับ"

พี่พลอยยิ้ม

"ผ่านค่ะ"



ในที่สุด ในที่สุด....... กูทำได้แล้วโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 4 [พิสูจน์]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 28-10-2017 13:40:43
​ตอนที่ 4 : พิสูจน์



ผมหุบยิ้มไม่ได้ พยายามจะวางหมาดแล้วนะ แต่ความดีใจมันล้นจริงๆ

ทันทีที่ได้รับการตัดสินให้ 'ผ่าน' ผมก็รีบกลับมานั่งดูการสัมภาษณ์ของคนอื่นต่อ ถึงแม้จะไม่มีใครที่สามารถโชว์เต้นท่ามาตรฐานของมหาลัยได้เหมือนผม แต่หลายคนก็มีศักยภาพที่น่าสนใจ บางคนเต้นแนวอื่นๆได้ดี บางคนมีบุคลิกภาพที่ดีเยี่ยม

แสดงให้เห็นชัดเจนเลยว่า การเป็นเชียร์ลีดเดอร์ของที่นี่ เป็นเรื่องจริงจังมาก และเป็นความปรารถนาของหลายๆคน แต่ก็แปลกนะ ไอ้พี่ตองไม่ยักกะถามใครเลย แทบจะไม่มองด้วยซ้ำ

นี่จงเกลียดจงชังกันขนาดนี้เลยเหรอวะ หรือเราควรทำเป็นลืมไปดี อย่างน้อยไม่อยู่ให้พี่เขาโกรธ อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าก็ได้ เพราะยังไง โอกาสในการที่จะขอบคุณเรื่องในตอนนั้น มันก็หมดไปตั้งนานแล้วนี่นา



"เก่งจังเลยน้ำชา" เพื่อนผู้หญิงที่นั่งข้างผมเอ่ยชม       

เรียกชื่อนี้อีกแล้ว ถ้าไม่ติดว่ามีตราปั๊มอยู่บนป้ายชื่อ กูจะเผาทิ้งเดี๋ยวนี้เลย

"ขอบใจมากนะ" ผมยิ้มให้ เธอชื่อเกตุ ผมดูที่ป้ายชื่อ         

"ซ้อมนานเลยซิ"       

"....." จะตอบยังไงล่ะ คงบอกไม่ได้ว่า ซ้อมมาทั้งปี       

"เราอ่ะ เคยเป็นลีดมาก่อน ที่โรงเรียนเก่าก็จริงจังเรื่องเชียร์คล้ายๆที่นี่แหละ ท่าเต้นมาตรฐานของที่นี่หน่ะ ไม่ใช่ของง่ายนะ ไม่มีคนธรรมดาที่ไหน ดูปุ๊บแล้วเต้นได้เลยหรอกนะ เราดูออกนะว่าเธอซ้อมมาหนัก"       

"เราก็ไม่ได้เต้นดีขนาดนั้นหรอก" ผมแก้ตัว       

"เป๊ะขนาดนี้ ยังไม่ดีอีกเหรอ อยากเป็นลีดอะเข้าใจได้นะ เพราะทุกคนที่มาเรียนที่นี่ก็อยากเป็นลีดมหาลัยกันทั้งนั้น แต่จากประสบการณ์นะ น้ำชาดูไม่ใช่คนประเภทที่จะชอบเรื่องแบบนี้เลย"       

"....." นี่เด็กวิดยาจริงเปล่าวะ อย่างกับเรียนจิตวิทยามา       

"มีเหตุผลอะไรงั้นเหรอ"





สองปีก่อน..............

"เหมือนเดิมนะขิง" ผมส่งสมุดการบ้านที่ผมใช้เวลาทำแค่สิบห้านาที ส่งคืนให้กับลูกพี่ลูกน้องของผม         

"นี่มันจะเป็นปีแล้วนะชา" ขิงรับสมุดยัดใส่กระเป๋าลงไป "เป็นปีแล้วที่ชาอาสาทำการบ้านวิชาเลขให้พี่ตองแบบนี้"   

"ก็มันไม่ได้ยากซะหน่อย จริงๆแล้วขิงเองก็ทำได้"       

ขิงมองหน้าผมประมาณว่า พูดอย่างกับมึงจะยอมให้กูทำแทนให้       

"เอาน่าาาาา ยังไงขิงก็ต้องมาหาชาเกือบทุกวันอยู่แล้วนิ" ผมรีบพูดแก้ให้ตัวเอง "แค่เอาการบ้านที่ตานั่นทำไม่ได้ติดมาด้วย พี่เขาก็ไม่ได้ให้ทำให้ทุกครั้งนี่นา ไม่ลำบากหรอกใช่ไหม เราแลกเปลี่ยนกันไง จำไม่ได้เหรอ"       

"นั่นสินะ ชาสัญญาว่าจะคอยติวเลขให้ขิงจนกว่าขิงจะสอบติดศึกษาศาสตร์เอกคณิต แลกกับการที่ขิงต้องไปตีสนิทกับพี่ตอง แล้วก็บอกข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับพี่ตองเรื่อยๆ แต่ไอ้การบ้านเนี่ย ขิงว่า มันอยู่นอกสนธิสัญญาของเรานะ"       

"ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ พี่ตองจะได้คิดว่าขิงเป็นน้องชายแสนดีที่คอยช่วยทำการบ้านยากๆให้ไง"       

"เอ่อ.... คือ...." ขิงทำหน้าเหมือนอยากจะสารภาพความผิดอะไรบางอย่าง       

"มีอะไรอีกหรือเปล่า ไม่เข้าใจที่ติวให้วันนี้เหรอ"       

"เปล่า ชาติวเก่งขนาดนี้ ไม่มีใครไม่เข้าใจหรอก แต่ขิงไม่อยากโกหกอ่ะ โทษทีนะ คือ ขิงอ่ะบอกพี่ตองว่าการบ้านยากๆพวกนี้ ขิงวานให้เพื่อนอีกคนทำให้ แต่ขิงไม่ได้บอกว่าเป็นชานะ"       

กูจะบ้าตาย "ไหงขิงทำงั้นอ่ะ ก็อุตส่าห์ย้ำไปแล้วไงว่าให้พูดว่าขิงทำเอง"       

"ก็... ขิงไม่อยากสวมรอยแทนชาอ่ะ จริงๆขิงไม่เข้าใจว่าทำไมชาถึงจะต้องปิดทองหลังพระแบบนี้ด้วย แล้วยังตั้งตัวเป็นคู่แข่งกับพี่เค้าอีก จนเด็กสองโรงเรียนเข้าใจว่าชากับพี่ตองเป็นศัตรูกันไปแล้ว ถ้าชาเขินเดี๋ยวขิงบอกให้ก็ได้ เอาไหม"       

"เขินบ้าไรล่ะ" ผมรีบก้มหน้าก้มตาเอาสมุดมาบังหน้าตัวเองเล็กน้อย หวังว่าหูจะไม่แดงจนคนตรงหน้าสังเกตุเห็นนะ "คนทิฐิแรงแบบนั้น ขืนรู้ว่าคู่แข่งแอบทำการบ้านให้ เดี๋ยวก็คิดเอาเองอีกว่า แอบทำเพื่อหวังให้ตัวเองอายถ้ารู้ความจริง เดี๋ยวก็หาว่าชาอยากเอาชนะอีก"       

"ชาเคยคุยกับพี่ตองแล้วเหรอ ทำไมถึงคิดว่าพี่ตองจะเป็นคนแบบนั้น"       

"ก็ไม่เคยหรอก... แต่ก็เดาไม่ยากมะ ไปเลยๆ ขิงกลับไปได้แล้ว เดี๋ยวอาทิตย์หน้าที่บ้านชาจะไปเยี่ยมน้องน้ำหวานนะ บอกคุณอาทำแกงเห็ดรอไว้ด้วย บอกว่าชาอยากกิน"       

"โอเค พ่อคนไม่มีทิฐิ กลับแล้วนะ"     





นั่นหน่ะ คือหลายๆเรื่องที่ผมทำเกี่ยวกับไอ้พี่ตอง จริงๆ ผมก็ทำอะไรมากมายแล้วนะ แต่ทำไมผมถึงยังคิดว่าผมตอบแทนเค้าไม่หมดสักที

"ก็ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษหรอก" ผมตอบคำถามเกตุที่ค้างไว้



"โอเคค่ะ ในที่สุดเราก็เสร็จการสอบสัมภาษณ์แล้วค่า" พี่แอมกล่าว ทุกคนปรบมือ พี่ท๊อปกับไอ้พี่ตองยังอยู่ ทำไมสองคนนี้มองแต่ผมวะ แต่สายตานี่คนละอารมณ์เลย "ตอนนี้เรามีกันสิบหกคนนะคะ แปลว่า เกินโควต้าที่กำหนดไว้ ถึงยังไงก็ต้องมีการคัดออกอีกสี่คนนะ ชายสอง หญิงสอง"

ซวยแล้วกู จะโดนไหมเนี่ย อุตส่าห์ดีใจไปแล้ว อย่าบอกนะว่า ดีใจเก้อ

"แต่ไม่ต้องห่วงนะ หลังจากนี้รุ่นพี่ผู้นำเชียร์จะไม่มีสิทธิ์คัดใครออกอีกแล้ว หน้าที่นั้นเป็นของนิสิตปีหนึ่งทุกคน หรือก็คือเพื่อนๆของน้องนั่นแหละจ๊ะกับรุ่นพี่อีกนิดหน่อยนะ"               

ทำไมไม่เคยได้ยินว่ามีขั้นตอนนี้วะ ตายห่าแล้วกู               

"ในอีกเจ็ดวันข้างหน้า จะเป็นวันเปิดปีการศึกษาของมหาวิทยาลัยเรา และแน่นอนเป็นวันเปิดกิจกรรมห้องเชียร์ด้วยเช่นกัน ในวันนั้นแต่ละคณะจะมีการเปิดตัวผู้นำเชียร์ปีหนึ่งที่ผ่านเข้ารอบในเพลง 'มิ่งขวัญมัณฑนา'....."               



แล้วมันคืออะไรวะไอ้เพลงนี้ ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยเห็นท่าเต้น ไม่มีในคลิปทั้งหมดที่ดูย้อนมาเป็นสิบๆปี

"โจทย์ของพวกน้องก็คือ ต้องเต้นโชว์เพลงนี้ในวันเปิดห้องเชียร์ และเพื่อนๆของน้องๆจะทำการโหวตให้คะแนน ชายและหญิงที่ได้คะแนนต่ำสุดสองคนสุดท้าย จะไม่ได้ดำรงตำแหน่งลีดคณะต่อ ตามนี้นะคะ"

"แล้วใครจะซ้อมให้เราละค่ะ" เกตุยกมือถามตัดหน้าผม         

"บททดสอบนี้คือการพิสูจน์ค่ะ น้องๆต้องพิสูจน์ว่าตัวเองเหมาะสมกับการเป็นผู้นำเชียร์  นั่นคือการพยายามหาทางเต้นเพลงนี้ให้ได้ด้วยตัวเองหรือต่อให้น้องเต้นไม่ได้ น้องก็ต้องมีเสน่ห์มากพอที่จะทำให้เพื่อนๆของน้องโหวตให้กับน้องเอง เพราะงั้นไม่มีใครสอนค่ะ" โห่!!!!! ทุกคนโห่ร้องออกมาพร้อมกัน "เอาเป็นว่าจะด้วยวิธีไหน ก็สู้ๆนะคะ ไว้พบกันในอีกหกวันนะคะ บล็อกกิ้งจุดก่อนโชว์จริงหนึ่งวัน พบกันที่นี่นะ วันนี้ขอบคุณน้องๆทุกคนค่ะ"



"เธอๆ น้ำชา" มีผู้หญิงคนหนึ่งเรียกผมหลังทุกคนเริ่มแยกย้าย ว้าว สวยจัง อ่อ จำได้แล้ว คนนี้คือคนที่แสดงรำไทยเมื่อกี๊นี้       

"ครับ"       

"เธอรู้จักพี่ตองด้วยเหรอ"         

"ห๊ะ" ผมอึ้งเลย นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีคนถามด้วยคำถามนี้       

"ก็ดูพี่เขาก็รู้จักเธอ แบบว่า ช่วยแนะนำเราให้พี่เขารู้จักหน่อยได้ป่ะ คือ.... เราชอบพี่เขาอ่ะ"       

นี่ถ้าเป็นไอ้ต้อม ผมจะตบหัวให้คว่ำเลย ขนาดกูเค้ายังไม่อยากจะรู้จักเลย ให้กูไปแนะนำเนี่ยนะ "เราไม่รู้จักหรอก พี่เขา..."

ผมหันไปมองไอ้พี่ตอง แม่ง โคตรหล่อ สูงเด่น ออร่าพุ่ง ขนาดรุ่นพี่ลีดปีสองที่ว่าสวยๆ ยังรุมขอถ่ายรูปด้วยเลย

"พี่เขาดังจะตาย นั่นลีดมหาลัยนะ เราจะไปรู้จักได้ไง"       

"นั่นซิเนาะ"

"อ้าวน้องน้ำชา เก่งมากนะน้อง" พี่ท๊อปอีกแล้วครับ ตอนนี้ผมมีโอกาสมองหน้าพี่เขาใกล้ๆแล้ว เข้าใจเลยว่าทำไมได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงเกาหลี หน้าตาโอปป้าสุดๆ ถ้าเป็นผู้หญิงคงจะภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้ควง แต่สำหรับผู้ชายอย่างผม รู้สึกอยากมีพี่ชายแท้ๆเป็นคนแบบนี้เลย "ไม่เสียแรงที่พี่ปั๊มตรายางให้นะ"       

"ผมขอบคุณพี่อีกครั้งนะครับ พี่เหมือนเทวดาลงมาโปรดเลย" ผมเป็นคนพูดนะ แต่เด็กสาวคนเมื่อกี้ที่ยังยืนอยู่ข้างผม ม้วนบิดเขินแบบว่า เสียจริตหนักมาก ใจเย็นแม่เอ๊ยยย จนกระทั่งพี่ท๊อปมองว่าเธอจะยืนอยู่ตรงนี้อีกนานไหม สาวเจ้าก็เลยยอมเดินเขินๆออกไป "แล้วก็เมื่อกี๊อีก ขอบคุณแบบอินฟินิตี้เลยนะครับพี่"       

"สมกับเป็นเด็กเอกเลขจริงๆ"         

"พี่รู้ได้ไงอ่ะว่าผมเรียนแมท ผมยังไม่ได้บอกพี่เลย"       

"แฟ้มประวัติไง"       

"อ้อ"       

"แล้วคิดไว้หรือยังเรื่องเพลงใหม่"       

"ก็.... คิดไม่ออกเลยอ่ะครับ ผมก็ศึกษามาเยอะนะพี่ แต่เพลงนี้เหมือนไม่เคยถูกเผยแพร่เลย ท่าเต้นก็ยิ่งไม่รู้จัก"

"จริงด้วยซินะ" พี่ท๊อปยิ้ม "เราเตรียมตัวมาอย่างดีเพื่อมาเป็นลีดจริงๆด้วย" เออ.... ว่ะ  กูเผลอพูดออกไปจนได้ "ในใบประวัติมีเขียนว่าเราเคยชนะเลิศคณิตศาสตร์โอลิมปิกภาคพื้นแปซิฟิกมาด้วยนิ เอาดีทางวิชาการต่อ จะไม่รุ่งกว่าเหรอ"       

"ก็..." เจอคำถามแบบนี้อีกแล้ว "อยากลองทำอะไรที่แตกต่างดูบ้างอะครับ"       

"งั้นเหรอ งั้นก็สู้ๆละกันนะ มีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกได้เลย พี่ถูกชะตาเรา"       

"จริงป่ะพี่ งั้นสอนเพลงมิ่งขวัญมัณฑนาให้หน่อยดิ"       

"โห.... เอางี้เลยเหรอ จริงๆพี่ก็อยากช่วยนะ แต่ค่ำนี้พี่ต้องขึ้นเครื่องไปเกาหลีอ่ะ กลับมาอีกทีก็วันเปิดห้องเชียร์โน้นเลย ลองให้ไอ้เจ้าตองสอนให้ดิ" ช็อคเลยกู ให้ยินชื่อนี้         

"ไม่มีคนอื่นแล้วเหรอพี่ พี่ไม่เห็นเหรอว่า พี่เค้าไม่ได้อยากให้ผมเป็นลีดเท่าไหร่ ต่อให้ผมกราบแทบเท้า พี่เขาก็ไม่ช่วยหรอก"       

"งั้นก็มีอีกคน แต่เค้าเป็นอาจารย์คณะแพทย์นะ คนที่คิดท่าเพลงนี้ขึ้นมาเองเลย"       

"ห๊ะ แล้วพี่ๆพวกนี้เต้นไม่ได้เหรอครับ"       

"น้อยมาก ปีๆนึง มีคนเต้นได้ไม่ถึงสามคนหรอก ที่เต้นได้ก็เรียนจบกันไปหมดแล้ว ที่เหลืออยู่มีแค่พี่ เจ้าตอง แล้วก็อาจารย์พิชิตที่บอกไปนั่นแหละ"       

สิ้นหวังสุดๆกู         

"งั้นพี่ขอตัวแล้วนะ เดี๋ยวจะไปขึ้นเครื่องไม่ทัน"       

"เดินทางปลอดภัยครับพี่"



เห้ยๆ ไอ้พี่ตองหายไปไหนแล้ววะ ผมพยายามมองหา เหมือนจะเห็นหลังไวๆว่าเดินออกจากห้องไปแล้ว

"นี่สนิทกับพี่ท๊อปขนาดนี้เลยเหรอ" สาวเจ้าคนเดิมกลับมา ผมลืมดูว่าเธอชื่ออะไร แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรแล้วตอนนี้ ต้องตามไปดูไอ้บ้าพี่ตองให้ได้ เผื่อรู้ข้อมูลไรดีๆ เพื่อท่าเต้น....       

"นิดหน่อยครับ ผมขอตัวก่อนนะ" กูจะเสียมารยาทเปล่า ช่างมันเถอะ

ผมรีบผลักประตูออกมาจากห้อง

"เห้ย ไอ้น้อง จะรีบไปไหน" เวรกรรม พี่บุ๋นมาเจอพอดี พี่ผมรีบ "เต้นเพลงมหาลัยได้ไงวะ มีของนะมึงเนีย"       

"ไม่หรอกพี่ ถ้ามีของผมคงเต้นเพลงมิ่งขวัญได้ด้วย"       

"กูเต้นไม่เป็นหรอกนะ ปีที่แล้วก็ยืนหล่อเฉยๆเลย แม่งโคตรอาย" เออ ผมรู้แล้วพี่ ผมถึงพยายามจะตามไอ้คนที่มันเต้นเป็นอยู่นี่ไง "แต่ไอ้ตองเต้นได้นะ นั่นไงมันอยู่นั่นพอดี เฮ้ย ไอ้ตอง" เชี่ยละ พี่เรียกทำมายยย ปรึกษากันก่อนไหมพี่ "ผู้จัดการซีซี่ครับ ผมขอยืมตัวดาราดังแป๊บนึงนะ" อ๋อ ไอ้พี่ตองมันกำลังคุยอยู่กับพี่สาวประเภทสองผมยาวคนนึงอยู่หน้าห้องน้ำ คนนี้ซินะเป็นผู้จัดการส่วนตัวของมัน       

"มีไรวะ" แหม เดินมาคุยกับพี่บุ๋น ไม่มองกูแม้แต่หางตา       

"มึงเต้นเพลงมิ่งขวัญได้นิ" พี่บุ๋นเริ่มแล้ว กูกระโดดออกไปจากตรงนี้ได้ไหมเนี่ย "น้องมันอยากได้ท่าเต้น สอนน้องกูหน่อยดิ"

คราวนี้ไอ้พี่ตองหันมาแล้ว แต่ถ้าจะมองกูแรงขนาดนี้ มึงไม่ต่อยกูเลยหละ

"ไม่ว่ะ" มึงตอบไม่คิดเลยนะ ยิ้มเย๊าะกูอีก       

"อะไรวะมึง นี่น้องคณะกูเอง เพื่อนกัน แค่นี้มึงช่วยไม่ได้เหรอวะ"       

"กูงานเยอะ" ไอ้ขี้เก๊กเอ๊ย พูดเฉยๆก็ได้ ต้องทำหน้าหล่อด้วยเหรอ       

"เออ ไอ้ดาราดัง ไม่ต้องไปสนใจมันน้ำชา ยืนหล่อๆเหมือนกูปีที่แล้วก็ได้"       

"ยืนหล่อๆ เหรอ" มันเหน็บผมครับ ไอ้เชี่ยพี่ตอง มีมองกูตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วย       

"มองไรวะ" หลุดปากจนได้กู พี่บุ๋นอึ้งไปเลย       

"มองคนเตี้ยไง"         

"170 นี่มันเตี้ยตรงไหนวะ สูงเกินมนุษย์มนาคนอื่นไม่ได้แปลว่าตัวเองเจ๋งนะเว้ย"       

"แล้วมึงจะทำไม ไอ้เผือก"       

"โอเค" พี่บุ๋นตะโกนลั่นเพื่อตัดบท "อะไรของพวกมึงวะ นี่ไปโกรธกันมาแต่ชาติปางไหน นี่มันน้องกูนะไอ้ตอง" พี่บุ๋นรีบกอดไหล่ผมเป็นการปลอบใจ ผมไม่ได้นอยนะ เรียกว่าโกรธดีกว่า "แล้วนี่มึงไม่รู้จักน้องกูคนนี้ใช่ป่ะ เออ กูว่าจะถามมึงพอดีไอ้น้ำชา" ผมงงซิครับ ถามไรวะ "มึงชื่อธชานา ธนกฤษ ใช่ไหม" ผมพยักหน้า "กูว่าแล้วไง เด็กอัจฉริยะที่อาจารย์ในเอกชอบพูดถึง กูก็เอกแมทเหมือนกันเว้ย ชื่อมึงเนียนะ กูได้ยินมาทั้งปี แล้วทำไมมึงมาเรียนที่นี่วะ เก่งๆอย่างมึงไปต่างประเทศก็ได้นิ"               

ผมมองหน้าไอ้พี่ตอง ยังโกรธอยู่นะ แต่มันก็คือเหตุผลที่ผมเลือกมาอยู่ที่นี่

"ใกล้บ้านครับพี่"       

"ลูกแหง่ติดบ้าน" เอาอีกแล้ว ไอ้เชี่ยพี่ตอง มันเปิดประเด็นอีกแล้ว       

"ไอ้ตองครับ มันยังไม่สำนึกอีกเหรอ" ดีนะที่พี่บุ๋นพูดตัดบทขึ้นมาก่อน ไม่งั้นมีสงครามอีกรอบเน่ "มึงอ่ะเด็กวิศวะ วิชาเลข มึงจะไม่เรียนใช่ไหม มึงหล่อหนะกูยอมรับ แต่มึงไม่ได้มีชื่อเสียงเรื่องคณิตนะ ช่วยเหลือน้องกูไว้ เผื่อในอนาคตมึงอยากได้ความช่วยหลือบ้างไง" โอ้มายก็อดดดด ผมยกตำแหน่งอัจฉริยะให้พี่บุ๋นไปเลย คิดกลเม็ดนี้ได้ไง               

ไอ้พี่ตองเหมือนจะคิดได้ มันลังเลอยู่สักพัก               

"ไม่ กูไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากมัน กูมีคนช่วยอยู่แล้ว" หยิ่งนักนะมึง คนที่มึงขอความช่วยเหลือก็คือ ขิง ลูกพี่ลูกน้องกูนี่แหละ อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แล้ว       

"เออๆ ไม่ช่วยก็ไม่ช่วย เดี๋ยวกูบอกน้องในเอกเราช่วยโหวตให้ ไม่ต้องห่วงน้อง เอกเรานานๆทีจะหลุดมาเป็นลีด ต้องเป็นป๋าดันซะหน่อย"

"น้องบุ๋น" พี่ผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องพร้อมสมุดจดบันทึกในมือ "เดี๋ยวต้องไปคณะนิเทศต่อนะ ใกล้ถึงเวลาสัมภาษณ์แล้ว"       

"ขอบคุณครับพี่หยก" อ่อ นั่นคงเป็นผู้จัดการของพี่บุ๋น ลีดมหาลัยต้องมีผู้จัดการเกาะติดหมดทุกคนเลยใช่ไหม "เออ แล้วมึงอ่ะไอ้ตอง จะไปไหนต่อ"       

"ไปขี้" อือหือ ขี้เต็มหน้ากูเลย พูดจบ ไอ้บ้านั่นก็เดินหันหลังเข้าห้องน้ำไป       

"กูไปก่อนนะไอ้น้อง โชคดีๆ"

เห้อออออ เอาไงต่อดีวะกู



#เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

"ไงวะไอ้ต้อม" ไอ้ต้อมโทรมา         

"กูเสร็จแล้วว่ะ มึงเสร็จยัง"       

"เสร็จแล้ว"       

"เออ เดี๋ยวกูไปรับ มารอหน้าคณะนะ"       

"เค"

กลับก็กลับวะ ค่อยไปปรึกษาไอ้ต้อมต่อก็ได้ ผมออกเดินต่อเพื่อลงจากตึก ระหว่างทางก็เจอกับพี่ผู้จัดการของไอ้พี่ตอง ผมยกมือไหว้ตามประสาน้องใหม่ แล้วก็เดินต่อไป

เดี๋ยวนะ.....

"พี่ซีซี่ใช่ไหมครับ" นี่อาจจะเป็นความหวังของกูก็ได้       

"ใช่ค่ะหนู มีอะไรเปล่าคะ"       

"คือ.... พี่ตองอะครับ เขาเต้นเพลงมิ่งขวัญเป็นจริงๆเหรอครับ"       

"ก็เห็นว่าได้นะ แต่พี่อ่ะไม่เคยเห็นหรอก พี่อยู่บริหาร ไม่ได้อยู่วิศวะ ปีที่แล้วไม่ได้มีโอกาสเห็น"       

เอาไงต่อดี       

"แล้วไอ้.... เอ่อ พี่ตองเต้นเป็นได้ไงอะครับ"       

"แหม ทำการบ้านสุดฤทธิ์นะคะลูก อยากเป็นลีดขนาดนั้นเลย ก็มีคนสอนแหละจ๊ะ"       

"ใครเหรอครับ หรือว่าเป็นพี่ท๊อป"       

"พี่ท๊อปเค้าดังตั้งแต่อยู่ปีสองแล้วลูก ไม่มีเวลาสอนหรอก"       

"งั้นก็ต้องเป็น อาจารย์พิชิต ซิครับ"       

"โอ๊ยยยย จะบ้าเหรอลูก อาจารย์หมออายุจะ 60 อยู่แล้ว แถมยังดุด้วย ไม่มีใครกล้าให้แกสอนให้หรอก"       

"แล้ว....."       

"พี่อ่ะไม่แน่ใจหรอก แต่เห็นตองคุยกับพี่ลีดมอคนนึง สนิทสนมกันที่สุดแล้วในบรรดานิสิตต่างคณะ แต่พี่คนนั้นเรียนจบไปแล้วนะ"       

เอาวะ อยู่ส่วนไหนของประเทศกูก็จะไปตามหาให้ได้ มีเวลาตั้งห้าหกวัน "พี่เขาอยู่ที่ไหนเหรอครับ"       

"เรื่องนี้ คงต้องถามตองเองแล้วหละจ้ะ พี่ไม่รู้จักกับพี่เขา รู้แค่ว่าชื่อพี่ลูกแก้ว" ฝันสลายอีกรอบนึงแล้ว       

"แล้วพี่ตองจะไปเป็นกรรมการที่คณะไหนต่อไหมครับ"       

"ไม่มีแล้วจ๊ะ มีแค่คณะนี้คณะเดียว ไม่เข้าใจเขาเหมือนกัน นี่มีงานถ่ายแบบต่อนอกมหาลัยนะ ทำไมยังจะรับมาเป็นกรรมการของที่นี่อีกก็ไม่รู้" ผมรู้ มันจงใจจะมาทำให้ผมไม่ผ่านไง               



เห้ย เสียงคนออกจากห้องน้ำ รีบไปดีกว่า

"ผมขอตัวก่อนนะครับ ขอบคุณมากนะครับ"       

"จ้ะ บ๊าบบาย" วิ่งให้ไวเลยกู เดี๋ยวไอ้พี่ตองออกมาเห็น



"อะไรของมึงวะ กูบอกให้มารอหน้าคณะ ต้องให้กูโทรตามด้วย"       

"เออ กูขอโทษ กูพยายามหาข้อมูลเรื่องเพลงมิ่งขวัญอยู่อะ" ผมรีบสารภาพบาปกับไอ้ต้อม ก่อนที่มันจะหงุดหงิดใส่ผม       

"อ้าว โจทย์เดียวกันทุกคณะเลยเหรอวะเนี่ย"       

"ก็ใช่อะดิ... เดี๋ยวนะ" อย่าบอกนะ "นี่มึงก็สอบสัมภาษณ์ผ่านเหมือนกันเหรอ ไอ้เชี่ยต้อม"       

"เออดิ กูก็งงๆนะเว้ย กูยังไม่ได้ทำไรเลย แค่แนะนำตัวเฉยๆ"       

เออ มึงหล่อ ไอ้เวรเอ้ย วาสนากูกับมึงนี่ทำไมมันต่างกันจังวะ

หึ? นั่นอะไรอยู่เบาะหลัง ผมหันไปดูทันที       

"นี่อะไรวะ กูไม่เห็นนะเมื่อเช้า"       

"มีคนเอามาให้กูอ่ะ ตอนออกจากห้องสัมภาษณ์เมื่อกี๊" ผมลองดูอีกที ดอกไม้ ตุ๊กตา ช็อกโกแลต มีแต่อะไรที่เป็นรูปหัวใจกองเต็มเบาะเลย       

"เชดดดดดด นี่มาวันแรก มึงมีแฟนคลับแล้วเหรอวะ"         

"....."       

"มึงนี่นะ ไม่ต้องฝึกเต้นเพลงมิ่งขวัญก็ผ่านเห็นๆ แต่กูนี่ ถ้าเต้นไม่ได้ ความหวังที่จะผ่านแทบจะเป็นศูนย์"       

"มึงมั่นใจหน่อยดิวะ มึงก็หน้าตา..... เห้ย นั่นอะไรวะ" ไอ้ต้อมชี้ไปที่โถงคณะผม

บาดใจกูสุดๆ พวกเพื่อนผู้ชายที่ไปสอบสัมภาษณ์ด้วยกันกับผม หลายคนกำลังโดนรุมขอถ่ายรูป มีให้ดอกไม้ของขวัญกันด้วย ตอนกูเดินมา มีแต่รุ่นพี่ผู้ชายแซว ความสิ้นหวังมาเยือนกูรอบที่สิบแปดล้านภายในวันเดียว

"กูนึกว่า กูโดนคนเดียวซะอีก" ไอ้ต้อมพูด ตอกย้ำกูเข้าไป "แต่มึงก็มีสิทธิ์ได้น่าาา เชื่อกูดิ"       

"....."       

"ไปหาไรกระแทกปากมึงก่อนดีกว่า เครียดๆแบบนี้ มึงต้องหิวแน่นอน กูรู้"

ไอ้ต้อมขับรถพาผมมากินข้าวที่ร้านใกล้ๆหอพัก แล้วผมก็อารมณ์ดีขึ้น ยอมรับก็ได้ ผมเป็นพวกอารมณ์ดีง่ายเพราะของกิน 555 ไว้พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่แล้วกัน อย่างน้อยวันนี้ผ่านมาสองด่านแล้ว ด่านนี้ก็ต้องทำได้เหมือนกัน



คืนนี้..... นอน





"มึงว่าไงนะ" ไอ้ต้อมแทบบจะสำลักน้ำเต้าหู้มื้อเช้าออกมา         

"เออ กูจะไปคณะแพทย์ ไปขอให้อาจารย์พิชิตสอนเพลงมิ่งขวัญให้"



เพราะมันเป็น ทางออกสุดท้ายของกูแล้ว
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 5 [ผู้ก่อตั้ง] Part 1
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 29-10-2017 01:14:50
ตอนที่ 5 [ผู้ก่อตั้ง]





"เห้ย มึงจะเอาจริงเหรอวะ" ไอ้ต้อมรั้งผมไว้เป็นรอบที่แปดแล้ว เราสองคนงะๆเงิ่นๆอยู่หน้าตึกคณะแพทย์มาสิบนาทีแล้ว "นั่นเขาเป็นอาจารย์หมอไม่ใช่เหรอ มึงบอกเองนิว่าเขาดุ กูไม่ค่อยถูกโรคกับคนดุว่ะ"       

"มาเหอะน่า" ผมเริ่มลากมันแล้ว ถึงมันจะตัวใหญ่ก็เถอะ         

"มึงคุยนะ  กูไม่เอาด้วยนะเว้ย"       

"เออๆ ยืนอยู่กับกูก็พอ" ผมเดินไปเข้าไปในตึกคณะแพทย์ เงียบสุดๆ สะอาด แต่โคตรวังเวงเลย ไปหาไหนดีวะกู ลองเดินไปถามพี่ รปภ. ตรงนั้นดีกว่า "พี่ครับ ผมถามไรหน่อยครับ"       

"ว่าไงน้อง หาห้องเรียนไม่เจอเหรอ"         

"อ่อ เปล่าครับ ผมอยู่คณะวิทย์ มาตามหาอาจารย์พิชิตอ่ะครับ"       

"อาจารย์พิชิต เขาสอนแค่เด็กปีห้าปีหก ไม่ได้อยู่ที่ตึกหรอก อยู่ที่โรงพยาบาลของมหาลัยโน้น ที่นี่มีแต่เด็กปีหนึ่งเค้าเรียนปูพื้นฐานก่อนเปิดเทอมกัน"       

โรงพยาบาลมหาลัย อ๋อ ที่ๆเราตรวจร่างกายก่อนมามอบตัวซินะ       

"ขอบคุณครับพี่" ผมลากไอ้ต้อมไปต่อ       

"มึงๆ เดี๋ยวก่อนไหม" ไอ้ต้อมรั้งผมไว้อีกครั้ง "ความอัจฉริยะของมึงมันหายไปไหนแล้ววะ เขาอยู่ที่โรงพยาบาล ก็แสดงว่า เขาทำงาน เขาเป็นหมอนะเว้ย ต้องรักษาคนดิ จะไปรบกวนเค้าได้ไง"       

เออว่ะ ผมคงต้องใจเย็นลงหน่อยแล้ว "งั้นก็ไปรออาจารย์เค้าเลิกงาน ไม่ลองก็ไม่รู้"       

"มึงไปขอร้องพี่ตองให้เขาสอนก็ได้เปล่าวะ กูว่านะเว้ย" อือหือ ไอ้เพื่อนสารเลว นี่มึงคิดหรือยังเนี่ยที่พูดออกมาเนีย       

"มึงไปขอดิ"       

"เรื่องไร นั่นคู่แข่งของมึง แล้วกูก็ไม่ได้อยากเต้นเป็นด้วย"       

"เออ.... ถือว่าทำเพื่อเพื่อนละกัน ไปๆๆๆๆ" ผมบังคับให้ไอ้ต้อมไปส่งผมที่โรงพยาบาลจนได้

"ขอโทษนะครับ คือ... ผมจะมาขอพบคุณหมอพิชิตอ่ะครับ ไม่ทราบว่าคุณหมอสะดวกไหมครับ" หลังจากที่มาถึงโรงพยาบาล ผมก็ลากไอ้ต้อมให้ตรงดิ่งมาที่โต๊ะประชาสัมพันธ์เลย

ที่นี่มีคนป่วยเต็มไปหมด โรงพยาบาลวุ่นวายน่าดูเลย       

"คุณหมออยู่ห้องตรวจค่ะ จะขอพบคุณหมอเหรอ ป่วยเป็นอะไรมาคะ"         

กรรม กูป่วยซะแล้ว เอ้ย ไม่ใช่ๆ "เปล่าครับ ผมจะขอพบนอกเวลาหนะครับ เรื่อง..... ส่วนตัว"       

พยาบาลที่คุยด้วยมองหน้าผมแปลกๆ "นี่จะมาถามเรื่องเพลงมิ่งขวัญใช่ไหม"       

ชิบหายแล้วกู โดนพยาบาลด่าแหงเลย มาทำเรื่องไร้สาระแบบนี้ "คือ... ใช่ครับ" ตอบตามตรงไปเลยดีกว่า       

"นานๆจะมีน้องปีหนึ่งใจกล้านะเนี่ย ลีดคณะไหนอะเรา นี่เป็นลีดกันทั้งคู่เลยใช่ไหม"       

"ผมคณะวิทย์ครับ ส่วนไอ้นี่อยู่สถาปัตย์"       

"พี่ก็ลีดพยาบาล เมื่อแปดปีที่แล้วนะ"       

"แล้วพี่เต้นเพลงมิ่งขวัญได้ไหมครับตอนนั้น"       

"ไม่ได้" เห้ออออออ มันไม่มีใครในประเทศมัณฑนาที่เต้นเพลงนี้เป็นกันเลยหรือไงวะ "แต่... พี่ก็พยายามนะ แล้วพี่ก็มาหาคุณหมอพิชิตเหมือนกับน้องนี่แหละ คุณหมอดุมาก ตอนนั้นพี่โดนด่าหนักมากๆ เพราะเหตุการณ์นี้นี่แหละ หลังนั้นก็เลยไม่มีใครกล้ามาหาคุณหมออีกเลย"

ไอ้ต้อมมองหน้าผมใหญ่เลย อย่างกับจะร้องว่า กลับเหอะมึง       

"คุณหมอเค้าไม่ยอมให้พบเลยเหรอครับ"       

"ไม่ใช่อย่างนั้น ให้พบซิ อย่าลืมซิว่าคุณหมอเป็นคนคิดกติกานี้ขึ้นมาเองนะ แต่การพบคุณหมอต่างหากที่เป็นปัญหา พี่ก็ไม่ค่อยเข้าใจคุณหมอเค้าเหมือนกัน พี่ก็เลยโดนด่ายับเลย เกือบจะยอมแพ้ไปเหมือนกัน..... ว่าแต่เราเถอะ ได้ยินแบบนี้แล้ว ยังจะพบคุณหมออยู่ไหม"

เอาไงดีวะกู เครียดชะมัด จะยอมโดนด่าหรือจะยอมแพ้ดี ไหนจะไอ้ต้อมอีก ไอ้นี่เป็นโรคขี้กลัวคนด่าอยู่ด้วย

"ยอมแพ้เหอะมึง" ไอ้ต้อมยังไม่หยุดความพยายามที่จะหยุดความมุ่งมั่นของผม "กูไม่โอเคว่ะ"



"ใช่ แพ้ไปเหอะ" เสียงกวนส้นตีนแบบนี้ ผมจำได้ทันที ไอ้เชี่ยพี่ตองยืนอยู่หลังผมกับไอ้ต้อมแน่นอน "ทำอย่างที่เพื่อนมึงบอกนั่นแหละ ยอมแพ้"       

"ไม่เว้ย" ผมเกือบจะตะโกนอยู่แล้ว ไอ้ต้อมมองหน้าผมกับไอ้พี่ตองแบบโคตรลุ้น "แล้วมาโรงบาลทำไม จะตายแล้วหรือไง" กูต้องเอาคืนไอ้บ้านี่ให้ได้       

"เรื่องของกู คนที่จะตายคือมึงต่างหาก ไอ้ขี้แพ้"       

"อ๋อ... จะมาขอร้องอาจารย์หมอไม่ให้สอนเพลงมิ่งขวัญละซิ" ผมรีบหันไปหาพี่พยาบาล "ผมตัดสินใจแล้วครับ ผมจะขอพบคุณหมอ"       

"อ... โอเคค่ะ" เธอดูจะช็อกกับการทะเลาะกันของผมกับไอ้บ้านี่ ก่อนจะยื่นโน๊ตใบเล็กๆให้ผม "คุณหมอจะพักเที่ยงที่ห้อง MD1103 ชั้น 3 เอาโน๊ตใบนี้ให้คุณหมอนะ"

ผมรีบรับกระดาษแผ่นเล็กมา แล้วก็รีบโชว์ให้ไอ้พี่ตองดู พร้อมยิ้มเย๊าะ

ไอ้บ้านี่มันไม่พูดอะไร แต่ยิ้มเย๊าะใส่ผมกลับมาแทน

"เสร็จธุระมึงแล้วใช่ไหม" มันพูดกับผม อะไรของมันวะ       

"อืม" จะให้ตอบยังไงหละ       

"ถอย ไอ้เผือก" ผมถูกไอ้พี่ตองผลักออกมาจากหน้าโต๊ะประชาสัมพันธ์ ก็ไม่ได้แรงอะไรหรอก แต่ว่า......



โคตรคิดถึงเลย หลังจากเหตุการณ์จมน้ำตอนนั้น ผมยังจำไออุ่นๆของสัมผัสร่างกายเขาได้ แค่แวบเดียวที่แขนซ้ายถูกมือนั้นสัมผัส ความอบอุ่มกลับยังคงติดค้างอยู่ตรงนั้นไม่หายไป.....



"ไอ้ชาเย็น" ไอ้ต้อมเขย่าตัวผม นี่ผมเม่อไปนานแค่ไหนเนีย "มึงเม่อบ่อยนะช่วงนี้ เป็นไรของมึงวะ"       

"อ.. เออ ไม่มีไร"       

"กูไม่อยู่รอกับมึงนะเว้ย กูไม่พร้อมจะโดนด่าว่ะ อีกอย่างนึง พรุ่งนี้มีสอบหลักคณิตด้วย"



เออ จริงด้วย  การสอบหลักของนิสิตสายวิทย์ทุกคน อยู่ในกำหนดการก่อนเปิดปีการศึกษาสามวัน ถ้าภายในสามวันนี้ สอบไม่ผ่านก็ต้องมาสอบกับน้องในปีต่อไปจนกว่าจะผ่าน ไม่เช่นนั้น หมดสิทธิ์เรียนจบ

เออ เข้าใจ อย่างไอ้ต้อม ถ้าไม่อ่านหนังสือ สอบตกแน่ๆ



"โอเคมึง กูเข้าใจ" ผมก็ต้องเห็นใจมันอะเนาะ       

"แล้วใครจะติวให้กูละ มึงอยู่ที่นี่แล้ว"       

"เดี๋ยวก็คงเสร็จมั้ง แค่เที่ยงนิ"       

"เออ ยังไงมึงโทรหากูละกัน กูไปอ่านหนังสือรอก่อนนะ"       

"เจอกันมึง" ไอ้ต้อมแทบจะวิ่งออกจากโรงพยาบาลไปเลย



"วันนี้มีเคสเยอะหน่อยนะ" ผมแอบยืนฟังพี่พยาบาลคุยกับไอ้พี่ตอง       

"ยินดีครับ" แหม คุยกับผู้หญิงนี่พูดดีจังนะ ทีพูดกับกูนี่แทบจะกินหัวอยู่แล้ว       

"ฝากด้วยนะ มีปัญหาอะไรก็บอกพี่ แล้วนี่เคลียร์ตารางกับเจ๊ซีซี่หรือยัง"       

"เจ๊แกรู้อยู่แล้วครับ ผมให้บุ๊คกิ้งตั้งแต่ปีที่แล้วแล้ว"



คุยเรื่องไรกันวะ แล้วทำไมต้องลงตารางเวลาข้ามปี มีไรสำคัญที่นี่

คุยจบ ไอ้พี่ตองก็เดินไปโดยไม่แม้แต่จะมองผม จะตามไปดูดีเปล่าวะว่ามันทำไร แต่นี่ก็สิบโมงแล้ว เอาเรื่องลีดก่อนดีกว่า วันหลังคอยตามไปดูใหม่ก็ได้ ไปรออาจารย์หมอก่อนดีกว่า



ผมขึ้นลิฟมาชั้นสาม ทันทีที่มองเห็นห้อง ผมก็รีบเข้าไปนั่งรอ

ห้องพักทั่วไป มีโต๊ะเก้าอี้ แล้วก็โซฟารับแขก ผมตัดสินใจนั่งบนเก้าอี้โซฟาเพื่อรอ

ท่าจะนาน อีกตั้งสองชั่วโมง เอานิตยสารวิชาการขึ้นมาอ่านก่อนดีกว่า ว่าแล้วก็เปิดมือถือ ทำไว้ตั้งแต่ตอนนี้เลย เดือนหน้าจะได้ส่งไวหน่อย.....





เห้อ..... นี่ก็เลยเที่ยงมายี่สิบนาทีแล้วนะ ทำไมอาจารย์พิชิตยังไม่เข้ามาอีกนะ นี่วิจารย์งานวิจัยคณิตศาสต์ของเดือนนี้หมดไปแล้วนะ เอาของเดือนหน้ามาทำรออีกดีไหมน้าาาา ชักหิวข้าวแล้วแฮะ



"เธอเป็นใคร" เชี่ยแหละ มีคนเข้ามา มองที่ป้ายชื่อบนเสื้อกราว นายแพทย์พิชิต เนานคร         

"ผมธชานาครับ" ผมรีบลุกและยื่นโน๊ตส่งให้อาจารย์หมอ "ผ... ผมมาจากคณะวิทยาศาสตร์ครับ"

อาจารย์หมออ่านโน๊ตจบก็เลิกคิ้วแล้วมองหน้าผม อาจารย์ท่านอายุมากแล้วจริงๆ หน้าตาเหมือนคนทำงานมาหนัก หรือท่านอาจจะเพิ่งทำงานหนักมาเมื่อกี๊นี้เองก็ได้

"แล้วจะเอาอะไรมาแลก"       

"ครับ" ผมไม่เข้าใจ         

"คิดว่าผมคิดกติกานี้ขึ้นมาเพื่ออะไร" คุณหมอยังคงพูดเป็นปริศนา

เดี๋ยวก่อนนะ ใจเย็นๆ พี่พยาบาลบอกว่า ไม่เข้าใจคุณหมอ แสดงว่าในด่านนี้ เราต้องพยายามเข้าใจสิ่งที่คุณหมอพูดให้ได้       

"ให้พวกเราได้พยายามใช่ไหมครับ"       

"ตอบได้ดี แต่ไม่ใช่คำตอบที่ผมต้องการ.... หน้าตาเราก็ใช่ได้นิ เป็นดาราได้เลย"       

"ข.. ขอบคุณครับ" คุณหมอเดินไปนั่งที่โต๊ะ เอากล่องอาหารออกมาทานและหันหลังให้ผม

นี่คืออะไร ผมตอบคำถามไม่ถูกใจเหรอ หรือผมต้องออกไป หรือยังไง....

เอาวะ ลองอีกรอบ โดนด่าก็ยอม



"ถ้า..."       

"เด็กรุ่นผมหนะ" อ้าว โดนอาจารย์หมอพูดตัดหน้าเฉยเลย "ไม่มีหรอกนะที่จะมายืนหล่อๆสวยๆอยู่นิ่งๆ แล้วจะมาหวังว่าตัวเองจะได้เป็นลีด พวกสมองกลวงทั้งนั้น เธอหละ สมองกลวงหรือเปล่า?"       

"ไม่แน่นอนครับ" เอาวะ โชว์ความเทพซะหนอย "ผมเคยได้รับรางวัลคณิตศาสตร์โอลิมปิกภาคพื้นแปซิฟิก ผมไม่สมองกลวงแน่นอนครับ ผมสามารถเรียนรู้ทุกอย่างที่คุณหมอจะ...."       

"ก็ถ้าเก่งขนาดนั้น ทำไมไม่ไปเป็นครู เป็นอาจารย์โน้น จะมาเป็นทำไมลีดหนะ" เข้าใจซึ้งเลยกู คุณหมอไม่ได้โวยวายนะ แต่ก็ไม่ได้ใช้น้ำเสียงธรรมดาเลย นี่ซินะโดนด่าที่เขาลือกัน "เธอคิดว่าลีดเป็นยังไง ต้องเรียนเก่งเหรอ หรือหน้าตาดี มีสาวๆแห่มาให้ดอกไม้ ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไม่ผ่าน ผมไม่สอนให้หรอก ไอ้พวกหลงตัวเอง โน่น! ไปยืนทำตัวนิ่งๆให้คนเขาลงคะแนนให้ เด็กสมัยนี้มันยังไง คุณสมบัติมีกันบ้างเหรอเปล่า คิดแต่อยากจะเป็นคนดัง"



เหมือนโลกถล่มลงตรงหน้า ไม่ใช่แค่โดนด่านะ แต่คำว่าไม่ผ่านนี่แหละ ช็อกที่สุด

กูพยายามมาทั้งหมดเพื่ออะไรวะ กูแม่ง ลีดมหาลัยที่หวังไว้....



"คงจริงอย่างที่อาจารย์หมอพูดแหละครับ" ผมเหมือนจะน้ำตาไหลออกมา "ผมไม่มีคุณสมบัติในการเป็นลีดเลย ที่พยายามก็เพื่อแค่อยากจะได้ใกล้ชิดกับคนๆนึง ไล่ดูคลิปลีดมหาลัยเต้นเป็นร้อยๆคลิปเพราะหวังว่าตัวเองจะทำแบบนั้นได้บ้าง มองเห็นแค่ว่าตัวเองอยากได้อะไร แต่ไม่เคยคิดว่า การทำทุกอย่างจำเป็นต้องมีจิตวิญญาณของมันด้วย มันคงเป็นการเห็นแก่ตัวมากที่ผมจะแค่อยากเป็นอยากได้ ในขณะที่มีคนเกิดมาและพร้อมที่จะทำสิ่งนี้..... ขอบคุณอาจารย์หมอมากนะครับที่ให้บทเรียนผมในวันนี้ แต่ผมจะต้องพยายามต่อครับ เพราะผมไม่พร้อมเหมือนคนอื่น ผมต้องทำให้มากกว่า พยายามให้มากกว่า และมุ่งมั่นให้มากกว่า" รีบออกไปก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมาจริงๆดีกว่า       

"แล้วพร้อมจะแลกไหมหละ" คุณหมอพูดขึ้น ก่อนที่ผมจะเปิดประตูออกไป "ก็เธอยังไม่มีไม่ใช่เหรอ ไอ้จิตวิญญาณนั่นหนะ"       

"ครับคุณหมอ" ผมน้ำตาไหลออกมาจริงๆแล้ว พยายามห้ามแล้วนะ แต่ห้ามไม่ได้จริงๆ "สอนจิตวิญญาณของลีดให้ผมด้วยครับ" ผมก้มหัวลงต่ำเป็นทั้งการคาราวะและพยายามไม่ให้คุณหมอเห็นน้ำตาที่ไหลพรั่งพรู       

"เอาหละ" มืออุ่นๆแตะที่ไหล่ของผม ผมจำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นอย่าช่วยไม่ได้ คุณหมอกำลังแตะไหล่และยิ้มให้ผม "เธอผ่าน ผมจะสอนให้"       

"ข... ขอบ.. คุณครับ" ผมปาดน้ำตา       

"แต่เธอต้องทำงานแลกนะ"         

"ผมยินดีทำทุกอย่างครับคุณหมอ"       

"ที่นี่มีผู้ป่วยอยู่มาก งานในโรงพยาบาลก็ล้น เจ้าหน้าที่ที่มีไม่พอต่อปริมาณผู้ป่วย เธอพอจะช่วยงานได้ไหม"       

"ได้ครับ" ผมยิ้ม บอกตามตรงว่าภูมิใจมาก       

"แล้วอยากทำงานอะไรดีหละ ทุกแผนกขาดคนทั้งนั้น"       

ผมคิดอยู่สักพัก "ผมขออยู่แผนกเด็กได้ไหมครับ"       

"ทำไมหละ" คุณหมอมีสีหน้าประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด       

"ผมเคยเป็นติวเตอร์มาก่อน น่าจะพอคุยกับเด็กๆได้ แล้วที่สำคัญ คุณหมอให้โอกาสเด็กไม่รู้ความอย่างผม ผมเองก็อยากมอบโอกาสนี้ให้เด็กๆคนอื่นเหมือนกัน"

อาจารย์หมอยิ้มในคำตอบของผม "รอสักครู่นะ"

ท่านหันหลังแล้วนั่งลงไปทานข้าวต่อ พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรหาใครบางคน ด้วยมารยาทผมจึงกลับลงไปนั่งรอที่โซฟาเหมือนเดิม





ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ไม่นานก็มีคนอีกคนเข้ามาในห้อง

"ครับ อาจารย์หมอ"

เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ไอ้พี่ตอง ผมนี่มองตาค้างเลย เหมือนพี่แกก็จะอึ้งเหมือนกันที่เห็นผมนั่งอยู่ในห้อง       

"อ้าว ตอง นี่ไงผู้ช่วยคนใหม่" ห๊ะ อะไรนะครับคุณหมอ ผู้ช่วยใคร อะไร ยังไง "เราชื่ออะไรนะ"       

"ธชานา ครับ" ผมตอบรับ       

"มีที่เรียกง่ายกว่านี้ไหม นิสิตธชานา"       

"อ๋อ ชาครับ"       

"เอาหละชา พอดีว่าเจ้าตองเขามาช่วยงานในแผนกเด็กพอดี" ว่าไงนะ "ผมฝากดูแลน้องให้หน่อยนะตอง"       

"ครับอาจารย์หมอ"         

"โอเค เอาล่ะ พาน้องไปทำงานได้" นี่เราจะได้ทำงานกับไอ้พี่ตองจริงเหรอวะ "ส่วนเรานะชา ต้องผ่านวันบล็อกกิ้งไปก่อน ผมถึงจะสอนให้ ไม่งั้นเดี๋ยวเราจะเอาไปสอนคนอื่น ผมไม่อยากให้มันหลุดไปยังคนที่ไม่พยายาม"       

"ด... ได้ครับ"         

"เอาหละ ไปทำงานได้ มาทุกวันนะจนกว่าจะถึงวันบล็อกกิ้ง"       

"ครับ ขอบคุณครับคุณหมอ"               

ไอ้พี่ตองเปิดประตูออกไปทันที ผมก็ต้องรีบเดินตามซิครับ

โห!!! ไม่คิดว่าจะได้มาเดินตามหลังแบบนี้เลย ตานี่สูงจริงๆด้วยแฮะ ขนาดมองจากข้างหลังยังต้องเงยหน้ามองเลย

"ขาสั้นนะมึง เดินให้ทันกูไม่ได้หรือไง" ไอ้พี่ตองพูด       

จะตอบมันยังไงดีวะ "ก็ไม่อยากให้ทะเลาะกัน ถ้าเห็นหน้าผมเดี๋ยวก็ด่าผมอีก"       

"นี่โรงพยาบาลนะ กูมีมารยาท หรือมึงจะไม่เอาบัตรติดหน้าอก"

ผมรีบซิครับ บัตรติดหน้าอกที่มีคำว่า ฝ่ายเด็ก ผมรีบติดที่หน้าอกเลย พอเงยหน้าขึ้นมา ให้ตายเหอะ อย่างกับฝันไป นี่เราได้เดินข้างพี่ตองจริงเหรอวะ ไอดอลของผม ตัวพี่แกมีไออุ่นๆจริงๆด้วย โคตรรู้สึกดีเลย



เราสองคนเข้ามาในลิฟ ชั้นเจ็ดเลยเหรอ จะได้จำไว้



"มึงไปทำท่าไหนวะ อาจารย์หมอถึงยอมสอนเพลงมิ่งขวัญให้"       

"....." ไม่บอกหรอก       

"กูถามเนีย"       

"แล้วพี่หละทำท่าไหน ผมรู้นะ ถ้าพี่มาทำงานที่นี่ รู้จักหมอพิชิตเป็นการส่วนตัว แล้วก็เต้นเพลงมิ่งขวัญที่คนอื่นเต้นไม่ได้เป็น ก็แสดงว่าสอบผ่านหมอพิชิตมาเหมือนกัน"       

"..... เสือกนะมึง ไอ้เผือก"       

"ไหนบอกว่ามีมารยาทไง"       

"ในลิฟมั้ง ทีมึงยังเรียกกูว่าพี่เลย" อะไรวะ.... เออว่ะ กูเผลอเรียกว่าพี่ไปจริงๆด้วย ไอ้บ้านี่มันจำได้แม้กระทั่งว่าเราไม่เคยเรียกมันว่าพี่เลยเหรอวะ เจ้าคิดเจ้าแค้นนะ     

"เออ ไม่เรียกก็ได้"       

"กูก็ไม่ได้ว่าอะไร มึงควรเรียกแบบนั้นอะถูกแล้ว มึงยังต้องทำงานกับเด็กๆนะ เป็นตัวอย่างที่ดีให้น้องๆเห็น คงไม่ตายหรอกมั้ง"       

มึงไม่รู้หรอกว่ากูอยากเรียกมึงว่าพี่มาตลอด คนที่ทำให้กูหยาบคายคือมึงนั่นแหละ ไอ้เวรเอ้ย



หลังจากลิฟเปิด ก็มีเสียงดังจอแจขึ้นทันที เหมือนมีทั้งเสียงเด็กเล็กและเด็กโตปนๆกัน



"สองห้องแรกจะเป็นเด็กที่นอนชั่วคราวนะ มีพ่อแม่คอยมาดูแลอยู่แล้ว ส่วนใหญ่ถ้าไม่มีหมอหรือพยาบาลเรียกให้ช่วย ก็ไม่ต้องมาทำอะไร แต่ห้องนี้" ไอ้พี่ตองเอามือจับที่ประตู ไม่ให้ผมเข้าไป "เด็กส่วนใหญ่ในห้องนี้ ป่วยด้วยโรคร้ายแรง ต้องอยู่โรงพยาบาลนาน พ่อแม่เด็กนานๆจะมาเยี่ยมที แต่บางคน..."       

"พ่อแม่ไม่มาเยี่ยมเหรอ" ผมไม่รู้ว่าทำหน้ายังไงไป แต่เหมือนจะร้องไห้เป็นรอบที่สอง       

"ตามนั้น แต่มึงห้ามไปทำหน้าสำออยแบบนี้ต่อหน้าเด็กนะ เด็กห้องนี้ส่วนใหญ่เศร้าอยู่แล้ว กูไม่อยากให้พวกเขาสิ้นหวังไปอีก"       

"ไม่เข้ากับหน้าเลยเนาะ" มาว่ากูสำอ่อยเหรอ "รักเด็กเนี่ย"       

"ทำไม หน้ากูมันมีอะไร" ไอ้บ้าพี่ตอง จะเอาหน้าเข้ามาใกล้ทำไมวะ         

"..... เข้าไปทำงานได้แล้ว" ผมต้องโถมแรงทั้งตัวเพื่อเปิดประตูที่ไอ้พี่ตองกั้นไว้ให้ได้



และในนั้น....

ทำไมบรรยากาศมันเงียบจัง เด็กๆแต่ละคนดูเศร้าหมอง ไม่มีใครหันขึ้นมามองผมเลย ทั้งๆที่อยู่กันเป็นสิบๆคน



"พี่ตองงงงง" หึ อะไรวะ บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไป ทันทีที่ไอ้คนตัวสูงเดินเข้ามา มีเด็กๆวิ่งกรูเข้ามาหาเต็มเลย นี่เค้าเป็นที่รักของเด็กพวกนี้มากขนาดนี้เลยเหรอ

สายตาก็เปลี่ยนไป ทั้งอ่อนโยน อบอุ่น แล้วก็รอยยิ้มนั่น อะไรกันวะ หัวใจเต้นแรงชะมัด



"น้ำชา"         

"ห๊ะ.... ค.. ครับ" ไอ้พี่ตองเรียกชื่อผมด้วย ประวัติศาสตร์โลกเลยนะเนี่ย       

"ได้เวลาของหวานแล้ว ไปหยิบขนมตรงนั้นมาแจกเด็กๆเร็ว"

ผมหันไปด้านหลัง มีกล่องอาหารรูปสี่เหลี่ยมวางเรียงอยู่ โดยมีพี่สาวผู้ช่วยพยาบาลเสื้อสีเหลืองยืนเรียงมันอยู่ "ให้ผมช่วยนะครับ" ผมรีบเข้าไปอาสาช่วยทันที         

"อ้าว จิตอาสาคนใหม่เหรอจ๊ะ" พี่เขากล่าวทักทายยิ้มแย้ม "น้องตองชวนมาเหรอ"



เอิ่ม พี่จะเรียกไอ้บ้านั่นว่า น้องตอง จริงเหรอครับ ทั้งๆที่มัน.... เออ มันดูใจดีก็ได้วะ หันไปเห็นมันอยู่กับเด็กทีไร ใจอ่อนทุกที       



"เปล่าครับ คุณหมอพิชิตชวนมา" ผมตอบ

เธอให้ผมเรียงกล่องโดยแยกตามสี เด็กแต่ละคนทานของหวานในปริมาณน้ำตาลที่แตกต่างกัน   

"งานดูแลเด็กเป็นเรื่องยากนะ ถ้าไม่อดทน ทำไม่ได้หรอก"       

แล้วพี่จะรู้ว่าผมมีความอดทนแค่ไหน อย่างน้อยผมก็อดทนติดตามดูไอ้พี่ตองมาตั้งแปดปี กว่ามันจะเรียกชื่อผมครั้งแรก ผมยังอดทนได้เลย "ผมคิดว่าพอจะทำได้อยู่ครับ"       

"โอเค งั้นลองดูนะ ดูสีที่หัวเตียงของเด็กให้ตรงกับสีของกล่องนะ เราแจกฝั่งของน้องตองนะ พี่จะแจกอีกฝั่งนึง"



ผมทำตามทันที



"ไปกินขนมกันดีกว่านะครับเด็กๆ" เด็กๆร้องดีใจกันใหญ่หลังจากคำเชิญชวนของไอ้พี่ตอง เลิกมองมันดีกว่า ชักจะรู้สึกแปลกๆกับตัวเองแล้ว

เมื่อเด็กๆกลับมากันที่เตียง ผมก็ทำหน้าที่ตัวเองอย่างดี พยายามทักทายน้องๆให้ครบทุกคน

จนกระทั่งถึงมุมห้อง.....



"ขนมหวานครับ" เด็กคนนั้นนั่งนิ่ง น้องเป็นเด็กผู้ชายที่หน้าตาน่ารักมากๆ ผิวขาวบริสุทธิ์ อายุไม่น่าจะเกินเก้าขวบ แต่กลับมีสีหน้านิ่งเฉย เศร้ามอง และเอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่าง ผมจะทำยังไงดีนะ "วันนี้เป็นเค้กพุดดิ้งด้วยนะครับบบ"

น้องยังนิ่ง ขออีกทีแล้วกัน

"โชคดีจังเลยน้าาา ไม่โดนจำกัดน้ำตาลเหมือนคนอื่น กล่องนี้ต้องอร่อยที่สุดแน่เลย"         

"เพราะผมกำลังจะตายไง" น้องหันมาพูดแบบนั้นกับผม ก่อนที่จะเอาผ้ามาคลุมโปงแล้วนอนลงไป       

"ต... ตายอะไรกัน" ผมไม่รู้จะพูดอะไร มันสะเทือนใจไปหมด

กล่องขนมหลุดมือเสียงดัง แต่โชคยังดีที่มันตกลงบนโต๊ะท้ายเตียง   

"ทำเสียงดังอะไรของ..." ไอ้พี่ตองมันคงกำลังคิดจะด่าผม แต่เพราะผมอยู่ในสภาพช็อกมือสั่น ก็เลยเลือกที่จะไม่ด่าต่อ "นี่เตียงของโชกุน น้องช็อกจากอาการจมน้ำหนะ"       

ห๊ะ "แต่น้องบอกว่าน้องกำลังจะ..."       

"น้องจมน้ำเพราะคิดฆ่าตัวตาย" นั่นไงกู ไม่น่าถามต่อเลย ผมได้แต่ยืนอึ้งมองหน้าพี่ตอง "สามปีก่อนพ่อแม่น้องตรวจพบมะเร็งเม็ดเลือด"       

"อะไรนะ" ผมไม่แน่ใจว่าพูดไปจริงๆหรือเปล่า แต่ผมไม่ได้ยินเสียงของตัวเอง       

"ก็อย่างที่ได้ยินนั่นแหละ พ่อกับแม่ของน้องทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาแต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้าเท่าไหร่นัก สุดท้ายก็มาฝากเฝ้าระวังอาการที่นี่"

นี่ผมควรจะฟังต่อไปไหม

"น้องพยายามฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดน้ำเมื่อปีที่แล้ว แต่ก็ช็อกไปเพราะการจมน้ำเหมือนกัน เม่อลอย นิ่งเฉย แล้วพ่อแม่ของน้องก็แทบจะไม่มาเยี่ยมเลย ยิ่งซึมเศร้าไปกันใหญ่" พี่แกถอนหายใจ "ปล่อยน้องเถอะ เดี๋ยวหิวก็คงกินเองนั่นแหละ"       

"เดี๋ยวก่อน" ผมยังอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับน้อง "น้องจะหายไหม"       

"หน้ากุ.... เออ หน้าพี่เหมือนหมอตรงไหนครับ" คำตอบนี่ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลย "ก็... อาจารย์หมอบอกว่า การรักษามันมีอยู่แล้ว แต่กำลังใจของน้องต่างหากที่สำคัญ"

       กำลังใจงั้นเหรอ

​                                                                                     /...,มีต่อ Part 2
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 5 [ผู้ก่อตั้ง] Part 2
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 29-10-2017 01:16:27
/..... ต่อจาก Part 1





ผมตัดสินใจหยิบกล่องขนมหวานขึ้นมาอีกครั้ง

"โชกุนครับ" ผมเขย่าตัวน้องตรงๆ ไอ้พี่ตองเหวอกับการกระทำของผม "โชกุนครับ พี่คุยด้วยได้ไหม" ผมพยายามสัมผัสตัวของน้อง       

"ไม่กิน ผมไม่กิน" น้องไม่ยอมเปิดผ้าออกมา       

"งั้นพี่คุยด้วยได้ไหมครับ" เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ผมวางกล่องเค้กพุดดิ้งลง แล้วโอบกอดน้องทั้งๆที่น้องยังคลุมโปงอยู่อย่างนั้น         

บรรยากาศนิ่งสนิท น้องไม่พูด ไม่ขยับ ไม่ขัดขืน ไม่โวยวาย ไม่มีการตอบรับใดๆทั้งนั้น     

"พี่ทำอะไรอ่ะ" ขอบคุณสวรรค์ น้องเปิดผ้าออกมาคุยแล้ว       

"หนาวไหมครับ อุ่นขึ้นไหม" ขอให้ผมคิดถูกทีเถอะ น้องมองหน้าผมแบบลังเล สายตาของเด็กนี่ดีจริงๆ อ่านออกง่ายดี "อุ่นใช่ไหมล่ะ พี่ตองตัวอุ่นกว่าพี่อีกนะ" น้องมองไปที่ไอ้พี่ตอง "ไม่เชื่อเหรอ ลองดูไหมหละ"

ต้องรีบก่อนที่น้องจะเปลี่ยนใจ ผมรีบคว้าแขนไอ้พี่ตองให้เข้ามานั่งบนเตียงน้องโชกุน

"อุ่นไหม" ไอ้บ้าเอ๊ยยยยย ถามอะไรน้องหนะ แค่นี้มันจะไปอุ่นได้ไงวะ เข้าใจคำว่าความอบอุ่นไหม เสียแรงที่เกิดมาตัวอุ่นนะ       

"พี่ตองลองกอดน้องดูซิ" ผมพยายามชี้แนะ "ไหนลองลุกขึ้นมานั่งซิครับโชกุน ลองดูนะ ถ้าไม่อุ่นอย่างที่พี่บอก พี่จะไม่บังคับอีกเลย"

น้องลังเลอีกครั้ง แต่ก็ยอมลุกนั่งในที่สุด

ผมจัดท่าทางให้ไอ้พี่ตองนั่งซ้อนอยู่หลังน้องและโอบกอดมาจากด้านหลัง ขนาดผมยังรู้สึกอบอุ่นเลย น้องก็น่าจะรู้สึกนะ ขอให้ได้ผลทีเถอะ ขอร้องๆๆๆๆ

"รู้สึกเป็นไงบ้างครับโชกุน" น้องไม่ตอบที่ผมถาม แต่นั่งนิ่งยิ้มเล็กๆบนสายตาอันเศร้าสร้อย แต่ก็สีหน้าดีขึ้นมาหน่อยแล้วนะ

เอาไงดีวะ คิดดิๆ..... เอาวะ ไอ้พี่ตองคงไม่กล้าต่อยผมต่อหน้าน้องหรอก

ผมตัดสินใจโอบกอดน้องจากด้านหน้าครับ ตอนนี้เราสามคนอยู่ในสภาพหยุดเคลื่อนไหวและแนบสนิทต่อกันและกัน

ความอบอุ่นนี่มัน คิดถึงที่สุดเลย แถมยังมีความอบอุ่นใจอันบริสุทธิ์ของเด็กผู้ต้องการกำลังใจอยู่ท่ามกลางเราด้วย

ช่างเป็นความรู้สึกแสนละมุนใจจริงๆ อยู่แบบนี้นานๆได้ไหมนะ

"......" เสียงสะอื้นไห้ดังขึ้นมา ผมค่อยๆผละตัวเองออกมา ไอ้พี่ตองดูหน้าเหวอๆไปนะ แต่ที่มาของเสียงร้องไห้คือโชกุน เด็กน้อยร้องไห้น้ำตาอาบแก้มใส แต่กลับยิ้มออกมาเสียกว้าง

"ไม่เป็นไรนะครับ" ผมพอจะเข้าใจความรู้สึกของน้องอยู่นะ "พี่กับพี่ตองจะอยู่ตรงนี้ด้วยนะ"

จ๊อกกกกก

ชิบหายล่ะ ท้องผมร้อง เสียงดังกว่านี้ก็คงได้ยินทั้งห้องแล้วหละ น่าอายชะมัด

"หิวเหรอ" นั่นคือคำถามจากไอ้พี่ตอง       

"ก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยอ่ะ มัวรอหมอพิชิตในห้อง แล้วก็มาที่นี่เลย"       

"พี่ขอไปหยิบข้าวมาให้พี่น้ำชาแป๊บนึงได้ไหมครับ" ไอ้พี่ตองพูดกับโชกุน โชกุนพยักหน้าเขินๆ แต่ผมนี่ช็อกหนักครับ ช็อกกว่าตอนที่รู้ว่าโชกุนเป็นมะเร็งอีก ไอ้พี่ตองจะไปเอาข้าวมาให้ผม สติมันดีอยู่หรือเปล่าวะ "น้ำชา มานั่งแทนพี่ดิ" โอเคๆ เอาไงก็เอา "เดี๋ยวมา"





ในส่วนของนายตอง....................

ทำไมมันคุ้นจังวะ  ผมกำลังคิดอยู่กับตัวเอง เดินไปก็คิดไป

"ขอเบิกข้าวกล่องหน่อยครับ" ผมพูดกับพี่ผู้ช่วยพยาบาลที่อยู่ห้องแรก       

"กี่กล่องคะ"       

"กล่องเดียวครับ"

หลังได้รับข้าวกล่องมาแล้วก็ยังคิดไม่ตก

ไอ้น้ำชา ไอ้เด็กเกรียนที่ชอบตั้งตัวเป็นศัตรูกับผมตั้งแต่เมื่อสามสี่ปีที่แล้ว โคตรเกลียดขี้หน้ามันเลย แล้วอย่างกับมันมีพลังจิต สมัยก่อน ทุกครั้งที่ผมสนใจอะไร มันก็มักจะโผล่มาทำเรื่องเดียวกับผม ลงแข่งสู้กับผมมาตลอด แล้วก็ไม่รู้ไปเก่งกาจมาจากไหน เอาชนะผมได้เกือบทุกอย่าง

แต่เมื่อกี๊นี้...... ที่ผมได้สัมผัสร่างกายของมันเป็นครั้งแรก

ทำไมผมรู้สึกคุ้นเคยจัง.....

เนื้อตัวนิ่มๆ ผิวเย็นเนียนใส รู้สึกมีชีวิตชีวาที่ได้สัมผัส ผมว่าผมคุ้นเคยกับสัมผัสนี้นะ ผมเคยรู้สึกชอบมันมากด้วย แต่ทำไมกลับลืมไปแล้ว ผมผ่านการสัมผัสผู้หญิงมาเยอะนะ แต่ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำให้ผมจดจำความรู้สึกนี้ได้เลย

รู้สึกเหมือนกับ.... คิดถึง

จะบ้าหรือไง นั่นมันศัตรูของมึงนะเว้ย ไอ้เด็กเกรียนนั่นมันอาจจะแค่อยากเอาชนะมึงอีกเรื่องก็ได้ อย่าไปใจอ่อน เอาข้าวไปให้มันแดก แล้วก็ออกไปจากตรงนั้นดีกว่า เดี๋ยวมันจะเย๊าะเย้ยเอาได้

"เห็นไหม พี่บอกแล้วว่ามันอร่อย" นั่นมันอะไรวะ ไอ้เด็กเกรียนกำลังป้อนเค้กน้องโชกุน มันทำให้น้องยิ้มได้ไงวะ แถมกินขนมหวานด้วย สายตาของความเป็นห่วงเป็นใย มันคืออะไรกัน       

"อะนี่ข้าวมึ..... ข้าวของน้ำชา" เราจะหยาบคายต่อหน้าเด็กไม่ได้ จริงๆก็ไม่ได้อยากพูดหยาบคายนะ ถ้าไอ้เด็กนี่ไม่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับผมก่อน       

"ข... ขอบคุณครับ" ทำหน้าแบบนั้นใส่กูอีกแล้ว กูก็ใจอ่อนดิวะ "เดี๋ยวผมกินครับ ขอป้อนขนมโชกุนก่อน"       

"เดี๋ยวพี่ทำเอง ไปกินข้าวเถอะ ท้องร้องแล้วไม่ใช่หรือไง" อ้าว ทำไมโชกุนทำหน้าผิดหวังอย่างงั้นล่ะ พี่ขอโทษษษษ

"เอ่อออ เดี๋ยวผมค่อยกินก็ได้พี่" ไอ้น้ำชาก็คงสังเกตุเห็นหน้าผิดหวังของน้องเหมือนกัน "ผมไม่หิวเท่าไหร่หรอก"

สรุปคือกูเป็นตัวร้ายในสถานการณ์นี้ใช่ไหม เออก็ได้วะ กูยอมทำก็ได้               

"อ่ะ อ้าปาก"         

"ห๊ะ อะไรอะพี่" ลองเดาซิครับว่าผมทำอะไร ใช่ครับ ผมป้อนข้าวให้ไอ้เด็กเกรียนน้ำชา ถ้าผมปล่อยให้มันหิว ผมก็คงใจร้าย แต่ถ้าผมแย่งมันมาจากโชกุน ผมยิ่งใจร้ายกว่า จึงจำเป็นต้องเกิดสถานการณ์ป้อนอาหารต่อกันขึ้น "ไม่เป็นไรก็ได้พี่ ผม.."       

"กินๆไปเหอะน่า" มึงรีบแดกๆเข้าไปทีได้ไหม กูเขินจะแย่แล้วเนี่ย แม่งป้อนข้าวผู้ชายครั้งแรกในชีวิตเลย

ดีนะที่ไอ้น้องนี่มันหน้าหวาน ผิวก็สวยใสอย่างกับผู้หญิง เนียนกว่าอีกมั้ง ตาก็หวาน ปากก็เล็กบาง เคยคิดว่าไอ้ขิงหวานแล้วนะ แต่ไอ้นี่หวานกว่าอีก แถมผิวกายยังเย็นสดชื่นตอนสัมผัส....

กูเป็นบ้าไรเนี่ย ป้อนๆมันเอาไป ดีนะที่เป็นข้าวผัด ค่อยป้อนง่ายหน่อย

แล้วมันเป็นไรวะ ทำไมต้องหน้าแดงด้วย "ว่าแต่..." หาเรื่องพูดดีกว่ากู "ทำไมถึงรู้ว่าต้องกอดน้องหละ"       

"คนที่ผ่านการจมน้ำมาหนะ.... ความรู้สึกหนาวเหน็บจะฝังลึกลงในใจ ไออุ่นจากร่างกายของ.... คนอื่น ช่วยได้"

พูดอย่างกับเคยจมน้ำ





กลับมาที่น้ำชา



ให้ตายเหอะ ไอ้พี่ตอง แม่งทำไรวะ ป้อนข้าวกูเฉยเลย บ้าเอ้ย แม่งก็ต้องกิน สถานการณ์บีบบังคับสุดๆ

แต่มุมนี้ทำไมมันดูดีจังวะ อย่างกับหัวหน้าครอบครัวเลย กูอย่าเผลอหน้าแดงนะเว้ย



เห้อออออ จบสถานการณ์วันนี้สักที นี่ก็เกือบจะห้าโมงเย็นแล้ว ไอ้พี่ตองยังไม่เลิกดูแลน้องๆเลย ผมนี่เหนื่อยแทบขาลาก ขอนั่งหน่อยเถอะไม่ไหวแล้ว

"ไหนบอกไหวไง" พี่ผู้ช่วยพยาบาลแซวผม "หมดแรงซะแล้วเหรอ"       

"มันก็ไหวอยู่ครับ แต่พลังงานของแต่ละวันมันมีจำกัด"       

"เป็นแบบนี้ทุกคนนั่นแหละช่วงแรกๆ น้องตองเห็นแบบนี้ ยังทนไม่ได้เท่าหนูเลย มาวันแรกอยู่ได้ไม่ถึงสามชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่นี่เค้าทำมาปีกว่าแล้ว สบายเค้าเลย"       

"ผมถามหน่อยซิครับ" ไหนๆพี่มันก็ไม่ได้อยู่ใกล้ๆแล้ว อุตส่าเก็บความสงสัยมาทั้งวัน "พี่ตองมาทำงานที่นี่เพราะอยากให้คุณหมอพิชิตสอนท่าเต้นให้ใช่ไหมครับ"       

"ก็เหมือนหนูนั่นแหละ สำหรับเรื่องลีดแล้ว เด็กๆที่นี่จริงจังทุกคน เค้าก็เป็นคนนึงที่มาทำงานที่นี่เพื่อแลกกับสิ่งนั้น"     

"คือ  ผมเข้าใจว่า คุณหมอขอให้มาทำงานแค่สี่ห้าวันเองไม่ใช่เหรอครับ"       

"ก็อย่างที่หนูเข้าใจนั่นแหละ ถูกแล้ว แต่น้องตองเลือกที่จะมาทำต่อแทบจะวันเว้นวันเลยนะ พี่เคยเห็นคุณหมอสั่งให้เลิกมาด้วย แต่น้องเค้าก็หัวรั้น ขอมาทำจนได้ คุณหมอก็เลยใจอ่อน ยกห้องนี้ให้เค้าดูแลกับพี่สองคน เด็กๆที่นี่มีกำลังใจดีขึ้นเพราะน้องตองเลยนะ ทั้งใจดี กล้าหาญ เป็นตัวอย่างที่ดีด้วย เด็กๆที่นี่ก็เลยรัก"       

"ใช่เลยครับ รัก"       

"ว่าอะไนนะ"

กูพูดไรไปอีกแล้วเนี่ย  "หมายถึงเด็กๆรักไงครับ ก็เป็นคนดีซะขนาดนี้"       

"แล้วนี่ไม่กลับเหรอ ได้ข่าวว่าพรุ่งนี้มีสอบไม่ใช่เหรอ ไม่กลับไปอ่านหนังสือจะดีเหรอ"       

"เลิกงานได้แล้วเหรอครับ" อ้าว ก็ไม่เห็นไอ้พี่ตองมันบอกอะไร       

"ได้ตั้งแต่บ่ายสี่โมงครึ่งแล้ว พี่ก็นึกว่าเราทำงานเพลิน"         

"ก็แล้ว... พี่ตอง"       

"รายนั้นปล่อยเค้าเถอะ กว่าจะกลับก็ต้องรอเด็กทุกคนนอนโน้นแหละ สองสามทุ่มตลอด" ไอ้บ้าเอ้ยยยย ใจเต้นแรงอีกแล้ว "หนูกลับเถอะลูก เดี๋ยวจะค่ำก่อนนะ"

ยังไงดีล่ะ

"ฮัลโหลไอ้ต้อม เออมึง กูจะกลับดึกหน่อยนะ พอดีอาจารย์พิชิตให้กูทำงานดูแลเด็กที่โรงพยาบาลตอบแทนที่แกจะสอนท่าลีดให้ว่ะ"       

"อ้าว ไอ้เวร แต่พรุ่งนี้กูต้องสอบนะเว้ย กูไม่อยากสอบตกนะมึง มาติวให้กูเลยนะ มึงบังคับกูมาเรียนที่นี่ บอกจะช่วยรับผิดชอบกูไง"       

"โห มึง มันไม่ได้ยากขนาดนั้นหรอก มันแค่ตัวพื้นฐาน"       

"มึงอะไม่ยาก กูหละ ไม่รู้อะยังไงมึงก็ต้องมาสอนกู"         

ไอ้เพื่อนเวร ให้เวลากูทำในสิ่งที่อยากทำก็ไม่ได้ แล้วมันไม่มีใครติวแทนได้เลยหรือไงวะ

เดี๋ยวก่อนนะ..... "เออมึง เอางี้เดี๋ยวกูหาคนไปติวให้"       

"มึงจะบ้ารึไง ใครจะไปติวเหมือนมึงได้วะ ถ้าไม่ใช่มึงกูไม่รู้เรื่องหรอก"       

"กูรับรองได้ว่าเหมือนกูแน่นอน"

ผมรีบวางสายทันทีแล้วกดหาอีกคน

"ฮัลโหลขิง ว่างไหม"       

"ก็ไม่ได้ทำไรนะ มีไรหรือเปล่า"       

"รบกวนไรนิดนึงได้ไหม"       

"ขอฟังก่อนได้ไหมว่าเรื่องอะไร อย่าบอกว่าเรื่องพี่ตองอีกแล้วนะ"       

ไม่ต้องแล้วหละเรื่องนั้น "เปล่า คือพอดีว่าชาติดธุระอยู่ที่โรงพยาบาลอ่ะ"       

"เป็นอะไรอ่ะ ให้ขิงไปหาไหม"       

"เปล่าๆ ชาไม่ได้เป็นอะไร มาทำงานจิตอาสา แต่มันคงอีกนานกว่าจะเสร็จ"       

"อ้อ ดีแล้วหละ พรุ่งนี้มีสอบหลักคณิตนะอย่าลืม...... แต่เก่งๆอย่างชา ขึ้นอันดับหนึ่งแน่นอนอยู่แล้ว"       

"ก็เรื่องนี่แหละที่ชาจะรบกวน"       

"....."       

"ขิงจำไอ้ต้อมได้ไหม เพื่อนของชาอ่ะ คือมันจะสอบพรุ่งนี้เหมือนกันเพราะมันเรียนสถาปัตย์ แต่เพื่อนชาคนนี้หัวไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ชาเคยสัญญาว่าจะดูแลเรื่องเรียนให้มัน ถ้าชาทำมันสอบตก ชาคงจะเป็นคนไม่รักษาคำพูดมากๆเลย ขิงช่วยเป็นติวเตอร์แทนชาสักวันนึงได้ไหม"       

"....." เงียบ ชิบหายแล้วกู ใจแป้วเลย "ไม่มีคนอื่นสอนได้แล้วใช่ไหม"       

"ชารู้ว่าขิงไม่ค่อยปลื้มเพื่อนชาคนนี้เท่าไหร่ ถ้ามีคนอื่นที่ชาจะขอร้องได้ ชาจะไม่รบกวนขิงเลย"       

"อย่าพูดแบบนั้นซิ ทุกวันนี้ขิงมายืนอยู่จุดนี้ได้ก็เพราะชานะ ขิงจะช่วยติวให้ก็ได้ แต่ต้องไปติวที่ร้านข้างนอกนะ แล้วก็บอกให้เพื่อนชาจ่ายค่าอาหารให้ขิงด้วย"       

"ไม่มีปัญหาเลย เดี๋ยวชาให้ไอ้ต้อมติดต่อขิงไปนะ ขอบคุณมากๆๆๆๆๆ เลยนะ"                 

กดวางสายได้ผมพิมพ์ไลน์หาไอ้เพื่อนสารเลวของผมเลย               

'ติดต่อเบอร์ 09XXXXXXXX ด่วน ก่อนที่ติวเตอร์จะเปลี่ยนใจ'       

'ใครวะ มึงแน่ใจนะว่าเขาสอนกูได้' ตอบเร็วชิบ นี่จ้องมือถืออยู่ชัวร์เลย       

'แน่ใจดิวะ มึงอย่าลืมเลี้ยงดูปูเสื่อเขาด้วยหละ'       

'เออๆ ขอบใจมึง'       

'เค ทำงานเสร็จจะติดต่อไป มารับกูด้วย'       

'เออ'

โอเค เคลียร์ กลับไปทำงานต่อได้

"นี่มันเลิกงานแล้ว" ชิบหาย อุตส่าออกมาคุยโทรศัพท์นอกห้อง ไอ้พี่ตองยังตามมาข้างนอกอีก "ไม่กลับหรือไง"     

"เรื่องของผมป่ะ" กูนี่ก็เนาะ อยู่ดีไม่ว่าดี ไปชวนเค้าทะเลาะอีก       

"มึงจะเอาชนะอะไรกูอีก"

อึ้งเลยดิเจอคำถามนี้เข้าไป จะเปิดประตูเข้าห้องได้อยู่แล้วเชียว "ก็แค่ช่วยกันดูแลเด็กๆ ไม่ได้จะเอาชนะอะไรซะหน่อย"       

"มึงแน่ใจนะว่าไม่ได้มาเพื่อเอาชนะกู แล้วมึงเลือกมาทำงานแผนกเดียวกับกูทำไม"       

"ใครจะไปรู้หละ หมอพิชิตถาม ก็แค่บอกว่าอยากช่วยที่นี่ ไม่ได้รู้ซะหน่อยว่าจะมีคนทำอยู่แล้ว"       

"อย่างมึงเนี่ยนะไม่รู้เรื่องของกู"

เชี่ยยยยยย

ผมโดนผลักให้ออกห่างจากประตู ไอ้เชี่ยพี่ตอง ของขึ้นอะไรวะ แม่งแรงเยอะชิบ

"อะไรวะ" ผมต้องตอบโตบ้างดิ จะให้เงียบเฉยๆหลังโดนทำร้ายร่างกายได้ไง ถึงมันจะแค่นิดหน่อยก็เถอะ แต่มันเจ็บใจเว้ย

แม่ง  กูก็ทำดีแล้วเปล่าวะ ที่กูทำทั้งหมดก็เพราะว่ากูอยากใกล้ชิดมึงไง ไอ้ควาย มึงอ่ะปัญญาอ่อน มองโลกในแง่ร้าย เห็นกูเป็นศัตรูโดยไม่ถามกูซักคำ       

"ผลักแค่นี้จะร้องไห้ สำอ่อย"

แม่งยังจะแดกดันกูอีก

"พี่ตองผลักพี่น้ำชาทำไมอ่ะ" เวรละ น้องโชกุนเห็นเหตุการณ์เหรอวะ มาไงวะเนี่ย

กูนี่ก็อ่อนแอเหลือเกิน จะมาน้ำตาไหลอะไรตอนนี้ ปาดน้ำตาให้ไวเลย เดี๋ยวน้องเห็น เราต้องเป็นกำลังใจให้น้องดิ

"พี่ตองไม่ได้ผลักพี่นะ" ผมต้องรีบแก้ตัว น้องโชกุนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เลย "พี่เค้าแค่.... ผลักพี่ออกมา มันมีผึ้งอยู่เมื่อกี๊อะครับ มันจะต่อยพี่" ผมรีบมองแรงไปหาไอ้คนเลือดร้อนเบื้องหลังผม มึงต้องให้ความร่วมมือกูเดี๋ยวนี้       

"ช.... ใช่ครับ" เออ ขอบใจที่มึงยังมีสติมากพอ "พี่ตกใจเห็นผึ้งจะต่อยพี่น้ำชา พี่ก็เลยผลักพี่น้ำชาแรงไปหน่อยครับ พี่... ไม่ได้จะทำไรที่น้ำชานะ"

ไอ้ตอแหล       

"แล้วทำไมพี่น้ำชาร้องไห้"

กูต้องแก้ตัวว่าไรอีกละเนี่ย "ใครบอก พี่หาวต่างหากล่ะ" เอาวะ งานโกหกก็ต้องมา ไปให้มันสุด "เวลาหาวคนเราจะมีน้ำตาไหลออกมา รู้ไหม"               

โชกุนส่ายหัว

โอเค ใช้จังหวะนี้แหละ เปลี่ยนเรื่องซะเลย

"มานี่ เดี๋ยวพี่จะสอนให้ฟังนะ พี่เนี่ยเรียนวิทยาศาสตร์มานะ คนเราถ้าหาวอ่ะ บางทีจะมีน้ำตาไหลออกมา"

ผมก็โม้ของผมต่อไป ปล่อยไอ้บ้านั่นไว้ข้างนอกนั่นแหละ

ครั้นจะโกรธมันก็โกรธไม่ลง ยังไงความรู้สึกของบุญคุณมันก็มากกว่าอยู่ดี ช่างแม่ง

เห้อออออ จบภาระกิจวันนี้จริงๆสักที

โห นี่เกือบสี่ทุ่มเลยเหรอเนี่ย นอกโรงพยาบาลเงียบกริบเลย ไม่มีคนเหลือแล้ว โทรให้ไอ้ต้อมมารับดีกว่า

"ฮัลโหลไอ้ต้อม เสร็จยังวะ"       

"ยังเลยว่ะมึง น้ำขิงดุน่าดูเลย" #บอกว่าไม่ให้เรียกน้ำขิงไง พูดอีกทีกลับจริงๆนะ         

"มึงก็ช่างไปยั่วโมโหเค้าเนาะ"       

"เออมึง อีกนานเลยว่ะ เอาไงดี ให้กูขอน้ำ..... ให้กูขอขิงไปรับมึงก่อนดีไหม"       

"ไม่เป็นไรมึง เดี๋ยวกูหาทางกลับเอง มหาลัยเรามีรถไฟฟ้าวิ่งอยู่ ถ้าลงประตูหลังมอได้ ก็เดินไปหอได้ แปบเดียว มึงต้องคอยรับคอยส่งกูแล้วก็กลับไปติวต่ออีก เสียเวลาแย่"       

"เอางั้นแน่นะ"       

"เออ สบาย กูดูแลตัวเองได้ แค่นี้นะมึง"       

"เคเพื่อน"       

"ตั้งใจเรียนนะมึง ขิงไม่ใจดีเหมือนกูนะ"       

"เออ กูรู้"

โอเค น่าจะต้องเดินออกไปรอที่ป้ายข้างหน้านะ สักพักคงมีรถมา

"หลังสี่ทุ่ม ไม่มีรถไฟฟ้าวิ่งหรอกนะไอ้เผือก" นั่นไง เสียงนี้กูได้ยินมาทั้งวัน ไอ้พี่ตองแน่นอน สงสัยได้ยินที่เราคุยโทรศัพท์

แต่เมื่อกี๊มันพูดว่าไรนะ ไม่มีรถไฟฟ้าวิ่งแล้ว งานเข้าข้าพเจ้าแล้ว         

"....." เออ กูไม่มีไรจะพูด กูโง่เอง โทรหาแท๊กซี่ก็ได้วะ น่าจะมีบริการตลอด 24 ชั่วโมงนะ       

"มึงจะโทรหาใครอีก แฟนมึงอีกคนหรือไง"       

"แฟนไหนวะ" มันพูดไรของมัน หมายถึงไอ้ต้อมเหรอ "ไอ้ต้อมอ่ะเหรอ เพื่อนเว้ย" แล้วกูจะไปอธิบายให้มันฟังทำไมวะ       

"ใครจะไปรู้ เห็นไปไหนมาไหนด้วยกัน เทียวรับเทียวส่ง"       

"...."

ไม่ต่อล้อต่อเถียงกับมันแล้ว โทรหาแท็กซี่ดีกว่า

เห้ยๆๆ อะไรวะ

"นี่จะลากไปไหนเนี่ย"       

"เดี๋ยวกูไปส่ง"

ห๊ะ อะไรวะ เมื่อกี๊ยังจะฆ่ากูอยู่เลย แล้วกูก็ไม่ต่อต้านเขาเล้ยยยยย

เผลอแป๊บเดียว มานั่งบนรถเขาซะแล้ว       

"รู้เหรอว่าอยู่ไหน" นี่คือสิ่งที่ผมพูดเพื่อทำลายความเงียบ       

"ก็บอกกูมาดิ"       

"หอโยเดีย ประตูสาม"       

"เออ กูรู้ละ อยู่หรูนี่หว่ามึงอ่ะ ลูกคุณหนูเหรอมึงอ่ะ"       

"คุณหนูอะไร ทำงานจ่ายค่าหอเองเว้ย ใครจะไปเหมือนลูกชายคนเล็กเจ้าของบริษัทเรือขนส่งสินค้ารายใหญ่ของเอเชียหละ"       

"เรื่องนี้มึงก็รู้เหรอ"       

เชี่ยละกู กูต้องหัดควบคุมสติอารมณ์เวลาอยู่ต่อหน้าไอ้พี่ตองให้เยอะๆนะเนี่ย  เผลอพูดตลอดเลย     

"มึงนี่รู้เรื่องกูเยอะจริงๆเนาะ ถามจริง ไปรู้มาจากไหนวะ"       

"....." กูตอบไม่ได้จริงๆ ไม่งั้นขิงซวยแน่       

"เออ ช่างมันเหอะ กูควรจะชินได้แล้ว ที่มึงรู้ความเคลื่อนไหวของกูแทบทุกเรื่อง แต่จริงๆแล้ว..... เรื่องเมื่อเย็นอ่ะ กูขอโทษ"       

ห๊ะ เหมือนได้ยินว่ามีเอเลี่ยนมาบุกโลก มันฟังดูไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไหร่เลย       

"ที่กูผลักมึงอ่ะ กูแค่ระแวงไปหน่อยว่ามึงคิดจะมาเอาชนะกูอีก... แล้วก็.... ขอบใจด้วยที่ไม่ทำให้โชกุนมองกูในแง่ร้าย"       

"มีพี่คนเดียวนั่นแหละที่มองโลกในแง่ร้าย"       

"เออ กูก็ขอโทษแล้วนี่ไง กูต้องทำเป็นแถลงการณ์ด้วยไหม"       

"....."         

"พรุ่งนี้มึงต้องมาอีกใช่ไหม เออ สอบเสร็จเดี๋ยวกูมาอยู่เป็นเพื่อน"

อะไรของวันนี้วะเนี่ยยยยยย เฝ้าติดตามเค้ามาแปดปี พอเริ่มคุยกันได้แค่สองวัน ทำไม....




ความรู้สึกมันเปลี่ยนไปขนาดนี้

หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 6 [ลายมือ]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 30-10-2017 09:10:58
​ตอนที่ 6 : ลายมือ





​ขอหยุดวิ่งแป๊บนึง

​ผมกำลังยืนหายใจหอบอยู่หน้าโรงพยาบาลครับ หลังสอบหลักคณิต 200 ข้อเสร็จ ผมก็นั่งรถไฟฟ้า วิ่งตรงดิ่งมาที่นี่เลย เอาจริงๆนะ ตอนทำข้อสอบ ผมแทบจะไม่ได้ทบทวนอะไรเลย ในหัวคิดแต่จะให้หมดเวลาเร็วๆ ก็เพราะเมื่อวานนี้มีคนบอกว่าจะมาทำงานที่นี่..... พี่ตองไง มันบอกว่าหลังสอบเสร็จจะมาอยู่เป็นเพื่อนผม

รีบขึ้นชั้นเจ็ดดีกว่า ผมไม่อยากพลาดแม้แต่วินาทีเดียว



ถึงแม้เมื่อวานจะมาทำงานไปวันนึงแล้วก็เถอะ แต่ก็ยังรู้สึกเขินๆอยู่ดี โชคดีนะที่ได้เห็นรอยยิ้มของเด็กๆตอนน้องๆเห็นหน้าเรา โดยเฉพาะน้องโชกุนที่ยิ้มกว้างจนแก้มใสๆจะฉีกออกจากกัน แค่นี้ก็รู้สึกดีแล้ว นี่ยังไม่ได้นับรวมเรื่องที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับผู้มีพระคุณนะ

แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าเรามาทำงานอยู่ตรงนี้แล้ว ก็ได้อยู่ใกล้ชิดกับพี่ตองแล้วนี่หว่า ไม่เห็นจะต้องไปพยายามเป็นลีดมหาลัยเลย ไม่ต้องฝืนทำในสิ่งที่ไม่ชอบด้วย..... 

ไม่ได้ๆๆๆๆ สัญญากับหมอพิชิตไว้แล้ว คุณหมอต้องผิดหวังแน่ที่เราคิดแบบนี้ คิดซะว่า ถ้าได้เป็นลีดมอด้วย ก็จะได้อยู่ใกล้ชิดกับพี่เขาเป็นสองเท่า ฉลาดนะกูเนีย

"ทานข้าวก่อนดีกว่าไหม" พี่ดวงครับ พี่ผู้ช่วยพยาบาลนเมื่อวานนี้แหละ แกเข้ากะเที่ยงวันยันเที่ยงคืน เดินตามเข้าห้องมาติดๆเลย พร้อมกับยื่นกล่องอาหารให้ผม "เดี๋ยวท้องร้องอีกนะ"

เขินเลยเรา

เอาไงดีน้าาาา จะกินข้าวเลยหรือรอพี่ตองมาก่อนดี เผื่อจะได้กินพร้อมกัน

"หรือจะรอให้น้องตองมาป้อนข้าวให้เหมือนเมื่อวาน"

"จะบ้าเหรอพี่" ผมนี่รีบคว้ากล่องอาหารเลย "ด.. เดี๋ยวผมกินพร้อมน้องๆนี่แหละครับ พี่ก็มากินด้วยกันซิ" หวังว่าพี่ดวงจะไม่เห็นว่าผมเขินนะ

"น่ารักนะเราเนี่ย" นั่นไง แซวผมอีก



ผมก็กินข้าวไปตามระเบียบครับ วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมต้องมากอดน้องโชกุน กินไปก็กอดกันไป น้องคงรู้สึกดีที่ได้สัมผัสตัวผม ผมไม่ว่าอะไรนะ เข้าใจ เข้าใจดีเลยแหละ จนน้องๆเตียงอื่นเอาอย่างบ้าง ผมก็เลยได้โอกาส ชวนน้องโชกุนไปสอนให้เด็กๆกอดกัน งานนี้ได้ทั้งมิตรภาพจากเด็กๆ และเป็นการสอนให้น้องๆมอบความอบอุ่นแก่กันและกันด้วย ผมฉลาดอีกแล้ววันนี้ คริคริ

นี่จะบ่ายโมงแล้วนะ ทำไมไอ้พี่ตองยังไม่มาอีกเหรอวะ หรือว่ามันจะโกหก

แต่จะว่าไป มันก็ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรที่พี่เค้าต้องมาอยู่เป็นเพื่อนเรานี่หว่า หน้าที่ก็หน้าที่เรา จะไปโกรธเขาก็ไม่ได้ ที่สำคัญ ได้ดูแลเด็กๆพวกนี้ก็มีความสุขแล้ว แต่.... มันก็นอยนิดนึงเปล่าวะ



#เสียงโทรศัพท์

"มีไรวะไอ้ต้อม"

"มึง ผลคะแนนออกแล้วว่ะ กูขาดไปหนึ่งคะแนน เวรเอ๊ยยยยย"

"เห้ยมึง กูโทษทีนะเว้ยที่กูไม่ได้ติวให้มึงเองอ่ะ มึงไม่น่าตกเลย"

"อ.... เอ่ออออ ไม่เป็นไรหรอกมึง พรุ่งนี้กับวันมะรืนยังสอบได้อีกตั้งสองวัน"

อะไรวะ ปกติมันต้องโวยวายแล้วนะ "เออ เอาอย่างนี้ เดี๋ยวเย็นนี้กูกลับตรงเวลา กูจะไปติวให้มึงเองเลย รับรองพรุ่งนี้มึงผ่านเกณฑ์แบบไม่ต้องเฉียวฉิวเลย"

"เห้ยมึง ลำบากเปล่าๆ งานที่โรงพยาบาลเยอะแยะ ไม่ต้องหรอก" นี่มันแปลกเกินไปแแล้วนะ ไอ้นี่ไม่เรียกร้องให้กูติวให้ ทั้งๆที่เพิ่งจะสอบตกมา น้ำเสียงก็ฟังดูอารมณ์ดี

"มึงแปลกๆนะวันนี้"

"......" ไม่ตอบโต้ ต้องมีไรแน่เลย

"แล้วมึงจะทำไง อ่านหนังสือเองหรือไง จะผ่านได้เหรอวะ อย่างมึงอ่านเองไม่มีทางทำได้อ่ะ กูรู้จักมึงดี"

"เออ กูจัดการของกูได้... ว่าแต่มึงรู้คะแนนตัวเองหรือยัง"

"เออ ยังว่ะ ดูที่ไหนวะ"

"เดี๋ยวกูส่งลิงค์ประกาศคะแนนให้ มึงค้นหาชื่อตัวเองได้เลย รวดเร็ว แต่มึงคงไม่ต้องค้นหรอกม้างงงง"

"ทำไมวะ"

"มึงดูเอาเองแล้วกัน..... กูไปละ"

"ไปไหนวะ"

"เสือก"

ไอ้สัด ด่ากูก่อนตัดสาย สารเลวมาก



#มีข้อความส่งมาในไลน์ 1 ข้อความ



อ่อ ลิงค์จากไอ้ต้อมนี่เอง ไหนเปิดดูดิ



เอิ่มมมมมมมม  เข้าใจแล้วว่าทำไมมันบอกว่าไม่ต้องกดค้นหาชื่อ ชื่อของผมโผล่มาเป็นอันดับหนึ่งจากในตาราง ด้วยคะแนน 100% ...... 

จะหาว่าผมขี้อวดละซิ แหมมม คนเรามันก็มีเรื่องที่ถนัดไม่เหมือนกัน แล้วข้อสอบที่ทำวันนี้ จริงๆแล้วมันก็คือพื้นฐานทั้งหมดของมอปลายนั่นแหละ ผมทำบทวิจารณ์ระดับสูงแล้ว แค่นี้ถ้าทำไม่ได้ เขาก็คงไม่จ้างผมหรอก

ว่าแต่..... ไอ้พี่ตองมันบอกว่ามันมีสอบ คิดว่าเดาไม่ผิดนะ น่าจะเป็นการสอบสนามเดียวกันนี่แหละ สงสัยปีที่แล้วสอบไม่ผ่าน ลองค้นหาดูดีกว่า ไม่เสียหาย

​นาวาพล ขัตติยชาติ คะแนน 45% ไม่ผ่าน

​โห!!!! คะแนนน่าเป็นห่วงสุดๆ ต่อให้เป็นนิสิตนอกสายวิทย์ก็ยังถือว่าตกอยู่เลย

ปกติการสอบนี้ นิสิตทุกคนในมหาวิทยาลัยต้องสอบ ถ้าอยู่นอกสายวิทยาศาสตร์ เช่น สังคมศาสตร์ นิเทศศาสตร์ นิติศาสตร์ คณะพวกนี้ต้องผ่านที่ 50% โหดขึ้นมาหน่อยก็สายแพทย์และพยาบาลที่ต้องผ่านในเกณฑ์ 57% แต่ถ้าสายวิทย์อย่าง คณะวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ และเกษตรศาสตร์ ต้องผ่านที่ 65%

เพราะงั้นคะแนนของพี่ตองตอนนี้........



"ว่าไงเด็กๆ"

ผมหันคอแทบหัก ไอ้พี่ตองยิ้มร่าเข้ามาทำงานเฉยเลย มันยังไม่รู้เรื่องผลสอบเหรอ ผมต้องทำหน้ายังไงวะ

"ให้เด็กๆกินข้าวหรือยัง...." เราควรบอกมันดีเปล่าวะ "ว่าไงน้ำชา ให้เด็กๆกินข้าวหรือยัง"

"กิน... กินแล้วซิ" ผมพยายามมีสมาธิอยู่กับปัจจุบัน "นี่มันจะบ่ายแล้วนะ พี่มาสายเอง ไหนบอกสอบเสร็จแล้วจะมาไง"

"......." อ้าว ทำหน้าสลดซะงั้น นี่กูเข้าใจถูกไหมว่า พี่แกกำลังเศร้าเพราะสอบตก

"นี่ๆ ผมกำลังสอนน้องๆให้กอดกัน พี่ว่าดีไหม" เปลี่ยนเรื่องด่วน

"ดีๆ" ไอ้พี่ตองบ้าเอ๊ย มึงไม่ต้องมาฝืนยิ้มเลย ผมดูออก รู้สึกผิดเลยกู

"ผมไปเข้าห้องน้ำแป๊บนะ" ออกไปจากตรงนี้สักพักดีกว่ากู เพื่อสถานการณ์ที่ดีขึ้น



ควายจริงๆกู ทำพี่แกเศร้าเฉยเลย นี่เขาเป็นผู้มีพระคุณของมึงจริงเปล่าวะ ผมกำลังบ่นกับตัวเองหน้ากระจกในห้องน้ำครับ เดี๋ยวหาเรื่องอื่นพูดดีกว่า หรือเราจะไปเสนอตัวติวให้เขาดีวะ.....

ไม่มีทางอ่ะ คราวนี้กูโดนต่อยจริงแน่ ทำให้ไอ้บ้านั่นรู้สึกว่าตัวเองแพ้ มันคงไม่ยอมรับความช่วยเหลืออยู่แล้วหละ



"ผมก็พยายามที่สุดแล้วนะพ่อ" เห้ย เสียงไอ้พี่ตองนี่หว่า

"นี่แอมโทรไปบอกพ่อเรื่องผมสอบตกอีกแล้วใช่ไหม"

"....." คุยโทรศัพท์อยู่แหงเลย ออกไปตอนนี้คงไม่ได้ น้ำเสียงฟังดูเครียดแฮะ

"อะไรนะ ไม่มีทางพ่อ ผมจะไม่หยุดมาทำงานที่โรงพยาบาลแน่นอน เด็กๆพวกนี้น่าสงสารนะพ่อ"

"....." ว่าไงนะ ไอ้พี่ตองจะไม่มาทำงานที่โรงพยาบาลแล้ว

"ก็ถ้าพ่อยอมให้ผมลาออกจากลีดมหาลัย..."

ห๊ะ ช็อกเลยคำนี้ พี่ตองมันอยากลาออกจากลีดมอ มีความคิดนี้อยู่ด้วยเหรอ

"ครับ"

"...."

"ครับ ผมเข้าใจครับ"

"....."

"โอเครับ ผมจะแก้ปัญหาให้ได้ สวัสดีครับพ่อ"



คุยเสร็จแล้วเหรอ  ออกไปได้ยังวะ



"ฮัลโหลขิง" เห้ยยยย อีกสายแล้วเหรอ นี่กูต้องหลบอยู่ในห้องน้ำต่อใช่ไหม "ดอกกุหลาบที่พี่ให้ไป ทิ้งไปยัง"

"....." คุยกับขิงซินะ มีหยอดลูกพี่ลูกน้องกูด้วย อะไรยังไงวะ

"ช่วงนี้ขิงพอจะว่างไหมอ่ะ"

"....."

"อ๋อ มีคนมาขอร้องให้ขิงติวคณิตให้เหรอ ไม่ว่างเลยดิแบบนี้" น้ำเสียงพี่แกฟังดูผิดหวังแฮะ แล้วใครมาขอร้องให้ขิงไปติวให้วะ คนที่รู้ว่าขิงติวได้มีไม่กี่คนนี่นา *​ไอ้ตอมแน่นอน ไอ้เพื่อนสารเลว ​เดี๋ยวกูค่อยเคลียร์กับมึงทีหลัง สนใจเรื่องพี่ตองก่อน

"เห้ยเปล่า ไม่มีอะไร พี่ก็โทรหาน้องโรงเรียนพี่ดิ เราเป็นพี่น้องกันนะอย่าลืม พี่ก็ต้องคิดถึงบ้างอะไรบ้าง น้ำเสียงดูดีพี่ก็สบายใจ มีปัญหาอะไรบอกพี่ได้เลยนะ....  เออๆ แค่นี้แหละ ว่างๆเจอกันน้อง" ไม่เห็นมันคุยกับผมแบบนี้บ้างวะ

จากการประมวลผลของผม ไอ้พี่ตองคิดจะขอให้ขิงช่วยติวให้ซินะ พ่อของพี่แกคงจะวางเงื่อนไขอะไรไว้สักอย่างในการสอบครั้งนี้แน่เลย

เอาไงดีวะกู จะเสือกดีไหม แต่สถานการณ์แบบนี้ ถ้าคิดจะตอบแทนบุญคุณก็ต้องทำ แต่จะทำไงให้พี่แกยอมรับความช่วยหลือจากเราโดยไม่รู้สึกว่าแพ้วะ ......  ทำไมมันซับซ้อนจังวะ



"เออมึงไอ้ต้อม" เอาแผนนี้แหละวะ แกล้งคุยโทรศัพท์เสียงดังๆให้ไอ้พี่ตองได้ยิน ผมเดินแกล้งคุยโทรศัพท์ออกมาจากห้องน้ำ หางตามองเห็นพี่ตองยังอยู่นอกห้อง เข้าทางกูแล้ว "ว่าไงนะมึง กูสอบหลักคณิตได้เต็ม 100% เลยเหรอวะ... เออ กูเจ๋งอยู่แล้วเรื่องคณิตอ่ะ" เชี่ยเอ้ย น่าอายชิบหาย "แล้วเย็นนี้มึงมารับกูด้วย.... อะไรนะ"

เดี๋ยวๆ เว้นจังหวะหน่อย กูเริ่มจะไม่เนียนแล้ว

"อ... อ้าว ไหงงั้นวะ กูต้องทำงานที่นี่กลับดึกอีกตั้งสองสามวันนะเว้ย กูอุตส่าช่วยติวให้มึงผ่านมาตั้ง 81% มึงไม่คิดจะตอบแทนบุญคุณกูเลยหรือไง"

ดูปฏิกิริยาของไอ้พี่ตองดิ เหมือนมันจะชะงักฟัง เอารางวัลตุ๊กตาทองจากพี่ลูกเกตุไปเลยกูงานนี้

"เออๆ ก็ได้มึง เดี๋ยวกูหาทางกลับเอง... ก็คงต้องไปขอร้องใครสักคนแหละ โรงพยาบาลกับหอไม่ใช่ใกล้ๆกันนะมึง"

ผมทำทีถอนหายใจแล้วก็วางโทรศัพท์

"อ้าว พี่ตอง" ทำเป็นตกใจต่อด้วย เราจะเนียนเปล่าวะ "มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่อ่ะ"

"ทำไม โดนเพื่อนทิ้งหรือไงมึงอ่ะ" โดนเลยไหมล่ะกู นี่กูควรคิดจะช่วยไอ้ปากเสียนี่ต่อดีไหม

"ก็... ไอ้ต้อมมันมีธุระอ่ะ สองสามวันนี้มารับมาส่งผมไม่ได้ ถ้ามาทำงานไม่ได้ หมอพิชิตตำหนิผมแน่เลย..." ไอ้เชี่ยพี่ตองเอ้ยยยย ทำลอยหน้าลอยตา จะให้กูขอร้องละซิ มึงอ่ะเข้าทางแผนกูโว้ย จะบอกให้ "อ... เออ คือพี่มีรถนิ พี่ช่วยไปรับไปส่งผมหน่อยได้ไหมอ่ะ ขอร้องนะพี่ ผมรู้ว่าพี่ไม่ค่อยชอบขี้หน้าผม แต่แค่จนกว่าจะถึงวันบล็อกกิ้งนะพี่"

"กูอ่ะ กูไม่ได้ใจไม้ใส้ระกำอะไรนะ" อะจ้า พ่อขมองอิ่ม อยากพูดไรก็พูดนะ แต่พูดมาให้ตรงตามที่กูคิดแผนไว้ด้วย "แต่มึงจะให้กูไปรับไปส่ง โดยไม่ตอบแทนอะไรกูเลยหรือไง"

"ได้ดิพี่ จะให้ผมตอบแทนยังไง ถ้าทำได้ผมจะทำให้ แต่ผมอ่ะ ก็ทำได้ไม่กี่อย่างนะ ที่พอจะทำได้ดีก็มีแค่ติวหนังสือให้เพื่อนอ่ะ พี่มีอะไรให้ผมติวให้ไหมล่ะหรืออย่างอื่นก็ได้ แล้วแต่พี่จะสั่งเลย"

"อ... เอ่อ อันนั้นแหละ" กูพูดตรงใจมึงละซิ อ่ะๆ รีบสั่งกูมาได้แล้ว "พอดีช่วงนี้กูไม่ค่อยมีเวลาอ่านหนังสือ ไหนจะงานลีด งานถ่ายแบบ แล้วก็ต้องมาดูแลน้องๆที่นี่อีก เอาเป็นว่ามึงติวหลักคณิตให้กูละกัน มึงก็ทำได้แค่ไม่กี่อย่างอยู่แล้วนิ ให้มึงไปแบกไปหามก็คงไม่รอด"

"ก็... ก็ได้ครับ" กูต้องกลั้นหัวเราะอีกนานไหม

"เออ" อะไรของพี่มึงวะ อยู่ดีๆก็เอาหน้ามาใกล้อีกแล้ว ไอ้บ้านี่ เอ่ะอ่ะๆเอาหน้าเข้ามาใกล้ตลอด "มึงแพ้"

ไอ้เชี่ยพี่ตอง

แล้วกูจะยิ้มทำไมเนี่ย มันเดินเข้าห้องไปแล้ว ไปทำงาน!!



"พี่ดวงครับ วันนี้ผมขอกลับเร็วหน่อยได้ไหมครับ" หึ ไอ้พี่ตองขอพี่ดวงกลับเร็วทำไมวะ นี่มันกี่โมงวะ สี่โมงครึ่ง "แล้วก็น้ำชาด้วย พอดีผมสองคนมีธุระต้องไปทำเย็นนี้อ่ะครับ" อ่อ เรื่องติวหลักคณิตซินะ

"ได้ซิน้องตอง" พี่ดวงรีบตอบ "นี่มันหน้าที่ของพี่อยู่แล้ว ตองกับน้ำชาต่างหากที่เสียสละมา กลับเร็วบ้างก็ดีแล้ว ให้เวลาส่วนตัวกับตัวเองบ้าง"

"เดี๋ยววันหลังผมจะชดใช้คืนให้เป็นสองเท่าเลย"

"พูดอะไรเกินจริง.... แล้วจะไปทำธุระด้วยกันเหรอ"

"ค... ครับ" เขินเป็นกับเค้าด้วยเหรอหนะไอ้พี่ตอง ไปติวหนังสือจะเขินทำไม

"นี่อย่าบอกนะว่าจะไปป้อนข้าวกันอีก"

พี่ดวงงงงง แซวบ้าไรของพี่เนี่ย ไม่ต้องมันหรอก ผมนี่แหละเขิน ไม่ๆๆๆ กูจะไม่ยอมหันหน้าไปทางนั้นเด็ดขาด

"เปล่าพี่ ติวหนังสือกันครับ"

"จ้าๆ พี่แซวเล่น ไปกันเถอะ นี่ก็สี่โมงกว่าแล้ว"

"น้ำชา" ไอ้พี่ตองหันมาเรียกผม "ไปกันได้แล้ว"

โอเค กลับเร็วเลยวันนี้

"พี่น้ำชา" อ้าวเวรกรรม ลืมน้องโชกุนไปได้ไงวะกู ดูหน้าไอ้พี่ตองดิ แกก็ลืมเหมือนกันละซิท่า "จะกลับแล้วเหรอ"

อย่าร้องไห้นะน้องโชกุน

"วันนี้พี่น้ำชามีธุระนะคราบบบ" ผมต้องหว่านล้อมน้องให้ได้ ขั้นแรกกอดน้องก่อนเลย ท่าไม้ตายของผม

"แล้วโชกุนจะกอดใครล่ะ" อย่าพูดแบบนั้นซี ไอ้บ้าพี่ตอง มึงรีบช่วยกูเดี๋ยวนี้เลยนะ

"งั้นเอางี้" โอเค มันคงมีแผนไรสักอย่าง "เดี๋ยวพี่กับพี่น้ำชาจะกอดโชงุนทิ้งไว้ก่อน แล้วพรุ่งนี้มากอดกันเยอะๆนะ"

ห๊ะๆๆๆ อะไร ว่าไงนะ เดี๋ยวๆๆๆๆๆ

เอาแล้วไงกู ให้ตายเหอะ ไอ้บ้าพี่ตอง โถมเข้ามากอดจริงด้วย..........



.............อบอุ่นชะมัด โคตรคิดถึง คิดถึงที่สุดเลยสัมผัสนี้

สัมผัสที่ผู้ชายคนนี้โอบกอดผมกับน้องโชกุนไว้พร้อมๆกัน ครั้งนี้เขากอดผมจากด้านหลัง ไม่เหมือนเมื่อวานที่แค่แขนสัมผัสกัน

เหมือนตอนนั้นเลย ตอนที่ร่างกายของผมเปียกไปหมด เนื้อตัวหนาวสั่น หัวใจเหมือนถูกแช่แข็ง เพราะไออุ่นนี้ ทำให้ผมมีชีวิตกลับขึ้นมาใหม่ได้ เมื่อไหร่เขาจะรู้ตัวสักทีนะ ว่าเราโหยหาสัมผัสนี้มากแค่ไหน



"โอเคหรือยังครับ" นี่ผ่านไปนานแค่ไหนวะเนี่ย ผมเคลิ้มไปกับสัมผัสอบอุ่น จนไอ้บ้าพี่ตองคลายกอดออกไป "แบบนี้จะได้มีรอยกอดของพี่กับพี่น้ำชาทิ้งไว้คืนนี้ แล้วพรุ่งนี้คอยมากอดกันใหม่ ดีไหม"

น้องโชกุนยังทำหน้าผิดหวังอยู่.... เอางี้ "ถ้าสมมติว่าวันนี้โชกุนอดทนนอนหลับโดยไม่ให้พี่กอดได้ พรุ่งนี้พี่จะมานอนด้วยเลย ดีไหม"

"พี่พูดจริงๆนะ" น้องโชกุนตาเบิกกว้าง ตะโกนร้องดีใจลั่่นห้อง ใช่น้องดีใจ แต่พี่ต้องพยายามติวให้ไอ้คนบ้าข้างหลังพี่สอบผ่านภายในวันพรุ่งนี้ให้ได้ เพราะไม่งั้นก็ไม่มีโอกาสที่สองแล้ว นอนที่นี่ไม่มีทางติวได้แน่ๆ

เอาวะ ติวคนมาตั้งมากมาย จะมาประหม่าอะไรครั้งนี้

"พี่ไปแล้วนะครับโชกุน" ผมกอดน้องอีกครั้งก่อนจะออกมา







ในมุมของนายตอง.............





​ไม่ผิดแน่ๆสัมผัสเมื่อกี๊

​จะมีใครหาว่าผมฉวยโอกาสไหมนะ ก็ผมอยากรู้นี่นา ตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้วที่ไอ้เด็กเกรียนน้ำชามันทำให้ผมรู้สึก.... รู้สึกเหมือนได้พบกับสิ่งที่หายไปนาน รู้สึกถึงสัมผัสที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้ผมมีชีวิตชีวา เนื้อกายที่นิ่มละมุน เย็นสดชื่น เพราะเหตุการณ์กอดกับน้องโชกุนเมื่อกี๊ ผมถึงได้โอกาสพิสูจน์ ว่าสัมผัสที่เราสงสัย มันจะยังเป็นเหมือนเดิมอยู่ไหม

ใช่.... มันเป็นเหมือนเดิม สัมผัสนี้แน่นอน ที่เราตามหา

ผมควรทำยังไงดีวะ ไอ้เด้กบ้านี่มันต้องหัวเราะเย๊าะผมแน่ที่ผมเป็นแบบนี้



"แล้วเราจะไปติวที่ไหนอะพี่" หลังจากออกรถมาได้แค่นาทีเดียว มันก็ตั้งคำถามกับผมเลย

"ห้องมึงไง" กูพูดไรของกูวะ นี่กูอยากไปห้องมันหรือไง

"พี่จะบ้าเหรอ ไม่ได้ หอผมห้ามคนนอกเข้า"

"ไม่จริงอ่ะ กูเคยเข้าไปส่งแอมในโยเดีย ไม่เห็นจะมีใครมาห้ามเลย"

"พี่แอม... ลีดมหาลัย แล้วก็ดาวมหาลัยคนนั่นอะเหรอ"

"ก็ใช่อะดิ รุ่นพี่คณะมึงนั่นแหละ"

"อ๋อ... ก็ดูเหมาะสมกันดีเน๊าะ" แล้วมันทำหน้าอะไรของมันวะ

"เหมาะสมอะไรของมึง กูไปส่งเค้า ไม่ได้ไปทำไรกับเค้า กูเป็นสุภาพบุรุษพอเว้ย"

"ก็เห็นพี่แอมโทรไปหาพ่อพี่ไม่ใช่เหรอ ผมก็นึกว่าพี่สองคนจะไปถึงขั้นไหนต่อไหนกันแล้ว"

"มึงพูดดีๆนะไอ้เด็กเกรียน ผู้หญิงเขาเสียหายนะ แอมกับกูไม่ได้เป็นไรกัน คนเค้าเข้าใจผิดมากพออยู่แล้ว"

"สรุปว่าพี่กับพี่แอม..."

"ไม่มีไรทั้งนั้นอ่ะ"

"แต่ลีดมหาลัยอย่างพี่อ่ะ ยังไง...."

"เออ ไอ้ชิบหายนิ กูไม่มีแฟน มึงเข้าใจยัง นี่มึงต้องรู้ทุกเรื่องของกูจนได้ใช่ไหม ไม่เสือกซักเรื่องมึงจะตายไหม"

"....." เอ๊า เงียบเฉยเลย อะไรของมันวะ

"แล้วสรุปไปติวไหน ห้องกูไหมล่ะ แต่กูไม่มาส่งมึงอีกรอบนะ กว่าจะติวเสร็จ ดึกโน้นแหละ"

"อ้าว แล้วผมจะกลับยังไงล่ะ" หึหึหึ แกล้งสำเร็จ

"เออ กูล้อเล่น แต่กูก็ให้มึงเดินกลับอยู่ดีนั่นแหละ"

"ไอ้พี่ตอง" มันชักมีน้ำโห

"มึงจะให้เอารถออกมาส่งทำไม หอห่างกันแค่นาทีเดียว"

"ห๊ะ"

"อยากรู้อีกอะดิ มึงเนี่ยนะ.... เออ กูอยู่หอข้างมึงนั่นแหละ หอจินตนาไง ตึกเขียวๆข้างๆโยเดียวอ่ะ"

"จริงดิ พี่อยู่ชั้นไหนอ่ะ"

"....." ไอ้สัดนี่มันพยายามจะสืบเรื่องของกูอีกแล้ว จะบอกดีเปล่าวะ

"พี่ไม่บอกตอนนี้ ผมก็รู้อยู่ดีป่ะ กำลังจะไปติว สติพี่สติ"

เออ โชว์โง่เลยกู "ชั้นสี่"

"ชั้นเดียวกันเลย บังเอิญเนอะ"

"บังเอิญมาก มึงไม่ได้กำลังตามกูอยู่ใช่ไหม"

"ปัญญาอ่อนเปล่าพี่ ผมจะตามพี่ทำไม"

ไอ้สัด นี่กูพี่มึงนะ ด่ากูไม่ไว้หน้าเลย เออ แต่ยอมมันก่อน เดี๋ยวต้องติวให้กูอีก



โอเค ถึงสักที ห้องของผม

"โล่งดีนะห้องพี่อ่ะ ชอบที่ฟ้ากับสีเทาเหรอ"

"มาถึงก็สำรวจห้องกูเลย" ไอ้นี่ทำไมมันดูสนอกสนใจเรื่องเราจังวะ แปลกๆนะ ช่างมันเหอะ โชคดีแล้วที่จังหวะมันต้องการความช่วยเหลือจากเราพอดี ได้มีคนเก่งๆมาติวให้ ไม่งั้นคงไม่มีหวังสอบผ่านแน่ๆ เป็นเรื่องให้ทะเลาะกับพ่ออีก แต่หลังจากนี้นี่ดิ.... เอาวันนี้ให้รอดก่อนละกัน ทุกอย่างต้องมีทางออกดิวะ

"เห้ยพี่" ไอ้เด็กเกรียนชี้ออกไปนอกระเบียง "พี่อยู่ตรงข้ามห้องผมเลย เห็นไหมนั่นไม้แบดของผมเอง ผมแขวนไว้เมื่อเช้านี้" มึงดูตื่นเต้นเนาะ

"ติวได้ยัง" รีบทวงดีกว่า ก่อนจะเสียเวลา

"โอเคพี่ มาเลย ขอปากกาสองสี ถ้ามีหลายสีก็จะดีมากเลย แล้วก็กระดาษสะอาดๆหลายๆแผ่น" โห เปลี่ยนโหมดเร็วมาก โคตรดูเป็นมืออาชีพเลย

"เออๆ มึงนั่งรอตรงโต๊ะนั่นแหละ แป๊บนึง"



นี่ซินะที่เรียกว่าติวเตอร์อาชีพ หลังจากเริ่มสอนได้สักพักผมเข้าใจแจ่มแจ้งเลย ไอ้เด็กเกรียน... ไม่ใช่ละ เรียกแบบนี้คงไม่ถูก เด็กคนนี้เก่งคณิตศาสตร์จริงๆ มีพรสวรรค์ ดูยังไงก็อนาคตไกล ผมกับวิชาเลขเป็นอะไรที่เข้ากันไม่ได้มาตั้งแต่ปีมะโว้ แต่ผมยังเข้าใจได้ง่ายๆเลย สายตาตอนสอนนี่คนละเรื่อกับตอนที่เห็นมันทั่วไปเลย ทั้งมั่นคง มั่นใจ และเห็นอกเห็นใจผู้เรียน น้ำเสียงก็อ่อนโยน น่าฟัง มีลูกเล่นให้น่าสนใจ โคตรมีเสน่ห์เลย แล้วทำไมมันมาอยู่มหาลัยนี้วะ สมองระดับนี้ไม่น่าจะอยู่แค่นี้นะ แถมยังจะอยากเป็นลีดมหาลัยอีก ไม่เห็นจะเข้ากันตรงไหนเลย ช่างเหอะ เรียนก่อนๆ



"โอเคนะพี่ อย่างที่บอกนะ ว่าไม่ต้องจำสูตรพวกนี้ หลายคนที่เรียนแบบจำสูตร มันก็ดีครับ แต่มันจะทำให้พี่ไม่เหลือที่ว่างในสมองเอาไปวิเคราะห์ข้อมูลตอนทำข้อสอบจริงๆ นี่เห็นไหม พี่ก็ทำเองได้โดยไม่ได้จำสูตรใช่ไหมล่ะ ถูกทุกข้อเลย.... โอเค ผมว่านี่ก็น่าจะครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมดแล้วนะ ขาดบางหัวข้อที่มันยากจริงๆ ถ้าพี่เจอก็ข้ามไปเลยนะ เพราะเนื้อหาพวกนั้นต้องใช้เวลาเรียนนานๆ ระยะเวลาแค่นี้ต้องเอาหัวข้อที่ชัวร์ๆไว้ก่อน แต่เท่าที่ผมวิเคราะห์จากข้อสอบวันนี้ ถ้าเข้าใจเนื้อหาประมาณนี้ก็ผ่าน 65% ได้แน่ๆ เข้าใจไหมพี่"

"......"

"พี่ เข้าใจไหม"

"โอเคๆๆ เข้าใจ" เสียงน่าฟังชะมัด ฟังเพลินเลยกู

"โห นี่มันห้าทุ่มกว่าแล้วเหรอ"

จริงเหรอวะ นี่กูเพลินไปไหมเนี่ย

"พี่เข้าใจแล้วใช่ไหม" ไอ้น้ำชาถามผมย้ำอีกที ทำไมต้องทำสายตาเป็นห่วงเป็นใยกูขนาดนั้นด้วยวะ "เข้าใจแล้วจริงๆนะ ถ้ายัง ผมสอนต่อได้ ผมนอนดึกได้ ไม่มีปัญหา"

"พอแล้วๆ แค่นี้ก็.... มากพอแล้ว" แค่นี้กูก็คิดกับมึงแปลกๆแล้ว ให้แม่งกลับห้องไปดีกว่า

"โอเคพี่ งั้นเอานี่ไป" สมุดโน๊ตของเรานี่หว่า แต่ไม่ได้เขียนไรไว้ในนั้น เมื่อกี๊เอามาให้ก่อนจะติว เอามาคืนเราทำไมวะ "ผมเขียนสรุปความเข้าใจเบื้องต้นของแต่ละหัวข้อเรื่องไว้ นั่งเขียนตอนพี่ทำแบบฝึกหัดหนะ พี่ไม่ได้อยู่ในฟิวคณิตศาสตร์ตลอดเวลาเหมือนผม พี่ต้องลืมบ้างอยู่แล้วหล่ะ ถ้าจำเรื่องไหนไม่ได้ก็เปิดอ่านดู ผมแยกแยะหัวข้อตามลำดับเรื่องที่สอนวันนี้เป๊ะๆ แล้วก็ควรเปิดอ่านก่อนสอบหนึ่งรอบพรุ่งนี้ จะช่วยพี่ได้มากเลย"

"โอเค" ผมรับมา โอ้โห ทำให้เราขนาดนี้เลยเหรอวะ ใจดีกับกูเกินไปแล้วนะ มึงเป็นศัตรูประเภทไหนกันวะ จะหลอกให้ตายใจก่อนหรือไง

"งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมกลับแล้วนะพี่ พี่ไม่ต้องไปส่งผมหรอก แค่หนึ่งนาทีผมก็ถึงห้องแล้ว"

"ไม่ได้ๆ"

"ผมไม่เถียงกับพี่แล้ว พี่ไปอาบน้ำเถอะ ทำสมองให้โล่งๆ เชื่อผม ผมติวมาเยอะ ผมกลับแล้วนะ...." เอาจริงเหรอวะ มึงอุตส่าเสียเวลาสอนกู ไม่ให้ไปส่งจะเสียมารยาทเปล่าวะ "เอ่อออ พี่" อะไรวะ ไหนบอกจะไปเอง ทำไมไม่ปิดประตู หรือเปลี่ยนใจจะให้กูไปส่ง "ฝันดีนะ"

"...... ฝ.... ฝัน...." อ้าวไม่ทันแล้ว จะรีบปิดประตูไปไหน กูยังช็อกอยู่ ตอบไม่ทันเลย จะเปิดประตูตะโกนตามไปดีเปล่าวะ  อย่าเลย ตลกตาย

สมุดโน๊ตที่แฟนคลับให้มา ไม่คิดว่าจะได้เอามาใช้ประโยชน์แบบนี้ ไหนลองทบทวนอีกสักรอบก่อนอาบน้ำดิ



เห้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ลายมือนี้มัน.............



"ฮัลโหลขิงเหรอ" ผมต้องคลายความสงสัยนี้ให้ได้

"ครับพี่ตอง" #สัญญาแล้วนะว่าถ้าสอบผ่านเกิน 70% จะเรียกแทนตัวเองว่าน้ำขิง "ชู่ววว คุยโทรศัพท์อยู่"

น้องมันทำไรอยู่วะ เออ รีบถามรีบจบดีกว่า "ขิงชื่อจริงว่าอะไรนะ"

"คฑาเทพ ธนกฤษ ครับ ทำไมเหรอพี่"

นั่นไง "ขิงอ่ะ เป็นญาติกับน้ำชาใช่ไหม ธชานา ธนกฤษ"

"......" ไม่ตอบ แสดงว่ากำลังปิดบัง ไอ้เจ้านี้มันไม่ชอบพูดโกหก ผมรู้นิสัยมัน

"แล้วคนที่คอยทำการบ้านให้พี่ตั้งแต่พี่อยู่มอห้าอ่ะ คือ น้ำชา ใช่ไหม"

​ตื๊ด  ตื๊ด  ตื๊ด  ตื๊ด  ตื๊ด

​โห ไอ้ขิง ถึงขั้นยอมเสียมารยาท ตัดสายพี่สุดที่รักของมึงเลยเหรอ แบบนี้ก็ชัดเจนแล้ว



ไอ้น้ำชา งานนี้มึงโดนหนักแน่
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 7 [ยืนการ์ด]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 31-10-2017 00:14:38
ตอนที่ 7 : ยืนการ์ด



#เสียงโทรศัพท์

​#เสียงโทรศัพท์​

#เสียงโทรศัพท์​(โอ๊ยยยยยยยย)



ใครวะ นี่มันกี่โมงกี่ยามวะ ไอ้บ้าเอ๊ยยยย 07.30 น. เบอร์ใครวะ โทรมาไรเช้าขนาดนี้

"ฮัลโหล" เสียงกูง่วงขนาดนี้ หวังว่าไอ้คนปลายสายจะเข้าใจในจุดนี้นะ

"ไอ้เด็กเกรียน" เห้ย ตาสว่างเลยกู มีคนเดียวที่เรียกกูแบบนี้ ​ไอ้พี่ตอง ​มันเอาเบอร์เรามาจากไหนวะ"จะไปหรือยัง"

"ไปบ้าอะไร นี่มันเจ็ดโมงเช้า เข้าโรงบาลตอนเที่ยงโน้น"

"แต่กูสอบเช้า"

"ผมสอบผ่านแล้ว ผมไม่ต้องไป"

"กูไม่ได้กลับมาที่หอแล้ว วันนี้มีถ่ายงานข้างนอก มึงต้องไปกับกูตั้งแต่ตอนนี้แหละ"

"ห๊ะ" นี่ไม่ได้อยู่ในข้อตกลงนะเว้ย กูง่วงงงงง

"ไม่ต้องมา ห๊ะ กูสอบแปดโมง รีบลงมารอหน้าหอนะ อย่าทำกูเข้าห้องสอบสายนะมึง"

ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด

​ไอ้เชี่ยพี่ตองงงงง กูอยากจะร้องไห้ นี่กูเอาตัวเองมาลำบากลำบนทำไมวะ





ไหนมันบอกว่ารีบไง นี่ลงมารอนานแล้วนะ เดี๋ยวก็สอบไม่ทันหรอก

"ขึ้นมา" เสียงไอ้พี่ตอง ดังออกมาจากรถคันหรู เพิ่งจะเคยเห็นรถมันจริงๆจังๆนี่แหละ ปกติเห็นแต่ตอนกลางคืน สมกับเป็นลูกคนรวยจริงๆ รถหรูเชียว

"....."

"ไม่คิดจะติวให้กูอีกรอบเหรอ" ดูมันพูด ดูสภาพกูก่อนไหม หน้าง่วงขนาดนี้ จะไปสอนบ้าอะไร

"ไม่ตงไม่ติวอะไรทั้งนั้นอ่ะ ง่วง" ไม่รู้ล่ะ ผมพลิกตัวนอนตะแคงข้างแม่งเลย "ตอนสอบ สตาร์ทรถไว้ให้ด้วยนะ จะนอน"

"ไม่ได้" อะไรของมันวะ บ้านก็ออกจะรวย แค่สตาร์ทรถให้นอนก็ไม่ได้ ที่กูนอนน้อยเนี่ย เพราะติวมึงเมื่อคืนนะ

"ทำไมวะ นี่ติวให้ดึกนะเมื่อคืนอ่ะ ง่วงจะตายอยู่แล้ว"

"เออ... แต่กูนัดคนๆนึงไว้ให้มึง กูจะไปฝากมึงไว้ที่เค้า สอบเสร็จเดี๋ยวกลับมารับ"

"ห๊ะ....." ก่อนที่ผมจะทันได้ตั้งคำถามอะไร ความสงสัยก็เพิ่มเข้ามาอีก

นั่นพี่ซีซี่ ผู้จัดการส่วนตัวของไอ้พี่ตองนี่หว่า มันหยุดจอดรับพี่เขาขึ้นมาทำไมวะ ในขณะที่ผมยังช็อกอยู่ พี่ซีซี่ก็เข้ามานั่งบนที่นั่งด้านหลังของรถเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับข้าวของพะรุงพะรังนิดหน่อย

"รบกวนหน่อยนะเจ๊" ไอ้พี่ตองทักทาย ผมควรทำหน้ายังไงวะ นี่กูควรจะถามไหม

"รบกงรบกวนอะไร ชั้นเป็นบัดดี๊ของเธอนะ สบายค่ะ" พี่ซีซี่ยิ้มแจ่มใสรับบรรยากาศช่วงเช้า "ว่าไงค่ะน้องน้ำชา พร้อมหรือยัง"

"พ... พร้อม" พร้อมอะไรวะ ผมหันไปสบตาไอ้พี่ตอง ​​อธิบายมาเดี๋ยวนี้

​"แล้วงานช่วงบ่ายอ่ะเจ๊" มันไม่ตอบคำถามผม คุยกับพี่ซีซี่ต่อเฉยเลย "ไม่นานใช่ไหม"

"ใช่ๆ ที่เดียว เดี๋ยวขอเช็คแปบ" ผมหันไปสนใจสิ่งที่เจ๊ซีซี่ทำอย่างเปิดเผย เจ๊แกคงขำในความอยากรู้อยากเห็นของผม เจ๊แกอ่านสมุดจดบันทึก "มีถ่ายแบบเกงเกงยีนส์ Wrangler​ คอเล็คชั่นใหม่ สตูใกล้ๆนี่เอง"

"พี่ครับๆ พี่ได้เงินไหมอ่ะ เป็นผู้จัดการของลีดมออ่ะ" ผมลืมง่วงไปแล้ว มีเรื่องใหม่น่าสนใจกว่าเยอะเลย

"ได้ซิคะลูก จะมากจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับการตกลงกัน แต่ใครเป็นบั๊ดดี้พี่ตองก็โชคดีหน่อย 50 50"

คนละครึ่งเลยเหรอ ป๋าไม่เบาแฮะไอ้พี่ตอง

"พูดมากเจ๊" ไอ้พี่ตองแควะ "งั้นวันนี้ก็ช่วยทำงานให้คุ้มเงินละกัน"

"ค่ะบอส"



แล้วนี่มันที่ไหนอีกเนี่ย หลังขับเข้ามาในเขตมหาลัยแค่แป๊บเดียว รถก็จอดหน้าอาคารหรูอาคารหนึ่ง นี่ผมยังไม่ได้คำตอบในความสงสัยแม้แต่ข้อเดียวเลยนะ ตั้งแต่ตื่นลืมตาขึ้นมาเนี้ย

"ลงดิ" ไอ้พี่ตองไล่ผม จะบ้าเหรอ เอากูมาทิ้งไว้ไหนก็ไม่รู้ "เร็ว  เดี๋ยวกูสอบไม่ทัน"

ลงก็ได้วะ แล้วมันที่ไหนเนี่ย อ้าว เจ๊ซีซี่ก็ลง ช่วยเจ๊แกถือของดีกว่า

"ไม่ต้องๆ หน้าที่พี่" เจ๊ซีซี่รีบปฏิเสธ

แล้วไอ้หัวสกินเฮดก็ขับรถออกไป ปล่อยผมยืนงง อยู่กับเจ๊ซีซี่ผู้ยิ้มแย้มแจ่มใส ยังไงต่อละเนี่ย

"ไปซิคะ รอไร ก่อนจะโดนเจ๊ชมพู่เกรี้ยวกราดนะคะ" เจ๊แกเร่งผม

"ไปไหนครับ" นี่ผมต้องได้คำตอบบ้างแล้วนะ ไม่งั้นผมจะโทรเรียกแท๊กซี่นะ อยู่ดีๆก็ให้ผมมาลงหน้าตึกอะไรก็ไม่รู้ ให้มาอยู่กับผู้จัดการส่วนตัวของไอ้บ้านั่น แล้วต้องไปเจอเจ๊ชมพู่อะไรอีก

"ก็นี่ไง ตึกผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนา" เจ๊ซีซี่เผยมืออย่างภาคภูมิใจ ผมนี่ตาค้างเลย เออ ก็ว่าอยู่ ตึกมันดูคุ้นๆตา เหมือนเห็นในเว็บไซต์มหาลัยมาก่อน "ที่นี่ได้ฉาย่ว่า หอคอยเกียรติยศนะค่ะ ครบพร้อมด้วยวิทยาการ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เอื้อต่อการฝึกซ้อม และทำกิจกรรมแบบเอ็กซ์คูซีพ แถมสตูดิโอขนาดมาตรฐาน พร้อมให้ผู้กำกับผู้จัดละครดังๆ มาเคสติ้งดารานักแสดงได้เลย ไงล่ะ รู้หรือยังว่าเราจะไปไหน"

"ผ.... ผม เข้าไปข้างในได้เหรอพี่"

"โดยปกติก็ไม่ได้หรอก แต่ถ้ามีสิ่งนี้ก็ได้อยู่" เจ๊ซีซี่ยื่นบัตรให้ผม เห้ย นี่มันบัตรของไอ้พี่ตองนี่นา ​

​​นายนาวาพล  ขัตติยชาติ

​​ผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนา

​​รหัส CHL01

​พร้อมรูปถ่าย ​อย่างหล่อ ​อ่ะ



"ขอดูบัตรด้วยครับ" พี่ รปภ.หน้าตึกขอตรวจบัตร ตึกนี่น่าจะเข้มงวดน่าดู มีตรวจบัตรด้วย

"นี่ค่ะ" เจ๊ซีซี่ยื่นบัตรของเจ๊แกให้พี่ รปภ. ​ผู้จัดการส่วนตัวยังต้องมีบัตรเลย ​เข้มงวดจริงด้วย

"บัตรครับ"

ผมยื่นบัตรของพี่ตองให้ รู้สึกแปลกๆแฮะ มีสมบัติของไอ้คนบ้านั่นอยู่กับตัว

"อ๋อ คุณตองโทรมาบอกแล้วครับว่าจะมีคนใช้บัตร เชิญครับ" พี่ รปภ.เล่าซะละเอียดเลย

"มาเร็วๆ" เจ๊ซีซี่เร่งผม "ตามมาๆ"

"เรามาที่นี่ทำไมเหรอครับเจ๊" ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีนั่นแหละ

"อ้าว ตองไม่ได้บอกน้องเหรอว่าเรา...."



"จะให้ชั้นรอถึงพรุ่งนี้เลยไหมคาาาา" พี่ผู้ชาย เอิ่มมม ไม่ใช่ผู้ชายหรอก แต่พี่แกหล่อนะ กล้ามก็ล่ำ แต่เดินบิดสุดชีวิตเลย "นัดกี่โมงคะ นัดกี่โมง"

"โอ๊ย เจ๊ชมพู่ขาาาา" พี่ซีซี่รีบเข้าระงับเหตุอย่างเชี่ยวชาญ "น้องเค้ายังไม่ค่อยรู้ระบบค่ะเจ๊ ก็เลยช้านิดนึง"

"ไหน เดินมานี้ซิเรา" ผมกำลังโดนเรียกใช่ไหม ก็คงไม่มีใครแล้วหละ เดินไปก็ได้วะ

เจ๊ชมพู่ เดินวนดูตัวผมช้าๆ มองจากหัวจรดเท้า และหัวจรดเท้าอีกรอบ พี่แกเป็นกระเทยที่ตัวใหญ่มาก ตัวใหญ่กว่าผมอีก

"นี่แน่ใจนะว่าเป็นน้องของเจ้าตอง" นี่ถามผมหรือถามใครอ่ะ

"น้องงงงง" เจ๊ซีซี่รีบตอบ "เค้าบอกหนูมาอย่างนั้น"

"น้องเหรอ ชั้นว่าเด็กของมันหรือเปล่า" เด็กบ้าไรละเจ๊ แล้วกูจะเขินทำมะเขือยาวไรวะ "หน้าหวานสุด ผิวเนียนสุด อือหืออออ เจ๊มองดูนี่ยังอยากเทิร์นตัวเองเป็นรุกเลยนะ  บ้า นี่ชั้นพูดอะไร บัดศรี"

"น้องมันน่ารักไงเจ๊"

"แล้วคิดยังไงจะมาเป็นลีดเนี่ย บุคลิกแบบเธอเนี่ยนะ"

"ค... คือ..." ผมต้องตอบคำถามใช่ไหม

"ไปๆๆๆ เสียเวลา" อ้าว ไปไหนอีกวะ ยังไม่ทันได้ตอบเลย



"เราจะไปไหนกันอ่ะ" ผมพยายามกระซิบถามเจ๊ซีซี่

"ก็ไปปรับพื้นฐานไง" เจ๊แกก็กระซิบกลับ

"พื้นฐาน..."

"ก็พื้นฐานการเต้นลีดไงล่ะ"

"ท... ทำไมอ่ะ" ผมต้องปรับพื้นฐานด้วยเหรอ



"จะกระซิบกระซาบกันอีกนานไหม เวลาเป็นเงินเป็นทองค่ะ เข้ามาซักที" ผมกับเจ๊ซีซี่ถูกเรียกเข้าไปในห้องๆหนึ่ง

เป็นห้องที่มีไฟบนเพดานเยอะมากๆ มีกระจกทั้งด้านหน้าและด้านข้าง ใหญ่เต็มผนัง ใสสะอาดเหมือนได้รับการดูแลเป็นอย่างดี

"ช่วงนี้ยังไม่เปิดเทอม คนสอนหลักเขายังไม่เข้ามาเต็มเวลา ฉันก็เลยต้องมาสอนเอง" นี่เจ๊ชมพู่แกกำลังเล่าหรือกำลังบ่นกันแน่ "นี่ถ้าไม่ใช่คุณชายตองของฉันขอมา ฉันไม่สอนให้นะย่ะ"

อ่อ..... ไอ้พี่ตองจัดการเรื่องนี้นี่เอง

"ไหนมายืนหน้ากระจกซิ" ผมถูกเรียกอีกครั้ง "ยืนหันหน้าไปทางกระจกซิ จะมองหน้าชั้นทำไม หน้าฉันไม่ได้เหมือนพี่ตองของเธอนะ" พูดไรของเจ๊วะ "เธอ ซีซี่ ไปเอากาแฟมาให้ฉัน โทรตามอิหนุง แล้วก็ไปหยิบชุดนิสิตในห้องลองเสื้อมาด้วยนะ หยิบให้มันถูกไซส์ถูกขนาดล่ะ ดูตัวน้องมันด้วย"

"ค่าาาาาาาเจ๊" เจ๊ซีซี่คงรู้จักวิธีรับมือกับเจ๊คนนี้เป็นอย่างดีแล้วซินะ "จะไม่ให้เสียชื่อบัดดี๊ลีดมหาลัยอันดับหนึ่งแน่นอนค่ะ"

"ย่ะ" เจ๊ซีซี่รีบวิ่งออกจากห้องทันที "เธอนี่โชคดีนะ" อันนี้คือเจ๊พูดกับผมใช่ไหม "ถ้าไม่ใช่ยัยซีซี่ ไม่มีใครมาเป็นผู้จัดการให้เด็กฝึกหัดหรอก บารมีคุณตองนะค่ะ สำนึกไว้เลย ฉันเนี๊ย ถ้ายังไม่ได้เป็นลีดมอ ไม่มาสอนให้หรอกนะ"

"รบกวนด้วยครับ"

"ค่ะ รู้จักพูดดีนิ.... อ้าวไหน ​ยืนการ์ด ​ซิ"

ห๊ะ ยืนการ์ด คือไรวะ เดี๋ยวๆ ใจเย็นๆ เราศึกษามาแล้ว ยืนการ์ดก็คือท่าตั้งแขนขึ้นฟ้าทั้งสองข้าง ทะแยง 45 องศา ทำแบบนี้คงไม่โดนด่านะ

"ปวกเปียกมากค่ะ" อ้าว นี่ผมทำไม่ถูกเหรอ "จะเป็นลีดไหมค่ะ หรือจะไปแหย่ไข่มดแดง แต่ปวกเปียกแบบนี้ก็แหย่ไม่ได้หรอกค่ะ ไข่มดแดงหน่ะ" มีหางเสียงนะ แต่รุนแรงทุกคำ

"แล้ว..."

"นี่ๆ" ผมโดนจับแขนขาให้อยู่ในท่าที่เจ๊แกต้องการ "มือเนี่ยเกร็งไว้ซิ แขนก็ตั้งให้มันตรงๆ ให้ดูแข็งแรง ถ้าจะแค่ยกขึ้นมาเฉยๆ อีแดงอีดำที่ไหนก็เป็นลีดมหาลัยได้ทั้งนั้นแหละ ขาเนี่ย ถ่างขนาดนี้ จะส่องดูผีใต้หว่างขาหรือไงคะ ให้มันชิดกันซิ เกร็งให้มันแนบกัน..."

เจ๊แกเริ่มแล้วครับ มีเดินไปหยิบไม้มาด้วย ไม่ได้เอามาตีนะ เอามาเช็คว่า มีช่องว่างระหว่างขาสองข้างหรือเปล่า

"แบบนี้..."

"เท้าค่ะเท้า" คือผมไม่มีสิทธิ์ถามอะไรเลย ถูกไหม "ยืนเป็นเป็ดเลย ให้มันมีสง่าราศี ในหัวเธอเนี่ยต้องมีจินตนาการนะค่ะ ชั้นหล่อ ชั้นเท่ ชั้นหล่อ ชั้นเท่ คิดไว้ค่ะ คิดดดดด.....  อ้าวๆ มืออย่าหลุดซิ เกร็งไว้เหมือนเดิม"

โอ๊ย เยอะจังวะ เมื่อยแล้วเนี่ย เอาลงได้ยัง

"นับหนึ่งถึงสิบซิ..... ไม่ต้องเอาแขนลง นับทั้งอย่างนี้แหละ"

"หนึ่ง  สอง... "

"หางเสียง มีไหมค่ะ หางเสียงหน่ะ" เจ๊ชมพู่ตัดบท "หนึ่งครับ สองครับ"

"หนึ่งครับ สอง..."

"ฉันชื่ออะไร" อะไรอีกวะ ก็ทำตามแล้วเนี่ย เมื่อยนะ

"ชื่อ ชมพู่ ครับ"

"บอกฉันด้วยซิ ใครสั่งก็บอกชื่อคนนั้นทุกครั้ง จำไว้.... หนึ่งครับพี่ชมพู่ สองครับพี่ชมพู่ แบบนี้"

"หนึ่งครับพี่ชมพู่ สองค..."

"พูดดังๆซิ ทั้งห้องมีกันอยู่แค่สองคน ชั้นยังแทบจะไม่ได้ยินเสียงเธอเลย จะเป็นลีดมันต้องมั่นใจ"

"หนึ่งครับพี่ชมพู่" ผมนี่ตะโกนเลย "สองครับพี่ชมพู่ สามครับพี่ชมพู่..." ผมก็นับต่อ

"ผมหล่อ ผมเท่ ผมหล่อที่สุด ผมเท่ที่สุด คิดไว้ในหัวด้วย" อิเจ๊ชมพู่ก็ตะโกนแข่งกับผมอีก สอนยังไงของมันวะ

"....สิบครับพี่ชมพู่"

"อ่ะ เอามือลงได้"

ผมนี่แขนห้อยเลย



"กาแฟได้แล้วค่ะเจ๊" เจ๊ซีซี่ถือถ้วยกาแฟหรูหราเข้ามาในห้อง วางที่โต๊ะเสร็จสับ "โทรหาพี่หนุงเรียบร้อย ส่วนชุดไม่มีไซส์ของน้อง ร้านเสื้อกำลังจะเอาเข้ามาส่งให้ค่ะ ติดต่อเรียบร้อยแล้ว" เจ๊แกเป็นมืออาชีพจริงด้วย



"เหนื่อยเหรอ" เจ๊ชมพู่ถามผม

"เหนื่อยดิพี่" ถามได้

"ไม่เป็นไรครับ" ห๊ะ เจ๊แกพูดอะไรของแก "ต้องตอบว่า ไม่เป็นไรครับ อย่าแสดงความอ่อนแอ แล้วก็สุภาพเสมอ ลีดเดอร์ที่ดีเนี่ยนะ เขาต้องไม่แสดงความเหนื่อยล้าอ่อนแรงต่อหน้าสาธาณชน" ผมโดนจัดท่าทางอีกครั้ง "เวลายืนพักก็ให้มันดูดี หลังตรง แต่ไม่ต้องเกร็งจนทำให้ตัวเองเหนื่อยกว่าเดิม อินเนอร์ค่ะ อินเนอร์ เข้าใจนะ"

เห้ออออออ เรื่องเยอะสุดๆ

"พี่ชมพู่ครับ"

"ดีมาก พูดจาให้สุภาพเข้าไว้.... มีอะไรคะ"

"ผมเคยเห็นท่ายืนที่ไม่ใช่แบบนี้อ่ะครับ เหมือนเท้าขวาจะเหลื่อมไปข้างหลังนิดหน่อย แล้วก็แขนไม่ได้กางกว้างขนาดนี้"

"......." เจ๊ชมพู่มองผมแปลกๆเฉยเลย "นั่นมันท่าลีดอ่อน เพลงมิ่งขวัญมัณฑนาจัดอยู่ในประเภทลีดแข็ง ลีดอ่อนเป็นท่าของคณะวิทย์ แพทย์ แล้วก็ศึกษา เดี๋ยวถ้าเธอได้เป็นลีดคณะวิทย์ก็คงได้เรียนรู้..... เธอชื่ออะไรนะ"

"ช... ชาครับ" สอนมาขนาดนี้ เพิ่งจะมาถามชื่อเนี่ยนะ

"ไปพักได้ สามนาทีนะ เสร็จแล้วมายืนการ์ดท่าเดิมอีกห้าสิบ แล้วจะสอนพื้นฐานให้"

ห๊ะ ตายแน่กู งานนี้ โดนจัดหนักเลย



"มาๆน้องน้ำชา" เจ๊ซีซี่รีบเอาน้ำดื่มมาให้ผม มีผ้าขาวสะอาดมาเช็คเหงื่อให้ด้วย "ดีนะเจ๊เอาน้ำมาเผื่อด้วย แรกๆก็งี้แหละ พี่ตองก็โดนมาเหมือนกัน..." ผมได้แค่ยิ้มแห้งๆ "แต่ไม่น่าเชื่อนะเนี่ย" เจ๊ซีซี่กระซิบกับผม "ทำไงให้เจ๊ชมพู่ถูกใจได้เนีย"

"ถูกใจ" ถูกใจตรงไหนวะ เนี่ยนะถูกใจ

"เจ๊แก ไม่ใช่จะถามชื่อใครง่ายๆนะ ลีดมหาลัยบางคน เจ๊แกยังไม่รู้จักชื่อด้วยซ้ำ แต่นี่ถามชื่อน้ำชาซะแล้ว มีหวังนะเราเนีย"

จริงเหรอพี่ ฟังดูมีความหวังขึ้นมาเยอะเลย



แต่ทันทีที่ผมถูกเรียกกลับไปซ้อมต่อ ก็ไม่ได้ดูเหมือนเจ๊แกจะถูกใจผมเท่าไหร่เลย เหมือนอยากจะทรมานผมให้มากกว่าเดิมซะอีก นี่ถ้าไม่ใช่ผลพวงมาจากการเล่นกีฬาตามไอ้พี่ตอง ผมคงจะยอมแพ้ตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรกไปแล้ว

หลังจบยืนการ์ด เจ๊แกก็สอนพื้นฐานท่าเต้นที่ควรรู้ กว่าจะผ่านแต่ละท่าได้ ไม่ใช่ของง่ายเลย ไอ้ที่คิดว่าศึกษามาดีแล้วหน่ะ ถือว่ารู้แค่ผิวเผินมากๆ



"นี่ชุดใครอ่ะ พูด" บุคคลปริศนาคนต่อไป เดินเข้ามาในห้อง หลังจากผมซ่อมอย่างบ้าคลั่งถึงสองชั่วโมง

"พี่หนุง กราบสวัสดีค่าาาาาา" เจ๊ซีซี่ผู้เป็นงาน

อ่อ.... คนนี้เหรอพี่หนุง กะเทยร่างผอมบาง ไม่ได้แต่งหญิงนะ แต่ผอมยิ่งกว่าผู้หญิงอีก ตอนนี้ผมถูกพวกพี่แก๊งนางฟ้าล้อมไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถ้าจะข่มขืนผมตอนนี้ ก็ทำเลย ผมไม่อาจต่อต้านสามคนนี้ได้แน่นอน ผมคิดขำๆ

"ชุดของน้องน้ำชาค่ะ หนูสั่งที่ร้านให้เอามาส่ง" เจ๊ซีซี่รีบถลาไปรับชุดมา

"ค่ะ สั่งมาแล้วไปรับด้วย ไม่ใช่ให้ชั้นถือเข้ามาให้ ดีนะที่ชั้นมีจิตใจโอบอ้อมอารีย์ ถึงได้ถือมาให้"

"แหม พี่หนุงคะ ไหนๆก็เข้ามาอยู่แล้ว ถือนิดหน่อย เป็นการออกกำลังกาย"

"ค่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะน้องตอง ชั้นไม่มานะคะ ใช้งานนอกเวลาเปิดเทอมเนี่ย"

ผมเข้าใจถูกไหมนะ เหมือนว่าเจ๊ชมพู่กับเจ๊หนุง จะไม่ได้เป็นนิสิตที่นี่นะ ดูโตเกินไป แต่ดูมีอำนาจในตึกนี้จัง คนพวกนี้เป็นใครกันนะ

"เสียงดัง ไร้สกุลรุนชาติ" นี่คือทักทายของเจ๊ชมพู่ซินะ

"อุ๊ยตาย สวัสดีค่ะบอสสส" เจ๊หนุงท่าทีเปลี่ยนไป ดูท่าแล้ว เจ๊ชมพู่น่าจะถือครองอำนาจที่ใหญ่พอสมควร "บอสเรียกหนุงมามีอะไรให้หนุงรับใช้ค่ะ"

"นี่ไง" ชี้มาที่ผมเหรอ ทำไมอ่ะ

"ว๊ายตายแล้ว" เจ๊หนุงเอามือทาบหน้าอก อย่างกับมีนมเนาะเจ๊ "ใครกันจะให้น้องมาเป็นลีด...." นี่คือด่ากูอยู่ ถูกไหม "เอ.... แต่ดูไปดูมา ก็ใช้ได้อยู่นะ ไม่ได้หล่อพิมพ์นิยม ถึงหน้าจะจืดไปหน่อย แต่เครื่องสำอางน่าจะช่วยได้.... ซีซี่ นั่นชุดนิสิตของน้องใช่ไหม"

"เจ้าค่ะ"

"เอามานี่ซิ" พี่หนุงวางกระเป๋าสตางค์ลงกับพื้น เปิดซิบอย่างคล่องแคล่วแล้วทาบเสื้อกับกางเกงลงบนตัวผม "ผิวขาวเข้ากับชุดนิสิตดีมาก ดีงาม... ไม่ต้องลองชุดหรอก เดี๋ยวไปสั่งให้ช่างแก้ชุดเลย ฉันจะเขียนรายละเอียดให้ โอเคไหม"

"ค่ะ" เจ๊ซีซี่รับคำ

"นี่ผิวน้าหรือก้นเด็กค่ะ เนียนอะไรได้เบอร์นี้" ส่วนนี่น่าจะเป็นคำชม "เดี๋ยวไปล้างหน้า เจอกันห้องฟิตติ้ง"

"เจอไหนนะครับ" ทำไมข้อมูลมันเร็วไปหมดวะ พูดกันช้าๆหน่อย ผมไม่เคยทำอะไรแบบนี้นะ

"ห้องฟิตติ้งไง ฉันเป็นสไตล์ลิส จะให้ไปเจอห้องสตูฯรึไง..."

"โอเคค่ะพี่หนิง เดี๋ยวหนูพาน้องน้ำชาไปเองค่ะ" เจ๊ซีซี่พยายามช่วยผม ทำไมพี่พวกนี้ดูอารมณ์เสียกันง่ายจัง อย่าให้กูดุบ้างนะ จะมีใครกลัวไหมเนี่ย

"อ่ะๆ รีบไป" เจ๊ชมพู่ไล่ผมต่อเลย "เสร็จแล้วก็กลับมา เวลาน้อย ซีซี่ ถ้าน้องทำไรเสร็จแล้วก็โทรหาชั้น ชั้นจะขึ้นไปทำงานที่ห้อง"

"โอเคค่ะเจ๊"

เจ๊ซีซี่รีบคว้าตัวผมให้เดินตามพี่แกไป ขั้นแรกคือห้องน้ำที่หรูสุดๆ เป็นห้องน้ำรวมที่ดูเป็นส่วนตัวและสะอาดมาก อุปกรณ์ ครีมอาบน้ำ สบู่ ครบครัน มีแต่ของแพงๆทั้งนั้น

"เสร็จหรือยัง" ชิบหายแล้ว อย่ามัวดูเพลิน ต้องรีบแล้ว



"อ่ะ มานั่ง" ผมมาถึงอีกห้องบนชั้นสอง ห้องนี้มีสองส่วนคือส่วนลองชุด ที่มีชุดเสื้อผ้าแขวนเต็มไปหมด กับส่วนตรงนี้ที่มีกระจกติดไฟรอบ เรียงกันเป็นสิบบาน "ฟังนะ พี่จะพูดและทำให้ดู จำ แล้วก็เอาไปทำตาม"

"จำอะไรครับ"

"น้องแกนี่คำถามเยอะนะ" พี่หนุงหันไปพูดกับเจ๊ซีซี่

ก็มันจริงนี่หว่า คนที่นี่เป็นบ้าไรกันไปหมด ทำไมถึงพูดอะไรให้มันเข้าใจง่ายๆไม่ได้วะ พูดอย่างกับว่าทุกคนต้องรู้ทุกเรื่องอยู่แล้ว

"วิธีการแต่งหน้าค่ะ"

"แต่ผมไม่เคยแต่งหน้ามาก่อนเลยครับ"

"แล้วจะเป็นไหม ลีดมหาลัยอ่ะ อ่ะๆ แค่ลีดคณะก่อนเนีย จะเป็นไหม"

เออ พยักหน้าก็ได้วะ กูยอมแล้ว จะด่าไรก็ด่ามา เอาวะ ซักตั้งนึง มันจะเท่าไหร่กันเชียว

"ถ้าอยากก็ต้องทำ ฝึก แล้วก็พยายาม พี่ตองหน่ะ เค้ามาดเม้นแฮนซัมกว่าเธอเป็นไหนๆ เค้ายังทำได้เลย อันนี้มันเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นลีด ถ้าเธอไม่รู้จักวิธีปรับลุคของตัวเองให้ดูดี เธอก็ปิ๋วค่ะ บอกไว้ตรงนี้เลย..."

"โอเคครับ ผมพร้อมจะเรียนรู้ทุกอย่างแล้วครับ.... เอ่อ เดี๋ยวแป๊บนึงนะครับ ผมขอถ่ายวิดีโอไว้หน่อย" รีบเลยกู ถ้าไม่ถ่ายไว้ กูลืมแน่นอน

"ดีค่ะ ฉลาด ปรับตัวได้เร็ว เป็นคุณสมบัติของลีดที่ดี" ขอบคุณที่อุตส่าชมผมตั้งหนึ่งประโยค "ไอ้เรื่องเส้นผมทรงผมเนี่ยนะ ไม่ต้องไปทำไรกับมันมาก ดูแลให้สุขภาพดีเป็นพอ บำรงบำรุงอะไรก็ใส่ไปให้หมด แล้ว...."

ผมได้รับการถ่ายทอดวิชาแบบยาวเหยียบ ลักษณะคล้ายๆกับว่าเป็นการมองเห็นจุดเด่นของตัวเอง อะไรแบบนี้ ปรับให้ลุคไม่ดูอ่อนหวานเกินไปในอากาสที่เราต้องการความหล่อ เท่ บลา บลา บลา .... ใจจริงก็อยากจะพูดว่าข้อมูลเต็มหัวนะ แต่ตอนนี้ท้อไม่ได้แล้ว ไอ้พี่ตองมันอุตส่าหาโอกาสมาให้ แล้วทำไมมันต้องทำเพื่อผมขนาดนี้ด้วยวะ อยู่ดีๆก็ใจดีเกินเหตุ เพราะผมติวให้เหรอ แค่นั้นอะนะ ไม่น่าจะใช่

พูดถึงไอ้พี่ตอง ตอนนี้ก็เที่ยงแล้วนี่หว่า คะแนนออกยังน้าาาา การสอบใช้ระบบคอมพิวเตอร์ คะแนนน่าจะออกทันทีด้วยซ้ำ เดี๋ยวเรียนเต้นกับเจ๊ชมพู่เสร็จเข้าไปเช็คดีกว่า



"อ่ะ หมดเวลาแล้ว" เสียงสวรรค์ ต้องขอบคุณเจ๊ซีซี่มากเลย มีผู้จัดการส่วนตัวมันดีแบบนี้นี่เอง มีน้ำท่าไม่ขาด แต่เหงื่อที่ท่วมตัวอยู่ตอนนี้ จะไปโรงบาลสภาพนี้ได้ไง

"ขอบคุณนะครับพี่ชมพู่" ผมรีบขอบคุณก่อนเจ๊แกจะออกจากห้องดีกว่า

"ฉันก็สอนให้ได้แค่นี้แหละ ไม่ได้ดีเด่อะไรนักหรอก"

"แค่นี้ก็มากมายแล้วครับ มีประโยชน์กว่าที่ผมนั่งดูในคลิปมาทั้งปีอีก" ใช่ เหมือนพลิกประวัติศาสตร์ลีดในหัวของผมหมดเลย

"โอเค ไว้.... เจอกันแล้วกันนะ"

"ครับ ขอบคุณครับ"



"โอเคไหมเรา เป็นไง ยากไหม" เจ๊ซีซี่ถาม

"ไม่เป็นไรครับ" ผมพยายามทำตามที่เจ๊ชมพู่สอน

"ไม่ต้องมาตอบตามหลักสูตร เจ๊ถามเนี่ยก็เพราะว่าเจ้าตองให้คอยดูเรา ให้ลองช่วย ให้กำลังใจ ไม่งั้นจะให้เจ๊มาด้วยทำไม ก็ถ้าเผื่อน้ำชาไม่ไหว พี่ก็จะได้จัดการพาน้องกลับได้อะไรได้ไง เข้าออกตึกนี่เองโดยไม่รู้ประสีประสาได้ยังไงล่ะ"

"พี่ตองให้ทำอย่างงั้นเหรอครับ" ทำไมฟังดูเหมือนเป็นห่วงเป็นใยจังวะ อะไรของพี่มันเนีย

"อ้าว ก็ใช่ซิ แต่ตอนนี้พี่ว่าอาบน้ำก่อนไหม เหงื่อท่วมแล้วนะ"

"ผมไม่ได้เตรียมชุดมาด้วยอ่ะ พี่ตองไม่ได้บอกว่าจะมานี่"

"พี่เป็นใครคะ พี่บัดดี๊ของลีดชื่อดังนะคะ พี่มีดี ไม่งั้นพี่ตองไม่เลือกพี่เป็นบัดดี๊หรอกค่ะ" เจ๊ซีซี่ยกชุดออกมาจากกระเป๋า ชุดคล้ายๆกับเอี๊ยมยีนส์ น่ารักฟุ้งฟิ้งไปเปล่าเจ๊

"พี่!! มันน่ารักไป ผมไม่ใส่หรอก ผมกลับไปอาบน้ำที่หอก็ได้นะ"

"ไม่ต้องเลย เดี๋ยวพี่ตองก็มาแล้ว แล้วชุดนี่นะพี่ตองซื้อให้" ห๊ะ จริงดิ "พี่หนุงก็บอกว่าดี เหมาะกับน้ำชามาก พี่เค้าย้ำเจ๊มาว่าต้องบังคับให้น้ำชาใส่ให้ได้ เป็นการปรับบุคลิกภาพตัวเองตั้งแต่ตอนนี้ ไปเปลี่ยน ด่วนค่ะ"



บ้าเอ๊ยยยยยยยยยย  นี่กูอยู่ในชุดเอี๊ยมจริงเหรอวะ กูก็กล้าใส่เข้าไปได้นะ ไม่กล้าออกจากห้องน้ำเลย พูดตรงๆ

#เสียงโทรศัพท์

"ไงวะไอ้ต้อม"

"เออมึง คะแนนออกแล้วนะ กูได้ 69.5% ว่ะ" อะไรวะ ก็ผ่านนี่หว่า ทำไมน้ำเสียงมันดูไม่ดีใจ

"ก็ดีนี่หว่า ผ่านแล้ว ผ่านตั้งแต่ปีแรกเลย"

"เออ....  กูว่าพรุ่งนี้กูจะไปสอบอีกรอบว่ะ"

"เพื่อไรวะ อะไรของมึงเนี่ย"

"เค้าก็ไม่ได้ห้ามคนที่สอบผ่านให้ไปสอบใหม่นิ"

"เดี๋ยวๆๆๆ มึงไม่ปกติแล้วตอนนี้ อยู่ดีๆก็อยากจะเก่งเลขขึ้นมา ยังไงวะ... อ่อ เดี๋ยวก่อนๆ กูมีเรื่องต้องเคลียร์กับมึง เมื่อวานนี้มึงไปขอให้ขิงติวให้อีกแล้วใช่ไหม"

"เห้ย มึงรู้ได้ไงวะ น้ำขิงบอกมึงเหรอ"

"กูรู้ได้ไงไม่สำคัญอ่ะ แต่มึงจะไปรบกวนเค้าทำไมวะ ขิงมันเด็กเรียบร้อยนะ กูไม่อยากให้มึงไปทำให้ขิงเหลวไหล ไอ้เวร กูบอกจะติวให้ มึงก็ไม่เอา อะไรของมึงวะ"

".......โห มึง  กูดูเหลวไหลขนาดนั้นเลยเหรอวะ กูไม่ทำให้น้ำขิงลำบากหรอกน่า กูก็เลี้ยงดูเค้าอย่างดีนะเว้ย"

"ไม่ต้องเลยมึง ครั้งหน้าเดี๋ยวกูติวให้มึงเอง ไม่ต้องไปรบกวนเค้าแล้วนะ"

"...... อย่างกับมึงมีเวลามาติวให้กูเน๊าะ" พูดไรของมันวะ "เดี๋ยวนี้คือยังไงวะ มีพี่ตองไปรับไปส่ง มึงไปญาติดีกันตอนไหนวะ ไม่เห็นเล่าให้กูฟังเลย"

ชิบหายละ จะตอบว่าไงดี "...."

"มึงลืมไปรึเปล่า ว่ากูอยู่หอเดียวกับมึงนะ เมื่อเช้านี้กูก็มีสอบ ลงมาเห็นมึงข้างล่างแต่เช้าก็ว่าแปลกใจแล้ว นี่เห็นมึงขึ้นรถไอ้พี่ตองไป กูนี่โคตรแปลกใจเลย"

"มันมีเหตุนิดหน่อย มึงไม่ต้องมาแวงกัดกูเลย นี่ถ้าขิงกลายเป็นคนหยาบคายเพราะมึงนะ กูจะตัดหางปล่อยวัดมึง"

"โห.... เออ กูจะทำตัวดีๆ ไปละนะ"

"ไปไหนวะ"

"เสือก"  ไอ้สัด นี่รอบสองแล้วนะ วางสายใส่กูอีกแล้ว



โอเค ไปข้างนอกดีกว่า เหมือนจะได้ยินเสียงเจ๊ซีซี่รออยู่ข้างนอกนะ  เออ ลืมเช็คคะแนน ไหนดูหน่อยซิ

​นายนาวาพล  ขัตติยชาติ คะแนน 71%  ผ่าน



"เห้ยยยยย เจ๊ซีซี่ ดูดิครับ ดูนี่ๆ พี่ตองสอบผ่านแล้ว" ผมดีใจจัดเลย รีบตะโกนบอกเจ๊ซีซี่ก่อนเลย ตอนซ้อมอุตส่าเก็บความตื่นเต้นมาตลอดช่วงเช้า

อ้าววววว

นี่มัน ไอ้พี่ตอง นี่หว่า ตาค้างเลยกู เผลอจับมือไปแล้วด้วย



"ครับ พี่ผ่านแล้ว ขอบใจนะ"
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 8 [ความจริง]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 31-10-2017 21:40:24
​ตอนที่ 8 : ความจริง



"เห้ยยยยยย เจ๊ซีซี่ ดูดิครับ ดูนี่ๆ พี่ตองสอบผ่านแล้ว"

น้ำชา เด็กที่ผมเข้าใจมาตลอดว่าเป็นไอ้เด็กเกรียนที่ตั้งตัวขึ้นมาเป็นศัตรูกับผม เค้ากำลังวิ่งหน้าตั้งออกมาจากห้องน้ำในชุดเอี๊ยมที่ผมเตรียมไว้ให้ บอกตรงๆว่า โคตรรรร น่ารัก เลย  แต่รู้สึกว่าจะเข้าใจผิดนะ คงผิดว่าผมเป็นเจ๊ซีซี่ ผู้จัดการส่วนตัวของผม ก็เอาแต่มองโทรศัพท์อยู่แบบนั้น   นั่นไง....  จับมือผมด้วย สงสัยจะดีใจจนลืมตัว

อ้าว  รู้ตัวซะแล้วเหรอว่ากำลังดีใจอยู่กับเจ้าตัวเขาเองที่ยืนอยู่ตรงนี้

"ครับ พี่ผ่านแล้ว ขอบใจนะ"

ความรู้สึกของผมตอนนี้ พองโตมาก ไม่ใช่เพราะว่าผมสอบผ่านนะ แต่เพราะความจริงต่างหาก ที่ทำให้ความรู้สึกของผมตอนนี้ กับ เมื่อสิบสองชั่วโมงที่แล้ว แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง อยากรู้ที่มาไหม ถ้างั้นก็..... ย้อนกลับไปเมื่อคืนนี้



"ฮัลโหลขิง" ผมตัดสินใจโทรหาขิงอีกรอบ หลังจากที่โดนตัดสายทิ้งไป ยังไงก็ต้องรู้เรื่องทั้งหมดให้ได้ รู้สึกเหมือนอะไรๆมันดูปะติดปะต่อกันแปลกๆ "ถ้าขิงวางสายใส่พี่อีก ไม่ต้องมาเรียกพี่ว่าพี่แล้วนะ"

"พ... พี่ตองงงง อย่าพูดแบบนั้นซิครับ" ไอ้ขิง เด็กเรียบร้อยๆแบบเอ็ง ไม่มีทางทันเล่เหลี่ยมของพี่หรอก รู้สึกผิดซะ รู้สึกผิดให้มากๆ แล้วคายความลับออกมา

"ขิงใช่ไหมที่เป็นคนเอาเรื่องของพี่ทั้งหมดไปเล่าให้น้ำชาฟัง"

"......" ไม่ตอบๆ งั้นต้องเจอระดับที่โหดกว่านี้

"นี่แสดงว่าตลอดมา ที่ทำเป็นมาสนิทสนมกับพี่ เพราะน้ำชาสั่งมาใช่ไหม โดนสั่งให้มาล้วงความลับของพี่ใช่ไหม"

"ไม่ใช่อย่างนั้นซะหน่อยพี่ตอง" เสียงน้องเหมือนจะร้องไห้เลย นี่กูไม่ได้เล่นแรงไปใช่ไหม ไอ้เด็กคนนี้มันยิ่งอ่อนไหวง่ายอยู่ "ขิงเป็นพี่น้องกับพี่เพราะว่าขิงอยากรู้จักพี่นั่นแหละ มันไม่เกี่ยวกับน้ำชาหรอก ขิงไม่เคยลืมหรอกว่าพี่ดีกับขิงแค่นี้ ถ้าไม่ใช่เพราะมีพี่อยู่ข้างๆ ขิงก็คงจะยังโดนพวกที่โรงเรียนแกล้ง แต่เรื่องของน้ำชา... คือ... มันก็มีเหตุผลอยู่.... แต่ขิงกับน้ำชา คือ มัน..."

อ้าวไม่พูดต่อ ไม่ยอมพูดใช่ไหม เอาวะ ต่อให้น้องมันร้องไห้ก็ต้องรู้ความจริงทั้งหมดให้ได้

"อ๋อ พี่เข้าใจแล้ว น้ำชาคงจะเป็นญาติคนสำคัญของขิงซินะ เขาคงจะสำคัญกับขิงมาก พี่มันก็เป็นแค่พี่น้องปลอมๆ ที่ขิงถูกคนสำคัญบังคับให้มารู้จักด้วย แค่คนโง่ที่ถูกหลอก ก็ได้ขิง พี่ก็เพิ่งรู้นี่แหละ ว่าหลายปีที่เราเป็นพี่น้องกันมา มันไม่ได้สำคัญอะไรกับขิงเลย"

"...... พี่ ต.. ตอง" กูว่าน้ำตาไหลอยู่ชัวร์เลย เสียงแบบนี้ #เห้ยขิงเป็นไรอ่ะ ร้องไห้ทำไม

"พี่ไม่บังคับแล้วกันนะ แต่พี่คงไม่ขอโทรหาขิงอีกนะ พี่ทำใจไม่ได้ว่ะ"

"พี่!!! อย่าทำแบบนี้เลย  นะ ก็ได้ ขิงจะเล่าให้ฟังก็ได้"

เฮ้อออออ สำเร็จสักทีกู ทำน้องมันร้องไห้เลย แต่เอ็งมันสมควรโดนแล้ว มามีความลับกับพี่ ไหนเล่ามาดิ

เสียงขิงกำลังทำใจ คงจะปาดน้ำตาอยู่มั้ง แล้วก็ถอนหายใจออกมาดังๆ

"เมื่อห้าหกปีที่แล้ว พอชารู้ว่าขิงเรียนที่โรงเรียนเดียวกับพี่ตอง ชาก็แนะนำให้ขิงรู้จักกับพี่ตอง ย้ำนักย้ำหนาว่าถ้าขิงไม่อยากโดนเพื่อนที่โรงเรียนแกล้งให้พยายามสนิทกับพี่ไว้ เพราะพี่เป็นคนใจดี ชอบช่วยเหลือคนเดือดร้อน ขิงก็ทำตาม แล้วก็เป็นอย่างที่ชาบอกจริงๆ" ไอ้น้ำชา มันมารู้อุปนิสัยส่วนตัวของเราได้ยังไงวะ "ขิงไม่ได้โดนชาบังคับให้มารู้จักกับพี่นะ ชาแค่แนะนำเฉยๆ แต่..."

"แล้วที่เอาเรื่องของพี่ไปบอกน้ำชาหละ"

"คือ น้ำชาอ่ะ พยายามเรียนรู้สิ่งที่พี่ทำทุกอย่าง เค้าขอให้ขิงบอกสถานการ์เกี่ยวกับพี่ตลอดเพื่อแลกกับการติวเลขให้ขิง พี่ก็รู้ว่าขิงใฝ่ฝันอยากเป็นครูสอนเลขแค่ไหน ชาอ่ะ อยากจะเป็นให้ได้เหมือนพี่ พี่สนใจอะไร กำลังทำอะไร กำลังจะแข่งอะไร ชาก็พยายามทำตามหมด แต่ชาเป็นคนเก่ง มีพรสวรรค์ ชาเป็นคนทำอะไรจริงจัง ชอบใครก็ชอบจริงจัง เพราะงั้นก็เลยทำให้เค้าเลียนแบบพี่ตองจริงจังไปหน่อย จนพี่เข้าใจว่า ชาพยายามตั้งตัวเป็นคู่แข่ง ทั้งๆที่สำหรับชาแล้ว พี่เป็นเหมือนไอดอลของเค้า"

ช็อกไปเลยกู นี่ใช่ไหมที่ไอ้น้ำชาพูดว่า เรามองโลกในแง่ร้าย "แล้วเรื่องการบ้านหละ ทำไมขิงไม่บอกพี่"

"ขิงก็เคยเสนอไปแล้วว่าให้บอกพี่ไปตามตรง แต่ชาก็ย้ำอีกว่าให้ขิงบอกพี่ว่าขิงเป็นคนทำเอง ชาเค้ากลัวพี่จะตีความในแง่ร้ายกับเค้าอีก แค่นั้นชาก็เสียใจมากแล้วพี่ตอง จู่ๆคนที่ชามองว่าเป็นเหมือนทุกอย่างของเค้า กลับหันมาเกลียดเค้าแบบนั้น"

นี่กูเ-ี้ยสุดเลยใช่ไหม นานแค่ไหนแล้ววะที่เราเข้าใจแบบนี้ อย่างน้อยก็สามสี่ปีหละ น้ำชามันจะรู้สึกยังไงวะ แล้วพอย้อนกลับมาดูสถานการณ์ตอนนี้ เหตุผลว่าทำไมเด็กเก่งๆของนั้นถึงมาเรียนที่มหาลัยนี้ เหตุผลว่าทำไมเด็กที่ไม่ได้ดูมีพรสวรรค์ทางด้านเชียร์ลีดเดอร์ถึงอยากขึ้นมาทำงานทุกนี้นัก เหตุผลที่ยอมมาทำงานที่โรงพยาบาล เหตุผลที่ยอมโดนอาจารย์หมอด่า ทั้งหมดมีอยู่แค่เหตุผลเดียว คือ เพื่อเข้าถึงตัวเราให้ได้

แต่พอรู้แบบนี้แล้ว ความรู้สึกของการอยากสัมผัสผิวกายที่มีชีวิตชีวานั่น กลับเด่นชัดออกมาอย่างไม่มีข้อกังขา

"อ... โอเคขิง พี่เข้าใจทุกอย่างแล้ว ขอโทษที่ทำให้ร้องไห้นะ ไม่ได้กำลังอยู่คนเดียวใช่ไหม พี่เป็นห่วง"

"เปล่าครับ ขิงอยู่กับ..." #ต้อมเว้ย กูชื่อต้อม มึงเป็นใครวะมาทำให้ขิงร้องไห้ "ต้อมพี่ เพื่อนของชาอ่ะครับ ​จะโวยวายทำไม อายเค้า"

โห ด่ากูเป็นชุดเลย ไอ้คนชื่อต้อมนี่คือคนที่น้ำชาคุยด้วยเมื่อตอนบ่ายหรือเปล่าวะ ตอนที่น้ำชาเดินออกมาจากห้องน้ำในโรงพยาบาล คิดว่าจำชื่อไม่ผิดนะ

"อ๋อ เพื่อนของน้ำชา คนที่สอบหลักคณิตผ่านได้ 81% อะนะ"

"ต้อมยังสอบไม่ผ่านนะพี่ตอง" ห๊ะ นี่จำได้ว่าได้ยินน้ำชาพูดว่า น้ำชาติวให้เพื่อนที่ชื่อต้อมจนสอบผ่านที่คะแนน 81% นะ จำได้ค่อนข้างละเอียดเลยแหละ "ชาไม่ว่างมาติวตั้งแต่แรกแล้ว ชาขอให้ขิงเป็นคนติวให้แทน แต่ก็ยังสอบไปผ่านนะ ขาดไป 1% ชาไม่น่าจะมีเพื่อนเยอะนะ ขิงรู้จักชาดี เค้าไม่ชอบสนิทกับคนเยอะๆ"

เชดดดดดด นี่แสดงว่าน้ำชาแกล้งโทรศัพท์หลอกเราอะดิ ทำไปเพื่ออะไรวะ... เห้อ... ทำไมถึงเป็นคนที่ทำอะไรแล้วต้องมีแผนการตลอดนะ ช่างวางแผนนักนะ

หรือว่า จงใจจะให้เราได้ยินว่า เค้าสามารถติวหลักคณิตได้ ทำเป็นว่า ไม่มีรถกลับหอ ก็เลยเอามาใช้เป็นข้อแลกเปลี่ยน จริงซินะ น้ำชาคงมีความคิดฝังหัวว่าเราจะมองเค้าในแง่ร้ายอีก ถ้ามาทำอะไรตรงๆให้เรา

ไม่มีเหตุผลอื่นอีกแล้ว ไม่มีอะไรต้องสงสัยอีกแล้ว ไม่ใช่แค่กับเรื่องที่คาใจทั้งหมดนะ แต่กับความรู้สึกของผมนี่แหละ มันชัดเจนที่สุดแล้ว ว่าจะเอายังไงต่อดี

"พี่ตอง พี่ตอง"

"ห๊ะๆ ว่าไงขิง" มัวแต่รวมเรื่องราวเข้าด้วยกัน คิดนานไปหน่อย

"ขิงบอกทั้งหมดแล้วจริงๆนะ ทั้งหมดที่ขิงรู้"

"พี่รู้ว่าขิงไม่โกหกพี่หรอก... ขอบใจมากนะ แล้วก็... เพื่อนของน้ำชาที่ชื่อต้อมหนะ ในฐานะพี่นะ พี่ว่าคนๆนี้จะปกป้องขิงแทนพี่ได้ พี่คงไม่ค่อยมีเวลาไปดูแลขิงเหมือนสมัยอยู่ที่โรงเรียนนะ เมื่อก่อนน้ำชาเคยแนะนำพี่ให้ขิงมารู้จักใช่ไหม ครั้งนี้พี่ขอทำบ้าง พี่เชื่อว่า เค้าจะทำได้ดีกว่าพี่อีก"

"....."

"แค่นี้นะ"





กลับมาที่ปัจจุบัน

เข้าใจแล้วใช่ไหมครับว่าทำไมความรู้สึกของผมตอนนี้ถึงได้พองโตนัก ก็การที่ผมกำลังถูกน้ำชาจับมืออยู่ตอนนี้ไงครับ ได้เห็นความรู้สึกจริงๆของเค้าด้วยสายตาตัวเอง พูดกันตามตรงนะครับ รู้สึกดีชะมัด

หมดเวลาหยาบคายกับน้ำชาแล้ว จากนี้ไป คือบทที่ผมต้องทำดีคืนกลับไปให้เค้าบ้าง

เตรียมตัวรับมือให้ดีหละ

....................................................................







ในมุมของน้ำชา

"กลับมาตั้งแต่ตอนไหนอ่ะ" สะบัดมือออกให้ไวเลย เขินเลยกู ไปเผลอจับมือไอ้พี่ตอง แถมยังไปแสดงท่าทางดีใจอีก ไม่ดูตาม้ามาเรือเลย กูนะกู

"ก็เพิ่งจะมานี่แหละ"

"อ... อ่าๆ ไปโรงบาลได้แล้ว ต้องรีบไปทำงาน" ยังเขินอยู่เลย รีบหนีไปจากตรงนี้ดีกว่า

"ยังไปไม่ได้ พี่มีถ่ายงานข้างนอก ไปกับพี่ก่อน แล้วข้าวปลาจะไม่กินหรือไงล่ะ"

"แล้วจะไม่ไปโรงบาลได้ไง นี่คำสั่งหมอพิชิตนะ"

"เอาเถอะน่า พี่จัดการไว้ให้หมดแล้ว"

"จัดการอะไร" พูดอะไรของมันวะ "โชกุนรออยู่ พี่จะจัดการอะไรผมไม่สนใจอ่ะ เด็กๆต้องมาก่อน"

"นี่คิดว่าคนอย่างพี่ จะไม่ห่วงเด็กๆเหรอ"

โห่ พูดแบบนี้ กูก็พูดไม่ออกอะดิ

"แต่พี่ต้องห่วงน้ำชาก่อนไหม"

"......." ห๊ะ  ห๊ะ  ห๊ะ  ห๊ะ!!!!!!!

"ไปกินข้าวได้แล้ว เดี๋ยวไม่ทัน"

อะไรของมันวะ ทำไมไอ้พี่ตองมันถึงพูดแบบนี้ พูดดีเกินไป เพราะที่ติวให้มันเมื่อคืนอะเหรอ หรือเพราะชุดที่ใส่ จะบ้าหรือไง คิดไรของกูวะ



ผมเดินตามออกมาจากตึกด้วยอาการงงๆ งงสุดๆ เมื่อเช้ายังหยาบคายกับเราอยู่เลย ตั้งแต่สอบผ่านมา รู้สึกว่าจะเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเองไปหมดเลยนะ

"เจ๊จองร้านไว้ให้แล้ว" เจ๊ซีซี่คุยกับ ไอ้..... เอ่อ  กับพี่ตอง หลังจากที่เราทุกคนอยู่บนรถ "ร้านเดิมนะ รีบกินจะได้รีบไป"

"ขอบใจเจ๊"



หลังทานข้าวกลางวันอย่างรวดเร็ว จนผมแทบจะไม่ได้กินอะไร เป็นลีดมหาลัยมันต้องทำอะไรกระฉับกระเฉงตลอดเวลาเลยใช่ไหม ไม่ทันได้ตั้งตัวผมก็ถูกพามาที่สตูดิโอแห่งหนึ่ง ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนะ นึกว่าสตูดิโอต้องใหญ่ๆ คนเยอะๆ มีทีมงานเดินวุ่นวายซะอีก แต่ที่นี่ก็มีแค่ช่างภาพ ช่างแต่งหน้า คนถือไฟ แล้วก็อีกสองสามคน

"พี่นิก สวัสดีค่า" เจ๊ซีซี่เข้าประชันกับช่างภาพทันที "เจอกันอีกแล้วนะคะพี่ รบกวนอีกแล้วนะ ฝากดูแลเพื่อนหนูด้วยนะคะ"

"อะไรกันเจ๊ซีซี่" ช่างภาพตอบ "พี่ต่างหากต้องฝากตัวกับเจ๊ ผู้จัดการดาราดัง ช่างภาพโนเนมอย่างพี่นิต้องฝากตัว"

"ก็พูดไปนะพี่...."

คุยกันออกรสออกชาติเชียว

อ้าว พี่ตองหายไปไหนแล้ว



"น้ำชา" หือ? เสียงพี่ตองนี่หว่า มาจากไหนวะ "น้ำชา" อ่ออยู่หลังม่านแดง

นี่มันคือห้องไรวะ อยู่ในนี้เหรอ



เชี่ยยยยยยยยยยยยยยย

ไอ้พี่ตอง ทำไมมันแก้ผ้าหมดแบบนี้วะ เหลือแค่กางเกงในตัวเดียว ดีนะที่เป็นกางเกงในแบบเต็มตัว

"ทำบ้าไรของพี่วะ" กูไม่เข้าไปหรอกนะ ปิดม่านเลย ไม่มองๆ

"อ้าว พี่มาถ่ายแบบกางเกงยีนส์นะ จะให้ใส่กางเกงนิสิตถ่ายหรือไง" ไอ้พี่ตองบ้ามันตอบมาจากหลังม่าน "หยิบกางเกงยีนส์สี่ห้าตัวที่วางอยู่บนเก้าอี้ให้หน่อย"

"เรื่องไรหละ ออกมาเอาเองดิ"

"ในสภาพนี้อะนะ ไม่กลัวคนอื่นเห็นพี่เหรอ"

กลัวทำไมวะ "เห็นก็เห็นไปดิ"

"แน่นะ" ไอ้นี่จะเอาจริงเหรอวะ

"เออๆ" ผมหยิบกางเกงขึ้นมา ยื่นส่งให้ผ่านม่านนะ ไม่เข้าไปหรอก นี่ยังไม่กล้าดูด้วยซ้ำ

"เอาเข้ามาดิ"

"จะให้เข้าไปทำไมหละ รับไปซิ หนักนะ"

"มันไม่มีกระจก ไม่มีคนดูให้ จะรู้ไหมว่ามันดีไม่ดี"

"ก็ดูเอาเองซี" อะไรของพี่แกวะ

"นี่จะเรื่องเยอะอะไรเนีย เจ๊ซีซี่ก็ช่วยพี่ดูออกจะบ่อย แค่นี้เอง ทำไมไม่กล้ามองพี่งะ เขินเหรอ หรือกลัวจะอดใจไม่ไหว"

"ปัญญาอ่อน" ไอ้พี่ตองบ้า พูดไรวะ แล้วเจ๊ซีซี่ทำไมไม่มาทำหน้าที่วะ มัวแต่เซ็นเอกสารอะไรก็ไม่รู้

"เร็วดิ จะกลับไปโรงบาลไหม เดี๋ยวช้านะ"

กูเอ๊ยยยยยย  ห้ามใจไว้นะมึง ห้ามหน้าแดง ห้ามเขิน ห้ามทุกอย่างเลย.....



ตึ่กตึ่ก  ตึ่กตึ่ก  ตึ่กตึ่ก .......

ชิบหายละกู แบบนี้มันห้ามใจไม่ได้ชัดๆ

แล้วห้องนี้มันจะเล็กไปไหนวะ ทำให้ผมแทบจะยืนติดกับไอ้คนแก้ผ้าไม่อายฟ้าดินอยู่เนี่ย

ให้ตายเหอะ ทำไมหน้ามันร้อนผ่าวๆล่ะ แต่ก่อนจะเคยเห็นไอ้พี่ตองมันถอดเสื้อผ้าแล้วนะ ก็เคยแข่งว่ายน้ำกันมาก่อน ก็รู้อยู่หรอกว่าหุ่นดี

แต่ว่า.... ตอนนี้ มันทำไมมันควบคุมความรู้สึกตัวเองไม่ได้ นี่พยายามไม่มองกล้ามเนื้อกำยำนั่นแล้วนะ พยายามไม่มองสายตาอบอุ่นนั่น พยายามไม่รู้สึกคลั่งไคล้ในไออุ่นที่ส่งออกมาจากร่างกายหนาของคนเบื้องหน้า แล้วไอ้พี่บ้านี่มันจะส่งสายตาเจ้าชู้มาใส่กูทำไมวะ แค่นี้กูก็ทำใจยากพออยู่แล้ว

"ส... ใส่เข้าไปซะทีซิ" ผมก็ยังพยายามไม่มอง พยายามมองสูงแล้วนะ แต่ไอ้พี่ตองมันก็ตัวสูง เห็นหน้าอยู่ดี ไม่ต้องพูดถึงเรื่องมองต่ำนะ มันจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน

"อ่ะ.... ดูเป็นไงบ้าง" ไอ้พี่ตองเรียกให้ผมดูกางเกงที่มันใส่

"แล้วไม่มีเสื้อใส่หรือไงล่ะ" ไอ้บ้า ใส่แค่กางเกงเนี่ยนะ

"ถ่ายแบบกางเกง ใครเขาใส่เสื้อกันหละ.... แล้วสรุปเป็นไง"

นี่กูต้องมองจริงๆใช่ไหมเนี่ย

"อืม ก็ดูดีนิ" รีบตอบรีบออกไปดีกว่า

"เดี๋ยว ตั้งใจดูดิน้ำชา นี่พี่ต้องใช้ทำงานนะ ถ้ามันออกมาไม่ดี พี่โดนตำหนินะ"

กูเอ๊ย ทำไมต้องตกอยู่ในสภาวะนี้ด้วยวะ

ใช่ พี่ดูดี ดูดีมากด้วย หุ่นก็ดี ตัวก็สูง ผิวก็น่าสัมผัส กางเกงที่ใส่อ่ะ มันไม่ได้สวยอะไรมากหรอก แต่เพราะพี่ใส่มันถึงได้ดูดี  กูจะพูดแบบนี้ได้ยังไงวะ ไอ้บ้าาาาาาาา

"โอเค ดูดีแล้ว ไม่โดนว่าหรอก" สุดท้ายกูก็เลือกใช้คำนี้ ออกไปดีกว่า ไม่ไหวแล้ว



"หืออออ" เจ๊ซีซี่ตาค้างเลย ที่เห็นผมกับพี่ตองเดินออกมาจากห้องแต่งตัวพร้อมกับ ไอ้พี่ตองบ้านี่ก็ไม่สนใจอะไร เดินไปหาช่างแต่งหน้าต่อเฉยเลย

"ช... ช่วยพี่เขาดูชุด แทนเจ๊อะครับ เห็นเจ๊ไม่ว่าง" ผมต้องรีบอธิบาย

"แทนเจ๊" เจ๊ซีซี่ถามย้ำ "ตองไม่อนุญาตให้พี่เข้าไปดูในห้องลองชุดเลยนะ ไม่เคยสักครั้ง"

"....." ช็อกไปเลยกู ไอ้พี่ตองบ้า มันแกล้งเราเหรอ

"อ่ะๆ ไม่เป็นไร มานี่ๆ ไปดูหน้าเซ็ตกัน" ผมโดนลากไปที่ที่ไอ้พี่ตองถ่ายแบบกางเกงที่ต้องถอดเสื้อของมันนั่นแหละ





ท่าทางคงทำมาบ่อยแล้วซินะ เชี่ยวชาญมาก รู้หมดว่าต้องโพสยังไงให้น่าสนใจ รู้มุมกล้อง เป็นคนที่รู้ว่าทำยังไงให้คนที่มองดูอยู่ 'ใจสั่น'

"โอเคตอง เปลี่ยนตัวใหม่ได้เลย เจ๋งมากน้อง" ช่างภาพให้สัญญาณเปลี่ยนชุด

"ไปช่วยพี่ดูชุดอีกไหม" ไอ้พี่ตอง มันไม่วายจะเดินมายิ้มเย๊าะล้อเลียนผม กวนตีนนะไอ้บ้าพี่ตอง ซักวันนึงเถอะ



หลังจากเปลี่ยนชุด ก็มาถ่ายภาพต่อ แล้วก็เปลี่ยนอีก แล้วก็ถ่ายอีก เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีกอยู่ชั่วโมงกว่า ก็จบภารกิจสักที



"ขอบใจมากเลยซีซี่ ได้นายแบบเจ๋งๆแบบนี้ ลูกค้าถูกใจชัวร์เลย" ช่างภาพพูดคุยกับเจ๊ซีซี่หลังจบงาน

ส่วนไอ้พี่ตอง มันเข้าไปเปลี่ยนชุดแล้วนี่นา  อ้อ โน่นไง มันยืนคุยอยู่กับสาวที่ไหนวะ รู้สึกว่าจะเป็นคนดูแลโปรเจ็คนะ เห็นเจ๊ซีซี่บอก แหม เห็นสาวสวยๆไม่ได้ สัญชาตญาณนักล่ามันเก็บไว้ไม่ได้เลยใช่ไหม

หุ๊! ไปรอข้างนอกดีกว่า บรรยากาศข้างในชักไม่ดีแล้ว



"น้องน้ำชา" ห๊ะ อะไรวะ สาวคนที่คุยกับไอ้พี่ตอง เดินมาดักหน้าไว้ทำไม หลบไป หงุดหงิด

"ครับ" กูต้องตอบตามมารยาทใช่ไหม แล้วรู้ชื่อเราได้ไงเนีย

"พี่รบกวนหน่อยซิ" ห๊ะ รบกวนไร "ชุดนี้ที่น้องใส่อ่ะ พอดีมันเป็นคอลเล็คชั่นใหม่ที่ Wrangler เพิ่งวางขาย เรากำลังหานายแบบมาโปรโมทพอดี แต่มันค่อนข้างจะหายากหนะค่ะ แต่ว่า.... เท่าที่พี่ดูน้องใส่มาวันนี้ คิดน่าจะถูกใจเจ้าของแบรนด์นะ"

"ค...ครับ" แล้วมาชมผมทำไมอ่ะ อยากจะบอกนะว่าชุดนี้ ไอ้บ้าพี่ตองมันบังคับผมใส่ ถึงจะไม่ได้บังคับตรงๆก็เถอะ

"พี่รบกวนหน่อยได้ไหม ถ่ายแบบชุดนี้ให้พี่ซักเซ็ตนึง พี่สัญญาว่าถ้าเจ้าของแบรนด์โอเค พี่จะขอค่าตอบแทนให้คุ้มค่าเลย"

"ไม่เอา" ผมต้องปฏิเสธให้เร็วที่สุด ให้ไปทำท่านั้นท่านี้หน้ากล้อง ไม่เอาด้วยหรอก

"เอาครับ" ไอ้พี่ตอง ไม่ต้องมายุ่งเลยนะ "น้องไม่เคยถ่ายหนะครับ คงจะตื่นเต้น เดี๋ยวเราไปคุยคอนเซ็บกับพี่นิกที่หน้าเซ็ตดีกว่านะ"

อะไรของพี่มันวะ พูดตกลงแทนเราเฉยเลย แล้วจะไปคุยอะไรกันเป็นเรื่องเป็นราว ไม่เอาด้วยหรอกนะ บังคับยังไงก็ไม่ทำ เราไม่ทำซะอย่าง ใครจะมาบังคับเราได้

"น้ำชา" เจ๊ซีซี่ "จะได้ถ่ายแบบเหรอ อุ๊ยตายแล้ว โชคดีจัง"

"ไม่ถ่ายเจ๊ ผมไม่ถ่ายหรอก ผมยังไม่ได้ตอบตกลงด้วยซ้ำ" ไม่รู้หละ ปฏิเสธเสียงแข็งไว้ก่อน

"ทำไมล่ะ ตองอุตส่าไปคุยให้นะ นี่เป็นโอกาสดีนะ"

"ผมไม่ได้อยากได้เงินนะพี่ แล้วผมก็ทำไม่เป็นด้วย ถ่ายแบบอะไรเนีย"

"ก็ถึงต้องฝึกไง นี่ พี่นิกคนนี้อะนะ เป็นช่างภาพคนเดียวกับพี่มหาลัยเราจ้าง ตอนคัดเลือกลีดมหาลัย เค้ามีส่วนในการตัดสินและให้คะแนนด้วยนะ เรียนรู้วิธีการทำงานให้ถูกใจพี่เค้าไว้ เป็นประโยชน์นะคะ....." ลังเลเลยกู  "แล้วแต่น้ำชาละกัน พี่อาสาเป็นบัดดี๊ให้ทั้งวันแล้ว พี่เนียเป็นใคร ถ้างานไม่ดีพี่ไม่แนะนำหรอกค่ะ"

เอาแล้วไงกู นี่มันอีกหนทางหนึ่งของการเป็นผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนานี่นา โอกาสที่จะได้เพิ่มเปอร์เซ็นผ่านการคัดเลือก นี่หรือเปล่านะ ที่พี่ตองไปคุยกับเจ้าของโปรเจ็คเมื่อกี๊



"ต้องทำยังไงบ้างอ่ะ" ผมเดินไปถามไอ้พี่ตองอย่างจำยอม "ผมไม่เคยถ่ายมาก่อน" แล้วพี่จะยิ้มทำไม นี่กังวลอยู่นะเนี่ย

"ก็ถ่ายเหมือนถ่ายรูปทั่วไปนั่นแหละ แค่ถ่ายเฉยๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก" นี่มันเป็นคำแนะนำตรงไหน

อ้าวๆ เดี๋ยวซิ ยังไม่พร้อมเลย ไอ้พี่ตองบ้า จะผลักเข้ามาในฉากทำไมเนี่ย

"โอเค ชื่อน้ำชาใช่ไหมเราอ่ะ พร้อมถ่ายนะ" ไม่พร้อมมมมมม "สาม สอง หนึ่ง"

แสงแฟลชกระแทกตาเต็มๆ ยังไม่ทันได้คิดอะไรเลย

"ไม่ต้องเกร็งๆ สบายๆ"

ไม่สบายอ่ะ แล้วต้องยืนยังไง

"โอเค ขยับมาทางซ้ายนิดนึง"

ห๊ะ ขยับซ้าย อ่ะๆ ขยับแล้ว

"โอเค คราวนี้ยิ้มหน่อย"

ยิ้มมมม

"เกร็งไปหน่อยนะน้ำชา คิดถึงเรื่องดีๆมีความสุขเข้าไว้"

คิดไรไม่ออกทั้งนั้นแหละ

"จอนๆ เพิ่มแสงขึ้นหน่อย ปรับบรรยากาศให้สดใสหน่อย น้องเป็นคนหน้าตาน่ารัก ขอให้มันสดใสกว่านี้.... ส่วนน้ำชานะ ไม่ต้องโพสไรมาก แต่พี่ขอยิ้มที่สดใสๆหน่อย พร้อมนะ"

แสงแฟรชสาดเข้ามาอีกเรื่อยๆ บอกตามตรงว่าเกร็งไปหมดแล้ว

"ยังๆ ยังไม่ได้" พี่นิกไม่ได้ดุนะ แต่ผมชักเริ่มเกรงใจแล้ว "ไม่ต้องเครียด น้ำชา พี่ขอแค่ฉ็อตเดียวพอเลย ขออีกทีนะ"

แล้วก็ผ่านไปอีกรอบ

"..... ยังไม่ได้วะ"

ชิบหายละกู

"พี่นิกๆ" ไอ้พี่ตองแทรกเข้ามา "ผมขอให้น้องกินน้ำแปบนึงได้ไหมครับ"

"อ่ะๆ โอเค" พี่นิกตอบ "นี่ๆ เดี๋ยวเอ็งสอนคน ไปเอาโต๊ะออกนะ แล้วลองใส่ดอกไม้หรือลูกโป่งอะไรก็ได้เข้าไปแทน"



ไอ้พี่ตองเอาหลอดดูดน้ำยัดใส่ปากผม ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยเพราะตื่นเต้นอยู่

"พี่นิกอะนะ เขาชอบคนที่แสดงสีหน้าเก่งๆ" พี่ตองกระซิบกับผม หน้าประชิดกันแทบจะติดอยู่แล้ว "จินตนาการถึงเรื่องดีๆเข้าไว้"

"ผมตื่นเต้นอ่ะ" สารภาพตามตรงเลย

"เพราะพี่ยืนดูอยู่หรือเปล่า ถ้าเห็นพี่แล้วทำให้เกร็ง พี่ออกไปก่อนก็ได้นะ"

"ไม่เอาๆ" ยิ่งไม่มีคนรู้จัก ยิ่งเกร็งไปกันใหญ่ซิ "พี่อยู่นี่แหละ ผมอุ่นใจกว่า"



"โอเคตอง พี่ขอถ่ายต่อนะ" พี่นิกตะโกนเตรียมถ่ายอีกครั้ง งานเข้าแล้วกู ยังไม่ได้ทำใจเลย



"อุ่นใจจริงอ่ะ" ไม่ต้องมาทำตาเจ้าชู้ใส่ตอนนี้เลย เครียดจะตายอยู่แล้ว "ถ้าอุ่นใจก็มองหน้าพี่ดิ ถ้ารู้สึกว่าเห็นพี่แล้วอุ่นใจก็ไม่ต้องไปมองกล้อง มองที่หน้าพี่แทน พี่จะยืนอยู่หลังกล้อง โอเคนะ"

พี่ตองวิ่งออกไปยืนหลังกล้องจริงด้วย

เพราะเมื่อกี๊ไม่มีสมาธิเท่าไหร่ก็เลยเกร็ง แต่พอเห็นหน้าพี่ตองแล้ว ก็อุ่นใจขึ้นเยอะเลย แสงไฟที่เคยส่องเข้าตาไม่มีผลแล้ว ตอนนี้ผมมองเห็นชัดเจนแล้ว ใบหน้าของคนที่ผมเฝ้าติดตามเขามาตลอด มันชัดเจนขึ้นมากเลย ความพยายามแปดปีไม่สูญเปล่าซินะ ขอบคุณที่ส่งยิ้มมาให้ผมนะครับ

"โอเค ผ่านนนน" ห๊ะ เสร็จแล้วเหรอ "สุดยอดไปเลยน้ำชา นี่ถ่ายครั้งแรกจริงเหรอ อินเนอร์ดีมากน้อง เจ้าตองบอกว่าอยากเป็นลีดมหาลัยนิ ถ้าแบบนี้ทำภาพโปรโมทแจ่มๆได้แน่นอนน้อง"

นี่มันผลงานของพี่ตองต่างหากล่ะ

"โอเค เสร็จงานได้ทุกคน"



"เป็นไงบ้าง ทำได้ดีนิเรา" เจ๊ซีซี่ให้คำชมผม หลังจากที่เราขึ้นรถเดินทางกลับ

"ไม่หรอกครับเจ๊ ผมยังเกร็งๆอยู่เลย" ที่ออกมาดีก็เพราะผมได้กำลังใจดีต่างหากหละ

"เดี๋ยวก็ดีขึ้น ฝึกบ่อยๆ" เจ๊แกแนะนำ

หลังจากจบตารางงานของพี่ตองวันนี้ เจ๊ซีซี่ก็ถูกส่งกลับ ผมกับพี่ตองก็ต้องรีบตรงดิ่งมายังโรงพยาบาลทันที ป่านนี้เด็กๆจะเป็นไงบ้างก็ไม่รู้ โดยเฉพาะโชกุน ต้องหาว่าเราผิดสัญญาแน่เลย



"เร็วดิพี่" เข้าโรงพยาบาลได้ก็ไปรีบไปรับบัตรติดหน้าอกที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ แล้วทำไมไอ้คนตัวสูงนี่มันสบายใจจังวะ เด็กๆรออยู่นะ

"ก็ถึงแล้วเนี่ย จะรีบไปไหน"

"เด็กๆ รอ...."

"ระวัง!" ผมถูกกระชากกลับมาอย่างแรง พี่ตองกอดผมไว้แน่นเลย เกิดไรขึ้นวะ

มีช่างสองคนถือกระจกแผ่นใหญ่เดินผ่านมา ไม่รู้จะเอาไปติดที่ไหน แต่ถ้าพี่ตองไม่เห็นเมื่อกี๊ มีตาบอดแน่ๆแหละ

"เป็นไรไหมครับ" ช่างคนหนึ่งรีบถาม

"เป็นไรไหมน้ำชา" ไอ้คนที่โอบกอดผมไว้ถามผมอีกที ก็กอดไว้ซะแน่นขนาดนี้ จะเป็นอะไรได้ล่ะ

"ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณ" รีบออกจากอ้อมกอดนี้ก่อนดีกว่า รู้สึกว่าตอนนี้ความรู้สึกจะถลำลึกเกินไปแล้ว ถ้ารู้สึกอะไรแปลกๆกับพี่ตองในทางนั้น แล้วโดนจับได้ คงจะเป็นเรื่องอีกแน่ กว่าจะได้โอกาสได้อยู่ใกล้ชิดแบบนี้ กว่าจะพูดจากันดีๆ รอมาตั้งแปดปี ถ้าต้องโดนเกลียดอีกที คราวนี้ทำใจไม่ได้แน่นอน

"น้องไม่เป็นไรครับพี่" พี่ตองตอบ "ขอโทษด้วยนะครับ พอดีเรารีบไปหน่อย"

"งั้นผมขอทำงานต่อนะครับ" ช่างแบกกระจกเดินต่อไป

"เป็นไรน้ำชา" พี่จะถามย้ำผมทำไมเนี่ย แล้วก็ไม่ต้องพูดดีกับผมมากได้ไหม พี่รู้ไหมว่ามันทำให้ผมห้ามใจตัวเองยากขึ้น

"เปล่าครับ ไปกันเถอะ" โอเค คิดถึงเรื่องเด็กๆก่อนดีกว่า แค่นี้ก็สายพอแล้ว

ผมพยายามไม่วิ่งนะ แต่ก็ร้อนใจ ถึงชั้นเจ็ดได้ ก็ถลาเข้าห้องสามทันที



เห้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

"ไอ้ต้อม ขิง" ไอ้ต้อมกับขิงกำลังนั่งเล่นกับเด็กๆในห้อง เหมือนสองคนนี้จะโดนลุมล้อมด้วยเด็กๆ "มาไงกันอ่ะ"

"พี่ตองขอให้ขิงมาดูเด็กๆแทนชาอ่ะ ตอนชาไปทำธุระกับพี่ตอง"

นี่ใช่ไหมไอ้พี่ตอง ที่บอกว่าจัดการแล้ว โดยไปรบกวนคนอื่นเนี่ยนะ

"แล้วไอ้ต้อม ใส่ชุดไรของมึ..... ของเอ็งหนะ" เกือบจะหลุดหยาบคายต่อหน้าเด็กๆซะแล้ว แต่มันก็น่าถามไหมล่ะ ชุดหมีเหรอหรืออะไร

"ชุดพี่หมีไงเพื่อน" ไอ้ต้อมตอบอย่างภาคภูมิใจ "นี่กำลังแสดงนิทานให้เด็กๆอยู่ ดูด้วยกันไหม น้ำขิงกำลังจะเล่าต่อแล้ว"

น้ำขิงเหรอ ทำไมกล้าเรียกชื่อเต็มของขิงเต็มปากเต็มคำขนาดนั้น แล้วไอ้นี่ก็อะไรหนะ หน้าแดงใส่เค้าเฉยเลย สองคนนี้นี่มันยังไงกันวะ ไปติวกันท่าไหน

"ไม่เล่าแล้ว" นั่นไง ขิงมีงอนด้วย ไม่ชอบมาพากลอย่างแรง "เด็กๆเราไปเล่นต่อจิ๊กซอกันดีกว่า พี่มีมาให้ทุกคนเลย"

โห จัดเต็มกันน่าดู นี่จะมาแย่งความรักของเด็กๆไปจากูใช่ไหม

"ก็บอกแล้วไงว่าพี่จัดการให้แล้ว" เจ้าของเรื่องโอ้อวดผลงานตัวเองใหญ่ แล้วเอามือมาโอบไหล่ผมเฉยเลย "พี่อ่ะ.....



จะไม่ทำให้น้ำชาต้องลำบาก สัญญา"
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: P_Methayot ที่ 01-11-2017 10:14:32
แปะกฎเล้าด้วยนะครับ :hao5:
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 9 [ค้างคืน]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 01-11-2017 18:41:04
ตอนที่ 9 : ค้างคืน



หลังจากที่พบว่าการดูแลเด็กๆในโรงพยาบาลของผมได้รับความช่วยเหลือจากลูกพี่ลูกน้องและเพื่อนคนสนิทของผม ก็ต้องมารู้สึกแปลกใจต่อ กับท่าทีที่เปลี่ยนไปของไอ้พี่ตอง ท่าทางพี่แกจะลืมไปว่า ผมคือคู่แข่งตลอดกาลของเค้านะ อย่างน้อยก็ที่อิตานั่นคิดอะนะ

ช่างมันเถอะ เลิกคิดดีกว่า ทำหน้าที่ตรงหน้าก่อน


ผมกลับมานั่งที่เตียงน้องโชกุนเหมือนเดิมหลังจากเพื่อนสนิทและลูกพี่ลูกน้องของผมขอตัวไปทำธุระต่อ

"ทำอะไรของพี่เนีย"

ไอ้พี่ตองมันเอาเก้าอี้โซฟาสั้นสำหรับให้ญาติที่มาเฝ้าเด็กแต่ละเตียงมาต่อกันที่ข้างเตียงโชกุน "เตียงของพี่ไง"

"จะบ้าเหรอพี่ ห้องพักสำหรับเจ้าหน้าที่ก็มี ไปนอนโน้นเลย จะมาลำบากลำบนทำไม"

"ไม่เห็นลำบากเลย ทีน้ำชายังเฝ้าโชกุนได้เลย"

"ผมนอนบนเตียงกับน้อง"

"พี่ก็เฝ้าน้ำชาอีกทีไง"

สายตานี้อีกแล้ว



"พี่ตอง พี่น้ำชา" โชกุนเดินเข้ามาที่เตียงพอดี

"อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอโชกุน" ผมหยุดต่อล้อต่อเถียงกับไอ้พี่ตองทันที

"ทำไมพี่สองคนทะเลาะกันอีกแล้ว" เอาแล้วไง โชกุนนี่เห็นผมกับไอ้ตัวสูงนี่เสียงดังใส่กันไม่ได้เลย

"ใครบอกครับโชกุน พี่อ่ะ..." จะทำอะไรของแกอีกไอ้พี่ตอง "รักพี่น้ำชาจะตายไป" นี่มึงต้องลงทุนกอดกูโชว์น้องขนาดนี้เลยเหรอ รอบที่สองแล้วนะวันนี้

"ปล่อย" ถึงเวลาที่กูต้องเสียงแข็งบ้างแล้ว ไอ้บ้านี่ชักจะลวนลามมากไปแล้วนะ

"อ้าว พี่น้ำชาไม่รักพี่อ่ะโชกุน"

มึงกล้าใช้มุกนี้กับกูเหรอ ไอ้...... หมดคำจะเถียง เออ ก็ได้ จะกอดก็กอด ถ้าไม่เห็นแกโชกุน ก็จะต่อยไม่สนใจเรื่องความสูงเลย

เกลียดความอบอุ่นจากเนื้อกายของไอ้บ้านี่ชะมัด ผมชักเริ่มจะถอนตัวไม่ได้แล้วนะ

"กินยาดีกว่าเนาะ" ผมต้องละออกจากสัมผัสนี้เดี๋ยวนี้ "มาครับ โชกุน อ่ะนี่ยา"

"ครับพี่น้ำชา"



หลังจากผมหลุดออกมาจากอ้อมกอดนั้นได้ ผมคิดว่า การไม่พยายามมองหน้าหรือสบตากับพี่ตองคงจะดีกับผมมากกว่า อย่าเปิดประเด็น คุยเท่าที่จำเป็น มันกวนประสาทแค่ไหนก็ไม่ต้องต่อความ

พี่ตองคงสังเกตเห็นความผิดปกตินี้แล้ว เค้าก็เลยเงียบไปเหมือนกัน แบบนี้อ่ะ ดีแล้ว เดี๋ยวจะเลยเถิดไปกันใหญ่

ในที่สุดก็ถึงเวลาสามทุ่ม

ผมเดินออกจากห้องน้ำหลังอาบน้ำเสร็จ เสื้อผ้านี่ไอ้พี่ตองก็เตรียมมาให้อีกแล้ว ใจจริงอยากจะถามนะว่าเตรียมตัวอย่างดีขนาดนี้ได้ยังไง แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงเคอฟิว รับเสื้อผ้ามาแต่โดยดีแล้วก็ไม่ต้องพูดไรมากดีกว่า 

บรรยากาศในโรงพยาบาลตอนกลางคืนวังเวงชะมัด ถ้าไม่จำเป็นจะไม่ออกมาข้างนอกเด็ดขาด รีบเข้านอนดีกว่า

แหม ไอ้พี่ตอง ไหนบอกจะมาเฝ้าเรา หลับเร็วขนาดนี้ ใครจะเฝ้าใครกันแน่

โชกุนเองก็เข้าสู่นิทราแล้วเหมือนกัน ผมขึ้นเตียงได้ น้องก็ขยับเข้ามาหาผมทันที คงเป็นปฏิกิริยาเหนือจิตสำนึกของน้อง ที่ถวิลหาความอบอุ่น

ผมเองก็ควรนอนหลับได้แล้ว........





"น้ำชาๆๆ ตื่นเร็ว น้ำชา"

เสียงใครปลุกวะ รู้สึกเหมือนเพิ่งจะหลับตาเมื่อกี๊เอง หนักเปลือกตาชะมัด

"น้ำชา" อ้าว พี่ดวงนี่นา ผมหันไปดูข้างเตียง พี่ตองหายไปแล้ว เกิดไรขึ้นเนีย "น้องอิ๋มช็อก พี่ตองพาไปห้องฉุกเฉินแล้ว"

น้องอิ๋มที่เป็นโรคหัวใจในเด็ก น้องผู้หญิงคนที่น่ารักๆ ยิ้มเก่งๆ แล้วก็เป็นเด็กที่เป็นต้นเหตุของหลักสูตร กอดที่อบอุ่นในห้องนี้ 

"น้องเป็นอะไรมากไหมครับ" ตาสว่างเลยกู

"พี่ก็ไม่รู้ แต่พี่กำลังจะลงไปช่วยที่ห้องฉุกเฉิน ดึกแบบนี้ผู้ช่วยมีน้อย พี่ฝากชาตรงนี้หน่อยนะ"

"ได้ครับพี่ พี่รีบไปเถอะครับ"

"เดี๋ยวตอนเที่ยงคืน น้ำชาลงไปเอากลูโคสที่ห้องยาข้างล่างนะ เจ้าหน้าที่เค้ารู้อยู่แล้ว เอามาให้น้องชะเอมที่เตียงฝั่งโน้น ปลุกน้องขึ้นมากินนะ พี่ต้องรีบไปแล้ว ไปละนะ"

ผมมองตามพี่ดวงวิ่งจากไป

เด็กๆคนอื่นยังหลับโดยไม่รู้เรื่อง โชกุนก็เหมือนกัน ว่าแต่ตอนนี้กี่โมงแล้ว

23.47 น.

ใกล้เที่ยงคืนแล้วนี่นา ลงไปเอากลูโคสตามที่พี่ดวงบอกดีกว่า

ผมค่อยๆออกมาจากน้องโชกุนเบาๆ แล้วเดินออกจากห้องไป



ให้ตายเหอะ

ลืมไปเลยว่าโรงพยาบาลตอนนี้มันวังเวงนี่หว่า อุตส่าคิดว่าจะไม่ออกมาแล้วเชียว ไอ้พี่ตองก็ไม่อยู่ด้วย ตายแน่กูงานนี้

นี่แหละ หนึ่งในเรื่องที่ผมไม่มีทางทำได้ เผชิญกับความมืด ผมเคยคิดนะ ถ้าตอนมัธยมผมกับพี่ตองต้องแข่งกันอยู่ในความมืด ผมจะขอยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ออกจากโรงเรียนเลย

ทำไมทางเดินมันไกลจังวะ เดินอยู่ตั้งหลายวัน ไม่เคยคิดว่าจะไกลขนาดนี้ แล้วทำไมโรงพยาบบาลต้องมีกระจกเยอะแยะเต็มไปหมดด้วย รู้ไหมว่ากูไม่กล้ามอง

ถึงลิฟสักที ลงไปชั้นหนึ่งซินะ ขอบคุณสวรรค์ที่มีแสงสว่างจากลิฟ

แต่ก็ไม่นาน ชั้นหนึ่งมืดยิ่งกว่าชั้นเจ็ดเสียอีก ห้องยา อยู่ตรงไหนวะ

ผมทำเป็นใจดีสู้เสือ เดินออกมาจากลิฟ มองหาป้ายหรืออะไรสักอย่างที่สามารถนำทางไปที่ห้องยาได้

แกร็ก แกร๊กกกกก

เสียงเ-ี้ยไรวะ

แล้วกูมาหลบอยู่หลังรถเข็ญตอนไหนเนีย อาการหนักนะกู

หึ๊ย นั่นป้ายบอกทางไปห้องยานี่หว่า เลี้ยวซ้าย

ทำไมไม่บอกให้กูเลี้ยวซ้ายลงลงนรกไปเลยหล่ะ เลี้ยวซ้ายเนี่ยคือมืดสนิทเลยนะ

งือออออ อยากจะร้องไห้กู ทำยังไงดี ไม่ไปก็ไม่ได้ น้องต้องได้รับการรักษา เอาวะ ทำเพื่อน้อง มันไม่มีไรในความมืดหรอก อย่าคิดไปเอง แต่ขอเกาะผนังเดินละกันนะ

มืด เย็น เงียบ ทางเดินก็เหมือนจะทอดไกลออกไปเรื่อยๆ ทำไมกูถึงมาอยู่ตรงนี้ กลัวโว๊ยยยยยยยย



เพล้ง

เชี่ยยยยยยย!!!!!! ไม่อยู่แล้ว

"โอ๊ย" ชนไรวะ เห้ย พี่ตองนี่นา "พี่ตอง พี่ตอง" ไม่รู้อ่ะ กูขอเกาะไว้ก่อนละกัน กลัวจนฉี่จะราดอยู่แล้ว เหมือนรู้สึกว่าหน้าจะเปียกๆด้วย

"เป็นไรน้ำชา" เสียงพี่ตองถาม ขอบคุณสวรรค์ ด้วยความกลัวนี้ทำให้เสียงของพี่ตองดูยิ่งใหญ่กว่าที่เคย ผิวกายก็อบอุ่นกว่าทุกครั้งที่ได้สัมผัส "กอดซะแน่นเลย"

ห๊ะ กูกอดอยู่เหรอ นึกว่าแค่เกาะแขนเฉยๆ ปล่อยให้ไวเลย แต่... ไม่เอาดีกว่า เกาะแขนพี่มันไว้ ยังไงก็น่ากลัวอยู่ดี เมื่อกี๊เสียงอะไรก็ไม่รู้ เหมือนจะอยู่ใกล้ๆนี่เอง

"นี่ร้องไห้ด้วยเหรอ" นี่กูทำสองอย่างที่ไม่รู้ตัวในเวลาอันสั้นได้เลยเหรอ ความกลัวนี่มันมีพลังอำนาจกับกูจริงๆ "กลัวผีเหรอ เด็กน้อย"

"กลัวบ้าไรหละ" กูนี่ก็หน้าด่านเนาะ กลัวขนาดนี้ก็เสือกจะมีฟอร์ม

"เอ่อ...." เห้ย!! เสียงใครมาจากข้างหลังวะ

"ไหนบอกไม่กลัวไง" ไอ้พี่ตองเรียกสติผมอีกครั้ง นี่ก็เผลอกอดเป็นครั้งที่สอง ฟอร์มของกูเนี่ย ไม่เหลือแล้ว "นั่นพี่เจ้าหน้าที่ ดูดีๆ"

หา! ใครนะ ผมรีบหันไปมอง

"โทษทีน้อง" พี่เจ้าหน้าที่ชุดขาว ยืนมองผมหน้าเสียเลย "พี่เผลอทำกลูโคสล่วง พอดีจะเอากลูโคสขึ้นไปชั้นเจ็ด ไม่เห็นมีเจ้าหน้าที่มารับซะที กลัวจะรีบใช้" อ้าว ความผิดกูซินะ มัวแต่กลัว จนมาสายเลย

"ผ.. ผมเองครับ ผมนี่แหละครับที่จะมารับ" เขินเลย

"อ้าวเหรอ งั้นรอแป๊บนึงนะ พี่เข้าไปหยิบหลอดใหม่ให้" ที่แท้ก็มาถึงห้องยาแล้ว พี่เจ้าหน้าที่เดินเข้าไปห้องตรงหน้านี้เอง

"จะปล่อยพี่ได้ยัง" อ้าว ผมยังเกาะแขนไอ้พี่ตองอยู่นี่หว่า รีบปล่อยก่อนดีกว่า "พี่ไปละนะ"

"เดี๋ยว!! จะไปไหนอ่ะ" จะมาทิ้งกันได้ยังไง ต้องให้กูยอมรับว่ากลัวหรือไงถึงจะรอ

"ก็ขึ้นไปข้างบนไง"

"รอก่อนดิ รอแป๊บเดียว เดี๋ยวพี่เค้าก็เอากลูโคสมาให้แล้ว"

"ไม่อ่ะ พี่ไม่อยากให้น้ำชาอึดอัด" อึดอัดบ้าไร จะมาอยากโล่งสบายอะไรตอนนี้ "เดี๋ยวถ้าเห็นหน้าพี่นานๆ น้ำชาจะอึดอัด"

กรรม ซึ้งเลยกู นึกออกแล้ว เมื่อตอนเย็นเราทำเย็นชากับพี่เค้าไปนี่หว่า

"พี่ไปนะ" หือออออ ไปจริงเหรอ

"พี่ตอง" ขอร้องหละ ผมทำผิดไปแล้ว "รอก่อนได้ไหม ชากลัว" เออ ยอมรับก็ได้ว่าจะร้องไห้

"....."

"นะ"

"แล้วจะเมินพี่อีกไหม"

"ไม่ครับ" อะไรก็ยอมทั้งนั้นแหละตอนนี้

"จะเงียบกับพี่อีกไหม"

"ไม่แล้ว"

"งั้นก็เลิกกลัวได้แล้ว" พี่ตองหันมายิ้มกว้างให้ซะที เห้อออออ ไม่ต้องเดินกลับคนเดียวแล้ว "โห เด็กน้อย กลัวถึงขั้นร้องไห้เลยเหรอ"

พี่ตองปาดน้ำตาให้ รู้สึกดีชะมัด รู้สึกเหมือน.....



"ได้แล้วน้อง" เสียงพี่เจ้าหน้าที่ หลอดแก้วกลูโคสถูกยื่นมาให้ หลอดแค่นี้ สร้างปัญหาจังนะ

รับมาเก็บไว้ดีๆเลย จะไม่มีใครทำมันแตกเป็นรอบที่สองเด็ดขาด

"ไปเถอะ" พี่ตองบอก ผมนี่เกาะแขนเลย แต่จับที่แขนเสื้อนะ โดนตัวมากไป กลัวจะเคลิ้ม

"แล้วน้องอิ๋มเป็นไงบ้างอ่ะ" ผมชวนคุยระหว่างเดินกลับ

"ดูดีขึ้นมากแล้ว ดูดีกว่าน้ำชาเยอะ" แหม แซวเหรอ

"จะบ้าเหรอ ชาไม่ได้เป็นโรคหัวใจซะหน่อย" ยังจะมาหัวเราะอีก เอาวะ จะทำอะไรก็ทำเถอะ อย่างน้อยมีพี่อยู่ตรงนี้ก็อุ่นใจ "แล้วต่อไปอ่ะ เลิกเรียกผมว่าน้ำชาได้แล้ว เรียกแค่ชาก็พอ"

"ทำไมอ่ะ ทีป้ายชื่อยังเขียนว่าน้ำชาเลย"

"นั่นผมโดนไอ้ต้อมแกล้ง"

"ไม่เห็นเป็นไรเลย ชื่อ น้ำชา ก็น่ารักดีออก เหมาะกับน้ำชาด้วย"

ไอ้บ้าพี่ตอง อุตส่าชวนคุยทำลายความเงียบ คราวนี้ใครจะไปกล้าพูดต่อหละ





เช้าวันรุ่งขึ้น ผมจบภาระกิจของค่ำคืนมหัศจรรย์เรียบร้อย ผมถูกพามาส่งที่หอ ส่วนพี่ตองเมื่อไม่มีสอบก็ถึงเวลาประชุมของลีดมหาลัยพอดี ช่วงใกล้จะเปิดเทอมงานของลีดมหาลัยคงจะยุ่งน่าดู

ผมทำภารกิจช่วงเช้าเรียบร้อยก็เตรียมโทรหาไอ้ต้อมเพื่อนรัก



ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ใครมาเคาะประตูหว่า

"อยู่ติดห้องซะทีนะมึงอ่ะ" ไอ้ต้อมนี่เอง ตายยากนะมึง

"เออกูกำลังจะโทรหาพอดี เข้ามาดิ"

"มึงก็ได้ตารางเรียนแล้วอะดิ"

"ตารางไรวะ"

"อ้าว ก็นี่ไง เค้าประกาศตารางเรียนออกมาแล้ว ในเว็บมอ หัดสนใจเรื่องเรียนซะบ้างมึงอ่ะ ไม่ใช่อะไรๆก็พี่ตอง"

"พี่ตองบ้านมึงซิ"

"แหม เขินๆ"

"ไอ้ต้อม" เดี๋ยวเหอะมึง

"กูก็แซวเล่น ว่าแต่มึงรู้เปล่าวะ ตารางเรียนสามเดือนแรกอ่ะ มีเรียนถึงแค่เที่ยงเองนะ วิชาเรียนอัดแน่นมาก"

"ทำไมวะ แล้วตอนบ่ายจะทำไรอ่ะ"

"ก็กิจกรรมห้องเชียร์ไง มหาลัยนี้มันจริงจังเรื่องเชียร์กันตั้งแต่อธิการบดีเลยเหรอไงวะ แบบนี้กูจะนิ่งเฉยไม่ได้แล้ว"

คงจริงอย่างที่มันว่า ถึงขั้นจัดเวลาห้องเชียร์มาอยู่ในเวลาเรียน แบบนี้ไม่จริงจังก็ไม่รู้จะเรียกว่าไงแล้ว

"แล้วมึงอ่ะ ฝึกท่าไปถึงไหนแล้ว สอนกูบ้างดิ"

"เสียใจว่ะ อาจารย์หมอบอกว่า ถ้ายังไม่ถึงวันบล็อกกิ้งจะไม่สอนให้"

"เป็นความลับอะไรขนาดนั้น"

"ก็มันเป็นกติกานี่หว่า ระหว่างนี้กูก็ทบทวนท่าเต้นพื้นฐานไปก่อน"

"ไปฝึกมาจากไหนวะ"

"พี่ที่สอนลีดมอ เค้าฝึกให้อ่ะ"

"ห๊ะ มึงไปฝึกได้ยังไง"

"พี่ตองเค้าจัดการให้อ่ะ กูก็งงๆเหมือนกัน"

"เห้ย นี่กูแซวเล่นนะ แต่นี่ไม่ธรรมดาแล้ว อะไรยังไวะมึง พี่เค้า... จีบมึงอยู่เหรอ"

"จีบบ้าจีบบออะไรหละ เค้าคงตอบแทนที่กูติวให้ละมั้ง"

"ติว! นี่กูเป็นเพื่อนมึงจริงเปล่าวะ กูแทบจะไม่รู้เรื่องไรที่เกิดขึ้นกับมึงเลยนะเนี่ย... เออ ช่างเหอะ แต่ก็จริงแหละ พี่เค้าจะมาจีบมึงได้ยังไง น้ำขิงเคยเล่าให้กูฟังว่าไอ้พี่ตองแม่งสาวเพียบ กูว่ากูเยอะแล้วนะ แต่คงสู้พี่แกไม่ได้ สมัยอยู่มัธยมอ่ะ พี่แกเคยถูกเรียกให้ออกมาเรียนแยกจากเพื่อนๆเป็นเดือนๆด้วยนะ เพราะอะไรมึงรู้ไหม"

"ทำไมวะ"

"ก็สาวๆตบกันแย่งพี่แกไง ใช่ ตอนกูฟังกูยังอึ้งเลย แต่ก็ไม่แปลกหรอก มึงดูดิ หล่อซะขนาดนั้น แต่ตอนนี้ก็เบาลงไปมากแล้วหละ"

"ยังไงวะ" นี่ไอ้ต้อมมันรู้เรื่องพี่ตองเยอะขนาดนี้เลยเหรอ

"ก็พี่แกมีคู่หมั้นแล้วไงวะ"

หาาาาาาา!!! ไหนไอ้พี่ตองมันเคยบอกว่าไม่มีแฟนไง

"ก็ไม่ใช่คู่หมั้นจริงจังหรอก แต่ทุกคนก็รู้ๆกันอยู่ พี่แอมไง ลีดมหาลัยปีสอง พี่คณะมึงอ่ะ หล่อสุด กับสวยสุด เหมาะสมกันจริงๆ แต่เรื่องของเรื่องอ่ะ มันมาจากที่บ้านเค้าเว้ย พ่อพี่ตองกับพ่อพี่แอมอ่ะ เค้าเป็นคู่ค้าธุรกิจกัน เจ้าของธุรกิจเรือขนส่งสินค้ากับกรมเจ้าท่า เป็นไงล่ะ โคตรจะเอื้อกันเลย ข่าวเรื่องสองคนนี้โดนจับคู่กันไว้ก็เลยหนาหู นี่กูรู้แค่เผินๆนะ รายละเอียดจริงคงมากกว่านี้เยอะ"

"....."

"มึงเป็นไรวะไอ้ชาเย็น"

"เปล่าๆ" กูจะเป็นไรได้หละ "แล้ว... เย็นนี้มึงต้องไปส่งขิงอีกไหม"

"เออ ไป" อ้าว อยู่ดีๆทำไมอารมณ์เสีย

"แค่ไปส่ง จะอารมณ์เสียทำไมวะ หรือขี้เกียจแล้ว"

"ก็เปล่าหรอก.... เออๆ ช่างเหอะมึง ไปหาไรกินดีกว่า กูหิวแล้ว" ดีเหมือนกัน ยังไม่ได้กินไรตั้งแต่เช้า จะได้เลิกคิดเรื่องไอ้พี่ตองด้วย





แล้วตอนบ่ายก็มาถึง ไอ้พี่ตองก็มารับผมไปที่โรงพยาบาลปกติ แต่วันนี้พี่แกไม่ได้อยู่ช่วยงานที่โรงพยาบาล เพราะมีประชุมผู้นำเชียร์ รู้สึกว่า หอคอยเกียรติยศจะเปิดอย่างเป็นทางการแล้ว เหล่าเจ้าชายและเจ้าหญิงคงกำลังวุ่นวายอยู่กับการเตรียมความพร้อมในกิจกรรมห้องเชียร์

ตกเย็น นายตัวสูงคนเดิมก็มารับกลับ วันนี้มารับตั้งแต่ห้าโมงเย็นเลย เห็นบอกว่า คืนนี้ก็มีเตรียมงานอีก ถ้าจะยุ่งขนาดนี้ ไม่ต้องมาส่งก็ได้ แท็กซี่ก็มี จะยอมลำบากอะไรขนาดนั้น ส่วนน้องโชกุนก็ไม่งอแงแล้ว กลายเป็นเด็กร่าเริงขึ้นมากเลย เข้ากับเพื่อนๆในห้องได้ดี ผมก็สบายใจ แต่จะไม่สบายใจกับไอ้คนขับรถนี้มากกว่า

ถึงจะเจอหน้ากันแค่ประเดี๋ยวประด๋าว แต่ผมก็สัมผัสได้นะว่าพี่เค้ากำลังเครียดๆอยู่ งานลีดนี่มันต้องเครียดขนาดนี้เลยเหรอ

"มีอะไรให้ช่วยไหมพี่" ผมตัดสินใจถามก่อนจะลงรถ

"ทำไมอ่ะ" ยังจะมาถามอีก หน้าเครียดซะขนาดนี้

"เหมือนพี่จะกลุ้มใจอะไรซักอย่าง"

"แอบดูพี่ด้วยเหรอ" แอบบ้าไรหละ ก็เห็นอยู่ชัดๆ "ไม่มีอะไรหรอกครับ งานเยอะ ช่วงนี้มีงานทั้งข้างในข้างนอกมหาลัย พี่ก็เลยวุ่นๆนิดหน่อย"

"ถ้าลำบากไม่ต้องมารับมาส่งก็ได้นะ ผมไปเองได้ ประตูทางเข้าอยู่แค่นี้เอง เดินไปก็ได้ รถไฟฟ้าในมหาลัยก็วิ่งตลอด"

"ไม่เป็นไรหรอกน่า พี่สัญญาไว้แล้วนิ แล้วพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องไปโรงบาลนะ วันบล็อกกิ้งแล้ว"

เออใช่ ลืมไปเลย ทำงานจนลืมเรื่องสำคัญขนาดนี้ได้ยังไง

"พรุ่งนี้พี่มารับตอนเช้านะ คณะชานัดตอนเช้านิ" ผมยังจำเวลานัดไม่ได้เลย พี่ก็อุตส่าจำได้เนาะ

"ไม่ต้องหรอก ไอ้ต้อมก็ต้องเข้ามหาลัยอยู่แล้ว ผมไปกับมันก็ได้"

"เหรอ ต้อมจะมีเวลามาดูแลชาเหรอ รายนั้นเค้าต้องคอยรับส่งขิงหรือเปล่า"

"หมายความว่าไงอ่ะ" ไอ้พี่ตองไปรู้อะไรที่เราไม่รู้มาเนีย

"เปล่าหรอก เอาเป็นว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้พี่มารับนะ"

"ก็ได้ครับ" ผมลงจากรถ มองตามจนรถพี่ตองจนหายไปจากสายตา



เย็นนี้ว่าง ไอ้ต้อมก็หายหัวไปไหนไม่รู้ ไหนๆก็ไม่มีอะไรทำแล้ว ทบทวนท่าเต้นหน่อยพื้นฐานหน่อยดีกว่า เดี๋ยวถ้าเจ๊ชมพู่รู้ว่าละเลยการซ้อมอันยิ่งใหญ่ของเจ๊แกแล้ว คงโดนบ่นยับ

เห้ออออออ เหนื่อยชะมัด ยังไงการเป็นผู้นำเชียร์ก็ยังห่างไกลจากความเป็นตัวเองมาก นี่แค่ชั่วโมงเดียวเองนะ ไม่ไหวแล้ว ขอสูดอาการข้างนอกแป๊บ ระเบียงจ้า จงเปิดออกกกก



"....." หึ!!!!!

นั่นมัน พี่แอมนี่นา ทำไม....

ถึงมาอยู่ในห้องไอ้พี่ตองได้หละ นั่นไง พี่ตอง กำลังคุยกันอยู่ ในห้อง สองคนด้วย

ไม่รู้ซิ ในใจตอนนี้บอกความรู้สึกไม่ถูกเลย มันก็ไม่แปลกนี่นา เค้าเป็นคู่หมั้นกัน นั่นก็หล่อ นี่ก็สวย ยังไงก็มนุษย์ขี้เหม็นกันทั้งนั้น เรื่องที่เค้าสองคนจะ.... ทำอะไรกันสองคน มันก็คงไม่แปลก แต่ทำไมกูต้อง....

กรรม

ไอ้พี่ตองมองเห็นผมแล้ว เวรละกู เข้าห้องดีกว่า

แล้วทำไมกูถึงต้องหลบด้วยวะ เราไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย แต่ถ้าให้มองเค้าสองคนทำอะไรกัน แบบนั้นคง... ทำใจไม่ได้

แต่ไหนไอ้พี่ตองบอกจะไปเตรียมงานไง นี่เหรอวะเตรียมงาน เตรียมคลอดชัดๆ

พอ! เลิกคิดอะไรทั้งนั้น ไปซ้อมต่อ ไปนอน ไปทำอะไรก็ได้



#เสียงโทรศัพท์

พี่ตอง



ไม่รับหรอก ไม่ว่าง ซ้อมเต้นอยู่

และก็อีกเป็นสิบสาย ไม่รับเว้ย



เช้าวันใหม่มาถึง วันบล็อกกิ้ง วันสำคัญที่หมอพิชิตจะต้องสอนท่าเต้นเพลงมิ่งขวัญมัณฑนา

ผมรีบโทรหาไอ้ต้อมให้มันพาผมมาที่คณะ แต่เช้า เช้ากว่าปกติด้วย ไอ้นี่ก็ตอบตกลงง่ายดายเชียว แต่น้ำเสียงหงุดหงิดน่าดู อย่างกับอยากมารับผมเพื่อประชดใคร

ตอนออกมาเหมือนจะเห็นรถไอ้พี่ตองกำลังออกมาเหมือนกัน แต่ไม่ทันแล้วผมออกมาก่อน ไม่อยากเห็นหน้า พูดตามตรงเลย

หลังจากมาถึงคณะ ก็ได้เห็นว่ามีคนมากมายมาเช่นกัน นี่ไม่ใช่แค่วันบล็อกกิ้งของลีดเท่านั้น แต่นิสิตปีหนึ่งทุกคนต้องซ้อมพิธีเปิดด้วย แล้วนี่ก็เป็นวันแรกที่ผมได้เห็นหน้าค่าตาของเพื่อนๆในเอกเดียวกัน

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ สามคนที่ตื่นเต้นกับตราปั๊มลีดมหาลัยบนป้ายชื่อของผมในวันแรกที่เข้ามาคณะ จะเป็นเพื่อนในเอกเดียวกันกับผมเอง อิช้างร่างใหญ่นั่นคือ เจ แต่นางขอให้เรียกนางว่า เจสซี่ แล้วก็กะเทยหัวโปกอีกคนที่ตัวเล็กกว่าชื่อ เล็ก ส่วนหญิงสาวเพียงคนเดียวชื่อ วาวา

ผมก็กลายเป็นผู้ชายคนเดียวที่แมนที่สุดในกลุ่ม แต่คงโดนเข้าใจผิดไปแล้วหละ ก็อยู่ในแก็งนี้นี่นา แต่เอาเถอะ ถ้าผมเลือกที่จะจริงจังในด้านผู้นำเชียร์ ผมคงไม่มีโอกาสทำความรู้จักกับเพื่อนคนอื่นๆเท่าไหร่ มีเพื่อนไว้ก่อนอ่ะดีแล้ว โชคดีที่กลุ่มนี้สนอกสนใจเรื่องลีดของผมเป็นพิเศษ แบบว่า แทบจะไปแข่งแฟนพันธุ์แท้ได้เลย ผมเลยยิ่งสะดวกใจที่จะคุยกับพวกนาง

"แกๆ นั่นพี่ตองนี่หว่า" ห๊ะ ใครนะ "ลีดมหาลัยสุดแซ่บ มาคณะเราด้วย" ผมหันไปมองทันที นี่เป็นช่วงพักเที่ยงในโรงอาหารที่วุ่นวาย แต่ทันทีที่ผมหันไป ก็สบตากันเต็มๆ ผมรีบหันกลับทันทีเลย "แก!!!! เหมือนพี่เค้าจะเดินมาทางนี้ด้วย อิเล็กหน้ากูเป็นไงบ้าง ดีไหม"

"อุบาศเหมือนเดิมค่ะ" พวกมึงจะมาทะเลาะไรกันตอนนี้ ไอ้คนที่กูหลบหน้ามันทั้งวันกำลังจะมาทางนี้แล้ว เอาไงดีวะกู

"หือออ สวยตายแหละมึง"

"ขอโทษค่ะ พี่เค้าเป็นผู้ชาย สนใจคนที่มีจิ๊มิอย่างชั้น อดแซบค่ะกะเทย" วาวา ไม่ต้องไปเล่นกับพวกมันก็ได้นะ

"ชะนี ตบนะคะ ปาดหน้าเค้กเพื่อนอ่ะ" อิช้างมึงช่วยหยุดเสียงดังและเลิกทำตัวโด่ดเด่นสักทีได้ไหม แต่ไม่ใช่แค่อิสามตัวนี้นะที่ตื้นเต้น ฮือฮากันทั้งโรงอาหารแล้วตอนนี้

"ของแบบนี้ใครดีใครได้ค่ะ"



"น้ำชา" นั่นไงมึง ไอ้พี่ตอง มาหยุดอยู่ที่โต๊ะกูไม่พอ ยังเรียกชื่อกูอีก อิสามตัวนี้ก็อะไร อ้าปากค้างกันเป็นแถบ "เราต้องคุยกันนะ"

"......" ไม่ตอบ ไม่มองด้วย

"ชา"

"ตอง" นั่นมันพี่แอมนี่นา พี่แกเข้ามาทันเวลาพอดีเลย แต่ทำไมกูไม่รู้สึกดีเลยซักนิด "มาทำอะไรที่คณะแอม"

"มาหาน้ำชา" โห ตอบหน้าตาเฉย อิสามตัวนี้ก็อะไรไม่รู้ พวกมึงจะช็อกกันไปถึงเบอร์ไหน

"มาหาทำไม... แต่มาก็ดีแล้ว แอมมีเรื่องจะคุยกับตอง"

"เดี๋ยวก่อน เรามีเรื่องจะคุยกับน้อง"

"ตองจะคุยกับน้อง หรือจะคุยกับแอม ต้องให้แอมทบทวนความจำให้ไหม"

ลังเลๆกันอยู่สักพัก ในที่สุดไอ้พี่ตองก็เลือกพี่แอม ทั้งสองคนเดินจากไปในที่สุด

เออ..... เค้าก็ต้องเลือกพี่แอมซิ จะมาเลือกกูทำไม



"มึงรู้จักพี่ตองของกูได้ยังไงคะ พูดค่ะ ไม่พูดกูตบ" อ้าวอิช้าง เดี๋ยวกูก็ต่อยซะหรอก

"ไม่รู้อะไรทั้งนั้นแหละ" ตอบดื้อๆแม่งเลย

"ไม่รู้จักอะไรคะ เห็นพี่เค้ามาง้อมึงอยู่" ง้อเชี่ยไรของมึง อิเล็ก

"แหมมมม อินี่ก็มารยา ทำเป็นงอนเค้า ดัดจริต" อิช้าง มึงชักจะมากไปแล้วนะ

"ถ้าพวกมึงไม่หยุดพูดนะ กูจะไม่ช่วยพวกมึงเรื่องเรียน พวกมึงขออะไรกูไว้จำได้ไหม" ต้องขู่ซะบ้าง ทีตอนเจอกัน พอรู้ว่ากูเป็นใคร แทบจะกราบเท้าขอให้กูติวให้ ตอนนี้พวกมึงจะมาทำตัวข่มขู่กูเหรอ

"แหมมมม อิเจสซี่มันก็พูดเล่นไป" รีบช่วยเพื่อนเชียวนะวาวา "มึงก็ไปหยอกเพื่อนนะอิช้าง"

"เออใช่ กูนิปากเสียเนาะ" เจ็บสีข้างกันไหมพวกมึงอ่ะ งานแถนี่ถนัดนัก

"เราต้องเข้าข้างเพื่อนเราซิเนาะ" อิเล็ก มึงก็ด้วย "อิพี่แอมต่างหาก บังอาจมาปาดหน้าเค้กเพื่อนเราได้ แหมมมม เห็นผู้ชายไม่ได้ สั่นระริกๆเชียวนะ เดี๋ยววันหลังกูช่วยมึงเองอิชา กูจะไม่ให้พี่ตองของพวกเราทุกคน ตกไปอยู่ในมือใคร"

"อีเล็ก!" มึงไม่ได้หลุดออกไปจากเรื่องนี้เลยนะ

"เอ่อ.... กูว่าปีนี้มึงมีสิทธิ์ได้ลีดคณะนะอิชา" เปลี่ยนเรื่องเชียวนะ แต่ถ้ามึงไม่เปลี่ยนเรื่อง กูจะลงทัณฑ์พวกมึงเดี๋ยวนี้แหละ "แต่ถ้ามึงได้เป็นลีดมออ่ะ กูจองตำแหน่งผู้จัดการส่วนตัวมึงนะ"

"โนค่ะ กูค่ะ กูมีความรู้ด้านลีดดีกว่ามึง" อิช้างของขึ้นเลย

"วัดกันได้นะคะ ตัวใหญ่ไม่ใช่จะสมองใหญ่นะ"

"อ้าว อินี่ มึงด่ากูเหรอ"

"หยุดค่ะกะเทย ไม่ต้องเถียงกัน อิชาไม่ชอบกะเทยเสียงดังอย่างพวกมึงสองตัวหรอก ต้องกูค่ะ สาวน้อยอ่อนหวานอย่างกูเนี่ยแหละ คอนแท็กกับลูกค้าง่าย งานเข้าตรึม กูคิดค่าแรงไม่แพงด้วย"

"โห อิมโน งานนี้จิ๊มิไม่เกี่ยวนะคะ ใครแย่งกู กูจะฆ่าให้เรียบเลย เพื่อนอะไรไม่มีทั้งนั้นแหละ" อิเจสซี่ มึงจริงจังไปไหมเนี่ย "นะๆ อิชา ครั้งหนึ่งในชีวิต กูอยากเข้าไปหอคอยแห่งเกียรติยศบ้าง เผื่ออนาคตกูรุ่งเรือง ได้เป็นใหญ่เป็นโตเหมือนเจ๊ชมพู่บ้าง"

"มึงรู้จักเจ๊ชมพู่ด้วยเหรอ" อ้าว ข้อมูลใหม่ จะพลาดได้ไง

"ใครไม่รู้จักบ้างมึง" อิเล็กแทรกทันควัน "นั่นหนะ ผู้บริหารกิจการผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยเลยนะ นอกจากจะมีอำนาจในการบริหารงานในตึกลีดมอแล้ว ยังมีคอนแท็กกับเซเลบคนดังเพียบ ผู้กำกับผู้จัดไม่ต้องพูดถึง นางชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้นะคะ อิพี่แอมที่ว่าแน่ เจ๊แกมองจิ๊กทีเดียวคือจบค่ะ"

"จริงเหรอมึง" วาวากูเพิ่งรู้เหมือนกัน "เจ๋งวะ"

"มึงจะเป็นผู้จัดการยังไง ไม่รู้ข้อมูลสำคัญขนาดนี้คะ" อิเจสซี่ด่า

ทั้งสามยังคงถกเถียงกันต่อไป จนกระทั่งช่วงบ่ายมาถึง



ผมและผู้เข้ารอบสิบหกคน ถูกแยกออกการซ้อมบนเวที ซ้อมเกี่ยวกับตำแหน่งที่ยืนและลำดับการขึ้นลงเวที

ผมในฐานะลีดผู้ชายที่ตัวเล็กที่สุดของคณะ ได้อยู่ริมสุดแน่นอน เห้ออออ ส่วนคนข้างหน้าของผมคือเกตุครับ

เราซ้อมเกี่ยวกับลำดับการขึ้นลงเวที ตั้งแต่แรก ช่วงไหนต้องเต้น ช่วงไหนให้โหวต แต่เรื่องเพลงมิ่งขวัญมัณฑนา ก็ยังเป็นความลับอยู่ดี ไม่มีการเปิดให้ฟังเลย จะมุบมิบกันไปถึงไหน



เห้อออออ จบสักที

เป็นเวลาบ่ายสาม การซ้อมสิ้นสุดลง ผมก็นั่งรถไฟฟ้ามาลงที่โรงพยาบาล โชคดีหน่อยที่หมอพิชิตกำลังจะว่าง พี่พยาบาลหน้าโต๊ะประชาสัมพันธ์คนเดิมก็เลยให้ผมมารอที่ห้องเดิม รอแค่ไม่นาน คุณหมอก็เข้ามา

"บล็อกกิ้งเรียบร้อยแล้วใช่ไหมชา" คุณหมอถามผมทันที วันนี้คุณหมอก็ยังดูเหนื่อยๆอยู่ดี เป็นหมอนี่มันลำบากจังเลยนะ แล้วแกยังจะมาสอนลีดให้อีก นี่เราทรมานคนแก่หรือเปล่าเนี่ย

"ครับคุณหมอ"

"ดีแล้วๆ คือหมอมีเคสผ่าตัดนะบ่ายวันนี้ คงมาอยู่สอนเราไม่ได้ ขอโทษที"

อ้าว แล้วผมจะทำไงละครับ

หึ มีคนเข้ามาอีกแล้ว

"ผมรบกวนให้เจ้าตองสอนแทนนะ ทำงานด้วยกันอยู่แล้ว คงไม่ติดนะ"

เวรกรรมมมมมมมมมมมมม

ติดซิครับหมอ แต่ผมจะพูดอย่างงั้นได้ยังไง  สรุปว่าที่กูหลบหน้ามันมาทั้งวัน สุดท้ายก็ไม่พ้นใช่ไหม เงียบไว้ก่อนละกัน

"งั้นหมอขอตัวนะ ฝากด้วยนะตอง"

"ครับอาจารย์หมอ"



อาจารย์หมอออกไป ผมจะรออะไรหละ ไม่อยู่หรอก ไม่ตงไม่เต้นมันแล้ว ไม่ปงไม่เป็นอะไรทั้งนั้นแหละ

"เดี๋ยวซิชา" ไม่ต้องมาคว้ากูไว้เลยนะ

"ปล่อย"

"เราต้องคุยกันนะ เรื่องเมื่อคืนนี้อ่ะ...."

"มันไม่ได้เกี่ยวไรกับผมนิ พี่จะทำอะไรก็ทำ ผมไม่อยากเต้นแล้ว ไม่อยากเป็นลีดแล้วด้วย ผมจะกลับหอ วันนี้เหนื่อยมามากแล้ว" ไอ้นี่ก็แรงเยอะชะมัด สลัดไม่หลุดเลย

"หึงพี่เหรอ" หึงบ้านมึงซิ

"ถ้าไม่ปล่อย ผมจะตะโกนให้คนช่วยนะ"

"ถ้าตะโกน พี่จูบ"

ห๊ะ มึงจะทำอะไรนะ กล้าพูดกับกูแบบนี้เหรอ "ถ้าพี่กล้าทำ เราก็ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกต่อไป"

"....." ไม่ต้องมาทำหน้าสำนึกผิดใส่กูเลย "พี่ขอโทษ งั้นพี่ขอชาอย่างนึงได้ไหม"

"....." สถานการณ์ตอนนี้ มึงไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะมาขออะไรกูได้เลยนะ รู้ตัวบ้างไหม

"ช่วยติวเลขให้พี่อีกได้ไหม...." ห๊ะ มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้วะ "ไม่งั้น.....



พ่อพี่จะให้ลาออกจากมหาลัย"
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 01-11-2017 18:44:56
แปะกฎเล้าด้วยนะครับ :hao5:

แล้วแปะยังไงอะครับ ผมทำไม่เป็น  :heaven
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 10 [ห้องเชียร์]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 02-11-2017 17:48:21
ตอนที่ 10 : ห้องเชียร์





บรรยากาศในห้องซ้อมเต้นคณะวิศวกรรมศาสตร์ กว้างใหญ่ สว่าง เงียบสนิท และตึงเครียด

ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะรู้สึกอะไร ผม​ยังโกรธอยู่ไหม หรือผมกำลังใจหาย

หรือเราจะปล่อยให้ห้องซ้อมมันเงียบสนิทแบบนี้ไปเรื่อยๆ ปล่อยให้ผมกับพี่ตองนั่งกันอยู่เฉยๆโดยไม่ต้องพูดอะไร



"เรื่องลาออกหนะ" สุดท้ายผมก็แพ้ใจตัวเอง จะบ้าหรือไง พักเรื่องหงุดหงิดใจไว้ก่อนแล้วกัน ถ้าตานี่ออกจากมหาลัยจริงๆ ก็เท่ากับผมล้มเหลวเหมือนกัน

"ครับ เรื่องนั้น" พี่ตองมีสีหน้ากลุ้มใจ เหมือนกับที่กลุ้มใจมาตลอดก่อนหน้านี้เลย "ชารู้ไหม.... การเป็นลูกชายคนเล็กของนักธุรกิจใหญ่ มัน.... ไม่ง่ายเลย"

"....." เดี๋ยวนะ เรื่องมันไปถึงตรงนั้นได้ยังไง แล้วนี่จะน้ำเสียงแย่ขนาดนั้นทำไมหละ เศร้าไปด้วยเลย

"คณะวิศวะ มันดูเท่ใช่ไหม รู้ไหม แต่พี่ไม่เคยมีสิทธิ์เลือกเองเลย" นี่พี่ตองกำลังระบายความทุกข์ใช่ไหม "สาขาคอมพิวเตอร์ที่ต้องเรียน ก็เพราะพี่ชายคนโตจบบรรจุภัณฑ์ และพี่สาวคนกลางจบบริหาร ภาระในงานเทคโนโลยีก็เลยตกมาอยู่ที่ลูกชายคนสุดท้ายอย่างพี่"

"พี่ตอง" ให้ตายเหอะ พี่แบกรับอะไรไว้กันแน่ เห็นพี่เป็นแบบนี้แล้ว รู้สึกผิดชะมัดที่ไปเมินใส่

ผมตัดสินใจลุกมานั่งกับพื้นข้างๆพี่ตอง ขอแก้ตัวที่ทำเรื่องไม่ดีกับพี่ลงไปละกัน

"ชาก็รู้ พี่เรียนเลขได้แย่แค่ไหน พี่พยายามมาตลอด แต่ก็ไม่ดีพอซะที"

ผมเข้าใจเลย เหมือนลีดนี่ไง พยายามสุดชีวิต แต่ก็ไม่รู้สึกว่าดีพอสักที

พี่ตองก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาพูด "พ่อพี่ยื่นคำขาด ถ้าคณิตพี่ยังไม่ดีขึ้น พ่อจะบังคับให้พี่ลาออก และแต่งงานกับแอม"

ห๊ะ!

"....." เหมือนอยากจะพูด นะแต่พูดยังไงดีหละ "ท.. ทำไม"

"เพราะอย่างน้อย มันก็เป็นประโยชน์อย่างเดียวที่พี่จะทำเพื่อธุรกิจได้ อย่างน้อยๆ พี่ก็ทำให้กรมเจ้าท่ากับธุรกิจของที่บ้าน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ แล้วอีกอย่าง ต้องยอมรับว่าพ่อพี่ถูกใจแอมไม่ใช่น้อย สวย เก่ง เชิดหน้าชูตาได้ เห็นแบบนั้น แอมเก่งด้านการควบคุมจัดการคนมาก นั่นคงเป็นหมากสำคัญที่พ่อพี่ต้องการในธุรกิจ"

"แล้วพี่ไม่อยาก... เอ่อ แต...."

"ไม่ ชา พี่ยังอายุแค่ 20 พี่ยังเด็กเกินกว่าที่จะใช้ชีวิตแต่งงาน และมันยิ่งแย่ที่พี่ต้องแต่งงานกับคนที่พี่ไม่ได้รัก"

เฮ้ออออออ

ได้ยินคำนี้แล้ว รู้สึกเหมือนถอนเสี้ยนออกจากเท้าได้สำเร็จ แต่..."แล้วทำไมพี่กับพี่แอมถึงไปอยู่ในห้องด้วยกัน... สองคน"

"ก็คนที่ควบคุมพี่แทนพ่ออยู่ ก็คือแอมไง เพราะพี่ไม่ยอมหยุดไปช่วยงานที่โรงพยาบาล พ่อก็เลยจะส่งครูมาทดสอบพี่ทุกๆสองอาทิตย์ ถ้าพี่ตกแม้แต่ครั้งเดียว เงื่อนไขการแต่งงานก็จะสมบูรณ์"

"แล้วเรื่องที่ว่าจะให้ลาออกจากลีดมหาลัยละครับ" ไหนๆก็มาถึงตรงนี้แล้ว ถามให้หมดเลยก็แล้วกัน

"นั่นเป็นความคิดของพี่เอง เพราะงานลีดทำให้พี่มีเวลาพัฒนาวิชาเลขเลย แต่พ่อพี่ไม่มีทางยอมให้พี่ลาออกแน่นอน ภาพลักษณ์ของลีดมหาลัยมัณฑนา ไม่ได้มีผลแค่ในรั้วมหาลัยนะ แต่ส่งผลถึงภาพลักษณ์ที่ดีของธุรกิจด้วย"

อะไรวะ อะไรๆก็ธุรกิจไปหมดเลย อยากให้ลูกเก่งคณิต แต่ไม่ให้โอกาสลูกได้เรียน แล้วยังบังคับให้แต่งงานอีก นี่พ่อพี่ตองเป็นคนแบบไหนกันแน่

แต่พอฟังมาถึงตรงนี้ เข้าใจคำว่า เข้าใจผิด และไม่ฟังเหตุผล ที่สุดเลย

ไม่ได้แล้วแบบนี้ ผมต้องทำอะไรสักอย่าง

"งั้นผมจะช่วยพี่เอง ผมจะติวคณิตศาสตร์ให้พี่เองครับ"

"...." อ้าวทำไมไม่พูดอะไรเลย ก็ไหนตอนอยู่โรงพยาบาลยังขอร้องเราอยู่เลย "ถึงพี่จะออกปากขอชาเอง แต่ชาก็มีภาระที่ต้องทำอยู่แล้ว พี่ดูออกนะ เชียร์ลีดเดอร์ไม่ใช่ทางของชาเลย"

เฮ้ออออออ  ใครๆก็ดูออกทั้งนั้นแหละ นี่ยิ่งตอกย้ำว่าเราไม่มีพรสวรรค์จริงๆด้วย

"ช่างเรื่องของชาเถอะน่า เรื่องของพี่ตองสำคัญกว่า นี่มันอนาคตเลยนะ พี่สอบตกผมก็แย่ซิ"

"ชาจะแย่ได้ไงครับ ไม่มีพี่ ชาก็จะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาติวให้"

"ก็...." พี่เป็นเหตุผลใช้ชามาเรียนที่นี่ไง "ถ้าไม่มีพี่ ใครจะสอนชาให้เป็นลีดมหาลัยหละ"

"ชาอยากเป็นลีดมหาลัยจริงๆเหรอ พี่นึกว่าชาแค่.... อยากอยู่ใกล้ๆพี่ซะอีก"

"....." ช็อกเลยกู เปลี่ยนอารมณ์ไวจัง ตอนนี้ไม่รู้ว่าแสดงสีหน้ายังไงออกไป แต่ทำไมพี่เค้า... พูดได้ถูกต้องขนาดนี้ แล้วนั่นยิ้มทำไม "ใกล้บ้าใกล้บอไรหละ ไอ้พี่ตอง นี่อุตส่าหายโกรธแล้วนะ" กูต้องเปลี่ยนเรื่องให้เร็วเหนือแสงให้ได้

"แล้วโกรธพี่เรื่องไรหละ เรื่องที่พี่แอมมาอยู่ในห้องพี่อะเหรอ"

ฟาวด์เลยกู ผลการเปลี่ยนเรื่องคือกับดักฆ่าตัวเอง "ใครบอก ชาโกรธเรื่อง.... ร... เรื่องพี่โกหกชาว่าจะไปประชุมต่างหากหละ นี่ถ้าชาไม่ออกไประเบียง ก็คงไม่เห็นหรอกว่าพี่โกหก" ทำไมการโกหกมันยากจังวะ

"จริงอ่ะ"

"ใช่ นี่ชายังโกรธอยู่เลยนะ" เอาวะ โกหกแล้วนิ ยังไงกูก็ต้องไม่แพ้ในเกมส์นี้

"แล้วพี่จะง้อยังไงดีน่าาาาา" อะไรของพี่แกวะ ดูมีความสุขแปลกๆ "พาไปกินแกงเห็ดดีไหมน่าาาาา"

เห้ยยยยยยยยย

ไอ้บ้าพี่ตอง มันรู้ได้ไง ไปเอาข้อมูลลับสุดยอดนี้มาจากไหม

"ร้านอาหารไทยอร่อยๆอยู่ไกลซะด้วย พาไปดีไหมน่าาาาา" ทำเป็นมาถือไพ่เหนือกว่า ไอ้บ้าเอ๊ย พูดถึงทำไมเนี่ย น้ำลายไหลเลย ไม่ได้กินมานานแค่ไหนแล้ว

"ไม่เห็นจะอยากกินเลย" ทำไมกูพูดแบบน้านนนน จะร้องไห้

"อ่ะๆ ไม่แกล้งแล้วๆ เอาเป็นว่า เข้าใจพี่แล้วนะ ไม่ต้องหายโกรธก็ได้ แค่เข้าใจพี่ก็พอ ได้ไหม"

นี่มันใช่มุกที่มันใช่จีบสาวของไอ้พี่ตองเปล่าวะ ทำไมมันฟังดูแล้ว ชวนให้ใจอ่อนจัง

"ชาาาา ได้ไหม"

อือหืออออ มีรอคำตอบด้วย "ซ้อมเต้นเถอะน่า เวลามีน้อย ไหนจะต้องไปกิน.... เอ้ย ไปติวต่อให้พี่อีก"

"นั่นแน่... งั้นถ้าพาไปกินแกงเห็ดแล้วต้องหายโกรธพี่นะ ไม่งั้นพี่ไม่ติวจริงๆด้วย"

"โอ๊ะ หน้าด้านเนอะ ผลประโยชน์ของตัวเองชัดๆ มาใช้เป็นข้อต่อรองได้ไง"

"หรือชาอยากให้พี่สอบตก"

โอ๊ยยยย ไอ้บ้าพี่ตอง "เออๆๆ มาซ่อมได้แล้ว ชารีบ"

"ครับบบบบบ.... ว่าแต่ เรียกแทนตัวเองว่า ชา แบบนี้ ก็น่ารักดีนะ"

โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยย

เออ 

กูเขิน

กูยอมรับก็ได้





กว่าจะเริ่มซ้อมได้ ต้องผ่านช่วงดราม่าตั้งนาน

แต่พูดก็พูดนะ ไอ้พี่ตองมันก็สมกับคำล่ำลือจริงๆ ไม่ใช่แค่หล่อ เท่ แต่การเต้นสมบูรณ์แบบและทรงพลังมาก อย่างกับเป็นผลงานชิ้นเอกของเจ๊ชมพู่เลย

ตลอดสามชั่วโมง พี่ตองสอนเพลงมิ่งขวัญมัณฆนา ตั้งแต่แรกจนจบ แต่ความคืบหน้าไปเป็นอย่างเชื่องช้า ใช่ครับ เป็นความผิดของผมเองที่ไม่มีพรสวรรค์ทางด้านนี้เลย ดีหน่อยที่ได้ฝึกพื้นฐานมาก่อน

พี่ตองยังคงสอนอย่างใจเย็น แต่เข้มงวด พี่เขาไม่ยอมให้ผมผ่านแต่ละท่าได้ง่ายๆ จนกระทั่งหกโมงเย็นมาเยือน

ผมถูกพาตัวไปที่ร้านอาหารไทยอย่างที่พี่ตองสัญญาไว้ แน่นอนซิ ผมก็ต้องอารมณ์ดีขึ้นมาอยู่แล้ว ถ้าได้ของกิน ยิ่งเมนูโปรดหายากแบบนี้ด้วยแล้ว เรื่องโกรธเรื่องงอนอะไรนั่น เลิกพูดไปได้เลย

หลังทานข้าวเสร็จ แทนที่จะเป็นคิวที่ผมต้องเป็นคนสอนบ้าง ผมกลับถูกพาตัวกลับมาที่ห้องซ้อมของคณะวิศวะอีกครั้ง พี่ตองบอกว่าการเต้นของผมยังหากไกลกับคำว่า ผ่าน อยู่มาก จึงยังไม่มีการติววิชาเลขในวันนี้ โชคดีที่ไม่มีใครมาจองห้องซ้อมต่อเลย พี่ตองก็เลยขอยืมห้องยาวจนถึงดึก



"ทำไรหนะ" ไอ้พี่ตอง ถอดเสื้อครับ ผมเข้าใจนะว่ามันเหงื่อเต็มตัวแล้ว แต่พี่จะเอ๊ะอะถอดเสื้อแบบนี้ไม่ได้นะ

"เสื้อมีแต่เหงื่อเต็มไปหมดเลย"

เออ กูรู้แล้ว แต่จะมาสอนทั้งที่ถอดเสื้อได้ไงหละ วันทั้งวันนี่ก็โดนจับเนื้อต้องตัวมาตลอด แต่ถ้าจะมาจับเหมือนเดิมในขณะที่ถอดเสื้อด้วย ใครจะไป.... ไม่เอาอ่ะ

"ไม่ได้ ใส่เสื้อเลยนะ แล้วไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยนหรือไงเล่า"

"ก็ไม่มีนะซิครับ ทำไมอ่ะ เขินเหรอ จะถอดกับพี่ด้วยก็ได้นะ"

"ไอ้บ้า ไม่ถอดเว้ย"

"แต่เสื้อพี่เปียกหมดแล้วอะ ใส่ซ้อมต่อไม่ไหวหรอก"

ไอ้พี่ตอง ไอ้บ้า กูนี่ก็โง่จริง เมื่อไหร่จะเต้นได้สักที สี่ทุ่มแล้วนะ

"อีกแค่นิดเดียวก็จะจบเพลงแล้ว นี่ไงท่อนสุดท้ายแล้วด้วย"

ก็ได้วะ แค่สนใจท่าเต้น อย่าไปสนใจอย่างอื่น "งั้นก็รีบเลย ดึกแล้ว"

"ท่าสุดท้าย ทำแบบนี้นะ วาดแขนสองข้างมาเหมือนกับว่าจะกอดตัวเอง แล้ว...."

ทำไมกล้ามเนื้อไอ้พี่ตองมันถึงได้สวยงามขนาดนี้วะ ต้องออกกำลังกายยังไง ความสูงนี่ก็ได้เชื้อใครมา พ่อหรือแม่ ทำไมถึงเป็นคนที่เหงื่อออกแล้วดูเท่แบบนี้

"ชา!"

"ครับ" นี่กูเม่อเหรอ นี่เพิ่งจะเตือนตัวเองไปแท้ๆ อยากจะตบเกรียนตัวเองสักที

"ถ้าพี่ทำให้ชาไม่มีสมาธิ พี่ใส่เสื้อก็ได้นะ"

"....เกี่ยวไรเล่า ไม่เสียสมาธิซะหน่อย"

"อ่ะ ไม่เสียก็ไม่เสีย งั้นเต้นตามที่พี่บอกเมื่อกี๊ซิ"

"บอกไหนอ่ะ"

"ก็ทีบอกเมื่อกี๊ไง"

มันบอกไปแล้วเหรอวะ ทำไมไม่เห็นจำได้เลย

นั่นไงโดนถอนหายใจใส่เลย "อ่ะ เอามือเข้ามาแบบนี้" นี่ไงที่กลัวที่สุด โดนจับมือให้ทำจนได้ แล้วแบบนี้จะมีสมาธิได้ไง

ไม่ได้ๆ ตั้งใจๆ

"สุดท้ายก็จบแบบนี้"

แล้วทำไมท่าจบต้องเป็นท่ากอดด้วยหละ

ให้ตายเหอะ......

อบอุ่นชะมัด

"จำได้ยังครับ" ผมถูกปลุกจากพะวังอีกครั้ง

การกอดเมื่อกี๊ ทำไมมันดูจริงจังจังหละ หัวใจเต้นแรงไม่หยุดเลย

"ก็พอจำได้แล้ว... ครับ"

"งั้นก็ดีแล้วครับ คราวนี้ก็ซ้อมเต้นยาวไปกับเพลงเลย จนกว่าจะไม่ผิดและจำได้ อย่างน้อยติดกันสามรอบ ก็ถือว่าผ่านครับ"

ห๊ะ  กูหายเคลิ้มเลย "เอาจริงเหรอ"

"ชาทำได้ พี่มั่นใจ" ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ "ยิ้มแบบนี้ด้วยนะตอนเต้นอ่ะ ยิ้มตลอดทั้งเพลงเลย"

หึ๊!!! นี่กูยิ้มอยู่เหรอ "ทีพี่ยังไม่เห็นยิ้มทั้งเพลงเลย"

"ก็พี่ไม่ได้เหมาะกับการยิ้มตลอดเวลานิครับ ชาเหมาะกว่า"

"เหมาะยังไง" ผมลองสังเกตตัวเองยิ้มในกระจก ดูแปลกๆยังไงไม่รู้ ยิ่งยิ้มยิ่งดูแต๊ว ไม่เอาหรอก

"ก็มันทำให้พี่รู้สึกดี คนอื่นเห็นก็ต้องรู้สึกดีเหมือนกันซิครับ"

"...." นี่ก็ขยันหยอดจริง กูไม่ใช่สาวในคอเล็คชั่นนะ "เปิดเพลงได้แล้ว"



เฮ้ออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ

ถอนหายใจยาวกว่านี้ได้อีกไหม

ในที่สุดผมก็ทำได้ สามรอบติดที่ไม่ผิดเลย แต่ไม่นับรวมสามสิบรอบก่อนหน้านี้นะ

อยากจะขอบคุณพี่ตองนะที่คอยเต้นด้วยทุกรอบเลย

ขอบคุณความใจสู้ของตัวเอง ขอบคุณที่เป็นคนไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ สำเร็จจนได้

นี่มันจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว

ผมนั่งรอไอ้พี่ตองเก็บข้าวของในห้องซ้อม คิดถึงเตียงนอนจังเลย จะนอนให้เต็มที่ไปเลย.......

.............................

................

......



"ไอ้ชา" เสียงใครวะ

"ไอ้ชาเย็น" อยากเพิ่งกวนได้ไหม ขอนอนก่อน

"ไอ้สัด"

สะดุ้งเลยกู

"อะไรวะ จะนอน"

"อาบน้ำก่อนไหม มึงดูสภาพตัวเองก่อน" ไอ้ต้อมพยายามเรียกสติผม

นี่กูมาอยู่นี่ไงได้วะ โซฟาคุ้นๆแฮะ อ้าว ห้องกูนี่หว่า ชุดเดิมที่เปียกไปด้วยเหงื่อ

"กูมาได้ไงวะ" ผมถามเพื่อนทันที

"โน่นไง" ไอ้ต้อมชี้ไปที่โต๊ะกินข้าวในห้องผม นั่นพี่ตองนี่หว่า หลับฟุ้บไปกับโต๊ะแล้ว แล้วใส่ชุดอะไรหนะ ดูคุ้นๆ "พี่เค้าอุ้มมึงมาส่งเนี่ย ดีนะที่กูเห็น มึงซ้อมหนักกันจริงเปล่าวะ หรือไปทำไรกันมากันแน่ ทำไมหมดเรี่ยวแรงกันขนาดนี้... ไอ้พี่ตองนี่ก็เหลือเกิน กูไล่ให้กลับก็ไม่กลับ บอกว่าจะรอมึงตื่นก่อน กูก็เลยให้ไปอาบน้ำ แต่กูมีแค่ชุดหมีนั่นแหละที่พี่แกจะใส่ได้ แล้วดูดิ เหนื่อยจนหลับไปอีกคน"

นี่ทำไมต้องลำบากขนาดนั้นด้วยวะ ปลุกก็ได้นี่นา จะอุ้มมาทำไม

"มึงไม่ต้องไปห่วงเค้าหรอก มึงไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวกูปลุกพี่แกให้ บอกว่ามึงตื่นแล้ว ไม่ได้เป็นลมอย่างที่พี่แกกังวล"

"ไม่ต้องมึง" ผมรีบห้ามไอ้ต้อมเลย "ให้พี่เค้านอนเถอะ เค้าคงเหนื่อยเพราะสอนคนโง่อย่างกูนี่แหละ"

"นอนท่านั้นอะนะ กูว่าเหนื่อยกว่าเดิมอีก"

เออ จริงด้วย "งั้นช่วยกูแบกพี่เค้ามานอนที่เตียงหน่อย"

"อะไรของมึงวะ" ไอ้ต้อมมองหน้าผม สงสัยอย่างแรง "เออๆ มึงไปอาบน้ำเหอะ เดี๋ยวกูจัดการเอง ดึกแล้ว จะได้นอนซะที  ไปๆ วุ่นวายจริงเลยพวกมึงนิ"

มันก็บ่นนะ แต่ก็ช่วยเหลือเต็มที่

ผมโดนไล่ให้มาอาบน้ำ ก็รีบอาบซิครับ รู้สึกยังเหนื่อยๆอยู่เลย เข้าใจแล้วว่าเผลอหลับไปได้ยังไง แล้วคนสอนจะไม่เหนื่อยยิ่งกว่านี้อีกเหรอ

ทำไมต้องทำเพื่อผมขนาดนี้ด้วย



หลังอาบน้ำเสร็จ ผมก็ออกจากห้องน้ำ พี่ตองถูกพามานอนบนเตียงเป็นที่เรียบร้อย ไอ้ต้อมก็ไม่อยู่แล้ว มันคงจะอยากนอนจริงๆ

ให้ตายเหอะ เป็นคนบอกให้พาพี่ตองมานอนที่เตียงนะ แต่ทำไมกูต้องเก้ๆกังๆตอนจะนอนใกล้พี่เค้าด้วยละเนีย

เนื้อตัวอุ่นจัง ขนาดไม่ได้โดนตัวนะ แต่ภายใต้ผ้าหุ่มผืนเดียวกัน ความอบอุ่นมันแผ่ครอบคลุมออกมาได้กว้างขวางจริงๆ



"น้ำชา" หึ ไอ้พี่ตอง ยังไม่หลับเหรอ

อ้าว ละเมอเหรอ นี่ถึงขั้นละเม่อชื่อกูเลยเหรอวะ สงสัยเหนื่อยเพราะเราจริงๆ

เดี๋ยวๆๆๆๆๆ นี่จะทำไรหน่ะ

จู่ๆไอ้พี่ตองมันก็ดึงผมเข้าไปกอด กอดไว้แบบเต็มตัวเลย อย่างกับผมเป็นหมอนข้าง

ปล่อยยยย

​ผมดิ้นอยู่สักพัก.....

 ลิกต่อสู้ละ ก็ถ้าไอ้คนกอดจะตัวใหญ่แรงเยอะขนาดนี้ ดิ้นยังไงก็ไม่รอดหรอก

เอาเถอะ นอนดีกว่า โดนกอดไว้แบบนี้ก็รู้สึกดีเหมือนกันแฮะ ทั้งอุ่น ทั้งรู้สึกปลอดภัย

พรุ่งนี้ค่อยโวยวายด่ามันทีเดียวก็ได้........



"ตื่นแล้วเหรอครับ"

เสียงทักทายแรก หลังจากผมลืมตาตื่น

เห้ย!! ลืมไปเลยว่าไอ้พี่ตองนอนอยู่บนเตียงด้วย แล้วมานั่งมองหน้าทำไม

"ยังไม่กลับอีกหรือไง" ทำไมคำพูดแรกตอนเช้า มันพูดลำบากจัง

"ก็รอชาตื่นอยู่ไง"

"รอทำไม"

"น้ำเต้าหู้ตอนเช้า" หา! ไอ้พี่ตองชี้ไปที่โต๊ะอาหาร มีน้ำเต้าหู้ปาท่องโกวางอยู่บนโต๊ะ

แล้วนี่รู้ได้ไงว่าชอบกินน้ำเต้าหู้ตอนเช้า ทำไมหลังจากเข้ามหาลัย ถึงได้รู้สึกเหมือนโดนล่วงความลับแทนวะ ผมดิต้องเป็นคนรู้เรื่องของไอ้พี่ตอง

"เห็นแล้ว งั้นก็กลับไปซิ"

"จะไม่ให้พี่กินด้วยเลยเหรอ พี่อุตส่าลงไปซื้อร้านที่ชากินประจำให้เลยนะ ใส่ชุดหมีไปซื้อด้วย อายจะตายชัก"

นั่นไง ผมกำลังโดนเอาคืนจริงด้วย

"เมื่อคืนพี่ซ้อมให้เหนื่อยนะ แค่ขอกินด้วยแค่นี้เอง..."

"อ่ะๆๆๆ ก็ไปกินซิ ไม่รีบเข้ามหาลัยหรือไง วันนี้เปิดเรียนแล้วนะ"

"อีกตั้งเป็นชั่วโมง หอพี่อยู่แค่นี้เอง"

ไม่คุยด้วยแล้ว ไปกินดีกว่า

พี่ตองเดินยิ้มมากินที่โต๊ะเหมือนกัน อารมณ์ดีอะไรนักหนา

แล้วเป็นอะไรหน่ะ ทำไมทำท่าแบบนั้น

"ปวดไหล่เหรอ" ผมถาม

"ไม่เป็นไรมากหรอกครับ ไม่ได้ซ้อมเต้นนานๆแบบนี้มานานแล้ว ร่างกายคงต้องการเวลาปรับตัวนิดหน่อย"

ความผิดกูเต็มๆเลย แล้วก็ไม่ต้องมายิ้มกบเกลือนเลยนะ

"จะไปไหนเหรอครับ" เดี๋ยวก็รู้ ไม่ต้องถาม

ผมต้องรับผิดชอบซิ

คือ สมัยก่อนอ่ะ ตอนที่ผมพยายามเล่นกีฬาตามไอ้คนตัวสูงนี่ ผมก็มีช่วงยากลำบากเหมือนกัน ทั้งบาส ว่ายน้ำ แต่ก็มีสิ่งที่ช่วยให้ผ่านมาได้ การนวดไง ตอนนั้นผมไปหาหนังสือมาอ่านแล้วก็สอนให้แม่นวดให้ ความรู้นั้นยังติดตัวอยู่ นวดไหล่แค่นี้ ทำได้สบายมาก

"ช...ชา" ไอ้พี่ตอง นิ่งไปเลย

ผมนวดโดนจุดเจ็บหรือเปล่าหว่า แต่นี่ก็ทำตามหลักสูตรแล้วนะ

อ้าว  อะไรวะ อยู่ดีๆก็ลุกออกไป

"พี่กลับก่อนนะ"

ห๊ะ อะไรวะ เดินออกไปเลย ยังไม่ได้พูดไรเลย เพิ่งกินไม่ใช่เหรอ หรือว่าบ้าจี้ ไม่ชอบโดนนวดเหรอ ไม่เข้าใจ

ไม่เข้าใจอะไรเลย



มื้อเช้าที่งงงวยผ่านไป ไอ้ต้อมพาผมมาส่งเข้าคลาสเรียนแรกแต่เช้า ก็ไม่มีอะไรครับ อาจารย์ส่วนใหญ่รู้จักผมอยู่แล้ว ก็เขินนะครับ ผมหนะ ถึงจะมั่นใจในทักษะด้านคณิตศาสตร์ของตัวเอง แต่ก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองถึงขั้นว่าเป็นอัจฉริยะอะไร มันคือความถนัดมากกว่า

การเรียนวันแรกของผมจึงไม่มีอะไรน่าห่วงนัก แต่อิสามตัวเพื่อนผมเนี่ย รู้สึกว่ามันจะตื่นเต้นทุกครั้งที่ผมอธิบายคำตอบในชั้นเรียนเลยนะ อันนี้พวกมึงไม่ต้องมาตื่นเต้นหรอก ตอนบ่ายโน่น ตื่นเต้นของจริง



"สวัสดีครับ"

"สวัสดีค่ะ"

นี่มหาลัยเรามีจอแสดงภาพเยอะขนาดนี้เลยเหรอ ไม่เคยสังเกตมาก่อน

จู่ๆ ทีวีเครื่องเล็ก เครื่องใหญ่ จอโฆษณา และแม้กระทั่งจอยักษ์ทรงกลมกลางมหาวิทยาลัยที่ผมเข้าใจว่าเป็นแท้งน้ำ ก็ถูกฉายภาพพร้อมเสียงของผู้ดำเนินรายการอย่างพร้อมเพรียงกัน

"ในที่สุดก็ถึงเวลานับถอยหลังการเปิดกิจกรรมห้องเชียร์ของมหาวิทยาลัยมัณฑนาของเราแล้วนะครับ"

"ใช่แล้วค่ะ พี่ปืน"

พิธีกรทั้งสอง น่าจะเป็นรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัยจากสักคณะนึงนี่แหละ

"น้องหญิงรู้ไหมครับว่า การถ่ายทอดสดบรรยากาศงานเปิดห้องเชียร์มหาวิทยาลัยของเราเนี่ย เป็นที่จับตามองจากทั่วทั้งประเทศเลยนะครับ เพราะเรามีการส่งสัญญาณถ่ายทอดสดในช่องเคเบิ้ลหลักของมหาวิทยาลัยและหลากหลายช่อง ไหนจะบนแฟนเพจเชียร์ลีดเดอร์ไทยแลนด์ รวมถึงวันนี้เราก็ได้รับเกียรติจากผู้กำกับ ผู้จัดละครมากมาย รวมถึงพระเอกนางเอกแถวหน้าของประเทศหลายท่าน ซึ่งบางท่านเนียก็เป็นอดีตผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยของเราด้วยครับ"

"จริงเหรอคะพี่ปืน แล้วเค้าอยู่ที่ไหนเอ่ย หญิงอยากไปขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมคะ"

"ไม่ได้แน่นอนครับ ยกเว้นว่าน้องหญิงจะเป็นผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยมัณฑนา เพราะตอนนี้แขกผู้มีเกียรติทุกท่านกำลังนั่งชมการถ่ายทอดสดจากในอาคารผู้นำเชียร์หรือที่เราเรียกกันว่า หอคอยแห่งเกียรติยศ นั่นแหละครับ และร่วมชมบรรยากาศสดๆไปพร้อมกับเราและคุณผู้ชมทุกท่านครับ"

"เรียกได้ว่าความยิ่งใหญ่ของปีนี้ จะไม่ยิ่งหย่อนไปจากทุกๆปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอนใช่ไหมคะพี่ปืน ดูกันไปยาวๆตลอดการจัดกิจกรรมห้องเชียร์กว่า 90 วัน แบบนี้อดใจรอแทบไม่ไหวแล้วค่ะ อยากจะให้ถึงเวลาเปิดห้องเชียร์เร็วๆจังเลย"

"แล้วน้องหญิงตั้งตาคอยอะไรมากที่สุดสำหรับกิจกรรมห้องเชียร์ปีนี้ครับ"

"แน่นอนซิค่ะ เพลงมิ่งขวัญมัณฑนา จะมีนิสิตที่ผ่านเข้ารอบคนใดหรือไม่ที่สามารถเต้นเพลงสุดยอดความลับนี้ได้"

"ปีที่แล้ว ก็มีแค่นิสิตนาวาพลจากคณะวิศวกรรมศาสตร์หรือเจ้าชายตอง ซึ่งเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถสร้างประวัติศาสตร์ได้สำเร็จ แล้วปีนี้จะมีใครทำได้อีกหรือเปล่าน้า น่าติดตามจริงๆเลยครับ"

"แล้วก็ที่น่าติดตามกว่านั้นค่ะพี่ปืน เหล่าแขกผู้มีเกียรติ หลังชมการโชว์เพลงมิ่งขวัญเรียบร้อยแล้ว จะมีการเดินทางไปร่วมโหวตให้น้องคนไหนบ้างหรือเปล่า ถึงแม้จะมีคะแนนแค่คะแนนเดียวเท่าๆกับทุกๆคน แต่หนึ่งคะแนนจากบุคคลเหล่านี้ ย่อมมีความหมายไม่ธรรมดาแน่นอนค่ะ"

"ยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้นนะครับ แบบนี้ เราไปเรียกน้ำย่อยด้วยการชมรีรันไฮไลท์บรรยากาศการเปิดห้องเชียร์เมื่อปีที่แล้วกันก่อนดีกว่าครับ"



นี่มันวันโลกแตกชัดๆ จริงจังเบอร์นี้เลยเหรอ ซวยแล้วกู

"พี่ตองของฉ้านนนนน" อิช้างร้องทันทีที่หน้าพี่ตองโผล่ขึ้นมาบนจอ

"นั่นก็พี่ท๊อปนี่นา ดีอะแก" อิเล็กก็เอาด้วย

"นั่นๆแก พี่แอมนี่นา ถึงจะมายุ่งกับพี่ตองของพวกเรา แต่นางก็สวยจริงไรจริง" วาวา เอาเข้าไป ท่าทางฟินกันเนาะพวกแกเนีย

"อิชา มึงจะทำหน้าอย่างงั้นทำไมวะ นี่ๆ กินเข้าไป จะได้มีแรง"

"กูกินไม่ลงว่ะ" ตื่นเต้นสุดๆ

"โอ๊ยมึง มึงไม่ต้องตื่นเต้นหรอก พวกกูไปเที่ยวหาเสียงให้มึงมาแล้ว รับรองมึงได้ชัวร์ พวกกูเป็นกำลังใจให้ เต็มที่มึง"

"แต่กูว่า.... มึงคงไม่อยากได้กำลังใจจากพวกกูหรอก ดูโน่นซิ" วาวาชี้ไปไหน



เห้ยยยยยยยย

พี่ตอง  เจ๊ซีซี่



"ไม่เจอกันนานนะน้ำชา" เจ๊ซีซี่กล่าวทัก

แต่ผมเนี่ย มองอยู่คนเดียวเลย พี่ตอง วันนี้มาให้ชุดนิสิต เสริมหล่อมาแล้วเรียบร้อย ก็หล่ออย่างเคยนั่นแหละ หล่อเหมือนวันแรกที่เข้ามหาลัย หรืออาจจะหล่อเหมือนวันแรกที่ได้พบกันในเหตุการณ์จมน้ำ เมื่อแปดปีที่แล้ว

พี่ตองยื่นไม้แขวนถุงผ้าสีเงินให้ผม ​อะไรอ่ะ

​"เสื้อที่พี่หนุงสั่งตัดไว้ให้" พี่ตองบอก "พี่เอามาให้" นี่ใส่ใจเราขนาดนี้เลยเหรอ

"จริงๆใช้เจ๊ก็ได้ค่ะตอง จะต้องวุ่นวายออกมาจากตึกลีดทำไมก็ไม่รู้.... อะนี่น้องน้ำชา นี่เป็นชุดเสริมหล่อของพี่ตองเค้า พี่ตองไม่ต้องใช้แล้ว เสร็จแล้วค่อยเอามาคืน รีบไปเตรียมตัวไป"

"หนูช่วยเองค่ะ" อิเจสซี่คว้ากล่องเครื่องสำอางอย่างรวดเร็ว และแน่นอน อีกสองคนที่เหลือก็อยากได้เหมือนกัน

"ระวังค่ะลูก แต่ละอย่างมันแพงนะคะ"

"โทษทีค่ะคุณแม่" อิเล็กเขิน

"ตื่นเต้นไหม" พี่ตองถามผม ก็รู้สึกดีนะ แต่ก็ตื่นเต้นอยู่ดี

"ค... ครับ"

"ไม่ต้องกังวลนะ ทำให้เต็มที่ก็พอ ยิ้มไว้"

"ขอบคุณครับ" ขอบคุณที่อุตส่ามาให้กำลังใจนะครับ

"พวกพี่ต้องกลับเข้าตึกลีดแล้วนะ ขอออกมาได้แค่แป๊บเดียว สู้ๆนะน้ำชา ฝากพวกเธอช่วยดูน้ำชาหน่อยนะ" เจ๊ซีซี่เร่งให้พี่ตองกลับ

ถึงจะไม่อยากให้ไปก็เถอะ แต่สุดท้ายก็ละสายตากันไปจนได้

"รีบกินมึง เดี๋ยวบ่ายโมงห้องเชียร์ก็จะเริ่มแล้ว"



ผมและเพื่อนทั้งสาม เร่งทานอาหารกลางวัน เพราะต้องรีบเตรียมตัวต่อ

ผมเปิดคลิปที่พี่หนุงเคยแนะนำการปรับลุคให้พวกนั้นดู ก็สมกับที่ชอบเรื่องความสวยความงามกันอยู่แล้ว ดูรอบเดียวก็เข้าใจและลงมือทำได้เลย เสื้อผ้าที่ได้มาถูกสวมใส่ หน้าตาที่จืดชืดก็ถูกลงงานศิลปะ ทรงผม มือ เล็บ ถุงเท้า รองเท้า ทุกอย่างพร้อม คงเหลือแค่ผมคนเดียวนี่แหละที่ไม่พร้อม



#มี 1 ข้อความ



​พี่ตอง : สู้ๆนะครับ พี่มองชาอยู่เสมอนะครับ
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 11 [เปิดโหวต]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 04-11-2017 16:43:06
​ตอนที่ 11 : เปิดโหวต





ห้องพักของผู้นำเชียร์คณะวิทยาศาสตร์ วุ่นวายจอแจไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา เจ้าหน้าที่ ช่างภาพ รุ่นพี่เชียร์ลีดเดอร์ เดินขวักไขว่ไปพร้อมเสียงประชาสัมพันธ์ทางโทรศัพท์ ดนตรีรื่นเริงอันเป็นสัญญาณของพิธีเปิดห้องเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนาอย่างเป็นทางการ

แต่.....

ไม่อาจมีสิ่งใดทำลายช่วงเวลาอันวิเศษนี้ของผมไปได้

หลังได้รับข้อความจากพี่ตอง ​สู้ๆนะครับ พี่มองชาอยู่เสมอนะครับ

​ก็คล้ายกับว่าห้องทั้งห้องนั้นไม่เหลือใคร

เหมือนว่าพี่เค้านั่งอยู่ตรงนี้ข้างๆผม เหมือนเสียงของพี่ตองกระซิบอยู่ข้างๆหู



"น้ำชา"

ห๊ะ  ใครเรียกหว่า

"ยิ้มอะไรจ๊ะ ไม่ตื่นเต้นเหรอ" อ๋อ เกตุนี่เอง

"ตื่นเต้นซิ" ผมรีบเก็บมือถือและกลับมาอยู่ในบรรยากาศวุ่นวายเช่นเดียวกับคนอื่น

"วันนี้หล่อเป็นพิเศษนะ"

ว้าวววว  มีคนชมว่าหล่อสักที "ขอบใจนะ พวกแก๊งนางฟ้าที่เอกแต่งตัวให้หนะ เกตุก็สวยนะ สวยมากเลย อาจจะมีสิทธิ์ได้ตำแหน่งดาวมหาลัยด้วยนะเนี่ย"

"บ้า ก็พูดไป เราไม่ได้สวยเป็นนางฟ้าเหมือนพี่แอมนะ"

"....." ชื่อนี้อีกแล้ว

"ได้ข่าวว่าสนิทกับพี่ตองเหรอ เห็นคนพูดกันให้แซดเลยว่า พี่ตองมาให้กำลังใจเมื่อกลางวัน เราก็นึกว่า น้ำชากับพี่ตองไม่ถูกกันซะอีก ก็วันสัมภาษณ์..."

"บังเอิญเรากับพี่เค้าจำเป็นต้องร่วมงานกันหนะ ก็เลยได้คุยกันมากขึ้น" รีบแก้ข่าวๆ

"แบบนี้พี่แอมไม่หึงแย่เหรอ"

เอาแล้วไงกู เห้ออออออ

"ไม่หรอก ไม่ได้มีอะไรซะหน่อย"

"นั่นซิเนาะ เราควรจะคิดเรื่องของวันนี้ก่อน.... ดูนั่นซิ พี่ท๊อปนี่นา" เกตุเรียกให้ผมดูพี่ท๊อปซึ่งเปิดประตูเข้ามาในห้องอันวุ่นวาย



โห ไม่เจอกันนานเลย พี่แกดูมีออร่ามากๆ ขาวหล่อ สว่างวาบ

"ไงน้ำชา เด็กในสังกัดพี่" พี่ท๊อปมาถึงก็แซวเลย

"เชิญนั่งตรงนี้ก็ได้ค่ะ" เกตุยอมสละที่นั่งด้านข้างของผม แล้วเดินไปพูดคุยกับผู้เข้ารอบคนอื่นๆต่อ

"ไม่เจอกันนานเลยนะพี่"

"ไม่เจอกันไม่กี่วันนี่หล่อขึ้นเยอะเลยนะ ราศีผู้นำเชียร์ก็จับ ดูแปลกๆนะ ไม่ทำอะไรมาหรือเปล่า"

เยอะแยะเลยแหละ "ก็นิดหน่อยอะพี่"

"ไม่ได้แล้ว แบบนี้ถ้าได้เป็นลีดคณะต้องมีไรตอบแทนพี่บ้างนะ"

"โห พี่ อย่างผมเนีย จะได้เหรอ"

"ก็.... น่าจะได้นะ เสริมหล่อมาขนาดนี้แล้ว อื้มมมม แต่พี่ว่าทีแรกน้ำชาก็น่ารักอยู่แล้วนะ ไม่เห็นต้องทำไรพวกนี้เลย"

อือหืออออ กู โดนซุปตาร์ชม เขินเลย

แล้วพวกผู้หญิงในห้อง เป็นไรกันไปหมด มองมาทางนี้เป็นตาเดียวเลย

"พี่ไม่ไปอยู่ตึกลีดเหรอครับ เดี๋ยวสาวๆคณะผมก็ใจละลายหมดหรอก"

"ฮ่าๆๆๆ พี่จะลืมมาให้กำลังใจน้องได้ไงหละ แต่พี่อยู่ปีสามแล้ว ไม่ต้องไปอยู่คอยต้อนรับแขกที่ตึกโน้นหรอก"

กำลังใจอะพอแล้วพี่ เมื่อกี๊ก็รับมาแล้วเต็มๆ "ขอบคุณมากนะพี่ โห เขินเลย"

"เขินจริงดิ"

อะไรของพี่แกวะ นี่ว่างจริงๆใช่ไหมเนี่ย แล้วก็ถามไรแปลกๆ ".... งานเปิดห้องเชียร์ที่นี่ยิ่งใหญ่เนาะ ผมทำตัวไม่ถูกเลย จะมีใครมาโหวตให้หรือเปล่าก็ไม่รู้"

"ก็พี่นี่ไง ต่อให้น้ำชาเต้นไม่ได้ พี่ก็จะโหวตให้ โอเคไหม"

"อ.... เอ่ออออ.... ก็... โอเคดิพี่ ขอบคุณครับ คงมีแต่พี่นี่แหละมั้งที่จะโหวตให้ผม ดูดิ คณะผมแต่ละคน สวยๆหล่อๆทั้งนั้น ผมนี่กากไปเลย"

"แต่พี่ถูกใจชาคนเดียว"

เห้ย  นี่กูว่ากูไม่ได้คิดไปเองนะ พี่แกพูดแปลกจริงๆด้วย อย่างกับ.....

"เห้ยนั่นเจ๊ชมพู่นี่นา" เปลี่ยนเรื่องดีกว่ากู ดีนะที่เจ๊ชมพู่โผล่มาในจอทีวีพอดี "แต่งตัวจัดเต้นน่าดูเลย"

"รู้จักเจ๊ชมพู่ด้วยเหรอ"

"รู้ดิครับ เจ๊แกสอนลีดให้ผม"

"หา?  เจ๊ชมพู่เนี่ยนะ สอนลีด"

"อ๋อ ใช่ครับ ผมลืมไป แกไม่ค่อยสอนให้ใคร แกบอกอยู่ แต่พี่ตองไปขอร้องให้อะครับ"

"ตอง  เจ้าตองลีดมอหนะเหรอ"

"ก็... ใช่ซิพี่ จะตองไหนได้อีกหละ ที่จะขอเจ๊ชมพู่ได้"

"....." พี่แกเงียบเฉยเลย คิดอะไรละนั่น "เรื่องตราปั๊มของพี่อ่ะ สรุปว่าไม่คิดจะตอบแทนอะไรจริงเหรอ"

นี่พี่แกทวงจริงจังเลยใช่ไหมเนี่ย แล้วใครจะกล้าปฏิเสธหละ "ต้องตอบแทนดิพี่ จะกินไร บอกผมมาได้เลย"

"โห ป๋าน่าดูเลยนะ อืม.... เอางี้แล้วกัน จบกิจกรรมเปิดห้องเชียร์เมื่อไหร่ พี่จะบอกแล้วกันว่าอยากกินอะไร พูดแล้วนะว่าจะเลี้ยงพี่"

"ไม่มีปัญหาครับผม"



"ถึงคิวแนะนำตัวแล้วค่า"

เสียงเรียกของทีมงาน

"ไปแล้วนะพี่"

"สู้ๆนะน้อง"

หาาาา!!! นี่คือท่ารอให้ผมเข้าไปกอดใช่ไหม เอ่อ.... โอเค กอดก็กอดวะ พี่เค้าก็ดีกับกูขนาดนี้ แค่กอดกันแค่นี้ สบายมาก

"ไปนะครับ"



ผมรีบเดินออกมาเข้าแถวกับเพื่อนตามที่ได้ซ้อมไว้

แถวของผู้เข้ารอบ ถูกนำลงมายังโถงกลางของคณะ ซึ่งตอนนี้ถูกล้อมไปด้วยผ้ายางพลาสติกใส และติดตั้งแอร์นอกอาคารจากทุกทิศทาง มีนิสิตที่ทำหน้าที่ในการถ่ายทำอยู่ด้วย พร้อมกับปีหนึ่งที่นั่งเรียงแถวเป็นร้อยๆคน

หางตาของผมเห็นหน้าตัวเองในจอฉายภาพขนาดใหญ่และภาพก็ตัดไปที่ผู้เข้ารอบจากคณะอื่นๆบ้าง

นี่คงเป็นการถ่ายทอดสด



"สวัสดีครับ ผมต้อม ศิรภพ อาจแผ่นดิน จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์"

โอ้โห เสียงกรี๊ดถล่มถลายเลย นี่ขนาดได้ยินจากทีวีนะ

ตอนนี้ผมกำลังรอการแนะนำตัว เพราะคณะของผมคิวต่อจากสถาปัตย์

ตัวผมตอนนี้เหมือนไม่มีอะไรในหัวเลย เหมือนกับแขนขาไม่มีความรู้สึก มีเสียง วิ้งๆ ในหู นี่ซินะที่เขาเรียกกันว่า ความตื่นเต้น

แล้วยิ่งเห็นภาพในทีวียิ่งตื่นเต้นหนักกว่าเดิม

ไอ้ต้อมกำลังได้รับดอกไม้ ตุ๊กตา และของขวัญมากมายจากเหล่าแฟนคลับ มันย่อมสะท้อนความอนาถในตัวผม.. จะได้กับอะไรเค้าบ้างไหม ถ้าไม่ได้ต้องอายแน่เลย อย่างน้อย จะมีใครปรบมือให้ไหมนะ ยิ่งคิดยิ่งเครียด



"เอาหละครับ จบไปแล้วนะครับสำหรับผู้เข้ารอบจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์" พิธีกรชายกล่าวหลังจบการแนะนำตัว "ต่อไปถึงคิวของคณะวิทยาศาสตร์ครับ ขอสัญญาณภาพด้วยครับ"

"น้องคะเชิญค่ะ" พี่สตาฟให้สัญญาณผู้หญิงคนแรก ส่วนผมคือผู้ชายคนแรก ต้องรอให้ผู้หญิงหมดก่อน

การแนะนำตัวเป็นไปด้วยความตื่นเต้นและความคาดหวัง ต้องยอมรับว่าคณะวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยนี้เป็นคณะที่ใหญ่พอสมควร มีนิสิตจำนวนมาก และค่อนข้างสนใจในงานประเภทนี้ เพราะมีรุ่นพี่หลายคนเป็นผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยและมีดาวประจำมหาวิทยาลัยด้วย

ผู้หญิงบางคนได้รับดอกไม้ มากน้อยก็ตามความนิยม บ้างก็ได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากรุ่นพี่หนุ่มๆ



"น้องคะ น้องคะ เดินค่ะ"

ผมถูกกระตุ้นให้ก้าวเดินออกไป เชื่อไหม ขาหนักอย่างกับมีเหล็กด่ามอยู่ข้างใน



​ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ แค่พูดให้จบ ตามที่ซ้อม ชื่อเล่น ชื่อจริง คณะ แค่นี้เอง



​ในตอนที่ขาของผม ยืนอยู่ต่อหน้าไมโครโฟน ผมยืนในท่าที่ลีดเดอร์ทุกคนควรจะยืน เสียงทั้งหมดเงียบสนิท

เพียงเสี้ยววินาทีที่เห็นหน้าของตัวเองในทีวีซึ่งแขวนอยู่ตรงข้ามกับตัวผม มันคล้ายว่าได้มองเห็นตัวเองในกระจก

       นั่นคือตัวผมเองที่พาตัวเองมาอยู่ตรงนี้

       นั่นคือใบหน้าของคนที่ได้พยายามแล้ว

       นั่นคือภาพลักษณ์ของผมที่ทุกคนช่วยกันขัดเกลาให้ดีที่สุด

       นั่นคือชุดที่พี่ตองอุตส่าถือมาให้



"น้ำชา  ธชานา  ธนกฤษ  จากคณะวิทยาศาสตร์"



ผมพูดไปแล้ว ผมพูดไปแล้ว ผมพูดมันออกไปแล้ววว



กรี๊ดดดดดดดดดด

​มีคนส่งเสียงให้ผมด้วย ถึงจะไม่มากก็เถอะ แต่เท่านี้ก็โล่งอกมากแล้ว แก๊งนางฟ้าเพื่อนผมกรีดกราดอย่างออกหน้าออกตา ถ้าพวกมันถือป้ายไฟได้ ก็คงทำกันไปแล้ว

เมื่อเสร็จหน้าที่ผมก็เตรียมตัวเดินกลับที่เดิม

"น้องน้ำชา รับดอกไม้ก่อนค่ะ" เจ้าหน้าที่เวทีบอกผม

ห๊ะ อะไรนะ พี่ให้ผมเหาะเหรอ ผมว่าพี่เพิ่งจะพูดอะไรที่ไม่ใช่เรื่องจริงนะ

"น้ำชา" มีคนเรียกผมจากข้างล่างเวที

เห้ยยยยยย

พี่ท๊อป พี่ท๊อปกำลังยืนอยู่ข้างล่างเวที พร้อมดอกกุหลาบหนึ่งดอกในมือ

ผมมองเห็นตากล้องวิ่งเข้ามาถ่ายทำอย่างใกล้ชิดกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ส่วนผู้คนมากมายในคณะวิทย์ต่างพากันตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น

"จะไม่รับดอกไม้จากพี่เหรอ" พี่ท๊อปทำให้ผมสะดุ้งจากอาการช็อกที่คล้ายกับทุกคนในที่นี้

"ข... ขอบคุณมากครับพี่ท๊อป" นี่กูควรดีใจไม่ใช่เหรอ แต่ความตกตะลึงมันก็มากกว่าอยู่ดี

พี่ท๊อปยิ้มให้ผมอย่างที่สาวๆคนไหนเห็นคงจะพร้อมนอนลงไปกองที่พื้น แล้วพี่เค้าก็เดินจากไป

ผมเดินกลับมาประจำที่ของตัวเองอย่างงงที่สุด เอาแต่มองดอกกุหลายในมือจนลืมไปว่าควรยืนในท่าทางที่ฝึกมา



การแนะนำตัวจบลง ผมและผู้เข้ารอบถูกพาตัวขึ้นมาที่ห้องเดิมอีกครั้ง เพื่อรอการเต้น การเต้นที่เป็นการพิสูจน์ของวันนี้ ผมเสียบดอกกุหลาบเพียงดอกเดียวของผมใส่ในกระเป๋าสะพายหลังของผม แล้วกลับมามีสมาธิกับตัวเองอีกครั้ง

ในทีวีกำลังเป็นการแนะนำตัวของผู้เข้ารอบจากคณะนิเทศศาสตร์



"น่าอิจฉาจัง ได้ดอกกุหลาบจากพี่ท๊อปด้วย" จำได้ไหมครับ หญิงสาวคนนึงที่คุยกับผมเมื่อวันสอบสัมภาษณ์ คนที่พยายามให้ผมแนะนำเธอให้พี่ตองรู้จัก ตอนนี้ผมรู้จักเธอแล้ว เธอชื่อโอปอ "ดอกสีชมพูซะด้วย"

"ก็แค่ดอกเดียวเอง" ผมก็ตอบไปงั้นแหละ "คงไม่ทำให้คณะเรารวยขึ้นมาหรอก ดอกกุหลาบที่ขายไม่ออกยังมีอีกเยอะแยะ"

"นี่ไม่ได้สังเกตเลยเหรอ" สังเกตไรวะ "ดอกกุหลาบที่ขายในงานวันนี้หนะ ไม่ว่าจะคณะไหนก็มีแต่สีแดงเท่านั้นแหละ แบบเนี่ย พี่ท๊อปเค้าเตรียมมาเอง"

พูดจริงดิ ผมหันไปมองดอกกุหลาบสีชมพูอีกที

"เป็นไงหละ รู้ยังว่าพิเศษกว่าคนอื่น.... เราก็อยากได้บ้างนะ แต่ถ้าเป็นพี่ตองเราคงจะฟินน่าดู จริงๆพี่ท๊อปก็หล่อนะ โอปป้าเกาหลียังต้องยอม แต่เราชอบแบบว่าผู้ชายตัวสูงเท่ๆมากกว่า"

นี่จะมาเล่าให้ฟังทำไมเนีย ไม่ได้อยากฟัง จะซ้อมเต้น



"น้องๆคะ น้ำค่ะ" พี่สตาฟเรียกให้ไปหยิบน้ำมาดื่มครับ ดีเหมือนกัน ปากคอแห้งหมดแล้ว "อีกสามสิบนาที เตรียมโชว์ได้แล้วนะคะ" นั่นไง ปากแห้งกว่าเดิมอีกกู



ผมเดินไปที่มุมห้องหลังกำแพงบอร์ดเตี้ยๆ ในส่วนที่ไม่ค่อยมีคน ทบทวนท่าเต้นที่จะต้องเต้น ก็ไม่ได้จะหวงห้ามหรือเป็นความลับอะไรหรอก แต่ให้เต้นต่อหน้าคนอื่นผมคงเขิน สมาธิกระเจิงหมด

ผมเหลือบไปเห็นเกต เธอนั่งอยู่มุมห้องอีกฝั่งนึง เธอมองผมแปลกๆ คงจะงงว่าผมกำลังเต้นอะไร แต่ผมไม่สนใจหรอก ต้องรีบทบทวน



และในที่สุด วินาทีที่(ไม่)รอคอยก็มาถึง



"และต่อไปจะเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดนะคะพี่ปืน ตอนนี้หญิงตื่นเต้นมากเลยค่ะ" พิธีกรเริ่มเกริน ซึ่งตัวผมและผู้เข้ารอบทุกคนขึ้นมาอยู่บนเวทีในตำแหน่งของตัวเองเรียบร้อยแล้ว

"แน่นอนครับน้องหญิง" พิธีก่อนชายก็เสริมต่อ "กับการพิสูจน์เลือดความเป็นผู้นำเชียร์ของว่าที่เจ้าชายและเจ้าหญิงคนใหม่ของมหาวิทยาลัยเรา เอาละครับก่อนที่จะไปถึงนาทีสำคัญนั้น เราต้องไม่ลืมขั้นตอนสำคัญอีกขั้นตอนหนึ่งเช่นกันครับ"

"ค่ะ ในช่วงต่อไปจะเป็นการแสดงเพลงมาร์ชมหาวิทยาลัยมัณฑนาจากผู้นำเชียร์ ปีสอง ประจำมหาวิทยาลัยมัณฑนา ขอให้ทุกคนร่วมยืนแสดงความเคารพและรับชมไปพร้อมๆกันค่ะ"



​รั้วสีทองส่องแสงในล้า ศาสตร์มัณฑนา นำปัญญาพาข้าฯสู่หมาย.....

นั่นพี่ตองนี่นา

ผมไม่ได้สนใจเลยว่าใครกำลังยืนทำความเคารพอะไรยังไง เพราะมัวแต่ปลื้มปริมที่ได้เห็นหน้าพี่ตอง

เพราะพี่ตองอยู่ตำแหน่งกลางของกลุ่มจึงทำให้มองเห็นแทบจะตลอด

รู้สึกอุ่นใจจังที่ได้มองเห็น รู้สึกเหมือนพี่เค้ายิ้มมาให้เราเลย รู้สึกเหมือนเพิ่งซ้อมเต้นกับพี่เค้ามาเมื่อกี๊นี้เอง รู้สึกถึง... ไออุ่นนั่น



"เอาหละครับ" พิธีกรกล่าวทันทีหลังจบการแสดงของผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัย "และนาทีต่อไปนี้ นาทีที่สำคัญก็มาถึง พร้อมหรือยังครับน้องหญิง"

"พร้อมแล้วค่ะพี่ปืน อยากชมแล้วค่ะ"

"ผมก็เชื่อว่าทุกคนอยากชมเช่นเดียวกัน ดังนั้น เรามานับถอยหลังไปพร้อมๆกันครับ"

"ห้า"

เอาแล้วกู

"สี่"

ทำให้เต็มที่

"สาม"

หายใจเข้าลึกๆ

"สอง"

.........

"หนึ่ง"

เริ่มได้



ร่มนี้งามพริ้ง มิ่งขวัญมัณฑนา.... ปกคลุมปัญญา ด้วยพระคุณเผ่า

ให้บัณฑิตน้อยทุกคน อยู่ในคุ้มครองเรา....

ให้พลัง  ของเขา ถูกเลี้ยงดูแล.....



อนาคต  ศาสตร์ศิลป์  ถิ่นของปวงเรา

ไม่ให้เขา อยู่สู้ลำพัง.....

จะเป็นมิ่งขวัญครอง เป็นดังท้องฟ้าเทา

เป็นดั่งเงา หลบงุ้มในมุมฤหัย.....

จะเป็นท้องนภา คู่ภูผายิ่งใหญ่

ให้รวมใจ ในมิ่งขวัญมัณฑนา

โอบอุ้มรักสายใย กอดเอาไว้ด้วยกัน

*ในร่มนั้น....*  *มิ่งขวัญ.....*  มัณฑนา........



และนี่คือท่าสุดท้าย ท่ากอด....



ขอบคุณ ขอบคุณ ผมทำได้ มันจบลงแล้ว มันจบลงแล้ว ยิ้มซิ ยิ้มได้เต็มที่แล้ว

ทำได้แล้วโว๊ยยยยยยยยยย



กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด



นี่เป็นเสียงกรีดและเสียงปรบมือที่ดังและยาวนานที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินมา

ผมมองลงไปด้านล่างเวที ทุกคนกำลังมองมาที่ผม ยืนขึ้นและยังคงปรบมือไปหยุด แม้กระทั่งเพื่อนๆที่อยู่บนเวทีด้วยกัน ทุกคนต่างปรบมือให้ผม

       ขอบคุณความพยายาม

       ขอบคุณโอกาส

       ขอบคุณตราปั๊มอันแรกจากพี่ท๊อป

       ขอบคุณอาจารบ์หมอพิชิต

       ขอบคุณเจ๊ชมพู่สำหรับการสอน

       ขอบคุณพี่หนุงสำหรับเรื่องเสื้อผ้าหน้าผม

       และขอบคุณพี่ตอง ผู้เป็น........ แรงบันดาลใจ



"โห เจ๋งมากน้ำชา"

"สุดยอดว่ะเพื่อน ไปฝึกมาจากไหนเนี่ย"

ทันทีที่ขึ้นมาบนห้องพัก เพื่อนผู้ชายที่เข้ารอบมาด้วยกันต่างก็เข้ามาชื่นชมผม บางคนขอจับมือแสดงความนับถือ

ส่วนเพื่อนผู้หญิงเองก็ยิ้มให้อย่างชัดเจน

เราทุกคนมานั่งรวมกันที่โซฟาหน้าจอทีวี เพราะทุกคนอยากฟังเรื่องการซ้อมของผม

ผมก็เล่าแค่ว่าไปขอร้องให้หมอพิชิตสอนให้ แต่เรื่องว่าใครสอนให้จริงๆ อันนี้ขอเก็บเป็นความลับละกัน



"สวัสดีครับพี่ดีเจเจ๊ไก่" พิธีกรชายกำลังคุยกับดีเจชื่อดังอยู่ตอนนี้ โห มีคนดังมาสัมภาษณ์ด้วย "ขอบคุณที่พี่ให้เกียรติมาร่วมวิเคราะห์สถานการณ์คัดเลือกผู้นำเชียร์ของเราในปีนี้ด้วยนะครับ"

"แหมมมม ก็ถ้ามหาลัยเธอยอมถ่ายทอดสดเพลงมิ่งขงมิ่งขวัญอะไรของเธอ ฉันก็คงจะไม่ถ่อมาถึงนี่หรอก" ดีเจเจ๊ไก่จีบปากจีบคอประชดประชันพิธีกร

"โถ เจ๊ครับ ก็มันเป็นกติกาของมหาวิยาลัยนิครับ ผมว่าเข้าเรื่องเลยแล้วกันนะ... ในฐานะที่เจ๊มาชมการเปิดห้องเชียร์ถึงสามปีแล้ว เป็นยังไงบ้างครับปีนี้ มีใครอะไรยังไงน่าจับตามองเป็นพิเศษไหม"

"ก็สมกับเป็นการคัดเจ้าชายเจ้าหญิงเข้าหอคอยอะนะ จัดไฟจัดอะไรก็ดีตามมาตรฐานของมหาลัย"

"แล้วคนละครับ อันนี้ผมอยากฟังเจ๊วิเคราะห์มากเลย"

"ก็น่าสนใจหลายคน ก็น่าสนใจไปหมด ผู้ชายหลายคนดี น่าเก็บมาเลี้ยงในกรงทองของชั้น"

"แหม เจ๊ครับ ผู้ผ่านเข้ารอบก็มีผู้หญิงเหมือนกันนะครับ.... ว่าแต่อยากฟังคนนี้มากเลย น้องน้ำชาจากคณะวิทยาศาสตร์ครับ"

เฮ้ยยยย นั่นกูนี่หว่า

"เซอร์ไพส์นะ พูดตามตรงเลย เห็นเมื่อกี๊ทีมงานบอกว่าเหลือคนเต้นเพลงนี้เป็นแค่สามคนเองในมหาวิทยาลัย แถมคนนึงเป็นถึงหมอด้วย นี่ถ้าไม่พยายามจริง ทำไม่ได้นะ เจ๊ปลื้มนะคนนี้เจ๊บอกตามตรง แต่พูดก็พูดนะ เจ๊ว่าโอกาสก็...ห้าสิบห้าสิบ" อ้าว "คือถ้าวิเคราะห์กันจริงๆ คณะวิทย์ก็ถือว่าใหญ่สุดในมหาลัยแล้ว มาตรฐานเค้าก็ต้องมากกว่าคนอื่น เด็กคนนี้ถือว่าแทบจะไม่เข้าเกณฑ์การเป็นลีดผู้ชายได้เลย อันนี้เราก็ต้องมาคอยลุ้นคอยเชียร์กันว่า ผลโหวตจะออกมายังไง คณะวิทย์จะพลิกประวัติศาสตร์ไหมหรือจะยังรักษามาตรฐานเอาไว้อยู่ แล้วมองข้ามเรื่องนี้ไป"

"จะว่าน่าเสียดายก็พูดยากนะครับเจ๊ อันนี้ผมเห็นด้วย เพราะการเป็นลีดเดอร์ที่ดี ผมว่าน้องมีพร้อม แต่ความพร้อมในการเป็นลีดของน้อง ผมว่ายังเสี่ยงไปหน่อย"

กำลังใจกูตกวูบเลย

"อีกคนนึงครับเจ๊ คนที่เกือบจะเต้นได้ น้องเกต จากคณะวิทยาศาสตร์อีกแล้ว"

"คนนี้เสียดายเนาะ เจ๊พูดตามตรงนะ นางเป็นชะนี! อุย ขอโทษค่ะคุณผู้ชม นางเป็นเด็กสาวที่หน้าตาเป๊ะมาก หุ่นเป๊ะ ทักษะการเป็นลีดก็มี แต่ถ้าซ้อมมาดีๆ เกิดแน่นอน แต่แค่นี้ก็คงไม่หลุดโผแล้วหละ เจ๊เอาหัวเป็นประกันเลยว่าคนนี้ได้ไปต่อแน่นอน"

"ขอโทษนะชา" เกตุกระซิบ เธอนั่งติดกันกับผม "เราแอบจำตอนชาซ้อมเมื่อกี๊ ว่าแล้วต้องใช่ ดูชาเต้นแล้วมันมีแพทเทิล เหมือนเป็นเพลงเลย"

เห้ยยยย จริงดิ  เก่งเกินไปแล้ว นี่ที่บอกว่ามีประสบการณ์ก็ของจริงเลยอะดิ ดูแค่ที่เราซ้อมไม่นานก็ทำได้เลย ตอนกูซ้อมทำไมเกือบจะค่อนคืน "ไม่เป็นไร"

กลับไปดูการวิเคราะห์ต่อดีกว่า

"แล้วนอกจากคนที่สามารถเต้นได้ในปีนี้ละครับ พี่มองใครเป็นพิเศษอีกไหม"

"ยังจะถามชั้นอีกเหรอ แน่นอน น้องต้อมซิคะ"

"ต้อม สถาปัตย์ใช่ไหมครับ ไม่แปลกเลยนะครับ สาวๆในห้องส่งเราก็เชียร์กันจนเสียอาการหมดแล้ว แต่ที่น่าแปลกใจเนีย ไม่ใช่แค่ความหล่อนะครับ แต่กลับมีการเต้นเพลงมิ่งขวัญมัณฑนาโดยใช่ท่าเต้นจากเพลงมาร์ชมหาวิทยาลัย"

"บอกเลยว่า สร้างสรรค์ คือบางทีคนเรานะ ถ้ามันเดินทางตรงไม่ได้ การอ้อมแต่ไปถึงจุดหมายเหมือนกันก็ไม่ใช่ว่าผิด ได้มุมมองใหม่ๆด้วย"

"ออกหน้าออกตาจริงๆนะครับดีเจเจ๊ไก่"

"แน่นอนซิ นี่ถ้าไม่มีเจ้าชายตองนะ ชั้นก็จะเป็นแฟนหมายเลขหนึ่งของน้องต้อมนี่แหละ"

"งั้นเดี๋ยวเรามาวิเคราะห์กันต่อดีกว่าครับ เพราะอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงนี้การโหวตก็จะเริ่มแล้ว อย่าลืมนะครับ ตอนนี้ทุกท่านที่อยู่ในมหาวิทยาลัย ไม่ว่าคุณจะเป็นนิสิตปีหนึ่ง ปีสอง ปีสาม หรือไม่ใช่นิสิต ทุกคนมีสิทธิโหวตได้คนละหนึ่งคะแนนเท่ากัน โดยสามารถไปรับสติ๊กเกอร์รูปหัวใจที่ผู้นำเชียร์ของแต่ละคณะได้เลยนะครับ...."

 การวิเคราะห์ยังคงมีต่อไป ส่วนผมตอนนี้ก็รอลุ้นต่อ

วันนี้คือวันแห่งความตื่นเต้นซินะ

"ชาได้อยู่แล้ว" เกตุให้กำลังใจผม แต่เท่าที่มองดูเพื่อนผู้ชายที่ผ่านเข้ารอบมาด้วยกัน ผมเริ่มหมดความมั่นใจอีกครั้ง ​จะหล่อกันไปไหน





"ในที่สุดก็ถึงเวลาของการโหวตแล้วนะคะ"

เผลอแปบเดียว ตอนนี้ผมมายืนหัวใจเต้นตุบๆอยู่ที่บอร์ดประจำตัวของตัวเองบนเวทีแล้ว

สำหรับการโหวต ผู้ที่อยู่ในมหาวิทยาลัยมัณฑนา จะมีสติ๊กเกอร์ของทางผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยคนละหนึ่งดวง สามารถไปติดที่บอร์ดของผู้เข้ารอบคนใดก็ได้ เพื่อให้คะแนน อาจจะไม่ใช่ผู้เข้ารอบในคณะของตัวเองก็ได้ แต่ต้องเดินทางไปด้วยตัวเอง

"เอาหละค่ะ พร้อมนะคะ"

ห๊ะ เอาแล้วเหรอ

"อย่าลืมนะคะ เรามีเวลาโหวตแค่ห้านาทีเท่านั้น....  ห้า"

การนับถอยหลังจากในทีวีเริ่มขึ้นอีกครั้งแล้ว

"สี่ สาม สอง หนึ่ง เริ่ม!"

ผมยืนยิ้มอย่างตื่นเต้นบนเวที

กลุ่มแรกที่วิ่งเข้ามาติดสติ๊กเกอร์ให้ผมคือ แก๊งนางฟ้าเพื่อนของผมเอง

"กูติดคนแรก อิชามึงให้กูเป็นบัดดี๊นะ" "กูติดก่อนชัดๆ" "พวกมึงอย่ามัวเถียงกัน คนอื่นจะติดบ้าง.. สู้ๆนะชา"

มีคนมาติดให้ผมจริงด้วย ไม่ใช่แค่แก๊งนางฟ้าเท่านั้น แต่มีเพื่อนๆและพี่ๆก็มาติดให้มากมาย

แต่.... เท่าที่ดู ก็คงไม่มากเท่าเพื่อนๆอีกหลายคนข้างๆผม หรืออาจจะพอๆกัน หรือยังไงกันแน่

ในขณะที่กำลังกังวลอยู่นั้น ผมก็สัมผัสได้ถึงการมาของสิ่งพิเศษ



พี่ท๊อป

พี่ท๊อปอีกแล้ว พี่ท๊อปเดินมาติดสติ๊กเกอร์บนบอร์ดของผม ทุกคนที่เห็นหลีกทางให้หมดเลย

"พี่บอกแล้วไง ยังไงพี่ก็จะเลือกเรา"



นั่นมัน....

เจ๊ชมพู่

เจ๊ก็มาติดให้ผมด้วยเหรอ อยากขอบคุณมากๆครับ อยากพูดแต่ผมพูดไม่ได้

"ไม่เสียชื่อเจ๊นะคะ เก่งค่ะลูก"



เห้ยยยยยยยยย

อาจารย์หมอ 

หมอพิชิตเดินมาในชุดแพทย์เลยครับ

"คุณพิสูจน์แล้วว่าคุณมีจิตวิญญาณ"



ทุกคนในโถงคณะวิทย์ตอนนี้เหมือนถูกสะกดนิ่งโดยเหล่าบุคคลสำคัญ เสียงพูดคุยจอแจในการปรากฎตัวของบุคคลเหล่านี้ สร้างผลกระทบอย่างไม่น่าเชื่อ

และนั่นก็เป็นสาเหตให้หลายคนวิ่งมาติดสติ๊กเกอร์ให้ผมบ้าง คงด้วยเป็นกระแส หรืออาจเพราะเชื่อในสายตาของคนเหล่านี้

ผมไม่ได้ดีใจที่มีคนโหวตให้ผมมากขึ้นนะ แต่ผมดีใจที่สุดที่ผมทำให้ครูทุกคนของผมทุกคน ภูมิใจ

ผ่านไปสักพัก การโหวตใกล้สิ้นสุดลงแล้ว แต่จู่ๆห้องเชียร์คณะวิทยาศาสตร์ก็ตกอยู่ในสภาวะแช่แข็งอีกครั้ง เพราะการปรากฎตัวของบุคคลสำคัญอีกคน



พี่ตอง

"นี่สำหรับน้ำชาครับ"

พี่ตองยื่นช่อดอกกุหลาบสีขาวช่อใหญ่มาให้ผม โดยยื่นมืออีกข้างไปติดสติ๊กเกอร์ด้วย แต่ไม่มองที่บอร์ดเลย พี่เค้าเอาแต่มองมาที่ผมคนเดียว

เหมือนกับถูกสายตานั้นดึงดูดไว้

ดอกกุหลาบสีขาว ที่ไม่มีขายในมหาวิทยาลัย นี่คงออกไปซื้อมาซินะ

เหงื่อที่เต็มตัว คงจะรีบวิ่งมาละซิ

ไอ้บ้าเอ๊ยยยย อย่าน้ำตาไหลซิวะ นี่ต้องดีใจขนาดไหนเนี่ย ถึงจะน้ำตาซึมออกมาได้

"ข...ขอบคุณครับ...... พี่ตอง"

และพี่ตองก็ยื่นอีกอย่างมาให้กับผม

อะไรหว่า

มันคือหน้าข่าวจากกระดาษหนังสือพิมพ์ครับ แต่ไม่ใช่ฉบับจริงนะ เหมือนจะคัดลอกมาจากในเน็ต



​เด็กชายใจกล้า โผกระโดดน้ำช่วยคน เด็กน้อยหวิดตายฉิวเฉียด



เห้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

นี่มัน ข่าวของเรา.... เหตุการณ์จมน้ำ....  เมื่อแปดปีที่แล้ว.... หรือว่า.....



พี่ตองมองหน้าผมพร้อมรอยยิ้มที่อบอุ่น





"ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะครับ น้องน้ำชา"
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 12 [LOVE TUTOR ตอนที่ 1 : ติวเตอร์]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 05-11-2017 09:10:41

​- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  -

_____LOVE TUTOR_____

สอนรักให้ลงล็อค



​- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  -​ ​

ตอนที่ 1 : ติวเตอร์ [เรื่องซ้อนเรื่อง]





"ฮัลโหล สวัสดีครับ" นี่ให้กูโทรหาใครวะ เดี๋ยวนะไอ้ชาเย็น ถ้าทำให้กูสอบตกนะ กูจะโทรฟ้องแม่มึงแน่

"....."

อ้าว ไม่มีใครพูดเลย นี่ไอ้ชามันให้เบอร์ใครมาวะ กูต้องการคนติวคณิตด่วนนะเฟ้ย "สวัสดีครับ ได้ยินไหมครับ"

"...." ยังไม่มีการตอบตามเคย แต่ได้ยินเหมือนเสียงถอนหายใจ

"คือ ไอ้ชาเย... เอ่อ ชาอะครับ ธชานา ให้เบอร์ของคุณมา บอกว่าสามารถติวเลขให้ผมได้ ไม่ทราบผมโทรมาถูกคนหรือเปล่าครับ"

"...." อะไรวะ ไม่ตอบอีก ไอ้ชาเย็น มึงให้เบอร์มั่วมาเหรอ มึงโดนๆ

"ผมคงโทรผิด แค่นี้นะครับ"

"ผมเองครับ"

ห๊ะๆ อะไรนะ ตอบมาแล้ว "ครับ"

"ผมเองครับที่จะติวให้คุณ" ทำไมฟังเสียงแล้วรู้สึกขนลุกแปลกๆ เหมือนเคยโดนเสียงแบบนี้ด่ามาก่อน

"อ๋อ ครับ ผมชื่อต้อมนะครับ อยู่สถาปัตย์ ปี 1"

"ครับ" ตอบแค่เนี่ย แล้วนี่กูจะรู้ไหมเนียว่าคุยกับใครอยู่

"แล้วจะติวที่ไหนยังไงดีครับ ค... คือเอ่อ ผมพูดตามตรงนะครับ ผมอ่านมาทั้งวันแล้ว ไม่ค่อยได้อะไรเท่าไหร่เลย"

"ที่ข้างๆมหาลัย ประตูหก จะมีร้านกาแฟที่ใช้สำหรับติวได้ เจอกันที่นั่นแล้วกัน ในอีกสิบห้านาที"

ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด

​เอ้า! ว่างสายเฉยเลย

อะไรวะ ฟังเสียงเหมือนไปหงุดหงิดใครมา แล้วนี่จะสอนยังไงวะ

เออๆๆๆ ช่างมันละกัน ไปลองดูก่อน อ่านเองก็ไม่ได้เรื่องอยู่ดี



"ขออเมริกาโน่ทีนึงครับ" ทันทีที่มาถึงร้านกาแฟ ผมก็สั่งก่อนเลย ดื่มกาแฟเป็นทางของผมอยู่แล้ว

ว่าแต่.... คนไหนวะที่จะมาติวให้ แทบจะไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย

คงไม่ใช่สาวๆพวกนี้นะ มองอย่างกับจะกินกูอยู่แล้ว เห้ย! แต่เสียงผู้ชายนี่หว่า ไม่ใช่อยู่แล้ว

หึ

​นั่นไอ้ชาเย็นไม่ใช่เหรอ มานั่งอยู่ในร้านได้ไง ไหนบอกทำงานที่โรงพยาบาล

เพี๊ยะ

"ไอ้สัด"  เจอตบเกรียนไปหนึ่งที ไหนมึงบอกอยู่โรงบาลไง

เชี่ยละ

​ไม่ใช่ไอ้ชาเย็นเพื่อนรักนี่หว่า  นี่มัน

"น้ำขิง"

"อะไรของนายเนี่ย" น้ำขิงโกรธหน้าแดงเลยครับ

ผมจำได้ไอ้ชาเคยบอกว่า น้ำขิงเป็นลูกพี่ลูกน้องที่หน้าตาคล้ายกันกับมัน แต่ต่างกันสุดขั้ว ไอ้ชาคือเพื่อนโคตรเกรียนของผม งั้นคนนี้ก็ต้องเรียบร้อยสุดชีวิต แล้วเมื่อกี๊.... ทั้งตบกะโหลก ทั้งด่า ​ซวยแล้วกู

​"เห้ยๆ เราขอโทษ เราขอโทษ" เดี๋ยวๆดิ น้ำขิงกำลังจากลุกออกจากโต๊ะ "เรานึกว่าเป็นไอ้ชาเย็น"

"นี่ปกติทักทายชาแบบนี้เหรอ" ยังโกรธจัดอยู่เลย แต่ทำไมเป็นคนที่ด่าได้น่าฟังจัง สุภาพโคตรๆ นี่ซินะที่ไอ้ชาบอก "ไม่แปลกใจเลยที่ชามีนิสัยหยาบคายขึ้น เพราะนายนี่เอง" เออ ด่าไรก็ด่า กูผิดนิ "ขอโทษนะ แต่เราติวให้ไม่ได้แล้ว"

ชิบหายละกู "เดี๋ยวดิๆ" ไม่รู้อ่ะคว้ามือไว้ก่อนแล้วกัน

โห ผิวนิ่มจัง ตระกูลไอ้ชานี่ผิวแบบนี้กันทุกคนเลยรึไง

"เราขอโทษ เราขอโทษจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะ อ่ะๆๆ ให้ต่อยคืนเลยก็ได้"

"อะไรนะ! เป็นปัญญาชนหรือเปล่าเนี่ย"

อ้าว พูดแบบนี้ก็ไม่ได้

เห้ย เดี๋ยวดิ ผมโดนสบัดมือออก นี่จะไปจริงใช่ไหมเนี่ย

งานนี้กูซวยเลย ติวก็ไม่ได้ติว แถมถ้าน้ำขิงเอาเรื่องนี่ไปฟ้องไอ้ชา กูโดนเฉ่งแน่

"ให้อภัยผมนะครับ"

เอามุกนี้แล้วกันวะ เคยใช้กับสาวๆได้ผล ไม่รู้อะ นึกไรไม่ออกแล้ว คุกเข่าขอร้องซะเลย

"น.... นี่ทำอะไรของนายเนีย คุกเข่าทำไม ค....คนมองกันทั้งร้านแล้ว"

"ก็น้ำขิงไม่ให้อภัยผมอ่ะ" ตะโกนด้วยเลย แบบนี้ขั้นต่อไป เค้าต้องรีบเข้ามาใกล้ชิดเรา

"จะตะโกนทำไมเล่า" นั่นไง ได้ผลจริงด้วย โดนมือเล็กๆนิ่มๆปิดปากไว้ ตัวหอมแหะ

"ไว่วะวัยว้มวายวัง"

"ห๊ะ" เพิ่งจะรู้ตัวว่าปิดปากผมไว้หรือไงครับคุณน้ำขิง

"ให้อภัยผมได้ยัง"

"ไม่"

"ให้อภัยผมได้ยัง"

"ก็ได้" โดนปิดปากอีกรอบ คนมองผมรอบร้านเลย ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นอะ ทำผิดต้องรีบขอโทษก่อน นี่คือคติของผม ไม่ให้อภัยกูตื๊อไม่เลิกแน่นอน

น้ำขิงค่อยๆเอามือออกจากปากของผม กลิ่นหอมของมือยังติดอยู่บนหน้าอยู่เลย

"ห้ามตะโกนอีกนะ ถ้าตะโกนอีก เราออกจากร้านจริงด้วย" น้ำขิงยังคงระแวง เป็นคนที่ขู่ได้น่ารักมากเลย ไม่ได้มีความน่ากลัวซักนิด

"โอเคครับ"



"มีอะไรกันหรือเปล่าคะ" พี่พนักงานร้านเดินเข้ามาถามสถานการณ์ ก็แน่ละ ผมทำวีรกรรมขนาดนี้

"ไม่มีอะไรครับ" น้ำขิงรีบตอบเลย "พี่สาวครับ ห้องติวเตอร์รูมว่าไหมครับ ผมจะขอเช่า"

"อ๋อ ว่างค่ะ เดี๋ยวเชิญทางนี้เลยค่ะ"

คือไรวะ พาไปไหน

อ๋อ..... ร้านกาแฟร้านนี้มีห้องส่วนตัวให้เช่าด้วย อารมณ์คล้ายๆวีไอพี แต่เป็นห้องที่มีกำแพงด้านหนึ่งเป็นกระจกใส สามารถมองทะลุเห็นรถราที่วิ่งบนถนนด้านนอกร้านได้ พร้อมกับโซฟายาวสองตัวกับโต๊ะ แถมกระดานไวท์บอร์ดด้วย รู้แล้วทำไมเรียกติวเตอร์รูท

"เสร็จแล้วไปเช็คบิลที่เค้าเตอร์นะคะ ถ้าจะสั่งอะไรรบกวนที่เค้าเตอร์เหมือนกันค่ะ" พนักงานเดินออกไป

น้ำขิงนั่งบนโซฟา ผมก็นั่งด้วยดิ

"นี่โซฟาของเรา นายไปนั่งฝั่งโน้น" อ้าวโดนไล่เลยกู

"แล้วน้ำขิงจะเขียนยังไงอ่ะ นั่งกันคนละฝั่ง"

"อย่างแรกนะ เราเขียนกลับหัวได้ และอย่างที่สองห้ามเรียกเราว่า น้ำขิง เด็ดขาด"

"ก็น่า...." โอเค มองแรงขนาดนี้ ผมยอมก็ได้ครับ ลุกขึ้นไปนั่งที่ตัวเองอย่างสงบดีกว่ากู

"แล้วน้ำ... เอ่อ ขิงเก่งคณิตเหมือนไอ้ชาเย็นเลยเหรอ"

"ชา ลูกพี่ลูกน้องของเราชื่อ ชา" นี่ก็ดุตลอดเลย นี่มาติวหรือมาเข้าคอสฝึกมารยาทกันแน่ "เราเก่งไม่ได้เท่าชาหรอก หรือไม่คิดว่าเราสอนได้ เราโทรเรียกให้ชามาสอนให้ก็ได้นะ"

"ไม่ใช่อย่างง้านนน เราก็แค่อยากรู้ ทำไมดุจัง ขิงไม่ชอบเราขนาดนั้นเลยเหรอ เราก็เพื่อนไอ้ชานะ"

"....." ไม่ตอบ

"แล้ว..."

"ลองทำนี่ซิ" ห๊ะ อะไรวะ "โจทย์ 10 ข้อ"

"เรามาติวไม่ใช่เหรอ ต้อมยังไม่ได้เรียนเลยนะ จะทำได้ไงกันอ่ะ"

"บอกให้ทำก็ทำซิ" ดุอีกแล้ว ตอนไอ้ชาเย็นสอน ถึงมันจะเกรียนแต่มันก็ไม่เคยดุเลยนะ

โห...แล้วถ้าเก่งจะให้มาติวให้ไหมเนีย จะทำยังไงวะ ตัวเลข แค่เห็นก็จะอ้วกแล้ว

"อันนี้เค้าเรียกว่าทดสอบก่อนเรียน" หึ เปลี่ยนน้ำเสียง สงสัยเห็นกูหน้าโง่มั้ง "ไม่ได้จะบังคับให้ทำขนาดนั้น แต่อยากรู้ว่าพื้นฐานอยู่ที่ระดับไหน เราจะได้เริ่มสอนได้ถูก ที่สำคัญ เราจะได้รู้ด้วยว่ากระบวนการคิดกับวิเคราะห์ของนายเป็นแบบไหน เราไม่ใช่ชานะ ไม่ได้รู้จักหรือเคยสัมผัสนายมาก่อนหน้านี้"

ก็สอนดีนี่หว่า น่าฟังกว่าไอ้ชาเย็นอีก

"เอาซิ ลองทำดู เราไม่มีไม้เรียวอยู่แล้ว ตีใครไม่ได้"

พูดซะน่ารักเชียว

พอเริ่มปรับความเข้าใจกันได้ น้ำขิงก็เริ่มติวให้ผมจริงจัง แต่เค้าก็ยังไม่ทิ้งลายดุนะ อาจจะเป็นเพราะผมคอยกวนเค้าอยู่เรื่อยๆก็ได้ 5555 ก็เค้าน่าแกล้งนี่นา

เอาจริงๆนะ สาเหตุที่ผมสนิทกับไอ้ชาเย็นเพื่อนรักเนีย มีอยู่สองประเด็นด้วยกัน

อย่างแรก มันเก่งเลขมาก ในขณะที่ผมหวยสุดชีวิต ถ้าไม่มีมันช่วย ผมคงต้องไปพับถุงกล้วยแขกขาย แล้วผมก็ดันใฝ่สูงอยากเรียนสถาปัตย์ ก็ผมอยากเรียนอ่ะ เพราะงั้น ไม่คบมันแล้วผมจะไปคบใคร

อีกประเด็นนึง จริงๆก็ไม่ค่อยอยากยอมรับนะ ผมว่าผมแอบชอบไอ้เพื่อนคนนี้นิดๆนะ ก็รู้แหละว่ามันเป็นผู้ชาย แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันหน้าตาน่ารัก ตัวเล็กๆ ผิวนี่ใสเนียนละเอียด น่าทะนุถนอม

แต่.... ผมชอบมันไม่ลงจริงๆ ร้ายก็เท่านั้น เกรียนก็เท่านั้น คอยแต่จะตบหัวผมแล้วก็ทำตัวเป็นนายใหญ่ มันก็รู้ทั้งรู้นะว่าผมกลัวโดนคนด่า แล้วเวลาไอ้นี่ด่าผมที อย่างกับรู้จุดอ่อน ยังๆ ยังไม่หมด วันๆมันก็สนใจแต่เรื่องจะแข่งกับพี่ตอง รุ่นพี่ต่างสถาบัน ลำบากผมตลอด แล้วแบบนี้ผมจะไปชอบมันลงได้ยังไง สุดท้ายก็เลยกลายเป็นเพื่อนรักสุดเกรียนของผมไป

ฮั่นแน่.... ผมรู้นะว่าพวกคุณรู้กันแล้ว ใช่แล้วครับ เหมือนผมเจอไอ้ชาเย็นในอีกมิตินึง

รูปร่าง หน้าตา ก็คล้ายๆกัน ผิวเนียนใสเหมือนกัน เนื้อตัวนิ่มๆเย็นๆ รู้สึกสดชื่นที่ได้สัมผัสเหมือนกัน แต่นิสัยคนละขั้วเลย สุภาพ เรียบร้อย สายตาไม่เอาเรื่องเหมือนไอ้เพื่อนเกรียน ที่สำคัญ ทำไมผมชอบฟังเวลาเค้าดุผมจัง



#เสียงโทรศัพท์

ใครโทรหาขิงวะ ขัดจังหวะเวลาติวชะมัด กำลังจะโดนด่าเลย อดฟินเลยกู



"ครับผม" ผมไม่ได้แอบฟังนะ แต่น้ำขิงพูดดังเอง "อ๋อ จำได้ซิครับ..... วันมะรืนเลยใช่ไหมครับ.... ได้ซิครับ..... ครับๆ ขอบคุณครับ แล้วพบกันครับ"

จะไปพบใครวันมะรืนวะ

"ใครเหรอ"

อ้าว กรรม มองว่าผมเสียมารยาทอะดิ ขอโทษคราบบบ ผมลืมตัว

"เรียนต่อครับเรียนต่อ" ผมรีบแก้ตัวเลย

"อีกข้อหนึ่งนิ ทำให้เสร็จก่อน ค่อยพูดถึงหัวข้อต่อไป"

โอเค ทำก็ทำ

เวลาปกติก็ดุนะ แต่เวลาสอนเนียจริงจังน่าดูเลย เหมือนจะคาดหวังกับการสอนแฮะ สอนคนละแบบกับไอ้ชาเย็น ถึงจะสอนไม่เก่งเท่ามัน แต่ก็ถือได้ว่าน้ำขิงเป็นครูที่ดีในอนาคตได้เลย

"ขิงครับ ถ้าพรุ่งนี้ผมสอบตกขึ้นมา ขิงจะโกรธผมไหม" เริ่มซึมซับมารยาทมาแล้ว

"จะโกรธได้ไง เราต้องโกรธตัวเองต่างหาก การสอบผ่านไม่ผ่านของผู้เรียนก็เป็นตัวชี้วัดของผู้สอนนะ ถ้าทำเต็มที่แล้วยังตกอีก เราก็ต้องคิดหาวิธีแก้ไข"

โอ้โหจริงจังน่าดู นี่ถ้าพูดกับไอ้ชาเย็นแบบนี้ ผมโดนตบเกรียนแตกไปแล้ว

"แต่เราโง่คณิตมากเลยนะ"

"อย่าพูดแบบนี้นะ"

เห้ยอะไรวะ อยู่ดีๆก็ดุ แต่ดุแบบเป็นห่วงนะะ ผมทำไรผิดวะ

"อย่าพูดแบบนี้เด็ดขาด ไม่มีใครโง่ คนเราแค่ถนัดไม่เหมือนกัน เราอาจจะสอบคณิตได้คะแนนน้อย แต่ไม่ได้หมายถึงว่าเราเป็นคนโง่นะ"

"ก็ผม.... เห็นขิงจริงจังเวลาสอน แล้วผมก็ชอบกวนเวลาขิงสอนด้วย คือ... บางที ผมก็รู้ตัวนะ แต่ผมอยู่ในบรรยากาศเครียดนานๆไม่ได้ สมองมันจะตื้อ แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ ขิงดูจริงจังมากเวลาที่สอน ผมหัวไม่ดี ถ้าตกขึ้นมา แล้วจะทำให้คนสอนเสียความรู้สึกหรือเปล่า"

หึ น้ำขิงเอื้อมมือมาจับข้อมือของผมที่กำลังเขียนอยู่

"ไม่ต้องกังวล ถ้าต้อมไม่ผ่าน พรุ่งนี้เราสัญญาว่าจะติวให้อีก เรายังมีเวลาตั้งสามวันในการสอบ เพราะฉะนั้น ห้ามดูถูกตัวเองอีก โอเคไหม"

"ค... ครับ"

แม่เจ้าาาาาา  อย่างกับนางฟ้าลงมาโปรด ไอ้ชาเย็น มึงมีญาติแสนดีขนาดนี้เลยเหรอวะ กูอุตส่าแอบชอบมึงนิดๆแต่มึงดันมาเกรียนใส่กู ตอนนี้กูมีของจริงอยู่ตรงหน้าแล้ว



ไม่ปล่อยให้หลุดมือแน่







ผลการสอบ

​นายสิรภพ  อาจแผ่นดิน 64.5%  ไม่ผ่าน

​กูไม่ผ่าน  อ้าว แล้วกูจะดีใจทำไมวะ ไม่ผ่านต้องรู้สึกแย่ดิ

55555 จะรู้สึกแย่ได้ไง ในเมื่อจะได้มีเหตุผลไปเจอน้ำขิงอีก

จะว่าไป ลองค้นหาชื่อน้ำขิงดูดีกว่า  เอ๊ะ นี่ชื่อไอ้ชาเย็นนี่หว่า ขึ้นมาหัวตารางเลย

​นายธชานา  ธนกฤษ  100%  ผ่าน

​ไอ้เพื่อนเวร เก่งเหมือนเดิมนะมึงอะ นี่ขนาดไม่มีเวลาอ่านหนังสือนะ โทรไปบอกมันก่อนดีกว่า



"มีไรวะไอ้ต้อม" ดูมัน ทักทายกูได้สถุนมาก ไม่มีมารยาทเหมือนน้ำขิงเลยไอ้เพื่อนเวร

"มึง ผลคะแนนออกแล้วว่ะ กูขาดไปหนึ่งคะแนน เวรเอ๊ยยยยย"

"เห้ยมึง กูโทษทีนะเว้ยที่กูไม่ได้ติวให้มึงเองอ่ะ มึงไม่น่าตกเลย" กูตั้งใจให้ตกเฟ้ยยยย

"อ.... เอ่ออออ ไม่เป็นไรหรอกมึง พรุ่งนี้กับวันมะรืนยังสอบได้อีกตั้งสองวัน" อย่าซีเรียสเพื่อน อย่าซีเรียส

"เออ เอาอย่างนี้ เดี๋ยวเย็นนี้กูกลับตรงเวลา กูจะไปติวให้มึงเองเลย รับรองพรุ่งนี้มึงผ่านเกณฑ์แบบไม่ต้องเฉียวฉิวเลย" ไอ้เพื่อนเวร จังหวะเป็นห่วงของมึงแย่มาก เอาไงดีวะกู

"เห้ยมึง ลำบากเปล่าๆ งานที่โรงพยาบาลเยอะแยะ ไม่ต้องหรอก" เอาเรื่องงานมันมาอ้างละกัน

"มึงแปลกๆนะวันนี้" แปลกเ-ี้ยไรละ

"......" ตอบไม่ถูกเลยกู

"แล้วมึงจะทำไง อ่านหนังสือเองหรือไง จะผ่านได้เหรอวะ อย่างมึงอ่านเองไม่มีทางทำได้อ่ะ กูรู้จักมึงดี"

"เออ กูจัดการของกูได้... ว่าแต่มึงรู้คะแนนตัวเองหรือยัง" เปลี่ยนเรื่องๆ

"เออ ยังว่ะ ดูที่ไหนวะ"

"เดี๋ยวกูส่งลิงค์ประกาศคะแนนให้ มึงค้นหาชื่อตัวเองได้เลย รวดเร็ว แต่มึงคงไม่ต้องค้นหรอกม้างงงง"

"ทำไมวะ"

"มึงดูเอาเองแล้วกัน..... กูไปละ"

"ไปไหนวะ"

"เสือก" จัดไปหนึ่งดอกก่อนวางสายนะเพื่อน แล้วก็เอาลิงค์สำหรับเช็คคะแนนไป



โอเค เสร็จแล้ว ไหนลองค้นหาชื่อน้ำขิงดิ ชื่อจริงอะไรหว่า ไม่ได้ถามมานี่นา ลองค้นหาเป็นนามสกุลละกัน ธนกฤษ นี่ไงเจอแล้ว

​นายคฑาเทพ  ธนกฤษ 99% ผ่าน

​ตระกูลนี้ มันกินไอสไตร์เข้าไปกันหรือไงวะ



"ฮัลโหลขิง" รีบโทรรายงานเลยดีกว่ากู ต้องทำเสียงเศร้าๆหน่อย "ผมสอบตกอ่ะ ได้แค่ 64.5% เอง"

"จริงเหรอ" อ้าว ชิบหายแล้วกู น้ำเสียงแบบนี้ เศร้าจริงนี่หว่า รู้สึกผิดเลยกู "ทำตรงไหนไม่ได้บ้าง จำได้ไหม" น้ำเสียงยิ่งแย่ไปใหญ่ กูชั่วชิบหายเลยที่ไม่ตั้งใจทำข้อสอบ ทั้งๆที่ก็เรียนรู้เรื่องนะ แต่ดันเอาเหตุผลควายๆมาทำให้คนสอนต้องเสียใจ

"ผมขอโทษ" สำนึกผิดให้ไวเลยกู

"ขอโทษทำไมเล่า มันเป็นความผิดของเราเอง" ความผิดของผมเองงงงงง อย่าโทษตัวเองแบบนั้นเลย แค่นี้ก็รู้สึกผิดจะแย่แล้ว "เอาอย่างนี้แล้วกัน ตอนบ่ายโมงไปเจอกันที่เดิมนะ เราขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บเดียว"

"โอเคครับ"

โคตรรรรรรรรรร รู้สึกผิดเลยกู

ทำให้น้ำขิงทั้งผิดหวัง เสียใจ แถมยังทำท่าเป็นห่วงเป็นไยกูอีก

ไม่ได้แล้ว วันนี้ต้องตั้งใจใหม่ ที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป ต้องไม่ทำให้เค้ามาเสียใจเพราะเราอีก



"สรุปว่ารู้ไหมว่าไม่ได้เนื้อหาไหนที่สุด" เปิดประเด็นมาก็ทำเอาผมเศร้าเลย "ไม่ต้องเศร้าน่า พรุ่งนี้สอบใหม่นะ เอางี้ไหม เดี๋ยววันนี้เราจ่ายค่ากาแฟให้"

โอ๊ยยยย ใจดีเกินไปแล้วนะ รู้สึกผิดจะแย่แล้วเนี่ย

"ไม่เป็นไรครับ ขิงมาติวให้ผมแล้วอ่ะ ยังต้องมาจ่ายตังให้อีก แค่นี้ก็รู้สึกผิดจะแย่แล้ว"

เลิกทำหน้ากุ้มใจใส่ผมได้แล้วคราบบบ ผมสัญญาว่าจะตั้งใจทำข้อสอบ เอาให้ทะลุ 70% ไปเลย

"แบบนี้ดีกว่า อืม.... นายจะว่าเราหลอกเด็กไหมอ่ะ ถ้าสมมติเราทำเหมือนตอนเด็ก ถ้าสมมตินายสอบผ่านเราจะให้ของที่นายอยากได้หนึ่งอย่าง เอาไหม"

เห้ยยยยยยยย

นี่มันโอกาสชัดๆ ตอนนี้เริ่มรู้สึกผิดน้อยลงแล้ว ความชั่วเข้ามาแทนที่

"งั้น.... ไม่เอาสอบผ่านดีกว่า" ผมเริ่มคิดแผน "ถ้าผมผ่าน 70% ผมขอให้ขิงเรียกแทนตัวเองว่า น้ำขิง ได้เปล่า"

"......" มองตาปริบๆ นี่กูชั่วไปไหมวะ

"แค่ใช้กับผมคนเดียวก็ได้"

"เอาจริงเหรอ" เหมือนจะได้ผล



#เสียงโทรศัพท์

ใครแม่งขัดจังหวะอีกแล้ววะ  นี่ก็ลุกออกไปคุยโทรศัพท์เร็วเหลือเกิน

"ฮัลโหลครับพี่ตอง"

อ่อ พี่ตอง รุ่นพี่โรงเรียนเดียวกัน คุยไรกันวะ ได้ยินไม่ค่อยถนัด ช่างมันเหอะ สนใจเรื่องของกูก่อน

คุยเสร็จ ขิงก็กลับมานั่งที่เดิม



"ว่าไงครับ" ผมทวงข้อเรียกร้อง "ถ้าผมได้ 70%"

"แล้วมันมาเกี่ยวอะไรกับเราด้วยละ ขออย่างอื่นก็ได้นิ"

"ก็ผมอยากได้อันนี้อ่ะ มันช่วยให้ผมมีกำลังใจ"  เห้ย กูหยอดได้ผล หน้าแดงซะด้วย

"ไม่รู้ ขอคิดก่อน"

โอเค เร่งรัดไปอาจจะผิดหวังได้ ช้าๆได้พล้าเล่มงาม



เหมือนเคยครับ น้ำขิงยังคงจริงจังกับการสอน แต่วันนี้ผมนี่แหละที่แปลกไป กวนเค้าน้อยลง ตั้งใจมากขึ้น ถ้าต้องทำให้คนตรงหน้าเสียใจอีก ผมไม่โอเคแน่นอน



"เห้อออออ เหนื่อยจังเลย" เป็นเวลาดึกมากครับที่ผมเรียน โชคดีนะที่ร้านนี้มีอาหารทั่วไปขายด้วย แล้วก็เปิดทั้งคืน อยู่กับบทเรียนเกือบสิบชั่วโมง ถ้าไอ้ชาเย็นรู้ มันคงตกใจ แต่กำลังใจผมดีไงวันนี้ ไม่เคยเรียนเลขแล้วรู้สึกดีขนาดนี้มาก่อนนะ เออ อย่าลืมทวงสัญญา "แบบนี้จะสอบผ่านไหมน้าาาา"

"....." เหมือนคนตรงหน้าจะรู้ตัว

"ถ้ามีอะไรมาช่วยให้มีกำลังใจในการสอบก็คง..."

"อืมมมม ก็ได้"

เห้ย จริงดิ



#เสียงโทรศัพท์

อีกแล้ว นี่น้ำขิงธุระเยอะไปไหม จังหวะการโทรเข้านี่ก็นรกสัดๆ แผนกำลังจะสำเร็จแล้วเชียว



"สัญญาแล้วนะว่าถ้าสอบผ่านเกิน 70% จะเรียกแทนตัวเองว่าน้ำขิง" กูตะโกนดื้อๆแม่งเลย อยากคุยโทรศัพท์ตอนช่วงสำคัญดีนัก

"ชูวววววว คุยโทรศัพท์อยู่"  ก็ยังเป็นคนที่ดุได้น่าดูเหมือนเดิม



อ้าว แล้วนี่ไปคุยศัพท์มายังไงเนีย ทำไมดูเครียดๆ ตาแดง จมูกแดง อย่างกับจะร้องไห้

"ขิง เป็นไรครับ"

"เปล่า...."



#เสียงโทรศัพท์

อีกแล้วเหรอว่ะ นี่เกิดไรขึ้นเนีย ไอ้คนปลายสายมันเป็นใครวะ

ขิงมองโทรศัพท์กล้าๆกลัวๆอยู่สักพัก แล้วตัดสินใจลุกไปคุยโทรศัพท์อีกรอบ



ตอนนี้คุยเบากว่าปกติอีก มีอะไรวะ

แล้วไม่นานน้ำขิงก็ตัวสั่นเลย ร้องไห้แหงเลยสภาพนี้

"เห้ยขิงเป็นไรอ่ะ  ร้องไห้ทำไม"

ผมโดนส่งสัญญาณว่าห้ามรบกวนการสนทนาครับ จะบ้าหรือไงวะ นี่มันเป็นใครวะ ถึงขั้นทำน้ำขิงร้องไห้

ผมเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ตลอดเวลา

ร้อนใจจริๆ ค่อยๆเดินไปข้างหลังดีกว่า ชักเป็นห่วงแล้วดิ ดูดิว่าคุยอยู่กับใคร



"....ไม่ได้กำลังอยู่คนเดียวใช่ไหม พี่เป็นห่วง" ผมเดินมาอยู่หลังน้ำขิงแล้ว แต่เค้าคงไม่รู้ตัว และมีเสียงใครคนหนึ่งดังออกมาจากโทรศัพท์จนผมได้ยิน

"เปล่าครับ ขิงอยู่กับ..."

"ต้อมเว้ย กูชื่อต้อม มึงเป็นใครวะมาทำให้ขิงร้องไห้" ผมไม่สนอ่ะว่าจะโดนด่าว่าเสียมารยาทหรือเปล่า แต่มาทำน้ำขิงร้องไห้ ผมไม่ยอมแน่

"จะโวยวายทำไม อายเค้า" น้ำขิงหันมาดุผม ไม่รู้หละ หัวร้อน

"ต้อมยังสอบไม่ผ่านนะพี่ตอง " ห๊ะ พี่ตองเหรอ แล้วก็ถามถึงเราด้วย อะไรวะ เรื่องไรกัน "ชาไม่ว่างมาติวตั้งแต่แรกแล้ว...."

ผมเลิกสนใจฟังแล้ว รู้สึกว่ายิ่งฟังยิ่งเป็นห่วงแฮะ สงบสติอารมณ์ตัวเองก่อน ดูๆแล้วก็คงไม่ใช่ปัญหาร้ายแรงอะไร

ในที่สุดน้ำขิงก็คุยโทรศัพท์เสร็จ

ดูหน้าเศร้าๆ อย่างกับรู้สึกผิดอะไรสักอย่าง



"วันนี้พอแค่นี้แล้วกันนะ" อ้าว ยังไม่หายเศร้านี่หว่า

น้ำขิงเก็บข้าวของเตรียมตัวกลับ

เอาไงดีวะกู เป็นห่วงก็เป็นห่วง

น้ำขิงยังน้ำตาไหลอยู่เลย "พรุ่งนี้ก็ทำให้เต็มที่นะ"

ไม่รู้เว้ย ใครจะว่ากูฉวยโอกาสก็ช่าง

ก่อนน้ำขิงจะเดินออกจากห้อง ผมตัดสินใจคว้าตัวเค้ามากอด คนเศร้าขนาดนี้จะให้ผมปล่อยกลับไปได้ไงละ กอดให้แน่นเลย โดนต่อยก็ค่อยว่ากันทีหลัง

"......." น้ำขิงไม่ดุไม่ด่าอะไรผมเลย แต่กลับร้องไห้หนักกว่าเดิมอีก คล้ายว่าเค้าสามารถร้องไห้ได้อย่างปลอดภัยในอ้อมอกของผมแล้ว

แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมอยากปกป้องเค้าได้ยังไงกัน



"ไม่เป็นไรนะ  ผมจะปกป้องขิงเอง"

หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 12 [LOVE TUTOR ตอนที่ 2 : ตอง vs ต้อม]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 06-11-2017 00:19:36
​ตอนที่ 2 : ตอง vs ต้อม





เอ๊ะ นั่นมันไอ้ชาเย็นเพื่อนเกรียนนี่หว่า ยืนรอใครอยู่หน้าหอวะ



นี่คือวันที่สองของการสอบหลักคณิตศาสตร์ แก้ตัวจากเมื่อวานที่ผมไม่ค่อยตั้งใจทำข้อสอบเท่าไหร่ ผมลงมาใต้หอกับพบกับเพื่อนรักของผมซะก่อน

เมื่อวานหลังจากปลอบใจจนน้ำขิงดีขึ้น ผมจะไปส่งเค้าที่หอ ก็ไม่ยอม คะยั้นคะยอ​ยังไงก็ไม่ยอม สงสัยกลัวว่าผมจะรู้ว่าหออยู่ไหน

แต่ยังไงสักวันก็ต้องรู้



เห้ยยยยย

​นั่นรถไอ้พี่ตองนี่หว่า.....

รับไอ้ชาขึ้นรถไปด้วย เห้ย ยังไงวะ

เดี๋ยวค่อยถามมันวันหลังละกัน ตอนนี้รีบไปสอบก่อน

อ่อ

ส่งข้อความหาน้ำขิงหน่อยดีกว่า

'อย่าลืมนะ ถ้าผมทำสอบได้ 70% ต้องทำตามสัญญานะ"

'ควรจะมีสมาธิกับการสอบนะ'

สบายใจแล้วเช้านี้ ได้กวนคนเป็นมื้อเช้า



เมื่อเข้ามาห้องสอบได้ ผมก็รีบลงมือทำข้อสอบทันที อ่านทุกตัว วิเคราะห์ทุกข้อ พยายามทวนสูตรบางสูตรที่อาจจะสับสน ถึงแม้ระบบการสอบจะใช้แท็บเล็ต แต่ผมก็ใช้กระดาษทดไปเยอะมาก ต้องจริงจังหน่อยดิ เป้าหมายผมมีอยู่



มื้อเที่ยงวันนี้ของผมช่างตื่นเต้นจริงๆ ปกติคะแนนจะออกหลังสอบเสร็จประมาณครึ่งชั่วโมง

อาหารโรงอาหารคณะสถาปัตย์ ทำไมมันไม่มีรสชาติเลยวะ หรือกูจะตื่นเต้นเกินไป



"เธอคะ" ใครเรียกหว่า "ชื่อต้อมใช่ไหม"

โอ้โหสาวสวยคนนี้ คุ้นๆ อ๋อ คนนี้เด็กปีหนึ่งที่ผ่านเข้ารอบพร้อมเราปีนี้นี่นา "ใช่ครับ"

"เราชื่อแตงโมนะ" มาแนะนำตัวกับเราทำไมหว่า "เรา..... ขอเบอร์หน่อยดิ"

อือหือ ผู้หญิงสวยขนาดนี้ เดี๋ยวนี้ต้องมาขอเบอร์ผู้ชายแล้วเหรอวะ



#คุณมี 1 ข้อความ

'ผลสอบออกหรือยัง'

ข้อความจากน้ำขิง 

ยิ้มดิกู งานนี้

"โทษทีครับ แฟนหวง" ก็รู้นะว่าผู้หญิงเค้าคงหน้าแตก ผมก็เลยเลือกที่จะลุกออกมาจากตรงนั้น ทำทีเอาจานไปเก็บ

ครึ่งชั่วโมงแล้วเข้าไปเช็คคะแนนดีกว่า

ตื่นเต้นสุดๆไปเลยกู

.........

......

...

​นายศิรภพ  อาจแผ่นดิน 69.5% ผ่าน



เข่าอ่อนเลยกู 

เห้ออออออออออออ

ไม่กล้าตอบไลน์เลย เอาไงดีวะ โทรไประบายกับไอ้เพื่อนรักก่อนละกัน



"ไงวะไอ้ต้อม"

"เออมึง คะแนนออกแล้วนะ กูได้ 69.5% ว่ะ"

"ก็ดีนี่หว่า ผ่านแล้ว ผ่านตั้งแต่ปีแรกเลย"

"เออ....  กูว่าพรุ่งนี้กูจะไปสอบอีกรอบว่ะ" ต้องทำให้คะแนนถึง 70% ให้ได้ แบบนี้ก็ไม่บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้อะดิ

"เพื่อไรวะ อะไรของมึงเนี่ย" ไม่ต้องอยากรู้หรอกมึงอ่ะ

"เค้าก็ไม่ได้ห้ามคนที่สอบผ่านให้ไปสอบใหม่นิ"

"เดี๋ยวๆๆๆ มึงไม่ปกติแล้วตอนนี้ อยู่ดีๆก็อยากจะเก่งเลขขึ้นมา ยังไงวะ... อ่อ เดี๋ยวก่อนๆ กูมีเรื่องต้องเคลียร์กับมึง เมื่อวานนี้มึงไปขอให้ขิงติวให้อีกแล้วใช่ไหม"

"เห้ย มึงรู้ได้ไงวะ น้ำขิงบอกมึงเหรอ"

"กูรู้ได้ไงไม่สำคัญอ่ะ แต่มึงจะไปรบกวนเค้าทำไมวะ ขิงมันเด็กเรียบร้อยนะ กูไม่อยากให้มึงไปทำให้ขิงเหลวไหล ไอ้เวร กูบอกจะติวให้ มึงก็ไม่เอา อะไรของมึงวะ"

แม่ง ไอ้เพื่อนเวร ไม่สนับสนุน ยังจะมาทำให้กูเสียกำลังใจอีก  ".......โห มึง  กูดูเหลวไหลขนาดนั้นเลยเหรอวะ กูไม่ทำให้น้ำขิงลำบากหรอกน่า กูก็เลี้ยงดูเค้าอย่างดีนะเว้ย"

"ไม่ต้องเลยมึง ครั้งหน้าเดี๋ยวกูติวให้มึงเอง ไม่ต้องไปรบกวนเค้าแล้วนะ"

ไอ้สัด ทำเป็นพูดดี "...... อย่างกับมึงมีเวลามาติวให้กูเน๊าะ เดี๋ยวนี้คือยังไงวะ มีพี่ตองไปรับไปส่ง มึงไปญาติดีกันตอนไหนวะ ไม่เห็นเล่าให้กูฟังเลย"

"...." นั่นไงไม่ตอบ เค้าเรียกว่ามีพิรุจ

"มึงลืมไปรึเปล่า ว่ากูอยู่หอเดียวกับมึงนะ เมื่อเช้านี้กูก็มีสอบ ลงมาเห็นมึงข้างล่างแต่เช้าก็ว่าแปลกใจแล้ว นี่เห็นมึงขึ้นรถไอ้พี่ตองไป กูนี่โคตรแปลกใจเลย"

"มันมีเหตุนิดหน่อย มึงไม่ต้องมาแวงกัดกูเลย นี่ถ้าขิงกลายเป็นคนหยาบคายเพราะมึงนะ กูจะตัดหางปล่อยวัดมึง"

ใช้มุกนี้กับกูเหรอ "โห.... เออ กูจะทำตัวดีๆ ไปละนะ"

"ไปไหนวะ"

"เสือก" กูจะไปไหนได้หละ





"สวัสดีค่ะ วันนี้มาอีกแล้วนะคะ" พนักงานร้านกาแฟจำผมได้ วันนี้ผมมาที่ร้านเดิม แต่ไม่กล้าชวนน้ำขิงมาด้วย แค่บอกคะแนนยังไม่กล้าเลย "วันนี้เปิดติวเตอร์รูทไหมค่ะ"

"ไม่คร... เปิดครับ" เปิดดีกว่า อย่างน้อยก็ให้รู้สึกว่ามีน้ำขิงอยู่ใกล้ๆ

ผมหอบเอกสารทั้งหมดที่ติวในสองวันที่ผ่านมามาด้วย อ่านทบทวนทั้งหมดอีกครั้ง สูตรที่ยังจำสับสนก็ต้องให้แม่นกว่าเดิม

เหงาสุดๆ ติวหนังสือคนเดียว ไม่มีคนคอยปลอบใจตอนอ่านหนังสือไม่เข้าใจ ไม่มีคนให้กวนประสาทตอนเบื่อๆ

ไม่ได้ๆ

​กูต้องเก่งขึ้น 70% ท่องเอาไว้



นี่ค่ำแล้วเหรอวะ  มัวแต่อ่านหนังสือ หันออกไปที่กระจกอีกที มืดซะแล้ว

ชักหิวแล้วแฮะ กินไรก่อนดีกว่า คืนนี้คงอีกนาน



หึ

ใครเข้ามาในห้อง นี่มันห้องส่วนตัวนะ

"....."

ตาค้างไปเลยกู

น้ำขิง

​น้ำขิงเดินเข้ามาในห้องพร้อมข้าวผัดไข่หนึ่งจาน

"น้ำ.. เอ่อ ขิง" จะถามเรื่องคะแนนกูเปล่าวะ "มาไงอ่ะ"

"ก็นั่งแท๊กซี่มาไง" เหมือนจะแอบนอยนิดนึงแฮะ แต่ก็ยื่นจานอาหารมาให้ "อ่านมานานแล้วใช่ไหมเหรอ ไม่หิวหรือไง"

"คือ... เรื่องผลสอบวันนี้..."

"ก็ผ่านแล้วนิ ไม่เห็นจะต้องมาลำบากอีกเลย" อ้าว เหมือนน้ำขิงจะโกรธจริงแฮะ เพิ่งเคยเห็น รู้สึกผิดอีกแล้วกู

"ก็ผมอยากให้คะแนนมันถึง 70% นี่นา อุตส่า..."

"เนี่ยนะเหตุผล แทนที่จะทำเพื่อเรา ทำไมไม่คิดว่าทำเพื่อตัวเองเล่า.... แค่นี้ก็ต้องมาทำให้ตัวเองลำบากด้วย จะเรียกอะไรก็เรียกไปซิ ไม่ได้ว่าซะหน่อย"

หึ!

เมื่อกี๊คือประชดใช่ไหม หรือพูดจริง

"ไม่ได้หรอก ก็... ต้อมสัญญาไว้แล้ว อยากทำให้ได้"

"ก็ถึงมานี่ไง รู้ไหมว่าวันนี้ขิงมีติวในเมืองวันแรกด้วย ต้องยกเลิกคลาสเรียนเลย ไม่งั้นก็คงไม่เห็นว่าต้อมมาอ่านหนังสือที่นี่คนเดียว แล้วก็ไม่ยอมตอบไลน์ ไม่โทรไปบอกด้วย เพราะงั้นหลังจากนี้ไปรับไปส่งขิงสอนพิเศษด้วย"

โห จัดเต็ม แต่นี่มัน..... เหมือนเปิดทางให้เลยนี่หว่า

นางฟ้าของผม ทำไมถึงเป็นคนดีกับผมขนาดนี้ ไอ้ชาเย็น มึงนี่มันไม่ได้ครึ่งนึงของลูกพี่ลูกน้องมึงเลย

"ค.. คราบบบบ"

"กินข้าวไป ไหนดูซิ อ่านไปถึงไหนแล้ว แล้วรู้เรื่องเหรอหนะที่อ่าน"

คราบบบ จะบ่นอะไรก็บ่นเถอะ แค่นี้ก็ปลื้มจะแย่อยู่แล้ว

น้ำขิงติวให้ผมจนถึงดึกอีกเช่นเคย แต่วันนี้ดีกว่าเมื่อวานมาก เพราะผมเรียนหนักไปแล้วเมื่อวาน และวันนี้ไม่มีใครร้องไห้

หลังจากติวจนคิดว่าโอเคแล้ว ผมก็ถูกปฏิเสธให้ไปส่งที่หอตามเคย แต่พรุ่งนี้น้ำขิงจะไปเฝ้าผมที่ห้องสอบด้วย เค้ากลัวว่าผมจะเฟวล์อีกถ้าคะแนนไม่ถึงเป้า

กำลังใจดีขนาดนี้ มันต้องทะลุเป้าซิวะ





​นายสิรภพ  อาจแผ่นดิน  79% ผ่าน

​"น้ำขิง" ผมเรียกน้ำขิงดูคะแนนในโทรศัพท์มือถือของผม หลังจากประกาศคะแนนสอบในวันที่สาม มือนี่สั่นไปหมดเลย "79% นี่มัน... เยอะที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยสอบมาเลย"

อยากจะตะโกนในลั่นมหาลัย

"ยินดีด้วยนะ" น้ำขิงยิ้มให้

ขอกอดทีได้ไหมเนี่ย อ๊ากกก อยากกอด แต่ไม่กล้า วันนั้นมันมีเหตุผล แต่วันนี้ไม่มี



#เสียงโทรศัพท์

ใครช่วยเอามือถือของน้ำขิงไปทิ้งทีได้ไหม โทรศัพท์เข้าบ่อยเกิ๊น

"ครับพี่ตอง" พี่ตองอีกแล้ว ไอ้พี่ตองนี่ยังไง นึกว่าจะวอแวกับเพื่อนผมคนเดียว นี่จะมายุ่งอะไรกันน้ำขิงอีก

"....."

"ได้ซิครับพี่ ยินดีเลย"

"....."

"โอเคครับ เดี๋ยวขิงกินข้าวเสร็จจะเข้าไปเลย" ไปไหนวะ



"จะไปไหนเหรอ" ถามเลยดิ รอไร

"พี่ตองให้ขิงไปช่วยดูแลเด็กๆที่โรงพยาบาลของมหาลัยหนะ พอดีพี่ตองไม่ว่าง จะพาชาไปซ่อมถ่ายภาพข้างนอก"

พี่ตอง ไอ้ชาเย็น มันชักจะน่าสงสัยเกินไปแล้ว

"ต้อมไปด้วยดิ ต้อมรักเด็กนะ" ผมรีบเสนอตัว

"ไม่ต้องอะ พี่ตองใช้ขิงคนเดียว"

"ก็ไอ้ชาไปด้วยไม่ใช่เหรอ ต้อมจำได้นะว่ามันก็ทำงานที่โรงบาล เกี่ยวกับ ดูแลเด็กนี่แหละ ขิงไปแทนพี่ตอง ต้อมไปแทนไอ้ชาไง"

"จะไปให้ได้ใช่ไหม"

"ก็ถ้ามีน้ำขิงอ่ะ"

"แหวะ เดี๋ยวอีกหน่อยต้อมก็ได้เป็นลีดคณะสถาปัตย์แล้ว ตอนนั้นก็คงไปไหนตามใจไม่ได้หรอก"

"งั้นน้ำขิงก็มาเป็นแฟน... เอ้ย บัดดี๊ให้ต้อมดิ"

5555 ได้ผลอีกตามเคย น้ำขิงเดินเขินไปโรงอาหารเลยทีเดียว อ่านออกง่ายดีแฮะ ​น่ารักตลอด



ผมลงทุนแวะออกไปซื้อชุดหมีมาใส่ เพื่อจะได้ช่วยสร้างบรรยากาศในการดูแลเด็ก ซึ่งก็ได้ผลซิครับ จริงๆน้องๆพวกนี้น่าสงสารมากเลย ไม่แปลกใจเลยที่ไอ้ชาเย็นจะยอมมาทำงานดึกๆตลอด ถ้าไม่นับรวมเรื่องพี่ตองของมันอะนะ

พอถึงบ่ายสาม ไอ้ชาเย็นเพื่อนรักก็กลับมาทำงานในโรงพยาบาลพร้อมกับพี่ตอง ก็แซวกันไปแซวกันมาตามประสาแหละครับ จนกระทั่งมานึกขึ้นไป วันนี้ต้องไปส่งน้ำขิงสอนพิเศษในเมืองนี่หว่า



"ขอบใจมากนะขิง มึงด้วยต้อม เกรงใจมากเลย" ไอ้ชาเย็นขอบอกขอบใจเราสองคน

"เล็กน้อยน่า" ขิงตอบยิ้มแย้ม "สนุกดีด้วย วันหลังมีเรื่องดีๆแบบนี้ก็บอกได้นะ" น่ารักแถมยังแม่พระอีกต่างหาก ไม่เกรียนเหมือนมึงหรอกไอ้ชาเย็น

"มันก็เป็นเรื่องจำเป็นหนะ ชามาทำงานที่นี่เพื่อแลกกับท่าลีดเพลงในวันเปิดห้องเชียร์"

"มึงแน่ใจนะ" ผมต้องเหน็บซะหน่อย "ที่มาทำเนี่ยเพราะอยากได้ท่าเต้น หรืออยากอยู่ใกล้ชิดกับพี่ตอง เนี่ยดูดิ เห็นบอกจะอยู่นอนที่นี่กับมึงด้วย เค้าทำดีขนาดนี้กับมึงเพราะอะไรวะ กูสงสัย"

"กูก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ะ" อ้าว คือยังไงวะ

"เออมึง กูไปละนะ ต้องรีบไปส่งน้ำขิงที่ในเมืองอีก" ขอทำหน้าที่สารถีหน่อย ไม่อยากทำหน้าที่ผิดพลาดตั้งแต่วันแรก

"ไปทำไมวะ"

"มีสอนพิเศษหนะ" น้ำขิงตอบเอง "ลูกชายเจ้าของห้างที่ในเมือง จะสอบไปต่างประเทศ พ่อเค้าก็เลยจ้างขิงไปติวให้"

"มึงก็เลยอาสาไปส่ง ใจดีผิดปกตินะมึงอ่ะ แท๊กซี่ก็มีมั้ง" ไม่ต้องมาแซวกูเลย

"อ่าว ก็นี่มันอนาคตบัดดี๊กู ต้องดูแลหน่อย" หยอดไปอีกหนึ่งดอก

"แล้วมึงจะกลับชุดนี้จริงเหรอ.... ไหนๆก็ไปห้างแล้ว ก็เอาลูกโป่งไปแจกเด็กๆต่อเลยละกันนะ"

"เออ เรื่องของกู ไปเหอะน้ำขิง"

"ไปนะชา เจอกันๆ" น้ำขิงลาครั้งสุดท้าย





"น่าจะที่นี่นะ คุณพ่อของน้องส่งพิกัดมาให้ว่าเป็นที่นี่" น้ำขิงพยายามเช็คในโทรศัพท์ว่าเราสองคนเดินทางมาถูกที่หมายหรือไม่

ผมกับน้ำขิงอยู่ที่ห้างดังในย่านเมือง ที่นี่คนเยอะมาก แต่ส่วนที่ผมมาตอนนี้คือห้องรับรองพิเศษไม่ค่อยมีคน ตรงนี้มีอยู่หลายห้อง จึงได้พยายามหาว่าเป็นพิกัดตรงไหนกันแน่



"ผมบอกว่าไม่ต้องเรียนไงป๊า ผมสอบได้อยู่แล้วน่า"

"ก็เรียนให้มันชัวร์ๆไว้มันจะเป็นอะไรไปห๊ะ" เสียงพ่อลูกที่ไหนทะเลาะกันวะ



"คุณพ่อกับน้องกั้งใช่ไหมครับ" อ้าวน้ำขิงเข้าไปคุยด้วยเฉยเลย นี่เหรอที่จะสอน

คนนี้ซินะเจ้าของห้าง ส่วนนี่ก็....

โอ้โห ลูกชาย เด็กมอปลายตัวใหญ่ หล่อเหมือนกันนะเนี่ย แล้วทำไมมันมองน้ำขิงแบบนั้นวะ ส่งสายตาแปลกๆ ไม่ถูกชะตาไอ้เด็กปีนเกรียวนี่เลย

"อ้าว ขิงใช่ไหมครับ อ่อๆนี่ลูกชายของอานะ ชื่อกั้ง"

คุณลุงเจ้าของห้างแนะนำตัวลูกชายตัวเองให้น้ำขิงรู้จัก ไอ้เด็กนี่ก็มองตาไม่กระพริบเลย

"แล้วนั่นใครครับ" หมายถึงผมเหรอ

"เพื่อนของผมเองครับ พอดีผมไม่มีรถ ก็เลยวานให้เค้าช่วยมารับมาส่งหนะครับ" น้ำขิงบอก "อ่อ คือเราเพิ่งไปเลี้ยงเด็กมาหนะครับ ก็เลยมาในชุดนี้" ชุดหมีมันทำไม ก็น่ารักดีออก

"อ้าว ทำไมไม่บอกอา เดี๋ยววันหลังอาให้เจ้ากั้งเอารถไปรับที่มหาลัยก็ได้" โหลุง จะมาช่วงชิงหน้าที่ของผมไปให้ไอ้ลูกชายปีนเกรียวของลุงได้ไง

"ไม่เป็นไรครับ ผมมารับมาส่งได้ อีกอย่าง ลูกชายของคุณลุงยังอายุไม่ถึงนะครับ ผมไม่สนับสนุนการไม่เคารพกฎจราจรครับ"

น้ำขิงมองผมอย่างตำหนิ ไม่รู้อ่ะ ใครมาแย่งหน้าที่ จะรวยมาจากไหนก็ไม่สน

"เอ่อ... หมายถึงมีคนขับรถให้"

"ผม..."

"ไม่เป็นไรดีกว่าครับคุณพ่อ" น้ำขิงรีบห้าม สงสัยเห็นผมเริ่มของขึ้น "ผมสะดวกให้เค้ามารับมาส่งมากกว่า"

"อ่าๆ เอาที่ขิงสะดวกก็แล้วกันนะ แต่เจ้าลูกชายตัวดีของอานี่ซิ บอกจะไม่เรียนอีกแล้ว"

"โห่ ป๊า  ผมก็พูดไปอย่างงั้นแหละ ผมยังต้องการความรู้อีกมาก" ไอ้เด็กปีนเกรียวเอ๊ย มึงอ้าปากกูก็เห็นลิ้นไก่แล้ว เห็นน้ำขิงกูน่ารักอะดิ "ผมชื่อกั้งครับ ฝากตัวด้วยนะครับพี่ขิง"

ชิบหายยย ถ้าไม่เห็นว่านี่เป็นงานของน้ำขิงนะ กูจะตันหน้ามันตรงนี้แหละ ช่วยเก็บสายตามึงหน่อยได้ไหม

"อ้าว... อะๆ ดีแล้ว งั้นเชิญขิงตามสบายเลยนะ ถ้าไอ้ลูกชายของอาทำอะไรให้ไม่สบายใจก็บอกได้เลยนะ"

"ไม่หรอกครับคุณพ่อ" นี่ก็เปิดโอกาสให้คนอื่นจังเลย

หงุดหงิดโว๊ย

ลุงเจ้าของห้างเดินออกจากห้องไป

"ต้อมไปเดินเล่นก่อนก็ได้นะ ข้างล่างมีร้านกาแฟด้วย ขิงต้องสอนสองชั่วโมง" ห๊ะอะไรนะ จะให้ทิ้งน้ำขิงผู้น่ารักไว้กับเสืออย่างมันเนี่ยนะ ไม่มีทาง

"ไม่อ่ะ ต้อมจะนั่งรอในห้องนี้แหละ ห้องออกจะใหญ่"

"ก็ได้... งั้นต้อมนั่งตรงนี้แล้วกันนะ จะได้ไม่รบกวนการสอน" เออ เดี๋ยวกูจะนั่งเฝ้าอยู่ตรงนี้แหละ ไม่ชอบมาพากล กูพากลับอย่างเดียว คอยดูนะ



ไอ้เด็กส้นตีน แม่งทำลอยหน้าลอยตา นี่ถ้าไม่ใช่ว่าน้ำขิงมาสอน กูว่ามึงก็คงยังทะเลาะกับพ่อว่าจะไม่เรียนเหมือนเดิมนั่นแหละ

น้ำขิงก็ชอบยิ้มให้มันจังวะ ก็รู้อยู่หรอกว่าเป็นงาน แต่ดูไม่ออกหรือไงว่ามันหม้ออยู่

สองชั่วโมงนี่ทำไมมันนานจังวะ



"ยังไม่เสร็จอีกเหรอ" นี่สองชั่วโมงแล้วนะ ไม่รู้อ่ะ ครบกำหนดเวลาแล้ว จะมาใช้แรงงานเกินกำหนดไม่ได้

"อ...เอ่อ เหลืออีกข้อนึง" ขิงตอบอึ้ง

"....." รู้เลยว่าตอนนี้ตัวผมเองมีสีหน้าไม่พอใจ

"พี่ขิงครับ สอนต่ออีกชั่วโมงได้ไหมครับ เดี๋ยวผมให้ป๊าเพิ่มเงินให้สองเท่าเลย" อ้าวไอ้เด็กนี่ มึงจะลองดีกับกูเหรอ

"ต้อมต้องซ้อมเต้นนะ ใกล้ถึงวันเปิดห้องเชียร์แล้ว" อ้างแม่งเลย เอาวะ เรื่องกูก็สำคัญเหมือนกัน

"นะ... น้าาา นะครับพี่ ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเลย"

"พี่ขอเวลาแป๊บนึงนะ" ผมโดนน้ำขิงลากออกมาจากที่สอนพิเศษ แต่บอกตามตรงนะ ถ้าไม่ออกมา อีกนิดผมกระโดดถีบไอ้เด็กส้นตีนนั่นแน่ๆ



"ต้อม ขิงขอสอนอีกชั่วโมงนึงได้ไหม"

อะไรนะ นี่ไม่เห็นความสำคัญของคนที่เป็นห่วงเลยใช่ไหม ดูไม่ออกหรือไงว่าไอ้นั่นมันคิดไม่ซื่อ "ทำไมอ่ะน้ำขิง นี่ดูไม่ออกหรือไงว่าไอ้เด็กนั่นมันหม้อน้ำขิงอยู่"

"ไอ้เด็กนั่นที่พูดคือลูกศิษย์ของขิงนะ"

"นี่ ต้อมดูออกจริงๆนะ ดูสายตามันดิ มันไม่ได้อยากเรียนกับน้ำขิงจริงๆหรอก"

"ต้อม มีเหตุผลหน่อยซิ หน้าที่ของขิงคือสอน เด็กจะคิดยังไงขิงห้ามไม่ได้ แต่ตอนนี้เค้าเรียกร้องให้ขิงสอน ขิงคือคนที่จะเป็นครูนะ มันเป็นความรับผิดชอบ"

"อะไรกันวะน้ำขิง มันจะจ้างขิงซักเท่าไหร่กันเชียว มา เดี๋ยวต้อมจ้างเอง ต้อมให้มากกว่าสองเท่าด้วย"

"....." น้ำขิงนิ่งไป แต่ผมยังเคืองอยู่มาก "ต้อมพูดแบบนี้ได้ยังไงอ่ะ ตอนที่ขิงสอนต้อม ขิงเคยเรียกร้องเงินซักบาทไหม คิดว่าขิงสอนเพื่อเงินเหรอ มันเป็นความฝันของขิงนะ ถ้าต้อมลำบากใจที่จะรอ ขิงกลับเองก็ได้"

"ขิง..." นี่กูผิดเหรอ

"หยุด" ผมโดนห้ามไม่ให้เดินตาม "กลับไป ขิงจะสอน แล้วก็ห้ามตามเข้าไปในห้องด้วย ไม่งั้นขิงจะบอกให้น้องกั้งเรียก รปภ."

เล่นแบบนี้เลยเหรอ

น้ำขิงเดินจากเข้าไปในห้องจริงๆ

อะไรของวันนี้วะ อุตส่าไปได้ดีแล้วเชียว เพราะไอ้เด็กปีนเกรียวนั่นแท้ๆ

แม่งเอ๊ย

กลับก็ได้วะ กูอุตส่าเป็นห่วง ไม่เห็นค่ากูเลย







​​แม่ง จะไปตามหาที่ไหนวะ นี่ขับรอบมหาลัยแล้วนะ

​หลังจากที่เรื่องเมื่อวานเย็น ตอนนั้นก็ยอมรับนะว่าโกรธ แต่ตอนนี้ดิ จะเป็นจะตายซะเอง โทรไปหารายนั้นไม่รับสายเลย ข้อความในไลน์ ไม่อ่านไม่ตอบ นี่ถึงขั้นต้องขับรถวนหารอบมหาลัยแล้วนะ ไม่เหลือหนทางแล้ว

จะจำไว้เลยว่าวันหลังจะไม่ทะเลาะด้วยแล้ว นี่ก็เย็นแล้วด้วย ไม่รู้ไปสอนในเมืองหรือยัง ไปยังไงก็ไม่รู้ ถ้าไอ้เด็กส้นตีนนั่นมารับจริงๆละ

หรือว่าจะไปขอให้ไอ้ชาเย็นช่วยดีวะ.... เออจริงด้วย ไอ้ชาน่าจะช่วยได้

ขับรถกลับหอด่วนเลยกู



เห้ย นั่นมันพี่ตองนี่หว่า มายืนจ้องๆมองๆอะไรอยู่หน้าหอเราหว่า

"พี่ตอง หวัดดีพี่" ผมยกมือไหว้พี่ตอง หน้าพี่แกดูกังวลๆนะ "มีไรเปล่าพี่ มองไรอ่ะ"

"คือ... ชาไม่รับโทรศัพท์พี่อ่ะ" ทำไมรู้สึกเหมือนตัวเองเลยวะ

"มีไรอะพี่ ทะเลาะกันเหรอ"

"มีเรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อยหนะ"

"ไม่ต้องเครียดไปพี่ ไอ้นี่นะ ชอบเก๊กท่าขี้งอน พามันไปหาไรกินก็หายแล้ว ยิ่งถ้าได้แกงเห็ดนะ ง้อง่ายกว่าน้ำขิงเยอะ"

"ห๊ะ อะไรนะ เอ็งงอนอะไรกันกับขิงวะ" อ้าว พลั้งปากซะงั้นกู

"อ๋อ ก็เข้าใจผิดเหมือนกันแหละพี่"

"เอ็งกับขิงนี่ยังไงวะ เห็นช่วงนี้ตัวติดกันจัง"

"ตอนนี้ไม่ติดแล้วหละพี่ หาตัวยังไม่เจอเลย ว่าแต่ผม พี่ไม่ยิ่งกว่าผมอีกเหรอ ไม่ถูกกันมาเป็นชาติ ตอนนี้ผมเห็นพี่ลากไอ้ชาเย็นของผมไปนั่นไปนี่ตลอดเลยนิ... พี่อะไรกับเพื่อนผมกันแน่ พี่จีบมันงะ"

"เออ กูยอมรับ" เห้ยยยย โคตรแมน ยอมรับตรงๆเลย "มึงช่วยบอกข้อมูลเกี่ยวกับชาให้กูหน่อยดิ ชอบอะไร มีความลับอะไรที่พอจะบอกได้บ้างไหม เผื่อเป็นประโยชน์ ดูท่าเพื่อนมึงนี่ปากแข็งเหมือนกันนะ"

เห้ย เดี๋ยวนะ บางทีพี่ตองอาจจะเป็นทางออกก็ได้ น้ำขิงก็สนิทกับพี่ตองนี่หว่า ไม่แน่อาจจะสนิทมากกว่าไอ้ชาด้วยซ้ำ

"ได้พี่ ผมให้ได้มากกว่าข้อมูลอีก แต่พี่ต้องบอกผมมาก่อนว่าน้ำขิงพักที่ไหน"

"เห้ย มึงถึงขั้นจะบุกห้องน้องกูเลยเหรอ"

"เปล่าพี่ ผมแค่อยากเจอเค้า น้ำขิงงอนผมอยู่"

"มึงแน่ใจนะ นั่นน้องรักกูนะเว้ย ถ้าทำไรน้องกู มึงโดนแน่ ว่าไง มึงต้องการไรจากน้องกูกันแน่ พวกไม่จริงใจ กูบล็อกหมดอ่ะ"

"จริงใจดิพี่" เอาวะ มาถึงขั้นนี้แล้ว "จริงจังด้วย นี่ก็ขับรถตามหามาทั้งบ่ายแล้วเนีย"

"จีบไม่จีบ" อ้าว กดดันกูเลย

"เออออออ พี่ จีบ..."

"ก็แค่นั้นแหละ" นี่ไอ้พี่ตองมันล้วงความลับผมใช่ไหม "หอขิงอยู่ประตูหก หลังร้านกาแฟสีดำๆอะ"

ห๊ะ ร้านที่เราไปติวเกือบทุกวันอะนะ ถึงว่าดิ

"ขอบคุณมากพี่ ผมไปก่อนนะ ผมรีบ"

"เออๆ มึงอย่าลืมเรื่องข้อมูลของกูนะ"

"ไม่ลืมดิพี่ เอางี้ พี่ลองไปหาข่าวเด็กจมน้ำเมื่อแปดปีที่แล้วดิพี่ แถวๆโรงเรียนเราอ่ะ ผมก็ไม่รู้ทำไม แต่ไอ้ชามันเป๊ะข่าวนี้ไว้ในห้องนอนที่บ้าน ดูแลอย่างดี เผื่อพี่ได้ข้อมูลอะไร ไปนะพี่ วันหลังแลกเปลี่ยนข้อมูลกันใหม่"



ผมนี่รีบเลย ที่ไหนได้ อยู่แค่ปลายจมูกนี่เอง

​นั่นไง น้ำขิงจริงด้วย ขอบคุณพระเจ้า

​"ขิง น้ำขิง" ผมหายใจหอบ แทบจะกระโจนออกมาจากรถ

น้ำขิงตกใจเลยที่เห็นหน้าผม แต่สักพักก็เตรียมเดินหนีไป

"น้ำขิง ต้อมขอโทษ นะนะ ขอโทษคราบบบ" ขว้างไว้ก่อนละกันกู

"ถอยไป เราจะไปสอนแล้ว" นั่นไงเปลี่ยนสรรพนามกับกูด้วย เจ็บจี๊ดเลยกู

"โอเคๆ งั้นให้ต้อมไปส่งนะ"

"ไม่ต้อง เราไปเอง ถอยไปซิ เราสายแล้ว"

"น้ำขิง... ให้ต้อมไปส่งนะ ต้อมขอโทษจริงๆ จะไม่เข้าไปกวนตอนสอนอีกแล้ววว นะนะนะ... ก็ไอ้... เอ่อ เด็กคนนั่นทำสายตาเจ้าชู้ใส่น้ำขิงอ่ะ ต้อมแค่พยายามปกป้องน้ำขิงนะ"

"แล้วทีต้อมทำตาเจ้าชู้ใส่ขิงละ ไม่เห็นมีใครโกรธเลย"

"ก็..." ห๊ะ! นี่คือยังไง เขินเลยกู แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดี "โอเค ต้อมจะไม่ยุ่งจริงๆ นะนะ" ไม่รู้หละ จูงมือขึ้นรถเลยดีกว่า โอเค ไม่ต่อต้าน ถือว่าสำเร็จมาครึ่งนึงแล้ว "รีบไปดีกว่านะ เดี๋ยวสาย"

"...." ขิงนั่งนิ่ง แค่นี้ก็ถือว่าโอเคแล้ว ในที่สุดก็ได้คุยกันสักที ได้กลับมาทำหน้าที่ตัวเองแล้ว โล่งอก

"แต่.... ต้อมไม่นั่งในห้องนั่นนะ ยังไงก็ทนดูขิงกับเด็กคนนั้นอยู่ด้วยกันไม่ได้"

"ไม่ได้เห็นนานหรอกน่า" หึ น้ำขิงพูดไรนะ "สอนแค่อาทิตย์เดียวเอง เดี๋ยวน้องก็สอบแล้ว"

เห้ยยยย

ข่าวดีเลยนะเนี่ย ไม่เสียแรงที่ยอมเหนื่อยทั้งวัน

ถ้างั้นก็เตรียมเดินหน้าเต็มกำลังได้เลย และหลังจากนี้....



พี่ตองกับไอ้ต้อมคนนี้ คงมีเรื่องต้องคุยกันอีกเยอะเลย
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 14 [รถตู้]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 06-11-2017 12:58:55
​ตอนที่ 14 : รถตู้







​นี่มันอะไรกันวะ พี่ตองรู้เรื่องนี้ได้ยังไง



หลังจากปิดโหลต ผมลงจากเวทีด้วยสมองที่ว่างเปล่า ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามันว่างเปล่าจริงๆหรือความคิดในหัวมันตีกันจนปะติดปะต่อเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้

ภาพข่าวเมื่อแปดปีที่แล้วยังคงอยู่ในมือที่สั่นเทิ้มของผม ภาพของพี่ตองตอนเด็ก ยืนตัวเปียกอยู่ท้ายรถรถพยาบาลสีขาวกับเด็กอีกคนก็คือตัวผมตอนนั้นซึ่งถูกกำลังนอนอยู่บนเปลฉุกเฉิน เป็นภาพข่าวที่ผมเห็นจนชินตาเพราะมันถูกใส่กรอบติดข้างผนังห้องนอนและได้รับการดูแลเป็นอย่างดีที่บ้านของผม แต่ทำไมตอนนี้ ภาพนี้ไม่ทำให้ผมรู้สึกชินแม้แต่นิดเดียว

​แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้วะ

พี่ตองเอาข่าวนี้มาให้เราดูทำไม

เค้าจะหาว่าเราเป็นโรคจิตเปล่าวะ



"เข้าไม่ได้นะคะ ช่วงรอนับผลคะแนน คนนอกเข้าไม่ได้"

เสียงเอ๊ะอ่ะอยู่ที่หน้าประตูห้องพัก

​เชี่ยยยยยยยยย

​นั่นมันไอ้พี่ตองนี่หว่า ทำท่าจะเข้ามาในห้อง ผมหลบซิครับ รอไร ตอนนี้ไม่กล้าสบตาเลยบอกตรงๆ



​"ลงไปหลบอะไรอยู่ตรงนั้นน้ำชา" เกตุถามผมที่ทำตัวแปลกๆ

"....." จะบอกยังไงหละ ทำไมความกังวลมันเต็มหัวไปหมด

"พี่ตองเข้ามาไม่ได้หรอก จนกว่าจะถึงเวลาประกาศคะแนน" ก็รู้อยู่หรอก แต่จะให้แสดงตัวโต้งๆใครจะไปกล้า "นั่นไง พี่แอมมาพาตัวไปแล้ว"

ห๊ะ

ใครนะ  พี่แอมอีกแล้วเหรอ 

อ้าว เศร้าเลยกู เมื่อกี๊ยังกลัวเค้าเข้ามาอยู่เลย คราวนี้ทำไมรู้สึกแย่ที่เค้าโดนพาตัวไปหละ มึงนี่โลเลนะ

"นี่... มีปัญหาอะไรกับพี่ตองหรือเปล่าน้ำชา" เกตุคงเห็นสีหน้าของผมตอนกลับมานั่งที่เดิม

"ก็เปล่าหรอก"

"ถ้าเปล่าแล้วหลบหน้าะพี่เค้าทำไม พี่เค้าดูเป็นห่วงชานะ"

"เกตุคิดงั้นเหรอ" ก็มันอายนี่หว่า ไม่ได้ดูหรอกว่าสีหน้าใครเป็นไง

"เกตุไม่ได้คิดคนเดียวหรอก เกตุว่าในห้องนี้เค้าก็คิดแบบเดียวกันหมดนั่นแหละ"

"แต่พี่เค้าก็ไปแล้วนิ"

"อย่างเต็มใจอะเหรอ...."

"ก็..."

"ชาเนี่ยนะ มีเหตุผลตลอด แต่ทุกๆเหตุผลของชา ไม่ช่วยให้ชีวิตชาดีขึ้นเลย" เกตุ สาวนักจิตวิทยากลับมาอีกแล้ว "เราอ่ะเรียนวิทยาศาสตร์กันนะชา เอางี้ ตัวเกตุเองนี่แหละ เชื่อในวิทยาศาสตร์ เกตุไม่เชื่อในชาติหน้า ถ้าวันนี้ตอนนี้ สิ่งที่เกตุคิดหรือทำ มันไม่ทำให้เกตุมีความสุข เกตุก็จะไม่ทำสิ่งนั้น เพราะเกตุคงเสียดายที่เกตุยอมให้ตัวเองใช้ชีวิตด้วยความทุกข์ทั้งๆที่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตแล้ว ชาติหน้ามีหรือเปล่ายังไม่รู้เลย แล้วยิ่งกับคนที่เค้าให้สิ่งดีๆกับเกตุนะ เกตุจะไม่มีทางปล่อยให้คนๆนั่นต้องมาเป็นทุกข์เพราะเกตุเลย"

ทำไมกูรู้สึกเหมือนโดนครูเทศเลยวะ แต่เกตุแม่งก็พูดถูก ความคิดโคตรเจ๋งเลย "แต่บางเรื่อง มันก็ยากนะเกตุ ถ้าการมีเราทำให้ชีวิตของเค้าแย่ลงหละ"

"งั้นชาก็ปล่อยไป ถ้าชาไม่คิดที่จะทำให้มันตรงใจตัวเอง แต่ให้ตรงใจคนอื่น ชาก็ปล่อยไม่ไป ไม่ต้องแคร์ ไม่ต้องสนอะไร แล้วเดี๋ยวเราทุกๆคนก็ต้องตายจากไปกันไปอยู่ดี แต่อย่ามาเสียใจทีหลังนะ ตอนที่ตายจากกันไปแล้วอ่ะ"

โอ้โห... พูดซะกูสำนึกเลย "แต่เกตุไม่เข้าใจ..."

"เข้าใจซิ.... ชากับพี่ตองอะนะ ทำไมเกตุจะไม่เข้าใจ นี่เกตุสติดีอยู่นะ พี่เค้าวิ่งเอาดอกกุหลาบพี่ขาวมาให้ เห็นชัดๆว่าไปหามาจากข้างนอก ทั้งๆที่พี่เค้าอยู่ที่ตึกลีดก็ได้ แล้วก็เมื่อกี๊ พี่เค้าแสดงความห่วงใยไม่พออีกเหรอ สรุปทั้งหมดนี้ พี่เค้าทำอะไรผิดเหรอ"

"เอ่อ..." นี่กูจะหาอะไรไปเถียงให้ได้ใช่ไหม โรคไม่ยอมแพ้เนีย

"หยุดหาเหตุผลเถอะชา เอาจริงๆนะ ชากอดดอกกุหลายช่อนี้แน่นมานานแล้วนะ"

ห๊ะๆๆ

จริงด้วย ผมกอดดอกกุหลาบมาตลอดตั้งแต่ได้มาเลยนี่นา ไม่อยากวางเลย ไม่คิดจะวางด้วย

​เอาวะ ยังไงก็พยายามมาตั้งแปดปีแล้วนิ ยังจะมากลัวอะไรอีก

​วิ่งซิกู จะรออะไร ไปตามพี่เค้าให้ได้ จะเป็นใครที่มาพาตัวพี่ตองไป กูก็ไม่สนใจทั้งนั้นแหละ



"น้องคะๆ ออกไปไม่ได้นะคะ" อ้าวพี่ จะมาขว้างผมทำไมเนี่ย "ขั้นตอนการนับคะแนนโหวต สำคัญมาก ถ้าน้องออกไป น้องจะถูกตัดสิทธิ์ทันทีนะ เราคุยเรื่องนี้กันแล้วนะตอนซ้อม"

กูไม่สนโว๊ยยย "งั้นก็ตัดสิทธิ์ของผมไปเลยพี่" เรื่องนี้ไม่สำคัญอีกแล้ว ผมต้องทำเพื่อพี่ตองบ้าง นี่คือวินาทีที่กูรอมาตั้งแปดปี

อยากพูดขอบคุณเรื่องเมื่อแปดปีที่แล้วใช่ไหม นี่แหละโอกาส

อยากบอกพี่เค้าว่ามึงทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่ใกล้พี่เค้าให้ได้ใช่ไหม นี่แหละโอกาส

อยากให้ไอ้คนตัวสูงนั่นรู้ใช่ไหมว่ารู้สึกดีแค่ไหนที่ได้อยู่ใกล้ๆเค้า นี่แหละโอกาส

ผู้นำเชียร์บ้าไร ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว



"....."

เห้ยทำไมประตูดันไม่ได้วะ

​นี่มัน

​พี่ตอง

พี่ตองกำลังใช้มือดันประตูไว้จากด้านนอก ไม่รู้โผล่มาตอนไหน แต่พี่ตองดูไม่ดีเลย ใบหน้าดูเครียดกังวล มีเหงื่อออกมาผิดปกติ

กระจกประตูกั้นผมกับพี่ตองไว้ เราห่างกันแค่เซนติเมตรเดียวเท่านั้น แต่สัมผัสตัวกันไม่ได้

​อย่า ออก มา

​นั่นคือที่ผมอ่านปากพี่ตองได้

ไม่รู้ดิ ทำไมรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหล ผมกอดช่อกุหลาบแน่นกว่าเดิมอีก นี่คงเป็นสื่อสัมผัสเดียวที่ผมรู้สึกจากพี่ตองได้



#คุณมี 1 ข้อความ

'อย่าออกมานะครับ อย่าทิ้งโอกาสตัวเอง' พี่ตองเลือกที่จะส่งข้อความมาแทน

'แต่ชามีเรื่องจะคุยกับพี่'

'เดี๋ยวค่อยคุยครับ รอให้ประกาศผลก่อน ไม่นานหรอกนะ'

ผมไม่ตอบกลับ แต่ขอมองหน้าพี่ตองแทน ทำไมรู้สึกเหมือนนี่เป็นเวลาเดียวที่ผมจะได้พูดกับพี่ตองเลย เหมือนกับว่า ถ้าผมไม่พูดตอนนี้ จะไม่มีโอกาสได้พูดอีกแล้ว

'พี่จะรออยู่ข้างล่าง รอยินดีกับชานะ'

'ครับ'

พี่ตองเอามือออกจากการดันประตู แล้วเดินหันหลังลงบันไดไป

ทำไมรู้สึกไม่ดีเลย

นี่ซินะที่เรียกว่าร้อนใจ

ทำไมนับคะแนนกันนานจังวะ

"ใจเย็นๆชา" เกตุเห็นท่าทีของผมอีกแล้ว "เดี๋ยวก็ถึงเวลาแล้ว"

"ขอบใจนะเกตุ สำหรับคำแนะนำทั้งหมดเลย"

"ถือว่าเกตุตอนแทนเรื่องท่าเต้นเรื่องมิ่งขวัญก็แล้วกัน"



"ได้เวลาลงไปข้างล่างแล้วคะน้องๆ"

ผมแทบจะกระโดดตัวลอยเลย

ผู้เข้ารอบถูกนำตัวลงไปที่เวทีหน้าห้องเชียร์อีกครั้ง ส่วนตัวผมก็แน่นอนหละ มองหาพี่ตองก่อนเลย

อยู่ไหนนะ 

นั่นพี่ท๊อป ยังยืนอยู่ที่เดิมเลย

นั่นเจ๊ชมพู่กับเจ๊ซีซี่นั่งอยู่ที่นั่งแขกพิเศษ

หมอพิชิตไม่เห็น คงจะกลับไปโรงพยาบาลแล้ว

นั่นไง  พี่ตอง  พี่เค้ายืนอยู่หลังสุดของห้องเชียร์ ถึงจะไกลแต่ก็มองเห็น ค่อยใจชื้นหน่อย



"ต่อไปก็เป็นการประกาศคะแนนของคณะวิทยาศาสตร์แล้วนะครับน้องหญิง"

"เอาหละคะ มาเริ่มกันเลยนะคะ"

เสียงประกาศจากส่วนกลางดังออกมาจากการถ่ายทอดสดอีกครั้ง ตอนนี้ผมกลับเข้ามาในอารมณ์ของกิจกรรมในวันนี้แล้ว ก็เห็นพี่ตองแล้วนี่นา สบายใจขึ้นมาเยอะเลย

"สำหรับผู้ที่ได้รับการโหวตอันดับหนึ่งให้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำเชียร์คณะวิทยาศาสตร์ด้วยคะแนน 132 คะแนน ได้แก่..................

นายธชานา ธนกฤษ หรือน้องน้ำชา นั่นเองค่าาาา"

เห้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

นั่นชื่อกูนี่หว่า เห้ยชื่อกู ชื่อกู

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด

เสียงปรบมือโหร้องดังลั่นเลยครับ แก๊งนางฟ้าเพื่อนผมดีใจออกหน้าออกตาสุดๆ คงลุ้นกันหน้าดู เพื่อนๆที่เข้ารอบก็เหมือนกัน เข้ามากอดแสดงความยินดีกับผมยกใหญ่ แล้วพี่ตองหละ

กำลังยืนยิ้มให้ผมจากท้ายสุดของห้องเชียร์

ชาทำได้แล้วนะ

ที่พยายามมาให้เสียเปล่าซินะ ให้ตายเหอะ โล่งชะมัดเลย ในที่สุดก็พิสูจน์ตัวเองได้สักที

ผมยังคงยืนรอการประกาศผลของคนอื่นๆต่อไป เกตุเข้ามาเป็นที่สองต่อจากผม ส่วนคนที่ไม่ได้ไปต่อคือโอปอกับผู้หญิงอีกคนที่ผมไม่รู้จัก โอปอร้องไห้โหเลย คงจะคาดหวังจริงๆ ส่วนผู้ชายสองคนที่ตกรอบ ก็แสดงอาการผิดหวังนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมาก



"อิชา กูยินดีด้วยเมิงงงง" แก๊งนางฟ้ารีบเข้ามาหาผมหลังจากการประกาศผู้เข้ารอบ ซึ่งก็หมายถึงการจบงานวันนี้ด้วย "เก่งมากเลยมึง กูนี่ลุ้นเหยี่ยวเหนียวเลยนะ"

"อินี่ เหยี่ยวหนงเหยี่ยวเหนียวอะไรของมึง"

"มันคืออะไรเหรอมึง กูไม่เข้าใจ"

"โอ๊ย อีวาวา โลกสวยไปไหมมึงอ่ะ..."

"พวกมึงเห็นพี่ตองไหม" ผมมองไปที่ที่พี่ตองเคยยืนอยู่ แต่พอลงมาจากเวที พี่เค้าก็หายไปแล้ว

"นี่อิชา พวกกูมายินดีด้วยเนีย เห็นพวกกูในสายตาไหมคะ" อิเจสซี่เหน็บผม "ลงมาก็ถามหาผู้ก่อนเลย"

"เออ มึง ขอบใจมาก" ผมก็ต้องแก้ตัวก่อน อิพวกนี้นิ "ถ้าไม่ได้พวกมึงช่วยแต่งตัวให้ กูคงไม่ได้เข้ารอบมาหรอก"

"แน่ซิคะ นี่ทีมงานมืออาชีพนะคะ ขอบอก" อิเล็กเอาบ้าง เชิดหน้าใหญ่เชียว

"เออๆ พวกมึงเก่ง แล้วสรุปว่า... พวกมึงเห็นพี่ตองไหม"

อิช้าง มึงไม่ต้องมากรอกตาใส่กูเลย

"น่าจะอยู่ตรงหน้าคณะนะ เมื่อกี๊กูเห็นพี่เค้าเดินไปทางนั้น" ขอบคุณนะวาวา ไม่เสียแรงที่เป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม เกี่ยวไรวะ

"ขอบใจนะวาวา อ... เอ่อ ขอบใจพวกมึงทุกคนเลย เดี๋ยวกูพาไปเลี้ยงข้าว โอเคไหม"

"มึงพูดแล้วนะ"

"เออ... แต่ตอนนี้กูไปหาพี่ตองก่อน" อ้าว กูนี่ก็พูดชัดเกิ๊น "กูจะ... ไปขอบคุณพี่เค้าเรื่องดอกไม้อ่ะ"

"ค่ะ ขอบคุณกันหลายๆดอกเลยนะคะ"

เออ มึงจะพูดไรก็พูดเหอะ กูรีบ



"ยินดีด้วยนะชา" "ยินดีด้วยนะ" "เก่งมากเลย" "เต้นสวยจัง"

จะอะไรกันตลอดทางเลยวะ นี่ยิ่งรีบๆอยู่ ไว้ยินดีกันวันหลังได้ไหม เหมือนจะเห็นพี่ท๊อปเข้ามายินดีเปล่าหว่า เออ ช่างก่อน ตอนนี้สนใจอยู่แค่คนเดียว



นั่นไง เห็นพี่ตองแล้ว ยืนหล่ออยู่หน้าป้ายคณะเลย

"พี่ตอง" ผมตะโกนเรียก พี่ตองก็หันมายิ้มให้

วิ่งซิกู งานนี้ต้องพูดให้หมด

พี่เค้ายิ้มให้แสดงว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี ความจริงเมื่อแปดปีที่แล้วพี่เค้าก็รู้แล้ว แสดงว่าเรื่องที่เรามาเรียนที่นี่เพื่อพี่เค้าก็คงจะรู้แล้วเหมือนกัน งั้นก็เหลือระยะทางแค่ไม่ถึงยี่สิบเมตรแล้ว ที่ทุกความรู้สึกจะออกมาจากปากกูซะที หมดเวลาปากแข็งแล้ว



เห้ยยยยยยยยยยยย

เกิดบ้าไรขึ้นวะ ใครก็ไม่รู้ลงมาจากรถตู้ ฉุดกระชากลากถูพี่ตองไป เอาถุงดำมาคลุมหัวด้วย

"ช่วยด้วย ช่วยด้วย" ผมตะโกนสุดเสียงให้คนช่วย แล้วก็วิ่งสุดชีวิตเหมือนกัน

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากพี่ตองขึ้นรถไปแล้ว ผมวิ่งมาไม่ทัน ไอ้บ้าเอ๊ย จะทันอยู่แล้วเชียว

รถตู้เหยียบคันเร่งออกไปสุดแรง ท่านกลางความตกตะลึงของคนแถวนั้น

นี่มันอะไรกัน ผมยังไม่หยุดที่จะวิ่งตาม จะบ้าหรือไงใครจะไปยอมให้พาตัวพี่ตองไปกัน อุตส่าจะได้ปรับความเข้าใจกันแล้วแท้ๆ มึงจะทำอะไรพี่ตองวะ ทำไมต้องมาพาตัวไปด้วย

รถตู้อยู่ไกลออกไปข้างหน้าแต่ผมก็ไม่หยุดวิ่งตาม ชุดนิสิตและรองเท้าที่ถูกจัดแต่งอย่างดีไม่อยู่ในสภาพที่ผมจะสนใจทั้งสิ้น

มันขับไปทางหน้าประตูมหาลัยแน่นอน

ในหัวผมคิดอยู่แค่เรื่องเดียว คือวิ่งตามไปให้ได้ แต่รถตู้กับแรงคน จะให้สู้ยังไงก็คงไม่ไหว ผมไม่รู้ว่าวิ่งมานานแค่ไหนแล้ว แต่สุดจะก้าวเท้าต่อไปได้อีกแล้ว

ไม่ได้ๆ ต้องวิ่งต่อ พี่ตองจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้

แปดปีก่อนพี่เค้าเคยช่วยชีวิตกูไว้ แต่พอมาวันนี้กูกลับช่วยชีวิตเค้าไว้ไม่ได้ วิ่งแค่นี้มันไม่ตายหรอกน้า วิ่งดิ

ไอ้ตีนบ้านี่ก็อ่อนแอจริงๆ ทำไมไม่วิ่งวะ

น้ำตาแห่งความเสียใจอาบสองแอบโดยไร้ยางอาย ผมพยายามวิ่งไปข้างหน้าแต่ก็ทำได้แค่เดิน คงมีคนที่เดินสวนกับผมบนทางเท้าที่สงสัยว่าทำไมผมถึงร้องไห้ในสภาพกะเซอะกะเซิงแบบนี้

แม้จะรู้ว่าเดินต่อไปก็ไร้หนทางจะทันแล้ว แต่จะให้ผมหยุดเดินได้ยังไง คนที่ผมแคร์ที่สุดถูกพาตัวไปไหนก็ไม่รู้ ถูกคนที่ไหนก็ไม่รู้มาทำร้าย

เหมือนวิญญาณถูกกระชากออกจากร่างอย่างแรง น้ำตาที่ไม่หยุดไหล ช่วงเวลาทั้งหมดที่เคยดีกลับดับวูบลงไป

ทำไมกูไม่ทำดีกับพี่ตองให้มากกว่านี้

ทำไมกูถึงยอมเลือกลีดแทนที่จะเลือกพี่เค้า

ทำไมกูถึงทำอะไรไม่ได้ความเลย

นั่นมันประตูหน้ามหาลัยซินะ กูเดินมาถึงนี่ได้ไงวะ เริ่มจะมองอะไรไม่เห็นแล้ว ดวงอาทิตย์ใกล้จะตกเต็มที เหมือนความรู้สึกทั้งหมดของกูนี่แหละที่ตกลงไปกับความสิ้นหวัง

พี่ตอง พี่อยู่ไหน พี่ถูกใครพาไปไหน

"น้ำชา"

ใครเรียกวะ เสียงแว่วๆมาจากข้างหน้า

นั่นใครวะ กำลังวิ่งเข้ามาจากประตูหน้ามหาลัย ตากูพล่าเพราะร้องไห้สินะ

"น้ำชา"

เสียงคุ้นจัง

".................................."

พี่ตอง

นั่นพี่ตองนี่นา

ผมไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงกลับมาตอนไหน ผมวิ่งสุดชีวิตเพื่อตรงดิ่งไปหาคนข้างหน้า

ไม่เอาอีกแล้ว ไม่ให้ไปไหนอีกแล้ว อย่าไปไหนอีกนะ

ทำไมทางมันไกลจังวะ เมื่อไหร่จะวิ่งไปถึงสักที



"พี่ตอง" ผมโผเข้ากอดพี่ตองโดยไม่ลังเล ไม่สนใจสายตาใครหน้าไหนถึงนั่น "พี่ตอง" น้ำตาผมไหลอีกครั้ง ทั้งเสียใจ ทั้งดีใจ ทุกความรู้สึกกองอยู่ที่ตรงนี้ทั้งหมดเลย

"ไม่เป็นไรนะครับน้ำชา" เสียงของพี่ตอง อบอุ่นจัง ร่างกายนี้ก็ด้วย อบอุ่นเหมือนเคย นี่แหละพี่ตองตัวจริงแน่นอน "พี่ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องร้องนะ"

"ก...เกิดอะไรขึ้นกันอ่ะ เกิดอะไรขึ้น" ผมยังซุกหน้าร้องไห้ในอกของพี่ตอง รู้สึกไม่อยากจะปล่อยกอดนี้เลย กลัวพี่เค้าจะถูกพาไปอีกครั้ง

"นั่นคนของพ่อพี่เอง"

ห๊ะ อะไรนะ

ผมค่อยๆคลายกอดจากพี่ตอง

"คนของพ่อพี่ตอง... เหรอ" พอได้เห็นพี่ตองตอนนี้จริงๆจังๆแล้ว ใบหน้าพี่เค้ามีรอยฟกช้ำนิดหน่อย เนื้อตัวก็ด้วย แถวเสื้อนิสิตยุ่งเหยิงขาดหวิ่นมากองอยู่ที่เอว นี่โดนทำร้ายมานิ

"ใช่ครับ" พี่ตองเอามือมาปาดน้ำตาของผม "ร้องไห้ทำไมครับ กลัวพี่จะเป็นไรไปหรือไง"

"ก็ใช่ดิถามได้ โดนคนมาฉุดไปแบบนั้น เป็นใครใครก็ต้องห่วง"

"โอเคครับๆ ใจเย็นๆ พี่ไม่เป็นไรแล้วนะ"

"พี่นี่แม่ง" ผมผลักหน้าอกคนตรงหน้าเพราะความหงุดหงิด ยังจะมาแกล้งถามอีก

"โอ๊ย" เห้ย ชิบหายละกู พี่เค้าเจ็บอยู่นี่หว่า ตบเกรียนตัวเองซะทีดิ

"ข... ขอโทษครับ ขอโทษ ชาขอโทษ"

"พี่ยังโดนทำร้ายไม่พออีกใช่ไหม"

"ชาขอโทษษษษษ เจ็บไหม"

"ไม่เป็นไร พี่ล้อเล่น" ล้อเล่นบ้าไรหละ สภาพขนาดนี้ไม่ต้องมาทำปากเก่งเลย

ว่าแต่... "แล้วทำไมคนของพ่อพี่ถึงมาทำร้ายพี่หละ"

"เป็นคำสั่งของพ่อพี่หนะ"

"....." ช็อกซิงานนี้ พ่อสั่งให้คนมาทำร้ายลูกตัวเองเนี่ยนะ

"จริงๆพ่อพี่สั่งให้มาพาตัวพี่ไปที่บ้านหนะ แต่ไอ้พวกนี้มันก็คุ้นเคยกับพี่ดี ถ้าคิดจะมาพาพี่ไปคงจะแค่มาจูงมือพี่ไปไม่ได้ ก็เลยออกมาสภาพนี้"

"แล้ว... พี่ออกมาจากรถได้ไง"

"ก็... ออกแรงนิดหน่อย โชคดีที่ไอ้พวกนั้นไม่กล้าทำไรพี่มาก" ไม่ใช่แล้วมั้ง ทำสีหน้าภูมิใจขนาดนี้ กูว่าไอ้พวกนั้นสภาพเละแน่นอนเลย

"พี่ก็หนีออกมาได้เลยเหรอ"

"ก็ใช่ แต่พี่เคลียร์กับพ่อแล้วหละ"

"ยังไงอ่ะ แล้วพ่อพี่จะให้คนมาลากพี่กับบ้านทำไม พี่ทำไรผิด หรือพี่สอบตก พี่สอบไปแล้วเหรอ ทำไมไม่บอกชา"

"ไม่ใช่อย่างง้านนน พี่สอบโดยไม่บอกชาได้ไงเล่า คือ... เพราะแอมหนะ"

"พี่แอม?" ไม่เข้าใจสักอย่างเลยกู จากเสียใจตอนนี้กลายเป็นงงแทนแล้ว"พี่แอมทำไมอ่ะ"

"พี่แอมโทรไปบอกพ่อพี่หนะ ว่า.... เอ่ออออ"

นี่จะพูดก็พูด เรื่องสำคัญถึงชีวิตนะ อ้ำอึ้งอยู่ได้ "ว่าอะไรหละ พูดมาซิ"

"ว่าพี่กำลังจีบชาอยู่"

"..."

"พ่อคงจะโกรธมากที่พี่จีบรุ่นน้องผู้ชายพี่มหาลัย แถมยังเมิงแอม ก็เลยให้คนมาลากตัวพี่กลับบ้านด่วน"

"..."

"จะ.... ไม่พูดอะไรหน่อยเหรอครับ หรือ.....พี่จีบไม่ได้"

"จีบบ้าไรหละ" ไอ้บ้า ไอ้พี่ตองบ้า แม่งพูดไรของมันวะ มีใครแถวนี้ได้ยินเปล่าวะเนีย ดีนะ ตรงนี้เป็นถนนยาวติดประตูทางเข้า ไม่มีคน

"อ้าว ก็จีบชาไง พี่ก็แสดงออกชัดเจนจะตาย ไม่รู้ตัวเหรอว่าโดนจีบ"

"เลิกพูดได้แล้ว อะไรก็ไม่รู้" นี่กูกำลังเขินใช่ไหม บ้าเอ๊ย สุดท้ายก็ปากแข็ง ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้กะจะมาสารภาพความรู้สึกกับพี่เค้าแท้ๆ แต่พอเอาเข้าจริงๆ จะบ้าเหรอ มันเขินนะเว้ย

"นี่พี่พูดจริงๆนะ"

"บอกว่าเลิกพูดไง.... กลับได้แล้ว ฟ้าจะมืดอยู่แล้ว นี่มันหน้าหมาลัยนะ"

"นี่วิ่งมาตั้งไกล ยังจะเดินกลับอีกเหรอ ไม่เหนื่อยหรือไง"

เออว่ะ พูดปุ๊บก็ปวดต้นขาตุบๆเลย นี่กูฝืนพลังชีวิตของมนุษย์วิ่งและเดินมาถึงนี่ได้ไงวะ ให้เดินกลับอีก ตายแน่ โทรให้ไอ้ต้อมมารับดีกว่า หวังว่ามันจะไม่ติดกลุ่มแฟนคลับอยู่นะ

"จะโทรหาใครหนะ"

"ไอ้ต้อมอะดิ ไม่ไปทำแผลหรือไงเล่า"

"ไม่ต้องหรอก แค่รอยฟกซ้ำ แล้วคืนนี้เราก็จะไม่ได้กลับไปที่หอด้วย"

ห๊ะ อะไรนะ "ไม่กลับ แล้วจะไปไหน"

"บ้านพี่"

หาาาาาาาาาา?!?!?!?!?!?

"พี่บอกว่าเคลียร์ก็พ่อหมายถึง พี่โทรคุยกับพี่ว่า พี่จะกลับไปคุยกับพ่อที่บ้าน... พร้อมกับชา"

"อะไรนะ!" เกี่ยวไรกับกูวะ

"พี่บอกพ่อว่าจะไปอธิบายทุกอย่างกับพ่อ พร้อมกับคนที่พี่เลือกแล้ว" กูจะเขินดีไหมวะ "เพื่อพิสูจน์ความจริงจัง พี่ต้องทำให้พ่อยอมรับในตัวชาให้ได้ เพราะงั้น..... ไปกับพี่ได้ไหมครับ"

"....." ห๊ะ กู ยังไงหละที่นี่ นี่กูตกลงเป็นแฟนพี่เค้าไปแล้วเหรอถึงต้องไปพิสูจน์ตัวเอง แต่พี่แกก็จริงจังสุดๆเลย ที่สำคัญ นี่ก็เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเราต่อจากนี้ด้วย แต่นี่มันเร็วไปไหม เพิ่งผ่านเรื่องอะไรมากมายมาแท้ๆ ยังไม่ได้คุยกันจริงจังเป็นเรื่องเป็นราวเลย เรื่องก็มาเกิดซะแล้ว ยังไงดีวะ

"ว่าไงครับ ชาจะไปกับพี่ได้ไหม พี่สัญญาว่าพี่จะจีบชาจริงจัง และจะไม่ทำให้เสียใจด้วย" ความจริงจังนี้ กูต้องตัดสินใจใช่ไหมเนีย ห้านาทีที่แล้วยังร้องไห้วิ่งตามมาอยู่เลย ไม่ได้เตรียมใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยนะ เอาไงดีวะ

"จะบ้าเหรอ จะให้ไปบ้านพี่ได้ไงเล่า"

อือหือ หน้าเจื่อนเลย ไอ้พี่ตองบ้า แสดงออกชัดเจนเกินไปแล้วนะเดี๋ยวนี้

"ก็ดูสภาพก่อนดิ เสื้อผ้าแต่ละคน จะไปพบผู้ใหญ่แบบนี้ได้ยังไงละ ยังไงก็ต้องกลับหอก่อนอยู่ดีนั่นแหละ" เอออออ ไม่ต้องมาทำหน้าดีใจใส่เลย งานเข้ากูเต็มๆซินะ บ้าเอ๊ย กูไม่น่าไป.... รู้สึกดีกับไอ้บ้านี่เลย

"งั้นเรารีบกลับกันไหม เดี๋ยวพี่อุ้มไปก็ได้"

"บ้าละ" พูดบ้าไร เว้อ ดีใจจนเสียสติหรือไง "ไอ้ต้อมก็มีรถมั้ง"



ผมรีบจัดการโทรหาไอ้ต้อมให้มารับ มันก็โชคดีที่ปลีกตัวออกมาได้ แล้วก็มีขิงนั่งรถมาด้วย บอกว่าจะไปส่งขิงสอนพิเศษพอดี โถ ไอ้สารพี

แต่ก็แน่นอนหละ สภาพไอ้พี่ตองและผมตอนนี้ คงทำให้ทั้งสองคนสงสัยไม่ใช่น้อย พี่ตองเค้าอาสาเล่าเอง แต่ก็เท่าที่เล่าได้อะนะ พวกนั้นรีบไปทำธุระต่อด้วย เลยไม่ได้ซักไซ้อะไรกันมาก

ผมนั่งรถกลับหอกับพี่ตอง หลังจากที่ไอ้ต้อมมาส่งที่รถพี่ตองในคณะวิศวะ เราไม่ค่อยมีเวลากันมากนัก ผมรีบแต่งตัวให้สุภาพแล้วก็ลงมารอไอ้คนตัวสูงข้างล่าง เกือบสองทุ่มกว่าเราจะได้เดินทาง



"รอยที่หน้าพี่ มันช้ำขึ้นกว่าเดิมหรือเปล่าอ่ะ" ผมสังเกตเห็นรอยเขียวที่โหนกแก้มซ้ายว่ามันชัดขึ้น หลังจากออกรถมาได้สักพัก

"ก็งี้แหละ เดี๋ยวก็หาย" ทำเป็นเก่ง เดี๋ยวก็ต่อยซ้ำซะเลย "แต่ถ้าชาหอมแก้มพี่ พี่ว่ามันจะหายเร็วขึ้นนะ"

"หอมแก้มเหรอ" นี่ ต้องโดนซักที ก็ไม่ได้ต่อยจริงจังหรอกนะ

"โอ๊ย! อันนี้เจ็บจริงๆนะ"

"สมน้ำหน้า"

"โห่ ใจร้าย จะให้พี่เจอพ่อในสภาพหน้าบวมรึไง"

"ไม่ต้องอ้างอ่ะ พ่อพี่ส่งคนมาเอง คงไม่กะจะเจอพี่ในสภาพหล่อๆอยู่แล้วหละ"

"พี่หล่อเหรอ" มันมาถึงจุดนี้ได้ไงวะ

"...." ไม่ตอบ เดี๋ยวมันเหลิง

"ชมแค่นี้ก็ไม่ได้"

"คนอื่นเค้าก็ชมเยอะแยะแล้วมั้ง ทั้งมหาลัยอ่ะ ไม่ชินกับฉายา เจ้าชายตอง อีกเหรอ"

"ก็คนอื่นไม่ใชาชานิ มันไม่เหมือนกัน"

"ไม่ต้องมาจีบตอนนี้เลย" ไอ้บ้านี่ก็ขยันหยอดจัง เดี๋ยวก็ให้ไปขายขนมครกซะเลย "ใช่เวลาไหมเนีย"

"ฮันแน่... แปลว่าอนุญาตให้จีบแล้วใช่ป่ะ"

ไอ้พี่ตอง ไอ้บ้า เดี๋ยวจะต่อยจริงซะเลย

"โอเคๆ ไม่แกล้งละคราบบบ"

"ขับรถไปเลย" ดี ถ้าไม่หยุดมึงโดนแน่ "มืดแล้วเนีย กว่าจะไปถึงบ้านพี่อีก ปล่อยให้ผู้ใหญ่รอนานได้ไงละ"

"ไม่ไกลหรอกคราบบบ บ้านพี่ก็อยู่ใกล้ๆมหาลัยนี่แหละ บ้านชาก็อยู่ใกล้ไม่ใช่เหรอ เห็นชาเคยบอก"

"ชาบอกพี่ที่ไหน ชาบอกพี่บุ๋นต่างหาก ตอนนั้นพี่ยังว่าชาเป็นลูกแหง่ติดบ้านอยู่เลย"

"โห ชา.....  ก็ตอนนั้นพี่ยังไม่ได้จีบชานิ"

"ไอ้พี่ตอง" นี่มึงหยอดอีกแล้วนะ

"พี่ไม่ได้เริ่มก่อนนะ ก็ชาเริ่มก่อนเองอ่ะ พี่แค่... พูดความจริง"

"ไม่พูดแล้ว" กูยอมอะ

"โอเคๆ ไม่หยอดก็ได้... แต่ขอบใจนะที่มากับพี่ ขอบใจตั้งแต่ที่อุตส่าวิ่งตามพี่มาเมื่อตอนเย็น ทั้งๆที่ไม่ใช่ธุระของชาแท้ๆ" บ่นจะดราม่าก็ดราม่านะมึงเนีย จูนอารมณ์ไม่ทันเลยกู "ชาต้องมาลำบากกับพี่ไปด้วยเลย พี่เองยังไม่รู้เลยว่าจะเจอกับอะไร เพราะพี่เองก็ไม่เคยคิดว่าชีวิตจะต้องมามีปัญหาเรื่องแบบนี้"

"...." หมายถึงเรื่องที่มาชอบผู้ชายด้วยกันซินะ ก็แหงดิ แม้กระทั่งตัวผมเอง ก็ยอมรับนะว่าปฏิเสธความรู้สึกนี้มาก่อนหลายครั้งหลายหน คิดเข้าข้างตัวเองตลอดว่าทำเพราะพี่เค้ามีบุญคุณ ทั้งที่จริงๆแล้วเราก็รู้สึกดีกับพี่เค้า แต่เพราะความรู้สึกเรื่องเพศนี่แหละ ที่เป็นตัวสกัดกั้นไว้ตลอด พี่เค้าคงหนักใจแน่ๆ หรือการที่เราเข้ามาในชีวิตพี่เค้า จะทำให้พี่เค้าคงเจอแต่ปัญหาไม่รู้จบวะ

"อย่าทำหน้างั้นดิ พี่ไม่ได้หมายถึงว่าชาเป็นปัญหาของพี่นะ พี่แค่หมายถึง ชีวิตนี้พี่ไม่คิดว่าจะชอบผู้ชายมาก่อน แต่เพราะเป็นชา ต้องเป็นชาคนเดียวเท่านั้น พี่ถึงจะยอมเสียสละทุกอย่างได้ มันก็เลยเป็นปัญหาครั้งแรกในชีวิตที่เป็นแบบนี้ จริงๆมันก็ดีนะ อย่างน้อยพ่อก็จะได้เลิกจับคู่ให้พี่ซะที ห่วงก็แต่ชานี่แหละ ต้องมาเดือดร้อนไปกับพี่ด้วย"

"ไม่หรอกครับ เพราะเป็นพี่นี่แหละ ชาถึงมาด้วยไง"



แค่หนึ่งชั่วโมงหลังจากออกจากมหาวิทยาลัยมัณฑนา ตอนนี้ผมและพี่ตอง เราจอดรถอยู่หน้ารั้วบ้านหลังใหญ่แล้ว เป้าหมายของคืนนี้



บ้านขัตติยชาติ
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 15 [คืนนี้]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 07-11-2017 22:07:12
​ตอนที่ 15 : คืนนี้







ประตูรั้วยักษ์ เปิดอ้าออก เผยให้เห็นถนนทางเข้าบ้านที่ถอดยาวต้องแสงไฟระดับยามค่ำคืน



​นี่ซินะ บ้านคนรวย

​​บ้านหลังใหญ่ ถูกจัดตกแต่งสวนอย่างยิ่งใหญ่ แม้จะเป็นเวลาที่ท้องฟ้ามืดมิด แต่ก็ยังเห็นได้ชัดเจนว่าที่นี่ได้รับการดูแลออกแบบมาเป็นอย่างนี้ ลักษณะตัวบ้านไม่ใช่แบบตะวันตกอย่างที่เคยเห็นในละครไทย แต่ที่นี่เป็นลักษณะบ้านคนจีน มีการใช้สีสันและฮวงจุยแบบชาวมังกรเข้ามาร่วมด้วยอย่างเห็นได้ชัด



"พร้อมนะครับ" อ้าว พี่ตองมาเปิดประตูรถให้ตั้งแต่เมื่อไหร่ มัวแต่ดูบ้านเพลินเลย "ไม่ต้องกลัวนะ"

"ครับ" ไม่กลัวได้ไงละ แค่เห็นบ้านก็กลัวไปครึ่งตัวแล้ว

เราสองคนเดินออกจากที่จอดรถข้างบ้าน ไปยังประตูหน้า ที่หน้าประตูบ้านมีคนยืนรออยู่สามคน

หึ

​นี่ทำไมมีแผลฟกช้ำกันเต็มไปหมดเลยหละ

ชายฉกรรจ์สามคนยืนเอามือกุมเป้า สายตากล้าๆกลัวๆเมื่อเห็นพี่ตอง บ้างมีผ้าพันแผล บ้างมีเผือกออ่อนดามแขน



"สวัสดีครับคุณหนูเล็ก" ทั้งสามผู้ต้อนรับเอ่ยพร้อมกัน

"ผมบอกพวกพี่แล้วไงว่าให้ขยันออกกำลังกายกันด้วย" นี่คือคำกล่าวทักทายจากไอ้พี่ตอง ดูยิ้มแย้มนะ ถ้าเดาไม่ผิด สามคนนี้น่าจะเป็นคนที่ไปฉุดพี่ตองมา สภาพเละแบบนี้ ไม่ผิดแน่ๆ

"ลุงมันแก่แล้วคุณหนู จะไปสู้วัยหนุ่มอย่างคุณหนูไหวได้ยังไงละ" ไม่จริงเลย ลุงอะดูเป็นคนน่ากลัวและแข็งแรงมาก  อีกสองคนยิ่งน่ากลัวกว่าอีก ถ้าเป็นผม คงไม่รอดตั้งแต่ก่อนจะขึ้นรถตู้แล้วหละ ไอ้พี่ตองมันเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ นี่มันเป็นนักมวยอาชีพเปล่าวะ ที่เราทำเก่งใส่ เกิดวันนึงมันของขึ้น กูซวยแน่

​"ผมต้องขอโทษทั้งสามคนด้วยนะครับ ลุงหาร พี่เท่ พี่เกรียง" พี่ตองยกมือไหว้คนงานที่บ้านเฉยเลย ทั้งสามก็ไหว้กลับเหมือนเป็นเรื่องปกติ ตอนนี้ผมได้แค่ยืนนิ่งเป็นภาพถ่ายอยู่ข้างๆ "แล้วพ่อต่อว่าอะไรพวกลุงไหมอ่ะที่พาผมมาไม่ได้"

"คุณท่านไม่ว่าหรอกครับ เพราะคุณหนูโทรมาเคลียร์ให้ก่อน แต่ก็โดนไล่ตะเพิดออกมาเหมือนกัน"

"ไม่ถูกลงโทษก็ดีแล้วหละครับ" นี่ก็ช่างเป็นห่วงเป็นใยเนาะ นั่นเค้าเพิ่งจะทำร้ายตัวเองมาแท้ๆ ชอบทำตัวให้เราประทับใจเรื่อยเลย ไอ้ขี้เก๊กเอ๊ย "งั้นผมขอตัวเข้าบ้านก่อนนะครับ"

"คุณท่านให้รอที่ห้องทำงานนะครับคุณหนู"

"ครับลุง"



ประตูบ้านถูกเปิดออก

เอาละกู งานนี้ นรกชัดๆ

​"พี่จะไม่ทำให้ชาเดือดร้อนนะ พี่สัญญาแล้วไง"

พี่ตองเอื้อมมือมาจับผมไว้แน่นก่อนเดินเข้าบ้าน ผมก็ไม่สะบัดออกหรอก ความอุ่นใจหนึ่งเดียวที่มีตอนนี้



เราสองคนเดินขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน บันไดไม้ขนาดใหญ่ขัดเงาใสวับ นำพาขึ้นชั้นสองของบ้าน จากโถงใหญ่ด้านล่าง ตอนนี้กลายเป็นทางเดินยาวที่มีห้องมากมาย พี่ตองพาเข้าไปที่ห้องแรกชิดบันได

ใจเต้นตุบๆเลย

แต่ในห้องนี้ไม่มีใคร เมื่อเทียบกับความเรียบร้อยด้านนอกแล้ว ห้องนี้ถือว่ารกนิดหน่อย มีเอกสาร ม้วนกระดาษเขียนแบบ โต๊ะทำงานหลัก โซฟารับแขกที่อยู่ไกลคนละด้าน ชั้นวางแฟ้มเต็มผนัง แล้วก็ป้ายแผนที่ขนาดยักษ์

​นี่คงเป็นแผนที่เดินเรือซินะ

​บ้านพี่ตองทำธุรกิจเรือขนส่งสินค้า คงจะต้องมีการวางแผนการเดินเรือตลอด จุดและเส้นเชือกพวกนี้ คงเป็นเส้นทางเดินเรือ โห ส่งออกไปไกลมากเลย กี่ประเทศกันเนีย เอเชียทั้งหมด ยุโรปก็พอมี อเมริกาก็ยังมี แต่ทำไมรู้สึกว่าเส้นพวกนี้มันแปลกๆนะ

เป็นบ้าไรของกูวะ มันใช่เวลามาสนใจเรื่องขีดเส้นต่อจุดไหมเนีย นั่งอยู่เฉยๆได้แล้ว สักพักสิ่งที่ต้องรับมือของจริงก็มาแล้ว

"ไหวนะ" พี่ตองถาม

"ค..."



"ไอ้ลูกทรพี ลื้อทำอย่างงี้กับครอบครัวกับตระกูลอั๊วได้ไงห๊ะ"

ชิบหายแล้ววววว ดุขนาดนี้เลยเหรอวะ

ทันทีที่พ่อพี่ตองปรากฎตัวเข้ามาในห้อง ความวินาศสันตะโรก็บังเกิดทันที กูจะเอาชีวิตมีทิ้งที่นี่หรือเปล่าเนี่ย

​"อาเฮีย อาเฮีย อย่าไปว่าอาตี๋เล็กเลยนะ อั๊วขอหละ" นี่คงเป็นแม่พี่ตองซินะ สีหน้ากังวลสุดๆ พยายามคว้าไม้คว้ามือกันใหญ่ นี่มันไม่ธรรมดาแล้ว

"อาซ้อ ลื้อออกไปเลยนะ นี่มันเรื่องของผู้ชายเค้าคุยกัน" พ่อพี่ตองโกรธหน้าดำหน้าแดงมาก ตัวอ้วนใหญ่ อย่างกับเทพจีน นี่ผมกลัวจริงแล้วนะ ไม่ต้องเสียงดังก็ได้ ​"ลื้อออกไปข้างนอกเลยนะ ถ้าลื้อไม่อยากโดนไล่ออกจากบ้านไปอีกคน"

"...." แม่พี่ตองไม่กล้าพูดต่อ แต่กลับน้ำตาซึม วิ่งออกจากห้องไป เอาแล้วไงกู ต่อไปจัดหนักต่อแน่ๆ

"อาตี๋เล็ก นี่มันอะไรกันห๊ะ แล้วนี่ใช่ไหมไอ้เด็กที่หนูแอมส่งคลิปมาให้อั๊วดู" ห๊ะ คลิปไรวะ กูไปมีคลิปเมื่อไหร่ "เอาดอกกุหลาบไปให้กันบนเวที เค้าเห็นกันทั้งมหาลัย ลื้อจะแก้ตัวว่ายังไง"

"ผมไม่ได้มาแก้ตัวครับพ่อ" พี่ตองเริ่มพูดแล้ว ตอนนี้มีแค่ลูกตาเท่านั้นที่ผมกล้าขยับ

"นี่ลื้อบ้าไปแล้วรึไง ไอ้นี่มันเด็กผู้ชาย ลื้อจะให้อั๊วเอาหน้าไปไว้ที่ไหน บ้านอั๊ว ตระกูลอั๊ว บรรพบุรุษอั๊วอีก ธุรกิจอั๊ว... เอ็งใช่ไหม ทำอะไรลูกอั๊วห๊ะ" อ้าว มาถึงเรื่องของกูจนได้ เอาไงดีวะ โดนชี้หน้าแล้วกู "เอ็งเป็นใคร ลูกเต้าเหล่าใคร"

"พ่อ" พี่ตองลุกขึ้นพร้อมเอาร่างหนาใหญ่นั้นบังตัวผมไว้ "น้ำชาเค้าเป็นลูกมีพ่อมีแม่นะครับ จะมาพูดจากับเค้าแบบนี้ได้ยังไง"

​นี่ซินะความรู้สึกของการถูกปกป้อง

​"ลื้อไม่ต้องมาออกรับแทนกันเลยนะ"

ผมต้องทำอะไรสักอย่าง นั่งอยู่เฉยๆแบบนี้ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ผมลุกออกจากโซฟา ออกจากเบื้องหลังของพี่ตองแล้วเผชิญหน้ากับความจริง

"สวัสดีครับคุณพ่อ" ผมยกมือไหว้

"อั๊วไม่ใช่พ่อลื้อ" กูว่าแล้วเชียว อย่างกับในละคร

"เอ่อ.... สวัสดีครับคุณอา" แก้ตัวใหม่

"ลื้อไม่ใช่ญาติอั๊ว อั๊วไม่นับญาติกับลื้อ"

แล้วต้องเรียกว่าอะไรวะ.... "ค... คุณท่าน"

เงียบ แปลกว่าเรียกแบบนี้ได้ เป็นคนมีอัตราเยอะเหมือนกันแฮะ คงต้องระวังคำพูดให้มากๆ

"เนี่ยนะ คนที่ลื้อบอกว่า.... หื่อ! อย่าให้อั๊วต้องพูดนะ เสนียดจะเข้าบ้านอั๊ว"

โอ้โห แต่ละคำ แรงกว่าเรยาก็นี่แหละ

"ทำไมห๊ะ อาตี๋เล็ก ผู้หญิงดีๆสวยๆมีเยอะแยะ ถ้าลื้อไม่อยากแต่งงานกับอาหนูแอม อั๊วหาคนอื่นให้ก็ได้ ทำไมต้องประชดประชันแบบนี้ มันเสียหายถึงธุรกิจนะ ลื้อโตแล้วนะ ทำไมทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังห๊ะ"

"ผมไม่ได้ประชดครับพ่อ นี่คือแฟนของผมจริงๆ"

อ้าว ไอ้พี่ตอง ไปตกลงกันตอนไหนวะ นี่ถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์นี้ โดนแน่

"ลื้อยังจะพูดอีกเหรอ" เสียงพ่อพี่ตองเริ่มดังขึ้นแล้ว คงกะว่า การพูดคุยกันพี่ตองครั้งนี้ จะเปลี่ยนแปลงให้เรื่องกลับมาเข้ารูปเข้ารอยเหมือนเดิมซินะ ก็พอเข้าใจได้ละนะ คนเป็นพ่อนิ "แล้วลื้อดูซิ ไอ้เด็กนี่มันไม่เห็นจะมีสีหน้าว่ารักว่าชอบลื้อตรงไหนเลย.... ใช่ไหม ห๊ะ ไอ้หน้าจืด เอ็งรักอาตี๋เล็กลูกอั๊วรึไง"

"อ..." ช็อกเลยกู ไอ้พี่ตอง อย่ามาจ้องหน้าแบบนี้ดิ

"เห็นไหม ลื้อดู คนแบบนี้เหรอที่ลื้อจะเอามาทำเมีย" เดี๋ยวๆคุณท่านครับ ไม่แรงไปใช่ไหม "ดูยังไงมันก็ไม่ได้รักลื้อ ขนาดลื้อพามาประกาศตัวต่อหน้าอั๊ว ยังอ้ำๆอึ้งๆไม่กล้าพูดเลย มันหวังจะมาหลอกลื้อชัดๆ"

"แปดปีแล้วครับ" มาหาว่ากูหลอกพี่ตองเนี่ยนะ ไม่ได้แล้ว เห็นผมยอมมานาน คิดว่าจะพูดอะไรก็พูดได้เหรอ ครั้งนี้ผมไม่เงียบนะ "แปดปีที่พี่ตองเป็นตัวอย่างในการใช้ชีวิต แปดปีที่ผมเฝ้าดูเค้ามาตลอด ทุกๆกิจกรรมในชีวิตผมมีพี่ตองเป็นต้นแบบ ทุกๆเส้นทางที่ผมเลือกก็เพื่อเป้าหมายเดียวคือเป็นให้ได้อย่างพี่เค้า ถ้าจะหาว่าผมมาหลอก งั้นผมก็คงจะหลอกตัวเองด้วย แล้วก็หลอกมานานถึงแปดปี พี่ตองหนะ ไม่ใช่แค่ต้นแบบในชีวิตของผมนะครับคุณท่าน แต่พี่เค้ายังเป็นคนสอนให้ผมรู้จักที่จะมีน้ำใจ เป็นห่วงเป็นใยผู้อื่น จากเด็กที่เอาแต่เรียนอย่างผม ถ้าไม่มีโอกาสได้มองเห็นตัวอย่างของคนที่ดีๆ ก็คงเป็นได้แค่เด็กทั่วๆไปคนนึง" ผมแทบจะลืมหายใจไปเลย

"......." พ่อพี่ตองเงียบ ไม่รู้คิดอะไรอยู่ บอกอารมณ์ไม่ถูกเลย "ตัวอย่างในโลกมันก็มีตั้งเยอะแยะ ทำไมต้องเป็นลูกอั๊ว แล้วที่พูด จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ใครก็พูดได้ ลื้ออย่ามาทำเล่นลิ้นกับอั๊วนะ เห็นบ้านอั๊วมีสมบัติมีเงิน คิดจะมาหลอกอาตี๋เล็กหวังเงินทองซิไม่ว่า"

ห๊ะ! นี่มันเกินไปแล้วนะ กูมีศักดิ์ศรีนะเว้ย



"คุณท่านครับ"

จู่ๆก็มีชายใส่สูทสวมแว่นคนนึงเดินเข้ามาในห้อง

ตัวผมที่กำลังจะระเบิดลงก็รีบหุบความเกรี้ยวกราดไว้อย่างเร็ว

"อะไรของลื้อวะอาวินัย อั๊วกำลังมีเรื่องสำคัญคุยกับที่บ้านอั๊วอยู่ อั๊วไม่รับแขก"

"แต่นี่เรื่องงานนะครับคุณท่าน"

"ลื้อเป็นผู้จัดการ ลื้อก็ไปจัดการซี อั๊วบอกว่ามีเรื่องสำคัญ นี่มันลูกชายอั๊วทั้งคนนะ"

"ครั้งนี้ผมขอขัดใจคุณท่านจริงๆนะครับ เรื่องนี้เสียหายระดับร้อยล้านเลยนะครับ"

อ้าว พ่อพี่ตองเปลี่ยนท่าทีแบบกดสวิทเลย นี่ซินะ ชายผู้เป็นห่วงธุรกิจ



สองนักธุรกิจเดินไปคุยกันที่โต๊ะ เหมือนจะกระซิบกันนะ แต่ธรรมชาติของคนพูดจาเสียงดัง กระซิบซะได้ยินกันหมดเลย

"เรือสินค้าโดนปล้นตอนขากลับมาครับท่าน"

"อะไรวะ ตำรวจรู้เรื่องรึยัง"

"รู้แล้วครับท่าน ไม่มีสินค้าอะไรบนเรือ แต่เครื่องยนต์เสียหายหนัก ต้องเข้าอู่ซ่อม แล้วก็เรือที่ไปส่งของในยุโรปห้าลำใหญ่ ติดพายุอย่างน้อยก็หนึ่งอาทิตย์"

"แล้วเรือสำรองหละ"

"อาทิตย์ก่อนท่านเพิ่งส่งเรือสำรองเข้าซ่อมแซมเตรียมความพร้อม ถ้าไม่ผ่านสองอาทิตย์นี้ไปก่อน ทางตำรวจไม่ยอมให้เอาเรือออกมาใช้ครับ ผมก็พยายามขอผ่อนผันไปแล้ว แต่ช่วงนี้การเมืองกำลังร้อน ไม่มีใครกล้าเสี่ยงทำอะไรเลยครับ"

"อัยหยา... ของที่ต้องส่งมีเยอะแค่ไหน เอาเฉพาะไอ้ที่กำลังจะหมดสัญญานะ"

"57 รายงานครับท่านที่ต้องส่งให้หมดในเดือนนี้ มีสินค้าที่ต้องใช้เรือใหญ่ 21 รายการ แล้วก็เรือเล็ก 36 รายการ แต่มีสองรายการที่พอจะใช้ขนส่งทางบกช่วยได้"

"เรือหละมีกี่ลำ"

"28 ครับนายท่าน เรือใหญ่แค่ 12 ลำ เรือเล็ก 16 ผมให้ทีมวางแผนช่วยกันดูแล้ว ยังไงก็มีกว่าสิบรายการที่ส่งไม่ทันในเดือนนี้"

"อะไรกันวะ แล้วเสียหายเท่าไหร่"

"โชคดีที่เป็นแค่ในเอเชียอย่างเดียว ก็เลยอยู่ที่สี่สิบกว่าล้านครับท่าน นี่คือมูลค่าน้อยที่สุดแล้ว"

หาาาาาา! สี่สิบกว่าล้าน ใช้คำว่าแค่​ได้ไงวะ

"ลื้อคิดกันมาดีแล้วใช่ไหม"

"ก็อาจจะเร่งคนงานได้นิดหน่อยนะครับท่าน...."



"ท่านครับ" นี่มันเหมือนวิชาทฤษฎีกราฟเลย ทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ที่ว่าด้วยการใช้จุดและเส้นเป็นสัญลักษณ์ในการสร้างรูปแบบ ภายใต้เงื่อนไข... เอ่อ เดี๋ยวคนอ่านจะงง เอาเป็นว่า มันน่าจะใช้แก้ปัญหานี้ได้ก็แล้วกัน

"....." พ่อพี่ตองไม่ตอบ แต่กลับมองแรงมาใส่ผมแทน แล้วก็หันไปคุยงานต่อ "แล้วคนงานตอนนี้มีพอใช่ไหม"

"พอครับท่าน ผมบอกไปแล้วว่าต้องการโอทีจำนวนม..."

"ท่านครับ" ครั้งนี้ผมลุกขึ้นเลย นี่อยากจะเสียหายสี่สิบล้านกันจริงๆหรือไง ไม่รู้ละ ต้องเสือกแล้วงานนี้ ผมตรงดิ่งไปที่โต๊ะทำงานใหญ่ พี่ตองเหวอเลย แต่ก็รีบเดินตามมา

"นี่อั๊วกำลังคุยงานอยู่ เรื่องของลื้อได้เคลียร์กับอั๊วแน่ แต่ตอนนี้อั๊วมีงานด่วนต้องจัดการ"

"ผมช่วยได้ครับ" นี่ตอบเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วนะ

"เด็กอย่างลื้อเนี่ยนะ นี่มันธุรกิจระดับร้อยล้านพันล้าน จะมา..."

"พ่อครับ" พี่ตองแทรก "น้ำชาเป็นติวเตอร์วิชาเลขของผมเองครับ"

"แล้ว..." พ่อพี่ตองยังไม่หยุดที่จะพยายามไล่ผมให้ออกห่างจากงาน

"แล้วเค้าก็เป็นอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์ของประเทศเรา ความรู้ระดับเค้า ไม่ใช่เล่นๆนะครับพ่อ ถ้าเค้าพูดว่าแก้ปัญหาได้ ทำไมไม่ลองฟังดูก่อนละครับ"

"....." พ่อพี่ตองลังเล "ถ้าลื้อทำให้อั๊วเสียเว..."

หยุดพูด

​ผมยกมือห้ามพ่อพี่ตองให้หยุดพูด จะเป็นใครหน้าไหนผมไม่สนอ่ะ ถ้ามากวนตอนผมกำลังคิด วิเคราะห์ แยกแยะอยู่ กูด่าหมด

"พี่ตองยกแผนที่เดินเรือลงมาให้ชาหน่อย วางตรงนี้เลยนะ... คุณอาผู้จัดการครับ รบกวนเคลียร์โต๊ะให้ผมหน่อย เอาเอกสารออกให้หมดเลย แล้วก็... ผมขอข้อมูลนี้นะครับ"

พี่ตองยกแผนที่ออกมาจากผนัง นำวางบนโต๊ะทำงานเรียบร้อย

"ขอกระดาษสะอาดๆสามแผ่นครับ" ผมสั่งไปโดยไม่ได้สนใจว่าใครจะเป็นยังไงตอนนี้ ผมหันไปหาผู้จัดการ เค้าคือคนที่ถือโจทย์ปัญหาของเรื่องนี้ไว้ทั้งหมด ผมต้องการข้อมูลจำเป็นทุกอย่าง "เรือใหญ่กับเรือเล็กมีอัตราการเดินเรือเฉลี่ยเท่าไหร่ครับ"

"ก..ก็... เอ่อ ลำใหญ่ประมาณ 240 ไมล์ทะเลต่อชั่วโมง ลำเล็ก 160"

"นี่หมุดสีแดงแทนสินค้าขนาดใหญ่นะครับ ส่วนนี่สีเขียวแทนสินค้าขนาดเล็ก ช่วยปักหมุดตามท่าเรือที่ต้องไปส่งให้หน่อยครับ"

ผู้จัดการรีบทำตาม เปิดดูข้อมูลไปด้วยปักหมุดไปด้วย

"แผนที่นี้ของจริงใช่ไหมครับ" ผมหันไปถามพ่อพี่ตองบ้าง

"นี่ลื้อคิดว่าอั๊วจะเอา..."

สัญลักษณ์ห้ามพูดปรากฏขึ้นอีกครั้ง จะพูดไรนักหนาวะ ให้ตอบก็ตอบซิ "ของจริงหรือไม่จริงครับ"

"จริง" มีขึ้นเสียงนิดนึง แต่ผมไม่มีเวลาสนใจหรอกตอนนี้

ผมหันไปถามผู้จัดการต่อ "แล้วถ้าเรือลำใหญ่ใส่สินค้าของเรือลำเล็กละครับ จะออกมาเป็นยังไง"

"ลำใหญ่เหรอ ก็น่าจะใส่เข้าไปได้ประมาณสี่ลำเล็ก"

โอเค เหมือนจะเห็นทางออกแล้ว "นับจากวันนี้มีเวลาถึง 25 วันไหมครับ"

"28 วัน ไม่เกินนี้"

ถ้าวาดจุดหมายทั้งหมดแทนด้วยจุด เส้นทางทั้งหมดแทนด้วยเส้น ต้องพยายามทำให้เรือลำใหญ่ส่งสินค้าของเรือลำเล็กแต่ไม่ผ่านเส้นทางเดิมให้ได้ก่อน

"ถ้าตรงไหนที่เป็นน่านน้ำหวงห้าม รีบบอกผมนะครับ ผมจะลากเส้นไปเรื่อยๆ"

การคำนวณยังคงดำเนินต่อไป หนึ่งในพรสวรรค์ของผมคือความสามารถในการแก้ปัญหาด้วยคณิตศาสตร์ แต่ความสามารถอีกอย่างที่ผมกล้าตอบอย่างภาคภูมิใจคือ ผมเสือกเรื่องคนอื่นเก่งมาก นี่ก็อีกเรื่อง



"เพราะงั้นจะได้แผนออกมาตามนี้นะครับ แต่ต้องใช้คนคุมงานเพิ่มอีกคน ไม่อย่างนั้น เดินเรือพร้อมกันสองรูปแบบ อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้ แผนนี้ต้องทำตามเป๊ะๆห้ามผิดพลาด มีคนพอจะช่วยดูเรื่องนี้ได้ไหมครับ" ผมถามผู้จัดการ

"อี๊วเอง อั๊วทำเอง" พ่อพี่ตองเสนอตัว "สมัยก่อนจะมานั่งโต๊ะเซ็นชื่ออย่างเดียว อั๊วก็เดินเรือมาก่อน ไปบอกทีมงานเลยว่าเดือนนี้ทั้งเดือนอั๊วจะลงหน้างานเอง"

"ด... ได้ครับท่าน"

"เมื่อกี๊ผมเห็นในเอกสารรายละเอียด" ผมยังคงสนุกกับการคำนวณ "ถ้าแผนนี้สำเร็จ เราจะมีเวลาเหลือสามวัน หากเกิดเหตุการณ์นอกแผน ยังมีสามวันนี้ที่แก้ปัญหาได้นะครับ แล้วก็... มูลค่าความเสียหาย...." ไหนลองคิดดูดิ "ไม่มีครับ แถมยังประหยัดขึ้นตั้ง สิบจุดห้าล้าน โห ประหยัดขึ้นเยอะเลย ไม่คิดว่าจะมีผลพลอยได้ด้วย"

เสร็จสักที วางปากกาได้



".................."

เกิดไรขึ้นอ่ะ เงียบกันทั้งห้องเลย



"ชาเก่งจัง" พี่ตองกระซิบข้างๆหูผม เก่งอะไรก็แค่คำนวณทั่วๆไป เด็กที่เอกก็ทำกันได้ ​หรือเปล่า

"ขอบคุณคุณหนูมากเลยนะครับ" ผู้จัดการจับมือขอบอกขอบใจผมใหญ่เลย "โอ้โห มือนิ่มจัง"

"ปล่อยเลยคุณอาวินัย" โห ไอ้พี่ตอง ไม่ต้องมาทำหวงเลย นี่ต่อหน้าพ่อพี่นะ

"ว่าแต่ คุณหนูชื่ออะไรครับ" ผู้จัดการถาม พร้อมควานหาบางอย่างในตัว

"ชาครับ"

"อ๋อ คุณหนูชา นี่นามบัตรของอานะ มีอะไรให้อาช่วยบอกได้เลยนะ"

"ข... ขอบคุณครับ"

พ่อพี่ตองกระแอม "ไปได้แล้วอาวินัย รีบไปจัดทำแผนให้เป็นรูปเป็นร่างนะ อั๊วเข้าไปพรุ่งนี้ต้องดูรู้เรื่องนะ"

"ครับคุณท่าน ผมของตัวนะครับ" ผู้จัดการเดินออกจากห้องไป ก่อนจะส่งยิ้มมาครั้งสุดท้าย



"เอาหละ..." พ่อพี่ตองกำลังจะกลับเข้าเรื่องเดิมอีกแล้วซินะ

"แผนการเดินเรือนี่มันแปลกๆนะครับ" ผมฉวยโอกาสนี้ก่อน ดูออกชัดๆเลย พ่อพี่ตองเป็นพวกธุรกิจเป็นใหญ่ บางที นี่อาจจะเป็นทางออกไม่ให้พี่ตองกับพ่อทะเลาะกันก็ได้ "ใช้แผนนี้มาตลอดเลยเหรอครับ"

"ก็ใช้มาจนอั๊วเป็นใหญ่เป็นโตได้นี่แหละ" ได้ผล อ่านง่ายแฮะพ่อพี่ตอง

"ท่านอยากโตอีกไหมหละครับ ผมดูแล้ว เส้นทางเดินเรือใช้งบประมาณฟุ่มเฟือย แถมยังจะทำให้เรือพังเร็วขึ้นด้วยเพราะใช้งานหนักเกิน ถ้ามีเวลาซักคืนนึง ผมวางระบบเดินเรือใหม่ให้ได้หมดเลย ประหยัดทั้งเงิน เวลา แล้วก็อาจจะลดการจ้างพนักงานลงได้ด้วย"

"ลื้อทำได้เหรอ" แหม ตาโตเชียวนะ

"ก็ได้ครับ แต่ต้องให้พี่ตองช่วย"

"อาตี๋เล็กเนี่ยนะ เอาซิๆ ต้องทำไง"

"พี่ตองเรียนทางด้านคอมพิวเตอร์มา เดี๋ยวผมจะช่วยกันสร้างโปรแกรมสำเร็จรูปในการกำหนดเรือและเส้นทางการเดินเรือให้ครับ แบบนี้ลดงบประมาณ เพิ่มประสิทธิภาพงานได้ด้วย"

"เออๆ งั้นทำเลย นะ เดี๋ยวอั๊วให้ลูกน้องยกโต๊ะยกคอมขึ้นมาให้"

ถอนหายใจยาวเลยกู ขอบคุณสวรรค์ที่ได้ผล ถึงจะยังไม่เกี่ยวกับเรื่องพี่ตอง แต่ก็มาถูกทางแล้ว



จ๊อกกกกกกกกกกกก

​เอาอีกแล้วกู ท้องร้องต่อหน้าคนอื่นอีกแล้ว แต่ก็พอเข้าใจได้แหละ หลังคำนวณเลขเยอะๆทีไร หิวทุกที

"เอา นี่ยังไม่ได้กินไรกันมารึไง"

"ก็ถ้าพ่อไม่ใส่คนไปลากผมมา ก็คงได้กินอยู่แหละครับ"

"......."  พ่อพี่ตองอึ้งไปเลย หน้าเหวอคล้ายไอ้พี่ตองมาก "อ้าว เดี๋ยวไปบอกซ้อก่อน ให้หาคนมาเตรียมอาหารให้ ไปๆๆๆ ไปหาไรกินกันก่อน ค่อยมาทำ"

เราเดินออกจากห้องกัน

"พรุ่งนี้ชามีเรียนนะ เขียนโปรแกรมต้องใช้เวลานะ" พี่ตองรีบมากระซิบกับผมเลย

"ไม่เป็นไร ช่วยกัน แค่คืนนี้ก็เสร็จ" ก็ต้องทำอ่ะ ไม่งั้นเรื่องนี้มาถึงจุดนี้ไม่ได้หรอก

"อาซ้อ อาซ้อเอ้ย" พ่อพี่ตองเรียกหาภรรยาตน แต่ภาพที่เห็นตอนนี้คือ "อาซ้อ ลื้อจะเก็บข้าวของไปไหน"

แม่พี่ตองยืนร้องไห้อยู่ที่ประตูพร้อมกระเป๋าเดินทางใบใหญ่

พ่อพี่ตองวิ่งหน้าตั้งไปที่ประตูเลยครับ ให้ตายเหอะ อย่างกับดูหนังจีน พี่ตองก็พาผมเดินลงไปด้วย



"อัยหยา อาซ้อ นี่ลื้อเก็บข้าวเก็บของทำมายยย จะไปไหน" พ่อพี่ตองเสียอ่อนลง 50 ริกเตอร์

"อั๊วอ่ะมันเมียชั่ว โดนผัวตัวเองเฉดหัวออกจากบ้าน จะให้อั๊วทนอยู่ให้อายบรรพบุรุษได้ยังไง" แม่พี่ตองดราม่าเบอร์สุดเลย ผมขอมอบรางวัลตุ๊กตาทองของพี่ลูกเกตุให้คุณแม่ไปเลยครับ

"โถ่... อาซ้อ อั๊วก็พูดไป อั๊วแค่อยากให้อาตี๋เล็กมันสำนึก ใครจะไปกล้าไล่ลื้อได้ลงคอหละ"

"ไม่รู้หละ อั๊วจะกลับไปอยู่ไหหลำบ้านเกิดอั๊ว ที่นั่นคงจะยินดีต้อนรับอั๊ว ถึงป๊ากับม้าจะตายไปหมด อั๊วก็จะนอนข้างถนนนั่นแหละ"

"อาซ้ออออ บ้านเราก็มี จะไปนอนข้างถนนทำไมล่าาาาา"

นี่มันบทพ่อแง่แม่งอนในตำนานนี่นา กูทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว

"ใช่ครับแม่ เดี๋ยวผมพาแม่ไปขึ้นเครื่องบินกลับไหหลำเอง ให้ผมไปอยู่ด้วยนะครับ เราไปปลูกผักปลูกหญ้าที่บ้านแม่กัน" ไอ้พี่ตอง นี่แกก็เอากับเค้าด้วยเหรอ

"อาตี๋เล็ก ลื้อหยุดเลยนะ" พ่อพี่ตองขึ้น

"จะด่าอะไรลูกอั๊วอีก" แต่แม่พี่ตองขึ้นกว่าวะ เอาหละ สงครามนี้ใครจะชนะ

"ไม่ได้ด่าเลย อาซ้อออ" เหมือนว่าฝ่ายหญิงจะกำชัยเหนือกว่านะงานนี้ "อาตี๋เล็กมันหิวข้าว ก็เลยมาตามหาซ้อให้ช่วยเตรียมข้าวให้หน่อย"

"อ้าว อาตี๋เล็ก ลื้อหิวข้าวเหรอ" คุณแม่ครับ ห่วงลูกชายจนลืมบทดราม่าเลย เปลี่ยนอารมณ์กันไวจริงๆบ้านนี้

"ผมไม่ค่อยหิวหรอกครับ คนโน้นต่างหากครับ" ชี้มาทางนี้ทำไม "น้องน้ำชาช่วยงานพ่อไปเยอะ ตอนนี้หิวแย่แล้ว"

"ลื้อนี่มันใช้ไม่ได้เลยนะ ใช้งานจนเด็กไม่ได้กินข้าวกินปลา คุมคนงานเป็นร้อยเป็นพันซะเปล่า" เห็นคุณแม่โดนไล่ตะเพิดทีแรกนึกว่าจะเป็นรองในบ้าน แต่ดูตอนนี้แล้ว นี่มันนายใหญ่ของนายใหญ่อีกทีนี่หว่า "ลากกระเป๋าอั๊วเข้าไปเก็บเลยนะ อั๊วจะไปเตรียมข้าวให้เด็กๆ วันนี้ยังไม่จบนะลื้ออ่ะ... ไปๆเด็กๆไปหาข้าวปลากินกันก่อนนะ"



สงครามทั้งสองเหตุการณ์จบลงในที่สุด โคตรโล่งอกเลย ผมขอให้คนเอาอาหารขึ้นมาให้ที่ห้องทำงานเพราะกลัวจะทำงานเสร็จไม่ทัน ก็อย่างที่พี่ตองบอกแหละครับ เขียนโปรแกรมไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก วิชาคอมพิวเตอร์ผมก็ไม่เป็นรองใคร ก็เพราะไอ้พี่ตองเรียนทางนี้ไง ผมก็ต้องหาเรื่องไปเรียนตามมันอยู่แล้ว

"พี่ตองเขียนโค๊ดตามรูปแบบนี้นะ เดี๋ยวชามาดูเออเลอร์ให้"

"ครับ ชานอนพักก่อนเถอะ เสร็จแล้วพี่จะปลุก"

นั่นคือบทสนทนาของผมและพี่ตองตอนเที่ยงคืน เราผลัดกันทำโปรแกรมทั้งคืน เขียนบ้าง แก้บ้าง คำนวณใหม่ บ้าง นึกถึงจุดสำคัญอะไรได้ก็รีบใส่เข้าไป

จนกระทั่งตีสี่ ผมถูกปลุกให้มาแก้ครั้งสุดท้าย ส่วนพี่ตองหลับไม่รู้ตัวไปบนโซฟา พี่เค้าพยายามตื่นอยู่กับผมตลอด แต่ครั้งนี้คงไม่ไหวจริงๆ ปล่อยให้นอนไปนั่นแหละดีแล้ว

ผมนั่งแก้โค๊ดอีกเป็นชั่วโมง กว่างานจะเสร็จ ตาพล่าไปหมดเลย ง่วงด้วย กาแฟก็กินไม่ไหวแล้ว

มีเสียงลมหายใจเบาๆมาจากพี่ตอง ผมเดินไปดู

ขนาดนอนก็ยังหล่อเหมือนเดิม แต่ที่ประทับใจเสมอมาก็คือออร่าความอบอุ่นที่ฟุ้งกระจายอยู่รอบๆของพี่เค้า

ปล่อยให้นอนอีกหน่อยดีกว่า ผมมองเห็นผ้าหุ่มที่ข้างๆโต๊ะทำงาน จึงหยิบมาห่มให้ ห้องนี้เปิดแอร์ทั้งคืน ความเย็นสะสมจำนวนมาก



"เสร็จแล้วเหรอถึงมาห่มผ้าให้อาตี๋เล็ก"

สะดุ้งโหยงเลยกู

อ้าว พ่อพี่ตอง เข้ามาเมื่อไหร่เนีย คนแก่นี่ตื่นเช้ากันทุกคนไหมเนีย นี่เพิ่งจะตีห้าเอง

"ส.. เสร็จแล้วครับ แต่ตัวโปรแกรมที่ทำเป็นแค่ต้นฉบับ ผมก็เลยส่งโปรแกรมร่างตัวนี้ไปที่บริษัทที่ทำโปรแกรมสำเร็จรูปให้ครับ คงไม่เกินสามวัน โปรแกรมก็จะพร้อมใช้งานเลย ผมบอกรายละเอียดจัดส่งไปเรียบร้อยแล้ว คิดว่าน่าจะมีทีมงานเข้าไปสอนพนักงานที่บริษัทของคุณท่านนะครับ"

"หืยยย คุณทงคุณท่านอะไรกัน เรียกตามอาตี๋เล็กมันนั่นแหละ"

หา?

"ยังไงก็ขอบใจลื้อมากนะอาน้ำชา" เรียกชื่อผมด้วย ก้มหน้าด่วนเลยกู ไม่งั้นได้ร้องไห้ต่อหน้าผู้ใหญ่แน่ๆ "แล้วก็ขอโทษเรื่องเมื่อคืนด้วย"

"ผมเข้าใจครับท่าน"

"บอกให้เรียกอั๊วว่าพ่อไง"

"ครับ ค... คุณพ่อ"

"สำหรับอั๊วเนี่ยนะ อาตี๊เล็กเป็นลูกที่อั๊วห่วงที่สุด ก็อย่างที่ลื้อเห็น เค้าเป็นคนดี มีน้ำใจ มันก็เลยยิ่งทำให้อั๊วห่วงว่าเค้าจะต่อสู้กับโลกความเป็นจริงได้ไหม ลื้อสองคนจะรักกัน อั๊วคงไปห้ามไม่ได้ แต่ว่า ยังไงอาตี๋ก็เป็นลูกชายอั๊ว อั๊วอยากให้เค้าเจอสิ่งที่ดีที่ถูกสำหรับเค้าเอง หวังว่าลื้อจะเข้าใจนะ"

น้ำตาไหลจริงเลยกู นึกว่าจะดีขึ้นแล้ว แต่ที่พูดเนีย มันคือการขอให้เราออกไปจากชีวิตพี่ตองไม่ใช่เหรอ

ก็แหงหละ พ่อแม่ที่ไหนจะอยากให้ลูกชายตัวเองมีแฟนเป็นผู้ชายหละ

"ผ...ผมเข้าใจครับ"

"อ่าๆ เข้าใจก็ดีแล้วหละ งั้นอั๊วก็ฝากอาตี๋เล็กด้วยนะ มีแฟนเป็นคนเก่งๆอย่างลื้อ อั๊วก็สบายใจได้"

ห๊ะ ห๊ะ ห๊ะ ห๊ะ

อะไรนะ ยังไงวะ ไม่ใช่จะขอให้เราเลิกยุ่งกับพี่ตองเหรอ

"ค..ครับ" ยังไงกันแน่วะ

"นี่ก็จะเช้าแล้ว รีบกลับไปมหาลัยได้แล้ว เดี๋ยวเข้าเรียนกันไม่ทัน"

"ค...ครับ" นี่คือหมดปัญหาแล้วใช่ไหม

"เอ่อ ไอ้เรื่องส่งคนไปสอบ อั๊วยังไม่ลืมนะ ถ้าอาตี๋เล็กสอบตก อั๊วจะส่งคนไปเอาคืนจริงๆด้วย คราวนี้จะส่งไปสิบคนเลย เก่งดีนัก เล่นลูกน้องอั๊วซะอ่วมเลย"

"ได้ครับคุณพ่อ"

"เออ ขอบใจอีกทีนะ เดี๋ยวอั๊วไปเดินเล่นที่สวนก่อน"

"ครับ"

ให้ตายเหอะ จบสักที ด่านครอบครัวพี่ตอง เล่นเอาไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลย

ปลุกไอ้ตัวปัญหาดีกว่า นี่จะเช้าแล้ว เดี๋ยวต้องไปเรียนอีก จะไหวไหมเนียกู

"พี่ตอง พี่ตอง" ปลุกยากเหมือนกันแฮะ ก็รู้อยู่หรอกว่าเพิ่งจะนอน "พี่ตอง กลับได้แล้ว เดี๋ยวไปเรียนสายนะ"

"หือออ" ไอ้พี่ตองขี้เซา ค่อยๆลืมตามอง "เสร็จแล้วเหรอ"

"เสร็จแล้ว พ่อพี่ก็มาดูแล้วด้วย จะเช้าแล้ว กลับได้แล้ว"

พี่ตองถอรหายใจยาวเลย คงจะโล่งอกซินะ ก็เข้าใจอยู่หรอก

"แต่พี่ยังง่วงอยู่เลย"

"ไม่ได้ ชาต้องไปเรียนนะ พี่ก็ต้องเรียน"

เดี๋ยวๆๆๆๆๆ อะไรอีกเนีย

ดึงเข้าไปกอดทำไม ตีลังกาเป็นลูกขนุนเลยกู โซฟานี่ก็แคบ ดิ้นไปไหนไม่ได้เลย

"ทำบ้าไรเนีย ไอ้บ้านิ ปล่อย"

"พี่ขอนอนกอดแป๊บนึงน้าาาา"

"ไม่ด้ายยย ปล่อยดิ" เออ กูเขิน จะบ้างะ มากอดกันง่ายๆได้ไง กูนี่ก็ตัวเล็กจังเลย ไม่เคยสู้แรงมันได้เลย

"แป๊บเดียวววว ห้านาที นะนะ พี่เครียดจะแย่อยู่แล้ว ผ่านเรื่องนี้ไปได้ ขอกำลังใจแค่นี้เอง"

"......" เออๆ อะ จะกอดก็กอด จริงๆก็รู้สึกดีนั่นแหละ ครั้งนี้เจอศึกหนักจริงๆ นอนพักให้กำลังใจกันและกันก็คงเป็นการพักสงครามที่ดี เพราะไม่แน่....



เช้าของวันใหม่อาจจะมีปัญหาใหม่ตามมาอีกก็ได้
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 16 [ตำแหน่ง]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 10-11-2017 10:58:10
​ตอนที่ 16 : ตำแหน่ง







ตั้งแต่เรียนมาหนึ่งปีเต็ม นี่เป็นครั้งแรกเลยที่รู้สึกตื่นเต้นและดีใจที่ได้มาเรียนตึกภาควิชาคณิตศาสตร์ของคณะวิทย์ ทั้งๆที่ปีที่แล้วผมขยาดมันเข้าใส้

"เห้ยเติ้ล เดี๋ยวใกล้พักเบรกแล้ว มึงไปเดินเล่นในตึกเป็นเพื่อนกูหน่อยนะ" ผมหันไปช่วยเพื่อนสนิทของผมที่กำลังนั่งหาวอยู่ในระหว่างชั่วโมงเรียนวิชาแคลคูลัส 2

"อะไรของมึงไอ้ตอง อารมณ์ไหนวะ" เพื่อนผมมันคงจะงงว่าตึกนี้มีอะไรให้เดินเล่นได้ "มึงคิดว่าที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์หรือไงวะ... อ่อ กูรู้หละ มึงจะไปตามหาน้องน้ำชาคณะวิทย์ใช่ไหม"

"....." หือ ไอ้นี่มันทำไมรู้วะ กูยังไม่ได้ประกาศตัวนี่หว่า

"มึงจะทำหน้างงอะไรวะ มึงวิ่งเอาดอกไม้ไปให้น้องวันเปิดห้องเชียร์ ถ่ายทอดสดเห็นกันทั้งมหาลัย กล้านะมึงอ่ะ"

อ่อ เออ จริงด้วย

ตอนทำกไม่ได้กะว่าจะให้ใครเห็นหรอก แค่อย่าซื้อไปให้ ก็ดันเห็นพี่ท๊อปเอาดอกกุหลาบขาวไปให้ กูก็ของขึ้นดิ นั่่นมันแฟนกูในอนาคตนะ จะให้คนอื่นทำดีกว่าได้ไง

"แล้วยังไงมึงเนีย อยู่ดีๆก็จะมาชอบผู้ชายเฉยเลย"

"ไม่รู้วะ แต่น้องมันก็ดีกับกูมากนะ ดีกับกูมาตั้งแต่ก่อนที่กูจะรู้ตัวด้วยซ้ำ"

"อะไรวะ ไม่เข้าใจ แต่เอาเหอะ น้องมันก็น่ารักจริงๆนั่นแหละ.... นี่มึงจริงจังปะ ถ้าไม่ กูขอลองต่อนะเว้ย"

"ลองเ-ี้ยไรมึง" พูดส้นตีนแบบนี้กับที่รักของกูเหรอ ไอ้สัด ล้อเล่นกูก็ไม่ให้อภัย

"เอ๊อะๆๆๆ กูล้อเล่นเพื่อนนน โห่.... เออ กูเข้าใจแล้วว่ามึงจริงจัง แค่ลองใจมึงดู"

"ไอ้สัด ถ้าไม่เกรงใจว่าเป็นห้องเรียนกูจะต่อยมึงให้คว่ำเลย"

"เอ่เอ๊ๆ ใจเย็นๆนะเพื่อนนะ เจ้าชายตองสุดหล่อ ใจเย็นนะคราบบ... แต่เห็นงี้แล้ว มึงก็คลั่งน้องน้ำชาน่าดูเลยเนาะ กูเห็นปีก่อน มึงไม่เห็นจะแคร์ผู้หญิงคนไหนเท่าไหร่เลย มาๆไปๆ เปลี่ยนบ่อยอย่างกะเปลี่ยนเสื้อ"

"ไม่รู้เหมือนกันหวะ ตั้งแต่กูคิดจะจีบน้อง กูก็เลิกคิดถึงเรื่องผู้หญิงไปเลย"

"ถ้ามีมาแก้ผ้าตรงหน้าอ่ะ เอามะ"

"อือ.... ไม่น่านะ กูไม่รู้สึกว่าอยากเลยว่ะ"

"อือหือ.... พ่อพระ แล้วถ้าน้องน้ำชามาแก้ผ้าต่อหน้ามึงอ่ะ"

"ไอ้สัดเติ้ล"

"ผมล้อเล่นคร๊าบบบ  โห่ ใจเย็นไหมเพื่อน เอ๊ะอะขึ้น เอ๊ะอะขึ้นอย่างเดียวเลย เดี๋ยวกูก็ไม่พามึงไปหาน้องซะเลยนิ"

"กูไปเองก็ได้เว้ย"

"โห เพื่อน ได้เมียแล้วลืมเพื่อนเลย เลวจริงๆนะมึงเนีย"

"มึง..."



"นิสิตคะ จะคุยกันอีกนานไหมคะ นี่ห้องเรียนนะ จำได้ไหม" อาจารย์ประจำวิชาดุครับ ผมลืมไปเลยว่าเรียนอยู่



หลังได้รับอนุญาตให้พักประจำชั่วโมง ผมกับไอ้เติ้ลก็เดินทั่วตึกเลย คณะนี้มันใหญ่จริงๆ ขนาดตึกภาควิชาเดียวยังมีตั้งหกชั้น แล้วเรียนห้องไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าวันนี้น้ำชาเรียนที่ตึกภาคตลอดช่วงเช้า เพราะผมแอบขอตารางเรียนมาจากไอ้ต้อมเพื่อนสนิทของเจ้าตัวเล็กมาแล้ว

"นั่นเปล่าวะมึง กำลังยืนพูดเลย" ไอ้เติ้ลเรียกให้ผมดูห้องเรียนห้องหนึ่ง

ผมก็เรียบๆเคียงๆช่องกระจกหน้าประตูห้อง

น้ำชาจริงด้วย น่ารักเหมือนเดิม แต่หน้าตายังง่วงๆอยู่เลย แล้วเรียนไหวเปล่าวะ เมื่อคืนทำงานให้พ่อเราทั้งคืน สงสารจัง เข้าไปขออนุญาตอาจารย์พาน้องไปนอนดีไหมน้า

"เห้ย มึงจะสิงประตูอยู่แล้ว" ไอ้เติ้ลเรียกสติผม "ไปเรียนก่อน ได้เวลาแล้ว"

เชี่ยเอ๊ย เวลาแห่งความสุขทำไมมันหมดเร็วจัง

ผมกลับไปนั่งเรียนแบบกระวนกระวายใจอีกรอบ นั่งฟังอาจารย์แบบไม่ได้คิดตามเลย จดอะไรลงสมุดไปก็ไม่รู้



"เจอกันวันศุกร์นะคะนิสิต"

นั่นคือสัญญาณที่ผมรอคอย ผมแทบจะวิ่งออกจากห้องเรียน แล้วก็วิ่งตรงดิ่งไปที่ห้องเรียนของน้ำชาเลย

​เลิกเรียนกันพอดีเลย



"พี่ตอง" น้ำชาดูจะแปลกใจที่เห็นผมวิ่งหน้าตั้งมาหา "มาไงเนีย"

"มารับไปกินข้าว" ผมตอบทันที แทบจะไม่ได้คิดเลย

"พี่ตองงงง" นี่คือกะเทยร่างใหญ่ เพื่อนกลุ่มเดียวกับชาซินะ เคยเห็นนั่งด้วยกัน "มาหาอิ... มาหาน้ำชาเหรอ"

"ครับผม"

"หวานเว้อ" เพื่อนของน้ำชาอีกคน

"หวานเชี่ยไรมึง" น้ำชารีบสะกัดเพื่อน ไอ้ตัวเล็กเอ๊ย ปากแข็งตลอด อ้าว มองผมตาเขียวเลย "ว่างมากรึไง วิ่งมาถึงตึกแมทเนีย"

"พี่เรียนแคลสอง วันอังคารกับวันศุกร์ ต้องมาเรียนนี่อยู่แล้ว"

หึ อะไร น้ำชาแบมือทำไม จะเอาอะไรหว่า

"สมุดแล็คเชอร์"

เชี่ยละกู จะขอดูสมุดเหรอ จดไรไป จะอ่านรู้เรื่องเปล่าวะ ไม่ดิ ระดับน้ำชา ดูแป๊บเดียวก็รู้แล้วว่ากูไม่ตั้งใจเรียน "วันนี้ยังไม่ค่อยได้เรียนไรเลย เพิ่งเรียนวันแรก"

"ชาก็เรียนแคลวันแรกเหมือนกัน มีเรียนเยอะแยะ เอาสมุดมาดู"

งานเข้าละกู อย่างกับโดนเมียทวงเงินเดือนเลย เห้อออ ซวยแล้ว ต้องจำยอมส่งให้ซินะ

"แหมอิชา มึงก็กล้าขอดูสมุดพี่เค้าเนาะ มึงหลับแทบจะทั้งคาบ" หึ จริงดิ

"มึงคะ แซวอิชาเรื่องเรียน มึงคิดดีๆนะคะ มันหลับ แต่นางทำได้ทุกข้อ ขนาดเมื่อกี๊โจทย์ผิด นางยังบอกอาจารย์ได้เลย"

"เออจริงมึง" น้องผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม "กูนะ ยังแยกไม่ออกเลยว่าอันไหนทฤษฎีบท อันไหนโจทย์"

"นี่ไม่ได้สนใจเรียนเลยนิ" อ้าว น้ำชาดูเสร็จแล้วเหรอ "เรียนแบบนี้จะเข้าใจได้ยังไง"

"ก็พี่.... มัวแต่คิดถึงชาไง" นี่ไง เสือมันต้องไม่ทิ้งลาย ยิงนกนัดเดียวได้ปืนสองกระบอก เอ่อ ถูกไหมวะ เออ เอาเป็นว่า เปลี่ยนเรื่องได้ด้วยแล้วก็ได้หยอดน้ำชาได้ด้วย เจ๋งปะละ เพื่อนน้ำชาสามคนเขินใหญ่เลย

"งั้นชาไม่ไปกินข้าวด้วย" หา? "ถ้าชาทำให้พี่ไม่ตั้งใจเรียนแบบนี้ ชาก็จะไม่ไปกินข้าวด้วย.... ไปเหอะพวกมึง"

เห้ย เดี๋ยวๆๆๆ นี่เอาจริงเหรอ

"เดี๋ยวก่อนชา..."



"พี่ตองคะ พี่ตอง หนูขอถ่ายรูปด้วยซิ" "พี่ตอง" "แกๆพี่ตองนี่นา พี่ตองลีดมออ่ะ"

เวรกรรม น้องผู้หญิงกลุ่มนึงวิ่งเข้ามาหา

ผมหันไปหาน้ำชา น้องยืนมองผมอยู่สักพัก สุดท้ายก็เดินต่อไป

จังหวะนรกจริงๆกู

"โอเคครับทุกคน ถ่ายพร้อมกันทีเดียวได้ไหม พี่รีบครับ" เอาวะ พื้นฐานของการเป็นลีดมหาลัยที่ดี ต้องไม่หยิ่งเมื่อพบปะผู้คน



หลังถ่ายรูปเสร็จ ผมก็วิ่งตามน้ำชาลงมาข้างล่าง น่าจะอยู่โรงอาหารนะ เพราะตอนบ่ายมีห้องเชียร์ คงไม่ออกไปข้างนอกหรอก

นั่นกลุ่มของน้ำชานี่นา แต่น้ำชาไม่อยู่ หายไปไหนหว่า หรือไปซื้อข้าวอยู่



"สาวๆครับ เห็นน้ำชาไหม"

"อุ๊ย พี่ตองของหนู... เอ่อ อิชาไปกินข้าวกับพี่ท๊อปอะคะ เห็นบอกมาทวงบุญคุณอะไรกันก็ไม่รู้"

ห๊ะ พี่ท๊อป "พี่ท๊อป เภสัช อะนะ"

"ใช่ค่ะๆ พี่ท๊อปโอปป้าเกาหลีนั่นแหละ"

นี่มันอะไรกันวะ เราชวนกินข้าวไม่กิน แต่กลับไปกินข้าวกับพี่ท๊อป



"ฮัลโหลชา ชาอยู่ไหนอ่ะ" ใครจะไปทนวะ แฟนตัวเองไปกับคนอื่น เออ ยังไม่ใช่แฟนหรอก แต่กูก็หวงอยู่ดีนั่นแหละ

"เอ่อ...."

"พี่มาชวนกินข้าวไม่กิน แต่ชาไปกับพี่ท๊อปเนี่ยนะ"

"ก็พี่ไม่ตั้งใจเรียนอะ"

"แล้วมันเกี่ยวไรกับที่ต้องไปกับพี่ท๊อป"

"คือ.... ชาสัญญากับพี่ท๊อปไว้ว่าจะเลี้ยงข้าว ตอบแทนเรื่องที่..."

"เรื่องไร" ถ้าเหตุผลไม่ดีพอนะ งานนี้เคลียร์กันยาว

"เรื่องตราปั๊ม ตราลีดมอ ตอนที่อยู่โดมไง"

ตราประทับผู้นำเชียร์ ตราที่ทำให้น้ำชาได้เข้ามาคัดเลือกเป็นลีดคณะ จะเถียงก็ไม่ได้งานนี้ เพราะวันนั้นเราเองที่ไม่ปั๊มให้น้อง

"ไม่รู้หละ พี่จะรออยู่ที่นี่แหละ"

"จะรอทำไมเล่า ไม่เป็นสอนลีดคณะตัวเองรึไง"

"ไม่" วางสายซะเลย หงุดหงิด



ผมเดินกลับไปโต๊ะเพื่อนน้ำชา "พี่กินข้าวด้วยนะ"

"ห๊ะ อุ๊ย เชิญค่ะๆๆๆ น..นั่งตรงนี้เลยนะคะ" น้องไม่ต้องตื่นเต้นหรอก พี่ยังต้องจีบเพื่อนน้องอีกนาน ดูจากสถานการณ์แล้ว พี่คงต้องใช้เวลานานน่าดู

"พี่กินจานนี้ไหมคะ น้ำชาซื้อไว้ให้" น้องผู้หญิงส่งจานข้าวราดแกงมาให้ผม หมูหวานกับแกงเขียวหวาน ของโปรดเราทั้งนั้น นี่คงรู้อยู่แล้วอะดิว่าชอบกิน

ว่าแต่.... ซื้อไว้ให้ได้ไง "ชาซื้อไว้ให้พี่ทำไมอ่ะ"

"มันก็รอกินข้าวกับพี่นี่แหละ แต่พี่ท๊อปโผล่มาไงไม่รู้ บอกว่ามาทวงสัญญา มันก็เลยจำใจต้องไป ดูเนีย จานข้าวของมันที่ซื้อไว้ก็ยังไม่ได้กินเลย... พี่จะกินอีกจานก็ได้นะ นี่ค่ะ"

ที่แท้ น้ำชาก็แคร์เรานี่หว่า อุตส่าจะได้กินข้าวด้วยกันแท้ๆ

ทำไมวะ ทำไมไม่ใช่กูที่ปั๊มตราให้ ทั้งๆที่น้ำชาก็ยื่นโอกาสมาให้แล้วแ เซ็ง แดกแม่งให้หมดทุกจานเลยกู



ในที่สุดก็กลับกันมาซะที รถของพี่ท๊อป ผมจำได้ ผมนั่งรออยู่ที่โต๊ะตัวเดิมในโรงอาหารกับเพื่อนๆของน้ำชา

ในระหว่างที่รออยู่ ผมก็ไม่ปล่อยให้เวลาเสียไปเปล่า พยายามถามข้อมูลของน้ำชาในเวลาเรียนกับเพื่อนๆน้องเค้า



"มึง ข้าวหมดยัง กูหิว" น้ำชามาถึงก็โวยวายทันที

"อ้าว ไรวะ มึงไปกินข้าวมาไม่ใช่เหรอ"

ผมยังนั่งสังเกตุการณ์อยู่ ยังไม่อยากพูดด้วย เคืองอยู่

"เออ ไปซื้อมาเหอะน้า ก่อนที่กูจะแดกโต๊ะแทน"

"เออๆ ปะ วาวา ไปซื้อข้าวกับกู อิเล็กมึงไปซื้อน้ำ เดี๋ยวอิชาจะพิโรจน์" เพื่อนน้ำชาลุกออกจากโต๊ะรีบไปทำตามคำสั่ง

"อ้าว แล้วพี่มานั่งนี่ทำไม ไปคณะได้แล้ว"

เอ้า นี่พี่งอนอยู่นะ "มาถึงก็ไล่พี่เลยเหรอ น่าน้อยใจเนาะ พี่ไม่ได้สำคัญเหมือนพี่ท๊อปนี่เนาะ"

"ก็ใช่ซิ พี่ท๊อปทำให้ชาได้มีโอกาสใกล้ชิดพี่ไง ต้องให้ย้ำอีกไหม" ดูท่าจะหงุดหงิดจริงแฮะ ปกติปากแข็งจะตาย พูดซะเราเขินเลย "ถ้าพี่ปั๊มให้ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้หรอก"

นั่นไง โดนจนได้ "ขอโทษคราบบบบ แล้วทำไมถึงหิวข้าวละ ไปกินข้าวมาไม่ใช่เหรอ"

"ซูชิอะเหรอ"

"....."  หลุดขำเลยกู หนึ่งในข้อมูลสำคัญที่ผมได้มาจากต้อมก็คือ ชาไม่กินอาหารดิบ เด็ดขาด

"น่าขำตรงไหน ชาต้องทำเป็นเขิน พูดว่าไม่หิว ทั้งที่หิวจะตายอยู่แล้ว เก๊กหน้าตั้งนาน"

น่ารักจริงๆ คนไรหงุดหงิดก็ยังน่ากอด

"แล้วไม่ไปที่คณะจริงเหรอ ไม่ต้องสอนรุ่นน้องหรือไง"

"ลีดมหาลัยได้รับสิทธิพิเศษ สามารถเข้าห้องซ้อมของคณะไหนก็ได้ วันนี้วันแรก ไม่มีไรหรอก แค่แนะนำตัว วางตำแหน่ง คนรู้จักพี่กันอยู่แล้ว ไม่ต้องไปก็ได้"

"หราาาา ไอ้คนดัง ตั้งใจเรียนให้เท่ากับที่ดังจะดีกว่านี้มากเลย"

ผ่านไปตั้งนานยังไม่ลืมเรื่องนี้อีก ต่อไปจะทำไรต้องระวังแล้วกู จำเก่งขนาดนี้ "ขอโทษคราบบบ แต่พี่คิดถึงชาจริงๆนะ"

"นี่ชาซีเรียสนะ ถ้าพี่ไม่ตั้งใจเรียนแล้วเอาชาไปเป็นข้ออ้างแบบนี้ ชาจะสบายใจได้ยังไง ไหนจะเรื่องสอบอีก พ่อพี่ขู่ชาไว้แล้วนะ ถ้าพี่สอบตก ยังไงพ่อพี่ก็ยืนยันที่จะมาพาตัวที่ไป"

"กลัวพี่จะไปอะดี๊" ลูกเล่นหน่อยเดียว ทำตาเขียวเลย "โอเคๆครับ พี่จะตั้งใจเรียนสัญญา"

"ไม่ต้องอ่ะ ชาไม่รับคำสัญญา วันอังคารกับศุกร์พี่เรียนแคลใช่ไหม ชาก็มีเรียนแคลที่ตึกสองวันนี้เหมือนกัน ถ้าชาดูสมุดแล็กเชอร์แล้วไม่โอเค ชาไม่ให้มากินข้าวด้วยจริงๆนะ"

นี่กูคิดถูกคิดผิดวะเนี่ยที่จะจีบน้ำชา โหดตัวจริงเลย "โอเคๆ พี่จะตั้งใจเรียน เพราะงั้นอย่าไล่พี่ไปไหนนะ.... ว่าแต่เด็กแมทปีหนึ่งต้องเรียนแคลสองแล้วเหรอ แล้วแคลหนึ่งอ่ะ"

"จะบ้าหรือไง เอกแมทไม่มีแคลหนึ่งถึงสี่แบบวิศวะนะ เราเรียนทีเดียวทั้งสี่ตัวพร้อมกัน เรียกว่า แคลคูลัส เฉยๆ"

"ไม่จริง ไม่มีมนุษย์ปกติคนไหนเรียนแคลหนึ่งถึงสี่พร้อมกันได้หรอก"

"เด็กเอกเลขไงที่ทำได้"

พระเจ้าาาาา ฆ่าลูกที



"มาแล้วค่ะองค์แม่สูงสุด ข้าวค่ะ" ในที่สุดข้าวก็มาเสิร์ฟ

ดูท่าจะหิวมาก กินไม่พูดเลย

นี่แหละครับ ความคลั่งน้องน้ำชาของผม วันแรกที่ได้มาตึกคณิตก็เจอคู่แข่งซะแล้ว การที่พี่ท๊อปทำแบบนี้ คงไม่ใช่เรื่องปกติซินะ แต่อย่าเพิ่งตื่นตูมไป ยังไงน้ำชาก็ยังมีสายตาที่มั่นคง ผมมั่นใจ







ในมุมของน้ำชา





"ตอนนี้ทั้งพี่ๆแล้วก็น้องๆก็รู้จักกันครบหมดแล้วนะ ต่อไปจะเป็นเรื่องการวางตำแหน่งนะคะ"

พี่แอมกล่าวหน้ากระจกในห้องซ้อมเต้นของคณะวิทย์ หลังมีการแนะนำตัวระหว่างผู้นำเชียร์รุ่นพี่และรุ่นน้องทุกคน

เมื่อเวลาบ่ายโมงมาถึง กิจกรรมห้องเชียร์อันแสนจริงจังก็เริ่มขึ้น การถ่ายทอดสดบรรยากาศการฝึกซ้อมก็กลับมาเช่นกัน

ตอนนี้ผมนั่งรวมกับเพื่อนๆและแหงนหน้ามองพี่ๆลีดคณะวิทยาศาสตร์ในการซ้อมวันแรก ทุกอย่างก็ปกติ มีที่ไม่ปกติอยู่อย่างเดียวก็คือ ​พี่ตอง

​ไอ้พี่ตองนั่งมองผมอยู่สุดมุมห้อง ไล่ยังไงก็ไม่ไป บอกว่าเป็นห่วง เห็นว่าผมแทบจะไม่ได้นอนทั้งคืน

ใครกันแน่ที่ไม่ได้นอน ผมอ่ะ นอนเกือบจะทั้งเช้าเลย (เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีนะครับ) แต่ก็มีตื่นมาตอบคำถามอาจารย์บ้างนิดหน่อย

"ตำแหน่งเซ็นเตอร์จะมีน้องเกตุแล้วก็น้องสุ่ยนะคะ" ที่แอมเริ่มไล่ลำดับให้ฟัง

"เดี๋ยวก่อนแอม" จู่ๆพี่พลอยก็แทรกขึ้น พี่คนที่ตัดสินให้ผมผ่านเมื่อวันสอบสัมภาษณ์ "ตำแหน่งกลางต้องเป็นของคนที่ได้คะแนนโหวตสูงสุดทั้งหญิงแล้วก็ชายไม่ใช่เหรอ แต่น้องสุ่ยได้ที่สองนะ ต้องเป็นน้องน้ำชาซิ"

ห๊ะ จริงปะเนีย ไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย แล้วก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องอยู่ตรงกลางด้วย เพราะถ้าตามหลักทั่วๆไป คนที่อยู่ตำแหน่งกลางควรจะเป็นคนที่สูงๆแล้วก็หน้าตาโดดเด่น ซึ่งสุ่ยก็เหมาะนะ

"แอมคิดมาแล้วพลอย" เหมือนว่าพี่แอมจะเถียง แต่ก็วางท่าอยู่มาก "คณะเราเป็นคณะใหญ่นะ ภาพลักษณ์มันก็สำคัญ พลอยก็รู้ว่าสุ่ยมีคุณสมบัติในการยืนตำแหน่งนี้มากกว่า"

"แต่นี้มันเป็นกฎจากลีดมหาลัยนะแอม" พี่พลอยยังคงมีประเด็น

"ก็แอมนี่ไงลีดมหาลัย และแอมก็เป็นประธานลีดด้วย อำนาจสิทธิขาดในการตัดสินใจ สุดท้ายก็ต้องให้แอมตัดสินอยู่ดี.... พอเถอะพลอย แอมไม่อยากมีปัญหากับพลอยนะ นี่มันแค่ยืนตำแหน่งเองนะ จริงจังอะไรนักหนา"

"แค่เหรอแอม...."

อะไรกันวะ ทำไมเรื่องมันดูยุ่งยากจัง

แต่สุดท้ายพี่พลอยก็เงียบ คนอื่นๆก็เหมือนจะไม่ได้พอใจนัก แต่ก็เลือกที่จะเงียบเช่นกัน ส่วนคนที่ดูจะมีปัญหา คือคนที่ไม่ได้อยู่ในคณะวิทย์

ไอ้พี่ตองเหมือนจะไม่พอใจสิ่งที่เกิดขึ้นเอามากๆ ถึงจะอยู่ไกล แต่ห้องซ้อมก็เป็นห้องแบบปิด ทุกอย่างที่คุยกันจึงได้ยินกันหมด

"เอาหละทุกคน ไปยืนในตำแหน่งตามที่พี่บอกได้ เราจะเริ่มฝึกกันที่ท่ายืนการ์ดของลีดอ่อนกันก่อนนะ เป็นรูปแบบของคณะเรา ไม่เหมือนลีดแข็งที่เราเคยเห็นลีดมอเต้นกันนะคะ"

การสอนเริ่มขึ้น

นี่ผมไม่ได้คิดไปเองนะ พี่แอมไม่มองหน้าผมแม้แต่นิดเดียว ไม่ใช่ว่าหลบหน้าหรือตีสีหน้ารังเกียจใส่นะ แต่ทำเหมือนผมเป็นอากาศ มองมาทางนี้ทุกครั้งก็จะเหมือนมองทะลุตัวผมไป

ก็แหงหละ ไปแย่งแฟนเค้ามานิ เฮ้ย กูไม่ได้แย่งซะหน่อย

การซ้อมดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น โชคดีที่ผมเคยมีพื้นฐานการจัดระเบียบร่างกายมาก่อนจึงเรียนรู้ได้ไม่ยากนัก ท่าพื้นฐานบางท่าก็เคยทำมาแล้วจึงผ่านการทดสอบได้ง่ายๆ ในแต่ละท่าที่สอนจะมีการทดสอบหลังให้ฝึกฝนด้วยตัวเอง หากไม่ผ่านก็จะมีรุ่นพี่เข้ามาสอนแบบประชิดตัว แต่ถ้ายังไม่ผ่านอีกก็จะกลายเป็นการลงโทษแบบกลุ่ม คือ ให้ยืนการ์ดนับหนึ่งร้อยต่อหนึ่งคนที่ไม่ผ่าน

เพราะแบบนี้นี่เอง พวกลีดถึงได้เต้นเป๊ะกันนัก

ด้วยความที่ผมเต้นได้มากกว่าคนอื่น จึงเป็นเหมือนคนสอนกรายๆ เพื่อนๆลีดมักจะชมว่าผมเก่ง แต่นี่มันผลงานของไอ้พี่ตองทั้งนั้นแหละ

พูดถึงไอ้คนตัวสูง ไม่เบื่อหรือไงก็ไม่รู้ นั่งเฝ้าอยู่ได้ ไม่ขยับออกไปไหนเลย มีเล่นโทรศัพท์บ้าง บางทีพี่บุ๋นก็เข้าไปคุยด้วย แต่ที่ไม่คุยเลยคือ พี่แอม จากที่เคยเข้าหาพี่ตองตลอด ตอนนี้เหมือนทั้งสองคนมีเส้นแบ่งที่ชัดเจน



"ขอเข้าไปหน่อยนะค้าาา" หลังจากซ้อมกันมากว่าสองชั่วโมง จู่ๆก็มีคนเข้ามาสองสามคน พร้อมกล้องและไฟส่องขนาดพกพา "จะขออนุญาตถ่ายทำค่ะ"

"อ๋อ ได้ แต่ขอให้น้องๆเตรียมตัวสักครู่นะ" พี่แอมยังคงเป็นผู้บริหารที่ดี ดูเหมือนอำนาจของพี่แกจะไม่ใช่น้อยๆเลย การเขี่ยเราให้ออกจากเซ็นเตอร์นี่ก็คงเป็นความต้องการของเธอด้วย "น้องๆเดี๋ยวเปลี่ยนใส่เสื้อตัวนี้นะ ทุกครั้งที่ถ่ายทำให้เปลี่ยนใส่ชุดนี้เสมอ เพื่อแสดงถึงความสามัคคีนะ"

มันเป็นเสื้อสีชมพูอ่อนๆ มีคำว่า Science Leader อยู่ข้างหลัง

เราทุกคนรีบไปเปลี่ยนเสื้อในห้องน้ำของห้องซ้อม แล้วก็กลับมายืนตำแหน่งตัวเอง



"สวัสดีครับคุณผู้ชม แล้วตอนนี้เราก็เข้ามาอยู่ในห้องซ้อมของคณะวิทยาศาสตร์แล้วนะครับ และผม นาวาพล ขัตติยชาติ รับหน้าที่พิธีกรชั่วคราวครับ"

เห้ยยยยยยยยยยยยยย

ยังไงละเนีย ทำไมอยู่ดีๆไอ้พี่ตองมาเป็นพิธีกรได้ ที่เห็นไปคุยกับทีมงานแว๊บๆ นั่นคือ ไปขอเค้าเป็นพิธีกรเหรอ คิดจะทำบ้าไรของมันวะ หรือมันคิดจะหยอดเรากลางรายการ บ้าเกินไปแล้วไอ้บ้าพี่ตอง

"เรามาเริ่มพูดคุยกับประธานเชียร์ลีดเดอร์ของคณะวิทยาศาสตร์กันก่อนนะครับ สวัสดีครับพี่แอม" เชี่ยแล้วไง เชี่ยแล้วจริงๆ จู่ๆก็ไปขอสัมภาษณ์คนที่ไม่คุยกัน คืออะไรวะ

"ส..สวัสดีค่ะคุณผู้ชม" พี่แอมก็งงอะดิ รู้เลย

"ในฐานะของประธานเชียร์ลีดเดอร์คณะใหญ่ มีความรู้สึกอย่างไรและหนักใจในการฝึกซ้อมน้องๆไหมครับ"

"ก็ไม่นะคะ เรื่องแค่นี้ สบายมากคะ" นี่พี่แอมตอบสอนเรื่องลีดหรือเรื่องพี่ตองกันแน่วะ สงสัยในคำพูดแฮะ

"มีน้องๆคนไหนหน้าจับตามองเป็นพิเศษไหมครับแบบนี้"

"ก็พอมีนะคะ เพราะถึงยังไงแล้วคณะวิทยาศาสตร์เราเองก็มีการจัดการอย่างมีมาตรฐาน เพราะงั้นคนที่เข้าตาของแอมก็ต้องมีมาตรฐานเช่นกันค่ะ"

"เป็นประธานลีดเดอร์ที่แข็งแกร่งสมคำล่ำลือจริงๆนะครับ ผมอยากให้กล้องแผลนไปที่น้องๆที่กำลังยืนการ์ดกันอยู่ในขณะนี้นะครับ แข็งขันกันมากๆเลย.... แต่เดี๋ยวนะครับ นั่นน้องน้ำชานิครับ ผมจำได้ว่าน้องได้รับการโหวตสูงสุดจากคณะวิทย์ไม่ใช่เหรอครับ" นั่นไง เห็นจุดประสงค์ของไอ้พี่ตองแล้ว คิดจะมาเรียกร้องความยุติธรรมให้หรือไง อย่าทำไรบ้าๆนะ "เอ... แต่ปกติตามกฎของผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยเรา ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดต้องอยู่ตำแหน่งกลางไม่ใช่เหรอครับ"

ไมค์ถูกยื่นไปที่พี่แอม ถึงผมจะมองเห็นไม่ถนัด แต่ก็รู้ในทันทีว่าพี่แอมปิดสีหน้าของความไม่พอใจเอาไว้ไม่มิด

"ก็ใช่ค่ะ แต่..."

"อ๋อ แต่ไม่ต้องห่วงนะครับผู้ชมทุกท่าน ผมเชื่อว่าทีมบริหารของคณะวิทยาศาสตร์จะได้ทำการพูดคุยตกลงกันมาแล้วเป็นอย่างดี เพราะเรามีผุู้บริหารคนเก่งคนนี้อยู่ทั้งคน... เอาหละครับเดี๋ยวเราไปสัมภาษณ์น้องๆกันบ้าง สวัสดีครับน้องๆปีหนึ่งทุกคน"

"สวัสดีครับ/ค่ะ" นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมยกมือไหว้พี่ตอง รู้สึกแปลกๆเหมือนกันแฮะ

เราทุกคนเลิกยืนตามตำแหน่งและมารวมกันที่หน้ากล้องตามสัญญาณของทีมงาน

"เป็นไงกันบ้างครับ วันแรกของการซ้อม ยากไหม"

ทุกคนตอบว่ายากกันหมด

"แล้วแบบนี้ เพื่อนคนไหนที่เป็นแกนนำเรื่องการเต้นของเราในวันนี้ครับ"

เห้ย อะไร ชี้มาที่กูกันหมดเลย

"น้องน้ำชาของเรานี่เองนะครับ วันนี้รู้สึกยังไงบ้างครับ เพื่อนๆบอกว่าเราเต้นได้ดีที่สุดเลย"

ไมค์ถูกยื่มมาที่ปากผม ไอ้พี่ตองบ้า นี่แกวางแผนไว้หมดแล้วใช่ไหม ตอบยังไงดีละกู "ก... ก็ไม่หรอกครับ แค่เต้นตามที่พี่ๆสอน พี่ๆที่คณะวิทย์สอนเก่งกันทุกคนเลย"

"มีชมพี่ๆด้วย แต่ทำได้ดีแบบนี้แสดงว่ากำลังใจดี มีกำลังใจจากไหนเป็นพิเศษไหมครับ"

พี่ไอ้พี่ตองงงงง มันหยอดผมกลางรายการจริงด้วย เพื่อนลีดโห่แซวกันใหญ่เลย "ไม่มีหรอกครับ"

"ตอบแบบนี้ คนให้กำลังใจก็เสียใจแย่เลยนะครับ"

มองตากูเลยนะไอ้พี่ตอง ถ้าไม่เลิกกูโกรธมึงแน่

"โอเคครับผม แล้วนี่ก็คือบรรยากาศวันแรกของการซ้อมที่คณะวิทยาศาสตร์นะครับ พรุ่งนี้จะเอาบรรยากาศของที่คณะไหนมาฝากกัน อย่าลืมคิดตามด้วยนะครับ นาวาพล รายงานจากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมัณฑนาครับ"



"ขอบใจมากนะตอง" พี่ทีมงานผู้หญิงเข้ามาขอบอกขอบใจไอ้พี่ตองยกใหญ่ แต่กูนี่ อยากจะลงทัณฑ์มันให้สาสม "เทปแรกได้ตองมาเป็นพิธีกรให้แบบนี้ ต้องน่าสนใจแน่เลย"

"ขอบใจทีมงานทุกคนเหมือนกันนะ"

"จาาาา....  ไม่รบกวนการซ้อมแล้วนะคะ ขอบคุณพี่ลีดน้องลีดทุกคนค่า"

ทีมงานกลับออกไป ไอ้พี่ตองก็กลับไปนั่งที่เดิมเหมือนเดิม และพวกปีหนึ่งทุกคนก็กลับมาซ้อมต่อเหมือนเดิมเช่นเดียวกัน



ไม่ถึงสิบนาทีหลังถ่ายทอดสด มีคนมากมายเดินเข้ามาคุยกันพี่แอม คุยในห้องบ้าง นอกห้องบ้าง ดูจะเป็นเรื่องจริงจังน่าดู มีเรื่องให้ต้องพูดคุยกันเป็นชั่วโมงเชียวเหรอ

"พี่แอมตกที่นั่งลำบากชัวร์เลยกูว่า" ไอ้สุ่ยครับ เรากำลังนั่งคุยกับผมระหว่างพักประจำชั่วโมง

"เรื่องไรวะ" ผมถาม

"ก็เรื่องตำแหน่งไง พี่แอมคิดไรอยู่วะให้กูมายืนตำแหน่งกลาง ผิดกฎชัดๆ"

"ทำไมต้องซีเรียสเรื่องตำแหน่งกันจังวะ เอาจริงๆนะ กูยืนตรงไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละ"

"มันต่างกันนะเว้ย ตำแหน่งกลางคือจุดสนใจของผู้คน อย่างน้อยๆยืนตำแหน่งนี้ก็ทำให้คนจำได้"

"แล้วมึงไม่อยากยืนตำแหน่งกลางเหรอ มึงก็ออกจะเหมาะ กูตัวเล็ก ไปยืนตรงกลางก็ไม่เด่นอยู่ดี"

"ให้ยืนมันก็ยืนได้ แต่มันไม่มีศักดิ์ศรีว่ะ มันเป็นที่ของมึงนะเว้ย แล้วมึงก็เต้นเก่งกว่าทุกคนในนี้ คู่กับเกตุที่เก่งพอๆกัน กูว่ามันก็เหมาะเปล่าวะ อีกอย่าง เห็นพี่ตองช่วยมึงขนาดนั้นแล้วกูก็อดละลายใจไม่ได้"

"คิดมากหนะมึง ไอ้พี่ตองแม่งก็ไม่น่าเลย กูไม่อยากทำตัวมีปัญหา"

"เออมึง พี่เค้าช่วยอะดีแล้ว สิทธิของมึง มึงควรได้"

"....." แต่สิทธินี้มันแลกมาด้วยศัตรูนี่ซิ ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ไม่ดีอยู่แล้ว



"น้องครับ ที่รบกวนมารวมกันตรงนี้หน่อยนะ" พี่บุ๋นเรียก "ตอนนี้พี่แอมติดไปห้องซ้อมคณะอื่นนะครับ ก็เลยฝากพี่มาบอกน้องๆเรื่องตำแหน่งที่เปลี่ยนไป น้องน้ำชาจะมายืนแทนตำแหน่งของสุ่ยนะ แล้วก็สุ่ยไปยืนแทนที่น้ำชา มัน... มันมีปัญหานิดหน่อยนะ แต่อย่ากังวลนะน้องๆ เราเลือดวิดยาเหมือนกัน"

นั่นไง แผนของไอ้พี่ตอง สำเร็จจนได้

"เอาหละครับ เดี๋ยวหลังจากนี้เราจะเรียนการแสดงกันนะครับ การซ้อมต่อวันจะมีแค่สามชั่วโมงนะ อีกหนึ่งชั่วโมงสุดท้ายจะเป็นการเรียนเสริม วันนี้เรียนการแสดงกันก่อนนะครับ เดี๋ยวจะมีพี่จากข้างนอกมาสอน ไงก็นั่งรอพี่เค้ามา แป๊บเดียว โอเคนะน้องๆ"



"สุ่ย" ผมรีบเดินไปหาสุ่ยเลย "กูไม่ได้อยากให้เป็นงี้นะ"

"เห้ย กูนึกว่ามึงจะเข้าใจกูแล้วนะ กูยินดีด้วยซ้ำที่มึงได้สิทธิของมึงคืน เราเป็นทีมเดียวกันแล้ว อย่ามาคิดมากกับเรื่องแค่นี้เลย"

"เออๆ โอเคมึง ไม่คิดมากก็ไม่คิดมาก"



คลาสการแสดงหนึ่งชั่วโมงสุดท้ายวันนี้เหมือนการพักผ่อน ส่วนใหญ่เราก็แค่หลบตา นึกภาพตาม พูดคำเดียวกันแต่สื่อความหมายที่แตกต่างให้ได้ ก็ยังไม่ใช่บทเรียนที่หนักอะไร

จนกระทั่งหมดชั่วโมง ไอ้พี่ตองดี๊ด๊าเป็นพิเศษเลย นี่ไม่ง่วงเลยรึไง ได้ข่าวว่ายังไม่ได้นอนเลยนะ

ก่อนออกจากห้องซ้อม พี่ๆมีการมอบขนมเล็กๆน้อยๆให้น้องๆทุกคนด้วย เพราะใส่ใจแบบนี้ซินะ พวกผู้นำเชียร์ถึงได้รักกัน



"ไปกินข้าวกันเลยไหมครับ ชาจะได้รีบนอน" นั่นคือคำแนะนำจากไอ้ตัวสูง

"บ้าเหรอ รีบกินข้าวจะได้รีบไปติวต่างหากหละ"

"ไว้ติวพรุ่งนี้ก็ได้ วันนี้ชาเหนื่อยมากแล้ว เมื่อคืนก็แทบจะไม่ได้นอน ต้องลำบากทำงานให้พ่อพี่แบบนั้น พี่รู้สึกผิดนะ"

"ชาก็รู้สึกผิดเหมือนกันถ้าพี่สอบตก"

"...... ชา  ไหวแน่นะ"

"ไหวซิ แต่ที่ไม่ไหวคือเรื่องเมื่อกี๊ต่างหาก" ตอนนี้เราออกมาไกลจากห้องซ้อมมากแล้ว "เรื่องที่พี่พยายามเปลี่ยนตำแหน่งให้ชา แบบนี้พี่แอมมีแต่จะไม่พอใจชามากขึ้น"

"ก็มันเป็นสิ่งที่ชาควรได้นะครับ"

"ไม่เห็นจำเป็นเลย ชายืนตรงไหนก็ได้"

"มันไม่เหมือนกันนะชา ตำแหน่งกลางจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเป็นลีดมหาลัยให้ชา ตัวพี่ ไอ้บุ๋น ก็ยืนตำแหน่งนี้กันมาก่อน มันทำให้คนชินตากับเรามากกว่าคนอื่นๆ หรือชาไม่อยากเป็นลีดมอแล้ว ไม่อยากใกล้ชิดพี่แล้วเหรอ"

ไอ้พี่ตอง หยอดกูอีกแล้ว "นี่ก็ใกล้เกินพอแล้วมั้ง ยังต้องเป็นลีดมออีกเหรอ"

"ต้องเป็นซิครับ" ส่งสายตาอีกแล้ว "ก็เพราะว่า....





พี่ไม่อยากเป็นเจ้าชายที่รอคอยความรักอย่างโด่ดเดียวบนหอคอยไง"
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: uyong ที่ 10-11-2017 12:16:42
หยอดน้องแบบนี้คนอ่านเขิลนักมากกก :-[ o13
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 10-11-2017 14:09:56
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 17 [เกาหลี]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 23-11-2017 21:11:40
ตอนที่ 17 : เกาหลี Part 1


​ในที่สุดชีวิตของผมก็เข้าสู่โหมดปกติสักที

หลังจากความพยายามย้ายตำแหน่งที่่ยืนของผมตอนนั้น พี่แอมก็เลิกยุ่งกับผมไปแล้ว เธอหันมาทำหน้าที่ของตัวเองอย่างมืออาชีพเหมือนเดิม แต่ก็ยังคงทำเหมือนผมเป็นอากาศเหมือนเดิมด้วยนะ

ส่วนไอ้พี่ตองก็ยังพยายาม... จีบ ผมต่อไป เอาจริงๆนะ ผมก็ไม่เข้าใจว่ามันจะอะไรกับผมมากมาย ยังไงตัวผมเองก็ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่ใกล้เค้าอยู่แล้ว แต่เพราะผมไม่อยากให้กิจวัตรหลักเปลี่ยนไป ผมจึงอนุญาตให้มาเฝ้าผมซ้อมได้แค่วันอังคารกับวันศุกร์เท่านั้น เพราะว่าพี่แกมีเรียนที่ตึกแมทอยู่แล้ว

ตอนนี้ภาระกิจหลักของผมและพี่ตองในแต่ละวันจึงมีแค่ เช้าเรียน บ่ายซ้อม เย็นไปช่วยงานที่โรงพยาบาลบ้าง ค่ำติว แล้วก็แยกย้ายไปนอน ทุกอย่างมันก็กำลังจะปกติดีอยู่แล้วนะ ถ้าไม่ต้องมาเจอกับ....



"สวัสดีครับอาจารย์จักรกฤษ" ผมถูกเรียกในเที่ยงของวันศุกร์โดยอาจารย์ประจำภาควิชาท่านหนึ่ง และแน่นอนไอ้พี่ตองก็ต้องมาเฝ้าผม ซึ่งตอนนี้ก็รออยู่หน้าห้องแล้ว "อาจารย์เรียกผมเหรอครับ"

"ใช่ๆ นั่งก่อนซิ" อาจารย์ท่านตอบ "เป็นไงบ้าง พอจะเรียนได้ไหม มหาวิทยาลัยเล็กๆแบบนี้"

"เล็กอะไรกันละครับอาจารย์"

"ครูนิแปลกใจมากเลยนะ วันที่เห็นชื่อเธอมาโผล่ที่นี่ อาจารย์ในภาคแทบจะกระโดดโลดเต้นกันใหญ่ มีเด็กอัจฉริยะภาพทางคณิตศาสตร์มากเรียนที่นี่ แต่ก็ทำเอาเครียดเหมือนกันว่าจะสอนเธอรวมกับเพื่อนๆได้ยังไง"

"มีตั้งหลายอย่างหลายเรื่องที่ผมยังไม่รู้เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ เรียนรู้ได้ช้าหรือเร็วก็เป็นเรื่องของแต่ละคน แต่ผมไม่มีปัญหากับที่นี่นะครับ ทุกอย่างของที่นี่ดีอยู่แล้ว"

"ได้ยินอย่างนี้ก็สบายใจ... คือที่เรียกมาวันนี้อะนะ... อ้าว นั่น มาพอดีเลย นั่งก่อนซิ คฑาเทพ"

ห๊ะ

ขิง  โดนเรียกเหมือนกันเหรอ

"สวัสดีครับอาจารย์จักรกฤษ อ้าว ชา" ขิงก็สงสัยที่เห็นผม

"พอดีเลย นั่งก่อนๆ" อาจารย์หนุ่มกำลังจะอธิบายที่มาที่ไปของเรื่องทั้งหมด "คืออย่างนี้นะ พอดีว่าพรุ่งนี้จะมีสัมนาทางวิชาการด่วน โดย ดร.คิมจอนชู รู้จักใช่ไหม"

"รู้ครับ" ขิงตอบพร้อมผมเลย ก็คนดังด้านคณิตศาสตร์ คนในวงการก็ต้องรู้อยู่แล้ว

"แล้วในประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงของเกาหลีก็ถูกเชิญไปที่นั่นเหมือนกัน ส่วนใหญ่ก็เป็นตัวแทนนักศึกษานั่นแหละ ครูเห็นว่าเธอสองคนเป็นเบอร์หนึ่งกับเบอร์สองของที่นี่ ถ้าไม่ส่งไปก็คงเสียดายโอกาสแย่ ว่าไงอยากไปไหม"

"ไปเกาหลีเหรอครับ" ผมรีบถามเลย จู่ๆก็จะให้ไปที่ไกลๆ "พรุ่งนี้ด้วย"

"ใช่ ค่อยข้างด่วนหนะ เป็นสัมนาส่วนตัวนะ ไม่ใช่งานใหญ่ ได้เจอ ดร.คิม แบบใกล้ชิดเลยหละ"

"ผมคงไม่สะดวกครับอาจารย์" ก็นี่มันยังเป็นช่วงอาทิตย์แรกของการเรียน ไหนจะต้องซ้อมอีก ติวให้พี่ตองอีก อาทิตย์หน้าก็จะมีคนมาทดสอบพี่ตองแล้ว ถึงงานจะน่าไป แต่เอาทางนี้ให้รอดก่อนดีกว่า "ผมติดภารกิจเยอะหนะครับ"

"น่าเสียดายเนาะ แต่ครูก็พอเข้าใจ มันด่วนมากจริงๆ... แล้วเธอหละ คฑาเทพ"

กรรม ลืมไปเลยว่าขิงเองก็ได้รับเชิญนี่นา ถึงไม่หันหน้ามาก็รู้ว่ากำลังผิดหวัง ขิงรักทุกอย่างที่เป็นคณิตศาสตร์ โอกาสเจอคนดังแบบนี้ สำหรับคนในวงการอย่างขิงคงไม่อยากพลาด แต่ถ้าให้ไปต่างประเทศคนเดียว ขิงคงจะ....

"งั้นผมก็..."

"ผมเปลี่ยนใจแล้วครับอาจารย์ ผมว่าผมไปดีกว่า" รีบตัดบทดีกว่า งานนี้ทำเพื่อขิงบ้าง ตอบแทนบุญคุณที่ผ่านมาทั้งหมดที่ขิงทำให้เรา "อย่างที่บอกแหละครับ โอกาสแบบนี้หายาก"

"ชา ไปได้เหรอ ไม่ต้องซ้อมลีดเหรอ" ขิงหันมาถามผม

"อ๋อ ไม่ต้องห่วง ครูเตรียมหนังสือลาไว้ให้แล้ว ของทั้งสองคนเลย เดี๋ยวจะส่งไปให้ห้องเชียร์คณะวิทย์กับศึกษา ถ้าเธอทั้งคู่ ตกลงว่าจะไปนะ แต่ก็ลาแค่บ่ายวันนี้เท่านั้นนะ"

"ครับ ผมตกลงครับ" แค่วันเดียว คงไม่มีปัญหานะ

"ผมก็ตกลงครับ" ยิ้มแป้นเลยนะขิง แต่แบบนี้ก็ดีแล้วหละ ขิงเป็นคนขยัน ควรได้รับสิ่งดีๆแบบนี้

"แล้วเคยไปเกาหลีกันบ้างหรือยัง"

"ยังครับ" ขิงตอบพร้อมผมเช่นเคย

"ไม่ต้องห่วง ครูเตรียมเรื่องนี้ไว้แล้ว"



ก๊อก ก๊อก ก๊อก

​มีแขกอีกคนเข้ามาในห้องอีกแล้ว

"สวัสดีครับ"

หืออออออออออ  พี่ท๊อป

พี่ท๊อปเดินเข้ามาอีกคน แต่เก้าอี้ไม่เหลือแล้ว พี่เค้ายืนอยู่ด้านหลังของผม

"คงรู้จักพี่ท๊อปกันอยู่แล้วนะ" รู้จักซิครับ "ครูขอให้ท๊อปเค้าช่วยดูแลการเดินทางครั้งนี้ของเธอสองคนให้ เรื่องที่พักอะไรพวกนี้ด้วย พี่เค้าไปเกาหลีบ่อย คงจะช่วยได้มากเลย"

เอาแล้วไงกู งานเข้ากูสิบแปดล้านเปอร์เซ็น

"ไงก็ฝากด้วยนะท๊อป เอาหละเด็กๆ เดี๋ยวครูจัดการเรื่องหนังสือลาให้ แล้วก็รีบไปจัดกระเป๋ากันได้แล้วนะ ท๊อปจองเครื่องไว้กี่โมงนะ"

"ห้าโมงเย็นครับอาจารย์" พี่ท๊อปตอบ ผมแอบเห็นนะ พี่กำลังยิ้มอยู่

"งั้นก็รีบเลย"

ผมรู้เลยว่า ออกไปจากห้องจะเจอกับสีหน้าพี่ตองแบบไหน



"ชา" นั่นไง ขอซื้อหวยงวดนี้ใบนึงดิ เผื่อจะทายถูก เหมือนที่ทายถูกว่าไอ้พี่ตองมันกำลังทำหน้าหงุดหงิดเบอร์ใหญ่ใส่ผม ต่างจากพี่ท๊อปที่เดินยิ้มละลื่นออกมา

"ห้าโมงเย็นเจอกันที่สนามบินนะน้องน้ำชา" พี่ท๊อปเดินจากไปอย่างผู้มีชัย "เจอกันนะน้อง" ไม่ลืมที่จะบอกขิง

"ไปไหนกัน" อ้าวมีใครประสานเสียงด้วยอีกคน

ไอ้เพื่อนต้อมสารเลว ​ก็อยู่ที่นี่ด้วย นี่มันกับขิงตัวติดกันหรือไงวะ

"พี่ถามว่าจะไปไหนกัน" ไอ้นี่ก็หน้าดุจังเลย

"เกาหลี" กูไม่ได้เลือกสถานที่เองนะ

"ไปทำไม จะไป..."

"สัมนาวิชาการครับพี่ตอง" ขิงรีบตอบให้ ขิงคงจะควันในกองไฟซินะ

"เมื่อไหร่" นี่จะมองหน้ากูอีกนานไหม

"พรุ่งนี้ครับ แต่ขึ้นเครื่องห้าโมงเย็น"

"แล้วเคยไปเหรอ พักยังไง เดินทางยังไง กินอยู่ยังไง" นี่คือจะไม่หันไปมองขิงเลยใช่มะ

"พี่ท๊อปคนเมื่อกี๊จะช่วยดูแลเรื่องที่โน่นให้ครับ" อะๆ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว บอกข้อมูลไอ้บ้านี่ให้ครบไปเลยขิง

"พี่ท๊อปเหรอ.... จำเป็นต้องไปขนาดนั้นเลยเหรอ"

"ก็...."

"จำเป็นซิ" พอเลยขิง ไม่ต้องพูดไรแล้ว เดี๋ยวกูจัดการเองงานนี้ "งานวิชาการคณิตศาสตร์ จากคนดังทางคณิตศาสตร์ ไม่ได้จัดขึ้นห้าวันต่อสัปดาห์เหมือนห้องเชียร์นะ ถ้าไม่คิดว่าชาควรไป ก็คิดไหมว่าขิงควรไปไหมหละ"

จะยอมอ่อนลงไหมห๊ะ นี่กูทำเพื่อน้องมึงนะ

"ขิงอยากไปเหรอ" ไอ้พี่ตองหันไปคุยกับขิง เออ รู้จักมีเหตุผลซะบ้าง คิดว่ากูเป็นคนวางแผนขึ้นมารึไง "แล้วให้ผู้ติดตามไปได้ไหม"

หึ นี่อย่าบอกนะว่าจะตามไป

"ไม่เห็นอาจารย์พูดอะไรเรื่องนี้นะครับ" ขิงตอบ

"งั้นพี่โทรจองตั๋วแป๊บ" เห้ยเอาจริงเหรอ



"ไม่ทันแล้วพี่ ผมโทรแล้ว" อ้าวไอ้ต้อม เห็นแวบออกไป นี่มึงไปจองตั๋วเครื่องบินมาแล้วเหรอ ไวกว่าไอ้พี่ตองอีก "เต็มครับพี่ หลังจากนี้ก็เต็ม เต็มหมดเลย ต้องรอถึงพรุ่งนี้"

"พรุ่งนี้เลยเหรอ" ไอ้พี่ตองหน้าเครียดเลย "ไม่ได้ คืนเดียวก็ไม่ได้" อะไรของพี่แก นี่คิดไรอยู่เนีย

"ชาสัมนาแค่วันเดียว เดี๋ยววันอาทิตย์ก็กลับแล้ว" ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นหรอกน้า

"...." ไม่ตอบ หยิบมือถือออกมาเฉยเลย "ฮัลโหลครับพ่อ พ่อครับ มีคนจะมาแย่งน้องน้ำชาแฟนผมอ่ะ"

หืออออออ โทรฟ้องพ่อ ทำบ้าไรของแกเนี่ย ช็อกเลยกู

"นี่มึง... เป็นแฟนกับพี่ตองแล้วเหรอ" ไอ้ต้อม ไอ้ขี้เผือก รีบถามเชียวนะมึงอ่ะ

"ยังเว้ย" ก็ยังจริงๆอ่ะ

"กูก็นึกว่ามึงเสร็จพี่ตองไปแล้ว" เสร็จพ่อง ไอ้สัดต้อม "สู้กูกับน้ำขิงก็ไม่ได้" หือ? มึงกับขิง ทำไมนะ

"ใช่ดิครับพ่อ ผมอ่ะต้องรีบไปพาแฟนผมกลับมา แต่อยู่ไกลที่เกาหลีโน่น ตั๋วก็เต็มหมดแล้ว ไม่รู้จะไปยังไงเลยครับตอนนี้"

โอ้โห แต่ละประโยคที่ไอ้บ้าพี่ตองมันพูด กูต้องกลับมาสนใจเรื่องนี้เลย เดี๋ยวเรื่องของขิงเอาไว้ถามทีหลัง

"ไม่ได้ๆ ต้องวันนี้เท่านั้นพ่อ ไม่งั้นผมเสียเค้าไปแน่ พ่อก็จะไม่มีนักวางแผนเก่งๆมาช่วยงานที่บ้านอีกแล้วนะ.... โอเคครับพ่อ ขอบคุณมากครับ"

"ได้เรื่องเปล่าพี่" ไอ้ต้อม มึงสนิทกับพี่ตองขนาดนั้นเลยรึไง ถามไวกว่ากูอีก

"เดี๋ยวพ่อพี่จะพยายามหาทางให้" ไอ้พี่ตองตอบอย่างภาคภูมิใจ

"ไปกินข้าวกันเหอะขิง" เลิกสนใจไอ้บ้านี่ดีกว่า จะทำไรก็ปล่อยมันทำไป "เคยมากินที่ใต้ตึกแมทไหม"



เราสี่คนลงมาโรงอาหารที่ตึกภาควิชาเพื่อทานอาหาร ไอ้พี่ตองหน้ายังไม่คลายกังวลเลย สงสัยกลัวว่าจะไม่ได้ตั๋วทันวันนี้ ไอ้ต้อมยิ่งแล้วใหญ่ ไม่รู้จะอยากไปอะไรกันนักกันหนา



"ฮัลโหลครับพ่อ" ข้าวกำลังจะเข้าปากอยู่แล้ว พ่อพี่ตองก็โทรมา "ครับ ครับ โอเคครับ โอเคครับพ่อ ขอบคุณมากนะครับ"

"เฮ้ย ต้อม" พี่ตองหันไปคุยกับไอ้ต้อม ตาเหลือกเลย "ได้ตั๋วแล้วว่ะ"

"รอบไหนพี่" ไอ้ต้อมก็ตื่นเต้น

"อีกสองชั่วโมงเครื่องขึ้น"

ห๊ะ!!! ช็อกกันหมดนี่แหละ

"ไปเดี๋ยวนี้เลยมึง" พี่ตองแทบจะร้องออกมา "ไม่กงไม่กินแล้วข้าวอ่ะ"

"เดี๋ยว... " เรียกไม่ทันเลยกู วิ่งเร็วเกิ๊น

"เดี๋ยวต้อมไปรอที่เกาหลีนะ" ไอ้สัดต้อม มึงไม่ต้องมาอำลาหวานหยดย้อยใส่ขิงต่อหน้ากูเลย "รักน้ำขิงนะครับ จุ๊บ"

เฮือกกกกกกกก

​มันถึงขั้นไหนกันแล้ววะ ทำไมไอ้ต้อมหอมแก้มขิงหละ ขิงก็ดูจะช็อกๆเหมือนกัน นี่มีเรื่องตื่นเต้นรอบตัวกูเยอะเกินไปแล้วนะ

"ไปรับผมที่หอด้วยนะพี่" นั่นคือเสียงสุดท้ายจากไอ้ต้อมเพื่อนสารเลวของผม

ตอนนี้ผมเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่า ไอ้ต้อมมันเป็นเพื่อนสารเลวจริงๆด้วย มันให้พี่ตองไปรับมันที่หอ แสดงว่าไอ้สองคนนี้มันต้องรู้จักมักจี้สนิทสนมกันเป็นอย่างดี ถึงขั้นรู้จักหอของกันได้ นั่นก็แปลว่าข้อมูลเบื้องลึกเบื้องหลังทั้งหมดที่ไอ้พี่ตองรู้เกี่ยวกับผม มาจากมันนี่เอง

เดี๋ยวเถอะมึง สักวันหนึ่ง กูจะยุให้ขิงดุมึงโหดๆเลย นี่ก็ช็อกไม่หายซะที เค้าหอมแก้มไปตั้งนานแล้ว





"ใส่เสื้อผ้าหนาหน่อยดีกว่าไหม พี่เกาหลีหิมะกำลังลงนะช่วงนี้" คำแนะนำของพี่ท๊อปหลังจากที่ผมและขิงมาถึงสนามบิน "แล้วไม่มีใครมาส่งเหรอวันนี้"

หมายถึงไอ้พี่ตองละซิ มันไปถึงโน่นแล้ว ฟาดสาวเกาหลีไปทั้งประเทสแล้วมั้งป่านนี้ "ไม่มีครับ"

"แปลกเนอะ.... ไปกันเถอะ เครื่องจะขึ้นแล้ว น้องชื่ออะไรนะครับ"

"ขิงครับ" ขิงแนะนำตัว

การเดินทางไปเกาหลีครั้งแรกของผมและขิง ก็ตื่นเต้นนิดหน่อย แต่เราไม่ได้ไปเที่ยวกัน ก็คงไม่ใช่ทริปหวือหวาเท่าไหร่นัก แต่พี่ท๊อปนี่ซิคงจะปลื้มเอามากที่เราเดินทางมาด้วย

ความจริงผมก็ดูออกนะว่าพี่ท๊อปมันคิดกับผมเกินน้อง แต่ทำไมต้องเป็นผมวะ ผู้หญิงสวยๆมีเยอะแยะ หน้าตาโอปป้าขนาดนี้ มีแต่คนจะคลานเข่าเข้ามาหา ไอ้เราก็ไม่กล้าปฏิเสธอะไรมาก พี่เค้ามีบุญคุญครั้งสำคัญอยู่ซะด้วย ทำไมชีวิตกูถึงมีผู้มีพระคุณเยอะจังวะ

หลังจากหลับไปเกือบห้าชั่วโมง ถึงซะที

​เกาหลี แดนกิมจิ

​​ทันทีที่ประตูเครื่องบินเปิด อากาศหนาวจับใจก็เข้ามาแทนที่ในเครื่องบินทันที ถึงแม้ประตูเครื่องจะต่อตรงกับอากาศภายในสนามบิน แต่ก็ชัดเจนว่า อากาศที่นี่หนาวมากจริงๆ

เราสามคนยืนรอกระเป๋าสักพัก  แล้วเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย



"นั่นมัน... ตองนิ" พี่ท๊อปชี้ไปที่หนุ่มหล่อสองคนที่สาวๆเกาหลีกลุ่มหนึ่งกำลังยืนเก้อๆเขินๆอยู่ข้างๆ

กูว่าแล้วเชียว ไอ้หัวสกินเฮดเอ๊ย ไปไหนมาไหนสาวๆก็รุม

"น้ำชา มาถึงแล้วเหรอครับ ช้าจังนะ" แหมมมม ไอ้พี่ตอง แล้วก็เดินมาแย่งกระเป๋าของผมไปลากด้วย ของตัวเองก็ไม่ใช่น้อยๆนะ ยังจะมาทำเท่อีก ส่วนไอ้ต้อมไม่ต้องสงสัย เข้าประชิดตัวขิงเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ

"เอ่อ...." พี่ท๊อปคงจะยังช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้น "งั้นเรารีบไปที่โรงแรมกันดีกว่านะ พี่ต้องเข้าไปที่บริษัทต่อ"

"โอเคครับ" ผมรีบตอบ รีบไปจากตรงนี้ดีกว่า

เราทั้งห้าขึ้นรถไฟฟ้ากว่าครึ่งชั่วโมงเพื่อลงยังโรงแรมที่ได้รับการจองไว้



"안녕하세요​"

อือหือ พี่ท๊อปคุยกับพนักงานโรงแรมเป็นภาษาเกาหลีซะด้วย ถ้าสาวๆที่มหาลัยมาเห็นฉ็อตนี้ กรี๊ดลั่นทุ่งแน่นอน

ส่วนไอ้พี่ตองกับไอ้ต้อมก็รีบทำการเข้าจองห้องเหมือนกัน ได้เห็นพี่ตองใช้ภาษาอังกฤษครั้งแรก ก็เก่งเหมือนกันนี่นา สงสัยโดนพ่อบังคับให้เรียนภาษาอังกฤษเพราะต้องใช้ในธุรกิจแหงเลย

"โอเคครับ ชากับขิง ได้ห้องชั้นบนสุดนะ" พี่ท๊อปส่งกุญแจห้องให้ผม เห็นได้ชัดว่าพี่แกไม่พอใจนักที่สองผู้ติดตามจะพักที่นี่ด้วย แต่นั่นคงอยู่นอกคำสั่งของอาจารย์จักรกฤษ "พรุ่งนี้เช้าจะมีรถมารับไปที่สัมนาตอนแปดโมงนะ ลงมารอที่ล็อบบี้ได้เลย มีอะไรก็ให้พนักงานโทรหาพี่นะ พี่บอกวิธีติดต่อเค้าไว้แล้ว"

"ขอบคุณมากเลยนะครับพี่" ถึงยังไงพี่ท๊อปก็ดีกับเราเสมอจริงๆ

"ยินดีอยู่แล้ว เอาเป็นว่าพี่ต้องไปแล้วนะ เดี๋ยวเข้าบริษัทไม่ทัน อ่อ พรุ่งนี้ตอนเย็น อาจารย์จักรกฤษขอให้พี่พาน้องๆไปเที่ยว งั้นเดี๋ยวเจอกันพรุ่งนี้นะ"

พี่ท๊อปเดินจากไปอย่างกับว่าเป็นบ้านตัวเอง คงจะมาบ่อยจริงๆ

"แค่ไปเที่ยวเอง ใครก็พาไปได้" ไอ้พี่ตองจะมาแควะคนอื่นให้ฟังทำไม

"อะไรของพี่เนีย นั่นพี่ท๊อปนะ ก็รู้จักกันดีไม่ใช่รึไง" จะมาไม่ถูกกันเพราะเราทำไมก็ไม่รู้ ไม่เข้าท่าเลย

"ตอนนี้ไม่อยากรู้จักแล้ว" ดูมันตอบดิ "มันจะแย่งน้ำชาไปจากพี่"

"พูดบ้าไร เดี๋ยวคนก็ได้ยินหมดหรอก" ไอ้บ้าพี่ตอง เดี๋ยวนี้ชักเอาใหญ่แล้วนะ

"ใครจะฟังรู้เรื่อง นี่มันเกาหลีนะ ไม่ใช่บ้านเรา"

"ผมไงพี่" ไอ้ต้อมเข้ามาแจมพร้อมขิง "ผมฟังรู้เรื่อง ใช่ไหมครับน้ำชาของพี่ตอง"

เพลี๊ยะ

​นี่ไงของขวัญต้อนรับการมาถึงเกาหลีของมึงจากกู ตบเกรียนหนึ่งดอก ขาดรสมือกูไปนานนะมึงเนีย

"โอ้โหเพื่อน ตบหัวกูต่อหน้าแฟนกูเลยเหรอ" โห ไอ้นี่ พูดเต็มปากเต็มคำเลยนะ "เออมึง ไหนๆก็ไหนๆแล้ว มึงมาแลกห้องกับกูปะ ห้องก็ใกล้ๆกันด้วย กูจะได้อยู่กับแฟนกู มึงก็จะได้อยู่กับพี่ตองไง"

"เรื่อง" อย่ามาโมเม "มาด้วยกันก็นอนด้วยกันไปดิ หรือว่า... ขิงอยากนอนกับไอ้ต้อมเหรอ" ขิงแสดงท่าทางปฏิเสธอย่างชัดเจน "งั้นก็ไม่ ไปกันเถอะขิง ที่นี่หนาว ชาง่วงจะแย่แล้ว" ปล่อยไอ้สองคนนี้ไว้ให้เป็นหมามองกระดูกต่อไป

"แต่ชานอนมาตั้งห้าชั่วโมงแล้วนะ" เออ ขิง ไม่ต้องพูดมากหรอกหนะ



คืนและวันในเกาหลีผ่านไปอย่างเรียบง่าย ไม่มีเรื่องให้ตื่นเต้นนัก แต่ไม่ใช่กับขิงนะ ขิงมีประเด็นและคำถามมากมายในวันนี้ ผมเลือกไม่ผิดซินะที่พาขิงมาที่นี่ นานๆทีลูกพี่ลูกน้องที่แสนเรียบร้อยของผมจะได้ออกมาท่องโลกกว้างบ้าง

ส่วนไอ้พี่ตองกับไอ้ต้อมอะเหรอ สงสัยแข็งตายอยู่ข้างนอกแล้วมั้ง เห็นคุยกันว่าจะไปเที่ยวนั่นดูนี่ระหว่างรอ แต่หิมะตกลงมาขนาดนี้ จะทำอะไรได้ ผมว่า ไม่วายก็ยังนั่งรอผมอยู่แถวๆนี้แหละ ริวสัมผัสได้

==มีต่อ Part 2==
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 17 [เกาหลี2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 23-11-2017 21:13:29
ตอนที่ 17 : เกาหลี Part 2



"วันนี้ได้เจอคนสำคัญๆเยอะเลยเนาะ" ขิงปราบปลื้มใหญ่หลังจากงานสัมนาจบลง "ขิงได้คุยกับเพื่อนต่างชาติด้วยนะ หลายๆคนบอกว่ารู้จักชาด้วยนะ แต่เพิ่งรู้ว่าชาหน้าตาเป็นแบบนี้"

"แบบไหนกันขิง" พูดดีๆนะขิง

"ก็... น่ารักไง น่ารักจนพี่ตองตามมาจีบถึงเกาหลีเลย" ขิงชี้ไปที่ประตู ภาพการโบกมือทักทายของพี่ตองกับไอ้ต้อมที่หน้าประตูกระจก แล้วก็.... พี่ท๊อปที่กำลังเดินมา



จะพูดว่าไงดีหละ ตอนนี้ผมอยากเป็นขิงมากๆเลย เพราะมีไอ้ต้อมคนเดียวที่คอยมาวอแวเอาใจใส่ แต่ผมเนียเหมือนอยู่ท่ามกลางสงครามประสาท พี่ท๊อปก็พอพี่ท๊อป ไอ้พี่ตองก็ไม่ยอม เดี๋ยวก็จะซื้อนั่นให้ เดี๋ยวก็จะเอานี่ให้กิน เอาวะ แค่ทำตัวอยู่ตรงกลางไม่ให้สองคนนี้มีเรื่องกันก็พอ

ทำไมการเที่ยวเกาหลีของกูถึงต้องอึดอัดขนาดนี้ด้วยยยยย



จนกระทั่งเรามาถึงตลาดยามค่ำท่ามกลางหิมะของสักทีนึงในเกาหลี

"ซื้อถุงมือใส่อีกอันดีกว่า หนาวมาก ไม่ไหวแล้ว" ผมบ่นกับตัวเองทันทีที่มองเห็นร้านขายถุงมือกันหนาว มีสีสันให้เลือกมากมาย

"เอาอันนี้ไหม สีชมพู ที่เกาหลีกำลังฮิตเลย" พี่ท๊อปแนะนำ ได้ยินที่เราบ่นด้วยเหรอ พี่แกหยิบถุงมือยื่นมาให้ผม ก็น่ารักดีนะ แต่สีหวานไปไหมเนี่ย

"พี่ว่าสีขาวสวยกว่านะ" นั่นไง สงครามเกิดอีกแล้ว ไอ้พี่ตองเข้ามาเสนอถุงมืออีกคู่ให้ผม ขิงกับไอ้ต้อมก็เดินสวีทกันสองคน ไม่คิดจะช่วยกูเลยรึไง

"งั้นเอาทั้งสองอันเลยก็แล้วกันครับ" เออ ตัดสินใจแบบนี้แหละ จะได้ไม่ต้องมาเรื่องยาวต่อ

"ไม่ได้" อ้าว อะไรวะ ไอ้พี่ตอง "มือมีอยู่แค่นี้ จะใส่สองคู่ได้ยังไง ชาจะเลือกอันไหนสีขาวหรือสีชมพู"

นี่มึงถามกูเรื่องถุงมือจริงๆใช่ไหม หน้ามึงเนีย ไม่ใช่เลยนะ หันไปหาพี่ท๊อปก็พอกันเลย นี่จะเล่นสงครามประสาทกันอีกนานไหม

"ไม่เลือกอะไรทั้งนั้นแหละ เอามานี่" ผมคว้าถุงมือจากทั้งสองคนอย่างหงุดหงิด ส่งให้เจ้าของร้านที่มองอย่างลุ้นๆและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น "I want it all, how much?" ผมรีบจ่ายเงินและเดินออกไปจากสองคนนั้น

ไม่เอาแล้ว เบื่อ ทำไมต้องมาอยู่ในสถานการณ์นี้ด้วยวะ

ผมเลือกที่จะไปเดินกับขิงแทน ช่างไอ้ต้อมมัน กูไม่ทนเรื่องบ้าๆแล้ว อยากกลับประเทศกูแล้วโว้ยยยย



"ชาๆ เดี๋ยวก่อน" ขิงเรียกผม ตอนนี้เป็นเวลาค่ำที่เรามาหยุดกันที่สะพานแห่งหนึ่งใกล้ๆกับตลาด "ขิงลืมซื้อโสมไปให้แม่ แม่บอกว่าอยากได้โสมจากเกาหลี เมื่อกี๊ขิงเห็นอยู่ท้ายตลาด ขอไปซื้อแป๊บนึงนะ"

"เดี๋ยวต้อมไปเป็นเพื่อน"

"ไม่ต้อง กูไปเอง" ไม่ต้องมาทำหน้าสลดใส่กูไอ้ต้อม กูไม่ต้องการอยู่ตรงนี้ แล้วก็มึงสมควรได้รับการลงทัณฑ์จากกูที่เอาความลับกูไปบอกไอ้พี่ตอง



ผมกับขิงข้ามถนนไปซื้อของตามที่ขิงต้องการ ผมก็เห็นหมวกไหมพรมสีฟ้าเทา ซื้ออันนี้ไว้ให้ไอ้พี่ตองดีกว่า แต่เอาไปให้ที่ไทยนะ ขืนให้ตอนนี้ สงครามเกิดอีกแน่ ๆ

ระหว่างทางกลับเหมือนผมจะเห็นทางใต้ดินนะ เหมือนกับว่ามันจะพาไปทางฝั่งโน้นได้เหมือนกัน

"ขิงๆ ไปทางนี้ดีกว่า เค้าคงทำไว้ไม่ให้คนข้ามถนนอ่ะ" คิดว่าเดาไม่ผิดนะ

"นั่นซิ" ขิงเห็นด้วย

เราสองคนก็เดินทำหน้าเหมือนกัน 555 มุกครับมุก เราหน้าเหมือนกันอยู่แล้ว เราเดินกันจนเจอกับบันไดอีกฝั่งหนึ่งซึ่งทำให้ขึ้นไปเจอกับทั้งสามคนที่รออยู่ได้



"ผมว่าพี่สองคนควรจะเคลียร์กันได้แล้วนะ" หึ นั่นเสียงไอ้ต้อมนิ

"เดี๋ยวก่อนๆ" ผมรีบกระซิบกับขิง ขิงเองก็ได้ยินเหมือนกัน

"ผมเห็นนะพี่ ผมนั่งอยู่บนดาวอังคารก็เห็นว่าพี่สองคนกำลังแย่งกันจีบไอ้ชาเพื่อนผมอยู่ แล้วนี่มันยังไงกันอ่ะ"

"ผมเคารพพี่นะพี่ท๊อป" นี่เสียงไอ้พี่ตองซินะ น้ำเสียงเครียดน่าดูเลย "แต่เรื่องน้ำชา ผมกับเค้าก็มีความสัมพันธ์กันมาพอสมควรแล้ว น้องเข้ามามหาลัยนี้ก็เพราะอยากเจอผม ใช่ไหมต้อม"

"ก็....จริง" ไอ้ต้อมสนับสนุน

"แล้วน้องน้ำชา เค้าตกลงปลงใจเป็นแฟนกับตองแล้วเหรอ" พี่ท๊อปพูดบ้าง "พี่ก็ไม่เห็นน้องจะว่าอะไรพี่เลย ถ้าเกิดเป็นแฟนกันจริงๆแล้ว พี่จะกล้ายุ่งเหรอ"

"นั่นดิพี่" อ้าว ไอ้ต้อม มึงเข้าข้างใครกันแน่วะ "นี่สรุปว่าพี่กับไอ้ชาเป็นแฟนกันหรือยัง ผมถามมัน มันก็ปฏิเสธ"

"....." พี่ตองเงียบ

"งั้นพี่ก็มีสิทธิเท่ากับตอง" พี่ท๊อปบอก

ผมเอาถุงมือสองคู่ที่ซื้อออกมาดู มันสะท้อนความเป็นจริงตอนนี้จริงๆ ผมกำลังทำให้พี่ตองเสียใจและกำลังทำให้พี่ท๊อปมีความหวัง ผมควรจะทำยังไงดี

ขิงเอื้อมมือมาวางที่ไหล่ผมและมองหน้าอย่างเห็นอกเห็นใจ

"เราเป็นพี่น้องกันมานานนะตอง แต่เรื่องนี้ถ้าไม่ได้ยินจากปากของน้องน้ำชาเอง พี่ก็ถือว่าเราเสมอกัน.... พี่ขอไปดูสองคนนั้นก่อนนะ หายไปนานแล้ว"

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ขึ้นไปดีกว่า เดี๋ยวพวกนั้นจะเข้าใจว่าเราหายไปไหน



"สรุปว่าพี่จีบไอ้ชาเย็นยังไม่ติดว่างั้น" ไอ้ต้อมเปิดประเด็นอีกครั้ง ผมกับขิงก็ชะงักอีกครั้งเหมือนกัน

"ก็... เออดิ" พี่ตองตอบ มีเสียงถอนหายใจด้วย "พี่ถึงไปห้ามไรพี่ท๊อปไม่ได้ไง"

"กากสัดเลยว่ะพี่"

"มึงก็ไม่ต้องตอกย้ำกูก็ได้มั้ง กูช่วยมึงเรื่องขิงนะ"

"เอาเหอะพี่ ไอ้ชามันก็เป็นแบบนี้แหละ ทั้งเกรียน ทั้งปากแข็ง" อ้าว ไอ้เพื่อนเวร "แต่ผมก็เชื่อว่ามันมีใจให้พี่นะ ไม่งั้นเรื่องเมื่อแปดปีที่แล้ว มันจะเก็บมาจำขนาดนี้ทำไม"

"นั่นก็อีกเรื่องแหละว่ะ เอาจริงๆนะ หรือว่าจริงแล้วน้ำชาไม่ได้ชอบพี่วะ แต่ทนอยู่เพราะบุญคุณที่พี่เคยช่วยชีวิตเค้าไว้ แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆที่ผ่านมาแสดงว่าเค้าก็ต้องทำเพราะฝืนใจทำอะดิ หรือสุดท้ายแล้วความรักของพี่มันจะเป็นหมันวะ พี่กำลังทำในสิ่งที่น้ำชาอึดอัดอยู่หรือเปล่า"

"ผมก็เดาไม่ได้เหมือนกันวะพี่ ไอ้ชาเย็นมันอ่านยาก มีปากก็ไม่ค่อยจะพูด ไม่เหมือนขิง"

"เออ มึงอะโชคดี ขิงเป็นเด็กน่ารักเรียบร้อย ไม่พูดโกหก ไม่ปากแข็ง"

"ดีอะไรหละพี่ ผมยังไม่รู้เลยว่าต้องพิสูจน์ตัวเองไปถึงไหน น้ำขิงอ่ะ ถูกเลี้ยงมาอย่างถูกต้อง ทุกอย่างคือความถูกต้อง ความรักสำหรับเค้าเองก็ต้องเป็นผู้ชายกับผู้หญิงเท่านั้น ที่ยอมตกลงเป็นแฟนกับผม เพราะผมสัญญาว่าผมจะพิสูจน์ให้เค้าเห็นให้ได้ ว่าความรักมันมีอะไรมากกว่านั้น"

"จริงดิ เห็นพวกเอ็งรักกันดี ก็นึกว่าลงเอยด้วยดีไปแล้ว"

"ยังหรอกพี่ ผมพูดตรงๆนะ น้ำตาตกในไปหลายรอบมากๆ หลายทีผมก็โดนกีดกันจากตัวน้ำขิงเอง เค้ามีกำแพงบางอย่างที่ผมข้ามไปไม่ได้ กำแพงนี้อาจจะสูงมากก็ได้นะพี่ ซักวันนึงผมอาจจะตกลงมาตายโดยที่ยังข้ามไปไม่ได้ด้วยซ้ำ"

"พี่ก็ไม่ต่างกันหรอก กว่าจะผ่านความเกลียดชังแปดปีที่เข้าใจผิดมาได้ ต้องพิสูจน์กับตัวเอง พิสูจน์กับครอบครัว แต่วันนี้เหมือนเจอทางตันเลยว่ะ แบบนี้พี่จะกล้าพูดกับใครอย่างภาคภูมิใจได้ไงวะว่าน้ำชาเป็นแฟนพี่ แต่ถ้ามองย้อนกลับไป น้ำชาอาจจะอายก็ได้นะที่มีพี่เป็นแฟน"

"พอเหอะพี่ ยิ่งพูดยิ่งทำให้ท้อ เราต้องเป็นกำลังใจให้กันและกันดิ คืนนี้นอนด้วยกันอยู่ดี ปรับทุกข์กันอีกยาวพี่"

"เออ"

ตอนนี้ผมนิ่งสนิทเลย ความเอาแต่ใจของเรา ความปากแข็งของเรา มันสร้างความรู้สึกแย่ๆมากมายให้คนอีกคนได้ขนาดนี้เลยเหรอ คนที่เราบอกว่าเราแคร์เค้าที่สุด คนที่เราเฝ้าฝันที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกับเค้า คนที่เราทุ่มเทมามากมายเพื่อช่วงเวลานี้ เราทำอะไรอยู่วะ

"ชา" ขิงสะงิดผม นั่นมัน พี่ท๊อปนี่นา พี่ท๊อปเดินลอดทางใต้ดินมาเหมือนกัน พี่เค้ากำลังยืนดูผม และเห็นว่าผมถือถุงมือสองคู่ไว้ในมือ

ถึงเวลาที่ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว



"พี่ท๊อปครับ" ผมเดินลงบันไดไปหาพี่ท๊อป และยื่นถุงมือสีชมพูให้พี่เค้า "ผมรับมันไว้ไม่ได้ครับ"

"....." พี่ท๊อปรับถุงมือไปอย่างเงียบๆ "นี่คือสิ่งที่น้องน้ำชาเลือกแล้วใช่ไหมครับ"

"ใช่ครับ" ยอมรับว่าเศร้าและรู้สึกผิดนะ แต่มันควรจะเป็นแบบนี้ตั้งนานแล้ว "ชาเลือกพี่ตองครับ"

การยอมรับครั้งนี้ของผมเหมือนระเบิดโลกทั้งใบออกจากกัน ความกลัวและบางอย่างที่เกาะกุมในใจคล้ายว่าถูกปลดเปลื้องออก

"แบบนี้ก็ดีครับ" แต่คนที่ความเศร้าเกาะกุมอยู่ตอนนี้คงเป็นพี่ท๊อป "พี่จะได้ไม่ต้องหวัง น้ำชาคงอัดอึดที่ปฏิเสธพี่ไม่ได้ พี่ก็รู้ตัวนะ แต่เพื่อเป้าหมายพี่ก็เห็นแก่ตัวไปบ้าง พี่ขอโทษนะ"

"ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมรู้ว่าการทำอะไรเพื่อเป้าหมายมันเป็นยังไง เพราะผมก็ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่ใกล้พี่ตองมาตั้งแปดปีเหมือนกัน"

"พูดแบบนี้พี่คงเข้าไปแทรกระหว่างตองกับน้ำชาไม่ได้แล้วซินะ... งั้นพี่ก็ขอตัวเลยก็แล้วกัน จะได้ไม่ต้องเห็นภาพช้ำใจ"

"พี่อยู่ได้ซิครับ"

"อย่าเลย พี่ต้องเข้าบริษัทด้วย เรียนร้องเรียนเต้นเหมือนเดิม เผื่อวันนึงได้เดบิวต์ จะได้ทำให้ใครบางคนเสียดายพี่"

"แค่นี้สาวๆทั้งมหาลัยก็เสียดายพี่จะแย่แล้วเนี่ย"

พี่ตองหัวเราะเศร้าๆ "พี่ไปนะครับ เที่ยวต่อให้สนุกนะ"

"โชคดีครับพี่ท๊อป"

ผมมองภาพพี่ท๊อปเดินจากไป



"ไปเถอะชา" ขิงเรียกผมให้เดินขึ้นไปข้างบน



บันไดนี้จะเปลี่ยนทุกอย่างไปอย่างสิ้นเชิง



"อ้าว ชา ขิง ทำไมมาโผล่ตรงนี้ละ" พี่ตองตกใจที่เห็นเราสองคน

"มีทางใต้ดินครับ" พี่ตองดูจะสงสัยที่เห็นผมพูดเพราะด้วย ผมเดินเข้าไปใกล้และหยิบบางอย่างออกมา "อันนี้หมวกกันหนาวนะ ชาซื้อให้" ระหว่างนั้นผมก็พยายามเอื้อมมือไปสวมหมวกให้ไอ้คนตัวสูง ลำบากนิดหน่อยแต่ก็ใส่ได้ พี่ตองหน้าเหวอไปเลย "พี่ตองผมสั้น ไม่ใส่หมวกในที่อากาศหนาวแบบนี้ ระวังป่วยนะ"

"ข... ขอบคุณครับ" พี่ตองทำหน้าระหว่างดีใจกับสงสัย "นี่อยากได้อะไรหรือเปล่า ทำไมทำดีกับพี่จัง"

"ไม่ได้อยากได้อะไร ชาก็ทำดีกับพี่มาตั้งแปดปีแล้วหรือเปล่า" เพื่อให้แน่ใจ ผมเอามือไปคว้าแขนพี่ตองไว้ แนบกันเลย เนื้อตัวของพี่เค้ายังอบอุ่นเหมือนเคย

"ชาไม่ได้ป่วยนะ"

"พี่ตอง" ยังจะมาถามอีก เดี๋ยวก็ดีแตกซะหรอก​ "จะให้ชาเป็นแบบเดิมให้ได้ใช่ไหม"

"อ...  โอเคครับ แบบนี้ดีแล้ว น่ารักครับน่ารัก"



"พี่ตอง" ขิงเรียกพี่ตอง "วันนี้ขิงขอแลกห้องนอนกับพี่ตองนะ"

"ห๊ะ" ไอ้ต้อมกับพี่ตอง เจอเรื่องเซอร์ไพส์อีกเรื่อง

"ได้ไหม"

"ด... ได้ซิครับ" พี่ตองตอบงงๆ คงจะงงสุดๆเลยแหละตอนนี้

"ขอบคุณครับ ขิงจะได้นอนกับแฟนของขิง"

ตายไปเลยมึงไอ้ต้อม เจอคำนี้เข้าไป โอ้โห กระโดดกอดกันใหญ่ ไม่เอาแล้วกูไม่ดู ไปดีกว่า

"แล้วชาจะไปไหน พี่ท๊อปยังไม่กลับมาเลย" พี่ตองยังตกอยู่ในสภาวะประหลาดใจกับทุกอย่างในโลก

"ชาเจอพี่ท๊อปแล้ว พี่ท๊อปบอกว่ามีธุระ ต้องกลับบริษัทด่วน"

"อ้าวเหรอ"

"รีบเดินเถอะ ชาไม่อยากอยู่เป็น ก ข ค ของสองคนนั้น"

"อ.. โอเคครับ.... เมื่อกี๊เข้าไปตลาดเข้าไปทำไรกันมาอ่ะ... แต่ก็ช่างเถอะ แต่พี่ชอบตลาดนี้จังเลย"

พี่ตองคงจะงงซินะว่าเกิดไรขึ้นกับผม แต่ยังมีเรื่องให้เซอร์ไพส์มากกว่านี้อีก

เอ  เดินมาไกลจากสองคนนั้นหรือยังน้าาา  อืม น่าจะไกลพอแล้วนะ



"พี่ตอง" ผมเรียกคนตัวสูงพร้อมกับปล่อยมือออกจากแขนอุ่นๆนั่น

"ครับ" พี่ตองรอฟังว่าผมจะพูดอะไร



"​เป็นแฟนกันไหม"
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 23-11-2017 21:22:08
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 18 [บทอัศจรรย์]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 23-11-2017 21:42:06
​.......................................................................................

ถึง ผู้อ่านที่เคารพทุกท่าน

ก่อนที่จะเริ่มอ่านตอนนี้ นักเขียนขออนุญาตออกตัวไว้ก่อนว่า มิได้มีเจตนาในการสนับสนุนหรือยุยงส่งเสริมผู้อ่านในเชิงอนาจารแต่อย่างใด และยังขอยืนยันในเจตนารมณ์แรกเริ่มว่าต้องการที่จะเขียนนิยายความรักที่สวยงาม สร้างสรรค์ อันเป็นการนำเสนอมุมมองความรักที่เป็นไปได้แก่ทุกเพศทุกวัย แต่เนื้อหาในตอนต่อไปนี้ จะมีเนื้อความและภาพพจน์โวหารที่ล้ำลึกในเรื่องเพศและกามรมณ์ ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านและโปรดเข้าใจนักเขียนมา ณ ที่นี้ด้วย

                                                                                                         K.R.

                                                                                                    ขอบพระคุณ

..........................................................................................



ตอนที่ 18 : บทอัศจรรย์







ผมไม่รู้สึกเลยว่ากำลังยืนอยู่ท่ามกลางหิมะโปรยในค่ำคืนที่แสนจะหนาวเหน็บ คล้ายว่าเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ห่อกายก็ไม่ได้กำลังปกคลุมอยู่

หลังจากได้ยินคำพูดสุดท้ายของคนตัวเล็กเบื้องหน้า หัวใจของผมแทบจะหยุดเต้นลงอย่างช้าๆ

​เป็นแฟนกันไหม

คำพูดที่ยังวนเวียนอยู่ในหัว พัลวันอยู่อย่างนั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งที่เป็นสิ่งที่รอมานาน แต่ทำไมมันกลับทำให้ตัวผมแทบจะหมดเรี่ยวแรง ไม่ใช่ความอ่อนล้า ไม่ใช่ความอ่อนแรง แต่เป็นความรู้สึกปิติยินดีจนเกินจะต้านทาน



"พี่ตอง"

"ค... ครับ" นี่ผมสติหลุดไปนานแค่ไหนกันเนี่ย

"ได้ยินที่ชาถามไหม ข... เขินจะแย่แล้วเนีย"

"ครับ ว... ว่าไงนะครับ" ผมไม่ได้ถามเพราะจะกวนประสาทหรือแกล้งน้ำชานะ แต่ผมไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยินจริงๆ

"เป็น แฟน กัน ไหม"

นี่สรุปว่าผมได้ยินไม่ผิดใช่ไหม มันคือเรื่องจริงนี่นา

"ค... ครับ เป็นซิ.... เห้ย ไม่ใช่ๆ ทำไมถึงเป็นชาละ พี่ต่างหาก พี่ต้องเป็นคนขอชาเป็นแฟนดิ"

"ไม่เห็นจะเกี่ยวเลย ใครเป็นคนกำหนดว่าใครต้องเป็นคนขอใครก่อน"

"ไม่รู้ละ" ผมมองซ้ายมองขวา นี่มันเป็นหน้าที่ของกูนะ จะให้น้ำชามาทำแทนได้ยังไง "รอพี่แป๊บนึงนะ"

ผมละออกจากเจ้าตัวเล็ก ซึ่งตอนนี้เป็นยอดดวงใจของผม แล้ววิ่งตรงดิ่งไปที่ร้านฝั่งตรงข้าม คว้าสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดในโอกาศเช่นนี้แล้ววิ่งกลับมา ให้เร็วที่สุด



"เอาจริงดิ" น้ำชาถามผมอย่างเก้อเขิน

"จริงที่สุดครับ" ถึงจะพูดแบบนั้นแต่มันก็ตื่นเต้นไม่น้อยนะ

ผมถอดหมวกที่น้ำชาซื้อให้ออก เพื่อเป็นการให้เกียรติช่วงเวลาสำคัญแบบนี้

คุกเข่าขวาลงบนพื้นหิมะเบื้องล่าง

ยื่นช่อดอกไม้จากร้านขายดอกไม้เมืองหนาวที่เพิ่งจะซื้อมา

และสบตากับคนตรงหน้าของผม ส่งทุกความปรารถนาดีไปกับสายตาคู่นี้

ให้เค้าได้รู้สึกว่า ผมสามารถรัก ดูแล และปกป้องเค้าได้ และจากนั้น.....

​โลกก็มีเพียงเราสองคน



"น้ำชาครับ ให้เกียรติเป็นแฟนกับพี่ ได้ไหมครับ" นั่นคือทั้งหมดที่ผมต้องการจะพูด

มีเสียงฮือฮาอื้ออึงรอบข้างเกิดขึ้น ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าความโรแมนติกของผมมีพยานร่วมรู้เห็นอยู่รอบข้างเต็มไปหมด แม้คนเหล่านี้ส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจในความหมายที่ผมพูด แต่ภาษากายของผมก็ชัดเจน





"ได้อยู่แล้ว"

น้ำชารับช่อดอกไม้จากผมไป





เสียงปรบมือและเสียงเชียร์ร้องดังอึกทึกรอบตัวไปหมด และช่วงเวลานี้ผมรู้ดีว่าควรจะต้องทำยังไง

ผมลุกขึ้นโอบกอดคนตรงหน้า โอบกอดความรัก และโอบกอดความรู้สึกทั้งหมดมาไว้ที่ตัวผม

คนตัวเล็กอยู่ภายใต้อ้อมกอดของผมอย่างสงบนิ่ง

ช่างมีความสุข ช่างสวยงาม ช่างยาวนาน........ นานแสนนาน จนไม่อาจนับเวลา





"เราจะพักที่นี่กันจริงๆเหรอพี่ตอง" น้ำชาถามเขินๆ

"จริงซิครับ วันพิเศษของเรา พี่ก็อยากให้ชาได้เป็นคนพิเศษที่สุดไง" หลังจากที่ความรักของผมสมหวัง ผมก็รีบจัดหาค่ำคืนพิเศษในต่างแดนเท่าที่จะหาได้เพื่อความประทับใจของเจ้าตัวเล็ก ทุ่มสุดตัวเลยครับงานนี้

"แล้วขิงกับไอ้ต้อมอ่ะ"

"อยู่หลังข้างๆนี่แหละครับ"

ที่นี่เป็นบ้านพักสุดหรูบนเชิงเขาเขตชานเมือง เป็นบ้านหลังเล็กที่มีเพียงห้องเดียวกับห้องน้ำแบบอ่างจากุซซี่ มองเห็นทัศนวิสัย 360 องศาได้ชัดเจนจากกระจกบานใหญ่ ความสวยงานจากกรุงโชลจึงสะท้อนเข้ามาช่วยสร้างบรรยากาศอันสุดแสนโรแมนติก

ส่วนขิงกับต้อม ผมก็ให้อยู่ในบ้านหลังข้างๆกัน ซึ่งมีลักษณะเหมือนกันทุกอย่าง แค่มีสระว่ายน้ำอยู่ท่ามกลางระหว่างสองหลัง แต่ก็ยังใช้เครื่องทำความร้อนเครื่องเดียวกัน จึงทำให้ส่วนของเตียงทั้งสองหลังอยู่ติดกัน แต่ในระแวงนี้ก็มีบ้านพักอยู่เพียงสองหลังเท่านั้น เรียกว่า มีความเป็นส่วนตัวสุดๆ

"นั่นไง สองคนนั้นกำลังเล่นตุ๊กตาหิมะอยู่" ผมเรียกให้น้ำชาดูเพื่อนบ้านสองคนที่กำลังสนุกสนานกับการเล่นหิมะขาวรอบบ้าน

"ไหนอ่ะ" น้ำชาสนใจมอง "......."

"เอ่อ....."

ทำไมจังหวะมันพอดีขนาดนี้วะ ดูเหมือนว่า ไม่ใช่แค่คู่ของผมเท่านั้นที่มีเรื่องโรแมนติก ไอ้ต้อมมันกำลังจูบขิงน้องสุดที่รักของผม แต่เดี๋ยวนะ นี่มันไม่ใช่จูบธรรมดาแล้วนะเนี่ย ทำไมมันดูดดื่มกันจัง ไม่เกรงใจหิมะข้างนอกเลย.....

แล้วภาพนั้นก็หายไป

"เรา... ให้เค้าเป็นส่วนตัวกันดีกว่านะ" ชาเลื่อนผ้าม่ามมาปิดอย่างไว หน้าแดงก่ำเพราะความเขินอายภาพที่เห็น "ช... ชา ไปอาบน้ำก่อนนะ"

"อาบด้วยได้ไหมครับ" ผมก็ไม่วายที่จะหยอด แต่ก็หวังนิดๆนะ ยิ่งเห็นสองคนนั้นดื่มด่ำกับขนาดนั้น ผมยิ่งอิจฉา

"เรื่องไรละ" แล้วเจ้าตัวเล็กก็รีบวิ่งเอาห้องน้ำไป

แอบเปิดม่านดูนิดนึงดีกว่า อ้าว สองคนนั้นหายไปแล้ว ไฟในบ้านก็ดับไปแล้วด้วย

โด่ อดดูหนังกลางแปลงเลยกู



ผมอาบน้ำต่อจากน้ำชา ห้องน้ำที่นี่มีฝ้าเป็นกระจก สามารถมองเห็นบรรยากาศบนท้องฟ้ายามค่ำได้ชัดเจน

ได้แช่น้ำอุ่นๆหลังสัมผัสอากาศเย็นจัดมานาน มีความสุขจัง เหมือนได้ผ่อนคลายเลย



"ชา ง่วงหรือยังครับ" ผมถามที่รักของผมที่นอนมองบรรยากาศด้านกระจกฝั่งกรุงโซลอยู่

"นิดหน่อยครับ" น้องตอบพร้อมกับลุกขึ้นมานั่ง "พี่ตอง ชาถามหน่อยซิครับ"

"ครับ" ผมเดินไปนั่งบนเตียงข้างๆน้อง "จะถามอะไรครับ"

"ทำไมถึงเป็นชาละ เพราะพี่ตองรู้ว่าชาแอบติดตามพี่มานานเหรอ หรือเพราะพี่ชอบชาจริงๆ"

น้ำชาเองก็มีความไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับความรู้สึกของผมเหมือนกันซินะ

"ต่อให้ตัดทุกเหตุผลทิ้งไป ก็ยังเป็นน้ำชา ต้องเป็นคนนี้อยู่ดีแหละครับ" ผมเคลื่อนตัวไปกอดน้องช้าๆ

"อย่านะ" น้องรีบเตือนผม คงเข้าใจว่าผมจะล่วงเกินมากกว่านี่ละซิ  พี่ก็เป็นสุภาพบุรุษนะคราบบบ

"แล้วถ้าหอมแก้มละครับ" ผมก็ไม่คิดจะทำอะไรหรอก แต่พอเห็นคนน่ารักๆคนนี้ในอ้อมแขนแล้ว ขอสักนิดเถอะ

"....." เงียบแบบนี้ ทำได้เปล่าวะ

ขืนหอมแก้มไปโดยไม่ได้รับอนุญาต กูโดนแน่เลย น้ำชายังไงก็เป็นน้ำชา ไม่ใช่พวกยอมใครง่ายๆ

"ห้ามมากกว่านี้ก็แล้วกัน"

เชรดดดดด

เสียงสวรรค์

เพราะนี่เป็นสัมผัสครั้งแรก ผมจึงไม่อยากรีบร้อน พยายามเคลื่อนช้าๆให้ทั้งผมและเค้าจดจำช่วงเวลานี้ไว้ให้ได้

กลิ่มหอมอ่อนๆจากแก้มใสของคนในอ้อมกอด สัมผัสกับปลายจมูกของผมทันทีที่ริมฝีปากเตะลงไปที่แก้ม

"นานไปแล้ว" น้ำชาเอ็ด

ผมถอนใบหน้าออกอย่างเสียดาย "ให้หอมนานๆก็ไม่ได้"

"พอเลย ดึกแล้ว นอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องนั่งเครื่องกลับอีกนะ"

เห้อออออ แฟนเรา นี่เป็นแฟนกันแล้วนะ ทำไมยังจะทำตัวเก้อเขินอยู่ได้ แต่ผมก็ต้องทำตามแหละ กับคนนี้ไม่รู้ทำไม ยอมทุกอย่าง



"อื้อ...อ อ อ อ"

"น้ำขิงครับ... น้ำขิง"

เห้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

นี่มันเสียงได้ต้อมกับขิงนี่หว่า

เมื่อกี๊เสียงเครื่องทำความร้อนที่มีท่อตรงส่งมายังบ้านสองหลังที่ติดกันมันมีเสียงดังหวือๆจึงไม่ได้ยินเสียงจากบ้านหลังข้างๆ แต่ตอนนี้เครื่องพักการทำงาน ก็เลยได้ยินเสียงจากอีกหลัง ถึงจะแผ่ว แต่ก็....



"หายเจ็บยังครับ"

"ค.... ครับ หายแล้ว ห... หายแล้ว"

"เป็นของต้อมแล้วนะครับ ที่รักของ...ผม อ๊ะ... ซ...อะ"

"ครับ อื้อ อ... อ..."

ชิบหายละกู

​ไอ้สองคนนั้น มันกำลังสร้างสัมพันธ์รักแนบแน่นกันอยู่

นี่กูกะเช่าบ้านให้น้ำชาประทับใจ แต่ไอ้สองคนนั้น ดูจะสร้างความประทับใจมากกว่าคู่กูซะอีก

แม่งเอ๊ยยยยยยยยยยย

แบบนี้ใครจะไปทนได้วะ อุตส่าอดกลั้นไม่คิดถึงเรื่องนี้แล้ว ทั้งๆที่ก็อยู่ในที่โคตรจะโรแมนติก แต่ขืนเป็นแบบนี้....

ไม่ได้ๆ กูต้องไปเอาความใคร่นี้ออก ไม่งั้นกูได้ข่มขืนแฟนตัวเองแน่ๆ

ดูหน้าน้ำชาดิ เสียงมาชัดขนาดนี้ หน้าแดงเหวอไปเลย



"พ... พี่ขอตัวเข้าห้องน้ำแป๊บนึงนะครับ" ไม่ได้แล้วกู เอาออกด่วน

"พี่ตอง" น้ำชาคว้าแขนผมไว้ อย่าเพิ่งมาคว้าพี่ตอนนี้ได้ไหม ไม่งั้นน้ำชาจะกลายเป็นผู้โชคร้ายแทนนะ ปล่อยพี่ก่อน ไว้ค่อยคุยกันนะ ไอ้บ้านข้างๆก็ชักจะมากขึ้นเรื่อยๆแล้วนะ มึงรู้ไหมว่าคนที่ได้ยินกำลังจะคลั่งตายอยู่แล้ว

"เดี๋ยวค่อยคุยกันนะ พี่ขอเข้าห้องน้ำก่อนนะ"

"พี่อยากทำกับชาไหม"

หืออออออออออออออออออออออออ?!?!?!?!?!?!?!?!?!?!?!?!?!?!?!?

อยากซิครับ แต่หันไปมองหน้าน้ำชาแล้ว น้องดูจะกล้าๆกลัวๆนะ

ยังไม่ทันจะหายสงสัย น้ำชาก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้กับผม

คนตัวเล็กยื่นริมฝีปากขึ้นมา พยายามจูบผมอย่างที่คิดว่าควรจะต้องทำ แต่อยู่ได้ไม่นานก็ถอนออก



"ช..ชา ไม่จำเป็นต้องทำเพื่อพี่ก็ได้นะครับ" ใช่ แรงปรารถนาของผมมันก็มีมากอยู่ ยิ่งกับบรรยากาศแบบนี้ กับคนที่ผมรัก และสิ่งเร้ารอบข้าง แต่ถ้าชายังไม่พร้อม ผมก็ไม่อยากทำให้เค้าต้องมาเจ็บตัวเพราะความใคร่ของผม

"ม.. ไม่ครับ ชาไม่ได้ทำเพื่อพี่ตองเท่านั้น" ทำไมในสายตาของน้ำชามีความเศร้าปนอยู่หละ "เรื่องเมื่อหัวค่ำ ชาได้ยินนะ ชาได้ยินพี่กับไอ้ต้อมคุยกัน ชาไม่ได้อึดอัดนะที่อยู่กับพี่ แล้วก็ไม่ใช่เพราะบุญคุณด้วยที่ทำให้ชาอยากอยู่ใกล้ๆพี่ ก็ใช่ ที่ตอนแรก ชาคิดแบบนั้น แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ชาอยากดูใกล้พี่ เพราะชารู้สึกดีกับพี่ และชาก็... ปรารถนาในตัวพี่เหมือนกัน แล้วชาก็รู้ว่าพี่ตองเองก็..."

"ชาไม่กลัวเหรอครับ" ผมถามน้ำชาให้แน่ใจ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆสำหรับเค้าแน่นอน

"ก็กลัวนะ คือ... ชายังไม่เคย.... แต่ ถ้า ขิง ทำได้ งั้นชาก็คงทำได้มั้ง"

ผมอดที่จะขำออกมาไม่ได้ ทำไมเค้าถึงแสนดีกับผมขนาดนี้ ตั้งแต่แปดปีที่แล้วจนถึงตอนนี้ เจ้าตัวเล็กนี้ยังทำทุกอย่างเพื่อผมเสมอ แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมปรารถนาในตัวเค้าได้ยังไงกัน

"งั้น... วันนี้ พี่จะบอกความรู้สึกทั้งหมดของพี่ ให้ชาได้รับรู้นะครับ ที่รักของพี่"





ในมุมของน้ำชา



หัวใจของผมเต้นอย่างรุนแรงจนผมคิดว่ามันกำลังจะหลุดออกมาจากทรวงอก เมื่อริมฝีปากของคนตัวสูงเบื้องหน้าเตะสัมผัสลงมาที่ริมฝีปากของผม

"อือ" นี่ซินะที่เรียกว่าจูบที่แท้จริง แรง​ดึงดูดนี้ช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก ไออุ่น รสละมุม และหอมหวาน

ลิ้นที่อ่อนโยนของคนตรงหน้า เที่ยวสาละวนควานหาบางสิ่งจากร่างนี้

กายที่แข็งแกร่งค่อยๆโอบอุ้มร่างกายเรา คล้ายว่าจะพาลอยขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์

ยิ่งถูกสัมผัสมากเท่าไหร่ ยิ่งริมฝีปากถูกขบขยี้มากเท่าไหร่ ยิ่งคล้ายกับว่าร่างกายนี้ ไม่อาจต้านทานต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้ ไฟของความปรารถนามันลุกไหม้ หัวใจก็เริ่มร่ำร้อง สมองปลดเปลื้องตรรกะและเหตุผลออกจนสิ้น

อยากถูกสัมผัสมากกว่านี้ อยากได้รับความรู้สึกมากกว่านี้อีก ได้โปรด...

อย่างกับว่ากำลังถูกสะกดใจให้คล้อยตามสัญชาตญาณของความต้องการที่พุ่งพล่าน

ริมฝีปากของพี่ตองกำลังย้ายตำแหน่ง เลื่อนไหลไปตามจุดสัมผัสล้ำลึกบนร่างกาย ใต้คาง คอ หน้าอก และถึงจุดสัมผัสเสียวซ่านบนหน้าอกนี้

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เหมือนกัน ที่เสื้อถูกปลดออกไป ทั้งที่จริงแล้ว เราคงจะรู้สึกไม่ดีหากถูกใครถอดอาภรณ์ที่ห่อกายนี้ออก แต่ครั้งนี้กลับไม่รู้สึกถึงความเขินอาย มันกลับอยากให้ผิวกายของทั้งสองให้สัมผัสแนบชิดกันมากขึ้นไปอีก

มือเล็กๆของเรากำลังปลดกระดุมเสื้อคนตรงหน้าอยู่ซินะ เราคงจะอยากสัมผัสกายอันแข็งแกร่งของเค้า ผิวกายอันอบอุ่นของพี่ตองที่เราตกหลุมรักมันมาแสนนาน ช่างเป็นไออุ่นที่ชวนให้หลงไหลเหลือเกิน

มือใหญ่ แกร่งหนา ประคองร่างของผมลงบนที่นอนอย่างอ้อยสร้อย

ชายร่างใหญ่กำลังใช้แก้มสัมผัสเคลียคลอวนเวียนไปมาที่ใบหน้าของเราอย่างหิวกระหาย

จูบสัมผัสเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างมิอาจห้ามใจเราทั้งสองได้

"อื้อออ...." มันเริ่มที่จะรุนแรงขึ้น รสสัมผัสของความขมเล็กๆในช่วงเวลาแสนหวานนี้ กลับยิ่งทำให้ไฟของความรู้สึกโชติช่วงยิ่งกว่าเคย

ริมฝีปากถูกถอนออก เผยให้เห็นดวงตาที่อบอุ่นแต่เต็มไปด้วยความหิวกระหาย

พี่ตองกำลังต้องการในตัวเรา เราก็ต้องการเช่นกัน

สัมผัสอีกซิ สัมผัสลงมาอีก

ร่างกายของผมถูกกระหน่ำจูบอย่างช้าๆ ทุกสัมผัสมีความรู้สึก ทุกการกระทำมีไอรักอุ่นๆแนบติดอยู่เสมอ

กางเกงนอนตัวยาวกลายเป็นแค่ผ้าชิ้นเล็กเมื่อถูกถอดออกไปด้วยกำลังของชายคนด้านบน

พี่ตองยังคงละเลงรักไปทั่วตัวของเรา อย่างกับมีน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ซ่อนอยู่ตามผิวกายทั้งหมดนี้

ค่อยๆต่ำลง ต่ำลง และต่ำลงไปเรื่อยๆ ทั้งเสียวทั้งรู้สึกดี จนพบกับส่วนแข็งขืนในร่างกายเรา ส่วนที่รวมความรู้สึกทั้งหมดไว้

ริมฝีปากที่กระหายราคะครอบลงไปที่ส่วนนั้นอย่างไม่ลังเล ไม่มีความรังเกียจเดียจฉัน ไม่มีการหยุดคิด มีเพียงแรงปรารถนาที่ส่งออกมาไม่ขาดสาย

"ซ... อ... อึม" เสียงครางเบาๆที่ไม่อาจห้ามไว้ได้ เขาช่างร้อนแรงเหลือเกิน เขาช่างทำให้เรารู้สึกดีเหลือเกิน

ยิ่งเวลาผ่านเลยไปความเสียวซ่านยิ่งทวีขึ้นไม่มีจาง ปลายเท้างุ้มงอเพราะสัมผัสที่ไม่อาจฝืน นิ้วมือกำผ้าห่มแน่นเพราะไม่อาจต้านแรงความรู้สึก

แม้จะไม่รู้จักกับสิ่งนี้มาก่อน แต่สัญชาตญาณก็พาเราไปสู่หนทางที่ถูกต้องได้

จนเมื่อริมฝีปากของคนเบื้องบนสัมผัสรสชาติจากส่วนนั้นจนสาแก่ใจ ก็ถึงคิวของเราที่อยากจะสัมผัสกายนั้นบ้าง

ผมไม่เขินอายแม้แต่น้อยที่จะลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะคลานเข้าไปคร่อมกายสูงใหญ่นั้นไว้

มือที่ลื่นไหลเข้าไปในซุกไซร้ในกางเกงบ๊อกเซอร์ตัวบางของคนร่างใหญ่ และแล้วก็สัมผัสกับส่วนเร้นลับ

มือเล็กๆของผมกำลังพบกับดุ้นแข็งขืนขนาดใหญ่ที่เห็นได้ชัดว่ามันทำลายความภูมิใจในความเป็นชายของผมไปหมดสิ้น นี่สินะ ส่วนสัมผัสของพี่ตอง ส่วนสัมผัสที่เราเองก็อยากรับรู้รสชาติของมัน

เฉกเช่นเดียวกับพี่เค้า ผมไม่ลังเลแม้สักนิดที่จะเผยส่วนอนุรักษ์ของคนเบื้องล่างออกมาเชยชม ใหญ่โตจนมือกเล็กๆนี้แทบจะจับไว้ไม่หมด และวินาทีเดียวกันนั้นเองที่ลิ้นของผมเตะสัมผัสลงไป มันยากที่จะครอบทั้งหมดนั้นไว้ด้วยปากเล็กๆของเรา แต่ผมก็พยายาม ผมอยากรู้รสชาติของมัน อยากให้พี่เค้า ได้รู้สึกดีเพราะเราบ้าง

แน่นอนว่า ตัวผมเองก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ผมย่อมรู้ดีว่า การกระทำแบบไหนจะเป็นที่พึงใจของชายคนนี้ได้ แม้จะไม่เคยผ่านประสบการณ์ แต่ตัวอย่างในโลกยุคนี้ก็มีให้เห็นมากมาย พี่ตองมีแรงปรารถนาเท่าไหร่ ผมเองในฐานะผู้ชายก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่า มันคงเป็นการเห็นแก่ตัวที่ผมจะรับความรู้สึกนั้นมาเพียงฝ่ายเดียว กับพี่ตอง กับคนที่ผมอยากทำดีกับเค้าให้มากๆ เรื่องนี้เองผมก็ไม่ควรจะบกพร่อง

"อ่าาา... น... น้ำชา" พี่ตองคงจะพอใจในสัมผัสที่เรามอบให้ซินะ เพื่อให้พี่เค้ามีความสุข เราต้องทำให้มากขึ้นอีก ผมยิ่งพยายามกดริมฝีปากให้ลึกลงให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ ดึงขึ้นลง ตวับลิ้นไปพร้อมในที "น้ำชา พี่รักน้ำชานะครับ พี่รักน้ำชานะ"

"อ็อก" ผมถูกกดศีรษะลงจากความต้องการของชายร่างใหญ่ ปลายของดุ้นที่กำลังแข็งตัวอย่างเต็มรักแนบสนิทกับคอหอย

ไม่เป็นไร แค่นี้ผมทำเพื่อเค้าได้

แต่ก็เพียงชั่วขณะหนึ่ง อย่างไรแล้วความเป็นห่วงเป็นใยของพี่เค้าที่ีมีต่อตัวเรา ก็ไม่อาจฝืนเห็นเราตกอยู่ในภาวะลำบากได้นาน

เมื่อผมถูกผละให้ถอนริมฝีปากออกมา คนทั้งสองก็ได้เห็นร่างเปลือยเปล่าของกันและกันอย่างชัดเจน

ผมถูกทำให้นอนลงอีกครั้ง พร้อมจูบครั้งที่สาม อันเป็นสัญญาณของขั้นตอนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

"ให้พี่เป็นส่วนหนึ่งของน้ำชานะครับ" นั่นคือคำขอบนน้ำเสียงกระเส่าเครือของชายเบื้องบน "ขอพี่นะครับ"

"ครับ" ผมตอบทันที ตอนนี้ในหัว ไม่กลัวสิ่งใดทั้งนั้น แต่กลับรู้สึกอยากเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ความรู้สึกที่สั่งสมมาถึงแปดปีก็เรียกร้องเช่นกัน

ขาสองข้างของผมถูกเลื่อนยกขึ้นมาและจากความช่วยเหลือของผมด้วย

ผมสัมผัสได้ว่ามีน้ำหล่อเลี้ยงอ่อนๆหลั่งออกมาจากปลายดุ้นแข็งนั่น มันถูกละเลงสาละวนที่ช่องแคบของผมด้วยความพยายามที่จะแทรกตัวเข้ามาสัมผัสภายในกายของผมให้ได้

"อะ..." แต่ถึงแม้จะมีไฟรักและความปรารถนามากเพียงใด แต่การรับท่อนเอ็นขนาดใหญ่แบบนั้นเข้ามาในกายก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ความเจ็บเริ่มกลืนกินความรู้สึกเสียวซ่านที่เคยแผ่กระจายอยู่ทั่วตัว

"ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรนะครับ" เสียงแห่งความหวังดีกระซิบเบาๆที่ข้างหูของผม ทำให้กล้ามเนื้อที่เคยเกร็ง ผ่อนคลายลง

ดุ้นจากร่างแกร่งหนาถูกดันเอามาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

"อ่าาาา" ผมไม่อาจกลั้นเสียงไว้ได้ เพราะความเจ็บที่คล้ายว่าโลกถูกฉีกออกจากกัน

แต่เพราะอย่างนั้นพี่ตองจึงกดริมฝีปากลงมาแนบกับริมฝีปากของผมอีกครั้ง ส่งความรู้สึกอันร้อนแรงที่ผมเผลอลืมมันไปเพราะความเจ็บปวด จุดให้ไฟของความต้องการโชติช่วงขึ้นอีกครั้ง และเพื่อให้มันไม่หายไป ลิ้นอ่อนนุ่มนั้นก็เลื่อนลงไปที่หน้าอก สัมผัสจุดเสียวซ่านให้คืนกลับมาเช่นเดิม

เมื่อทั้งสองกายที่เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตกอยู่ในสภาพหยุดนิ่งมานาน ทั้งความต้องการที่ถูกปลุกขึ้นอีกครั้ง ความเจ็บจึงมลายสิ้นไปอย่างพิศวง

"พี่รักชานะ" คำหวานถูกโปรยมาอีกครั้งก่อนที่ความเคลื่อนไหวอันเป็นทุกอย่างของความรู้สึกจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

"อือออ... อืออออ..... อ่าๆๆๆๆๆ พ... พีี่ตอง พี่ตอง พี่ตอง" ผมเอาแต่เรียกชื่อของเค้า

มันช่างสุดจะอธิบายออกมาเป็นคำพูด ความรู้สึกแห่งสุข ความรู้สึกแห่งรัก ความสุขงอมของรักที่ออกมาเป็นการกระทำนี้ ช่างทำให้ความคิดในหัวของผมว่างเปล่า มันปลิวลอยไปไกลเหมือนไม่อาจคว้ากลับมาได้

ทุกๆการขยับของกายแกร่งใหญ่เบื้องบนได้มอบความรู้สึกที่แตกต่างจากที่เคยรู้สึกจากการกระทำกิจกรรมใดๆในโลกมาก่อน มันไม่ใช่ความสุขจนดีใจ ไม่ใช่ความทุกข์จนร้องไห้ แต่เป็นความรู้สึกเติมเต็มที่ไม่อาจปฏิเสธการตอบรับนี้ได้เลย

ทำไมเราถึงรู้สึกดีเหลือเกิน ทำไมเราถึงอยากได้จากเค้าอีก โปรดขยับอีก ขยับให้มากกว่านี้ มอบความรู้สึกมาให้กับร่างกายของผมมากกว่านี้อีก

"พ.. พี่ อิ อิ อิ ต.. ต... ตองงงง..งงง" พลังแห่งความปรารถนาของพี่ตองช่างตอบรับกับความต้องการเบื้องลึกของเราเหลือเกิน การขยับร่างกายที่เร็วแรงต่อเนื่องและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงนี้ ช่างจับจิตใจของเราได้อย่างอยู่หมัด ประหนึ่งว่าอยากจะอยู่แบบนี้ อยู่อย่างนี้ ตลอดไป

เมื่อคนข้างบนหอบเหนื่อยกับการขยับกายไม่รู้หยุด ก็หันเหมาสร้างความรู้สึกผ่านรอยจูบแทน แต่กายเบื้องล่างก็ไม่ถูกถอนออก ยังคงขยับช้าๆเนิบๆเหมือนคนที่ยังหิวกระหายไม่รู้อิ่ม

ขาของผมถูกขยับออกไปด้านข้างเล็กน้อยเมื่อริมฝีปากนั้นพอใจในรสหวานของอีกคนแล้ว

ด้วยกระบวนท่าที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้ท่อนแข็งขืนที่กระหายสัมผัสนั้นยิ่งล้วงลึกลงไปในร่างของผมมากขึ้นอีก

"อ่าาาาาาาาาาาาา" เหมือนกับว่าเสี้ยนที่ตำเท้าถูกถอนออกอย่างหมดจด ประตูแห่งความรู้สึกในด่านที่สองคลายลง ความเสียววูบวาบยิ่งแผ่ซ่านจนเกินจะแบกรับไหว

มือเล็กๆของผมกำแน่นที่แขนของชายผู้อบอุ่นและมอบความรู้สึกนี้ให้

มันเอ่อล้นขึ้นเรื่อยๆ และมากขึ้น มากขึ้นอีก

"พ.. ตองงงง ชาไม่ไหวแล้ว ชาไม่ไหว ล... แล้ว" ผมสารภาพในความสิ้นหวัังที่จะต่อต้านความรู้สึกที่กำลังเอ่อล้นนี้ได้

ได้ยินผมพูดอย่างนั้นพี่ตองจึงใช้มือแกร่งหนาของเค้าคว้าที่จุดกึ่งกลางอันเป็นสัมผัสอ่อนไหวของร่างกายผม

มันช่างง่ายเหลือเกินที่จะตอบสนองต่อสัมผัสนี้ ผมกำลังจะหลั่งความรู้สึกที่ถูกเก็บกดไว้ทั้งหมดออกมา

"ไม่ไหวแล้ว ม.. ไม่ไหวแล้ว" พี่ตองเองก็มาถึงสุดปลายอุโมงแล้วเช่นเดียวกัน

พี่ตองเร่งจังหวะการขยับร่างกายให้เข้าสู่ช่วงสุดท้ายอีกครั้ง แต่ก็ไม่ลืมที่จะทำให้ผมได้ปลดปล่อยมันออกมาพร้อมกัน

"ให้พี่เป็นส่วนหนึ่งของชานะ ให้พี่ปล่อยข้างในนะ...ค..ครับ" นั่นคือคำขอร้องที่ผมมิอาจปฏิเสธ

"ค..ครับ ครับ" ผมต้องการมัน ผมต้องการให้พี่เป็นส่วนหนึ่งในนั้น

ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้ววววววววววว



เหมือนว่าโลกทั้งใบทลายลงต่อหน้า ประหนึ่งได้มองเห็นพลุแตกกระจายยิ่งใหญ่ในงานฉลอง

ความรู้สึกของผมพลั่งพลูออกมาอย่างไม่ยอมหยุดหย่อน และเช่นเดียวกันกับสัมผัสภายในร่างกายของผมที่แบกรับการหลั่งไหลของความรู้สึกคนอีกคนไว้

ช่างเป็นการปลดเปลื้องที่แสนหวานเหลือเกิน........







ในมุมของนายตอง





ผมไม่อาจปฏิเสธความสุขที่เพิ่งจะจบลงไปได้เลย

น้ำชาลุกไปเข้าห้องน้ำแล้ว แต่ผมยังพยายามที่จะมองหาเค้า ทั้งที่ผ่านช่วงเวลาสุดร้อนแรงในชีวิตมา แต่ทำไมผมถึงยังอยากกอดเจ้าตัวเล็ก อยากสัมผัส อยากได้กลิ่น อยากได้ยินเสียงอันชวนให้หลงไหลนั่นอีก

ตัวผมที่นอนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียงอันไร้ระเบียบ ยังได้กลิ่นเนื้อตัวของคนที่ผมเพิ่งจะรับและมอบความรักให้เค้า มันคละคลุ้งเต็มตัวของผมไปหมด

ผมต้องการอีก

​ในที่สุดผมก็ทนแรงปรารถนาของตัวเองไม่ไหว ค่อยๆเดินเข้าไปในห้องน้ำที่สุดฝั่งของอีกห้อง

"เข้ามาทำไมอ่ะ" น้ำชาตกใจทันทีที่เห็นผมเดินเข้ามา

"พ..พี่ ทนไม่ไหวแล้ว" ผมสารภาพ และเข้าไปกอดเค้าอีกครั้ง ทั้งๆที่น้องกำลังจะก้าวลงไปในอ่างแล้ว

"ด..เดี๋ยว...."

แต่ผมไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ผมกดริมฝีปากตัวเองอย่างหิวกระหายลงไปที่ริมฝีปากแสนหวานนั้นอีกครั้ง และมันยังหวานไปคลาย หวานจนผมอยากจะกลืนกินไปทั้งหมด

ผมค่อยๆพาร่างเล็กๆของคนที่ต้องมนสะกดของผมลงไปในอ่าง ซึ่งผมเองก็ตกอยู่ในพะวังของเค้าเช่นกัน

ผมจัดท่าให้แผ่นหลังอันเนียนนุ่มแต่มีกล้ามเนื้อน่าสัมผัสนั้น นอนแผ่ไปกับขอบกว้างของอ่างน้ำ และยกขาเล็กๆทั้งสองข้างขึ้น เผยให้เห็นช่องสวาทเนียนละเอียดที่ผมเพิ่งจะถอดกายออกมาจากมัน

ผมลงลิ้นสัมผัสไปที่จุดนั่น ผมไม่รู้สึกรังเกียจแม้แต่น้อย แต่กลับอยากรับรู้ทุกรสชาติในตัวของน้ำชา คนที่ทำให้ผมตกอยู่ในห้วงราคะแบบถอนตัวไม่ขึ้น ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมได้ยินเสียงครางกระเส่าอันแสนดึงดูดจากยอดดวงใจของผมอีกครั้ง ลิ้นของผมยิ่งซุกซนหนักขึ้น เพื่อปลุกแรงเร้านั้น

"พ.... พี่ตอง ทำอีก ทำอีกได้ไหม"

ไม่ต้องบอกพี่ก็จะทำอยู่แล้ว

แต่น้ำเสียงเชิญชวนนี้จะยิ่งปลุกอารมณ์ให้ผมสามารถสร้างรอยรักอันร้อนแรงได้ไม่รู้จบสิ้น

และเมื่อกิจกรรมรักของเราเกิดขึ้นบนอ่างจากุซซีอีกครั้ง มันก็ไม่ยากที่จะเกิดอีกครั้งบนเตียง บนพิ้นห้อง และสักที่หนึ่งที่ผมเลิกสนใจ..........









ผมตื่นขึ้นมาบนเตียงในช่วงสายของวัน ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าหลับลงไปตอนไหน

สุดท้ายแล้วทั้งผมและน้ำชาก็ไม่ได้สวมใส่อะไรเลย อันเป็นการดูถูกความหนาวเย็นเบื้องนอกอย่างที่สุด

น้ำชาหลับสนิทบนอ้อมแขมของผม เค้าช่างน่ารัก น่าสัมผัส น่าเป็นเจ้าของ

ผมก็เคยผ่านเรื่องแบบนี้มาไม่ใช่น้อย สาวๆหลายคน ตกเป็นทาสรักของผมหลังกิจกรรมแบบนี้จบลง และมันก็ทำให้ผมสิ้นความปรารถนาในตัวพวกเธอแทบจะทันทีเช่นกัน แต่ผิดกับเจ้าตัวเล็กคนนี้ ผมไม่รู้สึกสิ้นหวังแรงปรารถนาลงเลยแม้แต่ตอนที่เพิ่งตื่นมาพบเจอหน้าของเค้าอีกครั้งแบบนี้

"พอแล้วนะ" อ้าว น้ำชารู้ตัวแล้ว เจ้าตัวเล็กค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างหมดแรง "ชาไม่ไหวจริงๆ เดี๋ยวขึ้นเครื่องกลับไม่ไหว"

"อีกแค่ครั้งเดียวไม่ได้เหรอ" ก็ผมยังอยากได้ตัวเค้าอีกนิ "นะ นะ นะน้าาาา"

น้ำชาถอนหายใจ



"งั้นรอกลับไปที่มหาลัยก่อนนะ"
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 19 [ลงโทษ]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 23-11-2017 21:43:54
​ตอนที่ 19 :  ลงโทษ





ก๊อก ก๊อก ก๊อก



ใครวะ

ผมเดินไปเปิดประตูอย่างอ่อนเพลียในเฃ้าอันอ่อนแรง หรือบางทีนี่ผมอาจจะเดินละเมอมาเดินซ้ำ



"เจ็ดโมงแล้วมึง จะไปเรียนไหม"

ไอ้เพื่อนต้อมสารเลวของผมนี่นา "เออ"

"เออ อะไร จะไปเรียนไหม กูจะได้รอไปส่ง หรือจะรอผัวมึงไปส่งครับไอ้น้องน้ำชา"

"ไอ้สัด" แซวแรงไปแล้วนะไอ้เวร "พี่ตองไม่มีเรียนวันนี้ แล้วมึงดูดิ ยังไม่ตื่นเลย" ผมถอยให้ไอ้ต้อมดูสภาพนอนแอ้งแม้งของพี่ตองที่อยู่บนเตียง

"โอ้โห จัดหนักอีกแล้วเหรอวะ ที่เกาหลีกูก็ได้ยินมึงซัดกันทั้งคืนแล้วนะ กลับมายังมีต่ออีกเหรอ"

"พอเลยมึง" เพราะมึงนั่นแหละ ทำให้กูโดนไปด้วยเลย พอๆ เปลี่ยนเรื่องๆ มาแซวกูแต่เช้าเลย "ไปๆๆ อีกครึ่งชั่วโมง"

ผมเดินเข้าไปหาร่างของคนที่นอนหลับสนิท ไม่รู้ว่าไปเหนื่อยมาจากไหน ทั้งๆที่กลับมาก็แถบจะหลับสนิทกันทั้งคู่ แต่ก็ดีแล้วหละ ไม่งั้นผมอาจจะเจองานหนักอีกรอบก็ได้



หึ

ทำไมรู้สึกว่ามีความร้อนแปลกๆแถวๆนี้

เห้ยยยยย

พี่ตองป่วยนี่นา ผมเอามือไปสัมผัสที่หน้าผากทันที



"พี่ไม่เป็นครับ" อ้าว ตื่นอยู่หรอกเหรอ

"ตัวร้อนแบบนี้ไม่เป็นไรได้ไง ไปหาหมอไหม"

"อย่าเลย แค่กินยาก็พอ วันนี้ไม่มีเรียนด้วย บ่ายๆก็ดีขึ้นแล้ว"

"ใช่เรื่องไหมเนีย ต้องมาทนป่วย"

"พี่ไม่เป็นไรจริงๆ พี่ยังมีแรง ทำ... อะไรๆกับชาได้เยอะเลยนะ"

"ปากดีนักนะ" ผมพยายามจะแกล้งตีปาก แต่ก็โดนรวบให้ไปกอด

แต่จากเรี่ยวแรงก็รู้ได้เลยว่า นี่ท่าจะป่วยเอาเรื่องอยู่

"ไม่ไปหาหมอแน่นะ เดี๋ยวชาบอกให้ไอ้ต้อมพาไปก็ได้ ไม่ลำบากหรอก"

"งั้นพี่ขอทานยาก่อนได้ไหม ถ้าบ่ายยังไม่ดีขึ้น พี่จะไปหาหมอ"

"...." ผมออกจากกอดอ้อมแล้วเดินไปหยิบยาพาราและน้ำ "ถ้าไข้ไม่ลด ต้องไปหาหมอนะ"

"ครับบบบบ"



หลังจากพี่ตองทานยาและหลับต่ออย่างง่ายดาย ผมก็เตรียมตัวเพื่อเข้าเรียนภาคเช้า

การเรียนวันนี้ผมค่อยข้างตั้งใจเรียนเป็นพิเศษ ไม่ใช่เพราะยาก แต่ผมไม่อยากให้คนอื่นมองว่า ไม่ตั้งใจเรียน ที่สำคัญ อาจจะมีอะไรสำคัญบางอย่างไปใช้สอนพี่ตองด้วย



"อิชาาาาาาาา" อิเจสซี่ลากเสียงเรียกผมหลังเรียนจบภาคเช้า

"อะไรของมึง"

"มึงไปทำอะไรที่เกาหลีมา สารภาพกับพวกกูมาซะดีๆ"

หึ พวกมันรู้อะไรวะ รู้แค่ไหน

"พี่ตองของพวกกูเสร็จมึงไปแล้วใช่ไหม"

เอาแล้วววว พวกมันรู้ได้ไงวะ ไอ้ต้อมไม่น่าจะเป็นคนโพทนาแน่ๆ ไม่ต้องพูดถึงขิงเลย

"อึ้งอะไรค่ะ" อิเล็กเสริม พร้อมโชว์ภาพจากในมือถือให้ผมดู

เห้ยยยยยยยยยย

นี่มันรูปที่พี่ตองนั่งคุกเข่าต่อหน้าผมที่เกาหลีนี่นา

"ไปเอามาจากไหนอ่ะ" ผมพยายามแย่งมือถือของอิเล็กมา

"ไม่ต้องแย่งกูค่ะ เค้ามีกันหมดทั้งมหาลัย นี่ค่ะๆ แหกตาดูนะคะ นี่มันเว็บไซต์ท่องเที่ยวกรุงโซล ไม่ใช่แค่มีในมหาลัยนี้นะ มีกันทั้งโลกค่ะ"

ชิบหายแล้วกู

"มึงๆ แล้วเป็นไงบ้างอ่ะ พี่ตองเค้าให้ดอกไม้มึงทำไม เค้าขอมึงแต่งงานเหรอ โรแมนติกไหมมึง" วาวา สาวน้อยโลกสวย หยุดความคิดของเธอไว้เพียงเท่านั้น

"เว้อไปแล้ววาวา แค่..." แล้วเรื่องอะไรกูต้องมาเล่าวะ "......"

"หยุดอ้ำอึ้งไหมมึง" อิเจสซี่ด่าผม "นั่นมันสามีแห่งชาติ พวกกูก็เคยสนับสนุนมึงมาก่อน เพราะฉะนั้น แผ่เมตตามาค่ะ"

"อยากรู้ขนาดนั้นเลย... กูขอพี่เค้าเป็นแฟน"

ช็อกอะดิ หึหึหึหึ เอาไปแค่นี้ก่อน

"ไปแดกข้าวได้"

"พี่ตองงงงงงงงงงงง" อะไรอีกกกก ไม่จบหรือไงพวกมึงเนี่ย

"ครับ"

หือ??? เสียงใครข้างหลัง

"พ... พี่ตอง" มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนีย

"หิวข้าวจัง" ไม่ต้องมาทำยิ้มหวานเลย

"หายป่วยแล้วเหรอ" ผมเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากของคนตัวสูงตรงหน้าทันทีโดยลืมไปเลยว่ามีเพื่อนๆอยู่รอบตัว ชักมือกลับทันไหมเนีย

"หายแล้วซิครับ" ไม่ต้องมาโปรยเสน่ห์เลยไอ้พี่ตอง อินังสามตัวนี่ก็เหลือเกิน จะทำหน้าฟินไปไหน "ไปกินข้าวเถอะ พี่หิวสุดๆ จนจะกินน้ำชาได้ทั้งตัวอยู่แล้ว"

"หยุดพูดแบบนี้เดี๋ยวนี้เลยนะ ใช่เรื่องไหม"

"แหมมมม อิชา" อิเจสซี่ผลักผมออกจากสายตาพี่ตอง "เล่นตัวนะมึงอ่ะ พี่ตองงง ถ้าอิชาทำให้พี่ตองต้องขุ่นเคืองพระราชหฤหัย โปรดเอาความเกรี้ยวกราดนั้นมาลงที่เจสซี่ก็ได้นะคะ"

"อี สม เจต" มึงกล้าอ่อยพี่ตองต่อหน้ากูเลยเหรอ มันจะมากเกินไปแล้ว

"อ๊ายยย เจสซี่ กูชื่อเจสซี่ ถ้ามึงเรียกกูว่าส.... อ๊ายยย อิชา อิเลว ดูซิพี่ตอง เจสซี่ถูกอิชามันทำร้ายด้วยวาจาร้ายกาจ พี่ตองต้องลงโทษมันให้เจสซี่นะคะ"

ยังจะเกาะแขนอีก คราวนี้จะไม่ใช่ชื่อมึงแล้วนะ ชื่อพ่อมันคืออะไรวะ

"ไม่ต้องห่วงครับน้องเจสซี่" อะไรของไอ้พี่ตองวะ ออกจากการเกาะแกะของอิช้างมากอดคอผมเฉยเลย "พี่จะลงโทษน้ำชาให้สาสมทั้งคืนเลย"

"ขอเล็กร่วมเป็นสักขีพยานการลงทัณฑ์ครั้งนี้ได้ไหม เล็กจะไม่..."

"พอออออออ" ไปกันใหญ่แล้ว หยุดๆๆๆๆๆ "แดกข้าวนะ ไปแดกข้าว ก่อนที่จะเข้าห้องเชียร์สาย ก่อนที่จะโดนหักคะแนนกิจกรรม Go"

"โหดจังแฟนเรา"

ยังจะมาหยอดกูอีก ขอฮุคเข้าซิกแพ็คอันภาคภูมิใจของมันซะทีเถอะ

"อุ๊ค ทำไรอ่ะ พี่เจ็บนะชา"

"ดีไง จะได้จำ เที่ยวพูดไรแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นได้ไง"

"ก.. ก็พี่พูดจริงนี่นา คืนนี้.... โอ๋ๆๆๆ ยอมแล้วครับคุณแฟนหมัดหนัก"

หมดคำจะพูดแล้ว

อย่าอยู่นานกว่านี้เลย ไม่งั้นได้แพ้สายตาเจ้าชู้นี่แน่ๆ กินข้าวดีกว่า



"เอาหละคะ วันนี้จะเป็นวันทบสอบท่าเต้นเพลงบุษราคัมตามที่เราตกลงกันไว้เมื่อวันศุกร์นะ หวังว่าทุกคนจะซ้อมมาเป็นอย่างดี"

ห๊ะ พี่แอมพูดถึงไรวะ

"วันศุกร์มีท่าเพลงใหม่" สุ่ยรีบกระซิบบอกผม "ใจดีมาจากไหนไม่รู้ สอนจนจบเลย บอกว่าวันนี้จะทดสอบด้วย ใครผิดโดนลงโทษนะ"

นี่กูไม่ได้คิดไปเองใช่ไหม ใช่ๆๆๆ ผมรู้ว่าคุณอ่านอยู่ คุณรู้ดี ผมไปเกาหลีสุดสัปดาห์ มีสอนท่าเต้นในวันที่ผมไม่อยู่ และทดสอบเพื่อลงโทษ

"ก่อนเราจะเริ่มทดสอบกัน พี่มีเรื่องต้องแจ้งนะ สำคัญด้วย การได้รับคัดเลือกเป็นผู้นำเชียร์ของคณะแล้ว อาจจะแปลว่าได้รับสิทธิในการเข้าคัดเลือกเป็นผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัย แต่... หากถูกหักคะแนนต่ำกว่าครึ่งในการประเมินของประธานลีดคณะนั้นๆ นอกจากจะถูกลงโทษด้วยการยืนการ์ดแล้ว ผู้นำเชียร์คนนั้นก็จะไม่มีสิทธิในการเข้าคัดเลือกด้วย"

ชัดเจน พี่แอมยังแค้นฝังหุ่นกับผมอยู่

"ผมมีคำถามครับ" แล้วก็อย่าคิดว่าผมจะนิ่งเฉยนะ "ผมยังไม่รับการฝึกสอนเพลงบุษราคัมจากพี่ปีสอง ต้องร่วมทดสอบด้วยไหมครับ ผมถูกส่งไปทำงานของ...."

"การทดสอบมีทั้งสิ้นห้าหัวข้อ" นี่ฟังผมอยู่หรือเปล่า หรือกำลังพูดเฉยๆ เห็นผมอยู่ในสายตานิดนึงก็ได้นะ "บุคลิกภาพ ทัศนคติ ทักษะ วินัย และเสน่ห์ วันนี้เป็นการทดสอบเรื่องทัศนคติ ทักษะ และวินัย​ และถ้าทุกคนยังจำได้ เพลงมิ่งขวัญมัณฑนาก็เป็นหนึ่งในการประเมินเช่นกัน ซึ่งนั่นก็ไม่มีรุ่นพี่ปีสองคนไหนสอนให้ ก็ยังมีบางคนที่ทำออกมาเป็นที่น่าพอใจ มันจึง.... ทำให้... ทุกๆคน ต้องเข้าร่วมการประเมินทุกครั้ง ตามกฎของทุกๆปี ใช่ไหมพี่พลอย"

"ค่ะ" พี่พลอยดูจะกระอักกระอ่วนที่ต้องตอบ เธอคงอยากจะโต้แย้งเช่นกัน แต่พี่แอมกำลังอ้างเรื่องกฎ

ให้ตายเหอะ กูจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ยังไง

ครั้งนี้ไม่มีโชคช่วยแล้ว

"แต่เพื่อความโปร่งใส" จากการกระทำของพี่เนีย มันโปร่งใสตรงไหน "เราจะมีตารางคะแนนให้ทุกคนได้ตรวจสอบเสมอ" เธอเดินไปเปิดผ้าคลุมบอร์ดใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้างๆห้องซ้อมออกมา

อ๋อ ของเล่นใหม่



ธชานา ธนกฤษ

บุคลิกภาพ 6

ทัศนคติ 8

ทักษะ 9

วินัย 10

เสน่ห์  3​

​รวม 36 เต็ม 50



"หวังว่าจะไม่มีใครถูกหักคะแนนในวันนี้นะ ทดสอบเป็นคู่นะคะ" ห๊ะ "และหักคะแนนเป็นคู่ๆไป ตามตำแหน่งที่ยืน"

ซวยแล้ว งานนี้

"สบายใจได้ ดูเราเต้นให้ดีๆก็แล้วกัน"

ไม่ด้ายยยยยย เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นลีดเหมือนเกตุนะ ที่จะเห็นปุ๊บเต้นได้ปั๊บ

"อีกห้านาทีนะคะ เริ่มที่คู่กลางก่อน"

คู่กูอะดิ

นี่มันแกล้งกันแบบชัดเจนไปไหม ที่สำคัญ อาจจะทำให้เกตุซวยไปด้วย

เอาไงดีๆ



"แอมกำลังแกล้งชาอยู่" พี่ตองเดินเข้ามาพูดกับผม

"....." ไม่ต้องบอกหรอก "ชาขอไปซ้อมก่อนนะ ห้านาทีก็ยังดี"

"ครับ"

เพราะวันนี้พี่ตองไม่มีเรียนจึงมานั่งเฝ้าผมซ้อมที่คณะวิทย์ได้ แต่ผมก็ให้อ่านหนังสือเลข ม.1 ไปพลางๆ อ่านถูกแล้ว ม.1 นั่นแหละ เพื่อปูพื้นฐานใหม่

ไม่คิดว่าจะมีเรื่องมาทำให้พี่เค้าเสียสมาธิแบบนี่้เลย



"เกตุ ช่วย..."

"คู่แรกมาเลยค่ะ"

ห๊ะ ไหนบอกห้านาทีไง นี่ยังไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำ ยังไม่ทันออกปากให้เกตุช่วยบอกท่าเต้นให้เลย

"ใจเย็นไว้ ดูเราเต้นให้ดีๆ" เกตุยังคงให้กำลังใจผม

เอาวะ



"พร้อมนะคะ นี่เป็นพี่เชียร์จากห้องเชียร์ของคณะเรา ชื่อ พี่น้อง จะมาช่วยร้องเพลงบุษราคัมที่ถูกต้องให้ฟัง" พี่แอมแนะนำพี่ผู้หญิงร่างท้วมที่มาใหม่

"สวัสดีครับ/ค่ะ" ผมและเกตุกล่าวสวัสดี

"เอาการ์ดขึ้นค่ะ" พี่แอมสั่งและให้สัญญาณเริ่ม "สาม... สี่"



​บุษราคัมสูงค่าเลิศล้ำแพรวพันราย....

​นั่นคือท่อนเดียวของเพลงที่ผมได้ยิน สมาธิที่เหลือใช้ไปกับการจ้องท่าเต้นของเกตุ และพยายามทำตาม

นี่มันไม่ง่ายเลย ท่าเต้นอาจจะดูพื้นๆ แต่การต่อท่าและรายละเอียดที่เพิ่มเข้ามาทำให้ผมประหม่า ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าหายใจหรือเปล่าตอนนั้น

.....ในบุษราคัม

​ห๊ะ จบแล้วเหรอ ท่าการ์ดเหมือนเดิมถูกซินะ คงไม่แย่มากนะ



พี่แอมยืนดูต่อหน้าห่างออกไปสองสามก้าวด้วยสายตาว่างเปล่า พี่ๆลีดเดอร์คนอื่นก็ได้แค่ยืนเฉยๆ

"เกียรติของผู้นำเชียร์คณะวิทยาศาสตร์ คือ เราได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในมัณฑนา ไม่คิดว่า ต้องมาถูกทำให้เสื่อมเสียวันนี้" นี่คงเป็นคำพูดที่คิดมาจากบ้านแล้วซินะ ทั้งสวยหรูและถากถางในเวลาเดียวกัน "เป็นหน้าที่ของรุ่นพี่ที่จะไม่ให้ความไม่มีวินัยนี้ หลุดรอดออกไปสร้างความเสื่อมเสีย"

"ผมเข้าใจน...."

"คู่ต่อไปมาได้"

นี่มันร้ายกาจเกินไปแล้ว ดูเหมือนเธอจะเตรียมการเรื่องนี้มาเป็นอย่างดี โชคคงไม่เข้าข้างผมอีกครั้งในวันนี้

เกตุเดินออกไปจากห้องด้วยตาอันแดงก่ำ ผมรู้ในทันทีว่าเธอย่อมเสียใจ เกตุเต้นได้ดีและเห็นได้ชัดว่าซ้อมมาเยอะ แต่ผู้หญิงคนที่กุมอำนาจของผู้นำเชียร์คณะวิทนาศาสตร์ไว้ ไม่ใช่คนที่จะทำอะไรได้ง่ายๆ

ต้องทำยังไงดี



การทดสอบของอีกห้าคู่ที่เหลือเกิดขึ้น ผมได้แต่ยืนมอง ถ้าได้เต้นหลังจากพวกเค้า คงจะพอมีอะไรที่ทำได้บ้าง แต่นี่ก็คงเป็นอีกแผนหนึ่งที่พี่แอมวางเอาไว้

พี่ตองก็ดูจะไม่สบายใจพอๆกัน ซวยจริงๆ



"มารวมกันได้ทุกคน" พี่แอมเรียกอีกครั้ง "ยังมีหลายจุดที่บกพร่อง และบางจุดก็มากกว่าบกพร่อง คงต้องมีการสอนเพิ่มเติมในวันนี้ ยังไงเพลงนี้ก็เป็นหนึ่งในเพลงที่ใช้ในการแข่งขัน พี่คงปล่อยผ่านไปไม่ได้ และที่สำคัญ คงต้องมีการแก้ไขคะแนนเล็กน้อย" เธอเดินไปแก้คะแนนต่อหน้าทุกคน

ธนาชา ธนกฤษ

ธชานา ธนกฤษ

บุคลิกภาพ 6

ทัศนคติ 5

ทักษะ 7

วินัย 4

เสน่ห์  3​

​รวม 25 เต็ม 50



​นี่ซินะ เป้าหมายที่แท้จริงของวันนี้ เพื่อหยุดผมไม่ให้เป็นผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยกับพี่ตอง อีกแค่คะแนนเดียวเท่านั้น แต่มันดันเกิดผลกระทบด้วยนี่สิ



เกตุวลี  โพธิ์สุวรรณ

บุคลิกภาพ 8

ทัศนคติ 4

ทักษะ 4

วินัย 2

เสน่ห์  7

​รวม 25 เต็ม 50



เธอร้ายกาจจริงๆ คะแนนทัศนคติ ทักษะ และวินัยของเกตุถูกหักลงด้วย

"กฎก็คือกฎ"

นอกจากไอ้ต้อมที่ผมด่ามันว่าสารเลวแล้ว ก็มีผู้หญิงคนนี้แหละที่ผมอยากจะใช้คำนี้ด้วย แต่ในน้ำเสียงที่จริงจังนะ

"และด้วยเหตุนี้ ทำให้เราต้องมีการลงโทษรวมด้วยการยืนการ์ด" ระหว่างที่หัวหน้าลีดเดอร์จอมโหดกำลังพูด เกตุก็น้ำตาไหลออกมา ผมอยากจะปลอบนะ แต่กำลังอยู่ในระเบียบ "พี่รวมมาให้แล้ว ทั้งหมด 1,500"

​บ้าไปแล้วววววว

​แค่สองสามร้อยก็มากพอแล้วที่ร่างกายมนุษย์จะรับไหว

"ผมขอรับผิดชอบเองครับ" กูจะไม่นิ่งนอนใจ อยากจะลงโทษ มาลงโทษกูนิ อยากพาลคนอื่น "สำหรับของทุกคน"

"เรามีกฎนั่นไหมพี่พลอย" เธอยังคงมีน้ำเสียงสบายใจ แต่สายตาซะใจที่สุด

"มี" พี่พลอยตอบ "แต่ต้องคูณด้วยจำนวนของคนที่จะช่วยรับผิดชอบทั้งหมด"

1,500 x 6 = 9,000

ใช่ เลขมันมาก แต่กูจะไม่ให้ใครต้องมาเดือดร้อนด้วย ต้องทำให้ได้ ต้องไม่ยอมแพ้

"ทั้งหมดคือยืนการ์ดเก้าพัน จะทำใช่ไหม"

"ทำครับ"

"งั้นผมของหารครึ่งด้วยก็แล้วกัน"

"........" พี่ตอง พูดอะไรของพี่เนีย หารครึ่งได้ที่ไหนกันเล่า

"หารสาม ผมขอใช้สิทธิ์ด้วย หารสามครับ" พี่บุ๋นก็ด้วย "ลีดมหาลัยมีสิทธิ์รับโทษแทนน้องลีดปีหนึ่งคณะไหนก็ได้ใช่ไหมเพื่อนตอง และน้ำชาเป็นน้องของบุ๋น คงไม่ขัดข้องที่จะทำตามกฎนะประธานแอม"

"หนูก็จะไม่ให้น้ำชาต้องถูกลงโทษคนเดียวค่ะ พี่ๆสอนเสมอว่าให้ทำงานเป็นทีม หนูเอาด้วย" เกตุผู้แข็งแกร่ง เธอเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำเชียร์ที่แท้จริง

"ผมด้วยครับ" "หนูด้วยค่ะ"

ทุกคน

ให้ตายเหอะ อย่าร้องไห้ออกมานะกู

"พลอยด้วยคน" พี่พลอยว่าไงนะ "ลีดคณะมีสิทธิ์รับโทษแทนน้องลีดคณะตัวเอง ตามกฎเหมือนกัน"

"เราด้วย" "เราด้วย" ....

ตอนนี้พี่ผู้นำเชียร์ปีสองที่อยู่ในห้องซ้อมทุกคนอาสาถูกลงโทษพร้อมน้องๆทั้งหมดเลย ยกเว้นประธานคนเดียวนั่นแหละ

มันเป็นความรู้สึกจุดอกที่อึดอัดแต่กลับรู้สึกดีและอยากขอบคุณทุกคนจริงๆ

"ตอนนี้เรามีกัน 30 คน" พี่ตองบอกพี่แอม "จากคำสั่งลงโทษเดิมของแอม ก็เหลือ 300 ถูกไหม"

"......" พี่แอมกำลังยืนมองทุกคนในสีหน้าของผู้ดี แต่ก็โกรธและเสียหน้า "งั้นก็เอาซิ 300 ทำให้ครบละ"

"หนึ่งครับพี่แอม" พี่ตองเริ่มเป็นหัวเสียงในการนับ

"สองครับพี่แอม" ตามด้วยผม

และคนอื่นๆต่อไป นี่ซินะทีมเวิร์คและความสามัคคี

จริงๆต้องขอบคุณพี่แอมนะที่ทำให้เราทุกคนรู้ว่าความสามัคคีคืออะไร หากเราต้องต่อสู้กับศัตรูคนเดียวกัน



"สามร้อยครับพี่แอม"

การนับครั้งสุดท้าย ทุกคนตะโกนพร้อมกัน

นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกให้ยืนการ์ดมากถึงสามร้อย เป็นสถิติสูงสุดที่รุ่นพี่ทั้งหมดเคยสั่งมาในรอบหลายปี ถึงแม้ว่าทุกคนจะช่วยกันแต่ก็กินเวลาไปกว่าสี่สิบนาที ตอนเอาแขนลงรู้สึกเหมือนจะยกมันขึ้นไม่ได้อีกนานเลยด้วยซ้ำ

เสียงบ่นงึมงำของผู้รับโทษดังขึ้นทันที



ตุ๊บ

​เห้ยยยย

"พี่ตอง พี่ตอง" ผมแทบจะถลาลงไปคว้าตัวคนตัวสูงข้างๆ

พี่ตองตัวร้อนขึ้นอีกแล้ว ผลจากการฝืนใช้ร่างกายแน่นอน

"พ...พี่ตอง" ผมร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย เพราะเขาไม่ได้สติเลย แถมยังหายใจหอบพ่นไอร้อนออกมาไม่หยุด

"ตองเป็นไรเนีย" พี่บุ๋นถลาเข้ามาเช่นกัน "เห้ย ตัวร้อนนิ มาช่วยยกตองหน่อย รถบุ๋นจอดข้างนอก ต้องพาไปหาหมอด่วนเลย"

ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครมาช่วยบ้าง แต่พี่ๆกันผมออกมาหมด

"ผมจะไปด้วยๆ" ผมร้องลั่น

"ไม่ได้ๆ" พี่บุ๋นคว้าตัวผมไว้ ในขณะที่ร่างของพี่ตองถูกพาออกไป "เอ็งต้องซ้อมต่อ ไม่งั้นจะถูกหักคะแนนลงอีก"

"ผมไม่สน"

"เอ็งต้องสนดิ ตองมันทำเพื่อเอ็งนะที่โดนลงโทษเนีย พี่ก็ด้วย ไม่ต้องห่วง พี่ก็เพื่อนมัน อดทนซ้อมแค่ชั่วโมงเดียว เดี๋ยวก็จบแล้ว"

ไม่รู้ซิ จะให้ผมทิ้งพี่ตองเนี่ยนะ ไม่เห็นจะสมเหตุสมผลตรงไหนเลย

"เชื่อพี่ ขอร้อง"



"รบกวนหน่อยครับ"

อะไรอีกวะ หลังจากที่พี่ตองถูกหามออกไป ก็มีคนใหม่เข้ามาแทน

​พี่ท๊อป

​"ก.น.ช." พี่บุ๋นเอ่ย

ก.ก.น. หรืออะไรนะ แล้วพี่ตองไปยังไงมายังไง

"มาก็ดีแล้ว" พี่บุ๋นแทบจะพุ่งตัวใส่พี่ท๊อปทันที อะไรกันวะ ปรับอารมณ์ไม่ทัน "นี่มันห้องเชียร์นะครับ ไม่ใช่ห้องซ้อมที่เกาหลี หน้าที่ตอนนี้คือ ก.น.ช. ช่วยทำตัวให้สมกับหน้าที่ด้วย หวังว่าคงไม่มีเหตุผลเลี่ยงงานอีกนะ เพราะว่าการทำงานที่บกพร่องของพวกคุณทำให้เพื่อนของผม ต้องเข้าโรงพยาบาล" แล้วพี่บุ๋นไปโกรธพี่ท๊อปมาจากไหน เดินชนไหล่ออกจากห้องซ้อมไปเลย แต่ก็ดีแล้วหละ เพราะพี่เค้าต้องพาพี่ตองไปโรงพยาบาล

"จะไปไหนน้ำชา" ผมยังไม่หยุดความพยายามที่จะตามพี่ตองไป "พี่มีสิทธิหักคะแนนนะ ถ้าโดดกิจกรรมห้องเชียร์"

อะไรอีกวะ นี่มันกำลังเสริมของพี่แอมหรือไง

"วันนี้พี่จะมาทำหน้าที่ของพี่ และแนะนำตัวกับน้องๆทุกคน ช่วยกลับไปรวมตัวกันด้วยครับ"

เรื่องบ้าไรกันวะ โถ่เว้ยยยยยย



"สวัสดีครับน้องๆคณะวิทยาศาสตร์ทุกคน" พี่ท๊อปเริ่มแนะนำตัว "พี่เป็นตัวแทนจาก ก.น.ช.นะครับ หรือ คณะกรรมการควบคุมการรับน้องและการใช้สิทธิโดยมิชอบ เป็นหน้าที่ของพี่ปีสามที่เคยทำงานในตำแหน่งสำคัญเมื่อตอนที่อยู่ปีสอง เช่น ผู้นำเชียร์ พี่วินัย พี่เชียร์ พี่พยาบาล พี่เลือกมาที่นี่วันนี้ก็ถือเป็นโอกาสดีนะครับเพราะได้แนะนำตัวและ..." จู่ๆ พี่ท๊อปก็หันไปหาพี่แอม พี่แอมมีสีหน้าสงสัยเล็กน้อย "มีผู้ร้องเรียนการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมต่อประธานผู้นำเชียร์คณะวิทยาศาสตร์ แล้วก็ถ้าพี่เข้าใจไม่ผิด คงต้องนับการลงโทษเกินกว่าเหตุจนมีผู้ต้องเข้าโรงพยาบาล คือ..." พี่ท๊อปหันกลับมาและมองหน้าผม "จริงๆพี่ควรจะมาเร็วกว่านี้ แต่มัวไปหาเอกสารหลักฐานบางอย่าง เช่น การลาไปทำกิจการสำคัญของมหาวิทยาลัยและอื่นๆอีกนิดหน่อย.... ยังไงพี่ก็คงต้องขอเชิญตัวประธานลีดของน้องๆไปที่ห้อง ก.น.ช.หน่อยนะครับ  เชิญครับน้องแอม"

"...." พี่แอมไม่ตอบ แต่สีหน้านี้ของเธอ ทำให้ผมรู้สึกซะใจชะมัด เสียงปึงปังของการเดินของเธอก็ทำให้ผมรู้สึกดีด้วยเช่นกัน

"งั้นเราก็รู้จักกันแล้วนะ" พี่ท๊อปกล่าวอีกครั้ง "หลังจากนี้ถ้ามีเรื่องการรับน้องเกินกว่าเหตุหรืออะไรที่ไม่เป็นธรรม โทรเข้าส่วนกลางของมหาวิทยาลัยได้เลยนะครับ ขอบคุณครับ"

"ขอบคุณค่ะพี่ท๊อป" พี่พลอยกล่าวขอบคุณ และหันมาคุยกับพวกผมต่อ "เดี๋ยวพักก่อนนะเด็กๆ วันนี้มีเรียนการปรับบุคลิกภาพนะ รวมกันอีกทีหลังจากครูข้างนอกมาถึงนะคะ"



"พี่ดีใจนะ" อ้าว พี่ท๊อปยังไม่ไปอีกเหรอ พี่เค้ามาคุยกับผมที่ยืนกระวนกระวายอยู่หน้าประตู "ที่น้ำชามีเจ้าตองคอยดูแล ใช่ แฟนเราโทรไปหาพี่เอง สายตรงเลย เพื่อร้องเรียนเรื่องนี้ ไม่ต้องห่วงนะ งานนี้จะมีคนถูกลงโทษแน่นอน" พี่ตองตบไหล่ผมเบาๆ แล้วก็จากไป



#เสียงโทรศัพท์

"ฮัลโหลชา ผมพิชิตเองนะ"

"ค...ครับ อาจารย์หมอ"

"ตองปลอดภัยแล้วนะ แค่เพลียเพราะไข้ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง"

"ขอบคุณครับอาจารย์หมอ"

ได้ยินแบบนี้ค่อยโล่งหน่อย



แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้คลาสบุคคลิกภาพวันนี้ของผมมีสมาธิเท่าไหร่ เหมือนว่าตัวของผมตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลแล้วด้วยซ้ำ

พี่ท๊อปกลับมาพร้อมกับยืนยันอีกครั้งว่าพี่ตองปลอดภัย

เอาเถอะ ยังไงผมก็รอเวลาเลิกห้องเชียร์อยู่ดี



ทันทีที่ห้องเชียร์จบ พี่บุ๋นก็อาสาไปส่งผมที่โรงพยาบาล ระหว่างทางพี่เค้าก็เอาบ่นแต่เรื่องของพี่ท๊อป บอกว่า ถ้าไม่เกรงใจว่าเป็นรุ่นพี่จะด่าพี่แกให้หนักเลย แทนที่จะห่วงรุ่นน้อง กลับเอาแต่ไปเกาหลี

ผมถึงโรงพยาบาลประจำมหาวิทยาลัยได้ ก็วิ่งหน้าตั้งไปหาพี่ตองทันที



ทันทีที่เจอ คนร่างสูงยาวก็นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ไม่มีสายน้ำเกลือหรืออุปกรณ์พิเศษอะไร มีแต่พยาบาลคนหนึ่งที่สวนผมออกจากห้อง

"ไอ้พี่ตองบ้า" นั่นคือสิ่งที่ผมบ่นกับคนที่นอนหลับไร้สติ

"ก็บอกแล้วไง" หึ นี่จะมีสักครั้งไหมที่ผมจะได้เห็นไอ้บ้านี่หลับจริงๆ "พี่ไม่อยากรอชาอยู่บนหอคอยคนเดียว...



เราจะต้องอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะมีอุปสรรคอะไร"
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 20 [ก.น.ช. ปะทะ ประธานลีด]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 23-11-2017 21:45:23
​ตอนที่ 20 : ก.น.ช. ปะทะ ประธานลีด





"ไหวแน่นะ"

"แค่นี้เอง ไม่ฝืนหรอกน่า... นะครับ"

นั่นคือคำแก้ตัวของคนตัวสูงตรงหน้าผม ก็รู้อยู่หรอกว่าหมอบอกว่าพี่ตองไม่เป็นไรมาก แต่ไอ้พี่ตองบ้านี่มันก็เหลือเกินจริงๆ มาออกรับโทษแทนผมซะได้ พอออกจากโรงพยาบาลได้ก็คะยั้นคะยอให้ติวให้อีก

"ถ้าปวดหัวก็บอกเลยนะ" ผมยังไม่วางใจ

"ถ้าไม่ติวตอนนี้พี่อาจจะสอบตกได้นะ แล้วพ่อก็พาพี่กลับไป แบบนั้น ไม่เอาดีกว่า พี่คิดถึงชาแย่เลย"

หยอดอีกแล้ว เดี๋ยวกูฮุคเข้าให้อีกหมัดหรอก

"จะทำร้ายพี่อีกแล้ว นี่มันในห้องส่วนตัวนะ ไม่มีใครได้ยินหรอก"

คือตอนนี้ ผมกับพี่ตองเลือกมาติวกันที่ร้านกาแฟหน้าหอพักของขิง เห็นไอ้ต้อมเคยเล่าให้ฟังว่ามันมาติวที่นี่บ่อยๆ เหมาะกับการติวหนังสือ



"อย่าไปกวนเค้าเลยน่า"

เสียงใครคุยอยู่หน้าห้องหว่า

ผมสงสัยอยู่ไม่นานก็มีคนเปิดประตูเข้ามา

"อั้นแน่ๆๆ" ไอ้ต้อม เพื่อนสารเลวของผมเอง มาพร้อมกับขิงลูกพี่ลูกน้องของผมที่มันแทบจะตัวผูกติดกันไปแล้วตอนนี้ "มาทำไรกันที่นี่อ่ะ เปลี่ยนบรรยากาศเหรอไอ้ชาเย็นนนนน"

"อยากโดนกูตบเกรียนใช่ไหมมึงอ่ะ" ผมเปิดศึกก่อนเลย

"โหดกับเพื่อนตลอด...  หวัดดีครับพี่ตอง มาทำไรกันอะพี่"

"มาติว" นี่ก็ตอบคำถามมันง่ายจัง ไอ้พี่ตองเอ๊ย

"พี่สอบผ่านแล้วไม่ใช่เหรอพี่"

"คือ.... ที่บ้านกูจะส่งคนมาทดสอบทุกๆสองอาทิตย์อ่ะ ไม่ติวคงตกชัวร์"

"อือหืออออ โหดสัดรัสเซีย... อ๋อ น้องน้ำชาก็เลยต้องมาติวให้พี่ตอง ใช่ไหมจ๊ะ"

"ส่วนมึง ไม่มีเหตุผลที่จะต้องติวอีก" แซวกูนักใช่ไหม ต้องโดนกูจัดหนักบ้าง "มึงสอบผ่านไปแล้ว ขิงมีภาระการเรียนของเค้าที่ต้องรับผิดชอบ มึงอย่ามาอ้างว่าเป็นแฟนกัน เพราะมันไม่ได้หมายถึงการเอาอิสระไปจากญาติกู เข้าใจความเป็นจริงส่วนนี้ด้วย"

"......"

ไม่ได้เจอคนดุของจริงมากนานใช่ไหมมึงอ่ะ ไอ้เพื่อนต้อมสารเลว กูรู้จุดอ่อนมึงดี

"ไม่เป็นไรหรอกชา" ขิงออกรับให้ ตอนนี้เห็นได้ชัดเลยว่าขิงเป็นห่วงหน้าถอดสีของไอ้ต้อมมาก "ขิงก็ได้ทบทวนบทเรียนเหมือนกัน เอ่อ... ขิงไปติวดีกว่านะ อยู่ห้องข้างๆนะ"

ไอ้ต้อมเดินหน้าจ๋อยตามลูกพี่ลูกน้องของผมออกไป

"พูดแบบนั้นกับต้อมจะดีเหรอชา" พี่ตองถามทันที

"ก็มันแซวชาก่อนอ่ะ อย่างมันต้องโดนซะบ้าง"

"โอเคครับ ห้ามแซว ห้ามหยอด ไม่งั้นโดน เข้าใจแล้ว มาติวกันดีกว่า"

ดีมากที่เข้าใจ



ผมเริ่มสอนเนื้อหาวิชาเลขให้คนตรงหน้าอย่างจริงจัง ไม่รู้ซิ ถึงเวลาสอนทีไร เหมือนองค์ลง ก็รู้นะว่าเป็นคนมีอีกบุคลิกเวลาสอน แต่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรนิ

เราติวกันจนฟ้ามืดไปสักพักใหญ่ๆ



"พอแค่นี้ดีกว่านะ" ผมออกปากในที่สุด "เรียนมากกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก มันจะมากเกินไป"

"โอเค งั้นเราไปกินแกงเห็ดกันไหม" นี่มันใช่คนเดียวกับคนที่เป็นลมไปเมื่อบ่ายจริงหรือเปล่า ไปเอาพลังงานมาจากไหนนักหนา

"ไม่ได้อ่ะ ชาต้องกลับไปซ้อมเพลงใหม่ ขืนเป็นแบบนี้อีก.... ชาไม่อยากให้ใครต้องมาเดือดร้อนไปด้วย"

"ทุกคนเข้าใจนะชา"

"ยังไงชาก็ต้องซ้อมอยู่ดี"

"โอเค งั้นก็ได้ พี่ไปซื้อแกงเห็ดให้เอง จะเอาไปส่งให้ถึงห้องเลย ชาจะได้มีเวลาซ้อมเยอะๆ"

"อย่ามาเนียน คิดจะมานอนห้องชาอีกอะดิ ฝันไปเหอะ"

"อ้าวววววว แล้วจะให้พี่ไปนอนไหนอ่ะ พี่ก็ต้องนอนกับแฟนพี่ซิ"

"ไม่ด้ายยย พี่ตอง เราต้องมีช่องว่างกันบ้างนะ ชาก็ให้พี่มาเฝ้าชาซ้อมสองวันต่ออาทิตย์ ไหนเราจะติวด้วยกันตอนเย็น ทำงานพิเศษที่โรงพยาบาลด้วยกันอีก" คือ เอาจริงๆนะ ผมกลัวจะโดนเบื่อ บางทีผมอาจจะยอมพี่ตองง่ายเกินไปหน่อย ปล่อยให้เค้าเสพหลายอย่างจากเรามากเกินไป ถ้าเค้าเบื่อขึ้นมาหละ ต้องไม่ทำให้เกมส์นี้จบเร็ว ในหัวผมเริ่มวางแผนอีกครั้ง

"..... ชา อยากได้ช่องว่างเหรอ"

"ก็... ใช่ซิ เห็นหน้าพี่ทุกวัน ชาเบื่ออะแย่แล้วเนีย"

"ก็ได้ครับ แล้วพี่จะได้ไปนอนกับชาอีกเมื่อไหร่อ่ะ"

"ไม่มีกำหนด พี่ตองควรตั้งใจอ่านหนังสือให้มากๆนะ เพราะเรื่องสอบของพ่อพี่ พ่อของพี่เอาจริงนะ ชาไม่อยาก.... ให้พี่เสียอนาคต" เกือบจะพูดว่าไม่อยากเสียพี่ไปซะแล้ว "ไหนจะความรับผิดชอบในฐานะผู้นำเชียร์อีก ที่คณะวิศวะคงอยากเห็นพี่ในห้องซ้อมบ้าง"

พี่ตองนั่งคิด "แบบนั้นก็ดีเหมือนกันครับ โอเค งั้นพี่ไปส่งดีกว่า"

อะไรวะ ง่ายจัง

พี่ตองมาส่งผมที่หน้าหอ ไม่ขึ้นไปส่งด้วย แล้วก็ขับเลยเข้าหอของตัวเองไปเลย

​งอนหรือไง

​อย่าเพิ่งคิดเรื่องนั้นเลย แบบนี้แหละดีแล้ว เป็นไปตามแผนที่เราวางไว้ ส่วนตอนนี้รีบขึ้นไปซ้อมดีกว่า เสบี่ยงในตู้เย็นคงช่วยได้สำหรับคืนนี้





"พี่มีเรื่องสำคัญมาแจ้งให้น้องๆทราบนะครับ"

การซ้อมผู้นำเชียร์ในกิจกรรมห้องเชียร์ตอนบ่ายของวันใหม่เริ่มขึ้นอีกครั้ง แต่ไม่ยักกะเห็นพี่แอม ทำไมถึงเป็นพี่บุ๋นมาพูดนำละ

"พี่แอมไม่สามารถดำรงตำแหน่งในฐานะประธานผู้นำเชียร์ของคณะวิทยาศาสตร์ต่อได้ เนื่องจากติดภาระกิจสำคัญยาวนานต่อเนื่อง พี่ๆจึงลงความเห็นในการเลือกประธานคนใหม่และก็เป็น พี่เอง ที่ต้องทำหน้าที่นั่น สุดยอดไปเลยกู"

​เห้ยยยยยยยยยยย เจ๋ง

​แต่เดี๋ยวก่อนนะ หรือว่า นี่จะเป็นบทลงโทษที่พี่ท๊อปพูดถึง แบบนี้จะไม่ยิ่งทำให้พี่แอมเกลียดเรามากขึ้นหรือไง

"ดังนั้น พี่ในฐานะประธานลีดคนใหม่นะ ก็มีนโยบายใหม่ให้ทุกๆคน...."

"ขออนุญาตครับ"

เชรดดดดดด พี่ท๊อปโผล่มาอีกแล้ว ตายยากจริงๆ

"ก.น.ช.มีธุระอะไรที่นี่ครับ" นี่ผมไม่ได้คิดไปเองนะ แต่เหมือนกับว่าพี่บุ๋นแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจพี่ท๊อป ไปโกรธไรกันมาหว่า "หรือว่ามีถ่ายแบบ ที่นี่ไม่ใช่สตูดิโอนะครับ นี่ห้องซ้อมคณะวิทย์"

"ก็ได้ยินข่าวว่าคณะวิทย์มีประธานลีดคนใหม่ ในฐานะ ก.น.ช.ประจำมหาวิทยาลัยมัณฑนา ก็ต้องมาดูหน่อย เดี๋ยวจะมีคนหาว่าบกพร่องในหน้าที่อีก" พี่ท๊อปตอนปะทะฝีปากนี่ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันแฮะ สมัยมา... เอ่อ ทำความรู้จักกับเรา เห็นเป็นหนุ่มหล่อโอปป้า ไม่คิดว่าจะมีโมเม้นแบบนี้ด้วย "เดี๋ยวนะ... อย่าบอกนะว่า ประธานคนใหม่เป็น... น้องแว่น"

หือ? แว่นไหนวะ ใครใส่แว่น พี่บุ๋นไม่ได้สวมแว่นนี่หว่า พี่ท๊อปหมายถึงใคร ผมรู้ว่าคนอื่นๆในห้องซ้อมก็งงเหมือนกัน

"......." แต่พี่บุ๋นแสดงออกชัดเจนเลยว่า ตัวเองคือบุคคลนั้น และดูหัวเสียกว่าเดิมอีก "แล้วมีปัญหาอะไรไหม"

"ก็ไม่นิ แค่ไม่คิดว่าคนขาดมั่นใจแบบน้อง จะขึ้นมาเป็นหัวหน้าคนได้ เน๊อะ น้องแว่น"

"คอยดูแล้วกัน"

นี่พี่สองคนกำลังด่ากันจริงๆใช่ไหมเนีย แต่พี่ลืมไปหรือเปล่าว่าห้องนี้มีคนกำลังดูมวยอยู่เต็มไปหมดเลยนะ

"เราเลิกสนใจคนไม่ใส่ใจงานดีกว่านะครับน้องๆ" พี่บุ๋นกำลังพูดแดกดันพี่ท๊อป โอเค ชัดเจนกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว "พูดถึงนโยบายของพี่ต่อดีกว่า เพื่อความยุติธรรม พี่จะขอปรับคะแนนทุกด้านของน้องๆทุกคน ให้เต็มห้าสิบทั้งหมดเลย แล้วค่อยเอาการกระทำผิดและการทดสอบหลังจากนี้มาเป็นตัวตัดคะแนน พี่รับรองว่าเราจะไม่ทำเรื่องที่เป็นการกลั่นแกล้งน้องๆเด็ดขาด"

นี่มัน สุดยอดไปเลย ไม่ใช่แค่ผมนะที่ดีใจ เกตุเองก็ดีใจจนแทบจะเก็บอาการไม่อยู่

"ให้คะแนนเต็มทุกคน โดยไม่ใช่การประเมินก่อนหน้านี้ ไม่สมกับเป็นการทำงานของคณะใหญ่เลยนะครับ"

พี่ท๊อปแทรกขึ้นมาอีกแล้ว

"แล้วต้องทำยังไงเหรอครับ พี่ลีดเภสัชปีสาม ช่วยแนะนำน้องๆในคณะวิทย์หน่อย เอ๊ะ แต่เดี๋ยวก่อนนะ พี่เคยทำหน้าที่ลีดรุ่นพี่ด้วยเหรอ? ผมสงสัย"

ยกสองนี่มันโหดขึ้นกว่าเดิมอีก

เกิดเรื่องอะไรระหว่างพี่ท๊อปกับพี่บุ๋นนะ



เมื่อสงครามสงบลง การซ้อมเต้นก็เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่พี่ท๊อปก็ไม่ได้กลับ ท่าทางจะกลัวโดนหาว่าไม่ทำงาน

พี่บุ๋นไม่ใช่คนไม่มั่นใจในตัวเองอย่างที่พี่ท๊อปบอกแม้แต่น้อย พี่เค้าก็ยังเป็นคนขี้เล่นเหมือนเดิม แต่ผมเพิ่งจะสังเกตุเห็นว่า พี่บุ๋นมีรายละเอียดการเต้นที่สมบูรณ์กว่าพี่คนอื่นๆ เกตุบอกมาอีกที เห็นแบบนี้ก็เก่งเหมือนกันนี่นา

บรรยากาศการซ้อมดูไม่อึดอัดและตึงเครียดเหมือนทุกวัน ดูสบายขึ้นแต่ซ้อมหนักมากกกกกกกกก พี่บุ๋นเป็นคนละเอียดเบอร์สุดเลย การ์ดไม่เท่ากันก็ไม่ได้ นิ้วมือแตกออกจากกันก็ไม่ได้ ขาก้าวผิด แขนไม่ได้องศา หน้าไม่ยก ปากไม่ยิ้ม ตาไม่มั่นใจ ลำตัวไม่มั่นคง เต้นผิด นี่คือทั้งหมดที่ผมได้ยินพี่บุ๋นพูดบ่อยมากในวันนี้ สายตาจะดีไปไหน นึกว่าไม่มีพี่แอมแล้วจะสบายขึ้น เปล่าเลย แค่สบายใจ แต่ลำบากกายสุดๆ



"โอเคครับ" พี่บุ๋นให้สัญญาณหยุดซ้อมในที่สุด "รอบเมื่อกี๊ถือว่าพร้อมกันแล้ว แต่พี่อยากให้น้องๆใส่รายละเอียดลงไปในแต่ละท่ามากกว่านี้นะครับ มันยังสมบูรณ์กว่านี้ได้อีก" ยังมีสมบูรณ์กว่านี้อีกเหรอ "เดี๋ยวไปพักประจำชั่วโมงนะครับ แล้ววันนี้จะมีน้องๆผู้โชคดีจากห้องเชียร์คณะเราห้าคน มาร่วมซ้อมกับเราด้วย มันเป็นเรื่องดีนะที่น้องๆจะได้เต้นพร้อมกับการร้องเพลงเชียร์ของคนจากห้องเชียร์จริงๆ..... ไปพักกันได้ครับ"



ผมถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้



ในนาทีที่ผมไปดื่มน้ำก็ได้เห็นกับเด็กปีหนึ่งห้าคนจากห้องเชียร์ เข้ามาในห้องซ้อม

"อิชาาาาาาาาาา"

เห้ยยยยยยย

อิเจสซี่ อิเล็ก แล้วก็วาวา

"พวกมึงเข้ามาทำไมเนีย"

"พวกกูเป็นผู้โชคดีไง" อิช้างเจสซี่ร้องตาแทบถลน "เนี่ยเหรอห้องซ้อมคณะเรา หรูหรา ใหญโตและมีกลิ่นอายของผู้นำเชียร์หล่อเหลาเต็มไปหมด ห้องซ้อมของว่าที่เจ้าชายและเจ้าหญิงคนใหม่"

"พวกกูนะ วิ่งสู้ฟั๊ดกันขนาดไหนรู้ไหม" อิเล็กเสริม "ดูสภาพดิ" เออ จริงด้วย สภาพพวกมันอย่างกับผ่านสงครามไรมา นี้มันต้องทำยังไงวะถึงเป็นผู้โชคดีได้

"ใช่ๆ มึง กูอะร้องเพลงจนเสียงจะหมดอยู่แล้ว" วาวาไม่ต้องบ้าไปกับพวกมันก็ได้นะ "อุ๊ย นั่นพี่ท๊อปนี่นา ไปขอถ่ายรูปกับพี่เค้าแป๊บนึงนะ" วิ่งไปเร็วเกิ๊น หนูเป็นผู้หญิงนะวาวา

"นี่เพื่อนชาเหรอ" เกตุเดินเข้ามาทักเพื่อนระริกระรี้ของผม

"ใช่ นี่เจสซี่ นี่เล็ก แล้วก็ที่เพิ่งจะวิ่งไปโน่นคือวาวา"

"ดีจังเลยนะ มีเพื่อนมาหาด้วย"

"เกตุใช่ไหม เราชื่อเล็กนะ" อะไรของอิเล็ก ไปแนะนำตัวทำไม "ถ้าเกตุได้เป็นลีดมหาลัยอะ เราขอสมัครเป็นบัดดี๊นะ เรานะ จัดตารางเวลาก็เก่ง คุยงานเก่ง แล้วก็คิดค่าแรงไม่แพงด้วย"

เกตุเหวอไปเลย นี่แหละเกตุ เพื่อนเรา น่าอายชิบ

"ดีค่ะๆ งั้นอิชากูจอง ตกลงกันแล้วนะ" เดี๋ยวๆอิเจสซี่ พวกมึงไม่คิดจะถามกูเลยเหรอ "ไม่ต้องห่วงอิชา กูนิของจริง ศึกษาลีดมหาลัยนี้มาทุกคนทุกคณะ ตื้นลึกหนาบาง วงในวงนอก อิเล็กไม่ได้ขี้เล็บกูหรอก"

"เพื่อนชาน่ารักจังเลยนะ" เกตุจะพูดว่าพวกมันบ้าก็ได้นะ ไม่ว่าหรอก

"เออๆอิเจสซี่ ถามไรหน่อยดิ" ลองถามมันดูดีกว่า "พี่ท๊อปกับพี่บุ๋นอะ เค้า.. ไม่ถูกกันเหรอ กูเห็นพี่เค้าด่ากันโต้งๆเลย ตอนซ้อมอ่ะ พอรู้เรื่องนี้ไหม"

อิเจสซี่กับอิเล็กทำหน้าตกใจใส่กัน

"ข่าวใหม่นะเนีย" อ้าวอิช้าง ไหนบอกรู้หมดไง

"พี่ท๊อปกับพี่บุ๋นเนี่ยนะ เค้าควรจะสนิทสนมกันไม่ใช่เหรอ ตามแหล่งข่าว" อิเล็กเริ่มวิเคราะห์ "มึงรู้หรือเปล่าว่าพี่ท๊อปอ่ะ แต่ละปีจะปั๊มตราลีดให้แค่คนเดียวเองนะ"

"ใช่ค่ะ ซึ่งปีนี้คือมึง" อิเจสซี่เสริมอย่างรู้ใจ "ส่วนปีที่แล้ว นั่นเลยค่ะ ประธานลีดสุดหล่อคนใหม่ของเรา ​พี่บุ๋น​"

".........."  ช็อกไปเลยกู

"นี่ต้องเก็บเป็นข้อมูลใหม่นะ สองคนนี้ไม่ถูกกันซินะ"

"กูเม้มไว้แล้วเรียบร้อย"

จริงเหรอเนีย พี่บุ๋นคือคนที่พี่ท๊อปปั๊มตราสีแดงให้เมื่อปีที่แล้ว แต่ทำไมท่าทีถึงต่างจากเราจัง



ความสงสัยของผมยังไม่ได้รับคำตอบ การซ้อมสุดโหดก็เริ่มอีกครั้ง อิเพื่อนสามตัวของผมกระดี๊กระด๊าร้องเพลงใหญ่ นี่มันเป็นจังหวะช้านะ ทำไมพวกมึงทำอย่างกันเป็นเพลงแดนซ์ในผับ ท่าทางจะปลื้มเอามากๆที่ได้เข้ามาในห้องซ้อม





"ชาถามไรหน่อยซิ" ผมเก็บความสงสัยของตัวเองจนกระทั่งถึงเวลามาช่วยดูแลน้องๆที่โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย ก็ไม่ได้ถามใครเป็นพิเศษหรอก พี่ตองนั่นแหละ

"ครับ" ไอ้พี่ตองนี่ก็ชักจะเย็นชาเกินไปแล้วนะ แค่บอกให้มีช่องว่าง ไม่ได้ห้ามให้พูดซะหน่อย

"พี่ท๊อปกับพี่บุ๋นอะ เค้าไม่ถูกกันเหรอ"

"แล้วทำไมชาไม่ถามสองคนนั่นเองหละ"

"พี่ตอง..." ใช่เรื่องไหมที่กูจะไปถาม

"ก็... บุ๋นมันเป็นคนจริงจังในงานลีดมาก ส่วนพี่ท๊อปก็พอได้โอกาสในเกาหลี ก็แทบจะทิ้งงานลีดทั้งหมดของที่นี่ไปเลย"

"แค่นั้นเองเหรอ" คนเราจะโกรธกันด้วยเรื่องแค่นี้อะนะ

"อาจจะมาจากเพลงมิ่งขวัญก็ได้มั้ง"

"ยังไงอ่ะ"

"รู้หรือเปล่าว่าไอ้บุ๋นโดนใครปั๊มตราลีดให้เมื่อปีที่แล้ว"

"รู้ พี่ท๊อปไง" เออ ไม่ต้องมาทำหน้าสงสัยว่ารู้ได้ไง เล่าต่อเลย

"ก็... บุ๋นมันดีใจมากตอนนั้น แล้วก็มองเห็นพี่ท๊อปเป็นพระเจ้าไปเลย แต่ตอนรอบให้ค้นหาท่าเต้นเพลงมิ่งขวัญด้วยตัวเอง พี่ท๊อปเหมือนจะสัญญากับมันไว้ว่าจะช่วยสอนให้ แต่ก็เป็นวันเดียวกันกับที่เอเจนซี่เกาหลีมาพาพี่เค้าไปเซ็นสัญญา ที่เกาหลี หายไปเลย ตั้งแต่ตอนนั้น บุ๋นมันก็เลิกเชื่อในพี่ท๊อปไปเลย"

"รู้ละเอียดเหมือนกันนะเราเนีย"

"ก็บุ๋นสนิทกับพี่ เราเรียนพิเศษที่เดียวกัน ไม่รู้เหรอ เรื่องของพี่อ่ะ หรือรู้แต่เรื่องของพี่ท๊อป"

อะไรของมันวะ "อะไรของพี่เนีย"

"เปล่า ทำงานเถอะครับ เดี๋ยวดึก ชาต้องติวให้พี่ต่ออีก"

นี่ไม่ปกติแล้ว แต่ก็ไม่น่าเชื่อนะว่าพี่ตองจะทำตามที่ผมบอกเป๊ะๆ ไม่ขาดตกบกพร่องเลย

มาเฝ้าที่ห้องซ้อมแค่อังคารกับพฤหัสฯ

ไปช่วยงานที่คณะวิศวะ ถ้าไม่ติดงานอีเว้นข้างนอก

ทบทวนบทเรียนตลอด สังเกตุได้เลยตอนที่ติวให้

ไม่หยอด ไม่มีคำหวาน ไม่ทำท่าทีกวนประสาท

หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ มันช่าง..... ​ไอ้บ้าพี่ตอง แกเป็นบ้าอะไรเนี่ยยยยยยยยยยย





"พี่ตองงงง พาชาไปกินแกงเห็ดหน่อยดิ" นี่คือคำอ้อนจากผม ผมว่าผมพอจะเข้าใจแล้วหละ ไอ้พี่ตองมันคงงอนที่ผมไปขอช่องว่างจากมัน ผมไม่ได้โง่นะ นี่เด็กอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์ของประเทศเชียวนะ "นะนะนะ"

"ได้ครับ"

อือหือ ตอบง่ายและเรียบง่ายสุดๆ เป็นคนที่งอนได้น่าอึดอัดมากๆเลย ไม่หนี ไม่หาย ไม่ชวนทะเลาะ ไม่งี่เง่า แถมตามใจอีก แต่แบบนี้ไม่ใช่มันเลย

"แล้วเข้าใจเนื้อหาวันนี้ไหม ให้ชาทวนตรงไหนให้อีกไหม" ลองพยายามอีกทีละกัน

"ไม่นิครับ เข้าใจหมดเลย"

เฮ้ออออออออออออออออออออออออออออ

"โอเค ชาขอโทษก็ได้"

"ขอโทษ เรื่องไรอ่ะ" ไม่ต้องมาทำไม่รู้เลย จะให้เราพูดอะดิ

"พี่ก็รู้นิ"

"ไม่เห็นจะรู้เลย"

"พี่ตอง" กรรม ลืมไปเลยว่าง้อมันอยู่ จะไปทำเสียงดุใส่ได้ไง "ก็... ที่ชาบอกให้พี่มีช่องว่างระหว่างเราไง"

"อ๋อ เรื่องนั้น" ไอ้พี่ตองตอแหล ทำเป็นไม่รู้นะ "ชาก็พูดถูกแล้วนิครับ เพื่อนๆที่คณะก็ชมว่าพี่มาช่วยงานมากขึ้น เจ๊ซีซี่ก็บอกว่าดี รับงานได้เยอะขึ้น พี่ก็ยังได้ติว ได้เจอชาเหมือนเดิม เหมือนที่แฟนปกติเค้าทำกัน"

"นี่โกรธจริงใช่ไหมเนีย"

"....."

"คือ... ชาแค่ไม่อยากให้เราใกล้กันมากเกินไป"

"ก็ดีแล้วครับ" หน้ามึงเนีย ไม่ได้แสดงว่าดีอย่างที่ปากพูดเลยนะ

"เลิกทำเย็นชาแบบนี้เถอะน่า"

"....."

"จะไม่คุยใช่ไหม" ชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ เห็นกูง้อมาก ทำได้ใจนะมึงอ่ะ เก็บของกลับดีกว่า ไม่สนใจละ

"ชาอายเหรอที่เป็นแฟนกับพี่"

หึ เรื่องมันมาถึงจุดนี้ได้ยังไง "พูดไรอ่ะ ใครจะไปอาย"

"ชาไม่ชอบที่ให้พี่แสดงความรู้สึกดีๆกับชาต่อหน้าคนอื่น ชาไม่ให้พี่พูดจาหวานๆด้วย ชาโกรธทุกครั้งที่คนอื่นมองเห็น"

กูจะบ้าตาย "นั่นมันที่สาธารณะนะ"

"ก็ใช่ไง ก็แปลว่าชาไม่อยากให้ใครรู้"

"ก็มัน...."

"ทำไม"

"มัน..." เฮ้อออออออออ "มันเขินอ่ะ เดี๋ยวไอ้ต้อมมันก็ล้อชาอีก"

"ชาห่วงแต่ความรู้สึกตัวเองอ่ะ แล้วพี่อ่ะ พี่ก็อยากทำเรื่องดีๆให้ชาบ้างนะ ทำไมมันถึงผิดละ"

นั่นไง พูดแบบนี้ใครจะไปเถียงได้ละ "ชาถึงได้ขอโทษไง"

"แล้วช่องว่างนี่อีก" นั่นไง มันงอน เริ่มปล่อยออกมาเรื่อยๆแล้ว "พี่ทำให้ชาอึดอัดขนาดนั้นเลยเหรอ ขอแค่ได้เห็นชาในสายตาตลอดแค่นั้นเอง"

"คือชา... กลัวว่า ถ้าพี่ต้องเจอชาบ่อยๆ พี่อาจจะเบื่อชาเร็วขึ้นอ่ะ แล้วก็เรื่องสอบนี่อีก ถ้าพี่ตกขึ้นมา พ่อพี่ก็ต้องมาพาตัวพี่ไป ชาพยายามมาตั้งแปดปีนะกว่าจะได้ใกล้ชิดกับพี่อ่ะ ชาก็ต้องกังวลทุกอย่างนั่นแหละ ว่าเราจะ..."

"กลัวพี่เบื่อเนี่ยนะ ถามจริง"

เอาแล้วไง ไอ้พี่ตองมันเปลี่ยนท่าทีแล้ว เดินข้ามโต๊ะมานั่งกอดผมที่โซฟาตรงข้าม ถึงจะเป็นห้องติวส่วนตัวก็เถอะ แต่ก็กลัวใครจะเห็นอยู่ดีนั่นแหละ กระจกบานใหญ่ขนาดนี้

"กลัวคนจะเห็นอีกแล้วอะดิ" นั่นไง ยอมนั่งนิ่งๆก่อนก็ได้วะ "พี่จะเบื่อชาได้ไงละคราบบบ ทั้งน่ารัก ทั้งเก่ง ทั้งดีกับพี่ขนาดนี้"

"ไอ้พี่ตอง ทำไรเนี่ย เกินไปแล้วนะ" มันหอมแก้มผม มีใครเห็นเปล่าวะ

"ก็จะได้รู้ว่าพี่ไม่เบื่อไง"

"ปล่อยได้แล้ว ปล่อยเลยนะ"

"ไม่ปล่อย พี่อุตส่าทนมาตั้งเป็นอาทิตย์ ได้กอดแล้ว ไม่ปล่อยง่ายๆหรอก" นี่ต้องเป็นแผนของมันแน่เลย "กว่าเราจะผ่านด่านพ่อพี่มาได้ มันไม่ง่ายนะ ชาคิดว่าพี่จะยอมเสียชาไปเพื่ออะไร หรือที่พี่ทำมันยังไม่ชัดเจน ต้องให้พี่ไปพิสูจน์กับที่บ้านชาด้วยไหม"

"ไม่ต..."

"นั่นซิ จริงด้วย บ้านพี่เคลียร์แล้ว แต่บ้านชายังไม่รู้เรื่องนี้ซะหน่อย พี่ต้องไปบ้านชา เดี๋ยวพรุ่งนี้วันหยุด เราไปกันเลย ชวนขิงกับต้อมไปเป็นพยานด้วย ชาจะได้วางใจพี่ซะที"

"ไม่ต้องเลย หยุดความคิดไว้ซะ แล้วพรุ่งนี้พี่ก็จะโดนทดสอบครั้งแรกแล้วด้วย"

"ทดสอบแค่ตอนเช้าแป๊บเดียว พี่ผ่านอยู่แล้ว มีติวเตอร์เก่งขนาดนี้ ไม่รู้หละ พี่ตัดสินใจแล้วว่าจะไปบ้านชา พี่รู้แล้วด้วยว่าอยู่ไหน"

"ไอ้ต้อมบอกอะดิ"

"แฮ่ๆ ก็ใช่ โอเคแล้วนะ งั้นคืนนี้พี่ไปนอนห้องชานะ"

จะเกินไปแล้วนะไอ้พี่ตอง เดี๋ยวเจอลูกไม้ของกูบ้าง "ไม่ได้ ถ้าพี่ไปนอนห้องชาคืนนี้ ก็ไม่ให้ไปบ้านชา ได้แค่อย่างเดียว"

"ทำไมอ่าาาาา พี่ไม่ได้.... นอนกับชามาตั้งสี่ห้าวันแล้วนะ"

"งั้นก็ห้ามไปบ้านชา"

"...."

หึหึหึหึหึ อย่างพี่ตองนะหรือ จะมาสู้คนที่วางแผนเก่งแบบข้าคนนี้ได้ ก็เรานั่นมันคนละชั้น

"โอเค"

นั่นไง อ่านง่ายจะตาย คนหื่นแบบพี่แก อดทนไม่ได้นานหรอก แต่นั่นก็หมายถึงว่าคืนนี้กูต้องเหนื่อยซินะ นี่กูขุดหลุมฝังตัวเองหรือเปล่าวะ

"งั้นพี่เลือกไปบ้านชา"

"ห๊ะ" ห๊ะ ห๊ะ ห๊ะ

"โอเค งั้นพอแค่นี้ พี่ไปส่งชากลับหอดีกว่า ปะๆๆ ไปกัน เตรียมตัวกลับบ้านด้วยนะ พรุ่งนี้อ่ะ"

เห้ย เดี๋ยวววว เอาจริงดิ

ผมยังช็อกอยู่เลย ไอ้พี่ตองแถบจะฉุดกระชากลากถูให้ผมกลับห้องอย่างจริงจัง

ทำไมมันเลือกที่จะไปบ้านผมหละ



เช้าวันต่อมาผมรอหน้าห้องสอบอย่างตื่นเต้น ผมถูกพามายังร้านกาแฟร้านประจำที่มาติวทุกวัน มีอาจารย์ผู้หญิงสูงวัยท่านหนึ่งมาทดสอบความรู้ของพี่ตองจริงๆด้วย ไอ้บ้าพี่ตองก็หน้าระรื่น ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเลย แถมยังดูจะทำข้อสอบได้ชิวๆ ผมมองไม่เห็นหรอกนะ แต่สัมผัสได้



พี่ตองเดินออกมาจากห้องสอบพร้อมกับผู้คุมสอบในที่สุด

"เก่งขึ้นนะเรา ไปทำอะไรมา"

"มีกำลังใจดีครับครู ขอบคุณที่มาเป็นธุระให้พ่อนะครับ ลำบากครูแย่เลย"

"คุณท่านจ้างครูมา ครูก็เกษียณแล้ว ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว ได้เห็นลูกศิษย์เก่าๆ เก่งขึ้นก็ดีใจ งั้นวันนี้ก็พอแค่นี้ก่อน อีกสองอาทิตย์เจอกันใหม่นะ"

"ครับ ขอบคุณครับครู"

การสนทนาของครูและลูกศิษย์จบลง ไอ้พี่ตองยิ้มร่าพร้อมโชว์คะแนนสอบให้ผมดู

32 เต็ม 40

​"บอกแล้วไงว่าผ่าน ปะ ไปบ้านชากัน"

นี่เอาจริงใช่ไหมเนี่ย แล้วความกระตือรือร้นนี่คืออะไร



"หวัดดีครับพี่" แล้วกำลังเสริมก็เดินตามเข้ามาในร้านอีก ไอ้ต้อมและขิง "ผมพร้อมแล้ว"

"เออๆ ไปกันเลย"

"ผมกับน้ำขิงรอข้างล่างนะพี่"

"โอเคๆ กูเก็บของแป๊บนึง ลงไปรอเลย"



"เดี๋ยว" ผมต้องพักหายใจบ้าง ไอ้คนตัวสูงนี่ทำผมตามไม่ทันเลยตอนนี้ "จะไปจริงเหรอ"

"จริงซิ พี่บอกแล้วไง"

"ทำไมอยากจะไปบ้านชาอะ ทำไมไม่เลือกไปค้างคืนกับชาเมื่อคืนนี้ ชาไม่เปิดโอกาสให้ง่ายๆหรอกนะ รู้ใช่ไหม"

พี่ตองเดินมาประชันหน้ากับผมพร้อมพูดเบาๆผ่านคลื่นความรู้สึกอ่อน

"รู้ซิครับ แต่ถ้าพี่เลือกเมื่อคืน พี่ก็จะได้แค่คืนเดียว แต่ถ้าพี่ไปบ้านชา....



พี่จะคว้าอนาคตของเรามาได้ ตลอดไป"
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 21 [ความผิดพลาด]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 24-11-2017 23:04:13
​ตอนที่ 21 : ความผิดพลาด





หลังจากตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า ผมจะมาทำความรู้จักกับบ้านของแฟนตัวเล็กของผม ผมก็ขับรถยนต์พาเค้าออกมาทันทีหลังการทดสอบที่ร้านกาแฟเสร็จสิ้นลง พร้อมด้วยเพื่อนร่วมทางอีกสองคน

หลายคนคงคิดว่าผมใจนักเลงสุดๆที่ทำแบบนี้ แต่เชื่อเถอะครับ ถึงจะพูดไปแบบนั้น ผมก็ยังแอบหวั่นใจอยู่ดี จะให้สบายใจได้ไงหละ ถ้าต้องไปบอกครอบครัวของน้ำชาว่า แม่ครับ ผมเป็นแฟนของน้ำชา ลูกชายของแม่ครับ

​มันก็ยังน่าห่วงอยู่ดี

แต่พอเป็นแบบนี้ก็กลับมาคิดได้ ตอนที่น้ำชาต้องไปเจอหน้าพ่อของผมเมื่ออาทิตย์ก่อน เค้าก็คงแบกรับความรู้สึกแบบนี้ไว้ไม่น้อยเหมือนกัน ก็เพราะคิดได้อย่างนี้ไง ครั้งนี้ ถึงต้องเป็นหน้าที่ของผมบ้าง

ตอนขอเป็นแฟน น้ำชาก็เป็นคนเอ่ยปากก่อน ตอนเข้าหาที่บ้านก็เป็นเจ้าตัวเล็กที่ทำสำเร็จก่อนอีก ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปผมคงรู้สึกไม่ดีแน่ น้องมันแทบจะแมนกว่าผมอยู่แล้ว



"ผมตกใจหมดเลยตอนพี่โทรมาบอกว่าจะมาบ้านไอ้ชาเย็น" ไอ้ต้อม เพื่อนของน้ำชาคุยกับผมมาจากข้างหลังรถ ส่วนน้ำชาที่นั่งข้างๆ ดูจะยังเขินอายกับการพาผมไปหาที่บ้านอยู่ "เมื่อวานที่คณะซ้อมลีดหนักก็เลยไม่ได้มีเวลาถามพี่ว่า คิดไงถึงจะไปบ้านมัน"

"ก็ต้องไปแนะนำตัวกับบ้านแฟนหน่อยดิวะ" ผมให้เหตุผล "แล้วก็เผื่อว่าต้องปรับความเข้าใจกับที่บ้านของน้ำชาด้วย"

"อือหือ หวานซะ... แต่ไม่ต้องก็ได้หรอกพี่ แม่ไอ้ชาเย็นใจดีจะตาย เข้าใจลูกชายทุกอย่าง ผมสนิทกับแม่ รู้ดี"

"ไอ้ต้อม" น้ำชาแทรกขึ้นมา "นี่มึงเผยความลับของกูต่อหน้ากูเลยเหรอ มึงอยากโดนกูด่าอีกใช่ไหม"

"ชา" ขิงรีบแทรกขึ้นมาอีกคน "อย่าว่าอะไรต้อมเลยนะ คือ... ขิงไม่อยากมานั่งปลอบใจต้อมบ่อยๆ รู้สึกว่าโดนชาต่อว่าทีไร ต้อมจะซึมไปนานทุกที"

"โอ้โห มีออกรับแทนกันด้วย ขิงก็ให้ท้ายมันเกินไป อย่างไอ้ต้อมเนี่ยนะ ต้องเจอชานี่แหละ"

"นี่กูเพื่อนมึงเอง ไอ้ส้นตีน ได้ทีเอาใหญ่เลยนะมึงอ่ะ กูแค่ให้ข้อมูลพื้นฐานแฟนมึงเฉยๆเว้ย"

"เสือก"

"พอๆๆๆ" ผมห้ามความวุ่นวายนี้ไว้ก่อนดีกว่า "พี่ว่าเราคุยเรื่องอื่นดีกว่า... เออ แม่ชาชอบทานไรเป็นพิเศษหรือเปล่า พี่จะได้แวะซื้อเข้าไปฝาก"

"ชาดอกมะลิพี่"

"เสือกอีกแล้วนะไอ้ต้อม" แฟนผมนี่ก็โหดจังเลย

"ชาดอกมะลิ... อ่อ แบบนี้นี่เองถึงตั้งชื่อลูกว่าน้ำชา" ผมลองวิเคราะห์

"ก็เหมือนพี่ตองไง ชาคิดว่า เพราะพี่เป็นลูกคนที่สามใช่ไหม ที่บ้านถึงตั้งชื่อให้ว่าตอง" น้ำชาเก่งสมคำล่ำลือจริงๆ

"ไม่ใช่แค่นั้นนะชา" ขิงแทรกขึ้นมาอีกครั้ง "ชื่อพี่ตองเชื่อมโยงกับอาหารโปรดของพี่เค้าด้วยนะ พี่ตองอ่ะ ชอบกินขนมไทย โดยเฉพาะขนมห่อใบตอง จะชอบกินเป็นพิเศษ สมัยอยู่โรงเรียน พี่ตองชอบชวนขิงไปซื้อบ่อยๆ"

"....." น้ำชานิ่งไป คิดอะไรของเค้าอยู่กันนะ

"แล้วที่บ้านของน้ำขิงอะ ชอบอะไร ต้อมจะได้ซื้อเข้าไปให้"

"เดี๋ยวๆๆๆ นี่มึงจะไปบ้านขิงด้วยเหรอ" น้ำชาถามทันทีที่ได้ยินเพื่อนตัวเองพูด

"ก็แหงดิ จะให้กูไปอยู่เป็น ก ข ค มึงรึไง แดกข้าวเย็นเสร็จก็แยกย้ายดิ บ้านขิงอยู่ใกล้ๆบ้านมึงไม่ใช่รึไง... ใช่ไหมครับที่รัก"

"ฮือ จะอ้วก" นี่ก็เห็นใครพูดหวานๆใส่กันหน่อยไม่ได้เลย

"ข้างหน้ามีร้านของฝาก เราแวะดูกันหน่อยดีกว่านะ" ผมเสนอ



หลังจากขับรถมาได้ประมาณชั่วโมงกว่าๆ ไอ้ต้อมก็ชี้จุดหมายปลายทางให้ผมดู

บ้านของน้ำชา

บ้านไม้กึ่งคอนกรีต ยกสูงแบบเรียบง่าย แต่สวยงาม อย่างกับที่พักต่างอากาศในฝัน มีต้นลีลาวดีสูงเด่นเป็นหลักให้กับสวนดอกไม้หน้าบ้าน รั้วบ้านเปิดกว้าง เผยให้เห็นว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งทำงานเย็บปักถักร้อยบางอย่างอยู่ แต่เพราะมันอยู่อีกฝั่งของคลองหน้าบ้าน ผมจึงมองเห็นได้ไม่ชัด

และเมื่อข้ามสะพานไปยังอีกฝั่งได้ บ้านหลังเล็กสีเขียวอ่อนก็อยู่ในพิกัดจนได้



"แม่ครับ" น้ำชาเรียกแม่ของตัวเองทันทีที่ลงจากรถได้

"แม่จิตรรรรร" แต่น่าขำที่ไอ้ต้อมวิ่งไปกอดผู้ถูกเรียกก่อนหน้าลูกชายของเจ้าตัวเสียอีก ท่าทางจะสนิทจริงๆ

"อาจิตร สวัสดีครับ" ขิงกล่าวทักทายเช่นกัน

"ส... สวัสดีครับ" ผมคือคนสุดท้าย และผมคงเป็นคนที่ทำให้แม่ของน้ำชางงว่า ผมเป็นใคร

"ไปแวะที่ไหนมาตั้งสิบห้านาที" นั่นคือข้อความแรกที่ได้ยินจากคุณแม่ของน้ำชา งงเลย

เธอเป็นคุณแม่ก็จริง แต่ก็ไม่ได้มีสีหน้าของคนสูงวัยแม้จะอยู่ในชุดแบบสตรีอนุรักษ์นิยมก็ตาม

"ไม่ได้ไปไหนซะหน่อย ชาโทรบอกแม่ว่าจะออกมาก็ตรงดิ่งมาบ้านเลย" แฟนผมตอบแม่ตัวเองอย่างมีเล่ห์นัย พร้อมกับดึงหูไอ้ต้อมให้ออกมาจากการเกาะแกะมารดาของตน

"ระยะทางจากมหาลัยถึงบ้าน ใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียว ตอนขับผ่านหน้าบ้านไปเมื่อกี๊แม่ก็เห็นแล้วว่าขับกันมาด้วยความเร็วปกติ แต่นี่ใช้เวลาชั่วโมงสิบห้านาที เพราะงั้นตอบแม่มาดีกว่า ไปแวะไหนกันมา"

พระเจ้าาาาาาาาา

ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าความอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์ของน้ำชา มีที่มามาจากไหน

"ผมแวะซื้อนี่มาให้ครับคุณแม่" ผมอาสาสารภาพเอง พร้อมกับยื่นชาดอกมะลิอย่างดีให้กับคุณแม่

"บอกแล้วไงน้องน้ำชา ว่าไม่ต้องซื่้ออะไรมา แต่ก็ขอบใจนะลูก... เธอคนนี้คงเป็น พี่ตอง ใช่ไหม"

"ครับ"

"นาวาพล ขัตติยชาติ"

รู้ชื่อเต็มของผมด้วย นี่ผมควรจะต้องรับมือกับแม่น้ำชายังไงดี

"ครับผม"

"ได้เจอตัวจริงซะที" หมายความว่าไงหว่า "เข้าบ้านกันดีกว่า อากาศตอนเที่ยงมันร้อน ได้เวลากินอาหารกลางวันแล้วด้วย ไปๆทุกคน"



แม่ของน้ำชาดูใจดีอย่างที่ได้ยินมาจริงๆด้วย แถมยังทำอาหารไทยอร่อยสุดๆ แต่ที่ทำให้ผมรู้สึกดีสุดๆก็คงเป็นการที่ได้เห็นน้ำชาอยู่กับแม่นี่แหละ น่ารักสุดๆไปเลย

นั่นดิ วันนี้เราจะมาสารภาพเรื่องความสัมพันธ์ของผมกับน้ำชานี่นา กินข้าวเสร็จต้องหาจังหวะพูดให้ได้





​ประพาส ธนกฤษ

​นี่คงเป็นพ่อของน้ำชาที่ล่วงลับไปแล้วซินะ

หลังจากทานอาหารเสร็จ เราก็แยกย้ายไปตามส่วนต่างๆของบ้าน น้ำชาเข้าไปคุยกับคุณแม่ในครัว ส่วนไอ้ต้อมกับขิงก็ไปสวีทกันในสวนดอกไม้หน้าบ้าน ผมก็เลยเดินเล่นในบ้านที่อากาศช่างเย็นสบายและสดชื่น จนมาพบกับรูปที่แขวนบนผนังบ้าน

"ขอบใจนะที่ช่วยดูแลน้องน้ำชาให้ที่มหาลัย"

คุณแม่เดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับน้ำชา นี่แหละโอกาสดีแล้วรีบสารภาพดีกว่า เผื่อเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น จะได้มีเวลาแก้ปัญหา

"ยินดีครับคุณแม่ คือผมกั..."

"เป็นแฟนน้องน้ำชาต้องอดทนหน่อยนะ"

ห๊ะ

​"ชาบอกไปแล้ว" น้ำชาช่วยคลายความสงสัยให้กับผม

"เด็กคนนี้ต่อหน้าแม่ก็เรียบร้อย แต่พอพ้นสายตาก็ซนทุกที เจ้าต้อมเล่าให้แม่ฟังตลอดนั่นแหละ เพราะงั้นอดทนกับน้องหน่อย ได้ไหมลูก"

ว้าววววววววววววววววว

นี่มันยิ่งกว่านางฟ้าลงมาโปรดซะอีก ช่างเป็นคุณแม่ที่สวยทั้งกาย ใจ และความคิด

"ชาไม่ได้ซนซะหน่อยนะแม่" น้ำชาแก้ตัว

ผมนี่ยิ้มเลย ไม่รู้ว่ายิ้มในความน่ารักของน้ำชาหรือยิ้มดีใจที่เรื่องของผมมันช่างลงตัวง่ายดายเหลือเกิน แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร จิตใจของผมก็พองโตสุดๆ พองจนจะทะลุออกนอกบ้านอยู่แล้ว

"แล้ววันนี้จะนอนที่นี่กันหรือเปล่า"

"แล้วจะให้ชาไปนอนไหนหละ" น้ำชาตอบคุณแม่

"งั้นเดี๋ยวแม่เข้าไปทำความสะอาดห้องให้ น้ำชาไม่ได้มานอนหลายวัน เดี๋ยวฝุ่นในห้องจะทำให้พี่ตองสำลักตายเอา"

วันนี้มีโชคหลายชั้นแฮะ แม่ยายก็ยอมรับ แถมจะได้นอนกับแฟนที่ไม่ได้นอนด้วยตั้งหลายวัน คิดถึงจะแย่อยู่แล้ว มีความสุขโว้ยยยยยยยยยยย

"ยิ้มอะไร" น้ำชาถามผมหลังคุณแม่เดินขึ้นไปบนบ้าน

"ยิ้มให้แฟนไงครับ" แบบนี้ต้องโดนหยอดหวานๆสักหนึ่งซิงเกิ้ล

"แหวะ" เขินอะดี๊

"นี่พ่อชาใช่ไหม" ผมมีความสงสัยเล็กๆติดอยู่ ได้โอกาสถามซะที

"ใช่ พ่อของชาเอง"

"ดูจากวันที่ท่านเสีย เหมือนชาจะยังเล็กอยู่เลยนะ"

"ใช่ ชาจำหน้าพ่อไม่ได้ด้วยซ้ำ จำได้จากภาพนี้มากกว่า แล้วก็ในอัลบัมรูปที่อยู่ในห้องพระ แต่ชาจำสัมผัสของพ่อได้นะ ชารู้ว่ายังไงพ่อก็ต้องเคยอุ้มชามาก่อน มันติดอยู่ในส่วนลึกของชา.... อบอุ่น อ่อนโยน แผ่วเบา ปลอดภัย เหมือนไม่มีใครหรืออะไรจะมาทำอันตรายได้... ทำบ้าไรไอ้พี่ตอง!"

"ก็ทำหน้าที่แทนพ่อของชาไง" ผมสวมกอดน้ำชาไว้แน่น พอได้ฟังเรื่องนี้แล้ว ผมยิ่งอยากจะรักเค้าให้มากขึ้น อยากมอบความรู้สึกดีๆให้กับคนตัวเล็กนี้ "พี่จะปกป้องชาเอง"

"พอเลย" ยังกอดไม่หนำใจเลย นี่ก็เขินพ่ำเพื่อจริงๆ "ชาไม่ใช่ผู้หญิงนะ ชาดูแลตัวเองได้ แต่ถ้าอยากทำหน้าที่แทนพ่ออะนะ ไปขุดหลุดหลังบ้านเลย แม่บอกว่าจะปลูกต้นไม้เพิ่ม เดี๋ยวชาตามไป"

"ได้เลย" ถ้าทำเพื่อครอบครัวนี้ จะให้ผมไปบุกน้ำลุยไฟที่ไหนก็บอกว่า วิญญาณบัวขาวกำลังเข้าสิง "ว่าแต่แม่ชาทำงานอะไรอ่ะ ทำไมเลี้ยงแฟนพี่ให้โตมาน่ารักขนาดนี้"

"จะหยอดอีกนานไหม... แม่เป็นบรรณธิการนิตยสารแฟชั่น รู้จักไหม T-Queen อ่ะ"

"ห๊ะ เป็นผู้ช่วยให้ T-Queen เหรอ"

"เปล่า แม่ชาคือ T-Queen"

"ห๊ะ" อันนี้ช็อกหนักจริง "T-Queen ฉายาเจ้าแม่แฟชั่นพรมแดงแห่งเอเชียอะนะ จริงปะเนีย นั่นคนดังมากนะ"

"ทำไม"

"ก็... แม่ชาดู..."

"ทุกคนก็มีโลกส่วนตัวกันทั้งนั้นแหละ จะให้แม่ใส่ชุดไปเดินพรมแดงทุกวันหรือไง"

"แล้วทำไมบ้านชาถึง..." ผมยังไม่หายจากการอยากตั้งคำถาม

"เก่าเหรอ หรือโบราณ"

"ก็เปล่า แต่มันน่าจะ..."

"หรูกว่านี้ใช่ไหม นี่เป็นบ้านหลังแรก ชากับแม่ก็เลยผูกพัน แล้วมันก็ทำให้แม่สามารถหลบหนีจากความวุ่นวายในการทำงานได้ด้วย ถ้าจะถามหาบ้านที่หรู ก็มี มีอีกสี่หลัง ทั่วทุกภาคของประเทศเลย"

"โอเค พี่ไปขุดหลุมนี่กว่า" ยิ่งถามเหมือนจะยิ่งทำให้ตัวเองดูโง่ขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวผมจะช็อกตายจริงๆซะก่อน



แม่ของน้ำชาคงเป็นคนชอบธรรมชาติมากๆ ถึงหน้าบ้านจะดูเล็กๆ แต่ด้านหลังเป็นสวนผักและสวนไม้ประดับยาว แถมยังมีบ่อเลี้ยงปลาธรรมชาติที่สามารถลงไปแช่เท้าได้

ด้านหลังมีคนสวนคนหนึ่งที่คอยดูแลอยู่ นั่นคงเป็นคนที่คอยดูแลความสะอาดเรียบร้อยที่นี่

ส่วนผมก็มุ่งไปยังจุดที่มีไม้ปักบนพื้นดินทำสัญลักษณ์ไว้ คงเป็นตรงนี้แหละ มีกล้าของต้นดอกดาวเรืองอยู่หลายสิบต้น

หลังจากจับจอบขุดหลุมได้ไม่นาน ไอ้ต้อมก็เดินเข้ามาช่วย

ที่นี่สดชื่นสุดๆไปเลย ปลอดโปร่งทั้งกายและใจ

ผมใช้เวลาเกือบทั้งบ่ายไปกับการทำการเกษตร แต่น้ำชาที่บอกว่าจะตามมาก็ไม่ได้ตามมา ขิงเองก็หายไปเหมือนกัน คงจะอยู่ในบ้านกันนั่นแหละ แต่ก็ดีแล้วหละ งานแบบนี้ให้ผมกับไอ้ต้อมทำอะดีแล้ว



"น้ำจ้ะ" คุณแม่เดินออกมาจากในบ้านก่อนจะวางแก้วน้ำมากมายลงบนโต๊ะในสวน "แม่เป็นคนชอบน้ำสมุนไพร อันนี้ชาดอกมะลิที่พี่ตองซื้อมาฝากแม่ ส่วนนี้น้ำมะตูม น้ำขิง น้ำกระเจี๊ยบ น้ำใบบัวบก"

"น้ำชาครับ" "น้ำขิงครับ" ผมกับไอ้ต้อมตอบแบบแทบจะไม่ได้คิด

"แม่ก็รู้อยู่แล้วหละ" เธอยิ้ม ไม่น่าเชื่อว่าเทพธิดาแฟชั่นจะซ่อนตัวของภายใต้ผู้หญิงแสนใจดีคนนี้

"แล้วทำไมถึงทำหลายอย่างจังละครับ มีกันแค่นี้เอง" ผมสงสัย

"แม่จิตรทำแจกด้วย ตอนนี้คงตั้งหม้อไว้ที่หน้าบ้านแล้ว ใช่ไหมครับแม่" ไอ้ต้อมตอบให้

"ใช่ แม่ชอบทำน้ำสมุนไพรแจกจ่ายชาวบ้านแถวนี้ จริงๆมันก็แค่การแบ่งปันละนะ บางทีบ้านอื่นมีอะไร เค้าก็เอามาฝากแม่เหมือนกัน"

นี่มันแดนสวรรค์หรือไงกัน สุดยอดดดดด

"ใกล้เสร็จหรือยัง"

"ใกล้แล้วครับ" ผมตอบ "จริงๆควรจะเสร็จนานแล้ว แต่ผมสองคนคุยกันเพลินไปหน่อย แฮ่ๆ"

"ทำไปเถอะจ้ะ แม่ขอตัวไปแจกน้ำหน้าบ้านก่อนนะ"

"ครับ"

แล้วเธอก็เดินจากไป

"นี่คือ T-Queen ในตำนานจริงเหรอ" ผมถามไอ้ต้อมทันที

"เบาๆพี่ อย่าพูดไปนะ แม่จิตรไม่อยากให้ใครที่นี่รู้ แม่เค้าอยากได้ชีวิตพื้นๆอย่างที่ต้องการจริงๆ"

"แต่ก็แปลกนะที่คนแถวนี้ไม่รู้เลย"

"ถึงที่นี่จะห่างจากความเจริญไม่มาก แต่คนแถวนี้เป็นผู้อพยพ เชื้อสายมอญโบราณอะ คอยข้างอนุรักษ์นิยม ไม่ค่อยสนโลกภายนอกเท่าไหร่ แต่ก็ดีนะพี่ มาบ้านไอ้ชาเย็นทีไร ผมอย่างกับได้เติมพลังงานให้ชีวิต ไม่รู้บ้านน้ำขิงจะเป็นแบบนี้หรือเปล่า"

"ก็คล้ายๆกันนะ แต่หลังใหญ่กว่านี้ มีหลังเล็กหลังน้อยด้วย ต้นไม้เยอะพอๆกันนี่แหละ"

"พี่เคยไปเหรอ!?"

"นั่นมันน้องรักกูนะ แค่ไปเยี่ยมเยียนที่บ้านคงไม่แปลกหรอกมัั้ง"

"นั่นดิ.... ขอดื่มน้ำขิงให้ชื่นใจหน่อยดีกว่า พักแป๊บพี่"

"ต้องน้ำชาเว้ย หอม หวานด้วยธรรมชาติ แถมยังทำให้รู้สึกสดชื่นด้วยคาเฟอีนอ่อนๆ"

"อือหิออออ... ถ้าเป็นน้ำอ่ะผมเชื่อ แต่ถ้าพี่หมายถึงไอ้ชาเย็น ผมนึกภาพตามที่พี่พูดไม่ออกเลย เอาจริงนะพี่ พี่ชอบไรเพื่อนผมวะ เกรียนก็เท่านั้น จอมวางแผน พูดจา... เอ่อ เอาเป็นว่า คนละขั้วกับน้ำขิงเลย แฟนผมนะ ทั้งน่ารัก อ่อนหวาน ช่างเห็นอกเห็นใจ"

"กูก็เคยคิดว่าขิงมันน่ารักนะ เคยแอบหวั่นใจกับมันด้วยซ้ำ"

"เห้ยๆๆๆๆ พี่  นั่นแฟนผมนะ อย่านะ พี่ก็พี่นะงานนี้"

"กูแค่คิด ไอ้ห่า แล้วก็กูบอกมาเคย เรื่องตั้งแต่สมัยมัธยมแล้ว แต่ขิงไม่ใช่แบบที่กูชอบว่ะ ลักษณะภายนอกอาจจะใช่นะ แต่กูชอบคนซนๆอย่างน้ำชามากกว่า ปากแข็ง ไม่ได้หยาบคายแต่ก็ไม่หวานใส พอได้กำหราบคนซนๆแบบนั้นให้อยู่ในมือได้ มันก็เลยภูมิใจ ส่วนไอ้เรื่องความรัก ไม่ต้องพูดถึง กูว่ามันเลยความรู้สึกนั้นไปแล้วด้วยซ้ำ"

"โอ้โห โรแมนติกตัวพ่อ แต่พูดก็พูดนะพี่ พี่นี่แม่งโคตรเหมือนผมเลย ผมอ่ะก็เคยแอบชอบไอ้ชาเย็นเหมือนกัน.... ใจเย็นดิพี่ ฟังก่อน แต่พี่ดูดิ มันกับผมเนี่ยนะ แค่คิดผมก็เสียวสันหลังแล้ว ไม่เอาอ่ะ... แต่ผมจะบอกให้ พี่คิดผิดไปอย่างนึงเรื่องน้ำขิง เห็นน้ำขิงอ่อนหวานแบบนี้นะ แต่ถ้าเป็นตอน....."

"ตอนไหนวะ"

"พอๆๆๆ พี่ ผมชักพูดเยอะไปแล้ว ทำงานกันต่อดีกว่า"

อะไรของมันวะ พูดให้อยากรู้



หลังเสร็จงานจากหลังบ้าน ผมกับไอ้ต้อมก็อาบน้ำเตรียมตัวสำหรับอาหารเย็น

แม่ของน้ำชายังคงลงมือทำกับข้าวด้วยตัวเองเช่นเคย

ตอนกลับเข้ามาผมก็เห็นแฟนตัวเองกำลังวุ่นวายเดินเข้าเดินออกในครัว ไม่รู้ทำอะไรอยู่ ส่วนขิงก็เตรียมตัวเดินทางด้วยการตรวจสอบสัมภาระ เพื่อไปที่บ้านตัวเองหลังมื้อค่ำวันนี้



"ฝีมือแม่จิตรยังอร่อยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนจริงๆนะ" ไอ้ต้อมกล่าวชมออกหน้าออกตา เมื่อมื้ออาหารจบลง

"ก็มากินบ่อยๆซิ"

"ก็ถ้าผมไม่ต้องซ้อมลีดหนักๆก็คงได้มาบ่อยๆอยู่หรอกครับ แต่ช่วงนี้ ผมยุ่งนิดหน่อย"

"นั่นซิ น้องน้ำชาเองก็ซ้อมหนักใช่ไหมลูก"

"ไม่หรอกครับแม่" น้ำชารีบตอบ

"ไม่ต้องไปห่วงมันหรอกครับแม่จิตร มีพี่ตองคอยดูแลทั้งคน พี่ตองนี่ระดับผู้นำเชียร์อันดับหนึ่งของมหาลัยเลยนะแม่"

"แม่ก็พอดูหน่วยก้านออก"

ผมนี่เขินเลย

"งั้นขิงกับต้อมขอตัวไปที่บ้านแล้วนะอาจิตร พ่อกับแม่รออยู่ครับ"

"อ๋อ ใช่ซิ รีบไปเถอะ เดี๋ยวที่บ้านจะเป็นห่วง นั่นไง แท๊กซี่มาพอดี"

"สวัสดีครับอาจิตร" "สวัสดีครับแม่จิตร"

ขิงกับไอ้ต้อมบอกลา แล้วออกจากบ้านไป



"งั้นเดี๋ยวชาขอไปทำธุระในครัวแป๊บนึงนะแม่" จู่ๆน้ำชาก็ขอตัว

"ไปซิ เอ่อ... ตองไม่ต้องไปหรอก ช่วยแม่ทำความสะอาดโต๊ะอาหารตรงนี้ดีกว่า"

"อ... อ๋อ ได้ครับ"

น้ำชาก็เดินออกไป

ผมก็จัดการทำความสะอาดโต๊ะเก้าอี้อย่างที่ถูกไหว้วานทันที



"ได้อยู่ด้วยกันสองคนซะทีนะ" หือ? "ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งนะเรื่องที่ดูแลน้ำชาให้"

"สบายมากครับแม่ ก็..."

"ฟังชั้นให้จบก่อน"

ชิบหายละ นี่มันอะไรกันวะ ทำไมแม่ของน้ำชาเปลี่ยนไป น้ำเสียงก็เปลี่ยน สรรพนามแทนตัวเองก็เปลี่ยน

"ถึงชั้นจะขอบคุณเธอที่ช่วยดูแลลูกชายแทนให้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายถึงว่าศักยภาพในการดูแลลูกชายคนเดียวของชั้นหายไปด้วย มันแปลว่าอะไร เธอรู้ไหม... ก็แปลว่า ฉันยังดูแลเค้าได้ปกติดีทุกอย่าง โดยไม่จำเป็นต้องมีเธอด้วยซ้ำ นาวาพล ขัตติยชาติ"

ผมคิดว่าตอนนี้ผมได้เห็น T-Queen ตัวจริงแล้ว แท้ที่จริงแล้วแม่ของน้ำชาเป็นคนที่ดูยิ่งใหญ่และมีพลังอำนาจแบบนี้นี่เอง แล้วไหนจะสิ่งที่กำลังพูดอีก ความเข้าใจทีแรกที่คิดว่าทุกอย่างที่นี่เป็นไปได้สวย คงไม่ใช่อย่างที่คิดแล้ว

"ชื่อของเธอเนีย ชั้นไม่ใช่เพิ่งจะได้ยินวันนี้นะ ไม่ต้องพูดถึงนามสกุลด้วยซ้ำ เจ้าสัวเจ้าของธุรกิจโรจิ๊สติกทางทะเลรายใหญ่ของเอเชีย ถูกไหม... แต่ชื่อของเธอ นาวาพล คู่แข่งของน้ำชา คนที่ทำให้ลูกชายของชั้นต้องสูญเสียความเป็นตัวเองไปหลายต่อหลายปี"

"เรื่องนั้น..."

"ไม่ ชั้นไม่สน และฉันก็ไม่อยากจะฟังความเห็นอะไรของเธอทั้งนั้น แต่ฉันอยากให้เธอฟังให้ดี...

ชีวิตนี้ของชั้น เหลือลูกชายอยู่แค่คนเดียวหลังจากเสียสามีไป แต่เชื่อเถอะ ชั้นไม่ได้จะเป็นจะตายจนต้องขอพึงใบบุญจากลูกชายคนเล็กของเศรษฐีที่ไหน ชั้นคือ T-Queen สตรีทรงอิทธิทั้งสื่อและแฟชั่นของเอเชีย ที่หวงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของฉันที่สุด.... แต่เธอ! เธอกำลังจะพรากความภูมิใจหนึ่งเดียวของชั้นไป"

"......." ผมพูดตามตรงว่าไม่รู้จะต้องพูดอะไร ในหัวผมเหมือนจะมีแค่เสียงวึ่งๆแล้วก็ได้แค่รอรับรังสีอัมหิตเข้ามาในโสตประสาทเพียงอย่างเดียว

"ชั้นปั้นหน้ายิ้มก็เพื่อลูกชาย ชั้นทำอาหารอร่อยๆ นี่ก็เพื่อเค้า ทุกอย่างที่ชั้นทำก็เพื่อความสุขในชีวิตเค้า และนั่นก็หมายถึงชั้นต้องการให้เค้ามีชีวิตต่อไปในอนาคตข้างหน้าที่ดีและ..... เป็นปกติ.... เธอเข้าใจความหมายนั้น ชั้นรู้  อย่ามาพูดว่าเธอรักน้ำชา เพราะมันเทียบกับชั้นไม่ได้ อย่ามาอ้างมาเธอดูแลเค้ามาตลอด ฉันต่างหากที่ดูแลเค้ามาตั้งแต่ที่เค้าสูญเสียชายผู้เป็นแบบอย่างไปตั้งแต่แบเบาะ เพราะงั้น อย่าคิดจะให้เหตุผลเด็กอนุบาลกับฉัน เห็นหรือยังว่าทุกอย่างที่ชั้นทำก็เพื่อลูกชายของฉัน  ตอบมาซิ!"

"ครับ" ผมตอบได้แค่นั้น

"ถ้าเธอจะคิดว่าฉันเป็นแม่ใจร้ายที่หวงลูกชายโดยไม่มีเหตุผล ก็ขอให้เธอคิดใหม่เดี๋ยวนี้ เพราะจริงๆแล้ว ฉันรู้ดี น้ำชายังคงเป็นเด็กหนุ่มปกติ มีความเป็นลูกผู้ชายอยู่เต็มตัว เค้าแค่... เค้าแค่เจอเข้ากับสิ่งเร้าที่ไม่เคยรับมือ แค่เจอเข้ากับโจทย์ปัญหาแบบใหม่ที่เค้ายังไม่เคยลองแก้ แค่เจอเข้ากับ ความ ผิด พลาดเท่านั้น.... เธอหนะ รักเค้าจริงๆเหรอ ถามใจตัวเองดูอีกทีนึงไหม ว่าถ้าเธอรักเค้าจริง เธอจะเลือกการกระทำที่เห็นแก่ตัวแบบนี้ไหม คิดเอาแค่ว่าตัวเองรัก ตัวเองชอบ แต่เธอลืมไปหรือเปล่าว่าเธอกำลังพรากอนาคตที่ดีและวิถีชีวิตปกติของน้ำชาไป เธอเคยคิดไหมว่าน้ำชาจะต้องเจอกับปัญหาอะไรหลังจากนี้ หลังจากความภาคภูมิใจที่เธอสามารถแย่งเค้าไปจากชั้นได้"

เหมือนผมจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตอนนี้ผมยังมีลมหายใจอยู่หรือเปล่า ก้อนกลมใหญ่ๆจุกเน้นที่ต้นคอ หน้าอกคล้ายว่าถูกทุบจนไร้ความรู้สึก

"แต่ฉันก็ต้องยอมรับ หลายอย่างที่เธอทำ หลายอย่างที่น้ำชาเล่าให้ชั้นฟัง เธอทำก็เพราะรักและหวังดีต่อเค้า แต่ถ้าเธอรักเค้าจริงๆ ถ้า เธอ รัก ลูก ชาย คน นี้ ของ ฉัน จริงๆ ได้โปรด... ปล่อยเค้าไป ออกไปจากชีวิตเค้า เพราะเธอ....



เป็นความผิดพลาดในชีวิตของน้ำชา"
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: netich ที่ 25-11-2017 07:52:14
 :mew1:
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 22 [การตัดสินใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 25-11-2017 09:33:05
ตอนที่ 22 : การตัดสินใจ





นี่ผมกำลังเดินอยู่หรือเปล่า หรือผมแค่นิ่งแล้ววิญญาณมันหลุดออกไป

ผมพบว่าตัวเองยืนอยู่หน้าบ้านของคนที่ผมภูมิใจนักหนาว่าเค้าคือแฟนที่ผมรักที่สุด

แต่ตอนนี้....

ในหัวของผม คิดอะไรอยู่กันแน่

ในสมองของผม ยังมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านอยู่ไหม

สัมผัสของผิวกายได้ทำงานของมันหรือเปล่า

หรือว่าผมอาจจะยังมองไม่เห็นด้วยซ้ำว่ายืนอยู่หน้ารถยนต์ของตัวเองในค่ำคืนฟ้ามืดแล้ว



จริงหรือเปล่าวะ​



​ผมเห็นแก่ตัวจริงเหรอที่ขอน้ำชามาเป็นแฟน

นี่เรากำลังพรากความรักและความภาคภูมิใจของแม่น้ำชาไปเหรอ

หรือต่อให้ตัดทุกเหตุผลไป ผมก็ไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัวเพียงคนเดียวของน้ำชาอยู่ดี



ผมควรทำยังไงดี



กลับเข้าไปเพื่อให้แม่ของน้ำชาปั้นหน้ายิ้มทั้งๆที่อยากจะขับไล่เราออกจากบ้าน หรือไม่ก็ได้อาจจะต้องกลับไปทนฟังคำขอร้องจากคนเป็นแม่ที่อยากให้ลูกชายมีชีวิตที่เป็นปกติ

การคบกับเราไม่ใช่เรื่องปกติสินะ ก็ใช่นะสิ...... เราก็รู้เรื่องนี้อยู่เต็มอกมาโดยตลอด แต่ทำเป็นว่ามันไม่สำคัญ เราลืมไปหรือเปล่าว่าสำหรับบางคนมันสำคัญแค่ไหน แล้วน้ำชาอาจจะต้องเจอกับคำติฉินนินทาไม่สิ้นสุด น้ำชาอาจจะต้องแบกรับคำสมประมาทที่ไม่จำเป็นในอนาคตก็ได้

เราเอาแต่น้อยใจที่น้ำชา ที่ไม่ยอมให้เราแสดงความรู้สึกดีๆต่อเค้า โดยไม่คำนึงเลยว่า น้ำชาอาจจะต้องรับมือกับความผิดปกตินี้อยู่เพียงลำพัง

กูแม่ง เห็นแก่ตัว

กูแม่ง รักแต่ตัวเอง

กูแม่ง.....

กูรักน้ำชา.... ใจจะขาดอยู่แล้ว แต่จะให้กูทำยังไงวะ



กูต้องทำยังไง

กลับเข้าไปในบ้านแล้วทนสมเพสตัวเอง

เปิดประตูรถแล้วขับออกไปให้พ้น

หรือยืนอยู่ตรงนี้จนกว่าแผ่นดินจะเป็นหนึ่งเดียวกันกับร่างกาย



​ทำไม....



"พี่ตอง"

เสียงน้ำชานี่นา

"มายืนทำไรอยู่หน้าบ้านอ่ะ แล้ว... ทำไมทำหน้าแบบนั้นละ"

"เปล่าครับ" ผมโกหก

"ชามีอะไรจะให้ด้วย" คนตัวเล็กเบื้องหน้าโชว์สิ่งที่ซ้อนข้างหลังให้ดู "ขนมสอดไส้" พร้อมกับรอยยิ้มสดใส

ตอนนี้ผมทั้งสุขใจและเจ็บปวดไปพร้อมๆกัน

"ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ไม่ชอบขนมสอดใส้เหรอ ก็ไหน.... ขิงบอกว่าพี่ตองชอบขนมไทยห่อใบตองไง ชาอุตส่าแอบทำทั้งวันเลย ถึงจะไม่แน่ใจเรื่องรสชาติก็เถอะ"

"ชอบซิครับ" เห็นน้ำชาทำเพื่อผมแบบนี้แล้ว ผมต้องกลั้นความขมขื่นทั้งหมดลงไปก่อนให้ได้ "น...ไหนขอพี่ลองชิมหน่อย"

"คือชาเพิ่งจะเคยทำครั้งแรกนะ ให้แม่ช่วยสอน..... เป็นไงอ่ะ รสชาติเป็นไง"

"อร่อยซิครับ อร่อยมากด้วย แฟนพี่ทำเองนี่นา" ผมไม่แน่ใจเรื่องรสชาติเท่าไหร่นัก ความคิดในหัวของผมมันช่วงชิงรายละเอียดของรสสัมผัสออกไป

"จริงดิ งั้นเข้าไปกินในบ้านกัน ยังมีอีกเยอะเลย ชาทำไว้ให้แล้ว เผื่อใส่บาตรพรุ่งนี้ด้วย"

"เดี๋ยวก่อนชา" ผมคว้าแขนของน้ำชาไว้

"อ... อะไรอ่ะ หรือว่าไม่อร่อย"

"เปล่าครับ"

เลิกพูดดีกว่า ผมดึงคนเบื้องหน้าเพื่อให้เราทั้งสองมองหน้ากันชัดๆ ด้วยสายตาของเราทั้งคู่

ผมยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ๆ กดปลายจมูกและริมฝีปากลงไปที่แก้มยอดดวงใจของผมช้าๆ

"ทำบ้าไรพี่ตอง.... เดี๋ยวใคร.... พ... พี่เป็นไรปะเนีย" น้ำชาคงสังเกตุเห็นความกังวลบนใบหน้าของผม

ผมจับมือสองข้างของน้ำชาไว้ และขอมองเค้าอีกครั้ง เผื่อว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย

"น้ำชาครับ..."

"ห้ามพูดนะ!!" ผมโดนตัดบท ทั้งๆที่ตัดสินใจกำลังจะทำอะไรบางอย่างแล้ว "ชาไม่ได้โง่นะ ไม่ว่าพี่จะพูดอะไร ห้ามพูดออกมานะ ไม่งั้นชาจะไม่ให้อภัยพี่ไปตลอดชีวิตเลย"

จู่ๆ ดวงตาของคนตรงหน้าผมก็แดงก่ำคล้ายว่าจะมีน้ำใสๆหลั่งรินออกมา

นี่ผมทำอะไรอยู่ นี่ผมกำลังทำให้คนที่ผมรักกำลังเสียใจอยู่เหรอ

กูทำบ้าอะไรอยู่วะ

"ขนมที่ชาทำให้พี่ อร่อยมากครับ"

ไม่สนใจแล้ว ผมเข้าสวมกอดคนตรงหน้าไว้แน่น จะมีใครเห็นหรือเปล่าก็ช่างหัวมัน จะเกิดอะไรขึ้นก็ช่างหัวมัน แค่ไม่ทำให้คนที่ผมสัญญาไว้แล้วว่าจะรักเค้า ไม่เสียใจก็พอ เรื่องหลังจากนี้ ให้มันเกิดขึ้นไป ผมต่อสู้กับมันเอง

"ก... เกิดอะไรขึ้นอ่ะ" น้ำชาผละออกจากอ้อมแขน "แม่พูดอะไรกับพี่ตองหรือเปล่า"

นั่นแหละเหตุผลทั้งหมด

และเพื่อให้น้ำชามีความสุขในฐานะแฟนของพี่ที่สุด ผมต้องตัดสินใจแล้ว

"เข้าไปคุยกับคุณแม่กัน" ผมบอกน้ำชา แต่น้องยังดูงงๆว่าทำไม เค้าคงยังไม่รู้ว่าแม่ของเค้ามีอีกบุคลิกนึงที่เป็นบุคลิกของผู้หญิงที่ห่วงลูกชายที่สุด

ผมจูงมือคนตัวเล็กให้เข้ามาในบ้านอีกครั้ง และขึ้นบันไดต่อไปที่ชั้นสอง ที่ๆผมคาดว่าจะพบคนที่ต้องการหา

ทำไมบันไดมันถึงเหมือนทางขึ้นประตูนรกจังวะ

แล้วผมก็พบกับอุปสรรคของผมในที่สุด

แม่ของน้ำชา

​เธอกำลังเดินออกมาจากห้องพระ

"คุณแม่ครับ" ผมเกือบจะตะโกนออกมา ผมจ้องไปที่ผู้หญิงที่กุมชะตาชีวิตรักของผมอย่างไม่ละสายตา เพราะถ้าบางทีปากของผมไม่ยอมพูด สายตาคู่นี้อาจจะพูดได้แทน "ได้โปรด อย่าไล่ผมไปจากน้ำชาเลยนะครับ"

"....."

จากตอนแรกที่คุณแม่ดูท่าทางจะตื่นๆ ตอนนี้สายตาของเธอนิ่งสงบและมองผมอย่างพิจารณา

"พี่ตอง" น้ำชาพยายามเข้ามาเป็นตัวกลางของเรื่อง

"พี่เองครับชา พี่ขอจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง มีแค่พี่คนเดียวที่จะพิสูจน์ตัวเองได้"

ผมหายใจเข้าลึกๆ

"ผมคือตองครับ นาวาพล ขัตติยชาติ ผมยืนอยู่ต่อหน้าคุณแม่ ไม่ใช่ในฐานะลูกชายคนเล็กของบ้านขัตติยชาติ ไม่ใช่ในฐานะคนที่จะพรากน้ำชาไปจากคุณแม่ และไม่ใช่ในฐานะคนที่เห็นแก่ตัว แต่ผมขอยันยืนที่จะยืนอยู่ตรงนี้ในฐานะแฟนของน้องน้ำชา ผมจะยืนอยู่ตรงนี้ในฐานะคนที่รักและหวังดีต่อน้องน้ำชาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร...

ผมไม่อาจจะสามารถยืนยันอนาคตในวันข้างหน้าได้ ผมไม่อาจจะพูดได้ว่าจะประคองลูกชายของคุณแม้ไว้ไม่ให้มีวันเจ็บไข้ ผมไม่อาจยืนยันว่าผมจะอยู่ค้ำฟ้าเพื่อดูแลกันและกันไปจนชั่วฟ้าดินสลาย แต่คุณแม่ครับ ผมก็มีหัวใจของลูกผู้ชายอยู่เต็มเปี่ยม ผมก็เต็มไปด้วยความปรารถนาดีที่มีต่อน้ำชา ตั้งแต่ที่รู้จักกันมา ผมด่าตัวเองทุกวันว่าโง่เหลือเกินที่มองลูกชายของคุณแม่ผิดไป น้ำชาเป็นทั้งคนดี คนเก่ง คนที่หวังดีต่อผม และที่สำคัญ น้ำชาคือคนที่ผมกล้าพูดว่ารักอย่างไม่อายใคร

เพราะงั้น... ผมจะไม่ร้องขอให้โชคชะตาเห็นใจผม หรือขอให้ใครมาเข้าใจความรักของผมในวันนี้ และแน่นอน ผมจะไม่ยอมปล่อยมือคนรักคนนี้ของผมไม่ว่าจะมีอุปสรรคอะไรก็ตาม ใช่ครับคุณแม่ ต่อให้อุปสรรคนั้นจะเป็นแม่แท้ๆของน้ำชา ผมก็จะสู้ ผมจะเคาะประตูบ้านนี้จนกว่าแม่จะเปิดรับ ผมจะตะโกนเรียกชื่อน้ำชาเสมอต่อให้ผมมองไม่เห็นเค้า ผมจะพิสูจน์ตัวเองให้ได้ว่าผมดีพอและคู่ควรที่จะรักและหวังดีต่อเค้า ผมจะไม่ให้คุณแม่มาขัดข้องความรักของผมกับน้ำชาเด็ดขาด"



ความเงียบเข้าครอบงำบรรยากาศทั้งหมดทันที



แม่ของน้ำชามองดูผมด้วยสายตาสั่นระริกจนเกือบจะปล่อยน้ำตารินไหลออกมา ส่วนผมเองก็ต้องขอบอกว่า แม้จะพูดไปแบบนั้น ก็ยังถือว่า ใจกล้าสู้เสือ อยู่ไม่น้อย



"น้ำชา เดินมาหาแม่ซิ" แม่ของน้ำชาเรียก นี่หมายความว่ายังไงกัน จะเอาน้ำชาไปจากผมจริงๆเหรอ

"ครับแม่"

ทันทีที่น้ำชายืนอยู่ต่อหน้าแม่ เธอก็เอื้อมมือมาแตะใบหน้าเนียนใสของลูกชายเบาๆ พร้อมสายน้ำตาที่ไม่อาจห้ามได้

"ตั้งแต่พ่อจากไป แม่พยายามมาตลอดที่จะเป็นแม่ที่สมบูรณ์แบบให้กับลูก ให้ลูกไม่รู้สึกขาดพ่อ ให้ลูกเป็นเด็กที่มีความสุขที่สุด" น้ำเสียงของแม่น้ำชาช่างสั่นเคลือด้วยอาวร

"ชามีความสุขซิที่ได้เป็นลูกของแม่อ่ะ" น้ำชาเองก็ร้องไห้ออกมาแทบจะทันที

"น้ำชารู้ไหม แม่รู้ดีว่ามันไม่มีทางพอเพียงหรือทดแทนกันได้ แม่รู้ความเป็นจริงข้อดีนี้ แล้วก็หวังไว้เสมอว่า วันนึงน้ำชาจะได้เจออีกครึ่งชีวิตนั้นที่หายไป คนที่จะมาเติมเต็มบางอย่างในจิตใจอันขาดแคลนของลูก.... จนเมื่อวันที่ต้อมเข้ามาในชีวิตของลูก เพื่อนแท้ที่ทั้งรักและคอยช่วยเหลือลูกเสมอ แม่ก็คิดว่า แม่สามารถไว้วางใจให้เค้าเติมเต็มส่วนนั้นให้ได้ แม้ว่ามันจะไม่ได้เต็มสมบูรณ์ แต่ก็ไม่ทำให้ลูกต้องขาดและช่วยให้มีความสุขอย่างที่ควรมีได้ แต่วันนี้ แม่เจอแล้ว คนที่เป็นส่วนเติมเต็มในจิตใจของน้ำชา พี่ตอง​ คนนี้คือคำตอบในสมการชีวิตของน้ำชานะ"



ผมแทบจะทรุดลงไปกับพื้นบ้านด้วยความโล่งใจ ลมหายใจที่ถูกปิดกลั้นไว้ได้รับการระบายออก



ในที่สุด....



"พี่ตองพิสูจน์ให้แม่เห็นแล้วว่าพี่เค้ารักลูกชายแม่แค่ไหน แล้วน้ำชาละ รักพี่ตองไหม..."

"ร... รักซิครับ รักมากด้วย"

เป็นคำรักเคล้าน้ำตาที่คล้ายว่าสามารถสะกดหัวใจของผมไว้ท่ามกลางจักรวาลอันไม่สิ้นสุด

"ถ้างั้นก็อย่าปล่อยให้พี่เค้าหลุดมือไป โลกนี้ อาจจะมีพี่ตองอยู่แค่คนเดียวก็ได้ รู้ไหม?"

"ค.. ครับ"

แม่ของน้ำชาปาดน้ำตา ก่อนเดินผ่านลูกชายมาหาผม

"พี่ตองรู้ไหม พี่ตองเหมือนกับสามีของแม่ที่สุด ทั้งเด็ดเดี่ยว อบอุ่น กล้าหาญ และรักน้ำชา นั่นคือคุณสมบัติทั้งหมดที่แม่พยายามตามหามาตลอด มันไม่เกี่ยวว่าจะเกิดมาเป็นใคร หรือเกิดในตระกูลไหน หรือเคยมองลูกชายของแม่ว่าเป็นคนยังไง แต่มันสำคัญที่สุด ถ้าในที่สุดแล้ว เค้าคนนั้นจะมองเห็นน้ำชาเป็นสิ่งล้ำค่าในชีวิตเหมือนกันกับแม่"

"ผมคบกับน้ำชาได้ใช่ไหมครับ" ผมถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

"ไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าพี่ตองอีกแล้ว"

"ข... ขอบคุณครับคุณแม่"

"มากอดกันหน่อยเร็ว"

ผมสวมกอดแม่ของน้ำชาอย่างแผ่วเบา เธอได้มอบสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิตของเธอให้ผมเป็นผู้เก็บรรักษาแล้ว ผมจะไม่ทำให้คุณแม่ต้องผิดหวังเด็ดขาด

"แม่ขอโทษนะที่เล่นบทโหดไปหน่อยเมื่อกี๊นี้" เธอกระซิบเบาๆกับผม ขอบอกว่า คุณแม่ตีบทแตกสุดๆไปเลยครับ ผมเอาผมเกือบแย่เลย "แม่มีสิทธิ์ที่จะลองใจลูกเขยของแม่ไม่ใช่เหรอ" เธอยิ้มเป็นนัย

"ครับแม่"





ขอบคุณการตัดสินใจที่ถูกต้องของผม นี่มันเหมือนกับว่าผมได้เป็นเจ้าของจักรวาลทั้งหมดเลย โล่งใจอย่างบอกไม่ถูก

แต่ข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้ก็คือ แม่ของน้ำชายังเป็นผู้หญิงใจดีอย่างที่คิดตั้งแต่แรกและคุณแม่รักน้ำชามากจริงๆ ผมเองก็ไม่ควรจะบกพร่อง



"ชาคราบบบ" ผมเดินมาอ้อนแฟนที่ยืนจัดเรียงขนมสอดใส้อยู่ในห้องครัว "เมื่อไหร่จะขึ้นไปนอนซะที พี่อาบน้ำเสร็จนานแล้วนะ"

"ชาขอจัดขนมก่อน ว่าจะเอาไปใส่บาตรพระพรุ่งนี้ นานๆได้กลับบ้านที  นี่! ไอ้พี่ตอง ผ่านด่านแม่มาได้ ไม่ใช่จะมาทำไรกับชาก็ได้นะ ปล่อยเลย"

"โห กอดแค่นี้ก็ไม่ได้ แม่ไม่ว่าหรอกน่า"

"อย่าให้ชาต้องทำบาปก่อนทำบุญนะ"

"โหดจังเลยยยย แฟนพี่เนีย" แต่ยังไงก็ต้องหอมแก้มก่อนจะปล่อยกอด

"เดี๋ยวเหอะ"

คิดถึงรสสัมผัสของเจ้าตัวเล็กนี่เหมือนกันแฮะ ลองแซะหน่อยดีกว่า

"คืนนี้เราได้นอนด้วยกันแล้วนา...."

"แล้ว..."

"ก็..."

"หยุดความคิดไปเลย นี่บ้านชานะ หลังแค่นี้เอง ทำอะไรเกรงใจแม่บ้างดิ"

"ก็ตอนอยู่เกาหลีชาบอกว่าถ้ากลับมหาลัยมาแล้วจะ... มาทำต่อนี่นา น้าาาา นะนะนะนะ นะครับ"

ไม่รู้อ่ะ ผมเข้าไปกอดอีกที คนคิดถึงจะตายอยู่แล้ว พี่ไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะ ถึงจะสามารถทนไม่ให้รักแฟนตัวเองได้นานๆ

"พี่ตองงงง นี่มันครัวนะ เดี๋ยวแม่ก็ได้ยินหรอก"

"แม่ชาหลับไปตั้งนานแล้ว" ผมได้ทีเอาหน้าซุกไซร้กายหอมของเจ้าคนตัวเล็กเป็นการใหญ่ ในสมองตอนนี้ไม่มีเรื่องผิดชอบชั่วดีแล้ว

"พ... พี่ต... ตองงงง"

เหมือนจะได้ผลแฮะ ต้องทำต่อดิ ใครจะปล่อยโอกาสให้หลุดมือ

"วันนี้พี่อุตส่าต่อสู้กับการตัดสินใจของตัวเองมาได้ กว่าจะผ่านด่านคุณแม่มาได้ ให้รางวัลพี่หน่อยน้าาาา นะนะ"

"แต่พี่ก็เกือบจะยอมแพ้นิ"

ชิบหายละกู ชะงักเลย

"ถ้าชาไม่ห้ามไว้ ป่านนี้พี่คงทิ้งชาไปแล้วหละ"

ไม่ได้ๆ จะให้แฟนสุดที่รักเข้าใจผมแบบนี้ได้ยังไง ผมจับให้คนตัวเล็กหันตัวเพื่อมองสายตาของผม

"ไม่มีวันที่พี่จะทิ้งชา" ผมบอก "ถ้าพี่ยังมองเห็นชาอยู่ ถ้าหูพี่ยังได้ยินเสียงของชา ถ้าจมูกยังได้กลิ่นหอมหวานจากชา ถ้าร่างกายของชายังจับต้องได้ พี่ไม่เคยคิดที่จะรักชาให้น้อยลงเลย... ไม่มีวัน   พี่รักน้ำชานะครับ"

สิ้นคำสารภาพแสนหวานผมก็ประทับริมฝีปากของตนเข้ากับริมฝีปากบางเล็กของคนตรงหน้าทันที



-----บทอัศจรรย์------

"อือ...อ...."

คงไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่สติหลุดไปแล้ว แต่น้ำชาเองก็ถูกจุดประกายไฟของความปรารถนาขึ้นมาเช่นกัน

เมื่ออุณหภูมิของอารมณ์มาถึงจุดเพาะบ่ม ก็ไม่อาจมีอุปสรรคใดขว้างกันท่วงท่ารักของเราทั้งสองได้ แม้ว่านี่จะเป็นห้องครัวก็ตาม

มือไม้ที่ซุกซนกำลังลูบคลำไปตามเลืองร่างเนียนละเอียด ความรู้สึกของผิวเย็นฉ่ำสดชื่นที่ไม่ได้ลิ้มลองมานาน กำลังหลอกล่อให้ผมถวิลหาอย่างยากจะห้ามใจ

มือเล็กๆของคนร่างบางก็กำลังสอดส่ายไปตามร่างกายร้อนผ่าวของผม ยิ่งเหมือนยาปลุกเร้าให้ผมอยากกลืนกินร่างนี้มากขึ้น

ไม่ใช่เพียงเพราะความปรารถนาในตัวผมหรือเพียงแค่รสสัมผัสหอมหวานเท่านั้น แต่เพราะปฏิกิริยาตอบสนองของยอดดวงใจคนนี้ยิ่งทำให้ผมจมดิ่งลงไปในวังวนแห่งราคะอย่างง่ายดายเหลือเกิน

"ซืดดดด อือออออ" เสียงอันเย้ายวนดังขึ้นจากคนเบื้องหน้า นั่นยิ่งทำให้ผมรุกเร้าหนักมากกว่าเดิม ช่างแสนหวานและร้อนแรงอยู่ในที

ผมพยายามประคองกายของน้ำชาไว้ไม่ได้ไหลรื่นลงไปกองที่พื้นด้วยแรงปรารถนาอันบ้าคลั่งของผม มือข้างหนึ่งของผมคว้าขาซ้ายเล็กๆให้โอบเกี่ยวไว้ที่เอวเพื่อเป็นหลักยึด

เสื้อนอนตัวบางเหมือนปลิวออกจากกายของคนตรงหน้าด้วยเวทมนต์ เผยให้เห็นผิวใสชวนสัมผัส พร้อมกลิ่นหอมหวานของร่างกายที่เตะจมูก ผมห้ามมิให้ลงลิ้นชิมรสผิวเนียนละเอียดภายใต้ร่มผ้านั้นไม่ได้เลย

"อ๊า.. อาาา" แฟนตัวเล็กช่างตอบสนองบทรักของผมดีเหลือเกิน ปากเล็กๆปล่อยเสียงของความต้องการแบบไม่มีที่สิ้นสุดออกมาอีกแล้ว ผมจึงตวับรอยลิ้นนั้นลงบนจุดเล็กๆที่หน้าอก อันจะเป็นการปลุกเร้าอารมณ์ของคนในอ้อมแขนให้รุนแรงยิ่งขึ้น

"งืมมม มมม ม พ... พี่ตอง"

เสียงเรียกนี้มันช่างเร้าอารมณ์เหลือเกิน ผมกดประทับขบกัดเบาๆให้กายนั้นไม่อาจหลุดจากมนต์สะกดนี้ได้

มือเล็กๆเริ่มยีศีรษะของผมอย่างไม่รู้ตัว ความต้องการแห่งราคะของเค้าคงมาถึงจุดที่กายเรียกร้องแล้ว

เมื่อคนในการรุกเร้าของผมช่วยเหลือตัวเองได้น้อยเหลือเกิน ผมจึงทำหน้าที่ปลดอาภรณ์ของตัวเองออกด้วยตัวเอง และยังไม่ทันไม่คิด มือของผมก็ถอดกางเกงพริ้วบางของสุดที่รักผมออกไปด้วยเช่นกัน

แม้ที่นี่จะไม่ใช่โรงแรมสุดหรูในเกาหลี แต่ไฟละมุมอ่อนในครัวที่สลัวกับความมืด และเสียงแผ่วเบาของจิ้งหรีดนอกบ้านก็เข้ากับบทบรรเลงรักของเราไม่น้อย

ผมเลื่อนริมฝีปากและลิ้นขึ้นไปบนใบหน้าหวานใสอย่างอ้อยอิ่งและเชื่องช้า มุ่งเป้าสู่ริมฝีปากหอมหวานอีกครั้ง แต่มือกลับถวิลหาช่องทางยอนแยง เพื่อสร้างสัมพันธ์รักเบื้องล่าง

"อือออ" คล้ายว่าเจ้าตัวเล็กจะเริ่มรู้ตัวว่ามีบางสิ่งชอนไชเข้าไปในเขตหวงห้าม แต่เพราะริมฝีปากไม่ได้ว่างเว้นจากการหาความหวานของผม จึงไม่อาจปล่อยเสียงร้องออกมาได้เป็นปกติ

นิ้วมือที่เชี่ยวชาญของผมในที่สุดก็สามารถทำให้คนในอ้อมรักลดคล้ายความเกร็งฝืนลงได้ และสิ่งที่ตามมาก็คือของขวัญล้ำค่า เพราะคล้ายว่าช่องทางนั้นจะเปิดประตูพร้อมให้เราสองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว

ผมค่อยๆจัดแจงให้กายเล็กๆค่อยๆหันหลังอย่างอ่อนโยนและไม่ลืมที่จะประทับสัมผัสตามจุดความรู้สึกเสียวซ่านที่พอจะหาได้ แล้วในที่สุดก็ทำสำเร็จ แผ่นหลังเล็กๆแนบชิดกับอกและหน้าท้องของผม

แม้แต่ในมุมด้านหลัง ผมยังรู้สึกว่าเค้าหอมหวาน น่ารัก น่าสัมผัส และแน่นอนว่าน่าจับจองเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว

และเพื่อให้กายเราสองรวมเป็นหนึ่ง ผมจึงยกขาซ้ายของคนตรงหน้าขึ้นเล็กน้อย และกางขาของตัวเองให้กว้างขึ้น เพื่อที่จุดสัมผัสทั้งสองจะได้ประสานรับกันพอดี ซึ่งคนเบื้องหน้าก็มิได้ขัดเขินใดๆ ซ้ำยังพยายามใช้มือเรียวเล็กคว้าลำคอของผมไว้ เป็นการส่งสัญญาณของความพร้อมและความต้องการอันแรงกล้า

วินาทีที่ความปรารถนาของทั้งสองถึงจุดที่เกินจะฉุดออก มังกรก็เริ่มร้องคำรามเพื่อเปิดปากถ้ำมืดมิด

"อ๊า...ซี๊ด...." ผมรีบประกบปากเข้ากันคนตัวเล็กเพื่อห้ามปรามเสียงกระเซ่ารักที่มากเกินงาม จนอาจปลุกราคะผู้ที่ได้ยินให้ลุกโชนขึ้นมาได้

จุดศูนย์รวมแห่งความรู้สึกของผมล้วงฟัดยัดกายเข้าหาช่องแคบอย่างหื่นหิว มันต้องการแอบอิงแนบชิดด้านในอย่างกับว่าไม่เคยเข้าไปมาก่อน

และเพื่อการนั้น เพื่อให้ความสุขของเราทั้งสองสมบูรณ์ที่สุด มือข้างที่เคยเปิดล้วงประตูสวาทก็หันมาทำหน้าที่อันเชี่ยวชาญอีกอย่างด้วยสร้างสัมผัสเสียวซ่านที่จุดยุทธศาสตร์ของคนๆเดิม ดึงรั้งให้มันรู้ว่า ทุกสัมผัสในร่างกายนี้ เป็นของผมแล้วโดยสมบูรณ์

"ให้พี่นะครับ ให้พี่นะค..ครับ" ผมพูดทั้งที่ยังยังไม่คลายจูบอันดูดดื่ม

"ท.. ทำที ทำให้ชาที" เสียงตอบรับและเชื้อเชิญของยอดดวงใจ

แล้วผมจะรอช้าอยู่ใย ท่วงท่าแห่งราคะถูกปลุกเร้าถึงเพียงนี้ มีหรือที่กายนี้จะขยับอย่างเชื่องช้า

มัดกล้ามเนื้อที่เข้มงวดกวดขันมาเป็นอย่างดีได้ใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ผมไม่รู้ว่ามันเคลื่อนไหวไปได้ยังไงด้วยซ้ำ รู้แต่เพียงว่ามันขยับเข้าออกไม่รู้จักหยุดไม่รู้จักเหนื่อย ยิ่งขยับยิ่งรู้สึก ยิ่งลึกยิ่งถลำลึกเข้าไปอีก ราวกับว่าอยากสัมผัสประตูแห่งชัยชนะที่อยู่ในนั้นให้ได้

"อะ...อะ...อะ...อะ...อะ...อะ...อะ...อะ...อื...อื....อื....อื....อ....อ....อ....อ...อูว..ว...ว..ว...ว"

น้องน้ำชาแสนน่ารักของผมส่งเสียงออกมาไม่หยุดหย่อน แต่ผมก็ไม่ลืมที่จะปิดมันไว้ด้วยชิวหาอันเร้าร้อน อย่างไรเสียต่อให้ไฟราคะร้อนแรงเพียงใด ก็ควรจะไม่ให้ใครล่วงรู้กิจกรรมล้ำลึกนี้

นานอยู่นับหลายลมหายใจ ผมผ่อนจังหวะลงเพื่อเพลาความรู้สึกที่เกือบจะพุ่งพล่าน นี่เป็นช่วงเวลารักที่ผมใฝ่หา จึงไม่อยากให้จบการโดยไว

แต่รังรักของกายเย็นฉ่ำก็ทำให้ผมต้องการอยู่ดี ผมจึงหยัดการให้หนักขึ้น กระแทกให้แรงขึ้น กระหน่ำรักให้ถึงทรวงที่สุดเท่าที่แรงกระหายจะมี

"อ๋า.... อ๋าาาาา .....  อือ  อ๋า..."

และด้วยเหตุนั้นริมฝีปากของผมจึงไม่อาจประกบอีกริมฝีปากนึงไว้ได้อีกต่อไป เพราะความเสียวซ่านที่ตนเองก็รับไม่ไหวเช่นกัน มือที่เคยรั้งขาเล็กๆของคนตรงหน้าไว้จึงต้องมาทำหน้าที่ปิดเสียงคนตัวเล็กไว้แทน

การจัดวางท่าประกอบรักของคนเบื้องหน้าไม่ต้องให้ช่วยพยุงอีแล้ว เค้าสามารถสรรสร้างท่วงทำนองนั้นได้ด้วยสัญชาตญาณความหิวโหยของเค้าเอง

"รักพี่ไหมครับ" ผมกระซิบถามที่หูของน้ำชาอย่างแผ่วเบาพร้อมปล่อยมือออกจากริมฝีปาก แต่กายเบื้องล่างก็ไม่หยุดทำงาน และเริ่มจะกลับเข้าสู่ห้วงความปรารถนาที่เร็วแรงอีกครั้ง

"ร... ร....รักซ..ซิ" นั่นคือคำกระตุ้นไฟราคะให้ลุกโชนยิ่งกว่าเดิม "ร...รักชา.. รักชาให้มากกว่านี้อีกได้ไหม รักอีกได้ไม"

ไม่ไหวแล้วเว้ยยยยยยยย

​เมื่อหีบความต้องการถูกทุบกระจายอย่างสิ้นเชิง มือของผมก็กลับมาปิดริมฝีปากเล็กบางอีกครั้ง เพื่อเตรียมตัวสู่การจู่โจมที่ไม่อาจคาดเดาความเสียหายได้

ลึกอีก เร็วอีก แรงอีก รัวอีก เอาอีก ทำอีก เข้าไปให้ลึกอีก เจาะเปลือกเส้นชัยให้ได้

​"ฮ..อือ..อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ.อ."

เสียงครางให้น้ำคอของยอดรักช่างเหมือนกับการราดน้ำมันลงกองไฟ

มันลุดโชติช่วง โหมกระหน่ำ จนแทบจะแผดเผากายผมให้สิ้น

ใกล้แล้ว ใกล้แล้ว ยังไม่หนำใจเลย

ต้องเร่งอีก เร่งให้แรงที่สุดก่อนที่ความรู้สึกที่กักเก็บมาทั้งหมดจะแตกซ่านออกมา

"หึ.หึ.หึ.หึ อูว ว..ว..ว..ว..ว..ว.ว.ว..วว.ว.ว.ว.ว.ว..ว..ว.ว.ว.ว.ว.ว. อุ อุอุ อุ อุ อุ อุ อุ อุ อุ อุ อุ อุ อุ อุ อุ อุ อุ"

มันมาแล้ว มันมาถึงแล้ว มันกำลังจะหลั่งไหลออกมาแล้ว

มาแล้ว

ออกมาแล้ว

มันออกมาแล้วววววววว

"อ่าาาาาาาาาา" "อาาาาาา" ผมพยายามกดเสียงของตัวเองไว้มากที่สุดทั้งที่ความหื่นกระหายกำลังทะลักออกมาเต็มรัก น้ำชาก็เช่นกัน

ผมสัมผัสได้ถึงของเหลวอุ่นๆในกายของคนตัวเล็กที่ผมยังไม่ถอดกายออก รวมทั้งน้ำรักของเค้าที่หลั่งออกมาจนเคลือบเต็มมือและนิ้วของผมหรืออาจจะหกรินลงไปที่พื้นด้วย

"พี่รักชานะครับ" ผมตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ

นี่มันช่างร้อนแรงและแสนหวานเหลือเกิน ผมไม่รู้ตัวเลยว่าหลั่งความรักและปล่อยความรู้สึกออกไปมากแค่ไหน รู้แต่ว่าช่างน่าหลงไหลเย้ายวนเหลือเกิน

แต่ถึงกระนั้น ผมก็หาได้รู้ไม่ว่า ภายใต้อีกชายคาหนึ่งที่ไม่ไกลนี้.....





ก็ได้มีอีกหนึ่งบทรักที่ร้อนแรงไม่แพ้กัน......



----------------------------------

เกร็ดความรู้

​       "บทอัศจรรย์" คือ บทร้อยกรองตามธรรมเนียมนิยมในวรรณคดีโบราณของไทย พรรณนาท่วงท่าและความรู้สึกทางเพศสัมพันธ์ของพระนาง มักกล่าวให้เป็นที่เข้าใจโดยใช้โวหารสละสลวย สำนวนเปรียบเทียบ สัญลักษณ์ หรืออุปมาอุปไมย เป็นต้น​
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 25-11-2017 12:01:10
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 25-11-2017 13:02:00
 :z1: :pighaun: :haun4:
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 23 [LOVE TUTOR ตอนที่ 1 : ไวรัส]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 26-11-2017 09:12:36
​ตอนที่ 3 : ไวรัส





​ที่นี่คล้ายกับบ้านของไอ้ชาเย็นจริงๆด้วย

​ผมกำลังสะพายกระเป๋าของตัวเองและแฟนผู้น่ารักเพื่อตรงไปยังบ้านอีกหลังหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปในสวนหลังบ้าน

นี่คือบ้านของน้ำขิงครับ

ผมเพิ่งจะเคยมาที่นี่ครั้งแรก แต่กับครอบครัวของน้ำขิง นี่ไม่ใช่การพูดคุยครั้งแรก เรารู้จักกันมาสักพักแล้ว จนถึงขั้นที่พ่อแม่ของน้ำขิงมาขอร้องให้ผมช่วยเป็นแฟนให้กับลูกชายตัวเอง

ใช่ครับ อ่านไม่ผิดหรอก พ่อกับแม่ของน้ำขิงมาขอร้องให้นายศริภพ อาจแผ่นดิน คนนี้แหละ ให้ช่วยคบกับลูกชายของพวกเขา

แต่ผมไม่แน่ใจว่าควรจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นดีไหม เพราะมันก็ไม่ค่อยน่าจดจำเท่าไหร่ แล้วที่สำคัญ ผมรู้นะว่าพวกคุณสนใจแต่เรื่องของไอ้ชาเย็นเพื่อนเกรียนของผม

จะเล่าดีไหมน้า.......

อะอะ  เล่าก็เล่า เผื่อมีคนอยากรู้

งั้นก็ต้องเริ่มจาก....



ย้อนกลับไปวันที่กลับมาจากเกาหลี



ไอ้ชาเย็นนี่มันยังไงวะ ทำไมวันนี้ไม่โทรหาผม มันจะไปเรียนหรือเปล่าเนีย หรือมันจัดหนักกับไอ้พี่ตองอีกแล้ว

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ผมเคาะประตูห้องของไอ้เพื่อนเกรียนที่อยู่ในชั้นเดียวกัน

โห ไอ้นี่ กว่าจะมาเปิดประตูได้

"เจ็ดโมงแล้วมึง จะไปเรียนไหม"

"เออ" นี่มึงตอบกูหรือมึงละเม่อกันแน่วะ

"เออ อะไร จะไปเรียนไหม กูจะได้รอไปส่ง หรือจะรอผัวมึงไปส่งครับไอ้น้องน้ำชา"

"ไอ้สัด พี่ตองไม่มีเรียนวันนี้ แล้วมึงดูดิ ยังไม่ตื่นเลย" มันถอยให้ผมดูว่ามีร่างของพี่ตองนอนคว่ำเหมือนคนตายอยู่บนเตียง

"โอ้โห จัดหนักอีกแล้วเหรอวะ ที่เกาหลีกูก็ได้ยินมึงซัดกันทั้งคืนแล้วนะ กลับมายังมีต่ออีกเหรอ" ต้องเจอกูแซวซะหน่อย ไอ้ห่า ล้อกันทั้งคืน กูอุตส่าคิดว่ากูกับน้ำขิงจัดหนักแล้วนะ ไอ้คู่นี้สวิงกิ้งกันจนเกือบเช้า กูก็พลอยไม่ได้หลับไปด้วย

"พอเลยมึง" แนะ ทำเป็นเขิน "ไปๆๆ อีกครึ่งชั่วโมง"

มันปิดประตูใส่ผม

เอ๊า!



หลังกลับมาถึงห้องผมก็อาบน้ำแต่งตัวเพื่อพาไอ้ชาเย็นเข้ามหาลัย

จะว่าไปก็อิจฉาไอ้เพื่อนเกรียนกับแฟนมันเหมือนกันนะ มีมานอนด้วยกันด้วย แต่น้ำขิงนี่ดิ ไม่ยอมท่าเดียว บอกแต่ว่าจะกลับไปนอนที่ห้อง ตอนจากกันก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ป่วยหรือเปล่าหว่า ทำไมตอนนั้นทำสีหน้าแปลกๆ ก่อนจะออกจากสนามบินเมื่อวานยังเห็นโทรศัพท์คุยหัวเราะยิ้มแย้มกับที่บ้านอยู่เลย

ลองส่งข้อความไปถามหน่อยดีกว่า

'มอนิ่งครับน้ำขิง' ผมเริ่มทักไลน์

'อืม' ตอบไว้แฮะ

'รอแป๊บนึงนะ เดี๋ยวเข้าไปรับ รอไอ้ชาอยู่'

'ไม่เป็นไร วันนี้ไม่ต้องมารับหรอก'

'อ้าว ทำไมอ่ะ ไม่ให้รับแฟนแล้วจะให้รับใครละครับ'

.......... อ่านแต่เงียบ

'น้ำขิงเป็นไรเปล่า'

'เปล่า พอดีขิงมีธุระด่วน ตอนนี้เข้ามาในมหาลัยแล้ว'

'อ๋อ งั้นเจอกันตอนเที่ยงครับ'

'ตอนเที่ยงก็มีธุระเหมือนกัน'

'แง่ๆ ทำไมธุระเยอะจัง คิดถึงจะแย่แล้ว'

'ขิงทำธุระก่อนนะ'

อ้าว อะไรหว่า ทำไมตัดบทเร็วจัง แล้วธุระอะไรมีแต่เช้าขนาดนี้



ผมเข้ามาเรียนในมหาลัยตามปกติ ภาคเช้าวันนี้มีเรียนองค์ประกอบศิลป์เบื้องต้น ผมชอบวิชานี้นะ แต่ทำไมวันนี้มันรู้สึกกระวนกระวายแปลกๆ รู้สึก.... ​เป็นห่วงน้ำขิงจัง

พอถึงตอนเที่ยง ผมรีบเดินไปที่ตึกคณะศึกษาศาสตร์ ถึงจะรู้ว่าข้ำขิงมีธุระ แต่ก็อยากเจอหน้าอยู่ดี ก็แฟนผมนิครับ ไม่ให้คิดถึงได้ไง

แต่พอไปถึงก็เห็นว่าตึกไร้ผู้คนแล้ว สงสัยคงไปกินข้าวกันหมด

เอ? หายไปไหนของเค้านะ

'น้ำขิงคราบบบ ทำไรเอ่ย' ผมตัดสินใจทักไลน์ไปหาในที่สุด

เงียบ ไม่มีการอ่านด้วยซ้ำ

หรือจะติดธุระจริงๆ

รีบไปกินข้าวก่อนดีกว่า เดี๋ยวต้องเข้าห้องซ้อมแล้ว ไว้ถ้าน้ำขิงเห็นข้อความก็คงจะตอบกลับมาเองนั่นแหละ



แล้วช่วงบ่ายก็มาถึง วันนี้ผมและผู้นำเชียร์คณะสถาปัตฯ ยังคงซ้อมหนักเหมือนกับทุกวัน รุ่นพี่มักจะพูดเสมอว่า เพราะเราเป็นคณะเล็กจึงต้องพยายามมากกว่า ทุกวันนี้ผมก็เลยแทบจะละเมอเป็นท่าลีดอยู่แล้ว



"ต้อม ลืมท่าอีกแล้ว เป็นอะไร"

รุ่นพี่ลีดปีสองเตือนผมเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้

ผมไม่มีสมาธิในการเต้นเลย เพราะผ่านไปกว่าสองชั่วโมง ยังไม่มีข้อความตอบกลับจากน้ำขิงเลย มันทำให้ผมเป็นกังวลและกระวนกระวายใจ

"มีสมาธิหน่อยซิ แล้วแบบนี้จะไปสู้ลีดคณะอื่นได้ยังไง" พี่หนิงพยายามเรียกกำลังใจ "อย่าให้ใครมาว่าเราได้ว่าเป็นแค่คนหน้าตาดีไม่มีสมอง สู้หน่อยค่ะ สู้หน่อย เดี๋ยวอีกแป๊บก็ต้องเรียนการถ่ายแบบต่อแล้ว ทนหน่อยค่ะ แป๊บเดียวนะ"



เห้อออออออออออออออออ

ในที่สุดวันนี้ก็จบลง เหนื่อยชิบ

แต่ข้อความในไลน์ก็ยังไม่ได้รับการอ่านอยู่ดี แบบนี้ผิดปกติเกินไปแล้ว โทรหาเลยดีกว่า



#เสียงโทรศัพท์

หือ? ใครโทรมาพอดีเลย

​แม่จิตร

​นี่มันแม่ของไอ้ชาเย็นนี่นา

"ฮัลโหล สวัสดีครับแม่จิตร"

"ต้อมใช่ไหมลูก ว่างหรือเปล่า"

"ว่างครับแม่" ก็ต้องตอบว่าว่างก่อนนั่นแหละ "มีอะไรครับ"

"พอดี แม่จะถามต้อมว่า... ต้อมกำลังคบหาอยู่กับน้ำขิงหรือเปล่า"

"...." เห้ย อะไรยังไงวะ ทำไมแม่จิตรรู้เรื่องนี้

"คือ... พ่อกับแม่ของน้ำขิงอ่ะ เค้าบอกแม่ว่าน้ำขิงกำลังคบอยู่กับคนที่ชื่อต้อมอยู่ แม่ก็เลยลองโทรมาถามดูว่าใช่ต้อมที่แม่รู้จักหรือเปล่า เห็นเรียนที่เดียวกัน"

"ก็... ใช่ครับแม่" น้ำขิงบอกอะไรที่บ้านไปหว่า

"อ่อ จริงเหรอ งั้นก็พอดีเลย พ่อของน้ำขิงถือสายรออยู่พอดี ช่วยคุยกับเค้าหน่อยนะ เดี๋ยวแม่โอนสายต่อไปให้"

ห๊ะ อะไรนะ เชี่ยแล้ววววว

"ฮัลโหล"

"ฮ... ฮัลโหลครับคุณพ่อ"

"ต้อมใช่ไหม" ทำไมเสียงดูเครียดจังวะ กูกำลังจะโดนพ่อแฟนด่าหรือเปล่าเนีย

ตอบไงดีวะ "ครับ ผมต้อมครับ" ตอบๆไปเหอะ

"ต้อมที่เป็นแฟนกับขิง ลูกชายผมใช่ไหม"

"ค... ครับผม" เหงื่อตกเลยกู จะเกิดอะไรขึ้นต่อวะ

"​ช่วยขิงด้วย​"

หืออออออออออ?????

"ช่วย ช่วยอะไรครับ น้ำขิงเป็นอะไร"

"เอาเป็นว่ารีบไปหาขิงที่หอพักก่อนเลย"

"ด.. ได้ครับ แต่ผมไม่มีคีย์การ์ด กุญแจห้องก็ไม่มี เค้าไม่เคยให้ผมเข้าไปเลย"

"เดี๋ยวพ่อจะส่งรหัสเข้าหอพักไปให้ในข้อความ ตอนนี้รีบไปก่อนเลยนะ"

ผมไม่ตอบด้วยซ้ำ แต่รีบวางสายแล้วสตาร์ทรถทันที



เมื่อมาถึงจุดหมายปลายทาง ผมรีบกดรหัสเข้าหอพักที่ได้

เกิดไรขึ้นกับน้ำขิงกันแน่

มือของผมสั่นเทิมเพราะความเครียดและความกังวล

ห้อง 205 ชั้นสอง

ไหนวะ อยู่ตรงไหนวะ นี่ไง



"พ... พ่อบอกต้อมทำไมอ่ะ" เสียงน้ำขิงนี่นา เหมือนจะกำลังร้องไห้อยู่ด้วย

ผมเงี่ยหูฟังโดยไม่รู้ตัวทั้งๆที่กำลังจะเคาะประตูห้องอยู่แล้ว

"ขิงไม่อยากให้ต้อมมา พ่อก็รู้ นี่มันร้ายแรงนะ ฮือๆๆ"

หึ มันมีอะไรร้ายแรงวะ ถึงขั้นไม่อยากเจอหน้าเรา นี่มันอะไรกันแน่

"ขิงไม่รู้ว่าต้องทำอะไรแล้ว... ไม่ ยังไงขิงก็จะไม่ไปหาเค้า พ่อรู้ไหมว่าไวรัสตับอักเสบมันร้ายแรงแค่ไหน"

......................................................................................

ไวรัสตับอักเสบ
น้ำขิงเป็นไวรัสตับอักเสบเหรอ หรือว่าอะไรกันแน่

ในหัวของผมว่างเปล่าเลยตอนนี้

"ถ้าพ่อให้ต้อมมา ขิงจะหนีไปจากที่นี่"

ห๊ะ จะบ้าเหรอ



ก๊อก ก๊อก​ ก๊อก​

"น้ำขิง"

ก๊อก ก๊อก​ ก๊อก​

"น้ำขิง นี่ต้อมนะ" ผมเรียกแฟนของตัวเองอย่างร้อนใจ

"....."

ผมรู้เลยว่าที่เงียบไปคงเพราะกำลังตกใจที่ผมบุกมาถึงห้องแล้ว

"เกิดอะไรขึ้น เปิดประตูให้ต้อมหน่อย"

"....."

ยังเงียบอีก นี่รู้ไหมว่าเป็นห่วงจะแย่อยู่แล้ว พูดอะไรสักนิดซิ

"น้ำขิงครับ เปิดประตูให้ต้อมนะ ขอร้องละ ต้อมเป็นห่วง"

"ม... ไม่ได้ ม... ไม่ได้" เสียงพูดพร้อมน้ำตาแบบนี้ ยิ่งทำให้ผมใจจะขาดอยู่แล้ว ถ้าพังประตูเข้าไปได้จะพังเดี๋ยวนี้เลย ผมลองหมุนลูกบิดและเขย่ามันแรงๆ แต่ไม่มีอะไรขยับเลย

"เปิดเถอะครับ นะ ต้อมขอร้อง ต้อมเป็นห่วงน้ำขิงนะ อย่าร้องไห้คนเดียวโดยที่ไม่มีต้อมอยู่ข้างๆซิ อย่าทำแบบนี้เลย" ผมแทบจะตะโกนเข้าไปอยู่แล้ว โชคดีนะที่ช่วงเลิกเรียนใหม่ๆยังไม่มีคนกลับเข้าหอเท่าไหร่นัก ไม่งั้นคงออกมามุงดูความบ้าคลั่งของผมไปแล้ว

"ยังไง.. ยังไงก็ไม่ได้ ต้อมจะมาอยู่ข้างขิงไม่ได้เด็ดขาด"

"น้ำขิง..."



#เสียงโทรศัพท์

ใครแม่งโทรมาตอนนี้วะ

"ฮัลโหล!" ผมรับโทรศัพท์อย่างหัวเสีย

"นี่ผมเอง พ่อของขิง"

"อ๊ะ... เออะ.. ค... ครับคุณพ่อ นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมน้ำขิงร้องไห้ขังตัวเองไว้ในห้องแบบนี้"

"ทำใจดีๆนะต้อม เมื่อวานคนที่บ้านโทรมาบอกพ่อว่า โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยส่งผลการตรวจร่างกายมาที่บ้าน ขิงหน่ะ มีภาวะไวรัสตับระยะที่สอง"

"ว... ว่าไงนะครับ" เหมือนลิ้นจุกปากผมเอาไว้ "ได้ไงกัน"

"ผมก็ไม่รู้ว่าขิงเป็นได้ยังไงหรือรับมาจากไหน แต่โรคนี้เป็นโรคติดต่อร้ายแรงและพ่ออยากให้เค้าไปหาหมอเดี๋ยวนี้ พ่อเองอยากไปด้วยตัวเองใจจะขาด ถ้าไม่ติดว่าอยู่กลางมหาสมุทร พ่อจะขับรถไปเองเดี๋ยวนี้เลย" อะไรนะ ผมจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้ว "พ่อมาเป็นผู้แทนรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม ตรวจงานขนส่งทางทะเล โชคร้ายที่พาแม่เค้าออกมาด้วย เพิ่งออกจากอ่าวได้แค่วันเดียวเอง ไม่อยากนั้น พ่อจะไม่รบกวนต้อมเลย"

"......" เดี๋ยว ใจเย็น กูควรคิดไรก่อนดีวะ "ร... รบกวนซิครับ พ่อต้องรบกวนผม น้ำขิงเป็นแฟนผมนะครับ"

"ก็เพราะงี้แหละที่พ่อเป็นห่วง ตั้งแต่รู้เรื่องนี้ ขิงก็เอาแต่โทษตัวเองว่าเป็นสาเหตุให้ต้อมต้องติดเชื้อไวรัสไปด้วย คือ... พ่อเองก็ไม่รู้ว่าเราสองคนคบหากันไปถึงขั้นไหนแล้ว"

ผมรู้ว่าคุณพ่อก็พอจะเดาได้แล้วหละ

"เราสองคน... ก็..."

"พ่อไม่ว่าหรอกนะถ้าต้อมจะเป็นห่วงสุขภาพตัวเอง พอรู้เรื่องพ่อก็รีบหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้ ถ้าต้อมเพิ่งจะสัมผัสกับขิงได้ไม่นาน พ่อคิดว่าต้อมยังมีทางรักษาได้ แต่ต้องไปหาหมอโดยด่วน ห่วงก็แต่เจ้าขิงนี่แหละ รายนั้นคงไม่มีทางหายแน่ๆ แต่ถึงยังไง พ่อก็อยากให้เค้าไปหาหมอ หาทางรักษาหรือควบคุมมันไว้ก็ยังดี"

หัวใจของผมเต้นแรงอย่างกับเสียงกลอง ลมหายใจก็ติดๆขาดๆ

"ขิงหนะ เป็นลูกชายคนเล็กของพ่อ เค้าทั้งขาดความมั่นใจและอ่อนไหวกับทุกเรื่อง ต้องมีคนคอยปกป้องอยู่ตลอด หลังจากเจอเรื่องนี้ พ่อห่วงเหลือเกินว่าจะมีใครกล้าเข้าใกล้เค้าหรือเปล่า แต่นั่นก็ยังไม่เท่าความรู้สึกที่ขิงต้องแบกรับอยู่ตอนนี้ ถ้าทำได้ พ่ออยากเป็นแทนเค้าเองด้วยซ้ำ" เสียงของคุณพ่อเริ่มสั่นเครือ

"มีซิครับพ่อ ผมนี่ไง ผมจะปกป้องเค้าเอง" ไม่รู้ละ กูจะติดเชื้อหรือไม่ติดเชื้อก็ช่างหัวมัน แต่ให้แฟนกูมานั่งแบกรับเรื่องร้ายอยู่คนเดียวแบบนี้ กูทนไม่ได้หรอก

"ขอบใจนะ ขอบใจมากนะต้อมที่ไม่รังเกียจลูกของผม"

"ไม่มีทางเลยครับ แต่ตอนนี้ เค้าไม่ยอมให้ผมเข้าไปในห้อง"

"ต้อมแน่ใจนะว่าจะรับเรื่องนี้ได้ รู้หรือเปล่าว่าโรคนี้เป็นยังไง กับบางคนก็รักษาไม่ได้นะ ไม่ใช่ทุกคนจะตอบสนองต่อการรักษา ถึงพ่อจะกลัวที่ลูกของพ่อติดเชื้อไปแล้ว แต่ถ้าต้องทำให้ต้อมติดเชื้อไปด้วย คงไม่ใช่แค่ขิงคนเดียวที่รู้สึกผิด พ่อกับแม่เองก็คงรู้สึกผิดไปด้วย"

ก็มันมาถึงขั้นนี้แล้วนี่นา ที่สำคัญกว่าผมตอนนี้คือน้ำขิงต่างหาก ป่านนี้จะเจ็บปวดใจมากแค่ไหน

ไอ้ประตูบ้านี่ก็จะมีทำไมก็ไม่รู้ ห่างกันอีกแค่ไม่กี่ก้าวเองก็เจอกันไม่ได้

"ผมจะตอบสนองหรือเปล่าก็อย่าเพิ่งไปสนใจเลยครับ น้ำขิงต่างหากที่ต้องไปหาหมอเดี๋ยวนี้ ​ไอ้ประตูบ้านิ​" ผมสบทอย่างลืมตัว

"ต้อมเป็นคนดีจริงๆ แต่อยากให้แน่ใจอีกครั้ง ต้อมรับความเสี่ยงนี้ได้แน่นะ มันหมายถึงชีวิตของเราเลยนะ ชีวิตที่อาจจะไม่ปกติ ชีวิตที่อาจจะไม่ได้ทดแทนบุญคุณพ่อแม่ ชีวิตที่อาจจะเจอคนที่ดีกว่านี้ ต้อมยังเลือกที่จะออกห่างจากขิงได้นะ พ่อจะไม่โทษเลยแม้แต่นิดเดียว ต้อมมีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตที่ดีกว่าได้"

"ชีวิตที่ไม่มีน้ำขิงนะเหรอครับ จะให้ผมเลือกได้ยังไง... ผมเกิดมาตั้งสิบแปดปีกว่าแล้ว เพิ่งจะได้ทำสิ่งดีๆกับเค้ายังไม่ถึงเดือนเลยด้วยซ้ำ ผมยังรักน้ำขิงได้ไม่มากพอเลย จะให้ผมเลือกออกไปจากชีวิตเค้าได้ไง" ผมสารภาพตามตรงเลยว่าตอนนี้หัวใจอ่อนแรงเหลือเกิน "ยังไงผมก็จะไม่ไปจากน้ำขิงเด็ดขาด"

"พ่อซาบซึ้งใจจริงๆ โชคดีเหลือเกินที่ขิงได้พบกับต้อม งั้นพ่อขอร้องอย่างนึงได้ไหม..."

"ถ้าเพื่อน้ำขิง ผมทำได้ทุกอย่างครับ"

"ช่วยเป็นแฟนของลูกชายผมที"

"ต่อให้ไม่ขอ ผมก็จะเป็นครับ" ผมตอบด้วยน้ำตา มันไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้เลย

"โอเค ถ้าอย่างนั้นทำตามที่ผมบอกนะ ลงไปที่ชั้นหนึ่ง จะมีล็อคเกอร์อยู่ตรงหน้าหอ"

"อะไรนะครับ" ถึงจะถามอย่างนั้น แต่เท้าของผมก็ขยับไปแล้วเรียบร้อย

"พ่อซ่อนกุญแจสำรองไว้ในนั้น"

ผมวิ่งตรงดิ่งไม่คิดชีวิตเลย

"ล็อกเกอร์หมายเลข 205 จะมีรองเท้าผ้าใบสีน้ำเงินอยู่ เห็นไหม"

รองเท้า... นี่ไง "ครับ"

"ในรองเท้ามีกุญแจอยู่"

ได้แล้ว ได้แล้ว นี่ไงกุญแจสำรอง "เจอแล้วครับพ่อ"

"ไปเลยต้อม ไปหาเค้าแทนผมที"

ผมตัดสายทิ้งทันที วิ่งกลับเข้าไปในหอพัก โฟกัสแค่ที่หมายเดียวเท่านั้น



แกร็ก

​ลูกบิดกุญแจถูกเปิดออก แต่....

ไม่มีใครในห้อง

"น้ำขิง น้ำขิง" ผมเรียก แทบจะเสียสติอยู่แล้วตอนนี้

"ออกไป อย่าเข้ามาใกล้ขิง ขอร้อง อย่าทำแบบนี้เลย"

เสียงน้ำขิงนี่นา ดังมาจากไหนวะ

​ห้องน้ำ

​​บ้าเอ๊ยยยยย  อุตส่าเข้ามาให้ห้องได้แล้วเชียว แต่เจ้าตัวก็เข้าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องน้ำอยู่ดี แถมยังล็อคกุญแจเสร็จสับ

"ขิงงงงง น้ำขิง เปิดประตูเถอะนะ อย่าทำแบบนี้ซิครับ ต้อมเป็นห่วงนะ"

"ต้อมนั่นแหละอย่าทำแบบนี้" เสียงสะอื้นไห้นี่มันช่าง... "รู้ไหมว่าตอนนี้ต้อมเสี่ยงแค่ไหนที่จะติดเชื้อ รู้ไหมว่าขิงรู้สึกผิดแค่ไหนที่ต้องทำให้คนอื่นต้องมาเจอเรื่องแบบนี้"

"แต่มันไม่ใช่ความตั้งใจของน้ำขิงนะ ไม่มีใครอยากให้เกิดหรอก ออกมาเถอะครับ ไปหาหมอกันนะ"

"ขิงรู้ว่าขิงต้องไปหาหมอ แต่ต้องไม่ใช่กับต้อมหรือใครทั้งนั้น จะต้องไม่มีใครมาเสี่ยงกับขิงอีกแล้ว"

"แล้วขิงจะให้ต้อมปล่อยขิงไว้ได้ยังไงกัน เราเป็นแฟนกันแล้วนะ ต้อมเคยบอกไปแล้วไงว่าต้อมจะพิสูจน์ให้เห็นว่าความรักของเรามันคือเรื่องจริง"

"นี่มันไม่ใช่เรื่องของการพิสูจน์ตัวเองนะต้อม นี่มันหมายถึงชีวิต ต้อมเข้าใจความหมายของมันจริงๆหรือเปล่า"

"ก็เพราะเข้าใจไง ต้อมถึงทิ้งไปไม่ได้ จะให้ต้อมทนเห็นน้ำขิงเจ็บปวดอยู่คนเดียวได้ยังไง"

"แล้วต้อมจะให้ขิงทำยังไง จะให้ขิงทนเห็นคนที่ตัวเองรักมาลำบากได้ด้วยเหรอ คิดบ้างไหมว่าขิงอาจจะเจ็บปวดมากกว่าเดิมก็ได้ อย่ายอมเสียสละมากมายเพื่อขิงขนาดนั้นเลย ไปมีชีวิตที่ดีกว่านี้เถอะนะ หยุดสงสารขิงเถอะ แค่นี้ขิงก็เวทนาตัวเองมากพออยู่แล้ว"

น้ำตาของน้ำขิงคงกำลังหลั่งรินอาบแก้มสองข้าง ตาของเค้าคงจะบวมด้วยความชอกช้ำ

ผมหายใจเข้าออกสองสามครั้งเพื่อชะลอการสาดอารมณ์ของเราทั้งสอง ตอนนี้น้ำขิงกำลังอ้างว่าง ผมต้องพิสูจน์ ผมต้องทำให้เค้าเห็นให้ได้ว่า ผมอยู่ข้างเค้าเสมอ

"น้ำขิงครับ ถามว่าต้อมตกใจไหมที่รู้เรื่องนี้ ตกใจซิครับ จนเกือบจะพูดไม่ออกเหมือนกัน ถามว่าต้อมกลัวไหมที่จะติดเชื้อไปด้วย กลัวที่สุด แต่ความรักของเรา มันไม่ใช่ความรับผิดชอบของใครฝ่ายเดียวนะ ต้อมยังยืนอยู่ตรงนี้ก็เพราะว่าต้อมมั่นใจว่า ต้อมรักน้ำขิงเพราะน้ำขิงคือคนๆนี้ ไม่ใช่เพราะน้ำขิงมีหรือไม่มีอะไรอยู่ในตัว ทุกการกระทำของเรา ต้อมมีส่วนกับมันเสมอ อย่าทิ้งต้อมไปเลยนะ อย่าบอกให้ต้อมต้องไปไหน

รู้ไหม ว่าโลกใบนี้มีคนอยู่กี่คน มันจะมีเหตุผลอะไรที่ต้อมกับน้ำขิงรู้จักกับไอ้ชาทั้งคู่ มันจะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้น้ำขิงมาติวเลขแทนไอ้ชา มันจะมีเหตุผลอะไรที่คนสองคนซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อนจะมาเจอกันได้ มันจะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้ต้อมแทบจะตกหลุมรักน้ำขิงตั้งแต่แรกเห็น ถ้าไม่ใช่เพราะ... เราถูกกำหนดไว้แล้ว เราสองคนเกิดมาเพื่อเป็นของกันและกัน อย่าให้อุปสรรคอะไรมาทำให้โชคชะตาหนึ่งในล้านนี้ต้องเปลี่ยนไปเลยนะ ออกมาเถอะครับ ออกมาสู้ไปด้วยกัน ต้อมสัญญาเลยว่าต่อให้ต้องเกิดอะไรขึ้น ต้อมจะไม่เสียใจเลย เพราะต้อมได้ทำเพื่อคนที่ต้อมรักแล้ว แล้วถ้าน้ำขิงยังรู้สึกว่ามันยังมีเหตุผลไม่มากพอ ก็ขอให้คิดว่า เรื่องนี้อาจจะเป็นกุญแจสำคัญก็ได้ ในอีกแง่นึงต้อมกลับรู้สึกดีด้วยซ้ำที่มันเกิดขึ้น เพราะมันทำให้แน่ใจว่า เราถูกโชคชะตาผูกไว้ตั้งแต่แรกแล้ว...."

"..........."

เงียบสนิท เสียงร้องไห้ของน้ำขิงก็เงียบลงไปด้วย

สิ่งที่ผมพูดไปทั้งหมดมันมากพอหรือยังนะ มันมากพอที่จะทำให้เค้ารับรู้ถึงความปรารถนาดีอันบริสุทธิ์ของผมหรือยัง ใครก็ได้ช่วยด้วย ช่วยให้ผมส่งเสียงไปถึงหัวใจของคนรักของผมที...

​แกร๊ก

​ผมแทบจะหยุดหายใจ น้ำขิงเปิดประตูห้องน้ำออกแล้ว มือของผมผลักบานประตูออกอย่างร้อนใจ กลัวว่ามันอาจจะปิดกั้นผมกับคนรักอีกครั้ง

ผมเข้าสวมกอดแฟนของผมทันที เจ้าของน้ำตาที่ทำให้ผมเป็นห่วงแทบใจจะขาด

"น้ำขิง น้ำขิง ไม่เป็นไรแล้วนะครับ ไม่ต้องสู้อยู่คนเดียวแล้วนะ ต้อมอยู่นี่แล้ว" คำปลอบใจใดๆในโลกที่นึกออก ผมพยายามพูดมันออกมาให้หมด

น้ำขิงยังร้องให้อยู่ในอ้อมอกผม เค้าช่างบอบบางเหลือ เค้าช่างน่าสงสารจับใจ เค้าต้องทนทุกข์แค่ไหนกัน ผมบรรยายความอาทรนี้ออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ด้วยซ้ำ รู้แต่ว่าอยากกอดเค้าไว้ให้แนบแน่นที่สุด จะไม่ทำให้อะไรมาพรากคนรักคนนี้ไปได้เลย

"ขิงก.. กลัว ขิงกลัวที่สุดเลย" คนตัวเล็กยังสะอื้นไห้ไม่หยุด "ขิงเหงา ขิงกลัวว่าต้องเสียต้อมไป"

"ขิงไม่เสียต้อมไปหรอกครับ ขิงได้ต้อมไปทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ"

​นั่นมันอะไรกัน

​เหมือนผมจะเห็นเลือดหยดอยู่ตามพื้นห้องน้ำ มันมาจากไหน

ผมผละร่างเล็กของแฟนผมออกแล้วดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับเค้า หรือว่าเค้าคิดสั้นไปแล้ว และผมมาไม่ทัน

ไม่มีนิ

"เลือดพวกนี้มาจากไหน" ผมถามอย่างร้อนใจ

"มันไหลออกมาจาก..." น้ำขิงชี้ไปที่ส่วนล่างด้านหลังของเขา มีคาบเลือดเลอะกางเกงขาสั้นตัวเล็ก มันยับยู้ยี้เหมือนกับถูกสวมใส่มาทั้งวัน แล้วก็ตามหน่องขาด้านหลังด้วย

"เกิดอะไรขึ้น" ผมแทบจะร้องออกมา

"ขิงไม่... รู้" อ้าวเวรละ ผมยิ่งทำให้เค้าร้องไห้หนักกว่าเดิม เค้าคงจะกลัวมากพออยู่แล้ว นี่มันอาจจะเป็นผลกระทบจากไวรัสตับระยะที่สองก็ได้

แบบนี้ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว

"เราไปที่โรงพยาบาลกันเถอะนะครับ" ผมจริงจัง "ต้อมสัญญาว่าขิงจะไม่เป็นไรนะ มันอาจจะแค่ขิงเครียดมากเกินไปก็ได้" ไม่รู้ดิ พูดไรก็ได้ ปลอบใจไว้ก่อน

"แต่..."

"ไม่ต้องกลัวครับ ต้อมอยู่ตรงนี้แล้ว ไปเถอะนะ เราจะรักษามันด้วยกัน"

ผมไม่ฟังอะไรต่อแล้ว รีบหากางเกงมาให้น้ำขิงเปลี่ยน แล้วก็เสื้อผ้า ปาดน้ำตาที่อาบแก้มไม่หยุด แล้วตรงดิ่งไปที่โรงพยาบาลทันที



เมื่อถึงโรงพยาบาล ทันทีที่พยาบาลเห็นท่าทีร้อนร้นของผมก็เข้ามาพาตัวน้ำขิงเข้าห้องฉุกเฉินทันที

ผมพยายามบอกข้อมูลต่างๆที่ตัวเองรู้ให้มากที่สุด ผมบอกแม้กระทั่งว่าผมเป็นแฟนของผู้ป่วยด้วยซ้ำ ก็ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แต่ช่างมันเถอะ

ผมตามเข้าไปแต่พยาบาลบอกให้รอหน้าห้องตรวจ

ผมเห็นคุณหมอคนนึงวิ่งเข้าไปในนั้นโดยมีพยาบาลซึ่งทราบข้อมูลทุกอย่างจากผมตามเข้าไปด้วย



​นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ

​ก่อนหน้านี้ผมยังพยายามทำให้น้ำขิงหายเครียดอยู่เลย แต่ทำไมเป็นผมเองหละที่เครียดแบบไม่ปล่อยวาง อยากเข้าไปดูเว้ยยยยยยยยยยยยย

ผมทั้งนั่งทั้งเดินไปเดินมา

สักพักมีพยาบาลออกมา แล้วก็เดินจากไป สักพักก็กลับเข้าไปในห้อง ถือเครื่องมือแพทย์กับแฟ้มเอกสารอะไรไม่รู้เข้าไปด้วย อยากจะถามนะ แต่อย่าเพิ่งขัดขวางการรักษาเลย



"คุณคะ"

"ครับ" ในที่สุดพยาบาลก็ออกมาเรียกผมสักที หลังจากรอมาเกือบสิบห้านาที

"เชิญญาติผู้ป่วยด้านในค่ะ" แฟนครับ ผมเป็นแฟน บอกแล้วไง

เธอเชิญผมให้เข้าไป แต่ตัวเธอเองไม่ได้กลับเข้าไปด้วย

ในห้องผมพบแค่หมอท่านหนึ่งในชุดกราวสีขาว กำลังนั่งคุยอยู่กับน้ำขิงซึ่งก็นั่งอยู่เหมือนกัน ผมก็เลยไปนั่งข้างๆน้ำขิง

"ไอ้เรื่องภาวะติดเชื้อไวรัสตับเนียนะ" คุณหมอเริ่มพูด เอาเลยเหรอวะ "หมอแน่ใจว่าคนไข้ไม่ได้การติดเชื้อนะ"

ห๊ะ เดี๋ยวๆๆๆๆ

"ต... แต่ ที่บ้านของเค้าโทรมาบอกว่ามีเอกสารจากโรงพยาบาลส่งไปที่บ้านว่าเค้าเป็นไวรัสตับอักเสบนะครับ ผมเพิ่งจะคุยกับพ่อของเค้าเมื่อกี๊นี่เอง"

"หมอว่ามีการเข้าใจอะไรผิดแล้วหละครับ การตรวจสุขภาพของนิสิตใหม่ที่จะเข้ามหาวิทยาลัยนี้เป็นขั้นตอนปกติอยู่แล้ว แน่นอนว่า ย่อมมีขั้นตอนการตรวจโรคติดต่อหรือโรคเรื้อรัง แต่จากผลที่หมอดู ไม่มีอะไรผิดปกติเลยนะ" คุณหมอเปิดดูเอกสารอีกรอบ "แข็งแรงดีทุกอย่าง ไม่มีโรคประจำตัวด้วยซ้ำ ที่สำคัญ โรงพยาบาลเราไม่มีนโยบาลในการส่งผลวินิจฉัยโรคไปที่บ้านของผู้ป่วยนะ เพราะมันจะยิ่งทำให้ผู้ป่วยจิตตกหนักกว่าเดิมจนอาจเป็นผลเสีย เราต้องมีวิธีการติดต่อให้เค้าเข้ามารับรู้และทำความเข้าใจอย่างละมุนละม่อม"

เอ่อออออออออออ ช็อกแป๊บ คือไรวะ

ผมหันไปมองน้ำขิง เค้าก็ดูจะไม่เข้าใจเรื่องนี้เหมือนกัน

"แล้วเรื่องเลือดละครับ" นั่นดิ แต่มันมีเลือดออกมานะ

"เอ่อ... นี่แหละ หมอก็เลยเรียกคุณเข้ามา" หมายความว่าไง "เห็นพยาบาลบอกว่าคุณสองคนเป็นแฟนกันใช่ไหม"

"ครับ" ผมตอบอย่างภาคภูมิใจ

"คือ... หมอคิดว่า ถ้าต่อไปคิดที่จะ... make love กันอีก ก็ขอให้ลดความ... รุนแรงกันลงมาหน่อยนะ คือมันก็ไม่ได้เสียหายอะไรมากอะนะ แต่ถ้าเกิดเป็นแผลบ่อยๆเดี๋ยวแฟนอาจจะโดนเชื้อโรคอะไรเข้าไปได้ง่าย"

เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยยแล้ววววววววววววววววววกูวววววววววววววววววววว

เขินหนักมาก บอกเลย อึ้ง และพูดไม่ออก น้ำขิงเองคงจะหน้าแดงแป๊ดเลยแหละ ไม่หันไปดูก็รู้

"แต่เป็นแค่แผลเล็กๆ หมอดูแล้วก็ไม่ได้มีอะไร ถ้ายังจะทำอะไรต่อมิอะไรอีกก็ไม่ได้มีผลเท่าไหร่นัก..."

"พ... พอเถอะครับคุณหมอ" ผมรีบห้ามการให้คำปรึกษาอันลึกซึ้งของคุณหมอไว้ "ผ... ผมเข้าใจแล้วครับ แจ่มแจ้งเลย"

"อ่อ โอเค งั้นเอาเป็นว่าหมอจะให้แค่ยาทาสำหรับ... ตรงนั้นก็พอนะ ป้องกันการอักเสบ" หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำเลยกู "แล้วก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแน่นอน วันนี้ก็กลับบ้านได้เลย"

ผมรีบขอบคุณคุณหมอและพาน้ำขิงออกมานอกโรงพยาบาลให้ไวเลย แต่! มีเรื่องนึงต้องเคลียร์ด่วนเลย



"ฮัลโหลครับคุณพ่อ" ผมโทรหาพ่อของน้ำขิงทั้งๆที่ยังขับรถอยู่ เปิดลำโพงด้วย น้ำขิงจะได้ได้ยิน

"ว่าไงต้อม"

"ผมพาน้ำขิงมาโรงพยาบาลแล้ว หมอบอกว่า โรงพยาบาลเค้าไม่ได้ส่งผลอะไรไปที่บ้านนะครับ ไวรัสตับอะไรก็ไม่มี ไม่เคยตรวจเจอ"

"อ... อ้าว ไปโรงพยาบาลกันซะแล้วเหรอ" อะไรของคุณพ่อวะ "งั้นความก็แตกแล้วซิ"

หือออออ?!?!?!?!?!? อะไรนะ

"พ่อแค่... อยากลองใจต้อมดู เห็นเจ้าขิงโทรมาสารภาพกับพ่อว่ากำลังคบกับใครอยู่ กลัวจะรักลูกพ่อไม่จริง ก็เลย... ลองดูนิดนึง"

"นี่พ่อเล่นอะไรของพ่อเนีย" ผมก็อยากจะพูดแบบนี้นะ แต่ให้เป็นหน้าที่ของน้ำขิงนั่นแหละดีแล้ว บ้านนี้เค้าคิดอะไรกันอยู่วะ ทำกูเครียดเลย

"เอาน่าาาาา กิจกรรมในครอบครัว ถือว่าเป็นการรับน้องใหม่  นะ"

โอ้โหคุณพ่อ พูดได้หน้าตาเฉยมาก แล้วก่อนหน้านี้เนีย เสียงสะอื้น การขอร้อง คือไร? การแสดงใช่ไหม?

"ไม่ตลกเลยนะ ขิงเครียดจนไม่ได้มาเรียนเลยวันนี้ รู้หรือเปล่า" ลูกชายงอนพ่อ น่ารักเนอะ

"วันเดียววว ไม่เป็นไรหรอก ลูกพ่อเก่งจะตาย... แต่ก็คุ้มนิ ใช่ไหม ได้แฟนดีๆมาตั้งคนนึง คราวนี้ก็ภูมิใจได้เต็มปากแล้วนะ"

โอเคคุณพ่อ พูดได้ดี แบบนี้ผมยกโทษให้ เป็นคนมีวิสัยทัศน์นะเนี่ย

"พอเลยพ่อ วันหลังห้ามทำไรแบบนี้อีกนะ"

"ฮ่าๆๆๆ ไม่มีแล้วหละ แต่ยังไงก็ขอบใจต้อมมากนะ พ่อเห็นแล้วหละว่าเรารักขิงจริงๆ ยังไงก็ฝากดูแลด้วยนะ"

"แน่นอนอยู่แล้วครับ" ผมตอบเสียงชัดเจน



ไงละครับ เรื่องของผม พอจะสู้การลองใจของแม่ไอ้ชาเย็นได้ไหม

กว่าจะผ่านด่านบ้านน้ำขิงมาได้ ไม่ใช่แค่ต้องทนกับคำด่าเหมือนพี่ตองนะ ผมนี่ เครียดของจริง

แต่ก็เอาเถอะครับ ยังไงมันก็คุ้ม เพราะสุดท้ายแล้วมันก็เป็นบทพิสูจน์จริงๆ



ว่านี่คือคนที่ผมรักโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 24 [LOVE TUTOR ตอนที่ 1 : บทเรียนใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 27-11-2017 20:52:45
​ตอนที่ 4 : บทเรียนใหม่







"ไม่ใช่แล้ว ต้อมเขียนแบบนี้ได้ยังไง ก็บอกแล้วไงว่าทุกครั้งที่จะเขียนค่าอะไรลงไปต้องคำนึงถึงเครื่องหมายเท่ากับอยู่เสมอ กระบวนการทางคณิตศาสตร์มันต้องมีที่มาที่ไปซิ"

นั่นแหละครับแฟนผม นี่ขนาดกลับมาเยี่ยมที่บ้านช่วงสุดสัปดาห์นะ ยังไม่ลืมที่จะขนหนังสือมาติวให้ผมด้วยเลย

"ก็ต้อมง่วงนี่นา นี่มันก็ดึกแล้วด้วย อาบน้ำเสร็จสมองมันก็เลยเบลอๆ"

ผมก็แก้ตัวไป แต่ก็จริงนั่นแหละครับ กว่าจะเสร็จจากกินข้าวเย็นที่บ้านไอ้ชาเย็นก็มืดแล้ว กว่าจะมาถึงที่นี่แล้วก็อาบน้ำอีก หนังท้องกับหนังตาของผมมันก็มีจุดสิ้นสุดของมันเหมือนกันนะ

"ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องมา ไม่งั้นก็ได้ติวที่มหาลัยไปแล้ว"

"ต้อมก็อยากมาบ้านแฟนนิคร้าบบบ ไหนๆพี่ตองก็พาไอ้ชามาอยู่แล้ว ติดรถมาด้วยกันเลยจะเป็นไรไป"

"งั้นก็ห้ามบ่น พูดแล้วนะว่าจะติวเหมือนเดิม นี่บทเรียนใหม่ด้วย พหุนาม​"

อะไรนามๆนะ อะไรก็ไม่รู้ มีแต่ตัวแปรเต็มไปหมดเลย ไหนจะเลขยกกำลังอีก เห้อออออ

"แล้วสูตรกำลังสองสมบูรณ์หละ ต้อมจำได้หรือยัง"

อะไรสมบูรณ์อีกแล้ววะ

"นี่ต่างหากละครับ สองเราสมบูรณ์" ฮ่าๆๆๆๆ ก็มุกห้าบาทสิบบาทที่ผมเอาไว้แต๊ะอั๋งน้ำขิงนั่นแหละครับ

ตอนนี้ผมกระโดดมานั่งกอดเจ้าตัวเล็กที่โซฟาอีกตัวแล้ว

"ไม่ต้องมาทำเล่นมุกเลยนะ กลับไปติวเดี่๋ยวนี้"

น้ำขิงก็ยังเป็นคนที่ดุแล้วไม่ทำให้ผมกลัวเหมือนเดิมนั่นแหละ

"ก็นั่งตรงนี้ก็ได้นิคราบบบ" ผมอ้อน แต่จริงๆแล้ว ผมกำลังคิดแผนชั่วต่างหาก

"ต... ต้อม มาติวก่อนเร็ว"

น้ำขิงพยายามห้ามไม่ให้ผมเอาใบหน้าเข้าไปคลอเคลียร์และจูบที่เสื้อของเค้า

"ก็ติวอยู่นี่ไง" ผมไม่หยุดง่ายๆหรอก นี่มันบ้านเล็กกลางสวนนะ แถมอยู่กันสองต่อสอง ใครจะปล่อยโอกาสให้หลุดมือไป "บทเรียนใหม่ไม่ใช่เหรอ ติวซิครับ"

"ก็ ก... บอกให้มา จำ สูตรไง" ปากก็คล้ายว่าจะดุนะ แต่ผมอ่ะรู้ดีว่าตอนนี้ สวิชต์ของน้ำขิงถูกสลับแล้ว

คุณไม่รู้หรอกว่าภายใต้เด็กน่ารัก เรียบร้อย รักเรียนจนแทบจะเป็นเด็กเนิร์ท ซ่อนอะไรเอาไว้

เดี๋ยวจะแสดงให้ดูเองว่า.........  เด็กเก็บกด มันเป็นยังไง



---------บทอัศจรรย์----------



"ไหนที่รักลองท่องสูตรให้ต้อมฟังหน่อยซิครับ" เสียงกระเซ่าหวานพร้อมลมปราณแห่งห้วงรักถูกกระซิบใกล้ใบหูคนตัวเล็กจนกายของเค้าแทบจะสั่น "อยากให้ต้อมเก่งไม่ใช่เหรอ ท่องซิครับ"

วันนี้แหละผมจะสอนบ**ทเรียนใหม่ให้กับน้ำขิงเอง

"ต... ต้อม" ช่างตอบสนองรวดเร็วเหลือเกิน

"ท่องนะครับ ท่องนะ ต้อมอยากเก่งขึ้น"

ผมยังพยายามออดอ้อน

"ส... สูตร กำลังสองสมบ.. บูรณ์ ก็ค... คือ..."

ภาพและเสียงของคนที่พยายามแสดงออกทั้งในด้านคนรักเรียนและคนระเริงรัก มันช่างน่าเย้ายวนเสียนี่กะไร

"คืออะไรนะ"

"น..น หน้ากำล..ลังสอง บว... บวก... อูวววว อ่าซ์"

เจ้าตัวเล็กเริ่มเสียอาการ เค้าจะรู้ไหมนะว่ากำลังส่งเสียงครางให้คนฟังลุ่มหลงได้มากขนาดไหน นั่นอาจจะเป็นเพราะว่ามือขวาที่โอบกอดเค้าไว้ เริ่มซุกไซ้ขยี้สัมผัสที่จุดกึ่งกลางความรู้สึกของเค้าก็เป็นได้

"บวก?" แน่จริงก็พูดสูตรให้จบซิครับที่รัก ผมอยากรู้จริงๆว่าอะไรจะแกร่งกว่ากันระหว่างเด็กเนิร์ทกับเด็กเก็บกด

"บ... บวก ส... สองหน้า หลัง อือออ อื.. อืออ บวกหล...หลัง กำลัง กำลัง กำลัง"

มีเหรอที่ผมจะผ่อนปรนการรุกเร้าให้น้อยลง

เมื่อมืออีกข้างแทรกผ่านเสื้อนอนตัวบางเข้าไปลูบไล้ผิวกายละเอียดเนียนข้างในได้ มันก็เร่งหาศูนย์ปะทุไฟสวาททันที มืออีกข้างก็ทำสำเร็จตามที่มันต้องการ เมื่อกางเกงนอนตัวบางไม่อาจกั้นขว้างสัมผัสลูบไล้ของเนื้อหนังอันแท้จริงได้อีกต่อไป

"อูวววว ซื๊ดดดดดด อ่าาาาา" เสียงครางมหาเสน่ห์ของคนในการเร้าโลมเริ่มหนักขึ้น

ขาสองข้างของน้ำขิงอ้ากว้างออกไปเองตามแรงปรารถนาของเค้าจนเป็นแนวเดียวกับโซฟา แล้วแบบนี้ผมเองจะทนต่อไปได้อย่างไร

"อื้อออออ อื้อ  อื้มมมมมม"

ผมกดริมฝีปากตนบดขยี้ลงอีกริมฝีปากเล็กๆที่เผยอรออยู่

"ซี๊ดดดดด"

คราวนี้กลายเป็นผมบางที่ถูกจู่โจม มือเล็กๆทั้งสองข้างของเจ้าตัวน้อยควานหาดุ้นแข็งขืนตื่นพร้อมของผมสำเร็จ เค้ากำมันแน่นด้วยสองมืออย่างกับว่าอยากจะครอบครองและกลืนกินมันให้ได้เดี๋ยวนี้

แม้ไฟตัณหาจะกระหน่ำท้วมบ้านหลังน้อยเพียงใด ผมก็ยังรู้สึกถึงความหวานและรสชาติอันน่าหลงไหลของริมฝีปากบางไม่คลาย หรือแม้แต่ในแซกคอเล็กๆ ให้ช่องที่เอาไว้รับเสียง ผมก็รู้สึกว่ามันหอมหวานไปเสียหมด

​แคว๊กกกกกกกก

​ผมเดาได้ว่านั่นคงเป็นเสียงยางยืดกางเกงนอนของผม ที่มันถูกดึงรั้งออกจนเกินจะคงสภาพไหว เพราะมืออันชุ่มรักของคนอีกคนก็ไม่อาจห้ามให้อยากสัมผัสความภาคภูมิใจของผมได้

​แคว๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกก

​และเพื่อแสดงให้ได้เห็นว่าผมเองก็ถึงจุดเดือดแห่งอารมณ์ไม่ต่างกัน จึงได้เกี่ยวดึงกางเกงนอนตัวบางของอีกคนจนวิ่นขาด ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันฉีกกว้างไปแค่ไหน ขอให้เพียงมันเปิดช่องสานสัมพันธ์รักของเราสองได้ก็ถือว่าเต็มความประสงค์แล้ว

"อุ... อูยยยย"

ที่รักของผมยังส่งเสียงมาไม่หยุดทั้งที่ตัวเค้าเองก็กำลังพยายามฝากรอยรักด้วยริมฝีปากเล็กๆไปทั่วใบหน้าของผม

"ร... รักต้อมไหมครับน้ำขิง"

"ร...รัก อ่าซซซ์ รักต้อม รัก"

ผมชอบที่สุดที่ได้ยินเค้าเปิดเผยความรู้สึกแบบนี้ มันไม่ใช่แค่ทำให้ชุ่มช่ำหัวใจแต่มันช่วยให้ผมอยากกระหน่ำรักใส่เค้ามากขึ้น

ทั้งเสียงครางเบา ครางหนัก เสมือนฟืนก่อไฟที่กำลังลุกท่วมให้ค้นหาความหมายแห่งลีลารักนี้ขึ้นไปอีก

ขาของน้ำขิงเกร็งแน่นและแยกออกอย่างไร้ความเหนียงอาย อันเผยถึงความต้องการอันสุดจะเก็บไว้

และเพื่อการนั้น เพื่อสนองบทรักที่ผมอยากให้น่าประทับใจยิ่งกว่าทุกครั้ง ผมได้ชอนขาสองข้างของน้ำขิงขึ้น และหงายให้ช่องสัมพันธ์รักของคนตัวเล็กมาจ่อที่ใบหน้าของผม

เค้าเองก็คงตกใจไม่น้อยที่จู่ๆ ก็ถูกทำให้ใบหน้าคว่ำลงไปแนบเข้ากับแท่งรักของผม

​ปึ๊บ ปึ๊บ ปึ๊บ

​แต่ไม่นานคนตัวเล็กก็ได้ทำอย่างที่ต้องการเสียที เค้าดึงเสื้อนอนตัวบางของผมออกจากการขัดขว้างท่อนชี้ตรงที่เค้าพยายามลองลิ้มชิมรส จนกระดุกหลุดออกหมด

"อ๊าซ์ซซซซซซ์ ที่รักครับ" ผมไม่อาจกดความเสียวซ่านนี้ไว้ได้เลย ริมฝีปากและลิ้นบางเล็กเที่ยวสาละวนกับดุ้นความรู้สึกของผมเฉกคนที่หิวกระหาย

แล้วผมหละจะนิ่งเฉยได้อย่างไร เมื่อช่องแคบขาวเนียนใสมาปรากฎต่อหน้าก็ยากที่จะให้หยุดดอมดมมัน ลิ้นอันซุกซนและเร้าร้อนของผมตวับเหวี่ยงอย่างแข็งขันและเสน่หา ไม่ให้มีสัมผัสใดในโลกที่จะทำให้ยอดรักของผมซาบซ่านไปมากกว่านี้อีกแล้ว

"อาาาา อ๊าาาาา ด..ดีจัง รู้สึกดีจัง" คำสารภาพของเด็กเนิร์ทที่หลงลืมความเป็นตัวเองเผยออกมา แม้ว่าจะมีดุ้นใหญ่คับอยู่ในปาก

"ชอบไหมครับท่ี่รัก ชอบโดนลงลิ้นไหม หรืออยากให้หยุด" คำพูดของผมเริ่มจาบจั้วมากขึ้น แต่คนฟังเองก็คงไม่มีสติมากพอในการกลั่นกรองแล้วตอนนี้

"ช..ช... ชอบซิ ชอบลิ้น ชอบลิ้นอีก อย... อย่าหยุดนะ เอาลิ้นอีก" คำกระตุ้นสวาทแสนชี้ชวนนี้ยิ่งทำให้ผมซุกไซ้ไล่เรียงอย่างบ้าคลั่งและหนักขึ้น

"อ๊าาาาาซ อ... อ.... อ๊าาาา... อ อุก อุก อุก"

เสียงครางเสียวซ่านของร่างที่ถูกจัดท่าทางให้คว่ำมุมมองลงเบื้องล่าง ยังพ่นเสียงออกมาไม่ขาดสาย แต่คนตัวเล็กก็ไม่ลืมความต้องการกลืนกินท่อนรักดุ้นสวาทของผม แต่กลับยิ่งจู่โจมมันหนักขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณให้ผมสัมผัสถึงแรงกามรมณ์

นิ้วมือเล็กๆสองข้างจิกหน้าขาของผมหนักขึ้นเมื่อผมไม่หยุดเร้าเลียช่องสัมผัสเสียวซ่านของเค้าลงเลย

"อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาซ์"

ไม่ไหวแล้วววววว

ผมเองก็ทนริมฝีปากลุ่มร้อนของยอดรักไม่ไหวแล้วเช่นกัน

ผมหยัดตัวยืนขึ้นพร้อมประคองร่างบางให้ราบไปกับโซฟา เค้ายังดูไม่อิ่มหนำกับรสชาติของผมเลย เอาแต่พยายามกลับหัวเข้ามาเพื่อจะคว้าเอ็นร้อนกลับไปอีกครั้ง แต่ตอนนี้แท่งรักของผมอยากได้ความเสียวซ่านซะใจที่มากขึ้นกว่านั้น

แม้ส่วนล่างของคนตัวเล็กจะยังอยู่สูงกว่าธรรมชาติมนุษย์ แต่น้องชายผู้หิวโชของผมก็ไม่อาจทนอีกแล้ว ผมทิ่มแทงดุ้นร้อนเปียกชุ่มไปด้วยน้ำลื่นใส เข้าใส่ประตูสวรรค์ของคนเบื้องล่างอย่างไม่ปราณี

"โอ๊วววยยยวววยยยยววววอูววววว"

ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่านั่นคือเสียงของความเจ็บหรือพลังสัมผัสอันเกินกลั้น รู้แต่ว่ามันยิ่งกระชากให้ความเกรียวกราดของผมทวีขึ้นไปอีก ผมไม่รู้สึกเลยว่านี่เป็นท่าทีที่ผิดแปลกไปจากการ่วมรักปกติ รู้แค่ว่ามันทำให้ผมอยากขยับมากขึ้น ตอกย้ำเสาเข็มของความภาคภูมิใจนี้ลงไปอีกเน้นๆ

"อ่าาาาา อ่าาาา อ อ่า"

น้ำเสียงของคนเบื้องล่างเริ่มชัดเจนในอารมณ์ยิ่งขึ้น

"อ.. อ... อ่าซ ซื...ซือ  ซืดดด ส... สะ... เสียว เสียวไปหมด ล... ล เลย โอ๊ยยย เสียวจัง อ๊าาาา ซ์"

"เสียวซิครับ เสียวมากไหมครับท.. ที่รัก"

ระดับทางภาษาของเราเริ่มหลุดออกไปไกลพ้นทะเล นี่แหละที่ทำให้ผมพิศวาสรักในตัวเค้าแบบไม่เคยพอ

"อ๊า ซ ซ.... เสียวจัง ส.. เสียวอีก เสียวอ... อีก"

ทนฟังไม่ไหวแล้วโว๊ยยยยย

ผมโน้มตัวลงไปอุ้มร่างเล็กของคนเบื้องล่างให้ขึ้นมาทั้งๆที่กายเราทั้งคู่ยังเป็นของกันและกัน เพื่อให้ผมได้กดริมฝีปากลงไปบดขยี้เสียงครางชวนสวาทนั้นไว้

"อือ... ซ... อือออออ"

จึงกลายเป็นว่าท่วงท่ารักของเรายิ่งล้ำลึกมากขึ้นเพราะขาทั้งสองที่ถูกผมประคองรั้งไว้ แต่ในขณะเดียวกันตัวผมเองก็ยืนตรงกับพื้น คงไม่มีสัมผัสคร่าใดที่แนบชิดไปกว่านี้อีกแล้ว

เพราะอย่างนั้นผมก็ยิ่งเคลื่อนไหวกระหน่ำกามให้ท่วงสำนองรักยิ่งกระแทกหัวใจมากขึ้น

"อ๊าาาาาา อ..อ..อ..อ..อ.."

ข้ำขิงไม่อาจทนความรู้สึกที่พุ่งแรงนี้ไว้ได้ เค้าถอนริมฝีปากออก เพื่อระบายความเสียวซ่านนี้ออกมาเป็นเสียงร้อง

"ช... ชอบ ชอบจัง เสียวที่สุดเลย ไม่เคยเสียวแบบนี้มาก่อน" น้ำขิงยังพ่นคำฉ่ำกามออกมาอีกครั้ง เค้าช่างอ่อนไหวและเก็บความรู้สึกไว้ไม่เป็น แต่นั้นก็ยิ่งทำให้ผมหลงในกองอารมณ์มากเข้าไปอีก ตอนนี้มันแทบจะกักเก็บไม่ไหวแล้วด้วยซ้ำ

"ชอบเหรอ ช... ชอบให้ต้อมทำเหรอ"

""อูวววว วว ว ชอบครับ ชอบให้ต.. ต้อมทำ ชอบส.. เสียวที่ต้อมทำ"

"แล้ว.. ล... แล้วต้อมเป็นใครครับ"

"ป... เป็น... ต้อม ต้อมเป็นแฟ...แฟนไง"

"แบบนี้เรียกเป็นแฟนเหรอ" ผมยังปรารถนาในคำสวาทที่มากขึ้นอีก "ถ้าเป็นแฟนต้อมหยุดทำนะ"

"ไม่! ม.. ไม่หยุด อย่าหยุดนะ" ถึงจะขู่แบบนั้นแต่ผมก็ไม่อาจจะหยุดจังหวะรักนี้ลงได้หรอกครับ จนผมเองเริ่มไม่ไหวจริงๆแล้ว ผมพาเราทั้งสองไปพิงที่ผนัง เพราะหากถึงปลายทางแล้ว ผมอาจจะประคองคนตัวเล็กนี่ไว้ไม่ไหวก็ได้ ต้องให้ผนังเป็นตัวช่วย

"เรียกใหม่ซิ เรียกต้อมว่าผัวซิครับ"

"ผ... ผัว ครับ ต้อมเป็นผัว"

สุดอารมณ์จะหยั่งถึง ช่างว่าง่ายและแสนลุ่มหลงจริงๆ

"ขอร้องผัวคนนี้ซิครับ"

"ผัวค..ครับ ผัวครับ อ๊าาาา ซ์ ท.. อ่า... ทำขิงอีก อย่าหยุดนะ ทำอีก ท... ทำอีก โอววว ดี ดี ด... ดี ทำมาอีก... ร.. แรง แรงๆ อีกได้ไหม อ๊าาาาาาาาาาาาาาาซซซซซ์"

คราวนี้แหละได้รับแรงกระหน่ำถึงใจแน่ ผมขยับบั้นเอวอันภาคภูมิของผมเพื่อกระเซ่าดุ้นสวาทรักของผมให้จมดิ่งในพิมานฝัน

"ชอบบบ ไหม ชอบผัวทำไหม"

"อ.อ.อ.อ... ชอบ ผัว อ่า ผ.. ผัวทำเสียวมาก เสียว โอ๊ย เสียวมาก ไม่ไหวแล้ว เสียวจนจะไม่ไหวแล้วววววว"

งั้นก็รับคลื่นกระแทกสุดท้ายนี้ไปซะ

ตอนนี้ก๊อกน้ำของผมก็จะแตกออกมาอยู่แล้ว.....

"อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ์"

เสียงครางไม่เป็นภาษาของคนตัวเล็กครางลั่นในหูของผม

ออกแล้ว

ออกมาแล้ววววว

ก๊อกน้ำแตกแล้ววววววววววว

ของเหลวฉ่ำรักของผมพุ่งปะทุในรังสวรรค์อย่างมิอาจกดกั้น เฉกเช่นเดียวกับผู้ถูกกระทำที่ปล่อยสายน้ำออกมาเองเพราะความเสียวซ่านถึงขีดสุดแม้ไม่มีสิ่งใดไปปลุกกระตุ้นก็ตาม

นี่ซินะความเก็บกดของน้ำขิง เด็กเรียนยอดรักของผม

มันปลอดโปล่งโล่งสบายเหลือเกิน แถมยังสนองการเสพสมจนถึงขีดสุดอีกด้วย



ก่อนจะหมดแรงลงไปผมรีบประคองร่างเบาบางของเค้าให้ลงไปนอนที่เตียงซึ่งอยู่ใกล้ๆ

น้ำขิงหลับตานิ่งอย่างหมดแรงอยู่บนท่อนแขนของผม เหงื่อยังชุ่มไปทั้งตัวแต่เนื้อตัวก็ยังหอมหวนชวนฝัน ผมอยากจะทำอีกสักรอบจัง แต่ถนอมไว้หน่อยดีกว่า เดี๋ยวแฟนผมจะช้ำในซะก่อน

ขอขโมยหอมนิดนึงก็แล้วกันนะก่อนนอน



---------------------------



"ว่าไงนะพี่ แม่จิตรเนี่ยนะลองใจพี่ด้วยการขอให้เลิกกับไอ้ชา"

ผมทึ่งกับสิ่งที่เพิ่งจะได้ยินจากพี่ตองในสวนหลังบ้านไอ้ชาเย็น

"เออดิ กูจะโกหกทำไม"

"จริงดิ... นึกภาพไม่ออกเลยแฮะ แม่จิตรใจดีออกขนาดนั้น แต่คนตระกูลนี้ก็แปลกเนาะ ชอบหาเรื่องลองใจคนจะมาเป็นเขย พี่รู้ไหม พ่อน้ำขิงนะ ลงทุนโกหกผมว่าน้ำขิงเป็นไวรัสตับเลยนะ"

"เฮ้ย หนักกว่ากูอีก"

"ใช่ดิพี่ กว่าจะรู้ความจริงต้องไปถึงมือหมอโน่น"



"พี่ตอง กลับได้แล้ว" ไอ้ชาเย็นมาเรียกให้ทุกคนเดินทางกลับมหาลัย

"ครับ... ปะต้อม"

แล้วเราก็ชวนกันเดินทางกลับมหาวิทยาลัยแห่งการซ้อมลีดเช่นเดิม

เห้ออออออออออออ

แต่ก็ดีใจนะที่เรื่องของผมกับน้ำขิงลงตัวได้ด้วยดี

เรื่องของผมต่อจากนี้ก็คงไม่ได้มีอะไรหวือหวานัก แต่คงไม่ใช่กับไอ้ชาเย็น เพราะเดี๋ยวอีกไม่นาน มันต้องได้ทำหน้าที่เป็น......



กามเทพสื่อรัก
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 25 [วันที่ผิดพลาดและวันที่แก้ไข]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 28-11-2017 21:21:01
ตอนที่ 25 : วันที่ผิดพลาดและวันที่แก้ไข





เห้ออออออออ

วันนี้เหนื่อยจังเลย แทนที่จะได้มาดูลาดเลาน้องๆปีหนึ่งที่เข้ามาใหม่ เผื่อจะได้ปั๊มตราลีดให้ใครบ้าง กลับต้องไปนั่งคุยกับเอเจนซี่ที่เดินทางมาหาจากเกาหลี กว่าจะคุยกันรู้เรื่องว่าต้องการอะไร

ดูดิ ตอนนี้ก็บ่ายซะแล้ว น้องๆพากันแยกไปตามคณะแล้ว ก็เลยไม่ได้ประทับตราอะไรให้ใครสักคนเลย

เอาเหอะ สงสัยเราจะไม่ได้เกิดมาเพื่อมอบโอกาสให้ใครมั้ง ยืนมอบดอกไม้ให้น้องตรงทางออกนี่ก็แล้วกัน



​นั่นใครนั่งอยู่ตรงนั้น

ผมมองเห็นเด็กหนุ่มคนนึงนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ที่เก้าอี้แถวๆหน้าเวที ไม่ยอมลุกไปไหน จนคนจะออกไปหมดโดมรวมใจอยู่แล้ว น้องเค้าไม่สบายหรือเปล่า?



"น้องครับ" ผมตัดสินใจเดินเข้าไป พยายามเรียกแล้วแต่น้องกลับเอาแต่กำมือแน่นแล้วก็ก้มมองพื้น "น้องเป็นอะไรไหมครับ" ผมเอามือไปเขย่าตัวน้อง

หึ่ย

ตัวสั่นแบบนี้ น้องกำลังร้องไห้อยู่แหงเลย

ผมรีบคุกเข่าลงต่อหน้าน้องเพื่อดูสิ่งที่ตัวเองสงสัยให้ถนัดตา

นั่นไง ร้องไห้จริงด้วย ร้องจนฝ้าขึ้นเต็มแว่นไปหมด

"น้องเป็นอะไรครับ น้อง... บุ๋น" ป้ายสีชมพู แปลว่าอยู่คณะวิทยาศาสตร์อะดิ แล้วแถวนี้คนมันหายไปไหนหมด มีใครพอจะมาช่วยผมได้บ้างเนีย "ไอ้น้อง เป็นผู้ชายอย่ามาร้องไห้แบบนี้ดิ"

"พี่จะไปรู้อะไร!" น้องตะหวาดผมกลับ แต่ก็ยังก้มหน้านิ่งตัวสั่นหนักกว่าเดิมอีก "พ... พี่ไม่ได้เป็นลีดมหาลัยซะหน่อย"

หึ เดี๋ยวๆๆๆ เงยหน้ามองพี่หน่อยไหมไอ้น้อง "พี่ชื่อพี่ท๊อปครับ หัตถ์ดนัย ควรคะนึง รู้จักพี่ไหมพี่เป็นลีดมอ"

ทีอย่างงี้ละรีบหันขึ้นมาดูเชียวนะ

"พี่ท๊อป พี่ท๊อปจริงๆด้วย" น้องมองเห็นพี่จริงเหรอ แว่นยังเป็นฝ้าอยู่เลย "พี่ท๊อปครับ ปั๊มตราลีดมหาลัยให้ผมที นะครับ ผมขอร้องหละ นะพี่ ผมจะตอบแทนพี่ทุกอย่างเลย"

เห้ย อะไรกัน มาเป็นชุดเลย

"เดี๋ยวๆ ใจเย็นๆ นี่มันหมดเวลาปั๊มแล้วนะน้อง จนเค้าจะกลับคณะกันหมดอยู่แล้ว" ผมลุกไปนั่งที่เกาอี้ข้างๆเค้า

"ยังไม่หมดหรอกพี่ นะครับ ผมจะไปลืมบุญคุณเลย"

"คือ... จะให้พี่ประทับตราให้คนที่มาขอร้องได้ยังไง เราไม่มีกติกาแบบนั้นนะครับ รุ่นพี่ต้องเป็นคนเลือกเอง" แล้วน้องก็ไม่ได้อยู่ในเกณฑ์นั้นเลย ผมยาวรุงรัง แถมยังใส่แว่นหน้าเตอะอีกต่างหาก ขืนปั๊มให้ไปโดนพวกลีดมหาลัยด่าแน่ๆ

"ผม... ผม" น้องคงไม่รู้จะเถียงอะไร แล้วก็กลับไปนั่งเศร้าอีกครั้ง

ซะงั้น ทำไมอยากเป็นลีดจัง ท่าทางไม่น่าจะใช่คนชอบอะไรแบบนี้นี่นา

"ล.. แล้ว ทำไม ถึงอยากได้ตราประทับนักละครับ พอจะบอกเหตุผลพี่ได้ไหม"

"ผมจำเป็นต้องเป็นลีดมหาลัยให้ได้" น้องพูดเสียงอ่อยๆ เหมือนเล่าเรื่องออกมาแบบลอยๆด้วยซ้ำ ใบหน้าไม่มีชีวิตชีวาเลย "ผมไม่มีทางเลือก ผมทะเลาะกับพ่อ"

"มันไม่เห็นเกี่ยวกันตรงไหนเลย"

"พ่อมีธุรกิจนำเข้าเครื่องสำอางที่กำลังเติบโต พ่ออยากให้ผมเป็นลีดมหาลัยนี้ให้ได้ จะได้ใช้เป็นหน้าเป็นตาให้บริษัท ก็.. เลยบังคับให้ผมมาเรียนที่นี่ บังคับให้สอบเข้าคณะใหญ่ของที่นี่ บังคับให้ผมซ้อมเต้นตั้งแต่อยู่มอหก แต่ผมไม่ได้อยากเป็นลีดซะหน่อย ผมกับพ่อก็เลยทะเลาะกันมาเกือบทั้งปี ถ้าพ่อรู้ว่าผมไม่ได้รับคัดเลือกก็คง... ผมแค่... อยากทำให้พ่อภูมิใจแค่นั้นเอง"

เหตุผลมันฟังดูยิ่งใหญ่จังแฮะ แล้วก็คำพูดสุดท้ายนี้อีก ผมแพ้ทางเด็กกตัญญูซะด้วยซิ

"แล้ว... สรุปว่าบุ๋นอยากเป็นลีดหรือไม่อยากเป็นกันแน่ครับ"

"ถ้ามันทำเพื่อที่บ้านได้ ผมก็อยากจะทำ แต่ผมไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะเรียกร้องได้ เพราะผมไม่หล่อ ไม่เท่ เหมือนคนอื่น ยิ่งเห็นหน้าพี่ ผมยิ่งเข้าใจว่าตัวเองหมดสิทธิ์ตั้งแต่คิดแล้ว"

คิดไรอย่างนั้น ต้องปลอบใจซินะ "ไม่จริงหรอก พี่เองก็ไม่ได้เกิดมาหน้าตาดี นี่ความลับนะ พี่โดนสาวทิ้ง ก็เลยหันมาดูแลตัวเองมากขึ้น ไหนหันหน้ามานี่ดิ"

ผมจับหน้าของน้องให้หันมาหาผม กระชับใบหน้าน้องมันไว้ให้แน่น เพื่อเรียกความมั่นใจกลับมาพร้อมกับปาดน้ำตาออก

"อย่าเอาผมมาปิดหน้าปิดตาแบบนี้ดิ" ผมพูดไปด้วยมือก็ทำไปด้วย "แว่นตาเนียก็เลือกให้มันเค้ากับหน้าหน่อย เดี๋ยวนี้เค้ามีเลนซ์แบบบางแล้วนะ หรือไม่ก็ใช้คอนแทคเลนซ์ก็ได้... ลองเอาออกมาดูดิ"

หึ!!!

ใช่ได้นี่หว่า

ท่าทางพ่อของไอ้น้องนี่จะคิดไม่ผิด ภายใต้ผมรกรุงรังกับแว่นหนาๆนี่ ถ้าดูแลตัวเองหน่อยก็หล่อเลย เป็นสไตล์ลูกครึ่งระหว่างความหล่อแล้วก็ความน่ารักซะด้วย

"ผ... ผมมองไม่เห็น พี่" น้องบุ๋นพยายามคว้าแว่นตาคืน แต่ผมห้ามน้องไว้ก่อน แล้วหยิบบางอย่างออกมาจากในกระเป๋า

"เอางี้ ถ้าน้องสัญญาว่าจะเลิกร้องไห้แล้วก็หันมาสนใจใส่ใจดูแลตัวเอง พี่จะให้ในสิ่งที่น้องต้องการ"

"ค.. ห๊ะ อะไรนะพี่ พี่จะให้ตราประทับผมเหรอ"

"เออ แต่เอ็งต้องสัญญาก่อน ตามที่พี่บอก"

"ได้ๆ ได้เลยพี่ ผมจะเลี้ยงซูชิพี่เป็นการตอบแทนด้วยเลย"

ไอ้น้องมันรู้ได้ไงวะว่าเราชอบกินซูชิ เรื่องที่บอกว่าเรียนรู้ก่อนจะมาเรียนที่นี่คงไม่ได้โกหกซินะ

"เออ แบบนี้แหละ พูดจาฉะฉาน มั่นใจในตัวเองเข้าไว้ เอ็งอะมีดีกว่าที่เอ็งรู้เยอะ เชื่อพี่เหอะ"

"ครับพี่ ผมขอแว่นตาคืนได้ไหม"

ผมก็คืนให้ แต่ก่อนที่แว่นจะกลับถึงดวงตาของน้องมัน



​แกร๊ก



​ตราประทับของผมก็ถูกปั๊มลงบนป้ายชื่อแล้วเรียบร้อย







"ท๊อป ท๊อป ท๊อป!"

หึ อะไร ใครเรียกเรา

อ้าว นี่ผมหลับอยู่เหรอ มาเผลอหลับในห้อง ก.น.ช. ตั้งแต่เมื่อไหร่

นึกว่ายังซ้อมเต้นอยู่ที่เกาหลีซะอีก เหนื่อยชะมัดยาดเลย เดินทางไปกลับแบบนี้ทุกอาทิตย์ แถมซ้อมหนักตลอด ความเพลียเรื่องสะสมแฮะ

แล้วเมื่อกี้นี้มัน ฝันเหรอวะ แต่... มันไม่ใช่ฝันซะหน่อย เรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ยังอยู่ในความทรงจำเราอีกเหรอ สงสัยช่วงนี้ทะเลาะกับไอ้น้องบุ๋นบ่อย ก็เลยเก็บกลับมาฝันเลย

คงจะเพราะความรู้สึกผิด นึกว่าจะลืมมันไปแล้วซะอีก

"ไหวไหมท๊อป" เพื่อนผู้หญิงคนที่ปลุกผมถาม "พักงานก่อนไหม วันนี้ไม่ต้องทำงานของ ก.น.ช.ก็ได้ เราเข้าใจว่าท๊อปต้องเดินทางไปมาเกาหลี คงจะเหนื่อย กลับไปพักผ่อนเถอะ"

"ไหวๆ" ไหวดิ จะไม่ให้ไหวได้ไง ตั้งแต่โดนไอ้บุ๋นด่าว่าผมไม่เคยใส่ใจทำงานช่วยมหาลัย ก็รู้เลยว่าน้องมันยังจำเรื่องที่เราไปผิดสัญญากับน้องเมื่อปีที่แล้วได้ เพราะงี้ไง ผมถึงอยากจะกลับมาแก้ตัว "เดี๋ยวเราไปเอง ขอปรับตัวแป๊บนึงนะ,,, ขอบใจที่ปลุกนะ"

"แน่นะ... เอางี้แล้วกันเดี๋ยววันนี้ให้กั้งไปเป็นเพื่อน จะได้ช่วยกันทำงาน เนีย รู้ว่าตัวเองทำงานหนักแล้วทำไมถึงยังจะรับสังเกตุการณ์ที่คณะวิทย์อีก คณะเล็กๆมีให้เลือกตั้งเยอะแยะ เราเปลี่ยนให้ได้นะ เอาไหม"

"ไม่เป็นไรๆ ขอบใจมาก เราไหวจริงๆ"

"โอเค ไหวก็ไหว.... กั้งๆ มานี่หน่อยซิ" เธอเรียก กั้งเพื่อนคณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ ปีที่แล้วมันเป็นพี่วินัยให้คณะ ปีนี้ก็เลยต้องมาทำหน้าที่กรรมการ ก.น.ช.ด้วยกันกับผม แต่จำได้ว่าน้องๆในคณะมันจะชอบโดนพี่วินัยคนนี้ว๊ากเป็นพิเศษ ก็มันพวงตำแหน่งรองเดือนมหาลัยไว้ด้วยนี่นา ไม่แปลกที่สาวๆจะกรี๊ด "กั้ง วันนี้ช่วยไปคณะวิทย์กับท๊อปหน่อยนะ ท๊อปอยู่สังเกตุการณ์คนเดียวมาหลายวันแล้ว พอจะช่วยได้ไหม"

"ได้ เราไม่มีปัญหาอยู่แล้ว" ไอ้กั้งตอบ "เห้ยไงไอ้ท๊อป ไหวเปล่าวะ"

"เออ ไหวๆ" ผมตอบ

"งั้นสองคนนี้ก็รับงานที่คณะวิทย์ยาวไปเลยก็แล้วกันนะ" เธอว่าต่อ "เดี๋ยวเราจะไปคณะเกษตรแล้ว พร้อมแล้วก็ไปกันเลยนะ... เอาหละเพื่อนๆทุกคนค่ะ แยกย้ายกันไปทำงานได้แล้วหนะ ห้องเชียร์จะเริ่มแล้ว"

"พร้อมยังวะ" ไอ้กั้งถามผม

"โอเค พร้อมแล้ว ไปกันเถอะ" ไปทำหน้าที่ของตัวเอง ไปแก้ไขสิ่งที่เคยผิดพลาดไปในอดีต เผื่อว่ามันจะยังไม่สายเกินไป









ในมุมของน้ำชา



ซวยแล้วไงกู สายจนได้ จะเข้าห้องซ้อมทันไหมเนี่ย

เพราะเมื่อกี๊อาจารย์หัวหน้าภาควิชาวานให้ไปช่วยตรวจข้อสอบเด็กที่จะมาเข้าค่ายโอลิมปิกคณิตศาสตร์ที่มหาลัยช่วงเดือนหน้า อุตส่าเร่งตรวจแล้วเชียว แต่สุดท้ายก็จะไปไม่ทันเวลาอยู่ดี

ข้าวก็ยังไม่ได้กิน ก็เลยต้องรีบไปซื้อขนมปังใส้สังขยากับชาเขียวมากินระหว่างที่วิ่งไปห้องซ้อมแทน

​ซวยแน่เลยกู พี่บุ๋นยิ่งโหดๆอยู่ด้วยช่วงนี้ โดยด่ายับแหงเลย



"อุ!!!!"

เชี่ยยยยยยยย

อะไรกันอีกเนี่ย ซวยซ้ำซวยซ้อนซวยซ่อนเงื่อน

จู่ๆก็มีพี่คนนึงเปิดประตูออกมาจากห้องซ้อมในขณะที่ผมกำลังวิ่งหน้าตั้งเข้าไป แต่ที่เป็นปัญหาก็คือ ครีมสังขยาเลอะเต็มเสื้อพี่เค้าเลย ไหนจะน้ำชาเขียวอีก

กูเอ๊ยยยยยยยยยยย

"พี่ พี่ ขอโทษครับ ขอโทษครับพี่ ผ... ผมขอโทษจริงๆนะ เลอะหมดเลย ผมเช็คให้ครับ" ผมรีบแสดงความรับผิดชอบทันที รีบใช้แขนเสื้อนิสิตของตัวเองเสร็จคราบที่เลอะเป็นการใหญ่

"เห้ยไอ้น้อง ไม่ต้องๆ เอ็งจะเอาเสื้อนิสิตมาเช็คได้ไง" พี่เขารีบคว้ามือผมไว้ แล้วพยายามอยู่ห่างจากความหวังดีของผมให้มากที่สุด

"ไม่เป็นไรครับพี่ ผมต้องเช็คให้นะ"

"พอๆๆ ไม่ต้องๆ เช็คแล้วอย่างกับมันจะสะอาด แล้วนี่ก็แค่เสื้อคลุม พี่ถอดออกไปซักก็สิ้นเรื่องแล้ว"

เสื้อคลุม? หึ คุ้นๆแฮะ อ้าวนี่มันชื่อคลุมของพวกพี่ ก.น.ช.นี่นา

งานเข้ารอบสองแล้วกู ดันซุ่มซ่ามกับคณะกรรมการของมหาลัย

"พ... พี่ เป็น ก.น.ช.เหรอครับ เห้ยๆๆ พี่ผมไม่ได้ตั้งใจนะ อย่าหักคะแนนผมนะพี่ มาๆ ถอดเสื้อออกมาเลยครับเดี๋ยวผมเอาไปซักให้"

"ไอ้น้อง! ใจเย็น พี่เป็น ก.น.ช.มีหน้าที่ในการดูแลไม่ให้เอ็งโดนรับน้องหนักเกินไป ไม่ใช่จะมาซ้ำเติมเด็กปีหนึ่งซุ่มซ่าม... เอ๊ะ นี่ น้องน้ำชา ใช่ป่ะ"

"ค... ครับ" รู้จักเราด้วยเหรอวะ ไม่เห็นคุ้นหน้าเลย คนหน้าตาดีขนาดนี้เราจะไปลืมได้ไง แต่อันนี้ไม่รู้จักแน่ๆอ่ะ

"อ๋อ ตัวจริงก็... น่ารักดีนี่หว่า เห็นว่าเต้นเพลงมิ่งขวัญได้นิ ใช่ไหม"

อ่อ รู้จักเราจากเรื่องนี้นี่เอง ลืมไปเลยว่ามหาลัยนี้ถ่ายทำกิจกรรมห้องเชียร์ตลอดเวลา



"มีไรเกิดขึ้นอ่ะ...  เห้ย ไอ้กั้ง ทำไมเสื้อเป็นสีเขียวอย่างงั้นวะ" พี่ท๊อปก็ออกมาจากในห้องซ้อม อ๋อ นี่รู้จักกันเหรอ "อ้าวชา มาช้านะเนี่ย ข้างในเค้าซ้อมกันแล้ว เข้าไปได้แล้ว"

"แต่ผมทำเสื้อพี่เค้าเลอะ..."

"เออ เอ็งไปเหอะ แค่เสื้อเปื้อน รีบไปซ้อมไป" พี่คนที่ชื่อกั้งไล่ให้ผมเข้าห้อง



"มาทำอะไรกันหน้าประตูห้องซ้อมครับ คุณ ก.น.ช."

ชิบหาย พี่บุ๋นออกมาเห็นเหตุการณ์อีกคนแล้ว

"ก็น้องคณะของน้องแว่นทำเสื้อคลุม ก.น.ช.ของเพื่อนพี่เลอะไงครับ" พี่ท๊อปปปปป เห็นใจน้องบ้างก็ได้ แค่นี้ก็รู้สึกผิดมากพออยู่แล้ว

"​แว่นไหนวะ​" พี่กั้งถาม

"อ๋อ พี่กั้ง ขอโทษแทนน้องผมด้วยนะครับ"

"ไม่เป็นไร ๆ แค่นี้เอง"

"แต่เปื้อนบ้างก็ดีนะพี่ อย่าให้เสื้อพี่สะอาดเหมือนคนที่เค้าไม่รู้จักทำงานทำการเลย..." นี่กำลังแขวะพี่ท๊อปอยู่ใช่ไหม "เข้าไปข้างในไอ้ชา มาสายนะมึงอ่ะ ถึงเป็นน้องที่เอกก็ไม่มีข้อยกเว้นนะเว้ย ต้องโดนลงโทษตามกฎ"

ผมถูกพาเข้ามาในห้องซ้อมในที่สุด แล้วก็โดนสั่งให้ยืนการ์ดนับห้าสิบเป็นการลงโทษที่มาช้า

อาจารย์นะอาจารย์ ไม่ได้รู้เลยว่ากิจกรรมห้องเชียร์ที่นี่เขาจริงจังกันขนาดไหน



หลังจากการมาช้าของผม เราก็เข้าสู่การซ้อมหนักเช่นเคย

นี่เป็นสัปดาห์ที่สองแล้วที่ไม่เห็นพี่แอมกลับเข้ามาทำงานอีกเลย สงสัยคงรู้สึกเสียหน้ากับเรื่องที่ทำกับผมแล้วก็พี่ตองไว้

พอซ้อมไปสักพัก พี่ท๊อปกับพี่กั้ง(ซึ่งไม่มีเสื้อคลุม)ก็กลับเข้ามาสังเกตุการณ์ในห้องซ้อมเช่นเคย



"บุ๋นๆ" หลังจากการซ้อมกว่าสองชั่วโมงก็มีพี่คนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องซ้อม

เอ? คนนี้คือพี่ประธานสโสรนิสิตคณะวิทยาศาสตร์ไม่ใช่หรอ

"ขอคุยด้วยหน่อย มีเรื่องด่วน"

"เอ่อ.... แป๊บนะ" พี่บุ๋นตอบ แล้วก็หันมาคุยกับพวกผม "เดี๋ยวให้พี่... พลอย มาช่วยดูต่อให้นะ พี่ไปคุยธุระแป๊บนึง"

แล้วพี่บุ๋นกับพี่ประธานก็เดินออกไปนอกห้องด้วยกัน

"น้องๆค่ะ มาซ้อมต่อเร็ว" พี่พลอยทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายทันที "เดี๋ยวเก็บท่าต่อจากเมื่อกี๊นี่นะ ข้อศอกสองข้างต้องชิดกันนะ ทำเป็นรูปตัววีแบบนี้ อะไหน ลองทำท่านี้ค้างไว้ซิ ให้ดูแข็งแรงด้วย สุ่ย! ทำให้ดูเท่กว่านี้หน่อย เดี๋ยวก็ให้มาเต้นแทนลีดผู้หญิงหรอก..." เห็นแบบนี้ พี่พลอยถือว่าเป็นระดับคนสอนที่เบามากถ้าเทียบกับพี่บุ๋น

พวกเราถูกสอนให้เพิ่มรายละเอียดในท่าเต้นแบบท่าต่อท่า ทำแต่ละท่าค้างไว้นานๆ ตามด้วยการเต้นทุกๆท่าเหล่านั้นตามจังหวะที่ช้ากว่าปกติมากๆ เพื่อให้มีเวลาในการคิดที่จะใส่รายละเอียดลงไปในทุกๆการเคลื่อนไหว

ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมง แล้วพี่บุ๋นก็กลับเข้ามาในห้องซ้อม พวกลีดปีหนึ่งถูกสั่งให้พักแล้วเพื่อรอการสอนคลาสนอกในชั่วโมงสุดท้าย

แต่สิ่งที่ผมเห็นตอนนี้ มันไม่ใช่สิ่งปกติแน่ๆ พี่บุ๋นเดินเข้ามาแล้วตรงดิ่งไปหาพี่ท๊อปที่นั่งอยู่หลังห้อง แถมยังพูดคุยอะไรเหมือนว่ากำลังขอร้องพี่ท๊อปอยู่

ไม่จริง นั่นต้องเป็นพี่บุ๋นตัวปลอม

สักพักพี่อีกคนก็เดินเข้ามาอีก เหมือนจะถูกพี่ท๊อปโทรตามมา

มีเรื่องอะไรกันหว่า?



"น้องครับ ช่วยมารวมกันหน่อยนะ" พี่บุ๋นเเรียกรวม "พี่มีกิจกรรมพิเศษมาแจ้งให้ทราบนะครับ คือ... วันศุกร์นี้ มหาวิทยาลัยของเราจะจัดการแสดงความสัมพันธ์ไทยเกาหลีขึ้น งานคณะมนุษยศาสตร์ และมันมีเรื่องนิดหน่อยตรงที่ คณะเราได้รับคัดเลือกให้ส่งตัวแทนผู้นำเชียร์ชายสองหญิงสอง โดยมีรุ่นพี่ปีสองหนึ่งคู่กับน้องปีหนึ่งอีกหนึ่งคู่ ไปรวมแสดงโชว์แลกเปลี่ยนการเป็นผู้นำเชียร์ของสองประเทศ จะมีนักศึกษาเกาหลีมาโชว์ด้วย ทางโน้นจะเต้นในแบบของเรา ก็เลยทำให้เราต้องโชว์เต้นในแบบ.. เกาหลี"

แบบไหนวะ ผมว่าไม่ใช่แค่ผมหรอกที่ไม่รู้ แต่ในห้องนี้ทั้งหมดก็ไม่รู้เหมือนกัน

"สำหรับปีสองก็คงเป็นหน้าที่ของประธานอย่างพี่ แล้วก็... พี่พลอย" ดูเหมือนว่าพี่บุ๋นจะยังไม่ได้ปรึกษาพี่พลอย จึงหันไปถามความคิดเห็น "ได้ไหมพลอย"

"ได้" พี่พลอยตอบทันที

"งั้นก็เหลือแค่ปีหนึ่ง... เอาเป็นว่าพี่จะให้น้องๆโหวตก็แล้วกันนะ เลือกเพื่อนออกมาเลย"

เสียงจอแจของลีดปีหนึ่งดังขึ้นทันที

"แต่พี่บอกไรไว้อย่างนะ" พี่บุ๋นแทรกขึ้นมา "เราไม่มีความรู้เรื่องการเต้นสไตล์เกาหลีเลย เพราะงั้น... พี่ก็เลยไม่ขอร้องพี่ท๊อป ให้เป็นคนช่วยสอนให้"

พี่ท๊อปเดินมาข้างหน้าเพื่อแสดงตัว

กรรมละ ถ้าเป็นพี่ท๊อปต้องเลี่ยงให้มากที่สุด เดี๋ยวไอ้พี่ตองจะคิดมากอีก

"ชาๆ มึงไปดิ" "เออๆให้ชาดีกว่า ไปคู่กับเกตุ เหมาะสุดแล้ว" "กูก็โหวตเกตุกับชา"

"ไม่เอา!" ไอ้พวกนี้นิ กูยิ่งเลี่ยงๆอยู่

"เออ มึงเหมาะสุดแล้ว" ไอ้สุ่ยยัดเยียด "ได้แล้วครับพี่ ชากับเกตุครับ" เห้ยเดี๋ยว! "ใครเห็นด้วยบ้าง"

พวกมึงก็สามัคคีกันเหลือเกินนะ ยกมือกันหมดเลย

กูเอ๊ยยยยย

ดีนะนี่เป็นวันจันทร์ ไอ้พี่ตองไม่ได้มาเฝ้า ไม่งั้นเกิดเรื่องแบบทันควันแน่ๆ



"โอเค งั้นตามนี้นะ" ไม่ต้องรีบยืนยันขนาดนั้นก็ได้นะพี่บุ๋น ถามผมนิดนึงไหม "เลิกคลาสแล้ว ชากับเกตุอยู่แป๊บนึงนะ คุยกันก่อนแล้วก็เอาเสื้อที่ต้องใช้ใส่ในงานไปด้วย พี่วางไว้หลังห้องแล้ว"



วันนี้พวกเรามีเรียนการแต่งหน้าและทำผม ถึงผมจะไม่ค่อยถนัดเรื่องนี้ แต่ก็เคยเรียนรู้มาบ้างแล้ว พอได้ลงรายละเอียดจริงๆแล้วก็เริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น

พี่คนที่ถูกพี่ท๊อปโทรตามให้มารู้สึกว่าจะเป็นสาวประเภทสองนะ แต่ค่อยข้างเหมือนผู้หญิงมากเลย ผมไม่ได้จะตั้งใจจับผิดอะไรพี่เค้านะ แต่เพราะพวกพี่เค้าดูกำลังวุ่นวายกันอยู่หลังห้อง มันทำให้เป็นเป้าสังเกตุ



ผมเดินออกจากห้องน้ำหลังจากล้างเครื่องสำอางที่ได้รับการเรียนในวันนี้

"ชา มานี่เร็ว" ผมถูกพี่บุ๋นเรียกทันทีที่จบกิจกรรมห้องเชียร์วันนี้

ตอนนี้ในห้องแทบจะไม่เหลือใครแล้ว มีแค่พี่ท๊อป พี่บุ๋น พี่พลอย พี่กั้ง พี่สาวสอง แล้วก็ผมกับเกตุ

"คืองี้นะคะ" พี่สองสาวเริ่มเปิดประเด็น เธอเปิดสมุดจดงานบางอย่างออกมากางดู "ท๊อปมีว่างแค่เย็นวันพฤหัสฯวันเดียว เพราะว่าวันนี้กับพรุ่งนี้มีถ่ายงาน ส่วนทุกวันพุธก็อัดเสียงให้เพลงเปิดกิจกรรมวันโชว์สปีริดสิ้นเดือนหน้า" อ๋อ ที่แท้ก็เป็นผู้จัดการส่วนตัวนี่เอง

"งานหนักเลยนะมึง" พี่กั้งแซว "แล้วจะมาซ้อมให้พวกน้องมันไหวเหรอ"

"ใช่ จะรับช่วยจริงเหรอ ชั้นเตือนแล้วก็ไม่เชื่อ บอกว่าให้เพลาๆงาน ก.น.ช.บ้าง นี่ก็ไม่รู้ไม่โดนใครว่ามา เข้างานทุกวันเลย"

เอิ่มมมม ผมเห็นนะว่าพี่บุ๋นแอบสะดุ้งนิดนึง

"เออน่า ไหวๆ เราช่วยได้ ไม่งั้นใครจะช่วยหละ" ที่ท๊อปตอบปัด

"ไหวมากกกก เมื่อกี๊ประธาน ก.น.ช.โทรมาบอกชั้นว่าเธอไปหลับหมดแรงอยู่ในห้องกรรมการ นี่ถ้าโทรมขึ้นมาแล้วโดนเอเจนซี่ที่เกาหลีต่อว่า ชั้นไม่รู้ด้วยนะ" ผู้จัดการของพี่ท๊อปโหดน่าดูเลย



"น้ำชา"

หึ

อ้าว พี่ตองมารับแล้ว

เอ่อออออออ ยังคุยธุระไม่เสร็จ ยังไงดีหละ



"โอเค ก็ตามนี้แหละนะ เจอกันที่ตึกลีดมหาลัยแล้วกันนะ วันพฤหัสฯ" พี่ท๊อปสรุปให้ ทุกคนจึงได้แยกย้ายไปกลับ



"เดี๋ยวน้อง" พี่กั้งเรียกผมไว้ก่อนที่จะออกจากห้อง

"ครับพี่"

จู่ๆพี่เค้าก็โยนเสื้อคลุมมาให้ผม "บอกจะซักให้พี่ไม่ใช่เหรอ"

"อ... อ่อ ได้ครับ" ไหนบอกไม่เป็นไรวะ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก กูทำเลอะนี่หว่า ก็ต้องรับผิดชอบ ถูกแล้ว

"พรุ่งนี้เอามาคืนก็แล้วกัน"

"ได้ครับพี่ ผมไปนะ พี่..." เกือบหลุดปากบอกไปว่าพี่ตองรอยู่ "หวัดดีครับ"



พี่ตองถามผมทันทีเลยว่าคุยอะไรกัน ผมก็เล่าเรื่องที่ผมโดนคัดเลือกไปโชว์ในงานให้ฟัง แต่ไอ้พี่ตองไม่ยักกะทำท่าหึงหวงอะไรแฮะ แปลกๆ

"ไม่ว่าเหรอ พี่ท๊อปต้องมาสอนชานะ" ผมสงสัย

"พี่ท๊อปเค้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่น่าห่วงหรอก ว่าแต่ นี่ไปเอาเสื้อใครมา"

"ของพี่กั้งครับ"

"ไปรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่"

"เปล่า ไม่ได้รู้จัก ชาเผลอไปทำเสื้อพี่เค้าเปื้อน ก็เลยเอามาซักให้"

"เหรอ" ไม่ต้องมาทำหน้าสงสัยเลย



#เสียงโทรศัพท์

สายเข้าเครื่องพี่ตอง

"ฮัลโหลบุ๋น"

ห๊ะ พี่บุ๋นโทรหาพี่ตองทำไม ก็เพิ่งจะจากกันเมื่อกี๊นี้เอง

"ห๊ะ ทำไมวะ.... อะๆๆ เดี๋ยวกูให้น้ำชาเอาไปให้ละกัน กูไม่เอาไปให้เองหรอกนะ" เห้ย เอาอะไรไปให้ใครวะ แล้วทำไมต้องเป็นกู "เออๆ ไม่เป็นไร... เออๆ"



"อะไรอ่ะ" ผมถามทันทีที่พี่ตองวางสาย

"ไอ้บุ๋นใช้ให้พี่ซื้อมาส์คหน้าไปให้พี่ท๊อป"

"หือ? ทำไมอ่ะ"

"ไม่รู้มัน อยู่ดีๆทำไมถึงจะซื้อของให้พี่ท๊อปก็ไม่รู้ แต่... ชาช่วยเอาไปให้แทนหน่อยนะ แล้วก็อย่าบอกหละว่าไอ้บุ๋นฝากมา"

นี่เล่นอะไรกัน แต่ถ้าคิดตามเหตุผลง่ายๆ มาส์คหน้านี้เพื่อขอบคุณที่ท๊อปหรือเปล่า หรือกลัวพี่เค้าหน้าโทรม



"เดี๋ยวๆ" ผมนึกบางอย่างขึ้นได้ "ผมลืมเสื้อที่ต้องใส่ในงานไว้ที่ห้องซ้อม"

"เดี๋ยวพี่ไปเอาให้"

"ไม่ต้องๆ ชาไปเอง พี่ตองรอแป๊บนึงนะ" ผมรีบวิ่งกลับไปที่ห้องซ้อมเพราะตอนนี้ยังออกมาไม่ไกล



"ขอบคุณนะ พ....พี่ท๊อป ที่มาช่วยเป็นธุระให้" หึ เสียงพี่บุ๋นนี่นา ยังมีคนเหลือในห้องซ้อมอีกเหรอ "ถ้าเป็นไปได้ ก็ไม่อยากรบกวนหรอก"

"สรุปว่าไม่อยากรบกวนใช่ไหม" เสียงพี่ท๊อปตอบกลับ ผมก็ยืนแอบฟังหน้าห้องต่อไปด้วยความอยากรู้อยากเห็ย

"ใครจะกล้าไปบังคับหละ"

"ไม่กล้าบังคับหรือกลัวพี่จะผิดสัญญาอีก"

".....แล้วจะผิดอีกไหมละ"

"....." สงสัยพี่ท๊อปจะอึ้งที่โดนถามตรงๆ รู้จักพี่บุ๋นน้อยไปซะแล้ว "ทำไมไม่ใส่แว่นแล้วหละ" เปลี่ยนเรื่องซะงั้น

"ก็เป็นคนบอกให้เลิกใส่เองไม่ใช่เหรอ"

"เชื่อคนง่ายเนอะ"

"ไม่ได้เชื่อคนง่าย แค่ไม่ชอบผิดสัญญากับใคร"

"โดนหลอกด่าซะงั้น โอเคๆ พี่จะ... ไม่ผิดสัญญาอีกก็แล้วกัน สัญญา"

"จะคอยดู"

"ยังไงก็ขอบใจนะ"

"ขอบใจเรื่องอะไร นี่ต่างหากต้องขอบใจ นี่เป็นคนไปขอร้องนะ"

"ก็ขอบใจที่ให้โอกาสพี่ได้แก้ตัวไง"

"......"

อือหือออออ ไม่ทิ้งลายโอ้ปป้าเลยนะพี่ท๊อป

แต่มันได้กลิ่นอะไรแปลกๆแฮะ รู้สึกว่าสองคนนี้จะมีอะไรไม่ธรรมดาซะแล้ว

คิดไรดีๆออกแล้ว

ผมตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปข้างในห้องซ้อม ทำทีว่าไม่ได้ยินใครกำลังคุยกันมาก่อนหน้านี้ พร้อมกับประโยคเด็ด รับรองว่างานนี้ต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลงแน่ๆ





"พี่บุ๋นครับ มาส์คที่ฝากให้ผมแอบเอาไปให้พี่ท๊อป จะเอาสูตรไหนครับ"
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 26 [โอกาสเพื่อตัวเองและโอกาสเพื่อคนอื่น]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 29-11-2017 19:38:59
​ตอนที่ 26 : โอกาสเพื่อตัวเองและโอกาสเพื่อคนอื่น​







​ทำไมมาช้าจัง

​ผมนั่งรออยู่ในห้องซ้อมคณะวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่ห้าโมงเย็นตามเวลาที่ถูกนัดไว้ โชคดีที่ทางคณะยอมให้ผมใช้ห้องซ้อมได้ทั้งๆที่เป็นเด็กปีหนึ่ง

แต่นี่รอมาเป็นชั่วโมงแล้ว ไม่เห็นมีวี่แววใครมาเลย

ตาก็เริ่มเจ็บเพราะใส่คอนแท็คเลนซ์นาน อุตส่าห์ตัดใจทิ้งแว่นตาที่ใส่มาตั้งแต่เด็กไปเพราะคำแนะนำ แต่ก็ดีเพราะมันก็ช่วยให้ผ่านรอบสอบสัมภาษณ์มาได้

เหลือก็แต่รอบแสดงเพลงมิ่งขวัญมัณฑนาในวันเปิดห้องเชียร์พรุ่งนี้นี่แหละ แต่ไอ้คนที่สัญญาว่าจะช่วยสอนให้ยังไม่โผล่มาเลย ฟ้าเริ่มจะมืดแล้วนะ

​พี่ท๊อปติดธุระอยู่ที่ไหนหรือเปล่านะ

​โทรหาตั้งหลายทีแล้ว แต่ติดต่อไม่ได้เลย อย่างกับปิดเครื่องไว้

แถมตอนนี้ยังมีมาส์คแตงกวาที่พี่เค้าแนะนำให้ใช้อีกเป็นถุงใหญ่ พะรุงพะรังจนไม่ไหนไม่ได้



เฮ้อ

เฮ้อออออ

เฮ้อออออออออ

​เฮ้อออออออออออออออออ

​นี่มันนานเกินไปแล้วนะ สองชั่วโมงเข้าไปแล้ว แบบนี้ผิดปกติแล้ว

เอาไงดีวะกู

พี่ท๊อปเค้าลืมนัดเราหรือเปล่าวะ หรือว่าติดเรียนอยู่ที่ตึก คงไม่ได้ตั้งใจผิดสัญญาหรอกมั้ง พี่เค้าก็ดูเป็นคนดีออก

เอางี้ดีกว่า.....



ทำไมตึกนี้มันน่ากลัวจังวะ

ผมตัดสินใจนั่งรถไฟฟ้ามาที่ตึกคณะเภสัชศาสตร์ ตึกนี้อยู่ไกลจากศูนย์กลางของมหาวิทยาลัยติดกับรั้วด้านหลัง ยิ่งเป็นช่วงพลบค่ำแบบนี้ที่ผู้คนหายไปหมดยิ่งน่ากลัว

โรงอาหารของคณะนี้อยู่ไหนวะ เผื่อจะมีคนอยู่แถวนั้น

​นั่นไง

​ผมเจอโรงอาหารในที่สุด มีคนนั่งอยู่ไม่กี่โต๊ะแล้วตอนนี้ ผมเลือกที่จะตรงไปยังกลุ่มพี่ผู้หญิงที่นั่งคุยกันอยู่สามคน

"ข... ขอบโทษครับ"

"ค่ะ" พี่ๆเขาหันมาตอบรับผม "อุ๊ย! ปีหนึ่งน่าใส เด็กเภสัชปีนี้ก็มีหล่อๆเหมือนกันนะเนี่ย นึกว่าจะมีแค่น้องตองวิศวะ" ชื่อเสียงไอ้ตองดังตั้งแต่ยังไม่เปิดห้องเชียร์เลยเหรอ

"ป... เปล่าครับพี่ ผมอยู่วิดยาครับ คือ... ผมมาตามหาพี่ท๊อปอะครับ พี่ท๊อปเภสัชปี 2 ที่เป็นลีดมหาลัย พวกพี่พอจะรู้จักไหมครับ"

"รู้ซิ ใครจะไม่รู้จักท๊อปละ ดังออกขนาดนั้น"

"พอจะเห็นพี่เค้าไหมครับ พอดีผมมีนัดกับพี่เค้าอะครับ"

"ท๊อปเหรอ.... พวกแกเห็นไหม" เธอหันไปถามเพื่อนร่วมโต๊ะ

"ไม่เห็นอ่ะ"

"อ๋อ นี่ๆ หรือว่าท๊อปจะไปเกาหลีแล้ว" พี่คนหนึ่งเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้

"เออ ใช่ๆๆ ลืมไปเลยว่าค่ายเพลงที่เกาหลีมาทาบทามท๊อปให้ไปฝึกที่โน้นตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว... พี่ว่า สงสัยท๊อปจะไปถึงเกาหลีแล้วละมั้ง"

ห๊ะ ไม่จริงอ่ะ พี่เค้านัดไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะมาสอนเพลงมิ่งขวัญให้ ต้องมีอะไรเข้าใจผิดกันแน่ๆ

"เอ๊ะ โน่นไงๆ ปิงปิง บั๊ดดี้ของท๊อป เดินมาพอดี ลองถามดูซิ"

ไหนหว่า?

พี่คนที่กำลังลงมาจากบันไดอะเหรอ



"พี่ครับๆ" ผมรีบวิ่งไปหาแหล่งข้อมูลใหม่

"ค่ะ" เสียงนี้มัน พี่เค้าเป็นสาวประเภทสองนี่หว่า

"พี่ปิงปิง บั๊ดดี้ของพี่ท๊อปใช่ไหมครับ"

"ใช่ค่ะ มีอะไรเหรอ"

"คือผมมีนัดกับพี่ท๊อปวันนี้อะครับ แต่ไม่เห็นพี่เค้าไปตามนัด"

"น้อง... นี่น้องบุ๋นวิทยาศาสตร์ใช่หรือเปล่า"

"ค... ครับ" รู้จักผมได้ไง

"พี่ขอโทษษษ ลืมไปเลย มัวแต่โทรแคนเซิลงานให้ท๊อป คือพี่ท๊อปเค้าขึ้นเครื่องไปเกาหลีตั้งแต่เลิกเรียนแล้ว พอดีต้องรีบไปเซ็นสัญญากับค่ายเพลงที่โน่น ขอโทษจริงๆนะ พี่ก็ลืมไปเลยว่าท๊อปฝากเรื่องนี้ไว้ด้วย"

"..........................................................................................."

สรุป.... ว่าคือเรื่องจริงเหรอ หน้าตึงไปเลยกู

แล้วที่สัญญาว่าจะช่วยให้เราเป็นลีดมหาลัยละ

จากนี้กูต้องทำไงวะ



หรือว่าต้องเลิกเชื่อใจคนอื่นแล้วสู้ด้วยตัวเอง









"พี่บุ๋นครับ มาส์คที่ฝากให้ผมแอบเอาไปให้พี่ท๊อป จะเอาสูตรไหนครับ"

ชิบหายยยยยยยยยย

​ไอ้น้องเวร มึงจะพุ่งเข้ามาในห้องแล้วพูดอะไรโดยไม่ดูตาม้าตาเรือแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย แล้วแม่งก็พูดซะชัดเลย

"มาส์คอะไรชา" นั่นไง ไอ้ห่าพี่ท๊อปนี่ก็หูดีอีกคน

"อ... อ้าว พี่ท๊อป ยังอยู่นี่อีกเหรอครับ" ไม่ทันแล้ว มึงนี่มันน่าเตะจริงๆ

แก้ตัวยังไงดีวะกู "ม... มึงกลับมาทำไม"

"ผ... ผมลืมเสื้อไว้ครับ ลืมเอาไปด้วย" ไอ้ห่าเอ๊ย มาเอาพรุ่งนี้ก็ได้มั้ง

"สรุปว่ามาส์คอะไรชา" นี่ก็ไม่คิดจะลืมเลยหรือไง

"ค... คือว่า..." ไอ้น้องเวร มึงแก้ตัวดีๆนะ อย่าให้เข้าตัวกู "พี่ต... ตอง แอบบอกผม ให้มาถามพี่บุ๋นว่าพี่ท๊อปชอบใช้มาส์คแบบไหนครับ คือ... พี่ตองจะซื้อมาส์คให้พี่ท๊อปครับ"

มึงรู้ตัวไหมว่า เป็นคนที่โกหกได้แย่ที่สุดในโลกเลย นอกจากจะไม่เนียนแล้วมึงยังแสดงพิรุจได้ชัดสุดๆ

"เจ้าตองเนี่ยนะ จะซื้อมาส์คให้พี่" เห็นไหมละ กูว่าแล้วว่ามันต้องสงสัย

"ใช่ครับ พี่ตองเห็นพี่ทำงานหนัก"

"อ๋อเหรอ... แล้วพี่ควรใช้มาส์คแบบไหนดีหละครับน้องแว่น"

"จะซื้ออะไรก็ซื้อไปเหอะ อย่ามายุ่งกับกู ไม่ใช่เรื่องของกู" ไม่รู้อ่ะ แก้ตัวทุกวิถีทางไว้ก่อน

"ไม่ต้องก็ได้ชา ฝากไปบอกพี่....ตองของชาด้วยนะว่าพี่ขอบใจมาก" ไม่ต้องมามองหน้ากูเลย

"งั้น... ชาขอไปหยิบเสื้อก่อนนะครับ พี่ตองรออยู่"

ไอ้ห่าเอ๊ย ทิ้งปัญหาไว้ให้กูแล้วก็ชิ่งเลยนะ

"ช... ชา" เดี๋ยวถ้าเราปฏิเสธเกินไป มันจะหาว่าเรามีพิรุจจริงๆ "บอกไอ้ตองว่าซื้อสูตรแตงกวาก็ได้"

"อ... อ๋อ ครับพี่"

แล้วไอ้น้องเจ้าปัญหาก็หยิบเสื้อวิ่งออกไป



"จำได้ด้วยเหรอ" ไอ้ห่าพี่ท๊อป มึงไม่ต้องมาทำยิ้มกริ่มใส่กูเลยนะ กูไม่ใช่สาวๆที่จะหวั่นใจกับหน้าตาโอ้ปป้าเกาหลีนะ

"กลับได้แล้วมั้ง จะปิดห้องซ้อม"

"โอเค เจอกันวันพฤหัสฯนะ" เออ รีบๆไป "จะเอามาส์คมาให้พี่วันพฤหัสฯก็ได้นะ"

​ชิบ

​โดนจับได้จนได้





"สวัสดีครับน้องหญิง" "สวัสดีค่ะพี่ปืน"

เสียงกล่าวทักทายของพิธีกรขาประจำดังมาจากทีวีและเครื่องฉายภาพรอบมหาลัย เป็นสัญญาณว่ากิจกรรมห้องเชียร์เริ่มขึ้นอีกวันแล้ว

จะผ่านไปกี่วันผมก็ยังต้องทำหน้าที่สอนลีดปีหนึ่งเหมือนเดิมอยู่ดี เพิ่งรู้ว่าการเป็นประธานลีดมันเหนื่อยขนาดนี้ นี่ถ้าแอมไม่ใจร้อน ทำอะไรบู่มบ่ามก็คงไม่ต้องมาลำบากถึงเราหรอก

เอาเหอะ ก็เป็นไปแล้วนิ ทำหน้าที่ไป



นั่นไง ก.น.ช.มาแล้ว ตรงเวลาเหลือเกินนะ

ไอ้ห่าพี่ท๊อปมันยิ้มอะไรของมันวะ

อย่าไปสนใจๆ ทำหน้าที่ตัวเองก็พอ

ไอ้ตองมาเฝ้าไอ้น้องชาอย่างที่เคยทำทุกวันอังคาร สรุปว่าไอ้สองคนนี้นี่เอาจริงเหรอวะ ตอนแรกเห็นไม่ถูกกันจะตาย ไปกระหนุงกระหนิงกันขนาดนี้ได้ยังไง นี่แหละน่า เขาถึงบอก หนีอะไรได้อันนั้น



"พี่ท๊อปครับ มาส์คแตงกวา พี่... ตองฝากมาให้" ไอ้น้องเวร มึงช่วยเนียนกว่านี้ได้ไหม แบบนี้ไอ้ห่าพี่ท๊อปก็จับได้หมดดิ "แล้วก็ อันนี้ เสื้อคลุมครับพี่กั้ง ผมซักมาคืนให้แล้ว ขอโทษอีกทีนะครับ" อ๋อ เสื้อที่มันทำของพี่เค้าเลอะเมื่อวาน

"ขอบคุณนะครับน้ำชา หอมจัง" หือ? พี่กั้ง ทำไมพูดกับไอ้ชาอย่างงั้นวะ

นั่นไง ไอ้ตองเริ่มเป็นเดือดเป็นร้อนแล้ว

"น้องครับๆ รีบๆมารวมกันตรงนี้ได้แล้ว" ผมไม่ได้ทำเพราะหึงไอ้ชานะ แต่ทำเพื่อไอ้ตอง ยังไงผมกับมันก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัธยมแล้ว อีกอย่าง ไอ้นี่มันเลือดร้อน ขืนปล่อยให้พี่กั้งทำตาเล็กตาน้อยใส่ไอ้ชานานๆ เดี๋ยวห้องซ้อมคณะวิทย์จะกลายเป็นสนามมวย

การสอนของวันนี้เริ่มขึ้น ผมก็สอนเหมือนทุกวันนั่นแหละ

จะมาหาว่าผมโหดไม่ได้นะ ถ้าต้องแบกรับหน้าตาของคณะอันดับหนึ่งไว้บนบ่าก็จะเข้าใจเอง แต่ที่ทำให้ผมไม่มีสมาธิเลยวันนี้ก็คือ ไอ้ห่าพี่ท๊อป มันมองหน้าผมบ่อยเป็นพิเศษเลยวันนี้

มีไรติดบนหน้ากูเปล่าวะ



"พักประจำชั่วโมงได้ครับ" ผมปล่อยน้องไปพัก



"ประธานลีดปีสองครับ รบกวนมาทางนี้หน่อย" พี่กั้งตะโกนเรียกผมจากหลังห้อง

มีเรื่องไรวะ ปกติไม่เคยเห็นเรียก แปลกๆนะวันนี้

"มีไรครับ" ผมถาม

"ทำไมถึงมีลีดคณะวิศวะมาอยู่ในห้องซ้อมวิดยา"

หมายถึงไอ้ตองซินะ ไอ้นั่นก็ไม่รู้เรื่องเลยว่ามึงกำลังจะมีศัตรูหัวใจ เอาแต่คอยพัดให้แฟน จะมุ้งมิ้งกันไปไหน

"นั่นลีดมหาลัยครับ จะอยู่ห้องซ้อมคณะไหนก็ได้" เอาวะ ช่วยมันหน่อย

"แต่กฎนี้มีไว้เพื่อให้ลีดมหาลัยมาช่วยสอนน้องๆทุกคนในมหาลัยอย่างเท่าเทียมกันนะ ไม่ใช่เพื่อน้องคนใดคนหนึ่ง"

เอาไงดีหละ กูจะพูดไงดี พี่กั้งแม่งก็ดันพูดมีเหตุผลซะด้วย

"ไม่เป็นไรหรอกไอ้กั้ง" พี่ท๊อปแทรกขึ้นมา "ช่วงนี้เป็นหน้าที่ของรุ่นพี่คณะเค้า น้องประธานก็ทำหน้าที่ได้ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องให้ใครช่วยหรอก จริงไหม"

อะไรของไอ้ห่าพี่ท๊อปวะ ชมกูต่อหน้าเลย

"แต่มันก็ไม่ควรเปล่าวะ" มันไม่ควรหรือพี่คิดไม่ซื่อกันแน่ "ยังไงถ้าเกิดอะไรขึ้น ประธานลีดก็รับผิดชอบแล้วกันนะ"

"ครับพี่" กูชักจะไม่อยากเคารพไอ้รุ่นพี่คนนี้แล้วนะ



"เดี๋ยวก่อน แว่น"

หึ! อะไรของไอ้พี่ท๊อปอีก

"อะ นี่"

"อะไร"

"น้ำตาเทียมไง ใส่คอนแท็กเลนซ์นานๆหัดใช้น้ำตาเทียมด้วย เดี๋ยวจะเจ็บตาเอา"

ไอ้บ้า ซื้อมาให้ทำไม ชักจะทำดีกับเราเกินไปแล้วนะ "ไม่ต้อง ซื้อเองได้"

"แลกกันกับมาส์คหน้าไง"

"ม...มาส์คอะไร ไม่ได้ซื้อให้ซะหน่อย ไอ้ตองโน่น"

"งั้น... อันนี้พี่ก็ไม่ได้ซื้อให้ ตองฝากมาให้เหมือนกัน" โกหกหน้าด่านๆ

ไอ้ห่าเอ๊ย รับก็รับวะ แม่ง จะซื้อมาให้ทำไมก็ไม่รู้



"มีไรเปล่าวะบุ๋น" ไอ้ตองถามผมตอนเดินกลับ มันคงสังเกตุเห็นอะไรบางอย่าง

"เปล่าๆ" มึงไม่ต้องรู้หรอก เดี๋ยวจะหัวเสียซะเปล่า มุ้งมิ้งกับเด็กมึงต่อไปเหอะ

"แล้ว ก.น.ช.จะเรียกมึงไปทำไม"

มึงจะมาคาดคั้นอะไรกับกูเนีย กูทำเพื่อมึงนะเนี่ย "พี่เค้าซื้อน้ำตาเทียมมาให้กู" บ่ายเบี่ยงไปละกัน

"อ๋อ..." ไอ้ชาแทรกขึ้นมา "ถึงว่า ทำไมเห็นพี่ท๊อปจ้องหน้าพี่บุ๋นเป็นชั่วโมงๆ สังเกตุมาหลายวันแล้ว ที่แท้จะเป็นห่วงสุขภาพดวงตาของพี่นี่เอง"

"พูดมากนะมึงอ่ะไอ้ชา" ถ้าไม่เกรงใจว่าไอ้ตองนั่งอยู่ตรงนี้ จะสั่งยืนการ์ดซักแปดร้อย

"พี่ท๊อปซื้อให้มึงเหรอ"

"เออ มึงจะถามอะไรนักหนาวะ"

"อะไรกันวะ พี่เค้า... ​จีบมึงง่ะ"

"จีบพ่อง ไอ้เชี่ยตอง กูชอบผู้หญิงเว้ย มึงสองคนเลิกพูดเรื่องนี้เลยนะ"

"แน่ใจนะว่าให้กูเลิกพูด งั้นวันหลังกูไม่เป็นตัวกลางให้มึงกับพี่ท๊อปแล้วนะ มึงจะซื้ออะไรไปให้เค้า มึงก็ทำเองละกัน"

ไอ้เพื่อนทรยศ กูอุตส่าหวังดีคิดช่วยมึงนะ

"นั่นซิ ไม่เห็นต้องฝากใครไปให้เลย พี่ท๊อปยังกล้าให้พี่ตรงๆเลย" ไอ้ชา มึงไม่ต้องมาเห็นดีเห็นงามอะไรทั้งนั้น

"พอ! กลับไปซ้อม.... น้องๆครับ รวมแถว ซ้อมได้แล้ว" หงุดหงิดเลยกู



เชื่อหรือเปล่าว่าหลังจากวันอังคารอาการหงุดหงิดในใจของผมก็ไม่ได้หายไปเลย ไอ้ห่าพี่ท๊อปแม่งจ้องผมหนักขึ้นกว่าเดิมอีก แถมยังซื้อนั่นซื้อนี่มาให้ ไม่รับก็ไม่ได้ พอบอกปฏิเสธแม่งก็ทำหน้าหงอยใส่ ก็เลยจำใจรับของมาจนจะรกห้องไปหมดแล้ว

แต่ก็ดีที่งานนี้ผมไม่ได้หงุดหงิดอยู่แค่คนเดียว ไอ้ตองนี่ถ้าจะหนัก มาเฝ้าไอ้ชาทุกวันเลย สงสัยมันจะเห็นสัญญาณความไม่ปกติบางอย่างจากพี่กั้ง พี่แกก็เหลือเกินจริงๆ เค้าก็เห็นกันทั้งมหาลัยว่าไอ้ตองมันแคร์ไอ้ชามากขนาดไหน ยังไม่วายมายุ่งกับน้องมันอีก อย่างน้อยก็น่าจะจำได้ว่าวันเปิดห้องเชียร์ ไอ้ตองมันซื้อกุหลาบไปให้หน้าเวที แต่จะว่าไป... ไอ้พี่ท๊อป มันก็ซื้อมาให้นี่หว่า สรุปว่ามันเอายังไงกับกูกันแน่วะ

หึ!

บ้างะ แล้วมันเรีื่องไรกับกูด้วยวะ ไอ้ห่านั่นมันจะชอบใครก็เรื่องของมันดิ



"ว้าวววว นี่นะเหรอ ตึกลีดมหาลัย" น้องเกตุแสนสวยตื่นตาตื่นใจที่ได้เข้ามาในตึกผู้นำเชียร์ของมหาลัยเป็นกรณีพิเศษ "หรูหราอย่างที่เค้าลือกันจริงๆด้วย ชักตื่นเต้นแล้วซิ ห้องน้ำอยู่ไหนน้า"

"ชั้นสอง ข้างบันไดซ้าย" นั่นไม่ใช่คำตอบของผมนะ ของไอ้ชา มันไปรู้ได้ไงว่ารายละเอียดตึกนี้เป็นยังไง

"รู้ได้ไงอ่ะ ชาเคยเข้ามาเหรอ" น้องเกตุถาม

"หนนึง"

อ่อ ไอ้เจ้าชายตองซินะ ใช้อภิสิทธิ์นั่นกับน้อง

"เจ๊ชมพู่ววววว" มีเซอร์ไพส์กว่าอีก ก็ไอ้ชาอะดิ วิ่งเข้าไปกอดเจ้าแม่ประจำตึกเฉยเลย ขาโหดนะนั่น กล้าได้ไงวะ

"อ... อะๆ หวัดดีน้ำชา เป็นได้บ้าง" แน๊ะ! เจ๊ชมพู่รู้จักชื่อไอ้ชาด้วย ขนาดชื่อกูเจ๊แกยังจำไม่ได้เลย

"สบายดีครับ วันนี้ขอมาใช้สถานที่หน่อยนะครับ" ลูกอ้อนนี้มึงไปได้แต่ไหนใด ไอ้ตองสอนมาซินะ มึงล้างสมองอะไรน้องกูเนีย

"เอาเลยๆ น้องท๊อปบอกไว้แล้วหละ แต่อย่าทำห้องชั้นพังละ"

"ครับผม" อยู่เป็นจริงๆมึงเนีย



ตอนนี้ผม พลอย ไอ้ชา ไอ้ตอง แล้วก็น้องเกตุมารอคนนัดอยู่ที่ห้องซ้อมชั้นหนึ่ง ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ไอ้ห่าพี่ท๊อปยังไม่โผล่มาอีก นี่ถ้ามันกล้าทำผิดซ้ำรอยเดิมอีก จะไม่ยกโทษให้มันแน่ๆ



"ขอโทษคร้าบบบ ที่มาช้า" มาจนได้ นึกว่าจะผิดสัญญาอีกรอบซะแล้ว "พอดีพี่มัวไปหาซื้อทาโกยากิมา เห็นจะคนที่นี่ชอบกิน"

อย่านะ อย่าเดินมาตรงนี้นะ กูสังหรณ์ใจไม่ดีเลย

"อะ นี่ครับ น้องแว่น ชอบกินไม่ใช่เหรอ หาซื้อยากนะแถวนี้" ไอ้บ้าเอ๊ยยยย กูว่าแล้วไง

"อะๆๆพวกเรา พี่ฝากพี่ท๊อปซื้อมาให้ทุกคน มากินกันครับ" กูจำใจต้องโกหกนะ จะบ้างะ อยู่ดีๆเอาของมาให้กันตรงๆแบบนี้

"โห่ ใจร้ายสุดๆ" มึงไม่ต้องมาแอบกระซิบกับกูเลยนะ

"ถ้าว่างมากก็สอนได้แล้วมั้ง เดี๋ยวก็ดึกหรอก พรุ่งนี้จะโชว์อยู่แล้ว"

"โอเค... น้องครับ เดี๋ยวระหว่างนี้ฟังเพลงเชียร์ในแบบของเกาหลีก่อนนะ มันจะไม่ได้เหมือนของบ้านเรา

ไอ้ห่าพี่ท๊อปเก๊กบ้านเป็นโอปป้าเกาหลีแล้วก็เดินไปเปิดเครื่องเสียงที่วางอยู่ข้างห้อง

​อือหืออออออออ

​อย่างกับเพลงพวกปอมปอมเชียร์ ทำไมจังหวะดนตรีมันเร็วขนาดนี้วะ ภาษาอะไรก็ไม่รู้ฟังไม่รู้เรื่อง

"คือพี่ก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้นนะครับ แต่ก็เคยเรียนผ่านๆมาบ้าง..."

"ท๊อปๆ"

หึ!

จู่ๆพี่ปิงปิง บัดดี๊ของไอ้พี่ท๊อปก็เดินเข้ามาในห้อง หน้าตาเร่งรีบเชียว

"มีไรปิงปิง"

"ไปเกาหลีด่วนเลย" ห๊ะ!!!!

"อะไรปิงปิง นี่มันวันพฤหัสฯนะ ไม่ใช่วันศุกร์ แล้วเราก็กำลังจะสอน..."

"ไม่ต้องสนใจเรื่องสอนแล้ว เมื่อกี๊ทางค่ายโทรมา บอกว่าจะส่งเธอเข้าร่วมรายการเซอร์ไววัลค้นหานักร้องหน้าใหม่ รายการนัดเซ็นสัญญาพรุ่งนี้แล้ว ด่วนเลย"

"เห้ย เดี๋ยว..."

"อะไรของเธออีก นี่ชั้นโทรไปจ้องตั๋วเครื่องบินแบบเร็วที่สุดไว้ให้แล้วนะ ช่วยรีบหน่อยได้ไหม"

"เราไปไม่ได้ เราต้องสอนพวกน้องๆ เราสัญญาไว้แล้ว"

"นี่ท๊อป มาจัดเรียงลำดับความสำคัญกันใหม่ไหม นี่มันแค่งานเล็กๆของมหาลัย เธอจะเอาอนาคตมาทิ้งไว้ตรงนี้ได้ยังไง เธอซ่อมมาตั้งปีกว่าแล้วนะ เหนื่อยขนาดไหนต้องบินไปบินกลับ ทางค่ายเปิดโอกาสขนาดไหนแล้วที่ส่งเธอให้ไปร่วมรายการ นี่มันโอกาสที่จะได้เดบิวท์เลยนะ นี่คือเป้าหมายของเธอไม่ใช่เหรอ"

เห็นโต้งๆเลยว่าไอ้พี่ท๊อปคิดหนัก

"นั่นดิพี่ ผมว่าพี่รีบไปก่อนเถอะนะ" ไอ้ตองก็เห็นด้วย "พี่ทุ่มเทกับมันขนาดนี้ พี่ควรไปนะ งานของมหาลัยมันก็ไม่ได้เสียหายอะไรมากมาย"

อยู่ๆดีไอ้คนคิดหนักก็มองหน้าผม "ปิงปิง.... โทรบอกค่ายได้ไหมว่าเราไม่สะดวกร่วมรายการ"

"อะไรนะ!"

เห้ยยยยยยย ไม่ได้นะ ไอ้พี่ท๊อป แบบนี้มันบ้าเกินไปแล้ว จะมาห่วงสัญญงสัญญาอะไรตอนนี้ นั่นมันโอกาสเจริญก้าวหน้าในชีวิตเลยนะ

"ไปครับ พี่ปิงปิง พาพี่ท๊อปไปเถอะครับ ไม่ต้องห่วงทางนี้" จะให้ผมมาเห็นแก้ตัวได้ยังไง เรื่องนี้เรื่องใหญ่นะ

"ก็บอกว่าไม่ไง"

ชิบหาย เงียบกันหมดเลย

ไม่เคยเห็นไอ้พี่ท๊อปหน้าดุขนาดนี้มาก่อน เห็นเป็นคนสุภาพๆ ไม่คิดว่าจะโมโหร้ายขนาดนี้

"บอกว่าไม่ไปก็คือไม่ไปไง ก็สัญญากันไว้แล้วนิ"

"ม... มันไม่เกี่ยวกับเรื่องสัญญาซะหน่อย" ผมเถียง "จะทิ้งโอกาสตัวเองได้ไง"

"ชอบเหรอ ที่เห็นพี่คว้าโอกาสแต่ทิ้งสัญญาอ่ะ"

"......" ใครจะไปชอบหละ แต่เรื่องนี้มัน... จะมาทิ้งโอกาสตัวเองเพื่อโอกาสของคนอื่นทำไม

"ไม่รู้อ่ะปิงปิง ถ้าปิงปิงจัดการเรื่องนี้ให้เราไม่ได้ เธอก็ไม่ควรเป็นบั๊ดดี้ให้เราต่อ เราพูดชัดแล้วนะว่าไม่ไป"

"อ.. เอ่อ" พี่ปิงปิงที่ว่าโหดๆเหวอไปเลย สงสัยไม่เคยเจอไอ้พี่ท๊อปพูดแบบนี้มาก่อน "เดี๋ยวจะลองคุยกับทางค่ายให้ก็แล้วกัน"

"ดี.... งั้นพวกเรามาเริ่มซ้อมกันดีกว่า"

พี่ปิงปิงจำใจเดินออกไปจากห้อง

ส่วนผมอะเหรอ เดินตามไอ้พี่ท๊อปไปทันที

"พี่ท๊อป พี่ทำแบบนี้ผมรู้สึกผิดนะ" ผมต้องยอมรับว่าผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ

"อย่าทำให้พี่ต้องโมโหอีกรอบได้ไหมบุ๋น"

"แต่..."

"อยากให้พี่ไปให้พ้นๆหน้านักใช่ไหม" คิดไรของมึงเนีย แล้วทำไมต้องทำหน้าจริงจังขนาดนั้นด้วยวะ

"....." กูไม่กล้าเถียงเลย

"งั้นก็ฟังพี่ พี่ตัดสินใจแล้ว ทางค่ายจะว่ายังไงก็ช่างมันเหอะ พี่เคยเลือกโอกาสแล้วก็ต้องเสียใจไปรอบนึงแล้ว ครั้งนี้พี่จะไม่ทำพลาดอีก"

นี่.... ทำไมต้องทำเพื่อเราขนาดนั้นด้วยวะ

ไอ้พี่ท๊อปบ้าเอ๊ย ไม่ห่วงอนาคตตัวเองเลย



เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่ไอ้พี่ท๊อปต้องการ การซ้อมก็เริ่มขึ้น ตอนแรกก็รู้สึกแย่นะ เหมือนจะไม่มีสมาธิ แต่ในใจจริงๆแล้วก็แอบดีใจแปลกๆ

จะมาดีจงดีใจอะไรของกู

ฝึกเข้าไป เพลงเชียร์ประเทศห่านี้ก็เต้นยากชิบหาย กระโดดอะไรกันตลอดเวลา แขนขาไม่ได้หยุดขยับเลย

ซ้อมไปซักพักพี่ปิงปิงก็เดินกลับเข้ามาที่ห้องซ้อม บอกว่าโดนทางค่ายต่อว่า แต่เค้าก็คงเสียดายไอ้พี่ท๊อปมั้ง บอกว่าให้ไปฝึกต่อตามปกติได้ ก็พี่มันหล่อซะขนาดนี้ ใครจะไม่เสียดายหละ

โอ๊ะ

​กูก็อะไรเนีย ไปชมไอ้บ้านั่นว่าหล่อได้ไง ชักจะบ้าไปกับมันแล้ว ซ้อมๆๆๆ



​เฮือกกกกกกกกก

​เหนื่อยสุดชีวิต ทำไมมันเหนื่อยขนาดนี้วะ แต่ไอ้พี่ท๊อปไม่มีท่าทีว่าจะเหนื่อยเลย นี่แสดงว่าตอนอยู่เกาหลีคงจะซ้อมหนักไม่ใช่เล่นๆ

สี่ทุ่มเข้าไปแล้ว ยังไม่ได้ดั่งใจไอ้พี่ท๊อปเลย กูว่ากูเป๊ะแล้วนะ เจอเด็กฝึกเกาหลีเข้าไปกูนี่กระจอกไปเลย



ได้พักซะที

นี่จะซ้อมถึงเที่ยงคืนเลยรึไง เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็โทรมขึ้นเวทีกันพอดี

ว่าแต่ไอ้พี่ท๊อปเข้าไปคุยอะไรกับไอ้ชาวะ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลย ไม่รู้หรือไงว่าน้องมันมีเจ้าของอยู่แล้ว แม่ง ทำไรไม่น่าเคารพเลย



"เหนื่อยเหรอ อะนี่ น้ำ"

"ไม่ต้อง แค่นี้ไม่ตายหรอก" มึงไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีกับกูเลยนะ ไปหาน้องน้ำชาของมึงโน่น

"เป็นไรแว่น โกรธไรพี่เนีย"

"ไม่ได้ชื่อแว่นเว้ย เลิกเรียกซะที"

"ก็... น่ารักดีออก ไม่มีใครมาเรียกซ้ำกับพี่ด้วย"

"น่ารักไปคนเดียวเหอะ ไม่ได้ชื่อน้ำชานะ ไม่ต้องมาพูดว่าน่ารงน่ารักหรอก จะอ้วก"

"อ่อ... ที่แท้จะหึงน้ำชานี่เอง"

"หึงบ้านมึงดิไอ้พี่ท๊อป" ไอ้นี่แม่งชักพูดไรไม่เข้าหูแล้วนะ

"โอเค ไม่หึงก็ไม่เห็นต้องเป็นเดือดเป็นร้อนขนาดนี้เลยนิ หรือว่าหึงจริงๆครับน้องแว่น"

ไอ้เวรเอ๊ย เถียงต่อก็มีแต่จะเข้าตัวเอง

"อะนี่ น้ำ เดี๋ยวต้องซ้อมอีกนาน จะหมดแรงซะก่อน เชื่อเถอะน่า เร็ว รับไป"

แม่ง ทำไมต้องบังคับด้วยวะ กูเป็นระดับประธานลีดแล้วนะ ไม่ใช่เด็กปีหนึ่งใสซื่อที่มึงจะมาบังคับได้

"รับไปซะทีดิ ต้องให้โมโหใช่ไหม" ไอ้ห่าพี่ท๊อป ดูหน้ามันดิ จะโมโหจริงเหรอ รับมาก็ได้วะ "แค่นั้นแหละ กินน้ำเยอะๆจะได้บำรุงสายตา คอนแท็กอ่ะเลิกใส่ได้แล้วมั้ง ได้เป็นลีดมหาลัยแล้วนิ จะมาทำตัวเองให้ลำบากอีกทำไม"

"ไม่มีแว่น ทิ้งไปตั้งนานแล้ว ก็บอกให้เลิกใส่ไม่ใช่หรือไง"

"อะนี่"

เห้ยยยยยยยยยย

แว่นตานี่หว่า เอามาจากไหนวะ

"จะบ้างะ ไม่เอา"

"นี่พี่ยังทำดีด้วยไม่พอใช่ไหม"

"ไม่ใช่ ตาคนเรามันสั้นมันเอียงเท่ากันที่ไหนหละ ใส่แว่นมั่วซั่ว เดี๋ยวก็ได้สายตาเสียไปกันใหญ่"

"ซ้ายสั้น 150 เอียง 50 ขวาสั้น 200 ไม่เอียง"

"......."

"น้ำชาบอกมา เห็นน้องบอกว่าสนิทกับเจ้าตองมาตั้งแต่สมัยมอปลายไม่ใช่เหรอ พี่ก็เลยลองฝากถามเจ้าตองมา ไม่คิดว่าจะรู้จริงๆ"

จะไม่รู้ได้ไงหละ สมัยก่อนก็เคยฝากมันตัดแว่นให้ เพราะบ้านมันอยู่ในเมือง

"สรุปว่าใส่ได้นะ รับไปซิน้องแว่น"

ทำตัวไม่ถูกเลยกูตอนนี้ นี่มันความรู้สึกแบบไหนกันวะ

"ไม่ต้องห่วงนะ ใส่แล้วรับรองว่าไม่ดูดีน้อยลงกว่าเดิมหรอก พี่ศึกษาโครงหน้ามาแล้ว.... ไปถอดคอนแท็คแล้วก็ใส่แว่นซะนะ เดี๋ยวจะเริ่มซ้อมต่อแล้ว"

"เดี๋ยวก่อน! .....





​ขอบคุณ... ครับ"
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: netich ที่ 01-12-2017 19:41:37
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 02-12-2017 10:40:29
น่ารักกกกก ชอบบ
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 02-12-2017 12:13:41
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-12-2017 17:15:54
สนุกกกกกกกก  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

แต่บางทีก็งงๆ เพราะอ่านแล้วไม่รู้ว่าเป็นของบุ๋น
อ่านๆไปก็เอ๊ะ....นี่ใคร
อยากให้ไรท์ ขึ้นที่หัวเรื่องว่า บุ๋น / ต้อม / ขิง...... ถ้าไม่ใช่น้ำชา

แสดงว่าพี่ท๊อป กับบุ๋น มีซัมติงกัน
เคยผิดสัญญากับบุ๋นมาก่อน

พี่ตอง น้ำชา  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ชา นี่รักทรหดจริงๆ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: netich ที่ 02-01-2018 02:42:44
รอๆ
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 27 [แรงบันดาลใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 09-01-2018 22:24:20
​ตอนที่ 27 : แรงบันดาลใจ





คณะมนุษยศาสตร์วันนี้คึกคักไปด้วยผู้คนตั้งแต่บ่าย บูทร้านค้าและแสงสีเสียงที่จัดขึ้นประหนึ่งคอนเสริตเคป๊อป ดึงดูดนิสิตที่ว่างเว้นจากการงดกิจกรรมห้องเชียร์ให้เข้ามาร่วมงานกันคับคั่ง จับจ่ายซื้อของกันไม่ขาดสาย

ส่วนผมตอนนี้ก็เข้ามาแต่งหน้าอยู่กับพี่บุ๋น พี่พลอย แล้วก็เกตุ พร้อมกับช่างแต่งหน้าอีกสองสามคนที่ห้องรับรองคณะมนุษยศาสตร์ เพื่อรอขึ้นแสดงบนเวที แต่คงจะอีกนาน ดูเหมือนว่าจะมีกิจกรรมบนเวทีมากมายพอสมควร

แม้กิจกรรมห้องเชียร์จะถูกงดไปในวันนี้ แต่การถ่ายทอดสดไม่ได้หยุดตามไปด้วย พิธีกรคู่ขวัญยังคงมาทำหน้าที่ ณ สถานที่จัดงาน เพราะถึงอย่างไรแล้ว การแสดงของผู้นำเชียร์ก็ยังมีอยู่ แล้วก็เป็นงานใหญ่ของมหาลัยที่จะประชาสัมพันธ์ให้โลกภายนอกรับรู้ด้วย



ว่าแต่...

พี่บุ๋นกำลังจ้องอะไรอยู่หว่า ผมชะโงกหน้าไปดูด้วยสันดานอยากรู้อยากเห็น

อ่อ.... ที่แท้ก็...

"ชั่งใจอยู่เหรอพี่ ว่าจะใส่แว่นตาหรือคอนแท็คเลนซ์ดี"

"เสือกนักนะมึงอะไอ้ชา" พี่บุ๋นก็ยังปากร้ายเหมือนเดิม แต่ว่าก็ว่านะ ผมกับพี่บุ๋นนี่โคตรจะต่างกันเลยนะ พี่เค้าดูออกแนวดาราไต้หวัน แถมยังโผงผางสุดๆ ไม่รู้พี่ท๊อปหันมาถูกใจแนวนี้ได้ยังไง แต่ก็ดีแล้วหละ คนดีๆอย่างพี่ท๊อปควรจะได้ในสิ่งที่อยากได้บ้าง ในฐานะที่ผมเคยได้รับการอุปการะจากพี่เค้ามาก่อน ผมจะช่วยเต็มที่ก็แล้วกันนะ "แล้วเรื่องของกูอะ มึงถือวิสาสะอะไรเอาไปบอกคนอื่นห๊ะ มึงเลิกเลยนะ ถ้าครั้งหน้ากูจับได้อีก กูจะไม่เกรงใจไอ้ตองแล้วนะ ไอ้เพื่อนห่านี่ก็อีกคน"

"โห พี่ ผมเป็นน้องเอกพี่นะ ถึงขั้นจะลงไม้ลงมือกับน้องเลยเหรอ"

"น้องกูก็ไม่เว้น กูเตือนแล้วนะ ระวังไว้เหอะมึง เดี๋ยวกูจะยุให้พี่กั้งจีบมึง"

เวรละ ขู่กูด้วยบทบัญญัติสูงสุดเลย นี่แหละเรื่องที่กังวลที่สุดในช่วงนี้ จากที่เคยใช้ชีวิตปกติดีๆ ทุกวันนี้ไอ้พี่ตองกลับมาคลุ้มคลั่งอีกแล้ว

"ผมก็ไม่ได้บอกอะไรเป็นพิเศษซะหน่อยพี่ ก็แค่ข้อมูลทั่วๆไป"

"อะไรก็ห้ามทั้งนั้นแหละ"

"ว่าแต่... พี่ไม่ลองใส่แว่นดูอ่ะ ผมว่าก็หล่อไปอีกแบบนะ บางคนอาจจะชอบที่พี่ใส่แว่นก็ได้" นี่กูหยอดแทนพี่ท๊อปอยู่ใช่ไหม ร้ายจริงๆกู

"...." มีลังเลซะด้วย ได้ผลแฮะ ยังงี้ต้องบอกพี่ท๊อปให้ขยันหยอดบ่อยๆ



"ไอ้เกรียนชาาาาา รู้หรือเปล่าาาาาาาา"

ไอ้ต้อมเพื่อนสารเลว มึงอย่ามาทำเป็นเรียกกูเสียงดัง มึงก็รู้อยู่ว่ากูอยู่ในนี้ กูเป็นคนให้มึงมาหาเอง

"ไอ้สัด มึงจะเสียงดังทำไม"

"โอ้โหเพื่อน มาถึงก็ด่ากูเลย ขอบคุณกูซักคำก่อนไหม กูอุตส่าไปเอาชุดมาให้คณะมึงเนีย งานกูก็ไม่ใช่ เสียเวลากูเดินสวีทกับน้ำขิงหมด"

"เออๆ ขอบใจ.... พี่ๆครับ ชุดได้แล้วนะครับ วางไว้ตรงนี้นะครับ"

ทุกคนเดินมาหยิบชุดของตัวเองไป

"แล้วมึงไปไงมาไงเนีย ทำไมมาเต้นงานเกาหลีกับเค้าได้"

"กูก็งงๆเหมือนกัน"

"แล้วมึงเต้นเป็นเหรอวะ ไอ้เกาหลีอะไรเนีย"

"จะไปเต้นเป็นได้ไง แค่เต้นลีดธรรมดาก็ลำบากจะตายห่าแล้ว แต่พี่ท๊อปเค้ามาช่วยสอนให้"

"ห๊ะ จริงดิ นี่พี่เค้ายังไม่เลิกจีบมึงอีกเหรอวะ ตอนโดนมึงปฏิเสธไปที่เกาหลี กูก็นึกว่าพี่เค้าได้สาวเกาหลีมาด้ามหัวใจไปแล้ว"

ไอ้ต้อม ไอ้เ-ี้ยยยยยยยยยยยย มึงพูดไรไม่ดูสถานการณ์เลย

"จีบบ้าจีบบออะไรของมึง พี่ท๊อปเค้าเคยจีบกูที่ไหน"

"กูไม่เก่งแต่ก็ไม่ได้โง่เปล่าวะ คอยตามเทคแคร์มึงทั่วกรุงโซลซะขนาดนั้น กูนึกว่าพี่เค้าจะซื้อของให้มึงหมดตลาดเมียงดงแล้วมั้ง แบบนี้ไม่เรียกจีบให้เรียกไร"

มึงช่วยดูตากูหน่อยไหม มึงยังจะพูดอีก ไอ้ชิบหาย

"เป็นไรวะ เจ็บตาเหรอ" ไอ้สัด โง่ซ้ำซากนะมึงอ่ะ

​บั๊ก

​นั่นไง พี่บุ๋นวางแว่นตาลงบนโต๊ะอย่างแรง ดีนะแว่นไม่แตกหักเสียหาย

ตามด้วยการลุกไปเข้าห้องน้ำทันที

ชัดเจนนนน เลือกใส่คอนแท็คเลนซ์ซินะ

"มึงต้องเคลียร์กับกูนะไอ้สัดต้อม ทำกูเสียแผนหมด"

"แผนไรของมึงวะ วางแผนอะไรของมึงอีกแล้ว"

"เสือก"

"เออ กูไปละ น้ำขิงรออยู่ข้างล่าง เดี๋ยวแฟนกูจะโดนเด็กมนุษย์โฉบไปแดกซะก่อน"

รีบไปเลยนะ ไอ้เพื่อนเวร



เอ๊ะ นั่น พี่ท๊อปเข้ามาพอดี รีบไปรายงานเหตุวิกฤตเร่งด่วนก่อนดีกว่า เผื่อคิดแก้ปัญหากันได้



เชี่ยยยยยยยยยยย

พี่บุ๋นออกมาเจอพี่ท๊อปพอดี

"อ้าว พอดีเลยน้องแว่น นี่ ทาโกยากิ เห็นข้างล่างมีขายพอดี คราวนี้พี่ซื้อมาให้นะ อย่าเอาไปให้ใครอีกละ"

"ไม่แดกโว้ย เอาไปให้หมาแดกไป" ผมขอโทษที่ท๊อป ผมเข้าไปแทรกไม่ทันจริงๆ หน้าเหวอไปเลยพี่กู

"โกรธอะไรพี่เนีย"

"จะโกรธทำไม ไม่ได้เป็นไรกันซะหน่อย จะไปจีบใครก็ไป กูชอบผู้หญิง จำไว้ด้วยว่าคนอื่นเค้าไม่ใช่ตัวสำรอง" ความปากร้ายระดับสิบของพี่บุ๋น สงสัยจะเดือดจริงงานนี้ "น้องเกตุครับ แต่งหน้าเสร็จแล้วใช่ไหม ไปเดินเล่นงานข้างล่างกันครับ เดี๋ยวพี่เลี้ยงหนม"

เอาแล้ววววว งานประชดก็มา

"ค... ค่ะ" เกตุตอบรับแบบงงๆ



พี่บุ๋นแทบจะลากเกตุออกจากห้องไปทันทีเลย



"คือ...." ผมก็รีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พี่ท๊อปฟังทันที

ฟังจบพี่แกก็แทบจะกระโจนออกจากห้องเลย

"ท๊อป! เดี๋ยวก่อน! จะไปไหน มาแต่งหน้าก่อน เดี๋ยวคิวต่อไปก็ต้องขึ้นเวทีแล้วนะ" ยังไม่ทันจะออกจากห้อง พี่ช่างแต่งหน้าก็เรียกให้พี่ท๊อปกลับมา งานนี้คงเอาแต่ใจไม่ได้ พี่เค้าจึงจำใจต้องเดินกลับเข้าไปแต่งหน้าโดยดี

สงสารเลยกู ทาโกยากิเป็นหมันเลย



"ชา" พี่ตองมาถึงเช่นกัน "เสร็จยังครับ ไปเดินที่งานกันเถอะ"

"เสร็จแล้ว เดี๋ยวใกล้ขึ้นเวทีค่อยกลับมาแต่งตัว ชาหิวจะแย่แล้ว รีบไปกัน"



ทันที่ที่ผมลงมาถึงด้านล่างของบริเวณงาน

"ขอโทษนะคะ ใช่... น้ำชาคณะวิทย์หรือเปล่าคะ"

หือ? สาวๆกลุ่มหนึ่งเข้ามาทักผม

"ช...ใช่ครับ" ผมตอบงงๆ

"ขอถ่ายรูปด้วยได้ไหม" พวกเธอกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ที่เห็นว่าผมคือคนที่หมายถึง

"อ.. อ๋อ ได้ๆครับ"

เพิ่งเข้าใจอารมณ์ของการเป็นที่รู้จักก็ตอนนี้แหละ

"น่ารักมากเลย เราอยู่เกษตรนะ อะๆ อันนี้อมยิ้มเกาหลี เราให้นะ"

"ไม่.. ไม่เป็นไรดีกว่าครับ เกรงใจ" เขินเลยกู จะให้มารับของที่คนอื่นซื้อมาได้ยังไง

"รับซิชา ห้ามปฏิเสธนะ​" พี่ตองกระซิบผม

"ข.. ขอบคุณครับ" ผมรีบยื่นมือไปรับตามที่พี่ตองแนะนำ

"เราด้วยๆ" "อันนี้ของเรานะ"

พวกเธอให้ของผมเต็มเลย เขินสุดๆกู งานนี้

"ยังไงอย่าลืมเชียร์น้องน้ำชาให้เป็นลีดมหาลัยด้วยนะครับ" ไอ้พี่ตอง แกพูดบ้าอะไรเนีย

"เชียร์แน่นอนค่ะ สู้ๆนะน้ำชา"

"ค... ครับ ขอบคุณมากนะครับ"

แล้วพวกเธอก็เดินจากไป ยังคงหัวเราะต่อกระซิบกันไม่หยุด

"เริ่มมีแฟนคลับแล้วนะ" พี่ตองแซว

"เค้าแค่สงสารที่ชาไม่มีแฟนคลับเหมือนคนอื่นต่างหาก"

​นั่นน้ำชานิ  น้องน้ำชาคณะวิทย์กับพี่ตองวิศวะนี่นา แกๆเข้าไปขอถ่ายรูปดีไหมอ่ะ มึงๆน้ำชาน่ารักมากอ่ะตัวจริง

​ไม่ทันขาดคำ เสียงคนพูดถึงผมก็ดังจอแจเต็มไปหมดเลย

"คนสงสารเยอะจังนะ" พี่ตองยิ้มกริ่ม



นี่ผมมีคนรู้จักเยอะขนาดนี้เลยเหรอ สงสัยจะเป็นเพราะแต่งหน้าทำผมด้วยละมั้ง ก็เลยทำให้เป็นเป้าสายตามากกว่าปกติ

ระหว่างเดินในงาน ก็ยังมีคนคอยเอาขนมมาให้ตลอดเลย แทบจะไม่ต้องซื้อเลย คนที่เอามาให้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นกลุ่มผู้หญิงกับแก๊งนางฟ้า



"ไอ้ชาเย็น" ผมบังเอิญมาเจอไอ้ต้อมกับขิงที่บริเวณไม่ไกลจากเวที โอ้โห ไอ้ต้อมยิ่งกว่าผมอีก ของฝากเต็มไม้เต็มมือจนขิงต้องช่วยถือเลย "มึงขึ้นเวทีตอนไหนวะ"

"อีกสักพักแหละ เดี๋ยวก็ว่าจะขึ้นไปแต่งตัวแล้ว"

พอพูดถึงเรื่องนี้ก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาทันที เดี๋ยวจะได้มีประสบการณ์ใหม่ในการโชว์ต่อหน้าคนแบบเป็นเรื่องเป็นราวแล้ว



"อิชาาาาาาาาา" คิดว่าใครกำลังเรียกผมอยู่ ผมว่าทุกคนคงจะเดาออก สามสาวเพื่อนหญิงพลังหญิงของผมนั่นแหละ "อุ๊ย พี่ตอง แล้วก็ต้อมสถาปัตย์ด้วย วันนี้กูต้องรีบไปทำบุญแล้ว แต้มบุญกูหมดแน่เลย แม่ชีทศพรเตือนกูมาในนิมิต"

"นี่ๆ กูก็เพื่อนมึงมั้ง" อิพวกนี้นิ เห็นผู้ชายหล่อๆหน่อยไม่ได้

"เอออออออ แต่วันนี้มึงก็หล่อเหมือนกันนะเนี่ยอิชา ไม่เสียแรงที่กูจะเป็นบัดดี๊ให้"

"มัวละมึงอ่ะ แล้วพวกมึงมาเดินเที่ยวงานกันด้วยเหรอ"

"No ค่ะ กูมาทำหน้าที่บัดดี๊ส่วนตัวที่ดีของมึง กูเกณฑ์เพื่อนๆที่เอกแล้วก็ที่คณะมาเชียร์มึง อีกซักพักก็คงมากันแล้ว นี่ไง ดูซิ"

หึ ว่าไงหนะ มันโชว์อะไรในมือถือให้ดู

แล้วนั่นอะไร ทำไมในมือถือของพวกมันมีคำว่า ​น้ำชา โชว์อยู่

"เห้ย เอางี้เลยเหรอ จะทำทำไม กูอายเค้า"

"โอ๊ยยยย อายอะไร ต้องปลุกกระแสมึงไว้ตลอด เส้นทางบัดดี๊ลีดมหาลัยของกูต้องโรยด้วยกลีบกุหลาบเท่านั้น"

คิดจะถามกูบ้างไหม

"มึงๆๆ นั่นพี่ท๊อปนี่นา" วาวาเรียกให้มองไปที่เวที



ดูเหมือนว่าตอนนี้พี่ท๊อปจะถูกพิธีกรเชิญขึ้นไปบนเวที ซึ่งแน่นอนว่า เสียงกรี๊ดดังลั่นตึกเลย



"ขอบคุณพี่ท๊อปมากนะครับที่วันนี้ให้เกียรติมาพูดคุยกับเราบนเวที" พิธีกรกล่าว

"รบกวนพี่ท๊อปแนะนำตัวเป็นภาษาเกาหลีให้ทุกคนในงานฟังหน่อยได้ไหมคะ"

"ได้ครับ 안녕하세요  저는 TOP 입니다  반갑습니다​"

อือหือ โอ้ปป้าตัวจริงเลย สาวๆกรี๊ดกันแทบสลบ

"วันนี้ แน่นอนนะครับว่า เทศกาลไทยเกาหลีแบบนี้ ทุกคนในมหาวิทยาลัยก็ต้องนึกถึงพี่ท๊อปอยู่แล้ว ไม่ทราบว่าตอนนี้พี่เป็นศิลปินฝึกหัดที่เกาหลีไปนานแค่ไหนแล้วครับ"

"ก็... ปีกว่าๆแล้วครับ เดี๋ยวเย็นวันนี้ก็ต้องขึ้นเครื่องไปที่โน่น"

"การเทรนที่โน้นเป็นยังไงบ้างคะ หนักมากไหมคะ"

"แรกๆก็หนักครับ ต้องเข้าไปที่บริษัทตั้งแต่เช้าเลย กว่าจะได้นอนก็เที่ยงคืนตลอด แต่ถ้าช่วงไหนที่มีการทดสอบประจำรอบ ก็แทบจะไม่ได้นอนเลย"

"โอ้โห โหดสมคำล่ำลือจริงๆนะครับ"

"แล้วแบบนี้พี่ท๊อปจะมีผลงานออกมาเมื่อไหร่คะ"

"การเดบิวท์อะเหรอครับ ก็ต้องแล้วแต่ทางค่ายพิจารณาแหละครับ"

"ผมได้ยินว่ามันยากมากๆเลยใช่ไหมครับ กว่าที่ศิลปินฝึกหัดซักคนจะได้เดบิวท์"

"ใช่ครับ บางคนฝึกเป็นสิบๆปีแล้วไม่ได้เดบิวท์ก็มีนะครับ"

"โห จริงเหรอครับ แบบนี้... ถ้าสมมติผมจะให้พี่ท๊อปเปรียบเทียบความลำบากในการเป็นศิลปินที่เกาหลีให้น้องๆที่อาจจะอยากไปตามหาฝันเหมือนพี่ท๊อปฟัง จะเปรียบเทียบให้เราเห็นภาพได้ยังไงครับ"

"เปรียบเทียบเหรอครับ... ผมก็คงเปรียบเทียบกับการที่เราจะเจอคนรักซักคนมั้งครับ" สาวๆกรี๊ดกันอีกแล้ว "คือถ้าเราหลงผิดในภาพลักษณ์ของค่ายแล้วคิดว่ามันเหมาะกับเรา ทั้งๆที่มันไม่ใช่ที่ๆจะพาเราไปสู่จุดมุ่งหมายได้ ก็เหมือนกับที่ผมเคยไปชอบใครซักคน แต่ผมกับเขาไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นคู่กัน มันก็จะเป็นแค่เรื่องเสียเวลาเรื่องนึงเท่านั้น แต่ในทางกลับกัน อาจจะมีค่ายบางค่ายที่เรามองข้ามมานานนับปีทั้งที่รู้จักดีอยู่แล้ว แล้วก็มีโอกาสที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในนั้น นั่นอาจจะเป็นที่ๆรอเราอยู่ก็ได้ เหมือนผมที่มองข้ามคนสำคัญคนนึงมานาน ทั้งๆที่ผมไม่รู้เลยว่า ผมฝากหัวใจไว้กับเค้าตั้งนานแล้ว"



อือหืออออออออออออ

ชัดเจนกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ภาวนาให้พี่บุ๋นฟังอยู่ทีเถอะ



"นี่ถ้ากูเป็นผู้หญิงคนที่พี่ท๊อปพูดถึงนะ กูจะกระโดดขึ้นไปกอดพี่แกบนเวทีเดี๋ยวนี้เลย" ไอ้ต้อมอ้าปากค้างในความโรแมนติกของพี่ท๊อป

แต่คนที่พี่ท๊อปหมายถึงไม่ได้อยากทำอย่างงั้นอะดิ



"สมกับที่เป็นโอ้ปป้าในใจสาวๆหลายๆคนจริงๆเลยนะคะ" พิธีกรหญิงเสียอาการด้วยความความเขินจนม้วน

"เอาละครับก่อนที่น้องหญิงจะเขินไปมากกกว่านี้ วันนี้พี่ท๊อปมีเพลงเพราะๆมาฝากพวกเราทุกคนด้วย พร้อมจะฟังกันหรือยังครับ"

"​พร้อมมมมมมมมม​" ดังกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

"ขอเสียงปรบมือด้วยคร้าบบบบบบบ"

​​กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด



"ถ้าฉันคิดได้อย่างวันนี้

ตั้งแต่วันนั้นที่เธอยังอยู่

ถ้าฉันนั้นรู้ในถูกผิด เธอคงไม่คิดจะจากไป

ที่ฉันร้องไห้อยู่ตอนนี้

กลั่นจากส่วนลึกในหัวใจ ที่ร้องไห้เพราะใจกำลัง... คิดถึงเธอ

เธออยู่ที่ใด  ได้โปรดมาฟัง  บางสิ่งในใจที่ในวันนี้ยังติดค้าง

แต่ฉันไม่รู้  จะเจอเธอที่ไหน โลกใหญ่เกินจะค้นเจอ



อยากขอโทษที่เคยเอาแต่ใจ

อยากขอโทษอะไรที่ร้ายๆ

อยากให้เธออภัยในสิ่งที่ฉันผิดพลั้งไปมากมาย

อยากขอโทษในวันที่ผ่านมา

อาจเพราะฉันมีตาแต่หามีแววไม่

ทำสิ่งดีๆหล่นหาย

ทำคนที่รักฉันเสียใจ

เธออยู่แห่งใดที่ไหน

ฉันละอายแก่ใจต่อเธอเหลือเกิน*…*



ฉันพร้อมชดใช้ให้เธอแล้ว

แววตาตอนนี้ฉันว่างเปล่า

ฉันขอให้ความเป็นเรา กลับคืนมาได้ไหม

เธออยู่ที่ใด ได้โปรดมาฟัง บางสิ่งในใจที่วันนี้ยังติดค้าง

แต่ฉันไม่รู้ จะเจอเธอที่ไหน โลกใหญ่เกินจะค้นเจอ

อยากขอโทษที่เคยเอาแต่ใจ

อยากขอโทษอะไรที่ร้ายๆ

อยากให้เธออภัยในสิ่งที่ฉันผิดพลั้งไปมากมาย

อยากขอโทษในวันที่ผ่านมา

อาจเพราะฉันมีตาแต่หามีแววไม่

ทำสิ่งดีๆหล่นหาย

ทำคนที่รักฉันเสียใจ

เธออยู่แห่งใดที่ไหน

ฉันละอายแก่ใจต่อเธอเหลือเกิน



อยากให้เธออภัยในสิ่งที่ฉันผิดพลั้งไปมากมาย

อยากขอโทษในวันที่ผ่านมา

อาจเพราะฉันมีตาแต่หามีแววไม่

ทำสิ่งดีๆหล่นหาย

ทำคนที่รักฉันเสียใจ

เธออยู่แห่งใดที่ไหน

ฉันละอายแก่ใจต่อเธอ.... เหลือเกิน”



ไม่อาจมีความคลั่งไคล่ใดที่ผู้ฟังจะแสดงไปได้มากไปกว่าการกรี๊ดเชียร์และปรบมือให้กับน้ำเสียงอันไพเราะและการสื่อความหมายเพลงที่ลึกซึ้ง

ผมยังแอบหวั่นใจเลยนะ พูดตรงๆ



"พี่ท๊อปชักจะหวานกว่าพี่แล้วนะ" ไอ้พี่ตอง พูดไรของมัน "ไม่ได้แล้ว พี่ต้องหวานกับชาบ้างแล้ว"

หึ! ยื่นอะไรมาให้อ่ะ "อะไรอ่ะ"

"ที่หนีบเน็คไท"

"แล้วทำไมต้องมีคำว่า TONG ด้วย"

"ก็คนอื่นจะได้รู้ไงว่า น้องน้ำชาคณะวิทย์มีแฟนชื่อตองแล้ว"

พูดไม่ออกเลยกู

ไอ้พวกที่อยู่รอบตัวกูนี่ก็อะไรไม่รู้ มึงไม่ต้องมาเขินแทนกูเลย แค่นี้กูก็เขินจะแย่แล้ว

"ส่วนพี่ก็..." อะไรอีก พี่ตองหยิบที่หนีบเน็คไทที่มีคำว่า NUMCHA มาหนีบไว้ที่เน็คไทของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ "พี่จะได้มีน้ำชาอยู่ใกล้ๆหัวใจตลอดไง"

"แหวะ จะอ้วก" กูต้องพูดบ้างแล้ว ไอ้พี่ตองบ้า อยู่ดีๆก็หยอดครั้งใหญ่ใส่กูเลยนะ แถมยังทำต่อหน้าเพื่อนๆอีก

พวกมึงก็เลิกเขินกันได้แล้ว จะมาบิ๊วกูเพิ่มทำไมเนีย



"หวานเนอะ พี่ท๊อปอ่ะ"

"อ้าว เกตุ" จู่ๆเกตุก็โผล่มา แล้ว... "ไม่ได้อยู่กับพี่บุ๋นเหรอ"

"พี่บุ๋นกับชาเหมือนกันตรงไหนรู้ไหม" อะไรหว่า "ก็ตรงที่ต้องคอยให้เกตุเตือนสติในช่วงวิกฤตกันทั้งคู่ไง ทำไมคนเราถึงชอบทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องของตัวเองกันนักนะ พี่ท๊อปก็แสดงออกชัดเจนขนาดนี้"

นี่แปลว่า เกตุพูดเตือนสติพี่บุ๋นเหมือนที่เคยเตือนสติเรื่องของผมกับพี่ตองตอนนั้นซินะ

เกตุนี่น่ารักจริงๆ สมควรได้เจอผู้ชายดีๆนะเนี่ย



"ขอโทษครับ" มีคนใหม่เข้ามาอีกแล้ว

อือหือ คนนี้หล่อโฮก แต่งตัวดีด้วย ดูมีสกุลรุนชาติสุดๆ

"อ้าว กอล์ฟ มีไรวะ" หึ คนรู้จักของพี่ตองเหรอ "ทุกคน นี่เพื่อนพี่เองครับ ชื่อกอล์ฟ"

"นี่มัน... พี่ใช่พี่กอล์ฟเดือนมหาลัยปีที่แล้วหรือเปล่าคะ" อิเล็กผู้ตื่นเต้นร้องขึ้น

"อ๋อ ใช่ครับ" อ๋ออออ กูไม่แปลกใจเลย

"กรี๊ดดดดดด พวกหนูขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมคะ"

"ก็... ได้ครับ แต่ว่า.... ถ้ามีใครขอเบอร์น้องเกตุให้พี่ได้ พี่จะยอมถ่ายรูปด้วย  แลกกัน"

โวววววววว  มีคนที่กล้าเข้ามาจีบผู้หญิงตรงๆแบบนี้ด้วยเหรอวะ แต่พี่กอล์ฟคนนี้ก็ดูจะเขินอายไม่ใช่น้อยๆเลย นี่ต้องรวบรวมความกล้ามาขนาดไหนเนีย แต่ก็นับถือใจเลย

"ผู้อยากได้เบอร์ชะนี สวยเซ็ง" อิเล็กบ่น "แต่ก็ไม่เป็นไร ถือว่าได้ถ่ายรูปก็ยังดี เอาไปเป็นผัวในจินตนาการเอาก็ได้... เกตตตตตตตตตุ เธอ นี่ จำเราได้ไหม คนที่จะเป็นบั๊ดดี้ในอนาคตของเกตุไง ช่วยให้เบอร์พี่กอล์ฟหน่อยได้ไหม นะนะนะนะ ถือว่าเราขอร้องหละ จะให้กราบก็ได้"

"เราก็ขอร้องด้วยคนนะ" "เราด้วยๆ พี่กอล์ฟเชียวนะ"

"จะบ้าเหรอ ทำอะไรกัน" อิพวกนี่ก็จะกราบจริง เรื่องผู้ชายนิพวกมึงทุ่มเทกันจริงๆนะ "เราไม่ให้เบอร์คนที่ไม่กล้าขอเบอร์ผู้หญิงด้วยตัวเองหรอก"

โอ้โห เกตุสวยและสตรองสุดๆไปเลย ไม่เขินและไม่มีการเดินหนีด้วย

อิพวกสามเกลอเอ๊ยยยย ยุพี่กอล์ฟใหญ่เชียวนะ

"คือ... น้องเกตุครับ พี่เห็นน้องมานานแล้ว.... แต่... ตัวจริงสวยกว่าในทีวีมากเลยนะครับ"

ผมละขำในความขี้เขินของผู้ชายที่ควรจะมั่นใจในตัวเองจริงๆ

"เกตุให้ขอเบอร์ค่ะพี่กอล์ฟ พูดว่า ​ขอเบอร์หน่อย ​ซิค่ะ" อิเล็ก อิช่างเสี้ยม

"ข... ขอเบอร์หน่อย  ครับ น้องเกตุ" พูดออกมาจนได้

เกตุยังยืนนิ่ง ลุ้นแทนเลยผม

เอาจริงๆนะ ผมนี่เชียร์สุดชีวิตเลย ในฐานะที่เกตุทำเรื่องดีๆให้ความรักของคนอื่นมามาก พี่คนนี้ถือว่าคือผลบุญที่เกตุได้สร้างสมมาจริงๆ

"สามเวลา" หึ! เกตุพูดไรอ่ะ "ต้องโทรมาสามเวลาทุกวัน เช้า กลางวัน ก่อนนอน ไม่งั้นเกตุจะไม่คุยด้วยอีก แล้วทุกวันอังคารกับพฤหัสฯก็ต้องมาเฝ้าเกตุซ้อมที่คณะด้วย"

"ด... ได้ครับ ยินดีครับ" พี่กอล์ฟทำท่าดีใจอย่างกับได้ถ้วยฟีฟ่าแชมเปี้ยนลีค

ก็นึกว่าอะไร เกตุนะเกตุ

"ชาไม่ต้องมายิ้มเลยนะ" เกตุเอ็ดผมเฉยเลย "ก็เพราะชากับพี่ตองนั่นแหละ ทำให้เกตุอิจฉา ว่าแต่... เพื่อนพี่ตองคนนี้ โอเคใช่ไหมคะ"

"โอเคมากครับ พี่เอาหัวเป็นประกันเลย ไม่ได้มีดีแค่ที่หน้าตาแน่นอน" โอ้โหไอ้พี่ตอง อวยเพื่อนขนาดนี้ ไม่ใส่พานมาถวายเลยหละ

"เย้ๆๆๆ" อิเล็กยังไม่ลืมเรื่องของตัวเอง "งั้นก่อนจะให้เบอร์อะไรยังไงกัน หนูและชาวคณะต้องได้ถ่ายรูปกับพี่กอล์ฟก่อน ใครจะไปเป็นแฟนใครตอนไหนไม่รู้ แต่ตอนนี้ในหัวหนูได้เสียตัวให้พี่กอล์ฟเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มาค่ะพวกมึง ถ่ายรูป"

นี่กูมีเพื่อนอย่างพวกมึงเข้าไปได้ยังไงเนีย



"ดีจังเลยนะ" พี่ตองกระซิบกันผม "ที่ความรักของเราเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้ด้วย"

"เสียดายขนมที่กินเข้าไปจริงๆ จะอ้วก" เออ กูเขิน ไอ้พี่ตองบ้านิ เป็นแฟนกันแล้วยังจะขยันหยอดอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน

"เหลือก็แต่ไอ้บุ๋นซินะที่ความรักของเราเป็นแรงบันดาลใจให้มันไม่ได้"

เออ นั่นดิ สงสารพี่ท๊อปจัง พี่บุ๋นดูท่าจะไม่ใช่พวกยอมเปิดใจกับใครง่ายๆซะด้วย เอาไงดีน้า.... ต้องมีแผนอะไรบ้างดิวะ



"อิเจสซี่" ผมนึกอะไรออกแล้ว

"อะไร จะถ่ายรูปกับพี่กอล์ฟด้วยหรือไง สามีของมึงยังยืนอยู่ตรงนั้นทดโท้นะคะ"

"จะบ้ารึไง กูมีเรื่องให้ช่วย มึงอยากเป็นบั๊ดดี้ของกูจริงๆใช่ไหม งั้นทำไรให้กูอย่างนึงดิ"

แผนนี้ต้องได้ผลไม่มากก็น้อยแหละวะ



"เอาหละครับต่อไปเรามาส่งเสียงเชียร์ดังๆให้กับตัวแทนผู้นำเชียร์จากคณะวิทยาศาสตร์!!!!"

การแสดงของผมเริ่มต้นในที่สุด

จริงๆผมก็ตื่นเต้นนะ แต่มีอีกเรื่องที่ผมตื่นเต้นมากกว่า

เพลงเริ่มขึ้นแล้ว ผม เกตุ พี่บุ๋น และพี่พลอย ออกลีลาท่าเต้นตามที่ได้ซ้อมมาอย่างหนักเมื่อคืนนี้

และในสายตาของผมก็ได้เห็นสิ่งที่ตัวเองวางแผนเอาไว้

อิเจสซี่ อิเล็ก วาวา และเพื่อนๆชาวคณะวิทยาศาสตร์ที่พวกมันเกณฑ์มาเพื่อเชียร์ผมหลายสิบคน กำลังชูป้ายเชียร์ ทั้งแบบใช้มือถือและป้ายเขียน แต่ทั้งหมดนั้นไม่ใช่ชื่อของผมนะ แต่มันเขียนว่า ​บุ๋น ​ต่างหาก

อย่าคิดว่าผมจะทำแค่นั้นนะ เพราะไฮไลท์จริงๆอยู่ที่คนที่ยืนอยู่ตรงกลางของป้ายเชียร์เหล่านั้นต่างหาก พี่ท๊อปกำลังถือป้ายทำมือที่ใหญ่ที่สุดในป้ายเชียร์ทั้งหมด ในคำว่า

'ขอโทษ'



ถึงจะอยู่ระหว่างเต้นก็ผมก็สังเกตุเห็นนะว่าพี่บุ๋นหน้าเหวอไปเลย หรือจริงๆแล้วแอบเขินกันแน่วะ



"ปรบมือให้กับโชว์ชุดพิเศษนี้ด้วยคร้าบบบบ... อ้าวๆๆ ใจเย็นๆครับน้องๆแฟนคลับ ได้มอบของให้คนที่น้องๆชื่นชอบแน่นอน ไม่ต้องแย่งกันนะครับ"

จบจากการเต้นที่หายใจหอบเล็กน้อย เหล่าคนดูที่ชื่นชอบในตัวพวกเราก็กรูกันเข้ามามอบของเล็กๆน้อยๆให้ บางคนก็ไม่เล็กน้อยนะ อย่างเช่นไอ้พี่ตองนี่แหละ

ไอ้บ้าเอ๊ยยยยยย ตุ๊กตาตัวใหญ่แถมมีชื่ออันใหญ่ปักที่หน้าอกว่า ตอง อีก นี่มึงกะจะให้เห็นกันทั้งโลกเลยหรือไง

เอ๊ะ! ว่าแต่ พี่ท๊อปให้อะไรพี่บุ๋นวะ

ผมที่ยืนอยู่ติดกับพี่บุ๋น เห็นพี่แกยืนเก้ๆกังๆจะรับอะไรบางอย่างจากพี่ท๊อป ทุกคนก็เหมือนจะรู้งานนะ หลบให้หมดเลย

นั่นมัน...

แว่นตาที่พี่บุ๋นทิ้งไว้ในห้องแต่งหน้านี่นา

อันนี้ผมไม่ได้วางแผนไว้นะ เป็นความโรแมนติกของพี่ท๊อปเอง แต่พี่ทำให้ผมเขินแทนเลยก็คือ....







"ขอโทษที่พี่เคยมองข้ามไป ตอนนี้พี่มองเห็นชัดแล้ว ขอโอกาสให้พี่ใหม่ ได้ไหมครับ...."
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 28 [เฟรชชี่ไนท์]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 10-01-2018 14:07:20
​ตอนที่ 28 : เฟรชชี่ไนท์





"ขอบใจมากนะทุกคน เดี๋ยวพี่จะเอาเสื้อไปคืนที่ร้านให้เองนะ ไปเดินเล่นที่งานกันเถอะ"

หลังโชว์เสร็จผมและทุกคนกลับขึ้นมาที่ห้องแต่งตัวของคณะมนุษยศาสตร์อีกครั้งเพื่อเปลี่ยนชุด

"ใส่แว่นแล้วหล่อดีนะพี่" ไอ้ชา กูเปลี่ยนมาใส่แว่นตาแค่สิบวินาทีมึงก็มาแซวกูเลยนะ

"กูลืมเอาน้ำตาเทียมมาก็เลยต้องใส่แว่น" ไอ้น้องห่านิ แล้วกูโวยวายทำไมวะ

"ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเลย ผมบอกว่าหล่อนะพี่" ไอ้น้องนี่มันชักจะไม่เห็นหัวกูแล้ว เดี๋ยวเถอะมึง "อ้าว พี่ท๊อป ไม่ไปเดินเล่นที่งานเหรอครับ"

หึ ไอ้พี่ท๊อปมาเข้าเหรอ ไม่หันไปดีกว่า

"ไม่อ่ะครับ เดี๋ยวพี่ต้องไปขึ้นเครื่องแล้ว"

"อ๋อครับ งั้นผมไปเดินเที่ยวงานก่อนนะครับ พี่ตองรออยู่"

"ครับ เจอกัน"

อ้าว หนีกูไปกันหมดเลย รีบเก็บเสื้อผ้าใส่ถุงแล้วรีบออกไปดีกว่า



"พี่ช่วยครับ"

"ไม่ต้อง" ไม่ต้องเข้าใกล้กูเลยนะไอ้พี่ท๊อป กูยังไม่พร้อมสบตามึง

"....."

โอ๊ยยยย ไอ้พี่ท๊อป ทำไมต้องทำหน้าเหมือนหมาหงอยอย่างงั้นด้วยวะ มึงอยู่ปีสามแล้วนะ งอนเป็นเด็กอยู่ได้

"ไปเก็บโต๊ะกับเก้าอี้ให้เข้าที่ก็แล้วกัน"

"ได้เลยครับ"

ทีอย่างงี้ยิ้มร่าเชียวนะมึง



"เสร็จแล้ว" หือ? ไว้เกิ๊นนนน "มาครับ พี่ถือชุดให้"

"ไม่ต้อง.... เออๆๆ เอาไป ถือดีๆหละ" รีบเดินไปดีกว่า ไอ้บ้านี่ชักอาการหนักขึ้นเรื่อยๆแล้ว

"เดี๋ยวพี่ก็ต้องไปเกาหลีแล้วนะครับ"

"ก็ไปทุกอาทิตย์อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ จะเกิดจิตอ่อนขึ้นมาอาทิตย์นี้รึไง"

"ก็ทุกอาทิตย์ไม่มีคนให้คิดถึงไง"

"ป... ประสาท" มึงพูดห่าอะไรของมึง ไอ้พี่ท๊อป กูไม่ใช่สาวกแฟนคลับมึงนะ "รีบเดินมาเหอะน่า... อะนี่ ถึงรถแล้ว เอาเสื้อผ้าใส่เข้าไปดิ จะรีบเอาไปคืนที่ร้าน"

"พี่พูดจริงๆน้าาา มันใจหายแปลกๆ ไม่เหมือนทุกที"

"พูดมาก หลบไป จะไปแล้ว" ไอ้คนกวนประสาท รีบหนีมันดีกว่า

​ก๊อก ก๊อก ก๊อก

​แหน๊ะ ปิดรถแล้วยังจะเคาะกระจกอะไรอีก



"อะไรอีก ไม่มีอะไรให้ช่วยแล้ว"

"ก็... พี่ให้อะไรบุ๋นไปตั้งเยอะแล้ว ไหนๆพี่ก็จะไม่ได้เจอตั้งสองวัน ขออะไรพีหน่อยไม่ได้เหรอ"

"ไม่ได้ขอร้องให้เอามาให้ ยุ่ง"

"เดี๋ยวดิ... นะครับ อะไรก็ได้ ลูกอมซักเม็ดก็ยังดี"

โอ๊ยยยยยยยยยยย

เอานี้ไปละกัน

"อ่ะนี่"

"....." ทำหน้าช็อกทำไม ไม่คิดว่ากูจะเก็บมันไว้ตลอดอะดิ "นี่บุ๋นยังเก็บไว้อยู่อีกเหรอครับ ป้ายชื่อ ​ที่พี่เคยประทับตราให้"

"เก็บไว้ จะทำไม แล้วห้ามทำหายนะ... พอใจแล้วใช่ไหม เอามืออกไปได้แล้ว"

ไม่สนใจแล้ว ปิดกระจกแล้วขับออกไปดีกว่า

บ้าชะมัด

​สุดท้ายกูก็ใจอ่อนจนได้





ในมุมของน้ำชา





นี่เป็นสุดสัปดาห์แรกที่ชีวิตของผมเป็นปกติที่สุด ไม่ต้องไปบ้านใคร ไม่ต้องเดินทางไกลไปต่างประเทศ ไม่ต้องมีเรื่องให้หนักสมอง ได้ใช้เวลาอยู่กับเพื่อน ติวเลขให้พี่ตอง ออกไปกินแกงเห็ดเป็นมื้อค่ำ แถมเงินค่าส่งวิจารณ์งานวิจัยวิชาการก็เข้าบัญชีแล้วด้วย

มีความสุขที่สุด

ขอให้ชีวิตเป็นแบบนี้นานๆได้ไหม...........



"อ้าวละครับคุณผู้ชมทุกท่าน ในที่สุดก็ถึงสัปดาห์ครบรอบหนึ่งเดือนของการเปิดกิจกรรมห้องเชียร์แล้วนะครับ และนี่คือสัญญาณของสงครามแห่งการประกาศศักดา คืนเฟรชชี่ไนท์"

นี่คำขอร้องของผมไม่ทำให้เทพองค์ไหนได้ยินเลยใช่ไหม ความสุขมันช่างผ่านไปรวดเร็วจริงๆ

มาว่ากันด้วยเรื่องกิจกรรมเฟรชชี่ไนท์นะครับ มันคือกิจกรรมสังสรรค์ครั้งใหญ่ของมหาวิทยาลัยที่มีเพื่อต้อนรับน้องปีหนึ่งทุกคน มีทั้งอาหารการกิน การออกร้าน เกมส์สนุกสนาน และชมการประกวดดาวเดือนของแต่ละคณะ แต่! ประเด็นก็คือทุกคณะมักจะใช้โอกาสนี้ในการประชันความแข็งแกร่งของผู้นำเชียร์คณะตัวเอง

ถึงแม้ว่าผมจะโล่งอกได้ว่าไม่ใช่ทุกคนจะได้เป็นตัวแทนของคณะขึ้นโชว์พร้อมกับคณะอื่นๆ แต่ก็โล่งใจอยู่ไม่นาน เพราะคนที่ต้องรับหน้าที่นี้คือ ผู้นำเชียร์ในตำแหน่ง Center  ก็คือผมนี่ไง

งานเข้ากูอีกแล้ววววว

แต่ผมก็ยังถือว่าเหนื่อยน้อยกว่าเกตุเยอะที่ต้องทำทั้งการเต้นลีดและการเป็นตัวแทนดาวของคณะวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้มาจากการเลือก คล้ายการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีนั่นแหละครับ ส่วนผู้ชายที่รับหน้าที่ในตำแหน่งเดือนก็คือไอ้สุ่ย ตี๋หนุ่มสุดหล่อ เหมาะสมแล้วหละ ผมเองก็ลงคะแนนเลือกสองคนนี้นะ

กลับมาที่เรื่องการโชว์เต้นลีดโชว์ในงานเฟรชชี่ไนท์

พี่บุ๋นที่เคยโหด ตอนนี้โหดหนักกว่าเดิมมาก เน้นหนักทุกวินาทีเพื่อให้ผมกับเกตุแสดงออกมาสมกับความยิ่งใหญ่ของคณะวิทยาศาตร์ ผมกับเกตุจึงไม่ได้เรียนในชั่วโมงสุดท้ายร่วมกับเพื่อนผู้นำเชียร์ด้วยกัน แต่ต้องใช้เวลาทั้งหมดไปกับการฝึกซ้อมเพลงมาร์ชมหาวิทยาลัย อ่ะๆๆ... ผมรู้นะว่าพวกคุณคิดว่าผมเต้นได้อยู่แล้วใช่ไหมหละ ลบความคิดนั้นไปซะ เพราะไอ้ที่ผมเคยได้รับคำชมมาก่อนหน้านี้ ก็เพราะว่าผมยังไม่เคยได้มีโอกาสเรียนรู้ของจริง และโดนเฉพาะอย่างยิ่งของจริงในแบบฉบับของพี่บุ๋น

ที่น่าเจ็บใจที่สุดคืออะไรรู้ไหม พี่ท๊อปน่ะซิ ช่วงนี้เห็นดีเห็นงามกับไอ้พี่บุ๋นไปซะหมด ไม่มีห้ามปรามกันเล้ยยยย น้องเต้นจนแขนจะหลุดอยู่แล้ว นี่กูคิดผิดหรือเปล่าวะที่ช่วยพี่ท๊อปจีบพี่บุ๋น จากที่เคยถูกอนุญาตให้ซ้อมถึงห้าโมงเย็น กลับกลายเป็นสามสี่ทุ่มไปซะงั้น ไหนใครบอกว่า ก.น.ช.มีหน้าที่ช่วยไม่ให้ปีหนึ่งถูกทำทารุณกรรมไง นี่มันส่งเสริมกันชัดๆ

เชื่อไหมว่าผมเหนื่อยจนสามารถหลับในรถในขณะที่นั่งรถพี่ตองเพื่อกลับหอด้วยเวลาแค่ห้านาทีได้ ก็เลยมีหลายวันที่โดนอุ้มขึ้นไปบนห้อง

ไอ้ต้อมก็สภาพปางตายเหมือนผมเลย มันเองก็เป็นคนหนึ่งที่โดนสองหน้าที่ ทั้งตัวแทนลีดและเดือนคณะสถาปัตย์ ดีนะที่มันมีขิงคอยช่วยอยู่ไม่ห่าง

จนในที่สุด..........



"เห้ยๆไอ้ชาเย็น ทางนี้ๆ" ไอ้ต้อมเรียกผม

ตอนนี้ผมเดินทางมาที่ห้องพักของผู้นำเชียร์ที่โดมรวมใจ สถานที่แรกที่ทำให้ผมได้เป็นนิสิตในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เหล่าตัวแทนผู้นำเชียร์ของแต่ละคณะถูกนัดให้มารวมกันที่นี่ในบ่ายของวันศุกร์ เพื่อเตรียมตัวสำหรับคืนนี้ ผมเก้ๆกังๆนิดหน่อยเพราะเดินทางมาด้วยตัวเอง พี่ตองต้องเข้าไปที่ตึกลีดมหาลัยเพื่อเตรียมตัวสำหรับงานนี้เช่นกัน เห็นบอกว่าอีกสักพักก็ต้องตามมาดูแลตัวแทนลีดปีหนึ่งอยู่ดี

"มาถึงนานยังวะ" ผมถามไอ้ต้อมทันทีที่ไปถึงบริเวณที่มันนั่ง ในห้องมีแต่คนสวยๆหล่อๆเต็มไปหมดเลย นับรวมกันนี่ก็หลายสิบชีวิตเหมือนกันนะ

"ซักพักแล้ว เป็นไง ซ้อมนักเลยดิมึงอ่ะ"

"เออดิ วันนี้กูจะยกแขนขึ้นหรือเปล่าก็ได้รู้ ถ้ากูรู้ว่าตำแหน่งเซ็นเตอร์มันลำบากขนาดนี้นะ กูไม่รับเป็นตั้งแต่แรกหรอก"

"มันปฏิเสธได้ที่ไหนเล่าไอ้นี่ มึงก็รู้อยู่ เค้าวัดจากคะแนนโหวตอยู่แล้ว"

"เออ กูก็รู้แหละ บ่นไปอย่างนั้น"



"ชา มาถึงแล้วเหรอ" อ้าวเกตุนี่นา วันนี้ดูสวยผิดหูผิดตานะ เดินมาพร้อมกับไอ้สุ่ยเลย

"เกตุ... อ้าวสุ่ย มึงก็โดนนัดมาที่นี่ด้วยเหรอ"

"เออใช่ๆ รู้สึกว่าดาวเดือนก็ต้องใช้ช่างแต่งหน้าทีมเดียวกันนี่แหละ"



"เอาละค่ะน้องๆ" แก๊งนางฟ้าแก๊งใหญ่เดินเข้ามาในห้อง "มาเริ่มแต่งหน้าทำผมกันได้แล้วนะคะ เดี๋ยวพี่จะเรียกกันตามคณะนะ พี่ๆจะแต่งเป็น normal look นะคะ เรื่องจะเสริมเติมแต่งอะไรก็ทำกันเองนะคะ คงได้เรียนกันมาบ้างแล้วเนาะ มาคะ คณะแพทย์มาก่อนเลย คณะอื่นๆก็นั่งเล่นนั่งคุยกันไปก่อนนะ แต่อย่าเสียงดังมากล่ะ แล้วก็รอฟังพี่เรียกด้วยนะคะ"



"ตื่นเต้นจังเลยเนาะ" เกตุพูด

"นั่นซิ" ผมยอมรับ ครั้งนี้แตกต่างจากการเต้นโชว์งานเกาหลีในสัปดาห์ที่แล้วมาก เพราะอันนั้นเป็นแค่การโชว์ธรรมดา แต่อันนี้เหมือนเป็นการแข่งขันกันกรายๆ



พวกเรานั่งเล่นโทรศัพท์ต่างการพูดคุยอยู่สักพัก ก็โดนเรียกให้ไปแต่งหน้าและเปลี่ยนชุดให้เป็นชุดนิสิตแบบสะอาดเรียบเนียบกริบที่แต่ละคนเตรียมกันมาเอง ทุกคนดูจะวุ่นวายกับการส่องกระจกกันเป็นพิเศษเลย



"วันนี้แฟนพี่น่ารักจังเลยนะครับ"

หึ! ไอ้พี่ตอง มาถึงเมื่อไหร่เนีย "อ้าว มาถึงแล้วเหรอ"

แต่ฉ็อตเด็ดของผมในวันนี้ไม่ใช่การโดนพี่ตองแซวซะแล้ว แต่เป็นการพบกันอีกครั้งของผมกับพี่แอม หลังจากห่างหายกันไปนาน เธอมาทำงานในฐานะผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัย

ทำตัวไม่ถูกเลยงานนี้



"น้องๆคะ มารวมกันตรงนี้ได้แล้วค่ะ เดี๋ยวพี่ๆลีดมอจะตรวจความเรียบร้อยและนัดจุดบล็อกกิ้งให้" นั่นไง พี่แอมมาทำหน้าที่เป็นตัวหลักของงานวันนี้ "เดี๋ยวพี่จะบอกให้ยืนเรียงตามคณะดังต่อไปนี้นะ" พี่เค้าเริ่มไล่ลำดับการยืน โดยให้ผู้หญิงอยู่หน้าและผู้ชายเยื้องไปด้านหลัง ผมกับเกตุได้อยู่เกือบจะตรงกลางเลย



"เต้นดีๆนะมึงอ่ะ อย่าให้เสียชื่อคณะวิทย์นะ" พี่บุ๋นพูดเบาๆกับผม ขณะที่ทำทีว่าเดินตรวจเครื่องแต่งกาย กดดันผมไปอีกกกก



"น้องค่ะ"

เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ช็อกเลยกู

พี่แอมยืนอยู่ต่อหน้าผมเลย แล้วก็เรียกผมด้วย มองหน้าเขม็งซะขนาดนี้ คงไม่ได้หมายถึงคนอื่นแล้วหละ จากที่เคยทำเหมือนผมเป็นอากาศธาตุ วันนี้ไม่ใช่แล้วหละ

พี่แกเดินเข้ามาหาผมช้าๆด้วยสายตาอาฆาตอย่างชัดเจน ก่อนจะยื่นมือมาจับที่เน็คไทของผม

"เราไม่อนุญาตให้มีที่หนีบเน็คไท ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม" โอ้โห พี่แอมเปลี่ยนไปมากเลย เธอดูไม่มีมาดอีกต่อไปแล้ว อย่างกับนางร้ายในละครเลย เมนเทอร์ลูกเกด ช่วยผมด้วย

"งั้นฝากตองไว้ก็ได้" จู่ๆพี่ตองก็เดินเข้ามา คว้าเน็คไทของผมออกไปจากมือพี่แอมเบาๆ ก่อนนะดึงที่หนีบออกแล้วหนีบเข้าพี่เน็คไทตัวเอง  จึงทำให้มีที่หนีบสองอันอยู่ติดกันบนเน็คไทของพี่ตอง......

NUMCHA

TONG

มีเสียงแซวเบาๆจากเพื่อนๆลีดที่อยู่ใกล้ๆผม

ไอ้พี่ตองบ้านิ เล่นทำแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นเลยเหรอ ไม่อายใครเลย



"ก็ดี" พี่แอมเอ่ยมาอีก "ให้ของประเภทเดียวกัน​ อยู่ด้วยกันอย่างงั้นแหละ ดีแล้ว"

อ้าววววววว อีพี่แอม มันจะมากเกินไปแล้วนะ

"ก็ต้องแบบนั้นอยู่แล้วซิ" พี่ตองพูดตีสีหน้าลอยๆออกมาก่อนที่แม่นางร้ายคนนี้จะเดินจากไป "ของที่คนรักเต็มใจมอบให้กัน มันก็ต้องอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว ก็มันไม่ได้ถูกใครบังคับให้มาอยู่ด้วยกันนี่นา... ใช่ไหมครับชา เดี๋ยวพี่จะเก็บไว้ให้นะครับ เต็มที่นะวันนี้"

อือหือออออออ ผู้ชายมาดนิ่งสไตล์คูลๆแบบพี่ตอง พูดแบบนี้ก็เป็นด้วยเหรอ สงสัยจะทนไม่ไหวจริงๆ

ผมก็จะทำไรได้ล่ะ นิ่ง อึ้ง แต่ก็.... อยากขอบคุณไอ้คนที่เพิ่งจะเอ่ยวาจาร้ายกาจนี่เหมือนกัน

ส่วนพี่แอม ไม่ต้องเห็นหน้าก็รู้ว่าโกรธจัด ดูเธอจะเปลี่ยนไปมากจริงๆสำหรับเรื่องการควบคุมอารมณ์



เสียงเพลงและเสียงของความคึกคักจากในโดมรวมใจเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่างานในคืนนี้ได้เริ่มขึ้นแล้ว

นี่เป็นเวลาเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว จากการเดินจอแจของคนที่ผ่านไปมาที่หน้าประตูก็ทำให้เห็นว่างานในวันนี้คงครื้นเครงน่าดู เสียงของพิธีกรคู่เดิมก็ดังมาอีกแล้ว



"เอาหละครับ และก่อนที่เราจะไปพบโฉมหน้าค่าตาของผู้เข้าแข่งขันดาวเดือนมหาวิทยาลัยปีนี้ ก็เป็นธรรมเนียมที่ตัวแทนจากผู้นำเชียร์ของคณะต่างๆต้องออกมาเปิดงานกันเสียก่อน ตอนนี้ทุกคนพร้อมกันหรือยังครับ"

"พร้อมมมมมมมมมมมมม"

"ขอเสียงให้กับเหล่าตัวแทนผู้นำเชียร์จากทุกคณะด้วยค่าาาาาา"



"กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด"

เสียงกรี๊ดถล่มถลายเลย

ผมและเหล่าตัวแทนผู้นำเชียร์เดินขึ้นเวทีด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจอย่างที่ได้ซ้อมมา ​กูหล่อ กูเท่ ท่องไว้ๆ

ผู้คนข้างล่างเวทีคล้ายว่าจะหยุดทำกิจกรรมอื่นๆ แล้วมาออกันที่หน้าเวทีทั้งหมด มีป้ายไฟป้ายกระดาษของเหล่าผู้คลั่งไคล้ระยิบระยับตาไปหมด

นั่นไง

แวบหนึ่งที่ตาผมกวาดไป ก็มองเห็นเพื่อนรักสามสาวพลังหญิงชูป้ายชื่อของผม พร้อมกับโบกไม้โบกมือเชียร์ เหมือนมันตะโกนชื่อผมด้วยนะ แต่เสียงคนกรี๊ดดังก็เลยไม่ได้ยิน แต่ก็ดีแล้วแหละ ไม่งั้นอายตายเลย

แต่ไอ้ที่ไม่ต้องเห็นแวบๆ ก็น่าจะเป็นป้ายเชียร์ชื่อไอ้ต้อมนี่แหละ ใหญ่โต มองเห็นได้ชัด และมีอยู่ทั่วทุกมุมเลย

เออ ไอ้หล่อ



"มัณฑนา พร้อม สาม สี่!" เสียงสัญญาณการขึ้นมือเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแสดงดังขึ้น

​หนึ่ง สอง สาม สี่

ผมนับสเต็ปที่ต้องทำในใจ เพื่อให้พร้อมเพรียงกับคนอื่นๆบนเวที



"กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด"

เสียงกรี๊ดเชียร์ดังขึ้นมาอีกแล้ว ดูเหมือนว่าทุกการเคลื่อนไหวของผู้นำเชียร์จะเป็นที่น่าสนใจไปเสียหมดเลย



​​รั้วสีทองส่องแสงในหล้า ศาสตร์มัณฑนา นำปัญญาพาข้าฯสู่หมาย......



เพลงมาร์ชมหาวิทยาลัยมัณฑนาเริ่มขึ้น

ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าขึ้นตรงจังหวะหรือเปล่า แต่ก็เต้นไปแล้ว นี่ซินะที่เรียกว่าความตื่นเต้น

ปากของผมตอนนี้ยิ้มอยู่หรือมันแค่ทำเป็นเหมือนยิ้มกันแน่ ผมรู้สึกเกร็งๆบอกไม่ถูก ดีที่ว่าท่าเต้นเพลงนี้เป็นอะไรที่ผมคุ้นเคยมานาน ร่างกายมันจึงขยับได้เป็นอัตโนมัติ



ให้คำมั่นสัญญา ว่าจะเป็นคนดี บัญฑิตศรี...... แห่งรั้วมัณฑนา........

ท่อนสุดท้ายของเพลงจบลงในที่สุด



"กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด"



ผมและเหล่าตัวแทนทั้งหมดเดินลงพร้อมเสียงกรี๊ดกร๊าดนั่น บ้างก็ตะโกนชื่อคณะกันออกมา บ้างก็ตะโกนชื่อคนที่ตัวเองเชียร์ออกมา



"เฮ้ออออออออ ตื่นเต้นชะมัด" ไอ้ต้อมพ่นความโล่งใจออกมาหลังจากเดินมาถึงห้องรับรอง

"เออดิ ผ่านไปแล้ว ไม่รู้เต้นออกมาเป็นยังไงบ้าง" ผมบอก

"มึงจบแล้ว แต่กูอะดิต้องมีต่อ"

"เออดิ"

"ยังไงก็อย่าลืมเชียร์กูด้วยละ"

"เออๆ มึงก็เต็มที่ละกัน ถ้ามึงได้เดือนมหาลัยปีนี้ เดี๋ยวกูมีรางวัลเป็นการเลิกตบเกรียนมึงหนึ่งอาทิตย์"

"ไอ้สัด รางวัลใหญ่มาก"

"เออๆ เต็มที่ละกัน กูเปลี่ยนชุดก่อนนะ จะได้ไปเดินเที่ยวงานกับเค้า"

"เดี๋ยวๆ ตอนมึงออกไปงาน อย่าลืมโทรหาน้ำขิงด้วยนะ ไปคุมแฟนแทนกูด้วย เดี๋ยวใครจะมาฉุดแฟนกูไปทำมิดีมิร้าย ยิ่งบอบบางอยู่"

"วุ่นวายนะมึงเนีย"

แต่ผมก็ทำตามที่มันบอกนั่นแหละ เพราะถ้าไม่ให้ไปหาขิงแล้วผมจะไปเดินงานกับใครหละ

เราสองคนเดินหาซื้อของกินไม่ไกลจากเวที เพราะตอนนี้ใกล้ช่วงที่ดาวเดือนจะเริ่มแข่งแล้ว แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า....

นึกภาพนะ ผมกับขิง เดินด้วยกัน เออ ผมยอมรับก็ได้ว่าเราสองคนหน้าตาจิ้มลิ้มทั้งคู่ มันก็เลยทำให้มีทั้งเพื่อนและรุ่นพี่ที่เป็นผู้ชายแซว ผมจะไปทำอะไรได้ละ มันมีกันหลายคนนิ มีเรื่องขึ้นมาเดี๋ยวจะนับตีนไม่ทัน

แต่ไอ้ที่ไม่ได้แซวนี่ซิน่าหนักใจยิ่งกว่า เล่นเดินเข้ามาขอไลน์ขอเบอร์กันตรงๆเลยทีเดียว



"น้องครับ พี่ขอไลน์หน่อยได้ไหม เพื่อนพี่ชอบ ทั้งสองคนเลย"

เอาละซิ

"คือ...."



"นี่น้องผมครับ" เห้ย! ไอ้พี่ตองมาจากไหนก็ไม่รู้ "ส่วนนี่แฟนผม... ให้ไลน์ไม่ได้จริงๆ"

"ฟ... แฟนของตองเลยเหรอ" พี่คนนั้นอึ้งไปเลย ผมก็อึ้งในความใจกล้าของพี่มันเหมือนกัน "โอเคครับ งั้นผมไปละครับ"

"พูดไรของพี่เนีย" มันจะกล้าเกินไปแล้วนะ "คิดว่าเท่มากรึไง"

"แล้วเท่ไหมล่ะ"

เกลียดสายตาเจ้าชู้ของมันชะมัด ยังไงก็ยังไม่ชินอยู่ดี

"เผลอแป๊บเดียว คนตามจีบเชียวนะ งั้นต้องรีบจองไว้เหมือนเดิม" ไอ้พี่ตองเอาที่หนีบเน็คไทอันเดิมมาหนีบที่เน็คไทของผม "คราวนี้ ทุกคนจะได้เห็นกันชัดๆว่าน่ารักขนาดไหนก็มีแฟนแล้ว"

"ไปหน้าเวทีกันเถอะขิง" ไม่พูดกับไอ้บ้านี้แล้ว แม่ง หยอดได้ตลอดเวลา



ผม ขิง แล้วก็พี่ตอง เดินมาสมทบรวมกับแก๊งเพื่อนหญิงพลังหญิงของผม จากป้ายเชียร์ชื่อผมก็ถูกพลิกด้านให้กลายเป็นป้ายเชียร์ไอ้ต้อมซะงั้น

"นี่มึงไม่คิดจะเชียร์เกตุกับไอ้สุ่ยบ้างหรือไงวะ" ผมถามพวกมัน

"ไอ้เชียร์มันก็เชียร์ แต่ถามว่าหมายใครสุดก็ต้องคนนี้ ก็ต้องแสดงความเป็นเมียบ่าวอย่างเต็มที่ซิ"

อือหือ พูดไรไม่เกรงใจขิงเลย

แต่ขิงก็ไม่ได้ว่าอะไรอ่ะนะ สงสัยจะชินแล้วที่แฟนตัวเองถูกคุกคามด้วยคำพูดและสายตาบ่อยๆ

การประกวดดาวเดือนเริ่มขึ้นในที่สุด มหาลัยนี้เหมือนมีแต่พวกที่อยากจะเป็นดารานักแสดงมาอยู่กันทั้งนั้นเลย คนสมัยนี้หน้าตามันดีกันจังเลยเนาะ

รอบความสามารถพิเศษ ไอ้ต้อมงัดไม้เด็ดเอาใจสาวๆด้วยการถอดเสื้อวาดภาพระบายด้วยมือ ก็ไม่รู้ว่ามันจะต้องถอดเสื้อทำไม ส่วนรูปก็ดูไม่ออกว่าสวยหรือเปล่า รู้แต่ว่าคนกรี๊ดมันเต็มไปหมด

แต่ถ้าเป็นฝั่งผู้หญิง ดูเหมือนว่าเกตุจะมาแรงตั้งแต่ต้นแบบไม่มีแผ่ว เอาใจหนุ่มๆด้วยการแต่งชุดแบบเมดสาวญี่ปุ่นมาเต้นเพลงน่ารักๆ จากสาวสวยสายสตรองกลายเป็นสาวคาวาอิ ทำเอาหัวใจหนุ่มๆละลายเป็นแถบๆ

แล้วผลการตัดสินก็เป็นไปตามคาด ไอ้ต้อมได้เดือนมหาลัยและเกตุก็ครองตำแหน่งดาว ส่วนสุ่ยก็ยังรั้งอันดับสามไว้ไม่ให้คณะเสียชื่อ

และเมื่อการแข่งขันดาวเดือนจบลง การแสดงดนตรีแบบเต็มรูปแบบก็เริ่มขึ้นอย่างจริงจัง มีนักร้องที่มีชื่อเสียงมาในงานนี้ด้วย ผมว่าอันนี้แหละไฮไลท์ของเฟรชชี่ไนท์ของจริง สนุกสนานกันไปตามประสาเด็กมหาลัย

มาดูที่ฝั่งผม ไอ้พี่ตองโดนเพื่อนสามหน่อของผมลากไปเต้นด้วยตามธรรมเนียม และเช่นเดียวกันกับไอ้ต้อมที่ก็โดนเหมือนกันเมื่อมาถึง เอาเถอะ อิพวกนี้มันบ้าผู้ชายอยู่แล้ว ปล่อยมันไป

แต่เอ.....

ผมเหมือนจะเห็นแวบๆนะว่าพี่ท๊อปกับพี่บุ๋นเดินผ่านไป

แอบตามไปดูแป๊บนึงดีกว่า เผื่อมีไรเด็ดๆ โรคเผือกกำเริบ



"ผมไม่ใช่ไอ้ชานะพี่ท๊อปที่จะมาหวานแหววกับพี่อ่ะ"

ผมแอบตามมาจนถึงด้านหลังโดม ในส่วนที่ไม่มีคน ยังจำตอนที่ผมมาแอบเต้นคนเดียวได้ไหมครับ ตรงนั้นแหละ ที่เดียวกันเลย

"เลิกทำเป็นช่วยเหลือผมทุกอย่างได้แล้ว" เดี๋ยวนี้พี่บุ๋นมีแทนตัวเองว่า ​ผม ซะด้วย แต่ก่อนไม่เห็นพูดเลย แปลว่ามีอะไรคืบหน้าซินะ

"ก็พี่อยากช่วยนิครับ แค่เก็บของเล็กๆน้อยๆเอง" มาเก็บของอะไรเล็กๆน้อยๆกันที่มุมด้านหลังโดมไม่ทราบ ไปเก็บที่ห้องกันโน่น "ทีบุ๋นยังใส่ใจเรื่องของพี่เลย"

"ใส่ใจตอนไหน พี่คิดไปเองละ"

"ก็นี่ไง ป้ายชื่อของบุ๋นที่พี่ปั๊มให้ บุ๋นยังเก็บมาเป็นปีเลย แบบนี้ไม่เรียกใส่ใจจะเรียกว่าอะไร" หือ? จริงดิ

"เอาคืนมานี่เลย"

"ไม่ พี่จะเก็บไว้กับตัวตลอดเลย ถือว่าบุ๋นเป็นของพี่แล้ว"

"เป็นของพี่บ้าไร พูดดีๆนะ ยังไม่ได้เป็นไรกันซะหน่อย"

"ก็ใช่ดิ พี่จะเป็นไรได้ล่ะ พี่ไม่เหมือนตองกับน้ำชานิ ที่เค้ามีสถานะกันชัดเจน พี่ก็ทำได้แค่นี้แหละ ตามคนอื่นต้อยๆไปวันๆ ทั้งๆที่วันนี้ควรจะไปเกาหลีด้วยซ้ำ"

อือหืออออออ หน้าตาขี้อ้อนของพี่ท๊อปนี่เป็นยังไงวะ อยากดูจริงๆ แต่คำพูดนี่มัน.... เขินแทนเลย

"อ... เออๆๆ เลิกทำหน้าแบบนั้นได้แล้ว คิดว่าหล่อหรือไง"

"แล้วหล่อไหมละครับ"

"หึ ไปฝึกหยอดมาจากไหน ไอ้ตองสอนมาหรือไง"

"น่ะ พูดนั่นพูดนี่ก็ไม่ได้ สรุปว่าจะให้พี่ทำยังไงอ่ะ ก็บอกแล้วไงว่า ​ชอบ ​ต้องให้พูดอีกกี่ครั้ง"

"เออๆๆ เลิกพูดได้แล้ว"

"โอเคครับ เลิกพูดก็เลิกพูด แล้วสรุปว่าที่เรียกพี่มาที่นี่ มีอะไรจะคุยกับพี่ครับ" อ้าว สรุปพี่บุ๋นเหรอที่เป็นคนที่ชวนพี่ท๊อปเข้ามาตรงนี้

"ก็... พี่เคยพูดไว้ไม่ใช่เหรอว่า เสียเวลาไปปีนึงแล้วอ่ะ ก็นี่ไง ให้มาเริ่มต้นใหม่แล้ว ที่ๆเจอกันครั้งแรก จะ... ทำอะไรก็ทำ"

เชรดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

เขินจนม้วนเลยกู พี่บุ๋นนี่ก็นะ ทำท่านั้นท่านี้ สุดท้ายก็มาเปิดช่องให้คนอื่นเค้าจนได้

"แปลว่าให้พี่จีบได้แล้วใช่ป่ะ" ไม่ต้องตะโกนก็ได้พี่ท๊อป ผมได้ยินชัดเจนดี

"อ... เออ ก็บอกว่าจะทำไรก็ทำไงเล่า เข้าใจแล้วนะ งั้นไปแล้วนะ"

เห้ยๆๆๆ เดี๋ยวดิ ผมยังแอบฟังอยู่ตรงนี้อยู่ ขืนมาตรงนี้ก็เห็นผมกันพอดีดิ รีบไปก่อนดีกว่ากู

"เดี๋ยวซิคร้าบบบบ" เสียงพี่ท๊อปรั้งพี่บุ๋นไว้ "ครั้งนี้พี่ยอมโดนเอเจนซี่ที่เกาหลีด่าเลยนะที่ไม่ไปโน่นอ่ะ จะบอกแค่ว่าให้พี่จีบได้แค่นี้เหรอ"

"แล้วจะเอาอะไรอีก ขืนทำอะไรมากว่านี้ผมต่อยพี่แน่"

"เปล่า ก็แค่...." ก็แค่อะไรวะ? ก็แค่อะไร

ไม่ไหวแล้วแอบดูหน่อยดีกว่า



เชรดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

พี่ท๊อปกอดพี่บุ๋น

รีบไปดีกว่ากู ได้เห็นไฮไลท์ของงานเฟรชชี่ไนท์จริงๆแล้ว ฟินจิกหมอนเลยกูคืนนี้



ผมเดินกลับมาที่งาน ไอ้พี่ตองก็ยังอยู่เดิมเลย นี่ไม่ได้สังเกตุเลยใช่ไหมว่าหายไปทั้งคน..........







"เอาจริงเหรอครับ แต่นี่มันดึกแล้วนะ ไม่ต้องติวก็ได้"

ไอ้พี่ตองงอแงหลังจากกลับมาจากงาน ก็ผมเป็นห่วงการทดสอบในวันพรุ่งนี้นี่นา ได้ติวซะหน่อยก็ยังดี

ผมพยายามดันให้ไอ้พี่ตองขึ้นไปที่หอมันเพื่อติววิชาเลขให้ได้ ต่อให้เป็นสี่ทุ่มแล้วก็เถอะ

"ซักชั่วโมงนึงก็ยังดี เดี๋ยวพรุ่งนี้สอบตกทำไงล่ะ"

"พ่อพี่ไม่กล้าให้พี่กลับหรอกน้า ก็...."

เห้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

นี่มันอะไรกันวะ

ห้องพี่ตองเละไม่มีชิ้นดีเลย ข้าวของกระจัดกระจาย หนังสือถูกฉีกขาด เสื้อขาดก็ถูกฉีกจนขาดวิ่น เตียงก็มีหมึกอะไรไม่รู้ลาดเต็มไปหมดเลย

"ทำไมเป็นอย่างงี้อ่ะ!" ผมอุทาน

"คนเดียวที่มีกุญแจห้องนี้" พี่ตองกำลังจะบอก ดูซิว่าเป็นคนเดียวกับที่ผมคิดไหม "แอม" ใช่ คนเดียวกันจริงๆด้วย

ผมเดินเข้าไปในห้อง ไม่รู้จะเริ่มเก็บกวาดตรงไหนก่อนดีเลย

นี่คงเป็นซากความเสียหายที่เกิดจากการระบายอารมณ์ของพี่แอมซินะ ที่คิดไว้ว่าการแสดงออกของพี่แกเปลี่ยนไป ไม่คิดว่ามันจะมาถึงจุดนี้ได้นะ แบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยหรือไง แล้วนั่นข้อความอะไรที่เขียนบนกระจกด้วยลิปสติก....



​ไอ้วิปริต



"ไม่เป็นไรครับ ให้เค้าด่าพี่ไป" พี่ตองเดินมาจับมือผม........





........."ถ้าเรายังมีกันและกันอยู่ จะด่าอะไรพี่ก็ยอมทั้งนั้น"
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-01-2018 17:52:18
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๑  :mew1: :mew1: :mew1:

พอตอง แสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบตัวเอง
แต่ไปชอบน้ำชา ของขึ้นจริงๆ ทำตัวได้เลววววววว  :fire: :fire: :fire:
มีสิทธิ์อะไรไปทำลายข้าวของ ฉีกหนังสือเรียน ด่าว่าเขา
นางมารชัดๆ รับความจริงไม่ได้ เพราะตัวเองเสียหน้า ตลกละ เอ๊ย.....ประสาทแดก  :angry2: :angry2: :angry2:
น่าถ่าย ทุกอย่าง ประจานลายมือความเลวนางนะ
หรือแจ้งความตำรวจ เก็บรอยนิ้วมือเป็นหลักฐานซะเลยก็ดี  :z6: :z6: :z6:

พี่ท็อป พี่บุ๋น  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 29 [LOVE LEADER Part 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 10-01-2018 18:11:04
​ตอนที่ 29 : LOVE LEADER (Part 1)





"จะเอาอย่างนั้นจริงๆเหรอครับแม่"

ผมไม่กล้าพูดเต็มปากว่าเห็นด้วยกับความคิดของแม่สักเท่าไหร่ หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืนที่ห้องพี่ตองถูกทำลายย่อยยับ พร้อมคำดูถูกร้ายกาจบนกระจก ทำให้พี่ตองต้องหกระเหเร่ร่อนมานอนที่ห้องผม แต่ก็คงเข้าทางที่พี่แกชอบนั่นแหละ หวังแต่จะมาห้องผมทุกคืน ยกเว้นก็แต่ว่าเรื่องเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ที่ต้องหาซื้อใหม่หมด

แต่ตอนนี้เรายังไม่ได้จัดการเรื่องที่เกิดขึ้นเลย เพราะผมกำลังรอพี่ตองที่กำลังทดสอบอยู่ในห้องส่วนตัวของร้านกาแฟร้านเดิม การทดสอบคณิตศาสตร์รอบที่สองยังไม่ได้รับการยกเลิกแม้จะเกิดเรื่องขึ้น ผมเองก็คิดว่าดีแล้ว เรื่องส่วนตัวกับเรื่องเรียนมันคนละเรื่องกัน

ผมเล่าเรื่องนี้ให้ไอ้ต้อม ขิง พี่บุ๋น แล้วก็พี่ท๊อปฟัง ทุกคนจึงเดินทางมาที่ร้านกันหมด เพราะเป็นห่วงพี่ตองและอยากจะถามไถ่ถึงความร้ายแรงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

พี่ตองเองก็ได้เล่าเรื่องนี้ให้ทางบ้านฟังไปแล้ว ผมเองก็ได้โทรไปปรึกษาแม่ของผมเหมือนกัน การคุกคามนี้เริ่มจะไม่ใช่ปัญหาเรื่องรักใสๆในวัยเรียนอีกแล้ว แต่ปัญหาก็คือ.... คำแนะนำของแม่ ดูเหมือนจะเป็นทฤษฎีดับไฟด้วยไฟเสียมากกว่า ผมยอมรับเลยว่า ไม่แน่ใจในความคิดนั้น



"แม่ว่าดีนะ จะได้เป็นการประกาศตัวต่อสาธารณชนแบบจริงๆจังๆไปเลยว่า พี่ตองกับน้องน้ำชาคบหาเป็นแฟนกันอยู่ จะได้ตอกย้ำด้วยว่าทั้งสองคนพร้อมรับมือกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ มนุษย์เรามันมีสัญชาตญาณของความอับอายในตัวเองอยู่นะ แม่ไม่รู้หรอกว่าผู้หญิงที่ชื่อแอมมีชีวิตเป็นมายังไง แต่นี่ไม่ใช่นางร้ายในละครที่จะขาดเหตุผลขนาดนั้นได้" นั่นคือคุณแม่ของผมในโหมด T-Queen "เว้นเสียแต่ว่าทางบ้านพี่ตองเค้าจะไม่โอเค"

"พ่อกับแม่พี่ตองไม่ว่าอะไรครับ ยังออกปากอยู่เลยเมื่อคืนนี้ว่าจะให้พี่ตองพาชาไปอยู่คอนโดส่วนตัว ไม่ไกลจากที่นี่นัก เหมือนพ่อพี่ตองจะซื้อคอนโดเอาไว้ครับ"

"ก็ดีนะ แม่ว่าปลอดภัยดีด้วย ฟังจากที่น้องน้ำชาเล่ามาแล้ว แม่ว่าในตอนนี้ ผู้หญิงคนนี้อยู่ในอารมณ์ไม่ปกติ เธออาจจะทำอะไรได้มากกว่านี้อีกก็ได้"

"งั้นเหรอครับ งั้นเดี๋ยวชาจะปรึกษาเรื่องนี้กับพี่ตองอีกทีละกันครับ"

"แล้วเรื่องโปรเจ็คของแม่ล่ะ ว่ายังไง"

"เอ่อ.... ชาคิดว่าจะยิ่งทำให้เรื่องมันบานปลายไปกันใหญ่หรือเปล่าครับ"

"แม่ทำงานในวงการสื่อมานานนะ ของแบบนี้ มีทั้งดีและแย่ บางทีถ้าไม่ได้เป็นการไปกระทบต่อความเดือดร้อนใคร มันก็น่าเสี่ยงอยู่นะ... น้ำชาก็พาเพื่อนๆมาด้วยซิ ต้อมกับน้องน้ำขิงก็ได้ ทีมงานของแม่พร้อมอยู่แล้ว งานแค่นี้เอง"

"งานแค่นี้เหรอครับ นี่มันโปรเจ็คแห่งปีเลยนะแม่"

"ลูกกำลังพูดกับเจ้าแม่สื่ออยู่นะ"

เจอลูกมั่นใจของแม่เข้าไปแบบนี้ก็ต้องยอมแหละ "งั้น... ชาขอปรึกษาเพื่อนๆก่อนนะครับ"

"ยังไงก็บอกแม่นะ ถ้าพร้อมก็เข้ามาที่ทำงานแม่เลย พรุ่งนี้ตอนเช้า"

"ครับแม่"



จะเอาไงดีหว่า พี่ตองก็ยังสอบไม่เสร็จเลย

หลายคนคงสงสัยว่าทำไมพวกเราถึงไม่ไปกดดันพี่แอมตรงๆ เชื่อเถอะครับ พี่แอมไม่ใช่คนโง่และเธอก็คงไม่ใช่คนที่จะยอมรับอะไรง่ายๆ ซ้ำร้ายเรื่องนี้อาจจะยิ่งเป็นการเปิดช่องให้เธอทำอะไรได้มากขึ้น เพราะงั้นผมจึงพยายามคิดหาวิธีที่จะแก้ไขในด้านของผมเองแทน



"ไอ้ต้อม เอ่อ... ทุกคนครับ" ผมเดินไปบอกเรื่องที่ได้รับการปรึกษาจากแม่ให้ทุกคนได้ฟัง "คือ... แม่ของผมมีความคิดว่า จะให้ผมกับพี่ตองไปถ่ายแบบและให้สัมภาษณ์เรื่องความสัมพันธ์ของเรากับนิตยสารที่แม่มีส่วนดูแลรับผิดชอบอยู่ครับ แม่คิดว่าถ้าความสัมพันธ์ของผมกับพี่ตองถูกประกาศชัดเจน อาจจะทำให้อะไรๆเปลี่ยนแปลง... แต่ผมไม่ค่อยแน่ใจเรื่องนี้เท่าไหร่เลย"

"กูเห็นด้วยกับแม่จิตรนะ" ไอ้ต้อมออกความคิดเห็นหลังจากคิดอยู่ไม่นาน "สื่อในมือ T-Queen ถือว่าใหญ่และกว้างมาก การที่มึงกับพี่เค้าได้ไปลงคอลัมม์ อาจจะเป็นการยืนยันจุดยืนมากขึ้นก็ได้นะ พี่แอมอะไรนั่นจะได้รู้ว่าพวกมึงจริงจัง ไม่ใช่จะมายอมแพ้ง่ายๆ"

"แต่แบบนั้นจะไม่ยิ่งทำให้พี่เค้าโกรธอีกเหรอ ไหนจะผลกระทบที่เกิดกับธุรกิจของที่บ้านพี่ตองอีก" ขิงแสดงความเป็นห่วง

"กูก็ไม่ค่อยจะเห็นด้วยเท่าไหร่นะชา" พี่บุ๋นเสริม "แอมเป็นพวกประเภทที่... ใครขัดใจไม่ได้ อำนาจกับบารมีของที่บ้านแอมทำให้แอมเป็นคนเอาแต่ใจพอสมควรเลย กูกลัวว่าจะเป็นอันตรายกับมึงขึ้นไปอีกอะดิ"

"งั้นก็ไม่ควรทำให้ชัดเจนเกินไป" พี่ท๊อปเสนอ "คนที่ทำโปรโมทเพลงในเกาหลีเคยเล่าให้ฟังว่า ถ้าเราจงใจทำให้ศิลปินคนใดคนหนึ่งเด่นมากจนเกินไป จะทำให้คนๆนั้นเป็นเป้าของการจับผิดเป็นพิเศษ ศิลปินประเภทกลุ่มก็เลยเป็นที่นิยมของค่ายเพลงมากกว่า พี่ว่ามันก็ได้ผลนะ คือพี่ก็ไม่อยากจะให้น้ำชาต้องไปประกาศสงครามกับใครหรอกนะครับ แต่ถ้าพี่เป็นเจ้าตอง พี่คงเห็นด้วยกับแม่ของน้ำชา ก็แค่ลดระดับการสัมภาษณ์ลงมา ไม่ใช่การประกาศตัวว่าเป็นแฟนกัน แต่ให้บรรยากาศของภาพรวมมันพาไปแทน"

เฮ้ออออออออออออ

ความคิดเห็นของแต่ละคนดูจะยิ่งทำให้คิดหนักมากขึ้น

"แม่ให้ผมชวนทุกคนไปถ่ายด้วยกันด้วยนะครับ"

"ไม่เอานะ" ขิงแทบจะร้องปฏิเสธทันที "ขิงไม่ทำอะไรพวกนี้หรอก น่าอายจะตาย"

"ทำไมอ่าาาา" ไอ้ต้อมทำเสียงงอแง "ขิงก็น่ารักออก ถ่ายเป็นเพื่อนไอ้ชามัน ถือว่าเป็นการลองทำอะไรใหม่ๆด้วย คนอื่นจะได้รู้ซะทีว่าต้อมมีแฟนแล้ว ไม่เหนื่อยหรือไงที่ต้องคอยรับโทรศัพท์สาวๆให้ต้อมทุกวัน... หรือขิงไม่อยากให้คนอื่นรู้"

"ไม่ใช่แบบนั้น...." ขิงคงจะลำบากใจจริงๆ

"ส่วนพี่ไปได้นะ อาทิตย์นี้ไม่ได้ไปเกาหลีอยู่แล้ว เพราะ...." พี่บุ๋นมองพี่ท๊อปตาเขียวทันที อันเป็นสัญญาณว่าห้ามพูดอะไรพล่อยๆออกมาเด็ดขาด "ถ้าช่วยน้องได้พี่ก็อยากทำ"

"เออๆ กูไปถ่ายเป็นเพื่อนด้วยก็ได้ แต่เรื่องสัมภาษณ์ไม่เอาด้วยนะ" พี่บุ๋นแพ้แรงกดดันรอบข้าง

"นี่สรุปว่า เราจะไปถ่ายกันจริงๆเหรอครับ" บอกตามตรงว่าผมเองก็ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่

"งั้นก็ถามแฟนมึงเองละกัน ออกมาแล้วหนะ" ไอ้ต้อมชี้ไปที่ประตูข้างหลัง พี่ตองออกมาจากห้องพร้อมกับอาจารย์คุมการทดสอบคนเดิม



"ยังเก่งเหมือนเดิมนะตอง ครั้งหน้าก็พยายามอีกละ" อาจารย์ท่านกล่าวชมพี่ตองก่อนที่จะร่ำลากันไป



ผมเล่าเรื่องการถ่ายแบบให้พี่ตองฟัง



"เอาซิครับ ดีมากเลยด้วย อะไรที่ทำให้คนอื่นรู้ว่าเราเป็นแฟนกันได้ พี่ยินดีทำทั้งหมดแหละ"



ว่าแล้วเชียวไอ้พี่ตองต้องพูดแบบนี้ รายนี้มีเหรอจะปฏิเสธ

สรุปความของวันนี้ก็เลยลงเอยกันที่ทั้งหกคนต้องไปถ่ายแบบในวันพรุ่งนี้



เอาเถอะ อาจจะดีก็ได้



ช่วงบ่าย ผมกับพี่ตองไปซื้อเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ใหม่เพื่อย้ายไปอยู่ที่คอนโด ส่วนหอผมยังไม่ได้ย้ายของไปไหน เพราะยังไม่มีเวลามากพอ แล้วผมก็อยากเก็บหอที่นี่ไว้ด้วย เผื่อวันไหนซ้อมเสร็จดึกๆ จะได้เข้ามาพักได้ เดี๋ยวค่อยทะยอยขนไปเรื่อยๆก็ได้







สำนักงาน T-Queen World Wide



"โอ้โห นี่เหรอ สำนักงานใหญ่ของ T-Queen ไม่คิดเลยว่าจะได้มีโอกาสเข้ามา"

พี่บุ๋นกำลังตื่นตาตื่นใจกับที่ทำงานของแม่ผม ขนาดผมเองยังรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่มาที่นี่เลย

"มากันแล้วเหรอเด็กๆ" แม่ของผมเดินลงบันไดกลางของสำนักงานลงมา

"แม่ครับ"

ทุกคนทึ้งกันหมดเลยในความสวยสง่าของแม่ผม ในยามที่ไม่ใช่คุณแม่แสนดีที่บ้าน ผมต้องยอมรับว่าผมมีแม่ที่นำเทรนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในชุดแซกสีขาววันนี้ยิ่งทำให้แม่ดูเป็นเจ้าแม่สื่อแฟชั่นตัวจริง

"สวัสดีครับ เป็นเกียรติมากเลยครับที่ได้พบ T-Queen ตัวจริง" พี่ท๊อปสมกับเป็นพี่ใหญ่จริงๆ พี่เค้ากล่าวทักทายได้อย่างมืออาชีพ

"วันนี้ผมจะไม่โดน T-Queen ต่อว่าอะไรใช่ไหมครับ" ไอ้พี่ตองพูดหยอกล้อกับแม่ของผม

"ไม่หรอก แม่ไม่ใช่คนใจร้ายขนาดนั้น แต่อย่าทำให้ช่างภาพหัวเสียก็แล้วกัน รายนั้นแม่ไม่รับรองนะ.... เธอสองคนมานี่หน่อยซิ" แม่ผมเรียกพนักงานที่ยืนอยู่ที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ "เดี๋ยวช่วยพาพวกลูกๆของชั้นไปที่ห้องฟิตติ้งนะ แล้วไปบอกโปรดิวเซอร์ทาคาดะด้วยว่านายแบบมากันแล้ว รหัส X007 อย่าลืมซะหละ ส่วนเธอตอนบ่ายรอต้อนรับดีเจไก่ พาเค้าไปที่บนชั้นสอง ชั้นเชิญเค้ามาสัมภาษณ์เด็กๆ ไปขอไฟล์สัมภาษณ์ในห้องเทคนิค เอาไปให้เค้าอ่านเตรียมตัว จำรหัสได้แล้วใช่ไหม"

"X007 ค่ะบอส"

"งั้นก็รีบไป... ทำให้เต็มที่ละเด็กๆ แม่ต้องขึ้นไปคุยงานต่อที่ชั้นบนแล้ว เดี๋ยวไว้เจอกัน ขอตัวก่อนนะ"

เป็นไงหละ อึ้งกันหมดเลยที่ได้เห็นการทำงานแบบโปรเฟชชั่นเนลของแม่ผม



"มาแล้วค่าาาาาา"



เห้ย นี่พี่ปิงปิง พี่ซีซี่ แล้วก็พี่ผู้หญิงที่คุ้นหน้าอีกคน นี่คือเหล่าผู้จัดการส่วนตัวของลีดมหาลัยนี่นา มากันหมดเลย



"ว้าววววว บุญพาวาสนาส่งให้ชั้นได้เข้ามาใน T-Queen World Wide บริษัทในฝันของกะเทยไทยอย่างฉัน" พี่ปิงปิงที่เคยเป็นคนวางตัวเนียบ วันนี้ดูเสียอาการอย่างหนัก พี่ซีซี่กับพี่ผู้หญิงก็ไม่ต่างกัน

"งั้นหายโกรธแล้วนะ" พี่ท๊อปแกล้งถามผู้จัดการตัวเอง

"โอเค แบบนี้ถือว่าคุ้มหน่อยที่โดนเอเจนซี่ด่าเรื่องเธอไม่ไปเกาหลีอาทิตย์นี้ ว่าแต่... น้องน้ำชาเป็นลูกชายของ T-Queen จริงๆเหรอคะ พี่ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ ฝากบอกคุณแม่ด้วยนะว่าพี่รักในงานแฟชั่นม๊ากกกกก ทั้งแฟชั่นยุคใหม่ วินเทจ ตะวันออก ตะวันตก ยันแฟชั่นนอกจักรวาลเลยก็ได้"

"เจ๊ด้วยนะน้ำชา เห็นแก่วันเก่าเก่าของเรานะ ถ้าได้ทำงานที่นี่พี่จะไปลืมพระคุณเลย" เจ๊ซีซี่เสริม

"ค... ครับ" ผมแอบขำในความกระตือรือร้นของพวกพี่เค้า



"เชิญทางนี้ค่ะ" พี่พนักงานเรียกให้พวกเราเดิน



พวกเราทั้งหมดถูกนำไปยังลิฟท์เพื่อขึ้นไปชั้นสี่ของตึก

หลังจากรอในห้องอยู่สักพัก โปรดิวเซอร์ที่ดูแลแคมเปญนี้ก็เข้ามาในห้อง เขาเป็นชายชาวญี่ปุ่นที่พูดภาษาไทยได้เล็กน้อย ผมก็ไม่เคยเห็นเหมือนกันเพราะแทบจะไม่เคยเข้ามาที่ทำงานของแม่เลย

เราพูดคุยกันอยู่กว่าครึ่งชั่วโมงเพื่อให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานในวันนี้ หลักๆก็พอจะจับประเด็นได้ว่านี้เป็นการถ่ายแบบเพื่อลงนิตยสารรายสัปดาห์สองสามเล่ม และใช้ทำเป็นปฏิทินซึ่งจะใช้แจกในธันวาคมเดือนหน้า อีกทั้งจะมีการสัมภาษณ์เพื่อทำสกรุ๊ปเบื้องหลังด้วย

และในขณะที่หลายเรื่องยังอีรุงตุงนังอยู่ ทีมงานชุดใหญ่ก็เข้ามาในห้อง จับพวกผมลองชุด ถ่ายกรุ๊ปฉ็อตเพื่อนำไปวิเคราะห์อะไรก็ไม่รู้ แล้วก็มีอะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมดเลย พี่ตอง พี่ท๊อป กับพี่บุ๋นดูจะพอรับมือกับเรื่องนี้ได้ แต่เด็กปีหนึ่งสามคนได้แต่ยืนงง ก่อนจะถูกลากไปลากมาเป็นตุ๊กตา พี่ๆผู้จัดการสามคนก็เลยมาประกบดูแลพวกผมซะมากกว่าที่จะดูแลคนของตัวเอง

ครึ่งเช้าผ่านไปจนตอนบ่ายมาถึง การถ่ายทำเซ็ตแรกก็เริ่มขึ้น เราทั้งหกคนอยู่ในชุดสีแดงเขียวฉูดฉาด พร้อมหมวกซานต้าครอสและหูกวาง นี่น่าจะเป็นคอนเซ็ปคริสมาสต์นะ แล้วก็เปลี่ยนเป็นชุดสัตว์น่ารักๆ ชุดสูท ชุดนักศึกษา ชุดแฟชั่น ชุดที่ล้ำไปกว่าคำว่าแฟชั่น แล้วก็แอบมีเซ็กซี่เล็กๆน้อยๆด้วย แต่เรื่องถอดเสื้อโชว์ซิกแพ็คให้ไอ้พี่ตองกับไอ้ต้อมทำไปเหอะ ผมไม่เอาด้วยหรอก

ด้วยความที่เป็นการถ่ายงานที่ค่อยข้างจริงจัง พวกเราจึงได้รับการกระตุ้นทั้งแบบใจดี แบบโหด แบบออกแนวโดนสะกดจิตนิดๆ และแบบ... เอ่อ... เหมือนเอาขนมมาหลอกเด็ก ทั้งหมดก็เพื่อให้แสดงเสน่ห์ออกมาตามที่โปรดิวเซอร์ต้องการ แรกๆมันก็ยากแหละครับ แต่พอทำกันมาได้ซักชั่วโมงกว่าๆก็เริ่มสนุก พวกผมหาชุดมาใส่มาลองกันเองก็มี พี่ทีมงานบางคนใจดีให้พวกผมเสนอไอเดียได้ด้วย เราทำงานกันจนลืมไปเลยว่าเดินเข้าออกกี่ห้องแล้ว ออกมาจากบริษัทอีกทีฟ้าก็ดำมืดสนิทและถนนเงียบเชียบแทบจะไม่มีรถผ่านเลย

.....................
(มีต่อ Part 2 นะ)
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 29 [LOVE LEADER Part 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 10-01-2018 18:12:57
(Part 2)




"เอาหละคะคุณผู้ชม วันนี้เจ๊ดีใจมากๆๆๆๆ ไม้ยะมกล้านตัวไปเลยค่ะ ที่ได้รับเกียรติให้มาทำสกรุ๊ปสำภาษณ์เบื้องลึกเบื้องหลังของแคมเปญแฟชั่นเซ็ตในอาณาจักรแฟชั่นระดับชั้นนำของบ้านเรา และที่นี่คือ T-Queen World Wide" เป็นการเปิดรายการที่ยิ่งใหญ่มาก โดยดีเจเจ๊ไก่ พิธีกรชื่อดังที่แม่เชิญมา

ตอนนี้ผมกำลังนั่งดูสัมภาษณ์ของตัวเองผ่านทางทีวีในค่ำวันอังคารที่โรงพยาบาล พี่ตองก็นั่งอยู่ด้วย จริงๆอีกสี่คนก็นั่งอยู่ด้วยกันนี่แหละครับ พอรู้ว่าวันนี้จะมีออกอากาศสัมภาษณ์ในวันที่ไปถ่ายงานที่บริษัทของแม่วันนั้นก็แห่มาดูพร้อมกันที่โรงพยาบาล แต่ก็ดีครับ ช่วงเย็นมีคนมาช่วยดูแลเด็กๆเยอะเลย น้องโชกุนกับเด็กๆก็เลยพลอยได้มานั่งดูอยู่ด้วยกัน สนุกกันใหญ่เลย

เอาหละมาดูสัมภาษณ์กันต่อดีกว่า ดูซิว่าผมพูดอะไรไปบ้างวันนั้น ตื่นเต้นจนจำได้บ้างไม่ได้บ้าง



"สวัสดีค่ะคุณวิจิตรา สวัสดีค่ะเด็กๆ" พิธีกรกล่าวทักทายแม่ของผม ตอนนี้ผมได้เห็นพวกเราในทีวีแล้ว หน้าตาตื่นกล้องกันทั้งนั้นเลย "แหมผู้ชายเต็มเลยนะคะ ฮ่าๆๆ ขอต้อนรับคุณผู้ชมทุกท่านเข้าสู่รายการ 'จิกกล้องแตก' โดยดิชั้น ดีเจเจ๊ไก่ ผู้ดำเนินรายการค่ะ  วันนี้ เห็นแขกรับเชิญของดิชั้นแล้วนะคะ คุณผู้ชมหลายคนคงรู้กันแล้วนะคะ เจอบุคคลท่านนี้ในช่วงใกล้สิ้นปีพร้อมกับนายแบบหล่อๆแบบนี้ นี่คือเทปเบื้องหลังแคมเปญปฏิทิน T-Queen นั่นเองค่ะ แต่ว่าก่อนอื่น ดิชั้นในฐานะสาวกของ T-Queen ไม่อาจจะละเว้นแนะนำตัวผู้หญิงทรงอิทธิพลด้านแฟชั่นอย่างคุณวิจิตราไปได้ ขอเสียงปรบมือให้กึกก้องให้กับ T-Queen อีกครั้งนึงค่าาาา"

เสียงปรบมือดังออกมา ผมจำได้ว่าเป็นทีมงานที่อยู่ในห้องนั่นแหละ

"ขอบคุณในการต้อนรับที่ยิ่งใหญ่นะคะดีเจเจ๊ไก่ ขอบคุณด้วยที่วันนี้ให้เกียรติมาถ่ายทำบื้องหลังแคมเปญเล็กๆของบริษัทเรา"

"ว๊ายยยย พูดอะไรแบบนั้นคะ ดิชั้นต่างหากที่ต้องขอบคุณที่เชิญมาเกือบจะทุกปี เรทติ้งรายการจิกกล้องแตกอยู่ได้เพราะช่วงสิ้นปีแบบนี้เลยนะคะ ฮ่าๆๆๆ ... เอาอย่างนี้ดีกว่าคะ ขออนุญาตเรียกว่าคุณวิจิตรานะคะ สำหรับแคมเปญนี้ที่บอกว่าเล็กๆ นั่นคือการถ่อมตัวที่ดิชั้นยอมไม่ได้จริงๆค่ะ เพราะปฏิทินแฟชั่นเซ็ตของ T-Queen World Wide เป็นอะไรที่ศิลปินดาราใฝ่ฝันมากๆๆๆๆๆ ซุปตาร์บางคนยังไม่เคยได้รับโอกาสมาก่อนเลย ครั้งนี้ถือว่าบิ๊กเซอร์ไพส์มากๆ อะไรยังไงค่ะคุณวิจิตรา ทำไมถึงได้เป็นน้องๆหกคนนี้"

"ก็... ก่อนอื่นเลยคงต้องขอขอบพระคุณไปยังบอร์ดบริหารของ T-Queen World Wide ทุกท่านก่อนนะคะที่ได้ให้ความไว้วางใจในการตัดสินใจทำแคมเปญนี้ร่วมกันน้องๆขึ้นมา เพราะก็ต้องยอมรับอย่างนึงว่าเป็นไอเดียนี้เร่งด่วนพอสมควร ก็หวังว่าจะออกมาถูกอกถูกใจหลายๆท่านนะคะ เอ่อ... ส่วนเรื่องที่เลือกน้องๆจากมหาวิทยาลัยมัณฑนามาก็คือ ปีนี้เราอยากจะเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมแสดงความยินดีกับผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยมัณฑนาที่ครบรอบ 39 ปีของการเป็นที่หนึ่งในด้านลีดเดอร์อะนะคะ"

"เอ๊ะ จริงหรือเปล่าคะเนี่ย ไม่เคยรู้มาก่อนเลย"

พวกผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะตอนนั้น แม่คงจะเตรียมตัวมาดีมากสำหรับเรื่องนี้ ในเวลาแค่วันเดียวคืนเดียวกลับสามารถสร้างความพร้อมได้ขนาดนี้ คราวนี้ผมไม่สงสัยแล้วว่าแม่ขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ยังไง

"ใช่แล้วค่ะ ก็คอนเซ็ปของเราปีก็เลยใช้ชื่อว่า LOVE LEADER ค่ะ"

"ฟังดูโรแมนติกจังเลยนะคะ ลีดเดอร์ที่รัก ประมาณนี้ใช่ไหมคะ... แล้วจะเริ่มแจกจ่ายกันเมื่อไหร่คะปฏิทินชุดนี้"

"ก็วางแผนไว้ว่าเป็น 25 ธันวาปีนี้แหละค่ะ"

"ดิชั้นจองหนึ่งชุดนะคะ"

"อ๋อ ไม่ต้องห่วงค่ะ เพราะเดี๋ยวน้องๆกลุ่มนี้จะไปมอบให้กับสื่อต่างๆในช่วงคริสมาสต์ เป็นการขอบคุณสื่อที่อุปการะ T-Queen World Wide มาโดยตลอด รวมถึงในวันคริสมาสต์ 25 ธันวาคม เราก็มีแผนไปแจกจ่ายให้กับประชาชนทั่วไปด้วย แต่เดี๋ยวกำลังคุยกันอีกทีว่าจะไปแจกในย่านไหนดี ต้องดูคิวของน้องๆด้วยค่ะว่าสะดวกกันที่ไหนยังไง แต่ยังไงก็มีแจกแน่นอนนะคะ ถือเป็นการส่งมอบความรักช่วงปีใหม่ด้วยค่ะ"

"พูดถึงความรักหันไปถามน้องๆกันบ้างดีกว่าว่าเป็นยังไงกันบ้างถ่ายแบบวันนี้ อินกับคอนเซ็ปความรักเหมือนเจ๊หรือเปล่า นี่พูดตรงๆนะ จากมุมที่เจ๊นั่งมองอยู่ตรงนี้ เจ๊จินตนาการไปไกลมาก... เดี๋ยวนะนี่ชื่ออะไรกันบ้างเนีย ท๊อปกับตองเจ๊รู้จักแล้ว คนอื่นๆละคะ แนะนำตัวให้คุณผู้ชมรู้จักหน่อยเร็ว เริ่มจากคนนี้ก่อนแล้วกัน หน้าตาคุ้นๆ"

"ผมชื่อบุ๋นครับ ศิวากร ราศรี"

"ทำไมหน้าตาคุ้นๆจัง เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน"

"ผมเป็นประธานผู้นำเชียร์คณะวิทยาศาสตร์ครับ"

"นั่นไง เจ๊ว่าแล้วเชียว เจ๊ไปงานเปิดกิจกรรมห้องเชียร์ที่มัณฑนาทุกปี จะพลาดหนุ่มหล่อขนาดนี้ได้ไง... ส่วนคนนี้ น้องต้อม เจ๊จำได้แม่นเลย ไหนแนะนำตัวหน่อยซิค่ะ"

"ครับผม ผมต้อมนะครับ นายศิรภพ อาจแผ่นดิม ผู้นำเชียร์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ครับ"

"ได้เจอตัวจริงแล้ว หล่อกว่าที่ดูในทีวีวันนั้นอีกนะ แต่ตองไม่ต้องเสียใจนะ เจ๊ยังรักตองเป็นที่หนึ่งเสมอ" พิธีกรหัวเราะขำๆ "มาๆ คนนี้บ้าง"

"ข.. ขิงครับ คฑาเทพ ธนกฤษ" ขิงประหม่านิดหน่อย

"เดี๋ยวนะ..." พิธีกรดูสคลิป "น้องน้ำขิงใช่ไหมคะลูก จากศึกษาศาสตร์ แต่ไม่ได้เป็นผู้นำเชียร์ อ้าว แล้วแบบนี้จะเข้าคอนเซ็ปเลิฟลีดเดอร์ได้ไงคะ"

"ก็เป็นคนที่ลีดเดอร์รักไงครับ ใช่ไหมครับที่รัก" นั่นไง ความเล่นใหญ่ไฟกระพริบของไอ้ต้อม ดีนะที่มันทีเล่นทีจริง ภาพที่ออกมาก็เลยน่าหมั่นใส้น้อยหน่อย

"ตายแล้วววววววววววววววว เจ๊ตายอย่างสงบค่ะวันนี้ พูดเลย ขอบคุณ T-Queen อีกครั้งนะคะที่เชิญดิชั้นมาวันนี้"

"เอาเลยค่ะ วันนี้ดีเจเจ๊ไก่เป็นนางเอกอยู่แล้ว ถามได้เต็มที่เลย"

"แหมมมม ใครบอกคะ ตัวเอกของจริงในวันนี้คือคนนี้ต่างหาก น้องน้ำชา ลูกชายคนเดียวของเจ้าแม่สื่อแฟชั่นต่างหาก ใช่ไหมค่ะ... แนะนำตัวหน่อยลูก เผื่อบางคนยังไม่รู้จัก"

"ผมชาครับ ธชานา ธนกฤษ ผู้นำเชียร์จากคณะวิทยาศาสตร์ครับ"

"นี่ดิฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะว่า น้องน้ำชาจะเป็นลูกชายแท้ๆของคุณวิจิตรา ไม่ใช่หมายถึงน้องหน้าตาไม่ดีนะ แต่เราไม่เคยเห็นหน้าเห็นตากันมาก่อนเลย แล้วอยู่ดีๆก็ไปโผล่เป็นผู้นำเชียร์เฉยเลย"

"น้องน้ำชาค่อนข้างไม่ชอบออกสื่อน่ะค่ะ" แม่ผมให้เหตุผล "เค้าจะสนใจเฉพาะอะไรที่ตัวเองชอบมากกว่า"

"ในฐานะแฟนคลับของลีดมัณฑนานะลูก เจ๊เชียร์น้ำชานะ แต่ออกหน้าออกตามากไม่ได้ วันนี้เจอตัวจริงแล้วน่ารักกว่าในทีวีเยอะเลย"

"ขอบคุณครับ"

"เอาหล่ะ คราวนี้ดิชั้นขอถามคุณวิจิตราในฐานะ T-Queen เลยนะ ถามเผื่อหลายๆคนเลย คิดว่า การเลือกลูกชายตัวเองมาเป็นนายแบบให้กับปฏิทินชุดแห่งปีแบบนี้ กลัวจะเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไหมค่ะ หลายๆคนอาจจะคิดว่า T-Queen พยายามดันลูกชายตัวเองให้มีชื่อเสียง"

แม่ของผมยิ้มให้กล้อง ไม่มีสายตาของการเกรงกลัวคำถามแม้แต่น้อย

"เอาจริงๆแล้ว นอกจากเหตุผลที่ดิชั้นอยากร่วมเฉลิมฉลองให้กับ 39 ปีผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนา มันก็ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง แต่มันเป็นเหตุผลส่วนตัวของดิชั้นและเด็กๆทั้งหกคนนี้ เอาเป็นว่า ดิชั้นไม่มีความจำเป็นอะไรต้องดันน้องน้ำชาให้โด่งดัง เพราะชื่อเสียงของตัวดิชั้นเองก็ไม่ต้องพึ่งบารมีลูกเด็กเล็กแดงที่ไหน T-Queen World Wide สร้างขึ้นด้วยประสิทธิภาพและความเป็นมืออาชีพของดิชั้น เพราะงั้นถ้าถามว่ากลัวไหม ​ไม่มีทาง ​เส้นทางของดิชั้นมาไกลเกินกว่าจะกลัวเรื่องอะไรแบบนั้นแล้วหละค่ะ"

"อู้วววววว ปรบมือซิค่ะคุณผู้ชม รออะไร" พิธีกรปรบมือชอบอกชอบใจ

"แล้วก็ดิชั้นเชื่อในทีมงานและตัวเด็กๆค่ะว่าพวกเค้าจะทำให้คอนเซ็ป LOVE LEADER ออกมาสมบูรณ์แบบ"

"ดิชั้นก็เชื่ออย่างนั้นเหมือนกันค่ะ เอาเป็นว่า เบรคนี้ต้องขอบคุณคุณวิจิตรามากๆนะคะที่มาร่วมให้สัมภาษณ์กับเรา ขอบคุณค่ะ"

"ยินดีค่ะ"

"ช่วงหน้า เดี๋ยวเรามาคุยกันเหล่านายแบบทั้งหกคนแบบเต็มๆนะคะ ส่วนช่วงนี้ไปพักชมสิ่งที่น่าสนใจและภาพบรรยากาศเบื้องหลังการจัดทำปฏิทินแฟชั่นเซ็ตของน้องๆกัน จะฟินกันขนาดไหน ไม่ชมกันเลยคะ"



ภาพเบื้องหลังปรากฏมาอย่างที่พิธีกรเกริ่นไว้



นี่ต้องเป็นความตั้งใจของแม่แหงเลย ก็ในฉากเบื้องหลังส่วนใหญ่ เป็นการเล่นหยอกล้อที่ดูยังไงก็รู้ว่าพี่ตองกับผมกำลังหวานแหววกันอยู่ ทั้งเสียงเพลง ทั้งการตัดต่อ นี่แม่กะจะให้ทั้งประเทศรู้จริงๆใช่ไหมเนี่ย



"กลับมากันกับรายการจิกกล้องแตกกันอีกรอบนะคะคุณผู้ชม เอาหละเรามาพูดคุยกับน้องๆนายแบบกันบ้างดีกว่า เป็นไงคะเด็กๆ ถ่ายแบบวันนี้เป็นไงบ้าง ยากไหม... ถามน้องน้ำขิงก็แล้วกัน ในฐานะที่ไม่เคยผ่านงานตรงนี้มาก่อน"

"ก็... ยากครับ" ขิงตอบเขินๆ "แต่พี่ทีมงานช่วยดูให้ครับ พี่ๆก็ช่วยสอนการถ่ายให้เหมือนกัน"

"รู้สึกว่าจะต้องมีถ่ายกันต่อด้วยใช่ไหม"

"ครับ"

"น่าจะดึกนะวันนี้ ยังไงเดี๋ยวเจ๊อยู่เป็นเพื่อนนะคะ คอยเก็บเบื้องหลังกันต่อ เผื่อมีช่วงถ่ายแบบเอ็กคูซีฟ เจ๊จะได้อยู่ดูด้วย" พิธีกรหัวเราะหยอกเย้า

"ไม่มีขนาดนั้นหรอกครับ" พี่ท๊อปรีบปฏิเสธ "เราเน้นเป็นคอนเซ็ปน่ารักๆมากกว่าครับ ตามชื่อเลย LOVE LEADER"

"แหมมมมมม อ่ะๆๆ ไหนๆก็เปิดประเด็นมาแล้ว ถามเลยก็แล้วกัน คำว่าความรักของน้องท๊อป คืออะไรคะ"

พี่ท๊อปนิ่งคิดอยู่สักพักและสายตามองไปที่พี่บุ๋นอย่างชัดเจน

"คือการลองผิดลองถูกครับ" นั่นคือคำตอบ "บางครั้งต้องตามหา บางครั้งต้องใช้เวลา บางครั้งต้องมองให้ดี ผมว่า... คนที่ทำให้ผู้ชายมีระเบียบวินัยอย่างผมเกิดอาการอยากจะแหกกฎได้ นั่นก็คงเป็นความรักของผมละมั้งครับ"

"โว้ววววววววววววว" เสียงแซวของพวกผม ส่วนพี่บุ๋นอะเหรอ นั่งตาโตตัวตรงดิ่งอย่างกับโดนสาปให้เป็นหิน

"ตายแล้วววว ใครกันนะ จะทำให้เทพบุตรของเจ๊แหกกฎได้... ไปที่คำถามต่อไปดีกว่านะคะ ดูซิว่าบทสัมภาษณ์ของเราในวันนี้จะหวานหยดย้อยกันขนาดไหน คนนี้ดีกว่า เจ้าชายตองของเจ๊ เทศกาลปีใหม่ปีนี้มีคนที่น้องตองจะส่งมอบความรักให้หรือยังเอ่ย"

"มีแล้วครับ" นี่คือคำตอบแบบความเร็วแสงของไอ้พี่ตอง

"โอ้โหน้องตองคะ ตอบไม่ให้เจ๊มีความหวังเลยนะ ว่าแต่... เค้าเป็นใครบอกได้ไหม"

"ก็.. ไม่ใช่คนอื่นคนไกลอะไรหรอกครับ อาจจะเป็นคนที่อยู่ใกล้ตัวเจ๊ไก่ก็ได้"

"ใครคะ ใครกัน ใกล้ตัวเจ๊ ตอนนี้ใกล้ตัวเจ๊สุดก็น้องน้ำชานี่แหละ"

"หูววววววววววววว"

นั่นไง นี่แหละฉ็อตที่ผมกลัวที่สุด จำได้เลยว่าตอนนั้นทำไรไม่ถูก

"ล้อเล่นค่ะลูก ดูซิ น้องน้ำชาหน้าแดงหูแดงไปหมดแล้ว อะๆ ไม่แกล้งแล้วค่ะ ถามน้องตองต่อดีกว่าว่า ปกติมอบอะไรแทนความรักในเทศกาลสำคัญแบบนี้คะ"

"ถ้าปกติก็ไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่ครับ เห็นอะไรใกล้ๆตัวก็ซื้อเลย แต่ปีนี้อยากให้อะไรที่พิเศษๆหน่อย อย่างเช่นอะไรที่เกี่ยวกับความทรงจำของเรา"

"หล่อแล้วยังโรแมนติกอีก ไม่เอาไม่ถามต่อแล้ว เดี๋ยวเจ๊จะละลายตายลงตรงนี้ก่อน คนต่อไปนะ น้องบุ๋น คือ... คำถามนี้แรงนิดนึงนะ แต่ทางทีมงานขอให้เจ๊ถาม.... สำหรับน้องบุ๋นแล้ว ความรักจำกัดเพศไหมคะ"

จริงๆแล้ว พี่บุ๋นนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ๆ แต่ทีมงานคงตัดช่วงนั้นออกไป ทำให้เห็นว่าพี่เค้าตอบแทบจะทันที

"คง... ไม่จำกัดหรอกมั้งครับ ผมตอบในฐานะคนที่เรียนสายคณิตศาสตร์นะครับ ถ้าความรักจำกัดด้วยเรื่องเพศ งั้นลูกชายกับพ่อหรือลูกสาวกับแม่ ก็รักกันไม่ได้ซิครับ ที่สำคัญ... โลกทุกวันนี้เปลี่ยนไปมากแล้ว ถ้าเราจะมีความรักกับใคร ก็มีไปเถอะครับ"

"ตอบประทับใจเจ๊มาก งั้นสมมตินะ ถ้าอยู่ดีๆน้องบุ๋นเกิดจะต้องมีแฟนเป็นผู้ชายจริงๆ จะเลือกคนแบบไหน ให้เลือกจากคนในนี้นะ อันนี้เจ๊ถามเพื่อความฟินของเจ๊เอง"

พิธีกรก็ช่างถามได้พอเหมาะพอเจาะจริงๆ

พี่ท๊อปนิ่งอึ้งไปเลย

"ก... ก็... ผมเลือก..."

พี่ท๊อปก้มหน้ามองพื้นอย่างตั้งใจ ในใจคงจะลุ้นสุดๆ

"เจ๊ไก่ก็แล้วกันครับ"

"กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด หวยมาออกที่เจ๊เฉยเลย ตอนแรกว่าจะให้เลือกหนุ่มๆในนี้ให้เจ๊ได้ฟิน แต่เลือกเจ๊ก็ฟินเหมือนกัน โอเค ถือว่าฉลาดตอบ อยู่เป็นนะคะน้องบุ๋น"

ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่านะ แต่พี่ท๊อปดูจะหน้าเจื่อนๆไปนะ หลังจากที่พี่บุ๋นตอบออกไปแบบนั้น ตอนนี้ก็เหมือนกัน ผมหันไปดู

หึ! นั่นพี่บุ๋นกำลังทำท่าอะไรน่ะ อย่างกับกำลังง้อพี่ท๊อปอยู่เลย มีโมเม้นแบบนี้ด้วยเหรอวะ



"มาๆๆ คนนี้กันบ้าง น้องต้อม ว่าที่เจ้าชายคนต่อไปของเจ๊ เชื่อในพรหมลิขิตไหมเราอ่ะ"

"เชื่อที่สุดเลยครับ" ไอ้ต้อมยิ้มกว้างเลย เจอคำถามนี้

"ตอบมั่นใจขนาดนี้ แสดงว่าเจอพรหมลิขิตแล้วแน่เลย นี่อย่าบอกนะว่าทำเจ๊อกหักอีกคนนึงแล้ว เบื่อจริงๆเลย เก็บหล่อๆไว้ให้เจ๊บ้างก็ไม่ได้... พรหมพิขิตหน้าตาเป็นยังไงคะน้องต้อม"

"หน้าตาก็คงจะคล้ายๆที่ผมเห็นอยู่เป็นประจำมั้งครับ แค่บางที มันจะต้องใช้เวลาให้จังหวะต่างๆมันลงตัว ถูกที่ ถูกเวลา ถูกสถานการณ์ ถึงจะเรียกว่าพรหมลิขิตไงครับ"

"โอเค มาถึงคนสุดท้ายกันดีกว่า น้องน้ำชา พูดถึงคำว่าลีดเดอร์กันบ้างนะ คิดว่าความรักสามารถนำทางเราให้ผ่านอุปสรรคต่างๆได้ไหม"

ผมรู้ในทันทีว่านี่คือคำถามที่แม่เตรียมมาให้ผมตอบโดยเฉพาะ แม่คงอยากให้ผมบอกกับพี่แอมให้ชัดเจนจริงๆ ไปเลย ซึ่งผมก็ตัดสินใจตอบอย่างเด็ดเดียวไปเลยเหมือนกัน

"ได้ซิครับ มันอาจจะยากหรือง่าย แต่ผมว่ามันก็จะผ่านไปได้ในที่สุด เพราะจริงๆแล้ว มันก็นำทางมาให้เราพบกับความรักแล้วครั้งนึง ก็แค่การนำทางให้พ้นปัญหาอุปสรรคไปก็คงไม่ใช่เรื่องยาก ตราบเท่าที่ความรักมันมากพอ ผมว่า อุปสรรคไหนก็ต้องแพ้ครับ"

"ตอบสมกับเป็นลูกชายของ T-Queen จริงๆ"



"น่ารักจังนะครับ" ​พี่ตองกระซิบข้างๆผม น้องโชกุนหันมองอย่างสงสัย ส่วนผมอะเหรอ ก็ต้องเขินอยู่แล้วหละ ทำไงได้หละ ตัดสินใจพูดไปแล้วนิ



"วันนี้บรรยากาศสีชมพูมากเลย ขอบคุณน้องๆนายแบบทั้งหกคนของเราในวันนี้มากๆนะคะ ที่มาร่วมให้สัมภาษณ์กับรายการของเจ๊ หลังจากเทปนี้ออกอากาศคงจะมีกระแสตามมามากมาย ก็ขออวยพรให้ปฏิทินเซ็ตครั้งนี้ของน้องๆเป็นที่ชื่นชอบของทุกๆคนนะคะ... กลับมาพบกับจิกกล้องแตกได้ใหม่สัปดาห์หน้า จะมีอะไรหน้าสนใจมาให้เจ๊ไปจิกไปเขี่ยมาให้คุณผู้ชมได้ดูอีก ไว้พบกันใหม่นะคะ สำหรับวันนี้ สวัสดีค่ะ"



เห้อออออออออ

จบลงไปแล้ว หวังว่าจะโอเคนะ

หลังการชุมนุมดูทีวีจบลงก็ถึงเวลาเข้านอนของเด็กๆในโรงพยาบาลแล้ว พวกผมกำลังช่วยกันพาน้องๆเข้านอนตามเตียงของแต่ละคน



"คุณตองครับ"

จู่ๆผู้ช่วยพยาบาลคนหนึ่งก็โผล่หัวมาจากประตูห้องแล้วเรียกหาพี่ตอง

"ครับ" พี่ตองขานรับ

"มีผู้หญิงที่ชื่อลูกแก้วโทรมาครับ ที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ชั้นล่าง"



​เพล้งงงงงงง



หึ!?!?!?

เสียงอะไร

พี่ตองทำของเล่นร่วงพื้น แล้วทำไมทำหน้าอย่างกับโดนผีหลอกอย่างงั้นละ

ผมกำลังจะเดินเข้าไปหาเพื่อถามถึงความผิดปกติ แต่พี่เค้าก็เดินสวนผมออกไปอย่างไว ไม่บอกไม่กล่าวอะไรเลย จริงๆแล้ว แทบจะไม่เหล่ตามามองผมแม้แต่นิดเดียวเลยด้วยซ้ำ

ความรู้สึกแบบนี้คืออะไร

ผมหันมองหน้าทุกคนที่ไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกันกับผม ยกเว้น! พี่บุ๋น

พี่บุ๋นหลบหน้าผมอย่างรวดเร็ว นั่นยิ่งทำให้ผมแน่ใจว่าพี่เค้าต้องรู้อะไรแน่ๆ



"พี่บุ๋น" ผมไม่รู้ว่าผมใช้น้ำเสียงแบบไหนกับพี่เค้า แต่ผมต้องการคำตอบในความสงสัยของผมเดี๋ยวนี้

"อะไร กูไม่รู้เรื่อง" ปฏิเสธตั้งแต่ยังไม่ได้ตั้งคำถามแบบนี้ แปลว่าว่ารู้ชัวร์ กูต้องรู้ให้ได้

"ไม่รู้เรื่องอะไร พี่ตองเป็นอะไรอ่ะ แล้วใครคือลูกแก้ว" ทำไมชื่อนี้ฟังดูคุ้นๆจัง เหมือนจะเคยได้ยินมาก่อน แต่นึกไม่ออก

"ก็บอกว่า..."

"บอกไปเถอะบุ๋น" พี่ท๊อปเดินเข้ามาอีกคน "ยังไงน้ำชาก็ต้องรู้เรื่องอยู่ดี"

รู้เรื่องอะไรวะ นี่มันเรื่องอะไรกันเนีย



พี่บุ๋นลังเลอยู่สักพัก "ค...คือ... พี่ลูกแก้วคนนี้ก็คือ....







.......คนที่เป็นเหตุผลทั้งหมดที่ทำให้ไอ้ตองมาเรียนที่มัณฑนา"
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 10-01-2018 18:36:00
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 30 [อุปสรรค Part 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 10-01-2018 20:55:02
​ตอนที่ 30 : อุปสรรค








"มึงอย่าคิดมากน่า" ไอ้ต้อมพูดปลอบใจผมเป็นรอบที่ร้อยแล้วมั้ง "ไม่มีอะไรหรอก พี่บุ๋นก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าสองคนนั่นเลิกกันไปแล้ว พี่ลูกแก้วอะไรนั่นหนะ"

"นี่มึงมีปุ่มกดข้ามหรือไงวะ ถึงได้ลืมรายละเอียดของเรื่องไป" ผมยอมรับว่าหงุดหงิดกับความเปลี่ยนแปลงแบบกระทันหันที่ไม่สามารถอธิบายอะไรได้เลย ผมได้แต่นั่งถอนหายใจใส่กับข้าว ทั้งๆที่มีแกงเห็ดอยู่ต่อหน้า แต่กลับไม่รู้สึกว่าอยากจะเคี้ยวอะไรลงคอเลย

ผมถูกไอ้ต้อมลากมาในตัวเมืองเพื่อรอขิงสอนพิเศษ มันพาผมมากินอาหารโปรดเพราะเห็นว่าผมเริ่มเครียดกับการหายตัวไปของไอ้แฟนบ้า สองสามวันมานี้พี่ตองแทบจะหายไปจากสารระบบ วันนี้ก็บอกว่าติดถ่ายแบบตั้งแต่บ่ายจนถึงดึก มีถ่ายงานอะไรกันทุกวันก็ไม่รู้ ทำให้ได้คุยกันแค่ทางโทรศัพท์สองสามครั้งต่อวัน ​รู้สึกไม่ดีเลย

​"เออ กูรู้ว่าพี่ลูกแก้วเป็นรักครั้งสำคัญของแฟนมึง เป็นผู้หญิงที่ทำให้พี่ตองพยายามมาเรียนที่มัณฑนา แต่ก็ยังไงวะ เค้าก็เรียนจบไปแล้ว ก็เลิกลากันไปแล้วไม่ใช่หรือไง พี่บุ๋นก็บอกอยู่ มึงคือปัจจุบันของพี่เค้า จะคิดมากทำไมวะ"

"แต่ว่าตั้งแต่ที่พี่ลูกแก้วโทรมา นี่ก็สามวันแล้วนะเว้ยที่ไอ้พี่ตองหายหน้าไป หรือเค้าจะเพิ่งคิดได้วะ"

"คิดได้อะไรของมึงไอ้ชาเย็น กว่ามึงกับพี่ตองจะผ่านอุปสรรคของสองบ้านมาได้ไม่ใช่ง่ายๆนะเว้ย แค่แฟนเก่าโทรหากริ๊งเดียวแล้วจะลืมความลำบากก่อนหน้านี้ไปได้เลย กูว่าตอนนี้มึงสนใจเรื่องซ้อมลีดก่อนไหม สิ้นเดือนนี้ก็จะโชว์สปีริดเชียร์อยู่แล้ว อาทิตย์นี้ก็ซ้อมหนักจะตาย ถือว่าดีอ๊อก มันจะได้ซ้อมได้เต็มที่"

"กูไม่มีอารมณ์วะ" นี่ผมพูดหรือคิดอยู่กันแน่ ทำไมรู้สึกเหมือนล่องลอยอยู่ยังไงก็ไม่รู้

"โห ไอ้น้องน้ำชา ทีแต่ก่อนทำเล่นตัว ไม่ให้พี่ตองอยู่ใกล้มากเกินไป พอเค้าหายไปละจะเป็นจะตายนะมึงอ่ะ พี่ตองอ่ะเค้ารักกกกกกกมึง เชื่อกูดิ"

"มึงก็พูดได้ดิ มึงตัวติดกับขิงตลอดเวลานิ แล้วที่สำคัญนะ เรื่องการเฝ้ามองคนๆนึงนานๆอ่ะ กูเข้าใจความรู้สึกนั้นดี การพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่ใกล้ๆเค้า กูก็เข้าใจดี สนใจใส่ใจเรื่องของเค้า กูสัมผัสมาหมดแล้ว ถ้าไอ้พี่ตองมันจะยังมีความรู้สึกต่อพี่ลูกแก้วอยู่ กูก็คง..."

"นี่ไง! ไอ้ชาเย็น"

"เชี่ยไรมึงไอ้ต้อม" โห ไอ้ต้อม มึงเหิมเกริมถึงขั้นกล้าเอื้อมมือมาตบเกรียนกูเลยเหรอ

"เรียกสติมึงกลับมาไง ดราม่านะมึงอ่ะ นี่มันชีวิตจริง ไม่ใช่ละคร  อยากเปลี่ยนจากไอ้เกรียนเป็นไอ้เพ้อรึไง"

"ไอ้..."



"ต้อม ชา เห็นนี่หรือยัง" อะไรอีกหละ จู่ๆขิงก็เดินจ้ำอ้าวเข้ามาในร้าน พร้อมกับโชว์บางอย่างจากในไอแพ็ดให้ดู

"อะไรครับที่รัก" ไอ้ต้อมถามแฟนมัน มึงนิช่างไม่รู้จักอายจริงๆเนาะ "สอนเสร็จเร็วจังวันนี้"

"เพจแอนตี้แฟน" ขิงตอบ

อะไรนะ

"เพจอะไรนะ" ไอ้ต้อมถามก่อน

"นี่ไง เพจเฟซบุ๊ค ใช้ชื่อว่า Anti Love Leader คนกดถูกใจหลักห้าพันแล้วด้วย ​แค่วันเดียว"

ผมนี่รีบคว้าไอแพ็ดมาดูเลย

"เดี๋ยวนะ ไหนวันก่อนแม่จิตรบอกว่ากระแสคนชื่นชอบโปรเจ็ค Love Leader เยอะไง" ไอ้ต้อมสงสัย

ใช่ ผมเองก็ได้เข้ามาเช็คบ้างแล้ว จากภาพบางส่วนที่ T-Queen World Wide ปล่อยลงไปในสื่อออนไลน์ อาจจะมีคนไม่ชอบบ้าง แต่ภาพรวมก็ถือว่าเป็นไปในทิศทางที่ดีนะ

"นี่ไง" ไอ้ต้อมยื่นมือถือ เปิดคอมเม้นเฟซบุ๊คจากภาพที่พวกเราหกคนถ่ายมาให้ดูอีกครั้ง



^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^

A : อ๊ายยยยย ^////^ จองทุกคนค่ะ

     (​20k Like)

B : นี่มันเซ็ตสามีแห่งชาตินี่นา #LoveLeader

     (18k Like)

            - C : เราว่าเซ็ตคู่จิ้นแห่งชาติมากกว่า ลองดูรูปอื่นๆซิ มีถ่ายเป็นคู่ๆด้วย

            - D : @C ใช่ๆ เราอยู่บ้านพี่ตองน้องน้ำชานะ หล่อกับน่ารัก เลือดพุ่งแป๊บ (ข่าวว่ามีภาพถอดเสื้อด้วย อ๊ายยยย)

            - B : ท๊อปบุ๋นเท่านั้น

            - E : ทุกคู่ ได้หมด แต่ขอแจมด้วย #พี่ตองน้องน้ำชา #ต้อมน้ำขิง #ท๊อปบุ๋น #LoveLeader

            - G : เกย์ สัด

            - C : @G ไปอยู่ในกะลามาหรือไงคะ มนุษย์ใช้นิ้วโป้งได้แล้วนะรู้ยัง

            - H : @G พ่องมึงดิสัด

            - B : @G ที่บ้านไม่รักง่ะ

F : เป็นปฏิทินเซ็ตแรกที่อยากได้มากที่สุด เบื่อดารา ลีดมอมัณฯหล่อกว่าตั้งเยอะ เจ๊ชอบกินเด็กค่ะ

     (15k Like​)

​           E : เห็นด้วย แจกที่ไหนยังไงบอกด้วยนะคะ @TqueenOfficial

           H : ด้วยยยยยยยยยย หนูจะไปดักรอทุกห้างเลย @TqueenOfficial​

I : ดันลูกชายชัดๆ

   (12k Like)​

​          C : @I ทำไมคะ ลูกชายทีควีนน่ารักจะตาย ทำไมจะดันไม่ได้

          G : ทีควีนกาก

          J : @G อ้าวๆ ด่าลูกชายเค้าไม่พอ มาด่าตัวแม่ของกะเทยไทยอย่างพวกกู เดี๋ยวไม่ได้ตายดีมึงอ่ะ

          A : @G ด่าทีควีน=ด่าแม่ อี G ส้นตีนหมา

              ---เปิดความคิดเห็นตอบกลับ 200 ข้อความ---

K : ขอเอาไปแต่งเป็นนิยายได้ไหม

     (19k Like)

​          L : แต่งเสร็จแล้วให้เราอ่านด้วยนะ #LoveLeader

          C : อ่านด้วยยยยย

M : อยากให้ถึงคริสมาสเร็วๆ จะเอาทุกคนเลย

     (8k Like)

​----แสดงความคิดเห็นอื่นๆ----

vvvvvvvvvvvvvvvvvvvvvvvvvvvvvvvv



นี่ไง กระแสก็ไม่เห็นแย่ขนาดนั้นนี่นา



"ขิงรู้ แต่นี่ถึงขั้นมีเพจแอนตี้แฟนออกมาเลยนะ" ขิงมีสีหน้ากังวลใจ ก็พอจะเข้าใจอยู่หรอก คนที่ไม่คิดจะอยู่หน้าสื่อแบบขิงต้องมาโดนคนมากมายเกลียดแบบนี้ คงจะไม่เคยเจอมาก่อน แต่โชคดีที่อย่างน้อยขิงก็ยังมีไอ้ต้อมอยู่ให้กำลังใจใกล้ๆ ไม่เหมือนผมที่เหลือตัวคนเดียว

ผมหันมาดูเพจแอนตี้อีกครั้ง

​อือหือ

​คนพวกนี้จริงจังเกินไปไหมเนีย มีเวลาไปตัดต่อภาพให้ดูน่าเกลียด พร้อมกับคอมเม้นสบประมาทมากมาย เอาเป็นว่า.... ไม่ต้องไปสนใจหรอก ผมไม่อยากอ่านให้จิตตก เพราะตอนนี้ก็มีเรื่องให้จิตตกมากพออยู่แล้ว

"อย่าไปใส่ใจเลยขิง มีคนชอบมีคนไม่ชอบเป็นธรรมชาติของโลก" ผมพูดให้กำลังใจขิง ในขณะที่ตัวเองก็ไม่ได้มีกำลังใจสักเท่าไรนักหรอก "นักคณิตศาสตร์อย่างเรา ควรจะเข้าใจหลักการง่ายๆของโลกแบบนี้ เรื่องแค่นี้เอง"

"ชายังกังวลเรื่องพี่ตองอยู่เหรอ" ขิงถาม ผมคงจะแสดงสีหน้าไม่สบายออกมาชัดจริงๆ

"...." จะให้ตอบยังไงหละ

"แปลกนะที่ชาไม่รู้จักพี่ลูกแก้วมาก่อน"

"ทำไมอ่ะ" หมายความว่ายังไง คือก็รู้สึกคุ้นๆชื่ออยู่นะ แต่ผู้หญิงชื่อลูกแก้วก็มีเต็มประเทศไปหมด

"พี่ลูกแก้วน่ะ เค้าเป็นผู้นำเชียร์ของมหาลัยเรานะ ชาศึกษาเรื่องนี้มามาก ขิงนึกว่าชาจะรู้จักพี่เค้าอยู่แล้วซะอีก"



เดี๋ยวนะ



เห้ยยยยยยยยยยยย

​จริงด้วย!!!

นี่กูลืมผู้หญิงคนนี้ไปได้ยังไงกัน ตำนานอีกคนนึงของผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนานี่หว่า พี่ลูกแก้วคนนี้ เท่าที่จำได้คือเรียนจบไปแล้วนี่นา นิสิตจากคณะรัฐศาสตร์ คนที่เคยนำการแสดงผู้นำเชียร์ของไทยไปแสดงในต่างประเทศ ไม่นึกเลยว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับไอ้พี่ตองขนาดนี้ หรือว่า...

"จริงๆแล้วขิงว่า สาเหตุที่พี่ตองเป็นผู้นำเชียร์ของมหาลัยก็เพราะพี่ลูกแก้วนี่แหละ ถึงจะไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่ขิงคิดว่า คนที่ทำให้พี่ตองพัฒนาทักษะด้านภาษาขึ้นมา ก็น่าจะเพราะคนเดียวกันนี้แหละ"

ยิ่งฟังยิ่งเหมือนจะแก้โจทย์ได้มากขึ้นเรื่อยๆแฮะ แต่ทำไมถึงไม่รู้สึกยินดีเลย

"มึงจะโทรหาใครวะ" ไอ้ต้อมสงสัย

"กูว่ากูเคยได้ยินชื่อพี่ลูกแก้วมาก่อนนะ คงมีคนนึงที่พอจะบอกได้" ผมกดโทรศัพท์หาคนที่คิดว่าจะสามารถคลายความสงสัยครั้งนี้ได้ "..... ฮัลโหลครับเจ๊ซีซี่"

"ว่าไงคะน้องน้ำชา"

"เจ๊ครับ ถามอะไรหน่อยซิ เหมือนผมจะเคยได้ยินเจ๊ซีซี่พูดถึงพี่ลีดคนสนิทของพี่ตองคนนึงใช่ไหมครับ คนที่ชื่อ... ลูกแก้วอะครับ"

"ก็.... ใช่จ้ะ แต่เรื่องมันก็ไม่ได้มีอะไรนักหรอกนะ"

"หมายความว่ายังไงเหรอครับ"

"นี่ไปได้ยินอะไรมาหรือเปล่า"

"เปล่าครับ" ก็ต้องโกหกเท่านั้นแหละ จะให้บอกว่าโทรมาคาดคั้นความจริงได้ยังไง

"เจ๊ดูออกนะน้ำชา ถึงเจ๊จะไม่พูด แต่เจ๊ก็สนิทกับตองมานาน ตองกับน้ำชาอ่ะมีอะไรกันลึกๆอยู่ ถ้าอยากรู้เรื่องของพี่ลูกแก้วจริงๆ ทำไมไม่ถามจากตองเองหละ"

"ก็พี่ตองติดถ่ายแบบตลอดเลย ผมยังไม่มีโอกาสได้เจอเลยครับ"

"ติดงาน! ทั้งอาทิตย์นี้ไม่มีงานนอกเลยนะ จะติดงานได้ยังไง"

"ว่าไงนะ!!! แต่พี่ตองบอกว่าติดงานมาตั้งแต่วันพุธแล้วนะ" เรื่องบ้าอะไรอีกเนีย

"เอ่อ...."

"เจ๊ครับ บอกผมเถอะครับ" ผมพยายามอ้อนวอน เรื่องนี้มันชักจะมีเค้าผิดปกติแล้ว

"...." เจ๊แกเงียบไป "อะ... ก็ได้ ตองกับพี่ลูกแก้วเคยคุยๆกันอยู่พักนึง แต่เจ๊ไม่คิดว่าเค้าสองคนจะเคยคบกันหรอกนะ มันเป็นแค่ช่วงสั้นๆ ตอนที่ตองอยู่ปีหนึ่ง พี่ลูกแก้วก็อยู่ปีสี่แล้ว แถมยังฝึกงานอยู่ที่กระทรวงการต่างประเทศหรืออะไรสักอย่าง ก็เลยไม่ค่อยได้เจอกัน รู้แต่ว่าตองชอบตามพี่ลูกแก้วไปต่างประเทศบ่อยๆ" อ๋อ นี่ซินะ เหตุผลที่เค้าใช้ภาษาอังกฤษได้ดี

"ทำไมเจ๊รู้เรื่องส่วนตัวของพี่ตองเยอะจัง" นี่กูควรจะอยากรู้อะไรเพิ่มอีกดีไหมวะ

"ก็เพราะ..."

"เพราะอะไรครับ"

"พี่ลูกแก้วขอตองให้เจ๊เป็นบั๊ดดี้เอง คือเจ๊รู้ว่าตองชอบพี่ลูกแก้ว ก็เลยไปขอร้องให้ช่วยพูดกับตองให้น่ะ"

"........." อย่างกับโดนค้อนทุบหน้าอกอย่างแรง

สำหรับพี่ตองแล้ว พี่ลูกแก้วสำคัญแค่ไหนกัน

"แค่นี้นะครับเจ๊" ผมไม่แน่ใจว่ากดวางสายไปหรือยัง



"ไม่เป็นไรนะมึง" ไอ้ต้อมคงเห็นว่าผมน้ำตาจะไหล



ทั้งคำโกหก ทั้งการกลับมาของคนรักเก่า และเรื่องการก่อตัวของกลุ่มแอนตี้แฟนอีก

ผมย้อนกลับมาคิดถึงคำให้สัมภาษณ์ที่มั่นอกมั่นใจของตัวเองว่าอุปสรรคทุกอย่างจะผ่านไปได้หากมีรักที่มากพอแล้วมัน..... สมเพชตัวเองชะมัด

ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตอนนี้ไอ้คนที่กล้าโกหกผมมันยังมีคำว่ารักอยู่ในใจจริงๆหรือเปล่า



"โอ้ๆๆ ไม่เป็นไรนะคะ ไม่ต้องร้องนะ"

จู่ๆ เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังอยู่ใกล้ๆกับร้านอาหารที่ผมกับเพื่อนนั่งทานข้าวกันอยู่ก็ทำให้ผมหันไปสนใจ

เธอเป็นหญิงสาวที่ผมยาวสวยในชุดราตรีสีชมพูอ่อน เหมือนกับว่าจะแต่งตัวไปงานสำคัญอะไรบางอย่าง แต่กลับวิ่งถลามาหาเด็กหญิงคนหนึ่งที่ยืนร้องไห้อยู่

"เป็นอะไรคะ แล้วพ่อกับแม่อยู่ไหนเอ่ย"

"แง่ๆๆๆๆ​" เด็กผู้หญิงร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิม "มะ... แม่ แม่"

​"โอ้ๆๆๆๆ ไม่เป็นไรนะคะ" ผมรู้ว่าเธอคงเดาได้แล้วว่าเด็กหญิงผลัดหลงกับแม่ในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่นี้ "คุณแม่ไปเข้าห้องน้ำนะคะ เดี๋ยวแป๊บเดียวก็มาแล้วนะ"

"แม่ แง่ๆๆๆๆ"

"ตอง ไปตามประชาสัมพันธ์มาให้หน่อย เร็วเข้า"

"............" ฺห๊ะ

นั่นมัน....

พี่ตอง

พี่ตองนี่นา

ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้หละ แถมยังใช้สูทหรูเต็มยศด้วย เดี๋ยวก่อนนะ งั้นผู้หญิงคนนี้ก็....

ช่วยเอามีดมาแทงตากูให้บอดทีเถอะ

พี่ลูกแก้วกับไอ้พี่ตองกำลังช่วยกันตามหาแม่ให้เด็กน้อยอยู่



"ไอ้ช..."

"เงียบๆ" ผมส่งสัญญาณให้ผู้ร่วมโต๊ะอาหารทั้งสองของผมไม่ต้องพูดอะไร ในเมื่อตอนนี้ไอ้เจ้าตัวปัญหามันยังไม่รู้ว่าผมอยู่ตรงนี้ ก็ดูมันต่อไปว่าจะเกิดอะไรขึ้น อยากจะรู้เหมือนกันว่าคำโกหกทั้งหมด มันทำขึ้นมาเพื่ออะไร



"อะ นี่ไง พี่กระต่ายน้อย" พี่ลูกแก้วหยิบพวงกุญแจรูปกระต่ายขนปุกปุยมาหลอกล่อเด็กสาวให้หยุดร้องไห้ แม้จะได้ผลไม่มากแต่ก็ถือว่าทำได้ดี "พี่สุดหล่อกำลังไปตามคุณแม่ให้หนูแล้วนะคะ... หนูชื่ออะไรเอ่ย"

"...." เด็กน้อยยังสะอึกสะอื้น

"เด็กดีชื่ออะไรคะ บอกพี่กระต่ายหน่อยเร็ว" เธอหาวิธีถามชื่อเด็ก คงจะใช้เพื่อเป็นข้อมูลในการตามหาแม่ซินะ มีไวพริบไม่เบา

"ส.. แสนดี"

"น้องแสนดีคนเก่ง ไม่ร้องไห้นะคะ เดี๋ยวคุณแม่ก็มาหาแล้ว พี่กระต่ายจะรอเป็นเพื่อนเองนะ ไม่ร้องไห้ ไม่ร้องไห้ เย้... น้องแสนดีเก่งมากเลย"



นี่ซินะคนที่พี่ตองหลงรักจนถึงขั้นตามมาเรียนที่เดียวกัน พอเห็นแบบนี้แล้วก็เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมไอ้บ้านั่นถึงยอมโกหกเพื่อมาอยู่กับผู้หญิงคนนี้ ทั้งสวย ทั้งจิตใจดี แบบนี้... กูต้องยอมรับความจริงใช่ไหม



"มาแล้วครับ"

ผมถูกเรียกสติกลับมาเมื่อคนที่หายหน้าไปจากผมปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เค้ายังมองไม่เห็นว่าผมกับเพื่อนๆนั่งอยู่ในร้าน คงเป็นเพราะเครื่องตกแต่งในร้านช่วยอำพรางสายตาไว้ หรือไม่เค้าก็คงไม่คิดว่าผมจะมานั่งอยู่ตรงนี้และเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างได้

"แสนดี ลูก แสนดีลูกแม่" หญิงร่างท้วมที่มาด้วยอีกคน ถลาเข้าหาลูกสาวตัวน้อยของเธอ "เป็นไงบ้างลูก แม่มาแล้วนะ"

"แม่" เด็กน้อยกอดแม่แน่น

"พอดีผมไปเจอคุณแม่ไปแจ้งประชาสัมพันธ์พอดี" พี่ตองเล่าให้พี่ลูกแก้วฟัง



แม้จะมีกระจกกั้นไว้ แต่ผมก็ได้ยินเสียงของไอ้คนตัวสูงอย่างชัดเจน มันช่วยไม่ได้เลยที่ผมจะน้ำตาไหลออกมา มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายได้ยากยิ่ง ทั้งโกรธ ทั้งเครียด ทั้งคิดถึง แต่ก็รู้สึกโล่งอก ในที่สุดก็ได้ยินเสียงและเห็นตัวจริงๆสักที ถึงมันจะเจ็บที่ได้รับรู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก็ตาม ผมก็ยังรู้สึกดีที่ได้เห็นหน้าเค้าจนได้



"ขอบคุณนะคะที่ดูแลน้องแสนดีให้แม่ ไม่รู้จะขอบคุณยังไงเลย" คุณแม่น้ำตาคลอ

"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ใครเห็นใครก็ต้องช่วย มีเด็กร้องไห้อยู่แบบนี้... อ่ะนี่จ้ะแสนดี พี่สาวให้พี่กระต่ายไว้นะ ต่อไปต้องเข้มแข็งนะคะ"

"ข.. ขอบคุณพี่เค้าซิลูก"

"ขอบคุณค่ะ" เด็กน้อยยังสนใจตุ๊กตาน่ารัก



"รีบไปเถอะครับ เดี๋ยวจะสาย"



ไอ้พี่ตองมันจะเร่งพาพี่ลูกแก้วไปไหน ท่าทางรีบร้อนอย่างกับจะกลัวใครมาเห็น

มาเดินควงกันขนาดนี้แล้วยังจะกลัวกูรู้เรื่องอีกหรือไง



"ได้จ้ะ... งั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ"

"สวัสดีค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ"

"ค่ะ"



"มึงจะไปไหน"

ไอ้ต้อมรั้งผมไว้ นี่มึงดูไม่ออกเลยหรือไงว่ากูจะไปไหน "มึงกลับไปก่อนเลยนะ"

"เห้ย เดี๋ยวดิ กูไปด้วย ยังไม่ได้คิดเงินเลย... น้องคิดเงินครับ"

ผมไม่สนใจแล้ว ผมรีบวิ่งออกจากร้าน หันมองหาจุดมุ่งหมาย
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 30 [อุปสรรค Part 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 10-01-2018 20:55:53
(Part 2)

นั่นไง กำลังขึ้นบันไดเลื่อนไปแล้ว

ลองทำเป็นโทรไปถามดีไหมนะว่าอยู่ที่ไหน ​ดูซิว่าจะโกหกว่ายังไง

​ไม่ดีกว่า ​เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ตามไปดูให้เห็นกับตาดีกว่า ขืนฟังคำโกหกอีก กูอาจจะรู้สึกแย่กว่านี้ก็ได้



ผมวิ่งกึ่งเดินตามไปอย่างระมัดระวัง ทั้งสองมุ่งหน้าไปยังส่วนแยกของห้าง ส่วนที่มักจะใช้เช่าในการจัดงานสังสรรค์



"....."

ผมรีบหลบทันทีเมื่อทั้งสองหยุดเดิน ลืมไปเลยว่าเพิ่งจะน้ำตาไหลเสียใจไปเมื่อกี๊

ภาพที่เห็นคือพี่ลูกแก้วกำลังจัดแจงปกคอเสื้อและดูแลความเรียบร้อยของเสื้อผ้าให้ไอ้คนตัวสูงอย่างละเอียดละออ อย่างกับคู่รักแห่งปี ช่างเป็นภาพของคนสองคนที่คู่ควรกันจริงๆ

กูคิดถูกแล้วจริงๆเหรอที่วิ่งตามขึ้นมาเห็นสิ่งนี้

ผมต้องพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง เพราะแค่ทำตัวหลบๆซ่อนๆแบบนี้ก็เป็นที่สนใจของคนอื่นๆที่กำลังจะเดินเข้าไปในงานมากพออยู่แล้ว



​งานวันเกิดคุณนิวัฒน์ นิยมศิลป์ - เลี้ยวขวา



ผมอ่านป้ายบอกทางชั่วคราวที่เพิ่งจะมองเห็น

มางานวันเกิดเนี่ยนะ

​อ้าว ไปกันแล้ว

​ทั้งสองคนข้างหน้าออกเดินอีกครั้ง พวกเขาเลี้ยวขวาที่หัวมุม ผมก็รีบวิ่งตามทันที



เชี่ยยยยยยย

​เกือบไปแล้ว ผมไม่นึกว่าพ้นมุมเลี้ยวแล้วจะพบกับทางเข้างานเลย โชคดีที่พี่ตองไม่ทันมองเห็น

ผมกลับเข้ามาหลบที่มุมทางเดิน พยายามเงี่ยหูฟัง เพราะภาพสุดท้ายที่เห็นคือสองคนนั้นกำลังยืนหน้างานคุยกับใครบางคนอยู่ ใจจริงก็อยากแอบดูนะ แต่ถ้าทำพฤติกรรมแบบนั้นใกล้บริเวณงานขนาดนี้ คนคงจะหาว่าผมมาทำตัวน่าสงสัย ไม่วายโดนจับโยนออกนอกงาน



"สวัสดีค่ะ" นั่นคงเป็นเสียงพี่ลูกแก้ว

"ส... สวัสดี นี่..." ทำไมฟังน้ำเสียงของเจ้าภาพงานดูตกใจแปลกๆนะ

"สุขสันต์วันเกิดนะคะ ขอให้มีความสุขมากๆในปีนี้นะคะคุณลุง นี่คือของขวัญจากคุณปู่ค่ะ ท่านมาเองไม่ได้ ก็เลยส่งหนูมาแทน"

"อ.. อ๋อ หนูลูกแก้ว คุณท่านสบายดีเหรอ"

"สบายดีค่ะ แต่ช่วงนี้ทำงานหนักหน่อย เพราะว่าติดตรวจราชการอยู่ที่ชลบุรีน่ะค่ะ เห็นว่าช่วงเดือนที่ผ่านมา ที่นั่นมีเรื่องน่าสนใจเกิดขึ้น คุณปู่ก็เลยลงพื้นที่ด้วยตัวเอง"

"ห๊ะ!"

"คะ?"

"อ๋อ ป.. เปล่าหรอก ก็ไม่เป็นไรหรอก ส่งหลานสาวนักการฑูตคนเก่งมาแค่นี้ก็ถือเป็นเกียรติให้ลุงมากแล้ว แล้ว..."

"อ๋อ ขอโทษทีค่ะ ลืมแนะนำไป นี่คือตองค่ะ" เริ่มแนะนำตัวกันแล้วซินะ "พอดีหนูไม่มีคนมางานเป็นเพื่อนน่ะค่ะ คงไม่ว่านะคะถ้าหนูจะพา​...แฟน...​มานั่งเป็นเพื่อน เก้าอี้คงจะพอว่างนะคะ"



"..........................................................."



อะไรนะ

รู้สึกเหมือนมีเสียงผึ้งตัวใหญ่กระพืบปีกรัวอยู่ในหู ลมหายใจก็ติดขัดเหมือนจะหายใจไม่ได้

ฟ... แฟน เหรอ?

แล้วกูที่ยืนอยู่ตรงนี้หละ คือตัวอะไร....



"ฟ... แฟน"

เสียงการสนทนายังคงเข้ามาในโสตประสาทของผม ขาของผมคล้ายว่ามันจะอ่อนแรงลง แต่ก็ไม่ทรุด เท้าอยากจะวิ่งออกไป แต่ก็เหมือนถูกรั้งไว้ สิ่งที่เพิ่งจะได้ยินคล้ายว่าจะสะกดนิ่งให้ตัวของผมหมดทางไป

"คะ? มีอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมคุณลุงทำท่าตกใจขนาดนั้น หนูเห็นทำท่าตกใจตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ รู้จักแฟนหนูเหรอคะ"

"ค... คือ.. ลุงตกใจในความหล่อของพ่อหนุ่มน่ะ สมกันดีนะ หนูลูกแก้วก็สวย แฟนก็หล่อ แต่หล่อๆแบบนี้ ระวังไว้นะ เดี๋ยวจะโดนสาวๆคนอื่นแย่งเอาได้"

"ก็ทำยังไงได้ละคะ เค้าหล่อซะขนาดนี้ จริงๆก็มีสาวๆแอบมาตีสนิทเหมือนกันนะคะ บางคนถึงกับเข้าใจว่าตองเล่นด้วย เอาไปพูดเป็นตุเป็นตะว่าจะแต่งงานกัน หนูเค้นเค้าถามตั้งหลายรอบแล้วก็ไม่ยอมบอกว่าใครที่กล้าพูดขนาดนั้น ถ้ารู้ตัวนะ จะให้คุณปู่จัดการให้เข็ดเลย บังอาจมายุ่งกับแฟนของหนู นี่ยังไม่นับพวกที่เป็นข่าวคู่จิ้นอีกนะคะ"

"พูดไปนั่น ใครมันจะกล้าไปยุ่งกับแฟนหนูลูกแก้วได้ แถมผู้หญิงสวยชาติตระกูลดีขนาดนี้ ผู้ชายที่ไหนก็ไม่กล้านอกใจหรอกน่า"

"ตัวแฟนหนูไม่ค่อยห่วงหรอกค่ะ เพราะคบกันมาตั้งสองปีแล้ว แต่ห่วงสาวๆสมัยนี้มากกว่า ไม่น่าไว้ใจเลย"

แต่ละประโยคที่พี่ลูกแก้วพูดออกมา แม้มันจะปนไปด้วยเสียงหัวเราะเย้าล้อเล่น แต่ก็เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในตัวแฟนหนุ่ม

เหมือนหัวใจของผมมันพร้อมจะหยุดเต้นลงตลอดเวลาเลย ทำไมมันจุกไปหมดแบบนี้



"มาทำอะไรไม่ทราบ"

นี่มันวันบ้าอะไรวะ ให้สมองกูได้พักเสียใจบ้างได้ไหม

จู่ๆ พี่แอม โจทก์เก่าก็ปรากฏตัวขึ้น มองหน้าผมเชิงสงสัยแต่ก็แสดงความรังเกียจอยู่ในที เธอเหมือนจะทำคิ้วขมวดอยู่ไม่นาน แต่สุดท้ายก็แสดงออกถึงรอยยิ้มของความมีชัยออกมา

สาวเจ้าคงเห็นสิ่งเดียวกับที่ผมสะกดรอยตามมา จริงๆเดาเอาจากสีหน้าบอกบุญไม่รับของผมก็พอรู้ว่าผมกำลังรู้สึกแย่แค่ไหน



"ยังไงก็แล้วแต่ เชิญสองคนในงานก่อนดีกว่านะ มีแฟนมาด้วยก็ดีแล้วล่ะ งานคนแก่แบบนี้ เดี๋ยวจะเบื่อเอาได้"

"งั้นเราสองคนขอตัวนะคะ สุขสันต์วันเกิดอีกครั้งนะคะคุณลุง ไปเถอะที่รัก"

"สุขสันต์วันเกิดครับ"



บทสนทนาสุดท้ายยิ่งทำให้พี่แอมที่ยืนอยู่ต่อหน้าผมแสดงสีหน้าของความซะใจออกมาชัดเจนขึ้น



"ของที่แย่งคนอื่นเค้ามาน่ะ มันก็ไม่แปลกหรอกนะที่จะโดนแย่งไปบ้าง" เธอพูดด้วยรอยยิ้มแบบไม่มองหน้าผมสักนิด อย่างกับว่าการเห็นหน้าผมไปมากกว่านี้จะทำให้เธอติดเชื้อโรคร้าย "แต่ก็ดีแล้วละนะ จะได้มีเวลาซ้อมลีดมากขึ้น ไม่มัวไปสนใจเรื่องอื่น ยังไงก็แบกความรับผิดชอบของผู้นำเชียร์คณะวิทยาศาสตร์เอาไว้ รับผิดชอบด้วยก็แล้วกัน.... หรือไม่ก็...." นี่ถ้ามึงไม่ใช่ผู้หญิงกูจะกระโดดหวดก้านคอให้แน่นิ่งลงตรงนี้เลย อย่าคิดว่าใส่ชุดสวยๆมาแล้วกูจะไม่กล้านะ พูดมากขนาดนี้แล้วยังจะซ้ำเติมอะไรกูอีก "ถ้ามันอดใจวิปริตไปแย่งของคนอื่นไม่ได้จริงๆอะนะ ก็ลาออกไปซะ คณะวิทย์ควรจะมีคนดีๆให้สมเกียรติ"

"คนดีแบบไหนเหรอ" อย่าคิดว่ากูจะยอมง่ายๆนะ มึงมาด่ากูโต้งๆแบบนี้แล้วคิดว่ากูจะเป็นเต่าในกระดองหรือไง นี่กูไม่ใช่นางเอกหน้าโง่ในละครไทยนะ เตรียมรับมือกับกูให้ดีแล้วกัน อีพี่แอม "คนดีแบบที่เที่ยวอาละวาดทำลายข้าวของในห้องของคนอื่นอ่ะเหรอ หรือคนดีแบบที่ใช้อำนาจบุพการีมาบังคับฝืนใจให้คนอื่นมาแต่งงานกับตัวเอง ถ้าอวัยวะเพศของคนดีมันคันคะเยออยากโดนสากกระแทกมากขนาดนั้นละก็ คงจะสมเกียรติคณะวิทยาศาสตร์มากซินะ"

"แกกล้าดียังไง..."

"ลายมือ!"

"อะไรของแก พูดอะไร เสียสติไปแล้วรึไง" ยัง ยังไม่หมด ระลอกที่สองกำลังโจมตี มึงเริ่มก่อนเองนะ

"อาชญากรมักทิ้งร่องรอยของอาชญากรรมไว้เสมอ เคยได้ยินไหม? เสียดายนะที่เรียนคณะวิทยาศาสตร์มา ถึงได้ไม่รู้ว่าข้อความสั้นๆสามารถใช้ระบุเทียบเคียงตัวผู้เขียนได้ ต่อให้ใช้มือข้างที่ไม่ถนัดเขียนลงไปก็ตาม ไหนจะลิปสติก Guerlain KissKiss Gold And Diamonds Lipstick อีก​ ถูกไหม? คิดว่าในประเทศจะมีคนสั่งนำเข้าสักกี่คน .... อุตส่ายอมหัวสูงใช้ลิปสติกแท่งเป็นล้านเขียนข้อความสบประมาทคนอื่นลงบนกระจก คงจะลืมไปซินะว่าประเทศนี้ยังมีลูกชายของเจ้าแม่วงการแฟชั่นระดับโลกอยู่"

"......" ขอบใจนะที่แสดงสีหน้าแบบนั้นออกมา คนอย่างมึงที่กูปล่อยให้พูดและทำอะไรตามใจชอบมานาน ควรจะโดนซะบ้าง คงไม่คิดละซิว่ากูตามสืบจริงจังขนาดนี้ ตอนแรกก็แค่กะว่าจะเก็บเป็นข้อมูลเอาไว้เฉยๆ ทั้งๆที่พี่ตองบอกว่าไม่ต้องสนใจ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะได้ใจ ทำอะไรตามใจชอบมากเกินไปแล้ว

"บุกรุกทำลายข้าวของอาจไม่ใช่คดีร้ายแรง แต่ถ้ามันเป็นฝีมือของลูกสาวอธิบดีกรรมเจ้าท่า เรื่องนี้คงไม่เล็ก จริงไหม"

"....." สีหน้าของคนที่ต่อสู้ระหว่างความกลัวและความโกรธแสดงออกบนใบหน้าของผู้หญิงตรงหน้าผมอย่างชัดเจน แต่เธอก็สะบัดหน้ากลับไปเหมือนเดิมในเวลาไม่นาน "คนอย่าง​พวกเธอ​นี่มันก็น่าขำดีนะ เค้าประกาศชัดขนาดนั้นว่าคบหาอยู่กับคนอื่น ยังจะเอาตัวกระโดดเข้าปกป้อง ทำดีปิดทองหลังพระเหรอ ทุเรศ​... ส่วนเรื่องที่พูดน่ะ ไม่เห็นจะเข้าใจตรงไหนเลย ​บุกรุก​งั้นเหรอ มากกว่านี้ชั้นก็ทำได้ แต่ถ้าคิดจะฟ้องก็เชิญตามสบายนะ อยากจะเห็นเหมือนกัน ว่าพวกโง่ที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อคนที่เค้าไม่ได้รักตัวเองเนีย มันจะหน้าตาน่าสมเพชขนาดไหน"

"............................................." เออ

กูแพ้ มึงจะไปไหนก็ไป เชิญสะบัดผมเหยียดหยามกูให้เต็มที่

แม่ง ดันพูดถูกทุกอย่าง กูจะปกป้องเค้าไปเพื่ออะไรวะ ทั้งๆที่เค้า.... ที่ผ่านมามันคืออะไรวะ กูพยายามเพื่ออะไร กูไขว่คว้าวิ่งตามหลังมันมาถึงที่นี่เพื่ออะไร

ผู้นำเชียร์บ้าบออะไรกัน กูจะพยายามทำไม ​ทำไม



ผมเดินก้มหน้าน้ำตาไหลพรากอย่างอดกลั้นไม่ได้ แต่ละก้าวมันช่างไกลเหลือเกิน ​ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย​

เรื่องราวมากมายหมุนวนเข้ามาในหัวจนสับสนไปหมด แม้กระทั่งทางที่เดินอยู่ตอนนี้ผมยังแทบจะมองไม่เห็นมันด้วยซ้ำ ทั้งม่านน้ำตาที่บดบังไว้และสมองที่ไม่อาจประมวลผลได้

ผมได้แต่กักเสียงสะเอือนไว้ในลำคอไม่ให้มันระเบิดออกมาจนเป็นที่สนใจของคนในห้าง แต่มันก็ยากเหลือเกิน เหมือนมีจุกก๊อกใหญ่ๆอุดอยู่ในคอหอย ได้แต่เอามือแตะประคองผนังไปเรื่อยๆเพราะไม่รู้จุดหมายของการเดิน



"หนูชอบพวกพี่มากเลยค่ะ... อ๊ายยยย ดีใจจังที่ได้เจอตัวจริง ขอบคุณที่ถ่ายรูปด้วยนะคะ" "หนูจะรอปฏิทินนะคะ" "แกๆถ่ายให้ชั้นบ้างซิ" "เห็นไหมแก บอกแล้วว่าเป็นพี่น้ำขิงจริงๆด้วย ก็ว่าอยู่ว่าหน้าคุ้นๆ เหมือนจะเป็นติวเตอร์ของชั้นเลย"



เสียงจอแจเบื้องหน้าทำให้ผมต้องหยุดเดิน พยายามรวบรวมสติอีกครั้ง ผมมองเห็นไอ้ต้อมกับขิงยืนยิ้มถ่ายรูปให้เด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งอยู่

ผมรีบหันหลังอย่างเร็ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ผมไม่อยากให้ใครเห็นตัวเองในสภาพนี้



"แล้วพี่คนอื่นละคะ มาด้วยไหม" "ท๊อปบุ๋น" "ใช่ๆ พี่ตองน้องน้ำชาละ หนูชอบมากเลย พี่เค้ามาไหม หนูอยากขอถ่ายรูปด้วยจัง"

ในที่สุดก็เผลอปล่อยเสียงสะอื้นไห้ออกมา ทั้งๆที่พยายามกลืนมาลงท้อง แต่เพราะคำพูดนั้น ผมไม่อาจกลั้นความอึดอัดนี้ไว้ได้จริงๆ



"นั่นไงครับพี่น้ำชา... เห้ย ไอ้ชาเย็น น้องๆเค้าขอ.... เห้ย มึงเป็นไรเนี่ย" ไอ้ต้อมพยายามเดินมาเรียกผม แต่มันคงตกใจที่เห็นผมร้องไห้ ทำท่าเหมือนคนจุกอกหายใจไม่ออก มันลดเสียงเบาลง "เกิดไรขึ้นวะ"

"กรี๊ดดดดด พี่น้ำชา" "พี่น้ำชาจริงเหรอ" "พี่คะ ขอถ่ายรูปด้วยหน่อย"

"เดี๋ยวๆๆๆๆ เดี๋ยวก่อนครับน้องๆ" ไอ้ต้อมรีบกอดผมแล้วเอาหน้าของผมซุกไปที่หน้าอกของมัน ผมไม่สนใจอะไรแล้ว ตอนนี้ผมอยากออกจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด "ค... คือ พี่น้ำชาแพ้แสงอย่างรุนแรง ตอนนี้ต้องพาไปโรงพยาบาลด่วนเลย ขอโทษนะครับ น้ำขิง ช่วยที"

"ห๊ะ! อ่า... เดี๋ยวเคลียร์ทางให้พี่น้ำชาหน่อยนะครับ" ผมได้ยินเสียงของขิง แล้วหลังจากนั้นอะไรๆก็ดูสับสนวุ่นวายไปหมด ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังถูกลากหรือพาไปไหน แต่ได้ยินเสียงเจียวจาวแปลกๆรอบตัว



หลังจากขึ้นมาถึงรถยนต์ได้ ไอ้ต้อมก็โทรหาพี่ตองทันที มันทั้งขับรถและถามไถ่พี่เค้าเสียงดัง ตามมาด้วยการด่าทอสารพัด

ไม่รู้ซิ ถ้าเป็นทุกครั้งผมคงห้ามมันไปแล้ว แต่ตอนนี้ผมไม่รู้สึกต้องการอะไรทั้งนั้น ผมรู้สึกไม่มีแรง ไม่อยากจะได้ยินอะไรเพิ่มเติมอีก

ทั้งหมด มันพังลงแล้ว....

แปดปีที่เราเฝ้ามองเค้า มันเป็นภาพลวงตาของคนที่โกหกตัวเองอยู่เหรอ.....

หรือที่จริงแล้วมันเป็นแค่มุกตลกครั้งใหญ่ของชีวิตเท่านั้น....











#เสียงโทรศัพท์

.......

.......

#เสียงโทรศัพท์​

.......

#เสียงโทรศัพท์​

..

#เสียงโทรศัพท์​

.

#เสียงโทรศัพท์​

#เสียงโทรศัพท์​

#เสียงโทรศัพท์​

#เสียงโทรศัพท์​

#เสียงโทรศัพท์​

#เสียงโท....



......ในที่สุดมันก็เงียบลงซะที  แบตเตอร์รี่คงจะหมดซินะ



"น้ำชาลูก" เสียงของแม่ผมดังมาจากด้านนอกห้อง

ผมขอร้องให้ไอ้ต้อมมาส่งผมที่บ้าน ทีแรกก็อยากจะพบแม่เพราะความเสียใจ แต่ตอนนี้กลับอยากจะอยู่คนเดียว หลังจากมาถึง ผมก็เลยขอแม่เข้ามาในห้องนอนทันที

"ทะเลาะกับพี่ตองมาใช่ไหม" แม่พยายามหาทางคุยด้วย แต่เธอเข้ามาในห้องที่ล็อคไม่ได้ "ต้อมเล่าให้แม่ฟังแล้ว แม่เป็นห่วงนะรู้ไหม"

"แม่ครับ ชาขออยู่คนเดียวสักพักได้ไหมครับ" ผมยังไม่อยากคุยอะไรจริงๆ

"แม่เข้าใจ แต่ว่า... อย่างน้อยก็ให้ขิงเข้าไปนอนเป็นเพื่อนได้ไหม  แม่ไม่อยาก..."

"ไม่เป็นไรครับแม่ ชาไม่คิดทำอะไรไม่ดีหรอกครับ แม่ไม่ต้องห่วง.... จริงๆนะ"

"..... ถ้างั้น มีอะไรก็เรียกแม่นะ ต้อมกับน้ำขิงก็นอนอยู่ที่นี่ด้วย ถ้าน้ำชาต้องการเพื่อน"

"ครับ..."

ผมรู้ว่าแม่ยังยืนกังวลอยู่หน้าห้องสักพักก่อนที่จะตัดสินใจเดินจากไป



ขาของผมเดินไปอย่างไม่รู้ตัว ตรงไปหากรอบรูปข่าวจากกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าอันใหญ่ที่ผมใส่กรอบไว้เป็นอย่างดี



​เด็กชายใจกล้า โผกระโดดน้ำช่วยคน เด็กน้อยหวิดตายเฉียดฉิว



คำข่าววิ่งวนในหัวเหมือนควันลอยคว้างกลางห้องมืด

ภาพข่าวที่เหมือนสะกดให้ดวงตาเพ็งมองแต่ไร้ความเข้าใจ

ผมอยาก.... ผมรู้สึกอยากจะโยนมันทิ้ง หรือทุบมันให้แตก

แต่ว่า....

มันคือจุดเริ่มต้นของความหวังในชีวิตของผม ผมเฝ้ามองดูมันอย่างมีแรงบันดาลใจมากว่าแปดปี มันเป็นดั่งกล่องดวงใจที่ผมไม่อาจจะทำร้ายทำลายมันลงได้ด้วยมือตัวเอง



"ฮือ.... ฮือออออ........... "

ในที่สุดผมก็ยอมแพ้ต่อตัวเอง

เคยเห็นแต่ว่าในละครจะมีฉากที่คนกอดกรอบรูปร้องไห้กองอยู่กับพื้น ไม่คิดเลยว่าชีวิตจะต้องมีเจ็บปวดรวดร้าวขนาดนี้ เหมือนมีมืออันใหญ่กำหัวใจดวงเล็กนี้ไว้แน่นและบีบคั้นร้าวจะให้มันแตกสลาย

​ทำไม่ได้  ผมทำไม่ได้

​​ผมหยุดร้องไห้ไม่ได้

​​ผมเกลียดความอ่อนแอ

​​ทำไม... ทำไมผมถึงยังรักเค้าขนาดนี้

​​ได้โปรด.... หยุดความรู้สึกนี้ทีได้ไหม ได้ไหม... ขอร้อง ได้โปรด......







เช้าวันเสาร์ปรากฎขึ้นอย่างยากลำบาก

และมันยิ่งยากขึ้นอีกเมื่อผมต้องรับแขกที่ไม่คาดคิดมาก่อน...

​คุณวินัย



ผู้จัดการบริษัทด้านเรือขนส่งสินค้ารายใหญ่ของเอเชีย คนจากตระกูลขัตติยชาติ คนจากบ้านของ.... ​เค้าคนนั้น



"คุณหนูน้ำชาครับ" นั่นคือคำแรกที่ผมได้ยินหลังจากเรานั่งประจัญหน้ากันในสวนหลังบ้าน "ผมขอร้องให้คุณหนู...









.....ช่วย​ยกโทษให้คุณชายน้อยด้วยเถอะครับ"
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 11-01-2018 05:29:06
หน่วงไปอี๊กกกก# ช่วยอัพเดทวันที่อัพโหน่ยค่า
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 31 [ความทรงจำ Part 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 11-01-2018 10:53:09
​ตอนที่ 31 : ความทรงจำ







ท่าเรือแหลมฉบัง  จังหวัดชลบุรี



"มึงนี่ก็กล้าเนาะ เค้าชวนมาก็มา" ไอ้ต้อมแขวะผมหลังจากลงจากรถยนต์ได้

ไม่ใช่แค่มึงหรอกที่สงสัย กูเองก็สงสัยตัวเองเหมือนกันว่าทำไมกล้ามาถึงที่นี่

หลังจากการพบกันตอนเช้าระหว่างผมกับคุณวินัย เค้ามาพูดขอให้ผมยกโทษให้พี่ตอง แต่ก็ไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังไปมากกว่าการชวนมาที่เขตโกดังท่าเรือของบริษัทตระกูลขัตติยชาติ

มันก็ยังงงๆ อยู่อะนะ

ความสับสนและความเศร้ายังกัดกินผมอยู่เนื่องๆตลอดการเดินทางมาที่นี่ แต่ทันทีที่ได้สัมผัสลมทะเล ก็คล้ายว่ามันจะช่วยพัดความโศกเศร้าไปได้สักพัก

ที่นี่มีเสียงหวูดเรือและรถวิ่งเข้าวิ่งออกจอแจ แต่ก็ยังดูมีระบบระเบียบในความวุ่นวายนี้

ผมเห็นเรือลำใหญ่มากมาย ทั้งจอดและกำลังแล่นอยู่บนทะเล แม้จะยังไม่ได้เข้าไปในเขตรั้วเหล็กแต่ก็มองเห็นลานซีเมนต์ขนาดใหญ่ที่ทอดเชื่อมแผ่นดินกับมหาสมุทรไว้ด้วยกัน เสียงเลื่อนแม่แรงและเสียงเหล็กสลิงถูกตึงจนเหยียดยาว ช่างสร้างความสนใจให้กับผมได้ไม่น้อย

"แต่ที่นี่ก็เจ๋งดีว่ะ" ไอ้ต้อมพูดอีกครั้ง "ดีเหมือนกัน มึงจะได้ไม่คิดมาก มาเปิดหูเปิดตา แล้วตอนนี้พี่ตองอ่..."



"คุณหนูน้ำชา มาถึงแล้วเหรอครับ" เสียงคุณวินัยแทรกขึ้นมา เค้ากำลังวิ่งมาจากด้านในรั้วเหล็กสูง จากนั้นประตูก็ถูกสั่งให้เปิดออกเพื่อต้อนรับผม ไอ้ต้อม และขิงอีกคน

"สวัสดีครับ" ผมกล่าวทักทาย เอาจริงๆนะ ผมยังรู้สึกอยากหันหลังกลับขึ้นรถแล้วสั่งให้ไอ้ต้อมพาผมกลับอยู่ดี แต่ความรู้สึกค้างคาในใจบางอย่างก็ยังทำให้ผมอยากค้นหาคำตอบอยู่ดี คำตอบที่เผื่อว่ามันจะมีมากกว่านี้ นี่คงเป็นนิสัยแย่ๆของนักคณิตศาสตร์แบบผมซินะ

"เชิญข้างในดีกว่าครับ... เด็กๆ มาเอารถคุณหนูไปเก็บหน่อยเร็ว" คุณวินัยเรียกคนงาน "เดี๋ยวเรานั่ง club car (รถกอล์ฟ) กันไปดีกว่านะครับ คุณท่านชอบให้ใช้เครื่องยนต์เล็กในท่าเรือมากกว่า เพราะสัญจรสะดวก"

"คุณพ่.. เอ่อ คุณท่านอยู่ที่นี่ด้วยเหรอครับ" เกือบจะหลุดปากไปแล้วเชียว

"อยู่ครับ แต่อยู่ส่วนขนย้าย ไปกันเถอะครับ"

ไปก็ไปวะ



​KTYC Trading Co.,Ltd

​นี่ไงชื่อบริษัท ผมรู้จักมันมานานแล้วล่ะ ก็แน่ละซิ ผมต้องรู้อยู่แล้ว แต่ก็เพิ่งจะเคยเข้ามาครั้งแรก

ผมรู้สึกสะดุดตากับป้ายขาวกรอบสีแดงที่เหมือนจะเพิ่งถูกวางทิ้งให้นอนอยู่ใกล้กับส่วนทางเข้า สายตาก็พลันอ่านข้อความนั้นอย่างรวดเร็ว



​ด้วยคณะพิธีการนำเข้าทางเรือ กรมศุลกากร ได้รับการร้องเรียนด้านคุณภาพและกระบวนการขนส่งสินค้าของบริษัท เคทีวายซี จำกัด มหาชน เหตุอันน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ กรมศุลกากรขอออกคำสั่งโดยอำนาจแห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2560 มาตรา 37 และมาตรา 38 เพื่อหยุดกระบวนการดำเนินงานภายใต้งานบริหารและ/หรือคำสั่งของบริษัท เคทีวายซี จำกัด มหาชน​ ไว้เป็นการชั่วคราวเพื่อทำการตรวจสอบ จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

​​ออก ณ วันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ.2560



วันที่เจ็ดเหรอ ก็วันพฤหัสฯที่ผ่านมาเองนี่นา ป้ายโดนรื้อออกแล้วเหรอ ข้อความแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่ทำไมใช้เวลากันแค่วันสองวันเอง....



"ไอ้ชาเย็น ขึ้นรถได้แล้ว"

ผมสะดุ้งนิดหน่อยที่ถูกเรียก กำลังคิดถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ที่นี่ เมื่อเดือนที่แล้วก็เพิ่งจะเกือบเสียหายเพราะเรือขนสินค้าไม่พอ โชคดีที่เรามาช่วยแก้ปัญหาให้ได้ทัน พ้นมาไม่กี่วันนี้ยังโดนตรวจสอบอีก ทำธุรกิจระดับชาติแบบนี้น่าปวดหัวจัง



"ชาเห็นนี่หรือยัง" ขิงส่งไอแพ็ดมาให้ผมดูอีกแล้ว "มีคนทำแฟนเพจให้พวกเราด้วยล่ะ"

"ห๊ะ?" จริงดิ

"ใช่ มีคนกดไลค์สองหมื่นกว่าแล้วนะ แค่คืนเดียวเอง"



​Love Leader Fan Team



​ตั้งชื่อเพจได้หึกเหิมสุดๆ แต่พวกเค้าจะรู้หรือยังนะว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในกลุ่มคนที่พวกเค้ากำลังเชียร์อยู่

เห้อ....

เลิกคิดดีกว่า

หึ!?!?

เดี๋ยวนะ นี่มัน....



"เห็นนี่กันหรือยัง มีคนเอามาโพสลงแฟนเพจด้วยอ่ะ" ผมตื่นเต้นกับสิ่งที่เห็นมากกว่าบรรยากาศอลังการรอบข้างซะอีก

"อะไรวะ" ไอ้ต้อมสงสัย มันเพ็งมอง "อ๋อออออ รูปที่ท๊อปถ่ายคู่กับพี่บุ๋น แล้วไงวะ เค้าก็แค่ถ่ายรูปคู่กัน ก็ปกติแหละ นี่มันเพจคนที่เค้าชื่นชอบพวกเรานะเว้ย จะมีรูปสองคนนี้มันจะไปตื่นเต้นตรงไหนวะ รูปกูกับน้ำขิงที่ถ่ายกับน้องๆที่ห้างเมื่อวานก็มีลง มึงไม่เห็นตื่นเต้นบ้างล่ะ"

อือหือ มาเป็นชุด

"ไอ้สาดดดดด" เอานี่ไม่แดก

"ไอ้ชา มึงตบเกรียนกูทำเจี๊ยวอะไรของมึงวะ คนเยอะแยะ เสียลุคคนหล่อหมด"

"เดี๋ยวจะโดนอีกซะทีนะมึงอ่ะ นี่ มึงอ่านแคปชั่นก่อนไหม '​เมื่อคืนมาส่งท๊อปบุ๋นไปเกาหลี แอบไปฮันนีมูนกันหรือเปล่านะ​' แล้วมึงดูรูปนิ มีกระเป๋าสองใบด้วย เข้าใจรึยัง"

"ไหนๆ" ความรู้สึกช้าจริงนะมึง "เห้ย พี่เค้าไปเกาหลีด้วยกันเหรอวะ แล้ว... เค้าไปทำไรกันวะ"

"โอ๊ะ" เออ กูยอมในความโง่ของมึงแล้ว

"เออ กูรู้ แหม่... ก็เห็นมึงกำลังทำหน้าตาแจ่มใส ไม่อยากให้กลับไปเศร้าอีกไง" นั่นไง ถ้ามึงไม่พูด กูก็คงลืมได้อีกสักสองสามนาทีอยู่หรอก "น่ะ พูดไม่ได้เลย... มึงก็เลิกหลอกตัวเองเหอะ มึงยังรักพี่ตองอยู่ ไม่งั้นมึงจะมาที่นี่ทำไม จริงไหม"

"กูมาเพราะกูมีมารยาทเว้ย คุณวินัยเค้าเป็นผู้ใหญ่ ออกปากชวนเอง จะให้กูปฏิเสธได้ไง กูเป็นเด็กนะ" ไอ้เชี่ยต้อมสารเลว มึงชักจะพูดมากเกินไปแล้วนะ



"นี่ผมทำให้คุณหนูน้ำชาลำบากใจที่ต้องมาที่นี่เหรอครับ"

กรรมละไง ลืมไปเลยว่าคุณวินัยก็นั่งมาด้วย

"ป... เปล่าครับ" แก้ตัวว่าไงดีหละ "ผมก็อยากมาลองดูอะไรใหม่ๆบ้างเหมือนกันครับ ก็คุณวินัยเคยแนะนำให้ผมมาดูงานที่นี้มาก่อนไม่ใช่เหรอครับ ก็เลย... ดูไว้เป็นทางเลือกน่ะครับ เผื่อเรียนจบมาแล้วผมตกงาน"

"อย่างคุณหนูน้ำชาไม่ต้องกลัวตกงานหรอกครับ เก่งๆแบบนี้มีแต่บริษัทจะแย่งตัวกัน หรือถ้าไม่รู้จะทำอะไรจริงๆ ที่นี่ก็ยินดีต้อนรับนะครับ... คือจริงๆแล้ว อย่าไปบอกคุณท่านนะครับว่าผมแอบเล่าให้ฟัง คุณท่านแอบสั่งให้ช่างมาออกแบบห้องทำงานใหญ่โตไว้ที่ตึกบริหาร ผมถามก็บอกแต่ว่าจะทำไว้ให้ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์"

"แล้ว...??" คือทำไมคุณวินัยต้องทำอย่างกับมันเป็นความลับขนาดนั้นด้วย แค่สร้างห้องทำงานเอง

"ก็มันเป็นตำแหน่งใหม่น่ะซิครับ ไม่เคยมีผู้จัดการฝ่ายนี้มาก่อน แถมยังสร้างไว้ติดกับห้องทำงานของผู้จัดการฝ่ายคอมพิวเตอร์ด้วย ห้องที่จะเป็นห้องทำงานของคุณชายน้อยในสองสามปีข้างหน้า ไม่มีหรอกครับที่ห้องผู้จัดการสองฝ่ายจะมาอยู่ติดกัน ยิ่งผมเห็นรายการสั่งซื้อแผนที่โลก แผนที่เดินทะเลทั้งแบบตั้งแบบนอน โต๊ะตารางสเกล กับอุปกรณ์เครื่องมือคณิตศาสตร์ชุดใหญ่ ผมรู้เลยล่ะครับว่าคุณท่านสร้างห้องทำงานไว้ให้คุณหนูน้ำชา ไหนจะที่ดินที่ริมทะเลที่ไปซื้อมาอาทิตย์ก่อนอีก ผมว่านะคุณท่านเตรียมสร้างบ้านไว้ให้คุณชายน้อยอยู่กับคุณหนูแน่เลย"

"เอ่อ............................" อึ้งไปเลยกู ยังไงละทีนี้



"โหวววววววววว พ่อแฟนมึงนิทุ่มทุนสร้างจริงว่ะ" ไอ้ต้อมทำตาโตใส่ผม "สงสัยจะเตรียมรอรับลูกสะใภ้คนเก่ง"

"ไอ้สั..." ไม่ได้ๆ ห้ามหยาบคายต่อหน้าพูดใหญ่อีก "หุบปากไปเลย... พี่ตองให้คุณวินัยมาพูดกับผมแบบนี้ใช่ไหมครับ" คุณวินัยเป็นคนมาขอร้องให้เรายกโทษให้เค้า งั้นสองคนนี้ก็ต้องมีส่วนรู้เห็นอะไรกันแน่ๆ

"ไม่ใช่นะครับ คุณชายน้อยไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน"

"งั้นก็บอกคุณท่านให้หยุดสร้างเถอะครับ มันไม่มีอะไรเปลี่ยนหรอก" ต้องรู้อะไรกันแน่ๆ ผมไม่หลงกลหรอก

"งั้นก็รบกวนคุณหนูเรียนคุณท่านด้วยตัวเองเลยนะครับ"



​​ห๊ะ

​เอาแล้วไงกู นั่นพ่อพี่ตองนี่หว่า ที่ยืนอยู่หน้าโกดังใหญ่ กำลังควบคุมการทำงานของคนงานให้ยกของออกไปขึ้นเรืออย่างแข็งขัน ที่สำคัญคือผมมาถึงตรงนี้แล้วด้วย



"คุณท่านครับ คุณหนูน้ำชากับเพื่อนๆมาแล้วครับ"

"อ้าวๆๆ มาถึงกันแล้วเหรอ เป็นไงๆ สบายดีกันนะ ​​อั๊ยย๊า กล่องนี้มันใหญ่ ลื้อแบกกันสองคนได้ไงล่ะ เดี๋ยวข้าวของลูกค้าเสียหายหมด... เอ็งสองคนนั่น! มาช่วยกันยกกล่องนี้ซิ"

"ส.. สวัสดีครับค... คุณท่าน" ผมควรจะเรียกว่ายังไงดี สถานะของผมกับลูกชายของเค้าตอนนี้ เค้าจะรู้เรื่องหรือยังนะ

"บอกแล้วไงว่าให้เรียกตามอาตี๋เล็ก" นั่นไง แสดงว่ายังไม่รู้เรื่อง พูดยากแล้วล่ะ งานนี้ "คุณทงคุณท่านอะไรกัน อาน้ำชาก็เหมือนลูกป๊านะ ไปๆๆ เดี๋ยวเราไป..."

"เอ่อ คุณท่านครับ" คุณวินัยแทรกขึ้นมา

"อะไรอาวินัย ลื้อนี่ชอบขัดจังหวะจริงๆเลยนะ อั๊วจะพาอาน้ำชาไปเที่ยวโรงงาน"

"คือ... คุณหนูน้ำชามีเรื่องจะเรียนคุณท่านน่ะครับ"

นั่นไง ทำไมกูรู้สึกเหมือนถูกกดดันวะ

"อะไรนะ? อาน้ำชามีเรื่องอะไรเหรอ เดือดเนื้อร้อนใจอะไร บอกป๊ามาได้เลย ไม่ต้องไปบอกผ่านอาวินัยก็ได้ ยังไงเราก็คนกันเองอยู่แล้ว นะ"

เอิ่มมมมม  ยิ่งพูดยากกว่าเดิมอีก

.....เอาวะ ยังไงก็พูดก่อนดีกว่า ก่อนที่จะเลยเถิดไปกันใหญ่

"เรื่องห้องทำงานอะครับ"

"อั๊ยยย๊า! ใครบอกอาน้ำชาเรื่องนี้ อาวินัย! ลื้อเป็นคนบอกใช่ไหม อั๊วอุตส่าแอบทำเป็นความลับ กะว่าจะทำให้อาน้ำชาประหลาดใจ นี่มันของขวัญวันเรียนจบของอาน้ำชานะ แล้วแบบนี้อั๊วจะเอาอะไรไปเซอร์ไพส์ได้ล่ะ"

"ป... ประทานโทษอย่างยิ่งครับคุณท่าน"

"ลื้อนี่มันใช้ไม่ได้เลยนะ ห๊ะ เอาความลับอั๊วไปบ...."

"ไม่ใช่อย่างนั้นครับ อย่าไปว่าคุณวินัยเลยครับ คุณท... คุณพ่อ" เอาแล้วไงกู ทำให้ผู้หลักผู้ใหญ่โดนด่าต่อหน้าต่อตาเลย "ผมแค่จะบอกว่า ไม่ต้องสร้าง... เอ่อ ห้องทำงานไว้ให้ผมก็ได้ครับ คือตอนนี้ผมกั...."

"ไม่ได้ๆ จะไม่สร้างได้ยังไง" ท่านครับ ช่วยฟังผมให้จบก่อนได้ไหม แล้วก็ไม่ต้องทำเสียงอ่อนคุยกับผมก็ได้ครับ ทำเสียงดุๆเหมือนคุยกับพวกคนงานก็ได้ แบบนี้จะยิ่งทำให้ผมทำใจบอกความจริงกับท่านลำบากมากขึ้นนะ "จะมาให้อาน้ำชาทำงานรวมกับพนักงานทั่วไปได้ยังไง ต้องอยู่ในห้องเย็นๆ เครื่องไม้เครื่องมือดีๆ นี่แถมป๊ายังจะสร้างไว้ติดกับห้องทำงานของอาตี๋เล็กด้วยนะ อาตี๋มันจะได้คอยช่วยอะไรอาน้ำชาได้ไง"

"คือเรื่องนั้น..."

"อย่าบอกนะว่าอาน้ำชาไม่คิดอยากจะทำงานบริษัทป๊า"

"ก็..."

"อั๊ยย๊าาาา อั๊วนี่มันไม่ได้เรื่องจริงๆ จะไปเจ้ากี้เจ้าการให้อาน้ำชามาทำงานที่นี่ได้ยังไง เอาหละๆ ป๊าข้าใจแล้ว คนเก่งๆเค้าก็คงอยากทำงานที่มันสบายๆ ไม่ต้องมาคอยแออัดอยู่กับคนงานแบบนี้ แต่ไม่เป็นไรนะไม่เป็นไร ถือว่าป๊าทำห้องพักไว้ให้ก็แล้วกัน นะ"

"ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากทำงานที่นี่นะครับ ที่นี่ก็น่าสนใจ..."

"งั้นก็ดีซิ มาทำงานที่นี่ดูก่อน นะ ถือซะว่าได้มาอยู่กับอาตี๋เล็กด้วย เรื่องเงินเดือนนะ อาน้ำชาอยากได้เท่าไหร่ก็บอกป๊าได้เลย ถ้าทำไปนานๆแล้วไม่ชอบจริงๆ ก็ไม่ต้องทำก็ได้ เออๆๆ นี่ๆ พอดีเลย ช่างเพิ่งจะเอารายการของมาให้ดู ป๊าก็ดูไม่ออกหรอกว่าอันไหนมันดีไม่ดี มันมีแต่ของที่เอาไว้คิดเลขคิดสูตรทั้งนั้นเลย ไหนๆอาน้ำชาก็รู้แล้ว งั้นก็ช่วยป๊าเลือกหน่อยก็แล้วกันว่าจะซื้ออะไรมาบ้างดี มีทั้งเครื่องวัดปรับระดับสะ.. สะ อะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน ไหนลองช่วยป๊าดูหน่อย"

คุณท่านนนนนนนนนนนนนนน  ช่วยหยุดฟังผมซักแป๊บนึงได้ไหม

หาจังหวะพูดไม่ได้เลยกู

แล้วอะไรเนีย โปชัวสินค้าเต็มเลย

หึ?! วงเวียนอะไรวะ โคตรล้ำ น่าซื้อมาลองใช้จัง

เอ๊ย!!!

ไม่ได้ๆ ต้องรีบคุยกับคุณท่านให้รู้เรื่องก่อน



"เดินไปคุยกันไปก็ได้ มาๆเดี๋ยวป๊าพาดูโกดัง เห็นวุ่นวายๆแบบนี้แต่ป๊ากับม้าก็จัดระบบไว้ดีนะ หลังจากที่เดือนที่แล้วได้มาลงทำงานเองอีกก็มีไฟอยากทำงานใหม่ นี่ต้องขอบใจอาน้ำชามากเลยนะที่ทำให้ป๊าไม่ไปอุดอู้อยู่แต่ในห้อง"



"คือ.... ท่านครับ" โอ๊ยยยย อะไรอีกไอ้ต้อม มึงให้กูพูดกับคุณท่านก่อนได้ไหม "ผมสองคนขอไปเดินเล่นที่โป๊ะได้ไหมครับ"

"ได้เลยๆ" คุณท่านตอบคำถามทุกคนอย่างว่องไวจริงๆ "อาวินัยก็ดูแลด้วยนะ"

"ครับท่าน"

"อ้าว นี่ไงอาน้ำชา" ห๊ะๆๆ อะไรอีกแล้ว คุณท่านเดินนำไปไหนแล้ว "อันนี้โกดังเก็บพวกรถยนต์ส่งออกนะ นี่ไง จำได้ไหม รถรุ่นนี้แหละที่เรือของเราขนไปส่งที่จีนเดือนที่แล้ว ลูกค้าทางโน้นชอบใจใหญ่ บอกว่าบริษัทผลิตรถในประเทศเราทำงานเร็ว จริงๆแล้วต้องชมว่าขนส่งเร็วมากกว่า จนอาทิตย์ก่อนบริษัทรถยี่ห้อนี้ถึงกับมาเซ็นสัญญาส่งออกกับท่าเรือของป๊า นี่น่ะเป็นผลงานของอาน้ำชาเลยนะ แล้วจะมาบอกไม่ให้ป๊าสร้างห้องทำงานให้ได้ยังไงหละ แค่นี้มันเล็กน้อยมาก อันนั้นโรงซ่อมบำรุงเรือเล็ก ถ้าเข้าไปก็จะเห็นโกดังที่เชื่อมต่อกับทะเล...."

แล้วคุณท่านก็สาธยายทุกอย่างให้ผมฟังไม่หยุด ผมหาจังหวะพูดด้วยไม่ได้เลย ยิ่งเห็นท่านพูดทุกอย่างออกมาด้วยความภาคภูมิใจแบบนั้นยิ่งไม่กล้าขัดคอ

แต่พูดก็พูดนะ การแก้ปัญหาของผมคนเดียวเมื่อเดือนที่แล้ว ถ้าฟังจากที่คุณท่านพูด เหมือนมันจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีไปเยอะพอสมควรเลย ผมก็แอบภูมิใจไปด้วยไม่ได้

ที่นี่มีลมทะเลพัดตลอดเวลาเลย การทำงานก็ไม่จอแจเกินไป ทั้งๆที่ใหญ่โตออกขนาดนี้ บรรยากาศเรียกว่าดีถึงขั้นดีมากเลยแหละ ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับผมในตอนนี้ ผมคงจะดีใจสุดๆที่จะได้ทำงานที่นี่ ได้ออกมาจากเขตเมืองที่วุ่นวาย แถมยังได้ทำงานที่ตัวเองถนัด

แล้วคุณท่านก็พาผมไปแนะนำตัวกับพนักงานในส่วนบริหารบ้าง ก็ไม่ได้พูดหรอกว่าผมจะมาเป็นสะใภ้ พูดแค่ว่าผมจะมาเป็นผู้จัดการที่นี่ในอนาคต ซึ่งมันก็ดีแล้วล่ะ ขืนแนะนำตัวแบบนั้นออกไป ผมคงอายน่าดู

แต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีคนที่รู้จักผมนะ มีพนักงานสองสามคนที่หัวเราะต่อกระซิกกันไกลๆ ถ้าให้เดานะ คงรู้จักผมจากการไปถ่ายงานปฏิทินให้บริษัทของแม่นั่นแหละ



"ขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมคะ"

นั่นไง ว่าแล้วเชียว คุณท่านขอตัวไปเซ็นเอกสารในอีกห้องแค่แป๊บเดียว พนักงานสามคนก็รีบวิ่งมาขอถ่ายรูปกับผมทันที

"พี่ขอปฏิทินชุดนึงนะคะ สามคนชุดเดียวก็ยังดี" เธอคนหนึ่งร้องออกมาอย่างตื่นเต้น "เนีย ไม่เคยได้เลยสักปี ไหนๆปีนี้ อนาคตผู้จัดการทั้งสองคนก็ได้เป็นนายแบบแล้วทั้งที เก็บไว้ให้พี่ชุดนึงนะ เดี๋ยวเราสามคนจะตั้งใจทำงานเป็นอย่างดีเลย... เนีย คุณท่านบอกว่าจะเปิดสมัครพนักงานเก่าที่อยากไปทำงานในฝ่ายวิเคราะห์ให้ลงชื่อสิ้นเดือนนี้ด้วย ตอนแรกไม่มีใครไปเลย ลือกันให้แซ็ดว่าเป็นงานยาก ต้องคอยแก้ปัญหาให้บริษัท คำนวณตัวเลขอะไรยากๆด้วย แต่ถ้าน้อง.... เอ๊ย ถ้าคุณหนูน้ำชามาเป็นผู้จัดการฝ่าย เราสามคนจะรีบไปสมัครให้ไวเลย แต่ว่า... อย่าลืมเรื่องปฏิทินน้าาา"

"ก็... ได้ครับ แต่มันก็ไม่ได้มีค่าขนาดนั้นหรอกนะครับ แค่ปฏิทินเอง" ผมเห็นแสงแห่งความหวังของพวกเธอแล้วก็รู้สึกผิดจังที่อยากได้ของแค่นี้จากผม

"ใครบอกละคะ" พี่สาวอีกคนพูดอย่างตื่นเต้น "นั่นปฏิทินแห่งปีเลยนะ รู้ไหมคะว่าตอนนี้ในเน็ตเค้าตามหาซื้อกันให้ควั่ก"

"แต่มันเป็นปฏิทินแจกฟรีนะครับ ไม่ได้มีขายที่ไหน ในเน็ตก็ไม่ได้ขายครับ"

"ก็ใช่ค่ะ แต่เค้าก็ประกาศขอซื้อกันไว้แล้ว แรกๆก็ซื้อขายกันไม่กี่ร้อย แต่พอเมื่อเช้า T-Queen World Wide ประกาศว่าจะผลิตแค่หนึ่งหมื่นชุด ราคาก็พุ่งขึ้นไปสามสี่พันแล้วค่ะ" เห้ยยยย จริงดิ "นี่ไงๆๆ เธอเอาโทรศัพท์ให้คุณหนูดูซิ"



เห้ยยยยยย

​นี่มันแฟนเพจ Love Leader Fan Team นี่นา

สามคนนี้ก็เป็นลูกเพจด้วยเหรอเนีย ภายในเวลาไม่กี่วันทำไมเราถึงกลายเป็นที่รู้จักขนาดนี้นะ



"คือว่า ทางแอดมินเพจเค้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะขายหรอก แต่คนต่างจังหวัดอย่างพวกเราอ่ะอยากได้กันเองก็เลยจะขอซื้อ เพราะว่าคงไม่ได้เข้าไปในกรุงเทพ ก็เลยต้องขอซื้อจากคนที่เค้าสะดวกไปรับด้วยไง"

"ใช่ๆ มีบางคนในเพจบอกว่าสามารถหามาได้แน่นอนด้วย คนก็เลยยิ่งคลั่งกันใหญ่ แห่แหนประมูลสู้กันสุดๆ เผลอๆ ช่วงใกล้คริสมาสราคาดีไม่ดีพุ่งไปถึงหมื่น"



คุณพระช่วยยยยยยย



​เดี๋ยวก่อนนะ!!!!!!!!

นี่มัน.....

อิสามทหารเสือเพื่อนเลวของผมนิ อิเจสซี่ อิเล็ก แล้วก็วาวา นี่พวกมึงเป็นแอดมินเพจรึไง

​​'เราสามคนทัพหน้าแห่ง Love Leader Fan Team จะขอสู้ตายเพื่อปฏิทินแห่งปีให้ได้ ขอรับรองว่าจะวิ่งสู้ฟั๊ดมาให้ลูกเพจที่น่ารักให้ได้ค่ะ'



"แต่ว่า.... พวกเราคงไม่มีปัญญาจ่ายเงินระดับนั่นหรอก นะคะผู้จัดการ ถือว่าทำเพื่อลูกน้องในอนาคตตาดำๆ นะคะ"

"จ.. จะพยายามนะครับ" เรียกผู้จัดการเลยเหรอ เขินแฮะ



"ทำอะไรกันลื้อสามคนน่ะ!!!"

เวรกรรม คุณท่านกลับมาแล้ว เห็นพนักงานมาคุยกับเราแบบนี้ จะโดนต่อว่าเพราะเราอีกไหมเนีย

"คือ..." จะช่วยพูดว่ายังไงดีวะ "พี่สามคนบอกว่าอยากมาทำงานฝ่ายวิเคราะห์อะครับ หมายถึง... ในอนาคต"

"อ้าว จริงเหรอ" โล่งอกไปที เหมือนคำตอบจะเป็นที่น่าพอใจ "เดี๋ยวสิ้นเดือนฝ่ายบุคคลจะมาเปิดรับสมัครนะ พวกลื้อสามคนก็อย่าลืมสมัครด้วยหละ"

"ค่ะ คุณท่าน พวกเราจะรีบสมัครให้ไวเลยค่ะ ​​นะคะ ผู้จัดการ" เธอกระตือรือร้นตอบ

"เห็นไหมละ ป๊าคิดไว้แล้วไม่มีผิด ที่นี่ต้องเป็นงานที่เหมาะกับอาน้ำชาที่สุด ขนาดลูกน้องเห็นหน้าผู้จัดการครั้งแรกยังอยากทำงานด้วยเลย" คุณท่านครับ อวยผมเยอะไปแล้ว ผมจะตัวลอยแล้วเนีย "กลับไปทำงานกันได้แล้วไป" อ้าว เปลี่ยนเสียงไว้จัง

"ค... ค่ะท่าน ​​ไปซิแก มัวยืนยิ้มอยู่ได้ เร็วๆ เดี๋ยวก็โดนหักโบนัสหรอก ยิ่งใกล้สิ้นปีอยู่​"

"ไปๆ เดี๋ยวป๊าพาไปดูท่าเรือนะ" นี่คุณท่านจะพาไปไหนอีกครับ ยังไม่พออีกเหรอ
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 31 [ความทรงจำ Part 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 11-01-2018 10:54:12
(Part 2)

แล้วผมก็มาถึงท่าเรือจนได้

ท่าเรือคอนกรีตขนาดยาว มีช่องให้เรือจอดเต็มไปหมด บางช่องก็มีเรือจอดอยู่ บางช่องก็ไม่มี แต่น้ำทะเลที่นี่ใสสะอาดจังแฮะ นึกว่าจะมีน้ำมันลอยคลุ้งซะอีก

คุณท่านก็ยังบรรยายระบบงานที่นี่อย่างออกรสออกชาติต่อไป



"โป๊ะอันนี้นะ ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของป๊า รู้ไหม" ผมถูกนำมาจนถึงโป๊ะทางเดินที่อยู่ท้ายสุดของท่าเรือนี้ มันดูเก่ามาก พื้นและเสาไม้ก็เหมือนจะได้รับการซ่อมแซ่มอยู่บ่อยครั้ง มีเด็กๆเล่นน้ำกันอยู่ตรงนี้ด้วย คงจะเป็นลูกหลานของพนักงานที่นี้ "มันเป็นโป๊ะเรืออันแรกที่ทำให้ป๊าได้เข้ามาเหยียบประเทศนี้ ตอนนั้นป๊ายังเด็กมาก แต่ก็จำความได้ดี เราไม่มีเงินซักบาท ของมีค่าที่พอมีก็เอาไปแลกเป็นเรือเครื่องเดินทะเลเล็กๆ อาศัยกินนอนกันในนั้นแหละ โชคดีที่ป๊าของป๊าเป็นคนกล้า กล้าเสี่ยงกล้าลองขับเรือ ก็เลยได้ยึดอาชีพขนของไปส่งตามเกาะ ป๊ายังจำได้เลยนะ ทางนั้นน่ะเกาะล้าน พ่อค้าแม่ขายชอบให้ขนอาหารไปให้ ทางโน้นก็เกาะสีซัง สมัยก่อนมีนายฝรั่งเค้าจะสร้างบ้านให้เมียไทย ขนาดตอนนั้นป๊าตัวเล็กกะเปี๊ยกเดียวยังต้องมาช่วยป๊ากับม้าขนปูนขนอิฐไปส่งที่เกาะทุกเช้าเย็น ทุกวันนี้ที่หลังยังมีรอยแผลเป็นอยู่เลย ดันไม่ระวังทำอิฐล่วงมาปาดหลังตัวเอง วันนั้นก็เลยเจ็บตัวสองรอบ เพราะตอนกลับมาที่ฝั่งก็โดนป๊าตีอีก ข้าวของสมัยก่อนมันแพง ทำตกหล่นเสียหายก็เลยโดนลงโทษ แต่ในที่สุดป๊าเค้าก็ส่งป๊าจนเรียนจบปริญญาตรี สมัยก่อนใครเรียนจบปริญญาตรีได้ถือว่าไม่ธรรมดานะรู้ไหมอาน้ำชา ยิ่งเป็นคนจีนอย่างป๊าด้วยแล้วนะ... ป๊าก็เลยกลับมาที่นี่ ทำต่อทุกสิ่งทุกอย่างอีกครั้ง จนในที่สุดเส้นทางเรือมันก็เริ่มไกลขึ้น เรือลำใหญ่ขึ้น ท่าเรือไกลขึ้น โป๊ะมากขึ้น คนงานก็มากขึ้น ดูตอนนี้ซิ ไม่มีอะไรเหมือนตอนนั้นเลย แต่ป๊าก็ไม่ยอมให้ใครมารื้อถอนโป๊ะนี้นะ นี่แหละอาน้ำชา เหตุผลที่คนอื่นคิดว่าป๊าเป็นคนบ้างาน เห็นงานมาก่อน ก็เพราะกว่ามันจะเดินทางมาถึงตรงนี้ไง"

ไม่บอกก็รู้ครับว่ามันมีค่าแค่ไหน ช่างเป็นเรื่องเล่ายืดยาวที่น่าฟังเหลือเกิน นี่ซินะที่เรียกว่าความประทับใจ

"อ่อ แล้วก็อีกอย่างนะ โป๊ะนี้มันตื้น สมัยเด็กๆป๊าชอบกระโดดเล่นน้ำบ่อยๆ อาตี๋กับอาหมวยก็เล่นกันตรงนี้แหละ เห็นไหม มีบันไดปีนขึ้นลงได้ด้วย ลูกๆป๊าก็เลยว่ายน้ำเก่งกันตั้งแต่เด็ก"

"ครับ" ผมทราบเรื่องนั้นดี เพราะลูกของคุณท่านคนนึงก็ช่วยชีวิตผมจากการจมน้ำไว้เหมือนกัน เพียงแต่วันนี้เค้าเหมือนจะเป็นคนที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนคนจมน้ำซะมากกว่า

"นั่นๆ มองเห็นตรงนั้นไหม" ท่านชี้ไปยังพื้นที่ริมทะเลที่อยู่ไม่ไกลจากสายตานัก "ป๊าไปขอซื้อไว้ให้แล้วนะ ว่าจะซื้อไว้ทำบ้านให้อาตี๋เล็กกับอาน้ำชามาอยู่ด้วยกัน ตอนแรกน่ะรู้ไหม ไปขอซื้อไว้ตั้งหลายทีก็ไม่ยอมขายให้ แต่คุยกันไปคุยกันมาก็เพิ่งจะรู้ว่าเป็นที่ของหลานอากิมฉาย เพื่อนคนจีนที่ขึ้นเรือมาด้วยกัน ทางนั้นก็เลยยอมขายให้ แพงหน่อยแต่ก็ถือว่าคุ้ม เดี๋ยวสองสามวันนี้ก็จะไปเซ็นสัญญาซื้อขายกันแล้ว"

"เดี๋ยวก่อนครับ!!" ไม่ได้แล้วๆ แบบนี้ต้องรีบหยุดไว้ก่อน แล้วก็บอกตัวเองด้วย ​หยุดเพ้อๆ ตอนนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ถ้ายังหยุดไว้ได้ต้องรีบหยุดไว้ก่อน ไม่อยากให้คุณท่านต้องมาลงทุนกับอะไรที่ศูนย์เปล่า "อย่าซื้อนะครับ"

"ทำไมล่ะ ไม่ชอบเหรอ ป๊าว่ามันสวยที่สุดในย่านนี้แล้วนะ"

"ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่อย่างนั้น คุณท่านฟังผมก่อนนะครับ" ต้องรีบหยุดไว้ ไม่งั้นเดี๋ยวหาจังหวะพูดยากอีก ตอนนี้เราเองก็เพิ่งจะดึงสติตัวเองกลับมาได้แล้วด้วย ต้องรีบเคลียร์ทุกอย่างให้ชัดเจน "ตอนนี้พี่ตองกับผม เรา... ไม่ได้คบกันแล้วครับ"

"อาน้ำชาอย่ามาอำป๊าเล่นแบบนี้นะ" คุณท่านทำหน้าอยู่ระหว่างยิ้มกับระแวง เอาวะ ยังไงก็ต้องพูด

"คือ.. จริงๆแล้ว พี่ตองเค้าคบกับผู้หญิงคนนึงอยู่แล้วครับ ผมเพิ่งจะรู้เรื่องเมื่อไม่นาน สาเหตุที่ผมมาที่นี่ก็เพราะคิดว่าผมอาจจะเข้าใจอะไรมากขึ้น แต่เท่าที่เห็น... ก็คง..."

"ไอ้ตี๋เล็กทำอย่างงั้นกับอาน้ำชาจริงเหรอ" คุณท่านเริ่มหน้าแดง ผมเคยเห็นตอนที่ท่านโกรธมาแล้ว แต่ครั้งนี้ดูไม่ใช่แค่โกรธเฉยๆแล้ว การที่เราพูดแบบนี้จะทำให้พี่ตองเดือดร้อนหรือเปล่านะ

"ต... แต่ แต่ผมว่าก็ดีอยู่หละครับ ผู้หญิงคนนั้นก็เป็นคนดีแล้วก็สวย ผมเคยเห็นมาแล้วครับ เหมือนจะเป็นลูกหลานของคนใหญ่คนโตด้วยนะครับ... ถ้าคนอื่นๆรู้ว่าเค้าสองคน... เอ่อ.. คบหากัน ก็คงจะดีต่อธุรกิจของคุณท่านมากทีเดียว"

กูเอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยย

จนถึงตอนนี้มึงก็ยังจะปกป้องเค้าอีกเนาะ จะไปห่วงทำไมวะว่าเค้าจะเดือนร้อนอะไรหรือเปล่า แถมยังไปพูดยุยงส่งเสริมให้เค้าคบหากันอีก นี่ซิคนโง่ตัวจริง ชอบด่าไอ้ต้อมดีนัก ตัวมึงเองนี่แหละ ต้นตระกูลของความโง่เลย

"ไม่ได้" สะดุ้งเลย "อาตี๋เล็กจะมาคบคนอื่นไม่ได้ อั๊วไม่ยอม"

"แต่..."

"มาทำแบบนี้กับอาน้ำชาได้ไง อาทิตย์ก่อนยังมาขอร้องอั๊วเร้าๆให้เปิดตำแหน่งผู้จัดการใหม่ให้ ไหนจะเรื่องที่ดินอีก จะมาทำอย่างงี้ได้ยังไง แล้วจะให้อั๊วทำทุกอย่างให้เพื่ออะไร คนดีๆเก่งๆแบบนี้หาได้ง่ายๆที่ไหน ไม่รู้ล่ะ งานนี้อั๊วต้องคุยกับอาตี๋เล็กให้รู้เรื่อง"

ผมขอบคุณนะครับที่ท่านมองเห็นคุณค่าในตัวผมขนาดนี้ แต่ลูกชายของท่านเค้าไม่ได้คิดแบบนั้น

"นี่นะอาน้ำชา ไปกับป๊านะ เดี๋ยวป๊าจะพาไปห..."



"คุณท่านครับ"

อะไรวะ ใครอีกเนี่ย

นี่กูต้องปรับอารมณ์กี่รอบเนีย ตื่นเต้น ดีใจ ประทับใจ เศร้า แล้วตอนนี้ก็งงอีก

"คุณท่านครับ มีเรื่องด่วนครับ" คุณวินัยเร่งรีบวิ่งมาบนโป๊ะเก่าๆ หายใจหอบแฮกๆ แถมยังเอารถมาตั้งหลายคัน แค่มาตามคนๆเดียว ทำไมเอารถมาสามสี่คันเลย

"เรื่องด่วนอะไรอาวินัย" คุณท่านก็พลอยเร่งรีบไปด้วย

"เครนครับ... สายสลิงของเครนขาด หล่นลงมาทับคนงานครับ"

"อัยย๊าาา!!! สลิงขาดได้ยังไง อั๊วสั่งตรวจดูตลอดนะ แล้วลื้อพาคนงานไปโรงพยาบาลหรือยัง"

"ป.. ไปแล้วครับท่าน"

"โรงพยาบาลไหน อั๊วจะได้ไปเยี่ยมถูก"

"ร.. โรง.. เอ่อ.. โรงพยาบาล..." นี่คุณวินัยตกใจถึงขั้นคิดชื่อโรงพยาบาลไม่ออกเลยเหรอ "คือ... เรือก็ได้รับความเสียหายเหมือนกันครับท่าน เรือครับ เรือใหญ่เลย ร.. รถยนต์ที่กำลังจะขนก็เสียหายครับ ท่านรีบไปดูดีกว่าครับ"

"ไปซิ ไป รอช้าทำไม"



"เดี๋ยวครับๆ" ผมโดนคุณวินัยห้ามไว้ "คุณหนูรอตรงนี้แหละครับ ที่นั่นอันตราย เดี๋ยวจะบาดเจ็บได้" ห๊ะ แล้วคุณท่านไม่อันตรายหรือไง "ไปเถอะครับคุณท่าน"



อ้าววววว



ไปซะแล้ว



เคว้งเลยกู 



เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเหมือนกันนะเนี่ย แต่มีของร่วงจากที่สูง ไม่ยักกะได้ยินเสียงแฮะ



"เห้ย เอ็งอ่ะ"

หึ!! เสียงเด็กเหรอ

"เอ็งเป็นเด็กผู้หญิงใช่ไหม"

"ไม่ใช่ เราเป็นเด็กผู้ชาย"

เด็กผู้ชายคนโตกว่าสองคนกำลังพูดคุยเสียงดังกับเด็กผู้ชายตัวเล็กคนนึง อยู่เกือบจะท้ายโป๊ะไม้ แต่ก็ดังพอที่ผมจะได้ยิน

"ไม่เชื่อหรอก หน้าตาแบบนี้ต้องเป็นผู้หญิงแน่นอน" "ใช่ๆเป็นผู้หญิงก็ต้องใส่กระโปรงดิ ใส่กระโปรงๆๆๆ"

ไอ้พวกตัวแสบ นี่ไปล้อน้องเค้าทำไม ต้องสั่งสอนให้เข็ด แถวนี้พ่อแม่เด็กคงมองไม่เห็น ตบเกรียนซักคนละทีคงจะหายซ่า

"ก็บอกว่าเป็นผู้ชายไง เดี๋ยวก็ต่อยเลยนิ"

"จ้างให้ก็ไม่กลัวหรอก เป็นผู้หญิงต่อยผู้ชายได้ไง"

"ทำไมจะต่อยไม่ได้"

อ้าวกรรม

ทำไมเด็กสมัยนี้มันโซโล่กันไวจังวะ พี่ยังไม่ทันได้เป็นฮีโร่ปกป้องน้องเลย น้องก็ดันรีบไปผลักอกเค้าซะแล้ว แล้วดูตัวเองซิน่ะ ตัวแค่นั้น ผลักไอ้เด็กแสบสองตัวไม่กระดิกเลย

"มีแรงแค่นี้เองเหรอ ไหนบอกเป็นผู้ชายไง"



​ซ๊ะะะ



เชี่ยยยยยยย

"เห้ย" น้องตัวเล็กโดนผลักกลับ กระเด็นล่วงลงน้ำต่อหน้าต่อตาผมเลย "เดี๋ยวๆๆ" ไอ้สองเด็กแสบนี่ก็ไวเหลือเกิน ผลักคนอื่นเสร็จมึงวิ่งหนีเลยนะ ไม่คิดจะลงไม่ช่วยหรือไง

"ช่วย ช.. ด.. ด้วยยยย"

เอาไงดีวะกู จะช่วยเด็กก่อนหรือจะตามไล่จับตัวการสองคนนี้ดี

โอ๊ยยยย

ไม่มีเวลาคิดแล้ว ช่วยเด็กก่อนก็แล้วกัน

ตูมมมมม



หืออออออ???????



มีเด็กผู้ชายคนนึงกระโดดลงน้ำไปช่วยเร็วกว่าอีก

"......................................................"

เดี๋ยวนะ

ทำไม......

เหตุการณ์มันดูคุ้นๆจังวะ

คำพูดเมื่อกี้นี้ที่เด็กพวกนั้นทะเลาะกันก็ฟังดูคุ้นๆ



เดินแบกกันขึ้นมาแล้ว

ทำไม... น้องคนนั้นสวมเสื้อผ้าชุดนักกีฬาบาสสีน้ำเงิน ตัดผมทรงสกินเฮด ส่วนคนตัวเล็กสวมเสื้อกับกางเกงสีขาว

แล้วก็.....

เห้ยๆๆๆ

นั่นถึงขั้นทำ CPR คนจมน้ำเลยเหรอ ยังตกน้ำไปไม่ถึงครึ่งนาทีเลย น้องเค้ากำลัง... เข้าใจการทำ CPR ช่วยคนจมน้ำกันใช่ไหม



"นายๆ เฮ้ย นาย เป็นไงบ้าง" นี่กูเดจาวู(สภาวะที่สมองจดจำความทรงจำเดิมได้และถูกฉายซ้ำ)อยู่หรือเปล่าวะ "ฟื้นดิวะ"

นั่นไง

ประโยคแบบนี้ เหมือนกันแป๊ะเลย

นี่มันไม่ปกติแล้ว

ทั้งคำพูด เสื้อผ้าหน้าผม



"อ๊อกๆ"

ทำไมดูเหมือนน้องๆพวกนี้กำลัง... ทำการแสดงกันอยู่วะ

นี่กูไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายนะ แต่มันก็เหมือนกำลังแสดงจริงๆ หรือว่ากูเพิ่งจะรู้ตัววะ



หืออออออ?????????

ช็อคหนักเลยกู

จู่ๆ เด็กผู้ชายสองคนที่เพิ่งจะผ่านการทำ CPR ไป ก็เดินยิ้มจูงมือกันมาเฉยเลย



เดี๋ยวๆๆ น้องจะเดินผ่านพี่ไปหน้าตาเฉยแบบนี้ไม่ได้นะ พี่ยังรู้สึกแปลกๆกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เลย





"ขอบใจนะเด็กๆ อะนี่ครับ คนละสองร้อย ตามที่ตกลงกัน"



เสียงนี้มัน



"......................................................................."



นี่สมองผมว่างเปล่าไปนานแค่ไหนกัน



จู่ๆ เขาก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหลังของผม



พี่ตอง



เขากำลังยืนยิ้มอยู่บนโป๊ะไม้เดียวกัน ห่างจากผมออกไปเพียงสิบเมตร

ดวงตาคู่นั้น

รอยยิ้มแบบนั้น



แล้วตัวผมเองหละ ควรจะต้องรู้สึกยังไง



"ไม่ใช่ชาคนเดียวนะครับที่จดจำความทรงจำแรกของเราได้ดี" นั่นเสียงของพี่ตองกำลังพูดอยู่ใช่ไหม "จากวันนั้นจนถึงวันนี้ใช้เวลาตั้งแปดปีเลยนะ พี่ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปเพื่อทำให้ชาประทับใจตัวพี่แบบนั้นได้อีก  แต่....









......ขอโอกาสให้พี่ได้เป็นเด็กผู้ชายคนเดิมเมื่อแปดปีก่อนอีกครั้งได้ไหมครับ"
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 32 [ความไว้ใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 11-01-2018 14:57:34
​ตอนที่ 32 : ความไว้ใจ





สายลมในบ่ายแก่ๆริมทะเล พัดโชยจากทุกทิศทาง เสียงคลื่นทะเลซัดเบาๆกระทบท่าเรือ

ช่างเป็นบรรยากาศที่ชวนในสำราญใจเหลือเกิน

หากแต่.... ถ้าไม่ใช่ผมตอนนี้ที่ทั้งงงงวยกับสิ่งที่เกิดขึ้น สับสนกับความรู้สึกตัวเอง และคลางแคลงใจในบุคคลที่อยู่ในสายตาเบื้องหน้า ผมก็คงจะพอซึมซับบรรยากาศแสนสุขนี้ได้



"ขอโอกาสให้พี่ได้ไหมครับ"

เสียงของคนตัวสูงตรงหน้าปลุกสติของผมกลับมาอีกครั้ง

"......" ผมรู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังขมวดคิ้วอยู่แน่ๆ

​ไม่ไหวแล้ว มองหน้าเค้าต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว



"ชาครับ"

"อย่า" ผมพยายามจะเบือนหน้าหนี แต่ก็เหมือนว่าภายในตัว มีคนอีกคนที่อยากมองหน้าของคนตรงหน้าจับใจ "ทั้งหมดนี้คือแผนใช่ไหม"

"น้ำชา"

ไม่ๆๆ เราจะไม่หลงในน้ำเสียงนั้น กี่วันแล้วที่ต้องอยู่เหมือนถูกทิ้ง น้ำตาที่สูญเสียไปจะไม่ใช่ของเล่น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม

"ก็ได้ครับ พี่ยอมรับก็ได้ว่าพี่จ้างเด็กๆพวกนี้ให้แสดงเหตุการณ์แรกที่เราเจอกัน แต่พี่ไม่ได้วางแผนให้ชามาที่นี่นะ"

"เลิกโกหกซะทีเหอะ คิดว่าทำแค่นี้แล้วทุกอย่างมันจะเปลี่ยนเหรอ" ตอนนี้แหละที่ผมบอกได้เลยว่าผมโกรธจริงๆ เค้าคิดได้ยังไงว่าการทำเรื่องพวกนี้จะเปลี่ยนแปลงความจริงที่เค้า.. ​มีคนอื่น​ไปได้ "ไม่ มันไม่มีประโยชน์ที่จะทำอะไรอีกแล้ว ไม่ต้องแก้ตัวอะไรทั้งนั้น"

พอกันที กูเดินไปจากตรงนี้ดีกว่า ยอมเสียใจแค่นี้ดีกว่า ไม่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในวังวนของความเสียใจอีกแล้ว



"ถอยไป" แม่งเอ้ย ทำไมต้องมาขวางทางด้วยวะ โป๊ะไม้ก็มีทางอยู่แค่นี้ หลบไปทางไหนก็ไม่ได้

"ฟังก่อนซิครับ"

นี่มึงฟังไม่รู้เรื่องใช่ไหม "ก็บอกให้ถอยไปไง หลบไป!"

"ธชานา ธนกฤษ ฟังพี่ก่อนซิครับ"

"ก็บอกว่าไม่ไง ไม่ต้องแก้ตัวอะไรทั้งนั้น" ไอ้บ้านี่ก็อย่างกับกำแพงหิน ผลักไปสุดแรงแล้วยังไม่สะดุ้งสะเทือนเลย

"พี่ไม่ได้จะมาพูดแก้ตัวนะ ไม่ได้จะมาขอโทษด้วย แต่พี่ไม่คิดว่าชาจะมารู้เรื่องเข้า"

"ห๊ะ" นี่มึงจะหน้าด้านเกินไปไหม ไม่คิดว่ากูจะรู้เรื่องเข้าเนี่ยนะ "ได้ โอเค ก็รู้แล้วนี่ไง พอใจแล้วใช่ไหม งั้นก็จบแค่นี้นะ"

"ไปกันใหญ่แล้วชา"

"ก็บอกให้ถอยไง ไม่ฟังโว้ย ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น"

กูจะไม่เกรงใจอะไรมึงแล้วนะ

"โอเคๆๆ ไม่ฟังพี่ก็ได้ ไม่เป็นไร" อะไรของมันวะ "แต่ว่า ช่วยฟังคนนี้หน่อยได้ไหม"

​ใคร? อะไร?



"สวัสดีค่ะน้องน้ำชา"

หึ!!!!

นี่มันอะไรกัน พี่ลูกแก้ว มาที่นี่ด้วยเหรอ

อ๋อ ที่แท้ รถยนต์ที่จอดอยู่ก็คือให้คนพวกนี้มาที่นี่นี่เอง จะยกโขยงกันมาทำไม ไม่ต้องมายืนยันความรักกันขนาดนี้ก็ได้นะ แค่นี้กูก็เสียใจมากพอแล้ว ยังไม่ซะใจกันอีกหรือไง

"ตัวจริงน่ารักกว่าในทีวีอีกนะ" คิดว่าอยากจะฟังหรือไงวะ "น่ารักแบบนี้นี่เอง เจ้าตองถึงได้รักนักรักหนา"

"......." หมายความว่าไง นี่พูดอะไรกันเนีย



"อ้าวพี่! พี่ตอง อยู่นี่เองเหรอ" ไอ้ต้อมกับขิงกล่าวทักทาย หลังจากเดินเล่นกันจนมาเจอเข้ากับเหตุการณ์นี้

"เออ กูก็ต้องอยู่กับแฟนกูดิ"



"ไอ้ต้อม นี่มึงรู้เรื่องด้วยเหรอ" ไอ้เพื่อนสารเลว มึงคิดว่ากูเป็นใครห๊ะ

"กูก็จะบอกมึงตั้งแต่มาถึงแล้วว่าพี่ตองเค้าอยู่ที่นี่ แต่... หาจังหวะบอกไม่ได้ว่ะ" แก้ตัวน้ำขุ่นๆนะมึงอะ เดี๋ยวจบเรื่องมึงจะได้เห็นความโหดร้ายของกู

"นี่คือพี่ลูกแก้วใช่ไหมครับ สวัสดีครับ" ขิงพนมมือไหว้ทักทายเสร็จสับ ดูเหตุการณ์หน่อยไหมขิง

"จ้ะ สวัสดี" เธอยิ้มตอบพร้อมไหว้รับ

"แล้ว... คุยกันรู้เรื่องยังพี่ตอง" ไอ้ต้อมถามหน้าตาเฉย

"ก็ดูหน้าเพื่อนมึงก่อนดิ ทำหน้าน่า.... รักซะขนาดนี้ ก็แปลว่ายังคุยกันไม่รู้เรื่องอะดิ"

"หุบปาก!" อย่ามาคิดว่าจะหยอดได้ผลนะ "ถอย จะไปจริงๆแล้ว มีแต่พวกหลอกลวงทั้งนั้น"



"ใจเย็นๆก่อนนะ" พี่ลูกแก้วอีกแล้ว "เรื่องมันไม่ควรเป็นแบบนี้ พี่เป็นคนคิดเรื่องนี้ เพราะงั้น ให้พี่อธิบายเถอะ"

"ฟังก่อนเถอะนะครับ ตามใจพี่ครั้งหนึ่งได้ไหม"

โอ๊ยยยยย จะพูดไรก็พูด แต่ถ้าจบเรื่องนี้แล้วไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น อย่างมาหวังโอกาสครั้งที่สองนะ

"คืออย่างนี้นะ... เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อเย็นวันอังคารที่ผ่านมา" พี่ลูกแก้วเริ่มเล่า "จำได้ไหมวันนั้นมีอะไร... สกู๊ปถ่ายเบื้องหลังของ T-Queen ไง พี่ไม่รู้ว่าน้องๆจะรู้ตัวกันหรือเปล่านะ แต่รายการของพิธีกรคนนี้ก็ดังอยู่พอสมควร แถมยังเป็นสกู๊ปเบื้องหลังแฟชั่นปฏิทินใหญ่ด้วย คนดูน่ะ มีมากอยู่นะ มากพอที่จะทำให้ลูกสาวของอธิบดีกรมเจ้าท่าเห็นได้" พี่แอมอะเหรอ "คงรู้จักกันอยู่แล้วนะ โชคดีที่เย็นวันนั้นพี่เข้าไปทำธุระให้คุณปู่ในกรมพอดี ก็เลยแอบ... อย่าเรียกว่าแอบดีกว่า เพราะน้องผู้หญิงที่ชื่อแอมแทบจะตะโกนลั่นกรม ในเวลาหลังเลิกงานที่ไม่มีคนอยู่ในตึกแบบนั้น พี่ก็เลยได้ยินชัดเจนเลยว่า น้องเค้าสั่งให้คุณลุงนิวัฒน์หาทางเล่นงานธุรกิจพ่อเจ้าตอง"

นิวัฒน์???

"คุณนิวัฒน์ นิยมศิลป์ อธิบดีกรมเจ้าท่า ที่ลงข่าวจัดงานวันเกิดไปเมื่อวานใช่ไหมครับ" ขิงสงสัยในเรื่องเดียวกับผม

"ใช่จ้ะ คนนั่นแหละ" เธอตอบ "พอพี่รู้เรื่องก็เลยรีบโทรมาหาตอง แต่เพิ่งจะมารู้ว่าเจ้าตองจะเปลี่ยนเบอร์ไปแล้ว ก็เลยคิดว่าน่าจะอยู่ที่โรงพยาบาล อย่าเข้าใจผิดล่ะ พี่กับตองรู้จักกันมาก่อน เรื่องที่ว่าเค้าไปช่วยงานอยู่ที่นั่นพี่ก็ต้องรู้อยู่แล้ว ถึงยังไงก็ตาม โชคดีที่ติดต่อได้ เพราะแค่วันเดียวเรื่องก็เกิดขึ้นเลย คุณนิวัฒน์ใช้อำนาจและเส้นสายที่ตัวเองมี ด้วยการยืมมือของศุลกากรให้สั่งหนังสือพักการทำงานที่นี่ รู้ไหม ธุรกิจเรือของ KTYC Trading ทำเงินให้กับรัฐวันละกี่บาท แล้วยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับน้องชายคนนี้ด้วยแล้ว พี่ยิ่งจะนิ่งเฉยไม่ได้"

"แล้ว... แค่อำนาจอย่างเดียวจะสั่งพักงานที่นี่ได้ยังไงครับ งานขนส่งข้ามประเทศไม่ใช่เรื่องเล็กๆนะครับที่จะมาสั่งให้พักการทำงานได้" ขิงพูดถูก ถึงแม้ผมจะเห็นป้ายสั่งพักงานที่ทางเข้าท่าเรือจริงๆก็เถอะ แต่ธุรกิจระดับนี้ ต้องมีเหตุอันสมควรกว่านี้หรือเปล่า

"นี่แหละจ้ะจุดเครียดของเจ้าตองเค้าเลย" หึ ยังไง ​"จำได้ไหมเดือนที่แล้ว ใครคือคนที่ช่วยกู้สถานการณ์เรือสั่งสินค้าไม่พอให้กับเคทีวายซี"

เอิ่มมมม "ผม... เองนี่แหละ" แล้วมันจะทำไมล่ะ

"ใช่ หลังจากที่พี่รู้ว่าแฟนตัวเล็กของเจ้าตองเป็นคนแก้ปัญหา ก็ยอมรับนะว่าเก่งจริงๆ เพียงแต่ มันทำให้เกิดช่องว่างที่จะเล่นงานเจ้าของเรือได้ การขนส่งเชิงพานิชย์น่ะ ไม่ว่าจะเป็นทางบก ทางเรือ หรือทางอากาศ จำเป็นต้องมีการเขียนสัญญากันตั้งแต่ก่อนขนย้ายสินค้า ทั้งประเภทสินค้า น้ำหนักสินค้า ผู้รับ ผู้ส่ง แล้วก็..."

"พาหนะที่ใช้ขนส่ง... ใช่ไหมครับ" ขิงเติมคำในช่องว่างนั้น

"ถูกต้องจ้ะ รู้เรื่องงานคมนาคมเยอะเหมือนกันนะเราน่ะ เรียนจบแล้วอยากไปทำงานในกระทรวงด้วยกันไหม พี่จะช่วยพูดกับคุณปู่ให้"

ไม่ต้องห่วงรายนั้นหรอกครับ นั่นน่ะเค้าก็ต้องรู้เรื่องงานคมนาคมดีอยู่แล้วซิ ส่วนขิงก็ได้แค่ยิ้มๆแล้วก็พูดต่อ "แต่ระบบขนส่งสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้นิครับ ในกรณีที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ประกอบการหรือรัฐ หรือว่า... มันเกิดอะไรขึ้น"

"มันก็ตามที่น้องพูดนั่นแหละจ้ะ มันไม่ได้เกิดปัญหาอะไรขึ้น เพียงแต่... ถ้าใครบางคนจะใช้ข้อนี้มาเป็นข้ออ้างในการเล่นงาน มันก็ถือว่าสมเหตุสมผล อีกอย่างคนที่ถือไพ่ใบนี้ไว้ดันเป็นอธิบดีกรมเจ้าท่า บุคคลที่มีอำนาจโดยตรงในการเก็บข้อมูลการนำส่งสินค้าออกนอกประเทศ"

"เพราะงี้ไงพี่ตองก็เลยต้องแกล้งทำเป็นแฟนกับพี่ลูกแก้ว เพื่อไปหลอกให้ตาอธิบดีอะไรนั่นกลัว" ไอ้ต้อมอธิบายเสริมให้แฟนมันฟัง "จะได้ไม่กล้าเล่นงานคนของเจ้านายตัวเอง ​เมื่อคืนพี่ตองเล่าให้ฟัง"

นี่มึงรู้เรื่องอยู่แล้วเหรอ

"งั้นก็แสดงว่าพี่ลูกแก้วเป็นหลานของท่านจิรพล ราชอภัย รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม จริงๆใช่ไหมครับ"

"ก็อย่างที่คิดนั่นแหละจ้ะ ก็พี่ชื่อกัลยา ราชอภัย นี่นะ จะให้เป็นหลานของใครได้อีก"

".............."

เรื่องอะไรกันเนีย ทำไมมันสลับซับซ้อนขนาดนี้วะ



"เข้าใจแล้วใช่ไหมครับ" ไอ้พี่ตองยิ้ม ส่วนผมก็ยังเหวอกับเรื่องที่ได้ฟังอยู่ "รู้ยังว่าพี่​ไม่ได้ไปแอบมีคนอื่น ใครจะทำแบบนั้นกับแฟนน่ารักๆคนนี้ได้ละครับ"

"โหพี่ ผมจะอ้วก" ไอ้ต้อมแซว "แต่พี่ก็น่าจะบอกไอ้ชามันหน่อยนะพี่ ไปแอบทำอย่างงี้ ใครจับได้ก็คิดมากกันทั้งนั้นแหละ ขนาดผมรู้เรื่องแล้ว ผมยังไม่กล้าอธิบายเรื่องนี้ให้มันฟังเลย"



"พี่ขอรับผิดแทนในเรื่องนั้นได้ไหม" พี่ลูกแก้วยังว่าต่อ "คือ... พี่เองแหละที่ขอให้ตองไม่บอกเรื่องนี้ให้น้ำชารู้ ถึงพี่จะเป็นหลานของคุณปู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพี่สามารถใช้อำนาจของคุณปู่มาจัดการเรื่องนี้โดยตรงได้ พี่เองไม่กล้าเอ่ยปากขอร้องให้ท่านมาจัดการเรื่องนี้ให้ มันเป็นแค่จังหวะที่โชคดีว่างานเลี้ยงวันเกิดของคุณลุงนิวัฒน์จะจัดขึ้นมาพอดี พี่ก็เลยแค่ออกปากอาสาว่าจะไปร่วมงานแทนคุณปู่ กะว่าจะใช้โอกาสนี้ทำให้คุณลุงนิวัฒน์เข้าใจผิดว่ากำลังเล่นงานคนแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ... จริงๆแล้วพี่ถึงขั้นโกหกว่าคุณปู่มาตรวจงานที่นี่ด้วยซ้ำ คือบางที... ถ้าเกิดว่ามันไม่เป็นไปตามแผนขึ้นมา ถูกจับได้ แล้วเรื่องมันบานปลายขึ้น น้ำชาอาจจะต้องเข้ามามีส่วนเดือดร้อนกับเรื่องนี้ไปด้วย ยังไงซะ การผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเรือส่งสินค้าเมื่อเดือนที่แล้วก็เป็นฝีมือของน้อง ถ้าเกิดกรณีไม่คาดฝัน น้ำชาจะได้อยู่ห่างจากเรื่องนี้ไว้ พี่เห็นเจ้าตองเครียดน่ะ ก็เลยแนะนำไปแบบนั้น ไม่คิดว่า... จะทำให้เป็นปัญหากันใหญ่โต พี่ก็เลยต้องมาเคลียร์ด้วยตัวเองนี่ไง"

ทั้งหมดนี้คือเรื่องจริงเหรอ?



"นั่นไง" พี่ลูกแก้วชี้ให้ดูกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่กำลังเดินดูตามแนวท่าเรือ "พวกคณะพิธีการนำเข้าทางเรือ ยังอยู่กันเลย ถึงจะยอมเปิดให้ท่าเรือทำงานได้ปกติ แต่ก็ยังถอยไปแค่ครึ่งก้าว ถ้าวันไหนที่คุณลุงนิวัฒน์รู้ความจริงเข้าว่าตองกับพี่ไม่ได้คบหากันจริงๆ คงจะเป็นปัญหาอีกรอบ พี่กับเจ้าตองไม่ได้มีเวลาคิดแก้ปัญหากันมากนัก ก็เลยต้องใช้แผนนี้กันไปก่อน ไม่รู้ว่าจะยังหลอกเค้าได้อีกไหมว่าเราสองคนคบกัน พี่ทำไปเพราะนี่คือเจ้าตองนะ ตองถือเป็นน้องชายคนนึงที่พี่รักมาก ถ้าปีที่แล้วไม่ได้เค้าคอยไปช่วยดูแลพี่ตอนไปโชว์งานต่างประเทศหลายๆครั้งก็คงแย่ ครั้งนี้พี่ก็อยากจะเป็นคนช่วยเค้าบ้าง"



"ไม่เห็นจะต้องปิดบังเลยนิ เรื่องแค่นี้เอง" ไม่รู้ว่าผมพูดแก้เก้อหรือพูดเพราะโกรธกันแน่

"ก็บอกแล้วไง ว่าไม่อยากให้ชาเดือดร้อนไปด้วย" ไอ้พี่ตองบ้า ยังจะมาทำตาอ้อดว้อนใส่อีก "ชาเป็นคนช่วยเรื่องที่บ้านพี่ไว้นะ ต่อให้พี่ลูกแก้วไม่แนะนำ พี่ก็ไม่อยากให้ชารู้เรื่องอยู่ดี ให้พี่เครียดคนเดียวก็พอแล้ว"

"คิดว่าเท่นักหรือไงพูดแบบนี้"

จะมายิ้มทำไมเล่า



"แล้วแบบนี้พี่สองคนก็ต้องเป็นแฟนกันออกสื่อแบบนี้ไปเรื่อยๆเหรอ" ไอ้ต้อมถามเชิงเยอะเย้ยมาทางผม "น่าสงสารนะมึงไอ้ชาเย็น"

อือหืออออ ไอ้เพื่อนเลว

มึงรู้จักความฉลาดของกูน้อยเกินไปแล้ว คิดว่าสมองระดับกูจะปล่อยให้เรื่องมันอีรุงตุงนังอยู่แบบนี้เหรอ สมการระดับโลกกูก็แก้มาแล้ว ปัญหาแค่นี้เอง

"ขิง ยืมโทรศัพท์หน่อย พี่ตองหลบ" มึงดูกูนะไอ้ต้อม "ขิง กดโทรหาอาประพันธ์ให้หน่อย"

ขิงอึ้งๆนิดนึง แต่ก็ทำตามที่บอกแล้วก็ยื่นโทรศัพท์ให้ผม

ผมเดินออกมาจากตรงนั้นพร้อมโทรศัพท์ของขิงในมือ หาพื้นที่ที่ลมไม่แรงนักเพื่อคุยโทรศัพท์

เพื่อที่จะเคลียร์ปัญหานี้ให้จบลงอย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ คนที่ผมกำลังคุยด้วยนี้คือตัวแปรที่สำคัญที่สุด

ผมใช้เวลาอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้คนปลายสายฟังอยู่เกือบจะสิบห้านาที แอบเหลือบไปเห็นคนอื่นๆจ้องมองมาที่ผมอย่างสงสัย เว้นก็แต่ขิงที่น่าจะเดาออกอยู่แล้วว่าผมกำลังทำอะไรอยู่

ผมเดินกลับมาพร้อมกับส่งคืนโทรศัพท์ให้ขิง ในจังหวะเดียวกันนั่นเอง คณะตรวจสอบที่ขมักเขม้นกับการทำงานก็รีบล่าถอยออกจากท่าเรือไป สร้างความตกตะลึงให้กับสามสี่คนตรงนี้ไม่ใช่น้อย



"ทำไม..." พี่ตองอ้าปากค้าง

"ขอบคุณพี่ลูกแก้วมากนะครับที่เข้ามาจัดการเรื่องนี้ให้" ผมเลือกที่จะเดินไปขอบคุณพี่ลูกแก้วที่อุตส่ายอมเอาตัวเองเข้ามาลำบากกับการแก้ปัญหาที่ผมควรจะมีส่วนช่วย "แล้วก็ขอบคุณอีกครั้งที่คิดถึงสวัสดิภาพของผม ส่วนเรื่องที่พี่ไม่สามารถอาศัยอำนาจของรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมมาเคลียร์เรื่องนี้ได้ ผมก็เข้าใจครับ ผมก็เลยใช้อำนาจนั้นแทน...." คราวนี้ผมเลือกที่จะเดินไปหาไอ้พี่ตองคนงี่เง่าโดยตรง ให้มันฟังสิ่งที่ผมกำลังจะพูดให้ชัดๆ "แต่ถ้าไว้ใจชาบ้าง ชาก็คงไม่ต้องมานอนร้องไห้ทั้งคืน ถ้าคิดสักนิดว่าชาเองก็อาจจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ ชาก็คงไม่ต้องมาเสียความรู้สึกแบบนี้ รู้ไว้ด้วยนะ! พ่อของขิงเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม พ่อขิงก็เหมือนพ่อชา แค่เรื่องของอธิบดีกรมเจ้าท่าทำไมจะแก้ปัญหาไม่ได้"

นี่แหละผลของการไม่ไว้ใจกัน มีปัญหาไม่คิดจะให้เราช่วยแก้ไข แล้วจะมีกูไว้ทำไม

"ไอ้ต้อม กลับ" ผมสั่งพร้อมกับเดินฉับๆอย่างอารมณ์เสียออกไปจากตรงนั้น



"​ตามไปซิ ไปง้อเร็ว พี่กลับเองได้ ไม่ต้องห่วง"

พี่ลูกแก้ว ผมได้ยินนะ ไม่ต้องมาทำเป็นพูดช่วยไอ้บ้านี่เลย ผมเองก็โกรธพี่อยู่หน่อยๆนะ



"ไอ้ต้อม กูบอกให้กลับไง" มึงอย่าให้กูต้องเรียกอีกรอบนะ

"อ.. เออ โอเค..."

"ไม่ต้องๆไอ้ต้อม ​กูไปเอง" ยังจะกล้าอีกนะไอ้พี่ตอง เห็นหน้าไหมว่ากำลังโกรธอยู่ "แฟนกู เดี๋ยวกูดูแลเอง ​พี่ลูกแก้วไว้ขอบคุณกันวันหลังนะครับพี่​"

"จ้ะ"

"ไอ้ต้อม​" มึงจะเชื่อกูหรือเชื่อไอ้หัวสกินเฮดนี่ "กูเพื่อนมึงนะ ถ้ามึงไม่มาละก็นะ กูจะไม่ช่วยมึงเรื่องเรียนอีกเลย"

ไอ้ต้อมลังเลๆ มองซ้ายทีขวาที "อ.. เอ่อ กูให้น้ำขิงช่วยเรื่องเรียนก็ได้ ม... มึงให้พี่ตองขับรถให้เหอะนะ นะนะ อย่าทำให้กูลำบากใจเลย"

อือหืออออ ไอ้เพื่อนทรยศ ได้ติวเตอร์คนใหม่แล้วมึงลืมกูเลยนะ "แต่กูทำให้มึงสอบติดสถาปัตย์นะ มึงลืมแล้วเหรอ"

"อย่านะไอ้ต้อม" ไอ้พี่ตองเริ่มขู่ "กูบอกว่ากูจะไปกับน้ำชาเอง ถ้ามึงขยับกูจะถือว่ามึงทรยศเรื่องที่กูช่วยมึงจีบไอ้ขิง แล้วมึงก็อาจจะต้องเจ็บตัวด้วย"

"​โหหหหหหหหหห" มึงไม่ต้องมาโอดโอย มึงมาเดี๋ยวนี้เลยนะ "โอ๊ยยยย ไม่รู้ด้วยแล้ว เราไปที่อื่นกันเถอะน้ำขิง ปล่อยให้เค้าทะเลาะกันสองคนนั่นแหละ"

"ไอ้..." ไอ้เชี่ยต้อม นี่มึงตัดช่องน้อยไปแบบนี้เลยเหรอ แล้วมึงจะเดินไปไหนวะ หนีจริงดิ

ไม่รู้เว้ย ไปหาแท็กซี่ขึ้นข้างหน้าก็ได้วะ ไม่กลับไปกับไอ้บ้านี่หรอก



"ชา ชา ชาครับ" ไอ้นี่แม่งเร็วจริง เดินออกมาได้แป๊บเดียวมาดักหน้ากูอีกแล้ว

"อย่ามาขว้าง ถอยไปเลยนะ ชากลับเองได้ ไม่ต้องมายุ่ง"

"พี่... พี่ขอโทษ นะนะนะ กลับด้วยกันเถอะนะ น้าาาา นะครับ"

"หายไปตั้งหลายวันไม่เห็นจะมารับมาส่ง ทียังงี้ละอยากทำ หลบไปเลยนะ ไม่งั้นชกจริงๆด้วย"

"ชกให้ตายยังไงก็จะไปส่งให้ได้ ถ้าชกแล้วหายโกรธได้ จะชกกี่ทีก็ทำเลย พี่ผิดเองแหละที่เป็นห่วงชามากไป ใครจะอยากให้แฟนตัวเองมาเดือนร้อนกับเรื่องที่บ้านล่ะ"

"ยังจะพูดอีกนะ เดี๋ยวก็..." หมัดกูง้างแล้วนะ นี่ต่อยจริงนะเว้ย

"เอาเลย ชกให้พอใจเลย แต่ชกเสร็จแล้วก็ให้รู้ไว้ด้วยนะว่าพี่ไม่เปลี่ยนแฟนแน่นอน ยังไงพี่ก็รักชาคนเดียว พี่เลือกแล้ว เจ็บแค่ไหนพี่ก็จะรักษาคนที่พี่รักไว้ให้ได้"

ไอ้....

โอ๊ยยยย กูไม่พูดด้วยแล้ว

"ถอยไป"

"ไม่....."

"ไอ้พี่ตอง ทำไรเนีย ปล่อยนะ" ไหนบอกว่าจะมาง้อไง ทำไมมาใช้กำลังกอดรัดกูไว้แบบนี้วะ

"ไม่ปล่อย ถ้าชาไม่กลับกับพี่ พี่ก็จะกอดไว้แบบนี้แหละ"

อือหือ ไอ้หน้าด้าน

แรงวัวแรงควายมาจากไหนวะ ขยับไม่ได้เลยกู "ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ ถ้าไม่ปล่อยชาโกรธจริงๆด้วย"

"พี่ปล่อย ชาก็โกรธ พี่ไม่ปล่อย ชาก็โกรธอยู่ดี งั้นพี่สู้ไม่ปล่อยดีกว่า กอดกันอยู่แบบนี้แหละ ให้เห็นกันทั้งโรงงานไปเลย"

ชิบ......  เวรละกู

ลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย มัวแต่โกรธไอ้บ้านิ นี่มันท่าเรือนี่หว่า



จริงด้วย.... คนเริ่มมองมาทางนี้แล้ว



"งั้น... ก็ปล่อยก่อนดิ" นี่กูต้องเป็นฝ่ายยอมเองใช่ไหม เดี๋ยวเหอะ กลับไปนะกูจะไม่หายโกรธง่ายๆเลยคอยดู

"ปล่อยก็ได้ แต่ห้ามพยายามหนีอีกนะ ไม่งั้นพี่จะกอดไม่ปล่อยเลยคราวนี้"

ไอ้บ้าเอ๊ย คนมองเต็มเลย ดีนะที่คนไม่เยอะมากนัก

"ขึ้นรถซิคร้าบบบ จะกลับไม่ใช่เหรอ"

"......" นี่กูเป็นคนโกรธนะ จะมาบังคับอะไรนักหนา

"ไม่ขึ้น พี่อุ้มนะ... อุ้มจริงๆนะ พี่ไม่อายใครอยู่แล้ว"

โอ๊ยยยยยยยยยยย

สุดท้ายกูก็ต้องจำยอมทำทุกอย่างตามที่มันสั่ง



ขากลับตลอดทางมันเอาแต่พูดๆๆๆ ทั้งๆที่ผมไม่พูดด้วยซักคำ ยังจะทำหน้าระรื่นยิ้มอารมณ์ดีอยู่ได้

สุดท้ายก็มารู้ว่าคุณวินัยรู้เห็นกับแผนของไอ้พี่ตองจริงๆด้วย โกหกคุณท่านว่าเชือกสลิงขาดเพื่อเปิดโอกาสให้ไอ้พี่ตองเข้ามาหาเรา แล้วมันยังจะไม่วายโทรไปสารภาพความจริงกับคุณท่านให้ผมฟังอีก ทำเป็นมาทำตัวน่าไว้ใจตอนนี้ มันไม่ช้าไปหน่อยหรือไง







"ชาบอกว่าจะกลับบ้าน พามาที่นี่ทำไม"

ดูมัน ดูความเอาแต่ใจของมัน มันพาผมมาที่คอนโดฯเฉยเลย แทนที่จะพาผมกลับบ้านหรือไม่ก็กลับหอที่มหาลัย เผลอหลับแป๊บเดียว มาโผล่ที่ลานจอดรถเฉยเลย

"ชาบอกพี่ตอนไหน พี่ไม่เห็นชาจะพูดไรกับพี่เลย" อย่ามาทำเล่นลิ้นนะไอ้พี่ตอง "นี่ก็บ้านเหมือนกัน ของในห้องชาก็เลือกมาเอง ที่ไหนมีชาอยู่ก็เป็นบ้านทั้งนั้นแหละ"

"มันไม่ช่วยหรอกนะ" ทำเป็นพูดไปเหอะ

ผมเดินออกจากรถ เดินหัวฟั๊ดหัวเหวี่ยงขึ้นไปบนคอนโดฯ

ได้ เล่นไม้นี้ใช่ไหม งั้นต้องเจอฤทธิ์ของกูบ้าง



"ชา! ชา! ชาคร้าบบบบ เปิดห้องนอนให้พี่หน่อยนะ นะครับ นะนะนะนะ"

สมน้ำหน้า คราวนี้เอาอะไรมาขู่กูไม่ได้แล้วทั้งนั้น จ้างให้ก็ไม่ให้นอนด้วยหรอก นอนบนโซฟาไปเลย



ไอ้พี่ตองงอแงอยู่หน้าประตูพักใหญ่ จนในที่สุดมันก็ยอมแพ้ ผมรู้เพราะว่าได้ยินเสียงทีวีเปิด

นี่ยังถือว่าปราณีนะที่ไม่ให้ไปนอนนอกคอนโดฯ



หลังจากเจอเรื่องหนักๆกับการเดินทางทั้งเช้าและเย็น ผมก็ควรจะอาบน้ำนอนได้แล้ว

ไอ้พี่ตองคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง โซฟาตัวเบอเร่อ หมอนผ้าห่มก็หาได้ไม่ยาก ให้มันนอนตรงนั้นไปนั่นแหละ ต้องโกรธซะให้เข็ด วันหลังจะได้ไม่กล้ามาทำให้เราเสียใจอีก







ให้ตายเหอะ

กูไม่น่านอนตอนขากลับมาจากชลบุรีเลย หลับๆตื่นๆตลอดเลย

นี่กี่โมงแล้วเนีย

โห ตีสอง แล้วเหรอ



แล้ว....



เสียงทีวีข้างนอกเงียบแล้ว ไอ้พี่ตองคงจะนอนหลับไปแล้วมั้ง

ไปดูมันหน่อยดีไหมนะ

เสื้อผ้าทั้งหมดอยู่ในห้อง ได้อาบน้ำหรือเปล่าวะ

โซฟาก็ตัวใหญ่อยู่หรอก แต่ไอ้บ้านั่นก็ตัวยาวอย่างกะอะไรดี จะนอนได้ไหมนะ



คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง แค่คืนเดียวเอง

นอนต่อๆๆ ไม่ต้องไปสนใจ.....



.....................

................

............

......

..



โอ๊ยยยยยย เออ กูยอมแพ้

กูสนใจก็ได้

ออกไปดูซะหน่อยก็แล้วกัน แค่ไปดูเฉยๆ ไม่ได้จะยกโทษให้ซะหน่อย



ผมค่อยๆย่องเบาๆไปที่ประตูห้องนอน ทำอย่างกับเป็นพื้นไม้

ส่องดูรูที่ประตูอีกทีดิ เผื่อว่าจะยังไม่นอน

ไฟปิดแล้ว น่าจะนอนไปแล้วนะ เปิดไปดูแป๊บเดียวคงไม่รู้ตัวหรอก

อย่าเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดนะพี่ประตู



"......."

หึ!!!

ติดอะไรวะ ทำไมประตูเปิดได้แค่นี้

มีอะไรหยุ่นๆมาขว้างประตูห้องนอนไว้ละเนีย

ผมก้มลงไปมองดูให้ชัดๆ เพราะความมืดจึงทำให้มองอะไรแทบจะไม่เห็น



​เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย

​"พี่ตอง พี่ตอง" ไอ้บ้าพี่ตอง ทำไมมานอนอยู่ตรงนี้เนี่ย ผ้าห่มกับหมอนก็ไม่มี เสื้อผ้าชุดเดิม ผมเผ้ารุงรังอย่างกับคนไม่ได้อาบน้ำ นี่แกทำบ้าอะไรของแกเนีย "พี่ตอง ลุกขึ้นมา มานอนอะไรตรงนี้เนี่ย"

"หึ???" ยังจะมางัวเงียอีก ลุกขึ้นมาเลยนะ เป็นลูกชายของนักธุรกิจพันล้านจะมานอนในที่แบบนี้ได้ยังไง ใครรู้เข้าก็อายเค้าหมดหรอก

"มานอนหน้าประตูแบบนี้ได้ไง แล้วทำไมไม่ไปนอนโซฟาให้เรียบร้อย น้ำท่าก็ไม่รู้จักอาบ"

"ช... ชา ชา น้ำชา" ก็ใช่ซิ จะใครอีกหละ ทำหน้าอย่างกับเด็กได้ขนม

"ทำไมมานอนอยู่แบบน..."

"ชา พี่ขอโทษ พี่ขอโทษจริงๆนะ"

"ล... แล้วจะกอดทำไมเล่า" ไอ้พี่ตองบ้านิ ยังไม่ทันตื่นดีเลย ดึงเราไปกอดซะแล้ว แกนี่มัน.... "แล้วพี่ตองมานอนตรงนี้ทำไม"

"พี่อยากอยู่ใกล้ๆชานิครับ"

ดูคำตอบของมันซิ แล้วจะให้ผมเถียงยังไงต่อได้ละ พูดแบบนี้กูก็ใจอ่อนซิ นี่ถ้าไม่เปิดประตูออกมาดูก็จะนอนอยู่แบบนี้จนเช้าเลยใช่ไหม ทำอะไรเป็นเด็กๆไปได้

"พี่ผิดไปแล้ว แต่พี่ทำไปเพราะเป็นห่วงชาจริงๆนะ ยกโทษให้พี่เถอะนะครับ นะครับบบบ"

"เออๆๆ รู้แล้วน่า เลิกกอดได้แล้ว"

"หายโกรธพี่แล้วจริงเหรอ" ปล่อยกอดออกได้ก็ทำหน้ายิ้มแฉ่งเลยนะ นี่ขนาดมืดยังมองเห็นฟันขาวเรียงเป็นแถวเลย

ใครนะช่างหลงรักแกไปได้ ถ้าคนข้างนอกรู้ว่าแกทำตัวเป็นเด็กผิดกับฉายาเจ้าชายตองสุดเท่ อยากรู้นักว่ายังจะมีใครชอบแกอยู่หรือเปล่า

"หายโกรธแล้วใช่ไหมคร้าบบบ"

"อืมมมมม" ผมกรอกตาอย่างช่วยไม่ได้ "ถ้าเกิดเรื่องแบบครั้งนี้อีกจะทำแบบนี้อีกไหม"

ดูมัน ยังจะคิดอีก "ก็ถ้าเรื่องนั้นทำให้ชาเดือดร้อน พี่ก็จะทำ ยอมให้ชาโกรธยังจะดีกว่า ถึงย้อนเวลากลับไปได้ พี่ก็คงทำแบบเดิมอยู่ดี... ก็พี่เป็นห่วงชานิครับ"

"นี่ชาเปลี่ยนความคิดพี่ไม่ได้เลยใช่ไหม"

"ไม่เอาอ่ะ ถ้าเปลี่ยนแล้วมันส่งผลเสียกับชา พี่เป็นแบบเดิมดีกว่า พี่รู้สึกผิดตั้งแต่ตอนที่พาชาเข้าบ้านตอนนั้นแล้ว ถึงผลลัพธ์มันจะออกมาดี แต่ก็ถือว่าพี่เป็นคนดึงชาให้มารับเรื่องหนักๆ เพราะงั้น พี่ก็เลยสาบานกับตัวเองว่าจะไม่เป็นต้นเหตุให้ชาต้องมาลำบากเพราะพี่อีกแล้ว"

"เท่ตายแหละ" ไอ้พี่ตองบ้า สุดท้ายกูก็ต้องยอมมันทุกประตูอยู่ดี "ลุกขึ้นไปนอนได้แล้ว"

"ก็ได้ครับ...แต่นอนตรงนี้ก็สบายนี้นะ ดีกว่าที่โซฟาตั้งเยอะ"

"แล้วจะเดินไปไหนน่ะ?"

"ก็ไปนอนไงครับ"

"เตียงนอนอยู่นี่ จะไปนอนโซฟาทำไมเล่า ไม่ปวดหลังรึไง"

"ห๊ะ! ได้เหรอ?"

"ถ้าไม่เข้าจะปิดประตูแล้วนะ"

"เข้าซิครับ เข้าๆ"

"อาบน้ำก่อนด้วยนะ สภาพนี้ชาไม่ให้นอนด้วยนะ"

"คร้าบบบบบ"



เฮ้อออออออ



แบบนี้แหละดีแล้ว....

ก็เราหลงรักที่เค้าเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้วนี่นา แปดปีที่เฝ้ามองมา ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ

ไอ้พี่ตองบ้า...

...........................









"เอาละครับคุณผู้ชมทุกท่าน ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง" เสียงพิธีกรตะโกนใส่ไมค์ดังลั่นกลางสนามกีฬา "กว่าสองเดือนที่เราเฝ้าติดตามกิจกรรมห้องเชียร์มาอย่างใกล้ชิด ก็ถึงเวลาแล้วจนได้ และนี่คือ......









...............สปีริท เชียร์"
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 33 [คู่แข่ง]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 12-01-2018 16:53:26
​ตอนที่ 33 : คู่แข่ง







"ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงสักทีนะคะพี่ปืน เชื่อว่าตอนนี้ผู้ชมที่กำลังร่วมชมร่วมเชียร์อยู่ทั้งที่โดยรอบสนามกีฬามหาวิทยาลัยมัณฑนาและที่ชมกันอยู่ทางบ้านก็คงตื่นเต้นกับช่วงเวลานี้ไม่น้อย"

"ใช่เลยล่ะครับน้องหญิง ถึงแม้ว่านี่จะยังไม่ใช่ Power Cheer ที่เป็นการรวมพลังครั้งใหญ่ของนิสิตทั้งมหาวิทยาลัยเรา แต่การชมการแข่งขันที่ดุเดือดเพื่อชิงความเป็นที่หนึ่งของแต่ละคณะก็น่าสนใจไม่แพ้กันเลยนะครับ มองดูรอบๆสนามตอนนี้ซิครับ เก้าอี้ที่วางไว้กว่าสองพันที่นั่ง ไม่พอแล้วนะครับ"

"น่าประทับใจแทนองค์การนิสิตจริงๆนะคะที่ปีนี้คนให้ความสนใจกันมากจริงๆ แต่พอพูดถึงการชิงความเป็นที่หนึ่งขึ้นมาแบบนี้แล้วก็คงต้องเข้าสู่ช่วงพิธีการแล้วใช่ไหมคะ"

"แน่นอนครับ ดังนั้นในโอกาสนี้นะครับ ผมขอกราบเรียนเชิญ รองศาสตราจารย์ ด็อกเตอร์ ดิตศยา ปานเสน่ห์ รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิต ขึ้นรับธงเกียรติยศ Spirit Cheer คืน เพื่อส่งต่อให้กับผู้ชนะในปีนี้ต่อไปครับ"

​เสียงปรบมือ โห่ร้อง ดังกึกก้องสนาม จนแทบจะทำให้ลำโพงของโทรทัศน์ถ่ายทอดสดระเบิดออกมา

​"ไหนๆก็มีเสียงเชียร์มาขนาดนี้แล้ว งั้นก็ขอเสียงเชียร์ดังๆอีกครั้ง ให้กับเจ้าของธงเกียรติยศหรือแชมป์เก่าของเราในปีที่แล้ว ​คณะวิศวกรรมศาสตร์​"

​พิธีกรหญิงช่างปลุกใจนักเชียร์รอบสนามได้อย่างดีเยี่ยม

​"ขอเชิญ นางสาวสรุโนทัย มุธาทิพย์ ประธานผู้นำเชียร์จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ส่งมอบธงเกียรติยศ คืนให้กับมหาลัย เชิญครับ"

หญิงสาวคนสวยเดินขึ้นเวทีก่อนที่จะดึงเสาธงขนาดสูงกว่าตัวเธอออกจากฐานวาง แล้วส่งมอบให้แก่อาจารย์ผู้เป็นประธานงานในวันนี้ ทั้งสองคุยกันเบาๆสองสามคำ ก่อนที่เหตุการณ์บนเวทีจะสงบ

จากนั้นประธานนำธงเกียรติยศ Spirit Cheer ลงมาจากเวทีตามทางลงด้านหน้าเวทีที่จัดไว้เป็นพรมยาวหรูหรา จนเมื่อถึงจุดมุ่งหมาย ธงก็ถูกเสียบลงบนแท่นที่จัดเตรียมไว้อย่างสง่างาม



​ตูม  ตูม  ตูม  ตูมมมมมม



พลุไฟและเครื่องระเบิดแสงรอบสนามส่งเสียงร้องกู่ก้องอย่างสนุกสนาม อันเป็นสัญญาณของความพร้อมกับกิจกรรมอันยิ่งใหญ่ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้

ตามมาด้วยจังหวะเพลงที่คุ้นเคย.....



​รั้วสีทองส่องแสงในล้า ศาสตร์มัณฑนา นำปัญญาพาข้าฯ สู่หมาย

​​เกียรติยศ ทั้งกายา และดวงใจ  ​นำพาไป แซ่ซ่อง ก้องพนา

​​เป็นดังแสงแก้วมณี เป็นสีคู่ดารา เป็นแหล่งมา ของวิชาชัย

​​สรรพพร้อมด้วยวิญญา ประดิษฐ์มาให้เกรียงไกร ​ความภูมิใจในดินแดนแห่งนี้.....

​​นี่คือหอสูงชัน นี่คือฝันสีทอง ยอดครรลอง มิลดลงได้

​​จับมือสานสัมพันธ์ แกร่งดั่งพันธะพลอย มือน้อยๆให้โอบรวมไว้

​​เพราะพวกเราทุกคน ผลิตผลของมัณฑนา คืออาชาที่ภาคภูมิใจ

​​ให้ผู้คนได้เกรง ให้พวกเขาวางใจ เราจะไป เป็นเพชรสุดล้ำ....

​​นี่แหละความยิ่งใหญ่ มิใช่แสงปืนคะนอง แค่คนครองรู้ในจรรยา

​​จงเฉิดฉายด้วยเรา ดุจดาวแสงแยงนภา เป็นปฏิญาในข้าฯ ผู้นี้

​​ให้คำมั่นสัจจา ว่าจะเป็นคนดี บัณฑิตศรี.....  แห่งรั้วมัณฑนา.....





"แล้วก็จบลงแล้วนะครับ สำหรับการแสดงเปิดงาน ด้วยเพลงมาร์ชมหาวิทยาลัยมัณฑนา จากผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยของเรา ขอเสียงปรบมือด้วยครับบบบ" เสียงปรบมือที่คล้ายเสียงกรี๊ดจากเหล่าแฟนคลับก็ดังตามมา "ตื่นเต้นจริงๆนะครับน้องหญิง"

"ในฐานะพิธีกรที่ติดตามกิจกรรมนี้มาอย่างใกล้ชิดกว่าสองเดือน หญิงยอมรับเลยว่าวันนี้แม้กระทั่งตัวหญิงเองก็อดประหม่าแทนน้องๆไม่ได้เลยคะ ไม่ว่าจะเป็นสแตนเชียร์ด้านบน การแปลอักษร รูปแบบโชว์ด้านล่าง และที่คงจะตื่นเต้นที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเหล่าผู้นำเชียร์ของแต่ละคณะ ว่าที่เจ้าชายเจ้าหญิงที่อาจจะขึ้นไปอยู่บนหอคอยเกียรติยศในปีนี้"

"อย่าเพิ่งรีบตื่นเต้นไปครับน้องหญิง เพราะวันนี้ เราจะต้องได้ดูโชว์ Spirit Cheer ของแต่ละคณะกันจนดึกแน่นอน เก็บแรงไว้ตื่นเต้นให้ครบทุกการแสดงนะครับ... แต่ว่า เผื่อว่าท่านผู้ชมบางท่านอาจจะยังไม่ทราบกติกานะครับ ในการแข่งขันชิงความเป็นหนึ่งด้านกิจกรรมห้องเชียร์หรือ Spirit Cheer แต่ละคณะจะมีเวลาในการทำการแสดงทั้งหมดสิบสองนาทีสามสิบวินาที ไม่ขาดไม่เกิน ซึ่งผู้ชมทุกท่านจะมองเห็นนาฬิกานับถอยหลังจากมุมขวาล่างของทีวี ส่วนผู้ชมรอบๆสนามก็จะได้เห็นจากนาฬิกายักษ์ด้านบนอัศจรรย์ในขณะนี้ครับ หากเวลาผิดพลาด ก็จะมีการหักคะแนนกันไปตามส่วนต่างของเวลาที่ผิดพลาดนั้น เรียกได้ว่า ต้องซ้อมกันมาเป็นอย่างดี แล้วก็ห้ามผิดพลาดเด็ดขาด หรือถ้าหากผิดพลาดก็ต้องสามารถแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ครับ ไม่ง่ายเลยใช่ไหมละครับ"

"ก็หวังว่าจะไม่มีคณะใดผิดพลาดนะคะ เพราะเราทุกคนเองก็หวังที่จะได้ดูโชว์ที่ตั้งใจเตรียมมาจริงๆของทุกๆคณะ... นอกจากเรื่องเวลาที่ต้องควบคุมให้ดีแล้วนะคะ การให้คะแนนก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นเดียวกัน หลักเกณฑ์ของการให้คะแนนของเราก็จะไปประกอบด้วย ภาพรวมของการแสดง ความต่อเนื่องของการแสดง ความยากง่ายในการแปลอักษร ความสามัคคีของนิสิตปีหนึ่ง ความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบการแสดง และสำคัญที่สุด ความโด่ดเด่นของผู้นำเชียร์ค่ะ"

"และนั่นก็คือเกณฑ์การให้คะแนนนะครับ และหากการโชว์ Spirit ของนิสิตปีหนึ่งเสร็จสิ้นครบทุกคณะแล้ว ก็จะมีการประกาศผลของคณะที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นที่หนึ่งทางด้านกิจกรรม Spirit Cheer จากเหล่าคณาจารย์และเซเลปคนดังที่มาร่วมตัดสินกันในวันนี้ พร้อมรับธงเกียรติยศอันเป็นเครื่องหมายของผู้ชนะและอำนาจในการจัดการกิจกรรมห้องเชียร์ของมหาวิทยาลัยเพื่อเป็นหัวเรือหลักให้กับจัดการแสดงในปลายเดือนหน้าภายใต้มหกรรมที่มีชื่อว่า Power Cheer"

​​เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ้!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

​พิธีกรดึงอารมณ์ผู้ชมให้ระทึกใจไปกับกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง

"ไม่รู้ว่าแต่ละคณะจะงัดกลเม็ดเคล็บลับอะไรกันออกมาเพื่อช่วงชิงอำนาจตรงนี้ไปนะคะ แต่ก็อยากชมแล้วล่ะค่ะ"

"นั่นซิครับน้องหญิง แต่ใจเย็นๆกันก่อนนะครับ ให้เวลาคณะแรกได้เตรียมตัวกันก่อน เพราะตอนนี้ถ้าเรามองขึ้นไปบนอัฒจันทร์ ก็จะพบว่ามีเพียงกองเชียร์ของสองคณะเท่านั้นที่มารออยู่แล้ว อัธจรรย์หลักของเรามีพื้นที่จำกัดจึงต้องใช้เวลาผัดเปลี่ยนหมุนเวียนนะครับ แต่ผู้ชมทุกท่านไม่ต้องห่วงครับ เนื่องจากเราได้แบ่งพื้นที่ออกเป็นสองด้าน หลังจากที่คณะแรกแสดงจบแล้ว คณะที่สองในอีกฝั่งของอัฒจันทร์ก็จะพร้อมทำการแสดงให้พวกเราทุกคนได้รับชมทันที ซึ่งระหว่างนี้ คณะที่ทำการแสดงไปแล้วก็จะถูกแทนที่ด้วยคณะอื่นๆที่ยังไม่ได้แสดงต่อไปครับ"

"ถ้าอย่างนั้นเรามาฟังผลการจับฉลากเพื่อลำดับการแสดงของแต่ละคณะกันนะคะ ผลการจับฉลากนี้ ได้แจ้งให้กับห้องเชียร์ทุกคณะทราบเมื่อสามวันก่อนแล้ว โดยมีลำดับดังนี้ค่ะ อันดับแรก คณะรัฐศาสตร์...."

เสียงเชียร์ดังขึ้นเป็นระลอก เมื่อพิธีกรหญิงอ่านไล่ลำดับการแสดงของแต่ละคณะ อันเป็นการบ่งบอกว่ามีรุ่นพี่และผู้สนใจตามมาเชียร์คณะที่ตนเองชื่นชอบอย่างคับคั่งและไม่ยอมกัน

"....และสุดท้าย คณะวิทยาศาสตร์"

​เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ้

​เสียงเชียร์ที่ดังกว่าปกติ ทำให้พิธีกรทั้งสองถึงกับให้ความสนใจและเพ็งสายตามองรอบๆสนาม

เอาเข้าจริงๆแล้ว มันเหมือนเสียงโห่ร้องบ้าคลั่งของทหารทั้งกรมซะมากกว่า

"น้ำชา น้ำชา น้ำชา น้ำชา น้ำชา น้ำชา น้ำชา น้ำชา"

รุ่นพี่ชายหนุ่มที่ไม่อาจนับจำนวนได้ ส่งเสียงเรียกชื่อคนที่พวกเขากำลังเชียร์อย่างออกหน้าออกตาและเป็นบึกแผ่น พร้อมชูป้ายไฟตัวอักษรอันใหญ่ที่มีอักษรภาษาอังกฤษเรียงต่อกันว่า N U M C H A



"โอ้โห.... รู้สึกว่าน้องน้ำชาจากคณะวิทยาศาสตร์จะมีแฟนคลับตามมาเชียร์ล้นหลามกันเลยนะครับงานนี้ แต่ เอ...? น้องหญิงครับ นั่นใช่เสื้อคลุมของคณะวิศวกรรมศาสตร์หรือเปล่าครับ"

"นั่นซิคะพี่ปืน หญิงก็คิดว่าเป็นนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์เหมือนกัน ปีนี้มีเรื่องให้ประหลาดใจจังเลยนะคะที่รุ่นพี่ตามเชียร์น้องปีหนึ่งต่างคณะตัวเอง แต่ก็ว่าไม่ได้หรอกคะ น้องน้ำชาเองก็ถือว่ามีชื่อเสียงมาก จากที่เรารู้กันอยู่แล้ว คริสต์มาสนี้หญิงเองก็อยากได้ปฏิทิน LOVE LEADER เหมือนกันนะคะ"

"นั่นนะซิครับ... เอาล่ะครับ ตอนนี้เจ้าหน้าที่ส่งสัญญาณว่าคณะแรกของเราพร้อมแล้ว ขอเสียงเชียร์ดังๆให้กับโชว์สุดอลังการจากคณะ... รัฐศาสตร์!!!!"



...............







"แหม ฮอตจังนะชา"

"......" จะให้ตอบยังไงละ เราเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีอะไรแบบนี้โผล่มา

เกตุเอ่ยแซวผมทันทีหลังจากที่ผมและลีดเดอร์คนอื่นๆ นั่งชมการถ่ายทอดสดพิธีเปิดงาน Spirit Cheer ของมหาวิทยาลัย จากในห้องซ้อมคณะวิทย์ 

ด้วยความที่พวกเราเป็นคณะสุดท้ายที่จะได้ทำการแสดง จึงต้องรอกันที่นี่ ยังพอมีเวลาเตรียมตัวและเก็บรายละเอียดกันอีกหน่อย ส่วนเพื่อนๆที่ทำหน้าที่ขึ้นสแตนเชียร์ก็รออยู่ที่โถงกลางของคณะ คิวที่จะได้แสดงน่าจะประมาณสามทุ่มโน่นเลย เห็นพวกพี่ๆบอก

ปีนี้คณะวิทยาศาสตร์มาให้คอนเซ็ปป่าหิมพานต์ พวกผู้นำเชียร์ก็เลยได้สวมชุดเป็นกินรีสาวและกินนรหนุ่มสีขาวพร้อมปีกขนนกอลังการ โชคดีนะที่ผู้ชายไม่ต้องใส่ปีกด้วย มีแค่ขนนกยาวติดตามตัวนิดหน่อย ไม่งั้นคงจะเต้นไม่ออก



"ขอโทษครับบบบ ขอโทษครับ ขอพบน้องน้ำชาหน่อยครับ"

​หือออออออ?

​ใครมาขอพบผมตอนนี้ รู้ไหมว่าเป็นช่วงเวลาทำใจ ตื่นเต้นจะแย่แล้วเนีย นี่กะว่าจะขอซ้อมกันอีกซักสองสามรอบนะ กลัวเต้นผิด

"น้ำชา มีคนมาหา" พี่พลอยเรียก

ตอนนี้ห้ามคนนอกเข้ามา ผมจึงต้องเดินมาที่ประตูห้องเอง



"อ้าว พี่เติ้ล หวัดดีครับ มีไรครับพี่" พี่เติ้ลเพื่อนสนิทในคณะเดียวกับพี่ตองนี่นา มาหาเราทำไมหว่า

"ว้าววววว โคตรคูลอ่ะ" พี่เติ้ลตาเหลือกเลยที่เห็นผมในชุดนี้ "ชุดกินรีหนุ่มซะด้วย เอ็งใส่แล้วน่ารักกว่าเดิมอีกนะเนีย ไอ้ตองเห็นมีหวังดิ้นพล่านแน่ๆ"

"พี่มาหาผมเพราะจะมาแซวเนี่ยนะ แล้วชุดของผู้ชายเค้าเรียก กินนร พี่ ไม่ใช่กินรีหนุ่ม"

"อ้าวเหรอ  เออๆ เปล่าๆ พี่ไม่ได้จะมาแซวเอ็ง พอดีพวกปีสองคณะพี่ฝากมาให้กำลังใจ"

"โหพี่ ไม่ต้องแล้วมั้ง ตะโกนออกทีวีกันซะขนาดนั้น พี่คิดว่าผมไม่อายหรือไง"

"อายเอยอะไร พวกพี่ทำด้วยใจเว้ย"

"โอเคครับพี่ ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับ ฝากขอบคุณทุกคนด้วย"

"เออๆ เดี๋ยวพี่บอกให้ แต่ที่มาเนีย มีของสำคัญจะให้... อะนี่"

​หึ! อะไร

ผมยื่นมือไปรับ เป็นม้วนกระดาษเอสี่แผ่นนึง ก็เลยเปิดอ่านดู

"เห้ยยยยย จริงดิพี่ สุดยอดอ่ะ... อ๋อออออ เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงเชียร์ผมกันบ้าคลั่งซะขนาดนี้"

"เออ ก็นั่นแหละ ยังไงก็สู้ๆนะเว้ย เออ เดี๋ยวๆ ขอถ่ายรูปนึงดิ ไอ้ตองฝากมา มันมาไม่ได้เพราะต้องเต้นเปิดงาน"

ห๊ะ

ถ่ายรูปเหรอ จะทำหน้ายังไงดีวะกู

"โอเค เรียบร้อย" ไวจัง ยังไม่ได้เก๊กหน้าเลย "ยังไงเดี๋ยวพี่รีบไปก่อนนะ วิศวะจะโชว์แล้วอีกสองคิว ถึงพี่จะเชียร์เอ็ง แต่ก็ต้องเชียร์คณะตัวเองด้วย เดี๋ยวไม่งั้นโดนพวกที่คณะเฉ่งเอา ไปนะ เจอกันๆ"

"เจอกันพี่"

เชื่อเค้าเลยจริงๆ

หันมามองดูกระดาษอีกทีก็นึกขำ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องที่เกิดเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วนะ คงไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นหรอก







.....................สองสัปดาห์ก่อน.........................



"ชาๆ ไอ้ตองโทรมาบอกว่าให้กูไปส่งมึงที่หออ่ะ" นั่นคือการเรียกของพี่บุ๋น หลังจากที่ผมกำลังจะออกจากห้องซ้อมของคณะวิทย์

"อ้าว ทำไมพี่ตองไม่มาเองอ่ะ" ปกติไม่เคยวานให้คนอื่นไปรับไปส่งแทนนี่นา ขนาดไอ้ต้อม ถ้าไม่จวนตัวจริงๆยังไม่อยากจะให้มารับแทนเลย

"วันนี้พวกวิศวะซ้อมเสร็จช้า งี้แหละ แชมป์เก่า คงจะซ้อมหนักหวังรักษาตำแหน่งเต็มที่ อีกสองอาทิตย์ก็ต้องแข่งแล้ว"

"เสร็จช้ากว่ากำหนดได้ด้วยเหรอพี่ ก.น.ช.เค้าไม่ว่าเหรอ"



"จริงๆก็ว่านะ" พี่ท๊อปเดินเข้ามาร่วมในวงสนทนา

ช่วงนี้พี่ท๊อปมาเฝ้าพี่บุ๋นตลอด แต่ก่อนอ้างว่ามาทำงาน แต่เดี๋ยวนี้มานั่งดูพี่บุ๋นซะมากกว่า สองคนนี้ไปถึงไหนแล้วนะ อยากรู้จัง ​โอ๊ะ ​กูนี่ก็ชอบเผือกเรื่องชาวบ้านจัง สนใจเรื่องของตัวเองก่อนไหม

"แล้วทำไมถึงซ้อมเกินเวลาได้ละครับ" ผมถามพี่ท๊อป

"ก็เพราะเป็นวิศวะไงครับ ต่อให้เป็น ก.น.ช. ก็มีกลัวกันได้ มีแต่ขาโหดทั้งนั้น" เง้อ... แบบนี้ก็ได้เหรอ "แต่ว่าพวกเค้าก็ซ้อมเกินกันแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้นแหละครับ ก็เลยหยวนๆกันไป กฎบางอย่างตึงมากก็ไม่ได้"

"พี่ท๊อปพูดเองนะ" พี่บุ๋นเหมือนได้ที "งั้นวันหลังคณะวิทย์ซ้อมเกินบ้าง ก.น.ช.ห้ามว่าล่ะ"

"โห พี่ ไม่ต้องหรอกครับ แค่นี้ผมก็ซ้อมจนแขนจะหลุดอยู่แล้ว" ผมร้อง

"สำออยนะมึงอ่ะ ตั้งแต่มีไอ้ตองคอยปกป้องนิ มึงชักจะปวกเปียกใหญ่แล้วนะ" อ้าวไอ้พี่บุ๋น มาแซวกันโต้งๆอย่างงี้เลยเหรอ

"แหม่...พี่ ใครจะไปแข็งแกร่งเหมือนพี่ละคร้าบบบ ขนาดมีคนมาคอยปกป้องทุกวัน ยังเก๊กเข้มอยู่ได้... นี่ไม่รู้ไปปกป้องกันถึงเกาหลีได้ยังไ....ง..อุ"

 ทีอย่างงี้ละเขิน รีบเอามือมาปิดปากผมเชียวนะ

"เงียบไปเลยนะ เดี๋ยวคนอื่นก็รู้หมดหรอก" ทำเป็นกระซิบนะพี่บุ๋น ถ่ายรูปคู่กันลงเพจแฟนคลับขนาดนั้นยังจะกลัวคนรู้อีก คนกดไลค์พุ่งไปห้าหกหมื่นแล้วมั้ง คิดว่าคนเค้าจะไม่รู้กันหรือไง

ส่วนพี่ท๊อปก็เอาแต่เกาหัวยิ้มเขินๆ

สองคนนี้ต้องพัฒนากันไปไกลจริงๆแน่เลย มีโอกาสกูจะต้องเผชิญสืบด้วยตัวเองให้ได้

"เดี๋ยวกูก็ทิ้งให้กลับเองซะเลย"

อะนะ ทำเป็นขู่

"งั้นพี่สองคนกลับกันไปเลยก็ได้ครับ"

"โห่ไอ้ชา กูพูดแค่นี้ทำใจน้อยไปได้นะมึง กูไม่ทิ้งมึงไว้หรอกน่า เดี๋ยวไอ้ตองก็เล่นงานกูอะดิ"

"เปล่า ไม่ใช่อย่างงั้นพี่ ผมว่าจะไปหาพี่ตองที่คณะอ่ะ" คือ... ไม่ค่อยชินให้คนอื่นไปส่งเท่าไหร่ แล้วก็ไม่อยากรบกวนเวลาที่พี่ท๊อปกับพี่บุ๋นเค้าอยู่ด้วยกันด้วยแหละ "ถ้าแค่ชั่วโมงเดียว เดี๋ยวผมไปรอพี่เค้าที่คณะก็ได้ จะได้ไม่รบกวนพวกพี่"

"ไม่รบกวนหรอก..."

"ปล่อยน้ำชาไปเถอะครับ เค้าอยากกลับพร้อมแฟนเค้านิ" พี่ท๊อปแนะนำเชิงห้ามปรามพี่บุ๋น

"อ... เออ งั้นก็ได้ งั้นเดี๋ยวกูไปส่งที่ห้องซ้อมคณะวิศวะ ไปเร็วพี่ท๊อป บุ๋นหิวแล้ว"

"ไม่ต้องหรอกพี่ ผมไปเองได้ ตึกวิศวะอยู่แค่นี้เอง เดินตัดสวนเทเลทับบี้ไปก็ถึงแล้ว" ผมหมายถึงสวนย่อยขนาดใหญ่ของมหาลัยที่สร้างอยู่ระหว่างคณะวิทย์กับวิศวะ แต่เด็กที่นี้เรียกสวนเทเลทับบี้กัน "ผมเคยไปห้องซ้อมวิศวะแล้ว ไม่หลงหรอก"

"เห้ย ไม่ได้..."



"งั้น... ให้พี่เดินไปส่งไหม"

​ชิบหายละ

​พี่กั้ง พูดยังอยู่ในวงโคจรของจักรวาลนี้

"...ถัดจากตึกวิศวะก็เป็นตึกวิทย์แพทย์ พี่ต้องกลับอยู่แล้ว"

เอาไงดีวะกู จะปฏิเสธยังไงดี กูเดินไปกับพี่เค้าไม่ได้ เป็นเรื่องแน่

"เห้ย! ไม่เป็นไรหรอกกั้ง เดี๋ยวเราไปส่งน้องเองดีกว่านะ กั้งนั่งรถไฟฟ้ากลับเหอะ จะได้ไม่ต้องเดิน" พี่ท๊อปก็คงเข้าใจซินะ เอาวะ ไปกะพี่ท๊อปพี่บุ๋นก็ยังดีกว่าเดินไปกับพี่กั้งสองต่อสอง



"อิชาาาาาาาาาา"

หือ????

อะไรอีก

"อิช... อุ๊ย! ขอโทษค่ะ หนูนึกว่าไม่มีใครอยู่แล้ว" ไม่ทันแล้วไหมอิเจสซี่ มากันพร้อมหน้าเลยนะ

"มึงๆ กูมีเรื่องจะมาบอก" อิเล็กเสริม "อาจารย์จักรกฤษมาประกาศในห้องเชียร์เมื่อกี๊ว่าพรุ่งนี้มีสอบอินโทรแมท พวกกูก็เลยรีบมาบอก"

"คืนนี้ไปติวกันเหอะชา" วาวาเอ่ยปากชวนกระดี๊กระด๊า "พวกกูไปเจอร้านกาแฟน่านั่งอ่านหนังสือมา ปะๆ ไปติวกัน" น้ำเสียงชวนแบบนี้แปลว่าไม่ได้จะไปติวจริงๆแน่เลย

"แค่คณิตเบื้องต้น พวกมึงเรียนรู้เรื่องกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ จะติวอีกทำไม"

"แหมมึง เพื่อความชัวร์ไงคะ มีอัจฉริยะอย่างมึงอยู่ข้างๆ เผื่อพวกกูจะออสโมซิสความรู้ปริมาณมหาศาลของมึงมาได้บ้าง" อิช้างเจสซี่กล่าว

เออ แต่ว่า... เอางี้ดีกว่า

"พี่ท๊อปไม่ต้องไปส่งผมแล้วล่ะครับ เดี๋ยวผมเดินไปกับเพื่อนดีกว่า... เอ่อ ขอบคุณพี่กั้งมากนะครับ แต่ผมมีเพื่อนแล้ว ผมขอตัวนะครับ ไปๆๆๆ พวกมึง รีบไปเร็ว" ผมนี่รีบเดินออกจากห้องเลย

ผมรีบลากพวกมันมาโดยที่ยังไม่อธิบายอะไรให้ฟัง แต่พอรู้ว่าผมจะพาไปดูลีดคณะวิศวะแค่นั้นแหละ เลิกสงสัยกันหมด กลายเป็นความสะดีดสะดิ้งแทน

หลังจากเดินมาถึงห้องซ้อมของคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่ผมเคยใช้ซ้อมเต้นเมื่อตอนโน้นนนนนน (หมายถึงตอนซ้อมเพลงมิ่งขวัญมัณฑนา กับพี่ตองอ่ะ) ก็มาเจอว่าห้องซ้อมกำลังวุ่นวาย มีคนเทียวเดินเข้าเดินออกกันอยู่ตลอด ผมกับอิเพื่อนแก๊งนางฟ้าก็เลยไม่กล้าเข้าไป พวกเราจึงเดินเลี่ยงมาโรงอาหารแทน ซึ่งก็อยู่ข้างๆกันนั่นแหละ

อิเพื่อนสามตัวของผมนี่อยู่ไม่เป็นสุขเลย เทียวเดินไปส่องไปชะเงอกันใหญ่ โคตรน่าอายเลย ผมก็เลยหาวิธีดึงความสนใจพวกมันด้วยการเล่นดนตรีให้ฟัง

งงละซิว่าผมเล่นดนตรีได้ยังไง คือว่าตรงนั้นมีพี่คนหนึ่งเค้าถือกีต้าร์มานั่งกินข้าวอยู่ที่โรงอาหารพอดี คงจะเอามาเล่นหลังเลิกเรียนมั้ง ก็ที่นี่อยู่ติดกับสวนเทเลทับบี้ ผมเห็นคนชอบเอาดนตรีมานั่งเล่นกันเป็นประจำ ก็เลยไปขอยืมพี่เค้ามาเล่นให้พวกมันแหกปากกันแทน

อือหือ พวกมึงนี่นะ พอขึ้นเพลงนิวจิ๋วได้ อย่างกับวิญญาณองค์แม่เข้าสิง แอ็คติ่งมาเต็มมาก



"ตายแล้ววววววว อิชา นี่ถ้ามึงไม่ได้เป็นองค์แม่ของพวกกูนะ กูจะจับมึงทำผัวเดี๋ยวนี้แหละ หน้าตาดี เล่นดนตรีได้ เริสค่ะ" อิเจสซี่จีบปากจีบคอพูด

"จะบ้าเหรอมึง เดี๋ยวพี่ตองก็ได้มาแหกอกมึงหรอกค่ะ" วาวาตัดบท

"พอๆๆๆ พอเลยพวกมึง พูดอะไรของพวกมึงเนีย เดี๋ยวกูก็ไม่เล่นให้เลย"

"เล่นซิๆ มึงอ่ะอิเจสซี่ ไปขัดขวางทางดนตรีของหัวหน้าแก๊งได้ไง" อิเล็กผู้ที่ดูจะอินกับการร้องเพลงที่สุด "นี่ๆ เอาเพลงนี้บ้าง ผีเสื้อราตรี แคทริยา อิงลิช เดี๋ยวกูจะเต้นให้พวกมึงดูด้วย ม๊ะ"

"โอ๊ย อิเล็กคะ สภาพมึงนี่ไม่ใช่ผีเสื้อราตรีแล้วค่ะ เค้าเรียกผีเสื้อลาตาย ต้องกูนี่"

"ส่วนมึงอะผีเสืื้อขึ้นอืด"

ดูพวกมันเถียงกัน

"ไม่ต้องเต้นกันทั้งคู่นั่นแหละ กูไม่อยากดู เสียสายตา อายเค้าจะตาย"

"อ้าว อิวาวา เสียสายตาอะไรของมึง ไม่รู้จักเจสซี่สะโพกพริ้วซะแล้ว มึงดูกูก่อนที่จะพูด...."



"เห้ยๆๆ ไอ้ตอง รีบไปไหนวะ"



"​นิพวกมึง เงียบๆ" ผมบอกแก๊งนางฟ้า

เหมือนผมจะได้ยินใครเรียกชื่อพี่ตองใกล้ๆ แสดงว่าซ้อมเสร็จกันแล้วอะดิ



"กูจะรีบไปรับน้ำชา กูไปล่ะ น้องรอนานแล้ว" นั่นไง พี่ตองจริงๆด้วย ผมส่งสัญญาณบอกให้พวกเพื่อนผมเงียบๆ แล้วก็ให้วาวาเอากีต้าร์ไปคืนพี่คนที่ยืมมา

"เดี๋ยวดิ โห่ ไรวะเพื่อน ตั้งแต่มีแฟนนี่มึงลืมเพื่อนเลยนะ เนี่ย พวกกูกำลังจะไปเล่นบาสกัน ไปเล่นด้วยกันก่อน"

"ไม่ได้!"

"เพื่อนตองครับ นี่เพื่อนเติ้ลเองนะครับ จำเพื่อนเติ้ลคนนี้ได้ไหม มึงไม่คิดจะมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนบ้างหรือไง เดี๋ยวกูบอกแฟนกูไปรับน้องน้ำชาของมึงมาให้ก็ได้ อยู่คณะวิทย์ใช่ไหม? เดี๋ยวกูโทรกรี๊งเดียวเพื่อน ไม่ต้องห่วง"

"ไม่ต้อง ไอ้เชี่ยเติ้ล... เออๆ ไว้วันหลัง...."



"ไม่ต้องวันหลังหรอก พี่ตองไปเล่นบาสเหอะ" ผมตัดสินใจปรากฎตัวออกไป นี่ต้องคอยดูแลไปรับไปส่งเราจนให้เพื่อนพูดแบบนี้ได้เลยเหรอเนีย

"อ...อ้าว ชา มาได้ไงครับ" พี่ตองก็คงตกใจแหละ เพราะผมไม่เคยมาหาพี่เค้าที่คณะมาก่อนเลย

"ชาเดินมา... นี่ไง มากับเพื่อน"



"สวัสดีค่ะพี่ตองสุดหล่อ" อิเจสซี่ ต่อหน้าต่อตากูเลยนะ พวกมึงสองตัวก็ด้วย ไม่ต้องมาส่งตาหวานเลย

"ส.. สวัสดีครับ แล้ว... ชามาที่นี่ทำไมครับ มาหาพี่เหรอ"

"พี่บุ๋นบอกว่าพี่ตองจะเลิกช้าชั่วโมงนึง ชาก็เลยเดินมารอดีกว่า ไม่อยากรบกวนพวกพี่เค้า ว่าแต่... เพื่อนพี่ตองชวนไปเล่นบาสอ่ะ ไม่ไปเล่นอ่ะ"

"ไม่ต้องหรอกครับ พี่เล่นวันหลังก็ได้ พี่ไม่อยากให้ชามานั่งรอ"

"ใครบอกว่าชาจะนั่งรอ" เข้าใจผิดแล้วเบบี้ "เอ่อ... พี่เติ้ลใช่ไหมครับ ผมขอเล่นด้วยได้ไหมพี่"

"ห... ห๊ะ ได้ ได้ครับ" พี่เติ้ลอึ้งกับคำขอของผม เช่นเดียวกับพี่ตอง "แต่พวกพี่เล่นกันแรงนะ ไอ้... ตอง มันจะว่าอะไรหรือเปล่า"

"จัดมาเลยพี่"

"ไม่ได้ชา ไอ้พวกนี้มันเล่นกันแรงนะ" พี่ตองพยายามจะห้ามผม

"นิ พี่ตอง ลืมไปแล้วเหรอ นี่ธชานา ธนกฤษ จากโรงเรียนระเบียงไม้วิทยา คู่แข่งคนสำคัญของนายนาวาพล ขัตติยชาติ จากโรงเรียนลาซาน นะ สมัยก่อนชาก็เคยแข่งบาสกับพี่มาก่อน ตอนนั้นทั้งผลักทั้งชน ไม่เห็นจะกลัวเล่นแรงเลย"

"ก็ตอนนั้นชายังไม่ได้เป็นแฟนพี่นิ"

"พี่ตอง..." ไอ้บ้า พูดอะไรหน้าตาเฉย ต่อหน้าคนเยอะแยะ

น่าอายชะมัด



"สรุปว่าจะเล่นไหมครับเพื่อนตอง" พี่เติ้ลถามย้ำอีกครั้ง

"เล่นครับพี่" ผมตอบแทน "ผมด้วยนะ"

"งั้นก็เชิญที่สนามกันดีกว่านะครับ มีทีมรออยู่แล้ว"

"ไปเถอะน่าพี่ตอง ชาไม่เป็นไรหรอก..." ผมให้ความมั่นใจกับพี่ตองอีกครั้ง ก่อนจะหันไปหาแก๊งนางฟ้า "​พวกมึง ​ไปดูกูเล่นบาสไหม"



"ไป" โอ้โห ประสานเป็นเสียงเดียวเชียวนะ พวกมึงไม่ได้จะไปดูกูหรอก กูรู้







"อ้าวๆ พวกมึง วันนี้เจ้าชายตองให้เกียรติมาเล่นบาสด้วยเว้ย" พี่เติ้ลประกาศเสียงดังตั้งแต่เท้ายังเดินไม่ถึงสนาม "ซูฮกในความเจ๋งของกูซะที่ลากมันมาได้ แล้วก็วันนี้เรามีสมาชิกตัวน้อยมาร่วมแจมอีกคน ขอแนะนำให้รู้จัก น้องน้ำชา คราบ"

อู้ววววววววววว

​นั่นคือการแซวตามแบบฉบับเด็กวิศวะซินะ เป็นเสียงแซวที่กวนได้ใจจริงๆ



"หวัดดีครับพี่ๆ" ผมกล่าวทักทายตามมารยาท

"แน่ใจเปล่าน้องน้ำชา ถึงเป็นแฟนพี่ตองพี่ก็ไม่อ่อนข้อให้นะน้อง ฮ่าๆๆ" พี่ที่โครงร่างใหญ่ที่สุดในกลุ่มเอ่ยปากแซวผม

"ส่วนมึงอ่ะไอ้ตอง ดูแลเด็กมึงให้ดีละกัน เจ็บตัวกลับบ้านไป จะมาโทษพวกกูไม่ได้นะเว้ย" เอาเข้าไป อีกคนก็เข้ามาเสริมทัพ



"ใครบอกพวกพี่ว่าผมจะอยู่ทีมเดียวกับพี่ตอง" ถึงตาผมยิ้มบ้าง ไม่ต้องมามองหน้าสงสัยเลยพี่ตอง ได้ยินถูกแล้ว "ผมจะอยู่คนละทีมต่างหาก ขืนอยู่ทีมเดียวกับพี่ตอง พวกพี่ก็ต้องกล้าๆกลัวๆ ไม่กล้าเล่นจริงกับผมกันพอดี กีฬานะพี่ คิดจะเล่นแล้วมันต้องไม่อ้อมมือ ถึงจะสนุก"



"ให้มันได้อย่างงี้ซิวะไอ้น้อง" พี่เติ้ลเสริม "มา พี่จะอยู่ทีมเดียวกับเอ็งเอง ใครอยากช่วยพวกกูถล่มเจ้าชายตองบ้าง มาๆแบ่งทีมกันเลย"

พวกพี่วิศวะนี่ยุง่ายจังแฮะ มีก็แต่ไอ้พี่ตองคนเดียวเนี่ยแหละ ที่ดูจะไม่สะดวกใจอะไรกับคนอื่นเค้าซักอย่าง

แก๊งนางฟ้าสามตัวของผมก็ทำการแนะนำตัวกับพวกพี่วิศวะว่าเป็นเพื่อนผม ก่อนที่จะไปนั่งทำหน้าแป้นแล้นอยู่ข้างสนามบาส แล้วก็แอบมองไปที่สนามอื่นๆที่มีคนมาเล่นอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ถือว่าคืนกำไรให้พวกมันก็แล้วกันที่เคยช่วยหลายๆอย่างมาก่อนหน้านี้



"โอเค แบ่งทีมได้แล้ว" พี่เติ้ลสรุป "งั้นก็ตามกฎแล้วกัน ทีมเรามีน้องใหม่ ทีมเราต้องเป็นฝ่ายถอดเสื้อ"

"เห้ย เดี๋ยวๆๆๆๆ" จู่ๆพี่ตองก็เสียงดังขึ้นมา มีปัญหาอะไรอีกเนีย จะได้เริ่มเล่นซะทีไหมเนี่ย "เดี๋ยวทีมกู เสียสละถอดเอง"

"อ้าว ได้ไงวะ ทีมไหนมีน้องใหม่ก็ต้องถอดเสื้อดิ" พี่ตัวใหญ่ว่าตามกฎ

"ไม่ได้เว้ย" ไอ้พี่ตองโวยวายอีกรอบ ก่อนที่จะรีบถอดเสื้อตัวเองออก "ถอดเลยๆ นี่ กูถอดแล้ว ไม่ต้องกฎเ-ี้ยอะไรทั้งนั้นอ่ะ กูรู้นะพวกมึงคิดไรกันอยู่ ถ้าทีมกูไม่ถอด กูก็ไม่เล่น แล้วกูก็จะพาน้ำชากลับเดี๋ยวนี้ด้วย"

"เออๆๆๆๆ อะๆ พวกเราถอดเว้ย... โด่ว แม่งหวงเมีย แบ่งเพื่อนดูบ้างก็ไม่ได้"

"เงียบเหอะมึงอ่ะ"

หึหึ เพิ่งจะเคยเห็นไอ้พี่ตองเขินก็วันนี้แหละ ที่แท้ก็ไม่อยากให้เราถอดเสื้อนี่เอง ไม่รู้จะคิดมากทำไม ไม่ใช่ว่าไม่เคยถอดให้ใครเห็นซะหน่อย



"เอาหละ มาๆๆๆๆ พร้อมนะ" พี่เติ้ลให้สัญญาณอีกครั้ง "กฎเดิมนะเว้ย ใครยี่สิบเอ็ดแต้มก่อนชนะ คนชนะมีสิทธิ์สั่งคนแพ้อะไรก็ได้หนึ่งอย่าง"

ห๊ะ

มีกฎอีกแล้วเหรอ

เอาเถอะ ช่างมัน ถือว่าเป็นเกมส์ เล่นให้เต็มที่ละกัน

ถือซะว่านี่เป็นการทบทวนความทรงจำของผมกับพี่ตอง ในฐานะ...





​.......คู่แข่ง
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 12-01-2018 19:02:26
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 34 [กองเชียร์]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 13-01-2018 09:06:02
​ตอนที่ 34 : กองเชียร์







สัญญาณมือถูกส่งไปให้นักกีฬาร่วมทีมอย่างฉับไวและระมัดระวัง

ด้วยร่างกายที่เล็กกว่าคนอื่นๆ ผมจึงหักเลี้ยวหลบกำแพงมนุษย์สองสามคนไปได้โดยง่าย

ลูกบาสในมือกระทบพื้นเพียงสองสามครั้งก็มีอันให้เข้าไปอยู่ในห่วงเป็นที่เรียบร้อย



"กลับเร็ว"

ก่อนที่ทีมคู่แข่งจะฉวยโอกาสนี้ทำคะแนน เพราะทีมของผมทั้งหมดทิ้งการรักษาแดนของตัวเอง ปราศจากผู้เฝ้าระวัง

"​เห้ย"

ด้วยทักษะความไวของฝีเท้าและแรงกระโดดของหน่องขา ลูกยางสีแดงก็ถูกผมช่วงชิงกลางอากาศก่อนที่มันจะกลายเป็นคะแนนของฝ่ายตรงข้าม

หลายคนได้แต่ยืนงงกับภาพที่เกิดขึ้น จนกระทั่งทีมของผมทำคะแนนได้อีกชุด



นานมากแล้วที่ผมไม่ได้ออกกำลังกายด้วยการเล่นกีฬาเลย แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมศึกษาและฝึกฝนอย่างจริงจัง ก็เหตุผลง่ายๆแหละ สมัยนั้นพี่ตองเป็นนักกีฬาบาสของโรงเรียน ถ้าผมคิดจะเจอหน้าพี่เค้า ก็ต้องเก่งจนสามารถเป็นตัวแทนของโรงเรียนให้ได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าผมตัวเล็ก ก็เลยต้องฝึกหนักมากกว่าคนอื่นๆ ผลลัพธ์ที่ออกมาก็เลยเป็นที่น่าพอใจ ไม่ใช่แค่เรื่องบาสนะ เรื่องที่เล่นกีต้าร์ได้ก็มาจากที่รู้ว่าพี่ตองเล่นเป็นนั่นแหละ เผื่อว่าอยู่ดีๆพี่เค้าออกมาแข่งดนตรีให้โรงเรียนบ้าง ผมก็เริ่มหัดเล่นไว้เนิ่นๆ ไหนจะมวยไทยกับการเขียนโปรแกรมอีก เรื่องพวกนี้ทั้งหมด ได้รับอิทธิพลมาจากคนๆเดียวทั้งนั้น



"สุดยอดดดดดดดดด" พี่เติ้ลตะโกนดีใจลั่นสนาม

การแข่งขันจบลงในที่สุด แต่ละคนเหงื่อซกเลย ส่วนผลการแข่งขันอะเหรอ.... ทีมของผมก็ต้องชนะอยู่แล้วแหละ ด้วยคะแนน 22 ต่อ 16 เอาจริงๆผมก็รู้แหละว่าพี่ตองไม่กล้าเล่นหนักกับผม เวลาประชันหน้ากัน ชอบยืนนิ่ง ปล่อยให้ผมวิ่งผ่านไปเฉยเลย

"เห้ย ไอ้น้อง เจ๋งว่ะ เล็กพริกขี้หนูนี่หว่า" เพื่อนร่วมทีมของผมกล่าวชมพร้อมเดินมาตบไหล่ "แฟนมึงเจ๋งว่ะ ไอ้ตอง หามาจากไหนวะ มีให้กูอีกคนไหม"

"นั่นไง มีให้เลือกอีกสามคน สนใจเปล่า" พี่ตองยิ้ม ชี้ไปที่แก๊งนางฟ้าเพื่อนผม

"อือหือ ไอ้ชิบหาย เอาน่ารักๆแบบนี้ดิวะ"

"งั้นก็ไม่มีแล้ว มีคนนี้แหละคนเดียว" นอกจากจะพูดอย่างเปิดเผยแล้วยังจะมากอดคออีกนะไอ้พี่ตอง นี่ไม่คิดจะอายเค้าบ้างรึไงเนีย มันไม่ใช่เรื่องปกตินะ พวกเพื่อนๆพี่ก็พอกันเลย แซวผู้ชายด้วยกันอยู่ได้

"อ้าว ไอ้ยักษ์ เป็นไรวะ แข่งจบแล้วเว้ย มารวมกันตรงนี้ได้แล้ว" พี่เติ้ลเรียกพี่คนที่ตัวใหญ่สุด ซึ่งเอาแต่หอบแฮกๆอยู่กลางสนาม

"พ... พ... พวกมึง คุยกัน.. ไป... ไปก่อนเลย กูหายใจแป๊บ" นั่นคือที่พี่เค้าพยายามพูด

ผมก็เลยเดินไปพูดคุยด้วยซะหน่อย

"ไงพี่ ไหวเปล่า" พี่เค้าเอาแต่ก้มหน้ามองพื้น "เอาไว้วันหลังมาแก้มือใหม่นะครับ"

"เออ... ยังไม่ต้องมาเยาะเย้ยกู เอาน้ำมาให้กูกินก่อน" พี่ยักษ์โวยวาย ก่อนจะเดินมารวมกันคนอื่นเพื่อหยิบน้ำมาดื่ม "อ่ะ ทีมกูแพ้ จะให้ทำไรว่ามา แต่ไม่เอาม้วนหน้านะ วันนี้ไม่ไหวแล้ว"

"เอาไงดีน้า?" พี่เติ้ลทำท่าคิด "เอ็งว่าไงไอ้น้ำชา แมทนี้เอ็งเป็นตัวหลัก อยากให้ทีมแฟนเอ็งทำอะไรดี"

"ไม่... ไม่รู้เหมือนกันอะครับ" ก็ไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนนี่นา ไม่ได้คิดไว้เลย "ปกติพวกพี่จะลงโทษกันยังไงอะครับ"

"ปกติเหรอ ก็... เปลี่ยนไปเรื่อยๆอ่ะ แล้วแต่อารมณ์ บางทีก็ให้ไปสารภาพรักกับแม่บ้านในตึก"

"เห้ยๆ หรือว่าเราจะให้ไอ้ตองหอมแก้มแฟนมันโชว์พวกเราดีวะ" พี่คนหนึ่งเสนอไอเดีย

"ไม่เอาดิพี่​" จะบ้างะ นั่นมันลงโทษผู้ชนะแล้ว "เกี่ยวไรละ ผมทำให้ทีมชนะไม่ใช่เหรอ"

"งั้นให้หอมแก้มเพื่อนเอ็งก็ได้ ว่าไง?"

ดูแต่ละไอเดีย "ม...ไม่ดีมั้งพี่" ขืนให้พี่ตองไปหอมแก้มอิพวกนั้น พวกมันได้คิดกันจริงๆแน่

"แหม่ หวงพอๆกันเลยนะ ทั้งตัวเล็กตัวใหญ่"

เอ้า!!! จะบ้าหรือไงเล่า ไม่หวงก็ประหลาดแล้ว นี่แฟนผมนะ



"เอางี้ กูนึกออกแล้ว" พี่เติ้ลแทรกขึ้นมา "ก็ขอสั่งให้...." คราวนี้ขอให้เป็นอะไรที่รับได้หน่อยนะพี่เติ้ล ไม่เอาประเภทเปลืองตัวนะ "ให้ไอ้ตองบอกมาว่า ทำไมอยู่ดีๆมันถึงสอบผ่านแคลสอง"

ห๊ะ?

"ห๊ะ?" พี่ตองทำหน้างง

"ไม่ต้องมาทำหน้าสงสัย ปกติผู้ชายคณะเราทั้งรุ่น มีสอบผ่านวิชาเลขแค่ไอ้มาโนชกับไอ้นครเท่านั้นแหละ แต่สอบเก็บคะแนนล่าสุด มึงดันสอบผ่าน แล้วคะแนนก็สูงด้วย เพราะงั้นมึงต้องบอกพวกกูมาว่า ทำยังไงมึงถึงสอบผ่านมาได้"

อ๋อ..... แบบนี้นี่เอง

แสดงว่าที่ติวให้พี่ตองทุกวันก็เห็นผลซินะ คือจริงๆแล้ว นอกจากที่ผมจะติววิชาคณิตศาสตร์ภาพรวมให้พี่ตองแล้ว ก็ไม่ลืมเนื้อหาหลักที่พี่เค้ากำลังเรียนอยู่ด้วย

"อะไรวะ นี่มันไม่ใช่การลงโทษแล้ว" พี่ตองบ่ายเบี่ยงที่จะตอบ "กูก็แค่อ่านหนังสือ พวกมึงไม่อ่านกันเอง"

"อือหือ ไอ้สัดตอง มึงแค่อ่านหนังสือเหรอ อย่ามาแหล งั้นกูถือว่ามึงยังไม่ตอบคำถาม กูถามมึงใหม่ละกัน... สาเหตุที่มึงสอบผ่านมาได้เพราะไอ้น้องน้ำชาแฟนมึงใช่ไหม"

"......" พี่ตองทำหน้าอึ้งหนักกว่าเดิม

ทำไมเค้าถึงไม่บอกไปตรงๆล่ะ จะปิดบังทำไม ก็แค่บอกว่าผมเป็นคนติวให้ ก็จบแล้ว



"เห้ย จริงเหรอวะ" พี่ยักษ์สงสัย พร้อมกับมองหน้าผมสลับกับพี่ตอง "ไอ้น้องคนนี้ทำให้มึงสอบผ่านจริงดิ"

"ว่าไงไอ้ตอง" พี่เติ้ลเซ้าซี้ "กูไม่สืบเรื่องน้องคนนี้มาแล้ว มันเป็นถึงเด็กอัจฉริยะ มึงสารภาพมาดีกว่า"



"ทำไมเหรอครับ..." ผมพยายามถามพวกพี่ๆ เพราะตอนนี้ดูเหมือนทุกคนในที่นี้จะให้ความสนใจกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ

"เออๆๆ น้ำชาติวให้กูเอง พอใจยัง" พี่ตองสารภาพในที่สุด

"นั่นไง กูว่าแล้ว" พี่เติ้ลได้คำตอบที่ตนเองพอใจในที่สุด "อยู่ดีๆ มึงจะเก่งขึ้นมาพรวดพราดได้ไง งั้นมึงต้องให้แฟนมึงติวให้พวกกูด้วย"

"ไม่เอาเว้ย!" พี่ตองรีบเดินมาเพื่อเอาตัวบังผมไว้ "กูตอบคำถามมึงไปแล้ว ถือว่าบทลงโทษจบแล้ว"

"เห้ย ไรวะไอ้ตอง มึงมีติวเตอร์เก่งๆแบบนี้ ทำไมไม่มาให้ช่วยพวกกูบ้างวะ" "นั่นดิ กูจะติดเอฟอยู่แล้วเนีย" "เออๆเพื่อนนะเว้ย"

"พอเลยพวกมึงอ่ะ" พี่ตองยังคงแสดงท่าทางหวงความรู้แทนผม "พวกมึงก็รู้ น้องต้องซ้อมลีด ใกล้จะแข่งแล้วด้วย ไหนจะไปช่วยงานที่โรงบาลอีก กูไม่ให้ใครมาใช้งานแฟนกูหนักหรอก พวกมึงหยุดความคิดไปได้เลย"

​โหหหหหหหหหหหหหหห่



​"แต่พวกกูก็แย่เหมือนกันนะเว้ย" พี่เติ้ลยังคงพยายาม "เอางี้พวกกูมีค่าติวให้ด้วย... ไงไอ้น้อง สนใจติวเลขให้พวกพี่เปล่า"

"ไม่สน! กูตอบแทนเอง" พี่ตองก็ยังคงไม่ยอมท่าเดียว "ติวเตอร์มีเยอะแยะ ไปหาคนอื่นดิวะ"

"เยอะแต่สอนไม่รู้เรื่องอะดิ" พี่ยักษ์พูดบ้าง "ปีที่แล้ว พ่อก็จ่ายค่าติวไปเกือบแสน ทำได้แค่ผ่านเอฟมาแบบฉิวเฉียด ขืนกูยังได้เกรดแค่นี้นะ อยู่ไม่รอดถึงปีหน้าแหง"

"ก็อย่างที่ไอ้ยักษ์พูดนั่นแหละ" พี่เติ้ลย้ำอีกครั้ง "เหอะน่าเพื่อน ค่าจ้างพวกกูก็มีให้ เอางี้ แค่ที่จะเก็บคะแนนของสิ้นเดือนนี้ก็ยังดี"

"ก็กูบอกว่าไม่ไง"

"อะไรวะไอ้ตอง มึงจะหวงอะไรนักหนา..."

"กูว่านะ มันกลัวว่าไอ้น้องน้ำชาจะมีเวลาให้มันน้อยแน่เลย" พี่อีกคนบอก "ก็ดูดิ ตั้งแต่เปิดเทอมมา หายเงียบตลอด สงสัยถ้าปล่อยน้องมาสอนพวกเรา มันต้องคิดว่าจะโดนแย่งความรักแหงเลยว่ะ"

"อะไรก็ช่าง กูไม่อนุญาตเว้ย" พี่ตองเสียงแข็ง

"เออๆ ช่างมันเหอะพวกมึง อย่าไปคาดคั้นมันเลย ปล่อยมันเรียนจบไปคนเดียวนั่นแหละ" พี่อีกคนประชดประชันได้เจ็บสุดๆ



"เอ่อ... ผมสอนให้ก็ได้พี่" ผมทนฟังต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว

"ไม่เอา!" พี่ตองห้ามทันที

"มึงเงียบไปเลยไอ้ตอง ให้น้องมันพูด" พี่เติ้ลรีบคว้าโอกาสอันมีค่าไว้

พี่ตองยังคงส่งสายตามาว่าไม่อยากให้ผมทำเรื่องนี้

"ไม่เป็นไรพี่ตอง" ผมไม่รู้หรอกว่าพี่ตองเป็นห่วงเรื่องอะไรของผม แต่ถ้าเพื่อนพี่เค้าถึงขั้นพูดขอร้องขนาดนี้แล้ว ผมก็ไม่ควรจะนิ่งเฉยนะ "ผมสอนให้ได้นะ แต่ว่าก็อย่างที่บอกแหละ ผมต้องซ้อมลีดกับช่วยงานที่โรงบาล ถ้าต้องติวค่ำหน่อย พวกพี่จะเรียนไหวกันหรือเปล่า"

"สบายมากน้อง"

"แต่พวกมึงฟังที่ไอ้ตองพูดหน่อยก็ดีนะเว้ย น้องมันเหนื่อยแทบทุกวันแล้ว ต้องมาสอนแก๊งเด็กโง่อย่างพวกเราอีก เราจะไม่ใช้งานน้องเกินไปเหรอวะ"

หลายคนเริ่มเห็นด้วยกันสิ่งที่พี่คนหนึ่งพูด

"ไม่ต้องคิดมากพี่ ยังไงทุกวันนี้ผมก็ต้องสอนพี่ตองอยู่แล้ว ก็แค่มีคนมาเรียนเพิ่ม ไม่เหนื่อยหรอก" ผมบอก แต่พี่ตองก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี ผมจึงเอามือวางลงไปที่แขนของพี่เค้าเพื่อให้รู้ว่าผมทำได้และไม่ต้องห่วง

"แต่ไม่ต้องห่วง พวกกูไม่ให้มึงเหนื่อยเปล่าหรอก กูมีค่าติวให้ แล้วถ้าคะแนนออกมาดี เดี๋ยวกูให้เพิ่มอีกเท่านึงเลย" พี่ยักษ์เสนอผลประโยชน์

"ไม่ต้องหรอกครับเรื่องเงิน ผมไม่ได้เดือดร้อนอะไร ดีซะอีก พี่ตองจะได้มีเวลาอยู่กับพวกพี่ๆมากขึ้น"

"..........................................."

หึ?

อะไรอ่ะ ทำไมอ้าปากค้างกันหมดเลย

"กูเข้าใจแล้วว่าทำไมไอ้ตองหลงมึงจังเลย กูมีแฟนแบบนี้กูก็หลงวะ" พี่ยักษ์คลายความสงสัยให้ "น่ารัก ใจดี แถมเข้าอกเข้าใจ"

"นี่แหละที่กูไม่อยากให้น้ำชามาสอนพวกมึง" พี่ตองตัดบท "ถ้าพวกมึงคนไหนบังอาจเจ๊าแจ๊ะกับแฟนกูนะ กูไม่ไว้หน้าจริงๆด้วย"

"โอ้โห หวงจริงๆเจ้าชายตอง ทีเมื่อก่อนกูไม่เห็นมึงจะแคร์สาวๆคนอื่นเลย"

"กูเตือนแล้วนะ"

"เออๆ พวกมึงก็อย่าไปแหย่ไอ้ตองมันมาก... มึงไม่ต้องห่วงหรอกน่าไอ้ตอง พวกกูแค่ต้องการสอบผ่านจริงๆ เดี๋ยวถ้ามีคนมายุ่มย่ามกับแฟนมึง พวกกูจะเป็นทัพหน้าคอยสกัดกั้นให้เอง ตกลงป่ะ"

"กูไม่ตกลงได้ไหม"

"เอาน่าเพื่อน มึงช่วยพวกกูครั้งนี้ กูจะไม่ลืมบุญคุณเลย"



"ชาแน่ใจนะ" พี่ตองยังไม่วางใจ ผมจึงพยักหน้าอีกครั้ง ไม่ต้องห่วงมากหรอกน้า ​"โอเค... งั้นพวกมึงก็หาที่ทางไว้ละกัน"

"เออๆ ไม่ต้องห่วง... ว่าแต่จะเริ่มตอนไหนดี อีกไม่ถึงสองอาทิตย์ก็ต้องสอบแล้ว"

"พรุ่งนี้เลยก็ได้พี่" ผมเสนอ ดูจากสถานการณ์แล้ว คงต้องใช้เวลาพอสมควร

"โอเค ได้ ตามนั้น ไอ้ยักษ์ มึงมีเส้นสายแถวนี้ หาห้องติวให้น้องมันด้วยล่ะ เอาที่ใหญ่ๆนะเว้ย มีแอร์ด้วย อย่าให้ติวเตอร์เราต้องลำบาก ไม่งั้นไอ้ตองจะล่อหัวพวกมึงได้"

"เออ กูจัดการเอง"

"เดี๋ยวก่อนพี่!" ผมเพิ่งจะนึกอะไรบางอย่างได้ "ต้องให้เพื่อนๆของผมมาช่วยสอนด้วยนะ ยังไงพวกนี้ก็เรียนเอกแมท คงจะพอช่วยได้ พวกพี่ไม่รังเกียจนะ"

"รังเกียจไรวะ ได้ดิ ดีเหมือนกัน เอ็งจะได้ไม่เหนื่อยมาก"

พวกแก๊งนางฟ้ายังไม่รู้ตัวเลยว่าผมจะให้ทำอะไร มัวแต่ชะเง้อคอดูผู้ชายสนามอื่นกันอยู่นั้นแหละ



บทสรุปของการออกกำลังกายวันนี้กลายเป็นเรื่องติวไปเฉยเลย แต่ไม่เป็นไรหรอก เรื่องนี้ผมถนัดอยู่แล้ว อีกอย่าง รู้สึกว่าพี่ตองจะโดนเพื่อนตำหนิเรื่องไม่มีเวลาเข้าสังคมเยอะ เป็นแบบนี้พวกเพื่อนพี่ตองจะได้ไม่ว่าอีก เพราะถึงยังไงสาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากตัวผมเอง

หลังจากจบกิจกรรมตรงนี้ ผมกับพี่ตองก็ไปอาบน้ำที่หอของผม แล้วก็ไปนั่งอ่านหนังสือต่อกับพวกแก๊งสามสาว นึกว่าจะพาไปที่ไหน ที่แท้ก็ร้านกาแฟร้านประจำที่ผมมาใช้บริการอยู่บ่อยๆ ไม่ได้มีอะไรตื่นเต้นเลย แต่ไม่ใช่กับพวกมันสามคนนะ พอรู้ว่าผมจะให้ไปช่วยติวพวกเพื่อนพี่ตองก็ดี๊ด๊ากันใหญ่ ยังไงซะ หนุ่มๆวิศวะก็ถือเป็นอาหารตาจานโปรดของพวกมัน มีรึจะพลาด



เย็นของวันถัดมาการติวก็เริ่มขึ้นจริงๆ

พี่ยักษ์สามารถหาสถานที่เป็นห้องประชุมใหญ่ได้ อยู่ใกล้ๆกับมหาลัยนี่เอง

การติวในวันแรกก็ไม่แย่อย่างที่คิดนัก พวกพี่ปีสองจากคณะวิศวะ ไม่ใช่ว่าจะไม่มีพื้นฐานการคำนวณเลย เพียงแต่ยังขาดการเชื่อมโยงความรู้ที่เป็นแบบแผนมากกว่า หลายๆคนที่ดูท่าทางไม่ใช่เด็กเรียนก็ตั้งใจเรียนอย่างไม่น่าเชื่อ

ทุกครั้งที่ผมสอนจบมักจะได้รับคำชมจากพวกพี่ๆเค้าเสมอ

ส่วนอิพวกสามเกิร์ลจอมพลังน่ะเหรอ จู่ๆก็ตั้งอกตั้งใจเรียนกันขึ้นมาเพราะจะได้เอาความรู้มาช่วยสอนพวกพี่ๆได้บ้าง คงหวังจะได้รับความสนใจ แต่ก็ดีแล้วแหละ พวกมันจะได้มีแรงบันดาลใจในการเรียน

บางวันผมไม่สามารถมาสอนได้ ก็ได้ขิงคอยมาสอนแทนให้ เรื่องแบบนี้ขิงไม่พลาดอยู่แล้ว ซึ่งไอ้ต้อมก็ไม่พลาดที่จะมาเฝ้าเหมือนเดิม ผมต้องคอยให้พี่ตองย้ำกับพวกพี่เค้าว่าอย่าไปแซวอะไรขิงมาก เพราะขิงไม่เหมือนผม ถึงจะหน้าตาเหมือนกัน แต่ขิงอ่อนไหวมาก ไอ้ต้อมก็เป็นรุ่นน้อง คงไม่กล้าพูดอะไรมากนัก

แต่ที่ทำให้เป็นเรื่องหนักขึ้นก็คือ ข่าวการติวของผมแพร่กระจายไปในกลุ่มวิศวะปีสองอย่างรวดเร็ว ภายในแค่ไม่กี่วัน ห้องติวก็แน่นขณะไปด้วยนิสิตชายเต็มห้อง จนพี่ยักษ์ต้องหาสถานที่ใหม่เพื่อติว คราวนี้แหละที่เรื่องเงินเริ่มเข้ามามีส่วนแล้ว เพราะค่าเช่าสถานที่แพงขึ้น แต่ทุกคนก็ยินดีจ่าย แถมผมเองก็ไม่ได้ห้ามให้ใครมาเพิ่ม ถึงแม้พี่ตองจะห้ามแล้วก็เถอะ เอาเถอะ จะสอนกี่คนก็ต้องพูดเรื่องเดิมอยู่ดี ดีซะอีก ขิงจะได้ฝึกการสอนคนหมู่มากด้วย พวกสามเกิร์ลก็จะได้ตั้งใจเรียนมากขึ้น ยิงปืนนัดเดียวได้นกทั้งฝูงเลย



เห้อออออออ

ปาเข้าไปหนึ่งสัปดาห์กว่าแล้วที่ติวพวกเพื่อนพี่ตองมา วันมะรืนก็จะสอบเก็บคะแนนประจำเดือนกันแล้วซินะ ส่วนผมเองอีกสามวันก็จะถึงช่วงเวลาสำคัญในฐานะผู้นำเชียร์ของคณะวิทยาศาสตร์แล้ว

พี่ตองพยายามช่วยสอนผมเพิ่มเติมจากการซ้อมที่คณะด้วย พี่เค้ามักจะพูดเสมอว่า การแสดงสปีริทโชว์เป็นบันไดก้าวที่สำคัญมากๆหากคิดจะขึ้นไปเป็นผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยให้ได้ ยิ่งถ้าสามารถทำให้คณะได้ธงเกียรติยศมาครอง โอกาศที่จะได้เป็นลีดมอก็จะยิ่งสูงขึ้น ผมก็เลยจริงจังกับการซ้อมพอๆกับการติวเลข

ช่วงนี้รู้สึกว่าผมจะสามารถซ้อมเต้นได้เป็นเวลานานๆโดยที่ไม่รู้สึกเหนื่อยเหมือนแต่ก่อน กล้ามเนื้อที่ได้รับการฝึกฝนทุกวันก็ดูจะแข็งแรงมากขึ้น จนบางทีถ้าพวกผมถูกสั่งลงโทษให้ยืนการ์ดสักพันสองพันก็คงสามารถทำได้สบายๆ นี่ซินะ ผลจากความจริงจังในการซ้อมเชียร์ลีดเดอร์ระดับมหาวิทยาลัย

เราเริ่มฝึกซ้อมกับห้องเชียร์บ่อยขึ้นจนกลายเป็นทุกวัน ห้องซ้อมถูกเปิดแค่วันละไม่ถึงชั่วโมง การเรียนจากบุคคลภายนอกในชั่วโมงสุดท้ายก็ไม่มีแล้ว ทุกฝ่ายหันมาใส่ใจกับการซ้อมให้ได้ตามเวลา รายละเอียดที่ยังต้องแก้ไข ภาพรวมของการแสดง

เกตุได้รับหน้าที่ในการเป็นผู้ให้สัญญาณเปิดการแสดงหรือที่ภาษาลีดเรียกกันว่า ตำแหน่ง Butterfly ซึ่งมักจะเป็นคนที่มีบุคลิกภาพโด่ดเด่นและเต้นได้ดี เกตุก็เหมาะสมแล้วหละ ส่วนผมก็มีตำแหน่งเพิ่มเหมือนกัน นั่นก็คือผู้ออกคำสั่งหรือ ตำแหน่ง Voice Leader ด้วยสาเหตุที่ว่าผมอยู่ตำแหน่งเซ็นเตอร์จึงถูกบังคับให้รับหน้าที่นี้ ซึ่งคนที่ฝึกวิธีการออกคำสั่งให้ผมก็ไม่ใช่ใคร พี่บุ๋นกับพี่ท๊อปนั่นเอง ทั้งสองคนเคยทำหน้าที่ในตำแหน่งนี้มาก่อน แต่ผมต้องมีสมาธิอย่างมากที่จะฟังการสอนของสองคนนี้พร้อมกัน ก็เพราะว่าพี่บบุ๋นมักจะชวนพี่ท๊อปทะเลาะอยู่เนื่องๆ บางทีผมก็เห็นว่าพี่ท๊อปแอบงอนไปหลายที แล้วพี่บุ๋นก็ตามไปง้อ ​เฮ้อๆ แล้วจะไปชวนเค้าทะเลาะทำไมน่ะ





​"ชาทำอะไรอยู่เหรอครับ"

พี่ตองถามผมในคืนหนึ่งซึ่งควรจะเป็นเวลานอนได้แล้ว

"กำลังวิจารณ์บทความวิชาการอยู่อ่ะ" ผมตอบ "เดือนนี้มีบทความที่ต้องวิจารณ์เยอะเลย ชากลัวจะทำไม่ทันอ่ะ เพราะเดี๋ยวก็จะเข้าช่วงทดสอบเป็นลีดมอแล้ว ตอนนี้ยังพอมีเวลา ก็เลยรีบทำไว้ก่อน"

"ชาไม่เหนื่อยเหรอครับ ซ้อมเสร็จก็ไปช่วยงานโรงบาล แถมยังต้องไปติวให้พวกไอ้เติ้ลอีก กลับมาก็ต้องทำงานเครียดๆ"

"ก็มันเป็นรายได้หลักของชานี่นา ไม่ทำได้ยังไง"

"พี่อยากเก่งแบบชาบ้างจัง หาเงินเองได้ตั้งแต่เด็กเลย" ไอ้พี่ตองลุกขึ้นจากเตียงมากอดผมจากข้างหลัง ทั้งๆที่ผมยังนั่งทำงานอยู่

"แล้วพี่ตองไม่มีรายได้ตรงไหน งานถ่ายแบบก็มีไม่ขาดมือ น่าจะได้เงินมากกว่าชาอีก"

"อ้อ! ลืมไปเลย เจ๊ซีซี่โทรมาบอกว่า รูปที่ชาไปถ่ายให้พี่นิคตอนนั้น ทางเจ้าของแบรนด์เค้าโอเคนะ บอกว่าจะใช้รูปของชาขึ้นหน้าร้าน เดี๋ยวเจ๊ซีซี่จะโอนเงินฝากพี่มาให้"

"พี่นิค?... อ๋อ ตอนที่ไปถ่ายงานเป็นเพื่อนพี่ตองตอนนั้นอะเหรอ ใช้ได้ด้วยเหรอ ชาว่ามันน่าจะออกมาตลกด้วยซ้ำ"

"ใครว่าละครับ แฟนพี่เป็นแบบก็ต้องน่ารักอยู่แล้วซิ จุ๊บ" นั่นไง ขโมยหอมแก้มกูอีก แล้วก็เดินกลับไปนอนแผ่บนเตียงเหมือนเดิม

"เอ่อ... พี่ตอง คำนี้แปลว่าอะไรเหรอ" ผมยกหนังสือขึ้นให้พี่ตองดู ผมเจอคำศัพท์ในวารสารที่ไม่เคยเจอมาก่อน คือไอ้วารสารวิชาการที่ผมทำบทวิจารณ์เนีย มันเป็นภาษาอังกฤษ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้การทำบทวิจารณ์มีรายได้สูงก็เพราะว่าต้องเก่งภาษาด้วยนี่แหละ

"Potential ​ก็แปลว่า ​ที่สามารถเป็นไปได้ ​ไงครับ"

"ชาก็แปลแบบนั้นนะ แต่มันดูจะไม่เข้ากับความหมายในประโยคเลยอ่ะ"

"งั้นลองแปลเป็น พลังงานศักย์ ดูซิครับ"

พลังงานศักย์? มีความหมายนี้ด้วยเหรอ

เชรดดดด จริงด้วย ต้องใช้ความหมายนี้จริงๆ

"เห็นไหม พี่ตองเองก็มีเรื่องที่เก่งกว่าชาตั้งเยอะ"

"ก็แค่ไม่กี่อย่างหรอกครับ ชาเก่งที่สุดสำหรับพี่อยู่แล้ว"

"แหวะ หวานไปเหอะ"

"อ้าว ไม่ชอบเหรอ"

"....." จะให้เราพูดละซิ "แต่จะว่าไป สาเหตุที่พี่ตองเก่งภาษาอังกฤษขนาดนี้ ก็เพราะพี่ลูกแก้วใช่ไหมล่ะ"

"ไหงชาพูดถึงเรื่องพี่ลูกแก้วขึ้นมาล่ะ ก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอว่า พี่กับพี่ลูกแก้วเป็นแค่พี่น้องกันจริงๆ"

"เปล่า... ชาก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่อยากรู้ว่า ตอนนั้นพี่ชอบพี่ลูกแก้วจริงจังมากเลยใช่ไหม ถึงขนาดเรียนรู้ภาษา ตามไปช่วยงานพี่เค้าถึงต่างประเทศแบบนั้น"

"ก็... ตอนนั้นพี่ก็คิดแบบนั้นแหละ พี่ลูกแก้วเป็นคนที่พี่ชื่นชมมากๆ สมัยอยู่มอหก พี่เค้าไปแนะแนวที่โรงเรียนกวดวิชาที่พี่กับไอ้บุ๋นเรียน พี่ก็ยอมรับว่าพี่ลูกแก้วสวย แต่ที่ทำให้พี่ประทับใจคือการมีความคิดที่ดี มันก็ไม่ผิดนิครับที่พี่จะรู้สึกชื่นชมใคร ทีชาเองยังชอบพี่มาตั้งแปดปีเลยไม่ใช่เหรอ"

"ชาไม่ได้ชอบซะหน่อย..."

"อ้าว ถ้าไม่ได้ชอบ แล้วมันคืออะไรหละครับ บอกพี่หน่อยได้ไหม" จู่ๆก็มาเกาะข้างโต๊ะ จ้องหน้าผมเป็นน้องหมามองเจ้าของเลย

"ม... ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย สรุปว่า จริงๆแล้วพี่ก็ชอบพี่ลูกแก้วใช่ไหมหละ"

"ก็บอกแล้วไงว่าตอนนั้นพี่คิดว่าชอบ แต่พอได้ทำความรู้จักกันแล้วจริงๆ พี่ไม่ได้ชอบพี่ลูกแก้วแบบนั้น แต่พี่ชื่นชมในความเก่งและความดีของพี่เค้ามากกว่า... แล้วสรุปว่าชาล่ะ คิดกับพี่ยังไง...? นะครับบบ พี่อยากรู้"

โอ๊ะ

ไอ้พี่ตองนิ กูไม่ใช่คนหวานนะ จะให้มาพูดอะไรเนีย

"ว่าไง" ยังจะคาดคั้นอีก

"ก็... พี่ตองช่วยชีวิตชาไว้ ชาก็ต้องมองพี่เป็นผู้มีพระคุณซิ"

"แค่นี้เองเหรอ"

นั่นไง ทำเป็นเดินตีหน้าเศร้ากลับไปที่เตียง

เรียกร้องความสนใจชัดๆ ไม่หลงกลหรอก



..........

.......

....



โอ๊ยยยยยย ไอ้พี่ตองบ้า เงียบจริงเหรอ

เออๆ กูยอมก็ได้วะ



ผมปิดสมุด แล้วก็ค่อยๆเดินไปนั่งข้างๆไอ้คนตัวสูง



"ก็... เหมือนกันไง"

"เหมือนไรอ่ะ" แน๊ะ ทำงอน ไอ้หัวเหม่งเอ๊ย

"ตอนแรกชาก็คิดแค่ว่าพี่ตองเป็นผู้มีพระคุณไง แต่พอรู้จักกันจริงๆก็... ชอบไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้.... โอ๊ย! ทำอะไรของพี่เนี่ย ชาหนักนะ คิดว่าตัวเองตัวเล็กหรือไง" ไอ้พี่ตองบ้า เอาตัวมาทับเราเฉยเลย เล่นไรเป็นเด็กๆไปได้

"แค่นี้ไม่หนักหรอก เพราะเดี๋ยวคืนนี้จะหนักกว่านี้มาก"

"ไม่ต้องเลยนะ..."



นั่นแหละคำปฏิเสธสุดท้ายของผม ใครจะไปรอดสายตาเจ้าชู้ของไอ้พี่ตองได้หละ

ค่ำคืนนั้นก็เลยกลายเป็นว่า... แทนที่ผมจะเหนื่อยแค่นี้ กลับเหนื่อยกว่าเดิมอีก นี่ถ้าไม่ใช่ไอ้บ้านี่ ผมไม่ยอมหรอกนะ....



...............................



----------ปัจจุบัน----------





ผมหันมองไปที่กระดาษที่ได้รับมาจากพี่เติ้ลอีกครั้งอย่างอดภูมิใจไม่ได้

มันคือผลคะแนนในการสอบเก็บคะแนนประจำเดือนของพวกพี่วิศวะปีสองในรายวิชาแคลคูลัส 2 ซึ่งไม่มีผลคะแนนสีแดง นั่นก็หมายความว่าไม่มีใครสอบตก ที่สำคัญคือคะแนนเป็นที่น่าพอใจกันเกือบทุกคน

นี่แหละครับ เหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงได้มีกองเชียร์มากมายมาเชียร์ในวันนี้



"ไปกันได้แล้วค่ะน้องๆ ใกล้ถึงคิวเราแล้ว" พี่พลอยเรียก

พวกผู้นำเชียร์ทุกคนขึ้นรถตู้ไปยังสนามกีฬาของมหาวิทยาลัย เพื่อรอทำการแสดง บนอัฒจันทร์ก็มีคนนั่งเต็มแล้วเช่นเดียวกัน

ช่วงเวลาสำคัญของผมและชาววิทยาศาสตร์มาถึงแล้ว

ลีดทุกคนเดินออกไปยังด้านหน้าสแตนเชียร์เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่การแสดง

ความตื่นเต้นถาโถมเข้าใส่ตัวผมทันที ก่อนที่จะรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเมื่อได้ยินเสียงตะโกนเชียร์จากด้านหนึ่งของสนาม



"น้ำชา น้ำชา น้ำชา น้ำชา"





"เอาหละค่ะ ในที่สุดก็มาถึงการแสดงลำดับสุดท้ายแล้ว" พิธีกรสาวพร้อมจะให้สัญญาณการเริ่มต้นของการแสดง "ขอเสียงเชียร์ดังๆให้กับ.....







....... คณะวิทยาศาสตร์"
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 14-01-2018 05:22:22
ตัดจบแบบนี้แทบเขวี้ยงมือถือ ##ตะเตือนไต กำลังลุ้นๆ
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 35 [การแก้ปัญหาและการเผชิญปัญหา Part 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 14-01-2018 15:58:16
ตอนที่ 35 : การแก้ปัญหาและการเผชิญปัญหา







กำลังจะเริ่มจริงๆแล้วใช่ไหม

​ตื่นเต้นสุดๆไปเลยกู

​หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นกับแอมเมื่อตอนต้นเทอมทำให้ภาระการเป็นประธานผู้นำเชียร์คณะวิทยาศาสตร์ต้องมาตกอยู่ในความรับผิดชอบของผม มันเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายสุดๆ แล้วก็เป็นความรับผิดชอบที่ไม่ธรรมดาเลย

เพราะคณะวิทยาศาสตร์เป็นคณะใหญ่ของมหาวิทยาลัยมัณฑนา จึงเท่ากับว่าผมต้องพยายามมากกว่าเดิมสิบเท่า คิดมากกว่าเดิมสิบเท่า เหนื่อยมากกว่าเดิมสิบเท่า นอกจากกลุ่มบริหารที่รับรู้เรื่องนี้ ก็มีไอ้คนหน้าหล่อข้างๆผมอีกคนนี่แหละที่รู้ความลำบากนี้ของผม



"ตื่นเต้นเหรอครับ" นั่นไง ไอ้หน้าหล่อถามผมแล้ว ทำไมต้องทำเสียงหล่อใส่ด้วย นี่ไม่ใช่สาวกโอปป้านะ ฟังทีไรแล้วจั๊กจี้ทุกที

"ไม่ตื่นเต้นได้ไงล่ะ นี่ประธานลีดนะ" ผมตอบกวนๆ ผมก็ไม่เข้าใจหรอกนะว่าทำไมชอบพูดแบบนี้ แต่คนมันไม่ถูกกันมาก่อน จะให้คุยดีด้วยปัจจุบันทันที มันก็รู้สึกแปลกๆ "พี่ท๊อปไม่เคยเป็นประธานลีด พี่ไม่เข้าใจหรอก"

"ถ้าตื่นเต้นจะจับมือพี่ไว้ก็ได้นะ"

"จะบ้าง่ะ! อย่าเพิ่งมาชวนคุยดิ คณะวิทย์จะเริ่มแล้ว"

"แต่ฉากสวยดีนะครับ... บุ๋นออกแบบเองใช่ไหม"

"ก็บอกว่าอย่าเพิ่งชวนคุยไง" ตื่นเต้นจะตายอยู่แล้ว ยังจะมาโปรยเสน่ห์อีก

แต่ว่าก็ว่าเถอะ ฉากนี้ผมภูมิใจนำเสนอมากเลยนะ ตอนแรกที่รู้ว่าต้องทำคอนเซ็ปป่าหิมพานต์ก็คิดถึงน้ำตกขึ้นมาในหัวทันที ติดก็ตรงที่คณะวิทย์ไม่ใช่เด็กช่าง ไม่มีทักษะเพียงพอที่จะทำน้ำตกจำลองซึ่งสามารถขนย้ายและติดตั้งในเวลาอันรวดเร็วได้ จนเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว อย่างกับบุญหล่นทับ พวกเด็กวิศวะปีสองเพื่อนของไอ้ตองอาสามาช่วยกันทำฉากให้เป็นสิบๆคนเลย ฉากน้ำตกที่มีน้ำไหลลงมาจริงๆก็เลยออกมาสวยงามอย่างที่เห็น

ตอนนี้ผมมายืนเชียร์อยู่กับกลุ่มแฟนคลับไอ้น้ำชา ก็เพื่อนวิศวะที่มาช่วยงานนั่นแหละ ไอ้ตองก็ยืนอยู่ด้วยเหมือนกัน คุยไปคุยมาก็เลยได้รู้ว่าต้นเหตุของความช่วยเหลือทั้งหมดมาจากที่ว่าไอ้น้ำชาไปสอนพิเศษให้คนเพื่อนวิศวะของมันมา ความเป็นเด็กอัจฉริยะของมันมีข้อดีอย่างงี้นี่เอง



"เอาล่ะค่ะ ในที่สุดก็มาถึงการแสดงลำดับสุดท้ายแล้ว" พิธีกรเริ่มพูดแล้ว เอาแล้วไง จะมาแล้ว ขออย่าให้มีอะไรผิดพลาดเลย สาธุ ​"ขอเสียงเชียร์ดังๆให้กับ.... คณะวิทยาศาสตร์"



เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ้

​ทั้งเด็กคณะวิทย์และกลุ่มแฟนคลับจากวิศวะต่างส่งเสียงเชียร์กันลั่นสนาม แต่ในหัวผมอะเหรอ มีแต่ลำดับเหตุการณ์ตามที่ได้ฝึกซ้อมให้พวกปีหนึ่ง



เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อแสงไฟดวงเดียวส่องสว่างไปที่ผู้นำเชียร์คนแรก น้องเกตุ

​ด้วยทักษะการเต้นและความโด่ดเด่นในฐานะดาวมหาวิทยาลัย น้องเกตุสามารถโชว์เดี่ยวในตำแหน่ง Butterfly ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้จะเป็นการเต้นในจังหวะไร้เสียงเพลงหรือดนตรีประกอบ เธอก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม

บรรยากาศชวนตะลึงของผู้ชมรอบสนาม เริ่มทำให้ผมใจชื้นขึ้น

และในที่สุดเมื่อการโชว์เดี่ยวจบลง แสงไฟก็ส่องสว่างจนมองเห็นทั้งหมด



"วิทยะหิมพานต์ สาม.... สี่"

นั่นคือเสียงการออกคำสั่งจากไอ้น้ำชา ลีดรุ่นน้องที่ผมปลุกปั้นเป็นพิเศษกับตำแหน่ง Voice Leader

เสียงรัวกลองเข้าสู่การแสดงเริ่มขึ้น

สายน้ำจากน้ำตกจำลองเริ่มทำงานพร้อมกับซาวด์เอฟเฟ็คที่จัดเตรียมมาเป็นอย่างดี

การแสดงของทั้งด้านบนอัฒจันทร์และด้านล่างเริ่มขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ แสงสี การแปลอักษร และการแสดงผู้นำเชียร์ สร้างความตื่นตาตื่นใจ อันเป็นเหตุให้มีเสียงกรี๊ดเชียร์ไม่หยุดหย่อน



ต้องยอมรับจริงๆว่าไอ้น้ำชาสามารถยึดเวทีและความสนใจของผู้คนได้อย่างอยู่หมัด ไม่ใช่แค่เพราะว่ามันยืนอยู่ตรงกลางหรือเพราะมีกลุ่มแฟนคลับมากมาย แต่ออร่าและความสามารถที่เฉียบคมของไอ้เด็กคนนี้ เป็นเหมือนแรงดึงดูดสำคัญให้กับการแสดงอย่างปฏิเสธไม่ได้

วันนี้แหละที่ไอ้น้ำชาได้พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นแล้วว่า เด็กผู้ชายตัวไม่สูง หน้าตาไม่ได้หล่อเท่ หรือไม่ได้เกิดมาพร้อมเสน่ห์แบบพิมพ์นิยม ก็สามารถมัดใจผู้ชมได้ไม่แพ้ใคร ​

ไปให้ถึงฝันนะน้อง ​ผมแอบอวยพรในใจ

เสียงเพลงประกอบการแแสดงสุดเร้าใจยังคงปรากฏต่อสายตาคนดูอย่างต่อเนื่อง ประหนึ่งพายุโหมกระหน่ำ



เอาหละ ถึงโค้งสุดท้ายแล้ว

การแปลอักษรครั้งสำคัญที่จะทำให้ผู้ชมได้เห็นรูปปีกขนาดใหญ่

แต่ว่า.......



​ชิบหายล่ะมึง

​จู่ๆน้องเกตุก็ล้มลงไปกับพื้นสนามหญ้าในช่วงสำคัญ ซึ่งตามแผนแล้ว น้องผู้นำเชียร์ทุกคนจะต้องเคลื่อนที่ไปหยุดโพสรอบๆน้ำตก



หัวใจของผมหล่นไปอยู่ที่ตาตุ้ม หรือจริงๆแล้วน้ำตาของผมก็อาจจะตกในลงไปด้วยซ้ำ

ทั้งรู้สึกผิดหวังและสงสารน้องที่ทำผิดพลาดต่อหน้าคนดูมากมาย



"ไม่เป็นไรนะ" พี่ท๊อปแอบเอามือของพี่เค้ามากุมมือของผมไว้ ถ้าเป็นปกติผมคงจะสะบัดมือออกแล้วก็ด่าด้วยอีกชุดใหญ่ แต่ครั้งนี้แหละที่ผมรู้สึกว่าพี่เค้าอบอุ่นและใจดีอย่างอธิบายความรู้สึกไม่ถูก "บุ๋นทำดีที่สุดแล้ว"

​ใช่ ไม่เป็นไรหรอก เราทำดีที่สุดแล้ว น้องเองก็เหมือนกัน...



แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ปลอบใจตัวเองเสร็จ สิ่งที่ผิดแผนอีกเรื่องก็เกิดขึ้นตามมาทันที

​ไอ้น้ำชา มึงทำอะไรของมึง!!!!

​อุตส่าย้ำนักย้ำหนาแล้วว่าถ้าเกิดเรื่องอะไรผิดพลาดขึ้นอย่าหลุดออกจากสิ่งที่ต้องทำ ตอนนี้แทนที่จะถูกหักคะแนนไม่มาก กลายเป็นว่าจะต้องโดนคูณสองอะดิ



"มันทำอะไรของมันอ่ะ" ผมบ่นออกมาอย่างช่วยไม่ได้

"พี่ว่าน้ำชาอาจจะกำลังแก้ปัญหาอยู่ก็ได้นะ ลองดูนั่นซิ..." พี่ท๊อปมองเห็นอะไรวะ



ไอ้น้ำชาหลุดจากการแปลขบวน แต่เลือกที่จะเดินมาหาน้องเกตุที่ล้มตัวนอนอยู่กับพื้น จากนั้นก็ค่อยๆประคองให้ผู้ที่เสียหลักยืนขึ้น

เพียงแต่ภาพที่เห็นมันให้ความรู้สึกที่แตกต่าง เหมือนกับกินนรหนุ่มคุกเข่าลงไปประคองกินรีสาวอย่างอ่อนหวาน นี่ถ้าผมไม่รู้มาก่อนนะว่าไอ้น้ำชาเป็นแฟนกับไอ้ตอง ผมก็คงคิดว่ามันเป็นแฟนกับน้องเกตุไปแล้ว

แล้วจากนั้น......



โหหหหหหหหหหหหหหหหหห

​พระเจ้าาาาาาาา

​กินนรหนุ่มประคองกินรีสาวผู้อ่อนแอเข้าไปในน้ำตก สายน้ำตกอ่อนๆฉะโลมร่างกายของสองอมนุษย์จนชุ่มช่ำทั้งตัวด้วยมีสายตาของเพื่อนพ้องคอยจ้องมองอยู่รายรอบอย่างเป็นห่วงใย ก่อนที่กินรีสาวจะแสดงท่าทีเบิกบานเหมือนได้รับพลังจากน้ำทิพย์สวรรค์ และร่ายรำในถ่วงท่าสุดท้าย กระทั่งจบลงด้วยภาพที่ชายหนุ่มกำลังส่งให้เธอโบยบินไปในราตรีอันแสนไกล พร้อมเสียงบรรเลงแห่งพงส์ไพรที่สงบลง....



​เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ้



​นี่มันช่าง......

งดงาม.... จริงๆ



"และนี่คือที่สุดของการแสดงจากคณะวิทยาศาสตร์"



เสียงพิธีกรชายเรียกตัวผมให้หลุดมาจากพะวัง



"แบบนี้ก็ถือว่าสำเร็จแล้วนะ" พี่ท๊อปกระซิบข้างๆหูผม แข่งกับเสียงโห่ร้องชื่นชมในการแสดงอันสวยงานที่เพิ่งจะจบลง

ผมยอมรับเลยว่าผมมีน้ำตาคลอที่เบ้าตาหน่อยๆ จากทุกๆความรู้สึกที่อยู่ข้างใน มันพยายามเอ่อล้นออกมา

ไอ้น้ำชา มึงนี่มันเด็กอัจฉริยะจริงๆ พลิกสถานการณ์ให้คนเฮลั่นทั้งสนามได้ ประวัติศาสตร์ผู้นำเชียร์สามสิบเก้าปีที่ผ่านมาของมหาวิทยาลัยมัณฑนา ใครจะไปคิดล่ะว่าจะมีผู้นำเชียร์คนไหนเอาตัวเองไปทำการแสดงในน้ำตกพร้อมกับสภาพที่เปียกปอนแบบนั้นได้

น้องๆลีดคนอื่นๆเองก็ดีใจ ต่างพากันวิ่งเข้าไปในน้ำตก และขอบคุณผู้ชมทั้งอย่างนั้น เป็นการเปียกที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มจริงๆ



"ไงล่ะ แฟนกู เก่งใช่ไหม" ไอ้ตองชื่นชมไอ้น้ำชาอย่างออกหน้าออกตา ช่วยขรึมหน่อยไหมเพื่อน มึงคือเจ้าชายตองนะ พอเป็นเรื่องแฟนตัวเองนี่มึงเสียอาการตลอดเลยนะ

"เออ มันเก่งจริง" กูยอมรับก็ได้



หลังจากการแสดงสุดท้ายจบลงไม่นาน ผมและเหล่าประธานผู้นำเชียร์จากทุกคณะ ถูกเชิญให้เข้าไปยังกลางสนามเพื่อรอฟังผลการแข่งขันและรอรับธงเกียรติยศ

ไม่ต้องทายให้ยากแล้วหละว่าคณะไหนคว้าที่หนึ่งในปีนี้ไป



"ขอแสดงความยินดีกับ..... ​คณะวิทยาศาสตรรรรรรรรรรรรรร์"

​เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ้

ผมแทบจะเก็บอาการไม่อยู่เลยตอนได้รับธงเกียรติยศในฐานะประธานผู้นำเชียร์

​กูทำได้โว๊ยยยยยยยยยยย







.......................



"มาๆๆ ชนแก้วๆ ​แก้วนี้ขอมอบให้กับไอ้น้ำชา ลีดอัจฉริยะแห่งคณะวิทย์"

ผมและเหล่าผู้นำเชียร์คณะวิทยาศาสตร์ทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องได้นัดหมายกันมาร่วมฉลองที่ร้านเหล้าไม่ไกลจากมหาลัย จริงๆก็ไม่ได้มีแค่คณะผมนะ คณะอื่นๆก็มากันเต็มไปหมด เหมือนว่าร้านนี้จะเป็นธรรมเนียมที่พวกลีดจะพาน้องๆมาเลี้ยงฉลองกันทุกๆปีหลังจากจบสปีริทเชียร์ ไม่ว่าผลจะออกมายังไงก็ตาม

เพียงแต่ว่าโต๊ะของพวกผมจะฟินกว่าโต๊ะอื่นหน่อย เพราะฉลองกันในฐานะแชมป์ ฮ่าๆๆ

อีกหนึ่งเดือนหลังจากนี้ผมคงต้องทำงานที่หนักขึ้นกว่าเดิมอีก แต่ว่ายังไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องนั้นละกัน วันนี้ฉลองกันก่อน



"อย่าดื่มมากนักนะบุ๋น พรุ่งนี้มีเรียนนะครับ" อะไรของพี่ท๊อปมันวะ นี่กูไม่ใช่ลูกมึงนะ ดูไอ้ตองดิ มันยังไม่เห็นจะบังคับอะไรไอ้น้ำชาเลย โต๊ะคณะเภสัชก็มี ทำไมไม่ไปนั่งก็ไม่รู้

"อะไรของพี่เนีย นี่มาฉลองนะ ไม่ให้ดื่ม จะให้พวกบุ๋นทำอะไร กินโค๊กง่ะ" พูดแล้วก็ขึ้น

"พี่ก็แค่เป็นห่วง"

"พอๆๆๆ ไม่ต้องพูดแล้ว... อ้าวๆ ไอ้สุ่ย จะไปไหน มึงยกให้หมดแก้วก่อนเลยนะ นี่เราดื่มให้ไอ้น้ำชาอยู่นะเว้ย มึงไม่ให้เกียรติความอัจฉริยะของเพื่อนมึงเลยรึไง"

"ผมจะไปเข้าห้องน้ำพี่ ปวดเยี่ยว" แหน๊ะ ยังจะขัดคำสั่งกูอีก

"ได้ แต่มึงยกให้หมดก่อน เร็ว!"

"อะๆๆ โอเคพี่" เออ ดีมาก ให้มันรู้หน่อยว่าใครสั่ง "หมดแล้วนะพี่... ผมขอไปเข้าห้องน้ำแป๊บ"



"แต่ชาก็เก่งจริงๆนะที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้แบบนั้น" น้องเกตุเอ่ยปากชม ทุกคนยังคงพูดถึงเรื่องนี้กันตลอด ตั้งแต่มาถึงร้านแล้ว "ตอนที่เกตุล้มลงไป รู้ไหมตอนนั้น เกตุยังช็อกอยู่เลย แต่พอชามาช่วยประคองขึ้นแล้วก็กระซิบบอกให้ทำอะไรต่อมิอะไรพวกนั้น เกตุก็อุ่นใจมากเลย ยอมรับในความเก่งเลย"

"ไม่ขนาดนั้นหรอกน้า เราก็แค่ว่ากันไปตามสถานการณ์" ถ่อมตัวจริงนะมึงไอ้น้ำชา

"ไม่ต้องมาถ่อมตัวเลยมึงอ่ะ ใครเค้าจะไปคิดออกเหมือนมึงวะ มาๆๆ ชนอีกแก้วดิ"

"โห พี่บุ๋น จะเร่งรอบไปไหนเนี่ย เดี๋ยวก็เมากันหมดหรอก สงสารผู้หญิงบ้างดิพี่" อ้าว ไอ้ชา นี่กูชนแก้วให้มึงนะ แทนที่จะยินดี มาเบรกกูซะงั้น

"ไอ้..."

"เอางี้ มึงมาดวลกับกูนิ" อ้าวววว ไอ้ตอง นี่มึงท้าทายพลังด้านมืดของกูเหรอ

"มึงพูดเองนะไอ้ตอง ไม่หมดหมานะมึงอ่ะ"

"เออ มาเลย"

แล้วผมก็ยกอีกแก้ว



"เห้ย ไอ้ชาเย็น" ไอ้ต้อมเพื่อนไอ้น้ำชามาร่วมแจมที่โต๊ะด้วย "ไอ้แสด เหนือชั้นนะมึงอ่ะ เอาที่หนึ่งไปแดกเฉยเลย มาๆ ชนแก้วหน่อย"

"เห้ยๆ กูชนด้วย" ผมจะพลาดการชนแก้วได้ไง

"เบาๆหน่อยก็ได้คร้าบบบบุ๋น เดี๋ยวก็เมาจริงๆหรอก" อีกแล้ว อะไรของมึงวะไอ้พี่ท๊อป

"เมาแล้วไง พี่ก็ไปส่งบุ๋นดิ อยากอาสามารับมาส่งเองทำไมอ่ะ หรือถ้าพี่ไม่อยากเห็นบุ๋นกิน พี่ก็ไปโต๊ะเด็กเภสัชโน่น ไม่ไปฉลองกับคณะเดี๋ยวเค้าก็ว่าหรอก" แหน๊ะ ยังจะมาทำถอนหายใจใส่อีก ช่างแม่ง ไม่ได้บังคับให้มานั่งด้วยซะหน่อย "มาๆไอ้ต้อม มาชนแก้วกัน"

"ได้อยู่แล้วพี่... เออ ไอ้ชาเย็น ไปที่โต๊ะคณะกูแป๊บนึงดิ เพื่อนกูบอกว่าอยากรู้จักมึงอ่ะ ตื่นเต้นกันใหญ่ พอกูบอกว่ามึงเป็นเพื่อนสนิทกู ขิงก็อยู่ด้วยนะ"

"เห้ย จริงดิ ขิงเข้าร้านเหล้าเป็นด้วยเหรอวะ" คุยกันออกรสออกชาติเลยนะพวกมึง

"ก็ไม่ได้ดื่มหรอก มาด้วยกับกูเฉยๆ พี่ตอง ไปรู้จักเด็กสถาปัตย์หน่อยไหมพี่"

"เอาดิ อยากเห็นหน้าไอ้ขิงตอนอยู่ในร้านเหล้าเหมือนกัน"

"พี่บุ๋น ผมขอยืมตัวสองคนนี้แป๊บนะพี่"

"เออๆ แต่เอากลับมาคืนด้วยนะเว้ย"

"เคครับ... ไปๆ"

หายไปสองคนก็ไม่ได้ทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไปนักหรอก



ผมยังดื่มกันต่อไปเรื่อยๆ แต่ผมไม่ได้เมานะ แค่มึนๆ เรื่องเหล้าเบียร์เนีย ไม่ได้กินผมหรอก



จากนั้นมาสักพัก พอเริ่มดึก คนก็ค่อยๆน้อยลง สงสัยพรุ่งนี้มีเรียนละมั้ง ก็เลยกลับกันเร็ว



​ชักจะปวดเยี่ยวแฮะ

​"เห้ย เดี๋ยวกูไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึงนะ อย่าเพิ่งรีบกลับกันละพวกมึงอ่ะ" ไงล่ะ ความห้าวของผม

ผมเดินโซเซนิดหน่อยมาเข้าห้องน้ำ ก็ดื่มเหล้าอะเนาะ ถ้าไม่ให้รู้สึกอะไรเลย กูก็เป็น X-MEN แล้วแหละ

ห้องน้ำไม่มีใครเลยแฮะ

หลังจากเสร็จธุระแล้วผมก็กำลังจะกลับ ถ้าไม่บังเอิญได้ยินใครคุยกันก่อนจะเดินออกจากทางเข้าของห้องน้ำ



"อ้าว น้ำชา มายืนทำไรหน้าห้องน้ำอ่ะ" เสียงพี่ท๊อปนี่หว่า กำลังคุยกับไอ้น้ำชาอยู่เหรอ

"ผมมา... รอพี่ตองครับ พี่ตองเข้าห้องน้ำอยู่" อ้อ ไอ้น้ำชาจริงด้วย "แล้วพี่ละครับมาทำไร มาเข้าห้องน้ำเหรอ"

"อ๋อเปล่าหรอก พี่ออกมาสูดอากาศข้างนอก ข้างในคนเยอะ อึดอัดนิดหน่อย"

"พี่ท๊อปตามพี่บุ๋นมาก็บอกมาเหอะ ผมเห็นนะว่าพี่บุ๋นเพิ่งเข้าห้องน้ำไปเมื่อกี๊"

"ฮ่าๆ ดูออกขนาดนั้นเลยเหรอ... พี่เป็นห่วงบุ๋นน่ะ ดื่มเข้าไปเยอะ กลัวว่าจะแย่ ก็เลยออกมาดูหน่อย แต่พูดมากไม่ได้ เดี๋ยวจะโดนดุเอา"

"โหพี่ หวานขนาดนี้ พี่บุ๋นยังจะกล้าดุพี่อีกเหรอ"

"ทำอย่างกับไม่เคยเห็น" นี่นินทากูกันอยู่นิ "ว่าแต่น้ำชาเหอะ โดดเด่นมากนะวันนี้"

"ไม่ขนาดนั้นหรอกพี่ ก็แค่ทำตามที่ซ้อม"

"ใช่ พี่ดูออก แล้วก็ดูออกด้วยว่าใครซ้อมให้ ถึงการเต้นลีดมันจะเหมือนๆกันไปหมด แต่พี่ก็จำได้ว่าวิธีเต้นแบบนี้เหมือนกับไอ้เจ้าตอง นี่ก็แสดงว่าตองซ้อมให้ตลอดเลยอะดิ"

"โดนบังคับมากกว่าครับพี่ ก็อยู่ด้วยกันทุกวันไง พี่ตองก็เลยสอนให้เยอะเลย ผมไม่ได้เกิดมา Born to be อย่างลีดคนอื่นๆเค้า ก็ต้องพยายามหน่อย"

"ดีแล้วล่ะครับ เทคนิคการเต้นของตองพี่เองยังยอมรับเลยว่าดีเยี่ยม... ได้ยินน้ำชาพูดแบบนี้แล้วก็น่าอิจฉาตองกับน้ำชาจังเลยนะ ได้อยู่ด้วยกันทุกวัน คงเป็นคู่รักที่ใครๆต่างก็อิจฉา เจ้าต้อมกับน้ำขิงก็ไม่ธรรมดา"

"อย่ามาทำเป็นพูดว่าอิจฉาคนนั้นคนนี้หน่อยเลย พี่ท๊อปกับพี่บุ๋นเองก็ใช่ย่อยที่ไหน ผมเห็นนะ ตามรับตามส่ง เดี๋ยวงอนเดี๋ยวง้อกันตลอดเวลา"

"จริงเหรอครับ มันทำให้น้ำชารู้สึกแบบนั้นเหรอ แต่ทำไมพี่ถึงยังไม่รู้สึกแบบนั้นเลย...."

"ก็ใช่ดิพี่ โห ถึงขั้นพี่บุ๋นตามพี่ท๊อปไปที่เกาหลี ยังจะว่าธรรมดาอีกเหรอ"

"ตามไป....? อ๋อ รูปที่พี่กับบุ๋นถ่ายคู่กันลงแฟนเพจอะเหรอ ไม่ใช่อย่างนั้นครับ บุ๋นไปทำธุระให้ที่บ้าน ไม่รู้เหรอว่าบ้านบุ๋นทำธุรกิจนำเข้าเครื่องสำอางค์ บุ๋นก็เลยไปสำรวจเครื่องสำอางค์ที่เกาหลี เราแค่บังเอิญขึ้นไฟล์ทเดียวกัน พอดีมีคนจำได้ ก็เลยขอให้พี่กับบุ๋นถ่ายรูปคู่กันแค่นั้นเอง"

"อ้าว จริงเหรอพี่"

"พี่กับบุ๋นยังไม่เหมือนน้ำชากับตองนะ เราเพิ่งจะเริ่มคุยกันได้แค่เดือนกว่าๆเอง เรียกว่าเริ่มคุยยังไม่ได้เลย"

"แล้วเรื่องที่ไปรับไปส่ง ไปกินข้าวด้วยกันละพี่ คนไม่ได้เป็นอะไรกัน เค้าไม่ทำกันขนาดนี้หรอกนะ"

"นั่นมันความตื๊อของพี่เอง เห็นพี่แบบนี้ พี่ก็มีมุมดื้อเหมือนกันนะ กว่าบุ๋นจะยอมให้พี่มารับมาส่งได้ ก็ตื้ออยู่ตั้งหลายวัน"

"แต่พี่บุ๋นเค้าก็ดูใส่ใจพี่นะครับ เวลาพี่เฟวล์ๆ ผมก็เห็นพี่บุ๋นตามง้อพี่ตลอด.... อย่าทำหน้ากังวลแบบนั้นดิพี่ ผมดูออกน่า ว่าพี่บุ๋นเค้าคิดยังไง แค่ต้องใช้เวลาหน่อย"

"นั่นซิ ขอบใจเรามากนะที่ให้กำลังใจพี่ ลึกๆแล้วพี่ก็รู้ตัวแหละว่าต้องใช้เวลาอีกนาน เอาเป็นว่า พี่จะไม่หนีไปไหนจนกว่าบุ๋นจะไล่พี่ก็แล้วกัน เรื่องของพี่กับบุ๋นเริ่มต้นไม่สวยเท่าไหร่นัก พี่ไม่ควรจะรู้สึกท้อในตอนที่ยังพยายามมาได้แค่นี้"

"ผมไม่ได้จะเต๊ะท่าสอนพี่นะ พี่จำได้เปล่าที่ผมเคยให้สัมภาษณ์กับดีเจเจ๊ไก่อ่ะ อุปสรรคในชีวิตคู่ ทุกคนมันก็ต้องเจออยู่แล้วแหละพี่ แต่ผมเชื่อว่ามันต้องผ่านไปได้ถ้ามีความรักที่มากพอ ผมขอยืนยันในคำพูดนี้อีกรอบ คำถามคือพี่รักพี่บุ๋นมากพอหรือเปล่า"

"ช่างพูดจังนะเรา"

"มันก็จริงนิครับ เอาเข้าจริงๆแล้ว ปัญหาของพี่กับพี่บุ๋น ยังเป็นแค่เศษหนึ่งส่วนสิบของปัญหาที่ผมกับพี่ตองเจออยู่เลย ผมไม่ได้รู้ตัวหรอกว่าไปตกหลุมรักพี่ตองตอนไหน อย่าไม่บอกพี่ตองนะว่าผมพูดแบบนี้ ​แต่เพราะความรู้สึกของผมมันมีมากพอ ผมก็เลยอดทนมาได้ตั้งแปดปี ดูตอนนี้ดิ ผมเป็นแฟนกับพี่เค้าเฉยเลย ใครจะไปเชื่อ ไอ้ต้อมกับขิงยังไม่เชื่อเลย พี่ท๊อปต้องถามตัวเองแล้วล่ะว่าเชื่อในความรู้สึกตัวเองหรือเปล่า"

"เชื่อซิครับ.... เดี๋ยวพี่จะให้ดูอะไร"

"....." ดูอะไรกันวะ

"เห้ย พี่เก็บไว้ด้วยเหรอ"

"เก็บไว้ดิ นี่เป็นป้ายชื่อที่บุ๋นให้พี่ไว้เมื่อเดือนก่อน มันเป็นป้ายชื่อตอนที่บุ๋นอยู่ปีหนึ่ง ป้ายที่พี่ประทับตราลีดมหาลัยให้ พี่พับมันเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ตลอด  เพราะมันเป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันว่าบุ๋นต้องมีความรู้สึกที่ดีต่อพี่แน่นอน ไม่งั้นคงไม่เก็บป้ายชื่อนี่มาเป็นปีๆ"

"เห็นไหมล่ะพี่ แบบนี้ยิ่งไม่มีอะไรน่าห่วง แต่พี่ท๊อปไม่ต้องกังวลไปนะ ถ้าเห็นแววไม่ดี ผมจะช่วยพี่เอง ผมเนียยอมรับความสามารถตัวเองในการคิดแผนการมากเลยนะ รับรองว่าพี่บุ๋นไม่รอดเงื้อมมือพี่ไปได้หรอก"

"โอเคคร้าบบบบ พ่อเด็กอัจฉริยะ เก่งไปซะทุกเรื่องนะเราอ่ะ เข้าไปข้างในกันเถอะ เดี๋ยวตองก็ตามเข้าไป ตากน้ำค้างนานๆ เดี๋ยวจะป่วยเอาได้ พี่ยังเรียนไม่จบเภสัช ยังแจกยาคนป่วยไม่ได้นะ"

"ฮ่าๆ โอเคครับพี่"





......นี่เหรอวะ ความรู้สึกของพี่ท๊อปมัน นี่มันชอบกูจริงจังขนาดนี้เลยเหรอ

ก็ไม่ใช่ว่าจะรังเกียจอะไรหรอกนะ แค่ตัวกูเองแม่งยังนึกภาพไม่ออกว่ะ พี่ท๊อปกับกูเป็นแฟนกันเนี่ยนะ ไอ้เรื่องที่จะมีแฟนเป็นผู้ชายอะไรเนีย ไม่เคยคิดมาก่อนในชีวิตจริงๆ ยิ่งต้องโดนผู้ชายด้วยกันมาทำใส่ใจดูแลยิ่งรู้สึกไม่โอเค....



"นี่มึงจะยืนลังเลอยู่ตรงนี้อีกนานไหมไอ้บุ๋น"
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 35 [การแก้ปัญหาและการเผชิญปัญหา Part 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 14-01-2018 15:59:45
(ต่อ Part 2)

เห้ย!

"อ้าว ไอ้ตอง มายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ"

"ก็ตั้งแต่ที่มึงมายืนอยู่นั่นแหละ ขี้เผือกนะมึงอะ แอบฟังคนอื่นคุยกันจนไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนยืนอยู่ข้างหลัง"

"....."

"แล้วยังไงมึงอ่ะ พี่ท๊อปเค้าก็ดูจริงใจกับมึงนะเว้ย เมื่อไหร่จะให้ความมั่นใจกับพี่เค้าวะ ผู้ชายแบบพี่ท๊อปมีผู้หญิงดีๆต่อคิวรออยู่เป็นร้อยนะมึง ทั้งหล่อ ทั้งสุภาพ แถมยังมีอนาคตได้โกอินเตอร์เป็นนักร้องเกาหลีอีก"

"ไม่รู้วะ มึงกับกูก็รู้จักกันมานานนะตอง มึงเคยเห็นกูมองผู้ชายคนไหนเปล่าวะ เออ กูอาจจะยังไม่เคยมีแฟนมาก่อน แต่กูก็ยังชอบมองสาวๆอยู่ดีนั่นแหละว่ะ"

"กูก็ยังชอบ กูไม่ได้เปลี่ยนไปนะเว้ย แต่กูแค่รู้ตัวว่ากูรักน้ำชา"

"โห่ ผู้ชายคนไหนเห็นไอ้น้ำชาก็ต้องรู้สึกแบบมึงทั้งนั้นแหละ น้องมันทั้งหน้าตาน่ารัก ปากนิดจมูกหน่อย ขาวใสเนียนกริบ แถมยังฉลาดระดับโลก"

"นี่มึงอย่าบอกนะว่ามึงก็..."

"ไม่ใช่แหละ ไอ้ห่า นั่นมันน้องกู กูคิดกับมันเป็นน้องตั้งแต่แรก ไม่เหมือนมึงหรอก ทำเป็นวางท่าเกลียดน้องมัน สุดท้ายก็หลงเค้าจนโงหัวไม่ขึ้น"

"แล้วมึงอยากผิดพลาดแบบกูเหรอ... กูสารภาพตรงนี้เลยนะเว้ย จนกระทั่งถึงตอนนี้ กูก็ยังรู้สึกผิดตลอดที่ก่อนหน้านี้กูเข้าใจผิดในตัวน้ำชามานานตั้งหลายปี ทั้งๆที่เค้าทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เจอกู ต่อให้ต้องเป็นช่วงเวลาสั้นๆหรือต้องเจอกันในฐานะคู่แข่ง เค้าก็ทำ น้ำชาคอยช่วยเหลือกูอยู่ข้างหลังมาโดยตลอด แถมบางทียังต้องคิดแผนซับซ้อนมาช่วยกูทั้งๆที่รู้ว่าอาจจะทำให้กูเกลียดเค้ามากขึ้น.... กูเสียดายมากบุ๋น แล้วกูก็โทษตัวเองมาตลอดที่กูรู้ตัวช้า มึงล่ะ? มึงอยากจะรู้สึกเสียดายแบบกูไหม? กูยังถือว่าโชคดีนะเว้ยที่ในที่สุดกูก็ได้สิ่งที่ดีจริงๆกับตัวเอง นั่นก็เพราะน้ำชามีความอดทนมาก มากถึงแปดปี กูไม่แน่ใจนะว่าพี่ท๊อปเค้าจะอดทนได้แบบนี้หรือเปล่า"

".......แต่ทำไมกูต้องตอบรับวะ การที่พี่ท๊อปมาชอบกู แปลว่ากูต้องตอบตกลงเท่านั้นใช่ป่ะ กูไม่มีสิทธิ์เลือกเหรอวะ คนอื่นก็มีเยอะแยะ กูไม่เหมือนไอ้น้ำชาเลยนะเว้ย ไม่หวาน ไม่น่ารัก ไม่ใช่คนที่น่าทะนุถนอมแม้แต่นิดเดียว"

"เออ มึงอาจจะไม่มีเรื่องพวกนี้ แต่มึงก็มีอะไรดีมากพอที่จะทำให้พี่ท๊อปเค้าชอบมึงก็แล้วกัน อย่างน้อยตราปั๊มลีดของพี่เค้าก็เป็นเครื่องหมายยืนยันแล้วไม่ใช่เหรอวะ ว่ามึงมีบางอย่างที่ทำให้พี่เค้าสนใจได้"

"ผู้หญิงสวยๆที่น่าสนใจจริงๆก็มีเยอะแยะเปล่าวะ..."

"เห้อ... กูก็ไม่รู้จะพูดกับมึงยังไงแล้วนะ ในฐานะที่รู้จักกันมานาน กูรู้ดีว่ามึงเป็นคนหัวรั้นขนาดไหน แต่กูจะพูดแบบนี้แล้วกันนะ ถ้าทั้งโลกนี้ ทุกคนชอบสีดำกันหมด แต่มึงชอบสีขาวอยู่คนเดียว กูขอถามหน่อย มึงได้ทำอะไรผิดไหม....? ความชอบอ่ะ มันไม่มีคำว่าผิดหรอก ต่อให้เราเลือกจะชอบในสิ่งที่แตกต่าง...."

"......."

"เอางี้นะ ถ้ามึงไม่โอเคกับพี่ท๊อปจริงๆ ก็ควรจะบอกพี่เค้าไปตรงๆนะเว้ย อย่าปล่อยให้พี่เค้ามีความหวังอยู่แบบนี้ มันไม่ทำให้มึงรู้สึกดีขึ้นหรอก เชื่อกู"

นั่นซินะ กูควรทำอะไรให้ชัดเจนกว่านี้

ในเวลาแบบนี้ไอ้ตองก็ถือว่าเป็นที่ปรึกษาที่ไม่เลวเหมือนกันนะเนี่ย

"ขอบใจนะมึง กูจะทำตามคำแนะนำของมึงก็แล้วกัน" เราควรถามใจตัวเองให้แน่ชัด ความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก ถ้าตัดเหตุผลทุกอย่างออกไปได้ เราก็จะได้คำตอบของคำถามซะที

"ไปๆ ไปแดกเหล้าต่อ ก่อนที่คนจะทิ้งเราไปหมดร้าน มึงกับกูต้องดวลเหล้ากันอีกหลายยก"

"อ... เออ มาเลย มึงพูดแล้วนะ"

ผมกับไอ้ตองเดินกอดคอกันกลับเข้ามาในร้าน ยังพอมีคนเหลืออยู่ในร้าน แต่ว่าเจ้าของที่นั่งข้างๆผมหายตัวไป



"ไอ้น้ำชา เห็นพี่ท๊อปไหม พี่ท๊อปไปไหน" ผมถาม

"อ้าว พี่ท๊อปออกไปตามพี่นั่นแหละ ไม่เจอกันเหรอครับ"

"เปล่านะ มึงเห็นไหมไอ้ตอง"

"กูก็ไม่เห็นว่ะ"

หายไปไหนของเค้าวะ

"เอาน่า เดี๋ยวพี่เค้าก็มา" ไอ้ตองบอก "คนของมึงไม่ใช่เหรอ ไม่ห่างจากมึงนานหรอกน่า ส่วนมึง เอาแก้วนี้ไป มาๆ มาดวลกันต่อ ใครเมาถือว่าแพ้นะเว้ย"

"โห่ ไอ้เจ้าชายตอง กล้าท้าทายประธานลีดที่พาทีมเป็นแชมป์มาแล้วอย่างกูเหรอ มึงมันยังห่างชั้นกับกูนัก"

"ให้มันเก่งอยากปากว่าเหอะ มาๆๆๆๆ น้องๆครับ มาชนแก้วกันครับ"

​ชนนนนนนน





​นี่พี่ท๊อปหายไปไหนวะ ร้านปิดแล้วนะ เค้ากลับบ้านกันจะหมดอยู่แล้ว

​ไม่ได้เอารถมาเองด้วย

โทรหาก็ไม่ติด อะไรของมันวะ

มึนหัวจะแย่แล้วเนีย อยากถึงเตียงนอนไวๆ



"ยังไม่กลับอีกเหรอวะ" ไอ้ตองมาพอดีเลย ไอ้ห่านิไม่ได้ดูมีท่าทีของคนเมาเลย มันแอบเทเหล้าทิ้งเปล่าวะ

"กูกลับไม่ได้อะดิ ไอ้พี่ท๊อปแม่งหายไปตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่โผล่มาอีกเลย พากูมานี่ แต่ไม่พากูกลับ"

"ให้ผมกับพี่ตองไปส่งไหมพี่" ไอ้น้ำชาอาสา

เอาไงดีวะ "เออ ก็ได้ กูง่วงจะแย่แล้วเนีย" ส่วนไอ้พี่ท๊อปเจอหน้าพรุ่งนี้ค่อยเคลียร์กัน บังอาจมากที่ปล่อยกูทิ้งไว้ เดี๋ยวจะให้ตามง้อให้เข็ดเลย

...................







"ก็ขอต้อนรับน้องๆผู้นำเชียร์จากทุกคณะเข้าสู่ตึกผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยมัณฑนานะคะ....."

กิจกรรมห้องเชียร์ในวันต่อมาเริ่มขึ้น มีการถ่ายทอดเช่นเคย ผมมาทำหน้าที่พี่ลีดอีกครั้ง แต่หลังจากนี้ คือในฐานะผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัย ที่จะต้องทำการคัดเลือกตัวแทนจากทุกคณะมาเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกสิบสองคน

เพียงแต่....

วันนี้ผมยังไม่เห็นหน้าพี่ท๊อปเลย

ไม่มีการมารับที่หอตอนเช้า

ไม่มีการมาเฝ้าตอนบ่าย

ไม่ส่งข้อความไลน์หรือโทรมาหา

ไม่มาทำงานในฐานะ ก.น.ช.

ผมก็ไม่ได้จะเป็นจะตายอะไรหรอกนะ รถก็มีใช้อยู่ แล้วก็ไม่ใช่คนพิการที่จะช่วยเหลืออะไรตัวเองไม่ได้

แต่มันแค่รู้สึกเหมือน.....

โดนขโมยของใช้ประจำวันไป

จะบอกว่ารู้สึกสบายไหมที่ไม่โดนจ้องตลอดเวลา....

จะบอกว่ารู้สึกหงุดหงิดน้อยลงไหมที่ไม่ต้องทะเลาะกับใคร....

ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าผมไม่มีสมาธิฟังอะไรในที่ประชุมเลย ทั้งๆที่ในห้องประชุมใหญ่มีคนนั่งอยู่เยอะมากเป็นหลักร้อย แต่มันเหมือน... ผมนั่งอยู่คนเดียวเลย







"พี่กั้งครับ พี่กั้ง" ผมตรงดิ่งไปหาพี่กั้งหลังการประชุมชี้แจ้งข้อมูลวันแรกจบลง รู้แต่ว่าน้องๆทุกคนต้องเตรียมตัวรอรับการทดสอบในทุกๆวัน ที่เหลือก็ไม่ได้ฟังอะไรมากนัก

"ว่าไงบุ๋น ยินดีด้วยนะเรื่องสปีริทเชียร์"

"ครับพี่ ขอบคุณครับ ว่าแต่วันนี้พี่ท๊อปไม่มาทำงานเหรอครับ ผมไม่เห็นเลย พี่เค้าไม่สบายหรือเปล่า" ก็คิดได้ไม่กี่อย่างอะนะ หายไปแบบนี้ ถ้าไม่ป่วยแล้วจะมีอะไรได้

"อ้าว ท๊อปไม่ได้บอกเหรอ เห็นสนิทกันออกนิ"

"บอกอะไรเหรอครับ?"

"ท๊อปขอไปดูงานในฝ่ายสแตนเชียร์ ก็เลยไม่ได้มานี่ มีธุระกับมันเหรอ ทำไมไม่โทรหาล่ะ"

"ผมโทรแล้วครับ แต่ไม่ติด" ก็โทรแล้วจริงๆอะ โทรมาเป็นสองสามชั่วโมงแล้วด้วย มีแต่ฝากหมายเลขโทรกลับ

"ก็ไปหามันดิ อยู่ที่โดมรวมใจไง อ้าว! นั่นไง มันมานั่นแล้ว"

​ห๊ะ!!!! ไหนวะ

​เออ จริงด้วย กำลังเดินออกมาจากรถยนต์พร้อมกับคุยโทรศัพท์ในมือ ท่าทางเคร่งเครียดน่าดู

เดินมาทางนี้แล้ว



"พี่ท๊อป" ปากผมเรียกโดยอัตโนมัติ

"ปิงปิง เดี๋ยวแป๊บนึงนะ....​ ว่าไงครับน้องบุ๋น มีธุระอะไร"

".........." ทำไมไอ้พี่ท๊อปพูดแบบนี้วะ ต้องมีธุระด้วยเหรอ

"ว่าไงครับ มีอะไรหรือเปล่า ​ถือสายรอแป๊บนึงนะ"

"ป..เปล่าครับ"

"เปล่า?"

"อ๋อ... ผมแค่จะถามว่าพี่ไม่สบายหรือเปล่าครับ"

"หมายถึงพี่เหรอ? เปล่านิครับ สบายดี.... งั้น.... ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พี่ขอตัวเข้าตึกก่อนนะครับ พี่มีธุระ" ห๊ะ!?!?!? ​"ฮัลโหลปิงปิง อ่า... บอกลูกค้าว่าว่างนะ เดี๋ยวเข้าไปตอนนี้เลย ขอคุยธุระกับพี่ชมพู่เดี๋ยวเดียว...."



นี่มันอะไร.....?

​ไม่ได้ดิ

คนอย่างกูจะมาโดนทำแบบนี้ได้ไง ไอ้พี่ท๊อปมันเกิดบ้าอะไรขึ้นมาวะ ต้องคุยให้รู้เรื่องให้ได้



ผมรีบวิ่งกลับเข้าไปในตึกลีดมหาลัยอีกครั้ง

นั่นไง กำลังขึ้นบันไดไปชั้นสองแล้ว



"​พี่ท๊อป" ผมเรียกอีกครั้ง ก่อนจะเดินตึงตังอย่างตั้งใจไปหาพี่เค้า

"ว... ว่าไงครับน้อง..."

"นี่มันอะไรอ่ะ ทำไมพี่เมินบุ๋นแบบนี้วะ โทรหาก็ไม่ติดทั้งๆที่ก็เห็นอยู่ว่าแบตโทรศัพท์ยังไม่หมด แล้วไหนจะเมื่อคืนอีก พี่ทิ้งบุ๋นไว้ที่ร้านแบบนั้นได้ไง"

"......."

"เงียบทำไมอ่ะ"

"​พี่ไม่ได้ทิ้งบุ๋นนะ" พี่ท๊อปตอบด้วยสีหน้าจริงจังแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน มันออกจะน่ากลัวหน่อยๆด้วยซ้ำ "พี่แค่คืนชีวิตให้บุ๋น......







......ก็ในเมื่อพี่ไม่มีหวัง ก็ไม่ควรปล่อยให้พี่หวัง ไม่ใช่เหรอครับ​"
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 14-01-2018 21:38:03
รีบๆยอมรับหัวใจตัวเองเร็วๆนะบุ๋นน้อยย//เข้ามาส่องๆ
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 36 [เรื่องที่ขอและเรื่องที่บังคับ Part 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 19-01-2018 11:48:32
​ตอนที่ 36 : เรื่องที่ขอและเรื่องที่บังคับ







"​บุ๋น.... ​บุ๋น  เห้ย! ไอ้บุ๋น"

"ห๊? อะไร เรียกทำไมวะ"

"สรุปว่าจะทำไร ที่ประชุมรอคำตอบอยู่"

"ทำ.... ทำอะไรวะ?"

"​นี่มึงไม่ได้ฟังเลยรึไงวะ​" ไอ้ตองรีบกระซิบกับผม เพราะมันนั่งติดกับผมที่สุด "​มึงเป็นไรวะ นอนน้อยเหรอ หรือไม่สบาย​"

"​โทษทีๆ​" ผมตบหน้าตัวเองเบาๆสองสามทีเพื่อเรียกสติ "ขอโทษทีเพื่อนๆ ขออีกรอบนึงได้ไหม"

หนิงถอนหายใจให้กับความไม่ใส่ใจของผม เธอเป็นคนเอาจริงเอาจังกับการทำงานมาก และที่สำคัญเธอเพิ่งจะไปประชุมกับฝ่ายบริหารแทนผมที่ไม่สามารถไปได้ เพราะ.... ช่างมันเถอะ

"เรามีงบสำหรับจัดกิจกรรมคัดตัวลีดมอสองกิจกรรม ภายในมหาลัยหนึ่งงานและไปนอกสถานที่อีกหนึ่งงาน บุ๋นอยากจะทำอะไร"

"แล้วคนอื่นๆว่าไงกันอ่ะ" ผมหันไปถามเพื่อนลีดมหาลัยที่นั่งประชุมอยู่ด้วยกัน

"คนอื่นๆอะไรล่ะบุ๋น" หนิงเริ่มหงุดหงิดกับคำตอบของผม "บุ๋นเป็นตัวแทนของคณะวิทย์นะ คณะบุ๋นชนะสปีริทในปีนี้ จำได้ไหม ทุกคนต้องให้บุ๋นเสนอความคิดก่อน.... ว่าไง? เรามีเวลาแค่เดือนเดียวนะ ลีดมหาลัยก็หายไปคนนึง ​มีใครรู้บ้างไหมว่าแอมหายไปไหน อย่างน้อยแอมก็มาจากคณะวิทย์เหมือนกัน น่าจะพอช่วยอะไรได้บ้าง"

ผมนั่งเงียบอีกครั้ง ไม่รู้สึกเลยว่าอยากจะกระตือรือร้นทำอะไรเลย จนกระทั่งหนิงทำหน้าว่าเธอต้องการคำตอบจริงๆจังๆจากผม

"ก็... เราก็ไม่รู้เหมือนกันอ่ะ ยังไม่ได้คิดเรื่องนี้เลย" ไม่รู้ว่าผมคิดอะไรถึงได้พูดออกไปทั้งอย่างนั้น

"บุ๋น นี่บุ๋นเข้าใจความสำคัญของงาน Power Cheer ไหม ทั้งอธิการบดี ทั้งฝ่ายกิจการนิสิต แล้วก็สมาคมศิษย์เก่า ทุ่มเงินไม่ใช่น้อยๆนะสำหรับงานนี้ เราต้องรีบจัดกิจกรรมเพื่อคัดเลือกตัวแทนลีดมหาลัยรุ่นใหม่จากเด็กเป็นร้อยๆ บุ๋นจะตอบแค่ว่ายังไม่ได้คิดไม่ได้นะ..."

"......" แล้วจะให้กูตอบว่าไงวะ

"เราว่าไอ้บุ๋นมันก็คงคิดแหละ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ มันก็เลยยังคิดไม่ออก" ไอ้ตองแทรกขึ้นมา มันคงกำลังช่วยผมอยู่ "เรามาช่วยกันคิดดีกว่านะ แล้ว.... หนิงล่ะ มีไอเดียว่าไงบ้างหรือเปล่า พวกเราทุกคนอยากฟังความคิดของหนิงมากกว่า ถึงพวกเราจะไม่มีประธานกลุ่ม แต่ทุกคนรู้ดีว่าหนิงเป็นคนที่เหมาะกับหน้าที่หัวหน้าที่สุด"

"ก็..." มึงนี่เก่งเนาะไอ้ตอง จับจุดคนได้เก่งจริงๆ หนิงแทบจะเปลี่ยนสีหน้าทันทีเลย ดูภูมิอกภูมิใจในตัวเอง สงสัยจะได้เชื้อความฉลาดมาจากไอ้น้ำชา "ปีนี้มีอะไรแปลกใหม่เข้ามาเยอะ เด็กๆก็หน้าตาใช้ได้กันหลายคน จนกลายเป็นว่าไม่รู้จะเลือกใครดี เราว่าควรจะให้คนกลุ่มใหญ่มาช่วยเลือกด้วยดีไหม วัดจากคะแนนความนิยมกันไปเลย จัดกิจกรรมอะไรที่ให้คนนอกเข้ามามีส่วนร่วมด้วย แล้วก็ตัดเด็กออกสักครึ่งนึงก่อน อาจจะฟังดูโหดร้ายนะ แต่ถ้าคนเยอะขนาดนี้ พวกเราก็หาจุดโฟกัสกันไม่ได้พอดี"

"ไม่เลวนะ" ไอ้เก้อ เพื่อนลีดจากคณะเกษตรเห็นด้วย "ปกติทุกปีรุ่นพี่เลือกรุ่นน้องกันเอง เราว่ามันไม่ค่อยเวิร์คแล้วอ่ะ ดูอย่างปีนี้ดิ น้องน้ำชาที่อยู่คณะวิทย์ก็ไม่ถูกพวกเราปั๊มตรายางให้เลยซักคน แต่กลายเป็นว่าน้องดังที่สุด ดังกว่าพวกเราบางคนอีก ดีนะที่พี่ท๊อปเห็นแวว เราเห็นด้วยกับความคิดนี้นะ"

ทำไมต้องพูดชื่อของมันขึ้นมาด้วยวะ กูจะลืมไปได้อยู่แล้วเชียว

"เราก็เห็นด้วย" "เหมือนกันๆ" "ดีนะ"

"ว่าไงบุ๋น เห็นด้วยไหม" หนิงหันมาถามผม

"เอาซิ" ผมตอบห้วนๆ "แล้วจะจัดกิจกรรมอะไรล่ะ"

"เอาเป็น....." หนิงคุ้นคิด ดูเหมือนเธอจะเป็นผู้นำหลักจริงๆไปแล้ว แต่แค่ถามคำยืนยันจากผมเท่านั้นเอง ซึ่งก็ดีแล้วล่ะ ผมเองก็ไม่มีอารมณ์จะคิดอะไรเหมือนกัน "ทำคลิปแนะนำตัวเองสั้นๆแล้วก็โชว์เต้นไปในคราวเดียวกันเลยดีไหม ใช้เพลงที่จะต้องเต้นจริงในวันโชว์ เราก็จะได้ถือโอกาสสอนท่าเต้นให้น้องพร้อมกับคัดตัวไปด้วยเลย ไม่เสียเวลา"

"แล้วก็นับคะแนนโหวตจากยอดไลค์ยอดแชร์ในเฟสบุ๊ค ก็ดีเหมือนกันนะ" คนอื่นๆเริ่มมีไอเดียมาเพิ่มเติม

"งั้นเราก็ให้พี่นิคมาช่วยทำคลิปให้ด้วยดีไหม พี่เค้าคงชอบใจที่ไม่ต้องมาให้คะแนนเด็กเป็นร้อยๆเหมือนทุกปี"

"ฟังดูลงตัวดีนะ งั้น... บุ๋นจะขึ้นไปคุยเรื่องนี้กับพี่ชมพู่เองไหม หรือจะให้เราไปพูดให้"

"หนิงจัดการเลย" ผมตอบทันที "เราขอเป็นผู้ช่วยดีกว่า"

"งั้นก็ได้... เอาเป็นว่าเราจะไปประสานงานให้เอง ส่วนคนอื่นๆก็ไปช่วยกันเลือกเพลงที่จะใช้สอนน้องนะ อ่อ แล้วก็ตอง เรารบกวนเอาเอกสารนี่ไปที่โดมรวมใจหน่อยซิ เป็นแนวทางจากที่ประชุมที่เราไปประชุมมา ทางสแตนเชียร์จะได้รู้ว่าสิ่งที่มหาลัยอยากได้ในปีนี้มีอะไรบ้าง วานหน่อยนะ"

"ไม่มีปัญหา" ไอ้ตองรับเอกสารมา

"งั้นเราก็แยกย้ายไปทำงานได้แล้ว ขอคำตอบในไลน์กลุ่มคืนนี้นะทุกคน พรุ่งนี้เราจะได้ปล่อยท่าเต้นให้น้องๆเลย เก้อๆๆ ทำเรื่องขอใช้หอประชุมให้ด้วยซิ พรุ่งนี้ว่าจะนัดปีหนึ่งไปซ้อมที่นั่น...​"



"เห้ยไอ้บุ๋น มึงโอเคไหมวะ" ไอ้ตองเดินเข้ามาหาผมทันทีที่ทุกคนแยกย้ายออกจากห้องประชุม

"กูไม่เป็นไรอ่ะ มึงไปทำธุระเหอะ" กูไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้

ตั้งแต่เมื่อวานที่เจอพี่ท๊อปครั้งสุดท้าย ผมก็โดนพูดใส่หน้าด้วยคำพูดอะไรก็ไม่รู้ จนตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจความหมายของไอ้บ้านั่นเลย แล้วมันธุระกงการอะไรของผมล่ะที่จะไปตามง้อสิ่งที่ผมไม่ได้ทำผิด ที่สำคัญเหมือนมันจะบล็อกเบอร์โทรศัพท์ของผมไปแล้วด้วยซ้ำ

"มึงแน่ใจนะ" มึงจะถามย้ำอะไรกูนักหนาวะ กูไม่ตายหรอก "นี่ไม่ใช่มึงเลยนะ วันก่อนยังคุยอยู่เลยว่าเป็นแชมป์ พอมาวันนี้มึงไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรเลย"

"เออ ก็กูบอกว่าไม่เป็นไรไง กูจะลงไปช่วยเค้าเลือกเพลงแล้ว"

"สภาพมึงตอนนี้ไปช่วยอะไรเค้าไม่ได้หรอก ไปกับกูดีกว่า ไปๆ"

"ไม่ไป..."

"มาเหอะ เร็ว"

เอ๊า ยังจะลากกูลงมาอีก



"อ้าวพี่บุ๋น หวัดดีพี่" หึ? ไอ้น้ำชา

"มาทำไรที่ตึกลีดวะไอ้น้ำชา วันนี้เค้าไม่ได้นัดนิ เค้าให้พักไม่รู้จักพักนะมึงอ่ะ"

แล้วไอ้น้ำชาก็ชี้ไปที่ไอ้ตอง อ้อ โดนไอ้ตองลากมาละซิ

"แล้วจะไปไหนกันเหรอ"

"พี่ต้องเอาเอกสารประชุมไปให้ฝ่ายสแตนอ่ะ ไปกันเถอะ" ไอ้ตองตอบแฟนมัน

ไม่รู้ไอ้ตองมันจะลากผมไปด้วยทำไม ให้ผมมาดูมันกับแฟนกุ๊กกิ๊กๆกันหรือไง



พอมาถึงโดมรวมใจ พวกเราก็ลงจากรถยนต์พร้อมกับได้ยินเสียงสแตนเชียร์ร้องเพลงกันเสียงดัง



"ไอ้ชาเย็น"

มีเสียงคนเรียก

นั่นมันไอ้ต้อมนี่หว่า มันมาวนเวียนอะไรแถวโดมวะ

"พี่ตอง พี่บุ๋น หวัดดีพี่ มาทำไรกันอ่ะ"

"มาทำงานอะดิ กูเป็นลีดมหาลัยนะ มึงนั่นแหละมาทำอะไร" ไอ้ตองถามกลับ

"ผมมารอน้ำขิงอะพี่" นี่ก็สวีทกันอีกคู่แล้ว พวกมึงช่วยทำตัวเป็นโสดกันซักนาทีนึงได้ไหมวะ ต้องมาคอยเฝ้า คอยตามรับตามส่ง ไปกินข้าวด้วยกัน ​ไร้สาระ

​"อ่อ จะเข้าไปข้างในกับพวกกูไหม กูจะเอาเอกสารไปให้คนคุมสแตน"

"ไปดิพี่ ผมก็กำลังจะเข้าไปพอดี ข้างในกำลังจะพักเบรก พวกพี่เชียร์ประกาศเมื่อกี๊"

"อ้าวเหรอ โอเค เข้าไปกันเหอะ"



แล้วก็จริงอย่างที่ไอ้ต้อมว่า ทันทีที่เข้าไปข้างในโดม เด็กปีหนึ่งก็ได้รับอนุญาตให้พักคั่นเวลา จึงมีความวุ่นวายเกิดขึ้นเล็กน้อย



"แกๆนั่นมันพวก Love Leader ไม่ใช่เหรอ" "มึง!นายแบบปฏิทินมากันพร้อมหน้าพร้อมตาเลยว่ะ" "พี่ตองน้องน้ำชาอ่ะแก ดูดิ" "พี่บุ๋นกับต้อมก็มา"

เอาแล้วไง

กลายเป็นจุดสนใจเลยกู

ตั้งแต่ที่ทุกคนรู้ว่าผมไปถ่ายปฏิทินของ T-Queen World Wide มา ก็เจอกับสถานการณ์แบบนี้ตลอด



"นี่น้ำครับ เหนื่อยไหม" ไอ้ต้อมก็ขยี้จัง เอาผ้าเอาน้ำมาเสิร์ฟไอ้น้ำขิงพร้อม ไม่ได้แคร์สายตาคนที่มองอยู่เลย

"ไม่เหนื่อยหรอก วันนี้ยังไม่ได้ซ้อมอะไรมาก ยังไม่รู้เลยว่าใครจะได้ขึ้นสแตนบ้าง เพราะนั่งได้แค่สองพันคน พี่เค้าก็เลยซ้อมเพลงให้ไปพลางๆก่อน" ไอ้น้ำขิงอธิบาย

อ๋อ นี่คือระบบของการซ้อมสแตนเชียร์เหรอ เพราะไม่เคยมาอยู่ตรงนี้ก็เลยไม่รู้เรื่องอะไรพวกนี้เลย



ไอ้ตองเดินไปคุยกับกลุ่มพี่เชียร์พร้อมยื่นซองเอกสารให้ และในระหว่างนั้น...



"ขอถ่ายรูปหน่อยได้ไหมคะ"

เอาจนได้

มีเด็กปีหนึ่งกลุ่มนึงเดินมาขอถ่ายรูปพวกผม

​เอ.....?

​เมื่อตรงนั้นก็มีคนโดนรุมล้อมอยู่ มีคนดังอยู่ที่นี่ด้วยเหรอ



".........."

​ชิบหายละกู

​นั่นมันพี่ท๊อปนี่หว่า.... กูลืมไปได้ไงวะว่าพี่เค้าอยู่ที่นี่



"พี่ท๊อปคะ พี่ท๊อป รบกวนมาถ่ายรูปตรงนี้หน่อยได้ไหมคะ"

เห้ยยยย  ไปเรียกมันมาทำไม



"........"

ทันทีที่พี่ท๊อปรับรู้ถึงการมาถึงของผมก็แสดงท่าทีตกใจอย่างชัดเจน

​คิดว่ากูไม่ตกใจรึไง

​ผมไม่รู้ว่าจ้องหน้ากันอยู่นานแค่ไหน รู้แต่ว่าในที่สุดความอึดอัดมันก็บังคับให้ผมต้องเบือนหน้าหนี



"พี่ท๊อป ถ่ายรูปด้วยกันครับพี่" ไอ้น้ำชาเรียกด้วยน้ำเสียงแจ่มใส

"โอเคครับ"

​ที่แบบนี้ละรีบรับคำเชียวนะ ทีกับกูแม่ง....



ไอ้พี่ท๊อปเดินผ่านตัวของผมไปเสมือนว่าไม่มีผมอยู่ตรงนั้น ตรงดิ่งไปยังอีกด้าน แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเค้าไม่มีความปรารถนาที่จะอยู่ใกล้ๆผมเลย



"พี่ท๊อปคะ รบกวนมายืนข้างพี่บุ๋นได้ไหมคะ"

น้องครับ พี่รู้นะว่าน้องกำลังอินกับคู่จิ้นบ้าบออะไรของน้อง แต่น้องเดาสถานการณ์ไม่ออกเลยเหรอ

"......"

แล้วความเงียบก็เล่นงาน สายตาของผมจดจ้องไปที่พื้น หัวใจเต้นตุบๆอย่างกับว่าจะระเบิดออกมา ​เค้าจะมาไหมวะ



"ขอโทษนะครับ พี่มีธุระต้องไปทำต่อแล้ว ไว้ถ่ายรูปกันวันหลังนะ ขอตัวนะครับทุกคน"

"อ้าว! พี่ท๊.... อะไรของเค้าอ่ะ รีบขนาดนั้นเลย" ไอ้น้ำชาบ่น แต่ผมอ่ะเข้าใจดี



"งั้นถ่ายแค่นี้ก็ได้ค่ะ"

ผมได้แค่แสร้งยิ้มให้กล้องตามที่เคยทำมาอย่างคุ้นเคย



"ขอบคุณค่ะ"

เสร็จซะที กูจะปั้นหน้ายิ้มไม่ไหวแล้วนะ



"กลับเหอะ" ผมรีบออกปากชวน

"แป๊บนึงดิพี่ ผมอยากดูสแตนเค้าซ้อมกันอ่ะ ไม่เคยเห็นเลย" อะไรของมึงวะไอ้น้ำชา ดูหน้ากูหน่อยไหมว่ากูมีอารมณ์จะมาสนุกสนานหรือเปล่า

"จะดูอะไรวะ แค่คนนั่งร้องเพลง"

"แป๊บเดียวนะพี่ เนี๊ยๆ เค้าเรียกรวมแล้ว ผมขอห้านาที"

เรื่องของมึงเหอะ "พวกมึงจะทำไรกันก็ทำเหอะ กูไปรอข้างนอกนะ"

ตอนนี้ผมไม่รู้สึกยินดีอะไรทั้งนั้น แล้วก็ไม่รู้สึกอยากอยู่ในที่คนเยอะๆด้วย





"นี่มันคืออะไรอ่ะ​"

ใครวะ?

ผมเดินมาเรื่อยๆ กะว่าจะไปรอใกล้ๆทางออกแถวๆที่จอดรถ ก็มาได้ยินเหมือนเสียงคนทะเลาะกัน

พอค่อยๆแอบเหลือบไปมอง ก็เห็นต้นเหตุ

ไอ้พี่ท๊อปอีกแล้ว

กำลังคุยกับพี่ปิงปิง ท่าทางเคร่งเครียด อยู่ที่ลานจอดรถ

"นี่ชั้นนะที่เป็นคนถูกต่อว่า มีอย่างที่ไหนไปรับงานเองแบบนี้ แล้วปล่อยให้งานซ้อนกัน"

"โทษที ช่วงนี้เราเบลอๆ"

"มันไม่ใช่เรื่องนั้นท๊อป เธอเป็นอะไรอ่ะ อยู่ดีๆก็หันมารับงานเยอะแยะแบบนี้ แล้วดูงานหน่อยไหม ทำเย็นจนดึก ดึกจนเช้า ทำแบบนี้ทุกวัน ร่างกายมันจะรับไหวได้ไง"

"ช่างมันเหอะ เราอยากทำ"

"งานเอ็มซีเนี่ยนะ งานมอเตอร์ไบท์เนี่ยนะ เธอไปรับทำได้ยังไง เธอจะลดเกรดตัวเองลงมาทำไม ต้องให้ย้ำไหมว่าเธออยู่จุดไหนแล้ว ถ้าเธอลงมารับงานแบบนี้ ต่อไปลูกค้าก็ได้ใจกันหมด แล้วมันจะมีผลต่อชื่อเสียงของเธอเอง ไหนจะเอเจนซี่ที่เกาหลีอีก ถ้าเค้ารู้เรื่องนี้เข้า เค้าเอาเราสองคนตายเลยนะ"

"ก็ถ้าปิงปิงกลัวว่าจะต้องเดือดร้อนนักก็ไม่ต้องมาเป็นบัดดี้ของเราก็ได้นะ"

"อะไรนะท๊อป"

"ถ้าการมีเราอยู่ด้วยแล้วมันไปบังคับจิตใจเธอ ก็เลิกทำไปเหอะ"

"น... นี่ชั้นไม่คิดเลยนะว่าจะได้ยินท๊อปพูดแบบนี้ สองปีที่ผ่านมาเนีย คิดว่ามันง่ายใช่ไหม เธอคิดว่าการเป็นหนังหน้าไฟให้เธอ ยอมโดนด่าโดนว่าสารพัดมันสนุกนักเหรอ เธออาจจะคิดว่าชั้นง้อนะท๊อป ใช่ เธออาจจะเป็นคนดัง เธออาจจะมีงานมากพอที่จะทำให้บัดดี้ของเธอมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่เธอรู้ไว้นะว่าไม่มีเด็กคนไหนในมหาลัยนี้หรอกที่รับมือกับงานระดับนี้ได้ ไหนจะความเอาแต่ใจของเธออีก... ชั้นเคยซิ ทำไมชั้นจะไม่เคยพยายามหาคนใหม่ามาเป็นบัดดี้แทน แต่มันไม่มีใครเอา ชั้นยังทำอยู่เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะว่าชั้นอยากได้เงินเหรอ? หรือเพราะชั้นอยากจะได้ใกล้ชิดกับคนดัง เปล่าเลย เพราะชั้นเป็นเพื่อนเธอไง ฉันถึงยังอดทนทำได้"

"......." อะไรวะ ทำไมพี่ท๊อปไม่พูดอะไรบ้างเลย นั่นพี่ปิงปิงเค้าท่าทางจะเอาจริงแล้วนะ

"พอกันที เชิญเธอทำไปเถอะ ทำทุกอย่างที่เธอต้องการ ต่อไปนี้ ไม่เอาอีกแล้ว จะไปรับงานกะปิน้ำปลาที่ไหนก็ไป เอาของพวกนี้ไปให้หมด แล้วก็บอกพีดีนิมด้วยนะว่าชั้นสมองเชื่อม พูดภาษาเกาหลีไม่เป็นอีกแล้ว ไม่ต้องโทรมาต่อว่าอะไรชั้นอีก บอกไปก็ได้ว่าชั้นมันโง่..."

​เป็นเรื่องแล้วไง

​พี่ปิงปิงยัดสมุดงานใส่มือพี่ท๊อปแล้วเดินปึงปังขึ้นรถ ก่อนจะขับรถออกไปอย่างไว กรวดหินดินทรายกระจายฟุ้งไปหมด





"ทำอะไรของพี่อ่ะ ทำไมไปไล่พี่ปิงปิงอย่างงั้น"

"........"

ชิบหายละกู นี่กูวิ่งออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ แถมยังไปตะโกนพูดกับไอ้พี่ท๊อปซะเสียงดังฟังชัด ลืมไปแล้วหรือไงว่าเค้าไม่ได้อยากคุยด้วย

"น... นั่นมัน... บัดดี๊ที่เก่งที่สุดในมหาลัยนะ ใครๆก็รู้กันทั้งนั้นแหละ" ผมต้องรีบพูดแก้เก้อ ดีนะที่แถวนี้ไม่มีคนอยู่เลย ไม่งั้นได้เห็นผมทำหน้าเหวอไปแล้ว

"......." ไม่พูดเช่นเคย



​ตุ๊บ

​สมุดงานในมือไอ้พี่ท๊อปถูกทิ้งลงพื้น พร้อมกับที่เจ้าตัวกำลังจะเดินต่อไป ไม่มีหันมาเหลียวมองกูที่ยืนแหกปากอยู่ข้างหลังเลย



"เป็นบ้าอะไรของมึงวะ" ผมตะโกนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้คือความตั้งใจอย่างแท้จริง

"........." ก็ยังไม่พูดอะไรเหมือนเคย ถึงจะหยุดเดิน แต่ก็ยังไม่มีความสนใจอะไรกลับมาสักนิด

"พูดไรมั้งดิ อยู่ดีๆก็เป็นบ้าขึ้นมารึไง คนเค้าอุตส่าพูดด้วย" ตอนนี้ผมไม่แน่ใจในความรู้สึกตัวเองเลยว่ากำลังโกรธหรือกำลังลุ้นให้ไอ้คนที่หันหลังตอบอะไรผมบ้าง

"มีอะไรหรือเปล่า"

มีอะไรหรือเปล่าเนี่ยนะ มึงถามกูด้วยคำถามนี้อีกแล้วเหรอ

"ทำไมต้องมีอะไรด้วยวะ ทำไมต้องบล็อกเบอร์ ทำไมต้องทำเป็นเมิน คิดจะทำอะไรกันแน่วะ หรือว่ากำลังวางแผนทำอะไรอยู่ ไอ้น้ำชาคิดแผนให้ทำแบบนี้ใช่ไหม"

"มันไม่เกี่ยวอะไรกับน้ำชาหรอก"

"ไม่เกี่ยวแล้วมันคืออะไร มันใช่เรื่องเหรอมาทิ้งกันไว้ในร้านเหล้าอ่ะ มันควรไหมที่มาทำดีกับคนอื่นแล้วหายไปแบบนี้ ช่วยรับผิดชอบหน่อยได้ไหมวะ"

"........." เงียบอีกแล้ว  แต่...

นั่นมันหยิบอะไรออกมาจากกระเป๋ากางเกงวะ

​โทรศัพท์

​คืออะไรวะ



'แต่ทำไมกูต้องตอบรับวะ การที่พี่ท๊อปมาชอบกู แปลว่ากูต้องตอบตกลงเท่านั้นใช่ป่ะ กูไม่มีสิทธิ์เลือกเหรอวะ'

นั่นมันเสียงกูเองนี่หว่า เสียงที่อัดมาจากโทรศัพท์

อย่าบอกนะว่าไอ้คนตรงหน้าผมมันไปได้ยินที่ผมคุยกับไอ้ตองในห้องน้ำร้านเหล้า
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 36 [เรื่องที่ขอและเรื่องที่บังคับ Part 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 19-01-2018 11:49:47
(ต่อ Part 2)


"จะให้พี่ทนทำดีกับบุ๋นต่อไปเพื่ออะไร" นั่นคือคำอธิบายจากปากของไอ้พี่ท๊อปครั้งแรก หลังจากเกิดเรื่องขึ้น "ถ้าอยู่กับพี่แล้วลำบากใจ พี่ก็ถอยออกมาแล้วนี่ไง จะมาพูดให้ความหวังอะไรกับพี่อีก"

นี่มันตีความแบบไหนของมันวะ นั่นมันคำพูดตอนเมานะเว้ย ที่สำคัญมันก็ไม่ได้แปลว่ากูจะให้มึงเลิกล้มความพยายามซะหน่อย

"นั่นมัน..."

"พี่ขอตัวนะครับ" อะไรวะ ไม่คิดจะฟังอะไรเลยหรือไง ไหนมึงบอกว่าชอบกูนักไง ถ้าจะถอดใจเร็วขนาดนี้ มึงจะสู้อุตส่ามาทำอะไรมากมายเพื่ออะไร

"เดี๋ยวก่อน" ถ้ามึงคิดจะไปจริงๆ ก็เอาของของมึงไปด้วย



​​ตุ๊บ

​ไอ้บรรลัยใส้เอ๊ยยยย

ครั้งนี้ไม่ใช่สมุดจดงาน แต่เป็นตัวผมเองที่ล้มลงไปกองกับพื้น

​สะดุดอะไรวะ

​นี่อะไรเนีย ผมพยายามเพ็งงมอง อ้อ ปูนกั้นล้อรถยนต์



"อ๊ะ!!!"

อะไรอีกวะ ผมพยายามจะลุกขึ้น แต่เพิ่งจะมารู้สึกตัวว่าล้มลงไปแรงจนเหมือนจะมีแผลที่มือและแขน ก็แหงหละ พื้นกรวดทั้งนั้น ​เจ็บชิบ



"บุ๋น! บุ๋น เป็นอะไรไหม"

"ไม่ต้องมายุ่ง" มึงคิดจะไปแล้วก็ไม่ต้องมาสนใจอะไรกูทั้งนั้น ไม่ต้องพยายามมาพยุงกูด้วย เจ็บแค่นี้ กูไม่ตายหรอก "เอาแว่นตาของมึงคืนไปด้วย แล้วจะไปไหนก็ไป"

"ใส่ไว้เถอะน่า เดี๋ยวก็สะดุดล้มอีกหรอก แล้วไหน...พี่ดูแผลหน่อย"

"บอกว่าไม่ต้องยุ่งไง... อะนี่ไง กูลุกขึ้นได้แล้ว เอาของๆมึงคืนไป" ผมยัดแว่นตาใส่มือไอ้คนตรงหน้า เหมือนกับที่มันเพิ่งจะโดนผู้จัดการส่วนตัวยัดสมุดงานคืนให้เมื่อกี๊นั่นแหละ คนไม่สนใจความรู้สึกคนอื่นแบบมึง สมควรโดนแบบนี้แล้ว

แต่เจ็บชิบหายเลย รีบกลับไปหาไอ้ตองดีกว่า



​แจ๊ะ!!!!!!!!!!!!

​เชี่ยไรอีกเนี่ยยยยยยยยยยย

เพิ่งจะหันหลังกลับมาได้ไม่กี่ก้าว ก็เหยียบโดนอะไรไม่รู้ เปียกๆเหนียวๆเหม็นๆ แถมยังกระเด็นขึ้นมาโดนตัวด้วย



"ถอยกลับมานี่เลย" ยังจะมายุ่งกับกูอีก แม่ง โกรธก็พอแรงอยู่แล้ว แถมยังจะอายอีกกู "นี่มันน้ำมันเครื่องเก่าของเครื่องตัดหญ้า มันสกปรกรู้ไหม แล้วถ้าโดนแผลขึ้นมาจะทำไง ไหน? ให้พี่ดูแผลก่อน"

"ไม่ต้องยุ่ง! ต้องให้พูดอีกกี่รอบห๊ะ กูจะเดินไปให้งูฉกตายมันก็เรื่องของกู ปล่อย..."

"งั้นก็สวมแว่นตาก่อน นะ.. พี่ขอร้อง"

"ยังจะกล้าขออะไรอีกเหรอ" คราวนี้แหละกูของขึ้นจริงๆแล้ว ผมหันกลับไปผลักอกของไอ้คนต้นเหตุโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น จะเจ็บจะเปื้อนก็ช่างหัวมัน ถ้าไม่ได้ด่าไอ้คนตรงหน้า วันนี้คงนอนไม่หลับ "กล้าพูดออกมาได้ไง ไหนมึงเคยขอโอกาสจากกูใหม่อีกทีไง แล้วไม่เห็นจะทำได้อย่างที่ขอเลย ไม่รักษาคำพูดแล้วยังจะกล้าขอร้องอะไรอีก.... จะไปไหนก็ไป นี่ไง กูไล่แล้ว เคยพูดไม่ใช่เหรอว่าจะไม่ไปไหนจนกว่าจะไล่ ได้ยินไหม กูไล่มึงแล้ว จะไปไหนก็ไป... ​อ๊ะส์" แผลแค่นี้มันจะมาเจ็บอะไรนักหนาวะ เห็นไหมว่ากูกำลังโมโหอยู่

"จะโกรธพี่ก็ได้นะ แต่สวมแว่นก่อน แล้วก็อย่าเพิ่งขยับมาก ให้พี่ดูแผลให้ก่อน เหมือนแผลจะมีเศษหินติดอยู่นะ"

"ไม่ได้ยินรึไงวะ..."

"พี่บอกให้นิ่งๆไง"

"......." นี่กูโกรธมึงอยู่นะ ทำไมต้องมาตะคอกใส่ด้วยวะ

"แผลโดนน้ำมันเครื่องจริงๆด้วย มีเศษหินเข้าไป ต้องรีบไปล้างแผลก่อน อะนี่ สวมแว่นซะ"

ไม่ใช่ธุระกงการอะไรที่กูจะต้องทำตามที่มึงสั่ง

"​ไม่ได้ยินเหรอ บอกให้สวมแว่นไง"

"......." 

คราวนี้ไอ้คนที่อยู่ดีๆก็บ้าขึ้นมา ก็เอาแว่นตามาสวมให้ผมโดยที่ไม่ได้สนใจเลยว่าผมเพิ่งจะด่ามันไป

"ยืนอยู่ตรงนี้นะอย่าไปไหน... อย่าให้พี่ต้องพูดอีกรอบนะ อย่าไปไหน"

อะไรของมันวะ

แล้วกูเป็นไรเนีย ทำไมต้องทำตามที่มันบอกด้วย แต่ไม่ทันจะได้ตัดสินใจทำอะไรต่อ รถยนต์ของไอ้บ้านี่ก็มาจอดอยู่ตรงหน้าแล้ว แถมยังลงรถมาเปิดประตูรถให้เสร็จสับ

"ขึ้นรถ"

"ไม่!" อย่าคิดว่ากูจะยอมทำตามตลอดนะ "โอ๊ย เจ็บนะเว้ย" มันพยายามลากผมขึ้นไปนั่งบนรถให้ได้ จะเอาแต่ใจอะไรนักหนาวะ คนยิ่งเจ็บๆอยู่

"เจ็บก็ขึ้นรถดิ.... จะเข้าไปนั่งดีๆไหม"

แม่งเอ๊ย

ถ้ากูไม่เจ็บนะ กูจะต่อยแม่งตรงนี้แหละ แต่ถ้าไม่ทำตามมันบอกตอนนี้ กูอาจจะโดนต่อยซะเอง



ผมนั่งรถออกมาจากมหาลัยทั้งสภาพนั้น มือกับแขนก็เจ็บ ตัวก็เลอะน้ำมันเครื่อง จังหวะนรกสัดๆ แต่แทนที่ไอ้คนขับรถมันจะพาผมไปหาหมอ มันกลับพาผมมาบ้านแทน

หมายถึงหอพักของผมนั่นแหละ ผมเช่าบ้านหลังเล็กๆอยู่หลังมหาลัย เพราะพ่อกับแม่บังคับ พวกท่านไม่ชอบนอนเบียด ก็เลยสั่งให้ผมเช่าบ้านแทนที่จะเป็นห้องพัก เวลาที่บ้านมาเยี่ยมจะได้มีที่นอนหลายๆที่ ไม่ต้องเบียดกัน

แต่ว่า.... มันจะพาผมกลับมาส่งบ้านทำไม นี่มันคิดจะเอาผมมาปล่อยไว้ในสภาพนี้เหรอ ยังไม่ทันจะได้โวยวายอะไรเลย ไอ้บ้าพี่ท๊อปก็ลงจากรถไปหยิบกุญแจจากใต้กระถางต้นไม้ออกมาเปิดประตูรั้วบ้าน ขับรถเข้าไปจอดหน้าตาเฉย

สาเหตุที่ไอ้พี่ท๊อปมันรู้ว่ากุญแจรั้วกับกุญแจบ้านซ่อนอยู่ตรงไหนก็เพราะเดือนที่แล้วมันมาคอยรับส่งผมตลอด ไม่ใช่แค่นั้นหรอก บ้านหลังนี้มันก็เคยเข้ามานั่งรออยู่บ่อยๆเหมือนกัน เห็นชอบเดินไปสำรวจตรงนั้นตรงนี้ คงรู้จักของในบ้านหมดแล้วแหละ รู้ดีกว่าผมอีกมั้ง



ตอนนี้ผมถูกพามานั่งในบ้านเช่าของตัวเอง ขี้เกียจจะเถียงอะไรแล้ว ก็เพราะผมเพิ่งจะมาสำนึกได้ว่าเจ็บแผลมากจริงๆ พอยิ่งได้สวมแว่นตาก็เลยยิ่งมองเห็นว่าไม่ใช่แค่แผลถลอกเล็กๆ แต่แผลยาวแล้วก็ค่อยข้างลึก มีเศษหินเข้าไปอย่างที่ได้ยินมาจริงๆด้วย ไหนจะเลอะน้ำมันเครื่องอีก ซวยชิบ



"เดี๋ยวพี่จะล้างแผลให้ก่อน แล้วค่อยไปอาบน้ำนะ"

ห๊ะ!!!!!!

เห้ยยยยยยยยยยย นั่นมันแอลกอฮอล์ล้างแผลนี่นา อุปกรณ์ปฐมพยาบาลก็รู้เหรอว่าวางไว้ตรงไหน แต่ว่า...

"ไม่ต้องล้าง ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวอาบน้ำเลยก็ได้"

"ไม่ได้ แผลแบบนี้ไม่ล้างได้ไง เดี๋ยวต้องปิดพลาสเตอร์กันน้ำก่อนด้วย ถึงจะอาบน้ำได้"

"ม.. ไม่เอา ไม่ เดี๋ยวๆๆๆ ไม่เอาแอลกอฮอล์ได้ไหม ใช้น้ำเปล่าไม่ได้เหรอ"

"ก็นึกว่าอะไร ที่แท้ก็กลัวแสบนี่เอง.... งั้นเดี๋ยวพี่ใช้น้ำเกลือล้างให้ก่อนก็แล้วกัน แล้วค่อยใช้แอลกอฮอล์ แบบนี้จะได้ไม่แสบมาก แต่ยังไงก็ต้องล้าง... ยื่นมือมา... บุ๋น อย่ามาลีลา ข้างซ้ายซิ เร็ว พี่จะได้รีบล้างแผล"

"ล้างแผลเป็นแน่นะ เรียนเภสัชไม่ใช่เหรอ"

"ก็เพราะเรียนเภสัชไงถึงต้องล้างเป็น พวกนี้มันเรื่องพื้นๆ สายสุขภาพทำได้ทั้งหมดแหละ ไม่ต้องห่วงหรอกน่า อย่าขยับมากก็แล้วกัน....."

 "โอ๊ยยยย ไหนบอกว่าล้างเป็นไง เบาๆหน่อยดิ"

"ก็พี่ต้องเอาเศษหินออก อยากแผลอักเสบหรือไง ไหนเมื่อตอนล้มยังทำเก่งอยู่เลย แค่นี้ก็ต้องทนได้ดิ"

"......" น้ำตาของผมไหลออกมา ก็มันเจ็บนี่หว่า แถมยังต้องโดนดุอีก

"อ... อ่ะๆๆๆ พี่จะเบาๆมือก็ได้ แต่มันจะนานหน่อยนะ พี่... ขอโทษ" ไอ้พี่ท๊อปเอื้อมมือมาปาดน้ำตาของผมออก

แล้วการปฐมพยาบาลก็เป็นไปอย่างเชื่องช้า พี่เค้าพยายามใช้น้ำเกลือล้างแทนที่จะใช้สำลีเขี่ยไปที่แผลตรงๆ แล้วก็ล้างอยู่อย่างนั้นหลายต่อหลายรอบ ก่อนที่จะใช้แอลกอฮอล์ล้างแผล ซึ่งก็ไม่ค่อยแสบอย่างที่บอกไว้จริงๆ

จากนั้นผมก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า



"นี่ครับ ทานยาซะ" ทันทีที่ออกมาจากห้อง ก็เอายาสองเม็ดยื่นมาให้ผมทันที พอถึงตอนนี้แล้วก็เพิ่งจะนึกได้ว่าผมควรจะโกรธไอ้คนตรงหน้าอยู่นี่หว่า "นี่ยาพารา แผลไม่หนักมากไม่ต้องกินยาแก้อักเสบหรอก...."

แล้วผมก็เลือกที่จะแสดงออกในจุดยื่นของตัวเองอย่างชัดเจนด้วยการไม่รับยาจากมัน ก่อนหน้านี้ยังเจ็บอยู่ก็เลยทำตามไปก่อน แต่ตอนนี้หายแล้ว สติสัมปชัญญะกลับมาแล้ว ผมทำเมินมันบ้าง

"พี่บอกให้ทานยาไง"

"ไม่ต้องมาสั่ง คิดว่าทำแผลให้แล้วจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเหรอ ถ้าไม่พอใจ จะจับกรอกปากเลยก็ได้นะ ยังไงก็ไม่ยกโทษให้หรอก"

"งั้นก็ได้ แต่ต้องกินยาก่อน"

"......"

"ถ้ากินยาแล้ว พี่จะไปเลย พอใจยัง"

​เออ มึงอยากไปนักใช่ไหม

​ผมรีบคว้ายาเข้าปากและดื่มน้ำอย่างรวดเร็ว

"กินเสร็จแล้ว"

"....."

มันออกไปจริงๆ เดินออกไปเลย ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรทั้งนั้น

จากนั้นก็มีเสียงรั้วประตูบ้านเปิดออก



"..................................... ฮืออออ"

ไอ้พี่ท๊อป ไอ้บ้า ไปจริงๆเหรอ นี่กูเจ็บอยู่นะ

แล้วนี่กูจะมาขี้แยทำไมวะ ก็เป็นคนไล่เค้าไปเองไม่ใช่รึไง มันไปได้ก็ดีแล้ว แม่งเลว



"บุ๋นร้องไห้ทำไมอ่ะ"

หึ!????!?!?

​ไอ้พี่ท๊อป มันกลับเข้ามาในบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่วะ

"พี่ลืมกุญแจรถ" ลืมกุญแจรถเนี่ยนะ ไอ้บ้าเอ๊ย ต้องมาเห็นกูกำลังร้องไห้ แบบนี้มันก็หาว่ากูแคร์มันอะดิ "แล้วบุ๋นร้องไห้ทำไมอ่ะ"

"..................." จะตอบว่าไงดีวะกู สมองรีบคิดเร็ว

"เจ็บแผลเหรอ"

"เปล่า" ​โอ๊ะ กูนี่ก็เนาะ ตอบว่า ใช่ ก็จบไปแล้ว ปากไวไปอีก

"แล้ว...?"

"ไม่ได้ร้องโว๊ย ห...หิวข้าว" ฆ่ากูที นี่กูพูดอะไรออกไปเนี่ย...

"หิวข้าว?" เออ กูรู้ว่ามันไม่ใช่เหตุผล แต่กูพูดไปแล้ว จะให้แก้ตัวยังไงละ "อ... อ๋อ รถยนต์บุ๋นจอดอยู่ในมหาลัยนี่นา ก็เลยไปกินข้าวไม่ได้ งั้น..."

งั้นอะไร?

แล้วจะเดินไปไหนหน่ะ

นั่นมันห้อง....ครัว

​เปิดตู้เย็นทำไม....



"ของในตู้เย็นก็มีเยอะนะ บุ๋นทำกับข้าวเป็นด้วยเหรอ"

"ป.. เปล่า แม่เพิ่งจะซื้อมา" แล้วกูจะตอบทำไมวะ ชักเริ่มไม่เข้าใจตัวเองแล้วเนีย

"อ๋อ ถึงว่า ของยังสดๆอยู่เลย... แล้วบุ๋นอยากทานไรครับ"

"ห๊ะ?"

"อืมมม.... ผัดเปรี้ยวหวาน ไก่อบ หรือหมูมะนาว ทานอะไรดี?"

"......?" ถามทำไม

"ทำหมดเลยก็แล้วกัน"

"จะทำทำไม!?"

"ก็บุ๋นหิวข้าวไม่ใช่เหรอ"

"ก... ก็ใช่"

"งั้นรอแป๊บนึงได้ไหมครับ พี่ทำไม่นานหรอก"

"เอ่อ......." นี่กูควรจะตอบว่าไงวะ

ปล่อยมันเหอะ จะทำไรก็ทำ





"เสร็จแล้วครับบบบ"

โอ้โห!!!!

อาหารเต็มโต๊ะเลย แถมยังหน้าตาดีด้วย ตั้งแต่อยู่มหาลัยมา ยังไม่เคยกินอาหารที่น่ากินขนาดนี้เลย ปกติกินแต่อาหารตามสั่ง

"ทำเป็นด้วยเหรอ?" ความอยากรู้อยากเห็นของผมทำให้พลั้งปากถามไปจนได้

"ก็พอได้ครับ ไปเกาหลีบ่อย ก็เลยต้องทำอาหารทานเอง พอจะทานได้ไหม"

"อืม... ก็คงพอได้แหละ" กูเริ่มกินเลยได้ไหมอ่ะ เห็นแล้วหิวเลย แต่เดี๋ยวก่อน... "เสร็จแล้วก็กลับไปดิ"

"พี่อุตส่าทำกับข้าวให้ทาน จะไม่ชวนพี่ทานข้าวด้วยหน่อยเหรอ... เยอะขนาดนี้ทานหมดเหรอครับ"

"ก็... ไม่หมดหรอก จะกินก็ไปตักข้าวมาดิ"

"อ๋อ พี่ตักไว้แล้ว เดี๋ยวไปหยิบแป๊บนึง"

ที่แท้มันก็เตรียมการไว้แล้วนี่เอง กูไม่น่าหลงกลมันเล๊ยยยย

"มาแล้วครับ ม๊ะ ทานข้าวกัน"

"กินเสร็จแล้วก็รีบๆกลับล่ะ"

"ไม่กลับครับ พี่จะนอนนี่แหละ"

"จะบ้าเหรอ ใครอนุญาต"

"กลับไปเดี๋ยวมีคนร้องไห้งอแงอีก" ​......นี่คือกูโดนจับได้ใช่ไหม ​"อีกอย่าง รถบุ๋นก็อยู่ในมหาลัย พรุ่งนี้เช้าพี่จะได้ไปส่ง"

"ยุ่ง"

"แน่นอน" ไปหัดตอบหน้าตาเฉยแบบนี้มาจากไหนห๊ะไอ้พี่ท๊อป "อีกอย่าง งานนี้ ถ้าจะตื๊อบุ๋นให้สำเร็จ....





.....ก็คงต้องบังคับให้มารักเท่านั้น เข้าใจไหมครับ... น้องแว่น​"
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 19-01-2018 18:59:41
 :pig4:
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: ChabaSri ที่ 19-01-2018 19:21:30
มาอ่านรวดเดียวเลยฮืออออออ ชอบบบบบบ

ปล.แปะกฏเล้าหน่อยน้าาา กลัวนิยายปลิว แปะที่หน้าแรกอ่ะค่ะ ^^
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 37 [จัดอันดับ]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 29-01-2018 15:37:38
​ตอนที่ 37 : จัดอันดับ







สวัสดีครับ ผมชื่อ (น้ำ)ชา หรือธนาชา  ธนกฤษ อายุ 18 ปี เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่คุณอาจจะเดินผ่านผมไป หากเราเดินสวนกันบนท้องถนน แต่จริงๆแล้วผมก็มีดีนะ ผมมักถูกเรียกว่าเป็นอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์ตั้งแต่อายุยังได้แค่สิบขวบ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ ที่ใครๆต่างก็ยกย่องให้ผมเป็นตัวเก็งอันดับหนึ่งของผู้ที่จะมีสิทธิได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้นำเชียร์หรือเชียร์ลีดเดอร์ของมหาวิทยาลัยมัณฑณาประจำปีนี้ คู่คี่มากับ ไอ้ต้อม เพื่อนสนิทตัวแสบของผม

การเดินทางเพื่อเข้าสู่การเป็นหนึ่งในสิบสองคนสุดท้ายของเชียร์ลีดเดอร์แห่งมหาวิทยาลัยอันมีชื่อเสียงด้านกิจกรรมเชียร์ เริ่มต้นมาจากอดีตสุดแสนประทับใจของผม จากเหตุการณ์เมื่อแปดปีก่อนที่เด็กชายคนหนึ่งช่วยชีวิตผมไว้จากการจมน้ำ จุดสำคัญนั้นก็ได้เกิดเป็นแรงบันดาลใจให้ผมพยายามทำตามเค้าทุกอย่าง เล่นกีฬาเหมือนเค้า เล่นดนตรีเหมือนเค้า ทำกิจกรรมเหมือนๆกับเค้า ทั้งหมดก็เพื่อทำให้ผมได้เข้าใกล้เค้าทีละน้อยๆ

จนในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่ผมคว้าโอกาสในการเข้าคัดเลือกให้ขึ้นไปเป็นผู้นำเชียร์บนหอคอยแห่งเกียรติยศ เช่นเดียวกับเค้าคนนั้น คนที่วันนี้ผมสามารถเรียกชื่อเค้าได้อย่างเต็มปากแล้วว่า 'พี่ตอง' นายนาวาพล ขัตติยชาติ อายุ 19 ปี นิสิตชั้นปีที่ 2 จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ผู้นำเชียร์ที่โด่งเด่นที่สุดของรุ่น ด้วยเสน่ห์ของหนุ่มนัยตาอบอุ่นภายใต้ทรงผมสกินเฮดสุดเท่ ที่ไม่ว่าสาวแท้สาวเทียมที่ไหนได้เห็น เป็นต้องตาลุกวาว

แต่ใครจะไปเชื่อละว่า วันนี้ความสัมพันธ์ของผมกับพี่เค้าจะลึกซึ้งกันไปถึงไหนต่อไป แม้ว่าหลายคนอาจจะยังเข้าใจผิดว่าเราเป็นแค่คู่จิ้น(ฟินจิกหมอน)บนโลกของสื่อ ผมต้องยอมรับตามตรงนะว่าตัวผมเองก็ไม่ได้มีแผนไว้สำหรับการต้องมาเป็นแฟนแบบจริงๆจังๆกับพี่เค้าเหมือนกัน รู้แค่ว่ามัน.... ตกหลุมรักไปแล้ว ไปตกหลุมรักเมื่อไหร่น่ะเหรอ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน อาจจะเป็นตอนที่ได้เริ่มพูดคุยกันจริงจังเมื่่อตอนเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกัน หรืออาจจะเป็นตอนที่ผมเจอพี่เค้าที่สนามแข่งบ่อยๆ หรือไม่แน่นะ อาจจะเป็นตั้งแต่แรกเมื่อแปดปีที่แล้วก็ได้

พวกคุณคงจะสงสัยกันละซิว่าผมเอาเรื่องของตัวเองกลับมาเล่าอีกทำไม ทั้งๆที่เรื่องราวก่อนหน้านี้ก็บอกเรื่องพวกนี้ไว้หมดแล้ว แล้วก็... ผมยังจะมีอะไรเล่าต่อไปอีกหลังจากบทสรุปความรักที่น่าจะลงตัวดีอยู่แล้ว ก็เพราะว่า.... สำหรับผมแล้ว เส้นทางความฝันกับเส้นทางความรักมันแยกออกจากกันไม่ได้ พี่ตองเคยพูดกับผมไว้ว่า พี่เค้าไม่อยากเป็นเจ้าชายที่รอความรักจากผมอยู่บนหอคอยอย่างโดดเดี่ยว ผมก็เลยอยากไปอยู่ข้างๆพี่เค้าให้ได้จริงๆ ได้ทั้งทำตามความฝันและได้ทั้งอยู่กับคนที่เราหลงรัก (แหวะ พูดเองยังจะอ้วกเองเลย) แล้วก็ที่สำคัญนะ ชีวิตคนเรามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอก การได้เป็นคู่กันแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีเรื่องมาให้ปวดหัว พระพุทธเจ้ายังมีมารคอยตามผจญทุกชาติ แล้วคนธรรมดาอย่างผมกับพี่ตองจะไปรอดเหรอ

และนี่คือการเดินทางครั้งสำคัญสู่การเป็นผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนาประจำปีการศึกษานี้ ขอให้ทุกคนเป็นกำลังใจให้ผมและ.... กดไลค์กดแชร์ที่รูปของผมด้วยนะครับ....



"ยี๋!!!!! ไม่เอาอ่ะ มึงอย่าโพสเชียวนะ" ผมรีบปฏิเสธสิ่งที่ตัวเองได้อ่านทันที

"ทำไมวะ นี่กูคิดให้มึงทั้งคืนเลยนะ น้ำขิงก็ช่วยด้วย" ไอ้ต้อมมันยังมีท่าทางยืนยันอย่างมั่นอกมั่นใจว่าข้อความที่มันคิดขึ้นมาให้ผมนั้น เป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบสุดๆ "ดูเป็นคำพูดของมึงเอง ใช้ภาษาก็ดี แถมยังเรียกคะแนนได้ชัวร์ๆ สาวกวายต้องคลั่งแน่นอน"

"ภาษาดี? มึงกล้าพูดนะ ชมตัวเองนี่ก็ข้อนึง ไปประกาศบอกชาวบ้านชาวช่องเรื่องกูกับพี่ตองนี่ก็อีกข้อนึง แถมยัง.... หึยยย ไม่เอาอ่ะ จั๊กจี๋สุดๆ ลบๆๆๆ กูคิดเองดีกว่า"

"เห้ย! นี่กูคิดทั้งคืนจริงๆนะเว้ย แล้วมึงลบไปจะเอาอะไรไปโพสวะ คนอื่นๆเค้าก็มีข้อความแบบนี้กันทั้งนั้น ถ้ามึงไม่ทำอะไรสักอย่าง จะไปสู้คนอื่นเค้าได้ไงวะ หรือมึงจะเลิกล้ม ไม่อยากเป็นลีดมอแล้วจริงๆ ทำไม? ได้เป็นศรีภรรยาของพี่ตองแล้วจะลืมความตั้งใจตัวเองว่างั้น"

​แป๊ะ

"พูดมาก" เอาไปแดกหนึ่งที ข้อหาแซวกู "ศรีภรรยาอะไรของมึง ก็บอกว่ากูจะคิดเอง เอามานี่" ผมดึงแท็บเล็ตมาจากมือของมัน

"อือหือ ไอ้ชาเย็น นี่กูเข้ามหาลัยแล้วนะมึง แฟนสุดน่ารักก็มีแล้ว เมื่อไหร่มึงจะเลิกตบเกรียนกูซะทีวะ ใครมาเห็นเข้าจะเสียลุคกูหมด"

"ต่อให้มึงจบมามีงานทำแล้ว มึงก็อย่าหวังจะรอดเงื้อมมือกูไปได้เลย ตราบใดที่มึงยังกล้าเหิมเกริมกับกูอยู่"

"เดี๋ยวเหอะมึง กูจะบอกให้พี่ตองเอาคืนมึงให้สาสม"

"นี่มึงยังจะ..."

"เออๆๆๆๆ กูยอมแล้ว กูยอมแล้ว.... แต่ว่ามึงจะคิดข้อความเองจริงดิ พรุ่งนี้ก็ต้องส่งแล้วนะมึง ที่กูช่วยเนียเพราะเห็นว่าช่วงนี้มึงยุ่ง ทั้งซ้อม ทั้งเรียน ทั้งช่วยงานที่โรงพยาบาล แล้วไหนจะเรื่องติวให้พี่ตองกับพวกเพื่อนๆพี่เค้าอีกอ่ะ เออ ว่าแต่ มึงยังสอนพวกวิศวะปีสองอยู่อีกเหรอวะ ไหนน้ำขิงบอกกูว่า แค่รอบเก็บคะแนนสิ้นเดือนที่แล้วไง"

"ไม่รู้ว่ะ กูเริ่มแล้วอ่ะ ไม่อยากหยุดกลางคัน พวกพี่เค้าอาจจะสอบผ่านครั้งนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าครั้งต่อไปจะสอบผ่านอีก เท่าที่กูคำนวณดู พวกพี่เค้ายังไม่พ้นขีดอันตรายว่ะ ขออีกซักเดือนนึงละกัน เอาให้แน่ใจว่าเกรดออกมาน่าพอใจชัวร์ๆ กูก็ปล่อยแล้วล่ะ"

"แม่พระสุดๆ ไอ้ชาเย็นเพื่อนกู ทั้งเก่งทั้งแสนดีแบบนี้นี่เอง ถึงว่าทำไมสยบแบดบอยสาวล้นเมืองอย่างเจ้าชายตองได้อยู่หมัด"

"ไอ้..."

"กูชมมึงอยู่นะเพื่อน กูชมๆ แต่มึงก็อย่าหักโหมเกินไปละกัน เดี๋ยวเจ็บเดี๋ยวป่วยขึ้นมา กูไม่ค่อยมีเวลาดูแลมึงเหมือนแต่ก่อนแล้ว"

"เพราะมึงเอาเวลาไปกกอยู่กับลูกพี่ลูกน้องกูอะนะ"

"แน่น๊อน แฟนกูน่ารักนี่หว่า... ชิบหายละ นี่กี่โมงแล้ววะ กูลืมไปเลยว่าน้ำขิงรออยู่"

"มึงจะบ้ารึไง นี่มันยังไม่ถึงเวลากิจกรรมห้องเชียร์เลย มึงเห็นไหมเนีย เราสองคนก็รออยู่หอประชุมกันแค่สองคน มึงนี่ก็ช่างบ้าเนาะ เร่งกูแดกข้าวอยู่ได้ พวกลีดมอเค้านัดตั้งบ่ายโมงครึ่ง อีกตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าจะเริ่ม ไม่ต้องพูดถึงเวลาเลิกเลย มึงได้ซ้อมอีกยาวแน่"

"อ้าวเหรอ กูห่างน้ำขิงแค่หนึ่งนาทีก็รู้สึกเหมือนหนึ่งปี มึงไม่เป็นแบบกูบ้างเหรอ"

"จะอ้วกก็เสียดายข้าว"

"อิจฉาอะดิมึงอ่ะ พี่ตองคงไม่หวานเท่ากูหรอก กูรู้" มึงแน่ใจได้ไง "แต่ที่กูพามึงมาเร็วก็เพราะว่า เราจะได้เป็นจุดเด่นให้พวกพี่เค้าเห็นไง ว่าเรามีความรับผิดชอบ ตรงต่อเวลา แถมยังหน้าตาดีขั้นเทพ ที่สำคัญเลยก็คือ พี่ตองจะได้มองเห็นมึงเป็นคนแรก เพราะพี่เค้าต้องมาทำงานเป็นพี่ลีดเต็มตัวแล้วก็เลยไปรับมึงเพื่อเจอหน้าเป็นคนแรกไม่ได้ นี่กูทำเพื่อมึงอยู่นะเพื่อน"

"กูควรจะซาบซึ้งไหม... แล้วก็อีกอย่างนะ มึงอ่านกติกามาไม่ครบหรือไง ในไลค์กลุ่มเค้าก็ประกาศไว้ รอบแรกอ่ะให้บุคคลทั่วไปเป็นคนตัดสิน ไม่ใช่พวกพี่ๆเค้า ต่อให้มึงมาตั้งแต่เมื่อวานก็ไม่ช่วยอะไรหรอก"

"มึงนี่มันฉลาดไม่หมดจริงๆ พวกพี่ลีดนี่แหละที่จะเป็นฐานเสียงที่ดีให้พวกเราได้เว้ย ถ้าพวกพี่เค้าชอบเรา คนอื่นๆมีเหรอวะที่จะไม่ชอบ"

"ทฤษฎีอะไรของมึงวะ"

"มึงเชื่อกูเหอะน่า"



"นายๆ"

ใครเรียกหว่า?

อ้าว มีคนเข้ามาแล้วเหรอ นึกว่าจะมีแค่ไอ้ต้อมคนเดียวที่ประสาทแดกมาก่อนเวลาขนาดนี้

"นายคือน้ำชาคณะวิทย์ใช่ป่ะ?"

"เอ่อ..." ตอนนี้ทั้งมหาลัยจะเรียกกูด้วยชื่อนี้จริงๆใช่ไหม "ใช่ แต่เรียกเราว่า ชา เฉยๆดีกว่านะ ให้พวกผู้หญิงเรียกเต็มก็พอแล้ว ผู้ชายด้วยกันมาเรียกแบบนี้ รู้สึกแปลกๆ ยังไงไม่รู้"

"ไม่เห็นเป็นไรนิ อ่อ เราชื่อข้าวเจ้านะ อยู่คณะสังคม เรียกเราว่า... ก็เรียกว่า ข้าวเจ้า นี่แหละ"

"ย.. ยินดีที่ได้รู้จัก"

โอ้ มาย ก็อดดด

ในโลกนี้มีผู้ชายที่กล้าเรียกชื่อแทนตัวเองด้วยคำสองพยางค์อยู่ด้วยเหรอ ผมนี่อึ้งไปเลย แต่ก็พอจะรับได้ เพราะเค้าก็เป็นคนหน้าตาดี ขาวตี๋และมีใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มตลอด ใช้ชื่อไหนก็คงไม่น่าเกียจ แถมยังดูอัธยาศัยดีด้วย



หลังจากรออยู่บนหอประชุมประมาณครึ่งชั่วโมง ก็เริ่มมีเด็กปีหนึ่งเข้ามากันมากขึ้น บางคนผมพอจะจำหน้าได้จากที่เคยเห็นเมื่อตอนวันปั๊มตราประทับลีดมหาลัย บางคนก็จำได้เพราะเคยเห็นในทีวี แต่ที่ทุกคนมีเหมือนกันคือ... หน้าตา ​

จะมีสถานที่ไหนในประเทศนี้ที่บรรจุรวมคนหน้าตาดีไว้ด้วยกันได้เยอะขนาดนี้อีกไหม



"น้องๆคะ ได้เวลารวมตัวแล้วค่ะ"

ในที่สุดก็ถึงเวลาแล้ว

พวกรุ่นพี่ลีดมหาลัยเข้ามาในหอประชุมอย่างพร้อมเพรียง ซึ่งผมเองก็รู้จักหน้าค่าตาดีอยู่แล้ว แน่นอนว่าพวกเค้าเป็นที่หลงไหลของคนทั่วไป ไม่เว้นแม้กระทั่งน้องๆผู้เข้าคัดเลือกลีดเหล่านี้ ที่ต่างพากันแอบกรี๊ดกร๊าดกันไปทั่ว

แล้วนั่นพี่บุ๋นไปทำอะไรมาวะ ทำไมมีผ้าก็อตพันแผลที่แขนทั้งสองข้างเลย พี่ท๊อปก็มาที่นี่ด้วย ไหนบอกว่าไปดูงานที่ส่วนสแตนไงวะ อะไรเนีย งงไปหมด

เอ่อ.....  พี่ตองเดินเข้ามาในห้องประชุมพร้อมกับเสียงฮือฮาที่มากกว่าคนอื่นๆ แต่ว่าที่ช็อคสุดๆนั่นก็คือ....



​พี่แอม

​วันนี้โจทก์เก่าของผมโผล่เข้ามาในหอประชุม เป็นการพบกันอีกครั้งหลังจากเหตุการณ์ต่อปากต่อคำกันอย่างไม่ไว้หน้า แต่พี่เค้าดูจะไม่แสดงความเป็นนางพญาอย่างที่เคย ดูแปลกตาไปเลย



"ไม่ช้านะคะน้องๆ เร็วกว่านี้ค่ะ" พี่หนิงนั่นเองที่เป็นคนตะโกนจนลั่นหอประชุม เด็กปีหนึ่งที่อ้อยสร้อยต่างรีบไปรวมกันที่ด้านหน้า "จัดแถวตามคณะนะคะ มีป้ายตั้งไว้ให้เห็นอยู่แล้ว ทำเวลาหน่อยค่ะ พี่ๆทีมงานกำลังจะมาถึงแล้ว"

แต่ยังไม่ทันได้พูดจน บุคคลทรงอิทธิพลก็เข้ามาในห้อง ทำเอาเหล่าพี่ผู้นำเชียร์ที่ว่าเปรียบดังหงษ์ ยังต้องหลบถอยกันไปเป็นแถบ

พี่ชมพู่ ​เจ้าแม่ของตึกลีดมหาลัย

พี่หนุง ​แมคอัพและสไตล์ลิสขี้หงุดหงิด

พี่นิค​ ช่างภาพมืออาชีพ

​และอีกสามคนที่ผมไม่รู้จักสักเท่าไหร่ แต่ก็รู้ในทันทีว่าเป็นกลุ่มคนที่สามารถจัดการคนเป็นร้อยๆให้อยู่หมัดได้ในการกระพริบตาแค่ครั้งเดียว



"เอาการ์ดขึ้น"

หือ!?!?!?!?!?

อะไรผักกาดๆนะ นี่กูได้ยินอะไรผิดไปหรือเปล่าวะ

"ชั้นบอกให้เอาการ์ดขึ้นไม่ได้ยินหรือไง" พี่ชมพู่สั่งอีกครั้ง เด็กๆทุกคนตกใจและทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยบรรยากาศอันเงียบกริบ ประหนึ่งไม่มีใครอยู่ในหอประชุมเลย "เชื่องช้า ขาดวินัย ​แล้วนั่นท่ายืนการ์ดอะไรของเธอ แม่สาวผมสั้น!!! ปวกเปียก เป็นถึงตัวแทนของคณะ ซ้อมกันมาเป็นเดือนๆ ทำไมถึงไม่รู้ว่าการเป็นผู้นำเชียร์ต้องวางตัวยังไง.... อะไรคือความหมายของการเป็นผู้นำเชียร์? เธอหน่ะ ตอบมาซิ"

พี่ชมพู่ยิงคำถามแบบไม่ตั้งตัว ไปยังผู้หญิงคนเดิมที่ถูกตำหนิไปไปมื่อกี๊นี้

"คือ... ผ...ผู้ควบคุมการ..."

"เหรอ ​เธอจะบอกว่าเป็นคนกำกับสแตนรึไง แบบนั้นไม่ต้องใช้ลีดก็ได้ พี่เชียร์ที่ซ้อมสแตนก็ทำได้ ตอบป่วยๆ ไม่มีแอดติจูดเลย จดชื่อแม่คนนี้ไว้ซิ ให้ไปยืนท้ายแถวโน่น​" ชิบหายละไง พี่ชมพู่เวอร์ชั่นโหดสัดรัชเซีย สั่งผู้ช่วยให้มาลงชื่อคนที่ตนเองไม่ชอบใจไว้ "เธอล่ะ ว่าไง"

"ครับ?"

"ก็คำถามเดิมไง ไม่มีไหวพริบเลย นี่ก็จดชื่อไว้อีกคน​"

เห้ย!!!! นี่พี่แกไม่สนใจอะไรเลยเหรอ ผมจำได้นะว่านั่นคือรองเดือนมหาลัยจากคณะแพทย์ ความหล่อไม่ทำให้รังสีนางพญาลดถอยลงไปเลย

"เธอ" พี่ชมพู่เรียกอีกคน

"จิตวิญญาณครับ ผู้นำเชียร์คือความภูมิใจในฐานะคนที่เป็นตัวแทน"

"...." ว้าว คนที่ตอบทำให้พี่ชมพู่อึ้งไปนิดหน่อย แล้วคนๆนั้นก็คือ ข้าวเจ้า ฉลาดเหมือนกันแฮะ​ "ตอบตามตำรา แต่ก็ถือว่าพอได้ แล้วเธอล่ะ ข่าวว่าเป็นคนทำให้คณะวิทย์ได้ธงทองไปไม่ใช่เหรอ ไหนบอกมาซิ ความหมายของผู้นำเชียร์"

​เชี่ยยยยยยยยยยยยยยย

​ความซวยมาเยือนกูจนได้ นี่ผมเองพี่ชมพู่ ขนาดผมพี่ก็ไม่เว้นเลยเหรอ

แล้วอะไรคือธงทองวะ... อ้อ ธงเกียรติยศแหงเลย แล้วกูจะตอบว่าไงดี? สมองกูจงคิดเดี๋ยวนี้....



"ต้องหล่อครับ" เอาอันนี้แหละวะ "ต้องเท่ สุภาพ และไม่อ่อนแอครับ"

"........" นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ผมเห็นพี่ชมพู่มองผมด้วยสายตาแบบนี้ นับจากวันที่ผมถูกพี่เค้าสอนเมื่อตอนก่อนจะเปิดเทอม ส่วนพี่ตองยิ้มมุมปากเล็กน้อยมาให้ผม "หัวหมอนะ บังอาจจำคำของชั้นมาพูด" นี่คือกูชมใช่เปล่าวะ "จำไว้ให้ดีนะ พวกเธอทุกคนในนี้ อาจจะเป็นใครก็ได้ที่จะมาเป็นตัวแทนของผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนา ถ้าเธอยังไม่รู้ตัวเองต้องหล่อ ต้องสวย ต้องสุภาพเรียบร้อย  และมีความเป็นผู้นำที่เข้มแข็งต่อหน้าสาธารณะชน พวกเธอก็ขาดคุณสมบัติอย่างแรง... แต่ก็เอาเถอะ ยังไงซะปีนี้พวกชั้นก็ยังไม่มีสิทธิคัดเลือกพวกเธอในรอบแรก เพราะฉะนั้นก็สบายใจได้ แต่ก็อย่าได้วางใจไป เพราะถึงยังไงแล้ว พวกชั้นทั้งหกคนก็ยังมีบทบาทในการจัดอันดับให้พวกเธออยู่"

​อันดับอะไรวะ

​"จากนี้ไปอีกสามวัน จะเป็นวันทดสอบความสามารถของพวกเธอในฐานะเชียร์ลีดเดอร์ พวกปีสองจะทำการสอนพวกเธอทุกคนในเพลง Love Leader แค่วันนี้วันเดียวเท่านั้น​"



เดี๋ยววววววววววววววววว

ผมไม่ได้ตกใจในระยะเวลาการซ้อมอันน้อยนิดนะ (เอาจริงๆก็ตกใจนิดนึงแหละ) แต่ที่ช็อคคือ..... ชื่อ​เพลงอะไรนะ?

ทำไมมีลางสังหรณ์แปลกๆวะ

"หน้าที่ในการซ้อมเป็นของตัวพวกเธอเองที่จะต้องรับผิดชอบ" พี่ชมพู่ยังคงว่าต่อ "แล้วพวกชั้นหกคนนี่แหละที่จะตัดสินอันดับให้พวกเธอ อันดับนี้มีผลอย่างมากในตำแหน่งยืนของทุกคนในวันเสาร์อาทิตย์นี้ ​ชั้นเหนื่อยที่จะพูดแล้ว ไหน.. เธอ... ชื่ออะไรนะ? ช่างมันเถอะ มาเล่าต่อซิ ให้ชั้นแหกปากอยู่ได้"

"ค...ค่ะ" พี่หนิงรีบเดินออกมาสองสามก้าว "คืออย่างนี้นะคะน้องๆ ในวันเสาร์อาทิตย์นี้เราจะมีการถ่ายทำโชว์จากพวกน้องๆทุกคนในเพลง Love Leader ที่ได้พี่ตองช่วยแต่งเนื้อร้องและทำนองให้....​"



นั่นไง กูว่าแล้วววววววววววววววววว

​ซื้อหวยทำไมไม่แม่นแบบนี้บ้าง



"....เพื่อใช้ในการลงโปรโมทให้กับน้องๆเอง.... ปีนี้ เราจะมีการใช้กติกาพิเศษเล็กน้อยเพื่อคัดเลือกน้องๆ อย่างที่แจ้งในไลน์กลุ่มคร่าวๆแล้วเนาะ คลิปวิดีโอนี้จะถูกปล่อย ในวันจันทร์พร้อมกับภาพโปรโมทของตัวแทนลีดเดอร์ทุกคณะ แต่พี่คงไม่สามารถให้น้องๆทุกคนมายืนในตำแหน่งหน้าสุดได้นะ เรามีกันเป็นร้อยๆ ดังนั้น พวกน้องจึงต้องแสดงศักยภาพของตัวเองออกมาให้เห็นว่าเหมาะสมกับตำแหน่งแถวหน้า ผ่านการทดสอบในเพลงที่พวกพี่จะสอนในวันนี้ ที่สำคัญไม่ใช่แค่เรื่องของตำแหน่งยืนเท่านั้น แต่ลำดับของการอัพโหลดภาพโปรโมทเพื่อนับคะแนนของแต่ละคนก็จะวัดจากการจัดอันดับครั้งนี้ด้วย จากนั้นอีกหนึ่งอาทิตย์เราก็จะมาประกาศผลผู้เข้ารอบกัน จะมีแค่ยี่สิบสี่คนเท่านั้นนะคะ"

"คราวนี้ก็เข้าใจแล้วนะว่ามันสำคัญยังไง" พี่ชมพู่จอมโหดกลับมาอีกครั้ง "ถ้าคิดจะเป็นลีดของมหาลัยนี้ เธอก็ต้องสู้ จากคนเป็นร้อยทำยังไงเธอถึงจะโดดเด่นและเป็นที่จดจำ ตำแหน่งแถวหน้ากับรูปที่ปรากฎมาเป็นคนแรกๆ ไม่ใช่อะไรที่จะมามองข้ามกันได้ การใส่ใจรายละเอียดเล็กๆพวกเธอทุกคนคงได้เรียนรู้จากการเป็นลีดของคณะมาแล้ว ​ไหนว่าต่อซิ​"

"อ๋อ ค่ะ!" พี่หนิงสะดุ้งนิดหน่อย "ส่วนการทดสอบและประกาศอันดับจะมีขึ้นในวันศุกร์นี้ ที่นี่ ระหว่างนี้น้องๆก็จะต้องผลัดเปลี่ยนกันไปถ่ายภาพโปรโมทของตัวเองที่ห้องข้างๆนะคะ พี่นิคจะดูแลอยู่ที่นั่น แล้วก็อย่าลืมแคปชั่นที่พี่สั่งให้ส่งพรุ่งนี้ด้วยนะคะ จะยาวแค่ไหนก็ได้ แต่ถ้าพรุ่งนี้ใครส่งช้า พี่จะไม่ลงให้นะ รับผิดชอบกันเอาเองนะคะ.... พี่ชมพู่มีอะไรจะเพิ่มเติมอีกไหมคะ"

"ไม่มีแล้ว รู้แค่นี้ก็พอแล้ว ที่เหลือก็ไปคิดกันเอาเองก็แล้วกัน... อ้อ พวกเธอทุกคนได้เข้าไปในตึกลีดมหาลัยกันแล้วใช่ไหม นั่นน่ะคือความใจดีของชั้น แต่จงรู้ไว้เสมอว่า ถ้าเธอต้องการจะเข้าไปในนั้นอีกครั้งนึง ต้องในฐานะของผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนาเท่านั้น​สั่งน้องให้เอาการ์ดลงได้​"



"น้องๆเอาการ์ดลงได้แล้วค่ะ" พี่หนิงสั่งต่อ

ผมตั้งใจฟังจนลืมไปเลยว่าตัวเองยืนการ์ดอยู่ ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยกายเลย แต่เหนื่อยใจมากกว่า ต้องต่อสู้กับคนเป็นร้อยๆ เพื่อตำแหน่งยืนด้านหน้า ตอนนี้แหละที่ผมเข้าใจแล้วว่า ทำไมตอนนั้นพี่ตองถึงพยายามทวงคืนตำแหน่ง Center มาให้ผม

เหล่าผู้มีอำนาจทั้งหกเดินออกจากหอประชุมไปทันที มาดั่งพายุและไปพร้อมทิ้งหายนะไว้



"เดี๋ยวพวกพี่จะเริ่มสอนเลยนะคะ" พี่หนิงเริ่มกระบวนการทันที "เราจะฉายภาพโปรเจ็คเตอร์วนซ้ำไปเรื่อยๆ น้องๆก็ซ้อมตามท่าเต้นที่เห็นได้เลยนะ จะฟังเพลงก่อนหรือจะซ้อมเลยก็ตามใจ แล้วเดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมงพี่จะค่อยๆเรียกทีละคณะขึ้นมาเก็บรายละเอียดบนเวที... แต่หลังจากจบเพลงรอบแรกแล้ว ให้น้องลีดคณะวิทย์ไปที่ห้องถ่ายภาพก่อนเลยนะคะ เสร็จแล้วค่อยกลับมาซ้อมต่อ"



​ความวุ่นวายเกิดขึ้นทันทีเมื่อเสียงและภาพจากเพลง Love Leader เริ่มขึ้น

ทุกคนมองที่โปรเจ็คเตอร์เป็นตาเดียว บางคนทำท่าทางตาม เป็นเพลงจังหวะสบายๆที่ค่อนข้างจะมีรายละเอียดของท่าอยู่ไม่น้อย แต่นั่นยังไม่ใช่เรื่องน่าปวดหัวที่สุด ก็เนื้อเพลงนี่ซิ ทำไมมันฟังเหมือน.... ชีวิตของกูเลยวะ



--------------------------

…..LOVE LEADER…..



Hoo…  Haa… My Laeder…



จากวันที่เธอได้เดินผ่านไปก่อน  จากวันที่เธอไม่มองกลับหลัง

ฉันเฝ้าตามเป็นเงาอยู่ไม่ไกล



เธออาจไม่เคยรู้ว่าฉันอยู่  ไม่เคยรู้มีคนตามไป

ไม่เป็นไร...ไม่หวังให้หันมา



กี่ทางที่อาจจะล้ม  มันคง...เป็นทางที่เคยพบเจอ

แค่มีร่องรอยของเธอ  ก็พร้อมจะเจอทุกปัญหา

หากเธอได้รู้เมื่อไหร่...  คงคิดว่าเพี้ยนสินะ

แต่ไม่ว่ายังไง ไม่หนีจากหลังเธอ



My Love Leader เธอคือผู้นำของหัวใจ

จะออกวิ่งตามไป  ไม่ยอม  ไม่เหนื่อยล้า

My Love Leader เธอพาความรักของฉันมา

มาตามหา คนกุมชะตาของหัวใจ



มันคือแสงที่ฉันตามไป  มันคือทางที่ไม่เข้าใจ

แต่ไม่ว่าจะไกลแค่ไหนจะไปพบเธอ

อาจจะบ้าที่ไม่ยอมกลับหลัง  ทั้งที่อาจจะพังเพราะเธอไม่สนบ้างเลย

แต่ก็ไม่รู้! แค่ยิ้มเฉยๆ ให้กันก็พอ



เธอยังมีแรงเดินอยู่ใช่ไหม

สุดปลายทางยังมีต่อหรือเปล่า

ฉันยังตามเป็นเงาอยู่ไม่ห่าง



เธออาจไม่เคยรู้ว่าฉันอยู่  ไม่เคยรู้มีคนตามไป

ไม่เป็นไร...ไม่หวังให้หันมา



กี่ทางที่อาจจะล้ม  มันคง...เป็นทางที่เคยพบเจอ

แค่มีร่องรอยของเธอ  ก็พร้อมจะเจอทุกปัญหา

หากเธอได้รู้เมื่อไหร่...  คงคิดว่าเพี้ยนสินะ

แต่ไม่ว่ายังไง ไม่หนีจากหลังเธอ



My Love Leader เธอคือผู้นำของหัวใจ

จะออกวิ่งตามไป  ไม่ยอม  ไม่เหนื่อยล้า

My Love Leader เธอพาความรักของฉันมา

มาตามหา คนกุมชะตาของหัวใจ



ภาพฝันของทุกคืนวัน  คือฝันฉันและเธอ

ได้เคียงข้าง ได้กุมมือเธอเพียงสักครั้ง

ไม่ต้องวิ่งตามหลังเธอ อยากมีซักครั้งจัง

จะเก็บภาพลงฝังให้ลึกสุดหัวใจ



My Love Leader เธอคือผู้นำของหัวใจ

จะออกวิ่งตามไป  ไม่ยอม  ไม่เหนื่อยล้า

My Love Leader เธอพาความรักของฉันมา

มาตามหา คนกุมชะตาของหัวใจ



You are my Leader always…..

(สามารถฟังเพลงนี้ได้ใน https://www.youtube.com/watch?v=hu9cBhh-Oc0 )

​--------------------------------



"...!!!!!!!!!!!!"

ช็อคไปเลยกู

นี่ไอ้พี่ตองบ้ามันเอาชีวิตกูมาตีแผ่แบบนี้เลยเหรอ



​ฮืออออ..... ​กูร้องไห้ตอนนี้ได้ไหมเนี่ย

แล้วมันเอาเวลาที่ไหนไปทำวะ



"พวกเรารีบไปถ่ายรูปกันเถอะ" ผมชวนเพื่อนๆ ไม่อยู่ตรงนี้ดีกว่า



"คิดถึงจัง"

จู่ๆไอ้พี่ตองก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ นี่มันผ่านความวุ่นวายถึงตัวผมเร็วขนาดนี้เลยเหรอ

"ไม่ไปคุมปีหนึ่งซ้อมเหรอ" ผมต้องหาเรื่องพูดแก้เขิน ​ก็ใครมันจะไม่เขินบ้างล่ะ

​"ไปคุมที่ห้องถ่ายภาพ ก็คุมน้องเหมือนกัน แถมได้อยู่กับชาด้วย"

นั่นไง ดูมัน ไม่ต้องมาทำยิ้มกริ่มเลยนะ จะด่ามันว่าบังอาจเอาเรื่องของผมมาแต่งเป็นเพลงตรงนี้ก็ไม่ได้ ​นี่กูจะต้องโดนมันหยอดไปอีกนานแค่ไหนเนีย

​"ไม่ต้องเลย ไปดูคนอื่นโน่น เดี๋ยวเค้าจะหาว่าไม่ดูแลน้อง"

"เปล่าครับ พี่ต้องไปดูแลที่ห้องโน้นอยู่แล้ว หน้าที่ของพี่วันนี้"

สรุปคือ... ​เออ จะทำไรก็ทำเถอะ มึงทำซะขนาดนี้แล้ว กูยอมแพ้ก็ได้วะ

"แล้ว... ชาชอบเพลงที่พี่แต่งไหมครับ"

ไอ้บ้า กูไม่ตอบหรอก

ไปดีกว่า...



"พี่ตองครับ พี่ตอง"

ผมอุตส่าว่าจะออกจากหอประชุมให้เร็วแล้วนะ แต่ก็มาสะดุดกับเสียงเรียกไอ้พี่ตองของใครบางคน

"พี่แต่งเพลงเพราะมากเลยครับ"

หึ? นั่นมันข้าวเจ้านี่หว่า

"อ...อ๋อ ขอบคุณครับ พี่ก็แต่งไปตามประสบการณ์ชีวิตของคนรอบๆตัวนั่นแหละครับ"

"นึกว่าได้แรงบันดาลใจมาจากผมซะอีก ตรงกับชีวิตของผมเลย"

"ครับ?"



​อะไรนะ?

​นี่มึง ไอ้ข้าวเจ้า พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงวะ....



"คือผมหมายถึง... ผมก็กำลังตามหลังใครบางคนอยู่เหมือนกัน" นี่มึงจะพูดอะไรกันแน่ "ฮ่าๆๆ ผมตามหลังพี่มาไงครับ เพราะว่าผมมีของจะให้ ​นี่ครับ ​ขนมตาลร้านโปรดที่พี่ชอบกินตอนมัธยม"

"ห๊ะ!?... คือ.. เอ่อ..."

"ทำไมเหรอครับ พี่ไม่ชอบเหรอ ผมนึกว่าพี่ชอบขนมไทยที่ทำมาจากใบตองซะอีก"

"งั้นก็ขอบคุณนะครับ แต่วันหลังไม่ต้องก็ได้นะน้อง พี่เกรงใจ"

"ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ ผมเต็มใจ ผมรู้ว่าพี่คงชินแล้วแหละที่มีแฟนคลับเอาของมาให้แบบนี้ ผมชื่อข้าวเจ้านะพี่ ถ้าวันหลังพี่อยากได้.."



"​พี่ตอง!! พี่นิคเรียกแล้วครับ" 

นี่กูทำบ้าอะไรของกูเนียยยยยยยยย

ไปพูดแทรกบทสนทนาของเค้าสองคนทำไม สมองกูนี่ก็ห้ามปากไม่ทันเลย



"อ... อ๋อ เอ่อ... พี่ขอตัวก่อนนะครับ"

ผมรีบออกเดินไปต่อ ไม่อยู่ต่อหรอกหลังจากทำเรื่องน่าอายออกไป



"ไหนครับ พี่นิคเรียกพี่แล้วเหรอ ไม่เห็นพี่นิคแถวนี้เลย"

"....." ยังจะมาพูดอีกนะ กูจะโกรธหรือกูจะอายดีวะ

"หึงเหรอคร้าบบบบ"

"พูดบ้าไรเนีย" นี่มันที่สาธารณะนะ ดีนะที่เดินรั้งท้ายแถวออกมา "จะทำอะไรก็ทำเหอะ"

"จริงอ่ะ อะนี่ กินไหมครับ ขนมตาล พี่จำได้ ห่อแบบนี้ ร้านป้าแก้วแถวๆโรงเรียนเก่าแน่นอน อร่อยแบบขนมไทยแท้ๆ"

"ไม่กินเว้ย" มึงยังจะกล้ามาชวนกูกินอีกนะ เดี๋ยวก็โบกให้หรอก คืนนี้เตรียมนอนนอกห้องได้เลย

"อ้าว ไหนบอกไม่หึงไง"

"ไม่ได้หึง ไม่ชอบกิน"

"หว้า... ไม่มีใครกิน งั้น... เอาไปทิ้งดีกว่า"

"​เห้ยยย ​เดี๋ยวๆๆ" นี่ก็ไวเหลือเกิน จะโยนลงถังขยะจริงๆด้วย "ของเค้าอุตส่าให้มา จะมาทิ้งเพราะชาได้ไงเล่า เก็บไว้กินเหอะ แต่... ไม่ต้องมาชวนชากินด้วยนะ"

"ฮั่นแน่ หึงจริงๆด้วย" นี่คือมึงจะทดสอบกูใช่ไหม โอ๊ย ไม่รู้ด้วยแล้ว จะทิ้งจะอะไรก็เลยของมึงเถอะ "เดี๋ยวซิครับ อะนี่ไง พี่ทิ้งแล้ว"



เชี่ยยยยยยยย

ทิ้งจริงด้วย!

ต่อหน้าต่อตากูเลย



"ทำบ้าไรเนี่ย ถ้าเค้ามาเห็นว่าพี่ทิ้งของของเค้าจะเป็นยังไง"

"เค้าก็อาจจะโกรธพี่ก็ได้" ยังจะมายิ้มหน้าระรื่นอีก "แต่ว่า......







.......พี่แคร์คนนี้มากกว่า"
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: ChabaSri ที่ 01-02-2018 19:31:02
โอยยยยยเขิน


ข้าวจ้าว...มาแป๊ปเดียวแต่ออร่าความน่ารำคาญแผ่กระจายมากๆ
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 38 [ลบรอย Part 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 09-02-2018 20:32:36
​​ตอนที่ 38 : ลบรอย





"ดีมากครับน้ำชา พี่ขออีกทีนะ"

​แฉ๊ะ

​"ลองเดินเข้ามาอีกครึ่งก้าวได้ไหมครับ แต่อารมณ์ได้แล้วนะ กำลังโอเคเลย"

​แฉ๊ะ



นี่ถ้าเป็นเมื่อสองสามเดือนก่อนหน้านี้ ผมคงจะรู้สึกแปลกมากๆที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ ยืนยิ้มกว้างพร้อมกับเก๊กหล่อใส่หน้ากล้องถ่ายรูป เป็นอะไรที่.... เคยน่าขนลุกสำหรับผม

แต่ตอนนี้อะเหรอ ก็ยังแอบเขินตัวเองหน่อยๆ เพียงแต่ว่าผมคุ้นชินกับช่างถ่ายภาพและพอจะรู้ใจของคนกดชัตเตอร์เสียมากกว่า ก็เลยกล้าลงมือทำโดยไม่ได้สนใจว่ามีเพื่อนๆสิบกว่าคนยืนอ้าปากค้างดูผมเป็นนายแบบภาพถ่ายอย่างรู้งาน



"เรียบร้อย" พี่นิคให้สัญญาณเสร็จสิ้นภารกิจของผม พี่เค้ามองดูภาพถ่ายในกล้องของตัวเองด้วยรอยยิ้มอย่างถูกอกถูกใจ

"ขอบคุณครับพี่" ผมไม่ลืมที่จะขอบคุณ

"เออ พี่ดิต้องขอบใจ ที่น้ำชาช่วยมาเป็นตัวอย่างให้เพื่อนๆดูก่อน เก่งขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยนะ"

"ไม่หรอกครับ" อย่าชมดิพี่ เขิน

​"แล้วเห็นภาพหน้าร้านที่น้องไปเป็นแบบหรือยัง คอนเล็คชั่นใหม่ของ Wrangler รูปใหญ่เลยแหละ"

"จริงดิพี่"

"ทำไมอ่ะ? เอ็งต้องดีใจดิ มีแต่คนเค้าอยากขึ้นรูปใหญ่ทั้งนั้น"

"ไม่รู้ดิพี่... ผมยังรู้สึกแปลกๆอยู่เลย"

"เอาน่า เดี๋ยวก็ชิน เดี๋ยวคงได้ถ่ายแบบบ่อยๆแล้วล่ะหลังจากนี้ ถึงขั้นไปขึ้นปฏิทินใหญ่ได้ ยังไงก็อย่าลืมพี่ละกันนะ วันหลังหวังว่าจะมาเป็นแบบให้พี่อีกนะ"

"พูดไปพี่"

"ทำถ่อมตัวนะ... โอเค เดี๋ยวพี่ถ่ายต่อก่อน หรือจะลองเช็คภาพก่อนไหม"

"อ๋อ ไม่อะครับพี่ ผมดูไม่เป็นอยู่ดี พี่คงตาดีกว่าผมเยอะ"

"​จัดไป ​คนต่อไปเชิญครับ​"

"ขอบคุณอีกทีนะครับพี่นิค" ผมกล่าวจบบทสนทนา



​ยิ้มอีกแล้ว

​ไอ้พี่ตองยืนยิ้มอยู่ข้างๆเซ็ต มองดูผมพร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก



"ยิ้มอะไรไม่ทราบ" ผมก็ไม่วายจะกวนประสาทมันนะ

"ก็ยิ้มให้คนเก่งไงครับ" ดูไอ้พี่ตองมันตอบ "ไม่นึกเลยนะว่าการพาชาไปทดลองงานก่อนจะได้ผลลัพธ์ดีขนาดนี้"

"จะทวงบุญคุณหรือไง"

"ถ้าทวงแล้วจะให้ไหมละครับ"

"เห้ย..." อะไรของมันวะ หมายความว่าไง นี่มันคนเยอะแยะนะ

"อะไร พี่ไม่ได้จะทำอะไรซะหน่อย แค่ผมมันบังหน้าชา" แล้วมันก็เอามือใหญ่ๆมาปัดผมที่บังดวงตาของผมออก "เห็นหน้าแฟนไม่ชัดน่ะ รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ"

"เลิกพูดได้แล้ว​" โอ๊ะ ไอ้บ้า ไม่พูดกับมันดีกว่า

ไปช่วยพวกเพื่อนๆดีกว่า



"เงยหน้านิดนึงดิน้อง จะก้มดูอะไรล่ะ"

นั่นไง

พี่นิคเริ่มดุแล้ว

ผมอาสาเข้าไปช่วยจัดท่าทางให้เพื่อนนิดหน่อย ก็ไม่ได้เก่งอะไรหรอกนะ แต่ผมอยู่หน้าจอภาพ มองเห็นหน้าจอพอดี ก็เลยรู้ว่าพี่นิคต้องการอะไร รู้สึกว่าตัวเองจะทำตัวคล้ายๆเมนเทอร์ลูกเกดยังไงก็ไม่รู้



"ไอ้​ตอง​"

เสียงเรียกจากน้ำเสียงที่คุ้นเคยทำให้ผมหันไปให้ความสนใจ

พี่บุ๋นยื่นหน้าเข้ามาให้ฉาก พร้อมกับทำมือกวักเรียกพี่ตองหยอยๆ อย่างกับกลัวว่าใครจะมองเห็น

จากนั้นพี่ตองก็เดินออกไปแบบงงๆ

​มีเรื่องอะไรกันหว่า

​แต่คงไม่มีไรหรอก



"ขวา... ขวาของพี่ดิน้อง ขยับแบบนี้เมื่อไหร่จะถ่ายเสร็จครับ พี่ต้องถ่ายอีกหลายคนนะ"

อ้าว นั่นไง ว่าแล้วเชียว เรียกองค์พี่ลูกเกดกลับมาก่อน



ผมวิ่งเข้าออกฉากอยู่กว่าสิบนาทีจนเริ่มเหนื่อย ก็เลยเปลี่ยนมาเป็นช่วยพี่นิคพูดแทน แล้วก็แอบกระซิบบอกเพื่อนๆที่ยังไม่ถ่ายว่าให้เน้นแสดงอารมณ์เยอะๆ ไม่ต้องกังวลกับมุมกล้อง เดี๋ยวพี่นิคก็บอกเอง ถ้ามุมไม่ได้ แต่ขอให้ตั้งใจฟังดีๆก็พอ



"ชา ชาครับ"

"หึ?" อ้าว พี่ตองนี่นา เข้ามาเมื่อไหร่ "มีอะไรเหรอ"

"คือ... ไอ้บุ๋นมีเรื่องจะคุยกับชาอะ"

"แล้ว?" ไหนล่ะพี่บุ๋น

"มันขอคุยข้างนอก เรื่องส่วนตัวน่ะ"

"แต่ว่าชากำลังช่วยเพื่อน..."

"ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ช่วยเอง อีกสองสามคนก็จะเสร็จแล้วนิ..."

​มีเรื่องอะไรวะ

​"หน่า... นะ ไปเถอะครับ"

"ก... ก็ได้" ผมเดินออกมาจากฉาก ก่อนจะผลักประตูที่อยู่ถัดไป ก็พบกับพี่บุ๋นที่ยืนทำท่าว้าวุ่นใจอยู่ ผมจึงเรียก "พี่บุ๋น"

"อ... เออ ไอ้น้ำชา" พี่บุ๋นดูจะตื่นตกใจมากกว่ายินดีนะที่ได้เจอผม นี่อยากคุยกับผมจริงปะเนี่ย

"มีไรพี่" น่าสงสัย

"คือ... ถ้า..." ทำเอาผมลุ้นไปด้วยเลย "ถ้าเกิดว่า... กูจะขอรบกวนอะไรนิดนึงได้ไหม แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ กูเข้าใจ เพราะบางทีมันก็อาจจะมากเกินไป แล้วก็ไม่ใช่เรื่องของมึงด้วย แต่ถ้าสมมติว่าได้..."

"ใจเย็นพี่" โอ่ตายยยย รัวเป็นปืนกลเลย "พี่จะให้ผมช่วยอะไร"

"คือแบบ..."

"พูดมาเหอะพี่" เรื่องอะไรวะ ทำไมดูอ้ำๆอึ้งๆจัง ไม่สมกับภาพลักษณ์ประธานลีดคณะวิทย์เลย ไหนจะอีผ้าพันแผลเต็มไม้เต็มมือนี่อีก หรือว่า... "พี่จะปรึกษาผมเรื่องพี่ท๊อปเหรอ... โห ไม่ต้องเขินหรอกพี่"

"ไม่ใช่เว้ย!... ก็... ก็ใช่อ่ะ แต่ไม่ใช่แบบนั้น"

"แล้วมันยังไงอะพี่"

"คือเมื่อกี๊กูปรึกษาไอ้ตองมา นึกว่ามันจะช่วยได้ แต่มันบอกวามึงน่าจะช่วยได้มากกว่า เอ่อ..."

"พูดเถอะพี่" นี่ผมชักเริ่มจะใช้พลังงานในการลุ้นกับพี่มากเกินไปแล้วนะ

"ช่วยโทรบอก T-Queen ให้พูดกับพี่ปิงปิงให้หน่อยดิ"

"ห๊ะ?" ให้ใครพูดกับใครยังไงนะ

"คือตอนนี้อ่ะ พี่ท๊อปกับพี่ปิงปิงทะเลาะกันอะ จนเค้าสองคนเลิกร่วมงานกันไปแล้วอ่ะ งานพี่ท๊อปก็เยอะ ไหนจะเรื่องที่ต้องติดต่อกับค่ายที่เกาหลีอีก พี่ก็เลย...."

"เป็นห่วงพี่ท๊อปว่างั้น" กูก็อดไม่ได้ที่จะแซวเนาะ ถึงจะเป็นพี่ก็เถอะ

"กูเป็นห่วงงานพี่เค้าเว้ย ไม่อยากให้เสียเรื่อง อุตส่าซ้อมมาตั้งนาน"

"แหมพี่ เป็นห่วงก็บอกเป็นห่วงเหอะ"

"สรุปว่ามึงจะช่วยไม่ช่วย ถ้าไอ้ตองไม่แนะนำมา กูไม่มาขอร้องมึงหรอก นึกว่าเจ๊ซีซี่จะพอคุยให้ได้ ไม่คิดว่าต้องให้ถึงมือแม่ของมึงหรอก ไอ้น้องเวร"

"อ่ะๆๆๆ เดี๋ยวผมลองคุยกับแม่แป๊บนึงก่อนละกันพี่" รู้แล้วว่าทำไมพี่ท๊อปถึงหลงเสน่ห์พี่บุ๋น ตอนโวยวายเป็นคนน่ารักแบบนี้นี่เอง "รอแป๊บนึงนะพี่"

ผมเดินออกไปจากตรงนั้นไม่ไกล ก่อนจะกดโทรศัพท์หาคุณแม่ที่รักของผม แล้วเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง



"โอเคพี่ เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวแม่ผมจะคุยกับพี่ปิงปิงให้" ผมกลับมาพร้อมข่าวดี "แต่คงไม่น่ามีปัญหานะ เพราะพี่ปิงปิงก็ดูท่าจะเป็นปลื้มบริษัทของแม่ผมอยู่แล้ว"

"เห้ย!! จริงดิ" พี่บุ๋นร้องดีใจ

​มว๊ากกก



"เห้ย ไอ้บุ๋น มึงทำไรวะ"

ผมนี่อึ้งเลย

จู่ๆ พี่บุ๋นก็จับหน้าผมไปหอมแก้ม ก็ไม่ได้โดนจริงจังหรอก แต่ก็ช็อคอยู่เหมือนกัน นั่นแหละเป็นสาเหตุที่ทำให้มีอีกคนโวยวายเดินปึงปังเข้ามา

"เมื่อกี๊มึงทำไรน้ำชาวะ" พี่ตองโวยวายใหญ่โต นี่ออกมาจากห้องถ่ายภาพตอนไหนวะ

"ใจเย็นพี่ตอง ไม่มีอะไร" ผมรีบห้าม ไอ้บ้านี่ก็เลือดขึ้นหน้าเร็วเหลือเกิน "พี่บุ๋นไม่ได้ทำไรชา"

"ก็เมื่อกี๊พี่เห็นอยู่อ่ะ ว่าไอ้บุ๋นมันหอมแก้มชาของพี่อ่ะ"

"ไม่ได้โดนซะหน่อย นี่จะบ้าหรือไง ชากับพี่บุ๋นเนี่ยนะ คิดหน่อยดิ" ไอ้พี่ตองบ้า แกนี่ก็ตัวไม่ใช่เล็กๆนะ กูจะกันได้นานไหมเนี่ย

"เห้ยๆๆ โทษทีๆ กูลืมตัวไปหน่อย" พี่บุ๋นรีบแก้ตัว "คือกู..."

"คือไร" พี่ตองถามเสียงแข็ง

"พี่บุ๋นแค่ดีใจที่ชาช่วยเรื่องพี่ท๊อปไว้ได้ ก็เลยดีใจจนลืมตัวไปหน่อยแค่นั้นเอง" ฟังกูก่อนไหม "พี่ก็รู้เรื่องไม่ใช่หรือไง แล้วดูสภาพพี่บุ๋นตอนนี้หน่อย แผลเต็มตัวไปหมด ยังจะไปทำร้ายพี่เค้าเพิ่มอีกหรือไง"

"ไม่รู้อ่ะ ก็มัน..."

"ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ" ผมเริ่มจะหงุดหงิดแทนแล้ว

"อาๆๆ ไม่มีก็ไม่มี แต่ทีหลังมึงอย่าดีใจแบบนี้อีกนะไอ้บุ๋น"

"เออๆๆ กูลืมตัวไปหน่อย โทษว่ะ" พี่บุ๋นเกาหัวตัวเองแก้เก้อ

เห้อ.... สงบลงซะที



​มว๊ากกกกกก



"อะไรของพี่เนีย" ไอ้พี่ตอง แม่ง หอมแก้มกูเฉยเลย คราวนี้โดนจริง อย่างตั้งใจ ไม่ใช้ตัวแสดงแทน ต่อหน้าต่อตาพี่บุ๋นด้วย เล่นเอาพี่เค้าตาค้างไปเลย

"ไม่รู้อ่ะ พี่ลบรอยของไอ้บุ๋น พี่ไม่ยอมให้ใครทิ้งรอยไว้บนตัวชาหรอก"

ดูคำตอบของมันดิ ทั้งทำให้กูโกรธและพูดไม่ออกไปพร้อมๆกันได้ นี่กูต้องตอบยังไงดี



"แหวะ กูอ้วกได้ไหม" พี่บุ๋นพูดแทน

"หุบปากไปเลยมึงอะ" ไอ้นี่ก็ไม่หายเคืองเค้าซะที "ถ้าไม่ใช่มึง กูจะซัดให้ล่วงเลย"

"เออๆๆ ก็ขอโทษแล้วไงวะ... แต่ยังไงก็ขอบใจมึงสองคนมากนะ งั้นก็เข้าไปดูน้องซ้อมกันต่อแล้วนะ"

"ไม่ได้!" อะไรของไอ้พี่ตองอีกวะ "โทษฐานที่มึงทำผิดต่อแฟนกู มึงมาดูที่ห้องถ่ายภาพแทนกูเลย กูจะไปดูน้องซ้อมในหอประชุมเอง"

"อะไรวะ หน้าที่มึงไม่ใช่เหรอ"

"เออ ใครก็เหมือนกันแหละ สภาพเดี้ยงอย่างมึง จะไปช่วยซ้อมเต้นให้น้องได้ไง อยู่สตูอะดีแล้ว"

"......" พี่บุ๋นอ้ำอึ้ง ไม่รับปาก ก่อนจะเถียงกลับมา "มึงจะกลับไปอยู่กับไอ้น้ำชาต่ออะดิ ก็เลยไล่กูมาห้องนี้อ่ะ"

"ไปเหอะน่า..." ใช่จริงๆด้วย ดูความร้ายกาจของไอ้พี่ตอง "เอ่อ... เอางี้ เดี๋ยวกูบอกพี่ท๊อปให้มาอยู่เป็นเพื่อนมึง โอเคไหม"

"ไม่ต้อง กูอยู่ได้ มึงสองคนจะไปสวีทกันต่อก็เชิญเหอะ" พี่บุ๋นหงุดหงิดเฉยเลย แล้วก็เดินจ้ำๆเข้าไปในห้องถ่ายภาพ สวนกับปีหนึ่งที่เดินออกมา



"ไปกันเถอะ" ไอ้พี่ตองชวน

"ไม่ต้องเลย" ผมรีบพูด "พี่ตองนั่นแหละ ไปอยู่กับพี่บุ๋น ทำกับเพื่อนแบบนี้ได้ไง เอาเรื่องชามาเป็นข้ออ้างเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง"

"โห่... ไม่เอาอ่ะ"

"พี่ตอง" ผมเสียงแข็งบ้าง

"ก็เดี๋ยวให้พี่ท๊อปมาอยู่เป็นเพื่อนมันไง พี่อยู่กับไอ้บุ๋นก็เบื่อตายดิ"

"งั้นก็อยู่จนกว่าพี่ท๊อปจะมาก็แล้วกัน เดี๋ยวชาจะไปบอกพี่ท๊อปเอง"

"แต่...."

"ไปเดี๋ยวนี้เลย" ทำกับคนอื่น ต้องโดนซะบ้าง

ผมผลักไอ้คนตัวใหญ่ตรงหน้าอย่างยากลำบาก เพื่อให้มันเดินกลับเข้าห้องไป



"ไปเถอะชา เดี๋ยวได้ท่าเต้นไม่ทันคณะอื่นนะ" เกตุเรียกผม

"โอเคๆ" ผมรีบตอบ

ส่วนไอ้พี่ตองอะเหรอ ก็เดินงอแงเข้าไปในห้องถ่ายภาพ



ผมเดินกลับเข้าไปในหอประชุมพร้อมกับเพื่อนๆคณะวิทย์ เราใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงเพื่อถ่ายภาพ ไม่รู้คณะอื่นจะเสร็จกันตอนไหน แต่มีถ่ายหลายวัน คงทันสำหรับใช้โปรโมทในวันจันทร์หน้าอยู่แล้วล่ะ

ว่าแต่... พี่ท๊อปอยู่ไหนหว่า



อ่อ

นั่นไง



"พี่ท๊อป" ผมเรียก พี่ท๊อปเหมือนจะกำลังมองหาใครอยู่

"อ้าว ว่าไงชา"

"มองหาพี่บุ๋นอยู่ละซิท่า" ผมเริ่มด้วยการแซว

"ก็อย่างงั้นซิครับ" ยอมรับตรงๆเลย พี่ท๊อปนี่คนแมน 2020 ชัดๆ "ยิ่งเจ็บอยู่ด้วย ชารู้เหรอว่าบุ๋นอยู่ไหน"

"รู้ครับ อยู่ห้องถ่ายภาพ ว่าแต่... พี่บุ๋นไปโดนอะไรมาเหรอครับ ถึงมีแผลได้ เมื่อวานยังดีๆอยู่เลย"

"เรื่องมันยาวอ่ะ แต่ก็ไม่เป็นไรแล้วล่ะครับ งั้นพี่ไปหาบุ๋นก่อนนะ"

"แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องที่พี่ท๊อปทะเลาะกับพี่ปิงปิงหรือเปล่า" เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป ผมยังไม่หมดข้อสงสัย

"เอ่อ... ชารู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ"

"รู้ซิ ก็พี่บุ๋นมาขอร้องให้ชาเคลียร์เรื่องนี้ให้"

"ขอร้องชาเนี่ยนะ"

"เรื่องของชาก็ยาวเหมือนกันครับ แต่เอาเป็นว่าชาพอจะช่วยได้"

"ไม่ต้องหรอกครับ พี่เองก็พูดไม่ดีกับปิงปิงไว้แรงอยู่ คงไม่กล้าจะขอให้เค้ามาเป็นบัดดี้ให้อีกรอบ"

"นี่ชาเองพี่ท๊อป ลืมไปแล้วเหรอว่าชาเป็นนักวางแผนระดับพระกาฬ เอาเป็นว่าพี่ก็เคลียร์กับพี่ปิงปิงหลังจากนี้ให้ดีก็แล้วกัน พี่บุ๋นอุตส่ามาขอร้องผมให้ ดีใจจนเผลอมาหอมแก้มผมเนีย ดูแลคนของพี่ด้วยนะ"

"หา?"

"ใช่ พี่ได้ยินไม่ผิดหรอก อย่าให้ผมโดนขโมยหอมแก้มฟรีละกัน... ไปดูแลพี่บุ๋นเถอะครับ"

"อ... อ่อ โอเค"

พี่ท๊อปเดินออกไปด้วยอาการมึนๆนิดหน่อย



งั้นเราก็ซ้อมดีกว่า

เพลงและท่าเต้นยังคงถูกเปิดวนไปเรื่อยๆ ผมกำลังจะหันมาสนใจการซ้อม แต่การเรียกคนขึ้นไปทดสอบดึงความสนใจของผมไปแทน

พี่ๆปีสองเรียกคณะแรกขึ้นไปทดสอบการเต้นบนเวที นั่นคงจะเป็น... คณะสังคมศาสตร์ซินะ ผมจำคนที่ชื่อข้าวเจ้าได้



​จากวันที่เธอได้เดินผ่านไปก่อน....



เพลงเริ่มขึ้นแล้ว



​ว้าววววว

​ไม่ใช่แค่ผมนะที่รู้สึกว้าวกับสิ่งที่เห็น คนอื่นๆที่ดูเหตุการณ์อยู่ก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน

ถึงแม้โดยส่วนใหญ่ คนที่ได้รับการทดสอบบนเวทีในขณะนี้จะยังเต้นกันไม่ได้ เพราะมีเวลาซ้อมกันน้อย แต่ก็มีอยู่คนนึงที่โดดเด่นออกมาจากทุกคน ผมรู้ว่าคุณก็ทายได้... ใช่ครับ ข้าวเจ้า นั่นเอง

นอกจากเกตุแล้ว ผมไม่เคยเห็นใครที่มีทักษะในการเรียนรู้และจดจำได้ดีเท่าเธอเลย จนกระทั่งเจอข้าวเจ้านี่แหละ ถึงรายละเอียดท่าจะยังไม่เฉียบคมเท่า แต่จังหวะ ความจำ และความมั่นใจ เอาไปสองร้อยคะแนนเลย



​You are my leader always.



มีเสียงปรบมือจากในหอประชุม เมื่อการทดสอบครั้งแรกจบลง

พี่ๆ เข้าไปสอนน้องๆแบบรายบุคคล และแนะนำเกี่ยวกับรายละเอียดท่าเต้นแบบคร่าวๆ



อ้าว....

แล้วกูจะมามัวชื่นชมเค้าอยู่ทำไม

ซ้อมซิ!



ผมเริ่มจากการซ้อมแบบที่เคยทำ นั่นคือการดูจนท่าเต้นอยู่ในหัว ฟังเพลงจนไม่ต้องจำ และเริ่มเต้นในท่าที่คิดว่าถูกต้อง แล้วค่อยเก็บรายละเอียดท่าที่คาดว่าจะผิดภายหลัง

เพราะคณะวิทยาศาสตร์ออกไปถ่ายภาพก่อน จึงเป็นคณะอื่นๆที่ได้ขึ้นไปเก็บรายละเอียดท่าเต้น ผมเดาว่าผมคณะของผมคงจะได้ขึ้นช่วงท้ายๆ แต่ถ้าความเร็วในการขึ้นเช็ครายคณะช้าแบบนี้ คงไม่พ้นกินเวลาไปถึงค่ำแน่นอน

จริงอย่างที่ว่า หลังจากที่พวกตัวแทนผู้นำเชียร์ปีหนึ่งนับร้อย ซ้อมกันจนกลิ่นเหงื่ออบอวนไปทั่วหอประชุม ซึ่งตอนนี้แอร์เริ่มจะเอาไม่อยู่แล้ว ผ่านไปสักพักทีม ก.น.ช.ในปลอกแขนสีดำก็เข้ามาดูการซ้อม เพราะตอนนี้พวกเราซ้อมกันจนถึงหกโมงเย็นแล้ว

มีการเจรจาระหว่างคณะกรรมการ ก.น.ช.และผู้นำเชียร์ปีสอง ผมก็ไม่รู้หรอกว่าพวกเขาคุยอะไรกัน แต่ถ้าให้เดาก็คงเป็นการขอให้พวกปีหนึ่งซ้อมต่อจนกว่าจะตรวจสอบท่าเต้นครบทุกคณะ

ส่วนไอ้พี่ตองอะเหรอ ถึงแม้ว่าจะเข้ามาในหอประชุมได้ ก็ไม่ได้มานั่งเฝ้าผมอยู่เฉยๆ ต้องไปทำหน้าที่บนเวที ดูการซ้อมให้น้องปีหนึ่ง แต่ผมจับสังเกตุได้หลายทีแล้วนะว่าสาวๆพวกนี้ พยายามจะให้พี่ตองสอนให้เป็นพิเศษ ​

กูไม่ได้โง่นะ ท่าเต้นของผู้หญิงกับผู้ชายมันไม่เหมือนกันซะหน่อย

โชคยังดีนะที่ไอ้พี่ตองไม่ตอบสนองสาวๆพวกนั้น หรือแอบทำก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็เพราะว่าตอนนี้ผมเองก็มีสมาธิอยู่กับการซ้อมของตัวเอง จะสนใจเรื่องอื่นมากก็ไม่ได้



​โอเค เท่านี้น่าจะพอใช้ได้นะ



"โอ้โห เก่งสมกับที่ฟิตซ้อมมาเป็นปีนะมึงอ่ะ" ไอ้ต้อมเพื่อนสารเลวนั่นเอง "จำได้แล้วเหรอวะ ก็แหงล่ะ เพลงของมึงนิ ท่าเต้นเพลงนี้มึงก็ต้องทำได้ดีอยู่แล้ว"

"เพ้อเจ้ออะไรของมึง" ผมพยายามไม่ให้ความสนใจกับการเปิดประเด็นของไอ้เพื่อนเลวมากนัก เดี๋ยวแม่งต่อความยาวสาวความยืดอีก "ถ้าว่างมาคุยกับกู ก็ไปซ้อมก่อนไหม นี่ไง เพลงจะขึ้นอีกรอบแล้ว"

"กูถึงมาหามึงนี่ไง"

"เพราะ?"

"ให้มึงช่วยดูท่าเต้นให้หน่อย คณะกูยังไม่ได้ขึ้นเวทีเลย"

"ให้กูสอนมึงเรื่องเรียนอย่างเดียวก็พอแล้วมั้ง"

"เอาน่า ลีดผู้ชายในห้องนี้ไม่มีใครเต้นได้เท่ามึงล่ะ ยกเว้น ไอ้ข้าวเจ้าไรนั่นอะนะ"

"มึงก็ไปให้เค้าสอนให้ดิ"



ตั้งแต่วันที่เธอได้เดินผ่านไปก่อน....

​กรรม เพลงขึ้นอีกรอบแล้ว



"ไปๆๆ กูจะซ้อม" ผมไม่ได้เสียมารยาทที่ไล่มันนะ แต่ผมยังรู้สึกว่าตัวเองเต้นได้ไม่ดีพอที่จะสอนใครได้

"เออ สอนกูหน่อย" ไอ้นี่แม่งเซ้าซี่ "กูก็ไปหาไอ้ข้าวเจ้ามาแล้ว แต่มันเป็นไรไม่รู้ เลิกซ้อมไปแล้ว หลังจากเด็กสังคมออกไปถ่ายรูปมา มันก็กลับมานั่งซึมอยู่ข้างหลัง กูก็เลยพลอยอดให้มันซ้อมให้"

เกิดไรขึ้นวะ....?

ช่างมันเถอะ

"เออๆ งั้นมึงก็อยู่หลังกูละกัน ลองเต้นตาม ถ้าท่าไหนที่ทำไม่ได้หรือรู้สึกสงสัย ก็เอาไว้ถามกูหลังจากจบเพลง โอเคนะ"

"จัดไป"
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 38 [ลบรอย Part 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 09-02-2018 20:34:00
(ต่อ Part 2)

แล้วผมก็เริ่มสวมวิญญาณเมนเทอร์ลูกเกดอีกครั้ง เอิ่ม.... ไม่ใช่ซิ เรื่องเต้นต้องเป็น ตู้ ดิเรก เอ่อ.... อันนี้ก็ไม่ใช่ แก่ไป ช่างแม่ง กูจะมาเล่นมุกทำไมเนีย



"มึงลองงอศอกเข้ามาก่อนดิ แล้วค่อยวาดมือเป็นวงผ่านหน้าไปตรงๆ ทำเหมือนฉาบปูนแบบโค้งอ่ะ" ผมยังคงแนะนำไอ้ต้อมอยู่

"อ๋อ เข้าใจๆ" ไอ้ต้อมร้องดีใจ "แบบนี้ใช่ป่ะ"

"เออ"

ไม่เสียแรงที่ไอ้ต้อมตัดสินใจมาเข้าร่วมคัดเลือกผู้นำเชีบร์ของมหาวิทยาลัยด้วยกัน ในวันที่มันพูดว่าจะมาเป็นลีด ผมก็ไม่คิดว่ามันจะมาถึงจุดนี้ได้ มันอาจจะสูง หล่อ และเท่ แต่ก็ไม่เคยมีความคิดเรื่องแบบนี้มาก่อน พอได้ดูมันเต้นจริงๆจังๆแบบนี้แล้วก็เห็นชัดๆเลยว่า มันก็เป็นคนที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมของผู้นำเชียร์คนหนึ่ง ถ้ามันจะได้ไปถึงรอบสุดท้ายก็คงไม่น่าแปลกใจ

"แต่กูล็อกแขนแบบมึงไม่ได้ว่ะ ทำไงวะ กูว่ามันเท่ดี สอนมั่งดิ"

แน๊ะ ถามเคล็ดลับระดับลึกเลยนะมึง "ไม่รู้เว้ย มันเป็นไปเอง" กว่าพี่ตองจะสอนให้กูทำได้ขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ขอกูเก็บไว้เป็นไม้ตายของตัวเองบ้างละกัน

"โด่ งกนะมึง สอนกูหน่อย เร็ว"



"ต่อไป คณะวิทยาศาสตร์ค่ะ"

พระเยชูเจ้า ช่างส่งจังหวะที่ดีมาให้ลูกจริงๆ "กูไปก่อนนะ ซ้อมไปๆ มึงอ่ะ"



ผมขึ้นเวทีพร้อมเพื่อนๆอีกสิบเอ็ดคน ตอนนี้สภาพของแต่ละคนแทบจะไม่เหลือเค้าชุดนิสิตสะอาดเรียบร้อยแล้ว หน้ามัน เหงื่อชุ่ม เนื้อตัวร้อนกันหมด



"โอเค พร้อมนะคะ"



ตั้งแต่วันที่เธอได้เดินผ่านไปก่อน....

แล้วเพลงก็ขึ้น

ผมก็เต้นตามที่ซ้อมนั่นแหละครับ แล้วก็เป็นไปตามที่ตั้งใจซ้อมมา รู้สึกว่าหลายๆคนจะหยุดดูการเต้นของผมนะ เหมือนมีดวงตานับร้อยคู่จ้องมายังไงไม่รู้ โดยเฉพาะตาของไอ้คนตัวสูงตรงหน้า

ไอ้พี่ตอง ไม่คิดจะกระดิกตาไปมองคนอื่นบ้างเลยหรือไง เวทีนี้กูไม่ได้ยืนอยู่คนเดียวนะ



​แป๊ะ แป๊ะ​ แป๊ะ​ แป๊ะ​ แป๊ะ​ แป๊ะ​ ....



ดูมัน..... ไอ้พี่ตองปรบมือขึ้นมาซะงั้นหลังจากเพลงจบ

กูละอยากจะแทรกแผ่นดินหนี



"จ้าๆๆ น้องมันเต้นดี ต้องปรบมือให้ด้วยใช่ไหม ทีคณะอื่นไม่ปรบมือบ้างเลยนะ" พี่หนิงแซวพร้อมกับกรอกตาใส่พี่ตอง ไอ้พี่ตองแม่งก็เว้อร์เกิน ชอบทำอะไรออกหน้าออกตา นี่มึงเป็นเจ้าชายตองแห่งหอคอยเกียรติยศนะ ไม่รักษาภาพลักษณ์บ้างเลย

"ก็คณะนี้ถูกใจเราอ่ะ ก็ต้องปรบมือดิ ใช่ไหมไอ้เก้อ" ดูไอ้พี่ตองมันพูดดิ ต้องให้กูหน้าแดงออกมาตรงนี้ให้ได้ใช่ไหม แค่นี้ก็จะเก็บอาการไม่ไหวอยู่แล้ว

"เออ ครับๆ คุณชายตอง ถูกใจมากกกกกกครับ" พี่คนที่ชื่อเก้อคงจะเอือมกับไอ้พี่ตองซินะ

"พอๆๆ ไปเก็บลายเต้นให้น้อง" พี่หนิงสั่ง "น้องผู้หญิงมาทางนี้ค่ะ ส่วนผู้ชายไปทางโน้น เสร็จแล้วลงเวทีได้เลยนะ คณะอื่นจะได้ขึ้นต่อ"



"มา! พี่สอนให้" นั่นไง ไอ้พี่ตอง เร็วเหนือแสงจริงๆ เข้าประชิดตัวกูเมื่อไหร่วะ

"ไม่ต้องเลย มึงอ่ะ ไอ้ตอง มาช่วยน้องทางนี้นิ น้องน้ำชามันเต้นได้แล้ว" พี่เก้อเรียก

"ไปซิ" เออๆ รีบไปเลยโน่น พวกไอ้สุ่ยยังเต้นไม่ได้เลย

"โห่ ไล่พี่อีกแล้วนะ" ดูความงอแงของมัน

"ไม่ได้ไล่ เดี๋ยวเพื่อนพี่จะว่า ไปเถอะ..." ยังจะยืนทำหน้าหล่อ เอ้ย หน้างอใส่กูอีก "ไปซิ.... ด...เดี๋ยวคืนนี้ค่อยว่ากัน ไปได้แล้ว เร็ว อายเค้า มายืนทำมุ้งมิ้งอยู่ได้"

"พูดแล้วนะ"

เออๆ ไปได้แล้ว ออกไปจากตรงนี้ก่อน คนมองเต็มไปหมดแล้ว

กว่าจะทำให้ไอ้คนตัวสูงยอมทำตามที่พูดได้ แต่ก็ต้องกลายเป็นได้ครึ่งเสียครึ่งอยู่ดี ​กูเอ๊ยยยย



หลังจากเก็บรายละเอียดท่าเต้นโดยพี่ๆลีดมหาลัยเสร็จ ผมและเพื่อนๆคณะวิทย์ก็เดินลงมา เพื่อให้คณะอื่นขึ้นไปต่อ ผมก็กะจะไปซ้อมต่อ แต่มันดันไปเห็นอย่างนึงที่ทำให้สะดุดตา

ข้าวเจ้า นั่งซึมอยู่จริงๆด้วย



​เชี่ยยยยยยย



เข้าใจแล้วว่าทำไมมานั่งเศร้าอยู่ที่มุมหอประชุมคนเดียว

​ขนมตาล

​ถุงพลาสติกที่มีขนมตาลอีเหละเขะขะถูกวางไว้บนตักของคนที่กำลังนั่งก้มหน้าซึม



กูควรไปปลอบใจเค้าดีไหมวะ

​​หรือควรจะปล่อยไปดี

​แต่สาเหตุก็มาจากเรานะ

แต่ถ้าเราไปปลอบใจก็เท่ากับเราส่งเสริมให้เค้ามายุ่งกับพี่ตองอะดิ

เอาไงดีวะ....



"นาย" ​อ้าว ​ปากกูนี่ไวกว่าความคิดตลอดเลย "ข...ข้าวเจ้า"

เด็กหนุ่มหน้าตี๋เงยหน้าขึ้นมามองผม

ทำไมทำหน้าอึ้งๆแบบนั้น ​เค้าจะโกรธกูไหมวะ

​"เรื่องขนมตาลอะ..." จะแก้ตัวให้ไอ้พี่ตองว่ายังไงดีล่ะ จะบอกยังไงว่าทำไมมันไปอยู่ในถังขยะ

"เนี่ยอะเหรอ พี่ตองเค้าคงรังเกียจเราอ่ะ"

กรรม "ไม่ใช่อย่างงั้น... คือ..." นึกเหตุผลไม่ออกเลยกู "เราเป็นคนให้พี่เค้าทิ้งไปเองแหละ"

ข้าวเจ้าตาค้างเลย เออดิ กูก็อึ้งเหมือนกันที่พูดไปแบบนั้น

ช่างแม่ง โยนความผิดมาให้กูละกัน ดีกว่าให้ไอ้พี่ตองโดนคนอื่นมองไม่ดี ยิ่งกับคนที่เค้าหวังดีด้วยแล้ว ผมว่าผมเข้าใจความรู้สึกนะ เอาตามนี้แหละ

"ก็... ไม่มีเหตุผลอะไรหรอก เราแย่งจากมือพี่เค้าไปทิ้งเองนี่แหละ โทษทีนะ" ไปดีกว่ากู



"ทำไมต้องรับผิดแทนคนอื่นด้วยละน้ำชา"

ใครวะ ใครมาขัดจังหวะการสารภาพบาปของกู

​นั่นไง

​การกลับมาอีกครั้งของ.... พี่กั้ง

"พี่เห็นชัดๆว่าไอ้... เอ่อ... ว่าตองเป็นคนทิ้งด้วยมือของเค้าเอง"

เอาแล้วไง เห็นด้วยเหรอวะ ผมหันไปมองข้าวเจ้าที่มองตาลอยๆฟังเหตุการณ์

"มันก็เหมือนกันแหละพี่ ผมเป็นคนบอกให้พี่ตองทิ้งเอง" กูต้องเถียงซินะ

"แต่ที่เห็นมันไม่ใช่นะ ตองอ่ะ จงใจทิ้งของของน้องคนนี้" จะพูดให้มันได้อะไรขึ้นมาวะ จากที่เคยเฉยๆ ตอนนี้พี่ชักจะล่วงล้ำกันมากเกินไปแล้วนะ "พี่ไม่ได้อยากสอนอะไรเรานะ แต่ตองเป็นถึงคนมีชื่อเสียงอันดับต้นๆของมหาลัย กับของแค่นี้ เค้าทิ้งได้ไม่ยากหรอก หรือแม้กระทั่งกับบางคน ที่เค้าอาจจะทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้..."

"พี่อย่ามาพูดแบบนี้นะ"

เดี๋ยวๆๆๆ

ต้องเป็นกูซิที่เป็นคนต่อปาก ข้าวเจ้าลุกขึ้นมาเถียงแทนเฉยเลย

"ผมอาจจะเสียใจที่ถูกทำแบบนี้ แต่ไม่ได้แปลว่าผมจะต้องไปเกลียดอะไรพี่ตองนะ ผมว่าพี่ไปทำหน้าที่ของตัวเองเถอะครับ"



​เชรดดดดดดดดดดดดด

​อึ้งกันหมด

นี่กูควรออกไปจากตรงนี้หรือเปล่าวะ



"พี่ก็แค่เตือน" พี่กั้งยังไม่วายที่จะทิ้งคำพูดไว้จี้ใจคนฟังก่อนจากไป

นี่คงกะจะให้กูได้ยินด้วยละซิ แค่นี้ไม่สะเทือนหรอก เพราะถ้าเจอกับพี่แอมมาแล้ว แค่นี้ จิ๊บจ๊อยมาก

แล้วกูจะยืนอยู่ทำไมล่ะ ก็ไปบ้างซิ



"เราไม่ได้จะไปลบรอยของใครนะน้ำชา"

เอ่อ..... นี่ข้าวเจ้ามันยังไม่จบเรื่องอีกเหรอวะ เมื่อไหร่กูจะได้ออกไปจากตรงนี้ซะที

"เราก็แค่ชื่นชอบพี่ตอง ไม่ได้คิดจะไปแย่งของๆใคร"

"แย่งอะไรล่ะ พี่เค้าไม่ได้เป็นของใครซะหน่อย" ผมพยายามแก้ตัว จะบ้าเหรอ ให้ผมไปแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ทำไม่เป็นหรอก

"งั้นเหรอ" ข้าวเจ้าหลี่ตาตี๋ๆของมันมองมาที่ผม มึงจะดูพิรุจอะไรในตัวกูรึไง "งั้นถ้าเราจะคุยกับพี่เค้าคงไม่มีปัญหาใช่ไหม"

"......." อ้าว ไอ้เล็บขบแมว มึงจะเอาไงแน่ ถ้าจะเล่นบท บี น้ำทิพย์ กับกู เดี๋ยวกูจะอัญเชิญองค์แม่ลูกเกดเดี๋ยวนี้แหละ

"ล้อเล่นน่า ทำหน้าแบบนี้ แปลว่ายุ่งไม่ได้ซิ ใช่ไหม..." เออ ไม่ให้ยุ่งเว้ย "ไอ้เรื่องใครเป็นคนทิ้งขนมตาล เราไม่ได้มีปัญหาหรอกนะ เราก็แค่แฟนคลับของพี่เค้าคนนึง ต่อให้ตอนนี้ไม่ใช่เรา วันอื่นๆก็คงมีแฟนๆคนอื่นเอาของไปให้พี่เค้าอยู่ดี ถ้าจะทิ้งของๆเราอีก เราก็คงได้แค่ทำใจ แต่เราแค่เป็นห่วงความรู้สึกคนอื่นๆที่ชื่นชอบพี่ตอง... ยังไงก็... ซื้อถุงขยะไว้เยอะๆหน่อยนะ ต้องมีให้ทิ้งอีกเยอะเลยล่ะ.... เราไปซ้อมต่อดีกว่า"



..............รู้สึกเหมือนถูกจี้ใจดำเลย

ที่ข้าวเจ้าพูดมาก็มีส่วนถูก ไอ้พี่ตองเป็นคนมีชื่อเสียงมาตั้งนานแล้ว จะให้มาคอยทิ้งของๆคนที่เค้าอุตส่าเอามาให้เพราะเป็นห่วงความรู้สึกของผม มันก็คงใจร้ายเกินไป แต่ครั้นจะให้เปิดกว้างกับการเข้าถึงของบรรดาแฟนๆ ตัวผมนี่แหละ จะรับประกันตัวเองได้หรือเปล่าว่าจะไม่รู้สึกอะไร......





"เป็นอะไรครับ ทำหน้าเครียดตั้งแต่กลับมาแล้ว" พี่ตองเอ่ยปากถามผมที่นอนอยู่บนแขนของพี่เค้า "เครียดเรื่องซ้อมเหรอ"

"ก็นิดหน่อยอ่ะ" ผมตอบ จะบอกดีไหมน้า

"ชาเต้นได้แล้วนิ ไม่เห็นต้องกังวลเลย ที่สำคัญมีพี่อยู่ด้วยทั้งคนจะกลัวอะไร แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดเรื่องซ้อมเลย มาทำตามสัญญากันก่อนดีกว่า..."

"เดี๋ยวๆๆๆ" ไอ้พี่ตอง แกชักจะหื่นกามขึ้นทุกวันแล้วนะ "เรื่องขนมตาลอ่ะ"

"อ่อ เรื่องนี้นี่เอง ที่ทำให้เครียด พี่บอกแล้วไงว่าถ้าทำให้ชาสบายใจได้ พี่ก็จะทำ ชาห้ามพี่ไม่ได้หรอก"

"ชาไม่ได้จะห้าม แต่ถ้าว่ากันตามหลักการแล้ว ก่อนหน้านี้พี่ตองไม่เคยทิ้งของที่คนเอามาให้เลยนิ แล้วจะมาทิ้งเพราะแคร์ความรู้สึกชาคนเดียวแบบนี้ มันทำให้ชารู้สึกเป็นคนเห็นแก่ตัวนะ"

"พี่รู้ว่าพี่ไม่ควรทำ แต่ว่า พี่อยากทำเรื่องดีๆให้ชาบ้าง นี่แค่สองเดือนเองนะที่พี่ได้มีโอกาสดูแลเทคแคร์คนที่ทำดีกับพี่มาตั้งแปดปี ถ้าต้องเลือกให้ทุกคนเกลียดพี่ แต่ชายังรักพี่อยู่ สำหรับตอนนี้พี่ก็คงเลือกชาก่อน เอาไว้แปดปีผ่านไปค่อยว่ากันใหม่ก็แล้วกันนะครับ"

"นี่มันไม่ช่สมการนะพี่ตอง ชาคิดดีแล้ว พี่ทำตัวเหมือนเดิมเถอะ อย่าเอาของที่คนเค้าอุตส่าเอามาให้ไปทิ้งแบบนั้นอีกเลย ชาเข้าใจความรู้สึกของคนที่ถูกปฏิเสธนะ โดยเฉพาะกับพี่ตอง ชายิ่งเข้าใจดี"

"ก็เพราะอย่างงี้ไง พี่ถึงอยากแก้ไขอดีตที่พี่ทำไว้กับชา"

"เรื่องของชา ไม่ต้องไปคิดแล้ว อยู่ด้วยกันขนาดนี้แล้วไม่ต้องเว้อร์มากหรอก เรียนจบไปพ่อพี่ก็ขีดเส้นให้ชาไปทำงานกับพี่อีกอยู่ดี เพราะงั้นหันไปแคร์คนอื่นบ้างอ่ะดีแล้ว"

ไอ้ตัวสูงคิดนิดนึงก่อนจะถอนใจออกมา "โอเค ก็ได้ครับ ไม่ทิ้งก็ไม่ทิ้ง แต่พูดไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่พี่รู้สึกชอบการบังคับของพ่อ ทำให้อนาคตของเรายิ่งชัดเจนไปอีก ไม่เคยรู้สึกโชคดีขนาดนี้เลย"

"เว้อร์ ออกไปได้แล้ว วันนี้ชาเหนื่อย จะนอนแล้ว"

"ง่ะ ไหนบอกคืนนี้ค่อยว่ากันไง"

"ก็ว่าเสร็จแล้วนี่ไง ไม่ได้บอกว่าจะต้องทำอะไรซะหน่อย คิดลามกตลอด" กูก็มีไม้นี้เหมือนกันนะ ฮ่าๆๆ

"น้ำชาใจร้าย"

พูดเสร็จไอ้พี่ตองก็ลุกออกจากที่นอน เดินไปยืดแขนยืดขาข้างเตียงเฉยเลย อารมณ์ไหนของมันวะ

"พี่เป็นไรอ่ะ"

"ก็วันนี้สอนเยอะ พี่ไม่ได้ซ้อมทุกวันเหมือนชา กล้ามเนื้อมันก็เลยปวดเมื่อยไปหมด" อ้อออ

"มานี่"

"......"

"มานอนตรงนี้"

"ทำไมอ่ะ"

"มาเหอะน่า นอนคว่ำดิ..."

"เดี๋ยวๆๆๆ ชาจะนวดให้พี่เหรอ"

ก็เห็นอยู่ยังจะมาถามอีก ไอ้พี่ตองนี่บ้าจี้หรือไงวะ ตั้งแต่เมื่อครั้งโน้นแล้ว เราจะนวดให้ก็วิ่งหนีเฉยเลย ครั้งนี้ก็เหมือนจะไม่ยอม "บ้าจี้หรือไง"

"ป...เปล่า"

"หรือกลัวชาจะนวดโดนจุดตาย ไม่ต้องห่วงหรอกน่า สมัยที่ชาซ้อมกีฬาเยอะๆ ชาเรียนนวดคลายกล้ามเนื้อมาด้วย ถึงซ้อมบาสหนักๆไปแข่งกับพี่ได้ไง เชื่อมือได้ นอนลงดีๆ เร็วๆ เดี๋ยวดึก"

"ม... ไม่... ไม่ใช่กลัว แต่..."

"แต่?"

"ชาไม่รู้หรอกว่าพี่รู้สึกยังไงเวลาที่ชามาทำอะไรแบบนี้ให้พี่... ถ... ถ้าคืนนี้ชาคิดดจะนอนพักผ่อน ก็....ก็นอนไปตอนนี้เลย ขืนมานวดให้พี่.... พี่คงห้ามใจตัวเองไม่ได้หรอก"

"..............."

นี่เหรอความในใจของไอ้พี่ตอง

​ไอ้บ้าเอ๊ยยยยยยย

​อยู่กันแค่สองคน มึงยังทำให้กูเขินได้ ยอมใจมันจริงๆ

"อ... โอเค" ผมกำลังพูดสิ่งนี้จริงๆซินะ "นอนลงไปเถอะน่า ให้ชานวดให้ก่อน หลังจากนั้น.....







.......จะทำอะไรก็ทำ"
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-02-2018 21:03:27
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 39 [ลีดอ่อน Part 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 13-02-2018 16:50:52
​​ตอนที่ 39 : ลีดอ่อน







"อือหือ สมกับเป็นห้องซ้อมคณะวิทย์ ใหญ่โตหรูหรา" ไอ้ต้อมแสดงความตื่นตาตื่นใจในสถานที่ที่ผมพามันเข้ามา "มีแอร์อยู่ทุกมุมห้องเลย"

"เออ มัวแต่อ้าปากค้างอยู่นั่นแหละ มาซ้อมได้แล้ว" ผมเรียกไอ้เพื่อนสารเลว



วันนี้เป็นอีกวันที่ผมถูกไอ้ต้อมคะยั้นคะยอให้ซ้อมเต้นให้ เพราะไม่มีการซ้อมรวมจากพี่ลีดมหาลัย แถมพี่ตองพี่บุ๋นก็ไปประชุม ผมก็เลยกลายเป็นทางเลือกเดียวของมัน

จึงพามันมาที่ห้องซ้อมเต้นของคณะวิทยาศาสตร์ โชคดีที่ลีดคณะอย่างผมสามารถขอยืมใช้สถานที่ได้ คนอื่นๆก็คงซ้อมเหมือนกัน เพราะพรุ่งนี้เป็นวันทดสอบแล้ว ก็อย่างที่รู้กันดีว่า การทดสอบมีผลต่อตำแหน่งยืนในวิดีโอโปรโมท ทุกคนคงหวังได้แอร์ไทม์กันสุดๆ ถึงแม้ว่า ผมจะพออุ่นใจได้หน่อยๆที่ตัวเองเป็นที่รู้จักของสาธารณชนอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้อยากพึ่งความมีชื่อเสียงตรงนั้นมาก ถ้าสามารถปีนขึ้นไปถึงฝั่งฝันได้ด้วยความสามารถของตัวเองก็อยากจะทำ ไอ้ต้อมก็คงคิดงั้น ไม่งั้นมันคงไม่มาชวนผมออกมาซ้อม ทั้งๆที่มันควรจะไปเฝ้าขิงซ้อมสแตนเชียร์



"ฮัลโหลลลลล ซังกุงสูงสุด"

เจ้านักประดิดประดอยคำคนหนึ่งโผล่มา ไม่ใช่คนเดียวซิ สามคนเลย

ใช่แล้วครับ สามสาวแก๊งนางฟ้าเพื่อนของผมเอง

"มาเร็วนะพวกมึงอ่ะ" ผมแอบตกใจนิดหน่อย ที่เห็นว่าพวกมันมาตามนัดเร็วขนาดนี้ ทั้งๆที่เพิ่งจะผ่านเที่ยงมาไม่กี่นาที "กินข้าวกันหรือยังวะ"

"ยังนะซิ แต่พวกกูเอามาด้วย" อิช้างเจสซี่ชูกล่องอาหารของพวกมันให้ดู หลายกล่องไปไหม "แล้วกูก็ซื้อมาเผื่อมึงด้วย กูรู้ว่าช่วงนี้มึงซ้อมหนัก กูไม่เห็นมึงกินข้าวเที่ยงหลายวันแล้ว  เนีย กูทำเพื่อมึงขนาดนี้แล้ว อย่าลืมบุญคุณกูล่ะ... ​ต้อมก็กินได้นะ เราซื้อมาให้ด้วยเหมือนกัน​" พอคุยกับผู้ชายหล่อๆนี่มึงเปลี่ยนเสียงเร็วเชียวนะ

"เออ ขอบใจมากกกกก" ผมเลียนเสียงของมัน "แล้วไหนอ่ะกีต้าร์ที่กูให้หามาให้อะ"

"นี่ไง" อิเล็กเป็นคนตอบ มันยื่นกระเป๋ากีต้าร์สีดำใบใหญ่ที่ไม่เข้ากับมันมาให้ผม "วันหลังจะเอาอะไร ช่วยบอกกูเนิ่นๆหน่อยนะคะ บอกกูฉิวเฉียดขนาดนี้ ดีนะที่กูสามารถใช้ความสาวความสวยของกู ไปขอยืมกีต้าร์เพื่อนในเอกมาได้"

"เว้อร์ละอิเล็ก กูต่างหากที่ไปหามาให้ แค่บอกว่าอิชายืมแค่นั้นแหละ" วาวาเปิดเผยความจริง

"พูดมากอิวาวา มันก็เหมือนกันนั่นแหละ เค้ารู้ว่ากูใช้มึงให้ไปยืมไง เค้าก็เลยให้มา ถ้าไม่ได้บารมีของกู เขาก็คงไม่ได้มาหรอก"

"ขี้ตู่ชัดๆ เค้าให้เพราะอิชาหรอก ใครๆก็รู้ว่ามันฮอตในหมู่ผู้ชายขนาดไหน ขนาดเพื่อนผู้ชายในเอกยังหมายมันตั้งหลายคน"

"พอๆๆๆๆ" กูละปวดหัวจริงๆ นี่กูมีเพื่อนเป็นตัวประหลาดสามคนนี้ได้ยังไงวะ "เถียงไรกันอยู่ได้"

"มึงนั่นแหละ" "มึงแหละ"

ยังอีก อิพวกนี้นิ

"มึงเอากีต้าร์มาทำไมวะ" ไอ้ต้อมถาม ระหว่างนั้นมันก็ถูกอิสามใบเถากระเซะอยู่เนืองๆ

"เอามาอัดเพลงไง" ผมตอบ "อัดเพลงเอาไว้ จะได้มีสมาธิกับการซ้อมเต้น ที่สำคัญให้พวกอิเจสซี่ช่วยร้องเพลงไว้ให้ด้วย ​ว่าแต่ ​นี่! อิช้าง"

"อะไร" ยังจะมาถาม

"เลิกแทะโลมเพื่อนกูแป๊บนึง กูจะถามว่าพวกมึงมีเวลาร้องเพลงให้กูแน่นะ จะไปทันซ้อมสแตนใช่ไหม"

"ทันๆ เค้านัดตั้งบ่ายครึ่ง กว่าคนจะครบก็บ่ายสอง โดมอยู่แค่นี้เอง มึงกินข้าวก่อนเหอะ ไม่ต้องรีบ ​ต้อมด้วยนะ กินข้าวกันๆ​"

"ยุ่งกับเพื่อนกูมาก เดี๋ยวโดนเจ้าของเค้าทุบ กูไม่รู้ด้วยนะ"

"น้ำขิงอะนะ ไม่กลัวหรอก เราเป็นเพื่อนกัน แฟนเพื่อนก็เหมือนแฟนเรา เนาะๆ"

พูดไป ไม่เคยเห็นขิงตอนโมโหซะแล้ว

รีบกินข้าวดีกว่า จะได้อัดเสียงเสร็จเร็วๆ





"พวกกูไปก่อนนะมึง ไปนะคะต้อม ซ้อมเสร็จแล้วจะกลับมาหานะ"

หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจการทำเพลง สามเกริลแก๊งนางฟ้าของผมก็ไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ ส่วนผมกับไอ้ต้อมก็ได้เวลาซ้อมแล้ว



"ไอ้ชาเย็น ทำไมท่านี้กูทำไม่ทันวะ"

"นั่นดิ กูก็เหมือนกัน พี่ลีดมอก็แนะนำท่านี้มาเหมือนกัน บอกว่าท่ากูยังไม่ตรงจังหวะ"

"ท่อนจบซะด้วยนะ"

"นั่นดิ... ลองซ้อมเยอะๆดูละกันมึง เผื่อจะดีขึ้น"

ตอนนี้เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นซะแล้วซิ ท่าสุดท้ายของเพลงนี้ มีรายละเอียดของท่าเยอะมาก แล้วก็เร็วด้วย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นจุดพีคของโชว์ เมื่อวานสบายใจไปหน่อยที่ทำท่านี้แบบข้ามๆ วันนี้ก็เลยต้องมายืนเกาหัว



"ว่าแล้วเชียวว่าชาต้องอยู่ที่นี่"

อ้าว "เกตุ" ​*แล้วก็...* "พี่กอล์ฟ หวัดดีครับ"

"ดีน้อง" พี่กอล์ฟ อดีตเดือนมหาลัยสุดหล่อ ผู้กุมหัวใจดาวมหาลัยปีนี้อย่างเกตุ ทักทายผมและไอ้ต้อม เมื่อทั้งสองเข้ามาในห้องซ้อม

"เมื่อกี๊เกตุโทรไปยืมห้องซ้อมกับพี่บุ๋น แต่พี่เค้าบอกว่ามาได้เลย ห้องเปิดอยู่แล้ว คิดอยู่แล้วเชียวว่าต้องเป็นชา" เกตุเล่า "ว่าแต่... ต้อมก็มาซ้อมที่นี่ด้วยเหรอ"

"ซ้อมเป็นเพื่อนไอ้ชาอ่ะ มันเต้นไม่ค่อยได้ เราเลยมาช่วยดูให้"

กล้าพูดนะมึงอ่ะ ถึงจะติดตลกก็เถอะ

"อืมมมมม มีคนเก่งกว่าลีดอัจฉริยะของคณะวิทย์ด้วยเหรอเนีย" เกตุก็พูดเกินไป

"พูดไป ถ้าอัจฉริยะจริง เราก็คงทำท่าสุดท้ายได้ไปแล้วซิ"

"อ้าว ชาเองก็ยังทำไม่ได้เหรอ เราว่าจะมาถามถึงท่านี้แหละ"

"ยังอ่ะ เหมือนเราเก็บรายละเอียดท่ามาไม่ครบอ่ะ แล้วจังหวะเกินระหว่างคำมันก็เยอะด้วย ไม่รู้ว่าต้องใช้เทคนิคไหนถึงจะทำให้ออกมาดูดี"

"แล้วไม่มีใครสอนให้เหรอ"

"ใครจะมาสอนให้ล่ะ มีกันอยู่แค่นี้"

"ก็... พี่ตองไง"

"บ้า! พี่เค้าจะว่างมาสอนได้ไง"

"ก็อยู่คอนโดด้วยกัน ไม่ว่างสอนให้บ้างเลยเหรอ"

"....."  เห้ยยยยยย รู้ได้ไงวะ นอกจากกลุ่มคนที่สนิทๆ ก็ไม่น่าจะมีใครรู้นี่นา

"อึ้งละซิ นี่ คนนี้บอก"

"อ้าว ตัวเองอ่ะ ไปบอกชาแบบนั้นได้ไงล่ะ" ที่แท้ก็พี่กอล์ฟนี่เอง ถ้าพี่กอล์ฟรู้ ก็แสดงว่าหลายๆคนคงจะรู้ซินะ "ต...แต่พี่ไม่ได้บอกใครมากมายนะ เกตุเค้าคะยั้นคะยอถามพี่อ่ะ"

"แฮ่ๆๆ" เกตุหัวเราะแห้งๆ "โทษที เห็นพี่ตองมารับมาส่งชาทุกวัน เกตุก็เลยอยากรู้ว่าพัฒนากันไปถึงไหนแล้ว เกตุก็สาววายเหมือนกันนะ"

การแก้ตัวของเกตุ ไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นเลย

"ไอ้ตองมันหลุดปากพูดออกมาอ่ะ คือ พวกพี่แหย่มันเล่นอ่ะ ไม่ต้องห่วงๆน้อง พวกพี่ไม่ใช่พวกชอบพูดเรื่องชาวบ้านหรอก รู้กันแค่ในกลุ่มวิศวะนั่นแหละ" แค่นั่นก็เยอะแล้วพี่กอล์ฟ "ยังไงชาก็เป็นครูของพวกพี่ พวกพี่ไม่หักหลังหรอก สบายใจได้นะ"

"ไม่ต้องไปคิดมากหรอกพี่ กะอิแค่อยู่คอนโดด้วยกัน เดี๋ยวเรียนจบไอ้ชาก็ต้องไปทำงานกับพ่อพี่ตองอยู่ดี เค้าสร้างห้องทำงานใหญ่โตไว้ให้มันแล้ว"

ไอ้สัดต้อม ไอ้เพื่อนชั่ว ไอ้เพื่อนสารเลว อภิมหาโคตรพ่อโคตรแม่เลว

"จริงดิ" เกตุไม่ต้องมาทำตาลุกวาวใส่เราเลยนะ

ส่วนมึง ไอ้ต้อม...

"เอ่อ...... เรามาซ้อมกันดีกว่านะ เดี๋ยวจะยาว" มึงได้ยาวแน่ไอ้เวรต้อม เอาเรื่องของกูมาเล่าแบบนี้ เดี๋ยวมีเฮ



"รอก่อนๆ"

ใครอีกวะ

ไอ้สุ่ยก็มา

"ซ้อมด้วยๆ" ไอ้สุ่ยรีบวางของ ก่อนจะมายืนหน้ากระจกกับผม ไอ้ต้อม และเกตุ ส่วนพี่กอล์ฟก็นั่งอ่านหนังสืออยู่หลังห้อง "หึ? มีอัดเพลงกันไว้ด้วยเหรอ เจ๋งว่ะ"

"เออๆ มาซ้อมได้แล้ว" ซ้อมซะทีเหอะ







"เป็นไงอ่ะ" เกตุถามพี่กอล์ฟ

พวกเราทั้งสี่คน ตัดสินใจเต้นให้พี่กอล์ฟดู เพราะไม่แน่ใจว่าที่ซ้อมกันมันดูเป็นยังไงบ้าง ด้วยความที่ซ้อมกันมาเป็นชั่วโมง แล้วก็ไม่ได้ท่าสุดท้ายซะที ระดมความคิดกันจนหัวจะแตกแล้วก็ยังรู้สึกว่าท่าสุดท้ายมันขาดอะไรบางอย่างไป

"ก็ดีนะครับ แต่ตอนจบเพลงทำไมดูแกว่งๆ เหมือนไม่มั่นใจกัน"

นั่นไง.... ขนาดที่กอล์ฟที่เต้นลีดไม่เป็นยังดูออกเลย กลายเป็นปัญหาซะแล้วซิ

"เอาไงดีอ่ะชา" เกตุหันมาถามความเห็นจากผม

"...." คิดไม่ออกจริงๆ บอกให้พี่ตองซ้อมให้ก็ติดประชุมอยู่ พรุ่งนี้ก็ต้องทดสอบแล้วด้วย ถึงจะมีเวลาคืนนี้ แต่ถ้าผมทำได้อยู่คนเดียว แล้วสามคนนี้ทำไม่ได้ก็รู้สึกไม่ค่อยดีแฮะ อุตส่าซ้อมช่วยกัน เอาไงดีน้า....



"ตอนนี้กี่โมงแล้ววะ" ไอ้สุ่ยเหมือนจะคิดอะไรได้

"บ่ายสาม" ไอ้ต้อมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา

"เราลองรีบไปคณะสังคมกันไหม ก่อนจะหมดเวลาเรียน"

ห๊ะ??? "ไปทำไมอ่ะ" ทำไมต้องคณะสังคมวะ

"ก็ลีดคณะสังคมคนนั่นไง ที่เก่งๆอ่ะ กูว่ามันน่าเต้นได้นะ ลองไปดู เผื่อมีคนมาซ้อมอย่างเรา"

"นั่นดิ น่าสนใจ" ไอ้ต้อมเห็นด้วย "ลองไปขอให้... ​ชื่ออะไรนะ อ๋อ ข้าวเจ้า คนนั้นชื่อข้าวเจ้า ก็ดูเป็นคนอัธยาศัยดีนะ ลองไปขอให้เค้าช่วยสอนให้ดู เผื่อฟลุ๊ค"

"เห้ย! เดี๋ยวก่อน" จะไปหาคนช่วย ทำไมต้องเป็นคนนี้วะ

"อะไรของมึงวะ" ไอ้ต้อม มึงไม่เข้าใจกูหรอก กูเพิ่งมีคดีกับข้าวเจ้ามา ถึงจะไม่มีอะไรแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้สึกว่าจะสามารถเข้าหน้ากันได้ตอนนี้อยู่ดี

"ก็... มึงจะรู้ได้ไงละว่าห้องซ้อมคณะสังคมเปิดอ่ะ อาจจะไปเสียเที่ยวก็ได้นะเว้ย" ใช่ๆ ต้องให้เหตุผลแบบนี้แหละ

"กูมีรถ มึงบ้าป่ะไอ้ชาเย็น นี่มหาลัยมัณฑนานะครับ ไม่ใช่ประเทศจีน ตึกคณะห่างกันไม่ถึงสิบนาที ไปๆๆ"

"ต... แต่กูว่าไม่ต้องหรอก เอ่อ... ใครมันจะมายอมสอนให้วะ ทุกคนเป็นคู่แข่งกันอยู่นะ"

"ก็ลองขอดูก่อน มึงกลัวเสียฟอร์มง่ะ"

"ก็เปล่า..."

โอ๊ยยยย กูจะปฏิเสธยังไงดี ถ้าไปเจอจริงๆ แล้วข้าวเจ้าเห็นว่ากูเป็นหนึ่งในคนที่มาขอความช่วยเหลือ คงไม่วายโดนเมินใส่แน่นอน ก็กูเพิ่งทำให้พี่ตองทิ้งขนมตาลของเค้าลงถังขยะไป ถ้าพวกมึงไม่อยากซวยไปด้วย อย่าไปเลย เชื่อกูเถอะ

แต่กูจะอธิบายยังไงดี เห้อ.........



"จะไปคณะสังคมกันเหรอ" พี่กอล์ฟแทรกขึ้นมา "ไม่มีคนอยู่หรอกครับ วันนี้สายรหัสพาน้องๆในคณะไปเลี้ยงกันครับ"

"จบ" ไอ้ต้อมเซ็ง แต่ผมโล่งใจ

"ชา มีปัญหาอะไรกับคนที่ชื่อข้าวเจ้าเหรอ" เกตุถาม

"ป... เปล่า" นี่กูแสดงออกชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอ "ซ้อมกันต่อดีกว่านะ"

"ซ้อมไปเรื่อยๆ แล้วมันจะได้เหรอวะ" ไอ้ต้อมแสดงความคิดเห็น

"ซ้อมไปเหอะน่า"

ก็จริงอย่างที่ไอ้ต้อมว่านั่นแหละ รู้ว่านี้จะเป็นอุปสรรคใหญ่เลย เป็นการวัดศักยภาพความเป็นผู้นำเชีย์ของมหาวิทยาลัยอย่างแท้จริง ผมว่าจริงๆแล้ว พวกพี่เค้าอาจจะตั้งใจสร้างโจทย์นี้ขึ้นมาด้วยซ้ำ เพื่อวัดระดับของเด็กที่มีพรสวรรค์ทางด้านนี้จริงๆ ซึ่งเด็กพรแสวงอย่างผมก็คงก้าวข้ามไปไม่ได้ง่ายๆ รู้สึกอย่างกับกำลังปีนกำแพงสูงที่ผ่านไม่ได้เลย



สองชั่วโมงผ่านไป



"โห อยู่กันหลายคนเลย"

ในที่สุด....

น้ำตาจะไหล พี่ตองมาแล้ว ความหวังของวันพรุ่งนี้มาซะที

"พี่ซื้อของกินมาเพิ่มให้เอาไหม เหมือนจะไม่พอนะ นึกว่าอยู่กันแค่สองคน" พี่ตองแสดงบทเจ้าชายแสนดี

"ไม่ต้องหรอกค่ะ เรื่องกินเอาไว้ทีหลัง" อ้าวเกตุ นั่นมันพี่ตองนะ ไม่ใช่พี่กอล์ฟ ทำไมชิงพูดก่อนเราล่ะ "ช่วยมาสอนพวกเราหน่อยค่ะ พวกเราเต้นท่าสุดท้ายกันไม่ได้"

พี่ตองเอาแต่ยิ้มแห้งๆ

คือ...?

"พี่ต้องกลับไปประชุมต่อครับ" ห๊ะ!!!! "ต้องเตรียมสถานที่สำหรับทดสอบพรุ่งนี้ เอาของกินมาให้ก่อน เพราะยังกลับไม่ได้ ชาจะซ้อมต่อใช่ไหม"

ผมพยักหน้าอย่างสิ้นหวัง

"เห้ยพี่ สอนแป็บนึงก็ไม่ได้เหรอ" ไอ้ต้อมเริ่มเป็นเดือดเป็นร้อน

"ก็ถ้ามีคนอ้อน ก็คงพอได้"

หมายความว่าไง.....

ไม่... ไม่ ไม่นะ ไม่ใช่อย่างที่กูคิดใช่ไหม

"ไอ้ชาเย็น หน้าที่มึงเลย" ไอ้ต้อม มึงจะผลักกูทำไม "ไปดิ เร็วๆ ก่อนที่พี่เค้าจะกลับ"

ไอ้บ้าพี่ตอง เล่นบ้าไรเนีย

ใครจะไปอ้อนวะ คนเยอะแยะ

ใช่ซิ กูไม่อ้อนหรอก แต่กูจะใช้จิตสังหารแทน ดูซิว่าจะกล้าหือไหม

"....."

โอ้โห เดี๋ยวนี้กล้านะ พัฒนาเลเวลความกวนโอ๊ย ทำเป็นมองหน้าเฉยยิ้มมุมปาก

"เร็วดิ ไอ้ชาเย็น"

มึงจะมากดดันกูทำไม มันใช่เรื่องไหมเนีย ไหนจะเกตุ ไอ้สุ่ย พี่กอล์ฟอีก ให้กูมาทำออดอ้อนผู้ชายต่อหน้าคนอื่นเนี่ยนะ



​"เร็ว​"



ไอ้พี่ตองก็ยืนนิ่งเลย มึงเอาเวลาตอนนี้มาสอนเลยไม่ได้หรือไงวะ ทำไมต้องให้กูทำไรน่าอายด้วย เดี๋ยวเถอะมึง กลับไปห้องวันนี้ มึงไม่ได้ตายดีแน่



"พ... พี่ตอง สอนหน่อย"

"........."

นั่นไง กูว่าแล้ว ถ้าพูดธรรมดา มันต้องไม่ยอมแหง

ส่วนพวกที่อยู่ข้างหลังอ่ะ กูรู้นะว่ากำลังกั้นหัวเราะกันอยู่อ่ะ มีความสุขกันจังนะ



เฮ้ออออออออออ

หายใจเข้าลึกๆ

คิดซะว่าไม่มีใครอยู่ในนี้

เอาวะ ถือว่าเป็นคลาสการแสดง

ทำเพื่อเป้าหมายของเรา....



"​​พี่ตอง...." ผมเอื้อมมือไปจับมือคนตัวสูงเบื้องหน้า ก่อนจะแกว่งไปแกว่งมาเบาๆ "สอนชาเต้นแป๊บนึงได้ไหมอ่า... นะนะนะนะ พี่ตองสุดหล่อ สอนเค้าหน่อยน้าาาา"



นี่กูทำไปแล้วจริงๆใช่ไหม

รู้สึกหูร้อนตาร้อน ขนลุกไปทั้งต้นคอเลย



"อ๊ากกกกก" ไอ้ต้อมร้องออกมาอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ มันคงสุดจะทนที่เห็นผมทำอะไรแบบนี้

แต่กูนิ เกินจะมีเสียงอะไรออกมาอีกแล้ว



"ไอ้ตอง ยอมๆสอนน้องไปเหอะ" พี่กอล์ฟอดไม่ได้ที่จะแทรกขึ้นมา "น้องอุตส่าอ้อนซะน่ารักขนาดนี้ กูนิใจอ่อนตั้งแต่เรียกชื่อแล้ว"

"อะแฮ่ม" เกตุรีบดักคอหวานใจตัวเองไว้

จะมาแซวอะไรกูกันนักหนาห๊ะ

ไอ้ตัวสูงนี่ก็ยังไง นี่กูทำขนาดนี้แล้วนะ



"พี่ล้อเล่นครับ ยังไงพี่ก็ไม่ว่างอยู่สอนให้อยู่ดี" อ้าว ไอ้เชี่ยพี่ตอง นี่มึงหลอกให้กูทำเหรอ "ใจเย็นครับบบ ถึงพี่จะอยู่สอนไม่ได้ แต่คนนี้น่าจะสอนได้นะ"

ใคร?

ไอ้พี่ตองเอื้อมมือยาวๆของมันไปเปิดประตูข้างหลังตัวเอง

แล้วคนที่เข้ามาก็คือ...

"น้ำขิงเนี่ยนะ?" ไอ้ต้อมชิงพูดก่อน

จะบ้าเหรอ ขิงเต้นเป็นที่ไหน ถ้าจะบอกว่าให้ขิงมาสอนจริงๆ กูจะกระโดดกัดหูไอ้พี่ตองตอนนี้แหละ



"เปล่าครับ" แล้วจะมีใครอีกล่ะ  ไอ้พี่ตองชะเง้อคอออกไปเรียกใครบางคนที่เก้อๆเขินๆอยู่หน้าประตูให้เข้ามา "​เข้ามาเลย เร็วเข้า ​...."

แล้วคนอีกคนที่ปรากฏตัวเข้ามาในห้องก็คือ....



​ข้าวเจ้า



เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

มาไงวะเนี่ย



"หวัดดี" ไอ้ข้าวเจ้าหน้าตี๋กล่าวทักทาย

นี่อย่าบอกนะว่ามากับไอ้พี่ตอง

มาด้วยกันได้ไง?

แล้วทำไมมาที่นี่?

แล้วคืออะไร ยังไง กูงง
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 39 [ลีดอ่อน Part 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 13-02-2018 16:52:12
(ต่อ Part 2)

"พี่ไปละนะ"

"ด..." อะไรวะ นี่จะไปจริงๆเหรอ เรียกไม่ทันเลย ปิดประตูเร็วเกิ๊น

และในขณะที่ผมและอีกหลายๆคนยังตกอยู่ในภาวะงงงวย



"ต้อม อันนี้เราซื้อมาฝากนะ" ไอ้ข้าวเจ้าเดินไปหาไอ้ต้อมเฉยเลย พร้อมกับยื่นแก้วกาแฟให้ "กาแฟเอสเพลสโซ่น้ำผึ้ง"

"ห๊ะ!?" ไอ้ต้อมคงจะงง แต่ก็เดินไปรับอย่างไว พร้อมกับตาโต แต่ก่อนที่หลอดจะเข้าปาก มันคงเพิ่งจะสำนึกได้ว่ามีอีกคนอยู่ในห้อง "เอ่อ...." ไอ้ต้อมดูกล้าๆกลัวๆ

ในฐานะที่ผมเป็นเพื่อนไอ้ต้อมมานาน ผมรู้ว่ามันเป็นคอกาแฟ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเอสเพลสโซ่ผสมน้ำผึ้ง ที่มนุษย์ปกติเขาไม่ค่อยจะดื่มกัน เป็นเมนูโปรดของมัน แต่ตอนนี้มันต้องรีบข่มความอยากไว้ด้วยที่ว่า... ขิงก็อยู่ในนี้ด้วย

แต่มันแปลกกว่านั้นอีก ตรงที่ขิงพยักหน้ายิ้มๆ ส่งสัญญาณให้ว่า ดื่มได้เลย ไม่มีปัญหา



"หือ... อร่อยมาก" ไอ้ต้อมร้อง

"ก็ร้านที่หลังมหาลัยที่ต้อมไปซื้อกินบ่อยๆนั่นแหละ" ไอ้ข้าวเจ้าตอบเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งสำหรับกูแล้วไม่ธรรมดาเลย เมื่อวานมึงเอาของมาให้พี่ตอง วันนี้เอามาให้ไอ้ต้อม แล้วก็การมาถึงพร้อมๆกับไอ้พี่ตองอีก นี่มันเรื่องอะไรกันแน่

"......??" คราวนี้มองหน้ากู เพื่อ?



"เอ่อ...." ไอ้ต้อมทำลายความเงียบชั่วอึดใจ "ไหนๆก็มาแล้ว ช่วยสอนท่าเต้นเพลงพรุ่งนี้ให้หน่อยดิ พวกกุ... พวกเราซ้อมกันมาทั้งวันแล้ว ไม่ดีขึ้นเลย"

"มีปัญหาตรงท่อนสุดท้ายกันอะดิ มีปัญหากันทุกคณะเลย เอาดิเดี๋ยวสอนให้" แน๊ะ ไอ้ข้าวเจ้า ยิ้มแป้น เต๊ะท่าเป็นครูเชียวนะมึง จากสภาพที่เห็นเนีย กูว่ามึงเองก็ซ้อมมาทั้งวันเหมือนกันแหละ

"คือ... เราไม่รู้จักกันหรอก แต่ช่วยแนะนำหน่อยได้ไหม" "เราก็ด้วย" บุ๋นกับเกตุรีบออกตัว

"ได้ดิ แต่คงต้องใช้เวลานานหน่อยนะ ถึงจะทำได้แล้วแต่กว่าจะทำให้ตรงกับเพลงก็คงต้องฝึกกันหลายรอบ"

มึงจะทำตัวเป็นพ่อพระอะไรนักหนาวะ กูเริ่มไม่ไว้ใจในจุดประสงค์ของมึงละ กูยังไม่หายเคลือบแครงในตัวมึงหรอกนะ



"ไอ้ชาเย็น.... ไอ้ชา"

"อะไร" นี่กูมัวคิดจนเผลอทำตาลอยต่อหน้าคนอื่นหรือเปล่าวะ

"มาดิ มาซ้อม ไอ้... เอ่อ ข้าวเจ้าจะสอนแล้ว"

"จะเรียกยังไงก็ได้ ไม่ต้องสุภาพกับเราหรอก" ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกว่าไอ้ตี๋นี่ทำตัวน่าสงสัย ทำดีกับคนรอบตัวกูแบบนี้ มึงคิดจะทำอะไรกันแน่ "แล้ว... น้ำชา ไม่มาซ้อมด้วยกันเหรอ"

"เออ นั่นดิ" ไอ้ต้อมเสริม "มัวยืนทำหน้าเกรียนอะไรของมึงอยู่ได้ ไม่ซ้อมหรือไง"

"......" กูตอบว่า ไม่ซ้อม ได้ไหมวะ แม่ง ไม่ไว้ใจเลย

"มาเร็ว เพื่อนรอซ้อมอยู่" ไอ้ต้อมเร่งอีกครั้ง

นี่ไม่มีใครคิดว่ามันน่าแปลกบ้างเลยรึไงวะ



"ถ้ารังเกียจ เราออกไปข้างนอกก็ได้นะ" กูไม่ได้รังเกียจ แต่กูสงสัยในพฤติกรรมของมึง

"เห้ย!! เดี๋ยวๆๆๆๆ" ไอ้สุ่ยรีบท้วง

"ชา เป็นไรอ่ะ" เกตุก็เอาด้วย

"เห้ยไอ้ชา นี่มึงเป็นห่าอะไรของมึงวะ" ไอ้ต้อมคงสังเกตุเห็นท่าทีของผมจริงๆ มันจึงรีบเดินเข้ามาคุยกันผมเบาๆ "เราไม่ได้มีเวลาทั้งคืนนะเว้ย เราทุกคนเต้นไม่ได้ มีข้าวเจ้าคนเดียวนี่แหละ มึงมีปัญหาอะไรกันมาวะ"

"......" ตอนนี้ไม่มีหรอก แต่ในอนาคตไม่แน่

"ไปซ้อมเถอะชา" นี่ขิงก็ไม่คิดว่าน่าสงสัยอีกคนแล้วหรือไง

นั่นไง....

แต่ละคน มองกูอย่างกับกูเป็นตัวปัญหา



​เออๆๆๆ ​ซ้อมก็ซ้อมวะ

"ไม่มีไร กูแค่เหนื่อย ไปซ้อมเถอะ โทษทีๆ" เอาวะ เรื่องหลังจากนี้ค่อยให้เป็นเรื่องหลังจากนี้ก็แล้วกัน



"งั้นมาเริ่มที่ท่อนสุดท้ายกันเลยนะ" ไอ้ตี๋ข้าวเจ้าเริ่มสอน "ท่าที่ทำไม่ทันส่วนใหญ่คือท่าที่สามใช่ไหมล่ะ ท่าประกบมือคู่บนหัวอ่ะ ตอนแรกเราเองก็รู้สึกว่ามันแปลกๆที่ให้ทำท่านี้ต่อจากท่าที่เพิ่งจะเอามือลงไปข้างล่าง เพราะมันทำให้คนเต้นรู้สึกว่าต้องใช้แรงเยอะในการเอามือที่อยู่ข้างล่างขึ้นมาประกบกันข้างบน ทั้งต้องกางมือขึ้นให้เต็มวงแล้วไหนจะรายละเอียดเรื่องความแข็งแรงของท่าอีก แต่ที่ยากสุดก็คือ ท่อนนี้มันเป็นการแต่งเนื้อเพลงแบบขโมยจังหวะยก สังเกตุไหม?"

"อ่า...?" ผมยอมรับนะว่าผมเข้าใจสิ่งที่ไอ้ตี๋นี่กำลังอธิบาย แต่ไอ้ต้อมกับเกตุและสุ่ยคงจะงงกับการลำดับเรื่องที่ซับซ้อนแบบนี้

"พูดง่ายๆก็คือ" ไอ้ข้าวเจ้าพยายามหาวิธีอธิบาย "นับตั้งแต่ท่าชักมือไปเป็นวีหงายแล้วก็ปาดมือลงเพื่อขึ้นมาประกบข้างบน มีเวลาทำทั้งหมดแค่ครึ่งจังหวะหรือเศษหนึ่งส่วนแปดของห้องดนตรี... ก็หมายความว่าสรีระปกติของมนุษย์เราทำไม่ได้ไง"

"อ้าวววววว" ไอ้ต้อมและอีกสองคนลากเสียงยาว จริงๆผมก็เกือบจะหลุดปากออกไปเหมือนกัน อธิบายมาตั้งนาน สรุปคือมึงจะบอกว่าทำไม่ได้เนี่ยนะ

"ใจเย็นก่อนๆ ถึงจะบอกว่าสรีระปกติทำไม่ได้ แต่มันก็ต้องมีเทคนิกอะไรบางอย่างดิ ไม่งั้นพวกพี่ลีดมหาลัยจะอัดคลิปสอนเราได้ยังไง"

ก็ไม่อยากยอมรับหรอกว่า เห็นด้วยกับที่มันพูด

ผมอ่ะ คิดอยู่แล้วว่า ถ้ามันมีคนที่ทำได้ คนอื่นๆก็ต้องทำได้ เราแค่ยังแก้โจทย์ไม่ออกเท่านั้นเองว่าเขาใช้เทคนิคอะไร

"สังเกตุไหมว่าในคลิปสอนเต้นอ่ะ พี่คนไหนเป็นคนอัดคลิปลงไปบ้าง"

ห๊ะ???? เกี่ยวไรกันวะ

"เราไม่ค่อยรู้จักพวกพี่เค้าเท่าไหร่" ไอ้สุ่ยยอมรับ

"แต่เกตุจำได้สองคน มีพี่แตงโมกับพี่แอม" เกตุบอก แต่เธอก็ยังดูท่าว่าจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรู้ด้วยว่าเป็นพี่คนไหน

"พี่แอมมาจากคณะวิทย์ ทุกคนคงรู้อยู่แล้ว แล้วพี่แตงโมล่ะ?" ปริศนาคำทายยังคงถูกถามจากผู้สอนอย่างต่อเนื่อง

"ไม่แน่ใจแฮะ..." เกตุคุ้นคิด

"ศึกษาศาสตร์" ขิงอาสาตอบมาจากข้างห้อง

"ใช่ๆๆ ศึกษา" เกตุร้อง

"แล้วพี่ผู้ชายสองคนล่ะ?" คราวนี้เงียบ ไม่มีใครตอบ "ชา... คงรู้จักใช่ไหม"

อ้าว กูอุตส่าว่าจะยืนเป็นอากาศธาตุเงียบๆ มึงยังจะชี้เป้ามาหากูอีกเนาะ

เอาวะ ตอบก็ได้ เดี๋ยวจะกลายเป็นคนมีปัญหาอีก

"พี่ม็อบคณะแพทย์กับพี่มินวิทย์แพทย์" จริงๆก็รู้แหละ เห็นคลิปวิดีโอแว็บเดียวก็รู้แล้ว มีเหรอที่คนศึกษาเรื่องลีดอย่างผมจะไม่รู้จัก

"นี่ไงทุกคน เห็นไหม สังเกตุไหมว่าสี่คณะนี้มีอะไรที่เหมือนกัน"

อะไรที่เหมือนกัน?

อะไรวะ....

วิทยาศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ แพทยศาสตร์ วิทยาศาสตร์การแพทย์.......



เดี๋ยวนะ!!!!!



ใช่อย่างที่คิดหรือเปล่าวะ



"ล... ลีดอ่อน" ก็ฝืนใจตอบนิดนึง แต่สันดานเก่ามันแก้ไม่หาย เวลาหาคำตอบของคำถามได้ก็มักจะอยากพูดออกไปเสมอ ความทรงจำเมื่อสองสามเดือนที่แล้วมันกลับมา จำได้ว่า พี่ชมพู่เคยบอกไว้ว่าคณะพวกนี้ใช้การเต้นแบบลีดอ่อน

"นั่นแหละ นั่นแหละ ใช่เลย" เล่นใหญ่มากไอ้หน้าตี๋ นี่ไม่ใช่รายการปริศนาฟ้าแลบ มึงไม่ใช่คุณปัญญา ไม่ต้องดีใจที่กูตอบถูกขนาดนี้ก็ได้ "ทั้งๆที่มีพี่ๆลีดมหาลัยตั้งสิบสองคน ทำไมจงใจต้องเลือกพี่สี่คนนี้มาทำคลิปสอน ทำไมไม่ใช้ทุกคน ก็เพราะว่าจริงๆแล้ว มันเป็นเงื่อนไขของเพลงนี้ไง ลีดปีหนึ่งอย่างพวกเรามักจะเปลี่ยนความคิดว่าให้ใช้ท่าลีดแข็งเท่านั้นเวลาถูกลีดมหาลัยสอน แต่ลองฟิวชั่นท่าลีดอ่อนมาใส่ในท่อนนี้ดูดิ... ดูดีๆนะ"

ทุกคนตั้งใจดูการเต้นตัวอย่างหลังจากถูกไขปริศนาจนกระจ่าง แม้แต่ตัวผมเองก็เพ็งมองเป็นพิเศษ



"เห็นแล้ว" เกตุเกือบจะกรี๊ดออกมา แล้วเธอก็หันมามองผมกับไอ้สุ่ยอย่างกระตือรือร้น "นี่มันท่าดีดข้อมือของลีดคณะเรานี่นา"

"ใช่แล้ว" ข้าวเจ้ายิ้มให้กับผลลัพธ์ที่ตัวเองคาดหวัง "จริงๆแล้วท่อนนี้มีห้าท่าต่างหาก ไม่ใช่สามท่า"

"อ๋ออออออออออออ" ไอ้สุ่ยก็ถึงบางอ้ออีกคน "แบบนี้นี่เอง"

"เดี๋ยวก่อนนะทุกคน" ไอ้ต้อมแทรกขึ้นมา "คือผมมาจากสถาปัตย์ครับ อะไรคือลีดอ่อน อะไรคือดีดข้อมือ แล้วการทำห้าท่า มันจะช่วยให้ผมเต้นทันได้ยังไง ทั้งๆที่แค่สามท่า กูยังทำไม่ทันเลย"

"ชาช่วยอธิบายหน่อยดิ เราไม่ค่อยเก่งสายลีดอ่อนเท่าไหร่" ไอ้ตี๋ข้าวเจ้า มึงโยนมาให้กูอีกแล้วนะ

"คืองี้... ท่าดีดข้อมืออ่ะ มันเป็นเทคนิกการเคลื่อนไหวของลีดอ่อน อย่างเช่นคณะกู โดยปกติลีดแข็งอย่างคณะมึง จะใช้การเปลี่ยนท่าเต้นแบบตรงไปตรงมาให้ดูแข็งแรงใช่ไหม แต่ของสายลีดอ่อนอ่ะ จะมีการเร่งความเร็วของจังหวะเปลี่ยนจากท่านึงไปเป็นอีกท่านึงด้วยการสะบัดข้อมือแรงๆและเร็วๆ แต่ไม่มากไปจนสังเกตุเห็น การทำแบบนี้จะช่วยลดความแข็งของท่าเต้นลงได้แต่ยังได้ความแข็งแรงและอ่อนโยนไปพร้อมๆกัน เข้าใจไหม"

"เอ่อ... เข้าใจก็ได้ แต่กูจะทำได้ไหม" ไอ้ต้อมเริ่มโวยวายนิดหน่อย

"ทำได้ดิ" ไอ้ข้าวเจ้ารีบบอก "ห้องนี้มีลีดอ่อนอยู่ตั้งสามคน ทุกคนต้องช่วยกันอยู่แล้ว... ใช่ไหม?"

"เออ เดี๋ยวกูสอนให้" ผมบอกมัน

"แต่มันก็ยากนิดนึงนะ เราเองก็ฝึกมาทั้งวัน เพิ่งจะทำได้เมื่อสักพักนี่แหละ"

"อ้าว แล้วไหนเห็นมีคนบอกว่าเด็กสังคมมีเลี้ยงสายรหัสไม่ใช่เหรอ" ไอ้ต้อมสงสัย ผมก็สงสัย

"เราโดดเลี้ยงอ่ะ อยากทำให้ได้ อยากลองพยายามดู"

"เชรดดดด เท่สัดไอ้ข้าวเจ้า" ไอ้ต้อมร้องชม "ถึงขั้นโดดกินของฟรีมาซ้อมลีด"

"นั่นดิ" เกตุสนับสนุน "แค่เต้นเท่าที่ข้าวเจ้าเต้นได้เมื่อวานก็ว่าเก่งแล้วนะ แต่แก้ปริศนาออกมาจนได้ท่าที่สมบูรณ์ขนาดนี้ เก่งมากเลยอ่ะ ยอมแพ้เลย"

เออ ยอมรับก็ได้ว่ามึงเก่ง เป็นคนมีความพยายามดี แต่แค่ติดตรงที่มึงทำตัวแปลกๆนี่แหละ กูก็เลยยังไม่อยากยุ่งด้วย

"มาๆๆ ซ้อมกันเหอะพวกเรา" ไอ้สุ่ยเรียกซ้อม "ถึงจะรู้เทคนิคแล้ว แต่กูว่าคงต้องว่ากันอีกยาวนาน รีบซ้อมดีกว่า หรือจะกินก่อนดีวะ"



"กินก่อนซิ มากินกันก่อนเร็ว ซื้อของกินมาให้เต็มเลยยยยยยยยย"

นั่นไง การกลับมาของสามเกิร์ลยอดมนุษย์ อิเพื่อนสามตัวของผม ขนอาหารการกินพะรุงพะรังมาเสริมทัพกับของกินของพี่ตอง คราวนี้ละ กูโดนพี่ท๊อปด่าแน่ๆที่เปลี่ยนห้องซ้อมอันทรงเกียรติของคณะวิทย์ให้กลายเป็นโรงอาหาร

"มากินก่อนเร็วสุ่ย เราซื้อขนมมาให้เต็มเลยนะ" อิช้างเจสซี่ มึงนี่ก็หิวกระหายผู้ชายไม่เลิกจริงๆ "หรือจะกินเราแทบก็ได้นะ เนื้อแน่น อิ่มนาน แถมแซ่บเว้อร์"

"แหวะ อิช้าง กูจะอ้วกแทนสุ่ย" วาวารีบแขวะ "มึงรีบมาจัดข้าวของช่วยกูกับอิเล็กนี่เร็ว พวกอิชาต้องซ้อมต่อ"

"โอ้โห... อิวาวา อินังชะนีปากร้าย เดี๋ยวนี้เหิมเกริมกับตัวแม่ตัวจริงอย่างกูเหรอห๊ะ" ดูดิพวกผม น่าอายไหมล่ะ ไม่มีท่าทีของความเกรงอกเกรงใจ กูละไม่รู้ว่าจะอายหรือตลกดี ที่มีเพื่อนอย่างพวกมึง

"โนค่ะ มึงอะนะตัวแม่ ถ้ามึงทำอะไรกู กูจะฟ้องอิชา แม่ตัวจริง แม่ของแม่ก็คือแม่สูงสุด"

"โอ้โหๆๆๆ มึงเอาอิชามาขู่กูเหรอ"



"พอๆๆๆๆ" กูทนฟังพวกมึงไม่ไหวอีกแล้ว "ทุกคน รีบกินก่อนเถอะ ก่อนที่ห้องนี้จะกลายเป็นตลาด"



"มึงแหละ" "มึงแหละอิช้าง"



"ยังจะทะเลาะกันอีกนะพวกมึงเนีย" ต้องดุซะบ้าง อิพวกนี้ชอบทำผมขายหน้าต่อหน้าเพื่อนๆอยู่เรื่อยเลย "ดูอิเล็กเป็นตัวอย่างดิ มันไปดูแลเกตุแล้วโน่นน่ะ"

"ค่าาาาาา" อิช้างประชด "กูก็ซื้อมาให้มึงแล้วนี่ไง กะเพราะหมูกรอบบวกกุนเชียงทอดกรอบ และขนมนมเนยมากมาย โอเคแล้วนะคะองค์แม่ งั้นกูขอให้ปรนนิบัติเจ้าชายต้อมของกูต่อก่อนนะ.... อุ่ย! ตัวจริงของเค้ามาแล้ว" อิเจสซี่รีบถอยทัพทันทีที่เห็นว่าขิงอยู่กับไอ้ต้อมแล้ว มันเซ็งๆนิดหน่อย แต่ก็ได้เป้าหมายใหม่แล้ว "ไม่เป็นไรคนนี้ก็ได้ อ้าว!! ​ข้าวเจ้า มาไงเนี่ย"

"เอ่อ...."

เดี๋ยวนะ!?!?!?!?!?



คือไร....?



"รู้จักกันด้วยเหรอ" ปากของผมมันถามออกไปเอง

"รู้ซิ ก็นี่..." อิเจสซี่กำลังจะบอกบางอย่าง แต่ก็ถูกไอ้ข้าวเจ้าพูดแทรก

"เราเป็นเพื่อนโรงเรียนเก่ากันน่ะ"

ไม่ใช่แล้วล่ะ ท่าทางมีพิรุจแบบนี้

แต่ว่า... ถ้ามันสองคนรู้จักกัน นี่อาจจะเป็นโอกาสที่ดีก็ได้ที่ผมจะสามารถค้นหาจุดประสงค์ของไอ้หน้าตี๋นี่ได้ ว่าพฤติกรรมแปลกๆของมันคืออะไร

ถามจากอิช้างเพื่อนแก้วนี่แหละ น่าจะได้ความ  คาดคั้นมันนิดหน่อยก็คงจะยอมตอบแต่โดยดี



"อิเจส" ผมเรียกอิเจสซี่ที่ทำตัวเลิกลั่ก "ตามกูไปข้างนอกดิ"

"อะไรอ่ะ"

"มาเหอะ" ยังจะมาทำเป็นถามอีก

"ไม่ต้องเจส เดี๋ยวเราไปเอง" ไอ้ตี๋คงรู้ตัวแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น

"งั้นก็ออกไปกันให้หมดนี่แหละ" ผมสั่ง ไม่รู้ล่ะ งานนี้ต้องให้รู้ดำรู้แดงกันไปข้าง

ผมนำคนเบื้องหลังทั้งสองออกมาข้างนอกห้องซ้อม



"นี่คืออะไรอธิบายมาดิ" กูเริ่มก่อนเลยละกัน "มึงสองคนรู้จักกันได้ไง อย่ามาหลอกกูว่าเป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกันนะ กูฉลาดพอที่จะดูออก แล้วมึง ไอ้ข้าวเจ้า มายุ่งกับคนรอบข้างของกูทำไม มาที่นี่ได้ยังไง แล้วเรื่องที่มาอาสาช่วยลีดนี่อีก มึงต้องการอะไรวะ"

"มันไม่ใช่อย่างงั้นอิชา"

"ไม่เป็นไรเจส เราอธิบายเอง" จะใครก็ได้ พวกมึงอธิบายมาเหอะ กูชักจะเดือดแล้ว "แต่ว่า... เราขอคุยกับชาสองคนได้ไหม ให้เจสเข้าไปเหอะ เจสไม่เกี่ยว"

"ไม่ได้" กูไม่ให้เข้าไป มีปัญหาไหม

มึงไม่ต้องมาตีสีหน้ากลัวกูอีช้าง มึงกับมันต้องรู้เห็นเป็นใจอะไรกันแน่ๆ

"เจส เข้าไปข้างใน เดี๋ยวเราเคลียร์เอง" มึงพูดว่าไงนะไอ้ตี๋วอก

"อิเจสซี่" อย่าให้กูต้องใช้คำขาดนะ

"เร็วๆ รีบเข้าไป"

ยิ่งห้ามยิ่งจะทำนะ ตอนนี้โกรธจนแก้วหูจะปะทุไอเดือดออกมาอยู่แล้ว

แล้วอิช้างก็กลับเข้าไปในห้องซ้อมจริงๆ มันคงกลัวผมมากที่เห็นผมในใบหน้านี้



"ไหนมึงรีบอธิบายมาดิ" กูไม่สนละ

ผมเดินเข้าไปจับคอเสื้อมันกระชากเข้ามา

ถึงกูจะตัวเล็กกว่ามึงนิดหน่อยแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะกลัวนะ

มีอย่างที่ไหน เข้ามาป้วนเปี้ยนกับพี่ตอง ทั้งๆที่ก็รู้สถานะของกูกับพี่เค้า แล้วยังจะมาวุ่นวายกับไอ้ต้อมอีก แถมยังมาทำเป็นพ่อพระจะช่วยอย่างงั้นอย่างงี้

กูคนนะ ไม่ใช่ควาย ที่จะดูเรื่องแปลกๆพวกนี้ไม่ออก



"เราก็แค่คนที่ไล่ตามหลังใครบางคนมา" นี่เหรอวะคำอธิบายของมึง มึงยังจะกล้าพูดเรื่องการตามพี่ตองมาต่อหน้ากูอีกเหรอ "ถ้าคนอย่างน้ำชาตามหลังพี่ตองมาได้ แล้วทำไมคนอย่างข้าวเจ้าคนนี้....







......​จะตามหลังน้ำชามาบ้างไม่ได้"
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 40 [ไอดอล Part 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 14-02-2018 20:52:21
​​ตอนที่ 40 : ไอดอล







"....................................................................."

เมื่อสองสามชั่วโมงก่อน ผมได้ยินเรื่องที่ทั้งอึ้ง ช็อค สับสน และอธิบายไม่ถูก มันส่งผลให้การซ้อมเต้นของผมเป็นไปอย่างไร้ความหมาย ผมตกอยู่ในภาวะสมองว่างเปล่าจนถูกพาตัวมายังร้านอาหารหลังการซ้อมได้ยังไงก็ไม่รู้ ไอ้ต้อมลากผมมา พร้อมด้วยขิง เกตุ ไอ้สุ่ย สามสาวแก็งนางฟ้า พี่กอล์ฟ และต้นเหตุที่ทำให้ผมอยู่ในสภาพนี้.... ไอ้ข้าวเจ้า

​พวกเรามากันที่ร้านอาหารบุพเฟ่ ไม่ใช่หมูกระทะหรือชาบูนะ ก็เป็นอาหารปกตินี่แหละ แต่สามารถไปตักได้เลยตามใจชอบ แล้วเอามานั่งกินที่โต๊ะ ที่นี่ค่อนข้างมีชื่อเสียง เพราะเป็นร้านอาหารที่เปิดสำหรับคนที่อยากกินอาหารมื้อดึก และมีอาหารให้เลือกหลากหลายประเภท



"ขอเข้าห้องน้ำก่อนนะคะหนุ่มๆ" อิช้างเจสซี่ประกาศ "โดนผู้ชายรายล้อม น้ำก็เลยเดินผิดปกติ"

อิห่าเอ๊ย แค่ไปเข้าห้องน้ำก็ต้องสาธยายให้คนอื่นฟัง แต่ตอนนี้ผมไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเท่าไหร่

ผมรีบลุกขึ้นเพื่อเดินตามหลังอิช้างไป มีเรื่องที่ต้องถามมันให้เข้าใจ



"มึงก็จะไปห้องน้ำเหรอ" ไอ้ต้อมถาม แต่ผมไม่ตอบ แค่พยักหน้านิดหน่อย

"ชา" นั่นไง เสียงจากคนที่ผมไม่อยากได้ยินที่สุด ไอ้ข้าวเจ้าเรียกอีกแล้ว มึงจะมาเรียกกูทำไม

ช่างแม่ง เดินหนีเลยดีกว่า ไม่อยู่เปิดโอกาสให้มันพูดอะไรอีกแล้ว



ผมออกเดินตามหลังอิเจสซี่มาจนถึงห้องน้ำ.... ​ห้องน้ำหญิง

​อิห่าเอ๊ยยยยยย

กูจะตามเข้าไปได้ยังไงละคราวนี้..... ยืนรออยู่ตรงนี้ละกัน



"ไม่สบายใจเรื่องของเราเหรอ"

โอ๊ะ ไอ้ข้าวเจ้า ไอ้นี่นิ มึงยังจะตามมาถึงนี้อีกเหรอ

"หยุด" มึงหยุดอยู่ตรงนั้นแหละ บอกตามตรงว่ากูงงในงงอีกทีนึง ทำตัวประหลาดๆแบบนี้ ใครจะไปเข้าใจวะ

"ฟังเราก่อนดิ"

"จะให้ฟังไรวะ มึงทำตัวแบบนี้ใครจะไปคิดว่ามึงมาดีวะ เดี๋ยวก็ทำดีกับคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย แล้วก็มาพูดว่าตามกูมา กูไม่อยากรู้อะไรทั้งนั้นอ่ะ กูรู้อย่างเดียวว่ามึงน่ากลัว มึงจะไปไหนก็ไปเลยนะ" ไอ้ห่าเอ๊ย หนีออกไปจากตรงนี้แม่งเลยดีกว่า

"มันไม่ใช่อย่างที่คิดนะชา"

ไอ้สัด นี่มึงกล้าคว้าแขนกูไว้เลยเหรอ

"ปล่อยนะเว้ย!" ผมยอมรับเลยว่าห้ามเสียงตัวเองไว้ไม่อยู่พร้อมกับสะบัดแขนออกอย่างเร็ว อารมณ์มันขึ้นสุดๆ

"ถ...ถ้าเราทำให้ชาอึดอัดขนาดนั้น... เราไปก็ได้นะ"

"...." เออ กูอึดอัด จะไปก็ไปให้ไว้เลยนะ

"แต่..."

"ทำไมไม่รีบไปวะ" ไอ้ห่านิ ยังจะมาแต่อีก

ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่นอกจากที่ไอ้ตี๋ข้าวเจ้ามันจะหน้าเสียแล้ว เหมือนมันจะตาแดงๆอย่างกับคนจะร้องไห้ ​กูไม่ได้ทำไรผิดซะหน่อย มึงนั่นแหละประหลาดเอง



"เสียงดังอะไรอิชา​" อิเจสซี่ออกมาจากห้องน้ำในที่สุด "ข้าวเจ้าเป็นไรอ่ะ.... อิชา มึงทำไรเพื่อนกูเนีย"

"ยังจะมาโกหกกูอีกนะ มึงสองคนนี่ยังไงวะ"

"โกหกอะไรของมึง" ยังจะถามอีกเหรอ

"ก็เรื่องที่มึงบอกว่าจบมาจากโรงเรียนเดียวกันไง"

"นั่นมันเรื่องจริง กูกับข้าวเจ้าจบจากโรงเรียนเดียวกัน เป็นเพื่อนห้องเดียวกันด้วยซ้ำ ต้องให้กูสองคนโชว์บัตรนักเรียนให้มึงดูไหม"

"......" ยังไงกันแน่วะ คนอย่างอิเจสซี่จะกล้าโกหกกูเหรอ แล้วทำไมเมื่อเย็นมันสองคนทำท่าแปลกๆ หรือจริงๆแล้วพวกมันกำลังโกหก "แล้วพวกมึงทำท่าอะไรกันแปลกๆ"

"แปลกอะไรของมึงวะ"

"ก็ไอ้เนี่ย เพื่อนมึงอ่ะ ทำท่าแปลกๆ พูดจาก็แปลกๆ เดี๋ยวก็บอกว่าชอบพี่ตอง เดี๋ยวก็ซื้อของมาให้ไอ้ต้อม แล้วเมื่อตอนเย็นมันยังบอกว่ามันตามหลังกูมาอีก จะให้กูคิดยังไงวะ"

"ก็..."



"เจส!"

เอาอีกแล้ว ไอ้ข้าวเจ้าขัดจังหวะการอธิบายของอิช้างอีกแล้ว มึงมีอะไรกันแน่วะ กูทั้งอยากรู้แต่ก็กลัวพฤติกรรมของมึงเหมือนกัน จนกูต้องบอกตรงๆว่าไม่รู้จะแสดงท่าทียังไง นอกจากโกรธไว้ก่อน แม่ง ทำตัวอย่างกับพวกโรคจิต



"เห็นไหม นี่ไง ทำตัวมีลับลมคมใน" ผมยืนยันในความคิดตัวเอง

"มันไม่ใช่อย่างนั้น" อิเจสซี่กลับมาเถียงอีกรอบ "มึงเข้าใจผิดแล้ว"

"เข้าใจผิดยังไงวะ"

"เข้าใจผิดเรื่องที่เพื่อนกูทำตัวแปลกๆนี่ไง ที่มันทำแบบนี้ก็เพราะว่ามันพยายามใกล้ชิดกับมึง ก็ข้าวเจ้าอ่ะ..."



"....มองชาเป็นไอดอลไง​"

!!!!!!!

เสียงพี่ตองนี่หว่า

ไอ้คนตัวสูงส่งเสียงมาจากข้างหลังของผม

​มาถึงเมื่อไหร่วะ

​แต่เดี๋ยวก่อนนะ... เมื่อกี้ว่าไงนะ

ใครมองใครเป็นไอดอลนะ



"ว่าไงนะ"

"เด็กคนนี้เค้าอยากเป็นเพื่อนกับชา" ไอ้พี่ตองอธิบาย แต่ผมอ่ะ รู้สึกเหมือนในหัวมันมึนๆพิกล "เค้ากำลังพยายามเข้าหาชาอยู่"

"เห็นไหม กูบอกมึงแล้ว" อิช้างเจสซี่เสริม

"เดี๋ยว..." ผมพยายามตั้งสติ นี่กูไม่ได้เป็นคนขี้ระแวงนะ "การกระทำของมัน จะให้กูเข้าใจว่ามันอยากเป็นเพื่อนกูได้ไงวะ แล้วยังไงวะ ไม่มีเหตุผลเลย ทำไมถึงจะมามองกูเป็นไอดอล เราไม่ได้รู้จักมักจี่กันซะหน่อย"

"นี่ชาไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าตัวเองดังขนาดไหน" ไอ้พี่ตองอธิบาย มันเอามือใหญ่ๆมาเตะไหล่ผมเบาๆ ก่อนจะเขย่าให้ผมใจเย็นลง

"ก็..." ผมไม่รู้จะต้องตอบว่าไง

"แล้วข้าวเจ้าก็เป็นเพื่อนกู เรื่องของมึง มันก็รู้มาจากกูนี่แหละ" อิช้างอธิบายเสริมอีกครั้ง

"อะไรวะ" ผมเริ่มสบถ ก็สถานการณ์ตอนนี้ อยู่ดีๆผมก็ดูคล้ายว่าจะเป็นคนผิด ​ไม่จริงๆ เรื่องมันต้องมีอะไรมากกว่านี้ "แล้วพี่ตองรู้ได้ไงอ่ะ"

"ก็ไอ้น้องมันไปปรึกษาพี่" นี่คือคำอธิบายของไอ้พี่ตอง

"เมื่อไหร่"

"เมื่อเช้า"

"ห๊ะ!? เมื่อเช้า? ทำไมชาไม่เห็นอ่ะ"



"มึงต้องเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับพี่ตองหรือไงคะอิซังกุงสูงสุด มึงนอนอยู่บ้านเดียวกับพี่เค้าหรือไง" อิเจสซี่เอ็ดผม

"ก็ใ..."

"ว่า?"

เกือบไปแล้วกู เกือบหลุดปากไปแล้วว่าพักอยู่คอนโดด้วยกันกับไอ้พี่ตอง ไม่เอาๆ จะให้คนรู้มากไปกว่านี้ไม่ได้ แค่นี้ก็รู้กันเยอะแล้ว

"ก็กูไม่เห็นอ่ะ กูก็ต้องสงสัยดิ" ผมแก้ตัว

"ขิงเป็นคนพาไปหาพี่ที่คณะเอง" ว่าไงนะ!!! ขิงเนี่ยนะ "เมื่อเช้า น้องมันไปสารภาพกับพี่ว่าแอบปลื้มชาอยู่ แต่กำลังพยายามเข้าหาชาอยู่ ก็เลยไปสืบเรื่องของชามา ที่ทำดีกับพี่กับคนรอบข้างของชาก่อน ก็เผื่อว่าจะเกิดปัญหาโดนกีดกันภายหลัง"

"ห๊ะ?" นี่ผมตกตะลึงกี่รอบแล้วเนีย ทำไมเรื่องมันฟังดูงงๆ และแปลกๆ ยิ่งวิธีการคิดของไอ้ข้าวเจ้ายิ่งแปลก ฟังดูไม่น่าเชื่อถือเลย "ทำไมถึงคิดงั้นอ่ะ"

"เรากลัวจะโดนพี่ตองกีดกันอ่ะ" หลังจากให้คนอื่นอธิบายมามาก ไอ้ข้าวเจ้าก็ออกปากเองบ้าง "เจสบอกเรื่องความสัมพันธ์ของชากับพี่ตอง เราก็เลยกลัวว่าพี่ตองจะว่า ถ้าเราเข้าหาชาตรงๆ"

"ด้วยการทำเป็นชอบพี่ตองเนี่ยนะ" กูไม่อยากจะเชื่อเลย "แล้วไอ้ต้อมอ่ะ มึงไปยุ่งกับไอ้ต้อมทำไม"



"กูเองๆ" อิช้างรีบพูด "กูบอกข้าวเจ้าเองว่ามึงกับต้อมสนิทกันมากกกกก คืองี้อิชา...." อิเจสพาข้าวเจ้าเดินเข้ามาใกล้ผม หน้าของไอ้ตี๋ตอนนี้อยู่ระหว่างคนขี้กลัวกับคนสำนึกผิด ตัวสั่นเนืองๆ ผมก็เลยแอบใจอ่อนหน่อยๆ "เพื่อนกูคนนี้อ่ะ เป็นคนขาดความมั่นใจในตัวเองมาก ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่มันบังเอิญว่าหน้าตาหน่วยกานดี ก็เลยโดนคัดให้ไปเป็นลีดสังคม ปัญหามันก็เลยเกิดไง คนขาดความมั่นใจ จะให้เป็นผู้นำคนมันก็ยากอยู่ จริงๆตอนแรกข้าวเจ้าก็กะจะลาออกจากลีดแล้วนะ ​แต่มึงจะบ้าเหรอ คนทั้งมหาลัยนี้เจ็ดสิบแปดสิบเปอร์เซ็นก็อยากได้โอกาสนี้กันทั้งนั้นแหละ ในฐานะที่กูเป็นเพื่อน กูก็เลยแนะนำว่าให้ลองดูมึงเป็นตัวอย่าง... แต่ไม่รู้ไปตามดูมึงยังไง ดันปลื้มมึงขึ้นมาจริงจังซะงั้น"

พูดจริงป๊ะเนี่ย "จะบ้าเหรอ คนอย่างกูเนี่ยนะมีคนปลื้ม"

ผมพยายามดูสีหน้าไอ้ข้าวเจ้าอีกครั้ง มันแสดงภาวะขาดความมั่นใจออกมาจริงๆด้วย



"แฟนพี่ออกจะน่ารักขนาดนี้ ก็ต้องมีคนปลื้มบ้างซิครับ" ดูไอ้พี่ตองพูด ไอ้บ้าเอ๊ย มึงก็พูดไม่อายเลยเนาะ จะปิดปากมันก็ไม่ทันแล้ว "จะให้น้องโชกุนปลื้มอยู่คนเดียวได้ไงละ"

"หวานอีกละพี่ตองอ่ะ" อิเจสซี่อายม้วน มึงจะอายทำไม พี่ตองหยอดกู ไม่ได้หยอดมึง "ไม่เห็นหวานกับเจสซี่บ้างเลย"

"อิช้าง" กรรม ปากกูนี่ก็ไวตลอด ดันไปแสดงความหึงหวงต่อหน้าไอ้พี่ตอง ไอ้บ้านี่ก็เลยยิ้มได้ใจใหญ่ เปลี่ยนเรื่องพูดดีกว่า "แล้วทำไมข้าวเจ้าไม่บอกเราตรงๆอ่ะ เป็นเพื่อนกันไม่เห็นจะยากเลย"

"ร...เราก็แค่คิดเผื่อไว้อ่ะ" ดูไอ้ตี๋ข้าวเจ้าอธิบาย กูจะโกรธมึงก็โกรธไม่ลง เอาจริงๆนะ กูยังงงๆอยู่เลย "ถ้าเข้ากับคนรอบข้างของชาได้หมดก่อน ก็น่าจะเข้าหาชาง่ายขึ้น ที่สำคัญ พี่ตองจะได้ไม่เข้าใจผิด หาว่าเราเข้ามายุ่งกับแฟนพี่เค้า"

"เออๆๆๆ ไม่ต้องพูดแล้ว" มึงก็ยังจะวนกลับเข้ามาเรื่องนี้อีกเนาะ "ต่อไปก็ไม่ต้องทำอะไรแปลกๆแล้วนะ ใครๆก็เป็นเพื่อนกันได้ทั้งนั้นแหละ"

"เดี๋ยวก่อนมึง! มึงยังไม่รู้อะไร" อิช้างเจสซี่เห็นว่าสถานการณ์ดีขึ้นก็ถือโอกาสโม้ใหญ่ "ข้าวเจ้าอะนะ สมัยก่อนไม่ใช่คนช่างพูดช่างจานะ อยู่แต่หลังห้อง แต่พอมีมึงเป็นไอดอลนะ พูดทั้งวัน พูดไม่หยุดเลย"

"เดี๋ยวๆๆ อิเจสซี่ นี่มึงหลอกด่ากูนิ"

"ใครจะกล้าด่านายแม่ละคะ กูจะบอกว่า กล้าพูดกล้าแสดงออกมากขึ้น ซ้อมลีดตีสองตีสามทุกวัน โทรมาหากูอยู่นั่นแหละเรื่องมึงอ่ะ น้ำชาชอบกินอะไร น้ำชาเรียนเป็นยังไง น้ำชาเต้นไปถึงไหนแล้ว เหนื่อยจะตอบ.... แต่ที่เด็ดสุด วันนี้กูจะขอเปิดตัวเจ้าของแอดมินเพจ LOVE LEADER ​ข้าวเจ้านี่แหละค่ะ เห็นหรือยังว่าเพื่อนกูปลื้มมึงขนาดไหน"

เชรดดดดดดดดด

โลกกูว่างเปล่าไปเลยตอนนี้

"ที่มันซ้อมหนักทุกวันก็เพราะมึง ไปตามหาข้อมูลว่าพี่ตองชอบอะไรก็เพราะมึง ไปสืบว่าต้อมชอบอะไรก็เพราะมึง ไม่แน่นะ มึงลองไปถามน้ำขิงดูดิ อาจจะได้อะไรจากข้าวเจ้าไปแล้วก็ได้..."

"พอๆๆๆๆ" ผมไม่อยากฟังต่อแล้ว แค่รู้ว่ามีคนมาคลั่งใคล้ตัวเองขนาดนี้ก็จั๊กจี๊จะแย่อยู่แล้ว "กูเชื่อละ แต่วันหลังไม่ต้องทำแล้วนะข้าว"

"ไม่ต้องจริงเหรอ เพราะเรากะว่าจะไปหาซื้อแกงเห็ดมาให้..."

"ไม่ต้องเลย" ไอ้นี่นิ มึงยิ่งทำตัวแบบนี้ กูยิ่งขนลุก "กูหากินเองได้ เออๆๆ เดี๋ยววันหลังกูพาไปเลี้ยงเองด้วยเลยก็ได้ แล้วก็ไม่ต้องพูดเพราะอะไรกับกูนักหนาหรอก เพื่อนกัน เค้าคุยกันบ้านๆ"

"อ๋อ ได้ๆ พูดธรรมดาใช่ไหม" มันท่องอย่างกับบทเรียนสำคัญ "ชาจะพูดเพราะแค่กับพี่ตองคนเดียวซินะ"

"ไอ้ข้าว" ไอ้ห่าเอ๊ย มึงช่วยเลิกพูดอะไรตามใจชอบออกมาซะทีได้ไหมวะ

"อ... อ้อ โทษที" กว่าจะรู้ตัวนะมึง



"เห็นไหมพี่บอกแล้ว" ไอ้พี่ตองตีไหล่ไอ้ข้าวเบาๆ "ชาเข้าถึงง่ายจะตาย ไม่ต้องคิดมากหรอก แต่... เรื่องที่เราสัญญากันไว้ อย่าลืมนะ"

"ได้พี่"

"สัญญา?" มันไปสัญญาอะไรกันเมื่อไหร่วะ "สัญญาอะไรกันอ่ะ"

"ก็เดี๋ยวนี้พี่ไม่ค่อยมีเวลาดูชาไง ก็เลยให้ไอ้น้องสัญญาว่าจะช่วยกันหนุ่มๆออกจากชาให้ถ้าพี่อนุญาตให้น้องมันเป็นเพื่อนกับชา พี่รู้นะ เดี๋ยวนี้ ชาเริ่มโดนพวกผู้ชายเข้ามาจีบบ่อยๆ"

"โอ๊ะ ไม่ต้องเลย พูดบ้าไรกันอ่ะ" มึงนี่ก็เที่ยวพูดเรื่องของกูได้สบายปากเลยเนาะ คิดจะอายสักนิดนึงไหม "ไปๆๆๆ จะเข้าห้องน้ำ"



"เดี๋ยวก่อนอิชา" อะไรของมึงอีกอิช้าง "นี่มึงจะเป็นตัวแม่จริงๆแล้วใช่ไหม"

"อะไรของมึงวะ"

"นี่มันห้องน้ำชะนีค่ะ"

"อ... อ้าว" ชิบหาย จริงด้วย มัวแต่จะหนีจากตรงนี้จนลืมดูหน้าดูหลัง "ก..ก็มึงนั่นแหละอิช้าง พากูมาเข้าห้องนี้"

"ค่ะ กูผิดเอง แต่ยังไงกูก็ขอโทษมึงด้วยนะอิชา ที่เอาเรื่องของมึงไปบอกข้าวเจ้า เอาเข้าจริงๆแล้วอ่ะ กูก็นึกไม่ออกว่าจะให้ใครเป็นแบบอย่างเรื่องความพยายามแบบมึงได้ แต่ผลลัพธ์ก็ออกมาเป็นที่น่าพอใจนะ ทุกวันนี้กูยังไม่เชื่อเลยว่าข้าวเจ้าจะขึ้นมาเป็นตัวเด่นในบรรดาลีดปีหนึ่งได้ อันนี้ผลงานของมึงเลยนะ"

"เออๆ" พูดซะกูเขินเลย

"ข...ขอบใจนะ" ไอ้ตี๋พูดเขินๆ

"ทีตอนนี้ละมึงทำเป็นคนไม่กล้าพูดนะ" ผมแกล้งแซวนิดหน่อย "เก่งขึ้นแล้วก็เก่งให้มันตลอดดิ"



"สองคนไปที่โต๊ะก่อนเลยนะ เดี๋ยวพี่ตามไป" ไอ้พี่ตองบอกอิเจสซี่กับไอ้ข้าว



จริงๆผมก็ไม่ได้อยากเข้าห้องน้ำนะ แต่สถานการณ์มันพาไป

กลายเป็นว่ากูต้องเข้ามาอยู่ในห้องน้ำกับไอ้พี่ตองซะงั้น

แต่ก็แปลกนะที่มีคนมาปลื้มผมขนาดนี้ แอบตาม แอบสืบเรื่องของเรา ขนลุกชะมัด



"ฮอตใหญ่แล้วนะเราอ่ะ" นั่นไง ดูไอ้พี่ตองมันเปิดประเด็นดิ

กูยิ่งพยายามจะทำตัวเป็นธรรมชาติอยู่ เนีย เดี๋ยวก็ต้องกลับไปนั่งโต๊ะ ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไงเลย ต้องยิ้มไหม หรือทำตัวขรึมๆดี หรือว่าจะเริ่มด้วยการตบเกรียนเหมือนไอ้ต้อม ​คงไม่ใช่ความคิดที่ดี

"มีหนุ่มๆมาตามชอบแบบนี้ พี่หึงนะรู้เปล่า" ยังจะพูดอีก

"ถ้าหึงแล้วพามันนั่งรถมาหาชาถึงที่ทำไมล่ะ" ผมกับพี่ตองกำลังเดินกลับเข้าไปในส่วนร้านอาหาร "แต่ก็แปลกเนอะ คนอย่างชาเนี่ยนะมีคนมองเป็นไอดอล แถมยังใช้วิธีการแปลกๆเข้าหาชาด้วย จริงๆแค่เดินมาคุยกันตรงๆก็ได้เลยแท้ๆ ทำอะไรแบบนี้ คนเค้าก็เข้าใจผิดหมดดิ"

"เหรอคร้าบบบบ" จะลากเสียงทำไม "ใครกันน๊า ที่เข้าหาพี่ด้วยการทำตัวเป็นคู่แข่ง แทนที่จะเดินเข้ามาคุยตรงๆ กลับทำตัวให้พี่หมั่นใส้ เห็นพี่เล่นบาสก็เล่น เห็นพี่เล่นกีต้าร์ก็เล่น พอหนีไปว่ายน้ำก็ยังจะตามไปอีก แอบทำการบ้านให้พี่ แอบเก็บเรื่องเล็กๆน้อยๆของพี่ไว้หมด แค่นี้อ่ะ ยังเทียบกับที่ชาทำตัวแปลกๆกับพี่ไม่ได้เลยนะ"

".........." จุกเลยกู อย่างกับโดนต่อยท้องอย่างแรง นี่กูก็เคยทำตัวแบบนี้เหรอวะ

"ตอนแรกที่ไอ้น้องมันมาบอกพี่เรื่องที่มันปลื้มชา พี่ก็แอบโกรธมันอยู่นะ กลัวว่ามันจะมายุ่งวุ่นวายกับชา แต่พอคิดดูอีกที พี่ก็อยากให้มันได้อยู่ใกล้ๆกับคนที่มันแอบปลื้ม เพราะพี่เคยเข้าใจผิดกับชามาก่อน พี่ก็เลยไม่อยากให้ชาเข้าใจผิดเหมือนพี่ ที่สำคัญ มันแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้จะมาจีบชาแน่นอน พี่ก็เลยอนุญาต"

"ใจดีเนาะ"

"ใจดีแล้วมีรางวัลตอบแทนไหมละครับ"

"ต้องตอบแทนด้วยเหรอ"

"ก็พี่ใจดีไม่ใช่เหรอ"

"มั่วล่ะ"

"ว่าแต่... ตอนนี้ชาเข้าใจความรู้สึกของพี่แล้วใช่ไหม เข้าใจหรือยังว่าเวลาโดนคนทำตัวแปลกๆใส่มันรู้สึกยังไง นี่ขนาดไอ้น้องมันเพิ่งจะเริ่มนะ พี่อ่ะ โดนชาทำอะไรแปลกๆใส่มาตั้งหลายปี คิดดูดิ..."

"โอเคๆๆๆ พอๆๆ เข้าใจแล้ว"

"ถ้าเข้าใจ.... งั้นก็บอกรักพี่ดิ"

"ห๊ะ เกี่ยวไรกันอ่ะ"

"ก็ถ้าชาเข้าใจความรู้สึกพี่แล้ว ชาก็น่าจะรู้ดิว่าพี่อยากได้ยินชาพูดหวานๆกับพี่บ้าง"

"เรื่องไรล่ะ"

"โห่ ชาอ่ะ" นั่นไง มันเริ่มคว้ามือผมแล้ว นี่มันที่สาธารณะนะไอ้พี่ตอง "พี่พูดกับชาทุกวันเลยอ่า ไม่เห็นชาพูดกับพี่บ้างเลย"

"โอ๊ะ แค่อยู่ด้วยกันทุกวันนี่ยังไม่พออีกใช่ไหม" ผมให้เหตุผล ก็จริงอ่ะ อยู่ด้วยกันทุกวันขนาดนี้แล้วยังจะเรียกร้องอะไรอีก กูไม่ใช่นางเอกซีรี่ย์เกาหลีนะ ที่จะได้ตามเรียกโอปป้าๆตลอดเวลา "หรือจะแยกกันอยู่ไหม ชาจะได้บอกรักพี่ตองทุกวัน แลกกันไหม"

"โห่.... ชาก็รู้นิว่าพี่ไม่เอาด้วยหรอก" ยังจะงอแงอีก นี่ไม่รู้จักนิสัยกูเลยหรือไง

"ชาไม่ใช่ขิงนะพี่ตอง ที่จะมาพูดหวานๆตลอดเวลา แบบนั้นก็แสดงว่าพี่ไม่ได้ชอบชาที่เป็นชาอะดิ" ผมตอกกลับ

"อ่ะๆๆๆ ก็จริง เพราะพี่ก็ชอบชาที่เป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก ไม่เปลี่ยนไปก็พอแล้วเนาะ"

"แหวะ"

ไปหาของกินดีกว่า
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 40 [ไอดอล Part 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 14-02-2018 20:53:24
"เป็นไงมึง" นี่คือคำถามแรกจากไอ้ต้อม หลังจากที่ผมมายืนข้างๆมันเพื่อตักข้าวผัดที่เคาเตอร์อาหาร

"เป็นไงอะไรวะ" ผมถาม

"ก็เรื่องมึงกับข้าวเจ้าอ่ะ" ห๊ะ รู้ได้ไง "น้ำขิงเล่าให้กูฟังหมดแล้ว กูก็เลยเดาว่าที่มึงกับมันหายกันไปนานๆเนีย เพราะไปเคลียร์กันมาใช่ไหม"

"อ๋อ เออ เคลียร์แล้ว" เคลียร์จริงเปล่าหว่า ผมหันไปดูไอ้ข้าวที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ กำลังคุยกันกับพวกเพื่อนๆ เออ มันทำตัวปกติ ไม่มีอะไรแปลกๆแล้ว

"เจ๋งนะมึงอ่ะ เป็นไอดอลของเพื่อนรุ่นเดียวกันซะด้วย"

"เจ๋งไรล่ะ คนมีตั้งเยอะแยะ ทำไมต้องมาคิดว่ากูเป็นไอดอลด้วยวะ"

"ไม่ใช่มึงแล้วจะเป็นใครวะ เรียนก็เก่ง กิจกรรมก็เด่น กีฬาก็ขั้นเทพ นี่ถ้ามึงไม่มาคบกับพี่ตองนะ กูว่าป่านนี้สาวๆแห่ตามมึงเยอะกว่าพี่ตองอีก.... พูดถึงพี่ตอง เมื่อกี๊มึงกับพี่ตองคุยไรกันวะ ท่าทางเครียดๆ"

"เสือก" อย่ารู้ทุกอย่างเลยมึงอ่ะ

"โห่ ไอ้ชาเย็น.... กูถามมึงจริงๆนะ ระหว่างกูกับแก๊งเพื่อนมึงเนีย ใครเป็นเพื่อนสนิทมากกว่ากันวะ"

"ถามทำไมวะ"

"ก็ทุกวันนี้นะเว้ย กูแทบจะไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับมึงเลย มีอะไรมึงก็ไม่เคยปรึกษากูสักอย่าง เรื่องของมึง กูแทบจะต้องรู้จากคนอื่นอีกทีนึงตลอดเลย ให้กูได้ทำหน้าที่เพื่อนสนิทมึงบ้างก็ได้นะเว้ย"

"อือหือ ไอ้นี่ พูดซะกูเป็นเพื่อนเลวเลย... ก็ไม่มีได้หรอก พี่ตองมันบังคับให้กูพูดหวานๆกับมันเฉยๆ แต่กูก็เป็นกูอย่างงี้นี่หว่า กูก็เลยบอกว่า ถ้าอยากฟังคำพูดหวานๆก็ไปให้ขิงพูดให้ฟังโน่น"

"เหรอวะ" ไอ้ต้อมถอนหายใจ

"ถอนหายใจทำไมวะ"

"มึงกับน้ำขิงก็พอๆกันนั่นแหละ ปากหนักพอกันเลย"

"จริงเหรอ" นึกว่าขิงจะเป็นพวกปากหวานซะอีก อยู่กับไอ้ต้อมนานๆ คิดว่าติดเชื้อกันไปแล้ว "แล้วทำไมมึงต้องอยากฟังด้วยวะ เป็นแฟนกันแล้วไม่ใช่เหรอวะ อยู่ด้วยกันอีกต่างหาก"

"มันก็ใช่ แต่บางทีกูก็อยากสำคัญกว่าคนอื่นบ้างเว้ย กูว่ากูเข้าใจความรู้สึกพี่ตองนะ ในเวลาที่มีคนนั้นคนนี้มาชอบมาปลื้มมึงแบบนี้อ่ะ พี่เค้าก็อยากเห็นสัญญาณบางอย่างบ้าง ว่าพี่เค้าสำคัญกว่าคนมากมายที่เข้ามาชอบมึง ไม่ใช่ว่านับรวมพี่เค้ากับทุกคนที่มาชอบมึง งั้นมันจะไปต่างอะไรกันวะ... แต่พี่ตองยังถือว่าโชคดีนะที่มึงรู้จักกีดกันคนที่เข้าหาบ้าง น้ำขิงนี่ดิ เฟรนลี่สุดๆ ใครเข้ามาคุยด้วยก็ยิ้มหวานใส่เค้าไปหมด กูชักเริ่มกันคนไม่ไหวแล้วเนีย ยิ่งพวกรุ่นพี่ก็ยิ่งกันยาก..."

จริงเหรอวะ ไอ้พี่ตองมันจะคิดอย่างงั้นจริงๆเหรอ

ผมมองดูหน้าไอ้คนตัวสูงที่พูดคุยบนโต๊ะอาหารอย่างเป็นธรรมชาติ ​ก็ไม่เห็นจะมีท่าทีอะไรเลย

​เห็นไหม มันเดินผิวปากมาทางนี้แล้ว

แต่.....



"เจ้าชายตองแผงฤทธิ์อีกแล้ว" ไอ้ต้อมแซว

ก็ตอนนี้มีผู้หญิงคนนึงเดินตรงเข้ามาหาไอ้พี่ตองอย่างเปิดเผย จะบอกว่าสวยดีไหมล่ะ แต่เรื่องการแต่งตัว บอกเลยว่า ผู้ชายที่ไหนเห็นก็ต้องน้ำลายหก ประมาณว่าเป็นชุดที่จะใส่ไปเที่ยวราตรีคืนนี้แน่นอน ทรวงทรงองค์เอวไม่ต้องพูดถึง ยิ่งใครได้คุยด้วย คงจะไม่มีสมาธิมองที่หน้า เพราะมีอย่างอื่นให้สนใจมองมากกว่า



"ไม่เข้าไปขวางเหรอ"

เห้ย!!!! ไอ้ข้าว "มาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ"

"ก็เราเห็นชากับต้อมคุยกันอยู่นาน เลยเดินมาดู"

"บอกแล้วไงให้พูดธรรมดา ไม่ต้องสุภาพหรอก"

"เออๆ มึงไม่ต้องสุภาพกับมันหรอก" ไอ้ต้อมเสริม "เรียกมันว่า ไอ้ชาเย็น เหมือนกูก็ได้ มันเกรียนจะตาย เดี๋ยวรู้จักกันไปสักพักมึงจะเลิกชอบมันเอง"

"ไอ้สัดต้อม" ผมตบเกรียนไอ้ต้อมอย่างไว "มากไปแล้วมึงอ่ะ"

"เห็นไหม ไม่ทันขาดคำ"

"โอเคๆ" ไอ้ข้าวพยักหน้าเข้าใจ ส่วนผมอะเหรอ ก็สังเกตุการณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่อะดิ "ไม่เข้าไปขวางอ่ะ พี่ตองกำลังโดนผู้หญิงคุกคามอยู่นะ"

"....." เหรอวะ ผู้หญิงคุกคามหรือกำลังนัดหมายอะไรกันอยู่กันแน่ ทำไมสองคนนั่นคุยกันนานจัง

"ให้เรา... เอ่อ... ให้กูช่วยไหม เดี๋ยวเข้าไปบล็อกให้"

"เห้ย เดี๋ยวๆๆๆ" โอ้โห ไอ้ข้าว มึงนี่ฟิตเนาะ ไม่ต้องทำเพื่อกูขนาดนี้ก็ได้ ที่สำคัญ "กูอยากดูท่าทีไปก่อน ไม่ต้องเข้าไปหรอก ไปหาไรกินเหอะ"

"อ๋อ นี่ไงได้แล้ว แกงเห็ด" ไอ้ข้าวโชว์ชามแกงเห็ดให้ดู "เพิ่งเห็นว่ามีแกงเห็ดด้วย มึงชอบกินไม่ใช่เหรอ ก็เลยมาตักให้"

"เออ เอาไปวางที่โต๊ะ เดี๋ยวกูตามไป"

"ได้ แต่... ไม่ให้กูช่วยแน่นะ"

"ไม่ต้องอ่ะ ไปเลยๆๆ"

แล้วไอ้ข้าวก็เดินร่าเริงกลับไปที่โต๊ะ



"โอ้โห้" ไอ้ต้อมร้อง "แฟนคลับมึงนี้ทุ่มทุนสร้างเนาะ จ้างมาเท่าไหร่วะ หาแบบนี้ให้กูบ้างดิ กูจะเอาไปกันพวกผู้ชายที่มาตามจีบน้ำขิงบ้าง... เห้ยๆๆ ผู้หญิงเดินหน้าจ๋อยออกไปแล้วว่ะ"

จริงด้วย สาวเจ้าเหมือนจะผิดหวังอะไรบางอย่างก่อนจะเดินส่ายก้นกลับไปที่โต๊ะของเธอที่มีสาวๆแบบเดียวกันอยู่อีกเพียบ

"กูไปละนะ มึงเคลียร์กันเองนะ" ไอ้ต้อมรีบพูด "ไว้มาปรึกษากันใหม่ นานๆทีได้ทำหน้าที่เพื่อนสนิทบ้าง งั้นวันหลังกูจะถามเรื่องบนเตียงของมึงบ้างละกัน ไปนะ ไอ้เพื่อนสนิท"

"ไอ้..." ไม่วายที่จะกวนตีนนะมึงเนีย



"คุยไรกันอ่ะชา" ไอ้พี่ตองเริ่มคำถามเมื่อเดินมาถึงตัวผม "ไม่หิวเหรอ ดึกแล้วนะ"

"ไม่มีไรอ่ะ" ผมตอบผ่านๆ "แล้ว... คนนั้นมาคุยอะไรกับพี่ตองอ่ะ"

"เมื่อกี๊อะเหรอ"

ยังจะมาถามอีก

"อ๋อ เค้ามาขอเบอร์พี่อ่ะ แต่พี่ปฏิเสธไปแล้วล่ะ พี่บอกว่ามีแฟนแล้ว"

"เหรอ... แล้วทำไมต้องคุยกันนานด้วยอ่ะ"

"ก็เค้าไม่เชื่อ เค้าถามว่า แฟนพี่อยู่ไหน"

"แล้ว..."

"ก็ไม่แล้วไงครับ ทำไงได้ เค้าไม่เชื่อ พี่ก็ทำได้แค่ยืนยันว่าให้เบอร์ไม่ได้จริงๆ ทำไมครับ หึงเหรอ.... พี่ไม่กล้านอกใจแฟนตัวเองหรอกคร้าบ น่ารักขนาดนี้"

"แต่ผู้หญิงคนนั้นก็น่ารักนะ แถมท่าทางจะร้อนแรงสุดๆด้วย"

"สู้แฟนพี่ได้เหรอ... ฮ่าๆๆ ไม่ต้องห่วงหรอกครับ พี่เลิกคิดเรื่องผู้หญิงไม่นานแล้ว แต่ชาไม่ต้องห่วงนะ พี่ไม่บอกใครหรอกว่าสถานะของพี่กับชาเป็นไง พี่รู้ว่าชาจะอึดอัดกับเรื่องนี้ ป่ะ เราไปหาไรกินกันดีกว่า นี่ชาตักมาพอหรือยัง เอาอะไรเพิ่มอีกไหม พี่ว่าจะหาของหวานเพิ่มอีกซะหน่อย...."

"พี่ตอง" ผมเรียก ทำไมการฟังที่ไอ้คนตัวสูงพูดเมื่อกี๊แล้วมันรู้สึกแปลกๆวะ

"ครับ?"

"มานี่มา" จูงมือไปเลยละกัน

ผมจูงมือพี่ตองให้เดินมากับผมในขณะที่มืออีกข้างถือจานข้าวผัดไว้ พี่ตองคงจะงงๆว่าผมจะพาไปไหน



"ขอโทษนะครับ"

"ค่ะ?"

"คนนี้เป็นแฟนผมครับ ขอโทษที่เมื่อกี๊ทำให้ถูกปฏิเสธนะครับ แต่....ช่วยเข้าใจเราสองคนด้วยนะครับ"

ใช่ครับ

ผมรู้ว่าพวกคุณคงเดาได้แล้วว่าผมพาพี่ตองมาหาใคร

พี่ผู้หญิงที่มาคุยกับพี่ตองตาค้างไปนิดหน่อย ส่วนในโต๊ะนั้นเงียบนิ่งกันอย่างกับโดนแช่แข็ง



กูไปละนะ ได้ทำในส่วนที่อยากทำแล้ว



"เอ่อ... ก็ตามนั้นแหละครับ" ผมได้ยินพี่ตองพูดกับผู้หญิงพวกนั้นก่อนจะเดินตามผมออกมา

ก็ไม่รู้ว่าทำถูกหรือทำผิดนะที่ทำไป แค่รู้สึกว่าอยากจะทำ หลายคนคงมองว่าผมบ้า แต่ไม่รู้ซิ มันคงจะเป็น... วิธีการของผมละมั้ง



"อะไรกันครับเนี่ย" ไอ้พี่ตองยังท่าทางอึ้งๆอยู่เลยเมื่อกลับมาถึงโต๊ะ แต่ดูเหมือนคนอื่นจะไม่รู้เรื่องอะไร ก็ที่นี่คนเยอะ แถมมีบรรยากาศความวุ่นวายหน่อยๆ คงไม่มีใครสนใจเรื่องของใครมากนัก

"ก็เค้ามายุ่งกับแฟนชาอ่ะ" ผมพยายามตอบซื่อๆ

"อะไรนะ!!!" จะประหลาดใจอะไรนักหนาวะ จริงๆกูก็กดความเขินไว้ในใจนะ อย่ามาแหย่มากได้ป่ะ "ชาตัวร้อนตรงไหนหรือเปล่าเนีย หรือว่าซ้อมหนักเกิน ไหนพี่ขอดูตาหน่อย ตาเหลืองหรือเปล่า"

"จะบ้าหรือไงเล่า ปล่อยเลย ไม่ได้เป็นไรทั้งนั้นแหละ"



"สองคนเป็นไรกันอ่ะ" นั่นไง ดูความเสือกของไอ้ต้อมดิ ถามไวเชียวนะมึง

"นั่นดิ กูก็อยากรู้เหมือนกัน" ไอ้พี่ตองตอบ "แต่กูมีความสุขจัง" ดูความเล่นใหญ่ของไอ้ตัวสูง มึงจะฟินเกินไปแล้ว

"ความสุขอะไรวะพี่ แล้วพี่ไม่กินไรเหรอ ไม่เห็นตักอะไรมาเลย"

"พอแล้ว วันนี้อิ่มแล้ว ความรักมันแน่นท้อง ตอนนี้อยากกลับไปกินน้ำชามากกว่า"



​​วูวววววววว



เอาจนได้...... แซวกันทั้งโต๊ะเลย

ตอนนี้กูตัดสินใจได้แล้วว่าที่เพิ่งจะทำไปเมื่อกี๊คือ กูตัดสินใจผิด

ดูหน้าไอ้พี่ตองดิ ยิ้มจนแก้มจะแตกอยู่แล้ว

คราวนี้พอมันตั้งสติได้ก็โม้ให้ไอ้ต้อมฟังใหญ่เลยว่าผมไปทำอะไรมา ก็ไม่ได้เสียงดังอะไรหรอก แต่ก็มากพอให้ผมอายได้อ่ะ ขิงที่ได้ยินยังอายแทนเลย



"โห่พี่" ไอ้ต้อมหน้าหงอยอย่างชัดเจนเมื่อรู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น "โคตรน่าอิจฉาเลย ทำไมสมัยก่อนมึงไม่ทำตัวหวานๆกับกูบ้างวะ" พูดมากนะมึงไอ้ต้อม ดูขิงก่อนไหม มองแรงเชียว "เอ๊ย เค้าไม่ได้หมายถึงแบบนั้นนะตัวเอง เค้าหมายถึงว่ามันชอบทำตัวเกรียนใส่เค้าต่างหากล่ะ...." อธิบายไปเหอะมึง ขุดหลุมฝังตัวเองดีนัก



"อยากกลับถึงคอนโดฯ เร็วๆจัง" ดูความดี๊ด๊าของไอ้พี่ตองดิ

"นี่จะไม่กินข้าวจริงๆเหรอ" ผมเอ็ด "ข้าวเย็นได้กินแล้วหรือไง"

"ก็มันอิ่มอกอิ่มใจนิครับ กินไรไม่ลง"

"พูดมาก อะนี่!"

"ห๊ะ!?" นี่จะตกใจอีกหลายรอบไหม แค่จะป้อนข้าวให้ทำไมต้องทำหน้าเหวอแบบนั้นด้วย

"จะกินไม่กิน"

"กินๆๆๆ กินครับๆ" ดูมันทำหน้าดิ จะยิ้มหรือจะงงกันแน่

ส่วนตัวผมตอนนี้อะนะ ภายนอกดูหน้านิ่งนะ ไม่อยากทำตัวกะโตกกะตากมากเดี๋ยวจะโดนแซวหนัก แต่ข้างในตัวนี่อย่างกับมีสวนสัตว์วิ่งกันให้เต็มไปหมด ทำไมการทำตัวหวานๆมันถึงใช้พลังงานเยอะขนาดนี้วะ

แล้วผมก็ป้อนไอ้พี่ตองไปเรื่อยๆ ตัวเองกินที ป้อนมันที จนคนในร้านเริ่มจับสังเกตุเห็นแล้ว แต่ก็ช่างมันเถอะ ทำมาขนาดนี้แล้ว จะหยุดกลางคันได้ไง ส่วนพี่ตองอะเหรอ ยิ้มกว้างโชว์คนทั้งร้าน นั่งไขว่ห้าง กระดิกขาอย่างกับเป็นเจ้าของโลกทั้งใบ ​ไอ้เหม่งเอ๊ย



"ทุกคน" สักพักขิงร้องเรียกคนบนโต๊ะ "เราขอตัวกลับก่อนนะ"

"ห๊ะ" ไอ้ต้อมดูจะงงๆนิดหน่อย เพราะมันยังสนุกกับอาหารตรงหน้าอยู่เลย

"ไปกันเถอะ" ขิงเรียกไอ้ต้อม

"รีบไปไหนอ่ะ เค้ายังกินไม่อิ่มเลย" ไอ้ต้อมงอแงนิดนึง แต่ก็ยอมวางมือจากอาหาร "งั้น... ไปแล้วนะทุกคน"

"โอเคมึง เจอกันพรุ่งนี้" ผมกล่าวลา

"เจอกันๆ หวัดดีครับพี่ตอง หวัดดีครับพี่กอล์ฟ ไปนะทุกคน.... ตัวเองจะรีบไปไหนอ่ะ แล้วกินอิ่มแล้วเหรอ...."

แล้วขิงกับไอ้ต้อมก็จากไป ส่วนไอ้เรื่องจะไปไหนนั้น ผมไม่รู้หรอก แต่ถ้าถามว่าจะไปทำอะไร ผมว่าผมพอจะเดาได้นะ คนอย่างขิงอ่ะ เวลาได้รับการกระตุ้นบางอย่างจากผม มักจะมีพฤติกรรมอะไรคล้ายๆกัน จะบอกว่าสมกับที่หน้าเหมือนกันดีไหมนะ ช่างมันเถอะ ไม่ใช่เรื่องของผม เพราะเรื่องของผมคือไอ้หัวเหม่งที่นั่งยิ้มอยู่ตรงนี้ต่างหาก



"งั้นเรารีบกลับกันบ้างไหม" ดูไอ้พี่ตองมันชวนดิ ผมแทบจะสำลักน้ำเลย

"จะบ้าเหรอ คนอื่นยังกินกันอยู่เลย ไหนจะต้องไปส่งไอ้ข้าวอีก พี่รับเค้ามาไม่ใช่รึไง ต้องรับผิดชอบพาไปส่งด้วยนะ นี่มันดึกมากแล้ว"

"จริงด้วย" ความคึกคักของไอ้พี่ตองถูกลดระดับลงมาครึ่งเลเวล ย้ำ แค่ครึ่งเลเวลเท่านั้น มันยังคงมีท่าทีอารมณ์ดีผิดมนุษย์เหมือนเดิมนั่นแหละ

"เดี๋ยวกูไปส่งข้าวเจ้าให้เองก็ได้" ไอ้สุ่ยแทรกขึ้นมา

"เห้ย ไม่เป็นไร" ผมรีบบอก จะบ้าเหรอ คนของเราก่อเรื่อง จะให้คนอื่นมาเดือดร้อนได้ยังไง "กูไปส่งได้"

"กูก็ไปได้ รถกูนั่งคนเดียว กูจะได้มีเพื่อนนั่งรถกลับด้วย มึงจะได้มีเวลาหวานแหววกับพี่ตองกับสองคน"

"เงียบไปเลยมึงไอ้สุ่ย เออ งั้นมึงไปส่งละกัน แต่ส่งให้ปลอดภัยนะมึง อย่าทำไรเพื่อนใหม่กูนะ"

"ก็ถ้าเพื่อนใหม่มึงทำตัวหวานแหววแบบมึงกับพี่ตองก็ไม่แน่นะเว้ย กูอาจจะไปส่งที่หอกูแทนก็ได้"

"พอเลยมึง กูไปส่งเองดีกว่า ปล่อยคนหัวอ่อนไว้กับเสืออย่างมึงไม่ปลอดภัยแหง"

"กูล้อเล่น จะบ้าเหรอ กูไม่ทำอะไรไอ้ตี๋นี่หรอก กูหาคนนั่งรถกลับด้วยจริงๆ"

"แน่นะมึง อย่าให้กูรู้นะว่ามึงมีแผนอะไร กูเคยได้ยินกิตติศัพท์มึงมาบ้างนะ ไอ้เสือหิว พวกรุ่นพี่ผู้หญิงที่ชอบมารอหน้าห้องซ้อมคือฝีมือมึงใช่ไหม"

"เสือหิวอะไรของมึงวะ พอเลยๆ งั้นกูรีบกลับดีกว่า เดี๋ยวจะรีบโทรมารายงานมึงเลย ไปๆๆไอ้ตี๋ กลับหอได้แล้ว เดี๋ยวกูไปส่ง"

ไอ้ข้าวงงหน่อยๆ แต่ก็วางไก่ในมือลงแล้วรีบลุกขึ้นเดินตามออกไปพร้อมกับกล่าวลาทุกคนแบบลวกๆ

ส่วนคนที่เหลือก็เริ่มจะทะยอยออกจากร้าน เพราะอิ่มกันแล้วและอาหารก็หมดจากในจาน

ท้ายที่สุดทุกคนก็แยกย้ายกันกลับที่พักของแต่ละคนไป



ส่วนผมอะนะ พอกลับมาถึงคอนโดฯก็มีฉากบู๊กับไอ้พี่ตองนิดหน่อย ก็แน่ละซิ ผมคงจะรอดหรอก หลังจากทำตัวหวานแหววกับมันไปอย่างนั้น

ดึกอีกตามเคย



ช่วยบอกผมที จริงๆแล้วผมควรจะทำตัวหวานๆไหม เพราะดูแล้ว ผมจะโดนผลกระทบจากการทำแบบนี้ทุกที

แต่ก็....





.......​รู้สึกดีนะ
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 41 [เซอเรน เคียร์คลอเกอร์ Part 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 19-02-2018 19:49:43
ตอนที่ 41 : เซอเรน เคียร์คลอเกอร์







วันนี้เหนื่อยจริงๆ มันเป็นวันที่เจอเรื่องมาหนักที่สุดเท่าที่เคยใช้ชีวิตในฐานะผู้นำเชียร์ของคณะสังศาสตร์มาเลย

การซ้อมเต้นทั้งวันเพื่อให้ได้ท่าเต้นที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับใช้ในการทดสอบในวันพรุ่งนี้ตามคำแนะนำของพี่ตอง แฟนหนุ่มของคนที่ผมแอบปลื้มมาได้สักพัก น้ำชา ​ก็เพราะว่าจุดประสงค์จริงๆของความพยายามในการซ้อมอย่างหนักนี้ก็เพื่อที่ผมจะได้มีเหตุผลในการเข้าไปทำความรู้จักกับเค้า...

ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะว่าที่ผมทำไปมันจะเป็นวิธีการที่ดีหรือเปล่า แต่ในที่สุดผมก็ได้เป็นเพื่อนกับไอดอลของผมจนได้ ในที่สุดน้ำชาก็ออกปากมาแล้วว่า เราสองคนเป็นเพื่อนกัน เรื่องความลำบากที่โดนเข้าใจผิดมาทั้งวันนี้ก็ถือว่าคุ้ม

เกือบจะได้รับประทานหมัดของไอดอลซะแล้ว

อ้อ ผมลืมแนะนำตัวไป

ผมชื่อ ข้าวเจ้า ครับ พัฒนวิทย์ ศุภเจริญกุล นิสิตชั้นปีที่หนึ่งจากคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมัณฑนา และตอนนี้ก็มีอีกหนึ่งตำแหน่งควบอยู่ ก็คือ ผู้นำเชียร์ประจำคณะสังคมศาสตร์

ผมเป็นลูกชายคนกลางของพ่อค้าข้าวในต่างจังหวัดครับ มีพี่สาวและน้องสาวอย่างละคน ถึงจะเป็นจังหวัดห่างไกล แต่ธุรกิจของที่บ้านก็ถือว่ารุ่งเรืองพอสมควร พอที่ส่งผมมาเรียนในเมืองหลวงตั้งแต่มัธยมได้สบายๆ

ที่บ้านของผม ป๊า(พ่อ)ดุมาก ผมก็เลยไม่ค่อยกล้าคิดหรือตัดสินใจทำอะไรด้วยตัวเองมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว เพราะมีป๊าขีดเส้นให้ตลอด พี่สาวกับน้องสาวก็เจอสถานการณ์เดียวกัน แต่ผมก็พอเข้าใจนะ เพราะครอบครัวเราสูญเสียม๊าไปด้วยอุบัติเหตุทำให้ป๊าเลี้ยงลูกๆสามคนลำพัง ท่านจึงเป็นคนเด็ดขาดและคอยออกคำสั่งอยู่เสมอ

เพียงแต่ว่าตอนนี้ ผมเริ่มมีความคิดที่อยากจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแกร่ง สามารถคิดและตัดสินใจ กล้าที่จะพยายาม กล้าที่จะลงมือทำอะไรด้วยตัวเองบ้าง แล้วโชคชะตาก็พาให้ผมได้มารู้จักกับเด็กหนุ่มนักพยายามคนนึงที่ชื่อว่า 'น้ำชา' ผมได้มีโอกาสฟังเรื่องราวของเค้ามากมายผ่านเพื่อนคนนึงของผม จากนั้นผมก็ติดตามเค้าจากรายละเอียดเล็กๆน้อยๆอื่นๆ จนในที่สุด ผมได้ตัดสินใจแน่วแน่ที่จะมีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันเป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิต

มันตลกใช่ไหมล่ะครับ แต่ผมอ่ะจริงจังนะ น้ำชาทั้งเก่ง ฉลาด อัธยาศัยดี เป็นห่วงเป็นใยคนรอบข้างเสมอ เพราะเหตุนี้แหละ ผมก็เลยฝึกฝนตัวเองให้เป็นคนเก่งเหมือนเค้า เต้นให้เก่ง อาจจะฉลาดไม่เท่าแต่ก็อยากให้ดูเท่เวลาพูดจา พยายามเรียนให้เป็นที่หนึ่งของภาควิชา มันก็ยากนะ แต่พอมาคิดว่าน้ำชาทำได้ ผมเองก็ต้องทำได้บ้าง



"ไอ้ตี๋.... ไอ้ตี๋ เห้ย! ไอ้ข้าวเจ้า"

"ห๊ะๆๆ"

"เหม่ออะไรของมึงวะ ทางนี้ใช่ไหม บอกทางกูด้วยดิ จะกลับไหมหออ่ะ"

"อ๋อ เออ ใช่ๆ ทางนี้แหละ ตรงไปเรื่อยๆก็ถึงแล้ว"

"ก็พูดดิ นี่ถ้าไม่เห็นแก่ว่ามึงมาช่วยสอนลีดให้พวกกูวันนี้ กูจะปล่อยลงตรงนี้แหละ ชอบทำหน้าเอ๋ออยู่ได้"

ผู้ชายอะไรวะปากร้ายชะมัด

​คือตอนนี้ผมกำลังจะกลับไปพักผ่อน ผมเพิ่งจะแยกมาจากเพื่อนๆที่ซ้อมลีดด้วยกัน ส่วนไอ้คนที่ขับรถมาส่งผมชื่อ สุ่ย (ไม่รู้จักชื่อจริง) เป็นเพื่อนของน้ำชา เป็นผู้นำเชียร์คณะวิทยาศาสตร์ แล้วก็รู้สึกว่าจะเป็นเดือนของคณะด้วย หน้าตาก็งั้นๆแหละ ไม่รู้ว่าได้ที่สามของเดือนมหาลัยได้ไง หน้าตาดูไม่ฉลาดเลย น้ำชาดูมีเสน่ห์กว่าตั้งเยอะ



#เสียงโทรศัพท์

"ฮัลโหลครับบบบ"

 เสียงโคตรหวานเลย นี่มันคุยกับคนหรือคุยกับน้ำตาลกันแน่วะ หวานเกิ๊น

​"ขอโทษครับ วันนี้ซ้อมหนักเลย ขอโทษจริงๆน๊า ช่วงนี้เป็นช่วงสำคัญก็เลยต้องจริงจังหน่อย"

"......."

"โอ๋ๆๆ เดี๋ยวหมดเดือนนี้ก็ว่างยาวแล้วนะครับ เดี๋ยวพาไปเที่ยวทะเล โอเคไหม"

"........"

"สัญญาครับสัญญา งั้นเดี๋ยวสุ่ยขับรถก่อนนะ"

"......."

"เหมือนกันครับบบบ"



อือหือ คุยกับสาวชัวร์เลย ไม่บอกก็รู้ว่าไอ้คนนี้มันแพรวพราว



#เสียงโทรศัพท์

"ฮัลโหลครับบบบ"

ห๊ะ โทรมาอีกแล้วเหรอวะ เพิ่งวางสายไปเอง โทรศัพท์ยังไม่ได้วางลงเลย จะคิดถึงอะไรกันขนาดนั้น

"พอดีช่วงนี้ซ้อมหนักอะครับ ใกล้จะคัดลีดมอแล้ว ขอโทษนะคร้าบบบบ"

!?!?!?!?  เดี๋ยวนะ.... มันก็เพิ่งอธิบายไปเมื่อกี๊เองไม่ใช่เหรอ

"เอาไว้จบคัดลีดมอเมื่อไหร่ไปเที่ยวเชียงใหม่กันนะครับ แต่วันนี้สุ่ยขอพักผ่อนก่อนนะ เหนื่อยมากเลย"

.........

"ครับผม ครับๆ คิดถึงเหมือนกันครับ ไว้เจอกันนะ"

พอจะเดาออกแล้ว



"มองไรวะไอ้ตี๋" นี่ผมเผลอมองหน้าไอ้คนที่เพิ่งวางสายโทรศัพท์ไปนานขนาดนั้นเลยเหรอ "อิจฉากูรึไง"

"อิจฉาทำไม" ไม่เห็นจะเป็นเรื่องน่าอิจฉาเลย

"ก็อิจฉาที่กูมีสาวๆในสังกัดเยอะไง"

"เหอะ" อยากจะขำ "เคยได้ยินหรือเปล่าว่า ผู้หญิงเป็นคำสาปของกะลาสี"

"อะไรของมึงวะ กูไม่ใช่กะลาสี ไม่ได้จะไปออกทะเลที่ไหนซะหน่อย"

"มันเป็นคำเตือนสำหรับผู้ชายต่างหาก การลุ่มหลงในสตรีอย่างไม่โงหัวจะเป็นหนทางสู่ความล้มเหลว"

"เสียใจว่ะ กูไม่ได้ลุ่มหลงในสตรี แต่สตรีพวกนี้มาลุ่มหลงในตัวกูเองต่างหาก คนมันหล่อว่ะ ช่วยไม่ได้"

อดขำออกมาไม่ได้จริงๆ

"มีไรน่าขำวะ"

"ไม่รู้ว่าไอ้ชาเย็นมีเพื่อนเป็นคนแบบนี้ได้ไง"

"ไอ้ชาเย็น? ใครวะ"

"ก็น้ำชาไง"

"แล้วทำไมมึงต้องเรียกมันอย่างงั้นด้วยวะ"

"ก็... สนิทกันแล้วก็ต้องเรียกได้ดิ"

"สนิทกันแล้ว? มึงกับไอ้ชาอะนะ เพ้อเจ้ออะไรของมึงวะ คุยกันถึงอาทิตย์หรือยังเหอะ"

"เออน่า เรื่องของกู"

"แปลกๆนะมึงเนีย ทำตัวก็แปลก พูดจาก็แปลก"

มึงไม่แปลกเลย ปากก็หมา พูดจาก็หลงตัวเอง



"นี่ๆๆ ถึงแล้วๆ จอดตรงนี้แหละ" ในที่สุดก็ถึงที่พักของผมซะที ทนนั่งกับไอ้เสือผู้หญิงนี่ไม่ไหวแล้ว โม้แต่เรื่องผู้หญิงอยู่ได้

"อยู่เป็นบ้านเช่าเลยเหรอวะ"

"อืม พอดีชอบทำอาหาร ก็เลยเช่าเป็นบ้านดีกว่า ครัวใหญ่ดี"

"เจ๋งวะ กูก็อยากอยู่เป็นบ้านบ้าง แต่ไม่มีปัญญาเช่าหรอก"

"ไงก็ขอบใจนะที่มาส่ง ขับรถดีๆละ"

"เออ... เห้ย! เดี๋ยวๆๆๆ นั่นใครวะหน้าคุ้นๆ"

ไหนวะ ​"อ๋อ ก็ประธานลีดคณะวิทย์ไง"

"เออใช่ จริงด้วย เป็นเพื่อนบ้านกันเหรอ แล้วยืนอยู่กับใครวะ... พี่ท๊อปเหรอ เค้าอยู่ด้วยกันเหรอ"

"ไม่แน่ใจอ่ะ แต่เห็นพี่ท๊อปมาตามรับตามส่งอยู่เป็นเดือนแล้ว"

"จริงดิ! ถึงว่า รู้สึกว่าสองคนนี้แปลกๆมาสักพักแล้ว ว่าแต่คุยอะไรกันวะ ท่าทางเหมือนทะเลาะกัน"

"จะไปรู้เหรอ ไปละนะ"

"เดี๋ยวก่อนๆ กูขอเข้าไปหน่อย จะไปแอบฟังว่าเขาคุยอะไรกัน"

"ห๊ะ ใช่เรื่องเหรอ"

"เออน๊ะ เงียบๆด้วยนะมึงอ่ะ เดี๋ยวพวกพี่เค้าเห็น.... เปิดรถเบาๆดิ"

อะไรวะ นี่กูต้องกลายมาเป็นคนเสียมารยาทแอบฟังคนอื่นคุยกันเพราะไอ้เสือผู้หญิงนี่ด้วยเหรอ

สุดท้ายผมก็ต้องเปิดรั้วบ้านให้มันแอบหย่องเข้ามา ก่อนที่จะไปซุ้มอยู่ที่พุ่มไม้ตรงรั้วบ้านเช่าของผมเพื่อให้ได้ยินเพื่อนบ้านทั้งสองคนที่คุยกันอยู่หน้าบ้าน

"จะไปไหนเล่า อยู่ด้วยกันนี่แหละ เดี๋ยวพวกนั้นก็เห็นหรอก" ไอ้สุ่ยกระซิบ ดูมันดิ ขอใช้พื้นที่บ้านของผมไม่พอ ยังจะมาทำให้ผมชั่วไปกับมันด้วย



"สรุปคือพี่ไม่ได้ซื้อตั๋วให้บุ๋นเหรอ" ในที่สุดก็ได้ยินข้างบ้านคุยกัน ค่อนข้างจะเป็นการทะเลาะมากกว่า ไอ้เสือผู้หญิงชะเง้อคอมองอย่างอยากรู้อยากเห็น ผมก็เลยพลอยอยากดูไปด้วย

"ก็พี่บอกแล้วไงว่าบุ๋นไปไม่ได้ เกาหลีตอนนี้ยังหนาวอยู่ มันไม่ดีกับแผล หิมะอาจจะยังตกอยู่ด้วยซ้ำ"

"บุ๋นก็บอกพี่แล้วเหมือนกันว่าบุ๋นต้องไปทำธุระให้พี่บ้าน อุตส่าย้ำแล้วย้ำอีกว่าให้ซื้อตั๋วให้บุ๋นด้วย"

"อย่ามาเนียน พี่รู้นะว่าบุ๋นไม่ได้จะไปธุระเรื่องงาน แค่อยากตามพี่ไปเฉยๆ"

"ใคร... ใครตาม จะตามไปทำไม ก็บอกว่ามีธุระ ขืนไม่ไปพ่อได้ด่าบุ๋นแน่ พี่ก็รู้ว่าพ่อบุ๋นห่วงเรื่องงานขนาดไหน"

"ได้"

"จะซื้อตั๋วให้เหรอ"

"ไม่ใช่ เอาโทรศัพท์บุ๋นมา เดี๋ยวพี่จะโทรถามพ่อบุ๋น จะถามดูว่าได้สั่งให้บุ๋นไปเกาหลีจริงไหม เพราะถ้าจริงพี่ก็จะได้บอกว่าบุ๋นบาดเจ็บอยู่ ไปเจอที่อากาศเย็นมากๆไม่ได้"

"ไม่... ไม่ต้องมายุ่งเลย จะคุยกับพ่อทำไม หาว่าบุ๋นโกหกเหรอ"

"แล้วโกหกไหมล่ะ"

"......." จากมุมของคนนอกที่ดูเหตุการณ์อยู่อย่างผมนะ ผมว่าพี่บุ๋นโกหกนะ กลบเกลือนไม่เนียนเลย "ไม่รู้อ่ะ ถ้าพี่ไม่ซื้อให้ บุ๋นซื้อเองก็ได้ โทรศัพท์เดี๋ยวนี้ซื้อตั๋วเครื่องบินได้แล้ว น่าจะยังทันอยู่นะ ของวันพรุ่งนี้ อยู่ไหนวะ... เห้ย! เอามือถือมานะ พี่ท๊อป เอามือถือคืนมา​"

"ไม่!"

"พี่ท๊อป"

"จะอยากไปทำไมอ่ะ พี่ไปถึงก็เข้าบริษัททั้งวัน ออกมาอีกทีก็วันอาทิตย์ แล้วก็ต้องเดินทางกลับเลย บุ๋นไปสภาพนี้แล้วคิดว่าจะดูแลตัวเองได้ยังไง"

"เกี่ยวไรกับพี่อ่ะ ก็บอกว่าไม่ได้ตามพี่ไปไง เอามือถือมา บุ๋นจะรีบจองตั๋ว"

"บุ๋น"

"ไอ้พี่ท๊อป"

เอาแล้วไง เริ่มทะเลาะกันจริงจังแล้ว นี่กูไม่ควรจะอยู่ดูต่อนะจริงๆแล้ว

"แค่จะกดโทรศัพท์ยังลำบากเลย ไปอยู่โน่นจะทำยังไง ไม่มีคนมาคอยเป็นมือเป็นขาให้เหมือนเวลาที่พี่อยู่ด้วยนะ จริงๆแล้วพี่ก็ยังไม่อยากไปด้วยซ้ำเพราะไม่มีคนอยู่ดูแลบุ๋น แต่ก็ยังดีกว่าให้บุ๋นไปลำบากที่โน่น หนาวก็หนาว ภาษาก็พูดไม่ได้ เกิดอยากได้ความช่วยเหลือขึ้นมาแล้วจะไปสื่อสารกับคนที่นั่นได้ยังไง เคยคิดบ้างไหม"

"ช่างมันเหอะน่า บุ๋นดูแลตัวเองได้ เอามือถือมา"

"บุ๋น ทำไมไม่ฟังพี่พูดบ้างเลยห๊ะ ก็ได้... ถ้าบุ๋นยืนยันว่าจะไปจริงๆ งั้นคืนนี้พี่จะเข้าไปนอนในห้องบุ๋น"

"อะไรนะ! กล้าก็เข้าไปดิ บุ๋นไม่ใช่ไอ้น้ำชานะ เจ็บแค่นี้คิดว่าต่อยคนไม่ได้หรือไง"

"ท้าพี่เหรอ"

ทำไมรู้สึกหน้าผมมันร้อนๆขึ้นมาล่ะ จากเหตุการณ์ที่ได้เห็นมันควรจะเป็นฉากบู๊ดิ แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนดูฉากเลิฟซีนอยู่เลย พี่ท๊อปเดินเข้าไปประจัญหน้าพี่บุ๋นจนพี่บุ๋นล่าถอยไปยืนนิ่งติดอยู่กับประตูกระจก

"สรุปว่าจะไปหรือไม่ไป" พี่ท๊อปที่มีชื่อเสียงในแง่หนุ่มหล่ออบอุ่น มีมุมแบดบอยเหมือนกันแฮะ ส่วนพี่ท๊อปถึงจะมองเห็นไม่ชัดแต่ก็พอเดาได้ว่าอ้ำอึ้งอยู่

"อ...เออ.... ไม่ไปก็ไม่ไป เอามือถือคืนมาได้แล้ว"

"แน่นะ"

"....."

"อะๆๆ แต่พูดแล้วนะว่าไม่ไป ถ้าโกหกพี่โกรธจริงๆนะ"

"เออ เอาคืนมาได้แล้ว"

"เดี๋ยวก่อน"

"อะไรอีก ลีลาจังวะ ก็บอกว่าไม่ไปแล้วไง"

"พรุ่งนี้ไปส่งที่สนามบินด้วย เดี๋ยวให้ปิงปิงขับรถให้"

"ไม่ไปโว๊ย เอามานี่" ในที่สุดพี่บุ๋นก็แย่งโทรศัพท์ของตัวเองคืนได้สำเร็จ "จะไปทำไม ไม่ใช่ธุระซะหน่อย... อย่าลืมไปล้างจานด้วยนะ เสื้อผ้าเต็มตะกร้าแล้วเอาไปซักด้วย...."

และนั่นก็คือการสนทนาสุดท้ายที่คนแอบฟังทั้งสองได้ยิน เพราะพวกพี่เค้าเดินเข้าไปในบ้านกันแล้ว



"สรุปว่าพี่สองคนนี้เค้าเป็นแฟนกันเหรอวะ อีกคู่แล้วเหรอ" ดูเหมือนว่าไอ้สุ่ยจะยังไม่จบกับเรื่องที่เพิ่งแอบดู

"จะไปรู้เหรอ" ผมตอบพร้อมกับสะบัดมือที่ไอ้เสือผู้หญิงจับไว้ออก ท่าทางมันจะแอบฟังจริงจังมาก บีบมือผมซะแน่นเลย "กลับไปได้ละ"

"ชิบหาย"

เห้ยยยย

เวรกรรม

"โทษที" ผมสะบัดมือออกแรงไปหน่อย ก็เลยทำให้ไอ้สุ่ยเสียหลักหงายท้องลงไปโดนดินที่ผมพรวนให้ต้นไม้เมื่อเช้า แต่จริงๆแล้วมันเป็นโคลนต่างหาก น่าจะเป็นเพราะเครื่องรดน้ำอัตโนมัติ พื้นดินที่พรวนไว้ก็เลยกลายเป็นโคลน "ไม่เจ็บใช่ปะ" ผมช่วยพยุงขึ้นมา

"ไม่เจ็บอ่ะ แต่เลอะอ่ะของจริง อือหือ เหลือแต่หัวกูนี่แหละที่ยังไม่เปื้อนโคลน ผลักมาได้นะมึง"

"ก็ขอโทษแล้วไง... งั้น... เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า"

"เสื้อผ้าไหนวะ กูจะพกมาทำไม"

"กูก็มีมั้ง นี่บ้านกูนะ" ผมเริ่มติดโรคหยาบคายจากไอ้คนปากเสียนี่มาแล้ว

"เสื้อผ้ามึง? มึงดูตัวมึงด้วย ตัวแค่นี้ จะให้กูใส่เสื้อผ้ามึง ให้กูใส่บอดี้ฟิตดีกว่าไหม" อือหือ เป็นชุด คงคอนเซ็ปปากหมาตลอดเวลาจริงๆ อยากให้พวกผู้หญิงในสังกัดของมันมาได้ยินจริงๆ

"เสื้อผ้าตัวใหญ่กูก็มีมั้ง เออๆ เลิกพูดแล้วเข้าไปเหอะ ขี้เกียจฟังมึงพูดละ"

"อ้าวนี่กูผิดเหรอ กูเปื้อนเพราะมึงนะ"

ยังจะบ่นอีก ผู้ชายประเภทไหนวะ พูดมากชะมัด



ผมรีบนำไอ้เสือผู้หญิงเข้ามาในบ้านก่อนที่จะไปรื้อหาเสื้อผ้าตัวใหญ่ๆที่มักจะเอาไว้ใส่นอนไปให้มันที่ยืนรอในห้องน้ำ



"ผ้าเช็ดตัวอ่ะ?" ไอ้สุ่ยถาม

"ห๊ะ เอามาทำไม"

"จะเปลี่ยนชุดแล้วไม่ให้กูอาบน้ำรึไง โคลนมันเปื้อนยันกางเกงในกูแล้วเนีย... เร็วดิ ยืนทำหน้าเอ๋ออีกแล้ว"

"เออๆๆ รอแป๊บนึง" อะไรวะ แค่นี้ก็ต้องบ่นด้วย

ผมเดินกลับไปหาผ้าเช็ดตัวในห้องนอนอีกรอบ

น่าจะมีอยู่แถวๆนี้นะ ผ้าเช็ดตัวที่ยังไม่ได้ใช้



"ได้ยังวะ" มันตะโกนมาอีกแล้ว

"ได้แล้ว" เห็นเราเป็นคนใช้หรือไงวะ สั่งอยู่นั่นแหละ แล้วทำไมกูต้องรีบวิ่งเอาไปให้มันด้วยเนีย "เห้ย​"

"มึงจะร้องทำไมวะ"

"ก็มึงทำไรอ่ะ จะแก้ผ้าทำไมวะ" ไอ้บ้าเอ๊ย แก้ผ้าเฉยเลย ผมนี่หันหลังหลบแทบไม่ทัน

"มึงจะให้กูใส่เสื้อผ้าอาบน้ำหรือไง"

"แล้วทำไมมึงไม่ปิดประตูห้องน้ำเล่า"

"จะทำไมวะ ทำไม อายหรือไง ไม่เคยเห็นของใหญ่เหรอมึงอ่ะ"

"แหวะ กล้าพูดนะ ไม่เห็นจะเท่าไหร่เลย"

"ไม่เห็นจะเท่าไหร่? แล้วหันหน้าหนีทำไม"

"กูไม่ได้โรคจิตเหมือนมึงนะเว้ย ทำไมกูต้องดูด้วยวะ" ไอ้บ้านี่ทำไมมันกล้าจังวะ ผมพยายามเดินหลบออกมาอีกทั้งๆที่ยังหันหลังอยู่นั่นแหละ

"อ้าว แล้วจะไปไหน เอาผ้าเช็ดตัวมาให้กูก่อน"

"ก็... มึงก็ปิดประตูห้องน้ำก่อนดิ"

"แล้วกูจะเอาผ้าเช็ดตัวยังไงอ่ะ คิดดิ"

".........." ถ้ามึงเปิดไว้แบบนี้กูก็ไม่เอาไปให้มึงหรอก

"อ่ะๆๆๆ ปิดแล้ว พอใจยัง"

ผมค่อยๆหันไปมองอย่างช้าๆ กลัวว่าจะเจอภาพไม่น่ามองอีก มันเอาประตูบังร่างกายตัวเองไว้ ยื่นออกมาแค่มือกับหน้า

"เอาไป" ผมนี่รีบส่งผ้าเช็ดตัวให้มันเลย

"เดี๋ยว" อะไรอีกวะ ไอ้สุ่ยปิดประตูห้องน้ำ แต่ก็แค่แว็บเดียว ก่อนจะเปิดออกมาอีกครั้งด้วยการคาดผ้าขนหนูไว้ที่เอว พร้อมกับโยนเสื้อผ้าของมันมาให้ผม "เอาไปซักให้เรียบร้อยเลยนะมึง กูต้องใส่พรุ่งนี้อีก"

"ห๊ะ"

"มึงจะ ห๊ะ อะไรนักหนาวะ มึงทำเปื้อนนะเว้ย"

"อ... เออ" แล้วกูตอบรับทำไมเนีย

"ไปได้แล้ว กูจะอาบน้ำ หรือมึงอยากดูกูอาบ"

"ใครจะไปอยากดู" รีบไปก่อนที่มันจะกล้าบ้าบิ่นอีกรอบดีกว่า



ผมโยนเสื้อผ้าของไอ้คนขี้สั่งลงใส่เครื่องซักผ้า

​นี่กูไม่ใช่คนใช้ของมึงนะ

​แถมให้ซักเสื้อผ้าแค่สองตัวเนี่ยนะ โคตรเปลื้องค่าน้ำค่าไฟเลย

ซักๆไปเหอะ จะได้จบๆ
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 41 [เซอเรน เคียร์คลอเกอร์ Part 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 19-02-2018 19:51:17
ต่อ Part 2


หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จผมก็กลับเข้าห้องนอนเพื่อไปอาบน้ำบ้าง คือบ้านเช่าหลังนี้มีห้องน้ำสองห้อง ห้องนึงจะเป็นห้องน้ำประจำห้องนอน อีกห้องอยู่โถงรับแขก



จะเที่ยงคืนแล้วเหรอเนี่ย

ผมเดินออกจากห้องนอนเพื่อไปดูว่าเสื้อผ้าที่ซักไว้นั้นเสร็จหรือยัง ขอให้เสร็จแล้วทีเถอะ อยากจะพักผ่อนเต็มทีแล้ว ถึงจะเคยชินกับการซ้อมเต้นเสร็จตีหนึ่งตีสอง แต่ถ้ามีโอกาสก็อยากจะนอนหลับให้เต็มอิ่มบ้าง



"มีแต่หนังสือปรัชญาทั้งนั้นเลย" ทันทีที่ออกมาจากห้องนอนก็พบกับไอ้สุ่ยกำลังยืนอ่านหนังสืออยู่ที่ชั้นหนังสือของผม พอได้เห็นมันจากมุมนี้แล้วถึงได้รู้ว่ามันตัวสูงใหญ่จริงๆ หรือเป็นเพราะเสื้อผ้าของผมตัวเล็กก็ไม่รู้ "บุคคลผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์ ปรัชญาชีวิต คิดเพื่อสร้าง แนวคิดแบบอย่าง ​มีแต่หนังสือน่าเบื่อทั้งนั้นเลย มึงไม่อ่านการ์ตูนไรงี้บ้างเหรอ วันพีช นารูโตะ อะไรงี้อ่ะ"

"ไม่อ่ะ ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไรเลย" ผมเดินผ่านเพื่อตรงไปอีกห้อง ซักเสร็จพอดีเลย ​"เสื้อผ้าซักเสร็จแล้ว จะเอาไปเลยไหม"

"พึ่งไว้แป๊บนึงก่อนดิ เอาใส่ถุงเลยเดี๋ยวก็อับหรอก"

"เออ" สั่งกูอีกแล้ว

"Who never made a mistake never made a discovery."

"คนที่ไม่เคยทำผิดคือคนที่ไม่เคยค้นหา​" ผมบอกความหมายของสิ่งที่ไอ้เสือผู้หญิงอ่านพร้อมกับเดินออกมาจากห้องซักผ้า "หนึ่งในปรัชญาสำคัญของ เซอเรน เคียร์คลอเกอร์​ นักปรัชญาชาวเดนมาร์คและนักปรัชญาสาย​อัตถิภาวนิยมคนแรกของโลก"

"นี่มึงแดกหนังสือปรัชญาเข้าไปหรือไง" ถ้าทำได้ก็คงทำไปแล้วล่ะ "อย่าบอกนะว่ามึงจำได้เกือบหมดนี้เลย"

"น่าจะทั้งหมดเลยมากกว่า หนังสือพวกนี้น่าจะโดนอ่านมาไม่ต่ำกว่าห้ารอบ จำขึ้นใจแล้วล่ะ"

"โคตรคูลอ่ะ... กูไม่ค่อยถนัดเรื่องอ่านหนังสือเท่าไหร่ ขนาดหนังสือเรียนที่มีแต่สูตรฟิสิกส์ กูยังไม่อยากจะอ่านเลย กูจะอ่านหนังสือเฉพาะเวลาที่อยากนอนพักผ่อนเท่านั้นแหละ... ไม่ต้องมามองหน้ากูอย่างงั้น กูไม่ใช่คนฉลาดเหมือนไอ้ชา หนังสือคือยานอนหลับสำหรับกู"

"ก็แน่อยู่แล้วล่ะ ชาเป็นคนฉลาด เก่ง และเท่"

"ชมมันขนาดนี้ ไม่ไปขอมันเป็นผัวเลยล่ะ"

"กูไม่ได้ชอบแบบนั้นเว้ย เข้าใจคำว่า แบบอย่าง ป่ะ"

"เหรอ... กูก็เป็นแบบอย่างให้มึงได้นะ เดี๋ยวกูสอนจีบหญิงให้เอาป่ะ"

"ไร้สาระ... อ่ะนี่" ผมหยิบหนังสือเล่มหนึ่งจากในชั้นส่งให้ไอ้ขี้โม้

"อะไรวะ"

"ก็ดูหน้าปกดิ เรียนเอกฟิสิกส์ไม่ใช่เหรอ ไม่รู้จัก อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ หรือไง... สำหรับคนไม่ชอบอ่านหนังสือก็น่าจะลองอ่านเล่มนี้ดูนะ ไอน์สไตน์เป็นทั้งนักฟิสิกส์อัจฉริยะและนักปรัชญาระดับโลก ความคิดของเค้าแปลกใหม่และไม่เคยล่าสมัย ในมุมของนักปรัชญาถือว่าเค้ามองโลกในมิติที่มนุษย์ธรรมดามองไม่เห็นด้วยซ้ำ รับรองว่าอ่านแล้วไม่ง่วงแน่นอน เอาไปดิ ให้ยืม เผื่อจะชอบการอ่านขึ้นมาบ้าง"

"เหรอ สมกับที่เป็นเด็กสังคมจริงๆเนาะ งั้นยืมเล่มที่มีปรัชญาของเซอเรน เคียร์คลอเกอร์​​นี้ด้วยละกัน" ไหนบอกไม่ชอบอ่านหนังสือไง ก็ดูท่าทางจะสนใจอยู่นี่นา "แล้วมึงชอบปรัชญาของใครที่สุด"

"อันนี้ไง" ผมชี้ไปที่ข้อความในแผ่นกระดาษใบยาวเหนือชั้นวางหนังสือ ที่ผมสั่งทำมาติดไว้เป็นอย่างดี "อุปสรรคไม่ใช่เรื่องยาก ตราบเท่าที่มีความรักมากพอ"

"ของใครวะ มีนักปรัชญาเกี่ยวกับความรักด้วยเหรอ"

"ของ ธชานา  ธนกฤษ"

"เดี๋ยว! นั่นมันชื่อไอ้ชาไม่ใช่เหรอ"

"ใช่" ผมอดที่จะยิ้มอย่างภูมิใจไม่ได้ "น้ำชาให้ปรัชญานี้ไว้ผ่านรายการทีวีเมื่อเดือนที่แล้ว เท่ใช่ไหมล่ะ"

"นี่มึงชอบไอ้ชาจริงจังขนาดนี้เลยเหรอ"

"อืม"

"ตอบไวชิบหาย ท่าทางจะจริงจัง"

"ก็ยอมรับ ชอบก็บอกว่าชอบ น้ำชาเป็นแรงบันดาลใจให้กูหลายอย่างเลย ไม่ใช่แค่เรื่องที่อยากจะเป็นลีดมหาลัย แต่รวมถึงการอยากที่จะเป็นคนเก่ง การพยายามอย่างหนักต่อให้เราไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อยากเป็นคนที่กล้าพอที่จะลงมือทำ สำหรับกู น้ำชาคือนักปรัชญาแห่งความพยายาม ที่กูตั้งเป้าว่าจะทำตามเค้าทุกอย่างให้ได้"

"เหรอ.... ทุกอย่างเลยเหรอ"

"ก็พยายามอยู่" ผมยอมรับ "จะเก่งเท่ากับคนที่เป็นอัจฉริยะก็คงต้องพยายามมากหน่อย"

ผมเดินมานั่งที่โซฟาแล้วเปิดทีวีขึ้นมาทำลายความเงียบ ก่อนที่ไอ้เสือผู้หญิงจะเดินมานั่งด้วย



"ถามไรหน่อยดิ" ไอ้สุ่ยเริ่มบทสนทนาอีกครั้ง

"อะไรอ่ะ ถ้าจะมาลองภูมิเรื่องนักปรัชญาก็บอกไว้เลยนะว่ากูจำได้หมดแล้วจริงๆ"

"ไม่ใช่... ก็กูเห็นมึงเทิดทูนไอ้ชาขนาดนี้ แปลว่ามึงเองก็ต้องยอมรับได้เรื่องที่มันคบหาเป็นแฟนกับพี่ตองอะดิ"

"ทำไมวะ" นี่จะนินทาน้ำชาเหรอ คิดจะพูดถึงไอดอลต่อหน้าสาวกเลยรึไง ครั้งนี้กูไม่ยอมนะ

"เปล่า... กูก็แค่สงสัย มันไม่รู้สึกแปลกๆเหรอวะ ที่ผู้ชายกับผู้ชายจะเป็นแฟนกันอ่ะ"

"ก็ไม่รู้เหมือนกัน" ผมก็แอบคิดเรื่องนี้นิดๆนะ "แต่ถ้าน้ำชาทำ ก็คงไม่ใช่เรื่องไม่ดีหรอก"

"มึงเชื่อเพราะแค่ไอ้ชาทำเนี่ยนะ ไม่อยากรู้บ้างเหรอว่ามันรู้สึกยังไง"

"......." จะตอบว่ายังไงดีล่ะ ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรู้สึกข้างในของน้ำชา เอาเข้าจริงๆ ผมก็อยากรู้ให้หมดนะ ถ้าได้เข้าใจความรู้สึกลึกๆจริงๆของน้ำชา อาจจะทำให้ผมเข้าใจแก่นแท้ของเค้ามากขึ้นก็ได้

"เงียบแบบนี้แปลว่ามึงก็อยากรู้อะดิ"

"ก็ไม่เชิง ถามทำไมอ่ะ"

"ก็... กูยอมรับก็ได้ว่ากูก็อยากรู้ ตั้งแต่กูเข้ามาเรียนที่นี่ รู้สึกว่าผู้ชายรอบข้างกูเริ่มจะหันมากินกันเองกันหมด ที่ผ่านมา กูเห็นแต่อะไรแบบนี้ คือกูไม่ได้เหยียดเพศนะ แต่อย่างไอ้ชา พี่ตอง ก็ไม่ได้มีท่าทางจะเป็นตุ๊ดเป็นแต๋ว ไอ้ต้อมกับญาติของไอ้ชาก็ด้วย แล้วไหนจะพี่ท๊อปกับพี่บุ๋นนี่อีก ที่สำคัญนะ ทำไมยังทำตัวปกติกันได้วะ อย่างกับว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกงั้นแหละ"

"คนมีความรัก มันจะแปลกตรงไหนวะ"

"อย่ามาทำเป็นว่ามึงเข้าใจหน่อยเลย กูรู้ว่ามึงก็ไม่เข้าใจ" พูดซะกูดูเป็นคนอวดฉลาดเลย "เอางี้ไหม ไหนๆเราสองคนก็อยากเข้าใจความรู้สึกนี้ทั้งคู่ เราลองมา..."

ลองมา?

​"เห้ย"​ ผมนี่ลุกขึ้นล่าถอยอย่างเร็วเลย พูดบ้าอะไรของมันวะ

"ไม่ใช่อย่างงั้นเว้ย"

"ไม่ใช่อย่างงั้นแล้วคือยังไงวะ ก็ดูมึงพูดดิ มึงพูดอย่างกับชวนกู.... ทำ​อย่างงั้นอยู่อ่ะ"

"ก..ก็... มันก็ไม่เชิง"

"นั่นไงๆ" คราวนี้ผมลุกขึ้นเลย

"เดี๋ยวก่อนดิวะ ใจเย็นดิ"

"ใจเย็นบ้าอะไรล่ะ" มาชวนกูทำเรื่องอย่างว่า ใครมันจะไปยอมวะ ไอ้บ้านี่มันต้องเป็นโรคจิตแหงเลย

"กูไม่ได้เป็นเกย์เว้ย มึงก็เห็นว่ากูมีสาวๆในสต็อกเยอะขนาดไหน กูก็รู้ว่ามึงอ่ะไม่เป็น ใช่ไหม? หรือมึงเป็น?"

"ไม่ได้เป็นเว้ย" ผมรีบปฏิเสธ ในที่สุดผมก็หาของบางอย่างเจอ ไม้ตียุงนี่แหละ "มึงอย่าเข้ามานะ เดี๋ยวกูช็อตเป็นยุงเลย"

"มึงบ้าป่ะ ไม้ตียุงถูกออกแบบมาให้ปลอดภัยกับมนุษย์ กำลังไฟก็น้อย มันเอาไว้ป้องกันตัวไม่ได้หรอก" ​จริงเหรอวะ​ "เออ เชื่อกูเหอะ กูเรียนฟิสิกส์นะ... วางไม้ลงได้แล้ว กลับมานั่งนี่ก่อน เร็วดิ! เออ... คุยกันก่อน ถ้ามึงไม่อนุญาต กูไม่ทำไรหรอกน่า... อ่ะสาบานเลย"

"แน่นะ"

"เสืออย่างกูมีเหยื่อเยอะแยะ มึงไม่ได้น่าพิศวาสขนาดนั้นหรอก... นั่งลง เร็ว"

"ก...ก็ได้... แต่กูไม่วางไม้นะ เผื่อมึงหน้ามืดขึ้นมา"

"เออๆๆ แล้วแต่มึงเลย"

ไม่น่าเชื่อว่าผมจะยอมนั่งลงไปคุยกับมันอีกรอบ

"กูไม่ได้เป็นเกย์ ฟังกูชัดๆอีกทีนะ กูไม่ได้เป็นเกย์ แต่ที่กูพูดแบบนี้เพราะกูแค่อยากรู้ว่ามันรู้สึกยังไง และที่กูกล้าพูดกับมึงก็เพราะกูเห็นมึงบอกว่ามึงอยากทำตามไอ้ชาทุกอย่าง เรื่องนี้ไอ้ชากับพี่ตองก็ต้องทำ ถูกป่ะ หรือมึงคิดว่าไง ยังไงเราก็ผู้ชายกันทั้งคู่ มันจะไปเสียหายอะไร ก็วินๆกันทั้งคู่ไม่ใช่เหรอวะ"

ทำไมจู่ๆผมถึงได้รู้สึกว่ามันเริ่มพูดมีเหตุผลขึ้นมา "ล... แล้ว มันใช่เรื่องที่ถูกเหรอวะ เราควรที่จะเก็บเรื่องแบบนี้ไว้ทำกับ..."

"นี่ไง เซอเรน เคียร์คลอเกอร์​​ ก็บอกไว้ คนที่ไม่เคยทำผิดคือคนที่ไม่เคยค้นหา​ ​เราอาจจะทำผิดก็ได้ แต่เราก็ยังได้ลงมือค้นหานะเว้ย ที่สำคัญมันยังเป็นการค้นหาเรื่องของคนที่มึงพูดเองว่ามึงชื่นชอบเค้า หรือว่าจริงๆแล้วมึงไม่อยากรู้ว่าคนที่มึงประทับใจนักหนาเค้ารู้สึกยังไง... เอางี้..." ไม้ตียุงในมือของผมถูกดึงออกไปโดยง่ายแล้วแทนที่ด้วยมือใหญ่ๆของคนที่นั่งข้างๆวางทับลงมา "ตอนนี้เราสองคนกำลังเตะเนื้อต้องตัวกันอยู่ มึงรู้สึกรังเกียจอะไรหรือเปล่า"

"ห๊ะ?" ผมเริ่มจะคิดตามไม่ทัน

"กูถามว่ามึงรู้สึกรังเกียจอะไรกูหรือเปล่า"

"เปล่า" นี่ผมคิดหรือยังหว่า ที่ตอบออกไปแบบนี้ ส่วนความรู้สึกที่มือ มันก็เหมือนมีอะไรอุ่นๆมาเตะลงไป แทนที่ผมจะรู้สึกอยากสะบัดมันออก ผมกลับรู้สึกว่าได้รับการปกป้องที่ทำให้รู้สึกปลอดภัยขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยด้วยซ้ำ

"เห็นไหมล่ะ แต่แค่นี้มันไม่ทำให้มึงเข้าใจความรู้สึกของไอ้ชาหรอกนะ จนกว่ามึงจะกล้าพอที่จะทำสิ่งเดียวกับที่มันทำ มึงบอกว่ามึงอยากกล้าพอที่จะลงมือทำไม่ใช่เหรอ ตอนนี้แหละคือโอกาส"

"......" นี่กูไม่ได้กำลังถูกหว่านล้อมอยู่ใช่ไหม

ผมยังเงียบอยู่นาน ก็จะให้ตอบว่ายังไงล่ะ เรื่องแบบนี้มันใช่เรื่องที่จะมาทำกันทั่วๆไปซะทีไหน ตอนตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะเดินทางต่อในเส้นทางผู้นำเชียร์ยังไม่ยากขนาดนี้เลย



"อ่ะ โอเค กูเข้าใจล่ะ" ไอ้สุ่ยเหมือนจะยอมแพ้ มืออุ่นๆของมันถูกดึงออกไปจากมือของผม "ไม่ทำก็ไม่ทำ ถ้ามันทำให้มึงลำบากใจขนาดนี้ งั้นเดี๋ยวกูกลับเลยละกัน เสื้อผ้าอยู่ในห้องนี้ใช่ไหม..."

"เดี๋ยวก่อน!" เอาไงดี เอาไงดี เอาไงดี "ม...มึง...ทำเป็นแน่นะ"

"ทำเป็นดิ กูระดับนี้แล้ว" ไอ้สุ่ยกลับมากุมมือผมอีกครั้ง คราวนี้กุมแน่นทั้งสองข้างเลย "เรามาลองหาคำตอบด้วยกัน โอเคป่ะ"

"เดี๋ยวๆๆ" ผมรีบห้ามไว้ก่อน เพราะจู่ๆไอ้คนตรงหน้าก็เหมือนจะจู่โจมผมแบบทันทีทันใด

"ทำไมอ่ะ ไม่อยากรู้คำตอบแล้วเหรอ"

"ค... คือ... เอ่อ... มันจะไม่เจ็บใช่ไหมอ่ะ" ผมยอมรับว่ารู้สึกกลัว แต่ก็มีความรู้สึกบางอย่างที่มากกว่ามากลบเกลือน

"มานี้" ผมถูกดึงเข้าไปช้าๆให้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นของคนตรงหน้า เนื้อตัวของเค้ามีกลิ่นที่แตกต่างออกไป ผมไม่คุ้นชิน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจ กลับทำให้รู้สึกอุ่นใจมากขึ้นด้วยซ้ำ "ถ้าเจ็บ ก็บอกนะ"



อย่างกับถูกพ่นยาเสน่ห์ใส่เต็มหน้า สิ้นคำพูดแสนหวาน ผมก็ไม่เหลือความสามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองไว้ได้ ร่างกายมันอ่อนโอนเสมือนไร้แรงโน้มถ่วงของโลกมารั้งเอาไว้



ร่างกายของผมถูกปฏิบัติอย่างถะนุถนอมแบบที่ไม่เคยมีใครมาทำกับผมอย่างนี้มาก่อน

ทุกๆกริยาได้รับการจัดวางอย่างละเมียดละไมประหนึ่งการสัมผัสผ้าบางนุ่มผืนยาวที่ไร้รอยต่อ

เสื้อผ้าที่เพิ่งจะสวมใส่หลุดลอยออกไปเมื่อไหร่ผมก็ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำ ร่างกายถูกจัดวางให้นอนลงบนโซฟาเมื่อไหร่ก็ไม่อาจบอกได้ เห็นแต่ภาพขมุกขมัวของผิวกายเนียนแน่นเบื้องบน และเมื่อสายตามีแรงพอมันก็เหลือบไปเห็น...



"ด.. เดี๋ยว..."

แต่ก่อนที่ผมจะทันได้ตกใจกับส่วนแข็งขืนของกายเบื้องบน ริมฝีปากของผมก็ถูกมอบความอุ่นละมุนจากเนื้อสัมผัสของริมฝีปากอีกอัน

เมื่อเรื่องเดินทางมาถึงตรงนี้ ภาพในหัวก็แทบจะดับสิ้นไป

จนกระทั่ง....



"อ...."

"เจ็บไหม" เสียงกระซิบถามเบาๆที่ข้างหู อย่างกับมันดังมาจากข้างในหัวของผมเอง

"ม...ไม่" ผมตอบปฏิเสธทั้งๆที่เจ็บแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

"​ไม่เกร็งนะ.... ผ่อนคลายซิครับ ยังไม่ขยับนะ ค่อยๆหายใจ ช้าๆ​"

ถ้าเป็นเวลาปกติ การถูกสอดแทรกด้วยสิ่งแปลกล้อมขนาดใหญ่แบบนี้ ผมคงจะร้องดิ้นทุรนทุรายไปแล้ว แต่ผมกลับยินยอมให้มันแน่นิ่งอยู่อย่างนั้นและผมก็ยังคงทำตามคำแนะนำอย่างเชื่อฟัง

"จะขยับแล้วนะ​" เกิดความรู้สึกเคลื่อนไหวที่จุดสัมผัสเบื้องล่าง "เจ็บหรือเปล่า​"

"......." ผมไม่ได้ตอบ แต่การแสดงออกทางภาษากายของผมก็คงมากพอที่จะทำให้ผู้กระทำรู้ว่าผมถูกอารมณ์พาล่องลอยออกไปไกลแล้ว

แขนสองข้างของผมถูกพาไปวางให้โอบรัดที่รอบคอของคนด้านบน....



และนั่นก็คือสิ่งสุดท้ายที่ผมจำได้.....







"ข้าวเจ้า  ข้าวเจ้า  ได้ยินไหม ข้าวเจ้า​"

ใครเรียกอ่ะ

"หือ" ผมลืมตาสะลือขึ้นมาในความมืด แต่ก็ไม่ได้ลุกขึ้นมา ผมยังคงนอนตะแคงข้างกอดหมอนข้างอยู่ท่าเดิม

เมื่อได้สตินิดหน่อย ผมก็เริ่มคุ้นชินกับบรรยากาศรอบข้าง

นี่ผมมาอยู่บนเตียงในห้องนอนได้ยังไง

"เอ่อ.... ก... กูู... ขอโทษนะ"

ขอโทษ

​ขอโทษเรื่องไรวะ

"กูขอโทษนะที่ทำแบบนี้กับมึงไปอ่ะ ว่าแต่... มึงเจ็บป่ะ?"

​เจ็บเหรอ

​!!!!

นึกออกแล้ว

เมื่อความทรงจำสุดท้ายกลับมา ผมก็รีบหลับตาปี๋อีกครั้ง ไม่ขยับตัว ยังไม่อยากยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นอะไรทั้งนั้น

"มึง... เจ็บเหรอ"

"เปล่า" ผมตอบ แต่เสียงมันไม่ค่อยออกมาเท่าไหร่ ออกจะเป็นเสียงแผ่วๆเสียมากกว่า

"เหรอ เออ งั้นก็ดีแล้วแหละ คือ... มึงโอเคใช่ไหมอ่ะ มึงไม่โกรธกูใช่ไหม ก็... เรา... ตกลงกันแล้ว"

"อืม" ผมตอบ

"โอเค ค่อยสบายใจหน่อย งั้น... ก็จบไว้แค่นี้เนาะ มึงกับกูก็ได้เข้าใจความรู้สึกนี้แล้ว มึงคงไม่เก็บมาคิดต่อใช่ป่ะ"

"อืม"

"เออๆ กูก็ขอบใจนะที่มึงยอมทำกับกูอ่ะ งั้นเอาเป็นว่า... กูกลับก่อนนะ จะเช้าแล้ว"

"อืม"

"มึงก็นิสัยดีนะ เราเป็นเพื่อนกันได้นะเว้ย ถ้ามึงไม่รังเกียจกู.... กูแต่งตัวให้มึงแล้ว ไม่ต้องห่วงว่าจะตื่นขึ้นมาเห็นตัวเองโป๊ เห้อๆ.... เอ่อ... งั้นกูกลับจริงๆแล้วนะ.... เจอกัน"

"......."



เสียงลุกออกจากเตียงนอนของคนที่เพิ่งร่วมหลับนอนจากไป

ไม่นานก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังขึ้น และเบาลง เบาลง จนหายไปจากโสตประสาท



​ตอนนี้ผมก็ได้เข้าใจแล้วว่าความรู้สึกของน้ำชาเป็นยังไง เราได้ทำตามทุกอย่างที่เราตกลงกันไว้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ผมได้ลงมือทำในสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจอย่างแน่วแน่  ​ผมควรจะดีใจซิ แล้วทำไม......





.....​น้ำตามันถึงได้ไหลออกมาไม่ยอมหยุด
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 21-02-2018 00:15:21
เรามาแล้วววว
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 42 [อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ Part 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 21-02-2018 13:22:49
ตอนที่ 42 : อัลเบิร์ต  ไอน์สไตน์ Part 1





​ตอนที่ 42 : อัลเบิร์ต  ไอน์สไตน์ Part 1





​กูไม่น่าเล๊ย.......



วันนี้ผมตำหนิตัวเองเป็นครั้งที่ร้อยเห็นจะได้ หลังจากตัดสินใจทำเรื่องบ้าๆลงไปเมื่อคืนนี้

ก็ตอนนั้นมันคิดแค่ว่าอยากรู้อยากลอง มันก็แค่อยากลองดูว่าคารมที่เคยใช้ได้กับผู้หญิง จะสามารถให้หว่านล้อมผู้ชายบ้างได้ไหม ผลลัพธ์ก็คือมันได้ผล ผมได้เปิดซิงเด็กผู้ชายคนนั้นสมใจอยาก แต่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ามันจะทำให้ผมมีความวิตกกังวลขนาดนี้

ผมกังวลมากๆ ว่าจะกลับไปเข้าหน้ากับคนที่ผมเพิ่งจะปู้ยี่ปู้ยำได้ยังไง กังวลว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะยังคงเป็นความลับอยู่ได้จริงๆไหม กังวลว่าจะโดนไอ้ชาต่อว่าหรือเปล่า และที่สำคัญคือ ผมกังวลกับความรู้สึกบางอย่างที่มันติดค้างอยู่ในสมองของตัวเอง ผมนึกถึงแต่ภาพกิจกรรมทางเพศที่เกิดขึ้นเมื่อคืน จมูกของผมก็จดจำกลิ่นกายของเค้าได้ชัดเจน มือไม้ของผมสั่นเทิมเหมือนอยากจะสัมผัสผิวกายของใครก็ตามที่ทำให้มันพอใจ

ผมจะทำยังไงดี....



"น้องคะ จะแนะนำตัวหรือเปล่า"

!!!!!!!!

​แนะนำ?

แนะนำเชี่ยอะไรวะ



"ไอ้สุ่ย" เสียงเรียกจากคนข้างๆ ผมหันไปหาต้นเสียงอย่างงงๆ ไอ้ชานั่นเอง มันกำลังกัดฟันบอกผมอยู่ "​แนะนำตัวดิ​"

อ๋อ....

นึกออกแล้ว



"สุ่ย  สุรเดช  สมนคร  ผู้นำเชียร์จากคณะวิทยาศาสตร์ ครับ" กูตะโกนดังไปหรือเปล่าวะ



"น้องๆมีโอกาสเต้นแค่รอบเดียวนะ อย่างที่พี่อธิบายให้ฟังไปแล้ว พร้อมนะคะ ​เปิดเพลงเลย"



เอาเลยเหรอ





จู่ๆดนตรีเพลงก็ขึ้น

ผมและผู้นำเชียร์ตัวแทนจากคณะวิทยาศาสตร์เป็นกลุ่มแรกที่ได้เข้ามาทดสอบท่าเต้นในเพลง Love Leader ที่ทำการฝึกฝนอย่างหนักกันในเวลาอันจำกัดแค่สองวัน แต่ถึงจะเวลาน้อย ผมและเพื่อนๆอีกสองสามคนก็ยังโชคดีที่ได้รับการฝึกซ้อมจากคนที่ค่อนข้างเก่ง ซึ่งเค้าคนนั้นก็คือคนเดียวกับที่ผมเพิ่งจะหลอกล้อให้เสียตัวให้กับผมเมื่อคืนนี้

ช่ื่อของเขาคือ ​เจ้าข้าว ​เด็กหนุ่มหน้าตี๋ตัวแทนผู้นำเชียร์จากคณะสังคมศาสตร์







"โอเคค่ะ" พี่ชมพู่หัวหอกใหญ่จากทีมดูแลจัดการผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยพูดขึ้นหลังจากการทดสอบจบลง "น้อง...สุ่ยใช่ไหม"

"ค...ครับ" อะไรวะ อยู่ดีๆก็เรียก กูทำอะไรผิดหรือเปล่า

"ขอพูดอะไรตรงๆหน่อยนะ พี่เสียดายนะ จากที่ดูเนีย เหมือนน้องจะแก้ปริศนายากๆของท่าเต้นเพลงมาได้ หน่วยกานก็ดี แต่น้องไม่มีอินเนอร์เลย ไม่มีพลังงาน เต้นอย่างกับไม่มีชีวิต นี่มันเพลงรักนะน้อง" จู่ๆพี่เค้าก็หยุดพูดกลางคัน ถอนหายใจนิดหน่อย แล้วหันไปคุยและปรึกษากับทีมงานคนอืื่นๆด้วยน้ำเสียงเป็นความลับ เมื่อผ่านไปสักพักก็หันกลับมา "พี่... ขอให้น้องๆทุกคนออกไปก่อน ยกเว้นน้องสุ่ย พี่จะขอทดสอบอีกครั้งนึง  หนุง ไปกันเด็กคณะอื่นไว้ก่อน อย่าเพิ่งให้เข้ามา จนกว่าชั้นจะให้สัญญาณ"

"ค่ะ บอส" พี่คนหนึ่งรับคำสั่ง



"มึงทำได้ อย่าทำให้คนสอนผิดหวังนะ​" ไอ้ชาแอบกระซิบกับผมตอนที่มันเดินผ่านผมไป

"สู้ๆนะ​" เกตุก็เช่นกัน



และเมื่อเพื่อนๆลีดทุกคนออกไปจากห้องทดสอบ ก็เหลือผมเพียงคนเดียวที่ยืนประจัญหน้ากับกรรมการ

"พี่เคยพูดให้ฟังถึงความสำคัญของการยืนอยู่แถวหน้าไปแล้วใช่ไหม" พี่ชมพู่พูดขึ้นอีกครั้ง "ตอบพี่มาหน่อยว่า เธออยากเป็นลีดมหาลัยนี้หรือเปล่า"

"ใครๆก็ต้องอยากเป็นทั้งนั้นแหละครับ" ผมตอบตามความจริง

"ชั้นถามแค่ตัวเธอ ไม่ใช่​ใครๆ​.... ชั้นแปลกใจนะที่เธอแยกแยะความละเอียดอ่อนของท่าเต้นเพลงนี้ได้แต่กลับแยกแยะนัยสำคัญในคำถามนี้ไม่ได้... รู้หรือเปล่าว่าเกณฑ์การคัดเลือกคนที่จะมาเป็นลีดมหาลัย นอกจากจะมีรูปร่างหน้าตาบุคลิกภาพที่ดี เหมือนที่ตัวเธอมีแล้วเนีย เรายังต้องการอะไรอีก อะไรที่จะทำให้คนหนึ่งคน โดดเด่นออกมาจากคนร้อยยี่สิบคน"

"......" อะไรล่ะ ก็บอกมาดิ

"ที่ชั้นพูดว่าจะทดสอบอีกรอบ ไม่ได้หมายถึงแค่ให้เธอมาเต้นให้ดูอีกรอบหรอกนะ แต่ชั้นอยากเห็นทัศนคติของเธอ ไหนลองพูดมาให้ฟังหน่อยซิ สำหรับเด็กวิดยาอย่างเธอแล้ว เธอจะเป็นผู้นำเชียร์ที่ยิ่งกว่าผู้นำเชียร์คนอื่นได้ยังไง ผู้นำเชียร์แบบไหนที่จะโดดเด่นออกมาจากคนอื่นๆได้"

"คนที่.... ซ้อมหนักมั้งครับ" ผมไม่ได้กวนนะ แต่สมองมันบอกให้ตอบแบบนี้จริงๆ

"ซ้อมหนัก? เธอจะบอกว่าเธอซ้อมหนักเหรอ"

"เปล่าหรอกครับ มีคนที่ซ้อมหนักกว่าผมมาก คนที่...สอนผม คนที่ทำให้ผมเข้าใจการเต้นในวันนี้ ที่จริงแล้วผมยังไม่ได้ขอบคุณเค้าด้วยซ้ำที่ซ้อมหนักแทนผม ผมไม่ได้เข้าใจปริศนาในท่าเต้นนี้ด้วยตัวเองเลยด้วยซ้ำ ผมมันก็เป็นแค่คนที่ฉวยโอกาสจากความพยายามของคนอื่นมาอีกที แต่ว่า... ถ้าพี่ให้โอกาสผมอีกครั้ง ผมจะทำให้สมกับที่ได้รับโอกาสนั้นมา ผมจะไม่ทำให้คนที่พยายามแทนผมต้องผิดหวัง ผมจะทำเต็มที่ครับ"

เหมือนพี่ชมพู่จะนิ่งไปแวบหนึ่ง

"คำตอบของเธอมันสุ่มเสี่ยงมากนะรู้ไหม แต่มันดันตรงกับคุณสมบัติข้อนึงของผู้นำเชียร์ที่ดี ความจริงใจ ​เอาล่ะ ในเมื่อเธอกล้าพูดความจริงกับกรรมการ ชั้นก็จะให้โอกาสเธออีกครั้ง แต่จะไม่มีโอกาสที่สามอีกแล้วนะ"

"ขอบคุณครับ"



เอาวะ!!!

ตัดเรื่องคาราคาซังในสมองออกไปก่อนแล้วทำให้เต็มที่ อุตส่าได้โอกาสมาแล้ว



เมื่อเพลงขึ้นอีกครั้ง ผมก็สวมวิญญาณผู้นำเชียร์และเต้นอย่างเต็มที่ ใส่ทุกความรู้ที่ได้รับการฝึกฝนจากคณะมากว่าสองเดือนลงไปในการออกลีลาครั้งนี้ เห็นแบบนี้ผมก็ตั้งใจไม่แพ้ใครนะ ไม่งั้นเมื่อวานผมก็คงไปเที่ยวเล่นตามประสาคนที่มีวันหยุดน้อยไปแล้ว

.....................





"เป็นไงบ้างวะ" ไอ้ชายืนรอผมอยู่ที่ประตูทางเข้าหอประชุมพร้อมกับเกตุ มันตั้งคำถามทันทีที่เห็นว่าผมเดินออกมาแล้ว

"ไม่รู้ว่ะ" ผมตอบ "เค้าให้เต้นอีกรอบนึงแล้วก็ให้ออกมาเลย"

"เหรอ...เออ ดีแล้ว งั้นไปรวมกับคนอื่นๆเหอะ"

ผมเดินมานั่งรวมกับกลุ่มเพื่อนคณะวิทย์ พวกเราพวกคุยกันนิดหน่อยเกี่ยวกับการทดสอบที่ผ่านมา แล้วก็มักจะมีเด็กคณะอื่นมาถามถึงบรรยากาศในห้องทดสอบ

จะถามไปทำไมก็ไม่รู้ เพราะยังไงก็ต้องเต้นเพลงเดียวกันอยู่ดี



"เมื่อคืนมีปัญหาอะไรป๊ะ"

"ห๊ะ" ทำไมไอ้ชามันถามแบบนี้วะ มันไปรู้อะไรมา

"ก็... เรื่องที่ไปส่งไอ้ข้าวไง มีปัญหาอะไรหรือเปล่า"

"ป... เปล่า จะไปมีอะไรได้ล่ะ"

"แล้วมึงจะตกใจทำไม"

"ก...ก็มึงถามกูแปลกๆอ่ะ"

"แปลกตรงไหนวะ... มึงมีพิรุจนะ"

"พ...พิรุจอะไรของมึงวะ ไม่มีไรทั้งนั้นแหละ โน่น พี่ตองมึงมาแล้ว" เปลี่ยนเรื่องพูดดีกว่า



"เป็นไงบ้างคณะวิทย์"

"สวัสดีครับ/ค่ะพี่ตอง"

"ไม่รู้เหมือนกันค่ะ กรรมการไม่ได้บอกอะไรเลย" เกตุตอบด้วยการแสดงความกลัดกุ้มเล็กน้อย "แล้วเค้าจะประกาศผลเมื่อไหร่คะ"

"เสร็จทุกคนก็น่าจะประกาศเลยนะ" พี่ตองตอบ ถึงแม้จะตอบคำถามเกตุแต่ตาก็มองไอ้ชาตลอด จะรักกันอะไรขนาดนั้น



"ไอ้ชาเย็น เป็นไงบ้างวะ" ไอ้ต้อม เพื่อนสนิทของไอ้ชา วิ่งถไลมานั่งลงกับพื้นข้างๆกลุ่มพวกผม "พี่เค้าดุป่ะ"

"โคตรดุอะมึง" ไอ้ชาขู่เพื่อนตัวเอง "แค่หายใจผิดจังหวะก็โดนด่าแล้ว"

"เห้ย ขนาดนั้นเลยเหรอ" หลอกง่ายเกิ๊น "แล้วกูจะโดนด่าไหมวะ"

"เตรียมใจไว้ได้เลย"

"พอได้แล้วชา" เกตุแทรก "ไม่มีอะไรหรอกต้อม แค่เต้นตามที่ซ้อมเฉยๆ พี่เค้าไม่ได้พูดอะไรเลย"

"จริงดิ" ไอ้ต้อมตาโต ช่างเป็นคนอ่านง่ายจริงๆ นี่ถ้าโดนกูหลอก ก็คงไม่วายจะเสร็จอีกคน "นี่มึงหลอกกูเหรอไอ้เพื่อนชั่ว"

"เกตุไปบอกมันทำไมอ่ะ" ไอ้ชาโวยวายแบบขำๆ "จะดูหน้าเอ๋อๆของมันซะหน่อย"

"หน้าเอ๋อเหรอ" แล้วเพื่อนสนิทสองคนก็หยอกล้อกันตามประสาของพวกมัน "ถ้ามึงไม่ได้ไอ้ข้าวเจ้าช่วยไว้ มึงก็เอ๋อเหมือนกันแหละ"



เอาอีกแล้ว อุตส่าจะลืมได้แล้วเชียว

ได้ยินชื่อนี้ทีไรรู้สึกผิดทุกที



"อ้าว นั่นไง ข้าวเจ้า"

เห้ย!!!!

ไหนวะ

มาจริงดิ



"เป็นไงบ้างชา" ชิบหายละ มาจริงด้วย ทักทายไอ้ชาหน้าระรื่นเลย "ทดสอบเสร็จแล้วใช่ไหม คณะวิทย์อ่ะ"

"เสร็จแล้ว" ไอ้ชาตอบ "ได้มึงช่วยไว้ ขอบใจอีกทีล่ะกันนะ"

"พูดไรงั้น" ทำไมไอ้ข้าวเจ้ามันดูสบายใจจังวะ ไม่คิดตะขิดตะขวงใจอะไรบ้างหรือไง ผมมั่นใจนะว่ามันเห็นหน้าผม "ก็เราเป็นเพื่อนกันนิ"

"นี่ๆ" ไอ้ต้อมแทรกขึ้นมา "กูให้โอกาสมึงอีกรอบนะ อย่าเป็นเพื่อนกับไอ้ชาเย็นเลย มันไม่ได้เป็นคนดีอะไรเล๊ยยย"

"ไอ้ต้อม มึงหุบปากไปเลย" ไอ้ชาพยายามแก้ต่างให้ตัวเอง "มาๆข้าว มานั่งด้วยกัน"

"ขอบใจนะ" มันก็ยังยิ้มแป้นเหมือนเดิม นี่มึงไม่คิดอะไรเลยจริงๆเหรอ รู้สึกขัดใจแบบบอกไม่ถูก



"โห่ชาอ่ะ พี่มายืนอยู่ตั้งนานแล้วนะ ไม่คิดจะชวนพี่นั่งเลยเหรอ" แฟนไอ้ชาเริ่มงอแง ทำหน้าตาแบบนี้ก็เป็นเหรอวะ ไม่เหลือเค้าเจ้าชายตองของสาวๆทั้งมหาลัยเลย

"อูววววว" ไอ้ต้อมร้องแซว "ชวนดิไอ้ชา"

"ยุ่ง​" นี่คือไอ้ชาเขินอยู่หรือเปล่าวะ "พี่ไม่ต้องไปดูแลคนอื่นหรือไงล่ะ"

"ก็พี่อยากดูแลคนนี้มากที่สุดอ่ะ"



"​อูววววววววววววววววววววววว​"

เยดเข้

สุดจริง พี่ตองแม่งโคตรใจอ่ะ หยอดแฟนต่อหน้าเด็กทั้งคณะวิทย์เลย ขนาดผมยังอดอุทานออกมาไม่ได้

ส่วนไอ้ชาอ่ะเหรอ มันจะคงเขินตามระเบียบนั่นแหละ แต่พยายามกลบเกลือนด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน ซึ่งพี่ตองก็ไม่ได้สะทกสะท้านอะไร นั่งลงข้างๆคนของตัวเองอย่างกับแม่ไก่หวงไข่

แล้วทางผมล่ะ ก็ยังคงสังเกตุการณ์พฤติกรรมของไอ้คนที่ทำตัวสบายใจจนผิดสังเกตุอยู่ไง ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะมองนะ แต่มันห้ามตัวเองไม่ได้



"คณะสังคม เชิญค่ะ" เสียงประกาศเรียก



"ไปละนะ" ไอ้ข้าวเจ้าพูดเรียบๆ

"สู้ๆเพื่อน" ไอ้ชาตีไหล่คนที่กำลังจะจากไป

"มึงได้อยู่แถวหน้าอยู่แล้ว" ไอ้ต้อมเสริม

แล้วไอ้ข้าวเจ้าก็เดินจากไป และวินาทีนี้แหละที่ทำให้ผมรู้สึกว่ามีบางอย่างมาสะกิดใจ สายตาของเราสองคนสบตากันชั่วลมหายใจหนึ่ง แต่กลับรู้สึกเหมือนมีอารมณ์และคำพูดมากมายอยู่ในนั้น



"เอ่อ..." ผมกำลังจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง "กูไปเข้าห้องน้ำแป๊บนะ"

"มึงก็ไปดิ จะมาบอกกูทำไม" ไอ้ชาทำหน้างง "จะให้กูไปด้วยหรือไง"

"เปล่าๆ เออๆ เดี๋ยวกูมา"

ผมลุกขึ้น รีบวิ่งออกไปจากหอประชุม แล้วก็เห็นเป้าหมายของข้ออ้างนี้ในสายตา



"ข้าวเจ้า" ผมเรียกไม่เชิงว่าดังมากนัก

คนที่ถูกเรียกหันกลับมา ตามด้วยอาการยืนนิ่ง แต่ก็เพียงแค่ไม่นาน เหมือนเขาจะเรียกสติตัวเองกลับมาได้

"ว่าไงสุ่ย" หงุดหงิดชะมัดที่มันพูดแบบนี้ นี่มึงแกล้งว่าไม่แคร์สิ่งที่เกิดขึ้นหรือมึงทำใจได้จริงๆวะ

"เอ่อ... เรื่องเมื่อคืนอ่ะ..."

"อ๋อ เมื่อคืนอ่ะเหรอ" เออ ในที่สุดมึงก็ทำตัวสมกับเป็นมนุษย์ปกติกับเขาสักที ถึงกูจะพูดว่าไม่มีอะไร แต่มึงก็ไม่ควรจะเฉยชาขนาดนี้เปล่าวะ "เรายังไม่ได้ขอบใจเหรอที่ไปส่งอ่ะ งั้นขอบใจตรงนี้อีกทีละกันนะ"

ห๊ะ!! "ไม่ใช่ คือ..."

"เราต้องเข้าห้องทดสอบแล้วอ่ะ ไว้ค่อยคุยกันนะ"

นี่มึงจำเป็นต้องรีบขนาดนั้นเลยเหรอวะ ที่สำคัญคือมึงโคตรไม่ตรงประเด็นเลย



เห้ออออ

สุดท้ายผมได้แต่เดินกลับเข้าไปในหอประชุมแบบผิดหวัง



"ทำไมเร็วจัง"

"เร็วไรวะ" ไอ้ชามันถามอะไรผมก็ไม่รู้ เพิ่งจะมาถึงแท้ๆ

"ก็... มึงไปเข้าห้องน้ำมาไม่ใช่เหรอ"

"อ...อ๋อ" ชิบหาย ลืมข้ออ้างของตัวเองไปเลย "เออ กูเข้าแล้ว กูปวดหนักก็เลยรีบวิ่งไป"

"มึงโอเคไหมวะ โดนพี่กรรมการต่อว่าอะไรมาหรือเปล่า"

"เปล่าๆ ไม่ได้โดน... แต่..."

"แต่?"

จะปรึกษามันดีไหมวะ กูเริ่มรู้สึกโดดเดี่ยวยังไงไม่รู้ "ไม่... ไม่มีอะไร" ไม่พูดดีกว่า

"อ้าว"

"เออๆ มึงหันไปสนใจแฟนมึงเหอะ สาวๆมาขอถ่ายรูปแล้วน่ะ" ผมเปลี่ยนเรื่องไปตามสถานการณ์



ในที่สุดการทดสอบของตัวแทนผู้นำเชียร์ของทุกคณะก็เสร็จสิ้นลง กำลังจะมีการประกาศผลแล้ว แต่ผมไม่ได้ตื่นเต้นเลย เพราะมีเรื่องให้ผมกุ้มใจมากกว่า ก็ไอ้ข้าวเจ้าอะดิ หลังจากคุยกันล่าสุดมันก็ไม่กลับมาที่ๆผมอยู่อีกเลย ขนาดไอ้ชาเรียกมันยังปฏิเสธเลย หรือว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันจะแย่จริงๆวะ
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 42 [อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ Part 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 21-02-2018 13:25:44
(ต่อ Part 2)


"มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ" จู่ๆไอ้ชาก็พูดขึ้น

"นั่นดิ" ไอ้ต้อมเสริม

เรื่องอะไรกันวะ

ผมหันไปสนใจบ้าง ก็ได้เห็นว่าพวกมันกำลังขมวดคิ้วใส่ผลการจัดอันดับอยู่ ​มันมีอะไรวะ

​"ทำไมไม่มีชื่อของข้าวเจ้าในสิบสองคนแรกอ่ะ" ห๊ะ!!! เกตุพูดว่าอะไรนะ

"ไอ้ข้าวเจ้าชื่อว่าอะไรวะ" ผมรีบถาม

"พัฒนวิทย์ อะไรสักอย่าง" ไอ้ชาบอก

"นั่นไง" ตาผมไวมาก "พัฒนวิทย์ ศุภเจริญกุล อยู่อันดับที่สิบสาม แถวสอง"

"ได้ไงวะ" ไอ้ต้อมยังไม่เชื่อสิ่งที่เห็น "คนอย่างข้าวเจ้าเนี่ยนะ ได้ที่สิบสาม พวกเราสี่คนที่ซ้อมด้วยกันยังได้อยู่ในแถวแรกกันหมดเลย ข้าวเจ้าควรจะเบียดอันดับหนึ่งกับมึงด้วยซ้ำไอ้ชาเย็น"

"มันมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ" ไอ้ชายังคงยืนยัน

คนอื่นๆในหอประชุมต่างพากันจอแจและพูดคุยถึงผลจัดอันดับที่เกิดขึ้น บ้างดีใจ บ้างผิดหวัง แต่ที่เป็นเดือดเป็นร้อนที่สุดก็คือกลุ่มพวกผมนี่แหละ

ส่วนตัวผมเห็นชื่อของตัวเองในลำดับที่สิบสองพอดี



"ทุกคนได้เห็นอันดับของตัวเองกันแล้วนะ" พี่ชมพู่ประกาศ "พรุ่งนี้หกโมงเช้าพบกันที่นี่อีกครั้ง เราจะใช้เวลาในวันเสาร์ทั้งวันเพื่อถ่ายทำ หวังว่าทุกคนจะพร้อม เพราะทีมงานเองก็ไม่อยากจะให้ลากยาวไปจนถึงวันอาทิตย์ เอาเป็นว่าก่อนจะออกจากห้องไป ที่หน้าประตูจะมีเสื้อแจกให้กับทุกๆคนสำหรับการถ่ายทำในวันพรุ่งนี้ มีการแบ่งสีชัดเจนสำหรับแต่ละแถว อย่าโมเมหยิบผิดสีที่ไม่ใช่แถวของตัวเองก็แล้วกัน เพราะถ้าฉันจับได้ เธอจะถูกตัดสิทธิ์ในการคัดเลือกก่อนจะได้รู้จักเพลงต่อไปด้วยซ้ำ วันนี้ก็เชิญกลับไปพักผ่อนได้ เตรียมหน้าตาให้สดใส อย่าให้ชั้นเห็นนะว่าใครโทรมมาพรุ่งนี้"

แล้วกรรมการทั้งห้าคนก็จากไป ส่วนเด็กในหอประชุมก็เริ่มเดินไปรับเสื้อกัน

มีการแบ่งสีตามที่พี่ชมพู่บอกจริงๆ สิบสองคนในแถวแรกได้รับเสื้อสีชมพู ไล่ไปเป็นสีฟ้า เหลือง เขียว ขาว และดำ แบ่งออกเป็นทั้งสิ้นหกแถวจากคนหนึ่งร้อยยี่สิบคน



"กูจะไปคุยกับพี่ชมพู่" ไอ้ชาเอ่ยขึ้นหลังจากที่พวกเราทั้งสี่ได้รับเสื้อมา "จะไปด้วยกันไหม"

"กูไป" "เราด้วย" ไอ้ต้อมกับเกตุแทบจะตอบรับทันที

"มึงอ่ะ" ไอ้ชาถามผม

"ไปดิ" ผมตอบอย่างไม่ลังเล

พวกเราออกมาจากประตู กำลังจะวิ่งตามหาพี่ชมพู่ แต่กลับเจอว่าพี่เค้ายืนอยู่ข้างหน้าพอดี



"พี่ชมพู่ครับ" ไอ้ชาเรียก "พี่ชมพู่ครับ ผมขอคุยด้วยหน่อยครับ"

พี่ชมพู่หันมาเห็นว่ามีพวกผมสี่คน พี่เค้าไม่ได้เอ่ยปากรับคำแต่ทำหน้าสงสัยว่าจะคุยอะไร

"คือ..." ไอ้ชากำลังหาคำอธิบาย "คนที่ชื่อพัฒนวิทย์อะครับ พี่พอจะจำได้ไหม"

"ได้ ข้าวเจ้า เด็กสังคม" พี่ชมพู่ตอบเรียบๆ "มีอะไรเหรอ"

"เค้าได้อันดับที่สิบสามจริงๆเหรอครับ เพราะว่า..."

"สงสัยในการจัดอันดับของชั้นเหรอน้ำชา"

"เปล่าครับ ผมแค่คิดว่าอาจจะมีอะไรผิดพลาดก็ได้ อย่างเช่นการบวกคะแนนผิดหรือ..."

"เธอคิดว่าการที่เธอได้รับการสอนจากชั้นโดยตรงแล้วจะช่วยให้เธอมาทำตัวสงสัยในตัวชั้นได้เหรอ หรือเพราะเธอคือลูกชายของ T-Queen" ชิบหายละ ทำไมเจ๊แกโหดจังวะ

"พี่ครับ ได้โปรด ช่วยฟังเราสักนิดนึงได้ไหมครับ" ผมแทรกทันทีที่เห็นว่าสถานการณ์ย่ำแย่กว่าที่คิด จริงๆผมแทบจะยกมือไหว้อยู่แล้ว เอาวะ โดนด่าก็โดน ต้องลองใช้กลเม็ดหว่านเสน่ห์ดู เผื่อจะช่วยให้พี่สุดโหดฟังพวกเราได้บ้าง "ผมกับเพื่อนๆแค่สงสัยว่าจะเป็นไปได้ไหมที่มีการจำคนผิด เพราะคนที่พวกเรากำลังพูดถึงคือคนที่ทำให้พวกเราทั้งสี่คนได้มายืนในแถวแรก... คนที่...สอนผม อย่างที่ผมบอกพี่ไปในห้องทดสอบนั่นแหละครับ"

"เข้าใจน้องๆหน่อยนะครับพี่ชมพู่" จู่ๆพี่ตองก็เข้ามาสนับสนุน มาจากไหนไม่รู้ แต่ก็ดี

พี่ชมพู่ถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะเดินเข้ามาใกล้พวกเราห้าคน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง

"พี่เองก็เสียดาย โอเคไหม พี่ให้โอกาสเค้าแล้ว แต่น้องเค้าไม่มีสีหน้ายิ้มแย้มเลย เรื่องเต้นเก่งอ่ะพี่ไม่เถียง แต่เรื่องแอดติจูด ไม่ผ่านจริงๆ เค้าไม่ได้เหมือนคนที่กำลังเต้นเพลงรักเลย กลับกันนะ ดูซึมเศร้า อย่างกับคนอกหักมากกว่าด้วยซ้ำ อย่าทำให้พี่ต้องลำบากใจนะน้ำชา พี่เอ็นดูเรามากกว่าคนอื่น พี่ยอมรับ แต่ไม่ใช่ว่าจะทำให้พี่เป็นคนไม่เที่ยงตรงในสายตาคนอื่นได้ พี่เป็นผู้บริหาร ต้องตัดสินคนที่ผลงาน เข้าใจพี่นะ"

"ค...ครับ"

เหมือนโดนมีดกรีดลงไปที่หัวใจเลย

ซึมเศร้าเหรอ?

อกหักเหรอ?

คงปฏิเสธไม่ได้แล้วว่ามาจากใคร ​ตัวกูเองนี่แหละ



"เปลี่ยนกับผมได้ไหมครับ" ก่อนที่พี่ชมพู่จะจากไป ผมตัดสินใจพูดบางอย่างออกมา "เปลี่ยนให้ข้าวเจ้ามาอยู่ที่ตำแหน่งของผมได้ไหมครับ ผมจะไปอยู่แถวสองเอง"

"มึงพูดอะไรของมึงวะ" ไอ้ชาแย้ง

"ได้ไหมครับ?" ผมไม่สนใจ แต่กล่าวคำขอร้องต่อ

"พี่จะไม่พูดอีกแล้วนะ พี่ตัดสินใจไปแล้ว" พี่ชมพู่ยืนยันแล้วเดินจากไปทันที



"ทำไมมึงต้องพูดงั้นด้วยวะ" นั่นคือคำถามสุดท้ายที่ผมได้ยินจากไอ้ชา สาเหตุเพราะผมวิ่งออกไปหาคนๆหนึ่งที่มองเห็นในสายตาแล้ว



"ข้าวเจ้า" ผมเรียก แต่คนที่ถูกเรียกไม่ได้หยุดเดิน ทำไมคนเยอะจังวะ ผมพยายามเบียดเสียดผู้คนมากมายเพื่อตรงไปหาจุดมุ่งหมาย "ข้าวเจ้า ข้าวเจ้า"

คือผมก็ไม่โทษหรอกนะที่เขาจะไม่หยุด ก็เพราะตำแหน่งที่ผมเรียกนั่นค่อนข้างอยู่ไกลพอสมควร ประเด็นก็คือไอ้คนข้างหน้ามันดันเดินเร็วผิดมนุษย์มนามาก ไม่รู้จะรีบไปไหน

​แต่ผมก็หยุดเดินตามทันที เมื่อรู้สาเหตุของการรีบเดินนั้น

ข้าวเจ้ากำลังร้องไห้ ถึงจะไกล แต่ผมก็เห็นได้ชัดเจน ท่าทางก้มหน้าก้มตาและปาดน้ำตาแบบนี้ คืออาการของคนกำลังร้องไห้แน่นอน

และในขณะที่ผมกำลังกล้าๆกลัวๆอยู่นั้นว่าจะเดินตามไปดีหรือเปล่า ก็ต้องสะดุดกับอีกสิ่ง เมื่อชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาคุยกับคนที่ผมสังเกตุการณ์อยู่

​พี่กั้งไม่ใช่เหรอวะ

​ทั้งคู่คุยกันแค่ชั่วอึดใจหนึ่งแล้วเดินด้วยกันต่อไป แต่ที่ผมไม่โอเคเลยก็คือ ทำไมพี่กั้งต้องเอามือมาโอบไหล่ข้าวเจ้าด้วย มันไม่ได้เป็นคนพิการซะหน่อย



"สุ่ย"

ผมถูกใครบางคนเรียกไว้ก่อนที่จะตัดสินใจเดินตามไปอีกครั้ง

"เก่งนี่หว่ามึงอ่ะ ได้ยืนแถวหน้าด้วย" พี่บุ๋นนั่นเอง แล้วก็พี่ท๊อปที่เดินมาด้วยกัน

"หวัดดีพี่ หวัดดีครับพี่ท๊อป" ผมกล่าวทักทาย แต่ก็ยังกระวนกระวายอยากตามไปอยู่

"คณะเราทำได้ดีนะ ยืนแถวหน้าได้ตั้งสามคน" พี่บุ๋นยังพูดต่อ "เกตุกับไอ้ชานี่กูไม่ค่อยแปลกใจหรอก แต่มีมึงโผล่มาด้วยนี่ดิ เซอร์ไพรส์สุดๆ"

"มีคนช่วยสอนให้อะพี่" ไม่อยากเชื่อเลยว่าผมจะต้องพูดเรื่องนี้อีกรอบ

"เหรอ? ใครวะ"

"ก็... คนแถวๆนี้แหละพี่ ว่าแต่พี่สองคนจะไปไหนกันอ่ะ จะไปสนามบินเหรอ"

"......" นี่กูเพิ่งจะพูดเรื่องที่ไม่น่าพูดออกไปหรือเปล่าวะ พี่บุ๋นกับพี่ท๊อปดูเหมือนจะช็อกกันไปเลย "มึง... ทำไม..."

"อ๋อ..." จะอ้างว่าไงดีวะ จะบอกว่าแอบฟังพี่สองคนคุยกันเมื่อคืนก็คงไม่ได้ "ก็วันนี้วันศุกร์ พี่ท๊อปต้องไปเกาหลีไม่ใช่เหรอ เห็นพี่มาด้วยกัน ก็เลยนึกว่าพี่จะไปส่งพี่ท๊อปที่สนามบิน"

"........" เงียบ  แปลว่ากูพูดตรงเกินไปซินะ

"ก็ตามนั้นแหละ งั้นเดี๋ยวพี่ขอตัวก่อนนะ" พี่ท๊อปอาสาพูดต่อเองเมื่อเห็นว่าพี่บุ๋นพูดอะไรต่อไม่ออก "ไงก็ยินดีด้วย พรุ่งนี้ก็ทำให้เต็มที่ล่ะ"

"ขอบคุณครับพี่... เดี๋ยวก่อนครับ" ผมนึกบางอย่างขึ้นได้

"มีไร" พี่บุ๋นตั้งคำถามทันทีทั้งๆที่ยังหน้าแดงอยู่

"คือ... ผมอยากถามอะไรพี่ท๊อปหน่อยอ่ะ" พี่ทั้งสองทำหน้าประหลาดใจทันทีที่ผมพูดไปอย่างนั้น ก็ผมไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไรกับพี่ท๊อปมาก่อน พี่เค้าคงงง แต่ผมอ่ะ ตอนนี้มีเรื่องบางอย่างสงสัยมาก

"มีอะไรจะถามพี่เหรอ"

"เอ่อ... พี่กั้งอ่ะครับ พี่กั้ง ก.น.ช." ผมเริ่มตั้งคำถาม "พี่เค้า... เป็นคนยังไงเหรอครับ"

"กั้ง?" "พี่กั้ง?" ทั้งสองงงหนักกว่าเดิมอีก

"มึงถามถึงพี่กั้งทำไมอ่ะ" พี่บุ๋นไม่ปล่อยความสงสัยของตัวเองให้ลอยไป "นี่อย่าบอกนะว่าพี่กั้งมา​จีบมึง​อีกคน​แล้ว"

ห๊ะ!? "อีกคน?"

"อ้าว มึงไม่รู้เหรอว่าพี่กั้งเค้าเคยจีบไอ้น้ำชาอ่ะ"

"ไอ้ชา!!" เมื่อไหร่วะ ไม่เคยสังเกตุเห็นเลย ก็เห็นมันกับพี่ตองหวานหยด ตัวติดกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้วไม่ใช่เหรอ พี่กั้งจะมาจีบตอนไหน

"เออดิ เป็นเพื่อนกันยังไงวะ ไม่สังเกตุเลย พี่กั้งพยายามจีบไอ้ชาอยู่เป็นเดือนๆแล้วนะ แต่โชคดีที่ไอ้ตองมาตามเฝ้าเป็นไม้กันหมาทุกวัน"

"พี่ว่าไม่เกี่ยวหรอก" พี่ท๊อปแย้ง "เป็นเพราะน้ำชามั่นคงในตัวเจ้าตองมากกว่า ถึงพี่กับกั้งจะไม่ได้สนิทอะไรมาก แต่เรื่องที่ว่ามันเป็นคนหว่านเสน่ห์เก่ง พี่ก็ได้ยินมาบ้างนะ"

"ก็จริงนะ" พี่บุ๋นเสริม "บุ๋นก็เคยได้ยินมาบ้างว่าพี่กั้งเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ หว่านเสน่ห์ไปทั่ว รายไหนรายนั้น เหมือนว่าปีที่แล้วก็เคยมีเรื่องกันกับลีดศึกษาด้วยนิ ที่ว่าไปยุ่งกับคนที่มีแฟนแล้วอ่ะ"

"ก็ถึงบอกไง แต่รายนั้นผู้หญิงเล่นด้วย ก็เลยเป็นเรื่องอยู่พักนึง"

ชิบหายล่ะ กูจะรอช้าอยู่ไม่ได้แล้ว ไม่งั้นไอ้ข้าวเจ้าอาจจะเสร็จพี่กั้งคนนี้ก็ได้

"ว่าแต่" เกือบจะออกวิ่งไปอยู่แล้วเชียว แต่ก็ถูกคำถามของพี่บุ๋นรั้งไว้อีก "มึงอยากรู้เรื่องของพี่กั้งไปทำไมวะ"

"ก็..." จะอ้างว่าไรดีวะ "พี่เค้ามายุ่งกับเด็กของผมอะดิพี่"

"ยุ่งกะเด็กมึง? อย่างมึงเนี่ยนะมีเด็กเป็นจริงเป็นจังด้วย กูเห็นมีผู้หญิงมาเฝ้ามึงตอนซ้อมไม่ซ้ำหน้ากันเลย ถ้าพี่กั้งจะยุ่งกับเด็กมึงแค่คนเดียวคงไม่เสียหายอะไรหรอกมั้ง"

"โหพี่ มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี" ก็พูดไป เด็กผมที่ไหนล่ะ แค่คนที่ตกลงว่าจะมีอะไรกันเฉยๆ

"มึงนี่นะ เจ้าชู้มากๆ ระวังเหอะจะมีปัญหาตามมาทีหลัง"

"พี่เห็นด้วยนะน้อง" พี่ท๊อปเสริม "เดี๋ยวจะกลายเป็นคนมีชื่อเสียงในทางไม่ดีเหมือนกั้งเอาได้"

"อือหือ พูดเหมือนตัวเองพระเอกมากอ่ะ" พี่บุ๋นขัด "พี่ท๊อปก็ใช่ย่อยที่ไหน ว่าแต่พี่กั้งเหอะ พวก ก.น.ช.ก็พอๆกันทั้งนั้นแหละ บุ๋นว่าอ่ะ"

"พี่ไม่เคยทำตัวแบบนั้นเลยนะ นี่ไง ไม่เห็นเหรอ พี่ไม่ได้ยุ่งกับใครเลย บอกว่าจะจีบบุ๋น พี่ก็จีบบุ๋นแค่คนเดียว"

เอิ่ม.... พี่ทั้งสองครับ ถ้าจะมาหวานใส่กันตรงนี้ งั้นผม... "ขอตัวก่อนนะพี่" ไม่อยากโดนมดกัดตายตรงนี้



ผมวิ่งออกมาทัันที ตรงไปที่รถของตัวเอง แล้วขับไปยังเป้าหมายเดียวที่มีอยู่ในหัวตอนนี้......





​นั่นไง อยู่ด้วยกันจริงๆด้วย

​ผมขับรถมาจนถึงบ้านเช่าของข้าวเจ้า สถานที่ที่ผมนอนหลับและหลับนอนเมื่อคืนที่ผ่านมา

ภาพที่เห็นคือคนทั้งสองกำลังคุยกันอยู่หน้าบ้าน สงสัยพี่กั้งจะขับรถมาส่ง แล้วทำไมต้องให้มันเข้าไปคุยในรั้วบ้านด้วยวะ

สาเหตุพี่ผมไม่ถูกจับได้ว่ากำลังแอบมองอยู่ก็คือ ผมจอดรถหลบหลังกำแพงหน้าบ้านพี่บุ๋น แล้วแอบมองดูเงียบๆจากในรถ



​เห้ยยยย

​มีเสียงอุทานมาจากที่ๆผมแอบมอง ก็จู่ๆเครื่องรดน้ำอัตโนมัติหน้าบ้านของข้าวเจ้าดันทำงานขึ้นมาอะดิครับ ไอ้พี่กั้งแม่งเปียกหมดเลย ​ไม่รู้ดิ แต่ผมแอบซะใจแปลกๆ

เดี๋ยวๆๆๆๆๆ

นั่นจะไปไหนกันน่ะ อย่าบอกนะว่าจะเข้าไปในบ้าน

ชิบหายล่ะ ลงไปห้ามไว้ดีกว่า....

​ไม่ได้ดิ

​เราจะไปห้ามเค้าในฐานะอะไรวะ ที่สำคัญ ถ้าทำแบบนั้น เขาก็รู้หมดดิว่าเราแอบขับรถตามมาดู

แล้วมันสองคนเข้าไปทำอะไรกันวะ หรือว่าจะเข้าไปมีอะไรกันเหมือนที่เราเคยทำ คงไม่หรอกมั้ง ​อาจจะเข้าไปเปลี่ยนชุดเฉยๆก็ได้ ก็เมื่อกี้เสื้อผ้าเปียกน้ำนี่นา แล้วถ้ามันเป็นอย่างที่กูคิดทีแรกล่ะ ไอ้นั้นยิ่งหว่านเสน่ห์เก่งๆอยู่ด้วย...

เอาไงดีวะ ฟ้าก็เริ่มจะมืดแล้ว ลงไปกดกริ่งหน้าบ้านตรงๆเลยดีไหม แล้วจะอ้างว่าอะไรล่ะ

แม่งเอ๊ยยยย

ปวดหัวชิบหาย นั่งรอดูตรงนี้ไปก่อนก็ได้วะ

ผมเอากระจกข้างรถลงเล็กน้อย แล้วก็พยายามเงี่ยหูฟัง ถ้ามีเสียงอะไรผิดปกติ กูบุกเข้าไปแน่



หลังจากรอดูวี่แววอย่างไร้ความหมายอยู่ห้านาที ผมก็ไม่มีอะไรทำ และมันยิ่งทำให้กระวนกระวายยิ่งขึ้น ขณะนั้นเองที่สายตาเหลือบไปเห็นหนังสือ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่ยืมจากข้าวเจ้ามาเมื่อคืนวาน

​อ่านหนังสือฆ่าเวลาก็ได้วะ



แล้วผมก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน



​เมื่อไหร่จะออกมาซะทีวะ

​นี่มันครึ่งชั่วโมงแล้วนะ

ผมเงี่ยหูฟังซึ่งอาจจะมีเสียงแปลกๆอะไรออกมาก็ได้ แต่ก็ไม่มี เงียบกริบอย่างกะไม่มีคนอยู่





"ไว้วันหลังถ้ากลับคนเดียวอีกก็บอกพี่ได้นะ เดี๋ยวพี่มาส่ง"

จู่ๆ สองคนที่เคยอยู่ในบ้านก็ออกมา ผมรีบก้มหัวหลบหลังคอนโซลรถยนต์

"ขอบคุณอีกทีนะครับพี่กั้ง" ทำไมต้องไปขอบคุณมันด้วยวะ ก็แค่มาส่ง กูก็มาส่งได้ "แล้วก็ขอโทษเรื่องเสื้อผ้าที่เปียกอีกที"

"ไม่เป็นไร ข้าวเจ้าก็รับผิดชอบเอาไปทำให้มันแห้งแล้วไม่ใช่เหรอ"

"พี่ก็เลยต้องมาเสียเวลานั่งรอนานเลย ผมเกรงใจอะครับ"

"อย่าคิดมากนา แค่แก้ผ้ารอครึ่งชั่วโมง พี่ไม่มีปัญหาหรอก"

ห๊ะ แก้ผ้ารอเลยเหรอ แถมยังนานตั้งครึ่งชั่วโมงด้วย

ทีกูแก้ผ้าให้ดูแค่วินาทีเดียวดันโดนว่า แล้วทำไมปล่อยให้คนอื่นแก้ผ้าต่อหน้ามึงตั้งครึ่งค่อนชั่วโมงวะ ทำอะไรคิดถึงกูบ้างไหมวะ อย่างน้อยกูกับมึงก็เคยมีอะไรกันนะเว้ย

"เอาเป็นว่าพี่กลับก่อนละนะ เดี๋ยวจะดึก"

"ขอบคุณอีกทีนะครับ ถ้าวันไหนว่างให้ผมตอบแทนนะพี่ เดี๋ยวทำกับข้าวให้กิน"

ทำกับข้าวให้กิน? ทำไมต้องชวนมันด้วยวะ กูนอนด้วยทั้งคืน ไม่เห็นจะทำอะไรให้กูกินเลย

เดี๋ยวเจอกันครั้งหน้าต้องคุยกันซะหน่อยแล้ว ไม่เห็นความสำคัญของกูเลยนี่หว่า



​หึย!!!!



ผมรีบหลบอีกครั้งเพราะไอ้พี่กั้งหันมามองทางนี้ สงสัยผมจะโผล่หัวออกไปมากเกิน

แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่นานหลังจากสองคนนั้นบอกลากัน รถยนต์ป้ายแดงสุดหรูที่มาส่งเจ้าของบ้านก็ขับออกไป

ส่วนผมอะเหรอ เอาแต่ลังเลว่าจะลงไปหาไอ้คนที่ผมตามมาดีไหม แต่ก็ลังเลนานเกิน จนไอ้คนที่ทำให้ผมกระวนกระวายใจกลับเข้าไปในบ้านแล้ว

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะยังนั่งนิ่งอยู่ในรถแบบนี้อีกทำไม ผมนั่งเฝ้าอยู่หน้าบ้านของข้าวเจ้านานจนดึก จนอ่านหนังสือทั้งสองเล่มจบ จนแน่ใจว่าจะไม่มีใครกลับมาที่บ้านหลังนี้อีกแล้ว จนในที่สุด ไฟในบ้านก็ดับสนิทลง

​ขอเข้าไปนอนด้วยดีไหมน้า

​ผมได้แค่คิด แล้วก็ตัดสินใจขับรถกลับไปพักผ่อนที่หอของตัวเอง​ด้วยอาการกระวานกระวายใจและ.........





.........ไม่เข้าใจตัวเองเท่าไหร่นัก
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 42 [อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ Part 3]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 21-02-2018 13:30:11
(ต่อ Part 3)



"คัตตตต....โอเคครับน้องๆ ทำได้ดีมาก ทุกคนเลย ในส่วนของการถ่ายทำวันนี้ก็จบลงด้วยดีครับ รอดูวิดีโอโปรโมทในวันจันทร์นี้ได้เลย"

เสียงสัญญาณประกาศสุดท้ายจากพี่นิค ช่างภาพที่ทำหน้าที่ในการถ่ายทำคลิปวิดีโอโปรโมทตั้งแต่เช้ายันตอนนี้ที่เป็นเวลาบ่ายสามโมง

ร้อนโคตรๆ

แต่ไอ้เรื่องร้อนกายอ่ะไม่เท่าไหร่ ร้อนใจนี่ซิมากกว่า

ก็ตั้งแต่เช้าวันนี้ ข้าวเจ้าหลบหน้าผมตลอดเลย ตั้งแต่เกิดมาในชีวิตการเป็นไอ้สุ่ย ไม่เคยโดนใครเมินหนักมากแบบนี้มาก่อน ตอนเช้าก็ทำเป็นยิ้มแย้มทักทายผมตามปกติ แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีบทสนทนาระหว่างกันอีกเลย ซ้ำร้ายผมต้องมายืนริมสุดอยู่คนเดียว ทั้งๆที่ได้ยืนแถวแรก แต่ก็ถูกแยกออกมาจากไอ้ชา ไอ้ต้อม แล้วก็เกตุ ที่ไปกองกันอยู่ตรงกลาง ซึ่งไอ้คนที่ทำให้ผมกระวนกระวายใจก็รวมอยู่ตรงนั้นด้วย เพียงแต่เป็นตำแแหน่งยืนในแถวที่สอง หลังไอ้ชาพอดิบพอดี

คงจะถูกใจเค้าเชียวล่ะ



"เดี๋ยวจะมีพี่ปีสองมานัดหมายกิจกรรมเพิ่มเติมเล็กน้อยนะครับ" พี่นิคประกาศบอกอีกครั้ง



"ทุกคนได้ยินพี่นะคะ" เสียงของพี่หนิงดังขึ้น "พี่รู้ว่าน้องทุกคนร้อนและเหนื่อยและอยากกลับเข้าร่มกันแล้ว เพราะฉะนั้น ตั้งใจฟังพี่ให้ดีๆนะคะ... หลังจากนี้ทางทีมงานจะมีการตัดต่อคลิปเพื่อใช้ในการโปรโมทที่จะเผยแพร่ในวันจันทร์นี้เวลาบ่ายโมงเป็นต้นไป ซึ่งน้องๆสามารถติดตามกันได้ทั้งทางช่องของมหาวิทยาลัย ในยูทูป และเพจเฟสบุ๊คของมหาวิทยาลัยเช่นกัน จะมีการโปรโมททุกวันเพื่อให้บุคคลภายนอกได้รับรู้ถึงกฎกติกาในปีนี้ที่เราจะใช้การกดไลค์กดแชร์มาเป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกน้องๆนะคะ นอกจากที่ทางเราจะมีการโปรโมทให้ส่วนหนึ่งแล้ว ทางส่วนของน้องๆเองก็สามารถประชาสัมพันธ์ได้ด้วยเช่นกัน แล้วแต่วิธีการหรือความสะดวกของแต่ละคนเลย

แต่... เพื่อให้การโปรโมทในครั้งนี้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่วันจันทร์เป็นต้นไปจนถึงวันศุกร์ซึ่งก็คือวันสุดท้ายของการนับคะแนนยอดไลค์ยอดแชร์ ระหว่างนี้ทีมนักข่าวของมหาวิทยาลัยจะเก็บสกู๊ปของน้องๆแต่ละคนให้ เพื่อให้ทุกคนได้มีแอร์ไทม์อย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้น พี่จะขอให้น้องๆจับกลุ่มกัน กลุ่มละหกคน จะอยู่คณะเดียวกันหรือต่างคณะก็ได้ ไม่จำเป็นว่าจะเป็นเพศชายหรือหญิง แต่ขอให้มีหกคน หลังจากได้ทีมแล้วให้มาลงชื่อที่พี่และนัดวันเวลาในการถ่ายทำ ให้น้องๆคิดกันมาว่าอยากให้ถ่ายทำคอนเซ็ปอะไร ที่ไหน เพื่อเป็นการโปรโมทตัวน้องๆเอง แต่ต้องเป็นกิจกรรมที่สามารถทำได้ในมหาวิทยาลัยเท่านั้นนะคะ พี่ให้เวลาแค่ไม่เกินเที่ยงของวันพรุ่งนี้นะ ถ้าน้องนัดพี่เร็ว ก็ได้ถ่ายทำเร็วนะ นั่นก็แปลว่าน้องก็จะได้วันออนแอร์เร็วด้วย อย่าลืมนะคะ เรามีเวลาโปรโมทถึงแค่วันศุกร์นี้เท่านั้น

และสิ่งสำคัญที่สุด การประกาศผลในวันศุกร์นี้ เราจะคัดเหลือเพียงแค่ ยี่สิบสี่คนเท่านั้น ชายและหญิงอย่างละสิบสองคน เข้าใจตรงกันนะ ขอบคุณค่ะ.... โอเค งั้นทุกคนก็เชิญพักผ่อนได้ค่ะ"

หลังจากที่ฟังที่พี่หนิงประชาสัมพันธ์จบ ทุกคนก็แยกย้ายออกไปคนละทาง แต่ไม่ใช่ผม ผมตรงดิ่งไปหาไอ้ชาเลย ผมรู้ว่าพวกนั้นต้องกำลังรวมกลุ่มกันอยู่แน่นอน



"จะทำอะไรกันดีอ่ะ" ผมยังไม่ทันจะเดินมาถึงดีเลย เกตุก็ตั้งคำถามขึ้นมาเสียแล้ว

"เดี๋ยวนับก่อนนะตอนนี้เรามีกันกี่คน" ไอ้ชาเริ่มนับ มันชี้ที่ตัวมัน ไอ้ต้อม เกตุ ข้าวเจ้า และผม "ห้าคนเองอ่ะ คนไม่ครบ"

"เดี๋ยวกูจัดให้" ไอ้ต้อมวิ่งออกไปจากกลุ่ม ก่อนจะไปพาผู้หญิงคนหนึ่งมา น่ารักมาก อย่างกับสาวญี่ปุ่นเลย มาจากแถวสองแน่นอนเพราะสวมเสื้อสีฟ้าเหมือนข้าวเจ้า "คนนี้ชื่อมายด์นะ เพื่อนที่คณะกู เอ่อ.. มายด์ นี่พวกเพื่อนๆเรานะ นี่ช..."

"ไม่ต้องแนะนำหรอก" สาวสวยที่ชื่อมายด์บอก "มีแต่คนดังๆทั้งนั้น เราชื่อมายด์ ฝากตัวด้วยนะ ต้อมบอกว่าจะชวนมาจับกลุ่มใช่ไหม"

"ใช่ครับ" ผมพลั้งปากพูดเสียงหวานออกไป ไม่ได้ตั้งใจนะ ก็เวลาเห็นสาวสวยที่ไม่รู้จักทีไร ผมก็มักจะแสดงออกแบบนี้ทุกที มันเป็นอัตโนมัติไปแล้ว

"ใจเย็นพี่เสือ" ไอ้ชาแซวผม "งั้นเราก็คบหกคนแล้ว มีใครมีไอเดีย..."

"ชา คือ... กูไม่สะดวกรวมกลุ่มด้วยอ่ะ" จู่ๆข้าวเจ้าก็แทรกขึ้นมา

"ทำไมอ่ะ!!!" ไอ้ชางง ทุกคนงง แต่กูว่ากูไม่งงนะ "มึงจับทีมแล้วเหรอข้าว ก็น่าจะยังนิ เราเพิ่งจะรวมตัวกันเดี๋ยวนี้เอง"

"เป็นเพราะเราหรือเปล่า" มายด์หน้าเสียอย่างชัดเจน "ถ้างั้นเราออกก็ได้นะ"

"ไม่ใช่อย่างงั้น" ข้าวเจ้ารีบปฏิเสธด้วยท่าทางลนลาน

"แล้วทำไมอ่ะ" ไอ้ชาย้ำถาม

"ก็..."

"ถ้าไม่มีอะไรก็อยู่ด้วยกันนี่แแหละ" ไอ้ต้อมโวยวายนิดหน่อย "เร็วเหอะกูร้อน"

"เป็นไรวะข้าว" ไอ้ชาพยายามถามอีกรอบ

"ไม่มีอะไร" ข้าวเจ้าตอบ ตอบแบบไม่มองมาทางผมแม้แต่นิดเดียวเลย ก็คงเข้าใจได้ไม่ยากอะนะ "โอเค จับก็จับ แล้ว... จะทำอะไรกันดีอ่ะ"

"ที่ทำในมหาลัยได้เหรอ" ไอ้ชาคิด "นึกออกแล้ว ก็ดูแลน้องๆที่โรงพยาบาลไง เราบางคนเคยทำอยู่แล้วนิ"

"เออใช่ อันนี้แหละดี" ไอ้ต้อมสนับสนัน ​ดูแลเด็กอะไรวะ ​"ไปๆๆๆ รีบไปบอกพี่หนิงกันดีกว่า"

ผมคิดว่าพวกผมน่าจะเป็นกลุ่มแรกที่วิ่งมาหาพี่หนิงเพื่อบอกถึงคอนเซ็ปนะ ในขณะที่คนอื่นๆยังจับกลุ่มกันอยู่เลย บางคนก็เพิ่งจะเข้าไปในร่ม บางคนกำลังจะเดินทางกลับที่พักด้วยซ้ำ



"พี่หนิงครับ พี่หนิง" ไอ้ต้อมเรียกพี่หนิงที่ยืนคุยกับพี่นิคตรงที่เดิม

"ว่าไงต้อม" พี่หนิงถาม

"พวกเราหกคนได้คอนเซ็ปแล้วครับ จะมาขอนัดเวลา"

"หา?" ผมรู้ว่าที่อึ้ง ผมก็ยังงงๆอยู่เลย "นี่คิดกันเร็วไปหรือเปล่า"

"อ๋อ คือมันเป็นกิจกรรมที่เราทำกันอยู่แล้วอ่ะครับ"

"งั้นเหรอ เดี๋ยวๆแป๊บนึงนะ ​​เพียส เพียส" พี่เค้ากำลังเรียกบัดดี๊ส่วนตัวให้มาหา "จดตารางถ่ายโปรโมทหน่อย เอาสมุดออกมา เล่มสีแดงอ่ะ... อะ โอเค ว่าไง จะทำอะไร เมื่อไหร่"

"ดูแลน้องๆที่แผนกผู้ป่วยเด็กที่โรงพยาบาลของมหาลัยครับ ส่วนเวลา... ตอนไหนดีวะ​" ไอ้ต้อมหันมาถามพวกผม

"ทุกคนว่างกันตอนไหนอ่ะ" ไอ้ชาถามต่อทันที



"เอาเป็นพรุ่งนี้ไหม​" พี่ตองโผล่มา เอ่อ... พี่ตองครับ พี่เป็นผีเฝ้าไอ้ชาหรือไงเนีย ทำไมพี่สามารถโผล่มาได้ทุกๆครั้งที่มันว่างขนาดนี้

"ทำไมอ่ะ" ไอ้ชาก็ถามกลับ นี่มึงคงชินแล้วซินะ ที่เห็นหน้าแฟนตัวเองโผล่มาทุกที่ทุกเวลาแบบนี้

"พรุ่งนี้เป็นวันเกิดโชกุน" พี่ตองตอบ ​โชกุนไหนวะ มีนินจากับซามูไรด้วยไหม

​"จริงเหรอ"

"พี่ดวงโทรมาบอกเมื่อกี๊พอดีเลย พ่อกับแม่น้องก็จะมาด้วย"

"งั้นดีเลย.. พรุ่งนี้เย็นทุกคนว่างไหม​" ถึงจะงงๆ แต่ทุกคนก็พยักหน้ากันหมด "งั้นขอนัดพรุ่งนี้เย็นได้ไหมครับพี่หนิง"

"ได้อยู่แล้ว" พี่หนิงตอบ "นี่เป็นกลุ่มแรก ยังไม่ได้ลงเวลาของใครเลย"

"ขอบคุณครับพี่"



"งั้นพี่ขอชื่อน้องหน่อย คนเดียวก็พอ เย็นๆนี่คือช่วงไหน หกโมงเย็นพอไหวไหม...​" พี่เพียส บัดดี๊ของพี่หนิงกำลังเจรจาตกลงกับไอ้ชาอยู่



ส่วนผมก็ค่อยๆ ตะล่อมๆเดินเงียบๆมาอยู่หลังข้าวเจ้า

"​ข้าวเจ้า​" ผมเรียกเบาๆ

"ว่าไง" ในที่สุดไอ้ข้าวเจ้าก็หันมาสบตากับผมแบบจริงจังสักที

"เย็นนี้ว่างป่ะ ไม่มีเพื่อนกินข้าว"

"เราทำกับข้าวกินเองอ่ะ"

"อ้าวเหรอ" เออ ลืมไป "กินด้วยดิ"

"เอ่อ... พ่อเรามาอ่ะ ไม่สะดวกเท่าไหร่"

กรรมของเวร ​ทำไมต้องมาวันนี้ด้วยวะ



"โอเคทุกคน" ไอ้ชาหันกลับมาคุยกับพวกผมหลังจากเจรจาเรียบร้อย "พรุ่งนี้หกโมงเย็นเจอกันที่โรงพยาบาลนะ"

"โอเค" แล้วกูจะตะโกนทำไมวะ ทุกคนก็เลยมองผมแปลกๆเลย "อ...โอเค"

"ตามนี้" ไอ้ชาบอกอีกที "แยกย้ายๆ ไอ้ต้อม พรุ่งนี้มึงหาซื้อเค้กมาด้วยนะ​"

"เออ ได้"



หลังจากที่ทุกคนก็แยกย้ายกลับกันไปคนละทิศละทาง ผมก็ไม่รู้อะไรดลใจให้เดินตามหลังไอ้ข้าวเจ้ามา

"ข้าวเจ้า" แล้วก็ไม่รู้อะไรดลใจอีกเหมือนกันให้เรียกมัน

"ว่าไง"

"เอ่อ... ให้ไปส่งไหม"

"ไม่ต้องหรอก ขอบใจมาก" ตอบไวเกินไปแล้ว

"เห้ยข้าว..."

"สุ่ยใช่ไหมคะ" หึ! ใครเรียก อ่อ มายด์นั่นเอง "ไปส่งเราหน่อยได้ไหมอ่ะ เพื่อนเราหายไปไหนหมดแล้วก็ไม่รู้"

เอาแล้วไงกู

"เอ่อ..." อ้าว ข้าวเจ้าไปโน่นแล้ว

"ไปส่งได้ไหมอ่า" เธอยังคงขอร้องอยู่

"ด...ได้ครับ" ไปส่งก็ได้วะ "ไปเลยไหมครับ"

"ขอบใจนะ" เออ ไม่ต้องทำแบ๊ว รีบไปเถอะครับบบ



ผมรีบขับรถออกไปส่งผู้โดยสารอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะมาถึงอีกที่หนึ่งอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน

ใช่แล้วครับ ผมมาจอดรถแอบอยู่แถวๆ หน้าบ้านข้าวเจ้าอีกแล้ว แต่วันนี้ผมเตรียมตัวมาดี ซื้อบะหมี่ถ้วยมานั่งกินด้วย



เอ???

ไหนบอกว่าพ่อกับแม่จะมา ไม่เห็นมีใครมาเลย

หรือว่าโกหกเราวะ

ใช่แน่เลย ต้องโกหกแน่ๆ กะจะหลบหน้ากูอีกแล้วอะดิ



​ปิ๊งป๊อง

​ผมตัดสินใจลงจากรถมากดกระดิ่งหน้าบ้าน

สักพักหนึ่งข้าวเจ้าก็โผล่หน้าออกมาจากประตูกระจก แล้วก็ทำหน้างงที่เห็นผม



"สุ่ยเหรอ? มาทำไมอ่ะ"

เออ นั่นดิ กูมาทำไมวะ

"เอ่อ...." เอาแล้วไงกู จะอ้างว่าอะไรดีวะ "อ๋อ เดี๋ยวก่อนๆ รอแป๊บนึง" ผมวิ่งกลับไปที่รถ หยิบของที่ต้องการแล้ววิ่งกลับมาอย่างรวดเร็ว "กูเอาหนังสือมาคืน อ่านจบแล้ว" เล่นซะเหนื่อยเลยกู

"อ...โอเค" ข้าวเจ้ารับหนังสือสองเล่มคืนไป

​อ้าว เดี๋ยวๆๆๆ

​นี่จะกลับเข้าบ้านเลยเหรอ ใจคอจะไม่คุยกับกูอีกสักหน่อยเลยรึไง

"แล้วที่บ้านยังไม่มาอีกเหรอ" ผมพยายามรีบพูด

"ยังอ่ะ แต่เดี๋ยวสักพักก็คงมาแหละ"

"เหรอ... เออ งั้นกูกลับก่อนนะ" ​เอ้า แล้วกูจะพูดแบบนี้ทำไมวะ

"โอเค..." มันทำหน้างงๆในพฤติกรรมของผม เออ กูก็งงตัวเองเหมือนกัน

"ถ..ถ้ามีหนังสืออะไรน่าอ่านก็แนะนำได้นะ" ผมยังคงพยายามพูด ก่อนที่เจ้าของบ้านจะกลับเข้าบ้านไป "สนุกดี"

"ได้... ขับรถดีๆล่ะ"

อวยพรส่งกลับกูทันทีเลย

กูก็ต้องกลับมานั่งเจ่าที่รถต่ออะดิ



ผมกลับมานั่งกินบะหมี่ที่รถต่อเหมือนเดิม

หนังสือก็ไม่มีให้อ่าน มือถือก็เล่นมากไม่ได้เดี๋ยวแบตเตอร์รี่จะหมด ช่วงเย็นๆแบบนี้ด้วยแล้ว มีแต่สาวๆผลัดกันโทรมา แต่ผมไม่ได้รับเลยนะ ไม่รู้สึกว่าอยากรับโทรศัพท์เลย



เห้อ.... เบื่อชะมัด

นี่มันจะสี่ทุ่มแล้วนะ ไม่เห็นมีใครมาเลยวะ

นี่อย่าบอกนะว่ามันโกหกกูจริงๆอ่ะ

ต้องการหลบหน้ากันขนาดนี้เลยเหรอวะ

​นั่นไง

​ข้างในบ้านปิดไฟแล้วเรียบร้อย เป็นสัญญาณว่าคงจะไม่มีใครมาจริงๆ

สรุปคือกูโง่ที่มานั่งรอใช่ไหมเนีย

เออ

​ช่างแม่งเหอะ อยากเมินก็ปล่อยแม่งเมินไป อยากหลบหน้าก็อย่ามาคุยกับกูอีกแล้วกัน

จากนั้นผมก็ขับรถกลับหอด้วยอารมณ์บูดแบบเต็มๆ

คอยดูนะ พรุ่งนี้กูจะไม่คุยด้วยเลย







"เห้ยข้าวเจ้า มาๆ เดี๋ยวกูเข็นให้" เห้อออออ ดูความไม่มีสัจจะในตัวเองของผมดิ เมื่อคืนยังปฏิญาณไว้อยู่เลยว่าจะไม่คุยกับเค้า แต่พอช่วงถ่ายทำคลิปโปรโมทมาถึงก็คอยวอแวอยู่ตลอด ไอ้นี่ก็ไม่ใจอ่อนซะที ถามคำตอบคำอยู่นั่นแหละ

"ไม่เป็นไร แค่นี้เอง"

"ก็เดี๋ยวกูเข็นแล้วมึงเป็นคนแจกขนมให้น้องๆตามเตียงไง"



"​โอเค ฉ็อตดีสวยมาก ทำต่อเลยครับน้อง​" พี่ตากล้องเข้ามาถ่ายช่วงที่ผมกับข้าวเจ้ากำลังช่วยกันเข็นขนมแจกจ่ายน้องตามเตียงเด็กๆพอดี เป็นอันว่าข้าวเจ้าไม่สามารถปฏิเสธผมได้แล้ว ​มาถูกจังหวะดีมากพี่ตากล้อง

ผมก็เพิ่งรู้วันนี้แหละว่าไอ้ชามันมาเป็นอาสาสมัครที่นี่ แต่เรื่องราวของมันยาวมากๆ อันที่พีคสุดก็คงเป็นสาเหตุที่มันเต้นเพลงมิ่งขวัญมัณฑนาได้กับบุพเพสันนิวาสที่มันได้เจอกับพี่ตอง

ผู้นำเชียร์ทั้งหกคน รวมถึงพี่ตองแฟนไอ้ชา พี่กอล์ฟแฟนเกตุ และขิงแฟนของไอ้ต้อม ​จะพกแฟนมาทำไมกันนักหนาวะ ทุกคนกำลังช่วยกันดูแลเด็กๆตามเตียงต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเตียงเจ้าของน้องวันเกิดที่ดูเหมือนไอ้ชาจะสนิทสนมด้วยเป็นพิเศษ ส่วนทางผมก็กำลังช่วยเข็นรถเข็นแจกเค้กชิ้นเล็กๆอยู่กับข้าวเจ้า

ผมได้เห็นอีกมุมหนึ่งของข้าวเจ้าที่นอกเหนือไปจากมุมของคนคลั่งไอ้ชากับหน้าเอ๋อๆของมัน จริงๆมันก็เป็นคนมีจิตใจดีนะ หมายถึงจากข้างในจริงๆอ่ะ ทั้งๆที่โดยปกติมันควรจะเดินเลี่ยงผมไปตั้งนานแล้ว แต่เพราะสิ่งที่ต้องทำเพื่อเด็กๆทำให้มันยอมที่จะปล่อยวางเรื่องนั้นไปก่อน ผมก็ได้โอกาสอะดิ ไหนๆมันก็ปฏิเสธอะไรมากไม่ได้แล้ว ถือโอกาสชวนคุยเยอะๆ จะได้กลับมาเป็นปกติซะที



"เอาที่มีดอกไม้ด้วยดิข้าวเจ้า เด้กผู้หญิงชอบดอกไม้" ผมบอกให้ข้าวเจ้าเลือกเค้กชิ้นที่มีลายดอกไม้ส่งให้น้องผู้หญิงตัวเล็ก ซึ่งมันก็ทำตาม

ได้ดั่งใจดีแฮะ วันหลังขอไอ้ชาให้ชวนมาบ่อยๆดีกว่า





"เรียบร้อยแล้วครับน้องๆ" พี่ตากล้องบอกเมื่อถ่ายทำภาพบรรยากาศทั้งหมดจนเป็นที่พอใจ

"ขอบคุณมากนะครับพี่" ไอ้ชารีบขอบคุณ

"งั้นพี่ขอตัวเลยนะ"

"ครับพี่ หวัดดีครับ"

"หวัดีครับ" "สวัสดีครับ" "ขอบคุณนะคะพี่" "สวัสดีค่ะ" เหล่าผู้นำเชียร์กล่าวขอบคุณและอำลา



"ถ่ายทำเสร็จแล้ว งั้นเราขอตัวเลยนะ" มายด์พูดขึ้นทันที "วันนี้สนุกมากเลย แต่เรามีโมเดลต้องไปทำต่ออ่ะ"

"โอเคมายด์ ขอบใจมากนะ" ไอ้ชาตอบ

"ไปละนะ พี่ตองพี่กอล์ฟสวัสดีค่ะ อย่าลืมทำโมเดลด้วยนะต้อม ส่งพรุ่งนี้นะ​"

"ไม่ต้องห่วง" ไอ้ต้อมทำเป็นร้องตอบไล่หลัง "เราโดนบังคับทำจนเสร็จแล้ว"

มันคงหมายถึงมันโดนขิงบังคับให้ทำงานจนเสร็จซินะ มีแอบหยอดแฟนตัวเองซะด้วย



"เกตุก็ต้องกลับเหมือนกันนะชา" เกตุพูดขึ้นอีกคน "พี่กอล์ฟยังไม่ต้องทำรายงานอีกเยอะเลย บทเรียนที่ชาให้อ่านก็ยังไม่ได้อ่าน"

"อ้าว ตัวเองอ่ะ ไปบอกชาทำไมเล่า" พี่กอล์ฟทักท้วงแฟนตัวเอง "นั่นมันครูของพี่นะ"

"ชาจะได้รู้ไงว่าพี่ไม่อ่านหนังสือ"

"พี่อ่านนะชา แต่ช่วงนี้รายงานมันเยอะก็เลยอ่านไม่ทัน แต่พี่จะอ่านแน่นอนนะ ไม่ต้องห่วง"

"ผมเข้าใจครับพี่ ช่วงนี้พี่ตองก็ทำรายงานเยอะเหมือนกัน" ไอ้ชาอธิบาย

"แต่กูมีติวเตอร์ดีเว้ย" พี่ตองยืดอก "เทอมนี้ เอ ไม่ไกลเกินฝันกูแน่นอน"

แต่ละคู่ อวดความรักกันเข้าไป

​มีแฟนจริงจังนี่มันน่าอิจฉาดีแฮะ​

"งั้นเกตุกับพี่กอล์ฟกลับแล้วนะ" เกตุกลับมาพูดอีกครั้ง "พรุ่งนี้เจอกันที่คณะนะ"

"เจอกัน"

กลับกันจะหมดแล้ว ว่าแต่... ข้าวเจ้าล่ะ ไม่กลับกับเขาบ้างเหรอ

ยังไม่กลับแฮะ กำลังเล่นกับน้องผู้หญิงอยู่ที่มุมห้องอย่างสนุกสนาน



"สุ่ย"

"ห๊ะ" ตกใจหมดเลย ไอ้ชาเรียกทำไมวะ

"มึงก็กลับได้นะ ถ้ามีธุระอ่ะ เดี๋ยวกูอยู่รอของขวัญแป๊บนึง พอดีลืมเอามา กำลังให้เพื่อนเอามาให้"

"กูไม่มีธุระอ่ะ เดี๋ยวอยู่นี่ก่อนสักพักนึง"

"มึงจะอยู่จริงอ่ะ"

"ทำไมวะ กูก็เป็นคนจิตใจดีนะเว้ย แค่มึงไม่เคยเห็นเฉยๆ"

"เออ กูไม่เคยเห็น เห็นแต่มึงเป็นเสือหิว ชอบขยี้จิตใจสาวๆไม่ซ้ำหน้า"

"สาวอะไร ไม่มีเว้ย" พูดอะไรไม่ดูเวล่ำเวลาเลย ไอ้ข้าวเจ้าได้ยินเปล่าวะ

"อะๆ ไม่มีก็ไม่มี งั้นมาช่วยกูเก็บกล่องอาหารนิ มาทำเรื่องที่เรียกว่าจิตใจดีให้กูดูหน่อยดิ"

"เออๆ" ผมเดินไปตามคำเชิญชวน "ต้องทำยังไง"

"ก็เก็บฝั่งนี้ก่อน แล้วก็ถ้าอันไหนที่ต้องแยกออกมาล้างก็วางไว้ชั้นล่างของรถเข็นอ่ะ ดูที่มันเป็นฝากล่องสีแดงอ่ะ..."



"ชา กูกลับก่อนนะ พ่อมาอ่ะ" หึ!!! ข้าวเจ้าพูดหรือเปล่าวะ ผมหันไปอีกทีคือเห็นมันเดินออกจากห้องไปแล้ว คือไรวะ แต่รู้สึกถึงสัญญาณเลวร้ายบางอย่างเลย

"รีบไปขนาดนั้นเลยเหรอ" ไอ้ชาบ่นพึมพำ "ยังไม่ทันร่ำลาเลย... ไอ้สุ่ย!"

"อะไร!"

"ไปดิ ไปเก็บได้แล้ว"

"เออๆ" รีบเก็บแล้วรีบขอตัวกลับบ้างดีกว่า

ผมพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้เร็วที่สุด แต่ก็ไม่ได้เร็วขนาดนั้นนะ ด้วยความที่มีคนเหลืออยู่น้อย ผมก็เลยช่วยเพื่อนเก็บกวาดข้าวของที่นำมาจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้เรียบร้อย ก็กินเวลาอยู่พักใหญ่ๆจนกระทั่งไอ้ชานัดหมายให้พวกเราทุกคนออกไปรอหน้าห้อง เตรียมเซอร์ไพส์น้องเจ้าของวันเกิดอีกรอบด้วยตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ที่กำลังจะเดินทางมาถึง
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 42 [อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ Part 4]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 21-02-2018 13:31:26
(ต่อ Part 4)


"ไอ้สุ่ย!!! ไอ้สุ่ย มันอยู่ไหน​"

อะไรวะ!!!!!

เสียงใคร? เกิดอะไรขึ้น

ผมพยายามมองหาต้นเสียงที่กำลังโวยวายภายในโรงพยาบาล

หึ!!! ​นั่นมันเพื่อนกะเทยของไอ้ชาไม่ใช่เหรอ

"ไอ้สุ่ย แกมัน..." จู่ๆกะเทยร่างยักษ์ก็พยายามที่จะเข้ามาจู่โจมผม

"เห้ย เดี๋ยวๆ" ไอ้ชาขวางไว้ "อะไรของมึงอิเจสซี่"

"ไอ้เลวนี่มันทำเพื่อนกู ปล่อยกูอิชา" กูไปทำอะไรเพื่อนของมันวะ บ้าหรือเปล่า "ถึงกูจะเป็นกะเทยแต่กูก็รักเพื่อนนะ หลบไปอย่ามาขว้าง"

"เดี๋ยวก่อน ใจเย็นๆ" พี่ตองเริ่มเข้ามาช่วยด้วย

ไอ้ต้อมก็เข้ามาขว้างระหว่างผมกับความวุ่นวายไว้

คือผมก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกนะ แต่ถ้ามันเข้ามาถึงตัวผมจริงๆ ผมคิดว่าก็คงสามารถช่วยเหลือตัวเองได้แหละ



"อิช้าง อิช้าง" มีคนมาเพิ่มอีกแล้ว เพื่อนอีกสองคนของไอ้ชาวิ่งตามมา "อิชา ห้ามอิช้างไว้หน่อย"

"กูก็ห้ามอยู่นี่ไง พวกมึงนั่นแหละ รีบมาช่วยกูเร็ว"

ตอนนี้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นภายในโรงพยาบาลแล้ว

"อิเจสซี่ นี่มันเรื่องอะไร" ไอ้ชาพยายามถามกะเทยหัวฟั๊ดหัวเหวี้ยง "อิช้าง ​มึงสงบลงก่อนได้ไหม นี่มันโรงพยาบาลนะ​"

การตำหนิของไอ้ชาเหมือนจะได้ผล ผู้มาเยือนเงียบเสียงลง ตอนนี้แหละที่ผมได้สังเกตุเห็นว่าเธอมาพร้อมตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ที่กำแน่นในมือ

"นี่มันเรื่องอะไร" ไอ้ชาถามช้าๆและพยายามรักษาบรรยากาศให้คงที่ไว้ "แล้วเกี่ยวไรกับไอ้สุ่ย"

"มึงก็ถามเพื่อนมึงดูซิ" ถึงจะกดเสียงไว้ แต่น้ำเสียงของความอาฆาตก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลงเลย "มึงถามมันดูว่ามันทำชั่วอะไรกับข้าวเจ้าไว้"

"..."

"ข้าวเจ้า?" ไอ้ชาดูจะยังไม่เข้าใจ แต่ผมอ่ะเข้าใจแล้ว "ไอ้สุ่ย มึงทำอะไรข้าวเจ้าวะ?"

"กู..." งานเข้ากูแล้วไง จะตอบยังไงดีวะ ความจริง เรื่องมันไม่น่ามาถึงจุดนี้ได้เลย ใครจะไปรู้วะว่าเพื่อนไอ้ชากับข้าวเจ้าจะเป็นเพื่อนกัน แล้วมันรู้เรื่องนี้ได้ยังไง

"มึงมันไอ้ชั่ว" ระเบิดลั่นออกมาอีกครั้ง ตุ๊กตาหมีถูกขว้างข้ามหัวทุกคนมากระบทใส่หน้าของผมเต็มๆ ก็เจ็บนะแต่ตอนนี้ไม่รู้สึกอะไรเลย

"​อิช้าง มึงอย่าเพิ่งโวยวายได้ไหม ให้กูถามมันก่อน​" ไอ้ชายังคงพยายามราดน้ำดับไฟ "สุ่ย ว่าไง เรื่องที่เพื่อนกูพูดหมายถึงอะไร มึงไปทำอะไรข้าวเจ้า กูก็ยังเห็นมึงสองคนคุยกันดีๆอยู่เลย มึงกับมันมีเรื่องอะไรกันวะ"

"........" หัวใจของผมทั้งเต้นแรง แต่ก็เหมือนจะดับวูบลงในเวลาอันรวดเร็ว

"มึงแน่จริงมึงก็พูดซิ ทำชั่วกับคนอื่นแล้วไม่ยอมรับเหรอ ไอ้...."

"กูมีอะไรกับข้าวเจ้า" เออ กูพูดก็ได้วะ

"ห๊ะ!!!!!!!" ทุกคนในที่นี้คงจะตกตะลึงกับสิ่งที่ผมพูด

"ร...เรื่องจริงเหรอ" ไอ้ชาพยายามถามย้ำจากผม

"จะไม่จริงได้ยังไงล่ะ" คนโวยวายยังทำหน้าที่ของตัวเองต่อ "ข้าวเจ้าเดินร้องไห้ออกจากโรงพยาบาลไปเมื่อกี๊ เราเป็นเพื่อนกันมาสามปี กูไม่เคยเห็นน้ำตาของข้าวเจ้าสักครั้ง เพื่อนกูเศร้ามาก เอาแต่พูดชื่อของไอ้ชั่วนี่ มึงรู้ไหนว่าเพื่อนกูเค้าเสียใจขนาดไหน ขนาดกูถามตั้งนานยังเกือบจะไม่เปิดปาก ​มึง มึงทำแบบนี้ได้ยังไง มันสนุกมากเลยใช่ไหม"

"ว่าไงสุ่ย" ไอ้ชาถามย้ำ มันเริ่มจับคอเสื้อของผม คงหวังจะให้ผมพูดมากกว่านี้ "บอกกูดิว่าไม่ใช่เรื่องจริง บอกกูดิว่าอิเจสซี่เข้าใจผิด"

"ไอ้ชา ใจเย็น" ไอ้ต้อมเข้ามาห้ามปราบไอ้ชาคนที่กำลังจะกลายเป็นระเบิดลูกที่สอง

"ไอ้สุ่ย ตอบกูมา"

"เออ เรื่องจริง" ผมตะโกนออกมาในที่สุด "เออ กูทำจริงๆ กูก็แค่อยากลองดู แต่กูไม่ผิดนะเว้ย เราตกลงกันแล้ว ข้าวเจ้ามันก็ไม่เห็นจะว่าอะไรเลย ตอนที่ทำมันก็ยินยอม มันจะไปเสียหายอะไรนักหนาวะก็ผู้ชายด้วยกัน ใครจะไปรู้วะว่ามันจะ..."



​​บั๊ก



จู่ๆโลกของผมก็มืดดับลงไปชั่ววูบ

​โอ๊ย!!

​อะไรเจ็บๆที่ปากวะ

แล้วกูลงมานอนกองอยู่บนพื้นได้ไง

"มึงพูดอย่างงี้ได้ไงวะ"

"ไอ้ต้อม มึงทำอะไรของมึงวะ ขิงมาช่วยห้ามหน่อยเร็ว พี่ตองช่วยจับไอ้ต้อมไว้หน่อย พวกมึงก็จับอิช้างไว้ด้วย"

มีเสียงของความวุ่นวายดังขึ้นในหูของผม ผมพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะรวบรวมสติเพื่อมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว



นั่นไอ้ต้อมใช่ไหมที่กำลังโกรธหน้าดำหน้าแดงและมีคนพยายามจับมันไว้อยู่



ความวุ่นวายนี่คงทำให้คนในโรงพยาบาลหันมาสนใจจุดเกิดเหตุแล้วซินะ



"ไอ้เลวเอ๊ย พูดมาได้ไงวะว่าไม่เสียหาย" ทั้งเจ็บ ทั้งมึน แต่ตอนนี้ก็พอจะมีสติมองเห็นแล้วว่าคนที่กำลังตะโกนใส่หน้าผมก็คือไอ้ต้อมนั่นเอง ความเจ็บที่ปากนี่ก็คงมาจากมันด้วยเหมือนกัน เห็นหล่อๆหน้าใสๆ ไม่คิดเลยว่าจะต่อยคนที่ตัวพอๆกันให้ล้มหน้าคว่ำได้ขนาดนี้ "มึงเอาเรื่องเพศมาปัดความรับผิดชอบของตัวเองแบบนี้เหรอ คิดว่าเป็นผู้ชายด้วยกันแล้วมึงจะทำอะไรกับเค้าก็ได้เหรอ ​ปล่อยกูไอ้ชา กูจะซัดให้แม่งตายคาตีนกูนี่แหละ​"

"ไอ้ต้อม ใจเย็น" ไอ้ชาพยายามห้าม แต่ก็ดูเหมือนจะห้ามไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่

"มึงอยากลองเหรอ พูดเ-ี้ยๆออกมาได้ไงว่าไม่เสียหาย... กล้าทำแต่ไม่กล้ารับผิดชอบ คนอย่างมึงมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย"

​"พอแล้ว ไอ้ต้อม ลากมันออกไปเร็ว ช่วยกันหน่อย มึงก็เลิกโวยวายก่อนอิช้าง กูรับมือมึงสองคนพร้อมกันไม่ไหวนะ" ไอ้ชาที่ควรจะเป็นคนเดือดกับเรื่องนี้กลับต้องมาเคลียร์สถานการณ์ด้วยตัวเอง "ส่วนมึงไอ้สุ่ย มึงกับกูเอาไว้ค่อยเคลียร์กันวันหลัง... ​พาไอ้ต้อมออกไปจากโรงบาลก่อน เร็วเข้าช่วยกันหน่อย วาวา หยิบตุ๊กตามาดิ เอาเข้าไปให้น้องที่ชื่อโชกุนนะ น้องอยู่ในห้อง พี่ตองช่วยกันหน่อย ขิงช่วยพูดกับไอ้ต้อมหน่อย อิเล็ก มึงลากอิช้างออกไปก่อน ไปกดลิฟเลย เร็วๆดิ​"

"ปล่อยกู กูจะกระทืบมัน" "ต้อม ใจเย็น นี่ขิงเอง" "อิชา ตุ๊กตามันเปื้อนอ่ะ" "เออๆงั้นเอากลับมาก่อน เดี๋ยวกูไปซื้อตัวใหม่เอง" "อิช้าง มึงอย่าขืนได้ไหม ตัวมึงไม่ใช่เล็กๆนะ" "เข้าไปกันซะทีซิ... ปิดลิฟเลยๆ"



.................... ความวุ่นวายจบลงในที่สุด



ผมถูกทิ้งในนั่งเจ็บปากเลือดไหลอยู่บนพื้น ณ ชั้นเจ็ดของโรงพยาบาล พร้อมเหล่าพยาบาลและผู้ป่วยที่ยังคงยืนแอบดูกันอยู่ห่างๆ



​แม่งเอ๊ย เจ็บชิบหาย

​ผมไม่กลิ่นเลือดของตัวเองคละคลุ้งอยู่ในจมูกและลำคอ มุมปากทั้งเจ็บทั้งชา

ผมลุกขึ้นมองไปรอบๆ ไม่รู้เลยว่าควรจะรู้สึกยังไง เจ็บ งุนงง อาย หรือละอายใจ



หลังจากเหตุการณ์ถูกประนามกลางโรงพยาบาลจบลง ผมก็ลากสังขารของตัวเองมาที่รถ และขับรถออกมาด้วยความรู้สึกมากมายในหัว คำพูดของเจสซี่และไอ้ต้อมวิ่งวนในหัวผมไม่หยุด จนกระทั่งผมจอดรถ.....



​ปิ๊งป๊อง



บอกตามตรงนะ ​ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอะไรทำให้ผมเลือกที่จะขับรถมาบ้านของคนที่ทำให้ผมโดนชกหน้าในเวลาพลบค่ำแบบนี้



"อ...อ้าวสุ่ย มีไรเหรอ" ข้าวเจ้าเดินออกมาจากประตูบ้าน เขาก็อึ้งๆที่เห็นผมเหมือนเดิม แต่ก็ยังตีเนียนเหมือนกับตัวเองไม่รู้สึกอะไร "คืนหนังสือหมดแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วนั่น... ​ปากไปโดนอะไรมาอ่ะ" เออ เห็นซะที

"โดนต่อยอะดิ ถามได้" ผมตอบเอื่อยๆ

"ใครต่อยอ่ะ" รู้สึกอุ่นใจขึ้นยังไงก็ไม่รู้ที่เห็นมันมีท่าทีเป็นห่วงเป็นใยผมบ้าง

"ไอ้ต้อม"

"ต้อม? ต้อมเนี่ยนะ แล้ว...ไปมีเรื่องอะไรกัน"

"อย่าถามมากได้ป่ะ.... พอจะมียาใส่แผลไหม"

"ก...ก็พอมี"

"เหรอ เออ งั้นเปิดประตูรั้วให้หน่อย"

"เปิด?"

"ก็ใช่ดิ จะทำแผล เจ็บจะตายอยู่แล้วเนีย เปิดประตูให้หน่อย"

"เอ่อ...."

"นี่จะปล่อยให้กูยืนเจ็บอยู่แบบนี้จริงๆใช่ป่ะ"

ข้าวเจ้าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็เดินมาเปิดประตูรั้วในที่สุด

"ขอบใจ" ผมพูดเหมือนเป็นเรื่องปกติก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านเสมือนเป็นบ้านของตัวเอง

ส่วนเจ้าของบ้านก็เดินตามเข้ามาด้วยสีหน้างงๆ



"ไหนอ่ะยา" ผมถาม

"อ...อ๋อ รอแป๊บนึง"

"อืม" ผมนั่งลงบนโซฟาตัวเดิมที่เคยมีเรื่องสำคัญเกิดขึ้น



ข้าวเจ้าเดินกลับมาแล้ววางกล่องยาสามัญประจำบ้านลงบนโต๊ะต่อหน้าผม ก่อนจะเดินถอยห่างออกไปช้าๆ



"แล้วจะไปยืนตรงนั้นทำไมอ่ะ มาทำแผลดิ"

"ห๊ะ? ก็...ก็ทำเองดิ"

"ตาบอดง่ะ กูมองเห็นที่ไหนล่ะ"

"งั้น...เดี๋ยวไปเอากระจกมาให้"

"ไม่ต้อง มึงนั่นแหละมาทำ เร็วๆกูเจ็บ ​*โอ๊ย!!*" ผมแกล้งเนียนทำเป็นเจ็บ

"เจ็บมากเลยเหรอ" ได้ผลซะด้วย ข้าวเจ้าถลาเข้ามานั่งที่โซฟาแล้วก็แกะกล่องปฐมพยาบาลออกอย่างรวดเร็ว

"เจ็บดิถามได้ เลือดออกขนาดนี้ ​โอ๊ย​ เบาๆดิ" อันนี้ไม่ได้แกล้งนะ เจ็บจริงๆ ก็เล่นลงน้ำหนังมือมาซะแรงเลย

"ขอโทษๆ" ข้าวเจ้าสะดุ้ง

"เบาๆมือหน่อยดิ"

"โอเค.... จะทาละนะ"

"อ่าซ์" ผมกลับมาแกล้งเจ็บอีกครั้ง

"ถ้าเจ็บมากก็บอกนะ มันจะแสบๆนิดนึง"

"อืม"

ผมนั่งเฝ้าดูคนตรงหน้าทำแผลให้ผม เพลินจนลืมเจ็บไปเลย



"อ่ะ เสร็จแล้ว" หึ! เสร็จแล้วเหรอ

ผมจับดูที่มุมปากของตัวเองก็เลยสัมผัสได้มาว่าพลาสเตอร์ยาแป๊ะอยู่

ข้าวเจ้าเก็บยาเข้าใส่กล่องและลุกออกจากที่นั่งทันทีเมื่อสิ่งที่ทำจบลง

"อ้าว แล้วจะไปไหนอ่ะ"

"ห๊ะ... ก็เสร็จแล้วอ่ะ"

"กูไม่ได้ถามว่าเสร็จหรือยัง กูถามว่ามึงจะไปไหน"

"ข...เข้าห้อง จะไป...อาบน้ำ" ตอบตะกุกตะกักแบบนี้แปลว่าโกหกอยู่แน่นอน

"นี่กูเจ็บอยู่นะ ใจคอมึงจะปล่อยให้กูนั่งอยู่คนเดียวแบบนี้เหรอ" เล่นมุกนี้ซะเลย

"ก็..."

"ไม่ต้องไป มานั่งนี่แหละ... เร็วดิ นั่งลง"

มันยังทำหน้างงๆเอ๋อๆตามสไตล์นั่นแหละ แต่ก็ดีแล้ว อาศัยจังหวะที่มันกำลังมึนๆนี่แหละ สั่งให้ทำอะไรง่ายดี

"เดี๋ยวๆ จะทำอะไรอ่ะ"

"ก็นอนพักไง"

"แล้วทำไมต้อง..."

"มึงจะอะไรนักหนาวะ กูเจ็บปากนะเนี่ย อย่าให้พูดเยอะได้ป่ะ ทำไมวะ กูนอนตัก​มึงไม่ได้งะ หวงเหรอ" ผมไม่รอฟังคำตอบ แต่ชิงจังหวะนอนลงไปเลย

"เอ่อ... ให้ไปเอาหมอนให้ไหม... จะได้นอนสบาย"

"ไม่ต้องอ่ะ" ผมยังตีเนียนต่อไป ทำทีคว้าหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมานอนอ่าน "แบบนี้แหละ กูชอบ ตัวมึงหอมดี"

"........" ว่าแล้วว่าต้องได้ผล เห็นนะว่าแอบหน้าแดง

แต่เจ้าตัวก็ไม่ปล่อยตัวเองให้มีพิรุจนาน เขาเลือกที่จะหยิบแอปเปิ้ลที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาปอกเปลือก ​มีแอปเปิ้ลวางอยู่ด้วยเหรอ ไม่ได้สังเกตุเลย



​เราเงียบกันไปทั้งคู่ มีเพียงเสียงเบาๆของโทรศัพท์เท่านั้นที่ทำลายความเงียบ แต่ทำไมผมรู้สึกว่ามันดูเงียบกว่าการไม่มีเสียงซะอีก



#เสียงโทรศัพท์ (มีสายโทรเข้า ​คิตตี๊)

กรรมละไง จังหวะนรกมาก

เอาไงดีวะกู

ไม่รับดีกว่า



"สาวโทรมา ไม่รับหรือไง" เอาแล้วไง ถามจริงพูดตรงเลย แก้ปัญหายังไงดีวะ ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง สถานการณ์ที่กำลังดีขึ้นเดี๋ยวได้ลุกเป็นไฟอีกแน่

"รับให้หน่อยดิ ขี้เกียจพูด อ่านหนังสืออยู่ เจ็บปากด้วย"

"จะบ้าเหรอ รับเองดิ"

"รับไปเหอะน่า ไม่ก็ปล่อยมันไว้อย่างงั้นแหละ"

แล้วเราทั้งคู่ก็ปล่อยให้โทรศัพท์ดังอยู่อย่างนั้นจริงๆ ดังอยู่อีกสักพักจนกระทั่งสายตัดไป



#เสียงโทรศัพท์ (มีสายโทรเข้า ​ขวัญ​)

แม่งเอ๊ยยยยย ความซวยละลอกสอง



"มีคนโทรมาอีกแล้ว" เออ รู้แล้ว ไม่ต้องย้ำ

"ปล่อยไว้อย่างงั้นแหละ" ผมบอกพร้อมกับกลบเกลือนด้วยท่าทางหงุดหงิด

"รับไปเหอะ ไม่คุยซะที เดี๋ยวก็ดังทั้งคืนหรอก"

"ไม่เอา อยากคุยก็คุยเองดิ ทำไงก็ได้ไม่ให้เค้าโทรมาอีก บอกไปเลยก็ได้ว่ากูอยู่กับแฟน"

"จะบ้างะ ไม่เอาด้วยหรอก พูดเองดิ"

"เออน่า รับๆไปเหอะ"

"ปัญหาใครก็เคลียร์เองดิ"

"ไหนบอกว่าอยากเก่งเหมือนไอ้ชาไง ปัญหาแค่นี้คนอย่างไอ้ชาจัดการได้อยู่แล้ว"

"ฮัลโหลครับ" เห้ย รับจริงด้วย ไม่อยากจะเชื่อว่ายังสามารถใช้มุกนี้ได้อยู่ "คือ... ผมไม่ใช่สุ่ยครับ สุ่ยไม่ว่างครับ เค้ากำลังอยู่กับแฟน" โคตรเชื่อคนง่ายอ่ะ จะหัวเราะก็หัวเราะไม่ได้ เดี๋ยวโดนจับได้ "....ผมก็ไม่ทราบครับ เอาไว้คุยกันเค้าเองแล้วกันครับ..... เค้าลืมโทรศัพท์ไว้ครับ..... เอ่อ... คือ..... เอ่อ..... แค่นี้นะครับ รบกวนอย่าโทรมาอีกนะครับ ผมจะพักผ่อนแล้ว"

"ก็ทำได้นิ" ผมกลั้นอมยิ้มเอาไว้ แต่เจ้าตัวดูเหมือนคนเพิ่งจะผ่านสงครามโลกมา



#เสียงข้อความ



"เอ่อ....เค้าส่งข้อความมาแทนอ่ะ" เห้อออออออ  ปัญหาไม่จบไม่สิ้นซะที

"ก็ตอบไปดิ เหมือนที่พูดนั่นแหละ"

"อีกแล้วเหรอ"

"อือ... รหัส 3135 เข้าไปเลย เดี๋ยวๆ ​เอามือถือมา" ผมแย่งโทรศัพท์ของตัวเองมา กดหาแอพพลิเคชั่นที่ตนเองต้องการ "เอานิ้วโป้งมาดิ วางลงตรงนี้" ผมสั่ง

"ห๊ะ"

"บอกให้วางก็วางเหอะน่า จะได้ไม่ต้องจำรหัส... วางอีก... อีกที.... อ่ะนี่ เสร็จแล้ว คราวนี้ก็เข้าโทรศัพท์กูได้แล้วนะ  ใครทักมาก็ตอบให้หมดด้วยล่ะ อย่าให้เหลือสักคนนะ"

"......"

"เข้าใจที่บอกไหมเนี่ย"

"เออๆ เข้าใจก็ได้"

ไม่รู้จะบอกว่าตลกหรือสงสารดี ก็เพราะการปลอกผลไม้ของข้าวเจ้าเป็นไปด้วยความลำบากมาก เดี๋ยวก็มีคนโทรเข้า เดี๋ยวก็มีข้อความเข้า ถึงเจ้าตัวจะหงุดหงิดแต่ก็จัดการได้ครบทุกรายอย่างที่รับปากไว้จริงๆ ​ไม่ธรรมดา



"กินมั้งดิ" ผมพูดขึ้นทันทีที่แอปเปิ้ลถูกปอกจนเสร็จ มีการหันเป็นแว่นๆ อย่างสวยงาม ที่มันเคยบอกว่าชอบทำอาหาร ท่าทางจะไม่ใช่แค่ชอบแฮะ คงจะเก่งพอสมควรเลย

"ก็...กินดิ" ข้าวเจ้าตอบ

"ป้อนหน่อย"

"ห๊ะ!?"

"ห๊ะอีกแล้ว สงสัยอะไรนักหนาวะ ให้ป้อนก็ป้อนไปเหอะน่า" ผมอ้าปากรอ แต่ตายังอยู่ที่หนังสือ บอกตามตรงนะผมไม่ได้อ่านอะไรในหนังสือเลย ชื่อหนังสือคืออะไรก็ยังไม่รู้เลย "เร็ว เจ็บปาก"

"อ่ะ" ได้ผลเช่นเคย

"อร่อยดีนะ วันหลังทำกับข้าวให้กินบ้างดิ"

"เพื่อ?"

"ก็หลังจากนี้กูต้องมาที่นี่บ่อยๆอ่ะ"

"มาทำไม? ถ้าจะยืมหนังสือเดี๋ยวเอาไปให้ที่มหาลัยก็ได้"

"เปล่า กูมาหามึงนั่นแหละ"

"ทำไม?" ไอ้นี่ก็สงสัยไม่เลิกซะที กูทำขนาดนี้แล้วยังไม่เข้าใจอีก

ผมถอนหายใจแล้วก็ลุกออกมาจากการนอนตัก ก่อนจะเดินไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งบนชั้นมายื่นให้ไอ้คนขี้สงสัย

"อะไร?"

"ดูไม่ออกเหรอ ก็ อัลเบิร์ต  ไอน์สไตน์ไง"

"รู้.. แล้วมันเกี่ยวอะไรกัน"

ผมเปิดหน้านึงในหนังสือแล้วยื่นกลับไปให้คนตรงหน้าดู มันเป็นหน้าที่ผมใช้ที่คั้นหนังสือคั้นไว้ก่อนจะนำหนังสือมาคืน

"อ่านดิ" ผมบอก

"If you can't explain it simply, you don't understand it well enough​"

"แปลว่า?"

"ถ้าคุณไม่สามารถอธิบายสิ่งใดให้ผู้อื่นเข้าใจได้โดยง่าย นั่นหมายความว่าตัวคุณเองยังไม่เข้าใจมันดีพอ​... แล้ว?"

"ก็นี่ไง กูแค่ทำตามที่ไอน์สไตน์บอก เพราะตอนนี้กูยังไม่เข้าใจความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างเรา หลังจากนี้ก็เลย......







......​จะทำทุกอย่างเพื่อให้เราเข้าใจกันมากขึ้น​"
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 22-02-2018 11:04:01
ได้เข้ามาอ่าน แล้วก็ได้อ่านจุใจจริงๆ  :mew1: :mew1: :mew1:

ชื่นชมความพยายามของน้ำชา  :katai2-1:
เพราะน้ำชา เลยทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี
ทั้งกับตัวน้ำชาเอง เพื่อนต้อม น้ำขิง  พี่ตอง พี่ท๊อป  พี่บุ่น
รวมไปถึงแวดวงเพื่อนพี่ตอง ที่น้ำชาติวพิเศษ จนคะแนนผ่านกันทุกคน
รวมถึงที่ไปแก้ปัญหา  ช่วยกิจการค้า การเดินเรือ ของบ้านพ่อพี่ตอง
 
ชื่นชมไรท์ แต่งออกมาแบบมองโลกในแง่บวก 
ให้มีความอดทน ไม่มีอะไรได้มาโดยง่าย
อยากได้อะไรต้องฝึกฝน พยายามด้วยตัวเอง
        :L1: :L1: :L1:
   :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 42 [แปดปี Part 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 22-02-2018 23:22:57
​ตอนที่ 43 : แปดปี







"เฮ้ออออออออออ เหนื่อย" ผมแทบจะตะโกนลั่นคอนโดฯ และตามด้วยการทิ้งตัวลงบนเตียงนอนแบบไม่แยแสอะไรทั้งนั้น ก็เพราะกว่าจะทำให้ไอ้ต้อมเพื่อนสารเลว ไม่ใช่ซิ ​ตอนนี้ต้องเรียกว่า ไอ้ต้อมเพื่อนสติแตก ก็กว่าจะลากมันกลับหอได้ เล่นซะผมใช้พลังงานไปเกือบหมดตัว

"เฮ้อออ" รายนั้นก็ไม่ต่างกัน ถึงแม้พี่ตองจะถอนหายใจเบากว่าผม แต่จากสภาพแล้วก็คงใช้แรงไปไม่น้อย

"ขอโทษนะพี่ตอง" ผมยันตัวเองให้ลุกขึ้นมานั่ง "ที่ต้องมาเดือดร้อนเพราะเรื่องของความรอบข้างชาแบบนี้ ไม่เคยเห็นไอ้ต้อมโกรธขนาดนี้มาก่อนเลย ไม่รู้ด้วยว่ามันจะแรงเยอะแบบนี้"

"จะขอโทษทำไมละครับ พี่ไม่ได้เหนื่อยอะไรซะหน่อย" ไม่เหนื่อยเหรอ แรงจะลุกขึ้นมานั่งคุยกันยังไม่มีเลย แต่ก็ว่าไม่ได้หรอก ก็ถ้าไม่ได้พี่ตองเป็นกำลังหลักในการสยบไอ้ต้อมก็คงไม่มีทางสำเร็จ ถ้าจะเหนื่อยก็คงไม่แปลก ไหนจะต้องขับรถกลับมาที่คอนโดฯอีก "อีกอย่างไอ้ต้อมก็เหมือนน้องพี่ เพื่อนของแฟนพี่ทั้งคน จะไม่ช่วยได้ไง"

"แหวะ เท่ตายแหละ อุตส่าว่าจะซึ้งแล้วเชียว ชอบหยอดอยู่ได้ ชาไม่ใช่ผู้หญิงนะ" ผมแกล้งตีไปที่น่อง

"โอ๊ย"

"ขอโทษๆๆๆๆ เจ็บเหรอ"

"​เปล่า ล้อเล่น​" เดี๋ยวเหอะมึง ก็นึกว่าเจ็บจริงเพราะเพิ่งจะผ่านสงครามมา "แค่ลองดูว่าจะห่วงพี่จริงหรือเปล่า"

"ไม่ห่วงแล้ว"

"โอ๋ๆ พี่ล้อเล่น อย่าเพิ่งเดินหนีดิ"

"ปล่อย จะกอดทำไมเนี่ย ชาจะไปอาบน้ำ"

"อาบน้ำ? อาบด้วยนะ"

"พิการหรือไง"

"โห่ ก็พี่เจ็บแขนเนี่ย โดนไอ้ต้อมต่อยมาโดนแขนตั้งหลายที พี่ถูกสบู่ไม่ได้ นะนะนะ อาบน้ำด้วยกันนะ"

"หราาาาา ถูกสบู่ไม่ได้แต่กอดได้ อย่ามาแหล ปล่อยเลย อ่างอาบน้ำก็มี ไม่มีแรงถูสบู่ก็นอนแช่อยู่ในนั้นนั่นแหละ"

"ไม่ได้จริงอ่ะ"

"ไม่ได้ ชาไม่ชอบอาบน้ำกับใคร คนมันไม่เคย เข้าใจไหม"

"เคยดิ ตอนอยู่เกาหลีเรายังอาบน้ำด้วยกันเลย เอ้ย​ ไม่ใช่ดิ เราแค่เข้าไปทำกิจกรรมเข้าจังหวะในห้องน้ำด้วยกันเฉยๆ ​โอ๊ย​ ตีหัวพี่ทำไมอ่ะ อันนี้เจ็บจริงนะ ตีซะแรงเลย"

"สมควรแล้ว ชอบพูดจาลามกดีนัก ไม่รู้จักอายคนอื่นเค้าซะบ้าง ห๊ะ?"

"จะอายใครอ่ะ เราอยู่กันแค่สองคนนะ ​อ่าซ์ เจ็บ​"

"ก็...หมายถึงทุกที่ทุกเวลานั่นแหละ พอเลยๆ ชาจะไปอาบน้ำแล้ว"

"เดี๋ยว... แต่ชายังไม่ได้กินข้าวเย็นเลยนะ จะไม่หิวเหรอ"

"เออ...จริงด้วย ลืมไปเลยว่ายังไม่ได้กินอะไร มัวแต่ยุ่งกับเรื่องไอ้ต้อม งั้น...เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จค่อยออกไปหาอะไรกินก็แล้วกัน"

"โอเคครับ แต่ไม่ให้พี่ไปอาบด้วยแน่นะ เนี่ยยังเจ็บไหล่อยู่เลย"

"ยังจะมาพูดอีก"

"อ่ะๆๆๆ ล้อเล่นครับ แต่ว่า... ก่อนจะอาบน้ำ พี่มีของอย่างนึงจะให้"

"อะไร?"

"รอแป๊บ" พี่ตองปล่อยกอดผมแล้วดีดตัวเองออกจากเตียงไปหยิบกล่องกระดาษใบหนึ่งมาให้ผม "ของขวัญจากพี่"

"เนื่องในโอกาสอะไรอ่ะ ไม่ใช่วันเกิดชาซะหน่อย"

"เปิดดูก่อนซิครับ"

คืออะไรวะ จะมาทำหวานแหววอะไรกับกูอีก ไม่ได้ผลหรอกนะ ตั้งแต่โดนหยอดหนักๆ ภูมิคุ้มกันก็แข็งแรงขึ้นมากแล้ว



​"เห้ยยยยยยย​" ผมอุทานออกมาโดนไม่รู้ตัว "มาอยู่นี่ได้ไงอ่ะ"

"พี่ขอร้องให้แม่ชาส่งมาให้ครับ" พี่ตองอธิบาย "พี่เห็นว่าแต่ก่อนชามีมันอยู่ในห้องนอนตลอด ก็เลยคิดว่าคงจะดีกับชา ถ้ามันจะมาอยู่ในห้องปัจจุบันที่ชานอน"

"​งือออออ คิดถึง" ผมแทบจะเอามันออกมากอด ก็ไม่ได้เป็นอะไรที่สำคัญหรอกครับ ก็แค่กรอบรูปเก่าๆของผม ที่มีภาพข่าวพี่ตองช่วยผมจากการจมน้ำเมื่อแปดปีที่แล้ว มันถูกตั้งไว้ในห้องนอนของผมที่หมู่บ้านมอญ มันมีความหมายกับผมมาก เพราะเป็นทั้งกำลังใจ แรงผลักดัน และตัวแทนหนึ่งเดียวของพี่ตองที่มีอยู่ในขณะนั้น ยอมรับเลยว่าผูกพันมาก แต่ไม่กล้าเอามาด้วยเพราะกลัวจะแตกหักเสียหาย ว่าแต่... มีความเสียหายอะไรจากการขนส่งมาหรือเปล่าวะ... ไม่มี โล่งอก​ "ขอบคุณนะครับ" ผมกล่าวขอบคุณทั้งๆที่ตายังมองดูกรอบรูปอยู่

"ยินดีครับ" พี่ตองกระซิบข้างหู... เออ จะทำไรก็ทำเหอะ ตอนนี้อารมณ์ดีมากๆๆๆๆ "แล้วรู้หรือยังว่าวันนี้วันอะไร"

"หึ?" วันอะไร? คืออะไรวะ? ก็วันอาทิตย์ไง วันใกล้คริสต์มาสเหรอ หรือวันเกิดไอ้พี่ตอง ก็ไม่ใช่นะ สรุปว่าวันนี้วันอะไรล่ะ นี่มันวันที่เท่าไหร่อ่ะ.... ​อย่าบอกนะ​ "พี่ตองจำได้ด้วยเหรอ!?!?"

"จำได้ซิครับ วันที่เก้าธันวา ครบรอบแปดปีที่พี่ช่วยเด็กน้อยคนนึงจากการจมน้ำเอาไว้"

"........"

ไม่มีคำบรรยายอะไรทั้งนั้น

ผมเห็นแค่สายตาที่อบอุ่นและรอยยิ้มของพี่ตอง

ผมจำดวงตาคู่นั้นได้

ผมจำริมฝีปากนั้นได้

ผมคล้ายว่าจะรู้สึกถึงการสัมผัสผิวกายของกันและกันอีกครั้งทั้งๆที่ไม่ได้ถูกเนื้อต้องตัว

​อบอุ่นจัง



​วินาทีต่อมาผมเดินเอากรอบรูปไปวางไว้ที่โต๊ะทำงานข้างเตียงนอน



"เดี๋ยวๆๆ จะพาพี่ไปไหนครับ" คนตัวสูงตกใจเล็กน้อยที่ถูกผมพยายามจูงมือให้เดินไปด้วยกัน

"ก็ไปอาบน้ำด้วยกันไง"

"จริงเหรอ!!!!" ไม่ต้องมาทำตาโต รีบๆเข้าห้องน้ำเหอะน่า



หลังจากตรงนี้ขออนุญาตเซ็นเซอร์ไว้นะ ไม่เหมาะต่อเด็ก เยาวชน และคนจิตใจอ่อนไหว.....

#ปิดม่านชั่วคราว







"วันนี้อยากกินแกงเห็ดอีกไหม"

"ไม่เอาอ่ะ กินบ่อยเกิน หาอะไรง่ายๆกินก็ได้" ผมกับพี่ตองกำลังสนทนากันบนรถในบ่ายของวันต่อมา

"ไม่ได้ดิครับ เรามาฉลองครบรอบแปดปีนะ วันนี้ลีดมออุตส่าให้หยุด ไม่ต้องซ้อม คลิปโปรโมทของชาก็ถ่ายจบแล้ว มีเวลาขนาดนี้แล้วจะให้พี่ทำอะไรธรรมดาๆกับชาได้ไง... พาไปกินอะไรดีน้า..."

"เห็นไหมล่ะ สุดท้ายก็ต้องมานั่งคิดอีกอยู่ดี สู้ไปหาอะไรกินง่ายๆอย่างที่ชาบอกก็จบไปนานแล้ว แล้วอีกอย่าง ไม่ต้องมาโมเมเลยนะ ครบรอบแปดปีอะไร พี่ไม่เคยสนใจมันซะหน่อย ชาจำได้แค่คนเดียวมาตลอด"

"'ง่าาา อย่าพูดแบบนี้ได้ไหมอ่ะ พี่รู้สึกผิดนะ ก็ไหนบอกว่าเข้าใจความรู้สึกพี่แล้วไง คนเรามันก็เข้าใจผิดกันได้ พี่จะไปรู้ได้ไงว่าการทำตัวเป็นคู่แข่งมันจะมีความหมายอื่นที่ซับซ้อนแบบนั้น สมองพี่ไม่ได้ล้ำโลกเหมือนชานะ แต่ตอนนี้พี่ก็จะแก้ตัวแล้วนี่ไง เพียงแต่ยังคิดไม่ออกว่าจะพาไปไหนแค่นั้นเอง"



#เสียงโทรศัพท์

มีเสียงโทรศัพท์แทรกขึ้นมา



"ใครโทรมาอ่ะ ดูให้พี่หน่อย" พี่ตองวานให้ผมดูโทรศัพท์มือถือให้

"ไม่รู้อ่ะ พี่ไม่ได้บันทึกไว้" ผมบอก "ลงท้าย 999 เลขสวยซะด้วย พอจะรู้ไหมว่าเบอร์ใคร"

"คิดว่ารู้นะ ส่งมือถือมาทีครับ"

"อ่ะ" ผมยื่นให้

"ฮัลโหลครับ... อ่า ว่าไงน้อง" รู้จักจริงด้วย "ห๊ะ? ตอนนี้เลยอ่ะนะ" อะไรคือการอุทาน "ก็ยังอะ แต่... อ่ะๆๆ เดี๋ยวพี่ไปก็ได้ แต่ที่สำคัญอย่าลืมโทรหา... อ่อ โทรแล้วเหรอ เออๆ ดีแล้ว.... แล้วอยู่ตรงไหนอ่ะ.... อ๋อๆ รู้จักๆ....ได้ๆ.... ยินดีมากน้อง โอเคเจอกัน" จะถามดีไหมว่าใครโทรมา แต่ผมยังไม่ทันจะอ้าปากถามเลย ไอ้หัวเหม่งก็พูดออกมาก่อน "ไม่ต้องหาร้านแล้ว วันนี้มีรายการอาหารพิเศษ"

"พูดไรอ่ะ?" อะไรของมันวะ

"ก็.... ยังไม่บอกดีกว่า เดี๋ยวไปถึงก็รู้เองแหละ"

"บอกมาาาา" จะมากั๊กไว้ทำไมวะ

"อย่าดุซิคร้าบบบ นี่แฟนเอง อย่าลืมดิว่าเรากำลังอยู่ในช่วงครบรอบแปดปีนะ ถึงพี่จะเพิ่งมาให้ความสำคัญกับมัน แต่พี่ก็ไม่เคยลืมบุญคุณของมันนะ ที่มันทำให้พี่ได้เจอคนที่สำคัญอีกคนนึงในชีวิต ไม่หงุดหงิดซิครับ"

"....." เออ ถ้าจะพูดซะ... หวานขนาดนี้ ยอมก็ได้วะ



เมื่อขับรถมาสักพักผมก็เริ่มแปลกใจ...

นี่มันหลังมหาลัยไม่ใช่เหรอ จะกลับมาที่มออีกทำไม

แต่ซอยนี้ยังไม่เคยเข้ามาแฮะ มันเป็นทางที่นำเข้าไปยังบริเวณที่เป็นบ้านจัดสรร ต่างจากปกติที่โดยส่วนใหญ่แล้ว แถวๆนี้มักจะมีแต่สิ่งปลูกสร้างที่เป็นหอพักนักศึกษา



"ถึงแล้ว นี่ไง" พี่ตองจอดรถในที่สุด

ในขณะที่ผมกำลังจะออกจากรถ ก็มองเห็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากำลังเดินออกมาหน้ารั้วบ้าน เหมือนกำลังจะมายืนรอใครสักคน

พี่บุ๋น นั่นเอง



"พี่บุ๋น" ผมร้องเรียกอย่างดีใจก่อนจะลงจากรถและโบกมือให้ แปลกเนอะ ก็เห็นกันในมหาลัยออกจะบ่อยกลับมารู้สึกดีใจกับคนคุ้นเคยเวลาเจอกันข้างนอก แล้วผมก็หันไปหาพี่ตอง "แค่จะมาหาพี่บุ๋นทำไมต้องทำเป็นความลับด้วย"

"เปล่า... พี่ไม่ได้มาหามัน" อ้าว แล้วจะมาหาใคร



"ม...มาทำอะไรกันอ่ะ" พี่บุ๋นดูงงๆจริงด้วย สรุปว่าไม่ได้มาหาพี่บุ๋นซินะ

"กูมาหาเพื่อนบ้านมึง หลังนั้นอ่ะ" พี่ตองหมายถึงบ้านข้างๆ บ้านใครวะ "ว่าแต่มึงจะไปไหนอ่ะ แต่งตัวซะดูดีเชียว ไม่มีสอนน้องก็เที่ยวเลยนะมึง"

"เอ่อ... กู..." ทำไมพี่บุ๋นดูเขินๆที่จะตอบ

แต่ยังไม่ทันที่จะได้คิดวิเคราะห์แยกแยะอะไร รถยนต์คันหนึ่งก็มาเทียบจอดตรงหน้าพี่บุ๋น เป็นรถที่คุ้นมากและผมต้องเคยนั่งแน่ๆ



"น้ำชา ตอง มาทำอะไรกันอ่ะ" อ๋ออออออ รถยนต์ของพี่ท๊อป กำลังจะไปกับพี่ท๊อปนี่เอง

"มาหาอะไรกินแถวนี้พี่" พี่ตองตอบ "แล้วพี่จะพาเพื่อนผมไปไหนอ่ะ"

"จะพาบุ๋นไปหาอะไรกินเหมือนกัน"

"อ๋อออออ" เข้าใจทำน้ำเสียงแซวเพื่อนตัวเองนะไอ้หัวเหม่ง "จะไปเดทกับพี่ท๊อปเหรอจ๊ะบุ๋นน้อย หายพิการแล้วเหรอมึงอ่ะ"

"เดทพ่อง ​ไปกินข้าวโว๊ย" ไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าพี่บุ๋นกำลังเขินหรือโกรธหรืออายกันแน่ "ว่าแต่มึงเหอะ พาน้องน้ำชาของมึงมาแถวนี้ จะมาหาเรือนหอกันรึไง"

"โทษทีวะ...กูมีแล้ว" พี่บุ๋นถือว่าพลาดมากที่คิดจะแซวไอ้ตัวสูงนี่ด้วยเรื่องอะไรแบบนี้ มันไม่เคยสะกดคำว่าอายเป็นหรอก นั่นไงมีมาโอบไหลกูด้วย "พ่อแม่กูเตรียมไว้ให้เรียบร้อย ขอโทษที่ทำให้ผิดหวังนะเพื่อน คู่กูอ่ะแข็งแกร่งมาก ไม่อ่อนเหมือนคู่ของมึงหรอกเว้ย ให้หอมแก้มโชว์เลยปะล่ะ"

"พูด....มาก"

"เอ๊อะ" ไอ้พี่ตองสำลักความเจ็บจากการโดนผมถองข้อศอกใส่หน้าท้องของมัน "อะไรล่ะที่รัก ไม่เห็นต้องเขินเลย แค่ทำให้คู่โน้นเค้าดูเฉยๆ จะได้รู้ว่าใครมันเทพกว่ากัน"

"ยังจะพูดอีก" กูละยอมใจมึงจริงๆ แซวอะไรไม่เกรงใจพี่ท๊อปเลย "ขอโทษนะครับพี่ท๊...."

ชิบหายละไง พี่ท๊อปหน้าเปลี่ยนเห็นๆเลย

ผมรีบสะกิดพี่ตอง มึงรีบพูดแก้ตัวเดี๋ยวนี้เลยนะ

"เอ่อๆๆ ผมไม่ได้หมายถึงพี่นะพี่ท๊อป" แก้ตัวให้ดีนะมึง "ผมคือ... ผมหมายถึงว่า..."

"อย่าคิดมากเลย" พี่ท๊อปครับ คำพูดกับสีหน้าของพี่อ่ะ มันตรงกันข้ามกันเลยนะ "พี่ไม่คิดมากหรอก"

"เอ่อ..." ไอ้พี่ตองอ้ำอึ้ง นี่คือจะหาคำพูดมาแก้ตัวอีกหรือยังไง "กินข้าวด้วยกันไหมพี่ ไหนๆก็จะหาอะไรกินอยู่แล้ว" เนี่ยอะนะที่จะพูด

"ที่นี่เหรอ?"

"ป...เปล่าพี่.... ก็ใช่แหละ แต่ผมหมายถึง... อ่ะนั่นไง ออกมาพอดีเลย" ใครวะ

หือ???

ไอ้ข้าวเหรอ

หือออออออ??????????

ไอ้สุ่ยก็ด้วย

สองคนนี้ คืออะไร ออกมาจากบ้านหลังข้างๆพี่บุ๋นได้ไง แล้วไงถึงมาอยู่ที่นี่ด้วยกัน คือกูงง แล้วมันสองคน... แบบว่า...

ไม่เก็บความสงสัยละ ถามแม่งเลยดีกว่า "สองคนนี้มาอยู่ด้วยกันได้ยังไงอ่ะ"

"ก็กูชวนมึงกับพี่ตองมากินข้าวที่นี่ พี่ตองไม่ได้บอกมึงเหรอ" ไอ้สุ่ยตอบ

"ไม่อ่ะ" เดี๋ยวๆๆๆ แล้วมึงมาลอยหน้าลอยตาตอบได้ไง ปากยังเขียวๆม่วงๆอยู่เลย กะว่าจะหาเวลาเคลียร์ใจกับมันซะหน่อย แต่แล้วกลายเป็นว่าสถานการณ์พาผมมาหามันเฉยเลย "มึง..."

"เข้ามาดิชา" ไอ้ข้าวเดินเข้ามาคว้ามือผมเพื่อจะชวนเข้าบ้าน "ชอบกินเนื้อย่างไหม หรือจะกินลวกจิ้มดี"

"อ...อะไรก็ได้" จะบ้างะ เล่นซะกูเคลิ้มเลย "เดี๋ยวๆๆๆ นี่มึง....อะไรกันอ่ะ แล้วทำไม..."

"คืองี้..." ไอ้พี่ตองกำลังจะเข้ามาอธิบาย แต่จู่ๆก็ถูกขัดจังหวะด้วยรถยนต์อีกคันที่จอดตรงหน้าของผมพอดี

นี่มัน....



"ไอ้ชาเย็น มาด้วยง่ะมึงอ่ะ กูนึกว่าจะไม่มีเพื่อนซะแล้ว" ไอ้ต้อม?!?!?!? แล้วก็ขิงด้วย

"หยุด!!!" นิ่งเลยนะ ทุกคน นิ่งไว้ก่อนเลยนะ นี่มันเรื่องอะไรกัน What When Where How Who Whom "ตอนนี้ใครก็ได้ ช่วยอธิบายทีว่า...เรามาอยู่ในสถานการณ์นี้กันได้ยังไง"

"เอ่อ...ชา" ไอ้พี่ตองเดินเข้ามาพูดกับผม "อธิบายอะได้ แต่เราเข้าไปอธิบายข้างในดีกว่าไหม"

"ข้างใน? ข้างในไหน"

"นี่ไง" ไอ้ข้าวชี้ "บ้านเช่าของกูเอง ไปเหอะ อยู่ตรงนี้ร้อน เร็วๆๆๆ" ผมโดนลาก

"พี่ท๊อปเชิญทานอาหารด้วยกันดีกว่าครับ" นี่คือเสียงของไอ้พี่ตองใช่ไหม ที่กำลังชวนอยู่ "เห็นน้องเค้าบอกว่าเตรียมอาหารไว้เยอะเลย...."

อะไรวะ

สุดท้าย.... กูก็ตกอยู่ในสภาวะงงงวยเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือต้องเดินเข้าไปในบ้านใครก็ไม่รู้
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 42 [แปดปี Part 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 22-02-2018 23:24:17
(ต่อ Part 2)



"เห้ยยยยยยยยยยยยยยยยย"

ให้ทายว่าเสียงใคร.....

ติ๊ก ต๊อก ติ๊ก ต๊อก ......

คำตอบคือ.... พี่บุ๋น

"ม...มึงส...สองคน มีอะไรกัน" พี่บุ๋นยังตกใจเบอร์ใหญ่เหมือนเดิม ก็เข้าใจอะนะ เพราะถึงแม้ว่าผมจะรู้อยู่แล้วว่าไอ้สุ่ยกับไอ้ข้าวมีอะไรกัน แต่มันก็ยังไม่ชินที่จะฟังอยู่ดี "แล้วที่เรียกไอ้ชากับไอ้ต้อมมาก็เพราะจะมาประกาศว่ามึงสองคนจะลองคบหากันดู...แล้วมึงไปมีอะไรกันตอนไหนวะ?"

"เอ่อ...." ไอ้สุ่ยพยายามรวบรวมความกล้าที่จะตอบ "วันพฤหัสฯที่ผ่านมาครับ"

"ห๊ะ!? แล้วมึงรู้จักกันตอนไหนอ่ะ"

"ก...ก็...วันพฤหัสฯนั่นแหละพี่"

"ห๊ะ!!??*"

"เล่นใหญ่ไปแล้วครับบุ๋น" พี่ท๊อปพยายามสะกิดพี่บุ๋น

"ก็จะไม่ให้ตกใจได้ไงอ่ะขนาดเราสองคนยังไม่เค..."

หือ!?!?!?!?



"อย่าบอกนะว่าพี่สองคนยัง...." ไอ้ต้อมเอ่ยปากถาม ว่าแล้วเชียวว่ากูต้องไม่ใช่คนเดียวที่คิดแบบนี้ หันไปดูทางฝั่งพี่บุ๋นที่สงบลงอย่างมีพิรุจและพี่ท๊อปที่เอามือถูหน้าขาตัวเอง "โอ้โหพี่ท๊อป สุภาพบุรุษโคตรๆ โดนเด็กใหม่มันแซงหน้าแล้วเนี่ย" แล้วมันก็หัวเราะออกมา

ไอ้พี่ตองก็หลุดขำเหมือนกัน

"ต้อม" "พี่ตอง" ขิงกับผมรู้ว่าควรจะห้ามปราบพฤติกรรมนี้ไว้เพราะมันเป็นการเสียมารยาท แต่ถึงอย่างนั้นผมก็แอบอมยิ้มเล็กๆไม่ได้



"พอๆๆๆๆ" แล้วพี่บุ๋นก็โวยวายขึ้นมา "นี่มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับกูซะหน่อย พวกมึจะเข้ามาเคลียร์กันเรื่องไอ้สองคนนี้ไม่ใช่เหรอ... ว่าแต่มึงเหอะ ชื่อไรนะ"

"ข้าวเจ้าครับ" ไอ้ข้าวตอบ

"เออ ข้าวเจ้า มึงแน่ใจเหรอว่าจะคบกับไอ้สุ่ยอ่ะ รู้หรือเปล่าว่ามันกิตติศัพท์เลื่องลือขนาดไหน สาวๆมาเฝ้าที่คณะไม่เคยซ้ำหน้า ทั้งรุ่นพี่ ทั้งรุ่นเดียวกัน นี่ขนาดยังเปิดเทอมมาได้แค่สองเดือนกว่าเองนะ แล้วไหนจะ..."

"บุ๋น" พี่ท๊อปกลับมาเตือนสติพี่บุ๋นอีกรอบ "ใจเย็นครับ แค่การที่น้องสองคนต้องมาสารภาพเรื่องเชิงลึกขนาดนั้นก็แย่พอแล้ว ให้น้องเค้าได้มีโอกาสพูดหน่อย"

"นั่นดิ" คราวนี้เป็นไอ้ต้อมพูดบ้าง มันเข้าสู่โหมดเคร่งขรึมอีกแล้ว มึงอย่ามาต่อยกันในนี้อีกรอบนะ กูไม่ห้ามแล้วนะ "กูนับถือนะที่มึงกล้ารับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองทำแล้วอ่ะ แต่ก็อย่างที่พี่บุ๋นบอก ถ้าแค่รับผิดชอบแต่ยังเที่ยวทำอะไรกับคนอื่นไปเรื่อยกูก็ไม่โอเคด้วยนะเว้ย"

"ก็ต้องไม่ดิวะ" ไอ้สุ่ยตอบจริงจัง "ไม่งั้นกูจะเรียกมึงกับไอ้ชามาทำไม... แล้วกูก็จะขอบใจมึงเรื่องที่ชกกูด้วย ถึงมึงกับกูจะยังไม่ได้สนิทอะไรกันมาก แต่มึงก็ทำให้กูได้สติ แล้วก็อยากที่จะจริงจังกับใครสักคน บอกตามตรงวะ โดนด่าว่า ไม่เป็นลูกผู้ชาย แม่งโคตรเสียศักดิ์ศรีเลย เอาเป็นว่ากูจะรับผิดชอบในตัวข้าวเจ้าแล้วก็ไปทำเลวกับใครอีกแน่นอน"

"โอเค.... งั้นกูก็ขอโทษเรื่องที่ชกมึงละกัน"

ทั้งสองจับมือกันอย่างกับทำสนธิสัญญาเบาว์ริง นี่พวกมึงคิดว่าตัวเองอยู่บนสนามมวยไทยไฟท์รึไง

"กูจะต้องขอโทษมึงด้วยนะไอ้ชา" คราวนี้ไอ้สุ่ยหันมาหาผม มึงไม่ต้องมาทำท่าไทยไฟท์กับกูนะ กูไม่บ้าจี้ทำตามหรอก

"ขอโทษเรื่องไรวะ" ผมถาม

"ก็เรื่องที่กูทำเกินเลยกว่าการมาส่งข้าวเจ้าไง มึงอุตส่าไว้ใจให้กูมาส่ง ที่สำคัญ ข้าวเจ้าก็เหมือนเพื่อนคนสำคัญของมึงด้วย"

"กูอ่ะ ไม่ได้อะไรหรอก ต้องถามฝั่งไอ้ข้าวมากกว่า ไม่ใช่ว่าพวกเราจะมาตกลงกันท่าเดียวแล้วไม่สนใจความรู้สึกของไอ้ข้าวเลยว่ามันยินยอมพร้อมใจด้วยหรือเปล่า.... ว่าไงอ่ะข้าว มึงจะคุยกับไอ้สุ่ยจริงๆใช่ไหม"

"อ...อืม" ตอบแบบเขินๆ นี่กูไม่ได้มาสู่ขอมึงให้มันนะข้าว ดูละครกันเยอะไปปะเนี่ย

"เออๆ ไงก็คุยกันดีๆละกัน" อ่ะ ผมก็เอากับเค้าซะหน่อย บรรยากาศมันพาไป



"จัดบ้านสวยดีนะ โล่งดี องค์ประกอบสีก็สวย" จู่ๆพี่ท๊อปก็พูดขึ้น สงสัยจะพยายามเปลี่ยนเรื่อง ก็ดีเหมือนกัน คุยกันด้วยเรื่องน่าอึดอัดแบบนี้นานๆก็ชักจะจมแล้ว "บุ๋นไม่ลองจัดแบบนี้บ้างอ่ะ"

"พี่ว่างพี่ก็ทำดิ" พี่บุ๋นตอบทันควัน "แค่สอนลีดทุกวันก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว"

"เหรอครับบบ ล้างจาน ซักผ้า กวาดบ้าน ถูบ้าน พี่ก็ทำให้หมดแล้ว เหนื่อยแย่เลยเนอะ"

"อูววววววววว" ไอ้ต้อมทำเสียงแซว "มีคนแอบว่าอยู่ด้วยกันว่ะ มันยังไงกันน้าาาา"

"มึงแซวกูเหรอไอ้ต้อม" พี่บุ๋นกลับมาโวยวายอีกครั้ง "ไอ้น้ำชา จัดการเพื่อนมึงด้วย บอกมันด้วยว่ากูเป็นรุ่นพี่ แถมยังเป็นรุ่นพี่ลีดมหาลัยด้วย เพื่อนมึงอาจจะตกรอบได้ง่ายๆนะถ้าพูดจาไม่เข้าหูกูอ่ะ"

"ไอ้ต้อม มึงก็พูดดีๆดิ" ผมแสร้งเตือน "พี่เค้าสองคนแค่อยู่ด้วยกันเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรกันซะหน่อย จะไปมีอะไรในก่อไผ่ได้ไงวะ"

"ไอ้น้ำชา" พี่บุ๋นยิ่งฉุนหนักกว่าเดิม "พอเลยๆ ไหนมีอะไรให้กูกินบ้าง เอาออกมาซะทีดิ ลากกูเข้ามาฟังเรื่องอะไรก็ไม่รู้ หิวจนจะฆ่าเด็กปีหนึ่งให้ตายพร้อมกันทีเดียวสองคนได้อยู่แล้วเนีย"

"อ๋อ... กำลังจะทำแล้วครับ" ไอ้ข้าวรีบลุกเดินเข้าไปในครัวทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น

"ให้พี่ช่วยนะ" พี่ท๊อปก็พยายามหนีออกไปจากการแซวนี้

"เปลี่ยนเรื่องๆ" ไอ้ต้อมทำเป็นกระซิบแบบจงใจ

"ยังอีกนะพวกมึง" ก็ตลกดีนะที่เห็นพี่บุ๋นหน้าแดง



หลังจากนั้นพวกเราก็ช่วยกันเตรียมอาหารและสถานที่

ถึงพี่ท๊อปจะพูดว่าโล่ง แต่การมีผู้ชายแปดคนอยู่ในบ้านก็ต้องมีการขยับขยายและเคลื่อนย้ายบางอย่างบ้าง

ส่วนผมเข้ามาช่วยพี่ท๊อปกับไอ้ข้าวเตรียมวัถุดิบสำหรับทำปิ้งย่าง อ่อ ลืมบอกไป เราตกลงว่าจะทำปิ้งย่างกันเพราะเนื้อเหมาะแก่การทำแบบนี้มากกว่า ที่สำคัญก็คือ ที่บอกว่าเคลื่อนย้ายบางอย่างก็คือย้ายโต๊ะเก้าอี้ไปบริเวณหน้าบ้านนั่นเอง จะได้ไม่เหม็นกลิ่นควันติดในบ้าน

หลังจากที่หั่นเนื้อสัตว์จนเสร็จ พี่ท๊อปกับไอ้ข้าวก็มาช่วยกันล้างผัก สองคนนี้ดูจะเก่งในเรื่องงานครัวไม่ใช่ย่อยเลย แต่ในหัวผมอ่ะ ไม่ได้คิดจะชื่นชมสองคนนี้หรอก เพราะผมกำลังนึกแผนชั่วบางอย่างอยู่



"พี่ท๊อปกับข้าวเจ้านี่ดูเข้ากั๊นเข้ากันเนาะ ทำอาหารเก่งทั้งคู่เลย ดูกระหนุงกระหนิงดีจัง" ผมพูดคล้ายว่าตะโกน

หลังจากนั้นก็รอ...



"มีไรให้ช่วยป่ะ"

นี่ถ้าผมเป็นหน่วยวางแผนรบให้อเมริกาสมัยสองครามโลกครั้งที่สองนะ อัลเบิร์ต  ไอน์สไตน์ไม่ได้เกิดหรอก ก็ดูดิ หลังจากตะโกนล่อเหยื่อไปไม่ถึงสิบวินาที พี่บุ๋นก็รีบวิ่งแจ้นเข้ามาในครัวเลย เร็วอย่างกับจรวด

"เข้ามาทำไมอ่ะพี่บุ๋น ครัวมันแคบ" เล่นต่อซะหน่อยดีกว่ากู

"ก...กูหิวอ่ะ ทำไม่เสร็จซะที" ดูการใช้ข้ออ้างของพี่แกดิ เข้าใจแล้วว่าพี่ท๊อปชอบพี่บุ๋นตรงไหน ไอ้อาการปากแข็งแต่ปิดไม่มิดนี่แหละ เสน่ห์ของเค้าเลย "มึงอ่ะ ไม่ได้ทำไร ออกไปได้แล้ว"

"ใครบอก ผมกำลังผสมน้ำจิ้มอยู่ ไม่เห็นเหรอพี่"

"เอามาๆ กูทำเอง มึงออกไปเลยไป... ออกไปดิ มึงทำช้าอ่ะ" หราาาาาา นี่ถ้าเป็นไอ้ต้อมจะตบให้เกรียนแตกเลย ทำเป็นเนียน หึงพี่ท๊อปก็บอกมาเหอะ "เอ่อ... ให้ช่วยไหม เดี๋ยวพี่ล้างให้ก็ได้ ข้าวเจ้าไปทำอย่างอื่นเหอะ" นั่นไง เข้าไปแทรกคนเค้ากำลังทำงาน ทิ้งน้ำจิ้มกูเฉยเลย



"บุ๋นเด็ดใบมันออกมาล้างซิครับ ผักกาดขาวล้างแบบนั้นได้ไง"

"ก็สอนบุ๋นทำดิ... เด็ดแบบนี้อะเหรอ"

"ครับ เบาๆมือหน่อย เดี๋ยวช้ำ"

พี่ท๊อปกำลังสอนพี่บุ๋นทำงานครัว ช่างเป็นภาพที่น่ารักจริงๆ

แล้วกูเป็นไรเนีย มายืนเกาะประตูครัวดูคนอื่นเขาอยู่ได้



"ชา ถืออันนี้ออกไปให้หน่อยเสร็จแล้ว" ไอ้ข้าวส่งหมูและเนื้อสไลด์มาให้ผม

"โห น่ากินจัง" อย่างกับออกมาจากร้านอาหารเลย

"กินดิบได้ที่ไหนล่ะ"

"แค่นี้ก็น่ากินแล้ว มึงนี่เก่งเนาะ วันหลังสอนทำอาหารให้บ้างดิ"

"ได้ดิ มาที่นี่บ่อยๆก็ได้ เดี๋ยวสอนให้"

"ทำพวก... ขนมไทยจากใบตองอะไรแบบนี้เป็นไหม"

"ก็พอได้นะ"

"อะแฮ่ม" กระแอมทำไมพี่บุ๋น "พี่ท๊อปรู้ป่ะว่าไอ้ตองอ่ะมันชอบกินขนมไทยที่ทำมาจากใบตองมากเลยนะ" อ่อ กูเข้าใจจุดประสงค์แล้ว จะแซวกูนี่เอง

"ไม่รู้ครับ" พี่ท๊อปตอบ "แล้วบุ๋นรู้ไหมครับว่าพี่ชอบทานอะไร"

"เอ่อ....................."

ผมไม่เกี่ยวนะพี่บุ๋น ออกไปดีกว่ากู บรรยากาศแอบคุกรุ่นยังไงก็ไม่รู้





ได้เวลาอาหารเที่ยงซะที รอจนเกือบบ่ายสองเลย

ปิ้งย่างฝีมือเซฟมือทองอย่างพี่ท๊อปและไอ้ข้าว ไม่ทำให้ใครผิดหวังเลยจริงๆ กินกันจนลืมพุงกลางทุกคนเลย







"ขอบใจมากนะเพื่อน ไว้วันหลังเดี๋ยวกูเลี้ยงคืน" ไอ้ต้อมกล่าวลางานเลี้ยงชั่วคราวเมื่อทุกอย่างถูกจัดการจนเรียบร้อย จริงๆก็เป็นพี่ท๊อปกับไอ้ข้าวซะมากว่าที่จัดการ สมกับเป็นพ่อบ้านพ่อเรือนกันจริงๆ

"เออๆ ครั้งหน้าเอาชาบูนะ" ไอ้สุ่ยแกล้งพูด

"ได้ดิ แต่กูกับน้ำขิงทำอาหารไม่เป็นนะ"

"ไม่เป็นไร เดี๋ยวให้ข้าวเจ้าทำให้ก็ได้ มึงจ่ายตังก็พอ"

"เออๆ... ว่าแต่ มึงเตะบอลป่ะ"

"เตะดิ"

"เออ ดีเลย ว่างๆพากูไปเตะมั้ง เด็กคณะกูไม่ค่อยเล่นบอลกันเลย หาเพื่อนไม่ค่อยได้"

"พอดีเลย มีสนามหญ้าเทียมของคนที่กูรู้จักอยู่ใกล้ๆนี่เอง มีก๊วนพร้อม ราคากันเอง แต่อันนี้ใครจ่ายวะ"

"บ้างะ แชร์ดิ ฮ่าๆๆ"

หัวเราะกันใหญ่ นี่พวกมึงไปสนิทสนมกันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบครับ ไม่ยักรู้ว่าการโดนต่อยแล้วพามาเลี้ยงอาหารจะทำให้คนสนิทกันเร็วขนาดนี้ เดี๋ยววันหลังกูจำไปใช้บ้าง แต่กูขอเป็นคนต่อยนะ

"พี่ท๊อป หวัดดีครับ" ไอ้ต้อมหันมาลารุ่นพี่บ้าง

"หวัดดี" พี่ท๊อปตอบ

"ฝีมือการทำอาหารของพี่สุดยอดมากครับ" ไอ้ต้อมชม "แต่พี่จะพ่อบ้านที่สมบูรณ์แบบกว่านี้ถ้าได้ครองทั้งใจและกายของแม่บ้านนะพี่" ช่างเสี้ยมจริงนะมึง อาศัยพูดจังหวะที่พี่บุ๋นไม่ได้อยู่ตรงนี้ "ผมไปละนะ หวัดดีทุกคนครับ"

"........" พี่ท๊อปยืนหน้านิ่งไร้อารมณ์ ทำตัวเป็นโอปป้ากลางหิมะไปได้



"ไม่ต้องคิดมากหรอกครับพี่ท๊อป" ผมตัดสินจเดินเข้าไปคุยกับพี่ท๊อปเงียบๆ เพราะตอนนี้พี่ตองกับพี่บุ๋นช่วยกันเก็บจานอยู่ในครัว

"ครับ?"

"ก็เรื่องที่ไอ้ต้อมพูดไงพี่ คนจะรักกันไม่ได้วัดกันที่เรื่องแบบนั้นหรอกครับ"

"อ๋อ... เรื่องนั้นพี่รู้ครับ เพียงแต่... พี่ก็อดคิดไม่ได้เหมือนกันว่ามันจะพัฒนาไปถึงไหน พี่ไม่ได้ห่วงว่าใครจะว่าพี่เป็นไก่อ่อนหรอกนะ แต่ถึงยังไง เรื่องสัมพันธ์ทางกายมันก็เป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดว่าบุ๋นยอมรับในตัวพี่แล้ว" ผมคิดว่าผมพอจะเข้าใจนะ ในบรรดาทั้งหมดในวันนี้ พี่ท๊อปคือคนที่ใช้เวลาในการพิสูจน์ตัวเองมากที่สุด แต่ก็ได้รับการตอบรับน้อยที่สุดเหมือนกัน แต่เรื่องแบบนี้จะไปแนะนำยังไงได้ล่ะ

ผมก็ทำได้แค่ยิ้มให้



"กลับกันหรือยังชา" พี่ตองออกมาแล้ว

"ครับ" ผมตอบ

"ขอบคุณที่มาวันนี้นะครับพี่ตอง" ไอ้ข้าวรีบพูด "ขอบใจนะชา"

"ไงก็เจอกันพรุ่งนี้นะ" พี่ตองเอ่ย "เจอกัน หวัดดีครับพี่ท๊อป"

"หวัดดีๆ"



แล้วเราทุกคนก็แยกย้ายจากกันไป





"ชาแน่ใจนะว่าจะไปไม่หาอะไรกินเป็นพิเศษอีกแล้ว" ไอ้พี่ตองถามผมเป็นรอบที่ร้อยตั้งแต่ออกจากบ้านเช่าของไอ้ข้าวจนมาถึงคอนโดฯ "พี่อยากให้ชารู้จริงๆนะว่าพี่ให้ความสำคัญกับแปดปีที่เราได้พบกัน"

"ไม่ต้องแล้วววว" ผมเริ่มจะรำคาญที่จะต้องตอบแล้ว "อิ่มจนท้องจะแตกอยู่แล้วเนี่ย"

"อยากได้ของขวัญอะไรไหม? นาฬิกา ดอกไม้ เกมส์..."

"ไม่เอาาาา" เห้อ พูดไม่รู้เรื่องหรือไง "ถ้าว่างมาคิดเรื่องไร้สาระมากก็ไปอ่านหนังสือเลยไป"

"ก็ได้..."

กูพูดแรงไปเปล่าหว่า หน้าเจื่อนเลย

นี่อย่าบอกนะว่าซีเรียสกับวันครบรอบจริงๆอ่ะ



ผมหันไปมองภาพข่าวในกรอบรูปที่วางอยู่ใกล้ๆ เนื่องจากตอนนี้ผมกำลังนั่งทำรายงานวิชาฟิสิกส์อยู่ มันวางอยู่ตรงนี้พอดี

เด็กชายสองคนพยายามมองหน้ากันผ่านความวุ่นวายของผู้คนในภาพ

แปดปีเต็มแล้วจริงๆเหรอที่เราได้พบกับพี่เค้าครั้งแรก

หนึ่งปีแรกสำหรับการตามหาว่าเขาเป็นใคร เรียนอยู่ที่ไหน

หนึ่งปีต่อมาสำหรับการเกลี่ยกล่อมให้ลูกพี่ลูกน้องไปเรียนที่เดียวกันกับเขา

สามปีในการพยายามอยากหนักเพื่อเพิ่มพูนทักษะต่างๆให้มีเหมือนคนที่เราชื่นชอบ และเริ่มสะกดคำว่าคู่แข่งโดยไม่รู้ตัว

และอีกสามปีในช่วงชีวิตมอปลายที่แอบทำการบ้านให้คนสมองทึบผู้ไม่เอาไหนในวิชาเลข

ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะผ่านเรื่องราวมากมายมาถึงแปดปีแล้วจริงๆ

ถ้าเกิดไม่ใช่พี่ตองที่มาช่วยเราไว้ เรื่องทุกอย่างจะเป็นแบบนี้หรือเปล่านะ? หรือถ้าไม่มีใครมาช่วยเราไว้ล่ะ เราก็คง... หมดโอกาสที่จะใช้ชีวิต



"พี่ตอง" ในที่สุดผมก็เรียก

"ครับ" ไอ้หัวสกินเฮดหันหน้ามาหาผมจากการอ่านหนังสืออยู่เงียบๆบนเตียง

"เรื่องของขวัญหรือไปเที่ยวอ่ะ ชาไม่อยากได้จริงๆ"

"คร้าบบบ พี่เข้าใจแล้ว"

"แต่ว่า..." ผมวางปากกาและทิ้งตัวลงไปนอนข้างๆคนตัวใหญ่ พร้อมกับใช้แขนเล็กๆของตัวเองโอบรัดเอาความอบอุ่นเข้ามา

"เอ่อ... มีอะไรครับ"

"ที่บอกว่าไม่อยากได้อะไรอ่ะ ก็เพราะว่ามันไม่ใช่วันที่พี่ต้องมาทำอะไรดีๆให้ชา ชาต่างหากที่ต้องทำเรื่องดีๆให้พี่ตอง เพราะพี่ช่วยชีวิตชาไว้นะ"

"ใครว่าล่ะ ก็บอกแล้วไง..."

"ฟังก่อนดิ"

"ค...ครับ"

"ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ชาเฝ้ามองพี่ตองและพยายามเข้าหาอยู่ตลอด แต่เพราะมันใช้เวลานานมาก นานจนชาเกือบลืมไปแล้วว่า ที่จริงแล้วชาทำทุกอย่างนี้เพื่ออะไร...ก็เพื่อในที่สุดชาอยากจะบอกกับพี่ด้วยตัวเองให้ได้ว่า.....ขอบคุณ....







........ขอบคุณนะที่ช่วยให้มีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยกัน"
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 24-02-2018 18:58:30
ผ่านไปด้วยดีอีกคู่แล้ว
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-02-2018 21:10:38
สุ่ย ข้าว เข้าใจกันแล้ว  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
สุ่ย รับผิดชอบ และเลิกทำตัวเป็นคุณชายเจ้าสำราญ

บุ๋น หวานๆกับพี่ท๊อป เอาใจหน่อยนะ
ดูท่าพี่ท๊อปจะน้อยใจๆ บุ๋น
น้ำชาต้องใช้แผนช่วยเร่งความรักได้และ  :o8: :-[ :impress2:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ขอแก้ที่ผิดนะ
โดนเด็กใหม่มันแทรกหน้า ------ แซง
หัวเราะต่อกระซิบ ------  กระซิก
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 43 [กลยุทธ Part 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 25-02-2018 12:54:55
​​ตอนที่ 43 : กลยุทธ







"ป้าคะ ขอน้ำหวานให้หนูสองแก้วค่ะ ไม่เอาๆ เอามาสามเลยค่ะ" อิช้างเจสซี่กำลังเล่นใหญ่อยู่ในโรงอาหารภาควิชาคณิตศาสตร์

"สี่ดิมึง กูด้วย" ผมรีบทักท้วง

"อันนี้ของกูคนเดียว มึงสั่งกันเองดิ" อิเวรเอ๊ย เออ กูสั่งเองก็ได้

"ป้าครับ ขอชาเย็นแก้วนึงครับ แล้วก็... เล็ก วาวา เอาไร" ผมหันไปถามอีกสองคน

"กูเอาน้ำเขียวละกัน" "ชาเขียว" มันสองคนตอบ

"น้ำเขียวกับชาเขียวเพิ่มอีกอย่างละแก้วครับ" ผมสั่ง

"ป้าค่ะ ขอหนูหนึ่งแก้วของหนูก่อน หนูไม่ไหวแล้ว" อิเจสซี่ยังคงเล่นใหญ่ โชคดีนะที่แม่ค้าใจดี ถ้าเป็นผมนะ จะสาดมันด้วยน้ำหวานนี่แหละ แล้วนั่นมึงดูดน้ำหรือสูบน้ำกันแน่ จะกระหายอะไรขนาดนั้น "ชื่นนนนใจ"

"เว้อไปอิช้าง แค่เรียนทั้งวันจะเป็นจะตาย" วาวาด่า

"ก็กูใช้พลังงานเยอะ มึงเข้าใจป่ะ" อิช้างบ่น "กูไปนั่งรอตรงโน้นนะ"

"ไปพร้อมกันดิมึง"

"ช่างมันเหอะวาวา" ผมบอก ซึ่งมันก็ไม่ได้สนใจอะไร เดินบิดสะโพกอันเท่ากะละมังไปนั่งรอที่โต๊ะแล้ว "มึงสองคนไปนั่งรอกับมันเหอะ เดี๋ยวกูยกน้ำไปให้ กูกลัวว่าจะตกมันแล้วไม่มีใครดูแล... ไม่ต้องๆ ​เดี๋ยวกูจ่ายให้ ไปเหอะ"

"เออๆ โอเคมึง"

แล้วผมก็ยืนรออยู่หน้าร้านเครื่องดื่มคนเดียว



"​มึง​"

"เห้ย!" ตกใจหมดเลย ใครวะ "อ้าว ข้าว มาคณะวิทย์ได้ยังไงเนีย"

"สุ่ยไปรับมา" ไอ้ข้าวยิ้ม เดี๋ยวนะ นี่มึงเพิ่งจะเริ่มคบหากันเอง ถึงขั้นไปรับไปส่งกันแล้วเหรอ

"แล้วไอ้สุ่ยอยู่ไหนอ่ะ"

"โน่นไง คุยกับเจสอยู่"

"ห๊ะ? ล...แล้วมันจะไม่โดนอิเจสซี่เอางวงฟาดเหรอ"

"ไม่หรอก สุ่ยมาชวนเจสไปกินข้าวที่บ้าน"

"ห๊ะ" กินอีกแล้วเหรอ

"รู้ไหมว่าถ้ากูพูด ห๊ะ ​บ่อยๆ ก็จะโดนสุ่ยบ่นว่า จะสงสัยอะไรนักหนา"

"แหมมมม มึงนี่ก็หวานกันจังนะ เพิ่งคบกันได้แค่สองวันเองมั้ง"

"หวานอะไร ก็พูดตามความจริง สุ่ยมันชอบพูดแบบนี้จริงๆอ่ะ"

"เออๆ กูไม่เถียงมึงละ... แล้วไอ้สุ่ยมาชวนอิเจสซี่ไปกินข้าวทำไมอ่ะ"

"ก็คงอยากเคลียร์กับทุกคนมั้ง จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องการคบกัน" เออ กูยอมมึงละ พูดเรื่องแบบนี้ได้หน้าตาเฉยมากเลย ไม่เขินบ้างหรือไงวะ "ว่าแต่... พี่ตองไปไหนอ่ะ เลิกเรียนแล้วยังไม่มารับอีกเหรอ"

"ก็วันนี้เรียนทั้งวัน แล้วก็มีถ่ายแบบในเมืองต่อด้วย เดี๋ยวเพื่อนพี่ตองก็มารับ เพราะว่าต้องไปติวต่อ"

"อ๋อ"



"น้ำได้แล้วลูก" แม่ค้าเรียก

"นี่ครับ" ผมยื่นเงินให้แล้วก็รับน้ำมา

"มาๆ เดี๋ยวกูช่วย" ไอ้ข้าวอาสา

"โอเค งั้นมึงหยิบสองแก้วนี้" จากนั้นเราก็เดินถือน้ำเพื่อตรงไปที่โต๊ะของพวกอิช้าง

"แล้วเรียนเป็นไงบ้างอ่ะ" ไอ้ข้าวถามระหว่างเดิน

"ก็หนักอยู่อ่ะ เพิ่งรู้ว่าเรียนทั้งวันมันรู้สึกยังไง" ผมตอบ "ทั้งๆที่ตอนมัธยมก็เรียนทั้งวันนะ แต่ทำไมไม่รู้สึกว่ามันหนักแบบนี้"

"นั่นดิ.... แต่ก็ว่าอยู่แล้วเชียวว่ามันแปลกๆ อยู่ดีๆ เมื่อวานพวกพี่ลีดมอก็ให้พัก ที่ไหนได้ ต้องมาเรียนเช้ายันเย็นถึงวันศุกร์เลย"

"ก็อาทิตย์หน้าต้องซ้อมเต็มวันนี่นา ตารางเรียนของอาทิตย์หน้าก็เลยมายัดใส่อาทิตย์นี้หมดเลย"

"ก็ใช่ แต่เราต้องผ่านเข้ารอบก่อนนี่ซิ ไม่รู้ว่าศุกร์นี้ผลจะออกมาเป็นยังไง พอไม่ได้ซ้อมแล้วมันดูไม่มั่นใจยังไงไม่รู้"

"พูดแบบนี้แปลว่าอยากซ้อมเหรอ"

"ม่ายยยอ่ะ ขอเลือกเรียนดีกว่า ซ้อมลีดเหนื่อยจะตาย ใครไม่ได้เป็นไม่เข้าใจหรอก"

"คิดเหมือนกันเลย"



"​แหมมมมมมม​ เข้ากันเป็นพระมเหสีกับซังกุงเชียวนะ" อิช้างแซวผมทันทีที่มาถึงโต๊ะ ก่อนจะหันไปทำหน้าจริงจังใส่ไอ้ข้าว "แล้วยังไงข้าวเจ้า สรุปคือจะคบกับสุ่ยจริงๆเหรอ"

ไอ้ข้าวพยักหน้าทันที มันก็ยังเป็นคนไม่รู้จักอายเช่นเดิม

"แน่ใจนะ ว่าจะไม่เดินร้องไห้กลับบ้านอีกอ่ะ"

"เดินร้องไห้เลยเหรอ!?" ไอ้สุ่ยดูจะตกใจ ผมก็แอบตกใจนิดๆนะ รู้แต่ว่าร้องไห้ ไม่รู้ว่าจะดราม่าหนักขนาดนั้น

"ก็ใช่นะซิ" อิเจสซี่ดูจะยังไม่สนับสนุนการคบหากันของสองคนนี้เท่าไหร่

"โห่ เออ ขอโทษ" ไอ้สุ่ยรีบแก้ตัว "วันหลังไม่ทำให้ข้าวเจ้าร้องไห้แล้วแน่นอน สาบานเลย นะนะนะ ไม่กินข้าวที่บ้านกัน" โอ้โหไอ้สุ่ย ไม่ทิ้งลายจอมหว่านเสน่ห์เลยนะมึง มีการเอามือไปจับมืออิเจสซี่ด้วย

โดนผู้ชายหล่อๆมาจับมือและพูดหวานๆใส่แบบนี้ อิช้างไม่มีทางรอดหรอก

"ไม่รู้เหมือนกัน ขอคิดดูก่อน" อิตอแหลเอ๊ย กูอยากจะด่าจริงๆ ทำเป็นวางท่านะมึง "ต้องถามอิชาก่อนว่าไปได้ไหม วันนี้มีติวให้พี่วิศวะ"

"ไปไม่ได้หรอกมึง เรื่องติวสำคัญมาก ให้อิเล็กกับวาวาไปแทนละกัน กูไม่มีคนช่วยเลยอ่ะ ขิงก็ไม่มา" มึงต้องเจอกูเล่นไม่นี้ อิช้าง ดูซิจะยังวางท่าอีกไหม

"ไม่ได้เลยเหรอวะไอ้ชา กูอุตส่าว่าจะไปเหมาซื้อของทะเลมาซะหน่อย" ไอ้สุ่ยเริ่มเป็นเดือดเป็นร้อนบ้าง กูกำลังแกล้งอิช้างอยู่ มึงดูไม่ออกรึไง

"ร..เหรอ" อิเจสซี่เริ่มหน้าเสีย คนที่เห็นของกินสำคัญกว่าทุกสิ่งอย่างมึง ได้ยินแบบนี้ก็คงกำลังสำนึกผิดที่ทำเป็นหยิ่งไปเมื่อกี๊ละซิ "ไปแป๊บนึงก็ไม่ได้เหรอมึง"

"แต่พี่เติ้ลออกปากว่าต้องให้มึงไปเป็นคนอธิบายเลยนะเว้ย เข้าใจสถานการณ์เนาะ" ฮ่าๆๆๆ ตลกจังที่แกล้งอิช้างได้

"อ...อืม งั้นก็ได้ ถ้าอิชาว่างั้นก็คงไปไม่ได้อ่ะ อิเล็ก อิวาวา กินเผื่อกูด้วยนะ" ดูหน้ามัน จะร้องไห้อยู่แล้ว

"กูล้อเล่น" ผมเฉลย "มึงไปเหอะ พวกมึงไปกันให้หมดทั้งสามคนนี่แหละ กูสอนได้อยู่แล้ว สบายมาก"

"จริงนะ?" ผมพยักหน้ายิ้มๆ แล้วมันก็กลับไปทำหน้าเย่อหยิ่งอีกครั้ง "นี่เพราะอิชาบอกให้ไปหรอกนะ ก็ไม่ได้อยากไปเท่าไหร่หรอก" หราาาาาาาา ​เดี๋ยวกูก็ไม่ให้ไปจริงๆซะเลย



"แต่กูอยากไปช่วยอิชาสอนอะมึง" วาวาแทรกขึ้นมา

"ทำไมอ่ะ ไปด้วยกันได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ" ไอ้สุ่ยยังคงพยายามทำให้ดีที่สุด

"เปล่า ไม่ใช่อย่างงั้น" วาวากำลังจะอธิบาย "คือช่วงนี้ชามันทำหลายอย่างอ่ะ ตารางอาทิตย์นี้ก็ปรับมาเรียนทั้งวัน ไหนจะไปช่วยงานโรงบาล ไหนจะไปติวให้พวกพี่วิศวะ ตอนกลางวันก็ยังจะไปขอห้องซ้อมเต้นอีก กูเป็นห่วงมันอ่ะ"

"เออ จิงด้วยว่ะ" อิเล็กเสริม

"จะบ้าเหรอ กูไม่เป็นไรหรอก" ผมรีบบอก "กูก็ทำมาตั้งนานแล้วป่ะ แล้วนี่มันก็แค่เรื่องสอน กูทำเป็นประจำอยู่แล้ว พวกมึงไปเหอะ ที่สำคัญนะ ถ้าพวกมึงหายหน้าหายตาไปบ้าง อาจจะมีพี่วิศวะบางคนคิดถึงพวกมึงก็ได้นะ เชื่อกูดิ" คือผมไม่ได้จะห้ามอะไรพวกมันหรอกนะ แต่ผมอยากให้พวกมันทำอะไรเพื่อตัวเองบ้าง ก็ตั้งแต่รู้จักกันมา พวกมันแทบจะเป็นมือเป็นเท้าให้ผมตลอดเลย ยอมรับเลยนะว่าเลือกเพื่อนไม่ผิด ถึงพวกมันจะทำอะไรโอเว้อร์ไปบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นกัลยาณมิตร บุคคลหาได้ยากแปดประการ(กูเองก็เว้อร์เหมือนกันเนาะ)

"จริงเหรอ​" หลอกง่ายแท้อิเล็ก "เออ กูหายไปซักวันบ้างดีกว่า เผื่อผู้จะคิดถึงกู จะได้มีผู้กับเขาบ้าง ดูซิเนี่ย ผู้ดีๆก็กินกันเองไปอีกสองคนแล้ว"

"ก็มึงไม่แซ่บอ่ะ" อิช้างพูดขึ้น

"มึงกับกูก็พอกันนั่นแหละอิช้าง อย่ามาทำเป็นชูคอ สุ่ยมาอ้อดอ้อนมึงก็เพราะเค้ามาขอเพื่อนมึงเป็นแฟนหรอก"

"พออออออ" ผมรีบห้าม "ทะเลาะกันโชว์คนอื่นอีกแล้วพวกมึงนิ"

"งั้นสรุปว่าไปนะ" ไอ้สุ่ยเช็คเพื่อความมั่นใจ



​.........จากวันที่เธอได้เดินผ่านไปก่อน.............

​หึ! เสียงเพลงมาจากไหน



"คลิปโปรโมทของตัวแทนลีดฉายอีกแล้ว" วาวาร้องบอกพร้อมชี้นิ้วไปที่ทีวี

อ๋อ คลิปโปรโมทนี่เอง

ผมเพิ่งจะได้ดูวันนี้นี่เอง ทั้งๆที่ปล่อยออกมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว

ภาพสวยอลังการมากเลย อย่างกับโปรดักชั่นมาจากทีมงานมืออาชีพ

ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าความสำคัญของการยืนแถวหน้าคืออะไร ก็เพราะไม่ว่าจะแพลนกล้องไปทางไหน ก็จะเห็นแต่หน้าของผมอยู่แทบจะตลอดเวลาเลย ส่วนคนอื่นก็ไม่น้อยหน้านะ อย่างเกตุกับไอ้ต้อมที่อยู่แถวหน้าด้วยกัน หรือไอ้สุ่ยที่ออกน้อยลงมาหน่อยเพราะอยู่ริมสุดของแถวแรก แต่คนที่ได้ประโยชน์อย่างไม่น่าเชื่อก็คือไอ้ข้าว เพราะถึงแม้มันจะยืนแถวสองแต่ก็อยู่ข้างหลังผมพอดี เรียกได้ว่า ถ้าเห็นหน้าผมเมื่อไหร่ก็จะเห็นหน้าไอ้ข้าวเมื่อนั้น



​You are my leader always........



"ดูกี่ทีก็ตื่นเต้นเนาะ" อิเจสซี่เอ่ยเมื่อเพลงจบลง "แต่อิชากับข้าวเจ้านี่ยังกับก๊อบปี้โชว์เลย ไลน์เต้นเหมือนกันอย่างกับแกะ แถมยังยืนใกล้กันอีก"

"แล้วมันดีหรือไม่ดีอ่ะ" ไอ้ข้าวถามอย่างไคร่รู้

"ก็ไม่รู้ว่าดีหรือเปล่า แต่ว่า..." วาวาแทรก แล้วหยิบมือถือออกตัวเองออกมาให้ดูบางอย่าง "ยอดกดไลค์ของข้าวเจ้าสูงพอๆกับของมึงเลยนะอิชา"

"จริงดิ" ไอ้ข้าวท่าทางดีใจ

"แล้วไอ้ที่สูงนี่คือสูงแค่ไหนวะ" ผมถาม คือผมอยากรู้ว่ายอดคะแนนมันมากพอที่จะทำให้ผมผ่านเข้ารอบไหม

"ตอนนี้ก็น่าจะยังอยู่อันดับต้นๆนะ" วาวาบอก "แต่คนมันเยอะอ่ะ เช็คไม่ครบซะที คะแนนมันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด"

"เออ แต่กูเห็นคลิปที่พวกมึงไปช่วยงานที่โรงบาลแล้วนะ" อิเล็กเสริม "ช่องเพิ่งฉายไปเมื่อกลางวันนี้เอง เห็นว่ากระแสดีอยู่ คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกมั้ง คลิปโปรโมทมึงก็อยู่แถวหน้า ชื่อเสียงก็พอจะมีอยู่บ้าง คงไม่หลุดโผหรอก"

"ไม่แน่นะมึง" ไม่แน่อะไรอ่ะวาวา ทำไมพูดงั้นล่ะ "ดูนี่ดิ" โทรศัพท์ถูกแสดงภาพอีกครั้ง

นี่มันลีดคณะแพทย์นี่นา คนที่เป็นเดือนคณะ กำลังทำอะไรอ่ะ มีหุ่นโมเดลแบบจำแนกอวัยวะของมนุษย์ด้วย

"คนนี้คือลีดแพทย์ รู้จักใช่ไหม" วาวาว่าต่อ "เป็นเดือนคณะด้วย แต่เค้าไม่ได้แค่หล่ออย่างเดียวนะ ฉลาดด้วย เค้าทำให้ตัวเองอยู่ในกระแสตลอดด้วยการไลฟ์สดผ่านเฟสบุ๊ค สอนเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์แล้วก็การดูแลร่างกายอะไรพวกนี้แหละ ทำมาตั้งแต่วันศุกร์แล้วด้วย ซึ่งประเด็นก็คือ มีข่าวมาว่า คนนี้มียอดคนกดไลค์ในเพจของมหาลัยเป็นหนึ่งในห้าแล้วนะ ทั้งๆที่ไม่ได้ยืนอยู่แถวหน้าด้วยซ้ำ"

"จริงดิ" อิเล็กร้อง "แต่ก็ไม่แปลกเปล่าวะ ถ้าจะมาพึ่งพาแค่คลิปโปรโมทอย่างเดียวก็คงเหมือนเสี่ยงดวงมากเกินอ่ะ ลีดมีเป็นร้อยๆคน ใครมันจะไปจำได้วะ ทำแบบนี้ซิดี คนจะได้จำได้ กูว่านะ เดี๋ยวก็ต้องมีลีดคนอื่นๆทำตามกันเป็นทิวแถว คราวนี้แหละมึงเอ๊ย สงครามโซเชียลค่ะ"

"เม่นอย่างกับตาเห็น" วาวาร้อง "ดูนี่ดิ"

เห้ยยยยย นั่นเกตุนี่นา ขนาดเกตุที่ได้แอร์ไทม์เยอะขนาดนั้นยังต้องมาไลฟ์เต้นโชว์เลยเหรอ แต่อันนี้ไม่น่าจะเป็นเต้นธรรมดานะ คงเป็นการเต้นในสายอื่นๆ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าน่าสนใจมากทีเดียว

"ตายแล้วววว อิชา" คราวนี้ถึงคิวของอิช้างเจสซี่ร้องบ้าง "มึงจะมานิ่งเฉยอยู่แบบนี้ไม่ได้แล้วนะ ขืนมึงไม่ทำอะไรบ้าง เดี๋ยวก็โดนลีดโนเนมคนอื่นแซงหน้าไปหมดหรอก แล้วอนาคตผู้จัดการลีดอันดับหนึ่งของกูล่ะ ไม่ได้ๆ ​มึงมาเลย มึงมาไลฟ์เดี๋ยวนี้แหละ"

"จะบ้าหรือไงอิช้าง" ผมรีบท้วง มึงก็กระต่ายตื่นตูมเกินไป "ไลฟ์โดยไม่มีเนื้อหาสาระอะไรเลยเนี่ยนะ คิดก่อนไหมว่ากูต้องพูดต้องทำอะไร กูไม่เคยเล่นอะไรพวกนี้นะ ขืนทำอะไรไม่วางแผน เดี๋ยวก็จะกลายเป็นแย่กว่าเดิมหรอก"

"เออ... มึงก็พูดถูก" อิเจสซี่เห็นด้วย "งั้นมึงก็ติวคณิตโชว์ไปเลย"

"โอ๊ยอินี่" อิเล็กขัด "นอกจากคนจะไม่มากดไลค์รูปให้อิชาแล้ว อาจจะโดนบล็อกด้วยซ้ำ มึงจะบ้าเหรอ คนทั่วไปเค้าจะอยากมานั่งฟังเรื่องวิชาการยากๆเบอร์นั้นไหม"

"แล้วจะให้ทำอะไรล่ะ"

"อิชาถึงต้องบอกให้คิดก่อนไง"

"อืม..... งั้นกูขอกินน้ำอีกแก้วนึงก่อน เติมน้ำตาลให้สมองเผื่อจะคิดอะไรออก"



"นี่ๆ ลืมอะไรไปหรือเปล่า" ไอ้ข้าวแทรกขึ้นมา

"อะไรอ่ะ?" ผมสงสัย

"กูเป็นแอดมินเพจ Love Leader Fan Team นะ"

อืม "รู้แล้ว แล้วทำไม?"

"นี่แสดงว่ามึงไม่เคยเข้าไปดูในเพจเลยใช่ไหม" ไอ้ข้าวถอนหายใจใส่ผมก่อนจะหยิบมือถือออกมาให้ดู "ดูนี่ คนกดไลค์เพจทะลุห้าหมื่อคนไปแล้ว ทำไมไม่ใช่ประโยชน์จากตรงนี้ล่ะ แค่ชวนคนในนี้ทั้งหมดได้ มึงก็ชนะแบบไม่ต้องสงสัยแล้ว"

"​กูนึกออกแล้ว" อิช้างตีโต๊ะ

"นึกออกอะไรของมึง" ตกใจหมดเลย

"ไหนๆมึงก็มีคนชื่นชอบอยู่แล้วตั้งมากมายขนาดนี้ มึงก็แค่อัดวิดีโอหรือลงภาพโมเม้นน่ารักๆของมึงกับพี่ตองไง"

"ไม่เอาาาา​" ไม่เคยคิดเลยว่าตัวผมจะสามารถปฏิเสธอะไรได้รวดเร็วขนาดนี้

"ทำไมอ่ะ ก็เพจนี้มันเป็นเพจที่เค้าจิ้นพวกนายแบบปฏิทินไม่ใช่เหรอ มึงลงรูปคู่กับพี่ตองก็ดึงกระแสได้ดีจะตาย"

"ม่ายยยย" กูปฏิเสธหัวชนฝาเลย "กูอาย"

"อายอะไรวะ อายที่มีพี่ตองเป็นแฟนเนี่ยนะ ใครๆเค้าก็อยากได้ผู้หล่อๆแซ่บๆแบบพี่ตองเป็นสามีทั้งนั้นแหละ กูยังอยากได้เลย"

"​อิช้าง​" มึงบังอาจพูดแบบนี้ต่อหน้ากูเลยเหรอ

"ทีอย่างงี้ละมาทำหึงหวง มึงลงๆไปเหอะน่า"

"กูเห็นด้วยนะเว้ยชา" ไอ้สุ่ย มึงไม่ต้องมาสนับสนุนเลยนะ "นี่กูก็กำลังคิดอยู่เลยว่ากูอยากทำไลฟ์คู่กับข้าวเจ้า แบบว่า เป็นลูกมือช่วยทำอาหารอะไรอย่างงี้อ่ะ แต่เราก็ไม่ได้ไปประกาศปาวๆซะหน่อยว่าเป็นแฟนกัน กูว่าดีนะ ​*ข้าวเจ้าว่าไง ดีไหม?*"

"แล้วแต่สุ่ยอ่ะ" เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียวนะ ต้องให้กูเตือนความจำไหมว่าพวกมึงเพิ่งจะคบกันได้แค่สองวัน "มึงทำเหอะชา พี่ตองต้องดีใจแน่เลย เอาจริงๆนะ นอกจากภาพจากปฏิทินเซ็ตที่มีปล่อยออกมานิดๆหน่อยๆ ก็ไม่เคยเห็นมึงกับพี่ตองลงรูปคู่กันเลยซักครั้ง พวกลูกเพจอยากเห็นจะแย่อยู่แล้ว ไม่เชื่อลองเข้าไปอ่านดิ"

"......" ผมก็ยังไม่เห็นด้วยอยู่ดี

"เอางี้ งั้นก็ค่อยๆไลฟ์กิจวัตรประจำวันไปก่อนก็ได้ เรื่องที่มึงทำก็น่าสนใจหลายอย่างนะ ทั้งที่ไปช่วยงานที่โรงพยาบาล เรื่องติว แล้วก็ค่อยๆแทรกกิจวัตรที่ทำกับพี่ตองเข้าไปก็ได้ อย่างเช่น เวลาไปนั่งรอพี่ตองถ่ายแบบ หรือตอนกินข้าวด้วยกัน ไม่ได้โชว์เรื่องที่ไม่ดีซะหน่อย"

"กูต้องทำขนาดนั้นจริงๆเหรอ"

"แล้วแต่มึงละกัน แต่เอาเป็นว่าเดี๋ยวกูตั้งให้มึงเป็นผู้จัดการเพจร่วมด้วยเลย ต่อไปเวลาจะลงคลิปลงรูปอะไรก็ทำได้เอง แล้วก็อย่าลืมเชิญชวนให้คนดูไปกดไลค์รูปมึงด้วยล่ะ..... อะนี่ไง เสร็จแล้ว เพื่อความฝันที่เป็นจริง มีอะไรให้ช่วยก็บอกกูได้เลยนะ"

"ขอบใจนะข้าว" ผมกอดมัน "กูโชคดีมากเลยที่มีมึงเป็นเพื่อน" มีคนอย่างไอ้ข้าวที่คอยห่วงใยความฝันให้แบบนี้ ซาบซึ้งใจจริงๆ

"กูต่างหากที่โชคดี" ไอ้ข่าวตอบเบาๆ



"หยุดเลยยยย แยกๆๆๆ​" ไอ้สุ่ยรีบลุกมาแยกผมกับไอ้ข้าวออกจากกัน "นี่แฟนกูไอ้ชา อย่ามาแต๊ะอั๋ง ต่อให้ข้าวเจ้ามองมึงเป็นไอดอลก็ไม่อนุญาต แฟนกู กูหวงเว้ย"

"ไอ้...." ไม่รู้จะด่ามันยังไงดี "เออ กูไม่โดนตัวมันก็ได้..."
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 43 [กลยุทธ Part 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 25-02-2018 12:56:10
(ต่อ Part 2)




​​ปี๊บ ปี๊บ

"น้ำชา"

ใครเรียกวะ.... อ่อ พี่เติ้ลนั่นเอง มารับแล้ว

"เอ่อ ทุกคน กูไปก่อนนะ ได้เวลาติวแล้ว"

"โอเคๆ ฝากความคิดถึงถึงพี่เติ้ลด้วยนะ" อิช้างทำเสียงอ้อดอ้อน แต่ผมอ่ะ ออกวิ่งไปแล้ว "อย่าลืมถ่ายไลฟ์ตอนสอนด้วยนะ" มันตะโกนไล่หลังผมมา

"เออๆ"







"ยังไงก็อย่าลืมทำตามคำแนะนำของผมนะครับ ต้องทำแบบฝึกหัดชุดนี้ให้หมด ผมรู้ว่ามันมีตั้งสองร้อยข้อ มันเยอะก็จริง แต่ไม่ใช่ว่ายากขนาดนั้น แล้วก็ที่สำคัญ อย่าทำๆหยุดๆ ห้ามแบ่งทำหลายๆวันเด็ดขาด ให้เลือกช่วงที่ว่างจริงๆแล้วทำให้เสร็จในครั้งเดียว เพราะไม่งั้นพี่จะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการทำโจทย์พวกนี้เลย สาเหตุที่ต้องให้ทำแบบนี้ก็เพราะเรื่องอนุพันธ์กับปริพันธ์ฟังก์ชั่นมันมีสูตรให้จำเยอะ แถมยังมีกฎลูกโซ่เข้ามาอีก ถ้าไม่ทำแบบฝึกหัดพวกนี้ให้คล่องมือไว้ ไม่ต้องพูดถึงการเอาไปใช้งานเลย สอบตกชัวร์" มีเสียงหึ่งๆแห่งความท้อใจดังขึ้นในห้องติวอย่างพร้อมเพรียงกัน "อย่าท้อนะ ผมอุตส่ามาติวให้พวกพี่แล้ว ทำให้เต็มที่นะครับ ให้สมกับที่ผมมาติวให้หน่อย สุดท้ายนี้ อย่างที่เคยย้ำเสมอ อย่าเก็บความสงสัย ให้รีบหาคำตอบ อย่าเขียนสิ่งที่ไม่เข้าใจลงไปในกระบวนการคิดคำนวณ.... โอเคนะ งั้นวันนี้ก็พอแค่นี้นะครับ ขอบคุณที่ตั้งใจเรียนครับ"

"ขอบคุณครับบบบบบบบ" พี่ๆวิศวะกล่าวขอบคุณพร้อมกันก่อนจะแยกย้ายออกจากห้องไป

ผมชินซะแล้วกับการถูกรุ่นพี่ขอบคุณแบบนี้



"อ่ะนี่ครับน้ำชา"

"ครับ?" พี่กอล์ฟพูดอะไรวะ

"ก็ไลฟ์สดไง"

"อ๋ออออ" ลืมไปเลยว่าฝากให้พี่กอล์ฟดูเฟสบุ๊คไลฟ์การสอนของผมให้

"พี่ยังไม่ได้กดหยุดนะ เผื่อชาอยากเช็คดูก่อน" พี่กอล์ฟยื่นมือถือให้ผม

"ขอบคุณนะพี่ แล้วเป็นไงบ้างครับ มีคนดูบ้างไหม"

"แรกๆก็มีคนเข้ามาเยอะอ่ะ เกือบหมื่นเลย แต่ตอนนี้เหลือพันกว่าคนเอง ส่วนใหญ่ก็บอกว่าฟังไม่รู้เรื่อง แล้วก็นาน สงสัยอยากดูอย่างอื่นมากกว่า"

"แฮ่ะๆ งั้นเหรอครับ" ท่าทางจะไม่รุ่งแฮะ ให้คนไม่เล่นโซเชียลมาเรียกลูกค้าบนโลกออนไลน์แบบนี้ งานนี้หินสุดๆ

"แล้วทำไมวันนี้ไม่เห็นไอ้ตองเลยอ่ะ"

"อ๋อ พี่ตองมีถ่ายแบบอะครับ แต่ตอนนี้ก็น่าจะใกล้เสร็จแล้วนะ"

"เหรอ ต้องให้พี่อยู่เป็นเพื่อนไหม"

"ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวผมโทรถามพี่ตองเอง"

"โอเค เดี๋ยวมันก็มารับใช่ไหม งั้นพี่ต้องขอตัวก่อนนะ ต้องไปรับเกตุที่ห้องซ้อมคณะวิทย์อ่ะ ป่านนี้ไม่รู้เต้นจนขาหักแล้วหรือยัง"

"ครับพี่" ผมขำ แต่ก็แอบอิจฉานิดนึงนะที่อย่างน้อยเกตุก็ทำอะไรน่าสนใจกว่าผมเยอะเลย



ตอนนี้เหลือผมคนเดียวในห้องติวแล้ว

​ไหนลองอ่านคอมเม้นอยู่หน่อยซิ



'พี่ตองจะมารับน้ำชาด้วยเหรอ เขินนนน'

'พี่ตองงงงงง'

'อย่าลืมโทรหาที่รักด้วยนะ อิอิ'

'อะไรยังไงอ่ะ เป็นแฟนกันจริงเหรอ'

'นี่มันคู่จริงนี่นา นึกว่าคู่จิ้นซะอีก'



​เชี่ยยยยยยยยยยยยย

​ชิบหายละกู ลืมไปเลยว่ายังไม่ได้หยุดถ่ายทอดสด

เอาไงดี จะกดหยุดไปทื่อๆเลยดีไหม ​จะบ้าเหรอ เสียมารยาท

​แต่จะให้กูทำหน้ายังไงใส่กล้องละทีนี้



"อ...เอ่อ..." เอาวะ กล่าวร่ำลาก่อนก็แล้วกัน ไว้ไปวางแผนใหม่ดีกว่า เขินชิบ จะพูดไงดี ไม่เคยพูดกับกล้องมาก่อนเลย รู้สึกเหมือนคนบ้าไงไม่รู้ "ข...ขอบคุณที่รับชมนะครับ ไว้โอกาสหน้าเดี๋ยวจะ..."



"​ชาครับ พี่ขอโทษนะ ถ่ายงานเสร็จช้ากว่ากำหนดนิดหน่อย ไม่โกรธพี่นะ อ้าว แล้วพวกเพื่อนพี่หายไปไหนหมดเนีย ปล่อยแฟนพี่ไว้คนเดียวแบบนี้ได้ไง ไอ้พวกนี้นิ เจอกันที่คณะเมื่อไหร่เดี๋ยวจะตบกะโหลกเรียงตัวเลย"

"....................................................."

แค่ถ่ายกิจวัจรประจำวันก็พอ.......

ไม่ต้องประกาศว่าเป็นแฟนกับพี่ตองก็ได้........

​ไม่ทันแล้ว

​โคตรของโคตรของโคตรของโคตรจังหวะนรกเลย

กูร้องไห้โชว์แม่งเลยได้ไหมเนี่ย

"ชาทำไรอ่ะ... โห ไลฟ์เฟสบุ๊คด้วยเหรอ"

"เดี๋ยว!" เห้ย จะเอาโทรศัพท์กูไปไหน

"สวัสดีครับผม ผมตองนะครับ แฟนสุดหล่อของน้องน้ำชาเอง..."

"พี่ตอง ​เอามานี่​" ไอ้บ้าเอ๊ย แค่นี้ก็แย่พออยู่แล้ว มึงไม่ต้องพูดอะไรไปมากกว่านี้แล้ว แล้วก็ถือซะสูงเลย กูเอื้อมไม่ถึง จะโวยวายมากก็ไม่ได้ หืออออออ ใครก็ได้ ฆ่ากูที

"เดี๋ยวซิครับ พี่ยังทักทายคนดูไม่เสร็จเลย อุตส่ามีคนดูตั้งเกือบหมื่น ให้พี่พูดแป๊บนึง"

ห๊ะ!?!? ไหนวะ

ผมยอมเข้ามาอยู่ในกล้องร่วมกับไอ้พี่ตองเพราะสนใจในยอดคนดู

โห!!!! เก้าพันคน ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที ไวเกินไปเปล่าวะ ลูกเพจนี้สนใจเรื่องผมกับไอ้หัวเหม่งจริงๆด้วย

"ว่าแต่ ชาไลฟ์เฟสบุ๊คทำไมอ่ะ"

"จ...จะเชิญชวนให้ไปกดไรรูปของลีดมหาลัยไง"

"อ๋อ... ดีเลย มาๆ เดี๋ยวพี่ช่วยพูดให้"

"ไม่ต้อง พอแล้ว​"

"ทำไมอ่ะ ชาพูดไปแล้วเหรอ พวกช่องทางการไปกดไลค์อะไรพวกนี้อ่ะ"

"ก็...ก็ยังหรอก"

"ก็นี่ไง เดี๋ยวพี่พูดให้ อะแฮ่ม ก็อย่าลืมนะครับ สำหรับคนที่กำลังรับชมไลฟ์อยู่ในขณะนี้ ในช่วงสัปดาห์นี้น้องน้ำชาแฟนสุดน่ารักของผมจะมีการคัดเลือกตัวแทนผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยมัณฑนา ยังไงก็ฝากคนดูที่น่ารักทุกคนไปกดไลค์รูปของน้องน้ำชาด้วยนะครับ ไปที่เพจหลักของมหาวิทยาลัยมัณฑนานะครับ รูปแรกเลยนะครับ รูปคนที่น่ารักๆอะครับ เพราะทุกการกดแชร์กดไลค์รูปจะเป็นคะแนนให้น้องผ่านเข้าสู่รอบยี่สิบสี่คนสุดท้ายได้ อย่าลืมนะครับน้องน้ำชา ธชานา ธนกฤษ จากคณะวิทยาศาสตร์นะครับ"

มีปืนอยู่แถวนี้ไหม กูอยากฆ่าตัวตายเองแล้วตอนนี้ ไปพูดอะไรแบบนั้นวะ

"โห! ดูนี่ดิชา ยอดคนดูหมื่นกว่า จะหมื่นห้าแล้ว ชาพูดอะไรหน่อยเร็ว"

"พ...พูดอะไรอ่ะ"

"ก็ขอให้คนดูไปช่วยกดไลค์กดแชร์รูปชาไง เหมือนที่พี่พูดอ่ะ"

พูดยังไงดีวะ "เอ่อ....ฝากกดไลค์กดแชร์รูป ช..ช่วยผมหน่อยนะครับ"

"พูดใหม่ๆ พูดอ้อนๆซิครับ จะขอคนอื่นเค้าอ่ะ"

อะไรนะ ไม่เอาอ่ะ ผมส่ายหน้าสั่นเลย

"พูดเถอะน่า นะ มันเป็นผลประโยชน์กับชาเอง" ไอ้พี่ตอง มึงชักจะเล่นเยอะเกินไปแล้วนะ "นี่ๆเห็นไหมยอดคนดูกำลังสูงขึ้นเรื่อยๆแล้ว รีบพูดก่อนที่คนดูจะหนีไปหมดเร็ว... งั้นพูดตามพี่ก็ได้ 'ผากกดไลค์กดแชร์เป็นกำลังใจให้น้องน้ำชาด้วยนะครับ'​"

ม่ายยยยยยยยยยย

"พูดเลยเร็วๆ โอกาสแบบนี้อาจไม่มีอีกแล้วนะ"

หายใจเข้า.... หายใจออก.... หายใจเข้า.... หายใจออก....

"ฝ....ฝากกดไลค์กดแชร์เป็นกำลังใจให้น้องน้ำชาด้วยนะครับ"

หือออออออ เหมือนตายทั้งเป็น ทำไมกูต้องมาพูดอะไรแบบนี้ด้วย

"​น่ารักจัง​" ไอ้พี่ตองบ้า ยังจะมากระซิบอะไรกลางไลฟ์สดแบบนี้ "ยังไงก็อย่าลืมนะครับ กดไลค์กดแชร์ภาพของน้องน้ำชาคณะวิทย์ด้วย ไลค์ที่เพจของมหาวิทยาลัยมัณฑนานะครับ ไม่ใช่คลิปนี้..... ​ดูดิชา ​มีแต่คนชมทั้งนั้นเลยว่าน่ารัก บอกว่าเราสองคนเหมาะสมกันด้วย ​ขอบคุณนะคร้าบบบบ​"

เออ มึงพูดอะไรก็พูดเหอะ มาถึงขั้นนี้แล้ว

"นี่ชา มีคนถามว่า ​'แล้วจะให้อะไรเป็นการตอบแทนถ้าไปช่วยกดไลค์ให้' 'หอมแก้มโชว์ได้ไหมถ้าพี่น้ำชาผ่านเข้ารอบ'​..... ได้อยู่แล้วครับผม"

"เดี๋ยววววววว" ไม่ใช่แล้วอันนี้ มึงพูดเองเออเองชัดๆ

"​กลยุทธไง​" มันกระซิบกับผม "​ชาจำเป็นต้องพึ่งคนดูทุกคนนะ....." สุภาษิตที่ว่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก มันเป็นแบบนี้นี่เอง "น้องน้ำชาสัญญากับคนดูสองหมื่นสามพันคนตรงนี้เลยครับว่า ถ้าสามารถช่วยให้น้องผ่านเข้ารอบยี่สิบสี่คนได้ น้ำชาจะหอมแก้มผมให้ทุกคนดู"

ห๊ะ!!!!!!!!!!!!

​"มาๆ เกี่ยวก้อยสัญญากับคนดูก่อน ชาเอานิ้วก้อยมาซิครับ...." ผมเหมือนร่างไร้วิญญาณเลยตอนนี้ ได้แต่ยืนนิ่ง ถูกไอ้หัวเหม่งเอานิ้วก้อยไปเกี่ยวกับนิ้วก้อยของมันเพื่อโชว์คนดู ไม่มีแรงอะไรจะไปต่อกรกับมันอีกแล้ว "นี่นะครับทุกคน น้องน้ำชาสัญญากับทุกคนแล้วนะ เพราะฉะนั้น ย้ำอีกทีนะครับ กดไลค์และกดแชร์รูปของน้องน้ำชา ธชานา ธนกฤษ ผู้นำเชียร์ตัวแทนจากคณะวิทยาศาสตร์ ที่เพจของมหาวิทยาลัยมัณฑนานะครับ.... งั้นวันนี้เอาไว้แค่นี้ก่อนนะครับ ผมต้องพาน้องไปหาอะไรทานก่อน สวัสดีคร้าบบบบ ​ชา บอกลาคนดูเร็ว​"

"ว...หวัดดีครับ" ที่กูพูดไปเมื่อกี๊มันมีความหมายว่าอะไรเหรอ สมองกูไม่มีสติประมวลผลเลยตอนนี้

"เรียบร้อยยยย" ไอ้พี่ตองกดหยุดการถ่ายทอดสด "ถ้าทุกคนกดไลค์รูปของชาจริงๆนะ รับรองว่าผ่านชัวร์เลย ปะ งั้นเราไปหาอะไรกินกันดีกว่า"

"หยุดเลย" กูต้องดึงสติตัวเองกับมาก่อน ต้องเฉ่งไอ้บ้านี่ให้มันรู้ดำรู้แดง "พูดไรไปอ่ะ สนุกมากหรือไง ให้ชาสัญญาอะไรแบบนั้นอ่ะ ไม่ถามกันซักคำ"

"ก็... มันเป็นกลยุทธไงครับ" มึงไม่ต้องมาอ้างเลย "เรารบกวนให้คนเป็นหมื่นๆไปกดไลค์ให้เรานะ ก็ต้องตอบแทนอะไรเล็กๆน้อยๆให้เค้าบ้างดิ"

"เล็กน้อยบ้านพี่ดิ ไม่รู้อ่ะ ชาไม่ทำเด็ดขาด หัวเด็ดตีนขาดยังไงชาก็ไม่ทำ ต่อให้ผลคะแนนออกมาเป็นที่หนึ่ง ชาก็ไม่ทำ"

"แต่เราสัญญากับคนดูไปแล้วนะ เดี๋ยวพวกเค้าก็โกรธเอาหรอก"

"พี่พูดเอง ปัญหาของพี่ ไม่ใช่ปัญหาของชา"

"ต...แต่พี่ทำเพื่อชานะครับ ก็แค่หอมแก้มแป๊บเดียวเอง พี่ไม่ได้ให้ชาทำอะไรเสียหายซะหน่อย"

"................" มึงไม่ต้องมาตีหน้าเศร้าเลย กูไม่หลงกลมึงอีกแล้ว เอาจริงๆ กูจะโกรธมากกว่านี้ก็ยังได้เลย

"ชาอายมากเลยเหรอที่มีคนอย่างพี่เป็นแฟนอ่ะ มันน่าอายมากเลยเหรอที่จะทำเหมือนว่าพี่เป็นแฟนสักครั้ง.... ก็ได้ครับ พี่ขอโทษ พี่ผิดเองที่ทำให้ชาไม่พอใจ งั้นเดี๋ยวเรามาไลฟ์กันใหม่อีกรอบก็ได้ พี่จะสารภาพกับคนดูเองว่าพี่พูดเองเออเองฝ่ายเดียว ยังไงชาก็คงมีคนไปกดไลค์ให้อยู่แล้วแหละ ต่อให้พี่ไม่มาพูดอะไรแบบนี้ก็เหอะ...."

"...................." โอ๊ยยยยยย ไอ้พี่ตอง ไอ้บ้า ไอ้..... "ไม่ต้องไลฟ์แล้ว"

"ต้องไลฟ์ซิครับ เหตุการณ์มันเพิ่งจบไปเมื่อกี๊ พี่อาจจะยังแก้ตัวทันอยู่ก็ได้"

"บอกว่าไม่ต้องก็ไม่ต้องไง ช...ช่างมันเถอะ ก็สัญญาไปแล้วนิ ทำก็ได้" ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ากูต้องมายอมรับเงื่อนไขอะไรแบบนี้ "ชาไม่ได้อายซะหน่อยที่มีพี่เป็นแฟนอ่ะ ห้ามพูดแบบนี้อีกนะ"

"ครับ"

"ไม่ต้องมาทำหน้าเศร้าเลย แล้ววันหลังก็อย่าไปสัญญาอะไรซี้ซั้วแบบนี้อีกนะ ปรึกษาชาบ้างดิ เราเป็นแฟนกันนะ"

"ครับ ไม่ทำแล้วครับ"

"แต่ถ้าชาไม่เข้ารอบก็ไม่ทำนะ ตามนี้"

"ครับ"

"พาไปกินข้าวได้แล้ว หิว" ผมเดินนำออกจากห้องทันที ไม่รู้ว่าจะบอกว่าอารมณ์ไหนดีเลยตอนนี้........



------- ในความคิดของนายตอง--------

เสร็จกู!!!!!!!!!!!!!!!!
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 44 [ความอดทนที่มีค่า]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 28-02-2018 23:39:17
​ตอนที่ 44 : ความอดทนที่มีค่า







ตอนนี้ผมกำลังเก็บจานชามช้อนลงไว้ที่ของมันหลังจากที่พวกเรากินดื่มเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ณ บ้านของเพื่อนบ้านของผมซึ่งผมเองก็เพิ่งจะเคยเข้ามาครั้งแรก ไม่ได้มีแผนเลยว่าจะเข้ามากินที่นี่ กะว่าจะออกไปหาอะไรในห้างกินกับพี่ท๊อปแท้ๆ ดันตกกระไดพลอยโจรต้องมาอยู่ตรงนี้ซะงั้น แถมยังมารับรู้เรื่องราวแปลกๆของน้องลีดคณะตัวเองอย่างไอ้สุ่ยอีก

แต่ที่ผมยืนเก็บจานอยู่กับไอ้ตองตอนนี้ จะเรียกว่าอยู่ในแผนดีไหมนะ เพราะมันก็เป็นความต้องการของผมที่อยากจะปรึกษาอะไรบางอย่างจากมัน



"อ...เอ่อ...ตอง" พูดปรึกษาดีไหมน้า เขินที่จะพูดจัง

"มีไร" ไอ้ตองถามในขณะที่ยังหันหลังให้ผมทำหน้าที่เก็บจานฝั่งของตัวเองต่อไปเรื่อยๆ

"กูมีเรื่องจะปรึกษาอ่ะ" มีใครอยู่แถวนี้ไหมวะ ก็เรื่องที่จะพูดต่อจากนี้มันไม่ใช่อะไรที่ธรรมดาเลย

"เรื่อง?"

"คือ...." นี่กูจะปรึกษามันจริงๆเหรอวะ... หรือว่าไม่ควรพูดดี

"เป็นไรวะ" ไอ้ตองเริ่มสงสัย มันหยุดทำงานแล้วหันมาคุยกับผม "เรื่องสำคัญเหรอ"

"คือ...ถ้ากูถามเรื่องแบบว่า...เรื่องมึงกับไอ้น้ำชา แบบ... ลึกๆหน่อยอ่ะ มึงจะโกรธกูไหม"

"ลึก? แค่ไหนวะ"

"ก็เชิงลึกหน่อยไง" ทำไมมึงเข้าใจยากจังวะ

"..........." ยังจะงงอีก

"เห้อ.... ก็หมายถึงเรื่องที่มึงมีอะไรกันไง" สรุปคือกูต้องพูดออกมาจนได้ใช่ไหม

"ฮ่าๆๆๆ" หัวเราะทำไมวะ "เออ กูเข้าใจตั้งนานแล้ว"

"เอ้า เข้าใจแล้วยังจะให้กูพูดอีก ไอ้..."

"ก็แล้วทำไมมึงไม่พูดตรงๆวะ สมัยก่อนมึงเป็นคนตรงไปตรงมาจะตาย อยู่ดีๆก็จะเป็นคนขี้อายซะอย่างงั้น"

"มันใช่เรื่องที่พูดได้ง่ายๆซะที่ไหนวะ"

"มึงนี่เหมือนกับน้ำชาไม่มีผิด ไม่ยอมแสดงออกตรงไปตรงมา ไม่ใช่ทุกคนจะเข้าใจสิ่งที่อยู่ในใจมึงนะเว้ย"

"แล้วสรุปกูจะปรึกษามึงได้ยัง"

"อ่ะๆๆ ว่ามา ทำไม จะปรึกษาว่า? มึงทำเรื่องอย่างว่าไม่เป็นเหรอ"

"........" จะตอบดีไหมว่าใช่ "ก็... พวกมึงแซวกูอ่ะ กูก็... คิดมากดิ"

"คิดมากเนี่ยนะ ยังไงวะ ไม่มีอะไรกัน มันก็ไม่ได้แปลกนิ คนเรามันพร้อมไม่เหมือนกันนะมึง"

"สำหรับกูอ่ะ ไม่เท่าไหร่หรอก แต่ก็กลัวพี่ท๊อปเค้าจะอายอ่ะ จะมีคนมองว่าพี่เค้าเป็นไก่อ่อนเปล่าวะ"

"มึงตกลงเป็นแฟนกันแล้วเหรอ"

"......" ไอ้เรื่องนี้ก็เหมือนกัน เห้ออออ ไม่มีอะไรคืบหน้าสักอย่าง

"ทำหน้าแบบนี้แปลว่ายัง ใช่ไหม... มันก็ถูกแล้วนิ พี่ท๊อปเค้าจะไปอายได้ไงวะ เค้าก็ดูเป็นสุภาพบุรุษอย่างที่พี่เค้าเป็น ก็ถูกแล้ว" ไอ้ตองถอนหายใจให้ผมแล้วกล้บไปเก็บจานของมันต่อ

"แล้วทีไอ้สุ่ยกับไอ้น้องข้าวเจ้านี่อ่ะ"

"มึงจะบ้าเหรอ อันนี้มันเป็นเหตุไม่ปกติเว้ย จริงๆมันไม่ใช่เรื่องที่ถูก มันสองคนควรจะตกลงปลงใจเป็นแฟนกันจริงจังก่อน ไม่ใช่มาทำแบบนี้"

"แล้วมึงกับไอ้น้ำชาอ่ะ มีอะไรกันก่อนหรือหลังเป็นแฟนกัน"

"ก็...." ไอ้ตองคิด "หลังดิวะ"

"หลัง... หลังแค่ไหน?" ผมยังอยากรู้

"คืนเดียว เอ่อ... จริงๆแล้วก็ในวันที่ตกลงเป็นแฟนกันนั่นแหละ"

"หน่ะ ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหนเลย"

"แต่ยังไงกูก็ตกลงเป็นแฟนกันก่อน... แล้วที่มึงพูดมาทั้งหมดมันหมายความว่าไงวะ มึงอยากให้พี่เค้ามีอะไรกับมึงเหรอ หรือยังไง"

"ก็...ไม่รู้เหมือนกัน" ก็ไม่รู้จริงๆอ่ะ ไม่งั้นจะมาปรึกษาทำไม

"มึงกำลังสับสนนะรู้ไหม แต่กูว่าปัญหาสำคัญคือมึงต้องตอบคำถามตัวเองให้ได้ซะก่อนว่า มึงมั่นใจในตัวพี่ท๊อปแล้วหรือยัง มันไม่ใช่ว่าต้องมีอะไรกันแล้วมึงถึงจะมารู้สึกมั่นใจทีหลังนะเว้ย เพราะถ้าเกิดว่ามึงตัดสินใจผิดไป สิ่งที่มึงสูญเสียไปแล้ว มึงเรียกกลับมาไม่ได้นะ มึงอาจจะไม่โชคดีเหมือนไอ้น้องข้าวที่มันดันรู้สึกโอเคกับไอ้สุ่ยก็ได้... สรุปคือยังไง มึงรู้สึกอะไรกับพี่ท๊อปวะ ถ้ามันไม่ใช่มึงก็ควรพูดว่าไม่ใช่นะ ไม่ใช่ปล่อยให้พี่เค้ามีความหวังไปวันๆแบบนี้ พี่เค้ายังมีอนาคตและเรื่องที่ต้องรับผิดชอบอีกเยอะนะเว้ย"

"......" นี่กูคิดถูกหรือคิดผิดวะที่เลือกมาปรึกษามัน ทำไมกูยิ่งคิดหนักกว่าเดิมอีก

"เงียบ เอางี้ไหม เดี๋ยวกูไปบอกพี่ท๊อปให้ว่ามึงไม่โอเคกับพี่เค้า เดี๋ยวกูไปบอกให้เดี๋ยวนี้เลย พี่ท๊อปเค้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่โกรธมึงหรอก"

"เห้ย! ไม่ต้อง..."

"อ้าว ก็มึงไม่พูดอ่ะ เป็นกู กูก็ไม่เข้าใจในความรู้สึกของมึงเหมือนกันนั่นแหละ แล้วไง ห้ามกูแบบนี้คือไร ชอบพี่เค้า ใช่ไหม?"

"......"

"ไม่ตอบอีกละ..... เออ โอเค งั้นกูจะไปไล่พี่ท๊อปกลับเดี๋ยวนี้แหละ"

"เออๆๆๆ กูชอบ" ไอ้เพื่อนเวร มึงไม่คิดจะเข้าใจความรู้สึกกูบ้างเลยหรือไงวะ

"ชอบ? ชอบใครวะ พูดให้มันชัดเจนดิ"

"....." มึงจะเอาไงกับกูเนีย

"ยังจะเงียบอีก กูไปหาพี่ท๊อปจริงนะ มึงคิดว่ากูไม่กล้ารึไง"

"ไอ้.... เออ กูชอบพี่ท๊อป ชอบมากกกกกกด้วย มึงพอใจยัง" อยากจะกระโดดถีบไอ้เพื่อนเวรนี่จริงๆ ถ้าไม่ติดว่ามันตัวใหญ่กว่านะ กูจะไม่เลี้ยงเลย

"ก็แค่นั้นแหละ ยอมรับออกมาได้ซะที" อ้าว สรุปคือมึงแกล้งให้กูพูดเหรอ "แต่กูก็รู้อยู่แล้วแหละว่ามึงอะชอบพี่เค้า มึงดูนี่ แว่นตาเนีย พี่เค้าซื้อให้นะกูจำได้ ใส่อยู่ตลอดเวลาขนาดนี้ ยังจะมาทำเป็นปากแข็งอีก.... แหม หน้าแดงๆ ไอ้บุ๋นน้อยเอ๊ย ชอบก็บอกพี่เค้าดิ ไป ปากแข็งอยู่ได้ เดี๋ยวพี่เค้าก็หมดความอดทนกับมึงหรอก"

"ทำไมวะ ก็ถ้าพี่เค้าชอบกูจริง เค้าก็ควรจะอดทนดิ"

"มึงว่าทุกคนจะเหมือนน้ำชารึไง กูว่ากูเคยพูดเรื่องนี้กับมึงไปรอบนึงแล้วนะ ที่ห้องน้ำในร้านเหล้า จำไม่ได้เหรอ กูย้ำอีกทีนึงนะ กูอ่ะโชคดีที่น้ำชาแม่งโคตรอดทนในตัวกูมาได้ตั้งหลายปี แต่มึงจะมั่นใจได้ไงว่าพี่ท๊อปเค้าจะอดทนขนาดนั้น.... พี่เค้าไม่ดีกับมึงเหรอ หรือพี่เค้าทำร้ายมึง... ตอบแทนความปรารถนาดีของพี่เค้าบ้างก็ได้เพื่อน คนรออ่ะ บางทีก็ท้อเป็นเหมือนกันนะ คนดีๆอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ วันไหนพี่ท๊อปโดนสาวเกาหลีขาวสวยหมวยอึ๋มคาบไปแดกเมื่อไหร่ กูจะไม่ปลอบใจมึงเลย แถมจะสมน้ำหน้าด้วยซ้ำ"

"ก...กูต้องพูดจริงเหรอ ใช่เรื่องที่กูต้องทำเหรอวะ"

"หุ๊ กูขี้เกียจคุยกะมึงแล้ว มึงจะพูดไม่พูดก็เรื่องของมึงเหอะ ทำตัวเป็นผู้หญิงอยู่ได้ กูไปละ"

"เห้ยมึง เดี๋ยวดิ" ผมรีบคว้ามันไว้ ไอ้ห่า กูอุตส่าเห็นมึงเป็นที่ปรึกษานะเนี่ย "เออ เดี๋ยวกูหาจังหวะบอกก็ได้ แล้วเรื่องนั้นอ่ะ"

"เรื่องไหนอีกวะ"

"ก็... เรื่องอย่างว่าไง มันทำ... ยากเปล่าวะ"

"กูรู้แล้วว่าพี่ท๊อปไม่ได้ไก่อ่อนหรอก มึงนี่แหละตัวอินโนเซนส์เลย" ว่ากูอีกละ "เรื่องแบบนี้มึงต้องให้ใครมาสอนด้วยเหรอวะ มนุษย์ทุกคนมันควรจะมีสัญชาตญาณอยู่แล้ว... เอาเป็นว่าถ้ามันสำคัญกับมึงนัก มึงก็ขอมีอะไรกับพี่เค้าตรงๆไปเลย"

"เห้ย ได้ไงวะ มึงบ้าหรือเปล่า"

"ทำไมอ่ะ ตอนมีไรกับน้ำชาครั้งแรก น้ำชาก็เป็นคนออกปากเองนะ"

"จริงเหรอวะ!?" ไม่อยากจะเชื่อ

"ก็เออดิ แต่อย่างมึงเนี่ยนะ ขี้เขินแบบนี้ กูว่าชาติหน้ามึงก็ไม่พูดหรอก เอางี้ดิ วางยาแม่งเลย แอบใส่ไวอาก้าให้พี่ท๊อปกินแล้วล็อคบ้านดีๆนะ ถ้าพี่เค้ายังไม่ทำอะไรมึงอีก กูก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว"

"......." กูต้องทำขนาดนั้นเลยเหรอ

"หรือไม่นะ ​อันนี้ส่วนตัวนะอย่าไปบอกน้ำชา ​มึงลองแต่งตัวแบบว่า... ยั่วๆพี่เค้านะ ทำบรรยากาศโรแมนติกๆ ยังไงก็ไม่รอด เชื่อกู"

"โห๊ะ กูไม่น่ามาปรึกษามึงเลย" พูดแต่ละอย่าง มีแต่เรื่องน่าอายทั้งนั้น

"ก็ไม่รู้น้า... ก็แค่เตือนไว้ มึงเสียคนที่มึงชอบไปเมื่อไหร่ มาร้องไห้งอแงทีหลังแล้วจะรู้สึก"

"........." ทำไมต้องพูดให้กูคิดหนักอีกแล้ว

"กูกลับดีกว่า มึงโตแล้ว คิดเอาเอง" แล้วไอ้ตองมันก็เดินออกจากบ้านของไอ้น้องข้าวเจ้าไปจริงๆ

ส่วนผมก็ตามออกมาในที่สุด ทุกคนแยกย้ายกันกลับที่พักของตัวเอง ผมก็เหมือนกัน



ทันทีที่พี่ท๊อปตามเข้ามาในบ้าน พี่เค้าก็เก็บกวาดบ้านอย่างเช่นที่เคยทำทุกครั้ง ก่อนจะนำหนังสือออกมาอ่าน

ว่ากันตามตรงนะ ตั้งแต่พี่ท๊อปตัดสินใจว่านอนที่บ้านเช่าของผม (หมายถึงโซฟานอกห้องนะ) ผมดูเหมือนคนที่ทำตัวไร้สาระไปวันๆเลย บ้านช่องไม่เคยเก็บถ้าไม่มีอารมณ์ หนังสือไม่คิดจะหยิบขึ้นมาอ่านถ้าไม่ใกล้สอบ แต่พี่ท๊อปนี่ดิ สะอาดมากกกกก ขยันเรียนสุดๆ อ่านหนังสือไม่เคยขาด แต่ก่อนก็เคยสงสัยนะว่าเรียนเภสัชไปด้วยเป็นศิลปินฝึกหัดที่เกาหลรไปด้วยได้ยังไง แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว พี่เค้าทำตัวสมกับเป็นผู้ใหญ่จริงๆ แบ่งเวลาได้ไม่มีขาดตกบกพร่องเลย



"บุ๋นจะไปไหนอ่ะครับ"

"ไป...ไปซื้อสบู่" ผมโกหก จะให้บอกความจริงได้ไงว่าจะไปทำอะไร

"หมดแล้วเหรอ พี่ยังเห็นอยู่เลยนะ"

"เห็นได้ไงอ่ะ"

"ก็พี่ล้างห้องน้ำ" ลืมไปเลยว่าพี่เค้าทำทุกอย่างในบ้านจริงๆ

"อ...อ๋อ หมายถึงสบู่เหลวอ่ะ"

"ใช้สบู่เหลวด้วยเหรอ"

"ก็คิดอยากจะใช้ขึ้นมา ทำไมอ่ะ"

"งั้นเอาของพี่ไปใช้ก็ได้ อยู่ในห้องน้ำน่ะ ว่าแต่ จะอาบน้ำแล้วเหรอ นี่มันเพิ่งจะห้าโมงเย็นเองนะ"

"ก็รีบไปซื้อไว้ เดี๋ยวจะดึก" จะถามอะไรนักหนาวะ อ้าว แล้วจะลุกมาทำไม "จะไปไหนอ่ะ"

"ก็ไปเป็นเพื่อนบุ๋นไง"

"ไม่ต้องงงง" อย่านะ กูจะแอบไปซื้ออย่างอื่นด้วย "แค่ซื้อสบู่เอง จะขนกันไปทำไม"

"ต่อให้ซื้อไม้จิ้มฟันพี่ก็จะไปด้วย"

"เดี๋ยว.... ล... แล้วไม่อ่านหนังสือรึไง"

"พี่แค่อ่านทบทวน ไปเถอะครับ ไปๆ เดี๋ยวพี่ขับรถให้"

โอ๊ยยยยย จะบ้าตาย ผิดแผนหมด



สุดท้ายไอ้พี่ท๊อปก็ขับรถพาออกมาอยู่ดี

เอาไงดีวะกู แล้วแบบนี้จะกล้าซื้อของที่วางแผนไว้ได้ยังไง

"พี่ท๊อป เลี้ยวซ้ายๆ ขับไปห้างเลย"

"ห๊ะ แค่สบู่เหลว ซื้อที่เซเว่นก็ได้มั้ง"

"ก็... เผื่อไปเดินดูของอย่างอื่นด้วยไงเล่า เลี้ยวเร็วๆ"

"โอเคครับๆ"

เฮออออออออ ไปห้างได้ตามที่ต้องการแล้ว แต่หลังจากไปห้างนี่แหละทำไงดี และปลีกตัวออกไปยังไง คิดซิคิด อุตส่าเรียนมหาลัยมาถึงปีสองแล้ว ต้องรู้จักใช้สมองบ้าง.....





"พี่ท๊อป บุ๋นลืมกระเป๋าตังไว้ในรถอ่ะ เดี๋ยวกลับไปเอาก่อนนะ" ผมเริ่มแผนการทันทีที่เราเดินเข้ามาเลือกซื้อสินค้าในห้างได้สักพัก

"ไม่ต้องหรอกครับ ใช้เงินพี่ก็ได้" ว่าแล้วต้องพูดแบบนี้ แต่ก็ดี เป็นไปตามแผน

"มันมีบิลส่วนลดอยู่ในนั้นอ่ะ ตั้งสิบห้าเปอร์เซ็น เสียดาย จะหมดเขตแล้วด้วย"

"อ่าๆ ก็ได้ งั้นรออยู่นี่แหละ เดี๋ยวพี่ไปหยิบให้" เป็นไปตามแผนเป๊ะ

"ไม่ต้อง บุ๋นไปเองได้" เล่นตัวนิดนึง

"อยู่นี่แหละ พี่ไปเอง"

"อะๆๆ ไม่ต้องรีบมากนะ" เพราะกูจะต้องซื้อของก่อนสองสามอย่าง

ทันทีพี่ท๊อปพ้นไปจากสายตา ผมก็วิ่งซิครับ ตรงไปยังสิ่งที่จะซื้อเลย

ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยใช้เวลาในการซื้อของเร็วขนาดนี้เลย แถมของที่จะซื้อแม่งอยู่คนละขั้วโลกเลย เวลาเลือกก็ไม่มี แต่ช่างมันก่อนเถอะ เพราะต้องรีบกลับไปที่ขับเข็นอีก ทิ้งรถเข็นไว้ทั้งอย่างนั้น แต่คงไม่มีใครมาขโมยสินค้าที่ยังไม่ได้ชำระเงินหรอก

"........." เล่นเอาซะหอบแดกเลยกู แต่อย่าเพิ่งเหนื่อย เก็บของที่ซื้อมาให้กระเป๋ากางเกงก่อน เดี๋ยวพี่ท๊อปเห็น ดีนะที่เป็นของที่สามารถซ่อนได้ไม่ยาก



​"อ้าวท๊อป ไม่เจอกันนานเลย สบายดีนะ"

หึ!!

เสียงผู้หญิงที่ไหนมาร้องตื่นเต้นดีใจแถวนี้ คงไม่ได้กำลังหมายถึงพี่ท๊อปเดียวกับกูหรอกนะ

​เห้อ ท๊อปเดียวกันจริงด้วย

​หวังว่านี่จะไม่เหมือนฉากในละครหลายๆเรื่องนะที่แฟนเก่าของพระเอกบังเอิญเจอพระเอกแล้วนางเอกเห็นพอดี คิดเ-ี้ยอะไรของกูเนีย กูเป็นผู้ชาย จะเป็นนางเอกได้ไง

"สบายดีครับ" พี่ท๊อปตอบ ผมแอบดูอยู่หลังแฝงสินค้าเงียบๆ

"อย่าพูดจาห่างเหินแบบนั้นซิ เราสองคนก็...คนเคยๆกันอยู่"

ไอ้สัด นี่มันฉากในละครชัดๆ

ว่าแต่ผู้หญิงสมัยนี้มันยังไง กล้าพูดเกินไปหรือเปล่าวะ

"พูดแบบนี้ไม่ดีเลยนะครับดา ดาจะเสียหายได้นะถ้ามีคนมาได้ยินเข้า" ความสุภาพของคุณชายท๊อปนี่ก็คือถูกรักษาไว้อย่างดีตลอดเวลาจริงๆ

"ถ้ากลัวดาเสียหายก็รับผิดชอบดิ" อ้าว อีนี่

"ท๊อปไม่ขำกับมุกตลกแบบนี้นะครับ แล้วเรื่องของเรามันก็จบไปนานแล้วด้วย" ก็พอใช้ได้ ปฏิเสธคนอื่นเป็น "แล้วตอนนี้ท๊อปก็มีคนที่ชอบอยู่แล้ว" อึ้งไปเลยกู

"ดาล้อเล่น ท๊อปนี่จริงจังเหมือนเดิมเลยนะ แบบนี้ไง เราถึงต้องเลิกกัน ดาเองก็มีแฟนแล้วเหมือนกัน"

"อ๋อ ดีใจด้วยนะ แต่ท๊อปยังไม่มีหรอก แค่ตามจีบเค้าเฉยๆ"

"อย่างท๊อปเนี่ยนะต้องตามจีบ ผู้โชคดีคนนั่นเป็นใครน้า.... อุ๊ยโน่น แฟนดามาแล้ว งั้นเอาเป็นว่าไว้โชคดีครั้งหน้าเจอกันใหม่นะ แล้วก็... ถ้าเหงา จะโทรหาดาก็ได้นะ ดายังไม่เปลี่ยนเบอร์ ไปนะ บาย"

น่าถ่ายคลิปอิผู้หญิงคนนี้ไปให้แฟนมันดูจริงๆ แต่พอเห็นแบบนี้แล้ว ตอนแรกที่ยังลังเลว่าคืนนี้จะเอายังไงดี ตอนนี้มั่นใจขึ้นมากแล้วว่ายังไงก็ต้องทำ ขืนรอช้ากว่านี้ อาจจะโดนสาวๆที่ไหนก็ไม่รู้คว้าพี่ท๊อปไปอย่างที่ไอ้ตองเตือนไว้ก็ได้

หึยยย พี่ท๊อปเดินมาแล้ว



"ทำไมช้าจัง" ผมพูด ต้องสร้างสถานการณ์การให้เนียนไว้ก่อน

"พอดีไปเจอคนรู้จักอะครับ ก็เลยคุยกันนิดหน่อย" เออ เห็นแล้วล่ะ แต่มึงนี่ก็ไม่คิดจะโกหกซะหน่อยเลยเนาะ จะแสนดีไปถึงไหน ผู้หญิงคนนั้นก็โง่จัง เลิกกับพี่เค้าได้ไง ผู้ชายที่ทั้งหล่อ ฉลาด ขยัน สุภาพบุรุษ สะอาดสะอ้านแบบนี้ แถมอนาคตไกล นี่มันผลงานมาสเตอร์พีซชัดๆ "นี่ครับกระเป๋า"

"อ...อ๋อ ขอบคุณครับ" ผมรับมาแล้วเปิดหาใบคูปองส่วนลด โชคดีนะที่จังหวะว่ามีคูปองอยู่จริงๆ "นี่ไงเจอแล้ว... ไปเดินดูฝั่งเครื่องครัวกันเถอะ"

"บุ๋นดูเป็นเหรอ" พี่ท๊อปดูจะแปลกใจ

"ไม่เป็น แต่พี่ท๊อปมาด้วยแล้วนิ พี่ท๊อปก็เลือกดิ"

"ถ้าบุ๋นทำครัวไม่เป็นก็ไม่จำเป็นต้องซื้อก็ได้นะ ของที่มีอยู่ก็พอทำได้ ซื้อไปจะเปลืองซะเปล่าๆ"

"ก็ซื้อให้พี่ท๊อปนั่นแหละ ต้องใช้ทำอีกนาน ทำไม จะเลิกกับบุ๋นแล้วงะ"

"หือ!?"

เออ ตามที่พูดนั่นแหละ แย็บหมัดแรกไปก่อน แต่ตัวผมไม่อยู่คุยต่อแล้วนะ รีบเดินดีกว่า ยังไงก็รู้สึกเขินๆที่ต้องพูดอะไรแบบนี้อยู่ดี.......





นี่กูจะทำแบบนี้จริงๆเหรอวะ

กูจะตายไหมเนี่ยงานนี้

เอาวะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว

ผมค่อยๆเปิดประตูห้องนอนออกไปเพื่อมองใครบางคนซึ่งยังมัวแต่พิมพ์งานในโน๊ตบุ๊คอยู่ที่โซฟาในค่ำของวันที่มีเรื่องราวมากมายมาท้าทายการตัดสินใจของผม



"พี่ท๊อป" ผมตัดสินใจเรียกในที่สุด แต่ก็โผล่ไปแค่หัวนะ

"ครับ" ไม่หันมามองกูเลย งานอะไรวะ สำคัญนักหรือไง นี่รู้ไหมว่ากูเตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้มาลำบากลำบนแค่ไหน

"อาบน้ำยังอ่ะ" พยายามตั้งคำถามให้ไอ้โอ้ปป้านั่นสงสัยให้ได้

"อาบแล้วซิครับ ก็ใส่ชุดนอนแล้วนี่ไง มีอะไรเหรอ ถ้าจะให้ขัดห้องน้ำขอเป็นพรุ่งนี้ได้ไหม พี่ไม่อยากเหงื่อออกแล้ว"

โอ๊ยยยย อะไรของมึงเนีย หันมาสนใจกูหน่อยดิ เดี๋ยวกูก็หมดอารมณ์ก่อนหรอก "ป,,,เปล่า แค่จะบอกว่านอนได้แล้ว"

"บุ๋นนอนก่อนเลยครับ พี่ต้องรวมผลแล็บสมุนไพรก่อนครับ อาทิตย์นี้ต้องส่งแล้ว เดี๋ยวจะไม่ทันก่อนไปเกาหลี"

กูเอ๊ยยยยยยยยยย

ทำไมมึงถึงเป็นคนไม่มีเซนส์ขนาดนี้วะ กูกำลังจะเปิดช่องให้อยู่แล้วเนีย

เอาไงดีๆๆ

'ตอนมีไรกับน้ำชาครั้งแรก น้ำชาก็เป็นคนออกปากเองนะ'​ ​อะไรบางอย่างทำให้คำพูดเมื่อตอนบ่ายของไอ้ตองแว๊บเข้ามาในหัว ​หรือว่าจริงๆกูควรจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อนวะ

​เออ ก็ได้วะ เริ่มก่อนก็เริ่มก่อน

ออกไปทั้งอย่างนี้แหละ ถ้าไอ้พี่ท๊อปยังไม่เข้าใจความหมายนี้อีก มันก็ไม่ควรเรียนเภสัชมาจนถึงปีสามหรอก



"พ...พี่ท๊อป"

"ครับ.... ​เห้ย" เออ มองมาซะที

ก็เพราะในที่สุดผมก็ตัดสินใจเดินออกมาจากห้องนอนตัวเองเพื่อมายืนอยู่ใกล้ๆพี่ท๊อป พร้อมกับสวมใส่ชุดนอนลักษณะเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ แต่บางมากกกกก บางเฉียบจนกระทั่งเห็นทุกอย่างภายใต้ร่มผ้าเกือบจะชัดเจน แถมยังติดกระดุกแค่เม็ดสองเม็ดอย่างจงใจ แต่ผมก็มีอันเดอร์แวร์นะ ไม่ได้โป๊ขนาดนั้น ถึงกางเกงในจะเป็นสีขาวบางๆก็เถอะ

"ท...ทำไมแต่งตัวแบบนี้อ่ะ" พี่ท๊อปแทบจะตาถลน เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกเลย พี่เค้าทำตัวไม่ถูกเลย ได้แต่ลุกยืนขึ้นมาทำท่าลุกลี้ลุกลน

"ก็ชุดนอนอ่ะ ไม่ชอบเหรอ" นี่กูกำลังทำเสียงกระเส่าอยู่ใช่ไหม หวังว่าคงไม่มีใครแอบถ่ายคลิปอยู่แถวนี้นะ เพราะกูคงจะฆ่าตัวตายทันทีถ้าคนภายนอกรู้เข้า

"........." คนตรงหน้าผมไม่ตอบอะไร แต่กลืนน้ำลายเฮือกใหญ่อย่างชัดเจนพร้อมกับเลียริมฝีปากออกมาโดยที่ไม่น่าจะรู้ตัว

"ค...คืนนี้...เข้าไปนอนกับบุ๋นหน่อยได้ไหมอ่ะ" เอาวะ ไหนๆกูก็ทำมาขนาดนี้แล้ว อ่อยมันให้สุด ผมพยายามเข้าไปใกล้พี่ท๊อปมากขึ้นไปอีก

"........" ก็ยังไม่มีคำตอบอะไรจากคนตรงหน้า ไม่รู้ว่าช็อกหรืออึ้งหรือกำลังคิดอะไรกันแน่

"นะครับบบบ" กูทำถึงขนาดนี้แล้วนะ ตอบสนองอะไรบางดิ

แล้วในที่สุดก็เหมือนจะได้ผล

พี่ท๊อปก้าวเท้าอย่างเงียบเฉียบและอ้อยอิ่งเข้ามาหาร่างกายที่แทบจะเปลืองโป๊ของผม เพียงก้าวเดียวเท่านั้นที่ลมหายใจของพี่เค้ากระทบเข้าที่ปรอยผมหน้าม้าของผม จากนั้นมือทั้งสองข้างที่อบอุ่นก็จับสัมผัสเบาๆลงที่ไหล่ทั้งสองข้าง

​มันกำลังจะเกิดขึ้นจริงๆแล้วใช่ไหม

​ตอนนี้ผมรู้เลยว่าตัวผมเองหายใจไม่เป็นส่ำ หัวใจเต้นแรงจนแทบจะกระตุกไปทั้งตัว

ลมหายใจของพี่ท๊อปที่ทั้งสะอาดและอ่อนโยนกำลังเข้ามาใกล้ใบหน้าของผมขึ้นไปเรื่อยๆ ผมรู้ในทันทีว่าร่างกายของเราสองกำลังจะสัมผัสกันในแบบที่ล้ำลึกมากขึ้น

ผมหลับลง แต่กลับรู้สึกชัดเจนว่าบางอย่างกำลังเข้ามาใกล้ที่ใบหน้าของผม

​เค้าจะจูบเราจริงๆแล้วซินะ



........................... แต่แล้วสัมผัสมันกลับไม่ใช่อย่างที่คาดเอาไว้ ริมฝีปากอิ่มหนาไม่ได้แตะลงที่ริมฝีปากของผม มันประทับลงบนเปลือกตาของผม อย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน ก่อนจะจากไป

ผมค่อยๆลืมตาขึ้นด้วยฉงนสงสัย เงยหน้ามองคนตรงหน้าเล็กน้อย

พี่ท๊อปกำลังยิ้ม และสุดท้ายก็ถอยห่างออกไปจากผม

​อะไรอ่ะ พี่เค้าถอยไปทำไม จะไม่ทำอะไรเหรอ หรือว่าจะถอยไปเพื่อเตรียมตัวเองให้พร้อม

​ผมถามตัวเองอยู่ได้ไม่นาน ในที่สุดผมก็ได้คำตอบ....

พี่ท๊อปหยิบผ้าห่มบนโซฟาที่พี่เค้าใช้ห่มนอนในทุกๆวันขึ้นมาปกคลุมร่างกายของผมไว้ให้มิดชิด



​ตุ๊บ



ในหัวของผมมันว่างเปล่าจนพลอยให้ร่างกายขาดการควบคุมไปด้วย จึงเผลอทำของบางอย่างหล่นจากมือ

พี่ท๊อปก้มลงไปหยิบมันขึ้นมา



"ไวอาก้า?"

ห๊ะ!!

สติผมถูกเรียกกลับมาแล้ว นี่กูเผลอทำไวกาอ้าที่ซื้อมาหลุดมือไปเหรอ กะเอาไว้ใช้เป็นแผนสองแท้ๆถ้าหากแผนการอ่อยด้วยชุดนอนบางๆไม่ได้ผล

ซวยละกู

"ทำไมบุ๋นถึงมีไวอาก้าล่ะ"

"ค...คือ...." ข้ออ้างในโลกนี้ ไม่มีอะไรที่สามารถนำมาใช้ในสถานการณ์นี้ได้เลย

"อย่าบอกนะว่าบุ๋นจะกินมันอ่ะ"

"ป...เปล่า" หืออออ อายจนรู้สึกเหมือนจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว "บุ๋นเอามา... ให้พี่" สุดท้ายกูก็แพ้ภัยตัวเองและพูดความจริงออกไป

"ให้พี่?.... อ๋อ พี่เข้าใจแล้ว บุ๋นทำแบบนี้ทำไมครับ ทำไมถึงต้องอยากให้พี่ทำอะไรกับบุ๋นด้วยอ่ะ"

"ก็..." ตอนนี้แหละที่ความกล้าทั้งหมดมันถูกกำจัดไปจนสิ้น ความอับอายเข้ามาแทนที่และผมก็ก้มหน้า จับผ้าห่มกระชับร่างกายไว้แน่น "บุ๋น...กลัวว่าพี่จะเบื่อบุ๋นก่อนอ่ะ แล้วหมดความอดทนกับบุ๋น เพราะงั้น..."

"ก็เลยแต่งตัวออกมายั่วพี่แบบนี้ พร้อมกับจะวางยาพี่ด้วย"

เอาล่ะ ตอนนี้น้ำตาไหลออกมาจริงๆแล้ว

น่าอายชะมัด โคตรไม่มีศักดิ์ศรีเลย ทำไมกูถึงได้ตัดสินใจทำอะไรแบบนี้นะ

​"บ...บุ๋น ไม่ต้องร้องไห้นะครับ" พี่ท๊อปเข้ามากอดผมไว้พร้อมเขย่าตัวผมนิดหน่อยเหมือนปลอบเด็กทารก "พี่ไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย ไม่เป็นไรนะ"

"แต่..."

"ก็บอกว่า ไม่เป็นไรไง จริงๆมันก็ได้ผลนะ ได้ผลสุดๆเลยแหละ" พี่ท๊อปจับมือของผมไปสัมผัสกับจุดยุทธศาสตร์เบื้องล่างของพี่เค้า ซึ่งมันทั้งพองโตและเต้นตุ๊บๆเหมือนอยากผงาดออกมาเต็มแก่ ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องลามกสุดๆ แต่ในอารมณ์ตอนนี้ พี่ท๊อปคงทำทุกอย่างเพื่อทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น

"แล้วทำไม..."

"ก็บุ๋นเป็นตัวจริงนี่นา" หมายความว่าไง "เป็นคนที่พี่เลือกแล้วจริงๆ พี่จะไม่ทำเรื่องไม่ดีกับบุ๋นแน่นอน จนกว่าพี่จะขออนุญาตจากครอบครัวของบุ๋นก่อน"

"ห๊ะ?"

"ใช่ครับ บุ๋นฟังไม่ผิดหรอก.... ตลอดสองสามเดือนที่ผ่านมา พี่ได้เจอกับอะไรมากมายเต็มไปหมด ได้เห็นว่าในโลกนี้ยังมีคนที่อดทนกับความรักได้ถึงแปดปีอย่างน้ำชา ได้เห็นความพยายามที่เจ้าตองและน้ำชาต่อสู้กับครอบครัวของทั้งสองฝ่าย และรับรู้เรื่องการยอมรับคนรักโดยไร้เงื่อนไขของเจ้าต้อมที่ไม่ยอมปล่อยมือน้องน้ำขิงไปทั้งๆที่อาจเจอเข้ากับโรคร้าย ที่สำคัญก็คือวันนี้ พี่ได้เห็นแล้วว่าการที่สุ่ยทำอะไรลงไปด้วยความผิดพลาดและไม่ให้เกียรติคนอีกคน มันรู้สึกแย่แค่ไหน.... พี่อยากให้คนรักของพี่เป็นคนที่พิเศษที่สุด ไม่ด่างพร้อย ได้รับการให้เกียรติ ได้มาอย่างถูกต้อง เพราะงั้น ไม่ต้องห่วงว่าพี่จะหมดความรู้สึกดีๆกับบุ๋นไปนะ พี่รู้สึกดีอยู่ทุกวัน ทุกๆวินาทีเลย บุ๋นจะต้องเป็น... ความอดทนที่มีค่าที่สุดของพี่"

"พ...พี่ท๊อป" ทำไมพี่ถึงสามารถรักคนอย่างบุ๋นได้ขนาดนี้นะ ทั้งๆที่บุ๋นไม่ได้ทำอะไรที่ดีให้กับพี่เท่าไหร่เลย

ตอนนี้ผมไม่อายอะไรแล้ว ผมกอดพี่เค้าไว้แน่นอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนกับใคร

"เข้าใจพี่แล้วนะครับ"

"ครับ"

"ส่วนเรื่องไวอาก้า... รู้ไหมว่ามันอันตราย อย่างพี่ไม่ต้องพึ่งพาของแบบนี้หรอก  นะ"

"ค...ครับ" น่าอายชะมัดเลยกู แต่ก็ตลกตัวเองชะมัด ไม่น่าคิดทำอะไรแบบนี้ขึ้นมาได้เลย วางแผนซะดิบดี "เห้ย!! พี่ท๊อปทำไรอ่ะ ไหนบอกจะไม่ทำไรบุ๋นไง" จู่ๆผมก็โดนไอ้พี่ท๊อปอุ้มขึ้นมา อย่างกับจะอุ้มเจ้าสาวเข้าเรือนหอ ไหนมึงบอกว่ากูเป็นคนพิเศษไง

"ก็จะพาแฟนเข้าไปนอนในห้องไง ได้เข้าไปนอนด้วยกันซะที อดทนมาตั้งนาน"

"แล้ว... แล้วแล็บอ่ะ ไม่ทำแล้วเหรอ"

"ใครจะไปมีสมาธิทำได้ล่ะ มีคนเสนอตัวมาให้กอดแบบนี้ จะปล่อยไปได้ไง"

"เดี๋ยว... ปล่อย... นี่บุ๋นไม่ใช่ผู้หญิงนะ"

ไม่ทันละ นี่กูไม่ได้ตัวเล็กนะ แต่ไอ้พี่ท๊อปแม่งแข็งแรงชิบหาย ออกกำลังกายมายังไงวะ อุ้มกูเข้าห้องนอนอย่างกับกูเป็นปุยนุ่นเลย

ทันทีมาถึงเตียง ผมก็ถูกจัดแจงให้ซ่อนเรือนร่างของตัวเองไว้ใต้ผ้าหุ่มนวมผืนหนา ก่อนที่คนที่จัดการทุกอย่างจะเข้ามาอยู่ในผ้าผืนเดียวกัน

และนี้คือคำพูดสุดท้ายก่อนนิทรามาเยือน....



"ฝันดีนะครับ น้องแว่น"
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 01-03-2018 07:45:35
โอ๊ยยยยยยยย.............พี่ท๊อป หล่อในสามโลกเลย     :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 45 [ขีดจำกัด]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 03-03-2018 21:18:40
​ตอนที่ 45 : ขีดจำกัด







"มึงไหวแน่นะ"

"ไหวดิวะ กูไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น"

"เออๆ พร้อมนะ.... สาม สอง หนึ่ง ​เริ่ม​.... สวัสดีครับผมต้อมครับผมมม"

"ชาครับ" เป็นการยิ้มที่ต้องพยายามฝืนความเหนื่อยมากที่สุดตั้งแต่เคยทำมาเลย ทั้งเหนื่อยทั้งล้า

นี่เป็นเวลาสี่ทุ่มของคืนวันพฤหัสฯ คืนที่สามของสงครามโลกออนไลน์อันแสนเหน็บเหนื่อย

หลังจากการเรียนทั้งวัน หลังจากการช่วยงานที่โรงพยาบาล หลังจากการสอนพิเศษให้พี่ๆวิศวะ และยิ่งช่วงนี้ที่มีแต่คนเข้ามาขอจับมือและถ่ายรูปไม่เว้นว่าง ตอนนี้ผมกำลังถ่ายทอดสดผ่านเฟสบุ๊คหลังจากกิจกรรมทั้งหมดที่พูดมา เอาจริงๆก็คือ ผมทำแบบนี้มาสามวันติดแล้ว เพราะไม่ใช่แค่ว่าผมพยายามทำให้ตัวเองอยู่ในกระแสนะ ผมพยายามทำให้เพื่อนๆอย่างไอ้ต้อม ไอ้สุ่ย ไอ้ข้าว และเกตุ ถูกสนใจไปพร้อมๆกัน ยังไงผมก็ยังสำนึกว่าทุกๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ที่ทำให้ผมมาถึงจุดนี้ได้ ก็เพราะมีคนเหล่านี้คอยอยู่เคียงข้าง การสนับสนุนที่ได้มาทั้งที่เป็นเรื่องบังเอิญและตั้งใจ มันทำให้ผมผูกพันกับพวกเค้า ซึ่งถ้าหากเราทุกคนไปต่อด้วยกันได้ ก็คงวิเศษที่สุด อาจจะเหนื่อยหน่อย แต่ร่างกายนี้ยังไหวอยู่แน่นอน

สำหรับคิวของวันนี้คือการไลฟ์รอบดึกร่วมกับไอ้ต้อม เป็นการถามตอบกับคนที่เข้ามาชมและพูดถึงความเป็นเพื่อนของผมกับมัน แต่เมื่อกลางวันก็มีไปร่วมเต้นกับเกตุนะ อย่าเรียกว่าร่วมเลย เรียกว่าให้เกตุสอนให้ดีกว่า เมื่อคืนที่ผ่านมาก็ไปเป็นแขกรับเชิญในรายการครัวคุณข้าว(ไอ้สุ่ยมันตั้ง) กว่าจะเสร็จก็ดึกเลย ตั้งแต่มีสงครามไลฟ์สดมาผมแทบจะไม่ได้พักผ่อนเลย สาเหตุหนึ่งที่การพักผ่อนของผมน้อยลงก็เพราะผมต้องรีบตื่นเช้ามาซ้อมเต้นเสมอ ผมไม่ได้เกิดมาพร้อมพรสวรรค์อย่างที่ทุกคนคงรู้ดี ดังนั้นการหยุดไปนานๆอาจจะทำให้ผมขาดความพร้อมได้

​พักบ้างเถอะครับ พี่เป็นห่วง​  นี่เป็นคำพูดสุดฮิตของพี่ตองในช่วงสัปดาห์นี้เลย ผมก็เข้าใจนะว่าเป็นห่วง แต่ในขณะที่ทุกคนพยายามอย่างหนักเพื่อการเข้ารอบต่อไปจะให้ผมมานั่งนิ่งเฉยอยู่ได้ยังไง นี่ยังดีนะที่พี่ตองเอางานวิจัยที่ผมควรจะต้องทำให้แปลให้บ้าง เพราะจู่ๆทางวารสารวิชาการก็มีเอกสารวิจัยปริมาณมหาศาลเข้ามา จนต้องบังคับนักวิจารณ์ทั่วโลกส่งงานวิจารณ์เป็นทิวแถว ถ้าผมเดาไม่ผิดก็คงเพราะว่า ค่ายโอลิมปิควิชาการเพิ่งจะสิ้นสุดไป เหล่านิสิตและคณาจารณ์จึงได้มีผลงานมากมายออกตีพิมพ์ แต่ยังไงทุกคืน(หมายถึงดึกมาก)ผมก็ต้องกลับไปเขียนงานวิจารณ์เองอยู่ดี

เพราะงั้นตอนนี้ มีแบตเตอร์รี่เท่าไหร่ เอาออกมาใช้ให้หมด



".....และก่อนจะจากกันวันนี้นะครับ เรามีเพื่อนหนึ่งคนม่แนะนำ น้ำขิงคร้าบบบ" ไอ้ต้อมแนะนำแฟนของตัวเองให้เข้ามาในกล้องในช่วงสุดท้ายของการไลฟ์

"สวัสดีครับ ขิงครับ" แล้วขิงก็เข้ามาในกล้อง

"เพื่อนชาครับ" ไอ้ต้อมส่งมาหาผมเพื่อให้ผมพูดถึงการแนะนำขิงตามที่ตกลงกันไว้ "ตอนนี้คนดูน่าจะสงสัยว่าทำไมน้ำขิงกับน้ำชาถึงได้หน้าตาคล้ายกัน มีอะไรอยากจะบอกคนดูไหมครับ"

หน้าที่ต่อไปก็คือผมตอบ "อ๋อครับ คือ ผมกับขิงเป็น...อุ!!!!" จู่ๆก็เกิดอาการแปลกๆขึ้นตัวของผม

"เพื่อนชาครับ" ไอ้ต้อมงงและพยายามให้ผมเล่าให้คนดูฟัง แต่ผมกลับรีบส่งสัญญาณบอกมันว่า ​มึงพูดเลย​ ก็เพราะจู่ๆผมก็เกิดรู้สึกคลื่นไส้แบบกระทันหันเหมือนมีของเหลวปริมาณมหาศาลเดือดพล่านอยู่ในหน้าอกและลำคอ

พี่ตองที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่หลังกล้องทำท่าทางว่าจะเข้ามาช่วย แต่ผมรีบยกมือห้ามไว้ ผมไม่อยากให้ทุกอย่างพังเพราะผม ต้องกลืนความพะอืดพะอมนี้ลงไปก่อนให้ได้

"น้ำขิงกับน้ำชาเป็นลูกพี่ลูกน้องกันนั่นเองครับ" ไอ้ต้อมแก้สถานการณ์ให้ ผมพยายามสูบลมหายใจช้าๆ "ถึงหน้าตาจะเหมือนกันแต่นิสัยต่างกันสุดๆเลยนะครับ  และที่แนะนำน้ำขิงให้ทุกคนรู้จักในวันนี้ก็เพราะว่า ปีนี้น้ำขิงได้รับคัดเลือกให้เป็น Stand Controller นั่นเองครับ แล้วอะไรคือ Stand Controller เอ่ย เดี๋ยวเราให้... น้ำขิงพูดให้ฟังก็แล้วกันนะครับ"

"ชาไหวไหม​" แทนที่ขิงจะคุยกับกล้อง กลับมาห่วงใยผมแทน

"ไม่เป็นไรๆ แค่สะอึก" ผมโกหก "ขิงตอบคนดูก่อน" ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่ลมในท้องดันพลังงานบางอย่างขึ้นมาอีกละรอก ผมจึงจำเป็นต้องกดมันไว้จนเจ็บแน่นที่หน้าอกไปหมด ​โคตรทรมานเลย

"Stand Controller ก็คือคนที่คอยควบคุมรูปแบบการแปลอักษรและให้จังหวะกับคนที่อยู่บนสแตนเชียร์ครับ ซึ่งจะมีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น โดย...." ขิงอธิบายไปเรื่อยๆ

"หน้ามึงซีดแล้วนะ​" ไอ้ต้อมหลบหลังขิงมากระซิบกับผม "​พอก่อนดี... เห้ย!!"

"ชา"

"อัวววววววววววววววววววววววววววววววววว" ในที่สุดความอดกลั้นของผมก็มาถึงขีดจำกัด ร่างกายของผมตอบสนองต่อความผิดปกติที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ผมแสบคอและเจ็บหน้าท้องไปหมด ไปรู้ว่าผมอ้วกออกมามากแค่ไหน แต่มันช่างรู้สึกนานจนจะทนไม่ได้อยู่แล้ว 

​ไม่ได้ๆ

​เรียกสติตัวเองกลับมา แก้ตัวกับคนดูก่อน เล่นมุกขำๆหรืออะไรก็ได้ เราจะต้องไม่แสดงภาพลักษณ์อ่อนแอแบบนี้

"ขอโทษครับทุกคนผมแค่..."







​ติ๊ด

​ติ๊ด​

​ติ๊ด​

​ติ๊ด​

​ติ๊ด​

​ติ๊ด​

เสียงอะไรอ่ะ....

ทำไมจมูกได้กลิ่นอะไรเย็นๆ สดชื่นจัง....

สบายจังเลย....

​หึ!!!!

นี่ที่ไหนวะ?

สายอะไรระโยงระยางเต็มตัวไปหมดเลย



"สุ่ย!! ชาฟื้นแล้ว" ใครพูดเนีย

​อ้าว ไอ้ข้าวนี่หว่า ไอ้ข้าวมาอยู่นี่ได้ไง

​"ชาๆ เป็นไงบ้าง ไม่ต้องๆ อย่าลุกขึ้นมา" ไอ้ข้าวห้ามผมไว้

"มึงโอเคไหมเพื่อน" ไอ้สุ่ยเข้ามาอีกคน

"เกิดไรขึ้นอ่ะ" ผมทั้งตั้งคำถามและพยายามตั้งสติ มองซ้ายมองขวาว่าผมอยู่ที่ไหน

"มึงสลบไปอ่ะ" ​ห๊ะ! ​ไอ้ข้าวพูดว่าอะไรนะ

"ถึงขั้นน็อคเอ้าท์เลยเหรอวะ" มึงอย่าเพิ่งแซวกูได้ไหมไอ้สุ่ย กูยังงงๆอยู่เลยเนีย "ตอนนี้มึงอยู่โรงบาล ไม่ต้องห่วง หมอบอกว่าไม่เป็นไรมาก มึงทำงานหนักแล้วก็พักผ่อนน้อย"

เวรกรรม ที่แท้เรื่องมันก็เป็นแบบนี้นี่เอง

สุดท้ายก็เป็นแบบนี้จนได้ น่าผิดหวังกับตัวเองชะมัด

"แล้ว... พี่ตองอ่ะ" ผมถาม

"พี่ตองลงไปซื้อกาแฟ" ไอ้ข้าวตอบ "พี่เค้าเฝ้ามึงทั้งคืนอ่ะ ยังไม่ได้นอนเลย"

"ทั้งคืน? ตอนนี้กี่โมงแล้วอ่ะ"

"เจ็ดโมงเช้า ขิงกับต้อมก็เพิ่งกลับไปอาบน้ำที่หอ เดี๋ยวสักพักก็คงมา พวกนั้นโทรให้กูกับสุ่ยมาอยู่เป็นเพื่อนพี่ตองอ่ะ จริงๆให้มาอยู่ปลอบใจพี่เค้ามากกว่า พี่ตองเครียดทั้งคืนเลย"

จริงดิ



"ชา​" นั่นเสียงพี่ตองนี่นา

"พ..พี่ตอง" ทันทีที่พี่ตองเห็นผมก็ถลาเข้ามากอดเร็วอย่างกับหายตัวได้ แต่ตอนนี้ "พี่ตอง ชาอึดอัด"

"อ... อ๋อ ขอโทษครับ ขอโทษที" นั่นพี่ตองร้องไห้เหรอ ไม่เคยเห็นว่าก่อนเลย แต่ก็ยิ้มและหน้าเครียดและร้องไห้ ทุกอารมณ์พร้อมๆกันเลย

"เอ่อ... กูกับข้าวเจ้าขอตัวไปเรียนก่อนก็แล้วกันนะ" ไอ้สุ่ยคงคิดว่าเป็นการขัดเขินหากมันกับแฟนยังยืนอยู่ตรงนี้ "ไงก็พักผ่อนเยอะๆนะเพื่อน ไปเถอะ... ข้าวเจ้า ทำไรอ่ะ​"

"เปล่าๆ แค่เอาดอกไม้ใส่แจกัน" ไอ้ข้าวตอบ มึงนี่ก็เนาะ ยังจะอุตส่าหาดอกไม้มาเยี่ยม "งั้น...ขอตัวก่อนนะ ดูแลตัวเองดีๆนะมึง หวัดดีครับพี่ตอง"

ไอ้สุ่ยกับไอ้ข้าวเดินออกจากห้องพิเศษของโรงพยาบาลไปในที่สุด



"ชารู้สึกเป็นไงบ้าง" พี่ตองจับมือผมทันที ตอนนี้เองได้รับรู้ว่าความอบอุ่นจากผิวกายของพี่เค้าเป็นของจริงเสมอ นอกจากสายอ๊อกซิเจนที่จมูก ก็มีพี่ตองนี่แหละที่เป็นเหมือนแหล่งพลังงานสำคัญของการฟื้นตัว "ยังเวียนหัวอยู่ไหมครับ"

"ไม่แล้วครับ" ผมตอบ "แล้วไลฟ์เมื่อคืนเป็นไงบ้างครับ พังพินาศต่อหน้าตัวดูแน่ๆเลย"

"ชายังจะสนใจเรื่องนั้นอีกเหรอ พี่ไม่ชอบเลยที่ชาทำร้ายตัวเองขนาดนี้" ผมโดนเอ็ด

"ก็มันเป็นความฝันของชานี่นา คนอื่นๆเค้ายังทำกันได้เลย"

"แต่คนอื่นๆไม่ได้ฝืนทำทุกอย่างแบบนี้นะครับ ชาทั้งเรียน ทั้งสอน งานส่วนตัวก็มี แถมยังซ้อมเต้นไม่หยุดหย่อน ชาต้องห่วงสุขภาพของตัวเองบ้างนะ พี่จะไม่ยอมให้ชาทำอะไรแบบนี้อีกแล้ว จะเป็นหรือไม่เป็นลีดมหาลัย พี่ก็ไม่ขอทนเห็นชาทำแบบนี้อีกแล้ว"

"พูดแบบนั้นได้ไงเล่า นี่มันเป็นเป้าหมายของชานะ"

"นั่นเป็นเป้าหมายของชาจริงเหรอ" พี่ตองนั่งลงที่เก้าอี้โซฟาข้างเตียงก่อนจะเอาแก้มของพี่เค้ามาคลอเคลียที่มือของผมไปมา ใบหน้าของพี่ตองมีน้ำมันเล็กน้อยและตาโรย สภาพแบบนี้ไม่ได้นอนจริงๆซินะ เสื้อผ้าก็ใส่ชุดเมื่อคืนนี้ "ไม่ใช่เพราะตอนแรกชาอยากจะอยู่ใกล้ชิดกับพี่เหรอถึงได้ตั้งเป้าแบบนั้น ตอนนี้เราเป็นแฟนกันแล้วนะ ไม่เห็นต้องจริงจังกับเรื่องลีดขนาดนั้นเลย แม่ชาก็อุตส่าฝากเด็กน้อยน่ารักคนนี้มาให้พี่ดูแลแล้ว ทำไมถึงดื้อนักละครับ"

"จะให้ชาคิดแบบนั้นได้ยังไง ทั้งหมอพิชิตที่มอบจิตวิญญาณของผู้นำเชียร์มาให้ พี่ชมพู่ที่ตั้งใจสอนเด็กกะโปโลอย่างชา พี่หนุงที่ให้ความรู้ในสิ่งที่ชาไม่เคยคิดว่าจะมี ยังไม่รวมโอกาสจากพี่ท๊อป การสอนจากพี่บุ๋น กำลังใจจากไอ้ต้อมและคนที่คอยเชียร์ชาอยู่อีกมากมายเพื่อให้ชาคว้าเป้าหมายมาให้ได้ ชาทรยศคนเหล่านี้ไม่ได้หรอกนะ"

"แต่มันคุ้มเหรอครับกับการที่ชาต้องมาเข้าโรงพยาบาลแบบนี้"

"โลกใบนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆหรอก อย่าลืมซิ กว่าชาจะได้ใจพี่ตองมายังต้องเสียเวลาไปตั้งแปดปีเลยเห็นไหม ยอมโดนเกลียด ยอมโกหก ยอมวางแผนสารพัด"

"อ้างแบบนี้ พี่จะเถียงได้ยังไงละครับ ขี้โกงนี่นา"

"ชาแค่ให้เหตุผล เดี๋ยวๆ ​พี่ตองจะทำอะไร"

"ก็นอนไงครับ ง่วงจะแย่แล้ว พี่เฝ้าชาทั้งคืนยังไม่ได้นอนเลยนะ"

"แล้วจะขึ้นมานอนบนเตียงชาได้ไงล่ะ นี่มันเตียงคนไข้นะ ​อ้าว เอาสายอ๊อกซิเจนออกทำไม"

"หมอบอกว่าถ้าชาฟื้นก็เอาออกได้เลย"

"พี่ตองงงง เตียงมันเล็กจะตาย พ..."

"ไม่เป็นไร ก็นอนแบบนี้ไง"

ดูมัน ดูมันจัดท่าให้ตัวเองนอนแล้วก็เอาผมไม่นอนหนุนแขนไว้ แถมยังกอดซะไม่ให้ขยับไปไหนเลย

"พี่ตองงงง" เห้อ... ไม่รู้จะห้ามมันยังไงแล้ว "อาบน้ำแล้วเหรอจะมานอนกับชาอ่ะ"

"ก็พี่ง่วงนิครับ ชาเองก็ยังไม่ได้อาบนะ พี่แค่เปลี่ยนชุดให้เฉยๆ"

ห๊ะ "พี่เปลี่ยนเหรอ"

"จะให้ไอ้ต้อมเปลี่ยนให้รึไงล่ะ" เออ ฟังเหตุผลพี่แกดิ "นอนเถอะครับ พี่ง่วงแล้วจริงๆ"

"ชาขอโทษนะพี่ทำให้ไม่ได้นอนแบบนี้"

"มีแค่ชาคนเดียวเท่านั้นแหละครับที่พี่จะตอบว่า ไม่เป็นไร... นอนต่อเถอะครับ ชาต้องพักผ่อนมากๆนะ"

เอาวะ นอนก็นอน

สุดท้ายผมก็หลับไปในอ้อมแขนของพี่ตอง ตายอย่างสงบอีกรอบ.......









“ญาติคะ... ญาติคะ”

ใครปลุกอ่ะ....

ครั้งนี้ผมไม่งัวเงียเหมือนตอนที่ตื่นมาทีแรก พี่ตองก็ดูเหมือนจะตื่นขึ้นมาเหมือนกัน

“ขึ้นมานอนบนเตียงคนไข้แบบนี้ไม่ได้นะคะ”

เชี่ยยยยยยย พี่พยาบาล

“ข...ขอโทษครับ” พี่ตองลนลาน ก่อนจะค่อยๆเอาแขนออกไปจากการทำหน้าที่หมอนให้ผม แล้วรีบลงจากเตียงจนเกือบจะตกขอบ

“นี่มันเตียงคนไข้นะคะ” พี่พยาบาลดูจะยังไม่คลายความตึงเครียดลง “อาจจะทำให้เสียหายได้ แล้วก็อาจจะเป็นอันตรายต่อคนไข้ด้วย”

“คือ....” พี่ตองคงพยายามหาคำอธิบายมาแก้ตัว

“แอร์มันหนาวอะครับ” ผมพยายามช่วยแก้ตัวให้ เห็นพี่ตองหน้าเสียทั้งๆที่ยังง่วงๆเบลอๆแบบนี้แล้วมันก็อดสงสารไม่ได้จริงๆ “ผมก็เลย....”

“หนาวก็บอกพยาบาลซิคะ ทำอะไรตามใจแบบนี้ได้ไง นี่ถ้าคุณหมอรู้เข้าจะไม่ยิ่งแย่ไปกันใหญ่เหรอ” โอ้มายก็อด มาเป็นชุดเลย

“เอ่อ... ผมผิดเองครับ” พี่ตองสารภาพ

“ยังไงก็เถอะ ต่อไปจะทำอะไรก็คำนึงถึงความเหมาะสมด้วยนะคะ” เธอยังคงเอ็ด “แต่ถ้า... มีปฏิทินเหลือๆมาให้พี่บ้าง พี่ก็จะทำเป็นลืมๆไปก็ได้ค่ะ”

ห๊ะ! “เอ่อ.... ด...ได้ครับ เดี๋ยวผมเอามาให้” ผมตอบทั้งที่จะอึ้งอยู่

“ได้เหรอ พี่จะได้ด้วยเหรอ” เดี๋ยวๆๆ ทำไมพี่เปลี่ยนอารมณ์ได้เร็วขนาดนี้ล่ะ ยิ้มกริ่มเชียว “คือ... เมื่อกี้พี่ถ่ายรูปน้องสองคนไว้ในมือถือ ไม่ว่าใช่ไหม”

“ค...ครับ” เออ พี่จะทำไรก็ทำเถอะ เล่นใหญ่ซะขนาดนี้แล้ว ดีกว่าให้พี่แกกลับไปดุพี่ตองอีก

“ขอบคุณค่ะ..... งั้นพี่ขอเช็คความดันกับวัดไข้หน่อยนะ” เธอทำอย่างที่เธอพูด  “อาหารกลางวันวางอยู่ตรงโน่นนะคะ กินได้เลยนะ ช่วงนี้ทานผักผลไม้และอาหารย่อยง่ายหน่อยนะคะ”

“น้องจะออกโรงพยาบาลได้ตอนไหนครับ” พี่ตองรีบถาม

“ต้องรอหมอเข้ามาช่วงบ่ายนะคะ” พี่พยาบาลตอบ “อีกสักพักก็คงเข้ามา แต่ถ้าไม่มีปัญหาอะไร พรุ่งนี้เช้าก็น่าจะกลับได้เลย”

“อ๋อ ครับ”





“ห้องนี้เหรอ” “ใช่ๆพี่ ห้องนี้” “เร็วๆเข้าพี่ เดี๋ยวจะไม่ทัน”

มีเสียงวอแวอย่างชัดเจนที่หน้าห้องของผม

และในวินาทีต่อมาก็มาคนจำนวนมากมายเข้ามาในห้อง

พี่บุ๋นนำทัพคนรู้จักมาเพียบ ประกอบด้วย พี่ท๊อป ไอ้ต้อม ขิง ไอ้สุ่ย ไอ้ข้าว เกตุ พี่กอล์ฟ อิเจสซี่ อิเล็ก และวาวา เรียกว่าวุ่นวายขั้นสุดเลยตอนนี้



“เบาๆกันหน่อยซิคะ นี่โรงพยาบาลนะ” พี่พยาบาลกลับมาเอ็ดอีกจนได้

“ข..ขอทษครับ” พี่บุ๋นแทบจะให้สัญญาณเบรกไม่ทัน แต่ก็ได้เพียงอึดใจเดียว พี่เค้าทันกลับมาทำตาโตใส่ผมอีกครั้ง “ทีวี รีบเปิดทีวีเร็ว”

“เกิดไรขึ้นพ...” ผมยังไม่ทันจะถามจบ อิเจสซี่ก็คว้ารีโมททีวีและกดปุ่มเปิดขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว



“.....เข้ารอบในฝ่ายหญิงทั้งสิบสองคนค่า...”

ห๊ะ อะไรนะ

นี่ไม่ใช่อย่างที่กูคิดใช่ไหม

เดี๋ยวก่อนๆ ยังไม่ได้เตรียมตัวเลย จะประกาศผลผู้ผ่านเข้ารอบแล้วเหรอ....



ภาพทีวีเปลี่ยนไป กลายเป็นใบหน้าและชื่อของผู้เข้ารอบฝ่ายหญิงอย่างที่พอจะจับใจความได้



อันดับที่ 12 : มิน มินตรา น้อยมาลัย คณะนิเทศศาสตร์

อันดับที่ 11 : บิวตี้ อนงนาถ อยู่มั่น คณะวิทยาศาสตร์

อันดับที่ 10 : มิโอะ มิโอรุ ฮิโยชิ วิทยาลัยนานาชาติ

อันดับที่ 9 : ของขวัญ กุลธิดา สามสกุล คณะแพทยศาสตร์

อันดับที่ 8 : มาย นฤมล พรมกาฬ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มาย เพื่อนคณะเดียวกับไอ้ต้อมนี่นา ที่มาถ่ายคลิปด้วยกัน

อันดับที่ 7 : เกรซ สุโทธนา ขันกสิกิจ คณะเกษตรศาสตร์

อันดับที่ 6 : เบส กุสุวรรณ นาคทิพย์ คณะสังคมศาสตร์

อันดับที่ 5 : พาย แพรวไพลิน เสมอเหมือน คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ มาถึงตรงนี้เกตุเริ่มหลับตาและพนมมือแล้ว ผมก็ลุ้นแทนเธอเหมือนกัน

อันดับที่ 4 : ไข่ไก่ คณิณ ศิลป์อักษร คณะนิเทศศาสตร์

อันดับที่ 3 : อุ้ม อารีรัตน์ พืชมาก คณะศึกษาศาสตร์ ยังอีกเหรอ ชื่อเกตุล่ะ หายไปไหน

อันดับที่ 2 : ระดา ระดารัตน์ แสนทัศนา คณะเภสัชศาสตร์ สุดท้ายแล้วนะเว้ย.......

อันดับที่ 1 : ...........................(อย่าลีลาได้ไหม กูลุ้นจนจะเป็นลมอีกรอบอยู่แล้ว)................

..................................เกตุ เกตุวลี โพธิ์สุวรรณ คณะวิทยาศาสตร์



“เยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย้” นี่คือพยายามไม่เสียงดังกันแล้วนะ

“เก่งมากเกตุ” “ดีใจด้วยนะ” “สุดยอดๆ”



เกตุเอามือมาปิดหน้า เธอคงจะดีใจจนร้องไห้ออกมา

“โอ๋ๆ ไม่ร้องนะครับ” พี่กอล์ฟปลอบ “ตั้งสติก่อน มาลุ้นของเพื่อนๆฝั่งผู้ชายก่อน” เออใช่



“ขอแสดงความยินดีกับน้องๆฝ่ายหญิงทั้งสิบสองคนที่เข้ารอบด้วยนะครับ” ภาพตัดกลับมาที่พิธีกร

“งั้นเราอย่ารอช้าสำหรับการประกาศผลของฝ่ายชายเลยนะคะพี่ปืน” พิธีกรหญิงตื่นเต้น

“แน่นอนครับ ไปที่ VTR กันเลยครับ”

เห้ยยยยยย

เอาเลยเหรอ

จะเอาจริงดิ เดี๋ยวๆๆๆ



พี่ตองคงเห็นว่าผมตระหนกจึงรีบจับมือผมไว้

ไอ้ต้อมก็จับมือขิง ไอ้สุ่ยก็จับมือไอ้ข้าว พี่ท๊อปก็โอบเอวพี่บุ๋น.....

ห๊ะ พี่ท๊อปกล้าโอบพี่บุ๋นได้ไงวะ

โอ๊ย กูจะมายุ่งเรื่องคนอื่นทำไมตอนนี้ สนใจเรื่องของตัวเองก่อน

ผมจับแขนพี่ตองแน่นเลยตอนนี้ เอามาบังหน้าตัวเองไว้ เพื่ออะไรก็ไม่รู้

อันดับที่ 12 : แชมป์ โยธิน ป้องรักษ์ คณะนิติศาสตร์

อันดับที่ 11 : เมฆ เมฆา ร่องภูธร คณะเภสัชศาสตร์

อันดับที่ 10 : ซีแกรม ศักดาธร ภูติพิทักษ์ คณะเกษตรศาสตร์

อันดับที่ 9 : คิน ศรราม ชางตระกูล คณะสังคมศาสตร์

อันดับที่ 8 : เบียร์ ธวัชชัย สอนศิลป์ คณะศึกษาศาสตร์

อันดับที่ 7 : อาร์ม ดนุรุท พ่วงพี คณะวิศวกรรมศาสตร์

**อันดับที่ 6 :**สุ่ย สุรเดช สมนคร คณะวิทยาศาตร์ (“เห้ย ชื่อกู” ไอ้สุ่ยร้อง) แล้วกูล่ะ ลุ้นชิบหาย ตอนนี้เข้าใจความรู้สึกเกตุแล้วว่าทำไมถึงร้องไห้ออกมา

อันดับที่ 5 : โซนี่ วัชรชัย สุขหอม คณะแพทยศาสตร์ เดือนคณะแพทย์ก็โผล่มาแล้ว หือ... อยากจะร้องไห้ ทำไมต้องมาลุ้นเรื่องสำคัญแบบนี้ในโรงพยาบาลด้วย

อันดับที่ 4 : มิค ไมเคิล บัวชู วิทยาลัยนานาชาติ โผล่มาซะทีซิวะ

อันดับที่ 3 : ข้าวเจ้า พัฒนวิทย์ ศุภเจริญกุล คณะสังคมศาสตร์ (“เห็นไหม บอกแล้ว ยังไงข้าวเจ้าก็ต้องติดหนึ่งในสาม” ไอ้สุ่ยพูด) มึงอย่าเพิ่งมาสวีทกันตอนนี้ได้ไหม กูจะช็อคตายอยู่แล้วเนี่ย เหลืออีกสองที่เอง

อันดับที่ 2 : ต้อม ศริภพ อาจแผ่นดิน คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ (“เยี่ยม” ไอ้ต้อมหลุดปากร้องเสียงดัง) ตั้งสติไว้ ตั้งสติไว้ .....

อันดับที่ 1 : …………………………..



ไม่ได้ไม่เป็นไร ไม่ได้ก็อย่าเสียใจนะ ทำดีที่สุดแล้ว ทำดีที่สุดแล้วววว

แต่ทำไมกูลุ้นอย่างงี้วะ นี่กูหายใจอยู่หรือเปล่าเนี่ย



...............................น้ำชา ธชานา ธนกฤษ คณะวิทยาศาสตร์

เห้ย!!

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดด”

“.....อ.....เอ่อ......” ไม่ใช่ผมนะ ผมไม่ได้กรี๊ดนะ

“ข...ขอโทษทีค่ะ” พี่พยาบาลแผดเสียงดีใจลั่นห้องเลย ดีใจซะอึ้งกันหมดทั้งห้องเลย “ด....ดีใจด้วยนะคะน้องน้ำชา”

“ขอบคุณครับ” ผมพยายามไม่แสดงรีแอคชั่นมากเกินไป เพราะแค่นี้พี่พยาบาลก็ดูจะเขินพอแล้ว

“งั้นพี่ขอตัวก่อนนะคะ เอ๊ะ เอ่อ.... ขอวัดความดันใหม่อีกรอบนะคะ ความดันสูงไปหน่อย”

จะไม่สูงได้ไงล่ะ นี่ถ้ากรี๊ดแบบพี่ได้ ผมก็คงทำไปแล้วแหละ

พี่พยาบาลรีบร้อนทำการตรวจเช็คตามหน้าที่แล้วเดินเก้อๆเขินๆออกไปจากห้อง



“เห้ยมึง ดีใจด้วยนะ” ไอ้ต้อมรีบพูดกับผม “สภาพนี้ยังเอาชนะเดือนมหาลัยอย่างกูได้นะมึงอ่ะ”

“ต้อม” ขิงเอ็ด “ให้พี่ตองพูดก่อนไหม”



“เก่งมากครับ” พี่ตองพูด หวานสุดๆ กูทั้งดีใจทั้งเขินเลยตอนนี้ “ใกล้ถึงฝันแล้วนะ แต่ถึงขั้นได้ที่หนึ่งแบบนี้ก็ไม่ธรรมดาจริงๆนั่นแหละ”

“เอ่อ... ขอโทษนะชา” ไอ้ข้าวแทรกขึ้นมา ก่อนจะเดินมาหยิบอะไรบางอย่างจากหลังแจกันดอกไม้ เห้ย “กูแอบไลฟ์ไว้อ่ะ ขอโทษจริงๆนะที่ไม่ขออนุญาตก่อน แค่อยากให้มึงกระแสดีๆ ทั้งสองคนคงไม่ได้ทำอะไรแปลกๆนะ”

“............” ไม่แปลกหรอก กูแค่นอนกอดกันบนเตียงในโรงพยาบาล

กูจะบ้าตาย ไม่ได้ละ วันหลังต้องเตือนไอ้ข้าวเรื่องความหวังดีของมันซะบ้าง



“มึงงงง อิชา” อิเจสซี่และพ้องเพื่อนแก็งนางฟ้าของผมเข้ามากอดผม “ดีใจด้วยนะมึง ความฝันในการเป็นบั๊ดดี้ของกูใกล้เป็นจริงขึ้นไปทุกทีแล้ว”

“นี่มึงดีใจกับกูหรือดีใจกับตัวเองกันแน่เนีย” อิห่านิ

“ก็ทั้งสองอย่างแหละมึง แต่มึงเก่งมากเลยนะ กูยอมใจเลยที่ถึงขั้นเข้าโรงพยาบาลแบบนี้”



“งั้นเราก็ควรปล่อยให้ไอ้น้ำชาพักผ่อนได้แล้ว” พี่บุ๋นแทรก “มึงต้องพักผ่อนเยอะๆนะ อาทิตย์หน้าอ่ะของจริงแล้ว ด่านสุดท้ายของผู้เข้ารอบทุกคน...........









............เก็บตัวนอกสถานที่”
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-03-2018 21:42:37
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 05-03-2018 19:49:53
เมื่อกี้อ่านไป5-6ตอน สนุกอะ เนื้อเรื่องน่าติดตามมากๆ แต่ยังมีคำผิดอยู่บ้างนะคะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ เดี๋ยวกลับมาอ่านต่อจ้า  :impress2: :ling3:
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 46 [ข้อห้าม 12 เข็มกลัด Part 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 06-03-2018 17:03:37
​ตอนที่ 46 : ข้อห้าม 12 เข็มกลัด บทบัญญัติผู้ไร้เกียรติยศ Part 1







“ไหนมึงสัญญากับชาวบ้านเขาไว้ไม่ใช่เหรอว่าจะหอมแก้มพี่ตอง ถ้ามึงผ่านเข้ารอบอ่ะ” ไอ้ต้อมถามผมในร้านกาแฟของเช้าวันอาทิตย์ “ทำไมกูยังไม่เห็นวะ”

“จะเห็นได้ไง กูยังไม่ได้ทำเลย” ผมตอบพร้อมกับเขี่ยเค้กในจานของตัวเองอย่างเลื่อนลอยและเซ็งๆนิดหน่อย

“อ้าว ทำไมวะ เดี๋ยวก็โดนคนดูเกลียดหรอก เค้าอุตส่าช่วยกดไลค์รูปมึงจนขึ้นที่หนึ่งเลยนะเว้ย”

“มึงคิดว่ากูเป็นคนไม่ทำตามสัญญารึไง แต่...”

“ทำไมวะ มีเรื่องอะไรอีก มึงทะเลาะกันกับพี่ตองเหรอ”

“เปล่า แต่ว่า ตั้งแต่ออกจากโรงบาล พี่ตองก็ไม่ว่างเลยอ่ะ พี่เค้าบอกว่าต้องเตรียมตัวเยอะ แถมดูจะเป็นความลับอีก ขนาดกูถามว่าจะให้ไลฟ์เฟซบุ๊คอีกไหม พี่เค้าก็บอกว่าเอาไว้ก่อน จริงๆที่กูมานี่ได้ก็เพราะขอพี่เค้ามานะ ไม่งั้นก็ปล่อยให้กูนอนอยู่ที่คอนโดฯนั่นแหละ”

 “อ๋อ แบบนี้นี่เอง ถึงว่า ทำไมวันนี้มึงว่างมาอยู่กับกูได้”

“มึงก็เหมือนกันแหละ ขิงหายไปไหนล่ะ ปกติตัวติดกันเป็นปาท่องโก้”

“งานเยอะเหมือนกัน ตั้งแต่รับหน้าที่ควบคุมสแตน รู้สึกว่าจะไม่ว่างเลย เจอกันแค่ตอนกลางวันกับเย็นแค่นั่นเอง”

“พอกัน”



“ชา ต้อม” หึ! ใครเรียก

“อ้าว ข้าว มาทำไรอ่ะ” ไอ้ข้าวนั่นเองที่เดินเข้ามาในร้านกาแฟ... พร้อมกับไอ้สุ่ย เห้อ... อิจฉาจัง

“มาซื้อกากกาแฟอ่ะ จะเอาไปทำคุกกี้” ไอ้ข้าวตอบ

“ว่างกันจังเลยนะ” แซวซะหน่อย

“ไม่ได้ว่างเว้ย” ไอ้สุ่ยรีบตอบ “กูเตรียมเสบียงไว้ พรุ่งนี้เช้าต้องเดินทางไปไหนก็ไม่รู้ เผื่อขาดแคลนอาหาร จะได้ไม่อดตาย”

“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ” ไอ้ต้อมตาโต

“ก็ใครจะไปรู้ เตรียมตัวไว้ก่อน เราอาจจะถูกเอาไปทิ้งไว้ที่ไหนก็ได้นะ”

“มึงก็เว้อร์ไป” ผมรีบห้ามความคิดที่อาจจะเลยเถิดไปของพวกมันสองคน “แค่เก็บตัวนอกสถานที่ ไม่ได้พาเราไปรบกันซะหน่อย”

“มึงแน่ใจได้ไง คิดดูนะเว้ย พวกพี่เค้าทำไมทำอะไรกันเป็นความลับจัง ไลน์กลุ่มก็ถูกปิด หายเงียบกันไปหมดเลย ไม่รู้อ่ะ กูเตรียมตัวไว้ก่อนดีกว่า”

ไม่อยากยอมรับเลยว่าแอบบ้าจี้ไปกับมันนิดๆ แต่... “คิดมากเกินไปแล้ว นี่เราเป็นนักศึกษานะ พวกพี่เค้าไม่กล้าทำอะไรรุนแรงขนาดนั้นหรอก”

“เออๆ แต่กูก็อยากมีของกินไปประกันชีวิตกูไว้เหมือนเดิมนั่นแหละ”

“ทำเผื่อพวกกูด้วยนะ”

“เห็นไหม แล้วก็ทำเป็นมาขัดคอกู”

“ไปทำด้วยกันเลยดีไหม” ไอ้ข้าวเสนอไอเดีย “ว่างกันหรือเปล่าล่ะ”

“ว่าง” ผมกับไอ้ต้อมตอบพร้อมกัน

“โอเค งั้นเดี๋ยวไปบ้านกูกัน รอแป๊บนะ ไปซื้อกากกาแฟก่อน”



แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามนั้น ผมและไอ้ต้อมไปช่วยไอ้ข้าวกับไอ้สุ่ยทำคุกกี้กาแฟจนถึงเย็น ได้ขนมมาเต็มสี่กระปุกใหญ่

จนเกือบๆ ค่ำพี่ตองก็มารับผมกลับด้วยอาการเหนื่อยล้า



“พี่ขอโทษนะที่ไม่ว่างเลย แล้วก็บอกอะไรไม่ได้ด้วย” พี่ตองพูดขึ้นในขณะขับรถกลับคอนโดฯ ดูท่าว่าจะรู้สึกผิดจริงๆแฮะ

“ชาไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย” เห็นพี่ตองเหนื่อยแบบนี้แล้วจะให้ไปโกรธอะไรได้ล่ะ “อ่อ... ลองชิมคุกกี้ดูไหม ชากับเพื่อนช่วยกันทำอ่ะ จริงๆชาก็อยากทำขนมตาลนะ แต่มันคงเตรียมของเยอะ แล้วก็ไม่อยากรบกวนไอ้ข้าวมากด้วย”

“แค่นี้ก็พอแล้วครับ ไหนขอพี่กินหน่อย”

ผมเปิดฝาคุกกี้ก่อนจะหยิบหนึ่งชิ้นออกมาป้อนให้คนขับรถ

“อร่อยครับ ไอ้น้องข้าวนี่ก็เก่งนะ คงช่วยอะไรชาได้เยอะเลย”

“ช่วย?”

“เอ่อ... ไม่มีอะไรครับ” เหมือนพี่ตองจะเพิ่งมาสำนึกได้ว่าไม่ควรพูดออกมา

“เกี่ยวกับเรื่องเก็บตัวหรือเปล่า” ความอยากรู้ทำให้ผมเผลอตั้งคำถาม

“.........” แสดงพิรุจชัดเจนขนาดนี้ แปลว่าเกี่ยวแน่เลย

“มันจะโหดมากเลยเหรอ การเก็บตัวนอกสถานที่อ่ะ”

“คือ... จริงๆในฐานะรุ่นพี่ลีด พี่ไม่ควรบอกอะไรคนที่จะเข้าคัดตัวนะครับ แต่ถ้าชาอยากรู้จริงๆ มันก็....อุ*!*” ผมรีบปิดปากพี่ตองไว้

“งั้นก็ไม่ต้องพูดหรอก ชาไม่อยากมีสิทธิเหนือกว่าคนอื่น ไม่รู้แบบนี้ก็ดีแล้ว ตื่นเต้นดี”

พี่ตองยักไหล่แสดงสัญลักษณ์ว่า โอเค ผมจึงชักมือออกมา

“มือชานิ่มจัง”

“อ๋อ...ก็ที่ทำคุกกี้นี่ไง มือแช่น้ำกาแฟนานๆก็เลยนิ่ม”

“แล้วแก้มชาละครับ นิ่มไหม?”

“พูดบ้าไรอ่ะ” อย่าบอกนะว่าจะมาทวงสัญญาตอนนี้

“ก็มันคิดถึงนิครับ ทำงานเหนื่อยทุกวันแบบนี้ พี่แทบจะไม่มีแรงเหลือมาหวานกับชาเลย”

“ไม่ต้องหวานทุกวันก็ได้มั้ง เดี๋ยวก็เบื่อกันพอดี”

“โถ่ พี่ไม่เห็นจะรู้สึกเบื่อเลย นะนะ”

อ้อนอีกแล้ว กูต้องมารับมือกับอะไรแบบนี้ทุกวันเนีย “ไม่ต้องมาเสียงอ้อนเลย ขับรถไปเหอะ”

“ก็....ได้” งอแงไปอีกกกก

“กลับถึงห้องก่อนดิ ขับรถอยู่มันอันตรายนะ”

"........" แล้วมันก็ยิ้มออกมาตามระเบียบ

ทำไมผมรู้สึกเหมือนกับว่าโดนจับจุดอ่อนได้แล้วนะ

และเมื่อไปถึงห้อง มันก็เลยเถิดไปกว่าที่คุยกันในรถมาก แต่ก็ช่างมันเถอะ เพราะมันต้องทิ้งเวลาอีกนานเลยกว่าผมและพี่ตองจะกลับมาทำอะไรแบบนี้ได้อีก นั่นก็เพราะ.....





“จากนี้ไปผู้เข้ารอบทั้งยี่สิบสี่คนต้องช่วยเหลือกันเพื่อทำกิจกรรมนอกมหาวิทยาลัยโดยขาดการช่วยเหลือใดๆจากรุ่นพี่ของพวกคุณ” พี่ชมพู่ประกาศต่อหน้าผู้เข้ารอบทั้งหมดบนรถทัวร์ซึ่งกำลังพาพวกผมไปที่ไหนสักแห่ง ผมมองไม่เห็นข้างทางเพราะกระจกถูกปิดไว้ด้วยป้ายทับ รู้เพียงว่านี่เป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงแล้วที่ออกมาจากมหาวิทยาลัยตอนเจ็ดโมงเช้า ถามว่าทำไมผมถึงไม่ดูในโทรศัพท์ ก็เพราะว่ามันถูกยึดไปตั้งแต่ก่อนจะขึ้นรถทัวร์แล้วไง ไม่ใช่แค่มือถือนะ ใครที่มีนาฬิกาหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิคแม้กระทั่งไฟฉาย ยังโดนยึดไปหมดเลย อย่าบอกนะว่าที่ไอ้สุ่ยเตือนเมื่อวานจะเป็นเรื่องจริงอ่ะ “เอาล่ะ ก่อนหน้าที่ชั้นจะอธิบายอะไรให้ฟังมากกว่านี้ ขอให้ทุกคนทำใจให้สบาย สถานที่ที่เราจะไป ไม่ใช่ที่อันตรายแน่นอน แต่เป็นความลับ มันคือจุดเริ่มต้นของผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนา ที่นั่นจะอธิบายเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องการผู้นำเชียร์เพียงสิบสองคนทุกปี ทำไมผู้คนจึงยกย่องให้เราเป็นผู้นำเชียร์บนหอคอยแห่งเกียรติยศ เราจะไปหาคำตอบที่นั่นกัน”



“ยิ่งใหญ่จังวะ” ไอ้ต้อมกระซิบกับผม

“นั่นดิ” ไอ้สุ่ยเป็นคนตอบรับ เพราะมันกับไอ้ข้าวนั่งอยู่ข้างหลังผมกับไอ้ต้อมและกำลังชะโงกหน้าไปฟังสิ่งที่พี่ชมพู่พูด จริงๆก็ทุกคนแหละที่กำลังสนใจสิ่งนี้ “นี่เราต้องกรีดเลือดสาบานหรือเปล่าวะ”

“จะบ้าเหรอ” ผมแทบจะร้องออกมา ผมไม่อยากให้ไอ้สุ่ยมันเดาอะไรอีกแล้ว กลัวมันจะเป็นจริงขึ้นมา

“กติกาทุกอย่างจะมีคนที่สำคัญกว่าชั้นมากรับหน้าที่ได้การบอกพวกเธอ” พี่ชมพู่พูดต่อ “แต่หนึ่งในข้อห้ามสำคัญของกิจกรรมทั้งหมดคือ ผู้เข้ารอบทั้งยี่สิบสี่คนจะถูกห้ามสนทนากับผู้ที่มีป้ายแบบนี้”

พี่ชมพู่ชูป้ายที่มีคำว่า MUTE ขึ้นมาให้ดู

“ตัวอย่างเช่น” แล้วพี่เค้าก็แขวนป้ายนั่นให้ตัวเอง “ตอนนี้คือพวกเธอทุกคนไม่สามารถสนทนากับชั้นได้ แต่ยังคงสามารถฟังสิ่งที่ชั้นพูดได้อยู่ ไหนเธอลองถามอะไรชั้นมาซิ” พี่ชมพู่สั่งผู้หญิงที่อยู่ใกล้ๆ

“ถ...ถาม...เอ่อ...” หญิงสาวไม่ทันตั้งตัว “เราจะไปไหนกันคะ”

“...............” พี่ชมพู่เงียบและแสดงใบหน้าเฉยเมยใส่ก่อนจะหันมาหาทุกคน “ชั้นก็จะไม่ตอบ แบบนี้ เข้าใจนะ ไม่ใช่มีแค่ชั้นแน่นอนที่มีป้ายนี้อยู่ รุ่นพี่พวกเธอ คนบางคนที่สำคัญ และหรือใครก็ตาม แต่ถามว่ามันจะเป็นแบบนี้ตลอดทั้งสัปดาห์เลยไหม เปล่า เมื่อหมดภารกิจของแต่ละวันแล้ว ช่วงเย็นๆ ก็จะมีสัญญาณปลดป้ายออก พวกเธอก็สามารถพวกคุยกับบุคคลเหล่านั้นได้ตามปกติ แต่ชั้นขอเตือนไว้เลยนะ ภารกิจของพวกเธอที่ต้องทำ บางครั้งก็ต้องคิดเองบ้าง ต่อให้อยู่ในเวลาปลดป้ายก็ไม่ได้หมายความว่าชั้นหรือรุ่นพี่จะมานั่งบอกคำตอบโต้งๆให้กับพวกเธอ กรุณาใช้สมองของพวกเธอคิดเอาเองนะคะ เอาล่ะ เดี๋ยวชั้นจะปลดป้ายให้ห้านาทีสำหรับการถามคำถาม แต่ชั้นจะตอบหรือเปล่าอีกเรื่องนึงนะ”



“พวกรุ่นพี่อยู่ไหนกันเหรอครับ” ผมยกมือตั้งคำถามทันที ใครจะแซวก็ช่างมัน

“แหม... ห่างรุ่นพี่ไม่ได้เลยนะ” พี่ชมพู่เอ็ดผม ก็มันอยากรู้นิ หลังจากขึ้นรถทัวร์มาพวกพี่ตองก็หายไปเลย “เอาเป็นว่าพวกนั้นไม่ได้ไปไหนหรอก เดี๋ยวก็ได้เจอกัน พอใจแล้วนะ”

“ครับ”



“คิดถึงพี่ตองอะดี๊” ไอ้ต้อมแซว

“เฉยเหอะไอ้ต้อม” กูจะคิดถึงหรือเปล่าก็เรื่องของกู



“ถ้าจะถามว่าไปที่ไหน พี่คงไม่ตอบใช่ไหมคะ” เกตุยกมือถาม

“แน่นอน” พี่ชมพู่ตอบทันที "ไม่อยู่แล้ว นี่มันความลับสุดยอดของภารกิจนี้"

“แต่เรายังไม่ได้บอกพ่อแม่เรื่องนี้เลย พวกเราจะส่งข่าวให้ทางบ้านทราบได้ยังไงคะ”

“ฉลาดถามนิ มือถือที่ยึดมา พวกเธอจะได้ใช้แน่ แต่ต้องถึงที่หมายก่อน และใช้เพื่อโทรหาผู้ปกครองเท่านั้น ชั้นจะเฝ้าดูทีละคนเลย จากนั้นก็ยึดคืนเหมือนเดิม ได้คืนอีกทีก็... วันศุกร์โน่นเลย ตอนเดินทางกลับถึงมหาลัยแล้วนะ” โหหหหหหหห “อย่ามาทำเสียงใส่ชั้นนะ พอแล้ว ชั้นไม่พอใจ ชั้นจะแขวนป้ายกลับคืน จบนะ บ๊ายบาย นอนดีกว่า เบื่อคุยกันพวกเด็ก”

เอ้า ซะงั้น พี่ชมพู่เดินไปชั้นล่างของรถทัวร์เฉยเลย



“สุดท้ายก็ไม่รู้อะไรเท่าไหร่” ไอ้สุ่ยบ่นก่อนจะกลับไปนั่งจับมือไอ้ข้าว ช่างไม่อายเลยนะพวกมึงนิ



พวกเราเดินทางกันอีกนานแค่ไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าผมหลับและตื่นและหลับและตื่น มีเดินไปเข้าห้องน้ำบ้าง แล้วก็กลับมาหลับต่อ ไม่ได้ออกจากรถเลย อาหารก็มีมาเสิร์ฟถึงที่ เป็นมื้อเช้าและมื้อกลางวัน เรียกได้ว่าไม่ต้องไปไหนกันเลย

หลังจากผ่านมื้อกลางวันมาได้สักพักรู้สึกเหมือนกับว่ารถมันเลี้ยวบ่อยมากๆ เสียงที่ได้ยินจากล้อการคล้ายว่าไม่ได้วิ่งบนถนนลาดยางปกติแล้ว จุดมุ่งหมายคือที่ไหนกันแน่นะ......



“เอาล่ะเด็กๆ ถึงแล้ว ลงมาได้” ในที่สุด เสียงสวรรค์ก็ดังขึ้น ​

ได้ออกจากรถทัวร์ซะที

ผมและเพื่อนๆลงจากรถทัวร์มาพบกับบ่ายที่อากาศหนาว ใช่ครับ เป็นเวลาช่วงบ่ายที่อากาศหนาวอย่างไม่เคยเจอมาก่อน แต่ที่ทำให้อึ้งมากกว่านั้นคือ มีพี่ทหารยืนอยู่เต็มไปหมดเลย น่าจะสิบชีวิตได้ พร้อมกับตะกร้าผักผลไม้ขนาดใหญ่ ข้าวสารอาหารแห้งกองเป็นภูเขาลูกย่อมๆ และรุ่นพี่ลีดมหาลัย

พี่ตอง ​กำลังยืนจัดเรียงของอยู่

ได้เจอพี่ตองสักที แต่พี่เค้ามีป้ายห้ามสนทนาติดอยู่ พอเจอหน้าผมก็เลยได้แค่ยิ้มให้กัน



“มาทางนี้ค่ะ เร็วเข้า นั่งลงๆ ใช่ นั่งลงไปกับพื้นนั่นแหละ ไม่ต้องกลัวเปื้อน เดี๋ยวได้เปื้อนกว่านี้แน่” พี่ชมพู่เริ่มดุ พวกผมก็เลยต้องรีบวิ่งมานั่งรวมกันที่ลานดินใกล้ๆกับตีนเขา อ่อ ที่นี่เหมือนจะเป็นสุดเส้นทางที่รถสามารถวิ่งได้ เพราะมันเป็นป่าเขา ไม่รู้ว่าสูงแค่ไหนเพราะพวกเราไม่ได้มองเห็นอะไรมาก่อนหน้านี้เลย “เดี๋ยวจะมีพี่ๆทหารพรานมาพูดอะไรกับทุกคนเล็กน้อยนะ เชิญพี่ยศเลยค่ะ”



“ก็ขอต้อนรับน้องๆทุกคนนะครับ” พี่ทหารคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของทุกคนกำลังกล่าวต้อนรับ “เป็นประจำทุกปีนะครับที่ผู้นำเชียร์จากมหาวิทยาลัยมัณฑนาจะเดินทางมาจิตอาสาที่นี่”

หือ จิตอาสา ไม่ใช่เก็บตัวเหรอ

“มา ระ ยาด” พี่ชมพู่เอ็ดเมื่อพวกผมส่งเสียงฮือฮากันขึ้น

“ธรรมดานะครับ พี่เข้าใจ ทุกปีก็จะตกใจกันแบบนี้” พี่ทหารพูดต่อ “ผมชื่อยศนะครับ เป็นทหารพรานที่ดูแลป่าบริเวณนี้ คือผมถูกสั่งห้ามไม่ให้บอกน้องๆนะว่าเราอยู่กันที่ไหน แต่ผมบอกได้เลยว่าที่ๆเราจะไปกันต่อต้องเดินเท้าขึ้นไปกันอีกไกลเลย เรากำลังจะเดินทางเข้าไปในหมู่บ้านของชนเผ่ามลาบรีดั่งเดิมนะครับ เพื่อเอาอาหาร ยา เครื่องนุ่งห่ม เชื้อเพลิง ไปให้กับชาวบ้านที่อยู่ข้างบนกัน เนื่องจากช่วงนี้เป็นฤดูหนาว เส้นทางลำเลียงปกติจะปกคลุมไปด้วยหมอกทึบ การใช้รถขนส่งในเส้นทางปกติจะอันตรายมาก เส้นทางนั้นก็เลยถูกปิดอยู่ในขณะนี้ เหลือแค่การเดินเท้าขึ้นไปเท่านั้น... ก็ต้องขอบคุณน้องๆทุกคนล่วงหน้านะครับ พี่รู้ว่าหลายคนยังงงๆอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น นะ พี่เห็นสีหน้าแบบนี้มาทุกปี แต่พี่มีหน้าที่บอกได้แค่นี้จริงๆ เอาเป็นว่าเตรียมสัมภาระกันให้ดีก็แล้วกันนะครับ”

เวรกรรม แม้กระทั่งพี่ๆทหารยังมีป้ายห้ามพูด

“หลังจากนี้นะคะ น้องๆจะได้รับอนุญาตให้ใช้โทรศัพท์ได้ พี่วางไว้ที่โต๊ะตรงนั้นแล้ว” พี่ชมพู่ชี้ไปที่โต๊ะที่มีพี่ๆลีดมหาลัยเฝ้าอยู่ “เข้าแถว ใช้ได้ทีละคน บอกที่บ้านว่ามาทำจิตอาสาในนามผู้นำเชียร์ในเขตห่างไกลความเจริญ แล้วก็คืนมือถือ ไม่ต้องเอาขึ้นไปด้วย เพราะยังไงก็ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์แน่นอน... ส่วนถ้าผู้ปกครองคนไหนมีปัญหา ไม่พร้อมให้ร่วมกิจกรรม แจ้งได้ที่พี่โดยตรง พี่จะส่งน้องกลับมหาวิทยาลัยทันที นั่นหมายถึง การบอกลาผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยด้วย โอเคนะคะ เชิญเลยค่ะ... เสร็จแล้วหยิบสัมภาระของตัวเองพร้อมกับช่วยกันหยิบของที่จะเอาขึ้นไปหมู่บ้านคนละไม้ละมือด้วยนะ ใส่เสื้อผ้ากันหนาวด้วยนะ ที่สั่งให้เอามาอ่ะ ข้างบนจะหนาวกว่านี้มาก”





“.....ครับแม่ ชาจะดูแลตัวเองครับ ขอบคุณครับ” ผมวางสายจากแม่ก่อนจะส่งโทรศัพท์มือถือของตัวเองคืนพี่หนิงไป

รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก เป้าหมายข้างหน้ามันเคว้งคว้างชอบกล



“ไปหยิบของกันเหอะมึง” ไอ้ต้อมบอกผม มันเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน

ผมกำลังดูอยู่ว่าจะหยิบอะไรขึ้นไปดี พวกผู้ชายส่วนใหญ่ก็หยิบเครื่องใช้ประเภทหม้อ ฝืน ข้าวสารกัน ผมก็ด้วย ส่วนพวกผู้หญิงขนอาหารแห้งกับยาก็แล้วกัน



“ชา”

หึ!

“เห้ย ขิง” ผมสวมกอดลูกพี่ลูกน้องของตัวเองทันที รู้สึกเหมือนมีหลักยึดอย่างบอกถูก

“น...น้ำขิง” ไอ้ต้อมได้แต่ยืนตาค้าง “มาได้ไงอ่ะ”

“ขิงก็งงๆเหมือนกัน” ขิงตอบ “พี่ตองโทรหาขิงเมื่อวานบอกว่าให้ขิงไปที่ตึกลีด แล้วก็เตรียมตัวออกพักแรมหลายวัน แต่สั่งว่าไม่ให้บอกใครเรื่องนี้ยกเว้นพ่อกับแม่ ขิงก็โดนพามาที่นี่เหมือนกัน ยังงงๆอยู่เลย”

“แล้วขิงมากับใครอ่ะ” ผมถาม ขิงคงไม่สามารถมาด้วยตัวเองคนเดียวแน่นอน

“กับ... โน่นไง”

“เห้ยยยย นั่นมันอาจารย์หมอพิชิตนี่หว่า” แล้วก็มีทีมนักศึกษาแพทย์มาด้วย

“ดีใจจังที่น้ำขิงมาด้วย นึกว่าจะไม่มีคู่อยู่คนเดียวซะอีก” ไอ้ต้อมยิ้มให้ขิง “ดูดิ ไอ้สุ่ยกับข้าวเจ้าก็สวีทกันตลอดเวลาเลย ถึงไอ้ชาจะคุยกับพี่ตองไม่ได้แต่ก็ยังเห็นกันตลอด”

“นี่มึงสนใจแต่เรื่องนี้ใช่ไหมเนี่ย” อยากจะตบเกรียนมันจริงๆ “มาช่วยกันขนของได้แล้ว”

“มา ขิงช่วย” ขิงก็เริ่มหยิบของด้วย

“เห้ยมึง ดูนั่นดิ” ไอ้ต้อมสะกิดให้ผมดูบางอย่าง “รู้สึกว่าพี่บุ๋นกับพี่ท๊อปนี่เค้าพัฒนาไปไกลเลยนะ”

นั่นไง อีกคู่นึง พี่ท๊อปกับพี่บุ๋นกำลังยืนคุยกัน ห่างออกไปจากบริเวณนี้เล็กน้อย

เพิ่งเห็นเหมือนกันว่ามีตัวแทน ก.น.ช. มาด้วย รู้สึกว่าจะมีพี่ผู้หญิงมาอีกคนนะ

ว่าแต่พี่บุ๋นกำลังยื่นอะไรให้พี่ท๊อปวะ เหมือนจะเป็นกล่องอะไรสักอย่าง ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงเข้าไปแซวแล้วล่ะ แต่ดูเหมือนว่าทุกคนจะแขวนป้ายห้ามพูดกันหมดเลย อึดอัดจัง เมื่อไหร่จะคุยกันได้สักที



“พร้อมแล้วนะทุกคน เดินทางกันได้แล้ว” พี่ชมพู่ให้สัญญาณ มีพี่ทหารถือปืนคอยดูแลความปลอดภัยตลอดขบวน เลย “เดี๋ยวนะ มีถุงผ้าเหลืออีกถุงนึง ใครก็ได้หยิบมาด้วย”

ห๊ะ ยังเหลือของอีกเหรอ มันเป็นถุงผ้าห่มซึ่งอยู่ใกล้ตัวผมที่สุด งั้นกูยกเองละกัน

อือหือ.... น้ำหนักใช้ได้เลย ขืนยกแบบนี้ขึ้นเขาคนเดียวมีหวังแขนหลุดกันพอดี เรียกไอ้ต้อมมาช่วยดีกว่า



“พี่ช่วยครับ” แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยปากเรียกใคร ก็มีคนเข้ามาอาสาก่อน พี่ตอง

“เอ่อ....” จะพูดด้วยก็พูดไม่ได้

“ชาพูดกับพี่ไม่ได้นะ” ก็เพราะอย่างงี้ไงถึงได้ยืนอ้าปากค้างอยู่เนีย “งั้นเอากระเป๋าของพี่ไปสะพายดีกว่า พี่แบกถุงผ้าเอง อะนี่ครับ”

เอาจริงดิ

ผมถูกส่งมอบกระเป๋าสะพายหลังของพี่ตองมาสะพายไว้ด้านหน้า เพราะด้านหลังมีเป้ของผมแล้ว ส่วนพี่ตองยกถุงผ้าห่มขึ้นบนบ่า

ยอมรับเลยว่าวันนี้เป็นวันที่อยากคุยกับพี่ตองมากกกกกกกกที่สุด ทั้งๆที่เห็นกันอยู่แบบนี้ แต่สื่อสารอะไรไม่ได้เลย เอาเถอะ อย่างน้อยตอนนี้ก็มีกระเป๋าของพี่เค้ามาอยู่กับตัวแล้ว ค่อยรู้สึกใกล้ชิดกันหน่อย

“ไปเถอะครับ” พี่ตองบอก “นำไปเลย เดี๋ยวพี่ตามหลังเอง”

ครั้งนี้แหละที่รู้สึกว่าพี่ตองเป็นผู้ใหญ่มากๆ มีคนความห่วงใยอยู่ข้างหลัง การมีพ่อ ใช่ความรู้สึกแบบนี้หรือเปล่านะ ถึงจะไม่แน่ใจ แต่ก็... อบอุ่นจัง



การเดินเท้าขึ้นภูเขาเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้มีการเร่งรีบเป็นพิเศษ อาจจะด้วยทุกคนมีภาระต้องช่วยกันขนสิ่งของเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่ รุ่นน้อง พี่ทหาร หรือแม้กระทั่งอาจารย์หมอพิชิต

ผมจับสังเกตได้อย่างว่าวันนี้อาจารย์หมอหน้าตาสดใสกว่าที่เคยเห็นทุกครั้ง ท่านมีสายตาเบิกบาน แถมยังดูแข็งแรงมากสำหรับการเดินขึ้นภูเขาของคนอายุขนาดนี้ แววตาอย่างกับเด็กที่ได้กลับบ้าน

เรามีการหยุดพักทุกๆครึ่งชั่วโมงตลอดการเดินทาง จะบอกว่าลำบากหรือเปล่าก็คงไม่ขนาดนั้น แต่จะหนักก็ตรงสัมภาระที่มากกว่าปกติ ยิ่งผู้หญิงปีหนึ่งคนไหนเอากระเป๋าแบบลากมาก็จะลำบากหน่อย แต่ก็เป็นธรรมดาของผู้ชายอย่างพวกผมแหละ พอเห็นแบบนั้นก็เลยช่วยกันสลับสับเปลี่ยนเอากระเป๋าลากของผู้หญิงมาถือให้แทน แล้วก็เอาของตัวเองให้ผู้หญิงสะพาย แต่ผมไม่ให้กระเป๋าของพี่ตองหรอกนะ หนักแค่ไหนก็ถือได้

จริงๆมันไม่หนักหรอก พี่เค้าคงมีแค่ของจำเป็น พวกรุ่นพี่ส่วนใหญ่เหมือนจะเตรียมตัวกันมาดี กระเป๋าจึงไม่ได้ใหญ่โตมากนัก ถ้าตามที่พี่ยศบอก ทุกปีจะมีผู้นำเชียร์มาที่นี่ งั้นก็แสดงว่าปีที่แล้ว พวกพี่ปีสองเองก็ต้องเคยตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับเรา คิดแบบนี้ได้ก็อุ่นใจขึ้นมาหน่อย



“มายระวัง!!”

เกิดอะไรขึ้นอ่ะ

ผมมองไปข้างหน้าเห็นมายสะดุดล้มนิดหน่อย โดยมีเกตุช่วยประคองขึ้นมา

“ไม่เป็นไรเกตุ ขอบใจนะ”

"รองเท้ามายขาดอ่ะ"

"ไหน!? จริงด้วย ทำไงดีอ่ะ"

"เกตุมีอีกคู่นึง อยู่ในกระเป๋า เดี๋ยวหยิบให้ แป๊บนึงนะ..... อะนี่ แค่รองเท้าแตะธรรมดา ใส่ได้ไหม"

"ได้ซิ ขอบใจนะ"



เป็นภาพที่ดีจัง ทุกคนกำลังช่วยเหลือกัน และที่สำคัญเรากำลังจะนำของใช้จำเป็นขึ้นไปให้คนบนเขา ถึงจะไม่ได้ตั้งใจก็เถอะ........
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 46 [ข้อห้าม 12 เข็มกลัด Part 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 06-03-2018 17:04:53
​ตอนที่ 46 : ข้อห้าม 12 เข็มกลัด บทบัญญัติผู้ไร้เกียรติยศ Part 2





ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก





มีเสียงเหมือนกันใครตีไม้ไผ่อยู่ใกล้ๆ

หลังจากเราเดินทางกันมาจนเหงื่อท่วมตัวทุกคน น่าจะสองชั่วโมงหรือเปล่าไม่แน่ใจ ก็ไม่มีเวลาให้ดูนี่นา



“ถึงแล้ว” พี่ตองบอก “เอาออกได้สักที” จู่ๆพี่เค้าก็ดึงป้ายห้ามพูดใส่ลงในกระเป๋ากางเกง

“เอ่อ.....” นี่พูดได้แล้วเหรอ แล้วจะพูดว่าอะไรดี “ว้าวววว”

ผมลืมเรื่องที่อยากพูดกับพี่ตองไปเลย เพราะในที่สุดเราก็มาถึงหมู่บ้านกันแล้ว มีชาวบ้านหลายสิบชีวิตมายืนรอต้อนรับพวกเราที่ทางเข้าของหมู่บ้านซึ่งมองเห็นได้ชัดเจนเมื่อพ้นป่าออกมา

“มีที่แบบนี้อยู่ในประเทศไทยด้วยเหรอ? กำลังคิดแบบนั้นอยู่ใช่ไหมล่ะ” พี่ตองถามและยิ้มให้กับผม

“นี่คือที่ไหนอ่ะ” นี่เป็นคำถามที่ผมอยากรู้ที่สุดในเวลานี้

“พี่บอกไม่ได้ครับ” นั่นคือคำตอบ

ผมไม่ได้รู้สึกโกรธหรือหงุดหงิดนะ เพราะยังทึ้งกับบรรยากาศที่เห็นอยู่ มีบ้านหลังเล็กๆหลายหลัง ทำจากไม้และดิน อาจจะมีปูนบ้าง แต่ก็ไม่มาก รั้วรอบขอบชิดประหนึ่งครอบครัวเดียวกันทุกหลัง ธรรมชาติที่สมบูรณ์รายรอบ สวนดอกไม้ที่มีให้เห็นไม่ว่าจะกวาดสายตาไปตรงไหน อุณหภูมิที่เย็นจัด หมอกบางๆ และท้องฟ้าที่คล้ายว่าต่ำลงมาจนเราจะเอื้อมมือขึ้นไปแตะมันได้... ใช่ ผมกำลังคิดว่า ในประเทศนี้มีสถานที่แบบนี้อยู่ด้วยเหรอ สวยงามจริงๆ



“หมู่บ้านลับหมอก สวัสดีครับ/ค่ะ”

เด็กๆที่ยืนรอต้อนรับหน้าหมู่บ้านพูดขึ้นพร้อมกัน จากนั้นก็มีคุณยายหลายท่านเอาพวงมาลัยดอกไม้มาคล้องคอให้กับพวกเราทุกคนที่มาถึง

พวกเราต่างก็ทำได้แค่ยิ้มให้



“ผมชื่อกาสิ่นนะครับเป็นหัวหน้าหมู่บ้านของที่นี่” ชายค่อนข้างสูงวัยคนหนึ่งกล่าว

“กาสิ่น”

“หมอ”

จู่ๆ คุณหมอกับหัวหน้าหมู่บ้านก็โผเข้ากอดกัน

“พวกเราๆ นี่หมอพิชิตนะ คนบุกเบิกหมู่บ้านของพวกเรา มาไหว้ท่านเร็ว”

หา!?!?!? หัวหน้าหมู่บ้านพูดว่าอะไรนะ บุกเบิกเหรอ

เอาแล้วไง ชาวบ้านมารุมไหว้อาจารย์หมอเต็มเลย ตอนนี้อธิบายอารมณ์ไม่ถูกเลยระหว่างตกใจ งง และประทับใจ   

ไม่นานจากนั้น พวกเราได้รับการช่วยเหลือในการขนย้ายสิ่งของ กระเป๋า และสัมภาระเข้าไปในหมู่บ้าน

สำหรับสถานที่นอนของพวกเราเป็นโรงนอนขนาดกลาง แบ่งออกเป็นโรงนอนหญิงซึ่งอยู่ริมหมู่บ้านและโรงนอนชายที่อยู่เกือบหน้าหมู่บ้านเลย เป็นโรงนอนแบบง่ายๆ มีการก่อปูนขึ้นมาครึ่งหนึ่ง ส่วนด้านบนและหลังคาทำมาจากวัสดุธรรมชาติทั้งหมด บริเวณที่ใช้นอนก็เป็นแคร่ยาวสองฝั่งพอสำหรับผู้ชายสิบสองคนพอดี คิดว่าโรงนอนผู้หญิงก็คงไม่ต่างกัน

ถึงแม้ทุกคนจะดึงป้ายออกแล้ว แต่พวกเราก็แทบไม่ได้หยุดพักหายใจเลย พี่ๆต่างเร่งให้พวกเราไปอาบน้ำก่อนที่พระอาทิตย์จะตก แล้วคิดดูซิว่าผมจะอาบน้ำในที่ๆอากาศหนาวขนาดนี้ได้ยังไง ถึงแม้ห้องน้ำจะมิดชิด แต่น้ำที่อาบอย่างกับไหลมาจากน้ำตก เย็นอย่างกับโดนเข็มพันเล่มทิ่มแทงตลอดเวลา นี่เป็นครั้งแรกเลยที่อยากอยู่ในสภาพเหม็นเหงื่ออย่างเดิม

หลังจากอาบน้ำเสร็จเราทุกคนถูกต้อนให้เดินไปอีกด้านหนึ่งของหมู่บ้าน เป็นทางที่ดูเหมือนจะมีการใช้งานอยู่เป็นประจำ มีสวนสมุนไพรและไม้ประดับให้เห็นตลอดทาง แม้ที่นี่จะไร้ไฟฟ้าแต่ก็คล้ายว่าจะมีสิ่งจำเป็นครบครันอยู่แล้ว ผมสังเกตเห็นอาคารพยาบาลที่มีห้องเก็บสมุนไพรอยู่ข้างๆ มีระบบการประปาที่สะดวกสบาย มีห้องที่มีกระดานดำซึ่งคงมีไว้ใช้เรียนหนังสือ แต่ที่เห็นโดยไม่ต้องสังเกตก็คือแหล่งอาหาร อย่างเช่น ไก่ หมู แปลงผัก สวนผลไม้ อุดมสมบูรณ์จริงๆ



“เชรดดดดด” ไอ้ต้อมร้อง ผมก็ยังอยากจะร้องเลย

นี่ผมจะต้องว้าวอีกกี่ครั้งกันกับความสวยงามของที่นี่ เหล่าปีหนึ่งถูกนำมายังลานกว้างซึ่งมีกองไฟขนาดไม่ใหญ่นักอยู่ตรงกลาง โดยรอบประกอบด้วยสวนดอกไม้สีสันฉูดฉาดตา และต้นไม้เก่าแก่ขนาดสูงสามถึงสี่เมตรตั้งตระหง่าอยู่ใกล้ๆ พร้อมกับบรรยากาศช่วงตะวันตกดิน เป็นมุมมองที่ช่างภาพควรมาถ่ายเก็บไว้เป็นที่สุด

ทุกคนนั่งกันบนหินต่างเก้าอี้ที่วางอยู่รอบกองไฟ โดยมีอาจารย์หมอพิชิตและพี่ชมพู่นั่งรออยู่แล้ว และยังมีหัวหน้าหมู่บ้านกับพี่ทหารดูแลความลอดภัยอยู่ใกล้ๆ

ผมนั่งติดกับขิงและไอ้ต้อม โดยมีพี่ปีสองยืนล้อมรอบพวกเราอยู่



“เหนื่อยกันไหมวันนี้” นี่คือคำพูดแรกของอาจารย์หมอ ผมยอมรับเลยว่าคิดถึงเสียงของท่านมาก นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ยิน

“นิดหน่อยครับ” “เหนื่อยค่ะ” “ไม่ครับ” พวกเราต่างตอบกันคนละทิศละทาง แต่สำหรับผมคิดว่าก็เหนื่อยนะ แต่การซ้อมเต้นอย่างหนักตลอดสองเดือนกว่านี้ ดูจะช่วยไว้ได้มาก ก็เลยไม่เหนื่อยเท่าไหร่

“ฮ่าๆๆๆ” เป็นครั้งแรกเลยที่ได้ยินอาจารย์หมอหัวเราะ “เอาเป็นว่ายังเราก็มาถึงที่นี่กันแล้วนะ มีใครรู้บ้างว่าที่นี่คือที่ไหน”

“หมู่บ้านลับหมอกครับ” ไอ้ต้อมตอบ

“แล้วมันคือที่ไหนล่ะ”

เราทุกคนได้แต่มองหน้ากัน ก็เหมือนโดนปิดตามาตลอดทางนี่นา จะรู้ได้ยังไง

“ไม่แปลกหรอกที่เด็กๆยังไม่รู้ เพราะมีแค่ผู้นำเชียร์ตัวจริงเท่านั้นที่จะรู้ว่าที่นี่อยู่พิกัดไหนของประเทศเรา... เอาล่ะ ผมคิดว่าถึงเวลาคลายความสงสัยให้กับทุกคนได้แล้ว เรามาที่นี่ทำไม และจุดประสงค์ของการมาที่นี่คืออะไร... ผมจะเล่าแบบนี้ก็แล้วกัน

ย้อนกลับไปเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน วันที่ผมและผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนาทั้งสิบสองคนหารือกันว่าเราจะออกไปทำกิจกรรมอะไรนอกมหาวิทยาลัยกันดี ตอนนั้นพวกเราไฟแรงกันมากๆ ในยุคที่ประเทศของเรายังไม่มีเทคโนโลยีเหมือนทุกวันนี้ ในยุคที่นิสิตนักศึกษามีบทบาทในการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศอย่างมาก เราตัดสินใจเดินทางเพื่อค้นหาหมู่บ้านซึ่งความเจริญยังคงเข้าไปไม่ถึง ขาดแคลนความรู้ ขาดแคลนความสามารถในการปกป้องตัวเอง หรืออะไรก็ตามที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต พวกเราก็มาพบที่นี่โดยบังเอิญ แรกเริ่มนั้น ที่นี่มีแค่กระท่อมเล็กๆสามสี่หลัง เป็นกระท่อมชั่วคราวของชนเผ่ามลาบรีหรือเผ่าตองเหลือง เคยได้ยินไหม พวกเขาจะอพยพย้ายที่ไปเรื่อยๆตามเขาบริเวณนี้ มันเป็นวิถีชีวิตของพวกเค้า ตรงไหนอาหารหมดก็ย้ายไปที่ใหม่

ตอนนั้นพวกเราได้พบกับคุณปราบ พ่อแท้ๆของคุณยศ ทหารพรานคนเก่งของเรา เราศึกษาร่วมกันถึงการมีอยู่ของชนเผ่าในระแวกนี้ ก็ได้พบว่ายังมีอีกหลายครอบครัวที่เดินทางย้ายที่ไปเรื่อยๆบนภูเขา หาอาหาร ใช้ทรัพยากร แล้วก็จากไป ผมกับเพื่อนๆจึงตัดสินใจว่า เราจะรวมชนเผ่าที่กระจัดกระจายนี้เข้าด้วยกัน เพื่อเหตุผลหลายข้อ อย่างแรกคือให้พวกเขามีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง สองคือหยุดการทำลายทรัพยากรธรรมชาติโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และสามคือให้พวกเขาปลอดภัยมากขึ้นจากทั้งสัตว์ป่าและการปะทะกันกับทหารพรานหรือกลุ่มลำเลียงยาเสพติดที่ชุกชุมในช่วงนั้น

สามปีเต็มที่ผมและเพื่อนๆไปมาที่นี่ตลอด และด้วยความช่วยเหลือของคุณปราบ หมู่บ้านลับหมอกก็เกิดขึ้นมาจนได้ เราช่วยกันรวบรวมผู้คนที่กระจัดกระจายจนเกิดเป็นชุมชน ให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการเป็นประชาชนของประเทศเดียวกันกับคนข้างนอก สอนให้พวกเขาช่วยเหลือเกื้อกูนกันและที่สำคัญคือสอนให้หยุดการทำลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่จำเป็น”



“เพี้ยวเงาะชิบหาย” ไอ้ต้อมกระซิบ “ทำไมลีดสมัยก่อนทำเรื่องยิ่งใหญ่จังวะ พวกเราที่ซ้อมเต้นทุกวันนี่กระจอกไปเลย”

“เพราะอย่างงี้ไงผมถึงได้พาผู้นำเชียร์รุ่นน้องมาที่นี่” ไอ้ต้อมสะดุ้งที่อาจารย์หมอได้ยิน มันคงลืมไปว่าที่นี่เงียบมากขนาดไหน “ผมและเพื่อนๆทั้งสิบสองคนได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความหมายของคำว่า Leader มันไม่ใช่แค่นักเชียร์กีฬา ไม่ใช่สังคมของคนสวยหล่อ แต่มันคือการเป็นผู้นำเชิงความคิดและนักปฏิบัติ เราจึงพยายามส่งต่อเจตนารมณ์ให้กับคนรุ่นถัดไป ปีแล้วปีเล่าที่ผู้นำเชียร์แต่ละรุ่นเดินทางมาที่นี้เพื่อนำพาหมู่บ้านแห่งนี้ไปสู่สิ่งดีสิ่งใหม่ๆ ผมไม่ได้มาที่นี่มานานพอสมควร แล้วก็ได้เห็นการพัฒนาไปในทิศทางที่ดี.... มีใครพอจะบอกผมได้ไหมว่าโรงสมุนไพรที่เห็นเมื่อกี้ เด็กรุ่นไหนสร้างขึ้นมา”

“รุ่นของผมเองครับ” พี่ท๊อปตอบ “คือตอนที่รุ่นของผมมามีชาวบ้านป่วยพอดี ผมได้เห็นวิธีการรักษาโดยใช้สมุนไพร แต่พวกเขาต้องคอยออกไปเก็บทุกครั้งที่มีคนป่วย ผมก็เลยคิดว่า น่าจะมีโรงเก็บสมุนไพรเอาไว้ใช้ในสถานการณ์เร่งด่วน แต่ชาวบ้านยังไม่ทราบว่าสมุนไพรบางตัวสามารถตากแห้งเก็บไว้ได้ ผมโชคดีที่เรียนเรื่องนี้มาบ้างครับ ก็เลยได้มีโอกาสแนะนำชาวบ้านเกี่ยวกับการเก็บรักษาสมุนไพรต่างๆในแถบนี้”

“ผมขอชมในฐานะแพทย์เลยนะว่ามันยอดเยี่ยมจริงๆ”

“ขอบคุณครับ”

พี่บุ๋นยิ้มใหญ่เลย อย่างกับภูมิใจในตัวพี่ท๊อปซะเต็มที่

“แล้วรุ่นนี้ล่ะทำอะไร” อาจารย์หมอหมายถึงรุ่นพี่ปีสอง ผมเองก็รู้สึกอยากรู้เหมือนกัน

“เราไม่ได้ลงมือทำกันจริงจังครับ แค่ให้แนวทางการทำไว้เฉยๆ” พี่ตองเป็นคนตอบ “เราสร้างระบบขนส่งน้ำครับ แต่พวกผมไม่มีเวลามากพอครับอาจารย์ ที่สำคัญมันเป็นฤดูหมอกลงจัด วัสดุบางอย่างจำเป็นต้องนำมาจากข้างนอกครับ”

“คืออย่างนี้ครับหมอ” หัวหน้าหมู่บ้านพยายามจะช่วยอธิบาย “พวกคุณหนูสอนพวกเราเกี่ยวกับการทดน้ำจากที่สูงให้ไหลผ่านท่อน้ำเข้ามาในหมู่บ้านเพื่อที่จะไม่ต้องไปตักน้ำกันทุกวัน เราก็เลยลองใช้พวกไม้ไผ่กับดินเหนียวไปพลางๆก่อน เพราะตอนนั้นของที่มีในหมู่บ้านมันมีไม่พอ แต่เมื่อหน้าร้อนที่ผ่านมาพวกคุณหนูเขาก็เดินทางมาใหม่นะครับ เอาท่อเหล็กกับปูนมาก่อให้มันแข็งแรง แถมยังปรับปรุงห้องน้ำให้ด้วยครับ”

“โดยไม่ใช้ไฟฟ้าเลยเหรอ” อาจารย์หมอท่าทางแปลกใจ

“ไม่ได้ใช้ครับอาจารย์ ใช้หลักการทางวิศวกรรมอย่างง่ายนี้แหละครับ” พี่ตองตอบ อ๋อ แบบนี้นี่เอง ถึงว่าซิทำไมน้ำที่อาบเมื่อกี๊ถึงรู้สึกว่ามันเย็นแบบแปลกๆ ที่แท้ก็มาจากน้ำตกจริงๆด้วย แถมยังไม่มีก๊อกปิด คงเพราะต้องปล่อยให้มันระบายออกไปเรื่อยๆ ไม่งั้นแรงดันน้ำจะทำให้ท่อขนส่งเกิดความเสียหายได้

“มหัศจรรย์จริงๆ... เอาล่ะที่นี้ พวกคุณก็คงได้เห็นแล้วใช่ไหม เด็กแต่ละรุ่นที่มาที่นี่ ได้นำพาสิ่งดีๆสิ่งใหม่ๆมาให้กับผู้คนที่ในอดีตเคยหลงทาง ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สำหรับผมแล้ว มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะหยุดอยู่แค่ครั้งแรกที่ลงมือทำ ของบางอย่าง เรื่องบางเรื่อง ต้องอาศัยเวลา กำลังแรงกาย ความคิด และผู้นำรุ่นใหม่ๆ ดูซิ เดี๋ยวนี้ ที่นี่ได้รับการสถาปนาเป็นหมู่บ้านที่ถูกต้องตามกฎหมาย กลายเป็นแหล่งวัฒนธรรมที่เกือบจะสมบูรณ์แล้ว และวันนี้มันก็ถึงคิวของรุ่นพวกคุณแล้ว คุณชมพู่ ผมรบกวนหน่อย”

“ได้ค่ะอาจารย์ หัวหน้าหมู่บ้านค่ะ ขอของทั้งหมดด้วยค่ะ” พี่ชมพู่รับของบางอย่างมาจากหัวหน้าหมู่บ้าน “ผู้ที่ได้คะแนนอันดับหนึ่งของฝ่ายชายและหญิง ในฐานะตัวแทนผู้นำเชียร์รุ่นที่สามสิบเก้า ออกมารับของของพวกเธอด้วย”

ห๊ะ!!

อะไรอ่ะ

“ไปดิมึง” ไอ้ต้อมรีบผลักให้ผมลุกไปรับ....

กล่อง กล่องไม้สีดำสนิท มันเปิดอ้าไว้เผยให้เห็นผ้ากำมะหยี่สีม่วงเข้มที่ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น ส่วนเกตุได้รับหนังสือปกสีดำสนิทเหมือนกัน ของทั้งสองอย่างนี้ค่อนข้างเก่ามากๆ

และตอนนั้นเอง เหล่าผู้นำเชียร์ปีสองก็นำเข็มกลัดสัญลักษณ์ที่แตกต่างกันมาติดที่หน้าอก ผมไม่เคยเห็นสัญลักษณ์พวกนี้เลย ยกเว้นของพี่บุ๋นที่เหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

“ในฐานะของผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนา นี่คือภารกิจสามอย่างที่ทุกคนต้องช่วยกันทำในสัปดาห์นี้” พี่ชมพู่พูดต่อ เอาล่ะซิ “ภารกิจแรก ความคิดของผู้นำคือการนำสิ่งใหม่สู่หมู่บ้านลับหมอก พัฒนาหรืออะไรก็ตาม อาจารย์หมอได้ยกตัวอย่างให้ฟังไปแล้วนะ... ภารกิจที่สอง ภาพลักษณ์ของผู้นำ พวกเธอต้องใช้เวลาระหว่างที่อยู่ที่นี่ในการคิดค้นและประดิษฐ์ท่าเต้นพร้อมเพลงเชียร์ที่เป็นของรุ่นพวกเธอเอง ซึ่งเราพาคนควบคุมสแตนเชียร์มาให้แล้ว (หมายถึงขิงซินะ) จะปรึกษาอะไรกันก็ได้ เต็มที่เลย และภารกิจสุดท้าย.... จิตวิญญาณของผู้นำ นั่นคือการเติมเต็มสัญลักษณ์ทั้งสิบสองอย่างลงบนนี้”

“พอดีว่าสมัยของผม มหาวิทยาลัยของเรายังมีแค่ไม่กี่คณะ ส่วนใหญ่ก็มีแต่เด็กคณะวิทยาศาสตร์กับวิศวะ พวกเราก็เลยสร้างสิ่งนี้ขึ้นมา” อาจารย์หมอกลับมาพูดอีกครั้งพร้อมกับหยิบฟืนที่ติดไฟท่อนหนึ่งจากกองไฟ แล้วเดินไปที่ต้นไม้เก่าแก่ที่อยู่ตรงหน้าทุกคน

มันเป็นช่วงเวลาเย็นแถมยังมีหมอก ก็เลยไม่มีใครสังเกตเห็นว่าต้นไม้ต้นนี้ แท้จริงมันตายไปแล้ว เหลือเพียงลำต้นและกิ่งไม้ อาจารย์หมอใช้ไฟส่องไปใกล้ๆกับต้นไม้ จึงได้เห็นว่ามันมีส่วนประกอบของปูนซีเมนต์อยู่ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ต้นไม้ยังยืนต้นอยู่ได้และยังมีแท่นปูนอยู่ภายในใจกลางต้นไม้ที่เป็นเหมือนโพลงกว้าง บนแท่นนั้นมีช่องเอาไว้วางอะไรบางอย่างลงไป พร้อมกับข้อความที่เขียนไว้ว่า



หอคอยเกียรติยศ

“น้องผู้หญิง เปิดหนังสืออ่านให้เพื่อนฟังซิ” พี่ชมพู่สั่งเกตุ แล้วยกเทียนที่เพิ่งจุดมาใกล้ๆให้เกตุสามารถมองเห็นและอ่านได้

“เอ่อ...” เกตุหันไปหาพวกปีหนึ่ง แล้วค่อยๆเปิดหนังสือออกมา เหมือนมันจะมีแค่ไม่กี่หน้าเท่านั้น แต่หนามาก เพราะทำมาจากกระดาษสาหลายชั้น “............ข้อห้าม 12 เข็มกลัด บทบัญญัติผู้ไร้เกียรติยศ

ความอ่อนแอ แค่ทาง ของคนหน่าย                  ความดุร้าย แค่ฉาก ของคนขลาด

ความพึงใจ แค่อ้าง ของคนพลาด                    ความประมาท คือทอง ของคนเมา

ความเหย่อหยิ่ง แค่ค่า อันต่ำต้อย                    ความเลื่อนลอย ล่าช้า แค่ตามเขา

ความรักตน แค่ตน มิใช่เรา                           ความโง่เขลา คือตม ไม่รู้ชะ

ความล้มเหลว แค่ทำ ให้เพียงผ่าน                   ความเกียจคร้าน แค่เด็ก ไม่เคยละ

ความแข็งกร้าว แค่เกราะ มิสวยสะ                   เสียสละ คือคำ ผู้นำคน”



มันคือกลอนแปดที่กล่าวถึงลักษณะอันไม่พึงประสงค์ซินะ ผมเดาว่าอย่างนั้น



“หน้าต่อไป” พี่ชมพู่สั่งต่อ เกตุรีบทำตามแล้วอ่าน...

“นิยาม 12 เข็มกลัด....

เข็มกลัดหิน     หมายถึง ผู้สละความอ่อนแอ

เข็มกลัดดิน     หมายถึง ผู้สละความเหย่อหยิ่ง

เข็มกลัดหญ้า   หมายถึง ผู้สละความเกียจคร้าน

เข็มกลัดน้ำ     หมายถึง ผู้สละความประมาท

เข็มกลัดลม     หมายถึง​ ผู้สละความดุร้าย

เข็มกลัดผลึก   หมายถึง​ ผู้สละความโง่เขลา

เข็มกลัดไฟ     หมายถึง​ ผู้สละความแข็งกร้าว

เข็มกลัดเหล็ก  หมายถึง​ ผู้สละความเห็นแก่ตัว

เข็มกลัดไม้      หมายถึง​ ผู้สละความล้มเหลว

เข็มกลัดสายฟ้า หมายถึง​ ผู้สละความล่าช้า

เข็มกลัดปีก      หมายถึง​ ผู้สละความพึงใจ

เข็มกลัดเพชร    หมายถึง​ ผู้เสียสละ”



“ดูที่หน้าอกของพี่ปีสองไว้นะ” พี่ชมพู่บอก “ทุกคนจะมีเข็มกลัดคนละแบบ แต่ละแบบให้ความหมายตามที่น้องผู้หญิงบอก หากเธอพิสูจน์ตัวเองได้ ก็รับเข็มขัดไป สะสมให้ครบทั้งสิบสองอันแล้วนำมันมาวางบนหอคอยเกียรติแค่นี้ก็ถือว่าผ่าน”

“ถ้าไม่ผ่านละครับ” มันมีข้อสงสัยบางอย่างทำให้ผมอดตั้งคำถามไม่ได้

“เราไม่มีนโยบายที่จะยกเลิกลีดมหาลัยอยู่แล้ว มันขึ้นอยู่กับพวกเธอเองว่าอยากจะทำให้ผ่านหรือเปล่า เพราะถึงแม้ทุกคนจะช่วยกันจนผ่านทุกภารกิจ กลับไปถึงมหาลัยก็ต้องมีการตัดสิบสองคนออกอยู่ดี เธอจะนั่งใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรให้เกิดประโยชน์เลยแล้วเดินทางกลับไปเฉยๆก็ได้ หรือเธอจะอยากพิสูจน์ตัวเองให้รุ่นพี่ของพวกเธอได้เห็น แล้วทำภารกิจ ไม่ใช่แค่ที่ยืนอยู่ตรงนี้นะ หลายต่อหลายรุ่นที่เดินทางมาที่นี่ ทุกรุ่นฝากเรื่องราวดีๆไว้ที่นี่ทั้งนั้น และพวกเค้าก็ทำกันได้สำเร็จ... หลังจากนี้ มันขึ้นอยู่กับพวกเธอทั้งยี่สิบสี่คน เพียงแต่ อย่าลืมนะว่า สถานที่ตรงนี้ยังเป็นความลับสำหรับพวกเธออยู่ ใช่ไหม? ต้องทำทุกภารกิจให้สำเร็จเท่านั้นถึงจะได้รับพิกัดที่ตั้งของที่นี่ไป หากล้มเหลว สถานที่แห่งนี้จะเป็นเหมือนแค่ความฝันของพวกเธอที่ไม่สามารถกลับมาได้อีก”

แบบนี้นี่เอง ที่แท้ก็มีข้อแลกเปลี่ยนบางอย่างอยู่ ซึ่งถามว่าผมแคร์ไหม.... แคร์มากกกก ใครจะไม่อยากกลับมาที่สวยๆงามๆแบบนี้



“แต่ผมแนะนำให้ตั้งใจทำให้สำเร็จนะ” อาจารย์หมอเดินกลับมา “หลังทำภารกิจสำเร็จ ผมรับรองว่าพวกคุณจะได้เห็นอะไรสนุกๆแน่นอน อ่อ ผมคิดว่าผมอยากจะมอบเข็มกลัดสองสามอันให้กับพวกคุณ คิดว่ายังไงคุณชมพู่”

“ได้เลยค่ะอาจารย์”

“งั้นผมขอ.... เข็มกลัดหิน หน่อยได้ไหม” อาจารย์หมอร้องขอ แล้วพี่ลีดที่ชื่อเก้อก็ดึงเข็มกลัดออกจากหน้าอกตัวเอง ส่งต่อให้อาจารย์พิชิต “ยื่นกล่องมาข้างหน้าหน่อย”

ผมยื่นกล้องไปให้อาจารย์หมอตามที่สั่ง ท่านปลักมันลงบนผ้ากำมะหยี่

“นี่คือเข็มกลัดหิน หมายถึงอะไร จำได้ไหม?”

“เอ่อ...” อะไรหว่า ที่เกตุพูดเมื้อกี๊ “ผู้สละความอ่อนแอ... ใช่ไหมครับ”

“ใช่...” โล่งอกไปทีที่ตอบถูก “คนเราจะเป็นผู้นำคน จำไว้นะ ไม่ใช่คนที่ยึดติดกับความสมบูรณ์แบบ มันไม่มีคนแบบนั้นอยู่บนโลกหรอก เราอาจจะไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เราเลือกที่จะสามารถสละความอ่อนแอลงไปได้ อดทน และแบกของหนักๆขึ้นมาบนนี้ได้ นี่แหละคือความหมายของเข็มกลัดหิน” นี่ซินะคำสอนที่แท้จริง ลึกล้ำและให้แง่คิด “ผมขอ... เข็มกลัดดิน อีกสักอันได้ไหม”

จะได้อีกอันนึงเหรอ ง่ายกว่าที่คิดแฮะ



“นี่ค่ะอาจารย์” พี่หนิงนี่เองที่ถือเข็มกลัดดินไว้

“ผมมอบอีกอันนึงให้ก็แล้วกันนะ นี่คือ เข็มกลัดดิน แปลว่า?”

“ผู้สละความเหย่อหยิ่ง ค่ะ” เกตุตอบ เพราะเธอรีบดูจากในหนังสือ

“นั่นแหละ... ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ พวกคุณทุกคนจะไม่ได้เป็นที่รู้จักในฐานะผู้นำเชียร์ที่มีชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยมัณฑนา แต่อยู่ในฐานะเดียวกับชาวบ้านทุกคน ไร้ชื่อเสียง ไร้คนชื่นชม ดังนั้น ผมจึงอยากมอบเข็มกลัดนี้ไว้ให้ เพื่อเตือนใจพวกคุณเสมอว่า เราจะใช้ชีวิตที่นี่เฉกเช่นชาวบ้านธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ตกลงกับผมได้ไหม”

“ได้ครับ/ค่ะ” ปีหนึ่งทุกคนต่างตกลง

“งั้นก็รับมันไป” เข็มกลัดอันที่สองถูกปักลงบนผ้ากำมะหยี่ รู้สึกว่ากำลังอยู่ในพิธีศักดิ์สิทธิ์ยังไงก็ไม่รู้ “สุดท้าย เข็มกลัดผลึก... ไม่ใช่ๆ ผมไม่ได้จะมอบให้พวกคุณ แต่ผมจะฝากมันไว้กับกาสิ่นก่อน... เราพูดคุยกันมาถึงตรงนี้แล้ว หวังว่าทุกคนคงเข้าใจว่าเราพยายามเก็บที่นี้ไว้เป็นความลับมากแค่ไหน นี่คือเข็มกลัดผนึก หมายถึง ผู้สละความโง่เขลา หวังว่าจะไม่มีใครทำอะไรโง่ๆด้วยการพยายามค้นหาตำแหน่งของหมู่บ้านนี้ ไม่ว่าจะด้วยการถามจากชาวบ้านหรือด้วยวิธีใดก็ตาม ผมขอเก็บสถานที่นี้ไว้สำหรับสายเลือดผู้นำเชียร์ตัวจริงเท่านั้น”

หัวบ้านหมู่บ้านรับเข็มกลัดผลึกไปติดที่หน้าอกตัวเอง

นึกว่าจะได้อีกอันซะอีก

“งั้นก็เป็นอันเสร็จพิธีตรงนี้แล้วนะ” อาจารย์หมอนั่งลงที่เดิม ส่วนผมและเกตุก็กลับมานั่งที่ของตัวเอง “วันศุกร์ก็คงจะได้รู้กันนะว่าภารกิจจะสำเร็จหรือเปล่า ส่วนตัวผมก็หวังว่าจะได้เห็นความสำเร็จของรุ่นน้องสายเลือดใหม่ ขอให้โชคดี”

"ขอบคุณครับ/ค่ะ" พวกเรากล่าวขอบคุณพร้อมกัน



“ถ้าอย่างนั้น พวกเราไปทานอาหารกันดีกว่านะครับ” คุณกาสิ่นเชิญชวนให้ทุกคนร่วมรับประทานอาหารพื้นถิ่นของเผ่ามลาบรี ระหว่างนั้นพวกปีหนึ่งก็สนอกสนใจกับเข็มกลัดและหนังสือบัญญัติที่เพิ่งได้รับมา คุณกาสิ่นเล่าให้ฟังระหว่างมื้ออาหารว่า มันเป็นของที่อาจารย์หมอกับเพื่อนๆฝากไว้เมื่อนานมาแล้ว และทุกฤดูหนาวก็จะถูกนำออกมาทุกครั้ง เพื่อส่งมอบให้คนที่มาใหม่ และเมื่อจบภารกิจก็จะถูกนำไปเก็บไว้ในหีบของหมู่บ้านเหมือนเดิม เป็นของสำคัญทีเดียว

เข็มกลัดทำมาจากโลหะ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามีอะไรบาง แต่เห็นเพื่อนวิศวะบอกว่าน่าจะเป็นพวกดีบุกกับทองแดง เพียงแค่เอามาหล่อมให้มีลวดลายที่ไม่เหมือนกัน แต่มีฐานเป็นวงกลมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากัน



“กูนึกออกแล้ว!!” จู่ๆไอ้ต้อมก็พูดขึ้นมา ซึ่งเป็นเวลาที่ทุกคนกำลังกินมื้อเย็นใต้แสงตะเกียงอยู่

“นึกอะไรออกวะ” ผมถาม

“ไหนมึงเอาเข็มกลัดมาดูหน่อยดิ”

“อะนี่ ทำไมวะ?” ผมส่งกล่องเข็มกลัดให้มัน

“นี่ไง จริงๆด้วย” มันยกตะเกียงไฟที่อยู่ใกล้ๆมาจ่อที่เข็มกลัด “กูว่าแล้วว่าทำไมมันคุ้นๆ มันเป็นสัญลักษณ์เล็กๆในตราลีดมหาลัยไง อันนี้อ่ะ เข็มกลัดดิน จำได้ไหม อยู่ด้านล่างสุดของตราประทับอ่ะ”

“เหรอวะ แต่กูไม่คิดว่าจะเคยเห็นนะ” เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อน หรือว่า... “พี่บุ๋นนั่งอยู่ตรงไหนวะ?”

“โน่นน่ะ” ไอ้ต้อมชี้ พี่บุ๋นนั่งอยู่ข้างๆพี่ท๊อปที่เกือบสุดวงล้อมอาหาร

“มึงดูที่เข็มกลัดของพี่บุ๋นดิ กูว่ากูคุ้นอันนั้นนะ ถ้ามึงบอกว่าตราปั๊มลีดของมึงมีสัญลักษณ์ของเข็มกลัดดิน ซึ่ง... พี่หนิงใช่ปะ ที่ปั๊มให้มึงอ่ะ”

“ใช่”

“อย่างงี้นี่เอง กูกับพี่บุ๋นได้ตราปั๊มจากคนๆเดียวกัน นั่นก็คือพี่ท๊อป กูถึงได้คุ้นสัญลักษณ์อันนั้นจัง มันเหมือนในตราปั๊มของกูเลย”

“นั่นน่าจะเป็นเข็มกลัดไม้นะ” เกตุแทรกขึ้นมา เธอคงได้ยินที่ผมคุยกับไอ้ต้อม “หมายถึง ผู้สละความล้มเหลว”

“นี่มันจะเกี่ยวกับการคัดตัวรอบสุดท้ายหรือเปล่าอ่ะ” เหมือนผมจะฉุกคิดอะไรได้

“ยังไง?” เกตุสงสัย ไอ้ต้อมก็เหมือนกัน

“อย่างเช่น พี่บุ๋นได้เข็มกลัดไม้ เพราะพี่ท๊อปปั๊มสัญลักษณ์ไม้ให้ มันจะเป็นไปได้ไหมที่รุ่นต่อไปต้องเลือกจากคนที่รับสัญลักษณ์นั้นเท่านั้น...”

“งั้น..." เกตุยังคงคิดตาม "แล้วถ้าสมมติในพวกเรายี่สิบสี่คน ไม่มีคนที่มาจากการปั๊มของพี่ตองเลยล่ะ แล้วจะทำยังไง ก็ไม่มีรุ่นน้องมารับสัญลักษณ์ต่อ ยังงี้เหรอ”

“เออ นั่นซิ...”



“มีใครพูดถึงพี่หรือเปล่า” อ้าว พี่ตองผ่านมาได้ยินซะงั้น

“เราถามเกี่ยวกับการคัดเลือกรอบต่อไปได้ไหมคะ” เกตุถามทันที

“เป็นเรื่องที่ห้ามพูดหรือเปล่าอ่ะ” ผมถามด้วย

“ก็ไม่นะครับ” พี่ตองตอบก่อนจะนั่งลงด้านหลังของผมเพื่อพูดคุยต่อ “มันก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ แค่พิจาณาสิบสองคนที่เหมาะสมที่สุดก็แค่นั้น แต่ตอนนี้ทุกคนต้องช่วยกันทำภารกิจไปก่อน”

“ไม่ได้เกี่ยวใช่ไหมว่าต้องเลือกจากคนที่ได้สัญลักษณ์เดียวกันกับเข็มกลัดของรุ่นพี่” ผมยังคงสงสัย “ชาหมายถึงสัญลักษณ์ในตราปั๊มลีดอ่ะ”

“สังเกตเห็นด้วยเหรอ... แต่ก็ไม่เกี่ยวนะครับ ทำไมเหรอ”

“ก็ชารู้มาว่าพี่ท๊อปปั๊มตราลีดให้แค่พี่บุ๋นคนเดียวเมื่อปีที่แล้ว แล้วตอนนี้พี่บุ๋นก็มีเข็มกลัดแบบเดียวกับในตราลีดของพี่ท๊อป ก็เลย...”

“อ๋ออออ ก็เลยสงสัยว่าจะเป็นการส่งต่อแบบของใครของมันเท่านั้นหรือเปล่า... แบบนี้ใช่ไหม” ก็ประมาณนั้นแหละ “ไม่เกี่ยวหรอกครับ ทุกคนต้องผ่านภารกิจด้วยกันอยู่แล้ว แต่ตอนที่เลือกว่าใครจะใช้สัญลักษณ์อันไหน มันต้องหลังจากคัดเลือกสิบสองคน แล้วก็ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและความเหมาะสมมากกว่า แต่ถ้าให้พี่เลือก... อย่างชาต้อง...เข็มกลัดเพชร”

“เพราะ?” ถ้าจำไม่ผิด เข็มกลัดเพชรหมายถึงผู้เสียสละ “ชาเสียสละตรงไหน”

“เรื่องเสียสละหรือเปล่า อันนั้นพี่ไม่รู้หรอกครับ แต่ว่า...” พี่ตองชี้ให้ดูเข็มกลัดที่หน้าอกของพี่เค้า เข็มกลัดเพชร“มันเป็นเข็มกลัดประจำตัวพี่ ซึ่งสำหรับพี่แล้ว มีแค่ชาเท่านั้น.....







........ที่จะดึงมันออกไปได้”
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 07-03-2018 01:38:26
รอน๊าาาา
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-03-2018 06:54:26
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 07-03-2018 09:57:09
สนุกมากๆเลย ชอบความมีเหตุผลของตัวละคร ไม่ค่อยงี่เง่า
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 47 [เปลี่ยนแปลง Part 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 11-03-2018 22:13:56
​​ตอนที่ 47 : เปลี่ยนแปลง









"อ๊ากกกกกกกก เย็นมาก มือกูจะเป็นน้ำแข็งอยู่แล้ว" ผมร้อง ไม่อยากเชื่อเลยว่าผมจะกลายเป็นคนที่โวยวายแทนที่จะเป็นไอ้ต้อม

“มึงก็อย่าเอามือลงไปแช่น้ำนานดิ” ไอ้ต้อมบอกผม “มานี่ๆ เดี๋ยวกูทำเอง มึงเอาจานเก็บใส่ตะกร้าดีกว่า หลบๆๆ”

ได้ทีพูดใหญ่เลยนะมึง “เออ”

ผมกับไอ้ต้อมกำลังช่วยกันล้างจานหลังอาหารค่ำมื้อแรกบนหมู่บ้านหลังเขา หรือระหว่างเขา หรือบนเขา อะไรสักอย่างนี้แหละ ส่วนคนอื่นๆกำลังทำความสะอาดโรงนอนและบางส่วนก็ต้องอยู่เฝ้ายาม เพราะต้องมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเฝ้ายามหน้าและหลังหมู่บ้านตลอดเวลา

การมาใช้ชีวิตที่หมู่บ้านลับหมอกแห่งนี้ พี่ชมพู่สั่งไว้ชัดเจนว่าให้ทำทุกอย่างเหมือนที่ชาวบ้านทำ และต้องช่วยเหลือตัวเอง ทั้งช่วยเหลือคนในหมู่บ้านให้ได้มากที่สุด



“เห็นเค้าบอกว่าแถวนี้มีน้ำตกใช่ไหม” ไอ้ต้อมพูดขึ้นอีกครั้งในขณะที่ผมเก็บจานใส่ตะกร้าใบยักษ์

“ใช่” ผมตอบ "น้ำที่เราใช้ก็มาจากน้ำตก ถ้าตามทางน้ำพวกนี้ที่ไหลลงไปคงจะเจอกับธารน้ำ"

“พรุ่งนี้เราไปเล่นน้ำกันไหม กูไม่ได้ลงน้ำมานานแล้ว”

“นี่มึงยังหนาวไม่พอหรือไงวะ”

“มันต้องมีช่วงที่อากาศไม่เย็นแบบนี้บ้างแหละ อุตส่าได้มาที่แบบนี้ทั้งที่ หาอะไรสนุกๆทำหน่อยดิวะ”

“มึงอยากสนุกอ่ะกูไม่ว่าหรอก แต่เรื่องภารกิจของเราล่ะ สร้างสิ่งใหม่ให้กับที่นี่ คิดเพลงกับท่าเต้นใหม่ แล้วก็เรื่องเข็มกลัดอีก”

“เออ ว่าแต่ เมื่อกี๊ทำไมมึงไม่ดึงเข็มกลัดมาจากพี่ตองวะ พี่เค้าอุตส่าอ่อย... เอ้ย อุตส่าเปิดโอกาสให้มึงขนาดนั้นแล้ว กูว่าแค่มึงออกปากขอ พี่เค้าก็ไม่วายจะใส่พานมาให้มึงอย่างไวอ่ะ”

“กูจะทำแบบนั้นได้ไงวะ มันไม่ได้พิสูจน์อะไรเลยนะเว้ย กูไม่โอเคอ่ะ”

“อือหือ ไอ้คนจริงจัง ถ้ามึงพูดแบบนี้นะ ก็อย่าลืมไปพิสูจน์ตัวเองกับพี่แอมอะไรนั่นก็แล้วกัน อันนั้นอ่ะยากแน่”

“.......นั่นดิ” พอไอ้ต้อมพูดแบบนี้แล้วก็ทำให้ผมเครียดขึ้นมาทันทีเลย “ล่าสุดที่คุยกัน กูกับพี่แอมก็ปะทะฝีปากกันครั้งใหญ่เลยวะ แบบนี้พี่เค้าจะให้เข็มกลัดเราได้ไงวะ”

“ไม่รู้วะ... เออ เอางี้ไหม มึงบอกว่ามึงเก็บหลักฐานที่พี่เค้าไปถล่มห้องพี่ตองไว้ใช่ปะ เอาไปขู่เลยดีไหม แลกกับเข็มกลัด เอาเรื่องที่พ่อพี่เค้าสั่งตรวจสอบท่าเรือของพ่อพี่ตองด้วยก็ได้ เดี๋ยวกูช่วยอ้างชื่อพ่อของน้ำขิงให้”

“นี่กูจะเป็นลีดนะ ไม่ได้เป็นคนชั่ว มึงนี่ก็เนาะ”

“เออ กูล้อเล่น แต่เราก็มีกันตั้งยี่สิบสี่คน คงจะมีคนที่พี่แอมยอมให้เข็มกลัดบ้างแหละ มึงคงไม่ต้องไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับพี่เค้ามากหรอก”

“ขอให้เป็นงั้น”

“แล้วเรื่องสองภารกิจแรกอ่ะ เอาไงดี”

“กูก็ยังคิดๆอยู่ แต่ตอนนี้เราคงทำได้แค่ใช้เวลาร่วมกับชาวบ้านที่นี่ไปก่อน เรายังไม่รู้ว่าที่นี่ขาดเหลืออะไร”

“แต่กูรู้”

“อะไรวะ”

“ไฟฟ้าไง”

“มึงจะบ้าเหรอ มันใช้ของที่ทำได้ง่ายๆซะทีไหน”

“ไม่... กูหมายถึงเราก็ทำเรื่องขอไปที่ส่วนกลางไง ให้เดินสายไฟเข้ามาที่นี่ เราไม่จำเป็นต้องทำให้เสร็จภายในอาทิตย์นี้ก็ได้นี่นา รุ่นพี่ตองยังต้องเดินทางกลับมาทำอีกรอบเลย”

“แต่กู... ไม่เห็นด้วยว่ะ มึงลองมองบนฟ้าดิ”

“ทำไมวะ... โห!!! ดาวเยอะจัง”

“ใช่ดิมึง นี่ขนาดหน้าหนาวนะ ยังมองเห็นดาวชัดขนาดนี้เลย เรื่องไฟฟ้ามึงคิดว่ารุ่นพี่เราไม่เคยคิดกันมาก่อนเหรอ ต้องมีคนคิดบ้างแหละ แต่ว่า พอมองในอีกแง่นึง สถานที่แบบนี้มันไม่ได้เหลืออยู่มากมายแล้วนะในประเทศเรา กูคิดว่า ทุกคนยังคงอยากให้มันเป็นอยู่แบบนี้ ที่ๆยังมองเห็นดาวบนฟ้าได้ชัดๆ ไม่ใช่ดาวบนพื้นแบบในเมือง”

“อืม... กูเข้าใจละ งั้นก็คิดอย่างอื่นก็แล้วกัน... เอาเป็นเครื่องต้มน้ำดีไหม จะได้มีคนล้างจานได้เรื่องได้ราวหน่อย”

“ไอ้เพื่อนเวร เออ เดี๋ยวกูล้างช่วยก็ได้”

“ล้างห่าอะไรของมึง เสร็จหมดแล้วเว้ย”

“จริงดิ”

“เออ ปะๆ ไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้มึงต้องตื่นเช้า”

“ยังวะ กูนอนไม่หลับหรอก”

“นั่นดิ แปลกที่ทีไร มึงกับกูนอนไม่หลับทุกที งั้นเราไปเดินเล่นแถวๆหมู่บ้านกันก่อนดีไหม”

“ก็ดี”



ผมกับไอ้ต้อมถือตะเกียงเดินดูหมู่บ้านในช่วงราตรี ถึงที่นี่จะไม่ได้สว่างไสวเหมือนเมืองศิวิไลต์ แต่ก็มีไฟคบเพลิงแทบจะตลอดทาง

ระหว่างทางผมเห็นชาวบ้านผู้ชายสี่ห้าคนเดินสวนไปพร้อมอุปกรณ์ล่าสัตว์ ถ้าเป็นปกติผมคงอยากรู้อยากเห็นและรีบตามไปดู แต่รู้สึกว่าอันนี้จะเสี่ยงเกินไปหน่อย หุบต่อมเผือกไว้ก่อน



“ข้าว”

“อ้าว ชา ต้อม”

ผมเจอไอ้ข้าวกำลังเดินถือตะเกียงคนเดียว “กำลังจะไปไหนอ่ะ ออกมาเดินกลางคืนคนเดียวมันอันตรายนะ”

“จะไปหน้าหมู่บ้านนี่เอง” ไอ้ข้าวอธิบาย “จะเอาคุกกี้ไปให้สุ่ย สุ่ยจะอยู่ยามอ่ะ เดี๋ยวสักพักก็บ่นหิว”

“มึงสองคนนี่ดูท่าจะรู้ใจกันดีเนาะ” ไอ้ต้อมพูดไม่เชิงว่าแซว

“ก็สุ่ยชอบบ่นหิวตอนกลางคืนอ่ะ เดี๋ยวนี้ต้องทำอาหารเผื่อตลอดเลย กลางคืนกูจะได้ไม่ต้องลุกขึ้นมาทำอาหารให้อีกรอบ”

“เออๆ งั้นไปด้วยกันปะ” ผมทนฟังเรื่องเลี่ยนๆแบบหน้าตายของไอ้ข้าวไม่ไหวแล้ว



“แล้วเรื่องที่จะทำอะไรให้ที่นี่ คิดไว้บ้างยังอ่ะ” ไอ้ข้าวเปิดประเด็นมาอีกครั้งระหว่างเดิน

“ยังอ่ะ ยังไม่มีไอเดียอะไรเลย” ผมตอบ “คงต้องดูพรุ่งนี้ก่อนอ่ะ”

“เหรอ ยังไงก็รีบหน่อยแล้วกันนะ เผื่อเป็นอะไรที่ต้องใช้เวลา อ่อ นี่ เกตุให้ฝากเอามาให้มึงสองคน พวกผู้หญิงช่วยกันเขียน เพิ่งเอามาให้ที่โรงนอนเมื่อกี๊เอง”

“อะไรวะ” ผมกับไอ้ต้อมรับแผ่นกระดาษมา

“แผนตารางเวลาอ่ะ เกี่ยวกับกิจวัตรที่ต้องทำแต่ละวัน เวลาตื่น เวลานอน เวลาซ้อม อะไรพวกนั้น แต่หลักๆ เกตุคงอยากได้เวลาซ้อมมากกว่า ก็เลยจัดตารางให้ทุกคนทำธุระตัวเองให้เสร็จก่อนมื้อเที่ยง เพราะบ่ายถึงเย็นต้องซ้อมตลอดเลย คิดว่าไง?”

“ก็โอเคนะ เป็นช่วงที่มีแสงสว่างมากที่สุด”

“งั้นเรื่องคิดเพลงประจำรุ่นก็ให้เกตุเป็นตัวหลักไปเลยดีไหม”

“ห๊ะ เอางั้นเหรอ”

“มันก็ต้องแบ่งหน้าที่กันอ่ะ ภารกิจที่ต้องทำมันเยอะมาก ขืนมัวมาระดมความคิดกันตลอด คงไม่ทันเวลา ที่สำคัญเกตุเองก็มีทักษะดีที่สุด คงได้งานที่น่าพอใจอยู่หรอก”

“ฟังดูมีเหตุผล ตามนั้นก็ได้”

“ส่วนเรื่องรวบรวมเข็มกลัด กูว่ากูจะลองหาทางดูอ่ะ การตีความพวกนี้มันเป็นเหมือนหลักการเชิงปรัชญา กูน่าจะพอเดาใจพวกพี่ๆเค้าได้นะ”

“............” อึ้งไปเลย ออกปากเองเลยเหรอ ไม่เคยคิดเลยว่าไอ้ข้าวจะเป็นคนกล้าคิดกล้าตัดสินใจขนาดนี้ ถือว่าเป็นนักวางแผนที่ดีเลย

“ทำหน้าอะไรอย่างงั้น กูก็ติดโรคชอบวางแผนมาจากมึงนั่นแหละ”

“โอ้โห พูดได้โดนใจกูมาก” ไอ้ต้อมเสริมก่อนจะเอื้อมมือไปเช็คแฮนด์กันอย่างรู้ใจ

“เดี๋ยวกูก็หวดพวกมึงทั้งคู่เลยนิ” ไอ้สองตัวนี้นิ



“ข้าวเจ้า มาทำไรอ่ะ” ไอ้สุ่ยทักทันทีที่เจอพวกผม แต่ทักอยู่คนเดียวเลย ไม่คิดจะทักกูเลย กูรู้จักมึงมาก่อนไอ้ข้าวอีกมั้ง “ทำไมไม่รีบนอนอ่ะ ตกดึกจะยิ่งหนาวนะ”

“เอาเสบี่ยงมาส่งให้ไง” ไอ้ข้าวตอบแล้วส่งกล่องขนมสามกล่องเล็ก ไอ้สุ่ยรับแล้วส่งต่อไปให้พี่ชาวบ้านสองคนที่นั่งเฝ้ายามในป้อมไม้ด้วยกัน “แล้วก็อันนี้ ผ้าพันคอกับถุงมือ เห็นอยู่ในกระเป๋าสุ่ยอ่ะ ก็เลยเอามาให้”

“อ๋อ ขอบคุณครับผม มีอีกชุดอยู่ในกระเป๋าข้าวเจ้านะ แอบเอาใส่ไว้ให้ อย่าลืมสวมตอนนอนด้วยล่ะ”

โอ๊ยยย กูจะอ้วก จะหวานหยดย้อยหยาดเยิ่มกันไปถึงไหน กูเลี่ยนแทน

“มึง” ไอ้ต้อมสะกิดผม “กู... ขอตัวไปหาน้ำขิงก่อนนะ เห็นไอ้สองคนนี้แล้วคิดถึงขึ้นมาทันทีเลย”

แล้วไอ้ต้อมก็หันหลังรีบเดินเร็วแซงหน้าทีมชาติมาเลเซียไปเลย



“แล้วมึงอ่ะ” ไอ้สุ่ยหันมาถามผม

“กู? ทำไม”

“ไม่ไปหาพี่ตองของมึงเหรอ กูเห็นพี่เค้าไปเฝ้ายามหลังหมู่บ้านโน่น ไปดิ”

“เรื่องของกู”

“ทำเขินนะมึง ไปเหอะน่า พี่เค้าต้องอยากเจอมึงอยู่แล้วล่ะ คุกกี้ไง มึงก็มีนิ เอาไปให้พี่เค้าดิ”

“.........”

“ไปเหอะ... เชื่อกู อะนี่ เอาคุกกี้กูไปก่อนก็ได้ กูให้ยืม”

“ไปไหมมึง เดี๋ยวกูไปเป็นเพื่อน” ไอ้ข้าวก็ไซโคคริเนซิสใส่ผมอีกคน

“เออๆๆ กูไปก็ได้” ผมดึงกล่องคุกกี้กล่องเล็กมาหนึ่งกล่องจากมือไอ้สุ่ย

“ก็แค่นั้นแหละ หัดแสดงความรู้สึกซะบ้างมึงอ่ะ เดี๋ยวพี่ตองเค้าก็น้อยใจหรอก” พูดมากนะมึงไอ้สุ่ย

ไม่ต้องมาทำตัวเป็นกูรูความรักแถวนี้เลย มึงอ่ะเพิ่งจะคบใครจริงๆจังๆได้ไม่กี่วันเอง



หลังจากยืนดูไอ้สุ่ยกับไอ้ข้าวเป็นห่วงกันไปเป็นห่วงกันมาสักพัก ผมก็ออกเดินอีกครั้งเพื่อไปหลังหมู่บ้านพร้อมกับไอ้ข้าว



“...เราไม่ได้พูดเพราะเราจะขอโทษนะ”

ใครมาคุยไรกันหลังหมู่บ้านวะ?

“งั้นก็ดี ชั้นก็ไม่คิดว่าควรจะขอโทษเหมือนกันกับการกระทำต่ำๆของเธอ”

ท่าทางจะมีปากเสียงกันนะเนี่ย แต่ทำไมเสียงมันคุ้นๆจังวะ

“ถ้าแอมจะเรียกการมีความรักว่าเป็นการกระทำต่ำๆ ละก็ เราก็สงสารแอมในเรื่องนี้นะ”

ชิบหายละ รู้แล้วว่าใคร

ผมรีบส่งสัญญาณให้ไอ้ข้าวว่าหยุดเดินและย่องช้าๆตามผมมา เพื่อดูการสนทนาของพี่ตองและพี่แอมหลังโรงเก็บสมุนรไพรท้ายหมู่บ้าน

“เธอต่างหากที่น่าสงสาร เธอไม่ได้รู้ตัวเลยใช่ไหมว่าสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่มันผิดปกติ” พี่แอมเริ่มเดือดดาน

“ได้ ถ้าแอมจะพูดว่ามันผิดปกติ งั้นเราก็จะยอมรับ แต่ขอได้ไหม น้ำชากำลังจะมาเป็นน้องลีดรุ่นต่อไปของพวกเรานะ แอมไม่คิดว่ามันผิดต่อรุ่นพี่ ผิดต่อองค์กร ผิดต่ออาจารย์หมอเหรอ ที่จะตั้งแง่กับรุ่นน้องแบบนี้ มันจะทำให้ระบบพี่น้องลีดมหาลัยของเราสั่นคลอนได้นะ”

“เชอะ รู้ละว่าที่เรียกออกมาคุยด้วยเหตุผลอะไร ที่แท้ก็อยากอ้อนวอนให้ชั้นยอมรับในตัวเด็กคนนั้น เพื่อให้วันคัดลีดมหาลัยไม่มีใครคัดค้านละซิ อย่ามาฝัน กฎของผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนามีเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรว่ารุ่นน้องปีหนึ่งทุกคนจะต้องได้รับความเห็นชอบจากรุ่นพี่สองทุกคนโดยไร้ข้อคัดค้าน เธออาจช่วยให้เด็กคนนั้นมาถึงตรงนี้ได้ แต่จะไม่มีวันไปได้ไกลกว่านี้”

“ผิดประเด็นแล้วแอม เรากำลังพูดถึงความสามัคคีในฐานะผู้นำเชียร์ด้วยกันมากกว่า และเราอยากให้เธอเห็นใจน้องบ้าง น้องไม่ได้ผิดที่เราไปรักน้องนะ แล้วน้องก็ทุ่มเทไม่ต่างจากทุกคน บางทีอาจจะมากกว่ารุ่นเราทุกคนรวมกันด้วยซ้ำ แค่เห็นใจกันในฐานะรุ่นพี่ก็ไม่ได้เหรอ”

“แล้วเธอกับเด็กคนนั้นเคยเห็นใจชั้นบ้างไหม การที่เธอทำแบบนี้กับชั้น มันคือความเห็นใจชั้นงั้นเหรอ”

“แต่แอมก็รู้ดีว่าเราสองคนไม่ได้เริ่มต้นจากความรักนะแอม มันแค่เรื่องที่ผู้ใหญ่เค้าคุยกัน นี่ไม่ใช่ยุคคลุมถุงชนแล้วนะ”

“แล้วคนข้างนอก มีใครเข้าใจเรื่องนี้ไหม คนทั้งมหาลัยมันมีใครเข้าใจไหม จู่ๆชั้นก็ถูกเด็กผู้ชายกะโปโลที่ไหนก็ไม่รู้แย่งแฟนตัวเองไป ตลอดเปิดเทอมที่ผ่านมาเธอเคยแยแสบ้างไหมว่าชั้นถูกมองยังไง แม้กระทั้งเพื่อนลีดด้วยกันยังนินทาลับหลังเรื่องของชั้นเลย ไหนล่ะความเห็นใจของเธอ... เธอกับเด็กคนนั้นมันก็แค่พวกเห็นแก่ตัว ชั้นจะไม่มีวัน... ฟังให้ดีนะ... ชั้นไม่มีวันยอมรับคนเห็นแก้ตัวแบบนั้นเข้ามาในลีดมหาลัยแน่นอน”

เวรละ

ผมรีบหลบเข้ามุมอีกครั้งเมื่อพี่แอมเดินฉับๆออกไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 47 [เปลี่ยนแปลง Part 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 11-03-2018 22:15:17
(ต่อ Part 2)



“พี่เห็นนะว่าอยู่ตรงนั้น”

ห๊ะ!! จริงดิ

ผมค่อยๆมองออกไปว่าพี่ตองกำลังหมายถึงผมหรือเปล่า.... หมายถึงผมจริงๆด้วย

“มาทำอะไรกันครับ” พี่ตองเปลี่ยนน้ำเสียงแล้วค่อยๆเดินออกมาจากหลังโรงเก็บสมุนไพรเพื่อมาหาผม

“ชาเอาคุกกี้มาให้” ผมยื่นกล่องคุกกี้

“ขอบคุณนะครับ ไม่เห็นต้องออกมามืดๆเลย”

“ถึงให้ไอ้ข้าวมาเป็นเพื่อนนี่ไง”

“เอ่อ....” ไอ้ข้าวลังเลในการมีตัวตนอยู่ของมัน “ครับ ผมมาเป็นเพื่อนชา แต่..”

“ไม่เป็นไรครับ” พี่ตองบอก “พี่แค่พยายาม... จะแก้ปัญหา”

“อย่าทำหน้าเครียดแบบนั้นซิ” ผมรีบทักท้วง ก็จู่ๆไอ้ตัวสูงมันก็ทำหน้าอมทุกข์ครั้งมโหฬารใส่ผม “มันไม่ใช่จุดจบของโลกซะหน่อย ชาได้มาถึงตรงนี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว ถ้าหลังจากนี้มันไปต่อไม่ได้จริงๆ ชาจะไม่เสียใจเลย ชาถือว่าชาได้เป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณตามที่หมอพิชิตเคยสอนแล้ว ได้มาที่นี่ ก็ไม่เห็นมันจะต่างกันเลยระหว่างการได้เป็นลีดมหาลัยกับไม่ได้เป็น”

“ก็เพราะชาเป็นแบบนี้ไง พี่ถึงได้พยายาม พี่รู้ว่าชาไม่เสียใจกับมันหรอก แต่องค์กรผู้นำเชียร์มหาลัยของเราจะเสียใจมากที่ไม่ได้ชาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ชารู้ไหมชามีอะไรบางอย่าง บางอย่างที่ลีดมหาลัยนี้ตามหามานาน และพี่อยากจะให้ชาได้จริงๆ อาจจะมีความรู้สึกส่วนตัวของพี่นิดหน่อย แต่ต่อให้ไม่ใช่พี่ในวันนี้ พี่ก็ยังคิดว่าหอคอยเกียรติยศเป็นสถานที่ที่เหมาะกับชาที่สุดอยู่ดี”

“ไอ้...บ้า” พูดไรเนีย อยู่ดีๆก็พูดซะหรูหราเลย “ก็ถึงบอกไงว่าชาไม่เสียใจ ชาจะทำเต็มที่ ผลวันข้างหน้าจะเป็นไงก็ช่างมันเถอะ ก็ตอนนี้.... เรามีกันแล้วนิ”

“อ.......” จู่ๆไอ้ข้าวก็ครางหงิงๆออกมา “โทษที มันเขินอ่ะ”

เออ กูก็พูดแบบนี้เป็น ไม่ต้องมาเขินแทนหรอก ทีมึงกับไอ้สุ่ยยังหวานแหววไม่เกรงใจคนอื่นบ้างเลย

“โอเคครับ” พี่ตองถอนหายใจก่อนจะยิ้มด้วยนัยน์ตาอบอุ่นทอประกายแข่งกับดาวบนฟ้า “ช่างมันก็ช่างมัน... ขอบคุณสำหรับคุกกี้นะครับ แต่ชากลับไปนอนได้แล้ว อากาศมันหนาว” แล้วไอ้พี่ตองก็เอาหมวกกันหนาวสีฟ้าเทาที่ผมเคยซื้อให้ตอนอยู่เกาหลีออกมาใส่

กะจะให้กูเห็นชัดๆ

“ไปเหอะข้าว กูง่วงแล้ว” ผมคว้าไอ้ข้าวเดินกลับโรงนอน

“ฝันดีนะคร้าบบบบ” ยังจะตะโกนไล่หลังมาอีก







“น้องครับตื่นได้แล้ว” “น้องคะ รีบๆตื่นได้แล้ว เราต้องไปช่วยกันแจกของให้ชาวบ้านอีกนะ”

เสียงรุ่นพี่สองคนเรียกรุ่นน้องในโรงนอนชายให้ตื่น แต่....

“อ้าว หายไปไหนกันหมดอ่ะ” พี่ลีดผู้ชายที่ชื่อมินเปิดประตูเดินเข้ามาในโรงนอนของพวกผมและไม่พบว่าใครเหลืออยู่แล้วยกเว้นผมกับไอ้ข้าวที่กำลังช่วยกันเก็บกวาดโรงนอนอยู่

“อะไรนะ!!” และพี่ผู้หญิงอีกคนก็เข้ามา เอิ่ม... พี่แอม “นี่อะไรกัน หายไปไหนกันหมด”

“เอ่อ.....” ไอ้ข้าวพยายามจะพูดแต่ไม่กล้า ได้แต่มองหน้าผมแบบกล้าๆกลัวๆ

“อธิบายมาซิ นี่พวกเธอหายไปไหนกันหมด” พี่แอมเริ่มยั้ว  “นี่คิดว่ามาสวนสนุกกันหรือไง”

“เอ่อ...” ไอ้ข้าวก็ยังไม่กล้าพูดอยู่ดีแต่คราวนี้มันชี้ไปที่ป้าย MUTE ของพี่ทั้งสองคน

“อ...อ๋อ” รุ่นพี่เพิ่งจะนึกได้ ทั้งสองก็ทำได้แค่หันหน้ามองกันและไม่รู้จะทำยังไงดี



“อะไร!? ทำไมไม่ออกไปกันซะที เอ๊ะ หายไปไหนกันหมดเนีย” พี่ชมพูนั่นเองครับที่เป็นแขกรายต่อมา

“เอ่อ...” ไอ้ข้าวชี้ที่ป้ายห้ามพูดอีกครั้ง

“โอเค” พี่ชมพู่ดึงป้ายของตัวเองออก “พูดมา”

“เราออกไปแจกผ้าห่มกับเครื่องใช้ให้ชาวบ้านตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้วละครับ” ไอ้ข้าวอธิบายในที่สุด

“ห๊ะ” พี่ชมพู่เหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน

“ครับ เราไปแจกของตามบ้านแล้ว ผู้หญิงก็ไปแล้วเหมือนกัน”

“ใครสั่ง”

“ผมเองครับ” ไอ้ข้าวไม่ได้เถียงนะ มันพูดตามความจริง เพราะมันเป็นคนตื่นขึ้นมาสั่งทุกคนให้ทำตามนี้จริงๆ

“แล้วเธอรู้ได้ยังไงว่าต้องแจกอะไรยังไง บ้านไหนควรได้อะไร”

“ถามจากหัวหน้าหมู่บ้านครับ เมื่อคืนนี้ผมคุยกับคุณกาสิ่นเกี่ยวกับการแจกของ เห็นบอกว่าช่วงเช้าชาวบ้านจะต้องการใช้ผ้าหุ่มเพื่อในนั่งรอบกองไฟ ผมก็เลยให้เพื่อนๆรีบตื่นไปแจกผ้าหุ่มให้ทันผิงไฟแล้วก็เผื่อจะช่วยชาวบ้านก่อกองไฟได้ด้วย”

“ที่ชั้นถามเนีย ชั้นหมายถึงว่าเธอทำอะไรโดยไม่ปรึกษาชั้นหรือรุ่นพี่ได้ยังไง”

“ก็ทุกคนมีป้ายคล่องคอกันอยู่อะครับ”

“ก็เลยทำอะไรตามอำเภอใจเลยใช่มะ”

“เราก็ต้องแจกอยู่ดีไม่ใช่เหรอครับ พวกผมแค่ทำให้มันเร็วขึ้น”

“ฟังชั้นนะ ชั้นไม่สนว่าเธอจะถือดีมาจากไหน” เอาแล้วววว พี่ชมพู่เริ่มของขึ้นแล้ว ผมได้แต่ยืนเป็นรูปถ่ายไฟล์ JPEG และรับชมเหตุการณ์ระทึกขวัญตรงหน้า “แต่ของบริจาคพวกนั้นนำมาที่นี่ในนามของผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนาและทุกชิ้นใช้เงินจากองค์การนิสิต เธอจะไปเที่ยวแจกสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ นี่มันเป็นหน้าตาของมหาวิทยาลัย โอเค เธออาจจะแจกได้ถูกต้อง แต่ไม่ถูกวิธี มันมีขั้นตอนและพิธีรีตองของมันอยู่ การกระทำอวดฉลาดของเธอเป็นการลดคุณค่าสิ่งเหล่านั้น ช่วยสำนึกถึงเรื่องนี้หน่อยจะได้ไหม”

“คือ...” ไอ้ข้าวไม่ได้มีความรู้สึกกลัวหรือรู้สึกผิดบนใบหน้าของมันเลย ซ้ำยังเดินไปหยิบกล่องเก็บเข็มกลัดหน้าตาเฉยอีก กูจะช็อกตายอยู่แล้วเนีย “ผมขอโทษนะครับในสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้... ผมไม่ได้ทำงานเร็วเพราะความไม่ตั้งใจ ผมตั้งใจครับ และผมขอโทษที่เอาของบริจาคไปมอบให้ชาวบ้านโดยไม่ผ่านสิ่งที่เรียกว่าพิธีก่อน แต่นี่ครับ นี่คือเข็มกลัดดิน สัญลักษณ์ว่าพวกผมละความเหย่อหยิ่ง แทนที่เราจะมองถึงการรักษาภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัยโดยการบริจาคสิ่งของผ่านพิธีการ มันจะไปต่างอะไรกับการที่เราถือความเป็นเจ้ายศเจ้าอย่างกับชาวบ้านละครับ มันก็ไม่เห็นต่างกันเลยกับความเหย่อหยิ่งที่อาจารย์พิชิตบอกให้เราละ คุณประโยชน์ที่ได้จากการรีบลงมือทำและลดพิธีรีตองพวกนี้ออกไป ไม่เป็นสิ่งที่ควรค่ากับชาวบ้านมากกว่าเหรอครับ อากาศตอนเช้ามันหนาวมากนะครับ แต่ถ้าหากมันทำให้พี่ไม่สบายใจ ผมก็จะรีบไปเรียกคืนของบริจาคให้ เพื่อเอากลับมาทำ...”

“พอ!!” ถ้าความโกรธเทียบได้กับปรอทวัดไข้ พี่ชมพู่ก็ถึงจดที่ปรอทจะแตกแล้ว

ชิบหายแล้วไอ้ข้าว มึงกล้าไปไหมเนี่ย นี่มันพี่ชมพู่ บอสใหญ่ของตึกลีดมอเชียวนะ

“เธอ ชื่อ อะ ไร” ถามเน้นทุกคำ ดูจะไม่เป็นลางดีสักนิดเดียว

“ข้าวเจ้าครับ ข้าวเจ้าคณะสังคม” มึงก็ไม่ต้องไปบอกพี่เค้าเต็มยศขนาดนั้นก็ได้มั้ง มึงจะโดนอะไรก็ไม่รู้

“ข้าวเจ้า เธอกล้ามานะที่เถียงชั้นแบบนี้ เอาเข็มกลัดสายฟ้ามานี้ซิ”

“ครับ?” พี่มินงง ผมก็งง ทุกคนงง

“ชั้นจะไม่พูดซ้ำนะ”

“ค..ครับพี่ชมพู่” พี่มินรีบดึงเข็มกลัดสายฟ้าที่อยู่บนหน้าอกของตัวเองวางบนมือที่รอรับอยู่ของพี่ชมพู่

“สัญลักษณ์นี้หมายถึงการละความล่าช้า เอาเป็นว่าชั้นจะยอมรับเธอในเรื่องนี้ก็แล้วกัน แต่... ขอให้เป็นแบบนี้ตลอดก็แล้วกัน รู้จักรีบลงมือทำแบบไม่สุ่มสี่สุ่มห้า ไม่งั้นจะพลาดเอาได้” แล้วพี่ชมพู่ก็ปักเข็มกลัดลงบนผ้ากำมะหยี่ในมือของไอ้ข้าว

นี่คือได้เข็มกลัดเพิ่มอีกอันเหรอ

งงไปเลยกู

“ผมจะจำไว้ครับ” แต่ไอ้ข้าวไม่เหมือนว่ามันงงนะ “ขอบคุณครับ”

“งั้นหลังมื้อเช้าก็ไปดูที่โรงเก็บสมุนไพรก็แล้วกัน เผื่อเขามีอะไรให้ปีหนึ่งช่วย” พี่ชมพู่บอกก่อนจะหันหลังเพื่อออกจากโรงนอน “พวกปีสองก็ไม่ต้องทำตัวตึงนัก ถ้ามีเรื่องสำคัญอะไรต้องคุยกันน้องๆมันก็หัดปลดป้ายเองซะบ้าง ถ้ามีเรื่องเกิดขึ้นแล้วจะรับผิดชอบกันไหวไหม ไม่รู้จักคิดกันซะบ้างเลย” เจ๊แกเดินบ่นออกไป



“พ...พี่แอมครับ” ครั้งนี้เป็นเสียงของผมเอง ผมรีบพูดก่อนที่พี่แอมจะเดินตามพี่มินออกไป ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ผมต้องทำอะไรสักอย่างกับเรื่องนี้ “ข้าว กูขอคุยกับพี่แอมตามลำพังได้ไหม” ผมขอไอ้ข้าวให้ออกไปเมื่อเห็นว่าพี่แอมหยุดเดิน แต่เธอยังหันหลังให้ผม

“เห็นป้ายนี้ใช่ไหม” พี่แอมยกป้ายห้ามพูดขึ้นมาให้ดู ประหนึ่งจะบอกผมว่า ผมไม่มีสิทธิ์พูดกับเธอ

“ผมทราบครับว่าตามกฎแล้วผมห้ามพูดกับคนที่มีป้าย แต่เมื่อกี๊พี่ชมพู่บอกว่าถ้ามีเรื่องสำคัญจริงๆก็ปลดป้ายได้ และผมมีเรื่องสำคัญจะคุยกับพี่ครับ”

“...................” พี่แกไม่ตอบอะไรกลับแต่ก็ไม่ขยับไปไหน

“เรื่อง.... ที่เกิดขึ้นกับผมและพี่ตอง ไม่ใช่ความผิดของพี่ตองนะครับ พี่ครับ ได้โปรดฟังผมก่อนเถอะครับ” ผมรีบขอร้อง เพราะดูเหมือนพี่แอมจะไม่อยากฟังเรื่องระหว่างผมกับพี่ตองเลย ผมจึงพยายามรีบพูดต่อไปแม้จะเป็นการพูดกับแผ่นหลังของคนตรงหน้าก็ตาม “เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับพี่ ผมเองก็ยอมรับนะครับว่ามันเหนือความคาดหมาย ผมอาจจะมีแผนสำหรับการมาเป็นเชียร์ลีดเดอร์อย่างชัดเจน แต่เรื่องของพี่ตอง ผมไม่ได้มีแผนสำหรับเรื่องนี้เลย สิ่งที่ทำให้ผมคิดว่าผมควรจะพูดกับพี่ในวันนี้ก็คือ ผมไม่ได้มาขอร้องให้พี่ยกโทษให้กับผม พี่สามารถเกลียดผมได้เท่าที่มนุษย์คนนึงจะเกลียดกันได้ แต่สำหรับพี่ตอง ผมคิดว่ามันไม่แฟร์เลยที่ผมจะเข้าไปมีส่วนในการทำลายความสัมพันธ์ของคนสองคน ทั้งๆที่ผมเพิ่งจะเข้ามาในชีวิตของพี่ตองได้ไม่นาน ผมอาจจะรู้จักพี่ตองมานาน ใช่ครับ ผมติดตามพี่เค้ามา แต่ก็ในฐานะคนที่ชื่นชม ส่วนพี่ไม่ใช่ พี่ได้รู้จักพี่ตองมาก่อนหน้าผมนานเป็นปีๆ จะด้วยฐานะอะไรก็ตาม มันแย่มากที่จู่ๆ พวกพี่ต้องมากลายเป็นคนที่เกลียดกันไปทั้งๆแบบนี้”

"......" พี่แอมยังนิ่ง “แล้วยังไง จะให้ชั้นกับตองกลับไปคืนดีกันงั้นเหรอ”

“ถ้าในฐานะแฟน ไม่แน่นอนครับ เพราะพี่ตองคือแฟนของผมและผมคงทนยกแฟนตัวเองให้ใครไม่ได้”

“หึ งั้นเธอก็คงเข้าใจความรู้สึกของชั้นดีอยู่แล้ว จะมาพูดให้มันเสียเวลาทำไม”

“เพราะพี่กำลังเสียเวลาไงครับ.... พี่สูญเสียมิตรภาพกับพี่ตองไปเพียงเพราะเรื่องอีกเรื่องนึงที่มันเกิดขึ้นบนโลก ในจักรวาลของเรามีเรื่องเกิดขึ้นทุกวัน ไม่เว้นแม้แต่วินาทีเดียว ต่อให้วันนี้ไม่ใช่ผมที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ พี่จะรับประกันได้ยังไงว่าในอนาคตจะไม่มีใครเข้ามาเปลี่ยนแปลงพี่กับพี่ตองอีก... ทั้งหมดที่ผมพูดมา ก็อย่างที่บอกแหละครับ ผมไม่ขอให้พี่ยกโทษให้กับความไม่ตั้งใจของผม และผมไม่เคยโกรธ ผมเชื่อว่าพี่ตองก็ไม่เคยโกรธ เรื่องอะไรก็ตามที่พี่ทำกับผมหรือพี่ตองไว้ เพราะไม่ว่ายังไงเราก็จะหาทางแก้ไขมันไปได้อยู่ดี เพียงแต่ ผมอยากขอให้พี่.... ยกโทษให้พี่ตองเถอะครับ อย่างน้อยก็กลับไปเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกัน กลับไปเป็นทีมผู้นำเชียร์ที่แข็งแกร่งเหมือนที่ผมเฝ้าดูพวกพี่มาเป็นปีๆ... มนุษย์เราไม่ได้จะสามารถพบเจอคนได้ทุกคนนะครับ มันยากแค่ไหนที่กว่าคนสองคนจะมาพบเจอและทำความรู้จักกันได้ เพราะงั้น เมื่อพี่ได้มีโอกาสสร้างมิตรภาพกับพี่ตองแล้ว อย่าสูญเสียมันไปเพียงเพราะเรื่องความรักของสิ่งมีชีวิตเล็กๆเลยครับ ให้อภัยกัน ดีกว่าทิ้งทั้งหมดไปกับความทรงจำ สุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไป พี่อาจจะลืมไปเลยก็ได้ว่าโกรธกันด้วยเรื่องอะไร ผมขอร้องละกัน ช่วยยกโทษให้พี่ตองด้วย”

“โกรธเหรอ.... ยกโทษเหรอ... ได้ ก็เอาซิ แต่แลกกับการที่เธอเลิกยุ่งกับตองได้ไหมล่ะ”

“ไม่ได้ครับ เพราะสำหรับผม พี่ตองไม่ใช่แค่คนที่ผมตกหลุมรัก พี่ตองคือศรัทธา และถ้าจะให้ผมทิ้งการมีศรัทธา ผมก็คงไม่เหลือความเป็นมนุษย์ แล้วพี่ละครับ มองพี่ตองเป็นอะไร.... พี่ตองมีค่าแค่ไหนหากมีพี่เป็นคนรัก.... ถ้าเป็นแค่การเคลิบเคลิ้มไปกับเสน่หา สักวันมันก็หมดความลุ่มหลง แต่กับผม ผมก็กล้ายืดอกพูดได้เต็มปากว่า พี่ตองคือทุกสิ่งที่อยู่ข้างหน้าชีวิตของผม และผมจะเดินตามพี่เค้าไปจนสุดทาง....”

ชั่วลมหายใจหนึ่งที่ผมคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างนิ่งสนิท

พี่แอมหันกลับมา แววตามิได้บ่งบอกอะไรไปมากกว่าการจ้องมองมาที่ผม

ผมตัดสินใจพูดสิ่งนี้เพราะคิดว่าพี่ตองไม่ควรจะเป็นคนที่พยายามเกลี่ยกล่อมพี่แอมเมื่อคืนนี้ ปัญหามันเกิดขึ้นเพราะการเข้ามาของผม ผมต้องเป็นคนแก้ไขสิ่งนี้ด้วยตัวเอง



“เข้าใจแล้วว่าทำไมตองถึงชอบเด็กแบบเธอ” พี่แอมพูด จากนั้นจู่ๆเธอก็ดึงเข็มกลัดของตัวเองออกมา แล้วยื่นมันมาให้ผม “เธอมีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงคนรอบข้างให้เป็นไปในทิศทางที่สว่างนี่เอง รับเข็มกลัดไปซิ”

“ห๊ะ! อ..อ๋อ เอ่อ ครับ” ครับรีบหยิบกล่องไม้ที่ไอ้ข้าววางไว้ขึ้นมา

พี่แอมปักเข็มกลัดอันที่สี่ลงบนผ้ากำมะหยี่

“นี่คือเข็มกลัดเหล็ก ละความเห็นแก่ตัว สิ่งที่เธอพูดเป็นการขอร้องเพื่อคนอื่น ไม่ใช่เพื่อตัวเธอเอง แต่ที่สำคัญก็คือเธอเป็นหวงมิตรภาพของตองกับ...พี่ และทำให้พี่ได้เห็นว่า ตองเป็นคนสำคัญจริงๆ เพียงแต่ไม่ใช่ในมือของพี่ เขาต้องอยู่กับคนที่ให้ความสำคัญกับเค้าที่สุดอย่างเธอ...น้ำชา”

“............” ผมไม่ได้พูดอะไรเลย ทั้งๆที่ควรขอบคุณสำหรับเข็มกลัดแต่ก็พูดไม่ออก

“ในฐานะที่พี่เป็นผู้ใหญ่กว่า คงต้องขอโทษเธอซินะ พอมาเห็นว่าเธอมีความคิดเป็นผู้ใหญ่แบบนี้แล้ว พี่ก็อดอายไม่ได้เลยที่สติแตกทำอะไรต่อมิอะไรกับเธอและตองไว้มาก ซ้ำร้ายเธอยังไม่ถือโทษเอาความ ทั้งๆที่ทำได้... พี่ขอบคุณและขอโทษไปพร้อมกันเลยได้ไหม”

“แค่พี่กับพี่ตองกลับไปเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ผมก็โอเคแล้วครับ”

“นี่แหละพลังในการเปลี่ยนแปลงของเธอ... โอเค พี่จะหาเวลาเคลียร์ใจกับพี่ตองของเธอก็แล้วกัน แต่ก็อย่างที่เห็นนะ ที่นี่มีอะไรต้องทำเยอะแยะ คงหาเวลาคุยกันยากหน่อย”

“ก็ยังดีครับ”

“เอาล่ะ” พี่แอมยกป้ายของเธอขึ้นอีกครั้ง “พี่ขอคืนสิทธิ์จากป้ายห้ามพูดคุยกับปีหนึ่งก็แล้วกันนะ เก็บที่นอนต่อเถอะ พวกผู้ชายนี่นอนกันไม่มีระเบียบเอาซะเลย” แล้วเธอก็เดินออกจากห้องไป

ไม่ได้คิดว่าจะได้เข็มกลัดเพิ่มเลยนะเนี่ย

โชคดีเหมือนกันแฮะ หยุดความหมางใจของพี่แอมไว้ได้และได้เข็มกลัดอันที่สี่ด้วย กำไรแท้ๆ



ผมกลับมาจัดโรงนอนต่อ มันยุ่งเหยิงอย่างที่พี่แอมพูดจริงๆ นี่พวกมึงนอนหรือทำกายกรรมกันเนีย ทำไมเละเทะได้ขนาดนี้



“พี่แอมให้เข็มกลัดอันที่สี่ด้วยอ่ะเมื่อกี๊” ผมพูดขึ้นทันทีเพราะว่าได้ยินเสียงไอ้ข้าวกลับเข้ามาในโรงนอน

“พี่ตองคือทุกสิ่งที่อยู่ข้างหน้าชีวิตของผม และผมจะเดินตามพี่เค้าไปจนสุดทาง.... เหรอครับ”

เห้ยยยยยยยยย

ไอ้พี่ตองนี่หว่า นึกว่าไอ้ข้าวซะอีก

แล้วมันได้ยินเรื่องที่พูดกับพี่แอมด้วยเหรอ

“..........” ยังไงดีล่ะกู

“อยากได้ยินด้วยตัวเองจังเลย พูดให้พี่ฟังอีกทีได้ไหมครับ” ดูความได้ใจของไอ้หัวเหม่งดิ ไม่มีทาง กูไม่พูดหรอก

“.........” ผมชี้ไปที่ป้าย MUTE บนหน้าอกคนตรงหน้า เป็นสัญลักษณ์ว่า กูพูดไม่ได้ ฮ่าๆ ไม่ได้กินกูหรอก

“ก็ได้ ไม่พูดก็ไม่พูด” อะไรของไอ้พี่ตองวะ แล้วจะยิ้มทำไม “งั้นก็ฟังอย่างเดียวก็แล้วกันนะครับ.... ที่นี่ท่าทางจะหมอกลงหนานะ คนที่เดินตามพี่มาถึงได้ไม่รู้ว่า.......







.........พี่หันหลังกลับมารอตั้งนานแล้ว”
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: netich ที่ 14-03-2018 00:51:35
 :กอด1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-03-2018 06:17:37
น้ำชา ยอดมากกกก  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
แก้ไขความร้าวฉานระหว่างพี่แอมกับพี่ตองได้สุดยอดดดดด
แม้ความไม่ชอบหน้าที่พี่แอมมีต่อตัวเอง ก็หมดไป
อืมมมม.......สมกับเข็มกลัดเหล็ก  ละความเห็นแก่ตัว ขอร้องเพื่อคนอื่น
ไม่ใช่เพื่อตัวเอง  เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมจริงๆ
พี่ตอง  น้ำชา   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 48 [ความกลัว Part 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 15-03-2018 00:37:38
​​ตอนที่ 48 : ความกลัว





“พี่ว่าชามาช่วยพี่สอนหนังสือเด็กๆดีกว่า ที่โรงเก็บสมุนไพรมีคนไปช่วยเยอะแล้ว” นี่คือคำเชิญชวนของพี่ตอง



หลังจบจากมื้อเช้าอันทรหดที่บันดาเหล่าปีหนึ่งไปช่วยชาวบ้านทำอาหารวันนี้ ผมก็มาช่วยสอนให้น้องๆในห้องเรียนของหมู่บ้าน ที่ผมบอกว่าทรหดก็เพราะว่า แม่ครัวของที่นี่ดันเอาวัตถุดิบจำพวกเนื้อไก่ เนื้อหมู เห็ด และไข่ ไปล้างน้ำ ซึ่งโชคดีมากที่ไอ้ข้าวอยู่ตรงนั้นพอดี

‘ผมเข้าใจว่าอยากทำให้อาหารสะอาด แต่ของพวกนี้ล้างก่อนปรุงอาหารไม่ได้นะครับ มันจะทำให้เชื้อโรคยิ่งแพร่กระจาย’ นี่คือที่ไอ้ข้าวอธิบายตอนเช้า ผมเองก็เพิ่งจะรู้เหมือนกันว่าล้างของพวกนี้ไม่ได้ เพราะจะยิ่งทำให้แบคทีเรียในวัตถุดิบแพร่กระจายมากขึ้น ให้ใช้วิธีการประกอบอาหารด้วยความร้อนสองครั้งแทน ยกเว้นในกรณีที่ต้องการทำความสะอาดจริงๆ เช่น ดินที่เปื้อนมากับเห็ด ก็ให้ล้างลวกๆ อย่าแช่น้ำไว้นานๆ

ยังไม่จบ เพราะชาวบ้านได้เตรียมกาแฟมาให้ทั้งๆที่กำลังจะทำไข่ต้มให้เป็นมื้อเช้า ซึ่งก็อย่างเคยที่ไอ้ข้าวต้องรีบเปลี่ยนแผนด้วยการนำไข่ที่กำลังจะต้มไปประกอบอาหารอย่างอื่นแทน ทำให้วุ่นวายกันยกใหญ่ นั่นก็เพราะกาแฟกับไข่ต้มไม่สามารถกินพร้อมกันได้ จะทำให้ร่างกายขาดธาตุเหล็ก การทำอาหารเมื่อเช้าก็เลยเสมือนเป็นห้องเรียนวิชาคหกรรมกลายๆ โดยคุณครูข้าวเจ้า



“เด็กๆครับ วันนี้พี่มีคุณครูคนเก่งจะมาสอนพวกเรานะ” พี่ตองเริ่มแนะนำผมกับเด็กๆสิบกว่าคนที่นั่งในห้องเรียนไม้แบบเปิดโล่ง เป็นนักเรียนที่มีหลากหลายช่วงอายุมากๆ “พี่น้ำชานั่นเองครับ ปรบมือหน่อยเร็ว”

มีเสียงปรบมือเปาะแปะพร้อมกับรอยยิ้มกว้างของเด็กๆ ผมไม่เคยรู้สึกเขินในการที่จะต้องสอนใครขนาดนี้เลย ก็จะอะไรล่ะ พวกคุณป้าคุณลุงน่ะซิ มายืนล้อมห้องเรียนเพื่อดูการสอนจากพวกผมอย่างสนอกสนใจอย่างกับไม่เคยเห็น ​แล้วปกติใครสอนวะ



“เอ่อ... สวัสดีครับ” ผมเริ่มทักทาย มันห้ามไม่ได้เลยที่ตาของผมจะมองคนที่มุงดูอยู่รอบๆ “พี่ชื่อ....”



“มีคนเป็นลมค่ะ ช่วยด้วย”

เห้ยอะไรวะ

จู่ๆก็มีเสียงร้องขอความช่วยเหลือมาจากที่ใกล้ๆ และด้วยธรรมชาติของคน ผมและทุกคนที่เคยสนใจในชั้นเรียนก็เปลี่ยนความสนใจไปมองหาต้นเสียงทันที



“เกิดอะไรขึ้นอ่ะ” พี่ตองเอ่ยถามทันทีเมื่อวิ่งมาถึงตัวชาวบ้านคนหนึ่งซึ่งหมดสติหน้าคว่ำอยู่บนพื้น ผมเองก็วิ่งตามมาติดๆ

“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ” มายด์นั่นเองที่เป็นคนร้องขอให้คนมาช่วย “เห็นลุงแกเดินออกมาจากบ้านเมื่อกี๊ แล้วก็อ้วก กำลังจะเข้ามาช่วยแต่ก็เป็นลมล้มลงไปเลย”

“ลุงครับ ลุง” พี่ตองพยายามเรียกโดยการตีที่หน้าของคนหมดสติ



“ผีเข้า” เด็กชายชาวเผ่าคนหนึ่งพูดออกมา แล้วก็กลายเป็นโดมิโน่เอฟเฟคให้ชาวบ้านที่ตามมามุ่งดูเห็นไปในทิศทางเดียวกัน

“ไม่ใช่หรอกครับ” ผมรีบห้ามความคิดนั้นไว้ “ลุงคงพักผ่อนน้อย ผมก็เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ผมว่าเราพาลุงไปนอนในห้องพยาบาลก่อนดีกว่า”

“เอาละครับทุกคน อย่ามุงนะครับ ขอทางหน่อย” พี่ตองรีบประคองคุณลุงขึ้นมาเพื่อพาไปห้องพยาบาลท้ายหมู่บ้าน

“เกิดอะไหล่ขึ้น” เด็กหนุ่มปีหนึ่งคนหนึ่งวิ่งเข้ามาถาม หน้าตาลูกครึ่งแถมพูดไม่ชัดแบบนี้ต้องเป็นเด็กวิทยาลัยนานาชาติแน่นอน

“มีคนเป็นลมอ่ะ กำลังพาไปห้องพยาบาล” ผมบอก

“แต่ไม่มีหม่ออยู่นะ เอ่อ... Doctor พานักเรียนแพทย์ไปดูคนเก็บ herb leave กับ master ของหมู่บ้าน”

"เดี๋ยวนะ!! หมายถึงไม่มีหมออยู่ในหมู่บ้านเหรอ"

"ช่าย"

ซวยแล้วไง

เอาไงดีๆ

“แล้วพี่ท๊อปล่ะ พี่ท๊อป ก.น.ช.อ่ะ เห็นไหม”

“ไม่ ไม่เหนเลย”

“แล้วพวกเพื่อนเราอ่ะอยู่ไหนกันหมด”

“น่าจะ herb store ”

“โอเค งั้นรีบไปที่โรงเก็บสมุนไพรกัน  มายด์ๆ” ผมเรียก “ไปบอกพี่ตองว่ารอแป๊บนึงนะ กำลังหาคนมาช่วย”

“แต่เราต้องเตรียมอาหารมื้อเที่ยง ข้าวเจ้าสั่งไว้”

“ช่างมัน” จะมาห่วงอาหารอะไรตอนนี้ “ทำตามที่เราบอกก่อน”

“อ...โอเค”



ผมกับหนุ่มลูกครึ่งรีบวิ่งไปที่โรงเก็บสมุนไพร แต่....



“เห้ย! หายไปไหนกันหมดอ่ะ” ไม่มีใครเหลือในโรงเก็บสมุนไพรเลย นอกจากเด็กหนุ่มคนหนึ่ง

“ไปดูระบบลำเลียงน้ำกันอ่ะ” คนนี้คือเด็กจากคณะแพทย์นี่นา “มีคนบอกว่าพี่ท๊อปกับพี่บุ๋นอยู่ที่นั่น ก็เลยตามไปดูกันหมด”

เรื่องบ้าอะไรเนีย “งั้น.... นายเรียนคณะแพทย์ใช่ไหม” ผมรีบถาม ไม่สนใจคำอธิบายอื่นหรอกตอนนี้

“ช...ใช่ ทำไมเหรอ”

“มีคนเป็นลม อ้วกด้วย ไปดูหน่อยเร็ว”

“ห๊ะ ต...แต่เราเพิ่งจะเรียนปีหนึ่งเองนะ เรา...”

“จะเรียนปีไหนก็ต้องไปปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อน เห้ย ลืมเรื่องห้องเรียนไปเลย นาย ช่วยไปดูแลเด็กๆที่ห้องเรียนให้หน่อยดิ” ผมหันกลับมาพูดกับคนที่วิ่งมาด้วยกัน ป่านนี้เด็กคงวุ่นวายกันเต็มห้องเรียนแล้ว

“No! ไอไม่เก่งภาสะไทย เด็กๆ ไอไม่ชอบ”

“นี่พวกมึงหยุดอ้างนั่นอ้างนี่กันซะทีได้ไหม” กูสุดจะทนแล้วนะ “ช่วยดูสถานการณ์หน่อยไหม ไปดูแลเด็กๆหรือไม่ก็ไปตามหาคนที่ชื่อขิงหรือต้อมก็ได้ ส่วนมึงก็รีบไปดูคนเป็นลมเดี๋ยวนี้เลย... ไปดิ!!!”

ไอ้พวกบ้านี่ต้องให้กูของขึ้น อะไรกันนักกันหนาวะ



รุ่นพี่ก็หายไปไหนหมดก็ไม่รู้ รุ่นเดียวกันก็ไม่อยู่ แต่ยังไงก็ต้องหาวิธีเรียกคนกลับมาช่วยให้ได้ อย่างน้อยต้องมีคนที่มีความรู้เรื่องแพทย์สักคน

โทรศัพท์ไม่มี เรียกก็คงไม่ได้ยิน เอาไงดีๆๆ

สัญญาณ

ใช่ๆ ต้องส่งสัญญาณ เมื่อวานมีเสียงเคาะไม้ไผ่นี่นา ว่าแต่มันอยู่ตรงไหนของหมู่บ้านล่ะ

ผมเลิกคิดและรีบออกวิ่งแทน ตรงดิ่งไปที่หน้าหมู่บ้านก่อน โดยปกติการส่งสัญญาณน่าจะมีแถวๆหน้าหมู่บ้านนะ



“เกิดอะไรขึ้นน้ำชา” พี่ชมพู่วิ่งมาเจอผม พี่เค้าคงสังเกตเห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน

“มีคนเป็นลมครับ แต่หมอไม่อยู่” ผมตอบ

“แล้วนี่จะวิ่งไปไหน”

“ผมกำลังตามหาสัญญาณเคาะเรียกอยู่ครับ”

“ทางนี้ๆ ระฆังไม้อยู่หน้าโรงนอนของรุ่นพี่ปีสอง” ขอบคุณสวรรค์ พอได้รับความโล่งใจตอนนี้ผมก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาในทันที

ผมกับพี่ชมพู่วิ่งกันมาจนถึงหน้าโรงนอนที่มีลักษณะคล้ายๆกับโรงนอนของพวกปีหนึ่ง และพบกับไม้ไผ่ท่อนใหญ่ที่มีค้อนแขวนอยู่ข้างๆ



“จะทำอะไรกันหรือครับ” คุณลุงที่อยู่ใกล้ๆถาม คงเห็นพวกเราวิ่งหน้าตาตื่นกันมา

“จะเคาะเรียกหมอพิชิตครับ มีคนเป็นลม” ผมรีบตอบ

“แต่หมอไปเก็บสมุนไพรที่เขาอีกลูก ระฆังไม้แค่นี้คงไม่ได้ยินหรอกครับ”

“ห๊ะ” ยังไงละที่นี่ “แล้วที่น้ำตกละครับ พอจะดังถึงที่โน่นหรือเปล่า”

“ทำไมต้องให้ดังไปที่น้ำตก?” พี่ชมพู่ไม่เข้าใจ

“ก็มีพี่ท๊อปอยู่ที่นั่น น่าจะพอช่วยอะไรได้บ้าง” ผมตอบ “ว่าไงครับ ดังถึงไหม”

“ก็คงถึงครับ” คุณลุงบอก แต่ก็มีสีหน้ากังวล “เพียงแต่.... ถ้าอยู่ใกล้น้ำตกจริงๆก็คงไม่ได้ยินเสียงหรอกครับ เสียงน้ำตกคงจะดังกลบเสียงไม้ไผ่จนหมด”

“บ้าเอ๊ย” ผมเริ่มสบถ



“ช่วยด้วยๆ ลูกชายฉันอ้วกไม่หยุดเลย”

เห้ย!! เกิดอะไรขึ้นอีกวะ

ผมรีบวิ่งไปดูเหตุใหม่ที่เกิดขึ้น ที่บ้านถัดไปสามหลังมีชายหนุ่มกำยำคนหนึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่บนแคร่และเอาแต่อาเจียนออกมา

“ว๊ายยย ตายแล้ว เกิดอะไรขึ้น” พี่ชมพู่เริ่มสติแตก “ทำยังไงดีๆ”

“ใจเย็นครับพี่ชมพู่” ผมพยายามพูดให้พี่เค้าสงบ แต่ในสมองก็คิด “คุณป้าลูบหลังลูกชายไปก่อนนะครับ แล้วถ้าดีขึ้นแล้วพาไปที่ห้องพยาบาลได้ไหมครับ”

“แต่เค้าอ้วกมาตั้งนานแล้วนะ ลูกชายป้าจะเป็นอะไรไหม” คุณป้าผู้เป็นแม่ร้อนใจ

“ไม่ต้องห่วงครับ เรากำลังตามหมอ”

“ชาๆๆๆ” เกตุวิ่งออกมาจากห้องครัวของหมู่บ้าน โดยมีไอ้ข้าววิ่งออกมาด้วย “เกิดเรื่องแล้ว มีคน..... ​อ๊าย ตรงนี้ก็มีคนอ้วกเหรอ”

“อย่าบอกนะว่ามีคนอ้วกในโรงครัว” อย่าเกิดปัญหาไปมากกว่านี้นะ

“ใช่ มีพ่อลูกที่ช่วยงานอยู่ในครัว อยู่ดีๆก็อ้วกออกมา ลูกชายหมดสติไปแล้วด้วย”

โอ๊ยยยยยย เอาจริงเหรอเนี่ยยยยยยยยย

“ปฐมพยาบาลไปก่อนนะ” ผมพยายามคิดอย่างหนัก  ยังไงก็ต้องตามหมอให้ได้ก่อน ทำไงๆๆๆๆๆ เสียง สัญญาณ..... เดี๋ยวนะ อันนี้น่าจะพอได้ วิชาลูกเสือสมัยเด็กๆ “ลุงครับ ช่วยไปที่ลานต้นไม้เก่าแก่หน่อย แล้วก่อกองไฟนะครับ ทำสัญญาณควัน”

“สัญญาณควัน?” ลุงไม่เข้าใจ

“เดี๋ยวผมพาไปเอง” ขอบคุณที่ไอ้ข้าวเข้าใจความหมายอย่างรวดเร็ว “ไปกันครับลุง เรียกคนอื่นไปก่อไฟช่วยหน่อยได้ไหมครับ”

แล้วทั้งสองก็วิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว



“เกตุไปที่ลานล้างจานกัน” ผมเอ่ยปากชวนทันที

“ห๊ะ?”

“รีบไปก่อนอย่าเพิ่งถาม พี่ชมพู่ครับ ฝากดูแลคนที่อยู่ในครัวด้วยนะครับ”



ความตื่นตระหนกกลับมาอีกครั้ง จู่ๆก็มีคนอ้วกออกมาเต็มไปหมด นี่มันเกิดอะไรขึ้น



“ชา เกิดไรขึ้น” ผมพบขิงกับไอ้ต้อมอยู่ที่หน้าห้องเรียน สงสัยจะถูกตามให้มาช่วยดูแลเด็กให้จริงๆ

“มีชาวบ้านอ้วกไม่หยุด” ผมรีบตอบเพราะไม่มีเวลามากนักต้องรีบวิ่งต่อ “ดูเด็กให้ก่อนนะ อย่าให้วุ่ยวาย”

"ด...ได้"

ผมกับเกตุยังคงตั้งหน้าตั้งตาวิ่งต่อไป ความสบายใจก่อนหน้านี้หายสิ้นไปแล้ว

แต่เมื่อวิ่งมาได้อีกไม่นานก็พบความผิดปกติใหม่เกิดขึ้นที่ห้องพยาบาลอีกครั้ง มีพี่ปีสองมุ่งอยู่หน้าห้องเต็มไปหมด



“เกิดอะไรขึ้นครับ” ผมตัดสินใจที่จะหยุดถามก่อน

“......” แต่พี่เขาไม่ตอบ ได้แต่อ้ำอึ้งอยู่อย่างนั้น ผมจำได้ว่าพี่คนนี้ชื่อปีเตอร์

“มี...” ผมกำลังจะเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ แต่ก็เข้าใจในที่สุดเมื่อพี่เค้าชี้มาที่ป้ายห้อยคอของตัวเอง

ชิบหายยยย

กูจะบ้าตาย จากสถานการณ์นี่มันฉุกเฉินชัดๆ ทำไมพี่เค้าถึงจะมาเคร่งกฎอะไรตอนนี้

“ถอนไปปีเตอร์ จะมารักษากฎอะไรตอนนี้” แล้วจู่ๆพี่แอมก็ผลักให้พี่ปีเตอร์ออกจากการสนทนาไปอย่างหัวเสีย ก่อนจะเข้ามาคุยกับผมด้วยตัวเอง “ม็อบถูกแมงป่องกัดเพราะเข้าไปตามหาเด็ก"

"เด็ก?" นี่มันอะไรกันอีกวะเนี่ยยยย

"ใช่ มีเด็กเล็กหลงอยู่ในป่า แม่เด็กดันพาเข้าไปด้วยแล้วปล่อยให้เล่นคนเดียว ตอนนี้ยังหาไม่เจอเลย ม็อบดันมาโดนซะก่อน ก็เลยต้องช่วยกันหามมาที่นี่ แต่หมอก็ไม่อยู่"

"แล้วพี่ม็อบเป็นอะไรมากไหมครับ"

"โอ๊ยยยยยย"

"อ่อ" เสียงนั้นคือคำตอบซินะ "แล้วทำอะไรได้ไหมครับ"

"ไม่เลย ม็อบเป็นปีสองคนเดียวที่เรียนแพทย์ พอมาเจ็บแบบนี้แล้วก็ไปกันใหญ่ เห็นว่ามีคนในหมู่บ้านอาเจียนกันเยอะใช่ไหม"

"เออใช่​ เกือบลืมไปเลย ผมต้องรีบไปตามคนอื่นๆให้มาช่วยกันก่อน ว่าแต่... ผมรบกวนพี่ปีสองไปพาคนป่วยมาที่นี่หน่อยได้ไหมครับ"

"ก็คงได้ แต่ส่วนหนึ่งต้องไปตามหาเด็กนะ แล้วพวกปีหนึ่งไปไหนกันหมด"

"นี่แหละครับพี่ผมกำลังจะไปตาม"

"แล้วคนป่วยอยู่ไหนบ้างล่ะ?"

"อยู่..."

"เดี๋ยวหนูพาไปเองค่ะ" เกตุแทรกขึ้นมา "ชารีบไปเถอะ จะอะไรก็ช่าง แต่ตามเพื่อนเรามาเร็วๆดีกว่า วุ่นวายไปหมดแล้ว"

ผมไม่รับคำด้วยซ้ำ แต่หันหลังวิ่งต่อไปทันที



​ซ่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาส์

​​เห้ย

​นี่มันจะเกินไปแล้วนะ

ทำไมอยู่ดีๆ ฝนก็ตกลงมาวะ ช่วยเห็นใจกันหน่อยได้ไหม ทั้งรีบ ทั้งเครียด ทั้งเหนื่อย ทั้งหนาว

ฝนห่านิก็ตกแรงเกิน สาดลงมาไม่มีเตือนก่อนเลย

ตอนนี้ผมหนาวอย่างกับโดยน้ำแข็งปาใส่ตัวอยู่ตลอดเวลา จากที่เคยวิ่งก็ต้องค่อยๆเดินเพราะมองแทบจะไม่เห็นทาง ด้วยฝนและหมอกที่บังทัศนวิสัย แต่โชคดีที่บริเวณที่ผมล้างจานเมื่อคืนไม่ได้อยู่ไกลจากห้องพยาบาลนัก



เมื่อเห็นเป้าหมายตรงหน้า ผมก็รีบค้นหาขอบางอย่างที่พอจะหาได้จากแถวนี้....​หิน

​ผมหยิบหินขนาดพอดีมือขึ้นมาและค่อยๆเดินไปที่จุดปล่อยน้ำของลานล้างจาน แต่เดินไปอีกหน่อยเพื่อมองหาสิ่งที่ผมคิดว่าสามารถส่งสัญญาณไปหาเพื่อนปีหนึ่งที่อยู่แถวๆน้ำตกได้



​​แต๊ง แต้ง แต็ง แต็ง แต้ง แต่ง แต่ง แต็ง แต๊ง แต้ง แต่ง .....

​ผมใช้หินเคาะแรงๆไปที่ท่อโลหะขนาดใหญ่ ผมรู้ว่าท่อเหล็กนี่เชื่อมต่อน้ำมาจากน้ำตก เพราะงั้นมันน่าจะสามารถส่งเสียงไปหาคนทางโน่นได้ โลหะขนาดใหญ่ที่มีแรงดันน้ำแน่นอยู่ภายใน หากว่ากันตามหลักฟิสิกส์แล้ว จะเป็นตัวนำคลื่นเสียงระยะไกลได้พอสมควร แต่เพราะตอนนี้มีฝนตกลงมาด้วย ผมจึงคิดได้ว่าจะต้องมีเสียงรบกวนเกิดขึ้นแน่นอน ก็เลยใช้วิธีการเคาะเป็นจังหวะเพลง Love Leader ที่พวกลีดปีหนึ่งทุกคนสามารถแยกแยะเสียงเคาะกับเสียงรบกวนออกจากกันได้

หวังว่าพวกนั้นจะได้ยินนะ เพราะตอนนี้มือของผมแดงไปหมดแล้วด้วยการใช้แรงทุบโลหะและความหนาวเย็นที่ทำให้ฝ่ามือและเนื้อตัวเหมือนถูกแช่แข็ง



"อาซ์" ถึงแม้จะฝืนตัวเองให้เคาะสัญญาณอยู่นานเพียงใด แต่ก็เกิดเรื่องให้ต้องหยุดลงจนได้ ด้วยจังหวะที่ผิดพลาดทำให้ก้อนหินบาดมือผมจนเลือดออก "แม่งเอ๊ย" ผมทั้งสบถและปล่อยหินออกจากมืออย่างช่วยไม่ได้



"ชา" ใครบางคนเรียกผมมาจากความขมุกขมัวของบรรยากาศ ​อ่อ ไอ้ข้าว "สัญญาณควันส่งไม่ได้ เพราะฝนตก ก็เลย.... เห้ย! ทำไมมือเลือดออกอย่างงั้นอ่ะ"

"อุบัติเหตุอ่ะ" ผมตอบทั้งๆที่ยังเจ็บจนน้ำตกแทบจะไหล มือของผมสั่นด้วยความหนาวและเจ็บ

"เสียงเมื่อกี๊มึงเป็นคนเคาะใช่ไหม"

"อืม คงจะพอส่งสัญญาณได้"

"ช่างมันเหอะ รีบไปทำแผลก่อน"

"ไม่เป็นไร แค่นี้เอง ช่วยชาวบ้านก่อน"

"ชาวบ้านถูกพาไปห้องพยาบาลหมดแล้ว เมื่อกี๊เกตุไปตามหมอชาวบ้านให้ ลุงแกพอรู้เรื่องสมุนไพรอยู่ คงจะพอช่วยได้"

"งั้นเหรอ"

"เออ ไปทำแผลก่อนเร็ว"

ผมทำตามคำแนะนำนั้น ไอ้ข้าวรีบพาผมเข้าไปหลบฝนในชายคาของบ้านข้างๆห้องพยาบาลก่อนจะไปตามโซนี่ นิสิตปีหนึ่งจากคณะแพทย์เพื่อออกมาทำแผลให้กับผม



"แผลแค่นี้กูทำเองก็ได้" นี่คือคำแรกที่ผมพูด "ไปดูแลชาวบ้านเถอะ"

"เราทำอะไรไม่ค่อยได้เท่าไหร่หรอก" โซนี่สารภาพ "เรายังไม่มีความรู้มากมายขนาดนั้น"

"ยังไงก็ต้อง..."

"ไม่เป็นไรหรอกชา" ไอ้ข้าวแทรก "กูเห็นหมอชาวบ้านเค้าพอจะดูแลได้อยู่ มึงอ่ะต้องรีบทำแผลก่อน จะได้ไปช่วยคนอื่นได้ ตอนนี้คนมีน้อยมาก พวกพี่ปีสองก็ออกไปตามหาเด็กที่หลงป่ากันหมดเพราะฝนดันมาตกแบบนี้"

"แต่..."

"เชื่อกูเหอะน่า รีบทำแผล แล้วเดี๋ยวเราไปช่วยกันรักษาคนอื่น สุ่ยก็กำลังดูข้างในอยู่ ยังไม่ร้ายแรงหรอก"

"ก...ก็ได้" ตอนนี้กูควรมีสติซินะ "ช่วยรีบทำหน่อยนะ"

แล้วโซนี่ก็รีบช่วยทำแผลที่โดนหินบาดให้ผม ถ้าเป็นปกติผมคงเจ็บมาก แต่เพราะความร้อนใจบวกกับที่ผมต้องคอยลุ้นเอาใจช่วยไอ้คนที่ทำแผลให้ผม(อย่างกับเพิ่งเคยทำครั้งแรก) ก็เลยไม่รู้สึกเจ็บอะไร
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 48 [ความกลัว Part 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 15-03-2018 00:38:35
(ต่อ Part 2)



"คนเจ็บอยู่ไหน"

เห้ยยยยยยยย พี่ท๊อปมาแล้ว ขอบคุณสวรรค์ พี่บุ๋นก็ด้วย เปียกโชกพอๆกับผมเลย



"ข้างในห้องพยาบาลครับ" ไอ้ข้าวตอบ

"บุ๋นไปตามญาติคนเจ็บมาให้พี่หน่อย" พี่ท๊อปสั่งการทันที "ตรงนี้เสร็จแล้วใช่ไหม เข้าไปช่วยพี่ แล้วมือน้ำชาไปโดนอะไรมาน่ะ"

"ช่างมันก่อนเถอะครับ ผมไม่เป็นอะไรมาก" ผมรีบบ่ายเบี่ยง "เข้าไปช่วยชาวบ้านกันเถอะครับ"

"โอเค ไหวนะ"

"ไหวครับ"

"ใครพอรู้บ้างว่าญาติคนป่วยอยู่ไหน" พี่บุ๋นถามทันที

"ผมครับ" ไอ้ข้าวบอก แล้วมันก็วิ่งนำพี่บุ๋นผ่าสายฝนออกไปตามหาคน



ผมและโซนี่ถูกนำมายังห้องพยาบาลอีกครั้ง ในนี้มีเพียงพี่แอม พี่ม็อบที่โดนแมงป่องต่อย ผู้ป่วยสี่คนซึ่งบางคนยังคงอ้วกไม่หยุด มาย เกตุ และหมอชาวบ้านที่กำลังนั่งบดสมุนไพรอยู่ แต่คนแค่นี้ก็ทำให้ห้องพยาบาลเกือบเต็มแล้ว



"นี่คืออะไรเหรอครับ" พี่ท๊อปถามหมอชาวบ้าน

"ตำลึง" ลุงตอบ "ทาให้พ่อหนุ่มที่โดนไอ้ป่องต่อย"

"ดีแล้วครับ ตำลึงสดระงับอาการปวดจากพิษแมลงได้ แต่ว่า..." พี่ท๊อปหันมาหาโซนี่ "เอายาแก้ปวดไปให้เค้ากินนะ แล้วก็ทำความสะอาดแผลก่อน แค่ใช้น้ำเปล่านะ ไปเลยๆ" ถึงโซนี่จะยังดูงงๆแต่ก็รีบทำตาม "น้ำชา มาทางนี้... ไปหากระโถงหรือหม้ออะไรก็ได้ เอามาให้พวกนี้อ้วกออกมาให้หมด แล้วก็... มีไข่ไก่ไหม"

"มีค่ะ ในโรงครัวมี เดี๋ยวหนูไปเอามาให้" เกตุรีบอาสา "ไปกันเถอะมายด์ ชาอยู่ที่นี่กับพี่ท๊อปแล้วกัน" เธอไม่รีรอแต่รีบจูงมือมายด์ให้วิ่งออกสู่สายฝนโหมกระหน่ำไปด้วยกัน

"พวกนี้ต้องไปกินอะไรเป็นพิษมาแน่ๆเลย" พี่ท๊อปเริ่มวิเคราะห์และนั่งลงข้างๆคนป่วยทั้งสี่ "แต่ไม่รู้ว่ากินอะไรนี่ซิ ต้องรอถามญาติก่อน ​มีใครพอจะมีแรงตอบผมได้ไหมครับ​"

"............." ไม่มีคำตอบ มีแต่เสียงอาเจียน

"น้ำชา มาช่วยพี่หน่อย" ผมถูกนำออกมาจากห้องพยาบาลและเดินเข้าไปโรงเก็บสมุนไพรข้างๆ "ต้มน้ำให้พี่หน่อยครับ"

ห๊ะ!?

ต้มน้ำ?

อ่อ นั่นไง

ผมรีบตรงไปยังแท่นก่อไฟที่สร้างขึ้นจากดิน มันถูกสร้างอยู่ที่มุมห้อง

หม้ออยู่นี่ ฟืนอยู่นี่ แล้วไฟล่ะ จะจุดไฟได้ยังไง



"เอาไฟไหม" จู่ๆพี่แอมก็เข้ามาในโรงเก็บสมุนไพรพร้อมกับยื่นคบเพลิงไฟให้กับผม

"ขอบคุณครับ" ผมรับมาและทำหน้าที่ของตัวเองทันที

ระหว่างนั้นพี่แอมก็จุดตะเกียงไฟในโรงเก็บสมุนไพรและเอาหม้อออกไปรองน้ำฝนมาให้ผม พี่ท๊อปที่เห็นเหตุการณ์ดูจะตกใจที่เห็นว่าผมกับพี่แอมพูดคุยและช่วยกันทำงาน สงสัยพี่ท๊อปจะยังไม่รู้ว่าผมปรับความเข้าใจกับพี่แอมแล้ว แต่ก็ไม่มีเวลาให้มานั่งตกใจนัก พี่ท๊อปหันกลับไปสนใจเรื่องของตัวเองด้วยการค้นหาสมุนไพรที่ตัวเองต้องการ



"มาแล้ว พี่ท๊อป ญาติมาแล้ว" พี่บุ๋นวิ่งเข้ามาพร้อมกับป้าคนหนึ่งซึ่งผมเพิ่งจะเจอเมื่อตอนที่เธอเรียกให้ช่วยเหลือลูกชายตัวเอง

"ลูกฉันเป็นยังไงบ้าง" ป้าชาวบ้านรีบถาม

"ใจเย็นครับ" พี่ท๊อปเข้าพูดคุย "ป้าพอจะบอกผมได้ไหมว่าพวกนั้นไปกินอะไรกันมาที่แปลกๆ"

"กิน? ฉันไม่รู้หรอกว่ามีอะไรแปลกๆ พวกเขาไปล่าสัตว์กันเมื่อคืน ฉันก็ห่อแค่เห็ดเผาไปให้ แต่ฉันกับหลานสองคนก็กินนะไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย" อ๋ออออ นึกออกแล้ว ผู้ชายสี่คนนี้คือคนที่เดินสวนกับผมเมื่อคืนนี่เอง พวกที่ไปล่าสัตว์ซินะ ถึงได้รู้สึกคุ้นๆหน้า แล้วแบบนี้จะรู้ได้ไงว่ากินอะไรกับมา ของป่ามีเยอะแยะ

"เห็ดเหรอครับ?"

"ใช่"



"คุณป้าล้างเห็ดด้วยการแช่ในน้ำใช่ไหมครับ" อ้าว ไอ้ข้าวก็อยู่ด้วยเหรอ ผมไม่ทันสังเกตุเห็น

"ฉันก็ไม่รู้ว่ามันห้ามทำ" ป้าแกบอก น้ำตาเริ่มไหล "เพิ่งจะรู้เมื่อเช้าที่หนูบอก"

"แต่พี่ว่าอาการมันมากกว่าเชื้อโรคปกตินะ" พี่ท๊อปแทรกขึ้นมา "เพราะป้าก็บอกเองว่าป้ากับหลานก็กินแต่ไม่เป็นอะไร"



"พี่ท๊อป นี่" พี่บุ๋นส่งอุปกรณ์หลายชิ้นให้พี่ท๊อป "ของที่ลูกชายป้าเอาติดตัวไปตอนล่าสัตว์"

พี่ท๊อปรีบรับมาดู

"นี่อะไรครับ อ๊า" พี่ท๊อปสำรวจกระบอกไม้ไผ่อันหนึ่งด้วยการดม แต่ปรากฏกลิ่นที่ไม่พึ่งประสงค์นัก

"เหล้าต้มจ้ะ" ป้าตอบ "พวกผู้ชายเขาชอบเอาเหล้าไปกินกันตอนล่าสัตว์อยู่แล้ว"

"พอจะรู้อะไรไหมพี่ท๊อป" พี่บุ๋นถาม

"คิดว่าพอจะรู้แล้วนะ" พี่ท๊อปตอบแล้วส่งของคืนให้ป้า "จำไว้นะครับป้า ต่อไปถ้าจะให้ของกินกับลูกชายป้าเวลาออกล่าสัตว์ อย่าจัดเห็ดกับเหล้าไปให้เขาแบบนี้ เห็ดบางชนิดมีพิษไม่มากแต่ถ้ากินพร้อมกับเหล้าจะทำให้พิษแรงขึ้น แล้วที่ดมดูเมื่อกี๊ เหล้านี่น่าจะแรงพอตัว ถ้าแอลกอฮอเยอะขนาดนี้ พิษจะดูดซึมได้ง่ายมาก"

"แล้วลูกฉันจะเป็นอะไรไหม" คุณป้ายิ่งร้องไห้หนัก

"ไม่ต้องห่วงครับ ถ้ารู้สาเหตุแล้วก็น่าจะพอเตรียมยาถอนพิษให้ได้อยู่.... บุ๋นพาคุณป้าไปรอที่บ้านเถอะ อย่าให้คนเข้ามาวุ่นวายในห้องพยาบาลนะ ส่วนน้องข้าวเจ้าช่วยไปปลุกคนป่วยทุกคนให้ตื่นนะครับ พี่ต้องให้ทุกคนกินยา"

พี่บุ๋นและไอ้ข้าวทำตามคำสั่ง

ตอนนี้ผมอยากเป็น The Flash มากเลย รู้สึกว่าทุกอย่างมันเชื่องช้าไปหมด



"น้ำเดือดหรือยัง" พี่ท๊อปเร่งมือมากกว่าเดิม

"พอได้แล้วครับ" ผมตอบ

"โอเค พี่จัดการต่อเอง ไม่มีสมุนไพรอะไรใช้ได้หรอกถ้าโดนพิษของเห็ด มีแต่ต้องให้อ้วกออกมาให้หมดเท่านั้น" พี่ท๊อปยกหม้อต้มน้ำออกแล้วคีบถ่านมาใส่ในหม้อเปล่าอีกหม้อ "เอาถ่านไปล้างน้ำนะแล้วบดให้ละเอียด ส่วนน้องแอมพี่รบกวนไปที่ห้องครัวนะ เอาเกลือมาให้หน่อย"

เอาล่ะครับ หลังจากนี้เป็นวิชาเภสัชศาสตร์ล้วนๆ ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนะ แต่จะเล่าเหตุการณ์ที่เห็นให้ฟังก็แล้วกัน

หลังจากที่ผมนำถ่านมาบดจนละเอียด พี่ท๊อปก็เอาน้ำร้อนแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนที่หนึ่งเอาถ่านใส่ลงไป ส่วนที่สองเอาเกลือใส่ลงไป จากนั้นนำไปให้ผู้ป่วยจากการกินเห็ดพิษดื่ม โดยมีลำดับการดื่มคือ ดื่มน้ำอุ่นผสมถ่านบดก่อนจนกว่าจะอ้วกออกมา หากยังไม่อ้วกให้ดื่มน้ำอุ่นผสมเกลือตามลงไป ซึ่งโชคดีที่ทุกรายอ้วกออกมาอย่างที่ต้องการ เสร็จสุดท้ายเมื่อเห็นว่าผู้ป่วยอาเจียนออกมามากพอแล้วพี่ท๊อปก็ให้กินไข่ขาวดิบเพื่อให้โลหะหนักที่เป็นพิษทำปฏิกิริยากับไข่ดาวจนเป็นกลาง(พี่ท๊อปพูดมาอีกทีนะ)

ไอ้ต้อมกับไมเคิล(เด็กหนุ่มลูกครึ่ง ผมเพิ่งรู้จักชื่อ) มาช่วยที่ห้องพยาบาลโดยปล่อยให้ขิงดูแลเด็กๆคนเดียว ส่วนไอ้ข้าวกับเกตุไปเตรียมอาหารสำหรับคนป่วยฉุกเฉินตามคำแนะนำของพี่ท๊อป มายด์และพี่แอมช่วยหมอชาวบ้านทำแผลให้พี่ม็อบที่โดนแมงป่องต่อย ส่วนที่เหลือก็มากรอกน้ำวิเศษให้คนอ้วกอยู่ บรรยากาศอย่างกับอยู่วัดถ้ำกระบอก ถึงผมจะไม่เคยไปก็เถอะ

พวกพี่ปีสองที่ออกตามหาเด็กหลงป่าเจอเด็กชายตัวน้อยในที่สุดด้วยความช่วยเหลือของไอ้สุ่ยที่ปีนขึ้นไปมองหาจากต้นไม้สูง ก็สมกับเป็นเด็กฟิสิกส์อะนะ... เด็กน้อยร้องไห้จ้าเพราะความกลัว แต่ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง จากนั้นพวกพี่เขาก็ไปช่วยกับเตรียมอาหารกลางวันเพราะไม่มีคนมากเพียงพอ

ในที่สุดเมื่อผ่านไปกว่าสองชั่วโมง พวกปีหนึ่งก็กลับมาถึงหมู่บ้าน และฝนก็หยุดตก ถามว่าพวกนั้นกลับมาที่หมู่บ้านได้ยังไง เพราะเสียงสัญญาณจากผมหรือเปล่า ก็ใช่ แต่แค่ส่วนเดียว เพราะอีกส่วนหนึ่งก็คือ...



"พี่ตองวิ่งไปตามให้พวกเรากลับมาหมู่บ้าน บอกว่ามีคนต้องการให้ช่วย แต่ติดฝนก็เลยมาช้า"

"ห๊ะ!!" ผมไม่รู้ว่าตัวเองร้องดังแค่ไหน "นี่พี่ตองออกไปตามทุกคนให้กลับมาเหรอ"

"ใช่ เจ้าตองก็เป็นคนบอกพี่เรื่องนี้เหมือนกัน" พี่ท๊อปแทรกเข้ามาในขณะที่ป้อนน้ำดื่มให้คนป่วย "พี่กับบุ๋นกำลังจะกลับหมู่บ้านพอดี เจอเจ้าตองกลางทาง พี่ก็เลยรู้เรื่อง แต่เห็นบอกว่าจะไปตามปีหนึ่งด้วย"

"แล้วพี่ตองอยู่ไหนอ่ะ" ผมมัวแต่ยุ่งวุ่นวายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนลืมนึกถึงพี่ตองไปเลยว่าหายไป

"พี่ตองล้มอ่ะ ข้อเท้าแพลง ก็เลยจะตามมาทีหลัง"

"ล...แล้วใครอยู่กับพี่ตอง"

"ไม่มี"

"ได้ยังไง ปล่อยพี่เค้าไว้ในป่าคนเดียวได้ยังไง"

"ก็พี่เค้าบอกให้รีบมาอ่ะ บอกว่าที่นี่ต้องการคน แต่ฝนมันตก ก็เลยต้องหลบที่กระท่อมแถวๆน้ำตกก่อน"

เนี่ยอะนะคำตอบ อยากจะตบกระโหลกรายตัวจริงๆเลย

"แล้วยกโขยงกันไปที่น้ำตกกันทำไม เด็กปีหนึ่งตั้งยี่สิบกว่าคนเหลืออยู่ในหมู่บ้านไม่ถึงสิบ นี่คิดอะไรกันอยู่"

"ใจเย็นดิไอ้ชา" ไอ้ต้อมพยายามปรามไม่ให้ผมหัวร้อน แต่ไม่ทันละ

"ตอบมาดิวะ!!"

"เราก็แค่ไปดูระบบน้ำของหมู่บ้าน เห็นว่าพี่ท๊อปกับพี่บุ๋นอยู่แถวนั้น เผื่อจะมีไอเดียอะไรสำหรับทำภารกิจสร้างอะไรใหม่ๆให้หมู่บ้านได้ พวกเรากำลังช่วยกันทำภารกิจ..."

"ด้วยการทิ้งหมู่บ้านไปเนี่ยนะ" ยิ่งพูดผมก็ยิ่งเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้ "แถมรู้เรื่องแล้วยังมัวหลบฝน แหกตาดูทุกคนที่นี่ก่อนไหมว่ามีใครที่ตัวแห้งอยู่บ้าง รู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น มีคนป่วยอาหารเป็นพิษแต่ไม่มีคนช่วยกันพามาห้องพยาบาล มีเด็กนักเรียนที่ไม่มีคนช่วยดูแลเต็มห้องเรียนไปหมด ไหนจะเด็กเล็กที่หายเข้าไปในป่าเป็นชั่วโมงๆ แทนที่เด็กปีหนึ่งจะอยู่เป็นกำลังหลักให้หมู่บ้าน กลับหายหัวกันไปหมด พี่ชมพู่ พี่ท๊อป แล้วก็พวกพี่ปีสองวิ่งกันให้วุ่นวายไปหมด ฝนก็ตกหนัก อาหารเที่ยงก็ไม่มีใครอยู่ช่วยทำ ทั้งหมู่บ้านวุ่นวายต้องการคนช่วยเหลือ แต่พวกนายกลับไปดูระบบน้ำเนี่ยนะ เป็นบ้ากันไปแล้วรึไง" กูด่าไม่เกรงใจหน้าอินหน้าพรหมอะไรทั้งนั้นอ่ะ มีอย่างที่ไหน มากันเป็นคันรถแต่อยู่ในภาวะฉุกเฉินแค่ไม่กี่คน แถมยังพูดข้ออ้างหน้าด้านๆ

"ก็....."

"นายก็พูดได้ดิ นายเป็นที่หนึ่งอยู่แล้วนิ" จู่ๆก็มีผู้ชายปีหนึ่งคนหนึ่งพูดออกมา

"ห๊ะ!? อะไรนะ" เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่หนึ่งที่สองวะ

"พวกเราทุกคนก็ต้องพยายามเหมือนกันเปล่าวะ ลีดมหาลัยมันเป็นได้แค่สิบสองคนนะเว้ย คนที่อยู่ลำดับต้นๆจะไปเข้าใจความรู้สึกของพวกหางแถวได้ยังไงวะ ถ้าอย่างน้อยพวกเราสร้างผลงานอะไรได้บ้างก็พอจะยังมีสิทธิ์บ้าง ที่พวกเราสนใจดูงานในหมู่บ้านมันก็เพื่อเพิ่มโอกาสให้ตัวเองก็เท่านั้น เพราะพวกอันดับต้นๆเอาแต่ทำตัวเป็นหัวหน้าสั่งนั่นสั่งนี่จนพวกลำดับท้ายๆแทบจะไม่มีชื่ออยู่แล้ว เข้าใจกันบ้างดิวะ"

"พูดงี้ได้ไงวะ มายด์ก็อยู่อับดับหลังๆ ไม่เห็นจะ..." ไอ้ต้อมพยายามแทรก แต่ผมรีบห้ามไว้

"นี่ใช่ไหมเหตุผล" ผมเอ่ยขึ้นอีกครั้ง พยายามข่มอารมณ์เดือดดานในใจไว้ให้มากที่สุดเพราะถึงยังไงที่นี่ก็เป็นหน้าห้องพยาบาล "อยากมีผลงาน... ได้.... ไปทำกันให้เต็มที่เลยนะ อยากคิดอะไรกันก็เชิญ เราจะไม่คิดอะไรทั้งนั้น เพื่อไม่เป็นการสร้างผลงานมาข่มชื่อของใครไว้ พอใจแล้วนะ.... แต่ช่วยคิดถึงจุดประสงค์ของการมาที่นี่หน่อยจะได้ไหม เราควรจะอยู่เพื่อเป็นที่พึ่งของคนที่นี่ไม่ใช่เหรอ? หมู่บ้านนี้ไม่ได้ขาดแคลนแค่อาหารหรือยานะ แต่พวกเค้าขาดแคลนความรู้ความเข้าใจบางอย่าง จนบางครั้งความไม่รู้พวกนี้มันกลายเป็นความกลัว และพวกนายแต่ละคนก็มีความรู้ความสารถในตัวเองที่เป็นประโยชน์ทั้งนั้น เรามาในฐานะผู้นำปัญญาชน นึกถึงหมู่บ้านก่อนได้ไหม... เห็นนั่นไหม นั่นคือสภาพของผู้คนที่ต้องการจริงๆ คนที่เต็มไปด้วยความกลัว ซึ่งแทนที่พวกนายจะเป็นแหล่งคลายความกลัว กลับมัวแต่กลัวเรื่องของตัวเอง มันใช่ไหมอ่ะ.... แต่ก็อย่างที่บอกนะ เราจะไม่สนเรื่องภารกิจอะไรทั้งนั้น อยากทำอะไรเชิญ แต่ถ้าปล่อยให้ชาวบ้านเกิดเรื่องเดือดร้อนอีก ​เจอกูอาละวาดของจริงแน่...."

"อ... ไอ้ชา มึงจะไปไหนวะ" ไอ้ต้อมเรียกผมก่อนที่จะเดินออกไป

"ไปตามหาพี่ตองไง ไม่รู้ว่าคิดกันได้ยังไงที่ปล่อยพี่เค้าทิ้งไว้ในป่าคนเดียวแบบนั้น กล้าทิ้งพรรคพวกไว้ข้างหลังแบบนี้ กูรับไม่ได้จริงๆ ถ้าลีดมหาลัยรุ่นนี้มีแต่คนแบบนี้ กูจะขอสละสิทธิ์เอง" ใช่ ผมพูดแดกพวกปีหนึ่งด้วยกันนี่แหละ แม่ง สมองมันแดกหญ้าแทนข้าวหรือไงวะถึงไม่มีสามัญสำนึกกันบ้างเลย คิดแต่เรื่องเห็นแก่ตัวทั้งนั้น

"กูไปด้วย รอก่อนๆ"

ไอ้ต้อมรีบวิ่งตามผมออกมา



"ไอ้น้ำชา ใจเย็นดิ" พี่บุ๋นวิ่งตามหลังผมมาอีกคน "มึงรู้เหรอว่าไปทางไหน"

"ก็..." เออ ลืมไปเลยว่าไม่รู้ทาง โมโหจนลืมคิดถึงเหตุผล

"งั้นเดี๋ยวกูไปด้วย" พี่บุ๋นอาสา "ขืนปล่อยปีหนึ่งหลงป่าอีก ความซวยมาเยือนจริงๆแน่ แล้วก็นี่ด้วย กล่องปฐมพยาบาล มึงจะไปช่วยคนข้อเท้าแพลงแต่ไม่เอาอะไรไปรักษาเขาเลยหรือไง"

ความโมโหเป็นเหตุให้ลืมเรื่องนี้ไปอีกครั้ง



"ต้อมๆ" คราวนี้เป็นขิงที่วิ่งมา "ช่วยไปยกกระดานดำหน่อย ฝนตกเมื่อกี๊ลมแรง กระดานในห้องเรียนก็เลยร่วงลงมา"

"แต่ต้อมจะไปเป็นเพื่อนไอ้ชาเย็นอ่ะ" ไอ้ต้อมอธิบาย "มันจะไปหาพี่ตองในป่า"

"ขิงไปแทนก็ได้ ต้อมไปยกกระดานเถอะ สุ่ยยกคนเดียวไม่ไหว"

"ไปเหอะมึง" ผมสนับสนุน "กูไปได้ มีทั้งขิงมีทั้งพี่บุ๋น มึงไม่ใช่ส่วนสำคัญของการผจญภัยหรอก"

"เออ" ไอ้ต้อมขำที่ผมพูด "อารมณ์ดีขึ้นมาก็ดีแล้ว งั้นกูไปช่วยไอ้สุ่ยนะ"

"เออๆ"

แล้วไอ้ต้อมก็วิ่งไปทางห้องเรียน



"เดี๋ยวก่อนๆ"

อะไรอีกวะ นี่กูจะได้เข้าป่าซักทีไหมเนี่ย

"ว่าไงข้าว" ไอ้ข้าวนั่นเอง

"กูไปด้วย"

"จะไปทำไมวะ แค่นี้ก็ไปกันเยอะแล้ว"

"นี่จะเที่ยงแล้ว จะได้แวะกินข้าวในป่าเลย พี่ตองคงยังไม่ได้กินอะไร แต่กูทำกับข้าวให้ไม่ทันอ่ะ ทำแต่อาหารคนป่วยเมื่อกี๊ ก็เลยหยิบของสดมาแทน คงต้องไปทำในป่าแล้วล่ะ... หรือมึงทำกินเองเป็น" ก็ทำไม่เป็นอะดิ พี่บุ๋นกับขิงยิ่งไม่ต้องพูดถึง

"เออๆ รีบไปเหอะ ก่อนที่จะมีใครตามมาอีก"

คราวนี้ก็เลยกลายเป็นผม ขิง พี่บุ๋น และไอ้ข้าว ที่เดินเข้าไปในป่า



ทิศทางของการเดินทางเป็นอย่างที่ผมคาดเดาไว้ว่าตามทางน้ำที่ไหลออกมาจากลานล้างจาน มันนำไปสู่ธารน้ำหลากซึ่งอยู่ต่ำกว่าหมู่บ้าน แต่ตอนนี้น้ำในธารที่ไหลดูคล้ายว่าจะขุ่นพอสมควรและปริมาณน้ำก็สูงขึ้นมาก แถมยังไหลแรง คงเป็นเพราะฝนที่เพิ่งจะตกหนักเมื่อสักครู่

เราทั้งสี่คนเดินทางเข้าไปในป่าลึกขึ้นเรื่อยๆ ทางก็ค่อนข้างลื่นเพราะเปียกแฉะไปด้วยน้ำฝน



ซาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาส์

​ไอ้ส้นตีนหมาเอ๊ยยยยย

ฝนตกหนักลงมาอีกรอบ ตัวกูยังไม่แห้งเลย เปียกอีกแล้ว



"เห้ย!!!!! ขิง"

อะไรวะ

"​เห้ยยยยยย​" ขิงพลัดลื่นลงไปในธารน้ำตกด้วยกระแสน้ำที่ขึ้นสูงและพื้นดินที่มีน้ำฝนไหลหลากเจิ่งนอง แต่ผมก็ต้องพยายามเข้าไปช่วย

"ช... ชาระวัง​" ไอ้ข้าวให้ผมระวังอะไรวะ

"โอ๊ย​"

จู่ๆก็มีบางอย่างมากระแทกหลังทำให้ผมเสียหลัก

เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก ผมเห็นเพียงว่าตัวเองถลาลงไปหาขิงที่ไหลไปกับน้ำ และคล้ายๆว่าเห็นพี่บุ๋นกับไอ้ข้าวจะกระโดดลงมาช่วย แต่ก็ไม่แน่ใจอะไรนัก เพราะสิ่งแรกที่ต้องทำคือตั้งสติไว้ ช่วยเหลือตัวเองให้ได้

ทักษะการว่ายน้ำที่ร่ำเรียนมาแทบจะไม่ช่วยอะไรเลยในกระแสน้ำแบบนี้ ทั้งทัศนวิสัยที่แย่ยิ่งกว่าแย่ แต่ก็สามารถคว้าขิงไว้จนได้ในเวลาอันรวดเร็ว

​ขอนไม้นี่นา

​"จับ.... ว... ไว้ขิง ก... เกาะขอนไม้ไว้" ผมร้องดัง ระหว่างนั้นก็กลืนน้ำเข้าไปอย่างไม่รู้ตัว



"ชาาาาาา ชาาาาา​" "​ขิงงงงงงง​" เสียงไอ้ข้าวกับพี่บุ๋นนี่นา

ผมพยายามเพ็งมองหาต้นเสียง

​เจอแล้ว นั่นไง

​ผมเห็นคล้ายๆว่าสองคนนั้นจะเกาะขอนไม้อีกท่อนมาเช่นกัน

"จ...จับมือ... จับมือกันเร็ว​" ไอ้ข้าวร้องบอกอย่างทุลักทุเล

ถึงแม้จะพูดแบบนั้น แต่ก็ทำได้ยากลำบากมาก เพราะกระแสน้ำที่รุนแรงและฝนที่กระหน่ำตก

ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่สุดท้ายเราก็จับมือกันไว้จนได้ ขอนไม้ทั้งสองเกาะติดกันเป็นฐานที่มั่นอย่างดีให้กับคนทั้งสี่ที่กำลังลอยไปบนธารน้ำหลาก ความโชคดีของเรื่องเลวร้ายนี้ก็คือเราสามารถประคองกันไว้ใกล้กับริมฝั่งซึ่งไม่ค่อยมีหินสูงให้ต้องเกิดเหตุกระแทก เพียงแต่ว่าไม่สามารถพากันถึงฝั่งได้เลยเพราะความเชียวกราดของกระแสน้ำ



ระยะทางและเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ส่วนเรี่ยวแรงของการเกาะกันแน่นก็ใกล้จะหมดลงแล้ว

เราทุกคนเริ่มหนาวสั่นและความกลัวเกาะกุมจิตใจ เราได้แต่หวังพึ่งโชคช่วยไม่ให้ลอยออกไปไกลกว่านี้หรือมีใครถูกโขดหินกระแทกใส่.....



เจ้าป่าเจ้าเขา โปรดช่วยพวกเราด้วย......





พี่ตอง ช่วยชาด้วย
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-03-2018 15:38:48
ความไม่รู้ ความตื่นตระหนก ความอยากได้ใคร่มี ความเห็นแก่ตัว
แสดงออกมาให้เห็นๆกันไปเลยในภาวะการบีบคั้น
การเกิดโรคในหลายๆคนแบบกระทันหัน

เคราะห์ซ้ำ กรรมซัด พี่ตองถูกทิ้งในป่าตามลำพัง
น้ำชา ข้าว ก็ลื่นตกน้ำอีก จะไปช่วยพี่ตอง
กลายเป็นน้ำชา เรียกหาพี่ตองให้ช่วยแทนซะและ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 49 [ความหวัง/ความเชื่อ]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 16-03-2018 23:20:30
​ตอนที่ 49 : ความหวัง/ความเชื่อ







“ขิง ส่งมือมา ระวังนะ” นั่นคือคำพูดแรกหลังจากอุบัติเหตุพลัดตกธารน้ำหลากของผมและเพื่อนร่วมชะตากรรมทั้งสาม

ความเกรี้ยวกราดของพายุฝนสงบลงในที่สุด แต่พวกเราก็ยังต้องทนกับกระแสน้ำที่พัดกระหน่ำอย่างต่อเนื่องอยู่อีกพักใหญ่ จนลอยมาติดกับกองเศษไม้และโขดดินที่ยังสามารถทนกระแสของน้ำได้

โอกาสในการขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัยของพวกเรามาถึง ทุกคนจึงรีบช่วยกันพาร่างกายที่ใกล้จะหมดเรี่ยวแรงของกันและกันขึ้นฝั่ง

ผมไม่เคยรู้สึกอยากให้ชีวิตของตัวเองเหมือนในละครมากเท่านี้มาก่อนเลย ถ้าปกติฉากตกน้ำแบบนี้ นางเอกก็ควรจะตื่นขึ้นมาและพบว่าตัวเองนอนแผ่หราอยู่บนริมฝั่งโดยมีพระเอกมาช่วยชีวิตไว้ แต่สถานการณ์ตอนนี้ มันต่างจากที่ปรารถนามาก

พวกเราพยายามอย่างยิ่งที่จะมีสติและไม่ร้นลานจนเป็นเหตุให้กองไม้เหล่านี้พังคลื่นจนต้องไหลไปกับน้ำกันอีกรอบ เพราะมันอาจจะไม่โชคดีอีกแล้วก็ได้



​โครมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม

"ระวังงงงงง​"

จู่ๆกองดินและกิ่งไม้สูงก็พังคลืนลงและพัดไปกับกระแสน้ำที่ยังไม่หยุดความโกรธา



"ม...​ไม่เป็นไรครับ​" ขิงบอก เพราะขิงเป็นคนที่อยู่ใกล้กับธารน้ำที่สุด แต่ขิงพ้นมาจากเขตนั้นแล้ว (อย่างเฉียดฉิวนะ)

“เจ็บไหมขิง” ผมเอ่ยถามลูกพี่ลูกน้องของตัวเองอย่างห่วงใยเพราะเนื้อตัวของขิงมีบาดแผลเต็มไปหมด ไม่ใช่แค่ขิงหรอก ผม พี่บุ๋น และไอ้ข้าวก็อยู่ในสภาพเดียวกัน ทุกคนถูกเศษไม้เศษหินขูดถากทั้งนั้น

“ไม่เท่าไหร่หรอก” ขิงตอบ “แค่ถลอก แต่มือชานี่ซิ เลือดไหลออกมาเยอะเลย”

ใช่แล้วครับ แผลที่มือซึ่งเคยได้รับการปฐมพยาบาลไป มันไม่เหลือเค้าของการรักษาเลย

“ไม่เป็นไร” ผมตอบ มันไม่เจ็บไปมากกว่าความรู้สึกของความกลัวที่เพิ่งเจอมาเมื่อกี๊เลย “เรารีบออกห่างจากทางน้ำดีกว่านะ”



“จับมือกันไว้แน่นๆนะ อย่าปล่อย” พี่บุ๋นเตือน พี่เค้าคว้าหญ้าสูงริมตลิ่งไว้ในกำมือเพื่อเป็นหลักยึดไม่ให้ทุกคนไหลไปกันน้ำอีก “ค่อยๆ ระวังๆ”

กว่าสิบนาทีที่เราช่วยกันไปพ้นเขตธารน้ำและดินที่อาจทำให้ลื่น และเพื่อให้มั่นใจกว่านั้นพวกเราขยับไกลจากธารน้ำขึ้นไปอีก

“ทุกคนโอเคนะ” พี่บุ๋นถาม

“ครับ” ผมตอบ ทุกคนดูโอเคขึ้น อาจจะยังช็อคอยู่เล็กน้อยแต่ก็โล่งใจขึ้นมาก “เราบิดน้ำออกจากเสื้อผ้ากันก่อนดีไหม เดี๋ยวจะป่วย”

“นั่นซิ” ขิงเสริม

แล้วทุกคนก็ถอดเสื้อผ้าออกมาบิดอย่างไม่อายกัน  หมดเวลาอายแล้วละตอนนี้ นี่คือเวลาของการเอาชีวิตรอด

"มึงเจ็บหลังมากไหม" ไอ้ข้าวเอ่ยถาม เหมือนว่ามันจะเห็นอะไรที่หลังของผม

"ก็ไม่นะ" ผมตอบ "ทำไมเหรอ?"

"ก็มึงโดนขขอนไม้ร่วงลงมาใส่จนตกน้ำไง จำไม่ได้เหรอ เนี่ย หลังแดงเป็นลายเลย"

"จริงดิ... เออวะ รู้สึกเจ็บนิดๆแล้ว แต่ไม่มาก ไม่เป็นปัญหาหรอก"

"ถ้ากล่องปฐมพยาบาลไม่ร่วง พี่ก็คงจะพอทำอะไรให้ได้บ้าง" พี่บุ๋นขมวดคิ้วให้กับอุบัติเหตุนี้

"ก็บอกว่าไม่เป็นไรไงพี่" ผมรีบบอก "ไม่ต้องเครียดหรอก เราโชคดีแค่ไหนแล้วที่รอดมาได้ เจ็บนิดหน่อย ไม่มีปัญหาหรอกพี่"

“ต้องขอบคุณฝายอันนี้นะที่หยุดพวกเราไม่ให้ลอยไปไกลกว่านี้” พี่บุ๋นหันไปดูอดีตกองไม้ที่เราเพิ่งตะกายขึ้นมา อ๋อ ที่แท้ตรงนี้ก็เป็นฝายเก่านี่เอง ถึงว่าทำไมมีเศษกิ่งไม้เล็กๆเต็มไปหมด แต่มาวันนี้มันถึงคราวต้องหมดอายุซะแล้ว “น่าจะเป็นผลงานของรุ่นพี่ลีดยุคแรกๆ”

ขอบคุณครับบบบ ผมคิดในใจ

“ขอบคุณย่ามนี่ด้วยละกัน" ไอ้ข้าวยกถุงผ้าขึ้นมา "อาหารที่เอาติดมาด้วยยังปลอดภัยดีอยู่ ว่าแต่ มือมึงเป็นไงบ้าง"

“มีเลือดนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไร” ผมตอบและใส่เสื้อผ้ากลับเข้าไป “กูว่าเรารีบกลับหมู่บ้านกันดีกว่า ก่อนที่จะมืด”

“นั่นดิ” พี่บุ๋นมองย้อนกลับไปทางธารน้ำที่จากมาด้วยสายตาที่คาดเดาระยะทางอะไรไม่ได้เลย “ถ้าขืนเรากลับไม่ถึงหมู่บ้านก่อนพระอาทิตย์ตก งานเข้าจริงๆแน่”

“ทำหน้าเครียดอีกแล้ว ไม่ต้องคิดมากนะพี่ เราแค่เดินไปเรื่อยๆก็พอ”

“กูต้องคิดมากดิ กูเป็นรุ่นพี่นะ ขืนปล่อยให้พวกมึงเป็นอะไรเพราะกิจกรรมนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องนี้จะเป็นเรื่องใหญ่นะ แต่กูกับรุ่นพี่ทุกคนต้องรู้สึกผิดจนวันตายแน่ๆ”

“เราต้องมีความหวังไว้นะพี่ ยิ่งพูดแบบนี้กำลังใจเราจะยิ่งลด พวกเรามีกันตั้งสี่คน ช่วยกันได้อยู่แล้ว ขนาดตกน้ำเชี่ยวยังรอดกันมาได้เลย”

“นั่นซินะ งั้นเราเดินทางกันดีกว่า ​เอ๊ะ เดี๋ยวนะ” จู่ๆพี่บุ๋นก็เดินไปเด็ดใบไม้มาขยี้และโปะที่แผลบนมือของผม "นี่คือใบฝรั่ง ช่วยห้ามเลือดได้ พี่ท๊อปสอนมา"



​แคว้กกกกกกกก

​"เห้ยพี่" ผมร้อง ก็จู่ๆพี่บุ๋นดันฉีกชายเสื้อตัวนอกของตัวเองมาพ้นแผลให้ผม

"เอาล่ะ ดีขึ้นแล้ว" พี่บุ๋นตอบหน้าตาเฉย นี่ถ้าเป็นพี่ตองกูคงให้รางวัลด้วยการทำอะไรหวานๆใส่ไปแล้ว "รีบเดินทางกันดีกว่า เราต้องเดินย้อนกลับไปอีกไกล"

"ไปพี่ ความหวังอยู่ข้างหน้า"

ถึงจะพูดให้กำลังใจตัวเองแบบนั้นแต่มันก็ไม่ได้ง่ายเลย นี่ไม่ใช่เส้นทางสัญจรปกติจึงย้ำเท้าแต่ละก้าวอย่างเชื่องช้า ไหนจะกลัวสัตว์มีพิษและอาจเหยียบโดดสิ่งที่ทำให้เป็นแผลอีก โชคยังดีที่รองเท้าของทุกคนเป็นรองเท้าผ้าใบจึงไม่หลุดลอยไปกับน้ำ

ระยะทางหลังจากนี้จะต้องย้อนกลับไปอีกไกลแค่ไหนกัน...... ขอให้มีคนรออยู่ที่เดิมด้วยเถอะ.....







-----------------------------------------------------------------------------





--บ่ายแก่ๆ ณ หมู่บ้านลับหมอก--





"เราจะไม่ออกตามหาคนที่หายไปจริงๆเหรอครับ" ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีคำสั่งแปลกๆออกมาแบบนี้ "กล่องปฐมพยาบาลที่หล่นอยู่ข้างน้ำตก ไม่ทำให้ทุกคนรู้สึกเป็นห่วงสี่คนนั่นเลยเหรอ พวกนั้นอาจจะตกน้ำและรอความช่วยเหลือจากเป็นเราอยู่ก็ได้"

"ใจเย็นก่อนตอง" อาจารย์หมอยังจะพูดให้ผมใจเย็นอีกเหรอ นี่มันเรื่องใหญ่นะ "ฟังคุณยศพูดให้จบก่อน"

"ผมไม่ได้บอกว่าเราจะไม่ออกตามหานะครับคุณหนู" พี่ยศทหารพรานพยายามอธิบาย "แต่ผมบอกว่าเราจะตามหากันในวันพรุ่งนี้ นี่มันใกล้ค่ำแล้ว การเดินป่าตอนกลางคืนอันตรายมาก"

"ก็เพราะแบบนี้ไงเราถึงรีบออกตามหา เรายังกลัวอันตรายเลย แล้วพวกน้ำชาล่ะ จะปล่อยพวกเค้าอยู่ในป่าตอนกลางคืนได้ยังไง"

"ผมเองก็อยากช่วยไม่แพ้คุณหนูหรอกครับ แต่กำลังทหารเราไม่พอ นี่ฤดูหนาวนะครับ มืดเร็ว หมอกก็จัด แล้วถ้ามีคนหายไปอีก สถานการณ์มันก็จะยิ่งแย่ไปใหญ่"

"งั้นไม่ต้องให้ใครไป ผมไปเอง" ผมเริ่มเดือด

"แบบนั้นยิ่งไม่ได้" อาจารย์หมอแทรก "เธอยังข้อเท้าแพลงอยู่เลย มันมีแต่เสียกับเสีย"

"อาจารย์หมอครับ ผมไปได้ ขอร้องล่ะครับ ถ้าผมเดือดร้อนอยู่ในป่า ผมเชื่อว่าน้ำชาก็ต้องคิดที่จะไปช่วยผม หรือทุกคนจะทำเป็นลืมครับ เห็นหรือเปล่าว่าที่สถานการณ์วุ่นวายในหมู่บ้านวันนี้คลี่คลายลงได้เพราะฝีมือน้ำชา เค้าทุ่มเทและเป็นห่วงทุกคนมากแค่ไหน เรายังจะทิ้งเค้าไว้กลางป่าแบบนั้นจริงๆเหรอครับ.... ว่าไงครับคุณกาสิ่น?"

"ผ...ผม" หัวหน้าหมู่บ้านมองไปที่อาจารย์หมอ "ผมต้องเชื่อที่คุณหมอพิชิตบอกครับ"

"นี่เรากำลังพูดถึงการทิ้งคนสี่คนไว้ในป่านะครับ"

"รอพรุ่งนี้เถอะนะครับคุณหนู" พี่ทหารยังคงพยายามเกลี่ยกล่อม "ผมสัญญาว่าจะรีบออกตามหาแต่เช้า"

"..........." พอ หมดอะไรจะพูดอีกแล้ว

ผมเดินออกมาจากบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านทันที ไม่สนใจเรื่องมารยาทหรืออะไรทั้งนั้น



"ว่าไงพี่ เราจะออกตามหาพวกน้ำขิงเลยไหม ผมเตรียมของไว้แล้ว" ไอ้ต้อมถามผมทันทีที่เจอกัน ไม่ใช่แค่มันที่เป็นห่วงและสนใจ พี่ท๊อป ไอ้สุ่ย ลีดปีสองและปีหนึ่งทุกคนต่างพากันมายืนรอที่หน้าบ้านคุณกาสิ่นทั้งหมด

"เขาไม่ให้เราไป" ผมไม่อยากจะตอบแบบนี้เลย

"ว่าไงนะ!!!"

"คุณยศบอกว่ามันเสี่ยงเกินไป ป่าตอนกลางคืนอันตราย"

"แล้วพวกนั้นล่ะ ไม่อันตรายกว่าหรือไง บางทีอาจจะ....."

"​อย่าพูด​" ผมรู้ว่าไอ้ต้อมคิดอะไร แต่ผมจะไม่มีวันเชื่อแบบนั้นเด็ดขาด ต้องไม่มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น "อย่าพูดว่ามีใครเป็นอะไร ทุกคนปลอดภัย แค่รอให้เราไปช่วยเท่านั้น เชื่อพี่"

"ผ... ผมขอโทษ" ไอ้ต้อมเริ่มน้ำตาไหลออกมา มันเป็นคนที่เจอกล่องปฐมพยาบาลตกอยู่ริมธารน้ำหลากเอง หลังจากที่ผมกลับมาหมู่บ้านเพียงคนเดียวและไร้วี่แววของกลุ่มคนที่ออกไปตามหาผม  ผมรู้ดีว่าสถานการณ์แบบนี้สามารถทำให้ความคิดของคนๆหนึ่งกระเจิดกระเจิงไปได้ไกลแค่ไหน

"แล้วเราจะรองั้นเหรอพี่" ไอ้สุ่ยก็เริ่มต่อต้าน

"ไม่" ผมตอบชัดเจน "พี่ไม่ปล่อยให้น้ำชาอยู่กลางป่าแบบนั้นแน่ ไม่มีใครห้ามได้หรอก"

"งั้นเราไปกันเถอะพี่" ไอ้ต้อมแทบจะตะโกนออกมา



"อย่าทำอะไรโง่ๆนะตอง​" อาจารย์หมอเดินออกมาจากบ้านคุณกาสิ่น พร้อมกับทุกๆคนที่ประชุมกันเมื่อกี๊ "ผมจะไม่ยอมปล่อยให้ใครต้องเป็นอะไรอีกแล้ว เชื่อในการทำงานของทหารพราน คนพวกนี้มีประสบการณ์ ยิ่งเธอลงมือทำอะไรผลีผลาม จะยิ่งสร้างความสูญเสียมากขึ้น ได้โปรด รอ ถือว่าผมขอร้องล่ะ"

"อาจารย์หมอครับ" ผมอยากจะเชื่อฟังและเคารพท่านในฐานะอาจารย์ที่ดูแลผมมานาน แต่... "คนสำคัญของผมออกไปจากหมู่บ้านเพื่อตามหาผม แต่ตอนนี้เค้ากำลังเดือดร้อนอยู่ในนั้น ผมนิ่งเฉยไม่ได้จริงๆครับ ต่อให้นี่หมายถึงการต้องผิดต่ออาจารย์ก็ตาม ยังไงผมก็จะ..."

"ตอง" จู่ๆ พี่ท๊อปเข้ามาหยุดการสาดอารมณ์ของผมไว้ "​พี่ก็ห่วงบุ๋นเหมือนกัน แต่ใจเย็นก่อน..." พี่เค้ากระซิบกับผมอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปทางอาจารย์หมอ "ผมจะควบคุมทุกคนไม่ให้ใครขัดคำสั่งของหมอพิชิตเองครับ"

"ขอบใจมากนะท๊อป" แล้วอาจารย์หมอก็เดินมาตบไหล่ผม ซึ่งไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นเลย "ผมรู้ว่าพวกเธอทุกข์ใจ ผมยิ่งทุกข์ใจไม่แพ้กัน เชื่อเถอะว่าผมอยากออกไปตามหาเด็กๆพวกนั้นด้วยตัวเองตอนนี้เลยด้วยซ้ำ... ผมฝากด้วยนะท๊อป"

"ครับคุณหมอ" พี่ท๊อปรับคำก่อนที่ทุกคนจะเดินจากไป

กลุ่มคนหน้าบ้านคุณกาสิ่นค่อยๆสลายตัวออกไป หลายคนยังขวัญเสียกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น น้องเกตุถึงขั้นร้องไห้ออกมาไม่หยุด ทุกกิจกรรมของปีหนึ่งที่วางแผนกันไว้ว่าจะทำก็ไม่มีใครมีกะจิตกะใจทำ

ไอ้ต้อมกับไอ้สุ่ยกอดคอกันเดินไปอย่างเศร้าสร้อย



"ต่อให้พี่พูดยังไงผมก็จะ...."

"ตามพี่มา" ผมยังไม่ทันพูดจบด้วยซ้ำ พี่ท๊อปก็เรียกให้ผมเดินตามไปอย่างมีพิรุจ

เราทั้งสองคนเดินมาถึงห้องพยาบาล

"มานี่ พี่จะใส่ยาให้ ข้อเท้ายังปวดอยู่ไหม" นั่นคือที่พี่ท๊อปพูด

"ผมไม่สนเรื่องนี้..."

"ชูววว เบาๆ​" อะไรวะ "นั่งลงก่อน รีบทายาก่อนเถอะน่า ต้องทำให้ข้อเท้าของตองทุเลาความเจ็บลงก่อน... พี่จะยอมให้ตองเป็นตัวถ่วงของพี่เวลาออกตามหาพวกนั้นหรอกนะ"

"........" หมายความว่า?

"พี่บอกว่าจะควบคุมไม่ให้ใครขัดคำสั่งของหมอพิชิต​ แต่ไม่ได้บอกว่าพี่จะควบคุมได้ซะหน่อย พี่รู้ว่าตองเป็นห่วงน้ำชาแค่ไหน พี่ก็ห่วงบุ๋นไม่น้อยเหมือนกัน เอาล่ะ รีบๆทายาเถอะ เราต้องรีบออกจากหมู่บ้านก่อนพระอาทิตย์ตกดิน"

"โอเคพี่" ผมรับคำทันที

พี่ท๊อปไม่ได้ทายาให้อย่างที่บอกแค่ประคบด้วยผ้าเย็นเท่านั้น แต่ใช้ตะไคร้สับละเอียดมาพอกที่ข้อเท้าก่อนจะพันปิดด้วยผ้ารัดกล้ามเนื้อ และให้ทานยาแก้อักเสบก็เป็นอันเสร็จสิ้น

ผมรีบเดินไปจัดเตรียมของของตัวเองในโรงนอน ซึ่งมันก็ยากที่ผมจะต้องแอบทำโดยไม่ให้ใครรู้ตัวว่าผมกำลังจะแอบหนีเข้าไปในป่า จึงเสียเวลาอยู่นาน จากนั้นก็เดินตรงไปที่โรงนอนปีหนึ่ง ในความคิดผมก็คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาเพราะปีหนึ่งกำลังช่วยกันดูแลรอบหมู่บ้านอยู่ ผมได้ยินมาว่าน้ำชาของผมด่าเพื่อนชุดใหญ่ไป ทำให้เด็กปีหนึ่งต้องหันมาสนใจงานของหมู่บ้านมากกว่าเดิม เพียงแต่.....

​กระเป๋าแฟนกูหายไปไหนวะ



"หานี่อยู่เหรอพี่"

ชิบหายล่ะ ไอ้ต้อมยืนถือกระเป๋าของน้ำชาหลบอยู่หลังประตู

ทำไมมันทำหน้าอย่างกับรู้ว่าผมจะมาวะ

"ผมรู้นะว่าพี่กำลังจะไปช่วยไอ้ชา"

"เอ่อ..." ตอบไงดี

"ผมจะไปด้วย"

"ไม่ได้นะเว้ย! มึงต้องอยู่ที่นี่ แค่นี้เรื่องก็แย่มากพออยู่แล้ว ที่สำคัญถ้าคนหายไปเยอะๆก็โดนจับได้กันพอดี"

"พี่คิดว่าพี่เป็นห่วงไอ้ชาเป็นคนเดียวเหรอ นั่นมันก็เพื่อนผมนะ ไหนจะน้ำขิงอีก ยังไงผมก็จะไป"

"เอากระเป๋าน้ำชามานี่ แล้วมึงก็รีบออกไปซะ กูเป็นรุ่นพี่ กูจะจัดการเรื่องนี้เอง"

"ถ้าผมไม่ได้ไป พี่ก็อย่าหวังเลย เพราะถ้าผมตะโกนตอนนี้ พี่รู้ใช่ไหมว่า..."

"มึงหุบปากเดี๋ยวนี้เลยนะ" นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมเดือดดานใส่ไอ้ต้อม ทันทีที่มันพูดว่าจะขัดขว้างแผนการของผม ผมก็ถลาเข้าไปกระชากคอเสื้อมันทันที

"พี่คิดว่าผมกลัวเหรอ" ไม่อย่าเชื่อเลยว่าไอ้ต้อมจะกล้าคว้าคอเสื้อของผมเหมือนกัน "ผม ไม่ แลก น้ำขิง กับ ใคร ทั้ง นั้น"

"..............." ยิ่งกว่าโดนไอ้คนตรงหน้าต่อยด้วยหมัดแรงๆอีก คำพูดของมันสะท้อนทุกอย่างที่ผมเป็นอยู่ในขณะนี้ ที่สุดของผมตอนนี้ก็คือ ต้องไปช่วยน้ำชาให้ได้เท่านั้นไม่ว่าจะแลกด้วยอะไร "เออ งั้นตามกูมา อย่าให้ใครเห็นละกัน"

ผมกับไอ้ต้อมค่อยๆย่องไปตามแนวหลังบ้านของผู้คนเรื่อยๆเพื่อไปหาพี่ท๊อปที่จุดนัดพบ แล้วก็ต้องประหลาดใจกับอีกเรื่อง

"ไอ้สุ่ย!!*"

"ผมมีสิทธิ์ที่จะไปเหมือนกับพวกพี่" นั่นคือคำอธิบายเหตุผลของไอ้สุ่ยที่ยืนอยู่กับพี่ท๊อป "และที่สำคัญ ผมคือคนที่สามารถหาไกด์นำทางมาให้เราได้"

เห้ยยยยยยยยย"คุณกาสิ่น" จู่ๆหัวหน้าหมู่บ้านก็โผล่มาจากหลังต้นไม้

"เห็นนัยตาพวกคุณหนู ผมก็รู้แล้วว่าห้ามไว้ไม่ได้" คุณกาสิ่นบอกพร้อมกับถือปืนลูกซองยาวเป็นอาวุธพร้อมเดินทาง "และชาวบ้านที่นี่เป็นหนี้บุญคุณของคุณหนูทั้งสี่คนที่ตกอยู่ในอันตราย ผมเป็นถึงหัวหน้าหมู่บ้าน จะไม่ไปช่วยได้ยังไง บุญคุณที่ช่วยลูกบ้านของผมไว้ ผมจะทดแทนให้ถึงที่สุด"

"แต่ถ้าเรื่องนี้ถึงหูอาจารย์หมอ" ผมเป็นกังวลแทน "คุณกาสิ่นจะไม่เดือดร้อนเหรอครับ"

"ให้ผมเดือดร้อนเถอะครับ ยังไงผมก็คนหมู่บ้านนี้ คุณหมอพิชิตเคยสอนว่า คนเราเรียนรู้จากความผิดพลาด ถ้าผมจะผิดพลาดอีกครั้ง ก็คงเป็นแค่การเรียนรู้อีกเรื่องนึง... ผมว่าเรารีบไปกันเถอะครับ ก่อนที่ใครจะมาเห็น"

"ไปครับ"

"นี่คบเพลิงนะ" พี่ท๊อปส่งคบเพลิงให้ทุกคนพร้อมกับมีด "เดี๋ยวก่อนครับ! คุณกาสิ่น นี่เราจะไปไหนกันครับ"

"นั่นซิครับ" ไอ้ต้อมก็สงสัยในทิศทางที่หัวหน้าหมู่บ้านกำลังจะเดินไป "ทางไปน้ำตกอยู่ทางโน้นนะครับ กล่องปฐมพยาบาลที่ผมเจอก็อยู่ตรงโน้น"

"ก็ใช่ครับ แต่ฟังจากที่พวกคุณหนูเล่ามา ผมคิดว่าทั้งสี่คนคงตกลงไปในน้ำแล้วจริงๆ" ไม่อยากฟังที่คุณกาสิ่นพูดเลย มันดูเป็นลางร้ายแปลกๆ "หลังฝนตก น้ำจะขึ้นสูงจนล้นตะหลิง ถ้าพวกคุณหนูทั้งสี่คนนั้นพอจะว่ายน้ำได้ ก็คงถูกน้ำพัดลอยตัวอยู่สูงกว่าโขดหิน ถ้าโชคดีพวกเราจะได้เจอพวกเขาที่ฝายเก่าของหมู่บ้าน มันสูงพอที่จะดักคนไว้ได้"

"แล้วถ้าโชคร้ายละครับ" ไอ้ต้อมหลุดปากถาม

"เราก็จะเจอสี่คนนั้นที่ฝายเหมือนกัน เพียงแต่..."

"ไม่มีเพียงแต่ครับ!!" เป็นอีกครั้งที่ผมห้ามความคิดในเชิงลบไว้ "น้ำชาว่ายน้ำเก่ง ทุกคนก็เหมือนกัน จะต้องไม่มีใครเป็นอะไร ผมเชื่อว่าพวกเค้าจะรอเราอยู่ที่นั่น รีบไปเถอะครับ"

"งั้นไปครับ" หัวหน้าหมู่บ้านเริ่มนำทาง "ฝายเก่าอยู่ห่างจากที่นี่ประมาณสองชั่วโมงกว่าๆ ถ้าพวกคุณหนูพวกนั้นไม่เดินไปไหนไกล เราก็คงได้...."



"​จะขัดคำสั่งอาจารย์พิชิตเหรอคะ"

ชิบหาย!!!!!!!

งานเข้า น้องเกตุมาเห็นพวกผม

"น...น้องเกตุ"

"พี่คิดว่าจะไม่มีใครสงสัยหรือไงว่าพวกพี่หายไปไหนกันในมื้อเย็น" เห้ยยยยยยยยยยยยย ไม่ใช่แค่น้องเกตุ แต่นี่มันมาเกือบจะครบทุกคนเลยนี่หว่า ทั้งปีหนึ่งปีสอง ทุกคนโผล่ออกมาจากการซ่อนตัว

แต่ไม่มีอะไรมาขว้างกูได้ทั้งนั้น ต่อให้ยกกันมาทั้งหมู่บ้าน กูก็จะไป "อย่าห้ามพวกเราเลยนะ ยังไง..."

"นี่ค่ะ" ห๊ะ!! อะไรหว่า!? น้องเกตุยื่นห่ออะไรมา "เนื้อเค็มกับข้าวเหนียวร้อนๆ อ... เอา.... เอาไปกินระหว่างเดินทางตามหาเพื่อนหนูนะคะ เอาไปให้เพื่อนหนูด้วย พาทุกคนกลับมาให้ได้นะคะ" น้องเกตุร้องไห้ออกมาอย่างกับก๊อกน้ำแบบทันทีทันใด "พ...พวกเราจะช่วยกันแก้ตัวเรื่องที่พวกพี่หายตัวไปให้ รีบๆกลับมากันนะคะ"

"น...น้องเกตุ...  ทุกคน..." ขอบคุณมากนะที่เข้าใจความรู้สึกของพวกผม

"อะนี่" แอมเดินเข้ามา พร้อมกับส่งกล่องเก็บเข็มกลัดให้กับผม เธอเปิดกล่องออกมาแล้วพบว่า... "เหลือแค่เข็มกลัดของตองกับบุ๋นนะที่ยังไม่ได้ใส่ลงมาในนี้ ปีสองที่เหลือทุกคนลงความเห็นแล้วว่า น้ำชาและเพื่อนๆเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนารุ่นที่สามสิบเก้า น้องคือผู้นำที่แท้จริง เอาไปให้น้องแทนทุกคนด้วย และที่สำคัญ ขอให้เข็มกลัดพวกนี้เป็นเครื่องลางนำโชคจากรุ่นพี่ทุกรุ่น ขอให้ทั้งสี่คนปลอดภัย พวกเราจะรอการกลับมานะ..... โชคดี"

"ขอบใจนะแอม" ผมรู้เลยว่าผมกำลังน้ำตาคลอ "เราเชื่อว่าน้ำชาต้องดีใจแน่ที่ได้เห็นกล่องนี้"

"รีบกลับเข้าหมู่บ้านกันเถอะทุกคน ก่อนที่พวกผู้ใหญ่จะผิดสังเกตุ" แอมบอก แล้วทุกคนก็รีบทำตามทันที

"พาทุกคนกลับมานะคะ" น้องเกตุฝากคำพูดทิ้งท้าย

ตอนนี้เหลือแค่คณะเดินทางทั้งห้าคนแล้ว

"ไปกันเถอะครับทุกคน" ผมยัดกล่องเข็มกลัดใส่กระเป๋าและหันไปที่ป่าทึบเบื้องล่าง "ความเชื่อรอพวกเราอยู่"





-----------------------------------------------------------







"ม... ไม่ไหวแล้วพี่" หลังจากเดินมาได้แค่สิบนาที ผมก็สบถและยืนนิ่งหอบแฮกๆออกมา

"นั่นซิ ทำไมเหนื่อยจัง" ไอ้ข้าวก็บ่น

"ฤทธิ์ของอะดีนารีนคงหมดลงแล้ว" พี่บุ๋นอธิบาย "เราใช้พลังงานไปมากตั้งแต่เช้า ไหนจะออกแรงพยุงในน้ำกันมาตั้งนาน ร่างกายตอบสนองอะดีนารีนนานๆ พอหมดฤทธิ์ก็จะเหนื่อยแบบนี้แหละ อีกสักพักก็คงจะหิว"

"โห...." ผมร้องออกมา "ไม่รู้มาก่อนเลยว่าพี่บุ๋นรู้เรื่องพวกนี้เยอะขนาดนี้"

"เพิ่งช่วยพี่ท๊อปทำรายงานเรื่องนี้มา"

"อ๋ออออออ" นึกภาพออกใช่ไหมว่าผมทำเสียงล้อเลียน "ช่วยพี่ท๊อปทำรายงานนี่เอง"

"เห้ย!"

"จะตกใจอะไรขนาดนั้นพี่ ผมแค่แซวนิดเดียวเอง"

"ไม่ใช่ ดูตรงนั้นดิ มีกระท่อม"

ห๊ะ!!!

ไหน....??

นั่นไง จริงด้วย

"ไปดูกันเถอะ" ผมพูดออกมาอย่างไม่รู้ตัวพลางวิ่งไปข้างหน้าอีกไม่กี่เมตร ก็พบกับกระท่อมร้างและเก่า สภาพแทบจะใช้การไม่ได้อยู่แล้ว แต่มีหลังคาหญ้าแฝกที่ยังสมบูรณ์ดีอยู่

"ทำไมถึงมีกระท่อมแถวนี้ล่ะ" ขิงสงสัย "แต่สภาพเหมือนไม่มีใครอยู่มานาน"

"ใครบอก ดูนี่ซะก่อน" ไอ้ข้าวเรียกให้ดูบางอย่าง "นี่คือกองไฟ ถึงจะไม่ได้ใหม่มาก แต่ก็มีคนมาใช้งานที่นี่แน่ๆ แถมยังมีฟืนด้วย"

"ถ้าเดาไม่ผิด" พี่บุ๋นครุ่นคิด "นี่น่าจะเป็นโรงนอนเก่าของพวกรุ่นพี่ลีดที่มาสร้างฝายไว้แน่ๆ แล้วชาวบ้านก็ไม่รื้อถอนออกเพราะอาจจะต้องใช้เวลามาออกล่าสัตว์แถวๆนี้"

"จริงด้วยครับ" ผมเห็นสิ่งหนึ่งแขวนอยู่ที่ผนังหญ้าแฝกใกล้ๆ "กระบอกไม้ไผ่พวกนี้ คงจะเอาไว้ใส่น้ำหรือเหล้าต้มแน่ๆ"

"เยี่ยมเลย" ไอ้ข้าวร้อง

"หมายความว่าไงวะ" ทำไมมันถึงรู้สึกดีใจ

"ก็นี่ไง ฟืนพวกนี้ยังแห้งสนิทเพราะอยู่ใต้หลังคา แบบนี้ก็ทำอาหารได้สบาย"

"เราจะปักหลักอยู่ที่นี่กันเหรอ" ขิงสงสัย "เราไม่ควรรีบเดินทางต่อหรือไง อาจจะมีคนรอเราอยู่ตรงที่เราตกน้ำลงมาแล้วก็ได้"

"นั่นดิ" พี่บุ๋นสนับสนุน "หรือถ้าจะพักให้มีแรงตรงนี้ก่อนก็ได้ แต่ยังไงเราก็ต้องรีบเดินทางนะ"

"แต่ผมว่าเราควรจะรออยู่ที่นี่นะ" ผมพูด "เราใช้แรงกันไปมากแล้ว อีกอย่าง เราไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าลอยมาไกลแค่ไหน จะใช้เวลามากแค่ไหนที่จะเดินกลับไปที่เดิม พี่ก็เห็นว่าทางที่เราเดินมันไม่ใช่ทางปกติ ผมว่าเราไม่มีทางไปทันฟ้ามืดแน่ๆ"

"ผมเห็นด้วยกับชานะพี่บุ๋น" ไอ้ข้าวสนับสนุนผม "วันนี้เราโชคดีเกินไปแล้วนะพี่ ขืนเสี่ยงไปมากกว่านี้ โชคมันไม่ได้เข้าข้างเราตลอดหรอกนะครับผมว่า อยู่นี้ก่อนสักคืน ถ้าเราช่วยกัน อย่างน้อยน้ำกับอาหารก็ยังพอฟื้นกำลังให้ได้บ้าง ป้องกันตัวเองจากสัตว์ป่าก็ได้ อากาศเริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ ช่วยกันซ่อมแซมกระท่อมให้พอกันลมได้ นอนสักคืน พรุ่งนี้ก็ยังไปต่อได้นะครับ"

พี่บุ๋นถอนหายใจ

"คิดถึงพี่ท๊อปละซิ" ผมแซว พยายามเปลี่ยนบรรยากาศให้ดีขึ้น

"ก็เออดิ" หึ! ยอมรับเฉยเลย "อย่างกับมึงไม่คิดถึงไอ้ตอง"

"ก็...." คิดถึงดิ ไม่เคยคิดถึงขนาดนี้มาก่อนเลย "รีบๆ ช่วยกันดีกว่าครับ ก่อนที่จะมืดจริงๆ"

"นี่ครับพี่" ไอ้ข้าวดึงของออกมาจากยามกันตายของทุกคนในเวลานี้ มันคือมีดที่พับเก็บในฟักได้ "พี่กับขิงไปหาใบไม้มารองพื้นกับซ่อมกระท่อมเถอะครับ เดี๋ยวผมกับชาจะก่อไฟให้"

"มึงจะก่อไฟยังไง" พี่บุ๋นสงสัย

"ไฟเช็คไงพี่ ผมเอามาด้วย ก็กะจะมาทำอาหารในป่าอยู่แล้วนี่นา"

"ไม่เปียกน้ำไปแล้วเหรอวะ"

"ใส่ถุงอย่างดีพี่ไม่ต้องห่วง"

"เออๆ มึงนี่รอบคอบดีนะ งั้นกูไปหากิ่งไม้ใบหญ้าให้ละกัน" แล้วพี่บุ๋นกับขิงก็เดินออกไป



"งั้นเดี๋ยวกูไปหาฟืนแห้งๆจากข้างนอกมาเพิ่มให้นะ" ผมเสนอ "แค่ที่มีอยู่คงไม่พอ หวังว่าจะมีเศษไม้ที่ไม่โดนฝนอยู่บ้าง"

"กูไปช่วยด้วยดีกว่า"

"เอางั้นเหรอ"

"ยังไงก็ต้องช่วยกันอยู่ดี"

"โอเค"

ผมกับไอ้ข้าวเดินออกมาจากกระท่อมเก่าเพื่อตามหาฟืนหรือเชื้อเพลิงที่ไม่เปียกน้ำ พอได้มาใช้ชีวิตเพื่อเอาชีวิตรอดแบบจริงๆจังๆแล้วก็ได้เห็นเลยว่าธรรมชาติสร้างสรรค์ไว้เพื่อให้มนุษย์อยู่ร่วมกับมันได้จริงๆ เพราะไม่ว่าจะเดินไปตรงไหนก็มักจะมีกองเศษซากที่ทับกิ่งไม้หรือต้นไม้ล้มไว้ ทำให้ไม่ได้รับความชื้นจากน้ำจนเกินไป

"นั่นๆยางต้นไม้" เอาล่ะคราวนี้เป็นคิวของเด็กวิทยาศาตร์อย่างผมบาง ผมเอาไม้ฟืนที่เก็บได้ไปถูกกับยางไม้เพื่อให้มีคุณสมบัติให้การติดไฟมากขึ้นและทำให้เผาไหม้ได้ช้ากว่าเดิม ตอนนี้ผมกับไอ้ข้าวก็เลยยืนเอาหินทุบต้นไม้เพื่อให้ยางไม้ไหลออกมามากๆ



"มึงคิดว่าเราควรเดินทางต่อไหม" จู่ๆไอ้ข้าวก็ถามขึ้นมาในขณะที่กำลังเดินกลับกระท่อม

"ไม่รู้ดิ" ผมตอบ

"แปลว่ามึงลังเล"

"แปลว่ากูเลือกที่จะเสี่ยงมากกว่า"

"ยังไง?"

"ทางที่ดีที่สุดคือเราควรจะเดินกลับทางเดิมใช่ไหม แต่จากเหตุผลทั้งหมด กูเชื่อว่าหมู่บ้านไม่น่าจะไกลจากที่นี่ เพราะถ้ามีฝายอยู่ตรงนี้ แสดงว่าสมัยก่อนพวกรุ่นพี่ก็ต้องเคยใช้ทางแถวๆนี้สัญจรไปมากับหมู่บ้าน หลักฐานที่ชัดเจนเลยก็คือกองไฟพวกนั้น ต้องมีคนจากหมู่บ้านมาที่นี่แน่ๆ เส้นทางน้ำตกมันอาจจะคดเคี้ยวไปมาทำให้เราสับสน แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจุดที่เราลงมาทีแรกเป็นจุดเดียวที่่เชื่อมต่อกับหมู่บ้าน"

"ก็จริง... งั้นเราทำสัญญาณควันกันดีไหม"

"นั่นแหละที่กูคิด"

"แล้วเราจะแน่ใจได้ไงว่าคนที่หมู่บ้านจะเห็น หมอกที่นี่ลงหนามากนะ"

"ก็ไม่แน่ใจหรอก แต่กูรู้ว่าพี่ตองต้องเห็นแน่ๆ"

"ทำไมวะ?"

"เพราะถ้าพี่ตองรู้ว่ากูตกอยู่ในสถานการณ์นี้ พี่เค้าต้องพยายามออกตามหากูแน่ สัญญาณเล็กน้อยแค่ไหน กูเชื่อว่าพี่เค้าจะต้องมองเห็น กูเชื่อว่าพี่เค้ากำลังเดินทางมาหาพวกเรา"

"ที่พูดเนีย เพราะแน่ใจจริงๆหรือแค่สร้างความหวังให้ตัวเองวะ"

"ที่กูพูดอะหรอก......





​เพราะแน่ใจมานานแล้วว่าพี่ตองคือความหวังในชีวิต"
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 17-03-2018 08:38:08
โอ๊ยยลุ้น...
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 50 [ความคิดถึง]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 18-03-2018 22:18:44
​ตอนที่ 50 : ความคิดถึง





“ระวังจะล่วงลงไปอีกรอบนะชา”

“จับไว้แน่นแล้ว ไม่ต้องห่วง” ผมพูดเพื่อให้ความวางใจกับลูกพี่ลูกน้องของผม ก็เพราะว่าตอนนี้ผมกำลังจะไปเก็บหินในธารน้ำตกขึ้นมา จากความต้องการของไอ้ข้าวเพื่อที่จะนำไปประกอบอาหาร ซึ่งต้องใช้หินจากธารน้ำตกเท่านั้น เนื่องจากมีขนาดใหญ่และสะอาด แต่ผมก็เป็นห่วง ไม่อยากให้ตัวเองตกน้ำลงไปอีกรอบจึงกำหญ้ามัดใหญ่ไว้ในมือโดยมีขิงรั้งตัวของผมไว้อีกรอบ ก็ตอนนี้ไม่มีฝายมากั้นแล้วนี่นา ขืนตกไปอีก คราวนี้ ก็ไปกันยาวๆเลยนะซิพ่อแม่พี่น้อง



“มาแล้วๆ” ผมถือหินก้อนใหญ่ผิวเกลี้ยงกลับมาที่กระท่อม “โอ้โหพี่บุ๋น ปูพื้นซะน่านอนเลย”

“อ๋อ พื้นนี่อะเหรอ” พี่บุ๋นกำลังวุ่นวายอยู่กับการซ่อมแซมช่องโหว่ตามกระท่อมโดยสวมใส่แค่บอกเซอร์ตัวเดียว เอาจริงๆนะ ไม่ใช่แค่พี่บุ๋นหรอก ผม ขิง ไอ้ข้าว เราถอดเสื้อผ้าไปพึ่งที่กองไฟหน้ากระท่อมกันหมดเลย ถ้าพวกบรรดาแฟนๆมาเห็นพวกเราอยู่ในสภาพนี้ คงตาค้างกันเป็นแถว “สบายนะมึง ทดลองมานอนได้ ที่นอนจากใบกล้วยคุณภาพ กูไปเจอป่าต้นกล้วยมา ตัดมาเกือบหมดเลย ใบมันใหญ่ดีก็เลยเอามาปูพื้นกับซ่อมผนัง แค่นี้ก็น่าจะโอเคแล้วนะ”

“ไอ้น่านอนมันก็น่านอนอยู่หรอกพี่” ผมบอก ตอนนี้ตัวเริ่มสั่นแล้ว “แต่อากาศหนาวนี่ซิ ตอนนี้อากาศชักจะเย็นลงเรื่อยๆแล้ว”

“เดี๋ยวเสื้อผ้าก็คงแห้งแล้วมั้ง เห็นไอ้ข้าวจะก่อไฟรอบกระท่อมเลย”

“จริงเหรอ”



“ป้องกันสัตว์ป่าอ่ะ แล้วก็ให้ความอบอุ่มกับกระท่อมด้วย” ไอ้ข้าวตอบจากข้างหลังกระท่อม มันคงได้ยินผมกับพี่บุ๋นคุยกัน จะไม่ได้ยินได้ไงล่ะ อยู่กันแค่นี้เอง นี่ถ้าผมหลงมาคนเดียว ไม่มีทางชื่นมื่นแบบนี้ได้แน่ๆ “มึงก็เอาหินไปวางไว้ใกล้กองไฟได้แล้วนะ จะได้แห้ง เดี๋ยวจะย่างไก่แล้ว”

“โอเค”

พูดถึงของกินก็หิวขึ้นมาเลย เช้าก็ทำงานหนัก เที่ยงก็ยังไม่ได้กินอะไร แถมทั้งบ่ายยังต้องอยู่กับการก่อฟืนทำไฟและเตรียมที่พัก ตอนนี้หิวจนแสบใส้แล้ว ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ พี่ตองคงขับรถพาผมออกไปหาอะไรกินแล้ว

เห้อออออออ

คิดถึงจัง

ทั้งๆที่อยู่กันตั้งสี่คน แต่สิ่งที่ขาดหายไปมันดันเป็นอะไรที่ทำให้รู้สึกเหมือนวิญญาณหายไปครึ่งส่วน

เลิกคิดๆ เดี๋ยวพี่ตองก็มาช่วย



“โอ๊ย”

หึ!! ใครเป็นไรวะ ผมรีบวางหินลงข้างกองไฟแล้วเดินไปหาต้นเสียง

“ขิง เป็นไรอ่ะ” ที่แท้ก็ลูกพี่ลูกน้องของผมนี่เอง

“เปล่าๆ แค่เจ็บมือนิดหน่อย” ขิงตอบ ผมจึงจับมือของคนพูดมาดู

“มือแดงเลยนี่นา” สงสารจัง ขิงไม่เคยต้องมาทำอะไรแบบนี้เลย คือตอนนี้ขิงกำลังใช้ท่อนไม้เคลียร์พื้นที่รอบๆบ้านให้โล่งโดยการดันหญ้าออกไปเพื่อที่ว่าไอ้ข้าวจะได้มีพื้นที่พอที่จะก่อกองไฟและป้องกันไม่ให้สัตว์มีพิษเข้ามาใกล้กระท่อม “เดี๋ยวชาทำเองดีกว่านะ”

“ไม่เป็นไร เราต้องช่วยกันซิ”

“แต่...”

“ขิงรู้นะว่าชาคิดว่าขิงอ่อนแอ จริงๆขิงก็คิดว่าตัวเองไม่ได้ทำประโยชน์ให้มากเท่าไหร่เลย”

“อย่าคิดแบบนั้นซิ เพราะทุกคนต้องเป็นห่วงกันและกันต่างหาก”

“ตอนอยู่โรงเรียนลาซานก็มีพี่ต้องคอยปกป้อง มาอยู่มหาลัยมัณฑนาก็มีต้อมคอยทำทุกอย่างให้ ขิงเริ่มรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอจริงๆแล้วล่ะ”

“คนเราแค่ถนัดไม่เหมือนกัน เราสองคนเก่งด้านคิดคำนวณนี่นา ไม่ใช่อะไรที่จะใช้ในสถานการณ์แบบนี้”

“แต่ชาก็มีทักษะอย่างอื่นติดตัวอีกเยอะแยะ ขิงแทบจะทำอะไรไม่ได้เลย ถึงต้อมจะชอบชมว่าขิงเก่ง แต่จริงๆแล้วต้อมทั้งเก่งทักษะชีวิตทั้งอดทนสมกับเป็นผู้ชาย มันรู้สึก...”

“ขิงไม่ได้รู้สึกอ่อนแอหรอก ขิงแค่รู้สึกคิดถึง... คิดถึงไอ้ต้อมใช่ไหมล่ะ”

“ชาไม่คิดถึงพี่ตองหรือไง”

“คิดซิ แต่ชามั่นใจว่าพี่ตองกำลังตามหาพวกเราอยู่แน่นอน เพราะงั้น... หน้าที่ของเราคืออยู่ที่นี่ให้รอดปลอดภัยก็พอ โอเคนะ มาๆๆ ช่วยกันดีกว่า ขิงหวดหญ้าแนวขวางแบบนี้ดิจะได้ไม่เจ็บมือ”

ถึงผมจะเป็นคนปลอบใจคนอื่น แต่เชื่อเถอะ ในใจตอนนี้ ร้องไห้เรียกชื่อไอ้หัวเหม่งอยู่ตลอดเวลา เพียงแค่ไม่อยากเปิดประเด็นให้ต้องดราม่ากัน



เราสี่คนใช้เวลาในการปรับปรุงภูมิทัศน์ทั้งนอกและในกระท่อมอยู่นานมากจนดวงอาทิตย์ลับไปในหมอก  แต่ก็ยังทันแสงสว่างจากกองไฟ เสื้อผ้าแห้งมากพอที่จะนำกลับมาใส่เพื่อปกป้องความหนาวเย็น

เวลากลางคืนมาเยือนและอาหารก็เริ่มใกล้ได้กินแล้ว

ไอ้ข้าวคือหัวใจหลักของการมีชีวิตรอดครั้งนี้ ดูเหมือนว่าทักษะการทำอาหารของมันจะไม่ธรรมดาเลย เพราะมันสามารถหุงข้าวได้ด้วยกระบอกไม้ไผ่เก่าที่เจอแขวนอยู่และย่างเนื้อไก่ทาเกลือด้วยการนาบบนหินน้ำตกร้อนๆซึ่งวางอยู่บนกองไฟ  นี่ถ้าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เมนูนี้ลงนิตยสารเชลล์ชวนชิมได้เลยนะ แล้วก็ยังมีกล้วยเผาที่พี่บุ๋นตัดมาเมื่อตอนไปตัดใบตองด้วย เรียกได้ว่าเป็นการหลงป่าที่ไม่ต้องห่วงเรื่องปากท้องเลย

เราสี่คนทานอาหารด้วยมือท่ามกลางวงล้อมกองไฟใหญ่ที่อยู่หน้ากระท่อม ดูเหมือนว่าฝืนเปียกจะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปเพราะด้วยความร้อนสูงของกองไฟทำให้สามารถระเหยความชื้นที่แทรกซึมในเนื้อไม้ไปได้ เพียงแต่ต้องคอยเติมฝืนกันตลอดไม่ให้กองไฟทั้งสี่กองที่ล้อมรอบกระท่อมต้องดับลง

“อร่อยมากเลยข้าว” พี่บุ๋นกินไปชมไป “ไว้ถ้าเรารอดกลับไปได้เมื่อไหร่ กูจะไปเรียนวิชาทำครัวจากมึงนะ”

“ได้ครับพี่” ไอ้ข้าวบอก

นี่เป็นมุกตลกที่แอบเศร้าอยู่ลึกๆ แต่ก็ช่างเถอะ มาถึงตรงนี้แล้ว ยังไงก็ต้องยอมรับความจริง

“กินเสร็จจะเข้าไปนอนเลยก็ได้นะ” พี่บุ๋นบอกขิงที่วางใบตองใส่ข้าวของตัวเองลง

“ผมนอนไม่หลับหรอกครับ” ขิงยังคงเศร้า

“ไม่เศร้าดิน้อง” แทนที่จะเป็นผมที่เข้าไปปลอบใจ พี่บุ๋นกลับรีบขยับมานั่งโอบไหล่ขิงไว้พร้อมกับยิ้มกว้าง

“แต่มันก็ผ่านมานานมากแล้วนะครับตั้งแต่ที่เราตกน้ำลงมา” ไม่ใช่แค่ขิงหรอกที่คิด ผมเองก็คิดว่ามันผิดปกติ ถ้าสมมติฐานของผมถูกก็ควรจะมีคนมาตามได้แล้ว แต่นี่ยังไม่มีวี่แววของใครเลย “หรือพวกเขาจะคิดว่าเราไม่รอดแล้ว”

“พูดไรงั้นวะ เห็นกองไฟหลังกระท่อมแล้วใช่ไหม นั่นหนะพี่อุตส่าปลอกกาบมะพร้าวแห้งเองกับมือเลยนะ ทั้งๆที่ไม่เคยทำมาก่อน เพื่อที่จะทำกองไฟให้มีควันเยอะๆ สัญญาณควันชัดเจนขนาดนี้ ไม่มีทางเลยที่พวกที่อยู่หมู่บ้านจะมองไม่เห็น ไม่มีใครคิดหรอกว่าเราจะเป็นอะไร เราแค่กินข้าวให้อิ่ม นอนหลับให้สบาย เดี๋ยวพวกนั้นก็มารับเราแล้ว ไอ้ชาก็ให้เหตุผลแล้วนิว่าตรงนี้มีความเป็นไปได้สูงที่จะอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน เอาน่า นะนะ กินเข้าไปอีก เดี๋ยวไอ้ต้อมจะหาว่าพี่ไม่ดูแลแฟนมันให้ดีๆ”

“อย่างที่พี่บุ๋นบอกแหละขิง” ผมรีบสนับสนุน “ขิงเป็นนักคำนวณอันดับต้นๆของมหาลัย ต้องรู้อยู่แล้วแหละว่าเหตุผลที่ชาพูดมีความเป็นไปได้สูงแค่ไหน เชื่อให้หลักเหตุผลเข้าไว้”

“ก็ได้” ขิงยอมหยิบใบตองของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง “ขอบคุณทุกคนนะครับ”

“ต้องงี้ดิ เข้มแข็งไว้” พี่บุ๋นยังคงฮึกเหิม “ก็แค่เปลี่ยนที่นอน”



มื้อค่ำกลางหมอกหนายังคงดำเนินต่อไปจนฟ้ามืดสนิท ไอหมอกหลั่งไหลมาจากธารน้ำตกไม่ยอมหยุดหย่อนจนไอ้ข้าวกับขิงต้องนอนกอดกันในกระท่อมเพื่อสร้างความอบอุ่น ผมเห็นอย่างนั้นจึงค่อยๆนำใบตองไปห่มให้

ถึงแม้กระท่อมหลังนี้จะไม่ได้ใหญ่มากแต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับคนแค่สี่คน



ผมกับพี่บุ๋นอาสาเฝ้ายามให้ก่อน



ออกไปนั่งเป็นเพื่อนพี่บุ๋นดีกว่า



“พี่ท๊อป หยิบเสื้อคลุมข้างในให้บุ๋นหน่อย”

หึ!! พี่ท๊อปไหน

พี่บุ๋นพูดกับใครอยู่หว่า แต่ผมก็เดินกลับเข้าไปหยิบเสื้อคลุมตัวนอกที่มารอยขาดจากการฉีกส่วนหนึ่งมาพันแผลให้กับผม แล้วส่งให้พี่บุ๋น

“ขอบคุณครับ” นี่พี่บุ๋นยังคิดว่าผมเป็นพี่ท๊อปอยู่อีกเหรอ

“เอ่อ... นี่ผมเองพี่” ผมเอ่ยในที่สุด

“อ้าว ... อ... เอ่อ” พี่บุ๋นเหมือนเพิ่งจะนึกได้ว่าผมไม่ใช่คนที่ตัวเองกำลังคิดว่าเป็น “กูจะเรียกมึงนั่นแหละ เรียกผิดๆ”

ทั้งชื่อ ทั้งขอบคุณ ทั้งหางเสียง แบบนี้กำลังนึกถึงพี่ท๊อปอยู่ชัดๆ

“คิดถึงพี่ท๊อปอยู่เหรอครับ” ผมนั่งลงข้างๆพี่บุ๋น

“เปล่า มันแค่ชินปาก” ยังจะมาปากแข็งอีก แต่ผมรู้สึกจะสัมผัสได้ถึงดวงตาเศร้าสร้อยของพี่แกนะ

“เป็นธรรมดาแหละพี่ คนเคยอยู่ด้วยกันตลอด จริงๆแล้วผมก็คิดถึงพี่ตองนะ คิดถึงมากด้วย แต่ทำไงได้ล่ะ หลงอยู่กลางป่ากว้างใหญ่ขนาดนี้”

“อืม...”

“ป่านนี้พี่ตองกับพี่ท๊อปคงออกตามหาพวกเรากันอยู่แน่เลย ผมเชื่ออย่างงั้น ไม่แน่นะ ไอ้ต้อมกับไอ้สุ่ยก็ต้องมาด้วย”

“อืม...”

“แต่ผมก็อดแปลกใจไม่ได้เหมือนกันนะที่มันนานขนาดนี้ จนฟ้ามืดแล้วก็ยังไม่มีใครมาตามอีก”

“อืม...”

“ถ้านี่เป็นสถานการณ์ปกติ พี่ตองคงจะเดินมาทำอะไรน่ารักๆกับผมแล้วล่ะ ชอบทำให้ผมเขินอยู่เรื่อย.... แล้วพี่ท๊อปล่ะ เวลาแบบนี้จะทำอะไรกับพี่เหรอ”

“ก็คง... นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาในบ้าน แล้วก็...คอยถามกูว่า 'หิวไหมครับ' 'อยากจะไปไหนหรือเปล่าครับ' แบบนี้ทุกวัน เป็นคนที่ทำตัวจืดชืดมากๆ ไม่รู้ว่าไปเอาความอดทนมาจากไหนที่... มานั่งเฝ้ากูทุกวันแบบนั้นได้”

“แล้วพี่ไม่ชอบเหรอ... พี่จำรายละเอียดของพี่ท๊อปได้ขนาดนี้ จะบอกว่าไม่ได้กำลังคิดถึงพี่ท๊อปอยู่เหรอ”

“..............ฮ...” เสียงสะอื้นในลำคอเริ่มปรากฏออกมาให้เห็น นี่แหละที่ผมต้องการ

“ไม่ต้องทำตัวเข้มแข็งเพื่อพวกผมก็ได้นะพี่” ผมตัดสินใจโอบกอดคนข้างๆ  ด้วยน้ำเสียงที่ใกล้กับความโศกเศร้าเช่นกัน “พี่ทำดีแล้ว อ่อนแอบ้างก็ได้ ร้องไห้ออกมาเถอะครับ ผมรู้ว่าพี่กลัวแล้วก็คิดถึงพี่ท๊อปมากแค่ไหน”

“ฮื่ออออออ.......” แล้วพี่บุ๋นก็ปล่อยโฮระลอกใหญ่ออกมาก่อนจะหันมากอดกับผมแบบจริงๆจัง ทำเอาผมน้ำตาไหลพรากออกมาด้วยเลย “ก...กู...คิดถึงพี่ท๊อป ขอโทษนะที่ทำให้พวกเอ็งมาเจอเริ่มแบบนี้”

“มันเป็นอุบัติเหตุนะพี่ พี่ไม่ผิดซะหน่อย เราโชคดีแค่ไหนแล้วที่รอดมาได้”

พี่บุ๋นยังคงน้ำตาไหลเป็นทาง “ตอนที่อยู่ในน้ำ กูนึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว มันน่ากลัว เหมือนจะโดนเอาชีวิตไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แล้วไหนก็โดนปล่อยไว้กลางป่าแบบนี้อีก กูกลัวจะไม่มีใครออกตามหาเราอย่างที่ขิงพูด พวกเราจะรอดไปได้ไหมวะ” นี่ซินะความอ่อนแอที่พี่บุ๋นพยายามซ่อนมันเอาไว้

“ไม่เป็นไรแล้วพี่” ผมกอดพี่เค้าให้แน่นขึ้น “พี่เชื่อในพี่ท๊อปไหมล่ะ พี่เชื่อไหมว่าความคิดถึงของพี่จะส่งไปถึงพี่ท๊อป แต่สำหรับอ่ะ ผมเชื่อนะว่าพี่ตองต้องคิดถึงผมอยู่ตลอดเวลา”

“เชื่อดิ ไม่มีทางที่พี่ท๊อปจะปล่อยกูไว้แบบนี้แน่นอน.... ถ้ารอดกลับไปได้ กูจะไม่ปากแข็งกับพี่ท๊อปอีกแล้ว กูจะพาพี่ท๊อปไปหาที่บ้าน จะไม่ทำให้แต่ละนาทีมันต้องสูญเปล่า”



“ผมก็เหมือนกัน”

หึ!

ไอ้ข้าว แล้วก็ขิงด้วย ตื่นกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนีย สงสัยพี่บุ๋นจะปรับทุกข์เสียงดังไปหน่อย

พี่บุ๋นค่อยๆปล่อยกอดผมออก

“ผมจะไม่ใช้ชีวิตให้ผ่านไปวันๆ” ไอ้ข้าวบอกแล้วนั่งลงข้างพี่บุ๋น “แต่ผมก็ยังเชื่อนะพี่ว่ายังไงเราก็ต้องรอด”

ขิงไม่พูดอะไรแต่กอดผมแน่นและเอาศีรษะมาอิงที่ไหล่ของผม แล้วไม่นานน้ำตาก็ค่อยๆไหลออกมา

“ดีแล้วล่ะทุกคน ร้องไห้ไปเลย” ผมแทบจะตะโกนออกมา ใจจริงแล้วผมอยากตะโกนฝ่าความมืดและความน่ากลัวของป่าผืนใหญ่อันแสนวังเวงเพื่อขับไล่ความกลัวที่มันยั้งรากลึกอยู่ในหัวใจของผมและทุกคนออกไปเสียด้วยซ้ำ “ร้องไห้ให้กับความโชคร้าย แต่เราจะไม่ยอมแพ้ กูเคยรอดตายมาแล้วครั้งนึง ทำไมครั้งนี้กูจะรอดไปอีกไม่ได้.... พี่ตองงงงงงง ชาอยู่นี่!!!!” ในที่สุดผมก็ตะโกนออกมาจริงๆ

“พี่ท๊อปปปปปปปปป บุ๋นอยู่นี่!!!!! **บุ๋นคิดถึงพี่น้าาาาา....**" พี่บุ๋นก็ตะโกนเช่นกัน

“ต้อมมมมมมมมม ขิงอยู่นี่!!!!! ได้ยินไหมมมมมมม”

“สุ่ยยยยยยยย ข้าวเจ้าอยู่นี่!!!!! ช่วยพวกเราด้วยยยยยยย”



“...........................................”

มีเพียงความเงียบที่ตอบกลับมาทันนั้น



“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ” แล้วพวกเราก็หัวเราะในความบ้าของตัวเองทั้งๆที่ยังมีน้ำตา นี่ซินะความกลัว มันทำให้คนเราทำอะไรบ้าบอออกไปได้โดยไม่รู้สึกอาย





“........................ชา”



!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!



“ด....ได้ยินไหม” นี่ผมหูฟาดไปหรือเปล่าที่ได้ยินเสียงพี่ตองดังแว่วมา

“นั่นดิ!!” พี่บุ๋นก็เหมือนจะได้ยิน ขิงกับไอ้ข้าวเริ่มมองหาต้นเสียงอย่างมีความหวัง

ผมลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อมองหาต้นเสียงที่ทุกคนต่างได้ยิน รู้สึกเหมือนความหวังมันผุดขึ้นเป็นบ่อน้ำร้อนในใจ



“ชาาาาาา.....” “น้ำขิงงงงง” “บุ๋นครับบบบ” “ข้าวเจ้าาาาา...”



“เห้ย!!! เสียงนั่นมัน” พี่บุ๋นลุกขึ้นมา แต่พวกเรายังไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าเสียงมาจากไหน

“ไฟ!” ผมนึกบางอย่างออก “ทุกคนหยิบฟืนที่ติดไฟขึ้นมาเร็ว ช่วยกันแกว่งสูงๆ”

ผมลงมือก่อนเลย แล้วที่เหลือก็รีบทำตาม จากนั้นก็เป็นการตะโกนอย่างบ้าคลั่ง



“พี่ตองงงงงง”  “ต้อมมมมมม” “พี่ท๊อปปปปป” “สุ่ยยยยยยย”



พวกเราต่างตะโกนและแกว่งไม้ที่ติดไฟไปมาในอากาศ



“น....นั่น!!!” ขิงเป็นคนเห็นบางอย่างเป็นคนแรก มันปรากฎเป็นแสงสว่างของไฟในทิศที่สูงขึ้นไปบนภูเขาไม่ไกลนัก

ผมและอีกสามคนไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรทั้งนั้น พวกเราต่างวิ่งกันไม่คิดชีวิต ตรงดิ่งไปหาแสงไฟแห่งความหวัง เราไม่รู้หรอกว่ามีใครอยู่ที่นั่นบ้าง แต่สัญชาตญาณของผมบอกว่าต้องมีพี่ตองอยู่ในนั้นแน่ๆ



และในที่สุด......



“พี่ตอง” ผมถลาเข้าไปหาพี่ตองทันที พี่เค้าก็เหมือนจะวิ่งเข้ามาหาผมเหมือนกัน

“ชาเป็นไงบ้าง ป...ปลอดภัยนะครับ” พี่ตองพยายามถามผมทั้งๆที่ยังกอดผมแน่น

“ปลอดภัยครับ ชาไม่เป็นไร”

ความอบอุ่นนี้ กลิ่นกายนี้ สัมผัสนี้

คิดถึงเหลือเกิน

ช่างรู้สึกปลอดภัยจนไม่กล้าหนีไปจากอ้อมกอดของความรักและความห่วงใยนี้อีกแล้ว

“ขอบคุณสวรรค์” พี่ตองจูบที่หัวของผมและกลับมากอดอีกครั้ง “ขอโทษนะครับที่มาช้า พี่นึกว่าจะเจอพวกชาที่ฝาย แต่ไม่รู้ฝายมันหายไปไหน คงจะโดนน้ำพัดไป พวกพี่ก็เลยได้แค่เดินตามหากันไปเรื่อยๆ จนได้ยินเสียงชาตะโกนขึ้นมา ถึงได้รีบวิ่งมานี่”

“ค...ครับ” ที่แท้เรื่องก็เป็นแบบนี้เอง “ชาติดอยู่ที่ฝายจริงๆ แต่พอขึ้นมาบนฝั่งได้ ฝายมันก็พังลงมาเลย”

“โชคดีแล้วครับที่ไม่เป็นอะไร หลังจากนี้พี่ไม่ยอมให้อยู่ห่างจากสายตาแล้วนะ”

“ครับ...."





--- มุมของนายต้อม ---



“น้ำขิง” ผมแทบจะหยุดหายใจที่ได้เห็นว่าคนในอ้อมกอดของผมยังมีชีวิตอยู่ แต่ตามเนื้อตัวนี่ซิ “ทำไมมีแผลเต็มไปหมดเลยอ่ะ เจ็บไหม”

“ม....ไม่....เจ็บ” น้ำขิงเอาแต่ร้องไห้ซุกในอกของผม ตอนนี้ผมไม่ได้สนใจคนอื่นๆที่ได้เจอกันเลย

“ขอโทษนะ ทั้งๆที่ควรจะเป็นต้อมแท้ๆที่มากับไอ้ชา ไม่น่าต้องให้น้ำขิงมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้เลย”

“ฮื่ออออ.......” แฟนตัวเล็กของผมยังคงร้องไห้ไม่หยุด ส่วนผมอะเหรอ ไหลพรากตั้งแต่รู้ว่าฝายหายไปจากธารน้ำตกแล้ว นึกว่าจะลอยกับไปถึงไหนต่อไหนแล้วซะอีก

“ไม่เป็นไรแล้วนะครับ เราจะได้กลับหมู่บ้านกันแล้วนะ”



--- มุมของบุ๋น ---



“พ...พี่ท๊อป” นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าการร้องไห้ในอ้อมกอดของพี่ท๊อปเป็นเรื่องที่ไม่น่าอายและสมควรทำที่สุด

“บุ๋นเป็นอะไรไหมครับ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า ทำไมเสื้อขาดแบบนี้ แผลล่ะ มีแผลไหมครับ” พี่ท๊อปยิงคำถามใส่อย่างร้อนรน

“ไม่เป็นไร... ทำไมพี่ท๊อปมาช้าจัง รู้ไหมว่าบุ๋นคิดถึงพี่แค่ไหน”

“คิดถึง!? ค...คิดถึงพี่อ่ะเหรอ”

“ก็ใช่ซิ”

“พี่ก็คิดถึงบุ๋นครับ แต่....”

“ไม่เป็นไร แค่มา บุ๋นก็ดีใจแล้ว เสาร์อาทิตย์นี้เราไปหาที่บ้านบุ๋นกันเลยนะ”

“บ้านบุ๋น?”

“ใช่ ไปขอพ่อบุ๋นกัน ว่าเราจะคบกัน แคนเซิลที่ต้องไปเกาหลีก่อน นะนะนะ ไปบ้านบุ๋นนะ”

“อ.... อ๋อ ได้ซิครับ ได้อยู่แล้ว ต้องไปอยู่แล้วซิครับ”

“บุ๋นคิดถึงพี่ท๊อปนะ คิดถึงมากด้วย”

“พี่ก็คิดถึงครับ....”





--- มุมของนายสุ่ย ---



“สุ่ย” ข้าวเจ้าวิ่งมายืนนิ่งอยู่ตรงหน้าผม แต่ไม่ยักกะกอดผมเหมือนอย่างคู่อื่นๆแฮะ

“ข..ข้าวเจ้า” แต่ผมอะเหรอ ไม่ยอมนิ่งเฉยหรอก จับคนตรงหน้าเข้ามากอดเลย ไม่ใช่เพราะอยากทำเหมือนคนอื่นนะ แต่มันคือความรู้สึกที่อยากจะทำจริงๆ “เก่งมากที่ไม่เป็นไร”

“แน่นอนอยู่แล้ว นี่ข้าวเจ้านะ ต้องเก่งอยู่แล้ว” ถึงปากจะพูดแบบนั้นแต่สุดท้ายคนในอ้อมกอดของผมก็น้ำตาไหลออกมา “ทำไมถึงออกมาตามหาเองล่ะ ไม่น่าเสี่ยงออกมาเองแบบนี้เลย ทหารก็มี”

“ก็พวกนั้นบอกจะออกตามหาตอนเช้า ใครจะไปรอไหวล่ะ ข้าวเจ้าเป็นแฟนสุ่ยแล้วนะ ไม่ให้สุ่ยออกมาเองได้ยังไง”

“ขอบคุณนะ.... ขอบคุณที่เป็นแฟนกัน”

“ขอบคุณเหมือนกันครับ”

“สุ่ยก็เก่งเหมือนกันนะที่เดินตามหาข้าวเจ้าจนเจอ”

“การเดินทางแม้ไกลหมื่นลี้ก็ต้องเริ่มต้นจากก้าวแรกเสมอ.... เล่าจื้อว่าไว้ ต่อให้ไกลกว่านี้ก็จะตามหาให้เจอให้ได้”





--- มุมของน้ำชา ---



"กลับกันเถอะครับคุณหนูๆ" หึ! อ้าว นั่นหัวหน้าหมู่บ้านนี่นา เพิ่งจะเห็นว่ามาด้วย "ก่อนที่จะดึกไปมากกว่านี้"

"ค...ครับ" ผมค่อยๆปล่อยกอดออกจากพี่ตอง คนอื่นๆก็เช่นกัน

"เราต้องเดินทางอีกสองชั่วโมง ทุกคนไหวนะครับ"

"ไหวครับ" ผมตอบ "รีบไปกันเถอะครับ"



"ชาหิวไหม เกตุฝากนี่มาให้" พี่ตองยื่นห่อใบตองให้ผม "เนื้อเค็มกับข้าวเหนียว"

"ไม่หิวอ่ะ ไอ้ข้าวเพิ่งทำอาหารให้กินเอง" เอ๊ะ ลืมเลย "คุณกาสิ่นครับ ยังไม่ได้ดับไฟที่กระท่อมเลยครับ"

"ไม่เป็นไรหรอกครับคุณหนู" คุณกาสิ่นตอบกลับ "อากาศเย็นขนาดนี้ไฟไม่ลามหรอกครับ"

"อ้อ ครับ"

"ส่วนอันนี้แอมฝากมาให้" พี่ตองยังมีของอีกอย่างยื่นมาให้ผมระหว่างเรากำลังเริ่มเดินตามหลังหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อขึ้นไปบนเขา

"กล่องเข็มกลัดนิ? เอามาทำไมอ่ะ"

"เปิดดูซิครับ"

"เห้ยยยย นี่มัน ​หนึ่ง สอง สาม.... เก้า สิบ​ สิบอัน!? มาจากไหนอ่ะ"

"พวกปีสองพร้อมใจกันยกให้ เหลือแค่ของพี่กับของไอ้บุ๋น เดี๋ยวกลับไปถึงหมู่บ้านแล้วพี่จะเอาให้นะ"

"ยังก่อน"

"ทำไมครับ ไม่อยากได้เหรอ"

"อยากซิ แต่ชาอยากได้หลังจากทำภารกิจให้หมู่บ้านมากกว่า ตอนแรกก็ไม่กะว่าจะคิดหรอก อยากให้พวกปีหนึ่งคนอื่นๆเป็นคนคิดมากกว่า แต่ตอนนี้ชาว่าสิ่งนี้จำเป็นที่สุดสำหรับหมู่บ้านลับหมอกมากๆ"

"อะไรเหรอครับ"

"เดี๋ยวพรุ่งนี้......







.....ก็รู้ครับ"
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 19-03-2018 03:42:28
ลุ้นตามไปอี๊กก..รอดแล้ว
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-03-2018 09:24:24
ค้างงงงงง ต่ออีกแล้ว   :z3: :z3: :z3:

ขอแก้ที่ผิดนะ
ไอ้ข้าว แล้วก็ขิงด้วย ตื่นกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนีย
สงสัยพี่ท๊อปจะปรับทุกข์เสียงดังไปหน่อย
------ ตรงนี้น่าจะเป็นพี่บุ๋นนะ
เพราะไปตามหาตองกันแค่ สามคน มี ชา ขิง บุ่น
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 19-03-2018 11:59:33
ค้างงงงงง ต่ออีกแล้ว   :z3: :z3: :z3:

ขอแก้ที่ผิดนะ
ไอ้ข้าว แล้วก็ขิงด้วย ตื่นกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนีย
สงสัยพี่ท๊อปจะปรับทุกข์เสียงดังไปหน่อย
------ ตรงนี้น่าจะเป็นพี่บุ๋นนะ
เพราะไปตามหาตองกันแค่ สามคน มี ชา ขิง บุ่น
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:



ขอโตดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด และขอบคุณที่แก้ให้น้าาาาาา เลิฟๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: netich ที่ 19-03-2018 23:33:20
 :mew2: :mew2: :mew2: รอครับ
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 51 [39th]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 20-03-2018 23:00:51
​ตอนที่ 51 : 39th







“เด็กๆอยู่ที่ไหน”

“ในห้องพยาบาลครับ”

ผมได้ยินเสียงหมอพิชิตดังอยู่นอกห้องพยาบาลที่มีผม ขิง พี่บุ๋น และไอ้ข้าวนอนอยู่



“น้ำชา เด็กๆ เป็นยังไงกันบ้าง ปลอดภัยดีหรือเปล่า” หมอพิชิตแทบจะวิ่งเข้ามาในห้องพยาบาลและเอ่ยถามตั้งแต่ยังมองไม่เห็นพวกผมเสียด้วยซ้ำ

“ปลอดภัยดีครับ” ผมตอบ

“กาสิ่นบอกว่าเจอพวกคุณเดินอยู่ใกล้ๆหมู่บ้านตอนเช้า”

“ครับ” ผมโกหก “พวกเราหาทางกลับมาหมู่บ้านครับ บังเอิญว่าคุณกาสิ่นไปพบพอดี”

“นี่เดินในป่ากันทั้งคืนเลยเหรอ”

“ค...ครับ” อย่าให้ผมต้องโกหกไปมากกว่านี้เลยนะครับคุณหมอ

“มันอันตรายรู้ไหม เดินป่าตอนกลางคืนแบบนั้น น่าจะอยู่เฉยๆรอให้พวกทหารพรานไปรับ”

“พวกเรากลัวกันน่ะครับ” พี่บุ๋นช่วยผมโกหกบ้าง คงเห็นว่าผมเริ่มไม่อยากพูดแล้ว “ก็เลยเดินในป่าไปเรื่อยๆ หวังว่าจะเจอหมู่บ้าน”

“เอาล่ะๆ กลับมาได้ก็ดีแล้ว บุญรักษาแล้วล่ะ ยังไงก็พักผ่อนซะนะ เดี๋ยวสายๆผมให้นิสิตแพทย์มาดูอาการให้ เดี๋ยวผมไปดูอาการคนป่วยอาหารเป็นพิษเมื่อวานก่อนนะ”

“ครับ” พวกเราตอบและทำทีนอนต่อทั้งๆที่ก็นอนอยู่นี่ทั้งคืน

สาเหตุที่ต้องโกหกว่าบังเอิญเดินกลับมาถึงหมู่บ้านเองก็เพราะว่าจะได้ไม่เป็นการทำให้พวกพี่ตองเดือนร้อนที่ขัดคำสั่งอาจารย์หมอออกไปตามหาพวกผมกันเองโดยพลการ



“ชา” เกตุคือแขกคนใหม่ที่เข้ามาในห้องพยาบาล เธอมาพร้อมกับมายด์ ดูเหมือนว่าทั้งสองจะแอบซุ่มอยู่นานแล้ว แต่รอจนหมอพิชิตออกไปก่อน “เป็นไงบ้าง”

“อ...โอเค ไม่เป็นไร” ถึงจะเคยถูกเนื้อต้องตัวกับเกตุมาบ้างแล้วเวลาที่เต้นด้วยกัน แต่ครั้งนี้เกตุวิ่งเข้ามากอดผมแบบจริงจังมาก ยังไงก็ผู้หญิงอะนะ มันเขิน

“ปีหนึ่งทุกคนเป็นห่วงมากเลยรู้ไหม” เกตุเล่าก่อนจะผละออกจากตัวผม “พวกเราแทบจะไม่ได้หลับได้นอนเลย ทำไมไม่บอกกันบ้างว่ามาถึงตั้งแต่เมื่อคืน”

“เดี๋ยวหมอพิชิตจะรู้ว่าพวกพี่ตองออกไปตามอ่ะ” ผมอธิบาย “ก็เลยไม่บอกใครเลยดีกว่า... แล้วรู้กันได้ไงอ่ะ”

“พี่ตองบอกน่ะซิ  แต่ก็ดีแล้วล่ะที่ไม่เป็นอะไร ไหนเล่าให้ฟังหน่อยซิว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

“ให้น้ำชาพักก่อนไหมเกตุ” มายด์รีบท้วง

“ไม่เป็นไร เรานอนมาทั้งคืนแล้ว” ผมบอก

“งั้นเหรอ... เดี๋ยวก่อนนะ ก่อนที่จะเล่า เกตุเอาไอ้นั่นให้น้ำชาดูซิ”

“ไอ้นั่นอ่ะเหรอ... มันจะดีเหรอ”

“พูดเรื่องอะไรกันอ่ะ” ไอ้นั่นไอ้นี่กันอยู่นั่นแหละ พูดเป็นการ์ตูนโคนันไปได้

แต่ความสงสัยก็ไม่ได้อยู่บนหน้าของผมนานนัก เกตุดึงกระดาษออกมาจากในกระเป๋าเสื้อของเธอแล้วส่งให้ผม

“อะไรเหรอ?” ผมถาม อีกสามคนที่นอนอยู่ก็เริ่มให้ความสนใจเหมือนกัน

“เพลง” มายด์บอก

“เพลง?” ผมคลี่ออกมา

“เกตุใช้เวลาคิดทั้งคืนเลยนะ” มายด์เล่าให้ฟัง “เพราะเป็นห่วงพวกน้ำชามาก แต่ทำอะไรไม่ได้ ก็เลยแต่งเพลงขอพรให้ทุกคนปลอดภัย”

“จริงเหรอ!?” ผมแทบจะร้อง

“ก็มันทำอย่างอื่นไม่ได้แล้วนิ” เกตุสารภาพ

“มายด์เห็นว่ามันเพราะดี ความหมายก็ดี ก็เลยช่วยเกตุแต่ง เผื่อว่าจะใช้เป็นเพลงประจำรุ่นของเราได้”

“...........ว้าววววว” ผมไม่ได้ว้าวแค่ความสามารถในการเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสของเกตุกับมายด์นะ แต่เนื้อเพลงมันว้าวมาก ความหมายดีจริงๆด้วย อย่างกับมันบอกเรื่องราวของผู้นำเชียร์รุ่นนี้ไว้ทั้งหมด และมีเนื้อหาบางส่วนที่เหมือนจะบอกกับคนที่หลงในป่าอย่างพวกผมให้กลับมาด้วย “ชื่อเพลง Thirty – ninth... เอ่อ.... ลำดับที่สามสิบเก้าเหรอ?”

“ใช่” เกตุตอบ “เลขประจำรุ่นของพวกเราไง มานี่ เดี๋ยวร้องให้ฟัง.... (ไม่เคยฟังเกตุร้องเพลงจริงจังมาก่อนเลย)....



เพลง Thirty – ninth



กว่าร้อยชีวาที่สร้างให้ฝันเป็นจริง  จากวันนั้นมันเป็นทางที่ช่างยิ่งใหญ่

เริ่มจากรัก เริ่มจากฝัน เริ่มจากความตั้งใจ รวมเป็นพลังแห่งมัณฑนา



*อาจแม้บางครั้งมีทางที่สูงและชัน  อาจมีฝน ธารธาราพัดพาเข้าใส่

จะกี่แรงที่ฉุดรั้งให้ไม่อาจร่วมเดินไป  แต่เราก็ยังคงมีศรัทธา



**อยู่แห่งไหนสิบสองดวงใจจะกอด  เป็นพลังที่ไม่อาจพรากเราให้ห่าง

เพราะเธอคือเพื่อนที่รัก เพราะเรายังปรารถนา**ให้กลับมา มาร่วมเป็นเหล่าผู้นำ



***นี่คือฝัน ความฝันแห่งมัณฑนา  คือทางที่ร่วมเดินมา  จุดหมายที่ไม่ว่างเปล่า

จงอดทน อย่าหยุดยั้ง มุ่งสู่ฝันและวันของเรา จิตวิญญาณจะไม่สิ้นสุดไป

จับมือกันเอาไว้ ให้ใครได้รู้ว่าเรา คือทีมอันภาคภูมิใจ เป็นดวงดาวที่สว่างนภา

จะส่องแสงสว่างสดใสเป็นสิบสองมัณฑนา We are MANTANA Leader only.

So.... 39th LEADER of POWER CHEER



(ซ้ำ * , ** , *** )

(ซ้ำ *** )



We’re 39th team.

We’re 39th soul.

We’re 39th team.

We’re 39th soul.

We’re 39th team.

We’re 39th soul……"

( สามารถติดตามเพลงนี้ได้ใน https://www.youtube.com/watch?v=iljH9JzPv5M )






“โว้วววววววววววว” คนฟังทั้งสี่อย่างผม ขิง พี่บุ๋น และไอ้ข้าว อดไม่ได้ที่จะอุทานและปรบมือ ถึงแม้จะยังไม่มีดนตรีจริงจังแต่ทำนองมันเหมือนจะดังออกมาในใจ ผมเชื่อว่าถ้าทำเพลงนี้ให้สมบูรณ์แบบ ต้องไพเราะมากแน่นอน

“เพราะมากเลยเกตุ” ขิงเอ่ยชม “แบบนี้เราต้องคิดแปลอักษรที่สวยๆซะแล้ว การแสดงจะได้สมบูรณ์แบบ ใช้เป็นเพลงจบได้เลย”

“ยังไม่รู้ว่าพวกเพื่อนๆจะว่ายังไงเลย” เกตุเขินนิดหน่อย “อาจจะไม่ชอบก็ได้”

“ไม่มีทางอ่ะ” ผมพูดอย่างมั่นใจ “ไม่มีเพลงไหนที่เหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว เพลงของรุ่นสามสิบเก้าก็ต้องเป็นเพลงนี้แหละ เชื่อซิว่าทุกคนต้องชอบ”

“เห็นไหม บอกแล้ว” มายด์สนับสนุน “เข็มกลัดก็ใกล้ครบแล้ว เพลงใหม่ก็มีแนวโน้มว่าจะโอเค คราวนี้ก็เหลือแค่สร้างนวัตกรรมใหม่ให้กับหมู่บ้านซินะ”

“เราว่าเราคิดออกแล้วนะว่าจะทำอะไร” ผมบอกทันที

“อะไร!?” ทุกคนในห้องถามพร้อมกัน

“อะไรที่จะทำให้หมู่บ้านนี้ปลอดภัยมากขึ้น และทุกคนก็จะมีส่วนในการทำสิ่งนี้แน่นอน เอาเป็นว่าเดี๋ยวเล่าให้ฟัง เกตุกับมายด์ช่วยตามเพื่อนๆมาหาเราด้วย มาทีละสองสามคนก็พอนะ”

“ได้”

“คืออย่างงี้....” ฮั่นแน่ อยากรู้ละซิว่าผมคิดอะไรได้ แต่ยังไม่บอกหรอก เพราะผมขี้เกียจเล่าหลายที เอาเป็นว่ารู้พร้อมๆกับชาวบ้านทุกๆคนก็แล้วกันนะ



หลังจากที่ผมเล่าถึงแผนการสร้างสิ่งใหม่ให้กับหมู่บ้านจบ เกตุกับมายด์ก็ออกไปตามเพื่อนคนอื่นๆมา ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาในห้องพยาบาลตลอด

จนเมื่อผมได้รับการทำแผลและยืนยันว่าสภาพจิตใจปกติ ไม่ได้บ้าไปเพราะตกน้ำและหลงป่า พวกเราสี่คนก็ถูกปล่อยให้ไปทำภารกิจอื่นๆได้ ผมไม่รอช้าที่จะเริ่มงานของตัวเองอย่างที่ตั้งใจไว้ ในเมื่อเพื่อนปีหนึ่งทุกคนเห็นชอบกับความคิดนี้แล้ว จะรอช้าอยู่ใย





“เกตุไปคิดท่าเต้นเพลงใหม่เถอะ ตรงนี้มีคนช่วยเยอะแล้ว” ผมบอกเกตุ ตอนนี้ปีหนึ่งทุกคนกำลังรุมทำโปรเจ็คอยู่ที่กลางหมู่บ้านในเวลาหลังมื้อเที่ยง

“ไม่เป็นไร ช่วยกันดีกว่า” เกตุบอก

“ไม่ต้อง ของแค่นี้เอง จริงๆไม่ต้องใช้คนเยอะขนาดนี้ด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ เกตุไปนอนพักซะหน่อยก่อนดีกว่านะ ตาโรยหมดแล้ว”

“ไม่เป็นไรไง...”

“ไปเถอะน่า... พักบ้าง ไปๆ มายด์ ช่วยพาเกตุไปนอนหน่อย”

“นั่นซิเกตุ” มายด์เห็นด้วย “มายด์ก็ง่วงจะแย่แล้วเนีย แต่งเพลงทั้งคืนจนไม่ได้นอนเลย ไปนอนก่อนดีกว่านะ”

“เกตุไม่ง่วงอ่ะ” แน๊ะ ยังจะไม่ไปอีก

“พอๆๆๆ วางของลงเลย เดี๋ยวเราช่วยกันทำเอง ไปพักผ่อนเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องเถียงแล้ว ไปเลย”

“ก็ได้... งั้นเดี๋ยวเกตุคิดท่าเต้นละกันนะ”

“ได้ แต่อย่าลืมนอนก่อนนะ ตื่นแล้วก็ให้มายด์มาตามเพื่อนผู้ชายละกัน จะได้มีคนช่วยคิดท่าเต้นฝ่ายผู้ชายด้วย”

“โอเค งั้นไปนอนละนะ ตาจะปิดอยู่แล้ว”

นั่นไง ไหนบอกไม่ง่วง





“ต้อมๆ อันนี้ใส่ปูนเยอะเกินไปไหมอ่ะ”

“โอเคแล้ว แต่ต้องคนนานๆหน่อย แน่ใจนะว่าน้ำขิงจะทำเอง ให้ต้อมทำให้ไหม”

“ไม่ๆ ขิงอยากลองทำ”

ขิงกับไอ้ต้อม สองคนนี่ก็หวานกันกว่าเดิมไปอีกกกก หลังจากเกือบจะโดนพรากจากกัน



“เอาคุกกี้อีกไหม”

“ก็ดีนะ ป้อนหน่อยครับ”

“ดูมือด้วย เดี๋ยวก็ตอกตะปูโดนนิ้วตัวเองหรอก”

ไอ้ข้าวกับไอ้สุ่ยยิ่งแล้วใหญ่ ไอ้พวก.... เออ กูนึกคำด่าในใจไม่ออก



“ซูชิที่บุ๋นทำให้เมื่อวันก่อนเป็นไงบ้าง อร่อยไหม”

“ซูชิ? ที่เอามาให้พี่ก่อนจะขึ้นเขาอ่ะเหรอ นั่นบุ๋นทำเองเหรอ ไหนบอกว่าซื้อมาไง”

“เปล่า บุ๋นโกหก บุ๋นเป็นคนทำเอง บุ๋นรู้ว่ามันยังไม่ค่อยดี แต่จะซ้อมมือเรื่อยๆก็แล้วกันนะ”

“ครับบบบ ถ้าบุ๋นทำ ยังไงก็อร่อย”

โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยย

เออ หวานกันเข้าไป  หวานกันไปหมด





“..................”



ส่วนกูก็ได้แต่ยืนยิ้มให้ไอ้พี่ตอง ก็จะอะไรซะอีกล่ะ พอเหตุการณ์สงบ กฎการห้ามพูดกับรุ่นพี่ก็ถูกนำกลับมาใช้ใหม่

พวกมึงช่วยไปสวีทกันไกลๆได้ไหม

เลิกคิดๆ ตั้งใจทำงาน



ปีหนึ่งต่างช่วยกันทำงานจนพระอาทิตย์ตกดินแต่ก็ยังไม่ได้หยุด นั่นเพราะสิ่งที่ทำจำเป็นต้องทำต่อเนื่อง ไม่สามารถพักงานแล้วกลับมาทำต่อพรุ่งนี้ได้

จากที่เคยหนาว ตอนนี้ไม่หนาวเลย เหนื่อยแทน เหงื่อเต็มตัวเสียด้วยซ้ำ ก็เพราะงานที่ทำนั่นมันหนักมากกกกกกก ไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย ดีนะที่ปีหนึ่งทุกคนเริ่มมีใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ไม่มีใครทิ้งงานเลย ทุกคนช่วยกันอย่างไม่ยอมเหน็ดเหนื่อย จนน่าจะเสร็จสิ้นตอนเที่ยงคืนเห็นจะได้ ผมก็ไม่แน่ใจเรื่องเวลาเหมือนกัน ไม่มีนาฬิกานี่นา ……..



..........................................................



“นานกว่าสามสิบเก้าปีที่ชาวเผ่ามลาบรีถูกรวบรวม ชักชวน จนกลายมาเป็นหมู่บ้านลับหมอกแห่งนี้” ช่วงสายของเช้าวันใหม่มาถึงพร้อมกับการกล่าววาทะของผมต่อหน้าชาวบ้านหลายสิบชีวิต โดยมีสักขีพยานมากมาย ทั้งปีหนึ่ง หัวหน้าหมู่บ้าน เหล่าทหารพราน ผู้นำเชียร์ปีสอง ตัวแทน ก.น.ช. พี่ชมพู่ นิสิตแพทย์ และอาจารย์หมอพิชิต  นี่เป็นอีกครั้งที่ได้มีโอกาสใช้สิ่งที่พวกพี่ลีดสอนมา การพูดต่อหน้าสาธารณะ “หลายต่อหลายปีที่ผ่านมา ตัวแทนนักศึกษาจากแดนไกลต่างนำพาความก้าวหน้า ทรัพยากร และความรู้มาสู่หมู่บ้านแห่งนี้ ครั้งแรกที่ผมมองเห็นที่นี่ ผมบอกได้เลยว่า มันงดงามและมีคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง

ในตอนที่พวกผมได้รับโจทย์มาว่าให้สร้างหรือนำพาสิ่งใหม่มายังหมู่บ้าน ผมกลับไม่รู้สึกว่าอยากจะเพิ่มเติมอะไรเลย สิ่งที่หมู่บ้านนี้เป็นอยู่ มันงดงามในตัวของมันอยู่แล้ว สิ่งที่หมู่บ้านนี้มีอยู่ มันก็เพียบพร้อมเพียงพอต่อปัจจัยการดำเนินชีวิตอยู่แล้ว ผมยอมรับเลยว่า ผมนึกไม่ออกจริงๆว่าจะสามารถนำพาอะไรใหม่ๆมาให้หมู่บ้านได้  แต่.... เหตุการณ์เมื่อเร็วๆนี้ ความโกลาหลของคนป่วย อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับผมและเพื่อนๆ  ทำให้ผมตระหนักได้ถึงหลายสิ่งหลายอย่างว่า หมู่บ้านลับหมอกแห่งนี้ไม่ได้ต้องการสิ่งใดมาเพิ่มเติมอีกแล้ว สิ่งที่ต้องการมากที่สุดคือสิ่งนี้ครับ...”

พวกปีหนึ่งช่วยกันยกผ้าที่คลุมแท่นปูนอันใหญ่ออก

นี่ไม่ใช่ประดิษฐกรรมแต่อย่างใด เป็นเพียงแท่นปูนซีเมนต์สูงหนึ่งเมตรครึ่งที่มีข้อความเขียนเป็นรอยลึกทุกด้านเท่านั้น โดยด้านบนสุดของแต่ละด้านมีข้อความที่เหมือนกันคือ ข้อห้ามพื้นฐาน 24 ประการ และใจความของนื้อหาในนั้นถูกเขียนเรียงเป็นข้อๆ ดังนี้



(ด้านที่หนึ่ง)

1.  อย่ากินอาหารที่ไม่แน่ใจว่าปลอดภัย – มายด์

2.อย่าประกอบอาหารที่ไม่รู้วิธีทำ – ข้าวเจ้า

3.อย่าปล่อยเด็กเล็กไว้ตามลำพัง – สุ่ย

4.อย่าใช้สมุนไพรที่มีสารเสพติดโดยไม่มีเหตุอันสมควร – โซนี่

5.อย่าเข้าใกล้ธารน้ำตกเมื่อมีน้ำหลาก – น้ำชา

6.อย่าก่อกองไฟในอาคารปิด – ของขวัญ



(ด้านที่สอง)

7.อย่าทำร้ายหรือเข่นฆ่าผู้อื่น – มิน

8.อย่าขโมยทรัพย์สินของผู้อื่น – อุ้ม

9.อย่าโกหกจนผู้อื่นเดือดร้อน – คิน

10.อย่าผิดผัวเมียของผู้อื่น – อาร์ม

11.อย่าดื่มเหล้าจนขาดสติ – บิวตี้

12.อย่าปล่อยใครไว้ในป่าตามลำพัง – แชมป์



(ด้านที่สาม)

13. อย่าล่าสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ – เกรซ

14.อย่าหลงเชื่อสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ – เบส

15.อย่าตัดไม้ทำลายป่า – ซีแกรม

16.อย่าสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นในหน้าหนาว – มิโอะ

17.อย่าปล่อยร่างกายให้เปียกฝนนาน – มิค

18.อย่าจุดไฟใกล้ป่าในหน้าร้อน – ราดา



(ด้านที่สี่)

19.อย่าลืมเพิ่มพูนความรู้ - ต้อม

20.อย่าลืมความกตัญญู – ไข่ไก่

21.อย่าลืมหน้าที่ของตนเอง – เมฆ

22.อย่าลืมที่จะมีสติเสมอ – เบียร์

23.อย่าลืมให้เกียรติกันและกัน – พาย

24.อย่าลืมความสามัคคี – เกตุ



“นี่คือ... ข้อห้าม ครับ” ผมกลับมากล่าวต่อ “ข้อควรจำและปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยในตัวของทุกๆคนเอง เป็นทั้งข้อเตือนสติและข้อคิด  เราทุกคนอยู่ร่วมกัน หากไม่มีกฎมาเป็นตัวตีกรอบ สักวันหนึ่งการทำอะไรโดยพลการอาจทำให้เกิดความเดือดร้อนที่ไม่คาดฝัน  อีกทั้งมันยังจะช่วยเป็นครรลองที่จะทำให้ชุมชนเป็นไปในทิศทางเดียวกันและกลายเป็นความแข็งแกร่งได้ในที่สุดครับ

ครั้งนี้ ผมต้องขอโทษจากใจในฐานะตัวแทนนักศึกษารุ่นนี้ เราไม่ได้มอบวัตถุหรือวิทยาการเพื่อความก้าวหน้าแก่หมู่บ้านอย่างที่รุ่นอื่นๆได้ทำมา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันทำให้ผมได้เรียนรู้สองอย่างจากที่นี่ ข้อหนึ่งคือเราไม่จำเป็นต้องมีมากมาย การรับหลายสิ่งหลายอย่างเข้ามามากจนเกินไป อาจทำให้กลายเป็นผลเสียโดยไม่รู้ตัว หากเราไม่รู้จักวิธีจัดการกับมัน ข้อที่สอง คือคำสอนจากหมอพิชิต เราไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แต่เราเลือกที่จะไม่ทำสิ่งที่ไม่ดีได้.... วันนี้ผมและตัวแทนผู้นำเชียร์รุ่นที่สามสิบเก้าจากมหาวิทยาลัยมัณฑนาทั้งยี่สิบสี่คน จึงขอมอบ ข้อไม่ควรปฏิบัติทั้งยี่สิบสี่ประการไว้แก่หมู่บ้านลับหมอก และหวังใจเป็นอย่างยิ่งว่า ชาวบ้านเผ่ามลาบรีแห่งนี้จะใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้นนะครับ ขอบคุณมากครับ....”



เย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้



เห้อออออออออออ

โล่งอก ไม่ใช่เพราะเสียงปรบมือนะ แต่เพราะข้อห้ามที่พวกเราช่วยกันคิดขึ้นได้รับการตอบรับที่ดีต่างหาก สิ่งนี้จะช่วยให้ชาวบ้านใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาทและเติบโตเป็นชุมชนที่ดีขึ้นเรื่อยๆ

ภูมิใจจัง

นี่ซินะ ความภาคภูมิใจที่พี่ชมพู่พูดถึง



“ขอบคุณมากนะครับคุณหนูๆ” คุณกาสิ่นเข้ามาจับมือจับไม้กับพวกปีหนึ่ง “ผมจะจำและเน้นย้ำให้ชาวบ้านปฏิบัติตามให้ได้มากที่สุดครับ”



“หวังว่าจะไม่มีใครทำอาหารอะไรแปลกๆอีกนะครับ” ไอ้ข้าวเปิดประเด็นสนทนาชวนหัวกับป้าๆ



“นี่ๆ ข้อนี้กูเป็นคนคิดโว้ย โคตรเพี้ยวอ่ะ...” อ้าวๆ โม้กันใหญ่



แล้วบรรยากาศหลังเปิดแท่นจารึกข้อห้ามก็คึกคักไปด้วยการสนทนาของชาวบ้านและเด็กปีหนึ่ง





“ไอ้ชา”

“ครับ”

“มึงคุยกับกูได้ไง กูแขวนป้ายอยู่เห็นไหมเนี่ย”

อ้าวพี่บุ๋น แล้วพี่จะเรียกผมทำไม

“อะนี่”

หึ!!!

“เข็มกลัดไม้ไง ของรางวัลจากกู เก่งมากนะมึงอ่ะ สมแล้วที่เป็นลีดอัจฉริยะของคณะวิทย์... แล้วจะเอาเข็มกลัดไหมเนี่ย กล่องล่ะ?”

อ๋อออออ

กล่องไม้ เอามาด้วยพอดี ผมรีบเปิดกล่องและยื่นให้พี่บุ๋น

พี่บุ๋นปักเข็มกลัดไม้ลงผ้ากำมะหยี่อย่างยากลำบาก เพราะพื้นที่ภายในกล่องแทบจะไม่ว่างแล้ว

“คือ.... กูต้องบอกความหมายเข็มกลัดของกูด้วยไหม ไม่ค่อยอยากพูดเลย รู้สึกเหมือนหนังจีนยังไงไม่รู้ เออๆ พูดหน่อยละกัน เข็มกลัดไม้คือผู้สละความล้มเหลว ไอ้แท่งปูนข้อห้ามอะไรของมึงนี่ก็... ถือว่าสำเร็จแล้วนะ งั้นเอาเข็มกลัดไม้ไปได้เลย.... โอเคแล้วนะ กูไม่อยากพูดมากกว่านี้แล้ว ขนลุก ไปนะ เก่งมากๆ”

ผมได้แต่ยิ้ม จริงๆก็อยากจะพูดว่าขอบใจและแซวอะไรพี่เค้านิดหน่อยนะ แต่กฎมันค้ำคออยู่





“อะแฮ่ม”

“พ.....” เกือบลืมอีกแล้ว พูดกับพี่ตองไม่ได้นี่หว่า สัญญาณปลดป้ายยังมาไม่ถึง เห้อออออ อึดอัดจัง

“เข้าใจคิดนะครับที่สร้างกฎขึ้นมา” ไอ้คนตัวสูงยังยืนกอดอกพูดอยู่ข้างๆผม ทั้งที่รู้ว่าผมคุยด้วยไม่ได้ “นอกจากจะใช้เป็นแนวทางให้ชาวบ้านได้แล้ว ยังเป็นการให้ปีหนึ่งทั้งยี่สิบสี่คนได้มีส่วนร่วมกันแบบเห็นๆ เห็นชื่อกันชัดๆไปเลย แบบนี้ก็คงไม่มีใครมาหาว่าชาทำอะไรจนไปข่มชื่อคนอื่นแล้วซินะ..... เก่ง ฉลาด จิตใจดี สมแล้วที่เป็นแฟนพี่”

“.........” อือหือ กูไม่ยืนฟังต่อได้ไหมเนี่ย

“ว่าแต่ เมื่อไหร่จะดึงเข็มกลัดเพชรไปจากพี่ซะทีละครับ.....









......มันปักอยู่ตรงหัวใจพี่นานแล้วนะ”
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 21-03-2018 10:19:41
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 52 [หอคอยเกียรติยศ]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 26-03-2018 23:14:11
ตอนที่ 52 : หอคอยเกียรติยศ







“ไม่ได้... เริ่มใหม่”

“มีคนเต้นผิด... เริ่มใหม่”

“ไม่พร้อมกันเลย... เริ่มใหม่”

“..........เริ่มใหม่”

“......เริ่มใหม่”

“...เริ่มใหม่”

“เริ่มใหม่”

“ร...”

“ขอพักก่อนได้ไหม เราเต้นกันไม่ไหวแล้ว”

“นี่วันศุกร์แล้วนะ เผื่อใครยังไม่สังเกต ถึงจะเป็นตอนเช้าแต่เราไม่เหลือเวลา...”

“ใจเย็นก่อนเกตุ” ผมตัดสินใจพูดกับเกตุหลังจากเงียบมานาน “ให้ทุกคนพักก่อนเถอะนะ”

“ห้านาที” เกตุสั่ง

“สิบ”ผมแย้ง คงมีผมคนเดียวที่สามารถขัดคอเกตุในโหมดสุดโหดนี้ได้ “สิบนาที เถอะน่าเกตุ ให้ทุกคนได้นั่งพักบ้าง เราไม่ใช่หุ่นยนต์นะ เมื่อวานก็ซ้อมจนแทบไม่ได้นอน เช้านี้ก็มาซ้อมต่ออีก เราไม่ควรเพิ่มคนในห้องพยาบาลนะ”

“ก็ได้ สิบนาที แต่เราไม่มีนาฬิกา เอาเป็นว่ารีบพักก็แล้วกัน เราเรียกเมื่อไหร่ก็ให้พร้อมด้วยนะ”



“เห้อออออออออออ”

ทุกคนถอนหายใจพร้อมกันก่อนจะทิ้งตัวลงไปนั่งกับพื้น บางคนถึงขั้นนอนแผ่หราลงไปเลย



“ดื่มน้ำกันก่อนนะทุกคน” ขิงรีบแสดงความเป็นห่วงเป็นใยด้วยการถือน้ำมาให้พวกลีดปีหนึ่ง



พอเห็นเกตุเข้มงวดกับการฝึกแบบนี้แล้ว ผมก็ชักเป็นห่วงอนาคตรุ่นน้องผู้นำเชียร์ของคณะวิทยาศาสตร์ในปีหน้าซะแล้ว

ตอนนี้ลีดปีหนึ่งทั้งยี่สิบสี่คนกำลังยืนซ้อมเต้นเพลง Thirty-ninth กันอยู่ที่ลานต้นไม้เก่าแก่ โดยมีขิงนั่งคิดแผนสำหรับทำโชว์สแตนอยู่ข้างๆ และพี่ตัวแทน ก.น.ช.ผู้หญิงกับพี่หนิงคอยสังเกตการณ์ไม่ห่าง

นี่คือวันสุดท้ายของการอยู่หมู่บ้านลับหมอกแล้ว หลังจากเปิดตัวแท่นจารึกข้อห้ามอันเป็นผลงานของพวกเราไป เกตุก็เกณฑ์ปีหนึ่งให้มาซ้อมกันเลย เราซ้อมกันเป็นวงกลมเพื่อให้เห็นกันหมด และต่อให้ตกกลางคืนก็ยังมีแสงสว่างจากกองไฟที่อยู่ตรงกลางส่องสว่างอยู่ตลอด จึงทำให้การซ้อมที่ผ่านมาทรหดมาก ผมและเพื่อนลีดแทบจะไม่ได้พักเลย เกตุเข้มงวดมาก ว่าก็ว่านะ ผมเองพอได้เห็นความจริงจังของเกตุแล้วก็หายสงสัยเลยว่าทำไมเธอถึงมีทักษะการเป็นผู้นำเชียร์ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น แสดงว่าต้องผ่านการฝึกแบบนี้มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว

เช้าของวันนี้ไม่มีปีหนึ่งคนไหนอยู่ในหมู่บ้านเลย แต่คงไม่มีปัญหาหรอก เพราะเราอยู่ห่างออกไปแค่แป๊บเดียว ถ้าเกิดเรื่องฉุกเฉินอะไรขึ้นจริงๆก็วิ่งกลับหมู่บ้านได้ไม่ยาก



“โอเคทุกคน เราควรซ้อมได้แล้ว” เกตุเรียกแล้ว

ซ้อมซิจ๊ะ รออะไร





เห้ออออออออออออออออออออ

สายก็แล้ว…..

เที่ยงก็แล้ว…..

บ่ายก็แล้ว……

นี่มันไม่ง่ายเลยนะที่จะซ้อมเต้นเพลงที่เพิ่งจะคิดท่าเต้นขึ้นมาภายในเวลาวันเดียว แถมยังต้องซ้อมกันเองอีก ไม่มีรุ่นพี่มาควบคุมเลย แต่ครั้งนี้แหละที่ได้เห็นแล้วว่าทักษะการเต้นของใครเฉียบคมกว่ากัน ใครที่ยังยิ้มได้เสมอแม้เหงื่อจะไหลท่วมตัว ใครที่มีวินัยด้วยการยกการ์ดขึ้นเสมอ ใครที่สามารถแสดงสิ่งที่รุ่นพี่สอนได้อย่างมีสติ และใครกันแน่ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง

มันมีสงครามประสาทเกิดขึ้นหน่อยๆ ในความไม่ยอมกันของผู้เข้ารอบทั้งยี่สิบสี่คน เมื่อกลิ่นอายของการต่อสู้เริ่มปะทุ เกตุก็แทบจะไม่ต้องจี้หรือสั่งอะไรอีกแล้ว ไม่รู้ซิ แต่รู้สึกว่ามีอะไรสักอย่างทำให้ผมเชื่อว่าพี่หนิงไม่ได้นั่งดูพวกเราอยู่เฉยๆ เธอดูกำลังจะประเมินพวกผมอยู่



ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก............



“เสียงระฆังไม้...ใช่ไหม?” ไอ้ต้อมถาม

“นั่นนะซิ” ผมเองก็ส่งสัย ปกติเสียงนี้จะดังเฉพาะตอนที่พระอาทิตย์ใกล้ตกแล้วเพื่อเตือนชาวบ้านให้จุดใต้เพลิงไฟและเป็นเวลาของการปลดป้าย MUSE ไม่ใช่เหรอ  “แต่นี่มันยังไม่ใกล้ค่ำเลยนะ หรือจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ไปดูกันเถอะ”

“กูว่ารีบดีกว่า”



แล้วทุกคนก็หยุดการซ้อมเต้นไว้แต่เพียงเท่านั้น ต่างตั้งหน้าตั้งตาวิ่งกลับไปที่หมู่บ้าน

ทันทีที่กลับไป ไม่ดูเหมือนว่ามีเหตุการณ์ความไม่สงบใดๆเกิดขึ้น บ้านเรือนก็ดูเงียบเชียบเป็นปกติ แต่พวกเราก็ยังวิ่งตรงต่อไปเรื่อยๆ หมายว่าจะพบสิ่งผิดปกติสักอย่างหนึ่ง



“ไม่เห็นมีอะไรเลย” ไอ้ข้าวเอ่ยออกมา ทุกๆคนก็สงสัยเช่นกัน

“ตรงโน้น” เสียงของมายด์ชี้บอกทาง

ก็ไม่รู้หรอกว่าคืออะไรแต่ก็วิ่งแห่กันไปเป็นขบวน จนกระทั่งมาถึงจุดที่คุ้นเคย ระฆังหน้าโรงนอนรุ่นพี่ เพียงแต่ไม่มีใครอยู่เลย นอกจาก...พี่ชมพู่เพียงคนเดียว



“หมดเวลาของพวกเธอแล้วนะ” นั่นคือคำแรกที่ออกมาจากปากพี่ชมพู่

หมายความว่าไงวะ นี่พวกเราทำภารกิจไม่สำเร็จเหรอ

“แต่พวกเราใกล้จะทำภารกิจกันครับแล้วนะคะ” เกตุรีบประท้วง

“ใจเย็น” จู่ๆพี่ชมพู่ก็ดูสงบและใจเย็น ปกติถ้าไม่ถูกใจคำพูดของใครก็คงจะเกรี้ยวกราดออกมาแล้ว “หมดเวลาหมายถึง หมดเวลาซ้อมแล้ว ถึงเวลาต้องแสดงแล้ว ตัวแทนปีหนึ่งสะสมเข็มกลัดได้ครบหรือยัง”

“เอ่อ....” หมายถึงกูอะดิ บ้าชิบ รู้งี้น่าจะดึงเข็มกลัดจากไอ้พี่ตองมา มันอุตส่ายื่นโอกาสมาให้ตั้งหลายที แต่ตอนนั้นมันเขินนี่นา ชอบพูดจาหว่านเสน่ห์ใส่ ใครจะไปกล้าดึงอะไรมาจากอกของมันกันล่ะ

“ว่าไง?”

“ข...ขาดหนึ่งอันครับ”

“งั้นเหรอ เดี๋ยวก็คงครบ” ห๊ะ อะไรนะ “ใกล้เวลาจะต้องจากหมู่บ้านแล้วนะ ดีใจไหม”

"..........." จะดีใจหรือเปล่านะ ไม่รู้ซิ แต่ได้ยินแบบนี้แล้ว มันใจหายมากๆ เลย

“ตามมา”

ตาม?

ตามไปไหนวะ



พวกปีหนึ่งทั้งหมดถูกพาให้เดินตามพี่ชมพู่ไปอย่างสงบแต่เต็มไปด้วยความสงสัย

พวกเราเหมือนจะเดินกลับไปเส้นทางเดิมที่เพิ่งจะวิ่งมาเมื่อสักครู่ ระหว่างเดินพวกพี่ทหารพรานก็เดินสวนไปทางหน้าหมู่บ้านด้วยกระเป๋าสัมภาระพร้อมเดินป่าเหมือนวันที่พาพวกเราขึ้นมาที่หมู่บ้านนี้

เอ? นี่มันยังไง จะกลับกันแล้วจริงๆเหรอ

แล้วพี่ปีสองหายไปไหนหมด

ความสงสัยของผมสิ้นสุดเหมือนกลับมาพบพวกผู้นำเชียร์ปีสองอีกครั้งที่ลานต้นไม้เก่าแก่ พวกพี่เขายืนหน้ากระดานอยู่ข้างต้นไม้ หมอพิชิตก็ยืนอยู่ด้วย พี่ท๊อป พี่ ก.น.ช.ผู้หญิง อยู่นี่หมดเลย



“เชิญ” พี่ชมพู่บอกให้เดินต่อไป

พวกเราดูเก้ๆกังๆกันไปหมดเพราะไม่เข้าใจในบรรยากาศที่สงบนิ่งนี้



“ถึงเวลาสำหรับพิธีสุดท้ายแล้วนะคะน้องๆ” พี่หนิงเป็นคนออกมาพูด “แต่ตามธรรมเนียมแล้ว ทุกครั้งที่จะมีพิธีสำคัญอะไร จะต้องมีการเต้นเปิดงานของผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยก่อน และนี่ก็คือพิธีหนึ่งที่สำคัญมากๆ เช่นเดียวกันกับที่พวกพี่ในฐานะผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนา จะเต้นเพลงมาร์ชมหาวิทยาลัย...เป็นครั้งสุดท้าย นี่คือพิธีอำลาของรุ่นพี่เพื่อส่งต่อเพลงมาร์ชให้กับน้องๆนะคะ” พี่หนิงหยุดพูดก่อนจะหันซ้ายขวาเพื่อมองเพื่อนๆในรุ่นเดียวกัน



“มัณฑนา พร้อม” พี่ตองส่งเสียงให้สัญญาณ

“พร้อม” ทุกคนรับ

“สาม สี่”



“รั้วสีทองส่องแสงในล้า....”

โห..... ไม่เคยเห็นพวกพี่เค้าร้องเพลงมาร์ชด้วยตัวเองมาก่อนเลย เสียงมันดังพร้อมเพรียงและกังวานเหมือนกับว่าได้ยินไปทั้งป่าเขา



ปีหนึ่งทุกคนได้แต่ยืนอ้าปากค้างทั้งๆที่เห็นการเต้นเพลงมาร์ชจากลีดมหาลัยมาไม่รู้อีกครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว แต่ทำไมครั้งนี้มันดูศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้ ไม่กล้าละสายตาหรือแม้แต่ขยับตัวเลย



พี่ตองเท่ห์จัง ผมยอมรับเลยว่าสายตาของผมมองเห็นแต่พี่เค้าที่ยืนอยู่ใกล้กับต้นไม้ที่สุด

แต่ในความชื่นชมเพียงไปนานก็พบเข้ากับสิ่งสะเทือนใจสิ่งใหม่

พี่ตองเหมือนกำลังจะร้องไห้ออกมา ถึงจะไม่เห็นเป็นสายน้ำตาไหลรินแต่นัยตาก็แดงกล่ำอยู่เนืองๆ ส่วนพี่คนอื่นๆก็แทบไม่ต่างกัน ทุกคนเริ่มจะร้องเพลงมาร์ชกันไม่เป็นเพลง เสียงสั่นเครือและสะดุดบ้าง นี่พวกพี่เขาจะต้องเต้นเพลงนี้เป็นครั้งสุดท้ายจริงๆเหรอ ความรู้สึกของการหมดหน้าที่มันเป็นแบบไหนกันนะ



“....ให้คำมั่นสัญญา ว่าจะเป็นคนดี บัญฑิตศรี แห่งรั้วมัณฑนา”



เป็นการจบเพลงมาร์ชที่เศร้าที่สุดเท่าที่ผมเคยดูมาเลย ปกติต้องมีเสียงกรี๊ดหรือเสียงปรบมือซิ ทำไมครั้งนี้มีแต่เสียงสะอื้นไห้



“แล้ว...” เกตุกล้าๆกลัวๆที่จะต้องพูด “ต่อไปพวกเราต้องเต้นใช่ไหมคะ”

“ไม่จำเป็นหรอก” พี่หนิงตอบ เธอปาดน้ำตาของตัวเองออกและพยายามควบคุมการพูด “พี่นั่งดูมาทั้งวัน พี่เห็นแล้ว จากที่เห็น น้องๆคือทีมที่ดี ไม่ว่าสิบสองคนสุดท้ายจะเป็นใคร พี่เชื่อว่าเราจะได้ทีมที่ดีมาอย่างแน่นอน”

ไม่ต้องเต้นจริงเหรอ

“ขอบคุณน้องๆทุกคนนะครับที่ฝ่าฝันกันมาถึงจุดนี้” คราวนี้เป็นพี่บุ๋นที่พูด ดูจากรูปการแล้ว คงจะเป็นการพูดต่อๆกันของพวกพี่ปีสอง “พี่เข้าใจความรู้สึกของน้องๆบางคนที่อาจจะต้องพยายามมากกว่าคนอื่นหน่อยเพราะเราไม่ได้เกิดมาพร้อมพรสวรรค์ด้านนี้ พี่เองก็มาจากจุดนั่นเหมือนกัน แต่ในที่สุดก็พาตัวเองมาถึงตรงนี้ได้ เก่ง เก่งมากครับ และขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับ น้ำชา ข้าวเจ้า และน้องน้ำขิงนะ ที่จับมือเผชิญวิกฤตมาด้วยกัน ขอบคุณครับ”

“หลังจากกลับมหาวิทยาลัย น้องๆบางส่วนก็คงจะต้องโบกมือลาตำแหน่งผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัย แต่อย่างน้อยเราก็ได้แสดงจิตวิญญาณร่วมกัน อยากให้เก็บความประทับใจตรงนี้ไว้นะคะ”

“พี่ก็ขอต้อนรับน้องๆล่วงหน้านะครับ และยินดีสำหรับสิบสองคนที่จะมาเป็นผู้นำเชียร์รุ่นต่อไป ฝากลีดมหาลัยมัณฑนาด้วยนะครับ ผู้นำเชียร์บนหอคอยเกียรติยศทุกคน”

“การฝึกหนักยังไม่จบลงเท่านี้นะคะ หลังจากกลับไปมหาวิทยาลัย น้องๆที่ได้รับคัดเลือกจะเหลือเวลาอีกหนึ่งอาทิตย์สำหรับการฝึกที่หนักที่สุดในชีวิต ยังไงพี่ก็เป็นกำลังใจให้ล่วงหน้านะ”

“วันนี้พี่มาส่งได้เท่านี้นะครับ หลังจากนี้ต้องไปต่อกันด้วยตัวเองแล้ว ทั้งภาระด้านผู้นำเชียร์และงานที่อาจจะเข้ามาอีกมากมาย สู้ๆก็แล้วกันนะครับ”

“สำหรับพี่ พี่ขอยืมคำของอาจารย์พิชิตมาพูดก็แล้วกันนะ ไม่มีใครสามารถสมบูรณ์แบบได้ แต่เราเลือกที่จะละในสิ่งไม่ดีได้ จากนี้ก็เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับทุกๆคนที่จะมองมาที่น้องๆนะคะ”

“การมาอยู่ที่นี่ในปีนี้ พี่กลับมาอีกครั้งในฐานะรุ่นพี่ แต่ปีที่แล้วพี่มาในฐานะรุ่นน้อง แล้วก็ยังไม่แน่ในแล้วด้วยซ้ำว่าจะได้รับสิทธิ์กลับมาอีกหรือเปล่า แต่อย่างน้อยพี่ก็ได้ทิ้งสิ่งดีๆให้แก่หมู่บ้าน พี่ขอพูดแทนน้องๆที่อาจจะไม่ได้รับคัดเลือกเป็นสิบสองคนสุดท้ายนะครับว่า น้องไม่ต้องเสียใจ น้องได้ทำทุกอย่างอย่างที่ผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยมัณฑนาได้ทำแล้ว”

“จากนี้อีกหนึ่งสัปดาห์พี่คงต้องขอโทษน้องๆล่วงหน้านะคะที่อาจจะทำให้น้องๆต้องเหนื่อยกว่าที่เคย เวลาของการฝึกซ้อมในฐานะผู้นำเชียร์ประจำมหาวิทยาลัยไม่ใช่ทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบแน่นอน และที่เคยฝึกกับคณะก็คงจะหนักกว่านั้นมาก ยังไงก็เตรียมใจไว้ให้พร้อมนะ”

“You all have proved that you can be great Cheer Leader of Mantana university with your actions ,your opinions and especially your minds . I’m so proud of you everyone.”

“ขอบคุณที่พิสูจน์หลายสิ่งหลายอย่างให้พวกพี่ๆได้เห็นนะคะ” ถึงคิวของพี่แอม “ขอบคุณที่ยอมรับฟังคำแนะนำ คำสั่ง และคำสอน ไม่ว่าจะมาจากรุ่นพี่คนไหนก็ตาม สิ่งที่น้องๆทำไปทุกอย่าง มันไม่ใช่แค่การกระทำเพื่อการเรียนรู้ แต่น้องๆเองก็สอนหลายเรื่องให้พวกพี่เหมือนกัน จากนี้พี่ก็คงจะขอให้น้องๆเปิดใจเรียนรู้อะไรให้มากขึ้น พี่เองก็จะเปิดใจเรียนรู้สิ่งที่จะได้รับจากน้องๆเช่นเดียวกันค่ะ”

ผมคิดไปเองหรือเปล่าว่าพี่แอมพูดถึงเรื่องความบาดหมางของผมกับพี่เค้า

“สุดท้ายนี้” มาถึงจนได้ ในที่สุดก็เป็นคราวของพี่ตอง “ปรบมือให้ตัวเองด้วยครับที่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้ด้วยการทำภารกิจสำเร็จไปแล้วสองอย่าง” ทุกคนพากันปรบมือและโห่ร้อง “และนี่คือภารกิจสุดท้าย การเติมเต็มหอคอยเกียรติยศ พี่เข้าใจว่ายังเหลือเข็มกลัดของพี่อีกอันนึงใช่ไหมครับที่ยังไม่ได้ไป” อย่านะ อย่าพูดออกมาเชียวนะ “พี่ไม่มอบให้หรอกนะครับ” อ้าว*!!!* “ยกเว้นแต่ว่าจะมาดึงเอาไปเอง แต่... มีแค่คนเดียวเท่านั้นนะ ที่ดึงเข็มกลัดของพี่ออกไปได้”

หูวววววววววววววววว

กูว่าแล้วววววว ไอ้พี่ตอง มึงนี่มัน... พวกมึงก็ไม่ต้องมีส่งเสียงแซวกูเลย



“ไปดิไอ้ชาเย็น”

“เห้ย!!!”

ไอ้ต้อม ไอ้เพื่อนเวร ผลักกูซะแรงเลยนะมึง ทำเอากู...... เสียหลัก จน.... มาอยู่.... ในอ้อมแขนของพี่ตอง...บ...แบบนี้

“......................................”

ผมกลืนน้ำลายอย่างประหม่า แต่ก็ไม่ยอมผละออกจากคนที่กำลังสบตา เหมือนความอบอุ่มของดวงตาและผิวกายของพี่ตองจะดึงดูดโอบรัดผมไว้อย่างฝืนไม่ได้

หูววววววววววววววววววววววววววววว

กรรม

ลืมตัวเลย



“เดี๋ยวก่อน” ไอ้พี่ตอง เล่นบ้าไรเนีย ยังจะมากอดรั้งไว้อีก นี่มันต่อหน้าคนอื่นนะ

“ป...ปล่อย” ผมพยายามกระซิบไม่ให้คนอื่นได้ยิน ทั้งเขินทั้งอายเลยตอนนี้

“ดึงเข็มกลัดไปก่อนซิครับ”

“เอ่อ... ก็ปล่อยก่อนซิครับพ..พี่ตอง” ต่อหน้าสาธารณะชนที่มองกูกับไอ้คนตรงหน้าเป็นตาเดียวแบบนี้ กูต้องพูดให้สุภาพซินะ

“เชิญครับ” ยังจะมายิ้มอีก

ผมรีบเอื้อมมือไปดึงเข็มกลัดที่ปักเสื้อตรงหน้าอกของไอ้พี่ตองออกมา ไม่รู้ว่ามันดึงยากหรืออะไร แต่ผมรู้สึกเหมือนตัวเองถูกควบคุมด้วยรีโมทชะลอเวลาเลย...

"ข...ขอบคุณครับ" ดึงออกมาได้ซะที

“เชิญวางในแท่นได้เลยครับ” พี่ตองเผยมือไปที่ต้นไม้เก่าแก่

เติมเต็มซินะ

จากนั้นผมเดินช้าๆไปที่ต้นไม้

มันมีช่องสำหรับวางเข็มกลัดที่เป็นหลุดวงกลมขนาดเท่ากันเป๊ะๆสิบสองช่อง พอได้มาเห็นใกล้ๆในเวลามีแสงสว่างแบบนี้แล้ว ไอ้ช่องพวกนี้มันมีลวดลายอยู่ด้วยนะ แต่เป็นลวดลายที่ดูไม่ออกว่าคืออะไร แถวยังมีลวดหรือโลหะอะไรสักอย่างโผล่อยู่ตามร่องตามขอบเหล่านั้น

ขั้นแรกผมก็วางเข็มกลัดเพชรที่ยังมือในมือลงไปในช่องบนสุด

วางได้เรื่อยๆเลยเหรอ

เอาวะ ก็มันทำได้แค่นี้นี่นา วางให้ครบก็แล้วกัน

ผมหยิบเข็มกลัดจากในกล่องไม้สีดำออกมาวางเรื่อยๆจนครบ

“...........”

แค่นี้เหรอ?

ผมหันไปหาพวกรุ่นพี่อย่างสงสัยก่อนที่พี่ตองจะส่ายหน้า อันเป็นสัญญาณว่า การวางไปส่งๆไม่สามารถทำให้ภารกิจนี้ผ่านได้

“เอ่อ...” ผมพยายามขอความช่วยเหลือจากเพื่อน จะบ้าเหรอ จะให้กูวางสับเปลี่ยนเข็มกลัดคนเดียวไปเรื่อยๆจนกว่าจะถูกเนี่ยนะ วันนี้ทั้งวันก็ไม่ได้กลับบ้านกันพอดี



“ต้องวางใหม่เหรอ?” เกตุคือคนแรกที่เดินเข้ามา จากนั่นเพื่อนๆก็เดินตามมาหมด ส่วนพวกพี่ๆก็หลบออกให้

“ก็คงงั้นอ่ะ” ผมตอบ

“ลองเปลี่ยนไปเรื่อยๆดูไหม”

“ไม่ไหวหรอก เข็มกลัดสิบสองอันเรียงสับเปลี่ยนได้ตั้งสิบสองแฟ็กวิธี(12!)”

“อะไรนะ?”

“แฟกทอเรียลไง การเรียงสับเปลี่ยนสิ่งของที่ต่างกัน สิบสองแฟ็กก็คงราวๆสี่ร้อยกว่าล้านวิธี (12! = 12x11x10x9x8x7x6x5x4x3x2x1 = 479,001,600)”

“ห๊ะ!?” ใช่ ต่อให้มีสิบแขนก็เรียงไม่ไหวหรอก



“เราขอดูใกล้ๆหน่อย” เพื่อนปีหนึ่งคนหนึ่งพูดขึ้น ก่อนจะแหวกทุกคนมาดูใกล้ๆแท่นกลางต้นไม้ คนนี้รู้สึกจะมาจากวิศวะนะ เขาดึงเข็มกลัดออกมาก่อนจะใช้สายตาส่องดูตามขอบของหลุดสำหรับวางเข็มกลัด “นี่มันทองแดงหรือเปล่า เราคิดว่าเป็นสายทองแดงนะ”

ไหนวะ

เออ จริงด้วย

“เข็มกลัดแต่ละอันก็มีส่วนประกอบของทองแดงเหมือนกัน ดูดิ” เพื่อนคนเดิมว่าต่อ “แค่เล็งให้ลวดทองแดงในเข็มกลัดตรงกับลวดทองแดงในช่องแต่ละช่องก็น่าจะโอเคแล้วนะ”

“แต่ลายมันไม่เหมือนกันเลยนะ” มายด์พูดออกมา

“เดี๋ยวนะ” ไอ้ต้อมเหมือนจะมองเห็นอะไร “สังเกตในแต่ละช่องดีๆดิ ทำไมมีทองแดงโผล่มาหลายทีจัง แต่ในเข็มกลัดมีแค่สองด้านนะ”

“เออ จริงด้วย” เพื่อนวิศวะกลับมาสงสัยอีกรอบ “แสดงว่าต้องมีตัวหลอกอยู่ด้วย”

“นี่กำลังคิดอะไรกันอยู่เหรอ” ผมพูดบ้าง “กำลังคิดกันอยู่ใช่ไหมว่าลวดทองแดงในเข็มกลัดเป็นสื่อนำไฟฟ้าให้ลวดทองแดงในแท่นวาง”

“ใช่”

“แล้วไฟฟ้ามาจากไหน?” ลืมคิดกันไปหรือเปล่าว่าที่นี่ไม่มีไฟฟ้า



“ดูข้างล่างซิ” เกตุร้องให้ดู

ไหน?

เห้ย!!

มีถ่านไฟฟ้าอยู่ตรงใต้ต้นไม้เต็มเลย วางใส่ช่องลวดเหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้าเสร็จสับ ไม่ทันจะเคยสังเกตเห็นช่องใส่ถ่านใต้ต้นไม้มาก่อนเลย

อ๋อออออ

แบบนี้นี่เอง ที่เรียกให้ปีหนึ่งไปที่ระฆังไม้ไผ่เมื่อกี๊ก็เพื่อเตรียมการด้วยการเอาถ่านไฟฉายมาใส่ไว้ตรงนี้ซินะ

“โอเค” ผมหายสงสัย “งั้นทฤษฎีการใช้ลวดทองแดงนำกระแสไฟฟ้าก็เป็นไปได้ แต่ก็อย่างที่สงสัยกันนั่นแหละ มันมีอันที่เอามาหลอกด้วย แค่เล็งอย่างเดียวคงช่วยอะไรไม่ได้”



“ลืมไปแล้วเหรอ” จู่หมอพิชิตก็พูดขึ้น “รุ่นของผมมีแต่เด็กวิศวะทั้งนั้น ของเล่นแบบนี้ เป็นเรื่องสนุกเชียวล่ะ”

เฮ้อออออออ เพื่อนอาจารย์หมอสนุก แต่พวกผมนี่งงสนิทเลย



“หรือว่าต้องเรียงตามลำดับเข็มกลัดที่ได้มา” ไอ้สุ่ยเสนอความคิด

“เป็นไปไม่ได้หรอก” ไอ้ข้าวขัด “ทุกรุ่นไม่มีทางได้เข็มกลัดด้วยลำดับเดียวกันอยู่แล้ว”

จริงอย่างที่ไอ้ข้าวบอก งั้นทุกรุ่นก็ต้องผลัดตกธารน้ำตกเหมือนกันนะซิ ทฤษฎีนี้ตกไป

ต้องมีอะไรบางอย่างที่ทุกๆรุ่นได้เหมือนกัน

สิบสองเข็มกลัดเหรอ....

หึ!!

เดี๋ยวนะ

“เกตุๆ” ผมเรียก “หนังสือข้อห้าม 12 เข็มกลัดอยู่ไหนอ่ะ”

“เอ่อ...” เกตุมองหา “ตรงโน้น” เธอรีบวิ่งไปดึงหนังสือเก่าออกมาจากในกระเป๋าสะพายของเธอ “อะนี่”

“ช่วยอ่านให้ฟังอีกทีหน่อย”

“อ่าน?”

“ใช่ ตรงกลอนอ่ะ แต่อ่านทีละวรรคนะ”

“โอเค.... อืม....  ความอ่อนแอ แค่ทาง ของคนหน่าย”

“เข็มกลัดอะไรแปลว่าผู้สละความอ่อนแอ?”

“อ๋อ” เกตุเริ่มเข้าใจ เธอรีบพลิกไปอีกหน้า “เข็มกลัดหิน”

ผมทำการเคลื่อนย้ายเข็มกลัดหินขึ้นมาไว้เป็นอันดับแรก

“วรรคต่อไปว่าไง”

“ความดุร้าย แค่ฉาก ของคนขลาด เอ่อ... เข็มกลัด...ลม” แล้วเกตุก็อ่านต่อไปเรื่อยๆโดยที่มีผมคอยวางเข็มกลัดให้ตรงกับบทกลอนนี้ “...เสียสละคือคำผู้นำคน...คือ...เข็มกลัดเพชร”



ขอให้ถูกทีเถอะ....



กริ่ง กริ๊ง กริง กริง กริ่ง กริ๊ง กริง กริ่ง....

“เสียงอะไรอ่ะ” ไอ้ต้อมพูด ไม่ใช่แค่มันคนเดียวหรอกที่ได้ยิน ทุกคนก็ได้ยินเหมือนกันหมด

จู่ๆก็มีเสียงฟังคล้ายๆกับดนตรีจากกล่องดนตรีดังออกมาจากภายในต้นไม้

“เพลงมิ่งขวัญมัณฑนา” ผมบอก ผมแทบจะรู้ในทันทีเลยด้วยซ้ำ ต่อให้เอามาทำเป็นเสียงแบบนี้ผมก็จำได้ เพราะเป็นเพลงที่ผมฟังและซ้อมเต้นมาเป็นร้อยๆรอบ ยอมรับเลยว่าคิดถึงเพลงนี้มาก และไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการเอามาทำเป็นดนตรีในลักษณะเสียงกล่องดนตรีจะไพเราะได้ขนาดนี้



“ว้าววว ดูนั่นซิ” มายด์ร้องออกมาพร้อมกับชี้ไปที่บนต้นไม้



พระเจ้า.....



กิ่งไม้ที่ตายแล้วพวกนี้กำลังส่องแสงออกมาจากหลอดไฟเล็กๆที่ซ่อนอยู่ นี่ก็เป็นอีกลูกเล่นนึงซินะ ปูนที่หล่อขึ้นเพื่อยึดโครงสร้างของต้นไม้ไหว ดูเหมือนจะมีการวางระบบไฟฟ้าไว้ข้างในด้วย ช่างประดิษฐ์กันจริงๆ

จังหวะดนตรีและดวงไฟระยิบระยับดวงเล็กๆเต้นระบำไปทั่วกิ่งก้านสาขาของซากต้นไม้ สวยงาม เหมือนได้อยู่ภายใต้ร่มเงาของรุ่นพี่ทุกๆรุ่นเลย แต่ละรุ่นก็คงจะทำตาเป็นประกายแบบนี้เหมือนกันซินะที่ได้เห็น

ความรู้สึกของการเป็นผู้นำเชียร์มันอบอุ่นขนาดนี้เชียวเหรอ



“นั่นอะไรอ่ะ” เกตุเรียกทุกคนให้ดู

ไหน?



คุณพระช่วยสำแดงเดชชชชช

ต้นไม้ต้นนี้มีกลไกอะไรซ่อนไว้อีกไหมเนี่ย ก็เพราะจู่ๆแถบปูนบนแท่นที่มีคำว่า หอคอยเกียรติยศ ก็ผลักตัวเองออกมาข้างหน้าก่อนจะค่อยๆเอียงลาดลงตามรูปทรงของกลไกที่ตั้งไว้จนเผยให้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ด้านใน...

เทียน*!?*

ทำไมถึงมีเทียนเก่าๆซ่อนอยู่ในนี้



หือ หื่อ หือ หื่อ หื้อ หือ.....

หลังจากเทียนแท่งสีขาวหนึ่งแท่งปรากฏออกมาจากแท่นปูนพร้อมๆกับเสียงดนตรีเพลงมิ่งขวัญมัณฑนาจากในลำต้นไม้เงียบลง เสียงฮัมเพลงก็ดังขึ้นมาทันทีที่ด้านหลังของพวกผม

พวกพี่ปีสองนั่นเอง พวกพี่เค้ากำลังฮัมเพลงช้าๆเพลงหนึ่งขึ้น โดยมีอาจารย์หมอพิชิตและพี่ท๊อปกับพี่ ก.น.ช.ผู้หญิงร่วมฮัมด้วย

พวกพี่เขาถืออะไรอยู่ในมือหว่า?

เทียน...ใช่ไหม

และในวินาทีนั่นเองที่ผมเข้าใจแล้วว่าพวกพี่เขากำลังต้องการจะทำอะไร

ผมจึงเอื้อมมือไปหยิบเทียนจากในแท่นปูนออกมา ก็เพราะว่าตอนนี้พวกพี่เขากำลังจุดเทียนส่งต่อมาจากหมอพิชิตทีละคนๆ และดับเทียนของตนเองลงทันทีที่เปลวไฟถูกส่งมอบออกไป ผมเข้าใจเลยว่าเปลวไฟนั่นจะต้องถูกส่งมาให้เทียนเก่าๆเล่มที่อยู่ในมือของผมแน่นอน



“ดวงดาว... สว่างสกาว....นภา... (มีร้องเพลงด้วยแฮะ โคตรซึ้งเลย)

ฟากฟ้า... เคยแต่งเติม...ด้วยฉัน....

ส่องแสง...แยงเย้า....เริงกัน....

แต้มฝัน... เป็นแสง... เรืองรอง....

ดวงดารา... ต้องถึงคราว... ลับจาก...

ฝากเพียงรัก... ศรัทธา...พวกพ้อง...

ลาแล้ว... หมดแสง...เคยครอง...

ฝากน้อง...เป็นแสง...คืนใหม่...

กาลเวลา... พัดพา...ให้เปลี่ยน...

จบบทเรียน... แห่งดาว... สุกใส...

เปลี่ยนผัน...เปลี่ยนฟ้า...อาลัย

เปลี่ยนให้...ดาวน้อย...ลอยแทน

ราตรีนี้...จะจรัส...  แสงใหม่...

คือดวงใจ... ทอประกาย... ทั่วท้อง...

จงเป็นแสง...พราวฟ้า...เรืองรอง...

ขอฝากน้อง...ส่องแสง...ทดแทน...

.....ดาวลับ หมดแล้ว เรืองรอง... ขอดาวน้อง... ส่อง...ทด...แทน...”

เทียนในมือของผมถูกจุดให้ติดพร้อมกับประโยคสุดท้ายของบทเพลงอำลา

พี่ตองที่เป็นคนส่งต่อเปลวเทียนเป็นคนสุดท้ายเป่าเทียนในมือของตัวเองให้ดับ เหลือไว้เพียงแสงเดียวในความครอบครองของผมและผองเพื่อนปีหนึ่งซึ่งพยายามแตะที่ตัวกันและกันโดยมิได้นัดหมาย อย่างกับว่าพวกเราทุกคนอยากมีส่วนในเทียนเล่มนี้



“เอากลับไปเก็บที่เดิมได้แล้วครับ” พี่ตองบอก

หมายถึงอะไร? จะให้เอาเทียนกลับไปไว้ในแท่นปูนเหมือนเดิมอะเหรอ

ดูจากสถานการณ์แล้วก็คงใช่ ผมหันหลังแหวกเพื่อนปีหนึ่งไปหยุดอยู่หน้าต้นไม้เก่าแก่อีกครั้ง ก่อนจะวางเทียนที่ยังติดไฟอยู่ลงไปในช่อง

มีน้ำตาเทียนหยดอยู่ในช่องอยู่แล้วซะด้วย แปลว่าทุกรุ่นก็คงได้ทำแบบเดียวกันแน่นอน เทียนเล่มนี้คงจะเคยถูกจุดมาแล้วบ่อยครั้ง



“ปิดพร้อมกันนะครับ” หึ! พี่ตองเดินมาอยู่ข้างผมตั้งแต่เมื่อไหร่

“....” ท...ทำอะไร

จู่ๆ พี่ตองก็จับมือผมขึ้นมาแล้วนำมันไปวางไว้ที่แท่นปูนซึ่งถูกกลไกดันออกมาก่อนจะเอามือของพี่เค้าทาบไว้ที่มือผมอีกครั้ง

อ๋อ... จะให้ดันปิดพร้อมกันซินะ

“พร้อมนะครับ” พี่ตองถาม

“ค...ครับ” ผมตอบเขินๆ ก็มันเขินจริงๆนิ แต่พิธีการมันพาไป อารมณ์ทุกคนกำลังคล้อยตาม จะให้ผมมาทำตัวกะโตกกะตากได้ยังไงล่ะ

“หนึ่ง...สอง...สาม”



แกร็ก

เทียนถูกแท่นปูนดันกลับเข้าไปให้เป็นพื้นเรียบตามเดิม แสงเทียนเล่มสุดท้ายก็หายไปเช่นเดียวกัน อีกทั้งแสงไฟกระพริบเล็กๆบนกิ่งก้านของต้นไม้ก็มืดลง

ทุกอย่างนิ่งสนิท ไม่มีความประหลาดใจอะไรต่อจากนั้นอีกแล้ว ไม่มีกลไก ไม่มีเสียงดนตรี ไม่มีเสียงเพลง มีเพียงบรรยากาศที่เหมือนถูกหยุดเวลาไว้ แต่ในใจของผมกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมพอจะบอกกับตัวเองได้



สำเร็จแล้ว

“จากนี้ไป ฝากชาด้วยนะครับ” พี่ตองพยายามพูดให้ผมฟังแค่คนเดียว “ฝากผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนา และ...







หัวใจของพี่ไว้ด้วยนะครับ”
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 27-03-2018 05:39:32
ร้องไห้เคล้าบรรยากาศฝนตก...แอบคิดถึงบรรยากาศตอนรุ่นพี่รับเป็นน้องตอนปี1
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-03-2018 07:26:45
ไรท์สุดยอดดดดด   :katai2-1:
ทั้งแต่งเพลง ทั้งลูกเล่น ยอดมาก
ผูกเรื่องได้เก่งมากๆ  ชื่นชมไรท์จริง    :L1: :L1: :L1:

รอพบทีมผู้นำทั้งสิบสองคน    :hao3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 01-04-2018 00:01:33
เพิ่งได้เข้ามาอ่าน ชอบมากๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: netich ที่ 02-04-2018 00:48:29
รอๆๆ
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 02-04-2018 15:38:37
หูยยยยย สนุกอ่ะ อ่านแบบไม่พักเลยยยยย

มาต่อไวๆนะ  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 53 [ปฏิทินและสิ่งมีค่า]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 03-04-2018 22:17:03
ตอนที่ 53 : ปฏิทินและสิ่งมีค่า







“บุ๋น... บุ๋นครับ”

“ค...ครับ” ผมถูกปลุกขึ้นมาจากการเผลอหลับไปในห้องคณะกรรมการ ก.น.ช. “เสร็จแล้วเหรอครับ”

“เสร็จแล้วครับ ขอโทษทีนะที่ใช้เวลาเขียนรายงานนานไปหน่อย”

“ไม่เป็นไร ว่าแต่ พี่ท๊อปได้เขียนเรื่อง...”

“ไม่ได้เขียนครับ จะไปเขียนได้ยังไงว่าการพาผู้นำเชียร์ปีหนึ่งไปนอกสถานที่มีอุบัติเหตุคนตกน้ำ พี่เองก็เป็นลีดมหาลัยมาก่อนนะครับ”

“ขอโทษที่ต้องทำให้โกหกนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ บอกแล้วไงว่าพี่ก็มีเลือดผู้นำเชียร์อยู่ในตัวเหมือนกัน... กลับกันดีกว่าครับ ดึกมากแล้ว”

“ครับ”



ในที่สุดก็ได้ออกจากมหาลัยซะที ตั้งแต่จบกิจกรรมที่หมู่บ้านลับหมอก ผมและผู้เดินทางทุกคนก็เดินทางกลับมาที่มหาวิทยาลัยมัณฑนา กว่าจะถึงก็ปาไปเกือบสี่ทุ่ม กว่าจะจัดการธุระที่ตึกผู้นำเชียร์เสร็จก็เกือบเที่ยงคืน แต่เพราะพี่ท๊อปต้องเขียนบันทึกรายงานการทำกิจกรรมนอกมหาวิทยาลัยส่งให้ผู้ใหญ่อีก ผมก็เลยต้องมานั่งรอเป็นเพื่อน เผลอหลับไปเหมือนไหร่ก็ไม่รู้

จริงๆแล้วพี่ท๊อปไม่ต้องรีบเขียนรายงานส่งก็ได้นะ แต่เพราะเสาร์อาทิตย์นี้มีเรื่องสำคัญที่จะเกิดขึ้น พี่เค้าก็เลยต้องเคลียร์ทุกอย่างให้เรียบร้อย



“ดูแล้วพวกน้ำชาคงจะมีสิทธิ์เป็นตัวจริงสูงนะงานนี้” พี่ท๊อปเปิดประเด็นระหว่างขับรถกลับบ้านพัก “โด่ดเด่นกันมากเลย”

“บุ๋นก็หวังอย่างนั้น” ผมตอบ ยังงัวเงียนิดหน่อย “บุ๋นให้คะแนนเต็มกับไอ้น้ำชาเลยนะ ส่งคะแนนให้พี่ชมพู่ไปแล้วด้วย ผลรวมคงจะออกวันจันทร์นี้ หวังว่ามันจะได้นะ น้องมันพยายามมากจริงๆ”

“เพื่อให้ได้ใกล้ชิดเจ้าตอง น้ำชาพยายามถึงแปดปี ทั้งน่าทึ้งและโรแมนติก ส่วนเราสองคนเองก็คงต้องพยายามเหมือนกันนะครับ”

“พยายาม?”

“ก็เรื่องวันพรุ่งนี้ไง เรื่องที่จะต้องไปหาครอบครัวของบุ๋น”

“นั่นซิ” ถึงผมจะเป็นคนออกปากเอง แต่นี่มันก็น่าหนักใจเหมือนกันนะ “แล้วพี่ท๊อปยกเลิกซ้อมที่เกาหลีไปแล้วเหรอ”

“ปิงปิงจัดการให้แล้วครับ อ่อ เรื่องที่ช่วยเคลียร์กับปิงปิงให้พี่ ขอบคุณนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ จริงๆบุ๋นไม่ได้เป็นเคลียร์ซะหน่อย แต่ไปขอให้ไอ้น้ำชาช่วย”

“ยังไงก็มาจากบุ๋นอยู่ดีแหละครับ ขอบคุณนะ ปิงปิงเป็นเหมือนเพื่อนและครอบครัวของพี่ พี่ผิดเต็มๆเลยที่ไปต่อว่าเค้าแบบนั้น”

“แล้ว... ครอบครัวพี่ไปไหนล่ะ”

“........” ชิบหายแล้วไง ทำไมพี่ท๊อปทำหน้าอย่างงั้นอ่ะ นี่เป็นสิ่งที่กูไม่ควรถามใช่ไหม

“ข..ขอโทษครับ บุ๋นไม่...”

“ไม่เป็นไรครับ พี่แค่ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน”

ก็ใช่น่ะซิ ผมไม่เคยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับครอบครัวพี่ท๊อปเลยทั้งๆที่ใกล้ชิดกันขนาดนี้

“พ่อกับแม่พี่แยกทางกันเมื่อตอนที่พี่อยู่ปอหก มันค่อนข้างเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับเด็กอายุแค่สิบสองปี แม่จับได้ว่าพ่อมีผู้หญิงอื่น แม่ก็เลยไล่พ่อออกจากบ้าน แต่ตัวแม่พี่เองก็ทำใจไม่ได้ หนีไปอยู่ซิดนี่ตั้งแต่ตอนนั้น”

“แล้ว...ทำไมพี่ไม่ไปอยู่ด้วยล่ะ” นี่ผมควรถามดีไหม แต่ก็ถามไปแล้วอะนะ

“ไม่รู้ซิครับ พี่ก็เสียใจนะ แต่ไม่ได้ถึงขั้นที่จะเอาความรู้สึกทั้งหมดมาตัดสินตัวเอง พี่ตัดสินใจอยู่ แม่เองก็เหมือนจะไม่อยากเห็นหน้าพี่เท่าไหร่นัก พี่คงหน้าเหมือนพ่อมั้ง แม่ก็เลยไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่โน่น เปิดร้านอาหารไทย ส่วนพี่ก็อยู่ที่ไทยคนเดียวกับแม่บ้าน พี่รู้ซึ้งถึงคำว่าพ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยเงินเลยนะ ก็เพราะหลังจากการแยกทางของพ่อกับแม่ สิ่งเดียวที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของพี่กับพ่อแม่ไว้ก็คือเงินที่พวกท่านส่งมาให้ทุกเดือน สำหรับพี่แล้ว เงินไม่เคยเป็นสิ่งมีค่าในชีวิตพี่เลย”

น่าสงสารจัง “แล้วพ่อพี่ไม่มาหาบ้างเหรอ”

“ก็มาบ้างครับ แต่พี่เองต่างหากที่หลบหน้า ยังไงซะพี่ก็โทษว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมาจากพ่อ เวลามันเยียวยาไม่ได้ทุกเรื่องหรอกนะ เพราะแบบนี้ไงปิงปิงถึงเป็นเหมือนครัวครอบของพี่ เรารู้จักกันมานานมาก ปิงปิงเป็นเพื่อนบ้านของพี่ตั้งแต่เด็กๆแล้ว เมื่อก่อนสมัยที่ปิงปิงแต่งตัวเป็นผู้หญิงใหม่ๆ ทั้งหมู่บ้านคิดว่าพี่เป็นผู้ชายของปิงปิงเลยแหละ แต่พี่ไม่สนใจหรอกนะ เราเป็นเพื่อนรักกันมานานจนมองข้ามคำนินทาไร้สาระพวกนั้นไปได้”

“พี่ว่าถ้าบุ๋นแต่งหญิงจะสวยไหม” ผมคิดขำๆ

“ห๊ะ! บุ๋นอยากทำอย่างนั้นเหรอ”

“ก็จะได้มีคนคิดว่าพี่ท๊อปเป็นผู้ชายของบุ๋นบ้างไง”



เอี๊ยดดดดดดดดด



“โอ๊ย! เบรกทำไมเนียพี่ท๊อป รู้ไหมว่าหัวเกือบจะ....” ผมแทบหยุดหายใจเมื่อคนขับรถข้างๆผมกำลัง... “จ...จะเอาหน้ามาใกล้บุ๋น ท..ทำไม”

“บุ๋นเปลี่ยนไปนะครับ เปลี่ยนไปมากเลยตั้งแต่เกิดเรื่องบนเขา”

“ล...แล้วไม่ช...ชอบเหรอ”

“อยากรู้ไหมว่าชอบหรือเปล่า”



หัวใจผมเต้นรัวเป็นกลองเลยตอนนี้



แล้วสิ่งที่คิดก็เกิดขึ้นจนได้....

พี่ท๊อปประทับจูบลงบนริมฝีปากของผม ทั้งหิวโหยและนุ่มนวลไปพร้อมๆกัน

ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ารสจูบของพี่ท๊อปจะเร้าร้อนได้ถึงเพียงนี้...



“พ...พี่ขอโทษ” พี่ท๊อปผลักตัวเองออกก่อนจะหายใจเข้าออกแรงๆอย่างกับคนที่เพิ่งจะโผล่พ้นจากน้ำลึก

“ก็...ไม่ได้ว่าอะไรนี่นา” ผมเขินนะ แต่ทำไมฟังคำพูดตัวเองแล้วเหมือนเชิญชวนให้คนที่ได้ยินมาทำอะไรมิดีมิร้ายยังไงก็ไม่รู้

“ไม่ได้ๆ พี่ต้องเคลียร์กับครอบครัวบุ๋นก่อน พี่บอกไปแล้วไง”

“โอเคแน่นะ” นี่กูเพิ่งจะโดนจูบนะ ทำไมกูต้องเป็นคนมาปลอบใจวะ

“โอเคครับ”

“งั้นก็รีบกลับได้แล้ว”

“กลับไปไหนครับ? เราถึงแล้ว”

“อ้าว” เออ จริงด้วย นี่บ้านเช่าของกูนี่หว่า ถึงตั้งแต่เมื่อไหร่วะ “ก็พี่ท๊อปชวนบุ๋นคุยอ่ะ”

“ครับๆ พี่ผิดเอง แล้วจะไปไหนน่ะ?”

“ก็ไปเปิดประตูรั้วไง”

“ไม่ต้องครับ เดี๋ยว...”

“พี่ท๊อปนั่นแหละไม่ต้อง เดี๋ยวบุ๋นเปิดเอง”

“ไม่ต้องงง พี่เปิดเองครับบบ บุ๋นเหนื่อยแล้ว”

“ไม่เห็นจะเหนื่อยเลย บุ๋นจะไปเปิดเอง”

“ให้พี่เปิดเถอะนะ”

“ไม่เอา ไม่ต้องบริการบุ๋นตลอดเวลาก็ได้ แค่นี้เอง”

“ให้...”

“พี่ท๊อป​" กูต้องขึ้นเสียงจนได้ซิน่า "บุ๋นบอกว่าบุ๋นจะไปเปิดเอง แล้วพี่ก็ขับรถเข้าไป เลิกเถียงกันได้แล้วมั้ง เดี๋ยวคืนนี้ก็ไม่ได้หลับได้นอนกันพอดี”

“อ...โอเคครับ”



แล้วผมก็ลงไปเปิดประตูรั้วจนได้ ระหว่างนั้นก็เหลือบไปมองบ้านข้างๆ เห็นไฟห้องนอนเพิ่งจะดับลงไป ไอ้ข้าวเจ้ากับไอ้สุ่ยคงจะเข้านอนกันแล้ว รู้เลยว่าคืนนี้พวกมันคงหลับเป็นตายเพราะเหนื่อยจากการเพิ่งลงจากเขาและเดินทางมาไกล ผมเข้าใจความรู้สึกนี้ดี ปีที่แล้วผมก็เคยเป็น

ส่วนผมเองก็ไม่ได้ว่าจะเก่งไปกว่าพวกปีหนึ่งสักเท่าไหร่หรอก หัวถึงหมอนได้ก็หลับแทบจะทันทีเหมือนกัน ทั้งๆที่ควรจะกังวลเรื่องในวันพรุ่งนี้ แต่ไม่ไหวแล้ว ขอหลับในอ้อมแขนอุ่นๆของพี่ท๊อปก่อนก็แล้วกันนะ

ราตรีสวัสดิ์....

#เสียงโทรศัพท์

“พี่ท๊อป โทรศัพท์เข้า” ผมหยิบมือถือที่พี่ท๊อปวางไว้หน้าห้องน้ำขึ้นมาดู “ไอ้ตอง? ไอ้ตองโทรมาอ่ะ”

“บุ๋นรับเลยครับ” เสียงตอบของพี่ท๊อปดังออกมาจากในห้องน้ำพร้อมกับเสียงซ่าๆของฝักบัว “พี่สระผมอยู่”

“โอเค... ฮัลโหล”

“ฮัลโหลครับพี่ท๊อป ผมตองนะพี่” ปลายสายพูด

“กูเอง บุ๋น”

“อ้าว ไอ้บุ๋นน้อย พี่ท๊อปไปไหนวะ”

“พี่ท๊อปไม่ว่างรับ มีไร”

“ทำไมไม่วางวะ พี่ท๊อปเล่นท่ายากอยู่งะ”

“ท่ายากพ่องอ่ะ ไอ้สัดตอง”

“อันแน่ ทำเขินๆ หลังจากกูแนะแนวเรื่องอย่างว่าให้ ไปถึงไหนแล้ววะ”

“แนะแนวโรคจิตแบบนั้น เอาไปทำกับน้องน้ำชาของมึงเหอะ พี่ท๊อปเค้าสุภาพโว๊ย ไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก นี่มึงจะโทรมาด้วยเรื่องแค่นี้ใช่ไหม งั้นกูวางนะ”

“เปล่าๆๆ โห ใจเย็นดิเพื่อน กูจะโทรมาถามพี่ท๊อปว่าพรุ่งนี้ว่างไหม มึงก็ด้วย”

“มีไรวะ”

“พรุ่งนี้ยี่สิบสองธันวาแล้ว”

“แล้วไง?”

“แล้วไงเหรอ มึงลืมไปหรือเปล่าว่าเรารับค่าจ้างเรื่องไปแจกปฏิทินช่วงคริสมาสต์ของแม่น้ำชาไว้”

“เออว่ะ ลืมไปเลย”

“พรุ่งนี้เหรอ กูอ่ะว่าง แต่ว่า...”

“แต่ว่าอะไรวะ”

“พอดีกูกับพี่ท๊อปนัดกันไว้ว่าวันนี้เราจะไป...เอ่อ...”

“ไป? ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวไม่ต้องบอกกูก็ได้นะ ขอแค่ว่าพรุ่งนี้มึงว่าง กูจะได้โทรไปคอนเฟิร์มกับ T-Queen World Wide”

“ก็นั่นแหละปัญหา กูไม่แน่ใจ”

“แล้วกูจะแน่ใจอะไรจากมึงได้ไหมเนี่ย ตอนแรกกูไม่อยากรู้หรอก แต่ตอนนี้กูอยากรู้แล้วว่ามึงจะไปทำอะไรกับพี่ท๊อปวันนี้ ถึงขั้นจะมีผลถึงวันพรุ่งนี้เลย จะแต่งงานหรือไง”

“มึงนี่มันเพื่อนเลวจริงๆนะ”

“โอ๋ๆ ขี้งอนนะมึงเดี๋ยวนี้ เออๆ งั้นเรื่องอะไร”

“ก...กูจะพาพี่ท๊อปไปหาพ่ออ่ะ”

“ชิบหายแล้วววว งานเข้าจริงด้วย คิดดีแล้วเหรอวะ”

“พี่ท๊อปอยากเจอ กูก็อยากให้เจอเหมือนกัน”

“พ่อมึงอะนะ กูไม่ได้จะแนะนำให้มึงกับพี่ท๊อปชิงสุกก่อนห่ามนะ แต่กรณีของมึง กูว่า...ไม่ต้องให้พ่อมึงรู้ก็ได้มั้ง”

“มึงคิดว่ากูไม่หวั่นใจเหรอ แต่พี่ท๊อปเค้าเห็นมึงกับไอ้น้ำชาเป็นไปด้วยดีกับครอบครัวสองฝ่ายไง พี่เค้าก็เลยอยากทำบ้าง”

“จริงดิ แล้วจะเอาไงดี งั้น... กูปรึกษาน้ำชาแป๊บนะ มึงอย่าเพิ่งรีบไปล่ะ”

“เออๆ โทรมาละกัน”

"เค"

“เจ้าตองโทรมาทำไมเหรอ” พี่ท๊อปเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำหลังจากผมวางสายไม่นาน

“เรื่องแจกปฏิทินอ่ะ” ผมตอบพร้อมกับหยิบไดร์เป่าผมออกมาจากลิ้นชัก “จะถึงคริสมาสต์แล้ว มันก็เลยโทรมาถามตารางวันพรุ่งนี้ของเราสองคน”

“จริงซิ พี่ก็ลืมเรื่องนี้ไปเลย แต่พี่ไม่น่ามีคิวนะพรุ่งนี้ ไม่มีปัญหา”

“ปัญหาน่ะมีแน่... นั่งลงซิ เดี๋ยวบุ๋นเป่าผมให้”

“เป่า!?”

“ไม่รู้จักไดร์เออร์เหรอ”

“ไม่... เอ๊ย รู้จักซิครับ แต่...”

“นั่งเถอะน่า จะได้เป่าผมซะที”

“ค...ครับ” กว่าจะนั่งได้ มัวทำหน้าเหวออยู่ได้ “ว่าแต่ที่บอกว่ามีปัญหาคือเรื่องอะไรเหรอครับ”

“เรื่องของวันนี้ไง มันอาจจะไม่เป็นไปตามที่เราคาดก็ได้นะ”

“หมายถึงเรื่องที่พี่จะไปคุยกับพ่อแม่บุ๋นอะเหรอ”

“ไม่ต้องพ่อแม่หรอก แค่พ่อก็พอ ถึงบุ๋นจะออกปากชวนพี่ท๊อปเอง แต่ว่า...”

“พ่อดุเหรอครับ หรือหวง”

“ทั้งดุ ทั้งหวง ทั้งเผด็จการ แล้วก็เจ้าอารมณ์สุดๆ บุ๋นก็ไม่อยากพูดถึงพ่อแบบนี้หรอกนะ แต่กิตติศัพท์นี้ของพ่อเป็นที่รู้กันดีในหมู่เพื่อนของบุ๋นเลยแหละ ตอนสมัยมัธยม บ้านบุ๋นไม่เคยถูกใช้เป็นที่รวมตัวทำรายงานกลุ่มเลย ถ้าไม่มีธุระสำคัญจริงๆ เพื่อนบุ๋นจะไม่เข้าไปเหยียบที่บ้านบุ๋นแน่ๆ”

“ขนาดนั้นเลยเหรอครับ... แต่ก็สมควรหวงอยู่หรอก ลูกชายทั้งหล่อทั้งน่ารักซะขนาดนี้”

“ยังจะมาพูดอีก นึกภาพไม่ออกหรือไงว่าการที่สามารถบังคับให้คนอย่างบุ๋นเรียนคณะวิทย์ได้ พ่อบุ๋นจะเป็นจอมเผด็จการขนาดไหน”

“แต่พี่ว่าพี่นึกภาพออกนะ พี่ว่าบุ๋นได้รับอิทธิพลส่วนหนึ่งมาจากพ่อ”

“บุ๋นเนี่ยนะ”

“ใช่ครับ ตอนปกติบุ๋นอาจจะดูธรรมดา แต่เวลาบุ๋นเริ่มสอนลีดจะมีอีกบุคลิกนึง จริงจัง สั่งการ แล้วก็ระเบียบเป๊ะ”

“ทำเป็นรู้”

“ก็แอบมองมาตั้งนาน ทำไมจะไม่รู้ล่ะครับ”

“บุ๋นไม่ใช่ไอ้น้ำชานะ หยอดไม่ได้ผลหรอก" หรือได้ผลวะ "อ่ะนี่ครับ ชุดสำหรับวันนี้”

“เตรียมชุดไว้ให้ด้วย? แถมยัง... รีดเองใช่ไหมเนี่ย”

“บ้านนี้ก็มีอยู่แค่สองคนนะ ใครจะมารีดได้อีกล่ะ”

“เอาไปใส่ได้แล้ว บุ๋นจะได้ไปเช็ดรองเท้าให้”

“เดี๋ยวก่อน... มานี่เลย”

“พ...พี่ท๊อป” จู่ๆผมก็ถูกดึงไปกอดจากด้านหลัง ก่อนจะโดนหอมแก้ม เรียกว่าหอมไหมน่ะ เหมือนโดนกดริมฝีปากแรงๆใส่แก้มสองข้างมากกว่า “อะไรของพี่เนีย”

“มาทำตัวน่ารักๆแบบนี้กับพี่ได้ไง รู้ไหมว่า...”

“ว่า?”

“พี่ต้องกดอารมณ์ตัวเองไว้ขนาดไหน”

“......” หมายถึง? อ๋ออออออออ “ก็... ไม่เห็นต้องเก็บกดไว้เลยนี่นา บุ๋นไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย”

“พอๆๆๆ ยิ่งพูดพี่จะยิ่งเตลิด” พี่ท๊อปปล่อยกอดจากผมก็จะเอาเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำ “พี่ปฏิญาณไว้แล้วว่าจะต้องขอบุ๋นจากครอบครัวก่อน ต่อให้ยากแค่ไหนก็ต้องขอก่อนให้ได้”

“พี่ท๊อป”

“ไม่ต้องพูดแล้ว พี่บอกว่าปฏิญาณแล้วไง”

“พี่ท๊อป”

“บุ๋นอยากเซ้าซี่ซิครับ พี่ไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะ ขืนยั่วพี่มากๆพี่ก็ทนไม่ไหวเหมือนกันนะ”

“ฟังก่อนไหม พี่เข้าไปห้องน้ำทำไม”

“ก็เปลี่ยนชุดไงครับ”

“ชุดยังอยู่นี่”

“......”

ไอ้พี่ท๊อปเอ๊ยยยย กว่าจะรู้ตัว ก็เลยต้องเดินหน้าแตกออกมารับเสื้อผ้าเข้าไปในห้องน้ำอีกรอบ

ผมแอบขำนิดๆ ก่อนจะเดินไปหยิบรองเท้าหนังของพี่ท๊อปมาขัดแปรงเล็กน้อย



“....เอางั้นเหรอ ก็ได้เดี๋ยวพี่รอ” พี่ท๊อปเดินคุยโทรศัพท์ออกมาจากห้องนอนก่อนจะวางสายแล้วหันว่าพูดกับผม “เจ้าตองกับน้ำชาจะไปกับเราด้วย”

“ห๊ะ” ผมแทบร้อง “จะไปทำไมอ่ะ”

“กิตติศัพท์ของพ่อของบุ๋นไง เจ้าตองเองก็กังวลเรื่องนี้ กลัวว่าจะเคลียร์ไม่จบในวันเดียวก็เลยจะเอาปฏิทินไปแจกด้วยเลย”

“ไปแจกที่บ้านบุ๋นเนี่ยนะ? พ่อคงอยากได้หรอก”

“ไม่ใช่บ้าน ร้านต่างหาก”

“ร้าน?”

“ใช่ครับที่รัก ลืมไปแล้วเหรอครับว่าพ่อตาของพี่เป็นเจ้าของร้านขายเครื่องสำอางนำเข้า แล้วก็เป็นร้านดังในห้างซะด้วย”

“อย่าพูดแบบนี้ต่อหน้าพ่อเชียวนะ ไม่งั้นพี่ตายแน่”

“ตายเพราะรักบุ๋นอะเหรอ งั้นพี่ก็ตายไปนานแล้วครับ”

“นี่ก็คือตายไปอีกรอบนึง ศพพี่ไม่สวยแน่งานนี้”

พี่ท๊อปถอนหายใจ เห็นได้ชัดว่าผมขัดคอความอารมณ์ดีของพี่เค้า

“พี่ไม่กลัวเรื่องครอบครัวของบุ๋นหรอกครับ” พี่ท๊อปเดินมาขยีหัวผมซะแว่นเกือบหลุดเลย “ต่อให้พ่อบุ๋นเอาปืนมายิงพี่ให้ตายเหมือนหนังไทยสมัยก่อน มันก็เปลี่ยนแปลงความจริงไม่ได้... ท่ามกลางครอบครัวที่บ้านแตก ถ้าพี่ไม่เชื่อในความรัก พี่ก็คงโตมาไม่ได้ถึงขนาดนี้ พี่สูญเสียเกือบทุกอย่างแล้วในชีวิต ไม่มีอะไรมาทำให้พี่เปลี่ยนใจไปจากบุ๋นได้หรอกครับ”

อยากจะแซวนะว่าคำพูดโคตรพระเอก แต่โดนเองแบบนี้แล้วมัน ทั้งอึ้งทั้งประทับใจเลย

“น้องน้ำขิงกับต้อมก็จะไปด้วยนะ อีกสักพักคงมาถึง พี่ว่าเราชวนน้องข้าวเจ้ากับสุ่ยไปด้วยดีไหม”

“แล้วแต่พี่ท๊อปเลย”

“งั้นพี่ชวนนะ” แล้วพี่ท๊อปก็เดินออกไปหน้าบ้านตะโกนเรียกเพื่อนบ้านให้ทราบถึงจุดประสงค์

การเดินทางในตอนเช้าเริ่มขึ้นเมื่อสายมาสักพัก เพราะพวกเรามีกันหลายคน ไอ้น้ำชาจึงให้แม่ส่งรถตู้ของบริษัทมารับพร้อมกับปฏิทินเต็มด้านหลังของรถ เพื่อมุ่งตรงไปยังร้านขายผลิตภัณฑ์เสริมความงามของพ่อผมซึ่งอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยออกไปแค่สองชั่วโมง จริงๆก็คือมันไม่ได้ไกลมากนักหรอก แต่เพราะถนนแถวนนี้มีรถหนาแน่นตลอดก็เลยต้องใช้เวลาสักพัก

“ใกล้ถึงแล้ว” ผมบอกทุกคนหลังจากเดินเข้าห้างสรรพสินค้ามาได้สักพัก

ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่านะว่าเริ่มมีคนมองมาที่กลุ่มของพวกผมทั้งแปดคนตั้งแต่ลานจอดรถแล้ว แต่ตอนนี้ไม่มีสติจะคิดเรื่องอื่นเลย...

“ไม่ต้องกังวลนะ” พี่ท๊อปพยายามกระซิบให้กำลังใจผม ผมคงจะแสดงสีหน้าวิตกวังกลมากซินะ ก็จะไม่ให้เครียดได้ไงล่ะ ไม่เคยคิดเลยว่าการมาหาพ่อตัวเองจะเหมือนวิ่งเข้าใส่กองไฟมากขนาดนี้

“พี่บุ๋น พี่ๆ” ไอ้น้ำชาเรียกผม

“มีไร” ผมรับ

“แม่โทรมาบอกว่าคุยกับผู้จัดการร้านของพ่อพี่แล้วนะว่าจะขอให้พื้นที่หน้าร้านพ่อพี่เป็นจุดแจกปฏิทิน เขาบอกว่าโอเค”

“แล้วคุยกับทางห้างหรือยังอ่ะ”

“แม่กำลังเคลียร์ให้อยู่ครับ”

“โอเค”

“น้องบุ๋น”

หึ! “อ...อ้าว พี่แจน” ผมยิ้มกว้างให้กับพี่สาวหน้าใสที่ยืนอยู่.... อ้าว มาถึงร้านของตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่วะ

“กลับมาสวมแว่นแล้วเหรอ” พี่แจนแสดงการสังเกตสังกาใบหน้าของผม “แต่ก็หล่อเหมือนเดิมนะ พี่ว่าแบบนี้เหมาะกับบุ๋นมากกว่านะ”

“งั้นเหรอครับ” จะพูดว่า แฟนซื้อให้ มันก็คงมากเกินไปซินะ “พี่แจนก็สวยเหมือนเดิมนะ”

“ปากหวานอีกแล้วเรา”

เรายิ้มให้กัน

“อะแฮ่ม” พี่ท๊อปกระแอมทำไม?

อ้อ... “เอ่อ... ทุกคน นี่พี่แจนนะ ผู้จัดการร้าน Refresh” ผมแนะนำ

“อ๋อ... ร้าน Refresh เป็นของพ่อพี่เหรอ” ไอ้ต้อมถาม

“ใช่ ทำไมอ่ะ”

“ก็ไม่ทำไมหรอกพี่ ผมแค่สงสัยว่าพ่อพี่คงจะเห่อลูกชายมากเลยนะ”

“ทำไมวะ?”

“โน่นไง หน้าพี่ใหญ่เต็มร้านเลย” ไอ้ต้อมชี้ไปที่รูปโฆษณาของร้านที่มีผมเป็นนายแบบ แถมยังอยู่แทบจะทุกซอกทุกมุมของร้านเลย

“เหอๆ” มึงไม่มีทางรู้หรอกว่ากูถูกบังคับจากพ่อมามากแค่ไหนเพื่อที่จะให้สามารถเอารูปหน้าของลูกชายที่มีอดีตเป็นเด็กเนิร์ดแว่นหนามาขึ้นโชว์แบบนี้ได้

“เข้าไปหลังร้านกันไหม” พี่แจนเชิญชวน

“แล้ว...”

“เรื่องแจกปฏิทินพี่รู้แล้ว ทาง T-Queen World Wide โทรมาประสานแล้ว คงต้องใช้เวลาเคลียร์กับห้างอีกสักพักนึง แล้วไหนจะต้องรอคนมาจัดสถานที่อีก ขืนปล่อยลีดมอมัณมายืนโชว์หล่ออยู่หน้าร้านกันนานๆ คงจะวุ่นวายจนพี่ดูแลไม่ไหว รีบไปหลังร้านกันเถอะ” นี่แหละครับความเก่งงานของพี่แจน หนึ่งในพนักงานทรงคุณค่าของพ่อผมที่ลงทุนซื้อตัวมาจากบริษัทอื่น ฉลาด ไหวพริบดี อ่านเกมส์ขาดตลอด

“ว่าแต่...” ผมและคณะกำลังเดินเข้าไปในร้าน “พ่อเข้ามาไหมอ่ะวันนี้”

“แหมบุ๋น ถามอย่างกับไม่รู้จักคุณบดินทร์นะ พ่อบุ๋นห่วงร้านนี้ยิ่งกว่าบ้านของตัวเองซะอีก จะไม่เข้ามาได้ไง”

“เที่ยงใช่ไหมพี่แจน”

“ใช่ ท่านเข้ามาเวลาเดิมนั่นแหละ”

“โอเคครับ”

“ทำไมเหรอ”

“ก็ไม่ทำไมหรอกพี่” พวกเรามาถึงห้องพักหลังร้านในที่สุด ทุกคนวางของและนั่งเข้ามุมใครมุมมัน “ก็แค่ถาม”

“แค่ถาม? บุ๋นก็ยังไม่เก่งเรื่องโกหกเหมือนเดิมนะ”

“ผมเห็นด้วยครับ” ไอ้พี่ท๊อป จะสนับสนุนเพื่อ?

“ผมมีเรื่องจะคุยกับพ่อครับ” ผมอ้าง

“รู้ใช่ไหมว่าเดี๋ยวนี้ประเทศเรามีโทรศัพท์ใช้แล้วนะ” พี่แจนยิ้มมุมปากให้ผมอย่างรู้ทัน “เอาเถอะ พี่ไปดูแลร้านต่อดีกว่า เดี๋ยวพนักงานทำงานผิดพลาดขึ้นมาพี่จะโดนไล่ออก”

“พ่อผมคงกล้าไล่พี่ออกหรอก”

“ไปดีกว่า มีอะไรก็เรียกพี่นะ”

“ครับ ขอบคุณ”

ผมนั่งลงบนเก้าอี้ข้างพี่ท๊อป

เห้อออออออ

ห้าโมงสี่สิบแล้ว อีกสักพักพ่อก็ต้องเข้ามาแล้วซินะ จะเริ่มประโยคว่ายังไงดีนะ

“ยังกังวลอยู่เหรอครับ” พี่ท๊อปพยายามกุมมือผม

“พี่ท๊อป ถ้ามันไม่เป็นอย่างที่พี่คิดล่ะ” ผมเริ่มเผยความกังวลในใจออกมา “ถ้ามันไม่ง่ายขนาดนั้นหรือแย่กว่านั้นอีกล่ะ พี่จะ...”

“พี่จะรักบุ๋นกว่าเดิมอีก”

“ห๊ะ!?”

“ของแพง มักจะมีคุณภาพ ของหายาก มักเป็นที่ต้องการ ของที่ต้องผ่านอุปสรรค มักต้องใช้ความพยายามมากๆ ของพวกนี้มันคือสิ่งมีค่าไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง เหมือนปฏิทินพวกนี้ไง หลายคนอยากได้มันเพราะมันมีน้อยและหายาก แล้วถ้าเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้มันทำให้พี่เห็นว่า บุ๋นเป็นทุกอย่างที่พี่พูดมา งั้นก็แสดงว่าพี่คิดถูกแล้วว่า....





....บุ๋นคือปฏิทินที่มีค่าของพี่”
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 04-04-2018 01:00:35
พี่ท็อปคนดีที่หนึ่งเลย ขอให้ผ่านด่านคุณพ่อบุ๋นไปแบบสบายๆเลยนะ
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 04-04-2018 01:29:01
 :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 05-04-2018 10:34:48
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 54 [ไฮโดรควิโนน Part 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 07-04-2018 18:54:34
ตอนที่ 54 : ไฮโดรควิโนน







“บุ๋น คุณบดินทร์มาแล้ว” พี่แจน สาวสวยผู้จัดการร้านเครื่องสำอางของพ่อพี่บุ๋น ชะโงกหน้าเข้ามาบอกในห้องรับรองที่พวกผมทั้งแปดคนนั่งรอกันอยู่หลังร้าน

พี่บุ๋นคว้าแขนพี่ท๊อปออกจากห้องแทบจะทันที



“ชาๆ” พี่ตองเขย่าแขนผม “รีบตามไอ้บุ๋นไปกันเถอะ”

“เอางั้นเลยเหรอ” ผมไม่ค่อยแน่ใจ ถึงจุดประสงค์ของการมาในวันนี้จะเพื่อมาเป็นทัพเสริมให้พี่ท๊อปกับพี่บุ๋น แต่การจะให้เดินตามสองคนนั้นไป มันก็ยังทำให้รู้สึกเกร็งๆอยู่ดี

“ดีซิ เผื่อเกิดเรื่องขึ้น เราจะได้ช่วยได้ อย่างน้อยอยู่แถวๆนั้น พ่อไอ้บุ๋นจะได้ไม่กล้าของขึ้นมากนัก”

“โอเคๆ” เอาวะ



ผมกับพี่ตองรีบเดินตามออกไปที่หน้าร้าน แต่....



“พี่กั้ง!!” ผมหลุดเรียกคนที่เห็นตรงหน้าออกมาทันที มันยั้งไม่ทันจริงๆ จู่ๆก็เห็นพี่กั้งมายืนอยู่ในร้านพ่อพี่บุ๋น

“อ้าว น้องน้ำชา” พี่กั้งก็ตกใจเหมือนกันที่เห็นผม “มาทำอะไรที่นี่ครับ”

“คือ...”

“อะแฮ่ม” พี่ตองกระแอม แต่ในเสียงขัดจังหวะนี้ผมรู้สึกถึงอารมณ์หงุดหงิดใจได้อย่างชัดเจน “ตรงนี้ไม่ได้มีคนยืนอยู่คนเดียวนะ”

อือหืออออ ทำพูดลอยหน้าลอยตานะพี่ตอง ท่าทางจะอารมณ์บูดจริงที่มาเจอคนๆนี้ ไม่ได้แคร์ความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องเลยนะ

“ตอง” กรรม พี่กั้งก็ทักพี่ตองแค่ผ่านๆแบบชัดเจน เกลียดเวลาที่ต้องอยู่ในสถานการณ์แบบนี้จังเลย “แล้วสรุปว่าน้องน้ำชามาทำอะไรที่นี่เหรอครับ”

“นี่ร้านของพ่อพี่บุ๋นครับ ผมมา...”

“มาทำงานของพวกเรา” พี่ตองก็แทรกขึ้นมาอีกแล้ว แต่ไม่ใช่แค่แทรกเสียงนะ ตัวใหญ่ๆของพี่เค้าก็เดินเข้ามาแทรกด้านหน้าระหว่างผมกับพี่กั้งไว้เหมือนกัน “ว่าแต่... พี่เถอะ ไม่บังเอิญไปหน่อยเหรอที่มาโผล่ที่นี่ ผมคงไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมว่ามีคนพยายามตาม... แฟนของผมอยู่”

“ถ้าจะตามคิดว่าจะห้ามผมได้เหรอ” เอาแล้วไง ผมรีบคว้ามือพี่ตองมาจับไว้แน่นเพื่อให้มั่นใจได้ว่าผมอยู่ตรงนี้และอีกนัยหนึ่งก็เพื่อเป็นการห้ามไม่ให้ไอ้คนเลือดร้อนสองคนถลาเข้าใส่กันกลางร้านเครื่องสำอางค์ด้วย “แต่โทษทีนะที่ต้องทำให้ผิดหวัง พอดีผมมาในนามนักศึกษาวิจัย”

“วิจัย?” พี่ตองยังคงไม่วางใจคนตรงหน้า “ในร้านเครื่องสำอางแบบนี้ จะทำวิจัยอะไรไม่ทราบ”

“ผมเรียนวิทย์เครื่องสำอาง... นี่ไง” พี่กั้งชูอุปกรณ์ที่ปกติมักเห็นในแล็บทดลองขึ้นมาให้ดู “หวังว่าคงเข้าใจนะ เจ้าชายตอง”

“หวังว่าจะไม่มายุ่งกับ...”

“งั้นเราปล่อยให้พี่ทำงานก็แล้วกันนะครับ” ผมพยายามพูดเพื่อระงับสถานการณ์ “ไปกันเถอะพี่ตอง”

“ไว้เจอกันครับ” ยังจะพูดอีกนะพี่กั้ง

“ไปซิ” พี่ตองก็ยืนนิ่งมองหน้าพี่กั้งไม่กระดิกเลย ผมพยายามดึงแขนพี่ตองให้ออกจากตรงนี้แล้วนะ



“คิดว่าตลกมากนักหรือไง” เสียงใครตะคอกวะ

ชิบหายล่ะ ลืมไปเลย

พี่ท๊อปกับพี่บุ๋นกำลังโดนชายในชุดสูทดำคนหนึ่งตะคอกใส่กลางร้าน ไม่ใช่แค่ผมนะที่ตกใจ ลูกค้าที่เดินอยู่ในร้านก็แอบมีชะงักเหมือนกัน

ผมว่าทุกคนคงเดาออกนะว่าใครที่กำลังส่งเสียงดังอยู่....

“นั่นพ่อพี่บุ๋นใช่ไหม?”

“ใช่เลย” พี่ตองเลิกสนใจพี่กั้ง

ผมกับพี่ตองรีบเดินตรงไปที่จุดเกิดเหตุ หวังว่าจะเบาอารมณ์เดือดดานของพ่อพี่บุ๋นได้บ้างนะ



“คุณบดินทร์ สวัสดีครับ” พี่ตองกล่าวทักทายทันทีที่ไปถึง ผมยกมือไหว้ตาม ส่วนพี่ท๊อปกับพี่บุ๋นก้มหน้านิ่งอย่างกับคนสารภาพผิด “สบายดีไหมครับ”

“ก็คงจะสบายดีอยู่หรอก” พ่อพี่บุ๋นยังไม่คลายโมโหลงนัก “ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้ลูกคนนี้มาพูดอะไรไร้สาระ เคยเห็นพ่อขำกับอะไรแบบนี้หรือไง พูดมาได้ยังไงว่าจะมาขอคบกันกับ... ไอ้หนุ่มนี้”

“นี่คือพี่ท๊อปครับคุณบดินทร์ เป็น...”

“ผมไม่สนหรอกว่าเขาจะเป็นใคร” พี่ตองถูกสกัดการพูดไว้ นี่ฉุนเฉียวเบอร์สุดเลยนี่หว่า เอาไงดีวะกู “ไหนบุ๋น พูดมาซิว่านี่มันเรื่องล้อเล่นใช่ไหม”

“ป...เปล่าครับคุณพ่อ..” พี่บุ๋นตอบอย่างกลัวๆ

“ยังจะมาพูดเล่นอีก!!!” เสียงตะคอกระรอกที่สองนี่ดังกว่าเดิมอีก

“เราไม่ได้พูดเล่นกันนะครับคุณพ่อ” พี่ท๊อปพูดบ้าง นี่คงกำลังใจดีสู้เสืออยู่ซินะ “ผมมาที่นี่ก็เพื่อจะมาขออนุญาตคุณพ่อคบหากับน้องบุ๋น”

“หุบปาก!!!! กูไม่ใช่พ่อมึง...”

!!!!!!!!

ชิบหายละมึง ระเบิดลงของจริงแล้วไง

“คุณบดินทร์ครับ” พี่ตองรีบแสดงความช่วยเหลือเพื่อนของตัวเองอย่างรวดเร็ว “แต่พี่ท๊อปเป็นคนดีมากนะครับ และผมคิดว่า...”

“นี่ตองจะมาช่วยกันพูดใช่ไหม” พ่อพี่บุ๋นเบรกพี่ตองไว้อีกแล้ว

ทำไมถึงเป็นคนมีจุดเดือดต่อเนื่องได้ขนาดนี้นะ

ทันใดนั้นเองที่ท่านสังเกตมาเห็นว่าผมกับพี่ตองจับมือกันอยู่

“อ๋อ... แบบนี้นี่เอง เธอสองคนก็คงกำลังทำเรื่องผิดๆกันอยู่ใช่ไหม” นั่นไง กูโดนลูกหลงไปด้วยจนได้ “เพราะแบบนี้ใช่ไหมบุ๋น ลูกถึงได้มีความคิดประหลาดๆแบบนี้”

“มันไม่เกี่ยวกับคนอื่นนะครับพ่อ” พี่บุ๋นเริ่มเถียง

“ไอ้ลูกคนนี้...”

“พอก่อนเถอะครับทุกคน!!!” ครั้งนี้เป็นผมเองที่พูด

“เธอเป็นใคร?” โดนคำถามนี้จากพ่อพี่บุ๋นเข้าไป จุกเลยกู

“ผมจะเป็นใครก็ช่างเถอะครับ แต่ตอนนี้คนมองมาทั้งร้านแล้ว และผมเกรงว่า... จะเกิดความเสียหายกับทางร้านนะครับ ลูกค้าอาจจะตกใจได้”

คุณบดินทร์เหมือนจะเพิ่งรู้สึกตัวเอง ท่านมองไปรอบและเห็นลูกค้าหลายคนมองมา

“เราไม่คุยกันหลังร้านดีกว่านะครับ” ผมเสนอ

พ่อพี่บุ๋นไม่พูดอะไร แต่ก็เดินตรไปยังด้านในห้องรับรองตามคำแนะนำของผม

ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนเดจาวูเลย คล้ายๆกับตอนที่ไปเจอพ่อพี่ตองตอนนั้น โดนด่ากระเจิงแต่ก็ระงับเหตุไว้ได้ด้วยเหตุผลทางธุรกิจ

พวกหัวธุรกิจนี่หวงความเสียหายต่องานมากกว่าเรื่องอื่นจริงๆ แต่ถ้าเข้าห้องรับรองได้ คราวนี้พี่ท๊อปกับพี่บุ๋นได้เจอระเบิดของจริงแน่ๆ



“ขอโทษนะครับ คุณเป็นเจ้าของร้าน Refresh ใช่ไหมครับ” อะไรอีกกกกก จู่ๆพี่กั้งก็เข้ามาขวางพ่อพี่บุ๋นไว้

“ใช่ มีอะไร” คุณบดินทร์ยังคงหัวเสียอยู่ “ผมกำลังรีบ”

“ผมเป็นตัวแทนนิสิตจากมหาวิทยาลัยมัณฑนาครับ” พี่กั้งแนะนำตัวพร้อมกับถือขวดโลชั่นยี่ห้อหนึ่งไว้ในมือ

“แล้วยังไง?”

“ผมควรจะพูดให้ท่านฟังชัดๆนะครับ ผมเป็นนิสิตจากคณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ สาขาวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง และวันนี้ผมมาทำวิจัยเรื่องการตรวจสอบผลิตภัณฑ์เวชสำอางทุกร้านในห้างนี้... นี่ครับ” พี่กั้งยื่นเอกสารสองสามแผ่นให้คุณบดินทร์ “ใบยินยอมให้ทำการสำรวจจากเจ้าของห้างสรรพสินค้ากับใบรับรองงานวิจัยร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข”

“คุณมาบอกผมทำไม จะตรวจอะไรก็เชิญ ผมไม่ว่างมาต้อนรับหรอกนะ ผมมีปัญหาให้ต้องดูแลเยอะแยะ”

“งั้นนี่ก็เป็นปัญหาที่ท่านควรจะต้องมีส่วนในการดูแลรับผิดชอบนะครับ”

“อะไร!?” นั่นซิ อะไร ทำไมพูดแบบนั้นวะ

“ในโลชั่นขวดนี้ตรวจพบสารไฮโดรควิโนนครับ”

“อะไรนะ!! เป็นไปไม่ได้”

“นั่นซิ เป็นไปไม่ได้” พี่บุ๋นสนับสนุน “โลชั่นยี่ห้อนี้ผมเป็นคนไปจัดหามาเอง... ตอนไปเกาหลีไง พี่ท๊อปจำได้ไหม?”

“ได้ครับ” พี่ท๊อปตอบทันที “ต...แต่พี่ไม่ได้ไปด้วย”

พ่อพี่บุ๋นหันมาหาคำตอบจากพี่บุ๋น เรื่องนี้คงสำคัญมากจนทุกคนลืมเรื่องที่ยังค้างคาอยู่เมื่อกี๊ไปเสียสิ้น

“ผมเช็คแล้วแน่นอนครับพ่อ” พี่บุ๋นยืนยัน “สิ่งสำคัญที่พ่อบอก สเตอร์รอยด์ ปรอท ไฮโดรควิโนน ร่วมถึงสารเจือปนเล็กๆน้อยๆ ไม่มีทางที่ผมจะพลาด อย. ก็ให้ผ่านมาแล้ว มันจะมีไฮโดรควิโนนอยู่ในนี้ได้ยังไง”

“นั่นซิกั้ง” พี่ท๊อปแสดงความสงสัย “โลชั่นยี่ห้อนี้กำลังดังในเกาหลีเลยนะ ไม่น่าจะมีสารอันตรายอยู่ได้ ตรวจดีแล้วแน่นะ”

“จะดูอีกทีก็ได้นะ” พี่กั้งวางอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ชุดเล็กๆ ลงบนเค้าเตอร์ใกล้ๆ จากนั้นบีบโลชั่นเล็กน้อยลงบนจานหลุม ก่อนจะตักผงสีเหลืองๆใส่ลงไปด้วยกัน และเมื่อคนจนเข้ากันเพียงวินาทีเดียว โลชั่นก็กลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม “นี่ไงครับ ไฮโดรควิโนน จากระดับความเข้มของสีโลชั่นที่เกิดปฏิกิริยา ผมว่ามีปริมาณไฮโดรควิโนนอยู่เยอะเลยล่ะครับ”

“นี่หมายความว่ายังไงบุ๋น” พ่อพี่บุ๋นหันมาหาลูกชายตัวเองอีกครั้ง

“แต่ผมเช็คดีแล้วจริงๆนะพ่อ” พี่บุ๋นท่าทางไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“เช็คดีแล้วมันจะเป็นแบบนี้ได้ยังไง”

“ใจเย็นก่อนนะครับ ผมขอคุยกับคุณแจนได้ไหมครับ” พี่ท๊อปเสนอ “บางทีอาจจะไม่ได้ผิดที่โลชั่น แต่ถ้าเราสามารถเช็คย้อนกลับไปได้ว่า โรงงานที่ผลิตโลชั่นตัวนี้ไม่ตรงตามโรงงานผลิตปกติที่ผลิต อาจจะบอกได้ว่าเป็นการปลอมแปลงสินค้า... คือผมพอจะรู้จักเกาหลีประมาณนึงครับ ผมทำงานที่นั่น”

“จะทำอะไรก็ไปทำ” คุณบดินทร์บอก “แต่อย่าให้ร้านนี้ต้องเดือดร้อนก็แล้วกัน”

“ผมจะพยายามครับ” พี่ท๊อปนี่โคตรพระเอกเลย ทั้งๆที่เพิ่งจะโดนตะคอกใส่หน้าเมื่อกี๊ แต่กลับยื่นมือเข้ามาช่วยอย่างกับเป็นร้านของตัวอง “...บุ๋นมากับพี่หน่อย พี่ต้องให้ช่วยดูชื่อโรงงาน”

“ครับ...” แล้วพี่บุ๋นก็เดินตามพี่ท๊อปไปหาพี่แจนที่ยืนรับลูกค้าอยู่หน้าร้าน



“แต่ถึงยังไงผมก็จำเป็นต้องบันทึกผลการทดสอบครั้งนี้ลงงานวิจัยนะครับ” โอ้โห ไอ้พี่กั้ง มึงไม่ได้ดูบริบทของเรื่องเลยใช่ไหมว่าร้านเขาไม่ได้มีเจตนา นอกจากจะไม่สนใจแล้ว ยังวางขวดกับเก็บผลวิจัยลงซองเก็บตัวอย่างหน้าตาเฉย “และผมคงต้องบอกนะครับว่า ผลการตรวจนี้จะส่งถึงมือกระทรวงสาธารณสุขแน่นอน”

“อะไรกันพ่อหนุ่ม” คุณบดินทร์ท่าทางวิตกกังวลอย่างชัดเจน ซ้ำยังเสียงอ่อนลงคล้ายเป็นการขอร้อง “นี่มันเหตุสุดวิสัย ร้านของผมทำธุรกิจอย่างถูกต้องและซื่อสัตย์ต่อลูกค้า เหตุเข้าใจผิดเล็กๆน้อยๆแค่นี้ทำเป็นลืมๆไปไม่ได้เหรอ”

“ไฮโดรควิโนนเป็นสารอันตรายนะครับ” พี่กั้งพูดเสียงเรียบ นี่กูผิดไหมที่อยากจะตันหน้าไอ้รุ่นพี่คนนี้ซักหมัด “ผมเรียนมาทางด้านนี้ ความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคเป็นจรรยาบรรณอันดับแรกที่ผมถูกสอนมา คงลืมไม่ได้ง่ายๆหรอกครับ”

พ่อพี่บุ๋นเดินเข้าไปใกล้พี่กั้งก่อนจะกระซิบ แต่ผมก็ยังได้ยินนะ “เอาอย่างงี้ก็แล้วกันนะ ผมจะให้ผู้จัดการดูแลค่าใช้จ่ายในการวิจัยนี้ให้และสัญญาว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก แต่อย่าเขียนเรื่องนี้ส่งสาธารณสุขได้ไหม หรือถ้าขาดเหลือค่าใช้จ่ายอีกเท่าไหร่ก็บอกผมได้เลย ผมยินดีสนับสนุน”

“รู้จักใช้คำพูดดีนะครับท่าน” ไอ้พี่กั้งนี่ยังไงวะ ผู้ใหญ่ยอมทำขนาดนี้แล้วยังจะพูดเสียงแข็งกลับมาอีก “แต่ผมไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินขนาดนั้นครับ”

คุณบดินทร์แสดงสีหน้าบอกความสิ้นหวังอย่างชัดเจน

“เพียงแต่....” จู่ๆ ไอ้นักทดสอบเครื่องสำอางก็หันหน้ามาทางผม “ถ้ามีคนพาผมไปนั่งทานมื้อเที่ยงสักชั่วโมงนึง ก็อาจจะทำเป็นลืมๆไปได้ครับ”

“ได้เลย!!” คุณบดินทร์ยิ้มร่า แต่พี่ตองนี่แสดงออกคนละสีหน้าเลย “เดี๋ยวผมหาคนพาไปทางอาหารดีๆเลยนะ หรือคุณจะเป็นคนเลือกร้านเองก็ได้”

“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกครับ แค่...”

“ผมไปเองครับ” ผมอาสา

“ไม่ได้นะชา” พี่ตองห้ามผมทันที

ให้ตายเหอะ ใครๆก็ดูออกว่าไอ้พี่กั้งมันต้องการอะไร พูดมาซะขนาดนี้ กะว่าจะให้กูไปนั่งกินข้าวด้วยละซิ กูไม่ได้โง่นะ

“ยังไงพี่ก็ไม่ให้ชาไป” พี่ตองยังคงยืนยัน ผมรู้ว่าพี่ตองเองก็ดูออก แต่จะทำใจได้ยังไง ผมก็พอเข้าใจนะ ถ้ามองในสถานการณ์กลับกัน ผมเองก็คงไม่ยอมให้พี่ตองไปนั่งกินข้าวกับใครเหมือนกัน แต่...

“ไม่ต้องห่วงครับ” ผมมองตาพี่ตองอย่างจริงจัง “ชาไม่เป็นไร เพราะแค่... ไปนั่งกินข้าวเฉยๆ ใช่ไหมครับพี่กั้ง”

“ใช่เลย” ดูมันตอบ ไม่ต้องเป็นพี่ตองหรอก กูเองยังอยากจะซัดหน้าไอ้คนพูดเลย แต่จะทำแบบนั้นไม่ได้ ข่มใจไว้ก่อน ต้องพาเรื่องนี้ให้ผ่านไปด้วยดีให้ได้ “แค่มื้อเที่ยง แค่เราสองคน”

“ไอ้...”

“พี่ตอง” ผมรีบห้ามพี่ตองไว้ อย่าต้องให้เรื่องบานปลายไปมากกว่านี้เลย ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าสะพายข้างเพื่อให้พี่ตองดู “ชามีโทรศัพท์ มีอะไรจะรีบโทรหาทันทีเลย”

"......." ถึงพี่ตองจะดูไม่วางใจนักแต่ก็พอเข้าใจสถานการณ์ เพียงแต่เรื่องที่พี่ตองเหมือนโดยหยามนี่ซิ อาจจะทำให้พี่เค้าหมดความอดทนเหมือนไหร่ก็ได้

“เชื่อใจชานะ” ผมให้ความเชื่อมั่นต่อพี่ตอง

“......” พี่ตองยังคงไม่ตอบ เอาแต่เบือนหน้าหนีผมไป นี่คงเป็นสัญญาณของการยอมรับแบบไม่เต็มใจซินะ เอาเถอะ ยังไงก็ถือว่าไม่มีปัญหาแล้ว ผมจึงเก็บโทรศัพท์มือถือใส่ลงในกระเป๋าเสื้อตัวเอง

“ไปกันเลยไหมครับพี่กั้ง” ผมหันไปถาม

“ทันทีที่น้องน้ำชาพร้อมครับ” ยังจะมาทำพูดเสียงอ่อนเสียงหวานใส่กูอีก รีบพาออกจากร้านดีกว่า

“ไปครับ”



“ฝากดูแลแทนผมหน่อยนะ” คุณบดินทร์พยายามพูดตามหลังผม "มาเบิกค่าใช้จ่ายกับผมได้นะ"



ผมเดินนำพี่กั้งออกจากร้านไป ระหว่างที่เดินออกมาก็เจอกับพี่ท๊อปที่พยายามเรียกผม แต่ผมไม่สนใจหยุดคุยด้วย ออกไปจากตรงนี้ให้เร็วดีกว่า

นี่กูต้องออกไปกินข้าวเที่ยงกับไอ้คนที่พยายามสร้างความร้าวฉานในความรักจริงๆใช่ไหมเนี่ย



“พี่ขอเข้าห้องน้ำก่อนได้ไหม” พี่กั้งเอ่ยขึ้นเมื่อออกมาจากร้านได้สักพัก

“เชิญครับ” ผมตอบ ไม่อยากมองหน้ามันเลย พูดตรงๆ



ผมเดินวนเวียนอยู่หน้าห้องน้ำสักพัก จนมาระลึกได้ว่าตัวเองก็เริ่มปวดฉี่แล้วเหมือนกัน จึงเดินตามเข้าไปในห้องน้ำ

ตุ๊บ

หึ!! เสียงอะไรวะ

ระหว่างเข้าประตูห้องน้ำ ผมเหมือนจะเห็นในกระจกแวบๆว่าพี่กั้งทิ้งอะไรลงถังขยะ ที่สังเกตเห็นได้ก็เพราะไม่มีใครเข้าห้องน้ำอยู่เลยในขณะนั้น

“อ้าวน้ำชา จะเข้าห้องน้ำหรอ” พี่กั้งสะดุ้งเล็กน้อยที่เจอผมเข้า

“ครับ” ผมตอบ

“งั้น... ให้พี่เฝ้าไหม”

“อย่าเลยครับ เอ่อ.... ผมเขินน่ะครับ พี่ช่วยออกไปก่อนได้ไหม... นะครับ”

“ก็ได้... แต่พูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้บ่อยๆนะ พี่ชอบ”

“ครับ”

แล้วพี่กั้งก็เดินออกไป

ไอ้ส้นตีนเอ๊ย มึงคิดว่ากูอยากพูดออดอ้อนแล้วก็ทำท่าเหนียงอายให้มึงงั้นเหรอ กูทำเพราะกูมีแผนเว้ย ซึ่งแผนนั่นก็คือการไล่ให้พี่กั้งออกไปจากห้องน้ำก่อน เพื่อดูว่ามันทิ้งอะไรลงถังขยะ

หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 54 [ไฮโดรควิโนน Part 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 07-04-2018 18:55:17
!!!!!!!!

แบบนี้นี่เอง

ทันทีที่ผมเห็นขยะชิ้นเดียวในถังขยะใบเล็กของห้องน้ำ ผมก็เหมือนจะจับประเด็นอะไรได้นิดหน่อย

รีบเก็บดีกว่า

ผมนำทิชชู่ในห้องน้ำมาเป็นตัวรองหยิบสิ่งที่พี่กั้งทิ้งลงถังยะ ก่อนจะม้วนมันด้วยทิชชู่อีกหลายๆรอบแล้วเก็บใส่กระเป๋าสะพายข้าง

แผนการครั้งนี้สำเร็จแล้ว แต่ผมยังมีสิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้อีก คงยังไม่สามารถทิ้งน้ำเสียงออดอ้อนของตัวเองไปได้



“เอ่อ... พี่กั้งครับ” ผมเรียกพี่กั้งหลังจากออกมาจากห้องน้ำด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าอีกฝ่ายอยากฟัง เชื่อไหมว่าเมื่อกี๊ผมลืมฉี่ ก็มันมีเรื่องอื่นมาดึงความสนใจไปก่อนนี่นา

“ครับน้องน้ำชา” โอเค เป็นไปตามที่คิด ไอ้พี่กั้งดูจะตกหลุดพลางผมแล้ว “มีอะไรเหรอ”

“พี่กั้งหิวมากไหมอ่ะ คือพอดีว่าชาอยากจะเดินช็อปปิ้งสักแป๊บนึง... ได้ไหมอะครับ”

“ได้ซิครับ พี่ยังไม่หิวมากหรอก”

“ขอบคุณนะครับ พี่ใจดีจัง ไม่เหมือน... พี่ตองเลย พี่ตองชอบดุชา แถมยังขี้โมโหด้วย”

“ก็พอจะมองออกครับ มากับพี่รับรองว่าน้องน้ำชาจะสบายใจแน่นอน จริงๆน้องน้ำชาอยากซื้ออะไรก็บอกพี่ได้เลยนะ เดี๋ยวพี่จ่ายให้”

“เกรงใจจังครับ”

“เกรงใจอะไร พี่เต็มใจต่างหาก น้องน้ำชาจะได้เห็นว่าพี่จริงใจแค่ไหน”

“พี่ใจดีจริงๆด้วย งั้นก็ขอบคุณนะครับ ไปช๊อปปิ้งกันเถอะครับ”

“เชิญครับ... ว่าแต่ อยากได้อะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”

“เดี๋ยวชาพาไปครับ เป็นของพิเศษแน่นอน”



เอาล่ะ เป็นไปตามที่วางแผนไว้

หลังจากนั้นผมพาพี่กั้งไปซื้อของอย่างที่ว่าไว้ เข้าร้านนั้นออกร้านนี้อยู่พักใหญ่เลยแหละ ผมก็ไม่ได้อยากจะเสียเวลานานขนาดนี้นะ เพียงแต่ว่าของแต่ละอย่างมันอยู่คนละโซนของห้างเลย จนเมื่อซื้อเสร็จเราก็ได้มาหยุดอยู่ที่ร้านอาหารปิ้งย่างร้านนึง



“เอาเซ็ตใหญ่เลยครับ” พี่กั้งสั่งรายการอาหารกับพนักงาน แหม สั่งเซ็ตใหญ่ คิดจะโชว์ป๋าเหรอ กะจะให้กูประทับใจว่างั้น

"ค่ะ" พนักงานรับและเดินจากไป

“ขอบคุณนะครับที่พาชาออกมาช๊อปปิ้ง” อะๆ เล่นกับมันซะหน่อย

“ยินดีอยู่แล้วครับสำหรับน้องน้ำชา” หวานเข้าไป แต่หยอดแค่นี้ บอกเลยว่าไม่ทำให้กูใจสั่นได้สักนิด ไม่ติดฝุ่นการหยอดระดับพระกาฬของพี่ตองได้เลย “ว่าแต่ว่า น้องน้ำชานี่ซื้อของแปลกๆนะครับ ไม่เหมือนคนช๊อปปิ้งทั่วไป สมุดปากกาอะพอเข้าใจได้ แต่อุปกรณ์แต่งหน้า ต้องใช้ด้วยเหรอครับ พี่ว่าหน้าตาธรรมชาติของน้องน้ำชาก็น่ารักดีอยู่แล้วนะครับ”

“ก็ชาเป็นผู้นำเชียร์นิครับ ต้องมีของพวกนี้ไว้บ้าง”

“อ๋อ... แล้วไอ้แป้งสีดำๆ ถุงมือยาง กับเทปกาวนี่เอามาทำไหมครับ”

“แป้งสีดำนี่เรียกว่าผงคาร์บอนครับ ผงคาร์บอนกับถุงมือยาง ชาจะเอาไปใช้ในแล็บ ก็เด็กวิทยาศาสตร์นิครับ ส่วนเทปกาวนี่ก็... ซื้อเผื่อไปงั้นแหละครับ เห็นพี่กั้งใจดีก็เลยเผลอซื้อเยอะไปหน่อย ขอโทษนะครับ”

“บอกแล้วไงว่าพี่ยินดี มากกว่านี้พี่ก็ให้ได้”

“ใจดีแบบนี้ งั้น... พี่กั้งช่วยอะไรชาอย่างนึงได้ไหมครับ”

“หลายอย่างก็ได้ครับ”

“คือ... ชาเป็นคนที่ชอบความรู้อะไรใหม่ๆ พี่กั้งอธิบายเกี่ยวกับสารไฮโดรควิโนนให้ชาฟังหน่อยได้ไหมครับว่ามันคืออะไร ชาไม่ได้เรียนมาทางนี้เลย”

“อ๋อ สารไฮโดรควิโนนอะเหรอ ก็คือสารเคมีชนิดหนึ่งครับ มันช่วยเร่งให้ผิวขาว ลดฝ้า ลดกระได้รวดเร็ว แต่เป็นสารห้ามใช้ในเครื่องสำอาง เพราะเป็นอันตรายต่อผิว ทำให้ผิวอ่อนแอ แดง ลอก ระคายเคือง ยิ่งถ้าใช้มากๆ ก็จะทำให้เกิดผิวด่าง แรกๆที่ใช้อาจจะดูเหมือนว่าดีนะ แต่แทนที่กระหรือฝ้าจะหาย อาจกลายเป็นว่าจะต้องอยู่กับมันแบบถาวรเลยก็ได้”

“โห... ถ้าอันตรายขนาดนี้ ชาจะรู้ได้ยังไงละครับว่าเครื่องสำอางตัวไหนมีไฮโดรควิโนนหรือเปล่า”

“ก็ทดสอบอย่างที่พี่ทำไงครับ”

“อ๋อ... จริงด้วย แล้วชาจะหาซื้อชุดทดลองแบบที่พี่กั้งมีได้ที่ไหนอะครับ”

“มันเป็นของที่ต้องเบิกจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เท่านั้นครับ แต่ถ้าน้องน้ำชาอยากได้ ก็อาจจะไปทำเรื่องขอซื้อก็ได้นะ ที่กรมน่าจะขาย”

“ยุ่งยากจัง แบบนี้กว่าจะรู้ ชาไม่เผลอใช้ไปเยอะแล้วเหรอครับ ไม่มีวิธีที่ง่ายกว่านั้นเหรอ”

“ทำไมน้องน้ำชาอยากรู้เรื่องนี้จังครับ ชอบความรู้จริงๆเหรอ” เอาแล้วไง โดยสงสัยแล้วกู

“ก็....” จะตอบยังไงดีล่ะ “ก็ไม่เชิงครับ ไหนพี่กั้งบอกว่าชาน่ารักไง ขืนชาเผลอไปใช้เครื่องสำอางที่มีไฮโดรควิโนนขึ้นมา แล้วเสียโฉม ชาก็ไม่น่ารักให้พี่กั้งชมอีกน่ะซิ”

ได้ผลแฮะ ไอ้พี่กั้งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลย ไอ้ใส้ติ่งหมาเอ๊ย รู้จักแอ็คติ้งไหม กูแอ็คติ้งอยู่ แต่ก็ดีแล้วล่ะ ต้องให้มันเผยความรู้ออกมาเยอะๆ

“ไงล่ะครับ สรุปว่าไม่มีวิธีที่ตรวจหาไฮโดรควิโนนแบบง่ายๆแล้วเหรอ”

“ก็มีครับ”

“ยังไงอ่ะ” เสียงออดอ้อนต้องมาอีกรอบซินะ “นะนะ บอกชาหน่อยนะ”

“ใช้ผงซักฟอกครับ ใช้ผงซักฟอกสูตรเข้มข้นละลายกับน้ำเล็กน้อย แล้วหยดลงบนครีมที่เราสงสัย ถ้าครีมเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ก็คือให้ผลเป็นบวกครับ"

"บวก?"

"แปลว่าอาจจะมีไฮโดรควิโนนอยู่ในนั้นไง”

“อ๋อ..... ง่ายๆแบบนี้เอง”

“ใช่ครับ ง่ายๆ งั้นน้องน้ำชาก็ไม่ต้องห่วงเรื่องเสียโฉมแล้วนะครับ”



“ได้แล้วค่ะ” พนักงานมาเสิร์ฟอาหาร



“งั้นชามีอะไรจะมาสอนพี่กั้งเหมือนกัน” ผมเปิดประเด็นอีกครั้งเมื่อพนักงานจากไป “ในฐานะเด็กวิทย์”

“อะไรเหรอครับ” ดี ให้ความสนใจแบบนี้แหละดี หลังจากนี้จะได้เห็นของดีจากกูบ้าง “ใส่ถุงมือทำไมครับ”

“ก็จะแสดงให้ดูไง ใจเย็นๆซิครับ” ผมสวมถุงมือยางแล้วเอาของที่ซื้อมาออกมาวางบนโต๊ะ และสิ่งที่ผมเก็บมาจากถังขยะเมื้อกี๊ซึ่งมันยังคงถูกพันด้วยทิชชู่ “ผมบอกพี่ไปแล้วใช่ไหมครับว่าอันนี้เรียกว่าผงคาร์บอน”

“ครับ บอกแล้ว...”

“ผงคาร์บอนปกติจะถูกใช้เป็นอุปกรณ์พลางตัว​ ที่พวกทหารใช้ทาตามตัวหรือหน้าน่ะครับ แต่เพราะมันมีความละเอียดสูงมากจึงมีประจุไฟฟ้าอ่อนๆ และแถมยังมีคุณสมบัติในการยึดเกาะกับไขมันได้ดี ก็เลยถูกนำมาใช้แบบนี้” ในที่สุดผมก็เผยให้เห็นสิ่งที่ผมเก็บมาจากถังขยะ มันคือ...เข็มฉีดยาที่ถูกใช้งานแล้ว ยังคงมีของเหลวบางอย่างอยู่ในหลอดพร้อมกับเข็มปลายแหลมด้วย... พี่กั้งสะดุ้งทันทีที่เห็น  “ถ้าเราใช้แปรงขนนุ่มๆอย่างเช่นแปรงแต่งหน้าที่พี่กั้งซื้อให้ เอามันจุมลงไปในผงคาร์บอนแล้วนำมาปัดเบาๆบนบริเวณที่เราคิดว่ามีการใช้นิ้วมือสัมผัส เราก็จะพบร่องรอยการใช้งาน... พี่กั้งคิดว่าบนเข็มฉีดยาด้ามนี้มีคนเคยสัมผัสมาก่อนไหมครับ”

“...............” คนตรงหน้าของผมไม่ตอบ ก็ดี งั้นฟังต่อไป

“พี่ไม่รู้เหรอ แต่ผมว่ามีนะ... นี่ไง! เห็นแล้วๆ มีใครบางคนใช้เข็มฉีดยานี่จริงๆด้วย รอยนิ้วมือโผล่ขึ้นมาเลย เห็นไหมครับ..." เข้าใจอารมณ์ของผมใช่ไหม ผมกำลังยิ้มกริ่มและซะใจหน่อยๆ "จากนั้นผมก็จะเอาเทปกาวแบบใสแปะลงไปบนรอยนิ้วมือที่ตรวจเจอแบบนี้ แล้วก็ดึงออกมา เห็นไหมครับ รอยนิ้วมือชัดเจนแล้ว แต่ถ้าอยากจะเก็บไว้ใช้เป็นหลักฐานด้วยก็เอาเทปกาวที่มีรอยนิ้วมือนี่ไปแปะลงบนกระดาษสีขาวแบบนี้... เรียบร้อยแล้ว เห็นไหมครับ และนี่คือสิ่งที่ผมจะสอนพี่ การเก็บรอยนิ้วมือจากหลักฐาน”

“หมายความว่ายังไง”

“หมายความว่ายังไงเหรอครับ นี่พี่ดูไม่ออกเหรอ พี่จำเข็มฉีดยาอันนี้ไม่ได้หรือไง"

"........." อึ้งไปเลย โดนกูพูดตรงจุดซินะ

"พี่ต้องเรียนรู้จากผมอย่างนึงนะ ผมอ่ะเก่งนะพี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เหตุผลปะติดประต่อเรื่องราวเข้าด้วยกัน ผมนี่เก่งสุดๆไปเลย มาลองฟังดูนะครับ รอยนิ้วมือบนเข็มฉีดยานี่ ผมมั่นใจมากว่าเป็นรอยนิ้วมือของพี่กั้งแน่นอน ผมเห็นนะว่าพี่ทิ้งมันลงถังขยะในห้องน้ำ เชื่อไหมว่านี่ไม่ใช่รอยเดียวที่ผมจะเก็บได้ บนเข็มนี้ยังมีอีกหลายรอยนิ้วมือที่พี่ทิ้งไว้ รวมถึงบนขวดโลชั่นขวดนั้นด้วย ขวดโลชั่นที่พี่โกหกว่ามีสารไฮโดรควิโนนผสมอยู่  พนันกันไหมละว่าผมจะเจอรอยเข็มฉีดยาอยู่ที่ขวดโลชั่น และที่สำคัญ ผมว่าผมเดาไม่ผิดนะ ในเข็มฉีดยาด้ามนี้ต้องเป็นสารไฮโดรควิโนนแน่ๆ ผมรู้ว่าพี่ต้องพกมันมาด้วย เพราะพี่ต้องใช้สาธิตให้เจ้าของร้านดูเพื่อเปรียบเทียบการเกิดปฏิกิริยาที่เหมือนกันระหว่างสารไฮโดรควิโนนที่เตรียมมากับสารไฮโดรควิโนนที่พบในเครื่องสำอาง แต่เมื่อตอนที่พี่แสดงการทดสอบให้พ่อพี่บุ๋นดู พี่ไม่แสดงผลการทดลองเปรียบเทียบให้ดู นั่นก็แสดงว่าพี่แอบใช้มันไปแล้ว... พี่คิดว่าไง คิดว่าผมปะติดปะต่อเรื่องราวเก่งไหม"

"................" ยังคงไม่ตอบ

"แต่ก็คงขอบคุณพี่นะที่ช่วยสอนผมเรื่องการทดสอบหาไฮโดรควิโนนด้วยผงซักฟอก เพราะพี่ช่วยสร้างสถานการณ์ที่ทำให้พี่ท๊อปกลายเป็นพระเอกขี่ม้าขาว”

“ท๊อป?”

“ใช่ครับ” ผมหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อออกมา “เห็นนี่ไหมครับ ผมแอบกดโทรศัพท์หาพี่ท๊อปตั้งแต่ก่อนออกมาจากร้านแล้ว ตลอดเวลาที่ผมออกมากับพี่ ผมเปิดสายคุยกับพี่ท๊อปอยู่ตลอด... อยากฟังไหมครับ เดี๋ยวผมเปิดลำโพงให้ฟัง... ฮัลโหลครับพี่ท๊อป”

“ฮัลโหล น้ำชา” ปลายสายคือเสียงจากพี่ท๊อปจริงๆ ผมคิดอยู่แล้วว่าพี่ท๊อปต้องยังไม่ว่างสายจากผมแน่นอน เพราะพี่เค้าเห็นผมเดินออกมากับพี่กั้ง มันไม่ใช่สถานการณ์ปกติ “ขอบใจมากนะสำหรับข้อมูล ตอนนี้พี่กำลังทดสอบไฮโรควิโนนในโลชั่นขวดอื่นๆด้วยน้ำผงซักฟอกอยู่ ขอบใจอีกครั้งนะครับ”

“ยินดีครับ อย่าลืมโชว์ผลงานให้พ่อพี่บุ๋นดูด้วยนะครับพี่ท๊อป ผมว่าพ่อพี่บุ๋นต้องชอบพี่มากขึ้นแน่ๆ... แค่นี้ก่อนนะครับ” ผมกดวางสาย

"นี่น้ำชาหลอกพี่เหรอ"

"พี่กล้าต่อว่าผมด้วยคำพูดนี้ได้ยังไง พี่หรือเปล่าที่เริ่มต้นหลอกคนอื่นก่อน กล่าวหาพ่อพี่บุ๋นด้วยการแอบฉีดสารอันตรายลงไปในโลชั่น คำว่าจรรยาบรรณที่พี่พูด สำหรับพี่มันมีอยู่จริงหรือเปล่า ผมขอถามหน่อยเถอะ" อย่าให้กูต้องพูดมากไปกว่านี้นะ ไม่อยากถูกใครหาว่าเป็นคนพูดจาปีนเกรียวกับรุ่นพี่ "เอาเป็นว่าอย่างงี้ก็แล้วกันนะพี่... พี่กั้งขู่พวกเราด้วยเรื่องไฮโดรควิโนนใช่ไหม? งั้นผมก็จะขู่พี่คืนด้วยเรื่องไฮโดรควิโนนเหมือนกัน ถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูอาจารย์ประจำงานวิจัยของพี่ ไม่ซิ ถ้าเรื่องนี้ถึงหูตำรวจ พี่จะไม่ได้ล้มเหลวแค่การทำวิจัยแน่นอน คิดว่าพี่คงเข้าใจนะ... เพราะงั้น หลักฐานพวกนี้ผมขอเก็บไว้ก่อนนะครับ เอาไว้เตือนใจพี่ว่า ​อย่ามายุ่งกับผมอีก ไม่งั้นผมจะไม่แค่หลักฐานไว้กับตัวเอง... ผมไปนะครับ อ้อ ขอบคุณนะครับที่ช่วยซื้ออุปกรณ์พวกนี้ให้ มันใช้ตรวจหาลายนิ้วมือได้ดีเลยล่ะครับ ส่วนเรื่องมื้อเที่ยงของเรา ผมขอบายนะ ทานมื้อเที่ยงคนเดียวให้อร่อยนะครับ”

“เดี๋ยวก่อน... โอเค ก็ได้ พี่ยอมรับผิด แต่แค่นั่งกินด้วยกันแค่มื้อเดียว มันลำบากใจนักเหรอ”

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ายังกล้ารั้งกูไว้อีก หน้าด้านเกิ๊น “พี่กับไฮโดรควิโนนเหมือนกันอยู่อย่างนึงนะครับ รู้ไหม... เหมือนจะดี”

ซะใจชะมัด

ผมลุกออกจากเก้าอี้และหยิบหลักฐานทั้งหมดก่อนจะก้าวเท้าอย่างผู้มีชัยออกนอกร้านทันที ปล่อยไอ้คนข้างหลังให้นั่งอยู่อย่างนั้นแหละ







“แสบนะเรา”

“พ...พี่ตอง” จู่ๆ ผมก็เจอพี่ตองยืนอยู่หน้าร้านปิ้งย่าง “มาทำอะไรอยู่ตรงนี้อ่ะ”

“ก็ตามแฟนพี่มาซิครับ” ดูมันตอบ

“นี่อย่าบอกนะว่าสะกดรอยตามชามาตลอด”

“ตลอดครับ”

“งั้นรู้แล้วซิว่า...”

“รู้แล้วครับว่ามีคนฉีดสารแปลกแปลมใส่โลชั่น พี่แอบฟังทั้งหมดนั่นแหละ แต่แฟนพี่ร้ายกว่าหลายเท่าเลย”

"ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าต้องมาทำอะไรแบบนี้ ตอนที่ห้องพี่ตองโดนพี่แอมถล่มตอนนั้น ชาลองศึกษาเกี่ยวกับการเก็บหลักฐานมาบ้าง ได้เอามาใช้อีกจนได้"

"ถึงได้บอกว่าร้ายไง" พี่ตองขำ ผมก็ด้วย

"กลับกันเถอะ" ผมชวน



#เสียงข้อความจากโทรศัพท์ (ของพี่ตอง)



"พี่ท๊อปไลน์มา" พี่ตองบอกระหว่างเดินกลับร้านของพ่อพี่บุ๋น

"ว่าไงอ่ะ" ผมสนใจ

"ทดสอบโลชั่นขวดอื่นๆแล้ว ไม่เจอสารอันตราย พ่อไอ้บุ๋นถูกใจใหญ่เลย แล้วก็... มีรอยเข็มเจาะบนขวดที่พบสารจริงๆด้วย"

"กะแล้วไม่มีผิด... บอกพี่ท๊อปให้หน่อยว่าอย่าเพิ่งให้ใครจับขวดโลชั่นนะ ชาจะไปเก็บรอยนิ้วมือ"

"โอเคครับ" พี่ตองพิมพ์ตอบตามที่ผมบอก "เรียบร้อย... พี่ท๊อปบอกว่า เก็บขวดแยกไว้ให้แล้ว"

"ดีครับ"

"เห้อออออออ" จู่ๆ พี่ตองก็ถอนหายใจ

"ถอนหายใจทำไม"

"ต่อไปพี่เองก็คงต้องระวังตัวให้ดีซินะ"

"ทำไม?"

"ก็มีแฟนเป็นนักสืบแบบนี้ ขืนเผลอนอกใจขึ้นมา พี่คงโดนจับได้แน่ๆ จะโดนลงโทษยังไงก็ไ่รู้"

"ไม่ต้องห่วง ชาไม่ทำอะไรพี่หรอก"

"ห๊ะ ไม่คิดจะหึงจะหวงพี่บ้างเลยเหรอ พี่อุตส่าพูดขนาดนี้แล้วนะ"

"ไม่ทำอะไร แปลว่า จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับพี่อีก จบกันทันที ชาไม่เสียเวลามาตามจับผิดพี่ตองหรอก"

"โห... โหดของจริง แต่พี่ไม่ทำหรอกครับ แฟนพี่ทั้งเก่งทั้งน่ารักแบบนี้.........





...............ใครนอกใจก็โง่แล้ว"
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 07-04-2018 20:47:28
พี่กั้งเล่นไม่ซื่อแบบนี้ต้องเจอน้ำชาหน่อย สุดยอดไปเลย โดยเฉพาะประโยคสุดท้าย เหมือนจะดี 5555555
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 07-04-2018 23:38:20
 :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 55 [ความเจ็บปวด]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 10-04-2018 20:40:05
​......................................................................

คำสารภาพอันเว้าวอน


ขออภัยที่ช่วงนี้นักเขียนหายหน้าหายตาไป เนื่องจากนักเขียนถูกเรียกไปคัดตัวนักกีฬาแบดมินตัน การฝึกซ้อมทำให้ร่างกายเหนื่อยล้าจนไม่สามารถเขียนนิยายได้เลย แม้ใจจะอยากประพันธ์ผลงานเพียงใดก็ตาม กราบขออภัยอย่างยิ่ง

สำหรับตอนที่ 55 นี้ เป็นตอนที่นักเขียนกลัวที่จะต้องแต่งที่สุด เพราะคือสัญญาณของโค้งสุดท้ายของเรื่องแล้วจริงๆ และมีเนื้อหาที่ค่อนข้างสะเทือนใจ แล้วก็จริงอย่างที่คาดไว้ ระหว่างเขียนก็น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

ถึงอย่างไรเสีย อีกไม่นานก็คงจะสิ้นสุดนิยายเรื่อง Love Leader แล้ว จึงอยากใคร่ขอกราบขอพระคุณผู้อ่านทุกท่านมา ณ ที่นี้ หลังจากจบนิยายเรื่องนี้แล้ว ก็คงพักยาว แต่ถ้าจะหันกลับมาเขียนนิยายอีกครั้งคงกลับไปเขียนแนว Fantasy ที่ตนเองถนัด หากมีผลงานอื่นๆในคราวต่อไปหวังใจอย่างยิ่งว่าจะมีผู้ให้ความสนใจเช่นเคย



ขอความสุขจงมีแก่ท่าน

K.R.

………………………………….





ตอนที่ 55 : ความเจ็บปวด







“อิชาๆ ถึงคิวมึงแล้ว” “โอเคๆ” “อิเล็ก ช่วยกูยกกล่องนี้หน่อย” “สุ่ยกับข้าวเจ้าอยู่ไหน” “ต่อไปคิวใคร ท๊อปจะร้องเพลงจบแล้วนะ” “อิชาค่ะพี่ปิงปิง กำลังจะออกไปแล้วค่ะ” “ปฏิทินเซ็นชื่อไปถึงไหนแล้ว ข้างนอกหมดแล้วนะ” “กำลังยกไปค่ะเจ๊ซีซี่”

เป็นไงละครับ แค่เสียงที่ได้ยินก็คงรู้แล้วใช่ไหมว่าพวกเรากำลังวุ่นงายกันสุดๆ

ผม พี่ตอง ไอ้ต้อม ขิง พี่บุ๋น พี่ท๊อป กำลังทำหน้าที่ให้ความบันเทิงในแจกปฏิทินในช่วงบ่าย หลังจากที่จัดการกับตัวร้ายอย่างพี่กั้งได้แล้ว

แต่ปัญหาก็คือ แผนการแจกปฏิทินของวันนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ผมขอร้องให้แม่เลื่อนกำหนดการเข้ามา ก็เลยไม่มีทีมงานมาดูแลงานมากนัก พวกบัดดี้ของลีดมหาลัยและแก๊งนางฟ้าเพื่อนหญิงพลังหญิงของผมก็เลยต้องมาช่วยจัดการดูแลงานแจกปฏิทินในครั้งนี้ ส่วนไอ้สุ่ยกับไอ้ข้าวก็กลายเป็นสองคนใหม่ที่ถูกให้ความสนใจจากบรรดาเหล่าคนที่มารอรับการแจกปฏิทิน ซึ่งก็ดีเหมือนกันเพราะคนแค่หกคนเริ่มจะเซ็นชื่อลงบนปฏิทินไม่ทันแล้ว



“...แค่ได้เป็นคนสุดท้ายที่เธอคิดถึง ได้อยู่ในนั้นซึ่งฉันไม่ควรได้เข้าไป แค่เท่านี้ก็ดีพอกับใจ ของเธอ....”



ขอบอกเลยว่า งานนี้ต้องขอบคุณพี่ท๊อปมากๆสำหรับความเป็นศิลปินที่มีอยู่ในตัว เพราะพี่เค้าเป็นกุญแจสำคัญที่สามารถดึงคนดูอยู่ได้

สำหรับผมแล้ว นี่อาจจะดูวุ่นวายและรับมือยากนะ แต่ไม่ใช่กับพ่อพี่บุ๋น การมีคนจำนวนมากมาจอแจอยู่หน้าร้านขายเครื่องสำอางของตน ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีเสียนี่กะไร ยิ่งพี่ท๊อปพยายามช่วยพูดดึงดูดลูกค้าให้เข้าในร้าน เรียกได้ว่าเอาใจพ่อพี่บุ๋นไปเต็มๆ แม้ท่านจะยังดูมีมาดอยู่บ้าง แต่สัญญาณนี้ก็ถือว่าดีมากๆ อีกไม่นานพี่ท๊อปคงกลายเป็นที่รักของพ่อพี่บุ๋นเป็นแน่แท้

กลับมาที่งานงานแจกปฏิทิน มันไม่หมูอย่างที่คิดเลย พวกเราไม่ใช่แค่ต้องรับมือกับคนมากมายที่โหมกระหน่ำเข้ามายื้อแย่งปฏิทิน แต่ต้องสามารถควบคุมสถานการณ์นี้ไว้ได้ด้วย ให้ความบันเทิง ร้องเพลง สัมภาษณ์กันเอง ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้การแจกปฏิทินไม่กร่อย หรืออย่างน้อยก็ไม่ทำให้บริษัทของแม่ผมต้องเสียหน้า

แต่กว่างานจบงาน มันช่าง.........



“เห้ออออออ ไม่ตายเหอะ ปวดขาชะมัด” ผมบ่นออกมา ก็เพราะในที่สุดงานวันนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่เรายังไม่ได้กลับกันนะ ผมและทุกๆคนยังอยู่ที่ห้องรับรองของร้านพ่อพี่บุ๋น ทุกคนอยากพักเหนื่อยกันก่อน สภาพแต่ละคนไม่ต่างกันเลย แทบจะทิ้งตัวไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก ยกเว้น... “อิเจสซี่ มึงทำอะไรน่ะ”

“เอาปฏิทินส่วนที่กั๊กไว้ใส่กล่องพัสดุไง” อิช้างตอบผม จริงๆเท่าที่สังเกต อิเล็กกับวาวาก็กำลังทำอย่างเดียวกัน

“จะส่งไปให้ใครวะ” ผมถาม

“ก็ลูกเพจไง หมายถึงแฟนเพจของมึงนั่นแหละ พวกต่างจังหวัดที่มารับปฏิทินไม่ได้ อย่ามาด่าว่ากูกั๊กของนะ นี่ถือเป็นค่าตอบแทนที่กูมาช่วยงานมึงวันนี้”

“มึงจะทำอะไรก็ทำเหอะ กูไม่ว่าหรอก... เออว่าแต่ มึงช่วยส่งไปที่ท่าเรือ KTYC ซักสามอันได้ไหม”

“ห๊ะ” อิช้างสงสัยอะไม่แปลกหรอก แต่พี่ตองก็สงสัยด้วย จะไม่ให้สงสัยได้ไง นั่นบริษัทท่าเรือของพ่อพี่ตองนี่นา

“มีพนักงานบริษัทของพ่อพี่ตองอยากได้อ่ะ” ผมอธิบาย “ตอนที่ไปที่นั่น พวกพี่เค้ามาขอไว้”

“จริงอ่ะ” พี่ตองยิ้ม

“แล้วมึงมีชื่อไหมล่ะ” อิเจสซี่ถาม “ขืนส่งไปมั่วๆ คนคงแย่งกันตาย กูเช็คล่าสุด ราคาขายปฏิทินเซ็ตปีนี้เก้าพันเลยนะคะขอบอก”

“จริงอ่ะ" โหดสัสรัสเซีย "แต่เออวะ กูก็ไม่รู้ชื่อเหมือนกัน... อ้อ เอางี้ จ่าหน้าว่า ฝ่ายวิเคราะห์ ละกัน”

“โอเค ได้ ดีนะที่กูกั๊กไว้เยอะ มีเหลือพอดี มึงจะส่งไปให้ใครอีกไหมล่ะ”

“ไม่อ่ะ แต่กูขอไว้ซักสองสามอันละกัน จะเอาไปแจกที่โรงบาลมหาลัย”

“ค่าาาาานายแม่ กูทำงานดีขนาดนี้ สรุปคือกูได้เป็นบัดดี้ของมึงชัวร์แล้วใช่ป่ะ”

“เออๆๆ มึงได้เป็นแน่ ถ้ากูได้เป็นลีดมหาลัยอะนะ”

“เดี๋ยววันจันทร์ผลก็ออกแล้วครับ” พี่ตองพูดขึ้น

“จริงเหรอคะ” อิช้างตื่นเต้นกว่าผมอีก

“กูต้องเป็นคนถามไหมอิช้าง” ผมแขวะ ก่อนจะหันไปคุยกับพี่ตองต่อ “วันจันทร์นี้จะประกาศชื่อสิบสองคนสุดท้ายแล้วเหรอ”

“ครับ” พี่ตองตอบ

“ตื่นเต้นเลย อีกสองวันเอง” การเดินทางทั้งหมดกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว กำลังจะถึงปลายทางแล้วซินะ ทั้งตื้นเต้นและแอบใจหายไปพร้อมๆกัน



“พี่ว่าเรากลับกันเถอะ” พี่ท๊อปเสนอขึ้นมาหลังจากเรานิ่งสงบกันในห้องรับรองมาสักพัก “ห้างน่าจะปิดแล้วนะ ไม่มีคนแล้วล่ะ”

“นั่นซิ” พี่บุ๋นสนับสนุน “กลับไปพักผ่อนกันดีกว่า อยากเห็นเตียงแย่แล้ว”

"คิดถึงเตียงเหรอจ๊ะบุ๋นน้อย" ดูมัน ไอ้พี่ตองแซวเพื่อนตัวเอง "มีกิจกรรมอะไรจะทำกับพี่ท๊อปบนเตีบงเหรอ"

"เออ ทำไม อยากดูไหมล่ะ เดี๋ยวกูทำให้มึงดูตรงนี้เลย"

ช็อกกันทั้งห้อง พี่บุ๋นเวอร์ชั่นกล้าพูดนี่ออกแนวฮาร์ดคอร์หน่อยๆแฮะ

“โอเคๆครับ” ผมรีบขัดจังหวะไว้ก่อนดีกว่า อิสามตัวเพื่อนผมน้ำลายจะหกท่วมห้องอยู่แล้ว “งั้นเดี๋ยวผมออกไปเรียกรถตู้ให้นะ”

“พี่ไปด้วย” พี่ตองลุกตามผมออกมาในทันที



ผมกับพี่ตองเดินออกจากห้างทางด้านประตูหลังฝั่งที่จอดรถ แต่ลานจอดรถแทบจะไม่มีรถเหลืออยู่เลย บรรยากาศเงียบเฉียบและเปลี่ยวถึงแม้จะมีไฟส่องสว่างก็ตามที มันก็ดูน่ากลัวอยู่ดี



“รู้งี้ขอเบอร์คนขับรถไว้ซะก็ดี” ผมบ่น

“อยู่กับพี่ไม่ต้องกลัวหรอกครับ” ไอ้พี่ตองเอ๊ย จะโชว์แมนว่างั้น

“อยู่กับพี่นี่แหละที่น่ากลัวที่สุด”

“หมายความว่าไงครับ พี่เป็นถึงเจ้าชายตองเชียวนะ จะน่ากลัวได้ไง”

“อือหือ เพิ่งเคยเห็นคนอวยตัวเอง”

“เอ... นั่นใช่รถตู้บริษัทแม่ชาหรือเปล่า”

“อืม ใช่ๆ”

“ทำไมประตูรถเปิดไว้อย่างงั้นอ่ะ”

ไหน? จริงด้วย “พี่คนขับรถอาจจะนอนหลับอยู่ก็ได้”

ดูท่าว่าพี่ตองจะไม่ได้คิดแบบผม พี่เค้าเร่งฝีเท้าไปที่รถตู้ที่อยู่ข้างหน้า ผมก็เร่งตามนะ แต่ไม่ทันจริงๆ ทำไมต้องขาสั้นด้วยวะ ไอ้คนข้างหน้าก็ขายาวเกิ๊น



“เห้ยยยย” อะไรวะ พี่ตองร้องทำไม ผมก็เลยต้องรีบวิ่งดิ

“เห้ย” ผมก็อุตทาน ทั้งที่ยังไม่ถึงรถตู้ แต่ผมเห็นร่างของพี่คนขับรถ นอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นข้างๆประตูรถ “เกิดอะ.... อุ๊”

“เห้ย ปล่อยนะเว้ย”

“อ่อยอู อ่อย” จู่ๆผมก็โดนใครก็ไม่รู้วิ่งเข้ามาปิดปากและจมูกไว้ ผมพยายามหันไปมองแต่สู้แรงไม่ไหวจริงๆ อาจจะด้วยทั้งความตกใจและความเหนื่อยที่ทำงานมาทั้งบ่าย

“กูบอกให้...”

ระวังงงงงงงงงงงงงง!!!!!!!!!!!

​ผมได้แค่คิดเท่านั้น

“อ๊ะ”

ไม่นะ!!!! ม่ายยยยย

“อี่อองงงงง  อ่อยอู อ่อยอู” ผมพยายามตะโกนให้ปล่อย แต่ก็มีเพียงเสียงอู้อี้ออกมาเท่านั้น

ไอ้โหม่งชุดดำสี่ห้าคนที่ไหนก็ไม่รู้ วิ่งมาโจมตีพี่ตองจากข้างหลังด้วยไม้ท่อนใหญ่ จนพี่ตองนอนลงไปกองกับพื้น

​ไอ้เลวเอ๊ย

ตอนนี้กูไม่สนใจอะไรแล้ว ดิ้นแม่งให้สุดชีวิต ใช้กำลังทุกอย่างเท่าที่มีหลุดไปจากตรงนี้เพื่อไปช่วยพี่ตองให้ได้

“พี่ตอง” คำอธิฐานสัมฤทธิ์ผล ผมหลุดออกมาได้จริงๆด้วย

ผมแทบจะไม่หันกลับไปสนใจไอ้คนที่เพิ่งฉุดผมไว้ด้วยซ้ำ แต่เลือกที่จะวิ่งตรงไปหาพี่ตอง พี่เค้ากำลังถูกรุมทำร้ายโดยปราศจากอาวุธป้องกันตัว ผมคล้ายว่าจะเห็นพี่ตองพยายามลุกขึ้นมาต่อสู้และพยายามหันมาช่วยผม



“มานี่”

“อ่ะ!!!” เหมือนถูกกระตุกวิญญาณให้ย้อนกลับ ก็เพราะไอ้คนร้ายที่ผมเพิ่งหลุดจากพันธนาการของมันวิ่งตามมากระชากคอเสื้อของผม

“มึงเป็นใครวะ” กูทนไม่ไหวแล้วนะ จากตอนแรกที่ไม่ได้สนใจมัน ตอนนี้มึงดึงความสนใจกูสำเร็จแล้ว

ผมกระชากตัวเองอย่างแรงเพื่อให้คอเสื้อของตัวเองขาดจะได้หลุดจากการถูกรั้งไว้

แคว้กกกกกก

และเมื่อทำได้ก็หันกลับไปประจัญหน้ากับไอ้คนที่พยายามเข้ามาทำร้ายผม

แม้เกิดขึ้นเพียงช่วงสั้นๆ แต่ผมก็มองเห็นคนร้ายว่ามันมาในชุดดำ คลุมศีรษะทั้งหมดไว้ด้วยหมวกสีดำ ในมือของมันไม่ได้มีอาวุธเหมือนคนที่รุมทำร้ายพี่ตอง มีเพียงผ้าขนหนูผืนเล็กที่ใช้ปิดปากผมไว้เท่านั้น

และวินาทีนั้นเองที่ผมเห็นมันจะเข้ามาโจมตีผมอีกรอบ ครั้งนี้มันคงไม่หวังแค่การปิดปากผมไว้อีกแล้ว

“อ่า” คนร้ายที่พยายามเข้ามาทำร้ายผมถูกผมซัดเข้าลิ้นปี่ด้วยอาศัยจังหวะและผมตัวเล็กกว่ามัน ทำให้โจมตีเข้าวงในได้ง่าย ทำให้ไอ้คนร้ายหงายหลังลงไปกองกับพื้น

มึงเล่นผิดคนแล้ว คิดว่าคนอย่างกูเป็นหมูในอวยหรือไง ถึงกูจะมีพี่ตองคอยปกป้องแต่กูไม่ใช่คนอ่อนแอนะเว้ย ทักษะกีฬากูก็มี ตัวต่อตัวแบบนี้กูไม่ยอมหรอก

บั๊ก

เอาไปอีกดอก ก่อนที่มันจะหายจุกและลุกขึ้นมาทำร้ายผมต่อได้ ผมซัดหมัดหนักๆเข้าลิ้นปี่ของมันอีกครั้ง และ...

บั๊ก

เตะหนักๆเข้ามากลางกกหูอย่างจัง ไม่หมดสติให้มันรู้ไป



“ใครวะ?” ด้วยปฏิกิริยาที่เป็นอัตโนมัติ ผมถอดโหมงดำคลุมหัวของไอ้คนที่สลบเหมือบเบื้องล่างออก แต่ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นใครอยู่ดี

​".............................." เกิดอะไรขึ้น

วินาทีต่อมาผมรู้สึกเหมือนจะวูบหลับลงไปทั้งๆที่ยังมีสติดีอยู่

นี่อย่าบอกนะ

ผ้าขนหนูอันนั้นต้องชโลมยาสลบไว้แน่ๆ

ด้วยสติที่ยังพอเหลืออยู่ผมควานหาของจากตัวคนร้าย

“พ...พี่ตองงงงงง” ผมพยายามตะโกนเรียกด้วยสติและกำลังที่พอจะต่อสู้กับฤทธิ์ยาได้

เมื่อไม่ได้รับการตอบกลับ ผมจึงพยายามหันไปหาพี่ตอง ภาพมันขมุกขมัวไปหมด แต่ก็เหมือนจะเห็นว่าพี่ตองลุกขึ้นมาต่อกรกับกลุ่มคนร้ายได้แล้ว เพียงแต่ยังมาช่วยผมไม่ได้

เชี่ยยยยยยย

เหมือนจะวูบลงไปอีกครั้ง ผมรีบเอาหมวกไอ้โหม่งกับของที่ได้จากตัวคนร้ายยัดใส่ในเสื้อของตัวเองแล้วพยายามลุกเพื่อไปช่วยพี่ตอง แต่ร่างกายผมไม่ตอบสนองเลย แค่ยืนยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ

ตั้งสติ ตั้งสติ ตั้งสติไว้

ผมคิดว่าผมคงยังไม่โดนยาสลบไปมาก อาจจะสูบเข้าไปบ้าง แต่ถ้าคงสติไว้ได้ก็คงพอจะนึกอะไรออกบ้าง

ทำยังไงดี ต้องทำยังไงดีเพื่อเรียกคนมาช่วย พี่ตองยังถูกทำร้ายอย่างต่อเนื่องอยู่เลยแม้จะลุกขึ้นมาได้แล้ว แต่พวกมันมีอาวุธกันทุกคน ถ้าจะตะโกน แค่เสียงของเรากับสติที่ไม่เต็มร้อยคงไม่พอจะให้ใครได้ยิน

เสียง*!!!!*

นึกออกแล้ว

ผมพยายามลุกขึ้นอีกครั้งและเดินไปข้างหน้า แต่ทิศทางที่ผมเดินไปไม่ใช่เพื่อไปหาพี่ตอง ผมเล็งสิ่งที่อยู่ใกล้กว่านั้น.....



ปี๊น ปี๊น ปี๊น ปี๊น ปี๊น ปี๊น ปี๊น ปี๊น ปี๊น ปี๊น ปี๊น ปี๊น ปี๊น ปี๊น

เสียงสัญญาณกันขโมยของรถดังขึ้น

ใช่แล้ว ผมตรงเข้าไปหารถยนต์ของใครก็ไม่รู้ที่จอดอยู่ใกล้ที่สุด พยายามดึงสลักประตูรถและทุบแรงๆ โชคดีที่มันส่งเสียงออกมาอย่างที่ผมต้องการ



“มันตามคนมาช่วย ไปจัดการมันก่อนเร็ว”

บ้าเอ๊ย พวกมันไม่หนี แต่กลับคิดจะเข้ามาทำร้ายผมแทน

ผมได้ยินเสียงกลุ่มคนร้ายวิ่งมา แต่ผมทำอะไรไม่ได้แล้ว ได้แต่ทรุดลงไปกองข้างรถยนต์ด้วยสติที่ใกล้จะหายไป

เอาวะ จะเจ็บก็เจ็บ ยอมเจ็บแค่ไม่นาน เดี๋ยวก็ต้องมีคนมาช่วย



“มึง มึงจะทำเ-ี้ยไรแฟนกู มึง.... โอ๊ย”​

“พ...พี่...ตอง” ตาของผมกำลังจะปิดแล้ว สิ่งที่ผมเห็นมีแต่หน้าพี่ตองที่อาบไปด้วยเลือดและรอยแผลกับความชลมุนวุ่นวายที่อยู่เบื้องหลังพี่เค้า



นั่นมัน*!!!!*

“ห..หยุด หยุด” อย่าทำ อย่าทำร้ายพี่ตองนะ “อ...ออก... ออกไป พี่... ตอง ออกไป” ทำไมต้องเอาตัวเข้ามากั้นผมไว้ด้วย

“พ...พี่รักชานะ” ยังจะมาพูดอีก

ผมไม่เหลือแรงเลย แม้แต่จะผลักให้พี่ตองออกไปจากการเอาตัวเองมาเป็นโล่มนุษย์เพื่อปกป้องผมก็ทำไม่ได้ ผมทำได้เพียงนิ่งอยู่ในการคุ้มครองของชายคนรัก ได้เพียงมองดูเหตุการณ์เลวร้ายซึ่งไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้

ออกไปซิ เอาตัวพี่ออกไป ไม่ต้องทำ ไม่ต้องทำแบบนี้ อย่าเอาตัวเองมารับความเจ็บแทนชานะ ได้โปรดออกไป

“ข...ขอร้อง ห...หยุดเถอะ” ผมไม่ไหวแล้ว ผมเอ่ยคำวิงวอนต่อกลุ่มคนร้ายด้วยน้ำตาที่ไหลพรากและเสียงที่แทบจะไม่มีใครสนใจได้ยิน พวกนั้นยังทุบตีมาที่พี่ตองไม่ลดละ ผมได้แต่มองดูสติของพี่เค้าที่กำลังจะหมดสิ้นไป แต่ก็ด้วยอะไรบางอย่างที่ทำให้พี่เค้ายังคงไม่คลายการป้องกันออกจากตัวผม พี่ตองพยายามอย่างสุดชีวิตที่จะรักษาสติของตัวเองไว้ “ย...ยอมแล้ว ยอม...แล้ว หยุดท...ทำร้ายพี่ตอง... ขอร้อง ย....ยอมแล้ว ได้โปรด ขอร้องล่ะ”

ไม่มีเลยที่เสียงทุบตีด้วยท่อนไม้จะเบาบางลง มีเพียงกลิ่นเลือดและไอร้อนจากเหงื่อของพี่ตองเท่านั้นที่มากขึ้น

ได้โปรด หยุดทำร้ายพี่ตองเถอะ

หัวใจของผมแทบจะแตกสลายอยู่แล้ว

ทำไมกูถึงได้อ่อนแอขนาดนี้

ทำไมกูไม่สามารถช่วยอะไรพี่ตองได้เลย

ถ้าพี่ตองไม่รักกูมากขนาดนี้ก็คงไม่เอาตัวเองมารับความเจ็บปวดแทน กูนี่มันแย่จริงๆ

“พ...พี่ตอง” ผมทำได้เพียงเรียกเบาๆ “ช...ชาขอโทษ ชา...ชาร...รักพี่ตองนะ”



“เห้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ตอง น้ำชา” “อิชา!!!!!!!”

“ชิบหาย มีคนมา หนีเร็ว” "พาไอ้โย่งไปด้วย เดี๋ยวก็ซวยกันหมดหรอก"



มีคนมาแล้ว....

มีคนมาช่วยแล้วจริงๆใช่ไหม

พุ๊บ!!!!!



“พ...พี่ตอง” ในที่สุดพี่ตองก็ปล่อยการคุ้มครองออกจากตัวผม แต่ไม่ใช่เพราะพวกคนร้ายหนีไป เป็นเพราะพี่เค้าสิ้นสติที่จะทำอะไรได้อีกต่อไปจนต้องทิ้งตัวเองลงไปนอนกองอยู่ข้างๆผม "ช...ช่วยด้วย..."

และนั่นคือภาพสุดท้ายที่ผมมองเห็น ก่อนจะบอกลาสติสัมปชัญญะไปด้วยรอยน้ำตา.......









“ต้อม ชารู้สึกตัวแล้ว”

“ไหน? ไอ้ชาเย็น ไอ้ชา”

“ข...ขิง ต้อม” ผมตื่นมาพบกับไอ้ต้อมกับขิงในห้องที่ไม่คุ้นเคย แต่ผมคิดว่าคงเดาได้ไม่ยากหรอก ที่นี่คงเป็นโรงพยาบาล

“เป็นไงบ้างวะมึง” ไอ้ต้อมถามผม ผมแอบเห็นว่ามันกับขิงเกือบจะน้ำตาไหนออกมา

“ไม่เป็นไร"

"หลับทั้งวันทั้งคืนเลยนะมึง กูกับน้ำขิงเป็นห่วงแทบแย่"

"ขอบใจนะมึง” ผมกล่าวขอบคุณก่อนที่จะนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ “แล้วพี่ตองล่ะ พี่ตองเป็นยังไงบ้าง”

“เอ่อ....” จู่ๆไอ้ต้อมก็อ้ำอึ้งที่จะตอบ

“เกิดไรขึ้นอ่ะ” อย่านะ อย่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นนะ “พี่ตองอยู่ไหน กูจะไปหาพี่ตอง”

“ใจเย็นมึง” “ชาอย่าเพิ่งลุกซิ”

“ไม่ กูจะไปหาพี่ตอง”

“พี่ตองไม่ได้เป็นอะไร” ไอ้ต้อมพยายามดันผมให้ลงนอนเหมือนเดิม

“ถ้าไม่เป็นไรกูก็ต้องไปหาได้ดิ”

“มึงไปไม่ได้ เพราะมึงเองก็ยังไม่หาย มึงดูตัวเองก่อนไหม สายน้ำเกลือยังเสียบอยู่เลย”

“แค่นี้เอง กูไม่เป็นไรหรอกน่า ให้กูไปเหอะ กูเป็นห่วงพี่ตอง”

“ไม่ได้ บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้ดิวะ รอหมอก่อน”

“ให้กู....”

“พี่ตองอยู่ห้องไอซียู”

“ห๊ะ! ขิงพูดว่าอะไรนะ” นี่กูฟังผิดหรือเปล่า

“พี่ตองอยู่ห้องไอซียู” เหมือนผมถูกฟาดด้วยไม้แรงๆ “แต่ไม่ต้องห่วง ถึงพี่ตองจะยังไม่ได้สติ แต่ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวขนาดนั้น”

“แล้วทำไมต้องอยู่ไอซียูด้วยล่ะ” ผมยังร้อนใจ

“เพราะกล้ามเนื้อหลายที่มีเลือดคลั่งแล้วก็มีแผลที่ต้องเย็บ หมอไม่อยากให้เคลื่อนย้ายพี่ตองไปไหน เป็นการป้องกันเชื้อโรคด้วยน่ะ”

“เห้ยมึง อย่าร้องไห้ดิวะ” ไอ้ต้อมรีบปลอบใจผมทันทีที่ผมทรุดตัวเองลงบนเตียงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา “พี่ตองไม่ได้เป็นอะไรขนาดนั้นหรอก พี่ท๊อปกับพี่บุ๋นก็เฝ้าอยู่ตลอด”

“กูทำให้พี่เขาต้องเจ็บตัว จะไม่ให้กูเสียใจได้ไงวะ”

“มึงจะบ้าเหรอ ไอ้พวกนรกนั่นต่างหากที่เป็นคนทำ อย่าร้องนะเพื่อน... ว่าแต่ มึงรู้หรือเปล่าว่าพวกนั้นเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายมึงกับพี่ตอง พวกกูออกไปไม่ทัน แม่งหนีกันไปก่อน”

“ไม่รู้อ่ะ กูไม่รู้จัก” เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ “มีใครเห็นของที่กูเก็บมาไหม ที่อยู่ในเสื้อ.... เสื้อ? เสื้อกูหายไปไหน”

“ไม่ต้องห่วงชา” ขิงเอ่ย “ข้าวเจ้ากับสุ่ยจัดการให้แล้ว สองคนนั้นรู้ว่าต้องทำยังไง”

“งั้นเหรอ แล้ว...”



“ขออนุญาตค่ะ” การสนทนาถูกแทรกโดยแขกผู้มาใหม่ คุณหมอนั่นเอง “อ้าว ฟื้นแล้วเหรอ เป็นยังไงบ้างคะ”

“ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบทันที

“เวียนหัวไหม มีผื่นหรือหายใจไม่ออกหรือเปล่า”

“ไม่ครับ”

“ดีแล้วล่ะ แต่ถ้ามีอาการอะไรแปลกๆก็รีบแจ้งพยาบาลเลยนะ หมอกลัวว่าจะแพ้ยาสลบ แต่เท่าที่ตรวจดูในปอดก็ไม่มีปัญหานะ”

“ขอบคุณครับคุณหมอ เอ่อ หมอครับ ผมขอไปเยี่ยมเพื่อนได้ไหมครับ”

“เพื่อน? อ๋อ คนที่อยู่ไอซียูอะเหรอ”

“ครับ”

“จะดีเหรอ พักก่อนดีไหม”

“ผมไหวครับ” ผมแทบจะตะโกนออกมา “ให้ผมไปเถอะนะครับ ผมเป็นห่วงพี่เค้า”

“เอ่อ.... โอเค ก็ได้ เดี๋ยวหมอจะโทรไปบอกพยาบาลที่ห้องฉุกเฉินให้ก็แล้วกันว่าจะเข้าไปเยี่ยม แต่ต้องเตรียมใจไว้หน่อยนะ คนไข้โดนมาค่อนข้างหนัก อาจจะสะเทือนใจนิดหน่อยที่ได้เห็น”

“ค...ครับ” ไม่มีอะไรสะเทือนใจผมไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว

“งั้นญาติไปเอารถเข็นมาพาคนไข้ไปนะ รู้ใช่ไหมว่าอยู่ห้องไหน”

“ทราบครับคุณหมอ” ไอ้ต้อมตอบ

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็พักผ่อนนะ อาการของเราไม่ค่อยน่าเป็นห่วงเท่าไหร่ พรุ่งนี้ก็ออกได้แล้ว”

“ขอบคุณครับ”

แล้วคุณหมอก็จากไป

ไอ้ต้อมนำรถเข็นมาพาผมไปยังห้องไอซียูซึ่งต้องลงลิฟท์ไปอีกชั้นหนึ่ง หัวใจของผมแทบจะกระเด็นออกมานอกตัวด้วยร้อนใจอยากเจอพี่ตอง

ในที่สุดก็มาถึง...

ห้องไอซียู ห้องนี้ถูกปิดม่านและห้ามคนเข้าออกโดยพละการ ไอ้ต้อมต้องแจ้งพยาบาลหน้าห้องเพื่อให้ผมสามารถเข้าไปได้

หลังจากเจรจากันอยู่สักพัก ปรากฏว่าไอ้ต้อมกับขิงเข้าไปไม่ได้เพราะต้องสวมชุดปลอดเชื้อ พี่ท๊อปก็เลยต้องออกมารับผมแทนเพื่อนำเข้าไปด้านในห้อง



“ขิง ขอโทรศัพท์หน่อย” ผมขอโทรศัพท์มือถือของตัวเองจากลูกพี่ลูกน้องก่อนจะเข้าไปในห้อง

และเมื่อผ่านประตูและม่านกั้นเข้ามา....



“พ....พี่ตอง” ผมกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้ ใจจริงแทบอยากจะดึงสายน้ำเกลือออกแล้วโผเข้าไปหาร่างที่นอนนิ่งของคนตรงหน้าด้วยซ้ำ

ดวงตาพี่ตองปิดสนิท มีทั้งรอยแดงรอยเขียวช้ำเต็มตัวและใบหน้า ผ้าพันแผลก็พันทั้งแขน ขา และศรีษะ ขาซ้ายถูกยกให้ลอยขึ้นจากเตียงและมีการด้ามด้วยเฝือก

“พี่ตอง... ฮื่อ...” ผมร้องไห้ออกมาโดยไม่อายใคร “พี่ตอง เป็นยังไงบ้าง เจ็บไหม”

“ไอ้ตองไม่เป็นอะไรมากหรอกชา” เสียงพี่บุ๋นดังขึ้น พี่เค้านั่งหลบอยู่ที่มุมห้องผมจึงไม่เห็น

“เอ่อ... พี่ว่าเราออกไปข้างนอกก่อนดีกว่านะบุ๋น” พี่ท๊อปชวนพี่บุ๋น “ให้น้ำชาอยู่กับเจ้าตองตามลำพังเถอะ”

“ก็ได้” พี่บุ๋นตอบ “มีอะไรก็เรียกกูนะไอ้น้ำชา”

ผมไม่ได้ตอบอะไรพี่บุ๋น เพราะมัวแต่สนใจคนที่นอนนิ่งตรงหน้า

เมื่อพี่ท๊อปกับพี่บุ๋นออกไป ผมยันตัวเองออกจากเก้าอี้รถเข็น ก่อนจะไปยืนอยู่ข้างๆพี่ตอง

“ฮื่อ...” ผมไม่สามารถห้ามความเสียใจนี้ได้จริงๆ ยิ่งเห็นสภาพของคนที่ผมรักเป็นแบบนี้ผมยิ่งเจ็บปวด ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากแบ่งความเจ็บปวดนี้มาบ้าง ไม่อยากเห็นพี่ตองในภาพแบบนี้เลย

เมื่อตั้งสติได้ ผมยกมือถือของตัวเองขึ้นและกดเข้าไปยังแอพพลิเคชั่นเฟสบุ๊ค ก่อนที่จะ...

ไลฟ์เฟสบุ๊ค

“ท...ทุกคน ส...สวัสดีครับ” ผมพยายามที่จะพูดกับคนดูการถ่ายทอดสดนี้ทั้งๆที่น้ำตายังอาบสองแก้ม ผมไม่ได้สนใจว่าจะมีจำนวนคนดูมากน้อยเพียงใด รู้แต่ว่าผมอยากทำสิ่งนี้ “วันนี้.... ผมมาทำตามสัญญาแล้วนะครับ...สัญญาที่ให้ไว้กับทุกคนถ้าช่วยให้ผมผ่านเข้ารอบยี่สิบสี่คนได้ แต่พ...พี่ตองเค้า...” ผมไม่สามารถพูดต่อได้

ผมสูดหายใจเข้ายาวๆ ก่อนจะวางโทรศัพท์ลงที่หัวเตียง พยายามเลือกมุมที่เห็นทุกอย่างได้ชัดเจนที่สุดเพื่อที่ว่าผมจะได้ไม่ต้องเป็นคนอธิบายออกมาเอง ผมไม่อยากที่จะพูดว่าพี่ตองเจ็บหนักอยู่ในโรงพยาบาลและนอนนิ่งไม่ได้สติ มันเป็นคำพูดที่บาดหัวใจของผมมากจนเกินไป

อึดใจเดียวหลังจากนั้นผมกุมหัวลงต่ำ ค่อยๆเลื่อนใบหน้าของตัวเองลงไปยังใบหน้าของคนเบื้องล่าง และพูด...

“ชามาทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับทุกคนแล้วนะ พี่ตองดีใจไหม ถ้าพี่ได้ยิน ตื่นขึ้นมานะ ชาคิดถึงพี่... ได้โปรด”

"............" ในที่สุดริมฝีปากของผมก็จรดลงบนริมฝีปากของพี่ตองด้วยความรู้สึกอาลัยรักอันมากล้น แม้ในคำสัญญาตอนนั้นจะพูดแค่ว่าผมจะหอมแก้มพี่ตอง แต่ ณ เวลานี้ ผมยินดีแลกทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อได้คนที่รักกลับคืนมา ผมไม่สนว่าใครจะพูดว่ายังไง ขอเพียงให้พี่ตองปลอดภัยเท่านั้นก็พอ



“ช...ชา”



!!!!!!!!!!!!!!!!



“พ...พี่ตอง พี่ตอง” ผมแทบคลั่งเมื่อได้ยินเสียงของคนบนเตียง

“น...น้ำ...ชา” พี่ตองเป็นคนพูดจริงๆด้วย พี่เค้าเริ่มลืมตาขึ้นมาแล้ว แม้จะยังไม่ใช่การมีสติเต็มร้อยก็ตาม

“พี่ตอง นี่ชาเอง” ผมร้องไห้หนักกว่าเดิมอีก ทั้งดีใจและเจ็บปวดไปพร้อมๆกัน ตอนนี้ยากจะอธิบายความรู้สึกทั้งหมดที่มี “นี่ชาเอง พี่เป็นยังไงบ้าง”

“ชา....” พี่ตองยังคงพูดชื่อผมซ้ำๆ “ช...ชาปลอดภัย ม...ไหม”

“ปลอดภัยซิ ชาปลอดภัย... ฮื่อ... พี่ตอง” ผมอยากจะจับมือพี่ตองใจแทบขาด แต่ก็ไม่กล้าแตะต้องมากนัก กลัวจะยิ่งทำให้เจ็บ

“พี่... พี่รักช...ชานะ”

“ชาก็รักพี่ พี่ไม่เป็นอะไรใช่ไหม พี่ไม่เจ็บใช่ไหม”

“ไม่... ไม่เจ็บเลยค...ครับ” พี่ตองพยายามพูดและมองหน้าผมด้วยตาที่ยังลืมไม่ขึ้นทั้งหมด แล้วจะไม่ให้ผมร้องไห้ได้ยังไงล่ะ “พ...พี่ยอมเ...เจ็บแทนชาได้ ขอแ...แค่ชาปลอดภัยก็พอ”

“อย่าพูดแบบนี้ซิ อย่าทำแบบนี้อีกนะ”

“พี่ส...สัญญาแล้วไง จ..จะไม่ทำให้ชาต้องลำบาก.....







.....ความเจ็บปวดทั้งหมด พี่ขอรับไว้เอง”
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 10-04-2018 21:22:55
 :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 11-04-2018 00:55:56
ใครคือคนร้ายล่ะเนี่ย
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 56 [เมื่อวาน วันนี้ พรุ่งนี้ และตลอดไป]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 19-04-2018 11:19:06


ตอนที่ 56 : เมื่อวาน วันนี้ พรุ่งนี้ และตลอดไป (ตอนจบ) Part1

                     *มีตอนพิเศษอีก 1 ตอน*





“มึงว่าไงนะ”

“กูพูดไปแล้ว”

“ใช่ กูรู้ว่ามึงพูดไปแล้ว แต่มึงบ้าไปแล้วหรือไง” ไอ้ต้อมโวยวายใส่ผมในตอนเที่ยงของวันจันทร์

หมออนุญาติให้ผมออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ผมกำลังเก็บข้าวของในห้อง แต่ผมไม่ได้มีจุดประสงค์จะออกจากโรงพยาบาล ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้นถ้าพี่ตองยังนอนเจ็บอยู่ที่นี่

“ไอ้ชา มึงหยุดเลยนะ” ไอ้ต้อมพยายามรั้งผม

“กูจะไปห้องไอซียู” ผมไม่มีอารมณ์มาต่อล้อต่อเถียงกับมันหรอก “ถอย”

“ไม่ได้ กูไม่ให้มึงไป กูมาที่นี่ก็เพื่อจะมารับมึงไปที่โดมรวมใจ การประกาศรายชื่อผู้นำเชียร์สิบสองคนสุดท้ายจะเริ่มขึ้นอยู่แล้ว กูไม่ได้โดดเรียนทั้งเช้าเพื่อมาฟังมึงปฏิเสธเรื่องนี้หรอกนะ นี่มันความฝันของมึง กูจะบอกให้ถ้าเกิดมึงดันลืมเรื่องนี้ขึ้นมา”

“ไม่ใช่... ไม่ใช่เลย การเป็นผู้นำเชียร์งั้นเหรอ นั่นมันไม่เคยเป็นความฝันของกูด้วยซ้ำ มึงเป็นเพื่อนกู มึงน่าจะเข้าใจได้แล้วว่าจริงๆ กูอยากเป็นลีดมหาลัยก็เพื่อแค่อยากจะได้ใกล้ชิดกับพี่ตองก็เท่านั้น และตอนนี้พี่เค้าก็เจ็บหนักอยู่ในไอซียู มึงจะให้กูไปฟังผลงี่เง่านั่นแล้วทิ้งพี่เค้าไว้งั้นเหรอ”

“เพราะกูเป็นเพื่อนมึงไง กูถึงรู้ว่าอะไรที่มึงควรจะทำตอนนี้ มึงอยากมางอแงตอนนี้ได้ไหมวะ กูรู้ว่าพี่ตองยังไม่ดีขึ้น แต่พี่เค้าก็พ้นขีดอันตรายแล้วนะเว้ย ส่วนมึงอ่ะยังไม่พ้น ถ้ามึงไม่ไปร่วมพิธีประกาศผลวันนี้ก็เท่ากับมึงยอมรับการสละสิทธิ์ ใครๆก็รู้ว่ามึงเป็นตัวเต็งของวันนี้”

“กูบอกว่ากูไม่ไป ใครจะเป็นสิบสองคนสุดท้ายก็เป็นไป ลีดมหาลัยไม่จำเป็นต้องมีกูก็ได้ กูจะอยู่ที่นี่กับพี่ตอง และจะไม่มีใครมาขวางกูได้ ต่อให้เป็นมึงก็ตาม... ถอยไป! อย่ามาขวางกู มึงไม่อยากมีเรื่องกับกูแน่”

“ก็เอาดิ ถ้ามึงจะต่อยเพื่อนรักที่พยายามปกป้องความฝันของมึงก็เอาเลย ให้มันรู้ไปว่ากูเป็นแค่หมาหัวเน่า เป็นแค่เพื่อนโง่ๆของไอ้น้ำชา คนที่มึงจะเฉดหัวทิ้งหลังจากที่มีแฟนแล้ว”

“ไอ้ต้อม ม...มึง...”

“ใช่ กูนี่แหละไอ้ต้อม ขอบใจที่ยังจำกูได้ แล้วถ้ามึงยังจำได้ กูนี่แหละที่เป็นเพื่อนมึง คอยช่วยเหลือและเป็นห่วงมึงทุกอย่าง ก่อนที่มึงจะทันได้พูดประโยคแรกกับพี่ตองมาเป็นปีๆ กูไม่ได้จะรื้อฟื้นความเป็นเพื่อนกับมึงนะไอ้ชา แต่มึงช่วยมีสติกว่านี้หน่อย พี่ตองปลอดภัยดีแล้ว ส่วนมึงมีภารกิจต้องไปทำในอีกหนึ่งชั่วโมงนี้”

“ก็กู... จะให้กูทำยังไงวะ จะให้กูทิ้งพี่ตองไว้โรงพยาบาลในขณะที่กูยืนยิ้มรอรับตำแหน่งผู้นำเชียร์ มึงคิดว่ากูจะทำได้ยังไง กูทำไม่ได้ มึงเข้าใจไหม... ก...กู...ทำไม่ได้” ในที่สุดผมก็เผยความอ่อนแอของตัวเองออกมา ผมไม่รู้ว่าช่วงนี้ทำไมผมถึงได้เสียน้ำตาปล่อยขนาดนี้ แต่เหตุการณ์นี้มันเล่นงานกับความรู้สึกของผมมากเหลือเกิน

“กูเข้าใจ มานี่มา” ไอ้ต้อมดึงผมเข้าไปกอด ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ผมร้องไห้หนักกว่าเดิมอีก “กูเข้าใจว่ามึงเป็นห่วงพี่ตองและอยากอยู่กับพี่เค้ามากแค่ไหน ถ้าเป็นน้ำขิงที่นอนอยู่ที่ห้องไอซียู กูก็คงมีสภาพไม่ต่างจากมึง แต่กูเชื่อนะเว้ยว่า มึงก็จะทำอย่างที่กูทำ ตอนนี้มึงแค่สับสน ไม่นึกถึงเหตุผล และใช่ มันไม่ง่ายที่จะไปมีความสุขโดยทิ้งคนที่เรารักไว้ข้างหลัง แต่มันไม่ได้แย่ขนาดนั้น เราไปร่วมงานแค่ไม่นาน จากนั้นเราก็กลับมา พี่ตองไม่ได้หายไปไหน พี่เค้าปลอดภัยแล้ว และเชื่อกูดิ ไม่มีใครมาทำร้ายพี่เค้าได้อีกแล้ว”

“.......” ผมเอาแต่ร้องไห้

“ไม่คิดจะถามกูเหรอว่า ‘ทำไม’”

“ทำไม อะไรวะ” ผมตั้งสติและออกจากกอดของไอ้ต้อม

“ทำไมถึงไม่มีใครมาทำร้ายพี่ตองได้อีกแล้วไง”

“มึงจะพูดอะไร”

“พี่เค้าไปแล้ว...”

“ไปไหน!?!?!?” หมายความว่าไงวะ

“ใจเย็น กูจะมาบอกมึงว่า มึงอยู่นี่ก็ไม่มีประโยคอะไร เพราะพี่ตองถูกย้ายไปที่โรงพยาบาลของมหาลัยเราแล้ว ไปเมื่อไม่นานนี้เอง”

“ยังไง ทำไมกูไม่รู้เรื่อง”

“กูก็เพิ่งรู้ พี่พ่อตองสั่งให้ลูกน้องมาดูแลแล้วก็ย้ายพี่เค้าไปที่โน่นแล้ว ก็ว่าจะรีบมาบอกมึง แต่พี่ตองวานให้กูไปทำอย่างนึงก่อน ก็เลยมาบอกมึงช้าไปหน่อย สรุปว่ามึงจะยังอยู่ที่นี่อยู่ไหม”

“ไม่อยู่แล้ว ไปมหาลัยกัน...”

“ใจเย็นนนน มึงนี่ข้ามฉ็อตเร็วเนาะ ปกติมึงต้องถามกูแล้วนะว่าพี่ตองวานให้กูไปทำอะไร”

“ช่างมันเถอะ กูไม่อยากรู้ รีบไปมหาลัยกัน”

“ไม่ได้ เพราะนี่มันเกี่ยวกับมึง”

“อะไร?”

“รอแป๊บ” ไอ้ต้อมเปิดตู้เสื้อผ้าของโรงพยาบาลออกก่อนจะหยิบของออกมา “นี่ไง ชุดนิสิตของมึง ชุดที่พี่เค้าตัดให้มึงวันเปิดห้องเชียร์อ่ะ จำได้รึเปล่า”

“จ...จำได้”

“จำได้ก็ดี กูอุตส่าห์ขับรถกลับไปเอามาให้ กว่าจะหาคอนโดของพี่ตองเจอ หลงทางตั้งสองรอบ คราวนี้ก็เข้าใจแล้วนะ ไม่ใช่แค่กูที่อยากให้มึงไปร่วมงานวันนี้นะไอ้ชาเย็น พี่ตองเค้าก็อยากให้มึงไป น้ำขิง พี่ท๊อป พี่บุ๋น ไอ้สุ่ย ข้าวเจ้า หรือแม้กระทั่งแฟนคลับของมึงทุกคนต่างก็อยากเห็นมึงในวันนี้ทั้งนั้น มึงเป็นคนมีเหตุผลที่สุดเท่าที่กูรู้จักใครมา คงจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ไม่ยากนะ”

“กูขอ... ไปเยี่ยมพี่ตองก่อนได้ไหม”

“ไม่ได้ เอ๊ะไอ้นี่ มึงเป็นเด็กหรือไงเนีย แค่นี้ก็จะไม่ทันอยู่แล้ว รีบเปลี่ยนชุดเร็วๆเข้า”

“แต่...”

“เร็วเหอะน่า เสร็จงานแล้วกูจะพามึงไปถึงโรงพยาบาลเองเลย”

เห้อออออ

จะบอกว่าเข้าใจมันก็เข้าใจนะ แต่มันก็รู้สึกไม่โอเคอยู่ดีนั่นแหละ

เอาวะ เสร็จงานแล้วค่อยไปหาพี่ตองก็ได้………









กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด



โอ้โห

ไม่ได้ยินเสียงกรี๊ดดังสนั่นขนาดนี้มานานแค่ไหนแล้วเนี่ย



ตอนนี้ผมและผู้เข้ารอบทั้งยี่สิบสี่คนมายืนอยู่บนเวทีเพื่อรอการถ่ายทอดสดพิธีประกาศรายชื่อผู้นำเชียร์สิบสองคนสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว เกือบมาไม่ทันแน๊ะ โชคดีที่พี่ชมพู่ไม่อยู่ ไม่งั้นโดนด่าแน่ๆ แต่งานสำคัญแบบนี้พี่ชมพู่หายไปไหนนะ



“สวัสดีครับ/ค่ะ” พิธีกรคู่ขวัญของมหาลัยเริ่มกล่าวทักทายผู้คนทันทีหลังสัญญาณถ่ายทอดสดเริ่มขึ้น

“มาถึงกันแล้วนะครับสำหรับช่วงเวลาสำคัญของมหาวิทยาลัยเรา”

“ใช่แล้วค่ะ ในที่สุด เราก็จะได้รู้แล้วว่าใครคือผู้นำเชียร์ทั้งสิบสองคนของมหาวิทยาลัยมัณฑนาของเราในปีนี้ ไหนของเสียงเชียร์ให้กับว่าที่เจ้าชายและเจ้าหญิงหน่อยค่า...”



กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

ผมก็ได้ยินเสียงเชียร์ชื่อตัวเองนะ ที่พอจะบอกได้ก็คงมาจากพวกพี่วิศวะ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ในความเป็นจริงแล้วจิตใจของผมไม่ได้อยู่ตรงนี้เสียด้วยซ้ำ

อยากเจอพี่ตองจัง



“และในโอกาสนี้ เพื่อให้การประกาศรายชื่อสิบสองผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนาประจำปีการศึกษา 2560 เป็นไปอย่างสมบูรณ์ ขอเสียงปรบมือต้อนรับผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยรุ่นปัจจุบันขึ้นบนเวทีด้วยค่ะ”



กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด



“และนี่คือ.... เอ๋?” พี่พิธีกรหยุดกระทันหันด้วยสังเกตุเห็นสิ่งผิดปกติ “ผู้นำเชียร์นาวาพล...เอ่อ...”

พี่บุ๋นรีบเอียงหน้าไปบอกพิธีกรเบาๆ

“อ๋อ” พิธีกรถึงบางอ้อ “น่าเสียดายนะครับที่วันนี้เจ้าชายตองของเราไม่สามารถมาร่วมพิธีประกาศชื่อผู้นำเชียร์รุ่นใหม่ได้ แต่ก็ไม่เป็นไรครับ เพราะถึงอย่างไรแล้ว...”



“เดี๋ยวก่อนครับ”

จากที่ผมยืนเหม่อลอยคิดถึงพี่ตองอยู่ก็ได้มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาจากฝั่งคณะกรรมการ ก.น.ช.

พี่กั้ง

มีอะไรวะ

“ในฐานะคณะกรรมการควบคุมการรับร้องและการใช้สิทธิโดยมิชอบ ขอขัดค้านการคัดเลือกผู้นำเชียร์สิบสองคนสุดท้ายครับ”



ห๊ะ**!?!?**



“ห... อะไรนะครับ” พิธีกรถึงขั้นอึ้งสนิทที่ได้ยินพี่กั้งตะโกนแบบนั้นท่ามกลางนิสิตและเจ้าหน้าที่มหาลัยนับพันในโดมรวมใจ

“ได้ยินถูกต้องแล้วครับ” พี่กั้งยังคงยืนยัน

ผมแอบเห็นว่าพี่ท๊อปและพี่ ก.น.ช.คนอื่นๆต่างก็มีท่าทีไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน คงไม่ได้เตี๊ยมกันมาซินะ งั้นก็ชัดเจน นี่เป็นการกระทำจากพี่กั้งเพียงคนเดียว

จะมาไม้ไหนอีก….. ไม่จบไม่สิ้นกับคนๆนี้ซะที

นี่อย่าบอกนะว่าจะแก้แค้นกูเรื่องที่ไปหักหน้าพี่เขาวันก่อน นี่มันถ่ายทอดสดเลยนะ

“ถึงแม้ ก.น.ช.จะมีหน้าที่ดูแลสวัสดิภาพของนิสิตปีหนึ่ง” คนคัดค้านยังคงชี้แจ้งต่อ “แต่ส่วนหนึ่ง เราก็มีหน้าที่ดูแลกิจกรรมห้องเชียร์ตลอดปีการศึกษาให้เป็นไปตามกฎที่ถูกต้อง ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิด การคัดเลือกตัวแทนผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยมัณฑนาต้องได้รับการยอมรับจากผู้นำเชียร์รุ่นเก่าทุกคนและไร้ข้อคัดค้าน แต่ตอนนี้ เรามีรุ่นพี่แค่สิบเอ็ดคน ไม่ใช่จำนวนทั้งหมดอย่างที่ควรจะเป็น”



อือหือ เอางี้เลยเหรอ



“เอ่อ...” พิธีกรชายและหญิงที่เป็นมืออาชีพอย่างยิ่งในการทำหน้าที่ตลอดมากลับเอาแต่มองหน้ากันและไม่รู้จะพูดอะไรต่อ



“แต่ถ้าในกรณีเหตุสุดวิสัย” พี่แอมพยายามชี้แจ้ง “ก็สามารถ...”

“ขอดูกฎขอนั้นหน่อยได้ไหมครับ” พี่แอมถูกตัดบทจากพี่กั้ง เอาล่ะซิ ตอนนี้แทนที่ทุกคนจะสนใจการประกาศรายชื่อผู้นำเชียร์กลับต้องมาดูมวยแทน “ถ้าผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยจะอ้างถึงเรื่องเหตุสุดวิสัย ขอดูกฎที่เป็นลายลักษณ์อักษรหน่อยได้ไหมครับ เพราะตามข้อมูลที่ผมมีในมือ ไม่มีกฎเรื่องนั้นอยู่”

“.......” ผมรู้ว่าพี่แอมอยากเถียง แต่ว่าเถียงไม่ออก



“ผมขอใช้สิทธิ์เจ้าของธงเกียรติยศในการเปลี่ยนกฎครับ” คราวนี้เป็นพี่บุ๋นบ้าง “ผมขอเปลี่ยน...”

“ไม่มีกฎให้ประธานลีดจากคณะอันดับหนึ่งสามารถเป็นกฎของลีดมหาลัยได้นะครับ” นั่นไง กูว่าแล้ว ทำไมรู้สึกเหมือนไอ้พี่กั้งมันเตรียมคำแก้ต่างทั้งหมดมาแล้ววะ



โห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่...........

เริ่มเกิดเสียงการประท้วงขึ้นแล้ว ซึ่งต้นเสียงไม่ได้มาจากที่ไหนไกลเลย พวกพี่วิศวะปีสองนั่นเอง



“น้ำชา น้ำชา น้ำชา น้ำชา*”*

เดี๋ยวๆๆๆ แล้วจะตะโกนเชียร์ชื่อผมขึ้นมาทำไม



ไอ้พี่กั้งไม่ได้สนใจการโห่ประท้วงแต่อย่างใด แต่กลับเดินตรงมาที่แท่นพิธีกรและแย้งพื้นที่ประชาสัมพันธ์ไปหน้าตาเฉย

กล้าเกินไปแล้ว นี่กะจะแก้แค้นกูจริงๆใช่ไหม



“ผมเข้าใจนะครับว่าหลายคนในที่นี้มีผู้นำเชียร์ในดวงใจและอยากจะให้ได้รับคัดเลือก แต่ชื่อเสียงของผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนาเป็นที่ยอมรับและมีชื่อเสียงเป็นวงกว้าง ทั้งยังเป็นเสมือนเอกลักษณ์สำคัญของมหาวิทยาลัยเรา ถ้าเราที่เป็นนิสิตของมหาวิทยาลัยไม่ช่วยกันรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎที่เขียนขึ้นมาเป็นสิบๆปีนี้ไว้ คุณค่าของเหล่าผู้นำเชียร์ก็จะหายไป”

ไม่อยากยอมรับเลยว่าเหตุผลนี้ฟังดูเข้าท่า ทำเอานิสิตและเจ้าหน้าที่ในโดมรวมใจเริ่มส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงการเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเป็นวงกว้าง



“ขออนุญาตครับ”

เชรดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

ขิง!!!

ขิงตะโกนจากด้านล่างเวที ยืนเด่นท่ามกลางเพื่อนๆที่นั่งกับพื้น

ไม่เคยคิดเลยว่าขิงจะมีความกล้าระดับนี้ได้

“ผมชื่อคฑาเทพ ธนกฤษครับ ทำหน้าที่เป็น Stand controller ปีนี้ อยากจะขอถามพี่ ก.น.ช.หน่อยครับ” สายตาขิงเอาจริงมาก ไม่เคยเห็นมาก่อนจริงๆ

“.....” พี่กั้งยืนลังเลอยู่อึดใจหนึ่ง “ว่ายังไงครับ”

“ผมขอถามว่า หากเราไม่ประกาศรายชื่อสิบสองคนสุดท้ายวันนี้ ก็ต้องเลื่อนออกไปจนกว่ารุ่นพี่ผู้นำเชียร์จะมาครบ แบบนี้ถึงจะถูกต้องตามกฎใช่ไหมครับ”

“ถูกต้องครับ”

“แล้วถ้าการเลื่อนประกาศผล นานจนทำให้ไม่สามารถแสดง Power Cheer ได้ทันเวลาละครับ แบบนั้นมหาวิทยาลัยของเราจะถูกยกย่องในคุณค่าของผู้นำเชียร์ หรือถูกประเดิมในฐานะสถานบันที่ไร้ประสิทธิภาพและขาดความรับผิดชอบกันแน่ครับ สำหรับพี่แล้ว อย่างไหนสำคัญกว่ากัน?”



โอ้โหขิง สุดยอดไปเลย ถ้าไม่ติดว่ายืนเก๊กอยู่บนเวที จะกระโดดหอมแก้มซะที

แหม ไอ้ต้อม ยิ้มเชียวนะมึง



“งั้นน้องยินดีใช่ไหมครับที่จะเป็นคนลดคุณค่าในผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยตัวเอง” ไอ้คนคัดค้านก็ยังไม่ยอม ยังคงแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน เรียกได้ว่าหลังชนฝา หน้าพร้อมลุยจริงๆ “น้องจะยินดีใช่ไหมครับที่ผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนาจะขาดความศักดิ์สิทธิ์ไปเพราะน้ำมือของนิสิตรุ่นของน้อง น้องจะยอมรับว่าตัวเองเป็นผู้ทำลายความภาคภูมิใจในสิ่งที่รุ่นพี่ทั้งสามสิบแปดรุ่นช่วยกันสร้างมาใช่ไหมครับ”

“...........” ขิงนิ่งไปอีกคน เจอแบบนี้ใครก็นิ่งวะ

นี่มันเตรียมข้อแก้ต่างมาอย่างดีแล้วจริงๆด้วย แบบนี้ใครจะเถียงมันได้วะ ไอ้ห่าเอ๊ยยยยย





“ผมยอมรับได้ครับ” เอาวะ กูเอง กูจะไม่เงียบอีกต่อไปแล้ว กูจะพูดบ้าง เป็นไงเป็นกันซิ

“ยอมรับ?” นี่ผมไม่ได้คิดไปเองนะ ไอ้พี่กั้งแม่งยิ้มเย๊าะใส่ผม “น้องคนเดียวยอมรับ แต่นี่เป็นกิจกรรมของมหาวิทยาลัยนะครับ น้องคงสำคัญตัวผิดไปถ้าจะแค่บอกว่าตัวเองยอมรับแล้วสามารถเปลี่ยนกฎนี้ได้”

“ผมไม่ได้สำคัญตัวครับ” ผมตะโกนให้ดังที่สุด ด้วยว่าไม่มีเครื่องขยายเสียงช่วย บอกแล้วไงว่าเป็นไงเป็นกัน แต่ถ้าพูดใส่กูต่อหน้าสาธารณชนแบบนี้กูก็ไม่ยอมเหมือนกัน “ผมไม่ใช่คนสำคัญด้วยซ้ำ จริงๆแล้วผมแทบจะไม่สามารถมายืนอยู่ตรงนี้ได้เลยด้วยซ้ำ ยี่สิบสี่คนที่ยืนอยู่บนนี้ ผมรู้ดีว่าตัวเองไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นผู้นำเชียร์ ไม่มีสิ่งที่ผู้นำเชียร์ที่ดีควรจะมี ไม่ได้มีหน้าตาหรือหน่วยกานอันเป็นที่ต้องการ แต่ดูนี่ซิครับ ผมทั้งพยายาม อดทน ฝึกซ้อม เพิ่มพูนทักษะ ฝ่าฟันทุกภารกิจ จนในที่สุดผมก็มายืนอยู่ตรงนี้จนได้ เพราะผมไม่เชื่อในกฎบ้าบออะไรทั้งนั้น ผมไม่เชื่อในอะไรก็ตามที่มาตัดสินตัวของผม มันจะไม่มีวันนี้ ถ้าผมมัวเชื่อแต่เรื่องที่เกิดขึ้นในเมื่อวาน และอย่างที่บอกไปแล้ว ผมยอมรับได้.... ผมจะเป็นวันพรุ่งนี้ให้ดู....” ผมหันไปหาทุกคนในโดมรวมใจ หายใจเข้าลึกๆก็จะตะโกนให้ดังสุดเสียง... “ผมยอมรับแล้ว ทุกคนยอมรับได้ไหมคร้าบบบบบบ”



เฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้

“ยอมรับ...ยอมรับ...ยอมรับ...ยอมรับ...ยอมรับ...ยอมรับ...ยอมรับ...ยอมรับ...ยอมรับ...”



ว้าวววววว

ถึงผมเป็นคนปลุกไฟของทุกคนขึ้นมาเอง แต่ก็ยอมรับเลยว่าผมเองยังขนลุกเลย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแค่คำพูดของผมจะสามารถสร้างความหึกโหมได้ขนาดนี้



“ต.... แต่กฎระบุไว้ชัดเจน” นี่มึงจะยังไม่ยอมอีกเหรอไอ้เวรพี่กั้ง “ผมมีเอกสารกฎของผู้นำเชียร์อยู่ในมือ ผมจะอ่านให้ฟัง...”



โห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่หห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่หห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่หห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่หห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่

เสียงโห่ประท้วงหนักแน่นกว่าทุกครั้ง จนไอ้คนคัดค้านเริ่มประหม่า

“ฟังก่อนครับทุกคน กฎว่าด้วยผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนา....”



“กฎนั่นมีเก้าข้อ ผมและเพื่อนๆเป็นคนเขียนไว้เอง”

หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนที่ 56 [เมื่อวาน วันนี้ พรุ่งนี้ และตลอดไป]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 19-04-2018 11:19:51
Part 2



!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

นี่ซิช็อกของจริง

อาจารย์หมอพิชิตมาเองเลย อาจารย์ท่านโผล่มาจากทางเข้าของโดม

“พี่น้ำชา” “พี่น้ำชา....” น้องๆผู้ป่วยที่ผมเคยดูแลก็มาด้วย มาฝนชุดผู้ป่วยเด็กเลย น้องๆพยายามใช้เสียงเล็กๆตะโกนชื่อผม

บ้าเอ๊ย ทำแบบนี้ก็ซึ้งตายกันพอดี

ผมแทบจะกลั้นน้ำตาตัวเองไว้ไม่อยู่ มันไม่ใช่ความเสียใจนะ แต่มันตื้นตันแบบสุดจะบรรยายเลย

อาจารย์หมอค่อยๆพาเด็กๆ เดินตรงมาที่เวทีโดยมีพี่ดวงคอยช่วย ขิงเองก็รีบวิ่งไปช่วยดูแลน้องๆ

“ผมเป็นคนเขียนพวกนั้นขึ้นมาเอง” อาจารย์ท่านพูดอีกครั้งเมื่อขึ้นมาถึงบนเวที ส่วนเด็กๆยืนมองผมตาแป๋วจากด้านล่าง ผมพยายามยิ้มและโบกมือให้น้องๆ “และผมขอบอกเลยว่า มันไม่ได้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรืออะไรแบบนั้นหรอก ไม่ได้ลงอักขระ ไม่มีเกจิอาจารย์มาปลุกเสก มันก็แค่กฎที่เขียนขึ้นเพื่อเป็นแบบอย่างในครรลองที่ควรจะเป็นเท่านั้น ไอ้เรื่องที่ว่ามันศักดิ์สิทธิ์ ผมไม่เคยคิดแบบนั้นเลย ผมว่ามันเป็นค่านิยมที่สังคมสร้างให้กับกฎเสียมากกว่า สิ่งสำคัญของการเป็นผู้นำเชียร์ไม่ใช่คนที่ปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัดหรอกนะพ่อหนุ่ม เราเชื่อในการเป็นผู้นำและจิตวิญญาณ”

“แต่นั่น...”

“เอาอย่างนี้ไหมล่ะ” อาจารย์หมอตัดบทได้ซะใจมาก “ถ้ามันทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ งั้นเดี๋ยวผมเขียนกฎให้ใหม่ก็ได้ ผมเป็นคนเขียนขึ้นเอง ถ้าผมเปลี่ยนก็คงไม่มีปัญหาใช่ไหม”

“.....” อึ้งไปเลยซิมึงไอ้พี่กั้ง

ผมนี่อยากจะกระโดดกอดอาจารย์หมอเป็นคนที่สองจริงๆ

“เอาเป็นข้อที่เกี่ยวกับพิธีรับผู้นำเชียร์ใหม่ดีไหม ว่า... ไม่จำเป็นต้องมีรุ่นพี่มากันครบสิบสองคนก็ได้ ขอเพียงเป็นเหตุอันสมควรก็ให้มีพิธีประกาศได้”

“ก...ก็ถ้าอาจารย์จะว่าอย่างนั้น ผมก็คงไม่ขัดข้องครับ”

“งั้นก็....”



“จะไม่มีใครเปลี่ยนกฎทั้งนั้น”

อะไรอีก

นี่ยังไม่หมดเรื่องเซอร์ไพส์อีกหรือไง

อ้าว*!* พี่ชมพู

พี่ชมพู่นี่นา

“กฎของผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนา ไม่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงค่ะอาจารย์พิชิต” พี่ชมพู่บอก ก่อนจะเผยให้เห็นคนที่ตามพี่เขามาด้วย “เพราะรุ่นพี่ทุกคนมาพร้อมแล้ว"

"..." นั่นมัน.....



พ.......พี่ตอง....... “พี่ตอง”

นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมตะโกนชื่อพี่ตองด้วยความรักและห่วงหาอาทรโดยไม่รู้สึกอายใครทั้งนั้น น้ำตาไหลออกมาจริงๆแล้ว



พี่ตองมากับพี่ชมพู่ ด้วยไม้เท้าผู้ป่วยค้ำยัน และผ้าพันแผลเต็มตัวไปหมด

แล้วนั่น....!!

ไม่ใช่แค่พี่ตองที่มา คนที่ประคองพี่ตองอยู่ก็คือ... พ่อและแม่ของพี่ตอง ทั้งยังมีลูกน้องสามคนผู้ซึ่งเคยพยายามขับรถตู้มาพาตัวพี่ตองไป พนักงานหญิงจากท่าเรือคนที่เคยคุยกันกับผมก็มาด้วย

“ม....แม่” ให้ตายเหอะ แม้แต่แม่ของผมก็มาด้วย ผมรู้ว่าทุกคนในที่นี้คงจะอึ้งเป็นทิวแถวที่เห็นการปรากฏตัวของ T-Queen แต่ผมมองเห็นแค่แม่ที่แสนดีของผมเท่านั้น



สายตาของผมกลับมาที่พี่ตองอีกครั้ง พี่เค้ากำลังถูกประคองขึ้นมาบนเวที และเมื่อขึ้นมาได้ก็เดินมาหาผมเพียงลำพัง ส่วนคนอื่นๆหยุดอยู่กันที่ด้านล่างของเวที

ผมได้แต่ยืนนิ่งเหมือนถูกแช่แข็ง ผมไม่ได้แล้งน้ำใจนะ ผมรู้ว่าผมควรจะเดินเข้าไปประคองพี่ตอง แต่ความรู้สึกในตัวมันปั่นป่วนไปหมด



“พี่....พี่มาแล้วนะ” พี่ตองพูดหลังจากมายืนอยู่ต่อหน้า

“พ...พี่ตอง” ผมพยายามกอดให้เบาที่สุดแล้วนะ แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจเรื่องนั้นเหมือนกัน รู้แต่ว่าอยากจะกอดคนตรงหน้าเอาไว้ให้นานที่สุด



กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด



ถ้าอยู่ในภาวะปกติผมคงแยกออกได้ว่าเสียงดังที่ได้ยินนี้ประกอบด้วยทั้งเสียงกรี๊ด เสียงเชียร์ เสียงปรบมือ และเสียงแซว แต่ผมไม่สนใจอะไรหรอกตอนนี้



“อะแฮ่ม” พี่ชมพู่กระแอมใส่ไมค์

โอเค ผมสนใจก็ได้

ผมปล่อยกอดจากพี่ตอง แต่ไม่ปล่อยมือจากพี่เค้านะ ไม่เอาแล้ว ไม่ปล่อยอีกแล้ว

“ในเมื่อทุกอย่างสมบูรณ์แล้ว” พี่ชมพู่พูดอีกครั้ง ก่อนจะเบียดให้พี่กั้งออกไปจากแท่นพิธีกร “งั้นเรามาประกาศรายชื่อผู้นำเชียร์มหาวิทลัยมัณฑนาสิบสองคนสุดท้ายกันดีกว่า ปีนี้ถือว่าพิเศษหน่อยนะคะเพราะดิชั้นจะประกาศด้วยตัวเอง.... มาเริ่มกันเลยค่ะ....”



เปลี่ยนอารมณ์ไว้มาก การปรากฏตัวของพี่ชมพู่สามารถเคลียร์ทุกอย่างได้เสมอ



“......มิโอะ มิโอรุ ฮิโยชิ  วิทยาลัยนานาชาติ

เกรซ สุโทธนา  ขันกสิกิจ คณะเกษตรศาสตร์

พาย แพรวไพลิน  เสมอเหมือน คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์

อุ้ม อารีรัตน์  พืชมาก คณะศึกษาศาสตร์

มาย นฤมล  พรมกาฬ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์

เกตุ เกตุวลี  โพธิ์สุวรรณ คณะวิทยาศาสตร์

อาร์ม ดนุรุท พ่วงพี คณะวิศวกรรมศาสตร์

มิค ไมเคิล  บัวชู วิทยาลัยนานาชาติ

สุ่ย สุรเดช  สมนคร คณะวิทยาศาตร์

ข้าวเจ้า พัฒนวิทย์ ศุภเจริญกุล คณะสังคมศาสตร์

ต้อม ศริภพ อาจแผ่นดิน คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์

และ........  น้ำชา ธชานา ธนกฤษ คณะวิทยาศาสตร์”



เฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้ฮ้



ในที่สุด......

ในที่สุด.................

ที่พยายามมาทั้งหมด..........................

ที่ซ้อมมาทั้งหมด...........................................

ที่อดทนมาทั้งหมด......................................................

สำเร็จแล้วโว๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย



“เก่งมากครับ” พี่ตองกระซิบ

“ขอบคุณ....ครับ” ผมตอบ



“ยังไงก็ขอแสดงความยินดีกับสิบสองคนสุดท้ายด้วยนะคะ” พี่ชมพู่กล่าวต่อ “และเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่กฎของผู้นำเชียร์ของเราไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด แต่ในโอกาสนี้ก็ต้องขอแสดงความเสียใจกับฝ่าย ก.น.ช.ด้วยนะคะที่ต้องขอแจ้งให้ทราบถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น” หึ!?!?!? “คุณตำรวจ เชิญค่ะ”

ตำรวจ?????? ตำรวจอะไร ไหนวะ?



เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายคือแขกคนที่ไม่คาดคิดว่าจะเข้ามาที่นี่ที่สุด แต่....



“เห้ย**!!!** มาจับผมทำไม” พี่กั้งโดนตำรวจรวบตัวอย่างรวดเร็ว



“ไม่ต้องค่ะคุณพี่ตำรวจ หนูขออธิบายเองค่ะ” พี่ชมพู่อาสาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นผ่านไมโครโฟนและการถ่ายทอดสด “เธอถูกแจ้งจับในข้อหาจ้างวานผู้อื่นให้ไปทำร้ายตองและน้ำชาไง ไอ้คนชาติชั่วใจหมา มึงคิดจะทำร้ายน้องกูเหรอ อุ๊ย! ขอโทษค่ะคุณพี่ตำรวจ”



ห๊ะ**!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!**

นี่เรื่องจริงเหรอ



“ผมไม่ได้ทำ มีหลักฐานอะไร กูไม่ได้ทำโว๊ยยยยย ปล่อยกู”

“หลักฐานอะมีแน่ คนร้ายที่เธอจ้างคนนึงโดนน้องน้ำชายึดกระเป๋าสตางค์มาได้พร้อมกับหมวกคลุมหัวที่ใช้ก่อเหตุ พวกนั้นไม่ได้บอกเหรอ มีทั้งชื่อทั้งดีเอ็นเอจากเส้นผม หาตัวไม่ยากหรอกนะ”

ใช่แล้วครับ ของที่ผมเอามาจากตัวคนร้ายที่มาทำร้ายผมก็คือกระเป๋าเงินของมัน กะว่าจะเอามาใช้ค้นหาคนร้าย ส่วนหมวกคลุมหัวที่เอามาด้วยเพราะรู้ว่าต้องมีเส้นผมของคนร้ายติดมาด้วยแน่ๆ ข้าวเจ้าคงเอาหลักฐานพวกนี้ไปขอให้พี่ชมพู่ช่วยระหว่างที่ผมนอนอยู่โรงพยาบาล

“ม...ไม่จริงๆ ผมไม่ได้ทำนะ ผมไม่ได้ทำ”

“เอาไว้ไปคุยกับพวกที่เธอจ้างเองก็แล้วกันนะ เพราะพวกนั้นโดนจับหมดแล้ว และที่สำคัญทุกคนก็ซัดทอดมาที่เธอ หรือจะเอาหลักฐานที่เธอโอนเงินค่าจ้างไปให้พวกนั้นด้วยไหม แค่นี้พอไหม ไปคุยกันต่อเองในคุกซะนะ พวกนั้นคงมีเรื่องคุยกับเธอเยอะเลย”

“ม...ไม่จริงๆ ไม่จริงนะครับคุณตำรวจ ไม่จริงนะ ผมถูกใส่ร้าย”

“เอาตัวไปเถอะค่ะคุณพี่ตำรวจ ขอบคุณที่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชนนะคะ”

“ป...ปล่อย ปล่อยนะ ปล่อยยยยยย”

นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ผมและทุกคนในโดมรวมใจได้ยิน



“จริงเหรอเนี่ย” เอาจริงๆนะ ผมยังไม่อยากเชื่อเท่าไหร่เลย ไม่คิดว่าพี่กั้งจะเจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดนั้น นี่คือหมดอนาคตเลยนะ

 “เออ จริง” ไอ้สุ่ยเป็นคนตอบ มันยืนอยู่ข้างๆผม มันก็เลยได้ยินผมพึมพำ “มึงโชคดีมากที่มีกูเป็นเพื่อน ไม่งั้นคดีไม่เร็วขนาดนี้หรอก”

“ทำไมวะ”

“ก็พ่อกูเป็นตำรวจไง”

“จริงอ่ะ”

“ทำไมต้องทำเสียงเหมือนไม่เชื่อด้วยวะ เออ....จริง แต่มึงขอบใจข้าวเจ้าโน่น พูดกับพ่อกูโคตรเก่งอ่ะ พ่อกูเจอข้าวเจ้าวันเดียวแทบจะรักกว่ากูที่เป็นลูกมาตั้งหลายปีอีก”

“ข้าว” ผมหันไปเรียกไอ้ข้าว

“ยินดี” ไอ้ข้าวตอบทันที มันคงได้ยินอยู่แล้ว



“เอาล่ะๆ” พี่ชมพู่พูดอีกครั้งเพื่อให้ทุกคนในโดมที่ตื่นตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่กลับมาสู่บรรยากาศที่ควรจะเป็น “เรื่องวุ่นวายผ่านไปแล้ว จบไป มาพูดเรื่องวันนี้ของเรากันดีกว่านะคะ ตามธรรมเนียมแล้วก็ต้องมีรุ่นพี่มากล่าวอะไรเล็กน้อย ดิชั้นขอถือสิทธิ์ยกไมค์ให้อดีตเซ็นเตอร์ของเราเลยก็แล้วกัน เจ้าชายตองของพี่ พอจะพูดไหวไหมลูก”

“ไหวครับ” พี่ตองตอบรับ พี่ชมพู่จึงเดินเอาไมค์มาให้ “ขอโทษทุกคนที่ผมมาช้านะครับ จนเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น ถ้าหากเลือกได้ ผมก็คงจะอยากมาในสภาพที่สมบูรณ์กว่านี้”

ไม่เป็นไรรรรรร

เสียงจากด้านล่างเวทีแทรกขึ้นมานิดหน่อย

“ก็ขอแสดงความยินดีกับน้องๆทั้งสิบสองคนนะครับที่ได้รับตำแหน่งผู้นำเชียร์ประจำปีนี้ โดยเฉพาะ..... น้องน้ำชา” คงไม่ต้องบอกนะว่ามีคนส่งเสียงแซวมามากแค่ไหน “ขอขอบคุณทุกคนนะครับที่คอยเชียร์และเป็นกำลังใจให้กับ....แฟน....ของผม”

เอาจริงดิ พูดแบบนี้เลยเหรอ จากที่ว่าจะไม่เขิน ตอนนี้เขินจริงๆแล้ว เล่นพูดใส่ไมโครโฟนต่อหน้าคนเป็นพันๆ ใครมันจะไม่เขินบ้างล่ะ

“สุดท้ายนี้ ผมขอถือโอกาสบอกกับทุกคนที่คิดจะจ้างงานผมนะครับ” พี่ตองหันมาหาผมแต่ปากยังพูดอยู่ที่ไมโครโฟน ทำไมต้องมองด้วยสายตาแบบนั้นด้วยล่ะ ไม่รู้หรือไงว่าคนมองมันจะ... หลงรักได้มากแค่ไหน “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ผมไม่รับงานเดี่ยวแล้วนะครับ..... ผมรับแต่งานคู่เท่านั้น”



ฮิ้ววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว



“..................” ไอ้พี่ตองบ้า



งานคู่.... งั้นเหรอ

ใครบอกล่ะ

ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปคือ....



....ชีวิตคู่ต่างหาก





‘ขอบคุณกิจกรรมห้องเชียร์ ขอบคุณการเป็นเชียร์ลีดเดอร์ ขอบคุณโอกาส ขอบคุณโชคชะตา ขอบคุณเพื่อน ขอบคุณศัตรู ขอบคุณตัวเอง ขอบคุณทุกๆคน ขอบคุณทุกๆอย่างที่เกิดขึ้น และที่สำคัญที่สุด ขอบคุณ...พี่ตอง เพราะทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เชียร์ให้รักของผม..... มาลงในล็อคที่ดีที่สุดอย่างที่ไม่เคยคิดฝันว่าจะได้พานพบมาก่อน......... ขอบคุณครับ’







สุดท้าย ผมขอเริ่มชีวิตรักของผมต่อจากนี้ ด้วยคำว่า........









..................ตลอดไป
หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค ตอนพิเศษ [Seven จบบริบูรณ์]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 19-04-2018 15:06:36
​ตอนพิเศษ : Seven





------------7 วันผ่านไป---------------



“ชนแก้วววววววว” นี่คือเสียงของพี่บุ๋นครับ “ขอบใจพวกเอ็งทุกคนมากๆเลยนะที่ทำให้พาวเวอร์เชียร์ปีนี้ผ่านไปได้ด้วยดี เพราะงั้นก็ดื่มให้เต็มที่ กูเลี้ยงเอง”

“เดี๋ยวนะพี่” น้ำชาขัด “เมื่อวานพวกพี่ลีดมอก็เลี้ยงไปแล้วนิ ผมนึกว่าวันนี้เรามาเนื่องในวันปีใหม่ซะอีก”

“เออ นั่นแหละ กูควบให้สองงานเลย แดกๆเข้าไปเหอะ ขาดเหลืออะไรบอก เดี๋ยว.... ไอ้น้องข้าวเจ้าทำให้กิน ฮ่าๆ”

“โหพี่ ใช้งานแฟนผมหนักไปแล้วนะ” สุ่ยโวยวายนิดหน่อย “สถานที่ก็ใช้บ้านผม ยังจะใช้งานแฟนผมอีก”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า” ผมรีบออกตัว “กินกันเต็มที่เลยนะทุกคน อยากได้อะไรก็บอก”

“เห็นไหมไอ้สุ่ย มึงหวงไอ้น้องข้าวเจ้าเกินไปแล้ว”

“ข้าวเจ้าไม่ยอมบ้างก็ได้นะ” สุ่ยหันมาเอ็ดผมแทน

“อย่าทำให้เสียบรรยากาศซิ” ผมเอ็ดกลับ “พี่บุ๋นก็พูดไปงั้นแหละ ทุกคนก็ช่วยกันอยู่ดี นานๆมีเพื่อนมาเที่ยวบ้านสุ่ยบ้าง ไม่ดีหรือไง”

“ไม่รู้อ่ะ ถ้าใครใช้ข้าวเจ้าอีก สุ่ยจะทำเอง ข้าวเจ้านั่งเฉยๆตรงนี้แหละ”

“ดีๆ ไอ้สุ่ย” ต้อมพูดขึ้น “มึงจะทำเองใช่ไหม งั้นมึงไปเอาน้ำแข็งมาเลย หมดแล้วเนี่ย”

“นี่กูเพื่อนมึงนะ” ไหนบอกจะทำไง ไม่ทันจะทำอะไรก็โวยวายซะแล้ว เชื่อเขาเลย

“เออน่า ไปเอามาเหอะ ก็บ้านมึงนี่หว่า กูจะไปหยิบก็เกรงใจ”

“เออๆๆ”

“ต้อมก็เบาๆหน่อยก็ได้นะ” น้ำขิงหันมาเตือนต้อม “เดี๋ยวก็ขับรถกลับไม่ไหวหรอก”

“ไหวอยู่แล้วครับบบบ ต้อมดื่มแทนส่วนของพี่ตองไง พี่ตองยังไม่หายดี”

“อ้าว ไอ้เวรต้อม” พี่ตองพูดทันที “นี่มึงเยาะเย๊ยกูเหรอ มึงมาโดนยำตีนเหมือนกูบ้างไหม จะได้เข้าใจความรู้สึก”

“ผมก็แซวเล่นหน่อยเดียวพี่ อะๆๆ พี่กินโค๊กนะ ไว้หายดีเดี๋ยวค่อยมาดวลกับผม”

“เดี๋ยวเหอะมึง...”





“ข้าวเจ้าๆ”

หึ! ใครเรียกหว่า

“คุณอา! เรียกผมเหรอครับ” พ่อของสุ่ยเรียกผมมาจากประตูหน้าบ้าน ดูเหมือนท่านจะเพิ่งเลิกงาน ยังอยู่ในชุดตำรวจอยู่เลย

“อาขอคุยอะไรด้วยหน่อย”

“ครับ” ผมรีบลุกเดินไป โดยพ่อของสุ่ยเดินออกไปรอผมที่หน้าบ้าน “คุณอาเรียกผมมีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ก็...” คุณอาทำไมดูอ้ำอึ้ง “อาจะขอคุยเรื่องข้าวเจ้ากับเจ้าสุ่ยหน่อยน่ะ”

“...........” ซวยแล้วไง อย่าบอกนะว่าคุณอารู้เรื่องแล้ว “เอ่อ.... คือ..... เอ่อ......” นี่เรากลายเป็นคนติดอ่างไปได้ยังไงกัน

“เปล่าๆ อาไม่ได้จะมาต่อว่าอะไร อาก็พอดูออก”

“ครับ?” ดูออก? หมายถึงยังไง

“อาอยากจะขอบใจข้าวเจ้ามากกว่าที่ทำให้เจ้าสุ่ยมันเป็นผู้เป็นคนกับเขาได้ซะที” หึ อะไรนะ ที่ได้ยินคือเรื่องจริงใช่ไหม “ปวดหัวกับมันมานานแล้ว ขนาดมันมีพ่อเป็นตำรวจมันยังไม่ค่อยจะกลัวอะไรอาเลย เห็นมันทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่ไปฟันผู้หญิงมั่วซั่วจนเป็นปัญหา อาก็สบายใจมากแล้ว ยิ่งช่วงนี้เห็นมันชอบอ่านหนังสือกับข้าวเจ้าแล้วอาก็อดปลื้มใจไม่ได้ นี่ถ้าข้าวเจ้าไม่เข้ามาในชีวิต อาก็คงยังหาทางออกกับมันไม่ได้ ยังไงอาก็ฝากข้าวเจ้าดูแลมันหน่อยนะ มันเสเพลมานาน อดทนกับมันหน่อย แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆโทรบอกอาเลย เดี๋ยวอาจะช่วยส่งพวกตำรวจใหม่ที่ สน.ไปจัดการมันให้”

“ม...ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกครับคุณอา สุ่ยก็ไม่ได้ทำตัวแย่ขนาดนั้น ผมเองซะอีกที่ต้องกราบขอบคุณคุณอาที่ไม่ว่าอะไรเรื่องผมสองคน”

“อาจะไปว่าได้ไงล่ะ ก็... อาก็แค่จะมาพูดคุยกับข้าวเจ้าแค่นี้แหละ โตๆกันแล้ว อาไม่อยากให้คาลาคาซัง คุยกันให้รู้เรื่อง จะได้ไม่คิดกันไปเอง.... เอาเป็นว่าเรื่องของอา ไม่มีปัญหาอะไรนะ ส่วนเรื่องฉลองก็เต็มที่เลย เดี๋ยวอาต้องกลับเข้าที่ทำงานอีกรอบ ร้อยเวรโทรมาบอกว่ามีจับยารายใหญ่ได้ เดี๋ยวส่งเรื่องให้ผู้การไม่ทัน”

“ครับคุณอา ระวังตัวด้วยนะครับ”

“อ...อ๋อ ขอบใจมากลูก นี่ไงอาถึงชอบข้าวเจ้า อาเลี้ยงไอ้เจ้าสุ่ยมาสิบแปดปีมันไม่เคยเป็นห่วงอะไรอาเลย โอเค อาต้องไปจริงๆแล้วนะ ฝากดูแลบ้านด้วยล่ะ”

“ครับ”

แล้วพ่อของสุ่ยก็ขึ้นรถยนต์ขับออกไป.....





“คุยอะไรกับพ่ออ่ะ”

“เห้ย*! สุ่ย*” ผมสะดุ้งโหยง กำลังมองรถขับออกไปเพลินๆ “ตกใจหมดเลย”

“ขอโทษๆ แล้วคุยไรกับพ่อเหรอ”

“อ๋อ...” จะพูดว่าไงดีนะ “คุณอาบอกว่าถ้าเทอมนี้สุ่ยได้เกรดต่ำกว่าสามจะไม่อนุญาตให้ไปอยู่กับข้าวเจ้าอีก”

“ห๊ะ!!! อะไรนะ จะบ้าเหรอ สุ่ยไม่ใช่คนอัจฉริยะเหมือนไอ้ชานะ แค่ได้เกินสองก็บุญโขแล้ว เรียนมาจนจะจบเทอมอยู่แล้วด้วย ตั้งใจตอนนี้ยังไงทำไม่ได้หรอก ไม่เอาอ่ะ ยังไงพ่อก็ห้ามสุ่ยไม่ได้หรอก ถ้าจะไปหาข้าวเจ้าซะอย่าง”

ว่าแล้วเชียว “ใช่ คุณอาก็พูดแบบนี้แหละ ข้าวเจ้าก็เลยบอกว่า ถ้าสุ่ยได้เกรดต่ำกว่าสาม ข้าวเจ้าจะลาออกจากมหาลัยเอง”

“ห๊ะ เห้ย!! ไม่ได้นะ แล้วสุ่ยจะอยู่กับใครล่ะ”

“เพื่อนก็มีเยอะแยะ สาวๆที่รอสุ่ยก็ยังมีอยู่อีกเยอะนะ ไม่เห็นต้องสนใจเลย แค่คนๆเดียวหายไป”

“มันเหมือนกันที่ไหนเล่า”

“งั้นก็ต้องได้สามขึ้น”

“แต่....” เพิ่งเคยเห็นสุ่ยทำไมเหมือนคนจะร้องไห้ครั้งแรกเลย

“งั้น... เอางี้ ถ้าได้เกินสองจุดห้า ข้าวเจ้าจะคุยกับพ่อให้ ทำได้ไหม ถ้าไม่ได้ก็ไม่ต้องต่อรองแล้วนะ”

“ก.....ก็ด้ายยยยย แต่ข้าวเจ้าต้องช่วยสุ่ยด้วยนะ”

“ไม่มีปัญหา แต่แค่เทอมเดียวนะ เทอมหน้ายังไงก้ต้องสาม”

“นี่พ่อเป็นคนพูดจริงเหรอ ไม่ใช่ข้าวเจ้าพูดเองนะ”

“หาว่าข้าวเจ้าโกหกเหรอ”

“ป....เปล่าๆ โอเคๆ ก็ได้ แต่เทอมหน้านะ เทอมนี้สองจุดห้า เห้อออออ”

“ถอนหายใจทำไม”

“ก็มันยากนี่นา ฟิสิกส์นะ สูตรเยอะจะตาย วันนี้กินเหล้าแค่นี้ดีกว่า ไม่งั้นสมองเบลอแน่ๆเลย ถ้าสองจุดห้าก็คงต้องเริ่มอ่านหนังสือคืนนี้เลย”

โห ทำหน้าเศร้าซะผมรู้สึกผิดที่โกหกเลย

“ก็ถ้า....สุ่ยตั้งใจอ่านหนังสือทุกคืน ข้าวเจ้าก็จะให้รางวัลทุกคืนเหมือนกัน ถ้าแบบนี้มีแรงจูงใจพอหรือยัง”

“จริงอ่ะ มีมากกกกกกเลย งั้นไปอ่านหนังสือกันเลยดีกว่า ปะ”

“มากไปๆ เอาน้ำแข็งไปให้คนอื่นก่อนไป”

“ครับบบบบบบ”

ไอ้บ้าสุ่ย

นี่ชีวิตผมมาเป็นแบบนี้ได้ยังไงกันนะ

มันเริ่มต้นที่เรามีน้ำชาเป็นไอดอลเหรอ

หรือมันเริ่มต้นที่การมีสัมพันธ์รักกับไอ้เสือผู้หญิงนั่นโดยไม่ตั้งใจ

หรือว่าจริงๆแล้ว ทุกอย่างมันในเริ่มต้นมานานแล้ว แค่รอให้คนสองคนมาเจอกันเท่านั้น..............









--------- 7 สัปดาห์ผ่านไป ---------



“ไหนเอามาดูซิ”

“เดี๋ยวๆๆๆ ใจเย็นนะครับ น้ำขิงต้องสัญญาก่อนนะว่าจะไปโกรธต้อมอ่ะ”

“ทำไม มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ หรือว่า...”

“หน่ะ นี่ขนาดยังไม่ได้ดูยังทำหน้าโหดขนาดนี้เลย แล้วต้อมจะกล้าให้ดูได้ไงอ่ะ”

“ต้อม เอามา”

“แต่....”

“งั้นวันนี้กลับไปนอนหอตัวเองเลย”

“โห่ น้ำขิงโหดอ่ะ อ่ะๆๆๆ ให้ดูก็ได้”

“ไหน” ในที่สุด กว่าผมจะได้ดูใบผลการเรียนของคนตรงหน้าก็ต้องเสียเวลาเป็นนาน

ไหนดูซิ ทำไมถึงไม่อยากให้ดู.....

A

B+

B

A

B

B

B+

ผ่าน

ผ่าน

ผ่าน

GPA = 3.43



“ส....สามจุดสี่สาม” ผมแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็น

“ครับ”

“ท... ทำไมได้เยอะขนาดนี้ล่ะ แล้วทำไมเมื่อกี๊.... อ๋อ นี่หลอกขิงใช่ไหม”

“โห่ ที่รักครับ ใช้คำรุนแรงจัง ต้อมแค่แกล้งนิดหน่อยเอง ไม่ได้เรียกว่าหลอกซะหน่อย โอ๋ๆๆๆๆ ไม่งอนนะ ล้อเล่นนะครับล้อเล่นนะ...”

“.....” ก็ไม่รู้หรอกว่างอนคืออะไร แต่หลังจากที่คบกับคนๆนี้มาตลอดเทอม ผมก็รู้สึกว่าตัวเองแสดงพฤติกรรมอะไรที่ไม่เคยทำมากมายไปหมด การตีหน้าไม่พอใจนี้ก็เช่นกัน ทั้งๆที่ก็แอบดีใจลึกๆนะ ไม่อยากเชื่อเลยว่า คนไม่มีทักษะด้านการเรียนแบบนี้ ผมจะสามารถผลักดันเขาให้มาถึงจุดนี้ได้ ผลการเรียนระดับนี้ น่าจะถึงขั้นติดท๊อปห้าของคณะสถาปัตย์

“หายงอน หายงาน หายงอนนะครับบบบ”

“พอเลยๆ จะมาจับขิงโยกทำไม เวียนหัว”

“ห๊ะ! จับโยกเหรอ ฮั่นแน่ ที่รักคิดอะไรอยู่น่ะ”

“หยุดความคิดลามกไว้เลยนะ”

“ฮ่าๆ ล้อเล่นครับ แต่ยังไงต้อมก็ยังห่างไกลจากน้ำขิงอยู่ดี คนอะไรเรียนได้สามจุดเก้าแปด ที่รักเอาสมองไปเก็บไว้ไหนเนี่ย”

“แต่ชาได้สี่จุดศูนย์ศูนย์เลยนะ”

“โอะ ไอ้ชาเย็นนั่นปล่อยมันไป มันไม่ใช่คนแล้ว... ว่าแต่ ต้อมเรียนได้เกินสามขนาดนี้ ไม่มีอะไรพิเศษให้ต้อมบ้างเหรอ”

“มีซิ”

“จริงอ่ะ... อะไรอ่ะ ตื่นเต้นจัง”

“รอแป๊บนึง” ผมลุกเดินไปที่ชั้นหนังสือมุมห้อง ก่อนจะหยิบบางอย่างออกมาให้คนที่เรียกร้อง “อะนี่”

“อะไรอ่ะ.... เห้ย นี่มันหนังสือแคลคูลัสสองนิ”

“ใช่ ขิงไปหาซื้อมาให้ต้อมอ่านล่วงหน้า นี่เป็นหนังสือเรียนเทอมหน้าของต้อม”

“ไม่เอาแบบนี้ดิ”

“ไม่ได้ เทอมนี้ทำได้สามแล้ว เทอมหน้าและเทอมต่อๆไปก็ต้องไม่ตก ไหนจะวิชายากๆที่จะเพิ่มมาอีก ต้องเตรียมตัวไว้”

“แต่นี้มันปิดเทอมวันแรกนะ”

“ก็ใช่ไง เพราะปิดเทอมไง ถือเป็นโอกาสให้ต้อมอ่านหนังสือเยอะๆ”

“ง่า..... ไปเที่ยวพักผ่อนกันบ้างไม่ได้เหรอ สอบก็เครียด อ่านหนังสือก็ดึกมาตั้งเป็นเดือนๆ”

“ก็ได้ ไปเที่ยวก็ได้”

“ห๊ะ จริงอ่ะ”

“จริง”

“ว้าว น้ำขิงน่ารักมากเลย แล้วเราจะไปเที่ยวไหนกันดี”

“ก็แล้วแต่ต้อมซิ จะไปทะเล จะขึ้นเขา หรือไปเที่ยวต่างประเทศก็ได้ แต่... ไม่ใช่คำว่าเรานะ แค่ต้อม ขิงไม่ไปด้วยนะ ขิงจะอ่านหนังสือ ส่วนต้อมก็.... เที่ยวให้สบายใจนะ”

“โห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่ห่ น้ำขิงใจร้ายอ่า....”

“ขิงไม่ได้ห้ามให้ต้อมไปเที่ยวซะหน่อย ใจร้ายได้ยังไง”

“ก็ถ้าให้ต้อมไปโดยไม่มีน้ำขิง ไปถึงสวรรค์ชั้นเจ็ดมันก็ไม่มีความสุขหรอก”

ก็กะไว้แล้วล่ะว่าต้องออกมาแบบนี้

“สรุปว่าจะไปหรือไม่ไป”

“ไม่ไปก็ได้” มีทำหน้างอนด้วย “ไหนๆก็ไม่ไปแล้ว งั้น.... ขอขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ดตรงนี้เลยก็แล้วกันนะ”

“ด...เดี๋.....”

จบเรื่องของผมสองคนไว้แค่นี้ดีกว่านะครับ ผมอยากให้ทุกคนจดจำผมในภาพลักษณ์เด็กเนิร์ดมากกว่า

อ่อ แต่มีอย่างนึงที่ผมอยากจะพูด แต่ยังไม่กล้าพูดออกมาจริงๆหรอก ถ้าวันใดวันหนึ่งที่ผมกล้าพอ ผมอยากจะพูดกับชา ลูกพี่ลูกน้องคนสำคัญของผมว่า ขอบคุณที่ชาเป็นเพื่อนกับต้อม เพราะมันทำให้ผมได้พบแฟนคนแรกและคนเดียวที่ดีที่สุดในโลก.............









-------------- 7 เดือนผ่านไป --------------------





“ตื่นเต้นไหม”

“ไม่ตื่นเต้นก็บ้าแล้ว”

“ไม่ต้องเครียดนะ บุ๋นแค่ทำใจให้สบาย บุ๋นมีเสน่ห์อยู่แล้ว พี่ว่าพวกเขาต้องชอบแน่ๆ”

“พี่ก็พูดได้นิ พี่ผ่านแล้วนิ”

“โอเคครับบบ และว่าอะไรพี่ก็ได้ ถ้าทำให้บุ๋นสบายใจ”

“ก็ถ้าไม่จบเรื่องของวันนี้ ก็ไม่มีอะไรมาทำให้สบายใจทั้งนั้นแหละ แล้วบุ๋นต้องพูดเกาหลีด้วยไหมอ่ะ”

“แค่ช่วงแนะนำตัวก็พอ ที่เหลือจะใช้ภาษาอังกฤษก็ได้ เอเจนซี่เขาคงเข้าใจ”

เห้ออออออออออ

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมมีความคิดที่บ้าดีเดือดขนาดนี้

นี่กูมายืนอยู่หน้าค่ายเพลงเกาหลีแล้วจริงๆเหรอ กูคิดยังไงของกูวะถึงบังอาจจะมาออดิชั่นเป็นศิลปินฝึกหัดค่ายเดียวกับเอเจนซี่ที่ดูแลพี่ท๊อปอยู่ ช่างไม่เจียมกะลาหัวเลย

แต่เอาจริงๆนะ ผมคงไม่กล้าขนาดนี้หรอก ถ้าไม่บังเอิญว่าพี่ท๊อปเอาโปรไฟล์ของผมมาให้ทางค่ายดูแล้วเขาดันสนใจขึ้นมาจริงๆ



“บุ่น.... บุ๋น”

“ห๊ะ” ผมถูกเรียกสติที่เหม่อลอยไปเพราะความตื่นเต้น

“เข้าไปกันเถอะ ใกล้ถึงเวลานัดแล้ว”

“อ....โอเค”

“ไปครับ... เดี๋ยว... แล้วทำไมบุ๋นเดินแปลกๆอย่างงั้นล่ะ เจ็บขาเหรอครับ”

“เปล่า”

“แล้วเป็นอะไรอ่ะ หรือเป็นตะคริว”

“เปล่า”

“แล้ว....?”

“บุ๋นเจ็บ.... เอ่อ.... เจ็บเอว”

“เจ็บเอว? ทำไมอ่ะครับ ไปเดินชนอะไรมาเหรอ”

“ยังจะมาถามอีก ก....ก็.....”

“ก็?”

“ก็เมื่อคืนนี้ไงเล่า พี่ท๊อปนั่นแหละรุนแรงกับบุ๋นอ่ะ ยังจะมาถามอีก”

“................”

“ไม่ต้องมาทำหน้าอึ้งเลย ไม่รู้ตัวบ้างหรือไง คบกันมาตั้งหลายเดือนแล้ว มีอะไรกันมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ไม่เคยลดความรุนแรงลงเลยนะ”

“ก็.....”

“ก็อะไร” เห็นพี่ท๊อปสุภาพอ่อนโยน ลุคหน้าใสเกาหลีแบบนี้นะ ไม่อยากจะบอกเลยว่าเป็นพวกอารมณ์ทางเพศรุนแรงสุดๆ อีกนิดเดียวก็จะเข้าขั้นซาดิสอยู่แล้ว คนบ้าอะไรก็ไม่รู้ ทำเรื่องอย่างว่าได้เกือบทุกวัน แถมยังแสดงสีหน้าแล้วก็พูดจาหื่นกามสุดๆเวลาอยู่บนเตียง ไม่รู้คิดถูกคิดผิดที่ตกลงปลงใจเป็นแฟนกับคนแบบนี้

“ก็พี่รักบุ๋นมากนิครับ”

“ไม่ต้องมาพูดเลย”

“แล้ว.... บุ๋นไหวไหมอ่ะ ถ้าออดิชั่นไม่ไหว พี่จะบอกทีมงานให้ เผื่อจะเลื่อนไปได้”

“ไม่ต้องหรอก ชินแล้ว แค่เคล็ดนิดหน่อย เดี๋ยวก็หาย เข้าบริษัทได้แล้ว เดี๋ยวก็สายจริงๆหรอก”

“งั้นคืนนี้.....”

“พอ”

“.........................”

โอ๊ยยยยยย “อะๆ ก็เดี๋ยวค่อยว่ากันก็แล้วกัน คิดเรื่องออดิชั่นตอนนี้ก่อนไหมล่ะ”

สุดท้ายผมก็ยอมเหมือนเดิมทุกวันอ่ะ ไม่รู้ว่าพี่ท๊อปมันไปฝึกทำหน้าเศร้ามาจากไหน เห็นทีไรใจอ่อนทุกที

ช่างมันเถอะ ก็รักไปแล้วนี่นา......................









------------- 7 ปีผ่านไป -------------



“ฮ่าๆๆๆๆๆ” “จริงแก” “แต่ว่าก็ว่านะ....”

“อะแฮ่ม.... พี่ดาว พี่หยก พี่ใหม่ ทำอะไรกันอยู่เหรอครับ”

“เปล่าค่ะ ไม่ได้ทำอะไร กำลังพูดถึงบอสกันอยู่”

“โอ้โหพี่ดาว นี่จับกลุ่มนินทาผมอยู่แล้วยังจะมีหน้ามายอมรับซื่อๆอีกนะ”

“เปล่านะคะบอส พี่แค่บอกว่าเราสามคนพูดถึงบอสอยู่ ไม่ได้แปลว่าพูดไม่ดีถึงบอสนะคะ ใครจะกล้านินทาบอสน้ำชาสุดที่รักของพวกเราไปได้ละคะ”

“หรา..... ปากหวานจริงๆนะพี่เนีย พูดได้ดีครับ แล้วงานที่ผมสั่งไปล่ะครับ ออกมาดีหรือเปล่า ไหนครับแผนวิเคราะห์การสั่งซื้อเรือขนส่งไตรมาสหน้า เสร็จหรือยัง”

“แหม บอสค่ะ นี่พี่ดาวเองนะคะ คิดว่าจะไม่เสร็จได้ยังไง นี่ค่ะ วิเคราะห์เรียบร้อยด้วยความยาวสิบสองหน้ากระดาษเอสี่ ทั้งขนาดทั้งรุ่นแถมระบบการดูแลรักษาไว้ให้ด้วยเลย”

“ยาวไปไหมครับพี่”

“พี่คิดอยู่แล้วเชียวว่าบอสต้องพูดแบบนี้ก็เลยทำหน้าสรุปไว้ให้แล้วค่ะ อยู่หน้าแรก อ่านได้เลย นี่ค่ะๆ เป็นไงค่ะ พี่ดาวควรจะได้รางวัลพนักงานแห่งปีของ KTYC นะคะปีนี้”

“ผมขอตรวจก่อนก็แล้วกันนะครับ ค่อยว่ากันในเรื่องรางวัล แล้วพี่ใหม่กับพี่หยกละครับ งาน...”

“หยุดค่ะบอส” ผมถูกหยุดการทวงงานด้วยแฟ้มเอกสารสีชมพูเรียบร้อย “นี่ค่ะบทวิเคราะห์การใช้งบประมาณแบบขาดดุลสามปีย้อนหลังที่บอสสั่งพี่กับยัยดาวทำ เรียบร้อยสวยงามในแฟ้มแล้วค่ะ”

“โอเคๆ ไม่คิดตะเปิดช่องโหว่ให้ผมตำหนิอะไรได้เลยว่างั้น”

“แน่นอนซิคะบอส” พี่หยกตอบทันที “เราสามคนมีผู้จัดการฝ่ายที่เก่งขนาดนี้ จะให้พวกเราหยุดพัฒนาได้ยังไงละคะ”

“เอาเป็นว่าผมขอดูความถูกต้องก่อนก็แล้วกันนะครับ”

“ได้เลยค่ะบอส แต่พี่หยกขอคอนเฟิร์มไว้ตรงนี้เลยนะคะว่า พวกเราไม่มีพลาดแน่นอน”

“แต่จะว่าไปนะ ที่พวกเราเก่งกันจนเป็นที่เลื่องลือไปทั้งบริษัทขนาดนี้ก็เพราะได้บอสมาเป็นผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์เลยนะ” พี่ดาวเอ่ย “ฝ่ายเราเปิดมาได้แค่สามปี มีกันแค่สี่คน แต่กลายเป็นตัวแปรสำคัญของบริษัท อันนี้ต้องยกความดีความชอบให้บอสเลยนะ”

“พูดชมผมขนาดนี้อยากได้อะไรครับ จะให้ผมขอเพิ่มเงินเดือนให้พวกพี่หรือไง”

“โอ๊ย ไม่ต้องแล้วละคะบอส ตอนนี้แผนกเราได้เงินเดือนสูงกว่าแผนกอื่นเกือบเท่าตัวแล้ว ไหนจะเงินโบนัสทั้งปีอีก รู้ไหมค่ะว่าคนแผนกอื่นเขม่นพวกเราคนสามคนจะแย่ ทุกวันนี้ไม่กล้าไปกินข้าวที่โรงอาหารของบริษัทคนเดียวแล้วเนี่ย”

“งั้นผมจะไปขอลดเงินเดือนให้ก็แล้วกัน ดีไหม”

“บอสค่ะ เอาเป็นว่าไม่เพิ่มไม่ลดก็โอเคแล้วคะ โดนเขม่นบ้างก็ได้”

“แต่เราสามคนรู้สึกขอบคุณบอสมากเลยนะคะ” พี่ใหม่ยังมีเรื่องจะพูดอีก “ทั้งๆที่พวกเราไม่เก่งงานด้านคิดวิเคราะห์เลย หลักการ เหตุผล คณิตศาสตร์ ตัวเลข ห่วยสุดๆ แต่ก็ได้บอสช่วยสอนให้ อดทนสอนพนักงานกะโหลกกะลาอย่างเราสามคนมาเป็นปีๆ จนกลายเป็นคนที่ทำเรื่องยากๆได้ บริษัทก็พลอยไว้วางใจจับเซ็นสัญญาตลอดชีพแถมสวัสดิการอีกเพียบ นี่ถ้าไม่ติดว่าบอสอายุน้อยกว่า จะกราบเบญจางคประดิษฐ์ตรงนี้เลยค่ะ”

“ครับบบบ ขอบคุณที่ตั้งใจทำงานเหมือนกันนะครับ งั้นผมขอตัวไปตรวจงานก่อนดีกว่าเนาะ”

“นี่มันเที่ยงนะคะบอส ยังจะทำงานอีกเหรอ”

“ก็....”

“ก็กำลังรอผู้จัดการตองมารับอยู่ละซิ คิคิคิ”

“พี่ใหม่ ผมเป็นบอสนะ”

“โอ๊ยบอส ก็แซวบ้าง บอสไม่โกรธหรอกพี่รู้ พี่แค่จะบอกว่า ขนาดบอสกับคุณตองห้องทำงานติดกันขนาดนี้ยังไม่เห็นมีเวลาให้กันบ้างเลย สามปีมานี้พวกพี่ไม่เห็นบอสกับคุณตองจี๋จ๋ากันเท่าไหร่เลย ไม่น้อยใจเหรอค่ะ”

“ฝ่ายคอมพิวเตอร์งานยุ่งจะตาย แล้วผมก็อายุยี่สิบห้าแล้วนะพี่ จะให้มาจี๋จ๋าอะไรอีก”

“โอ้โหๆ บอสค่ะ พูดเรื่องอายุนี่พี่ขึ้นเลยนะคะ วัยสามสิบอย่างพี่ก็สามารถทำอะไรสวีทหวานแหววได้ค่ะ”

“ใช่ ชั้นเชื่อแกนะ” พี่หยกพูดขำๆ “แต่ประเด็นคือแกจะไปสวีทหวานแหววกับใครวะ เสาเรือหรือไง”

“โอ้โหหยก ร้ายกาจมาก แกก็ขึ้นคานเดียวกันชั้นนี่แหละ หล่อนด้วยยัยดาว ไม่ต้องมาทำเป็นหัวเราะชั้นเลย... อย่ามาสนใจพวกเราเลยค่ะบอส สนใจตัวบอสเถอะ นี่ก็คบกันมาตั้งเจ็ดปีแล้วไม่ใช่เหรอคะ เมื่อไหร่จะมีข่าวดีซะทีล่ะ”

“ข่าวดี? ยังไง... เดี๋ยวๆ อย่าบอกนะว่าพี่หมายถึง...”

“ใช่ค่ะ แต่งงานไงคะ คบกันมาตั้งเจ็ดปี ไม่คิดจะแต่งงานหรือไงคะ”

“บ้าเหรอพี่ เรื่องแบบนี้มันปกติที่ไหนกัน ใครเขาจะไป.... บ้าแล้ว คงแปลกตายเลย ผู้ชายแต่งงานกันเอง อยู่แบบนี้ก็พอแล้ว”

“บอสค่ะ พนักงานที่นี่นับรวมตอนนี้ก็หลักพันคนแล้วนะคะ ทุกคนก็รู้เรื่องของบอสสองคนทั้งนั้น ไม่เห็นจะมีใครว่าแปลกเลย มีแต่คนพูดว่าแปลกที่ไม่แต่งงานกันซะทีนั่นแหละคะ บอสใหญ่ก็หลงรักบอสน้ำชาออกนอกหน้านอกตาขนาดนี้ แค่พูดว่าอยากแต่ง ไม่วายปิดท่าเรือจัดงานให้เลยเหรอค่ะพี่ว่า”

“พูด....”





“น้ำชา”

หึ!!!

ใครเข้ามาในห้องแผนกเราหว่า

เห้ยยยยยย

“แม่” แม่ของผมมา แล้วก็มีอิเจสซี่ อิเล็ก กับวาวามาด้วย

ผมรีบวิ่งไปกอดแม่

“เป็นไงบ้างลูก สบายดีไหม” แม่ผมถาม

“สบายดีครับ คิดถึงแม่มากเลย”

“มาอยู่กับครอบครัวพี่ตองนึกว่าจะไม่คิดถึงแม่ซะแล้ว”

“ได้ไงกันเล่า ก็ชาไม่ชอบทำงานสื่อนี่นา ไม่งั้นก็คงไม่มารับงานที่นี่หรอก”



“T-Queen สวัสดีค่ะ” พี่พนักงานทั้งสามของผมเดินตามมากล่าวทักทายแม่ของผมอย่างตื่นเต้น

“เรียกวิจิตราก็ได้ค่ะ” แม่ผมบอก

“ค่ะ คุณวิจิตรา”



“อิชา.....” อิเจสซี่แทบร้องเมื่อเห็นผม “เป็นไงบ้างมึง ไม่เจอกันนาน มึงดูมาตรนักธุรกิจขึ้นเยอะนะ”

“มึงสามคนก็เหมือนกันนิ ดูอัพเกรตขึ้นนะ ไปทำอะไรกันมาวะ”

“แน่นอนซิ ตอนนี้กูสามคนเลื่อนมาเป็นทีมเอ็กซ์ของ T-Queen World Wide แล้วค่ะ”

“ทีมเอ็กซ์! หมายถึง ทีมผู้ช่วยส่วนตัวของแม่อะเหรอ”

“ใช่จ๊ะ” แม่ผมตอบ “เพื่อนชาสามคนนี้เก่งนะ ทำงานก็เก่ง คิดก็เร็ว มีไอเดียตลอด แถมแก้ปัญหาเก่งด้วย แม่ก็เลยให้ทั้งสามคนมาอยู่ทีมส่วนตัวเลย”

“โห...” ผมร้อง “ดีมากพวกมึง ไม่เสียแรงที่กูฝากฝังให้ไปทำงานกับแม่กู”

“อย่าลืมซิค่ะว่ากูสามคนเคยเป็นอดีตบัดดี๊ของผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนามาก่อน ศักยภาพเต็มร้อยค่ะ” ชูคอใหญ่เชียวนะอิช้าง



“ว่าแต่ แม่มาที่นี่ทำไมอ่ะครับ” ผมกลับมาถามแม่ มัวแต่คุยเพลินเลย

“อ๋อ คือเจ้าสัวมีเรื่องอยากคุยกับแม่น่ะ” แม่ผมตอบ

“พ่อพี่ตองอ่ะเหรอ แล้วเจอกันหรือยังอะครับ ให้ผมพาไปหาไหม”

“เจอแล้ว คุยกันเรียบร้อยแล้ว”

“เหรอครับ แล้วคุยกันเรื่องอะไรอ่ะ”

“เอ่อ....”

“ครับ?” แม่อ้ำอึ้งทำไม

“ตอนนี้แม่ว่าน้องน้ำชาโตมากแล้วนะ เพราะงั้น... ออกไปข้างนอกกันดีกว่า”

“ห๊ะ” ไปข้างนอก? เกี่ยวอะไรกันกับโตแล้ว แม่พูดอะไรของแม่เนีย

“มาๆๆๆ อิชา มานี่ ไปข้างนอกกัน” อิเพื่อนสามคนของผมดึงผมออกไปจากห้องแผนก

“เดี่ยวๆ พวกมึงจะพา...”



โอ้ มาย ก็อดดดดดดด



WILL YOU MARRY ME?



ทำไมมีป้ายใหญ่เขียนคำนี้มาอยู่ตรงนี้ล่ะ

พนักงานมาล้อมกันทำไมเยอะแยะ

แล้วนั่น.... พี่ตองใช่ไหม  กำลังทำอะไร....?  เดินเข้ามาทำไม....?  ถืออะไรในมือน่ะ.....?



“น้ำชาครับ”

ท........ทำไม

จู่ๆพี่ตองก็คุกเข่าลงกับพื้นท่ามกลางพนักงานที่รายล้อม หัวใจของผมเต้นแรงเสียยิ่งกว่ารู้สึกว่าทั้งหมดในชีวิต พี่ตองยื่นกล่องสีแดงในมือออกมา เผยให้เห็น..... แหวน

“แต่งงานกันนะครับ.”







“...ครับ”







#จบบริบูรณ์







...

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของนิยายเรื่อง LOVE LEADER นี้ นักเขียนคนนี้ขอกล่าวคำขอบคุณอย่างไม่สิ้นสุด แม้นิยายจะไม่ได้โด่งดังหรือได้รับการยอมรับมากมาย แต่ไม่ว่าอย่างไร มันก็ยังเป็นงานศิลปะที่มีคุณค่าและมีความหมายสำหรับผมเสมอ ขอบคุณที่ให้โอกาสนักเขียนโนเนมคนนี้ได้จรดบทประพันธ์ให้ท่านได้อ่าน หากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดในนิยายเรื่องนี้ที่ทำให้ท่านผู้อ่านท่านใดไม่พอใจหรือเกิดความไม่สำราญใจ ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาได้สร้างประสบการณ์ที่มีค่าให้กับนักเขียนคนนี้จริงๆ ผมได้ทุ่มเท ใส่ใจ และมอบทั้งประสบการณ์ ความคิด ความเชื่อ ความรู้ และจินตนาการลงไปอย่างสุดฝีมือแล้ว หวังใจว่าจะได้รับใช้ผู้อ่านอีกในโอกาสต่อไป

แด่ความรักที่สวยงาม

K.R.
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 19-04-2018 22:37:48
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆอีกเรื่องหนึ่งนะคะ เราชอบมากเลย จะรอติดตามผลงานเรื่องต่อๆไปนะคะ สู้ๆค่ะ
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต)
เริ่มหัวข้อโดย: Blue ที่ 20-04-2018 16:47:48
 :pig4:
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Nattarat ที่ 28-04-2018 13:10:05
ท็อป บุ๋น ค่ะ
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Persoulle ที่ 30-04-2018 00:32:34
ขอบคุณมากค่ะ เรื่องนี้มันดีต่อใจมากค่ะชอบตอง ชา น้ำชานิสุดยอดจริงๆอยากฉลาดได้แค่สักขี้เล็บของน้องจัง...(เกลียดคณิตมากกกกกกกๆ) :sad4:
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 30-04-2018 01:57:40
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :3123: :3123: :3123: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 03-05-2018 12:25:32
 :heaven
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: แมว ที่ 11-06-2018 00:06:28
จบแล้วหรอออออ อยากอ่านอีกกกก :katai4:
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 16-06-2018 00:46:46
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: miwmiwzaa ที่ 20-06-2018 18:06:44
ขอบคุณค่ะ สนุกมากๆเลย
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Cappello ที่ 22-06-2018 17:44:29
อ่านจบแล้วววววว สนุกม๊ากกกกกกก น้ำชาเก่งมากกก รักทุกคนเลยทั้งต้อมขิงสุ่ยข้าวเจ้าท็อปบุ๋นเกตุ เราจะยกนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องโปรดอีกเรื่องนึงเลย แล้วจะกลับมาอ่านอีกครั้งง
แน่นอน ชอบบบบบ  o13
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Cherrchill ที่ 24-06-2018 18:35:34
ไร้ที่ติ ชอบความเรียลของตัวละครทุกตัว สมเหตุสมผลในทุกๆ เหตุการณ์ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้อ่านจะได้เสพนิยายทีมีคุณภาพแบบนี้ค่า  :pig4:
หัวข้อ: ที่มาและคำขอบคุณ
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 25-06-2018 00:07:19
ที่มาและคำขอบคุณ


หลังจากแต่งนิยายเรื่อง LOVE LEADER นี้ จบไปสักพัก ก็เริ่มมีกระแสผู้อ่านเข้ามามากขึ้น ขอบคุณในการชื่นชมและการอ่านของทุกท่าน ในความตั้งใจแรกเริ่มนั้นต้องขอท้าวความไปยังนิยายและซีรีย์ Y ชื่อดังอย่าง "เดือนเกี้ยวเดือน" หลังจากดูและอ่านบทประพันธ์ของเรื่องนี้แล้วก็ทำให้เกิดความรู้สึกอิ่มเอมใจและได้รับพลังงานด้านบวก มันเป็นความรู้สึกพองโตที่อยู่ข้างในจิตใจจนอยากจะระบายออกมาและส่งต่อความรู้สึกดีๆแบบนี้ ผมจึงได้เกิดไอเดียในการแต่งนิยายเรื่อง LOVE LEADER ขึ้น เพื่อส่งต่อพลังงานของความสุขและความรักไปยังผู้อื่นบ้าง แต่เพราะไม่เคยแต่งนิยายประเภทความรักมาก่อน จึงไม่มีคอนเซ็ปเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก แต่ด้วยตัวผมเองมีประสบการณ์ในการเป็นผู้นำเชียร์ เป็นนักคณิตศาสตร์ เป็นนักกีฬา และเป็นดนตรี ผมจึงใช้ประสบการณ์จากเรื่องจริงเหล่านี้มาสร้างเป็นบทนิยาย บวกกับประสบการณ์ความรักอีกนิดหน่อย ( 5555 ) และอยากขอบคุณกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ นั่นก็คือ ชื่อของตัวละครทุกตัวในนิยายเรื่องนี้นั้นมาจากชื่อของเพื่อนๆของผมเองที่มีตัวตนอยู่ในชีวิตจริง มันช่วยทำให้จำได้ง่ายและจับคาแร็คเตอร์ได้อยู่ตลอด (และขอโทษบางคนจริงๆนะ เก๊าผิดไปแล้ว) ส่วนเรื่องที่ผู้อ่านหลายๆท่านชื่นชมนิยายเรื่องนี้ในแง่ของการมีเหตุมีผลและตัวละครไม่งี่เง่า อันนี้ก็คงมาจากประสบการณ์อีกเช่นเดียวกัน ด้วยความที่ผมเป็นนักคณิตศาสตร์ จึงมองการเกิดขึ้นของเหตุการณ์ใดๆก็ตามอย่างมีที่มาที่ไปและอาจจะด้วย ผมเป็นคนไม่ชอบคนงี่เง่าด้วยละมั้ง และที่สำคัญคือผมเคยแต่งแค่นิยายประเภทวิทยาศาสตร์มาเท่านั้น เรื่องมันก็เลยเป็นเหตุเป็นผลมากไปหน่อย จนอาจทำให้ผู้อ่านบางท่านไปไม่ถึงจุดฟินสุดๆ ( 5555 หัวเราะอะไรเยอะแยะ ) สุดท้ายนี้ขอบคุณผู้อ่านที่ยังเข้ามาอ่าน ทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ และขอบคุณที่หลายๆท่านเข้าไปติดตามผลงานเพลงของผมใน Youtube ซึ่งใช้ประกอบนิยายเรื่องนี้เป็นอย่างสูง และเพื่อแสดงความขอบคุณนั้น ผมจึงใช้โอกาสนี้ในการ รีไรท์(แก้ไขบทนิยายและคำผิด) นิยายเรื่องนี้อีกครั้ง เพื่อการอ่านที่ได้อรรถรสมากยิ่งขึ้น ตอนนี้ได้ทำการรีไรท์เรียบร้อยแล้ว หวังว่าคำผิดจะน้อยลงและผู้อ่านได้รับอรรถรสอย่างเต็มที่นะครับ

ขอบคุณด้วยหัวใจ

K.R.
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 28-06-2018 12:21:36
งื้อออออออ น่ารักทุกคู่เลยค่า
แต่ตอนจบสั้นๆไปหน่อย อยากให้มีสเปเชี่ยลบรรยายของแต่ล่ะคู่เลยก็จะดีมาก  o13 o13
อ่านแล้วรู้สึกถึงตอนเวบาเป็นลีดมหาลัยเลยอะ ซ้อมหนักมาก กลับบ้านดึกทุกวัน แต่สนุกมากๆเลย
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 29-06-2018 07:18:52
น่ารัก นายเอกพระเอกฉลาดมากค่ะ ชอบมากๆเลย
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 10-08-2018 12:51:59
ขอบคุณฮะสำหรับนิยายดีๆ เนื้อเรื่องแปลก มีมุมมองใหม่ๆต่างจากรักระหว่างวัยรุ่นทั่วๆไป
ตัวละครมีมุมดี ร้าย และน่าสนใจทุกคน
จะรอติดตามผลงานเรื่องต่อไปนะคร้าบบบบ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: คุณหนูไฉไล ที่ 11-08-2018 21:08:56
อ่านเพลินเลย ชอบนิยายเรื่องนี้มาก
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 13-08-2018 20:18:42
ขอบคุณฮะสำหรับนิยายดีๆ เนื้อเรื่องแปลก มีมุมมองใหม่ๆต่างจากรักระหว่างวัยรุ่นทั่วๆไป
ตัวละครมีมุมดี ร้าย และน่าสนใจทุกคน
จะรอติดตามผลงานเรื่องต่อไปนะคร้าบบบบ
 :pig4:

อ่านเพลินเลย ชอบนิยายเรื่องนี้มาก

ตอนนี้มีภาคสองมาแล้วนะครับ หากสนใจก็เชิญเข้าไปร่วมอ่านด้วยกันได้เลยนะครับ
(ลิ้งค์ภาคสอง https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68006.0 )
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 17-08-2018 14:35:55
 :pig4:
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 19-09-2018 12:33:59
 :pig4:
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 20-09-2018 18:34:53
จบบริบูรณ์.............จบอย่าง แฮปปี้เอนดิ้ง   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

เจ้าชายตอง  น้ำชา  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ตอง ขอน้ำชาแต่งงานด้วย น่ารักมากกกกก

พี่ท๊อป ท็อปจริงๆเรื่องหื่น ถ้าบุ๋ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย
แถมเกือบๆซาดิสท์ด้วย  อะจ๊ากกกกก   :z3: :z3: :z3:

ทุกคนมีการเรียน เรียนจบ ก็มีชีวิตการทำงานที่ดี ยอดเยี่ยม: :hao3:
ขอบคุณไรท์มากกกกกกกก เขียนเรื่องดีๆให้อ่าน
และเป็นเรื่องที่มองโลกในแง่บวกตลอด สุดยอดค่ะ  :mew1: :mew1: :mew1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 17-11-2018 23:41:57
 :pig4:
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต) จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Mikazigi ที่ 16-03-2019 17:48:16
 :mew1: