ตอนที่ 51 : 39th
“เด็กๆอยู่ที่ไหน”
“ในห้องพยาบาลครับ”
ผมได้ยินเสียงหมอพิชิตดังอยู่นอกห้องพยาบาลที่มีผม ขิง พี่บุ๋น และไอ้ข้าวนอนอยู่
“น้ำชา เด็กๆ เป็นยังไงกันบ้าง ปลอดภัยดีหรือเปล่า” หมอพิชิตแทบจะวิ่งเข้ามาในห้องพยาบาลและเอ่ยถามตั้งแต่ยังมองไม่เห็นพวกผมเสียด้วยซ้ำ
“ปลอดภัยดีครับ” ผมตอบ
“กาสิ่นบอกว่าเจอพวกคุณเดินอยู่ใกล้ๆหมู่บ้านตอนเช้า”
“ครับ” ผมโกหก “พวกเราหาทางกลับมาหมู่บ้านครับ บังเอิญว่าคุณกาสิ่นไปพบพอดี”
“นี่เดินในป่ากันทั้งคืนเลยเหรอ”
“ค...ครับ” อย่าให้ผมต้องโกหกไปมากกว่านี้เลยนะครับคุณหมอ
“มันอันตรายรู้ไหม เดินป่าตอนกลางคืนแบบนั้น น่าจะอยู่เฉยๆรอให้พวกทหารพรานไปรับ”
“พวกเรากลัวกันน่ะครับ” พี่บุ๋นช่วยผมโกหกบ้าง คงเห็นว่าผมเริ่มไม่อยากพูดแล้ว “ก็เลยเดินในป่าไปเรื่อยๆ หวังว่าจะเจอหมู่บ้าน”
“เอาล่ะๆ กลับมาได้ก็ดีแล้ว บุญรักษาแล้วล่ะ ยังไงก็พักผ่อนซะนะ เดี๋ยวสายๆผมให้นิสิตแพทย์มาดูอาการให้ เดี๋ยวผมไปดูอาการคนป่วยอาหารเป็นพิษเมื่อวานก่อนนะ”
“ครับ” พวกเราตอบและทำทีนอนต่อทั้งๆที่ก็นอนอยู่นี่ทั้งคืน
สาเหตุที่ต้องโกหกว่าบังเอิญเดินกลับมาถึงหมู่บ้านเองก็เพราะว่าจะได้ไม่เป็นการทำให้พวกพี่ตองเดือนร้อนที่ขัดคำสั่งอาจารย์หมอออกไปตามหาพวกผมกันเองโดยพลการ
“ชา” เกตุคือแขกคนใหม่ที่เข้ามาในห้องพยาบาล เธอมาพร้อมกับมายด์ ดูเหมือนว่าทั้งสองจะแอบซุ่มอยู่นานแล้ว แต่รอจนหมอพิชิตออกไปก่อน “เป็นไงบ้าง”
“อ...โอเค ไม่เป็นไร” ถึงจะเคยถูกเนื้อต้องตัวกับเกตุมาบ้างแล้วเวลาที่เต้นด้วยกัน แต่ครั้งนี้เกตุวิ่งเข้ามากอดผมแบบจริงจังมาก ยังไงก็ผู้หญิงอะนะ มันเขิน
“ปีหนึ่งทุกคนเป็นห่วงมากเลยรู้ไหม” เกตุเล่าก่อนจะผละออกจากตัวผม “พวกเราแทบจะไม่ได้หลับได้นอนเลย ทำไมไม่บอกกันบ้างว่ามาถึงตั้งแต่เมื่อคืน”
“เดี๋ยวหมอพิชิตจะรู้ว่าพวกพี่ตองออกไปตามอ่ะ” ผมอธิบาย “ก็เลยไม่บอกใครเลยดีกว่า... แล้วรู้กันได้ไงอ่ะ”
“พี่ตองบอกน่ะซิ แต่ก็ดีแล้วล่ะที่ไม่เป็นอะไร ไหนเล่าให้ฟังหน่อยซิว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“ให้น้ำชาพักก่อนไหมเกตุ” มายด์รีบท้วง
“ไม่เป็นไร เรานอนมาทั้งคืนแล้ว” ผมบอก
“งั้นเหรอ... เดี๋ยวก่อนนะ ก่อนที่จะเล่า เกตุเอาไอ้นั่นให้น้ำชาดูซิ”
“ไอ้นั่นอ่ะเหรอ... มันจะดีเหรอ”
“พูดเรื่องอะไรกันอ่ะ” ไอ้นั่นไอ้นี่กันอยู่นั่นแหละ พูดเป็นการ์ตูนโคนันไปได้
แต่ความสงสัยก็ไม่ได้อยู่บนหน้าของผมนานนัก เกตุดึงกระดาษออกมาจากในกระเป๋าเสื้อของเธอแล้วส่งให้ผม
“อะไรเหรอ?” ผมถาม อีกสามคนที่นอนอยู่ก็เริ่มให้ความสนใจเหมือนกัน
“เพลง” มายด์บอก
“เพลง?” ผมคลี่ออกมา
“เกตุใช้เวลาคิดทั้งคืนเลยนะ” มายด์เล่าให้ฟัง “เพราะเป็นห่วงพวกน้ำชามาก แต่ทำอะไรไม่ได้ ก็เลยแต่งเพลงขอพรให้ทุกคนปลอดภัย”
“จริงเหรอ!?” ผมแทบจะร้อง
“ก็มันทำอย่างอื่นไม่ได้แล้วนิ” เกตุสารภาพ
“มายด์เห็นว่ามันเพราะดี ความหมายก็ดี ก็เลยช่วยเกตุแต่ง เผื่อว่าจะใช้เป็นเพลงประจำรุ่นของเราได้”
“...........ว้าววววว” ผมไม่ได้ว้าวแค่ความสามารถในการเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสของเกตุกับมายด์นะ แต่เนื้อเพลงมันว้าวมาก ความหมายดีจริงๆด้วย อย่างกับมันบอกเรื่องราวของผู้นำเชียร์รุ่นนี้ไว้ทั้งหมด และมีเนื้อหาบางส่วนที่เหมือนจะบอกกับคนที่หลงในป่าอย่างพวกผมให้กลับมาด้วย “ชื่อเพลง Thirty – ninth... เอ่อ.... ลำดับที่สามสิบเก้าเหรอ?”
“ใช่” เกตุตอบ “เลขประจำรุ่นของพวกเราไง มานี่ เดี๋ยวร้องให้ฟัง.... (ไม่เคยฟังเกตุร้องเพลงจริงจังมาก่อนเลย)....
เพลง Thirty – ninth
กว่าร้อยชีวาที่สร้างให้ฝันเป็นจริง จากวันนั้นมันเป็นทางที่ช่างยิ่งใหญ่
เริ่มจากรัก เริ่มจากฝัน เริ่มจากความตั้งใจ รวมเป็นพลังแห่งมัณฑนา
*อาจแม้บางครั้งมีทางที่สูงและชัน อาจมีฝน ธารธาราพัดพาเข้าใส่
จะกี่แรงที่ฉุดรั้งให้ไม่อาจร่วมเดินไป แต่เราก็ยังคงมีศรัทธา
**อยู่แห่งไหนสิบสองดวงใจจะกอด เป็นพลังที่ไม่อาจพรากเราให้ห่าง
เพราะเธอคือเพื่อนที่รัก เพราะเรายังปรารถนา**ให้กลับมา มาร่วมเป็นเหล่าผู้นำ
***นี่คือฝัน ความฝันแห่งมัณฑนา คือทางที่ร่วมเดินมา จุดหมายที่ไม่ว่างเปล่า
จงอดทน อย่าหยุดยั้ง มุ่งสู่ฝันและวันของเรา จิตวิญญาณจะไม่สิ้นสุดไป
จับมือกันเอาไว้ ให้ใครได้รู้ว่าเรา คือทีมอันภาคภูมิใจ เป็นดวงดาวที่สว่างนภา
จะส่องแสงสว่างสดใสเป็นสิบสองมัณฑนา We are MANTANA Leader only.
So.... 39th LEADER of POWER CHEER
(ซ้ำ * , ** , *** )
(ซ้ำ *** )
We’re 39th team.
We’re 39th soul.
We’re 39th team.
We’re 39th soul.
We’re 39th team.
We’re 39th soul……"
( สามารถติดตามเพลงนี้ได้ใน
https://www.youtube.com/watch?v=iljH9JzPv5M )
“โว้วววววววววววว” คนฟังทั้งสี่อย่างผม ขิง พี่บุ๋น และไอ้ข้าว อดไม่ได้ที่จะอุทานและปรบมือ ถึงแม้จะยังไม่มีดนตรีจริงจังแต่ทำนองมันเหมือนจะดังออกมาในใจ ผมเชื่อว่าถ้าทำเพลงนี้ให้สมบูรณ์แบบ ต้องไพเราะมากแน่นอน
“เพราะมากเลยเกตุ” ขิงเอ่ยชม “แบบนี้เราต้องคิดแปลอักษรที่สวยๆซะแล้ว การแสดงจะได้สมบูรณ์แบบ ใช้เป็นเพลงจบได้เลย”
“ยังไม่รู้ว่าพวกเพื่อนๆจะว่ายังไงเลย” เกตุเขินนิดหน่อย “อาจจะไม่ชอบก็ได้”
“ไม่มีทางอ่ะ” ผมพูดอย่างมั่นใจ “ไม่มีเพลงไหนที่เหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว เพลงของรุ่นสามสิบเก้าก็ต้องเป็นเพลงนี้แหละ เชื่อซิว่าทุกคนต้องชอบ”
“เห็นไหม บอกแล้ว” มายด์สนับสนุน “เข็มกลัดก็ใกล้ครบแล้ว เพลงใหม่ก็มีแนวโน้มว่าจะโอเค คราวนี้ก็เหลือแค่สร้างนวัตกรรมใหม่ให้กับหมู่บ้านซินะ”
“เราว่าเราคิดออกแล้วนะว่าจะทำอะไร” ผมบอกทันที
“อะไร!?” ทุกคนในห้องถามพร้อมกัน
“อะไรที่จะทำให้หมู่บ้านนี้ปลอดภัยมากขึ้น และทุกคนก็จะมีส่วนในการทำสิ่งนี้แน่นอน เอาเป็นว่าเดี๋ยวเล่าให้ฟัง เกตุกับมายด์ช่วยตามเพื่อนๆมาหาเราด้วย มาทีละสองสามคนก็พอนะ”
“ได้”
“คืออย่างงี้....” ฮั่นแน่ อยากรู้ละซิว่าผมคิดอะไรได้ แต่ยังไม่บอกหรอก เพราะผมขี้เกียจเล่าหลายที เอาเป็นว่ารู้พร้อมๆกับชาวบ้านทุกๆคนก็แล้วกันนะ
หลังจากที่ผมเล่าถึงแผนการสร้างสิ่งใหม่ให้กับหมู่บ้านจบ เกตุกับมายด์ก็ออกไปตามเพื่อนคนอื่นๆมา ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาในห้องพยาบาลตลอด
จนเมื่อผมได้รับการทำแผลและยืนยันว่าสภาพจิตใจปกติ ไม่ได้บ้าไปเพราะตกน้ำและหลงป่า พวกเราสี่คนก็ถูกปล่อยให้ไปทำภารกิจอื่นๆได้ ผมไม่รอช้าที่จะเริ่มงานของตัวเองอย่างที่ตั้งใจไว้ ในเมื่อเพื่อนปีหนึ่งทุกคนเห็นชอบกับความคิดนี้แล้ว จะรอช้าอยู่ใย
“เกตุไปคิดท่าเต้นเพลงใหม่เถอะ ตรงนี้มีคนช่วยเยอะแล้ว” ผมบอกเกตุ ตอนนี้ปีหนึ่งทุกคนกำลังรุมทำโปรเจ็คอยู่ที่กลางหมู่บ้านในเวลาหลังมื้อเที่ยง
“ไม่เป็นไร ช่วยกันดีกว่า” เกตุบอก
“ไม่ต้อง ของแค่นี้เอง จริงๆไม่ต้องใช้คนเยอะขนาดนี้ด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ เกตุไปนอนพักซะหน่อยก่อนดีกว่านะ ตาโรยหมดแล้ว”
“ไม่เป็นไรไง...”
“ไปเถอะน่า... พักบ้าง ไปๆ มายด์ ช่วยพาเกตุไปนอนหน่อย”
“นั่นซิเกตุ” มายด์เห็นด้วย “มายด์ก็ง่วงจะแย่แล้วเนีย แต่งเพลงทั้งคืนจนไม่ได้นอนเลย ไปนอนก่อนดีกว่านะ”
“เกตุไม่ง่วงอ่ะ” แน๊ะ ยังจะไม่ไปอีก
“พอๆๆๆ วางของลงเลย เดี๋ยวเราช่วยกันทำเอง ไปพักผ่อนเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องเถียงแล้ว ไปเลย”
“ก็ได้... งั้นเดี๋ยวเกตุคิดท่าเต้นละกันนะ”
“ได้ แต่อย่าลืมนอนก่อนนะ ตื่นแล้วก็ให้มายด์มาตามเพื่อนผู้ชายละกัน จะได้มีคนช่วยคิดท่าเต้นฝ่ายผู้ชายด้วย”
“โอเค งั้นไปนอนละนะ ตาจะปิดอยู่แล้ว”
นั่นไง ไหนบอกไม่ง่วง
“ต้อมๆ อันนี้ใส่ปูนเยอะเกินไปไหมอ่ะ”
“โอเคแล้ว แต่ต้องคนนานๆหน่อย แน่ใจนะว่าน้ำขิงจะทำเอง ให้ต้อมทำให้ไหม”
“ไม่ๆ ขิงอยากลองทำ”
ขิงกับไอ้ต้อม สองคนนี่ก็หวานกันกว่าเดิมไปอีกกกก หลังจากเกือบจะโดนพรากจากกัน
“เอาคุกกี้อีกไหม”
“ก็ดีนะ ป้อนหน่อยครับ”
“ดูมือด้วย เดี๋ยวก็ตอกตะปูโดนนิ้วตัวเองหรอก”
ไอ้ข้าวกับไอ้สุ่ยยิ่งแล้วใหญ่ ไอ้พวก.... เออ กูนึกคำด่าในใจไม่ออก
“ซูชิที่บุ๋นทำให้เมื่อวันก่อนเป็นไงบ้าง อร่อยไหม”
“ซูชิ? ที่เอามาให้พี่ก่อนจะขึ้นเขาอ่ะเหรอ นั่นบุ๋นทำเองเหรอ ไหนบอกว่าซื้อมาไง”
“เปล่า บุ๋นโกหก บุ๋นเป็นคนทำเอง บุ๋นรู้ว่ามันยังไม่ค่อยดี แต่จะซ้อมมือเรื่อยๆก็แล้วกันนะ”
“ครับบบบ ถ้าบุ๋นทำ ยังไงก็อร่อย”
โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยย
เออ หวานกันเข้าไป หวานกันไปหมด
“..................”
ส่วนกูก็ได้แต่ยืนยิ้มให้ไอ้พี่ตอง ก็จะอะไรซะอีกล่ะ พอเหตุการณ์สงบ กฎการห้ามพูดกับรุ่นพี่ก็ถูกนำกลับมาใช้ใหม่
พวกมึงช่วยไปสวีทกันไกลๆได้ไหม
เลิกคิดๆ ตั้งใจทำงาน
ปีหนึ่งต่างช่วยกันทำงานจนพระอาทิตย์ตกดินแต่ก็ยังไม่ได้หยุด นั่นเพราะสิ่งที่ทำจำเป็นต้องทำต่อเนื่อง ไม่สามารถพักงานแล้วกลับมาทำต่อพรุ่งนี้ได้
จากที่เคยหนาว ตอนนี้ไม่หนาวเลย เหนื่อยแทน เหงื่อเต็มตัวเสียด้วยซ้ำ ก็เพราะงานที่ทำนั่นมันหนักมากกกกกกก ไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย ดีนะที่ปีหนึ่งทุกคนเริ่มมีใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ไม่มีใครทิ้งงานเลย ทุกคนช่วยกันอย่างไม่ยอมเหน็ดเหนื่อย จนน่าจะเสร็จสิ้นตอนเที่ยงคืนเห็นจะได้ ผมก็ไม่แน่ใจเรื่องเวลาเหมือนกัน ไม่มีนาฬิกานี่นา ……..
..........................................................
“นานกว่าสามสิบเก้าปีที่ชาวเผ่ามลาบรีถูกรวบรวม ชักชวน จนกลายมาเป็นหมู่บ้านลับหมอกแห่งนี้” ช่วงสายของเช้าวันใหม่มาถึงพร้อมกับการกล่าววาทะของผมต่อหน้าชาวบ้านหลายสิบชีวิต โดยมีสักขีพยานมากมาย ทั้งปีหนึ่ง หัวหน้าหมู่บ้าน เหล่าทหารพราน ผู้นำเชียร์ปีสอง ตัวแทน ก.น.ช. พี่ชมพู่ นิสิตแพทย์ และอาจารย์หมอพิชิต นี่เป็นอีกครั้งที่ได้มีโอกาสใช้สิ่งที่พวกพี่ลีดสอนมา การพูดต่อหน้าสาธารณะ “หลายต่อหลายปีที่ผ่านมา ตัวแทนนักศึกษาจากแดนไกลต่างนำพาความก้าวหน้า ทรัพยากร และความรู้มาสู่หมู่บ้านแห่งนี้ ครั้งแรกที่ผมมองเห็นที่นี่ ผมบอกได้เลยว่า มันงดงามและมีคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง
ในตอนที่พวกผมได้รับโจทย์มาว่าให้สร้างหรือนำพาสิ่งใหม่มายังหมู่บ้าน ผมกลับไม่รู้สึกว่าอยากจะเพิ่มเติมอะไรเลย สิ่งที่หมู่บ้านนี้เป็นอยู่ มันงดงามในตัวของมันอยู่แล้ว สิ่งที่หมู่บ้านนี้มีอยู่ มันก็เพียบพร้อมเพียงพอต่อปัจจัยการดำเนินชีวิตอยู่แล้ว ผมยอมรับเลยว่า ผมนึกไม่ออกจริงๆว่าจะสามารถนำพาอะไรใหม่ๆมาให้หมู่บ้านได้ แต่.... เหตุการณ์เมื่อเร็วๆนี้ ความโกลาหลของคนป่วย อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับผมและเพื่อนๆ ทำให้ผมตระหนักได้ถึงหลายสิ่งหลายอย่างว่า หมู่บ้านลับหมอกแห่งนี้ไม่ได้ต้องการสิ่งใดมาเพิ่มเติมอีกแล้ว สิ่งที่ต้องการมากที่สุดคือสิ่งนี้ครับ...”
พวกปีหนึ่งช่วยกันยกผ้าที่คลุมแท่นปูนอันใหญ่ออก
นี่ไม่ใช่ประดิษฐกรรมแต่อย่างใด เป็นเพียงแท่นปูนซีเมนต์สูงหนึ่งเมตรครึ่งที่มีข้อความเขียนเป็นรอยลึกทุกด้านเท่านั้น โดยด้านบนสุดของแต่ละด้านมีข้อความที่เหมือนกันคือ ข้อห้ามพื้นฐาน 24 ประการ และใจความของนื้อหาในนั้นถูกเขียนเรียงเป็นข้อๆ ดังนี้
(ด้านที่หนึ่ง)
1. อย่ากินอาหารที่ไม่แน่ใจว่าปลอดภัย – มายด์
2.อย่าประกอบอาหารที่ไม่รู้วิธีทำ – ข้าวเจ้า
3.อย่าปล่อยเด็กเล็กไว้ตามลำพัง – สุ่ย
4.อย่าใช้สมุนไพรที่มีสารเสพติดโดยไม่มีเหตุอันสมควร – โซนี่
5.อย่าเข้าใกล้ธารน้ำตกเมื่อมีน้ำหลาก – น้ำชา
6.อย่าก่อกองไฟในอาคารปิด – ของขวัญ
(ด้านที่สอง)
7.อย่าทำร้ายหรือเข่นฆ่าผู้อื่น – มิน
8.อย่าขโมยทรัพย์สินของผู้อื่น – อุ้ม
9.อย่าโกหกจนผู้อื่นเดือดร้อน – คิน
10.อย่าผิดผัวเมียของผู้อื่น – อาร์ม
11.อย่าดื่มเหล้าจนขาดสติ – บิวตี้
12.อย่าปล่อยใครไว้ในป่าตามลำพัง – แชมป์
(ด้านที่สาม)
13. อย่าล่าสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ – เกรซ
14.อย่าหลงเชื่อสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ – เบส
15.อย่าตัดไม้ทำลายป่า – ซีแกรม
16.อย่าสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นในหน้าหนาว – มิโอะ
17.อย่าปล่อยร่างกายให้เปียกฝนนาน – มิค
18.อย่าจุดไฟใกล้ป่าในหน้าร้อน – ราดา
(ด้านที่สี่)
19.อย่าลืมเพิ่มพูนความรู้ - ต้อม
20.อย่าลืมความกตัญญู – ไข่ไก่
21.อย่าลืมหน้าที่ของตนเอง – เมฆ
22.อย่าลืมที่จะมีสติเสมอ – เบียร์
23.อย่าลืมให้เกียรติกันและกัน – พาย
24.อย่าลืมความสามัคคี – เกตุ
“นี่คือ... ข้อห้าม ครับ” ผมกลับมากล่าวต่อ “ข้อควรจำและปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยในตัวของทุกๆคนเอง เป็นทั้งข้อเตือนสติและข้อคิด เราทุกคนอยู่ร่วมกัน หากไม่มีกฎมาเป็นตัวตีกรอบ สักวันหนึ่งการทำอะไรโดยพลการอาจทำให้เกิดความเดือดร้อนที่ไม่คาดฝัน อีกทั้งมันยังจะช่วยเป็นครรลองที่จะทำให้ชุมชนเป็นไปในทิศทางเดียวกันและกลายเป็นความแข็งแกร่งได้ในที่สุดครับ
ครั้งนี้ ผมต้องขอโทษจากใจในฐานะตัวแทนนักศึกษารุ่นนี้ เราไม่ได้มอบวัตถุหรือวิทยาการเพื่อความก้าวหน้าแก่หมู่บ้านอย่างที่รุ่นอื่นๆได้ทำมา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันทำให้ผมได้เรียนรู้สองอย่างจากที่นี่ ข้อหนึ่งคือเราไม่จำเป็นต้องมีมากมาย การรับหลายสิ่งหลายอย่างเข้ามามากจนเกินไป อาจทำให้กลายเป็นผลเสียโดยไม่รู้ตัว หากเราไม่รู้จักวิธีจัดการกับมัน ข้อที่สอง คือคำสอนจากหมอพิชิต เราไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แต่เราเลือกที่จะไม่ทำสิ่งที่ไม่ดีได้.... วันนี้ผมและตัวแทนผู้นำเชียร์รุ่นที่สามสิบเก้าจากมหาวิทยาลัยมัณฑนาทั้งยี่สิบสี่คน จึงขอมอบ ข้อไม่ควรปฏิบัติทั้งยี่สิบสี่ประการไว้แก่หมู่บ้านลับหมอก และหวังใจเป็นอย่างยิ่งว่า ชาวบ้านเผ่ามลาบรีแห่งนี้จะใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้นนะครับ ขอบคุณมากครับ....”
เย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้
เห้อออออออออออ
โล่งอก ไม่ใช่เพราะเสียงปรบมือนะ แต่เพราะข้อห้ามที่พวกเราช่วยกันคิดขึ้นได้รับการตอบรับที่ดีต่างหาก สิ่งนี้จะช่วยให้ชาวบ้านใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาทและเติบโตเป็นชุมชนที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
ภูมิใจจัง
นี่ซินะ ความภาคภูมิใจที่พี่ชมพู่พูดถึง
“ขอบคุณมากนะครับคุณหนูๆ” คุณกาสิ่นเข้ามาจับมือจับไม้กับพวกปีหนึ่ง “ผมจะจำและเน้นย้ำให้ชาวบ้านปฏิบัติตามให้ได้มากที่สุดครับ”
“หวังว่าจะไม่มีใครทำอาหารอะไรแปลกๆอีกนะครับ” ไอ้ข้าวเปิดประเด็นสนทนาชวนหัวกับป้าๆ
“นี่ๆ ข้อนี้กูเป็นคนคิดโว้ย โคตรเพี้ยวอ่ะ...” อ้าวๆ โม้กันใหญ่
แล้วบรรยากาศหลังเปิดแท่นจารึกข้อห้ามก็คึกคักไปด้วยการสนทนาของชาวบ้านและเด็กปีหนึ่ง
“ไอ้ชา”
“ครับ”
“มึงคุยกับกูได้ไง กูแขวนป้ายอยู่เห็นไหมเนี่ย”
อ้าวพี่บุ๋น แล้วพี่จะเรียกผมทำไม
“อะนี่”
หึ!!!
“เข็มกลัดไม้ไง ของรางวัลจากกู เก่งมากนะมึงอ่ะ สมแล้วที่เป็นลีดอัจฉริยะของคณะวิทย์... แล้วจะเอาเข็มกลัดไหมเนี่ย กล่องล่ะ?”
อ๋อออออ
กล่องไม้ เอามาด้วยพอดี ผมรีบเปิดกล่องและยื่นให้พี่บุ๋น
พี่บุ๋นปักเข็มกลัดไม้ลงผ้ากำมะหยี่อย่างยากลำบาก เพราะพื้นที่ภายในกล่องแทบจะไม่ว่างแล้ว
“คือ.... กูต้องบอกความหมายเข็มกลัดของกูด้วยไหม ไม่ค่อยอยากพูดเลย รู้สึกเหมือนหนังจีนยังไงไม่รู้ เออๆ พูดหน่อยละกัน เข็มกลัดไม้คือผู้สละความล้มเหลว ไอ้แท่งปูนข้อห้ามอะไรของมึงนี่ก็... ถือว่าสำเร็จแล้วนะ งั้นเอาเข็มกลัดไม้ไปได้เลย.... โอเคแล้วนะ กูไม่อยากพูดมากกว่านี้แล้ว ขนลุก ไปนะ เก่งมากๆ”
ผมได้แต่ยิ้ม จริงๆก็อยากจะพูดว่าขอบใจและแซวอะไรพี่เค้านิดหน่อยนะ แต่กฎมันค้ำคออยู่
“อะแฮ่ม”
“พ.....” เกือบลืมอีกแล้ว พูดกับพี่ตองไม่ได้นี่หว่า สัญญาณปลดป้ายยังมาไม่ถึง เห้อออออ อึดอัดจัง
“เข้าใจคิดนะครับที่สร้างกฎขึ้นมา” ไอ้คนตัวสูงยังยืนกอดอกพูดอยู่ข้างๆผม ทั้งที่รู้ว่าผมคุยด้วยไม่ได้ “นอกจากจะใช้เป็นแนวทางให้ชาวบ้านได้แล้ว ยังเป็นการให้ปีหนึ่งทั้งยี่สิบสี่คนได้มีส่วนร่วมกันแบบเห็นๆ เห็นชื่อกันชัดๆไปเลย แบบนี้ก็คงไม่มีใครมาหาว่าชาทำอะไรจนไปข่มชื่อคนอื่นแล้วซินะ..... เก่ง ฉลาด จิตใจดี สมแล้วที่เป็นแฟนพี่”
“.........” อือหือ กูไม่ยืนฟังต่อได้ไหมเนี่ย
“ว่าแต่ เมื่อไหร่จะดึงเข็มกลัดเพชรไปจากพี่ซะทีละครับ.....
......มันปักอยู่ตรงหัวใจพี่นานแล้วนะ”