LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต) จบแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: LOVE LEADER เชียร์รักให้ลงล็อค (โลกของหนุ่มๆเชียร์ลีดเดอร์สุดฮอต) จบแล้ว  (อ่าน 36887 ครั้ง)

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11

ออฟไลน์ ป่ามป๊ามป่ามปาม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เมื่อกี้อ่านไป5-6ตอน สนุกอะ เนื้อเรื่องน่าติดตามมากๆ แต่ยังมีคำผิดอยู่บ้างนะคะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ เดี๋ยวกลับมาอ่านต่อจ้า  :impress2: :ling3:

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
​ตอนที่ 46 : ข้อห้าม 12 เข็มกลัด บทบัญญัติผู้ไร้เกียรติยศ Part 1







“ไหนมึงสัญญากับชาวบ้านเขาไว้ไม่ใช่เหรอว่าจะหอมแก้มพี่ตอง ถ้ามึงผ่านเข้ารอบอ่ะ” ไอ้ต้อมถามผมในร้านกาแฟของเช้าวันอาทิตย์ “ทำไมกูยังไม่เห็นวะ”

“จะเห็นได้ไง กูยังไม่ได้ทำเลย” ผมตอบพร้อมกับเขี่ยเค้กในจานของตัวเองอย่างเลื่อนลอยและเซ็งๆนิดหน่อย

“อ้าว ทำไมวะ เดี๋ยวก็โดนคนดูเกลียดหรอก เค้าอุตส่าช่วยกดไลค์รูปมึงจนขึ้นที่หนึ่งเลยนะเว้ย”

“มึงคิดว่ากูเป็นคนไม่ทำตามสัญญารึไง แต่...”

“ทำไมวะ มีเรื่องอะไรอีก มึงทะเลาะกันกับพี่ตองเหรอ”

“เปล่า แต่ว่า ตั้งแต่ออกจากโรงบาล พี่ตองก็ไม่ว่างเลยอ่ะ พี่เค้าบอกว่าต้องเตรียมตัวเยอะ แถมดูจะเป็นความลับอีก ขนาดกูถามว่าจะให้ไลฟ์เฟซบุ๊คอีกไหม พี่เค้าก็บอกว่าเอาไว้ก่อน จริงๆที่กูมานี่ได้ก็เพราะขอพี่เค้ามานะ ไม่งั้นก็ปล่อยให้กูนอนอยู่ที่คอนโดฯนั่นแหละ”

 “อ๋อ แบบนี้นี่เอง ถึงว่า ทำไมวันนี้มึงว่างมาอยู่กับกูได้”

“มึงก็เหมือนกันแหละ ขิงหายไปไหนล่ะ ปกติตัวติดกันเป็นปาท่องโก้”

“งานเยอะเหมือนกัน ตั้งแต่รับหน้าที่ควบคุมสแตน รู้สึกว่าจะไม่ว่างเลย เจอกันแค่ตอนกลางวันกับเย็นแค่นั่นเอง”

“พอกัน”



“ชา ต้อม” หึ! ใครเรียก

“อ้าว ข้าว มาทำไรอ่ะ” ไอ้ข้าวนั่นเองที่เดินเข้ามาในร้านกาแฟ... พร้อมกับไอ้สุ่ย เห้อ... อิจฉาจัง

“มาซื้อกากกาแฟอ่ะ จะเอาไปทำคุกกี้” ไอ้ข้าวตอบ

“ว่างกันจังเลยนะ” แซวซะหน่อย

“ไม่ได้ว่างเว้ย” ไอ้สุ่ยรีบตอบ “กูเตรียมเสบียงไว้ พรุ่งนี้เช้าต้องเดินทางไปไหนก็ไม่รู้ เผื่อขาดแคลนอาหาร จะได้ไม่อดตาย”

“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ” ไอ้ต้อมตาโต

“ก็ใครจะไปรู้ เตรียมตัวไว้ก่อน เราอาจจะถูกเอาไปทิ้งไว้ที่ไหนก็ได้นะ”

“มึงก็เว้อร์ไป” ผมรีบห้ามความคิดที่อาจจะเลยเถิดไปของพวกมันสองคน “แค่เก็บตัวนอกสถานที่ ไม่ได้พาเราไปรบกันซะหน่อย”

“มึงแน่ใจได้ไง คิดดูนะเว้ย พวกพี่เค้าทำไมทำอะไรกันเป็นความลับจัง ไลน์กลุ่มก็ถูกปิด หายเงียบกันไปหมดเลย ไม่รู้อ่ะ กูเตรียมตัวไว้ก่อนดีกว่า”

ไม่อยากยอมรับเลยว่าแอบบ้าจี้ไปกับมันนิดๆ แต่... “คิดมากเกินไปแล้ว นี่เราเป็นนักศึกษานะ พวกพี่เค้าไม่กล้าทำอะไรรุนแรงขนาดนั้นหรอก”

“เออๆ แต่กูก็อยากมีของกินไปประกันชีวิตกูไว้เหมือนเดิมนั่นแหละ”

“ทำเผื่อพวกกูด้วยนะ”

“เห็นไหม แล้วก็ทำเป็นมาขัดคอกู”

“ไปทำด้วยกันเลยดีไหม” ไอ้ข้าวเสนอไอเดีย “ว่างกันหรือเปล่าล่ะ”

“ว่าง” ผมกับไอ้ต้อมตอบพร้อมกัน

“โอเค งั้นเดี๋ยวไปบ้านกูกัน รอแป๊บนะ ไปซื้อกากกาแฟก่อน”



แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามนั้น ผมและไอ้ต้อมไปช่วยไอ้ข้าวกับไอ้สุ่ยทำคุกกี้กาแฟจนถึงเย็น ได้ขนมมาเต็มสี่กระปุกใหญ่

จนเกือบๆ ค่ำพี่ตองก็มารับผมกลับด้วยอาการเหนื่อยล้า



“พี่ขอโทษนะที่ไม่ว่างเลย แล้วก็บอกอะไรไม่ได้ด้วย” พี่ตองพูดขึ้นในขณะขับรถกลับคอนโดฯ ดูท่าว่าจะรู้สึกผิดจริงๆแฮะ

“ชาไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย” เห็นพี่ตองเหนื่อยแบบนี้แล้วจะให้ไปโกรธอะไรได้ล่ะ “อ่อ... ลองชิมคุกกี้ดูไหม ชากับเพื่อนช่วยกันทำอ่ะ จริงๆชาก็อยากทำขนมตาลนะ แต่มันคงเตรียมของเยอะ แล้วก็ไม่อยากรบกวนไอ้ข้าวมากด้วย”

“แค่นี้ก็พอแล้วครับ ไหนขอพี่กินหน่อย”

ผมเปิดฝาคุกกี้ก่อนจะหยิบหนึ่งชิ้นออกมาป้อนให้คนขับรถ

“อร่อยครับ ไอ้น้องข้าวนี่ก็เก่งนะ คงช่วยอะไรชาได้เยอะเลย”

“ช่วย?”

“เอ่อ... ไม่มีอะไรครับ” เหมือนพี่ตองจะเพิ่งมาสำนึกได้ว่าไม่ควรพูดออกมา

“เกี่ยวกับเรื่องเก็บตัวหรือเปล่า” ความอยากรู้ทำให้ผมเผลอตั้งคำถาม

“.........” แสดงพิรุจชัดเจนขนาดนี้ แปลว่าเกี่ยวแน่เลย

“มันจะโหดมากเลยเหรอ การเก็บตัวนอกสถานที่อ่ะ”

“คือ... จริงๆในฐานะรุ่นพี่ลีด พี่ไม่ควรบอกอะไรคนที่จะเข้าคัดตัวนะครับ แต่ถ้าชาอยากรู้จริงๆ มันก็....อุ*!*” ผมรีบปิดปากพี่ตองไว้

“งั้นก็ไม่ต้องพูดหรอก ชาไม่อยากมีสิทธิเหนือกว่าคนอื่น ไม่รู้แบบนี้ก็ดีแล้ว ตื่นเต้นดี”

พี่ตองยักไหล่แสดงสัญลักษณ์ว่า โอเค ผมจึงชักมือออกมา

“มือชานิ่มจัง”

“อ๋อ...ก็ที่ทำคุกกี้นี่ไง มือแช่น้ำกาแฟนานๆก็เลยนิ่ม”

“แล้วแก้มชาละครับ นิ่มไหม?”

“พูดบ้าไรอ่ะ” อย่าบอกนะว่าจะมาทวงสัญญาตอนนี้

“ก็มันคิดถึงนิครับ ทำงานเหนื่อยทุกวันแบบนี้ พี่แทบจะไม่มีแรงเหลือมาหวานกับชาเลย”

“ไม่ต้องหวานทุกวันก็ได้มั้ง เดี๋ยวก็เบื่อกันพอดี”

“โถ่ พี่ไม่เห็นจะรู้สึกเบื่อเลย นะนะ”

อ้อนอีกแล้ว กูต้องมารับมือกับอะไรแบบนี้ทุกวันเนีย “ไม่ต้องมาเสียงอ้อนเลย ขับรถไปเหอะ”

“ก็....ได้” งอแงไปอีกกกก

“กลับถึงห้องก่อนดิ ขับรถอยู่มันอันตรายนะ”

"........" แล้วมันก็ยิ้มออกมาตามระเบียบ

ทำไมผมรู้สึกเหมือนกับว่าโดนจับจุดอ่อนได้แล้วนะ

และเมื่อไปถึงห้อง มันก็เลยเถิดไปกว่าที่คุยกันในรถมาก แต่ก็ช่างมันเถอะ เพราะมันต้องทิ้งเวลาอีกนานเลยกว่าผมและพี่ตองจะกลับมาทำอะไรแบบนี้ได้อีก นั่นก็เพราะ.....





“จากนี้ไปผู้เข้ารอบทั้งยี่สิบสี่คนต้องช่วยเหลือกันเพื่อทำกิจกรรมนอกมหาวิทยาลัยโดยขาดการช่วยเหลือใดๆจากรุ่นพี่ของพวกคุณ” พี่ชมพู่ประกาศต่อหน้าผู้เข้ารอบทั้งหมดบนรถทัวร์ซึ่งกำลังพาพวกผมไปที่ไหนสักแห่ง ผมมองไม่เห็นข้างทางเพราะกระจกถูกปิดไว้ด้วยป้ายทับ รู้เพียงว่านี่เป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงแล้วที่ออกมาจากมหาวิทยาลัยตอนเจ็ดโมงเช้า ถามว่าทำไมผมถึงไม่ดูในโทรศัพท์ ก็เพราะว่ามันถูกยึดไปตั้งแต่ก่อนจะขึ้นรถทัวร์แล้วไง ไม่ใช่แค่มือถือนะ ใครที่มีนาฬิกาหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิคแม้กระทั่งไฟฉาย ยังโดนยึดไปหมดเลย อย่าบอกนะว่าที่ไอ้สุ่ยเตือนเมื่อวานจะเป็นเรื่องจริงอ่ะ “เอาล่ะ ก่อนหน้าที่ชั้นจะอธิบายอะไรให้ฟังมากกว่านี้ ขอให้ทุกคนทำใจให้สบาย สถานที่ที่เราจะไป ไม่ใช่ที่อันตรายแน่นอน แต่เป็นความลับ มันคือจุดเริ่มต้นของผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนา ที่นั่นจะอธิบายเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องการผู้นำเชียร์เพียงสิบสองคนทุกปี ทำไมผู้คนจึงยกย่องให้เราเป็นผู้นำเชียร์บนหอคอยแห่งเกียรติยศ เราจะไปหาคำตอบที่นั่นกัน”



“ยิ่งใหญ่จังวะ” ไอ้ต้อมกระซิบกับผม

“นั่นดิ” ไอ้สุ่ยเป็นคนตอบรับ เพราะมันกับไอ้ข้าวนั่งอยู่ข้างหลังผมกับไอ้ต้อมและกำลังชะโงกหน้าไปฟังสิ่งที่พี่ชมพู่พูด จริงๆก็ทุกคนแหละที่กำลังสนใจสิ่งนี้ “นี่เราต้องกรีดเลือดสาบานหรือเปล่าวะ”

“จะบ้าเหรอ” ผมแทบจะร้องออกมา ผมไม่อยากให้ไอ้สุ่ยมันเดาอะไรอีกแล้ว กลัวมันจะเป็นจริงขึ้นมา

“กติกาทุกอย่างจะมีคนที่สำคัญกว่าชั้นมากรับหน้าที่ได้การบอกพวกเธอ” พี่ชมพู่พูดต่อ “แต่หนึ่งในข้อห้ามสำคัญของกิจกรรมทั้งหมดคือ ผู้เข้ารอบทั้งยี่สิบสี่คนจะถูกห้ามสนทนากับผู้ที่มีป้ายแบบนี้”

พี่ชมพู่ชูป้ายที่มีคำว่า MUTE ขึ้นมาให้ดู

“ตัวอย่างเช่น” แล้วพี่เค้าก็แขวนป้ายนั่นให้ตัวเอง “ตอนนี้คือพวกเธอทุกคนไม่สามารถสนทนากับชั้นได้ แต่ยังคงสามารถฟังสิ่งที่ชั้นพูดได้อยู่ ไหนเธอลองถามอะไรชั้นมาซิ” พี่ชมพู่สั่งผู้หญิงที่อยู่ใกล้ๆ

“ถ...ถาม...เอ่อ...” หญิงสาวไม่ทันตั้งตัว “เราจะไปไหนกันคะ”

“...............” พี่ชมพู่เงียบและแสดงใบหน้าเฉยเมยใส่ก่อนจะหันมาหาทุกคน “ชั้นก็จะไม่ตอบ แบบนี้ เข้าใจนะ ไม่ใช่มีแค่ชั้นแน่นอนที่มีป้ายนี้อยู่ รุ่นพี่พวกเธอ คนบางคนที่สำคัญ และหรือใครก็ตาม แต่ถามว่ามันจะเป็นแบบนี้ตลอดทั้งสัปดาห์เลยไหม เปล่า เมื่อหมดภารกิจของแต่ละวันแล้ว ช่วงเย็นๆ ก็จะมีสัญญาณปลดป้ายออก พวกเธอก็สามารถพวกคุยกับบุคคลเหล่านั้นได้ตามปกติ แต่ชั้นขอเตือนไว้เลยนะ ภารกิจของพวกเธอที่ต้องทำ บางครั้งก็ต้องคิดเองบ้าง ต่อให้อยู่ในเวลาปลดป้ายก็ไม่ได้หมายความว่าชั้นหรือรุ่นพี่จะมานั่งบอกคำตอบโต้งๆให้กับพวกเธอ กรุณาใช้สมองของพวกเธอคิดเอาเองนะคะ เอาล่ะ เดี๋ยวชั้นจะปลดป้ายให้ห้านาทีสำหรับการถามคำถาม แต่ชั้นจะตอบหรือเปล่าอีกเรื่องนึงนะ”



“พวกรุ่นพี่อยู่ไหนกันเหรอครับ” ผมยกมือตั้งคำถามทันที ใครจะแซวก็ช่างมัน

“แหม... ห่างรุ่นพี่ไม่ได้เลยนะ” พี่ชมพู่เอ็ดผม ก็มันอยากรู้นิ หลังจากขึ้นรถทัวร์มาพวกพี่ตองก็หายไปเลย “เอาเป็นว่าพวกนั้นไม่ได้ไปไหนหรอก เดี๋ยวก็ได้เจอกัน พอใจแล้วนะ”

“ครับ”



“คิดถึงพี่ตองอะดี๊” ไอ้ต้อมแซว

“เฉยเหอะไอ้ต้อม” กูจะคิดถึงหรือเปล่าก็เรื่องของกู



“ถ้าจะถามว่าไปที่ไหน พี่คงไม่ตอบใช่ไหมคะ” เกตุยกมือถาม

“แน่นอน” พี่ชมพู่ตอบทันที "ไม่อยู่แล้ว นี่มันความลับสุดยอดของภารกิจนี้"

“แต่เรายังไม่ได้บอกพ่อแม่เรื่องนี้เลย พวกเราจะส่งข่าวให้ทางบ้านทราบได้ยังไงคะ”

“ฉลาดถามนิ มือถือที่ยึดมา พวกเธอจะได้ใช้แน่ แต่ต้องถึงที่หมายก่อน และใช้เพื่อโทรหาผู้ปกครองเท่านั้น ชั้นจะเฝ้าดูทีละคนเลย จากนั้นก็ยึดคืนเหมือนเดิม ได้คืนอีกทีก็... วันศุกร์โน่นเลย ตอนเดินทางกลับถึงมหาลัยแล้วนะ” โหหหหหหหห “อย่ามาทำเสียงใส่ชั้นนะ พอแล้ว ชั้นไม่พอใจ ชั้นจะแขวนป้ายกลับคืน จบนะ บ๊ายบาย นอนดีกว่า เบื่อคุยกันพวกเด็ก”

เอ้า ซะงั้น พี่ชมพู่เดินไปชั้นล่างของรถทัวร์เฉยเลย



“สุดท้ายก็ไม่รู้อะไรเท่าไหร่” ไอ้สุ่ยบ่นก่อนจะกลับไปนั่งจับมือไอ้ข้าว ช่างไม่อายเลยนะพวกมึงนิ



พวกเราเดินทางกันอีกนานแค่ไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าผมหลับและตื่นและหลับและตื่น มีเดินไปเข้าห้องน้ำบ้าง แล้วก็กลับมาหลับต่อ ไม่ได้ออกจากรถเลย อาหารก็มีมาเสิร์ฟถึงที่ เป็นมื้อเช้าและมื้อกลางวัน เรียกได้ว่าไม่ต้องไปไหนกันเลย

หลังจากผ่านมื้อกลางวันมาได้สักพักรู้สึกเหมือนกับว่ารถมันเลี้ยวบ่อยมากๆ เสียงที่ได้ยินจากล้อการคล้ายว่าไม่ได้วิ่งบนถนนลาดยางปกติแล้ว จุดมุ่งหมายคือที่ไหนกันแน่นะ......



“เอาล่ะเด็กๆ ถึงแล้ว ลงมาได้” ในที่สุด เสียงสวรรค์ก็ดังขึ้น ​

ได้ออกจากรถทัวร์ซะที

ผมและเพื่อนๆลงจากรถทัวร์มาพบกับบ่ายที่อากาศหนาว ใช่ครับ เป็นเวลาช่วงบ่ายที่อากาศหนาวอย่างไม่เคยเจอมาก่อน แต่ที่ทำให้อึ้งมากกว่านั้นคือ มีพี่ทหารยืนอยู่เต็มไปหมดเลย น่าจะสิบชีวิตได้ พร้อมกับตะกร้าผักผลไม้ขนาดใหญ่ ข้าวสารอาหารแห้งกองเป็นภูเขาลูกย่อมๆ และรุ่นพี่ลีดมหาลัย

พี่ตอง ​กำลังยืนจัดเรียงของอยู่

ได้เจอพี่ตองสักที แต่พี่เค้ามีป้ายห้ามสนทนาติดอยู่ พอเจอหน้าผมก็เลยได้แค่ยิ้มให้กัน



“มาทางนี้ค่ะ เร็วเข้า นั่งลงๆ ใช่ นั่งลงไปกับพื้นนั่นแหละ ไม่ต้องกลัวเปื้อน เดี๋ยวได้เปื้อนกว่านี้แน่” พี่ชมพู่เริ่มดุ พวกผมก็เลยต้องรีบวิ่งมานั่งรวมกันที่ลานดินใกล้ๆกับตีนเขา อ่อ ที่นี่เหมือนจะเป็นสุดเส้นทางที่รถสามารถวิ่งได้ เพราะมันเป็นป่าเขา ไม่รู้ว่าสูงแค่ไหนเพราะพวกเราไม่ได้มองเห็นอะไรมาก่อนหน้านี้เลย “เดี๋ยวจะมีพี่ๆทหารพรานมาพูดอะไรกับทุกคนเล็กน้อยนะ เชิญพี่ยศเลยค่ะ”



“ก็ขอต้อนรับน้องๆทุกคนนะครับ” พี่ทหารคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของทุกคนกำลังกล่าวต้อนรับ “เป็นประจำทุกปีนะครับที่ผู้นำเชียร์จากมหาวิทยาลัยมัณฑนาจะเดินทางมาจิตอาสาที่นี่”

หือ จิตอาสา ไม่ใช่เก็บตัวเหรอ

“มา ระ ยาด” พี่ชมพู่เอ็ดเมื่อพวกผมส่งเสียงฮือฮากันขึ้น

“ธรรมดานะครับ พี่เข้าใจ ทุกปีก็จะตกใจกันแบบนี้” พี่ทหารพูดต่อ “ผมชื่อยศนะครับ เป็นทหารพรานที่ดูแลป่าบริเวณนี้ คือผมถูกสั่งห้ามไม่ให้บอกน้องๆนะว่าเราอยู่กันที่ไหน แต่ผมบอกได้เลยว่าที่ๆเราจะไปกันต่อต้องเดินเท้าขึ้นไปกันอีกไกลเลย เรากำลังจะเดินทางเข้าไปในหมู่บ้านของชนเผ่ามลาบรีดั่งเดิมนะครับ เพื่อเอาอาหาร ยา เครื่องนุ่งห่ม เชื้อเพลิง ไปให้กับชาวบ้านที่อยู่ข้างบนกัน เนื่องจากช่วงนี้เป็นฤดูหนาว เส้นทางลำเลียงปกติจะปกคลุมไปด้วยหมอกทึบ การใช้รถขนส่งในเส้นทางปกติจะอันตรายมาก เส้นทางนั้นก็เลยถูกปิดอยู่ในขณะนี้ เหลือแค่การเดินเท้าขึ้นไปเท่านั้น... ก็ต้องขอบคุณน้องๆทุกคนล่วงหน้านะครับ พี่รู้ว่าหลายคนยังงงๆอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น นะ พี่เห็นสีหน้าแบบนี้มาทุกปี แต่พี่มีหน้าที่บอกได้แค่นี้จริงๆ เอาเป็นว่าเตรียมสัมภาระกันให้ดีก็แล้วกันนะครับ”

เวรกรรม แม้กระทั่งพี่ๆทหารยังมีป้ายห้ามพูด

“หลังจากนี้นะคะ น้องๆจะได้รับอนุญาตให้ใช้โทรศัพท์ได้ พี่วางไว้ที่โต๊ะตรงนั้นแล้ว” พี่ชมพู่ชี้ไปที่โต๊ะที่มีพี่ๆลีดมหาลัยเฝ้าอยู่ “เข้าแถว ใช้ได้ทีละคน บอกที่บ้านว่ามาทำจิตอาสาในนามผู้นำเชียร์ในเขตห่างไกลความเจริญ แล้วก็คืนมือถือ ไม่ต้องเอาขึ้นไปด้วย เพราะยังไงก็ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์แน่นอน... ส่วนถ้าผู้ปกครองคนไหนมีปัญหา ไม่พร้อมให้ร่วมกิจกรรม แจ้งได้ที่พี่โดยตรง พี่จะส่งน้องกลับมหาวิทยาลัยทันที นั่นหมายถึง การบอกลาผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยด้วย โอเคนะคะ เชิญเลยค่ะ... เสร็จแล้วหยิบสัมภาระของตัวเองพร้อมกับช่วยกันหยิบของที่จะเอาขึ้นไปหมู่บ้านคนละไม้ละมือด้วยนะ ใส่เสื้อผ้ากันหนาวด้วยนะ ที่สั่งให้เอามาอ่ะ ข้างบนจะหนาวกว่านี้มาก”





“.....ครับแม่ ชาจะดูแลตัวเองครับ ขอบคุณครับ” ผมวางสายจากแม่ก่อนจะส่งโทรศัพท์มือถือของตัวเองคืนพี่หนิงไป

รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก เป้าหมายข้างหน้ามันเคว้งคว้างชอบกล



“ไปหยิบของกันเหอะมึง” ไอ้ต้อมบอกผม มันเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน

ผมกำลังดูอยู่ว่าจะหยิบอะไรขึ้นไปดี พวกผู้ชายส่วนใหญ่ก็หยิบเครื่องใช้ประเภทหม้อ ฝืน ข้าวสารกัน ผมก็ด้วย ส่วนพวกผู้หญิงขนอาหารแห้งกับยาก็แล้วกัน



“ชา”

หึ!

“เห้ย ขิง” ผมสวมกอดลูกพี่ลูกน้องของตัวเองทันที รู้สึกเหมือนมีหลักยึดอย่างบอกถูก

“น...น้ำขิง” ไอ้ต้อมได้แต่ยืนตาค้าง “มาได้ไงอ่ะ”

“ขิงก็งงๆเหมือนกัน” ขิงตอบ “พี่ตองโทรหาขิงเมื่อวานบอกว่าให้ขิงไปที่ตึกลีด แล้วก็เตรียมตัวออกพักแรมหลายวัน แต่สั่งว่าไม่ให้บอกใครเรื่องนี้ยกเว้นพ่อกับแม่ ขิงก็โดนพามาที่นี่เหมือนกัน ยังงงๆอยู่เลย”

“แล้วขิงมากับใครอ่ะ” ผมถาม ขิงคงไม่สามารถมาด้วยตัวเองคนเดียวแน่นอน

“กับ... โน่นไง”

“เห้ยยยย นั่นมันอาจารย์หมอพิชิตนี่หว่า” แล้วก็มีทีมนักศึกษาแพทย์มาด้วย

“ดีใจจังที่น้ำขิงมาด้วย นึกว่าจะไม่มีคู่อยู่คนเดียวซะอีก” ไอ้ต้อมยิ้มให้ขิง “ดูดิ ไอ้สุ่ยกับข้าวเจ้าก็สวีทกันตลอดเวลาเลย ถึงไอ้ชาจะคุยกับพี่ตองไม่ได้แต่ก็ยังเห็นกันตลอด”

“นี่มึงสนใจแต่เรื่องนี้ใช่ไหมเนี่ย” อยากจะตบเกรียนมันจริงๆ “มาช่วยกันขนของได้แล้ว”

“มา ขิงช่วย” ขิงก็เริ่มหยิบของด้วย

“เห้ยมึง ดูนั่นดิ” ไอ้ต้อมสะกิดให้ผมดูบางอย่าง “รู้สึกว่าพี่บุ๋นกับพี่ท๊อปนี่เค้าพัฒนาไปไกลเลยนะ”

นั่นไง อีกคู่นึง พี่ท๊อปกับพี่บุ๋นกำลังยืนคุยกัน ห่างออกไปจากบริเวณนี้เล็กน้อย

เพิ่งเห็นเหมือนกันว่ามีตัวแทน ก.น.ช. มาด้วย รู้สึกว่าจะมีพี่ผู้หญิงมาอีกคนนะ

ว่าแต่พี่บุ๋นกำลังยื่นอะไรให้พี่ท๊อปวะ เหมือนจะเป็นกล่องอะไรสักอย่าง ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงเข้าไปแซวแล้วล่ะ แต่ดูเหมือนว่าทุกคนจะแขวนป้ายห้ามพูดกันหมดเลย อึดอัดจัง เมื่อไหร่จะคุยกันได้สักที



“พร้อมแล้วนะทุกคน เดินทางกันได้แล้ว” พี่ชมพู่ให้สัญญาณ มีพี่ทหารถือปืนคอยดูแลความปลอดภัยตลอดขบวน เลย “เดี๋ยวนะ มีถุงผ้าเหลืออีกถุงนึง ใครก็ได้หยิบมาด้วย”

ห๊ะ ยังเหลือของอีกเหรอ มันเป็นถุงผ้าห่มซึ่งอยู่ใกล้ตัวผมที่สุด งั้นกูยกเองละกัน

อือหือ.... น้ำหนักใช้ได้เลย ขืนยกแบบนี้ขึ้นเขาคนเดียวมีหวังแขนหลุดกันพอดี เรียกไอ้ต้อมมาช่วยดีกว่า



“พี่ช่วยครับ” แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยปากเรียกใคร ก็มีคนเข้ามาอาสาก่อน พี่ตอง

“เอ่อ....” จะพูดด้วยก็พูดไม่ได้

“ชาพูดกับพี่ไม่ได้นะ” ก็เพราะอย่างงี้ไงถึงได้ยืนอ้าปากค้างอยู่เนีย “งั้นเอากระเป๋าของพี่ไปสะพายดีกว่า พี่แบกถุงผ้าเอง อะนี่ครับ”

เอาจริงดิ

ผมถูกส่งมอบกระเป๋าสะพายหลังของพี่ตองมาสะพายไว้ด้านหน้า เพราะด้านหลังมีเป้ของผมแล้ว ส่วนพี่ตองยกถุงผ้าห่มขึ้นบนบ่า

ยอมรับเลยว่าวันนี้เป็นวันที่อยากคุยกับพี่ตองมากกกกกกกกที่สุด ทั้งๆที่เห็นกันอยู่แบบนี้ แต่สื่อสารอะไรไม่ได้เลย เอาเถอะ อย่างน้อยตอนนี้ก็มีกระเป๋าของพี่เค้ามาอยู่กับตัวแล้ว ค่อยรู้สึกใกล้ชิดกันหน่อย

“ไปเถอะครับ” พี่ตองบอก “นำไปเลย เดี๋ยวพี่ตามหลังเอง”

ครั้งนี้แหละที่รู้สึกว่าพี่ตองเป็นผู้ใหญ่มากๆ มีคนความห่วงใยอยู่ข้างหลัง การมีพ่อ ใช่ความรู้สึกแบบนี้หรือเปล่านะ ถึงจะไม่แน่ใจ แต่ก็... อบอุ่นจัง



การเดินเท้าขึ้นภูเขาเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้มีการเร่งรีบเป็นพิเศษ อาจจะด้วยทุกคนมีภาระต้องช่วยกันขนสิ่งของเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่ รุ่นน้อง พี่ทหาร หรือแม้กระทั่งอาจารย์หมอพิชิต

ผมจับสังเกตได้อย่างว่าวันนี้อาจารย์หมอหน้าตาสดใสกว่าที่เคยเห็นทุกครั้ง ท่านมีสายตาเบิกบาน แถมยังดูแข็งแรงมากสำหรับการเดินขึ้นภูเขาของคนอายุขนาดนี้ แววตาอย่างกับเด็กที่ได้กลับบ้าน

เรามีการหยุดพักทุกๆครึ่งชั่วโมงตลอดการเดินทาง จะบอกว่าลำบากหรือเปล่าก็คงไม่ขนาดนั้น แต่จะหนักก็ตรงสัมภาระที่มากกว่าปกติ ยิ่งผู้หญิงปีหนึ่งคนไหนเอากระเป๋าแบบลากมาก็จะลำบากหน่อย แต่ก็เป็นธรรมดาของผู้ชายอย่างพวกผมแหละ พอเห็นแบบนั้นก็เลยช่วยกันสลับสับเปลี่ยนเอากระเป๋าลากของผู้หญิงมาถือให้แทน แล้วก็เอาของตัวเองให้ผู้หญิงสะพาย แต่ผมไม่ให้กระเป๋าของพี่ตองหรอกนะ หนักแค่ไหนก็ถือได้

จริงๆมันไม่หนักหรอก พี่เค้าคงมีแค่ของจำเป็น พวกรุ่นพี่ส่วนใหญ่เหมือนจะเตรียมตัวกันมาดี กระเป๋าจึงไม่ได้ใหญ่โตมากนัก ถ้าตามที่พี่ยศบอก ทุกปีจะมีผู้นำเชียร์มาที่นี่ งั้นก็แสดงว่าปีที่แล้ว พวกพี่ปีสองเองก็ต้องเคยตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับเรา คิดแบบนี้ได้ก็อุ่นใจขึ้นมาหน่อย



“มายระวัง!!”

เกิดอะไรขึ้นอ่ะ

ผมมองไปข้างหน้าเห็นมายสะดุดล้มนิดหน่อย โดยมีเกตุช่วยประคองขึ้นมา

“ไม่เป็นไรเกตุ ขอบใจนะ”

"รองเท้ามายขาดอ่ะ"

"ไหน!? จริงด้วย ทำไงดีอ่ะ"

"เกตุมีอีกคู่นึง อยู่ในกระเป๋า เดี๋ยวหยิบให้ แป๊บนึงนะ..... อะนี่ แค่รองเท้าแตะธรรมดา ใส่ได้ไหม"

"ได้ซิ ขอบใจนะ"



เป็นภาพที่ดีจัง ทุกคนกำลังช่วยเหลือกัน และที่สำคัญเรากำลังจะนำของใช้จำเป็นขึ้นไปให้คนบนเขา ถึงจะไม่ได้ตั้งใจก็เถอะ........
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-06-2018 23:34:17 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
​ตอนที่ 46 : ข้อห้าม 12 เข็มกลัด บทบัญญัติผู้ไร้เกียรติยศ Part 2





ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก





มีเสียงเหมือนกันใครตีไม้ไผ่อยู่ใกล้ๆ

หลังจากเราเดินทางกันมาจนเหงื่อท่วมตัวทุกคน น่าจะสองชั่วโมงหรือเปล่าไม่แน่ใจ ก็ไม่มีเวลาให้ดูนี่นา



“ถึงแล้ว” พี่ตองบอก “เอาออกได้สักที” จู่ๆพี่เค้าก็ดึงป้ายห้ามพูดใส่ลงในกระเป๋ากางเกง

“เอ่อ.....” นี่พูดได้แล้วเหรอ แล้วจะพูดว่าอะไรดี “ว้าวววว”

ผมลืมเรื่องที่อยากพูดกับพี่ตองไปเลย เพราะในที่สุดเราก็มาถึงหมู่บ้านกันแล้ว มีชาวบ้านหลายสิบชีวิตมายืนรอต้อนรับพวกเราที่ทางเข้าของหมู่บ้านซึ่งมองเห็นได้ชัดเจนเมื่อพ้นป่าออกมา

“มีที่แบบนี้อยู่ในประเทศไทยด้วยเหรอ? กำลังคิดแบบนั้นอยู่ใช่ไหมล่ะ” พี่ตองถามและยิ้มให้กับผม

“นี่คือที่ไหนอ่ะ” นี่เป็นคำถามที่ผมอยากรู้ที่สุดในเวลานี้

“พี่บอกไม่ได้ครับ” นั่นคือคำตอบ

ผมไม่ได้รู้สึกโกรธหรือหงุดหงิดนะ เพราะยังทึ้งกับบรรยากาศที่เห็นอยู่ มีบ้านหลังเล็กๆหลายหลัง ทำจากไม้และดิน อาจจะมีปูนบ้าง แต่ก็ไม่มาก รั้วรอบขอบชิดประหนึ่งครอบครัวเดียวกันทุกหลัง ธรรมชาติที่สมบูรณ์รายรอบ สวนดอกไม้ที่มีให้เห็นไม่ว่าจะกวาดสายตาไปตรงไหน อุณหภูมิที่เย็นจัด หมอกบางๆ และท้องฟ้าที่คล้ายว่าต่ำลงมาจนเราจะเอื้อมมือขึ้นไปแตะมันได้... ใช่ ผมกำลังคิดว่า ในประเทศนี้มีสถานที่แบบนี้อยู่ด้วยเหรอ สวยงามจริงๆ



“หมู่บ้านลับหมอก สวัสดีครับ/ค่ะ”

เด็กๆที่ยืนรอต้อนรับหน้าหมู่บ้านพูดขึ้นพร้อมกัน จากนั้นก็มีคุณยายหลายท่านเอาพวงมาลัยดอกไม้มาคล้องคอให้กับพวกเราทุกคนที่มาถึง

พวกเราต่างก็ทำได้แค่ยิ้มให้



“ผมชื่อกาสิ่นนะครับเป็นหัวหน้าหมู่บ้านของที่นี่” ชายค่อนข้างสูงวัยคนหนึ่งกล่าว

“กาสิ่น”

“หมอ”

จู่ๆ คุณหมอกับหัวหน้าหมู่บ้านก็โผเข้ากอดกัน

“พวกเราๆ นี่หมอพิชิตนะ คนบุกเบิกหมู่บ้านของพวกเรา มาไหว้ท่านเร็ว”

หา!?!?!? หัวหน้าหมู่บ้านพูดว่าอะไรนะ บุกเบิกเหรอ

เอาแล้วไง ชาวบ้านมารุมไหว้อาจารย์หมอเต็มเลย ตอนนี้อธิบายอารมณ์ไม่ถูกเลยระหว่างตกใจ งง และประทับใจ   

ไม่นานจากนั้น พวกเราได้รับการช่วยเหลือในการขนย้ายสิ่งของ กระเป๋า และสัมภาระเข้าไปในหมู่บ้าน

สำหรับสถานที่นอนของพวกเราเป็นโรงนอนขนาดกลาง แบ่งออกเป็นโรงนอนหญิงซึ่งอยู่ริมหมู่บ้านและโรงนอนชายที่อยู่เกือบหน้าหมู่บ้านเลย เป็นโรงนอนแบบง่ายๆ มีการก่อปูนขึ้นมาครึ่งหนึ่ง ส่วนด้านบนและหลังคาทำมาจากวัสดุธรรมชาติทั้งหมด บริเวณที่ใช้นอนก็เป็นแคร่ยาวสองฝั่งพอสำหรับผู้ชายสิบสองคนพอดี คิดว่าโรงนอนผู้หญิงก็คงไม่ต่างกัน

ถึงแม้ทุกคนจะดึงป้ายออกแล้ว แต่พวกเราก็แทบไม่ได้หยุดพักหายใจเลย พี่ๆต่างเร่งให้พวกเราไปอาบน้ำก่อนที่พระอาทิตย์จะตก แล้วคิดดูซิว่าผมจะอาบน้ำในที่ๆอากาศหนาวขนาดนี้ได้ยังไง ถึงแม้ห้องน้ำจะมิดชิด แต่น้ำที่อาบอย่างกับไหลมาจากน้ำตก เย็นอย่างกับโดนเข็มพันเล่มทิ่มแทงตลอดเวลา นี่เป็นครั้งแรกเลยที่อยากอยู่ในสภาพเหม็นเหงื่ออย่างเดิม

หลังจากอาบน้ำเสร็จเราทุกคนถูกต้อนให้เดินไปอีกด้านหนึ่งของหมู่บ้าน เป็นทางที่ดูเหมือนจะมีการใช้งานอยู่เป็นประจำ มีสวนสมุนไพรและไม้ประดับให้เห็นตลอดทาง แม้ที่นี่จะไร้ไฟฟ้าแต่ก็คล้ายว่าจะมีสิ่งจำเป็นครบครันอยู่แล้ว ผมสังเกตเห็นอาคารพยาบาลที่มีห้องเก็บสมุนไพรอยู่ข้างๆ มีระบบการประปาที่สะดวกสบาย มีห้องที่มีกระดานดำซึ่งคงมีไว้ใช้เรียนหนังสือ แต่ที่เห็นโดยไม่ต้องสังเกตก็คือแหล่งอาหาร อย่างเช่น ไก่ หมู แปลงผัก สวนผลไม้ อุดมสมบูรณ์จริงๆ



“เชรดดดดด” ไอ้ต้อมร้อง ผมก็ยังอยากจะร้องเลย

นี่ผมจะต้องว้าวอีกกี่ครั้งกันกับความสวยงามของที่นี่ เหล่าปีหนึ่งถูกนำมายังลานกว้างซึ่งมีกองไฟขนาดไม่ใหญ่นักอยู่ตรงกลาง โดยรอบประกอบด้วยสวนดอกไม้สีสันฉูดฉาดตา และต้นไม้เก่าแก่ขนาดสูงสามถึงสี่เมตรตั้งตระหง่าอยู่ใกล้ๆ พร้อมกับบรรยากาศช่วงตะวันตกดิน เป็นมุมมองที่ช่างภาพควรมาถ่ายเก็บไว้เป็นที่สุด

ทุกคนนั่งกันบนหินต่างเก้าอี้ที่วางอยู่รอบกองไฟ โดยมีอาจารย์หมอพิชิตและพี่ชมพู่นั่งรออยู่แล้ว และยังมีหัวหน้าหมู่บ้านกับพี่ทหารดูแลความลอดภัยอยู่ใกล้ๆ

ผมนั่งติดกับขิงและไอ้ต้อม โดยมีพี่ปีสองยืนล้อมรอบพวกเราอยู่



“เหนื่อยกันไหมวันนี้” นี่คือคำพูดแรกของอาจารย์หมอ ผมยอมรับเลยว่าคิดถึงเสียงของท่านมาก นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ยิน

“นิดหน่อยครับ” “เหนื่อยค่ะ” “ไม่ครับ” พวกเราต่างตอบกันคนละทิศละทาง แต่สำหรับผมคิดว่าก็เหนื่อยนะ แต่การซ้อมเต้นอย่างหนักตลอดสองเดือนกว่านี้ ดูจะช่วยไว้ได้มาก ก็เลยไม่เหนื่อยเท่าไหร่

“ฮ่าๆๆๆ” เป็นครั้งแรกเลยที่ได้ยินอาจารย์หมอหัวเราะ “เอาเป็นว่ายังเราก็มาถึงที่นี่กันแล้วนะ มีใครรู้บ้างว่าที่นี่คือที่ไหน”

“หมู่บ้านลับหมอกครับ” ไอ้ต้อมตอบ

“แล้วมันคือที่ไหนล่ะ”

เราทุกคนได้แต่มองหน้ากัน ก็เหมือนโดนปิดตามาตลอดทางนี่นา จะรู้ได้ยังไง

“ไม่แปลกหรอกที่เด็กๆยังไม่รู้ เพราะมีแค่ผู้นำเชียร์ตัวจริงเท่านั้นที่จะรู้ว่าที่นี่อยู่พิกัดไหนของประเทศเรา... เอาล่ะ ผมคิดว่าถึงเวลาคลายความสงสัยให้กับทุกคนได้แล้ว เรามาที่นี่ทำไม และจุดประสงค์ของการมาที่นี่คืออะไร... ผมจะเล่าแบบนี้ก็แล้วกัน

ย้อนกลับไปเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน วันที่ผมและผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนาทั้งสิบสองคนหารือกันว่าเราจะออกไปทำกิจกรรมอะไรนอกมหาวิทยาลัยกันดี ตอนนั้นพวกเราไฟแรงกันมากๆ ในยุคที่ประเทศของเรายังไม่มีเทคโนโลยีเหมือนทุกวันนี้ ในยุคที่นิสิตนักศึกษามีบทบาทในการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศอย่างมาก เราตัดสินใจเดินทางเพื่อค้นหาหมู่บ้านซึ่งความเจริญยังคงเข้าไปไม่ถึง ขาดแคลนความรู้ ขาดแคลนความสามารถในการปกป้องตัวเอง หรืออะไรก็ตามที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต พวกเราก็มาพบที่นี่โดยบังเอิญ แรกเริ่มนั้น ที่นี่มีแค่กระท่อมเล็กๆสามสี่หลัง เป็นกระท่อมชั่วคราวของชนเผ่ามลาบรีหรือเผ่าตองเหลือง เคยได้ยินไหม พวกเขาจะอพยพย้ายที่ไปเรื่อยๆตามเขาบริเวณนี้ มันเป็นวิถีชีวิตของพวกเค้า ตรงไหนอาหารหมดก็ย้ายไปที่ใหม่

ตอนนั้นพวกเราได้พบกับคุณปราบ พ่อแท้ๆของคุณยศ ทหารพรานคนเก่งของเรา เราศึกษาร่วมกันถึงการมีอยู่ของชนเผ่าในระแวกนี้ ก็ได้พบว่ายังมีอีกหลายครอบครัวที่เดินทางย้ายที่ไปเรื่อยๆบนภูเขา หาอาหาร ใช้ทรัพยากร แล้วก็จากไป ผมกับเพื่อนๆจึงตัดสินใจว่า เราจะรวมชนเผ่าที่กระจัดกระจายนี้เข้าด้วยกัน เพื่อเหตุผลหลายข้อ อย่างแรกคือให้พวกเขามีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง สองคือหยุดการทำลายทรัพยากรธรรมชาติโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และสามคือให้พวกเขาปลอดภัยมากขึ้นจากทั้งสัตว์ป่าและการปะทะกันกับทหารพรานหรือกลุ่มลำเลียงยาเสพติดที่ชุกชุมในช่วงนั้น

สามปีเต็มที่ผมและเพื่อนๆไปมาที่นี่ตลอด และด้วยความช่วยเหลือของคุณปราบ หมู่บ้านลับหมอกก็เกิดขึ้นมาจนได้ เราช่วยกันรวบรวมผู้คนที่กระจัดกระจายจนเกิดเป็นชุมชน ให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการเป็นประชาชนของประเทศเดียวกันกับคนข้างนอก สอนให้พวกเขาช่วยเหลือเกื้อกูนกันและที่สำคัญคือสอนให้หยุดการทำลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่จำเป็น”



“เพี้ยวเงาะชิบหาย” ไอ้ต้อมกระซิบ “ทำไมลีดสมัยก่อนทำเรื่องยิ่งใหญ่จังวะ พวกเราที่ซ้อมเต้นทุกวันนี่กระจอกไปเลย”

“เพราะอย่างงี้ไงผมถึงได้พาผู้นำเชียร์รุ่นน้องมาที่นี่” ไอ้ต้อมสะดุ้งที่อาจารย์หมอได้ยิน มันคงลืมไปว่าที่นี่เงียบมากขนาดไหน “ผมและเพื่อนๆทั้งสิบสองคนได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความหมายของคำว่า Leader มันไม่ใช่แค่นักเชียร์กีฬา ไม่ใช่สังคมของคนสวยหล่อ แต่มันคือการเป็นผู้นำเชิงความคิดและนักปฏิบัติ เราจึงพยายามส่งต่อเจตนารมณ์ให้กับคนรุ่นถัดไป ปีแล้วปีเล่าที่ผู้นำเชียร์แต่ละรุ่นเดินทางมาที่นี้เพื่อนำพาหมู่บ้านแห่งนี้ไปสู่สิ่งดีสิ่งใหม่ๆ ผมไม่ได้มาที่นี่มานานพอสมควร แล้วก็ได้เห็นการพัฒนาไปในทิศทางที่ดี.... มีใครพอจะบอกผมได้ไหมว่าโรงสมุนไพรที่เห็นเมื่อกี้ เด็กรุ่นไหนสร้างขึ้นมา”

“รุ่นของผมเองครับ” พี่ท๊อปตอบ “คือตอนที่รุ่นของผมมามีชาวบ้านป่วยพอดี ผมได้เห็นวิธีการรักษาโดยใช้สมุนไพร แต่พวกเขาต้องคอยออกไปเก็บทุกครั้งที่มีคนป่วย ผมก็เลยคิดว่า น่าจะมีโรงเก็บสมุนไพรเอาไว้ใช้ในสถานการณ์เร่งด่วน แต่ชาวบ้านยังไม่ทราบว่าสมุนไพรบางตัวสามารถตากแห้งเก็บไว้ได้ ผมโชคดีที่เรียนเรื่องนี้มาบ้างครับ ก็เลยได้มีโอกาสแนะนำชาวบ้านเกี่ยวกับการเก็บรักษาสมุนไพรต่างๆในแถบนี้”

“ผมขอชมในฐานะแพทย์เลยนะว่ามันยอดเยี่ยมจริงๆ”

“ขอบคุณครับ”

พี่บุ๋นยิ้มใหญ่เลย อย่างกับภูมิใจในตัวพี่ท๊อปซะเต็มที่

“แล้วรุ่นนี้ล่ะทำอะไร” อาจารย์หมอหมายถึงรุ่นพี่ปีสอง ผมเองก็รู้สึกอยากรู้เหมือนกัน

“เราไม่ได้ลงมือทำกันจริงจังครับ แค่ให้แนวทางการทำไว้เฉยๆ” พี่ตองเป็นคนตอบ “เราสร้างระบบขนส่งน้ำครับ แต่พวกผมไม่มีเวลามากพอครับอาจารย์ ที่สำคัญมันเป็นฤดูหมอกลงจัด วัสดุบางอย่างจำเป็นต้องนำมาจากข้างนอกครับ”

“คืออย่างนี้ครับหมอ” หัวหน้าหมู่บ้านพยายามจะช่วยอธิบาย “พวกคุณหนูสอนพวกเราเกี่ยวกับการทดน้ำจากที่สูงให้ไหลผ่านท่อน้ำเข้ามาในหมู่บ้านเพื่อที่จะไม่ต้องไปตักน้ำกันทุกวัน เราก็เลยลองใช้พวกไม้ไผ่กับดินเหนียวไปพลางๆก่อน เพราะตอนนั้นของที่มีในหมู่บ้านมันมีไม่พอ แต่เมื่อหน้าร้อนที่ผ่านมาพวกคุณหนูเขาก็เดินทางมาใหม่นะครับ เอาท่อเหล็กกับปูนมาก่อให้มันแข็งแรง แถมยังปรับปรุงห้องน้ำให้ด้วยครับ”

“โดยไม่ใช้ไฟฟ้าเลยเหรอ” อาจารย์หมอท่าทางแปลกใจ

“ไม่ได้ใช้ครับอาจารย์ ใช้หลักการทางวิศวกรรมอย่างง่ายนี้แหละครับ” พี่ตองตอบ อ๋อ แบบนี้นี่เอง ถึงว่าซิทำไมน้ำที่อาบเมื่อกี๊ถึงรู้สึกว่ามันเย็นแบบแปลกๆ ที่แท้ก็มาจากน้ำตกจริงๆด้วย แถมยังไม่มีก๊อกปิด คงเพราะต้องปล่อยให้มันระบายออกไปเรื่อยๆ ไม่งั้นแรงดันน้ำจะทำให้ท่อขนส่งเกิดความเสียหายได้

“มหัศจรรย์จริงๆ... เอาล่ะที่นี้ พวกคุณก็คงได้เห็นแล้วใช่ไหม เด็กแต่ละรุ่นที่มาที่นี่ ได้นำพาสิ่งดีๆสิ่งใหม่ๆมาให้กับผู้คนที่ในอดีตเคยหลงทาง ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สำหรับผมแล้ว มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะหยุดอยู่แค่ครั้งแรกที่ลงมือทำ ของบางอย่าง เรื่องบางเรื่อง ต้องอาศัยเวลา กำลังแรงกาย ความคิด และผู้นำรุ่นใหม่ๆ ดูซิ เดี๋ยวนี้ ที่นี่ได้รับการสถาปนาเป็นหมู่บ้านที่ถูกต้องตามกฎหมาย กลายเป็นแหล่งวัฒนธรรมที่เกือบจะสมบูรณ์แล้ว และวันนี้มันก็ถึงคิวของรุ่นพวกคุณแล้ว คุณชมพู่ ผมรบกวนหน่อย”

“ได้ค่ะอาจารย์ หัวหน้าหมู่บ้านค่ะ ขอของทั้งหมดด้วยค่ะ” พี่ชมพู่รับของบางอย่างมาจากหัวหน้าหมู่บ้าน “ผู้ที่ได้คะแนนอันดับหนึ่งของฝ่ายชายและหญิง ในฐานะตัวแทนผู้นำเชียร์รุ่นที่สามสิบเก้า ออกมารับของของพวกเธอด้วย”

ห๊ะ!!

อะไรอ่ะ

“ไปดิมึง” ไอ้ต้อมรีบผลักให้ผมลุกไปรับ....

กล่อง กล่องไม้สีดำสนิท มันเปิดอ้าไว้เผยให้เห็นผ้ากำมะหยี่สีม่วงเข้มที่ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น ส่วนเกตุได้รับหนังสือปกสีดำสนิทเหมือนกัน ของทั้งสองอย่างนี้ค่อนข้างเก่ามากๆ

และตอนนั้นเอง เหล่าผู้นำเชียร์ปีสองก็นำเข็มกลัดสัญลักษณ์ที่แตกต่างกันมาติดที่หน้าอก ผมไม่เคยเห็นสัญลักษณ์พวกนี้เลย ยกเว้นของพี่บุ๋นที่เหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

“ในฐานะของผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนา นี่คือภารกิจสามอย่างที่ทุกคนต้องช่วยกันทำในสัปดาห์นี้” พี่ชมพู่พูดต่อ เอาล่ะซิ “ภารกิจแรก ความคิดของผู้นำคือการนำสิ่งใหม่สู่หมู่บ้านลับหมอก พัฒนาหรืออะไรก็ตาม อาจารย์หมอได้ยกตัวอย่างให้ฟังไปแล้วนะ... ภารกิจที่สอง ภาพลักษณ์ของผู้นำ พวกเธอต้องใช้เวลาระหว่างที่อยู่ที่นี่ในการคิดค้นและประดิษฐ์ท่าเต้นพร้อมเพลงเชียร์ที่เป็นของรุ่นพวกเธอเอง ซึ่งเราพาคนควบคุมสแตนเชียร์มาให้แล้ว (หมายถึงขิงซินะ) จะปรึกษาอะไรกันก็ได้ เต็มที่เลย และภารกิจสุดท้าย.... จิตวิญญาณของผู้นำ นั่นคือการเติมเต็มสัญลักษณ์ทั้งสิบสองอย่างลงบนนี้”

“พอดีว่าสมัยของผม มหาวิทยาลัยของเรายังมีแค่ไม่กี่คณะ ส่วนใหญ่ก็มีแต่เด็กคณะวิทยาศาสตร์กับวิศวะ พวกเราก็เลยสร้างสิ่งนี้ขึ้นมา” อาจารย์หมอกลับมาพูดอีกครั้งพร้อมกับหยิบฟืนที่ติดไฟท่อนหนึ่งจากกองไฟ แล้วเดินไปที่ต้นไม้เก่าแก่ที่อยู่ตรงหน้าทุกคน

มันเป็นช่วงเวลาเย็นแถมยังมีหมอก ก็เลยไม่มีใครสังเกตเห็นว่าต้นไม้ต้นนี้ แท้จริงมันตายไปแล้ว เหลือเพียงลำต้นและกิ่งไม้ อาจารย์หมอใช้ไฟส่องไปใกล้ๆกับต้นไม้ จึงได้เห็นว่ามันมีส่วนประกอบของปูนซีเมนต์อยู่ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ต้นไม้ยังยืนต้นอยู่ได้และยังมีแท่นปูนอยู่ภายในใจกลางต้นไม้ที่เป็นเหมือนโพลงกว้าง บนแท่นนั้นมีช่องเอาไว้วางอะไรบางอย่างลงไป พร้อมกับข้อความที่เขียนไว้ว่า



หอคอยเกียรติยศ

“น้องผู้หญิง เปิดหนังสืออ่านให้เพื่อนฟังซิ” พี่ชมพู่สั่งเกตุ แล้วยกเทียนที่เพิ่งจุดมาใกล้ๆให้เกตุสามารถมองเห็นและอ่านได้

“เอ่อ...” เกตุหันไปหาพวกปีหนึ่ง แล้วค่อยๆเปิดหนังสือออกมา เหมือนมันจะมีแค่ไม่กี่หน้าเท่านั้น แต่หนามาก เพราะทำมาจากกระดาษสาหลายชั้น “............ข้อห้าม 12 เข็มกลัด บทบัญญัติผู้ไร้เกียรติยศ

ความอ่อนแอ แค่ทาง ของคนหน่าย                  ความดุร้าย แค่ฉาก ของคนขลาด

ความพึงใจ แค่อ้าง ของคนพลาด                    ความประมาท คือทอง ของคนเมา

ความเหย่อหยิ่ง แค่ค่า อันต่ำต้อย                    ความเลื่อนลอย ล่าช้า แค่ตามเขา

ความรักตน แค่ตน มิใช่เรา                           ความโง่เขลา คือตม ไม่รู้ชะ

ความล้มเหลว แค่ทำ ให้เพียงผ่าน                   ความเกียจคร้าน แค่เด็ก ไม่เคยละ

ความแข็งกร้าว แค่เกราะ มิสวยสะ                   เสียสละ คือคำ ผู้นำคน”



มันคือกลอนแปดที่กล่าวถึงลักษณะอันไม่พึงประสงค์ซินะ ผมเดาว่าอย่างนั้น



“หน้าต่อไป” พี่ชมพู่สั่งต่อ เกตุรีบทำตามแล้วอ่าน...

“นิยาม 12 เข็มกลัด....

เข็มกลัดหิน     หมายถึง ผู้สละความอ่อนแอ

เข็มกลัดดิน     หมายถึง ผู้สละความเหย่อหยิ่ง

เข็มกลัดหญ้า   หมายถึง ผู้สละความเกียจคร้าน

เข็มกลัดน้ำ     หมายถึง ผู้สละความประมาท

เข็มกลัดลม     หมายถึง​ ผู้สละความดุร้าย

เข็มกลัดผลึก   หมายถึง​ ผู้สละความโง่เขลา

เข็มกลัดไฟ     หมายถึง​ ผู้สละความแข็งกร้าว

เข็มกลัดเหล็ก  หมายถึง​ ผู้สละความเห็นแก่ตัว

เข็มกลัดไม้      หมายถึง​ ผู้สละความล้มเหลว

เข็มกลัดสายฟ้า หมายถึง​ ผู้สละความล่าช้า

เข็มกลัดปีก      หมายถึง​ ผู้สละความพึงใจ

เข็มกลัดเพชร    หมายถึง​ ผู้เสียสละ”



“ดูที่หน้าอกของพี่ปีสองไว้นะ” พี่ชมพู่บอก “ทุกคนจะมีเข็มกลัดคนละแบบ แต่ละแบบให้ความหมายตามที่น้องผู้หญิงบอก หากเธอพิสูจน์ตัวเองได้ ก็รับเข็มขัดไป สะสมให้ครบทั้งสิบสองอันแล้วนำมันมาวางบนหอคอยเกียรติแค่นี้ก็ถือว่าผ่าน”

“ถ้าไม่ผ่านละครับ” มันมีข้อสงสัยบางอย่างทำให้ผมอดตั้งคำถามไม่ได้

“เราไม่มีนโยบายที่จะยกเลิกลีดมหาลัยอยู่แล้ว มันขึ้นอยู่กับพวกเธอเองว่าอยากจะทำให้ผ่านหรือเปล่า เพราะถึงแม้ทุกคนจะช่วยกันจนผ่านทุกภารกิจ กลับไปถึงมหาลัยก็ต้องมีการตัดสิบสองคนออกอยู่ดี เธอจะนั่งใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรให้เกิดประโยชน์เลยแล้วเดินทางกลับไปเฉยๆก็ได้ หรือเธอจะอยากพิสูจน์ตัวเองให้รุ่นพี่ของพวกเธอได้เห็น แล้วทำภารกิจ ไม่ใช่แค่ที่ยืนอยู่ตรงนี้นะ หลายต่อหลายรุ่นที่เดินทางมาที่นี่ ทุกรุ่นฝากเรื่องราวดีๆไว้ที่นี่ทั้งนั้น และพวกเค้าก็ทำกันได้สำเร็จ... หลังจากนี้ มันขึ้นอยู่กับพวกเธอทั้งยี่สิบสี่คน เพียงแต่ อย่าลืมนะว่า สถานที่ตรงนี้ยังเป็นความลับสำหรับพวกเธออยู่ ใช่ไหม? ต้องทำทุกภารกิจให้สำเร็จเท่านั้นถึงจะได้รับพิกัดที่ตั้งของที่นี่ไป หากล้มเหลว สถานที่แห่งนี้จะเป็นเหมือนแค่ความฝันของพวกเธอที่ไม่สามารถกลับมาได้อีก”

แบบนี้นี่เอง ที่แท้ก็มีข้อแลกเปลี่ยนบางอย่างอยู่ ซึ่งถามว่าผมแคร์ไหม.... แคร์มากกกก ใครจะไม่อยากกลับมาที่สวยๆงามๆแบบนี้



“แต่ผมแนะนำให้ตั้งใจทำให้สำเร็จนะ” อาจารย์หมอเดินกลับมา “หลังทำภารกิจสำเร็จ ผมรับรองว่าพวกคุณจะได้เห็นอะไรสนุกๆแน่นอน อ่อ ผมคิดว่าผมอยากจะมอบเข็มกลัดสองสามอันให้กับพวกคุณ คิดว่ายังไงคุณชมพู่”

“ได้เลยค่ะอาจารย์”

“งั้นผมขอ.... เข็มกลัดหิน หน่อยได้ไหม” อาจารย์หมอร้องขอ แล้วพี่ลีดที่ชื่อเก้อก็ดึงเข็มกลัดออกจากหน้าอกตัวเอง ส่งต่อให้อาจารย์พิชิต “ยื่นกล่องมาข้างหน้าหน่อย”

ผมยื่นกล้องไปให้อาจารย์หมอตามที่สั่ง ท่านปลักมันลงบนผ้ากำมะหยี่

“นี่คือเข็มกลัดหิน หมายถึงอะไร จำได้ไหม?”

“เอ่อ...” อะไรหว่า ที่เกตุพูดเมื้อกี๊ “ผู้สละความอ่อนแอ... ใช่ไหมครับ”

“ใช่...” โล่งอกไปทีที่ตอบถูก “คนเราจะเป็นผู้นำคน จำไว้นะ ไม่ใช่คนที่ยึดติดกับความสมบูรณ์แบบ มันไม่มีคนแบบนั้นอยู่บนโลกหรอก เราอาจจะไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เราเลือกที่จะสามารถสละความอ่อนแอลงไปได้ อดทน และแบกของหนักๆขึ้นมาบนนี้ได้ นี่แหละคือความหมายของเข็มกลัดหิน” นี่ซินะคำสอนที่แท้จริง ลึกล้ำและให้แง่คิด “ผมขอ... เข็มกลัดดิน อีกสักอันได้ไหม”

จะได้อีกอันนึงเหรอ ง่ายกว่าที่คิดแฮะ



“นี่ค่ะอาจารย์” พี่หนิงนี่เองที่ถือเข็มกลัดดินไว้

“ผมมอบอีกอันนึงให้ก็แล้วกันนะ นี่คือ เข็มกลัดดิน แปลว่า?”

“ผู้สละความเหย่อหยิ่ง ค่ะ” เกตุตอบ เพราะเธอรีบดูจากในหนังสือ

“นั่นแหละ... ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ พวกคุณทุกคนจะไม่ได้เป็นที่รู้จักในฐานะผู้นำเชียร์ที่มีชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยมัณฑนา แต่อยู่ในฐานะเดียวกับชาวบ้านทุกคน ไร้ชื่อเสียง ไร้คนชื่นชม ดังนั้น ผมจึงอยากมอบเข็มกลัดนี้ไว้ให้ เพื่อเตือนใจพวกคุณเสมอว่า เราจะใช้ชีวิตที่นี่เฉกเช่นชาวบ้านธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ตกลงกับผมได้ไหม”

“ได้ครับ/ค่ะ” ปีหนึ่งทุกคนต่างตกลง

“งั้นก็รับมันไป” เข็มกลัดอันที่สองถูกปักลงบนผ้ากำมะหยี่ รู้สึกว่ากำลังอยู่ในพิธีศักดิ์สิทธิ์ยังไงก็ไม่รู้ “สุดท้าย เข็มกลัดผลึก... ไม่ใช่ๆ ผมไม่ได้จะมอบให้พวกคุณ แต่ผมจะฝากมันไว้กับกาสิ่นก่อน... เราพูดคุยกันมาถึงตรงนี้แล้ว หวังว่าทุกคนคงเข้าใจว่าเราพยายามเก็บที่นี้ไว้เป็นความลับมากแค่ไหน นี่คือเข็มกลัดผนึก หมายถึง ผู้สละความโง่เขลา หวังว่าจะไม่มีใครทำอะไรโง่ๆด้วยการพยายามค้นหาตำแหน่งของหมู่บ้านนี้ ไม่ว่าจะด้วยการถามจากชาวบ้านหรือด้วยวิธีใดก็ตาม ผมขอเก็บสถานที่นี้ไว้สำหรับสายเลือดผู้นำเชียร์ตัวจริงเท่านั้น”

หัวบ้านหมู่บ้านรับเข็มกลัดผลึกไปติดที่หน้าอกตัวเอง

นึกว่าจะได้อีกอันซะอีก

“งั้นก็เป็นอันเสร็จพิธีตรงนี้แล้วนะ” อาจารย์หมอนั่งลงที่เดิม ส่วนผมและเกตุก็กลับมานั่งที่ของตัวเอง “วันศุกร์ก็คงจะได้รู้กันนะว่าภารกิจจะสำเร็จหรือเปล่า ส่วนตัวผมก็หวังว่าจะได้เห็นความสำเร็จของรุ่นน้องสายเลือดใหม่ ขอให้โชคดี”

"ขอบคุณครับ/ค่ะ" พวกเรากล่าวขอบคุณพร้อมกัน



“ถ้าอย่างนั้น พวกเราไปทานอาหารกันดีกว่านะครับ” คุณกาสิ่นเชิญชวนให้ทุกคนร่วมรับประทานอาหารพื้นถิ่นของเผ่ามลาบรี ระหว่างนั้นพวกปีหนึ่งก็สนอกสนใจกับเข็มกลัดและหนังสือบัญญัติที่เพิ่งได้รับมา คุณกาสิ่นเล่าให้ฟังระหว่างมื้ออาหารว่า มันเป็นของที่อาจารย์หมอกับเพื่อนๆฝากไว้เมื่อนานมาแล้ว และทุกฤดูหนาวก็จะถูกนำออกมาทุกครั้ง เพื่อส่งมอบให้คนที่มาใหม่ และเมื่อจบภารกิจก็จะถูกนำไปเก็บไว้ในหีบของหมู่บ้านเหมือนเดิม เป็นของสำคัญทีเดียว

เข็มกลัดทำมาจากโลหะ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามีอะไรบาง แต่เห็นเพื่อนวิศวะบอกว่าน่าจะเป็นพวกดีบุกกับทองแดง เพียงแค่เอามาหล่อมให้มีลวดลายที่ไม่เหมือนกัน แต่มีฐานเป็นวงกลมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากัน



“กูนึกออกแล้ว!!” จู่ๆไอ้ต้อมก็พูดขึ้นมา ซึ่งเป็นเวลาที่ทุกคนกำลังกินมื้อเย็นใต้แสงตะเกียงอยู่

“นึกอะไรออกวะ” ผมถาม

“ไหนมึงเอาเข็มกลัดมาดูหน่อยดิ”

“อะนี่ ทำไมวะ?” ผมส่งกล่องเข็มกลัดให้มัน

“นี่ไง จริงๆด้วย” มันยกตะเกียงไฟที่อยู่ใกล้ๆมาจ่อที่เข็มกลัด “กูว่าแล้วว่าทำไมมันคุ้นๆ มันเป็นสัญลักษณ์เล็กๆในตราลีดมหาลัยไง อันนี้อ่ะ เข็มกลัดดิน จำได้ไหม อยู่ด้านล่างสุดของตราประทับอ่ะ”

“เหรอวะ แต่กูไม่คิดว่าจะเคยเห็นนะ” เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อน หรือว่า... “พี่บุ๋นนั่งอยู่ตรงไหนวะ?”

“โน่นน่ะ” ไอ้ต้อมชี้ พี่บุ๋นนั่งอยู่ข้างๆพี่ท๊อปที่เกือบสุดวงล้อมอาหาร

“มึงดูที่เข็มกลัดของพี่บุ๋นดิ กูว่ากูคุ้นอันนั้นนะ ถ้ามึงบอกว่าตราปั๊มลีดของมึงมีสัญลักษณ์ของเข็มกลัดดิน ซึ่ง... พี่หนิงใช่ปะ ที่ปั๊มให้มึงอ่ะ”

“ใช่”

“อย่างงี้นี่เอง กูกับพี่บุ๋นได้ตราปั๊มจากคนๆเดียวกัน นั่นก็คือพี่ท๊อป กูถึงได้คุ้นสัญลักษณ์อันนั้นจัง มันเหมือนในตราปั๊มของกูเลย”

“นั่นน่าจะเป็นเข็มกลัดไม้นะ” เกตุแทรกขึ้นมา เธอคงได้ยินที่ผมคุยกับไอ้ต้อม “หมายถึง ผู้สละความล้มเหลว”

“นี่มันจะเกี่ยวกับการคัดตัวรอบสุดท้ายหรือเปล่าอ่ะ” เหมือนผมจะฉุกคิดอะไรได้

“ยังไง?” เกตุสงสัย ไอ้ต้อมก็เหมือนกัน

“อย่างเช่น พี่บุ๋นได้เข็มกลัดไม้ เพราะพี่ท๊อปปั๊มสัญลักษณ์ไม้ให้ มันจะเป็นไปได้ไหมที่รุ่นต่อไปต้องเลือกจากคนที่รับสัญลักษณ์นั้นเท่านั้น...”

“งั้น..." เกตุยังคงคิดตาม "แล้วถ้าสมมติในพวกเรายี่สิบสี่คน ไม่มีคนที่มาจากการปั๊มของพี่ตองเลยล่ะ แล้วจะทำยังไง ก็ไม่มีรุ่นน้องมารับสัญลักษณ์ต่อ ยังงี้เหรอ”

“เออ นั่นซิ...”



“มีใครพูดถึงพี่หรือเปล่า” อ้าว พี่ตองผ่านมาได้ยินซะงั้น

“เราถามเกี่ยวกับการคัดเลือกรอบต่อไปได้ไหมคะ” เกตุถามทันที

“เป็นเรื่องที่ห้ามพูดหรือเปล่าอ่ะ” ผมถามด้วย

“ก็ไม่นะครับ” พี่ตองตอบก่อนจะนั่งลงด้านหลังของผมเพื่อพูดคุยต่อ “มันก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ แค่พิจาณาสิบสองคนที่เหมาะสมที่สุดก็แค่นั้น แต่ตอนนี้ทุกคนต้องช่วยกันทำภารกิจไปก่อน”

“ไม่ได้เกี่ยวใช่ไหมว่าต้องเลือกจากคนที่ได้สัญลักษณ์เดียวกันกับเข็มกลัดของรุ่นพี่” ผมยังคงสงสัย “ชาหมายถึงสัญลักษณ์ในตราปั๊มลีดอ่ะ”

“สังเกตเห็นด้วยเหรอ... แต่ก็ไม่เกี่ยวนะครับ ทำไมเหรอ”

“ก็ชารู้มาว่าพี่ท๊อปปั๊มตราลีดให้แค่พี่บุ๋นคนเดียวเมื่อปีที่แล้ว แล้วตอนนี้พี่บุ๋นก็มีเข็มกลัดแบบเดียวกับในตราลีดของพี่ท๊อป ก็เลย...”

“อ๋ออออ ก็เลยสงสัยว่าจะเป็นการส่งต่อแบบของใครของมันเท่านั้นหรือเปล่า... แบบนี้ใช่ไหม” ก็ประมาณนั้นแหละ “ไม่เกี่ยวหรอกครับ ทุกคนต้องผ่านภารกิจด้วยกันอยู่แล้ว แต่ตอนที่เลือกว่าใครจะใช้สัญลักษณ์อันไหน มันต้องหลังจากคัดเลือกสิบสองคน แล้วก็ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและความเหมาะสมมากกว่า แต่ถ้าให้พี่เลือก... อย่างชาต้อง...เข็มกลัดเพชร”

“เพราะ?” ถ้าจำไม่ผิด เข็มกลัดเพชรหมายถึงผู้เสียสละ “ชาเสียสละตรงไหน”

“เรื่องเสียสละหรือเปล่า อันนั้นพี่ไม่รู้หรอกครับ แต่ว่า...” พี่ตองชี้ให้ดูเข็มกลัดที่หน้าอกของพี่เค้า เข็มกลัดเพชร“มันเป็นเข็มกลัดประจำตัวพี่ ซึ่งสำหรับพี่แล้ว มีแค่ชาเท่านั้น.....







........ที่จะดึงมันออกไปได้”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-06-2018 23:34:58 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ พลอยสวย

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1622
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-5

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11

ออฟไลน์ buathongfin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
สนุกมากๆเลย ชอบความมีเหตุผลของตัวละคร ไม่ค่อยงี่เง่า

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
​​ตอนที่ 47 : เปลี่ยนแปลง









"อ๊ากกกกกกกก เย็นมาก มือกูจะเป็นน้ำแข็งอยู่แล้ว" ผมร้อง ไม่อยากเชื่อเลยว่าผมจะกลายเป็นคนที่โวยวายแทนที่จะเป็นไอ้ต้อม

“มึงก็อย่าเอามือลงไปแช่น้ำนานดิ” ไอ้ต้อมบอกผม “มานี่ๆ เดี๋ยวกูทำเอง มึงเอาจานเก็บใส่ตะกร้าดีกว่า หลบๆๆ”

ได้ทีพูดใหญ่เลยนะมึง “เออ”

ผมกับไอ้ต้อมกำลังช่วยกันล้างจานหลังอาหารค่ำมื้อแรกบนหมู่บ้านหลังเขา หรือระหว่างเขา หรือบนเขา อะไรสักอย่างนี้แหละ ส่วนคนอื่นๆกำลังทำความสะอาดโรงนอนและบางส่วนก็ต้องอยู่เฝ้ายาม เพราะต้องมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเฝ้ายามหน้าและหลังหมู่บ้านตลอดเวลา

การมาใช้ชีวิตที่หมู่บ้านลับหมอกแห่งนี้ พี่ชมพู่สั่งไว้ชัดเจนว่าให้ทำทุกอย่างเหมือนที่ชาวบ้านทำ และต้องช่วยเหลือตัวเอง ทั้งช่วยเหลือคนในหมู่บ้านให้ได้มากที่สุด



“เห็นเค้าบอกว่าแถวนี้มีน้ำตกใช่ไหม” ไอ้ต้อมพูดขึ้นอีกครั้งในขณะที่ผมเก็บจานใส่ตะกร้าใบยักษ์

“ใช่” ผมตอบ "น้ำที่เราใช้ก็มาจากน้ำตก ถ้าตามทางน้ำพวกนี้ที่ไหลลงไปคงจะเจอกับธารน้ำ"

“พรุ่งนี้เราไปเล่นน้ำกันไหม กูไม่ได้ลงน้ำมานานแล้ว”

“นี่มึงยังหนาวไม่พอหรือไงวะ”

“มันต้องมีช่วงที่อากาศไม่เย็นแบบนี้บ้างแหละ อุตส่าได้มาที่แบบนี้ทั้งที่ หาอะไรสนุกๆทำหน่อยดิวะ”

“มึงอยากสนุกอ่ะกูไม่ว่าหรอก แต่เรื่องภารกิจของเราล่ะ สร้างสิ่งใหม่ให้กับที่นี่ คิดเพลงกับท่าเต้นใหม่ แล้วก็เรื่องเข็มกลัดอีก”

“เออ ว่าแต่ เมื่อกี๊ทำไมมึงไม่ดึงเข็มกลัดมาจากพี่ตองวะ พี่เค้าอุตส่าอ่อย... เอ้ย อุตส่าเปิดโอกาสให้มึงขนาดนั้นแล้ว กูว่าแค่มึงออกปากขอ พี่เค้าก็ไม่วายจะใส่พานมาให้มึงอย่างไวอ่ะ”

“กูจะทำแบบนั้นได้ไงวะ มันไม่ได้พิสูจน์อะไรเลยนะเว้ย กูไม่โอเคอ่ะ”

“อือหือ ไอ้คนจริงจัง ถ้ามึงพูดแบบนี้นะ ก็อย่าลืมไปพิสูจน์ตัวเองกับพี่แอมอะไรนั่นก็แล้วกัน อันนั้นอ่ะยากแน่”

“.......นั่นดิ” พอไอ้ต้อมพูดแบบนี้แล้วก็ทำให้ผมเครียดขึ้นมาทันทีเลย “ล่าสุดที่คุยกัน กูกับพี่แอมก็ปะทะฝีปากกันครั้งใหญ่เลยวะ แบบนี้พี่เค้าจะให้เข็มกลัดเราได้ไงวะ”

“ไม่รู้วะ... เออ เอางี้ไหม มึงบอกว่ามึงเก็บหลักฐานที่พี่เค้าไปถล่มห้องพี่ตองไว้ใช่ปะ เอาไปขู่เลยดีไหม แลกกับเข็มกลัด เอาเรื่องที่พ่อพี่เค้าสั่งตรวจสอบท่าเรือของพ่อพี่ตองด้วยก็ได้ เดี๋ยวกูช่วยอ้างชื่อพ่อของน้ำขิงให้”

“นี่กูจะเป็นลีดนะ ไม่ได้เป็นคนชั่ว มึงนี่ก็เนาะ”

“เออ กูล้อเล่น แต่เราก็มีกันตั้งยี่สิบสี่คน คงจะมีคนที่พี่แอมยอมให้เข็มกลัดบ้างแหละ มึงคงไม่ต้องไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับพี่เค้ามากหรอก”

“ขอให้เป็นงั้น”

“แล้วเรื่องสองภารกิจแรกอ่ะ เอาไงดี”

“กูก็ยังคิดๆอยู่ แต่ตอนนี้เราคงทำได้แค่ใช้เวลาร่วมกับชาวบ้านที่นี่ไปก่อน เรายังไม่รู้ว่าที่นี่ขาดเหลืออะไร”

“แต่กูรู้”

“อะไรวะ”

“ไฟฟ้าไง”

“มึงจะบ้าเหรอ มันใช้ของที่ทำได้ง่ายๆซะทีไหน”

“ไม่... กูหมายถึงเราก็ทำเรื่องขอไปที่ส่วนกลางไง ให้เดินสายไฟเข้ามาที่นี่ เราไม่จำเป็นต้องทำให้เสร็จภายในอาทิตย์นี้ก็ได้นี่นา รุ่นพี่ตองยังต้องเดินทางกลับมาทำอีกรอบเลย”

“แต่กู... ไม่เห็นด้วยว่ะ มึงลองมองบนฟ้าดิ”

“ทำไมวะ... โห!!! ดาวเยอะจัง”

“ใช่ดิมึง นี่ขนาดหน้าหนาวนะ ยังมองเห็นดาวชัดขนาดนี้เลย เรื่องไฟฟ้ามึงคิดว่ารุ่นพี่เราไม่เคยคิดกันมาก่อนเหรอ ต้องมีคนคิดบ้างแหละ แต่ว่า พอมองในอีกแง่นึง สถานที่แบบนี้มันไม่ได้เหลืออยู่มากมายแล้วนะในประเทศเรา กูคิดว่า ทุกคนยังคงอยากให้มันเป็นอยู่แบบนี้ ที่ๆยังมองเห็นดาวบนฟ้าได้ชัดๆ ไม่ใช่ดาวบนพื้นแบบในเมือง”

“อืม... กูเข้าใจละ งั้นก็คิดอย่างอื่นก็แล้วกัน... เอาเป็นเครื่องต้มน้ำดีไหม จะได้มีคนล้างจานได้เรื่องได้ราวหน่อย”

“ไอ้เพื่อนเวร เออ เดี๋ยวกูล้างช่วยก็ได้”

“ล้างห่าอะไรของมึง เสร็จหมดแล้วเว้ย”

“จริงดิ”

“เออ ปะๆ ไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้มึงต้องตื่นเช้า”

“ยังวะ กูนอนไม่หลับหรอก”

“นั่นดิ แปลกที่ทีไร มึงกับกูนอนไม่หลับทุกที งั้นเราไปเดินเล่นแถวๆหมู่บ้านกันก่อนดีไหม”

“ก็ดี”



ผมกับไอ้ต้อมถือตะเกียงเดินดูหมู่บ้านในช่วงราตรี ถึงที่นี่จะไม่ได้สว่างไสวเหมือนเมืองศิวิไลต์ แต่ก็มีไฟคบเพลิงแทบจะตลอดทาง

ระหว่างทางผมเห็นชาวบ้านผู้ชายสี่ห้าคนเดินสวนไปพร้อมอุปกรณ์ล่าสัตว์ ถ้าเป็นปกติผมคงอยากรู้อยากเห็นและรีบตามไปดู แต่รู้สึกว่าอันนี้จะเสี่ยงเกินไปหน่อย หุบต่อมเผือกไว้ก่อน



“ข้าว”

“อ้าว ชา ต้อม”

ผมเจอไอ้ข้าวกำลังเดินถือตะเกียงคนเดียว “กำลังจะไปไหนอ่ะ ออกมาเดินกลางคืนคนเดียวมันอันตรายนะ”

“จะไปหน้าหมู่บ้านนี่เอง” ไอ้ข้าวอธิบาย “จะเอาคุกกี้ไปให้สุ่ย สุ่ยจะอยู่ยามอ่ะ เดี๋ยวสักพักก็บ่นหิว”

“มึงสองคนนี่ดูท่าจะรู้ใจกันดีเนาะ” ไอ้ต้อมพูดไม่เชิงว่าแซว

“ก็สุ่ยชอบบ่นหิวตอนกลางคืนอ่ะ เดี๋ยวนี้ต้องทำอาหารเผื่อตลอดเลย กลางคืนกูจะได้ไม่ต้องลุกขึ้นมาทำอาหารให้อีกรอบ”

“เออๆ งั้นไปด้วยกันปะ” ผมทนฟังเรื่องเลี่ยนๆแบบหน้าตายของไอ้ข้าวไม่ไหวแล้ว



“แล้วเรื่องที่จะทำอะไรให้ที่นี่ คิดไว้บ้างยังอ่ะ” ไอ้ข้าวเปิดประเด็นมาอีกครั้งระหว่างเดิน

“ยังอ่ะ ยังไม่มีไอเดียอะไรเลย” ผมตอบ “คงต้องดูพรุ่งนี้ก่อนอ่ะ”

“เหรอ ยังไงก็รีบหน่อยแล้วกันนะ เผื่อเป็นอะไรที่ต้องใช้เวลา อ่อ นี่ เกตุให้ฝากเอามาให้มึงสองคน พวกผู้หญิงช่วยกันเขียน เพิ่งเอามาให้ที่โรงนอนเมื่อกี๊เอง”

“อะไรวะ” ผมกับไอ้ต้อมรับแผ่นกระดาษมา

“แผนตารางเวลาอ่ะ เกี่ยวกับกิจวัตรที่ต้องทำแต่ละวัน เวลาตื่น เวลานอน เวลาซ้อม อะไรพวกนั้น แต่หลักๆ เกตุคงอยากได้เวลาซ้อมมากกว่า ก็เลยจัดตารางให้ทุกคนทำธุระตัวเองให้เสร็จก่อนมื้อเที่ยง เพราะบ่ายถึงเย็นต้องซ้อมตลอดเลย คิดว่าไง?”

“ก็โอเคนะ เป็นช่วงที่มีแสงสว่างมากที่สุด”

“งั้นเรื่องคิดเพลงประจำรุ่นก็ให้เกตุเป็นตัวหลักไปเลยดีไหม”

“ห๊ะ เอางั้นเหรอ”

“มันก็ต้องแบ่งหน้าที่กันอ่ะ ภารกิจที่ต้องทำมันเยอะมาก ขืนมัวมาระดมความคิดกันตลอด คงไม่ทันเวลา ที่สำคัญเกตุเองก็มีทักษะดีที่สุด คงได้งานที่น่าพอใจอยู่หรอก”

“ฟังดูมีเหตุผล ตามนั้นก็ได้”

“ส่วนเรื่องรวบรวมเข็มกลัด กูว่ากูจะลองหาทางดูอ่ะ การตีความพวกนี้มันเป็นเหมือนหลักการเชิงปรัชญา กูน่าจะพอเดาใจพวกพี่ๆเค้าได้นะ”

“............” อึ้งไปเลย ออกปากเองเลยเหรอ ไม่เคยคิดเลยว่าไอ้ข้าวจะเป็นคนกล้าคิดกล้าตัดสินใจขนาดนี้ ถือว่าเป็นนักวางแผนที่ดีเลย

“ทำหน้าอะไรอย่างงั้น กูก็ติดโรคชอบวางแผนมาจากมึงนั่นแหละ”

“โอ้โห พูดได้โดนใจกูมาก” ไอ้ต้อมเสริมก่อนจะเอื้อมมือไปเช็คแฮนด์กันอย่างรู้ใจ

“เดี๋ยวกูก็หวดพวกมึงทั้งคู่เลยนิ” ไอ้สองตัวนี้นิ



“ข้าวเจ้า มาทำไรอ่ะ” ไอ้สุ่ยทักทันทีที่เจอพวกผม แต่ทักอยู่คนเดียวเลย ไม่คิดจะทักกูเลย กูรู้จักมึงมาก่อนไอ้ข้าวอีกมั้ง “ทำไมไม่รีบนอนอ่ะ ตกดึกจะยิ่งหนาวนะ”

“เอาเสบี่ยงมาส่งให้ไง” ไอ้ข้าวตอบแล้วส่งกล่องขนมสามกล่องเล็ก ไอ้สุ่ยรับแล้วส่งต่อไปให้พี่ชาวบ้านสองคนที่นั่งเฝ้ายามในป้อมไม้ด้วยกัน “แล้วก็อันนี้ ผ้าพันคอกับถุงมือ เห็นอยู่ในกระเป๋าสุ่ยอ่ะ ก็เลยเอามาให้”

“อ๋อ ขอบคุณครับผม มีอีกชุดอยู่ในกระเป๋าข้าวเจ้านะ แอบเอาใส่ไว้ให้ อย่าลืมสวมตอนนอนด้วยล่ะ”

โอ๊ยยย กูจะอ้วก จะหวานหยดย้อยหยาดเยิ่มกันไปถึงไหน กูเลี่ยนแทน

“มึง” ไอ้ต้อมสะกิดผม “กู... ขอตัวไปหาน้ำขิงก่อนนะ เห็นไอ้สองคนนี้แล้วคิดถึงขึ้นมาทันทีเลย”

แล้วไอ้ต้อมก็หันหลังรีบเดินเร็วแซงหน้าทีมชาติมาเลเซียไปเลย



“แล้วมึงอ่ะ” ไอ้สุ่ยหันมาถามผม

“กู? ทำไม”

“ไม่ไปหาพี่ตองของมึงเหรอ กูเห็นพี่เค้าไปเฝ้ายามหลังหมู่บ้านโน่น ไปดิ”

“เรื่องของกู”

“ทำเขินนะมึง ไปเหอะน่า พี่เค้าต้องอยากเจอมึงอยู่แล้วล่ะ คุกกี้ไง มึงก็มีนิ เอาไปให้พี่เค้าดิ”

“.........”

“ไปเหอะ... เชื่อกู อะนี่ เอาคุกกี้กูไปก่อนก็ได้ กูให้ยืม”

“ไปไหมมึง เดี๋ยวกูไปเป็นเพื่อน” ไอ้ข้าวก็ไซโคคริเนซิสใส่ผมอีกคน

“เออๆๆ กูไปก็ได้” ผมดึงกล่องคุกกี้กล่องเล็กมาหนึ่งกล่องจากมือไอ้สุ่ย

“ก็แค่นั้นแหละ หัดแสดงความรู้สึกซะบ้างมึงอ่ะ เดี๋ยวพี่ตองเค้าก็น้อยใจหรอก” พูดมากนะมึงไอ้สุ่ย

ไม่ต้องมาทำตัวเป็นกูรูความรักแถวนี้เลย มึงอ่ะเพิ่งจะคบใครจริงๆจังๆได้ไม่กี่วันเอง



หลังจากยืนดูไอ้สุ่ยกับไอ้ข้าวเป็นห่วงกันไปเป็นห่วงกันมาสักพัก ผมก็ออกเดินอีกครั้งเพื่อไปหลังหมู่บ้านพร้อมกับไอ้ข้าว



“...เราไม่ได้พูดเพราะเราจะขอโทษนะ”

ใครมาคุยไรกันหลังหมู่บ้านวะ?

“งั้นก็ดี ชั้นก็ไม่คิดว่าควรจะขอโทษเหมือนกันกับการกระทำต่ำๆของเธอ”

ท่าทางจะมีปากเสียงกันนะเนี่ย แต่ทำไมเสียงมันคุ้นๆจังวะ

“ถ้าแอมจะเรียกการมีความรักว่าเป็นการกระทำต่ำๆ ละก็ เราก็สงสารแอมในเรื่องนี้นะ”

ชิบหายละ รู้แล้วว่าใคร

ผมรีบส่งสัญญาณให้ไอ้ข้าวว่าหยุดเดินและย่องช้าๆตามผมมา เพื่อดูการสนทนาของพี่ตองและพี่แอมหลังโรงเก็บสมุนรไพรท้ายหมู่บ้าน

“เธอต่างหากที่น่าสงสาร เธอไม่ได้รู้ตัวเลยใช่ไหมว่าสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่มันผิดปกติ” พี่แอมเริ่มเดือดดาน

“ได้ ถ้าแอมจะพูดว่ามันผิดปกติ งั้นเราก็จะยอมรับ แต่ขอได้ไหม น้ำชากำลังจะมาเป็นน้องลีดรุ่นต่อไปของพวกเรานะ แอมไม่คิดว่ามันผิดต่อรุ่นพี่ ผิดต่อองค์กร ผิดต่ออาจารย์หมอเหรอ ที่จะตั้งแง่กับรุ่นน้องแบบนี้ มันจะทำให้ระบบพี่น้องลีดมหาลัยของเราสั่นคลอนได้นะ”

“เชอะ รู้ละว่าที่เรียกออกมาคุยด้วยเหตุผลอะไร ที่แท้ก็อยากอ้อนวอนให้ชั้นยอมรับในตัวเด็กคนนั้น เพื่อให้วันคัดลีดมหาลัยไม่มีใครคัดค้านละซิ อย่ามาฝัน กฎของผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนามีเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรว่ารุ่นน้องปีหนึ่งทุกคนจะต้องได้รับความเห็นชอบจากรุ่นพี่สองทุกคนโดยไร้ข้อคัดค้าน เธออาจช่วยให้เด็กคนนั้นมาถึงตรงนี้ได้ แต่จะไม่มีวันไปได้ไกลกว่านี้”

“ผิดประเด็นแล้วแอม เรากำลังพูดถึงความสามัคคีในฐานะผู้นำเชียร์ด้วยกันมากกว่า และเราอยากให้เธอเห็นใจน้องบ้าง น้องไม่ได้ผิดที่เราไปรักน้องนะ แล้วน้องก็ทุ่มเทไม่ต่างจากทุกคน บางทีอาจจะมากกว่ารุ่นเราทุกคนรวมกันด้วยซ้ำ แค่เห็นใจกันในฐานะรุ่นพี่ก็ไม่ได้เหรอ”

“แล้วเธอกับเด็กคนนั้นเคยเห็นใจชั้นบ้างไหม การที่เธอทำแบบนี้กับชั้น มันคือความเห็นใจชั้นงั้นเหรอ”

“แต่แอมก็รู้ดีว่าเราสองคนไม่ได้เริ่มต้นจากความรักนะแอม มันแค่เรื่องที่ผู้ใหญ่เค้าคุยกัน นี่ไม่ใช่ยุคคลุมถุงชนแล้วนะ”

“แล้วคนข้างนอก มีใครเข้าใจเรื่องนี้ไหม คนทั้งมหาลัยมันมีใครเข้าใจไหม จู่ๆชั้นก็ถูกเด็กผู้ชายกะโปโลที่ไหนก็ไม่รู้แย่งแฟนตัวเองไป ตลอดเปิดเทอมที่ผ่านมาเธอเคยแยแสบ้างไหมว่าชั้นถูกมองยังไง แม้กระทั้งเพื่อนลีดด้วยกันยังนินทาลับหลังเรื่องของชั้นเลย ไหนล่ะความเห็นใจของเธอ... เธอกับเด็กคนนั้นมันก็แค่พวกเห็นแก่ตัว ชั้นจะไม่มีวัน... ฟังให้ดีนะ... ชั้นไม่มีวันยอมรับคนเห็นแก้ตัวแบบนั้นเข้ามาในลีดมหาลัยแน่นอน”

เวรละ

ผมรีบหลบเข้ามุมอีกครั้งเมื่อพี่แอมเดินฉับๆออกไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-06-2018 23:37:14 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
(ต่อ Part 2)



“พี่เห็นนะว่าอยู่ตรงนั้น”

ห๊ะ!! จริงดิ

ผมค่อยๆมองออกไปว่าพี่ตองกำลังหมายถึงผมหรือเปล่า.... หมายถึงผมจริงๆด้วย

“มาทำอะไรกันครับ” พี่ตองเปลี่ยนน้ำเสียงแล้วค่อยๆเดินออกมาจากหลังโรงเก็บสมุนไพรเพื่อมาหาผม

“ชาเอาคุกกี้มาให้” ผมยื่นกล่องคุกกี้

“ขอบคุณนะครับ ไม่เห็นต้องออกมามืดๆเลย”

“ถึงให้ไอ้ข้าวมาเป็นเพื่อนนี่ไง”

“เอ่อ....” ไอ้ข้าวลังเลในการมีตัวตนอยู่ของมัน “ครับ ผมมาเป็นเพื่อนชา แต่..”

“ไม่เป็นไรครับ” พี่ตองบอก “พี่แค่พยายาม... จะแก้ปัญหา”

“อย่าทำหน้าเครียดแบบนั้นซิ” ผมรีบทักท้วง ก็จู่ๆไอ้ตัวสูงมันก็ทำหน้าอมทุกข์ครั้งมโหฬารใส่ผม “มันไม่ใช่จุดจบของโลกซะหน่อย ชาได้มาถึงตรงนี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว ถ้าหลังจากนี้มันไปต่อไม่ได้จริงๆ ชาจะไม่เสียใจเลย ชาถือว่าชาได้เป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณตามที่หมอพิชิตเคยสอนแล้ว ได้มาที่นี่ ก็ไม่เห็นมันจะต่างกันเลยระหว่างการได้เป็นลีดมหาลัยกับไม่ได้เป็น”

“ก็เพราะชาเป็นแบบนี้ไง พี่ถึงได้พยายาม พี่รู้ว่าชาไม่เสียใจกับมันหรอก แต่องค์กรผู้นำเชียร์มหาลัยของเราจะเสียใจมากที่ไม่ได้ชาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ชารู้ไหมชามีอะไรบางอย่าง บางอย่างที่ลีดมหาลัยนี้ตามหามานาน และพี่อยากจะให้ชาได้จริงๆ อาจจะมีความรู้สึกส่วนตัวของพี่นิดหน่อย แต่ต่อให้ไม่ใช่พี่ในวันนี้ พี่ก็ยังคิดว่าหอคอยเกียรติยศเป็นสถานที่ที่เหมาะกับชาที่สุดอยู่ดี”

“ไอ้...บ้า” พูดไรเนีย อยู่ดีๆก็พูดซะหรูหราเลย “ก็ถึงบอกไงว่าชาไม่เสียใจ ชาจะทำเต็มที่ ผลวันข้างหน้าจะเป็นไงก็ช่างมันเถอะ ก็ตอนนี้.... เรามีกันแล้วนิ”

“อ.......” จู่ๆไอ้ข้าวก็ครางหงิงๆออกมา “โทษที มันเขินอ่ะ”

เออ กูก็พูดแบบนี้เป็น ไม่ต้องมาเขินแทนหรอก ทีมึงกับไอ้สุ่ยยังหวานแหววไม่เกรงใจคนอื่นบ้างเลย

“โอเคครับ” พี่ตองถอนหายใจก่อนจะยิ้มด้วยนัยน์ตาอบอุ่นทอประกายแข่งกับดาวบนฟ้า “ช่างมันก็ช่างมัน... ขอบคุณสำหรับคุกกี้นะครับ แต่ชากลับไปนอนได้แล้ว อากาศมันหนาว” แล้วไอ้พี่ตองก็เอาหมวกกันหนาวสีฟ้าเทาที่ผมเคยซื้อให้ตอนอยู่เกาหลีออกมาใส่

กะจะให้กูเห็นชัดๆ

“ไปเหอะข้าว กูง่วงแล้ว” ผมคว้าไอ้ข้าวเดินกลับโรงนอน

“ฝันดีนะคร้าบบบบ” ยังจะตะโกนไล่หลังมาอีก







“น้องครับตื่นได้แล้ว” “น้องคะ รีบๆตื่นได้แล้ว เราต้องไปช่วยกันแจกของให้ชาวบ้านอีกนะ”

เสียงรุ่นพี่สองคนเรียกรุ่นน้องในโรงนอนชายให้ตื่น แต่....

“อ้าว หายไปไหนกันหมดอ่ะ” พี่ลีดผู้ชายที่ชื่อมินเปิดประตูเดินเข้ามาในโรงนอนของพวกผมและไม่พบว่าใครเหลืออยู่แล้วยกเว้นผมกับไอ้ข้าวที่กำลังช่วยกันเก็บกวาดโรงนอนอยู่

“อะไรนะ!!” และพี่ผู้หญิงอีกคนก็เข้ามา เอิ่ม... พี่แอม “นี่อะไรกัน หายไปไหนกันหมด”

“เอ่อ.....” ไอ้ข้าวพยายามจะพูดแต่ไม่กล้า ได้แต่มองหน้าผมแบบกล้าๆกลัวๆ

“อธิบายมาซิ นี่พวกเธอหายไปไหนกันหมด” พี่แอมเริ่มยั้ว  “นี่คิดว่ามาสวนสนุกกันหรือไง”

“เอ่อ...” ไอ้ข้าวก็ยังไม่กล้าพูดอยู่ดีแต่คราวนี้มันชี้ไปที่ป้าย MUTE ของพี่ทั้งสองคน

“อ...อ๋อ” รุ่นพี่เพิ่งจะนึกได้ ทั้งสองก็ทำได้แค่หันหน้ามองกันและไม่รู้จะทำยังไงดี



“อะไร!? ทำไมไม่ออกไปกันซะที เอ๊ะ หายไปไหนกันหมดเนีย” พี่ชมพูนั่นเองครับที่เป็นแขกรายต่อมา

“เอ่อ...” ไอ้ข้าวชี้ที่ป้ายห้ามพูดอีกครั้ง

“โอเค” พี่ชมพู่ดึงป้ายของตัวเองออก “พูดมา”

“เราออกไปแจกผ้าห่มกับเครื่องใช้ให้ชาวบ้านตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้วละครับ” ไอ้ข้าวอธิบายในที่สุด

“ห๊ะ” พี่ชมพู่เหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน

“ครับ เราไปแจกของตามบ้านแล้ว ผู้หญิงก็ไปแล้วเหมือนกัน”

“ใครสั่ง”

“ผมเองครับ” ไอ้ข้าวไม่ได้เถียงนะ มันพูดตามความจริง เพราะมันเป็นคนตื่นขึ้นมาสั่งทุกคนให้ทำตามนี้จริงๆ

“แล้วเธอรู้ได้ยังไงว่าต้องแจกอะไรยังไง บ้านไหนควรได้อะไร”

“ถามจากหัวหน้าหมู่บ้านครับ เมื่อคืนนี้ผมคุยกับคุณกาสิ่นเกี่ยวกับการแจกของ เห็นบอกว่าช่วงเช้าชาวบ้านจะต้องการใช้ผ้าหุ่มเพื่อในนั่งรอบกองไฟ ผมก็เลยให้เพื่อนๆรีบตื่นไปแจกผ้าหุ่มให้ทันผิงไฟแล้วก็เผื่อจะช่วยชาวบ้านก่อกองไฟได้ด้วย”

“ที่ชั้นถามเนีย ชั้นหมายถึงว่าเธอทำอะไรโดยไม่ปรึกษาชั้นหรือรุ่นพี่ได้ยังไง”

“ก็ทุกคนมีป้ายคล่องคอกันอยู่อะครับ”

“ก็เลยทำอะไรตามอำเภอใจเลยใช่มะ”

“เราก็ต้องแจกอยู่ดีไม่ใช่เหรอครับ พวกผมแค่ทำให้มันเร็วขึ้น”

“ฟังชั้นนะ ชั้นไม่สนว่าเธอจะถือดีมาจากไหน” เอาแล้วววว พี่ชมพู่เริ่มของขึ้นแล้ว ผมได้แต่ยืนเป็นรูปถ่ายไฟล์ JPEG และรับชมเหตุการณ์ระทึกขวัญตรงหน้า “แต่ของบริจาคพวกนั้นนำมาที่นี่ในนามของผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนาและทุกชิ้นใช้เงินจากองค์การนิสิต เธอจะไปเที่ยวแจกสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ นี่มันเป็นหน้าตาของมหาวิทยาลัย โอเค เธออาจจะแจกได้ถูกต้อง แต่ไม่ถูกวิธี มันมีขั้นตอนและพิธีรีตองของมันอยู่ การกระทำอวดฉลาดของเธอเป็นการลดคุณค่าสิ่งเหล่านั้น ช่วยสำนึกถึงเรื่องนี้หน่อยจะได้ไหม”

“คือ...” ไอ้ข้าวไม่ได้มีความรู้สึกกลัวหรือรู้สึกผิดบนใบหน้าของมันเลย ซ้ำยังเดินไปหยิบกล่องเก็บเข็มกลัดหน้าตาเฉยอีก กูจะช็อกตายอยู่แล้วเนีย “ผมขอโทษนะครับในสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้... ผมไม่ได้ทำงานเร็วเพราะความไม่ตั้งใจ ผมตั้งใจครับ และผมขอโทษที่เอาของบริจาคไปมอบให้ชาวบ้านโดยไม่ผ่านสิ่งที่เรียกว่าพิธีก่อน แต่นี่ครับ นี่คือเข็มกลัดดิน สัญลักษณ์ว่าพวกผมละความเหย่อหยิ่ง แทนที่เราจะมองถึงการรักษาภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัยโดยการบริจาคสิ่งของผ่านพิธีการ มันจะไปต่างอะไรกับการที่เราถือความเป็นเจ้ายศเจ้าอย่างกับชาวบ้านละครับ มันก็ไม่เห็นต่างกันเลยกับความเหย่อหยิ่งที่อาจารย์พิชิตบอกให้เราละ คุณประโยชน์ที่ได้จากการรีบลงมือทำและลดพิธีรีตองพวกนี้ออกไป ไม่เป็นสิ่งที่ควรค่ากับชาวบ้านมากกว่าเหรอครับ อากาศตอนเช้ามันหนาวมากนะครับ แต่ถ้าหากมันทำให้พี่ไม่สบายใจ ผมก็จะรีบไปเรียกคืนของบริจาคให้ เพื่อเอากลับมาทำ...”

“พอ!!” ถ้าความโกรธเทียบได้กับปรอทวัดไข้ พี่ชมพู่ก็ถึงจดที่ปรอทจะแตกแล้ว

ชิบหายแล้วไอ้ข้าว มึงกล้าไปไหมเนี่ย นี่มันพี่ชมพู่ บอสใหญ่ของตึกลีดมอเชียวนะ

“เธอ ชื่อ อะ ไร” ถามเน้นทุกคำ ดูจะไม่เป็นลางดีสักนิดเดียว

“ข้าวเจ้าครับ ข้าวเจ้าคณะสังคม” มึงก็ไม่ต้องไปบอกพี่เค้าเต็มยศขนาดนั้นก็ได้มั้ง มึงจะโดนอะไรก็ไม่รู้

“ข้าวเจ้า เธอกล้ามานะที่เถียงชั้นแบบนี้ เอาเข็มกลัดสายฟ้ามานี้ซิ”

“ครับ?” พี่มินงง ผมก็งง ทุกคนงง

“ชั้นจะไม่พูดซ้ำนะ”

“ค..ครับพี่ชมพู่” พี่มินรีบดึงเข็มกลัดสายฟ้าที่อยู่บนหน้าอกของตัวเองวางบนมือที่รอรับอยู่ของพี่ชมพู่

“สัญลักษณ์นี้หมายถึงการละความล่าช้า เอาเป็นว่าชั้นจะยอมรับเธอในเรื่องนี้ก็แล้วกัน แต่... ขอให้เป็นแบบนี้ตลอดก็แล้วกัน รู้จักรีบลงมือทำแบบไม่สุ่มสี่สุ่มห้า ไม่งั้นจะพลาดเอาได้” แล้วพี่ชมพู่ก็ปักเข็มกลัดลงบนผ้ากำมะหยี่ในมือของไอ้ข้าว

นี่คือได้เข็มกลัดเพิ่มอีกอันเหรอ

งงไปเลยกู

“ผมจะจำไว้ครับ” แต่ไอ้ข้าวไม่เหมือนว่ามันงงนะ “ขอบคุณครับ”

“งั้นหลังมื้อเช้าก็ไปดูที่โรงเก็บสมุนไพรก็แล้วกัน เผื่อเขามีอะไรให้ปีหนึ่งช่วย” พี่ชมพู่บอกก่อนจะหันหลังเพื่อออกจากโรงนอน “พวกปีสองก็ไม่ต้องทำตัวตึงนัก ถ้ามีเรื่องสำคัญอะไรต้องคุยกันน้องๆมันก็หัดปลดป้ายเองซะบ้าง ถ้ามีเรื่องเกิดขึ้นแล้วจะรับผิดชอบกันไหวไหม ไม่รู้จักคิดกันซะบ้างเลย” เจ๊แกเดินบ่นออกไป



“พ...พี่แอมครับ” ครั้งนี้เป็นเสียงของผมเอง ผมรีบพูดก่อนที่พี่แอมจะเดินตามพี่มินออกไป ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ผมต้องทำอะไรสักอย่างกับเรื่องนี้ “ข้าว กูขอคุยกับพี่แอมตามลำพังได้ไหม” ผมขอไอ้ข้าวให้ออกไปเมื่อเห็นว่าพี่แอมหยุดเดิน แต่เธอยังหันหลังให้ผม

“เห็นป้ายนี้ใช่ไหม” พี่แอมยกป้ายห้ามพูดขึ้นมาให้ดู ประหนึ่งจะบอกผมว่า ผมไม่มีสิทธิ์พูดกับเธอ

“ผมทราบครับว่าตามกฎแล้วผมห้ามพูดกับคนที่มีป้าย แต่เมื่อกี๊พี่ชมพู่บอกว่าถ้ามีเรื่องสำคัญจริงๆก็ปลดป้ายได้ และผมมีเรื่องสำคัญจะคุยกับพี่ครับ”

“...................” พี่แกไม่ตอบอะไรกลับแต่ก็ไม่ขยับไปไหน

“เรื่อง.... ที่เกิดขึ้นกับผมและพี่ตอง ไม่ใช่ความผิดของพี่ตองนะครับ พี่ครับ ได้โปรดฟังผมก่อนเถอะครับ” ผมรีบขอร้อง เพราะดูเหมือนพี่แอมจะไม่อยากฟังเรื่องระหว่างผมกับพี่ตองเลย ผมจึงพยายามรีบพูดต่อไปแม้จะเป็นการพูดกับแผ่นหลังของคนตรงหน้าก็ตาม “เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับพี่ ผมเองก็ยอมรับนะครับว่ามันเหนือความคาดหมาย ผมอาจจะมีแผนสำหรับการมาเป็นเชียร์ลีดเดอร์อย่างชัดเจน แต่เรื่องของพี่ตอง ผมไม่ได้มีแผนสำหรับเรื่องนี้เลย สิ่งที่ทำให้ผมคิดว่าผมควรจะพูดกับพี่ในวันนี้ก็คือ ผมไม่ได้มาขอร้องให้พี่ยกโทษให้กับผม พี่สามารถเกลียดผมได้เท่าที่มนุษย์คนนึงจะเกลียดกันได้ แต่สำหรับพี่ตอง ผมคิดว่ามันไม่แฟร์เลยที่ผมจะเข้าไปมีส่วนในการทำลายความสัมพันธ์ของคนสองคน ทั้งๆที่ผมเพิ่งจะเข้ามาในชีวิตของพี่ตองได้ไม่นาน ผมอาจจะรู้จักพี่ตองมานาน ใช่ครับ ผมติดตามพี่เค้ามา แต่ก็ในฐานะคนที่ชื่นชม ส่วนพี่ไม่ใช่ พี่ได้รู้จักพี่ตองมาก่อนหน้าผมนานเป็นปีๆ จะด้วยฐานะอะไรก็ตาม มันแย่มากที่จู่ๆ พวกพี่ต้องมากลายเป็นคนที่เกลียดกันไปทั้งๆแบบนี้”

"......" พี่แอมยังนิ่ง “แล้วยังไง จะให้ชั้นกับตองกลับไปคืนดีกันงั้นเหรอ”

“ถ้าในฐานะแฟน ไม่แน่นอนครับ เพราะพี่ตองคือแฟนของผมและผมคงทนยกแฟนตัวเองให้ใครไม่ได้”

“หึ งั้นเธอก็คงเข้าใจความรู้สึกของชั้นดีอยู่แล้ว จะมาพูดให้มันเสียเวลาทำไม”

“เพราะพี่กำลังเสียเวลาไงครับ.... พี่สูญเสียมิตรภาพกับพี่ตองไปเพียงเพราะเรื่องอีกเรื่องนึงที่มันเกิดขึ้นบนโลก ในจักรวาลของเรามีเรื่องเกิดขึ้นทุกวัน ไม่เว้นแม้แต่วินาทีเดียว ต่อให้วันนี้ไม่ใช่ผมที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ พี่จะรับประกันได้ยังไงว่าในอนาคตจะไม่มีใครเข้ามาเปลี่ยนแปลงพี่กับพี่ตองอีก... ทั้งหมดที่ผมพูดมา ก็อย่างที่บอกแหละครับ ผมไม่ขอให้พี่ยกโทษให้กับความไม่ตั้งใจของผม และผมไม่เคยโกรธ ผมเชื่อว่าพี่ตองก็ไม่เคยโกรธ เรื่องอะไรก็ตามที่พี่ทำกับผมหรือพี่ตองไว้ เพราะไม่ว่ายังไงเราก็จะหาทางแก้ไขมันไปได้อยู่ดี เพียงแต่ ผมอยากขอให้พี่.... ยกโทษให้พี่ตองเถอะครับ อย่างน้อยก็กลับไปเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกัน กลับไปเป็นทีมผู้นำเชียร์ที่แข็งแกร่งเหมือนที่ผมเฝ้าดูพวกพี่มาเป็นปีๆ... มนุษย์เราไม่ได้จะสามารถพบเจอคนได้ทุกคนนะครับ มันยากแค่ไหนที่กว่าคนสองคนจะมาพบเจอและทำความรู้จักกันได้ เพราะงั้น เมื่อพี่ได้มีโอกาสสร้างมิตรภาพกับพี่ตองแล้ว อย่าสูญเสียมันไปเพียงเพราะเรื่องความรักของสิ่งมีชีวิตเล็กๆเลยครับ ให้อภัยกัน ดีกว่าทิ้งทั้งหมดไปกับความทรงจำ สุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไป พี่อาจจะลืมไปเลยก็ได้ว่าโกรธกันด้วยเรื่องอะไร ผมขอร้องละกัน ช่วยยกโทษให้พี่ตองด้วย”

“โกรธเหรอ.... ยกโทษเหรอ... ได้ ก็เอาซิ แต่แลกกับการที่เธอเลิกยุ่งกับตองได้ไหมล่ะ”

“ไม่ได้ครับ เพราะสำหรับผม พี่ตองไม่ใช่แค่คนที่ผมตกหลุมรัก พี่ตองคือศรัทธา และถ้าจะให้ผมทิ้งการมีศรัทธา ผมก็คงไม่เหลือความเป็นมนุษย์ แล้วพี่ละครับ มองพี่ตองเป็นอะไร.... พี่ตองมีค่าแค่ไหนหากมีพี่เป็นคนรัก.... ถ้าเป็นแค่การเคลิบเคลิ้มไปกับเสน่หา สักวันมันก็หมดความลุ่มหลง แต่กับผม ผมก็กล้ายืดอกพูดได้เต็มปากว่า พี่ตองคือทุกสิ่งที่อยู่ข้างหน้าชีวิตของผม และผมจะเดินตามพี่เค้าไปจนสุดทาง....”

ชั่วลมหายใจหนึ่งที่ผมคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างนิ่งสนิท

พี่แอมหันกลับมา แววตามิได้บ่งบอกอะไรไปมากกว่าการจ้องมองมาที่ผม

ผมตัดสินใจพูดสิ่งนี้เพราะคิดว่าพี่ตองไม่ควรจะเป็นคนที่พยายามเกลี่ยกล่อมพี่แอมเมื่อคืนนี้ ปัญหามันเกิดขึ้นเพราะการเข้ามาของผม ผมต้องเป็นคนแก้ไขสิ่งนี้ด้วยตัวเอง



“เข้าใจแล้วว่าทำไมตองถึงชอบเด็กแบบเธอ” พี่แอมพูด จากนั้นจู่ๆเธอก็ดึงเข็มกลัดของตัวเองออกมา แล้วยื่นมันมาให้ผม “เธอมีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงคนรอบข้างให้เป็นไปในทิศทางที่สว่างนี่เอง รับเข็มกลัดไปซิ”

“ห๊ะ! อ..อ๋อ เอ่อ ครับ” ครับรีบหยิบกล่องไม้ที่ไอ้ข้าววางไว้ขึ้นมา

พี่แอมปักเข็มกลัดอันที่สี่ลงบนผ้ากำมะหยี่

“นี่คือเข็มกลัดเหล็ก ละความเห็นแก่ตัว สิ่งที่เธอพูดเป็นการขอร้องเพื่อคนอื่น ไม่ใช่เพื่อตัวเธอเอง แต่ที่สำคัญก็คือเธอเป็นหวงมิตรภาพของตองกับ...พี่ และทำให้พี่ได้เห็นว่า ตองเป็นคนสำคัญจริงๆ เพียงแต่ไม่ใช่ในมือของพี่ เขาต้องอยู่กับคนที่ให้ความสำคัญกับเค้าที่สุดอย่างเธอ...น้ำชา”

“............” ผมไม่ได้พูดอะไรเลย ทั้งๆที่ควรขอบคุณสำหรับเข็มกลัดแต่ก็พูดไม่ออก

“ในฐานะที่พี่เป็นผู้ใหญ่กว่า คงต้องขอโทษเธอซินะ พอมาเห็นว่าเธอมีความคิดเป็นผู้ใหญ่แบบนี้แล้ว พี่ก็อดอายไม่ได้เลยที่สติแตกทำอะไรต่อมิอะไรกับเธอและตองไว้มาก ซ้ำร้ายเธอยังไม่ถือโทษเอาความ ทั้งๆที่ทำได้... พี่ขอบคุณและขอโทษไปพร้อมกันเลยได้ไหม”

“แค่พี่กับพี่ตองกลับไปเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ผมก็โอเคแล้วครับ”

“นี่แหละพลังในการเปลี่ยนแปลงของเธอ... โอเค พี่จะหาเวลาเคลียร์ใจกับพี่ตองของเธอก็แล้วกัน แต่ก็อย่างที่เห็นนะ ที่นี่มีอะไรต้องทำเยอะแยะ คงหาเวลาคุยกันยากหน่อย”

“ก็ยังดีครับ”

“เอาล่ะ” พี่แอมยกป้ายของเธอขึ้นอีกครั้ง “พี่ขอคืนสิทธิ์จากป้ายห้ามพูดคุยกับปีหนึ่งก็แล้วกันนะ เก็บที่นอนต่อเถอะ พวกผู้ชายนี่นอนกันไม่มีระเบียบเอาซะเลย” แล้วเธอก็เดินออกจากห้องไป

ไม่ได้คิดว่าจะได้เข็มกลัดเพิ่มเลยนะเนี่ย

โชคดีเหมือนกันแฮะ หยุดความหมางใจของพี่แอมไว้ได้และได้เข็มกลัดอันที่สี่ด้วย กำไรแท้ๆ



ผมกลับมาจัดโรงนอนต่อ มันยุ่งเหยิงอย่างที่พี่แอมพูดจริงๆ นี่พวกมึงนอนหรือทำกายกรรมกันเนีย ทำไมเละเทะได้ขนาดนี้



“พี่แอมให้เข็มกลัดอันที่สี่ด้วยอ่ะเมื่อกี๊” ผมพูดขึ้นทันทีเพราะว่าได้ยินเสียงไอ้ข้าวกลับเข้ามาในโรงนอน

“พี่ตองคือทุกสิ่งที่อยู่ข้างหน้าชีวิตของผม และผมจะเดินตามพี่เค้าไปจนสุดทาง.... เหรอครับ”

เห้ยยยยยยยยย

ไอ้พี่ตองนี่หว่า นึกว่าไอ้ข้าวซะอีก

แล้วมันได้ยินเรื่องที่พูดกับพี่แอมด้วยเหรอ

“..........” ยังไงดีล่ะกู

“อยากได้ยินด้วยตัวเองจังเลย พูดให้พี่ฟังอีกทีได้ไหมครับ” ดูความได้ใจของไอ้หัวเหม่งดิ ไม่มีทาง กูไม่พูดหรอก

“.........” ผมชี้ไปที่ป้าย MUTE บนหน้าอกคนตรงหน้า เป็นสัญลักษณ์ว่า กูพูดไม่ได้ ฮ่าๆ ไม่ได้กินกูหรอก

“ก็ได้ ไม่พูดก็ไม่พูด” อะไรของไอ้พี่ตองวะ แล้วจะยิ้มทำไม “งั้นก็ฟังอย่างเดียวก็แล้วกันนะครับ.... ที่นี่ท่าทางจะหมอกลงหนานะ คนที่เดินตามพี่มาถึงได้ไม่รู้ว่า.......







.........พี่หันหลังกลับมารอตั้งนานแล้ว”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-06-2018 23:38:24 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ netich

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
น้ำชา ยอดมากกกก  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
แก้ไขความร้าวฉานระหว่างพี่แอมกับพี่ตองได้สุดยอดดดดด
แม้ความไม่ชอบหน้าที่พี่แอมมีต่อตัวเอง ก็หมดไป
อืมมมม.......สมกับเข็มกลัดเหล็ก  ละความเห็นแก่ตัว ขอร้องเพื่อคนอื่น
ไม่ใช่เพื่อตัวเอง  เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมจริงๆ
พี่ตอง  น้ำชา   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
​​ตอนที่ 48 : ความกลัว





“พี่ว่าชามาช่วยพี่สอนหนังสือเด็กๆดีกว่า ที่โรงเก็บสมุนไพรมีคนไปช่วยเยอะแล้ว” นี่คือคำเชิญชวนของพี่ตอง



หลังจบจากมื้อเช้าอันทรหดที่บันดาเหล่าปีหนึ่งไปช่วยชาวบ้านทำอาหารวันนี้ ผมก็มาช่วยสอนให้น้องๆในห้องเรียนของหมู่บ้าน ที่ผมบอกว่าทรหดก็เพราะว่า แม่ครัวของที่นี่ดันเอาวัตถุดิบจำพวกเนื้อไก่ เนื้อหมู เห็ด และไข่ ไปล้างน้ำ ซึ่งโชคดีมากที่ไอ้ข้าวอยู่ตรงนั้นพอดี

‘ผมเข้าใจว่าอยากทำให้อาหารสะอาด แต่ของพวกนี้ล้างก่อนปรุงอาหารไม่ได้นะครับ มันจะทำให้เชื้อโรคยิ่งแพร่กระจาย’ นี่คือที่ไอ้ข้าวอธิบายตอนเช้า ผมเองก็เพิ่งจะรู้เหมือนกันว่าล้างของพวกนี้ไม่ได้ เพราะจะยิ่งทำให้แบคทีเรียในวัตถุดิบแพร่กระจายมากขึ้น ให้ใช้วิธีการประกอบอาหารด้วยความร้อนสองครั้งแทน ยกเว้นในกรณีที่ต้องการทำความสะอาดจริงๆ เช่น ดินที่เปื้อนมากับเห็ด ก็ให้ล้างลวกๆ อย่าแช่น้ำไว้นานๆ

ยังไม่จบ เพราะชาวบ้านได้เตรียมกาแฟมาให้ทั้งๆที่กำลังจะทำไข่ต้มให้เป็นมื้อเช้า ซึ่งก็อย่างเคยที่ไอ้ข้าวต้องรีบเปลี่ยนแผนด้วยการนำไข่ที่กำลังจะต้มไปประกอบอาหารอย่างอื่นแทน ทำให้วุ่นวายกันยกใหญ่ นั่นก็เพราะกาแฟกับไข่ต้มไม่สามารถกินพร้อมกันได้ จะทำให้ร่างกายขาดธาตุเหล็ก การทำอาหารเมื่อเช้าก็เลยเสมือนเป็นห้องเรียนวิชาคหกรรมกลายๆ โดยคุณครูข้าวเจ้า



“เด็กๆครับ วันนี้พี่มีคุณครูคนเก่งจะมาสอนพวกเรานะ” พี่ตองเริ่มแนะนำผมกับเด็กๆสิบกว่าคนที่นั่งในห้องเรียนไม้แบบเปิดโล่ง เป็นนักเรียนที่มีหลากหลายช่วงอายุมากๆ “พี่น้ำชานั่นเองครับ ปรบมือหน่อยเร็ว”

มีเสียงปรบมือเปาะแปะพร้อมกับรอยยิ้มกว้างของเด็กๆ ผมไม่เคยรู้สึกเขินในการที่จะต้องสอนใครขนาดนี้เลย ก็จะอะไรล่ะ พวกคุณป้าคุณลุงน่ะซิ มายืนล้อมห้องเรียนเพื่อดูการสอนจากพวกผมอย่างสนอกสนใจอย่างกับไม่เคยเห็น ​แล้วปกติใครสอนวะ



“เอ่อ... สวัสดีครับ” ผมเริ่มทักทาย มันห้ามไม่ได้เลยที่ตาของผมจะมองคนที่มุงดูอยู่รอบๆ “พี่ชื่อ....”



“มีคนเป็นลมค่ะ ช่วยด้วย”

เห้ยอะไรวะ

จู่ๆก็มีเสียงร้องขอความช่วยเหลือมาจากที่ใกล้ๆ และด้วยธรรมชาติของคน ผมและทุกคนที่เคยสนใจในชั้นเรียนก็เปลี่ยนความสนใจไปมองหาต้นเสียงทันที



“เกิดอะไรขึ้นอ่ะ” พี่ตองเอ่ยถามทันทีเมื่อวิ่งมาถึงตัวชาวบ้านคนหนึ่งซึ่งหมดสติหน้าคว่ำอยู่บนพื้น ผมเองก็วิ่งตามมาติดๆ

“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ” มายด์นั่นเองที่เป็นคนร้องขอให้คนมาช่วย “เห็นลุงแกเดินออกมาจากบ้านเมื่อกี๊ แล้วก็อ้วก กำลังจะเข้ามาช่วยแต่ก็เป็นลมล้มลงไปเลย”

“ลุงครับ ลุง” พี่ตองพยายามเรียกโดยการตีที่หน้าของคนหมดสติ



“ผีเข้า” เด็กชายชาวเผ่าคนหนึ่งพูดออกมา แล้วก็กลายเป็นโดมิโน่เอฟเฟคให้ชาวบ้านที่ตามมามุ่งดูเห็นไปในทิศทางเดียวกัน

“ไม่ใช่หรอกครับ” ผมรีบห้ามความคิดนั้นไว้ “ลุงคงพักผ่อนน้อย ผมก็เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ผมว่าเราพาลุงไปนอนในห้องพยาบาลก่อนดีกว่า”

“เอาละครับทุกคน อย่ามุงนะครับ ขอทางหน่อย” พี่ตองรีบประคองคุณลุงขึ้นมาเพื่อพาไปห้องพยาบาลท้ายหมู่บ้าน

“เกิดอะไหล่ขึ้น” เด็กหนุ่มปีหนึ่งคนหนึ่งวิ่งเข้ามาถาม หน้าตาลูกครึ่งแถมพูดไม่ชัดแบบนี้ต้องเป็นเด็กวิทยาลัยนานาชาติแน่นอน

“มีคนเป็นลมอ่ะ กำลังพาไปห้องพยาบาล” ผมบอก

“แต่ไม่มีหม่ออยู่นะ เอ่อ... Doctor พานักเรียนแพทย์ไปดูคนเก็บ herb leave กับ master ของหมู่บ้าน”

"เดี๋ยวนะ!! หมายถึงไม่มีหมออยู่ในหมู่บ้านเหรอ"

"ช่าย"

ซวยแล้วไง

เอาไงดีๆ

“แล้วพี่ท๊อปล่ะ พี่ท๊อป ก.น.ช.อ่ะ เห็นไหม”

“ไม่ ไม่เหนเลย”

“แล้วพวกเพื่อนเราอ่ะอยู่ไหนกันหมด”

“น่าจะ herb store ”

“โอเค งั้นรีบไปที่โรงเก็บสมุนไพรกัน  มายด์ๆ” ผมเรียก “ไปบอกพี่ตองว่ารอแป๊บนึงนะ กำลังหาคนมาช่วย”

“แต่เราต้องเตรียมอาหารมื้อเที่ยง ข้าวเจ้าสั่งไว้”

“ช่างมัน” จะมาห่วงอาหารอะไรตอนนี้ “ทำตามที่เราบอกก่อน”

“อ...โอเค”



ผมกับหนุ่มลูกครึ่งรีบวิ่งไปที่โรงเก็บสมุนไพร แต่....



“เห้ย! หายไปไหนกันหมดอ่ะ” ไม่มีใครเหลือในโรงเก็บสมุนไพรเลย นอกจากเด็กหนุ่มคนหนึ่ง

“ไปดูระบบลำเลียงน้ำกันอ่ะ” คนนี้คือเด็กจากคณะแพทย์นี่นา “มีคนบอกว่าพี่ท๊อปกับพี่บุ๋นอยู่ที่นั่น ก็เลยตามไปดูกันหมด”

เรื่องบ้าอะไรเนีย “งั้น.... นายเรียนคณะแพทย์ใช่ไหม” ผมรีบถาม ไม่สนใจคำอธิบายอื่นหรอกตอนนี้

“ช...ใช่ ทำไมเหรอ”

“มีคนเป็นลม อ้วกด้วย ไปดูหน่อยเร็ว”

“ห๊ะ ต...แต่เราเพิ่งจะเรียนปีหนึ่งเองนะ เรา...”

“จะเรียนปีไหนก็ต้องไปปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อน เห้ย ลืมเรื่องห้องเรียนไปเลย นาย ช่วยไปดูแลเด็กๆที่ห้องเรียนให้หน่อยดิ” ผมหันกลับมาพูดกับคนที่วิ่งมาด้วยกัน ป่านนี้เด็กคงวุ่นวายกันเต็มห้องเรียนแล้ว

“No! ไอไม่เก่งภาสะไทย เด็กๆ ไอไม่ชอบ”

“นี่พวกมึงหยุดอ้างนั่นอ้างนี่กันซะทีได้ไหม” กูสุดจะทนแล้วนะ “ช่วยดูสถานการณ์หน่อยไหม ไปดูแลเด็กๆหรือไม่ก็ไปตามหาคนที่ชื่อขิงหรือต้อมก็ได้ ส่วนมึงก็รีบไปดูคนเป็นลมเดี๋ยวนี้เลย... ไปดิ!!!”

ไอ้พวกบ้านี่ต้องให้กูของขึ้น อะไรกันนักกันหนาวะ



รุ่นพี่ก็หายไปไหนหมดก็ไม่รู้ รุ่นเดียวกันก็ไม่อยู่ แต่ยังไงก็ต้องหาวิธีเรียกคนกลับมาช่วยให้ได้ อย่างน้อยต้องมีคนที่มีความรู้เรื่องแพทย์สักคน

โทรศัพท์ไม่มี เรียกก็คงไม่ได้ยิน เอาไงดีๆๆ

สัญญาณ

ใช่ๆ ต้องส่งสัญญาณ เมื่อวานมีเสียงเคาะไม้ไผ่นี่นา ว่าแต่มันอยู่ตรงไหนของหมู่บ้านล่ะ

ผมเลิกคิดและรีบออกวิ่งแทน ตรงดิ่งไปที่หน้าหมู่บ้านก่อน โดยปกติการส่งสัญญาณน่าจะมีแถวๆหน้าหมู่บ้านนะ



“เกิดอะไรขึ้นน้ำชา” พี่ชมพู่วิ่งมาเจอผม พี่เค้าคงสังเกตเห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน

“มีคนเป็นลมครับ แต่หมอไม่อยู่” ผมตอบ

“แล้วนี่จะวิ่งไปไหน”

“ผมกำลังตามหาสัญญาณเคาะเรียกอยู่ครับ”

“ทางนี้ๆ ระฆังไม้อยู่หน้าโรงนอนของรุ่นพี่ปีสอง” ขอบคุณสวรรค์ พอได้รับความโล่งใจตอนนี้ผมก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาในทันที

ผมกับพี่ชมพู่วิ่งกันมาจนถึงหน้าโรงนอนที่มีลักษณะคล้ายๆกับโรงนอนของพวกปีหนึ่ง และพบกับไม้ไผ่ท่อนใหญ่ที่มีค้อนแขวนอยู่ข้างๆ



“จะทำอะไรกันหรือครับ” คุณลุงที่อยู่ใกล้ๆถาม คงเห็นพวกเราวิ่งหน้าตาตื่นกันมา

“จะเคาะเรียกหมอพิชิตครับ มีคนเป็นลม” ผมรีบตอบ

“แต่หมอไปเก็บสมุนไพรที่เขาอีกลูก ระฆังไม้แค่นี้คงไม่ได้ยินหรอกครับ”

“ห๊ะ” ยังไงละที่นี่ “แล้วที่น้ำตกละครับ พอจะดังถึงที่โน่นหรือเปล่า”

“ทำไมต้องให้ดังไปที่น้ำตก?” พี่ชมพู่ไม่เข้าใจ

“ก็มีพี่ท๊อปอยู่ที่นั่น น่าจะพอช่วยอะไรได้บ้าง” ผมตอบ “ว่าไงครับ ดังถึงไหม”

“ก็คงถึงครับ” คุณลุงบอก แต่ก็มีสีหน้ากังวล “เพียงแต่.... ถ้าอยู่ใกล้น้ำตกจริงๆก็คงไม่ได้ยินเสียงหรอกครับ เสียงน้ำตกคงจะดังกลบเสียงไม้ไผ่จนหมด”

“บ้าเอ๊ย” ผมเริ่มสบถ



“ช่วยด้วยๆ ลูกชายฉันอ้วกไม่หยุดเลย”

เห้ย!! เกิดอะไรขึ้นอีกวะ

ผมรีบวิ่งไปดูเหตุใหม่ที่เกิดขึ้น ที่บ้านถัดไปสามหลังมีชายหนุ่มกำยำคนหนึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่บนแคร่และเอาแต่อาเจียนออกมา

“ว๊ายยย ตายแล้ว เกิดอะไรขึ้น” พี่ชมพู่เริ่มสติแตก “ทำยังไงดีๆ”

“ใจเย็นครับพี่ชมพู่” ผมพยายามพูดให้พี่เค้าสงบ แต่ในสมองก็คิด “คุณป้าลูบหลังลูกชายไปก่อนนะครับ แล้วถ้าดีขึ้นแล้วพาไปที่ห้องพยาบาลได้ไหมครับ”

“แต่เค้าอ้วกมาตั้งนานแล้วนะ ลูกชายป้าจะเป็นอะไรไหม” คุณป้าผู้เป็นแม่ร้อนใจ

“ไม่ต้องห่วงครับ เรากำลังตามหมอ”

“ชาๆๆๆ” เกตุวิ่งออกมาจากห้องครัวของหมู่บ้าน โดยมีไอ้ข้าววิ่งออกมาด้วย “เกิดเรื่องแล้ว มีคน..... ​อ๊าย ตรงนี้ก็มีคนอ้วกเหรอ”

“อย่าบอกนะว่ามีคนอ้วกในโรงครัว” อย่าเกิดปัญหาไปมากกว่านี้นะ

“ใช่ มีพ่อลูกที่ช่วยงานอยู่ในครัว อยู่ดีๆก็อ้วกออกมา ลูกชายหมดสติไปแล้วด้วย”

โอ๊ยยยยยย เอาจริงเหรอเนี่ยยยยยยยยย

“ปฐมพยาบาลไปก่อนนะ” ผมพยายามคิดอย่างหนัก  ยังไงก็ต้องตามหมอให้ได้ก่อน ทำไงๆๆๆๆๆ เสียง สัญญาณ..... เดี๋ยวนะ อันนี้น่าจะพอได้ วิชาลูกเสือสมัยเด็กๆ “ลุงครับ ช่วยไปที่ลานต้นไม้เก่าแก่หน่อย แล้วก่อกองไฟนะครับ ทำสัญญาณควัน”

“สัญญาณควัน?” ลุงไม่เข้าใจ

“เดี๋ยวผมพาไปเอง” ขอบคุณที่ไอ้ข้าวเข้าใจความหมายอย่างรวดเร็ว “ไปกันครับลุง เรียกคนอื่นไปก่อไฟช่วยหน่อยได้ไหมครับ”

แล้วทั้งสองก็วิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว



“เกตุไปที่ลานล้างจานกัน” ผมเอ่ยปากชวนทันที

“ห๊ะ?”

“รีบไปก่อนอย่าเพิ่งถาม พี่ชมพู่ครับ ฝากดูแลคนที่อยู่ในครัวด้วยนะครับ”



ความตื่นตระหนกกลับมาอีกครั้ง จู่ๆก็มีคนอ้วกออกมาเต็มไปหมด นี่มันเกิดอะไรขึ้น



“ชา เกิดไรขึ้น” ผมพบขิงกับไอ้ต้อมอยู่ที่หน้าห้องเรียน สงสัยจะถูกตามให้มาช่วยดูแลเด็กให้จริงๆ

“มีชาวบ้านอ้วกไม่หยุด” ผมรีบตอบเพราะไม่มีเวลามากนักต้องรีบวิ่งต่อ “ดูเด็กให้ก่อนนะ อย่าให้วุ่ยวาย”

"ด...ได้"

ผมกับเกตุยังคงตั้งหน้าตั้งตาวิ่งต่อไป ความสบายใจก่อนหน้านี้หายสิ้นไปแล้ว

แต่เมื่อวิ่งมาได้อีกไม่นานก็พบความผิดปกติใหม่เกิดขึ้นที่ห้องพยาบาลอีกครั้ง มีพี่ปีสองมุ่งอยู่หน้าห้องเต็มไปหมด



“เกิดอะไรขึ้นครับ” ผมตัดสินใจที่จะหยุดถามก่อน

“......” แต่พี่เขาไม่ตอบ ได้แต่อ้ำอึ้งอยู่อย่างนั้น ผมจำได้ว่าพี่คนนี้ชื่อปีเตอร์

“มี...” ผมกำลังจะเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ แต่ก็เข้าใจในที่สุดเมื่อพี่เค้าชี้มาที่ป้ายห้อยคอของตัวเอง

ชิบหายยยย

กูจะบ้าตาย จากสถานการณ์นี่มันฉุกเฉินชัดๆ ทำไมพี่เค้าถึงจะมาเคร่งกฎอะไรตอนนี้

“ถอนไปปีเตอร์ จะมารักษากฎอะไรตอนนี้” แล้วจู่ๆพี่แอมก็ผลักให้พี่ปีเตอร์ออกจากการสนทนาไปอย่างหัวเสีย ก่อนจะเข้ามาคุยกับผมด้วยตัวเอง “ม็อบถูกแมงป่องกัดเพราะเข้าไปตามหาเด็ก"

"เด็ก?" นี่มันอะไรกันอีกวะเนี่ยยยย

"ใช่ มีเด็กเล็กหลงอยู่ในป่า แม่เด็กดันพาเข้าไปด้วยแล้วปล่อยให้เล่นคนเดียว ตอนนี้ยังหาไม่เจอเลย ม็อบดันมาโดนซะก่อน ก็เลยต้องช่วยกันหามมาที่นี่ แต่หมอก็ไม่อยู่"

"แล้วพี่ม็อบเป็นอะไรมากไหมครับ"

"โอ๊ยยยยยย"

"อ่อ" เสียงนั้นคือคำตอบซินะ "แล้วทำอะไรได้ไหมครับ"

"ไม่เลย ม็อบเป็นปีสองคนเดียวที่เรียนแพทย์ พอมาเจ็บแบบนี้แล้วก็ไปกันใหญ่ เห็นว่ามีคนในหมู่บ้านอาเจียนกันเยอะใช่ไหม"

"เออใช่​ เกือบลืมไปเลย ผมต้องรีบไปตามคนอื่นๆให้มาช่วยกันก่อน ว่าแต่... ผมรบกวนพี่ปีสองไปพาคนป่วยมาที่นี่หน่อยได้ไหมครับ"

"ก็คงได้ แต่ส่วนหนึ่งต้องไปตามหาเด็กนะ แล้วพวกปีหนึ่งไปไหนกันหมด"

"นี่แหละครับพี่ผมกำลังจะไปตาม"

"แล้วคนป่วยอยู่ไหนบ้างล่ะ?"

"อยู่..."

"เดี๋ยวหนูพาไปเองค่ะ" เกตุแทรกขึ้นมา "ชารีบไปเถอะ จะอะไรก็ช่าง แต่ตามเพื่อนเรามาเร็วๆดีกว่า วุ่นวายไปหมดแล้ว"

ผมไม่รับคำด้วยซ้ำ แต่หันหลังวิ่งต่อไปทันที



​ซ่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาส์

​​เห้ย

​นี่มันจะเกินไปแล้วนะ

ทำไมอยู่ดีๆ ฝนก็ตกลงมาวะ ช่วยเห็นใจกันหน่อยได้ไหม ทั้งรีบ ทั้งเครียด ทั้งเหนื่อย ทั้งหนาว

ฝนห่านิก็ตกแรงเกิน สาดลงมาไม่มีเตือนก่อนเลย

ตอนนี้ผมหนาวอย่างกับโดยน้ำแข็งปาใส่ตัวอยู่ตลอดเวลา จากที่เคยวิ่งก็ต้องค่อยๆเดินเพราะมองแทบจะไม่เห็นทาง ด้วยฝนและหมอกที่บังทัศนวิสัย แต่โชคดีที่บริเวณที่ผมล้างจานเมื่อคืนไม่ได้อยู่ไกลจากห้องพยาบาลนัก



เมื่อเห็นเป้าหมายตรงหน้า ผมก็รีบค้นหาขอบางอย่างที่พอจะหาได้จากแถวนี้....​หิน

​ผมหยิบหินขนาดพอดีมือขึ้นมาและค่อยๆเดินไปที่จุดปล่อยน้ำของลานล้างจาน แต่เดินไปอีกหน่อยเพื่อมองหาสิ่งที่ผมคิดว่าสามารถส่งสัญญาณไปหาเพื่อนปีหนึ่งที่อยู่แถวๆน้ำตกได้



​​แต๊ง แต้ง แต็ง แต็ง แต้ง แต่ง แต่ง แต็ง แต๊ง แต้ง แต่ง .....

​ผมใช้หินเคาะแรงๆไปที่ท่อโลหะขนาดใหญ่ ผมรู้ว่าท่อเหล็กนี่เชื่อมต่อน้ำมาจากน้ำตก เพราะงั้นมันน่าจะสามารถส่งเสียงไปหาคนทางโน่นได้ โลหะขนาดใหญ่ที่มีแรงดันน้ำแน่นอยู่ภายใน หากว่ากันตามหลักฟิสิกส์แล้ว จะเป็นตัวนำคลื่นเสียงระยะไกลได้พอสมควร แต่เพราะตอนนี้มีฝนตกลงมาด้วย ผมจึงคิดได้ว่าจะต้องมีเสียงรบกวนเกิดขึ้นแน่นอน ก็เลยใช้วิธีการเคาะเป็นจังหวะเพลง Love Leader ที่พวกลีดปีหนึ่งทุกคนสามารถแยกแยะเสียงเคาะกับเสียงรบกวนออกจากกันได้

หวังว่าพวกนั้นจะได้ยินนะ เพราะตอนนี้มือของผมแดงไปหมดแล้วด้วยการใช้แรงทุบโลหะและความหนาวเย็นที่ทำให้ฝ่ามือและเนื้อตัวเหมือนถูกแช่แข็ง



"อาซ์" ถึงแม้จะฝืนตัวเองให้เคาะสัญญาณอยู่นานเพียงใด แต่ก็เกิดเรื่องให้ต้องหยุดลงจนได้ ด้วยจังหวะที่ผิดพลาดทำให้ก้อนหินบาดมือผมจนเลือดออก "แม่งเอ๊ย" ผมทั้งสบถและปล่อยหินออกจากมืออย่างช่วยไม่ได้



"ชา" ใครบางคนเรียกผมมาจากความขมุกขมัวของบรรยากาศ ​อ่อ ไอ้ข้าว "สัญญาณควันส่งไม่ได้ เพราะฝนตก ก็เลย.... เห้ย! ทำไมมือเลือดออกอย่างงั้นอ่ะ"

"อุบัติเหตุอ่ะ" ผมตอบทั้งๆที่ยังเจ็บจนน้ำตกแทบจะไหล มือของผมสั่นด้วยความหนาวและเจ็บ

"เสียงเมื่อกี๊มึงเป็นคนเคาะใช่ไหม"

"อืม คงจะพอส่งสัญญาณได้"

"ช่างมันเหอะ รีบไปทำแผลก่อน"

"ไม่เป็นไร แค่นี้เอง ช่วยชาวบ้านก่อน"

"ชาวบ้านถูกพาไปห้องพยาบาลหมดแล้ว เมื่อกี๊เกตุไปตามหมอชาวบ้านให้ ลุงแกพอรู้เรื่องสมุนไพรอยู่ คงจะพอช่วยได้"

"งั้นเหรอ"

"เออ ไปทำแผลก่อนเร็ว"

ผมทำตามคำแนะนำนั้น ไอ้ข้าวรีบพาผมเข้าไปหลบฝนในชายคาของบ้านข้างๆห้องพยาบาลก่อนจะไปตามโซนี่ นิสิตปีหนึ่งจากคณะแพทย์เพื่อออกมาทำแผลให้กับผม



"แผลแค่นี้กูทำเองก็ได้" นี่คือคำแรกที่ผมพูด "ไปดูแลชาวบ้านเถอะ"

"เราทำอะไรไม่ค่อยได้เท่าไหร่หรอก" โซนี่สารภาพ "เรายังไม่มีความรู้มากมายขนาดนั้น"

"ยังไงก็ต้อง..."

"ไม่เป็นไรหรอกชา" ไอ้ข้าวแทรก "กูเห็นหมอชาวบ้านเค้าพอจะดูแลได้อยู่ มึงอ่ะต้องรีบทำแผลก่อน จะได้ไปช่วยคนอื่นได้ ตอนนี้คนมีน้อยมาก พวกพี่ปีสองก็ออกไปตามหาเด็กที่หลงป่ากันหมดเพราะฝนดันมาตกแบบนี้"

"แต่..."

"เชื่อกูเหอะน่า รีบทำแผล แล้วเดี๋ยวเราไปช่วยกันรักษาคนอื่น สุ่ยก็กำลังดูข้างในอยู่ ยังไม่ร้ายแรงหรอก"

"ก...ก็ได้" ตอนนี้กูควรมีสติซินะ "ช่วยรีบทำหน่อยนะ"

แล้วโซนี่ก็รีบช่วยทำแผลที่โดนหินบาดให้ผม ถ้าเป็นปกติผมคงเจ็บมาก แต่เพราะความร้อนใจบวกกับที่ผมต้องคอยลุ้นเอาใจช่วยไอ้คนที่ทำแผลให้ผม(อย่างกับเพิ่งเคยทำครั้งแรก) ก็เลยไม่รู้สึกเจ็บอะไร
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-06-2018 23:39:27 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
(ต่อ Part 2)



"คนเจ็บอยู่ไหน"

เห้ยยยยยยยย พี่ท๊อปมาแล้ว ขอบคุณสวรรค์ พี่บุ๋นก็ด้วย เปียกโชกพอๆกับผมเลย



"ข้างในห้องพยาบาลครับ" ไอ้ข้าวตอบ

"บุ๋นไปตามญาติคนเจ็บมาให้พี่หน่อย" พี่ท๊อปสั่งการทันที "ตรงนี้เสร็จแล้วใช่ไหม เข้าไปช่วยพี่ แล้วมือน้ำชาไปโดนอะไรมาน่ะ"

"ช่างมันก่อนเถอะครับ ผมไม่เป็นอะไรมาก" ผมรีบบ่ายเบี่ยง "เข้าไปช่วยชาวบ้านกันเถอะครับ"

"โอเค ไหวนะ"

"ไหวครับ"

"ใครพอรู้บ้างว่าญาติคนป่วยอยู่ไหน" พี่บุ๋นถามทันที

"ผมครับ" ไอ้ข้าวบอก แล้วมันก็วิ่งนำพี่บุ๋นผ่าสายฝนออกไปตามหาคน



ผมและโซนี่ถูกนำมายังห้องพยาบาลอีกครั้ง ในนี้มีเพียงพี่แอม พี่ม็อบที่โดนแมงป่องต่อย ผู้ป่วยสี่คนซึ่งบางคนยังคงอ้วกไม่หยุด มาย เกตุ และหมอชาวบ้านที่กำลังนั่งบดสมุนไพรอยู่ แต่คนแค่นี้ก็ทำให้ห้องพยาบาลเกือบเต็มแล้ว



"นี่คืออะไรเหรอครับ" พี่ท๊อปถามหมอชาวบ้าน

"ตำลึง" ลุงตอบ "ทาให้พ่อหนุ่มที่โดนไอ้ป่องต่อย"

"ดีแล้วครับ ตำลึงสดระงับอาการปวดจากพิษแมลงได้ แต่ว่า..." พี่ท๊อปหันมาหาโซนี่ "เอายาแก้ปวดไปให้เค้ากินนะ แล้วก็ทำความสะอาดแผลก่อน แค่ใช้น้ำเปล่านะ ไปเลยๆ" ถึงโซนี่จะยังดูงงๆแต่ก็รีบทำตาม "น้ำชา มาทางนี้... ไปหากระโถงหรือหม้ออะไรก็ได้ เอามาให้พวกนี้อ้วกออกมาให้หมด แล้วก็... มีไข่ไก่ไหม"

"มีค่ะ ในโรงครัวมี เดี๋ยวหนูไปเอามาให้" เกตุรีบอาสา "ไปกันเถอะมายด์ ชาอยู่ที่นี่กับพี่ท๊อปแล้วกัน" เธอไม่รีรอแต่รีบจูงมือมายด์ให้วิ่งออกสู่สายฝนโหมกระหน่ำไปด้วยกัน

"พวกนี้ต้องไปกินอะไรเป็นพิษมาแน่ๆเลย" พี่ท๊อปเริ่มวิเคราะห์และนั่งลงข้างๆคนป่วยทั้งสี่ "แต่ไม่รู้ว่ากินอะไรนี่ซิ ต้องรอถามญาติก่อน ​มีใครพอจะมีแรงตอบผมได้ไหมครับ​"

"............." ไม่มีคำตอบ มีแต่เสียงอาเจียน

"น้ำชา มาช่วยพี่หน่อย" ผมถูกนำออกมาจากห้องพยาบาลและเดินเข้าไปโรงเก็บสมุนไพรข้างๆ "ต้มน้ำให้พี่หน่อยครับ"

ห๊ะ!?

ต้มน้ำ?

อ่อ นั่นไง

ผมรีบตรงไปยังแท่นก่อไฟที่สร้างขึ้นจากดิน มันถูกสร้างอยู่ที่มุมห้อง

หม้ออยู่นี่ ฟืนอยู่นี่ แล้วไฟล่ะ จะจุดไฟได้ยังไง



"เอาไฟไหม" จู่ๆพี่แอมก็เข้ามาในโรงเก็บสมุนไพรพร้อมกับยื่นคบเพลิงไฟให้กับผม

"ขอบคุณครับ" ผมรับมาและทำหน้าที่ของตัวเองทันที

ระหว่างนั้นพี่แอมก็จุดตะเกียงไฟในโรงเก็บสมุนไพรและเอาหม้อออกไปรองน้ำฝนมาให้ผม พี่ท๊อปที่เห็นเหตุการณ์ดูจะตกใจที่เห็นว่าผมกับพี่แอมพูดคุยและช่วยกันทำงาน สงสัยพี่ท๊อปจะยังไม่รู้ว่าผมปรับความเข้าใจกับพี่แอมแล้ว แต่ก็ไม่มีเวลาให้มานั่งตกใจนัก พี่ท๊อปหันกลับไปสนใจเรื่องของตัวเองด้วยการค้นหาสมุนไพรที่ตัวเองต้องการ



"มาแล้ว พี่ท๊อป ญาติมาแล้ว" พี่บุ๋นวิ่งเข้ามาพร้อมกับป้าคนหนึ่งซึ่งผมเพิ่งจะเจอเมื่อตอนที่เธอเรียกให้ช่วยเหลือลูกชายตัวเอง

"ลูกฉันเป็นยังไงบ้าง" ป้าชาวบ้านรีบถาม

"ใจเย็นครับ" พี่ท๊อปเข้าพูดคุย "ป้าพอจะบอกผมได้ไหมว่าพวกนั้นไปกินอะไรกันมาที่แปลกๆ"

"กิน? ฉันไม่รู้หรอกว่ามีอะไรแปลกๆ พวกเขาไปล่าสัตว์กันเมื่อคืน ฉันก็ห่อแค่เห็ดเผาไปให้ แต่ฉันกับหลานสองคนก็กินนะไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย" อ๋ออออ นึกออกแล้ว ผู้ชายสี่คนนี้คือคนที่เดินสวนกับผมเมื่อคืนนี่เอง พวกที่ไปล่าสัตว์ซินะ ถึงได้รู้สึกคุ้นๆหน้า แล้วแบบนี้จะรู้ได้ไงว่ากินอะไรกับมา ของป่ามีเยอะแยะ

"เห็ดเหรอครับ?"

"ใช่"



"คุณป้าล้างเห็ดด้วยการแช่ในน้ำใช่ไหมครับ" อ้าว ไอ้ข้าวก็อยู่ด้วยเหรอ ผมไม่ทันสังเกตุเห็น

"ฉันก็ไม่รู้ว่ามันห้ามทำ" ป้าแกบอก น้ำตาเริ่มไหล "เพิ่งจะรู้เมื่อเช้าที่หนูบอก"

"แต่พี่ว่าอาการมันมากกว่าเชื้อโรคปกตินะ" พี่ท๊อปแทรกขึ้นมา "เพราะป้าก็บอกเองว่าป้ากับหลานก็กินแต่ไม่เป็นอะไร"



"พี่ท๊อป นี่" พี่บุ๋นส่งอุปกรณ์หลายชิ้นให้พี่ท๊อป "ของที่ลูกชายป้าเอาติดตัวไปตอนล่าสัตว์"

พี่ท๊อปรีบรับมาดู

"นี่อะไรครับ อ๊า" พี่ท๊อปสำรวจกระบอกไม้ไผ่อันหนึ่งด้วยการดม แต่ปรากฏกลิ่นที่ไม่พึ่งประสงค์นัก

"เหล้าต้มจ้ะ" ป้าตอบ "พวกผู้ชายเขาชอบเอาเหล้าไปกินกันตอนล่าสัตว์อยู่แล้ว"

"พอจะรู้อะไรไหมพี่ท๊อป" พี่บุ๋นถาม

"คิดว่าพอจะรู้แล้วนะ" พี่ท๊อปตอบแล้วส่งของคืนให้ป้า "จำไว้นะครับป้า ต่อไปถ้าจะให้ของกินกับลูกชายป้าเวลาออกล่าสัตว์ อย่าจัดเห็ดกับเหล้าไปให้เขาแบบนี้ เห็ดบางชนิดมีพิษไม่มากแต่ถ้ากินพร้อมกับเหล้าจะทำให้พิษแรงขึ้น แล้วที่ดมดูเมื่อกี๊ เหล้านี่น่าจะแรงพอตัว ถ้าแอลกอฮอเยอะขนาดนี้ พิษจะดูดซึมได้ง่ายมาก"

"แล้วลูกฉันจะเป็นอะไรไหม" คุณป้ายิ่งร้องไห้หนัก

"ไม่ต้องห่วงครับ ถ้ารู้สาเหตุแล้วก็น่าจะพอเตรียมยาถอนพิษให้ได้อยู่.... บุ๋นพาคุณป้าไปรอที่บ้านเถอะ อย่าให้คนเข้ามาวุ่นวายในห้องพยาบาลนะ ส่วนน้องข้าวเจ้าช่วยไปปลุกคนป่วยทุกคนให้ตื่นนะครับ พี่ต้องให้ทุกคนกินยา"

พี่บุ๋นและไอ้ข้าวทำตามคำสั่ง

ตอนนี้ผมอยากเป็น The Flash มากเลย รู้สึกว่าทุกอย่างมันเชื่องช้าไปหมด



"น้ำเดือดหรือยัง" พี่ท๊อปเร่งมือมากกว่าเดิม

"พอได้แล้วครับ" ผมตอบ

"โอเค พี่จัดการต่อเอง ไม่มีสมุนไพรอะไรใช้ได้หรอกถ้าโดนพิษของเห็ด มีแต่ต้องให้อ้วกออกมาให้หมดเท่านั้น" พี่ท๊อปยกหม้อต้มน้ำออกแล้วคีบถ่านมาใส่ในหม้อเปล่าอีกหม้อ "เอาถ่านไปล้างน้ำนะแล้วบดให้ละเอียด ส่วนน้องแอมพี่รบกวนไปที่ห้องครัวนะ เอาเกลือมาให้หน่อย"

เอาล่ะครับ หลังจากนี้เป็นวิชาเภสัชศาสตร์ล้วนๆ ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนะ แต่จะเล่าเหตุการณ์ที่เห็นให้ฟังก็แล้วกัน

หลังจากที่ผมนำถ่านมาบดจนละเอียด พี่ท๊อปก็เอาน้ำร้อนแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนที่หนึ่งเอาถ่านใส่ลงไป ส่วนที่สองเอาเกลือใส่ลงไป จากนั้นนำไปให้ผู้ป่วยจากการกินเห็ดพิษดื่ม โดยมีลำดับการดื่มคือ ดื่มน้ำอุ่นผสมถ่านบดก่อนจนกว่าจะอ้วกออกมา หากยังไม่อ้วกให้ดื่มน้ำอุ่นผสมเกลือตามลงไป ซึ่งโชคดีที่ทุกรายอ้วกออกมาอย่างที่ต้องการ เสร็จสุดท้ายเมื่อเห็นว่าผู้ป่วยอาเจียนออกมามากพอแล้วพี่ท๊อปก็ให้กินไข่ขาวดิบเพื่อให้โลหะหนักที่เป็นพิษทำปฏิกิริยากับไข่ดาวจนเป็นกลาง(พี่ท๊อปพูดมาอีกทีนะ)

ไอ้ต้อมกับไมเคิล(เด็กหนุ่มลูกครึ่ง ผมเพิ่งรู้จักชื่อ) มาช่วยที่ห้องพยาบาลโดยปล่อยให้ขิงดูแลเด็กๆคนเดียว ส่วนไอ้ข้าวกับเกตุไปเตรียมอาหารสำหรับคนป่วยฉุกเฉินตามคำแนะนำของพี่ท๊อป มายด์และพี่แอมช่วยหมอชาวบ้านทำแผลให้พี่ม็อบที่โดนแมงป่องต่อย ส่วนที่เหลือก็มากรอกน้ำวิเศษให้คนอ้วกอยู่ บรรยากาศอย่างกับอยู่วัดถ้ำกระบอก ถึงผมจะไม่เคยไปก็เถอะ

พวกพี่ปีสองที่ออกตามหาเด็กหลงป่าเจอเด็กชายตัวน้อยในที่สุดด้วยความช่วยเหลือของไอ้สุ่ยที่ปีนขึ้นไปมองหาจากต้นไม้สูง ก็สมกับเป็นเด็กฟิสิกส์อะนะ... เด็กน้อยร้องไห้จ้าเพราะความกลัว แต่ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง จากนั้นพวกพี่เขาก็ไปช่วยกับเตรียมอาหารกลางวันเพราะไม่มีคนมากเพียงพอ

ในที่สุดเมื่อผ่านไปกว่าสองชั่วโมง พวกปีหนึ่งก็กลับมาถึงหมู่บ้าน และฝนก็หยุดตก ถามว่าพวกนั้นกลับมาที่หมู่บ้านได้ยังไง เพราะเสียงสัญญาณจากผมหรือเปล่า ก็ใช่ แต่แค่ส่วนเดียว เพราะอีกส่วนหนึ่งก็คือ...



"พี่ตองวิ่งไปตามให้พวกเรากลับมาหมู่บ้าน บอกว่ามีคนต้องการให้ช่วย แต่ติดฝนก็เลยมาช้า"

"ห๊ะ!!" ผมไม่รู้ว่าตัวเองร้องดังแค่ไหน "นี่พี่ตองออกไปตามทุกคนให้กลับมาเหรอ"

"ใช่ เจ้าตองก็เป็นคนบอกพี่เรื่องนี้เหมือนกัน" พี่ท๊อปแทรกเข้ามาในขณะที่ป้อนน้ำดื่มให้คนป่วย "พี่กับบุ๋นกำลังจะกลับหมู่บ้านพอดี เจอเจ้าตองกลางทาง พี่ก็เลยรู้เรื่อง แต่เห็นบอกว่าจะไปตามปีหนึ่งด้วย"

"แล้วพี่ตองอยู่ไหนอ่ะ" ผมมัวแต่ยุ่งวุ่นวายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนลืมนึกถึงพี่ตองไปเลยว่าหายไป

"พี่ตองล้มอ่ะ ข้อเท้าแพลง ก็เลยจะตามมาทีหลัง"

"ล...แล้วใครอยู่กับพี่ตอง"

"ไม่มี"

"ได้ยังไง ปล่อยพี่เค้าไว้ในป่าคนเดียวได้ยังไง"

"ก็พี่เค้าบอกให้รีบมาอ่ะ บอกว่าที่นี่ต้องการคน แต่ฝนมันตก ก็เลยต้องหลบที่กระท่อมแถวๆน้ำตกก่อน"

เนี่ยอะนะคำตอบ อยากจะตบกระโหลกรายตัวจริงๆเลย

"แล้วยกโขยงกันไปที่น้ำตกกันทำไม เด็กปีหนึ่งตั้งยี่สิบกว่าคนเหลืออยู่ในหมู่บ้านไม่ถึงสิบ นี่คิดอะไรกันอยู่"

"ใจเย็นดิไอ้ชา" ไอ้ต้อมพยายามปรามไม่ให้ผมหัวร้อน แต่ไม่ทันละ

"ตอบมาดิวะ!!"

"เราก็แค่ไปดูระบบน้ำของหมู่บ้าน เห็นว่าพี่ท๊อปกับพี่บุ๋นอยู่แถวนั้น เผื่อจะมีไอเดียอะไรสำหรับทำภารกิจสร้างอะไรใหม่ๆให้หมู่บ้านได้ พวกเรากำลังช่วยกันทำภารกิจ..."

"ด้วยการทิ้งหมู่บ้านไปเนี่ยนะ" ยิ่งพูดผมก็ยิ่งเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้ "แถมรู้เรื่องแล้วยังมัวหลบฝน แหกตาดูทุกคนที่นี่ก่อนไหมว่ามีใครที่ตัวแห้งอยู่บ้าง รู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น มีคนป่วยอาหารเป็นพิษแต่ไม่มีคนช่วยกันพามาห้องพยาบาล มีเด็กนักเรียนที่ไม่มีคนช่วยดูแลเต็มห้องเรียนไปหมด ไหนจะเด็กเล็กที่หายเข้าไปในป่าเป็นชั่วโมงๆ แทนที่เด็กปีหนึ่งจะอยู่เป็นกำลังหลักให้หมู่บ้าน กลับหายหัวกันไปหมด พี่ชมพู่ พี่ท๊อป แล้วก็พวกพี่ปีสองวิ่งกันให้วุ่นวายไปหมด ฝนก็ตกหนัก อาหารเที่ยงก็ไม่มีใครอยู่ช่วยทำ ทั้งหมู่บ้านวุ่นวายต้องการคนช่วยเหลือ แต่พวกนายกลับไปดูระบบน้ำเนี่ยนะ เป็นบ้ากันไปแล้วรึไง" กูด่าไม่เกรงใจหน้าอินหน้าพรหมอะไรทั้งนั้นอ่ะ มีอย่างที่ไหน มากันเป็นคันรถแต่อยู่ในภาวะฉุกเฉินแค่ไม่กี่คน แถมยังพูดข้ออ้างหน้าด้านๆ

"ก็....."

"นายก็พูดได้ดิ นายเป็นที่หนึ่งอยู่แล้วนิ" จู่ๆก็มีผู้ชายปีหนึ่งคนหนึ่งพูดออกมา

"ห๊ะ!? อะไรนะ" เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่หนึ่งที่สองวะ

"พวกเราทุกคนก็ต้องพยายามเหมือนกันเปล่าวะ ลีดมหาลัยมันเป็นได้แค่สิบสองคนนะเว้ย คนที่อยู่ลำดับต้นๆจะไปเข้าใจความรู้สึกของพวกหางแถวได้ยังไงวะ ถ้าอย่างน้อยพวกเราสร้างผลงานอะไรได้บ้างก็พอจะยังมีสิทธิ์บ้าง ที่พวกเราสนใจดูงานในหมู่บ้านมันก็เพื่อเพิ่มโอกาสให้ตัวเองก็เท่านั้น เพราะพวกอันดับต้นๆเอาแต่ทำตัวเป็นหัวหน้าสั่งนั่นสั่งนี่จนพวกลำดับท้ายๆแทบจะไม่มีชื่ออยู่แล้ว เข้าใจกันบ้างดิวะ"

"พูดงี้ได้ไงวะ มายด์ก็อยู่อับดับหลังๆ ไม่เห็นจะ..." ไอ้ต้อมพยายามแทรก แต่ผมรีบห้ามไว้

"นี่ใช่ไหมเหตุผล" ผมเอ่ยขึ้นอีกครั้ง พยายามข่มอารมณ์เดือดดานในใจไว้ให้มากที่สุดเพราะถึงยังไงที่นี่ก็เป็นหน้าห้องพยาบาล "อยากมีผลงาน... ได้.... ไปทำกันให้เต็มที่เลยนะ อยากคิดอะไรกันก็เชิญ เราจะไม่คิดอะไรทั้งนั้น เพื่อไม่เป็นการสร้างผลงานมาข่มชื่อของใครไว้ พอใจแล้วนะ.... แต่ช่วยคิดถึงจุดประสงค์ของการมาที่นี่หน่อยจะได้ไหม เราควรจะอยู่เพื่อเป็นที่พึ่งของคนที่นี่ไม่ใช่เหรอ? หมู่บ้านนี้ไม่ได้ขาดแคลนแค่อาหารหรือยานะ แต่พวกเค้าขาดแคลนความรู้ความเข้าใจบางอย่าง จนบางครั้งความไม่รู้พวกนี้มันกลายเป็นความกลัว และพวกนายแต่ละคนก็มีความรู้ความสารถในตัวเองที่เป็นประโยชน์ทั้งนั้น เรามาในฐานะผู้นำปัญญาชน นึกถึงหมู่บ้านก่อนได้ไหม... เห็นนั่นไหม นั่นคือสภาพของผู้คนที่ต้องการจริงๆ คนที่เต็มไปด้วยความกลัว ซึ่งแทนที่พวกนายจะเป็นแหล่งคลายความกลัว กลับมัวแต่กลัวเรื่องของตัวเอง มันใช่ไหมอ่ะ.... แต่ก็อย่างที่บอกนะ เราจะไม่สนเรื่องภารกิจอะไรทั้งนั้น อยากทำอะไรเชิญ แต่ถ้าปล่อยให้ชาวบ้านเกิดเรื่องเดือดร้อนอีก ​เจอกูอาละวาดของจริงแน่...."

"อ... ไอ้ชา มึงจะไปไหนวะ" ไอ้ต้อมเรียกผมก่อนที่จะเดินออกไป

"ไปตามหาพี่ตองไง ไม่รู้ว่าคิดกันได้ยังไงที่ปล่อยพี่เค้าทิ้งไว้ในป่าคนเดียวแบบนั้น กล้าทิ้งพรรคพวกไว้ข้างหลังแบบนี้ กูรับไม่ได้จริงๆ ถ้าลีดมหาลัยรุ่นนี้มีแต่คนแบบนี้ กูจะขอสละสิทธิ์เอง" ใช่ ผมพูดแดกพวกปีหนึ่งด้วยกันนี่แหละ แม่ง สมองมันแดกหญ้าแทนข้าวหรือไงวะถึงไม่มีสามัญสำนึกกันบ้างเลย คิดแต่เรื่องเห็นแก่ตัวทั้งนั้น

"กูไปด้วย รอก่อนๆ"

ไอ้ต้อมรีบวิ่งตามผมออกมา



"ไอ้น้ำชา ใจเย็นดิ" พี่บุ๋นวิ่งตามหลังผมมาอีกคน "มึงรู้เหรอว่าไปทางไหน"

"ก็..." เออ ลืมไปเลยว่าไม่รู้ทาง โมโหจนลืมคิดถึงเหตุผล

"งั้นเดี๋ยวกูไปด้วย" พี่บุ๋นอาสา "ขืนปล่อยปีหนึ่งหลงป่าอีก ความซวยมาเยือนจริงๆแน่ แล้วก็นี่ด้วย กล่องปฐมพยาบาล มึงจะไปช่วยคนข้อเท้าแพลงแต่ไม่เอาอะไรไปรักษาเขาเลยหรือไง"

ความโมโหเป็นเหตุให้ลืมเรื่องนี้ไปอีกครั้ง



"ต้อมๆ" คราวนี้เป็นขิงที่วิ่งมา "ช่วยไปยกกระดานดำหน่อย ฝนตกเมื่อกี๊ลมแรง กระดานในห้องเรียนก็เลยร่วงลงมา"

"แต่ต้อมจะไปเป็นเพื่อนไอ้ชาเย็นอ่ะ" ไอ้ต้อมอธิบาย "มันจะไปหาพี่ตองในป่า"

"ขิงไปแทนก็ได้ ต้อมไปยกกระดานเถอะ สุ่ยยกคนเดียวไม่ไหว"

"ไปเหอะมึง" ผมสนับสนุน "กูไปได้ มีทั้งขิงมีทั้งพี่บุ๋น มึงไม่ใช่ส่วนสำคัญของการผจญภัยหรอก"

"เออ" ไอ้ต้อมขำที่ผมพูด "อารมณ์ดีขึ้นมาก็ดีแล้ว งั้นกูไปช่วยไอ้สุ่ยนะ"

"เออๆ"

แล้วไอ้ต้อมก็วิ่งไปทางห้องเรียน



"เดี๋ยวก่อนๆ"

อะไรอีกวะ นี่กูจะได้เข้าป่าซักทีไหมเนี่ย

"ว่าไงข้าว" ไอ้ข้าวนั่นเอง

"กูไปด้วย"

"จะไปทำไมวะ แค่นี้ก็ไปกันเยอะแล้ว"

"นี่จะเที่ยงแล้ว จะได้แวะกินข้าวในป่าเลย พี่ตองคงยังไม่ได้กินอะไร แต่กูทำกับข้าวให้ไม่ทันอ่ะ ทำแต่อาหารคนป่วยเมื่อกี๊ ก็เลยหยิบของสดมาแทน คงต้องไปทำในป่าแล้วล่ะ... หรือมึงทำกินเองเป็น" ก็ทำไม่เป็นอะดิ พี่บุ๋นกับขิงยิ่งไม่ต้องพูดถึง

"เออๆ รีบไปเหอะ ก่อนที่จะมีใครตามมาอีก"

คราวนี้ก็เลยกลายเป็นผม ขิง พี่บุ๋น และไอ้ข้าว ที่เดินเข้าไปในป่า



ทิศทางของการเดินทางเป็นอย่างที่ผมคาดเดาไว้ว่าตามทางน้ำที่ไหลออกมาจากลานล้างจาน มันนำไปสู่ธารน้ำหลากซึ่งอยู่ต่ำกว่าหมู่บ้าน แต่ตอนนี้น้ำในธารที่ไหลดูคล้ายว่าจะขุ่นพอสมควรและปริมาณน้ำก็สูงขึ้นมาก แถมยังไหลแรง คงเป็นเพราะฝนที่เพิ่งจะตกหนักเมื่อสักครู่

เราทั้งสี่คนเดินทางเข้าไปในป่าลึกขึ้นเรื่อยๆ ทางก็ค่อนข้างลื่นเพราะเปียกแฉะไปด้วยน้ำฝน



ซาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาส์

​ไอ้ส้นตีนหมาเอ๊ยยยยย

ฝนตกหนักลงมาอีกรอบ ตัวกูยังไม่แห้งเลย เปียกอีกแล้ว



"เห้ย!!!!! ขิง"

อะไรวะ

"​เห้ยยยยยย​" ขิงพลัดลื่นลงไปในธารน้ำตกด้วยกระแสน้ำที่ขึ้นสูงและพื้นดินที่มีน้ำฝนไหลหลากเจิ่งนอง แต่ผมก็ต้องพยายามเข้าไปช่วย

"ช... ชาระวัง​" ไอ้ข้าวให้ผมระวังอะไรวะ

"โอ๊ย​"

จู่ๆก็มีบางอย่างมากระแทกหลังทำให้ผมเสียหลัก

เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก ผมเห็นเพียงว่าตัวเองถลาลงไปหาขิงที่ไหลไปกับน้ำ และคล้ายๆว่าเห็นพี่บุ๋นกับไอ้ข้าวจะกระโดดลงมาช่วย แต่ก็ไม่แน่ใจอะไรนัก เพราะสิ่งแรกที่ต้องทำคือตั้งสติไว้ ช่วยเหลือตัวเองให้ได้

ทักษะการว่ายน้ำที่ร่ำเรียนมาแทบจะไม่ช่วยอะไรเลยในกระแสน้ำแบบนี้ ทั้งทัศนวิสัยที่แย่ยิ่งกว่าแย่ แต่ก็สามารถคว้าขิงไว้จนได้ในเวลาอันรวดเร็ว

​ขอนไม้นี่นา

​"จับ.... ว... ไว้ขิง ก... เกาะขอนไม้ไว้" ผมร้องดัง ระหว่างนั้นก็กลืนน้ำเข้าไปอย่างไม่รู้ตัว



"ชาาาาาา ชาาาาา​" "​ขิงงงงงงง​" เสียงไอ้ข้าวกับพี่บุ๋นนี่นา

ผมพยายามเพ็งมองหาต้นเสียง

​เจอแล้ว นั่นไง

​ผมเห็นคล้ายๆว่าสองคนนั้นจะเกาะขอนไม้อีกท่อนมาเช่นกัน

"จ...จับมือ... จับมือกันเร็ว​" ไอ้ข้าวร้องบอกอย่างทุลักทุเล

ถึงแม้จะพูดแบบนั้น แต่ก็ทำได้ยากลำบากมาก เพราะกระแสน้ำที่รุนแรงและฝนที่กระหน่ำตก

ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่สุดท้ายเราก็จับมือกันไว้จนได้ ขอนไม้ทั้งสองเกาะติดกันเป็นฐานที่มั่นอย่างดีให้กับคนทั้งสี่ที่กำลังลอยไปบนธารน้ำหลาก ความโชคดีของเรื่องเลวร้ายนี้ก็คือเราสามารถประคองกันไว้ใกล้กับริมฝั่งซึ่งไม่ค่อยมีหินสูงให้ต้องเกิดเหตุกระแทก เพียงแต่ว่าไม่สามารถพากันถึงฝั่งได้เลยเพราะความเชียวกราดของกระแสน้ำ



ระยะทางและเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ส่วนเรี่ยวแรงของการเกาะกันแน่นก็ใกล้จะหมดลงแล้ว

เราทุกคนเริ่มหนาวสั่นและความกลัวเกาะกุมจิตใจ เราได้แต่หวังพึ่งโชคช่วยไม่ให้ลอยออกไปไกลกว่านี้หรือมีใครถูกโขดหินกระแทกใส่.....



เจ้าป่าเจ้าเขา โปรดช่วยพวกเราด้วย......





พี่ตอง ช่วยชาด้วย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-07-2018 21:58:21 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ความไม่รู้ ความตื่นตระหนก ความอยากได้ใคร่มี ความเห็นแก่ตัว
แสดงออกมาให้เห็นๆกันไปเลยในภาวะการบีบคั้น
การเกิดโรคในหลายๆคนแบบกระทันหัน

เคราะห์ซ้ำ กรรมซัด พี่ตองถูกทิ้งในป่าตามลำพัง
น้ำชา ข้าว ก็ลื่นตกน้ำอีก จะไปช่วยพี่ตอง
กลายเป็นน้ำชา เรียกหาพี่ตองให้ช่วยแทนซะและ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
​ตอนที่ 49 : ความหวัง/ความเชื่อ







“ขิง ส่งมือมา ระวังนะ” นั่นคือคำพูดแรกหลังจากอุบัติเหตุพลัดตกธารน้ำหลากของผมและเพื่อนร่วมชะตากรรมทั้งสาม

ความเกรี้ยวกราดของพายุฝนสงบลงในที่สุด แต่พวกเราก็ยังต้องทนกับกระแสน้ำที่พัดกระหน่ำอย่างต่อเนื่องอยู่อีกพักใหญ่ จนลอยมาติดกับกองเศษไม้และโขดดินที่ยังสามารถทนกระแสของน้ำได้

โอกาสในการขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัยของพวกเรามาถึง ทุกคนจึงรีบช่วยกันพาร่างกายที่ใกล้จะหมดเรี่ยวแรงของกันและกันขึ้นฝั่ง

ผมไม่เคยรู้สึกอยากให้ชีวิตของตัวเองเหมือนในละครมากเท่านี้มาก่อนเลย ถ้าปกติฉากตกน้ำแบบนี้ นางเอกก็ควรจะตื่นขึ้นมาและพบว่าตัวเองนอนแผ่หราอยู่บนริมฝั่งโดยมีพระเอกมาช่วยชีวิตไว้ แต่สถานการณ์ตอนนี้ มันต่างจากที่ปรารถนามาก

พวกเราพยายามอย่างยิ่งที่จะมีสติและไม่ร้นลานจนเป็นเหตุให้กองไม้เหล่านี้พังคลื่นจนต้องไหลไปกับน้ำกันอีกรอบ เพราะมันอาจจะไม่โชคดีอีกแล้วก็ได้



​โครมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม

"ระวังงงงงง​"

จู่ๆกองดินและกิ่งไม้สูงก็พังคลืนลงและพัดไปกับกระแสน้ำที่ยังไม่หยุดความโกรธา



"ม...​ไม่เป็นไรครับ​" ขิงบอก เพราะขิงเป็นคนที่อยู่ใกล้กับธารน้ำที่สุด แต่ขิงพ้นมาจากเขตนั้นแล้ว (อย่างเฉียดฉิวนะ)

“เจ็บไหมขิง” ผมเอ่ยถามลูกพี่ลูกน้องของตัวเองอย่างห่วงใยเพราะเนื้อตัวของขิงมีบาดแผลเต็มไปหมด ไม่ใช่แค่ขิงหรอก ผม พี่บุ๋น และไอ้ข้าวก็อยู่ในสภาพเดียวกัน ทุกคนถูกเศษไม้เศษหินขูดถากทั้งนั้น

“ไม่เท่าไหร่หรอก” ขิงตอบ “แค่ถลอก แต่มือชานี่ซิ เลือดไหลออกมาเยอะเลย”

ใช่แล้วครับ แผลที่มือซึ่งเคยได้รับการปฐมพยาบาลไป มันไม่เหลือเค้าของการรักษาเลย

“ไม่เป็นไร” ผมตอบ มันไม่เจ็บไปมากกว่าความรู้สึกของความกลัวที่เพิ่งเจอมาเมื่อกี๊เลย “เรารีบออกห่างจากทางน้ำดีกว่านะ”



“จับมือกันไว้แน่นๆนะ อย่าปล่อย” พี่บุ๋นเตือน พี่เค้าคว้าหญ้าสูงริมตลิ่งไว้ในกำมือเพื่อเป็นหลักยึดไม่ให้ทุกคนไหลไปกันน้ำอีก “ค่อยๆ ระวังๆ”

กว่าสิบนาทีที่เราช่วยกันไปพ้นเขตธารน้ำและดินที่อาจทำให้ลื่น และเพื่อให้มั่นใจกว่านั้นพวกเราขยับไกลจากธารน้ำขึ้นไปอีก

“ทุกคนโอเคนะ” พี่บุ๋นถาม

“ครับ” ผมตอบ ทุกคนดูโอเคขึ้น อาจจะยังช็อคอยู่เล็กน้อยแต่ก็โล่งใจขึ้นมาก “เราบิดน้ำออกจากเสื้อผ้ากันก่อนดีไหม เดี๋ยวจะป่วย”

“นั่นซิ” ขิงเสริม

แล้วทุกคนก็ถอดเสื้อผ้าออกมาบิดอย่างไม่อายกัน  หมดเวลาอายแล้วละตอนนี้ นี่คือเวลาของการเอาชีวิตรอด

"มึงเจ็บหลังมากไหม" ไอ้ข้าวเอ่ยถาม เหมือนว่ามันจะเห็นอะไรที่หลังของผม

"ก็ไม่นะ" ผมตอบ "ทำไมเหรอ?"

"ก็มึงโดนขขอนไม้ร่วงลงมาใส่จนตกน้ำไง จำไม่ได้เหรอ เนี่ย หลังแดงเป็นลายเลย"

"จริงดิ... เออวะ รู้สึกเจ็บนิดๆแล้ว แต่ไม่มาก ไม่เป็นปัญหาหรอก"

"ถ้ากล่องปฐมพยาบาลไม่ร่วง พี่ก็คงจะพอทำอะไรให้ได้บ้าง" พี่บุ๋นขมวดคิ้วให้กับอุบัติเหตุนี้

"ก็บอกว่าไม่เป็นไรไงพี่" ผมรีบบอก "ไม่ต้องเครียดหรอก เราโชคดีแค่ไหนแล้วที่รอดมาได้ เจ็บนิดหน่อย ไม่มีปัญหาหรอกพี่"

“ต้องขอบคุณฝายอันนี้นะที่หยุดพวกเราไม่ให้ลอยไปไกลกว่านี้” พี่บุ๋นหันไปดูอดีตกองไม้ที่เราเพิ่งตะกายขึ้นมา อ๋อ ที่แท้ตรงนี้ก็เป็นฝายเก่านี่เอง ถึงว่าทำไมมีเศษกิ่งไม้เล็กๆเต็มไปหมด แต่มาวันนี้มันถึงคราวต้องหมดอายุซะแล้ว “น่าจะเป็นผลงานของรุ่นพี่ลีดยุคแรกๆ”

ขอบคุณครับบบบ ผมคิดในใจ

“ขอบคุณย่ามนี่ด้วยละกัน" ไอ้ข้าวยกถุงผ้าขึ้นมา "อาหารที่เอาติดมาด้วยยังปลอดภัยดีอยู่ ว่าแต่ มือมึงเป็นไงบ้าง"

“มีเลือดนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไร” ผมตอบและใส่เสื้อผ้ากลับเข้าไป “กูว่าเรารีบกลับหมู่บ้านกันดีกว่า ก่อนที่จะมืด”

“นั่นดิ” พี่บุ๋นมองย้อนกลับไปทางธารน้ำที่จากมาด้วยสายตาที่คาดเดาระยะทางอะไรไม่ได้เลย “ถ้าขืนเรากลับไม่ถึงหมู่บ้านก่อนพระอาทิตย์ตก งานเข้าจริงๆแน่”

“ทำหน้าเครียดอีกแล้ว ไม่ต้องคิดมากนะพี่ เราแค่เดินไปเรื่อยๆก็พอ”

“กูต้องคิดมากดิ กูเป็นรุ่นพี่นะ ขืนปล่อยให้พวกมึงเป็นอะไรเพราะกิจกรรมนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องนี้จะเป็นเรื่องใหญ่นะ แต่กูกับรุ่นพี่ทุกคนต้องรู้สึกผิดจนวันตายแน่ๆ”

“เราต้องมีความหวังไว้นะพี่ ยิ่งพูดแบบนี้กำลังใจเราจะยิ่งลด พวกเรามีกันตั้งสี่คน ช่วยกันได้อยู่แล้ว ขนาดตกน้ำเชี่ยวยังรอดกันมาได้เลย”

“นั่นซินะ งั้นเราเดินทางกันดีกว่า ​เอ๊ะ เดี๋ยวนะ” จู่ๆพี่บุ๋นก็เดินไปเด็ดใบไม้มาขยี้และโปะที่แผลบนมือของผม "นี่คือใบฝรั่ง ช่วยห้ามเลือดได้ พี่ท๊อปสอนมา"



​แคว้กกกกกกกก

​"เห้ยพี่" ผมร้อง ก็จู่ๆพี่บุ๋นดันฉีกชายเสื้อตัวนอกของตัวเองมาพ้นแผลให้ผม

"เอาล่ะ ดีขึ้นแล้ว" พี่บุ๋นตอบหน้าตาเฉย นี่ถ้าเป็นพี่ตองกูคงให้รางวัลด้วยการทำอะไรหวานๆใส่ไปแล้ว "รีบเดินทางกันดีกว่า เราต้องเดินย้อนกลับไปอีกไกล"

"ไปพี่ ความหวังอยู่ข้างหน้า"

ถึงจะพูดให้กำลังใจตัวเองแบบนั้นแต่มันก็ไม่ได้ง่ายเลย นี่ไม่ใช่เส้นทางสัญจรปกติจึงย้ำเท้าแต่ละก้าวอย่างเชื่องช้า ไหนจะกลัวสัตว์มีพิษและอาจเหยียบโดดสิ่งที่ทำให้เป็นแผลอีก โชคยังดีที่รองเท้าของทุกคนเป็นรองเท้าผ้าใบจึงไม่หลุดลอยไปกับน้ำ

ระยะทางหลังจากนี้จะต้องย้อนกลับไปอีกไกลแค่ไหนกัน...... ขอให้มีคนรออยู่ที่เดิมด้วยเถอะ.....







-----------------------------------------------------------------------------





--บ่ายแก่ๆ ณ หมู่บ้านลับหมอก--





"เราจะไม่ออกตามหาคนที่หายไปจริงๆเหรอครับ" ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีคำสั่งแปลกๆออกมาแบบนี้ "กล่องปฐมพยาบาลที่หล่นอยู่ข้างน้ำตก ไม่ทำให้ทุกคนรู้สึกเป็นห่วงสี่คนนั่นเลยเหรอ พวกนั้นอาจจะตกน้ำและรอความช่วยเหลือจากเป็นเราอยู่ก็ได้"

"ใจเย็นก่อนตอง" อาจารย์หมอยังจะพูดให้ผมใจเย็นอีกเหรอ นี่มันเรื่องใหญ่นะ "ฟังคุณยศพูดให้จบก่อน"

"ผมไม่ได้บอกว่าเราจะไม่ออกตามหานะครับคุณหนู" พี่ยศทหารพรานพยายามอธิบาย "แต่ผมบอกว่าเราจะตามหากันในวันพรุ่งนี้ นี่มันใกล้ค่ำแล้ว การเดินป่าตอนกลางคืนอันตรายมาก"

"ก็เพราะแบบนี้ไงเราถึงรีบออกตามหา เรายังกลัวอันตรายเลย แล้วพวกน้ำชาล่ะ จะปล่อยพวกเค้าอยู่ในป่าตอนกลางคืนได้ยังไง"

"ผมเองก็อยากช่วยไม่แพ้คุณหนูหรอกครับ แต่กำลังทหารเราไม่พอ นี่ฤดูหนาวนะครับ มืดเร็ว หมอกก็จัด แล้วถ้ามีคนหายไปอีก สถานการณ์มันก็จะยิ่งแย่ไปใหญ่"

"งั้นไม่ต้องให้ใครไป ผมไปเอง" ผมเริ่มเดือด

"แบบนั้นยิ่งไม่ได้" อาจารย์หมอแทรก "เธอยังข้อเท้าแพลงอยู่เลย มันมีแต่เสียกับเสีย"

"อาจารย์หมอครับ ผมไปได้ ขอร้องล่ะครับ ถ้าผมเดือดร้อนอยู่ในป่า ผมเชื่อว่าน้ำชาก็ต้องคิดที่จะไปช่วยผม หรือทุกคนจะทำเป็นลืมครับ เห็นหรือเปล่าว่าที่สถานการณ์วุ่นวายในหมู่บ้านวันนี้คลี่คลายลงได้เพราะฝีมือน้ำชา เค้าทุ่มเทและเป็นห่วงทุกคนมากแค่ไหน เรายังจะทิ้งเค้าไว้กลางป่าแบบนั้นจริงๆเหรอครับ.... ว่าไงครับคุณกาสิ่น?"

"ผ...ผม" หัวหน้าหมู่บ้านมองไปที่อาจารย์หมอ "ผมต้องเชื่อที่คุณหมอพิชิตบอกครับ"

"นี่เรากำลังพูดถึงการทิ้งคนสี่คนไว้ในป่านะครับ"

"รอพรุ่งนี้เถอะนะครับคุณหนู" พี่ทหารยังคงพยายามเกลี่ยกล่อม "ผมสัญญาว่าจะรีบออกตามหาแต่เช้า"

"..........." พอ หมดอะไรจะพูดอีกแล้ว

ผมเดินออกมาจากบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านทันที ไม่สนใจเรื่องมารยาทหรืออะไรทั้งนั้น



"ว่าไงพี่ เราจะออกตามหาพวกน้ำขิงเลยไหม ผมเตรียมของไว้แล้ว" ไอ้ต้อมถามผมทันทีที่เจอกัน ไม่ใช่แค่มันที่เป็นห่วงและสนใจ พี่ท๊อป ไอ้สุ่ย ลีดปีสองและปีหนึ่งทุกคนต่างพากันมายืนรอที่หน้าบ้านคุณกาสิ่นทั้งหมด

"เขาไม่ให้เราไป" ผมไม่อยากจะตอบแบบนี้เลย

"ว่าไงนะ!!!"

"คุณยศบอกว่ามันเสี่ยงเกินไป ป่าตอนกลางคืนอันตราย"

"แล้วพวกนั้นล่ะ ไม่อันตรายกว่าหรือไง บางทีอาจจะ....."

"​อย่าพูด​" ผมรู้ว่าไอ้ต้อมคิดอะไร แต่ผมจะไม่มีวันเชื่อแบบนั้นเด็ดขาด ต้องไม่มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น "อย่าพูดว่ามีใครเป็นอะไร ทุกคนปลอดภัย แค่รอให้เราไปช่วยเท่านั้น เชื่อพี่"

"ผ... ผมขอโทษ" ไอ้ต้อมเริ่มน้ำตาไหลออกมา มันเป็นคนที่เจอกล่องปฐมพยาบาลตกอยู่ริมธารน้ำหลากเอง หลังจากที่ผมกลับมาหมู่บ้านเพียงคนเดียวและไร้วี่แววของกลุ่มคนที่ออกไปตามหาผม  ผมรู้ดีว่าสถานการณ์แบบนี้สามารถทำให้ความคิดของคนๆหนึ่งกระเจิดกระเจิงไปได้ไกลแค่ไหน

"แล้วเราจะรองั้นเหรอพี่" ไอ้สุ่ยก็เริ่มต่อต้าน

"ไม่" ผมตอบชัดเจน "พี่ไม่ปล่อยให้น้ำชาอยู่กลางป่าแบบนั้นแน่ ไม่มีใครห้ามได้หรอก"

"งั้นเราไปกันเถอะพี่" ไอ้ต้อมแทบจะตะโกนออกมา



"อย่าทำอะไรโง่ๆนะตอง​" อาจารย์หมอเดินออกมาจากบ้านคุณกาสิ่น พร้อมกับทุกๆคนที่ประชุมกันเมื่อกี๊ "ผมจะไม่ยอมปล่อยให้ใครต้องเป็นอะไรอีกแล้ว เชื่อในการทำงานของทหารพราน คนพวกนี้มีประสบการณ์ ยิ่งเธอลงมือทำอะไรผลีผลาม จะยิ่งสร้างความสูญเสียมากขึ้น ได้โปรด รอ ถือว่าผมขอร้องล่ะ"

"อาจารย์หมอครับ" ผมอยากจะเชื่อฟังและเคารพท่านในฐานะอาจารย์ที่ดูแลผมมานาน แต่... "คนสำคัญของผมออกไปจากหมู่บ้านเพื่อตามหาผม แต่ตอนนี้เค้ากำลังเดือดร้อนอยู่ในนั้น ผมนิ่งเฉยไม่ได้จริงๆครับ ต่อให้นี่หมายถึงการต้องผิดต่ออาจารย์ก็ตาม ยังไงผมก็จะ..."

"ตอง" จู่ๆ พี่ท๊อปเข้ามาหยุดการสาดอารมณ์ของผมไว้ "​พี่ก็ห่วงบุ๋นเหมือนกัน แต่ใจเย็นก่อน..." พี่เค้ากระซิบกับผมอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปทางอาจารย์หมอ "ผมจะควบคุมทุกคนไม่ให้ใครขัดคำสั่งของหมอพิชิตเองครับ"

"ขอบใจมากนะท๊อป" แล้วอาจารย์หมอก็เดินมาตบไหล่ผม ซึ่งไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นเลย "ผมรู้ว่าพวกเธอทุกข์ใจ ผมยิ่งทุกข์ใจไม่แพ้กัน เชื่อเถอะว่าผมอยากออกไปตามหาเด็กๆพวกนั้นด้วยตัวเองตอนนี้เลยด้วยซ้ำ... ผมฝากด้วยนะท๊อป"

"ครับคุณหมอ" พี่ท๊อปรับคำก่อนที่ทุกคนจะเดินจากไป

กลุ่มคนหน้าบ้านคุณกาสิ่นค่อยๆสลายตัวออกไป หลายคนยังขวัญเสียกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น น้องเกตุถึงขั้นร้องไห้ออกมาไม่หยุด ทุกกิจกรรมของปีหนึ่งที่วางแผนกันไว้ว่าจะทำก็ไม่มีใครมีกะจิตกะใจทำ

ไอ้ต้อมกับไอ้สุ่ยกอดคอกันเดินไปอย่างเศร้าสร้อย



"ต่อให้พี่พูดยังไงผมก็จะ...."

"ตามพี่มา" ผมยังไม่ทันพูดจบด้วยซ้ำ พี่ท๊อปก็เรียกให้ผมเดินตามไปอย่างมีพิรุจ

เราทั้งสองคนเดินมาถึงห้องพยาบาล

"มานี่ พี่จะใส่ยาให้ ข้อเท้ายังปวดอยู่ไหม" นั่นคือที่พี่ท๊อปพูด

"ผมไม่สนเรื่องนี้..."

"ชูววว เบาๆ​" อะไรวะ "นั่งลงก่อน รีบทายาก่อนเถอะน่า ต้องทำให้ข้อเท้าของตองทุเลาความเจ็บลงก่อน... พี่จะยอมให้ตองเป็นตัวถ่วงของพี่เวลาออกตามหาพวกนั้นหรอกนะ"

"........" หมายความว่า?

"พี่บอกว่าจะควบคุมไม่ให้ใครขัดคำสั่งของหมอพิชิต​ แต่ไม่ได้บอกว่าพี่จะควบคุมได้ซะหน่อย พี่รู้ว่าตองเป็นห่วงน้ำชาแค่ไหน พี่ก็ห่วงบุ๋นไม่น้อยเหมือนกัน เอาล่ะ รีบๆทายาเถอะ เราต้องรีบออกจากหมู่บ้านก่อนพระอาทิตย์ตกดิน"

"โอเคพี่" ผมรับคำทันที

พี่ท๊อปไม่ได้ทายาให้อย่างที่บอกแค่ประคบด้วยผ้าเย็นเท่านั้น แต่ใช้ตะไคร้สับละเอียดมาพอกที่ข้อเท้าก่อนจะพันปิดด้วยผ้ารัดกล้ามเนื้อ และให้ทานยาแก้อักเสบก็เป็นอันเสร็จสิ้น

ผมรีบเดินไปจัดเตรียมของของตัวเองในโรงนอน ซึ่งมันก็ยากที่ผมจะต้องแอบทำโดยไม่ให้ใครรู้ตัวว่าผมกำลังจะแอบหนีเข้าไปในป่า จึงเสียเวลาอยู่นาน จากนั้นก็เดินตรงไปที่โรงนอนปีหนึ่ง ในความคิดผมก็คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาเพราะปีหนึ่งกำลังช่วยกันดูแลรอบหมู่บ้านอยู่ ผมได้ยินมาว่าน้ำชาของผมด่าเพื่อนชุดใหญ่ไป ทำให้เด็กปีหนึ่งต้องหันมาสนใจงานของหมู่บ้านมากกว่าเดิม เพียงแต่.....

​กระเป๋าแฟนกูหายไปไหนวะ



"หานี่อยู่เหรอพี่"

ชิบหายล่ะ ไอ้ต้อมยืนถือกระเป๋าของน้ำชาหลบอยู่หลังประตู

ทำไมมันทำหน้าอย่างกับรู้ว่าผมจะมาวะ

"ผมรู้นะว่าพี่กำลังจะไปช่วยไอ้ชา"

"เอ่อ..." ตอบไงดี

"ผมจะไปด้วย"

"ไม่ได้นะเว้ย! มึงต้องอยู่ที่นี่ แค่นี้เรื่องก็แย่มากพออยู่แล้ว ที่สำคัญถ้าคนหายไปเยอะๆก็โดนจับได้กันพอดี"

"พี่คิดว่าพี่เป็นห่วงไอ้ชาเป็นคนเดียวเหรอ นั่นมันก็เพื่อนผมนะ ไหนจะน้ำขิงอีก ยังไงผมก็จะไป"

"เอากระเป๋าน้ำชามานี่ แล้วมึงก็รีบออกไปซะ กูเป็นรุ่นพี่ กูจะจัดการเรื่องนี้เอง"

"ถ้าผมไม่ได้ไป พี่ก็อย่าหวังเลย เพราะถ้าผมตะโกนตอนนี้ พี่รู้ใช่ไหมว่า..."

"มึงหุบปากเดี๋ยวนี้เลยนะ" นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมเดือดดานใส่ไอ้ต้อม ทันทีที่มันพูดว่าจะขัดขว้างแผนการของผม ผมก็ถลาเข้าไปกระชากคอเสื้อมันทันที

"พี่คิดว่าผมกลัวเหรอ" ไม่อย่าเชื่อเลยว่าไอ้ต้อมจะกล้าคว้าคอเสื้อของผมเหมือนกัน "ผม ไม่ แลก น้ำขิง กับ ใคร ทั้ง นั้น"

"..............." ยิ่งกว่าโดนไอ้คนตรงหน้าต่อยด้วยหมัดแรงๆอีก คำพูดของมันสะท้อนทุกอย่างที่ผมเป็นอยู่ในขณะนี้ ที่สุดของผมตอนนี้ก็คือ ต้องไปช่วยน้ำชาให้ได้เท่านั้นไม่ว่าจะแลกด้วยอะไร "เออ งั้นตามกูมา อย่าให้ใครเห็นละกัน"

ผมกับไอ้ต้อมค่อยๆย่องไปตามแนวหลังบ้านของผู้คนเรื่อยๆเพื่อไปหาพี่ท๊อปที่จุดนัดพบ แล้วก็ต้องประหลาดใจกับอีกเรื่อง

"ไอ้สุ่ย!!*"

"ผมมีสิทธิ์ที่จะไปเหมือนกับพวกพี่" นั่นคือคำอธิบายเหตุผลของไอ้สุ่ยที่ยืนอยู่กับพี่ท๊อป "และที่สำคัญ ผมคือคนที่สามารถหาไกด์นำทางมาให้เราได้"

เห้ยยยยยยยยย"คุณกาสิ่น" จู่ๆหัวหน้าหมู่บ้านก็โผล่มาจากหลังต้นไม้

"เห็นนัยตาพวกคุณหนู ผมก็รู้แล้วว่าห้ามไว้ไม่ได้" คุณกาสิ่นบอกพร้อมกับถือปืนลูกซองยาวเป็นอาวุธพร้อมเดินทาง "และชาวบ้านที่นี่เป็นหนี้บุญคุณของคุณหนูทั้งสี่คนที่ตกอยู่ในอันตราย ผมเป็นถึงหัวหน้าหมู่บ้าน จะไม่ไปช่วยได้ยังไง บุญคุณที่ช่วยลูกบ้านของผมไว้ ผมจะทดแทนให้ถึงที่สุด"

"แต่ถ้าเรื่องนี้ถึงหูอาจารย์หมอ" ผมเป็นกังวลแทน "คุณกาสิ่นจะไม่เดือดร้อนเหรอครับ"

"ให้ผมเดือดร้อนเถอะครับ ยังไงผมก็คนหมู่บ้านนี้ คุณหมอพิชิตเคยสอนว่า คนเราเรียนรู้จากความผิดพลาด ถ้าผมจะผิดพลาดอีกครั้ง ก็คงเป็นแค่การเรียนรู้อีกเรื่องนึง... ผมว่าเรารีบไปกันเถอะครับ ก่อนที่ใครจะมาเห็น"

"ไปครับ"

"นี่คบเพลิงนะ" พี่ท๊อปส่งคบเพลิงให้ทุกคนพร้อมกับมีด "เดี๋ยวก่อนครับ! คุณกาสิ่น นี่เราจะไปไหนกันครับ"

"นั่นซิครับ" ไอ้ต้อมก็สงสัยในทิศทางที่หัวหน้าหมู่บ้านกำลังจะเดินไป "ทางไปน้ำตกอยู่ทางโน้นนะครับ กล่องปฐมพยาบาลที่ผมเจอก็อยู่ตรงโน้น"

"ก็ใช่ครับ แต่ฟังจากที่พวกคุณหนูเล่ามา ผมคิดว่าทั้งสี่คนคงตกลงไปในน้ำแล้วจริงๆ" ไม่อยากฟังที่คุณกาสิ่นพูดเลย มันดูเป็นลางร้ายแปลกๆ "หลังฝนตก น้ำจะขึ้นสูงจนล้นตะหลิง ถ้าพวกคุณหนูทั้งสี่คนนั้นพอจะว่ายน้ำได้ ก็คงถูกน้ำพัดลอยตัวอยู่สูงกว่าโขดหิน ถ้าโชคดีพวกเราจะได้เจอพวกเขาที่ฝายเก่าของหมู่บ้าน มันสูงพอที่จะดักคนไว้ได้"

"แล้วถ้าโชคร้ายละครับ" ไอ้ต้อมหลุดปากถาม

"เราก็จะเจอสี่คนนั้นที่ฝายเหมือนกัน เพียงแต่..."

"ไม่มีเพียงแต่ครับ!!" เป็นอีกครั้งที่ผมห้ามความคิดในเชิงลบไว้ "น้ำชาว่ายน้ำเก่ง ทุกคนก็เหมือนกัน จะต้องไม่มีใครเป็นอะไร ผมเชื่อว่าพวกเค้าจะรอเราอยู่ที่นั่น รีบไปเถอะครับ"

"งั้นไปครับ" หัวหน้าหมู่บ้านเริ่มนำทาง "ฝายเก่าอยู่ห่างจากที่นี่ประมาณสองชั่วโมงกว่าๆ ถ้าพวกคุณหนูพวกนั้นไม่เดินไปไหนไกล เราก็คงได้...."



"​จะขัดคำสั่งอาจารย์พิชิตเหรอคะ"

ชิบหาย!!!!!!!

งานเข้า น้องเกตุมาเห็นพวกผม

"น...น้องเกตุ"

"พี่คิดว่าจะไม่มีใครสงสัยหรือไงว่าพวกพี่หายไปไหนกันในมื้อเย็น" เห้ยยยยยยยยยยยยย ไม่ใช่แค่น้องเกตุ แต่นี่มันมาเกือบจะครบทุกคนเลยนี่หว่า ทั้งปีหนึ่งปีสอง ทุกคนโผล่ออกมาจากการซ่อนตัว

แต่ไม่มีอะไรมาขว้างกูได้ทั้งนั้น ต่อให้ยกกันมาทั้งหมู่บ้าน กูก็จะไป "อย่าห้ามพวกเราเลยนะ ยังไง..."

"นี่ค่ะ" ห๊ะ!! อะไรหว่า!? น้องเกตุยื่นห่ออะไรมา "เนื้อเค็มกับข้าวเหนียวร้อนๆ อ... เอา.... เอาไปกินระหว่างเดินทางตามหาเพื่อนหนูนะคะ เอาไปให้เพื่อนหนูด้วย พาทุกคนกลับมาให้ได้นะคะ" น้องเกตุร้องไห้ออกมาอย่างกับก๊อกน้ำแบบทันทีทันใด "พ...พวกเราจะช่วยกันแก้ตัวเรื่องที่พวกพี่หายตัวไปให้ รีบๆกลับมากันนะคะ"

"น...น้องเกตุ...  ทุกคน..." ขอบคุณมากนะที่เข้าใจความรู้สึกของพวกผม

"อะนี่" แอมเดินเข้ามา พร้อมกับส่งกล่องเก็บเข็มกลัดให้กับผม เธอเปิดกล่องออกมาแล้วพบว่า... "เหลือแค่เข็มกลัดของตองกับบุ๋นนะที่ยังไม่ได้ใส่ลงมาในนี้ ปีสองที่เหลือทุกคนลงความเห็นแล้วว่า น้ำชาและเพื่อนๆเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนารุ่นที่สามสิบเก้า น้องคือผู้นำที่แท้จริง เอาไปให้น้องแทนทุกคนด้วย และที่สำคัญ ขอให้เข็มกลัดพวกนี้เป็นเครื่องลางนำโชคจากรุ่นพี่ทุกรุ่น ขอให้ทั้งสี่คนปลอดภัย พวกเราจะรอการกลับมานะ..... โชคดี"

"ขอบใจนะแอม" ผมรู้เลยว่าผมกำลังน้ำตาคลอ "เราเชื่อว่าน้ำชาต้องดีใจแน่ที่ได้เห็นกล่องนี้"

"รีบกลับเข้าหมู่บ้านกันเถอะทุกคน ก่อนที่พวกผู้ใหญ่จะผิดสังเกตุ" แอมบอก แล้วทุกคนก็รีบทำตามทันที

"พาทุกคนกลับมานะคะ" น้องเกตุฝากคำพูดทิ้งท้าย

ตอนนี้เหลือแค่คณะเดินทางทั้งห้าคนแล้ว

"ไปกันเถอะครับทุกคน" ผมยัดกล่องเข็มกลัดใส่กระเป๋าและหันไปที่ป่าทึบเบื้องล่าง "ความเชื่อรอพวกเราอยู่"





-----------------------------------------------------------







"ม... ไม่ไหวแล้วพี่" หลังจากเดินมาได้แค่สิบนาที ผมก็สบถและยืนนิ่งหอบแฮกๆออกมา

"นั่นซิ ทำไมเหนื่อยจัง" ไอ้ข้าวก็บ่น

"ฤทธิ์ของอะดีนารีนคงหมดลงแล้ว" พี่บุ๋นอธิบาย "เราใช้พลังงานไปมากตั้งแต่เช้า ไหนจะออกแรงพยุงในน้ำกันมาตั้งนาน ร่างกายตอบสนองอะดีนารีนนานๆ พอหมดฤทธิ์ก็จะเหนื่อยแบบนี้แหละ อีกสักพักก็คงจะหิว"

"โห...." ผมร้องออกมา "ไม่รู้มาก่อนเลยว่าพี่บุ๋นรู้เรื่องพวกนี้เยอะขนาดนี้"

"เพิ่งช่วยพี่ท๊อปทำรายงานเรื่องนี้มา"

"อ๋ออออออ" นึกภาพออกใช่ไหมว่าผมทำเสียงล้อเลียน "ช่วยพี่ท๊อปทำรายงานนี่เอง"

"เห้ย!"

"จะตกใจอะไรขนาดนั้นพี่ ผมแค่แซวนิดเดียวเอง"

"ไม่ใช่ ดูตรงนั้นดิ มีกระท่อม"

ห๊ะ!!!

ไหน....??

นั่นไง จริงด้วย

"ไปดูกันเถอะ" ผมพูดออกมาอย่างไม่รู้ตัวพลางวิ่งไปข้างหน้าอีกไม่กี่เมตร ก็พบกับกระท่อมร้างและเก่า สภาพแทบจะใช้การไม่ได้อยู่แล้ว แต่มีหลังคาหญ้าแฝกที่ยังสมบูรณ์ดีอยู่

"ทำไมถึงมีกระท่อมแถวนี้ล่ะ" ขิงสงสัย "แต่สภาพเหมือนไม่มีใครอยู่มานาน"

"ใครบอก ดูนี่ซะก่อน" ไอ้ข้าวเรียกให้ดูบางอย่าง "นี่คือกองไฟ ถึงจะไม่ได้ใหม่มาก แต่ก็มีคนมาใช้งานที่นี่แน่ๆ แถมยังมีฟืนด้วย"

"ถ้าเดาไม่ผิด" พี่บุ๋นครุ่นคิด "นี่น่าจะเป็นโรงนอนเก่าของพวกรุ่นพี่ลีดที่มาสร้างฝายไว้แน่ๆ แล้วชาวบ้านก็ไม่รื้อถอนออกเพราะอาจจะต้องใช้เวลามาออกล่าสัตว์แถวๆนี้"

"จริงด้วยครับ" ผมเห็นสิ่งหนึ่งแขวนอยู่ที่ผนังหญ้าแฝกใกล้ๆ "กระบอกไม้ไผ่พวกนี้ คงจะเอาไว้ใส่น้ำหรือเหล้าต้มแน่ๆ"

"เยี่ยมเลย" ไอ้ข้าวร้อง

"หมายความว่าไงวะ" ทำไมมันถึงรู้สึกดีใจ

"ก็นี่ไง ฟืนพวกนี้ยังแห้งสนิทเพราะอยู่ใต้หลังคา แบบนี้ก็ทำอาหารได้สบาย"

"เราจะปักหลักอยู่ที่นี่กันเหรอ" ขิงสงสัย "เราไม่ควรรีบเดินทางต่อหรือไง อาจจะมีคนรอเราอยู่ตรงที่เราตกน้ำลงมาแล้วก็ได้"

"นั่นดิ" พี่บุ๋นสนับสนุน "หรือถ้าจะพักให้มีแรงตรงนี้ก่อนก็ได้ แต่ยังไงเราก็ต้องรีบเดินทางนะ"

"แต่ผมว่าเราควรจะรออยู่ที่นี่นะ" ผมพูด "เราใช้แรงกันไปมากแล้ว อีกอย่าง เราไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าลอยมาไกลแค่ไหน จะใช้เวลามากแค่ไหนที่จะเดินกลับไปที่เดิม พี่ก็เห็นว่าทางที่เราเดินมันไม่ใช่ทางปกติ ผมว่าเราไม่มีทางไปทันฟ้ามืดแน่ๆ"

"ผมเห็นด้วยกับชานะพี่บุ๋น" ไอ้ข้าวสนับสนุนผม "วันนี้เราโชคดีเกินไปแล้วนะพี่ ขืนเสี่ยงไปมากกว่านี้ โชคมันไม่ได้เข้าข้างเราตลอดหรอกนะครับผมว่า อยู่นี้ก่อนสักคืน ถ้าเราช่วยกัน อย่างน้อยน้ำกับอาหารก็ยังพอฟื้นกำลังให้ได้บ้าง ป้องกันตัวเองจากสัตว์ป่าก็ได้ อากาศเริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ ช่วยกันซ่อมแซมกระท่อมให้พอกันลมได้ นอนสักคืน พรุ่งนี้ก็ยังไปต่อได้นะครับ"

พี่บุ๋นถอนหายใจ

"คิดถึงพี่ท๊อปละซิ" ผมแซว พยายามเปลี่ยนบรรยากาศให้ดีขึ้น

"ก็เออดิ" หึ! ยอมรับเฉยเลย "อย่างกับมึงไม่คิดถึงไอ้ตอง"

"ก็...." คิดถึงดิ ไม่เคยคิดถึงขนาดนี้มาก่อนเลย "รีบๆ ช่วยกันดีกว่าครับ ก่อนที่จะมืดจริงๆ"

"นี่ครับพี่" ไอ้ข้าวดึงของออกมาจากยามกันตายของทุกคนในเวลานี้ มันคือมีดที่พับเก็บในฟักได้ "พี่กับขิงไปหาใบไม้มารองพื้นกับซ่อมกระท่อมเถอะครับ เดี๋ยวผมกับชาจะก่อไฟให้"

"มึงจะก่อไฟยังไง" พี่บุ๋นสงสัย

"ไฟเช็คไงพี่ ผมเอามาด้วย ก็กะจะมาทำอาหารในป่าอยู่แล้วนี่นา"

"ไม่เปียกน้ำไปแล้วเหรอวะ"

"ใส่ถุงอย่างดีพี่ไม่ต้องห่วง"

"เออๆ มึงนี่รอบคอบดีนะ งั้นกูไปหากิ่งไม้ใบหญ้าให้ละกัน" แล้วพี่บุ๋นกับขิงก็เดินออกไป



"งั้นเดี๋ยวกูไปหาฟืนแห้งๆจากข้างนอกมาเพิ่มให้นะ" ผมเสนอ "แค่ที่มีอยู่คงไม่พอ หวังว่าจะมีเศษไม้ที่ไม่โดนฝนอยู่บ้าง"

"กูไปช่วยด้วยดีกว่า"

"เอางั้นเหรอ"

"ยังไงก็ต้องช่วยกันอยู่ดี"

"โอเค"

ผมกับไอ้ข้าวเดินออกมาจากกระท่อมเก่าเพื่อตามหาฟืนหรือเชื้อเพลิงที่ไม่เปียกน้ำ พอได้มาใช้ชีวิตเพื่อเอาชีวิตรอดแบบจริงๆจังๆแล้วก็ได้เห็นเลยว่าธรรมชาติสร้างสรรค์ไว้เพื่อให้มนุษย์อยู่ร่วมกับมันได้จริงๆ เพราะไม่ว่าจะเดินไปตรงไหนก็มักจะมีกองเศษซากที่ทับกิ่งไม้หรือต้นไม้ล้มไว้ ทำให้ไม่ได้รับความชื้นจากน้ำจนเกินไป

"นั่นๆยางต้นไม้" เอาล่ะคราวนี้เป็นคิวของเด็กวิทยาศาตร์อย่างผมบาง ผมเอาไม้ฟืนที่เก็บได้ไปถูกกับยางไม้เพื่อให้มีคุณสมบัติให้การติดไฟมากขึ้นและทำให้เผาไหม้ได้ช้ากว่าเดิม ตอนนี้ผมกับไอ้ข้าวก็เลยยืนเอาหินทุบต้นไม้เพื่อให้ยางไม้ไหลออกมามากๆ



"มึงคิดว่าเราควรเดินทางต่อไหม" จู่ๆไอ้ข้าวก็ถามขึ้นมาในขณะที่กำลังเดินกลับกระท่อม

"ไม่รู้ดิ" ผมตอบ

"แปลว่ามึงลังเล"

"แปลว่ากูเลือกที่จะเสี่ยงมากกว่า"

"ยังไง?"

"ทางที่ดีที่สุดคือเราควรจะเดินกลับทางเดิมใช่ไหม แต่จากเหตุผลทั้งหมด กูเชื่อว่าหมู่บ้านไม่น่าจะไกลจากที่นี่ เพราะถ้ามีฝายอยู่ตรงนี้ แสดงว่าสมัยก่อนพวกรุ่นพี่ก็ต้องเคยใช้ทางแถวๆนี้สัญจรไปมากับหมู่บ้าน หลักฐานที่ชัดเจนเลยก็คือกองไฟพวกนั้น ต้องมีคนจากหมู่บ้านมาที่นี่แน่ๆ เส้นทางน้ำตกมันอาจจะคดเคี้ยวไปมาทำให้เราสับสน แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจุดที่เราลงมาทีแรกเป็นจุดเดียวที่่เชื่อมต่อกับหมู่บ้าน"

"ก็จริง... งั้นเราทำสัญญาณควันกันดีไหม"

"นั่นแหละที่กูคิด"

"แล้วเราจะแน่ใจได้ไงว่าคนที่หมู่บ้านจะเห็น หมอกที่นี่ลงหนามากนะ"

"ก็ไม่แน่ใจหรอก แต่กูรู้ว่าพี่ตองต้องเห็นแน่ๆ"

"ทำไมวะ?"

"เพราะถ้าพี่ตองรู้ว่ากูตกอยู่ในสถานการณ์นี้ พี่เค้าต้องพยายามออกตามหากูแน่ สัญญาณเล็กน้อยแค่ไหน กูเชื่อว่าพี่เค้าจะต้องมองเห็น กูเชื่อว่าพี่เค้ากำลังเดินทางมาหาพวกเรา"

"ที่พูดเนีย เพราะแน่ใจจริงๆหรือแค่สร้างความหวังให้ตัวเองวะ"

"ที่กูพูดอะหรอก......





​เพราะแน่ใจมานานแล้วว่าพี่ตองคือความหวังในชีวิต"
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-06-2018 23:41:03 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ พลอยสวย

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1622
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-5

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
​ตอนที่ 50 : ความคิดถึง





“ระวังจะล่วงลงไปอีกรอบนะชา”

“จับไว้แน่นแล้ว ไม่ต้องห่วง” ผมพูดเพื่อให้ความวางใจกับลูกพี่ลูกน้องของผม ก็เพราะว่าตอนนี้ผมกำลังจะไปเก็บหินในธารน้ำตกขึ้นมา จากความต้องการของไอ้ข้าวเพื่อที่จะนำไปประกอบอาหาร ซึ่งต้องใช้หินจากธารน้ำตกเท่านั้น เนื่องจากมีขนาดใหญ่และสะอาด แต่ผมก็เป็นห่วง ไม่อยากให้ตัวเองตกน้ำลงไปอีกรอบจึงกำหญ้ามัดใหญ่ไว้ในมือโดยมีขิงรั้งตัวของผมไว้อีกรอบ ก็ตอนนี้ไม่มีฝายมากั้นแล้วนี่นา ขืนตกไปอีก คราวนี้ ก็ไปกันยาวๆเลยนะซิพ่อแม่พี่น้อง



“มาแล้วๆ” ผมถือหินก้อนใหญ่ผิวเกลี้ยงกลับมาที่กระท่อม “โอ้โหพี่บุ๋น ปูพื้นซะน่านอนเลย”

“อ๋อ พื้นนี่อะเหรอ” พี่บุ๋นกำลังวุ่นวายอยู่กับการซ่อมแซมช่องโหว่ตามกระท่อมโดยสวมใส่แค่บอกเซอร์ตัวเดียว เอาจริงๆนะ ไม่ใช่แค่พี่บุ๋นหรอก ผม ขิง ไอ้ข้าว เราถอดเสื้อผ้าไปพึ่งที่กองไฟหน้ากระท่อมกันหมดเลย ถ้าพวกบรรดาแฟนๆมาเห็นพวกเราอยู่ในสภาพนี้ คงตาค้างกันเป็นแถว “สบายนะมึง ทดลองมานอนได้ ที่นอนจากใบกล้วยคุณภาพ กูไปเจอป่าต้นกล้วยมา ตัดมาเกือบหมดเลย ใบมันใหญ่ดีก็เลยเอามาปูพื้นกับซ่อมผนัง แค่นี้ก็น่าจะโอเคแล้วนะ”

“ไอ้น่านอนมันก็น่านอนอยู่หรอกพี่” ผมบอก ตอนนี้ตัวเริ่มสั่นแล้ว “แต่อากาศหนาวนี่ซิ ตอนนี้อากาศชักจะเย็นลงเรื่อยๆแล้ว”

“เดี๋ยวเสื้อผ้าก็คงแห้งแล้วมั้ง เห็นไอ้ข้าวจะก่อไฟรอบกระท่อมเลย”

“จริงเหรอ”



“ป้องกันสัตว์ป่าอ่ะ แล้วก็ให้ความอบอุ่มกับกระท่อมด้วย” ไอ้ข้าวตอบจากข้างหลังกระท่อม มันคงได้ยินผมกับพี่บุ๋นคุยกัน จะไม่ได้ยินได้ไงล่ะ อยู่กันแค่นี้เอง นี่ถ้าผมหลงมาคนเดียว ไม่มีทางชื่นมื่นแบบนี้ได้แน่ๆ “มึงก็เอาหินไปวางไว้ใกล้กองไฟได้แล้วนะ จะได้แห้ง เดี๋ยวจะย่างไก่แล้ว”

“โอเค”

พูดถึงของกินก็หิวขึ้นมาเลย เช้าก็ทำงานหนัก เที่ยงก็ยังไม่ได้กินอะไร แถมทั้งบ่ายยังต้องอยู่กับการก่อฟืนทำไฟและเตรียมที่พัก ตอนนี้หิวจนแสบใส้แล้ว ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ พี่ตองคงขับรถพาผมออกไปหาอะไรกินแล้ว

เห้อออออออ

คิดถึงจัง

ทั้งๆที่อยู่กันตั้งสี่คน แต่สิ่งที่ขาดหายไปมันดันเป็นอะไรที่ทำให้รู้สึกเหมือนวิญญาณหายไปครึ่งส่วน

เลิกคิดๆ เดี๋ยวพี่ตองก็มาช่วย



“โอ๊ย”

หึ!! ใครเป็นไรวะ ผมรีบวางหินลงข้างกองไฟแล้วเดินไปหาต้นเสียง

“ขิง เป็นไรอ่ะ” ที่แท้ก็ลูกพี่ลูกน้องของผมนี่เอง

“เปล่าๆ แค่เจ็บมือนิดหน่อย” ขิงตอบ ผมจึงจับมือของคนพูดมาดู

“มือแดงเลยนี่นา” สงสารจัง ขิงไม่เคยต้องมาทำอะไรแบบนี้เลย คือตอนนี้ขิงกำลังใช้ท่อนไม้เคลียร์พื้นที่รอบๆบ้านให้โล่งโดยการดันหญ้าออกไปเพื่อที่ว่าไอ้ข้าวจะได้มีพื้นที่พอที่จะก่อกองไฟและป้องกันไม่ให้สัตว์มีพิษเข้ามาใกล้กระท่อม “เดี๋ยวชาทำเองดีกว่านะ”

“ไม่เป็นไร เราต้องช่วยกันซิ”

“แต่...”

“ขิงรู้นะว่าชาคิดว่าขิงอ่อนแอ จริงๆขิงก็คิดว่าตัวเองไม่ได้ทำประโยชน์ให้มากเท่าไหร่เลย”

“อย่าคิดแบบนั้นซิ เพราะทุกคนต้องเป็นห่วงกันและกันต่างหาก”

“ตอนอยู่โรงเรียนลาซานก็มีพี่ต้องคอยปกป้อง มาอยู่มหาลัยมัณฑนาก็มีต้อมคอยทำทุกอย่างให้ ขิงเริ่มรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอจริงๆแล้วล่ะ”

“คนเราแค่ถนัดไม่เหมือนกัน เราสองคนเก่งด้านคิดคำนวณนี่นา ไม่ใช่อะไรที่จะใช้ในสถานการณ์แบบนี้”

“แต่ชาก็มีทักษะอย่างอื่นติดตัวอีกเยอะแยะ ขิงแทบจะทำอะไรไม่ได้เลย ถึงต้อมจะชอบชมว่าขิงเก่ง แต่จริงๆแล้วต้อมทั้งเก่งทักษะชีวิตทั้งอดทนสมกับเป็นผู้ชาย มันรู้สึก...”

“ขิงไม่ได้รู้สึกอ่อนแอหรอก ขิงแค่รู้สึกคิดถึง... คิดถึงไอ้ต้อมใช่ไหมล่ะ”

“ชาไม่คิดถึงพี่ตองหรือไง”

“คิดซิ แต่ชามั่นใจว่าพี่ตองกำลังตามหาพวกเราอยู่แน่นอน เพราะงั้น... หน้าที่ของเราคืออยู่ที่นี่ให้รอดปลอดภัยก็พอ โอเคนะ มาๆๆ ช่วยกันดีกว่า ขิงหวดหญ้าแนวขวางแบบนี้ดิจะได้ไม่เจ็บมือ”

ถึงผมจะเป็นคนปลอบใจคนอื่น แต่เชื่อเถอะ ในใจตอนนี้ ร้องไห้เรียกชื่อไอ้หัวเหม่งอยู่ตลอดเวลา เพียงแค่ไม่อยากเปิดประเด็นให้ต้องดราม่ากัน



เราสี่คนใช้เวลาในการปรับปรุงภูมิทัศน์ทั้งนอกและในกระท่อมอยู่นานมากจนดวงอาทิตย์ลับไปในหมอก  แต่ก็ยังทันแสงสว่างจากกองไฟ เสื้อผ้าแห้งมากพอที่จะนำกลับมาใส่เพื่อปกป้องความหนาวเย็น

เวลากลางคืนมาเยือนและอาหารก็เริ่มใกล้ได้กินแล้ว

ไอ้ข้าวคือหัวใจหลักของการมีชีวิตรอดครั้งนี้ ดูเหมือนว่าทักษะการทำอาหารของมันจะไม่ธรรมดาเลย เพราะมันสามารถหุงข้าวได้ด้วยกระบอกไม้ไผ่เก่าที่เจอแขวนอยู่และย่างเนื้อไก่ทาเกลือด้วยการนาบบนหินน้ำตกร้อนๆซึ่งวางอยู่บนกองไฟ  นี่ถ้าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เมนูนี้ลงนิตยสารเชลล์ชวนชิมได้เลยนะ แล้วก็ยังมีกล้วยเผาที่พี่บุ๋นตัดมาเมื่อตอนไปตัดใบตองด้วย เรียกได้ว่าเป็นการหลงป่าที่ไม่ต้องห่วงเรื่องปากท้องเลย

เราสี่คนทานอาหารด้วยมือท่ามกลางวงล้อมกองไฟใหญ่ที่อยู่หน้ากระท่อม ดูเหมือนว่าฝืนเปียกจะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปเพราะด้วยความร้อนสูงของกองไฟทำให้สามารถระเหยความชื้นที่แทรกซึมในเนื้อไม้ไปได้ เพียงแต่ต้องคอยเติมฝืนกันตลอดไม่ให้กองไฟทั้งสี่กองที่ล้อมรอบกระท่อมต้องดับลง

“อร่อยมากเลยข้าว” พี่บุ๋นกินไปชมไป “ไว้ถ้าเรารอดกลับไปได้เมื่อไหร่ กูจะไปเรียนวิชาทำครัวจากมึงนะ”

“ได้ครับพี่” ไอ้ข้าวบอก

นี่เป็นมุกตลกที่แอบเศร้าอยู่ลึกๆ แต่ก็ช่างเถอะ มาถึงตรงนี้แล้ว ยังไงก็ต้องยอมรับความจริง

“กินเสร็จจะเข้าไปนอนเลยก็ได้นะ” พี่บุ๋นบอกขิงที่วางใบตองใส่ข้าวของตัวเองลง

“ผมนอนไม่หลับหรอกครับ” ขิงยังคงเศร้า

“ไม่เศร้าดิน้อง” แทนที่จะเป็นผมที่เข้าไปปลอบใจ พี่บุ๋นกลับรีบขยับมานั่งโอบไหล่ขิงไว้พร้อมกับยิ้มกว้าง

“แต่มันก็ผ่านมานานมากแล้วนะครับตั้งแต่ที่เราตกน้ำลงมา” ไม่ใช่แค่ขิงหรอกที่คิด ผมเองก็คิดว่ามันผิดปกติ ถ้าสมมติฐานของผมถูกก็ควรจะมีคนมาตามได้แล้ว แต่นี่ยังไม่มีวี่แววของใครเลย “หรือพวกเขาจะคิดว่าเราไม่รอดแล้ว”

“พูดไรงั้นวะ เห็นกองไฟหลังกระท่อมแล้วใช่ไหม นั่นหนะพี่อุตส่าปลอกกาบมะพร้าวแห้งเองกับมือเลยนะ ทั้งๆที่ไม่เคยทำมาก่อน เพื่อที่จะทำกองไฟให้มีควันเยอะๆ สัญญาณควันชัดเจนขนาดนี้ ไม่มีทางเลยที่พวกที่อยู่หมู่บ้านจะมองไม่เห็น ไม่มีใครคิดหรอกว่าเราจะเป็นอะไร เราแค่กินข้าวให้อิ่ม นอนหลับให้สบาย เดี๋ยวพวกนั้นก็มารับเราแล้ว ไอ้ชาก็ให้เหตุผลแล้วนิว่าตรงนี้มีความเป็นไปได้สูงที่จะอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน เอาน่า นะนะ กินเข้าไปอีก เดี๋ยวไอ้ต้อมจะหาว่าพี่ไม่ดูแลแฟนมันให้ดีๆ”

“อย่างที่พี่บุ๋นบอกแหละขิง” ผมรีบสนับสนุน “ขิงเป็นนักคำนวณอันดับต้นๆของมหาลัย ต้องรู้อยู่แล้วแหละว่าเหตุผลที่ชาพูดมีความเป็นไปได้สูงแค่ไหน เชื่อให้หลักเหตุผลเข้าไว้”

“ก็ได้” ขิงยอมหยิบใบตองของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง “ขอบคุณทุกคนนะครับ”

“ต้องงี้ดิ เข้มแข็งไว้” พี่บุ๋นยังคงฮึกเหิม “ก็แค่เปลี่ยนที่นอน”



มื้อค่ำกลางหมอกหนายังคงดำเนินต่อไปจนฟ้ามืดสนิท ไอหมอกหลั่งไหลมาจากธารน้ำตกไม่ยอมหยุดหย่อนจนไอ้ข้าวกับขิงต้องนอนกอดกันในกระท่อมเพื่อสร้างความอบอุ่น ผมเห็นอย่างนั้นจึงค่อยๆนำใบตองไปห่มให้

ถึงแม้กระท่อมหลังนี้จะไม่ได้ใหญ่มากแต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับคนแค่สี่คน



ผมกับพี่บุ๋นอาสาเฝ้ายามให้ก่อน



ออกไปนั่งเป็นเพื่อนพี่บุ๋นดีกว่า



“พี่ท๊อป หยิบเสื้อคลุมข้างในให้บุ๋นหน่อย”

หึ!! พี่ท๊อปไหน

พี่บุ๋นพูดกับใครอยู่หว่า แต่ผมก็เดินกลับเข้าไปหยิบเสื้อคลุมตัวนอกที่มารอยขาดจากการฉีกส่วนหนึ่งมาพันแผลให้กับผม แล้วส่งให้พี่บุ๋น

“ขอบคุณครับ” นี่พี่บุ๋นยังคิดว่าผมเป็นพี่ท๊อปอยู่อีกเหรอ

“เอ่อ... นี่ผมเองพี่” ผมเอ่ยในที่สุด

“อ้าว ... อ... เอ่อ” พี่บุ๋นเหมือนเพิ่งจะนึกได้ว่าผมไม่ใช่คนที่ตัวเองกำลังคิดว่าเป็น “กูจะเรียกมึงนั่นแหละ เรียกผิดๆ”

ทั้งชื่อ ทั้งขอบคุณ ทั้งหางเสียง แบบนี้กำลังนึกถึงพี่ท๊อปอยู่ชัดๆ

“คิดถึงพี่ท๊อปอยู่เหรอครับ” ผมนั่งลงข้างๆพี่บุ๋น

“เปล่า มันแค่ชินปาก” ยังจะมาปากแข็งอีก แต่ผมรู้สึกจะสัมผัสได้ถึงดวงตาเศร้าสร้อยของพี่แกนะ

“เป็นธรรมดาแหละพี่ คนเคยอยู่ด้วยกันตลอด จริงๆแล้วผมก็คิดถึงพี่ตองนะ คิดถึงมากด้วย แต่ทำไงได้ล่ะ หลงอยู่กลางป่ากว้างใหญ่ขนาดนี้”

“อืม...”

“ป่านนี้พี่ตองกับพี่ท๊อปคงออกตามหาพวกเรากันอยู่แน่เลย ผมเชื่ออย่างงั้น ไม่แน่นะ ไอ้ต้อมกับไอ้สุ่ยก็ต้องมาด้วย”

“อืม...”

“แต่ผมก็อดแปลกใจไม่ได้เหมือนกันนะที่มันนานขนาดนี้ จนฟ้ามืดแล้วก็ยังไม่มีใครมาตามอีก”

“อืม...”

“ถ้านี่เป็นสถานการณ์ปกติ พี่ตองคงจะเดินมาทำอะไรน่ารักๆกับผมแล้วล่ะ ชอบทำให้ผมเขินอยู่เรื่อย.... แล้วพี่ท๊อปล่ะ เวลาแบบนี้จะทำอะไรกับพี่เหรอ”

“ก็คง... นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาในบ้าน แล้วก็...คอยถามกูว่า 'หิวไหมครับ' 'อยากจะไปไหนหรือเปล่าครับ' แบบนี้ทุกวัน เป็นคนที่ทำตัวจืดชืดมากๆ ไม่รู้ว่าไปเอาความอดทนมาจากไหนที่... มานั่งเฝ้ากูทุกวันแบบนั้นได้”

“แล้วพี่ไม่ชอบเหรอ... พี่จำรายละเอียดของพี่ท๊อปได้ขนาดนี้ จะบอกว่าไม่ได้กำลังคิดถึงพี่ท๊อปอยู่เหรอ”

“..............ฮ...” เสียงสะอื้นในลำคอเริ่มปรากฏออกมาให้เห็น นี่แหละที่ผมต้องการ

“ไม่ต้องทำตัวเข้มแข็งเพื่อพวกผมก็ได้นะพี่” ผมตัดสินใจโอบกอดคนข้างๆ  ด้วยน้ำเสียงที่ใกล้กับความโศกเศร้าเช่นกัน “พี่ทำดีแล้ว อ่อนแอบ้างก็ได้ ร้องไห้ออกมาเถอะครับ ผมรู้ว่าพี่กลัวแล้วก็คิดถึงพี่ท๊อปมากแค่ไหน”

“ฮื่ออออออ.......” แล้วพี่บุ๋นก็ปล่อยโฮระลอกใหญ่ออกมาก่อนจะหันมากอดกับผมแบบจริงๆจัง ทำเอาผมน้ำตาไหลพรากออกมาด้วยเลย “ก...กู...คิดถึงพี่ท๊อป ขอโทษนะที่ทำให้พวกเอ็งมาเจอเริ่มแบบนี้”

“มันเป็นอุบัติเหตุนะพี่ พี่ไม่ผิดซะหน่อย เราโชคดีแค่ไหนแล้วที่รอดมาได้”

พี่บุ๋นยังคงน้ำตาไหลเป็นทาง “ตอนที่อยู่ในน้ำ กูนึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว มันน่ากลัว เหมือนจะโดนเอาชีวิตไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แล้วไหนก็โดนปล่อยไว้กลางป่าแบบนี้อีก กูกลัวจะไม่มีใครออกตามหาเราอย่างที่ขิงพูด พวกเราจะรอดไปได้ไหมวะ” นี่ซินะความอ่อนแอที่พี่บุ๋นพยายามซ่อนมันเอาไว้

“ไม่เป็นไรแล้วพี่” ผมกอดพี่เค้าให้แน่นขึ้น “พี่เชื่อในพี่ท๊อปไหมล่ะ พี่เชื่อไหมว่าความคิดถึงของพี่จะส่งไปถึงพี่ท๊อป แต่สำหรับอ่ะ ผมเชื่อนะว่าพี่ตองต้องคิดถึงผมอยู่ตลอดเวลา”

“เชื่อดิ ไม่มีทางที่พี่ท๊อปจะปล่อยกูไว้แบบนี้แน่นอน.... ถ้ารอดกลับไปได้ กูจะไม่ปากแข็งกับพี่ท๊อปอีกแล้ว กูจะพาพี่ท๊อปไปหาที่บ้าน จะไม่ทำให้แต่ละนาทีมันต้องสูญเปล่า”



“ผมก็เหมือนกัน”

หึ!

ไอ้ข้าว แล้วก็ขิงด้วย ตื่นกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนีย สงสัยพี่บุ๋นจะปรับทุกข์เสียงดังไปหน่อย

พี่บุ๋นค่อยๆปล่อยกอดผมออก

“ผมจะไม่ใช้ชีวิตให้ผ่านไปวันๆ” ไอ้ข้าวบอกแล้วนั่งลงข้างพี่บุ๋น “แต่ผมก็ยังเชื่อนะพี่ว่ายังไงเราก็ต้องรอด”

ขิงไม่พูดอะไรแต่กอดผมแน่นและเอาศีรษะมาอิงที่ไหล่ของผม แล้วไม่นานน้ำตาก็ค่อยๆไหลออกมา

“ดีแล้วล่ะทุกคน ร้องไห้ไปเลย” ผมแทบจะตะโกนออกมา ใจจริงแล้วผมอยากตะโกนฝ่าความมืดและความน่ากลัวของป่าผืนใหญ่อันแสนวังเวงเพื่อขับไล่ความกลัวที่มันยั้งรากลึกอยู่ในหัวใจของผมและทุกคนออกไปเสียด้วยซ้ำ “ร้องไห้ให้กับความโชคร้าย แต่เราจะไม่ยอมแพ้ กูเคยรอดตายมาแล้วครั้งนึง ทำไมครั้งนี้กูจะรอดไปอีกไม่ได้.... พี่ตองงงงงงง ชาอยู่นี่!!!!” ในที่สุดผมก็ตะโกนออกมาจริงๆ

“พี่ท๊อปปปปปปปปป บุ๋นอยู่นี่!!!!! **บุ๋นคิดถึงพี่น้าาาาา....**" พี่บุ๋นก็ตะโกนเช่นกัน

“ต้อมมมมมมมมม ขิงอยู่นี่!!!!! ได้ยินไหมมมมมมม”

“สุ่ยยยยยยยย ข้าวเจ้าอยู่นี่!!!!! ช่วยพวกเราด้วยยยยยยย”



“...........................................”

มีเพียงความเงียบที่ตอบกลับมาทันนั้น



“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ” แล้วพวกเราก็หัวเราะในความบ้าของตัวเองทั้งๆที่ยังมีน้ำตา นี่ซินะความกลัว มันทำให้คนเราทำอะไรบ้าบอออกไปได้โดยไม่รู้สึกอาย





“........................ชา”



!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!



“ด....ได้ยินไหม” นี่ผมหูฟาดไปหรือเปล่าที่ได้ยินเสียงพี่ตองดังแว่วมา

“นั่นดิ!!” พี่บุ๋นก็เหมือนจะได้ยิน ขิงกับไอ้ข้าวเริ่มมองหาต้นเสียงอย่างมีความหวัง

ผมลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อมองหาต้นเสียงที่ทุกคนต่างได้ยิน รู้สึกเหมือนความหวังมันผุดขึ้นเป็นบ่อน้ำร้อนในใจ



“ชาาาาาา.....” “น้ำขิงงงงง” “บุ๋นครับบบบ” “ข้าวเจ้าาาาา...”



“เห้ย!!! เสียงนั่นมัน” พี่บุ๋นลุกขึ้นมา แต่พวกเรายังไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าเสียงมาจากไหน

“ไฟ!” ผมนึกบางอย่างออก “ทุกคนหยิบฟืนที่ติดไฟขึ้นมาเร็ว ช่วยกันแกว่งสูงๆ”

ผมลงมือก่อนเลย แล้วที่เหลือก็รีบทำตาม จากนั้นก็เป็นการตะโกนอย่างบ้าคลั่ง



“พี่ตองงงงงง”  “ต้อมมมมมม” “พี่ท๊อปปปปป” “สุ่ยยยยยยย”



พวกเราต่างตะโกนและแกว่งไม้ที่ติดไฟไปมาในอากาศ



“น....นั่น!!!” ขิงเป็นคนเห็นบางอย่างเป็นคนแรก มันปรากฎเป็นแสงสว่างของไฟในทิศที่สูงขึ้นไปบนภูเขาไม่ไกลนัก

ผมและอีกสามคนไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรทั้งนั้น พวกเราต่างวิ่งกันไม่คิดชีวิต ตรงดิ่งไปหาแสงไฟแห่งความหวัง เราไม่รู้หรอกว่ามีใครอยู่ที่นั่นบ้าง แต่สัญชาตญาณของผมบอกว่าต้องมีพี่ตองอยู่ในนั้นแน่ๆ



และในที่สุด......



“พี่ตอง” ผมถลาเข้าไปหาพี่ตองทันที พี่เค้าก็เหมือนจะวิ่งเข้ามาหาผมเหมือนกัน

“ชาเป็นไงบ้าง ป...ปลอดภัยนะครับ” พี่ตองพยายามถามผมทั้งๆที่ยังกอดผมแน่น

“ปลอดภัยครับ ชาไม่เป็นไร”

ความอบอุ่นนี้ กลิ่นกายนี้ สัมผัสนี้

คิดถึงเหลือเกิน

ช่างรู้สึกปลอดภัยจนไม่กล้าหนีไปจากอ้อมกอดของความรักและความห่วงใยนี้อีกแล้ว

“ขอบคุณสวรรค์” พี่ตองจูบที่หัวของผมและกลับมากอดอีกครั้ง “ขอโทษนะครับที่มาช้า พี่นึกว่าจะเจอพวกชาที่ฝาย แต่ไม่รู้ฝายมันหายไปไหน คงจะโดนน้ำพัดไป พวกพี่ก็เลยได้แค่เดินตามหากันไปเรื่อยๆ จนได้ยินเสียงชาตะโกนขึ้นมา ถึงได้รีบวิ่งมานี่”

“ค...ครับ” ที่แท้เรื่องก็เป็นแบบนี้เอง “ชาติดอยู่ที่ฝายจริงๆ แต่พอขึ้นมาบนฝั่งได้ ฝายมันก็พังลงมาเลย”

“โชคดีแล้วครับที่ไม่เป็นอะไร หลังจากนี้พี่ไม่ยอมให้อยู่ห่างจากสายตาแล้วนะ”

“ครับ...."





--- มุมของนายต้อม ---



“น้ำขิง” ผมแทบจะหยุดหายใจที่ได้เห็นว่าคนในอ้อมกอดของผมยังมีชีวิตอยู่ แต่ตามเนื้อตัวนี่ซิ “ทำไมมีแผลเต็มไปหมดเลยอ่ะ เจ็บไหม”

“ม....ไม่....เจ็บ” น้ำขิงเอาแต่ร้องไห้ซุกในอกของผม ตอนนี้ผมไม่ได้สนใจคนอื่นๆที่ได้เจอกันเลย

“ขอโทษนะ ทั้งๆที่ควรจะเป็นต้อมแท้ๆที่มากับไอ้ชา ไม่น่าต้องให้น้ำขิงมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้เลย”

“ฮื่ออออ.......” แฟนตัวเล็กของผมยังคงร้องไห้ไม่หยุด ส่วนผมอะเหรอ ไหลพรากตั้งแต่รู้ว่าฝายหายไปจากธารน้ำตกแล้ว นึกว่าจะลอยกับไปถึงไหนต่อไหนแล้วซะอีก

“ไม่เป็นไรแล้วนะครับ เราจะได้กลับหมู่บ้านกันแล้วนะ”



--- มุมของบุ๋น ---



“พ...พี่ท๊อป” นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าการร้องไห้ในอ้อมกอดของพี่ท๊อปเป็นเรื่องที่ไม่น่าอายและสมควรทำที่สุด

“บุ๋นเป็นอะไรไหมครับ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า ทำไมเสื้อขาดแบบนี้ แผลล่ะ มีแผลไหมครับ” พี่ท๊อปยิงคำถามใส่อย่างร้อนรน

“ไม่เป็นไร... ทำไมพี่ท๊อปมาช้าจัง รู้ไหมว่าบุ๋นคิดถึงพี่แค่ไหน”

“คิดถึง!? ค...คิดถึงพี่อ่ะเหรอ”

“ก็ใช่ซิ”

“พี่ก็คิดถึงบุ๋นครับ แต่....”

“ไม่เป็นไร แค่มา บุ๋นก็ดีใจแล้ว เสาร์อาทิตย์นี้เราไปหาที่บ้านบุ๋นกันเลยนะ”

“บ้านบุ๋น?”

“ใช่ ไปขอพ่อบุ๋นกัน ว่าเราจะคบกัน แคนเซิลที่ต้องไปเกาหลีก่อน นะนะนะ ไปบ้านบุ๋นนะ”

“อ.... อ๋อ ได้ซิครับ ได้อยู่แล้ว ต้องไปอยู่แล้วซิครับ”

“บุ๋นคิดถึงพี่ท๊อปนะ คิดถึงมากด้วย”

“พี่ก็คิดถึงครับ....”





--- มุมของนายสุ่ย ---



“สุ่ย” ข้าวเจ้าวิ่งมายืนนิ่งอยู่ตรงหน้าผม แต่ไม่ยักกะกอดผมเหมือนอย่างคู่อื่นๆแฮะ

“ข..ข้าวเจ้า” แต่ผมอะเหรอ ไม่ยอมนิ่งเฉยหรอก จับคนตรงหน้าเข้ามากอดเลย ไม่ใช่เพราะอยากทำเหมือนคนอื่นนะ แต่มันคือความรู้สึกที่อยากจะทำจริงๆ “เก่งมากที่ไม่เป็นไร”

“แน่นอนอยู่แล้ว นี่ข้าวเจ้านะ ต้องเก่งอยู่แล้ว” ถึงปากจะพูดแบบนั้นแต่สุดท้ายคนในอ้อมกอดของผมก็น้ำตาไหลออกมา “ทำไมถึงออกมาตามหาเองล่ะ ไม่น่าเสี่ยงออกมาเองแบบนี้เลย ทหารก็มี”

“ก็พวกนั้นบอกจะออกตามหาตอนเช้า ใครจะไปรอไหวล่ะ ข้าวเจ้าเป็นแฟนสุ่ยแล้วนะ ไม่ให้สุ่ยออกมาเองได้ยังไง”

“ขอบคุณนะ.... ขอบคุณที่เป็นแฟนกัน”

“ขอบคุณเหมือนกันครับ”

“สุ่ยก็เก่งเหมือนกันนะที่เดินตามหาข้าวเจ้าจนเจอ”

“การเดินทางแม้ไกลหมื่นลี้ก็ต้องเริ่มต้นจากก้าวแรกเสมอ.... เล่าจื้อว่าไว้ ต่อให้ไกลกว่านี้ก็จะตามหาให้เจอให้ได้”





--- มุมของน้ำชา ---



"กลับกันเถอะครับคุณหนูๆ" หึ! อ้าว นั่นหัวหน้าหมู่บ้านนี่นา เพิ่งจะเห็นว่ามาด้วย "ก่อนที่จะดึกไปมากกว่านี้"

"ค...ครับ" ผมค่อยๆปล่อยกอดออกจากพี่ตอง คนอื่นๆก็เช่นกัน

"เราต้องเดินทางอีกสองชั่วโมง ทุกคนไหวนะครับ"

"ไหวครับ" ผมตอบ "รีบไปกันเถอะครับ"



"ชาหิวไหม เกตุฝากนี่มาให้" พี่ตองยื่นห่อใบตองให้ผม "เนื้อเค็มกับข้าวเหนียว"

"ไม่หิวอ่ะ ไอ้ข้าวเพิ่งทำอาหารให้กินเอง" เอ๊ะ ลืมเลย "คุณกาสิ่นครับ ยังไม่ได้ดับไฟที่กระท่อมเลยครับ"

"ไม่เป็นไรหรอกครับคุณหนู" คุณกาสิ่นตอบกลับ "อากาศเย็นขนาดนี้ไฟไม่ลามหรอกครับ"

"อ้อ ครับ"

"ส่วนอันนี้แอมฝากมาให้" พี่ตองยังมีของอีกอย่างยื่นมาให้ผมระหว่างเรากำลังเริ่มเดินตามหลังหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อขึ้นไปบนเขา

"กล่องเข็มกลัดนิ? เอามาทำไมอ่ะ"

"เปิดดูซิครับ"

"เห้ยยยย นี่มัน ​หนึ่ง สอง สาม.... เก้า สิบ​ สิบอัน!? มาจากไหนอ่ะ"

"พวกปีสองพร้อมใจกันยกให้ เหลือแค่ของพี่กับของไอ้บุ๋น เดี๋ยวกลับไปถึงหมู่บ้านแล้วพี่จะเอาให้นะ"

"ยังก่อน"

"ทำไมครับ ไม่อยากได้เหรอ"

"อยากซิ แต่ชาอยากได้หลังจากทำภารกิจให้หมู่บ้านมากกว่า ตอนแรกก็ไม่กะว่าจะคิดหรอก อยากให้พวกปีหนึ่งคนอื่นๆเป็นคนคิดมากกว่า แต่ตอนนี้ชาว่าสิ่งนี้จำเป็นที่สุดสำหรับหมู่บ้านลับหมอกมากๆ"

"อะไรเหรอครับ"

"เดี๋ยวพรุ่งนี้......







.....ก็รู้ครับ"
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-06-2018 23:41:45 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ พลอยสวย

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1622
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-5
ลุ้นตามไปอี๊กก..รอดแล้ว

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ค้างงงงงง ต่ออีกแล้ว   :z3: :z3: :z3:

ขอแก้ที่ผิดนะ
ไอ้ข้าว แล้วก็ขิงด้วย ตื่นกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนีย
สงสัยพี่ท๊อปจะปรับทุกข์เสียงดังไปหน่อย
------ ตรงนี้น่าจะเป็นพี่บุ๋นนะ
เพราะไปตามหาตองกันแค่ สามคน มี ชา ขิง บุ่น
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
ค้างงงงงง ต่ออีกแล้ว   :z3: :z3: :z3:

ขอแก้ที่ผิดนะ
ไอ้ข้าว แล้วก็ขิงด้วย ตื่นกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนีย
สงสัยพี่ท๊อปจะปรับทุกข์เสียงดังไปหน่อย
------ ตรงนี้น่าจะเป็นพี่บุ๋นนะ
เพราะไปตามหาตองกันแค่ สามคน มี ชา ขิง บุ่น
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:



ขอโตดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด และขอบคุณที่แก้ให้น้าาาาาา เลิฟๆๆๆๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ netich

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
​ตอนที่ 51 : 39th







“เด็กๆอยู่ที่ไหน”

“ในห้องพยาบาลครับ”

ผมได้ยินเสียงหมอพิชิตดังอยู่นอกห้องพยาบาลที่มีผม ขิง พี่บุ๋น และไอ้ข้าวนอนอยู่



“น้ำชา เด็กๆ เป็นยังไงกันบ้าง ปลอดภัยดีหรือเปล่า” หมอพิชิตแทบจะวิ่งเข้ามาในห้องพยาบาลและเอ่ยถามตั้งแต่ยังมองไม่เห็นพวกผมเสียด้วยซ้ำ

“ปลอดภัยดีครับ” ผมตอบ

“กาสิ่นบอกว่าเจอพวกคุณเดินอยู่ใกล้ๆหมู่บ้านตอนเช้า”

“ครับ” ผมโกหก “พวกเราหาทางกลับมาหมู่บ้านครับ บังเอิญว่าคุณกาสิ่นไปพบพอดี”

“นี่เดินในป่ากันทั้งคืนเลยเหรอ”

“ค...ครับ” อย่าให้ผมต้องโกหกไปมากกว่านี้เลยนะครับคุณหมอ

“มันอันตรายรู้ไหม เดินป่าตอนกลางคืนแบบนั้น น่าจะอยู่เฉยๆรอให้พวกทหารพรานไปรับ”

“พวกเรากลัวกันน่ะครับ” พี่บุ๋นช่วยผมโกหกบ้าง คงเห็นว่าผมเริ่มไม่อยากพูดแล้ว “ก็เลยเดินในป่าไปเรื่อยๆ หวังว่าจะเจอหมู่บ้าน”

“เอาล่ะๆ กลับมาได้ก็ดีแล้ว บุญรักษาแล้วล่ะ ยังไงก็พักผ่อนซะนะ เดี๋ยวสายๆผมให้นิสิตแพทย์มาดูอาการให้ เดี๋ยวผมไปดูอาการคนป่วยอาหารเป็นพิษเมื่อวานก่อนนะ”

“ครับ” พวกเราตอบและทำทีนอนต่อทั้งๆที่ก็นอนอยู่นี่ทั้งคืน

สาเหตุที่ต้องโกหกว่าบังเอิญเดินกลับมาถึงหมู่บ้านเองก็เพราะว่าจะได้ไม่เป็นการทำให้พวกพี่ตองเดือนร้อนที่ขัดคำสั่งอาจารย์หมอออกไปตามหาพวกผมกันเองโดยพลการ



“ชา” เกตุคือแขกคนใหม่ที่เข้ามาในห้องพยาบาล เธอมาพร้อมกับมายด์ ดูเหมือนว่าทั้งสองจะแอบซุ่มอยู่นานแล้ว แต่รอจนหมอพิชิตออกไปก่อน “เป็นไงบ้าง”

“อ...โอเค ไม่เป็นไร” ถึงจะเคยถูกเนื้อต้องตัวกับเกตุมาบ้างแล้วเวลาที่เต้นด้วยกัน แต่ครั้งนี้เกตุวิ่งเข้ามากอดผมแบบจริงจังมาก ยังไงก็ผู้หญิงอะนะ มันเขิน

“ปีหนึ่งทุกคนเป็นห่วงมากเลยรู้ไหม” เกตุเล่าก่อนจะผละออกจากตัวผม “พวกเราแทบจะไม่ได้หลับได้นอนเลย ทำไมไม่บอกกันบ้างว่ามาถึงตั้งแต่เมื่อคืน”

“เดี๋ยวหมอพิชิตจะรู้ว่าพวกพี่ตองออกไปตามอ่ะ” ผมอธิบาย “ก็เลยไม่บอกใครเลยดีกว่า... แล้วรู้กันได้ไงอ่ะ”

“พี่ตองบอกน่ะซิ  แต่ก็ดีแล้วล่ะที่ไม่เป็นอะไร ไหนเล่าให้ฟังหน่อยซิว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

“ให้น้ำชาพักก่อนไหมเกตุ” มายด์รีบท้วง

“ไม่เป็นไร เรานอนมาทั้งคืนแล้ว” ผมบอก

“งั้นเหรอ... เดี๋ยวก่อนนะ ก่อนที่จะเล่า เกตุเอาไอ้นั่นให้น้ำชาดูซิ”

“ไอ้นั่นอ่ะเหรอ... มันจะดีเหรอ”

“พูดเรื่องอะไรกันอ่ะ” ไอ้นั่นไอ้นี่กันอยู่นั่นแหละ พูดเป็นการ์ตูนโคนันไปได้

แต่ความสงสัยก็ไม่ได้อยู่บนหน้าของผมนานนัก เกตุดึงกระดาษออกมาจากในกระเป๋าเสื้อของเธอแล้วส่งให้ผม

“อะไรเหรอ?” ผมถาม อีกสามคนที่นอนอยู่ก็เริ่มให้ความสนใจเหมือนกัน

“เพลง” มายด์บอก

“เพลง?” ผมคลี่ออกมา

“เกตุใช้เวลาคิดทั้งคืนเลยนะ” มายด์เล่าให้ฟัง “เพราะเป็นห่วงพวกน้ำชามาก แต่ทำอะไรไม่ได้ ก็เลยแต่งเพลงขอพรให้ทุกคนปลอดภัย”

“จริงเหรอ!?” ผมแทบจะร้อง

“ก็มันทำอย่างอื่นไม่ได้แล้วนิ” เกตุสารภาพ

“มายด์เห็นว่ามันเพราะดี ความหมายก็ดี ก็เลยช่วยเกตุแต่ง เผื่อว่าจะใช้เป็นเพลงประจำรุ่นของเราได้”

“...........ว้าววววว” ผมไม่ได้ว้าวแค่ความสามารถในการเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสของเกตุกับมายด์นะ แต่เนื้อเพลงมันว้าวมาก ความหมายดีจริงๆด้วย อย่างกับมันบอกเรื่องราวของผู้นำเชียร์รุ่นนี้ไว้ทั้งหมด และมีเนื้อหาบางส่วนที่เหมือนจะบอกกับคนที่หลงในป่าอย่างพวกผมให้กลับมาด้วย “ชื่อเพลง Thirty – ninth... เอ่อ.... ลำดับที่สามสิบเก้าเหรอ?”

“ใช่” เกตุตอบ “เลขประจำรุ่นของพวกเราไง มานี่ เดี๋ยวร้องให้ฟัง.... (ไม่เคยฟังเกตุร้องเพลงจริงจังมาก่อนเลย)....



เพลง Thirty – ninth



กว่าร้อยชีวาที่สร้างให้ฝันเป็นจริง  จากวันนั้นมันเป็นทางที่ช่างยิ่งใหญ่

เริ่มจากรัก เริ่มจากฝัน เริ่มจากความตั้งใจ รวมเป็นพลังแห่งมัณฑนา



*อาจแม้บางครั้งมีทางที่สูงและชัน  อาจมีฝน ธารธาราพัดพาเข้าใส่

จะกี่แรงที่ฉุดรั้งให้ไม่อาจร่วมเดินไป  แต่เราก็ยังคงมีศรัทธา



**อยู่แห่งไหนสิบสองดวงใจจะกอด  เป็นพลังที่ไม่อาจพรากเราให้ห่าง

เพราะเธอคือเพื่อนที่รัก เพราะเรายังปรารถนา**ให้กลับมา มาร่วมเป็นเหล่าผู้นำ



***นี่คือฝัน ความฝันแห่งมัณฑนา  คือทางที่ร่วมเดินมา  จุดหมายที่ไม่ว่างเปล่า

จงอดทน อย่าหยุดยั้ง มุ่งสู่ฝันและวันของเรา จิตวิญญาณจะไม่สิ้นสุดไป

จับมือกันเอาไว้ ให้ใครได้รู้ว่าเรา คือทีมอันภาคภูมิใจ เป็นดวงดาวที่สว่างนภา

จะส่องแสงสว่างสดใสเป็นสิบสองมัณฑนา We are MANTANA Leader only.

So.... 39th LEADER of POWER CHEER



(ซ้ำ * , ** , *** )

(ซ้ำ *** )



We’re 39th team.

We’re 39th soul.

We’re 39th team.

We’re 39th soul.

We’re 39th team.

We’re 39th soul……"

( สามารถติดตามเพลงนี้ได้ใน https://www.youtube.com/watch?v=iljH9JzPv5M )






“โว้วววววววววววว” คนฟังทั้งสี่อย่างผม ขิง พี่บุ๋น และไอ้ข้าว อดไม่ได้ที่จะอุทานและปรบมือ ถึงแม้จะยังไม่มีดนตรีจริงจังแต่ทำนองมันเหมือนจะดังออกมาในใจ ผมเชื่อว่าถ้าทำเพลงนี้ให้สมบูรณ์แบบ ต้องไพเราะมากแน่นอน

“เพราะมากเลยเกตุ” ขิงเอ่ยชม “แบบนี้เราต้องคิดแปลอักษรที่สวยๆซะแล้ว การแสดงจะได้สมบูรณ์แบบ ใช้เป็นเพลงจบได้เลย”

“ยังไม่รู้ว่าพวกเพื่อนๆจะว่ายังไงเลย” เกตุเขินนิดหน่อย “อาจจะไม่ชอบก็ได้”

“ไม่มีทางอ่ะ” ผมพูดอย่างมั่นใจ “ไม่มีเพลงไหนที่เหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว เพลงของรุ่นสามสิบเก้าก็ต้องเป็นเพลงนี้แหละ เชื่อซิว่าทุกคนต้องชอบ”

“เห็นไหม บอกแล้ว” มายด์สนับสนุน “เข็มกลัดก็ใกล้ครบแล้ว เพลงใหม่ก็มีแนวโน้มว่าจะโอเค คราวนี้ก็เหลือแค่สร้างนวัตกรรมใหม่ให้กับหมู่บ้านซินะ”

“เราว่าเราคิดออกแล้วนะว่าจะทำอะไร” ผมบอกทันที

“อะไร!?” ทุกคนในห้องถามพร้อมกัน

“อะไรที่จะทำให้หมู่บ้านนี้ปลอดภัยมากขึ้น และทุกคนก็จะมีส่วนในการทำสิ่งนี้แน่นอน เอาเป็นว่าเดี๋ยวเล่าให้ฟัง เกตุกับมายด์ช่วยตามเพื่อนๆมาหาเราด้วย มาทีละสองสามคนก็พอนะ”

“ได้”

“คืออย่างงี้....” ฮั่นแน่ อยากรู้ละซิว่าผมคิดอะไรได้ แต่ยังไม่บอกหรอก เพราะผมขี้เกียจเล่าหลายที เอาเป็นว่ารู้พร้อมๆกับชาวบ้านทุกๆคนก็แล้วกันนะ



หลังจากที่ผมเล่าถึงแผนการสร้างสิ่งใหม่ให้กับหมู่บ้านจบ เกตุกับมายด์ก็ออกไปตามเพื่อนคนอื่นๆมา ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาในห้องพยาบาลตลอด

จนเมื่อผมได้รับการทำแผลและยืนยันว่าสภาพจิตใจปกติ ไม่ได้บ้าไปเพราะตกน้ำและหลงป่า พวกเราสี่คนก็ถูกปล่อยให้ไปทำภารกิจอื่นๆได้ ผมไม่รอช้าที่จะเริ่มงานของตัวเองอย่างที่ตั้งใจไว้ ในเมื่อเพื่อนปีหนึ่งทุกคนเห็นชอบกับความคิดนี้แล้ว จะรอช้าอยู่ใย





“เกตุไปคิดท่าเต้นเพลงใหม่เถอะ ตรงนี้มีคนช่วยเยอะแล้ว” ผมบอกเกตุ ตอนนี้ปีหนึ่งทุกคนกำลังรุมทำโปรเจ็คอยู่ที่กลางหมู่บ้านในเวลาหลังมื้อเที่ยง

“ไม่เป็นไร ช่วยกันดีกว่า” เกตุบอก

“ไม่ต้อง ของแค่นี้เอง จริงๆไม่ต้องใช้คนเยอะขนาดนี้ด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ เกตุไปนอนพักซะหน่อยก่อนดีกว่านะ ตาโรยหมดแล้ว”

“ไม่เป็นไรไง...”

“ไปเถอะน่า... พักบ้าง ไปๆ มายด์ ช่วยพาเกตุไปนอนหน่อย”

“นั่นซิเกตุ” มายด์เห็นด้วย “มายด์ก็ง่วงจะแย่แล้วเนีย แต่งเพลงทั้งคืนจนไม่ได้นอนเลย ไปนอนก่อนดีกว่านะ”

“เกตุไม่ง่วงอ่ะ” แน๊ะ ยังจะไม่ไปอีก

“พอๆๆๆ วางของลงเลย เดี๋ยวเราช่วยกันทำเอง ไปพักผ่อนเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องเถียงแล้ว ไปเลย”

“ก็ได้... งั้นเดี๋ยวเกตุคิดท่าเต้นละกันนะ”

“ได้ แต่อย่าลืมนอนก่อนนะ ตื่นแล้วก็ให้มายด์มาตามเพื่อนผู้ชายละกัน จะได้มีคนช่วยคิดท่าเต้นฝ่ายผู้ชายด้วย”

“โอเค งั้นไปนอนละนะ ตาจะปิดอยู่แล้ว”

นั่นไง ไหนบอกไม่ง่วง





“ต้อมๆ อันนี้ใส่ปูนเยอะเกินไปไหมอ่ะ”

“โอเคแล้ว แต่ต้องคนนานๆหน่อย แน่ใจนะว่าน้ำขิงจะทำเอง ให้ต้อมทำให้ไหม”

“ไม่ๆ ขิงอยากลองทำ”

ขิงกับไอ้ต้อม สองคนนี่ก็หวานกันกว่าเดิมไปอีกกกก หลังจากเกือบจะโดนพรากจากกัน



“เอาคุกกี้อีกไหม”

“ก็ดีนะ ป้อนหน่อยครับ”

“ดูมือด้วย เดี๋ยวก็ตอกตะปูโดนนิ้วตัวเองหรอก”

ไอ้ข้าวกับไอ้สุ่ยยิ่งแล้วใหญ่ ไอ้พวก.... เออ กูนึกคำด่าในใจไม่ออก



“ซูชิที่บุ๋นทำให้เมื่อวันก่อนเป็นไงบ้าง อร่อยไหม”

“ซูชิ? ที่เอามาให้พี่ก่อนจะขึ้นเขาอ่ะเหรอ นั่นบุ๋นทำเองเหรอ ไหนบอกว่าซื้อมาไง”

“เปล่า บุ๋นโกหก บุ๋นเป็นคนทำเอง บุ๋นรู้ว่ามันยังไม่ค่อยดี แต่จะซ้อมมือเรื่อยๆก็แล้วกันนะ”

“ครับบบบ ถ้าบุ๋นทำ ยังไงก็อร่อย”

โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยย

เออ หวานกันเข้าไป  หวานกันไปหมด





“..................”



ส่วนกูก็ได้แต่ยืนยิ้มให้ไอ้พี่ตอง ก็จะอะไรซะอีกล่ะ พอเหตุการณ์สงบ กฎการห้ามพูดกับรุ่นพี่ก็ถูกนำกลับมาใช้ใหม่

พวกมึงช่วยไปสวีทกันไกลๆได้ไหม

เลิกคิดๆ ตั้งใจทำงาน



ปีหนึ่งต่างช่วยกันทำงานจนพระอาทิตย์ตกดินแต่ก็ยังไม่ได้หยุด นั่นเพราะสิ่งที่ทำจำเป็นต้องทำต่อเนื่อง ไม่สามารถพักงานแล้วกลับมาทำต่อพรุ่งนี้ได้

จากที่เคยหนาว ตอนนี้ไม่หนาวเลย เหนื่อยแทน เหงื่อเต็มตัวเสียด้วยซ้ำ ก็เพราะงานที่ทำนั่นมันหนักมากกกกกกก ไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย ดีนะที่ปีหนึ่งทุกคนเริ่มมีใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ไม่มีใครทิ้งงานเลย ทุกคนช่วยกันอย่างไม่ยอมเหน็ดเหนื่อย จนน่าจะเสร็จสิ้นตอนเที่ยงคืนเห็นจะได้ ผมก็ไม่แน่ใจเรื่องเวลาเหมือนกัน ไม่มีนาฬิกานี่นา ……..



..........................................................



“นานกว่าสามสิบเก้าปีที่ชาวเผ่ามลาบรีถูกรวบรวม ชักชวน จนกลายมาเป็นหมู่บ้านลับหมอกแห่งนี้” ช่วงสายของเช้าวันใหม่มาถึงพร้อมกับการกล่าววาทะของผมต่อหน้าชาวบ้านหลายสิบชีวิต โดยมีสักขีพยานมากมาย ทั้งปีหนึ่ง หัวหน้าหมู่บ้าน เหล่าทหารพราน ผู้นำเชียร์ปีสอง ตัวแทน ก.น.ช. พี่ชมพู่ นิสิตแพทย์ และอาจารย์หมอพิชิต  นี่เป็นอีกครั้งที่ได้มีโอกาสใช้สิ่งที่พวกพี่ลีดสอนมา การพูดต่อหน้าสาธารณะ “หลายต่อหลายปีที่ผ่านมา ตัวแทนนักศึกษาจากแดนไกลต่างนำพาความก้าวหน้า ทรัพยากร และความรู้มาสู่หมู่บ้านแห่งนี้ ครั้งแรกที่ผมมองเห็นที่นี่ ผมบอกได้เลยว่า มันงดงามและมีคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง

ในตอนที่พวกผมได้รับโจทย์มาว่าให้สร้างหรือนำพาสิ่งใหม่มายังหมู่บ้าน ผมกลับไม่รู้สึกว่าอยากจะเพิ่มเติมอะไรเลย สิ่งที่หมู่บ้านนี้เป็นอยู่ มันงดงามในตัวของมันอยู่แล้ว สิ่งที่หมู่บ้านนี้มีอยู่ มันก็เพียบพร้อมเพียงพอต่อปัจจัยการดำเนินชีวิตอยู่แล้ว ผมยอมรับเลยว่า ผมนึกไม่ออกจริงๆว่าจะสามารถนำพาอะไรใหม่ๆมาให้หมู่บ้านได้  แต่.... เหตุการณ์เมื่อเร็วๆนี้ ความโกลาหลของคนป่วย อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับผมและเพื่อนๆ  ทำให้ผมตระหนักได้ถึงหลายสิ่งหลายอย่างว่า หมู่บ้านลับหมอกแห่งนี้ไม่ได้ต้องการสิ่งใดมาเพิ่มเติมอีกแล้ว สิ่งที่ต้องการมากที่สุดคือสิ่งนี้ครับ...”

พวกปีหนึ่งช่วยกันยกผ้าที่คลุมแท่นปูนอันใหญ่ออก

นี่ไม่ใช่ประดิษฐกรรมแต่อย่างใด เป็นเพียงแท่นปูนซีเมนต์สูงหนึ่งเมตรครึ่งที่มีข้อความเขียนเป็นรอยลึกทุกด้านเท่านั้น โดยด้านบนสุดของแต่ละด้านมีข้อความที่เหมือนกันคือ ข้อห้ามพื้นฐาน 24 ประการ และใจความของนื้อหาในนั้นถูกเขียนเรียงเป็นข้อๆ ดังนี้



(ด้านที่หนึ่ง)

1.  อย่ากินอาหารที่ไม่แน่ใจว่าปลอดภัย – มายด์

2.อย่าประกอบอาหารที่ไม่รู้วิธีทำ – ข้าวเจ้า

3.อย่าปล่อยเด็กเล็กไว้ตามลำพัง – สุ่ย

4.อย่าใช้สมุนไพรที่มีสารเสพติดโดยไม่มีเหตุอันสมควร – โซนี่

5.อย่าเข้าใกล้ธารน้ำตกเมื่อมีน้ำหลาก – น้ำชา

6.อย่าก่อกองไฟในอาคารปิด – ของขวัญ



(ด้านที่สอง)

7.อย่าทำร้ายหรือเข่นฆ่าผู้อื่น – มิน

8.อย่าขโมยทรัพย์สินของผู้อื่น – อุ้ม

9.อย่าโกหกจนผู้อื่นเดือดร้อน – คิน

10.อย่าผิดผัวเมียของผู้อื่น – อาร์ม

11.อย่าดื่มเหล้าจนขาดสติ – บิวตี้

12.อย่าปล่อยใครไว้ในป่าตามลำพัง – แชมป์



(ด้านที่สาม)

13. อย่าล่าสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ – เกรซ

14.อย่าหลงเชื่อสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ – เบส

15.อย่าตัดไม้ทำลายป่า – ซีแกรม

16.อย่าสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นในหน้าหนาว – มิโอะ

17.อย่าปล่อยร่างกายให้เปียกฝนนาน – มิค

18.อย่าจุดไฟใกล้ป่าในหน้าร้อน – ราดา



(ด้านที่สี่)

19.อย่าลืมเพิ่มพูนความรู้ - ต้อม

20.อย่าลืมความกตัญญู – ไข่ไก่

21.อย่าลืมหน้าที่ของตนเอง – เมฆ

22.อย่าลืมที่จะมีสติเสมอ – เบียร์

23.อย่าลืมให้เกียรติกันและกัน – พาย

24.อย่าลืมความสามัคคี – เกตุ



“นี่คือ... ข้อห้าม ครับ” ผมกลับมากล่าวต่อ “ข้อควรจำและปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยในตัวของทุกๆคนเอง เป็นทั้งข้อเตือนสติและข้อคิด  เราทุกคนอยู่ร่วมกัน หากไม่มีกฎมาเป็นตัวตีกรอบ สักวันหนึ่งการทำอะไรโดยพลการอาจทำให้เกิดความเดือดร้อนที่ไม่คาดฝัน  อีกทั้งมันยังจะช่วยเป็นครรลองที่จะทำให้ชุมชนเป็นไปในทิศทางเดียวกันและกลายเป็นความแข็งแกร่งได้ในที่สุดครับ

ครั้งนี้ ผมต้องขอโทษจากใจในฐานะตัวแทนนักศึกษารุ่นนี้ เราไม่ได้มอบวัตถุหรือวิทยาการเพื่อความก้าวหน้าแก่หมู่บ้านอย่างที่รุ่นอื่นๆได้ทำมา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันทำให้ผมได้เรียนรู้สองอย่างจากที่นี่ ข้อหนึ่งคือเราไม่จำเป็นต้องมีมากมาย การรับหลายสิ่งหลายอย่างเข้ามามากจนเกินไป อาจทำให้กลายเป็นผลเสียโดยไม่รู้ตัว หากเราไม่รู้จักวิธีจัดการกับมัน ข้อที่สอง คือคำสอนจากหมอพิชิต เราไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แต่เราเลือกที่จะไม่ทำสิ่งที่ไม่ดีได้.... วันนี้ผมและตัวแทนผู้นำเชียร์รุ่นที่สามสิบเก้าจากมหาวิทยาลัยมัณฑนาทั้งยี่สิบสี่คน จึงขอมอบ ข้อไม่ควรปฏิบัติทั้งยี่สิบสี่ประการไว้แก่หมู่บ้านลับหมอก และหวังใจเป็นอย่างยิ่งว่า ชาวบ้านเผ่ามลาบรีแห่งนี้จะใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้นนะครับ ขอบคุณมากครับ....”



เย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้



เห้อออออออออออ

โล่งอก ไม่ใช่เพราะเสียงปรบมือนะ แต่เพราะข้อห้ามที่พวกเราช่วยกันคิดขึ้นได้รับการตอบรับที่ดีต่างหาก สิ่งนี้จะช่วยให้ชาวบ้านใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาทและเติบโตเป็นชุมชนที่ดีขึ้นเรื่อยๆ

ภูมิใจจัง

นี่ซินะ ความภาคภูมิใจที่พี่ชมพู่พูดถึง



“ขอบคุณมากนะครับคุณหนูๆ” คุณกาสิ่นเข้ามาจับมือจับไม้กับพวกปีหนึ่ง “ผมจะจำและเน้นย้ำให้ชาวบ้านปฏิบัติตามให้ได้มากที่สุดครับ”



“หวังว่าจะไม่มีใครทำอาหารอะไรแปลกๆอีกนะครับ” ไอ้ข้าวเปิดประเด็นสนทนาชวนหัวกับป้าๆ



“นี่ๆ ข้อนี้กูเป็นคนคิดโว้ย โคตรเพี้ยวอ่ะ...” อ้าวๆ โม้กันใหญ่



แล้วบรรยากาศหลังเปิดแท่นจารึกข้อห้ามก็คึกคักไปด้วยการสนทนาของชาวบ้านและเด็กปีหนึ่ง





“ไอ้ชา”

“ครับ”

“มึงคุยกับกูได้ไง กูแขวนป้ายอยู่เห็นไหมเนี่ย”

อ้าวพี่บุ๋น แล้วพี่จะเรียกผมทำไม

“อะนี่”

หึ!!!

“เข็มกลัดไม้ไง ของรางวัลจากกู เก่งมากนะมึงอ่ะ สมแล้วที่เป็นลีดอัจฉริยะของคณะวิทย์... แล้วจะเอาเข็มกลัดไหมเนี่ย กล่องล่ะ?”

อ๋อออออ

กล่องไม้ เอามาด้วยพอดี ผมรีบเปิดกล่องและยื่นให้พี่บุ๋น

พี่บุ๋นปักเข็มกลัดไม้ลงผ้ากำมะหยี่อย่างยากลำบาก เพราะพื้นที่ภายในกล่องแทบจะไม่ว่างแล้ว

“คือ.... กูต้องบอกความหมายเข็มกลัดของกูด้วยไหม ไม่ค่อยอยากพูดเลย รู้สึกเหมือนหนังจีนยังไงไม่รู้ เออๆ พูดหน่อยละกัน เข็มกลัดไม้คือผู้สละความล้มเหลว ไอ้แท่งปูนข้อห้ามอะไรของมึงนี่ก็... ถือว่าสำเร็จแล้วนะ งั้นเอาเข็มกลัดไม้ไปได้เลย.... โอเคแล้วนะ กูไม่อยากพูดมากกว่านี้แล้ว ขนลุก ไปนะ เก่งมากๆ”

ผมได้แต่ยิ้ม จริงๆก็อยากจะพูดว่าขอบใจและแซวอะไรพี่เค้านิดหน่อยนะ แต่กฎมันค้ำคออยู่





“อะแฮ่ม”

“พ.....” เกือบลืมอีกแล้ว พูดกับพี่ตองไม่ได้นี่หว่า สัญญาณปลดป้ายยังมาไม่ถึง เห้อออออ อึดอัดจัง

“เข้าใจคิดนะครับที่สร้างกฎขึ้นมา” ไอ้คนตัวสูงยังยืนกอดอกพูดอยู่ข้างๆผม ทั้งที่รู้ว่าผมคุยด้วยไม่ได้ “นอกจากจะใช้เป็นแนวทางให้ชาวบ้านได้แล้ว ยังเป็นการให้ปีหนึ่งทั้งยี่สิบสี่คนได้มีส่วนร่วมกันแบบเห็นๆ เห็นชื่อกันชัดๆไปเลย แบบนี้ก็คงไม่มีใครมาหาว่าชาทำอะไรจนไปข่มชื่อคนอื่นแล้วซินะ..... เก่ง ฉลาด จิตใจดี สมแล้วที่เป็นแฟนพี่”

“.........” อือหือ กูไม่ยืนฟังต่อได้ไหมเนี่ย

“ว่าแต่ เมื่อไหร่จะดึงเข็มกลัดเพชรไปจากพี่ซะทีละครับ.....









......มันปักอยู่ตรงหัวใจพี่นานแล้วนะ”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-06-2018 07:04:12 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
ตอนที่ 52 : หอคอยเกียรติยศ







“ไม่ได้... เริ่มใหม่”

“มีคนเต้นผิด... เริ่มใหม่”

“ไม่พร้อมกันเลย... เริ่มใหม่”

“..........เริ่มใหม่”

“......เริ่มใหม่”

“...เริ่มใหม่”

“เริ่มใหม่”

“ร...”

“ขอพักก่อนได้ไหม เราเต้นกันไม่ไหวแล้ว”

“นี่วันศุกร์แล้วนะ เผื่อใครยังไม่สังเกต ถึงจะเป็นตอนเช้าแต่เราไม่เหลือเวลา...”

“ใจเย็นก่อนเกตุ” ผมตัดสินใจพูดกับเกตุหลังจากเงียบมานาน “ให้ทุกคนพักก่อนเถอะนะ”

“ห้านาที” เกตุสั่ง

“สิบ”ผมแย้ง คงมีผมคนเดียวที่สามารถขัดคอเกตุในโหมดสุดโหดนี้ได้ “สิบนาที เถอะน่าเกตุ ให้ทุกคนได้นั่งพักบ้าง เราไม่ใช่หุ่นยนต์นะ เมื่อวานก็ซ้อมจนแทบไม่ได้นอน เช้านี้ก็มาซ้อมต่ออีก เราไม่ควรเพิ่มคนในห้องพยาบาลนะ”

“ก็ได้ สิบนาที แต่เราไม่มีนาฬิกา เอาเป็นว่ารีบพักก็แล้วกัน เราเรียกเมื่อไหร่ก็ให้พร้อมด้วยนะ”



“เห้อออออออออออ”

ทุกคนถอนหายใจพร้อมกันก่อนจะทิ้งตัวลงไปนั่งกับพื้น บางคนถึงขั้นนอนแผ่หราลงไปเลย



“ดื่มน้ำกันก่อนนะทุกคน” ขิงรีบแสดงความเป็นห่วงเป็นใยด้วยการถือน้ำมาให้พวกลีดปีหนึ่ง



พอเห็นเกตุเข้มงวดกับการฝึกแบบนี้แล้ว ผมก็ชักเป็นห่วงอนาคตรุ่นน้องผู้นำเชียร์ของคณะวิทยาศาสตร์ในปีหน้าซะแล้ว

ตอนนี้ลีดปีหนึ่งทั้งยี่สิบสี่คนกำลังยืนซ้อมเต้นเพลง Thirty-ninth กันอยู่ที่ลานต้นไม้เก่าแก่ โดยมีขิงนั่งคิดแผนสำหรับทำโชว์สแตนอยู่ข้างๆ และพี่ตัวแทน ก.น.ช.ผู้หญิงกับพี่หนิงคอยสังเกตการณ์ไม่ห่าง

นี่คือวันสุดท้ายของการอยู่หมู่บ้านลับหมอกแล้ว หลังจากเปิดตัวแท่นจารึกข้อห้ามอันเป็นผลงานของพวกเราไป เกตุก็เกณฑ์ปีหนึ่งให้มาซ้อมกันเลย เราซ้อมกันเป็นวงกลมเพื่อให้เห็นกันหมด และต่อให้ตกกลางคืนก็ยังมีแสงสว่างจากกองไฟที่อยู่ตรงกลางส่องสว่างอยู่ตลอด จึงทำให้การซ้อมที่ผ่านมาทรหดมาก ผมและเพื่อนลีดแทบจะไม่ได้พักเลย เกตุเข้มงวดมาก ว่าก็ว่านะ ผมเองพอได้เห็นความจริงจังของเกตุแล้วก็หายสงสัยเลยว่าทำไมเธอถึงมีทักษะการเป็นผู้นำเชียร์ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น แสดงว่าต้องผ่านการฝึกแบบนี้มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว

เช้าของวันนี้ไม่มีปีหนึ่งคนไหนอยู่ในหมู่บ้านเลย แต่คงไม่มีปัญหาหรอก เพราะเราอยู่ห่างออกไปแค่แป๊บเดียว ถ้าเกิดเรื่องฉุกเฉินอะไรขึ้นจริงๆก็วิ่งกลับหมู่บ้านได้ไม่ยาก



“โอเคทุกคน เราควรซ้อมได้แล้ว” เกตุเรียกแล้ว

ซ้อมซิจ๊ะ รออะไร





เห้ออออออออออออออออออออ

สายก็แล้ว…..

เที่ยงก็แล้ว…..

บ่ายก็แล้ว……

นี่มันไม่ง่ายเลยนะที่จะซ้อมเต้นเพลงที่เพิ่งจะคิดท่าเต้นขึ้นมาภายในเวลาวันเดียว แถมยังต้องซ้อมกันเองอีก ไม่มีรุ่นพี่มาควบคุมเลย แต่ครั้งนี้แหละที่ได้เห็นแล้วว่าทักษะการเต้นของใครเฉียบคมกว่ากัน ใครที่ยังยิ้มได้เสมอแม้เหงื่อจะไหลท่วมตัว ใครที่มีวินัยด้วยการยกการ์ดขึ้นเสมอ ใครที่สามารถแสดงสิ่งที่รุ่นพี่สอนได้อย่างมีสติ และใครกันแน่ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง

มันมีสงครามประสาทเกิดขึ้นหน่อยๆ ในความไม่ยอมกันของผู้เข้ารอบทั้งยี่สิบสี่คน เมื่อกลิ่นอายของการต่อสู้เริ่มปะทุ เกตุก็แทบจะไม่ต้องจี้หรือสั่งอะไรอีกแล้ว ไม่รู้ซิ แต่รู้สึกว่ามีอะไรสักอย่างทำให้ผมเชื่อว่าพี่หนิงไม่ได้นั่งดูพวกเราอยู่เฉยๆ เธอดูกำลังจะประเมินพวกผมอยู่



ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก............



“เสียงระฆังไม้...ใช่ไหม?” ไอ้ต้อมถาม

“นั่นนะซิ” ผมเองก็ส่งสัย ปกติเสียงนี้จะดังเฉพาะตอนที่พระอาทิตย์ใกล้ตกแล้วเพื่อเตือนชาวบ้านให้จุดใต้เพลิงไฟและเป็นเวลาของการปลดป้าย MUSE ไม่ใช่เหรอ  “แต่นี่มันยังไม่ใกล้ค่ำเลยนะ หรือจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ไปดูกันเถอะ”

“กูว่ารีบดีกว่า”



แล้วทุกคนก็หยุดการซ้อมเต้นไว้แต่เพียงเท่านั้น ต่างตั้งหน้าตั้งตาวิ่งกลับไปที่หมู่บ้าน

ทันทีที่กลับไป ไม่ดูเหมือนว่ามีเหตุการณ์ความไม่สงบใดๆเกิดขึ้น บ้านเรือนก็ดูเงียบเชียบเป็นปกติ แต่พวกเราก็ยังวิ่งตรงต่อไปเรื่อยๆ หมายว่าจะพบสิ่งผิดปกติสักอย่างหนึ่ง



“ไม่เห็นมีอะไรเลย” ไอ้ข้าวเอ่ยออกมา ทุกๆคนก็สงสัยเช่นกัน

“ตรงโน้น” เสียงของมายด์ชี้บอกทาง

ก็ไม่รู้หรอกว่าคืออะไรแต่ก็วิ่งแห่กันไปเป็นขบวน จนกระทั่งมาถึงจุดที่คุ้นเคย ระฆังหน้าโรงนอนรุ่นพี่ เพียงแต่ไม่มีใครอยู่เลย นอกจาก...พี่ชมพู่เพียงคนเดียว



“หมดเวลาของพวกเธอแล้วนะ” นั่นคือคำแรกที่ออกมาจากปากพี่ชมพู่

หมายความว่าไงวะ นี่พวกเราทำภารกิจไม่สำเร็จเหรอ

“แต่พวกเราใกล้จะทำภารกิจกันครับแล้วนะคะ” เกตุรีบประท้วง

“ใจเย็น” จู่ๆพี่ชมพู่ก็ดูสงบและใจเย็น ปกติถ้าไม่ถูกใจคำพูดของใครก็คงจะเกรี้ยวกราดออกมาแล้ว “หมดเวลาหมายถึง หมดเวลาซ้อมแล้ว ถึงเวลาต้องแสดงแล้ว ตัวแทนปีหนึ่งสะสมเข็มกลัดได้ครบหรือยัง”

“เอ่อ....” หมายถึงกูอะดิ บ้าชิบ รู้งี้น่าจะดึงเข็มกลัดจากไอ้พี่ตองมา มันอุตส่ายื่นโอกาสมาให้ตั้งหลายที แต่ตอนนั้นมันเขินนี่นา ชอบพูดจาหว่านเสน่ห์ใส่ ใครจะไปกล้าดึงอะไรมาจากอกของมันกันล่ะ

“ว่าไง?”

“ข...ขาดหนึ่งอันครับ”

“งั้นเหรอ เดี๋ยวก็คงครบ” ห๊ะ อะไรนะ “ใกล้เวลาจะต้องจากหมู่บ้านแล้วนะ ดีใจไหม”

"..........." จะดีใจหรือเปล่านะ ไม่รู้ซิ แต่ได้ยินแบบนี้แล้ว มันใจหายมากๆ เลย

“ตามมา”

ตาม?

ตามไปไหนวะ



พวกปีหนึ่งทั้งหมดถูกพาให้เดินตามพี่ชมพู่ไปอย่างสงบแต่เต็มไปด้วยความสงสัย

พวกเราเหมือนจะเดินกลับไปเส้นทางเดิมที่เพิ่งจะวิ่งมาเมื่อสักครู่ ระหว่างเดินพวกพี่ทหารพรานก็เดินสวนไปทางหน้าหมู่บ้านด้วยกระเป๋าสัมภาระพร้อมเดินป่าเหมือนวันที่พาพวกเราขึ้นมาที่หมู่บ้านนี้

เอ? นี่มันยังไง จะกลับกันแล้วจริงๆเหรอ

แล้วพี่ปีสองหายไปไหนหมด

ความสงสัยของผมสิ้นสุดเหมือนกลับมาพบพวกผู้นำเชียร์ปีสองอีกครั้งที่ลานต้นไม้เก่าแก่ พวกพี่เขายืนหน้ากระดานอยู่ข้างต้นไม้ หมอพิชิตก็ยืนอยู่ด้วย พี่ท๊อป พี่ ก.น.ช.ผู้หญิง อยู่นี่หมดเลย



“เชิญ” พี่ชมพู่บอกให้เดินต่อไป

พวกเราดูเก้ๆกังๆกันไปหมดเพราะไม่เข้าใจในบรรยากาศที่สงบนิ่งนี้



“ถึงเวลาสำหรับพิธีสุดท้ายแล้วนะคะน้องๆ” พี่หนิงเป็นคนออกมาพูด “แต่ตามธรรมเนียมแล้ว ทุกครั้งที่จะมีพิธีสำคัญอะไร จะต้องมีการเต้นเปิดงานของผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยก่อน และนี่ก็คือพิธีหนึ่งที่สำคัญมากๆ เช่นเดียวกันกับที่พวกพี่ในฐานะผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนา จะเต้นเพลงมาร์ชมหาวิทยาลัย...เป็นครั้งสุดท้าย นี่คือพิธีอำลาของรุ่นพี่เพื่อส่งต่อเพลงมาร์ชให้กับน้องๆนะคะ” พี่หนิงหยุดพูดก่อนจะหันซ้ายขวาเพื่อมองเพื่อนๆในรุ่นเดียวกัน



“มัณฑนา พร้อม” พี่ตองส่งเสียงให้สัญญาณ

“พร้อม” ทุกคนรับ

“สาม สี่”



“รั้วสีทองส่องแสงในล้า....”

โห..... ไม่เคยเห็นพวกพี่เค้าร้องเพลงมาร์ชด้วยตัวเองมาก่อนเลย เสียงมันดังพร้อมเพรียงและกังวานเหมือนกับว่าได้ยินไปทั้งป่าเขา



ปีหนึ่งทุกคนได้แต่ยืนอ้าปากค้างทั้งๆที่เห็นการเต้นเพลงมาร์ชจากลีดมหาลัยมาไม่รู้อีกครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว แต่ทำไมครั้งนี้มันดูศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้ ไม่กล้าละสายตาหรือแม้แต่ขยับตัวเลย



พี่ตองเท่ห์จัง ผมยอมรับเลยว่าสายตาของผมมองเห็นแต่พี่เค้าที่ยืนอยู่ใกล้กับต้นไม้ที่สุด

แต่ในความชื่นชมเพียงไปนานก็พบเข้ากับสิ่งสะเทือนใจสิ่งใหม่

พี่ตองเหมือนกำลังจะร้องไห้ออกมา ถึงจะไม่เห็นเป็นสายน้ำตาไหลรินแต่นัยตาก็แดงกล่ำอยู่เนืองๆ ส่วนพี่คนอื่นๆก็แทบไม่ต่างกัน ทุกคนเริ่มจะร้องเพลงมาร์ชกันไม่เป็นเพลง เสียงสั่นเครือและสะดุดบ้าง นี่พวกพี่เขาจะต้องเต้นเพลงนี้เป็นครั้งสุดท้ายจริงๆเหรอ ความรู้สึกของการหมดหน้าที่มันเป็นแบบไหนกันนะ



“....ให้คำมั่นสัญญา ว่าจะเป็นคนดี บัญฑิตศรี แห่งรั้วมัณฑนา”



เป็นการจบเพลงมาร์ชที่เศร้าที่สุดเท่าที่ผมเคยดูมาเลย ปกติต้องมีเสียงกรี๊ดหรือเสียงปรบมือซิ ทำไมครั้งนี้มีแต่เสียงสะอื้นไห้



“แล้ว...” เกตุกล้าๆกลัวๆที่จะต้องพูด “ต่อไปพวกเราต้องเต้นใช่ไหมคะ”

“ไม่จำเป็นหรอก” พี่หนิงตอบ เธอปาดน้ำตาของตัวเองออกและพยายามควบคุมการพูด “พี่นั่งดูมาทั้งวัน พี่เห็นแล้ว จากที่เห็น น้องๆคือทีมที่ดี ไม่ว่าสิบสองคนสุดท้ายจะเป็นใคร พี่เชื่อว่าเราจะได้ทีมที่ดีมาอย่างแน่นอน”

ไม่ต้องเต้นจริงเหรอ

“ขอบคุณน้องๆทุกคนนะครับที่ฝ่าฝันกันมาถึงจุดนี้” คราวนี้เป็นพี่บุ๋นที่พูด ดูจากรูปการแล้ว คงจะเป็นการพูดต่อๆกันของพวกพี่ปีสอง “พี่เข้าใจความรู้สึกของน้องๆบางคนที่อาจจะต้องพยายามมากกว่าคนอื่นหน่อยเพราะเราไม่ได้เกิดมาพร้อมพรสวรรค์ด้านนี้ พี่เองก็มาจากจุดนั่นเหมือนกัน แต่ในที่สุดก็พาตัวเองมาถึงตรงนี้ได้ เก่ง เก่งมากครับ และขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับ น้ำชา ข้าวเจ้า และน้องน้ำขิงนะ ที่จับมือเผชิญวิกฤตมาด้วยกัน ขอบคุณครับ”

“หลังจากกลับมหาวิทยาลัย น้องๆบางส่วนก็คงจะต้องโบกมือลาตำแหน่งผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัย แต่อย่างน้อยเราก็ได้แสดงจิตวิญญาณร่วมกัน อยากให้เก็บความประทับใจตรงนี้ไว้นะคะ”

“พี่ก็ขอต้อนรับน้องๆล่วงหน้านะครับ และยินดีสำหรับสิบสองคนที่จะมาเป็นผู้นำเชียร์รุ่นต่อไป ฝากลีดมหาลัยมัณฑนาด้วยนะครับ ผู้นำเชียร์บนหอคอยเกียรติยศทุกคน”

“การฝึกหนักยังไม่จบลงเท่านี้นะคะ หลังจากกลับไปมหาวิทยาลัย น้องๆที่ได้รับคัดเลือกจะเหลือเวลาอีกหนึ่งอาทิตย์สำหรับการฝึกที่หนักที่สุดในชีวิต ยังไงพี่ก็เป็นกำลังใจให้ล่วงหน้านะ”

“วันนี้พี่มาส่งได้เท่านี้นะครับ หลังจากนี้ต้องไปต่อกันด้วยตัวเองแล้ว ทั้งภาระด้านผู้นำเชียร์และงานที่อาจจะเข้ามาอีกมากมาย สู้ๆก็แล้วกันนะครับ”

“สำหรับพี่ พี่ขอยืมคำของอาจารย์พิชิตมาพูดก็แล้วกันนะ ไม่มีใครสามารถสมบูรณ์แบบได้ แต่เราเลือกที่จะละในสิ่งไม่ดีได้ จากนี้ก็เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับทุกๆคนที่จะมองมาที่น้องๆนะคะ”

“การมาอยู่ที่นี่ในปีนี้ พี่กลับมาอีกครั้งในฐานะรุ่นพี่ แต่ปีที่แล้วพี่มาในฐานะรุ่นน้อง แล้วก็ยังไม่แน่ในแล้วด้วยซ้ำว่าจะได้รับสิทธิ์กลับมาอีกหรือเปล่า แต่อย่างน้อยพี่ก็ได้ทิ้งสิ่งดีๆให้แก่หมู่บ้าน พี่ขอพูดแทนน้องๆที่อาจจะไม่ได้รับคัดเลือกเป็นสิบสองคนสุดท้ายนะครับว่า น้องไม่ต้องเสียใจ น้องได้ทำทุกอย่างอย่างที่ผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยมัณฑนาได้ทำแล้ว”

“จากนี้อีกหนึ่งสัปดาห์พี่คงต้องขอโทษน้องๆล่วงหน้านะคะที่อาจจะทำให้น้องๆต้องเหนื่อยกว่าที่เคย เวลาของการฝึกซ้อมในฐานะผู้นำเชียร์ประจำมหาวิทยาลัยไม่ใช่ทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบแน่นอน และที่เคยฝึกกับคณะก็คงจะหนักกว่านั้นมาก ยังไงก็เตรียมใจไว้ให้พร้อมนะ”

“You all have proved that you can be great Cheer Leader of Mantana university with your actions ,your opinions and especially your minds . I’m so proud of you everyone.”

“ขอบคุณที่พิสูจน์หลายสิ่งหลายอย่างให้พวกพี่ๆได้เห็นนะคะ” ถึงคิวของพี่แอม “ขอบคุณที่ยอมรับฟังคำแนะนำ คำสั่ง และคำสอน ไม่ว่าจะมาจากรุ่นพี่คนไหนก็ตาม สิ่งที่น้องๆทำไปทุกอย่าง มันไม่ใช่แค่การกระทำเพื่อการเรียนรู้ แต่น้องๆเองก็สอนหลายเรื่องให้พวกพี่เหมือนกัน จากนี้พี่ก็คงจะขอให้น้องๆเปิดใจเรียนรู้อะไรให้มากขึ้น พี่เองก็จะเปิดใจเรียนรู้สิ่งที่จะได้รับจากน้องๆเช่นเดียวกันค่ะ”

ผมคิดไปเองหรือเปล่าว่าพี่แอมพูดถึงเรื่องความบาดหมางของผมกับพี่เค้า

“สุดท้ายนี้” มาถึงจนได้ ในที่สุดก็เป็นคราวของพี่ตอง “ปรบมือให้ตัวเองด้วยครับที่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้ด้วยการทำภารกิจสำเร็จไปแล้วสองอย่าง” ทุกคนพากันปรบมือและโห่ร้อง “และนี่คือภารกิจสุดท้าย การเติมเต็มหอคอยเกียรติยศ พี่เข้าใจว่ายังเหลือเข็มกลัดของพี่อีกอันนึงใช่ไหมครับที่ยังไม่ได้ไป” อย่านะ อย่าพูดออกมาเชียวนะ “พี่ไม่มอบให้หรอกนะครับ” อ้าว*!!!* “ยกเว้นแต่ว่าจะมาดึงเอาไปเอง แต่... มีแค่คนเดียวเท่านั้นนะ ที่ดึงเข็มกลัดของพี่ออกไปได้”

หูวววววววววววววววว

กูว่าแล้วววววว ไอ้พี่ตอง มึงนี่มัน... พวกมึงก็ไม่ต้องมีส่งเสียงแซวกูเลย



“ไปดิไอ้ชาเย็น”

“เห้ย!!!”

ไอ้ต้อม ไอ้เพื่อนเวร ผลักกูซะแรงเลยนะมึง ทำเอากู...... เสียหลัก จน.... มาอยู่.... ในอ้อมแขนของพี่ตอง...บ...แบบนี้

“......................................”

ผมกลืนน้ำลายอย่างประหม่า แต่ก็ไม่ยอมผละออกจากคนที่กำลังสบตา เหมือนความอบอุ่มของดวงตาและผิวกายของพี่ตองจะดึงดูดโอบรัดผมไว้อย่างฝืนไม่ได้

หูววววววววววววววววววววววววววววว

กรรม

ลืมตัวเลย



“เดี๋ยวก่อน” ไอ้พี่ตอง เล่นบ้าไรเนีย ยังจะมากอดรั้งไว้อีก นี่มันต่อหน้าคนอื่นนะ

“ป...ปล่อย” ผมพยายามกระซิบไม่ให้คนอื่นได้ยิน ทั้งเขินทั้งอายเลยตอนนี้

“ดึงเข็มกลัดไปก่อนซิครับ”

“เอ่อ... ก็ปล่อยก่อนซิครับพ..พี่ตอง” ต่อหน้าสาธารณะชนที่มองกูกับไอ้คนตรงหน้าเป็นตาเดียวแบบนี้ กูต้องพูดให้สุภาพซินะ

“เชิญครับ” ยังจะมายิ้มอีก

ผมรีบเอื้อมมือไปดึงเข็มกลัดที่ปักเสื้อตรงหน้าอกของไอ้พี่ตองออกมา ไม่รู้ว่ามันดึงยากหรืออะไร แต่ผมรู้สึกเหมือนตัวเองถูกควบคุมด้วยรีโมทชะลอเวลาเลย...

"ข...ขอบคุณครับ" ดึงออกมาได้ซะที

“เชิญวางในแท่นได้เลยครับ” พี่ตองเผยมือไปที่ต้นไม้เก่าแก่

เติมเต็มซินะ

จากนั้นผมเดินช้าๆไปที่ต้นไม้

มันมีช่องสำหรับวางเข็มกลัดที่เป็นหลุดวงกลมขนาดเท่ากันเป๊ะๆสิบสองช่อง พอได้มาเห็นใกล้ๆในเวลามีแสงสว่างแบบนี้แล้ว ไอ้ช่องพวกนี้มันมีลวดลายอยู่ด้วยนะ แต่เป็นลวดลายที่ดูไม่ออกว่าคืออะไร แถวยังมีลวดหรือโลหะอะไรสักอย่างโผล่อยู่ตามร่องตามขอบเหล่านั้น

ขั้นแรกผมก็วางเข็มกลัดเพชรที่ยังมือในมือลงไปในช่องบนสุด

วางได้เรื่อยๆเลยเหรอ

เอาวะ ก็มันทำได้แค่นี้นี่นา วางให้ครบก็แล้วกัน

ผมหยิบเข็มกลัดจากในกล่องไม้สีดำออกมาวางเรื่อยๆจนครบ

“...........”

แค่นี้เหรอ?

ผมหันไปหาพวกรุ่นพี่อย่างสงสัยก่อนที่พี่ตองจะส่ายหน้า อันเป็นสัญญาณว่า การวางไปส่งๆไม่สามารถทำให้ภารกิจนี้ผ่านได้

“เอ่อ...” ผมพยายามขอความช่วยเหลือจากเพื่อน จะบ้าเหรอ จะให้กูวางสับเปลี่ยนเข็มกลัดคนเดียวไปเรื่อยๆจนกว่าจะถูกเนี่ยนะ วันนี้ทั้งวันก็ไม่ได้กลับบ้านกันพอดี



“ต้องวางใหม่เหรอ?” เกตุคือคนแรกที่เดินเข้ามา จากนั่นเพื่อนๆก็เดินตามมาหมด ส่วนพวกพี่ๆก็หลบออกให้

“ก็คงงั้นอ่ะ” ผมตอบ

“ลองเปลี่ยนไปเรื่อยๆดูไหม”

“ไม่ไหวหรอก เข็มกลัดสิบสองอันเรียงสับเปลี่ยนได้ตั้งสิบสองแฟ็กวิธี(12!)”

“อะไรนะ?”

“แฟกทอเรียลไง การเรียงสับเปลี่ยนสิ่งของที่ต่างกัน สิบสองแฟ็กก็คงราวๆสี่ร้อยกว่าล้านวิธี (12! = 12x11x10x9x8x7x6x5x4x3x2x1 = 479,001,600)”

“ห๊ะ!?” ใช่ ต่อให้มีสิบแขนก็เรียงไม่ไหวหรอก



“เราขอดูใกล้ๆหน่อย” เพื่อนปีหนึ่งคนหนึ่งพูดขึ้น ก่อนจะแหวกทุกคนมาดูใกล้ๆแท่นกลางต้นไม้ คนนี้รู้สึกจะมาจากวิศวะนะ เขาดึงเข็มกลัดออกมาก่อนจะใช้สายตาส่องดูตามขอบของหลุดสำหรับวางเข็มกลัด “นี่มันทองแดงหรือเปล่า เราคิดว่าเป็นสายทองแดงนะ”

ไหนวะ

เออ จริงด้วย

“เข็มกลัดแต่ละอันก็มีส่วนประกอบของทองแดงเหมือนกัน ดูดิ” เพื่อนคนเดิมว่าต่อ “แค่เล็งให้ลวดทองแดงในเข็มกลัดตรงกับลวดทองแดงในช่องแต่ละช่องก็น่าจะโอเคแล้วนะ”

“แต่ลายมันไม่เหมือนกันเลยนะ” มายด์พูดออกมา

“เดี๋ยวนะ” ไอ้ต้อมเหมือนจะมองเห็นอะไร “สังเกตในแต่ละช่องดีๆดิ ทำไมมีทองแดงโผล่มาหลายทีจัง แต่ในเข็มกลัดมีแค่สองด้านนะ”

“เออ จริงด้วย” เพื่อนวิศวะกลับมาสงสัยอีกรอบ “แสดงว่าต้องมีตัวหลอกอยู่ด้วย”

“นี่กำลังคิดอะไรกันอยู่เหรอ” ผมพูดบ้าง “กำลังคิดกันอยู่ใช่ไหมว่าลวดทองแดงในเข็มกลัดเป็นสื่อนำไฟฟ้าให้ลวดทองแดงในแท่นวาง”

“ใช่”

“แล้วไฟฟ้ามาจากไหน?” ลืมคิดกันไปหรือเปล่าว่าที่นี่ไม่มีไฟฟ้า



“ดูข้างล่างซิ” เกตุร้องให้ดู

ไหน?

เห้ย!!

มีถ่านไฟฟ้าอยู่ตรงใต้ต้นไม้เต็มเลย วางใส่ช่องลวดเหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้าเสร็จสับ ไม่ทันจะเคยสังเกตเห็นช่องใส่ถ่านใต้ต้นไม้มาก่อนเลย

อ๋อออออ

แบบนี้นี่เอง ที่เรียกให้ปีหนึ่งไปที่ระฆังไม้ไผ่เมื่อกี๊ก็เพื่อเตรียมการด้วยการเอาถ่านไฟฉายมาใส่ไว้ตรงนี้ซินะ

“โอเค” ผมหายสงสัย “งั้นทฤษฎีการใช้ลวดทองแดงนำกระแสไฟฟ้าก็เป็นไปได้ แต่ก็อย่างที่สงสัยกันนั่นแหละ มันมีอันที่เอามาหลอกด้วย แค่เล็งอย่างเดียวคงช่วยอะไรไม่ได้”



“ลืมไปแล้วเหรอ” จู่หมอพิชิตก็พูดขึ้น “รุ่นของผมมีแต่เด็กวิศวะทั้งนั้น ของเล่นแบบนี้ เป็นเรื่องสนุกเชียวล่ะ”

เฮ้อออออออ เพื่อนอาจารย์หมอสนุก แต่พวกผมนี่งงสนิทเลย



“หรือว่าต้องเรียงตามลำดับเข็มกลัดที่ได้มา” ไอ้สุ่ยเสนอความคิด

“เป็นไปไม่ได้หรอก” ไอ้ข้าวขัด “ทุกรุ่นไม่มีทางได้เข็มกลัดด้วยลำดับเดียวกันอยู่แล้ว”

จริงอย่างที่ไอ้ข้าวบอก งั้นทุกรุ่นก็ต้องผลัดตกธารน้ำตกเหมือนกันนะซิ ทฤษฎีนี้ตกไป

ต้องมีอะไรบางอย่างที่ทุกๆรุ่นได้เหมือนกัน

สิบสองเข็มกลัดเหรอ....

หึ!!

เดี๋ยวนะ

“เกตุๆ” ผมเรียก “หนังสือข้อห้าม 12 เข็มกลัดอยู่ไหนอ่ะ”

“เอ่อ...” เกตุมองหา “ตรงโน้น” เธอรีบวิ่งไปดึงหนังสือเก่าออกมาจากในกระเป๋าสะพายของเธอ “อะนี่”

“ช่วยอ่านให้ฟังอีกทีหน่อย”

“อ่าน?”

“ใช่ ตรงกลอนอ่ะ แต่อ่านทีละวรรคนะ”

“โอเค.... อืม....  ความอ่อนแอ แค่ทาง ของคนหน่าย”

“เข็มกลัดอะไรแปลว่าผู้สละความอ่อนแอ?”

“อ๋อ” เกตุเริ่มเข้าใจ เธอรีบพลิกไปอีกหน้า “เข็มกลัดหิน”

ผมทำการเคลื่อนย้ายเข็มกลัดหินขึ้นมาไว้เป็นอันดับแรก

“วรรคต่อไปว่าไง”

“ความดุร้าย แค่ฉาก ของคนขลาด เอ่อ... เข็มกลัด...ลม” แล้วเกตุก็อ่านต่อไปเรื่อยๆโดยที่มีผมคอยวางเข็มกลัดให้ตรงกับบทกลอนนี้ “...เสียสละคือคำผู้นำคน...คือ...เข็มกลัดเพชร”



ขอให้ถูกทีเถอะ....



กริ่ง กริ๊ง กริง กริง กริ่ง กริ๊ง กริง กริ่ง....

“เสียงอะไรอ่ะ” ไอ้ต้อมพูด ไม่ใช่แค่มันคนเดียวหรอกที่ได้ยิน ทุกคนก็ได้ยินเหมือนกันหมด

จู่ๆก็มีเสียงฟังคล้ายๆกับดนตรีจากกล่องดนตรีดังออกมาจากภายในต้นไม้

“เพลงมิ่งขวัญมัณฑนา” ผมบอก ผมแทบจะรู้ในทันทีเลยด้วยซ้ำ ต่อให้เอามาทำเป็นเสียงแบบนี้ผมก็จำได้ เพราะเป็นเพลงที่ผมฟังและซ้อมเต้นมาเป็นร้อยๆรอบ ยอมรับเลยว่าคิดถึงเพลงนี้มาก และไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการเอามาทำเป็นดนตรีในลักษณะเสียงกล่องดนตรีจะไพเราะได้ขนาดนี้



“ว้าววว ดูนั่นซิ” มายด์ร้องออกมาพร้อมกับชี้ไปที่บนต้นไม้



พระเจ้า.....



กิ่งไม้ที่ตายแล้วพวกนี้กำลังส่องแสงออกมาจากหลอดไฟเล็กๆที่ซ่อนอยู่ นี่ก็เป็นอีกลูกเล่นนึงซินะ ปูนที่หล่อขึ้นเพื่อยึดโครงสร้างของต้นไม้ไหว ดูเหมือนจะมีการวางระบบไฟฟ้าไว้ข้างในด้วย ช่างประดิษฐ์กันจริงๆ

จังหวะดนตรีและดวงไฟระยิบระยับดวงเล็กๆเต้นระบำไปทั่วกิ่งก้านสาขาของซากต้นไม้ สวยงาม เหมือนได้อยู่ภายใต้ร่มเงาของรุ่นพี่ทุกๆรุ่นเลย แต่ละรุ่นก็คงจะทำตาเป็นประกายแบบนี้เหมือนกันซินะที่ได้เห็น

ความรู้สึกของการเป็นผู้นำเชียร์มันอบอุ่นขนาดนี้เชียวเหรอ



“นั่นอะไรอ่ะ” เกตุเรียกทุกคนให้ดู

ไหน?



คุณพระช่วยสำแดงเดชชชชช

ต้นไม้ต้นนี้มีกลไกอะไรซ่อนไว้อีกไหมเนี่ย ก็เพราะจู่ๆแถบปูนบนแท่นที่มีคำว่า หอคอยเกียรติยศ ก็ผลักตัวเองออกมาข้างหน้าก่อนจะค่อยๆเอียงลาดลงตามรูปทรงของกลไกที่ตั้งไว้จนเผยให้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ด้านใน...

เทียน*!?*

ทำไมถึงมีเทียนเก่าๆซ่อนอยู่ในนี้



หือ หื่อ หือ หื่อ หื้อ หือ.....

หลังจากเทียนแท่งสีขาวหนึ่งแท่งปรากฏออกมาจากแท่นปูนพร้อมๆกับเสียงดนตรีเพลงมิ่งขวัญมัณฑนาจากในลำต้นไม้เงียบลง เสียงฮัมเพลงก็ดังขึ้นมาทันทีที่ด้านหลังของพวกผม

พวกพี่ปีสองนั่นเอง พวกพี่เค้ากำลังฮัมเพลงช้าๆเพลงหนึ่งขึ้น โดยมีอาจารย์หมอพิชิตและพี่ท๊อปกับพี่ ก.น.ช.ผู้หญิงร่วมฮัมด้วย

พวกพี่เขาถืออะไรอยู่ในมือหว่า?

เทียน...ใช่ไหม

และในวินาทีนั่นเองที่ผมเข้าใจแล้วว่าพวกพี่เขากำลังต้องการจะทำอะไร

ผมจึงเอื้อมมือไปหยิบเทียนจากในแท่นปูนออกมา ก็เพราะว่าตอนนี้พวกพี่เขากำลังจุดเทียนส่งต่อมาจากหมอพิชิตทีละคนๆ และดับเทียนของตนเองลงทันทีที่เปลวไฟถูกส่งมอบออกไป ผมเข้าใจเลยว่าเปลวไฟนั่นจะต้องถูกส่งมาให้เทียนเก่าๆเล่มที่อยู่ในมือของผมแน่นอน



“ดวงดาว... สว่างสกาว....นภา... (มีร้องเพลงด้วยแฮะ โคตรซึ้งเลย)

ฟากฟ้า... เคยแต่งเติม...ด้วยฉัน....

ส่องแสง...แยงเย้า....เริงกัน....

แต้มฝัน... เป็นแสง... เรืองรอง....

ดวงดารา... ต้องถึงคราว... ลับจาก...

ฝากเพียงรัก... ศรัทธา...พวกพ้อง...

ลาแล้ว... หมดแสง...เคยครอง...

ฝากน้อง...เป็นแสง...คืนใหม่...

กาลเวลา... พัดพา...ให้เปลี่ยน...

จบบทเรียน... แห่งดาว... สุกใส...

เปลี่ยนผัน...เปลี่ยนฟ้า...อาลัย

เปลี่ยนให้...ดาวน้อย...ลอยแทน

ราตรีนี้...จะจรัส...  แสงใหม่...

คือดวงใจ... ทอประกาย... ทั่วท้อง...

จงเป็นแสง...พราวฟ้า...เรืองรอง...

ขอฝากน้อง...ส่องแสง...ทดแทน...

.....ดาวลับ หมดแล้ว เรืองรอง... ขอดาวน้อง... ส่อง...ทด...แทน...”

เทียนในมือของผมถูกจุดให้ติดพร้อมกับประโยคสุดท้ายของบทเพลงอำลา

พี่ตองที่เป็นคนส่งต่อเปลวเทียนเป็นคนสุดท้ายเป่าเทียนในมือของตัวเองให้ดับ เหลือไว้เพียงแสงเดียวในความครอบครองของผมและผองเพื่อนปีหนึ่งซึ่งพยายามแตะที่ตัวกันและกันโดยมิได้นัดหมาย อย่างกับว่าพวกเราทุกคนอยากมีส่วนในเทียนเล่มนี้



“เอากลับไปเก็บที่เดิมได้แล้วครับ” พี่ตองบอก

หมายถึงอะไร? จะให้เอาเทียนกลับไปไว้ในแท่นปูนเหมือนเดิมอะเหรอ

ดูจากสถานการณ์แล้วก็คงใช่ ผมหันหลังแหวกเพื่อนปีหนึ่งไปหยุดอยู่หน้าต้นไม้เก่าแก่อีกครั้ง ก่อนจะวางเทียนที่ยังติดไฟอยู่ลงไปในช่อง

มีน้ำตาเทียนหยดอยู่ในช่องอยู่แล้วซะด้วย แปลว่าทุกรุ่นก็คงได้ทำแบบเดียวกันแน่นอน เทียนเล่มนี้คงจะเคยถูกจุดมาแล้วบ่อยครั้ง



“ปิดพร้อมกันนะครับ” หึ! พี่ตองเดินมาอยู่ข้างผมตั้งแต่เมื่อไหร่

“....” ท...ทำอะไร

จู่ๆ พี่ตองก็จับมือผมขึ้นมาแล้วนำมันไปวางไว้ที่แท่นปูนซึ่งถูกกลไกดันออกมาก่อนจะเอามือของพี่เค้าทาบไว้ที่มือผมอีกครั้ง

อ๋อ... จะให้ดันปิดพร้อมกันซินะ

“พร้อมนะครับ” พี่ตองถาม

“ค...ครับ” ผมตอบเขินๆ ก็มันเขินจริงๆนิ แต่พิธีการมันพาไป อารมณ์ทุกคนกำลังคล้อยตาม จะให้ผมมาทำตัวกะโตกกะตากได้ยังไงล่ะ

“หนึ่ง...สอง...สาม”



แกร็ก

เทียนถูกแท่นปูนดันกลับเข้าไปให้เป็นพื้นเรียบตามเดิม แสงเทียนเล่มสุดท้ายก็หายไปเช่นเดียวกัน อีกทั้งแสงไฟกระพริบเล็กๆบนกิ่งก้านของต้นไม้ก็มืดลง

ทุกอย่างนิ่งสนิท ไม่มีความประหลาดใจอะไรต่อจากนั้นอีกแล้ว ไม่มีกลไก ไม่มีเสียงดนตรี ไม่มีเสียงเพลง มีเพียงบรรยากาศที่เหมือนถูกหยุดเวลาไว้ แต่ในใจของผมกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมพอจะบอกกับตัวเองได้



สำเร็จแล้ว

“จากนี้ไป ฝากชาด้วยนะครับ” พี่ตองพยายามพูดให้ผมฟังแค่คนเดียว “ฝากผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนา และ...







หัวใจของพี่ไว้ด้วยนะครับ”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-06-2018 23:43:20 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ พลอยสวย

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1622
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-5
ร้องไห้เคล้าบรรยากาศฝนตก...แอบคิดถึงบรรยากาศตอนรุ่นพี่รับเป็นน้องตอนปี1

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ไรท์สุดยอดดดดด   :katai2-1:
ทั้งแต่งเพลง ทั้งลูกเล่น ยอดมาก
ผูกเรื่องได้เก่งมากๆ  ชื่นชมไรท์จริง    :L1: :L1: :L1:

รอพบทีมผู้นำทั้งสิบสองคน    :hao3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เพิ่งได้เข้ามาอ่าน ชอบมากๆเลยค่ะ

ออฟไลน์ netich

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ onlyplease

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
หูยยยยย สนุกอ่ะ อ่านแบบไม่พักเลยยยยย

มาต่อไวๆนะ  :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
ตอนที่ 53 : ปฏิทินและสิ่งมีค่า







“บุ๋น... บุ๋นครับ”

“ค...ครับ” ผมถูกปลุกขึ้นมาจากการเผลอหลับไปในห้องคณะกรรมการ ก.น.ช. “เสร็จแล้วเหรอครับ”

“เสร็จแล้วครับ ขอโทษทีนะที่ใช้เวลาเขียนรายงานนานไปหน่อย”

“ไม่เป็นไร ว่าแต่ พี่ท๊อปได้เขียนเรื่อง...”

“ไม่ได้เขียนครับ จะไปเขียนได้ยังไงว่าการพาผู้นำเชียร์ปีหนึ่งไปนอกสถานที่มีอุบัติเหตุคนตกน้ำ พี่เองก็เป็นลีดมหาลัยมาก่อนนะครับ”

“ขอโทษที่ต้องทำให้โกหกนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ บอกแล้วไงว่าพี่ก็มีเลือดผู้นำเชียร์อยู่ในตัวเหมือนกัน... กลับกันดีกว่าครับ ดึกมากแล้ว”

“ครับ”



ในที่สุดก็ได้ออกจากมหาลัยซะที ตั้งแต่จบกิจกรรมที่หมู่บ้านลับหมอก ผมและผู้เดินทางทุกคนก็เดินทางกลับมาที่มหาวิทยาลัยมัณฑนา กว่าจะถึงก็ปาไปเกือบสี่ทุ่ม กว่าจะจัดการธุระที่ตึกผู้นำเชียร์เสร็จก็เกือบเที่ยงคืน แต่เพราะพี่ท๊อปต้องเขียนบันทึกรายงานการทำกิจกรรมนอกมหาวิทยาลัยส่งให้ผู้ใหญ่อีก ผมก็เลยต้องมานั่งรอเป็นเพื่อน เผลอหลับไปเหมือนไหร่ก็ไม่รู้

จริงๆแล้วพี่ท๊อปไม่ต้องรีบเขียนรายงานส่งก็ได้นะ แต่เพราะเสาร์อาทิตย์นี้มีเรื่องสำคัญที่จะเกิดขึ้น พี่เค้าก็เลยต้องเคลียร์ทุกอย่างให้เรียบร้อย



“ดูแล้วพวกน้ำชาคงจะมีสิทธิ์เป็นตัวจริงสูงนะงานนี้” พี่ท๊อปเปิดประเด็นระหว่างขับรถกลับบ้านพัก “โด่ดเด่นกันมากเลย”

“บุ๋นก็หวังอย่างนั้น” ผมตอบ ยังงัวเงียนิดหน่อย “บุ๋นให้คะแนนเต็มกับไอ้น้ำชาเลยนะ ส่งคะแนนให้พี่ชมพู่ไปแล้วด้วย ผลรวมคงจะออกวันจันทร์นี้ หวังว่ามันจะได้นะ น้องมันพยายามมากจริงๆ”

“เพื่อให้ได้ใกล้ชิดเจ้าตอง น้ำชาพยายามถึงแปดปี ทั้งน่าทึ้งและโรแมนติก ส่วนเราสองคนเองก็คงต้องพยายามเหมือนกันนะครับ”

“พยายาม?”

“ก็เรื่องวันพรุ่งนี้ไง เรื่องที่จะต้องไปหาครอบครัวของบุ๋น”

“นั่นซิ” ถึงผมจะเป็นคนออกปากเอง แต่นี่มันก็น่าหนักใจเหมือนกันนะ “แล้วพี่ท๊อปยกเลิกซ้อมที่เกาหลีไปแล้วเหรอ”

“ปิงปิงจัดการให้แล้วครับ อ่อ เรื่องที่ช่วยเคลียร์กับปิงปิงให้พี่ ขอบคุณนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ จริงๆบุ๋นไม่ได้เป็นเคลียร์ซะหน่อย แต่ไปขอให้ไอ้น้ำชาช่วย”

“ยังไงก็มาจากบุ๋นอยู่ดีแหละครับ ขอบคุณนะ ปิงปิงเป็นเหมือนเพื่อนและครอบครัวของพี่ พี่ผิดเต็มๆเลยที่ไปต่อว่าเค้าแบบนั้น”

“แล้ว... ครอบครัวพี่ไปไหนล่ะ”

“........” ชิบหายแล้วไง ทำไมพี่ท๊อปทำหน้าอย่างงั้นอ่ะ นี่เป็นสิ่งที่กูไม่ควรถามใช่ไหม

“ข..ขอโทษครับ บุ๋นไม่...”

“ไม่เป็นไรครับ พี่แค่ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน”

ก็ใช่น่ะซิ ผมไม่เคยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับครอบครัวพี่ท๊อปเลยทั้งๆที่ใกล้ชิดกันขนาดนี้

“พ่อกับแม่พี่แยกทางกันเมื่อตอนที่พี่อยู่ปอหก มันค่อนข้างเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับเด็กอายุแค่สิบสองปี แม่จับได้ว่าพ่อมีผู้หญิงอื่น แม่ก็เลยไล่พ่อออกจากบ้าน แต่ตัวแม่พี่เองก็ทำใจไม่ได้ หนีไปอยู่ซิดนี่ตั้งแต่ตอนนั้น”

“แล้ว...ทำไมพี่ไม่ไปอยู่ด้วยล่ะ” นี่ผมควรถามดีไหม แต่ก็ถามไปแล้วอะนะ

“ไม่รู้ซิครับ พี่ก็เสียใจนะ แต่ไม่ได้ถึงขั้นที่จะเอาความรู้สึกทั้งหมดมาตัดสินตัวเอง พี่ตัดสินใจอยู่ แม่เองก็เหมือนจะไม่อยากเห็นหน้าพี่เท่าไหร่นัก พี่คงหน้าเหมือนพ่อมั้ง แม่ก็เลยไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่โน่น เปิดร้านอาหารไทย ส่วนพี่ก็อยู่ที่ไทยคนเดียวกับแม่บ้าน พี่รู้ซึ้งถึงคำว่าพ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยเงินเลยนะ ก็เพราะหลังจากการแยกทางของพ่อกับแม่ สิ่งเดียวที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของพี่กับพ่อแม่ไว้ก็คือเงินที่พวกท่านส่งมาให้ทุกเดือน สำหรับพี่แล้ว เงินไม่เคยเป็นสิ่งมีค่าในชีวิตพี่เลย”

น่าสงสารจัง “แล้วพ่อพี่ไม่มาหาบ้างเหรอ”

“ก็มาบ้างครับ แต่พี่เองต่างหากที่หลบหน้า ยังไงซะพี่ก็โทษว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมาจากพ่อ เวลามันเยียวยาไม่ได้ทุกเรื่องหรอกนะ เพราะแบบนี้ไงปิงปิงถึงเป็นเหมือนครัวครอบของพี่ เรารู้จักกันมานานมาก ปิงปิงเป็นเพื่อนบ้านของพี่ตั้งแต่เด็กๆแล้ว เมื่อก่อนสมัยที่ปิงปิงแต่งตัวเป็นผู้หญิงใหม่ๆ ทั้งหมู่บ้านคิดว่าพี่เป็นผู้ชายของปิงปิงเลยแหละ แต่พี่ไม่สนใจหรอกนะ เราเป็นเพื่อนรักกันมานานจนมองข้ามคำนินทาไร้สาระพวกนั้นไปได้”

“พี่ว่าถ้าบุ๋นแต่งหญิงจะสวยไหม” ผมคิดขำๆ

“ห๊ะ! บุ๋นอยากทำอย่างนั้นเหรอ”

“ก็จะได้มีคนคิดว่าพี่ท๊อปเป็นผู้ชายของบุ๋นบ้างไง”



เอี๊ยดดดดดดดดด



“โอ๊ย! เบรกทำไมเนียพี่ท๊อป รู้ไหมว่าหัวเกือบจะ....” ผมแทบหยุดหายใจเมื่อคนขับรถข้างๆผมกำลัง... “จ...จะเอาหน้ามาใกล้บุ๋น ท..ทำไม”

“บุ๋นเปลี่ยนไปนะครับ เปลี่ยนไปมากเลยตั้งแต่เกิดเรื่องบนเขา”

“ล...แล้วไม่ช...ชอบเหรอ”

“อยากรู้ไหมว่าชอบหรือเปล่า”



หัวใจผมเต้นรัวเป็นกลองเลยตอนนี้



แล้วสิ่งที่คิดก็เกิดขึ้นจนได้....

พี่ท๊อปประทับจูบลงบนริมฝีปากของผม ทั้งหิวโหยและนุ่มนวลไปพร้อมๆกัน

ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ารสจูบของพี่ท๊อปจะเร้าร้อนได้ถึงเพียงนี้...



“พ...พี่ขอโทษ” พี่ท๊อปผลักตัวเองออกก่อนจะหายใจเข้าออกแรงๆอย่างกับคนที่เพิ่งจะโผล่พ้นจากน้ำลึก

“ก็...ไม่ได้ว่าอะไรนี่นา” ผมเขินนะ แต่ทำไมฟังคำพูดตัวเองแล้วเหมือนเชิญชวนให้คนที่ได้ยินมาทำอะไรมิดีมิร้ายยังไงก็ไม่รู้

“ไม่ได้ๆ พี่ต้องเคลียร์กับครอบครัวบุ๋นก่อน พี่บอกไปแล้วไง”

“โอเคแน่นะ” นี่กูเพิ่งจะโดนจูบนะ ทำไมกูต้องเป็นคนมาปลอบใจวะ

“โอเคครับ”

“งั้นก็รีบกลับได้แล้ว”

“กลับไปไหนครับ? เราถึงแล้ว”

“อ้าว” เออ จริงด้วย นี่บ้านเช่าของกูนี่หว่า ถึงตั้งแต่เมื่อไหร่วะ “ก็พี่ท๊อปชวนบุ๋นคุยอ่ะ”

“ครับๆ พี่ผิดเอง แล้วจะไปไหนน่ะ?”

“ก็ไปเปิดประตูรั้วไง”

“ไม่ต้องครับ เดี๋ยว...”

“พี่ท๊อปนั่นแหละไม่ต้อง เดี๋ยวบุ๋นเปิดเอง”

“ไม่ต้องงง พี่เปิดเองครับบบ บุ๋นเหนื่อยแล้ว”

“ไม่เห็นจะเหนื่อยเลย บุ๋นจะไปเปิดเอง”

“ให้พี่เปิดเถอะนะ”

“ไม่เอา ไม่ต้องบริการบุ๋นตลอดเวลาก็ได้ แค่นี้เอง”

“ให้...”

“พี่ท๊อป​" กูต้องขึ้นเสียงจนได้ซิน่า "บุ๋นบอกว่าบุ๋นจะไปเปิดเอง แล้วพี่ก็ขับรถเข้าไป เลิกเถียงกันได้แล้วมั้ง เดี๋ยวคืนนี้ก็ไม่ได้หลับได้นอนกันพอดี”

“อ...โอเคครับ”



แล้วผมก็ลงไปเปิดประตูรั้วจนได้ ระหว่างนั้นก็เหลือบไปมองบ้านข้างๆ เห็นไฟห้องนอนเพิ่งจะดับลงไป ไอ้ข้าวเจ้ากับไอ้สุ่ยคงจะเข้านอนกันแล้ว รู้เลยว่าคืนนี้พวกมันคงหลับเป็นตายเพราะเหนื่อยจากการเพิ่งลงจากเขาและเดินทางมาไกล ผมเข้าใจความรู้สึกนี้ดี ปีที่แล้วผมก็เคยเป็น

ส่วนผมเองก็ไม่ได้ว่าจะเก่งไปกว่าพวกปีหนึ่งสักเท่าไหร่หรอก หัวถึงหมอนได้ก็หลับแทบจะทันทีเหมือนกัน ทั้งๆที่ควรจะกังวลเรื่องในวันพรุ่งนี้ แต่ไม่ไหวแล้ว ขอหลับในอ้อมแขนอุ่นๆของพี่ท๊อปก่อนก็แล้วกันนะ

ราตรีสวัสดิ์....

#เสียงโทรศัพท์

“พี่ท๊อป โทรศัพท์เข้า” ผมหยิบมือถือที่พี่ท๊อปวางไว้หน้าห้องน้ำขึ้นมาดู “ไอ้ตอง? ไอ้ตองโทรมาอ่ะ”

“บุ๋นรับเลยครับ” เสียงตอบของพี่ท๊อปดังออกมาจากในห้องน้ำพร้อมกับเสียงซ่าๆของฝักบัว “พี่สระผมอยู่”

“โอเค... ฮัลโหล”

“ฮัลโหลครับพี่ท๊อป ผมตองนะพี่” ปลายสายพูด

“กูเอง บุ๋น”

“อ้าว ไอ้บุ๋นน้อย พี่ท๊อปไปไหนวะ”

“พี่ท๊อปไม่ว่างรับ มีไร”

“ทำไมไม่วางวะ พี่ท๊อปเล่นท่ายากอยู่งะ”

“ท่ายากพ่องอ่ะ ไอ้สัดตอง”

“อันแน่ ทำเขินๆ หลังจากกูแนะแนวเรื่องอย่างว่าให้ ไปถึงไหนแล้ววะ”

“แนะแนวโรคจิตแบบนั้น เอาไปทำกับน้องน้ำชาของมึงเหอะ พี่ท๊อปเค้าสุภาพโว๊ย ไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก นี่มึงจะโทรมาด้วยเรื่องแค่นี้ใช่ไหม งั้นกูวางนะ”

“เปล่าๆๆ โห ใจเย็นดิเพื่อน กูจะโทรมาถามพี่ท๊อปว่าพรุ่งนี้ว่างไหม มึงก็ด้วย”

“มีไรวะ”

“พรุ่งนี้ยี่สิบสองธันวาแล้ว”

“แล้วไง?”

“แล้วไงเหรอ มึงลืมไปหรือเปล่าว่าเรารับค่าจ้างเรื่องไปแจกปฏิทินช่วงคริสมาสต์ของแม่น้ำชาไว้”

“เออว่ะ ลืมไปเลย”

“พรุ่งนี้เหรอ กูอ่ะว่าง แต่ว่า...”

“แต่ว่าอะไรวะ”

“พอดีกูกับพี่ท๊อปนัดกันไว้ว่าวันนี้เราจะไป...เอ่อ...”

“ไป? ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวไม่ต้องบอกกูก็ได้นะ ขอแค่ว่าพรุ่งนี้มึงว่าง กูจะได้โทรไปคอนเฟิร์มกับ T-Queen World Wide”

“ก็นั่นแหละปัญหา กูไม่แน่ใจ”

“แล้วกูจะแน่ใจอะไรจากมึงได้ไหมเนี่ย ตอนแรกกูไม่อยากรู้หรอก แต่ตอนนี้กูอยากรู้แล้วว่ามึงจะไปทำอะไรกับพี่ท๊อปวันนี้ ถึงขั้นจะมีผลถึงวันพรุ่งนี้เลย จะแต่งงานหรือไง”

“มึงนี่มันเพื่อนเลวจริงๆนะ”

“โอ๋ๆ ขี้งอนนะมึงเดี๋ยวนี้ เออๆ งั้นเรื่องอะไร”

“ก...กูจะพาพี่ท๊อปไปหาพ่ออ่ะ”

“ชิบหายแล้วววว งานเข้าจริงด้วย คิดดีแล้วเหรอวะ”

“พี่ท๊อปอยากเจอ กูก็อยากให้เจอเหมือนกัน”

“พ่อมึงอะนะ กูไม่ได้จะแนะนำให้มึงกับพี่ท๊อปชิงสุกก่อนห่ามนะ แต่กรณีของมึง กูว่า...ไม่ต้องให้พ่อมึงรู้ก็ได้มั้ง”

“มึงคิดว่ากูไม่หวั่นใจเหรอ แต่พี่ท๊อปเค้าเห็นมึงกับไอ้น้ำชาเป็นไปด้วยดีกับครอบครัวสองฝ่ายไง พี่เค้าก็เลยอยากทำบ้าง”

“จริงดิ แล้วจะเอาไงดี งั้น... กูปรึกษาน้ำชาแป๊บนะ มึงอย่าเพิ่งรีบไปล่ะ”

“เออๆ โทรมาละกัน”

"เค"

“เจ้าตองโทรมาทำไมเหรอ” พี่ท๊อปเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำหลังจากผมวางสายไม่นาน

“เรื่องแจกปฏิทินอ่ะ” ผมตอบพร้อมกับหยิบไดร์เป่าผมออกมาจากลิ้นชัก “จะถึงคริสมาสต์แล้ว มันก็เลยโทรมาถามตารางวันพรุ่งนี้ของเราสองคน”

“จริงซิ พี่ก็ลืมเรื่องนี้ไปเลย แต่พี่ไม่น่ามีคิวนะพรุ่งนี้ ไม่มีปัญหา”

“ปัญหาน่ะมีแน่... นั่งลงซิ เดี๋ยวบุ๋นเป่าผมให้”

“เป่า!?”

“ไม่รู้จักไดร์เออร์เหรอ”

“ไม่... เอ๊ย รู้จักซิครับ แต่...”

“นั่งเถอะน่า จะได้เป่าผมซะที”

“ค...ครับ” กว่าจะนั่งได้ มัวทำหน้าเหวออยู่ได้ “ว่าแต่ที่บอกว่ามีปัญหาคือเรื่องอะไรเหรอครับ”

“เรื่องของวันนี้ไง มันอาจจะไม่เป็นไปตามที่เราคาดก็ได้นะ”

“หมายถึงเรื่องที่พี่จะไปคุยกับพ่อแม่บุ๋นอะเหรอ”

“ไม่ต้องพ่อแม่หรอก แค่พ่อก็พอ ถึงบุ๋นจะออกปากชวนพี่ท๊อปเอง แต่ว่า...”

“พ่อดุเหรอครับ หรือหวง”

“ทั้งดุ ทั้งหวง ทั้งเผด็จการ แล้วก็เจ้าอารมณ์สุดๆ บุ๋นก็ไม่อยากพูดถึงพ่อแบบนี้หรอกนะ แต่กิตติศัพท์นี้ของพ่อเป็นที่รู้กันดีในหมู่เพื่อนของบุ๋นเลยแหละ ตอนสมัยมัธยม บ้านบุ๋นไม่เคยถูกใช้เป็นที่รวมตัวทำรายงานกลุ่มเลย ถ้าไม่มีธุระสำคัญจริงๆ เพื่อนบุ๋นจะไม่เข้าไปเหยียบที่บ้านบุ๋นแน่ๆ”

“ขนาดนั้นเลยเหรอครับ... แต่ก็สมควรหวงอยู่หรอก ลูกชายทั้งหล่อทั้งน่ารักซะขนาดนี้”

“ยังจะมาพูดอีก นึกภาพไม่ออกหรือไงว่าการที่สามารถบังคับให้คนอย่างบุ๋นเรียนคณะวิทย์ได้ พ่อบุ๋นจะเป็นจอมเผด็จการขนาดไหน”

“แต่พี่ว่าพี่นึกภาพออกนะ พี่ว่าบุ๋นได้รับอิทธิพลส่วนหนึ่งมาจากพ่อ”

“บุ๋นเนี่ยนะ”

“ใช่ครับ ตอนปกติบุ๋นอาจจะดูธรรมดา แต่เวลาบุ๋นเริ่มสอนลีดจะมีอีกบุคลิกนึง จริงจัง สั่งการ แล้วก็ระเบียบเป๊ะ”

“ทำเป็นรู้”

“ก็แอบมองมาตั้งนาน ทำไมจะไม่รู้ล่ะครับ”

“บุ๋นไม่ใช่ไอ้น้ำชานะ หยอดไม่ได้ผลหรอก" หรือได้ผลวะ "อ่ะนี่ครับ ชุดสำหรับวันนี้”

“เตรียมชุดไว้ให้ด้วย? แถมยัง... รีดเองใช่ไหมเนี่ย”

“บ้านนี้ก็มีอยู่แค่สองคนนะ ใครจะมารีดได้อีกล่ะ”

“เอาไปใส่ได้แล้ว บุ๋นจะได้ไปเช็ดรองเท้าให้”

“เดี๋ยวก่อน... มานี่เลย”

“พ...พี่ท๊อป” จู่ๆผมก็ถูกดึงไปกอดจากด้านหลัง ก่อนจะโดนหอมแก้ม เรียกว่าหอมไหมน่ะ เหมือนโดนกดริมฝีปากแรงๆใส่แก้มสองข้างมากกว่า “อะไรของพี่เนีย”

“มาทำตัวน่ารักๆแบบนี้กับพี่ได้ไง รู้ไหมว่า...”

“ว่า?”

“พี่ต้องกดอารมณ์ตัวเองไว้ขนาดไหน”

“......” หมายถึง? อ๋ออออออออ “ก็... ไม่เห็นต้องเก็บกดไว้เลยนี่นา บุ๋นไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย”

“พอๆๆๆ ยิ่งพูดพี่จะยิ่งเตลิด” พี่ท๊อปปล่อยกอดจากผมก็จะเอาเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำ “พี่ปฏิญาณไว้แล้วว่าจะต้องขอบุ๋นจากครอบครัวก่อน ต่อให้ยากแค่ไหนก็ต้องขอก่อนให้ได้”

“พี่ท๊อป”

“ไม่ต้องพูดแล้ว พี่บอกว่าปฏิญาณแล้วไง”

“พี่ท๊อป”

“บุ๋นอยากเซ้าซี่ซิครับ พี่ไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะ ขืนยั่วพี่มากๆพี่ก็ทนไม่ไหวเหมือนกันนะ”

“ฟังก่อนไหม พี่เข้าไปห้องน้ำทำไม”

“ก็เปลี่ยนชุดไงครับ”

“ชุดยังอยู่นี่”

“......”

ไอ้พี่ท๊อปเอ๊ยยยย กว่าจะรู้ตัว ก็เลยต้องเดินหน้าแตกออกมารับเสื้อผ้าเข้าไปในห้องน้ำอีกรอบ

ผมแอบขำนิดๆ ก่อนจะเดินไปหยิบรองเท้าหนังของพี่ท๊อปมาขัดแปรงเล็กน้อย



“....เอางั้นเหรอ ก็ได้เดี๋ยวพี่รอ” พี่ท๊อปเดินคุยโทรศัพท์ออกมาจากห้องนอนก่อนจะวางสายแล้วหันว่าพูดกับผม “เจ้าตองกับน้ำชาจะไปกับเราด้วย”

“ห๊ะ” ผมแทบร้อง “จะไปทำไมอ่ะ”

“กิตติศัพท์ของพ่อของบุ๋นไง เจ้าตองเองก็กังวลเรื่องนี้ กลัวว่าจะเคลียร์ไม่จบในวันเดียวก็เลยจะเอาปฏิทินไปแจกด้วยเลย”

“ไปแจกที่บ้านบุ๋นเนี่ยนะ? พ่อคงอยากได้หรอก”

“ไม่ใช่บ้าน ร้านต่างหาก”

“ร้าน?”

“ใช่ครับที่รัก ลืมไปแล้วเหรอครับว่าพ่อตาของพี่เป็นเจ้าของร้านขายเครื่องสำอางนำเข้า แล้วก็เป็นร้านดังในห้างซะด้วย”

“อย่าพูดแบบนี้ต่อหน้าพ่อเชียวนะ ไม่งั้นพี่ตายแน่”

“ตายเพราะรักบุ๋นอะเหรอ งั้นพี่ก็ตายไปนานแล้วครับ”

“นี่ก็คือตายไปอีกรอบนึง ศพพี่ไม่สวยแน่งานนี้”

พี่ท๊อปถอนหายใจ เห็นได้ชัดว่าผมขัดคอความอารมณ์ดีของพี่เค้า

“พี่ไม่กลัวเรื่องครอบครัวของบุ๋นหรอกครับ” พี่ท๊อปเดินมาขยีหัวผมซะแว่นเกือบหลุดเลย “ต่อให้พ่อบุ๋นเอาปืนมายิงพี่ให้ตายเหมือนหนังไทยสมัยก่อน มันก็เปลี่ยนแปลงความจริงไม่ได้... ท่ามกลางครอบครัวที่บ้านแตก ถ้าพี่ไม่เชื่อในความรัก พี่ก็คงโตมาไม่ได้ถึงขนาดนี้ พี่สูญเสียเกือบทุกอย่างแล้วในชีวิต ไม่มีอะไรมาทำให้พี่เปลี่ยนใจไปจากบุ๋นได้หรอกครับ”

อยากจะแซวนะว่าคำพูดโคตรพระเอก แต่โดนเองแบบนี้แล้วมัน ทั้งอึ้งทั้งประทับใจเลย

“น้องน้ำขิงกับต้อมก็จะไปด้วยนะ อีกสักพักคงมาถึง พี่ว่าเราชวนน้องข้าวเจ้ากับสุ่ยไปด้วยดีไหม”

“แล้วแต่พี่ท๊อปเลย”

“งั้นพี่ชวนนะ” แล้วพี่ท๊อปก็เดินออกไปหน้าบ้านตะโกนเรียกเพื่อนบ้านให้ทราบถึงจุดประสงค์

การเดินทางในตอนเช้าเริ่มขึ้นเมื่อสายมาสักพัก เพราะพวกเรามีกันหลายคน ไอ้น้ำชาจึงให้แม่ส่งรถตู้ของบริษัทมารับพร้อมกับปฏิทินเต็มด้านหลังของรถ เพื่อมุ่งตรงไปยังร้านขายผลิตภัณฑ์เสริมความงามของพ่อผมซึ่งอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยออกไปแค่สองชั่วโมง จริงๆก็คือมันไม่ได้ไกลมากนักหรอก แต่เพราะถนนแถวนนี้มีรถหนาแน่นตลอดก็เลยต้องใช้เวลาสักพัก

“ใกล้ถึงแล้ว” ผมบอกทุกคนหลังจากเดินเข้าห้างสรรพสินค้ามาได้สักพัก

ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่านะว่าเริ่มมีคนมองมาที่กลุ่มของพวกผมทั้งแปดคนตั้งแต่ลานจอดรถแล้ว แต่ตอนนี้ไม่มีสติจะคิดเรื่องอื่นเลย...

“ไม่ต้องกังวลนะ” พี่ท๊อปพยายามกระซิบให้กำลังใจผม ผมคงจะแสดงสีหน้าวิตกวังกลมากซินะ ก็จะไม่ให้เครียดได้ไงล่ะ ไม่เคยคิดเลยว่าการมาหาพ่อตัวเองจะเหมือนวิ่งเข้าใส่กองไฟมากขนาดนี้

“พี่บุ๋น พี่ๆ” ไอ้น้ำชาเรียกผม

“มีไร” ผมรับ

“แม่โทรมาบอกว่าคุยกับผู้จัดการร้านของพ่อพี่แล้วนะว่าจะขอให้พื้นที่หน้าร้านพ่อพี่เป็นจุดแจกปฏิทิน เขาบอกว่าโอเค”

“แล้วคุยกับทางห้างหรือยังอ่ะ”

“แม่กำลังเคลียร์ให้อยู่ครับ”

“โอเค”

“น้องบุ๋น”

หึ! “อ...อ้าว พี่แจน” ผมยิ้มกว้างให้กับพี่สาวหน้าใสที่ยืนอยู่.... อ้าว มาถึงร้านของตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่วะ

“กลับมาสวมแว่นแล้วเหรอ” พี่แจนแสดงการสังเกตสังกาใบหน้าของผม “แต่ก็หล่อเหมือนเดิมนะ พี่ว่าแบบนี้เหมาะกับบุ๋นมากกว่านะ”

“งั้นเหรอครับ” จะพูดว่า แฟนซื้อให้ มันก็คงมากเกินไปซินะ “พี่แจนก็สวยเหมือนเดิมนะ”

“ปากหวานอีกแล้วเรา”

เรายิ้มให้กัน

“อะแฮ่ม” พี่ท๊อปกระแอมทำไม?

อ้อ... “เอ่อ... ทุกคน นี่พี่แจนนะ ผู้จัดการร้าน Refresh” ผมแนะนำ

“อ๋อ... ร้าน Refresh เป็นของพ่อพี่เหรอ” ไอ้ต้อมถาม

“ใช่ ทำไมอ่ะ”

“ก็ไม่ทำไมหรอกพี่ ผมแค่สงสัยว่าพ่อพี่คงจะเห่อลูกชายมากเลยนะ”

“ทำไมวะ?”

“โน่นไง หน้าพี่ใหญ่เต็มร้านเลย” ไอ้ต้อมชี้ไปที่รูปโฆษณาของร้านที่มีผมเป็นนายแบบ แถมยังอยู่แทบจะทุกซอกทุกมุมของร้านเลย

“เหอๆ” มึงไม่มีทางรู้หรอกว่ากูถูกบังคับจากพ่อมามากแค่ไหนเพื่อที่จะให้สามารถเอารูปหน้าของลูกชายที่มีอดีตเป็นเด็กเนิร์ดแว่นหนามาขึ้นโชว์แบบนี้ได้

“เข้าไปหลังร้านกันไหม” พี่แจนเชิญชวน

“แล้ว...”

“เรื่องแจกปฏิทินพี่รู้แล้ว ทาง T-Queen World Wide โทรมาประสานแล้ว คงต้องใช้เวลาเคลียร์กับห้างอีกสักพักนึง แล้วไหนจะต้องรอคนมาจัดสถานที่อีก ขืนปล่อยลีดมอมัณมายืนโชว์หล่ออยู่หน้าร้านกันนานๆ คงจะวุ่นวายจนพี่ดูแลไม่ไหว รีบไปหลังร้านกันเถอะ” นี่แหละครับความเก่งงานของพี่แจน หนึ่งในพนักงานทรงคุณค่าของพ่อผมที่ลงทุนซื้อตัวมาจากบริษัทอื่น ฉลาด ไหวพริบดี อ่านเกมส์ขาดตลอด

“ว่าแต่...” ผมและคณะกำลังเดินเข้าไปในร้าน “พ่อเข้ามาไหมอ่ะวันนี้”

“แหมบุ๋น ถามอย่างกับไม่รู้จักคุณบดินทร์นะ พ่อบุ๋นห่วงร้านนี้ยิ่งกว่าบ้านของตัวเองซะอีก จะไม่เข้ามาได้ไง”

“เที่ยงใช่ไหมพี่แจน”

“ใช่ ท่านเข้ามาเวลาเดิมนั่นแหละ”

“โอเคครับ”

“ทำไมเหรอ”

“ก็ไม่ทำไมหรอกพี่” พวกเรามาถึงห้องพักหลังร้านในที่สุด ทุกคนวางของและนั่งเข้ามุมใครมุมมัน “ก็แค่ถาม”

“แค่ถาม? บุ๋นก็ยังไม่เก่งเรื่องโกหกเหมือนเดิมนะ”

“ผมเห็นด้วยครับ” ไอ้พี่ท๊อป จะสนับสนุนเพื่อ?

“ผมมีเรื่องจะคุยกับพ่อครับ” ผมอ้าง

“รู้ใช่ไหมว่าเดี๋ยวนี้ประเทศเรามีโทรศัพท์ใช้แล้วนะ” พี่แจนยิ้มมุมปากให้ผมอย่างรู้ทัน “เอาเถอะ พี่ไปดูแลร้านต่อดีกว่า เดี๋ยวพนักงานทำงานผิดพลาดขึ้นมาพี่จะโดนไล่ออก”

“พ่อผมคงกล้าไล่พี่ออกหรอก”

“ไปดีกว่า มีอะไรก็เรียกพี่นะ”

“ครับ ขอบคุณ”

ผมนั่งลงบนเก้าอี้ข้างพี่ท๊อป

เห้อออออออ

ห้าโมงสี่สิบแล้ว อีกสักพักพ่อก็ต้องเข้ามาแล้วซินะ จะเริ่มประโยคว่ายังไงดีนะ

“ยังกังวลอยู่เหรอครับ” พี่ท๊อปพยายามกุมมือผม

“พี่ท๊อป ถ้ามันไม่เป็นอย่างที่พี่คิดล่ะ” ผมเริ่มเผยความกังวลในใจออกมา “ถ้ามันไม่ง่ายขนาดนั้นหรือแย่กว่านั้นอีกล่ะ พี่จะ...”

“พี่จะรักบุ๋นกว่าเดิมอีก”

“ห๊ะ!?”

“ของแพง มักจะมีคุณภาพ ของหายาก มักเป็นที่ต้องการ ของที่ต้องผ่านอุปสรรค มักต้องใช้ความพยายามมากๆ ของพวกนี้มันคือสิ่งมีค่าไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง เหมือนปฏิทินพวกนี้ไง หลายคนอยากได้มันเพราะมันมีน้อยและหายาก แล้วถ้าเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้มันทำให้พี่เห็นว่า บุ๋นเป็นทุกอย่างที่พี่พูดมา งั้นก็แสดงว่าพี่คิดถูกแล้วว่า....





....บุ๋นคือปฏิทินที่มีค่าของพี่”

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด