18
[เตวิชญ์]
ผมเป็นฆาตกร...
มันเป็นความลับที่ผมเก็บงำเอาไว้... เป็นความลับที่ไม่มีใครรู้ว่าผมมีความรู้สึกนี้อยู่ในใจ
ซุกซ่อนเอาไว้ภายใต้เกราะความเฉยชาไร้หัวใจ
“ทะเลาะกันอีกแล้ว?” ผมไม่ได้เอ่ยอะไร เดินเข้าไปหา ‘ตรีภพ’ พี่ชายแท้ๆ ที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างช็อปเปอร์คู่ใจ เคาะบุหรี่ออกมาจุดสูบบ้าง สายตาทอดมองไร้จุดหมาย
ภพมองท่าทางเซ็งๆ ของผม หัวเราะ แล้วเอื้อมมือมาตบไหล่
“เอาน่า แม่ก็แบบนี้ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย”
พี่ชายผมเป็นคนมองโลกในแง่ดี...
“หล่อนเกลียดฉัน” ไม่ได้อยากจะเถียง แต่เห็นชัดว่าคำพูดของภพมันเชื่อไม่ได้
หลายครั้งหลายคราที่ผมเห็นว่าสายตาของ ‘ผู้หญิงคนนั้น’ ที่มองผม เต็มไปด้วยความเจ็บปวดแค่ไหน ดังนั้นมันไม่ใช่แค่การทะเลาะ ไม่ใช่แค่เพราะอารมณ์แปรปรวนของผู้ใหญ่
แต่ผมถูกแม่ตัวเองเกลียดเข้าไส้...
ด้วยเหตุผลง่ายๆ ที่ผมไม่เข้าใจ... เพราะผมเหมือน ‘ผู้ชายคนนั้น’ เกินไป...
ผู้ชายเย็นชา ไร้หัวใจ ที่ทำให้แม่ต้องระหกระเหินหนีมาด้วยหัวใจที่บอบช้ำ... ผู้ชายที่เป็นผู้ให้กำเนิดพวกเรา
อย่าถามว่าเหมือนกันตรงไหน เพราะผมจำไม่ได้แม้กระทั่งหน้าตา ไม่รู้หรอกว่ากิตติศัพท์ที่ได้ยินจากปากแม่ที่สาดซัดความผิดบาปให้ผมทุกวันนั่นจริงไหม
แต่เชื่อเถอะว่าถ้าเราเหมือนกัน... แสดงว่าเขาไม่ใช่คนดี
“คิดมากน่า” ภพถองศอกใส่ผม หัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ
บางทีพี่ชายผมก็มองโลกในแง่ดีเกินไป...
“พาไปคลายเครียดเอาไหม” ผมมองรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของภพ ก่อนจะยกยิ้มตาม พี่ชายไม่รอให้ผมตอบคำถาม ดับบุหรี่แล้วควักกุญแจมอเตอร์ไซค์โยนมาให้ผม แล้วออกคำสั่ง “นายขับ”
เรามักจะทำแบบนี้ ในวันที่อากาศดีๆ หรือมีเรื่องกลุ้มใจ ในเมืองเล็กๆ ที่แทบไม่มีสิ่งจรรโลงใจ ภพยกให้มอเตอร์ไซค์เป็นเพื่อนสนิทอันดับหนึ่งท่ามกลางเพื่อนมากมาย แค่มีมันเขาสามารถลืมได้ทั้งหมด...ความไม่สบายใจ ความทุกข์ ความหลัง...
ภพแก่กว่าผมแปดปี... เขารู้ดีทุกอย่าง ในวันที่ผมยังไม่ประสีประสา เขาได้เห็นความรัก การแตกหัก... พลัดพราก
เขาเคยเล่าให้ฟังถึงวันที่ครอบครัวของเรามีความสุข จนกระทั่งได้รู้ว่าความสุขนั้นไม่ควรเป็นของเรา...
ผมเคยสงสัยว่าภพรู้สึกยังไงในวันที่รู้ว่าเราเป็นเพียงส่วนเกินที่ถูกซุกซ่อน... รู้สึกยังไงในวันที่ต้องสูญเสียสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรัก’ ไป
เคยสงสัย... กระทั่งได้สัมผัสมันด้วยตัวเอง
มีคนเคยพูดไว้ว่าการเอาเนื้อไปหุ้มเหล็กมีแต่อันตราย แต่สำหรับเรามันคือความท้าทาย... การบิดคันเร่งให้รถทะยานไปปะทะสายลมกระชากความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัวมันทำให้เราสบายใจ ความเสี่ยงเล็กๆ ทำให้รู้สึกว่าชีวิตยังมีความหมาย...
กว่าจะรู้ตัวว่าทะนงตัวเกินไป โชคชะตาก็ลงโทษผมด้วยความสูญเสียที่ไม่อาจเรียกคืนได้
ปี๊นนน
แขนทั้งสองข้างของผมแข็งทื่อตอนที่เห็นรถกระบะคันหนึ่งเสียหลักหลุดโค้งพุ่งเข้ามา... ภพไวกว่า เพียงชั่ววินาทีก่อนการปะทะ เขาใช้แรงทั้งหมดกระชากผมออกจากมอเตอร์ไซค์... เพียงชั่วขณะที่ร่างของผมไถลลงกับเนินดินข้างทาง รถสองคันที่ต่างเสียหลักประสานงากันเสียงดัง
ภพบาดเจ็บสาหัสก่อนจะจากไป ในขณะที่ผมรอดตายราวปาฏิหาริย์... ใครๆ ก็ว่าอย่างนั้น
มีแต่ผมที่รู้ว่ามันไม่มีปาฏิหาริย์... ภพช่วยชีวิตผมไว้
ช่างไร้เหตุผลที่คนดีๆ อย่างเขายอมแลกชีวิตกับคนไร้ค่าอย่างผม คนดีๆ อย่างเขา... ที่แม้แต่วินาทีที่กำลังจะจากโลกนี้ไป เขาเลือกที่จะเอ่ยเพียงประโยคเดียว...
‘แม่รักนาย’
มันเป็นคำโกหก... ที่เขารู้ว่าผมอยากได้ยินแค่ไหน
เป็นคำโกหก ที่ผมเชื่อและใช้มันเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวให้มีชีวิตต่อไป...
หลังจากที่ภพตาย ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับแม่เหมือนแก้วแตกๆ ที่ผมพยายามใช้สองมือประคองไว้... ชิ้นส่วนเล็กๆ ค่อยๆ ร่วงหล่น แต่ผมยังฝืนหยิบมันขึ้นมาปะติดปะต่อใหม่
ไม่ใช่เพียงเพราะว่าเราเหลือกันอยู่สองคน... แต่เป็นเพราะผมจำเป็นต้องชดใช้
แม่ไม่ได้กล่าวโทษผมเรื่องที่ภพตาย... แต่ถ้าเลือกได้ ท่านคงอยากให้ผมเป็นคนที่จากไป
แต่ในเมื่อเลือกไม่ได้ ผมจึงยังต้องอยู่ ดูแลแม่ตามคำสั่งเสียของพี่ชาย... แล้วผมก็ได้รู้ว่าตัวเองเป็นลูกที่แย่แค่ไหน ในวันที่ผมไม่รู้ว่าควรจะประกอบร่างความสัมพันธ์ที่ถูกปล่อยให้แตกร้าวมานานยังไง
ไม่รู้จะฉุดผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาจากความรู้สึกสูญเสียแสนสาหัสได้ยังไง
สุดท้ายผมได้แต่คิดง่ายๆ ว่าถ้าแม่รักภพ... ผมจะกลายเป็นภพให้
ผมพาตัวเองเข้าไปแทนที่ในสถานที่ที่ภพเคยอยู่ ทำในสิ่งที่เขาเคยทำ... รักในสิ่งที่เขารัก
ภพชอบเล่นดนตรี ผมจึงหัดตีกลอง... ภพเคยฝันอยากเป็นนักบาสเอ็นบีเอ ผมจึงหัดเล่นบาสจนคล่อง... ภพเป็นที่รัก ผมจึงพยายามจะทำให้ตัวเองถูกรัก ทั้งที่ตัวตนของผมช่างตรงข้าม
ผมเริ่มต้นใช้ชีวิตเช่นนั้น... เป็นตัวแทน ก่อนจะพบว่ามันหนักหนาขึ้นทุกวัน... หรือไม่ผมก็อ่อนแอเกินไป
การสวมบทเป็นพี่ชายไม่ได้ทำให้ผมกลายเป็นเขา... แต่ส่วนหนึ่งของเขากลับกลืนกินตัวตนของผมไป
แต่ความพยายามช่างไร้ความหมาย... ผมไม่อาจพาแม่หลุดจากความเศร้าได้ นับวันผู้หญิงคนนั้นยิ่งหนีจากโลกแห่งความจริง... ไปอยู่ในภวังค์ที่ผมไม่อาจเข้าถึงได้
และไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย... ในวันที่ผมรู้สึกว่าไม่อาจแบกรับทั้งหมดได้ไหว... เขาหาเราจนเจอ
ในที่สุดผมก็เข้าใจ... ที่แม่พร่ำบอกว่าเราเหมือนกันเกินไป
ไม่ใช่แค่ใบหน้า สายตา หรือกระทั่งนิสัยท่าทาง ผมเหมือนพ่อบังเกิดเกล้าราวถอดแบบ และทั้งที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก ผมกลับถูกเขาล่วงรู้ความคิดราวกับเข้ามานั่งในใจ
‘ไปอยู่ด้วยกันไหม’
ผมไม่ได้ปฏิเสธตอนที่ได้ยินคำชวนนั้น อาจเพราะผมเห็นความรู้สึกผิดในแววตา เพราะผมคิดว่าเขาควรได้รับการให้อภัย เพราะอยากสัมผัสกับครอบครัวที่อบอุ่นสักครั้ง...
ไม่ว่าจะมีข้ออ้างมากมายแค่ไหน ความจริงที่รู้อยู่แก่ใจคือความเห็นแก่ตัว
...ผมเพียงต้องการคนที่จะมาช่วยแบ่งเบาความรู้สึกผิดออกไปจากใจ และรู้ว่าเขาเต็มใจจะรับมันไว้ เขาที่อยากชดใช้เช่นที่ผมอยากชดใช้
ผมกับแม่ถูกพากลับมาที่ไทย บ้านเกิดที่ผมจำไม่ได้แม้แต่กลิ่นของอากาศ ที่นี่ผมได้ทุกสิ่งที่ผมควรจะได้ ที่อยู่ เงิน สิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างเท่าที่ผมต้องการ... แลกกับการที่ผมกับแม่ต้องอยู่ในความลับเร้นต่อไป
ผมไม่สนเรื่องนั้น สิ่งเดียวที่หวังคือการอยู่ในสถานที่ที่เคยอยู่จะดึงสติของแม่กลับมา กลิ่นไอความรักที่เคยร้างลาจะช่วยเยียวยาจิตใจที่แตกสลายของแม่ได้
ผมใช้เวลาปรับตัวอยู่พักใหญ่ทั้งเรื่องภาษา อาหารการกิน การเป็นอยู่... มันน่าตลกที่แม้แต่ตอนนี้ผมยังเอาแต่คิดว่าถ้าเป็นภพจะใช้ชีวิตที่นี่ยังไง... เขาน่าจะปรับตัวง่าย มีเพื่อนมากมาย เป็นที่รัก...
ถ้าเป็นภพ คงพาแม่กลับมามีความสุขเหมือนในวันเก่าๆ ได้
พอคิดแบบนั้นผมก็สวมบทบาทโดยอัตโนมัติ... เช่นที่ผ่านมา ผมพยายามที่จะเป็นเขา แต่ตัวตนที่ยังแข็งกร้าวก็ไม่อาจปกปิดได้... สุดท้ายมันกลายเป็นส่วนผสมที่ย้อนแย้งเกินจะเข้าใจ... เป็นคนที่ใครต่อใครทั้งรักและชังในคราวเดียวกัน
ถ้าภพคือความรัก... ผมคือการทำลาย
ภพคือความอ่อนโยน ส่วนผมคือความเย็นชืด ไร้จิตใจ
ในที่สุด... ผมไม่รู้แล้วว่าตัวเองเป็นใคร
“เมื่อไหร่พี่จะตั้งชื่อให้มัน” ผมเงยหน้าขึ้นจากเจ้าลูกหมาสีดำที่ชะตาชีวิตคล้ายผมราวเป็นอีกร่าง เงยหน้ามองตามเด็กผู้ชายร่างสูงบางที่เดินถือเฟรมผ้าใบเข้ามานั่งข้างๆ ผมยักไหล่ตอบ เอนหลังนอน ใช้ตักอีกคนต่างหมอน กอดอกแล้วหลับตา
ผมถูกส่งมาเรียนต่อมัธยมปลาย ถึงผมไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์อะไร ลูกนอกสมรสที่ต้องใช้ชีวิตหลบซ่อนอย่างผมไม่จำเป็นต้องเรียนสูงเพื่อสืบทอดกิจการ และสิ่งที่ผมควรใส่ใจคืออาการซึมเศร้าของแม่ที่ย่ำแย่ลงทุกวัน
อาจเพราะเป็นขนบของที่นี่ที่ผมต้องทำตาม หรือไม่ก็เพราะโรงเรียนยังมีความน่าสนใจสำหรับผมอยู่บ้าง
เช่นเด็กคนนี้ไง...
‘พิชญ์’ คือหนึ่งในคนที่เข้าหาผม ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ผมไม่อาจเข้าใจ ทั้งที่กับคนอื่นมันเดาง่าย หน้าตา ชื่อเสียง เซ็กซ์... แต่กับพิชญ์ผมไม่รู้ว่าน้องต้องการอะไร
พิชญ์เคยบอกว่าชอบผมที่หน้าตา... แต่ผมไม่เคยเห็นว่าน้องจะใช้ประโยชน์อะไรจากมัน ไม่เคยพาผมไปอวดเพื่อนสักครั้ง... เราไม่เคยมีรูปคู่กัน
ที่สำคัญ น้องไม่ยอมให้ผมเปิดเผยความสัมพันธ์
สำหรับผมมันคือการท้าทาย... คนที่ต้องหลบเร้น รู้ดีว่าการอยู่ในเงามันเป็นยังไง ผมอยากรู้ว่าน้องจะทนได้นานแค่ไหน...
แล้วผมก็พบว่าผมดูถูกเด็กคนนี้ไม่ได้
ความสัมพันธ์ไร้ชื่อดำเนินไปอย่างเรียบเรื่อยในสายลม... รู้ตัวอีกที ผมก็มีน้องเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ทั้งที่ปกติมักจะจบความสัมพันธ์ในเวลาอันสั้น มอบทุกสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ แล้วตัดขาดออกจากกัน
พิชญ์เป็นเด็กน่ารัก ไม่ใช่แค่หน้าตา ทั้งนิสัยรั้นๆ คล้ายจะเอาแต่ใจ แต่เป็นคนแสดงออกตรงๆ อ่อนโยน ไม่เคยคิดร้าย ใคร... อยู่ด้วยก็สบายใจ
นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ผมเผลอแสดงออกในสิ่งที่ไม่เคยแสดงออกกับคนอื่นออกมาง่ายๆ
เช่นตอนนี้ที่ผมปล่อยให้ตัวเองหลับสนิท ทั้งที่ไม่เคยหลับต่อหน้าใคร
ผมชอบกลิ่นของพิชญ์... ชอบฝ่ามือที่ลูบลงมาบนหัวผม... ชอบกระทั่งไออุ่นจากลมหายใจที่รดลงมาแผ่วเบา
“...!” หรือแม้แต่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่เบิกกว้างขึ้นเมื่อถูกจับได้ว่ากำลังลักหลับ
รอยยิ้มเก้อเขิน และเสียงทุ้มหวานที่คล้ายจะอ้อนกลายๆ
“ผมจูบพี่ได้ไหม”
“หึ”
ชอบรสสัมผัสของริมฝีปาก... ที่กลายเป็นสารเสพติดที่ผมหลงใหลโดยไม่รู้ตัว
การได้รู้จักพิชญ์ทำให้ผมคิดว่าตัวเองมีความสุขได้... คิดว่ากำลังจะมีโอกาสได้รู้จักความรักเหมือนใครๆ
แต่ผมลืมไป ว่าคนบาปอย่างผมไม่ควรได้สิทธิ์เหล่านั้น...
ความหวังของผมพังทลาย... เมื่อสุดท้ายเธอเลือกจากไป
ปลดปล่อยตัวเองจากความทรมานจากตึกสูงระฟ้าที่เขาให้เราอยู่อาศัย...
เงินทองหรือสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายไม่อาจฉุดรั้งแม่จากความเศร้าได้... ตัวตนของภพที่ผมสวมไว้ไม่อาจทดแทนตรีภพที่รออยู่ในโลกหลังความตาย
ผมน่าจะรู้ว่าแก้วที่แหลกละเอียด ไม่มีทางประกอบร่างขึ้นใหม่
น่าจะรู้ตัวว่าผมไม่มีสิทธิ์มีความสุข... ไม่ได้รับอนุญาตให้มีความรัก
...ไม่ควรถูกรัก
“พี่หายไปไหนมา” อ้อมแขนของพิชญ์โอบกอดผมไว้ในวันที่ผมไม่เหลือใคร
หลังวันที่แม่เสีย ผมมีหลายอย่างต้องคิด ต้องตัดสินใจ...
ที่นี่ไม่เหลืออะไรแล้ว ผมคงต้องกลับไป
มันกลายเป็นความขัดแย้งถึงที่สุดเมื่อผมต้องปล่อยอ้อมกอดนี้ ทั้งที่ไม่อยากปล่อย แต่ผมไม่กล้าที่จะรั้งไว้... ไม่อยากทำร้ายเด็กคนนี้เหมือนคนอื่นๆ ที่ผมเคยทำร้าย
...แต่ก็ไม่อยากสูญเสีย
“พิชญ์... มึงจะอยู่กับกูไหม”
ผมจึงตัดสินใจเลือกทั้งสองทาง...
“...”
“อยู่ตลอดไป”
เหมือนวันที่ภพจากไป... ผมต้องการคำโกหก เพื่อให้ตัวเองมีค่า
“อืม อยู่สิ”
อยากได้ยินคำสัญญาปลอมๆ ว่าต่อให้ปล่อยมือ ผมก็จะไม่สูญเสียเด็กคนนี้ไป...
แต่ใครๆ ก็รู้... โลกนี้ไม่มีคำว่าตลอดไป
ในที่สุดผมทิ้งทุกอย่างแล้วกลับมาอยู่บ้านที่อเมริกา กลับมาใช้ชีวิตคนเดียวโดยที่ยังได้รับเงินส่งเสียจากพ่อบังเกิดเกล้า เขาไม่ได้รั้งผมไว้... คงเพราะไม่รู้ว่าจะรั้งยังไง
ในวันที่แม่จากไป ผมได้รู้ว่าอีกอย่างที่ผมกับพ่อเหมือนกัน... คือเราไม่อาจรักษาสิ่งที่รักได้
ไม่ใช่ว่าไม่รัก แต่ไม่รู้จะแสดงออกความรักยังไง... ไม่รู้ว่าจะประคับประคองมันไว้ในมือได้ยังไง... สุดท้ายเราได้แต่พยายามเก็บแก้วที่ยังไม่แตกไว้ โดยการพาตัวเองออกมาให้ไกล...
ไม่แตะต้อง ไม่ทำลาย
ผมไม่ได้เกลียดพ่อ เรายังติดต่อกัน เป็นความสัมพันธ์ที่ยากจะอธิบาย ผมได้ยินเรื่องที่เขาหย่า ได้ยินเรื่องที่เขาชดใช้สิ่งที่ตัวเองทำลงไปด้วยความเดียวดาย... เหมือนกับผม
ต่างกันตรงที่ผมอ่อนแอ และไม่อาจทนแบกรับความรู้สึกที่กัดกินมโนสำนึกตัวเองในทุกๆ วันได้... พยายามหาทางออก แต่ไม่รู้ว่าควรทำยังไง
สุดท้ายผมพบวิธีที่ง่าย และคุ้นเคย
มอเตอร์ไซค์...
ในทีแรกผมใช้มันด้วยจุดประสงค์เดิมๆ ความเร็ว อันตราย... ให้สายลมกระชากความฟุ้งซ่านออกจากหัวไป
แต่ในคราวนี้ยิ่งสายลมปะทะรุนแรงเท่าไหร่ ความหนาวเหน็บยิ่งบาดผิว จิตใจผมยิ่งทุรนทุราย ผมคิดถึงภพ คิดถึงความผิดที่ตัวเองทำไว้ ความรู้สึกผิดที่กัดกินตัวตนของผมทีละน้อยจนสุดท้ายไม่เหลืออะไร
ในที่สุดผมรู้เหตุผลที่ต้องเดียวดาย... เหตุผลที่ต้องกลายเป็นคนกลวงเปล่า
...พระเจ้าอยากให้ผมชดใช้
แต่ท้ายที่สุดผมไม่ได้ตายในอุบัติเหตุครั้งที่สอง... อุบัติเหตุที่ครึ่งหนึ่งคือความจงใจ
ผมไม่ได้รู้สึกดีที่รอดชีวิต กลับกัน รอยแผลเป็นที่กรีดยาวอยู่กลางร่างยิ่งตอกย้ำถึงความผิด... ผมควรตามภพไป ควรชดใช้ให้แม่ที่แลกชีวิตกับภพไม่ได้
ไม่ควรกลับมา... ไม่ควรได้เจอหน้าคนคนนี้อีก ต่อให้โหยหาแค่ไหน
มีความเป็นไปได้แค่ไหนกันที่ผมจะได้กลับมาเจอพิชญ์อีกครั้งในคณะและมหาลัยที่มีอยู่นับร้อยในประเทศไทย... ผมไม่รู้ว่าพระเจ้ากำลังเล่นตลกอะไร
จริงอยู่ ผมควรปล่อยน้องไป... ในเมื่อการได้เจอกันอีกครั้งยืนยันชัดว่าการไม่มีผมอยู่ข้างๆ ทำให้ชีวิตน้องมีความสุขกว่า... เป็นที่รัก เป็นตัวของตัวเอง มีแต่คนดีๆ แวดล้อม เป็นพิชญ์ที่สดใส
ผมควรหายไป...
“ท้าหรือจริง?”
แต่ผมมันเห็นแก่ตัว...
ทั้งที่รู้ว่าไม่อาจรักษาไว้ได้ผมก็ยังเอื้อมมือออกไปคว้าไว้...
ทั้งที่รู้ว่าจะทำให้เสียใจ แต่ผมก็ฝืนใจตัวเองไม่ได้...
รู้ดีว่าพิชญ์เพียงใช้เกมโง่เง่าเป็นข้ออ้างเพื่อเข้ามาอยู่ข้างๆ... เพราะผมเองก็ใช้มันเป็นข้ออ้างเพื่อเข้าไปในชีวิตน้องเช่นกัน ถ้าไม่มันผมคงเลือกปล่อยน้องไป... ถ้าไม่มีมัน ผมคงไม่มีเหตุผลที่จะรั้งน้องไว้
“ทำไมตอนนั้นถึงทิ้งไป”
“เพราะไม่ได้รักไง”
...จะบอกได้ยังไงว่าจะไม่สามารถรักษาไว้
“โกหก... ทำไมตอนนั้นถึงทิ้งไป”
“พอสักทีพิชญ์”
...จะบอกได้ยังไงว่าถ้ารักแล้วจะเสียใจ
“ทำไมตอนนั้นพี่ถึงทิ้งผมไปเตวิชญ์”
...จะบอกได้ยังไงว่าตั้งใจจะไม่กลับมา
ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพิชญ์ถึงดันทุรังนัก... ทำไมถึงยอมเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า... ทำไมถึงยอมให้ผมทำร้าย
ทำไมถึงได้รักผม... ผมไม่เข้าใจ
“ผมรักพี่... ได้ยินไหม”
ทำไมถึงยังรักษาสัญญา... ที่จะอยู่กับผมตลอดไป
ในที่สุดผมเห็นแก่ตัวอีกครั้ง... หยิบแก้วที่ยังไม่แตกมาถือไว้
รอยร้าวเด่นชัด แต่ผมหลอกตัวเองว่ามันจะไม่เป็นไร... ขอแค่แป๊บเดียว ขอมีความสุขครั้งสุดท้ายก่อนจะไป
หลังจากนั้นผมทำทุกอย่างที่ติดค้างเอาไว้
พิชญ์ขอให้ผมเปิดใจ ขอให้ผมยอมรับความรัก... แสดงความรักตามใจ
ผมทำ โดยไม่มีการฝืนใจ
เหมือนในอดีตที่การอยู่กับพิชญ์ปลดปล่อยตัวตนที่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองซ่อนเอาไว้... ตัวตนที่มีความสุข ยอมให้ตัวเองยิ้มกว้างๆ ได้...
ตัวตนที่อนุญาตให้ผมรักใครสักคนจนหมดใจ
“เตวิชญ์ ผมพูดจริงนะ พี่อาจตายได้” หลุดหัวเราะเบาๆ กับคำขู่ของคนที่นั่งอยู่ข้างอ่างล้างหน้ามือข้างหนึ่งถือใบมีดสำหรับโกนหนวด คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างยุ่งยากใจ
ดูน่ามันเขี้ยวจนกระชับหลังให้ขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม ถ้าไม่ติดว่ามีครีมโกนหนวดอยู่รอบปาก ผมจะจับจูบให้
“อย่ายิ้มดิ”
“...”
“เตวิชญ์ ผมเตือนพี่แล้วนะ”
สุดท้ายคนที่ทนไม่ไหวกลับกลายเป็นคนตรงหน้าที่เปลี่ยนเป็นยกแขนโอบรอบคอผมก่อนดึงเข้าไปหา ประกบริมฝีปากลงโทษรอยยิ้มของผมด้วยรสจูบเอาแต่ใจ ผมหัวเราะอีกครั้งเมื่อเห็นโฟมสีขาวเลอะติดริมฝีปากน้องตอนผละออกไป กำลังจะยกนิ้วปาดออกให้ แต่พิชญ์กลับจูบซ้ำลงมา คราวนี้ถึงกับย่นหน้าเมื่อลิ้นรั้นดันเผลอได้ลิ้มรสโฟมโกนหนวดเข้า
“รสชาติปะแล่ม”
“หึ”
ทำไมถึงได้น่ารักนัก
พิชญ์น่ารักเกินไป...
นับวันผมยิ่งไม่รู้ว่าจะปล่อยมือคู่นี้ยังไง นับวันยิ่งผูกพัน ช่วงเวลาสั้นๆ ที่เราอยู่ด้วยกันมันมีความสุขกว่าที่ผมคิดไว้
แต่ยิ่งมีความสุขเท่าไหร่ ความรู้สึกผิดในใจก็ยิ่งทบทวี
รอยแผลเป็นที่สลักอยู่บนร่างคล้ายระเบิดเวลา ย้ำเตือนว่าสักวันมันจะปริแตกอีกครั้ง...
ผมเคยคิดว่ามันเป็นตราบาปในชีวิต เป็นสิ่งเตือนใจของความรู้สึกผิด จนกระทั่งพิชญ์เห็นมัน...
แปลกดีที่น้องบอกว่ามันสวย ทั้งที่ก่อนหน้ามีแต่คนหวาดกลัว ร่องรอยที่ใครต่อใครพากันตั้งคำถาม... พิชญ์กลับมองมันอย่างหลงใหล
ภาพของผีเสื้อที่น้องบรรจงวาดลงไป คล้ายจะกลบทับความผิดบาปให้ผมได้ แม้จะแค่ชั่วคราว
เหมือนที่การมีน้องอยู่ข้างๆ ทำให้ผมหลงคิดว่าชีวิตตัวเองมีค่าขึ้นมาอีกครั้ง
“นอนไม่หลับเหรอ” น้ำเสียงงัวเงียที่มาพร้อมอ้อมกอดอุ่นปลุกผมหลุดจากภวังค์ ร่างกายที่แนบชิดทำให้ผมสัมผัสได้ถึงแรงเต้นจากหัวใจภายใต้แผ่นอกเปลือยเปล่า
หัวใจที่เต้นอย่างสงบ... คล้ายจะปลอบประโลมให้ผมสงบตาม
“ตัวพี่เย็นหมดแล้ว” ผมยิ้ม สูดควันครั้งสุดท้ายก่อนดับบุหรี่เพื่อให้มือว่างสำหรับดึงร่างอีกคนมากอดไว้
“หนาว” ซุกจมูกลงกับกลุ่มผมหอม ออดอ้อนจนได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ร่างกายที่อุ่นกว่ากอดกระชับ มือบางถูแผ่นหลังผมเบาๆ
เป็นอีกครั้งที่พิชญ์ฉุดผมขึ้นจากความเศร้า
เป็นอีกครั้งที่น้องทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป...
แต่ผมจะอยู่โดยที่ยังแบกรับบาปทั้งหมดนี้ได้ยังไง... ความรู้สึกผิดที่กัดกินอยู่ในใจทำให้ผมไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหน... ปลายทางที่ผมปูไว้ใกล้เข้ามาทุกวัน
ในที่สุดผมเลือกทำตามเป้าหมายเดิมที่ตั้งใจเอาไว้ เลือกที่จะไป ในวันที่ไม่เหลืออะไรให้ค้างคาใจ
ผมรอจนขาเปียกปูนหาย ตอบแทนเจดตามที่ตกลงไว้... รักพิชญ์เท่าที่จะรักได้
สิ่งเดียวที่ยังติดค้าง... คือผมกำลังจะทำให้พิชญ์เสียใจ
จนถึงวินาทีสุดท้ายผมก็ยังเห็นแก่ตัว... ตักตวงความสุขจากน้องอย่างคนหิวกระหาย ตอบรับทุกสัมผัส ทุกความอ่อนโยนกักเก็บไว้ ทั้งที่รู้ว่ามันจะย้อนกลับมาทำร้ายคนที่ผมรักอย่างสาหัสแค่ไหน
“ขอโทษ” ได้แต่กระซิบคำที่อยู่ในใจ ก่อนกดจูบที่หน้าผากใส เปลือกตา ผิวแก้มฝาด ปลายจมูกรั้น และริมฝีปากที่หวานล้ำยิ่งกว่าสิ่งใด
“รัก...”
เป็นครั้งแรกที่น้ำตาของผมไหล
เป็นครั้งแรกที่ผมหวาดกลัวความตาย...
ผมพาตัวเองหนีมา ด้วยยานพาหนะที่ตกทอดมาจากพี่ชาย
เดิมทีผมตั้งใจจะไปหาภพ ในสถานที่ที่ผมพรากชีวิตเขาไป
แต่สถานที่จะสำคัญอะไร... ในเมื่อสิ่งสำคัญคือผมต้องชดใช้
ที่ผ่านมาผมร้องขอความตายเพื่อปลดปล่อยตัวเองจากความทรมาน... แต่คราวนี้ผมใช้มันปลดล็อกความผิดบาปที่กัดกินหัวใจผมมานาน
ผมตัดสินใจเลือกเส้นทาง... วางเดิมพัน... ยื่นคำท้าให้ใครก็ตามที่กุมชะตาผมไว้
ผมต้องตาย...
ถ้าไม่... ผมจะเลิกยอมให้ความผิดบาปจากอดีตเกาะกินใจ
ถ้าไม่... ผมจะไม่ให้โอกาสอีก ต่อให้ชีวิตจะเลวร้ายแค่ไหน
ถ้าไม่... ผมจะกอดพิชญ์ไว้... กอดให้แน่น จะไม่ปล่อยมือไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ
นี่จะเป็นครั้งสุดท้าย...
พาผมไป
----------------------------------------------------------------
เก็บเศษแก้วที่โปรยไว้มาประกอบให้รู้ว่ามันเคยแตกยังไงค่ะ
คิดว่าคงมีคนตกใจกับอดีตของพี่เต ขนาดเรายังตกใจเลย 55555
แทบไม่มีอะไรบ่งบอกเลยว่าเขาแบกรับอะไรที่หนักหนาขนาดนี้ไว้
เคยบอกไว้ว่าพี่เตเหมือนจะซับซ้อนแต่ก็ไม่ซับซ้อน
จนตอนนี้ก็ยังรู้สึกอย่างนั้น เพียงแต่เป็นความไม่ซับซ้อนที่ซับซ้อนอีกที 5555
เป็นคนที่คิดว่าตัวเองไม่ใช่คนดี ถึงจะทำดีก็คิดว่าเป็นเพราะตัวเองคิดแบบพี่ชาย... (งงไหม)
เราว่าเป็นคนที่เพี้ยนใช้ได้...
ตอนนี้พยายามจะแก้ไขให้มันขมขื่นน้อยลงแล้ว แต่ยากเหลือเกินค่ะ เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราเขียนเรื่องนี้
ถ้ามันเปลี่ยนหรือตัดทิ้ง เท่ากับทั้งหมดที่เขียนมาไม่มีความหมาย
แต่เพราะวางปมไว้แบบนี้ ถึงได้คาแร็กเตอร์พิชญ์มา
ทุกตอนที่เขียนจะรู้สึกขอบคุณพิชญ์มาก ขอบคุณที่รัก ขอบคุณที่ดันทุรัง ขอบคุณที่เข้ามาเป็นความหวังให้พี่เขาทั้งที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร
น้องเป็นคนเข้มแข็งที่สุดในจักรวาลใบนี้แล้วค่ะ และเด็กดีควรได้รับรางวัล
ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันนะคะ
ฝาก #เกมท้ารัก ด้วยน้า
ปล. จริงๆ เราแอบทิ้งนัยของอดีตพี่เตไว้หลายจุดเหมือนกัน ลองกลับไปหาดูเล่นๆ แล้วเอามาเม้าท์มอยกันได้นะคะ 555