[Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก :SpecialVIII:Playing With Fire [11.12.2018]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก :SpecialVIII:Playing With Fire [11.12.2018]  (อ่าน 176067 ครั้ง)

ออฟไลน์ nnoii2538

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ชอบสำนวนแบบนี้ ทุกตัวอักษรมันมีความหมาย ดึงดูดเราได้ทุกบรรทัด บรรยากาศในเรื่องเหมือนมันอบอวลไปด้วยควันบุหรี่  ล่องลอย ไม่ชัดเจน งื้ออออ ชอบนิยายเรื่องนี้ :mew1:

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
ชอบน้องพิชญ์ บางทีก็เครียดแทนนะ ไม่รู้ว่าพี่เตคิดยังไง แล้วตอนที่น้องแกล้งโยนถุงขนมให้ พี่เตรู้สึกยังไง แอบอยากรู้ความคิดความรู้สึกพี่เต

ออฟไลน์ Zestful

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ความฝันพี่เตคือน้องพิชญ์แน่เลยยยย  :katai5:

ออฟไลน์ prawan25

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชอบตอนที่แชร์ฝันแล้วพี่ห้ามน้องไม่ให้เดินไป
คือรู้สึกอึดอัดและเจ็บปวดใจ...

ส่วนบทลงโทษของพี่เตคือใจร้ายกับน้องมากเลยย
อะไรคือให้น้องหลับตาแล้วตัวเองเข้าห้องไป
พี่จะมาทิ้งน้องไว้กับสัมผัสแบบนี้ไม่ได้ พี่ใจร้ายเกินไป!

ออฟไลน์ sripaerrr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
 โอ๊ยยย ใจหายใจคว่ำ ตอนที่บอกให้คนพี่รับ เป็นเรา เราก็โกรธอะ บาดแผลของเตนี่ต้องใหญ่ขนาดไหนถึงปิดตัวเองขนาดนี้ สงสารพี่ปามากที่สุดเลยค่ะตอนนี้ ตั้งแต่เป็นแฟนกันมาได้สบตากันแค่ตอนเลิก :hao5:

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
ตอนแชร์ความฝันนี่แบบ น้องพิชญ์ลูก
พี่เตก็คือพี่เตจริงๆ

ออฟไลน์ memytae

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ประทับจายยยยย

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
พี่เตทำไมล้ายยยยยย ตีเลย !

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
12
[/b]
   
ผมคิดว่าตัวเองไม่มีสตินักตอนที่งัวเงียลุกขึ้นมาจากโซฟา ปล่อยผ้าห่มผืนหนาร่วงลงไปกองแทบเท้า เท้าเปล่าเผลอเหยียบมันแต่ไม่ใส่ใจ เดินไปยังครัวที่มีกลิ่นอาหารหอมกรุ่นลอยมา
   
แสงยามเช้าสาดกระทบร่างสูงที่กำลังง่วนกับการวางจานข้าวสองจานตรงข้ามกัน จานหนึ่งของเขา อีกจานสำหรับผม

...เหมือนภาพฝัน
   
ผมคิดว่าตัวเองไม่มีสตินัก ถึงได้เดินเข้าไป... สวมกอดเอวหนาไว้จากด้านหลัง ซบหน้าลงกับไหล่กว้างที่ยืดขึ้นอย่างตกใจ
   
ร่างกายท่อนบนต่างเปลือยเปล่าถ่ายทอดอุณหภูมิร่างกายแก่กันและกัน...
   
มันคือภาพฝัน... ภาพที่ผมเคยฝัน... ลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นเขา อ้อมกอดอุ่นและกลิ่นกายที่ทำให้เช้าเซื่องซึมกลายเป็นสดใส
   
ภาพฝันที่คล้ายจะชัดเจนขึ้นเมื่อเราเจอกันอีกครั้ง แต่ก็ช่างห่างไกล
   
“พิชญ์...” ไม่อยากถูกปลุกสู่ความจริงแม้กระทั่งตอนที่ถูกเรียกชื่อพร้อมฝ่ามือที่จับแขนผม ทำท่าจะดึงออกจากเอว
   
“ผมกำลังละเมอ” ข้ออ้างที่โคตรไม่สมเหตุสมผลทำให้เขาชะงัก ฝ่ามือที่จับนิ่งงัน
   
“กูให้สิบวิ” ยิ้มขำกับข้อต่อรอง แต่ก็ยอมแม้เวลาจะแสนสั้น
   
เข็มวินาทีในใจเริ่มนับถอยหลัง... ช้ากว่าระยะทางจริงของเข็มนาฬิกา
   
“ฝันร้ายเหรอ” เข้าสู่วินาทีที่เก้าหรือแปด เขาเอ่ยถาม ผมเงียบสักพัก ก่อนพยักหน้า
   
โกหกน่ะ ไม่มีฝันร้ายอะไรทั้งนั้น... ในเมื่อความเป็นจริงมันร้ายกว่า
   
ผมฉวยโอกาสถูผิวแก้มกับบ่า ซุกซบสูดกลิ่นกายอย่างโหยหา เผลอยิ้มออกมาเมื่อเขาไม่ว่าอะไร แค่ไล้นิ้วโป้งกับมือผมเบาๆ

ความละโมบครอบงำให้เลื่อนใบหน้ามายังท้ายทอย จรดริมฝีปากลงกับแนวกระดูกสันหลัง ต้นคอ และลาดไหล่อีกฝั่ง คลอเคลียอยู่อย่างนั้น... ปล่อยความรู้สึกจมดิ่งกับความเงียบงัน 

กระทั่งสัญญาณในหัวบอกหมดเวลา เขาแกะมือผมหันมาเผชิญหน้า ลบสิบวินาทีที่แล้วออกจากความทรงจำ
   
“ไปอาบน้ำไป” ออกปากไล่ ทำท่าจะเดินหนีไป
   
แต่ผมกักคนตัวโตกว่าไว้ด้วยแขนทั้งสองข้างที่เท้าลงกับโต๊ะอาหาร ช้อนสายตาสบดวงตาสีรัตติกาล กดมุมปากเป็นรอยยิ้มจางๆ ก่อนเอ่ยคำถามที่กลายเป็นกิจวัตรประจำวัน
   
“ท้าหรือจริง”

   






“พิชญ์ กูไม่ใช่พระอิฐพระปูน” ผมหลุดยิ้ม ชะงักมือที่กำลังปลดคาลวิน ไคลน์... ปราการสุดท้ายที่เหลืออยู่บนร่างกาย แสร้งหันกลับไปเบิกตากว้างใส่คนที่กอดอกนิ่วหน้าพิงประตูห้องน้ำทำน้ำเสียงประหลาดใจ
   
“อ้าว ผมคิดว่าต้องถอดหมด”
   
“...” คิ้วเข้มขมวดแน่น สีหน้างุ่นง่านทำให้ผมหลุดหัวเราะอีกครั้ง
   
“ถ้ามันเปียก ผมจะใส่อะไร” ข้ออ้างของผมทำให้ร่างสูงถอนหายใจ
   
“ยืมของกู” อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วกับคำตอบนั้น และมันยิ่งทำให้เขางุ่นง่าน คงไม่ทันเอะใจว่าข้อเสนอนั่นมันชวนให้คิดไกล
   
“ไม่ยักรู้ว่าสนิทกันถึงขั้นยืมได้” ผมหัวเราะ แต่เขาเหนื่อยใจจะโต้ตอบ เดินไปเปิดตู้ข้างอ่างล้างหน้าแล้วโยนผ้าขนหนูมาให้
   
“ใส่นี่ด้วย” 
   
ผมรับผ้าขนหนูมาพันเอวอย่างว่าง่าย แต่ความสั้นเหนือเข่าก็ทำเอาหลุดขำ ใส่หรือไม่ใส่ก็ค่าเท่ากันไม่ใช่หรือไง ยกมือแกะยางรัดผมที่มัดหางม้าลวกๆ ไว้แล้วเดินเข้าไปนั่งในอ่างอาบน้ำกว้าง รอร่างสูงที่หยิบแชมพูกับผ้าพื้นเล็กอีกผืนมานั่งที่ขอบอ่าง

เตวิชญ์ยังมีสีหน้างุ่นง่าน เห็นชัดว่าเขาไม่ชอบใจคำท้าครั้งนี้ของผมเท่าไหร่ ทั้งที่มันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร
   
แค่วานให้สระผมให้เท่านั้น
   
ทำไงได้ ช่วงใกล้ส่งงานผมไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่ ลำพังตื่นไปให้ทันคาบเรียนทั้งที่ปั่นงานโต้รุ่งได้ก็ยากเย็นแค่ไหน
   
"เงยหน้าหน่อย" ผมทำตาม เงยหน้าเสยผมทั้งหมดให้ตกไปด้านหลัง หลุดหัวเราะอีกครั้งเมื่อเจ้าของสีหน้างุ่นง่านรดน้ำลงมาบนหัวผมอย่างเก้กัง นิ้วเรียวสางผมยาวอย่างเบามือ คิ้วเข้มเริ่มขมวดแน่นอีกครั้ง... เป็นสีหน้าตั้งใจ
   
ห้องน้ำคับแคบมีเพียงเสียงน้ำจากฝักบัวที่ตกกระทบลงมาบนหัว... และเสียงหายใจ 

ผมไม่มีปัญหาเท่าไหร่นักกับความเงียบ และการได้มองใบหน้าของเขา ไล่สำรวจร่างกายท่อนบนที่ยังเปลือยเปล่าจากมุมกลับหัวกลับหาง... เคยบอกหรือยังว่าไหปลาร้าของเขามันสวย เส้นโค้งสมบูรณ์แบบนูนชัด รับกับแผ่นอกกำยำและหัวไหล่หนั่นแน่นอย่างคนออกกำลังกาย เหมือนได้จ้องมองประติมากรรมชั้นยอดจากช่างฝีมือดี

แต่อีกคนดูจะไม่ใคร่ชอบใจ หลังจากปล่อยให้ผมจ้องอยู่นานเขาก็ถอนหายใจออกมา
   
“มันกดดัน” ผมหัวเราะ
   
ขอย้ำอีกครั้งว่าเวลาเขาหงุดหงิดน่ะน่ารักชะมัด 
   
“หลับตา” พอราดน้ำจนผมชุ่มเขาก็ปิดฝักบัว เอื้อมมือไปหยิบแชมพูกลิ่นเดียวกับเจ้าตัวมาเทใส่ฝ่ามือนวดเบาๆ ก่อนขยี้ลงมาบนหัว ผมหลับตา ปล่อยให้ฝ่ามือหนานวดไปทั่วศีรษะ เคลิบเคลิ้มไปกับกลิ่นแชมพูและสัมผัสของเขา
   
“พี่มือเบากว่าช่างทำผมที่ร้านอีก” ผมยิ้ม จินตนาการว่าเขาคงหน้านิ่วคิ้วขมวดกับคำแซว แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ
   
“พูดมากน่ะ” ตำหนิไม่จริงจัง ก่อนจะได้ยินเสียงเปิดน้ำอีกครั้ง สายน้ำรินรดลงมาไล่ล้างฟองออกจากเส้นผมยาว

“ผมชอบกลิ่นนี้” กลิ่นแชมพูที่ไม่ค่อยได้กลิ่นทั่วไป ทำให้ทึกทักไปว่ามันเป็นกลิ่นเฉพาะตัวของเขาที่ผมจำได้

เขาไม่ได้ตอบอะไร แค่ทำตามขั้นตอนต่อไป กลิ่นใหม่ฟุ้งกระจายตอนที่เขาปิดน้ำแล้วนวดฝ่ามือลงมาแผ่วเบา

“ปกติพี่ใช้ครีมนวดกลิ่นนี้เหรอ” มันไม่ใช่กลิ่นคุ้นเคย อันที่จริงผมไม่เคยได้กลิ่นมันด้วยซ้ำ

“ปกติไม่ได้ใช้” คำตอบน่าประหลาดใจทำให้ผมลืมตา เขาขมวดคิ้วตำหนิ เคาะหน้าผากครั้งหนึ่งให้ผมหลับตา “ก็ผมมึงยาว” คำอธิบายตามมาโดยที่ผมไม่ต้องถาม ผมหัวเราะเบาๆ เมื่อนึกได้ว่าตอนที่ผมสั้นเท่าเขาก็ไม่ใคร่จะใส่ใจใส่ครีมนวดผมเหมือนกัน

ผมหลับตานิ่งปล่อยให้เขานวดผมไปแบบนั้น ไม่นานน้ำอุ่นๆ ก็รินรดลงมาอีกครั้ง ฝ่ามือหนานวดไปทั่วศีรษะแผ่วเบา สบายเกินไปจนเผลอคลี่ยิ้มกว้าง หลุดฮัมเพลงที่ช่วงนี้ฟังประจำออกมา ไม่มากไปกว่าการส่งเสียงเบาๆ ในลำคอ

“...!” แต่แล้วก็ต้องชะงักรู้สึกได้ถึงสัมผัสบางอย่างที่แตกต่าง
   
ถึงจะยังหลับตาแต่ผมจับได้... สัมผัสของริมฝีปากอุ่นที่แตะลงมาบนหน้าผากเพียงครั้งแล้วผละออกไป
   
ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง กะพริบตาปริบๆ ผสานกับสีรัตติกาลที่จ้องมองมาอย่างไม่เข้าใจ แต่แววตาที่ได้รับกลับดูสับสนไม่แพ้กัน

มันดู...โหยหาทว่างุ่นง่าน คล้ายมีด้ายบางๆ ขวางกั้น แต่สุดท้ายเขาเลือกปล่อยปละความละล้าละลัง โยนฝักบัวที่ยังมีน้ำไหลลงข้างกาย ยกมือทั้งสองข้างประคองสองแก้มผมไว้ ใบหน้าที่กลับหัวกลับหางเคลื่อนเข้ามาใกล้ ก่อนที่ริมฝีปากจะกดย้ำตำแหน่งเดิมอีกครั้ง

“กูกำลังละเมอ” เขาพึมพำ ก่อนลากสัมผัสมาที่ปลายจมูก

“ขอสิบวิ” ปิดประทับริมฝีปากเพียงสั้นๆ แล้วทำท่าจะผละออกไป แต่ผมเอื้อมมือออกไปกดรั้งท้ายทอยเขาไว้ ยืดตัวขึ้นอีกนิดให้สัมผัสแผ่วเบากลายเป็นแนบสนิท...เนิ่นนาน ปล่อยให้จูบอุ่นอวลแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย อัดแน่นอยู่ตรงหัวใจที่เริ่มส่งเสียงเอะอะจนเขาอาจรับรู้ได้
   
“ผมให้พี่ได้มากกว่าสิบวิ” ผมกระซิบชิดริมฝีปากอย่างดื้อรั้น แต่ร่างสูงกลับหัวเราะเบาๆ ริมฝีปากเลื่อนขึ้นไปแตะหน้าผากอีกครั้ง ก่อนซุกลงที่กลุ่มผมชื้น แขนข้างหนึ่งโอบรอบคอผมดึงเข้าไปปะทะอกกว้าง

อ้อมกอดที่ผมคล้ายจะเข้าใจความหมายแต่ไม่แน่ใจ

“แค่สิบวิก็พอ” น้ำเสียงของเขาราววอนขอ ทั้งที่ผมยื่นข้อเสนอที่ดีกว่า

...ไม่เป็นไร แค่สิบวิก็ได้

ผมหัวเราะเบาๆ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาจับมือเขา ซุกจมูกลงกับแขนกำยำ... อาจจริงของเขา เราต่างกำลังละเมอ

“ทำไมถึงยังอยู่” คำถามถูกเอ่ยขึ้นมา ในช่วงเวลาสิบวินาทีที่เขาอนุญาตให้ผมชิดใกล้จนได้ยินเสียงหัวใจ “ไม่เคยมีใครอยู่”

คงหมายถึงคนที่เคยเข้ามาในชีวิต... คนที่ไม่เคยทนความเย็นชาของเขาได้

“พี่ก็รู้ว่าผมเป็นยังไง”

ดื้อด้าน... ดันทุรัง... ผมเป็นคนประเภทนั้น เขารู้ดียิ่งกว่าใคร

“กูไม่เข้าใจ” เสียงของเขาอ่อนแรง อ้อมแขนกระชับแน่นแต่ไร้ความมั่นคง “กูไม่รู้ว่ามึงต้องการอะไร”

“ผมไม่ได้ต้องการอะไร” ผมหันกลับไปสบตาเขาเพื่อยืนยัน

“ผมก็แค่รัก...” แต่แล้วคำพูดที่ตั้งใจกลับกลืนหาย เมื่อเขาผละออกไป รอยจูบและอ้อมกอดกลายเป็นภาพลวงตา

“กูไม่รู้จักหรอก... รักที่มึงว่า” 

“...” ผมถูกปะทะด้วยความหมายของข้อความนั้นจนได้แต่ชะงักงัน... รู้สึกหน้าชา ขณะที่ร่างสูงเอื้อมมือมาปิดฝักบัวแล้วลุกออกไป

“อาบน้ำซะ จะได้กินข้าว” เขาไม่ได้หันหลังกลับมา เพียงทิ้งคำพูดที่บ่งบอกว่าได้ลบเวลาสิบวินาทีก่อนหน้านี้ไปพร้อมสายน้ำที่แห้งขอดเพียงพริบตา

แต่รู้ไหม ผมไม่ลืมหรอกนะ...สิบวินาทีนั้นน่ะ






ก่อนสอบสองอาทิตย์เป็นช่วงเวลาของกิจกรรม

แต่ละคณะจัดงานประชันกันราวกับปลดปล่อยก่อนต้องไปเผชิญนรกไฟนอล แต่คณะเราไม่ใช่หนึ่งในนั้น งานสังสรรค์ไม่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อนสอบต้องส่งงาน

แต่ผมก็มีเวลาปลีกตัวมาดูงานสำคัญ

เทศกาลดนตรีที่วงพี่เจดมีชื่อร่วมประกวดในนั้น... สุดท้ายไอ้พี่เคราก็หามือกลองทัน อันที่จริงก็เพื่อนที่เล่นวงปีสามด้วยกันนั่นแหละ เพราะพี่มันไม่ได้หวังรางวัลอะไร กะมาเอามัน เพลงที่เล่นไม่มีใครร้องตามได้ สภาพสมาชิกวงก็เหมือนซอมบี้ที่เพิ่งฟื้นจากความตาย ไม่ต้องอยู่จนท้ายงานก็รู้ว่าผลจะเป็นยังไง

“หิวสัด!” ผมหัวเราะกับเสียงบ่นของพี่เจดที่กระโดดลงมาจากเวที ก่อนยื่นถุงลูกชิ้นลวกที่ซื้อเตรียมไว้ให้พี่มันอย่างรู้ใจ

“เป็นไง” ไอ้พี่เครารับลูกชิ้นไปแจกให้เพื่อนในวงอีกสองคนก่อนจะหันมาถามพลางยัดลูกชิ้นเข้าปาก

“โคตรห่วย” ผมบอกตามตรง แค่เล่นให้จบเพลงก็ลุ้นแทบลืมหายใจ

“นี่แหละ น้องกู” พี่เจดหัวเราะลั่น พลางพาดแขนลงมาบนบ่าผมแล้วขยี้หัวแรงๆ อย่างหมั่นไส้ 

“เดินงานเป็นเพื่อนกูหน่อย” พี่เจดบังคับ ผมยักไหล่ ยังไงวันนี้กะจะพักผ่อนเต็มที่อยู่แล้ว

พี่รหัสหันไปบอกลาสมาชิกวง แล้วลากผมออกมาตรงโซนตลาดที่กินพื้นที่ทั้งถนนหลังมหาลัย ส่วนใหญ่เป็นของกิน มีบางโซนที่เปิดให้คนนอกเข้ามาขายของจิปาถะได้ ผมกับไอ้พี่เคราเดินไปเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจอะไร เหมือนแค่มาเดินฆ่าเวลาผลัดกันบ่นเรื่องงานที่ใกล้เดดไลน์

กระทั่งเดินมาถึงร้านหนึ่งที่อยู่เกือบสุดถนนได้

“ตุ๊กตา?” พี่เจดทำเสียงประหลาดใจ เมื่ออยู่ๆ ผมก็หยุดเดิน พาให้เจ้าของแขนที่ยังพาดอยู่บนไหล่ชะงักตาม

ผมเลิกคิ้ว ก่อนจะเห็นว่าตำแหน่งที่หยุดเป็นร้านตุ๊กตา แต่สิ่งที่ผมสนใจไม่ใช่สินค้า เป็นตะกร้าสานใบเล็กๆ ที่ตั้งไว้กับเก้าอี้ข้างๆ ร้าน

ลูกหมาสีดำยื่นหน้าออกมาจ้องผมตาแป๋ว ที่ขาหน้ามีผ้าพันแผล เนื้อตัวมอมแมม

‘หาบ้านให้น้องหมา’

ผมขมวดคิ้วอ่านป้ายที่ติดตรงตะกร้าแล้วตัดสินใจผละออกจากอ้อมแขนพี่เคราไปยืนจ้องหน้าเจ้าตัวเล็กที่เริ่มส่งเสียงเห่าใส่คนแปลกหน้า

“พิชญ์...” มือหนาแตะลงมาที่ไหล่ พี่เจดขมวดคิ้วส่ายหน้าเหมือนจะบอกว่าอะไรก็ตามที่ผมกำลังคิดจะทำมันไม่เข้าท่า

ผมทำเพียงยิ้มให้ เอ่ยประโยคที่คนตรงหน้าคงไม่เข้าใจ

“เหมือนมาก...”






“มันน่าสงสารออก”

[ แต่ก็ไม่ใช่ว่ามึงจะบุ่มบ่ามซื้อมาเลยได้ เลี้ยงเป็นหรือไง ] ปลายสายยังบ่นไม่เลิกเรื่องที่ผมเอาแต่ใจ ตั้งแต่ออกจากร้าน กระทั่งแยกย้ายกลับก็ยังอุตส่าห์โทรมา

“ไม่ต้องห่วงผมรู้จักผู้เชี่ยวชาญ” ผมยิ้ม หันไปมองเจ้าตัวเล็กที่กำลังนอนซึมอยู่ในตะกร้า ข้างๆ มีตุ๊กตาที่หน้าตาเหมือนตัวเองเปี๊ยบที่ผมซื้อมาให้เป็นเพื่อนกัน

“แค่นี้ก่อนนะพี่ ผมถึงแล้ว” ตัดสายใส่ไอ้พี่เคราที่ทำท่าจะบ่นอีกยาว ยัดมือถือใส่กระเป๋าลวกๆ ก่อนหันไปอุ้มตะกร้าใบโต

โฮ่ง!

ขมวดคิ้วกับเสียงเห่า จุปากให้มันเบาๆ แต่เจ้าตัวเล็กก็ไม่มีทีท่าว่าจะฟังกัน

โอเค ขอสารภาพ... ผมไม่ได้ชอบหมาเท่าไหร่ เป็นสิ่งมีชีวิตร่วมโลกที่อยู่ร่วมกันได้ แต่จะให้เลี้ยงก็คงไม่ไหว...

ย้อนแย้งไหม?

ถ้าผมบอกว่าไม่ได้จะเลี้ยงเองคงเข้าใจง่ายกว่า

บอกแล้วไงว่าเหมือนมาก... เหมือนเจ้าลูกหมาตัวนั้นอย่างกับแกะ...

ลูกหมาที่ผมเกือบแลกชีวิตเพื่อช่วยชีวิตมัน

ผมขึ้นมาชั้นบนสุดของคอนโดฯ กดออดหน้าเพนท์เฮ้าท์ตามมารยาทแม้ในตัวจะยังมีคีย์การ์ดจะเข้าเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ในเมื่อเจ้าของห้องอยู่ก็คงต้องเกรงใจ อีกอย่าง ผมกะจะเซอร์ไพรซ์...

แกรก~

ประตูเปิดออกพร้อมร่างสูงที่ผมไม่ได้เห็นหน้ามาหลายวัน งานของปีหนึ่งส่งก่อนชาวบ้าน อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์เขาเลยยุ่งทุกวัน แต่ถึงจะไม่เจอกันผมก็ยังเห็นเขาจากชั้นสาม ส่งเสบียงตามหน้าที่ของพี่รหัส ให้เด็กโค่งได้ตั้งใจทำงาน

“มีอะไร” คิ้วเข้มขมวดคล้ายหงุดหงิด ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าชุดเดิมตั้งแต่เมื่อวาน

ผมยิ้มกว้างกับสีหน้าน่ารักนั่น ก่อนยกตะกร้าขึ้นมาตรงหน้าเขา ทวนความจำเขาด้วยคำถาม

“ท้าหรือจริง”
   
“...” แต่สิ่งที่ได้รับกลับกลายเป็นความนิ่งเงียบ
   
ไม่มีคำตอบ ไม่มีรอยยิ้ม คิ้วเข้มยิ่งขมวดเมื่อสบตากับเจ้าตัวเล็กในตะกร้า... แววตายากจะหยั่ง
   
“ทำแบบนี้ทำไม” เขาถอนหายใจ ยกมือขึ้นมาเสยผมลวกๆ สีหน้าคล้ายกำลังโกรธ
   
ผมไม่เข้าใจคำถาม
   
“ผมเจอมันที่งาน หน้าเหมือน...” ใช้เวลาพักใหญ่กว่าผมจะเรียกเสียงตัวเองกลับมาได้ พยายามอธิบาย
   
“พิชญ์” แต่เขาไม่คิดฟัง

"..." ผมนิ่งงัน อยู่ๆ ก็รู้สึกกลัว... เมื่อดวงตาสีรัตติกาลที่มองสบมา ไม่มีสักเสี้ยวที่ผมเข้าใจความหมาย

“กลับไป”
   
เป็นการไล่ที่เย็นชากว่าครั้งไหนๆ

ปัง!

ผมผงะ เมื่อถูกปิดประตูใส่หน้าโดยทันได้ถามอะไร แต่เจ้างของห้องคงลืมไปว่าผมสามารถเปิดประตูด้วยตัวเองได้

“ผมไม่เข้าใจ พี่โกรธอะไร” คีย์การ์ดสำรองถูกดึงมาใช้ ผมวางตะกร้าในมือลงบนโต๊ะรับแขกก่อนสาวเท้าตามร่างสูงไปยังด้านล่าง พื้นที่ส่วนตัวของเขา... พื้นที่ที่เขาอนุญาตให้ผมรุกล้ำ แต่ไม่ใช้ทั้งหมด

"..." ไม่มีคำตอบของคำถาม เขาหยุดเดินแต่ไม่หันกลับมา แม้แต่แผ่นหลังกว้างก็ยังดูเย็นชา

“พี่เต... เป็นอะไร” ผมรู้ว่าตัวเองกำลังไม่พอใจเหมือนกัน แต่ความสับสนมีมากกว่า และสายตาของเขาที่มองมาก่อนหน้านี้... มันชวนให้ผมปวดใจ

“พิชญ์ทำอะไรผิด ขอโทษได้ไหม”

ไม่รู้ทำไม มันเหมือนกับ... เขากำลังจะหนีไป ทิ้งผมไว้กับความไม่เข้าใจ... อีกครั้ง

ผมได้ยินเสียงเขาถอนหายใจ ก่อนจะหันกลับมา สบตาผมด้วยสายตาที่สับสนยิ่งกว่า

“มึงกำลังล้ำเส้น” แต่น้ำเสียงนั้นยังเต็มไปด้วยความเย็นชา

“หมายความว่ายังไง” ผมขมวดคิ้ว

เขาไม่เคยบอกว่ามีเส้นอะไรระหว่างเรา...

“มึงกำลังสร้างความผูกพัน”

ผมชะงัก ไม่คิดว่าแค่หมาตัวเดียวจะทำให้เขาคิดอย่างนั้น

แต่จริงของเขา... ผมกำลังพยายามสร้างความผูกพัน

“แล้วมันแย่ยังไง” ผมเถียง แต่เสียงกลับสั่นเกินควบคุมได้

“มึงไม่เข้าใจ” เขาถอนหายใจ ท่าทางเหนื่อยหน่ายขณะเอ่ยย้ำคำ “มึงล้ำเส้น”

“แล้ว...” ผมหลับตากำหมัดแน่น สงบสติพักใหญ่ก่อนจะยกมือขึ้นเสยผม...

"แล้วเส้นที่พี่ว่ามันอยู่ตรงไหน" เสียงของผมมันสั่นจนน่ารำคาญ แต่ก็ยังกัดฟันสบตาเขา...

ก่อนจะพบว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ในความเย็นชา ภายใต้สีรัตติกาลคู่นั้น... มันคือความกลัว

ความกลัวที่ผมไม่เข้าใจ

“ถ้ามึงก้าวเข้ามาแล้วเจ็บ... นั่นแหละมึงล้ำเส้น”

...คำพูดที่ผมไม่เข้าใจ

"พิชญ์ มึงเคยพูดว่าที่ยังอยู่เพราะรักกูใช่ไหม" มันเหมือนจะเป็นคำถาม แต่ผมรู้ดีว่าไม่ใช่ "งั้นพิสูจน์สิ"

"..."

"ท้าหรือจริง" เช่นกัน... เกมนี้เขาไม่เปิดโอกาสให้ผมเป็นฝ่ายเลือก

"..."

"ห้าปี"

คำท้าถูกเอ่ย แม้ว่าผมจะยังไม่ได้ตอบอะไร

"พี่เต..."

"เลิกยุ่งกับกูนับตั้งแต่วันนี้..."

"..."

"จบปีห้า ถ้ามึงยังรักอยู่...กูจะกลับไป" 





พี่เคยพูดว่าตัวเองไม่สามารถรักษาความรักได้

‘เหมือนกันเกินไป... กับผู้ชายคนนั้น’

พี่หมายถึงพ่อ... พ่อที่เป็นต้นเหตุของครอบครัวที่แตกสลาย

‘แต่พี่ไม่ใช่เขา’

ผมบอกแบบนั้น แม้จะไม่เห็นด้วยนักกับการโยนความผิดให้คนคนเดียว ทั้งที่ความสัมพันธ์มันดำเนินด้วยขาข้างเดียวไม่ได้

พี่หัวเราะ เอื้อมมือมาลูบหัวผมที่เกยอยู่บนไหล่ มืออีกข้างจับมือผมไว้ ไล้นิ้วโป้งเล่นกับหลังมือผมเบาๆ
 
เรากำลังนอนอยู่บนม้านั่ง หันหัวชนกัน ใช้ไหล่ของอีกคนต่างหมอนมองท้องฟ้าใกล้พลบค่ำ

‘แต่ก็เหมือนกันเกินไป...’ พี่ย้ำ


‘กูไม่เคยรักษาสิ่งที่รักไว้ได้... ไม่มีทางทำได้’

‘แล้วผมล่ะ’ ไม่รู้อะไรดลใจให้ถาม ทั้งที่คำตอบที่ได้รับมีแต่ทำให้ปวดร้าว
   
ถ้าพี่พูดว่ารัก... หมายถึงผมต้องเตรียมใจกับความแตกหัก

‘กูไม่ได้รัก’

...มันหมายความว่าพี่อนุญาตให้ผมอยู่ข้างๆ

‘ดีแล้วที่ไม่ได้รัก’

ผมไม่รู้ว่าตัวเองคาดหวังคำตอบแบบไหน รู้แต่ว่าผมไม่เข้าใจ

ทำไมนะ ทำไมพี่ถึงคิดแบบนั้น

...เป็นเส้นขนาน เป็นความย้อนแย้ง เป็นสองสิ่งที่ควรจะเคียงคู่แต่กลับสวนทาง

ความสัมพันธ์ในความหมายของพี่มันรวดร้าวเกินไป...






“เป็นไง” ผมสะดุ้งเล็กๆ หันไปมองพี่เจดที่เดินมาขยี้หัวจนผมที่มัดไว้ลวกๆ หลุดร่วงไม่เป็นทรง

ผมยิ้มตอบ หันกลับมามองเถ้าบุหรี่ในมือหลุดร่วงลงพื้นเกือบครึ่งมวนก่อนยกขึ้นมาสูบครั้งแรก

“ได้ข่าวว่ามึงเสร็จแล้ว” เสียงจอแจของเพื่อนในสตูกลับเข้ามาในโสตประสาทอีกครั้ง กำลังวุ่นวายได้ที่

“เหลือติดต้นไม้ในโมเดล” ผมยักคิ้วยียวน

พรุ่งนี้เช้าต้องส่งงาน ทั้งอาทิตย์ผมหามรุ่งหามค่ำ กดเก็บความฟุ้งซ่านเอาไว้ ทดแทนด้วยพลังงานมากมายที่ดึงออกมาใช้แบบไม่กลัวตาย

“มีคนบอกว่ามึงอยู่แต่สตู” พี่เจดเลิกคิ้ว หยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบ

“กลัวไม่เสร็จอ่ะ” ผมตอบกลั้วหัวเราะ ถึงมันจะเป็นเหตุผลข้างๆ คูๆ

ผมรู้ตัวดีว่ายังไงก็ทัน ต่อให้เยิ่นเย้อผลาญเวลาไปกับการตกแต่งโมเดลที่ไม่จำเป็นสักนิดก็ยังเสร็จก่อนชาวบ้าน

“ไม่ได้นอนมากี่วันละ” เสียงพี่รหัสหงุดหงิด ยกมือขึ้นมาจับคางผม หันไปมา

“สาม” ผมหัวเราะ แกล้งพ่นควันบุหรี่ใส่หน้า “ดูไม่ได้เลยใช่ป่ะ”

“ยังมีหน้ามาหัวเราะ ถ้าช็อกขึ้นมากูจะด่าให้ขำไม่ออก” ไอ้พี่เคราผลักหัวผมแรงๆ ทีหนึ่ง ส่ายหน้ากับความดื้อดึงไม่ดูสังขารของผม

“แล้วไอ้เตไปไหน” ผมชะงักไปหนึ่งจังหวะ ก่อนจะอัดนิโคตินเข้าปอดอีกครั้งแล้วยักไหล่

“ไม่เห็นมาอาทิตย์หนึ่งแล้ว” ทอดสายตาลงไปยังลานกว้างที่มีงานของกลุ่มเขาตั้งอยู่ อาทิตย์ที่แล้วผมใช้ร่างสูงเป็นจุดพักสายตา

แต่วันนี้ที่ตรงนั้นมันว่างเปล่า...

“อ้าว วันก่อนมันยังมาช่วยกู...” พี่เจดชะงักไป เหมือนคราวก่อน ที่พี่มันอ่านใจผมได้ “ทะเลาะกัน?”

ผมแค่นยิ้ม ส่ายหน้า เรียกทะเลาะได้เหรอวะ

“เหนื่อยว่ะป๊า” ผมดับบุหรี่ที่ไหม้ถึงก้นกรอง หันไปโอบแขนรอบคอไอ้พี่เคราอย่างต้องการที่พักพิง

พี่เจดไม่ได้กอดตอบแค่ตบหลังผมสองสามทีแล้วหัวเราะ

“ธรรมดา ก็มึงว่ายทวนน้ำ” ผมหัวเราะตาม กับคำปลอบใจประหลาดที่ดันทำให้สบายใจง่ายๆ

“ผมหยุดว่ายดีป่ะ” ซุกหน้ากับบ่ากว้าง ส่งเสียงงอแงแบบที่ชอบทำเวลางุ่นง่าน

“ดื้อด้านอย่างมึงไม่หยุดง่ายๆ หรอก” เป็นอีกครั้งที่พี่รหัสเหมือนมานั่งอยู่ในใจ ผมหัวเราะอีกครั้ง กระชับอ้อมกอดแน่นกว่าเดิมแล้วถอนใจ

“ทำไมเขาไม่ใจดีแบบป๊าวะ จะได้รักกันง่ายๆ” ผมบ่นไม่จริงจัง ไม่ทันระวังว่ามันจะกระทบใจอีกคนเข้า

“กูเคยจีบแล้วมึงไม่เอา ลืมหรือไง” พี่เจดดันผมออก แล้วดีดหน้าผากทีหนึ่งเหมือนจะทบทวนความจริงให้

ความจริงที่ว่านอกจากเขา ผมก็ยังไม่เคยมองใคร

โง่ชิบหาย... ทั้งที่ไม่มีอะไรรับประกันเลยสักนิดว่าจะได้กลับมาเจอกัน แต่ผมก็ยังลืมเขาไม่ได้

“แต่มึงหันมาชอบกูตอนนี้ก็ดี จะได้ทำใจง่ายๆ ตอนมันไป” พี่เจดดับบุหรี่ในมือ หยิบมวนใหม่มาคาบเตรียมจนไฟ

“หมายความว่าไง” ผมขมวดคิ้ว

“เมื่อเช้ากูเจออาจารย์เหมี่ยว... ที่ปรึกษาไอ้เต” เอ่ยทั้งที่บุหรี่ยังอยู่ในปาก รั้งรอทรมานผมด้วยการลนปลายบุหรี่เชื่องช้า แล้วละเลียดควันก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตา

“เค้าว่าไอ้เตจะย้ายไปเรียนอเมริกา”

"..." คำตอบนั้นเหมือนกระชากสติของผมไป สายตาจกลับไปจดจ้องยังจุดที่เขาเคยอยู่อีกครั้ง ถูกปะทะด้วยความจริงที่เพิ่งเข้าใจ

ไม่รู้ว่าควรขำไหมที่ความลับที่เขาปิดไว้ถูกเปิดเผยง่ายดาย

แต่สุดท้ายผมก็หัวเราะออกมาเบาๆ ฝืนคำท้าตัวเองด้วยการหยิบบุหรี่มวนที่สองของวันขึ้นมา

จุดไฟ... อัดควัน ปล่อยให้ขาวขุ่นของนิโคตินบดบังหยดน้ำตาที่ร่วงลงมาอย่างเงียบงัน






---------------------------------------------------------------------------------
เป็นตอนพีคๆ เนอะ...
ฮือออ แม่น้องพิชญ์ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งเผาบ้านพี่เตนะคะ
เป็นตอนที่เหนื่อยมากเลยค่ะ ความจริงและความรู้สึกอัดแน่นมากเกินไป 5555
ด้วยความที่มันหน่วงมาตั้งแต่ต้น ดังนั้นเราจะไม่ดราม่านาน
ทนหน่อยนะคะ ใกล้แล้วล่ะ ;_;
ยังไงก็ฝาก #เกมท้ารัก เช่นเคยนะคะ
ถ้าเขียนงงตรงไหน ไม่ชอบใจยังไงติติงได้เสมอเลยน้า

ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันถึงตอนนี้นะคะ

 :L2:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-12-2017 05:49:39 โดย makok_num »

ออฟไลน์ prawan25

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชอบซีนอารมณ์ของเตกับพิชญ์มาก
มันทั้งหน่วง ทั้งอึดอัด บีบหัวใจสุดๆ
จะร้องแต่ก็ไม่ได้เพราะจุก... 55555.

พี่เตใจร้ายกับน้องมากเกินไป ไม่เข้าใจพี่เตเลย
และการกระทำบ้างครั้งดูสวนทางกับกับคำพูด

ปล.ชอบตอนพี่เจดกับน้องพิชญ์มากเลยค่ะ เราจะเชียร์คู่นี้แล้ว!! 5555.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-12-2017 08:37:14 โดย prawan25 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 12 P.5 [27.12.2017]
« ตอบ #129 เมื่อ: 27-12-2017 08:25:38 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
สงสารน้องพิชญ์ หน่วงมาก

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
 :ling3: :ling3: :ling3:

ออฟไลน์ 05th_of_06th

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เราเชียร์พี่เจดแทนได้ม้ะะ ไปเผาบ้านพี่เตดีกว่า แล้วจับพิเจดไปตัดเคราเสริมหล่อหน่อยมาดามใจน้อง ปล่อยคนขี้กลัวนางหนีไปเรื่อยๆเถอะ  :m16:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
 :pig4:

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
ตอนพี่เตบอกว่าให้รอ5ปีอ่ะ จุกแทนน้องพิชญ์เลยอ่ะ
ละต้องมารู้จากพี่รหัสอีกว่าพี่เตจะไปเรียนต่อต่างประเทศ

ฮือ พี่เตกลัวอะไรอยู่ ทำไมรักน้องไม่ได้ ทำไมคะะ   :ling1:
ถ้าเราเป็นพิชญ์ถึงรักมากขนาดไหน เราอาจจะรอไม่ไหว
เพราะไม่รู้ว่ารอไปแล้วพี่เตจะกลับมาหาจริงๆมั้ย

อินจังเลยอ่ะเราเนี่ย รออ่านตนต่อไปนะคะ จะรอวันพี่เตเปิดใจให้น้อง...

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ทำไมอ่านตอนนี้แล้วรู้สึกสงสารพี่เตก็ไม่รู้ เหมือนรักน้องมาก จนไม่อยากให้น้องมารักตัวเอง มันทำไมคะ พูดมาเลยค่ะ ซื้อไม้ขีดไฟกับถังน้ำมันมาตั้งรอหน้าบ้านแล้ว  :hao3:

ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
5 ปี ให้รอเพื่ออะไรเหรอ? เราไม่รอวันนั้นหรอกนะ แต่นี่คือพิชญ์..  :z13:

ออฟไลน์ sripaerrr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
อะไร..มันคืออะไร!!!!  โอ๊ยยยย สงสารคนรออะ น้องรอมานานแล้วนะยังจะให้รออีกห้าปีอีก บ้าจริงขอไม้ค่ะ จะตีอิพี่ให้ขาลายเลย :z3:

ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เหมือนวิ่งตามอะไรสักอย่าง บางครั้งเหมือนคิดว่าใกล้จะถุงแล้วแต่ก็ไม่ใช่ :z3:
 :m31:

ออฟไลน์ pipoo

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 326
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • https://twitter.com/dokpeepo
เราไม่รอหรอกนะ5ปีอะรักยังไงก็ไม่รอไม่มีความชัดเจนแต่บอกให้รอ ลาก่อยยยยยยยยยยยยยย หาผัวใหม่โว้ยย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 12 P.5 [27.12.2017]
« ตอบ #139 เมื่อ: 27-12-2017 23:22:37 »





ออฟไลน์ QueenPlai

  • twitter - @khunhappymoon gmail - JangPlailiiz@gmail.com
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
อยากร้องไห้  :ling3:

ออฟไลน์ mirage

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
5 ปี? เพื่ออะไร ความรักที่ไม่มีจริง หรืออยากเห็นความดันทุรังบ้าๆ อยากเห็นว่ามีคนที่รักตัวเองจริงๆ สำหรับพิชญ์ น้องก็คงรอต่อไป แต่ในความคิดเรามันเกินไปนะ น้องรอมาเท่าไร น้องต้องเปลี่ยนตัวเองเท่าไร ตอนนี้เราเริ่มเข้าใจละ เตเเค่กลัว กลัวในสิ่งที่ตัวเองก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไรอย่าง "ความรัก" ยิ่งมารู้จากคนอื่นไม่ใช่คนที่บอกให้รอ ใจสลาย เลิกเชียร์ดีไหม มาม่าได้อีก พยายามคิดในแง่ดีว่าพี่คงมีเหตุผล ณ จุดนี้แดกจุดเป็นที่เรียบร้อย
 อยากเห็นโมเมนต์ประมาณ ห้าปีผ่านไปเตกลับมาแล้วไม่เหลือใคร อยากเห็นจุดเเตกของน้อง หนูทนมามากแล้วลูก นับถือศรัทธาในรักของน้อง แต่ก็อย่าปิดใจจนไม่เห็นว่าบนโลกนี้ไม่ได้มีแค่คุณกับเขา
 อินมากค่ะท่านนักเขียน แต่งออกมาได้อารมณ์ ถ้าคอมเมนต์ดูรุนแรงไปต้องขอโทษด้วยนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
สงสารน้อง พี่เตก็ใจร้ายเกินไป

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
รออออ :hao7:

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
13

   
ผมหลงคิดว่าตัวเองเคยชนะ แต่เปล่าเลย... ที่ผ่านมาเขาแค่แกล้งแพ้เท่านั้น
   
คิดว่าตัวเองคุมเกมไหว... แต่ในความจริงมันคือกับดัก
   
ถูกล่อลวงให้บินสูงขึ้นไป ทะเยอทะยาน คิดว่าสักวันจะไขว่คว้าดวงจันทร์ไว้ได้

แต่รู้อะไรไหม... โลกเรามีชั้นบรรยากาศ ที่ไม่ยอมให้แมลงตัวเล็กๆ ผ่านเข้าไป สุดท้ายถูกแผดเผา ปีกที่เคยหักพังกำลังมอดไหม้ เจ็บร้าวซะจนอยากกระชากมันทิ้งไป
   
...ได้เวลาหรือยังที่จะปล่อยมือ

   




ห้าปีผ่านไป...
   
...ถ้าผมลิขิตชีวิตตัวเองได้ ก็อยากจะเริ่มบรรทัดใหม่ด้วยประโยคนั้น แต่ความจริงคือผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งหลังส่งงานและพบว่ามันยังไม่พ้นวันเก่าด้วยซ้ำ
   
เวลาเดินช้าเกินไป
   
“พิชญ์! เต้นกัน” เสียงอึกทึกคึกโครมในร้านเหล้าทำให้ทุกคนต้องตะโกนใส่กัน ผมไม่ทันได้ตอบอะไรก็ถูกเพื่อนผู้หญิงกลุ่มใหญ่ลากมาหน้าเวที
   
วงดนตรีสดที่กำลังเล่นเพลงจังหวะหนักๆ เรียกให้ทุกคนกระโดดสะบัดกันเต็มที่ ส่วนผมก็ได้แต่ยืนมองยิ้มๆ จิบเบียร์พลางโยกเบาๆ ท่ามกลางวงล้อมสาวๆ ที่เบียดตัวเข้ามา ทั้งเอว ไหล่ แขนถูกมือหลายคู่เกาะไว้ นัวเนียอย่างไม่อายเพราะรู้ว่าผมไม่คิดอะไร เอาจริงๆ พวกนี้แค่ลากผมมาเป็นหลักให้น่ะ และเพราะเป็นผู้ชายเลยใช้เป็นไม้กันหมากันพวกที่ชอบฉวยจังหวะชุลมุนเข้ามาตีเนียนแต๊ะอั๋งได้ในคราเดียวกัน
   
แต่คืนนี้คงไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นเท่าไหร่ เพราะทั้งร้านมีแต่คนกันเองทั้งนั้น เด็กสถาปัตย์ฯ ที่เพิ่งส่งงาน หาสถานที่ปลดปล่อยความอัดอั้นจากโปรเจ็กต์ที่กินเวลาเป็นเดือนๆ
   
“ไงมึง เนื้อหอมเชียว” ได้ยินเสียงเอ่ยแซวจากด้านหลัง หันกลับไปก็พบว่าเป็นพี่รหัสปีสามของผมเอง
   
ผมหัวเราะเบาๆ ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะขยับให้กลุ่มพี่เจดแทรกตัวเข้ามา ไอ้พี่เคราเดินมายืนข้างผม มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋า อีกข้างถือเบียร์จิบนิ่งๆ มองผู้หญิงรอบตัวผมที่กำลังสนุกกันได้ที่
   
“เพื่อนมึงไหวป่ะเนี่ย” เพราะเห็นหน้ากันจนเบื่อเลยไม่ต้องห่วงเรื่องเจตนา ออกแนวขยาดมากกว่าที่เห็นแต่ละคนปล่อยผีราวเสียสติ
   
“ผมเนี่ยจะไม่ไหว” ตอบขำๆ เริ่มรู้สึกสงสารตัวเองที่โดนยื้อไปมาบวกกับฤทธิ์ออกอฮอล์ที่ดื่มไปพอตัวทำให้ลำพังยืนเฉยๆ ยังแทบจะไม่ตรง
   
“เออ ตัวมึงแดงเป็นกุ้งต้ม” พี่เจดหัวเราะ กระดกเบียร์เข้าปากแล้วยกแขนขึ้นมาพาดไหล่ให้ผมพิงตัวไว้ สาวๆ ส่งเสียงโห่ยกใหญ่ที่ผมโดนแย่งตัว
   
ผมหัวเราะเบาๆ ขยับตัวตามพี่เจดที่ลอยหน้าลอยตาดึงผมมายืนข้างหลังแล้วดันพวกผู้หญิงไปข้างหน้า ช่วยผมกันพวกสิงสาราสัตว์ไม่ให้แทรกเข้ามาอีกแรง
   
“เบียร์หมดอ่ะ” ผมบ่นเมื่อกระดกจนของเหลวที่เหลือเพียงก้นจนหยดสุดท้าย หันไปมองคนข้างตัวที่ไหนๆ ก็เป็นพี่รหัสกัน
   
“ก็หยุดแดก” แต่พี่เจดกลับยักไหล่ ตีหน้าซื่อเหมือนไม่เข้าใจว่าผมกำลังจะขออะไร
   
“โห่ ป๊า” ผมเบ้หน้า เอื้อมมือไปแย่งเบียร์ในมือของไอ้พี่เครามากระดกอย่างช่วยไม่ได้ แต่พี่เจดก็ไม่ว่าอะไร คนตัวโตหัวเราะเบาๆ พลางผลักหัวผมอย่างหมั่นไส้ รั้งขวดเบียร์ของตัวเองกลับไปดื่มแล้วยื่นกลับมา

เราผลัดกันกระดกคนละครั้ง ตามองไปที่วงดนตรี โยกเบาๆ ตามจังหวะเพลงไปพร้อมกัน ผมปล่อยความคิดตัวเองเป็นอิสระ จะฟุ้งซ่านก็ช่างมัน ให้ฤทธิ์แอลกอฮอล์ช่วยขับทุกความรู้สึกออกมาอย่างเอาแต่ใจ ค้นหาคำตอบว่าผมควรจะทำยังไง...

เพราะคำบอกเล่าของพี่เจด ผมถึงเข้าใจ เหตุผลที่เขาผลักไส คำพูดร้ายๆ การกระทำที่บอกว่าการดันทุรังของผมมันไม่มีความหมาย

ห้าปีนานเกินไป... อเมริกาไกลเกินไป
   
ผมคิดว่าตัวเองคงทนไม่ไหว
   
“พิชญ์... อย่ายั่ว” ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมปล่อยให้ร่างกายตัวเองแนบชิด เอนหัวซบไหล่คนข้างตัว ปล่อยให้ลมหายใจที่ร้อนด้วยแอลกอลฮอล์คลอเคลียกับซอกคอ ใกล้... จนได้ยินเสียงกลืนน้ำลาย
   
ผมหัวเราะเบาๆ ช้อนสายตามองพี่เจดที่ขมวดคิ้วนิ่วหน้ากระดกเบียร์หมดขวดรวดเดียวหมดอย่างเบี่ยงเบนความสนใจ

“ป๊า...” แต่ผมอ่อนแอเกินกว่าจะควบคุมความเห็นแก่ตัวของตัวเองไหว “จูบหน่อย”
   
พี่เจดชะงักไป คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงก้มหน้าลงมาสบตาผมด้วยสีหน้าตกใจ
   
“มึงเมาเหรอ” ผมหัวเราะ ขยับมายืนตรงหน้าเพื่อกอดเอวหนาไว้ แล้วกดหน้าซุกลงกับไหล่
   
ก็คงใช่... ตอนนี้ในหัวผมฟุ้งซ่านจนแทบบ้า ไม่รู้สักนิดว่าตัวเองทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร แค่อยากรู้... แค่อยากรู้ว่าถ้าไม่ใช่เขา ผมจะรู้สึกไหม
   
...ทั้งที่รู้คำตอบอยู่แก่ใจ

เพราะแม้แต่ตอนนี้ กลิ่นที่ควรจะเป็นกลิ่นของพี่เจด... ก็ยังเป็นกลิ่นของเขา อ้อมกอดกลับเรียกไออุ่นจากเศษเสี้ยวความทรงจำให้ตามมาหลอกหลอนอย่างห้ามไม่ได้
   
“จูบที่ไร้รัก มีแต่จะทำร้าย มึงรู้ใช่ไหม” ถึงผมจะนิสัยเสียแต่พี่เจดก็ยังคงเป็นพี่เจดที่ตำหนิด้วยน้ำเสียงใจดี และลูบหัวผมอย่างปลอบใจ “กูไม่ได้อยู่ตรงนี้เพื่อให้มึงใช้ประชดใคร”

"ป๊า..."   

“กูพาตัวเองออกมานานแล้ว ตอนนี้กูช่วยอะไรไม่ได้” ผมชะงัก ก่อนจะหัวเราะเบาๆ ทั้งที่น้ำตากำลังจะไหล กับคำพูดที่กระทบใจ “กูไม่รู้ว่าน้ำมันลึกแค่ไหน ถ้ามันลึกมาก... มึงก็รู้ว่าถ้าหยุดว่ายจะเป็นยังไง”
   
“...” ผมจะจมน้ำ... อีกครั้ง และคราวนี้ไม่มีใครฉุดรั้ง
   
“ว่าไง จะหยุดไหม”
   
“...” ผมนิ่งเงียบอยู่นาน ซุกหน้ากับไหล่พี่เจดอยู่อย่างนั้น ทบทวนว่าตัวเองต้องการอะไร
   
แน่นอนว่าผมไม่อยากหยุด แต่ผมจะไปต่อไหวไหม
   
“ป๊า พิชญ์ขอโทษ”
   
“...” แต่บางที... ผมอาจจะโง่กว่าที่ตัวเองเข้าใจ
   
“พิชญ์จะกลับไปว่ายน้ำ”
   
ช่างหัวอเมริกา
   
   





ผมโยนเหรียญออกไป ปล่อยให้มันจมลงถึงก้นก่อนจะค่อยๆ หย่อนตัวลงสระทั้งยังใส่เสื้อผ้าที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์
   
โฮ่ง! โฮ่ง!
   
เสียงเห่าจากลูกหมาสีดำที่ได้อัพเกรดที่อยู่จากตะกร้าสานเป็นเพนท์เฮ้าส์หลังใหญ่ดังลั่นเมื่อเห็นคนแปลกหน้า มันไม่ได้วิ่งมา คงเพราะขายังไม่หาย แต่แค่เสียงเห่าคงเรียกร้องความสนใจจากเจ้าของบ้านได้
   
ผมก้าวขาจากระดับน้ำแค่เอว ไปถึงอก ลำคอ กระทั่งน้ำเย็นจัดท่วมหัว จึงเริ่มดำลงไป แหวกกระแสน้ำลงลึกเพื่อหยิบเหรียญที่ตัวเองทิ้งไว้ แล้วว่ายขึ้นมาในจังหวะเดียวกับที่เงาของใครบางคนพาดทับลงมา
   
เจ้าของบ้านยืนล้วงกระเป๋ามองผมในสภาพกางเกงขายาวตัวเดียวที่เป็นชุดนอน
   
“พิชญ์” เขาเรียกชื่อผม น้ำเสียงเรียบนิ่ง ไม่มีสีหน้าประหลาดใจ ไม่โกรธขึ้งที่ผมบุกเข้ามาอย่างเอาแต่ใจ... เป็นสีหน้าแบบที่ผมอ่านไม่ออกในสภาวะที่ร่างกายเต็มไปด้วยแอลกอฮอล์
   
“ผมลืมของไว้” ยกยิ้ม ชูเหรียญที่เพิ่งเก็บขึ้นมา

ข้ออ้างไร้สาระที่ผมใช้พาตัวเองกลับมา
   
เตวิชญ์ไม่ได้ตอบอะไร แต่คิ้วเข้มเริ่มขมวดเข้าหากัน ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะว่ายไปที่ขอบสระ กระโดดขึ้นมายืนต่อหน้าเขา โอนเอนนิดหน่อยด้วยเนื้อตัวหนักอึ้งด้วยเสื้อผ้าที่เปียกปอน หยดน้ำเริ่มเจิ่งนองที่พื้นขยายวงออกไปถึงเท้าของอีกคน
   
“ผมแพ้” ว่าพลางยักไหล่เหมือนช่วยไม่ได้ที่ไม่อาจทำตามคำท้า “จะลงโทษยังไงก็ว่ามา”
   
ยิ้มท้าทาย มองในหน้าที่ยังคงเรียบเฉย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
   
“ห้าปีคงน้อยเกินไป”
   
“เตวิชญ์...”
   
“สิบปีเป็นไง”
   
เขามันใจร้าย
   
“ผมรู้แล้วเรื่องอเมริกา” ผมเอ่ยเมื่อเขาทำท่าจะเดินหนีไป
   
“...” มันได้ผล ร่างสูงยอมหยุดฝีเท้าแม้จะไม่ยอมหันกลับมา
   
“นี่ใช่ไหมเหตุผลที่พี่พยายามจะผลักไสผม”
   
ตอนที่เขาให้รอห้าปีผมไม่เข้าใจ คิดว่าเขาแค่ต้องการทดสอบความอดทน ทรมานผมเล่นๆ ถึงได้คิดคำท้าบ้าบอกันผมออกไป จนกระทั่งได้ยินความจริงจากปากพี่เจดถึงรู้ว่ามันไม่ใช่
   
“เพราะกำลังจะไป พี่ถึงไม่อยากให้ผมอยู่ใกล้ๆ ใช่ไหม”
   
เขาไม่ได้ต้องการให้ผมทรมาน... แต่พยายามกันผมออกจากทรมานต่างหาก
   
ความทรมานที่จะไม่ได้เห็นหน้าเขา... ความทรมานจากความคิดถึง... ความทรมานจากระยะทางที่ช่างห่างไกล
   
แน่นอนว่ามันเป็นความเป็นไปได้ที่ผมทึกทักเอาเอง เชื่อมโยงเงื่อนไขและการกระทำของเขาในแบบที่ผมอยากให้เป็น หวังลมๆ แล้งๆ ทั้งที่ไม่รู้ว่าจริงไหม
   
ผมถึงต้องมาอยู่ตรงนี้ไง... พิสูจน์ให้รู้สักทีว่าความรู้สึกที่แท้จริงของเตวิชญ์คืออะไร
   
“เข้าใจผิดแล้วพิชญ์” แต่เมื่อเขาหันกลับมา ความหวังของผมก็พังทลาย
   
“...”
   
“กูจะไปเพราะต้องไป”
   
“...”
   
“แต่ที่กูบอกให้มึงเลิกยุ่งกับกูเพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรที่มึงจะดันทุรังกับคนที่มึงไม่ได้รัก”
   
นั่นมัน... หมายความว่ายังไง
   
“พี่พูดบ้าอะไร” ผมขมวดคิ้ว มองคนตรงหน้าที่ยกมือขึ้นเสยผม แสยะยิ้ม
   
“มึงคิดว่าที่ตัวเองทำทุกวันนี้เพราะว่ารักกูจริงๆ เหรอพิชญ์ ดื้อด้าน ดันทุรัง แล้วก็เกมบ้าบอนั่น...!” เสียงของเขาดังขึ้น สีหน้าที่คล้ายจะกำลังระเบิดออก แต่ก็หยุดตัวเองไว้

“กูไม่รู้ว่ารักคืออะไร... แต่สิ่งที่มึงทำ มันเรียกว่ารักจริงๆ เหรอพิชญ์” สุดท้ายสิ่งที่แสดงออกมาทางแววตาคือความเย็นชา
   
“...”
   
“มึงก็แค่อยากเอาชนะ... เอาคืนที่กูเคยทิ้งไป อยากให้กูเจ็บเหมือนที่มึงเคยเจ็บแค่นั้นไม่ใช่หรือไง” ผมมองคนตรงหน้าที่สบตาอย่างเย้ยหยัน แค่นหัวเราะเมื่อผมไม่ตอบคำถาม และได้แต่นิ่งงันอยู่อย่างนั้น

ผมไม่คิด... ว่านั่นจะเป็นความคิดเขา
   
ที่ผ่านมา... เขาคิดแบบนี้เองเหรอ... คิดแบบนี้จริงๆ น่ะเหรอ
   
“มึงก็เหมือนคนอื่นๆ สาดคำว่ารักใส่กูทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร”

“...”

“แต่รู้ไหมพิชญ์ ที่มึงยังยืนอยู่ตรงนี้มันก็พิสูจน์แล้วว่ามันไม่ใช่”
   
“...”
   
“มึงแพ้ เกมมันจบแล้วพิชญ์” พูดจบเขาก็หันหลังกลับไป ทิ้งผมไว้กับข้อหาร้ายแรงที่แม้แต่ตัวเองยังรับไม่ได้
   
ไม่ได้รัก... แค่อยากเอาชนะ... แก้แค้นที่เขาทิ้งไป...
   
มันอาจจะจริงอย่างที่เขาบอกก็ได้ ผมก็แค่เห็นแก่ตัวถึงดันทุรังจะรั้งเขาไว้
   
...นี่ใช่ไหมที่เขาอยากให้ผมยอมรับ
   
“อย่ามาดูถูกผมเตวิชญ์”

แต่ผมจะยอมรับได้ยังไง ในเมื่อรู้อยู่เต็มอกว่าความจริงคืออะไร

“พี่ก็รู้ว่าความเย็นชาของพี่มันไม่เคยใช้กันผมได้”

"..." เจ้าของแผ่นหลังกว้างหยุดชะงัก ผมกำหมัดแน่นจนแขนสั่น เม้มปากแน่นเพื่อสงบสติอารมณ์ น้ำตาของผมเอ่อคลอแต่ผมจะไม่ยอมให้มันไหล
   
ทุกคำพูด ทุกคำถามของเขามันกระทบเข้ามาในใจ... แต่ผมจะไม่ยอมให้มันทำร้าย
   
"พี่ก็รู้ว่าใช้วิธีนี้ไล่ผมไม่ได้"

คำพูดร้ายๆ ความเย็นชา การผลักไส ...ทำทุกวิถีทางให้ผมยอมแพ้ก่อนจะถูกเขาทิ้งไว้

คิดว่าผมมองไม่ออกเหรอว่าเขาจงใจ... จงใจโยนความผิดให้ผมเหมือนทุกๆ เรื่องที่เขาจงใจ 
   
วิธีของเขามันเลวร้าย
   
แต่นั่นมันหมายความว่าเขารักผมแล้วไม่ใช่หรือไง?
   
“ห้าปีผมรอได้ พี่รู้ไหม” เขาไม่ยอมหันกลับมา แต่ผมยังพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังเพื่อบอกว่าผมทำได้ จะห้าปีหรือสิบปี... ก็แค่ทำเหมือนที่ผ่านมา

อาจจะง่ายกว่าด้วยซ้ำเพราะอย่างน้อยผมรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน

“แต่ผมจะไม่รอ”

“...”   

“ผมพิสูจน์มามากพอแล้วเตวิชญ์”

เวลาที่เขาหายไป... เวลาที่ผมรอคอยโดยไม่มีจุดหมาย การกลับมาของเขา... และความรู้สึกที่เหมือนเดิม ทำไมผมจะไม่รู้ว่ามันหมายความว่ายังไง

...และผมรู้ว่าเขาก็รู้ความหมายนั้นเช่นกัน

ผมไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไร

“พี่ต่างหากที่ต้องพิสูจน์...” คราวนี้เขายอมหันกลับมา สบตาผมเหมือนจะถามว่าต้องการอะไร “พิสูจน์สิว่าไม่ได้รักผม แล้วผมจะยอมไป”

ผมแค่นยิ้ม ขยับเข้าไปใกล้ สบตาอย่างท้าทายพลางเอ่ยคำถามแสนง่ายดาย

“ท้าหรือจริง” วางเดิมพันกับเกมที่ยังคงเชื่อมเราไว้ด้วยกัน

“จริง” เขานิ่งไปก่อนกลับมาแสยะยิ้ม คงเพราะเดาออกว่าผมอยากให้ตอบอะไร
   
ถ้าเขาตอบว่าท้า ผมจะใช้โอกาสนี้รั้งให้เขาอยู่... อยู่กับผม
   
แต่คงลืมไปว่ามีความจริงมากมายที่ผมอยากจะได้ยินจากปากเขาเช่นกัน
   
“ทำไมตอนนั้นถึงทิ้งไป”
   
“...”
   
“...”
   
“เพราะไม่ได้รักไง” แม้ความจริงที่ได้ยินจะกรีดซ้ำลงมาบนแผลที่ไม่เคยหายอีกกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ตาม

“โกหก” แต่คงไม่ใช่แค่แผลของผมที่ถูกกรีดซ้ำ ในเมื่อการที่เขาเบือนหน้าหนีก่อนจะตอบคำถามมันบ่งบอกชัดเจนว่าคำพูดนั้นยิ่งย้ำบาดแผลของเขาเช่นกัน

“...”
   
“ทำไมตอนนั้นถึงทิ้งไป” ผมถามย้ำ ให้โอกาสเขาตอบใหม่ สิ่งที่ผมต้องการมีเพียงความจริงที่รู้อยู่แก่ใจ
   
คราวนี้เขาเงียบไปนาน หันกลับมาสบตาผม และมันดูสับสนจนน่าใจหาย
   
“พอสักทีพิชญ์” เขายกมือขึ้นมากุมขมับ น้ำเสียงอ่อนแรง คล้ายกำลังจะแหลกสลาย 
   
“ทำไมตอนนั้นพี่ถึงทิ้งผมไปเตวิชญ์” ผมไม่ยอมแพ้ ขยับเข้าไปใกล้ เอื้อมมือข้างหนึ่งออกไปจับมือเขา เงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อบอกว่าเขาโกหกผมไม่ได้

ผมจะไม่ยอมให้เขาหนีไปอีก... จะไม่ยอมปล่อยมือนี้ไป

“มึงมันดื้อด้านเกินไป” และมันได้ผล เมื่อสุดท้ายดวงตาคู่นั้นก็เต็มไปด้วยความหวั่นไหว สีรัตติกาลพร่างพราวกำลังสั่นระริก... พื้นผิวเย็นเยียบของดวงจันทร์ถูกกระเทาะและกำลังจะปริแตก
   
“ทำไมถึงทำให้ตัวเองเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า... กูไม่เข้าใจ” กำแพงที่เขาสร้างไว้กำลังจะพังทลาย
   
ฝ่ามือหนาเอื้อมมาทาบแก้มผม จรดศีรษะลงมาแตะกัน สบตาผมด้วยสายตาปวดร้าวยากจะอธิบาย และสุดท้ายมันถูกกลบด้วยม่านน้ำในดวงตาผม ที่ไม่อาจกักเก็บเอาไว้ได้อีกต่อไป

ผมจะไม่ยอมร้องเพราะถูกเขาทำร้าย แต่ยอมหลั่งน้ำตาง่ายดายเมื่อเขาเปิดใจ

“ผมรักพี่ ได้ยินไหม” มันเป็นคำเดียวที่อยากยืนยัน อยากให้เขารู้ว่าเหตุผลเดียวที่ผมยังอยู่ตรงนี้เป็นเพราะอะไร

“กูรู้...”  น้ำเสียงของเขาสั่นพร่า ลมหายใจที่ริดรดลงมาหนักอึ้งราวแบกรับอะไรไว้ “แต่ที่ที่กูกำลังจะไป...มันไกล”

“...”

“กูไม่เคยรักษาความรักไว้ได้ จำได้ไหม” เขาเอ่ยย้ำคำพูดที่เคยบอก ความรักที่แลกมากับการแตกหัก

นิยามสัมพันธ์ที่ผมไม่เข้าใจ

ที่รู้ๆ คือมันไม่ได้มีไว้เพื่อปกป้องตัวเอง... เขาตั้งกฎขึ้นมาเพื่อปกป้องอีกฝ่าย... ใครก็ตามที่เขารัก

...จากความรักที่เขาไม่ยอมไว้ใจ

“กูไม่รู้ว่าต้องทำยังไง” นิ้วโป้งเกลี่ยลงมาใบหน้า ปาดน้ำตาที่ไหลไม่หยุดอย่างห้ามไม่ได้ “กูไม่รู้วิธีที่จะทำให้มึงไม่ร้องไห้... แค่ตอนนี้ยังทำไม่ได้เลยเห็นไหม”

ผมหลุดหัวเราะ เปลี่ยนเป็นยกมือขึ้นโอบรอบคอเขาไว้ ดึงเขาลงมาแตะหน้าผาก คลอเคลียปลายจมูกกับปลายจมูกเขา ให้ลมหายใจอุ่นซ่านเชื่อมเราไว้ด้วยกัน

“พิชญ์... แค่ปล่อยกูไป” ริมฝีปากร้อนกดจูบลงมาที่หางตาซับหยาดน้ำให้ผมซ้ำๆ สายตาเว้าวอนแบบที่ผมไม่เคยเห็น “แค่มีความสุขอยู่ตรงนี้ แล้วลืมกูซะ ไม่ได้หรือไง”

ผมกระชับอ้อมแขน ส่ายหน้า ตอบอย่างเอาแต่ใจ “ไม่ได้”

จูบผิวแก้มเขา มุมปาก ทาบลงไปบนริมฝีปากร้อนจัดก่อนผละออกมาสบตา “บอกแล้วไง พี่ต้องพิสูจน์ว่าไม่ได้รักผมให้ได้ ผมถึงจะไป”

สีรัตติกาลที่เคยเย็นชาตอนนี้กลับฉายแววเหนื่อยล้ากว่าครั้งไหนๆ ความโดดเดี่ยวฉายชัดจนผมไม่แน่ใจ…

“พี่แพ้แล้วเตวิชญ์”

ไม่แน่ใจว่าอะไรเปราะบางกว่ากัน...

ระหว่างปีกของผีเสื้อ... หรือเปลือกของดวงจันทร์







ชื่อเสียงของเขามันลอยมาตามลม

เด็กใหม่ที่เพิ่งย้ายมาจากอเมริกา หน้าตาหล่อเหล่า เก่งเลิศในทุกๆ ด้าน เป็นทั้งที่รักและที่ชัง

รักในเสน่ห์อันลึกลับ... และชังในเสน่ห์อันเร้นลับนั้นเช่นกัน

ผมยังไม่เคยเจอ และไม่คิดว่าจะได้เจอ...

โดยเฉพาะในวันธรรมดาๆ ของหน้าฝนที่ท้องฟ้ากำลังหลั่งน้ำตา

ผมกำลังหาที่หลบฝน และเขาอยู่ตรงนั้น... ตรงหน้าผม

รู้ได้ทันทีว่าเป็นเขา แม้เรือนผมหนาที่เรียบลู่ด้วยน้ำฝนนั้นจะเป็นสีดำ โครงหน้าที่แม้จะเค้าลางความเป็นลูกครึ่งแต่ก็ค่อนมาทางเอเชีย โครงร่างสูงใหญ่ดูค้ายจะขัดตาแต่ก็เข้ากันอย่างประหลาดกับชุดนักเรียนม.ปลาย แต่ที่ทำให้รู้ชัดว่าเขาเป็นใคร คือสีรัตติกาลพร่างพรายในแววตา

มันพราวระยัยด้วยหยาดน้ำ ที่ผมไม่แน่ใจว่ามาจากไหน... อาจเป็นหยาดฝนที่ชโลมชุ่มใบหน้า... แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาผมก็รู้ว่ามันเป็นหยาดน้ำตา

เมื่อมันค่อยๆ กลิ้งเกลือกลงมาอาบแก้มตอบนั้นช้าๆ หยดลงฝ่ามือที่ผมเพิ่งเห็นว่ามีบางอย่างอยู่ในนั้น และผมรู้เช่นกันว่ามันคือใคร... จากข่าวลือบางเบาเรื่องอุบัติเหตุที่คร่าชีวิตสมาชิกครอบครัวสี่ขาที่ไม่มีใครใส่ใจ

หนึ่งในผู้รอดชีวิตคือสิ่งมีชีวิตขนปุยสีดำสนิทในฝ่ามือสองข้างที่กำลังสั่น ดวงตาสีดำกลมวาวกำลังจ้องหน้าเขา... คงกำลังสงสัยเช่นกันว่าอะไรทำให้ดวงตาสีรัตติกาลเศร้าโศกถึงเพียงนั้น

กระทั่งเสียงทุ้มน่าฟังเอ่ยกระซิบสั่นพร่า

‘ไม่เป็นไร’

ผมถึงได้รู้ว่าเขาไม่ใช่ผู้สูญเสียแต่อย่างใด

‘ไม่เหงาหรอก’

‘...’

‘ไม่เป็นไร’

น้ำตาของเขาหลั่งลงมาให้การจากไปของสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่เป็นเพียงเศษฝุ่นในจักรวาล

วินาทีนั้น... ผมสาบานว่าจะเก็บมันเป็นความลับ ฝังลึกในใจ... เก็บงำหยาดน้ำตาและใบหน้าเศร้าสร้อยแสนอ่อนโยนนั้นไว้เป็นของผม

เป็นของผมแต่เพียงผู้เดียว








ในทีแรกจูบของเรามันขมปร่า... เป็นจูบเคล้าน้ำตาที่ไม่อาจแห้งเหือดง่ายดาย

ก่อนความขมจะถูกเจือจางด้วยผืนน้ำเย็นฉ่ำที่โอบรัดรอบกาย

...และไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่มันกลายเป็นจูบหวานล้ำ เนิ่นนานก่อนค่อยๆ มอดไหม้... กลายเป็นรสจูบที่คร่าลมหายใจผมด้วยหลอมละลาย ทวีความร้อนเร่าลึกซึ้งคล้ายจะดับความหนาวเหน็บจากอุณหภูมิของน้ำในสระที่แหวกวงโอบอุ้มสองร่างที่เกี่ยวกระหวัดกันไว้

มันคือความต้องการของผม... ปรารถนาจะเปียกปอนเพื่อให้ความอุ่นร้อนของเขาเด่นชัด... ความอุ่นร้อนจากริมฝีปาก... อ้อมแขนที่โอบรัด และตัวตนที่แทรกลึกเข้ามาในกาย

เสียงผิวน้ำกระเพื่อมไหวเป็นจังหวะคล้ายคลื่นกระทบฝั่งเมื่อเขาขยับ... ตัวตนที่แทรกเข้ามาจนสุดถูกถอนออกไป แทรกเข้ามาอีกครั้ง... ตอกตรึง... ลึกล้ำและเหมือนจะลึกได้อีกในทุกคราที่เคลื่อนไหว... สู่พื้นที่เร้นลับที่ไม่เคยมีใครเข้าถึงได้

ช่องทางที่เคยปิดสนิทถูกขยาย เบ่งบานเพื่อโอบรัดความแข็งแกร่งของเขาไว้ คับแน่นจนไม่เหลือที่ว่างให้แม้แต่เสี้ยวของอณูหยดน้ำแทรกซึมเข้าไป

ถึงอย่างนั้นก็ยังชื้นแฉะ... ความชุ่มฉ่ำมาพร้อมกับความอุ่นร้อนของเขา... อุ่นร้อนและเหนอะหนะ ความลื่นไหลกลับโหมเชื้อไฟที่กำลังเผาไหม้ สัมผัสของตัวตนที่เสียดสีด้านในผนังนุ่มเด่นชัดอย่างน่าอายชวนให้บิดเร่า... ถึงอย่างนั้นเขากลับละเมียดละเลียดชิมราวกับจงใจแกล้งให้ทรมาน...

“พิชญ์” กระซิบเสียงพร่าพลางขบเม้มใบหูด้วยรู้ว่ามันไวต่อสัมผัส จมูกโด่งซุกลงผิวแก้มดุนดันให้ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตา ผละจากบ่ากว้างที่ผมใช้ระบายความกระสันซ่าน

ผมกัดเขา... กัดจนขึ้นรอยฟัน กัดจนไม่เหลือที่ว่างให้กัดราวลูกสุนัขคันฟัน เขาไม่ได้เอ่ยห้ามปราม แต่ดวงตาสีรัตติกาลที่จ้องมาก็ฉายแววตำหนิกึ่งขบขัน ก่อนเอาคืนรอยฟันด้วยการใช้มือข้างหนึ่งบีบแก้มผมให้อ้าปาก บังคับไม่ให้ขบฟัน ก่อนจะแทรกเรียวนิ้วชี้และนิ้วกลางเข้ามาอย่างจาบจ้วง ฉวยโอกาสพันธนาการลิ้นร้อนด้วยเรียวนิ้วทั้งคู่ไม่ให้ขยับไหว เล่นล้อกับสีเงินปลายลิ้นอย่างเอาแต่ใจ ก่อนดึงให้พ้นโพรงปากบังคับให้เงยหน้าขึ้นไปสบสีรัตติกาลพราวระยับอีกครั้ง มุมปากบางคลี่ยิ้มร้าย ก่อนคนเจ้าเล่ห์จะงับลงมา ดูดดุนอย่างอุกอาจพลางผละนิ้วจากเพื่อทาบทับให้ริมฝีปากแนบสนิทกัน 

จูบร้อนแรงสวนทางกับจังหวะเสียดทานเชื่องช้าช่างทรมาน...

“พี่เต...” ผมเอ่ยเรียกเมื่อเขาผละริมฝีปากเคลื่อนคล้อยลงไปสาละวนกับซอกคอและยอดอกที่ถูกกระตุ้นจนชูชัน ผมกัดริมฝีปากตัวเองแน่นเมื่อเขาไล้เลียมันซ้ำๆ พยายามอดกลั้นเสียงคราง เพราะต่อให้ต้องอดทนต่อความกระสันซ่านทรมาน ผมก็จะยังไม่ให้เขาได้ยินดั่งใจ

จนกว่าจะได้เอ่ยคำถาม...

“พี่เต... เกลียดเซ็กซ์ของพิชญ์หรือเปล่า” คำถามงี่เง่าที่รบกวนจิตใจ

“หืม?” เสียงทุ้มประหลาดใจ กดจูบที่แก้มผมก่อนแตะหน้าผากลงมาเพื่อสบตา ผมยกมือขึ้นประคองใบหน้าเขากระซิบเสียงพร่าด้วยความอึดอัดคับแน่นจากสัมผัสเบื้องล่างที่ชะงักกลางคัน

“พี่หายไปหลังจากวันนั้น...” วันที่เราร่วมรักกัน

เพราะเป็นครั้งแรก... และความไม่ประสีประสาของผมอาจทำให้เขารำคาญ

มันโคตรจะไร้สาระ แต่สาเหตุครุมเครือคล้ายจะคั่งค้างอยู่ในใจ

“ทำไมถึงคิดแบบนั้น” คนเจ้าเล่ห์หัวเราะเบาๆ คล้ายจะเอ็นดูปนขบขัน แต่ยังไม่วายแกล้งกันด้วยการกดย้ำให้ร่างกายแนบสนิทกันอย่างลึกล้ำ ตัวตนที่แทรกเข้ามาอีกครั้งทำให้ผมโถมใบหน้าจูบเขา กัดริมฝีปากที่ดึงดันจะจูบอยู่อย่างนั้นแล้วผละออกมา

“เพราะพิชญ์เอาแต่ร้องไห้” เขาหัวเราะขบขันกับเหตุผลน่าอาย ก่อนเลื่อนริมฝีปากขึ้นมาจูบบนหางตาที่เอ่อคลอด้วยหยาดน้ำจากไฟปรารถนา

“เสียงพิชญ์อาจจะน่ารำคาญ”

จูบย้ำที่พวงแก้มเห่อร้อน ก่อนทาบทับลงมาบนริมฝีปาก ขบเม้มกลีบปากซ้ำๆ

“...พิชญ์เอาแต่เรียกชื่อพี่”

ลมหายใจหนักดังก้องตอนที่เขาเคลื่อนใบหน้าไปที่ใบหู เรียกชื่อผมแผ่วเบา

“พิชญ์”

ร่างกายสั่นสะท้านเมื่อรับรู้ได้ถึงคมเขียวที่ฝังลงมา ก่อนกระซิบเสียงพร่า

“พี่อยากได้ยินเสียงพิชญ์”

เพียงเท่านั้นก็ปลดเปลื้องทุกความอดกลั้น เขากดจูบลงมาอีกครั้ง บดเบียดแทรกเรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัด ทวีรสลึกล้ำด้วยโหยหา แลกเปลี่ยนลมหายใจหนักหน่วงด้วยห้องอารมณ์ลึกซึ้งเกินพรรณนา

บทรักเริ่มใหม่และคราวนี้แรงปรารถนาถาโถมทบทวี ด้วยต่างให้ทุกสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ ผมครางเท่าที่เขาอยากให้คราง...เปล่งเสียงแปร่งประหลาดดังก้องกระทบผิวน้ำ... ร้องเรียกชื่อเขาซ้ำๆ... แลกกับเรียกร้องให้เจ้าของแก่นกายกระแทกกระทั้น แรงลึกและหยาบโลนจนคลื่นน้ำกระเซ็นซัดก่อนขยายออกเป็นวงกว้าง ทลายความอึดอัด...ปลดเปลื้องความทรมาน

ร่างกายใต้ผืนน้ำแนบชิดเกี่ยวกระหวัด บรรเลงเพลงรักท่ามกลางความเย็นเยียบด้วยจังหวะเร่งเร้า...สอดประสานเสียดทาน...โหมเชื้อไฟให้ลามเลียไปทั้งร่าง

กระทั่งเขาพาไปถึงฝั่ง ผมกระตุกสะท้านราวมีกระแสไฟฟ้าแล่นปลาบไปทั้งร่าง หลุดเสียงแปร่งประหลาดดังลั่น ผวาคว้าแผ่นหลังกว้าง... จิกเล็บลงไป กรีดลึกเนื้อแน่นด้วยแรงอารมณ์ ขณะที่อ้อมแขนแข็งแกร่งโอบกอดผมไว้แน่น บดเบียดริมฝีปากและแก่นกายแนบสนิทไร้ช่องว่าง
 
ต่างปลดปล่อยราคะขุ่นข้นคลั่กให้ล้นทะลัก... ไหลรวมกับผืนน้ำที่ระอุด้วยไฟปรารถนา

อุณหภูมิที่เคยเย็นเยียบกลับเปลี่ยนเป็นร้อนเร่าราวทะเลลาวา









---------------------------------------------------------
ตอนที่แล้วมีแต่คนหัวร้อนน เลยเอาน้ำมาดับร้อนให้ค่ะ
เอ๊ะ หรือร้อนกว่าเดิม 55555
บอกแล้วว่าจะไม่ดราม่านาน แต่ก็แอบกังวลว่ามันจะห้วนไป
กลัวจะสื่อออกมางง สื่อไม่ถึง เข้าใจอยู่คนเดียวอะไรงี้ 5555
ถ้าไม่ดียังไงช่วยเตือนหน่อยน้า จะนำไปปรับปรุงค่ะ

ฝาก #เกมท้ารัก ด้วยนะคะ

ขอบคุณทุกคนที่ยังอยู่ด้วยกัน

 :L2:



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-12-2017 09:15:02 โดย makok_num »

ออฟไลน์ prawan25

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนนี้ไม่มีอะไรจะพูดออกจากพี่เตทำดีมากค่าาา
ในสระนี่ร้อนไปหมดเลย 55555.
ยอมใจพี่เขาจริงๆ ในขณะที่ทำให้พิชญ์เจ็บ
ตัวเองก็ทรมานใจเหมือนกัน ดูจะเจ็บเท่าๆกัน
กว่าพี่จะยอมรับได้เราจะยกน้องให้คนอื่นและ
ชอบในความพยายามของพิชญ์นะ ไม่ยอมแพ้จนพี่ต้องแพ้เองเลยอ่ะ
ปล.พี่เจคนี้พ่อทูนหัวของพิชญ์ชัดๆ. 5555.

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
พี่เตตตตตตตต พี่เตขาาาาาาาาาาาาา
อ่านตอนนี้แล้วจะร้องไห้เลยอ่ะ ตอนที่คุยกันเรื่องความรู้สึก
ฉากในน้ำเร่าร้อนมาก อ่านไปเขินไป :hao6:

พี่เตแพ้แล้วนะ พี่รักน้อง เพราะงั้นอย่าไล่น้องพิชญ์ของเราไปอีกนะ

ออฟไลน์ sripaerrr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
โอ๊ยยยยยย เขินตอนเขาพูดเพราะกันน่ะ กูๆมึงๆอะไร มีแต่พี่กับพิชญ์  :jul1:ชอบในความไม่ยอมแพ้ของน้อง สุดทางและทุ่มเทมากกกก คนพี่ต้องตอบแทนความพยายามของน้องอย่างน่ารักๆน้าาา :katai2-1:

ออฟไลน์ mirage

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
ดับได้เเป๊ปหนึ่งแล้วก็ร้อนอีกรอบค่ะ 555 โอเคในความเป็นเตละ สรุปคือรักแต่กลัวคนที่รักจะเสียใจเลยต้องทำเป็นไม่รัก สงสัยจุดนี้ เกี่ยวกับอุบัติเหตุไหมแต่พี่เป็นแบบนี้ตั้งแต่ก่อนเกิดอุบัติเหตุ มีซัมติงซ่อนอยู่ อยากรู้เรื่องในอดีตของพี่มากกว่านี้ ตอนนี้เรียกว่าเคลียความรู้สึกกันได้หรือเปล่า พี่ต้องไปอเมริกาจริงๆ ใช่ไหม  :sad4: พิชญ์ก็สู้ต่อไปในแบบพิชญ์  o13

ติดตามค่ะ เป็นกำลังใจให้
 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ gackmanas

  • I Remember your Eyes..
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
หืมมมมมมมมมม.....

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด