พิมพ์หน้านี้ - [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก :SpecialVIII:Playing With Fire [11.12.2018]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: makok_num ที่ 08-10-2017 05:47:35

หัวข้อ: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก :SpecialVIII:Playing With Fire [11.12.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 08-10-2017 05:47:35
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม






(http://<img src="https://www.img.in.th/images/0ef9715eca692765540b16b3c9464c46.jpg" alt="0ef9715eca692765540b16b3c9464c46.jpg" border="0">)

Truth or Dare

#เกมท้ารัก

'ท้าหรือจริง?'
'จริง...' เขาแสยะยิ้ม คงเพราะเดาออกว่าผมอยากให้ตอบอะไร
แต่คงลืมไป ว่ามีความจริงมากมายที่ผมอยากจะได้ยินจากปากเขาเช่นกัน
'ทำไมตอนนั้นถึงทิ้งไป'
'...'
'...'
'เพราะไม่ได้รักไง'
แม้ว่าความจริงที่ได้ยิน จะกรีดซ้ำลงมาบนแผลที่ไม่เคยหายอีกกี่ครั้งต่อกี่ครั้งตาม...


ปล. พฤติกรรมบางอย่างของตัวละครในเรื่องไม่เหมาะสม โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ


: นิยายที่ผ่านมา :
Just Another Guy #เชนตรี (จบแล้ว) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52722.0)
Just Before Sunrise #ซันโช (จบแล้ว) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59409.0)
'One Night' Series #เรื่องสั้นคืนเดียว (จบในตอน) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60063.0)



ติดตามข่าวสาร
แฟนเพจ : https://www.facebook.com/makoknum.writer/?ref=bookmarks
ทวิตเตอร์ : https://twitter.com/makok_num

 :L2:




หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทนำ [08.10.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 08-10-2017 05:58:33
บทนำ

   
ผมมองแผ่นหลังเปลือยเปล่าของร่างสูงที่ยืนสูบบุหรี่อยู่นอกระเบียง เปลี่ยนความหงุดหงิดเป็นควันสีเทาให้สายลมพัดจนเจือจาง ทว่ากลิ่นนิโคตินยังคงคละคลุ้งอยู่ในอากาศ เด่นชัดในทุกๆ ก้าวที่ผมเข้าใกล้

อดไม่ได้ที่จะเบือนสายตาจากรอยข่วนบนผิวขาวที่ ‘คนอื่น’ ทิ้งไว้ ให้ความสนใจเพียงกลุ่มควันอ้อยอิ่งที่ปกคลุมเสี้ยวหนึ่งของใบหน้าหล่อเหลาที่ยังคงทอดมองออกไปที่ไหนสักแห่งที่ผมไม่อาจรู้ได้
   
เขาดูเหมาะกับมัน... อันที่จริงดูคล้ายจะเป็นสิ่งเดียวกัน
   
พิษร้าย ที่ค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในลมหายใจ... ทำลายปอด กัดกินอวัยวะภายในอย่างช้าๆ... กว่าจะรู้ตัวก็บุบสลายเกินกว่าจะแก้ไข
   
รู้ตัวอีกที... ก็เสพติดเกินกว่าจะถอนตัวได้
   
“ขอบุหรี่หน่อย” รวบผมที่ยาวประบ่าขึ้นลวกๆ ก่อนจะเท้าแขนลงที่ระเบียง เอ่ยพร้อมรอยยิ้มร้าย ไร้ความรู้สึกผิดแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นต้นเหตุความหงุดหงิดของอีกฝ่าย
   
เขาเลิกคิ้ว มองผมนิ่งนาน ก่อนจะแสยะยิ้ม
   
ไม่มีคำตำหนิ แถมไม่ได้หยิบบุหรี่มวนใหม่ให้ กลับยื่นมวนเดิมที่ถูกเผาไหม้ไปกว่าครึ่งมาจ่อริมฝีปาก... ผมยื่นหน้าเข้าไปงับในตำแหน่งเดียวกับที่เขาทิ้งร่องรอยอุ่นชื้นเอาไว้ สูดควันเข้าปอดแล้วปล่อยออกโดยที่สายตายังคงจับจ้องเข้าไปในดวงตาสีเดียวกับท้องฟ้ายามราตรี
   
มีคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ ก่อนจะได้คำตอบในเวลาเดียวกัน
   
ทำไมผมถึงยังวิ่งตาม... ทำไมยังตกหลุมรักผู้ชายคนนี้ซ้ำๆ ทั้งที่เขาเอาแต่หนีไป... ทำไมต้องฝืนตัวเองมากมายเพื่อให้ได้เขาคืนมา... ทำไม...
   
เพราะเป็นรักแรกจึงฝังใจ? หรือเพราะเขาพิเศษมากกว่าใครๆ?
   
ไม่ใช่...
   
เพราะผมไม่เคยทนต่อสายตาดึงดูดของเขาได้เลย ไม่เคย... แม้สักครั้ง
   
กระทั่งตอนนี้ก็เหมือนกัน
   
สายตาคู่เดิมที่เต็มไปด้วยความเย็นชา เย้ยหยัน... ทว่าแสนท้าทาย กดผมไว้แทบเท้า ในขณะเดียวกันกลับเยินยอ ทะนุถนอมผมไม่ต่างจากเจ้าชาย
   
แค่คิดว่าเขาใช้สายตาแบบนี้ล่อลวงใครต่อใคร ก็เล่นเอาหงุดหงิด และติดกับไปพร้อมๆ กัน    
   
เพราะงั้น มันคงไม่แปลก ถ้าผมจะทะเยอทะยานอีกนิด วางเดิมพันกับเกมไร้สาระที่เหนี่ยวรั้งเราไว้ด้วยกัน
   
“ท้าหรือจริง?”
   
คิ้วหนาเลิกขึ้นสีหน้าประหลาดใจ คงเพราะตามกติกามันไม่ใช่คราวของผมที่จะเป็นฝ่ายถาม
   
“ท้า”

แต่เขาก็ยังเป็นเขา... แสวงหาความท้าทายมากกว่าจะสนใจกฎเกณฑ์ไหนๆ

...เป็นเหตุผลชั้นดีที่สนับสนุนว่าการไล่ตามผู้ชายคนนี้มันเหนื่อยยิ่งกว่าอะไร
 
ผมถึงได้ใช้ทางลัดตลอดมา

“นอนกับผม”

“...”

“ผมขอท้า...!”

ไม่ทันได้เอ่ยย้ำ ร่างของผมก็ถูกคว้าด้วยฝ่ามือหนา... บุหรี่ที่คาบไว้ถูกทดแทนด้วยนิโคตินปลายลิ้นที่ขมปร่า

เพียงพริบตา แผ่นหลังของผมก็ปะทะกับเตียงอย่างรุนแรง




Talk :: รู้สึกเหงาๆ เลยแอบมาเปิดนิยายเรื่องใหม่ในเวลาไก่โห่ (อีกแล้ว) ค่ะ  :hao7:
คิดพล็อตเรื่องนี้มาสักพัก รอให้มันตกตะกอน แต่สุดท้ายก็อัพด้วยอารมณ์ชั่ววูบอยู่ดีอ่ะ 5555
หวังว่าจะไปได้ตลอดรอดฝั่ง และหวังว่าจะมีคนอ่านแล้วถูกใจบ้างนะคะ
ติชมได้เหมือนเดิม คอมเมนต์ หรือส่งฟีดแบ็กทางทวิตเตอร์ #เกมท้ารัก ก็ได้ค่ะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ^^

- Martian -
หัวข้อ: Re: ♔ Truth or Dare #เกมท้ารัก ♔ : บทที่ 1 [09.10.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 09-10-2017 15:34:19
1

   
ในทีแรกเขาไม่มีทีท่าว่าจะจำผมได้...
   
ถึงคนอย่างเขาดูจะไม่ใช่ประเภทที่ให้ความใส่ใจกับ ‘แฟนเก่า’ เท่าไหร่ แต่มันก็น่าประหลาดใจที่เขาจำผมไม่ได้

ไม่มีทีท่าเอะใจ ไม่ชายตามองเลยในวันรายงานตัวเข้ามหาลัย ผมคิดว่าตัวเองค่อนข้างโดดขึ้นมาท่ามกลางคนทั่วไปด้วยส่วนสูงที่มากกว่าร้อยแปดสิบเซนต์ แถมยังยืนเด่นข้างกลองที่รัวจังหวะเมามันตามเพลงประจำคณะ

แต่เขาก็ยังมองไม่เห็น...

เหมือนมีบางสิ่งที่ไกลออกไปดึงดูดสายตาคู่นั้นไว้ ตัดขาด... เป็นปัจเจก สร้างโลกของตัวเอง หลีกหนีจากคนรอบกายทั้งที่ในโลกความเป็นจริงเขาช่างโดดเด่น

ไม่ใช่แค่เพราะใบหน้าที่งดงามราวพระเจ้าปั้น แต่เพราะดวงตาสีดำสนิทที่เหม่อมองออกไปอย่างไร้จุดหมายของเขามัน... ดึงดูด ล่อลวงให้ผมติดกับในเสี้ยววินาทีที่หันไปมอง
   
ผมจำเขาได้ทันที แต่ก็ยังต้องการหลักฐานยืนยันอยู่ดีว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือคนเดียวกับที่ผมคิดจริงๆ

   
‘เตวิชญ์’

   
ผมก้มอ่านตัวหนังสือบนป้ายชื่อสีฟ้าอ่อนซึ่งระบุตัวตนของเขาไว้ในฐานะเด็กใหม่ในความดูแล...

ที่บอกว่าในความดูแลก็เพราะตัวเลขสามหลักตามรหัสนักศึกษาที่เขียนกำกับไว้เหนือชื่อนั่นไง
   
เขาคือน้องรหัสผมอย่างไม่ต้องสงสัย
   
ที่น่าประหลาดใจก็คือ มันกลับตาลปัตรกลายมาเป็นแบบนี้ได้ยังไง ในเมื่อเท่าที่จำได้ เตวิชญ์ที่ผมรู้จักเป็นรุ่นพี่ที่อายุมากกว่าผมหนึ่งปี
   
‘เสียใจด้วยว่ะไอ้พิชญ์ น้องรหัสมึงเป็นผู้ชาย’ เสียงหัวเราะแซวมาพร้อมกับจังหวะตบบ่าปลอบใจ ผมไม่ได้หันไปโต้ตอบอะไร จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตอนนั้นหมาตัวไหนเป็นคนพูด
   
จำได้แค่ว่าทุกวินาทีผมเอาแต่จับจ้องไปยังสายตาคู่นั้นที่จนแล้วจนรอดก็ไม่หันกลับมา จำได้ว่าแวบหนึ่งรู้สึกหงุดหงิดที่ตัวตนของผมไม่มีค่าพอจะเรียกร้องความสนใจ
   
และอีกสิ่งหนึ่งที่จำได้...
   
‘ใครว่ากูเสียใจ’

ผมเถียงกลับไปทั้งที่ไม่มีใครได้ยิน และยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยเสียงหัวใจตัวเองที่เต้นดังยิ่งกว่าเสียงกลอง
   
   
เราเคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน
   
โรงเรียนชายล้วนชื่อดังที่ถ้าพูดชื่อออกไปใครต่อใครก็คงรู้จัก

โรงเรียนที่ผู้ชายคบกันเป็นเรื่องปกติ... และดาวเด่นประจำโรงเรียนอย่างเขาก็มีคนเข้าหามากมาย เป็นเรื่องปกติ

พี่เตวิชญ์ผู้สมบูรณ์แบบ เป็นเลิศในทุกๆ ด้าน วิชาการ ดนตรี กีฬา ศิลปะ เรียกได้ว่ามีพรสวรรค์รอบตัวจนน่าอิจฉา

ยอมรับว่าเสี้ยวหนึ่งในความรู้สึกตอนนั้นผมอิจฉา แต่ความรู้สึกอื่นที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด... ก็คือความหลงใหล

ใครสักคนเคยถามว่าถ้าวันหนึ่งเกิดชอบผู้ชายขึ้นมา ผมจะชอบผู้ชายแบบไหน

แน่นอนว่าใบหน้าของพี่เตวิชญ์ลอยเข้ามาในมโนสำนึกทันทีทันใด... น่าหงุดหงิดที่ต้องยอมรับว่าใบหน้านี้คงปรากฎขึ้นในมโนสำนึกของใครอื่นอีกมากมายเช่นกัน

หวงทั้งที่ไม่ควรหวง อยากครอบครองทั้งที่ไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของ... ตลกสิ้นดี


ที่ตลกกว่าคือวันดีคืนดีพระเจ้าก็มอบโอกาสให้ผม

‘อย่าบอกใคร’

โอกาสที่จะได้กุมความลับแสนธรรมดาแต่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าความลับไหนๆ 

‘...’

ความลับปลายมวนบุหรี่ที่ปล่อยควันสีขาวคลุ้ง กลิ่นนิโคตินฟุ้งกระจาย... ผิดกฎข้อร้ายแรงของโรงเรียน

เป็นครั้งแรกที่ผมรู้ว่าสำหรับเขากฎมีไว้แหก แต่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเห็นว่าเขา... แตกต่าง

‘ไอ้นั่นเจ๋งดี’ จำได้ว่าตัวเองนิ่งเป็นหุ่นจนกระทั่งเขาชี้ปลายบุหรี่มาที่เฟรมผ้าใบในมือผมอย่างเบี่ยงเบนความสนใจ

โกหกหน้าตาย ในเมื่อเห็นชัดว่ารูปวาดในมือผมถูกเขี่ยลงมาเป็นที่สอง แพ้เขาขาดลอย

แต่นั่นไม่ใช่คำเย้ยหยัน และความจริงที่ว่าเขาเอ่ยมันด้วยสายตาจริงจังก็ทำให้อวัยวะในอกผมเต้นโครมคราม

รู้สึกหน้ามืด ตาลาย ...อาจเมากลิ่นควันบุหรี่ด้วยล่ะมั้ง ถึงได้เผลอพูดพล่อยๆ ออกไป

‘คบกับผมสิ’

แปลกใจตัวเองเหมือนกันที่ตอนนั้นกล้าท้าทายออกไปทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยคุยกันสักครั้ง

‘คบกับผม แล้วผมจะไม่บอกใคร’

รู้แค่ว่าอยากได้... ต้องการผู้ชายคนนี้จนทนไม่ไหว

‘...’ จนกระทั่งดวงตาสีรัติกาลจ้องมาที่ผมอย่างประหลาดใจ ถึงได้รู้ตัวว่าข้อเสนอตัวเองฟังดูโง่ชิบหาย

‘ผม...’

‘หึ’ ตอนนั้นแหละที่ผมตระหนักได้ว่าผู้ชายคนนี้โคตรอันตราย

ได้ยังไง ที่เขาสามารถถีบผมลงทะเลแล้วกระชากกลับฝั่งได้ภายในรอยยิ้มเดียว

‘...’

‘เอาสิ’

‘…’

คิดว่าผมชนะแล้วใช่ไหมที่ใช้ความลับโง่ๆ บีบบังคับให้เขามาเป็นของผมได้

ผิดแล้ว...

ความจริงก็คือ ผู้ชายคนนี้ก็แค่ชอบความท้าทาย

‘มาดูกันว่ามึงจะทำให้กูสนใจได้แค่ไหน’

‘…’

...และผมต่างหากลูกไก่ในกำมือ


   




ไม่แปลกใจเลยที่ผมจะเห็นเขาตรงนี้
   
เฟรชชี่คนเดียวในวงเหล้าของพี่ปีสองปีสามที่ถ้านับตามอายุก็คงจะไล่เลี่ยกับเขา ไม่มีใครถือสา ทว่ายังคงแปลกแยกด้วยรูปลักษณ์ และความลึกลับในดวงตารัตติกาลคู่นั้นที่ผมไม่รู้ว่าปลายทางอยู่ที่ไหน
   
แน่แท้ คงไม่ใช่น้ำสีอำพันและปริมาณขวดแก้วมากมายที่ตั้งอยู่กลางวง
   
“Truth or Dare?”

ใครนะ ใครเป็นคนเสนอเกมนี้ขึ้นมา

จำได้แค่ว่าทุกคนพากันเฮโลเห็นด้วยตามกันก่อนที่ขวดเหล้าเหล่านั้นจะถูกกวาดหลบเหลือเพียงขวดเบียร์ขนาดกะทัดรัดขวดเดียวกลางวง

ผมไม่ได้สนใจแม้แต่ตอนที่ปากขวดหมุนติ้วเป็นสัญญาณเริ่มเกม

หยุดที่คนแรก...

“ท้าหรือจริง?”

ชี้ตัวเป้าหมาย เอ่ยคำถามที่กำหนดไว้

“ท้า...”

ตอบกลับไปและถูกออกคำสั่งตามใจ...

ถ้าทำได้ก็มีสิทธิ์เลือกเป้าหมาย แต่ถ้าทำไม่ได้ก็กระดกไป หนึ่งแก้วเพียว

กติกาง่ายดาย เปลี่ยนเป้าหมายใหม่... ออกคำสั่ง หรือเอ่ยถาม... เลือกระหว่างความลับหรือความท้าทาย

แล้วเลือกเป้าหมายอีกครั้ง วนไป

น่าเบื่อ...

ผมอ่านความรู้สึกนั้นได้จากดวงตาสีรัตติกาล

ผมสนับสนุนความคิดนั้น แม้ว่าตัวเองจะเป็นเป้าหมายหลักที่ถูกคนรอบวงแทะโลมตามคำสั่ง เรียกเสียงหัวเราะ และคงทำให้เป็นที่รักขึ้นอีกเท่าตัว

แต่จะมีประโยชน์อะไรในเมื่อหนึ่งในคนที่สนใจ ไม่ใช่เจ้าของดวงตาคู่นั้น

มองไปที่ไหนกัน อยากถามใจจะขาด

“ไอ้เต” น่าเสียดายที่คนที่เรียกร้องความสนใจได้ไม่ใช่ผม เป็นพี่ปีสามที่ได้กุมอำนาจเกมต่อไปไว้ในมือ

“ท้าหรือจริง?”

อยู่ๆ หัวใจก็หล่นวูบอย่างไร้เหตุผลทันทีที่ได้ยิน

อยากรู้ว่าเขาจะตอบอะไร ทั้งที่เดาง่ายจะตาย

“ท้า...”

คิดผิดที่ไหน...

ผมลอบยิ้มตอนที่ดวงตาเฉยชาคู่นั้นเริ่มมีประกายวิบวับเหมือนถูกกดสวิตช์

“จูบไอ้พิชญ์” 

“...!”

ผมคงไม่ทันเอะใจ ถ้าเขาไม่ได้หันมาสบตา

ฮะ อะไรนะ?

กว่าจะรู้ตัวว่าคำท้าคืออะไร ก็ตอนที่รอบกายเงียบสนิท สายตาจับจ้องไปที่เด็กใหม่เพียงหนึ่งเดียว

“...”

ทั้งที่ไม่ใช่คำสั่งแปลกใหม่ เพราะตั้งแต่เริ่มเกมปากของผมก็กลายเป็นของสาธารณะ ถูกประกบ แลกน้ำลายกับผู้ชายไปเกือบครึ่งวง มองมันเป็นเรื่องตลก ไร้อาการขัดเขิน... แต่คราวนี้ผมกลับยกมือขึ้นเสยผมที่ยาวประบ่าของตัวเองแก้เก้อ พลางลอบกลืนน้ำลาย

ประหม่าชิบหาย

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังจ้องเขาไม่ละสายตา ก็มันหายากนี่หว่า โอกาสที่เขาจะมองมา... สมปรารถนาครั้งแรกนับแต่ที่ผมคาดหวังให้เราสบตากัน

แต่ถึงอย่างนั้นก็เกินจะหยั่งถึงว่าสายตาคู่นั้นกำลังสื่อสารอะไร

“...” เผลอลุ้นขณะเฝ้ารอการตัดสินใจ

“หึ” กระทั่งเขาเหยียดยิ้มมุมปาก... ร้ายกาจกว่าครั้งไหนๆ...

แล้วหยิบเหล้าเพียวๆ กระดกรวดเดียวลงคอ

“เชี่ยยย”

ผมถึงนึกได้ว่านอกจากจะชอบความท้าทาย ความสามารถอีกอย่างของเขาคือการฉุดวิญญาณใครต่อใครให้ขึ้นสวรรค์หรือตกนรกได้เพียงพริบตา

“ไอ้ห่า! นั่นพี่รหัสมึงนะ รังเกียจเหรอวะ” เสียงหัวเราะขบขันดังรอบวง ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

ขบขันให้กับความคาดหวังน่าสมเพชของตัวเอง
   
“เอาล่ะครับคุณพิชญะ มีคนร้ายกว่ามึงแล้วว่ะ” ผมยักไหล่ตอบรับคำพูดนั้น หยิบแก้วเหล้าที่ไม่ได้แตะมานานกระดกเข้าปากรวดเดียวหมดเช่นกัน สายตาจับจ้องไปยังคนที่คล้ายจะหักหน้าผมกลางวงก่อนจะหลุดหัวเราะเมื่อเห็นว่าสายตาคู่นั้นไม่มีทีท่าว่าจะหันกลับมามองอีกเป็นครั้งที่สอง
   
เอาเถอะ อย่างน้อยเมื่อครู่เขาก็รู้แล้วว่าผมมีตัวตน

   




เกมยังคงดำเนินต่อไป ทวีความรุนแรงขึ้นความคึกคะนองและระดับแอลกอฮอล์ที่อยู่ในร่างกาย
   
แน่นอนว่าหลังจากตานั้นเด็กใหม่เพียงคนเดียวก็กลายเป็นเป้าหมายแสนท้าทาย... 

เรื่องตลกก็คือเขาเดินเกมโดยมุ่งจะหักหน้าทุกคน เมินเฉยคำท้า กระดกแอลกอฮอล์แก้วแล้วแก้วเล่าอย่างไม่สะทกสะท้าน คอแข็งจนพวกขี้แกล้งหมดอารมณ์ ยั่วโมโหจนถูกลงโทษเป็นกรณีพิเศษให้ออกมาถอดเสื้อตากลมนอกระเบียง
   
เขาจงใจ...

ทำไมผมคิดไม่ได้นะว่าสำหรับเขาการเห็นคนอื่นหัวปั่นมันสนุกกว่าเล่นเกมโง่ๆ ตามกติกาเป็นไหนๆ เพราะงั้นขอคิดเข้าข้างตัวเองหน่อยแล้วกันว่าการที่เขาไม่ยอมจูบผมมันไม่ใช่เพราะความรังเกียจใดๆ

“หนาวมั้ย” เอ่ยถามตามมารยาทก่อนจะจุดไฟแช็กลนปลายบุหรี่ที่คาบไว้ในปาก ดึงยางรัดผมที่ข้อมือขึ้นมารัดผมลวกๆ อย่างปัดรำคาญ พร้อมกับปล่อยควันสีขาวออกมาปะทะสายลม

ไม่ได้อยากสูบสักเท่าไหร่ แต่มันเป็นข้ออ้างเดียวที่จะใช้เพื่อปลีกตัวออกมาได้ในขณะที่เกมกำลังเข้มข้น แต่ผมไม่คิดจะใส่ใจ

ในเมื่อสิ่งน่าสนใจเดียวภายในคืนนี้กำลังเปลือยกายอยู่นอกระเบียง

“ไอ้นั่นน่าสนใจ” เขาไม่ตอบ ผมจึงเอ่ยประเด็นใหม่ชี้มือที่คีบบุหรี่ไปยังร่างกายกำยำที่มีบางอย่างเด่นชัดขนาดที่ทำเอาคนทั้งวงตะลึงไปเมื่อยุให้เขาถอดเสื้อได้

รอยแผลเป็นผ่าเป็นทางยาวตั้งแต่กลางอกพาดผ่านลอนกล้ามสวยๆ ลงไปจนเกือบถึงสะดือ

เลือกใช้คำว่าน่าสนใจ เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ร่างกายสมส่วนสมบูรณ์แบบของคนตรงหน้าด่างพร้อยแม้แต่น้อยในสายตา

แต่อย่างว่า... ครั้งล่าสุดที่เขาเปลือยกายต่อหน้า ผมไม่เห็นมัน

คำถามคือ แผลเป็นนี่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายไปถึงสองปีของเขาใช่ไหม?

อืม มีความเป็นไปได้เกินห้าสิบเปอร์เซ็นต์ว่ามี

“อุบัติเหตุ” เสียงเรียบนิ่งเอ่ยออกมาทั้งที่สายตาทอดมองออกไปยังแสงสียามค่ำคืน

ของฟรีที่แถมมากับห้องหรูชั้นสิบราคาแพงหูฉี่

“...”

ผมไม่ได้ถามว่าอุบัติเหตุแบบไหน ไม่ละลาบละล้วงแม้อยากจะค้นให้ลึกลงไป

ยังไม่ใช่ตอนนี้... ตอนที่ผมมั่นใจว่าเขายังจำชื่อผมไม่ได้ด้วยซ้ำ

สิทธิการเป็นพี่รหัสของผมไม่มีผลอะไร

“พี่เตจะใส่เสื้อก็ได้นะ” ผมบอก ยื่นเสื้อยืดของเขาที่หยิบติดมือมาให้

“พี่เต?" ใบหน้าคมหันกลับมามองผม เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ

"แปลกดี” แต่คำพูดนั้นกลับทำผมประหลาดใจยิ่งกว่า   

“แปลกยังไง ก็พี่ซิ่วมา” ผมยิ้มขำ พวกเด็กปีหนึ่งเรียกเขาแบบนี้ทั้งนั้น เลยไม่เข้าใจที่เขาให้สาระกับมัน

มุมปากบางผุดยิ้มขบขัน “ก็แปลก...ที่พอเป็นมึงเรียก กูไม่รำคาญ”

“...”

ผมชะงักไปนานพอดูกว่าจะเข้าใจประโยคนั้น... และอะไรบางอย่างในตัวผมก็ไหวกระเพื่อมอย่างรุนแรง

เป็นครั้งแรกที่ผมเป็นฝ่ายหลบสายตา แสร้งทอดมองออกไปยังแสงสีตรงหน้าขณะยกบุหรี่ที่ถูกเผาไหม้ไปกว่าครึ่งขึ้นมาจรดริมฝีปาก หวังให้ความเย็นของมันดับไอร้อนที่แล่นปราดขึ้นมาบนใบหน้ากะทันหัน

อะไรวะ ไม่ทันตั้งตัวเลย

“ขอไฟหน่อย” ปรับตัวรวดเร็วก่อนจะถูกเรียกให้หันไปเผชิญหน้ากับคนอันตรายอีกครั้ง

“แป๊บ” ผมบอก คาบบุหรี่ไว้ในปาก มือควักลงกระเป๋ากางเกงหาไฟแช็กให้เขา

แต่ไม่ทัน...
   
ผมชะงักงันทันทีที่ร่างสูงโน้มตัวลงมา มือข้างหนึ่งคว้าท้ายทอยผมไว้ ล็อกใบหน้าให้อยู่นิ่งขณะปลายบุหรี่ที่คาบไว้ในปากจรดลงมาหาเชื้อไฟที่ปลายบุหรี่ของผมอย่างถือวิสาสะ ดวงตาสีรัตติกาลที่ผมหลงใหลอยู่ใกล้เพียงคืบ... กำลังล่อลวงให้ผมถลำลึกลงไป
   
และผมสาบานกับตัวเองในเสี้ยววินาทีนั้นว่าจะไม่หลบสายตา
   
“ใจร้อนจัง” ผมเอ่ยกลั้วหัวเราะ

เขายิ้มขำ ไม่ได้ถอยออกไปแม้ว่าบุหรี่จะติดไฟ นอกจากปลายบุหรี่ที่ยังติดกันควันที่ขาวที่ปล่อยออกมาตามลมหายใจเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เชื่อมเราไว้ด้วยกัน

“ไอ้ที่อยู่ในปากมึงก็น่าสนใจ” นานนับนาทีกว่าที่เจ้าของกับดักสีรัตติกาลจะเอ่ยอะไรออกมา

และผมค้นพบว่าผมชอบเสียงทุ้มต่ำของเขาเป็นบ้า

“อยากรู้ว่าถ้าลิ้นกูสัมผัสมันจะเป็นยังไง”

“เหรอ” แสร้งทำเสียงประหลาดใจ ขณะแลบลิ้นเลียริมฝีปาก จงใจให้จิลสีเงินที่ซ่อนไว้ออกมาสะท้อนแสงไฟ

ทำไมผมจะไม่รู้ว่ามันน่าสนใจ ในเมื่อมันคือสาเหตุที่ใครต่อใครถูกท้าให้ประกบริมฝีปากลงมา...

เหนือความคาดหมายนิดหน่อยตรงที่ไม่คิดว่ามันจะล่อลวงเขาได้เหมือนกัน

“เกิดเสียดายที่เมื่อกี้ไม่ได้ยอมรับคำท้าหรือไง” ผมเหยียดยิ้ม ยังคงสู้สายตาอย่างท้าทาย

“อือ” แต่อีกคนกลับไม่ยอมแพ้ง่ายๆ 
   
“...”
   
“ถ้าตอนนี้อยากจูบมึงแล้ว ต้องทำยังไง” เอ่ยพร้อมทิ้งก้นบุหรี่อย่างหมดความสนใจ
   
ผมยักไหล่ ทิ้งตาม... บุหรี่ที่ยังไม่ดับสองมวนกลายเป็นขยะพิษเคียงคู่กัน

“ท้าหรือจริง?”

ได้เวลาเริ่มเกมใหม่

ถามตามกติกาไปอย่างนั้น ก็อย่างที่เคยบอกว่าคำตอบของเขามันเดาง่ายจะตาย

“ท้า...” ชอบชะมัดเวลาเห็นเขาคลี่ยิ้มร้ายๆ

ผมยิ้มตอบ พยายามจ้องเข้าไปให้ถึงส่วนลึกสุดของดวงตาสีรัตติกาล

“ผมขอท้า ให้พี่จูบผม”
   
...เป็นครั้งแรกที่เขายอมรับคำท้าทายตามเกม






-------------------------------------------------------------
ตื่นเต้นกับการอัพเรื่องนี้มาก
เป็นแนวที่คิดว่าอยากลองเขียนดู แต่ก็แอบกลัวว่าคนอ่านจะไม่ถูกใจ แงง
ขัดใจตรงไหนติติงได้เลยนะคะ ^^ ส่งฟีดแบ็กที่ทวิตเตอร์ #เกมท้ารัก ก็ได้ค่ะ
จะพยายามอัพให้ได้อาทิตย์ละครั้ง ถ้าไม่ถูกกองทีสัสทับตายเสียก่อน 5555

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ ^^

- Martian -
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทนำ [08.10.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 09-10-2017 15:55:51
สิ่งที่เราตามหามานานนนนน แซ่บมากลูกมีเจาะด้วย โอ้ยเผ็ชชชช  พี่เตหายไปไหนมา กลับมาพร้อมแผลเป็นและความเฟรช  ฟีลเรื่องหมอกๆควันๆ แต่เราจะมองข้ามความหน่วงหลบในนี้ไปก่อน เพราะนายเอกเผ็ชมากกกก รอตอนต่อไปค่าา  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 1 [09.10.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: pipoo ที่ 09-10-2017 17:04:11
รอค่าอาทิตย์ละครั้งตามสัญญาน้าาาา สนุกมมากก
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 1 [09.10.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 10-10-2017 20:26:08

น้องหมีข้างบนแนะนำเรามาค่ะ 555555555555555555
ชอบอะะะ กรี๊ดดดดดดดดดดดดด ร่างกายต้องการความเร่าร้อนฮ็อตปรอทแตกแบบนี้
พี่เตๆๆๆๆ >________<

ดูเป็นผู้ชายที่น่าค้นหามากเลย ฮือออ เลาชอบบบบ
อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว
อยากเล่นเกมกับพี่เต
อยากยอมสยบแทบเท้า
เข้าใจความรู้สึกของพิชญ์มากอะ ฮอลลลลล

แต่นายเอก(?)เรื่องนี้แซบนะคะ
อยากงับจิลนางละเกิน!!
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 1 [09.10.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 11-10-2017 09:34:07
ตามคุณมะนาวมาค่า

ท่าจะแซบกันตั้งคู่ แบบเหมือนรู้เท่าทันกันดี รอติดตามต่อนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 1 [09.10.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 11-10-2017 14:11:33
แซ่บแน่นอน รอตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 1 [09.10.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 11-10-2017 16:32:57
พี่เตนี่เป็นเจ้าเตจากเรื่องJust another guy กลับชาติมาเกิดรึเปล่าคะ55555555 :hao7:  :mew1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 1 [09.10.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Fasai25448 ที่ 11-10-2017 19:27:13
ชอบมาก นายเอกแซ่บเวอร์ ติดตามๆ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 1 [09.10.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: bmine ที่ 11-10-2017 20:40:02
น่าติดตามมากกกกก รอตอนต่อไปนะคะ มาต่อบ่อยๆน้าาา
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 1 [09.10.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 12-10-2017 05:47:05
เผ็ชชชชมากกกก อยากรู้แล้วว่าพี่เตหายไปไหนมา นี่ยังเอิญหรือตั้งใจเลือกเข้าม.มานี้เนี่ย
ตามจ้าาาา
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 1 [09.10.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 16-10-2017 22:08:38
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 2 [17.10.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 17-10-2017 23:47:30
2

   
อาจจะความจำเสื่อม...
   
ผมควงดินสอดราฟในมือไปพลางมองใบหน้าหล่อเหลาของคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่เก้าอี้ตรงข้าม คิดหาสาเหตุที่ทำให้จนถึงวันนี้เขายังไม่มีทีท่าว่าจะจำผมได้ ไม่เคยออกปากเรื่องคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอหน้ากันที่ไหน ต่อให้เราใกล้ชิดกันมากขึ้นด้วยเกมไร้สาระที่ถูกรีสตาร์ทใหม่นับตั้งแต่ริมฝีปากแตะกัน
   
เขาติดใจมัน... เล่นเอาผมประหลาดใจไม่น้อยเหมือนกัน ไม่คิดว่าเกมในวงเหล้าจะทำเขาติดกับได้ทั้งที่ความพยายามจะใช้สถานะพี่รหัสใกล้ชิดของผมเหลวไม่เป็นท่ามาตั้งครึ่งเทอม
   
...ท้าหรือจริง?

เราต่างมีสิทธิ์ถามอีกฝ่ายวันละหนึ่งครั้ง ตามกติกาไม่มีอะไรซับซ้อน ไม่มีอะไรใหม่ เกือบจะง่ายดาย ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ใช่เขา... คนที่ผมไม่สามารถเดาได้เลยว่าเขาจะเกิดเบื่อมันขึ้นมาตอนไหน

โคตรจะเสียเปรียบที่ผมต้องคิดแทบตายกว่าจะเอ่ยปากถามออกไปแต่ละครั้ง คิดคำท้าที่จะทำให้ดวงตาสีรัตติกาลแวววาวด้วยความสนใจ มุมปากบางยกยิ้มเล็กๆ ให้รู้ว่าพอใจ และยอมให้ผมเป็นฝ่ายชักนำ

ในขณะที่เขาแทบไม่ต้องพยายามอะไรเลย

“ไอ้เหี้ยน้องพิชญ์ ถ้ามึงจะมานั่งเฉยๆ ก็กลับไปนอนเถอะครับ” ผมหยุดควงดินสอ ละสายตาจากคนที่ต่อให้จ้องจนตาหลุดก็คงไม่สนใจ หันกลับมามองหน้าผู้ชายตัวใหญ่ที่กำลังส่งเสียงโอดครวญ

“ได้เหรอพี่” แกล้งฉีกยิ้มยียวนทั้งที่รู้ดีว่าคำตอบคืออะไร

ขืนหายไปตอนนี้คงได้มีคนร้องไห้เพราะส่งงานไม่ทัน

แต่... นั่งเฉยๆ แบบนี้ก็คงมีค่าเท่ากัน

ทำไงได้อ่ะ ก็มันเป็น ‘คำสั่ง’

นั่งเฉยๆ...

ฟังดูง่ายดาย แต่เอาเข้าจริงนี่เล่นเอาลำบากใจเหมือนกันที่ต้องมานั่งมองโมเดลหยาบๆ ยังไม่ใกล้คำว่าเสร็จ พร้อมกับรับสายตากดดันจากพี่รหัสผู้มีพระคุณที่เพิ่งช่วยผมผ่านโปรเจ็กต์มิดเทอมมาหมาดๆ

“ถ้ามึงกลับกูร้องไห้จริงๆ อ่ะ” พี่เจดเบ้ปากทำตาละห้อยอย่างน่าสงสาร ไม่เหลือคราบพี่ว้ากสุดโหดฉายาเครายักษ์ที่เด็กปีหนึ่งตั้งให้

เห็นได้ชัดว่าฉายากับหน้าโหดๆ นั่นมันใช้ไม่ได้กับน้องใหม่สายเรา แถมไอ้พี่เครายังเป็นฝ่ายยอมสยบแทบเท้าเพียงแค่เขาบอกว่าจะเรนเดอร์พร้อมเขียนรูปตัดอีกสองรูปให้... แต่มีเงื่อนไขว่าต้องหลังเที่ยงคืน

โคตรร้าย

ถ้าไม่ใช่เพราะคืนนั้นพี่เจดเป็นคนสั่งให้เขาจูบผม แถมเท่าที่จำได้คือพี่มันเป็นหัวโจกให้คนอื่นออกคำสั่งแกล้งเขาสารพัดก็คงไม่เอะใจ เห็นเจ้าตัวไม่สะทกสะท้านอะไรคิดว่าไม่ใส่ใจ...ที่ไหนได้

เจ้าคิดเจ้าแค้นใช้ได้นี่หว่า...

“แค่ไอ้เตมานั่งอ่านนิยายล่อหน้าอยู่นี่กูก็ขัดใจจะตายห่า มึงอย่ามาทรมานกูอีกคนเลยนะครับน้องพิชญ์” ว่าพลางหันไปย่นหน้าใส่คนถูกพาดพิง ผมมองตามเห็นเขายักไหล่กวนๆ ก็หลุดยิ้มออกมา

“...” ไม่ทันคิดว่าอีกคนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตา แล้วยิ้มมุมปากให้กัน

แน่นอนว่ามันไม่ได้เป็นรอยยิ้มที่เกิดจากการเห็นผมยิ้ม แต่เป็นยิ้มในแบบที่... กำลังท้าทาย

คล้ายจะถามว่าผมจะยอมแพ้ไหม...

เหมือนรู้เลยนะว่าผมกำลังคิดอะไร

“เลี้ยงสายคราวหน้าบุฟเฟ่ต์แซลมอนนะพี่” ผมเสนอ สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่นัยน์ตาสีรัตติกาลที่ระยิบระยับขึ้นมาเมื่อผมยอมรับการพ่ายแพ้แต่โดยดี

ผมแกล้งยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ รวบผมเป็นหางม้าก่อนจะหันไปหยิบคัตเตอร์ขึ้นมาเริ่มทำงาน

เอาน่า ลองแพ้สักทีจะเป็นไรไป อีกอย่าง... อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะลงโทษผมยังไง   

“เฮ้ยแป๊บ กาวไม่พอแน่เลยว่ะพิชญ์”

“...” แต่ไม่ทันไรผมก็ต้องชะงักมือที่กำลังตัดแปลน เงยหน้าขึ้นมามองพี่เจดตาขวาง ความรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า โดนหักหลังต่อหน้าต่อตา

“เชี่ยร้านจะปิดแล้วด้วย มึงไปซื้อมาหน่อยดิ” 

นี่กูเพิ่งยอมแพ้มาช่วยมึงนะ ไอ้พี่เครา...

“ไหนๆ จะออกไปแล้วฝากซื้อกาแฟเซเว่นมาให้ด้วยดิ”

“ตกลงพี่รีบหรือไม่รีบวะ” ผมวางคัตเตอร์อย่างเสียอารมณ์ แต่คนกลับคำก็ยังทำหน้าระรื่น เหมือนเมื่อกี้ไม่ได้อ้อนวอนให้ผมช่วยทำงาน

“รีบดิ มึงถึงต้องรีบไปรีบมาไง เอามาให้ครบทีเดียวจะได้ไม่ต้องออกไปใหม่” พี่เจดว่าพลางโยนกระเป๋าสตางค์ทั้งใบมาให้

“เฮ้ยพวกมึง! ไอ้พิชญ์จะไปหลังมอมีใครเอาอะไรมั้ย” แถมท้ายด้วยการตะโกนลั่นสตูดิโอหอบหายนะมาให้โดยไม่ถามกันสักคำ

แล้วเหยื่อในดงซอมบี้ที่กำลังกระหายแต่ถูกไฟเดดไลน์กักบริเวณไว้อย่างผมจะค้านอะไรได้ นอกจากรับใบรายการซื้อของยาวเหยียดที่คนทั้งสตูฯ ยื่นมาให้อย่างจำใจ

ซึ่งมันคงไม่เหนือบ่ากว่าแรงอะไร ถ้าไอ้พี่เจดไม่ยื่นมีดเล่มสุดท้ายมาปาดคอผมได้พอดิบพอดี

“ไอ้เตมึงไปด้วยดิ ไอ้พิชญ์มันขับมอไซค์ไม่เป็น” ผมถึงกับเบิกตากว้างหันไปมองคนถูกเรียกใช้อย่างตกใจ

“เฮ้ยไม่เป็นไร ผมเอารถยนต์ไป” รีบออกตัวเพราะจับลางสังหรณ์ได้ทันควัน

“รถยนต์ก็เหี้ยละ หาที่จอดยากจะตาย เอามอไซค์ไปจะได้ไวๆ มึงมีมอไซค์ใช่มะไอ้เต”

“อือ”

โห... ทีงี้ละวางหนังสืออย่างไว

“พี่ ผมว่า...” ผมกำลังจะค้านแต่ก็ต้องหุบปากไว้เมื่อกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ถูกคนที่ลุกขึ้นก่อนโยนมาให้ราวกับรู้ว่าผมกำลังกังวลอะไร

“เคยเห็นมอเตอร์ไซค์กูใช่มั้ย” สายตาพราวระยับบ่งบอกว่าเขาเอาจริง

ทั้งที่อุตส่าห์จินตนาการไปต่างๆ นานาถึงบทลงโทษแสนเร้าใจ

ใครจะคิดว่าความจริงมันจะเป็นแบบนี้ได้... เหมือนพระเจ้าของเกมนี้เข้าข้างเขายังไงยังงั้น

“รีบไป จะได้รีบกลับมาทำงาน”

พนันเลยว่ารอยยิ้มของเขาไม่ได้เกี่ยวกับประโยคที่พูดมาแน่นอน






“เดี๋ยวได้ตายห่ากันหมด”

ไม่ใช่แค่ผมหรือเขา แต่รวมถึงไอ้พี่เจดที่จะต้องเสียลูกมือไปกะทันหันจนปั่นงานไม่ทัน... ไหนจะพวกที่ขาดเสบียง

เอาหลายชีวิตมาเสี่ยงอยู่นะรู้มั้ย

“แค่สตาร์ทแล้วขับออกไป”

“พูดก็ง่าย” ผมบ่นอุบ ลูบๆ คลำๆ ช็อปเปอร์คันโตที่จอดเด่นอยู่กลางลานอย่างไม่รู้จะทำยังไงกับมัน

ไม่ใช่แค่ขนาด แต่หน้าตาและสภาพของมันต่างหากที่ขับให้เด่นขึ้นมา

ครั้งแรกที่ผมเห็นมันจอดอยู่คณะผมไม่คิดว่ามันจะวิ่งได้ จนเห็นว่าเขาขับอยู่บนถนนนั่นแหละถึงได้ตระหนักว่ามันคือมอเตอร์ไซค์... นี่ผ่านมากี่สงครามวะ

“อย่าว่าแต่ขับ สตาร์ทยังไม่เป็นเลย เอารถยนต์ไปเหอะ” ผมยื่นกุญแจให้เขาอย่างจนปัญญา

“มึงแพ้” ถึงจะยอมรับกุญแจแต่ก็ไม่มีท่าว่าจะอ่อนให้ แถมยังยกเรื่องเกมมาเป็นข้ออ้างให้ผมลำบากใจ

ถ้าผมแหกกฎเองตอนนี้ คงทำให้เขาไม่อยากเล่นเกมต่อไป 

“อย่างอื่นไม่ได้เหรอวะพี่ นี่มันอันตราย” ผมขมวดคิ้วกึ่งๆ จะเว้าวอน ปกติลูกอ้อนของผมมักได้ผล... กระทั่งกับอาจารย์

“ถ้าไม่อันตรายแล้วจะสนุกได้ยังไง” แต่คราวนี้ผลลัพธ์กลับไม่เปลี่ยนไป

ซาดิสม์เหรอวะ

“คนแพ้ไม่มีสิทธิ์โวยวาย”

“แต่พี่...!” ไม่รอให้ทักท้วงต่อร่างสูงก็จัดการปิดปากด้วยการหยิบหมวกกันน็อกเปิดหน้าแบบที่พวกขับช็อปเปอร์ชอบใส่สวมลงมาบนหัวผมอย่างเผด็จการ

“ถ้ากลัวตายก็ใส่ไว้” ดวงตาสีรัตติกาลจ้องมาอย่างขบขันขณะจับใบหน้าผมเงยขึ้นเพื่อติดตัวล็อกให้ ไม่นานก็ผละออก เรียวขายาวตวัดขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์แล้วสตาร์ทให้ผมดูอย่างง่ายดาย เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มในขณะที่ผมนิ่งค้างไป

ไม่รู้ว่าทำไมพอมีเขาเป็นองค์ประกอบ ไอ้มอเตอร์ไซค์โกโรโกโสนี่ถึงดูดีได้ทันตา

สมบูรณ์แบบเกินไปหรือเปล่าวะ คนอะไร

“มา”

ก็นะ ถ้าไม่สมบูรณ์แบบขนาดนี้ผมก็คงไม่ตกหลุมพรางเขาง่ายๆ

“ไม่ต้องกลัว”

“...”

“กูอยู่กับมึง”

ถ้าไม่สมบูรณ์แบบขนาดนี้ผมคงไม่ปล่อยให้คำพูดไม่กี่คำทรงอิทธิพลถึงขั้นบอกตัวเองว่าต่อให้เขาจะพาผมไปนรกก็ไม่เป็นไร





แต่คงไม่มีใครตกนรกด้วยมอเตอร์ไซค์บุโรทั่งความเร็วไม่น่าเกินสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงได้... มันน่าอนาถเกินไป

ขนาดตอนยังไม่ตายยังรู้สึกอนาถเลย

ถึงจะบอกว่าให้ผมขับ แต่ไอ้การที่มีมือเขาประคองอยู่ข้างๆ แฮนด์แถมช่วยบังคับทิศทางตลอดนี่ไม่เห็นว่าจะเรียกว่าให้ผมขับตรงไหน แผ่นอกที่เบียดหลังผมจนต้องนั่งคุดคู้แทบจะแนบหน้าลงกับถึงน้ำมันก็ทำเอาแทบบ้า ทั้งตำแหน่งที่นั่งผิดแปลก ทั้งเสียงเครื่องยนต์ที่เป็นเอกลักษณ์กว่ามอเตอร์ไซค์ทั่วไป ทำให้พอขับเข้ามาใกล้แหล่งคนพลุกพล่านมันเลยกลายเป็นเป้าสายตาเอาง่ายๆ อยากจะเร่งเครื่องหนีซะก็กลัวรถจะคว่ำตาย

แต่จะโวยวายขอสลับที่นั่งก็ไม่ได้...

แค่หันไปแล้วพบว่าหน้าของอีกคนอยู่ใกล้แค่ไหน ก็ได้แต่นิ่งค้างอย่างคนโง่ไปนับนาที

สายลมเอื่อยๆ ที่ปะทะใบหน้าทำให้เส้นผมที่ปรกหน้าผากถูกพัดไปด้านหลัง ใบหน้าด้านข้างที่ได้รูปสวยหมดจดอย่างพระเจ้าปั้นจ้องตรงไปยังถนนเบื้องหน้าอย่างจริงจัง กับสันจมูกที่แทบจะปะทะกันตอนหันกลับมามองว่าผมต้องการอะไร ก็เล่นเอาผมปล่อยให้คำพูดที่เตรียมไว้ถูกสายลมพัดปลิวไป

ความอับอายถูกทดแทนด้วยความรู้สึกอื่นที่มีอานุภาพกว่า...

ความสนใจจากสายตาขบขันรอบกายถูกกลบด้วยจังหวะหัวใจแสนสงบจากแผ่นอกที่แนบสนิทลงมา... ใบหน้าที่เกยข้ามไหล่ อ้อมแขนที่คร่อมร่างผมไว้ หรือกระทั่งเรียวนิ้วเย็นจัดที่สัมผัสกันบนแฮนด์มอเตอร์ไซค์

คงต้องย้ำอีกทีว่านี่มันอันตราย...

โคตรอันตราย
   
   

มันทำให้ผมนึกได้ ว่าเมื่อก่อนก็แบบนี้... พี่มักสอนให้ผมทำเรื่องอันตราย
   
‘สูบไม่เป็นทำไมไม่บอก’ เสียงทุ้มเอ่ยถามเมื่อผมสำลักแทบตายหลังจากสูดควันบุหรี่เข้าไป
   
ครั้งแรกเลย...
   
‘ก็พี่ยื่นให้’
   
‘มึงต้องรับทุกอย่างที่กูให้?’ พี่เตดูไม่เข้าใจคำตอบของผม แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่รับบุหรี่จากมือผมไปจรดริมฝีปากลงที่ปลายมวนตรงตำแหน่งที่ผมเพิ่งคาบไว้
   
ไร้เดียงสาชะมัดที่ดันนับมันเป็นจูบแรกด้วยเหมือนกัน
   
‘ผมอยากลอง’ ผมว่า เบือนหน้าหลบมองมุมปากที่ยกขึ้นนิดๆ ท่าทางขบขันปนสมเพชผมที่ไอจนน้ำหูน้ำตาไหล
   
‘แล้วเป็นไง’
   
‘ก็ไอจนแสบคออยู่นี่ไง’ คราวนี้ผมได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ เลยหันไปเบ้หน้าใส่
   
‘พี่ติดมันไปได้ไงวะ’
   
ตอนนั้นผมไม่เข้าใจ
   
‘กูไม่ได้ติด’
   
รู้แต่ว่ามันทำผมเกือบตาย
   
‘เหรอ’
   
‘ไม่ได้ติด’
   
...และมันทำให้พี่แสดงสีหน้าน่ารักแค่ไหน ตอนที่ค้านหัวชนฝาว่าไม่ได้ติดมัน
   
‘เชื่อก็ได้’ ผมยักไหล่
   
‘...’
   
‘อย่างอนน่า ผมบอกว่าเชื่อแล้วไง’
   
ทำให้พี่เอื้อมมือมาขยี้หัวผมแรงๆ แล้วขำ...
   
‘เด็กเวร’
   
เสียงหัวเราะเบาๆ ครั้งแรกที่ผมยังจำได้ขึ้นใจ

   




จนถึงตอนนี้ผมก็ยังยืนยันว่ารสชาติของบุหรี่มันไม่ได้น่าพิสมัยเท่าไหร่
   
แต่ก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงติดมัน... เพราะผมเอง ก็เสพติดไม่ต่างกัน
   
“บุหรี่มั้ย” ผมยื่นซองให้เมื่อเห็นร่างสูงกว่าเดินมายืนข้างกันที่ระเบียง
   
ตอนนี้ค่ำวันใหม่... ทุกอย่างสงบ ไม่มีไฟเดดไลน์ของไอ้พี่เจดสุมให้ร้อนรน
   
แต่เชื่อเถอะว่ากว่าจะผ่านช่วงนั้นมาได้เล่นเอาพวกผมร่างพังตามๆ กันไป
   
พอกลับจากซื้อของ ทั้งผมทั้งเขาก็อยู่ช่วยพี่เจดปั่นงานจนกระทั่งส่งในตอนเช้า ยังดีที่มีพี่ปีสี่ปีห้าแวะมาดูใจบ้างแบ่งส่วนที่พอจะช่วยได้ไป จากไอ้ที่สาหัสก็เลยไม่แย่เท่าก่อนหน้า อีกอย่างผมก็พอจะทำงานไว เสกโมเดลให้พี่มันใหม่ได้ภายในห้าชั่วโมง ในขณะที่อีกคนเหนือชั้นกว่าแบบไม่รู้จะอวยยังไง หลังจากเล่นตัวจนพอใจเขาก็เอาโน้ตบุ๊คขึ้นมาเสกรูปตัดสองรูปภายในสามชั่วโมง เสียเวลาตรงเรนเดอร์นิดหน่อยแต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ยิ่งกว่าน่าพอใจ ทั้งแสงทั้งองค์ประกอบสวยจนไอ้พี่เจดแทบหลั่งน้ำตา

ตอนนี้ต่อให้เรียกร้องมากกว่าบุฟเฟ่ต์แซลมอนพี่เจดก็คงพร้อมประเคนให้

“กูเพิ่งอาบน้ำ”

“จะไม่สูบ?” เผลอหลุดเสียงประหลาดใจ

“อือ” เขายังคงตอบหน้าตายทั้งที่ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะละสายตาจากบุหรี่ยี่ห้อโปรดตรงหน้า

บอกแล้วว่าเขาติดมัน

งั้น... ใช้ไอ้นี่ก็คงได้

ไหนๆ วันนี้ก็ยังไม่รู้จะเล่นอะไร

“ท้าหรือจริง?”

เขาเลิกคิ้วใส่ผมที่ยิ้มนิดๆ มองเขาสลับกับบุหรี่อย่างคิดอะไรได้... ไม่นานดวงตาสีรัตติกาลก็ฉายแววระยิบระยับขึ้นมา

ชอบจริงนะ ไอ้เกมนี้น่ะ

“ท้า”

เพราะเดาคำตอบไว้แล้วผมถึงเคาะบุหรี่มวนหนึ่งออกมาจากซองแล้วยื่นไปจ่อปากเขาทันที

“คาบไว้สิ” เขามองผมอย่างประหลาดใจอีกรอบก่อนจะยิ้ม ยอมโน้มตัวลงมาอ้าปากรับมวนนิโคตินสีขาวในมือผมไปคาบไว้

“จนกว่าผมจะสูบมวนนี้หมด ห้ามจุดไฟ”

เขาดูไม่สะทกสะท้านอะไรกับคำท้าของผม แค่ยักไหล่แล้วเบือนหน้ามองออกไปยังแสงไฟนอกระเบียง

“วิวห้องมึงสวยดี”

“ก็สมกับราคา” ผมไม่ปฏิเสธ พอจะมองออกตั้งแต่คราวก่อนที่เขาถูกทำโทษให้ออกมายืนนอกระเบียงว่ามันเป็นเพียงไม่กี่สิ่งในคืนนั้นที่เขาให้ความสนใจ ถึงคราวนี้เขาจะตามมาด้วยเพียงเพราะมันใกล้มหาลัย มาของีบก่อนเพราะขับมอเตอร์ไซค์กลับห้องตัวเองไม่ไหว แต่การตื่นมาอีกทีแล้วพบว่าท้องฟ้ามืดสนิทแล้วเขาก็ดูพอใจ

เขาคงชอบมัน... สีของกลางคืน แสงไฟระยิบระยับ เสียงความวุ่นวายที่ได้ยินจากไกลๆ

ผมเองก็ชอบ... เวลาที่ได้มองแสงไฟสะท้อนเข้ามายังนัยน์ตาสีรัตติกาล

“ถ้าชอบขนาดนั้นจะย้ายมาอยู่ด้วยกันก็ได้นะ” ผมว่าติดตลกพลางปล่อยควัน บุหรี่เริ่มมอดจนสูบอีกครั้งก็คงถึงก้น

...เสียดาย

“น่าสนใจ” แต่ขณะที่ผมคิดว่าตัวเองคงแพ้แล้วเขากลับโน้มตัวลงมา... จ่อปลายบุหรี่ที่คาบไว้กับปลายบุหรี่ในปากที่สั้นกุดในปากของผมจนปลายจมูกเฉียดลงมาที่แก้มจนผมผงะ

มือหนาจึงยกขึ้นมาล็อกท้ายทอยผมไว้ ดวงตาสีรัตติกาลที่มองมาอย่างจริงจังยิ่งทำผมหวั่นไหว... กระทั่งเขาถอยหลังกลับไปเมื่อปลายบุหรี่ติดไฟ

“คราวหน้าลองท้ากูดู”

ผมหลุดหัวเราะ เผลอตบเข่าฉาดในใจ... ว่าแล้วไงว่ามันคงไม่ง่ายขนาดนั้น

“พี่แพ้” ว่าพลางดับบุหรี่ลงกับที่เขี่ย ยิ้มให้ซิปโป้รุ่นลิมิเตดอิดิชั่นที่เป็นหมันเพียงเพราะเขาค้นพบวิธีการจุดบุหรี่ที่น่าสนใจกว่า

ถึงขั้นยอมแพ้เพื่อแกล้งผมแบบนี้ก็คงเตรียมใจรับรับโทษไว้แล้วล่ะนะ

“จะให้ทำอะไรก็ว่ามา” หรือไม่ก็แค่อยากรู้ว่าคนอย่างผมจะคิดบทลงโทษอะไรได้

ก็จริงของเขา... มันไม่ได้หนักหนาอะไร
 
“ถอดเสื้อออกสิ”

...อย่างน้อยก็ง่ายกว่าขับมอเตอร์ไซค์









--------------------------------------------------------------------
เป็นเรื่องที่เขียนยากจังเลยอ่ะ แงง
พยายามจะเปลี่ยนสำนวนให้แปลกใหม่กว่านี่ผ่านมาแล้วพบว่าไอ้การเขียนให้กระชับนี่ยากกว่าการเวิ่นเว้อพรรณนาอีกนะ 5555 หวังว่าจะพอสื่อสารเข้าใจ ถ้าไม่ชอบหรือขัดใจตรงไหนฝากติติงด้วยนะคะ ^^

อาทิตย์ที่ผ่านมาชีวิตสาหัสมากกก งานเยอะจนไม่ได้แตะนิยายเลย ทรมานมาก 5555
ยังไงก็จะพยายามอัพให้ได้อาทิตย์ละตอนอย่างที่บอกนะคะ ฝาก #เกมท้ารัก ด้วยน้า

ปล. ไม่ได้บอกตรงๆ แต่พอจะเดาออกใช่มั้ยคะว่าทั้งสองคนเรียนคณะอะไร 555 อยากเล่าผ่านบริบทกับชีวิตประจำวันง่ายๆ พยายามจะไม่ใส่ศัพท์เฉพาะจะได้เข้าใจง่ายๆ แต่ถ้างงก็บอกได้เลยนะคะ

 :pig4:

หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 2 [17.10.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 18-10-2017 00:42:52
ตายแล้วววว ให้พี่เขาถอดเสื้อผ้าทำอะไรคะลูกกกก ฮื่อออ จบค้างมากกก มีเสน่ห์อะไรขนาดนี้ บรรยายมายาวๆเลยก็ได้นะคะ เราชอบอ่านนน  :heaven
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 2 [17.10.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 18-10-2017 02:00:07
ตามมาจากในทวิตเตอร์เนื้ออเรื่องเหมือนจะแซ่บนะคะเนี่ย แต่ยังไม่อ่านบทแรกเลยมาอ่านบทสองซะแล้ว ฮ่าๆๆ เอาไว้เดี๋ยวจะไปอ่านทวนใหม่อีกรอบแล้วกัน
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 2 [17.10.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 18-10-2017 16:33:11

พี่เตก๊าวใจยิ่งนัก
โอ้ยยยยยยยยยยยยย
อยากไปนั่งท้า ขอท้าให้เธอตกหลุมรักฉันนน 55555555555

ชอบฉากขับมอไซต์มาก
เรารู้ว่าพี่เตมีแผน พี่เตอยากกอดน้องใช่มั้ยล่ะๆๆ
เนี่ย เอาเกมมาอ้างเพื่อจะได้แตะอั๋งน้อง ร้ายกาจ!

จริงๆ แอบคิดว่าพี่เตต้องจำน้องได้บ้างแหละ
แต่อยากแกล้งน้องเฉยๆ เลยทำเป็นจำไม่ได้

ตอนนี้ตัดจบได้โหดร้ายมากเลยนะคะ 5555555555555555555
ถอดเสื้อแล้วทำไรต่ออะ อาบน้ำใหม่หรอ แต่พี่เตเพิ่งอาบน้ำมา
สงสัยมากมายจริงๆ ค่ะ นี่เราเป็นคนซื่อๆ ใสๆ ไร้เดียงสา
น้องพิชญ์จะทำอะไรพี่เขาลูกกกกกกกกกกกกกกกกกก


หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 2 [17.10.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: tensita ที่ 18-10-2017 16:34:18
ให้พี่เค้าถอดเสื้อทำไมง่ะ ฮืออออ เหมือนเราเสพติดอ่ะ // มาต่อๆๆๆๆ  :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 2 [17.10.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 18-10-2017 19:50:28
 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 3 [21.10.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 20-10-2017 23:58:26
3

   
“กูยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เมื่อวาน”
   
“...”
   
“เวลานี้กูควรอยู่ในร้านอาหารดีๆ”
   
ผมหัวเราะพรืดกับคำพูดงอแงที่ไม่คิดว่าจะออกมาจากปากคนที่ยืนเปลือยท่อนบนอวดซิกซ์แพ็คอยู่ตรงหน้า
   
“คนแพ้ไม่มีสิทธิ์ต่อรอง” ผมยกคำพูดของเขาขึ้นมา มองสีหน้างุ่นง่านแล้วยิ่งอารมณ์ดี โคลงหัวตามเพลงอัลเทอร์เนทีฟร็อคที่เปิดคลอพลางจุ่มสีแต้มลงบนผิวหนังแน่นตึงราวผ้าใบที่ถูกขึง
   
“อย่างน้อยควรให้กูนอน”
   
แล้วให้ผมนั่งคร่อม?

อืม... ก็น่าสนใจ
   
“แบบนั้นมันง่ายไป” เก็บไอเดียนั้นไว้ ถ้าคราวหน้ามีโอกาสได้ใช้ก็คงดี
   
แต่คงยากแล้วล่ะที่จะหาโอกาสให้เขายอมให้เอาสีมาละเลงร่างกาย

“เอาน่า อีกแป๊บเดียว” ผมบอกขำๆ แล้วก้มหน้าจรดปลายพู่กันลงไปใหม่ ไล่ตั้งแต่แผ่นอกลงไปถึงหน้าท้อง... ตลอดความยาวของรอยแผลเป็น

ยิ่งเห็นมันในระยะประชิดยิ่งพบว่ามันน่าสนใจ รอยเย็บเหมือนตะเข็บขนาดใหญ่ ชวนให้คิดว่าเป็นอุบัติเหตุประเภทไหนกัน

“มันสวยดี” เผลอหลุดปากพร้อมกับไล้นิ้วลงไปสัมผัสแผ่วเบาคล้ายกับกลัวมันจะปริแตกออกมา

ดูบอบบางทั้งที่หยาบกร้าน... เป็นรอยตำหนิที่พิถีพิถันราวกับมีใครบรรจงวาดลงไป

“หึ” หน้าท้องแกร่งขยับเบาๆ เมื่อเขาหัวเราะ “มึงนี่แปลกคน”

ผมเงยหน้ามองเขา ขมวดคิ้วข้องใจ

“ใครก็ว่ามันน่ากลัว” เขาสบตาผม ควานหาบางอย่างที่ผมไม่แน่ใจว่าคืออะไร

“น่ากลัวยังไง?”

เมื่อได้ยินคำถาเขาเลิกคิ้ว ก่อนจะยิ้มพลางเอื้อมมือมาเกลี่ยเส้นผมออกจากใบหน้าให้ “เหมือนจะมีปีศาจร้ายโผล่ออกมา”

ผมชะงักไป มองหน้าเขาสลับกับรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ก่อนจะหัวเราะ “ไม่จริงหรอก”

“...”

“อยากรู้ไหมอะไรจะโผล่ออกมา” ยกยิ้มยั่วเย้า จนเห็นความสงสัยในแววตาของเขา จึงกลับมาก้มหน้าก้มตาป้ายสีลงไปอีกครั้ง โทนสีสุดท้ายถูกแต่งแต้มลงไปปะปนกับสีก่อนหน้า

...ลวดลายบนเรือนร่างสมบูรณ์แบบกำลังจะเสร็จสมบูรณ์

ผมพอใจกับผลงาน และคงจะแสดงออกทางสีหน้ามากเกินไป เจ้าของร่างที่ใช้ต่างเฟรมผ้าใบถึงได้หัวเราะเบาๆ ขยับเข้ามาใกล้พลางยกมือสองข้างขึ้นมาเกลี่ยตามกรอบหน้า ไล่เก็บเส้นผมแสนเกะกะไปรวบไว้ด้านหลัง ฝ่ามือข้างหนึ่งถูกใช้แทนยางรัดผมที่ผมไม่อาจยื่นให้ด้วยกำลังจดจ่ออยู่กับปลายพู่กัน

“ทำไมไว้ผมยาว” ผมเลิกคิ้วให้กับคำถามที่ไม่คิดว่าจะถูกถาม ก่อนจะตอบไป

“เป็นพี่ว้ากไง ไว้ผมยาวจะได้ดูโหดๆ” ไม่แน่ใจหรอกว่าเป็นเหตุผลจริงๆ ไหม แต่จุดเริ่มต้นคงประมาณนั้น

“นี่โหดแล้ว?” เขาทำเสียงประหลาดใจ 

ผมเลยยักไหล่ เอ่ยอวดอ้าง “เด็กไม่รับน้องจะรู้อะไร เห็นแบบนี้ผมอนาคตเฮดว้ากนะครับ”
   
แม้ในความเป็นจริงเหตุผลที่ถูกเลือกจะไม่ได้เกี่ยวกับความโหดสักนิด แค่ไปยืนนิ่งๆ ตั้งสติ มีหน้าที่ตบไอ้พวกที่ออกทะเลเข้าประเด็นให้ได้ก็เท่านั้น แทบไม่ได้โชว์ความเกรี้ยวกราดเลยด้วยซ้ำ
   
“งั้นลองไว้หนวดอาจช่วยได้” มือข้างที่ไม่ได้ใช้รวบผมยกขึ้นมาเกลี่ยเหนือริมฝีปากจากซ้ายไปขวาวาดหนวดปลอมๆ ลงไป
   
“...” สัมผัสของปลายนิ้วหยาบๆ ทำให้ผมชะงัก เงยหน้าขึ้นไปสบตาเขาอีกครั้ง จ้องมองนัยน์ตาสีรัตติกาลสะท้อนแสงไฟ
   
“...” อีกฝ่ายจ้องตอบไม่ยอมแพ้กัน ก่อนจะคลี่ฝ่ามือหนาแนบแก้ม ขณะเดียวกันนิ้วโป้งที่แตะเหนือริมฝีปากก็ค่อยๆ วาดต่ำลงมา

ไล้ไปตามกลีบปากเชื่องช้า... ดึงผมเข้าสู่วังวนสีรัตติกาล
   
ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาเมื่อผมหลับตาลงซึมซับสัมผัสหยาบกร้านแสนอ่อนโยน... เอียงใบหน้าซบฝ่ามือเขา ...ปล่อยให้ทำตามอำเภอใจ
   
เพียงไม่นานปลายนิ้วที่เคยลูบไล้ก็ค่อยๆ แทรกเข้ามาด้านใน... ใช้แรงน้อยนิดบังคับให้เผยอปาก เปิดทางให้เขาเข้ามาตามรอยแยกของฟัน... เป้าหมายคือจิลสีเงินวาววับ

ไข่มุกในตลับกำลังถูกนักล่าล่วงล้ำ... ยั่วยวนจนพร้อมพลีกาย เพียงปลายนิ้วกดลงแผ่วเบาแล้วให้อิสระ... กดอีกครั้งด้วยแรงที่มากกว่าแล้วปลดปล่อย... ค่อยๆ ล่อลวงด้วยพันธนาการแสนหวาน ปลุกปั่นให้เป็นฝ่ายรุกไล่... ไล้ปลายลิ้นหยอกเย้าปลายนิ้วที่ซุกซนไม่แพ้กัน

แต่ก่อนที่จะถูกมอมเมาจนเตลิดไป... ผมลืมตา... เห็นความปรารถนาจากอีกฝ่ายฉายชัดจึงตัดสินใจหยุดทุกอย่างเอาไว้... ด้วยการกัดลงไป

“...!” แรงพอจะทำให้เขาผงะ ดึงมือกลับไปแม้จะไม่ถึงขั้นหวีดร้อง แต่ก็ทำให้ผมสะใจนิดๆ ที่แกล้งเขาได้

“สนิทหรือไงถึงมาเล่นลิ้นกัน” เผลอคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายชนะ

“หึ” แต่ไม่ทันไรกลับพ่ายแพ้ย่อยยับเพียงเขาขยับยิ้มมุมปาก

แทนที่จะขุ่นข้องที่ถูกแว้งกัด ดวงตาสีรัตติกาลที่จ้องตรงมากลับฉายแววพอใจ รอยฟันที่ผมทิ้งไว้ถูกเรียวลิ้นลากไล้ เชื่องช้าราวสัตว์ป่าที่เลียบาดแผลตัวเอง...

ไม่ใช่ปฏิกิริยาที่คาดไว้ แต่ก็ไม่เชิงว่าเหนือความคาดหมาย

เขาชอบความท้าทาย... และไม่ชอบอะไรที่ง่ายเกินไป ผมควรจำสองข้อนี้ให้ขึ้นใจ
 
“เสร็จแล้วล่ะ” สุดท้ายก็ต้องเบี่ยงประเด็น เบือนหน้าหลบสายตาขณะวางพู่กันกับจานสีลงบนโต๊ะข้างๆ พลางลุกขึ้นบิดขี้เกียจไปมา

ทั้งที่ผมนั่งบนเก้าอี้ยังปวดเมื่อยขนาดนี้ นับประสาอะไรกับคนที่ยืนนิ่งๆ มานานนับชั่วโมง

แต่เขากลับไม่บ่น เพียงก้มลงมองลวดลายประหลาดบนร่างกาย

“รูปอะไร”

เขาถาม คงเพราะการลงสีที่จงใจทำให้ดูพลิ้วไหว มองเพียงแวบแรกแถมกลับหัวจึงยากที่จะบอกได้ว่าคือรูปอะไร

“วิญญาณ” ผมตอบตามความหมายแฝง

ไล่สายตาตามสีสันที่ตัวเองแต่งแต้มลงไป... ลวดลายน่าฉงนบนปีกสองข้างที่กำลังสยาย ลำตัวพาดยาวตามแกนกลาง ขาทั้งหกคล้ายกับกำลังเกาะเกี่ยวรอยแผลที่สลักลึกบนร่างกาย

เขาว่าผีเสื้อหมายถึงวิญญาณ...

อาจเป็นวิญญาณของผม... วิญญาณของอดีตที่ปรารถนาจะเหนี่ยวรั้งเขาไว้

“มันจะรักษารอยแผลเป็นของพี่ไว้” เป็นอีกครั้งที่ผมเผลอไล้มือไปบนรอยตำหนิแสนงดงามบนร่างกายเขา

“หรือไม่ก็พาหนีไป”

“...” ผมชะงัก ไม่รู้ทำไมถึงตกใจคำพูดของเขา

“มันเหมือนกำลังจะบิน”

ผมยิ้ม ก้มลงมองรูปที่ตัวเองวาดอีกครั้ง “ก็จริง”

ถ้าเป็นแบบนั้น... สักวันผมคงต้องหักปีกมันทิ้ง
   
“มึงว่า... มันจะบินไปถึงดวงจันทร์ได้มั้ย” คราวนี้เขาเป็นฝ่ายเอื้อมมือมาแตะผิวกายเปลือยเปล่าของผมบ้าง

เพราะกลัวว่าสีจะเลอะ ผมจึงถอดเสื้อตัวเองออกไปเหมือนกัน ตอนนี้จึงไม่มีอะไรปกปิดมัน... รอยสักรูปพระจันทร์เต็มดวงที่เชิงกรานด้านซ้าย

“อาจจะได้... ถ้าไม่ปีกหักตายซะก่อน” ผมหัวเราะ เพิ่งคิดได้ว่าแสงระยิบระยับบนรอยสัก ไม่ต่างจากดวงตาสีรัตติกาล
 
ทอประกายสว่าง ทั้งยังลึกลับน่าหลงใหล ไม่แปลกที่จะล่อลวงให้แมลงตัวเล็กๆ ตกหลุมรักเอาง่ายๆ

“แต่พระจันทร์สวย มีค่าให้ปีกหัก... ถูกมั้ย” เขาคลี่ยิ้มอีกครั้ง รอยยิ้มล่อลวงที่ทำเอาผมแทบคลั่ง

อยากจูบชะมัด...

แต่ถ้าทำแบบนั้นเขาคงรู้แน่ว่าผมกำลังเดินหน้าลงหลุมที่เขาขุดไว้อย่างเต็มใจ

การเดินหน้าเร็วเกินไปจะทำให้ผมก้าวพลาด... อีกครั้ง
   
“สวยดี” ต้องขอบคุณเขาที่ทำให้ผมหลุดจากภวังค์

“จะเอาไปสักบ้างก็ได้นะ ผมขาย” ยักไหล่พลางหัวเราะไม่จริงจัง 
   
“ไม่ล่ะ กูกลัวเข็ม”

“ผ่าขนาดนี้ยังจะกลัวเข็ม?” ผมเลิกคิ้วประหลาดใจ แต่เขากลับไม่ยี่หระ
   
“แปลกตรงไหน ตอนผ่ากูไม่ได้รู้สึกตัว”
   
คราวนี้ผมเงียบไปพักใหญ่มองรอยแผลเป็นของเขาแล้วความสงสัยที่ผมพยายามสะกดไว้ฉายชัดขึ้นมา
   
“บอกได้มั้ยว่าอุบัติเหตุอะไร” รู้ว่าไม่ควรถาม แต่มันก็ยากที่จะอดใจ “แผลใหญ่ขนาดนี้ท่าจะร้ายแรง”
   
“...” ยิ่งเขาเงียบความสงสัยยิ่งปะทุจนเผลอโพล่งออกไป
   
“แล้วมีแผลอื่นอีกมั้ย เหมือนในละครที่สมองกระทบกระเทือนจนความจำเสื่อมอะไรแบบนั้น”

บาดแผลที่ทำให้พี่จำผมไม่ได้...
   
“ชู่ว...” แต่คงเพราะคำถามผมเฉพาะเจาะจงเกินไป หรือไม่สีหน้าผมก็กระตือรือร้นเกินไปเขาจึงยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะปากผมไว้
   
“...”
   
“มึงใจร้อน” แล้วเลื่อนนิ้วขึ้นไปเคาะหัวผมเบาๆ “ตามกติกามึงยังไม่มีสิทธิ์ถามความลับ” 
   
ผมชะงัก นึกเสียดายที่ตัวเองเพิ่งใช้โควตาเล่นเกมของวันนี้ไป แต่จะไว้ถามวันอื่นก็คงไม่ง่าย

น่าเสียดายแต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากบอกตัวเองว่าต้องหาโอกาสใหม่

“พี่จะล้างเลยก็ได้นะ” ผมเบี่ยงประเด็น ชี้ไปยังร่างกายกำยำที่เต็มไปด้วยบทลงโทษจากปลายพู่กัน
 
“ไม่เป็นไร” เขาว่าพลางหันไปหยิบเสื้อจากโต๊ะด้านหลังมาใส่ เพราะใช้สีที่แห้งเร็วเลยไม่ต้องกังวลว่ามันจะเลอะอะไร “กูจะกลับเลย”

ผมไม่มีอำนาจคัดค้านจึงได้แต่มองแผ่นหลังกว้างค่อยๆ ห่างออกไปที่ประตู

อยู่ๆ ก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมา... ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่นี้มันมีประโยชน์อะไร

“พิชญ์...” จนกระทั่งเขาหันกลับมา เรียกชื่อผม และมันก็ทำให้ผมเผลอเบิกตากว้าง

นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้ยิน...

ขี้โกงชะมัด สุดท้ายผมก็ปล่อยให้คำพูดของเขามีอิทธิพลเหนือสิ่งใด

“สมองกูไม่ได้กระทบกระเทือน”

แต่ผมคงลืมไป

“ความทรงจำกูไม่ได้หายไป”

ว่าเขาไม่เคยปล่อยให้หัวใจผมพองโตได้นาน

“แต่ถ้าจะมีอะไรที่จำไม่ได้...”

“...”

“ก็เพราะมันไม่มีค่าให้จำ”
   
“...” ว่าจบก็หันหลังอีกครั้ง ร่างสูงเดินจากไปพร้อมกับทิ้งให้ผมได้แต่จ้องบานประตูที่ปิดลง
   
นั่นสินะ... บางทีคนที่สมองกระทบกระเทือนอาจเป็นผมก็ได้

ถึงไม่เคยจำสักที เรื่องที่เขาสามารถทำให้หัวใจผมเต้นแรง... และแตกสลายได้ในคราวเดียวกัน

   





ถ้าผมรู้... ผมจะบอกพี่ว่าอย่าไป
   
ถ้าผมรู้... ผมจะไม่ให้พี่หรอก... สิ่งสุดท้ายที่อาจเหนี่ยวรั้งเราไว้
   
‘ถ้ามึงไม่พร้อมก็ไม่เป็นไร’

แต่เพราะไม่รู้ ผมถึงให้พี่ง่ายๆ
   
‘ถ้าไม่พร้อมผมจะมาทำไม’

...ร่างกายที่พร้อมเป็นของพี่ตลอดมา
   
ปล่อยให้ความปรารถนาครอบงำ... โง่เง่าแค่ไหนที่คิดว่ามันจะสามารถผูกเราไว้ด้วยกัน
   
ทั้งที่บทเรียนมีให้เห็นมากมาย
   
อะไรที่ได้มาง่ายๆ... พี่ก็มักจะทิ้งมันได้เร็ว… ใช่ไหม?
   
แต่ผมไล่ตามจนเหนื่อย... เหนื่อยเกินไป เพราะฉะนั้นขอพักหน่อยคงไม่เป็นไร ขอแค่แป๊บเดียวให้ผมได้เผลอไผลไปกับมัน
   
อ้อมกอดที่รัดแน่น... จูบที่แสนอ่อนโยนจนผมแทบลืมหายใจ... ลมหายใจกลิ่นบุหรี่ที่ผมหลงใหล... ความร้อนและสัมผัสที่ทำผมแทบคลั่งตาย... ร่างกาย...ที่ได้กลืนกินตัวตนของพี่เอาไว้...
   
ขอแค่แป๊บเดียว...ให้ผมซึมซับมัน แล้วอนุญาตให้ผมวิ่งใหม่... จะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นด้วย ดีไหม?
   
แต่พี่คงไม่ให้
   
อันที่จริงพี่ไม่ได้บอกอะไร... ไม่ได้ไล่หรือผลักไส...

พี่แค่หายไป… เหมือนพระจันทร์ที่ถูกกลีบเมฆบดบัง
   
ผมอาจจะคิดไปเองก็ได้ แต่พี่ไม่ได้เกลียดเซ็กซ์ของผมใช่ไหม?
   
‘พิชญ์...’

ถ้าเกลียด... คงไม่เรียกชื่อผมซ้ำๆ...

'ไม่เป็นไร'

ถ้าเกลียด... คงไม่อนุญาตให้กอดไว้...

'อย่าร้อง'

ถ้าเกลียด... คงไม่จูบซับน้ำตาให้...

'เด็กดี...'

จะทะนุถนอมผมทำไมถ้าเกลียดมัน...

แต่ในวันที่พี่ไปมันไม่มีคำอธิบาย ไม่เคยบอกว่าผมผิดตรงไหน ผมทำอะไรให้พี่ไม่พอใจ... เพราะอะไร
   
...

คนมักพูดว่าครั้งสุดท้ายมักไม่มีสัญญาณเตือน

นั่นไม่จริงเลย

ในกรณีของพี่... มันชัดเจนจะตาย

ว่าความสุขที่พี่ป้อนให้ผมจนสำลักนั่นไง สัญญาณเตือน...








-------------------------------------------
เป็นตอนที่เขียนหนึ่งบรรทัดต้องพักหนึ่งครั้ง
ใช้พลังงานมาก 55555
ถ้ามีตรงไหนติดขัดติติงได้เสมอเลยนะคะ
ฝาก #เกมท้ารัก ด้วยน้า ช่วยเอ็นดูเตพิชญ์ด้วยนะคะ

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่า

 :L2:   
   
   


หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 3 [21.10.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 21-10-2017 00:31:26
ล่อลวงเราด้วยความอีโรติก ความยั่วเย้า แล้วเหมือนโดนยิงตายตอนจบ  :z6:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 3 [21.10.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 21-10-2017 01:02:33
ติดตามค่า ภาษาชวนหลงใหลมากเลยอะ ฮือออ เหมือนได้กลิ่นบุหรี่ตลอดเวลา
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 3 [21.10.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 21-10-2017 01:15:48
บรรยายได้ดูมอมเมา น่าหลงใหลมาก
ดูเป็นอะไรที่เสพติดได้
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 3 [21.10.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 21-10-2017 02:13:24

จะตายแล้วววววววววววววววว
ฮือออออออออออออ แงงงงงงงงงงงงงงงงงง
ฮือออออออออออออออออออออออออ  :hao5:

ไม่รู้จะบอกความรู้สึกของตอนนี้ยังไงดี
แต่มันมัวๆ เทาๆ อึดอัดใจมาก สงสารน้องพิชญ์
ฮือออออออออออออออ

แต่.. เราดันโกรธพี่เตไม่ลงซะงั้น ฮืออออออออออออออ T-T
เราชื่อว่าพี่เตมีเหตุผล รอยแผลเป็นของพี่เตคือปมปัญหาใหญ่ที่ตอนนี้ยังบอกใครไม่ได้
เอาจริงเราเชื่อมั่นในตัวพี่เตมากอะ ไม่รู้ทำไม ต้องเป็นความรักที่เรามีให้กับพี่เตแน่ๆ T-T
พี่เตบอกว่าไม่ได้สมองเสื่อม ยังจำได้ อะไรที่จำไม่ได้แปลว่าไม่สำคัญ
แต่พี่เตไม่ได้เอ่ยชื่อน้องพิชญ์ เพราะงั้นเราถึงเชื่อว่าพี่เตยังจำน้องได้

แต่ยัยน้องที่น่าสงสารนี่ไม่รู้อะไรบ้างเลย ฮืออออ
อยากกอดปลอบน้องแรงๆ แต่ขณะเดียวกันเราก็อยากกอดรอยแผลเป็นของพี่เตเหมือนกัน

คิดว่าถ้าพิชญ์เอาชนะเกมของพี่เตได้ พี่เตก็คงจะเล่าทุกอย่างให้น้องฟังแหละว่าเกิดอะไรขึ้น
เพราะงั้นพิชญ์สู้ๆ นะลูกกกกกกกกก TvT


ปล.ชอบสำนวน เป็นความอีโรติกที่ชวนอึดอัดใจมากค่ะ
นี่ขนาดสั้นๆ นะ แต่กว่าเราจะอ่านจบอะ ทรมานนนนนนน โฮฮฮฮฮฮฮฮฮ

 :hao5:

หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 3 [21.10.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 21-10-2017 03:06:43
เหมือนเดินหลงอยู่ในหมอกควัน มัวเมาและลุ่มหลงเหลือเกินนน
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 3 [21.10.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 21-10-2017 05:13:12
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 3 [21.10.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Kkookkai12 ที่ 21-10-2017 05:49:22
อ่านไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นตลอดเวลา นานแล้วที่ไม่ได้อ่านนิยายแนวนี้ ละคือภาษาก็ดีมากๆเลยค่ะ เหมือนโดนมอมเมา เข้าไปอยู่ในวังวนของพี่เตด้วยเลย พี่เตเป็นคนที่น่าสนใจมาก  เป็นสิ่งดึงดูดสิ่งหนึ่งบน
 โลกใบนี้ที่ทำให้อยากอ่านต่อไปเรื่อยๆว่าจริงๆแล้วพี่เตเป็นคนยังไงกันแน่ สู้ๆนะคะ รออ่านนนนน
ปล. นิยายเรื่องนี้เป็นแรกในเล้าเป็ดที่ทำให้รู้สึกอยากมาคอมเม้นในนี้เลย นี่ก็เลยเป็นเม้นแรกของเราในนี้ หลังจากซุ่มอ่านมาหลายปี
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 3 [21.10.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: aj_nsync ที่ 22-10-2017 16:40:37
อ่านแล้วเหนื่อย เหมือนต้องคอยลุ้นตลอดเวลาว่าเตจะทำจะพูดอะไร พิชญ์จะโดนทำร้ายจิตใจมั้ย
ลุ้นตลอดทุกตอน กลัวน้องเจ็บ แล้วก็เจ็บจริงๆ ทำไมเตถึงพูดแบบนั้น ทำไมตีองทำเหมือนจำไม่ได้
เกิดอะไรขึ้นหลังจากคืนนั้น

ชอบภาษา อ่านแล้วเหมือนอยู่ในดงควันบุหรี่ ดูลึกลับ ท้าทาย อีโรติก และเศร้า ปนกันอยู่ในตัว
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 3 [21.10.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: MacaroonCookie ที่ 22-10-2017 19:09:04
กลิ่นมาม่าโชยมาไหวๆ  :hao5:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 4 [01.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 01-11-2017 13:12:14
4
   
   
‘มึงตีค่าสูงไป กูก็แค่ผู้ชายธรรมดา’
   
‘...’

   
เขาต่างหาก ตีค่าธรรมดาสูงไป
   
คนธรรมดาที่ไหน...จะทำได้ขนาดนี้กัน
   
“ไอ้เต มึงมันเหี้ย!” ผมละสายตาจากร่างสูงที่เพิ่งเดินลงจากเวที ยื่นไม้กลองคืนให้ใครสักคนที่เดินมารับพอดี ก่อนจะถูกพี่เจดพุ่งเข้าใส่เหมือนหมีตัวโตๆ 
   
“เล่นแบบนั้นคือจะฆ่าพวกกูถูกมะ” ทั้งที่รูปประโยคเหมือนจะไม่พอใจ แต่คนพูดกลับยิ้มร่าชัดเจนว่าปลาบปลื้มแค่ไหนกับการแสดง
   
“แต่มันชิบหาย” แล้วสุดท้ายก็ต้องเอ่ยตามความสัตย์จริง
   
ใช่เลย มันชิบหาย
   
ทั้งที่ไม่ใช่โชว์ยิ่งใหญ่อะไร เป็นแค่งานสังสรรค์ที่จัดขึ้นในคณะ จะว่าเพื่อคลายเครียดหลังมิดเทอมก็ใช่ แต่จุดประสงค์จริงๆ ก็เพื่อให้ศิษย์เก่ากับศิษย์ปัจจุบันได้มาพบหน้ากันมากกว่า มีทั้งพิธีจริงจังตามธรรมเนียมเพื่อต้อนรับน้องปีหนึ่งอย่างเป็นทางการ ต่อด้วยการสังสรรค์ที่ไม่ต่างจากงานเลี้ยงในครอบครัว ตั้งวงกินข้าวเย็นตามสายรหัส มีดนตรีสดจากมือสมัครเล่นอย่างเด็กในคณะที่ฟอร์มวงขึ้นมาตามชั้นปี... เห็นชัดว่ามีคนขี้โกง
   
โทษพระเจ้าแล้วกันที่มือกลองปีสามดันมาป่วยกะทันหัน แต่ก็ขอบคุณพระเจ้าเช่นกันที่ดันบันดาลคนใหม่ให้พอดี
   
ถ้าถามว่าทำไมต้องเป็นเขา คำตอบง่ายๆ ก็แค่ในที่นี้มันไม่มีใครมีพรสวรรค์พอจะเล่นเครื่องดนตรียากๆ ในเพลงยากๆ ทั้งที่ไม่เคยซ้อมมาด้วยกัน
   
ที่สำคัญคือเขาชอบการเดิมพัน
   
ไม่ล่มไปด้วยกัน ก็ต้องทำให้งานสังสรรค์น่าเบื่อนี่กลายเป็นสวรรค์
   
มันน่าหงุดหงิดที่ทุกคนเห็นว่าเสียงเพลงเป็นเพียงส่วนประกอบเล็กๆ ของงานเลยไม่มีใครจริงจัง เขาว่าอย่างนั้น ผมได้แต่หัวเราะ ประหลาดใจที่เขาให้สาระกับมัน
   
...แต่นั่นมันก่อนที่ผมจะได้เห็นว่าเขาทำอะไร
   
ผมน่าจะรู้ว่าเตวิชญ์ไม่เคยทำให้ผิดหวัง... คราวนี้ก็เช่นกัน
   
เขาทำให้ส่วนเล็กๆ ของงานกลายเป็นดาวเด่น ง่ายดาย...เพียงขยับไม้กลองที่ราวกับเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย
   
เรียกโสตประสาทด้วยความหนักแน่น ตรึงสายตาด้วยจังหวะยั่วเย้า ล่อลวงด้วยเทคนิคแพรวพราว ก่อนตลบหลังด้วยความร้อนเร่าเอาแต่ใจ
   
เวทีแสนน่าเบื่อกลับลุกเป็นไฟ... ปลุกทูตสวรรค์ออกมาร่ายรำ   

ไม่ใช่แค่คนฟัง แต่สมาชิกในวงเองก็ตกหลุมพราง ศักยภาพที่ถูกกดไว้ถูกเขาเรียกออกมาเพียงดำดิ่งตามไป คล้ายประชดประชันว่าในเมื่อเรียกให้เขามาคุมจังหวะเขาก็จะคุมให้... แต่ต้องเป็นจังหวะตามใจเขา... เย่อหยิ่ง รั้นร้าย แต่กลับจงใจอะลุ้มอล่วยเพื่อให้รู้ว่าใครเป็นผู้นำ

ย้ำชัดว่าเขาตีค่าคำว่าธรรมดาสูงไป
   
“ฟอร์มวงกับกูมั้ย” พี่เจดเอ่ยถามน้ำเสียงกระตือรือร้น แต่อีกคนกลับส่ายหน้าตัดความหวัง
   
“ไม่ได้กะจะจริงจัง”
   
ไม่แปลกใจเลยที่ได้ยินคำตอบนั้น
   
แม้ทุกอย่างที่เขาทำจะเรียกว่าเพอร์เฟ็กต์แค่ไหน ต่อให้เป็นเรื่องที่ใครต่อใครต้องผ่านความพยายามมากมาย แต่เขาเพียงแค่ทำมัน พระเจ้าก็พร้อมดลบันดาลให้ทุกอย่างสำเร็จดั่งใจ เพียงเพื่อให้เขาละทิ้งมัน ง่ายดายด้วยคำว่าไม่ได้อยากจะจริงจัง
   
นั่นแหละเขา เตวิชญ์ผู้ไม่เคยทำอะไรจริงจัง
   
“คำตอบโคตรน่าหมั่นไส้”
   
ผมหัวเราะแผ่วเบา สนับสนุนคำพูดนั้นในใจ แต่คนได้ยินกลับหันมาเลิกคิ้วใส่ มองหน้าผมด้วยสีหน้าเดาที่เดาออกว่าต้องการอะไร ก่อนจะปลีกตัวออกมาด้วยถ้อยคำสั้นง่าย ได้ใจความ

“จะไปสูดอากาศ”

ผมเดินตาม ไม่ลืมที่จะตบบ่าพี่เจดเบาๆ เป็นการปลอบใจ
   
“ไม่ได้กะจะจริงจัง?” แกล้งเลิกคิ้วถามเมื่อหยุดฝีเท้า เท้าแขนลงกับราวสะพานเชื่อมตึกไร้ผู้คน แต่ยังคงมองเห็นความวุ่นวายและรับรู้ทุกแสงเสียงของงานกิจกรรมจากไกลๆ

“แค่ทำเพราะอยากทำ” เขายิ้มยียวนพลางยักไหล่ ยิ่งน่าหมั่นไส้เมื่อดวงตาไม่ได้ฉายแววล้อเล่นแต่อย่างใด

ร่างสูงทิ้งตัวพิงราวสะพานข้างกันพลางยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่หลงเหลือตามกรอบหน้า เรือนผมหนาเปียกชุ่มกระเซอะกระเซิงแต่กลับไม่ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาถูกลดราคา ผมหลุดหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าออกมา เมินสีหน้าประหลาดใจของคนตัวสูงกว่าแล้วเอื้อมมือไปดึงแขนกำยำลงมาเพื่อซับเหงื่อพร้อมจัดผมให้อย่างเต็มใจบริการ
   
“สุภาพบุรุษควรพกผ้าเช็ดหน้าไว้” เอ่ยประโยคที่คิดว่าน่าจะมาจากหนังสักเรื่องด้วยน้ำเสียงไม่จริงจัง เรียกให้คนฟังยิ้มขำ ดวงตาสีรัตติกาลจับจ้องยามผมซับหยดน้ำบนใบหน้า กระทั่งลามลงมาจนถึงลำคอแกร่งที่ชุ่มเหงื่อ ไล้สัมผัสตามลูกกระเดือกสวยที่ขยับแจ่มชัดด้วยจังหวะเชื่องช้า... ชวนให้ลอบกลืนน้ำลายตาม

หลงกลง่ายดายจนได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอ เรียวปากบางยกขึ้นอย่างได้ใจ จึงได้สติดึงตัวเองให้ผละออกมา

“ปกติแล้วพี่ต้องดึงดันรับมันไป บอกว่าจะเอาไปซักให้เพื่อหาโอกาสเจอกับผมอีก ถูกมั้ย” ยกยิ้มยียวนพลางยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ ในขณะที่เขาหัวเราะอีกครั้งแล้วรับมันยัดใส่กระเป๋ากางเกงไป ก่อนเรียกร้องขออีกสิ่งที่คงเป็นจุดประสงค์หลักของการปลีกตัว

“ขอไฟหน่อย” ผมไม่อิดออดที่จะล้วงออกมาให้ มองเขาดึงซองบุหรี่มากะเทาะมวนหนึ่งคาบไว้ แล้วส่งต่อให้ผมทั้งซอง
   
“ไม่อ่ะ” ผมยักไหล่ “ว่าจะลด”
   
ไม่สงสัยเลยที่เขาหันมาเลิกคิ้วประหลาดใจ เพราะระยะหลังมานี้มันเป็นคล้ายสัญลักษณ์บางอย่างที่เชื่อมเราไว้ด้วยกัน
   
เตวิชญ์... พิชญะ... กับบุหรี่ยี่ห้อโปรดของพวกเขา
   
...ฟังดูเข้าท่านะ คล้ายอะไรบางอย่างที่จะกลายเป็นภาพจำ
   
แต่คงลงท้ายด้วยโศกนาฏกรรม

“วันก่อนแม่มาหา บอกว่าให้ลดลงบ้าง” ผมเอ่ยเหตุผลที่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจริงไหม
   
“ทำเพื่อแม่ว่างั้น?” ถ้าถามจากสายตาของคนตรงหน้าก็คงได้คำตอบว่ามันไม่จริง
   
“เขาบอกว่าถ้าเลิกได้จะเพิ่มค่าขนมให้น่ะ”
   
“หึ”
   
“ผมน่ารักใช่มั้ยล่ะ” อวดอ้างพลางยักไหล่ อย่างน้อยเสี้ยวหนึ่งในเหตุผลก็คือการอยากทำตัวเป็นลูกที่ดีสักครั้ง
   
“อือ”

“...” ไม่คาดคิดว่าเขาจะตอบรับมันอย่างจริงจัง เลยได้แต่นิ่งค้างมองนิ้วเรียวคีบบุหรี่ที่ไร้ควันออกจากปาก พร้อมกับยกมืออีกข้างมาวางบนหัวผมเบาๆ ไล่จับผมยาวที่พริ้วไหวตามลมทัดหูให้อย่างปัดรำคาญ ก่อนที่สัมผัสร้อนจะลูบไล้มันแผ่วเบา ดวงตาสีรัตติกาลจับจ้องสีเงินของห่วงทั้งสามที่เพิ่งหยิบมาใส่ตามรูที่เจาะไว้ตามแนวใบหูอย่างสนใจ

แต่เพียงไม่นานก็เป็นฝ่ายเรียกร้องความสนใจเสียเองด้วยประกายแวววาวในดวงตา

"มึงน่ารัก..." จ้องลึกเข้ามาคล้ายจะยืนยันว่าเขาเห็นตามนั้นจริง

ไม่เคยพอใจกับคำชมนี้เลยสักครั้ง กระทั่งวันนี้...

“พี่จะเอาไฟอยู่มั้ย” เบี่ยงเบนความสนใจด้วยสิ่งที่เขาร้องขอแต่ไม่ยอมรับมันไป ดวงตาสีรัตติกาลเหลือบมองซิปโป้ในมือผมก่อนจะส่ายหน้า พลิกตัวกลับเอนหลังพิงราวสะพานก่อนจะยิ้มออกมา

“ถ้ามึงไม่สูบกูก็ไม่” 
   
“...” คำตอบน่าประหลาดใจทำให้เกิดคำถามมากมาย แต่ผมกลับเงียบงัน จนดวงตาสีรัตติกาลหันกลับมามองแล้วยิ้มขำ
   
“ตอนนี้มึงไม่ใช่ผู้สมรู้ร่วมคิด”
   
ไม่แน่ใจนักว่าเข้าใจ จึงไม่ได้เอ่ยอะไร
   
“กูไม่อยากทำให้อากาศของผู้บริสุทธิ์เป็นพิษ”
   
“...” แต่สุดท้ายก็หลุดหัวเราะกับสถานะที่เขามอบให้
   
ผู้บริสุทธิ์? ฟังดูไม่ใช่ผมเท่าไหร่
   
และคำพูดที่คล้ายจะอ่อนโยนแสนดีนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่คิดว่าจะได้ยินจากปากเขาเช่นกัน
   
ช่วยไม่ได้ ในเมื่อที่ผ่านมาผมมักถูกตลบหลังด้วยคำร้ายๆ... ไม่รู้ว่าเจ้าตัวรู้ไหมว่าคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของตัวเองทรงอิทธิพลแค่ไหน เช่นเรื่องความทรงจำไร้ค่าที่เขาทิ้งไว้ในหัวผมคราวก่อนนั่นไง
   
ทำให้ผมขบคิด... ซ้ำไปซ้ำมา หาสาเหตุของความเย็นชา กว่าจะพบว่าเขาจงใจ...

ความจงใจที่ทำให้ผมเริ่มระแคะระคาย
   
ราวเทพปริศนาที่เวทนาหย่อนคำใบ้เอาไว้... จากที่คิดว่าจำไม่ได้ กลายเป็นก้ำกึ่ง เห็นถึงสัญญาณของบางสิ่งที่ส่งผ่านถ้อยคำ

ไม่มีอะไรรับประกันหรอกว่าผมจะชนะเดิมพันหรือเพียงแค่หลงก้าวตามเกมที่เขาวางไว้... ก็แค่ต้องลองเดินหน้าต่อไป...

แต่รู้ไหม... ผมจะไม่ยอมแพ้
   
“รู้มั้ยเตวิชญ์” เมื่อคิดดังนั้นเลยเผลอหลุดยิ้มออกมา เรียกเขาโดยไร้สรรพนามนำหน้าอย่างจงใจ
   
เตวิชญ์... เมื่อก่อนผมมักเรียกแบบนี้ตอนที่กำลังหงุดหงิดหรือจริงจัง
   
เขาว่ามันปีนเกลียว แต่ผมก็จับได้ว่าเขาชอบให้เรียกเช่นกัน
   
แม้กระทั่งตอนนี้ที่ดวงตาสีรัตติกาลหันมามองด้วยประกายวาว เหมือนจะถามว่าเด็กเมื่อวานซืนอย่างผมจะเล่นลูกไม้อะไร
   
“ที่พี่พูดว่าอะไรไร้ค่าจะไม่จำ นั่นไม่จริง” ...อันที่จริง ก็แค่อยากบอกให้รู้ไว้เท่านั้นว่าวิธีผลักไสของเขามันใช้ไม่ได้
   
เพราะตอนนี้ผมรู้แล้วว่าต้องรับมือยังไง
   
“คนเราเลือกจะจำหรือไม่จำอะไรไม่ได้หรอก สมองเราไม่ได้ทำงานแบบนั้น” ว่าแล้วก็ขยับเข้าไปใกล้ร่างสูงที่ยังคงรอฟังว่าผมกำลังจะพูดอะไร ก่อนจะเอื้อมมือออกไปดึงบุหรี่ระหว่างข้อนิ้วของเขามาใส่ปาก...แล้วจุดไฟ สูดพิษร้ายเข้าปอด... พ่นควัน ก่อนจะป้อนมวนนิโคตินสีขาวนั้นคืนใส่ริมฝีปากบาง

“ดังนั้นต่อให้ไร้ค่าแค่ไหน... ต่อให้อยากลืมแทบตาย...” สบดวงตาสีรัตติกาลพราวระยับที่จ้องมาขณะละเลียดลิ้มพิษตามไป กระทั่งควันสีขาวอ้อยอิ่งเชื่อมเราไว้ด้วยกันอีกครั้ง...

“แต่ความทรงจำนั่นมันก็ยังจะหลอกหลอนพี่อยู่ ถูกมั้ย”
   
วินาทีนั้นเรากลับมาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกันโดยสมบูรณ์
   
   




สำหรับพี่เต ความสัมพันธ์คล้ายมีสูตรสำเร็จ... ตายตัว
   
ล่อลวงด้วยเสน่ห์แสนยั่วเย้า มอมเมาด้วยความลึกลับแสนท้าทาย กว่าจะรู้ตัวก็ถูกตักตวง ล่วงล้ำทุกสิ่งที่ต้องการจนหมดไป จากนั้นถูกถ่วงทิ้งน้ำ จมลึกทะเลไร้ก้น... ไม่อาจขุดแม้สายใยความสัมพันธ์
   
เป็นการถูกทิ้งที่ไม่มีคำว่าหมดรัก... เพราะไม่มีคำว่ารักมาตั้งแต่ต้นด้วยซ้ำ
   
...มันทำให้ผมต้องระแวดระวัง
   
‘ทำไมถึงไม่ให้บอกใครว่าคบกัน’
   
‘ลับๆ ล่อๆ แบบนี้ก็สนุกดีนี่ครับ’ ผมตอบไปแบบนั้นเพื่อให้พี่ที่เลิกคิ้วถามคลี่ยิ้ม
   
อันที่จริงมันเป็นคำโกหก
   
ผมก็แค่ไม่ต้องการเป็นเหมือนคนพวกนั้น... คนที่พี่ให้โอกาสเปิดเผยความสัมพันธ์ แต่ไม่เคยให้ความสำคัญ
   
ผมเห็นมันมาหลายครั้ง รูปแบบความสัมพันธ์ที่ทุกอย่างอยู่ในกำมือของพี่ฝ่ายเดียว นั่นมันไม่ยุติธรรม ถ้าต้องยืนอยู่กลางแสงไฟ เพื่อรอถูกสลัดทิ้งผมก็ไม่ต้องการ

ผมรู้ว่าตัวเองพิเศษกว่านั้น และจะพิเศษขึ้นทุกวัน...
   
‘มานี่หน่อย’
   
พิสูจน์จากการที่พี่ยิ่งเรียกหา แทนที่จะเริ่มผลักไสตามสูตรสำเร็จที่พี่วางไว้
   
‘ไม่ใช่ตรงนั้น บนตักกูนี่’ จากแค่ได้มอง กลายเป็นเคียงข้าง...
   
‘ตัวมึงหอมดี’

‘...’ กระทั่งใกล้เพียงลมหายใจ
   
‘ขออยู่แบบนี้สักพัก’

จะว่าทะเยอทะยานเกินไป หรือเพราะหลงจนหัวปักหัวปำไม่แน่ใจ

‘พี่ขี้อ้อนจัง’
   
รู้แค่ว่าต่อให้ต้องอยู่ในความลับแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็ไม่เป็นไร
   
‘หึ... ก็เพิ่งหัดอ้อนครั้งแรกเหมือนกัน’     
   
อยู่เป็นคนในความลับแบบนี้เรื่อยๆ ...ด้วยความหวัง ว่าสุดท้ายแล้วรูปแบบความสัมพันธ์ที่พี่นิยามไว้มันจะบิดเบี้ยวไป

และคนที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ข้างกายพี่มีแค่ผม... เพียงหนึ่งเดียว
   
   




“ไหนว่าจะลด” ผมหลุดจากภวังค์หันกลับไปมองเจ้าของเสียงที่เดินมาตอนกำลังจะจุดบุหรี่สูบพอดิบพอดี
   
หัวเราะเบาๆ ไม่คิดยี่หระขณะลนปลายบุหรี่ที่คาบไว้จนติดไฟ “มวนแรกของวัน”

เขาเลิกคิ้วล้อเลียนพลางยักไหล่ ก่อนจะเดินเข้ามาหา แย่งบุหรี่จากปากผมไป อัดพิษร้ายเข้าปอดเชื่องช้าแล้วปล่อยควัน
   
“เหมือนกัน”

...กลายเป็นว่าเรากำลังแชร์พิษร้ายมวนเดียวกัน
   
ทฤษฎีผู้สมรู้ร่วมคิดสินะ... ทำแบบนี้อาจจะตายช้าลงคนละครึ่งก็ได้มั้ง
   
ผมคิดขบขัน รับมวนบุหรี่ที่เขายื่นมา สูดควันและยื่นกลับไป ภาพขมุกขมัวของควันบุหรี่ปกคลุมรอบกาย... คล้ายความสัมพันธ์

ไม่มีความชัดเจนอะไรนับจากวันนั้น คำพูดของผมถูกปล่อยผ่าน... ซุกซ่อนไว้ใต้ควันบุหรี่ที่กลับมาเชื่อมเราไว้ด้วยกัน ไม่อาจแตะต้อง เพราะไม่รู้เลยว่าถ้าลองปัดออก ภาพเบื้องหลังควันจะแจ่มชัดหรือหายไป ได้แต่ปล่อยไว้อย่างนั้น... รอโอกาสครั้งใหม่
   
“เอาผ้าเช็ดหน้ามาคืน” หันกลับมามองคนที่ใช้ปากคาบบุหรี่ไว้ เพื่อล้วงกระเป๋าหยิบสิ่งที่ให้ยืมไปมาให้ รับรู้ได้ทันทีว่าผ้าเช็ดหน้าผืนเดิม ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
   
อย่างน้อยก็เศษเสี้ยวหนึ่งของกลิ่นที่กลายเป็นกลิ่นเอกลักษณ์ของเขา
   
“เจดบอกว่ามึงโคม่า” อีกฝ่ายทำลายความเงียบ ขณะยื่นมวนบุหรี่ถูกเผาไหม้กว่าครึ่งกลับมา ผมหัวเราะขืนๆ รับมันมาละเลียดควัน... อ้อยอิ่ง แล้วดับทิ้งทั้งที่ปกติคงสูบได้อีกครั้ง
   
เสียดาย แต่ผมพอใจจะให้มันจบลงด้วยน้ำมือตัวเอง
   
“ทำนองนั้น” รู้ดีว่าเขาหมายถึงอะไร มันเป็นสาเหตุที่ผมตัดสินใจเดินออกมาสูบบุหรี่ครั้งแรกของวัน “อยากดูมั้ย”
   
ผมถาม แต่ไม่รอให้ตอบอะไร เดินนำเขากลับเข้าไปในสตูดิโอ นั่งลงหน้าโต๊ะเขียนแบบประจำตัว แบบร่างมากมายถูกขีดเขียนลงบนกระดาษไขที่ปูไว้เต็มพื้นที่ ถูกขีดฆ่าในส่วนที่ทิ้ง วงกลมในส่วนที่ดี ...แต่ส่วนใหญ่คือยังไม่ดีพอ
   
ร่างสูงเดินตามมา หลังจากกวาดสายตามองเพื่อนร่วมสตูดิโอที่สภาพร่อแร่ไม่ต่างกันก็ยิ้มขำลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งข้างๆ เป็นโอกาสให้ผมเปิดปากโอดครวญ
   
“โปรเจ็กต์ปรับปรุงย่านคนตาบอด”
   
ผิดเองแหละที่ผมเลือกอะไรที่ยาก ทั้งที่มีตัวเลือกอื่นให้ทำมากมาย แต่การเล่นกับความแตกต่างในระดับที่ตัวเองไม่เคยสัมผัสเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งที่ผมไม่อยากปล่อยผ่านไป   
   
“ครั้งแรกถูกบอกว่าง่ายเกินไป ต่อมาโดนแก้เพราะดีไซน์จัดเกินไป ครั้งที่สาม โดนตอกหน้าว่าให้ไปทำความเข้าใจยูสเซอร์ใหม่” ผมพร่ำพูดทุกความเหนื่อยใจคล้ายเจอที่ระบาย

อันที่จริงอาจไม่ใช่บุหรี่ก็ได้ที่ผมต้องการ
   
“ก็จริง” คนฟังหัวเราะ ผมเลยมองตาขวาง
   
“ให้มาช่วยนะครับ ไม่ใช่ซ้ำเติม”
   
อยากจะถามอย่างหน้าไม่อายว่าควรทำไง แต่พอหันมองก็ต้องชะงักไป เมื่อเห็นดวงตาสีรัตติกาลกวาดมองงานที่ขีดเขียนมั่วซั่วของผมอย่างตั้งใจ ไม่นานก็เงยหน้าขึ้นมา มองหน้าผมอย่างมีเลศนัย
   
“อะไร” สายตาไม่น่าไว้ใจจนต้องเลิกคิ้วถาม ขณะที่เจ้าตัวยกยิ้ม มือข้างหนึ่งยกขึ้นมา เอื้อมผ่านสะโพกไปด้านหลัง ถือวิสาสะล้วงลงกระเป๋ากางเกง

ผมได้แต่เบิกตากว้างอย่างไปไม่เป็น กระทั่งเห็นบางสิ่งที่ติดมือเขามาเลยขมวดคิ้วเป็นเชิงถามว่าจะทำอะไร   
   
“ท้าหรือจริง?” ไม่คิดว่าจะใช่เวลา แต่ผ้าเช็ดหน้าในมือกับสายตาที่มองมาก็ทำให้รู้ว่าเขาจริงจัง

ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาต้องการอะไร ที่แน่ๆ สายตาท้าทายคู่นั้นกำหนดคำตอบของผมไว้
   
“...ท้า” และเขาก็ได้รับคำตอบดั่งใจอย่างง่ายดาย

   




“นี่มันไม่เข้าท่า” ผมบ่นออกมาเป็นครั้งที่สี่หรือห้านับตั้งแต่ตัดสินใจรับคำท้าที่คิดยังไงก็ไม่เข้าท่าจริงๆ
   
ไอ้การเดินรอบคณะทั้งๆ ที่ถูกปิดตาอยู่เนี่ย
   
ถึงจะมีคนเดินนำแถมอนุญาตให้เกาะบ่าไว้ก็เถอะ ขอเถียงในใจว่ายังไงก็ไม่เข้าท่าอยู่ดี
   
“ไหนว่าต้องทำความเข้าใจยูสเซอร์” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงกึ่งขบขัน ยังคงพาผมเดินหน้าต่อไปในทิศทางที่ผมไม่แน่ใจว่าคือส่วนไหนของคณะ
   
ทั้งที่มีคนนำทางน่าจะพออุ่นใจ แต่การมองไม่เห็นก็ทำให้อดระแวงไม่ได้ ทุกสิ่งรอบตัวดูไร้ขอบเขตจนน่ากลัว ทุกการเคลื่อนไหวกลับเชื่องช้า การเดินไปข้างหน้ากลายเป็นเรื่องยาก แต่ข้อดีคือมันช่วยกระตุ้นให้ประสาทสัมผัสส่วนอื่นของผมตื่นตัว
   
ทุกสรรพเสียงรอบกาย กลิ่นที่กระจายชัดในยามกลางคืน สัมผัสจากเท้าที่แม้จะมีรองเท้าผ้าใบห่อหุ้มไว้แต่ก็พอจะรับรู้ได้ว่าพื้นที่เหยียบย่างอยู่คืออะไร
   
“ข้างหน้าเป็นบันได” เขาบอกและทำเอาผมชะงัก รั้งไหล่เขาไว้ชั่วขณะ
   
เกิดลังเลขึ้นมาว่าควรหยุดดีไหม... เพราะอันที่จริงเท่านี้ผมก็พอจะมีไอเดียต่อยอดได้แล้วว่าควรไปต่อยังไง
   
แต่บางทีอาจไม่ใช่ผมก็ได้ที่ต้องตัดสินใจ
   
“ไว้ใจกูมั้ย”
   
ในเมื่อสุดท้ายถ้าเขาอยากไปต่อ ผมก็ไม่อาจต่อต้านอะไรได้อยู่ดี

"อือ" ตอบไม่ได้เต็มเสียงหรอกว่าไว้ใจ ทว่าคำถามเดียวกลับลบทุกความระแวงออกไปได้ ยอมให้เขานำทางในความมืดต่อไป

อาจเพราะรู้ว่าถึงก้าวพลาดก็จะมีเขารองรับไว้... เป็นความรับผิดชอบของคนที่พาผมมาเสี่ยงอันตราย

“หึ” ในก้าวที่สามผมได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอ

“ไม่กลัวแล้วหรือไง” น้ำเสียงล้อเลียนทำให้ผมคลี่ยิ้ม เขาคงสังเกตได้จากแรงบีบไหล่ที่ไม่ได้แน่นเกินไปเหมือนที่ผ่านมา ทั้งที่ทางอันตรายกว่าแต่ผมกลับไม่กดดันอะไร 
   
พอได้ก้าวแรก... ก้าวที่สองก็ง่ายดาย สาม... สี่... ตามระยะห่างหนึ่งช่วงไหล่ไปข้างหน้า สม่ำเสมอมั่นคงจนถึงขั้นสุดท้าย
   
พื้นคอนกรีตกลับมาราบเรียบ... ระยะห่างคงที่เมื่ออีกคนหยุดเดินนำ

และผมจงใจลดมันด้วยการเดินหน้าอีกหนึ่งครั้ง...กะระยะพอดิบพอดีเพียงปลายเท้าชิดหลังเท้า... หน้าอกชิดแผ่นหลัง... จมูกของผมได้กลิ่นหอมของแชมพูและผิวเนื้อที่ท้ายทอยจางๆ ...กระทั่งถูกเปลี่ยนเป็นกลิ่นนิโคตินที่ทิ้งค้างในลมหายใจ

“รู้มั้ยซีนนี้ยังขาดอะไร” ใบหน้าถูกฝ่ามือร้อนจัดยกขึ้นประคองไว้ แตะเพียงนิดให้เงยหน้าขึ้นให้นิ้วเรียวไล้ตามขอบผ้าปิดตาเชื่องช้า 

...ความมืดบอดย้ำชัดถึงลมหายใจร้อนที่เคลื่อนเข้ามา

“ตามหลักการแล้วมึงควรสะดุดล้มเพื่อให้ปากประกบกัน” ผมยิ้มขำกับหลักการน้ำเน่า ก่อนจะแตะมือที่เพิ่งผละออกลงบนไหล่กว้างอีกครั้ง

คลำตามผิวเนื้อแน่นตึงขึ้นไป ไล้ผ่านลำคอ สันกราม...และหยุดลงที่แก้มทั้งสองข้าง ประคองไว้เบามือไม่ต่างกัน

มันก็จริงที่ผมพลาดไป... แต่ก็ใช่ว่าจะสร้างซีนใหม่ทดแทนไม่ได้

“ถ้าสะดุดล้มมันคงกระแทกแรงเกินไป”

“...”

“ซีนนี้พี่คงต้องทำให้มันนุ่มนวล”

ไม่ตรงหลักการน้ำเน่า ไม่เข้าข่ายฉากโรแมนติกของหนังรักชั้นดี...

แค่ริมฝีปากแตะกัน...แต่หวานล้ำเกินจินตนาการ ตอบรับสัมผัสที่เขาป้อนให้ ละเลียดลิ้มรสชาติของนิโคตินปลายลิ้นที่คงไม่ต่างจากยาพิษที่อาบแอปเปิ้ลของสโนว์ไวท์

ทว่าไม่จำเป็นต้องถูกแม่มดร้ายล่อลวง... หรือต่อให้มีป้ายเตือนถึงอันตราย ก็ไม่ลังเลที่จะกลืนกินมันลงไปทั้งคำ






----------------------------------------------
จริงๆ พี่เตเป็นคนอ่อนโยนล่ะ เชื่อเรา   :hao7:

ฝาก #เกมท้ารัก ด้วยนะคะ ^^

ปล. ใครเคยอ่าน Just Another Guy (เชนตรี) ตอนนี้หนังสือวางแผงแล้วน้า
สามารถสั่งซื้อได้ในเว็บของเฮอร์มิทตามลิ้งค์ด้านล่างนี้เลยค่ะ ฝากเอ็นดูคู่นี้ด้วยนะคะ  :L2:

Box Set Just Another Guy ราคา 800 บาท (http://www.hermitbookshop.com/product/343/boxset-just-another-guy-%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%87-martian)

หนังสือ Just Another Guy (2 เล่มจบ) ราคา 600 บาท (http://www.hermitbookshop.com/product/342/just-another-guy-%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%87-martian)

อ่านตัวอย่าง : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52722.0

หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 4 [01.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 01-11-2017 20:18:52
พี่เตเริ่มอ่อนโยนขึ้นนิดนึง แต่เราแกร่งขึ้นจากตอนที่แล้ว เพราะงั้นน้องพิชญ์อย่าไปสนใจอะไรค่ะ รุกเข้าไปแรงๆ ไม่รักก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วววว  :hao5:  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 4 [01.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 01-11-2017 20:29:42
ติดตามนะคะ :katai4:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 4 [01.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 01-11-2017 20:51:44
มีความอันตรายอยู่ทุกฝีก้าว พิชญ์เหนื่อยบ้างมั้ย แต่ชอบความร้ายของนายเอกแบบนี้นะ ถึงแม้ว่าอันนี้จะออกแนวรู้ตัวและเหนื่อยเองก็ตาม
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 4 [01.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Daryneisfine ที่ 01-11-2017 22:26:20
ชอบภาษาทุกครั้งที่อ่านเลยยย ในความแซ่บมีความเศร้า
ถ้าเราเป็นน้องพิชญ์ เราคงรู้สึกเหมือนคนกำลังตาย
แต่ได้รับการต่อชีวิตเรื่อยๆ พอกำลังจะฟื้นตัวดี ก็โดนโยนลงหลุมไปอีก
 
พี่เตในอดีตดูเหมือน ให้น้องเป็นคนพิเศษในระดับนึงแล้ว
ทำไมพี่เปลี่ยนใจ ทำไมต้องเปลี่ยนไป
 
แล้วแลจะมีอะไรฝังใจกับน้อง
 
น้องทำอะไรให้ ทำไมต้องใจร้าย เป็นคนยังไงอะ
 
ชอบรอยสักของน้องมากเลย ชอบความจะบินไปดวงจันทร์
อีโรติกชะมัดเลยยยย
 
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 4 [01.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 03-11-2017 09:45:55
เหมือนอยู่ในบรรยากาศอึมครึม ชอบมากแบบนี้
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 5 P.2 [05.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 05-11-2017 00:28:43
5

ผมเคยจมน้ำ...

มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานมาแล้ว แต่ความทรมานในตอนนั้นกลับฝังใจ

เพราะว่ายน้ำไม่เป็นถึงได้เอาแต่ตะเกียกตะกาย ก่อนจะพบว่ายิ่งดิ้นรนกลับยิ่งจมลึกลงไป

สุดท้ายผมก็สู้มวลของเหลวที่อัดแน่นอยู่รอบกายไม่ไหว... มันแทรกเข้ามาในลมหายใจ ไหลลงปอด... โอบรัดจนร่างกายหนักอึ้ง... ฉุดรั้งให้ดำดิ่งลงไป
   
ในที่สุดผมยอมจำนน... ปลดปลงความคิดที่จะยื้อชีวิตไว้ เงยหน้าขึ้นพรั่งพรูทุกความรู้สึกพร้อมลมหายใจเฮือกสุดท้าย... เสพสมแสงสว่างที่สั่นไหวเหนือผิวน้ำ เก็บไว้เป็นความทรงจำก่อนตาย
   
นับเวลาถอยหลัง... ตั้งใจบอกลา กระทั่งคัดสรรคำทักทายใครสักคนที่จะมารับผมไปโลกหน้า...

แต่แล้ววินาทีที่ดวงตาพร่าเลือน ผมเห็นเงาหนึ่งพาดทับแสงลงมา ผิวน้ำแตกกระจาย...ก่อนไหลกลับเพื่อโอบอุ้มร่างนั้นไว้
   
มือหนึ่งเอื้อมคว้า...พาแหวกว่ายกลับขึ้นไป...

คำบอกลาถูกทิ้งไว้ให้ยมทูตที่ไม่อาจฉุดรั้งผมสู่ความตาย
   
   




“ไม่รู้ต้องเริ่มจากตรงไหน” หลังจากนั่งเพ่งกระดาษไขว่างเปล่าที่ถูกวางทับลงบนไซต์แปลนก็ได้แต่ตัดพ้ออย่างจนใจ
   
ทั้งที่คิดว่าไปต่อได้ พอเอาเข้าจริงกลับไม่รู้จะเริ่มจากอะไร หันไปมองคนที่ยังนั่งอยู่ข้างกายแล้วเริ่มโอดครวญถึงปัญหาที่ตัวเองหลงลืมไป

“ส่วนใหญ่เป็นคนที่ใช้งานพื้นที่จนชิน ถ้าเราจะเปลี่ยนแปลงอะไรต้องให้แน่ใจว่าจะไม่ทำลายความเคยชินนั้น”  ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าการพัฒนาคือสร้างความเปลี่ยนแปลง แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่... ถ้ายูสเซอร์ไม่ต้องการแทนที่จะดีขึ้นมันจะกลายเป็นทำลาย

ถึงจะไม่ถูกสร้างจริงก็ใช่ว่าจะทำไปงั้นๆ ได้ ผมไม่อยากให้โปรเจ็กต์ของตัวเองเป็นสิ่งไร้ค่าที่ไม่มีใครใช้งาน
   
“แล้วเราจะทำให้เค้ารู้ได้ยังไงว่าทำแล้วมันจะดีขึ้น” ผมว่าพลางควงดินสอในมือวนไปมา มองสมุดที่โน้ตความรู้สึกที่ได้จากตอนปิดตา
   
“จะทำยังไงให้เขาไว้ใจ...”
   
“...” ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงยกยิ้มบางพลางสบตาผมนิ่งเหมือนรอฟังว่าจะพูดอะไร เท่านั้นก็กระตุ้นให้ความคิดมากมายพรั่งพรูออกมา
   
“ขอบเขตน่าจะสำคัญ พอมองไม่เห็นแล้วพื้นที่กว้างๆ มันน่ากลัว” หันกลับไปจรดปลายดินสอลงกระดาษสเกตเส้นง่ายๆ ลงไป “ต้องทำให้รู้ว่ารอบตัวเค้ามีอะไร ขอบเขตอยู่ตรงไหน ให้เค้ารู้ว่ามันปลอดภัย” ขีดฆ่าบางอย่าง แล้วเติมลงไปใหม่ จนกระดาษไขว่างเปล่าเต็มไปด้วยรอยดินสอวุ่นวาย
   
คิดว่าไม่มีใครเข้าใจนอกจากตัวผมเอง
   
“แล้วเสียงกับกลิ่นล่ะ” ผมสะดุ้งเล็กๆ กับเสียงกระซิบที่ดังข้างหู แผ่นหลังชนกับแผ่นอกของร่างสูงที่มายืนซ้อนหลังไม่ให้สุ้มเสียง และยิ่งตกใจเมื่อเขาโน้มหน้าข้ามไหล่ แขนสองข้างคร่อมร่างผมไว้พลางชี้ไปยังตำแหน่งหนึ่งในแปลน
   
“ตรงนี้ต้นจำปา?” เขาว่า ไล้นิ้วไปตามลายมือไก่เขี่ยของผมแล้วเอียงหน้ามาถาม
   
เสียงทุ้มที่ดังอยู่ข้างหูชวนจั๊กจี้จนเผลออึกอัก
   
“อะ...อืม” ทั้งแปลกใจที่เขาสังเกตเห็นมันท่ามกลางรอยดินสอมากมาย แถมยังดูเหมือนจะเข้าใจทุกอย่างที่ผมเพิ่งสเกตลงไป
   
“โรงเรียนอนุบาล ร้านซักแห้ง ร้านดอกไม้” ชี้จุดอื่นที่ผมวงไว้ ตั้งใจจะให้ความสำคัญแต่ไม่รู้ต้องทำยังไง “พวกนี้เป็นแลนด์มาร์คของเค้าถูกมั้ย” เขาถาม และผมก็พยักหน้าตอบไป กลับมาเพิ่งพิจารณาส่วนต่างๆ อีกครั้ง
   
มันคือการสร้างแผนที่ขึ้นในใจโดยใช้ประสาทรับรู้อื่นแทนดวงตา
   
“ถ้าค่อยๆ เพิ่มส่วนประกอบใหม่ลงไปในแลนด์มาร์คเดิม แล้วใช้มันบอกระยะทาง...” ผมหลุดปากออกมา ก่อนเริ่มสเกตลงไปอีกครั้ง

เส้นที่ไม่ซับซ้อนถูกทำให้เป็นรูปเป็นร่างทีละน้อย แทรกมันลงไปบนเส้นทางการใช้ชีวิตของยูสเซอร์ที่ผมร่างไว้ เผลอกระตือรือร้นจนลืมว่าใบหน้าอีกคนยังคร่อมอยู่เหนือไหล่

“แบบนี้น่าจะใช้ได้...” เพราะแบบนั้นถึงได้ชะงักไป ตอนที่หันกลับมาแล้วพบว่าปลายจมูกตัวเองเฉียดผิวแก้มเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ

“หึ...” ผงะออกแต่กลับถูกทำลายด้วยปลายจมูกโด่งของคนที่หันกลับมาด้วยสีหน้าที่ทำเอาประหลาดใจ “เก่งนี่”

“...” ริมฝีปากที่เคยยกเพียงน้อยนิดคราวนี้กลับเผยรอยยิ้มกว้างกว่าครั้งไหนๆ อวดฟันซี่บนที่เรียงตัวสวยพร้อมทอประกายไม่แพ้ดวงตาสีรัตติกาล

“ท้าหรือจริง?” ผมถามออกไป จะว่าหลุดปากก็คงได้ แต่ผมเพียงอยากพิสูจน์บางอย่างให้แน่ใจ

เขาทำหน้าประหลาดใจ แต่สุดท้ายก็เอ่ยคำตอบที่ผมรู้อยู่แล้วว่าคืออะไร “ท้า”

“ถึงคราวที่พี่ต้องปิดตา” ผมคลี่ยิ้ม หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเดิมขึ้นมา ม้วนมันให้หนาพอแล้วทาบลงไปบนดวงตาที่หลับลงอย่างรู้งาน ผูกมันไว้รอบศีรษะ แน่นพอจะทำให้เขามืดบอดชั่วขณะ กรีดนิ้วตามขอบผ้าเพื่อให้แน่ใจว่ามันแนบสนิทกับใบหน้าเนียน ก่อนไล้ลงมาที่สันจมูกโด่ง... ริมฝีปากบางที่ยกยิ้มน้อยๆ เลื่อนไปที่ท้ายทอยแทรกตามกลุ่มผมพร้อมกับบังคับให้ก้มหน้า

“จะเอาคืนกูหรือไง” ...เมื่อหน้าผากแตะกันเขาเอ่ยถามและผมก็หลุดหัวเราะออกมา

ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าแลกเปลี่ยนลมหายใจด้วยปลายจมูกที่กำลังหยอกเย้า... ปล่อยให้บทสนทนาเงียบลงพร้อมจ้องมองใบหน้าใต้ผ้าปิดตานิ่งนาน... ค้นหาสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจทั้งที่ได้คำตอบตั้งแต่วินาทีที่เห็นรอยยิ้มกว้างผุดพราย

คำถามที่ว่าถ้าไม่มีดวงตาคู่นี้เขาจะยังมีอิทธิพลต่อผมอยู่ไหม สมมติฐานว่าถ้าไม่ถูกความมืดพราวระยับราวท้องฟ้ารัตติกาลดึงดูดไว้ผมอาจเป็นอิสระได้โดยง่ายล้วนถูกทำลาย

เห็นได้ชัดว่ามีสิ่งอื่นมากมายที่ประกอบร่างสร้างตัวตนที่ผมหลงใหล

สายตา... รอยยิ้ม... สันจมูก หรือแม้แต่กลิ่นนิโคตินในลมหายใจ

ทุกอย่างล้วนล่อลวงให้เข้าหาจนไม่ทันระวังว่าความสมบูรณ์แบบของเขาอันตราย...

“เต”

กระทั่งถูกมันทำร้าย… ด้วยการบอกว่าใครต่อใครต่างต้องการมัน

“อยู่มั้ย?”

...และผมไม่ใช่ผู้ที่ได้สิทธิ์ในการครอบครอง

“เต... อ้าว อยู่นี่เอง”

จำใจแกะผ้าเช็ดหน้าออก ก่อนจะผละออกมาเพื่อมองผู้มาเยือน เกือบจะสงสัยว่าเธอมาทำไม ถ้าหากว่าเจ้าตัวไม่เดินเข้ามาควงแขนอีกคนที่ผมเพิ่งปลดผ้าปิดตาให้

“ขอโทษนะ ให้รอนานเลย”

อืม... ได้ยินมาว่าช่วงนี้เขาเข้าสตูปีสามบ่อย เพราะแบบนี้เองสินะ

“แล้วนี่พิชญ์ ยังไม่กลับเหรอ”

“ครับ พอดีงานยังไม่เสร็จ”

ที่ได้คุยกับพี่เจด ได้รู้ว่าผมกำลังโคม่า... รู้ว่าผมอยู่สตูแล้วเอาผ้าเช็ดหน้ามาคืนให้... เพราะแบบนี้ใช่ไหม

“อ้าว งั้นย้ายไปสตูปีสามมั้ย จะเที่ยงคืนแล้วอ่ะ เดี๋ยวไฟตัดแล้วย้ายยากนะ” น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย และรอยยิ้มหวานประดับหน้าสวยทำให้ผมยิ้มตอบกลับไป

“ไม่เป็นไรครับ กะว่าจะกลับแล้วเหมือนกัน พี่ปาอ่ะจะกลับแล้วเหรอ” เดิมทีก็ตั้งใจจะกลับก่อนเที่ยงคืนเพราะนโยบายประหยัดไฟของคณะที่จะตัดไฟสตูหลังเที่ยงคืนทำให้ใช้พื้นที่ได้จำกัด แต่เพราะทำงานเพลินเลยไม่ทันรู้ตัวว่าลากยาวมาจนป่านนี้เหมือนกัน

“อืม แต่ว่าจะไปหาอะไรกินก่อน เตหิวใช่ป่ะ”

“อือ” ตอบแค่นั้นขณะที่ฝ่ามือหนายกขึ้นลูบเรือนผมยาวทั้งที่ดวงตาคู่นั้นยังจ้องผมไม่วางตา สายตาที่ทำให้ผมได้แต่เบือนหน้าหนี

“งั้นก็เจอกันนะครับ” แสร้งยิ้มกว้างบอกลาก่อนหมุนตัวกลับมามองกระดาษสเกตของตัวเองแล้วเริ่มเก็บอย่างช้าๆ

“นี่ดีนะที่สตูปีสามต่อไฟใช้เองแล้ว ไม่งั้นปาคงต้องสิงห้องเตต่อไม่เป็นอันทำงานพอดีอ่ะ” ได้ยินเสียงฝีเท้าพร้อมเสียงพึมพำที่ทำเอาผมหัวเราะออกมา... ดังพอแค่ให้ตัวเองได้ยินเพื่อบอกว่าความรู้สึกก่อนหน้าช่างน่าสมเพชจับใจ

รอยยิ้มเหรอ? นั่นสำคัญอะไร ในเมื่อแม้แต่จูบยังไร้ความหมาย

‘ปิดตา แล้วไว้ใจกู’

นั่นคือคำท้า... และผมน่าจะรู้แต่แรกว่าไม่ควรตอบรับไป
   
ควรเลือกรับบทลงโทษ แทนที่จะเอ่ยคำว่าไว้ใจ เพราะผมไว้ใจเขาไม่ได้ พอๆ กับไว้ใจสิ่งที่เรียกว่า ‘ความหวัง’ ไม่ได้...

ทุกครั้งที่หวังมากไป มันจะทำลายตัวเอง... แหลกสลาย

ช่างน่าขันที่ผมมืดบอดจนปล่อยให้เขาช่วยประคองลงบันได เพื่อพบว่าหลังบันไดขั้นสุดท้ายคือมหาสมุทร เวิ้งว้าง ไร้ก้น...
   
แอปเปิ้ลอาบยาพิษออกฤทธิ์เร็วเกินไป... ขาของผมชาดิก ลืมวิธีตะเกียกตะกาย ได้แต่ปล่อยให้ตัวเองจมดิ่ง มองผิวน้ำไกลห่าง...
   
ผมเคยจมน้ำ... และความทรมานยังคงฝังใจ

“พิชญ์”

ถ้าไม่มีใครบางคนมาช่วยไว้คราวนั้นผมคงตาย

“วันหลังไปทำงานห้องกูสิ”

คราวนี้ก็เหมือนกัน...

“มีโต๊ะดราฟให้ ใช้ไฟได้ตามใจ”

“...”

“ครั้งนี้ไม่ได้ท้า... กูชวน”
   
เรื่องตลกร้ายก็คือ... คนที่ช่วยชีวิตผมไว้ กลับเป็นคนเดียวกับผู้ชายที่เพิ่งผลักผมลงมา

   




‘คราวนี้กี่คน’
   
‘สอง’
   
‘รวมผมด้วยก็เป็นสามสินะ’ เผลอแค่นยิ้มเมื่อเข้าใจถึงสถานะตัวเอง
   
ไม่ใช่ที่หนึ่งหรือสอง... แต่เป็นสาม... หรืออาจไม่ใช่ตำแหน่งไหนๆ
   
ความพยายามช่างไร้ความหมาย
   
‘เค้าไม่โวยวายหน่อยเหรอที่พี่คบทีเดียวหลายคน’ ผมเลิกคิ้ว ในวินาทีแรกพี่เตนิ่งไปขมวดคิ้วคล้ายครุ่นคิดแต่สุดท้ายยักไหล่เหมือนไม่คิดอะไร
   
‘กูไม่ได้เป็นคนเริ่ม’
   
‘...’
   
‘ถ้ารับไม่ได้ก็ควรไป’

พูดง่าย...

แต่นั่นแหละพี่... ทุกสิ่งล้วนง่ายดาย... ไร้ค่า ไม่มีความหมาย

‘ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมยังทน’

ร้ายกาจขนาดนี้ทำไมถึงไม่ถูกเกลียดนะ...

คงเพราะในความร้ายกาจมีความน่าหลงใหล ในความเกลียดชังมีความรักที่ไม่อาจละทิ้งได้

‘ถามจริง พี่เคยรักใครมั้ย’

‘?’ หลุดหัวเราะเมื่อพี่หันกลับมาเลิกคิ้วเหมือนคำถามของผมมันยากเกินไป

‘เอาใหม่ก็ได้ พี่เคยคิดจะคบใครนานๆ มั้ย’

‘นานแค่ไหน’

ผมถอนใจ

‘แล้วเคยคบนานที่สุดเท่าไหร่’

‘ไม่เคยนับ’ ริมฝีปากบางคาบบุหรี่ไว้อีกครั้งพลางยักไหล่

‘คร่าวๆ ก็ได้ ใช้ความรู้สึกไง’

ไม่รู้ทำไมถึงอยากรู้นัก ทั้งที่ไม่ใช่สาระสำคัญอะไร ...คงเพราะอยากพิสูจน์ที่ใครต่อใครกล่าวหาว่าพี่ไร้หัวใจ นั่นจริงไหม

จำไม่ได้ว่าผมได้คำตอบเรื่องที่พี่มีหรือไม่มีหัวใจ

‘...’

แต่จำได้ดีว่าพี่มองหน้าผมนิ่งนานด้วยดวงตาสีรัตติกาลคู่นั้น นิ้วเรียวยกขึ้นมาคีบบุหรี่ออกจากปากแล้วดับมัน …มุมปากยกยิ้มแล้วตอบคำถาม
   
‘สี่เดือน’
   
จำได้ดี... ว่านั่นคือระยะเวลาที่เราคบกัน




----------------------------------------------
แงงง มันสั้นอีกแล้วอ่ะ ขอโทษค่ะ T T
ตอนหน้าจะยาวกว่านี้ค่ะ สัญญา...

เมื่อวันก่อนคุยกับเพื่อนว่าชีวิตตอนนี้เหมือนว่ายน้ำอยู่ในมหาสมุทรเลยนะ
เวิ้งว้างไปหมดทุกทาง เหนื่อยแค่ไหนถ้าไม่ขยับเท้าก็มีแต่จะจมลงไป
เราเลยเขียนตอนนี้ขึนมาด้วยความรู้สึกคล้ายๆ กัน ถ้าพิชญ์ยอมแพ้ตอนนี้ ก็คงต้องจมน้ำตาย
แต่ไม่รู้ว่าอะไรทรมานกว่ากันนะระหว่างยอมจมลงไปกับการถูกช่วยไว้แล้วก็ตกลงมาใหม่ซ้ำไปซ้ำมา  :hao5:

เชื่อว่าคำถามในหัวหลายคนตอนคือพี่เตกำลังคิดอะไร ต้องการอะไรกันแน่ใช่มั้ยคะ 5555
ถ้าเราบอกว่าพี่เตไม่ได้ต้องการอะไร และไม่ใช่คนซับซ้อนเลยแม้แต่น้อย จะเชื่อมั้ยคะ...

เอาเป็นว่ารอดูต่อไปดีกว่า ฝาก #เกมท้ารัก ด้วยนะคะ รู้ว่าอึดอัดแต่อย่าเพิ่งทิ้งกันนะ T^T
ขอบคุณทุกคนที่ยังอยู่ตรงนี้ค่ะ

หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 5 P.2 [05.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: แม่น้องเปา ที่ 05-11-2017 03:29:59
รออยู่เสมอค่ะ  :mew6: เอาใจช่วยพิชญ์
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 5 P.2 [05.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 05-11-2017 05:12:49
เขียนบรรยายความรู้สึกได้ดีมากๆเลยค่ะ อ่านแล้วเห็นภาพเลย :hao5:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 5 P.2 [05.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 05-11-2017 08:40:22
สงสารพิชญ์ ฮือออออออ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 5 P.2 [05.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: wwll ที่ 05-11-2017 10:34:04
ชอบในความเรียล
หลายๆครั้งถ้าไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์นั้นเอง คนอื่นมักหยิบยื่นทางเลือกให้ตัดใจ ให้เดินออกมา
ซึ่งคนฉลาด(ในสภาวะปกติ)ใครๆก็ต้องเลือกแบบนั้นอยู่แล้ว
แต่ก็หลายๆครั้ง มันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น

ชอบในคำถามที่พิชญ์ตั้งกับตัวเอง
「ร้ายกาจขนาดนี้ทำไมถึงไม่ถูกเกลียดนะ...
คงเพราะในความร้ายกาจมีความน่าหลงใหล ในความเกลียดชังมีความรักที่ไม่อาจละทิ้งได้」

อีกฝ่ายไม่ได้พูดพูดคำหวาน สัญญาว่าจะมีแค่คนเดียว
ทุกคนที่เข้ามา มีคำว่ารักเป็นเดิมพัน กำมันในมือ เดินไปหากองไฟกองนั้นเอง
อาจจะมอดไหม้จนสลายไป หรือร้อนจนทนไม่ไหวต้องกระโจนออกมา
หรืออาจจะเป็นวัสดุทนไฟ ก็สุดแล้วแต่จะเลือก

รอติดตามตอนต่อไปนะคะ
ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 5 P.2 [05.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Kkookkai12 ที่ 05-11-2017 15:35:44
 :katai1:
บรรยายได้กระจ่างถึงความรู้สึกของพิชญ์มากเลยค่ะ จนรู้สึกแบบพิชญ์ไปด้วยเลย สงสารนางจัง
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 5 P.2 [05.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 05-11-2017 22:48:16
นี่วนกลับไปอ่านสองรอบเลย
คาดว่าเร็วๆนี้จะอ่านรอบสามถ้ายังไม่มาต่อ ถถถถ


หลงนักพี่เตแล้ว ยอมแล้วว
หน่วงมาก ชอบบบบบ o13
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 5 P.2 [05.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 07-11-2017 10:07:21
ตอนนี้ ช่วงแรกอ่านไป และใจสั่นกับความใกล้ชิด และความเซ็กซี่ แต่แล้วก็ใจสั่นแบบหวิวๆ ตอนที่มีบุคคลที่สามเพิ่มเข้ามาเลย ฮือ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 5 P.2 [05.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 08-11-2017 02:09:52

นั่นสิ..
พี่เตนิสัยแย่แบบนี้ทำไมไม่โดนเกลียดนะ
เราเนี่ยแหละที่เกลียดพี่เตไม่ลง ฮือออออออออออ

สงสารน้องพิชญ์ แต่พี่เตก็มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนเหลือเกิน
สนุกมากมั้ยเล่นกับใจน้องเนี่ยยยยยย ;w;;

อยากโกรธพี่เตจริงๆ เลย
แต่ทำไม่ได้ ความก๊าวใจมันกลบหมดเลย
สับสนไปหมดว่าควรรู้สึกยังไงดี ฮาาาาาาา

 :hao5:

หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 5 P.2 [05.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 08-11-2017 11:15:05
อึดอัดเหลือเกิน น้องต้องสตรองให้ได้นน๊า สู้พี่มัน ให้เสียดาย หลงหัวปักหัวปำเลย
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 5 P.2 [05.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 08-11-2017 14:02:50
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 5 P.2 [05.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 08-11-2017 17:29:48
เหมือนหลายๆคนก็รู้ว่าพี่เตเหมือนกองไฟ รู้ว่าจะต้องโดนความร้อนแต่ก็ยังอยากที่จะเข้าไปใกล้  พี่เตมาอ่อยน้องทำไมมมมม  :ling1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 6 P.2 [12.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 12-11-2017 03:19:49
6

   
ก่อนอื่นคงต้องยอมรับตามตรงว่าผมตกใจ... ไม่ใช่เพราะรู้ว่าเขากำลังคบใคร

...แต่เพราะมันเป็นเครื่องยืนยันว่าเวลาไม่เคยทำให้เขาเปลี่ยนไป

เพราะเขาไม่ใช่คนเจ้าชู้ หว่านเสน่ห์ออกหน้าออกตาถึงไม่เคยระแคะระคาย ไม่มีสัญญาณว่าเขากำลังหมายตาใคร ผมถึงได้ใจว่าที่ผ่านมามีเพียงตัวเองที่อยู่ในสายตา

แต่ผมลืมไปซะสนิทว่าเตวิชญ์ไม่ใช่ผู้ล่า... เขาเป็นราชา

เพียงนั่งเฉยๆ ก็มีคนพร้อมจะส่งตัวเองมาเป็นเครื่องบรรณาการ
   
ดังนั้นถ้าให้เดา เรื่องราวคงเริ่มจากความลึกลับอันเย้ายวนใจของเขา... แสงจันทร์ยามราตรีที่ล่อแมลงเล็กจ้อยมาติดกับ...หยอกเย้า เล่นล้อกับความลุ่มหลงที่ถูกมอบให้ครั้งแล้วครั้งเล่า... คล้ายการตอบรับ

แต่แมลงโง่เขลาไม่มีทางบินถึงดวงจันทร์... สิ่งที่เขาทำเป็นเพียงแค่ใช้แสงนวลอาบไล้พวกมัน ทั้งที่ดวงจันทร์ไม่มีแสงเป็นของตัวเองด้วยซ้ำ สักวันความจริงจะปรากฏว่าสิ่งเหล่านั้นคือภาพมายา ดวงจันทร์ที่มันหลงรัก เป็นเพียงก้อนหิน เย็นชืด ...ไร้หัวใจ
   
ทีนี้... ลองเดากันไหมว่าตอนจบของเรื่องนี้จะเป็นยังไง
   
“ปาไม่เข้าใจ ปาทำอะไรผิด”
   
“...”
   
สุดท้าย ปีกแสนบอบบางจะค่อยๆ กร่อนสลาย

“เตเบื่อเหรอ ไม่รักปาแล้วเหรอ ทำแบบนี้ทำไม”
   
“...”

ความอ่อนล้าจะทำให้ร่างของพวกมันร่วงหล่นลงมา

“เต! อธิบายมาสิ ปาจะได้รู้ว่าตัวเองผิดอะไร”

“...” 

...ความเย็นชาที่ได้รับตอกย้ำว่าไม่อาจเอื้อมคว้าสิ่งใด
   
บอกแล้วไงว่าสำหรับเตวิชญ์ ความสัมพันธ์มีสูตรสำเร็จ ตายตัว

“เตวิชญ์...!” น้ำเสียงอ้อนวอนเปลี่ยนเป็นกราดเกรี้ยวเมื่อพยายามจะร้องขอคำอธิบายเท่าไหร่อีกฝ่ายกลับไม่ปริปากและคงจะไม่แสดงท่าทางยินดียินร้ายอะไร เจ้าของเสียงหวานถึงได้ระเบิดอารมณ์ออกมา
   
ผมไม่รู้ว่าคนอื่นจะจัดการเรื่องนี้ยังไง แต่สำหรับเขา...
   
“เธอไม่ผิดหรอก ขอโทษนะ” มันง่ายดาย
   
บางที อาจเป็นเรื่องดีที่เวลาไม่อาจทำลายความเย็นชาของเขาลงได้... การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยอาจทำให้การเริ่มต้นใหม่ยากเกินไป
   
ผมยังต้องใช้ความร้ายของเขาในการถ่วงเวลา... ฟูมฟักให้ปีกที่เคยผุพังกลับมาแข็งแรงพอจะบินขึ้นไป... แข็งแรงพอที่จะไม่ตกลงมาใหม่... ไม่เปราะแตกหรือบุบสลายเมื่อสัมผัสผิวเย็นชืดของดวงจันทร์
   
“เลว!” หลังจากนั้นผมได้ยินเสียงร้องไห้ฟูมฟาย เสียงฝีเท้าหนักๆ ที่ดังไกลออกไป และเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา...
   
“ขอบุหรี่หน่อย”
   
ถูกจับได้ซะแล้ว
   
คงเพราะมวนนิโคตินในปากที่กำลังเผาไหม้ส่งกลิ่นควันลอยออกไปบ่งบอกตำแหน่งของคนที่ไม่ควรจะมาอยู่ในสถานการณ์
   
“ดราม่าชะมัด” ผมว่ายื่นซองบุหรี่พร้อมไฟแช็กให้ ตัดความหวังที่เขาจะมาต่อไฟจากปลายบุหรี่ตัวเองด้วยการสูดเข้าปอดเพียงครั้งแล้วดับมัน
   
“ทำไมไม่บอกไปว่าไม่รัก” เอนหลังพิงขอบระเบียง มองอีกฝ่ายจุดไฟ ละเลียดควันอ้อยอิ่งขณะมองไปข้างหน้านิ่งนาน คงเพราะคำถามแทงใจ
   
เหตุผลที่เขาไม่ยอมเอ่ยออกไป คนนอกอย่างผมสัมผัสมันได้ชัดเจน
   
“แบบนั้นมันคงทำร้ายจิตใจ” ปล่อยให้มวนนิโคตินถูกสายลมเผาไหม้ไปกว่าครึ่งเขาจึงตอบคำถาม
   
“หา?” ผมชะงัก ถึงกับเบิกตากว้าง ก่อนจะหัวเราะ... หัวเราะเสียงดังจนตัวเองตกใจ

คงเพราะความหมายของมันกรีดแทงกว่าคำถามแกมประชดของผมหลายเท่า
   
...นี่น่ะเหรอความอ่อนโยนที่พี่เลือกใช้ ผลักไสโดยไร้คำอธิบาย ยอมรับความผิดไว้ แล้วหายไป
   
“ผมว่าแบบนี้เจ็บกว่า” หลุดปากพูดสิ่งที่คิด ไม่คิดหลบหลีกยามนัยน์ตาสีรัตติกาลหันกลับมาสบตา มองประกายแสงระยับ และรอยยิ้มมุมปากขณะที่ฝ่ามือหนาวางลงมาบนศีรษะ
   
“งั้นก็เจ็บทั้งสองทาง” ลูบผ่านเรือนผมก่อนเลื่อนไปจับกระเป๋าผ้าใบโตบนบ่า “กูควรเลือกทางที่ตัวเองพอใจ” ใช้นิ้วเรียวเกี่ยวมันออกมา ดับบุหรี่แล้วเดินนำหน้าออกไป ทิ้งผมไว้กับประโยคสุดท้ายที่ผมทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจ

ทั้งที่ความหมายตรงตัว ไม่ซับซ้อนแต่กลับไม่อยากยอมรับมันง่ายดาย... ตั้งใจหาข้อถกเถียง แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยถ้อยคำจำนน
   
มันก็จริง...

   




คำชวนของเขามันเหมือนการล่อลวง แต่ผมไม่คิดจะปฏิเสธมัน
   
แน่ล่ะ ในเมื่อมันไม่ใช่โอกาสที่หาได้ง่ายๆ แม้ว่าผมจะไม่ใช่คนแรกที่เขาหยิบยื่นโอกาสให้ก็ตาม
   
การรู้ว่าตัวเองต้องใช้สถานที่ซ้อนทับคนเก่าที่เขาเพิ่งทิ้งหมาดๆ ทำเอาผมหงุดหงิดไม่น้อย การถูกตอกหน้าว่าไม่ได้เป็นคนพิเศษทำให้ผมจำใจถอยหนึ่งก้าวเพื่อไม่ให้เจ็บตัว   

“น่าจะเอาเงินไปซื้อมอเตอร์ไซค์ใหม่” คิดออกมาดังๆ เมื่อเห็นว่าเจ้าของรถมอเตอร์ไซค์บุโรทั่งที่ผมเพิ่งนั่งซ้อนมามีที่ซุกหัวนอนโอ่อ่าขนาดไหน
   
เพนท์เฮ้าส์ชั้นบนสุดของคอนโดฯ ถูกตกแต่งด้วยโมเดิร์นลอฟต์สไตล์ ดิบด้วยสัจวัสดุแต่ทิ้งคราบความหรูหราไว้ด้วยการจัดวางองค์ประกอบแต่ละชิ้นอย่างประณีตเล่นล้อแสงไฟ เฟอร์นิเจอร์ราคาแพงเพียงไม่กี่ชิ้นราวส่วนหนึ่งของงานศิลปะที่เจ้าของห้องบรรจงคัดสรรมาประดับไว้ไม่ให้บรรยากาศแห้งแล้งจนเกินไป
   
แล้วสระว่ายน้ำนี่มันอะไร...
   
“ก็เอาเงินจ่ายค่าห้องหมดไง ถึงไม่มีซื้อมอเตอร์ไซค์ใหม่” เขาว่า ยักไหล่ไม่ยี่หระก่อนจะเอาของของผมไปวางไว้บนโต๊ะดราฟข้างโซฟารับแขกให้ เมื่อผมเอาแต่สำรวจห้องและกำลังชะโงกหน้ามองส่วนของสระว่ายน้ำที่อยู่ต่ำลงไปครึ่งชั้นอย่างให้ความสนใจ
   
ดูเหมือนข้างล่างนั่นจะเป็นส่วนที่เขาใช้ชีวิตมากกว่าตรงนี้ที่คงถูกใช้ต้อนรับใครก็ตามที่เขาอนุญาตให้เข้ามาสัมผัสพื้นที่ส่วนตัวเพียงผิวเผินขณะที่ซุกซ่อนเกือบทั้งหมดไว้
   
...แต่ขอโทษด้วยที่ผมมันเอาแต่ใจ
   
“งั้นน่าจะลองขายห้องไปซื้อมอเตอร์ไซค์” ทำเป็นยอกย้อนให้เขายิ้มขำกลบเกลื่อนที่ตัวเองกำลังถือวิสาสะก้าวลงบันได 

ทำเมินเจ้าของห้องที่ยกมือขึ้นกอดอกมองตาม สีหน้าคล้ายกำลังหยั่งเชิงว่าผมจะทำอะไร เดินลงมาสำรวจพื้นที่หวงห้ามโดยไม่คิดจะขออนุญาตใดๆ
   
ถัดจากสระว่ายน้ำที่พาดตัวยาวตามแนวหน้าต่างบานสูงที่เชื่อมกับระเบียงเป็นห้องนั่งเล่นที่กว้างขวางกว่า ฝั่งตะวันออกมีประตูสองบานที่ผมเดาได้ว่าเป็นห้องนอนกับห้องน้ำ มีครัวอยู่อีกฝั่ง ไฮไลท์คือพื้นยกระดับที่มีเครื่องดนตรีชุดหนึ่งวางไว้ติดหน้าต่างบานสูงที่เปิดม่านสีครึ้มไว้ครึ่งหนึ่ง

ที่บอกว่าเป็นไฮไลท์เพราะมันเดาได้ไม่ยากเลยจะเกิดภาพที่สวยแค่ไหน ยามที่เขานั่งอยู่ตรงนั้น จับเครื่องดนตรีสักชิ้นให้แสงที่ลอดผ่านผ้าม่านกระทบร่างสมบูรณ์แบบจนเกิดเงา

สมเป็นอาณาจักรราชา

“ไม่มีใครกล้าลงมาถ้ากูไม่อนุญาต” ประโยคบอกเล่าที่แฝงด้วยความตำหนิจางๆ ทำให้ผมหลุดขำ หันไปมองหน้าเขาแล้วยกยิ้มมุมปาก

“ถ้าพี่ไม่อนุญาตควรห้ามตั้งแต่เห็นผมลงบันได” แต่ไม่รับปากหรอกว่าเขาจะห้ามผมได้
   
บอกแล้วไงว่าผมมันเอาแต่ใจ...
   
คนตัวโตกว่าไม่ว่าอะไร เพียงสบตาผมคล้ายรอดูว่าผมจะหาลูกเล่นอะไรมายื้อไม่ให้ตัวเองถูกไล่กลับขึ้นไป
   
ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องยากนักหรอก
   
“ผมหิวอ่ะ” ว่าพลางเดินไปที่ครัว กวาดสายตาหาบางอย่างแล้วหยิบมันขึ้นมา

“ต้มมาม่ากินได้มั้ย” ปั้นหน้าซื่อทำเป็นเกรงใจทั้งที่รู้ดีว่าเขามองออกว่าผมจงใจ






มันไม่ใช่ภาพที่ผมคิดว่าชาตินี้จะได้เห็น...

ภาพที่ตอกย้ำซ้ำๆ ว่าเขาช่างเพอร์เฟ็กต์... กระทั่งเรื่องเล็กๆ

ภาพของผู้ชายตัวโตเดินไปเดินมาอยู่ในครัวที่ดูแคบไปถนัดตา เสื้อยืดคอกว้าง กับกางเกงยีนขาดๆ ทำให้ผมจินตนาการภาพเขาอยู่ในนิตยสารสตรีทแฟชั่นมากกว่ายืนอยู่หน้าเตา ง่วนกับการโยนส่วนผสมลงไปในเมนูสปาเกตตี้ไวท์ซอสด้วยท่าทางชำนิชำนาญ...

แต่ต้องยอมรับว่าช่างเป็นความขัดแย้งที่ลงตัว

“ไม่ยักรู้ว่าพี่ทำอาหารได้” กระโดดขึ้นไปนั่งบนเคาน์เตอร์พลางมองซอสในกระทะที่กำลังส่งกลิ่นหอมได้ที่อย่างประหลาดใจ เขาไม่ตอบอะไร แค่ยักไหล่แล้วโยนเส้นสปาเกตตี้สุกลงไป

ตอนที่เขาพูดว่ามีของดีกว่ามาม่า ผมไม่ได้คาดหวังว่ามันจะกลายเป็นอาหารจริงจัง อย่างมากก็เมนูสำเร็จรูปสักอย่างกระทั่งเขาทำให้รู้ว่าผมเผลอประเมินเขาต่ำเกินไป

“ชิมหน่อยสิ” ยื่นหน้าเข้าไปหาเมื่อเห็นว่าเขาหยิบเส้นสปาเกตตี้ที่คลุกเคล้ากับซอสจนได้ที่ขึ้นมา คุณพ่อครัวเลิกคิ้วมอง ก่อนยกยิ้มพร้อมขยับมายืนแทรกระหว่างขา เรียกให้ผมเงยหน้าขึ้น อ้าปากรอส้นสปาเกตตี้ที่เขาจะส่งเข้ามา

แล้วเส้นเหนียวนุ่มก็แตะลงมาที่ลิ้น ให้ผมรับรู้รสชาติกลมกล่อมของซอส... ตามด้วยสัมผัสของนิ้วร้อนๆ ที่เจ้าของบรรจงป้อนอย่างจงใจ

เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหยุดแกล้งเพื่อปล่อยให้ผมได้พิจารณารสชาติ ขณะที่ตัวเองชิมมันจากปลายนิ้วที่ดึงกลับไป ผมเลิกคิ้วเมื่อเห็นปลายลิ้นของเขาแตะลงบนนิ้วโป้งที่คงจะเหลือเพียงรสชาติจางๆ ผสมน้ำลาย ก่อนกระโดดลงจากเคาน์เตอร์เพื่อซุกซ่อนใบหน้าที่กำลังเห่อร้อนของตัวเองไว้

“เดี๋ยวผมหยิบจานให้”

มื้อเย็นแสนเรียบง่ายไม่ได้ทำให้รู้สึกพิเศษน้อยลงเมื่อผมตระหนักได้ว่ามันเป็นการกินข้าวร่วมโต๊ะครั้งแรกของเรา ยิ่งเป็นในห้องเขา และอาหารฝีมือเขา...

สารภาพว่าผมเผลอให้ตัวเองลิงโลดขึ้นมาชั่วขณะ ก่อนจะเกิดคำถามว่าผมเป็นคนที่เท่าไหร่ที่ได้กินมัน เขาเคยทำเมนูเดียวกันนี้ให้ใครกินบ้าง... อย่างน้อยก็คงพี่ปา...

“ไม่ชอบเหรอ” กว่าจะรู้ว่าเผลอทำหน้าไม่พอใจ ก็ตอนที่เขาเอ่ยทักเมื่อเห็นผมเอาแต่ใช้ส้อมม้วนเส้นไปเรื่อยๆ ไม่ยอมกินมัน

“มึงจะต้มมาม่าก็ได้” พอผมไม่ตอบเขาเลยเสนอ สีหน้าที่คล้ายเป็นกังวลของเขาทำให้ผมประหลาดใจ

“ปกติกูทำกินเอง ไม่รู้หรอกว่าคนอื่นชอบรสชาติยังไง” ยิ่งประหลาดใจกับประโยคต่อมา

...ยังกับอ่านใจกันออกเลยนะ

“หึ” ผมหลุดหัวเราะ เสียงดังพอให้เขาเลิกคิ้วสงสัย แต่แทนที่จะตอบว่าหัวเราะทำไม ผมตักสปาเกตตี้คำโตเข้าปากแล้วเอ่ยในสิ่งที่ทำให้พ่อครัวยิ้มออกมา “ผมชอบมัน”






ทุกอย่างดูราบลื่นและเป็นธรรมชาติเกินไป จนน่ากลัวว่าในความเรียบง่าย เขาอาจซุกซ่อนมีดแหลมไว้

หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จเขาก็เก็บจานไปล้าง ไล่ผมไปทำงาน เปิดเพลงเพื่อไม่ให้บรรยากาศในห้องเงียบเกินไป น่าแปลกที่เขาไม่ได้ไล่ผมกลับขึ้นไปยังส่วนรับแขก ซ้ำยังอนุญาตให้ผมใช้ห้องนั่งเล่นด้านล่างทำงานได้ ชิ้นส่วนของโมเดลที่กระจัดกระจายเต็มพื้นไม่ได้ทำให้เขาหงุดหงิดหรือต่อว่าอะไร เจ้าของห้องยังใช้ชีวิตราวกับว่าไม่มีผมนั่งอยู่ให้รกหูรกตา

อากาศธาตุ... อืม คำนี้คงบอกสถานะตอนนี้ของตัวเองได้

“สูบบุหรี่ได้มั้ย” และก่อนที่จะกลายเป็นอนุภาคเล็กจ้อยไร้ความหมาย ผมควรทำให้เขารู้ว่าตัวเองยังมีตัวตน

“เมื่อเย็นมึงเพิ่งสูบ” ได้ผล... คนที่วุ่นวายอยู่กับกีตาร์ในมือเงยหน้าขึ้นมามอง เตือนผมถึงปณิธานที่ตัวเองตั้งไว้

บุหรี่วันละมวน... ผมอนุญาตให้ตัวเองได้เท่านั้น แรงจูงใจในการหักดิบคือการมีเขามาทรมานร่วมกัน
 
“อา...” แกล้งส่งเสียงเหมือนนึกขึ้นได้ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ

จะลืมได้ยังไงในเมื่อผมเองที่ลากเขาเข้ามาด้วยคำท้าทาย... และเขายอมตกลงเพื่อทำลายคำปรามาสของผมที่บอกว่าเขาจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีมัน

“อยากได้กาแฟจัง” ผมลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย ถือวิสาสะเดินไปที่ครัวมองเครื่องชงกาแฟที่ตั้งอยู่บนเคาน์เตอร์อย่างเก้ๆ กังๆ

“ไปนั่งรอไป” เจ้าของห้องเดินมายืนข้างๆ ดันให้ผมหลีกทาง เปิดตู้เหนือหัวแล้วหยิบผงกาแฟออกมาพร้อมแก้วสองใบ 


ผมปล่อยให้เขาวุ่นวายอยู่กับมันแล้วหันไปหยิบน้ำเปล่าออกมาจากตู้เย็น ดื่มมันจากขวดแล้วหันกลับมายืนมองแผ่นหลังกว้างที่กำลังรอเครื่องชงกาแฟทำงาน เสียงเครื่องจักรดังแทรกเสียงเพลงอยู่ไม่นาน เขาก็หันพร้อมเอสเพรสโซ่ร้อนๆ หอมกรุ่นในแก้วเซรามิคทรงสวย

มันช่าง... เป็นธรรมชาติเกินไป

ถ้าเขาตะขิดตะขวงใจกับการมีอยู่ของผมสักนิด ถ้าเราแสดงความประดักประเดิดใส่กันสักหน่อย ผมคงไม่คิดมากอย่างนี้

มันแย่ตรงที่ ผมชอบมัน... ชอบทั้งที่รู้ว่านี่มันอันตราย

“ผมอยากได้สระว่ายน้ำแบบนี้ในห้องบ้าง” ผมปัดความรู้สึกเหล่านั้นออกไป หยิบกาแฟมาจิบเพียงครั้ง แล้วผละออกมา เบี่ยงเบนความสนใจตัวเองด้วยสระไว้น้ำสีมรกตที่กำลังสะท้อนแสงจันทร์

หน้าต่างที่สูงจรดเพดานทำให้พระจันทร์ดวงโตดูใกล้จนคล้ายกับว่าผมจะแตะมันได้เพียงเอื้อมมือออกไป

ทั้งที่ในความจริงมันเป็นไปไม่ได้...

“ว่ายน้ำไม่เป็นแล้วจะมีสระว่ายน้ำไปทำไม” 

แต่แล้วคำตอบของเขาทำให้ผมชะงักฝีเท้าที่กำลังแตะลงไปบนผิวน้ำ หันกลับไปมองร่างสูงที่ยังอยู่ในครัวอย่างตกใจ เขาหันหลังอยู่คงไม่รู้ว่าผมกำลังมีสีหน้าแบบไหน

...คงไม่รู้ตัว ว่าคำพูดเพียงผ่านของตัวเองกลายเป็นคำเฉลยของปริศนาที่ผมยังหาคำตอบไม่ได้
   
ยังจำได้ไหมที่ผมบอกว่าคำพูดร้ายๆ ของเขามันกระตุ้นให้ระแคะระคาย... คนเราเลือกความทรงจำไม่ได้ และในเมื่อเขาไม่ได้ความจำเสื่อม เหตุผลก็เหลือข้อเดียว...
   
เขาโกหก
   
ตูม!
   
และตอนนี้ผมรู้แล้วว่าจะพิสูจน์มันยังไง
   
“พิชญ์!” เสียงตะโกนเรียกชื่อผมดังขึ้นหลังจากเสียงผิวน้ำแตกกระจาย ร่างของผมหนักอึ้งด้วยมวลของเหลวที่โอบอุ้มรอบกาย... ไม่คิดดิ้นรนตะเกียกตะกาย ปล่อยให้มันกระชากผมสู่ก้นสระ ฉุดรั้งให้จมดิ่งลงไป กินระยะเวลานานพอจะทำให้รู้ว่าน้ำมันลึกกว่าที่ผมคิดไว้
   
ไม่ต้องห่วง... ผมจะไม่เป็นไร
   
ตูม!
   
ยืนยันได้จากเสียงผิวน้ำที่แตกกระจายอีกครั้ง ร่างของใครอีกคนแหวกผืนน้ำดำดิ่งตามลงมาในเวลาอันรวดเร็ว ผมเงยหน้าขึ้นไป... เห็นเงาของเขาบดบังแสงไฟ
   
ภาพในอดีตย้อนเข้ามา... ภาพในวันที่ผมเกือบถูกพญามัจจุราชพรากวิญญาณไป ไม่เคยลืมว่าใครคือคนเอื้อมมือมาคว้าร่างผมไว้ ยื้อชีวิต... คืนลมหายใจ

ไม่เคยลืมว่า ‘เขา’ คือคนที่ฉุดรั้งผมขึ้นมาจากความตาย

แต่คราวนี้สถานการณ์มันแตกต่าง... และผมยังไม่จนตรอกถึงขนาดต้องใช้ชีวิตตัวเองพิสูจน์อะไร

ผมมองร่างที่แหวกว่ายลงมาแล้วเริ่มนับถอยหลัง

บอกแล้วไงว่าผมจำได้ดีว่าการจมน้ำมันทรมานแค่ไหน... สิ่งเดียวที่จะทำให้ผมหลุดพ้นจากความทรมานนั้นได้ คือการหัดว่ายน้ำให้เป็น

"...!" ไม่แปลกใจเลยที่เห็นผู้ช่วยชีวิตเบิกตากว้างมองผมที่เป็นฝ่ายถีบตัวเองขึ้นไปหาก่อนที่เขาจะว่ายมาถึงตัว ฟองอากาศพรั่งพรูเมื่อผมหยุดกลั้นหายใจ แทรกตัวระหว่างใบหน้าอีกคนที่ดูตกตะลึงเมื่อผมไม่มีท่าทีของคนใกล้ตาย...

วินาทีต่อมาเขาคงรู้ตัวว่าโดนหลอกเข้าเต็มเปา คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันขณะที่ผมลอบยิ้มพลางเอื้อมมือไปประคองใบหน้าเขา... สีหน้างุ่นง่านยิ่งทำให้ผมอดใจไม่ไหว ตัดสินใจทำตามความปรารถนาที่ตัวเองกักเก็บไว้ พรูลมหายใจเฮือกสุดท้าย
...แล้วประกบริมฝีปากลงไป

ลงโทษคนโกหกด้วยการขโมยอากาศหายใจ

"...!"

ในทีแรกเขาคล้ายจะตกใจ แต่ไม่มีทีท่าจะผลักออกหรือถอยหนี ซ้ำยังคล้อยตามเมื่อริมฝีปากที่แตะกันนำพาสู่รสจูบลึกล้ำ... ตักตวงช่วงชิงลมหายใจกันและกันอย่างไม่กลัวว่าจะสำลักตาย

และก่อนที่จะจมดิ่งลงไปอีกครั้ง มือข้างหนึึ่งของเขาก็เอื้อมมารั้งร่างผมไปกอดไว้... ค่อยๆ พาแหวกว่ายขึ้นไปทั้งที่ริมฝีปากยังคงสัมผัส...แนบสนิทอยู่อย่างนั้น กระทั่งผุดขึ้นมาปะทะกับอากาศบริสุทธิ์เหนือผิวน้ำ

เราผละออกจากกัน เสียงหอบหายใจของอีกฝ่ายดังชัดเมื่อหน้าผากยังคงแนบชิด... ใกล้พอให้ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีรัตติกาลเพื่อเฉลยว่าเขากำลังติดกับ

“ผมไม่เคยบอกใครว่าว่ายน้ำไม่เป็น”

“...”

“ทีนี้... เราจะเลิกเล่นเป็นคนแปลกหน้ากันได้หรือยัง"   

เกมนี้ผมชนะ...






‘มึงโง่หรือไง’ นั่นไม่ใช่คำถามที่ผมคิดว่าจะได้ยินหลังจากลืมตา 

‘ว่ายน้ำไม่เป็นจะกระโดดลงไปทำไม’ น้ำเสียงหยาบกระด้างที่ไม่เข้ากับซะเลยกับฝ่ามือหนาที่กำลังลูบหัวผมราวปลอบประโลม

‘หมาว่ายน้ำได้มึงไม่รู้หรือไง’

เรื่องมีอยู่ว่าผมเห็นลูกหมาตัวหนึ่งตกน้ำเลยหวังดีจะช่วยชีวิตมัน... ผมไม่ได้โง่กระโดดลงไป แต่การพลาดพลั้งพลัดตกลงไปก็ฟังดูโง่ไม่น้อยไปกว่ากัน 

ผมว่ายน้ำไม่เป็น เลยเกือบจมน้ำตาย... โชคดีที่พี่เตมาช่วยไว้ 

‘มันยังเล็ก อาจจะหมดแรงก่อนถึงฝั่งก็ได้’ ผมเถียง แต่พี่ส่ายหน้าท่าทางเหนื่อยหน่าย

‘ถ้ากูมาไม่ทันจะเป็นยังไง’ สีหน้างุ่นง่านทำให้ผมหัวเราะ ดึงมือที่ลูบหัวลงมาแนบแก้มตัวเองไว้

‘ดีจังที่พี่มาทัน’ ท่าทางไม่สะทกสะท้านทำให้พี่ยิ่งขมวดคิ้ว ก่อนจะถอนหายใจ

‘แล้วมันเป็นไงบ้าง’ ผมเอ่ยถาม ปล่อยให้นิ้วโป้งเกลี่ยแก้มไปมา

‘กูเอาไปปล่อยวัดแล้ว’ 

‘...’

‘กล้าดียังไงเกือบฆ่าแฟนกู’ หลุดหัวเราะออกมาอีกครั้งเพราะรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง

ถึงจะไม่ใช่เจ้าของ แต่เขาก็เฝ้าเลี้ยงมันมานาน ทะนุถนอมเกินกว่าจะให้โทษหนักกับมัน
   
รู้ดีว่าสิ่งมีชีวิตเล็กๆ นั้นสำคัญแค่ไหน ผมเลยไม่ลังเลที่จะช่วยมันไว้
   
ถึงจะพลาดจนเกือบตายแต่ก็ไม่นึกเสียใจ
   
‘พิชญ์’
   
‘...’ ถึงไม่ต้องพูดผมก็เดาได้ว่าพี่กำลังจะบอกอะไร
   
‘ขอบใจ’ แต่การได้ยินจากปาก ก็น่าดีใจกว่าเป็นไหนๆ

‘ไม่เป็นไร’ ผมยิ้ม รู้สึกว่าใบหน้าร้อนจัดทั้งที่อากาศออกจะเย็น พี่คงสังเกตเห็นมัน ถึงได้หัวเราะเบาๆ สบตาผมด้วยสายตาอ่านยากก่อนจะย้ายขึ้นมานั่งข้างกันบนเตียง

‘ก่อนหน้านี้มึงดันฟื้นเร็วเลยไม่ทันได้ผายปอดให้’

‘...’ ผมได้แต่ชะงักงันตอนที่พี่โน้มตัวลงมาจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ

‘หวังว่าจะยังไม่สายไป’   

‘...’ แทบหยุดหายใจตอนที่ริมฝีปากร้อนจัดทาบลงมา...

จูบแรกของเราคือการผายปอดที่อยู่นอกตำรา...

จำได้ว่าตกใจแค่ไหนตอนที่เรียวลิ้นชื้นแทรกเข้ามา ได้แต่ทักท้วงในใจว่าจูบแรกของพี่มันร้อนแรงเกินไป ความไม่ประสีประสาทำให้หัวใจเต้นโครมครามจนน่ากลัวว่ามันจะทำให้ผมตาย เผลอขยุ้มอกเสื้อคนที่คร่อมอยู่เหนือร่างตัวเองไว้แน่น จนได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอก่อนพี่จะถอนริมฝีปากออกปล่อยให้ผมได้ตั้งตัว

'พิชญ์' ดวงตาที่ผมหลงใหลจ้องมาในระยะที่ทำให้ผมไม่กล้าหายใจ ก่อนกดริมฝีปากลงมาอีกครั้ง... คราวนี้เพียงจูบแผ่วเบา พร้อมกระซิบถ้อยคำที่ฝังตรึงลงมาในใจ

‘ขอบคุณที่ปลอดภัย’













-------------------------------------------------------------
ทุกครั้งที่เขียนเรื่องนี้มักจะมีความกังวลแปลกๆ เกิดขึ้นมา
อยู่ๆ ก็ไม่มั่นใจว่ามันจะดีอะไรทำนองนั้นน่ะค่ะ 5555
ดังนั้นติดขัดหรือบกพร่องตรงไหนรบกวนบอกหน่อยนะคะ น้อมรับไปแก้ไขเสมอเลยค่ะ
ฝาก #เกมท้ารัก ด้วยน้า

ขอบคุณมากๆ ที่ยังอยู่ด้วยกัน  :L2:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 6 P.2 [12.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: elephantisme ที่ 12-11-2017 09:07:20
ชอบบอะ เหมือนตกไปอยู่ใช่วงความรู้สึกลึกๆอะ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 6 P.2 [12.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 12-11-2017 09:45:05
พิชญ์สู้เขาาาาา
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 6 P.2 [12.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: prawan25 ที่ 12-11-2017 14:34:02
อือออออ!!! ทำไมพี่เตเป็นคนแบบนี้
คนที่ทำให้หลงรักได้ในทุกครั้งที่อ่านเลย หงุดหงิดใจ !!!! 55555.

เข้าใจหนูพิชญ์และทำไมไปไหนไม่รอด -.-
เพราะความโอนโยนที่มีมาให้ในทุกๆครั้งเนี่ยแหละค่ะ =___=

ชอบบรรยายมาก ชอบสำนวนในเรื่องด้วย
คือลึกซึ้งและละเมียดละไลมากเลยค่ะ คือดีต่อใจเรามากจริงๆ :impress2:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 6 P.2 [12.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 12-11-2017 14:40:38
ชอบการดึงไปดึงกลับของอดีตและปัจจุบัน มันดูเป็นหนึ่งเดียว ลุ้นตลอดของการดำเนินเรื่อง เก่งจังค่ะ o13 o13
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 6 P.2 [12.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 12-11-2017 19:41:56
หลงรักเรื่องนี้มาก
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 6 P.2 [12.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 12-11-2017 20:44:22
ปัญหาของเรื่องนี้อยู่ที่พี่เตคนเดียว อยู่ที่ว่าพี่เตจะทำให้เรือมันไปทางไหน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพี่เตหมด คนไม่อ่อนโยนนนนนน !!
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 6 P.2 [12.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 13-11-2017 23:52:37


เนี่ยๆ เรารู้แล้วว่าทำไมเราเกลียดพี่เตไม่ลง
เพราะพี่เตเป็นคนอ่อนโยนแบบนี้!!!  :hao5:

ตอนนี้พี่เตน่ารักมาก แสนดีมาก ฮือออออออ สมแล้วที่เราให้ใจเขามาตลอด 5555555
ไม่คิดว่าคนอย่างพี่เตจะทำอาหารเป็นด้วย แง อยากชิมสปาเก็ตตี้ฝีมือพี่เตจังเลยค่ะ
อยากไปนั่งปั่นงานแล้วโดดสระว่ายน้ำในห้องพี่เตด้วย ฮืออออออออออ

อิจฉาน้องพิชญ์ >___<

เอาจริง ชอบที่น้องพิชญฺ์เริ่มรู้ทันพี่เตบ้างอะ
ตอนพี่เตโดนหลอกว่าน้องว่ายน้ำไม่เป็นนี่แบบ ว้าย! โดนน้องหลอกบ้างแล้ว กิ๊วๆๆๆ
ลงโทษน้องเลย! ลงโทษน้องเลย! (นี่ชุ้นหวังอะไร กรี๊ดดดดดดดด)

พี่เตคนก๊าวก็ยังมีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนต่อไป
แต่เรามองเห็นความรู้สึกที่แง้มออกมาทีละนิดบ้างแล้วนะ :'))


รอตอนหน้าาาาาาาาา

หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 6 P.2 [12.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 14-11-2017 04:09:52
มันเป็นเรื่องจริงนะคะ ที่ว่าไใสำคัญก็ไม่จำ เราก็เป็น แต่นานๆทีก็จะนึกขึ้นมาได้ แต่พี่เตดูไม่ได้เป็นแบบนั้นนี่นา.. ดูออกจะจำได้ดี
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 7 P.2 [28.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 28-11-2017 00:14:15
7


“จำได้ตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมเอ่ยถามหลังจากที่เราปีนขึ้นมาทิ้งตัวนอนราบที่ขอบสระ ขาทั้งสองข้างแช่อยู่ในน้ำเย็นเฉียบ เสื้อผ้าเปียกจนรู้สึกหนาวแต่กลับไม่มีใครใส่ใจ

“วันที่ไปห้องมึง” เขาไม่ได้ตอบในทันที แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีครุ่นคิด น้ำเสียงสงบนิ่งขณะที่สายตาทอดมองพระจันทร์ดวงโตนอกหน้าต่าง

จากตรงนี้มันสวยซะจนไม่อยากละสายตา แต่ผมกลับเลือกที่จะหันกลับมามองเสี้ยวหน้าได้รูปของคนข้างกายที่งดงามกว่า

นึกอิจฉาที่สภาพม่อล่อกม่อแลกไม่ได้ทำให้ความหล่อเหลาลดลง ซ้ำประกายของหยดน้ำที่เกาะพราวยามต้องแสงยิ่งทำให้ใบหน้านั้นเปล่งประกาย เสื้อยืดสีขาวที่เปียกแนบร่างขึ้นลอนของกล้ามเนื้อให้เห็นจางๆ ชวนให้จินตนาการถึงยามที่ผมลากนิ้วไปตามรอยตำหนิแสนงดงามบนร่างกายกำยำ 

อยากเห็นมันอีก... แต่ผมก็ยับยั้งความต้องการนั้นไว้ภายใต้น้ำเสียงติดตลกไม่จริงจัง

“ตอนจูบ?” พยายามเรียกร้องความสนใจจากดวงตาคู่สวย แต่เขาไม่ได้มองกลับมา เพียงหัวเราะ และจดจ้องแสงนวลอยู่อย่างนั้น

อย่างน้อยก็ไม่ได้ปฏิเสธล่ะนะ

“ผมคาดหวังคำตอบว่าตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน แต่จำรสจูบได้ก็ฟังดูโรแมนติกดี” แกล้งตามน้ำ กำลังจะหันไปมองยังจุดเดียวกันอีกครั้ง แต่คราวนี้เขากลับหันมาสบตา พลิกตัวนอนตะแคง มองหน้าผมนิ่งนานอย่างพิจารณา

“มึงเปลี่ยนไปมาก...” ผมลอบกลืนน้ำลาย เมื่อเจ้าของดวงตาสีรัตติกาลเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ ยกมือข้างหนึ่งเกลี่ยผมที่ปรกหน้าสะเปะสะปะออกไป

“ผมยาว...”

นึกสมเพชตัวเอง แค่นั้นก็ทำให้เขาจำไม่ได้แล้วหรือไง?

เหมือนรู้ว่ากำลังคิดอะไร เรียวนิ้วเย็นเฉียบจึงเลื่อนมาลูบผิวแก้มผม พร้อมกับจ้องลึกเข้ามาในดวงตา

“แล้วก็แววตา...” คำตอบน่าประหลาดใจถูกเอ่ยออกมา

“...”

“เมื่อก่อนมึงอ่อนโยนกว่านี้”

น้ำเสียงจริงจังทำให้ผมถึงกับหลุดขำ แกล้งเลิกคิ้วข้องใจ “ฟังดูไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่ดี”

“ไม่หรอก” แต่เขากลับยิ้ม ปฏิเสธด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คล้อยตามได้สนิทใจ “การอ่อนโยนเกินไปต่างหากที่ไม่ดี”

สายตาที่จ้องมาทำให้ผมไม่คิดถามว่าหมายความว่ายังไง ได้เพียงเบือนหน้าหนีกลับไปยังดวงจันทร์

“แล้วทำไมถึงไม่บอกว่าจำได้” นานนับนาทีกว่าจะกล้าหันกลับมาสบตาเขาใหม่ เอ่ยคำถามที่ยังค้างคาใจ

แต่อีกฝ่ายกลับยอกย้อนด้วยน้ำเสียงขบขัน “แล้วทำไมมึงถึงไม่บอกว่าจำกูได้”

“...”

“คนที่รู้ตัวก่อนคือมึงไม่ใช่หรือไง” ฝ่ามือหนาที่เพิ่งละออกไปทาบลงมาบนใบหน้าของผมอีกครั้ง... คราวนี้มันอุ่นกว่าเดิม...

นั่นสิ ทำไมกันนะ?

คงเป็นอย่างที่เขาบอก... ผมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

“อยากรู้ว่ามึงจะทำอะไร” เกือบจะถอดใจปล่อยประเด็นนี้ไป แต่คำตอบถูกเอ่ยออกมาง่ายดาย... และผมแน่ใจว่าเห็นความวูบไหวในดวงตาสีรัตติกาล

ความหวั่นไหวเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น กลับทำให้ผมคายคำตอบออกมาเช่นกัน

“ผมอยากเริ่มต้นใหม่” แน่นอน... มันไม่ใช่ความลับอะไร การบอกให้เขารู้ตัวไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ผมกังวล

เช่นกัน คำถามว่าจำได้หรือไม่ได้ไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดจะใส่ใจ

เพราะต่อให้เขาจะจำผมได้หรือเปล่าผมก็จะทำแบบเดิม... จะหาทางเริ่มต้นใหม่

ไม่แน่ใจเหตุผลนักหรอกว่าทำไม จะเรียกว่ายึดติดก็คงได้ล่ะมั้ง

“กูไม่เคยกลับไปคบคนเก่า” เดาไม่ยากนักหรอกว่าเขาจะเอ่ยอะไร คำพูดร้ายๆ ที่ใช้ผลักไส... แต่ขณะเดียวกันก็คล้ายกับท้าทาย

“คนเราต้องมีครั้งแรกทั้งนั้น”

เหมือนกับสายตาของเขาตอนนี้ที่ฉายแววไม่พอใจในคำตอบของผม ขณะเดียวกันก็เจือปนด้วยความกระหาย... ใคร่รู้ว่าผมจะหาวิธีอะไรมาเอาชนะกฎสัมพันธ์อันตายตัวของเขาได้

“พี่จะรักผม” อาจหาญปฏิญาณออกไป และคงใช้ดวงตามั่นใจจนน่าหมั่นไส้ เขาถึงได้หัวเราะเย้ยหยัน ดวงตาสีรัตติกาลจ้องลึกเข้ามานิ่งนานอีกครั้ง... คราวนี้มันอ่านยากเกินจะเข้าใจ

“...” ผมได้แต่นอนนิ่งมองใบหน้าพระเจ้าปั้นที่ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ สบตาจนกระทั่งสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากลมหายใจ สันจมูกสัมผัสกัน ก่อนที่เขาจะจรดหน้าผากลงมาแตะหน้าผากผม แล้วหลับตา
   
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าการกระทำนี้มีความหมายอะไร ...แต่มันทำให้หัวใจเต้นแรง

“พิชญ์”

“...” แต่เตวิชญ์ไม่เคยทำให้ผิดหวัง

“อย่าดันทุรัง” ผมน่าจะจำได้แล้วว่าอย่าระเริงกับความหวังที่เขาหยิบยื่นให้ เพราะเขาพร้อมทำลายมันในเสี้ยววินาที

เพราะแบบนี้มันถึงได้เจ็บกว่าการไม่ได้รับความหวังใดๆ

“พิสูจน์มั้ย”

แต่ถูกของเขา ผมดันทุรังเกินกว่าจะยอมแพ้ง่ายๆ

เขาไม่ได้ตอบอะไร ลุกขึ้นนั่งมองตามผมที่ลุกขึ้นเดินไปที่ขอบสระอีกครั้งแล้วหมุนตัวกลับมา

“ท้าหรือจริง” ใช้โควต้าเล่นเกมของวันนี้โดยไม่สนใจว่ามันยังเช้าเกินไปจนผมอาจพลาดโอกาสเล่นมันในเวลาที่ดีกว่า

...แต่จะมีโอกาสไหนดีกว่านี้ล่ะ

“ท้า”

โอกาสที่ผมจะได้ยืนยันว่าทางที่เดินมามันใช่

“ปล่อยผมไป”

ไม่จำเป็นต้องอธิบายถึงความหมายผมก็รู้ว่าเขาเข้าใจ เพียงสบตาเขา... ทิ้งความท้าทายไว้แล้วก้าวถอยหลัง

ตูม!

เสียงร่างกายกระทบผิวน้ำเย็นเยียบอีกครั้ง ปล่อยให้ผืนน้ำโอบรัดและฉุดรั้งลงไป... ไม่คิดกระเสือกกระสนแหวกว่าย

กระทั่งฝ่าเท้าสัมผัสได้ถึงพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบไม่ต่างกัน ผมลืมตา เงยหน้ามองขึ้นไปเหนือผิวน้ำ จับจ้องยังเงาของร่างสูงที่กระทบแสงไฟทอดตัวลงมา... ผมไม่คิดว่าตัวเองจะทำ แต่ในใจเริ่มภาวนาให้เขากระโดดลงมาทั้งที่รู้ว่ามันไม่จำเป็น

เตวิชญ์รู้จักผมจนรู้ว่าผมจะไม่ปล่อยให้ตัวเองตาย เมื่อเผยไต๋ว่าว่ายน้ำได้ เขาคงรู้ว่าผมจะไม่โง่อยู่รอเขาจนกระทั่งหมดลมหายใจ...

แน่นอนว่าผมกำลังนับถอยหลัง... อีกไม่กี่วินาทีผมจะกลับขึ้นไป ทำตามคำพูดเขา... อย่าดันทุรัง

ตูม!

แต่ผมก็รู้จักเขาดีจนรู้ว่าเขาจะไม่ปล่อยให้มันเป็นแบบนั้น...

เชื่อสิว่าสิ่งที่ทำให้เขาไม่กระโดดลงมาไม่ใช่เพราะลังเลใจ...ผมเห็นคำตอบตั้งแต่ก่อนที่เท้าจะสัมผัสผมน้ำด้วยซ้ำ แต่เขาแค่ถ่วงเวลา หลอกล่อให้ผมหวั่นไหว... เหนื่อยอ่อนจนใกล้ยอมแพ้แล้วค่อยหยิบยื่นความหวังมาใหม่

เอื้อมมือมาฉุดรั้งผมขึ้นไป...

ต่างก็ตรงที่คราวนี้เขาดูจะไม่สนุกกับมัน ดวงตาที่สบกันใต้น้ำฉายแววงุ่นง่านคล้ายกับไม่พอใจการตัดสินใจของตัวเอง คิ้วเข้มขมวดมุ่นแสดงความตำหนิ ก่อนที่ฝ่ามือทั้งสองข้างจะเอื้อมมาประคองใบหน้าผมทั้งที่ยังดูหงุดหงิด

ผมแกล้งยิ้มยียวน รู้ดีว่าเขากำลังจะทำอะไรถึงได้หลับตาลง... ปล่อยให้ริมฝีปากนุ่มหยุ่นฝังประทับ ลงโทษความดื้อรั้นของผมด้วยการพรากลมหายใจ

ริมฝีปาดบดเบียดรุนแรงขณะที่อ้อมแขนแกร่งยึดร่างผมไว้ กระชากผ่านสายน้ำ นำพาเราขึ้นสู่ขอบสระอีกครั้ง ตอนนั้นเองที่ผมรู้ตัวว่าตัวเองกอดเขาไว้เช่นกัน

อ้อมกอดที่แน่นเกินจำเป็นเพื่อหวังจะเหนี่ยวรั้ง...

ทั้งที่เห็นผลชัดเจนว่าเขากำลังตกหลุมพราง การที่เขายอมกระโดดลงมาช่วยยืนยันว่าทางที่ผมเดินมานั้นใช่ แต่ผมกลับยังรู้สึกหวั่นไหว... ตระหนักดีว่าต่อให้ว่ายน้ำได้ แต่ความหนาวเหน็บและผืนน้ำที่คล้ายจะโอบรัดจนแทบหายใจไม่ออกไม่เคยทำให้ผมเย็นใจ

เพราะแบบนั้นชั่วขณะที่ผมรู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายชนะ จึงเป็นชั่วขณะที่เดียวกับที่ผมได้ยินเสียงตัวเองภาวนา

อย่าจมลงไปอีก...

มันจะไม่มีคราวหน้า

   




‘ไม่เบื่อหรือไง’
   
ผมละสายตาจากสมุดสเกตที่ใช้ลักลอบบันทึกใบหน้าหล่อเหลาไว้ ก้มมองพี่ที่ใช้ตักผมหนุนต่างหมอนพลางเลิกคิ้วไม่เข้าใจ

‘หมายถึงอะไร’

คนที่นอนตะแคงเปลี่ยนกลับมานอนหงาย จ้องหน้าผมสีหน้าคล้ายข้องใจ ‘มึงไม่เคยขอให้กูพาไปไหน’

ผมนั่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะหลุดหัวเราะ ปิดสมุดสเกตแล้วยกมันขึ้นมาบังแสงจ้าที่ลอดช่องระหว่างใบไม้ลงมากระทบใบหน้าหล่อเหลาให้

‘ผมไม่ได้อยากให้พี่พาไปไหน’ มันไม่ใช่คำโกหกซะทีเดียว ในเมื่อตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ผมจะเรียกร้องอะไร

ต้องอยู่ในที่ของตัวเอง เปิดเผยตัวตนไม่ได้... กฎของการเป็นคนในความลับคือแบบนี้ไม่ใช่หรือไง
   
ตราบใดที่มันยังทำให้พี่สนใจ ผมจะออกจากตรงนี้ไม่ได้ การก้าวสู่แสงสว่างเร็วเกินไปผมจะถูกทำลาย... ถูกกลืนหายไปไม่ต่างจากใครต่อใครที่มุทะลุเข้ามาในความสัมพันธ์
   
‘พรุ่งนี้ไปกินข้าวกัน’ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำชวนนั้นช่างเย้ายวน
   
‘...’ ผมขมวดคิ้วลังเลใจ ไม่กล้าตอบในทันทีเพราะมันขัดกับสิ่งที่ตั้งใจไว้ แต่พี่เหมือนเตรียมคำตอบไว้ให้แล้วถึงได้ไม่สนใจจะรอ แบฝ่ามือออกขอสิ่งที่ฝากผมไว้เพราะชุดบาสที่พี่สวมใส่ไม่มีที่สำหรับเก็บมัน
   
ผมล้วงบุหรี่ยี่ห้อแพงออกจากกระเป๋า วางลงบนมือเขาพร้อมไฟแช็กตัวเก่า

‘พี่ไม่กลัวถูกจับได้หรือไง’ เอ่ยถามขณะที่เขาดึงบุหรี่มวนสุดท้ายมาคาบไว้ในปาก ดวงตาสีรัตติกาลจึงย้ายมาหยุดที่ดวงตาผมอย่างประหลาดใจ
   
‘มันผิดกฎ’ ผมยักไหล่ ไม่ได้เอ่ยอีกเหตุผลที่ว่าการทำความรู้จักกับนิโคตินเร็วเกินไปอาจทำให้พี่ตายก่อนวัย
   
เขายิ้มขำไม่ใส่ใจ ก่อนจุดไฟทั้งที่ยังวางศีรษะไว้บนตักผม
   
‘เด็กดี’ เห็นได้ชัดว่านั่นคือคำประชดประชัน
   
ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้ผมหน้าร้อนขึ้นมา... หวั่นไหวง่ายจริงนะ
   
‘แต่ไอ้นี่ก็ผิดกฎไม่ใช่หรือไง’ และหน้าร้อนยิ่งกว่าเมื่อเขาเอื้อมมือมาสัมผัสใบหูของผมเบาๆ

หูข้างซ้ายที่มีห่วงสีเงินสามวงประดับไว้ตามแนวใบหู เครื่องประดับผมใช้ต่อต้านกฎค่ำครึไปพร้อมๆ กับใช้มันประกันว่าความลับของเขาจะไม่ถูกแพร่งพราย
   
‘ชู่ว’ ผมแกล้งเบิกตากว้าง ส่งเสียงให้เงียบไว้ พี่หัวเราะเบาๆ ก่อนจะสูดควันเข้าปอดอีกครั้งท่าทางสบายใจ
   
ผมมองใบหน้าที่อยู่ต่ำกว่า คิดกับตัวเองว่าควรสเกตภาพนี้เก็บใส่สมุดไว้
   
แต่คิดอีกที ผมเลือกที่จะบันทึกมันด้วยสายตา
   
‘มีอย่างอื่นที่ดีกว่าบุหรี่นะ รู้มั้ย’ ...ไล่มองทุกองค์ประกอบบนใบหน้ากระทั่งหยุดที่ริมฝีปากบาง
   
‘อะไร’ คลี่ยิ้มเมื่อพี่เอ่ยถาม ก่อนจะถือวิสาสะคีบบุหรี่มวนโปรดออก โน้มตัวลงไปหา... แล้วจรดริมฝีปากลงไป
   
จุมพิตอ่อนหัดที่ไม่กล้าแม้แต่จะล่วงล้ำ ความประหม่าทำให้เพียงได้แต่กดทาบไว้อย่างนั้น ก่อนจะถอนจูบออกมาอย่างเก้กัง

‘อุกอาจจังนะ’ ทั้งที่ตั้งใจจะทำให้พี่ประหลาดใจ แต่ดวงตาคู่สวยกลับเต็มไปด้วยความขบขัน
   
‘คราวหน้าจะดีกว่านี้’ ไม่ใช่ข้อแก้ตัวที่ดี แต่คำพูดในหัวผมมีเท่านี้
   
‘เหรอ’ แต่ความมั่นใจของผมกลับหดหายไปทุกที เมื่อพี่เลิกคิ้วล้อเลียน แต่ก่อนที่ผมจะเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง พี่กลับหัวเราะออกมา

‘งั้นเดี๋ยวสอนให้’ ดวงตาสีรัตติกาลเป็นประกายวาว ก่อนจะยกมือขึ้นกระดิกนิ้วเรียกผมสองสามที
   
‘หึ’ ผมมองการกระทำนั่นอย่างงุ่นง่านไม่พอใจ แต่สุดท้ายก็หัวเราะอย่างยอมจำนน โน้มตัวกลับลงไป จรดริมฝีปากลงบนริมฝีปากบางที่ยังคงคลี่ยิ้มร้าย... ปล่อยให้พี่เป็นฝ่ายรุกล้ำ พร้อมล่อลวงให้ผมรุกไล่...

จูบอ่อนหัดค่อยๆ เพิ่มดีกรีความร้อนจนแทบหลอมละลาย

เพียงชั่วเวลาที่บุหรี่เผาไหม้ถึงก้นกรอง... พี่สอนให้ผมรู้ว่าจูบที่แท้จริงเป็นยังไง

รสจูบที่ผมตั้งใจจะใช้มันตรึงพี่ไว้... กลายเป็นสารเสพติดไร้ควัน ที่พี่จะต้องการมันยิ่งกว่านิโคติน






ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งในห้องชุดสุดหรูที่ว่างเปล่า...

สิ่งแรกที่เห็นหลังจากลืมตาคือโมเดลที่ผมทำเสร็จตอนใกล้เช้า แก้วกาแฟเปล่าสองใบ... ไร้เงาเจ้าของห้องที่นั่งอยู่ข้างกันกระทั่งผมหลับไป

สิ่งที่หลงเหลือไว้มีเพียงร่องรอยการมีอยู่ของเขา กลิ่นกายน่าหลงใหลจากเสื้อผ้าที่ผมยืมมา... ผ้าห่มหนาที่ไม่รู้เหมือนกันว่าถูกคลุมร่างไว้ตอนไหน ผมเรียกสติลุกขึ้นนั่งพร้อมกับในใจที่หวังว่าจะได้ยินเสียงฝีเท้าจากสักมุมของห้อง แต่ก็ไม่ ความจริงที่ว่าผมถูกทิ้งไว้ทำให้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

แอบคิดว่าถ้ามีกระดาษโน้ตสักแผ่นเขียนข้อความตัดเยื่อใยคงสมบูรณ์แบบ... แต่นั่นไม่ใช่วิถีของเขานี่นะ
   
‘อย่าดันทุรัง’
   
คำพูดที่คล้ายคำสั่งของเขาเมื่อคืนหวนกลับมาให้ผมรู้ว่าการทิ้งผมไว้ทั้งที่รู้ว่าผมจำเป็นต้องซ้อนมอเตอร์ไซค์เขากลับคือความจงใจ
   
ผมเหยียดยิ้ม ก่อนจะลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจพลางเดินไปเปิดตู้เย็นหาอะไรสักอย่างใส่ท้องอย่างไม่คิดเกรงใจ ใช้เวลาหย่อนใจสักพักก่อนที่ผมจะสวมปีกขึ้นมาใหม่แล้วเริ่มบิน...
   
มันเริ่มแล้วล่ะนะ เกมที่ผมจะต้องพาตัวเองเข้าสู่ความเสี่ยงที่จะปีกหักอีกครั้ง
   
กติกาก็คือ ผมเป็นผู้เล่นที่ต้องไล่ตามความหวัง ส่วนเขา...ทำลายมัน






----------------------------------------------------
พิชญ์ซ่อมปีกและพร้อมจะบินแล้วนะคะ
พร้อมจะบินไปกับน้องหรือยัง?

อยากติหรือขัดใจตรงไหนทิ้งคอมเมนต์ไว้ได้เลยน้า
ฝาก #เกมท้ารัก ด้วยนะคะ

 :L2:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 7 P.2 [28.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: prawan25 ที่ 28-11-2017 00:53:49
ฮือออออ!!

ความอบอุ่นที่แสนเย็นชาของพี่เต แบบนี้มันคืออะไรกันน!!
เหมือนจะใจอ่อนให้แต่การที่ทิ้งน้องพิชญ์ ดูใจร้ายมากกก 55555.

และตอนนี้รู้สึกว่าคนที่น่ากลัวว่าพี่เตคือน้องพิชญ์และ
แต่หนูต้องสู้ๆนะน้องพิชญ์ ทำให้พี่เตมาเป็นของเราให้ได้ 55555.
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 7 P.2 [28.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 28-11-2017 14:57:01
สู้เท่านั้นนน
 :hao5: :hao5: :hao5:

เอาให้พี่เรียกร้องหาเลย
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 7 P.2 [28.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 29-11-2017 06:39:30
สงสารพิชญ์ แงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 7 P.2 [28.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: mirage ที่ 29-11-2017 20:56:54
สู้ๆ น้องพิชญ์ ตอนแรกสับสนชื่อตัวละครนิดหน่อย ชอบนยายแนวนี้นะทำให้เราลุ้นว่าอีกฝ่ายคิดอะไร จะเป็นไงต่อ ทั้งสองคนดูรู้จักตัวตนของอีกฝั่งดี แต่น้องก็พร้อมจะตกลงไปอีกรอบ ดูหน่วงๆ แบบบอกไม่ถูก เอาใจช่วยน้องนะ ทำให้เขารู้ว่าเราเปลี่ยนไป(หรือเปล่า?) อยากอ่านด้านเตบ้าง ฮีคิดอะไรอยู่ ไม่ดิ อะไรทำให้กลับมาตรงนี้อีก เพราะสโลแกนคือไม่คบคนเก่า คือพอรู้ตัวก็อย่าสิ หรือเพราะมันน่าสนใจ เฮียเล่นกับความรู้สึกคนอื่นมากๆ ระวังวันหนึ่งโดนบ้างนะ สงสัยเรื่องอุบัติเหตุด้วย เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำ

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 7 P.2 [28.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 02-12-2017 08:23:10
รออยู่น๊าาาา :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 7 P.2 [28.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 02-12-2017 12:24:21
พี่เตจะทำปีกน้องหักกี่ครั้งเราก็พร้อมซ่อมปีกให้น้องบินขึ้นไปดันทุรังค่ะ //ตุนกาวตราช้างไว้
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 7 P.2 [28.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 03-12-2017 08:46:14
น้องพิชญ์สู้ๆนะ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 7 P.2 [28.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 04-12-2017 18:15:18
รอทุกวันเลยนะ

 :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 7 P.2 [28.11.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: mirage ที่ 05-12-2017 21:15:25
คิดถึงน้องพิชญ์กับพี่เตค่า เราจะรออยู่ที่ท่าน้ำนะคะ 555
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 8 P.3 [06.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 06-12-2017 13:15:35
8


ผมยืนมองร่างเปลือยเปล่าของตัวเองหน้ากระจกบานสูง มือข้างหนึ่งขยี้ผ้าขนหนูผืนเล็กลงบนกลุ่มผมเปียกชื้นเบาๆ แชมพูที่ใช้ประจำส่งกลิ่นคลุ้งขึ้นมาขณะที่ผมประสานสายตากับเงาของตัวเอง
   
ความทะเยอทะยานฉายชัดจนผมต้องยกมุมปากทักทายมัน
   
ดึงผ้าขนหนูลงมาพาดคอไว้พลางเสยผมที่ปรกหน้าไปด้านหลังอย่างปัดรำคาญ เอื้อมมือไปเปิดลิ้นชัก ดึงกล่องกำมะหยี่สีดำสามกล่องขึ้นมาควานหาสิ่งที่เป็นเหมือนอวัยวะชิ้นที่สามสิบสาม

เปิดกล่องแรก ไล่สายตามองจิลสีเงินที่ถูกจัดเรียงเป็นแถวตามขนาดของหมุดก่อนจะตัดสินใจหยิบชิ้นที่แวววาวที่สุดขึ้นมา หันหน้าเข้าหากระจกอีกครั้งพร้อมแลบลิ้น... กลัดเข็มลงทดแทนชิ้นเก่าที่เพิ่งถอดทิ้งไป
   
บีบเจลล้างมือข้างตัวทำความสะอาดหนึ่งครั้ง ขณะพลิกลิ้นไปมาจนแน่ใจว่าเครื่องประดับเล็กจ้อยแวววาวพอจะสู้แสงไฟ จึงหันไปเปิดกล่องกำมะหยี่อีกใบเพื่อเลือกเครื่องประดับชิ้นต่อไป
   
เรียบง่ายแต่พิถีพิถัน ไล่สายตาและปล่อยให้ปลายนิ้วสัมผัส... ก่อนที่ห่วงสามขนาดจะถูกหยิบขึ้นมา ค่อยๆ บรรจงคล้องลงตามรอยเจาะบนใบหูข้างซ้ายทีละชิ้นจนเสร็จสิ้น มองสีเงินวาวตัดกับเส้นผมดำขลับแล้วอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงฮัมเพลงออกมาในลำคอ
   
กล่องกำมะหยี่สีดำใบสุดท้ายถูกเปิดออก... ผมไล่สายตามองหมุดและห่วงที่เรียงแถวรออยู่ในกล่องอย่างพิจารณาอีกครั้ง ใช้เวลาเพียงไม่นานชิ้นที่ส่องประกายแสงเตะตาที่สุดก็ถูกเลือกขึ้นมา ไล่ปลายนิ้วสัมผัสเพชรเม็ดเล็กๆ ที่ถูกบรรจงแต้มลงตามส่วนโค้งอย่างพอใจ... ก่อนจะกลัดมันลงบนแผลขนาดเท่ารูเข็มที่ปีกจมูกด้านขวา

เหลี่ยมมุมนับร้อยที่กำลังเล่นล้อแสงไฟทำให้ผมคลี่ยิ้มบาง ก่อนถอยหลังกลับมาในระยะที่เห็นร่างเปลือยทั้งร่างอีกครั้ง เอียงคอมองสำรวจตั้งแต่ปลายเส้นผมจรดเท้าแล้วกลับหยุดสายตายังรอยสักรูปดวงจันทร์ที่เชิงกรานด้านซ้าย ยกยิ้มมุมปากขณะแตะปลายนิ้ววาดไล้ตามทรงกลมของมัน ไล่หยดน้ำที่ฉาบไว้เพียงบางเบาออกไป

เครื่องประดับเดียวที่สลักลึกลงบนผิวกายคล้ายจะทอประกายแสงนวลเพื่อบอกว่ามันงดงามกว่าสีเงินวาววับของเครื่องประทับอื่นใด...

เพราะแบบนั้นจึงเป็นแสงเดียวที่ผมหลงใหล... ขยับปีกไล่ตาม เอื้อมสุดแขนเพื่อคว้ามันมาอยู่ในกำมือ
   





ผมขยับปีกครั้งแรก เพื่อขโมยมันมา... เวลาของเขา
   
“เรียนเชิญครับท่านเตวิชญ์” คำแซวและท่าทางเยินยอเกินเบอร์ของพี่เจดทำให้ผมยิ้มขำ มองร่างสูงที่เดินนำหน้าไปหยุดยืนล้วงกระเป๋าอยู่หลังกลองชุดเก่าๆ จนเจ้าของดวงตาสีรัตติกาลเงยหน้าขึ้นมาสบตา แววตาดูไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้โต้ตอบอะไร
   
ไม่ได้กล่าวโทษผมที่เป็นคนบังคับให้เขาต้องมายืนอยู่ตรงนี้กลายๆ
   
ห้องซ้อมดนตรีที่พ่วงห้องเก็บของจิปาถะของคณะ สภาพดูซ่อมซ่อ และไรฝุ่นมากมายในอากาศก็ทำให้ผมถึงกับหลุดจามออกมาเสียงดัง
   
คล้ายจะเห็นแววขบขันในดวงตาคู่นั้น ขณะที่มือหนาเอื้อมไปหยิบไม้กล่องที่วางระเกะระกะมาถือไว้ ปัดฝุ่นบนเก้าอี้ลวกๆ ก่อนจะนั่งลงอย่างไม่ใส่ใจ สิ่งที่เขาจำเป็นต้องสนใจคือกลองชุดรุ่นก่อตั้งคณะที่สภาพโรยราไม่แพ้กัน

“เห็นแบบนี้มันเป็นหนึ่งในสมบัติคณะเลยนะเว้ย ชมรมดนตรีทุกรุ่นดูแลอย่างดี นี่พวกกูก็เพิ่งเปลี่ยนกระเดื่องมา” สิ้นคำอวดสรรพคุณ ผมเห็นขาเรียวใต้กางเกงสีซีดขยับ เหยียบกระเดื่องหนึ่งครั้งจนกลองใหญ่ส่งเสียงต่ำ เขาเลิกคิ้วคล้ายประหลาดใจ แต่รอยยิ้มมุมปากก็ทำให้พี่เจดถึงกับถอนอกโล่งใจ

“กดดันชิบหาย” สมาชิกอีกคนเดินมากระซิบกับผม สีหน้าหวาดๆ ปนขำที่ตัวเองปล่อยให้คนที่มีศักดิ์เป็นรุ่นน้องทรงอิทธิพลคับห้องซะงั้น
   
แต่มันช่วยไม่ได้หรอก ในเมื่อเห็นอยู่ชัดเจนว่าใครเป็นรองในสถานการณ์

กำลังจะมีงานเทศกาลดนตรีประจำมหาวิทยาลัย และพี่รหัสของผมก็ดันอุตริส่งใบสมัครไปทั้งที่ยังหาสมาชิกสำคัญไม่ได้... มือกลอง

นั่นเป็นเหตุผลที่ผมพาเขามาอยู่ตรงนี้ ด้วยคำท้าที่แสนจะง่ายดาย แน่นอนว่ามันไม่ใช่เพียงเพราะคำขอร้องของพี่รหัสที่ทำให้ผมตกปากรับคำง่ายๆ แต่มันคือเกม... เกมที่ผมไม่จำเป็นต้องร่วมเล่น แต่เพียงเฝ้าดูทั้งที่รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง

สิ่งที่ผมได้รับคือผลกำไรจากการได้เห็นมันอีกครั้ง... อำนาจในการควบคุมจังหวะของเขา ขณะเดียวกันมันก็เป็นหนทางไปสู่เป้าหมายที่ตั้งใจ

ขโมยเวลาเขามา...

ถ้าพี่เจดชนะ หลังจากนี้เป็นต้นไปเขาจะต้องมาที่นี่หลังเลิกเรียนทุกวัน... นั่นหมายความว่าเขาจะถูกกักขังไว้ในที่ที่ผมสามารถหาเจอได้ง่ายๆ... ได้อยู่เพียงในสายตาผม ไม่อาจมองหาใคร

ไม่อาจเปิดโอกาสให้ประวัติศาสตร์ได้ซ้ำรอย

แต่ผมคงต้องเน้นอีกครั้งว่า ‘ถ้าหากพี่เจดชนะ’ …ซึ่งนั่นเท่ากับมีปาฏิหาริย์

ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก

เพราะเพียงเสียงของกลองใหญ่ที่ดังขึ้นในจังหวะง่ายๆ ก็หยุดได้ทุกกิจกรรม... แม้กระทั่งลมหายใจ ก่อนที่เขาจะเริ่มสะบัดมือทั้งสองข้างลงบนหน้ากลองทอม สแนร์ ฉาบ พร้อมกับเท้าที่เหยียบกระเดื่องต่อเนื่อง สร้างจังหวะแปลกประหลาด... พริ้วไหวทว่าหนักแน่นจนสะกดโสตสัมผัสและทุกสายตา...ตรึงไว้ที่เขาแต่เพียงผู้เดียว

แล้วจังหวะเรียบง่ายก็ค่อยๆ กลับกลายเป็นเร่งเร้า เสียงซาวด์เช็คที่ไม่ควรจะจริงจังกลับทวีความรุนแรงแต่กลับยิ่งน่าหลงใหล ยิ่งฟัง ยิ่งชัดเจนว่าคนที่ทำให้เกิดเสียงเหล่านี้มีพรสวรรค์ชนิดที่คนอื่นไม่อาจจับต้องได้

...ถึงอย่างนั้นความสามารถอันร้ายกาจของเขาก็ไม่อาจดึงผมให้หลุดจากภวังค์สีรัตติกาลของดวงตาที่แสนแน่วแน่คู่นั้นได้

แววตารั้นร้ายและรอยยิ้มมุมปากที่ผุดพรายฉุดผมลงสู่หลุมลึกเวิ้งว้างที่ได้ยินเพียงเสียงหัวใจตัวเอง อาจเป็นเสียงเดียวกับจังหวะที่ลำแขนกำยำกำลังควบคุม เร่งเร้าและร้อนแรง คล้ายไฟที่กำลังลามเลียตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาจนทั่วร่าง...

ชั่วขณะหนึ่งมันเหมือนความร้อนของเปลวไฟที่เผาไหม้ปลายบุหรี่จนเกิดควัน กลิ่นนิโคตินในจินตนาการกระชากผมกลับสู่อดีต...นึกถึงสัมผัสของเขาที่ยังคงฝังตรึงในความทรงจำ

จูบ?

ไม่ใช่...

เซ็กซ์ต่างหาก...

รสชาติของการร่วมรักที่ค่อยๆ แผดเผา... ฉุดรั้งสู่นรกขณะโอบรัดผมด้วยสรวงสวรรค์ ทุรนทุรายด้วยความสุขสมแสนทรมาน ปลดปล่อยทุกพันธนาการ... ทวีความต้องการจนต้องร้องเรียกชื่อเขาซ้ำๆ พ่ายแพ้ย่อยยับอยู่ใต้ร่าง ยอมศิโรราบหมดรูปเพียงดวงตาคู่นั้นที่จ้องลึกเข้ามาในแววตา

“พิชญ์”

“...!” ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังจ้องเขาด้วยใบหน้าร้อนผ่าว กระทั่งเสียงกลองหนักแน่นที่ดังอย่างยาวนานหยุดลงชั่วขณะ ความเงียบเรียกภาพในหัวกลับสู่เศษเสี้ยวความทรงจำ ปลุกผมจากภวังค์สู่เบื้องหน้าที่มีเพียงรอยยิ้มหยัน ...เจ้าของดวงตาสีรัตติกาลกำลังจับจ้องมาอย่างท้าทาย
   
“ตามให้ทัน”
   
ในเนื้อความคงมีแต่ผมเท่านั้นที่เข้าใจ

   

แพ้ราบคาบ...
   
“แม่งเกินไปอ่ะ”
   
“ฆ่ากันชัดๆ ไอ้สัด” ผมหัวเราะ มองผู้อาวุโสทั้งสองที่นอนพะงาบอยู่บนพื้นโดยไม่สนใจความสกปรกของมัน
   
ทันทีที่เสียงกลองจังหวะสุดท้ายหยุดลง รุ่นพี่ทั้งสองของผมก็ทรุดฮวบลงกับพื้นทั้งเหงื่อโซมกาย มือไม้อ่อนแรงทิ้งลงข้างตัวอย่างหมดสภาพ เสียงหอบหายใจแทบจะดังก้องไปทั้งห้องเมื่อเสียงเพลงอันเทอร์เนทีฟร็อคที่ดังต่อเนื่องมาเกือบสองชั่วโมงหยุดลง
   
จะเรียกว่าล่มก็ไม่ใช่ จะรอดก็ไม่เชิง เขาเรียกอะไรนะ? กระท่อนกระแท่น... ใช่มั้ย?
   
ตลอดสองชั่วโมงผมฟังเพลงที่ถูกบรรเลงอย่างกระท่อนกระแท่นด้วยความรู้สึกหลากหลาย ตื่นเต้น ขบขัน ประทับใจ และประหลาดใจปนกันไป
   
แต่ความรู้สึกที่ชัดเจนที่สุดคงเป็นเสียดาย...
   
สุดท้ายแล้วผมก็ต้องหาข้ออ้างใหม่เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในวันถัดไป เพราะสมาชิกทั้งสองไม่อาจเอาชนะฝีมือที่เหนือชั้นกว่าของเขาได้... ข้อตกลงที่ว่าถ้าพี่เจดกับเพื่อนเล่นเข้ากับจังหวะของเขาตลอดรอดฝั่ง จะยอมเข้าวงเห็นผลแพ้ชนะตั้งแต่ยังไม่ทันจบเพลงแรกด้วยซ้ำ

ดังนั้นเตวิชญ์จึงเป็นอิสระโดยปริยาย
   
...แต่ก็อย่างที่บอกว่าผมเดาออกตั้งแต่แรกว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง เพราะแบบนั้นถึงได้ไม่คาดหวังมากไป ไม่หงุดหงิดขัดใจแม้สักนิดเมื่อเห็นผลกับตา
   
ความลับคือ... ผมเองก็เดิมพันข้างเขาไว้เช่นกัน
   
“บอกแล้วว่าพวกพี่ยังอ่อนหัดเกินไป” ลุกขึ้นจากโซฟา สละบทผู้ชมเพียงหนึ่งเดียวเดินเข้าไปหาพี่รหัสที่กำลังตักตวงอากาศหายใจ แบมือออกขอรางวัลตามที่เดิมพันไว้

“พวกเด็กเหี้ย” บุหรี่นอกราคาแพงถูกควักออกจากกระเป๋าลอยต้านแรงโน้มถ่วงขึ้นมาถึงมือผมพร้อมคำสบถหยาบคาย
   
ถ้านี่คือเกม ผมเป็นเจ้ามือที่ได้ประโยชน์ทุกทางไม่ว่าผู้ชนะจะเป็นใคร... เพียงใช้ลมปากน้อยนิดเอ่ยคำท้าทาย ทำข้อตกลงกับทั้งสองฝ่ายแล้วหลบเร้นรอผลกำไรร่วงหล่นลงมา
   
ผมหัวเราะเบาๆ ยักไหล่ไม่สะทกสะท้านกับคำด่านั้น เปลี่ยนเป้าหมายจากพี่รหัสไปหาเจ้าของดวงตาสีรัตติกาลที่กำลังทำสีหน้าตั้งคำถาม เขามองซองบุหรี่ใหม่เอี่ยมในมือก่อนเงยหน้าสบตาผมก่อนจะยกยิ้มมุมปากอย่างเพิ่งเข้าใจสถานการณ์
   
“เบื่อหรือยัง” แต่ผมโลภเกินกว่าจะพอใจเท่านั้น มืออีกข้างจึงเกี่ยวเอาอีกสิ่งหนึ่งที่เขาฝากไว้ในกระเป๋าขึ้นมา คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นมัน แต่ไม่นานเขาก็เข้าใจว่าผมกำลังจะบอกอะไร ผมคลี่ยิ้มเมื่ออ่านสายตาได้ว่าเขาอนุญาตให้เอาแต่ใจ
   
“ไปหาที่สูบบุหรี่กัน” มองกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ในมือที่เป็นเป้าหมายถัดไป
   
ผมจะเอาชนะมัน...

   




เตรียมใจไว้แล้วว่ามันคงไม่ง่าย แต่ก็น่าตกใจที่มันอันตรายกว่าที่คิดไว้
   
ผมต้องใช้ความพยายามมากมายในการสตาร์ทมัน เกือบล้มสองครั้ง และตอนนี้ดันพุ่งเข้าพุ่มไม้ข้างทาง
   
ให้ตาย
   
“ยอมแพ้หรือยัง” ผมไม่ได้หันไปตอบร่างสูงที่ยืนกอดอกหัวเราะมองผมดึงมอเตอร์ไซค์ออกจากพุ่มไม้ ปฏิเสธด้วยเสียงฮึดฮัด คำสบถพึมพำอย่างไม่ชอบใจ
   
อย่าหวังว่าผมจะยอมง่ายๆ
   
เมื่อดึงเจ้าบุโรทั่งขึ้นมาตั้งหลักบนถนนได้ ผมก็ขึ้นคร่อมมันอีกครั้ง การเรียนรู้ซ้ำๆ ทำให้ผมสตาร์ทมันได้ง่ายกว่าที่ผ่านมา เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มบ่งบอกว่าความอ่อนหัดของผมยังไม่ทำมันพัง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจบิดคันเร่งเพราะถูกใครอีกคนมาขวางไว้
   
“อย่ารั้น” คำดุไม่จริงจังถูกส่งมาพร้อมปลายนิ้วที่เคาะลงบนหมวกกันน็อคที่ส่งแรงสะเทือนถึงศีรษะผมเบาๆ

“เดี๋ยววันหลังกูสอนใหม่” ว่าพลางตวัดขาขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ในตำแหน่งที่คล้ายจะซ้อนหลัง แต่ไม่ใช่ เพราะลำแขนกำยำกลับยื่นออกมาคร่อมร่างผม จับคันเร่งไว้
   
ภาพในวันที่เขาท้าให้ผมขับมอเตอร์ไซค์ครั้งแรกฉายขึ้นมาชวนให้ใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่ได้

"..." ถ้าให้เดาเขาคงจับได้คาหนังคาเขาว่าที่ผมเงียบไปเพราะกำลังจะแพ้ให้ความร้อนของแผ่นอกที่แนบลงมาบนหลังพร้อมกับใบหน้าที่โน้มข้ามไหล่ คนเจ้าเล่ห์ถึงได้ปล่อยหมัดฮุคสุดท้าย ...เป็นคำถามแสนห้วนทว่ากลับใช้เสียงกระซิบทุ้มต่ำละลายความตั้งใจที่จะดึงดันของผมได้เพียงพริบตา

“ทีนี้อยากไปไหน บอกมา”






มันคือสวนสาธารณะของมหาลัยที่ในทุกเช้าและเย็นผมจะเห็นคนพลุกพล่าน

แต่เวลาเกือบตีหนึ่งในช่วงย่างเข้าฤดูหนาวแบบนี้คงเป็นข้อยกเว้น

“นี่เหรอที่สูบบุหรี่ของมึง”

“ชู่ว!” ผมยกมือแตะริมฝีปากส่งเสียงปรามแทนคำตอบ เขาขมวดคิ้วเล็กๆ เหมือนไม่พอใจแต่ก็ยังยอมให้ผมเดินนำต่อไปด้วยฝีเท้าอันเงียบเชียบ

...เวลานี้มันถือเป็นเขตหวงห้าม ดังนั้นการเข้ามาเหยียบย่างจึงถือเป็นความท้าทาย

โฮ่ง!

แต่แล้วกลับหลุดสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงเจ้าถิ่นที่มองไม่เห็นตัวคำรามขึ้นมา ร่างของผมถูกรั้งไปอยู่ด้านหลังร่างสูงที่ก้าวขามาแทนที่ ใช้ตัวเองเป็นเกราะกำบังร่างดำขลับสี่ขาที่พุ่งเข้าหา

โฮ่งๆ!

เสียงเห่าดังขึ้นติดๆ กัน และคงจะดังอยู่อย่างนั้นหากคนตัวโตกว่าไม่ส่งเสียงปราม

“ชู่ว!”

...

เพียงเท่านั้นสถานการณ์ก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง

“ระ...ระวัง” ผมพึมพำพลางเบิกตากว้างมองเจ้าของแผ่นหลังที่ยังเป็นเกราะกำบังของผมทรุดลงนั่งคุกเข่าบนพื้นหญ้าชื้นเอื้อมมือออกไปหาเจ้าสี่ขาที่อยู่ๆ ก็ลดการ์ด หมดความระแวดระวัง ยอมให้ฝ่ามือหนาลูบหัวเกาคางอย่างเป็นมิตรซะอย่างนั้น

“เด็กดี”

“รู้จักกันเหรอ” ผมถามอย่างประหลาดใจ แทบจะถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าหมดอันตราย

“เคยเจอสองสามครั้ง” เสียงทุ้มตอบเพียงเท่านั้น แล้วหันกลับไปให้ความสนใจเจ้าสัตว์หน้าขนที่ทิ้งตัวนอนหงายให้เขาเกาพุงให้

ผมหลุดหัวเราะออกมา ถึงแม้จะเป็นเพียงหมาพันธุ์ทางที่หน้าตาไม่ได้ดูดีแถมผอมแห้งเพราะใช้ชีวิตตามมีตามเกิดในมหาลัย แต่ภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้อดรู้สึกเอ็นดูไม่ได้

“พี่ดูจะชอบหมามาก” ภาพในอดีตซ้อนทับทำให้ผมเผลอโพล่งออกไป รอยยิ้มที่ยังประดับอยู่บนใบหน้าทำเอาเจ้าของคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยสีหน้าข้องใจ

“ไม่ได้ชอบ” ปฏิเสธหน้าตายทั้งที่หลักฐานเห็นอยู่คาตา

ผมยักไหล่ ไม่คิดเถียงแล้วเปลี่ยนเป็นนั่งลงข้างเขา ยื่นมือออกไปลูบตัวมันบ้างทว่ายังเก้ๆ กังๆ ในทีแรกมันส่งเสียงเห่า แต่พอรู้ว่าไม่ใช่ศัตรูเจ้าสัตว์สี่ขาก็ปล่อยให้ผมลูบขนสากๆ ด้วยท่าทางสบาย

“มันชื่ออะไร” ผมเอ่ยถามและเขาเงียบไป ดวงตาที่จ้องเจ้าสุนัขตรงหน้าคล้ายกำลังเหม่อลอยไปไกล

มันทำให้ผมนึกได้ว่าเขาไม่เคยมีชื่อเรียกให้สัตว์ที่เขาคล้ายจะผูกพันเลยสักตัว

“เจ้าหมาตัวนั้น... ยังอยู่ไหม” ผมเปลี่ยนคำถามเมื่อเขาเงียบนานเกินไป เขารู้แน่ว่าผมหมายถึงตัวไหนในเมื่อมันเป็นสัตว์ตัวเดียวกับที่ครั้งหนึ่งทำให้ผมเกือบตาย

“ไม่รู้สิ” ใช้เวลาพักใหญ่กว่าเขาจะเอ่ยออกมา ผละมือออกจากเจ้าสี่ขาแล้วลุกขึ้นยืนหันมาถามผมบ้าง “ไหนที่สูบบุหรี่มึง”

เห็นชัดว่าเขาจงใจเปลี่ยนประเด็น แต่ผมก็ไม่คิดขัดอะไร เพียงลูบหัวเจ้าหมาตัวโตอีกสองสามครั้งแล้วลุกตาม

“ใกล้ถึงแล้วล่ะ” เดินนำเขาไปสู่สถานที่ร้างผู้คนอีกครั้งโดยไม่คิดปริปากถามอะไรอีก

ส่วนลึกสุดของสวนสาธารณะใกล้บึงน้ำมีเนินดินโล่งกว้างปูผืนหญ้าที่สูงพอจะให้สัมผัสนุ่มสบาย ผมยกแขนบิดขี้เกียจขณะสูดหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไป ดื่มด่ำกับความเงียบสงัดรอบกาย ฟังเสียงลมและใบไม้ไหวกระทบกันดังเพลงบรรเลง เงาของต้นไม้ที่รายล้อมโอนเอนพลิ้วไหวเล่นล้อแสงไฟที่เปิดไว้ให้แสงสว่างเพียงไม่กี่ดวงราววงเต้นรำ

บุหรี่ราคาแพงที่เพิ่งได้จากเดิมพันกลายเป็นหมันเมื่อผมทิ้งมันไว้ข้างตัวพร้อมไฟแช็คพร้อมสรรพแต่กลับไม่มีใครสนใจมัน

หลังจากทิ้งตัวนอนราบบนผืนหญ้าชุ่มน้ำค้างเราก็ต่างเงียบอยู่อย่างนี้เนิ่นนาน ทอดสายตามองผืนฟ้ากว้างปล่อยความคิดล่องลอย ไม่อาจคาดเดาว่าเขากำลังคิดอะไร แต่ในหัวผมมีคำถามมากมายที่ไม่รู้ควรจะไล่ลำดับหรือหยิบยกคำถามไหนขึ้นมาให้เข้ากับสถานการณ์

“กูจะหลับ” เพราะใช้เวลาเลือกนานเกินไป บทสนทนาจึงถูกเปิดขึ้นและปิดลงภายในประโยคเดียวกัน

ผมหัวเราะเบาๆ ละสายตาจากดวงดาว มองคนข้างๆ ที่กอดอกหลับตาในท่านอนหงาย

“เดี๋ยวยุงก็หามเอา” ขู่ออกไปทั้งที่การนอนนิ่งอยู่เฉยๆ แบบนี้ก็มีความเสี่ยงไม่แพ้กัน

“ช่วงนี้กูนอนไม่หลับ” ผมไม่รู้ว่ามันเป็นประโยคบอกเล่าหรืออะไร หลังจากคำพูดนั้นเขาก็ปล่อยให้บรรยากาศเงียบลงอีกครั้ง ทิ้งผมไว้กับเสียงลมหายใจแผ่วเบาและแผ่นอกที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะ

“เฮ้ย หลับจริงดิ” ผมเลิกคิ้วถามอย่างประหลาดใจ เท้าข้อศอกกับพื้นหญ้ายกตัวขึ้นมองเจ้าของร่างที่แน่นิ่งไป แต่แล้วผมกลับเป็นฝ่ายเงียบเสียเองเมื่อได้เห็นใบหน้ายามหลับของเขาใกล้ๆ... แสงเพียงน้อยนิดไม่อาจบดบังความน่าหลงใหล ซ้ำยังดึงเสน่ห์อันลึกลับของทุกองค์ประกอบบนออกมาผ่านเงาที่พาดทับลงบนใบหน้า... ซ่อนเร้นและเปิดเปลือยบางส่วนเพียงยั่วเย้าให้เกิดความรู้สึกอยากค้นหา...

ผมนึกอยากเกลี่ยนิ้วลงกับดวงตาที่ปิดลงทำให้แพขนตาหนาทอดลงบนผิวแก้มเนียนละเอียดชวนสัมผัส ไล่มองสันจมูกโด่งราวบรรจงปั้นให้รับกับใบหน้าคมทอดลมหายใจร้อนชวนให้ผมยิ่งอยากเข้าใกล้ หลุดยิ้มตามริมฝีปากหยักได้รูปที่คล้ายจะทิ้งรอยยิ้มมุมปากร้ายอย่างจงใจ ชวนให้ผมแตะริมฝีปากลงไป...

"..."

"..."

แต่ทุกความคิดหยุดชะงักเมื่อสิ่งทรงอิทธิพลที่สุดเผยตัวอีกครั้ง ผ่านเปลือกตาที่เปิดขึ้นอย่างช้าๆ... นัยน์ตาสีรัตติกาลที่ดึงดูดยิ่งกว่าสิ่งใดจ้องลึกเข้ามาพร้อมกับมือหนาที่ยกขึ้นมาเกลี่ยเส้นผมที่ตกตามแรงโน้มถ่วงทัดหูข้างหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ไล่ปลายนิ้วสำรวจองค์ประกอบบนใบหน้าของผมเช่นกัน

“เจ็บไหม” หยุดลงที่ส่วนกลาง ปลายนิ้วเย็นเฉียบเกลี่ยเครื่องประดับชิ้นใหม่ตรงตำแหน่งนั้นแผ่วเบา

...เพราะวันทั้งวันเขาไม่ได้เอ่ยทักอะไร จึงไม่คิดว่าเขาจะให้ความสนใจเครื่องประดับชิ้นใหม่ที่ผมบรรจงเลือกสรรและสวมใส่มันในตำแหน่งเตะตา ปีกจมูกด้านขวาที่เคยว่างเปล่าตอนนี้มีห่วงประดับเพชรสะท้อนประกายวาวอยู่ในดวงตาของเขา

ผมยิ้ม ไม่ได้เอ่ยอะไร เพราะไม่อาจปฏิเสธ แต่ก็ไม่อาจยอมรับได้เช่นกัน

ความเจ็บที่ไม่ได้ทำให้สะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อยต้องเรียกว่าอะไร...ผมไม่เคยให้นิยามมัน

“พี่ล่ะ เจ็บไหม” ยิ่งถ้าเทียบกับบาดแผลบนร่างกายเขา บาดแผลของผมช่างเล็กจ้อยจนไม่อาจเทียบได้

ยิ่งบาดแผลที่ใจ...

“พี่หายไปไหนมา”

ผมไม่อาจวัดจากสิ่งที่ตัวเองได้รับเพียงฝ่ายเดียวเช่นกัน

โชคร้ายที่เขาเลียนแบบคำตอบผมด้วยการยิ้ม มือหนาเอื้อมจับมือผมที่เผลอวางลงบนลำตัวเขาโดยไม่รู้ตัว ดึงขึ้นมาแตะริมฝีปากลงกลางฝ่ามือเพียงครั้งแล้วผละออกไป... ชั่วขณะนั้นดวงตาสีรัตติกาลที่จับจ้องมาคล้ายจะมีความหมายที่ผมไม่อาจเข้าใจ ก่อนที่เขาจะซุกซ่อนมันไว้ภายใต้รอยยิ้มร้าย

“ถ้าอยากรู้ความลับ มึงต้องทำตามกติกา” คำพูดทำนองเดิมถูกเอ่ยพร้อมกับปล่อยมือผมเป็นอิสระ ตัดบทสนทนาด้วยการแสร้งหลับตาพลิกตัวนอนตะแคงไปอีกด้านไม่เปิดโอกาสให้ผมได้เอ่ยคำถามต่อไป

แล้วมันเมื่อไหร่กัน...

ผมอยากถามแต่สุดท้ายก็เลือกตัดใจ ทิ้งตัวนอนหงายอีกครั้งอย่างหมดปัญญา ปล่อยให้คำถามที่ยังค้างคาหาจังหวะเวลาที่เหมาะสมด้วยตัวมันเอง

ไม่นานรอบตัวก็กลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง ผมนอนฟังเสียงหายใจสม่ำเสมอของคนข้างตัวพลางทอดสายตามองท้องฟ้าที่คล้ายจะยิ่งห่างไกล นึกอยากจะหยิบปากกาสักแท่งขึ้นมาเติมเต็มส่วนเว้าแหว่งให้ดวงจันทร์ข้างแรม แต่รู้ดีว่าไม่อาจทำได้

ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจทำให้ขยับเข้าใกล้อีกคน มองแผ่นหลังกว้างที่กลับให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวก่อนจะค่อยๆ ซบใบหน้าลงไป...ลอบสัมผัสกลิ่นกายและไออุ่นให้แน่ใจว่าเขายังอยู่เคียงข้าง... แม้จะยังไม่อาจถลำลึกไปไกลกว่านี้ได้

ผมจำเป็นต้องขยับปีกอย่างระมัดระวัง และเฝ้าหวังว่ามันจะไม่สายเกินไป

เพราะสิ่งเดียวที่หวาดกลัว คือเมื่อคืนเดือนมืดมาเยือนอีกครั้ง... ดวงจันทร์ของผมจะหายไป






สุดท้ายพี่ไม่ได้มาตามนัด...
   
ไม่มีคำอธิบายว่าทำไม...

อันที่จริง พี่ไม่อยู่ให้ผมถามว่าทำไมด้วยซ้ำ...
   
ลืมเหรอ หรือว่าติดธุระอะไร แน่ละว่ามันคงสำคัญกว่าอาหารหนึ่งมื้อที่พี่เสนอให้...
   
บอกหน่อยได้ไหมว่าพี่ผิดนัดผมด้วยเหตุผลอะไร
   
รู้ดีมันเป็นความผิดของผมเองที่ชะล่าใจ เคยชินว่าถ้าหากมาที่สถานที่ของเรา จะได้เห็นพี่อยู่ตรงนั้น... หันกลับมายิ้มให้พลางละเลียดควัน
   
ไม่ทันคิดว่าในความเป็นจริงมันอาจไม่มี ‘สถานที่ของเรา’ ด้วยซ้ำ...
   
'พี่เต...'

เพราะในวันที่ผมเผลอไผล คิดไปเองว่ากำลังจะได้ครอบครองที่แห่งนั้น

'...'

พี่ไม่หลงเหลือให้ผมแม้แต่กลิ่นควัน...








----------------------------------------------------------------------
รู้ตัวมานานแล้วว่าตัวเองเป็นคนที่มีคลังศัพท์ในหัวน้อยมาก ปกติก็ถนัดแต่ใช้คำทั่วๆ ไปเวิ่นเว้อพรรณนา
การเขียนเรื่องนี้เลยสาหัสน่าดูเลยค่ะ เพราะพอพยายามไม่ใช้บทบรรยายเวิ่นเว้อก็ไม่รู้จะใช้คำไหนมาอธิบายให้มันกระชับและได้ใจความ
แต่รู้สึกสนุกทุกครั้งที่เขียนเลยค่ะ เหมือนได้ทดลองอะไรใหม่ๆ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะใหม่สำหรับคนอ่านมั้ย 55555

อันที่จริงตั้งใจจะเร่งจังหวะของเรื่องตั้งแต่ตอนนี้ ให้ตื่นเต้นสมกับที่พิชญ์กลับมาสวมปีก
แต่สุดท้ายเนื้อเรื่องมันก็ออกมาเรียบเรื่อยอยู่ดีใช่มั้ยคะ ฮืออ
ตอนหน้าจะพยายามมากกว่านี้ค่ะ ทั้งเรื่องจังหวะและบทบรรยาย
ยังไงก็ฝาก #เกมท้ารัก ด้วยนะคะ
ติดขัดหรือไม่เข้าใจตรงไหนท้วงติงได้เสมอเลยค่ะ ^^

ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันนะคะ
 :L2:

   
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 8 P.3 [06.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: khungyf ที่ 06-12-2017 16:21:52
เราชอบภาษาของเรื่องนี้นะ ไม่ใช่แค่ภาษาสวย แต่ความหมายก็ดีด้วย เนื้อเรื่องมันชวนให้อึดอัดจริงๆ แต่เป็นความอึดอัดที่ทำให้เราหลงใหลเอามากๆ ตั้งแต่อ่านตอนแรกจนถึงตอนนี้ยังไม่มีตอนไหนที่เรายิ้มออกมาได้สุดซักที ทำได้แค่ยิ้มแหยๆ 5555555555 เป็นกำลังใจให้ค่ะ ขอยาวๆซัก 50 ตอนไปเล้ยยยย (พี่เตอย่าใจร้ายกับน้อง คุณแม่ไม่ปลื้มนะคะ5555)
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 8 P.3 [06.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: mirage ที่ 06-12-2017 17:20:44
เห็นด้วยกับคห.ด้านบน อึดอัดแต่ก็ตื่นเต้น มันคงเป็นอะไรที่เจ็บปวดแล้วก็มีความสุขไปพร้อมๆ กัน คือชอบการบรรยาย ชอบภาษาแบบนี้

ติดตามค่ะ
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 8 P.3 [06.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: 05th_of_06th ที่ 06-12-2017 19:54:15
เราว่าเราหลงสำนวนของไรต์แล้วแหละ ชอบบบบบบบการบรรยายแบบนี้ อ่านไปรู้สึกอึดอัดเหมือนจมน้ำอยู่เลย  :hao4:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 8 P.3 [06.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 06-12-2017 23:16:13
น้องพิชญ์เซ็กซี่มากลูกกกกกกกกกกกกกก ตอนบรรยายว่าน้องเจาะตรงนั้นตรงนี้
เมื่อไหร่พี่เตจะเปิดใจซักที พี่เตมีอะไรใรใจ พี่เตไปไหนมา
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 8 P.3 [06.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 07-12-2017 12:36:41
โอยยยยย อึดอัดทุกตอนเลยค่ะ
เรื่องนี้ภาษาสวยมากนะคะ เราชอบการบรรยายค่ะ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 8 P.3 [06.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Carrot_t ที่ 07-12-2017 22:33:39
พี่เต คนใจร้าย   :serius2: :sad4:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 8 P.3 [06.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 09-12-2017 16:04:40
เจาะจมูกเพิ่มความเผ็ชไปอีกกกก  :m3:

ในใจพี่เตต้องมีอะไรแน่ๆเอาใจช่วยพิชญ์
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 8 P.3 [06.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 09-12-2017 21:50:09
น้องพิชญ์ของแม่ แซ่บอะไรเบอร์นี้ งานดีมากๆ พี่เตไม่เอา แม่เอาเองลูกกก  :mew1: รอวันที่พี่เตแพ้เกมแล้วตกหลุมรักน้องอย่างราบคาบ ให้น้องเอาคืนบ้างง  :katai4:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 8 P.3 [06.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 10-12-2017 01:10:02
มันช่างอึดอัด จุกๆในอก
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 8 P.3 [06.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวลูกไก่ ที่ 11-12-2017 14:29:32
พี่เต พี่ใจร้ายจังเลยย  :katai1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 9 P.3 [13.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 13-12-2017 06:33:05
9

นานแล้วที่ผมไม่ได้วาดรูปเขา...
   
นานแล้วที่ไม่ได้มีโอกาสช่วงชิงจังหวะหลับใหล ลากปลายดินสอ... บรรจงวาดสรีระสมบูรณ์แบบลงไปบนสมุดสเกตเล่มเก่า

เหมือนเมื่อก่อนที่ผมมักจะอาศัยจังหวะที่อีกคนสร้างโลกส่วนตัวทั้งที่อยู่ข้างกันลักลอบวาดรูปเขาเก็บไว้...
   
อืม จะเรียกว่าลักลอบก็คงไม่ถูกเท่าไหร่ เพราะใช่ว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้ตัว
   
ครั้งนี้ก็เช่นกันที่แบบของผมรู้ตัวว่ากำลังถูกวาด ขยับตัวงัวเงียหลุดโพสต์เดิมที่ผมจนงานของผมหยุดชะงัก โชคดีที่องค์ประกอบโดยรวมเสร็จเรียบร้อย เหลือเพียงรอยตำหนิที่เห็นเพียงครั้งก็สามารถจดจำ ลากดินสอพาดผ่านเรือนร่างได้อย่างแม่นยำ
   
คิดอยู่ว่าจากนี้คงลักลอบเติมลวดลายให้มัน... แต่ยังไม่มีภาพในหัวว่าควรทำลายให้ปริแตก หรือผสานรอยแยกด้วยลวดลายใด
   
“อืม...” ผมหยุดความคิดตัวเองไว้ ละสายตาจากกระดาษที่เริ่มกลายเป็นสีเหลืองอ่อนเงยหน้ามองคนขี้เซาที่ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างท่อนบนที่เปลือยเปล่า... หมดเวลาแห่งการแทะโลมโดยสายตา
   
“ไหนว่าช่วงนี้นอนไม่ค่อยหลับไง” ยอกย้อนคำที่เขาเคยเอ่ยไว้ แต่กลับขัดแย้งตัวเอง เมื่อพาร่างกำยำลงถึงโซฟาตัวใหญ่ก็ดันเข้าสู่ห้วงหลับใหลในเวลาไม่ถึงนาที
   
“กลิ่นมึง...” คล้ายจะมีคำตอบเล็ดลอดออกมา แต่เจ้าของเสียงงัวเงียกลับชะงัก ยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วท่าทางงุ่นง่านก่อนลืมตา
   
“หืม?” ผมส่งเสียงประหลาดใจ แอบซุกจมูกลงคอเสื้อสำรวจกลิ่นกายตัวเอง แต่ไม่พบความผิดปกติใดนอกจากกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ใช้ประจำ... ไม่ได้เหม็นหรือหอมเป็นพิเศษ แค่กลิ่นทั่วๆ ไป

“หึ” แต่พอผมทำแบบนั้นอีกคนกลับยิ้มขำ ก่อนพลิกตัวตะแคง ซบใบหน้าครึ่งหนึ่งลงกับหมอนที่ผมสละให้เขาหนุนนอนทั้งคืน ใบหน้ายู่ยี่ชวนเอื้อมมือออกไปลูบเรือนผมนุ่มอย่างเผลอตัว

เหมือนในวันวานที่เขานอนหลับบนตักผม และมีท่าทางสบายใจเมื่อผมลูบหัวเขาเบาๆ

"อืม..." ไม่รู้ว่ากำลังคิดถึงเหมือนกันหรือเพราะอะไร เจ้าตัวถึงไม่ปัดมือผมออก แต่กลับหลับตาทำท่าเคลิบเคลิ้มพลางเอ่ยพึมพำ “กี่โมงแล้ว”

“แปด” ตอบขณะยังจ้องใบหน้างุ่นง่านไม่วางตา ในใจกำลังคิดว่าใบหน้างัวเงียยามต้องแดดเช้าของเขาตอนนี้มันน่ารักชะมัด
   
“หิว”
   
“...” เวลาทำน้ำเสียงกึ่งอ้อนแบบนี้ก็เหมือนกัน
   
แต่ออกจะเป็นการอ้อนที่จริงจังไปสักหน่อยเมื่อดวงตาคู่นั้นกำลังจดจ้องเข้ามาในดวงตา
   
ความลึกลับสีรัตติกาลยังคงทำงานแม้จะเป็นเวลากลางวัน ซ้ำแสงอาทิตย์ยังทำให้มันเปล่งประกายคล้ายจะแผดเผาต่างจากแสงจันทร์นวล
   
“ผมก็หิวเหมือนกัน” เผลอกระซิบตอบไป... แน่นอนว่าคนละความหมาย
   
คนอะไรน่ากินกระทั่งตอนตื่นนอน
   
แต่ก่อนที่ความคิดจะเตลิดไปไกล ผมก็ลากสติตัวเองกลับมาได้ทัน ผละจากอาหารโอชะตรงหน้าลุกขึ้นไปหาอาหารจริงๆ ที่ครัว
   
“พี่ไปอาบน้ำก่อนก็ได้เดี๋ยวผมทำข้าวเช้าให้กิน” เอ่ยบอกคนที่บิดขี้เกียจตามมา ร่างสูงกว่าเดินไปหยิบขวดน้ำที่ไม่ได้แช่เย็นเปิดดื่มดับกระหาย
   
"..." เสียงกลืนเป็นจังหวะเรียกให้ผมเหลือบสายตาไปมองคนข้างกาย แล้วก็ต้องชะงักเมื่อองศาการเงยหน้าที่พอดิบพอดีกับลูกกระเดือกนูนสวยที่กำลังขยับนั่นชวนให้ลอบกลืนน้ำลายตาม

แล้วให้ตาย... ไม่รู้ว่าไม่รู้ตัวหรือจงใจ ริมฝีปากบางถึงได้ปล่อยให้น้ำหยดหนึ่งเล็ดลอดออกมา ทิ้งตัวตามแรงโน้มถ่วงจากปลายคางไล่ตามลำคอ...กลิ้งผ่านไหปลาร้า ลงมาถึงแผงอกเปลือย...
   
“ดูมึงจะหิวมาก” เผลอใช้สายตาแทะโลมจนกระทั่งเจ้าของร่างกำยำเอ่ยกลั้วหัวเราะ นิ้วแข็งๆ ดีดลงมาบนหน้าผากผมจนดังเปาะ
   
“อืม ก็จริง” ผมยักไหล่ไม่ยี่หระ ยิ้มตอบสู้สายตาที่กำลังเป็นประกายขบขัน

“...”

"..." เกมจ้องตายามเช้าเร้าใจพอจะทำให้อวัยวะในอกเต้นตุบอย่างไม่อาจห้าม
   
“มีมาม่ากับโจ๊ก” แล้วผมก็เฉไฉอีกครั้ง... ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วยกอาหารสำเร็จรูปที่กำลังจะเป็นมื้อเช้าของเราขึ้นมา แต่แทนที่จะเลือกสักอย่างคิ้วเข้มกลับขมวดเข้าหากัน เขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันกลับไปเปิดตู้เย็น
   
“มีข้าวมั้ย” หยิบไข่ออกมาสองฟองก่อนจะเอ่ยถาม
   
“มีแต่แบบสำเร็จรูปอ่ะ” ผมว่าพลางเดินไปค้นในตู้เย็นให้ แต่พอจะยื่นให้เขากลับเห็นเจ้าของดวงตาสีรัตติกาลกำลังขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเหมือนจะบ่นว่าวันๆ กินแต่อาหารสำเร็จรูปหรือไง

“ผมชายโสดนี่ครับ” ผมเลยยักไหล่แก้ตัว ก่อนจะอาสาเอาข้าวไปโยนใส่ไมโครเวฟ ลอบหัวเราะกับเสียงถอนหายใจเหนื่อยหน่ายของอีกคนที่หยิบไข่ออกมาตอกใส่ชามก่อนที่แขนกำยำจะตีไข่เป็นจังหวะน่าฟัง
   
สารภาพว่าการที่ได้เห็นเขายืนทำอาหารในสภาพที่ท่อนบนยังเปลือยเปล่าแบบนี้ยิ่งทำผมใจสั่น ถือเป็นโชคดีแล้วกันที่ผมหาเสื้อให้เขาใส่แทนตัวเก่าที่เลอะดินเลอะน้ำค้างจนต้องซักไม่ได้ นึกแล้วก็ขำตอนที่ร่างสูงพยายามจะยัดตัวเองเข้าไปในเสื้อของผม แต่กล้ามเนื้อกำยำกลับถูกรัดตึงอยู่ในเสื้อยืดที่เล็กกว่าเขาหนึ่งไซส์จนดูตลก ใบหน้าคมงุ่นง่านสุดๆ ตอนที่บ่นว่าผมผอมเกินไป ควรกินให้เยอะกว่านี้แล้วออกกำลังกาย
   
มันทำให้ผมนึกได้ว่านานๆ ทีเขาก็มีมุมแบบนี้เหมือนกัน มุมน่ารักๆ ใส่ใจ

“พรุ่งนี้พี่เจดเลี้ยงสาย” ผมเกริ่นขึ้นมาพลางแบ่งข้าวสวยที่เวฟเสร็จแล้วลงจานสองใบ
   
“กูไม่ไป” คนที่กำลังง่วนกับการเจียวไข่ในกระทะตอบทันควัน กลิ่นหอมหวนชวนให้หิวไปกันใหญ่

“ผมไม่ได้ชวน” ผมเอ่ยกลั้วหัวเราะ พิงสะโพกตรงเคาน์เตอร์ข้างเขาแลบลิ้นเลียเม็ดข้าวที่ติดช้อนพลางจ้องหน้าเขาอย่างยียวน “เพราะถึงพี่ไม่อยาก สุดท้ายผมก็ทำให้พี่ไปจนได้”

คุณพ่อครัวเลิกคิ้วก่อนส่งเสียงหัวเราะในลำคอ เขาปิดเตาก่อนจะตักไข่เจียวที่สุกกำลังพอดีลงจานใบใหญ่

“งั้นมึงคงต้องเลือก” ตอนแรกผมคิดว่ายังไงตัวเองก็ชนะ แต่ดันลืมไปว่าประมาทเขาไม่ได้ “กูยังติดค้างมึงเรื่องมอเตอร์ไซค์”

“...” พอผมทำท่าจะเอาแต่ใจเกินไป อีกฝ่ายถึงได้ดัดหลังผมด้วยข้อต่อรองที่ทำให้ต้องชั่งใจ

“จะไปเลี้ยงสาย หรือหัดขับมอเตอร์ไซค์”

“...”  อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าไม่จำเป็นต้องเล่นตามเกมเขา ยังไงก็มีคราวหน้า แต่รอยยิ้มร้ายๆ บ่งบอกว่าเขาจะไม่ให้โอกาสผมอีกถ้าหากปฏิเสธมัน
   
“พี่แม่ง...”
   
โอเค คราวนี้ผมยอมก็ได้
   
พอเห็นผมทำหน้างุ่นง่าน ริมฝีปากบางก็คลี่ยิ้มพอใจ มือหนาเอื้อมมาขยี้ผมไวๆ คล้ายหมั่นไส้ ก่อนจะทิ้งให้ผมจัดโต๊ะอาหารส่วนตัวเองไปดูเสื้อที่ตากไว้ที่ระเบียง
   
โชคร้ายที่มันแห้งพอดี ความคิดที่จะได้ลอบมองกล้ามเนื้อสวยระหว่างกินข้าวจึงเป็นอันต้องพับไป แต่ทดแทนได้ด้วยไข่เจียวฝีมือเขา ไข่เจียวธรรมดาๆ แต่กลับไม่ธรรมดาเมื่อมีอีกคนนั่งอยู่ตรงหน้ากำลังตักข้าวคำโตและบรรจงเป่าก่อนเอาเข้าปาก...
   
น่ารัก
   
“เหมือนเห็นภาพอนาคตลางๆ” ผมเท้าคางมองท่าทางที่ไม่เคยเห็นของอีกคนพลางเอ่ยแซวอย่างอดไม่ได้
   
“เพ้อเจ้ออะไร” เขาเงยหน้าขึ้นมาเลิกคิ้วใส่ น้ำเสียงเหมือนไม่เข้าใจยิ่งทำให้ผมยิ้มกว้างยิ่งกว่าเก่า
   
“สักวันพี่คงได้ตื่นมาทำอาหารให้ผมกินทุกเช้า” ...เหมือนคู่ข้าวใหม่ปลามัน
   
อืม คำนี้เข้าท่าดี
   
“หึ” แต่แทนที่จะปฏิเสธคำหยอดเขากลับยกยิ้มขบขัน “รุกหนักจริงนะ” ดวงตาสีรัตติกาลกลับมาเล่นเกมจ้องตากับผมอีกครั้ง

“แต่แค่นี้ไม่ทำให้กูเปลี่ยนใจง่ายๆ” น้ำเสียงท้าทายถูกเอ่ยพร้อมรอยยิ้มมุมปากร้ายกาจที่ผมหลงใหล
   
ผมเงยหน้าขึ้นสบตา ส่งรอยยิ้มที่ทำให้เขารู้ว่าผมก็ไม่ใช่คนที่จะยอมถอยง่ายๆ
   
“พี่ก็รู้... เรื่องดันทุรังผมไม่เคยแพ้ใคร”
 


   




เขาเพิ่งมาใหม่คงไม่รู้ว่าการปฏิเสธพี่เจดไม่ใช่เรื่องง่าย
   
ไอ้พี่เคราแทบจะยกโมเดลทุ่มหัวผมตอนที่บอกว่าวันนี้ไม่ว่าง จะเลื่อนนัดก็สายไปเพราะยังมีคู่สายอีกรหัสที่เคลียร์คิวเตรียมกินกันเต็มที่ตั้งแต่รู้กำหนดการ สุดท้ายผมเลยต้องรับผิดชอบที่ทำให้พี่แกนั่งเหงาด้วยการถูกจองตัวในวันถัดไป
   
มันไม่ใช่เรื่องยากอะไร เว้นซะแต่มีเงื่อนไขว่าต้องลากตัวน้องปีหนึ่งแสนเอาแต่ใจไปด้วยให้ได้
   
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมพี่เจดถึงได้ยึดติดกับเขานัก เพราะปกติเด็กซิ่วหรือพวกไม่รับน้องก็จะถูกรุ่นพี่ปล่อยปละตามยถากรรม ไม่ถือเป็นการแบ่งฝักฝ่ายเสียทีเดียวหรอก... มันขึ้นอยู่กับพฤติกรรม เพราะการที่พวกเขาไม่มาร่วมกิจกรรม ก็เหมือนเป็นการเลือกสังคมที่ไม่ใช่พวกเราตั้งแต่แรกแล้วนั่นแหละ
   
แต่กับเตวิชญ์คงเป็นข้อยกเว้น... เพราะถึงจะถูกเขาปฏิเสธ ทำเมินใส่กี่ครั้งต่อกี่ครั้งพี่รหัสปีสามของเราก็ยังเยินยอเขาเข้าขั้นคลั่งไคล้
   
เห็นไหม... ใครๆ ก็โดนมนต์ดำของเตวิชญ์ทั้งนั้น
   
เพราะงั้นผมถึงต้องมานั่งลำบากใจ เมื่อโดนมอบหมายให้ลากตัวเขาไปร่วมรับผิดชอบด้วยทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าคำตอบจะออกมาอีหร็อบไหน
   
“อย่าเหม่อ” เสียงทุ้มตามด้วยเสียงเคาะลงมาบนหมวกกันน็อคเรียกสติผมกลับมาอีกครั้ง นึกได้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่บนยานพาหนะแสนอันตราย
   
“เอานี่ไปใส่” แจ็กเกตตัวโคร่งถูกโยนมาให้ เพราะเห็นว่าเสื้อยืดบางๆ ตัวเดียวคงไม่อาจปกป้องผมได้ ผมรับมาใส่อย่างเต็มใจเพราะไม่อยากเสี่ยงผิวเปิดเพราะวัดถนนเช่นกัน
   
แต่พอจะสตาร์ทรถกลับต้องชะงัก เมื่อร่างสูงที่ควรจะยืนกอดอกรอซ้ำเติมผมเหมือนครั้งก่อนกลับวาดขาขึ้นมาซ้อนหลังกัน
   
“เฮ้ย พี่ไม่ต้อง...”
   
“ปล่อยมึงขับคนเดียวเดี๋ยวก็ลงพุ่มไม้อีก” เขาขัดทันควัน ก่อนจะพยักหน้าให้ผมสตาร์ทรถสักที
   
“งั้นพี่เอาเสื้อคืนไป” ผมว่า ทำท่าจะถอดแจ็กเกตคืนให้ แต่เจ้าตัวกลับทำหน้าหงุดหงิด เคาะนิ้วลงมาบนหมวกกันน็อกอีกครั้ง
   
“อย่าล้มก็พอ” เหมือนจะแสดงความห่วงใย แต่แท้จริงมันคือคำขู่ให้ผมแบกรับความกดดันไว้
   
ถ้าล้ม คนที่เจ็บมากกว่าก็คือเขา และผมไม่มีทางยอมให้เป็นอย่างนั้น
   
“พี่เคยล้มไหม” ความรับผิดชอบที่กำลังแบกรับทำให้ผมตัดสินใจเอ่ยถาม อาจเพราะต้องการความสบายใจว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องเสี่ยงตาย
   
ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอแผ่วเบา ก่อนที่เขาจะตัดรำคาญด้วยการถือวิสาสะสตาร์ทรถให้ เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มแต่ไม่เพียงพอจะกลบเสียงคำตอบที่ดังอยู่ข้างใบหู
   
“เคยสิ”
   
ได้ยินแบบนั้นแทนที่จะคลายความกดดัน ผมกลับรู้สึกหวาดหวั่นยิ่งกว่า มโนภาพอุบัติเหตุร้ายแรงขึ้นมา... สันนิษฐานถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ร่างกายของเขาปริแตก... สลักร่องรอยการแยกส่วนไว้บนสรีระสมบูรณ์แบบตลอดกาล
   
   





“เพราะมอเตอร์ไซค์เหรอ” ในที่สุดผมก็ได้จังหวะเอ่ยถาม เมื่อเสร็จสิ้นแบบฝึกหัด ผมพาเราสองคนรอดชีวิตมาจนถึงจุดหมายได้
   
สวนสาธารณะกลางมหาวิทยาลัยดูมีชีวิตชีวากว่าคราวก่อนที่ลักลอบมา
   
แต่แสงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าทำให้คนเริ่มบางตา โดยเฉพาะส่วนท้ายบึงที่เรากำลังนั่งอยู่ มีเพียงคนวิ่งผ่านประปราย และอีกไม่นานก็คงเงียบเหงาด้วยไร้แสงที่เพียงพอให้รับประกันว่าจะไม่มีอันตราย
   
“อะไร” น้ำเปล่าเย็นๆ ถูกยื่นมาหลังจากที่อีกฝ่ายหยิบมันไปเปิดฝาให้
   
“แผลเป็น” ผมตอบสั้นๆ ยกน้ำขึ้นดื่มดับกระหาย สายตาลอบสังเกตคนที่นั่งอยู่ข้างกาย เห็นเขาเลิกคิ้วประหลาดใจก่อนที่มุมปากบางจะยกยิ้ม... ก้ำกึ่งระหว่างความขบขันและเย้ยหยัน
   
คงเพราะรู้ว่าไม่อาจปกปิดอีกต่อไป
   
“เก่งนี่” ดวงตาสีรัตติกาลกลับมาประสานขณะเอื้อมมือมารับน้ำที่ผมยื่นคืนให้ คำเฉลยไม่ได้ทำให้ผมโล่งใจ กลับยิ่งเพิ่มความสงสัย
   
“แต่พี่ก็ยังขับมัน” ในใจนึกคาดโทษเจ้ายานพาหนะที่เคยได้ยินคำนิยามว่าเนื้อหุ้มเหล็กแสนอันตราย

ถึงหมวกกันน็อกจะช่วยให้เขารอดตายจากหัวกระแทก แต่เห็นชัดว่ามันไม่อาจปกป้องส่วนอื่นใด
   
“มึงก็เคยจมน้ำ” แต่สีหน้าเชิงตำหนิของผมไม่ได้ทำให้เขาทบทวนข้อเสียนั้นใหม่ กลับหยิบยกเหตุการณ์คล้ายกันขึ้นมายอกย้อนเหมือนจะเตือนว่าเราไม่ต่างกัน “แต่มึงก็ไม่ได้กลัวน้ำถูกมั้ย”
   
ถ้าผมเป็นเขาก็คงเลือกทำแบบนี้เหมือนกัน... การผิดพลาดหนึ่งครั้งเพียงสอนเราว่าต้องระวังในคราวต่อไป
   
มันคือนัยของการเอาชนะบางสิ่งที่ผมยึดถือมาแต่ไหนแต่ไร
   
ผมหัวเราะ เพราะไม่คิดว่าเขาจะมีชุดความคิดคล้ายกัน

“ตั้งแต่เมื่อไหร่” เอ่ยถามเพื่อเชื่อมโยงคำถามต่อไป...

มันเกี่ยวกับเวลาสองปีที่พี่หายไปหรือเปล่า... เพราะแบบนั้นถึงไม่มีเวลาบอกลากันใช่ไหม

แต่สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงสายตาที่บ่งบอกว่าผมถามมากเกินไป ฝ่ามือหนาเอื้อมมาวางบนหัวผมแต่ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้น ก่อนที่ร่างสูงจะลุกขึ้นยืน

“ไปเถอะ”

การตัดบทสนทนาดื้อๆ ทำให้ผมต้องเก็บกลืนคำถามที่เหลือไว้ในใจอีกครั้ง ถอนหายใจแล้วลุกขึ้นเดินตามฝีเท้ายาวๆ ก่อนอาศัยจังหวะที่ร่างสูงกำลังจะถึงมอเตอร์ไซค์แย่งกุญแจในมือเขามา

“ผมขับเอง” เหมือนคนกำลังร้อนวิชา พอขับมาถึงตรงนี้ได้ผมก็อยากผ่านด่านที่มันท้าทายกว่า...

"..." อีกฝ่ายมองผมนิ่ง สีหน้าเหมือนชั่งใจ เหตุเพราะหนทางกลับมันไม่ง่าย... ทางชันสูงที่เป็นอุปสรรคตอนขามา คงน่าระทึกยิ่งกว่าตอนขาลง เขารู้ดีว่าผมยังไม่แข็งพอจะควบคุมทั้งความเร็วและทิศทางให้มั่นคง ถ้าโชคร้ายก็คงล้ม...

แต่อย่าดูถูกคนอย่างผมเชียว

“ท้าหรือจริง” สุดท้ายก็เลือกจะทำลายความลังเลของเขาด้วยการเอ่ยคำถาม คนตรงหน้าเพียงยิ้มหน่ายๆ กับความดื้อรั้น ก่อนจะตอบรับความเสี่ยงด้วยการหยิบหมวกกันน็อกขึ้นมาสวมให้กัน ยอมให้ผมกำชีวิตเขาไว้ในมือ...

ผมรู้ดีว่าจะรักษามันไว้ได้... เหมือนที่เคยรักษาสัญญาที่เขาคงหลงลืมไป






“พร้อมมั้ย...” ยิ่งใกล้ผมก็ยิ่งใจเต้นจนต้องเอ่ยถามอีกคนเพื่อความอุ่นใจ

ถ้าเขาตอบว่าไม่ผมอาจยอมสละคันบังคับให้เขาเป็นคนขับก็ได้

"หึ" แต่คนที่ควรจะหวั่นใจยิ่งกว่ากลับหัวเราะเบาๆ ก่อนจะโอบแขนข้างหนึ่งไว้รอบเอวผมหลวมๆ ...ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เตรียมพร้อมจะป้องกันผมจากอันตราย

“มึงทำได้” ไม่อยากจะยอมรับนักหรอกว่าเพียงคำสั้นๆ ของเขากำลังทำให้ผมอุ่นใจ แต่คงปฏิเสธรอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาทันทีที่ได้ยินไม่ได้

สุดท้ายผมก็ปลดระวางความหวาดหวั่นตัดสินใจบิดคันเร่งมุ่งตรงไป เร่งความเร็วขึ้นอีกนิดเพื่อความเร้าใจ แต่ไม่เร็วเกินไปจนตัวเองควบคุมไม่ได้ สายตาเห็นความลึกที่ใจประมาณเป็นปากเหวในระยะที่ถ้าคิดจะกลับตัวตอนนี้ก็ไม่ทัน...

และในที่สุดผมก็พาเราทั้งคู่ดำดิ่งลงไป

ความวูบไหวในช่องท้องเกิดขึ้นเพียงแวบหนึ่งแล้วหายไป ผมเปล่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยความตื่นเต้นขณะปล่อยให้รถทะยานไปตามทางลาดชันที่ทอดยาว เสียงหัวเราะต่อเนื่องคลอเคล้ากับเสียงลมหวีดหวิวที่ปะทะเข้ามา...
   

“หึ...” แต่เสียงหัวเราะเพียงครั้งจากอีกคนกลับเพราะยิ่งกว่า

“ขอบคุณที่กลับมา” ความวูบไหวชวนใจเต้นรัวไม่ต่างจากตอนที่พาตัวเองพ้นส่วนที่ชันที่สุดเมื่อได้ยินคำขอบคุณที่ยากจะเข้าใจ

“...”  แต่ผมเลือกปล่อยความสงสัยไปกับสายลมฤดูหนาวชวนให้เย็นเยียบไปทั้งร่าง

ส่วนที่อบอุ่นคงมีเพียงเอวที่ถูกโอบรัด และลำคอ... ที่ถูกคนฉวยโอกาสฝากรอยจุมพิตแผ่วเบา... 

   




ตึก ตึก ตึก

ผมได้ยินเสียงฝีเท้ารัวเร็วของตัวเองดังก้องทั้งที่อยู่ในที่โล่งกว้าง ไล่ตามกลิ่นบุหรี่ยี่ห้อเดิมโชยชัดในทุกฝีก้าว กระทั่งเห็นเจ้าของแผ่นหลังในชุดนักเรียนคุ้นตาปรากฏอยู่ตรงหน้า...

หมับ!

และผมก็ไม่อาจยั้งใจไม่เอื้อมมือไปกอดพี่ไว้ได้

เสียงหัวใจเต้นรัว... ขอบตาร้อนผ่าวบ่งบอกว่าตลอดมาผมหวาดกลัวและทรมานมากแค่ไหน

หลังจากหายไปเกือบสามอาทิตย์ในที่สุดพี่ก็กลับมา
   
ด้วยสถานะที่ไม่ได้เป็นแม้แต่คนรู้จักในสายตาคนทั่วไปทำให้ผมไม่อาจเปิดปากถามข่าวคราวของพี่กับใคร ต้องอดกลั้นกับเสียงลือต่างๆ นานาที่ไม่อาจพิสูจน์อะไรได้ เฝ้ารอ... เพื่อจะพบอีกครั้ง รอให้พี่เฉลยความจริงให้ผมฟัง
   
‘พี่หายไปไหนมา’
   
‘…’ แต่หลังจากเอ่ยคำถามรอบตัวกลับเงียบงัน

พี่ปล่อยให้ผมกอดแว้แน่นอย่างนั้น พร้อมค่อยๆ ละเลียดควัน กลิ่นนิโคตินที่ยังคละคลุ้งในอากาศราวหมอกพิษ ชวนอึดอัดจนไม่อยากหายใจ
   
‘พิชญ์…’ นานทีเดียวกว่าพี่จะทำลายความเงียบขึ้นมา
   
ไม่ได้ตอบคำถาม แต่กลับย้อนถามในสิ่งที่ผมไม่รู้ความหมาย
   
‘มึงจะอยู่กับกูไหม’
   
‘…’ ไม่รู้กระทั่งว่าจุดประสงค์ของคำถามนั้นคืออะไร
   
‘อยู่ตลอดไป…’ แต่น้ำเสียงที่พี่ใช้มันทำให้น้ำตาของผมไหลออกมา
   
เจ็บปวด... ทั้งที่ไม่เข้าใจ
   
‘อืม อยู่สิ’ แน่นอนว่าคำตอบช่างแสนง่ายดาย ผมรัดอ้อมกอดแน่นขึ้นยืนยันว่าจะไม่ไปไหน

...เพราะตอนนั้นผมโง่เกินกว่าจะรู้ว่าตลอดไปไม่มีจริง
   
และคำถามของพี่คือหลุมพราง...
   
สุดท้ายคนที่ขอให้ผมเอ่ยคำมั่น กลับกลายเป็นคนทำลายสัญญานั้นเสียเอง


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 9 P.3 [13.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 13-12-2017 06:33:48
(ต่อ)

จะทำยังไงเมื่อคุณคิดว่าตัวเองบินมาไกล แต่ความจริงแล้วไม่ใช่

ระยะทางหมื่นไมล์เป็นเพียงภาพลวงตาเมื่อคุณพบว่าตัวเองยังก้าวเท้าออกมาไม่พ้นหน้าบ้าน...

มันไม่ใช่คำถาม... แต่ผมกำลังตอกย้ำให้รู้ว่าเกมนี้มันอันตราย

ดังนั้น อย่าไว้ใจความหวัง...
   
“มาช้านะไอ้พิชญ์” เสียงตะโกนทักของพี่เจดแหวกเสียงเพลงชวนปวดหัวขึ้นมาทันทีที่เห็นหน้าผม
   
“เพิ่งตรวจแบบเสร็จอ่ะ” บอกเหตุผลพร้อมแทรกตัวนั่งลงกลางโซฟาตัวใหญ่ ตำแหน่งเดียวที่เหมาะเจาะพอจะจับตามองเขาได้...
   
เจ้าของดวงตาสีรัตติกาลที่นั่งอยู่บนโซฟาแบบเดียวกัน แต่ห่างออกไปในระยะหลายช่วงโต๊ะซึ่งกำลังมองมาที่ผมเช่นกัน กลางวงล้อมของคนที่ผมไม่รู้จัก และใครอีกคนที่ผมไม่รู้จักกำลังแนบชิดร่างสูงในระยะที่เรียกว่าแทบจะเกยอยู่บนตัก
   
คำถามข้อหนึ่งคือทำไมเขาถึงปรากฏตัวอยู่ที่นี่ง่ายๆ และข้อสอง... คนพวกนั้นเป็นใคร
   
“เด็กบริหาร” คำเฉลยสั้นๆ ถูกเอ่ยจากพี่รหัสที่รู้ว่าสายตาผมหยุดอยู่ตรงไหน
   
“กว่าจะลากคอมาได้กูแทบไหว้ เสือกถูกเด็กคณะอื่นหิ้วไปตั้งแต่นาทีแรกอีก ฮอตชิบหาย” พี่เจดพูดติดตลกพลางยื่นแก้วเหล้าที่ผสมแล้วมาให้
   
“อย่าอิจฉาดิ” ผมแกล้งแซวขำๆ พลางรับเครื่องดื่มมาจิบกลบเกลื่อนสายตาที่ถูกดึงดูดไว้ด้วยสีรัตติกาล
   
จากระยะนี้ไกลเกินกว่าจะได้ยินว่าพวกเขากำลังกระซิบกระซาบอะไรกัน แต่ก็ใกล้พอที่ผมจะเห็นดวงตาเรียวคมคู่นั้นได้ชัด... รอยยิ้มมุมปากร้ายกาจก็เช่นกัน
   
เขาจงใจ...
   
จำได้ไหม... เตวิชญ์คือผู้ทำลาย... ความหวังที่ผมเพิ่งคว้าได้ถูกเจ้าของริบคืนเพื่อเหยียบย่ำ ทดสอบว่าผมจะทนความผิดหวังซ้ำๆ ได้นานแค่ไหน
   
นั่นสิ... ผมจะทนได้แค่ไหนกัน
   
“ไม่ยักรู้มาก่อนว่าไอ้เตเป็นไบ คราวก่อนมันคบกับผู้หญิงในรุ่นมึงไม่ใช่?” เสียงที่ไม่คุ้นหูเรียกให้ผมหันมามองข้างตัว ก่อนจะรู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ท่ามกลางคนที่เกือบจะแปลกหน้าเหมือนกัน
   
ทั้งโต๊ะมีเพียงพี่เจดที่ผมสนิท นอกนั้นเป็นเพื่อนต่างคณะของพี่แกที่ผมเคยเจอไม่กี่ครั้ง
   
รู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่เขารู้จักเตวิชญ์ แถมยังรู้ถึงขั้นว่าเจ้าตัวเคยคบใคร และมันชวนประหลาดใจแค่ไหนที่ตอนนี้เขากำลังคั่วอยู่กับเด็กหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้มซึ่งไม่ได้มีส่วนคล้ายกับคนที่แล้วแม้แต่นิดเดียว
   
“ก็ไม่แปลกนี่หว่า” พี่เจดเป็นคนตอบขณะหยิบแก้วของผมไปรินเหล้าให้แทนของเดิมที่ไม่รู้หมดไปตอนไหน ผมหันไปเลิกคิ้วมองพี่รหัส รอฟังคำอธิบายที่ทำให้เขาคิดแบบนั้น
   
“มันก็มีนี่ พวกที่ไม่ได้สนใจว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ขอแค่รักอะไรทำนองนั้น” หลุดหัวเราะกับเหตุผลที่ฟังดูคล้ายนิยายน้ำเน่า แต่ก็อดเห็นด้วยไม่ได้
   
ขอแค่รัก... ก็คงใช่

ผมชนแก้วกับพี่เจดก่อนจะเลิกสนใจบทสทนา หันกลับมาจิบเหล้าและเล่นเกมจ้องตากับคนที่นั่งอยู่คนละโต๊ะอีกครั้ง

"..."

แต่เป็นความคิดที่ผิดมหันต์ เพราะเมื่อเบือนสายตากลับมาอีกครั้งภาพที่คิดไว้กลับบิดเบือน... กลายเป็นภาพที่เขาหันไปประกบปากกับคนข้างกาย

ให้ตาย... เล่นแรงจริงนะ
   
“แล้วอย่างไอ้เต เซ็กซ์แอพพีลสูงจะตายห่า มีทั้งผู้หญิงผู้ชายจ้องจะกินขนาดนั้น เป็นกูก็ไม่ปิดกั้นเหมือนกันอ่ะ” คำพูดติดตลกของพี่เจดที่เข้าหูมาไม่ได้ทำให้ผมขำอีกต่อไป
   
“ไอ้สัด แหยงอ่ะ ต่อให้เลือกได้แค่ไหนแต่กับผู้ชายด้วยกันมันก็ไม่ไหวป่ะวะ” ยิ่งคำพูดของคู่สนทนายิ่งทำให้อารมณ์หงุดหงิดปะทุขึ้นมาจนยากจะควบคุม
   
“หึ” ผมหลุดยิ้มหยัน วางแก้วเหล้าที่ว่างเปล่าลงบนโต๊ะพลางหันมองคนปากพล่อยข้างตัว...


“เฮ้ย!” ขัดจังหวะการดื่มของอีกฝ่ายด้วยการดึงแก้วเหล้าในมือเขามากระดกรวดเดียวอย่างถือวิสาสะ แสยะยิ้มให้ใบหน้าเหรอหราก่อนจะยกสะโพกขึ้นจากตำแหน่งตัวเอง...

พรึ่บ!

พลิกตัวกลับไปคร่อมตักของคนตัวโตกว่าแต่ไม่ได้นั่งลงไป เท้ามือข้างหนึ่งไว้กับโซฟาเพื่อพยุงไม่ให้ร่างกายสัมผัสกัน
 โน้มหน้าเข้าหาช้าๆ... หยุดเพียงให้จิลที่จมูกแตะลงกับปลายจมูกของอีกคนที่หยุดหายใจไปชั่วขณะ

“นะ... น้องพิชญ์...” เรียกเสียงอึกอักหลังจากกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ผมยิ้มตอบก่อนไล่สายตาสำรวจใบหน้าที่เอาเข้าจริงก็จัดว่าหล่อเหลาใช้ได้


การไม่ถูกผลักออกหรือโดนชกหน้าในทันทีทำให้ผมยิ่งได้ใจ คลี่ยิ้มบางพลางมองริมฝีปากที่เผยอออกอย่างอ้ำอึ้งไล่ขึ้นมาถึงดวงตาอีกครั้ง
 
“สีดำ...” จ้องนิ่งนาน จงใจให้การขยับริมฝีปากที่เกือบจะเฉียดกันทำอีกคนนิ่งงัน สายตาหวาดหวั่นระคนสับสนว่าผมต้องการอะไร

ก็แค่อยากรู้ว่าเป็นคนแบบไหน... ถึงได้พูดแบบนั้นออกมา

“ตาพี่...”

อ่านออกง่ายดายเมื่อจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีดำสนิททว่าขลาดเขลา ไร้เสน่ห์ลึกลับต่างจากดวงตาสีดำอีกคู่ที่ผมรู้จัก...

“สวยดีนะครับ” เสียงกลืนน้ำลายอีกครั้งทำให้ผมคลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิม ก่อนจะผละออกห่างทิ้งตัวกลับมานั่งที่เดิมพลางเอื้อมมือไปดึงแก้วเหล้าจากพี่เจดที่นิ่งค้างมองการกระทำแสนอุกอาจของผมอย่างตกใจ

“เป็นไงล่ะมึง เจอฤทธิ์น้องรหัสกูเข้าไป ยังแหยงผู้ชายอยู่ไหม” กว่าบทสนทนาจะเริ่มใหม่ก็ตอนที่ผมดื่มหมดแก้วอีกครั้ง ปล่อยให้สายตาตัวเองกลับไปจับจ้องยังตำแหน่งเดิมแต่ก็ต้องชะงักไป

เขาไม่อยู่ตรงนั้น... และการที่อีกคนหายไปพร้อมกันก็เป็นคำตอบง่ายดายว่าเขาหายไปไหน
   
“เฮ้ย ไปไหน” พี่เจดร้องทักทันทีที่ผมลุกขึ้นทั้งที่เพิ่งมาได้ไม่นาน
   
“เดี๋ยวผมจ่ายเอง” รับผิดชอบการเสียมารยาทด้วยการหยิบใบเสร็จไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์โดยไม่คิดอธิบาย พี่เจดเองก็คงเห็นว่าผมอารมณ์ไม่ค่อยดีถึงได้ปล่อยกลับโดยไม่คัดค้านอะไร เพียงหันไปตำหนิเพื่อนคนเดิมที่ทำงานกร่อยโดยไม่รู้ว่าความจริงแล้วผู้ชายคนนั้นไม่เกี่ยวอะไร
   
...ผมแค่เล่นเกมค้างไว้ก็เท่านั้น

   




แกรก~
   
เสียงปลดล็อกดังขึ้นทันทีที่คีย์การ์ดสำรองแตะเข้าเครื่องแสกน ผมผลักประตูเข้าไป แสงไฟห้องรับแขกที่สว่างจ้าบ่งบอกว่ามาถูกที่อย่างไม่ต้องสงสัย
   
แน่นอน... มันคือห้องของเขา ห้องชุดหรูหราที่ผมเคยมาเหยียบเพียงครั้ง... และตอนนี้ก็กำลังถือวิสาสะมาเยือนโดยไม่อนุญาต
   
ผมไม่ใช่ขโมย และคีย์การ์ดนี่ก็ได้มาด้วยความบริสุทธิ์ใจ... มันคือบทลงโทษจากความพ่ายแพ้ของเขาที่เลือกจะกระโดดน้ำลงไปช่วยผมไว้... ง่ายดาย แค่อนุญาตให้ผมรุกล้ำเข้ามาได้ตามใจ
   
...ไม่คิดว่าจะได้ใช้สิทธิ์เร็วขนาดนี้เหมือนกัน
   
“อ๊ะ...” เสียงร้องแปร่งประหลาดที่เล็ดลอดมาทำให้ผมเลิกคิ้ว ก่อนจะแสยะยิ้มเมื่อจับทิศทางได้... อันที่จริงก็เดาได้ตั้งแต่เห็นว่าประตูห้องนอนแขกบนชั้นลอยเปิดแง้มไว้...
   
ผมถอนหายใจหนึ่งครั้งก่อนตัดสินใจเดินตามเสียงนั้นไป แสงที่สาดจากห้องรับแขกสว่างพอจะทำให้เห็นกิจกรรมซึ่งไม่ผิดจากที่คาดเท่าไหร่...

ร่างเกือบเปลือยสองร่างที่กำลังเกี่ยวกระหวัดบนเตียงขนาดคิงไซส์ เสียงครางไม่เป็นภาษาจากฝ่ายที่นั่งคร่อมอยู่บนตัก ถูกเล้าโลมจากอีกฝ่ายที่กำลังวุ่นวายอยู่แถวหน้าอกเปลือยเปล่าที่กำลังแอ่นรับ เล็บทั้งห้าจิกลงแผ่นหลังกว้างระบายอารมณ์สวาท

ทำนองรักแสนเร่าร้อนกำลังจะถูกขับขาน... หากไม่ถูกขัดจังหวะ
   
“พะ...พี่เต” เสียงครางเปลี่ยนเป็นอุทานเมื่อผมผลักประตูเข้าไป
   
เสียงฝีเท้าและเงาร่างที่ทอดลงบนเตียงคงเพียงพอจะทำให้คนที่กำลังหันหลังให้ล่วงรู้การมาถึงของแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
   
“...” เจ้าของชื่อไม่ได้เอ่ยตอบอะไร ไม่แม้แต่จะหันกลับมาดูว่าผู้มาเยือนเป็นใคร...

คงเพราะมันไม่ยากเกินจะเดาได้
   
“...” ความเงียบชวนกระอักกระอ่วนดังคับห้องเมื่อกามกิจถูกระงับทั้งที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม เจ้าของร่างเล็กกว่าได้แต่มองหน้าผมสลับกับอีกคนเลิ่กลั่กอย่างไม่เข้าใจสถานการณ์ ยิ่งเมื่อผมก้าวเท้าเข้าไปจนถึงตัว สายตาของเด็กคนนั้นก็ยิ่งกลายเป็นความสับสนเจือหวาดหวั่น
   
ไม่ต้องห่วงหรอก...ผมไม่ได้จะทำอะไร

เป้าหมายของผมไม่ใช่เด็กน้อยไร้เดียงสาที่ริอ่านจะแตะของร้อนอันตราย
   
คนที่ผมมีธุระด้วยคือเขา... เจ้าของดวงตาสีรัตติกาลที่กำลังส่งคำถามว่าผมคิดจะทำอะไร ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนยกมือข้างที่ไม่ได้ล้วงกระเป๋าขึ้นแตะบ่าหนาที่เปลือยเปล่าพลางโน้มตัวลงไป

...แกล้งลงโทษคนใจร้ายด้วยการกัดใบหูหนึ่งครั้ง... แล้วเอ่ยกระซิบคำถามแผ่วเบา

   
“ท้าหรือจริง...”
   
...
   
ขยับปีกอีกครั้ง... ผมจำเป็นต้องบอกให้เขารู้ไว้... ว่าผมจะไม่เล่นบทของตายอีกต่อไป



--------------------------------------------------------------
Baby I’m preying on you tonight
Hunt you down eat you alive
Just like animals...
- Animals -
(Maroon 5)

แด่ความแซ่บของน้องพิชญ์ค่ะ 5555

ฝาก #เกมท้ารัก เช่นเคยนะคะ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 8 P.3 [06.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: prawan25 ที่ 13-12-2017 10:32:27
นี่แหละเตวิชญ์ ที่ไม่เคยทำให้ผิดหวัง....

แต่ชอบตอนที่พี่เตอ้อนมากกกก!!
มุมแบบนี้ของพี่ทำให้ใจน้องละลายไปเลยค่าาา -///-

และน้องพิชญ์... เราบอกแล้วว่าน้องร้าย -..-
เพราะถ้าน้องไม่ร้ายจะเอาพี่เตไม่อยู่  5555.
แต่ชอบควาาแสบที่น้องแสดงออกมามากเลยอ่ะ คือมันน่ารักกกก
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 9 P.3 [13.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: QueenPlai ที่ 13-12-2017 10:38:48
ว้ากกกกกกก่่อนดรน้บีะี้เยไยน่ดี้ร แซ่บมั่ยแซ่บ พิชญ์ร้ายหนักๆเลยลูก พี่ชอบบบบ พี่ชอบบบบบบ :hao5:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 9 P.3 [13.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: 05th_of_06th ที่ 13-12-2017 13:23:53
แซ่บกว่านี้ ขอแซ่บกว่าเน้!!! 55555555555 อยากเห็นน้องแซ่บอีกกก ให้อีพี่อกแตกไปซ้ะ หมั่นไส้  :hao3:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 9 P.3 [13.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 13-12-2017 16:49:07
แซ่บมั่ยแซ่บบบบบ เอาอีกค่ะน้องพิชญ์ ขอแซ่บกว่านี้!!!
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 9 P.3 [13.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: mirage ที่ 13-12-2017 17:06:18
อยากกรีดร้องให้ทะลุโอโซน แซ่บมาก ชอบน้อง ใช่ค่ะ ใช่ สิ่งที่เราควรทำไม่ใช่กรีดร้องแล้วกระชากตัวฆ่าเวลานั่นมาตบ แต่ควรทำให้เขารู้ว่าเราจะไม่มีวันเป็นเหมือนกับคนที่เขากำลังกอดอยู่ ว้อนท์อิทมอร์

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 9 P.3 [13.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 13-12-2017 20:16:19
อยากจะถือป้ายไฟไปเชียร์น้องพิชญ์เลยค่าาาาา เจ้าตัวแสบกำลังแผลงฤทธิ์ ขอให้พิษของคนน้องกัดกินคนพี่จนขาดน้องไม่ได้เลยนะคะ เหมือนที่พี่มอมเมาน้องด้วยควัน น้องพิชญ์สู้ๆ :katai3: :katai3:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 9 P.3 [13.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 13-12-2017 20:18:47
น้องพิชญ์ของพี่ ไม่เคยทำให้ผิดหวังจริงๆ
พี่เตจะเล่นใช่ไหม พี่เตจะต้องเป็นลูกไก่ในกำมือของน้อง!!!
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 9 P.3 [13.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: littlegift ที่ 13-12-2017 21:02:46
เดี๋ยวววว ทำไมพึ่งเจอเรื่องนี้ หยุดอ่านไม่ได้เลยจ้า  :katai1: ทีมน้องพิชญ์เลยจ้าาา
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 9 P.3 [13.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: otiosesone ที่ 13-12-2017 21:33:20
หนูพิชญ์สู้เขาลู๊กกกกกก ตาต่อตาฟันต่อฟัน!!!!!  :fire:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 9 P.3 [13.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 14-12-2017 02:20:18
พี่เตที่ว่าร้ายเจอน้องพิชญ์เข้าไปต้องยอมละงานนี้น้องเขาไม่ธรรมดา เอาอิพี่ให้สยบเลยลูกแม่อยู่ข้างหนู :laugh3: :katai4:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 9 P.3 [13.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 14-12-2017 06:37:05
เป็นความอ่อนโยนที่ไม่มีจริง จริงๆนั่นแหละค่ะ  :katai1:

คนเราจะทนการถูกทำลายความหวังได้ซ้ำๆถึงเมื่อไหร่
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 9 P.3 [13.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: tarn-pm ที่ 14-12-2017 14:30:54
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 9 P.3 [13.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: baniola ที่ 14-12-2017 18:02:51
อ่านรวดเดียวจบ 9 ตอนเลย วางไม่ลง
ใช้ภาษาได้น่าหลงใหลเว่อ ฮือออ น้องพิชญ์ดีมาก
ส่วนอิพี่เต เป็นคนเลวที่เกลียดไม่ลง555555555
แต่น้องนี่เกิดมาเพื่อไล่ตามจริง จะมีวันที่น้องเป็นคนคุมเกมส์บ้างไหมหนิ
ได้แต่ลุ้นให้มีวันนั้นบ้าง

น้องจะทำอะไรต่อไปรอติดตามนะคะ
เป็นกำลังใจให้คุณมะกอก✌
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 9 P.3 [13.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: BitterCucumber ที่ 14-12-2017 20:52:09
จะต้องเอามีดกรีดกันให้เป็นแผลเหวอะหวะอีกกี่ร้อยกี่พันครั้งถึงจะพอใจ ห้ะ?? TT อินเหลือเกินนนนนนน
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 9 P.3 [13.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 14-12-2017 21:38:01
สรุปอ่านไปอ่านมาน้องไม่ต้องบินขึ้นไปหาแล้วค่ะ พี่เตตกลงมาเอง 55555555555555555
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 9 P.3 [13.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: nnnnnnni ที่ 14-12-2017 22:30:33
โอ๊ยยยยยย แซ่บ
คือดี คือชอบภาษา  สำนวนการเขียนดีมาก  o13 o13
ลุ้นต่อออออ :mew3:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 9 P.3 [13.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 14-12-2017 23:12:34
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 9 P.3 [13.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: galeiiue ที่ 16-12-2017 22:43:28
ชอบบบ รอนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 9 P.3 [13.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Rungsai ที่ 16-12-2017 23:04:05
เอาแล้วววววววววววว
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 10 P.4 [17.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 17-12-2017 02:17:22
10

ผลจากการให้สัญญา คือความเย็นชาที่พี่ใช้ทดสอบความสัมพันธ์
   
ไม่ยินดียินร้าย... ห่างเหิน... บอกเป็นนัยว่าใกล้ถึงเวลาตัดขาด... บังคับให้ก้าวลงรถไฟในสถานีถัดไป
   
รวดเร็วจนน่าสับสน แต่มันเป็นสิ่งที่ผมเคยเตรียมใจ...
   
‘เราคบกันไหม’ จึงตัดสินใจเอ่ยถาม... คำถามเดิมเพื่อเริ่มความสัมพันธ์ครั้งใหม่
   
‘คบแบบที่คนอื่นเขาคบกัน’ ไม่มีแล้วการหลบซ่อน ลับเร้น... แค่เป็นเช่นคู่รักทั่วๆ ไป
   
แรงขับเคลื่อนของความสัมพันธ์ไม่ใช่ความตื่นเต้น มีเพียงความรัก... ที่ตรงข้ามกับความเร้าใจ
   
‘เอาสิ’ ผมคลี่ยิ้มเมื่อพี่ตอบรับง่ายดาย

...แม้จะถูกทำร้ายอีกครั้งในประโยคต่อไป
   
‘กูจะได้ทำกับมึงเหมือนคนอื่นสักที’
   
‘...’
   
เอาเถอะ ไม่เป็นไร...

อย่างน้อยผมได้โอกาสฉุดรั้งความสัมพันธ์... ได้มีโอกาสครอบครองกลางแสงไฟ... เพียงสักครั้ง

...แม้จากนี้จะเริ่มต้นสู่การนับถอยหลังก็ตาม
   





ผมมองแผ่นหลังเปลือยเปล่าของร่างสูงที่ยืนสูบบุหรี่อยู่นอกระเบียง เปลี่ยนความหงุดหงิดเป็นควันสีเทาให้สายลมพัดจนเจือจาง ทว่ากลิ่นนิโคตินยังคงคละคลุ้งอยู่ในอากาศ เด่นชัดในทุกๆ ก้าวที่ผมเข้าใกล้

อดไม่ได้ที่จะเบือนสายตาจากรอยข่วนบนผิวขาวที่ ‘คนอื่น’ ทิ้งไว้ ให้ความสนใจเพียงกลุ่มควันอ้อยอิ่งที่ปกคลุมเสี้ยวหนึ่งของใบหน้าหล่อเหลาที่ยังคงทอดมองออกไปที่ไหนสักแห่งที่ผมไม่อาจรู้ได้
 
เขาดูเหมาะกับมัน... อันที่จริงดูคล้ายจะเป็นสิ่งเดียวกัน
      
พิษร้าย ที่ค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในลมหายใจ... ทำลายปอด กัดกินอวัยวะภายในอย่างช้าๆ... กว่าจะรู้ตัวก็บุบสลายเกินกว่าจะแก้ไข
      
รู้ตัวอีกที... ก็เสพติดเกินกว่าจะถอนตัวได้
      
“ขอบุหรี่หน่อย” รวบผมที่ยาวประบ่าขึ้นลวกๆ ก่อนจะเท้าแขนลงที่ระเบียง เอ่ยพร้อมรอยยิ้มร้าย ไร้ความรู้สึกผิดแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นต้นเหตุความหงุดหงิดของอีกฝ่าย
      
เขาเลิกคิ้ว มองผมนิ่งนาน ก่อนจะแสยะยิ้ม
      
ไม่มีคำตำหนิ แถมไม่ได้หยิบบุหรี่มวนใหม่ให้ กลับยื่นมวนเดิมที่ถูกเผาไหม้ไปกว่าครึ่งมาจ่อริมฝีปาก... ผมยื่นหน้าเข้าไปงับในตำแหน่งเดียวกับที่เขาทิ้งร่องรอยอุ่นชื้นเอาไว้ สูดควันเข้าปอดแล้วปล่อยออกโดยที่สายตายังคงจับจ้องเข้าไปในดวงตาสีเดียวกับท้องฟ้ายามราตรี
      
มีคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ ก่อนจะได้คำตอบในเวลาเดียวกัน
      
ทำไมผมถึงยังวิ่งตาม... ทำไมยังตกหลุมรักผู้ชายคนนี้ซ้ำๆ ทั้งที่เขาเอาแต่หนีไป... ทำไมต้องฝืนตัวเองมากมายเพื่อให้ได้เขาคืนมา... ทำไม...
      
เพราะเป็นรักแรกจึงฝังใจ? หรือเพราะเขาพิเศษมากกว่าใครๆ?
      
ไม่ใช่...
      
เพราะผมไม่เคยทนต่อสายตาดึงดูดของเขาได้เลย ไม่เคย... แม้สักครั้ง
      
กระทั่งตอนนี้ก็เหมือนกัน
      
สายตาคู่เดิมที่เต็มไปด้วยความเย็นชา เย้ยหยัน... ทว่าแสนท้าทาย กดผมไว้แทบเท้า ในขณะเดียวกันกลับเยินยอ ทะนุถนอมผมไม่ต่างจากเจ้าชาย
      
แค่คิดว่าเขาใช้สายตาแบบนี้ล่อลวงใครต่อใคร ก็เล่นเอาหงุดหงิด และติดกับไปพร้อมๆ กัน   
      
เพราะงั้น มันคงไม่แปลก ถ้าผมจะทะเยอทะยานอีกนิด วางเดิมพันกับเกมไร้สาระที่เหนี่ยวรั้งเราไว้ด้วยกัน
      
“ท้าหรือจริง?”
      
คิ้วหนาเลิกขึ้นสีหน้าประหลาดใจ คงเพราะตามกติกามันไม่ใช่คราวของผมที่จะเป็นฝ่ายถาม
      
“ท้า”

แต่เขาก็ยังเป็นเขา... แสวงหาความท้าทายมากกว่าจะสนใจกฎเกณฑ์ไหนๆ

...เป็นเหตุผลชั้นดีที่สนับสนุนว่าการไล่ตามผู้ชายคนนี้มันเหนื่อยยิ่งกว่าอะไร
    
ผมถึงได้ใช้ทางลัดตลอดมา

“นอนกับผม”

“...”

“ผมขอท้า...!”

ไม่ทันได้เอ่ยย้ำ ร่างของผมก็ถูกคว้าด้วยฝ่ามือหนา... บุหรี่ที่คาบไว้ถูกทดแทนด้วยนิโคตินปลายลิ้นที่ขมปร่า

เพียงพริบตา แผ่นหลังของผมก็ปะทะกับเตียงอย่างรุนแรง







เขาใช้รสจูบแสนร้ายกาจ และสัมผัสจากนิ้วหยาบกร้านที่ตรึงผมไว้

ริมฝีปากบดเบียดลึกล้ำ เรียวลิ้นที่หยอกเย้าราวเหล็กร้อนที่กำลังหลอมแม้จิลเงินให้หลอมละลาย

เร่งเร้า สลับอ้อยอิ่ง... ขมปร่าด้วยรสนิโคติน แต่กลับหวานล้ำเสียยิ่งกว่าน้ำตาล

บรรจงป้อนจนแทบลำสัก ก่อนยื้อยุดกลับให้ทรมาน... สารเสพติดที่ค่อยๆ ซึมซ่านผ่านหยาดน้ำที่เชื่อมเราไว้ด้วยกันมอมเมาจนแทบคลั่งก่อนเคลื่อนคล้อยลงต่ำ...

สู่ลำคอ... และแผ่นอกที่แอ่นรับความรู้สึกวาบหวาม

ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่กระดุมทั้งหมดถูกกระชากเปิดทางให้ริมฝีปากร้อนพรมจูบลงไป ชายเชิ้ตหลุดลุ่ยเชื้อเชิญให้ฝ่ามือหนาสอดเข้ามาด้านใน รุกล้ำสาบเสื้อ ลูบไล้ทั่วแผ่นหลังก่อนช่วงชิงจังหวะวูบไหว ใช้มืออีกข้างรั้งซิปกางเกง... เผยส่วนปลั่งร้อนด้วยราคะข้นคลั่งกลางลำตัว

“อืม...”

เผลอหลุดเสียงครางอย่างอดไม่ได้เมื่อร่างสูงใช้เข่าดันขาทั้งสองข้างให้แยกออก ก่อนจงใจโถมทับให้ส่วนเดียวกันได้สัมผัส...ผิวกางเกงยีนหนาไม่อาจซุกซ่อนส่วนที่คับแน่นไม่แพ้กัน

ได้ยินเสียงคำรามแผ่วจากเจ้าของริมฝีปากที่ยังสาละวนกับยอดอก เมื่อผมอาสารูดซิป...ปลดปล่อยให้ส่วนร้อนของคนตัวโตคลายความอึดอัด... ลดปราการเหลือเพียงผิวชั้นในบาง... แทบไม่รู้สึกถึงขวางกั้นเมื่อเสียดทาน

ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศไม่อาจกลบทับไอร้อนจากสองร่าง อบกลิ่นราคะแผ่ซ่าน... ความต้องการทบทวี กระตุ้นอีกเพียงนิดคงไม่อาจหลบหนี... ถูกพาจมดิ่งสู่ห้วงหรรษายามราตรี

โชคดี... ที่นี่ไม่ใช่ท่าร่วมรักที่ผมโปรดปราน

ตุบ!

จึงถือโอกาสที่ไฟปรารถนาครอบงำอีกคนจนไร้แรงป้องกัน หยัดกาย พลิกกลับ... เป็นฝ่ายขึ้นคร่อมทับเหนือร่างหนาไว้ พร้อมหยุดคำทัดทานด้วยริมฝีปากและเรียวลิ้นที่จาบจ้วงล่วงล้ำ แม้ไม่อาจร้อนแรงเท่า... เพียงรสจูบบางเบา... อ่อนหวาน... เนิ่นนาน

“พี่ทำผมโกรธ” ผละจูบเมื่ออีกฝ่ายตกหลุมพราง เคลิบเคลิ้มกับจังหวะเนิบช้าที่ผมบรรจงป้อนให้

คิ้วเข้มขมวดอย่างขัดใจ “เรื่องอะไร”

ผมหัวเราะกับทั้งความงุ่นง่านและความไม่แยแสต่อความผิดที่ตัวเองทำลงไป

“เด็กคนนั้น...” ก้มลงกระซิบชิดริมฝีปากพร้อมทำโทษคนหลงลืมด้วยการกัดริมฝีปากล่าง...เพียงหลาบจำ ก่อนฝังจูบหนักๆ อีกครั้ง “ผมไม่ชอบให้พี่ยุ่งกับใคร”

ที่ผ่านมาแม้ตอนคบกันผมไม่เคยแสดงความหึงหวงเลยสักครั้ง แต่คราวนี้และต่อไปผมไม่คิดอดกลั้น

“หึ” ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอขณะที่ฝ่ามือหนายกขึ้นมาเกลี่ยแก้มพลางเอ่ยถาม “แล้วมึงจะห้ามกูยังไง”

ตอกย้ำด้วยสายตาว่าไร้สิทธิ์ แต่ผมไม่คิดจะใส่ใจ

ไม่มีสถานะให้หึงหวง? ก็อาจใช่...

แต่... แล้วยังไง?

“ผมจะล่ามพี่ไว้” คลี่ยิ้มตอบพลางทาบฝ่ามือลงบนหลังมือใหญ่ สอดประสานนิ้วทั้งห้าแล้วเหยียดไว้เหนือหัว โน้มตัวลงประทับริมฝีลงกับลำคอแกร่ง...ขบเม้มจนขึ้นสี ตีตราซ้ำๆ อย่างเอาแต่ใจ

แต่เพียงเท่านี้คงไม่อาจ ‘ล่าม’ เขาไว้ได้...

ผมจึงเริ่มขั้นต่อไปด้วยการทาบริมฝีปากลงบนริมฝีปากร้อนจัดอีกครั้ง ฝังจูบอ้อยอิ่ง ก่อนเปลี่ยนเป็นโอนอ่อน... ตอบรับจังหวะเร่งเร้าหวังเอาใจ ต่างเริ่มรุกไล่ป้อนรสสัมผัสล้ำลึกอย่างไม่มีใครยอมใคร...

เสียงหอบหายใจดังก้อง มือหยาบกร้านที่ไม่ถูกประสานเคลื่อนสะเปะสะปะอีกครั้ง บีบคลึงทั่วผิวจนขึ้นรอยช้ำ ก่อนแทรกตัวผ่านชายผ้าเข้ามา...นวดเค้นสะโพก...ปลุกเร้าความปรารถนา และผมก็ไม่คิดอิดออดที่จะตอบรับ โหมเชื้อไฟ... กดตัวลงทับส่วนที่กำลังขยายด้วยราคะก่อนเริ่มขยับเชื่องช้า... แม้ผ่านผิวผ้าทว่าไม่อาจลดทอนความเร้าใจ

เสียงคำรามเล็ดรอดผสานรสจูบที่ทวีความรุนแรงบ่งบอกว่าเขากำลังจะทนไม่ไหว... ถึงเวลาที่ผมจะใช้ลูกเล่นสุดท้าย...

แกรก~!

“...!” เครื่องพันธนาการเด็กเล่นถูกเอามาใช้หลังเบี่ยงเบนความสนใจ...ไฟปรารถนาครอบงำจนอีกฝ่ายไร้การป้องกัน

รู้ตัวอีกที... แขนข้างหนึ่งก็ถูกล็อกติดกับหัวเตียง

“บอกแล้ว... ผมจะล่ามพี่ไว้” เอ่ยย้ำเจตนาอีกครั้งหลังผละริมฝีปากออกมา คลี่ยิ้มให้เจ้าของใบหน้าคมที่ขมวดคิ้วตั้งคำถาม ก่อนลุกขึ้นนั่งมองผลงานตัวเองอย่างชอบใจ

“น่ารักดีเนอะ” เขี่ยนิ้วกับส่วนโซ่ที่เชื่อมกุญแจมือพลาสติกสีชมพูพลาสเทลพลางยิ้มกว้าง

"เห็นขายอยู่ข้างทางเลยแวะซื้อมา" ส่งสายตายียวนให้เสือร้ายที่ตกหลุมพราง

“เล่นอะไร” เขาถอนหายใจทำท่าจะกระชากแขนตัวเองออกจากพันธนาการ

“เดี๋ยวเจ็บหรอก” ผมปราม แต่ไม่คิดห้าม มองเขาดิ้นรนอยู่สักพัก ก่อนเจ้าตัวจะหันกลับมาสบตาผมอีกครั้ง

“พิชญ์”

“...” ยิ่งเห็นเขางุ่นง่านผมยิ่งยิ้มกว้าง

...แต่ไม่ทันไรก็ต้องชะงัก

“คุณพิชญ์...”

“...”

เช่นเดียวกับที่ผมใช้คำเรียกปีนเกลียวทุกครั้งที่หงุดหงิด เตวิชญ์ก็มักจะเติมสรรพนามชวนห่างเหินนำหน้าชื่อผมเพื่อแสดงความไม่พอใจเช่นกัน

มันคล้ายการหยอกเย้าเอาคืนระหว่างเรา... ซึ่งผมไม่คิดว่าเขาจะจำได้ด้วยซ้ำ

การได้ยินอีกครั้งจึงทำให้ผมหวั่นไหวชั่วขณะ และเขาคงคาดไว้ว่ามันจะได้ผล... ผมจะยอมอ่อนให้เขาเช่นวันวาน

...แต่ทุกอย่างย่อมมีข้อยกเว้น

เช่นคราวนี้ที่ผมเพียงหัวเราะเบาๆ ก่อนโน้มตัวลงกดจูบหนักๆ ลงบนริมฝีปากบาง “รู้ไหม... เวลาพี่หงุดหงิดแบบนี้มันน่ารักชะมัด”

“หึ...” เขาชะงักไปสักพัก แล้วเริ่มหัวเราะบ้าง สีหน้างุ่นง่านเริ่มคลาย มุมปากบางเผยยิ้มร้าย “มึงเปลี่ยนไปจริงๆ”

ประโยคนั้นทำให้ผมเลิกคิ้ว ทิ้งตัวลงนอนตะแคงข้างเขาก่อนกระซิบถาม

“แล้วพี่ชอบแบบไหนมากกว่า”

“...” ดวงตาสีรัตติกาลหันกลับมาประสาน ทว่าไม่มีคำตอบให้สิ่งที่ผมสงสัย

ระหว่างพิชญะที่ว่าง่าย กับอีกคนที่ไม่ยอมเป็นของตาย... น่าสนใจนะว่าเขาจะเลือกแบบไหน

แต่ยังไงซะ... ทั้งสองก็คือคนเดียวกัน

ดังนั้นต่อให้เลือกเพราะด้านหนึ่ง... ตัวตนอีกด้านก็พร้อมจะตามติดไปอยู่ดี ถูกไหม?

“พรุ่งนี้ผมจะมาไขให้” ตัดสินใจจบบทสนทนาเพียงเท่านี้ แล้วลุกขึ้นล้วงลูกกุญแจออกมาจากกระเป๋า... แน่นอนว่าไม่ได้จะยื่นให้เขา แต่ยังใจดีพอจะเผยที่ซ่อนด้วยการรวบเส้นผมให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนซุกซ่อนมันลงไป

"ฝันดีนะครับ" คลี่ยิ้มทิ้งท้ายก่อนก้าวออกจากห้อง ปิดประตูตามหลังโดยไม่คิดหันกลับไปมองว่าเขากำลังทำสีหน้าแบบไหน

ผมทิ้งตัวพิงประตูด้วยความอ่อนล้าไร้ที่มา เผลอถอนใจขณะก้มสำรวจร่างกายตัวเอง กระดุมเสื้อที่ถูกปลดเผยให้เห็นร่องรอยที่เขาฝากไว้ ความร้อนจากริมฝีปากที่พรมจูบทั่วร่างยังแจ่มชัด...รสสัมผัสยังคงทิ้งไว้คล้ายควันที่ยังไม่จาง...

เถ้าราคะยังคงปลั่ง คั่งค้างอยู่ในร่างด้วยไม่ได้รับการระบายจนสุดทาง...

นึกโกรธตัวเองเหมือนกันที่หลงปล่อยให้ความต้องการถลำลึกไปขนาดนั้น แต่เมื่อคิดว่าความปรารถของอีกคนก็กำลังชูชันไม่ต่างกันก็เปลี่ยนเป็นขบขัน

เอาเถอะ... อย่างน้อยก็ไม่ได้มีแค่ผมที่ทรมาน






ถ้าคิดว่าเขาจะรอให้ผมเป็นคนปลดเปลื้องพันธนาการให้... คุณคงต้องคิดใหม่

ทิฐิของเตวิชญ์สูงเกินไป และกุญแจมือเด็กเล่นก็อ่อนหัดเกินกว่าจะล่ามเขาไว้ได้จริง

ไม่แปลกใจเลยที่เห็นเขายืนอยู่ตรงหน้ากลางดึก พร้อมกับผ้าห่มผืนหนาที่คลุมร่างให้... แผ่วเบาราวไม่อยากให้รู้สึกตัว แต่เพราะตื่นง่ายเป็นทุนเดิมผมจึงงัวเงียขึ้นมา ในจังหวะที่ร่างสูงนั่งคุกเข่าลง ควานหาลูกกุญแจในเส้นผมของผมอย่างเบามือ

ไม่ทันไรก็ได้ในสิ่งที่ต้องการ พันธนาการถูกปลดทิ้งอย่างไม่ไยดี

“หึ” หลุดหัวเราะเบาๆ เมื่อสุดท้ายเขาก็หาทางหลุดพ้นจนได้ เจ้าของใบหน้าคมเลิกคิ้วประหลาดใจ ก่อนจะเอื้อมมือมาลูบหัวคล้ายขอโทษที่ทำให้ตื่น

“ไปนอนในห้องนอนแขกไป” เขาว่า คงเห็นว่าโซฟาไม่อาจทำให้หลับสบาย ผมคลี่ยิ้มส่ายหน้าปฏิเสธอย่างเอาแต่ใจ

“ผมไม่อยากนอนทับที่ใคร”

...แค่คิดว่าในห้องนั้นมีกลิ่นของเขาปะปนกับใครต่อใคร ก็ชวนฟุ้งซ่านจนหลับไม่ไหว

“ทำไมถึงใจร้ายนัก” อาจเพราะยังก้ำกึ่งระหว่างความฝัน ผมจึงพึมพำถามออกไป

ไม่ทันคิดว่ามันเป็นกรเปิดเปลือยความรู้สึกที่ควรซุกซ่อนไว้... เปิดโอกาสให้เขาได้ทำร้าย

“แล้วทำไมถึงดันทุรัง” ฝ่ามือที่ลูบหัวแผ่วเบา ช่างสวนทางกับความบาดลึกในข้อความ

“...”

“...” สุดท้ายเราทำได้เพียงจ้องตากันนิ่งงัน ปล่อยทิ้งคำถามที่ไร้คนตอบอยู่อย่างนั้น ก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายคลี่ยิ้มแล้วหลับตาลงอีกครั้ง

จมลึกสู่ความฝันที่เขาปีนขึ้นมากอดผมไว้ กระซิบว่าพอแล้ว...ผมไม่ต้องพยายามอีกต่อไป...

เกมจบแล้ว... เขายอมแพ้

...แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่ผมได้รับคือสายตาคู่เดิมที่ยังคงจ้องนิ่งนาน

...และรอยจุมพิตที่ฝังลงมาบนหน้าผากอย่างเงียบงัน







ผมไม่แน่ใจนักว่าตัวเองชอบว่ายน้ำไหม...

ความรู้สึกที่ถูกโอบล้อมด้วยสายน้ำมันชวนให้ผ่อนคลาย ขณะเดียวกันความทรงจำก็ยังย้ำเตือนเสมอว่ามันอันตราย

“ทำอะไร” เสียงทุ้มเอ่ยถามทันทีเมื่อเห็นผมแหวกว่ายอยู่กลางสระในเช้าตรู่โดยไม่ได้รับอนุญาต

ผมหันไปตามต้นเสียงก่อนว่ายเข้าไปหา หยุดลงขอบสระพร้อมกับเจ้าของฝีเท้าที่ยืนอยู่ตรงหน้า 

“กำลังรอเสื้อผ้าแห้ง” ว่าพลางชี้ไปทางห้องซักผ้าที่ถือวิสาสะใช้งานเพราะรู้ว่าเขาคงไม่ว่าอะไร ตอบแทนที่ผมเองก็เคยให้เขายืมใช้เครื่องซักผ้าที่ห้องเหมือนกัน

เจ้าของใบหน้าคมขมวดคิ้วก่อนถอนหายใจ ร่างสูงเดินกลับเข้าไปในห้องตัวเองอีกครั้งแล้วกลับมาพร้อมผ้าขนหนูหนึ่งผืนและเสื้อผ้าของเขา

“ขึ้นมาก่อนเป็นหวัด”

อืม จริงของเขา ถ้ายังรอคงต้องใช้เวลานับชั่วโมง และผมคงไม่อาจแช่ตัวอยู่ในสระได้นานขนาดนั้น

...แต่จะให้ขึ้นตอนนี้ก็ไม่ได้เหมือนกัน

“พิชญ์” เสียงทุ้มเข้มขึ้นเมื่อเห็นผมยังรั้งรอ ผมหัวเราะ ก่อนถอยออกมาจากขอบสระ ให้เขารู้ว่าเพราะอะไร...

ผมมีเสื้อผ้าชุดเดียว และเรื่องเมื่อคืนก็ทำให้มันสกปรกเกินกว่าจะใส่ต่อได้... โดยเฉพาะชุดชั้นใน

ถึงแม้จะมีสายน้ำช่วยบดบัง แต่เขาคงมองเห็นง่ายดาย... ร่างกายเปล่าเปลือยที่หลบเร้นอยู่ภายใต้ความโปร่งใส

ผมคลี่ยิ้มแล้วว่ายกลับไปที่ขอบสระอีกครั้ง สบเจ้าของดวงตาสีรัตติกาลที่ขมวดคิ้วนิ่งค้างก่อนเอ่ยคำถาม

“ท้าหรือจริง”

เช้าเกินกว่าจะเล่นเกม แต่เขาไม่คิดขัดใจ ร่างสูงย่อตัวลงนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งตรงหน้าผมจ้องนิ่งนานเพื่อขุดค้นความต้องการ

แต่สุดท้ายเลือกเอ่ยคำตอบที่ไม่ต้องเดา

“ท้า”

ผมยิ้มรับ ก่อนเท้ามือลงกับสระ ยกตัวขึ้นอีกนิดจนปลายจมูกแตะปลายคางมน คลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นร่องรอยสีกุหลาบหลายตำแหน่งที่ลำคอแกร่ง ก่อนช้อนสายตากลับมาสบตา... เพื่อกระซิบคำท้าแสนง่ายดาย

“ข้าวเช้า”

เดิมทีคิดจะท้าให้เขาเปลื้องผ้ากระโดดลงมาว่ายน้ำด้วยกัน... แต่แบบนั้นคงอันตรายเกินไป... ผมคงอดใจไม่สานต่อเรื่องเมื่อคืนไม่ไหว

อีกอย่าง การว่ายน้ำแต่เช้าทำให้ผมเสียพลังงานเยอะจนกระเพาะเริ่มส่งสัญญาณให้หาอะไรเข้าปากทดแทน

“อยากกินอะไร” เขาชะงักไปนาน ก่อนหัวเราะเบาๆ และเอ่ยถามขณะที่ผมถอยกลับมา ฝังร่างลงน้ำถึงครึ่งอกอีกครั้ง

“ไข่ดาวกับไส้กรอกก็ได้ ผมเห็นมีอยู่ในตู้เย็น” ยิ้มทะเล้นให้ร่างสูงที่ลุกขึ้นยืน เขายักไหล่น้อยๆ ราวบอกว่าไม่มีปัญหา ก่อนหันหลังกลับไป

ผมจึงอาศัยจังหวะนั้นดีดตัวขึ้นจากสระ...ให้ร่างเปลือยเปล่าได้สัมผัสอากาศ ไม่กังวลสักนิดว่าเขาจะหันกลับมา บอกแล้วว่าทิฐิของเตวิชญ์สูงเกินไป

เว้นเสียแต่ว่า...

“พี่เต” เขาชะงัก และเมื่อผมไม่ยอมเอ่ยความต้องการสักทีเขาจึงหันมาเลิกคิ้วถาม

น่าเสียดาย... มันเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมดึงผ้าขนหนูขึ้นมาพันเอวไว้พอดิบพอดี

แต่ความสั้นเหนือเข่าก็แทบไม่เหลือพื้นที่ให้จินตนาการ

“ไข่ดาวไม่สุกนะครับ” ปล่อยให้เขาสำรวจเพียงชั่ววินาทีสั้นๆ ก่อนรั้งสายตาคู่นั้นขึ้นจากรอยสักตรงเชิงกรานเหนือขอบผ้าที่พันไว้อย่างหมิ่นเหม่แล้วเอ่ยความต้องการ

"หึ" เจ้าของดวงตาสีรัตติกาลแสยะยิ้มมุมปากครั้งหนึ่งก่อนหันกลับไป คำว่า ‘ตัวแสบ’ ถูกนิยามด้วยน้ำเสียงพึมพำที่ไม่อาจเล็ดรอดหูของผมไปได้ ประกายงุ่นง่านในแววตาที่เขาทิ้งไว้เรียกให้ผมยิ้มกว้างอย่างได้ใจ

บอกแล้วไง เวลาเขาหงุดหงิดน่ะ น่ารักจะตาย







------------------------------------------------------------
ยัยตัวแสบจะเข้ามาป่วนในชีวิตพี่เขาอย่างเต็มรูปแบบแล้วค่ะ  :hao7:
ขัดใจตรงไหน หรือมีอะไรบกพร่องติติงได้เสมอเลยนะคะ
น้อมรับทุกความคิดเห็นค่ะ

ฝาก #เกมท้ารัก ด้วยนะคะ ^^

หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 10 P.4 [17.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Zestful ที่ 17-12-2017 02:43:25
พี่เตคือดีอ่าาา
นุ้งพิชญ์ก็แซ่บลืม
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 10 P.4 [17.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 17-12-2017 03:15:24
โอ๊ยยยยยย น้องพิชญ์!!!!!!ทำไมทำตัวน่าตีขนาดนี้นะ โอ๊ยยย อยากหยิกกกกก
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 10 P.4 [17.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 17-12-2017 10:08:25
ฉันหลงรักเต

ขอตอนต่อไปรัวๆเลยได้ไหมคะ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 10 P.4 [17.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: CLShunny ที่ 17-12-2017 10:42:08
ไหนคะ ไหน ไหนคำว่าพี่เตน่ารัก ชั้นอ่านมานี่ลุ้นแล้วลุ้นอีกกับความชาเย็นเย็นชาของเค้า ชั้นจะบ้าตาย คยสองคนนี้มีอะไรมาเล่นทุกตอนจริงๆ ชั้นลุ้นกว่าพระนางของเรื่องอีก ชั้นนนนชอบบบบบบบบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 10 P.4 [17.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: bmine ที่ 17-12-2017 13:33:48
พี่เตเสร็จแน่ๆค่ะ ฟันธง พี่เตจะมึน ซึน นิ่ง ใจร้ายขนาดไหน นังน้องไปไกลกว่าพี่เต1ก้าวเสมอ 5555555 จะรอดูวันที่พี่เตเชื่องค่าา
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 10 P.4 [17.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 17-12-2017 19:12:58
พิชญ์แซ่บมากกกกกก ชอบ รอวันที่พี่เตจะแพ้น้องพิชญ์
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 10 P.4 [17.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Rungsai ที่ 17-12-2017 20:03:54
แซ่บเด้อออออออ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 10 P.4 [17.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 17-12-2017 20:27:13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 10 P.4 [17.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: plearnly ที่ 17-12-2017 21:53:33
ใจร้ายซะให้พอนะพี่เต แล้วถ้าช่วงหวานขอให้หวานให้สุดบ้าง
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 10 P.4 [17.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: prawan25 ที่ 17-12-2017 22:25:14
โอ๊ยยยยยย!!

พิชญ์คือแสบมากกกก
ทำแม่หัวใจจะวาย 5555.

เริ่มสงสารพี่เต ที่ต้องรับมือกับความแสบของน้องพิชญ์แล้ว
แต่พี่ต้องอย่ายอมน้องนะ น้องแสบมาพี่ต้องหาทางเอาคืน 55555.
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 10 P.4 [17.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 18-12-2017 10:51:43
น้องแสบมาก  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 10 P.4 [17.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: khungyf ที่ 18-12-2017 11:16:29
ชอบนะคะ ชอบความแซ่บของน้องพิชญ์ ความกร๊าวใจของพี่เต (เราไปหวีดในแท็ก #เกมท้ารัก ในทวิตให้ทุกตอนเลย555)
เป็นกำลังใจให้ค่ะ ขอซัก 50 ตอน  พร้อม boxset เริ่ดๆนะคะ เรารอเปย์อยู่ จุ๊บๆ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 10 P.4 [17.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 18-12-2017 16:54:20
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 10 P.4 [17.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: mirage ที่ 18-12-2017 22:56:08
ชอบทุกครั้งที่ต่างฝ่ายต่างถามว่าท้าหรือจริง มันดูเย้ายวน ท้าทายและก็ซ่อนความหวังหรือบางอย่างไว้ลึกๆ อยากรู้ว่าพี่ผ่านอะไรมา ทำไมถึงเป็นแบบนี้หรือเป็นอยู่แล้ว ส่วนน้องก็รู้ตัวเองดีแต่ก็พร้อมเสี่ยง เหมือนเดินอยู่บนบัลลังค์ที่ฐานร้าว ยิ่งใหญ่แต่ไม่สามารถรักษาสิ่งที่ตนเองครอบครองได้
เป็นกำลังใจให้ค่ะ

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 10 P.4 [17.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: QueenPlai ที่ 18-12-2017 23:14:50
อยากมีน้องพิชญ์เป็นของตัวเอง :z3: :hao7:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 10 P.4 [17.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: hhellob ที่ 19-12-2017 09:20:59
ชอบมากกกกก เอาใจช่วยน้องพิชญ์น้า พี่เตใจอ่อนไว ๆ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 10 P.4 [17.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: pipoo ที่ 19-12-2017 11:54:21
พี่เตใจร้ายอะนอนกับคนอื่น
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 10 P.4 [17.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 20-12-2017 20:42:06
น้องพิชญ์ลูกแม่ ทำไมแซ่บอะไรขนาดนี้ คือดีมากก
ไม่อยากให้พี่เตแล้ววว ไม่รักก็ช่างเขา มาหาแม่มาา
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 10 P.4 [17.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 21-12-2017 10:37:01
ทั้งแซ่บทั้งแสบเลยนะน้องพิชญ์ :interest:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 11 P.4 [22.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 22-12-2017 19:47:17
11

   
“กูเห็นนะ” คนมาใหม่เอ่ยประโยคทักทายที่ทำให้ผมหันไปเลิกคิ้ว แต่คำตอบกลับเป็นถุงพลาสติกใบใหญ่ที่โยนมาปะทะอกผมพอดิบพอดี
   
“มาช้าไปป่ะ จะกลับแล้วเนี่ย” ผมบ่น แกะถุงพลาสติกที่เผลอรับไว้ ข้างในบรรจุสารพัดขนมขบเคี้ยว เสบียงสำหรับคืนนี้ พี่เจดยักไหล่เหมือนช่วยไม่ได้ ก่อนจะหยิบบุหรี่จากกระเป๋าออกมาจุดไฟ
   
“รอยที่คอมึง” เอ่ยต่อประโยคที่ผมเกือบลืมไปแล้ว เล่นเอางงไปพักก่อนจะเบิกตากว้างยกมือขึ้นมาปิดคอตัวเองทั้งที่ไม่ทัน 

ถึงจะผ่านมาสามวัน แต่รอยจางๆ ที่หลงเหลืออยู่ก็สังเกตได้ ขนาดมีผมช่วยบังยังโดนทัก อีกคนคงไม่รอดเหมือนกัน
   
“ไอ้เตก็มี” พี่เจดหัวเราะพลางสูดควัน มองลงไปชั้นล่างที่เด็กปีหนึ่งกลุ่มใหญ่กำลังทำงานกันอยู่กลางคอร์ทของตึกรูปตัวยู โปรเจ็กต์สุดท้ายของเทอมที่ต้องทำงานเป็นกลุ่ม สร้างยูนิตฟังก์ชั่นรองรับกิจกรรมตามอิริบถพื้นฐานต่างๆ
   
แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นมี ‘เขา’ ที่กำลังขะมักเขม้นกับการยกแท่งไม้มาทาสีในสภาพที่เรียกได้ว่าเกือบจะมอมแมม
   
“...” ผมไม่รู้จะพูดอะไร ก็เลยได้แค่ยืนนิ่งมองไปยังจุดเดียวกันให้พี่รหัสปะติดปะต่อเรื่องต่อไป
   
“ตกลงมึงสองคนนี่ยังไง?” แสร้งหยิบบุหรี่ออกมาคาบไว้ให้ปากไม่ว่างจะได้ไม่ต้องตอบคำถาม
   
แต่ความเงียบก็คือคำตอบที่เดาง่าย
   
“จริงๆ กูก็ได้กลิ่นตุๆ มาสักพัก กูไม่ค่อยเห็นมึงยุ่งกับใคร”
   
ผมไม่ใช่คนโลกส่วนตัวสูง ใครชวนไปไหนก็ไป คุยเล่นได้ แต่ไม่ชอบผูกสัมพันธ์... ถูกใจคนยากน่ะ
   
“ไม่ใช่เพราะมันหล่อแน่ๆ อ่ะ ก่อนหน้านี้มีคนหน้าตาดีเยอะแยะมาเสนอตัวให้มึงก็ไม่แยแส” อย่างพี่เจดก็เป็นคนหนึ่งที่ถูกใจ
   
เป็นพวกที่ภายนอกเหมือนจะไม่มีอะไร แต่หลายครั้งก็ชอบทำให้ประหลาดใจ
   
“แฟนเก่า?”
   
นี่ไง...
   
ผมแทบสักควัน เบิกตากว้างมองคนข้างตัวราวกับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ พี่รหัสตัวโตเลยหัวเราะเสียงดัง
   
“พวกมึงเคยเรียนที่เดียวกัน” เบาะแสแรกถูกเอ่ยพร้อมกลุ่มควันสีขาวและเสียงซี้ดปากเบาๆ เค้นเอาเบาะแสถัดไปออกมา
“แล้วสายตาที่มึงมองมันก็ดู... อาลัยอาวรณ์?”
   
ให้ตาย ไอ้พี่เคราควรไปตั้งสำนักอ่านใจ
   
ผมยังไม่ได้พูดอะไรสักคำแต่พี่มันกลับวิเคราะห์ได้เป็นฉากๆ ราวกับมีอดีตร่วมกัน... ได้ไงวะ?
   
“ที่สำคัญคือไอ้เต...” ทำท่าจะเอ่ยเบาะแสสุดท้ายแต่กลับชะงักไป ชี้นิ้วคีบบุหรี่ไปยังคนข้างล่างที่กำลังขะมักเขม้นกับการทาสีไม้ หรี่ตาเหมือนไม่แน่ใจ “มันดูเปิดใจกับมึง”
   
ผมแค่นหัวเราะ ถ้านั่นเรียกว่าเปิดใจ มันคงเป็นประตูที่แม้แต่แมลงตัวจ้อยก็เล็ดลอดเข้าไม่ได้
   
“ปาบอกกูว่าไอ้เตเป็นแฟนที่แปลกที่สุดเท่าที่เคยคบ”
   
ผมเลิกคิ้ว เอ่ยคำถามแรกออกไป “ยังไง?”
   
“มันไม่เคยสบตาเลยนอกจากตอนเลิกกัน” ผมพยายามนึกภาพ แต่ทุกครั้งที่คุยกันผมไม่ค่อยเห็นเขาละสายตาไปไหน ราวกับตั้งใจจะใช้สีรัตติกาลนั้นล่อลวงให้ผมดิ่งลึกลงไป

“เป็นเวลาเดียวที่มันแสดงความจริงใจ” พี่เจดหัวเราะเบาๆ ควันสีขาวขุ่นพรูพร่างออกมาจากรูจมูก “ไม่เคยละเลย แต่ก็ไม่ใส่ใจ เหมือนหุ่นยนต์อ่ะ ถูกตั้งโปรแกรมคำว่าแฟนไว้แค่ไหนก็ทำแค่นั้น ลืมใส่ความรู้สึกลงไป”

ผมแค่นหัวเราะอีกรอบ ทอดสายตามองร่างสูงที่ยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อจนสีที่ติดอยู่กับมือเลอะแก้มเป็นขีดเด่นชัด

“ผมว่าเขากำหนดจุดเริ่มต้นกับจุดจบไว้ตายตัว” ละเลียดควันลงปอดพร้อมเอ่ยข้อสันนิษฐาน พี่เจดหัวเราะลั่น

“โคตรจะหุ่นยนต์” คนตัวโตดับบุหรี่ที่เกือบถึงก้นกรอง หยิบมวนใหม่ขึ้นมาจุด ให้ควันสีขุ่นเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนา
ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็คงทำเหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำได้แค่ละเลียดควันเข้าปอดครั้งสุดท้าย บี้บุหรี่ลงที่เขี่ยแล้วเท้าแขนกับหน้าต่างอย่างเสียดาย... หมดโควต้าการอัดนิโคติน

“เขาบอกว่าไม่มีทางคบคนเก่า ส่วนผมกำลังวิ่งตามอดีตอยู่ ตลกไหม” สายตาทอดมองใบหน้าหล่อเหลาที่ยังคงเปื้อนสี นึกอยากจะยื่นมือออกไปเช็ดออกให้ แต่ปล่อยไว้แบบนี้ก็น่ารักดี “เหมือนกำลังวิ่งสวนทางกัน แต่ก็คิดว่าต้องมีสักจุดที่เจอกันจนได้”

“หึ” พี่เจดหัวเราะ เอื้อมมือมาจับหางม้าผมเขย่าเบาๆ “โคตรมึงเลย”

“หมายความว่าไง” พอได้ยินคำถามพี่เจดทำหน้าเหมือนจะบอกว่ามึงไม่รู้เหรอว่าตัวเองเป็นยังไง อะไรแบบนั้น

“ก็มึงมันพวกเลือกมาก เลือกแล้วจะเอาให้ได้ ดื้อด้านชิบหาย”

คราวนี้ผมหัวเราะตาม ...ก็จริง

บอกแล้วว่าถูกใจคนยาก ทั้งชีวิตมีไม่กี่คนหรอกที่อยากจะแคร์ พอเจอแล้วก็ไม่อยากยอมแพ้... เป็นข้อดีหรือเสียผมไม่แน่ใจ

รู้แต่ว่าคงเสียใจกว่าถ้าปล่อยมือง่ายๆ

“พี่ว่าหัวผมแข็งพอจะพังกำแพงได้ไหม” ไม่เชิงคำถาม แค่อยากได้คำยืนยัน... คำตอบที่ต้องการมีแค่อย่างเดียว

“หัวแตกเปล่าๆ” พี่เจดว่า ดับบุหรี่ที่ยังสูบได้ไม่ถึงครึ่งลงกับที่เขี่ยข้างตัว ผมขมวดคิ้ว แต่รู้ว่าคนอย่างพี่เจดไม่เคยตัดกำลังใจใคร ถึงได้รอให้พี่มันเล่นตัว แกล้งสูดอากาศหายใจลึกแล้วเอ่ยออกมา “กำแพงมันหนาเกิน หัวมึงไม่แข็งพอ
หรอก อย่างน้อยก็ต้องมีหมวกกันน็อค”

ผมหัวเราะ หันไปมองไอ้พี่เคราที่ยักไหล่กวนตีนก่อนจะยิ้มบางๆ ให้

“แล้วอีกอย่าง มึงฉลาดกว่าเอาหัวไปพังกำแพง ถูกไหม” รอยยิ้มแบบคุณพ่อที่ทำให้ผมยิ้มตามได้ด้วยความสบายใจ

“ป๊าน่ารักว่ะ” แกล้งเอ่ยฉายาที่ตัวเองลอบตั้งให้แทนเครายักษ์ที่ใครต่อใครนิยามตามหน้าตาแต่ขัดนิสัย

“ป๊าพ่องสิ” ไอ้พี่เคราโวยกลับ ผลักหัวผมจนแทบโขกกรอบหน้าต่างก่อนจะผละออกไป “กูไปทำงานต่อละ แบ่งขนมไอ้เตด้วยแล้วกัน มันยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลยมั้ง”

ผมพยักหน้ารับปาก โบกมือส่งแล้วหันกลับไปมองคนที่อยู่ด้านล่างอีกครั้ง ตอนนี้เด็กๆ คนอื่นเหมือนกำลังจะแยกย้าย มีน้องคนหนึ่งบอกให้เขาพักก่อนแต่ร่างสูงยังทาสีส่วนของตัวเองไม่เสร็จเลยยังไม่ไปไหน ผมยิ้ม ยกมือเท้าคางมองเขาที่ก้มหน้าก้มตาทีสีอย่างตั้งใจเกินไป คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน และสำรวจซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้แน่ใจว่าสีที่ทาทั่วแท่งไม้ พอเสร็จงานก็เอาอุปกรณ์ไปล้าง

...ขั้นตอนธรรมดา แต่กลับดูดีทุกท่วงท่าเมื่อเป็นเขา โดยเฉพาะตอนที่ร่างสูงยกมือบิดขี้เกียจช้าๆ  จนชายเสื้อลอยขึ้นมา อวดกล้ามเนื้อเหนือขอบกางเกง

ผมหลุดหัวเราะเบาๆ ปีนออกนอกหน้าต่างลงไปนั่งห้อยขาตรงคอนกรีตที่ยื่นออกมาเป็นกันสาด อย่างที่พี่เจดว่า ผมจะไม่โง่เอาหัวชนกำแพง แค่ใช้ความอดทน...ผสมลูกเล่นนิดหน่อย ไม่ให้ความพยายามน่าเบื่อเกินไป

ผมหยิบโทรศัพท์ออกมา หาเบอร์ที่ได้มานานแล้วแต่ไม่เคยมีโอกาสได้ใช้ กดโทรออกแล้วรอ สายตายังคงมองร่างสูงที่อยู่ต่ำลงไปสามชั้น เขาหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ามองเบอร์ที่ไม่น่าจะเมมไว้ เลิกคิ้วประหลาดใจนิดหน่อยแล้วตัดสินใจกดรับ

“ท้าหรือจริง” ผมยิงคำถามโดยไม่คิดแนะนำตัว

ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอลอดออกมา เขาวางอุปกรณ์รวมไว้กับของคนอื่นๆ ก่อนจะออกมาหยุดยืนอยู่ในตำแหน่งที่ตรงกับที่ผมนั่งพอดี

[ ท้า ] เสียงทุ้มไม่ได้บ่งบอกถึงความกระตือรือร้น แต่ก็ไม่ได้เบื่อหน่าย ผมเลยกระตุ้นด้วยคำท้าเร้าใจ

“รับหน่อย” บอกสั้นๆ หลุดขำเมื่อเห็นคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ “ชั้นสาม”

เขาเงยหน้าขึ้นมา และเมื่อสบตาผมก็ขมวดคิ้วแน่นยิ่งกว่า

“สาม”

[ เล่นอะไร ] เสียงทุ้มเข้มขึ้นบ่งบอกว่าอารมณ์เขาเปลี่ยน ผมเลยยิ้มกว้างตอบไป

ไม่ได้เล่นสักหน่อย

“สอง”

[ พิชญ์... ] สีหน้าเขาดูตกใจ แต่ผมไม่เปิดโอกาสให้ได้ห้ามอะไร

“หนึ่ง...”

“พิชญ์!”

ดวงตาเรียวคมเบิกกว้างเมื่อหมดเวลานับถอยหลัง ผมยิ้มทิ้งท้าย ก่อนทำตามคำท้าอย่างไม่ลังเลใจ

ปล่อยมือ... ได้เวลากระโดดลงไป

เกิดเสียงลมปะทะ เสียงแหวกอากาศตามหลัง... ลอยคว้างอยู่กลางอากาศพร้อมๆ กับถูกแรงโน้มถ่วงฉุดกระชาก รวดเร็วเพียงพริบตา

ตุบ! ตุบ!

เสียงสองสิ่งกระทบพื้นพร้อมกัน...

หนึ่งคือถุงเสบียงที่ผมเพิ่งทิ้งลงไป อีกหนึ่งคือโทรศัพท์ในมือของร่างสูงที่ขาข้างหนึ่งก้าวมาข้างหน้า แขนยื่นออกคล้ายกับตั้งใจจะรับไว้ แต่เมื่อเห็นว่าสิ่งที่กระโดดลงไปไม่ใช่ตัวผมก็ชะงักไป เกือบจะได้ยินเสียงถอนหายใจขณะที่มือหนายกขึ้นมากุมขมับนวดช้าๆ ราวข่มอารมณ์

ผมหัวเราะเบาๆ ชะโงกหน้ามองผลงานตัวเอง ปากถุงที่มัดแน่นส่งผลให้บรรดาขนมที่พี่เจดเอามาให้ปลอดภัย ผมกดตัดสายโทรศัพท์ที่ไม่มีประโยชน์ แล้วเปลี่ยนเป็นใช้เสียงตะโกน

“พี่พลาด”

“...”

“คืนนี้ผมไปห้องพี่นะ มีอะไรจะให้ดู”

“...” ไม่ทันเอะใจว่าเขานิ่งเกินไป ความสนุกที่แกล้งคนตัวสูงได้เหือดหาย เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาสบตา... สีหน้าเปลี่ยน
ไปจากทุกครั้ง

มันควรจะเป็นแววตาขบขันและรอยยิ้มร้าย... ริมฝีปากที่สบถพึมพำ บ่นที่ผมทำให้ตกใจ แต่ไม่ใช่

เขาไม่ได้พูดอะไรสักคำ มุมปากไร้รอยยิ้มร้าย... ดวงตาสีรัตติกาลที่ฉ่ำวาวฉายความโกรธชัดจนผมชะงัก... ความโกรธที่ผมแน่ใจว่าไม่เคยเห็นมัน

และในเศษเสี้ยวความโกรธนั้นมีบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจ

บางอย่างที่คล้ายซากปรักหักพัง...

บางอย่างที่แหลกสลาย...




อาจจะคิดไปเองก็ได้…

ผมมาที่ห้องเตวิชญ์เพื่อเตรียมสิ่งที่บอกไว้ เขาขอตัวไปอาบน้ำล้างคราบสีและเหงื่อไคลจากการทำงานทั้งวัน เราไม่ได้คุยอะไรกันมากมาย แต่บรรยากาศรอบตัวไม่ใช่ความอึดอัดใจ ผมเลยไม่แน่ใจนักว่าเขาโกรธผมอย่างที่คิดไหม

“ทำอะไร” ผมหันไปตามต้นเสียง เจ้าของห้องที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินออกมาในสภาพเปลือยอก รอยแผลเป็นยังคงดึงดูดสายตา ผ้าขนหนูพาดบ่าซับน้ำที่หยดลงมาจากเส้นผมที่หยดลงไป

“สระผมตอนนี้เดี๋ยวก็ไม่สบาย” แทนที่จะตอบผมกลับมุ่งความสนใจไปที่หัวเขา เขาเองก็ไม่สนใจคำพูดของผมเหมือนกัน ร่างสูงเดินมาหยุดตรงหน้าเครื่องฉายโปรเจ็กเตอร์จนเกิดเงาสมบูรณ์แบบกระทบกับฉากที่เป็นผนังขาว

น่าถ่ายรูปเก็บไว้ชะมัด

“ดูหนังกัน” ผมคลี่ยิ้ม ต่อโน้ตบุ๊คเข้ากับเครื่องฉาย เข้าเว็บสตรีมมิ่งชื่อดังแล้วกดเลือกหนังในโปรแกรม “พี่แพ้ ดังนั้นผมเลือก” ผมบอกถึงเขาจะดูไม่ใส่ใจ เดินมานั่งโซฟาหลังผมพลางเช็ดหัวตัวเองไปพลางๆ

“ไม่ง่วงหรือไง” เขาถาม ตอนนี้ตีสามกว่าแล้ว แต่ผมยังกระตือรือร้นอยู่กับเครื่องฉายโปรเจ็กเตอร์ที่ยืมมาได้

“รอผมพี่แห้งไง” ตอบติดตลก พลางคลิกหนังที่อยากดู เมื่อเห็นมันฉายอยู่บนผนังสูงโดยไม่ติดขัดอะไรจึงถดตัวขึ้นมานั่งข้างเขาบนโซฟา

“Inception?” มันเป็นหนังเก่าของผู้กำกับคนโปรดที่ผมดูหลายรอบ และคิดว่าเขาก็คงเคยดูแล้วเช่นกัน

“จุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมอยากเป็นสถาปนิกเลยนะ” ผมอำ เขายิ้มขำ... แน่นอนว่าไม่เชื่อกัน

“ผมว่ามันเจ๋งดีที่ได้เข้าไปดีไซน์ฝัน” พอหนังฉายไปสักพักผมก็พูดขึ้นมา คนข้างตัวหันไปแกะห่อขนมที่พี่เจดให้สองสามห่อ ช่วยสร้างบรรยากาศ

“ผมเช็ดให้ไหม” ผมถามเมื่อเห็นมือหนาดึงผ้าขนหนูคลุมหัวไว้ลวกๆ ก่อนควักขนมกินเหมือนหิวโซมาจากไหน

เขายักไหล่ หยิบขนมห่อหนึ่งลุกขึ้นย้ายมานั่งที่พื้นตรงหว่างขาอย่างว่าง่าย ผมหัวเราะ วางมือลงบนผ้าชื้นแล้วนวดเบาๆ อยากจะดูหนังไปพลางแต่กลิ่นแชมพูจากคนข้างล่างมันดึงดูดเกินไป

...หนังต้องใช้สมอง พอหลุดนิดเดียวก็ปะติดปะต่อไม่ได้ เพราะงั้นเลยหันมาสนใจอีกคนเต็มรูปแบบซะก็คงค่าเท่ากัน

แม้ไม่เห็นหน้าแต่ท่าทางนิ่งๆ มือหนาที่หยุดล้วงขนมกินก็บ่งบอกว่าเขากำลังตั้งใจ... ทำไมน่ารัก

ปล่อยให้เขาดูหนัง มือก็ทำหน้าที่ไปเรื่อยๆ จนผมเปียกหมาดเริ่มแห้ง เป็นช่วงที่หนังเข้าไคลแม็กซ์น่าตื่นเต้น แต่ผมก็ไม่อาจละสายตาจากคนตรงหน้าได้อยู่ดี อาศัยโอกาสที่อีกคนไม่รู้ตัวลอบสำรวจไปทั่วไม่รู้เบื่อ จุดยิ้มเล็กๆ เมื่อเห็นลำคอขาวยังมีรอยอย่างที่พี่เจดว่า

ตลอดสามวันที่ผ่านมาแม้ยุ่งจนไม่ได้คุยกัน แต่ทุกครั้งผมไม่เคยเห็นเขาพยายามปกปิดมันทั้งที่ดึงดูดสายตา เกิดคำถาม คำนินทา แต่ผมคิดว่าเขาคงไม่ใส่ใจ ยิ่งเป็นแบบนั้นผมยิ่งอยากทำซ้ำ... ตีตราลงไป

ให้กลีบกุหลาบผลิบาน จับจองพื้นที่บนร่างกายเขาไปตลอดกาล

“ถ้าออกแบบฝันได้มึงจะออกแบบอะไร”

“ฮะ?” หลุดสะดุ้งเมื่ออยู่ๆ ก็ถูกถาม ยิ่งชะงักเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาสบตา

“ถ้าออกแบบฝันได้ มึงจะออกแบบอะไร” เอ่ยย้ำ ดวงตาคู่ที่จับจ้องเหมือนรอฟัง ผมนิ่งไปนานก่อนจะยิ้มขำ ทำท่าคิดแล้วยิ้มกว้าง

“มาแชร์ฝันก็ไหม” เหมือนในหนัง มีเครื่องมือบางอย่างที่ทำให้คนอื่นเข้าไปอยู่ในฝันอีกคนได้ เห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้ว ท่าทางไม่เข้าใจ ผมเลยขยับลงไปนั่งข้างๆ ถือวิสาสะจับมือหนาแล้วหลับตา

“เพี้ยนหรือไง” เขาหัวเราะหน่ายๆ ผมเลยลืมตาขึ้นมาอีกรอบเร่งเร้าให้เขาทำตาม

“เร็ว” เขาขมวดคิ้วเหมือนชั่งใจแต่สุดท้ายสีรัตติกาลพร่างพราวก็ถูกทดแทนด้วยเปลือกตาที่ปิดลง ผมลอบยิ้มขำ หลับตาอีกครั้ง

“ผมหลับแล้ว พี่อ่ะ” ไม่เมคเซ้นซ์สัด คนหลับที่ไหนจะมาป่าวประกาศ

ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอ มือหนากระชับมือผมขึ้นอีกนิด ก่อนเอ่ยตามน้ำ “เออ”

“ในฝันผมมีบ้านหลังหนึ่ง พี่เห็นไหม” ผมอมยิ้ม เริ่มคิดว่านี่มันเพี้ยนอย่างที่เขาว่า

“บ้านแบบไหน” ไม่คิดว่าเขาจะยังเล่นตาม ผมเงียบ นึกคิด พยายามอธิบายเพื่อให้ภาพในหัวตรงกัน

“เป็นวงกลม ผนังทำด้วยกระจก เฟอร์นิเจอร์สีขาวทั้งหมด พี่เห็นไหม”

“นั่นบ้านเหรอ” เขาถาม น้ำเสียงข้องใจ ผมหัวเราะพยักหน้าให้ทั้งที่อีกฝ่ายไม่เห็น

“ตอนนี้พี่อยู่ตรงไหน” ผมถามบ้าง

“ในสวน” ผมยิ้มกว้าง

“อ้อ สวนกุหลาบ ระวังหนาม” ระบุชนิดดอกไม้ให้เสร็จสรรพ ในหัวเกิดภาพบ้านประหลาดรูปวงกลมที่โอบล้อมด้วยสวนดอกไม้อันตราย

“สีอะไร?” แต่อีกคนไม่ได้ใส่ใจข้อนั้น เขาเอ่ยถามถึงสีของมันผมจึงระบายลงไป

“สีแดงแล้วกัน ตัดกับบ้านดี” ภายนอกลูกบอลคริสตัลถูกแต่งแต้มสีสันลงไป “ทีนี้ กลางสวนมีทางเดินหินเล็กๆ แคบหน่อย แต่เดินได้” ผมชี้ทาง เขาเงียบไปสักพัก ก่อนเอ่ยถาม

“กูต้องเคาะประตูไหม” ผมหัวเราะดังกว่าเก่าแล้วยักไหล่

“ไม่เป็นไร เข้ามาได้เลย ผมอยู่ตรงระเบียงชั้นสองนะ ผ่านห้องนั่งเล่นแล้วขึ้นบันไดเหล็กมา บนนี้มีสระว่ายน้ำด้วย พี่น่าจะชอบ” เขาเงียบ ผมกำลังนึกภาพร่างสูงเดินขึ้นบันไดอย่างที่ว่า

“มึงกำลังทำอะไร”

ในความคิดผมหันกลับไปหาเขา ส่งยิ้มให้ “กำลังรอพี่”

“รอทำไม” คิ้วเข้มขมวดอยู่ในความคิด

“จะพาไปดวงจันทร์” ผมบอกไปแบบนั้น แต่ไม่รู้ว่าคนได้ยินทำสีหน้ายังไง “จริงๆ บ้านหลังนี้คือยานอวกาศล่ะ นาซ่ายังไม่รู้ พี่อย่าบอกใครนะ” ผมพูดติดตลก ได้ยินเสียงหัวเราะตอบรับเบาๆ จึงเอ่ยต่อไป

“ตอนนี้เครื่องยนต์กำลังทำงาน มันกำลังลอยตัวขึ้นช้าๆ ลอยเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ” ผมเห็นภาพตัวเองยืนอยู่ตรงขอบระเบียงวงกลม มองสวนกุหลาบสุดลูกหูลูกตาค่อยๆ ห่างออกไป...

กระทั่งกลายเป็นจุดเล็กๆ จึงเปลี่ยนเป็นเงยหน้ามองท้องฟ้ายามราตรี ดวงดาวพร่างพรายเริ่มขยายตัวและไกลห่างออกไป สุดท้ายเหลือเพียงดวงจันทร์ลูกโตที่ขยายใหญ่ เปล่งแสงนวลสุกใสอยู่ตรงหน้า

“ถึงแล้ว ผมจอดยานห่างออกมานิดหน่อย เราต้องทอดสะพานออกไป สะพานเหล็กดีไหม จะได้แข็งแรง” ผมขอความเห็นแต่เขาไม่ตอบอะไร ในมโนสำนึกสะพานเหล็กของผมกำลังก่อร่าง ทอดตัวเองไปเทียบฝั่งที่ดวงจันทร์

“ไปกันยัง” ผมถาม ในหัวกำลังก้าวขาหนึ่งออกไป

...แต่กลับถูกห้ามไว้

“อย่า...” มือหนากระชับมือผมแน่นดึงเข้าหาตัวคล้ายจะฉุดไม่ให้ผมก้าวขาจริงๆ “ยังไกลไป”

“...” สะพานเหล็กที่คิดว่าแข็งแรงสั่นสะท้าน ชิ้นส่วนหลุดร่อนร่วงกราวสู่ความเวิ้งว้าง

“จากตรงนี้มึงก็เห็นว่าในนั้นไม่มีอะไร... แค่ก้อนกินหน้าตาน่าเกลียด ไม่มีแสงในตัวเอง แถมหนาวเกินไป”

“...” จริงอย่างที่เขาว่า ภาพจันทร์นวลกลับกลายเป็นก้อนหินชืดดำ พื้นผิวขรุขระไร้ชีวิตจิตใจ

เราต่างคนต่างเงียบสักพัก ผมรู้สึกว่าฝันสลาย... และเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวังด้วยการเอ่ยย้ำคำถาม

“ในหนัง ถ้าจะปลุกต้องตกลงไปใช่ไหม” เขาไม่ได้บอกว่าเรากำลังจะตก แต่ผมเห็นภาพลูกบอลคริสตัลกำลังร่วงหล่นลงไป... ด่ำดิ่งสู่ความเวิ้งว้าง เข้าสู่ชั้นบรรยากาศ ถูกแรงโน้มถ่วงฉุดกระชากสู่ผิวดิน...

สวนกุหลาบไม่อาจแบกรับ... ลูกบอลคริสตัลแตกกระจาย

ผมลืมตา เห็นเขากำลังมองอยู่ก่อนแล้วด้วยสีหน้าที่ยากจะอธิบาย

“เป็นฝันที่สนุกดี”

แต่ไม่ใช่ฝันดี...

ผมหัวเราะ ส่ายหน้าพลางยกขาขั้นมานั่งชันเขาสบตาเขา ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็หาทางหนีผมได้เสมอเลยจริงๆ นะ

...เพราะแบบนี้ไงถึงยังปล่อยมือไม่ได้

“คราวหน้าผมจะเข้าไปในฝันพี่บ้าง” อยากรู้ว่าข้างในนั้นมีอะไร อยากรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร

เขาจ้องหน้าผมนิ่ง สีหน้ายากจะอธิบาย ดวงตาสีรัตติกาลมองลึกคล้ายจะค้นหาอะไรบางอย่างก่อนจะคลี่ยิ้มร้าย

“หลับตาสิ”

เอื้อมมือมาจับมือผมเหมือนที่ทำก่อนหน้านี้ บ่งบอกว่าเรากำลังจะแชร์ความฝันกันอีกครั้ง

 “...” ผมหลับตาลงอย่างว่าง่าย ในหัวไม่มีภาพอะไร กำลังรอให้เขาพาผมไปยังโลกจินตนาการ

“...” แต่รออยู่นานเขากลับไม่เอ่ยอะไร ความรู้สึกบอกว่าเขาขยับเข้ามาใกล้ ก่อนนิ้วเย็นเฉียบจะแตะลงมาบนใบหน้าผม ทาบลงบนแก้มแผ่วเบา

“พี่เต...” ผมกำลังจะทักท้วงเพราะการกระทำชัดเจนว่าเขาไม่ได้หลับตา

“ท้าหรือจริง” แต่เขากลับเอ่ยคำถามที่ทำเอาผมชะงักไป

“ท้า” นานแล้วที่เขาไม่ได้เป็นฝ่ายท้า และผมอยากรู้ว่าเขาต้องการอะไร

“ห้ามลืมตา”

ไม่คิดว่ามันจะง่ายจนน่าประหลาดใจ ผมแทบไม่ต้องทำอะไร แค่นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นปล่อยให้นิ้วเรียวเกลี่ยเบาๆ ที่ผิวแก้ม ลากผ่านใต้ตา ไล่ตามสันจมูก ร่องจมูก...และกลีบปาก ทุกสัมผัสเป็นไปอย่างเชื่องช้า... ชวนให้อึดอัดใจ

ความทรมานคือการที่ผมไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้... ไม่ได้เห็นว่าเขากำลังทำหน้ายังไง ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร

“...” ขณะที่ในหัวกำลังสับสนพยายามหาความหมาย สัมผัสร้อนจากลมหายใจก็เข้ามาใกล้ ผมตัวแข็งทื่อ หัวใจเต้นโครมคราม รู้สึกอึดอัดจนหวังให้เขาเอ่ยอะไรออกมาสักคำ แต่ก็ไม่

เขายังคงเงียบงัน ปล่อยให้ลงหายใจรดแก้มผมอยู่อย่างนั้นราวแกล้งกัน

และเขาคงต้องการแกล้งผมจริงๆ... เมื่อผมเริ่มจินตนาการถึงริมฝีปากร้อนจัดที่ลงประทับ โหยหาสัมผัสของเขาจนเกือบทนไม่ไหว... เขาก็ผละออกไป

ฝ่ามือที่ถูกจับไว้ทดแทนด้วยความว่างโหวงน่าใจหาย...ตามมาด้วยเสียงจุดไฟ กลิ่นบุหรี่ยี่ห้อโปรดของเขาฟุ้งกระจาย...

เด่นชัด ก่อนค่อยๆ เจือจาง

...สิ่งสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้คือเสียงฝีเท้าที่ห่างออกไป และเสียงปิดประตูห้องนอนที่ผมไม่อาจย่างกราย

ผมตัดสินใจลืมตา กลิ่นบุหรี่หายไป... พบเพียงเศษซากของมันที่ถูกดับทิ้งไว้บนโต๊ะกระจกข้างตัวก็ได้แต่หัวเราะ มองบานประตูที่ไม่มีแม้แต่แสงไฟลอดออกมาแล้วถอนหายใจ
   
สมเป็นเตวิชญ์... ร้ายเสมอต้นเสมอปลาย

   




‘เป็นอะไรกับพี่เตอ่ะ’ ตลอดทั้งอาทิตย์ผมเจอคำถามนี้จนเหนื่อยหน่าย

สายตาสงสัย คำนินทา กระทั่งท้าพนันว่าผมกับเขาจะเลิกกันภายในกี่วัน... ข่าวลือฟุ้งกระจาย

ผมไม่ตอบอะไร ไม่มีเหตุผลที่ต้องตอบคำถามใคร ก็แค่ใช้ชีวิตอย่างที่เป็นมา

‘มึงไม่มาดูแข่ง’

พี่ดูไม่พอใจเมื่อผมเดินมาหา สนามบาสร้างผู้คน เหลือเพียงร่างสูงยึดครองแป้นแต่เพียงผู้เดียว เรือนผมลู่ชื้นกับชุดบาสชุ่มเหงื่อบ่งบอกว่าการแข่งที่พี่ว่าเพิ่งจบได้ไม่นาน
   
‘ผมไม่ชอบบาส’ ...สารภาพ
   
เคยถูกบังคับให้ไปดูการแข่งไม่กี่ครั้ง พบว่าเสียงในสนามมันน่ารำคาญและการต้องมานั่งร่วมกับ 'คนอื่น' ของพี่ที่ข้างสนามมันน่าหงุดหงิดใจ เพราะงั้นผมถึงเลือกเซฟตัวเองไว้ ขัดขืนคำชวนพี่ เพื่อให้ตัวเองสบายใจ
   
แต่แทนที่จะโกรธพี่เลิกคิ้วประหลาดใจ หัวเราะเบาๆ ก่อนเดินเข้ามาใกล้
   
‘ชู้ตสิ’
   
ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจ ท่าทางคงแสดงออกว่าไม่อยากด้วยพี่ถึงได้เสนอใหม่
   
‘ถ้าลงจะให้รางวัล’
   
‘...’ ผมไม่ได้ถามว่ารางวัลอะไร แค่เป็นรางวัลจากพี่มันก็น่าสนใจ
   
วางกระเป๋ากับกระดานวาดรูปที่สแตนก่อนจะเอื้อมมือรับลูกกลมสีส้มมาถือไว้ เดินไปยืนหลังครึ่งวงกลมที่พี่ชี้บอก เงยหน้ามองแป้นไกลลิบ แล้วโยนลูกบาสออกไป
   
ตุบ...
   
ไม่มีปาฏิหาริย์หรอก ผมอ่อนหัดเกินไป เสียงลูกบาสกระทบพื้น ไม่ใกล้ความคาดหวังใดๆ ทำให้พี่หัวเราะเบาๆ ก่อนเดินไปเก็บลูกบาสมาถือไว้ เรียวขายาวก้าวมายืนตรงหน้าผม ยกยิ้ม... ดูไม่ออกระหว่างซ้ำเติมหรือพอใจ
   
รู้แค่ว่าผมไม่ค่อยเสียใจเท่าไหร่
   
‘ลืมบอก... ว่าถ้าไม่ลงก็มีบทลงโทษเหมือนกัน’

‘…!’ ผมได้แต่ยืนนิ่งตอนที่พี่โน้มตัวลงมา จรดริมฝีปากประทับ กดย้ำเนิ่นนาน ไล้ลิ้นเลียกลีบปากผมครั้งหนึ่งแล้วผละออกไป
   
คำสารภาพออกจากปากคนเจ้าเล่ห์ว่าผมจะชู้ตเข้าหรือไม่

...รางวัลกับบทลงโทษก็เป็นอย่างเดียวกัน






---------------------------------------------------
จริงๆ อยากให้ตอนนี้อธิบายนิสัยของตัวละครให้ชัดเจนอีกนิด แต่... นิดไปมั้ยนะ 5555
ออกแนวเวิ่นเว้อนิดหน่อย แต่ขอให้น้องพิชญ์พักแป๊บนะคะ ตอนที่แล้วหัวใจจะวาย
ตอนหน้าก็ไม่รู้ว่าทิศทางจะไปทางไหน สปอยล์อะไรไม่ได้เลย 5555
ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ  :hao7:

ปล. เผื่อใครไม่เคยดู Inception เป็นหนังเกี่ยวกับการจารกรรมความฝันน่ะค่ะ อารมณ์ว่าเข้าไปอยู่ในฝันร่วมกับเป้าหมายแล้วขโมยบางอย่างมา หรือฝังความคิดบางอย่างลงไป สนุกมาก ตอนแรกคิดไว้แค่ว่าอยากให้เขาดูหนังกัน มีฉากที่เครื่องโปรเจ็กเตอร์ฉายเงาพี่เต อาร์ตๆ อารมณ์นั้น 5555 แต่วันก่อนกลับมาดู Inception เลยได้ไอ้เดียฉากแชร์ฝันเพิ่มมา ชอบมากเลยค่ะ หวังว่าคนอ่านจะชอบด้วยนะ

ฝาก #เกมท้ารัก เหมือนเดิมนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 10 P.4 [17.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 22-12-2017 22:27:34
กรี๊สๆๆ ตอนนี้ยาวววว  :impress2:
ชอบตอนแชร์ฝันกันมากเลยค่ะะะ555
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 10 P.4 [17.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: nnoii2538 ที่ 22-12-2017 23:42:43
ชอบสำนวนแบบนี้ ทุกตัวอักษรมันมีความหมาย ดึงดูดเราได้ทุกบรรทัด บรรยากาศในเรื่องเหมือนมันอบอวลไปด้วยควันบุหรี่  ล่องลอย ไม่ชัดเจน งื้ออออ ชอบนิยายเรื่องนี้ :mew1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 10 P.4 [17.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 22-12-2017 23:44:47
ชอบน้องพิชญ์ บางทีก็เครียดแทนนะ ไม่รู้ว่าพี่เตคิดยังไง แล้วตอนที่น้องแกล้งโยนถุงขนมให้ พี่เตรู้สึกยังไง แอบอยากรู้ความคิดความรู้สึกพี่เต
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 10 P.4 [17.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Zestful ที่ 23-12-2017 00:31:55
ความฝันพี่เตคือน้องพิชญ์แน่เลยยยย  :katai5:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 10 P.4 [17.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: prawan25 ที่ 23-12-2017 01:49:40
ชอบตอนที่แชร์ฝันแล้วพี่ห้ามน้องไม่ให้เดินไป
คือรู้สึกอึดอัดและเจ็บปวดใจ...

ส่วนบทลงโทษของพี่เตคือใจร้ายกับน้องมากเลยย
อะไรคือให้น้องหลับตาแล้วตัวเองเข้าห้องไป
พี่จะมาทิ้งน้องไว้กับสัมผัสแบบนี้ไม่ได้ พี่ใจร้ายเกินไป!
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 10 P.4 [17.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 23-12-2017 03:43:44
 โอ๊ยยย ใจหายใจคว่ำ ตอนที่บอกให้คนพี่รับ เป็นเรา เราก็โกรธอะ บาดแผลของเตนี่ต้องใหญ่ขนาดไหนถึงปิดตัวเองขนาดนี้ สงสารพี่ปามากที่สุดเลยค่ะตอนนี้ ตั้งแต่เป็นแฟนกันมาได้สบตากันแค่ตอนเลิก :hao5:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 10 P.4 [17.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 24-12-2017 00:04:47
ตอนแชร์ความฝันนี่แบบ น้องพิชญ์ลูก
พี่เตก็คือพี่เตจริงๆ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 10 P.4 [17.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: memytae ที่ 24-12-2017 00:59:34
ประทับจายยยยย
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 10 P.4 [17.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 24-12-2017 16:12:26
พี่เตทำไมล้ายยยยยย ตีเลย !
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 12 P.5 [27.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 27-12-2017 04:24:45
12
[/b]
   
ผมคิดว่าตัวเองไม่มีสตินักตอนที่งัวเงียลุกขึ้นมาจากโซฟา ปล่อยผ้าห่มผืนหนาร่วงลงไปกองแทบเท้า เท้าเปล่าเผลอเหยียบมันแต่ไม่ใส่ใจ เดินไปยังครัวที่มีกลิ่นอาหารหอมกรุ่นลอยมา
   
แสงยามเช้าสาดกระทบร่างสูงที่กำลังง่วนกับการวางจานข้าวสองจานตรงข้ามกัน จานหนึ่งของเขา อีกจานสำหรับผม

...เหมือนภาพฝัน
   
ผมคิดว่าตัวเองไม่มีสตินัก ถึงได้เดินเข้าไป... สวมกอดเอวหนาไว้จากด้านหลัง ซบหน้าลงกับไหล่กว้างที่ยืดขึ้นอย่างตกใจ
   
ร่างกายท่อนบนต่างเปลือยเปล่าถ่ายทอดอุณหภูมิร่างกายแก่กันและกัน...
   
มันคือภาพฝัน... ภาพที่ผมเคยฝัน... ลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นเขา อ้อมกอดอุ่นและกลิ่นกายที่ทำให้เช้าเซื่องซึมกลายเป็นสดใส
   
ภาพฝันที่คล้ายจะชัดเจนขึ้นเมื่อเราเจอกันอีกครั้ง แต่ก็ช่างห่างไกล
   
“พิชญ์...” ไม่อยากถูกปลุกสู่ความจริงแม้กระทั่งตอนที่ถูกเรียกชื่อพร้อมฝ่ามือที่จับแขนผม ทำท่าจะดึงออกจากเอว
   
“ผมกำลังละเมอ” ข้ออ้างที่โคตรไม่สมเหตุสมผลทำให้เขาชะงัก ฝ่ามือที่จับนิ่งงัน
   
“กูให้สิบวิ” ยิ้มขำกับข้อต่อรอง แต่ก็ยอมแม้เวลาจะแสนสั้น
   
เข็มวินาทีในใจเริ่มนับถอยหลัง... ช้ากว่าระยะทางจริงของเข็มนาฬิกา
   
“ฝันร้ายเหรอ” เข้าสู่วินาทีที่เก้าหรือแปด เขาเอ่ยถาม ผมเงียบสักพัก ก่อนพยักหน้า
   
โกหกน่ะ ไม่มีฝันร้ายอะไรทั้งนั้น... ในเมื่อความเป็นจริงมันร้ายกว่า
   
ผมฉวยโอกาสถูผิวแก้มกับบ่า ซุกซบสูดกลิ่นกายอย่างโหยหา เผลอยิ้มออกมาเมื่อเขาไม่ว่าอะไร แค่ไล้นิ้วโป้งกับมือผมเบาๆ

ความละโมบครอบงำให้เลื่อนใบหน้ามายังท้ายทอย จรดริมฝีปากลงกับแนวกระดูกสันหลัง ต้นคอ และลาดไหล่อีกฝั่ง คลอเคลียอยู่อย่างนั้น... ปล่อยความรู้สึกจมดิ่งกับความเงียบงัน 

กระทั่งสัญญาณในหัวบอกหมดเวลา เขาแกะมือผมหันมาเผชิญหน้า ลบสิบวินาทีที่แล้วออกจากความทรงจำ
   
“ไปอาบน้ำไป” ออกปากไล่ ทำท่าจะเดินหนีไป
   
แต่ผมกักคนตัวโตกว่าไว้ด้วยแขนทั้งสองข้างที่เท้าลงกับโต๊ะอาหาร ช้อนสายตาสบดวงตาสีรัตติกาล กดมุมปากเป็นรอยยิ้มจางๆ ก่อนเอ่ยคำถามที่กลายเป็นกิจวัตรประจำวัน
   
“ท้าหรือจริง”

   






“พิชญ์ กูไม่ใช่พระอิฐพระปูน” ผมหลุดยิ้ม ชะงักมือที่กำลังปลดคาลวิน ไคลน์... ปราการสุดท้ายที่เหลืออยู่บนร่างกาย แสร้งหันกลับไปเบิกตากว้างใส่คนที่กอดอกนิ่วหน้าพิงประตูห้องน้ำทำน้ำเสียงประหลาดใจ
   
“อ้าว ผมคิดว่าต้องถอดหมด”
   
“...” คิ้วเข้มขมวดแน่น สีหน้างุ่นง่านทำให้ผมหลุดหัวเราะอีกครั้ง
   
“ถ้ามันเปียก ผมจะใส่อะไร” ข้ออ้างของผมทำให้ร่างสูงถอนหายใจ
   
“ยืมของกู” อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วกับคำตอบนั้น และมันยิ่งทำให้เขางุ่นง่าน คงไม่ทันเอะใจว่าข้อเสนอนั่นมันชวนให้คิดไกล
   
“ไม่ยักรู้ว่าสนิทกันถึงขั้นยืมได้” ผมหัวเราะ แต่เขาเหนื่อยใจจะโต้ตอบ เดินไปเปิดตู้ข้างอ่างล้างหน้าแล้วโยนผ้าขนหนูมาให้
   
“ใส่นี่ด้วย” 
   
ผมรับผ้าขนหนูมาพันเอวอย่างว่าง่าย แต่ความสั้นเหนือเข่าก็ทำเอาหลุดขำ ใส่หรือไม่ใส่ก็ค่าเท่ากันไม่ใช่หรือไง ยกมือแกะยางรัดผมที่มัดหางม้าลวกๆ ไว้แล้วเดินเข้าไปนั่งในอ่างอาบน้ำกว้าง รอร่างสูงที่หยิบแชมพูกับผ้าพื้นเล็กอีกผืนมานั่งที่ขอบอ่าง

เตวิชญ์ยังมีสีหน้างุ่นง่าน เห็นชัดว่าเขาไม่ชอบใจคำท้าครั้งนี้ของผมเท่าไหร่ ทั้งที่มันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร
   
แค่วานให้สระผมให้เท่านั้น
   
ทำไงได้ ช่วงใกล้ส่งงานผมไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่ ลำพังตื่นไปให้ทันคาบเรียนทั้งที่ปั่นงานโต้รุ่งได้ก็ยากเย็นแค่ไหน
   
"เงยหน้าหน่อย" ผมทำตาม เงยหน้าเสยผมทั้งหมดให้ตกไปด้านหลัง หลุดหัวเราะอีกครั้งเมื่อเจ้าของสีหน้างุ่นง่านรดน้ำลงมาบนหัวผมอย่างเก้กัง นิ้วเรียวสางผมยาวอย่างเบามือ คิ้วเข้มเริ่มขมวดแน่นอีกครั้ง... เป็นสีหน้าตั้งใจ
   
ห้องน้ำคับแคบมีเพียงเสียงน้ำจากฝักบัวที่ตกกระทบลงมาบนหัว... และเสียงหายใจ 

ผมไม่มีปัญหาเท่าไหร่นักกับความเงียบ และการได้มองใบหน้าของเขา ไล่สำรวจร่างกายท่อนบนที่ยังเปลือยเปล่าจากมุมกลับหัวกลับหาง... เคยบอกหรือยังว่าไหปลาร้าของเขามันสวย เส้นโค้งสมบูรณ์แบบนูนชัด รับกับแผ่นอกกำยำและหัวไหล่หนั่นแน่นอย่างคนออกกำลังกาย เหมือนได้จ้องมองประติมากรรมชั้นยอดจากช่างฝีมือดี

แต่อีกคนดูจะไม่ใคร่ชอบใจ หลังจากปล่อยให้ผมจ้องอยู่นานเขาก็ถอนหายใจออกมา
   
“มันกดดัน” ผมหัวเราะ
   
ขอย้ำอีกครั้งว่าเวลาเขาหงุดหงิดน่ะน่ารักชะมัด 
   
“หลับตา” พอราดน้ำจนผมชุ่มเขาก็ปิดฝักบัว เอื้อมมือไปหยิบแชมพูกลิ่นเดียวกับเจ้าตัวมาเทใส่ฝ่ามือนวดเบาๆ ก่อนขยี้ลงมาบนหัว ผมหลับตา ปล่อยให้ฝ่ามือหนานวดไปทั่วศีรษะ เคลิบเคลิ้มไปกับกลิ่นแชมพูและสัมผัสของเขา
   
“พี่มือเบากว่าช่างทำผมที่ร้านอีก” ผมยิ้ม จินตนาการว่าเขาคงหน้านิ่วคิ้วขมวดกับคำแซว แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ
   
“พูดมากน่ะ” ตำหนิไม่จริงจัง ก่อนจะได้ยินเสียงเปิดน้ำอีกครั้ง สายน้ำรินรดลงมาไล่ล้างฟองออกจากเส้นผมยาว

“ผมชอบกลิ่นนี้” กลิ่นแชมพูที่ไม่ค่อยได้กลิ่นทั่วไป ทำให้ทึกทักไปว่ามันเป็นกลิ่นเฉพาะตัวของเขาที่ผมจำได้

เขาไม่ได้ตอบอะไร แค่ทำตามขั้นตอนต่อไป กลิ่นใหม่ฟุ้งกระจายตอนที่เขาปิดน้ำแล้วนวดฝ่ามือลงมาแผ่วเบา

“ปกติพี่ใช้ครีมนวดกลิ่นนี้เหรอ” มันไม่ใช่กลิ่นคุ้นเคย อันที่จริงผมไม่เคยได้กลิ่นมันด้วยซ้ำ

“ปกติไม่ได้ใช้” คำตอบน่าประหลาดใจทำให้ผมลืมตา เขาขมวดคิ้วตำหนิ เคาะหน้าผากครั้งหนึ่งให้ผมหลับตา “ก็ผมมึงยาว” คำอธิบายตามมาโดยที่ผมไม่ต้องถาม ผมหัวเราะเบาๆ เมื่อนึกได้ว่าตอนที่ผมสั้นเท่าเขาก็ไม่ใคร่จะใส่ใจใส่ครีมนวดผมเหมือนกัน

ผมหลับตานิ่งปล่อยให้เขานวดผมไปแบบนั้น ไม่นานน้ำอุ่นๆ ก็รินรดลงมาอีกครั้ง ฝ่ามือหนานวดไปทั่วศีรษะแผ่วเบา สบายเกินไปจนเผลอคลี่ยิ้มกว้าง หลุดฮัมเพลงที่ช่วงนี้ฟังประจำออกมา ไม่มากไปกว่าการส่งเสียงเบาๆ ในลำคอ

“...!” แต่แล้วก็ต้องชะงักรู้สึกได้ถึงสัมผัสบางอย่างที่แตกต่าง
   
ถึงจะยังหลับตาแต่ผมจับได้... สัมผัสของริมฝีปากอุ่นที่แตะลงมาบนหน้าผากเพียงครั้งแล้วผละออกไป
   
ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง กะพริบตาปริบๆ ผสานกับสีรัตติกาลที่จ้องมองมาอย่างไม่เข้าใจ แต่แววตาที่ได้รับกลับดูสับสนไม่แพ้กัน

มันดู...โหยหาทว่างุ่นง่าน คล้ายมีด้ายบางๆ ขวางกั้น แต่สุดท้ายเขาเลือกปล่อยปละความละล้าละลัง โยนฝักบัวที่ยังมีน้ำไหลลงข้างกาย ยกมือทั้งสองข้างประคองสองแก้มผมไว้ ใบหน้าที่กลับหัวกลับหางเคลื่อนเข้ามาใกล้ ก่อนที่ริมฝีปากจะกดย้ำตำแหน่งเดิมอีกครั้ง

“กูกำลังละเมอ” เขาพึมพำ ก่อนลากสัมผัสมาที่ปลายจมูก

“ขอสิบวิ” ปิดประทับริมฝีปากเพียงสั้นๆ แล้วทำท่าจะผละออกไป แต่ผมเอื้อมมือออกไปกดรั้งท้ายทอยเขาไว้ ยืดตัวขึ้นอีกนิดให้สัมผัสแผ่วเบากลายเป็นแนบสนิท...เนิ่นนาน ปล่อยให้จูบอุ่นอวลแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย อัดแน่นอยู่ตรงหัวใจที่เริ่มส่งเสียงเอะอะจนเขาอาจรับรู้ได้
   
“ผมให้พี่ได้มากกว่าสิบวิ” ผมกระซิบชิดริมฝีปากอย่างดื้อรั้น แต่ร่างสูงกลับหัวเราะเบาๆ ริมฝีปากเลื่อนขึ้นไปแตะหน้าผากอีกครั้ง ก่อนซุกลงที่กลุ่มผมชื้น แขนข้างหนึ่งโอบรอบคอผมดึงเข้าไปปะทะอกกว้าง

อ้อมกอดที่ผมคล้ายจะเข้าใจความหมายแต่ไม่แน่ใจ

“แค่สิบวิก็พอ” น้ำเสียงของเขาราววอนขอ ทั้งที่ผมยื่นข้อเสนอที่ดีกว่า

...ไม่เป็นไร แค่สิบวิก็ได้

ผมหัวเราะเบาๆ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาจับมือเขา ซุกจมูกลงกับแขนกำยำ... อาจจริงของเขา เราต่างกำลังละเมอ

“ทำไมถึงยังอยู่” คำถามถูกเอ่ยขึ้นมา ในช่วงเวลาสิบวินาทีที่เขาอนุญาตให้ผมชิดใกล้จนได้ยินเสียงหัวใจ “ไม่เคยมีใครอยู่”

คงหมายถึงคนที่เคยเข้ามาในชีวิต... คนที่ไม่เคยทนความเย็นชาของเขาได้

“พี่ก็รู้ว่าผมเป็นยังไง”

ดื้อด้าน... ดันทุรัง... ผมเป็นคนประเภทนั้น เขารู้ดียิ่งกว่าใคร

“กูไม่เข้าใจ” เสียงของเขาอ่อนแรง อ้อมแขนกระชับแน่นแต่ไร้ความมั่นคง “กูไม่รู้ว่ามึงต้องการอะไร”

“ผมไม่ได้ต้องการอะไร” ผมหันกลับไปสบตาเขาเพื่อยืนยัน

“ผมก็แค่รัก...” แต่แล้วคำพูดที่ตั้งใจกลับกลืนหาย เมื่อเขาผละออกไป รอยจูบและอ้อมกอดกลายเป็นภาพลวงตา

“กูไม่รู้จักหรอก... รักที่มึงว่า” 

“...” ผมถูกปะทะด้วยความหมายของข้อความนั้นจนได้แต่ชะงักงัน... รู้สึกหน้าชา ขณะที่ร่างสูงเอื้อมมือมาปิดฝักบัวแล้วลุกออกไป

“อาบน้ำซะ จะได้กินข้าว” เขาไม่ได้หันหลังกลับมา เพียงทิ้งคำพูดที่บ่งบอกว่าได้ลบเวลาสิบวินาทีก่อนหน้านี้ไปพร้อมสายน้ำที่แห้งขอดเพียงพริบตา

แต่รู้ไหม ผมไม่ลืมหรอกนะ...สิบวินาทีนั้นน่ะ






ก่อนสอบสองอาทิตย์เป็นช่วงเวลาของกิจกรรม

แต่ละคณะจัดงานประชันกันราวกับปลดปล่อยก่อนต้องไปเผชิญนรกไฟนอล แต่คณะเราไม่ใช่หนึ่งในนั้น งานสังสรรค์ไม่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อนสอบต้องส่งงาน

แต่ผมก็มีเวลาปลีกตัวมาดูงานสำคัญ

เทศกาลดนตรีที่วงพี่เจดมีชื่อร่วมประกวดในนั้น... สุดท้ายไอ้พี่เคราก็หามือกลองทัน อันที่จริงก็เพื่อนที่เล่นวงปีสามด้วยกันนั่นแหละ เพราะพี่มันไม่ได้หวังรางวัลอะไร กะมาเอามัน เพลงที่เล่นไม่มีใครร้องตามได้ สภาพสมาชิกวงก็เหมือนซอมบี้ที่เพิ่งฟื้นจากความตาย ไม่ต้องอยู่จนท้ายงานก็รู้ว่าผลจะเป็นยังไง

“หิวสัด!” ผมหัวเราะกับเสียงบ่นของพี่เจดที่กระโดดลงมาจากเวที ก่อนยื่นถุงลูกชิ้นลวกที่ซื้อเตรียมไว้ให้พี่มันอย่างรู้ใจ

“เป็นไง” ไอ้พี่เครารับลูกชิ้นไปแจกให้เพื่อนในวงอีกสองคนก่อนจะหันมาถามพลางยัดลูกชิ้นเข้าปาก

“โคตรห่วย” ผมบอกตามตรง แค่เล่นให้จบเพลงก็ลุ้นแทบลืมหายใจ

“นี่แหละ น้องกู” พี่เจดหัวเราะลั่น พลางพาดแขนลงมาบนบ่าผมแล้วขยี้หัวแรงๆ อย่างหมั่นไส้ 

“เดินงานเป็นเพื่อนกูหน่อย” พี่เจดบังคับ ผมยักไหล่ ยังไงวันนี้กะจะพักผ่อนเต็มที่อยู่แล้ว

พี่รหัสหันไปบอกลาสมาชิกวง แล้วลากผมออกมาตรงโซนตลาดที่กินพื้นที่ทั้งถนนหลังมหาลัย ส่วนใหญ่เป็นของกิน มีบางโซนที่เปิดให้คนนอกเข้ามาขายของจิปาถะได้ ผมกับไอ้พี่เคราเดินไปเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจอะไร เหมือนแค่มาเดินฆ่าเวลาผลัดกันบ่นเรื่องงานที่ใกล้เดดไลน์

กระทั่งเดินมาถึงร้านหนึ่งที่อยู่เกือบสุดถนนได้

“ตุ๊กตา?” พี่เจดทำเสียงประหลาดใจ เมื่ออยู่ๆ ผมก็หยุดเดิน พาให้เจ้าของแขนที่ยังพาดอยู่บนไหล่ชะงักตาม

ผมเลิกคิ้ว ก่อนจะเห็นว่าตำแหน่งที่หยุดเป็นร้านตุ๊กตา แต่สิ่งที่ผมสนใจไม่ใช่สินค้า เป็นตะกร้าสานใบเล็กๆ ที่ตั้งไว้กับเก้าอี้ข้างๆ ร้าน

ลูกหมาสีดำยื่นหน้าออกมาจ้องผมตาแป๋ว ที่ขาหน้ามีผ้าพันแผล เนื้อตัวมอมแมม

‘หาบ้านให้น้องหมา’

ผมขมวดคิ้วอ่านป้ายที่ติดตรงตะกร้าแล้วตัดสินใจผละออกจากอ้อมแขนพี่เคราไปยืนจ้องหน้าเจ้าตัวเล็กที่เริ่มส่งเสียงเห่าใส่คนแปลกหน้า

“พิชญ์...” มือหนาแตะลงมาที่ไหล่ พี่เจดขมวดคิ้วส่ายหน้าเหมือนจะบอกว่าอะไรก็ตามที่ผมกำลังคิดจะทำมันไม่เข้าท่า

ผมทำเพียงยิ้มให้ เอ่ยประโยคที่คนตรงหน้าคงไม่เข้าใจ

“เหมือนมาก...”






“มันน่าสงสารออก”

[ แต่ก็ไม่ใช่ว่ามึงจะบุ่มบ่ามซื้อมาเลยได้ เลี้ยงเป็นหรือไง ] ปลายสายยังบ่นไม่เลิกเรื่องที่ผมเอาแต่ใจ ตั้งแต่ออกจากร้าน กระทั่งแยกย้ายกลับก็ยังอุตส่าห์โทรมา

“ไม่ต้องห่วงผมรู้จักผู้เชี่ยวชาญ” ผมยิ้ม หันไปมองเจ้าตัวเล็กที่กำลังนอนซึมอยู่ในตะกร้า ข้างๆ มีตุ๊กตาที่หน้าตาเหมือนตัวเองเปี๊ยบที่ผมซื้อมาให้เป็นเพื่อนกัน

“แค่นี้ก่อนนะพี่ ผมถึงแล้ว” ตัดสายใส่ไอ้พี่เคราที่ทำท่าจะบ่นอีกยาว ยัดมือถือใส่กระเป๋าลวกๆ ก่อนหันไปอุ้มตะกร้าใบโต

โฮ่ง!

ขมวดคิ้วกับเสียงเห่า จุปากให้มันเบาๆ แต่เจ้าตัวเล็กก็ไม่มีทีท่าว่าจะฟังกัน

โอเค ขอสารภาพ... ผมไม่ได้ชอบหมาเท่าไหร่ เป็นสิ่งมีชีวิตร่วมโลกที่อยู่ร่วมกันได้ แต่จะให้เลี้ยงก็คงไม่ไหว...

ย้อนแย้งไหม?

ถ้าผมบอกว่าไม่ได้จะเลี้ยงเองคงเข้าใจง่ายกว่า

บอกแล้วไงว่าเหมือนมาก... เหมือนเจ้าลูกหมาตัวนั้นอย่างกับแกะ...

ลูกหมาที่ผมเกือบแลกชีวิตเพื่อช่วยชีวิตมัน

ผมขึ้นมาชั้นบนสุดของคอนโดฯ กดออดหน้าเพนท์เฮ้าท์ตามมารยาทแม้ในตัวจะยังมีคีย์การ์ดจะเข้าเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ในเมื่อเจ้าของห้องอยู่ก็คงต้องเกรงใจ อีกอย่าง ผมกะจะเซอร์ไพรซ์...

แกรก~

ประตูเปิดออกพร้อมร่างสูงที่ผมไม่ได้เห็นหน้ามาหลายวัน งานของปีหนึ่งส่งก่อนชาวบ้าน อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์เขาเลยยุ่งทุกวัน แต่ถึงจะไม่เจอกันผมก็ยังเห็นเขาจากชั้นสาม ส่งเสบียงตามหน้าที่ของพี่รหัส ให้เด็กโค่งได้ตั้งใจทำงาน

“มีอะไร” คิ้วเข้มขมวดคล้ายหงุดหงิด ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าชุดเดิมตั้งแต่เมื่อวาน

ผมยิ้มกว้างกับสีหน้าน่ารักนั่น ก่อนยกตะกร้าขึ้นมาตรงหน้าเขา ทวนความจำเขาด้วยคำถาม

“ท้าหรือจริง”
   
“...” แต่สิ่งที่ได้รับกลับกลายเป็นความนิ่งเงียบ
   
ไม่มีคำตอบ ไม่มีรอยยิ้ม คิ้วเข้มยิ่งขมวดเมื่อสบตากับเจ้าตัวเล็กในตะกร้า... แววตายากจะหยั่ง
   
“ทำแบบนี้ทำไม” เขาถอนหายใจ ยกมือขึ้นมาเสยผมลวกๆ สีหน้าคล้ายกำลังโกรธ
   
ผมไม่เข้าใจคำถาม
   
“ผมเจอมันที่งาน หน้าเหมือน...” ใช้เวลาพักใหญ่กว่าผมจะเรียกเสียงตัวเองกลับมาได้ พยายามอธิบาย
   
“พิชญ์” แต่เขาไม่คิดฟัง

"..." ผมนิ่งงัน อยู่ๆ ก็รู้สึกกลัว... เมื่อดวงตาสีรัตติกาลที่มองสบมา ไม่มีสักเสี้ยวที่ผมเข้าใจความหมาย

“กลับไป”
   
เป็นการไล่ที่เย็นชากว่าครั้งไหนๆ

ปัง!

ผมผงะ เมื่อถูกปิดประตูใส่หน้าโดยทันได้ถามอะไร แต่เจ้างของห้องคงลืมไปว่าผมสามารถเปิดประตูด้วยตัวเองได้

“ผมไม่เข้าใจ พี่โกรธอะไร” คีย์การ์ดสำรองถูกดึงมาใช้ ผมวางตะกร้าในมือลงบนโต๊ะรับแขกก่อนสาวเท้าตามร่างสูงไปยังด้านล่าง พื้นที่ส่วนตัวของเขา... พื้นที่ที่เขาอนุญาตให้ผมรุกล้ำ แต่ไม่ใช้ทั้งหมด

"..." ไม่มีคำตอบของคำถาม เขาหยุดเดินแต่ไม่หันกลับมา แม้แต่แผ่นหลังกว้างก็ยังดูเย็นชา

“พี่เต... เป็นอะไร” ผมรู้ว่าตัวเองกำลังไม่พอใจเหมือนกัน แต่ความสับสนมีมากกว่า และสายตาของเขาที่มองมาก่อนหน้านี้... มันชวนให้ผมปวดใจ

“พิชญ์ทำอะไรผิด ขอโทษได้ไหม”

ไม่รู้ทำไม มันเหมือนกับ... เขากำลังจะหนีไป ทิ้งผมไว้กับความไม่เข้าใจ... อีกครั้ง

ผมได้ยินเสียงเขาถอนหายใจ ก่อนจะหันกลับมา สบตาผมด้วยสายตาที่สับสนยิ่งกว่า

“มึงกำลังล้ำเส้น” แต่น้ำเสียงนั้นยังเต็มไปด้วยความเย็นชา

“หมายความว่ายังไง” ผมขมวดคิ้ว

เขาไม่เคยบอกว่ามีเส้นอะไรระหว่างเรา...

“มึงกำลังสร้างความผูกพัน”

ผมชะงัก ไม่คิดว่าแค่หมาตัวเดียวจะทำให้เขาคิดอย่างนั้น

แต่จริงของเขา... ผมกำลังพยายามสร้างความผูกพัน

“แล้วมันแย่ยังไง” ผมเถียง แต่เสียงกลับสั่นเกินควบคุมได้

“มึงไม่เข้าใจ” เขาถอนหายใจ ท่าทางเหนื่อยหน่ายขณะเอ่ยย้ำคำ “มึงล้ำเส้น”

“แล้ว...” ผมหลับตากำหมัดแน่น สงบสติพักใหญ่ก่อนจะยกมือขึ้นเสยผม...

"แล้วเส้นที่พี่ว่ามันอยู่ตรงไหน" เสียงของผมมันสั่นจนน่ารำคาญ แต่ก็ยังกัดฟันสบตาเขา...

ก่อนจะพบว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ในความเย็นชา ภายใต้สีรัตติกาลคู่นั้น... มันคือความกลัว

ความกลัวที่ผมไม่เข้าใจ

“ถ้ามึงก้าวเข้ามาแล้วเจ็บ... นั่นแหละมึงล้ำเส้น”

...คำพูดที่ผมไม่เข้าใจ

"พิชญ์ มึงเคยพูดว่าที่ยังอยู่เพราะรักกูใช่ไหม" มันเหมือนจะเป็นคำถาม แต่ผมรู้ดีว่าไม่ใช่ "งั้นพิสูจน์สิ"

"..."

"ท้าหรือจริง" เช่นกัน... เกมนี้เขาไม่เปิดโอกาสให้ผมเป็นฝ่ายเลือก

"..."

"ห้าปี"

คำท้าถูกเอ่ย แม้ว่าผมจะยังไม่ได้ตอบอะไร

"พี่เต..."

"เลิกยุ่งกับกูนับตั้งแต่วันนี้..."

"..."

"จบปีห้า ถ้ามึงยังรักอยู่...กูจะกลับไป" 





พี่เคยพูดว่าตัวเองไม่สามารถรักษาความรักได้

‘เหมือนกันเกินไป... กับผู้ชายคนนั้น’

พี่หมายถึงพ่อ... พ่อที่เป็นต้นเหตุของครอบครัวที่แตกสลาย

‘แต่พี่ไม่ใช่เขา’

ผมบอกแบบนั้น แม้จะไม่เห็นด้วยนักกับการโยนความผิดให้คนคนเดียว ทั้งที่ความสัมพันธ์มันดำเนินด้วยขาข้างเดียวไม่ได้

พี่หัวเราะ เอื้อมมือมาลูบหัวผมที่เกยอยู่บนไหล่ มืออีกข้างจับมือผมไว้ ไล้นิ้วโป้งเล่นกับหลังมือผมเบาๆ
 
เรากำลังนอนอยู่บนม้านั่ง หันหัวชนกัน ใช้ไหล่ของอีกคนต่างหมอนมองท้องฟ้าใกล้พลบค่ำ

‘แต่ก็เหมือนกันเกินไป...’ พี่ย้ำ


‘กูไม่เคยรักษาสิ่งที่รักไว้ได้... ไม่มีทางทำได้’

‘แล้วผมล่ะ’ ไม่รู้อะไรดลใจให้ถาม ทั้งที่คำตอบที่ได้รับมีแต่ทำให้ปวดร้าว
   
ถ้าพี่พูดว่ารัก... หมายถึงผมต้องเตรียมใจกับความแตกหัก

‘กูไม่ได้รัก’

...มันหมายความว่าพี่อนุญาตให้ผมอยู่ข้างๆ

‘ดีแล้วที่ไม่ได้รัก’

ผมไม่รู้ว่าตัวเองคาดหวังคำตอบแบบไหน รู้แต่ว่าผมไม่เข้าใจ

ทำไมนะ ทำไมพี่ถึงคิดแบบนั้น

...เป็นเส้นขนาน เป็นความย้อนแย้ง เป็นสองสิ่งที่ควรจะเคียงคู่แต่กลับสวนทาง

ความสัมพันธ์ในความหมายของพี่มันรวดร้าวเกินไป...






“เป็นไง” ผมสะดุ้งเล็กๆ หันไปมองพี่เจดที่เดินมาขยี้หัวจนผมที่มัดไว้ลวกๆ หลุดร่วงไม่เป็นทรง

ผมยิ้มตอบ หันกลับมามองเถ้าบุหรี่ในมือหลุดร่วงลงพื้นเกือบครึ่งมวนก่อนยกขึ้นมาสูบครั้งแรก

“ได้ข่าวว่ามึงเสร็จแล้ว” เสียงจอแจของเพื่อนในสตูกลับเข้ามาในโสตประสาทอีกครั้ง กำลังวุ่นวายได้ที่

“เหลือติดต้นไม้ในโมเดล” ผมยักคิ้วยียวน

พรุ่งนี้เช้าต้องส่งงาน ทั้งอาทิตย์ผมหามรุ่งหามค่ำ กดเก็บความฟุ้งซ่านเอาไว้ ทดแทนด้วยพลังงานมากมายที่ดึงออกมาใช้แบบไม่กลัวตาย

“มีคนบอกว่ามึงอยู่แต่สตู” พี่เจดเลิกคิ้ว หยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบ

“กลัวไม่เสร็จอ่ะ” ผมตอบกลั้วหัวเราะ ถึงมันจะเป็นเหตุผลข้างๆ คูๆ

ผมรู้ตัวดีว่ายังไงก็ทัน ต่อให้เยิ่นเย้อผลาญเวลาไปกับการตกแต่งโมเดลที่ไม่จำเป็นสักนิดก็ยังเสร็จก่อนชาวบ้าน

“ไม่ได้นอนมากี่วันละ” เสียงพี่รหัสหงุดหงิด ยกมือขึ้นมาจับคางผม หันไปมา

“สาม” ผมหัวเราะ แกล้งพ่นควันบุหรี่ใส่หน้า “ดูไม่ได้เลยใช่ป่ะ”

“ยังมีหน้ามาหัวเราะ ถ้าช็อกขึ้นมากูจะด่าให้ขำไม่ออก” ไอ้พี่เคราผลักหัวผมแรงๆ ทีหนึ่ง ส่ายหน้ากับความดื้อดึงไม่ดูสังขารของผม

“แล้วไอ้เตไปไหน” ผมชะงักไปหนึ่งจังหวะ ก่อนจะอัดนิโคตินเข้าปอดอีกครั้งแล้วยักไหล่

“ไม่เห็นมาอาทิตย์หนึ่งแล้ว” ทอดสายตาลงไปยังลานกว้างที่มีงานของกลุ่มเขาตั้งอยู่ อาทิตย์ที่แล้วผมใช้ร่างสูงเป็นจุดพักสายตา

แต่วันนี้ที่ตรงนั้นมันว่างเปล่า...

“อ้าว วันก่อนมันยังมาช่วยกู...” พี่เจดชะงักไป เหมือนคราวก่อน ที่พี่มันอ่านใจผมได้ “ทะเลาะกัน?”

ผมแค่นยิ้ม ส่ายหน้า เรียกทะเลาะได้เหรอวะ

“เหนื่อยว่ะป๊า” ผมดับบุหรี่ที่ไหม้ถึงก้นกรอง หันไปโอบแขนรอบคอไอ้พี่เคราอย่างต้องการที่พักพิง

พี่เจดไม่ได้กอดตอบแค่ตบหลังผมสองสามทีแล้วหัวเราะ

“ธรรมดา ก็มึงว่ายทวนน้ำ” ผมหัวเราะตาม กับคำปลอบใจประหลาดที่ดันทำให้สบายใจง่ายๆ

“ผมหยุดว่ายดีป่ะ” ซุกหน้ากับบ่ากว้าง ส่งเสียงงอแงแบบที่ชอบทำเวลางุ่นง่าน

“ดื้อด้านอย่างมึงไม่หยุดง่ายๆ หรอก” เป็นอีกครั้งที่พี่รหัสเหมือนมานั่งอยู่ในใจ ผมหัวเราะอีกครั้ง กระชับอ้อมกอดแน่นกว่าเดิมแล้วถอนใจ

“ทำไมเขาไม่ใจดีแบบป๊าวะ จะได้รักกันง่ายๆ” ผมบ่นไม่จริงจัง ไม่ทันระวังว่ามันจะกระทบใจอีกคนเข้า

“กูเคยจีบแล้วมึงไม่เอา ลืมหรือไง” พี่เจดดันผมออก แล้วดีดหน้าผากทีหนึ่งเหมือนจะทบทวนความจริงให้

ความจริงที่ว่านอกจากเขา ผมก็ยังไม่เคยมองใคร

โง่ชิบหาย... ทั้งที่ไม่มีอะไรรับประกันเลยสักนิดว่าจะได้กลับมาเจอกัน แต่ผมก็ยังลืมเขาไม่ได้

“แต่มึงหันมาชอบกูตอนนี้ก็ดี จะได้ทำใจง่ายๆ ตอนมันไป” พี่เจดดับบุหรี่ในมือ หยิบมวนใหม่มาคาบเตรียมจนไฟ

“หมายความว่าไง” ผมขมวดคิ้ว

“เมื่อเช้ากูเจออาจารย์เหมี่ยว... ที่ปรึกษาไอ้เต” เอ่ยทั้งที่บุหรี่ยังอยู่ในปาก รั้งรอทรมานผมด้วยการลนปลายบุหรี่เชื่องช้า แล้วละเลียดควันก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตา

“เค้าว่าไอ้เตจะย้ายไปเรียนอเมริกา”

"..." คำตอบนั้นเหมือนกระชากสติของผมไป สายตาจกลับไปจดจ้องยังจุดที่เขาเคยอยู่อีกครั้ง ถูกปะทะด้วยความจริงที่เพิ่งเข้าใจ

ไม่รู้ว่าควรขำไหมที่ความลับที่เขาปิดไว้ถูกเปิดเผยง่ายดาย

แต่สุดท้ายผมก็หัวเราะออกมาเบาๆ ฝืนคำท้าตัวเองด้วยการหยิบบุหรี่มวนที่สองของวันขึ้นมา

จุดไฟ... อัดควัน ปล่อยให้ขาวขุ่นของนิโคตินบดบังหยดน้ำตาที่ร่วงลงมาอย่างเงียบงัน






---------------------------------------------------------------------------------
เป็นตอนพีคๆ เนอะ...
ฮือออ แม่น้องพิชญ์ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งเผาบ้านพี่เตนะคะ
เป็นตอนที่เหนื่อยมากเลยค่ะ ความจริงและความรู้สึกอัดแน่นมากเกินไป 5555
ด้วยความที่มันหน่วงมาตั้งแต่ต้น ดังนั้นเราจะไม่ดราม่านาน
ทนหน่อยนะคะ ใกล้แล้วล่ะ ;_;
ยังไงก็ฝาก #เกมท้ารัก เช่นเคยนะคะ
ถ้าเขียนงงตรงไหน ไม่ชอบใจยังไงติติงได้เสมอเลยน้า

ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันถึงตอนนี้นะคะ

 :L2:


หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 12 P.5 [27.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: prawan25 ที่ 27-12-2017 08:25:38
ชอบซีนอารมณ์ของเตกับพิชญ์มาก
มันทั้งหน่วง ทั้งอึดอัด บีบหัวใจสุดๆ
จะร้องแต่ก็ไม่ได้เพราะจุก... 55555.

พี่เตใจร้ายกับน้องมากเกินไป ไม่เข้าใจพี่เตเลย
และการกระทำบ้างครั้งดูสวนทางกับกับคำพูด

ปล.ชอบตอนพี่เจดกับน้องพิชญ์มากเลยค่ะ เราจะเชียร์คู่นี้แล้ว!! 5555.
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 12 P.5 [27.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 27-12-2017 09:17:15
สงสารน้องพิชญ์ หน่วงมาก
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 12 P.5 [27.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 27-12-2017 09:51:05
 :ling3: :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 12 P.5 [27.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: 05th_of_06th ที่ 27-12-2017 10:26:47
เราเชียร์พี่เจดแทนได้ม้ะะ ไปเผาบ้านพี่เตดีกว่า แล้วจับพิเจดไปตัดเคราเสริมหล่อหน่อยมาดามใจน้อง ปล่อยคนขี้กลัวนางหนีไปเรื่อยๆเถอะ  :m16:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 12 P.5 [27.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 27-12-2017 15:50:58
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 12 P.5 [27.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 27-12-2017 17:43:20
ตอนพี่เตบอกว่าให้รอ5ปีอ่ะ จุกแทนน้องพิชญ์เลยอ่ะ
ละต้องมารู้จากพี่รหัสอีกว่าพี่เตจะไปเรียนต่อต่างประเทศ

ฮือ พี่เตกลัวอะไรอยู่ ทำไมรักน้องไม่ได้ ทำไมคะะ   :ling1:
ถ้าเราเป็นพิชญ์ถึงรักมากขนาดไหน เราอาจจะรอไม่ไหว
เพราะไม่รู้ว่ารอไปแล้วพี่เตจะกลับมาหาจริงๆมั้ย

อินจังเลยอ่ะเราเนี่ย รออ่านตนต่อไปนะคะ จะรอวันพี่เตเปิดใจให้น้อง...
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 12 P.5 [27.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 27-12-2017 19:36:28
ทำไมอ่านตอนนี้แล้วรู้สึกสงสารพี่เตก็ไม่รู้ เหมือนรักน้องมาก จนไม่อยากให้น้องมารักตัวเอง มันทำไมคะ พูดมาเลยค่ะ ซื้อไม้ขีดไฟกับถังน้ำมันมาตั้งรอหน้าบ้านแล้ว  :hao3:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 12 P.5 [27.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 27-12-2017 20:38:48
5 ปี ให้รอเพื่ออะไรเหรอ? เราไม่รอวันนั้นหรอกนะ แต่นี่คือพิชญ์..  :z13:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 12 P.5 [27.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 27-12-2017 21:33:31
อะไร..มันคืออะไร!!!!  โอ๊ยยยย สงสารคนรออะ น้องรอมานานแล้วนะยังจะให้รออีกห้าปีอีก บ้าจริงขอไม้ค่ะ จะตีอิพี่ให้ขาลายเลย :z3:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 12 P.5 [27.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 27-12-2017 22:16:44
เหมือนวิ่งตามอะไรสักอย่าง บางครั้งเหมือนคิดว่าใกล้จะถุงแล้วแต่ก็ไม่ใช่ :z3:
 :m31:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 12 P.5 [27.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: pipoo ที่ 27-12-2017 23:22:37
เราไม่รอหรอกนะ5ปีอะรักยังไงก็ไม่รอไม่มีความชัดเจนแต่บอกให้รอ ลาก่อยยยยยยยยยยยยยย หาผัวใหม่โว้ยย
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 12 P.5 [27.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: QueenPlai ที่ 28-12-2017 06:12:38
อยากร้องไห้  :ling3:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 12 P.5 [27.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: mirage ที่ 28-12-2017 15:09:36
5 ปี? เพื่ออะไร ความรักที่ไม่มีจริง หรืออยากเห็นความดันทุรังบ้าๆ อยากเห็นว่ามีคนที่รักตัวเองจริงๆ สำหรับพิชญ์ น้องก็คงรอต่อไป แต่ในความคิดเรามันเกินไปนะ น้องรอมาเท่าไร น้องต้องเปลี่ยนตัวเองเท่าไร ตอนนี้เราเริ่มเข้าใจละ เตเเค่กลัว กลัวในสิ่งที่ตัวเองก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไรอย่าง "ความรัก" ยิ่งมารู้จากคนอื่นไม่ใช่คนที่บอกให้รอ ใจสลาย เลิกเชียร์ดีไหม มาม่าได้อีก พยายามคิดในแง่ดีว่าพี่คงมีเหตุผล ณ จุดนี้แดกจุดเป็นที่เรียบร้อย
 อยากเห็นโมเมนต์ประมาณ ห้าปีผ่านไปเตกลับมาแล้วไม่เหลือใคร อยากเห็นจุดเเตกของน้อง หนูทนมามากแล้วลูก นับถือศรัทธาในรักของน้อง แต่ก็อย่าปิดใจจนไม่เห็นว่าบนโลกนี้ไม่ได้มีแค่คุณกับเขา
 อินมากค่ะท่านนักเขียน แต่งออกมาได้อารมณ์ ถ้าคอมเมนต์ดูรุนแรงไปต้องขอโทษด้วยนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 12 P.5 [27.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 29-12-2017 08:28:52
สงสารน้อง พี่เตก็ใจร้ายเกินไป
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 12 P.5 [27.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 29-12-2017 20:24:11
รออออ :hao7:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 13 P.5 [30.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 30-12-2017 03:10:41
13

   
ผมหลงคิดว่าตัวเองเคยชนะ แต่เปล่าเลย... ที่ผ่านมาเขาแค่แกล้งแพ้เท่านั้น
   
คิดว่าตัวเองคุมเกมไหว... แต่ในความจริงมันคือกับดัก
   
ถูกล่อลวงให้บินสูงขึ้นไป ทะเยอทะยาน คิดว่าสักวันจะไขว่คว้าดวงจันทร์ไว้ได้

แต่รู้อะไรไหม... โลกเรามีชั้นบรรยากาศ ที่ไม่ยอมให้แมลงตัวเล็กๆ ผ่านเข้าไป สุดท้ายถูกแผดเผา ปีกที่เคยหักพังกำลังมอดไหม้ เจ็บร้าวซะจนอยากกระชากมันทิ้งไป
   
...ได้เวลาหรือยังที่จะปล่อยมือ

   




ห้าปีผ่านไป...
   
...ถ้าผมลิขิตชีวิตตัวเองได้ ก็อยากจะเริ่มบรรทัดใหม่ด้วยประโยคนั้น แต่ความจริงคือผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งหลังส่งงานและพบว่ามันยังไม่พ้นวันเก่าด้วยซ้ำ
   
เวลาเดินช้าเกินไป
   
“พิชญ์! เต้นกัน” เสียงอึกทึกคึกโครมในร้านเหล้าทำให้ทุกคนต้องตะโกนใส่กัน ผมไม่ทันได้ตอบอะไรก็ถูกเพื่อนผู้หญิงกลุ่มใหญ่ลากมาหน้าเวที
   
วงดนตรีสดที่กำลังเล่นเพลงจังหวะหนักๆ เรียกให้ทุกคนกระโดดสะบัดกันเต็มที่ ส่วนผมก็ได้แต่ยืนมองยิ้มๆ จิบเบียร์พลางโยกเบาๆ ท่ามกลางวงล้อมสาวๆ ที่เบียดตัวเข้ามา ทั้งเอว ไหล่ แขนถูกมือหลายคู่เกาะไว้ นัวเนียอย่างไม่อายเพราะรู้ว่าผมไม่คิดอะไร เอาจริงๆ พวกนี้แค่ลากผมมาเป็นหลักให้น่ะ และเพราะเป็นผู้ชายเลยใช้เป็นไม้กันหมากันพวกที่ชอบฉวยจังหวะชุลมุนเข้ามาตีเนียนแต๊ะอั๋งได้ในคราเดียวกัน
   
แต่คืนนี้คงไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นเท่าไหร่ เพราะทั้งร้านมีแต่คนกันเองทั้งนั้น เด็กสถาปัตย์ฯ ที่เพิ่งส่งงาน หาสถานที่ปลดปล่อยความอัดอั้นจากโปรเจ็กต์ที่กินเวลาเป็นเดือนๆ
   
“ไงมึง เนื้อหอมเชียว” ได้ยินเสียงเอ่ยแซวจากด้านหลัง หันกลับไปก็พบว่าเป็นพี่รหัสปีสามของผมเอง
   
ผมหัวเราะเบาๆ ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะขยับให้กลุ่มพี่เจดแทรกตัวเข้ามา ไอ้พี่เคราเดินมายืนข้างผม มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋า อีกข้างถือเบียร์จิบนิ่งๆ มองผู้หญิงรอบตัวผมที่กำลังสนุกกันได้ที่
   
“เพื่อนมึงไหวป่ะเนี่ย” เพราะเห็นหน้ากันจนเบื่อเลยไม่ต้องห่วงเรื่องเจตนา ออกแนวขยาดมากกว่าที่เห็นแต่ละคนปล่อยผีราวเสียสติ
   
“ผมเนี่ยจะไม่ไหว” ตอบขำๆ เริ่มรู้สึกสงสารตัวเองที่โดนยื้อไปมาบวกกับฤทธิ์ออกอฮอล์ที่ดื่มไปพอตัวทำให้ลำพังยืนเฉยๆ ยังแทบจะไม่ตรง
   
“เออ ตัวมึงแดงเป็นกุ้งต้ม” พี่เจดหัวเราะ กระดกเบียร์เข้าปากแล้วยกแขนขึ้นมาพาดไหล่ให้ผมพิงตัวไว้ สาวๆ ส่งเสียงโห่ยกใหญ่ที่ผมโดนแย่งตัว
   
ผมหัวเราะเบาๆ ขยับตัวตามพี่เจดที่ลอยหน้าลอยตาดึงผมมายืนข้างหลังแล้วดันพวกผู้หญิงไปข้างหน้า ช่วยผมกันพวกสิงสาราสัตว์ไม่ให้แทรกเข้ามาอีกแรง
   
“เบียร์หมดอ่ะ” ผมบ่นเมื่อกระดกจนของเหลวที่เหลือเพียงก้นจนหยดสุดท้าย หันไปมองคนข้างตัวที่ไหนๆ ก็เป็นพี่รหัสกัน
   
“ก็หยุดแดก” แต่พี่เจดกลับยักไหล่ ตีหน้าซื่อเหมือนไม่เข้าใจว่าผมกำลังจะขออะไร
   
“โห่ ป๊า” ผมเบ้หน้า เอื้อมมือไปแย่งเบียร์ในมือของไอ้พี่เครามากระดกอย่างช่วยไม่ได้ แต่พี่เจดก็ไม่ว่าอะไร คนตัวโตหัวเราะเบาๆ พลางผลักหัวผมอย่างหมั่นไส้ รั้งขวดเบียร์ของตัวเองกลับไปดื่มแล้วยื่นกลับมา

เราผลัดกันกระดกคนละครั้ง ตามองไปที่วงดนตรี โยกเบาๆ ตามจังหวะเพลงไปพร้อมกัน ผมปล่อยความคิดตัวเองเป็นอิสระ จะฟุ้งซ่านก็ช่างมัน ให้ฤทธิ์แอลกอฮอล์ช่วยขับทุกความรู้สึกออกมาอย่างเอาแต่ใจ ค้นหาคำตอบว่าผมควรจะทำยังไง...

เพราะคำบอกเล่าของพี่เจด ผมถึงเข้าใจ เหตุผลที่เขาผลักไส คำพูดร้ายๆ การกระทำที่บอกว่าการดันทุรังของผมมันไม่มีความหมาย

ห้าปีนานเกินไป... อเมริกาไกลเกินไป
   
ผมคิดว่าตัวเองคงทนไม่ไหว
   
“พิชญ์... อย่ายั่ว” ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมปล่อยให้ร่างกายตัวเองแนบชิด เอนหัวซบไหล่คนข้างตัว ปล่อยให้ลมหายใจที่ร้อนด้วยแอลกอลฮอล์คลอเคลียกับซอกคอ ใกล้... จนได้ยินเสียงกลืนน้ำลาย
   
ผมหัวเราะเบาๆ ช้อนสายตามองพี่เจดที่ขมวดคิ้วนิ่วหน้ากระดกเบียร์หมดขวดรวดเดียวหมดอย่างเบี่ยงเบนความสนใจ

“ป๊า...” แต่ผมอ่อนแอเกินกว่าจะควบคุมความเห็นแก่ตัวของตัวเองไหว “จูบหน่อย”
   
พี่เจดชะงักไป คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงก้มหน้าลงมาสบตาผมด้วยสีหน้าตกใจ
   
“มึงเมาเหรอ” ผมหัวเราะ ขยับมายืนตรงหน้าเพื่อกอดเอวหนาไว้ แล้วกดหน้าซุกลงกับไหล่
   
ก็คงใช่... ตอนนี้ในหัวผมฟุ้งซ่านจนแทบบ้า ไม่รู้สักนิดว่าตัวเองทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร แค่อยากรู้... แค่อยากรู้ว่าถ้าไม่ใช่เขา ผมจะรู้สึกไหม
   
...ทั้งที่รู้คำตอบอยู่แก่ใจ

เพราะแม้แต่ตอนนี้ กลิ่นที่ควรจะเป็นกลิ่นของพี่เจด... ก็ยังเป็นกลิ่นของเขา อ้อมกอดกลับเรียกไออุ่นจากเศษเสี้ยวความทรงจำให้ตามมาหลอกหลอนอย่างห้ามไม่ได้
   
“จูบที่ไร้รัก มีแต่จะทำร้าย มึงรู้ใช่ไหม” ถึงผมจะนิสัยเสียแต่พี่เจดก็ยังคงเป็นพี่เจดที่ตำหนิด้วยน้ำเสียงใจดี และลูบหัวผมอย่างปลอบใจ “กูไม่ได้อยู่ตรงนี้เพื่อให้มึงใช้ประชดใคร”

"ป๊า..."   

“กูพาตัวเองออกมานานแล้ว ตอนนี้กูช่วยอะไรไม่ได้” ผมชะงัก ก่อนจะหัวเราะเบาๆ ทั้งที่น้ำตากำลังจะไหล กับคำพูดที่กระทบใจ “กูไม่รู้ว่าน้ำมันลึกแค่ไหน ถ้ามันลึกมาก... มึงก็รู้ว่าถ้าหยุดว่ายจะเป็นยังไง”
   
“...” ผมจะจมน้ำ... อีกครั้ง และคราวนี้ไม่มีใครฉุดรั้ง
   
“ว่าไง จะหยุดไหม”
   
“...” ผมนิ่งเงียบอยู่นาน ซุกหน้ากับไหล่พี่เจดอยู่อย่างนั้น ทบทวนว่าตัวเองต้องการอะไร
   
แน่นอนว่าผมไม่อยากหยุด แต่ผมจะไปต่อไหวไหม
   
“ป๊า พิชญ์ขอโทษ”
   
“...” แต่บางที... ผมอาจจะโง่กว่าที่ตัวเองเข้าใจ
   
“พิชญ์จะกลับไปว่ายน้ำ”
   
ช่างหัวอเมริกา
   
   





ผมโยนเหรียญออกไป ปล่อยให้มันจมลงถึงก้นก่อนจะค่อยๆ หย่อนตัวลงสระทั้งยังใส่เสื้อผ้าที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์
   
โฮ่ง! โฮ่ง!
   
เสียงเห่าจากลูกหมาสีดำที่ได้อัพเกรดที่อยู่จากตะกร้าสานเป็นเพนท์เฮ้าส์หลังใหญ่ดังลั่นเมื่อเห็นคนแปลกหน้า มันไม่ได้วิ่งมา คงเพราะขายังไม่หาย แต่แค่เสียงเห่าคงเรียกร้องความสนใจจากเจ้าของบ้านได้
   
ผมก้าวขาจากระดับน้ำแค่เอว ไปถึงอก ลำคอ กระทั่งน้ำเย็นจัดท่วมหัว จึงเริ่มดำลงไป แหวกกระแสน้ำลงลึกเพื่อหยิบเหรียญที่ตัวเองทิ้งไว้ แล้วว่ายขึ้นมาในจังหวะเดียวกับที่เงาของใครบางคนพาดทับลงมา
   
เจ้าของบ้านยืนล้วงกระเป๋ามองผมในสภาพกางเกงขายาวตัวเดียวที่เป็นชุดนอน
   
“พิชญ์” เขาเรียกชื่อผม น้ำเสียงเรียบนิ่ง ไม่มีสีหน้าประหลาดใจ ไม่โกรธขึ้งที่ผมบุกเข้ามาอย่างเอาแต่ใจ... เป็นสีหน้าแบบที่ผมอ่านไม่ออกในสภาวะที่ร่างกายเต็มไปด้วยแอลกอฮอล์
   
“ผมลืมของไว้” ยกยิ้ม ชูเหรียญที่เพิ่งเก็บขึ้นมา

ข้ออ้างไร้สาระที่ผมใช้พาตัวเองกลับมา
   
เตวิชญ์ไม่ได้ตอบอะไร แต่คิ้วเข้มเริ่มขมวดเข้าหากัน ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะว่ายไปที่ขอบสระ กระโดดขึ้นมายืนต่อหน้าเขา โอนเอนนิดหน่อยด้วยเนื้อตัวหนักอึ้งด้วยเสื้อผ้าที่เปียกปอน หยดน้ำเริ่มเจิ่งนองที่พื้นขยายวงออกไปถึงเท้าของอีกคน
   
“ผมแพ้” ว่าพลางยักไหล่เหมือนช่วยไม่ได้ที่ไม่อาจทำตามคำท้า “จะลงโทษยังไงก็ว่ามา”
   
ยิ้มท้าทาย มองในหน้าที่ยังคงเรียบเฉย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
   
“ห้าปีคงน้อยเกินไป”
   
“เตวิชญ์...”
   
“สิบปีเป็นไง”
   
เขามันใจร้าย
   
“ผมรู้แล้วเรื่องอเมริกา” ผมเอ่ยเมื่อเขาทำท่าจะเดินหนีไป
   
“...” มันได้ผล ร่างสูงยอมหยุดฝีเท้าแม้จะไม่ยอมหันกลับมา
   
“นี่ใช่ไหมเหตุผลที่พี่พยายามจะผลักไสผม”
   
ตอนที่เขาให้รอห้าปีผมไม่เข้าใจ คิดว่าเขาแค่ต้องการทดสอบความอดทน ทรมานผมเล่นๆ ถึงได้คิดคำท้าบ้าบอกันผมออกไป จนกระทั่งได้ยินความจริงจากปากพี่เจดถึงรู้ว่ามันไม่ใช่
   
“เพราะกำลังจะไป พี่ถึงไม่อยากให้ผมอยู่ใกล้ๆ ใช่ไหม”
   
เขาไม่ได้ต้องการให้ผมทรมาน... แต่พยายามกันผมออกจากทรมานต่างหาก
   
ความทรมานที่จะไม่ได้เห็นหน้าเขา... ความทรมานจากความคิดถึง... ความทรมานจากระยะทางที่ช่างห่างไกล
   
แน่นอนว่ามันเป็นความเป็นไปได้ที่ผมทึกทักเอาเอง เชื่อมโยงเงื่อนไขและการกระทำของเขาในแบบที่ผมอยากให้เป็น หวังลมๆ แล้งๆ ทั้งที่ไม่รู้ว่าจริงไหม
   
ผมถึงต้องมาอยู่ตรงนี้ไง... พิสูจน์ให้รู้สักทีว่าความรู้สึกที่แท้จริงของเตวิชญ์คืออะไร
   
“เข้าใจผิดแล้วพิชญ์” แต่เมื่อเขาหันกลับมา ความหวังของผมก็พังทลาย
   
“...”
   
“กูจะไปเพราะต้องไป”
   
“...”
   
“แต่ที่กูบอกให้มึงเลิกยุ่งกับกูเพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรที่มึงจะดันทุรังกับคนที่มึงไม่ได้รัก”
   
นั่นมัน... หมายความว่ายังไง
   
“พี่พูดบ้าอะไร” ผมขมวดคิ้ว มองคนตรงหน้าที่ยกมือขึ้นเสยผม แสยะยิ้ม
   
“มึงคิดว่าที่ตัวเองทำทุกวันนี้เพราะว่ารักกูจริงๆ เหรอพิชญ์ ดื้อด้าน ดันทุรัง แล้วก็เกมบ้าบอนั่น...!” เสียงของเขาดังขึ้น สีหน้าที่คล้ายจะกำลังระเบิดออก แต่ก็หยุดตัวเองไว้

“กูไม่รู้ว่ารักคืออะไร... แต่สิ่งที่มึงทำ มันเรียกว่ารักจริงๆ เหรอพิชญ์” สุดท้ายสิ่งที่แสดงออกมาทางแววตาคือความเย็นชา
   
“...”
   
“มึงก็แค่อยากเอาชนะ... เอาคืนที่กูเคยทิ้งไป อยากให้กูเจ็บเหมือนที่มึงเคยเจ็บแค่นั้นไม่ใช่หรือไง” ผมมองคนตรงหน้าที่สบตาอย่างเย้ยหยัน แค่นหัวเราะเมื่อผมไม่ตอบคำถาม และได้แต่นิ่งงันอยู่อย่างนั้น

ผมไม่คิด... ว่านั่นจะเป็นความคิดเขา
   
ที่ผ่านมา... เขาคิดแบบนี้เองเหรอ... คิดแบบนี้จริงๆ น่ะเหรอ
   
“มึงก็เหมือนคนอื่นๆ สาดคำว่ารักใส่กูทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร”

“...”

“แต่รู้ไหมพิชญ์ ที่มึงยังยืนอยู่ตรงนี้มันก็พิสูจน์แล้วว่ามันไม่ใช่”
   
“...”
   
“มึงแพ้ เกมมันจบแล้วพิชญ์” พูดจบเขาก็หันหลังกลับไป ทิ้งผมไว้กับข้อหาร้ายแรงที่แม้แต่ตัวเองยังรับไม่ได้
   
ไม่ได้รัก... แค่อยากเอาชนะ... แก้แค้นที่เขาทิ้งไป...
   
มันอาจจะจริงอย่างที่เขาบอกก็ได้ ผมก็แค่เห็นแก่ตัวถึงดันทุรังจะรั้งเขาไว้
   
...นี่ใช่ไหมที่เขาอยากให้ผมยอมรับ
   
“อย่ามาดูถูกผมเตวิชญ์”

แต่ผมจะยอมรับได้ยังไง ในเมื่อรู้อยู่เต็มอกว่าความจริงคืออะไร

“พี่ก็รู้ว่าความเย็นชาของพี่มันไม่เคยใช้กันผมได้”

"..." เจ้าของแผ่นหลังกว้างหยุดชะงัก ผมกำหมัดแน่นจนแขนสั่น เม้มปากแน่นเพื่อสงบสติอารมณ์ น้ำตาของผมเอ่อคลอแต่ผมจะไม่ยอมให้มันไหล
   
ทุกคำพูด ทุกคำถามของเขามันกระทบเข้ามาในใจ... แต่ผมจะไม่ยอมให้มันทำร้าย
   
"พี่ก็รู้ว่าใช้วิธีนี้ไล่ผมไม่ได้"

คำพูดร้ายๆ ความเย็นชา การผลักไส ...ทำทุกวิถีทางให้ผมยอมแพ้ก่อนจะถูกเขาทิ้งไว้

คิดว่าผมมองไม่ออกเหรอว่าเขาจงใจ... จงใจโยนความผิดให้ผมเหมือนทุกๆ เรื่องที่เขาจงใจ 
   
วิธีของเขามันเลวร้าย
   
แต่นั่นมันหมายความว่าเขารักผมแล้วไม่ใช่หรือไง?
   
“ห้าปีผมรอได้ พี่รู้ไหม” เขาไม่ยอมหันกลับมา แต่ผมยังพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังเพื่อบอกว่าผมทำได้ จะห้าปีหรือสิบปี... ก็แค่ทำเหมือนที่ผ่านมา

อาจจะง่ายกว่าด้วยซ้ำเพราะอย่างน้อยผมรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน

“แต่ผมจะไม่รอ”

“...”   

“ผมพิสูจน์มามากพอแล้วเตวิชญ์”

เวลาที่เขาหายไป... เวลาที่ผมรอคอยโดยไม่มีจุดหมาย การกลับมาของเขา... และความรู้สึกที่เหมือนเดิม ทำไมผมจะไม่รู้ว่ามันหมายความว่ายังไง

...และผมรู้ว่าเขาก็รู้ความหมายนั้นเช่นกัน

ผมไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไร

“พี่ต่างหากที่ต้องพิสูจน์...” คราวนี้เขายอมหันกลับมา สบตาผมเหมือนจะถามว่าต้องการอะไร “พิสูจน์สิว่าไม่ได้รักผม แล้วผมจะยอมไป”

ผมแค่นยิ้ม ขยับเข้าไปใกล้ สบตาอย่างท้าทายพลางเอ่ยคำถามแสนง่ายดาย

“ท้าหรือจริง” วางเดิมพันกับเกมที่ยังคงเชื่อมเราไว้ด้วยกัน

“จริง” เขานิ่งไปก่อนกลับมาแสยะยิ้ม คงเพราะเดาออกว่าผมอยากให้ตอบอะไร
   
ถ้าเขาตอบว่าท้า ผมจะใช้โอกาสนี้รั้งให้เขาอยู่... อยู่กับผม
   
แต่คงลืมไปว่ามีความจริงมากมายที่ผมอยากจะได้ยินจากปากเขาเช่นกัน
   
“ทำไมตอนนั้นถึงทิ้งไป”
   
“...”
   
“...”
   
“เพราะไม่ได้รักไง” แม้ความจริงที่ได้ยินจะกรีดซ้ำลงมาบนแผลที่ไม่เคยหายอีกกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ตาม

“โกหก” แต่คงไม่ใช่แค่แผลของผมที่ถูกกรีดซ้ำ ในเมื่อการที่เขาเบือนหน้าหนีก่อนจะตอบคำถามมันบ่งบอกชัดเจนว่าคำพูดนั้นยิ่งย้ำบาดแผลของเขาเช่นกัน

“...”
   
“ทำไมตอนนั้นถึงทิ้งไป” ผมถามย้ำ ให้โอกาสเขาตอบใหม่ สิ่งที่ผมต้องการมีเพียงความจริงที่รู้อยู่แก่ใจ
   
คราวนี้เขาเงียบไปนาน หันกลับมาสบตาผม และมันดูสับสนจนน่าใจหาย
   
“พอสักทีพิชญ์” เขายกมือขึ้นมากุมขมับ น้ำเสียงอ่อนแรง คล้ายกำลังจะแหลกสลาย 
   
“ทำไมตอนนั้นพี่ถึงทิ้งผมไปเตวิชญ์” ผมไม่ยอมแพ้ ขยับเข้าไปใกล้ เอื้อมมือข้างหนึ่งออกไปจับมือเขา เงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อบอกว่าเขาโกหกผมไม่ได้

ผมจะไม่ยอมให้เขาหนีไปอีก... จะไม่ยอมปล่อยมือนี้ไป

“มึงมันดื้อด้านเกินไป” และมันได้ผล เมื่อสุดท้ายดวงตาคู่นั้นก็เต็มไปด้วยความหวั่นไหว สีรัตติกาลพร่างพราวกำลังสั่นระริก... พื้นผิวเย็นเยียบของดวงจันทร์ถูกกระเทาะและกำลังจะปริแตก
   
“ทำไมถึงทำให้ตัวเองเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า... กูไม่เข้าใจ” กำแพงที่เขาสร้างไว้กำลังจะพังทลาย
   
ฝ่ามือหนาเอื้อมมาทาบแก้มผม จรดศีรษะลงมาแตะกัน สบตาผมด้วยสายตาปวดร้าวยากจะอธิบาย และสุดท้ายมันถูกกลบด้วยม่านน้ำในดวงตาผม ที่ไม่อาจกักเก็บเอาไว้ได้อีกต่อไป

ผมจะไม่ยอมร้องเพราะถูกเขาทำร้าย แต่ยอมหลั่งน้ำตาง่ายดายเมื่อเขาเปิดใจ

“ผมรักพี่ ได้ยินไหม” มันเป็นคำเดียวที่อยากยืนยัน อยากให้เขารู้ว่าเหตุผลเดียวที่ผมยังอยู่ตรงนี้เป็นเพราะอะไร

“กูรู้...”  น้ำเสียงของเขาสั่นพร่า ลมหายใจที่ริดรดลงมาหนักอึ้งราวแบกรับอะไรไว้ “แต่ที่ที่กูกำลังจะไป...มันไกล”

“...”

“กูไม่เคยรักษาความรักไว้ได้ จำได้ไหม” เขาเอ่ยย้ำคำพูดที่เคยบอก ความรักที่แลกมากับการแตกหัก

นิยามสัมพันธ์ที่ผมไม่เข้าใจ

ที่รู้ๆ คือมันไม่ได้มีไว้เพื่อปกป้องตัวเอง... เขาตั้งกฎขึ้นมาเพื่อปกป้องอีกฝ่าย... ใครก็ตามที่เขารัก

...จากความรักที่เขาไม่ยอมไว้ใจ

“กูไม่รู้ว่าต้องทำยังไง” นิ้วโป้งเกลี่ยลงมาใบหน้า ปาดน้ำตาที่ไหลไม่หยุดอย่างห้ามไม่ได้ “กูไม่รู้วิธีที่จะทำให้มึงไม่ร้องไห้... แค่ตอนนี้ยังทำไม่ได้เลยเห็นไหม”

ผมหลุดหัวเราะ เปลี่ยนเป็นยกมือขึ้นโอบรอบคอเขาไว้ ดึงเขาลงมาแตะหน้าผาก คลอเคลียปลายจมูกกับปลายจมูกเขา ให้ลมหายใจอุ่นซ่านเชื่อมเราไว้ด้วยกัน

“พิชญ์... แค่ปล่อยกูไป” ริมฝีปากร้อนกดจูบลงมาที่หางตาซับหยาดน้ำให้ผมซ้ำๆ สายตาเว้าวอนแบบที่ผมไม่เคยเห็น “แค่มีความสุขอยู่ตรงนี้ แล้วลืมกูซะ ไม่ได้หรือไง”

ผมกระชับอ้อมแขน ส่ายหน้า ตอบอย่างเอาแต่ใจ “ไม่ได้”

จูบผิวแก้มเขา มุมปาก ทาบลงไปบนริมฝีปากร้อนจัดก่อนผละออกมาสบตา “บอกแล้วไง พี่ต้องพิสูจน์ว่าไม่ได้รักผมให้ได้ ผมถึงจะไป”

สีรัตติกาลที่เคยเย็นชาตอนนี้กลับฉายแววเหนื่อยล้ากว่าครั้งไหนๆ ความโดดเดี่ยวฉายชัดจนผมไม่แน่ใจ…

“พี่แพ้แล้วเตวิชญ์”

ไม่แน่ใจว่าอะไรเปราะบางกว่ากัน...

ระหว่างปีกของผีเสื้อ... หรือเปลือกของดวงจันทร์







ชื่อเสียงของเขามันลอยมาตามลม

เด็กใหม่ที่เพิ่งย้ายมาจากอเมริกา หน้าตาหล่อเหล่า เก่งเลิศในทุกๆ ด้าน เป็นทั้งที่รักและที่ชัง

รักในเสน่ห์อันลึกลับ... และชังในเสน่ห์อันเร้นลับนั้นเช่นกัน

ผมยังไม่เคยเจอ และไม่คิดว่าจะได้เจอ...

โดยเฉพาะในวันธรรมดาๆ ของหน้าฝนที่ท้องฟ้ากำลังหลั่งน้ำตา

ผมกำลังหาที่หลบฝน และเขาอยู่ตรงนั้น... ตรงหน้าผม

รู้ได้ทันทีว่าเป็นเขา แม้เรือนผมหนาที่เรียบลู่ด้วยน้ำฝนนั้นจะเป็นสีดำ โครงหน้าที่แม้จะเค้าลางความเป็นลูกครึ่งแต่ก็ค่อนมาทางเอเชีย โครงร่างสูงใหญ่ดูค้ายจะขัดตาแต่ก็เข้ากันอย่างประหลาดกับชุดนักเรียนม.ปลาย แต่ที่ทำให้รู้ชัดว่าเขาเป็นใคร คือสีรัตติกาลพร่างพรายในแววตา

มันพราวระยัยด้วยหยาดน้ำ ที่ผมไม่แน่ใจว่ามาจากไหน... อาจเป็นหยาดฝนที่ชโลมชุ่มใบหน้า... แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาผมก็รู้ว่ามันเป็นหยาดน้ำตา

เมื่อมันค่อยๆ กลิ้งเกลือกลงมาอาบแก้มตอบนั้นช้าๆ หยดลงฝ่ามือที่ผมเพิ่งเห็นว่ามีบางอย่างอยู่ในนั้น และผมรู้เช่นกันว่ามันคือใคร... จากข่าวลือบางเบาเรื่องอุบัติเหตุที่คร่าชีวิตสมาชิกครอบครัวสี่ขาที่ไม่มีใครใส่ใจ

หนึ่งในผู้รอดชีวิตคือสิ่งมีชีวิตขนปุยสีดำสนิทในฝ่ามือสองข้างที่กำลังสั่น ดวงตาสีดำกลมวาวกำลังจ้องหน้าเขา... คงกำลังสงสัยเช่นกันว่าอะไรทำให้ดวงตาสีรัตติกาลเศร้าโศกถึงเพียงนั้น

กระทั่งเสียงทุ้มน่าฟังเอ่ยกระซิบสั่นพร่า

‘ไม่เป็นไร’

ผมถึงได้รู้ว่าเขาไม่ใช่ผู้สูญเสียแต่อย่างใด

‘ไม่เหงาหรอก’

‘...’

‘ไม่เป็นไร’

น้ำตาของเขาหลั่งลงมาให้การจากไปของสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่เป็นเพียงเศษฝุ่นในจักรวาล

วินาทีนั้น... ผมสาบานว่าจะเก็บมันเป็นความลับ ฝังลึกในใจ... เก็บงำหยาดน้ำตาและใบหน้าเศร้าสร้อยแสนอ่อนโยนนั้นไว้เป็นของผม

เป็นของผมแต่เพียงผู้เดียว








ในทีแรกจูบของเรามันขมปร่า... เป็นจูบเคล้าน้ำตาที่ไม่อาจแห้งเหือดง่ายดาย

ก่อนความขมจะถูกเจือจางด้วยผืนน้ำเย็นฉ่ำที่โอบรัดรอบกาย

...และไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่มันกลายเป็นจูบหวานล้ำ เนิ่นนานก่อนค่อยๆ มอดไหม้... กลายเป็นรสจูบที่คร่าลมหายใจผมด้วยหลอมละลาย ทวีความร้อนเร่าลึกซึ้งคล้ายจะดับความหนาวเหน็บจากอุณหภูมิของน้ำในสระที่แหวกวงโอบอุ้มสองร่างที่เกี่ยวกระหวัดกันไว้

มันคือความต้องการของผม... ปรารถนาจะเปียกปอนเพื่อให้ความอุ่นร้อนของเขาเด่นชัด... ความอุ่นร้อนจากริมฝีปาก... อ้อมแขนที่โอบรัด และตัวตนที่แทรกลึกเข้ามาในกาย

เสียงผิวน้ำกระเพื่อมไหวเป็นจังหวะคล้ายคลื่นกระทบฝั่งเมื่อเขาขยับ... ตัวตนที่แทรกเข้ามาจนสุดถูกถอนออกไป แทรกเข้ามาอีกครั้ง... ตอกตรึง... ลึกล้ำและเหมือนจะลึกได้อีกในทุกคราที่เคลื่อนไหว... สู่พื้นที่เร้นลับที่ไม่เคยมีใครเข้าถึงได้

ช่องทางที่เคยปิดสนิทถูกขยาย เบ่งบานเพื่อโอบรัดความแข็งแกร่งของเขาไว้ คับแน่นจนไม่เหลือที่ว่างให้แม้แต่เสี้ยวของอณูหยดน้ำแทรกซึมเข้าไป

ถึงอย่างนั้นก็ยังชื้นแฉะ... ความชุ่มฉ่ำมาพร้อมกับความอุ่นร้อนของเขา... อุ่นร้อนและเหนอะหนะ ความลื่นไหลกลับโหมเชื้อไฟที่กำลังเผาไหม้ สัมผัสของตัวตนที่เสียดสีด้านในผนังนุ่มเด่นชัดอย่างน่าอายชวนให้บิดเร่า... ถึงอย่างนั้นเขากลับละเมียดละเลียดชิมราวกับจงใจแกล้งให้ทรมาน...

“พิชญ์” กระซิบเสียงพร่าพลางขบเม้มใบหูด้วยรู้ว่ามันไวต่อสัมผัส จมูกโด่งซุกลงผิวแก้มดุนดันให้ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตา ผละจากบ่ากว้างที่ผมใช้ระบายความกระสันซ่าน

ผมกัดเขา... กัดจนขึ้นรอยฟัน กัดจนไม่เหลือที่ว่างให้กัดราวลูกสุนัขคันฟัน เขาไม่ได้เอ่ยห้ามปราม แต่ดวงตาสีรัตติกาลที่จ้องมาก็ฉายแววตำหนิกึ่งขบขัน ก่อนเอาคืนรอยฟันด้วยการใช้มือข้างหนึ่งบีบแก้มผมให้อ้าปาก บังคับไม่ให้ขบฟัน ก่อนจะแทรกเรียวนิ้วชี้และนิ้วกลางเข้ามาอย่างจาบจ้วง ฉวยโอกาสพันธนาการลิ้นร้อนด้วยเรียวนิ้วทั้งคู่ไม่ให้ขยับไหว เล่นล้อกับสีเงินปลายลิ้นอย่างเอาแต่ใจ ก่อนดึงให้พ้นโพรงปากบังคับให้เงยหน้าขึ้นไปสบสีรัตติกาลพราวระยับอีกครั้ง มุมปากบางคลี่ยิ้มร้าย ก่อนคนเจ้าเล่ห์จะงับลงมา ดูดดุนอย่างอุกอาจพลางผละนิ้วจากเพื่อทาบทับให้ริมฝีปากแนบสนิทกัน 

จูบร้อนแรงสวนทางกับจังหวะเสียดทานเชื่องช้าช่างทรมาน...

“พี่เต...” ผมเอ่ยเรียกเมื่อเขาผละริมฝีปากเคลื่อนคล้อยลงไปสาละวนกับซอกคอและยอดอกที่ถูกกระตุ้นจนชูชัน ผมกัดริมฝีปากตัวเองแน่นเมื่อเขาไล้เลียมันซ้ำๆ พยายามอดกลั้นเสียงคราง เพราะต่อให้ต้องอดทนต่อความกระสันซ่านทรมาน ผมก็จะยังไม่ให้เขาได้ยินดั่งใจ

จนกว่าจะได้เอ่ยคำถาม...

“พี่เต... เกลียดเซ็กซ์ของพิชญ์หรือเปล่า” คำถามงี่เง่าที่รบกวนจิตใจ

“หืม?” เสียงทุ้มประหลาดใจ กดจูบที่แก้มผมก่อนแตะหน้าผากลงมาเพื่อสบตา ผมยกมือขึ้นประคองใบหน้าเขากระซิบเสียงพร่าด้วยความอึดอัดคับแน่นจากสัมผัสเบื้องล่างที่ชะงักกลางคัน

“พี่หายไปหลังจากวันนั้น...” วันที่เราร่วมรักกัน

เพราะเป็นครั้งแรก... และความไม่ประสีประสาของผมอาจทำให้เขารำคาญ

มันโคตรจะไร้สาระ แต่สาเหตุครุมเครือคล้ายจะคั่งค้างอยู่ในใจ

“ทำไมถึงคิดแบบนั้น” คนเจ้าเล่ห์หัวเราะเบาๆ คล้ายจะเอ็นดูปนขบขัน แต่ยังไม่วายแกล้งกันด้วยการกดย้ำให้ร่างกายแนบสนิทกันอย่างลึกล้ำ ตัวตนที่แทรกเข้ามาอีกครั้งทำให้ผมโถมใบหน้าจูบเขา กัดริมฝีปากที่ดึงดันจะจูบอยู่อย่างนั้นแล้วผละออกมา

“เพราะพิชญ์เอาแต่ร้องไห้” เขาหัวเราะขบขันกับเหตุผลน่าอาย ก่อนเลื่อนริมฝีปากขึ้นมาจูบบนหางตาที่เอ่อคลอด้วยหยาดน้ำจากไฟปรารถนา

“เสียงพิชญ์อาจจะน่ารำคาญ”

จูบย้ำที่พวงแก้มเห่อร้อน ก่อนทาบทับลงมาบนริมฝีปาก ขบเม้มกลีบปากซ้ำๆ

“...พิชญ์เอาแต่เรียกชื่อพี่”

ลมหายใจหนักดังก้องตอนที่เขาเคลื่อนใบหน้าไปที่ใบหู เรียกชื่อผมแผ่วเบา

“พิชญ์”

ร่างกายสั่นสะท้านเมื่อรับรู้ได้ถึงคมเขียวที่ฝังลงมา ก่อนกระซิบเสียงพร่า

“พี่อยากได้ยินเสียงพิชญ์”

เพียงเท่านั้นก็ปลดเปลื้องทุกความอดกลั้น เขากดจูบลงมาอีกครั้ง บดเบียดแทรกเรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัด ทวีรสลึกล้ำด้วยโหยหา แลกเปลี่ยนลมหายใจหนักหน่วงด้วยห้องอารมณ์ลึกซึ้งเกินพรรณนา

บทรักเริ่มใหม่และคราวนี้แรงปรารถนาถาโถมทบทวี ด้วยต่างให้ทุกสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ ผมครางเท่าที่เขาอยากให้คราง...เปล่งเสียงแปร่งประหลาดดังก้องกระทบผิวน้ำ... ร้องเรียกชื่อเขาซ้ำๆ... แลกกับเรียกร้องให้เจ้าของแก่นกายกระแทกกระทั้น แรงลึกและหยาบโลนจนคลื่นน้ำกระเซ็นซัดก่อนขยายออกเป็นวงกว้าง ทลายความอึดอัด...ปลดเปลื้องความทรมาน

ร่างกายใต้ผืนน้ำแนบชิดเกี่ยวกระหวัด บรรเลงเพลงรักท่ามกลางความเย็นเยียบด้วยจังหวะเร่งเร้า...สอดประสานเสียดทาน...โหมเชื้อไฟให้ลามเลียไปทั้งร่าง

กระทั่งเขาพาไปถึงฝั่ง ผมกระตุกสะท้านราวมีกระแสไฟฟ้าแล่นปลาบไปทั้งร่าง หลุดเสียงแปร่งประหลาดดังลั่น ผวาคว้าแผ่นหลังกว้าง... จิกเล็บลงไป กรีดลึกเนื้อแน่นด้วยแรงอารมณ์ ขณะที่อ้อมแขนแข็งแกร่งโอบกอดผมไว้แน่น บดเบียดริมฝีปากและแก่นกายแนบสนิทไร้ช่องว่าง
 
ต่างปลดปล่อยราคะขุ่นข้นคลั่กให้ล้นทะลัก... ไหลรวมกับผืนน้ำที่ระอุด้วยไฟปรารถนา

อุณหภูมิที่เคยเย็นเยียบกลับเปลี่ยนเป็นร้อนเร่าราวทะเลลาวา









---------------------------------------------------------
ตอนที่แล้วมีแต่คนหัวร้อนน เลยเอาน้ำมาดับร้อนให้ค่ะ
เอ๊ะ หรือร้อนกว่าเดิม 55555
บอกแล้วว่าจะไม่ดราม่านาน แต่ก็แอบกังวลว่ามันจะห้วนไป
กลัวจะสื่อออกมางง สื่อไม่ถึง เข้าใจอยู่คนเดียวอะไรงี้ 5555
ถ้าไม่ดียังไงช่วยเตือนหน่อยน้า จะนำไปปรับปรุงค่ะ

ฝาก #เกมท้ารัก ด้วยนะคะ

ขอบคุณทุกคนที่ยังอยู่ด้วยกัน

 :L2:



หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 13 P.5 [30.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: prawan25 ที่ 30-12-2017 05:07:46
ตอนนี้ไม่มีอะไรจะพูดออกจากพี่เตทำดีมากค่าาา
ในสระนี่ร้อนไปหมดเลย 55555.
ยอมใจพี่เขาจริงๆ ในขณะที่ทำให้พิชญ์เจ็บ
ตัวเองก็ทรมานใจเหมือนกัน ดูจะเจ็บเท่าๆกัน
กว่าพี่จะยอมรับได้เราจะยกน้องให้คนอื่นและ
ชอบในความพยายามของพิชญ์นะ ไม่ยอมแพ้จนพี่ต้องแพ้เองเลยอ่ะ
ปล.พี่เจคนี้พ่อทูนหัวของพิชญ์ชัดๆ. 5555.
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 13 P.5 [30.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 30-12-2017 06:26:03
พี่เตตตตตตตต พี่เตขาาาาาาาาาาาาา
อ่านตอนนี้แล้วจะร้องไห้เลยอ่ะ ตอนที่คุยกันเรื่องความรู้สึก
ฉากในน้ำเร่าร้อนมาก อ่านไปเขินไป :hao6:

พี่เตแพ้แล้วนะ พี่รักน้อง เพราะงั้นอย่าไล่น้องพิชญ์ของเราไปอีกนะ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 13 P.5 [30.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 30-12-2017 08:38:00
โอ๊ยยยยยย เขินตอนเขาพูดเพราะกันน่ะ กูๆมึงๆอะไร มีแต่พี่กับพิชญ์  :jul1:ชอบในความไม่ยอมแพ้ของน้อง สุดทางและทุ่มเทมากกกก คนพี่ต้องตอบแทนความพยายามของน้องอย่างน่ารักๆน้าาา :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 13 P.5 [30.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: mirage ที่ 30-12-2017 08:42:19
ดับได้เเป๊ปหนึ่งแล้วก็ร้อนอีกรอบค่ะ 555 โอเคในความเป็นเตละ สรุปคือรักแต่กลัวคนที่รักจะเสียใจเลยต้องทำเป็นไม่รัก สงสัยจุดนี้ เกี่ยวกับอุบัติเหตุไหมแต่พี่เป็นแบบนี้ตั้งแต่ก่อนเกิดอุบัติเหตุ มีซัมติงซ่อนอยู่ อยากรู้เรื่องในอดีตของพี่มากกว่านี้ ตอนนี้เรียกว่าเคลียความรู้สึกกันได้หรือเปล่า พี่ต้องไปอเมริกาจริงๆ ใช่ไหม  :sad4: พิชญ์ก็สู้ต่อไปในแบบพิชญ์  o13

ติดตามค่ะ เป็นกำลังใจให้
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 13 P.5 [30.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 30-12-2017 11:56:09
หืมมมมมมมมมม.....
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 13 P.5 [30.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 30-12-2017 12:44:38
อยากให้พี่เตแทนตัวเองว่าพี่ตลอดไป รู้สึกอ่อนโยนนนน  :-[
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 13 P.5 [30.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 30-12-2017 13:02:10
 :heaven
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 13 P.5 [30.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: QueenPlai ที่ 30-12-2017 13:56:59
พี่เตตตตตตตตตตตตตต ร้อนแรงดังไฟเยอร์มากเลย ฮื้ออ  :pighaun: :m25:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 13 P.5 [30.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 30-12-2017 14:24:10
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 13 P.5 [30.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 30-12-2017 14:24:22
ทีมพี่เคราค่าาา
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 13 P.5 [30.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 30-12-2017 14:38:10
อ่านแล้วอึดอัดมากเลยยยย  :hao5:
ต้องตั้งใจอ่านมากๆ แบบที่ถ้าเผลออ่านตกไปตัวนึงจะไม่เข้าใจแล้ว5555
อ่านแล้วเหมือนต้องหายใจช้าๆ กลั้นหายใจเวลาพิชญ์เสียใจ ฮือๆ
อยากให้ความอึดอัดนี้หายไปไวๆ น้องพิชญ์จะได้มีความสุขเร็วๆ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 13 P.5 [30.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 30-12-2017 21:16:54
ฮือออ จะร้องไห้แล้ว อินมาก
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 13 P.5 [30.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 30-12-2017 23:51:31
เร้าร้อนมากค่าฉากในสระน้ำ :-[
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 13 P.5 [30.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 31-12-2017 00:56:37
โอ้ยยย ตามทันแล้ว หลังจากโดนสปอยทางทวิตเล่นงานจนทนไม่ไหว พี่เตคือใจร้ายแต่แบบเกลียดเขาไม่ลงอ่ะ คือเขาใจร้ายไม่ใช่ไม่รักแต่รักมากเลยไม่อยากให้น้องเสียใจ ส่วนน้องพิชญ์นี่คือแซ่บลืมมม 555 ภาษาดีมากเลยค่ะ บรรยายให้เห็นภาพบรรยากาศที่ที่น้องรู้สึก อินไปกับเกมที่ทั้งสองคนเล่น เขิล เศน้า อึดอัด รู้สึกตามเลย
ส่วนตอนนี้ฮอตเว่อร์ ชอบที่พี่เตเรียกน้องแบบนี้ และชอบที่น้องแทนตัวเองด้วยชื่อ มันน่ารักมากกกก หวังว่าจากนี้จะมีฉากหวานๆกลบดราม่าก่อนหน้านี้ให้ชื่นใจสักนิดสักหน่อย นี่ไม่ได้กดดันนะคะ เลาแค่อยากให้น้องมีความสุขลูกแม่เจ็บมาเย๊อะะะ
ขอบคุณคนเขียนที่สร้างนิยายดีๆให้เราติตามนะคะ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 13 P.5 [30.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Marymo ที่ 31-12-2017 01:12:33
สนุกมากกกก แซ่บลืมมมม ฮอตฉ่าปรอทแตกมากเลยค่ะ บิดตัวม้วนต้วน อยากได้น้องพิชญ์เป็นของตัวเอง


 :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 13 P.5 [30.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 31-12-2017 02:06:11
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 13 P.5 [30.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: pipoo ที่ 31-12-2017 02:07:14
โล่งจายยยย
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 13 P.5 [30.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อชอบแบบนี้ ที่ 31-12-2017 11:36:27
ภ :z3:พี่เต ขอเลือดหน่ิอยจ้าเลือดหมดตัวแล้ว แอร๊ยยยยยย
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 13 P.5 [30.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: from_mars ที่ 31-12-2017 14:41:24
กว่าจะเปิดใจบอกความจริง นี่อึดอัดแทบบ้า
รอดูว่าจะแก้ปัญหาห้าปียังไงนะพี่เต

รออ่านต่อจ้า
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 14 P.6 [31.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 31-12-2017 17:44:33
14


“สัญญากับพี่ชายไว้ว่าจะไปหา... คงไม่ได้กลับมาอีก” เขาใช้เวลาชั่วขณะที่ปลายบุหรี่ติดไฟในการตอบเมื่อผมถามเรื่องอเมริกา

ร่างสูงนั่งชันเข่าง่ายๆ หันหน้าออกไปยังพระจันทร์ดวงโตนอกหน้าต่าง... ยังคงเปลือยเปล่า แผ่นหลังกว้างเต็มไปด้วยรอยเล็บ ลาดไหล่ถูกละเลงด้วยรอยฟัน และสีกุหลาบช้ำหลายจุดที่ลำคอ
   
ประติมากรรมล้ำค่าถูกผมตีตราเป็นเจ้าของทั่วร่างกาย
   
เช่นเดียวกับที่เขาจับจองรอยจูบไว้บนร่างผม... กลีบกุหลาบเบ่งบานอยู่ทุกตารางนิ้วที่ริมฝีปากลากผ่าน
   
แสดงความเป็นเจ้าของกันและกัน
   
“บินกลับไปครั้งหนึ่งแล้ว แต่เพราะมอเตอร์ไซค์คว่ำเกือบตาย... รักษาตัวเสร็จก็เลยถูกเรียกกลับมาคุมความประพฤติที่ไทย”

ปริศนาถูกเฉลย ที่มาของช่วงเวลาที่หายไปพร้อมรอยแผลเป็นที่สลักสลึกบนร่างกาย

“ทำไมพี่ไม่บอกผม” เอ่ยถามอย่างสงสัย เหตุผลที่เขาจากไปโดยไม่ลา

เสียงทุ้มหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันกลับมาสบตา เกลี่ยเส้นผมชื้นทัดหูให้ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้ายากจะอธิบาย

“กูไม่รู้ต้องบอกยังไง” ผมเลิกคิ้ว พี่เตนิ่วหน้างุ่นง่าน สบตาผมคล้ายเจอคำถามยุ่งยาก “มึงไม่เหมือนใคร...”

“หมายความว่ายังไง?”

คราวนี้เขาถอนหายใจ “เวลาที่บอกเลิก... ไม่มีใครเลยที่ไม่ร้องไห้”

ผมเงียบ ทบทวนความทรงจำ แล้วก็คิดได้ว่าทุกครั้งที่เขาสลัดรักมักมีภาพอีกคนฟูมฟาย

“กับคนที่ไม่ได้รักกูจริงๆ ด้วยซ้ำ ยังดูเจ็บขนาดนั้น แล้วกับมึง...” เจ้าของดวงตาสีรัตติกาลก้มหน้าลงมาหาจนหน้าผากแตะกัน สบตาผมด้วยแววตาที่ดูสับสนปะปนปวดร้าวจนสัมผัสได้

“กูไม่อยากเห็นมึงร้องไห้... แต่ก็ทำให้มึงไม่เจ็บไม่ได้เหมือนกัน”

ผมหลุดหัวเราะกับตรรกะสัมพันธ์อันย้อนแย้งของเขา กดจูบที่ริมฝีปากแผ่วเบา

นั่นเท่ากับเขารู้ว่าผมรักเขา... รักมากจนไม่กล้าทำให้เสียใจ

...และในทางกลับกัน มันก็หมายความว่าเขารักผมเช่นกันใช่ไหม

“พี่รักผมจริงๆ ด้วยเตวิชญ์” 

“แต่กูเห็นแก่ตัวเกินไป” เขายิ้มมองผมด้วยสายตาสื่อความหมาย ก่อนจะหลับตาลงคลอเคลียปลายจมูกกับปลายจมูกให้ลมหายใจอุ่นๆ รินรดให้กลิ่นนิโคตินเชื่อมเราไว้ด้วยกัน

“แม้แต่ตอนนี้... ก็ยังเห็นแก่ตัว” น้ำเสียงของเขาฟังดูเจ็บปวด ทั้งที่กำลังตัวเองเป็นฝ่ายกระทำ

“...”

“รู้ว่าอยู่ด้วยไม่ได้ อยากให้มึงเลิกดันทุรัง แต่ก็ไม่อยากให้มึงปล่อยมือเหมือนกัน... ใจร้ายใช่ไหม”

ผมหัวเราะ พยักหน้าตอบรับ “ใช่ พี่ใจร้าย”

แต่ผมไม่เคยคิดโทษเขา...

ทุกอย่างเป็นสิ่งที่ผมเลือกเองทั้งนั้น... ดันทุรังเพราะว่าอยากดันทุรัง   

“แต่ผมดีใจที่พี่กลับมา” กระซิบถ้อยคำจากใจ เรียกให้ดวงตาสีรัตติกาลกลับมามองสบกันอีกครั้ง จับจ้องเข้ามาในดวงตาผมนิ่งนาน ก่อนจะยิ้มจางๆ พลางเอื้อมมือมาจับหัวผมโยกเบาๆ
   
“แล้วคราวนี้จะไปเมื่อไหร่” ผมถาม เอนตัวลงกับพื้นหินเย็นเฉียบตะแคงร่างเข้าหาเขา เอื้อมมือออกไปลูบรอยเล็บกรีดยาวที่แผ่นหลัง
   
“ยังไม่แน่ใจ” เขาตอบ ละเลียดควันแช่มช้าก่อนขยายความ “พ่อไม่อยากให้ไป”
   
ใบหน้าคมหันกลับมามองผม ปล่อยควันพร่างพรูผ่านลมหายใจแล้วแค่นยิ้ม
   
“น่าสมเพชไหม กูอยากไปจากชีวิตเขา แต่ก็ยังต้องพึ่งเขาอยู่ดี”
   
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้ยินอะไรทำนองนี้ ดูเหมือนพี่เตกับพ่อไม่ค่อยลงรอยกัน
   
เขาว่าตัวเองกับพ่อเหมือนกันเกินไป... เหมือนจนไม่อยากอยู่ใกล้ เพราะต่างจะทำร้ายกันและกัน

แต่ไม่เคยเล่ารายละเอียดที่มากกว่านั้น และผมก็ไม่อยากคาดคั้น... รอจนกว่าเขาจะอยากเอ่ยมันออกมา
   
“พิชญ์ก็ไม่อยากพี่ให้ไป” ผมอ้อน เจ้าของใบหน้าคมเลิกคิ้วนิดๆ กดยิ้มมุมปาก เอื้อมมือมาจับมือผมไปกดจูบหนักๆ ที่ฝ่ามือ
   
“งั้นช่วยรั้งกูไว้หน่อย” ก่อนเลื่อนไปทาบแก้ม มองด้วยสายตาเว้าวอน
   
ผมหัวเราะเบาๆ ไล้นิ้วโป้งตามโหนกแก้มเขาออดอ้อนไม่ต่างกัน “แล้วรั้งได้ไหม”
   
เขาไม่ได้ตอบอะไร เพียงจับจ้องด้วยสีรัตติกาลพราวระยับ ไม่อาจเดาความหมาย
   
“ถ้ารั้งไม่ได้ผมจะรอ” ผมไม่คิดบังคับ เอ่ยอย่างจริงจังเพื่อให้รู้ว่าผมจะยังอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน “หรือไม่ผมก็จะตามพี่ไป”
   
มุมปากบางยกยิ้ม อัดควันเข้าปอดอีกครั้งแล้วดับบุหรี่พลางโน้มตัวลงมาประทับริมฝีปาก ปันสารพิษที่ผมเผยอปากรับอย่างเต็มใจ
   
“เด็กโง่” คำตำหนิที่มาพร้อมฝาดเฝื่อนของนิโคตินไม่ได้กลบรสชาติของเรียวลิ้นที่ละเลียดจูบหวานล้ำให้ผมชิมเลยสักนิด
   
“พี่ก็ขี้ขลาด” ผมคลี่ยิ้ม ยกแขนโอบรอบคอเขาแล้วดึงลงมาจูบอีกครั้ง
   
โง่เง่าและขลาดเขลา... ความรักของเรามีส่วนผสมเช่นนั้น
   
ช่างเปราะบาง และอ่อนหัด... แต่เพราะแบบนั้นมันถึงล้ำค่า ไม่ใช่หรือไง

“อย่าพยายามไล่ผมอีกได้ไหม” ผมบอก กึ่งตำหนิกึ่งเว้าวอน จ้องลึกเข้าไปในสีรัตติกาลล้ำลึกของดวงตา “ผมรู้ว่าพี่เป็นคนยังไง อย่าเอาความเย็นชาปลอมๆ มาผลักผมออกไป”

“...”

“เปิดใจให้ผมหน่อย จนกว่าจะไปก็ได้... ให้ผมแสดงความรัก แล้วก็แสดงว่ารักผมหน่อย ได้ไหม” เขานิ่งงัน แววตาดูคล้ายจะสันสนก่อนถอนหายใจ

“กู...ไม่รู้ต้องแสดงออกยังไง” ฝ่ามือหนาขยับขึ้นมาลูบหัวผม เกลี่ยตามกรอบหน้า ท่าทางงุ่นง่านจนผมหัวเราะขบขัน

“ง่ายมาก” ว่าพลางดึงเขาลงมา พลิกตัวขึ้นคร่อมคนตัวโตกว่าไว้ ก่อนโน้มตัวลงไปหาจนปลายจมูกเฉียดกัน

...ร่างเปลือยเปล่าแนบชิดอีกครั้ง เนียนสนิทจนสัมผัสได้ถึงลอนกล้ามและรอยแผลเป็นที่ผ่ากลาง

“พี่แค่ทำตามใจ เช่นตอนนี้... ผมอยากจูบพี่...”

ถือวิสาสะแตะริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากที่เริ่มคลี่ยิ้ม ขบเม้มทั้งบนล่าง... ดูดดึงอย่างเอาแต่ใจ

“เห็นไหม แค่นี้เอง” แสร้งทำเป็นจับผมทัดหูกลบเกลื่อนใบหน้าร้อนฉ่า เมื่อผละออกมาแล้วเห็นว่าดวงตาสีรัตติกาลกำลังจับจ้องมาด้วยแววตาแบบไหน

...มันร้อนแรงจนผมแทบละลาย

“ไปหัดเรื่องพวกนี้มาจากไหน” เขาคลี่ยิ้มร้ายขณะแกล้งเขี่ยนิ้วกับปลายจมูกเบาๆ ผมอมยิ้ม กะพริบตาปริบๆ ไม่คิดจะตอบคำถาม

“อะ...!” แต่ตอนที่จะลุกออกจากร่างกำยำก็ถูกอ้อมแขนแข็งแกร่งรัดเอาไว้ คนตัวโตกว่าลุกขึ้นนั่งโดยมีผมอยู่บนตัก ขาทั้งสองข้างขนาบลำตัวเขาในท่วงท่าน่าอาย

และผมแทบหยุดหายใจ เมื่อความล่อนจ้อนทำให้อะไรๆ ของเราสัมผัสกัน

...เถ้าราคะที่เพิ่งมอดดับถูกเติมเชื้อไฟอีกครั้ง

“ทำตามใจ” เขายิ้มขำ ล้อเลียนเมื่อเห็นตัวตนของผมมันถูกปลุกง่ายดาย

“...” ผมเม้มปากอย่างไม่รู้ต้องทำยังไง มือที่โอบรอบคอเขาเผลอจิกลงท้ายทอยด้วยความอับอาย คนขี้แกล้งเลยยิ่งได้ใจ กระชับอ้อมกอดแน่น แล้วโน้มหน้าลงมาขบใบหูให้ผม ไล้เลียแผ่วเบา

“พี่จะลองดู” เสียงกระซิบเย้ายวนยิ่งขับให้ไฟปรารถนาของผมชูชัน หลุดเสียงร้องผวาอีกครั้งเมื่อร่างกำยำดันให้ผมเอนหลังลงไปนอนราบบนพื้นหินเย็นเฉียบแล้วโถมกายคร่อมร่างผมไว้

“ตอนนี้พี่อยากจูบพิชญ์...” พูดจบก็ทาบริมฝีปากลงบนหน้าผาก... ผิวแก้มร้อนจัด... ปลายจมูกที่กำลังหายใจติดขัด... และริมฝีปากที่เผยอรับโดยไม่รู้ตัว

จูบเบาๆ ไม่ได้จาบจ้วงแต่กลับทำหัวใจผมเต้นรัว และเหมือนจะระเบิดออกเมื่อเขาผละออก จับจ้องด้วยสีรัตติกาลระยิบระยับที่ราวกับจะกลืนกินผมลงไป…

“...ทั้งตัว”

ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อเขาเริ่มทำอย่างที่เอ่ยไว้ ไล่ริมฝีปากลงไปที่ซอกคอผม กดจูบ...ไล้เลียซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนละเลียดเชื่องช้า... ผ่านไหปลาร้า และพรมทั่วแผ่นอกที่กระเพื่อมด้วยความวาบหวาม

“อะ...!” ผวาอีกครั้งเมื่อเขาขนกัดลงบนส่วนอ่อนไหว ดูดดุนจนแผ่นหลังแอ่นรับด้วยความเสียวซ่านเกินควบคุม

ผละจูบเมื่อผมเริ่มหอบหนัก เพราะยังเหลืออีกหลายตารางนิ้วให้ครอบครอง ริมฝีปากร้อนจัดและเรียวลิ้นร้ายกาจจึงค่อยๆ ลากต่ำลงไป ผ่านหน้าท้องที่หดเกร็งด้วยความหวามไหว จนถึงเชิงกรานซ้ายที่มีรอยสักรูปพระจันทร์

เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตาผม คลี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะกดจูบเนิ่นนาน แช่ริมฝีปากไว้อย่างนั้น...แผ่วเบาราวจะทะนุถนอมมัน… ดวงจันทร์ที่ทอประกายคล้ายนัยน์ตาเขา

ผมเม้มปากแน่นเมื่อเขาผละริมฝีปากอีกครั้ง เคลื่อนสายตาจับจ้องยังพื้นที่ถัดไป คลี่ยิ้มกับตัวตนที่ถูกกระตุ้นให้ยิ่งขยาย แววตาร้อนแรงชวนให้ความต้องการลุกโชนคล้ายถูกไฟเผา อึดอัดจนน้ำตาคลอเบ้า แต่คนเจ้าเล่ห์กลับหัวเราะ ละสายตาจากส่วนนั้นแล้วเคลื่อนตัวขึ้นมาจูบปากผมอีกครั้ง แกล้งงับปลายลิ้นเบาๆ หยอกเย้ากับจิลสีเงินชั่วขณะ ก่อนกระซิบแผ่วเบา นิ้วมือเลื่อนกลับลงไปที่กลางร่างกาย แตะสัมผัสที่ส่วนปลายโดยไม่ให้รู้ตัว

“อยากเห็นพิชญ์ร้องไห้”

“อึก...” ราวกับสั่งได้ เพียงปลายนิ้วลูบไล้น้ำตาของผมก็เริ่มไหล เปล่งเสียงประหลาดด้วยความกระสันซ่านทรมาน จนเขาต้องก้มลงมากดจูบซับหยาดน้ำให้ หัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างพอใจก่อนเลื่อนริมฝีปากต่ำลงไปที่ผิวแก้มร้อนจัด และริมฝีปากที่เปิดเผยอให้เขาลุกล้ำเข้ามาฉกฉวยหยาดน้ำหวานพร้อมกับบรรจงป้อนความสุขสมเจือทรมาน
   
ผมหอบหนักแทบไม่อาจควบคุมจังหวะหายใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังตอบสนองปลายลิ้นที่รุกไล่ ผลัดกันหยอกเย้าขบกัดริมฝีปากอีกฝ่ายอย่างไม่มีใครยอมใคร เขาหัวเราะอีกครั้ง ทิ้งท้ายด้วยรอยจูบหนักเน้นไว้ที่มุมปากด้านขวาของผม ตรงตำแหน่งขี้แมลงวันเล็กจ้อยก่อนผละออก เอ่ยคำปรารถนาถัดไป
   
“อยากให้พิชญ์เรียกชื่อพี่” ดวงตาที่พร่าด้วยหยาดน้ำของผมจับจ้องทุกความเคลื่อนไหวของร่างกำยำที่ถดกายต่ำลงอีกครั้ง ดวงตาสีรัตติกาลฉายโชนความร้ายกาจเมื่อเขาเริ่มภารกิจคั่งค้าง

หลุดสะดุ้งเมื่อฝ่ามือหนาจับเรียวขาของผมขึ้นมาให้ชันเขาทั้งที่ยังนอนราบ... ก่อนทำในสิ่งที่ขับให้ร่างของผมเห่อร้อนราวจับไข้... ด้วยการกดจูบแผ่วเบาบนฝ่าเท้าเปล่าเปลือย

“พี่เต...” ผมเรียกชื่อเขาดั่งใจ เมื่อเจ้าของใบหน้าคมเลื่อนริมฝีปากขึ้นมากดจูบที่ข้อเท้า ไล่ปลายจมูกซุกไซ้เรียวขาจากผิวน่องถึงต้นขาด้านในอย่างเชื่องช้า

ฝากรอยจูบ...ตีตราลงทุกส่วนที่ไม่อาจเข้าถึงจากกิจกามใต้ผืนน้ำ

กระทั่งถึงพื้นที่ต้องห้ามอีกครั้ง... เขารั้งรอมองมันก่อนจะช้อนสายตาสบตาผมที่ยังคงอึดอัดทรมาน มุมปากบางคลี่ยิ้มร้ายกาจ ก่อนเอ่ยความต้องการสุดท้าย

“พี่อยากเป็นของพิชญ์”

ผมหลุดผวาเมื่อเขาเอื้อมมือมาสัมผัสอีกครั้ง พ่นลมหายใจหนักเมื่อริมฝีปากร้อนจัดจรดแผ่วเบา ...ก่อนค่อยๆ เน้นหนัก หลุดเสียงพร่าน่าอาย สั่นสะท้านไปทั้งร่างด้วยความหวามไหว ดวงตาสีรัตติกาลที่จับจ้องอย่างหยอกเย้ายิ่งขับให้หัวใจเต้นตุบรายกับจะระเบิดออก บิดเร่าเสียรูปเมื่อลิ้นร้อนเริ่มลากไล้ตามความยาว... ขับไฟปรารถนาให้ยิ่งแล่นพล่าน และมันแผ่ซ่านไปทั้งร่างเมื่อเขาครอบครองทั้งตัวตนด้วยริมฝีปาก... เรียวลิ้นร้อนร้ายมอบสัมผัสหวานล้ำแสนทรมาน
น้ำตาของผมไหลอาบแก้มด้วยความกระสันซ่านอีกครั้ง เอ่ยชื่อเขาซ้ำๆ

เรียกร้องว่าผมต้องการ... ต้องการให้เขาครอบครองทั้งหมดของผมเท่าที่เขาต้องการ

อยากเป็นของเขา เช่นที่เขาอยาก...

“อึก... อื้อ... พี่เต...”

รสสัมผัสที่เขามอบให้ทำให้ผมปลดเปลื้องทุกความละอาย ปล่อยให้ร่างกายตอบสนองสัมผัสเหนอะหนะด้วยแรงปรารถนา เปล่งเสียงร้องแปร่งประหลาดอย่างไม่คิดอดกลั้น ไม่คิดควบคุมแม้ลมหายใจหอบกระชั้น พื้นหินเย็นชืดคล้ายติดไฟแผดเอาจนแผ่นหลังลอยขึ้นจากพื้น...แอ่นรับทุกความหวามไหว มือข้างหนึ่งขยุ้มเส้นผมเขาไว้ขณะที่อีกข้างถูกฝ่ามือหนาเกาะกุม สอดประสานนิ้วทั้งห้าพลางบีบเบาๆ ปรนเปรอพร้อมปลอบประโลม ส่งผมสู่ฝั่งแห่งความกระสัน

และในห้วงขณะที่กำลังจะมอดไหม้ด้วยไฟราคะที่แผดเผาทั้งร่าง ดวงตาฉ่ำน้ำปรากฏภาพดวงจันทร์นอกหน้าต่าง...กลับหัวกลับหาง ผมจดจ้องสักขีพยานแห่งรักที่เปล่งแสงนวลส่องสว่าง... งดงามแม้จะยังเว้าแหว่ง

แต่คงอีกไม่นานที่ร่องรอยเว้าแหว่งจะถูกแต้มเติมเต็ม... กลายเป็นจันทร์เพ็ญเปล่งประกายที่ผมหลงใหลยิ่งกว่าดาวดวงไหนๆ ในท้องฟ้าราตรี









อาจฟังดูประหลาด ที่ผมกลัวฝันดีมากกว่าฝันร้าย

เพราะการฝันดีเกินไป... ทำให้การลืมตาเท่ากับฝันสลาย

แต่นี่ไม่ใช่ฝัน... สัมผัสของเขา... น้ำเสียงที่กระซิบเรียกชื่อผม ร่องรอยปรารถนาที่ยังคงแต่งแต้มทั่วร่าง... ความเจ็บร้าวที่ยังคั่งค้าง บ่งบอกว่าทุกอย่างคือเรื่องจริง

แม้ตอนลืมตาจะไม่มีเจ้าของสัมผัสเหล่านั้นอยู่ข้างๆ ก็ตาม

เมื่อรู้ตัวว่าข้างกายว่างเปล่าผมผวาลุกขึ้นนั่ง เรียกสติตัวเองกลับมาแม้จะปวดหัวแทบระเบิดมองไปรอบห้องที่เงียบงันเตียงคิงไซส์ที่ไม่ใช่ของผมว่างเปล่า แต่สัมผัสย่นยับของผ้าปูก็ทำให้รู้ว่าก่อนหน้านี้มีเขานอนข้างกัน

“พี่เต...” ผมเรียกชื่อเขา แต่เสียงแหบพร่าจนแทบไม่ได้ยิน อาจเพราะกิจกามที่พรากเสียงของผมไป หรืออาจเป็นเพราะความหวาดหวั่นที่ก่อตัวขึ้นมาในใจ

ภาพในอดีตที่เคยถูกทิ้งไว้ฉายชัดขึ้นมาจนผมนึกกลัว รีบรุดลุกขึ้นจนลืมไปว่าร่างกายตัวเองเพิ่งผ่านกามกิจอันยาวนานจนแทบแหลกไปทั้งร่าง แค่ขยับตัวยังลำบาก ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะพยุงตัวเองลุกขึ้นยืนได้ ถือวิสาสะหยิบผ้าขนหนูที่แขวนอยู่ตรงตู้มาปกปิดร่างกายส่วนล่างตัวเองไว้ ก่อนลากสังขารเดินออกจากห้องนอนด้วยความกังวลที่เอ่อล้นเกินอธิบาย

แต่ความรู้สึกที่ตื้นเต็มอกก็อันตรธานหาย ทันทีที่เปิดประตูออกมาแล้วได้กลิ่นอาหารหอมกรุ่นมาจากครัว รู้สึกโล่งอกเมื่อเห็นแผ่นหลังกว้างในชุดเสื้อยืดกางเกงขายาวกำลังยืนง่วนอยู่หน้าเตา

ได้แต่ถอนใจกับความกลัวไร้สาระของตัวเอง

ทั้งที่ขอให้เขาเปิดใจ แต่เศษเสี้ยวในความรู้สึกลึกๆ ของผมกลับยังไม่ไว้ใจ

...ยังคงกลัวว่าเขาจะหายไป

“หือ?”

ความหวั่นไหวทำให้ผมเดินเข้าไปคว้าเขาไว้ กอดแน่นพร้อมซุกซบซึมซับกลิ่นกายอย่างโหยหา

“พิชญ์คิดว่าพี่จะหนีไป” สารภาพด้วยความรู้สึกผิดที่เผลอไม่มั่นใจ เจ้าของแผ่นหลังกว้างชะงัก ก่อนหัวเราะเบาๆ

“เมื่อเช้ามึงมีไข้” ว่าพลางเอี้ยวตัวมาวางมือบนหน้าผากผมที่ซุกอยู่กับบ่า วัดอุณหภูมิคร่าวๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปปิดเตา

“กินข้าวจะได้กินยา”

ร่างสูงทำท่าจะขยับตัวเดินไปหยิบชามมาใส่ข้าวต้มที่ส่งกลิ่นยวนใจให้รู้สึกหิวขึ้นมา ในขณะที่ผมยังคงรัดแขนรอบเอวหนาขยับเท้าตามเขาเกาะหลังเป็นลูกลิงแบเบาะจนเขาหัวเราะอีกครั้ง เอื้อมมือมาจับคางผมให้เงยหน้าขึ้นไปหาแล้วกดจูบหนักๆ ขบริมฝีปากผมย้ำๆ คล้ายมันเขี้ยว

“ไปนั่งรอไป”

แต่ผมก็ยังเอาแต่ใจ กอดเขาไว้แน่นอย่างนั้น จรดริมฝีปากลงกับลำคอแกร่งที่มีแต่รอยเล็บและรอยจูบแต้มอยู่หลายจุดก่อนกระซิบถาม

“เดาสิ”

“?”

“พิชญ์เตรียมอาหารเช้าไว้ให้พี่ด้วย” อมยิ้มเมื่อเห็นพี่เตเลิกคิ้วประหลาดใจ ยืดตัวขึ้นอีกนิดแกล้งกัดใบหูเขาก่อนกระซิบคำเฉลยกลั้วหัวเราะขบขัน

“พิชญ์ไง”

“หึ” เจ้าของใบหน้าคมถึงกับชะงักไปพักใหญ่ เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะดึงแขนผมออกจากเอวแล้วหันกลับมาเป็นฝ่ายคว้าเอวผม ยกจนตัวลอยพร้อมฉกฉวยริมฝีปากลงมาอย่างทนไม่ไหว ผมเอื้อมคว้าลำคอแกร่งไว้ กระหวัดขาเกี่ยวสะโพกสอบปล่อยให้คนตัวโตกว่าอุ้มมาวางบนโต๊ะอาหารทั้งที่ริมฝีปากยังไม่ผละออกจากกัน

ผ้าขนหนูที่พันเอวหมิ่นเหม่ทำท่าจะหลุดตอนที่เขาแทรกเข้ามายืนกลางหว่างขา ฝ่ามือใหญ่ดันหลังให้ร่างประชิด ขณะที่อีกข้างปัดป่ายไปทั่วผิวกาย บดเบียดริมฝีปากจนแนบสนิทราวจะกลืนกิน กระหวัดลิ้นคล้ายจะตักตวงสารอาหารจากจูบลึกล้ำนี้ได้จริง

...แต่ก่อนที่ไฟปรารถนาจะติด เขาก็ผละริมฝีปากออก แล้วถอนหายใจ

“คุณพิชญ์... อย่ายั่วนัก” เขาเรียก เสียงดุ งับปลายจมูกผมอย่างมันเขี้ยว “เดี๋ยวจะช้ำในเอา”

ได้ยินแบบนั้นผมก็หัวเราะเสียงดัง ซุกหน้าลงกับซอกคอของเจ้าของอ้อมแขนที่ดึงผมเข้าไปกอดอีกครั้ง แกล้งรัดแน่นให้หายใจลำบาก โทษฐานที่กล้ายั่วเขาทั้งที่ร่างกายหมดสภาพจนแทบจะยืนไม่ไหว

ริมฝีปากหยุ่นกดจูบหนักๆ ที่ขมับซ้ำๆ อย่างหมั่นไส้ ก่อนปล่อยให้ผมสูดซบกลิ่นกายเคล้าไออุ่นของเขาจนกว่าจะพอใจ ทดแทนเวลาแห่งความสุขที่เราทำหายไป







ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ผมได้พรีเซนต์งานวันแรก แถมยังเป็นลำดับแรกๆ ของวัน เพราะมันเท่ากับผมจะผ่านมรสุมความกดดันนี้ก่อนคนอื่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องแบกรับความตื่นเต้นมหาศาลเพราะไม่มีหินนำทางว่าวันนี้จะเป็นยังไงอารมณ์ของอาจารย์อยู่ในระดับไหน ต้องนำเสนอยังไงถึงจะถูกใจ เกร็งไม่น้อยกว่าจะผ่านพ้นไปได้

“ไงมึง รอดไม่รอด” เสียงทักจากพี่รหัสเจ้าเดิมดังขึ้นเมื่อเห็นผมเดินมา ผมยิ้มตอบ ยักไหล่ยียวนก่อนจะเข้าไปแทรกกลางระหว่างพี่เจดกับร่างสูงที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ในช่องลับสุดระเบียงทางเดิน

วันนี้พี่เตอาสามารับ เพราะเขายืมรถผมพาเปียกปูนไปโรงพยาบาล... เจ้าลูกหมาสีดำตัวนั้นที่เขาทำท่าจะไม่ยอมตั้งชื่อให้มัน ถูกผมมัดมือชกตั้งชื่อให้เสร็จสรรพตามสีขนดพเมี่ยมของมัน

“ทำไมถึงมาอยู่ด้วยกันได้” ผมถาม อ้าปากขอบุหรี่ที่ถูกสูบไปเกือบครึ่งจากพี่เตที่ป้อนให้โดยไม่อิดออด คีบนิ้วรอให้ผมอัดควันก่อนจะดึงกลับไปสูบจากมวนนิโคตินเดียวกัน

พี่เจดหัวเราะเบาๆ สายตากรุ้มกริ่มมองการกระทำของเราสองคนก่อนตอบคำถาม “มีเรื่องต้องสะสาง”

พอเห็นสีหน้าผมก็รู้ว่าเจ้าตัวคงจะเล่นลิ้นไม่ยอมตอบง่ายๆ เลยหันไปเลิกคิ้วคาดคั้นอีกคนที่เลิกคิ้วประหลาดใจที่ผมเปลี่ยนเป้า พี่เตยกยิ้มมุมปาก มีเลศนัยไม่ต่างกัน

“เจดมาขอให้เข้าวง” ว่าพลางอัดควันเข้าปอดแล้วเอนหลังพิงผนังพร้อมดึงร่างผมไปพิงตัวเองอีกทีมือที่ไม่ได้ถือบุหรี่โอบเอวหลวมๆ พลางวางคางไว้บนหัวผมก่อนอธิบาย “ตอบแทนที่เป็นพ่อสื่อให้”

“พ่อสื่ออะไร” ผมขมวดคิ้ว มองหน้าพี่เจดอย่างไม่เข้าใจ “ป๊าไม่เห็นได้ทำอะไร”

“ก็เรื่องคืนก่อน... ที่มึงอ้อนขอจูบ ถ้ากูยอมให้ ไอ้เตคงได้กลายเป็นหมาหัวเน่า” ไอ้พี่เครายักไหล่ ส่วนผมอ้าปากค้างกับเรื่องที่ไม่คิดว่าจะเอามาใช้เป็นบุญคุณได้

“มันใช่เหรอวะป๊า”

ไม่รู้ว่าควรโกรธหรือควรขำดีที่โดนแฉเรื่องนั้น แต่ถ้าเล่าแล้วอีกคนไม่โกรธผมก็เลือกจะหัวเราะออกมาเบาๆ

“ใช่ดิ อีกอย่างถ้าไม่ได้กูขับรถไปส่ง คืนนั้นมึงคงไม่ถึงคอนโดฯ ไอ้เตหรอก เอาไปประเคนให้ถึงที่ก็ต้องมีตอบแทนกันบ้าง” เถียงข้างๆ คูๆ จนผมต้องหันกลับมาเงยหน้ามองร่างสูงกว่าที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง แล้วก็ต้องประหลาดใจที่เห็นเขายิ้มขำ ไม่มีทีท่าว่าจะขัด

“แล้วพี่ก็ยอมอ่ะนะ?” ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงยอมง่ายๆ ทั้งที่ก่อนหน้าตื๊อเท่าไหร่ก็ไม่เอา

“อือ” พี่เตพยักหน้า ละเลียดควันอีกครั้งก่อนดับบุหรี่กับราวระเบียง แล้วยักไหล่ “ตีกลองไม่กี่เพลง แลกกับที่ได้คืนนั้น...”
ดวงตาสีรัตติกาลสบตาผมอย่างมีเลศนัย มุมปากบางผุดยิ้มร้าย

“ก็คุ้มนะ” 

ได้ยินแบบนั้นไอ้พี่เคราก็หัวเราะลั่น... คงเพราะเข้าใจว่า ‘คุ้ม’ ของเขาหมายความว่ายังไง

...ในเมื่อรอยรักที่ต่างคนต่างทิ้งไว้บนร่างกายอีกฝ่ายยังปรากฏชัด ราวรอยสักที่สลักลึก ตีตรึงไว้อย่างนั้น ไม่มีวันหายไป







-----------------------------------------------------------------------
มาส่งของขวัญปีใหม่ค่ะ  :o8:
พี่เตร้อนฉ่ามาก เหมือนไถ่โทษที่เล่นตัวมานาน 55555
ตอนนี้ใครไม่ตายเราตาย ฮื่ออ เขียนไปเลือดกำเดาจะไหล
ยัยน้องก็ขยันยั่วเหลือใจ อเมริกาไปทางไหนพี่เตกลับไม่ถูกแล้วค่ะ ;////;

ไม่แน่ใจว่าสื่อความเป็นพี่เตออกมาได้เข้าใจได้มาน้อยแค่ไหน
เพราะเตวิชญ์เป็นตัวละครที่เหมือนจะซับซ้อนแต่ก็ไม่ซับซ้อน
เหมือนจะตรงไปตรงมาแต่ก็แสดงออกตรงกันข้าม
มีความย้อนแย้งในตัวสูงมากค่ะ บางทีเราก็ไม่เข้าใจเขา 5555
แต่หวังว่าคนอ่านจะเข้าใจ (อ้าว)
มีอะไรขัดใจตรงไหนก็ติติงได้เสมอเช่นเดิมนะคะ
ปล. ตอนนี้ไม่มีพาร์ทอดีต เพราะน้องไม่ต้องวิ่งตามอดีตแล้วค่ะ ให้อีพี่เป็นฝ่ายแสดงความรู้สึกบ้างเนอะ -..-

สวัสดีปีใหม่ค่า ขอให้เป็นปีที่อ่อนโยนกว่าพี่เตนะคะ 5555
 :L2:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 14 P.6 [31.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: nnnnnnni ที่ 31-12-2017 19:04:28
 :pighaun: :pighaun:
สวัสดีปีใหม่เช่นกันค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 14 P.6 [31.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 31-12-2017 19:41:31
ฮื่อออ พิเตกลับไปร้ายเหมือนเดิมเถอะค่ะ หัวใจทนไม่ไหว แบบนี้ไม่ไหวจริงๆ จะตายแล้ววว ฮื่อออออ นี่ลุ้นๆว่าห้าปีพี่เตไปนู่น กลับมาน้องจะมีเซอร์ไพรซ์ให้พิเตตายคาอกไหม หรือจะเจาะเพื่อรั้งพี่ไว้ 5555555
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 14 P.6 [31.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ppseiei ที่ 31-12-2017 20:42:36
โอ้วววววววววววววว :hao7:
สวัสดีปีใหม่ค่าา
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 14 P.6 [31.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 31-12-2017 21:19:40
ของขวัญฟินมากเลย มาอัพเร็ว
แถมพี่เตยังฮอตขนาดนี้ เลือดเปื้อนหมอนหมดแล้วจ้าาา
กรี๊ดดดดด ขอพี่เตสักคนส่งตรงถึงบ้าน ขอให้น้องสักคน

ชอบมากเรื่องนี้จริงๆนะ  :jul1: :jul1: ฉันรักเค้ารักพี่เต รักพิชญ์ แอบเป็นแฟนคลับป๊าด้วย จุ้บบ


HAPPY NEW YEAR 2018 จ้า ขอให้แต่งเก่งแต่งเร็วแบบนี้ไปนานๆ
สุขภาพแข็งแรง มีความสุขในทุกๆวันน้า
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 14 P.6 [31.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: from_mars ที่ 31-12-2017 21:29:10
เอ้า บทจะเปิดใจก้อเหมือนจะลืมปัญหาทั้งหมดได้ในพริบตา โว๊ะ ให้ป้าลุ้นตั้งนาน

แต่คิดว่ามันยังไม่เคลียร์ง่ายๆ หรอชะมะคะ
รออ่านต่อจ้า
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 14 P.6 [31.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: pandant ที่ 31-12-2017 23:20:20
ฮื้ออออ ดีใจกับทั้งคู่ด้วย เย้~~
สวัสดีปีใหม่นะคะ อยู่ด้วยกันอีกปีนะ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 14 P.6 [31.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 01-01-2018 01:55:41
ร้อนแรงมาก ฮอตเวอร์
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 14 P.6 [31.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 01-01-2018 09:29:58
โอ้ยเขิลลลลลล ลอยแล้วลอยอีก ยายแล้วตายอีก พี่เตทำไมเป็นคนแบบนี้ ทำไมทำเราเขิลขนาดนี้ กี๊สสส ส่วนหนูพิชญ์ลูกกก เพิ่งตื่นก็ยั่วพี่เขาอีกและ ใจเย็นๆนะลูกหายก่อนเนาะ ถึงแม่จะฟินแต่แม่อยากให้ลูกพักก่อน แม่ก็อยากพัก เลือดหมดตัวแล้ว55555
คือเขิลจนหมอนจะขาดชอบให้พี่เตเรียกตัวเองว่าพี่แทนน้องว่าพิชญ์  ละมุนนน
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 14 P.6 [31.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 01-01-2018 12:28:56
พี่เตไม่อ่อนโยนกับใจเรย ฮือ จะละลายอยู่แล้ว :hao6:
ตอนจูบข้อเท้าน้องอีนี่จะเปงลม
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 14 P.6 [31.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: 05th_of_06th ที่ 01-01-2018 12:49:51
พี่เตแบบเหมือนรู้ว่าแม่ๆน้องจะไปเผาบ้านแล้วเลยกลับมาพลิกเกมส์เรียกคะแนนแบบโบ้มๆ555555 ช็อตที่แทนตัวเองว่าพี่อย่างนั้น พี่อย่างนี้นี่ใจบางเพียง1มิลลิเมตรมากๆ  :jul1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 14 P.6 [31.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 01-01-2018 19:33:46
แงงงงงงงง ความนุ่มนวลนี้ อยากจะเหวี่ยงพี่แกไปให้ไกลถึงอเมริกาเลยยยย พี่แกต้องหลงน้องพิชญ์หนักพอๆกับที่ซันหลงน้องโชแน่เลย เอ๊ะ..รือจะหลงหนักกว่า หัวใจจจจจ :jul1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 14 P.6 [31.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Rungsai ที่ 02-01-2018 01:39:04
จินตนาการถึงวันที่ต้องไปไม่ออกเลยอะ
เศร้ารอไว้ก่อน
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 14 P.6 [31.12.2017]
เริ่มหัวข้อโดย: farhhhh ที่ 02-01-2018 01:46:19
นานๆ ทีจะมาเม้นทีนึง
พี่เตนังร้ายนะ ร้ายแบบซึนๆ ด้วย น่ารัก
รอตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 15 P.6 [2.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 02-01-2018 10:13:22
15


เราต่างมีความกลัวสะท้อนอยู่ในแววตา

...นานนับชั่วโมงกว่าผมจะหาเจอว่าความกลัวของเขาคืออะไร ทั้งที่ความกลัวของผมปรากฏชัดง่ายดาย...ความรู้สึกที่อยากเหนี่ยวรั้งเขาไว้

...ผมกลัวเขาหายไป

แต่ชั่วขณะที่รู้นัยน์ตาของอีกฝ่ายซ่อนอะไรไว้ ความหวาดหวั่นก็อันตรธานหายในพริบตา

ดวงตาที่ราวกับจะกักขังผมเอาไว้ในนั้น... ตอกตรึงดึงดูดสู่ความล้ำลึกเกินหยั่งถึงของสีรัตติกาล

...ต่างไม่อยากปล่อยมือกันและกัน

แต่เกมยังคงดำเนินต่อไป...

“ตีสามแล้ว” ผมมองนาฬิกา ย่นหน้าเมื่อไม่มีใครยอมรามือให้กัน “แบบนี้มันน่าเบื่อเกินไป”

เขาหัวเราะเบาๆ เห็นด้วยแม้ไม่เอ่ยย้ำ เราใช้เวลาในการนอนมองหน้ากันโดยไร้บทสนทนานานเกินไป

“เป็นคนเสนอเอง” เขาโทษผม มือข้างที่ไม่ได้สละให้รองคอเลื่อนจากเอวขึ้นมาสางเรือนผมเล่นแผ่วเบา

ไม่คิดเถียงว่าคำท้าของตัวเองช่างไรสาระ

ใครหลับก่อนแพ้...

เหมือนคนว่างงาน... ทั้งที่พรุ่งนี้ผมมีนัด และเขายังต้องอ่านสอบอีกหลายวิชา

“พี่ท้าบ้างสิ” ผมว่า โยนหน้าที่ให้

พี่เตเลิกคิ้วนิ่งไปสักพัก มองผมเหมือนหาคำท้าบนใบหน้า ก่อนยกยิ้มมุมปากได้คำตอบ เรียกให้ผมเลิกคิ้วมองใบหน้าคมที่ขยับเข้ามาใกล้จนปลายจมูกเกือบแตะกัน

ดวงตาสีรัตติกาลพราวระยับจ้องนิ่งก่อนเอ่ยคำท้าแสนสั้น

“ห้ามจูบ”

“...”

ให้ตาย... นี่มันยากเกินไป

ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ผมเหลือบสายตาต่ำลงจ้องริมฝีปากบางที่ยกยิ้มนิดๆ อย่างท้าทาย

ปลายจมูกที่อยู่ใกล้ทำให้ลมหายใจอุ่นไล้ปลายจมูกยิ่งล่อลวง เผลอแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองอย่างลืมตัวจนต้องรีบสูดลมลึกอดกลั้นใจ
   
“หึ” แต่ไม่ทันไร...
   
ไม่ทันคิดว่าน่าจะทนไหว เขาก็ทำผมแพ้ราบคาบด้วยรอยยิ้มง่ายๆ
   
แค่รอยยิ้มเดียว... 

เพียงเปิดปากอวดฟันขาวที่เรียงตัวสวยอย่างน่าอิจฉา รอยยิ้มกว้างๆ ที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักทำให้ผมเลื่อนใบหน้าเข้าไปงับริมฝีปากเขาราวละเมอ
   
บดเบียดอย่างคนพาลที่แพ้เขาจนได้... ก่อนเป็นฝ่ายถูกครอบครองจากริมฝีปากที่ช่ำชองกว่า อ้อมแขนแกร่งยกร่างผมขึ้นไปนอนทับ หัวเราะในลำคออย่างพอใจที่ผมเผยอปากรับเรียวลิ้นร้อนที่สอดเข้ามาอย่างเต็มใจ ปล่อยให้เขาชักนำ... มอมเมาสู่ความหวานลึกล้ำ

ก่อนค่อยๆ เร่งเร้า... กลายเป็นจูบร้อนแรงจนจิลที่ลิ้นแทบละลาย

“ผมจะทำให้พี่แพ้บ้าง” พูดจาอวดดีทั้งที่หายใจเหนื่อยหอบ ย่นหน้ามองคนใจร้ายที่ทำผมเกือบขาดอากาศหายใจ
คำท้าแรกยังไม่รู้ผล... และผมมีวิธีเอาชนะ

“ก็ลองดู” พี่เตเลิกคิ้วท้าทาย ผมสบตากลับ พยายามตีหน้าขรึมแต่สุดท้ายก็หลุดยิ้มจนได้ ก้มลงกดจูบที่ริมฝีปากบางอีกครั้งก่อนจะเอ่ยอย่างได้ใจ

“คอยดู” ผละออกมาจูบปลายคาง ซอกคอ... แกล้งทำรอยไว้ ก่อนจะไล่ต่ำลงทั่วร่างกายทนบนที่เปล่าเปลือยไม่ต่างกัน
เน้นหนักที่รอยแผลของเขา... ร่องรอยปริแตกที่ผ่ากลางร่างถูกผมรุกล้ำด้วยริมฝีปาก พรมจูบลากจุดต่อจุด... จากเริ่มต้นสู่สุดท้าย... เงยหน้าสบดวงตาสีรัตติกาลอีกครั้งและพบว่านัยน์ตานั้นพราวระยับกว่าครั้งไหนๆ

...เขารู้ว่าผมกำลังจะทำอะไร

หลุดหัวเราะเบาๆ เมื่อเจ้าของร่างไม่คิดห้าม ก้มหน้าลงกดจูบที่หน้าท้องเขาอีกครั้ง แกล้งกัดลอนกล้ามอย่างมันเขี้ยว ก่อนเคลื่อนคล้อยอ้อยอิ่ง... ละเลียดชิมผิวเนื้อกำยำเชื่องช้า...พร้อมกับขยับเรียวนิ้ว... เกี่ยวเอาปราการเพียงชิ้นเดียวให้ต่ำลง

“...” ผมลอบกลืนน้ำลายเมื่อเห็นความเป็นชายที่เริ่มขยายอยู่ตรงหน้า

ความร้อนฉ่าแล่นอาบไปทั้งร่าง เมื่อคิดว่าตัวเองกำลังเหยียบย่างสู่พื้นที่อันตราย...

หัวใจเต้นตุบชั่งน้ำหนักความต้องการ... อยากครอบครองทั้งหมด... แต่ผมอาจขาดอากาศหายใจตาย

“หึ” สุดท้ายเขาเป็นฝ่ายเลือกหิ้วปีกดึงผมกลับขึ้นไป พลิกตัวขึ้นคร่อม งับปลายจมูกจูบจิลสีเงินอย่างหมั่นไส้

“ซนจัง”

“ฮื่ออ” หลุดร้องเสียงดัง ยกมือปิดหน้าตัวเองด้วยความอับอาย เรียกให้เสียงทุ้มหัวเราะเบาๆ อีกครั้งพร้อมพรมจูบใบหูสลับกับหลังมือเรียกร้องให้ผมลดปราการ

“มองหน้าพี่หน่อย” สุดท้ายพ่ายแพ้กับน้ำเสียงกึ่งดุกึ่งอ้อน ปล่อยให้เขาดึงมือออก ยอมสบตาทั้งที่ใบหน้าร้อนและคงขึ้นสีจัด

“คราวหน้า...” พูดจาอวดเก่งสวนทางความรู้สึกที่อยากจะกัดลิ้นตายทันทีที่เห็นรอยยิ้มร้าย “เตรียมใจไว้เลย เตวิชญ์”
 
“หึ...” อีกฝ่ายไม่สะทกคำขู่ ยิ้มกว้างโชว์ฟันขาว ก่อนก้มหน้าลงมางับริมฝีปากล่างผม ดูดดุนอย่างมันเขี้ยวแล้วเลื่อนจูบไปทั่วหน้า

“คุณพิชญ์...”

“...”

“อย่าน่ารักให้มากนัก”

ยอมรับว่าพลาดเองที่คิดว่าจะชนะ ทั้งที่เห็นชัดว่ายังต่างชั้น แพ้ภัยตัวเองเมื่อแผนการรีดน้ำกลับย้อนมาทำร้าย... แท่งราคะถูกฝ่ามือใหญ่ปลุกปั่น ก่อนรวบรัดแนบนาบเข้ากับส่วนแข็งขืนร้อนจัด...

กลายเป็นฝ่ายถูกรีดไปพร้อมกัน

...

และไม่รู้ว่าเพราะเสียเหงื่อจนเหนื่อยอ่อน หรือเพราะอ้อมกอดอุ่นของเขา...

แขนกำยำที่ใช้รองคอพร้อมฝ่ามือลูบไล้บนเส้นผมแผ่วเบา อาจเป็นจังหวะฝ่ามือที่ตบสะโพกเบาๆ ราวกล่อมกัน

สุดท้ายคืนนั้น... ผมแพ้ราบคาบทั้งสองเกม







ช่วงสอบผมกลับไปอ่านหนังสือที่บ้าน เพราะต้องการความสงบบวกกับอยากประจบพ่อกับแม่ด้วยการอวดความตั้งใจ จะว่าเนิร์ดหน่อยๆ ก็ได้ที่ผมไม่ยอมปล่อยให้เกรดเฉลี่ยต่ำกว่าสาม...

เป็นเงื่อนไขที่ผมใช้เพื่อคว้าบางอย่างซึ่งยากเอาการ

ก่อนหน้านี้การกลับบ้านมีแต่ข้อดี ผมมีห้องหนังสือส่วนตัวที่เข้าไปฝังอยู่ได้ทั้งวัน มีคุณแม่ยกอาหารมาให้แทบไม่ต้องขยับตัวทำอะไร

แต่คราวนี้ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวกลับทำผมร้อนลน เกือบจะทนให้เวลาผ่านไปไม่ไหว

...คิดถึงแทบบ้า

ผมเดินผ่านชั้นวางของล็อกแล้วล็อกเล่าเพื่อมองหาร่างสูงที่ระบุมาในสายโทรศัพท์ว่ากำลังเลือกอาหารสุนัขอยู่ที่ซุปเปอร์ฯ ล่างของคอนโด

ไม่นานแผ่นหลังแสนคุ้นเคยก็ปรากฏ ผมสาวเท้าเขาไปด้วยความรู้สึกโหยหาที่ฉายชัด แต่แล้วรอยยิ้มกลับอันตรธานหาย เมื่อตรงหน้าอีกฝ่ายมีผู้หญิงหน้าตาน่ารักกำลังพูดคุยเนื้อหาที่ผมไม่ได้ยิน

“เตวิชญ์” เร็วเท่าความคิด ผมเอ่ยเรียก ดังพอแค่ให้เจ้าของชื่อและคู่สนทนาแปลกหน้าหันมา

เธอทำท่าประหลากใจ ในขณะที่อีกคนเพียงเลิกคิ้วสั้นๆ แล้วหันกลับไป ท่าทางไม่ใส่ใจทำให้ผมขมวดคิ้วเดินเข้าไปหาอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่

“ขอบคุณนะคะ” แต่พอผมถึงตัวใครอีกคนก็ผละจากไปพอดี

“ใครอ่ะ” ผมถาม มองตามร่างสะโอดสะองอย่างข้องใจ

“ไม่ใช่ใคร” ตอบอย่างเฉยเมย แล้วหันกลับไปเลือกอาหารสุนัขบนชั้นวาง

ผมกะพริบตาปริบๆ กับความเย็นชานั้น ไม่รู้ว่าควรทำยังไง เลยได้แต่มองนิ่งจนเจ้าของใบหน้าคมหันกลับมาเลิกคิ้วตั้งคำถาม

“พี่ทำผมหึง” สารภาพตามตรง ยกมือกอดอกให้รู้ว่ากำลังไม่พอใจ

“ไม่ยักรู้ว่าขี้หึง” คิ้วเข้มเลิกขึ้นพลางหัวเราะเบาๆ

ไม่แปลกที่เขาจะประหลาดใจ สมัยมัธยมผมไม่เคยแสดงอาการหึงหวงเขา ไม่ว่าจะคบตัวเองควบใครต่อใคร

พยายามไม่ทำตัวงี่เง่าให้เขารำคาญ

แต่ตอนนี้... ผมคิดว่ามันต่างกัน... ใช่ไหม?

“แล้วพิชญ์มีสิทธิ์หึงไหม” สุดท้ายเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ น้ำเสียงขึ้งเครียดกลับกลายเป็นหวั่นไหว

นึกกลัวคำตอบของเขา... กลัวความสัมพันธ์ของเรา

ประวัติศาสตร์อาจซ้ำรอย

“มี” ก้อนหินหนักอึ้งหายไปเมื่อเขาตอบกลับมาทันที ตอบคำถามที่ผมข้องใจ “ผู้หญิงเมื่อกี้เขาขอให้แนะนำอาหารสัตว์ให้”

เงียบไปหนึ่งอึดใจ ก่อนเอ่ยราวกับรู้ว่าสิ่งที่ผมคิดคืออะไร

“พี่เหลือพิชญ์คนเดียว”

ได้ยินแบบนั้นผมก็ยิ้มกว้าง โล่งใจ ขณะที่เขาเอื้อมมือมาลูบหัวเบาๆ

“ไม่เคยทำให้เชื่อใจเลยใช่ไหม” เขาขมวดคิ้ว ไม่ได้ตำหนิ แต่เพียงสงสัย

“อือ” ผมย่นคิ้วก่อนพยักหน้า ไม่กล้าตอบว่าไม่ใช่ ด้วยรู้ตัวว่าการกระทำในอดีตของเขาฝากรอยแผลที่ผมไม่ไม่เห็นเอาไว้

“ขอโทษ” เขาเอ่ย น้ำเสียงอ่อนโยนและแววตาแบบเดียวกันแผ่ความอบอุ่นให้ซ่านซึมจนสัมผัสได้

“...”

“ต่อไปจะพยายาม”

...ว่าเขากำลังค่อยๆ เปิดใจ

“แล้วพี่เคยหึงผมไหม” หมดความขุ่นข้องผมถามกลับในประเด็นเดียวกัน

จะว่าไปผมไม่เคยเห็นเขาแสดงอาการหึงหวงเลยสักครั้ง แม้แต่ตอนที่พี่เจดเล่าเรื่องที่ผมขอจูบและอาจจะลากลามถึงเรื่องที่เคยจีบผมให้ฟัง เขาก็ไม่มีท่าทีอะไร

พี่เตเลิกคิ้วมองผม ก่อนส่ายหน้าขำๆ

“มึงน่ารักเกินไป” เอ่ยคำที่ไม่เข้าใจพลางเอื้อมมือมาเกลี่ยแก้มผมเบาๆ “ไล่หึงทุกคนคงเหนื่อยตาย”

คราวนี้ผมหัวเราะกับเหตุผลมึนๆ ของเขา ยิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อดวงตาสีรัตติกาลจับจ้องมาอย่างสื่อความหมายพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“อีกอย่าง... กูไม่เคยเห็นสายตาคู่นี้มองใคร”

ประโยคแสนมั่นใจกลับทำให้ก้อนเนื้อที่อกซ้ายเต้นโครมคราม

“หลงตัวเองชะมัด” อดเหน็บไม่ได้

...แต่สุดท้ายก็แพ้เจ้าของรอยยิ้มร้ายอีกครั้ง

“มึงต่างหากที่หลงกู”

ผมหัวเราะเสียงดัง อยากจะหมั่นไส้แต่ความรู้สึกอื่นฉายชัดเรียกให้ผมขยับเข้าไปหาร่างสูงที่ยังคลี่ยิ้ม โอบแขนรอบคอเขา ซุกหน้ากับไหล่กว้างอย่างไม่คิดอาย ซุกซบกลิ่นกายที่ผมหลงใหลให้สมกับที่ไม่ได้เห็นหน้ามาหลายวัน

“ทำไงดี... ผมว่าผมตกหลุมรักพี่อีกรอบแล้ว เตวิชญ์”






บอกไปหรือยังว่าผมไม่ชอบสุนัขเท่าไหร่…

แต่ในกรณีนี้ผมว่าผมเป็นฝ่ายถูกเกลียดซะมากกว่า

โฮ่ง! โฮ่ง!

“เปียกปูนเป็นอัลไซเมอร์ป่ะ” ผมถามเมื่อเสียงเห่าดังลั่นก่อนเห็นตัวด้วยซ้ำ

อยู่ร่วมบ้านกันตั้งหลายวัน แถมชื่อผมก็เป็นคนตั้งให้ แต่เจ้าลูกหมาก็ยังไม่มีท่าทีจะจำผมได้ เห่าใส่ทุกครั้งที่เจอหน้าราวกับว่าผมเป็นคนแปลกหน้าตลอดเวลา

“มันทักทาย” เสียงทุ้มเอ่ยเรียบๆ ก่อนดึงของในมือผมไปวางไว้ในครัวให้

“จริงดิ” เลิกคิ้วข้องใจ เดินเข้าไปหาเจ้าตัวเล็กที่นอนอยู่ในบ้านหลังเล็กใกล้ระเบียง

แต่เสียงเห่ากลับยังดังต่อเนื่อง แถมยังกระถดหนีเหมือนไม่ไว้ใจ

“โอเคปูน คราวนี้เราไม่ยอมแล้ว” ผมขมวดคิ้วเอ่ยอย่างหมายมั่น ถอดแจ็กเกตโยนไว้ข้างตัว ดึงยางที่ข้อมือมารัดผมลวกๆ หยิบไม้ตายออกมาจากถุงพลาสติกข้างตัว

“เด็กดี” ในที่สุดเสียงเห่าก็หยุดลง เจ้าตัวเล็กยื่นหน้ามาดมฟุดฟิดกับขนมในมือผมก่อนงับไป ผมเลยอาศัยจังหวะที่มันกำลังง่วนกับการกินอุ้มขึ้นมานั่งบนตักพลางลูบหัวเบาๆ อย่างต้องการผูกมิตร

“เดี๋ยวให้อาหารเย็น” เสียงทุ้มเอ่ยเมื่อเดินมาเห็นผมป้อนขนมชิ้นที่สอง เงยหน้าขึ้นมองก็ร่างสูงกำลังยิ้มขำ

“แผลมันใกล้หายหรือยัง” ขาหน้าข้างหนึ่งของเปียกปูนยังพันผ้าไว้

 “หมอบอกว่าอีกสองอาทิตย์” ผมพยักหน้ารับ มองเจ้าตัวเล็กที่ท่าทางร่าเริงกว่าวันแรกที่เจอกันแล้วอดเอ็นดูไม่ได้
คนที่ให้มาบอกว่ามันเป็นหมาจรที่ถูกหมาใหญ่ฟัดจนเหวอะหวะ เอามาประกาศหาบ้านให้เพราะสงสารที่ยังเล็ก ปล่อยไปคงไม่วายเจ็บอีก หรืออาจตาย 

“พี่จะเอามันไปด้วยไหม” เอ่ยถามเมื่อนึกขึ้นได้ ร่างสูงชะงักไปนิดหน่อยก่อนส่ายหน้า

“กูไม่ใช่เจ้าของ”

อา... ลืมไปเลยว่าข้ออ้างที่ผมทิ้งไว้ คือให้เขาดูแลจนกว่ามันจะหาย

เพราะตอนนั้นเขาบังคับให้ผมรับคำท้าเรื่องเวลาห้าปี ผมเลยบังคับให้เขารับคำท้านี้เช่นกัน

อย่างที่เขาบอก... ผมจงใจสร้างความผูกพัน

และผมว่ามันได้ผล

“แต่พี่ดูแลมันดีกว่า” ผมยิ้ม ออดอ้อนให้เขารับหน้าที่ต่อไป แต่เจ้าของใบหน้าคมกลับส่ายหน้า ถอนหายใจ

“กูดูแลไม่ได้หรอก”

โกหก เห็นได้ชัดว่าเขารักหมาจะตาย 

ผมยักไหล่ เอาเถอะ... ไม่ได้จะเร่งรัดอะไร

ผมอุ้มเปียกปูนกลับเข้าไปไว้ในบ้าน แล้วเอื้อมตัวไปหยิบแจ็กเกตที่วางไว้

“นั่นอะไร” ก่อนชะงักเมื่อเห็นใบหน้าคมขมวดคิ้ว มองลอดเข้ามาในเสื้อกล้ามคอกว้างที่พอก้มทีก็เห็นไปถึงไหนต่อไหน

...โดยเฉพาะวัตถุวาววับสีเงินที่สังเกตง่ายๆ

ก่อนหน้านี้สวมแจ็กเกตทับเลยพอปกปิดได้ แต่เสื้อกล้ามขาวบางคงไม่อาจปกปิด ว่าหน้าอกข้างซ้ายมีสิ่งแปลกปลอมโผล่ขึ้นมา

“เจาะตั้งแต่เมื่อไหร่” คิ้วเข้มที่แทบขมวดโบว์ทำผมอ้ำอึ้งไป

“นานแล้ว” ตอบเลี่ยงๆ แล้วลุกเดินไปที่เครื่องเล่นแผ่นเสียงข้างทีวี แกล้งเฉไฉ “เปิดเพลงได้ไหม”

แต่เสียงเพลงจากวงโปรดไม่ได้ช่วยให้ความกดดันน้อยลงเมื่อร่างสูงเดินตามมายืนกอดอกพิงโซฟา คาดคั้นเสียงต่ำ

“คุณพิชญ์ เจาะตั้งแต่เมื่อไหร่”

คราวนี้ผมยกมือขึ้นสองข้าง ยักไหล่ยอมแพ้ก่อนรับสารภาพ “อาทิตย์ที่แล้วครับ ก่อนกลับบ้าน”

ใช้น้ำเสียงออดอ้อนทั้งที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดอะไร พี่เตขมวดคิ้วนิ่งก่อนถอนใจ ทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาแล้วกวักมือง่ายๆ เรียกให้ผมเดินเข้าไปยืนตรงหน้าเขา

“พอดีร้านประจำอยู่แถวนั้น ก็เลย...!”

ไม่ทันพูดจบก็ถูกดึงลงไป บังคับให้นั่งคร่อมตักแล้วถามด้วยน้ำเสียงต่ำกว่าเดิม “ผู้หญิงหรือผู้ชาย”

“หือ?”

“คนเจาะน่ะ” ผมชะงักไปสักพัก กว่าจะเข้าใจความหมายของสีหน้าไม่พอใจ

“ผู้ชาย...” หลุดอมยิ้มเมื่อคำตอบทำให้ดวงตาสีรัตติกาลฉายแววความงุ่นง่านชัดเจน “ไหนบอกไม่หึงไง” ยกแขนโอบรอบคอเขาพลางโน้มหน้าเข้าไปหา

“แต่ตรงนี้มันไม่ใช่ที่ที่ใครจะมาจับก็ได้ไง” หัวเราะเบาๆ เมื่อเขาไม่ปฏิเสธแถมยังทำหน้ายุ่งยากใจ พอเห็นว่าผมยิ่งได้ใจเขาเลยขมวดคิ้วตำหนิก่อนถอนใจ

“ไม่เจ็บหรือไง”

“อะ...!” หลุดสะดุ้งเมื่ออยู่ๆ เขาก็แตะนิ้วลงมา

“เจ็บเหรอ?”

“เปล่า แต่ห้ามโดน” ถึงปกติแผลผมจะสมานเร็ว หายเจ็บตั้งแต่สามวันแรก แถมดูแลอย่างดีก็เลยไม่มีอักเสบอะไร แต่จนกว่าจะหายสนิทก็ยังไว้ใจไม่ได้

ดวงตาสีรัตติกาฉายแววงุ่นง่านยิ่งกว่า พี่เตถอนหายใจอีกรอบก่อนจะยื่นหน้าเข้ามางับจมูกแรงๆ “แกล้งกันหรือไง”
ผมไม่เข้าใจความหมาย จนกระทั่งฝ่ามือหนาล้วงเข้ามาในสาบเสื้อแล้วปัดป่ายส่วนอ่อนไหวแผ่วเบา

“ถ้าไม่โดนแล้วจะทำยังไง”

“อะ! พะ... พี่เต!” หลุดผวาเรียกเสียงดังทั้งที่เขาไม่ได้จับตรงๆ ด้วยซ้ำ... เพียงไล้ผิวเผินไม่ต่างจากสาบเสื้อเสียดสี

เขาว่าเจาะแล้วจะไวต่อสัมผัส... เข้าใจชัดก็วันนี้

“คุณพิชญ์...” คราวนี้คนเจ้าเล่ห์ดันแผ่นหลังผมจนหน้าท้องชิดกันก่อนจะกระซิบถามด้วยดวงตาวาววับ “รู้ไหมเด็กดื้อต้องโดนอะไร”

“เฮ้ย!” ฉับพลันเขาปล่อยอ้อมแขนที่โอบรัด ผมร้องลั่นผงะหงายหลัง เมื่อแขนที่โอบรอบคอถูกจับให้ผละออก ไม่ยอมให้เกาะก่าย

...ก่อนค่อยๆ ปล่อยให้ร่างกายท่อนบนไหลราบลงไปบนพื้นพรม

“พะ...พี่เต” ผมยืดแขนส่งให้พยายามอ้อนให้เขาดึงกลัวจากท่ากลับหัวกลับหางน่าอาย

แต่เจ้าของดวงตาสีรัตติกาลกลับคลี่ยิ้มร้าย จับล็อกเอวผมให้หว่างขาแนบสนิทกับหน้าท้องกำยำ ก่อนโน้มตัวลงมาหาพลางใช้มือข้างที่ว่างไล้ตามผิวเปิดเปลือยจากชายเสื้อที่ร่นมากองที่ไหปลาร้า เอ่ยถามเสียงพร่า

“ดูหน่อย... เจาะตรงไหนอีก”

“ดะ...เดี๋ยว...อะ!” พยายามจะร้องห้าม แต่เสียงปรามกลับกลายเป็นเสียงครางเมื่อเขาสัมผัสนิ้มลงมาที่ยอดอกอีกข้าง... บีบเน้นราวกับจะควานหาร่องรอยของเครื่องประดับ

“จะเจาะอีกข้างไหม?” ส่ายหน้าหวือเมื่อเขาเอ่ยถาม

“อึก!... ฮื่อ...” ก่อนจะหลุดผวาอีกครั้งเมื่อเขาบดบี้จุดหวามไหว... รุนแรงกว่าครั้งไหนๆ จนร่างกายหอบสะท้าน

หยาดน้ำตาเอ่อคลอก่อนไหลยอกย้อนขึ้นมาที่ขมับ

“ตรงนี้ล่ะ” ไม่ทันละมือจากตุ่มเนื้อที่ขึ้นสีแดงปลั่งชูชันด้วยความกระสันซ่าน ใบหน้าที่โน้มต่ำลงมาก็กดจูบลงหน้าท้องที่หดเกร็ง หวามไหวด้วยลิ้นร้อนที่เริ่มละเลง เล่นล้อกับแอ่งสะดือไปพร้อมกัน

...ความปรารถนาที่หลับไหลถูกปลุกขึ้นง่ายดาย ร่างกายปั่นป่วนจนสะท้านเมื่อคิดถึงระคนโหยหารสราคะที่ไม่ได้สัมผัสมาหลายวัน

ร่างกายส่วนบนที่ถูกกระตุ้นด้วยเรียวลิ้นและนิ้วมืออุกอาจ ราวขับกระแสไฟฟ้าแล่นปลาบไปทั้งร่าง ความร้อนแล่นหลั่นสู่กลางลำตัวจนอึดอัด

“ฮื่อ... พี่เต... พี่เตครับ” ความคับแน่นเกินต้านขับให้ส่งเสียงเว้าวอน

คนเจ้าเล่ห์หัวเราะในลำคอ ก่อนสบตาที่สั่นพร่าของผม กระหยิ่มยิ้มอย่างพอใจพลางเลื่อนริมฝีปากต่ำลง... รูดรั้งปลดซิปกางเกงให้กัน

“ตรงนี้?” แกล้งเลิกคิ้วถาม มองอวัยวะที่เริ่มขยายใต้ร่มผ้า... ปลั่งราคะอัดแน่นจนทรมาน

“ให้พี่ดูไหม?”

"อื้อ..." ผมกัดริมฝีปากแน่น พยักหน้าไร้ละอาย ไม่สนแม้เขาจะยิ่งย่ามใจ ส่งเสียงเรียกร้องให้ช่วยปลดเปลื้องทรมาน

...เสียงร้องแปร่งประหลาดแผดลั่นอีกครั้งเมื่อเขายอมสัมผัสดั่งใจ

ส่วนคับแน่นถูกครอบครองด้วยริมฝีปากช่ำชอง...ลิ้นร้อนร้าย... ปรนเปรอในความนุ่มหยุ่นที่รูดรั้งกระทั่งถึงฝั่งฝัน สบดวงตาสีรัตติกาลหวานล้ำผ่านม่านน้ำ

เห็นเขากลืนกิน... ละเลียดลิ้นไล้เลียกระทั่งคราบข้นที่เลอะเรียวปากบาง ยิ่งถาโถมความต้องการจนไม่อาจกลั้น

“พี่เต...” พยายามเรียกร้องให้เขาดึงกลับขึ้นไปอีกครั้ง แต่คนด้านบนกลับคลี่ยิ้มร้าย เพียงเอื้อมมือข้างหนึ่งมากุมมือผมไว้
ก่อนปลุกร่างกายที่เพิ่งสงบด้วยฝ่ามือใหญ่... รูดรั้งเชื่องช้า ยังเสียงเหนอะหนะเนิบนาบหยาบโลน แกล้งยั่วให้ผมทรมาน... บิดร่างร้องเรียกให้เร่งเร้าเขาจึงยอมเปลี่ยนจังหวะสลับรัวเร็ว สาดซัดความกระสันซ่านระคนทรมานให้แล่นพล่านทั่วร่าง... กระทั่งปลดปล่อยอีกครั้ง...

“ฮึก...” น้ำตาไหลอาบเหงื่อไล้ชุ่มไรผมเมื่อถูกระบายความใคร่คลายอึดอัด

แต่เพียงไม่นานก็ถูกปลุกอีกครั้ง... ด้วยนิ้วเรียวที่ชำแรกลึกเข้ามาทีละขั้นหลังปลดเปลื้องสิ่งห่อคลุมเบื้องล่างทั้งที่ยังคงค้างในท่าพิสดาร จากหนึ่งเป็นสอง... สามก่อนชาดิกจนไม่อาจนับได้อีกต่อไป...

ช่องทางด้านหลังถูกขยายพร้อมปรนเปรอแก่นกายจนเสร็จสมครั้งแล้วครั้งเล่า... หยาดราคะขุ่นข้นล้นทะลักอาบร่าง ไหลย้อนตามระนาบร่างกายที่กลับหัวกลับหาง

เมื่อฝ่ามือหนาขยับครั้งสุกท้ายผมคล้ายจะหมดแรงร้องคราง... กระทั่งถูกส่วนร้อนจัดรุกล้ำช่องทางที่ถูกขยายแทนนิ้วมือ... ลำคอแห้งผากจึงฉ่ำชื้นด้วยเสียงแปร่งประหลาดอีกครั้ง ลั่นร้องตามจังหวะเนิบนาบ ทวีความดังเมื่อเข้าสู่จังหวะกระแทกกระทั้น... กระทบหนัก หน่วงเน้น... บดขยี้ซ้ำๆ ราวกับจะฉีกร่างด้วยความเสียวกระสัน

"พี่เต..."

กระนั้นความต้องการยังถาโถม...มากขึ้น... มากขึ้นราวทะเลไร้ก้นที่ไม่อาจถม

ส่งเสียงละโมบร้อง... เรียกให้เร่งเร้ารุนแรง เว้าวอนให้ส่วนร้อนที่กำลังเสียดสีทวีหนักเน้น เติมเต็มเชื้อให้ไฟราคะโหมกระพือแผดเผา... เผาไหม้จนกว่าร่างจะแหลกด้วยร้อนเร่า... กระโจนจ้วงสู่ความทุรนทุราย... 

“...!” กระทั่ง ความร้อนจากอีกฝ่ายถะถั่งเข้ามาจนสัมผัสได้ ร่างกายของผมก็ปล่อยความสุขสมกระเซ็นซ่านอาบร่างอีกครั้ง กระตุกรุนแรงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ คล้ายจะแหลกสลายและประกอบร่างใหม่ไปพร้อมกัน

“ฮึก... พี่เต... พี่เต” น้ำตาไหลสะอื้นฮักราวจะขาดใจ เรียกชื่อเขาซ้ำๆ จนเจ้าของแขนกำยำเอื้อมมือมาคว้ากลับสู่อ้อมกอดอีกครั้ง หลุดเสียงครางแผ่วเมื่อนั่งทับความแข็งขืนที่ยังขยายคับอยู่ในร่าง กอดรัดเขาไว้แน่นกรงเล็บที่เคยจิกพรมกดลึกลงบนผิวเนื้อหลังลำคอกรีดยาวสู่แผ่นหลังอย่างหาที่ระบาย

“พิชญ์” เสียงเรียกแผ่วราวปลอบประโลมพร้อมพรมจูบซับทั่วใบหน้า แขนแกร่งกระชับกอดแนบสนิทอย่างไม่นึกรังเกียจคราบน้ำเหนอะหนะที่อาบร่าง

“เด็กดี” ปลอบจนสงบจึงตบรางวัลด้วยจูบหวานล้ำ ลูบหัวลูบหลังราวพร้อมพรมจูบซ้ำไปซ้ำมา แตะหน้าผากประสานลมหายใจ จับจ้องล้ำลึกด้วยนัยน์ตาที่สะท้อนความสุขสมไม่แพ้กัน

“แบบนี้...” ผมฝ่าเสียงหอบหายใจด้วยเสียงกระซิบแหบพร่าพึมพำ “อยู่แบบนี้อีกสักพักนะครับ”

ได้ยินดังนั้นเขาจึงหัวเราะเบาๆ กอดกระชับผมแน่น กดจูบริมฝีปากแผ่วเบา แล้วเลื่อนซับริมฝีปากทั่วใบหน้าซ้ำๆ

ผมกอดกลับซุกหน้าถูไถผิวแก้มที่ร้อนด้วยแรงอารมณ์กับใบหน้าเขาราวจะแผ่อุณหภูมิแห่งความสุขสม

หลับตาลง... ปล่อยให้ร่างกายได้ซึมซับทุกสัมผัส

ตัวตนที่ถูกบีบรัด... ของเหลวอุ่นร้อนที่คั่งค้างอยู่ในร่าง... ความสุขสมที่กระจายทั่วสรรพางค์กาย

“รัก...”

จูบแผ่วเบาที่ผิวแก้มเคล้าเสียงทุ้มที่กระซิบข้างหูในห้วงสติสุดท้าย

“...พี่รักพิชญ์”     
   
คล้ายโอบอุ้มให้ล่องลอยในห้วงฝันอุ่นที่ชวนอิ่มไปทั้งใจ





--------------------------------------------------------------------
ฮึก... ทำไมมีเอ็นซีสามตอนรวดคะน้องไม่เข้าใจ
ฮื่อออ เก็บกดมาจากไหนนนน
ตอนนี้พี่เตคือความมั่ยอ่อนโยนที่แท้อ่ะ 5555
น้องช้ำหมดแล้วจ้า รุนแรงละเกินน น้ำตาจะไหล ;-;
เราแพลนเรื่องนี้ไว้ประมาณ 20 ตอนนะคะ (อาจเกินมานิดหน่อย)
ดังนั้นก็ใกล้ถึงปลายทางแล้วล่ะ
ฝาก #เกมท้ารัก เหมือนเดิม
ติดขัดตรงไหนติติงได้เสมอเลยค่ะ

ขอบคุณทุกคนจริงๆ ที่อยู่ด้วยกันจนถึงตอนนี้นะคะ
 :L2:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 15 P.6 [02.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 02-01-2018 10:49:27
พิเตชอบแกล้งน้อง นี่น้องกะไปเจาะมาแกล้งพี่ ทำไมเกมพลิกคะ  :jul1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 15 P.6 [02.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 02-01-2018 11:01:11
กรี๊ดดดดดดด น้องเราบอบช้ำ พี่เตไม่อ่อนโยนเลยยย มันมีที่ไหนที่เจาะได้อีกไหมคะ 555555  :z2: วันที่เขาต้องแยกกันเราจะบ้าตายแทนทั้งคู่แน่เลย
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 15 P.6 [02.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetyPhawin ที่ 02-01-2018 11:04:54
 :haun4:อยากไปแอบดูตรงที่น้องเจาะกับพี่เค้าจังเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 15 P.6 [02.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 02-01-2018 11:11:11
โอ้ยยย ใจไม่ดีเลยค่ะ ทำไมไม่อ่อนโยนกับน้อง


หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 15 P.6 [02.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 02-01-2018 13:34:55
มาอัพบ่อยถูกใจเวอร์ อยากให้ปีใหม่มีทุกวันเลยย :mew1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 15 P.6 [02.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 02-01-2018 16:10:11
พี่เตหึงน้อง :hao7:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 15 P.6 [02.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: hoihak ที่ 02-01-2018 17:10:41
ตาย..... :jul1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 15 P.6 [02.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ttan ที่ 02-01-2018 18:09:28
 :pighaun: :pighaun:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 15 P.6 [02.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 02-01-2018 18:58:52
ไม่มีอะไรจะพูดนอกจาก จะเปงลม ขอเลือดด่วนนนนนน :jul1:  :hao6:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 15 P.6 [02.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: knxiiviii ที่ 02-01-2018 19:38:21
โอ๊ยยยย พี่เต so damn hot ขั้นสุด คนน้องอุตส่าห์ไปเจาะมา พี่ให้น้องเป็นฝ่ายชนะแป๊บเดียวเองงงงงง
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 15 P.6 [02.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: mirage ที่ 02-01-2018 21:27:23
อร๊ายยยยย เขิน  :katai3:
hny ท่านนักเขียน สุขภาพแข็งแรง เขียนนิยายสนุกๆ มาให้พวกเราได้เสพกันบ่อยๆ นะคะ
มีบอกรักด้วย คือ :katai3: ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ เขินว้อย พี่เตนี่บทจะหวานก็หวาน กลัวมาม่าสิเนี่ยคะ 555

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 15 P.6 [02.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: from_mars ที่ 02-01-2018 23:33:18
ตายๆๆ ตายสนิท ทำไมจะมากมายขนาดนี้คะพี่ ก่อนบอกรักต้องจัดหนักขนาดนี้ แอร้ย

แล้วจะไปยังไงต่อ รักแล้วยังต้อวรอเหมือนเดิมไหม

รออ่านต่อจ้า
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 15 P.6 [02.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 03-01-2018 00:51:42
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 15 P.6 [02.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 03-01-2018 01:03:13
15 ตอนรวด แรกเริ่มอ่านด้วยความอึดอัด แถมลุ้นมันทุกตอน

หลัง ๆ ก็ลุ้น ว่าจะได้กันท่ายังไหน เอ้ย ไม่ใช่ ลุ้นว่าจะม่า อีกรอบมั้ย

ส่วนตอนนี้คนอ่านขอซับน้ำลายแปบ คุณเต ฮอตเฟร่อร์
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 15 P.6 [02.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Mamars ที่ 03-01-2018 06:32:05
อ่านทั้งสามเรื่องที่ไรท์เขียน ความคิดแรกคือ ต้องทำการบ้านแค่ไหนจึงจะเขียนได้แบบนี้ เขียนได้ดีน่าอ่านมากขึ้นเรื่อยๆนะคะ

ลุ้นพี่เตมาก ถึงจะยอมรับว่ารักแล้ว แต่อย่าเป็นกับดักล่อลวงน้องพิชญ์เลย สงสารน้อง ทั้งเรื่องจะดราม่าแค่ไหนก็ได้ แต่ขอจบแฮปปี้เป็นพอ ทำตาปริบๆ 55  :3123:

หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 15 P.6 [02.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 03-01-2018 09:20:22
พี่เต ทำไมไม่อ่อนโยน ฮือออออออ แซ่บมาก
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 15 P.6 [02.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: GiGiTTF ที่ 03-01-2018 18:52:49
ฟีลลิ่งกู้ดมากๆๆๆๆ นิยายน้ำดีเลยทีเดียวเชียว น่ารักอ่านรวดเดียวแทบกระอักเลือดตายเพราะคุณพระเอกเลย TT
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 15 P.6 [02.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 04-01-2018 08:37:26
ตายๆแบบนี้ฆ่ากันชัดๆ ขอเลือดเพิ่มหน่อยค่ะ :haun4: :jul1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 16 P.7 [04.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 04-01-2018 14:22:30
16

   
“พิชญ์...”
   
“หืม?” ครางรับเมื่อได้ยินชื่อตัวเอง แต่เจ้าของเสียงทุ้มกลับไม่เอ่ยอะไร
   
ผมลืมตา พลิกตัวกลับไปหาคนที่นอนซ้อนหลังก็พบว่าเขายังหลับ ลมหายใจสม่ำเสมอทำให้รู้ว่าเพียงละเมอ
   
ไม่รู้ว่าฝันอะไรถึงได้ขมวดคิ้วมุ่นแถมยังกระชับอ้อมแขนแน่นราวกับกลัวว่าผมจะหายไป ผมจ้องใบหน้าหลับใหลนิ่งงัน แสงที่ลอดเข้ามาระหว่างผ้าม่านพาดผ่านใบหน้าหล่อเหลากระทบเงาชวนหลงใหล

“พิชญ์...”

“ครับ” คลี่ยิ้มรับเมื่อได้ยินอีกครั้ง ขยับยกแขนโอบรอบคอเขาไว้ เลื่อนให้ใบหน้าตรงกันก่อนจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากย่น แตะหน้าผากค้างไว้ไม่ให้ริ้วความกังวลคืนกลับ
   
เลื่อนริมฝีปากลงมาแตะมุมปาก กดจูบย้ำๆ กระทั่งความเครียดขึ้งเลือนหาย มุมปากหยักยกยิ้มคล้ายหลุดจากฝันร้าย จึงขยับตัวกระชับอ้อมแขนโอบไหล่ ให้ผิวเนื้อเปล่าเปลือยแนบชิดแชร์ไออุ่น ซุกซบปลายจมูกกับกลุ่มผมกดจูบผิวแก้มแผ่วเบา ก่อนกระซิบข้างหู
   
“พิชญ์อยู่นี่...”
   
บอกคนในฝันว่าผมจะอยู่ตรงนี้ ไม่ไปไหน

   




แดดเที่ยงสาดผ่านช่องระหว่างผ้าม่านกระทบเปลือกตาชวนให้ย่นหน้าพลิกตัวหนีอย่างรำคาญ ก่อนค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาเมื่อพบว่าเตียงอีกด้านว่างเปล่า เจ้าของไออุ่นที่ซุกซบทั้งคืนคงลุกไปนานจนผ้าปูเย็นชืดด้วยเครื่องปรับอากาศ
   
นอนเตียงเดียวกันมาสักพักถึงรู้ว่าเขาเป็นคนตื่นเช้า แม้วันหยุดยังลุกไปทำอาหาร บางวันลงไปฟิตเนสส่วนกลาง  ก่อนกลับมาปลุกตัวเกียจคร้านกินข้าวเช้าพร้อมกัน ประหลาดใจที่วันที่เขาปล่อยให้ผมหลับจนเกือบบ่าย แต่ก็หายข้องใจเมื่อเปิดประตูออกมาแล้วปะทะเข้ากับเสียงเพลงอัลเทอร์เนทีฟร็อคจังหวะหนักจนผงะ
   
เครื่องดนตรีบนลานยกระดับข้างห้องนั่งเล่นถูกจับจองครบวงหลังจากวางนิ่งปล่อยให้ฝุ่นจับมานาน ผมหัวเราะเบาๆ กับสีหน้าจริงจังราวอยู่บนเวทีใหญ่ของแต่ละคน ก่อนเดินเข้าครัวหาอะไรลงท้องที่เริ่มร้องประท้วงหลังตื่นนอน
   
“ปูนกินข้าวยัง” เอ่ยทักสมาชิกอีกตัวในบ้านที่พอขาเริ่มหายก็เริ่มวิ่งซน กัดพรม กัดโซฟาฝังรอยฟันไว้เต็มไปหมด อย่างตอนนี้ก็หันมาเล่นงานขากางเกงผมจนต้องหยิบลูกบอลเล็กๆ หลังตู้เย็นโยนให้มันไปคาบเล่น

มีแอปเปิ้ลอยู่ในตู้เย็นสามลูก ผมหยิบมาทั้งหมด ล้างน้ำพอเป็นพิธีก่อนหยิบน้ำสามขวดหนีบใส่อ้อมแขนเดินไปที่ลานซ้อมดนตรี
   
เสียงเพลงหยุดพอดี สมาชิกวงที่จดจ่อเลยหันมาเลิกคิ้วทักทาย
   
“เพิ่งตื่นเหรอครับน้องพิชญ์” ไอ้พี่เคราชิงทักคนแรก น้ำเสียงเหน็บ ผมยักไหล่กวนก่อนโยนแอปเปิ้ลลูกหนึ่งไปให้ พี่รหัสหัวเราะเบาๆ แล้วส่งให้สมาชิกอีกคนที่ผมเพิ่งเคยเห็นหน้าครั้งแรก
   
“นี่ไอ้เจ มือเบสคนใหม่ รู้จักกันตอนประกวด”
   
“เจได” ถูกแก้ข้อความด้วยเจ้าของชื่อที่ทำหน้าไม่เป็นมิตรเท่าไหร่

ผู้ชายตัวเล็กเท่าไหล่ผม หน้าหวานแต่ผิวแทน แบกเบสตัวเขื่องดูไม่เข้ากันแต่กลับไม่ขัดตา
   
“อา” ผมพยักหน้า โยนแอปเปิ้ลให้ไอ้พี่เคราอีกรอบตามด้วยขวดน้ำอีกสอง

“ไปห้องน้ำนะ” แขกแปลกหน้าเอ่ยขึ้นมา ถอดเบสพิงแอมป์พร้อมแอปเปิ้ลก่อนปลีกตัว

ผมอ้าปากกัดแอปเปิ้ลลูกที่เหลือพลางเดินไปหาร่างสูงที่นั่งอยู่หลังกลอง เปิดขวดน้ำยื่นให้เจ้าของใบหน้าคมที่ขมวดคิ้วแน่น พลางทิ้งตัวนั่งบนหน้าขาเขา ก่อนถูกตวัดแขนโอบรอบเอวไว้ทันควัน

จมูกโด่งซุกลงมาที่ไหล่เปลือยเปล่า เอ่ยถามเสียงต่ำ “ทำไมไม่ใส่เสื้อ”

ผมเลิกคิ้วงุนงง ปกติเปลือยอกเดินไปมาไม่เคยถูกว่าอะไร เพราะเป็นคนขี้ร้อน แถมตั้งแต่เจาะ... ก็ระคายเคืองสาบเสื้อจนพาลไม่อยากใส่ แต่เห็นดวงตาสีรัตติกาลจ้องผมสลับกับแขกที่ยืนมองอยู่ก็เข้าใจ

“ป๊ามันไม่ถือหรอก” เอ่ยกลั้วหัวเราะ ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นกัน เคยสวมแค่บ็อกเซอร์เดินไปเดินมาในสตูด้วยซ้ำ

“เออกูไม่ถือ” ไอ้พี่เคราหัวเราะ เคาะบุหรี่ออกมาจุดสูบ สายตากรุ้มกริ่มจับจ้องมาที่หน้าอกข้างซ้ายของผมที่มีห่วงสีเงินคล้องไว้ คนด้านหลังพ่นลมหายใจงุ่นง่าน พาดแขนกำยำสูงขึ้นมาปิดส่วนเตะตา พลางกัดไหล่ผมเบาๆ แล้วเอ่ยแกมบังคับ

“ไปใส่เสื้อ คุณพิชญ์”

“ครับ” คราวนี้ยกมือยอมแพ้ ยื่นแอปเปิ้ลที่กัดแล้วให้เขาก่อนลุกออกมา ได้ยินเสียงพี่เจดหัวเราะตามดูจะพอใจที่ยั่วให้คนหน้าตายงุ่นง่านได้

ผมส่ายหน้าขำๆ เดินเข้าห้องนอนมาหาเสื้อใส่ตามคำสั่ง ไม่วายนึกย้อนคำที่เขาเคยลั่นไว้

ไหนว่าไม่หึง...

เดินกลับออกมาก็เห็นว่าแต่ละคนแยกย้ายพี่เจดกับเจไดออกไปสูบบุหรี่ที่สวน ส่วนเจ้าของห้องกำลังง่วนอยู่หน้าเตา กลิ่นอาหารหอมฉุยเรียกให้ผมเดินเข้าไปหา

"พี่เต" กอดเอวจากด้านหลัง วางคางกับไหล่กว้าง รอจนใบหน้าคมเอี้ยวกลับมาหาอย่างรู้งานจึงยิ้มกว้างพลางเขย่งตัวจุ๊บปาก แกล้งเลียริมฝีปากเขาจนเจ้าตัวหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือมารั้งท้ายทอยไว้ กดจูบแน่นหนัก กัดริมฝีปากมันเขี้ยวก่อนยอมให้อิสระ

“ไปตามเจดเจมาหน่อย” ผละออกมาตามคำไหว้วาน เดินผ่านสระว่ายน้ำออกไปนอกระเบียงที่มีสวนกว้าง

“กูเห็นนะ” พี่เจดที่ยืนพิงระเบียงหันหน้ามาทางผม ยิ้มกรุ้มกริ่ม

“เราก็เห็น” เสริมทัพด้วยสมาชิกใหม่ที่ดับบุหรี่พูดหน้าตาย

“ผัวเมียสัดๆ” คนที่ยังละเลียดควันไม่จบเอ่ยขบขัน ผมยักไหล่ไม่แยแส

“กับข้าวเสร็จแล้ว”

คนแรกคือเจไดที่เดินกลับเข้าไปอย่างรู้งาน... หรือหิวจัดไม่แน่ใจ ส่วนพี่เจดบุหรี่ยังไม่หมดมวนเลยยังอ้อยอิ่งละเลียดควัน ผมเลยเดินไปยืนข้างๆ มองวิวสูดอากาศ

“แฮปปี้สิมึง” ยังไม่วายเอ่ยแซว ผมโน้มตัวกอดอกเท้ากับระเบียงซุกแก้มที่เริ่มร้อนลงกับแขนแล้วยิ้มกว้าง

“ป๊าเคยตกหลุมรักใครซ้ำๆ ป่ะ”

...นั่นแหละสถานการณ์

“พี่เตโคตรน่ารัก” ยิ่งเอ่ยยิ่งหน้าร้อนฉ่า พี่เจดหัวเราะพลางจับหัวผมโยกไปมา

“อวดผัวสัด” ผมยักไหล่แกล้งไม่ยี่หระทั้งที่ยังยิ้มกว้าง ยืดตัวขึ้นอีกครั้งเมื่อบุหรี่ในมือไอ้พี่เคราดับ

“แล้วมันจะไปเมกาวันไหน” ว่าพลางเดินกลับเข้าบ้าน ผมส่ายหน้า

“ยังไม่แน่ใจ”

เขาไม่พูดถึงมันเหมือนลืมแล้วว่าจะไป ที่มหาลัยก็ดูเหมือนจะยังไม่ได้ทำเรื่องย้ายหรือลาออกอะไร

“ไม่ไปแล้วมั้ง ติดเมีย” พี่เจดเอ่ยแซว ผมหัวเราะตาม

“ก็พยายามรั้งอยู่”

อยากให้เขาเปลี่ยนใจ แต่ไม่อยากโจ่งแจ้งเกินไป ก็เลยหาวิธีอ้อมๆ... สร้างความผูกพันราวสารเสพติดให้เขาติดกับ ไม่อยากไปไหน

“กูก็ว่า ลงทุนเจาะซะตรงนั้น” เหลือบตามองหน้าอกซ้ายที่แม้จะใส่เสื้อแล้วแต่ความบางแนบเนื้อก็โชว์รูปร่างของห่วงเล็กๆ ด้านใน

“ก็เหี้ยละป๊า”

ถึงจะแอบพอใจนิดๆ ที่มักจะเผลอจับจ้องมันด้วยความหลงใหลเจืองุ่นง่านที่ยังสัมผัสไม่ได้ แต่ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะใช้วิธีนี้อ่อยเขาจริงจัง
   
สำหรับผมมันเป็นนัยแห่งการก้าวผ่านความเจ็บปวดบางอย่าง... แม้ช่วงหลังจะเอนเอียงไปทางเสพติดความวาววับประดับประดา แต่คงไม่ถึงขั้นเจาะจนพรุนทั้งร่างเพราะก็ยังหวงผิวอยู่บ้าง
   
อีกอย่าง... คราวหน้าจะเจาะอะไรก็คงต้องถาม
   
“ไม่ไปก็ดีจะได้ไม่เป็นภาระ” เลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำที่ไม่เข้าใจ พี่เจดเอื้อมมือมาพาดแขนกับไหล่ ขยี้หัวที่ยังยุ่งฟูของผมอย่างหมั่นไส้ “มันฝากกูดูแลมึง”
   
“หึ เห็นผมเป็นเด็กเหรอ” อายุยี่สิบแล้วนะครับ ไม่ต้องให้ใครมาป้อนข้าวป้อนน้ำ
   
“เออ กูก็ไม่ได้รับปาก” ผลักหัวผมก่อนผละออกไป เดินนำหน้าก้าวหนึ่งแล้วยักไหล่ 

“ของใครก็ดูแลเอง”
   
   




กินข้าวเสร็จพวกพี่เจดก็อยู่ซ้อมจนถึงเย็น ลิสต์เพลงที่จะโชว์ พร้อมเถียงกันเรื่องชื่อวง คนที่กระตือรือร้นจัดก็มีแต่ไอ้พี่เครานั่นแหละ ที่เหลือดูจะเอาให้ผ่านๆ เพราะยังไงก็แค่เล่นในร้านเหล้าของพี่ที่สนิทกัน

อีกอย่าง ไม่เห็นเค้าว่าจะไปรอด... ก็เหมือนทุกครั้ง วงพี่เจดแม่งฟอร์มได้ไม่เกินสองงาน เหมือนมีอาถรรพ์
   
อย่างคราวนี้ก็อัปยศตั้งแต่ชื่อวง ‘เตเจเจด’ ...สามช่าโคตรๆ
   
“ทำอะไร” เสียงทุ้มดังจากด้านหลัง แขนข้างหนึ่งยันผนัง ส่วนอีกข้างเกี่ยวเอาผมเกะกะรวบไว้อีกด้าน ให้ริมฝีปากอุ่นได้ประทับลงท้ายทอย
   
“ดูรูป...” ตอบได้เท่านั้นก็ชะงักไป... เผลอหลับตาเอียงคอให้จมูกโด่งซุกไซ้ ระดมจูบไล่มาถึงลาดไหล่
   
“อืม...” หลุดเสียงเคลิบเคลิ้มเมื่อมือซนลูบตามแนวกระดูกสันหลัง อ้อมกลับมาไล้วนที่รอยสักที่เชิงกรานแล้วกระชับอ้อมกอดให้แผ่นหลังแนบชิดอกกว้างที่ยังพรมน้ำ
   
“ดูอะไรทุกวัน” เอ่ยคำถามพลางเลื่อนขึ้นมางับใบหู

“ก็ชอบ” ผมหัวเราะเบาๆ ลืมตามองผนังที่ประดับด้วยรูปถ่ายโพราลอยด์นับร้อยที่ถมผิวผนังด้านหนึ่งจนละลานตา แต่ในความละลานกลับมีภาพหนึ่งโดดเด่นขึ้นมา ด้วยเป็นสีสันเดียวในขาวดำ
   
ช่วงลำตัวเปล่าเปลือยที่ถูกละเลงสีสันตามร่อยรอยการปริแตกกลางร่างกายกำยำ
   
รูปผีเสื้อที่ผมวาดลงบนตัวเขา
   
ฉับพลัน ขณะที่ริมฝีปากบางพรมจูบลงมาที่ซอกคออีกครั้งผมหันกลับไป ยกยิ้มมุมปากอย่างนึกอะไรได้
   
“พี่เต”
   
“หือ?”
   
“ท้าหรือจริง” ใบหน้าคมชะงักนิ่ง เลิกคิ้วประหลาดใจ ก่อนหัวเราะเบาๆ เอ่ยคำตอบที่ผมไม่ต้องเดา

“จะเล่นอะไรอีกครับ”

   




ผมชอบสีหน้างุ่นง่านของเขา...
   
โดยเฉพาะสีหน้างุ่นง่านปนงอแงที่เผลอติดกับดักเอาแต่ใจ...
   
“บอกแล้วว่าเดี๋ยวอาบเป็นเพื่อน” เอ่ยขำๆ พลางก้มลงปาดสีลงบนหน้าท้อง เติมจุดสีเข้มบนปีกที่กำลังแผ่ขยาย... วาดลวดลายคล้ายเดิมแต่ต่างสีสันลวดลาย
   
คำท้าง่ายดายที่เขาเคยมีประสบการณ์ ต่างก็ตรงที่คราวนี้เขานอนราบ... และผมนั่งคร่อมลงไป
   
ท่านี้สบายกว่า... แต่ทำลายสมาธิน่าดู...
   
เจ้าของร่างต่างเฟรมผ้าใบพ่นลมหายใจหน่ายก่อนหลุดหัวเราะกับความเอาแต่ใจ ปลดปลงว่ายังไงก็ต้องอาบน้ำใหม่ในเมื่อร่างกายถูกละเลงสีจนเปรอะเปื้อนขนาดนี้
   
เอื้อมมือหยิบกล้องโพราลอยด์รุ่นเก่าเก็บที่เป็นส่วนหนึ่งของเกมขึ้นมา ลั่นชัตเตอร์ใส่ผม จนได้รูปถ่ายหนึ่งใบ เป็นรูปแบบไหนไม่แน่ใจถึงได้ชวนให้ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มกว้างขบขัน
   
“อย่าขยับดิ” ผมปราม ยึดกล้องมาวางไว้ข้างเข่า แล้วก้มลงวาดเส้นพริ้วไหวลงบนตัวเขา
   
แต่เจ้าตัวยังไม่วายเอื้อมมือมาบีบแก้มผมเล่นอย่างซุกซน เกลี่ยไรผมที่รวบไม่หมด ไล้เรื่อยตามกรอบหน้า นิ้วโป้งเล่นล้อกับจิลที่ปีจมูกขวา ก่อนเลื่อนมาแต้มเหนือมุมปาก
   
คลี่ยิ้มบางก่อนลากลามลงมาที่ลำคอ ไล้นิ้ววนสักพักแล้วเลื่อนต่ำสู่ไหปลาร้า
   
“ปกติไม่มี”
   
ผมชะงัก พยายามก้มมองตามตำแหน่งนิ้วแต่ไม่เห็นจึงได้แต่เลิกคิ้วสงสัย
   
เขายิ้มพลางเกลี่ยนิ้ววนเหนือไหปลาร้าเบาๆ เอ่ยคำตอบเหนือความคาดหมาย “ขี้แมลงวัน”
   
คราวนี้ผมหลุดขำ เพราะไม่คิดว่าเขาจะสังเกต แม้แต่ตัวเองยังชินจนเลิกใส่ใจ จุดสีดำตรงมุมปาก ลำคอและเหนือไหปลาร้าที่คล้ายแต้มจากปลายพู่กัน
   
“โผล่มาจุดหนึ่ง” เกลี่ยนิ้วแผ่วเบา จดจ้องจุดแต้มนั้นอย่างสังเกตสังกา
   
...ราวกับจะทำความรู้จัก ทุกส่วนบนร่างกายไม่ว่าจะเล็กจ้อยแค่ไหน
   
เพียงเท่านั้นก็ทำผมแทบละลาย ทาบตัวทับร่างกดจูบริมฝีปากที่กำลังหยักยิ้มอย่างไม่คิดอดใจ บดจูบแนบแน่น ตักตวงหวานล้ำ... นานเท่าลมหายใจ
   
“สีมัน...” ผละจูบออกมาจึงรับรู้ความเหนอะหนะ ชื้นแฉะ แผ่จากร่างมาสู่ร่าง

เขาหัวเราะเบาๆ โอบกระชับแขนไม่ยอมให้ลุกหนีง่ายๆ ทาบทับอยู่อย่างนั้นราวจะให้สีแห้งกรังเชื่อมสองร่างไว้ มืออีกข้างยกมาเกลี่ยใบหน้า จ้องลึกในดวงตาพาเข้าสู่พราวระยับสีรัตติกาล
   
“จำได้ไหมที่เคยบอกว่าอะไรไม่สำคัญจะไม่จำ”
   
“...” นึกอยู่นานก่อนพยักหน้ากับถ้อยคำรวดร้าว เขายิ้มบางเกลี่ยนิ้วกับขี้แมลงวันเหนือริมฝีปากผมอีกครั้ง 
   
“พี่จำได้ทุกอย่าง”
   
“...”
   
“...เรื่องของพิชญ์”
   
คล้ายคำบอกรักที่เติมหยาดน้ำในใจ อกซ้ายกระเพื่อมไหวโครมคราม ได้แต่ยิ้มกว้าง เก้อเขินจนไม่อาจหาคำ ซุกซบซ่อนใบหน้ากับไหล่กว้าง ให้อ้อมแขนแกร่งโอบรัด กดจูบกลุ่มผมซ้ำๆ ก่อนเลื่อนลามสู่ผิวแก้มร้อนจัด กัดใบหูคล้ายมันเขี้ยวแล้วหัวเราะเบาๆ
   
ใช้เวลาพักใหญ่กว่าผมจะสะกดกลั้นเขินอาย รวมความกล้าเงยหน้าขึ้นไป หรี่ตามองเขาอย่างหมายมาด
   
“รู้ไหมเตวิชญ์” ล้อเลียนคำที่เขาเคยเอ่ยถาม ก่อนหลุดยิ้มอีกครั้ง “น่ารักเกินไปต้องโดนอะไร”
   
คนใต้ร่างเลิกคิ้วประหลาดใจ ยิ่งชะงักเมื่อผมกระถดตัวลงไป จูบไล้ผ่านสีแห้งกรังผ่านรอยแผลเป็นยาว...

ภาพในคืนนั้นฉายซ้ำ...

กางเกงนอนถูกดึงออกเผยส่วนร้อนกลางร่างเต็มตาอีกครั้ง คับขยายด้วยไฟราคะจนปลั่ง... สัมผัสได้ตั้งแต่ที่นั่งทับอยู่บนร่าง... เสียดสีกับสะโพกใต้ผืนผ้าชวนเสียสมาธิจนไม่อาจวาดลวดลายได้ดั่งใจ

เขาหัวเราะเบาๆ เมื่อถูกผมจับได้ถึงความกระหาย ดวงตาสีรัตติกาลพร่างระยับเมื่อรู้ว่าผมกำลังจะทำอะไร

ผมเตือนเขาแล้วว่าให้เตรียมใจ... คราวนี้ผมจะไม่ถอยหลังกลับ
   
ยกมือประคองตัวตนชูชันเอาไว้ ก่อนค่อยๆ จรดริมฝีปากลงไป... แผ่วเบาก่อนหนักเน้น ไล่งับตามความยาว... ไล้ลิ้นลากผ่านเช่นที่เขาทำ...
   
วินาทีนั้นผมได้คำตอบว่าถ้าหากตัวตนแข็งขืนถูกสัมผัสด้วยจิลที่ลิ้นจะเป็นยังไง...

รับรู้ถึงลมหายใจที่ติดขัด หน้าท้องที่เกร็งค้าง ก่อนที่มือหนาจะเอื้อมาประคองใบหน้าผมให้เงยขึ้นไปสบตา

“พิชญ์...” เรียกเสียงแหบพร่าชวนหวามไหว เพียงสีรัตติกาลลึกล้ำจับจ้องหัวใจก็แทบระเบิดเกินความคุมได้ ความกล้าทะยานให้ผมครอบครองส่วนร้อนไว้ในโพรงปาก... ละเลียดลิ้มทีละนิดด้วยคับแน่น ค่อยๆ กลืนกินโอบรัดละเลงลิ้นจากส่วนปลาย

“พิชญ์...” เสียงทุ้มเอ่ยชื่อผมอีกครั้ง คล้ายอึดอัดและขาดห้วงด้วยลมหายใจกระชั้น นิ้วเรียวแทรกเข้ากลุ่มผม ดึงยางจนหลุดเส้นผมสยาย ขณะที่ผมเริ่มขยับ... รูดรั้งเนิบนาบ ประดักประเดิดด้วยครั้งแรก

แต่สิ่งที่ควรรู้คือผมหัวไว... ทุกสัมผัสที่เขาเคยทำให้จึงตอบแทนสู่เจ้าของอย่างทันใจ

ปรนเปรอเช่นที่เขาปรนเปรอให้... ค่อยๆ ไต่ระดับหวามไหวสู่กระสันซ่าน สันกรามคมขบแน่นแว่วเสียงคราง... ราวพญาราชสีห์ร่ำร้องทรมานอยู่ในลำคอ

ผมน้ำตาหลั่งรั้งรื้นด้วยอึดอัด ตัวตนในโพรงปากคล้ายขยายอีกขั้น คับแน่นจนไม่อาจครอบครองทั้งหมดได้ ขี้โกงโดยใช้ฝ่ามือประครองปรนเปรอผ่อนแรง
   
“เดี๋ยว... พิชญ์...” เนิ่นนานแทบขาดใจเขาจึงเอื้อมมารั้งไหล่ สีรัตติกาลพร่างพราวจึงฉายแววคล้ายถึงปลายทาง ผมดึงดันจะครอบครองพร้อมขับเร่งให้จังหวะเร่าร้อนสู่ฝั่งฝัน

...กระทั่งหยาดน้ำข้นฉีดพ่นในโพรงปาก ทะลักล้นจนถอนออกด้วยสำลัก ปล่อยหยาดน้ำที่ยังหลั่งชะโลมไล้ตัวตนที่ยังขยาย

“เดี๋ยวครับ...” ร่างสูงทำท่าจะลุกขึ้นจบกิจกามแต่ผมกดไว้ บังคับให้นอนราบเหมือนเดิมก่อนลุกขึ้นปลดเปลื้องปราการที่ปิดส่วนล่างตัวเองทิ้งไป อวดเรือนร่างที่ถูกไฟปรารถนาปลุกให้ตื่นตัวจนเหนอะหนะไม่แพ้กัน

“หึ” สีรัตติกาลพราวระยับจับใจอีกครั้ง เมื่อผมกลับขึ้นไปนั่งคร่อมร่างกำยำ ขาสองข้างแหวกออกให้สะโพกรับตัวตนของเขาไว้ในรอยแยก

ค่อยๆ ขยับ... รูดรั้งให้หยาดน้ำอาบช่องทางที่ยังคับ

“ซนจัง... คุณพิชญ์...” เอ่ยคำหยอกเย้าก่อนอ้อมแขนกำยำจะดึงให้ร่างโน้มลงไปแนบชิดอีกครั้ง ตะโบมจูบลึกล้ำ เรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัดจนร้อนเร่า ฝ่ามือร้อนลูบไล้ปัดป่ายบีบเค้นทั่วร่าง... เรียกร้องความสนใจจากเรียวนิ้วอีกข้างที่ค่อยๆ ชำแรกเปิดทาง...

“อึก!... ฮื่อ... พี่เต” เพิ่มจำนวนเร่งจังหวะจนคับแน่นหยุ่นยานด้วยนิ้วแกร่ง ปลดปล่อยหยาดปรารถนาไปหนึ่งครั้ง... ก่อนหลุดครางด้วยซาบซ่านเมื่อส่วนร้อนจัดถูกจับให้แทรกเข้ามาแทนนิ้วร้าย

“ดะ... เดี๋ยว” เพียงครึ่งก่อนจะเป็นฝ่ายหยุดไว้ ดึงฝ่ามือใหญ่มาสอดประสาน ถอนริมฝีปากออกสบตาผ่านม่านน้ำแล้วกดจูบทั่วใบหน้า ไล่ระลงฝังรอยสีกุหลาบทิ้งทั่วซอกคอ ได้ยินเสียงหัวเราะระคนเอ็นดูพลางฝ่ามือลูบไล้ผมชื้น เอียงหน้าซุกจมูกลงขมับ ก่อนปล่อยให้ผมลุกขึ้นนั่ง... ทิ้งตัวกลืนกินตัวตนที่ยังเหลือ

คั่งค้างคืบคลานเข้ามาในร่าง... โอบรัดไว้ด้วยเนื้อนุ่มร้อนจัด คับแน่นจนหลุดเสียงครางอีกครั้ง กำมือใหญ่กว่ารวบแน่นไว้ที่หน้าท้องแกร่ง น้ำตาคลอรื้นเบ้าเมื่อรับไว้จนหมด...

“อะ...!” แอ่นตัวบิดรับเมื่อสัมผัสถึงซาบซ่าน เผลอบดสะโพกนวดนาบเร้าจุดกระสัน จิกเล็บลงหลังมืออีกคนจนนิ้วโป้งลูบไล้ปลอบประโลมให้กัน

มองผ่านม่านน้ำตาเห็นรอยยิ้มร้าย... ดวงตาสีรัตติกาลคล้ายท้าทายให้ก้าวสู่หลุมลึกขั้นถัดไป

กลั้นใจขยับ... ถอนสะโพกแล้วกลืนกินอีกครั้ง... เนิบช้าด้วยรวดร้าว

“พี่เต...” ร่ำร้องด้วยอึดอัดทรมาน ตัวตนแทรกลึกจนน้ำตาไหลอาบ แต่คนเจ้าเล่ห์กลับหัวเราะเบาๆ เอื้อมจับสะโพกนวดเค้นปลุกเร้า เรียกให้ขยับสะโพกเชื่องช้า ขึ้นลงด้วยแรงปรารถนา... โหมไฟราคะให้ลามเลียจนร่างร้อนฉ่า

เร่งเร้าเมื่อความคับแน่นชโลมด้วยฉ่ำชื้น เสียงเฉอะแฉะชวนระคายหูถูกกลบด้วยเสียงคราง ร่ำร้องเรียกชื่อคนใต้ร่าง... เสียงผิวเนื้อกระทบคลอเคล้า... คล้ายจะได้ยินเสียงหัวใจเต้นตุบด้วยร้อนเร่า...

“เด็กดี...” เขาปล่อยให้ขยับตามใจ ยอมให้โถมทับความแข็งแกร่ง เคลื่อนขับราคะตามปรารถนาแม้จะยังอ่อนหัด

เชื้อไฟอ่อนค่อยๆ แผ่ขยายกลายเป็นลนลาน จังหวะร่วมรักเนิบนาบทว่าเร้าใจ... ความเหนือกว่าเหนี่ยวนำปลุกความกระสันคืบคลานทีละน้อยจนแล่นพล่านไปทั้งกาย

...กระทั่งปลดปล่อยหยาดราคะเปรอะร่างอีกฝ่ายอีกครั้ง สีขาวขุ่นถะถั่งแต่งแต้มลงไปบนสีที่เคยละเลงไว้ ดูคล้ายลวดลายบนปีกผีเสื้อที่กำลังสยาย

“ชอบไหม...” เสียงพร่าเอ่ยถามเมื่อเห็นผมหอบหนักกระตุกร่าง เอื้อมมือเกลี่ยตามไรผมชุ่มเหงื่อทัดหูให้

“พี่เต...” เรียกพลางเอียงหน้าซุกซบฝ่ามือใหญ่ ให้เขาลูบไล้ปลอบประโลมเอาใจ

สบดวงตาสีรัตติกาลที่ยังพราวระยับก่อนโน้มตัวลงไป ตอบคำถามด้วยรสจูบแผ่วเบา...

แล้วขยับสะโพกเชื่องช้า... กลืนกินตัวตนที่ยังไม่บรรลุราคะอีกครั้ง

...ปล่อยผีเสื้อเริงรักขยับปีกอาบแสงจันทร์





-----------------------------------------------------------
ยืนยันว่าไม่ใช่นิยายขายเซ็กซ์นะคะ แงงงง แม้ว่าจะสี่ตอนรวดก็ตาม...
จริงๆ ตั้งใจให้เป็นตอนน่ารักๆ หวานๆ แล้วดูสิ่งที่เกิดขึ้น...
ยัยพิชชชชชชชชชญ์ ลู้กกกกกกกกก น่าจับตีมากๆ ฮื่อออ
เมกงเมกาไม่ไปแล้ววว!! 5555

ฝาก #เกมท้ารัก ด้วยนะคะ ใกล้จบแล้วววว

ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันเสมอมา

 :L2:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 16 P.7 [04.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 04-01-2018 15:17:22
ปาดด///


ร้อนแรงจัง
ขอเลือดกรุ๊ปโอด่วนค่ะ ฮืออออ มันดีมาก มันฟินมาก

พี่เตสนใจนักอ่านมั๊ยคะ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 16 P.7 [04.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 04-01-2018 15:34:35
ไปเมกาไม่ได้กินนะพี่เต  :hao6:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 16 P.7 [04.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Rungsai ที่ 04-01-2018 16:07:01
เลือดหมดตัวเเล้วค่าาาาาา  :jul1:
บอกตรง ๆ เราชอบพี่เจดอะ แบบพี่เจดน่ารักนะเว้ย
ไอ้พี่เคราน่ะ อยากรู้ว่าจะมีเรื่องของพี่เจดมั้ย
เป็นอีกตัวละครหนึ่งที่น่าสนใจ  :hao5:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 16 P.7 [04.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 04-01-2018 16:55:18
แซ่บมาก เซ็กซี่มาก ทั้งคู่เลย ฮือออออ ไม่ไหว๊ :m25:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 16 P.7 [04.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 04-01-2018 18:51:27
ฮือ เราจะเป็นลมจริงๆนะคะ ข่วยด้วบยย :jul1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 16 P.7 [04.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 04-01-2018 20:13:47
น้องพิชญ์น่ารักน่ารังแกขนาดนี้พี่เตจะไปไหนรอด ลืมอเมรกาไปได้เลย แถมยังมีความอวดโผอีก ฮือออ อยากได้น้องมาขยี้ให้หน่ำใจ แต่ก็อยากได้พิเตเป็นโผด้วย5555
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 16 P.7 [04.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: dreammed46 ที่ 04-01-2018 20:18:00
ยัยน้องพิชญ์ หนูทำดีมากข่าลูกกกกกกก ชอบตอนจูบต้นคอกับเพ้นตัวมากกกก
ทำไมหนูยั่วขนาดเน้ :ling1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 16 P.7 [04.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 04-01-2018 20:40:33
อยู่ๆพี่เตคนเย็นชาก็ร้อนแรงดังฟายเอ้อร์  อ๊ากกกก พี่เผยด้านนี้ออกมาแล้วจะกลับไปทำตัวเหมือนเดิมไม่ได้แล้วนะ แม่ยกน้องพิชญ์ขอคาดโทษล่วงหน้า :katai1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 16 P.7 [04.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 04-01-2018 20:51:33
ชอบสำนวนการบรรยายแบบนี้จังค่ะ อีโรติกจริงจัง
เข้ามารับพรปีใหม่ค่ะ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 16 P.7 [04.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 04-01-2018 22:24:37
 :haun4: ร้อนแรงมาก
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 16 P.7 [04.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: 05th_of_06th ที่ 04-01-2018 23:18:12
ไม่ไปแล้วม๊างงงงงงงงเมกงเมกาเนี่ยยยยยย  :jul1: :jul1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 16 P.7 [04.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Quatree ที่ 04-01-2018 23:27:57
 :jul1: :jul1: :jul1: :jul1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 16 P.7 [04.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: PrInceZz ที่ 05-01-2018 00:48:22
น้องพิชญ์
เอาให้พี่เตหลงให้มากๆๆๆๆๆๆเลยลูก
 :m25: :m25:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 16 P.7 [04.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: prawan25 ที่ 05-01-2018 01:15:32
ฮืออออออออ!!!
เหม็นความรัก!! อะไรจะรักร้อนแรงขนาดนี้ 5555.
แต่เราชอบในความร้อนแรงของน้องกับพี่เตนะ
อยากจะบอกน้องพิชญ์ว่า แม่ภูใจในตัวลูกจริงๆ 5555.
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 16 P.7 [04.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 05-01-2018 04:06:58
หลงน้องขนาดนี้ไม่ต้องไปแล้วแหละเมกาอะ :hao3:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 16 P.7 [04.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: memytae ที่ 05-01-2018 22:49:14
เมกาไม่มีน้องพิชญ์ให้กินนะพี่เต
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 17 P.8 [08.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 08-01-2018 18:52:17
17

   
ผมชอบเวลาที่ตื่นมาแล้วเห็นหน้าเขา...
   
ใบหน้าคม กับรอยยิ้มบางที่ส่งมาราวกับรอจังหวะให้ผมรู้สึกตัว ดวงตาสีรัตติกาลเป็นประกายจับจ้องเข้ามาในตา ราวกับจะจดจำทุกขณะ ทุกห้วงลมหายใจ
   
“อรุณสวัสดิ์” ผมเป็นฝ่ายเอ่ยทักทาย ยิ้มกว้างพลางขยับตัวซุกอกอุ่นให้ผิวเนื้อสัมผัสกัน
   
“หิวยัง” เสียงทุ้มกระซิบถาม กระชับอ้อมแขนกดจูบลงที่ขมับ ผมส่ายหน้าถูจมูกกับแผ่นอกออดอ้อน

“ขออยู่แบบนี้สักพัก”
   
พี่เตหัวเราะเบาๆ ลูบหัวลูบหลังกล่อมให้ผมหลับในอ้อมกอดอีกครั้ง

   




ผมชอบอาหารฝีมือเขา...
   
อาหารเช้าง่ายๆ ที่เขาถามผมก่อนนอนว่าอยากกินอะไร ถ้าทำได้เขาจะทำ ถ้าไม่ได้... ผมจะเห็นเขาเสิร์ชวิธีทำ
   
บอกแล้วว่าพี่เตมีพรสรรค์ในทุกๆ ด้าน ดังนั้นผมเลยไม่ต้องกลัวว่าอาหารที่เขาทำจะไม่ถูกปากเลยสักครั้ง
   
“คืนนี้เล่นกี่โมง” ถามพลางเดินไปตักข้าวต้มกุ้งชามที่สอง
   
“สองทุ่ม” คนอิ่มก่อนวางช้อนนั่งมองผมตักข้าวต้มใส่ปาก เคี้ยวเอื้องก่อนกลืนเชื่องช้าพลางยิ้มขำ
   
“เร็วจัง” รอข้าวหมดปากผมจึงเอ่ย “คิดว่าจะเล่นก่อนเคาท์ดาวน์”
   
วันนี้วง ‘เตเจเจด’ ขึ้นแสดง เป็นความคิดของพี่เจดเขาล่ะที่อยากให้ครั้งแรกเปิดตัวในเทศกาลส่งท้ายปี ถือเป็นฤกษ์งามกับบรรยากาศดีๆ ที่น่าจะทำให้วงอยู่รอดในปีต่อไป
   
ไม่สำเหนียกเลยว่าหลังปีใหม่ก็เปิดเทอม... เวลาซ้อมคงแทบจะหาไม่ได้
   
“บอกเจดไว้ ว่าอยากออกมาเคาท์ดาวน์สองคน” ผมยิ้มกว้าง เพราะตั้งใจไว้แบบนั้นเหมือนกัน
   
ตอนได้ยินว่าได้เล่นงานปีใหม่ ยังคิดอยู่เลยว่าคงได้นับถอยหลังกับคนเมานับร้อยในร้านเหล้า... น่ารำคาญ
   
“อยากไปไหน” ผมส่ายหน้า ซดข้าวต้มเข้าปากคำโต
   
“กลับห้องได้ไหม” เทศกาลใหญ่รถเยอะคนแยะ ไปไหนก็คงวุ่นวาย “เป็นห่วงปูน อยู่ตัวเดียวเดี๋ยวตกใจเสียงพลุหัวใจวาย”
   
ผมเคยเห็นหมาเพื่อนตกใจเสียงพลุ ทั้งร้องทั้งลนลาน น่าสงสารจะตาย
   
“ซื้ออะไรมากิน ดูหนัง เที่ยงคืนค่อยออกไปดูพลุที่ระเบียง”

แทบไม่ต่างจากชีวิตประจำวัน... แพลนปีใหม่ของคนสันหลังยาว
   
เขายิ้ม ไม่คัดค้าน เอื้อมมือมาเช็ดริมฝีปากที่เลอะให้แล้วนั่งมองผมกินข้าวต่อด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย

พี่เตชอบทำแบบนี้ แทนที่จะถามผมว่ากับข้าววันนี้เป็นยังไง เขาจะนั่งมอง... จับจ้องทุกปฏิกิริยาของผมด้วยสายตาเอ็นดู ไม่ได้ทำให้กดดัน แต่กลับทำให้ผมอยากนั่งกินข้าวตรงหน้าเขาในทุกๆ มื้อ ทุกๆ วัน
   
พอคิดแบบนั้นผมก็รู้สึกอยากกอดเขา เลยลุกขึ้นเดินอ้อมไปหาคนตัวโตกว่าที่เลิกคิ้วประหลาดใจ ทิ้งตัวนั่งคร่มลงบนยกมือโอบรอบคอเขาไว้ ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ เมื่อผมกดจูบที่ลำคอแกร่ง ไล่ลงมาถึงไหล่กว้าง

"ข้าวต้มอร่อยมาก"

"..."
   
“ขอบคุณนะครับ” สัมผัสถึงหัวใจของอีกคนที่เต้นแรงขึ้นมา เขาโอบหลังผม กระชับอ้อมแขนแน่น ซุกจมูกกับขมับกดจูบซ้ำๆ แล้วผ่อนลมหายใจ
   
...ไม่มีคำพูดใด นานนับชั่วโมง

   




ผมชอบใบหน้าที่ดูตั้งใจของเขา...
   
ไม่ว่าจะทำอะไร พี่เตมักจะจดจ่อจนคนมองอย่างผมสัมผัสได้ หลายครั้งที่ผมรู้ว่าไม่ใช่แค่พรสรรค์ที่ทำให้เขาล้ำหน้าใครๆ แต่เป็นเพราะเขาทำมันอย่างตั้งใจ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน...
   
เพราะแบบนั้นเขายิ่งน่าหลงใหล
   
ผมเดินฝ่าผู้คนไปนั่งบนโต๊ะที่พี่เจดจองไว้ให้ ตำแหน่งหน้าสุดเยื้องเวทีที่ตอนนี้สมาชิกทั้งสามกำลังเตรียมเครื่องดนตรีสำหรับเล่นเปิดงาน
   
สมกับที่พี่เจดไปแสวงหามา เจไดฝีมือไม่ธรรมดา ซ้อมครั้งสองครั้งก็ตามจังหวะพี่เตได้อยู่หมัด แถมยังเข้าขากับพี่เจดราวกับเล่นด้วยกันมานาน ไอ้พี่เคราปลื้มยกใหญ่ อวยเจไดจนแทบจะลอยได้ จากที่เจ้าตัวดูจะนิ่งๆ หยิ่งๆ ก็เลยกลายเป็นขำกับความเกินหน้าเกินตาของไอ้พี่เครา
   
“สวัสดีครับ” เสียงโห่ร้องดังขึ้นเมื่อเสียงแหบทุ้มเอ่ยทักทาย พี่ใหญ่สุดยืนอยู่หน้าไมค์ด้วยตำแหน่งมือกีตาร์ควบนักร้องนำ “พวกเราเตเจเจด”
   
แน่นอนว่ามีคนขำ... ผมเป็นหนึ่งในนั้น
   
พี่เจดหัวเราะอายๆ เคาะไมค์แก้เก้อแล้วเอ่ยสั้นๆ “เริ่มเลยเนอะ”
   
หลังจากนั้นคือความมัน โดยไม่ต้องมีการเกริ่นนำใดๆ เริ่มแรกก็ใช้เพลงจังหวะเร้าใจ เรียกให้สมาชิกวงเหล้าที่กำลังคุยกันอย่างออกรสหันมาสนใจ โยกหัวกระดิกเท้าตามจังหวะที่ปูให้ ก่อนเข้าสู่จังหวะกระแทกกระทั้น ร้อนแรงจนเสียงโห่เชียร์ดังลั่น คนมากมายลุกขึ้นขยับร่างเกาะกลุ่มกระโดดกันหน้าเวที 

หลังจากนั้นราวกับเครื่องติดเต็มที่ ดีกรีแอลกอฮอล์ยิ่งขับให้เวทีร้อนเร่า

แน่นอนว่าสิ่งเดียวที่ดึงดูสายตาของผมคือเจ้าของแขนกำยำที่กำลังสะบัด... จากมุมนี้เห็นเขาชัดราวจัดวางไว้ ใบหน้าคมเคร่งขรึมจดจ่อกับเครื่องดนตรีตรงหน้ายิ่งดูเซ็กซี่กว่าปกติ ดวงตาสีรัตติกาลหันมาสบตาผมเป็นระยะ รอยยิ้มร้ายที่ผุดพรายในบางจังหวะน่าหลงใหล ร่างกายกำยำชุ่มเหงื่อยิ่งดูเซ็กซี่แทบหยุดหายใจ...

คล้ายจงใจโปรยเสน่ห์ให้ผมตกหลุมรักซ้ำๆ

“มาคนเดียวเหรอครับ” เผลอขมวดคิ้วหงุดหงิดที่มีคนขัดจังหวะสายตา ผมหันกลับมามองใครอีกคนที่ถือวิสาสะนั่งข้างๆ พร้อมยื่นแก้วมาตรงหน้า “ขอชนแก้วหน่อยได้ไหม”

ผมยื่นแก้วตัวเองไปชนตามมารยาทก่อนเบนสายตากลับไปจดจ้องเวทีอีกครั้ง มองคนหลังกลอง... ที่ตอนนี้มองมาไม่วางตาเช่นกัน

ดวงตาสีรัตตากาที่จับจ้องนิ่งนาน ไม่อาจอ่านได้ว่ากำลังคิดอะไร

ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย กระดกแอลกอฮอล์ในแก้วมองปฏิกิริยาของเขาอย่างสนใจ... ที่ผ่านมาผมไม่เคยปฏิเสธคนที่เข้าหา แต่ไม่เคยตอบรับใคร ทุกครั้งจบลงที่บทสนทนาจบในตัวเอง และคนเหล่านั้นจะเดินหนีโดยไม่ต้องออกแรงไล่...

แต่คราวนี้เหมือนจะต่างออกไป...

มันกลายเป็นคำถาม... ว่าเขาจะทำยังไง

“ขอบคุณครับ!” ความสงสัยอยู่ได้ไม่นาน เมื่อในที่สุดการแสดงเปิดงานก็จบลง

และชั่วขณะที่เสียงโห่ร้องดังลั่น... ชั่วขณะที่พี่เจดหัวเราะร่า แกล้งยีหัวเจไดที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาลุกขึ้นจากหน้าที่และเดินตรงมา...

ชั่วขณะที่ผมกำลังคิดว่าเขาจะจัดการผู้ชายแปลกหน้าที่เข้ามาเกะกะยังไง เขาหยุดอยู่ตรงหน้าผม ยกยิ้มร้าย... ก่อนฉกฉวยริมฝีปากลงมาโดยไม่เอ่ยอะไร

ไม่มีคำต่อว่า แต่ราวมีไฟระอุอยู่ในริมฝีปากที่บดเบียดลงมา... จูบร้อนแรงพรากลมหายใจจนเหนื่อยหอบเมื่อเขาผละออกให้ตักตวงอากาศ

การประกาศความเป็นเจ้าของอย่างอุกอาจทำให้ผู้ชายคนนั้นไม่อาจนั่งอยู่ผิดที่ผิดทางอีกต่อไป

"คุณพิชญ์"

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมจบง่ายๆ

“ท้าหรือจริง”

เพียงแต่... มีแต่ผมที่เป็นฝ่ายถูกเล่นงาน







ผมชอบเวลาเขาหึง...

ไม่ใช่เพราะรสจูบที่รุนแรงขึ้นเป็นเท่าตัว... ไม่ใช่เพราะระดับความมัวเมาที่ทบทวีในสัมผัส ไม่ใช่เพราะเล่ห์เหลี่ยมร้ายที่ผมตามไม่ทัน

แต่เพราะมันช่วยยืนยันว่าเขาให้ความสำคัญ

...ถึงบทลงโทษของเขาจะทำผมทรมานแทบขาดใจ

“พะ... พี่เต...” น้ำเสียงขาดห้วงเว้าวอนพร้อมลมหายใจกระชั้น น้ำตาหลั่งรื้นขึ้นมาบนดวงตาทั้งสองข้าง ร่างกายบิดเร่าด้วยความทรมาน

“หืม?” แกล้งขานรับทั้งที่รู้ว่าผมต้องการอะไร ริมฝีปากร้อนง่วนกับการขบเม้มซอกคอ ตีรอยสีกุหลาบแสดงความเป็นเจ้าของทั่วผิวกายที่คล้ายจะลุกไหม้ มือข้างหนึ่งโอบอุ้มประคองแผ่นหลังผมไว้ ขณะที่อีกข้างปัดป่ายส่วนอ่อนไหวที่ไวสัมผัสด้วยห่วงสีเงิน

กระดุมเสื้อเชิ้ตถูกปลดเปิดเปลือยเพียงให้เห็นแผ่นอกที่กระเพื่อมหนักตามจังหวะหายใจ แต่ส่วนล่างกลับไม่เหลือปราการใดไว้ปกปิดส่วนกลางร่างกายที่กำลังชูชัน... และช่องทางที่โอบรัดตัวตนของอีกคนไว้

ส่วนร้อนขยายคับอยู่ในร่าง... แทรกเข้ามาจนสุด แต่คั่งค้างอยู่อย่างนั้น... ไม่ยอมขยับ

“ฮะ... ฮื่อ...!” ความอึดอัดเรียกร้องให้แขนที่โอบรอบคอและขาที่เกาะก่ายเอวหนากระชับ เผลอขยับสะโพกเบียดบดเข้าหาอย่างน่าอาย

“หึ” คนใจร้ายหัวเราะในลำคอ ริมฝีปากร้อนไล่ซับหยาดเหงื่อเจือน้ำตาบนใบหน้า ก่อนเลื่อนขึ้นมาขบใบหู กระซิบเสียงแผ่วพร่า “ทนไม่ไหวแล้วเหรอครับ”

ผมได้แต่พยักหน้ายอมรับ... พ่ายแพ้หมดท่ากับบททดสอบราคะตามคำท้า

“พี่เต... ขยับ... อะ!” คำออดอ้อนเปลี่ยนเป็นเสียงร้องคราง เมื่อคนตัวโตกว่ากระชับชิด แผ่นหลังอาบเหงื่อปะทะผนังอีกด้านของห้องน้ำคับแคบดังลั่น แต่ก็ถูกเสียงดนตรีจากข้างล่างดังกลบ และห้องน้ำรกร้างก็ไม่ใช่สถานที่ที่ใครสักคนจะย่างกรายเข้ามาง่ายๆ

มีเพียงคนใน ที่รู้ว่ามันซ่อนตัวอยู่ตรงมุมอับ... ซ่อนตัวลึกลับแยกจากทุกความสนใจ
 
“พี่เต...” ร้องเรียกด้วยความกระสันที่แล่นปลาบทั่วร่าง ดิ้นรนคลายทรมานด้วยการขบฟันลงบนผิวเนื้อใต้เสื้อที่อาบเหงื่อไม่แพ้กัน

ฝากรอยกัดไว้บนลำคอ ขบกัดลากเรื่อยอย่างไม่อาจอดกลั้น

"ชู่ว..." แต่แทนที่จะทำตามคำร้องขอ ตัวตนที่แทรกลึกยิ่งกว่ากลับถูกถอนออกไป "ยังไม่ใช่ตอนนี้"

"อื้อ...!" ความว่างโหวงชวนผวา บิดร่างพลางหลุดเสียงร้องลั่นน่าอาย "พะ...พี่เต..."

เสียงกระเส่าไม่อาจออดอ้อนให้ได้ดั่งใจ คนใจร้ายจบบทรักที่ยังไม่เริ่ม... ปล่อยไฟราคะที่ยังไม่ถูกดับให้โหมกระหน่ำอยู่ในร่าง

“กลับเถอะ” อยากประท้วงห้าม แต่ไม่อาจเปล่งเสียงด้วยความรู้สึกที่ยังคั่งค้าง “เดี๋ยวเคาท์ดาวน์ไม่ทัน”   

เขาแกล้งยิ้มยั่วเย้า กดจูบหนักที่ขมับ ก่อนปล่อยร่างปวกเปียกของผมลงกับพื้น ประคองเอวไว้ด้วยรู้ว่ายืนไม่ไหว มือสองข้างของผมยังคงโอบรอบคอเขาไว้ กระชับแน่นพลางฝังเขี้ยวลงบนเนื้อแน่นตึงด้วยความหมั่นไส้

ร้ายชะมัด!

“จำไว้นะเตวิชญ์” ขบกัดจนพอใจจึงยอมผละจาก เข่นเขี้ยวสบดวงตาสีรัตติกาลอย่างคาดโทษที่กลั่นแกล้งกัน หยิบกางเกงขึ้นมาสวมทับส่วนที่ยังอึดอัด ไฟปรารถนาที่ยังคงปลั่งทำให้งุ่นง่าน ก่อนชะงักเมื่อเห็นว่าภายใต้กางเกงยีนของอีกคนก็ยังโป่งชัดไม่แพ้กัน

ผมยกยิ้มบ้าง สบดวงตาสีรัตติกาลด้วยสายตาท้าทาย

เกมทดสอบราคะเริ่มขึ้นอีกครั้ง...






ผมชอบสัมผัสของเขา...

สัมผัสอ่อนหวานทว่าร้อนเร่า...

สุขสมเคล้าทรมาน... เติมเต็มพร้อมบดขยี้จนแหลกลาญในคราเดียวกัน

รสสัมผัสอ่อนโยนปลุกเร้า แทรกกระสันหวานล้ำทั่วร่าง... ผุดซึมหยาดเหงื่อให้ไหลอาบ ชุ่มเหนอะส่งเสียงเฉอะแฉะในทุกจังหวะ... เคล้าเสียงสะโพกกระทบกระทั้น... เสียงครางหวานดังลั่นเจือเสียงหอบหนัก

สองร่างเกี่ยวกระหวัดเนิ่นนาน... ละเลียดชิมรสสัมผัสของกันและกันอย่างตะกละตะกลาม

ความอดกลั้นตลอดระยะทางทำให้ความปรารถนาทบทวีเกินต้าน... ปลุกราคะให้โหมกระหน่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า... หยาดน้ำขาวข้นอาบล้นถั่งถม...ไม่ทันได้แห้งกรัง ท่วงทำนองรักหลากท่าถูกนำมาใช้ระบายความกระสัน

...สัมผัสรสรักหยาบโลนกระทั่งอ่อนโยน

จากเร่งร้อนลดดีกรีเป็นโอนอ่อน... ก่อนปลอบประโลมระคนออดอ้อน

จากกระแทกกระทั้นด้วยแรงอารมณ์ เปลี่ยนเป็นเล้าโลมเนิ่นนาน ขับเน้นความหวานราวเคี่ยวน้ำตาล... เจือจางจนข้นคลั่ก... ก่อนทะลักล้นเมื่อถึงฝั่งฝัน

ปลดปล่อยหยาดราคะเปรอะเปื้อนอีกครั้ง

“พี่เต...” ร่างกายกระตุกสั่นในอ้อมกอดอุ่น สะท้านไม่อาจควบคุมขณะซุกซบอกกว้าง ฝ่ามือใหญ่ลูบแผ่นหลังปลอบประโลม

จูบซับทั่วใบหน้า พลางพร่ำเรียกชื่อผมย้ำๆ

...กล่อมจนหลับด้วยคำบอกรักซ้ำไปซ้ำมา







ผมชอบเสียงของเขา...

“พิชญ์”

เสียงทุ้มต่ำน่าหลงใหล คล้ายดังจากที่ไกลๆ ...แผ่วเบาอยู่ในหู เรียกให้ขานรับคล้ายละเมอ

“สวัสดีปีใหม่” หลุดหัวเราะ ฝังหน้ากับหมอน งัวเงียสักพักก่อนลืมตา สบกับดวงตาสีรัตติกาลพร้อมรอยยิ้มจางที่มุมปาก ก่อนร่างสูงจะโน้มตัวลงมากดจูบที่ขมับที่ยังชื้นเหงื่อแผ่วเบา

“เที่ยงคืนแล้วเหรอ” เอ่ยถามเมื่อมองผ่านร่างของอีกคนออกไปเห็นประกายสีสว่างวาบกระจายทั่วฟ้าก่อนดับไป

บ่งบอกว่าผมไม่ทันอยู่นับถอยหลัง

“อืม” ครางรับทั้งทั้ริมฝีปากยังไม่ผละจาก ไล้จูบทั่วใบหน้าคล้ายปลอบประโลมเอาใจ

รสสัมผัสที่ยังคั่งค้างทั่วร่างเล่นเอาหลุดเสียงครางเมื่อขยับ ลุกขึ้นนั่งปรับสภาพด้วยความยุ่งเหยิงราวยังไม่สร่าง แปลกใจที่เห็นร่างที่เคยเปลือยเปล่าถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อผ้าใหญ่กว่าขนาดตัว ความเหนอะหนะและคราบที่เปรอะร่างถูกทำความสะอาดระหว่างหลับใหลไม่รู้ตัว

คลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิมพลางขยับเข้าหาร่างสูงโอบแขนรอบลำคอแกร่ง ซุกไซ้จนคนตัวโตกว่าหลุดขำ กดจูบขมับลูบหัวลูบหลังเอาใจ

“เปียกปูนอ่ะ” นึกขึ้นได้ถึงเจ้าสัตว์สี่ขาที่ไม่น่าจะอินเทศกาลเท่าไหร่

“อยู่ใต้เตียง... ไม่เป็นไรหรอก ห้องเก็บเสียง” พยักหน้ารับก่อนผละจากอ้อมกอด เปลี่ยนเป็นสบตาสีรัตติกาลอย่างออดอ้อน

“อยากออกไปดูพลุ” อ้าแขนบอกเป็นนัยว่าลุกไม่ไหว ฝ่ามือใหญ่จึงขยี้ลงมาบนผมอย่างหมั่นไส้ ก่อนตามใจด้วยการสอดแขนยกร่างผมกระเตงราวอุ้มเด็ก

ท่าทางน่าตลกทำผมหลุดหัวเราะ แกล้งเกาะไหล่ร่างสูงไว้แน่น กระทั่งเขาพาออกมาที่สวนกว้าง จึงปล่อยให้ยืนพิงระเบียง เปลี่ยนเป็นรัดอ้อมแขนโอบกอดจากด้านหลัง พร้อมเป็นเกราะกำบังลมหนาว

"สวยจัง" รู้ตัวว่าดวงตาคงเป็นกระกาย ฉายแววตื่นเต้นคล้ายเด็กๆ เมื่อเห็นพลุมากมายกระจายชัดอยู่ตรงหน้า

เป็นครั้งแรกที่ได้ยืนดูพลุบนตึกสูงไร้สิ่งบดบังสายตา คล้ายได้ยินเสียงโห่ร้องยินดีปะปนในเสียงดอกไม้ไฟ แสงสีต่างๆ สว่างวาบก่อนมอดดับกลางท้องฟ้า เล่นล้อกับแสงของดวงจันทร์ที่เปล่งประกาย

“สวัสดีปีใหม่” เอ่ยคำตามเทศกาลพลางหันไปสบตาเจ้าของสีรัตติกาลที่จับจ้องมาก่อนหน้า ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มรับก่อนจะกดจูบลงมาบนริมฝีปาก เพียงแผ่วเบาก่อนผละออกไป ปล่อยให้ผมเพลินกับสีสันของดอกไม้ไฟที่ปะทุไม่ขาดสาย

...กระทั่งท้องฟ้าแต่งแต้มด้วยพลุชุดสุดท้าย

“พิชญ์...” ผมได้ยินเสียงเรียกแผ่วเบา...

“พี่รักพิชญ์” เสียงกระซิบที่ไม่อาจกลบด้วยการปะทุใดๆ ฝังลึกลงมาในหู แผ่ความอบอุ่นไปทั้งใจ...



อุ่นซ่านจนไม่อาจสัมผัสถึงน้ำเสียงสั่นไหว...

อุ่นเกินกว่าจะรับรู้ได้ถึงหยาดน้ำที่หยดลงมาบนไหล่...

อบอุ่นจนไม่ทันไหวตัวว่าเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง... มันจะอันตรธานหายไป...

จำได้ไหมที่ผมเคยบอกไว้...

ความสุขจนสำลัก คือสัญญาณของครั้งสุดท้าย

เซ็กซ์ที่อ่อนหวาน... รสจูบและสัมผัสอ่อนโยนกว่าครั้งไหนๆ... คำบอกรักซ้ำๆ ราวกับจะฝังตรึงไว้ในใจ...

ถ้ารู้... ผมคงระแคะระคาย... ว่ามันเอ่อล้นเกินไป

ถ้ารู้ก่อนอาจสังเกตได้ถึงสัญญาณ...

คงเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความหวั่นไหว...

คงสัมผัสได้ถึงความกลัวที่กัดกินในใจ...

ความลับที่เขาปกปิดไว้... อาจเป็นอดีต... อนาคต ผมไม่แน่ใจ

ถ้ารู้สึกนิด ผมจะเอ่ยทุกอย่างที่อยู่ในใจ...

ผมชอบที่ได้ตื่นมาเจอหน้าเขา... ชอบอาหารฝีมือเขา... ชอบใบหน้าที่ดูตั้งใจของเขา... ชอบเวลาที่เขาหึง... ชอบสัมผัสของเขา... เสียงของเขา...

ผมชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเขา...

จะบอกให้เขารู้ว่าตัวเองมีค่ากับผมแค่ไหน... บอกให้รู้... เผื่อว่าจะรั้งเขาไว้ได้

บอกให้รู้... เผื่อว่าสุดท้ายประวัติศาสตร์อาจจะไม่ซ้ำรอย...





เช้านั้นผมตื่นขึ้นมาด้วยเสียงเห่าของเจ้าตัวเล็กที่วิ่งวุ่นกระวนกระวาย...

"พี่เต..." ที่นอนอีกฝั่งว่างเปล่าเหลือเพียงความยับย่นเย็นชืดของผ้าปูที่นอน คงคิดว่าเขาออกไปเตรียมอาหารเช้าให้เหมือนเคยถ้าหากโทรศัพท์ที่ปิดเสียงไว้ไม่โชว์มิสคอลจากพี่เจดเป็นสิบๆ สาย

คงไม่คิดอะไรถ้าหากไม่เห็นว่าบนโต๊ะข้างเตียงมีรูปถ่ายโพราลอยด์ที่โชว์ใบหน้าผมที่กำลังยิ้มร่าขณะวาดลวดลายบนร่างเขาถูกบรรจงวางไว้

คงไม่คิดอะไรถ้าข้างกันนั้น ไม่มีโพสต์อิทเขียนตัวหนังสือหวัดๆ ที่ผมไม่เข้าใจความหมาย

ครืดด...

และก่อนที่สมองจะประมวลผลอะไรได้โทรศัพท์ของผมก็สั่นอีกครั้ง... คราวนี้หยิบมากดรับทั้งที่สายตายังจับจ้องโพสต์อิทในมืออยู่อย่างนั้น 

...มันเป็นครั้งแรกที่เขาทิ้งข้อความเอาไว้

[ พิชญ์! อยู่ไหน ทำไมไม่รับโทรศัพท์ ]

“ป๊า...” ผมเรียก ทั้งที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะพูดอะไร

...ไม่เข้าใจว่าทำไมหัวใจถึงเต้นแรง และเหมือนว่าเรี่ยวแรงมันจะหายไป

[ พิชญ์ ตอนนี้มึงยังอยู่บ้านไอ้เตใช่ไหม เดี๋ยวกูไปหา... ]

“ป๊า... เขาอยู่ไหน” ไม่เข้าใจว่าทำไมน้ำเสียงถึงสั่นพร่า คล้ายจะหายใจไม่ออก

[ พิชญ์... ]

“ป๊า... พี่เตอยู่ไหน” ไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ น้ำตาถึงได้ไหลทั้งที่สมองยังเรียบเรียงอะไรไม่ได้

[ พิชญ์ มึงทำใจดีๆ ก่อนนะ ]

"..."

[ ไอ้เตรถคว่ำ ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล ]

“...” แต่วินาทีนั้น ผมกลับเข้าใจ... เข้าใจแจ่มชัดว่าข้อความที่เขาทิ้งไว้ให้ หมายความว่ายังไง


‘ขอโทษ... ขอบคุณที่กลับมา’


ข้อความสั้นๆ ที่ทำให้หวนนึกถึงครั้งแรกที่เขาหายไป...

ตอนนั้นผมกล่าวโทษตัวเอง ทั้งที่ไม่รู้ว่ามันพลาดตรงไหน... ไม่รู้ว่าผมทำอะไรผิดไป
   
แต่คราวนี้ผมรู้แล้ว... จุดเล็กๆ ที่เป็นสาเหตุเดียวกัน... 

เป็นเหตุของทุกอย่าง... จุดเริ่มต้นของทุกเรื่องราว

จุดเล็กๆ ที่ใกล้ตัวจนเผลอมองข้าม...
   
มอเตอร์ไซค์...





------------------------------------------------------------
เตรียมรับแรงกระแทก...



หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 17 P.8 [08.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 08-01-2018 19:01:48
พี่เตตต  :ling1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 17 P.8 [08.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 08-01-2018 19:32:29
มาม่าโชยยยย

ทำไมอ่ะ พี่เต จะทิ้งกันไปอีกแล้วหรอ 

ปล ดีใจมากมาอัพ เพิ่งอ่านวนไป2รอบ
ขอบคุณค่าาาาาา :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 17 P.8 [08.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 08-01-2018 19:54:56
โหดร้ายยยยย หลอกเราด้วยความหวาน ความอ่อนโยนสุดๆ ทำร้ายเราด้วยวิธีการที่โหดร้ายมากกกกกก ไม่ทันตั้งตัวเลยอ่าาาา ถ้าเป็นแบบนี้ คุณพ่อพี่เตที่อเมริกาล่ะ??  :m15: กระแทกเรากับน้องได้รุนแรงมากกกกก ใจร้ายยยยยยย :m15:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 17 P.8 [08.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Mamars ที่ 08-01-2018 20:11:38
โอ๊ยยยยย ใจช้านนนนน ร้องไห้งอแง
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 17 P.8 [08.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 08-01-2018 21:07:35
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 17 P.8 [08.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 08-01-2018 21:08:34
พี่เต ฮือออออออออออ อย่าทิ้งพิชญ์ไป :ling1: :hao5:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 17 P.8 [08.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 08-01-2018 21:17:23
ปูทางหวานๆมา5ตอน แล้วคุณมาหักหลังเราอย่างนี้ได้ยังไง ฮืออออ ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจแต่เราเสียใจมาก พี่เตตั้งใจหรอ หรือยังไง เหมือนพี่เตตั้งใจให้รถคว่ำเลยอ่ะ แล้ว2ปีก่อนล่ะ เหมือนปมจะไม่ซับซ้อนแต่ก็เหมือนจะซับซ้อน สงสารสุดคือน้องพิชญ์ ตื่นมาก็เจอกับเรื่องแบบนี้ทั้งที่เมื่อคืนมีความสุขอยู่แท้ๆ อยากกอดปลอบ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 17 P.8 [08.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 08-01-2018 21:45:35
พี่เตนั่นแหล่ะ กลับมาาาาาาาาาาา  :ling3:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 17 P.8 [08.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Namshine ที่ 08-01-2018 23:03:26
พี่เตตตตตตตตตตตต :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 17 P.8 [08.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: QueenPlai ที่ 08-01-2018 23:17:21
พี่เตอย่าเป็นอะไรนะ... พี่เตตตต ฮืออออ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 17 P.8 [08.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Rungsai ที่ 08-01-2018 23:18:51
อีพี่เตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตต๊ !!!!!!
ทำไมมาหลอกให้เราตายใจแบบนี้
หวานมากี่ตอน เจอตอนนี้ไปใจปวดมาก T^T
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 17 P.8 [08.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 08-01-2018 23:46:21
พี่เตตตตตตตตตต ฮือออออ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 17 P.8 [08.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: from_mars ที่ 09-01-2018 07:11:57
คืออะไรอ่ะ งง อ่ะ ล้มอีกแล้วเพราะอะไร ไม่ใช่ตั้งใจใช่ไหม
รอรับแรงกระแทกอย่างหวาดๆ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 17 P.8 [08.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: myd3ar ที่ 09-01-2018 21:16:04
อะไรอ่า เพิ่งได้มีความสุขเอง
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 17 P.8 [08.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 09-01-2018 22:32:31
ไม่นะพี่เตตตตตตต :ling3: :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 17 P.8 [08.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: mayongc. ที่ 10-01-2018 01:02:51
พึ่งได้ตามมาอ่่านรวดเดียวแบบวางไม่ลง อ่่านจบแล้วก็ได้แต่ร้องไห้ว่าจบตอนค้างสุดๆเลยยย ฮือออออ คนเขียนลวงเราด้วยฉากหวาน ปล่อยฉากนั้นมาห้าตอนรวด จนพี่เตเจอเหตุจนได้ ฮืออออ พี่เตนั่นแหละกลับมาเร็ว พี่ต้องไปเมกาก่อนนะ แงงง

เราชอบโทนเรื่องนี้มากเลยค่ะ กลิ่นควันบุหรี่ที่เต็มไปด้วยความเย็นชาลวงและความแสบของน้อง ช่วงแรกจนถึงช่วงก่อนเปิดใจกันนี่บิดใจเราจนหยุดอ่านไม่ได้ ทั้งรักความยะเยือกและเกลียดความเย็นชาของพี่เตไปพร้อมๆกัน รักความแสบที่ไม่ยอมหยุดว่ายน้ำของน้องพิชญ์ ชอบเวลาคนพี่เรียกแทนคนน้องว่าคุณพิชญ์และแทนตัวเองด้วยคำว่าพี่ ชอบไปหมดเลย ชอบภาษาของคุณคนเขียนอ่านแล้วรู้สึกถึงความคิดตัวตนของตัวละคร ความอึดอัดต่างๆนานามาเต็มเลยค่ะ
มารอติดตามพี่เตตอนต่อไป อย่าพึ่งทิ้งน้องงงง :hao5:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 18 P.8 [10.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 10-01-2018 21:07:03
18

[เตวิชญ์]



ผมเป็นฆาตกร...

มันเป็นความลับที่ผมเก็บงำเอาไว้... เป็นความลับที่ไม่มีใครรู้ว่าผมมีความรู้สึกนี้อยู่ในใจ

ซุกซ่อนเอาไว้ภายใต้เกราะความเฉยชาไร้หัวใจ

“ทะเลาะกันอีกแล้ว?” ผมไม่ได้เอ่ยอะไร เดินเข้าไปหา ‘ตรีภพ’ พี่ชายแท้ๆ ที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างช็อปเปอร์คู่ใจ เคาะบุหรี่ออกมาจุดสูบบ้าง สายตาทอดมองไร้จุดหมาย

ภพมองท่าทางเซ็งๆ ของผม หัวเราะ แล้วเอื้อมมือมาตบไหล่

“เอาน่า แม่ก็แบบนี้ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย”

พี่ชายผมเป็นคนมองโลกในแง่ดี...

“หล่อนเกลียดฉัน” ไม่ได้อยากจะเถียง แต่เห็นชัดว่าคำพูดของภพมันเชื่อไม่ได้

หลายครั้งหลายคราที่ผมเห็นว่าสายตาของ ‘ผู้หญิงคนนั้น’ ที่มองผม เต็มไปด้วยความเจ็บปวดแค่ไหน ดังนั้นมันไม่ใช่แค่การทะเลาะ ไม่ใช่แค่เพราะอารมณ์แปรปรวนของผู้ใหญ่

แต่ผมถูกแม่ตัวเองเกลียดเข้าไส้...

ด้วยเหตุผลง่ายๆ ที่ผมไม่เข้าใจ... เพราะผมเหมือน ‘ผู้ชายคนนั้น’ เกินไป...

ผู้ชายเย็นชา ไร้หัวใจ ที่ทำให้แม่ต้องระหกระเหินหนีมาด้วยหัวใจที่บอบช้ำ... ผู้ชายที่เป็นผู้ให้กำเนิดพวกเรา

อย่าถามว่าเหมือนกันตรงไหน เพราะผมจำไม่ได้แม้กระทั่งหน้าตา ไม่รู้หรอกว่ากิตติศัพท์ที่ได้ยินจากปากแม่ที่สาดซัดความผิดบาปให้ผมทุกวันนั่นจริงไหม

แต่เชื่อเถอะว่าถ้าเราเหมือนกัน... แสดงว่าเขาไม่ใช่คนดี

“คิดมากน่า” ภพถองศอกใส่ผม หัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ

บางทีพี่ชายผมก็มองโลกในแง่ดีเกินไป...

“พาไปคลายเครียดเอาไหม” ผมมองรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของภพ ก่อนจะยกยิ้มตาม พี่ชายไม่รอให้ผมตอบคำถาม ดับบุหรี่แล้วควักกุญแจมอเตอร์ไซค์โยนมาให้ผม แล้วออกคำสั่ง “นายขับ”

เรามักจะทำแบบนี้ ในวันที่อากาศดีๆ หรือมีเรื่องกลุ้มใจ ในเมืองเล็กๆ ที่แทบไม่มีสิ่งจรรโลงใจ ภพยกให้มอเตอร์ไซค์เป็นเพื่อนสนิทอันดับหนึ่งท่ามกลางเพื่อนมากมาย แค่มีมันเขาสามารถลืมได้ทั้งหมด...ความไม่สบายใจ ความทุกข์ ความหลัง...

ภพแก่กว่าผมแปดปี... เขารู้ดีทุกอย่าง ในวันที่ผมยังไม่ประสีประสา เขาได้เห็นความรัก การแตกหัก... พลัดพราก

เขาเคยเล่าให้ฟังถึงวันที่ครอบครัวของเรามีความสุข จนกระทั่งได้รู้ว่าความสุขนั้นไม่ควรเป็นของเรา...

ผมเคยสงสัยว่าภพรู้สึกยังไงในวันที่รู้ว่าเราเป็นเพียงส่วนเกินที่ถูกซุกซ่อน... รู้สึกยังไงในวันที่ต้องสูญเสียสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรัก’ ไป

เคยสงสัย... กระทั่งได้สัมผัสมันด้วยตัวเอง
   
มีคนเคยพูดไว้ว่าการเอาเนื้อไปหุ้มเหล็กมีแต่อันตราย แต่สำหรับเรามันคือความท้าทาย... การบิดคันเร่งให้รถทะยานไปปะทะสายลมกระชากความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัวมันทำให้เราสบายใจ ความเสี่ยงเล็กๆ ทำให้รู้สึกว่าชีวิตยังมีความหมาย...

กว่าจะรู้ตัวว่าทะนงตัวเกินไป โชคชะตาก็ลงโทษผมด้วยความสูญเสียที่ไม่อาจเรียกคืนได้

ปี๊นนน
   
แขนทั้งสองข้างของผมแข็งทื่อตอนที่เห็นรถกระบะคันหนึ่งเสียหลักหลุดโค้งพุ่งเข้ามา... ภพไวกว่า เพียงชั่ววินาทีก่อนการปะทะ เขาใช้แรงทั้งหมดกระชากผมออกจากมอเตอร์ไซค์... เพียงชั่วขณะที่ร่างของผมไถลลงกับเนินดินข้างทาง รถสองคันที่ต่างเสียหลักประสานงากันเสียงดัง
   
ภพบาดเจ็บสาหัสก่อนจะจากไป ในขณะที่ผมรอดตายราวปาฏิหาริย์... ใครๆ ก็ว่าอย่างนั้น
   
มีแต่ผมที่รู้ว่ามันไม่มีปาฏิหาริย์... ภพช่วยชีวิตผมไว้
   
ช่างไร้เหตุผลที่คนดีๆ อย่างเขายอมแลกชีวิตกับคนไร้ค่าอย่างผม คนดีๆ อย่างเขา... ที่แม้แต่วินาทีที่กำลังจะจากโลกนี้ไป เขาเลือกที่จะเอ่ยเพียงประโยคเดียว...

   
‘แม่รักนาย’

   
มันเป็นคำโกหก... ที่เขารู้ว่าผมอยากได้ยินแค่ไหน 
   
เป็นคำโกหก ที่ผมเชื่อและใช้มันเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวให้มีชีวิตต่อไป...
   





หลังจากที่ภพตาย ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับแม่เหมือนแก้วแตกๆ ที่ผมพยายามใช้สองมือประคองไว้... ชิ้นส่วนเล็กๆ ค่อยๆ ร่วงหล่น แต่ผมยังฝืนหยิบมันขึ้นมาปะติดปะต่อใหม่
   
ไม่ใช่เพียงเพราะว่าเราเหลือกันอยู่สองคน... แต่เป็นเพราะผมจำเป็นต้องชดใช้
   
แม่ไม่ได้กล่าวโทษผมเรื่องที่ภพตาย... แต่ถ้าเลือกได้ ท่านคงอยากให้ผมเป็นคนที่จากไป
   
แต่ในเมื่อเลือกไม่ได้ ผมจึงยังต้องอยู่ ดูแลแม่ตามคำสั่งเสียของพี่ชาย... แล้วผมก็ได้รู้ว่าตัวเองเป็นลูกที่แย่แค่ไหน ในวันที่ผมไม่รู้ว่าควรจะประกอบร่างความสัมพันธ์ที่ถูกปล่อยให้แตกร้าวมานานยังไง

ไม่รู้จะฉุดผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาจากความรู้สึกสูญเสียแสนสาหัสได้ยังไง
   
สุดท้ายผมได้แต่คิดง่ายๆ ว่าถ้าแม่รักภพ... ผมจะกลายเป็นภพให้   

ผมพาตัวเองเข้าไปแทนที่ในสถานที่ที่ภพเคยอยู่ ทำในสิ่งที่เขาเคยทำ... รักในสิ่งที่เขารัก

ภพชอบเล่นดนตรี ผมจึงหัดตีกลอง... ภพเคยฝันอยากเป็นนักบาสเอ็นบีเอ ผมจึงหัดเล่นบาสจนคล่อง... ภพเป็นที่รัก ผมจึงพยายามจะทำให้ตัวเองถูกรัก ทั้งที่ตัวตนของผมช่างตรงข้าม

ผมเริ่มต้นใช้ชีวิตเช่นนั้น... เป็นตัวแทน ก่อนจะพบว่ามันหนักหนาขึ้นทุกวัน... หรือไม่ผมก็อ่อนแอเกินไป

การสวมบทเป็นพี่ชายไม่ได้ทำให้ผมกลายเป็นเขา... แต่ส่วนหนึ่งของเขากลับกลืนกินตัวตนของผมไป

แต่ความพยายามช่างไร้ความหมาย... ผมไม่อาจพาแม่หลุดจากความเศร้าได้ นับวันผู้หญิงคนนั้นยิ่งหนีจากโลกแห่งความจริง... ไปอยู่ในภวังค์ที่ผมไม่อาจเข้าถึงได้

และไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย... ในวันที่ผมรู้สึกว่าไม่อาจแบกรับทั้งหมดได้ไหว... เขาหาเราจนเจอ

ในที่สุดผมก็เข้าใจ... ที่แม่พร่ำบอกว่าเราเหมือนกันเกินไป

ไม่ใช่แค่ใบหน้า สายตา หรือกระทั่งนิสัยท่าทาง ผมเหมือนพ่อบังเกิดเกล้าราวถอดแบบ และทั้งที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก ผมกลับถูกเขาล่วงรู้ความคิดราวกับเข้ามานั่งในใจ


‘ไปอยู่ด้วยกันไหม’


ผมไม่ได้ปฏิเสธตอนที่ได้ยินคำชวนนั้น อาจเพราะผมเห็นความรู้สึกผิดในแววตา เพราะผมคิดว่าเขาควรได้รับการให้อภัย เพราะอยากสัมผัสกับครอบครัวที่อบอุ่นสักครั้ง...

ไม่ว่าจะมีข้ออ้างมากมายแค่ไหน ความจริงที่รู้อยู่แก่ใจคือความเห็นแก่ตัว

...ผมเพียงต้องการคนที่จะมาช่วยแบ่งเบาความรู้สึกผิดออกไปจากใจ และรู้ว่าเขาเต็มใจจะรับมันไว้ เขาที่อยากชดใช้เช่นที่ผมอยากชดใช้

ผมกับแม่ถูกพากลับมาที่ไทย บ้านเกิดที่ผมจำไม่ได้แม้แต่กลิ่นของอากาศ ที่นี่ผมได้ทุกสิ่งที่ผมควรจะได้ ที่อยู่ เงิน สิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างเท่าที่ผมต้องการ... แลกกับการที่ผมกับแม่ต้องอยู่ในความลับเร้นต่อไป

ผมไม่สนเรื่องนั้น สิ่งเดียวที่หวังคือการอยู่ในสถานที่ที่เคยอยู่จะดึงสติของแม่กลับมา กลิ่นไอความรักที่เคยร้างลาจะช่วยเยียวยาจิตใจที่แตกสลายของแม่ได้

ผมใช้เวลาปรับตัวอยู่พักใหญ่ทั้งเรื่องภาษา อาหารการกิน การเป็นอยู่... มันน่าตลกที่แม้แต่ตอนนี้ผมยังเอาแต่คิดว่าถ้าเป็นภพจะใช้ชีวิตที่นี่ยังไง... เขาน่าจะปรับตัวง่าย มีเพื่อนมากมาย เป็นที่รัก...

ถ้าเป็นภพ คงพาแม่กลับมามีความสุขเหมือนในวันเก่าๆ ได้
    
พอคิดแบบนั้นผมก็สวมบทบาทโดยอัตโนมัติ... เช่นที่ผ่านมา ผมพยายามที่จะเป็นเขา แต่ตัวตนที่ยังแข็งกร้าวก็ไม่อาจปกปิดได้... สุดท้ายมันกลายเป็นส่วนผสมที่ย้อนแย้งเกินจะเข้าใจ... เป็นคนที่ใครต่อใครทั้งรักและชังในคราวเดียวกัน
   
ถ้าภพคือความรัก... ผมคือการทำลาย
   
ภพคือความอ่อนโยน ส่วนผมคือความเย็นชืด ไร้จิตใจ
   
ในที่สุด... ผมไม่รู้แล้วว่าตัวเองเป็นใคร





“เมื่อไหร่พี่จะตั้งชื่อให้มัน” ผมเงยหน้าขึ้นจากเจ้าลูกหมาสีดำที่ชะตาชีวิตคล้ายผมราวเป็นอีกร่าง เงยหน้ามองตามเด็กผู้ชายร่างสูงบางที่เดินถือเฟรมผ้าใบเข้ามานั่งข้างๆ ผมยักไหล่ตอบ เอนหลังนอน ใช้ตักอีกคนต่างหมอน กอดอกแล้วหลับตา

ผมถูกส่งมาเรียนต่อมัธยมปลาย ถึงผมไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์อะไร ลูกนอกสมรสที่ต้องใช้ชีวิตหลบซ่อนอย่างผมไม่จำเป็นต้องเรียนสูงเพื่อสืบทอดกิจการ และสิ่งที่ผมควรใส่ใจคืออาการซึมเศร้าของแม่ที่ย่ำแย่ลงทุกวัน

อาจเพราะเป็นขนบของที่นี่ที่ผมต้องทำตาม หรือไม่ก็เพราะโรงเรียนยังมีความน่าสนใจสำหรับผมอยู่บ้าง

เช่นเด็กคนนี้ไง...

‘พิชญ์’ คือหนึ่งในคนที่เข้าหาผม ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ผมไม่อาจเข้าใจ ทั้งที่กับคนอื่นมันเดาง่าย หน้าตา  ชื่อเสียง เซ็กซ์... แต่กับพิชญ์ผมไม่รู้ว่าน้องต้องการอะไร

พิชญ์เคยบอกว่าชอบผมที่หน้าตา... แต่ผมไม่เคยเห็นว่าน้องจะใช้ประโยชน์อะไรจากมัน ไม่เคยพาผมไปอวดเพื่อนสักครั้ง... เราไม่เคยมีรูปคู่กัน

ที่สำคัญ น้องไม่ยอมให้ผมเปิดเผยความสัมพันธ์

สำหรับผมมันคือการท้าทาย... คนที่ต้องหลบเร้น รู้ดีว่าการอยู่ในเงามันเป็นยังไง ผมอยากรู้ว่าน้องจะทนได้นานแค่ไหน...

แล้วผมก็พบว่าผมดูถูกเด็กคนนี้ไม่ได้

ความสัมพันธ์ไร้ชื่อดำเนินไปอย่างเรียบเรื่อยในสายลม... รู้ตัวอีกที ผมก็มีน้องเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ทั้งที่ปกติมักจะจบความสัมพันธ์ในเวลาอันสั้น มอบทุกสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ แล้วตัดขาดออกจากกัน

พิชญ์เป็นเด็กน่ารัก ไม่ใช่แค่หน้าตา ทั้งนิสัยรั้นๆ คล้ายจะเอาแต่ใจ แต่เป็นคนแสดงออกตรงๆ อ่อนโยน ไม่เคยคิดร้าย ใคร... อยู่ด้วยก็สบายใจ

นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ผมเผลอแสดงออกในสิ่งที่ไม่เคยแสดงออกกับคนอื่นออกมาง่ายๆ

เช่นตอนนี้ที่ผมปล่อยให้ตัวเองหลับสนิท ทั้งที่ไม่เคยหลับต่อหน้าใคร

ผมชอบกลิ่นของพิชญ์... ชอบฝ่ามือที่ลูบลงมาบนหัวผม... ชอบกระทั่งไออุ่นจากลมหายใจที่รดลงมาแผ่วเบา

“...!” หรือแม้แต่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่เบิกกว้างขึ้นเมื่อถูกจับได้ว่ากำลังลักหลับ

รอยยิ้มเก้อเขิน และเสียงทุ้มหวานที่คล้ายจะอ้อนกลายๆ

“ผมจูบพี่ได้ไหม”

“หึ”

ชอบรสสัมผัสของริมฝีปาก... ที่กลายเป็นสารเสพติดที่ผมหลงใหลโดยไม่รู้ตัว







การได้รู้จักพิชญ์ทำให้ผมคิดว่าตัวเองมีความสุขได้... คิดว่ากำลังจะมีโอกาสได้รู้จักความรักเหมือนใครๆ

แต่ผมลืมไป ว่าคนบาปอย่างผมไม่ควรได้สิทธิ์เหล่านั้น...

ความหวังของผมพังทลาย... เมื่อสุดท้ายเธอเลือกจากไป

ปลดปล่อยตัวเองจากความทรมานจากตึกสูงระฟ้าที่เขาให้เราอยู่อาศัย...

เงินทองหรือสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายไม่อาจฉุดรั้งแม่จากความเศร้าได้... ตัวตนของภพที่ผมสวมไว้ไม่อาจทดแทนตรีภพที่รออยู่ในโลกหลังความตาย

ผมน่าจะรู้ว่าแก้วที่แหลกละเอียด ไม่มีทางประกอบร่างขึ้นใหม่

น่าจะรู้ตัวว่าผมไม่มีสิทธิ์มีความสุข... ไม่ได้รับอนุญาตให้มีความรัก

...ไม่ควรถูกรัก

“พี่หายไปไหนมา” อ้อมแขนของพิชญ์โอบกอดผมไว้ในวันที่ผมไม่เหลือใคร

หลังวันที่แม่เสีย ผมมีหลายอย่างต้องคิด ต้องตัดสินใจ...

ที่นี่ไม่เหลืออะไรแล้ว ผมคงต้องกลับไป

มันกลายเป็นความขัดแย้งถึงที่สุดเมื่อผมต้องปล่อยอ้อมกอดนี้ ทั้งที่ไม่อยากปล่อย แต่ผมไม่กล้าที่จะรั้งไว้... ไม่อยากทำร้ายเด็กคนนี้เหมือนคนอื่นๆ ที่ผมเคยทำร้าย

...แต่ก็ไม่อยากสูญเสีย

“พิชญ์... มึงจะอยู่กับกูไหม”

ผมจึงตัดสินใจเลือกทั้งสองทาง...

“...”

“อยู่ตลอดไป”

เหมือนวันที่ภพจากไป... ผมต้องการคำโกหก เพื่อให้ตัวเองมีค่า

“อืม อยู่สิ”
   
อยากได้ยินคำสัญญาปลอมๆ ว่าต่อให้ปล่อยมือ ผมก็จะไม่สูญเสียเด็กคนนี้ไป...

แต่ใครๆ ก็รู้... โลกนี้ไม่มีคำว่าตลอดไป

   




ในที่สุดผมทิ้งทุกอย่างแล้วกลับมาอยู่บ้านที่อเมริกา กลับมาใช้ชีวิตคนเดียวโดยที่ยังได้รับเงินส่งเสียจากพ่อบังเกิดเกล้า เขาไม่ได้รั้งผมไว้... คงเพราะไม่รู้ว่าจะรั้งยังไง
   
ในวันที่แม่จากไป ผมได้รู้ว่าอีกอย่างที่ผมกับพ่อเหมือนกัน... คือเราไม่อาจรักษาสิ่งที่รักได้

ไม่ใช่ว่าไม่รัก แต่ไม่รู้จะแสดงออกความรักยังไง... ไม่รู้ว่าจะประคับประคองมันไว้ในมือได้ยังไง... สุดท้ายเราได้แต่พยายามเก็บแก้วที่ยังไม่แตกไว้ โดยการพาตัวเองออกมาให้ไกล...

ไม่แตะต้อง ไม่ทำลาย

ผมไม่ได้เกลียดพ่อ เรายังติดต่อกัน เป็นความสัมพันธ์ที่ยากจะอธิบาย ผมได้ยินเรื่องที่เขาหย่า ได้ยินเรื่องที่เขาชดใช้สิ่งที่ตัวเองทำลงไปด้วยความเดียวดาย... เหมือนกับผม

ต่างกันตรงที่ผมอ่อนแอ และไม่อาจทนแบกรับความรู้สึกที่กัดกินมโนสำนึกตัวเองในทุกๆ วันได้... พยายามหาทางออก แต่ไม่รู้ว่าควรทำยังไง

สุดท้ายผมพบวิธีที่ง่าย และคุ้นเคย

มอเตอร์ไซค์...

ในทีแรกผมใช้มันด้วยจุดประสงค์เดิมๆ ความเร็ว อันตราย... ให้สายลมกระชากความฟุ้งซ่านออกจากหัวไป

แต่ในคราวนี้ยิ่งสายลมปะทะรุนแรงเท่าไหร่ ความหนาวเหน็บยิ่งบาดผิว จิตใจผมยิ่งทุรนทุราย ผมคิดถึงภพ คิดถึงความผิดที่ตัวเองทำไว้ ความรู้สึกผิดที่กัดกินตัวตนของผมทีละน้อยจนสุดท้ายไม่เหลืออะไร

ในที่สุดผมรู้เหตุผลที่ต้องเดียวดาย... เหตุผลที่ต้องกลายเป็นคนกลวงเปล่า

...พระเจ้าอยากให้ผมชดใช้






แต่ท้ายที่สุดผมไม่ได้ตายในอุบัติเหตุครั้งที่สอง... อุบัติเหตุที่ครึ่งหนึ่งคือความจงใจ

ผมไม่ได้รู้สึกดีที่รอดชีวิต กลับกัน รอยแผลเป็นที่กรีดยาวอยู่กลางร่างยิ่งตอกย้ำถึงความผิด... ผมควรตามภพไป ควรชดใช้ให้แม่ที่แลกชีวิตกับภพไม่ได้

ไม่ควรกลับมา... ไม่ควรได้เจอหน้าคนคนนี้อีก ต่อให้โหยหาแค่ไหน
มีความเป็นไปได้แค่ไหนกันที่ผมจะได้กลับมาเจอพิชญ์อีกครั้งในคณะและมหาลัยที่มีอยู่นับร้อยในประเทศไทย... ผมไม่รู้ว่าพระเจ้ากำลังเล่นตลกอะไร

จริงอยู่ ผมควรปล่อยน้องไป... ในเมื่อการได้เจอกันอีกครั้งยืนยันชัดว่าการไม่มีผมอยู่ข้างๆ ทำให้ชีวิตน้องมีความสุขกว่า... เป็นที่รัก เป็นตัวของตัวเอง มีแต่คนดีๆ แวดล้อม เป็นพิชญ์ที่สดใส

ผมควรหายไป...

“ท้าหรือจริง?”

แต่ผมมันเห็นแก่ตัว...
ทั้งที่รู้ว่าไม่อาจรักษาไว้ได้ผมก็ยังเอื้อมมือออกไปคว้าไว้...

ทั้งที่รู้ว่าจะทำให้เสียใจ แต่ผมก็ฝืนใจตัวเองไม่ได้...

รู้ดีว่าพิชญ์เพียงใช้เกมโง่เง่าเป็นข้ออ้างเพื่อเข้ามาอยู่ข้างๆ... เพราะผมเองก็ใช้มันเป็นข้ออ้างเพื่อเข้าไปในชีวิตน้องเช่นกัน ถ้าไม่มันผมคงเลือกปล่อยน้องไป... ถ้าไม่มีมัน ผมคงไม่มีเหตุผลที่จะรั้งน้องไว้

“ทำไมตอนนั้นถึงทิ้งไป”
 
“เพราะไม่ได้รักไง”

...จะบอกได้ยังไงว่าจะไม่สามารถรักษาไว้

“โกหก... ทำไมตอนนั้นถึงทิ้งไป”

“พอสักทีพิชญ์”

...จะบอกได้ยังไงว่าถ้ารักแล้วจะเสียใจ

“ทำไมตอนนั้นพี่ถึงทิ้งผมไปเตวิชญ์”

...จะบอกได้ยังไงว่าตั้งใจจะไม่กลับมา
   
ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพิชญ์ถึงดันทุรังนัก... ทำไมถึงยอมเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า... ทำไมถึงยอมให้ผมทำร้าย
   
ทำไมถึงได้รักผม... ผมไม่เข้าใจ
   
“ผมรักพี่... ได้ยินไหม”
   
ทำไมถึงยังรักษาสัญญา... ที่จะอยู่กับผมตลอดไป
   
ในที่สุดผมเห็นแก่ตัวอีกครั้ง... หยิบแก้วที่ยังไม่แตกมาถือไว้
   
รอยร้าวเด่นชัด แต่ผมหลอกตัวเองว่ามันจะไม่เป็นไร... ขอแค่แป๊บเดียว ขอมีความสุขครั้งสุดท้ายก่อนจะไป






หลังจากนั้นผมทำทุกอย่างที่ติดค้างเอาไว้

พิชญ์ขอให้ผมเปิดใจ ขอให้ผมยอมรับความรัก... แสดงความรักตามใจ

ผมทำ โดยไม่มีการฝืนใจ

เหมือนในอดีตที่การอยู่กับพิชญ์ปลดปล่อยตัวตนที่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองซ่อนเอาไว้... ตัวตนที่มีความสุข ยอมให้ตัวเองยิ้มกว้างๆ ได้...

ตัวตนที่อนุญาตให้ผมรักใครสักคนจนหมดใจ

“เตวิชญ์ ผมพูดจริงนะ พี่อาจตายได้” หลุดหัวเราะเบาๆ กับคำขู่ของคนที่นั่งอยู่ข้างอ่างล้างหน้ามือข้างหนึ่งถือใบมีดสำหรับโกนหนวด คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างยุ่งยากใจ

ดูน่ามันเขี้ยวจนกระชับหลังให้ขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม ถ้าไม่ติดว่ามีครีมโกนหนวดอยู่รอบปาก ผมจะจับจูบให้

“อย่ายิ้มดิ”

“...”

“เตวิชญ์ ผมเตือนพี่แล้วนะ”

สุดท้ายคนที่ทนไม่ไหวกลับกลายเป็นคนตรงหน้าที่เปลี่ยนเป็นยกแขนโอบรอบคอผมก่อนดึงเข้าไปหา ประกบริมฝีปากลงโทษรอยยิ้มของผมด้วยรสจูบเอาแต่ใจ ผมหัวเราะอีกครั้งเมื่อเห็นโฟมสีขาวเลอะติดริมฝีปากน้องตอนผละออกไป กำลังจะยกนิ้วปาดออกให้ แต่พิชญ์กลับจูบซ้ำลงมา คราวนี้ถึงกับย่นหน้าเมื่อลิ้นรั้นดันเผลอได้ลิ้มรสโฟมโกนหนวดเข้า

“รสชาติปะแล่ม” 

“หึ”

ทำไมถึงได้น่ารักนัก






พิชญ์น่ารักเกินไป...

นับวันผมยิ่งไม่รู้ว่าจะปล่อยมือคู่นี้ยังไง นับวันยิ่งผูกพัน ช่วงเวลาสั้นๆ ที่เราอยู่ด้วยกันมันมีความสุขกว่าที่ผมคิดไว้

แต่ยิ่งมีความสุขเท่าไหร่ ความรู้สึกผิดในใจก็ยิ่งทบทวี

รอยแผลเป็นที่สลักอยู่บนร่างคล้ายระเบิดเวลา ย้ำเตือนว่าสักวันมันจะปริแตกอีกครั้ง...
ผมเคยคิดว่ามันเป็นตราบาปในชีวิต เป็นสิ่งเตือนใจของความรู้สึกผิด จนกระทั่งพิชญ์เห็นมัน...

แปลกดีที่น้องบอกว่ามันสวย ทั้งที่ก่อนหน้ามีแต่คนหวาดกลัว ร่องรอยที่ใครต่อใครพากันตั้งคำถาม... พิชญ์กลับมองมันอย่างหลงใหล

ภาพของผีเสื้อที่น้องบรรจงวาดลงไป คล้ายจะกลบทับความผิดบาปให้ผมได้ แม้จะแค่ชั่วคราว

เหมือนที่การมีน้องอยู่ข้างๆ ทำให้ผมหลงคิดว่าชีวิตตัวเองมีค่าขึ้นมาอีกครั้ง
   
“นอนไม่หลับเหรอ” น้ำเสียงงัวเงียที่มาพร้อมอ้อมกอดอุ่นปลุกผมหลุดจากภวังค์ ร่างกายที่แนบชิดทำให้ผมสัมผัสได้ถึงแรงเต้นจากหัวใจภายใต้แผ่นอกเปลือยเปล่า
   
หัวใจที่เต้นอย่างสงบ... คล้ายจะปลอบประโลมให้ผมสงบตาม

“ตัวพี่เย็นหมดแล้ว” ผมยิ้ม สูดควันครั้งสุดท้ายก่อนดับบุหรี่เพื่อให้มือว่างสำหรับดึงร่างอีกคนมากอดไว้

“หนาว” ซุกจมูกลงกับกลุ่มผมหอม ออดอ้อนจนได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ร่างกายที่อุ่นกว่ากอดกระชับ มือบางถูแผ่นหลังผมเบาๆ

เป็นอีกครั้งที่พิชญ์ฉุดผมขึ้นจากความเศร้า

เป็นอีกครั้งที่น้องทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป...






แต่ผมจะอยู่โดยที่ยังแบกรับบาปทั้งหมดนี้ได้ยังไง... ความรู้สึกผิดที่กัดกินอยู่ในใจทำให้ผมไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหน... ปลายทางที่ผมปูไว้ใกล้เข้ามาทุกวัน

ในที่สุดผมเลือกทำตามเป้าหมายเดิมที่ตั้งใจเอาไว้ เลือกที่จะไป ในวันที่ไม่เหลืออะไรให้ค้างคาใจ

ผมรอจนขาเปียกปูนหาย ตอบแทนเจดตามที่ตกลงไว้... รักพิชญ์เท่าที่จะรักได้

สิ่งเดียวที่ยังติดค้าง... คือผมกำลังจะทำให้พิชญ์เสียใจ

จนถึงวินาทีสุดท้ายผมก็ยังเห็นแก่ตัว... ตักตวงความสุขจากน้องอย่างคนหิวกระหาย ตอบรับทุกสัมผัส ทุกความอ่อนโยนกักเก็บไว้ ทั้งที่รู้ว่ามันจะย้อนกลับมาทำร้ายคนที่ผมรักอย่างสาหัสแค่ไหน

“ขอโทษ” ได้แต่กระซิบคำที่อยู่ในใจ ก่อนกดจูบที่หน้าผากใส เปลือกตา ผิวแก้มฝาด ปลายจมูกรั้น และริมฝีปากที่หวานล้ำยิ่งกว่าสิ่งใด

“รัก...”

เป็นครั้งแรกที่น้ำตาของผมไหล

เป็นครั้งแรกที่ผมหวาดกลัวความตาย...






ผมพาตัวเองหนีมา ด้วยยานพาหนะที่ตกทอดมาจากพี่ชาย 

เดิมทีผมตั้งใจจะไปหาภพ ในสถานที่ที่ผมพรากชีวิตเขาไป

แต่สถานที่จะสำคัญอะไร... ในเมื่อสิ่งสำคัญคือผมต้องชดใช้

ที่ผ่านมาผมร้องขอความตายเพื่อปลดปล่อยตัวเองจากความทรมาน... แต่คราวนี้ผมใช้มันปลดล็อกความผิดบาปที่กัดกินหัวใจผมมานาน

ผมตัดสินใจเลือกเส้นทาง... วางเดิมพัน... ยื่นคำท้าให้ใครก็ตามที่กุมชะตาผมไว้

ผมต้องตาย...

ถ้าไม่... ผมจะเลิกยอมให้ความผิดบาปจากอดีตเกาะกินใจ

ถ้าไม่... ผมจะไม่ให้โอกาสอีก ต่อให้ชีวิตจะเลวร้ายแค่ไหน

ถ้าไม่... ผมจะกอดพิชญ์ไว้... กอดให้แน่น จะไม่ปล่อยมือไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ

นี่จะเป็นครั้งสุดท้าย...

พาผมไป





----------------------------------------------------------------
เก็บเศษแก้วที่โปรยไว้มาประกอบให้รู้ว่ามันเคยแตกยังไงค่ะ
คิดว่าคงมีคนตกใจกับอดีตของพี่เต ขนาดเรายังตกใจเลย 55555
แทบไม่มีอะไรบ่งบอกเลยว่าเขาแบกรับอะไรที่หนักหนาขนาดนี้ไว้
เคยบอกไว้ว่าพี่เตเหมือนจะซับซ้อนแต่ก็ไม่ซับซ้อน
จนตอนนี้ก็ยังรู้สึกอย่างนั้น เพียงแต่เป็นความไม่ซับซ้อนที่ซับซ้อนอีกที 5555
เป็นคนที่คิดว่าตัวเองไม่ใช่คนดี ถึงจะทำดีก็คิดว่าเป็นเพราะตัวเองคิดแบบพี่ชาย... (งงไหม)
เราว่าเป็นคนที่เพี้ยนใช้ได้...

ตอนนี้พยายามจะแก้ไขให้มันขมขื่นน้อยลงแล้ว แต่ยากเหลือเกินค่ะ เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราเขียนเรื่องนี้
ถ้ามันเปลี่ยนหรือตัดทิ้ง เท่ากับทั้งหมดที่เขียนมาไม่มีความหมาย
แต่เพราะวางปมไว้แบบนี้ ถึงได้คาแร็กเตอร์พิชญ์มา
ทุกตอนที่เขียนจะรู้สึกขอบคุณพิชญ์มาก ขอบคุณที่รัก ขอบคุณที่ดันทุรัง ขอบคุณที่เข้ามาเป็นความหวังให้พี่เขาทั้งที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร
น้องเป็นคนเข้มแข็งที่สุดในจักรวาลใบนี้แล้วค่ะ และเด็กดีควรได้รับรางวัล :)

ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันนะคะ

ฝาก #เกมท้ารัก ด้วยน้า

ปล. จริงๆ เราแอบทิ้งนัยของอดีตพี่เตไว้หลายจุดเหมือนกัน ลองกลับไปหาดูเล่นๆ แล้วเอามาเม้าท์มอยกันได้นะคะ 555

 :L2:

หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 18 P.8 [10.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 10-01-2018 21:45:33
ไม่รู้จะพูดอะไรเลย พี่เตแบกมันมานานมาก ใช้ชีวิตมาถึงตรงนี้ก็ถือว่าแข็งแกร่งแล้ว เข้าใจพี่เตเลย ความกลัวที่จะสูญเสียมันน่ากลัวมาก แง ถ้าพี่เตตายไปมีคนรอเสียบเยอะเลยนะคะ ทั้งแม่ทั้งเมีย มียันหลัวน้องพิชญ์ ถ้าไม่อยากให้คนได้กินน้องก็ห้ามตายเด้ออ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 18 P.8 [10.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: mayongc. ที่ 10-01-2018 21:47:42
อ่านแล้ว​รู้​สึก​ตก​ใจ​กับ​อดีต​พี่​เตเลยค่ะ ไม่คิดว่าความเย็นของเขาจะมาจากการพยายามเป็นคนอื่น จนไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอย่างไรกันแน่
ตกใจยิ่งกว่าคืออุบัติเหตุที่เกิดคือเขาจงใจ ไม่ใช่ความประมาท ฮืออออ  :katai1:
มันมึนอึนไปหมดหลังจากได้รู้ความคิดในหัวของเตวิชญ์ พี่ทำทุกอย่างที่พี่อยากทำกับน้องแล้ว เว้นแต่กลับมากอดพิชญ์แน่นๆ กลับมาซ่อมแซมรอยร้าวบนแก้วให้ได้นะคุณเตวิชญ์ เราเชื่อว่ามันยังไม่แตก :hao5:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 18 P.8 [10.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 10-01-2018 21:59:37
ฮือออออออ ไม่คิดว่าชีวิตพี่เตจะโหดร้ายขนาดนี้ มันเศร้ามากเลยนะ เรารู้ว่าพี่เตรู้สึกผิด คือแบบอ่านไปแล้ว ถ้าครั้งนี้พี่เตไม่ตาย พี่เตจะไม่ทำอีกแล้วใช่ไหม พี่เตเป็นโรคซึมเศร้ามานานขนาดไหนกันแบกรับความผิดมานานมากจนมันกัดกินหัวใจ ถึงตอนนั้นพี่เตจะไม่เหลือใครแต่ตอนนี้พี่เตยังเหลือน้องนะ สงสารน้องเถอะค่ะ กลับมาหาน้องให้ได้นะคะพี่เต
อ่านจบแล้วอยากกอดพี่เตแรงๆ พี่เตต้องสู้นะ :hao5: :hao5: :sad4: :o12:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 18 P.8 [10.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Krajeeqx ที่ 10-01-2018 22:13:05
อยากจะร้องไห้ พี่เตของน้อง  :sad4:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 18 P.8 [10.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 11-01-2018 02:19:30
ขอบคุณที่ท้ายที่สุดพี่เองก็ยังอยากมีชีวิตอยู่ น่ากลัวตรงที่พี่เตคิดว่าตัวเองถูกความเป็นพี่ชายกลืนกิน ไม่รู้ว้าตัวเองเป็นใคร จากนี้ไป น้องเองก็สมควรได้รับรางวัลของการเป็นเด็กดีซะที
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 18 P.8 [10.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Zestful ที่ 11-01-2018 05:58:43
สงสารน้องพิชญ์ ฮือออออออ

ชอบพี่เตที่เล่าถึงพิชญ์แล้วแทนตัวพพิชญ์ว่าน้อง มันเลยดูงุ้ยๆ น่ารักๆ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 18 P.8 [10.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Namshine ที่ 11-01-2018 06:51:54
ไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกตอนนี้ยังไง อ่านจบตอนแล้วได้แต่อุทาน...พี่เตแม่ง :m15:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 18 P.8 [10.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 11-01-2018 07:07:56
พี่เต ของน้องงง มากอดแน่นๆมา
 :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 18 P.8 [10.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 11-01-2018 12:31:52
ยิ่งอ่านก็ยิ่งเศร้า สงสารพี่เต อยากกอดพี่แน่นๆ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 18 P.8 [10.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 11-01-2018 15:36:02
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 18 P.8 [10.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 11-01-2018 17:38:40
โอ้ยยย โซฮอต โคตรรรร

ซับเลือดไม่ทัน ของใหม่มาอีกแล้ววววว

ฮือออ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 19 P.9 [12.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 12-01-2018 13:10:21
19


[ เตวิชญ์ ]

ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง คนที่ผมเห็นหน้าเป็นคนแรกคือพ่อ...

ผมไม่คิดว่าจะเจอเขา แต่ตอนนี้ความรู้สึกสับสนมีมากกว่าตกใจ สมองมึนเบลอจนไม่อาจประมวลผลอะไรได้ในทันที

“น้ำ” เสียงทุ้มเรียบนิ่งเอ่ยพร้อมรินน้ำยื่นมาให้ ผมได้แต่อ้าปากงับหลอดเพื่อดื่มน้ำดับกระหาย ร่างกายหลายส่วนปวดระบมจนขยับแทบไม่ได้ โดยเฉพาะแขนซ้ายที่ถูกหุ้มด้วยเฝือกหนา

ภาพของเหตุการณ์ฉายเข้ามาในหัว ความรู้สึกของลมที่กระทบร่าง ความเร็วของรถที่ค่อยๆ ทะยานไปตามเส้นทาง ก่อนทุกอย่างจะพร่าเบลอด้วยไฟสว่างจ้าของรถอีกคันที่สวนเข้ามา...

ไม่มีการปะทะ...

แต่ผมรับรู้ได้ถึงแรงหมุนคว้างก่อนที่ทุกอย่างจะกลับตาลปัตร มันรวดเร็วจนไม่อาจปะติดปะต่อ แล้วภาพทั้งหมดก็ดับวูบไป

“เดี๋ยวพ่อเรียกหมอ” ผู้ชายตรงหน้าดูกระอักกระอ่วนตอนเอ่ยออกมา ก่อนกดปุ่มเรียกพยาบาล

ไม่นานหมอก็เข้ามาตรวจร่างกายผม แจ้งอาการก่อนออกไป

ในห้องพักผู้ป่วยจึงเหลือเพียงผม พ่อ... และความเงียบงัน

“แก...” พ่อทำท่าเหมือนจะพูดอะไรออกมา คิ้วขมวดเข้าหากัน ดวงตาสีเดียวกันฉายความกังวล

“ผมไม่เป็นไร” ผมให้คำตอบในคำถามที่ไม่ได้เอ่ย

พ่อคลี่ยิ้มจางๆ ใบหน้าที่เป็นต้นแบบของผมคลายความกังวลลงเล็กน้อย ก่อนกลับมาขมวดคิ้วใหม่ ...คล้ายมีบางอย่างอยู่ในใจ แต่ลังเลที่จะพูดออกมา แต่เมื่อเห็นสายตาตั้งคำถามของผม มือที่ล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกงจึงหยิบบางอย่างออกมา

...โพสต์อิทแผ่นเล็ก ที่ผมจำได้ดีว่าข้อความที่เขียนไว้คืออะไร

“เด็กคนนั้น... แฟนของแก เอามาให้”

เข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อถึงมาอยู่ตรงนี้ได้

ผมรับโพสต์อิทที่มีร่องรอยของหยดน้ำเลอะตัวหนังสือหวัดๆ จนเลือน นึกถึงใบหน้าของคนที่ได้อ่านมันคนแรกแล้วรู้สึกปวดใจขึ้นมา... พิชญ์คงรู้แล้วว่าเจตนาของข้อความนี้คืออะไร

ผมตั้งใจบอกลา... เผื่อว่าจะไม่มีโอกาสได้ลืมตาอีกครั้ง

“พ่อ... ไม่รู้จะพูดอะไร...” น้ำเสียงทุ้มแหบสับสน บรรยากาศแสนอึดอัดทำให้ต้องปลดกระดมสูทตัวนอก ยกมือข้างหนึ่งขึ้นจดหว่างคิ้วท่าทางงุ่นง่าน

เขาไม่ได้แสดงท่าทางแบบนี้บ่อยนัก หน้าฉาก พ่อเป็นนักธุรกิจสุขุม เยือกเย็น เป็นผู้นำที่ใครเห็นก็ต้องเกรงขาม

แต่ผมรู้ว่าข้างในพ่อเปราะบาง... ไม่ต่างจากผม

“คราวก่อนก็ไม่ใช่อุบัติเหตุใช่ไหม” เงยหน้าขึ้นถาม ดวงตาที่จ้องมามีร่องรอยของการแตกร้าว

“แกตั้งใจจะไป... เหมือนแม่...”

ผมไม่รู้จะตอบอะไร... น้ำเสียงที่ฟังดูเจ็บปวดของพ่อทำให้ผมได้แต่ก้มหน้ามองกระดาษในมือตัวเอง

ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาทั้งที่เคยคิดว่าคงไม่เป็นไร... เขาคงทำใจได้

“เพราะพ่อใช่ไหม”

คราวนี้ผมส่ายหน้า “เพราะผม...”

ก่อนจะนึกได้ว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะเอาแต่โทษตัวเอง

“ตอนที่ยังเด็ก... คุณกับผม...เคยสร้างอาณาจักรด้วยกันใช่ไหม”

ผมรู้ว่านี่ไม่ใช่เวลามารื้อความหลัง... ไม่ใช่เวลาฟื้นความทรงจำที่ผมเคยลืมไป... ผมคิดว่าตัวเองยังเล็กมากตอนแม่เลือกจะเดินแยกทาง แต่ผมไม่ได้เด็กขนาดนั้น

ต้องขอบคุณอุบัติเหตุที่ทำให้ภาพหนึ่งฉายชัดมา... ภาพของห้องที่เต็มไปด้วยตัวต่อสีสันสดใส ก่อร่างเป็นเมืองขนาดใหญ่ มีพ่อกับผมนั่งอยู่ข้างกันและกำลังสร้างบ้านสักหลัง เติมเต็มอาณาจักรของเรา

“ภพมีเครื่องดนตรี...” ภาพเลือนราง แต่คล้ายยังจำเสียงกระท่อนกระแท่นจากกลองชุดที่สูงท่วมหัวพี่ชาย

พ่อหัวเราะเบาๆ ผ่อนลมหายใจ นั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงพลางปลดกระดุมเสื้อเพื่อผ่อนคลาย ดวงตาสีดำตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความหลัง

“ตอนอยู่อเมริกา ภพมีวงดนตรีที่เก่งมาก” ผมไม่เคยบอกเรื่องนี้กับเขา ไม่เคยเล่าถึงช่วงชีวิตหลังจากครอบครัวแยกทาง

เขาเจอเราหลังจากที่ภพจากไป ผมคิดว่าเขาควรรู้ไว้

“ภพคิดถึงคุณ” พี่ชายของผมจำทุกความสุขที่เคยมีได้... จำได้ว่าพ่อรักเขาแค่ไหน

พ่อไม่ได้เอ่ยอะไร แต่แค่สบตาผมก็รู้ว่าคนตรงหน้ากำลังจะสื่อสารอะไร

“พ่อครับ...”

เอ่ยเรียกคำที่ไม่เคยใช้ ยิ้มให้สีหน้าตกใจ และดวงตาที่เป็นประกายเมื่อได้ยินคำนั้น คำที่ผมควรเรียกก่อนทุกอย่างจะสายไป... เหมือนที่ผมใช้คำว่าแม่ไม่ทัน

“ไม่ใช่ความผิดของพ่อ..."

...เราต่างต้องการการปลดล็อกความเจ็บปวดที่อัดแน่นอยู่ในใจ

"ไม่ใช่ความผิดของเรา... ที่พวกเขาจากไป”

ให้เป็นความผิดของโลกใบนี้เถอะ ที่โหดร้ายเกินไป

“เตวิชญ์... พ่อเหลือแกคนเดียว” เนิ่นนานกว่าเสียงทุ้มแหบจะเอ่ยขึ้นมา คล้ายกำลังเว้าวอน

คำขอร้องที่ผมรู้ดีว่าคืออะไร

“ผมจะมีชีวิตอยู่” 

ร่องรอยยับย่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง เมื่อพ่อยิ้มออกมา ดวงตาทั้งสองข้างเคลือบด้วยหยาดน้ำ เช่นเดียวกับผมที่เริ่มมองเห็นภาพพร่าเลือน เพียงเอ่อล้น แต่ไม่ได้หยดลงมา... เราต่างรู้ว่าการร้องไห้เป็นเรื่องยากแค่ไหน ยังต้องเรียนรู้ที่จะระบายความรู้สึกในใจ เลิกปล่อยให้มันกดทับ กลายเป็นกำแพงความเจ็บปวดที่หนาแน่นจนยากที่จะทำลาย

ผมกับพ่อแทบไม่ได้เอ่ยอะไรกันอีกหลังจากนั้น เราไม่ใช่คนประเภทที่จะมานั่งเล่าความหลังเป็นฉากๆ เพียงมองหน้าแล้วยิ้มให้กันบางครั้ง ให้ความเงียบบอกเล่าทุกอย่างผ่านแววตา แบ่งปันความเจ็บปวด... กอบเก็บเศษแก้วขึ้นมาประกอบร่างใหม่อีกครั้ง

ไม่มีทางเหมือนเดิม... แต่รอยร้าวเตือนใจไม่ให้เราก้าวพลาด

ถึงเวลาต้องก้าวผ่าน...

“พ่อต้องไปแล้ว” เวลาผ่านไปพักใหญ่ พ่อก็ลุกขึ้นยืน ติดกระดุมเสื้อจนกลับมาดูเนี้ยบอีกครั้ง “พรุ่งนี้จะมาใหม่” มือหยาบย่น เอื้อมมาบีบไหล่ผมเบาๆ

ผมยิ้มรับ มองแผ่นหลังกว้างเดินห่างออกไป รูปร่างภูมิฐานที่ไม่เคยถูกกาลเวลาทำลาย

“พ่อครับ” ก่อนจะนึกได้ว่ายังมีอีกสิ่งที่ควรบอกไว้ ใบหน้าที่คงจะเหมือนผมในอีกสักสิบปีข้างหน้าหันกลับมามองนิ่ง รอฟัง

“ผมกำลังรักใครคนหนึ่ง...”

เอ่ยเพียงเท่านั้นมุมปากบางก็ยกยิ้ม... คงรู้ว่าผมหมายถึงใคร

“เป็นเด็กที่น่ารักมาก” ผมยิ้มตาม

“ครับ พิชญ์น่ารักมาก” สบตาพ่ออีกครั้ง... ดวงตาสีเดียวกันรู้ว่าผมกำลังจะพูดอะไร “คราวนี้ผมจะรักษาไว้ให้ได้”

“...”

ในอดีตที่ผ่านมาเราทั้งคู่ต่างไม่กล้าเอื้อมมือออกไปกอดคนที่รัก

“จะไม่ยอมปล่อยมือ” แต่คราวนี้ผมจะพยายาม

หลังจากนี้ผมจะกอดพิชญ์ให้แน่น... ทะนุถนอมให้นาน... รักให้สมกับที่ใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน

“ต้องขอบคุณน้อง... ที่พาแกกลับมา” ผมยิ้มกว้างสบดวงตาที่ฉายชัดความเชื่อมั่น

...เชื่อว่าผมจะรักษาความรักครั้งนี้ไว้ได้








ตื่นมาอีกรอบผมถึงได้เห็นหน้าพิชญ์...

เด็กดีของผมดูโทรมลงถนัดตา สีหน้าโรยล้า ดวงตาทั้งสองข้างบวมช้ำเหมือนผ่านการร้องไห้อย่างหนัก น้องแทบไม่เงยหน้ามองผมนับตั้งแต่เข้ามา

“ดีนะที่มึงไม่เป็นไรมาก หมอบอกว่าดูอาการอีกอาทิตย์ก็กลับบ้านได้” เจดเอ่ยด้วยน้ำเสียงโล่งใจ หลังจากเห็นผมยังลุกนั่งเดินเหินได้ นอกจากแขนหักที่เหลือก็ไม่หนักหนาสาหัสอะไร

ผมยิ้มตอบ สายตาจับจ้องร่างสูงบางที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ง่วนกับการจัดดอกไม้ใส่แจกันมาเกือบสิบนาที

น้องกำลังโกรธ ผมรู้ดี... การได้รู้ว่าคนที่นอนอยู่ข้างกันตัดสินใจจะจากไปตลอดกาลโดยทิ้งตัวเองไว้ข้างหลัง เป็นเรื่องเจ็บปวดเกิดบรรยาย

“แล้วนี่มึงไปทำอีท่าไหน คืนนั้นก็ไม่ได้เมานี่หว่า รถอีกคันบอกว่ามึงขับเข้าโค้งมาเร็วมาก ถ้าชนก็คงตาย” ได้ยินแบบนั้น พิชญ์ก็หันกลับมาสบตา คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ดวงตาสีน้ำตาลสวยสะท้อนหยาดน้ำที่เอ่อล้นขึ้นมา ผมจับจ้องดวงตาคู่นั้น เอ่ยคำที่ดังก้องอยู่ในใจ

“กูยังตายไม่ได้”

อยากขอโทษ... อยากอธิบาย... อยากให้น้องรู้ว่าผมจะไม่ทำแบบนั้นอีก

“แต่...!” ยังไม่ทันจบคำ เจดก็ชะงักไป อ้าปากค้างเมื่อคนที่ยืนห่างออกไปสาวเท้ามายืนข้างๆ

พิชญ์หยุดตรงหน้าผม ดวงตาฉ่ำน้ำจ้องนิ่งงัน แววตาที่คล้ายจะปลอบประโลมมากกว่ากล่าวโทษ ก่อนที่มือบางจะยกขึ้นประคองใบหน้าผมให้เงยหาก่อนประทับริมฝีปากลงมา... มอบรสจูบที่ผมโหยหา

“อ้าว หมาเลยกู” ได้ยินเสียงเจดกลั้วหัวเราะ กับการกระทำเหนือความคาดเดาของน้องรหัส แต่พิชญ์ไม่ได้ขยับออกไป กลับยิ่งเข้ามาใกล้รั้งใบหน้าผมเข้าหา บดเบียดริมฝีปากลงมาอย่างไม่สนใจ

ผมเหลือบมองเจด ส่งสายตาไล่กลายๆ เจดยักไหล่ขบขันก่อนจะลุกไป ผมหลุดยิ้ม กลับมาโอบแผ่นหลังบางกอดกระชับจนร่างกายสัมผัสกัน ปรับองศาใบหน้าจนริมฝีปากแนบสนิท ก่อนหลับตายอมให้น้องจูบอย่างเอาแต่ใจ ลงโทษผมด้วยลิ้นร้อนร้ายที่เกี่ยวกระหวัด... สูบซับความหวานพร้อมแผดเผาในคราวเดียวกัน

พรากลมหายใจเนิ่นนาน กว่าจะยอมถอนจูบออก

“อุกอาจจริง” ผมเอ่ยล้อเลียน ยกมือเกลี่ยใบหน้าใสที่ผมแสนคิดถึง เจ้าของการกระทำอุกอาจกดมุมปากบึ้งตึงอย่างน่าเอ็นดู

“ผมรู้ว่าพี่ต้องการ” ผมหัวเราะเบาๆ กับน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ

แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าใช่ ผมต้องการ...

ทั้งจูบนี้... และเด็กคนนี้

"ผมคิดถึงพี่" น้องกลับมามองหน้าผมอีกครั้งพลางแตะหน้าผากลงมา ผสานลมหายใจคลอเคลียปลายจมูกให้รู้ว่ายังอยู่ข้างกัน หลับตาลงซึมซับสัมผัสแสนโหยหา

มีคำพูดมากมายอยู่ในหัวผม แต่กลับทำได้แค่ถอนใจ ดึงพิชญ์เข้ามาใกล้กว่าเดิมแล้วซบหน้าลงกับไหล่

“ขอโทษครับ” ผมไม่ได้หวังให้น้องให้อภัย เพราะรู้ดีว่าตัวเองเห็นแก่ตัวแค่ไหน

“เตวิชญ์...”

แต่พิชญ์ก็ยังเป็นพิชญ์... เด็กดีของผมที่ไม่ว่าผมจะทำเรื่องแย่ๆ แค่ไหนน้องก็ไม่เคยหนีไป

“ขอบคุณที่กลับมา”

ยังกอดผม ยังคงประทับริมฝีปากลงมาอย่างอ่อนโยน...

แม้รสจูบหวานล้ำจะขมปร่าด้วยน้ำตา

   






ผมใช้เวลาที่เหลือของวันเล่าให้น้องฟัง... อธิบายทุกอย่าง ตอบทุกคำถาม บอกทุกความลับโดยไม่จำเป็นต้องมีกติกาใดๆ ไม่ต้องมีเกมเชื่อมโยงเราไว้

หรือต่อให้มีผมก็แพ้... ผมแพ้น้องมาตั้งนาน
   
ผมไม่ได้เล่าเพื่อหวังให้พิชญ์เข้าใจ เพราะรู้ว่ามันยากจะเข้าใจ แค่อยากให้ได้รู้ในสิ่งที่เคยเก็บไว้ น้องตั้งใจฟัง ไม่ได้เอ่ยความเห็น แต่หยาดน้ำในดวงตาเอ่อล้นจนเห็นชัดในบ้างครั้งเรียกให้ผมดึงเข้ามากอดไว้ เอ่ยขอโทษซ้ำๆ ที่ทำให้เสียใจ
   
“อเมริกาไม่มีจริง” สิ่งแรกที่เอ่ยหลังจากได้ยินความจริงทั้งหมดกลับเป็นประโยคไร้เดียงสา จนผมต้องยื่นหน้าข้ามไหล่ จูบผิวแก้มคนที่นั่งซ้อนอยู่ตรงหว่างขาพลางยกมือขึ้นลูบเรือนผมประบ่าเบาๆ
   
“เคยมี แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว” ...ผมคงไม่กลับไปอีก
   
“พี่จะไม่ไปไหนแล้วใช่ไหน” น้องเอี้ยวตัวกลับมาถาม สีหน้าจริงจัง
   
“อืม ไม่ไปแล้ว” ยืนยันพร้อมกดจูบที่ขมับอีกครั้ง ริมฝีปากบางจึงยิ้มออกมา หรี่ตาคาดโทษผมไว้
   
“พี่พูดแล้วนะเตวิชญ์ ถ้าหนีไปอีกผมจะไม่ให้อภัย” คำขู่แสนน่ารักทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะยกมือบีบจมูกรั้น ก่อนโอบไหล่กระชับให้ชิดเท่าที่จะทำได้

กดจูบซอกคอซุกจมูกซึมซับกลิ่นกายที่แสนหลงใหล แล้วให้สัญญา
   
“ครับ จะไม่หนีไปไหน”

   




แต่สิ่งที่ผมทำมันคงหนักหนาเกินกว่าจะทำให้ยอมเชื่อเพียงลมปากง่ายๆ
   
วันต่อมาผมได้ยินเสียงคนเข้ามาในห้องตอนอยู่ในห้องน้ำ เสียงฝีเท้าย่ำหนักก่อนจะได้ยินพิชญ์ตะโกนเสียงดัง
   
“พี่เต!” เปิดประตูออกมาผมเห็นพิชญ์ชะโงกหน้ามองหน้าต่าง สีหน้าหวาดหวั่นตกใจ
   
“พิชญ์” ผมเองก็ตกใจ ที่เห็นน้องตื่นตระหนกแบบนั้น ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างหันมามองผม ก่อนค่อยๆ สาวเท้าเข้ามา ยกมือไม้เก้กังเหมือนไม่รู้จะทำยังไง
   
น้องไม่กล้ากอดผมแน่น เพราะรู้ว่าแผลยังไม่หาย 
   
“เตวิชญ์...” สุดท้ายเพียงเอื้อมมือมาจับชายเสื้อผม กำแน่น สีหน้าเว้าวอน 

"..."

“อย่าไป...” น้ำตาเอ่อคลอก่อนค่อยๆ ไหล
   
“...”
   
“อย่าไปต่อหน้าต่อตา...” ความรู้สึกผิดเอ่อล้นขึ้นมาเมื่อเห็นคนตรงหน้าร้องไห้อีกครั้ง เอื้อมมือรวบหลังบางมากอดไว้ กดทับแขนที่เจ็บอย่างไม่คิดสนใจ
   
“รู้แล้ว” กระซิบบอกพลางกดจูบหางตาไล่ลงมาที่แก้วเพื่อซับน้ำตาให้ “ขอโทษ”
   
“ฮึก...”
   
“ขอโทษครับ”

จูบซ้ำๆ จนกว่าน้องจะหยุดร้องไห้
   
วันนั้นทั้งวันพิชญ์งอแงขึ้นมาเฝ้าผมไม่ห่าง กระทั่งปีนขึ้นมานอนบนเตียงด้วยกัน โดนคุณพยาบาลเอ็ดไปหลายรอบก็ยังดื้อเงียบอยู่อย่างนั้น จนผมขอร้องอีกแรงเขาถึงอนุโลมให้ น้องไม่ได้ทำอะไร เพียงนอนตะแคงมองหน้าผมนิ่งๆ จับจ้องมาเหมือนกลัวว่าผมจะหาย ไม่ได้รบกวน แทบไม่ยอมพูดอะไร อาจเพราะยังอายที่ตัวเองเอาแต่ร้องไห้ ตาบวมทบของเก่าจนดูไม่จืด

ผมได้แต่หัวเราะอย่างเอ็นดู ดึงใบหน้าอีกคนมาซบไหล่ เอียงหน้าซุกกลุ่มผม ให้กลิ่นหอมจากคนรักกล่อมตัวเองนอน
   
ผมหลับไปหลายรอบด้วยฤทธิ์ยา และทุกครั้งที่ตื่นมาก็จะเห็นพิชญ์นอนอยู่ข้างๆ ขยับปลายจมูกมาถูแก้มผมคล้ายออดอ้อน
   
“น้ำไหม” พอมผมพยักหน้าน้องก็ลุกขึ้นนั่ง เอื้อมมือไปรินน้ำให้

ผมดื่มน้ำพลางมองเจ้าลูกลิงที่เกาะไม่ห่างอย่างขบขัน กระทั่งป้อนน้ำผมเสร็จน้องก็ยังโน้มตัวมาคร่อมร่างผมไว้ จับผมที่ทิ้งตัวเกะกะขึ้นทัดหู เลียริมฝีปากหนึ่งครั้งก่อนกดจูบลงมา
   
ผมหัวเราะเบาๆ เผยอปากยอมให้ลิ้นรั้นเกี่ยวกระหวัดอย่างเอาแต่ใจ เด็กดีของผมละเลียดป้อนรสจูบแสนหวานที่ทำให้หัวใจผมเต้นแรงได้ทุกครั้ง
   
ผละออก ก่อนจ้องผมนิ่งนานแล้วเอ่ยคำถามที่ทำให้ผมเลิกคิ้วประหลาดใจ

“ท้าหรือจริง”

หลุดยิ้มกว้างพลางยกมือลูบผมยาว เกลี่ยนิ้วโป้งลงบนแก้มน้องเบาๆ จ้องลึกเข้าไปในดวงตาแสนรั้น ก่อนเอ่ยคำตอบที่คงไม่ต้องเดา
   
“ท้า...”
   
...ไม่ลังเลที่จะเริ่มเล่นเกมที่ผูกเราเข้าด้วยกันอีกครั้ง







---------------------------------------------------
มาสุขสันต์วันเด็กล่วงหน้าค่า
บอกแล้วว่าเด็กดีต้องได้รางวัล  :mew1:
ผ่านความเจ็บปวดกันมาแล้วนะ หลังจากนี้มาเรียนรู้ที่จะก้าวไปข้างหน้าพร้อมกันเถอะค่ะ
ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันตลอดมา
ตอนหน้าจบแล้วนะคะ

ฝาก #เกมท้ารัก เช่นเคยน้า
   
   
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 19 P.9 [12.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 12-01-2018 13:51:58
ปาดดด

กรี๊ด ของขวัญวันเด็ก  :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 19 P.9 [12.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 12-01-2018 14:02:31
ผ่านฝนหนักๆมาแล้ว พิชญ์
พี่เตก็ให้โอกาสตัวเองมีความสุขสักที

// รู้สึกผูกพันธุไม่อยากให้จบเลย

หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 19 P.9 [12.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 12-01-2018 15:20:06
พี่เจดมาอยู่กับหนูมา 55555555555
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 19 P.9 [12.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: nnnnnnni ที่ 12-01-2018 19:27:18
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 19 P.9 [12.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: mayongc. ที่ 12-01-2018 20:41:05
เอ็นดูน้องงงงง น้องกลัวโดนพี่ทิ้งอีกรอบ ตาบวมฉึ่งเลยสิ สงสารพี่เจดดดฮืออ5555
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 19 P.9 [12.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 12-01-2018 21:15:15
สงสารพี่เจดเบาๆ 5555555555 พี่เจดต้องเข้าใจเขานะคะน้องพิชญ์ต้องเสียใจขนาดไหน ถึงพี่จะโดนเมินและโดนไล่พี่ก็ต้องยอมเพื่อความฟินของเราๆนะคะ5555
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 19 P.9 [12.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 12-01-2018 21:28:57
น้องพิชญ์น่าจะแกล้งโกรธอีกนิด เริ่มหมันไส้พี่เต คนไม่อ่อนโยนนน คิดจะทิ้งน้องงง
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 19 P.9 [12.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 12-01-2018 21:43:07
ฮืออออออ จะจบแล้ว ชีวิตพี่เตคือสุดจริงๆอะ สงสารมาก :hao5:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 19 P.9 [12.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 12-01-2018 22:32:36
สงสารพี่เจด ช่วยหาคู่ให้พี่เจดหน่อยนะคะ 55555
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 19 P.9 [12.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 12-01-2018 23:13:21
หาคู่ให้พี่เจดที
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 19 P.9 [12.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 12-01-2018 23:21:01
 :pig4:ดีจังงง
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 19 P.9 [12.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: from_mars ที่ 13-01-2018 09:09:50
เอาล่ะ ปมหมดละ เดินสวยๆ บนทุ่งลาเวนเดอร์กันได้แล้วค่ะ เต พิชญ์ ฮาๆ

รออ่านบทหวานๆ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 19 P.9 [12.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Veesi3 ที่ 14-01-2018 10:55:23
ดีใจมากๆ.ในที่สุดดดดดด
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 19 P.9 [12.01.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 14-01-2018 13:13:42
พี่เจดผู้ถูกลืม สงสารเขานะคะ55555555
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 15-01-2018 20:34:30
20
[/b]

“ก็สไตล์มันไม่ได้ไง”

“แต่ตอนนี้ก็ต้องหาคนแทนไปก่อน มีแค่กีตาร์กับเบสจะซ้อมยังไง”

“เปิดเทปมะ เอาที่เคยอัดของไอ้เตไว้มาเปิดละเล่นตามงี้”

“...”

“เฮ้ย กูว่าได้”

“ทำไมเจดดื้ออ่ะ”

“เอ๊า...” แทนที่ถูกดุแล้วจะสลด ไอ้พี่เครากลับหัวเราะ แต่พอเงยหน้าขึ้นจากโมเดลเห็นหน้าเจไดที่กอดอกขมวดคิ้วมุ่นก็อดหัวเราะไม่ได้เหมือนกัน

ท่าทางน่าแกล้งแบบนี้ถึงไม่มีใครเรียกว่าพี่ ทั้งที่เจไดเรียนอยู่เภสัชปีสี่ แก่กว่าผมกับไอ้พี่เคราอีก

สองคนนี้เถียงกันมาเกือบชั่วโมงเรื่องหาคนมาตีกลองแทนเพื่อนพี่เจดที่ไม่ว่างกะทันหัน แถมเพื่อนเจไดที่เคยชวนมาเทสต์ก็เล่นไม่เข้ากัน

“งั้นไม่ซ้อมแม่ง ขี้เกียจละ” สุดท้ายไอ้พี่เคราก็ตัดบท ถอดกีตาร์ออกจากไหล่ดื้อๆ จนอีกคนหน้าบึ้งกว่าเก่าถอนหายใจหนัก

“เราไปสูบบุหรี่ดีกว่า” ว่าแล้วก็ถอดเบสวางข้างกัน ควักบุหรี่เดินออกไปที่สวนอย่างไม่สบอารมณ์

ผมได้แต่ขำที่สองคนนี้เอาแต่ทะเลาะกันเป็นเด็กๆ ลุกขึ้นเดินไปหาพี่เจดที่หยิบบุหรี่ออกมาคาบพลางมองตามแผ่นหลังคนตัวเล็กกว่าไม่วางตา

“ไม่ง้อ?” ถือวิสาสะหยิบบุหรี่ในซองพี่เจดมาจุดสูบบ้าง

“เดี๋ยวค่อย” ไอ้พี่เครายักไหล่ พลางยิ้มขำ “เจมันน่ารักสุดเวลางอนนี่แหละ”   

ผมหัวเราะเสียงดัง “มิน่า ชอบหาเรื่องทะเลาะกัน”

ความสัมพันธ์ของสองคนนี้เป็นอะไรที่ยากจะเข้าใจ ประมาณว่าคนหนึ่งตามจีบ ส่วนอีกคนก็กำลังเล่นตัวเพราะไม่เคยถูกใครจีบมาก่อนในชีวิต น่าตลกตรงที่คนออกตัวว่าจะเป็นฝ่ายจีบดันเป็นเจได... แต่เท่าที่ดูเหมือนจะเป็นไอ้พี่เคราต่างหากที่เป็นฝ่ายแพ้เขาทุกทาง

“แล้วไอ้เตอ่ะ”

“กลับบ้าน”

หลังออกจากโรงพยาบาล ทุกอาทิตย์จะมีคนมารับเขาไปบ้านใหญ่เพื่อคุยกับจิตแพทย์ประจำตระกูล แล้วอยู่กินข้าวเย็นที่นั่นต่อ... เป็นวิธีสานสัมพันธ์ของสองพ่อลูกที่ที่ผ่านมาแทบไม่ได้คุยกัน

“ตกลงมันจะไม่กลับมาตีกลอง?” เลิกคิ้วพลางเคาะบุหรี่ลงที่เขี่ยข้างตัว ผมสูดควัน ยักไหล่

“คงไม่”

“เสียดายสัด” ผมหัวเราะ พี่เจดบ่นเสียดายอยู่ทุกวันนับตั้งแต่พี่เตขอออกจากวงต่อให้แขนหายดี

เขาค้นพบมานานว่าลึกๆ แล้วไม่ได้ชอบมัน เหมือนที่เขาเลิกเล่นบาส... พี่เตกำลังตีตัวออกห่างจากอะไรก็ตามที่เคยทำเพื่อทดแทนตัวตนของพี่ชาย

อะไรก็ตามที่กัดกินอยู่ภายในใจเขามานาน

แน่นอนว่าเขาไม่ได้เกลียดมัน เขาแค่กำลังพยายามหาทางกลับมาเป็นตัวเอง

“แต่มึงเคยบอกว่ามันเก่งทุกอย่าง” พี่เจดหันมาเลิกคิ้วถาม ดับบุหรี่ที่สูบถึงก้นกรอง

“อือ เขาเล่นได้หมดอ่ะ กีตาร์ เบส กลอง ตัวท็อปวิชาดนตรี” ในห้องถึงมีเครื่องดนตรีครบวง บางครั้งผมเห็นเขาหยิบกีตาร์โปร่งมาเกาเล่นเป็นเพลงไม่คุ้นหูที่น่าจะแต่งเอง

“งั้นมันคงไม่ได้เกลียดดนตรี” พี่เจดหัวเราะเบาๆ จบบทสนทนาดื้อๆ ด้วยการลุกขึ้นจากลำโพงที่ใช้ต่างเก้าอี้ เดินเนือยๆ ออกไปที่ระเบียง

ผมอมยิ้ม มองไอ้พี่เคราที่แอบย่องไปยืนซ้อนหลังคนหน้าบูดที่ระเบียง ทำเป็นล้วงกระเป๋าแล้วโน้มตัวเอาคางเกยหัวคนตัวเล็กกว่าจนเจไดหันมาโวยวายใส่ ก่อกวนจนใบหน้าบึ้งตึงกลับมาหัวเราะ ปิดท้ายด้วยการยอมให้ลูบเคราเล่น เป็นอันจบการง้อแบบเนียนๆ

งี้ไม่เรียกจีบแล้วมั้ง... คบกันแล้วนี่หว่า

ผมดับบุหรี่ เบือนหน้าหนีจากคนกำลังสวีท หันมาหยิบกีตาร์ที่ตั้งอยู่ข้างๆ ดีดเล่นแก้เบื่อ ตอนมอต้นเคยเห่อเล่นอยู่พักหนึ่งเหมือนกัน แต่เลิกไปนาน จำไม่ได้สักคอร์ดด้วยซ้ำ พอไอ้พี่เครากลับมาเห็นผมเล่นสั่วๆ ก็หัวเราะใส่

“ห่วยสัด” ผมยักไหล่ กำลังจะคืนกีตาร์ให้ แต่ดันนึกอะไรขึ้นได้

“ป๊า” เงยหน้าขึ้นสบตาทำหน้าจริงจัง

“สอนเล่นกีตาร์หน่อยดิ”






ผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ และริมฝีปากหยุ่นที่กดลงมาบนหน้าผาก เปลือกตา ผิวแก้ม... ปลายจมูก ก่อนจะทาบลงมาบนริมฝีปาก

สัมผัสที่คุ้นเคย กลิ่นที่จำได้ดีว่าเป็นของเขา ทำให้ผมหลุดยิ้มก่อนลืมตาขึ้นมา สบตากับเจ้าของใบหน้าที่อยู่ห่างเพียงลมหายใจ

“มานอนอะไรตรงนี้” เสียงทุ้มเอ่ยถามพลางงับปลายจมูกผมเบาๆ

ผมหัวเราะ เพิ่งรู้ว่าตัวเองเผลอหลับบนลานซ้อมทั้งที่ยังมีกีตาร์อยู่ในอ้อมกอด หัวซุกอยู่กับพุงเปียกปูนที่หลับอุตุข้างกัน

“พิชญ์ง่วง” ปล่อยมือจากกีตาร์แล้วพลิกตัวกลับมาหนุนตัก กอดเอวหนาอย่างออดอ้อน

พี่เตหัวเราะเบาๆ ลากนิ้วเกลี่ยผมทัดหู หมุนต่างหูผมเล่นไปพลาง “กินข้าวยัง”

“ยังไม่หิว” ผมส่ายหน้า ถูจมูกกับหน้าท้องเขา กะจะอยู่แบบนี้อีกสักพัก แต่นึกได้ว่ายังไม่ได้อวดสิ่งที่ตั้งใจฝึกมาค่อนวัน

“หืม?” พี่เตเลิกคิ้วเมื่ออยู่ๆ ผมก็ลืมตา เงยหน้าสบตาเขาแล้วยิ้ม

“วันนี้ผมให้พี่เจดสอนกีตาร์” ลุกขึ้นหยิบกีตาร์มาวางบนตัก เอื้อมหยิบปิ๊กที่ทำหล่นอยู่ใกล้ๆ

“แป๊บนะ” ยกนิ้วเกาใต้ตามึนๆ เพราะเพิ่งตื่น นึกอยู่สักพักกว่าจะจำคอร์ดได้ ทาบนิ้วลงไปบนสายกีตาร์อย่างเก้กัง

เปียกปูนสะดุ้งตื่นตอนผมเริ่มดีดคอร์ดหนึ่ง เจ้าตัวเล็กสะบัดตัวนั่งจ้องผมที่ดีดกีตาร์เป็นจังหวะกระท่อนกระแท่นไม่ถึงนาทีก็วิ่งหนีไปคล้ายรำคาญ ได้ยินเสียงหัวเราะขบขันจากร่างสูงที่ขยับตัวมานั่งซ้อนหลังโอบเอวผมพลางแกล้งงับหูเบาๆ

“เพลงอะไร” เอ่ยถามเมื่อผมเล่นจนจบ มันคงไม่ปะติดปะต่อเกินไปจนเขาจำไม่ได้

“ไม่รู้เหมือนกัน” หัวเราะให้กับความอ่อนหัดของตัวเอง เอี้ยวตัวกลับไปสบตาเขาก่อนเฉลย “ผมเคยได้ยินพี่เล่น”

“หือ?” พอเห็นเขาทำสีหน้าประหลาดใจผมเลยเปลี่ยนจากดีดกีตาร์เป็นส่งเสียงฮัมในลำคอ

“ดื่อดื๊อดือดื่อดือ~” คิ้วเข้มเลิกขึ้นก่อนหลุดหัวเราะใส่ทำนองประหลาดที่เปล่งออกมา ผมพยายามฮัมเท่าที่จำได้ แต่สุดท้ายก็หลุดหัวเราะ ยกมือยอมแพ้ “โอเค ช่างมัน”

พี่เตหัวเราะอีกรอบ ก่อนเอื้อมมือมาจับกีตาร์ทั้งที่ยังนั่งซ้อนหลังผมอย่างนั้น นิ้วเรียวทาบคอร์ดแล้วเริ่มเกาเป็นทำนองที่ผมเพิ่งพยายามจะเล่น

คราวนี้มันลื่นไหล เป็นเสียงเพลงที่ผมจำได้ว่าเขาเคยเล่นมัน

“ดื่อดื๊อดือดื่อดือ~” ไม่วายฮัมเสียงล้อเลียน ผมแกล้งหันไปทำหน้าคาดโทษแล้วหลุดยิ้มออกมา อ้อมแขนแกร่งกอดเอวผมแน่น จูบโหนกแก้มไล่ขึ้นไปถึงขมับก่อนเอ่ยพึมพำ

“เคยแต่งให้วงภพเล่น” ผมร้องอ๋อในใจ เอี้ยวหน้ากลับไปถามคำด้วยคำพูดพี่เจด

“พี่ไม่ได้เกลียดดนตรีใช่ไหม”

เขาเลิกคิ้ว นิ่งคิดสักพักแล้วยักไหล่ “ไม่รู้เหมือนกัน”

ผมหรี่ตา พยายามคิดว่ามีอะไรอีกที่เขาชอบหรือไม่ชอบ หลายอย่างที่ผมเคยรู้เปลี่ยนไปนับตั้งแต่อุบัติเหตุคราวนั้น

“พี่ไม่ชอบบาส ไม่ชอบกลอง ไม่แน่ใจว่าเกลียดดนตรีไหม...แล้วสถาปัตย์อ่ะ ชอบไหม”

เขามองผม ยิ้มขำกับท่าทางจริงจัง ก่อนยกมือเกลี่ยเส้นผมเบาๆ พลางฝังริมฝีปากลงมาที่ขมับอีกครั้ง

“อืม”

คำตอบทำให้ผมยิ้มกว้าง หมุนตัวกลับไปนั่งคร่อมตักเขายกแขนโอบรอบคอแกร่งทั้งที่ยังมีกีตาร์คั่นกลาง

“ดีจัง” เขายิ้มกว้างกว่าเดิม สายตาฉาบความเอ็นดูปนขบขัน

“มีอีกอย่างที่ผมรู้ว่าพี่ชอบ” ผมแกล้งหรี่ตา ตีหน้าจริงจังอีกครั้ง กระชับอ้อมแขนคลอเคลียปลายจมูกกับจมูกเขา

“ผมไง” เฉลยคำตอบที่ทำให้ร่างสูงชะงัก ย่นคิ้วล้อเลียน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างแล้วทาบริมฝีปากลงมา แทรกเรียวลิ้นเล่นล้อกับปลายลิ้น ดูดดุด ขบเม้มริมฝีปากล่างคล้ายมันเขี้ยวก่อนผละออกไป

มือหนาดึงหน้าผมลงไปซบไหล่ เอียงซุกปลายจมูกลงกับกลุ่มผมแล้วจับโยกไปมาเหมือนเด็กก่อนกระซิบแก้คำ

“รักต่างหาก”

แล้วเราก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน





ผมได้ยินเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ตัวเอง แต่คนที่กดรับคือเจ้าของอ้อมกอดที่เอื้อมมือข้ามฝั่งมากดรับให้ราวกับกลัวว่าเสียงมันจะรบกวน

“อือ... กู” เสียงทุ้มตอบรับปลายสายที่ได้ยินเสียงแว่วมาก็เดาได้ว่าเป็นใคร

“น้องหลับ”

หลุดยิ้มกับสรรพนามที่เขาใช้ ก่อนขยับขึ้นไปซบอกกว้าง เกยก่ายร่างกำยำใต้ผ้าห่มที่เปลือยเปล่าไม่ต่าง

ต้นขาเสียดสีกับกลางร่าง...ที่ตื่นตัวขึ้นมาเพียงสัมผัส

“หึ” เขาหัวเราะในลำคอกับความซุกซน แกล้งกดจูบหนักๆ ลงมาบนกลุ่มผม ขบเม้มใบหูเบาๆ

ฝ่ามือใหญ่ไล้ลูบตามแนวสันหลัง ก่อนเลื่อนต่ำลงสู่สะโพก แล้วนวดคลึงเอาคืนบ้าง

“อืม...” หลุดเสียงครางจนคนที่คุยโทรศัพท์อยู่ก้มลงมาจูบปิดปาก หูยังฟังปลายสายบ่นอะไรเหยียดยาวก่อนผละออกไปตอบคำถาม

“ไม่ว่าง”

พี่เจดคงโทรมาชวนไปไหนอีก แต่อย่างว่า วันนี้เรามีนัดแล้ว

“ธุระครอบครัว” ผมหัวเราะให้ข้ออ้างของเขาอีกครั้ง หรี่ตาขึ้นมามองเจ้าของเสียงทุ้มที่ยิ้มมุมปาก ก่อนตัดสาย โยนโทรศัพท์ผมไว้ข้างเตียง

“ธุระครอบครัว?” ผมแกล้งเลิกคิ้วล้อเลียนจนอีกคนหัวเราะเบาๆ มือที่เพิ่งว่างสอดเข้ามานวดท้ายทอยเรียกให้ตอบรับริมฝีปากที่แนบสนิทลงมา มืออีกข้างยังวุ่นวายอยู่กับสะโพกที่คงขึ้นรอยจากกิจกามก่อนหน้า...

และคงไม่วายช้ำยิ่งกว่าจากกิจกรรมเดียวกัน

จูบที่เริ่มรุนแรงทำให้ผมขยับกายสูงขึ้นไป เท้าแขนคร่อมร่างคนตัวโตกว่าไว้เพื่อให้เรียวลิ้นรุกล้ำได้ดั่งใจ พี่เตหัวเราะเบาๆ มือซนบีบเค้นและทำท่าจะแหวกรอยแยกสู่ช่องทาง

"ยังก่อน..." แต่เขาใจร้อนเกินไป ผมจึงหยุดการกระทำนั้นไว้ ดึงฝ่ามือใหญ่กว่ามาประสานนิ้วมือ

ถอนริมฝีปากอ้อยอิ่ง แกล้งไล้เลียริมฝีปากเขา เลื่อนลงงับปลายคางก่อนลากต่ำสู่ลำคอที่มีรอยสีกุหลาบจาง แต่เพราะ ‘ธุระครอบครัว’ ที่ว่าผมจึงตัดสินใจไม่ทิ้งรอยใหม่... เพียงกดจูบแผ่วเบา แล้วผละจากสู่ส่วนอื่นของผิวเนื้อแน่นตึง

จูบลงที่รอยแผลเป็นเล็กๆ เหนือไหปลาร้าที่อุบัติทิ้งเอาไว้ ไล้ลิ้นเลียสลับจูบลามเรื่อยยังร่องรอยเก่าที่ลากผ่านแผ่นอกถึงหน้าท้องกำยำ ฝากรอยจุมพิตทั่วทุกตารางนิ้ว... กระทั่งถึงส่วนกลางร่างกาย

แกล้งทอดสายตามองนัยน์ตาสีรัตติกาล ยกยิ้มยั่วเย้าให้เจ้าของร่างกายที่ยอมให้แทะโลมตามใจ

"หึ" มุมปากบางคลี่ยิ้มร้าย มือที่ว่างเอื้อมมาเกลี่ยเส้นผมเกะกะออกจากใบหน้า...

ไม่ต้องการให้ผมแม้สักเส้นบดบังนิ้วมือที่ค่อยๆ ประคองส่วนชูชันเอาไว้... แกล้งไล้ปลายนิ้วกับส่วนปลายจุดไฟปรารถนาให้แล่นลาม

ดวงตาสีรัตติกาลฉายความท้าทาย คล้ายเร่งเร้าให้ผมครอบครองไว้ จึงเปลี่ยนจากนิ้วเป็นแตะเรียวลิ้นลงไป... ลากผ่านความยาวจากโคน... สู่ปลาย... ไล้เรื่อยรอบแก่นกาย ชะโลมชุ่มด้วยริมฝีปาก

จิลครูดผ่านเนื้อร้อนจนสัมผัสได้... ราวยิ่งกระตุ้นให้ตัวตนคับขยาย

“อืม...” เสียงทุ้มกดต่ำในลำคอราวทรมานเมื่อผมรับเขาไว้ในโพรงปาก ดูดดุนพร้อมไล้ลิ้นวนกับส่วนอ่อนไหวซ้ำๆ ...ใช้หมุดเงินเล่นล้ออย่างซุกซน

“อา... คุณพิชญ์” ได้ยินเสียงขบกรามเคล้ากับเสียงแหบพร่าที่เรียกอย่างคาดโทษ คิ้วเข้มขมวด มือที่ประสานไว้กำแน่น นิ้วเรียวอีกข้างแทรกในกลุ่มผมขยุ้มจนเสียทรง ...คล้ายกำลังฝืนทนไม่ให้กดหัวผมต่ำลงไป หรือสวนสะโพกบังคับดั่งใจ
   
...กลายเป็นผมเองที่เป็นฝ่ายอยากลิ้มลอง... อยากครอบครองทั้งหมดไว้
   
ผมเงยหน้าสบตาสีรัตติกาล ราวต้องการให้เขาช่วยเร่งเร้าด้วยสายตา ประกายร้อนแรงที่ส่งผ่านมา ผลักดันให้ค่อยๆ กดริมฝีปากลงไป... ครอบครองทีละนิด... กระทั่งกลืนกินทั้งหมดได้

ทีแรกมันอึดอัดจนน้ำตาไหล เมื่อตัวตนที่ขยายแทรกลึกถึงลำคอ ขยับริมฝีปากปรับตัวเชื่องช้าจึงเริ่มกิจกาม ดูดดุนพลางไล้เลียสะเปะสะปะ รูดรั้งเนิบนาบ ก่อนเร่งจังหวะ...

คล้ายกลืนกินได้ลึกขึ้นในทุกครั้งที่แทรกเข้ามา
   
“พิชญ์...” มือที่ขยุ้มผมกำแน่น แต่ยังฝืนทนไม่กดทึ้งตามใจ เสียงคำรามต่ำหนักเน้นเมื่อถึงช่วงสุดท้ายของความทรมาน

...ในที่สุดโพรงปากฉ่ำชื้นด้วยหยาดน้ำจนล้นทะลัก ผมช้อนสายตามองเขาขณะค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกมารอรับ แลบลิ้นรองก่อนใช้มือกอบกำรูดรีดหยาดข้นที่คั่งค้าง ดวงตาสีรัตติกาลฉายความกระหายชัด มองทุกการกระทำอุกอาจ ยิ่งยั่วให้อยากเย้าด้วยการค่อยๆ ตวัดลิ้นคืนกลับ... กลืนกินทุกหยดของเขาเข้าไป ลิ้มรสตัวตนที่ติดริมฝีปาก... กระทั่งเรียวนิ้วที่เหนอะหนะอย่างตะกละตะกาม
   
“หึ” มุมปากบางยกยิ้มร้ายอีกครั้ง ก่อนร่างทั้งร่างจะหลุดลอยด้วยแรงกระชากจากแขนกำยำ ถูกจับให้พลิกคว่ำก่อนทิ้งตัวโถมทับ
   
สะโพกถูกจับยก สัมผัสส่วนที่ยังขยายร้อนราวยังไม่ผ่านศึกสนาม ความเฉอะแฉะแนบนาบลงมากับรอยแยก... ถูไถความยาวกับปากทาง

"อื้อ..." แรงเสียดสีเพียงแผ่วเบากลับทำให้ร่างกายร้อนเร่า หลุดผวาเมื่อฝ่ามือหนาคว้าเอาตันตนที่ตื่นตัวไม่ต่าง แกล้งไล้นิ้วหยอกเย้า เร่งความกระสันซ่านจนแทบทนไม่ไหว เผลอขยับช่วงขาอ้ากว้างเปิดทางให้
   
“คุณพิชญ์...” แต่คนขี้แกล้งกลับไม่ยอมตอบรับความปรารถนาง่ายๆ โน้มใบหน้ากระซิบข้างหูท้าทาย
   
“ท้าหรือจริง”
   
เผลอกลั้นหายใจเมื่อเขาขยับให้ส่วนปลายจดจ่อคล้ายจะแทรกเข้ามา ก่อนทำท่าจะผละจากจนต้องเร่งตอบอย่างเอาใจ
   
“ท้า...” แหบพร่าจนไม่อาจเรียกเป็นคำได้
   
“หือ?” คนขี้แกล้งแสร้งทำหูตึง กระซิบถามย้ำพลางกดจูบผมแก้มร้อนจัดซ้ำๆ ฝ่ามือที่กอบกำความแข็งขืนขยับเนิบนาบชวนทรมาน
   
“พี่เต...” เรียกเสียงกระเส่า เอียงหน้าให้ริมฝีปากชิดหูแล้วเอ่ยคำตอบที่เขาต้องการ “พิชญ์ท้า”
   
ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนริมฝีปากร้ายกาจจะกดจูบจาบจ้วง ตักตวงสัมผัสหวานก่อนผละออกยังผิวแก้ม ลากลิ้นเลียใบหูที่ไวสัมผัสจนบิดร่าง หลุดเสียงครางแผ่ว

“ชู่ว” เขาส่งเสียงปราม “...อย่าส่งเสียง”

...ก่อนจะรู้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำท้ายทาย ที่มีบทลงโทษแสนร้ายกาจ

“ถ้าคราง... พี่จะไม่ปล่อยให้พิชญ์พัก”

“...!” เพียงสิ้นคำ ตัวตนที่จดจ่อก็แทรกเข้ามาสุดทาง ไม่ทันให้ตั้งตัว

ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกกระทั้นจุดกระสัน ซ่านเสียวจนสองแขนหมดเรี่ยวแรงทรุดฮวบลงกับเตียง ยกเพียงสะโพกที่ยังเชื่อมต่อกับความแข็งขืนที่กดลึกลงมาในร่าง

...กัดฟันแน่นสะกดกลั้นเสียงคราง ก่อนต้องอ้าปากค้างเมื่อเขาถอนทั้งหมดออกไปปล่อยให้ภายในเต้นตุบตอดรัดความว่างโหวงอย่างทรมาน

“หึ” คนเจ้าเล่ห์หัวเราะอย่างพอใจ กดจูบใบหน้าที่อาบด้วยหยาดน้ำที่ไหลไม่รู้ตัว

ก่อนค่อยๆ แทรกตัวตนเข้ามาอีกครั้ง... สัมผัสทุกจังหวะของการบีบรัดอย่างเชื่องช้า

“เด็กดี” เมื่อสุดทางเขาแช่ค้าง กดจูบซับที่หางตา คล้ายว่าจะปราณีแต่วินาทีต่อมากลับร้ายกาจ

"...!" ส่วนร้อนถอนสุดก่อนแทรกเข้ามาอีกครั้ง... นวดซ้ำจุดกระสัน

หมดทางอดกลั้น เมื่อมือหนาเอื้อมมาจับคาง ก่อนแทรกนิ้วเข้ามาในโพรงปาก แทรกอยู่ระหว่างฟันไม่ให้ขบคมเขี้ยวหากัน เล่นล้อกับปลายลิ้นไปพลาง ขณะที่ส่วนล่างยังคงกระแทกกระทั้น เนิบนาบทว่าหนักเน้น

"อ๊ะ...!" ...ในที่สุดผมหลุดเสียงร้อง
   
คนใจร้ายหัวเราะเบาๆ กดจูบลำคอขบกัดลาดไหล่ราวให้รางวัล เรียวนิ้วในโพรงปากผละออกเมื่อยอมแพ้ราบคาบ เลื่อนลงต่ำสู่แผ่นอก บีบเน้นขับแรงอารมณ์

“อื้อ...” ส่วนอ่อนไหวยิ่งไวต่อสัมผัสด้วยห่วงเงินที่กลัดติ่งไต ชูชันพร้อมกระเพื่อมหนักด้วยความหวามไหว ยิ่งแพ้หมดรูปเมื่อฝ่ามืออีกข้างที่ยังกอบกุมตัวตนไว้เริ่มขยับอีกครั้ง

“อะ!... พี่เต...”  ความกระสันซ่านแล่นปราบทั่วร่างราวประกายไฟลามเลียน้ำมันเมื่อถูกกระตุ้นจากทุกทาง

ช่องทางบีบรัดหนักหน่วงจนได้ยินเสียงคำรามต่ำ หยาดน้ำหล่อลื่นหลั่งให้ยิ่งกระแทกกระทั้นรุนแรง รัวเร็วและหยาบโลนด้วยแรงอารมณ์ เสียงผิวเนื้อกระทบเจือเสียงคราง ผสมความฉ่ำชื้น ปะปนจนไม่อาจแยก

"อา..." กระทั่งถึงปลายทาง...ราคะปลดปล่อยเปรอะที่นอน หอบกระชั้นทรุดลงหมดรูป ร่างหายกระตุกขณะยังโอบรับตัวตนของอีกคนที่ยังไม่ถึงฝั่งฝัน

“พิชญ์...” เพียงไม่นานเขาก็ถึงฝั่งตามมา ริมฝีปากร้ายเรียกให้หันหน้ากลับไปรับจูบร้อน แขนทั้งสองข้างรั้งผมไปนั่งทับตัก โอบรัดปลอบประโลมจนหมดทรมาน ก่อนวางร่างผมลงที่นอนอีกครั้ง ถอนตัวตนออกจากช่องทางฉ่ำน้ำ

ทว่าไม่ใช่เพื่อหยุดกิจกาม... เพียงปรับเปลี่ยนท่ารับในบทต่อไป...

ร่างของผมถูกพลิกกลับ หงายหน้าเผชิญร่างกำยำอีกครั้ง เรียวขายังคงอ้ากว้าง เข่าสองข้างถูกจับชัน... ชวนเชิญสู่ช่องทางหรรษาอีกครั้ง

รอยยิ้มร้ายผุดพราย ขณะก้มลงกดจูบต้นขาด้านใน ดูดดุนจนเกิดรอยไล่เรื่อยถึงรอยสักที่เชิงกราน บ่ากว้างสอดรับข้อพับขา วางไว้เช่นนั้นพลางเคลื่อนตัวขึ้นมา ลากจูบฝังรอยทุกตารางนิ้ว ทิ้งรอยทั่วผิว สู่ริมฝีปากที่เผยอรับจูบอ่อนหวาน

กระหวัดลิ้นตอบรับ โอบแขนรอบคอแกร่ง ก่อนจิกเล็บลงท้ายทอยเมื่อตัวตนให้ค่อยๆ แทรกเข้ามาในช่องทาง สมหายใจติดขัดเมื่อสัมผัสความคับแน่นอีกครั้ง

“บอกแล้วไง... พี่จะไม่ปล่อยให้พิชญ์พัก”

สิ้นเสียงกระซิบพร่า... เพลงรักบทใหม่เริ่มบรรเลง...

หนึ่งเพลงสำหรับหนึ่งท่าทาง ร้ายกาจสลับอ่อนหวาน... หยาบโลนสลับปลอบประโลม

เขาพาผมขึ้นสูงแล้วร่วงหล่นอยู่อย่างนั้นราวกลั่นแกล้ง หยาดราคะถูกรีดรดจนหมดร่าง อาบเต็มหน้าท้อง ปนเหงื่อที่ชะโลมกาย ช่องทางชื้นฉ่ำจนไม่อาจกักเก็บน้ำขุ่นขาวที่เติมเต็มเข้ามาซ้ำๆ ...เยิ้มหยดอาบต้นขา ทิ้งร่องรอยราคะชุ่มผ้าปูเตียง

กลิ่นสวาทคาวคลุ้ง... สองร่างโอบรัดเนิ่นนาน ผลัดกันขบกัด คล้ายจะเกาะเกี่ยวกลืนกินจนเป็นหนึ่งเดียว

“อีกรอบ...”

“อือ”

เราต่างซื่อสัตย์ต่อคำท้าทาย... เปล่งเสียงหนึ่งครั้งหมายถึงบทรักรอบใหม่

“พิชญ์ควบได้ไหม”

“หึ”

...สุดท้ายสลบไสลคาอกแกร่ง... หมดแรงร้องคราง

   

-มีต่อค่ะ-
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 15-01-2018 20:44:51
-ต่อ-


ผมจัดปกเสื้อซ้ำๆ ดึงผมมาปรกจนมั่นใจว่ารอยสีกุหลาบจะไม่หลุดลอดสู่สายตา ขณะที่อีกคนใส่เพียงเสื้อยืดกางเกงยีน ไม่สนใจสักนิดว่าที่ลำคอจะมีร่องรอยใด

โชคดีที่เป็นเพียงสีจาง และผมยั้งใจไม่ให้ทำรอยใหม่นอกร่มผ้าได้ ถ้าไม่สังเกตดีๆ คงไม่เอะใจ

“หล่อแล้ว” พอเห็นผมยืนส่องกระจกอยู่นาน ร่างสูงก็มายืนซ้อนหลัง แหวกผมที่เพิ่งจัดกดจูบลงมาที่ซอกคอหน้าตาเฉย

ผมเอียงคอหนีส่งสายตาตำหนิแล้วดึงผมลงมาปิดคอไว้อีกรอบ

“แน่ใจเหรอว่าไม่ต้องถอดนี่” ชี้จิลที่จมูกพร้อมแลบลิ้น แต่เขากลับหัวเราะ แกล้งยื่นหน้ามางับลิ้นผม ดูดดุนสักพักก่อนผละออกไปกดจูบปีกจมูกเบาๆ

“พ่อไม่ว่าหรอก”

นั่นแหละเหตุผลที่ทำให้ผมลุกมาเตรียมตัวตั้งแต่บ่ายทั้งที่เหนื่อยร่างแทบพัง... ‘ธุระครอบครัว’ ของเขา

คำพูดเฉยชาของพี่เตไม่ได้ทำให้ผมใจชื้นขึ้นสักนิด ได้แต่ยักไหล่ยอมแพ้ หมุนตัวกลับมากอดร่างสูงออดอ้อนให้คลายกังวล

“ตื่นเต้น”

เขาหัวเราะ โอบกลับพลางจูบขมับ ลูบหลังเบาๆ “ก็เคยเจอกันแล้ว”

“มันเหมือนกันที่ไหน”

ตอนนั้นสถานการณ์กำลังวุ่นวาย ผมไม่มีสติสักนิดตอนโทรหาพ่อพี่เต กระทั่งเจอกันก็เอาแต่พูดซ้ำๆ ว่าเขาจะปลอดภัย พยายามปลอบทั้งที่ตัวเองนั่นแหละที่เป็นฝ่ายร้องไห้จนตาบวม

“ไปเถอะ” จูบหน้าผากผมครั้งหนึ่งก่อนผละอ้อมแขน เอื้อมมือมาจับมือผมเดินออกจากห้อง

คนขับรถที่พ่อพี่เตส่งมารับพาเรามายังบ้านใหญ่ที่ไม่ได้ใหญ่ด้วยขนาด แต่พื้นที่หลายไร่ปกคลุมด้วยต้นไม้เขียวครึ้มร่มรื่น ขับผ่านรั้วบ้านมาสักระยะจึงเห็นสถาปัตยกรรมโมเดิร์นคล้ายกล่องที่ทำจากหินสีเข้มสองก้อนเชื่อมด้วยระเบียงสีอ่อน ไม่ได้ดูโออ่าแต่เรียบหรู ออกจะกะทัดรัด เหมาะกับการอยู่คนเดียว

พี่เตบอกว่าหลังหย่าจากครอบครัวใหญ่พ่อเขาก็ยกบ้านที่เคยอยู่ให้ครอบครัวฝ่ายหญิง แล้วแยกมาอยู่บ้านหลังนี้ที่เพิ่งสร้างเสร็จไม่นาน บ้านสีครึ้มให้บรรยากาศต่างจากบ้านทั่วไป คล้ายเจ้าของจงใจให้มันดูเย็นชืดเปล่าดายแค่มองด้วยสายตา

แต่บรรยากาศข้างในตรงกันข้าม ด้วยรายละเอียดที่ดูเรียบง่ายแต่ไม่โล่งเกินไป สีสันของแผ่นหินผสมไม้ที่ถูกจัดวางองค์ประกอบให้เข้ากับแสงจากทั้งภายในและภายนอกให้ความรู้สึกอบอุ่น กระจกบานกว้างที่ทำให้เห็นทัศนียภาพของต้นไม้รอบบ้านก็ชวนสบายตา

พี่เตพาผมเดินผ่านห้องรับแขกเข้ามาที่ครัว พอเห็นร่างสูงสมส่วนในเสื้อยืดสีเข้มกับกางเกงยีนสบายๆ ไม่ต่างจากคนข้างๆ ก็ประหลาดใจ

ดูเหมือนผมจะเป็นคนเดียวที่กังวลกับการแต่งตัว

“พ่อ” เสียงทุ้มเอ่ยเรียก เจ้าของบ้านจึงหันกลับมาคลี่ยิ้มรับเผยริ้วรอยแห่งวัยที่สร้างความแตกต่างให้สองพ่อลูกที่เหมือนกันราวถอดแบบ

ใบหน้าไร้ที่ติที่ผมเพิ่งได้คำตอบชัดว่าได้มาจากไหน

“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ พ่อพี่เตรับไหว้ ยิ้มกว้างกว่าเดิม ก่อนหันไปหาลูกชาย

“พ่อมาตรวจวัตถุดิบ” ผายมือไปยังโต๊ะหินอ่อนกลางห้องครัว มีวัตถุดิบสำหรับอาหารค่ำวางเรียงไว้

ร่างสูงเดินตามไปยืนข้างๆ พ่อตัวเอง หยิบนู่นนี่ขึ้นมาแตะๆ ดมๆ แล้วพยักหน้า สองพ่อลูกยักไหล่ให้กัน

ผมหลุดยิ้มกับท่าทางที่เหมือนกันไปซะหมด แล้วเผลอกัดริมฝีปากอย่างประหม่าอีกครั้งเมื่อทั้งคู่หันมา พ่อยิ้มให้ผมอีกรอบสายตาสีรัตติกาลที่เข้มกว่าของพี่เตฉายแววเอ็นดู

“ดีใจที่มา”

ผมยิ้มกว้างกว่าเดิม มองหน้าท่านสลับกับพี่เตที่ยิ้มมาให้เหมือนกัน ร่างสูงเดินกลับมาหาผม ยกแขนพาดบ่าแล้วพาเดินไปด้วยกัน

“อยากช่วยไหม” ผมพยักหน้าทันควัน ถึงสกิลการทำอาหารของผมจะห่วยมาก แต่คงพอทำอะไรได้ ดีกว่าให้ยืนประหม่าอยู่คนเดียว

ทุกอาทิตย์ที่พี่เตกลับบ้านใหญ่ เขาจะเล่าให้ผมฟังว่าทำอะไรบ้าง ลุงหมอพูดว่าอะไร เขากับพ่อคุยอะไรกัน บอกทุกอย่างเพื่อให้ผมสบายใจ และวันนี้เขาพาผมมาเพื่อให้เห็นว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่พูดไว้จริงๆ

ความสัมพันธ์พ่อลูกกำลังก้าวหน้าไปในทางที่ดี ผ่านกิจกรรมง่ายๆ อย่างการเข้าครัวที่ทั้งคู่ถนัดเหมือนกัน... ผมเพิ่งรู้เมื่อไม่นานว่าพี่เตได้พรสวรรค์ด้านการทำอาหารมาจากใคร

“แต่พ่อชอบอาหารไทย” บทสนทนาเรียบๆ ปัดบรรยากาศให้ความกระอักกระอ่วนหายไป

“พี่เตทำแต่อาหารฝรั่งให้พิชญ์กิน” ถ้าผมไม่ขอก็คงได้กินแต่พาสต้า แป้ง ชีสอะไรเทือกๆ นั้น

“เขาอยู่อเมริกามานาน” ผมหัวเราะ หันไปมองเจ้าตัวที่ยกยิ้มยักไหล่อย่างได้ใจที่มีคนแก้ตัวให้ ก่อนเดินไปหยิบไก่อบที่ตัวเองทำไว้มาส่งให้ผมจัดจาน

หน้าที่ผมมีเท่านั้น ใช้สกิลด้านศิลปะที่ร่ำเรียนมาจัดองค์ประกอบในจานสำหรับมื้อค่ำ

สองพ่อลูกแข่งกันทำอาหารซะเยอะ ทั้งอาหารไทยอาหารฝรั่งปะปนตามใจคนทำ ผ่านไปหลายชั่วโมงสำหรับอาหารเกือบสิบเมนูที่วางเต็มโต๊ะราวกับมีงานเลี้ยง

“หิว” ผมเบิกตากว้างใส่คนที่ล้างมือถอดผ้ากันเปื้อนเสร็จก็เดินมาโอบไหล่ จูบแก้มผมซ้ำๆ เหมือนขอรางวัล หันไปมองพ่อพี่เตก็เห็นท่านยิ้มขำ เดินไปนั่งที่โต๊ะอาหารคนแรก

พี่เตพาผมไปนั่งตาม มื้ออาหารเรียบง่ายเริ่มต้นโดยไม่มีพิธีรีตอง พ่อลูกคล้ายจะกดดันผมเงียบๆ ด้วยการจ้องมาทุกครั้งที่ผมตักอาหารของตัวเองใส่จาน รอลุ้นถึงรสชาติ และทำท่าน้อยใจเมื่อผมหันไปตักอาหารของอีกคน

สุดท้ายเลยต้องกินทุกอย่างเท่าๆ กันจนพุงกาง

“พิชญ์เรียนอีกสามปีใช่ไหม” เสียงทุ้มแหบเอ่ยถามหลังจากกินกันอิ่มได้ไม่นาน

“ครับ ปีนี้พิชญ์อยู่ปีสอง” ผมตอบพลางจิบไวน์ที่พ่อเพิ่งรินให้ ท่านเหลือบมองผมสลับกับพี่เตก่อนเอ่ยถาม

“สนใจมาทำงานบริษัทพ่อไหม”

“พ่อ” ได้แต่กะพริบตาปริบๆ เมื่อคนที่เงียบไปนานเอ่ยเสียงปราม พ่อพี่เตยักไหล่ จิบไวน์บ้าง แต่ยังไม่วายหันมาสบตา

“ลองมาฝึกงานก่อนก็ได้”

“ขอบคุณครับ แต่พิชญ์ชอบบริษัทเล็กๆ มากกว่า” ผมยิ้ม ตอบตามตรง เจ้าของฝ่ามือที่กุมมือผมไว้หัวเราะเบาๆ ขณะที่พ่อเลิกคิ้ว ยักไหล่ไม่คาดคั้น ก่อนหันไปพูดประเด็นใหม่กับลูกชาย

“แล้วเรื่องรถแก...”

“ผมว่าจะซ่อมมอเตอร์ไซค์” แต่ไม่ทันเอ่ยจบพี่เตก็เอ่ยขึ้นมา ทั้งผมทั้งพ่อเบิกตากว้างก่อนโพล่งออกมาพร้อมกัน

“ไม่ได้!”

พี่เตชะงักมือที่กำลังจะจิบไวน์ มองผมที่บีบมือเขาแรงขึ้น สบตาจริงจัง ก่อนที่พ่อจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา

“พ่อรู้ว่าแกไม่คิดจะทำแบบนั้นอีก... แต่เรื่องนี้พ่อขอ”

เขามองพ่อสลับกับผมคล้ายประหลาดใจ ก่อนถอนหายใจเบาๆ

“ผมแค่จะซ่อมของภพเก็บไว้ ไม่ได้ตั้งใจจะกลับไปขับ” ว่าพลางไล้นิ้วกับหลังมือผมให้คลายกังวล แล้วหันไปให้คำตอบพ่ออีกครั้ง

“ไม่ต้องซื้อใหม่หรอก เอาคันเก่าของพ่อมาให้ผมก็ได้ เห็นมีตั้งหลายคัน”

ผมหลุดยิ้มกับนิสัยแปลกๆ ของเขา ที่ไม่รู้ว่ากลัวสิ้นเปลืองหรือแค่ชอบของเก่า หลายๆ อย่างที่เขาใช้ถึงได้เป็นของมือสอง ตกทอดมาจากคนอื่นทั้งนั้น ตั้งแต่มอเตอร์ไซค์ ยันห้องที่อยู่ทุกวันนี้ก็เป็นห้องที่พ่อเขาใช้สมัยมหาลัย

“เอาสิ อยากได้คันไหน”

“คันสีดำด้านที่อยู่ในโกดัง” ตอบไม่คิดราวกับเล็งไว้ แต่พ่อกลับชะงัก ขมวดคิ้วมองลูกชาย
 
“นั่นมัน... โชว์รูม”

อา ผมรู้แล้วว่าตึกที่แยกออกไปอีกหลังคืออะไร

“แล้วรถในนั้นก็ไม่ได้มีไว้ขับ”

“มันเสียแล้วเหรอ”

“เปล่า มันไม่ได้เสีย” พ่อถอนหายใจ วางแก้วไวน์ที่ยังไม่ทันได้จิบลงแล้วยกมืออธิบาย

“คันนั้นน่ะนะเตวิชญ์ มีแค่สามคันในโลก กว่าพ่อจะหาอะไหล่จนครบ...” แต่แล้วอยู่ๆ ก็เงียบ เหมือนรู้ตัวว่ากำลังจริงจังเกินไป หันมาสบตาผมที่ได้แต่กะพริบตาปริบๆ ก่อนหลุดขำพร้อมกัน

“มันไม่ได้มีไว้ขับ” ยืนยันหนักแน่นก่อนหยิบไวน์ขึ้นมาจิบอีกครั้ง มุมปากยังยกยิ้ม มองมาเหมือนจะถามว่าผมเข้าใจใช่ไหม ผมยิ้มตอบ หันไปมองคนเอาแต่ใจที่มองมาเหมือนกัน

“งั้นผมใช้รถน้องก็ได้ ซื้อใหม่มาก็จอดทิ้งไว้เปล่าๆ”

“ก็ดีนะครับ ปกติก็ออกจากห้องพร้อมกัน” ผมพยักหน้ารับ ตารางเรียนของผมกับพี่เตคล้ายๆ กัน มีตัวนอกที่เรียนคนละเวลา แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ในคณะมากกว่า

"เอางั้นก็ได้" คราวนี้พ่อไม่คัดค้านอะไรอีก เป็นอันตกลงกันได้ ก่อนที่บทสนทนาจะเปลี่ยนเรื่องไปอย่างลื่นไหล ถึงจะไม่ได้คุยออกรสถึงขึ้นเฮฮาอะไร ออกจะเป็นเรื่องเรียบๆ ทั่วๆ ไป แต่ก็ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายตลอดบทสนทนา

กินข้าวเสร็จพ่อก็พาผมเดินดูบ้าน เล่าเรื่องต้นไม้ อวดโชว์รูมรถที่พ่อสะสมไว้... เข้าใจชัดเจนว่ารถในนี้ไม่สามารถเอาออกไปขับเล่นได้ ไม่ใช่แค่เรื่องราคา แต่หน้าตาทุกคันก็ออกจะ... โดดเด่นเกินไป

เราอยู่ที่บ้านใหญ่ต่อจนเกือบสี่ทุ่มก็ขอตัวกลับ รับปากว่าคราวหน้าจะมาค้างเพราะคืนนี้ผมมีงานค้างไว้ ระหว่างที่พี่เตไปเอาของฝากที่พ่อเตรียมให้ ท่านก็เดินเข้ามาหาผม ยิ้มบางๆ อย่างใจดี

“ขอบคุณที่มา”

ผมยิ้มตอบ ยกมือไหว้ขอบคุณพ่อสำหรับการต้อนรับที่อบอุ่นเช่นกัน

“แล้วก็ขอบคุณมากเรื่องวันนั้น" ผมเลิกคิ้ว พ่อเอื้อมมือแตะไหล่บีบเบาๆ

“ถ้าไม่ได้พิชญ์ พ่อคงไม่ได้เขากลับมา”

ผมไม่แน่ใจนักว่าตัวเองมีส่วนช่วยยังไง แต่ก็ยิ้มรับคำขอบคุณไว้ พ่อผละออกไป เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พี่เตเดินกลับมา

"ขอบคุณที่อยู่ข้างๆ เต”
   
พี่เตเคยพูดว่าเขาเหมือนพ่อตัวเองเกินไป ผมเคยไม่เข้าใจว่าหมายความว่ายังไง
   
แต่ตอนนี้ผมรู้แล้ว
   
...เข้าใจแล้วว่ารอยยิ้มสวยๆ ของเขา กระทั่งความอ่อนโยนทั้งหมดนั้นเขาได้มาจากไหน

   




ผมเคยบอกว่าไม่แน่ใจว่าตัวเองชอบว่ายน้ำไหม แต่ผมแน่ใจ... ว่าชอบมองเวลาที่เขาว่ายน้ำ
   
สรีระสมส่วนแหวกว่ายอยู่ในผืนน้ำ ลื่นไหลราวล่องลอยในอากาศ ให้ผิวน้ำและพระแสงจันทร์นวลไล้ร่าง สมบูรณ์แบบราวภาพวาด
   
ผมละมือจากงานที่เสร็จสิ้นตอนเที่ยงคืนกว่า อุ้มเปียกปูนที่กำลังหลับอุตุไว้ในอ้อมแขน ปากคาบบุหรี่ที่เพิ่งจุดไว้ เดินมาหาอีกคนที่กำลังออกกำลังกายยามดึงระหว่างรอผมไปนอนพร้อมกัน
   
ยืนมองอยู่สักพักก็เปลี่ยนเป็นทิ้งตัวนั่งหย่อนขาลงในน้ำ มองเขาว่ายไปถึงฝั่งหนึ่ง ก่อนหันกลับมา ผมยิ้มให้ รอเขาว่ายมาหา พอถึงตัวร่างกำยำก็แทรกมาอยู่ตรงหว่างขา เอื้อมแขนโอบหลังผมไว้ มืออีกข้างดึงบุหรี่ออกไป เรียกให้โน้มตัวลงไปจนริมฝีปากสัมผัสกัน
   
“งานเสร็จแล้วเหรอ” ถอนจูบอ้อยอิ่งฝ่ามือทาบแก้วผม เกลี่ยนิ้วเบาๆ
   
“อือ” ผมปล่อยเปียกปูนที่สะดุ้งตื่นเพราะน้ำจากผมเขาหยดใส่ เจ้าตัวเล็กวิ่งกลับไปนอนในบ้านของมัน

"ง่วงแล้ว" ผมอ้อน มองพี่เตค่อยๆ สูดควัน คลี่ยิ้มก่อนแกล้งก้มลงกดจูบหัวเข่าที่โผล่เหนือน้ำ

เขาไล่ริมฝีปากขึ้นมาตามต้นขา ปลายจมูกดันชายบ๊อกเซอร์ให้ถลกขึ้นมา รอยสีกุหลาบยังปรากฏชัด แต่ริมฝีปากยังกดย้ำ ฝังรอยใหม่ลงไป ผมหัวเราะเบาๆ เมื่อคิดว่าเขาคงไม่ยอมขึ้นจากสระง่ายๆ ดึงบุหรี่จากมือเขามาสูบอีกครั้งพลางแทรกนิ้วกับกลุ่มผมของใบหน้าคมซุกซบฝังจุมพิตอยู่อย่างนั้น 

“วันนี้ผมมีความสุขมากเลย” เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตา คลี่ยิ้มเมื่อเห็นว่าผมกำลังยิ้มกว้าง

“พ่อพี่น่ารักมาก” หัวเราะเบาๆ จูบฝ่ามือผมพลางดันหลังเข้าไปแนบชิด ซุกใบหน้าลงกับหน้าท้องเปลือยเปล่า กดจูบเบาๆ

“เมื่อไหร่จะให้พี่ไปบ้านพิชญ์บ้าง” ช้อนสายตามอง คล้ายจะอ้อนกลายๆ ผมคลี่ยิ้ม สูดควันก่อนจะส่ายหน้า

“ยังไม่ถึงเวลา” พี่เตขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจ ผมเอื้อมมือประคองใบหน้าเขา ก่อนโน้มตัวลงจูบริมฝีปากเอาใจ “บ้านพิชญ์ยังยอมรับไม่ได้”

ถึงจะรู้มานานแล้วว่าผมเป็นยังไง แต่พ่อกับแม่ยังปิดหูปิดตา ถึงได้ไม่ว่าเรื่องที่ผมเจาะโน่นนี่ กินเหล้า สูบบุหรี่...

อะไรก็ได้ แค่ลูกยอมกลับไปเป็นผู้ชาย

“ผมกำลังพยายามอยู่” ไม่ใช่การดื้อแพ่ง หัวชนฝาจนแตกหัก เพราะเรารู้ว่าต่างฝ่ายต่างรัก... ต่างก็กำลังพยายาม

แค่ต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย ผมค่อยๆ ส่งให้ และพวกท่านก็ค่อยๆ รับไป แล้ววันหนึ่งเราก็จะเข้าใจตัวตนและความหวังดีของอีกฝ่าย... ไม่ต่างจากเรื่องอื่นๆ ที่ต้องปรับความเข้าใจ

“พิชญ์...” ผมยิ้มเมื่อเห็นแววตาเป็นห่วงของเขา เสยผมชื้นออกเพื่อจูบหน้าผากเขา

“ไม่ต้องห่วง พี่ก็รู้ว่าพิชญ์เก่งเรื่องชนะใจ”

ถ้าเทียบกับพ่อแม่แล้ว คนตรงหน้านี้ใจแข็งกว่าตั้งหลายเท่า

พี่เตหัวเราะเบาๆ รั้งท้ายทอยผมให้ทาบริมฝีปากลงไป กดจูบลึก บดเบียดริมฝีปากเข้าหา มอบสัมผัสหวานล้ำ เนิ่นนาน

“ให้พี่พยายามบ้าง” จับผมทัดหูให้ พลางเกลี่ยแก้มเบาๆ ดวงตาสีรัตติกาลจ้องลึก จริงจัง

“ให้สมกับความโชคดีที่มีพิชญ์อยู่ข้างๆ”     

ผมอมยิ้ม ไม่คิดว่าคนอย่างเขาจะพูดประโยคแบบนี้ได้ แสร้งเบือนหน้าหนี อัดบุหรี่เข้าปอดดับความอาย แต่เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของอีกคนก็หลุดยิ้มกว้างจนได้ พี่เตดึงบุหรี่ไปอัดควันครั้งสุดท้าย ดวงตาสีรัตติกาลพราวระยับราวกับรู้ว่าต้องการอะไร

และใช่... ผมต้องการเขา

ผมเอื้อมมือประคองใบหน้าหล่อเหลาก่อนโน้มตัวลงไป ลิ้มรสนิโคตินด้วยริมฝีปากที่ทาบทับอย่างโหยหา ปันสารเสพติดผ่านปลายลิ้นที่แทรกเข้ามา

ให้ควันอ้อยอิ่งที่เชื่อมเราไว้... กระทั่งทั่งร่างถูกดึงสู่ผืนน้ำ

ริมฝีปากร้อนยังบดเบียดไม่ห่าง ความเย็นเยียบไม่อาจกลบทับความอบอุ่นของอ้อมกอดที่โอบรัดผมไว้...

...ไม่มีทางต้านทานสัมผัสหวานล้ำ ที่ค่อยๆ เปลี่ยนน้ำในสระให้ร้อนจัด เป็นทะเลราคะอีกครั้ง

   





หลังจากอุบัติเหตุครั้งนั้น เราผ่านสิ่งต่างๆ มาด้วยกันอีกมากมาย

มีวันที่ดี มีวันเลวร้าย...

ชีวิตที่ยังต้องดิ้นรน วุ่นวาย... เซ็กซ์ที่เร่าร้อน กระทั่งเรียบง่าย ผ่านความสุข ความทุกข์และอุปสรรคที่ไม่คิดว่าจะผ่านได้

แต่ช่วงเวลาที่ผมชอบที่สุดในแต่ละวัน คือความรู้สึกที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าและพบว่าผมยังอยู่ในอ้อมกอดเขา... ยังได้เห็นใบหน้าคมที่กำลังหลับใหล ได้สัมผัสถึงลมหายใจอุ่นที่รินรดลงมาบนปลายจมูกยามที่ผมลักลอบจรดริมฝีปากลงไป
   
ชอบเวลาที่เขาลืมตาขึ้นมาสบตาผม ยิ้มบางๆ แล้วกดจูบลงมา...

ทุกการกระทำที่บ่งบอกว่าเขายังอยู่ข้างๆ
   
ใช้เวลานานกว่าเหตุการณ์ฝังใจจะลบเลือนได้... ใช้เวลาเนิ่นนานกว่าผมจะเชื่อว่าเขาจะไม่หายไป พี่เตใช้สัมผัสอุ่นร้อนและอ้อมกอดกระชับทำให้ผมมั่นใจ

แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมใช้มันรั้งเขาไว้...
   
มันคือเกม...

เกมที่ทุกๆ เช้าเราจะเริ่มเล่น ผมจะเป็นฝ่ายถาม และเขามีสิทธิ์เลือกสองทาง
   
ถ้าเขาเลือก 'จริง' ผมจะถาม... รู้ใช่ไหมว่าเขาคือคนสำคัญ
   
ถ้าเลือก 'ท้า' ...ผมจะบอกเป้าหมายที่บังคับใช้ในวันถัดไป
   
คำสั่งที่ต้องทำทันที เปลี่ยนเป็นคำท้าของอนาคตที่ผมใช้แทนคำยืนยัน... ง่ายดายเท่าชีวิตประจำวัน

พรุ่งนี้พี่ต้องปลุกผม...
   
พรุ่งนี้เราจะกินข้าวเช้าด้วยกัน...
   
พรุ่งนี้เราจะไปเที่ยว... ดูหนัง... หรือแค่นอนเอกขเนกบนโซฟาอย่างเกียจคร้าน
   
พรุ่งนี้ผมจะยังมีเขา...
   
รู้ตัวอีกที... เราก็ก้าวผ่านอดีตอันเลวร้ายมาไกล... รู้ตัวอีกที เราเปลี่ยนความหวาดระแวงเป็นความเชื่อใจ

รู้ตัวอีกที...คำว่าพรุ่งนี้ของผม ก็มีความหมายไม่ต่างจากสัญญาที่เคยให้ไว้

พรุ่งนี้ที่หมายถึงตลอดไป...

“ท้าหรือจริง?”



- Tomorrow we will… -






-----------------------------------------------------------
ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันจนถึงตอนนี้นะคะ
เป็นคำที่เราใช้ปิดท้ายแทบทุกตอน ด้วยความรู้สึกว่าน่าจะมีคนอ่านไม่มาก และคงลดน้อยลงตอนถึงปลายทาง
เริ่มเขียนจากปมสุดท้ายของเรื่อง ซึ่งหนักหนาเอาการ และเป็นคนเดียวที่รู้ว่าจะเหตุการณ์นั้นขึ้น ตอนเขียนเลยอึดอัดน่าดูเลยค่ะ ทั้งที่ปกติชอบเม้าท์มอยเรื่องคาแร็กเตอร์ตัวละคร แต่เรื่องนี้ต้องอุบไว้ก่อน บอกสาเหตุไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงเป็นอย่างนั้น ตอนเฉลยแล้วก็โล่งใจ เปลี่ยนมาเครียดเรื่องมันจะสมเหตุสมผลมั้ยแทน 55555

เป็นเรื่องที่เราลองปรับเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่าง มู้ดของเรื่อง (หม่นสุดและอีโรติกสุดเท่าที่เคยเขียนแล้วค่ะ 5555) จังหวะ การตัดฉาก ภาษา รู้สึกสนุกมากกับการผสมคำ หาคำเปรียบเปรยมาใช้ ยังประดักประเดิดอยู่บ้าง หรือมีอะไรบกพร่องไป ก็ขอโทษด้วยนะคะ ถือเป็นการทดลองเขียนและทดลองอ่านไปพร้อมกันเนอะ

เรื่องนี้เราจะลองรีไรต์ส่งให้สำนักพิมพ์พิจารณานะคะ ไม่มั่นใจว่าจะผ่านมั้ยเหมือนกัน ดังนั้นเรื่องรวมเล่มก็คง 50/50 รับปากอะไรไม่ได้ แงง

ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม ขอบคุณมากๆ ที่ยังอยู่ด้วยกัน
รักพิชญ์ รักพี่เต รักป๊าเจด เจได รักตัวละครทุกตัว ขอบคุณที่เป็นคนดี :)
สุดท้ายรักคนอ่านมากๆ 

แล้วเจอกันใหม่นะคะ

 :กอด1:

หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 15-01-2018 20:50:17
ดีใจที่น้องพิชญ์และพี่เตมีความสุขขขข  :hao5:
ให้เป็นพรุ่งนี้ของกันตลอดไปนะะะ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 15-01-2018 21:14:25
ฮื่ออออออ จบแล้ววววว ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ ภาษาดีๆอีกเรื่องนะคะ ชอบภาษาเรื่องนี้มากๆเลย ภาษาสวยมาก บรรยายเห็นภาพโดยเฉพาะ nc 555555555555555 รอติดตามเรื่องต่อไปค่า :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 15-01-2018 21:26:06
โธ่ โดนปาดดด 55555555
น้องพิชญ์ยังคงน่ารักและเร่าร้อนเสมอต้นเสมอปลาย พี่เตจริงๆแล้วเป็นคนอ่อนโยนมาแต่แรกเลยยยย ขอบคุณน้องพิชญ์ที่สู้มาจนมีวันนี้ค่ะ ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆสนุกๆแบบนี้นะคะ ติดตามผลงานต่อๆไปเรื่อยๆเลยยย  :o8:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 15-01-2018 21:28:24
มิติของความเป็นมนุษย์ของเตวิชญ์ สอนให้เรามองคนที่ผ่านเข้ามาเปลี่ยนไป ความอดทน ความพยายามของพิชญ์บอกย้ำเราอีกครั้งว่าทั้งหมดที่เราทำมาจะไม่สูญเปล่า เรื่องราวของทั้งคู่บอกให้เรารู้ว่า พรุ่งอาจจะไม่มีจริง การแสดงออกถึงความรักที่เรามีต่อคนที่เรารักเป็นเรื่องที่สำคัญ ขอบคุณที่ให้เราได้มากว่าความบันเทิงใจ การเตือนใจและสอนใจที่ได้รับมันมีค่ามากเลยค่ะ หวังว่าจะผ่านการพิจารณานะคะ เอาใจช่วยและรอสนุบสนุนค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 15-01-2018 21:31:28
แปะ​ไว้​ก่อน​
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Mamars ที่ 15-01-2018 21:45:46
ขอบคุณนะคะ เก่งมากๆเลย สารภาพว่าแม้ตอนสุดท้ายก็ยังลุ้น อ่านมาถึงบรรทัดสุดท้าย เฮ้อ โล่งอก 555 เป็นอีกเรื่องที่ชอบมากๆ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 15-01-2018 21:53:03
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: tipppppp ที่ 15-01-2018 22:32:00
คือดีมากกกกกกก ทุกอย่างลงตัวไปหมดเลย ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆให้ได้อ่านนะ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 15-01-2018 22:34:57
เป็นตอนจบที่อ่านแล้วอบอุ่นไปกับน้องพิชญ์มาก อบอุ่นไปกับสัญญาในทุกเช้าว่าจะยังมีกันและกันเพื่อนทำตามคำท้า คนเขียนเขียนออกมาได้ดีมากเลย ถ่ายทอดอารมณ์ตัวละครได้ชัดมาก เรารู้สึกไปกับตัวละครที่คุณเล่า เหมือนเราไปนั่งอยู่ในเหตุการณ์เองเลย ขอบคุณคนเขียนมากนะคะที่สร้างผลงานดีๆให้เราได้ติดตาม ชอบทุกตัวละคร แม้ว่าบางทีจะด่าพี่เตไปบ้างด้วยความไม่รู้ แต่ก็เกลียดเขาไม่ลง รักทุกคนค่ะ อยากได้ๆ5555555
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 15-01-2018 22:43:03
ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่านกันนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 15-01-2018 23:08:01
ฮือออ ใจหายจริงๆ เราอยู่กับพิชญ์ตั้งแต่พี่เตใจร้าย
ผลักไสน้อง จนทั้งคู่อยู่ด้วยกัน

มันดีมากจริงๆ รอตอนพิเศษ และเรื่องต่อไปนะคะ :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: namaquaru ที่ 16-01-2018 00:14:11
ทุกอย่างดีมากจริงๆ ทั้งภาษา ทั้งตัวละคร น่าติดตามมากๆ กลายเป็นนิยายขึ้นหิ้งของเราอีกเรื่องนึงเลย ขอบคุณที่เขียนนิยายดีๆแบบนี้ให้อ่านนะคะ
  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: mayongc. ที่ 16-01-2018 00:28:02
จริงๆแล้วตัวตนของพี่เตนี่อบอุ่นนะคะเนี่ย คุณพ่อบ้านพ่อเรือนตื่นมาทำกับข้าวให้แฟนทานงี้ ช่วงหวานกันอบอวนไปด้วยความรักกับความอบอุ่นมากเลยค่ะ น้องพิชญ์ก็น่าหยิก จะมีตอนพิเศษที่ี่เตไปทำคะแนนฝั่งบ้านน้องมั้ยคะ ฮ่าาา
เราชอบมู้ดเรื่องนี้มาก ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ รอเล่มเลยยยย  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: 05th_of_06th ที่ 16-01-2018 03:50:40
ฮืออออ จบแล้วว ใจหายเลยยเราอยู่กันมาตั้งแต่ต้นเนอะ ตอนจบนี้เป็นอะไรที่อบอุ่นนละมุนมากกกเหมือนกระเทาะเปลือกพี่เตออกจนหมด จนเหลือพี่เตคนเดิมที่อบอุ่นอ่อนโยนที่ผ่านมาก็แค่สร้างอะไรมาบังไว้แค่นั้น แล้วน้องพิชญ์ของเราก็เป็นคนพังมันลง ขอบคุณที่น้องอดทนจนทำให้พิเค้ากลับมาเป็นคนเดิม สุดท้ายอยากจะบอกว่า รักตัวละครทุกๆตัวว รักพิเต รักลูกพิชญ์ พิเศษที่พิเจดนิดนึงอิอิ ส่วนเจไดเธอมาแย่งพิเจดเรา แต่นั่นแหละ เรารักเธอด้วยก็ได้ ชิชิ  ขอบคุณสำหรับงานดีๆนะะคะ เป็นกำลังใจให้ในการพัฒนาต่อๆไปเสมอน้า ขอให้ได้ทำเล่มด้วยย เราจิรออ  :mew1: :katai2-1: :pig4:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 16-01-2018 10:49:02
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะติดตามตั้งแต่เปิดเรื่องเลยหลงรักในความหม่นๆเทาๆของแต่ละตัวละคร รักในความพยายามของน้อง :3123:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: dreammed46 ที่ 16-01-2018 14:16:50
ขอบคุณสำหรับนิยายเรื่องนี้นะคะ
น้องพิชญ์คือสิ่งดีงามจริมๆๆๆๆๆ
นิยายสนุกมาก เราชอบบรรยากาศเรื่อง
ขอบคุณคนเขียนที่ใส่ใจในการบรรยายออกมาในทุกตัวอักษรนะคะ
รักคนเขียนเหมือนกันค่า
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: QueenPlai ที่ 16-01-2018 21:44:45
ขอบคุณสำหรับนิยายดีดีค่ะ เรารักในทุกตัวละคร หลงรักในบรรยากาสเรื่องนี้มากกกก
ภาษาสวย เนื้อเรื่องน่าค้นหา เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เรารัก เรามีความสุขมากที่ได้เข้ามาอ่านนะคะ รัก o13  :mew1:

ป.ล. อยากอ่านเรื่องของพี่เจดกับเจไดดดด คู่นี้น่ารักเด้อออ :hao7:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Namshine ที่ 17-01-2018 06:47:28
ทำไมพี่เตอ่อนโยนนนน งื้อออ ในที่สุดก็แฮปปี้ ดีกับใจ ขอบคุณไรท์ที่แต่งนิยายดีๆแบบนี้ ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: mybear_sr ที่ 17-01-2018 09:59:55
อ่านนิยายเรื่องนี้ด้วยความรู้สึกนี้ :jul1:
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 17-01-2018 18:10:56
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไงดีเลย (ฮา) คือตอนแรกๆ ก็หงุดหงิดพี่เตนะคะ อะไรจะท่ามากได้เบอร์นั้น แล้วก็เปลี่ยนไปหัวร้อนเวลาน้องพิชญ์ดันทุรังแทน อยากจะบอกน้องพิชญ์ว่าไม่ต้องอยู่กับคนใจร้ายอย่างนั้นหรอก มาหาแม่นี่ลูก (หัวเราะ) แต่คุณพิชญ์ของพี่เตก็คงไม่มาหรอกค่ะ

เจ้าชอบความวนไปเวียนมาจังค่ะ คือดำว่ายอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน น้องก็จะดื้ออยู่ในน้ำ พี่ก็จะกระชากให้พ้นน้ำ ยื้อกันอยู่อย่างนั้นแหละ เอาเข้าจริงแล้วเจ้าว่าพี่เตดื้อกว่าพิชญ์อีกนะคะ ทำเป็นนั่นนู่นนี่แต่ก็ไม่อยากให้น้องไปเหมือนกันแหละน่า

ไม่รู้เจ้ามองแปลกหรือเปล่า ที่รู้สึกว่าสิ่งที่ติดอยู่ระหว่างอ่านและหลังอ่านจบไม่ใช่กลุ่มควันของบุหรี่แต่เป็นกลิ่นต่างหาก คือมันให้ฟีลลิ่งเหมือนเวลาเจอคนสูบบุหรี่แล้วบางคนก็บอกว่าหอมแต่บางคนก็ไม่ชอบ (แต่มันก็แล้วแต่ยี่ห้อด้วยนะคะ...) สำหรับเจ้ามันคงเป็นกลิ่นกลางๆ ที่ไม่ได้ฉุนแต่ก็ไม่ได้หวาน แล้วก็ติดตัวอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหนสักที

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ นะคะ พรุ่งนี้คือตลอดไปค่ะ (ยิ้ม)

ปล. แซ่บน้อยๆ หน่อยสิคะคุณพิชญ์ของพี่เต อ่านไปแล้วหัวใจจะวายค่ะ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: wetter ที่ 18-01-2018 01:21:55
พลอตดีมากค่ะ ชอบความท้าหรือจริง
อ่านช่วงแรกอึดอัดมาก เทาๆไปหมด แต่พอเข้าช่วงเปิดใจก็ละมุนมาก พี่แตดีมากกกก พิชญ์ก็อดทนมาก
ดีใจที่สุดท้ายก็มีความสุขกัน เหมือนปลดแอกให้พี่เต ขอให้พี่เขามีความสุขจริงๆสักที

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 18-01-2018 02:04:54
เรื่องนี้อ่านแล้วหงุดหงิด อึดอัดมากกว่าเรื่องผ่าน ๆ มาเสียอีก ดีนะที่มีความสุขด้วยกันทั้งคู่  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 19-01-2018 01:01:59
ชอบโทนสีและกลิ่นไอของนิยายเรื่องนี้จังค่ะ อ่านตั้งแต่หัวค่ำจนถึงตอนนี้อ่านรวดเดียวจนจบ อิ่มเอมแบบบอกไม่ถูก  :m1:
ภาษาสวยมากกกก ปกติเราไม่ค่อยได้อ่านนิยายที่บรรยายได้ละเอียดขนาดนี้ ต้องอ่านไปทีละประโยคทีละตัวอักษรเพื่อซึมซับไปกับมัน ส่วนมากก็จะถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครมากกว่าคำพูด (เป็นอารมณ์ของน้องพิชญ๋มากกว่า 555) ซึ่งเราอ่านแล้วเราอินตามเลย ยิ่งตอนหน่วงๆนี่ ใจดิ่งตาม
เราชอบผู้ชายแบบพี่เตมากค่ะ ทั้งๆที่ตอนแรกโกรธที่ทำให้น้องพิชญ์สะเทือนใจอยู่บ่อยๆ แต่แบบก็เกลียดไม่ลงอ่ะ เป็นพระเอกที่ทำอะไรก็ไม่ผิด ความบ่วงนี้ ยกโทษให้ได้เสมอ ฮื่อออ ยิ่งตอนหลังๆพี่แกยิ่งเพิ่มความฮอตคูณสิบ
น้องพิชญ์นี่มีความแซ่บความควีนอยู่ในตัว ไม่โวยวาย ไม่เกรี้ยวกราด เป็นคนที่อดทนและมั่นคงกับความรักมาก เพราะน้องพิชญ์ที่ทำให้คนอย่างพี่เตได้รู้จักคำว่ารัก และอยากที่ใช้ชีวิตต่อเพื่ออยู่ดูแลใครสักคนจริงๆ
แพล่มซะยาวเลย ออกแนวเวิ่นเว้ออยู่หน่อยๆนะคะ 555 สุดท้ายนี้ต้องขอบคุณคนเขียนสำหรับนิยายดีๆแบบนี้ เป็นกำลังใจในเรื่องต่อไปค่าา ♡
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: khungyf ที่ 19-01-2018 09:38:44
ขอบคุณนิยายที่ดีต่อใจแบบนี้ ขอบคุณนะคะ จะคอยสนับสนุนผลงานของนักเขียนเสมอ เหมือนที่ผ่านๆมา 5555555 เป็นกำลังใจให้ค่ะ จะได้มีแรงบันดาลใจสำหรับการเขียนนิยายต่อๆไป สู้ๆค่ะ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Cloudnine ที่ 19-01-2018 14:31:38
บรรยากาศของเรื่องเหมือนอยู่ในหมอก รู้สึกอึมครึม แต่ช่วงหลังๆเริ่มหวานเล็กๆ

ขอบคุณนักเขียนนะคะ นิยายสนุก ตัวละครไม่เยอะดี ชอบค่ะ

 :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Premo1492 ที่ 20-01-2018 13:18:43
 :mew1: :pig4:อ่านกี่รอบๆก็รู้สึกดี :impress2:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Another Night ที่ 20-01-2018 18:08:35
ขอบคุณที่เขียนนิยายสนุกๆเรื่องนี้มาให้ทุกคนได้อ่านนะคะ :pig4:

Love
Another Night
 :L2: :pig4: :L1: :3123: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: puchi ที่ 21-01-2018 21:28:43
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 23-01-2018 02:56:17
ในที่สุดก็ได้อ่านจนจบซะที ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
ขอบคุณพี่เตที่กลับมาหาน้อง ขอให้หลังจากนี้มีแต่ความสุขกันนะ
อ่านเรื้องนี้จบก็ได้ลูกเพิ่มอีกคน หลงไหลความเซ็กซี่ของน้องพิชญ์
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: janehh ที่ 23-01-2018 16:50:17
สนุกกกกก อ่านรวดเดียวจบเลย แรกๆ มันหม่นมากอะ พิเตใจร้ายมากก ฮือออ นุ้งเจ็บบบบ สงสารพิชญ์มากเว่อร์ ตอนหลังที่รู้ปมพิเตก็แบบ ฮือออ จาร้องงงง แต่ชอบฟีงหม่นปนอีโรติกนี้มาก มันดี55555 ขอบคุณมากเลยนะคะที่แต่งนิยายสนุกไ ให้ได้อ่าน ชอบมากเลยค่ะ :)
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Anyada52 ที่ 24-01-2018 11:04:25
้รักเธอ คนเขียน
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: TheGraosiao ที่ 24-01-2018 11:19:37
 :L2:

ชอบเรื่องนี้ ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 24-01-2018 12:42:41
หน่วงก็หน่วงจริง ฟินก็ฟินจริง หวานก็หวานจริง อ๊อยยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: IamLonelygirl ที่ 26-01-2018 20:36:47
 ฮืออ อ่านแล้วหน่วงมากกก
เกิดคำถามมากมายตอนอ่านแต่สนุกมากๆเลยค่ะะะะะ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 27-01-2018 22:39:37
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 29-01-2018 14:07:55
เพิ่งมีโอกาสได้อ่านเรื่องนี้จบเมื่อคืนนี้ค่ะ เรียกได้ว่า กว่าจะรวบรวมกำลังใจฮึดมาตั้งใจอ่านอีกครั้งก็ต้องวัดใจวัดอารมณ์ตัวเองอยู่นาน ช่วงแรกที่เปิดเรื่องประมาณเดือน ต.ค.ปีที่แล้วเนอะ ยอมรับเลยอ่านไป on air ไปทีละตอนก็ต้องถอนหายใจไปด้วย อึดอัดและบีบความรู้สึกมาก เลยตัดสินใจพัก ถอยมาตั้งหลักก่อน แล้วก็ได้กลับมาจับอ่านอีกครั้งหลังจากนิยายจบแล้ว กลับมาตั้งใจอ่านแบบไม่อ่านรีวิวคอมเม้นท์ก่อนด้วย ขอวัดใจตัวเองอีกที ด้วยว่าเป็นแฟนคุณ makok_num รักมาตั้งแต่ Just another guy เลยมั่นใจ เชื่อมั่นและขอลองอีกที และก็ไม่ผิดหวังค่ะ  :กอด1:

ความหวาน ความละมุนของพี่เตและน้องพิชญ์ในช่วง 6-7 ตอนสุดท้าย กลบความอึดอัด ความดราม่าและเมกา (จอมปลอม) ได้หมดไม่หลงเหลือให้ระคายใจ 55555  คุณพระ !!! เขาสกินชิพกันได้น่าอิจฉามากกกกก อยากมีความรักดีๆแบบนี้หาได้ที่ไหน? #ตื่นๆ แต่แอบตกใจนิดนึงตอนเกือบจบมารู้เหตุผลและความคิดที่ "อยากตาย" ของพี่เต คือมันเซอร์ไพรส์เนอะไม่มีวี่แวว ท่าทีมาก่อนเลย / หรือมีแต่เราอ่านไงถึงไม่รู้ 555555  แต่ก็ดีที่คว่ำหม้อมาม่าโดยไว ไม่ทำให้ใจคนอ่านบอบช้ำมาก (อีกรอบ)

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ คุณ makok_num เป็นคนที่เขียนใช้ภาษาสำนวนในรูปแบบการบรรยายทำได้ดีมากๆ เป็นนักเขียนอีกคนที่เราจะอ่านแบบลวกๆ ผ่านๆ ไม่ได้เลย #ใจร้ายมาก 55555 เวลาที่ดีที่สุดในการอ่านของนักเขียนท่านนี้ สำหรับเราคือหลัง 5 ทุ่มเวลาดึกสงัด อ่านแล้วอินเหลือเกิน ทั้งที่บีบหัวใจและที่ฟินๆ  ขอบคุณอีกครั้งค่ะ ติดตามอยู่นะคะ เป็นกำลังใจให้เสมอ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: MacaroonCookie ที่ 30-01-2018 16:46:08
 ลุ้นแทบแย่ ช่วงแรกๆพี่เตโหดร้ายมาก สุดท้ายก็จบด้วยดี แทบไม่ห่างกันเลยชดเชยที่ช่วงแรกที่พี่เตร้ายใส่น้องตลอด สนุกมากค่า
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: fida ที่ 31-01-2018 15:07:13
ชอบบรรยากาศของเรื่องนี้มาก

รู้สึกหน่วงๆ แต่มันทำให้มีเสน่ห์

ชอบพี่เตที่แสดงออกว่าเป็นคนเย็นชาแต่ความจริงแล้วอบอุ่น

ส่วนน้องพิชญ์ที่ดูเหมือนจะเรียบร้อยสุขุมแต่ก็มีด้านที่ดื้อดึงและเซ็กซี่ :impress2:

ส่วนผสมที่ลงตัวจนต้องติดตามจนจบ

ขอบคุณที่สร้างสรรค์นิยายดีๆ ให้อ่านนะคะ o13
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Daryneisfine ที่ 17-02-2018 19:13:36
ไล่ตามอ่านจนจบแล้ววววววว ฮือออออ
พี่เตพอผีออก(?) คือพี่เตคนดี พี่เตคนอ่อนโยน
ละเมียดละไมจนอยากได้พี่เตบ้างเลย
 
พี่เตน่าสงสารนะ ต้องลุกขึ้นมาเป็นคนอื่น
เพื่อให้อีกคนรักและสบายใจ ทั้งๆที่มันเป็นไปไม่ได้
เราอ่านแต่ต้นก็คิดว่าสภาพจิตใจพี่เตเหมือนคนเป็นโรคซึมเศร้า
คือมักจะคิดว่าตัวเองไม่สมควรได้รับสิ่งดีๆในชีวิต
Over guilty มากๆ ไม่ใช่คนเย็นชานะ ดูกลัวมากกว่า
กลัวจะรักใคร กลัวใครจะรักแบบนั้น จนจบเรื่อง
โอ้ยยยยยย เป็นจริงด้วยยยยยยยยยจ้าาา
 
พี่เตกับคุณพ่อคือดีย์~ อยากจีบคุณพ่อเลยค่ะ
สัมผัสได้ถึงความงานดีที่better than ลูกกก
มาน้อยแต่คะแนนนำเว่อเลยค่ะพ่อ ฮือออออ
 
รักพ่อนะคะ  :hao3:
 
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 17-02-2018 22:32:15
อ่านมาเราไม่เอ๊ะใจเลยค่ะ ว่าพี่เตมีแนวโน้มฆ่าตัวตาย
จนรู้ตอนอเมริกาไม่มีอยู่จริงนั่นแหละค่ะ

ขอบคุณนะคะที่จบ Happy ไม่งั้นน้ำตาเป็นเผาเต่ามาแน่ๆ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : บทที่ 20 P.9 [15.01.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 18-02-2018 01:56:34
จบแบบนี้ค่อยยังชั่ว มีความสุข
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษ 1 P.11 [18.02.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 18-02-2018 22:54:41
ตอนพิเศษ 1

   
ผมไม่เคยประหม่าเวลาที่ยืนอยู่หน้ากระจกเลยสักครั้ง... ต่อให้ร่างกายเกือบจะเปล่าเปลือย

ไม่เคยมือสั่นเวลาหยิบเครื่องประดับขึ้นมา กลัดมันลงตามร่องรอยการเจาะของร่างกาย

ความวาววับทำให้ผมมั่นใจ แต่กลับดูดเอาทุกความมั่นใจไปหมดเมื่อมันสะท้อนอยู่ในแววตาที่จับจ้องทุกการกระทำ ควันบุหรี่เจือจางไม่อาจปกปิดประกายอ่อนหวานหยาบโลนในสีรัตติกาลคู่นั้น

เขามองร่างกายท่อนบนของผมที่วาวระเรื่อด้วยเครื่องประดับ

จิลเม็ดเล็กที่จมูก... ปลายลิ้น ต่างหู... ห่วงเงินที่หน้าอกซ้าย

และของเล่นชิ้นใหม่... บาเบลที่สะดือ

มือของผมสั่นเล็กๆ ตอนติดมัน... เพราะรอยยิ้มมุมปากร้ายๆ ยามสูดและพ่นควัน เพราะดวงตาใต้กรอบแว่นที่นานๆ ทีจะเห็นเขาหยิบขึ้นมาใส่... และทุกครั้งมันกลับทำให้เจ้าตัวกลายเป็นหนุ่มแว่นโคตรฮอตอย่างไม่น่าให้อภัย

“พี่อนุญาตผมแล้ว” ผมสบตาผ่านกระจกพลางยักไหล่ ร้อนตัว

เจาะคราวนี้ผมบอกก่อน และเขาไม่ได้ห้าม พี่เตไม่มีสิทธิ์ ‘ลงโทษ’ ผมเหมือนครั้งนั้น

“ยังไม่ได้ว่าอะไร” เขาหัวเราะเบาๆ ดวงตาใต้กรอบแว่นยังคงจับจ้อง หรี่มองเครื่องประดับบนใบหน้า ไล่ลามลงมาถึงเครื่องประดับชิ้นใหม่ ก่อนสบตาผมอีกครั้ง มุมปากบางยกยิ้มร้าย

“แค่กำลังสงสัย...”

“...” ผมไม่กล้าเอ่ยถาม เพราะเห็นชัดว่าดวงตารัตติกาลกำลังสื่อสารอะไร

ความร้อนแรงที่ทำเอาผมลอบกลืนน้ำลาย

“ว่าพิชญ์ไม่ได้จงใจยั่วพี่อยู่ ใช่ไหม?”

ผมหัวเราะเบาๆ ผละจากหน้ากระจกเดินไปหาเขา ปีนขึ้นเตียง แย่งบุหรี่มาอัดควัน ให้นิโคตินดับความร้อนที่กำลังแล่นพล่าน มืออีกข้างพับแล็บท็อปที่อยู่บนตักเขาโยนไปข้างๆ แล้วนั่งลงทดแทน... จงใจให้สะโพกกดทับ สัมผัสตัวตนแกร่ง

“กลับกัน...” ยื่นหน้ากระซิบข้างหู ดับบุหรี่ เอื้อมมือออกไปถอดแว่นกรอบดำ ปลดปราการบดบังสายตาพราวระยับ...

ผ้าขนหนูผืนบางไม่อาจปกป้องผมจากความร้อนจัด... ชูชัน

ร่างกายใต้ผ้าของผมเปลือยเปล่า ส่งสัญญาณความต้องการเช่นกัน

“พี่ต่างหาก ที่ยั่วพิชญ์”

สิ้นคำหยอกเย้า ร่างสูงพลิกกายเป็นฝ่ายคร่อมทับ ปราการเดียวของผมถูกกระชากทิ้ง เรียวขาทั้งสองข้างถูกดันให้แหวกกว้าง... เข่าคุกเข่าตรงหน้าผม ร่างกำยำแทรกกลาง สายตาร้อนแรงโลมเลียร่างกายเปลือยเปล่า

นิ้วเรียวแตะลงที่สะดือ ลูบไล้ เล่นล้อกับเครื่องประดับแผ่วเบา ก่อนที่จะสบตากับผมอีกครั้ง เขาเลียริมฝีปาก ยกยิ้มร้าย สีรัตติกาลแผดเผา...

“ยั่วขึ้นอีกต่างหาก” แค่นั้นก็เพียงพอ ให้ผมกลายเป็นฝ่ายโถมจูบ เกี่ยวกระหวัดเขาไว้

...เปิดรับเขาเข้ามาในร่างกายด้วยตัวเอง


   


การร่วมรักของเราทั้งเติมเต็มและกระตุ้นความกระหายไปพร้อมกัน
   
ล้นปรี่แต่กลับไม่เคยอิ่มเลยสักครั้ง... ผมเรียกร้องมากขึ้น และยิ่งมาก อย่างคนละโมบที่ก่อร่างตัวเองด้วยไฟราคะ
   
และเตวิชญ์ไม่เคยทำให้ผิดหวัง
   
เขาขยี้ผมจนละเอียด... แหลกสลาย

มอดไหม้อยู่ใต้ร่าง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า... เท่าความต้องการ

ผมรู้สึกตัวอีกครั้งตอนรุ่งสาง หงุดหงิดเพราะคิดว่าลืมปิดม่าน แสงอาทิตย์ถึงได้สาดเข้ามา
   
แต่เปล่า ไม่เพียงม่าน แต่ประตูสู่ระเบียงกว้างกลับถูกเปิดครึ่งบาน ให้สายลมลอดผ่านเข้ามาในห้องพร้อมกลิ่นควัน

สีขาวขุ่นในรุ่งสาง สะท้อนภาพเขาพร่าเบลอ
   
เรือนร่างกำยำที่มีเพียงกางเกงขายาวปกปิดท่อนล่าง แผ่นหลังกว้างเต็มไปด้วยรอยรัก ใบหน้าเพียงเสี้ยวทอดมองออกไปยังพระอาทิตย์ไกลโพ้นที่กำลังโผล่พ้นตึกราม
   
ดูลึกลับ... งดงาม
   
แต่ถึงเวลาที่ต้องพาเขากลับมา
   
“เตวิชญ์” ผมเรียก ดังพอให้เขารู้ตัว
   
ประติมากรรมจากพระเจ้าหันมาคลี่ยิ้มบาง ดวงตาสีรัตติกาลเปี่ยมความรู้สึกทำให้ผมยิ้มตาม
   
ร่างสูงดับบุหรี่แล้วเดินเข้าห้อง โถมตัวคร่อมทับผมแต่เลื่อนกายต่ำลงไป จรดริมฝีปากลงกับรอยสักตรงเชิงกรานที่โผล่พ้นผ้าห่มหนา ก่อนช้อนสายตาขึ้นมา ขานรับต่ำพร่า
   
“ครับ?”
   
ผมหัวเราะเบาๆ ดึงใบหน้าเขาขึ้นมา จูบเขา อ่อนหวานและดื้อรั้น โอบแขนรอบคอแกร่ง กอดกระชับคนตัวโตแนบร่าง
   
“อย่าไปไหน”
   
ผมจะคว้าเขาไว้ กอดแน่น และไม่ยอมปล่อยเขาไป

   




ตั้งแต่ปิดเทอม มีกฎข้อหนึ่งที่ผมต้องทำตาม
   
ทุกอาทิตย์ผมต้องกลับบ้าน นอนค้างอย่างน้อยสองวัน ผลพวงจากการเปิดใจกับพ่อแม่ว่าผมกำลังคบกับพี่เต
   
ไม่ใช่การทำโทษ... กลับกัน มันคือการทำความเข้าใจตัวตนของผมอีกขั้น
   
พวกเขาเจอกันแล้ว เป็นไฟต์บังคับเมื่อพี่เตมารับมาส่งผมทุกครั้ง เขาไม่ได้มุทะลุเข้ามา เช่นกัน พ่อกับแม่ไม่เคยแสดงท่าทีต่อต้าน ผลักไส
   
เขาไม่ได้อวดอ้างว่าครั้งหนึ่งเคยช่วยชีวิตผมไว้ แต่พ่อกับแม่จำได้ ปราการชั้นแรกจึงถูกทำลายอย่างง่ายดาย แม่ผมใจอ่อนกับความดีที่เขาทำไว้... แต่กับพ่อ เหมือนยังต้องดูกันไป
   
แต่อย่างที่บอก ผมไม่เคยเจอใครใจแข็งเท่าพี่เต พ่อผมยิ่งเทียบไม่ได้
   
เคล็ดลับคือความธรรมชาติ... ทั้งในนามธรรมและรูปธรรม
   
“คุณพ่อน้องพิชญ์บอกว่าถ้าคุณเตมาแล้วให้ไปหาที่สวนนะคะ เห็นว่าจะให้ช่วยลงต้นไม้” คุณป้าแม่บ้านเอ่ยหลังจากรับของฝากมาเต็มมือ เขาพยักหน้ารับ หันกลับไปหยิบของที่เหลือจากหลังรถ
   
ผมอาศัยจังหวะนั้น เดินสะโหลสะเหลเข้าไปหาเขา กอดไว้จากด้านหลัง
   
ร่างสูงชะงัก ก่อนหัวเราะเบาๆ

“คุณพิชญ์ ถ้าคุณแม่มาเห็นเดี๋ยวก็โดนดุเอา” ทำเป็นเอ็ด แต่กลับกุมมือผมไว้

คุณแม่ไม่ชอบให้ทำตัวรุ่มร่าม เวลาพี่เตมาหาผมเลยโดนดุหลายครั้งเพราะอดเกาะแกะเขาไม่ได้

“พิชญ์คิดถึง” ผมรั้น เอี้ยวตัวมากอดเขาจากด้านข้าง ช้อนสายตาพร้อมอ้าปากน้อยๆ... รอรับจูบจากเขา

พี่เตหรี่ตาคาดโทษแต่สุดท้ายก็หลุดขำ เลื่อนมือมาประคองหน้าผม แกล้งขบริมฝีปากยั่วก่อนจะประทับจูบอย่างที่ต้องการ

ผมหัวเราะ เมื่อคนที่ตักตวงความหวานราวอดอยากกลับกลายเป็นเขาซะเอง

“คิดถึงเหมือนกัน” กระซิบชิดริมฝีปาก ก่อนกดจูบลงมาอีกครั้ง

จูบลึกล้ำ แบบที่ถ้าคุณแม่มาเห็นเข้า ผมคงถูกตีก้นลาย






อันที่จริงผมว่าพี่เตเป็นคนขี้โกงใช้ได้

ทั้งที่โลกส่วนตัวสูงปานนั้น แต่กลับมีวิธีชนะใจคนง่ายๆ ธรรมชาติอันลึกลับของเขาคล้ายกับดัก ที่สัมผัสเพียงนิดก็ติดกับ ไร้ทางต่อต้าน

เหมือนที่เกิดขึ้นกับผม... เขากำลังทำให้มันเกิดขึ้นกับครอบครัวผมเช่นกัน

“ทีนี้ รดน้ำ” ผมแอบมองผู้ชายสองคนก้มหน้าก้มตาลงต้นไม้ต้นใหม่ในสวนหลังบ้านโดยไม่มีใครสังเกตเห็น

ผมบอกแล้วว่าพี่เตน่ะขี้โกง

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาทลายกำแพงมาถึงขั้นนี้ได้ ด้วยตัวช่วยง่ายๆ อย่างต้นไม้ใบหญ้าที่พ่อผมกำลังให้ความสนใจ
คล้ายเป็นเรื่องบังเอิญที่พันธุ์ไม้หายากที่พ่อต้องการ ดันหาได้ที่บ้านพ่อพี่เตพอดิบพอดี

คราวนี้มันเลยกระโดดข้ามขั้น ไม่ใช่แค่เขาที่ได้รับการต้อนรับ... เพราะผู้ใหญ่สองฝ่ายก็คุยเรื่องเดียวกัน

ร้ายชะมัด

“น้ำครับ” ผมมองตามร่างสูงที่เดินไปล้างมือแล้วรินน้ำมาให้พ่อที่ยืนมองต้นไม้ของตัวเองอย่างพอใจ

ท่านรับมาดื่ม ไม่เอ่ยอะไร สายตามองตามพี่เตที่เริ่มก้มหน้าเก็บอุปกรณ์เลอะดินไปล้างเก็บในที่ของมัน เมื่อเขากลับมาอีกครั้งพ่อก็เอ่ยปาก

“ขอบใจ” เขายิ้มรับ ทำท่าจะเดินไปทำอะไรต่อแต่พ่อเริ่มอึกอัก

“กับพิชญ์... เป็นยังไงบ้าง”

ผมลุ้นกับคำถามมากกว่าคำตอบเสียอีก

พี่เตยิ้มนิดๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร แต่แววตาคล้ายฉายความขบขันระคนเอ็นดู “น้องเป็นเด็กดีครับ”

ผมไม่ควรเขินกับคำชมเด็กๆ นั่น แต่ใบหน้ากลับร้อนจัด
   
ติดแต่พ่อทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ แก้คำ “เขาเอาแต่ใจ”
   
พี่เตหัวเราะเบาๆ “ครับ แต่ก็ยังน่ารัก”
   
“อย่าให้ท้ายนัก ถ้าดื้อเกินไปก็ต้องปรามบ้าง” พ่อดุ ทั้งผมทั้งคนเอาใจ
   
พี่เตขมวดคิ้ว สีหน้าลำบากใจ คล้ายเจอเรื่องที่ทำได้ยาก “ผมจะพยายาม”
   
อะไรกันล่ะนั่น

เหมือนสมาคมคุณพ่อปรึกษากันว่าต้องทำยังไงถึงจะแก้นิสัยเสียของลูกชายตัวน้อยได้ยังไงยังงั้น
   
แต่ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะครับ
   
ทั้งพ่อทั้งพี่เตเงียบไปสักพัก ต่างจับจ้องต้นไม้ทิ้งให้ความเงียบสื่อสารกัน มันไม่ใช่ความอึดอัดที่แผ่ออกมา แต่กลับทำให้ผมไม่กล้าออกจากที่ซ่อนออกไปเรียกทั้งสองคนเข้าบ้านตามที่ถูกคุณแม่ไหว้วาน
   
คล้ายรู้ว่าถ้าทิ้งจังหวะอีกนิด ผมจะได้ฟังบทสนทนาที่ยังคั่งค้าง
   
“เข้าใจใช่ไหมว่าพ่อไม่ได้จะกีดกัน” ในที่สุดพ่อทำลายความเงียบอีกครั้ง สรรพนามแทนตัวทำให้ผมเบิกตากว้าง
   
คำว่า ‘พ่อ’ ไม่เคยหลุดออกมาเวลาที่คุยกับพี่เตเลยสักครั้ง
   
“มันยากนะ กับลูกชายคนเดียวที่เราวาดชีวิตเขาไว้อย่างหนึ่งแต่เขาเลือกจะเป็นอีกอย่าง” เป็นครั้งแรกที่พ่อเปิดใจ เอ่ยความรู้สึกที่เลี่ยงจะแสดงออกมาตลอดกระทั่งวันนี้
   
“เหมือนเราต้องปรับความคิดใหม่ พ่อกับแม่หัวโบราณ พอต้องเห็นชีวิตเขาต่างออกไป บางเรื่องก็ไม่ค่อยเข้าใจ” พ่อเงยหน้ามองพี่เตที่หยักหน้าบอกว่าเขาเข้าใจ
   
“พ่อรู้ว่าเขารักเธอมาก และเธอก็เป็นคนดี ถ้าจะคบกันพ่อก็ไม่ห้าม”

“...”

“พ่อจะไม่ฝากฝังให้เธอดูแลเขาตลอดไปหรอก พิชญ์เขาเข้มแข็ง เขาดูแลตัวเองได้ แค่อยากให้ค่อยๆ ดูกันไป เรียนรู้กันไป เอาใจใส่กันให้มากๆ เข้าใจไหม”

“ครับ” พี่เตยิ้มรับ พ่อเองก็เช่นกัน 

วินาทีนั้นผมรู้สึกว่าไม่ควรแอบฟังอีกต่อไป
   
“พิชญ์เขารอมานาน เขาพยายามถนอมน้ำใจเราถึงได้ไม่วู่วาม ...มันควรถึงเวลาที่เขาจะได้สิ่งที่ต้องการ”
   
ผมออกจากที่ซ่อน เดินเข้าไปหาร่างวัยกลางคนที่สะดุ้งนิดๆ เมื่อถูกผมรวบกอดไว้
   
“หือ? เจ้าพิชญ์ กอดผิดคนหรือยังไง” พ่อเอ่ยน้ำเสียงประหลาดใจ ผมส่ายหน้าซบแผ่นหลังผ่ายผอม ลำคอเริ่มตีบตันด้วยความรู้สึกเกินกลั้น
   
“ร้องไห้ซะอย่างนั้น แสดงว่าได้ยินหมดแล้วใช่ไหม” คล้ายจะตำหนิที่ผมแอบฟัง แต่พ่อกลับหัวเราะ ตบมือผมเบาๆ
   
ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำของอีกคน เรียกให้ผมมองผ่านไหล่พ่อสบดวงตาสีรัตติกาล พี่เตมองผม ยิ้มบางๆ

รอยยิ้มอ่อนโยนที่ทำให้ผมยิ่งสะอึกสะอื้นฟูมฟาย






คุณแม่ตกใจยกใหญ่ที่เห็นผมร้องไห้อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดได้ คนถูกคาดโทษคือพ่อที่ถูกเรียกไปอธิบาย ในขณะที่ยอมให้พี่เตพาผมมาปลอบบนห้องนอน

ผมกลายเป็นเด็กขี้แยที่เอาแต่สะอึกสะอื้นในอ้อมกอดเขา ถูกเอาใจด้วยเกมในโทรศัพท์กับไอศกรีมรสโปรดที่คุณแม่บ้านยกมาให้

กว่าจะหยุดร้องก็ใช้เวลาพักใหญ่ และผมก็เริ่มอายที่ตัวเองฟูมฟายจนไม่กล้าพูดอะไร ปล่อยให้ห้องเงียบงัน ทำเป็นก้มหน้าก้มตาเล่นเกม ใช้ตักพี่เตต่างโซฟา เอนร่างพิงเขาอย่างไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะอึดอัด

ปล่อยให้เขาใช้ริมฝีปากร้อนกดจูบขมับ ซอกคอ ไหล่ จูบซ้ำๆ ปลอบประโลมอยู่อย่างนั้นพร้อมเสียงหัวเราะทุ้มต่ำเป็นระยะ

“ขอพี่ดูหน้าหน่อย” นิ้วเรียวเกี่ยวผมรวบไว้ด้านหนึ่งกระซิบเรียก

ผมสูดน้ำมูก หันไปแต่ไม่กล้าสบตา ทำเป็นเฉไฉกินไอศกรีมที่อุ้มไว้บนตัก

เขาหัวเราะ จูบซับที่หางตาผมก่อนยกมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตาแผ่วเบา

“ขี้แยขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” เอ่ยแซว ผมจึงเงยหน้าขึ้นไป มองอย่างคาดโทษทำเสียงเอาแต่ใจ

“เพราะใคร”

“หือ?” เขาเลิกคิ้ว ไม่เข้าใจ

แต่ผมไม่ได้พาล... เป็นเพราะเขานั่นแหละ

ผมอ่อนไหวง่ายขึ้น เอาแต่ใจเพราะรู้ว่าเขาจะเอาใจ เกราะกำแพงในใจผมพังทลาย

ทั้งหมดเพราะเขา

“พี่เต” ผมวางถ้วยไอศกรีมในมือ ช้อนสายตามอง งอแง “จูบหน่อย”

พอได้ยินผมอ้อนเขายิ้มล้อเลียน แต่ยอมตามใจ โน้มใบหน้าลงมาจุมพิตแผ่วเบา ปลอบประโลมเอาใจผมอยู่นาน

พอผละออกผมขยับตัวเปลี่ยนเป็นนั่งคร่อมตักเขาสบตานิ่ง จริงจัง

“รัก”

เจ้าของตาสีรัตติกาลชะงักไปก่อนหลุดยิ้ม คล้ายทำตัวไม่ถูกจึงดึงผมไปกอดไว้แน่นแกล้งจูบขมับแรงๆ งับใบหูหมั่นไส้

ก่อนจะได้ยินเสียงกระซิบตอบคำเดียวกัน

“รักเหมือนกันครับ”




----------------------------------------------------------
พายัยพิชญ์มาให้กอดแล้วค่ะ หวังว่าจะยังไม่ลืมกัน  :hao5:
ความยากของการเขียนตอนพิเศษคือมันไม่มีโครงให้วิ่งตามเลย
ในหัวมีเรื่องราวถูกตัดเป็นท่อนๆ กระจัดกระจาย ไม่รู้ว่าควรเอาซีนไหนมาใส่ตอนไหน 5555
เรื่องนี้ตอนพิเศษคงไม่เยอะ เพราะไม่รู้จะเขียนอะไรแล้วจริงๆ ;-;
สารที่จะสื่อก็ใส่ในเรื่องหลักหมดแล้ว จะใส่nc ก็...นะ ไม่รู้จะพลิกแพลงท่าไหนแล้วค่ะ 55555
กลัวเลี่ยนด้วย เลยมาแบบอ้อนๆ น่ารักๆ เหม็นความรักเบาๆ... เนอะ

ฝาก #เกมท้ารัก ด้วยน้า
ขอบคุณที่ยังคิดถึงกันนะคะ ^^
   
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษ 1 P.11 [18.02.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: mybear_sr ที่ 18-02-2018 23:13:34
ยัยน้องพิชญ์น่ารักมาก พี่เตหรือเตาอบอ่ะค่ะ อุ่นเว่อร์ ฮือ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษ 1 P.11 [18.02.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 18-02-2018 23:14:48
ฮื่อออยัยน้องพิชญ์จะยั่วไปถึงไหนนน พีคกว่าน้องเจาะคือพี่เตใส่แว่นค่ะ ฮอตมากกกก ฮื่ออ เอามาอีกได้ไหมคะะะ ใจไม่ดีเลยๆๆๆ  :m25:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษ 1 P.11 [18.02.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 19-02-2018 04:25:32
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษ 1 P.11 [18.02.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 19-02-2018 07:45:08
พี่เตอบอุ่นจังโมเม้นท์นี้ดูอ่อนหวานละมุนเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษ 1 P.11 [18.02.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 19-02-2018 12:02:51
กลายเป็นน้องพิชญ์ตัวโหน่ยๆๆเลยเวลาอยู่กับครอบครัว ยัยคนกล้าหายไปเลยยยย กลายเป็นน้องที่น่าบีบมากกกกก พี่เตยังคงโซแดมฮอตเช่นเคยยย ตลกที่บอกว่าไม่รู้จะพลิกแพลงเอาท่าไหนแล้ว เพราะใส่เต็มมาในเรื่องหลักแล้ว5555555 มันยังได้อีกกก ความหวานละมุนละไมก็ฆ่าเราได้ค่าาาาา
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษ 1 P.11 [18.02.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 19-02-2018 22:23:30
เป็นตอนพิเศษที่หว้านหวานนน  :-[ :-[
เจ้าพิชญ์น่ารักจังเลยย
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษ 1 P.11 [18.02.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: janehh ที่ 20-02-2018 19:17:04
ตอนพิเศษดีมากเลยยยยย
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษ 1 P.11 [18.02.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Tatangth ที่ 03-03-2018 23:17:19
เอ็นดูพิชญ์มากเลยอ่ะ ฮื่ออออออ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษ 1 P.11 [18.02.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 10-03-2018 21:07:58
 :pig4: :pig4: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษ 2 P.11 [11.03.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 11-03-2018 07:34:20
ตอนพิเศษ 2


ขึ้นปีสาม ภาระหน้าที่ของผมไม่ได้มีแค่เรื่องเรียนอีกต่อไป
   
“ตอบสิวะ! อึดอัดมากใช่ไหมที่ต้องอยู่กับเพื่อนเนี่ย!”
   
อยากจะยกมือขึ้นมาแคะหูให้น้ำเสียงแสนระคายที่ทำเอาน้องใหม่ที่ยืนตรงแข็งทื่อสะดุ้งกันเป็นแถว
   
เงียบไปหนึ่งอึดใจถึงมีผู้กล้ายกมือตอบให้
   
“บางที ก็ต้องการเวลาส่วนตัวบ้างครับ” เจ้าเดิมที่ถูกสต๊าฟทุกคนหมายหัวไว้ พอน้องเอ่ยปากสามคนที่โซนหลังถึงได้เดินเข้าไปล้อมวงอย่างรู้งาน
   
“หมายความว่าไง” ถามย้ำให้สับสน
   
“รังเกียจเพื่อนเหรอคุณน่ะ” เพิ่มความกดดัน
   
“เงียบทำไม รังเกียจก็ตอบว่ารังเกียจดิวะ!” ปิดท้ายด้วยขึ้นเสียงให้ลนลาน
   
ผมยืนนิ่งมองเด็กผู้ชายตัวสูงที่เริ่มขมวดคิ้วกดฟันคล้ายพยายามเก็บอารมณ์ จากตรงนี้เห็นดวงตาวาวโรจน์ฉายชัดก่อนจะเค้นคำตอบด้วยน้ำเสียงเจือความไม่พอใจ
   
“เปล่าครับ” ยิ่งน่าขยี้ไปกันใหญ่
   
“ตอแหล!” เสียงตวาดแหวทำเอาสะดุ้งกันทั้งแถบ คำตำหนิที่เริ่มทวีความรุนแรงทำให้น้องผู้หญิงตัวเล็กแถวแรกเริ่มสะอื้นไห้

“เมื่อกี้พูดอยู่ชัดๆ ว่ารังเกียจอ่ะ พวกคุณดูหน้าเอาไว้นะครับ คนแบบนี้เหรอที่คุณเรียกว่าเพื่อน” ว่าพลางชี้หน้าดึงสายตาร่วมประจาน เสียงตะโกนก้องน่าเกรงขามทำให้ไม่มีใครทันสังเกตว่าเริ่มลากลามผิดประเด็น

“ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง เวลาส่วนตัวอะไรวะ ถ้าไม่อยากอยู่ด้วยกันก็ออกไป!” พอเห็นเพื่อนโดนรุมหนักเข้า เด็กผู้ชายแถวหลังเริ่มทำสีหน้าไม่พอใจ จากที่เคยก้มหน้าไม่สบตาก็เริ่มยกมือตอบน้ำเสียงแข็งกร้าว

“เพื่อนไม่ผิดครับ” เมื่อมีหนึ่งก็มีสอง

“พวกเราอยากมีเวลาส่วนตัวมากกว่านี้ครับ”

“พวกเราไหนวะ! ถามเพื่อนคุณหรือยัง!” เสียงตวาดดังขึ้นอีกครั้ง แต่เด็กๆ เริ่มไม่ยอม

“วันหยุดก็อยากไปอยู่กับครอบครัวบ้างค่ะ” จากแค่ชายเริ่มมีผู้หญิงที่ใจกล้าตอบขึ้นมา

“อยากเอาเวลาไปทำงานที่อาจารย์สั่งครับ” ผมมองหน้าทุกคนที่ยกมือตอบ แล้วเริ่มนับถอยหลัง ส่งสัญญาณให้สต๊าฟกระจายตัว

“งานเยอะเกินไปจนไม่มีเวลานอนครับ” คำตอบครบโควตา ก็ได้เวลาผมออกโรง

“พอ!” เสียงตวาดลั่นทำให้ทั้งลานกิจกรรมเงียบกริบอีกครั้ง คนที่ตอบเสร็จและกำลังจะตอบยกมือค้างไว้ รอฟัง

“ผมไม่สนว่าพวกคุณจะเอาเวลาไปทำอะไร แต่ถ้าพวกคุณไม่อยากอยู่ด้วยกันขนาดนั้นผมก็จะตามใจ” เอ่ยประชดประชันตามสูตรเพื่อไม่ให้ดูใจดีเกินไป แต่จุดประสงค์ก็เพื่อคลี่คลายปัญหาเรื่องกิจกรรมกับการเรียนที่อัดแน่นเกินรับไหว

ตามตารางเรารับน้องจันทร์ถึงเสาร์ และมันบั่นทอนตัวเด็กเกินไป กิจกรรมที่มักจะหางานให้ทุกคนออกแบบตามโจทย์ทุกอาทิตย์ก็ตั้งใจจะเปลี่ยนเป็นงานกลุ่มที่ยืดหยุ่นเวลาตามเนื้องานแทน

“พรุ่งนี้วันเสาร์ ไม่ต้องมาครับ เอาเวลาของคุณไป”

เราอยากให้เด็กที่เพิ่งเข้ามาได้ทำความรู้จักกัน แต่คงใช้วิธีบังคับให้รู้จักแบบเมื่อก่อนไม่ได้ เราต้องเปลี่ยนรูปแบบกิจกรรมให้เข้ากับเด็กเจนฯ ใหม่

“ถ้าไม่เจอเพื่อนเจอพี่แล้วสบายใจกว่าก็แล้วแต่คุณ...” ผมมองเด็กคนนั้น จงใจส่งสายตาให้รู้ว่าประชดประชัน ก่อนกวาดมองแววตาใสซื่อที่เต็มไปด้วยความรู้สึกรอบตัว เห็นความอ่อนล้าที่เจือไปด้วยความมุ่งมั่นบางอย่างจึงเริ่มเอ่ยเข้าประเด็นตามที่ปูไว้

“ถามตัวเองครับว่าคุณมายืนตรงนี้ทำไม พวกผมไม่ได้บังคับให้พวกคุณมา”

“ถ้าคุณคิดว่ากิจกรรมนี้มันไม่จำเป็นกับชีวิตนักศึกษาก็ไม่ต้องมาครับ” ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำเสียงเกรี้ยวกราด ฐานะเฮดว้ากออกจะต้องสุขุมมากกว่า

“แต่ถ้าใครคิดว่ามันมีประโยชน์อยู่บ้าง ก็เจอกันวันจันทร์ครับ”

“...”

“กลับไป” สิ้นคำสั่งแถวเรียงหน้ากระดานก็เริ่มสลาย เสียงฝีเท้าหนักดังเคล้ากับเสียงตะโกนเร่งไล่หลัง

หมดหน้าที่คนอื่นก็เริ่มผ่อนคลาย จับกลุ่มคุย ผมถอนหายใจ สะบัดแขนขาที่เมื่อยล้าพลางคิดว่าอยากได้บุหรี่สักมวน
   
ราวถูกอ่านใจ เมื่อเงยหน้าขึ้นบิดขี้เกียจถึงได้สบกับดวงตาสีรัตติกาลที่ยืนมองจากระเบียงชั้นสามพอดี
   
ผมยิ้ม ร่างสูงยกยิ้มตอบ เขาคีบบุหรี่ออกจากปาก มองหน้าผมนิ่ง แววตาเชื้อเชิญ
   
“เดี๋ยวกูตามไป” ผมบอกที่เหลือ ยังมีเวลาสักพักก่อนเริ่มประชุม ผมกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปหาเขา อยากจะสวมกอดร่างสูงที่หันกลับมาพิงหลังกับราวระเบียง แต่ด้วยสถานที่ไม่เอื้อเลยเลือกเดินไปยืนข้างกันเฉยๆ
   
“ไม่เคยเห็นพี่มาดู” พี่เตเป็นเด็กซิ่ว ไม่รับน้อง กิจกรรมนี้เขาเลยไม่ใส่ใจ พอเห็นเขามายืนมองอยู่แบบนี้ก็เลยอดตื่นเต้นไม่ได้ “มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
   
“ตั้งแต่แรก”
   
“ยืนตรงนี้ตั้งสองชั่วโมง?”
   
“อืม” พี่เตยักไหล่ตอบสั้นๆ พ่นควันก่อนจะยกยิ้มมุมปากล้อเลียน “ดุจัง คุณพิชญ์”
   
ผมหัวเราะ ยื่นหน้าเข้าไปหาแกล้งพูดจาสองแง่สองง่าม “มีที่ดุกว่านี้อีก พี่อยากเห็นไหม” 

พี่เตหัวเราะ เอื้อมมือที่ไม่ได้คีบบุหรี่มาบีบจมูกอย่างหมั่นไส้ ก่อนเกลี่ยผมทัดหูแล้วลากฝ่ามือต่ำตามแนวกระดูกสันหลัง หยุดที่เอวผมแล้วไล้วนอยู่อย่างนั้น

ไม่กลัวเลยว่าความยั่วเย้าของเขาจะทำผมแทบคลั่ง

“เจดบอกว่าคุณเฮดว้ากฮอตใหญ่” ขณะที่ผมพยายามอดกลั้นเขากลับขบขัน “เลยมาดู กลัวจะโดนเด็กปีหนึ่งคาบไป”
ผมเลิกคิ้ว “ใครกันแน่จะโดนคาบไป”
   
ข่าวลือเรื่องเขาน้อยซะที่ไหน ด้วยใบหน้าที่โคตรหล่อ แถมยังมีออร่าลึกลับแบบหาตัวจับได้ยากยิ่งเสริมให้คนอยากรู้จักไปกันใหญ่ เด็กปีหนึ่งคนไหนได้เห็นหน้าเหมือนได้เจอของแรร์ในคณะ ตายตาหลับได้
   
พี่เตทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจว่าถึงย้อนเข้าตัว แต่ไม่ทันไรก็ยิ้มขำ
   
“ถ้าถูกคาบไปแล้วจะทำยังไง” คิ้วหนาเลิกขึ้นท้าทาย ผมหรี่ตาคาดโทษ หยิบบุหรี่จากมือเขามาละเลียดควัน สบดวงตาสีรัตติกาลที่ยังพราวระยับ มองผมที่เคลื่อนริมฝีปากเข้าไปกระซิบชิดริมฝีปากบาง
   
“อย่าหวังเลยเตวิชญ์” ต่อให้คนทั้งโลกต้องการเขา ผมก็จะไม่ปล่อยให้ใครคาบไปได้
   
“...”
   
“เพราะผมจะล่ามพี่ไว้” ได้ยินเสียงทุ้มหัวเราะเบาๆ คงคิดว่าผมแค่พูดทีเล่นที่จริงเหมือนทุกครั้ง
   
แต่เปล่า คราวนี้ผมจริงจัง

   



กาแฟแก้วที่สองหมดไปในเวลาตีสองกว่า แต่ความเหนื่อยล้าเล่นงานจนไม่อาจถ่างตาไหว ผมวางมือจากงานที่ทำได้เกินแปดสิบเปอร์เซนต์ ลุกขึ้นบิดขี้เกียจพลางมองหาอีกคนที่หายเข้าไปในห้องน้ำนานสองนาน
   
ผมไล่เขาไปอาบน้ำหลังจากช่วยตัดโมเดลมาตั้งแต่หัวค่ำ ทั้งที่งานตัวเองก็ยังไม่เสร็จดี เห็นทีคืนนี้คงต้องอยู่กันอีกยาว
   
นึกอะไรขึ้นได้ผมก็หลุดยิ้มออกมา หยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดไฟ ก่อนจะค้นอีกซองมาใส่กระเป๋ากางเกง... บุหรี่ยี่ห้อเดียวกัน จะต่างก็ตรงที่ไม่มีมวนนิโคตินอยู่ในนั้น...
   
รู้ว่าเขาไม่ได้ล็อกประตูห้องน้ำจึงถือวิสาสะเปิดเข้าไป ยิ่งยิ้มกว้างเมื่อเห็นร่างสูงนอนหลับตาพิงอ่างอาบน้ำอย่างสบายใจ
   
“ฝากหน่อย” ส่งบุหรี่ในมือให้เขา ไม่ตอบคำถามทางสายตาที่เจ้าตัวส่งมาว่าผมเข้ามาทำไม
   
ผมอาบน้ำแล้ว แต่จะแช่น้ำอีกสักรอบจะเป็นไรไป
   
“งานเสร็จแล้วหรือไง” เสียงทุ้มเอ่ยถามกลั้วหัวเราะ สูบบุหรี่ที่ผมฝากไว้ ดวงตาคมจับจ้องมายังผมที่ปลดกางเกงวอร์มตัวโปรด ปลดปราการจนเปลือยเปล่าตรงหน้าเขาอย่างไม่อาย
   
“เบื่อ” ยักไหล่ไม่ยี่หระ ดึงยางที่ข้อมือมารัดผมไว้ ก่อนก้าวขาลงไปในอ่างฝั่งตรงข้าม
   
เราสบตากันราวกับจะหยั่งเชิงว่าใครจะพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายก่อนกัน
   
มันเป็นเช่นนี้ทุกครั้ง... การอาบน้ำด้วยกันไม่เคยจบเพียงการอาบน้ำ...

“หึ” ถือว่าชนะไหมนะ ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายทนไม่ไหว แต่เพียงแค่ยกยิ้มมุมปาก กระดิกนิ้วเพียงครั้งก็เรียกให้ผมให้ขยับไปอยู่ตรงหน้าได้
   
ควันขาวขุ่นถูกถ่ายจากริมฝีปากสู่ริมฝีปากเมื่อเขารั้งใบหน้าผมลงไป หลุดหัวเราะเมื่อเรียวลิ้นร้ายแทรกเข้ามาเกี่ยวกระหวัดหยอกล้ออย่างเอาแต่ใจ
   
แต่ก่อนทุกอย่างจะเตลิด ผมหยุดไว้ ถอนริมฝีปากอ้อยอิ่งพร้อมส่งสายตาให้รู้ว่ายังกินตอนนี้ไม่ได้...

เพราะผมวางแผนบางอย่างไว้
   
“หืม?” พี่เตทำหน้าประหลาดใจเมื่อผมผละออกแล้วเอื้อมมือไปหยิบซองบุหรี่ที่อยู่ในกระเป๋ากางกางให้ แย่งบุหรี่ในมือเขามาพลางกลับมานั่งพิงขอบอ่างอีกฝั่ง
   
“ของขวัญ” น่าเสียดายที่มันไม่ใช่เทศกาล หรือฤกษ์งามอะไรให้ใช้เป็นข้ออ้าง
   
ผมก็แค่ใจร้อนเท่านั้น
   
ยิ่งได้ยินว่าเขาเป็นที่ต้องการ ก็ยิ่งอยากป่าวประกาศว่าเขาไม่อาจเป็นของใคร
   
“เปิดดูสิ” พี่เตรับกล่องบุหรี่ไป ยิ่งดูประหลาดใจเมื่อน้ำหนักของกล่องบ่งบอกว่าไม่มีมวนนิโคตินอัดแน่นอยู่ภายใน
   
แน่ล่ะ ก็มันเป็นเพียงซองเก่าที่ผมยืมมาใช้ต่างกล่องของขวัญก็เท่านั้น...
   
แหวนทองคำขาวสองวงที่เมื่อเขาเทลงมาบนฝ่ามือเจ้าของใบหน้าคมก็ถึงกับชะงัก เงยหน้าขึ้นมาสบตาผมนิ่งนานแววตาอ่านยาก
   
มันคือการผูกมัด... และผมจงใจ
   
ตั้งแต่เกือบจะเสียเขาไป ผมยิ่งอยากจะผูกเขาไว้ ไม่ว่าด้วยความสัมพันธ์ หรือการกระทำใดๆ ที่จะบอกให้เขารู้ว่ามีผมเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตอย่างลึกซึ้งแค่ไหน
   
อย่างน้อยให้เขานึกถึงผม หากเกิดชั่ววูบที่คิดจะจากไปอีกครั้ง
   
“ผมไม่ได้บังคับหรอก พี่จะไม่ใส่ก็ได้” ผมยักไหล่ ละเลียดควัน ทั้งที่ความจริงแล้วในใจก็แอบหวั่น
   
พี่เตไม่ชอบความผูกพัน เขาเคยเชื่อว่ามันจะทำร้ายอีกคน และผมไม่คิดจะว่าเขาล้มเลิกความคิดนั้นง่ายๆ

แต่ผมจะพิสูจน์ว่ามันไม่จริง ความรักของเขาไม่เคยทำร้ายใคร... มันเติมเต็ม สำหรับผมมันคือความสุขยิ่งกว่าช่วงเวลาไหนๆ

ผมไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร ดวงตาสีรัตติกาลยังคงจับจ้องนิ่งนาน ก่อนจะถอนหายใจ

“คุณพิชญ์” แวบหนึ่งผมคิดว่าเขาโกรธและจะทิ้งมันไป แต่กลับคิดผิดเมื่อมุมปากบางยกยิ้มร้าย “มานี่มา”

ผมดับบุหรี่ ไม่รอรีสักนิดเมื่อเขากวักมือเข้าไปหา ฝ่ามือหนาโอบเอวผมจับนั่งลงบนตัก ก้มหน้าลงมาจนหน้าผากแตะกัน 

“คบไม่ทันไร จะสู่ขอกันแล้วหรือไง” ความกังวลเลือนหายเมื่อได้ยินน้ำเสียงหยอกเย้า ดวงตาคมมองด้วยแววตาขบขันปนเอ็นดูเมื่อผมเริ่มหน้าม้าน ไม่กล้าสบตา

“ก็ถ้าไม่อยากได้...!” พอทำท่าจะเฉไฉก็ถูกริมฝีปากร้อนขโมยจูบเข้าให้

ฝ่ามือใหญ่ดันแผ่นหลังเข้าไปใกล้จนชิดหน้าท้องกำยำ ยิ่งทำให้คิดได้ว่าเราต่างอยู่ในสภาพที่ร่างกายเปลือยเปล่าและอะไรๆ ก็กำลังสัมผัสกันอยู่ใต้ผืนน้ำ

“บอกแล้วเหรอว่าไม่อยากได้” เขาเลิกคิ้ว ยกยิ้มร้าย ผมกัดริมฝีปากพยายามเก็บอาการขัดเขินไว้

“แต่พี่หรือเปล่าที่ต้องเป็นคนซื้อแหวนให้” ยิ่งได้ยินน้ำเสียงขบขันก็ยิ่งหน้าร้อนไปกันใหญ่

“สำคัญด้วยหรือไง” แต่ก็ยังอวดเก่งสบตาเขา ท้าทาย “พิชญ์แค่อยากให้รู้ ว่าพี่เป็นของใคร”

พี่เตหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ว่าที่ผมเอาแต่ใจ กลับกัน เขายอมตามใจด้วยการหยิบแหวนวงใหญ่กว่าขึ้นมาสวมเข้ากับนิ้วนางข้างซ้ายอย่างง่ายดาย ก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือผมไปสวมแหวนให้

ทั้งที่คิดว่าไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นอะไร แต่อยู่ๆ หัวใจผมก็เต้นรัวเมื่อเห็นเครื่องประดับบนนิ้วนางข้างซ้ายที่ประกาศชัดว่าเราเป็นของกันและกัน

พี่เตยิ้มล้อเลียนเมื่อเห็นผมนิ่งไป เหมือนไม่อยากจะเชื่อสายตาทั้งที่ตัวเองเป็นคนซื้อมาให้ ตั้งใจจะผูกมัดเขา แต่กลับเป็นฝ่ายอ่อนไหว

“ทีนี้รู้หรือยัง ว่าพี่เป็นของใคร?” ดวงตาสีรัตติกาลยังคงเจือความเอ็นดูปนขบขัน แต่กลับลึกล้ำกว่าครั้งไหนๆ ฝ่ามือหนารั้งเอวผมเข้าไปแนบชิด กดจูบหน้าผากอย่างรักใคร่ ก่อนไล่ลงมาที่ปลายจมูก และริมฝีปาก จุมพิตเพียงแผ่วเบาแล้วผละออกไป ช้อนสายตามองพลางกระซิบยืนยัน... ถ้อยคำที่ทำให้ผมดึงเขามาจูบอีกครั้งอย่างไม่คิดห้ามใจ

“พี่เป็นของพิชญ์”

บอกแล้ว... ผมจะล่ามเขาไว้






-----------------------------------------------
คิดถึงเลยมาหาค่ะ เป็นตอนพิเศษสั้นๆ หวังว่าจะชอบกัน
จริงๆ ยัยพิชญ์เป็นนายเอกจริงป่าวอ่ะ ไหงรุกแรงจัง
ออกแนวพี่ไม่ต้องน้องทำเองทุกอย่าง น่าตีมาก 55555

เมื่อไม่กี่วันก่อนเพิ่งได้ผลต้นฉบับมา พี่เตกับน้องพิชญ์ผ่านการพิจารณาแล้วนะคะ
แต่คงอีกนานเลยล่ะกว่าจะเป็นรูปเป็นร่างให้ไปนอนกอดกัน เพราะยังต้องรีไรต์อีกนิดหน่อย และตอนพิเศษยังเขียนไม่เสร็จ (ฮืออ) รอกันหน่อยเนอะ  :hao5:

ฝาก #เกมท้ารัก เหมือนเดิมนะคะ

ขอบคุณมากๆ เลยค่ะที่ยังอยู่ด้วยกัน ^^
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษ 1 P.11 [18.02.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: 05th_of_06th ที่ 11-03-2018 08:29:05
น้องงงงงงงลู๊กกกกกกกก มิติใหม่แห่งนายเอกสุดๆ55555555
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษ 1 P.11 [18.02.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 11-03-2018 08:36:53
คิดถึงน้องพิชญ์ ยังร้ายกาจเหมือนเดิม รอซื้อเล่มนะคะะ  :mew4:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษ 1 P.11 [18.02.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 11-03-2018 09:49:33
ฮือออ ยัยน้องงงงงง น่ารัก เป็นพี่เตเราก็จะไม่ทนนน  :hao5:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษ 1 P.11 [18.02.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 11-03-2018 14:32:34
อยากเห็นน้องพิชญ์ดุกว่านี้จังเลยค่าา
อยากโดนน้องดุจังเล้ยยยย  :hao7:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษ 1 P.11 [18.02.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 13-03-2018 19:19:08
ยิ่งอ่านก็ยิ่งหลงทั้งน้องพิชญ์ทั้งพี่เต ทำไมน่าหลงไหลแบบนี้ คนหนึ่งก็ลึกลับ อีกคนก็มีเสน่ห์แถมยั่วเก่งอีก5555 หยั่กดั้ยยยย
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษ 3 P.11 [28.03.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 28-03-2018 02:36:11
ตอนพิเศษ : 3


[ เจได ]
   

ตอนเห็นครั้งแรก เราว่าเขาค่อนข้างน่ากลัว
   
ตัวใหญ่เป็นหมี ไว้เครา หน้าดุอย่างกับยักษ์ ถ้ามีเขี้ยวสักนิดคงชวนคิดถึงละครจักรๆ วงศ์ๆ ที่เคยตื่นมาดูตอนอนุบาล
   
“ป๊า”
   
แล้วเขาก็มีเขี้ยวจริงๆ เขี้ยวสองข้างที่ปรากฏพร้อมรอยยิ้มกว้างที่ทำให้ใบหน้าถมึงทึงหมดสิ้นความน่ากลัว ดวงตาคมปิดหยีจนไม่เห็นลูกตา หมีตัวโตกลายร่างเป็นลูกหมาทันทีที่ใครบางคนเดินเข้ามาหลังเวที
   
ป๊า? นั่นชื่อหรืออะไร
   
“ไอ้พิชญ์” หันมองตามสายตาคู่นั้นมองคนมาใหม่ แล้วก็ชะงักให้กับรังสีแปลกประหลาดที่แผ่กระจายออกมา
   
ก่อนรู้ว่าไม่ใช่แค่ตัวเองที่ถูกดึงดูดให้หยุดสายตา คล้ายเวลาหยุดหมุนชั่วขณะประวิงรอให้เรียวขายาวก้าวผ่านอย่างช้าๆ
   
สวย... ไม่สิ หล่อ ก็ไม่ใช่อีก... ต้องบอกว่ามีเสน่ห์มาก
   
เรือนร่างสูงยาวแบบผู้ชาย แต่กลับดูบอบบางน่าหลงใหล เรือนผมสีดำสนิทต้องลมยามเคลื่อนผ่านยิ่งขับให้องค์ประกอบของร่างนั้นดูงดงามพลิ้วไหวราวผีเสื้อที่กำลังกระพือปีกสยาย ขยับเพียงนิดดอกไม้น้อยใหญ่รอยกายก็แทบจะเบือนหน้าเสนอตัวให้เชยชิมน้ำหวานจากกลุ่มเกสรของตัวเอง
   
อิจฉา... และอิจฉายิ่งกว่าเมื่อเห็นสายตาของใครคนนั้นที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงกับช่วงเวลาก่อนหน้า
   
ดีใจอะไรขนาดนั้น ทั้งที่เอาแต่นั่งน่ากลัวมาตั้งนาน
   
“ตื่นเต้นสัดๆ” เผลอขมวดคิ้วตอนที่คนตัวโตกว่าคว้าร่างสูงบางเข้ามากอด ยกจนตัวลอยแล้วเขย่าจนหัวคลอน ส่วนอีกคนก็หัวเราะ ไม่สะทกสะท้านกับสายตามากมายที่จับจ้องการกระทำ
   
“ตื่นเต้นทำไม ยังไงก็ไม่ชนะ” ใบหน้ารั้นที่เอ่ยประชดประชันด้วยน้ำเสียงขบขันกลับไม่ทำให้โกรธเคือง กลับกัน มันทำให้เจ้าหมียักษ์ตัวนั้นหัวเราะออกมาอย่างสบายใจ
   
มีเสน่ห์เกินไป ดูรั้นร้ายเอาแต่ใจ แต่กลับชวนให้อยากทะนุถนอมอย่างยากจะอธิบาย
   
อยู่ๆ ก็รู้สึกแพ้... แพ้ทั้งที่ไม่รู้ว่าแข่งอะไร

   


ไม่น่าจะชนะจริงๆ อ่ะ
   
เสียงดนตรีกระท่อนกระแทนจากเครื่องดนตรีสามชิ้นที่ฟังยังไงก็ไม่เข้ากัน กลองไปทาง เบสไปทาง คงมีแต่กีตาร์กับเสียงร้องเท่านั้นที่เข้ากันเพราะมาจากคนเดียวกัน
   
เสียงทุ้มต่ำในคีย์ที่หาได้ยากกับเสียงกีตาร์กรีดลึกราวร่ำร้องจากห้วงลึกของจักรวาลชวนให้เหลียวหลังทันทีที่ได้ยิน
   
แต่นอกนั้นไม่มีอะไรเข้ากัน เหมือนมาลงประกวดไปงั้นๆ มันเลยชวนหงุดหงิดมากกว่าน่าฟัง
   
“เป็นไง”
   
“โคตรห่วย”
   
อืม ห่วยมาก
   
นึกประหลาดใจที่คนถูกสบประมาทกลับหัวเราะลั่น หยอกล้อเล่นหัวอย่างไม่คิดเคือง
   
“นี่แหละ น้องกู”
   
น้อง น้องแบบไหน หน้าตาไม่เห็นจะคล้ายกัน
   
“เดินงานเป็นเพื่อนกูหน่อย” 
   
กว่าจะรู้ตัวว่าตัวเองทำตัวเสียมารยาทก็ตอนที่เผลอมองตามแผ่นหลังของสองร่างที่เดินหยอกล้อกันออกจากหลังเวทีไปจนลับสายตา

   




หึง...หึงล่ะ
   
ไอ้อาการไม่หงุดหงิดจนพานหน้ามุ่ยจนเพื่อนไม่กล้าพูดด้วย สายตาเอาแต่จับจ้องสองคนตรงหน้าที่หัวเราะคิกคักพลางซื้อของกินตามร้านที่ขายไปตลอดทางอย่างไม่ค่อยชอบใจแบบนี้คงคล้ายๆ อะไรแบบนั้น
   
แต่จะหึงได้ยังไงกัน เพิ่งเจอไม่ถึงวันด้วยซ้ำ
   
ไม่ได้รู้สึกว่าชอบสักนิด แค่เห็นครั้งแรกแล้วสงสัย คิดฆ่าเวลาระหว่างขึ้นเวทีว่าเป็นคนยังไง จนรู้ว่าที่คิดน่ะไม่ใช่ ไม่ได้เป็นคนน่ากลัว กลับใจดีเกินคาด แถมยัง... น่ารัก
   
น่ารัก น่ารักมาก
   
ตอนที่ร้องเพลง หลุดหัวเราะกับเสียงเบสเพี้ยนๆ ของเพื่อนร่วมวง เล่นมุกงงๆ บนเวที เวลาลูบเครากลบอาการขัดเขินที่ตรงข้ามกับหน้าตายิ่งชวนให้หลุดยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว
   
หมียักษ์... หมียักษ์ชื่ออะไรนะ...
   
ทำไมไม่ฟังตอนเขาแนะนำตัวล่ะ!
   
“มึงเป็นเหี้ยอะไรเจ ทำหน้าตาน่ากลัวมาก” ถูกเพื่อนที่เดินมาด้วยกันถองศอกใส่ ถึงได้รู้ตัวว่าเผลอขมวดคิ้วแน่นแค่ไหน หันกลับไป อ้าปากทำท่าจะระบายความอึดอัดใจ แต่แล้วก็ปิดปากฉับ เก็บความลับไว้ในใจเอ่ยเฉไฉ

“อยากกลับ” ช่างเถอะ รู้ไปก็เท่านั้น คงไม่ได้เจอกันอยู่ดี อีกอย่าง เห็นแค่นี้ก็ชัดเจนว่าแพ้ราบคาบ ก็คนในสายตาเขาอยู่สูงขนาดนั้น... เรามันสูงไม่ถึงไหล่เขาด้วยซ้ำ
   
“มึงไม่รอประกาศผลเหรอ” ลืมไป...
   
ถ้าไม่ติดว่าถูกสปอยล์มาว่ามีสิทธิ์หนึ่งในสามคงไม่รอจนจบงาน ร้อนมาก คนก็เยอะมาก รู้สึกเหมือนถูกแย่งอากาศหายใจ
   
“งั้นกลับเวทีเหอะ” อย่างน้อยตรงนั้นก็มีพัดลมตัวใหญ่ๆ บริการไว้สำหรับคนที่ขึ้นแสดง
   
แต่ขณะที่กำลังจะแหวกฝูงชนออกไปเรากลับได้ยินเสียงคุ้นหูตะโกนเรียกใครสักคน
   
“นาย... นาย”
   
อืม เสียงเพราะจริงๆ คงจะดีกว่าถ้าอยู่ในวงที่เล่นเข้าขากันมากกว่านี้
   
“เดี๋ยวดิ นาย”
   
เห็นว่าเรียนสถาปัตย์นี่นา คงไม่ค่อยมีเวลาซ้อมล่ะมั้ง เราเองก็เรียนเภสัช เรื่องเรียนหนักน่ะ เข้าใจเลย
   
“เจได”
   
“หือ?” เงยหน้าขึ้นมาเลิกคิ้วมองคนข้างตัวที่ขัดจังหวะความคิด แต่กลับได้รับคำตอบเป็นการส่ายหัวพร้อมสีหน้าเหมือนจะบอกว่าไม่ใช่กูก็เลยประหลาดใจ
   
ทบทวนอีกทีก็เอะใจว่าเสียงที่ได้ยินไม่ได้มาจากข้างตัว...
   
หมุนตัวกลับไปก็เห็นเจ้าหมีตัวใหญ่ยืนทำหน้าตกใจพอกัน
   
“ชื่อเจไดจริงด้วยว่ะ” พำพึมกับตัวเองพลางยิ้มขำ รอยยิ้มที่เราคิดว่าเขามีให้แค่คนนั้น
   
ใช่ เราเอง เราเจได
   
“ครับ?” ว่าแต่ เขามีอะไร
   
คนตัวโตเดินเข้ามาใกล้ ใบหน้าดุๆ ที่เคยกลัวดูผ่อนคลายกว่าตอนอยู่หลังเวที หรือนี่คือหน้าปกติ?
   
“ที่เล่นบนเวทีเมื่อกี้ โคตรดี”
   
“...” เป็นคำชมที่... ดูไม่น่าไว้ใจ
   
ไม่ใช่ไม่เคยถูกชม แต่เพราะเห็นชัดๆ ว่าคนตรงหน้ามีจุดประสงค์อะไรสักอย่างถึงได้โน้มหน้าเข้ามาซะใกล้ ยิ้มกว้างเกินไป สายตาแพรวพราว แถมยังยกมือลูบเคราตัวเองตอนที่เรานิ่ง เหมือนถูกจับได้
   
“ต้องการอะไร” พอเห็นความกระอักกระอ่วนจึงถาม ก่อนรู้ว่าคำพูดคำจามันห้วนเกิน เผลอถลึงตาใส่ด้วย ไม่แปลกที่คนตัวโตหน้าเจื่อนไป
   
แต่ก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ทักษะการเข้าสังคมติดลบจนหาเพื่อนแทบไม่ได้
   
คนตัวโตกลับไปยืนเต็มความสูงขมวดคิ้วคล้ายลำบากที่จะพูด แต่พอถูกจ้องรอฟัง สุดท้ายเขาก็ถอนใจ
   
“เอาตรงๆ ป่ะ”
   
“...”
   
“กูชื่อเจดนะ”
   
“...”
   
“ชอบเจว่ะ อยากได้”
   
...ไม่ไหวอ่ะ หัวใจ...




--------------------------------------------------
แอบเอาโมเม้นต์เล็กๆ ของคู่เจดเจมาฝากค่ะ เป็นครั้งแรกที่เจอกัน ป๊ารุกหนักมาก 55555
แต่จากเรื่องหลักก็คงรู้ว่าจีบไปทำอะไร (แป่ว)
คิดว่าจะใส่คู่นี้ลงไปในเล่มด้วย เลยเอามาอัพให้อ่านเป็นตัวอย่างก่อนค่ะ ให้รู้ว่าฟีลมันตัดกับคู่หลักมากๆ จะได้ไม่ตกใจ เพราะความใสมีอยู่จริง 5555

ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดจะได้เจอกันประมาณเดินพฤษภานะคะ เก็บไตไว้รอน้องพิชญ์กับพี่เตด้วยน้า

ฝาก #เกมท้ารัก ด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษ 3 P.11 [28.03.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: チイ ที่ 28-03-2018 03:21:13
ดีใจที่จะได้รวมเล่มพ้องพิชญ์กับพิเตด้วยนะคะ

ดีมากๆแล้วที่ครอบครัวยอมรับและพยายามเข้าใจ

น้องพิชญ์ยังร้ายไม่เปลี่ยนขี้อ้อนเป็นเด็กน้อย

กับพิเตแค่คนเดียวเท่านั้นแล่ะ อิจฉาาา
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษ 3 P.11 [28.03.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 28-03-2018 14:14:13
เจๆ เราชื่อแรคนะ
ชอบเจอ่ะ อยากได้เหมือนกัน  :hao6:
555555
น้องน่าร้ากกกกก อยากจับบี้จังเลยค่าาา
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษ 3 P.11 [28.03.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: TheGraosiao ที่ 29-03-2018 13:50:29
เราชอบเรื่องนี้มาก มีเสน่ห์สุดๆ เราอ่านรวดเดียวจบเลย

ตาแข็ง วางไม่ลง 55

อยากได้รูปเล่มจังเลยค่ะ รอเปย์นะ :mew1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษ 3 P.11 [28.03.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 03-04-2018 20:24:19
เจน่ารักจังเลยยยย มึนๆงงๆกว่าที่คิด  :hao7:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษ 3 P.11 [28.03.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 11-04-2018 22:31:28
น้องพิชญ์คือเผ็ดมาก แซ่บมากก ไม่แปลกใจที่พี่เตจะรักเนอะ
คู่เจไดกับคุณป๊าก็น่าลุ้น ขอบคุณมากเลยค่า  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษ 3 P.11 [28.03.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: KK5993 ที่ 12-04-2018 00:56:25
ฮือออออออ  อ่านยาวตั้งแต่ต้นจนจบภายในวันเดียวเลยค่ะ  ชอบบบบบ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษ 3 P.11 [28.03.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: QueenPlai ที่ 12-04-2018 14:28:22
น้องงงงงง น้องงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง น้องงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษ 3 P.11 [28.03.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: พระสนมฝ่ายซ้าย ที่ 14-04-2018 22:12:49
ตามอ่านมาสองวัน จบแล้วค่าาาาาา
ตอนแรกๆเหมือนคนติดยาเลย พอยิ่งถลำก็เจ็บปวด แต่แฝงความสุขแปลกๆ?
คิดอยุว่าเป็นมาโซมั้ย ชอบโดนพี่เตพูดจาทำร้ายจิตใจ 5555
พอดีกันแล้วอื้อหืมมมมม รถอ้อยคว่ำหรอค้า ชอบมากๆค่ะ ><
ไม่ค่อยเห็นนิยายแนวนี้เลย มันควันๆเทาๆ มีเสน่ห์ดีค่ะ ภาษาสวยดี ชื่นชมค่า
จะตามอ่านเรื่องต่อๆไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษวันสงกรานต์ P.11 [16.04.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 16-04-2018 06:36:52
ตอนพิเศษวันสงกรานต์

ตอนที่ผมบอกว่าไม่เคยเล่นสงกรานต์ทุกคนดูจะตกใจ ก่อนมันจะกลายเป็นเรื่องสนุก ท้าทาย วางเดิมพันว่าจะลากผมออกมาเอ็นจอยกับเทศกาลให้ได้

อันที่จริงทุกคนมีโปรเจ็กต์คั่งค้างแต่เพราะยังเหลือเวลาอีกมากเลยออกมาพักก่อนจะเครียดตาย

พิชญ์ไม่อยากมา น้องงอแงเรื่องอากาศ แดดร้อนๆ ถูกน้ำเย็นๆ เดี๋ยวจะเป็นหวัด กลัวกลับมาทำงานต่อไม่ไหว แต่ดันแพ้พนันเจด สุดท้ายก็ถูกลากมา

ส่วนผม... ต้องตามมาด้วย เพราะเคยได้ยินว่ามันอันตราย เป็นเทศกาลที่ใครต่อใครก็สามารถถึงเนื้อถึงตัวกันได้

และมันก็จริง...

“ไม่น่าใส่สีขาวมา” ทั้งผมทั้งพิชญ์ก็เปียกโชกไปทั้งตัว และผมจะไม่ห่วงเลยถ้าน้องไม่ได้ใส่เสื้อสีขาวที่พอเปียกก็ลู่แนบร่าง เห็นไปถึงไหนต่อไหน ยิ่งห่วงสีเงินตรงหน้าอกซ้าย เด่นชัดขึ้นมาล่อเสือล่อตะเข้ จนใครต่อใครที่เดินผ่านจับจ้องแทบไม่วางตา พานให้รู้สึกขัดใจจนแทบทนไม่ไหวแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ อยากจะลากกลับเสียเดี๋ยวนี้ แต่ทางที่เดินมากับที่ต้องเดินไปข้างหน้าก็ระยะเท่ากัน

ผมได้แต่เดินต่ออย่างพยายามข่มอารมณ์ คิ้วผูกปมจนคนไม่กล้าเข้าใกล้ ยิ่งตัวต้นเหตุอย่างเจด พอเห็นผมหงุดหงิด ก็หัวเราะอารมณ์ดีดูพอใจ ก่อนลากคนอื่นเดินหนีไป

เจดนะ ผมคาดโทษไว้เลย

ตัวผมเปียกจากน้ำที่ถูกสาด แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาขอประแป้ง ต่างจากอีกคนเดินไปทางไหนน้องก็มีแต่คนเข้าหา พอเดินมาได้สักระยะจากคนที่งอแงไม่อยากมาก็เริ่มปรับตัวเข้ากับเทศกาล สนุกกับการโดนสาดน้ำยิ้มร่าจนผมไม่อยากขัดใจ ได้แต่เดินข้างๆ เป็นไม้กันหมาให้ อย่างน้อยก็ไม่มีใครกล้าลวนลาม มีถูกเนื้อต้องตัวบ้าง แต่ดีที่ส่วนใหญ่มีมารยาท ออกปากขอก่อน

ถึงอย่างนั้น... ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องอนุญาตทุกคน

“ชื่ออะไรครับ” พิชญ์เงยหน้าสบตาผม พอเห็นท่าทางงุ่นง่านก็ยิ้มขำ แกล้งยั่วให้หงุดหงิดไปกันใหญ่

“พิชญ์” เอ่ยตอบสั้นๆ ยืนนิ่งให้คนแปลกหน้าปาดดินสอพองลงบนแก้มที่เปรอะเปื้อนด้วยสีขาวเกือบทั่วหน้า

ผมจ้องไม่วางตา จนอีกฝ่ายรู้ตัว จากทำท่าจะเอ่ยอะไรต่อ พอเงยหน้ามาสบตาผมก็หน้าเจื่อนถอยไป พิชญ์คงรู้ว่าสาเหตุคืออะไรถึงได้มองหน้าผม หัวเราะเบาๆ

“หน้าดุเกินไปแล้ว” ยิ่งผมขมวดคิ้ว น้องยิ่งขำอีก ก่อนปาดเอาดินสอพองบนหน้าตัวเองมาแปะแก้มผมบ้าง “ดุขนาดนี้ใครจะกล้าขอประแป้งอ่ะ”

“พอเลย” ผมถอนหายใจ ยกมือเกลี่ยดินสอพองแห้งๆ ออกจากปลายจมูกน้องก่อนเอื้อมมือไปดึงยางรัดผมออกปล่อยให้เส้นผมที่เปียกปรกลำคอขาว แล้วถอดหมวกบนหัวสวมให้ ดึงปีกหมวกปิดลงมาถึงครึ่งหน้า ถึงจะรู้ว่ามันคงช่วยอะไรไม่ได้

หมวกมีใบเดียวและพิชญ์บังคับให้ผมสวมไว้ เพราะไม่อยากให้ใครสนใจ คงไม่รู้ตัว ว่าตัวเองก็เป็นเป้าสายตาน้อยซะที่ไหน... ยิ่งในสภาพนี้ น้องคงไม่รู้ว่าตลอดหลายชั่วโมงที่ปล่อยให้เล่นตามใจ ผมต้องใช้ความอดทนทั้งหมดเพื่อไม่ให้พุ่งเข้าไปเอาเรื่องสายตาน่ารำคาญ

“ไม่ให้เล่นแล้ว หวง” ผมบอก งุ่นง่าน ขัดแย้งอยู่ในใจว่านานๆ น้องจะได้ออกมาเปิดหูเปิดตาบ้าง แต่อีกใจก็หวงจนแทบคลั่ง
พิชญ์มองผมสีหน้าตกใจเพียงแวบหนึ่งก่อนจะหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือมาจับมือผมไว้เบียดตัวเข้าใกล้จากที่ผมเว้นระยะไว้เพื่อให้น้องไม่รู้สึกอึดอัดจนเล่นน้ำไม่สนุกเอา

“รอคำนี้ตั้งนาน” ก่อนรู้ตัวว่าคิดผิดถนัด น้องไม่ได้ต้องการระยะห่าง คงไม่ว่าสักนิดถ้าผมจะแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของตามใจ

ผมหัวเราะ แกล้งบีบจมูกรั้นก่อนยกแขนโอบไหล่ ดึงเด็กเจ้าเล่ห์เข้ามาอยู่ในกำบัง อีกไม่เท่าไหร่ก็คงสุดทาง

และคราวนี้ผมจะไม่ให้แม้แต่แมลงมาแตะต้องคนของผมแม้แต่ตัวเดียว






เล่นน้ำเสร็จเจดกับพวกชวนเราไปต่อที่ร้านเหล้า แหล่งสถานบันเทิงที่ตอนนี้คึกคักผิดหูผิดตา บางร้านถึงขั้นคนล้นออกมากินเนื้อที่ถนน โชคดีที่เป็นร้านคนรู้จักของเจดเราเลยได้โต๊ะนั่ง ไม่ต้องไปยืนเบียดเสียดกับคนอื่นที่ยืนออหน้าร้าน

“ไหวป่ะ” คนข้างกายเอ่ยด้วยน้ำเสียงขบขันเมื่อเห็นผมนิ่ง หลังจากกระดกเข้าไปหลายแก้วจนขี้เกียจนับ

เหล้าเพียวๆ ถูกลำเลียงเข้าร่างกายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำเอาสมองผมมึนไปเหมือนกัน

เพราะดูเหมือนจะเป็นผู้โชคร้ายของเกมในวงเหล้า ถูกคนทั้งวงหมายหัวไว้ ถ้าแกล้งผมให้เสียหน้าไม่ได้ ก็ต้องเอาให้เมาจนคลานกลับไม่ไหว

พิชญ์ดันเห็นดีเห็นงามไปกับเขาด้วย ถึงกับไม่ยอมแตะแอลกอฮอล์เพื่ออาสาขับรถให้ ตัวแสบดูจะชอบใจที่เห็นผมปฏิเสธทุกคำท้า กระดกแอลกอฮอล์ราวน้ำเปล่าเพราะอยากเห็นผมเมาสักครั้ง

แต่ก่อนที่จะต้องลงไปคลานจริงๆ ผมคงต้องขอเอาคืนบ้าง

“หึ” ดึงเจ้าของรอยยิ้มซุกซนเข้ามากดจูบขมับหนักๆ อย่างมันเขี้ยวก่อนจะลุกขึ้นยืน ปฏิเสธแก้วเหล้าที่น้องยื่นให้ เดินโซเซออกจากวงบ่งบอกว่าจะรับคำท้าท่ามกลางสีหน้าตกใจ

“ฉิบหายแล้วไง”

ความคึกคะนองบวกกับย่ามใจที่คิดว่าผมจะปฏิเสธทุกคำท้าคงไม่มีใครเตรียมใจว่าอยู่ๆ ผมจะลุกขึ้นมาทำตาม โดยเฉพาะคำท้าที่ดูออกจะข้ามหน้าข้ามตาเจ้าของที่นั่งอยู่ข้างๆ

จูบใครสักคนบนฟลอร์เต้นรำ

ท่ามกลางสปริงเกอร์ที่พ่นน้ำลงมาสร้างบรรยากาศ เสื้อที่ใกล้หมาดกลับมาเปียกโชกอีกครั้ง ผมยกมือเสยผมที่เปียกลู่เกะกะออกจากใบหน้า พลางคุมสติเดินเข้าไปหาผู้หญิงที่ใกล้ที่สุด เรียกเธอให้หันกลับมาหาอย่างไม่ลังเล

“ขอโทษนะครับ”

“คะ?” ดวงตาคงจะหวานเยิ้มด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ใบหน้างุนงงจึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเขินอาย ผมยิ้มตอบก่อนโน้มตัวลงไปกระซิบฝ่าเสียงดนตรีด้วยน้ำเสียงที่ทำให้อีกฝ่ายชะงักงัน

“ขอเวลาแป๊บนึงได้ไหม” มองจากไกลๆ คงเห็นใบหน้าที่เคลื่อนเข้าใกล้... ซึ่งผมจงใจ

ยืนแช่อยู่อย่างนั้น พร้อมนับถอยหลัง

“พี่เต” ไม่ต้องรอให้หันกลับไป เจ้าของเสียงเป็นฝ่ายดึงแขนผมให้เผชิญหน้า ดวงตาสีอ่อนเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองจับจ้องมาก่อนกระชากคอเสื้อผม ดึงให้โน้มหน้าลงไปประทับริมฝีปาก บดเบียดรุนแรงขณะที่ผมพร้อมจะตอบรับด้วยรสจูบที่ร้อนแรงยิ่งกว่า

ความเกรี้ยวกราดในทีแรกเจือจางด้วยรสจูบลึกล้ำกลับกลายเป็นหลอมระทวย ร่างสูงบางอ่อนปวกเปียกจนผมต้องโอบแขนประคองร่าง

หลุดหัวเราะในลำคอพอใจเมื่อได้ลงโทษคนที่พยายามมอมเหล้าผมด้วยเรียวลิ้นที่รุกเร้าไม่เปิดโอกาสให้ทักท้วงเนิ่นนาน
ความหึงหวงหลอกล่อให้ผีเสื้อน้อยสยายปีกสู่เปลวไฟ ถูกลามเลียโดยไม่ทันระวังว่ามันคือหลุมพราง

คำท้าคือจูบใครก็ได้บนฟลอร์นี้ แน่นอนว่าผมไม่ได้ทำผิดกติกา

...คราวนี้ผมชนะ






“พี่เมาเหรอ” ผมไม่ตอบ คิ้วเรียวจึงขมวดแน่นจ้องหน้าผมอย่างไม่แน่ใจ

อาจจะเมาจริงๆ ก็ได้ ตอนนี้ถึงได้มองท่าทางปั้นปึ่งว่าน่ารักจนแทบจะทนไม่ไหว

ตอนที่หัดกินเหล้าใหม่ๆ ภพบอกว่าผมเมาแล้วอันตราย... เหมือนจะลากผู้หญิงทั้งโลกขึ้นเตียงได้เพียงการสบตาครั้งเดียว

เคยคิดว่าพี่ชายพูดเกินไป กระทั่งครั้งนี้... ที่ผมนึกอยากจะย่ำยีคนตรงหน้าให้แหลกคาเตียงจริงๆ

เผลอยกยิ้มเมื่อเห็นพิชญ์ลอบกลืนน้ำลาย เบือนหน้าหนีคล้ายกลัวถูกจับได้ถึงไฟปรารถนาที่คุกรุ่น ซุกซ่อนไว้ภายใต้แววตาข้องใจ พยายามห้ามตัวเองไว้แม้คำเอ่ยคาดโทษจะตะกุกตะกัก

“พี่จะจูบเขาจริงๆ เหรอ”

ผมหัวเราะเบาๆ ส่ายหน้าปฏิเสธตามตรง “เปล่า”

แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปยังไม่มากพอที่จะให้ผมขาดสติจนไม่รู้ตัวว่าทำอะไร ผู้หญิงคนนั้นสวยมาก แต่ไม่อาจทำให้ผมขาดความยับยั้งชั่งใจ

หรือต่อให้ขาดสติแค่ไหน ผมก็ไม่อาจปล่อยให้ตัวเองถลำลึกไปกับใครได้

“คุณพิชญ์ มานี่หน่อย” ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เจ้าของดวงตาสีอ่อนก็ถอนหายใจ เดินเข้ามาหาผม ยอมให้ดึงลงมานั่งบนตัก ซุกหน้ากับซอกคอขาวสูดซบกลิ่นกายที่กักขังผมไว้

สารเสพติดที่ทำให้ไม่อาจหนีไปไหน ไม่คิดจะหนีไปหาใคร

“เตวิชญ์” เสียงปรามกลับสั่นเมื่อผมระดมจูบทั่วลำคอ มือข้างหนึ่งซุกในเสื้อที่ยังหมาด ลูบไล้ทั่วแผ่นหลังเนียนราวไร้การควบคุม
ผมอาจจะเมาจริงๆ ก็ได้ ในหัวถึงวนเวียนด้วยความคิดที่จะกลืนกินคนในอ้อมกอดลงไป กลิ่นที่หลงใหลคล้ายกระชากสติให้ยิ่งเลือนรางกลบทับด้วยความปรารถนาที่ปะทุ ทบทวีจนแทบคลั่ง

“พิชญ์ครับ...” เอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงออดอ้อน เงยหน้าสบดวงตารั้นที่สั่นไหวถูกตีรวนด้วยความปรารถนาไม่ต่างกัน “ยังโกรธอยู่เหรอ”

“...”

ไม่บ่อยครั้งนักที่จะง้องอน ออดอ้อนให้หายจากอาการปั้นปึ่งที่ผมมองว่าน่ารัก ยิ่งยั่วให้อยากแกล้งแสดงอาการหึงหวงใส่ แต่หลังจากนี้คงต้องเปลี่ยนวิธีการ เพราะอาการประหลาดใจระคนเขินอายแบบนี้น่ารักกว่าหลายเท่า

“พี่ขอโทษได้ไหม” ดวงตาสีอ่อนเบิกกว้าง ใบหน้าค่อยๆ ขึ้นสีจนแดงจัด ชะงักนิ่งสักพักก่อนแววตาจะเปลี่ยนเป็นโอนอ่อน ยอมให้ผมโน้มใบหน้าเข้าหาจนหน้าผากแตะกัน หลุดยิ้มกว้างกว่าเดิม ยังคงออดอ้อนคลอเคลียสูดกลิ่นแก้มใสที่เริ่มร้อนจัดด้วยความเขินอาย ก่อนประทับริมฝีปาก ดูดดึงเบาๆ อย่างหยอกเย้าเอาใจ

“หยุดอ้อนเลยเตวิชญ์” คนในอ้อมกอดส่งเสียงปรามอีกครั้ง ดุนดันหน้าผากกับหน้าผากผมคล้ายไม่รู้จะทำยังไง ดวงตาสีอ่อนฉายความงุ่นง่านระคนเหนื่อยใจ

“แค่นี้ผมก็หลงพี่จนจะคลั่ง”

ผมหัวเราะเบาๆ นึกแย้งในใจว่าผมต่างหากที่หลงน้องจนแทบคลั่ง

เมื่อความเคลือบแคลงในแววตาคลี่คลาย ผมสบตาน้องอยู่อย่างนั้น เนิ่นนานเราวเกมพนัน เดิมพันด้วยความรู้สึกภายในที่ปะทุรุนแรงในทุกวินาที

และเป็นอีกครั้งที่ได้ดั่งใจ ความออดอ้อนส่งผ่านแววตาสั่นไหวกำแพงของคนตรงหน้าจนพังทลาย

เสียงทุ้มหวานสบถพึมพำ งุ่นง่านที่ไม่อาจทนต่อไหว ก่อนเป็นฝ่ายประทับริมฝีปากลงมา ปลดปล่อยความปรารถนาที่พยายามอดกลั้น และยิ่งทวีลึกล้ำเมื่อผมตอบรับ รสจูบค่อยๆ เร่องเร้ากลายเป็นร้อนแรงแผดเผา ทวีด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ไหลเวียนอยู่ในร่าง

อาจเผยแพร่ผ่านลมหายใจ หรือรสจูบที่คล้ายจะทำให้อีกคนมัวเมาไปพร้อมกัน

หลุดหัวเราะเมื่อสองมือถอดเสื้อของผมออกอย่างเร่งรีบ ในขณะที่ผมเลือกปลดเปลื้องเพียงเกงกางของอีกฝ่าย ปล่อยให้เสื้อขาวบางที่ยังเปียกแนบร่างอยู่อย่างนั้น ภาพที่เห็นเมื่อตอนกลางวัน กลับดูยั่วเย้ายิ่งกว่าเมื่อถูกนั่งคร่อมอยู่เหนือร่าง

ผมซุกมือเข้าไปลูบไล้แผ่นหลังเนียนอีกครั้ง ลากลามถึงสะโพก บีบเค้นเนื้อนุ่มซ้ำๆ อย่างมันเขี้ยว

รสจูบทวีความรุนแรง เร่งเร้าเท่าความต้องการ ปราการสุดท้ายถูกปลดพร้อมกับเสียงร้องครางเพื่อผมเลิกชายเสื้อน้องขึ้นเหนือแผ่นอก ครอบครองจุดอ่อนไหวด้วยริมฝีปากพลางใช้นิ้วบดขยี้อีกข้าง โอบรัดแผ่นหลังจนหน้าท้องแนบชิดกัน บดเบียดจนไฟปรารถนาลามเลีย... ปลุกตัวตนจนขยายด้วยราคะ เสียดสีซึ่งกันและกัน

“ฮื่อ...” เสียงหวานครวญครางเมื่อผมเลื่อนมือลงมากอบกำของน้องไว้ ไล้ปลายนิ้วกับส่วนปลาย หยอกล้อจนร้องท้วงด้วยความหวามไหวไม่อาจต้าน

“พี่เต...” ออดอ้อนเมื่อผมเริ่มขยับ รูดรั้งเร่งเร้า นิ้วเรียวจิกหลังคอผมระบายความกระสัน

ผมเงยหน้าขึ้นจูบ ดูดดึงริมฝีปากรั้นหนักๆ ก่อนลากลามสู่ลำคอขาวอีกครั้ง เร่งจังหวะฝ่ามือกระทั่งคนในอ้อมกอดบิดเร่า เปล่งเสียงหวามไหวทรมาน ก่อนปลดปล่อยหยาดน้ำกระเซ็นซ่านเปรอะทั้งมือทั้งหน้าท้องเราทั้งคู่อย่างไม่อาจทนไหว

เสียงหอบกระชั้นดังข้างหูเมื่อน้องซุกซบลงมากับไหล่ผมอย่างหมดเรี่ยวแรง แต่ยังไม่วายแกล้งขบกัดใบหูปลุกอารมณ์ผมที่ยังคงคั่งค้างทรมาน เมื่อจังหวะหายใจสงบจึงเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมอีกครั้ง คลอเคลียลมหายใจกับปลายจมูก หยอกเย้าริมฝีปากกับริมฝีปาก กดทาบแล้วผละจาก หลอกล่ออยู่อย่างนั้นกระทั่งไม่อาจทานทน ผมรั้งท้ายทอยน้องลงมาหา กดจูบกลืนกินริมฝีปากที่คลี่ยิ้มรั้นร้ายอย่างเอาแต่ใจ

กระทั่งมือบางผลักไหล่ผมนอนราบกับโซฟา ผละริมฝีปากเพื่อสบตา เสื้อขาวบางตัวสุดท้ายถูกถอดทิ้งจนร่างเปลือยเปล่า
ใบหน้าคุคั่งด้วยความต้องการ ผมคลี่ยิ้มพลางเกลี่ยนิ้วเบาๆ กับผิวแก้มที่เปลี่ยนเป็นสีแดงซ่านด้วยแรงอารมณ์ มองร่างบอบบางที่ขยับกดสะโพกทาบทับกลางร่าง ขยับให้ความคับขยายเสียดสีช่องทาง

พิชญ์ชอบท่านี้... ชอบที่ได้เอาแต่ใจ กดผมไว้ใต้ร่าง

ผมก็ชอบเช่นกัน ชอบที่ได้มองน้องขยับอยู่บนร่าง แต่ครั้งนี้เลือกที่จะอดกลั้น

“อ๊ะ!” เสียงหวานหลุดผวาเมื่อผมยกร่างน้องขึ้นจากโซฟา เรียวขายาวเกาะเอวผมไว้ด้วยกลัวหล่น แขนที่โอบรอบคอเกร็งแน่น ผมกลบทับความสงสัยในแววตาด้วยรสจูบที่เต็มไปด้วยความปรารถนา

น้องโอนอ่อนตาม ตอบรับเคลิบเคลิ้มกระทั่งผมอุ้มเข้ามาในห้องนอน สีหน้ากลับมางุนงงอีกครั้งเมื่อผมวางร่างตัวเองลงหน้ากระจก จับหมุนเข้าหาให้เห็นภาพสะท้อนร่างกายเปลือยเปล่าของตัวเอง

ร่างกายที่ผมได้เห็น... สัมผัส... โอบกอดไว้ในทุกค่ำคืน

อยากให้น้องรับรู้ว่าถึงความงดงาม... ความงดงามที่ผมมีสิทธิ์ได้ครอบครองแต่เพียงผู้เดียว

“สวยมาก”

พิชญ์หัวเราะเบาๆ กับคำชมนั้น ใบหน้าขึ้นสีด้วยความเขินอายขณะเอี้ยวหน้ากลับมาจูบแก้มผม คลอเคลียปลายจมูกอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ลมหายใจรินรดกันและกันเนิ่นนาน

ผมสบตาน้องผ่านกระจก ดวงตาสีอ่อนสะท้อนความรู้สึกหลากหลาย ขณะดึงมือของผมขึ้นไปจูบย้ำๆ ขณะที่ผมซุกจมูกลงกับไหล่น้องสูดกลิ่นกายหอมก่อนค่อยๆ ไล่ริมฝีปากจูบตามแนวกระดูกสันหลัง ฝากรอยรักทั่วผิวขาวตรีตราเป็นเจ้าของซ้ำๆ

“พะ... พี่เต” กระทั่งลามเลียถึงสะโพกเปลือยเปล่า น้องผวาทำท่าจะขยับหนี ปล่อยมือที่จับไว้เปิดโอกาสให้ผมลูบไล้ฝ่ามือทั่วเรือนกาย บีบขย้ำเบี่ยงเบนความสนใจจากริมฝีปากที่รุกล้ำ จาบจ้วงช่องทางสีหวานอย่างที่ไม่เคยทำ

โทษฤทธิ์แอลกอฮอล์แล้วกันที่ขุดขับความปรารถนาให้ทบทวีเป็นหลายเท่า ความมัวเมาฉุดกระชากให้ถลำลึกเกินห้าม

“อื้อ...! อย่า...” ต่อให้น้องอ้อนวอนก็ไม่คิดถอยกลับ ไล้เลียส่วนเร้นลับจนได้ยินเสียงครางหวาน เรียวขาปวกเปียกจนไม่อาจขยับหนี ทำได้เพียงเท้าแขนพิงกระจกพยุงร่าง ช่องทางสั่นระริกสวนทางกับเสียงปรามยิ่งเร้าให้อยากโลมเลีย

“พี่เต...” ยิ่งยากจะห้ามเมื่อได้เสียงเรียกที่ต่างจากทุกครั้ง หวานล้ำ ออดอ้อน ทบทวีด้วยความร้อนเร่า

ร่างบางบิดเกร็งราวถูกไฟเผา เสียงครางกระเส่าดังลั่นไม่แพ้เสียงชื้นแฉะหยาบโลนจากเบื้องล่าง เมื่อช่องทางถูกชโลมชุ่มผมลุกขึ้นซ้อนหลังน้องอีกครั้ง โอบรัดร่างกายที่คุด้วยไฟปรารถนาจนแดงซ่านอย่างน่ารัก กดจูบทั่วผิวขาวซ้ำๆ ขณะค่อยๆ สอดนิ้วเข้าไปในความชื้นฉ่ำจากน้ำลาย เชื่องช้าทั้งที่อยากฉีกกระชาก กระแทกกระทั้นด้วยความปรารถนาที่โหมคลั่งอยู่ในกาย เพียงใช้ริมฝีปากดูดดุน ขบกัดทั่วแผ่นหลัง ฝากรอยรักช่วยระบาย

เพราะไม่อยากให้น้องเจ็บ ต่อให้กระหายจะกลืนกินตะกละตะกลาม ผมเลือกจะค่อยเป็นค่อยไป โอนอ่อนด้วยรู้ว่าความอ่อนโยนลึกล้ำจะทำให้อีกคนทรมานไม่แพ้กัน

“พี่เต...พี่เต...” เสียงกระเส่ากระซิบเรียกชื่อผมซ้ำๆ ใบหน้าที่อาบด้วยหยาดน้ำจากความหวามไหวที่สะท้อนในกระจกดูออดอ้อนจนไม่อาจทานทนอีกต่อไป

“เข้ามา... เข้ามานะครับ” อ้อนวอนปลดปล่อยทุกความอดกลั้น จับตัวตนที่เปล่งคั่งสอดใส่ในช่องทาง

กดกระแทกเข้าไปอย่างไม่อาจยับยั้งจนเสียงครางหวานดังลั่นอีกครั้ง ความคับแน่นบีบรัดยิ่งเร้าให้กระแทกกระทั้น รัวเร็วด้วยจังหวะรุนแรงกว่าทุกครั้ง มือข้างหนึ่งยกขึ้นจับปลายคาง บังคับให้มองตรงเข้าไปในกระจก จับจ้องใบหน้าที่ยิ่งงดงามด้วยแรงอารมณ์ สอดนิ้วเข้าไปในริมฝีปากที่เผยอร้องครางเล่นล้อกับปลายลิ้นที่ขยับไล้เลีย หยอกเย้าหมุดเงินกับนิ้วของผมอย่างรู้งาน

ผมคลี่ยิ้มพอใจ ขยับสะโพกในความร้อนจัดที่บีบรัดถี่รัวขึ้นในทุกๆ ครั้ง กระทั่งสุดปลายทางความปรารถนา เสียงหวานครางลั่นอีกครั้ง ใบหน้ายามเสร็จสมที่สะท้อนในกระจกยิ่งดูงดงาม ปลุกความคิดให้ยิ่งอยากบดขยี้ซ้ำๆ กลืนกินทั้งร่าง ต่อให้อิ่มจนสำลัก ก็ไม่อาจห้ามความละโมบ อยากจะโลมเลียอยู่อย่างนั้น ราวสารเสพติดที่ไม่อาจควบคุมความต้องการ

ยอมต่อให้ไฟราคะแผดเผาจนมอดไหม้ แหลกสลายไปพร้อมกัน






“ขี้โกงอ่ะ ไหนบอกว่าเมา” เสียงกระเง้ากระงอดเอ่ยถามหลังจากยอมรับยาจากผมไป กินไว้กันไข้เพราะเล่นน้ำมาทั้งวัน... แถมยังต้องรับศึกหนักจนเกือบเช้า

“ใครบอก” ผมแกล้งเลิกคิ้ว ยกมือเกลี่ยผมชื้นเพราะเพิ่งถูกผมจับอาบน้ำสระผมให้ กดจูบหน้าผากที่ยับจากคิ้วที่ย่นเข้าหากัน

“พี่เจด” ก้มลงซุกหน้ากับลำคอที่มีแต่รอยช้ำ หลุดหัวเราะกับคำตอบเจือน้ำเสียงรั้น “ป๊าบอกว่าเพราะพี่เมาก็เลยทำแบบนั้น”

ยังคงขุ่นเคืองกับการกระทำเมื่อหัวค่ำ ผมเงยหน้าขึ้นสบตาน้อง ยกยิ้มให้กับความปั้นปึ่งที่กลับมาอีกครั้ง ไม่ปฏิเสธว่าผมอาจเมา

แต่อีกเหตุผลที่กระตุ้นให้ทำ คงไม่พ้นอยากแกล้ง...

“ใครใช้ให้เข้าข้างพวกนั้น” ผมต่างหากที่ต้องงอน ที่น้องรวมหัวกับพวกเจดพยายามมอมเหล้าผม ซ้ำยังหาเรื่องมาทดสอบความอดทนต่างๆ นานา

ผมก็แค่เพิ่มความสนุกให้เกมก็เท่านั้น ถ้าไม่ผลัดกันชนะบ้าง คืนนี้ก็คงขาดสีสัน

“โห่ ร้ายว่ะ” ผมหัวเราะให้น้ำเสียงกระเง้ากระงอดอีกครั้ง เอื้อมแขนรวบเอวบางมานั่งตัก น้องยกแขนโอบรอบคอผมตอบ เบ้ปากงอนพลางคลอเคลียออดอ้อนไปพร้อมกัน

“ไม่ให้เล่นแล้ว หวง” คำพูดตอนกลางวันย้อนกลับเข้าตัว ผมหัวเราะเบาๆ แกล้งงับจมูกรั้น ก่อนลากริมฝีปากกดจูบย้ำๆ

พิชญ์ตอบรับด้วยสัมผัสหวาน ก่อนผละออกเพื่อสบตา

“พรุ่งนี้พ่อพี่ว่างไหม” ผมเลิกคิ้ว เพราะไม่เข้าใจคำถาม น้องยิ้มพลางยกนิ้วเกลี่ยแก้มผมเบาๆ เอ่ยคำตอบที่ผมยิ่งไม่เข้าใจ

“จะพาไปเล่นสงกรานต์”






พิชญ์บอกว่ามันคือพิธีรดน้ำดำหัว

ที่บ้านน้องทำแบบนี้ทุกปี เก้าอี้ในสวนถูกจัดเรียงเป็นแถวให้พวกผู้ใหญ่นั่ง มีถังน้ำหอมๆ วางอยู่ด้านหน้า ผมกับพิชญ์ที่เป็นลูกหลาน ตักน้ำใส่ขันเล็กๆ รดบนฝ่ามือพวกท่าน ยกมือไหว้รับคำอวยพรจากความรักและความหวังดี กระทั่งถึงผู้อาวุโสคนสุดท้ายที่ดูจะเก้ๆ กังๆ กับพิธีการที่ไม่คุ้นเคย

วันนี้พ่อไม่ต้องทำงาน แถมยังแพ้ลูกอ้อนของพิชญ์จนต้องมานั่งงุนงงถูกดำหัวไปกับเขาด้วย

“ขอให้พ่ออยู่กับพี่เตกับพิชญ์ไปนานๆ นะครับ” มัวแต่นั่งอ้ำอึ้งจนน้องขอเป็นฝ่ายเอ่ยแทน พ่อยิ้มขำก่อนจะโน้มตัวลงมาลูบหัวน้องเบาๆ พลางเอ่ยคำที่ดูจะเอาแต่ใจมากกว่าอวยพรอย่างคนอื่นๆ เขา

“วันหลังไปค้างบ้านพ่อบ้าง” น้องหัวเราะ รับคำ เข้าไปกอดพ่อผมเหมือนที่ทำกับพ่อแม่ตัวเอง

พอกอดตอบลูบหัวลูบหลังน้องอย่างเอ็นดู ก่อนมองหน้าผม แล้วเราก็หลุดยิ้มออกมาพร้อมกัน






พอหมดพิธีการก็เป็นเวลาของกิจกรรมครอบครัว ไม่รู้เหมือนกันว่าบ้านอื่นเขาทำอะไร แต่บ้านนี้กิจกรรมที่พอจะเข้ากันได้ก็มีแค่เรื่องต้นไม้

แต่ก็ไม่ใช่กับทุกคน
 
“ร้อนอ่ะ พิชญ์ขอไปอยู่ในครัวกับคุณแม่แทนได้ไหม” พิชญ์เริ่มงอแงหลังจากกลบดินใส่ต้นอ่อนไม้พันธุ์หายากที่พ่อผมหอบมาฝากเพราะพ่อพิชญ์เคยขอไว้

ผมหัวเราะยีผมน้องอย่างหมั่นไส้ก่อนดึงเอาพลั่วในมือน้องมาถือไว้ ปล่อยคนเอาแต่ใจวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน เพราะรู้ว่าไม่ใช่งานที่น้องถนัดทำมาถึงขั้นนี้ก็ถือว่าเก่งมาก พ่อของพิชญ์บ่นให้ฟังบ่อยๆ ว่าพิชญ์ไม่เคยสนใจงานในสวน ทุกครั้งที่กลับบ้านก็จะนั่งเล่นอยู่ในห้องอ่านหนังสือหรือไม่ก็วอแวอยู่กับคุณแม่อ้อนให้ทำนู่นนี่ให้กินตามประสา

ไม่แปลกใจเลยที่พ่อจะใจอ่อนเมื่อได้ผมเป็นลูกมือทำสวนซ้ำยังได้เพื่อนคุยในเรื่องที่คนอื่นในบ้านไม่ค่อยสนใจ

“ผมบอกลูกคุณหลายครั้งว่าอย่าตามใจเจ้าพิชญ์นัก” น้ำเสียงอ่อนใจถูกเอ่ยขึ้นมาทันทีที่เห็นเหตุการณ์ คงเพราะย้ำเรื่องนี้มาหลายหน แต่ก็ยังไม่เห็นผมทำตามได้สักครั้ง

“ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร” แต่พ่อผมกับคิดเหมือนกัน อันที่จริง รายนั้นสปอยล์น้องกว่าผมหลายเท่า

“เดี๋ยวเอาแต่ใจจนรับมือไม่ไหวก็อย่าหาว่าผมไม่เตือนก็แล้วกัน” น้ำเสียงนั้นคล้ายหมั่นไส้ระคนอ่อนใจ ผมมองหน้าพ่อ เห็นท่านยักไหล่กลบดินฝังต้นอ่อนในหลุมของตัวเองอย่างไม่ใส่ใจ

“งั้นก็บอกให้ลูกคุณช่วยน่ารักน้อยลงหน่อย เผื่อเจ้าเตจะตามใจน้อยลงบ้าง”

ผมเผลอยิ้มกว้าง เห็นด้วยกับพ่อทุกประการ





------------------------------
สวัสดีปีใหม่ไทยย้อนหลังค่ะ มาช้าดีกว่าไม่มาเนอะ  :hao5:
ไปเล่นน้ำที่ไหนกันมาบ้างคะ
ส่วนเรานั่งหน้าคอมจมธีสิสทั้งสามวันเลยค่ะและยังคงต้องจมอยู่อย่างนี้ไปอีกเกือบสองอาทิตย์ (ร้องไห้แล้ว)
ทรมานไม่ไหว เลยแอบมาเติมกำลังใจกับความหวานของพี่เตน้องพิชญ์สักหน่อย
หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ เราแอบเขียนตอนเบลอๆ ถ้าอ่านไม่รู้เรื่องก็ขอโทษด้วยนะคะ ฮืออ

ฝาก #เกมท้ารัก เหมือนเดิมน้า

ขอบคุณมากๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษวันสงกรานต์ P.11 [16.04.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 16-04-2018 07:29:21
ขอบคุณที่ส่งตอนนี้มานะคะรู้สึกชุ่มชื่นใจเหมือนโดนสาดน้ำเลยค่ะหวานนนนนมากอยากจะอิจฉาน้องพิชญ์แล้ว
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษวันสงกรานต์ P.11 [16.04.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 16-04-2018 07:46:55
 :a5:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษวันสงกรานต์ P.11 [16.04.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Bejae ที่ 16-04-2018 09:50:59
จะมีตอนพิเศษเจดกับเจไดอีกมั้ย ชอบบบบ
ดูน่ารักแบบอึนๆมึนๆดี :hao6:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษวันสงกรานต์ P.11 [16.04.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: TheGraosiao ที่ 16-04-2018 14:36:44
งื้อ

สองหนุ่มให้อารมณ์เซ็กซี่ ตลอดเลยยยย

 :mew1:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษวันสงกรานต์ P.11 [16.04.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: mybear_sr ที่ 16-04-2018 15:22:23
งื้ออออ สงกรานต์หวานนน
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษวันสงกรานต์ P.11 [16.04.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: mayyiyi ที่ 16-04-2018 19:37:28
ง่อลลลลล พี่มันร้ายยย
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษวันสงกรานต์ P.11 [16.04.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 17-04-2018 09:19:33
หวานกันไม่เกรงใจเลยนะคะ รับsinรับpornกันไปเต็มๆกับสงกรานต์นี้ ชอบความอบอุ่นในครอบครัวตอนท้ายมากเลย หลงน้องพิชญ์ทั้งพ่อทั้งลูก55555
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษวันสงกรานต์ P.11 [16.04.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: พระสนมฝ่ายซ้าย ที่ 17-04-2018 14:50:50
งุ้ยยยยยยยย คิดจะมอมพี่เตหรอค้า ><
กรี๊ดพี่เตหนักเข้าไปอีกค่ะ
สงกรานต์บ้านนี้เค้าใช้น้ำเชื่อมกันหรอ โอยยยย ถูกใจมากค่า
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษวันสงกรานต์ P.11 [16.04.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 17-04-2018 16:51:44
น้องพิชญ์แซ่บมากกกกกกก
พี่เตแซ่บกว่าาาาาา  :hao7:

ปล.ทำงานด้วยนะคะ  :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษวันสงกรานต์ P.11 [16.04.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 18-04-2018 13:59:19
ลุ้นไปกับพิชญ์ตลอดเลย

ขอบคุณคนเขียน
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษวันสงกรานต์ P.11 [16.04.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 22-04-2018 12:21:44
เป็นโทนหม่นอมชมพู...ร้องไห้หลายยกกว่าจะได้อมยิ้ม
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ ชอบ-มาก-อ่ะ   o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษวันสงกรานต์ P.11 [16.04.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: pp_psj ที่ 29-04-2018 09:31:09
โอ๊ยยย อ่านรวดเดียวจบ แทบไม่ได้หลับได้นอนกันเลยทีเดียวค่ะ
ขอบคุรสำหรับนิยายดีๆนะคะ รักคนเขียน กอดๆให้กำลังใจค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: [EverY] Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษวันสงกรานต์ P.11 [16.04.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 23-05-2018 02:44:05
คือดีงาม เรื่องนี้มีเสน่ห์มากเลย อ่านแล้วติด
หัวข้อ: Re: [EverY] Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษวันสงกรานต์ P.11 [16.04.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: ชินจังไม่กินหัวหอม ที่ 28-05-2018 23:26:51
น้องจะน่ารักเกินไปแล้วนะ
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆ ครับ
หัวข้อ: Re: [EverY] Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตอนพิเศษวันสงกรานต์ P.11 [16.04.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: chanakan2535 ที่ 29-05-2018 00:28:19
น้องหมีข้างบนแนะนำเรามาค่ะ 555555555555555555
ชอบอะะะ กรี๊ดดดดดดดดดดดดด ร่างกายต้องการความเร่าร้อนฮ็อตปรอทแตกแบบนี้
พี่เตๆๆๆๆ >________<

ดูเป็นผู้ชายที่น่าค้นหามากเลย ฮือออ เลาชอบบบบ
อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว
อยากเล่นเกมกับพี่เต
อยากยอมสยบแทบเท้า
เข้าใจความรู้สึกของพิชญ์มากอะ ฮอลลลลล

แต่นายเอก(?)เรื่องนี้แซบนะคะ
อยากงับจิลนางละเกิน!!

 ดูบอลสด ดูบอลออนไลน์ (https://www.88live.tv)
หัวข้อ: Re: [EverY] Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตัวอย่างปก P.12 [07.06.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 07-06-2018 19:10:28
(https://uppic.cc/d/Zfg)


ตัวอย่างปก #เกมท้ารัก ค่ะ เกียมไตกันพร้อมหรือยังงงง ><
พี่เตกับน้องพิชญ์เซ็กซี่มว้ากกก กำเดาจะไหลล  :hao5:

กำหนดลงเว็บ 19 มิ.ย นี้นะคะ ฝากรับน้องไปดูแลด้วยน้า

ติดตามรายละเอียดได้ทางเพจ EverY (https://www.facebook.com/everyyyyy/)
หรือทางเว็บไซต์ http://www.jamsai.com/
หัวข้อ: Re: [EverY] Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตัวอย่างปก P.12 [07.06.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: chisarachi ที่ 10-06-2018 01:39:45
ชอบ moOd and tone ของเรื่อง
ความลึกลับ ความท้าทาย
และ...เกม

พี่เตเป็นผู้ชายน่ารัก นี่ว่าเราชอบพระเอกของคุณทุกเรื่อง
น่ารัก และรักจริง. ส่วนนายเอกก็เอ็นดู

แต่ก็เอาตามตรงอ่านไปแบบงงๆ555555 นักเขียนไม่ผิดหรอก แต่เราอ่านแบบไม่มีสมาธิ
ไม่ได้โฟกัส เลยงงมากกว่า และที่พระเอกฆ่าตัวตายเลยงงว่าทำทำไม
หัวข้อ: Re: [EverY] Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตัวอย่างปก P.12 [07.06.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: BeauBeeiiz ที่ 12-06-2018 22:33:54
สนุกมากกก ชอบอารมณ์แบบรักกันมากๆอ่ะ สื่ออกมาให้เห็นชัดสุดๆเลย

ขอบสุด รอซื้อเลยค่าาาาา
หัวข้อ: Re: [EverY] Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตัวอย่างปก P.12 [07.06.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: JanJanIsHappy ที่ 17-06-2018 15:39:53
ในที่สุดก็อ่านจบ สารภาพเลยค่ะว่าตอนแรกไม่กล้าอ่านเพราะดูดราม่ามาก แต่พอมาอ่านก็รู้เลยว่า เออ ดราม่าจริงๆ555555 มันเป็นความรู้สึกของคนจมน้ำ อึดอัด หายใจไม่ออก หม่นๆในใจไปหมด จนตอนท้ายที่เขาเข้าใจกันแล้ว ก็ยังเป็นความเข้าใจที่แฝงความระแวงอยู่ กลัวพี่เตจะจากไปอยู่ตลอดเวลา แต่พอมาอ่านตอนพิเศษแล้วคือหวีดแรงมากกกกกกกกกกก พี่เตโซแดมฮอตมากๆ อยากเปงเมียเรยค่ะ

ภาษาในเรื่องดีมากๆ สำหรับโทนเรื่องนี้ การใช้คำอาจดูติดขัดบ้าง แต่พอเป็นโทนเรื่องที่อึดอัดและหม่นขนาดนี้เลยรู้สึกว่า เออ ก็เหมาะกันดี ดูส่งกันดี ไม่ขัดกันเลยค่ะ คำผิดมีบ้างประปราย แต่ถือว่าน้อยมากนะคะ สุดท้ายคือชอบพล็อตมากๆค่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: [EverY] Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตัวอย่างปก P.12 [07.06.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: minyjae ที่ 17-06-2018 18:53:30
เรื่องนี้ภาษาสวยมากนะ แต่งได้ดีเลย สนุกแบบอ่านแล้ววางไม่ได้ อิจฉาพิชญ์ ที่ได้เต หมั่นไส้ 555
หัวข้อ: Re: [EverY] Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตัวอย่างปก P.12 [07.06.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: kiszy ที่ 24-06-2018 09:14:07
แนวเรื่องแปลกใหม่ดีค่ะ อ่านตอนแรกอึดอัดสุดๆ เกือบถอดใจหลายรอบล่ะ

แต่ดีที่อ่านมาได้จบจน เลยได้เห็นความละมุนของพี่เต กับความน่ารักของน้องพิชญ์
หัวข้อ: Re: [EverY] Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตัวอย่างปก P.12 [07.06.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: sweetie ที่ 25-06-2018 19:56:42
ชอบค่ะเรื่องนี้ เดินเรื่องแบบหม่นๆ แต่ก็มีตอนละมุนมาตลอด
ดีสุดคือไม่จบแบบเศร้าๆ ขอบคุณผู้แต่งนะคะ  :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: [EverY] Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตัวอย่างปก P.12 [07.06.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: ชอบอ่าน ที่ 28-06-2018 16:47:05
เริ่มแรกหมุ่นๆ ตอนหลังเผ็ชมากกกกก ก.ไก่ล้านตัว
ภาษาสวย
เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: [EverY] Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตัวอย่างปก P.12 [07.06.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 28-06-2018 21:30:46
ซุ่มอ่านมานาน มาถึงตอนพิเศษแล้ว อดที่เข้ามาทิ้งคอมเม้นท์ไม่ได้
ชอบนิยายที่มีเคะราชินี ถึงแม้ว่าราชินีจะไม่ค่อยกล้าเท่าไหร่ในชีวิตประจำวัน
แต่ราชินีชนะเลิศมากเมื่ออยู่บนเตียง หื่นนนนนน
หัวข้อ: Re: [EverY] Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตัวอย่างปก P.12 [07.06.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: van16 ที่ 08-07-2018 21:07:53
สนุกมากค่ะ เป็นนิยายเรื่องแรกที่อ่านจากตอนจบย้อนลงไป
เขากลัวมาม่า  :sad4:  อ่านแล้วสนุกมากๆ น่าติดตาม
เดี๋ยวจะไปอ่านใหม่อีกรอบ รอบนี้จะอ่านปกติ 555
 :pig4:   :pig4:   :pig4:
หัวข้อ: Re: [EverY] Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตัวอย่างปก P.12 [07.06.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 10-07-2018 11:04:03
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [EverY] Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตัวอย่างปก P.12 [07.06.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: zzcors ที่ 12-07-2018 03:44:00
นุ้งพิชน่ารักน้อยลงหน่อยนะค่ะ คุณพ่อดุแล้ว พี่เตตามใจกันทั้งบ้านแล้ว
หัวข้อ: Re: [EverY] Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตัวอย่างปก P.12 [07.06.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: liarguy ที่ 12-07-2018 22:51:18
อ่านรวดเดียวจนจบ ชอบสำนวนที่ไรท์เอามาเขียนบรรยายในทุกบรรทัด ช่วงที่รู้สึกหน่วงๆ ก็หน่วงแบบจริงๆอ่านแล้วอึดอัด เศร้า เสียใจ ไปกับตัวละคร ช่วงที่มีความสุขก็อ่านไปแล้วก็ต้องยิ้มตาม
ยอมรับว่ามีช่วงกลางๆเรื่องที่จะถอดใจไม่อ่านต่อ เพราะมันหน่วงเกินไป คิดว่าตอนจบจะผิดหวัง แต่ด้วยสำนวนที่ดีน่าติดตาม บวกกับคาแรคเตอร์ของตัวละครแต่ละตัว ทำให้อยากติดตามไปจนถึงบทสรุป
สุดท้าย..
ดีใจที่ตัวเองไม่เปลี่ยนใจเลิกอ่านไปกลางคัน
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดีมากจริงๆ
ขอบคุณมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: [EverY] Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตัวอย่างปก P.12 [07.06.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 15-07-2018 21:24:48
อ่านรวดเดียวจบเลยยย สายฮอตทั้งคู่ที่แท้ทรู มาเจอกันเลยให้ฟีลลิ่งเซะซี่มากๆตลอดเรื่องเลย

คู่พี่เจดก็น่าร้ากกก ต้องไปตามอ่านต่อแล้ววว
หัวข้อ: Re: [EverY] Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตัวอย่างปก P.12 [07.06.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: Nobodylove ที่ 27-07-2018 14:02:37
 :pighaun: :haun4: :jul1: สุดยอดดดด จากบทแรกๆเลือดจุกอก จากนั้นเลือดหมดตัว!!!!!!!
หัวข้อ: Re: [EverY] Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตัวอย่างปก P.12 [07.06.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 27-07-2018 16:05:13
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: [EverY] Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตัวอย่างปก P.12 [07.06.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 19-09-2018 00:38:53
รักกลิ่นอายของเรื่องนี้มาก เป็นนิยายที่รู้สึกว่าถ้าให้นิยามคำว่า "บุหรี่" ก็จะยกให้เรื่องนี้เป็น definition ของคำนั้นเลย
หัวข้อ: Re: [EverY] Truth or Dare #เกมท้ารัก : ตัวอย่างปก P.12 [07.06.2018] : จบ
เริ่มหัวข้อโดย: putt__p ที่ 03-10-2018 23:26:37
ขอบคุณมากๆเลยนะคะสำหรับนิยายดีๆแบบนี้ นานๆจะมีนิยายที่ฟีลดีขนาดนี้มาให้อ่านเราชอบการบรรยายของคุณมากๆเลยค่ะ มันทำให้สามารถรู้สึกร่วมไปกับตัวละครได้ลึกมากราวกับเราไปอยู่ในบรรยากาศนั้นจริงๆ เป็นกำลังใจให้นะคะขอให้มีแรงใจในการเขียนนิยายดีๆแบบนี้มาให้อ่านอีกเยอะๆ ขอให้ทุกวันเป็นวันที่มีความสุขค่ะ รักเต&พิชญ์มากเลยค่ะ ❤️❤️❤️
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก : แจ้งข่าวเล่มพิเศษ+Into [22.11.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 22-11-2018 00:59:06

Truth or Dare
(Special)

Intro


มันมีเหตุผลที่ผมตั้งชื่อเพลงนั้นว่า ‘Butterfly’


คืนนั้น พิชญ์พูดถึงมันขึ้นมา


‘พี่รู้ไหม ผีเสื้อน่ะมีชีวิตได้ไม่เกิน 14 วันเท่านั้นหลังจากโตเต็มวัย’


คืนแรกที่ได้อยู่ลำพังเด็กน้อยในอ้อมกอดกระซิบถาม เสียงแหบพร่า ลมหายใจยังสั่นไหวร้อนจัดจากกิจกามที่เพิ่งพ้นผ่าน


ความบริสุทธิ์ถูกพราก แก้มขาวแดงปลั่ง ไม่ต่างจากผิวกายที่เต็มไปด้วยร่องรอยจากการตักตวงรสรักอย่างหิวกระหาย


เมื่อถูกบังคับให้อยู่ในอ้อมกอดทั้งที่เปลือยเปล่า ร่างบอบบางจึงห่อเกร็ง มือไม้เกะกะหาที่วางไม่ได้จนถูกรวบไว้ จรดริมฝีปากลงปลายนิ้วปลอบประโลมให้ผ่อนคลาย


เพราะเป็นครั้งแรกจึงตระหนกลุกลน เด็กน้อยกะพริบตามองผม ก่อนเสซบลงไหล่ไม่กล้าสบตา ริมฝีปากบวมเจ่อยังเจื้อยแจ้วกลบความกระดากอาย สั่นประหม่ากับร่างกายที่แนบชิดลึกซึ้งกับคนอื่นครั้งแรกอย่างน่าเอ็นดู


ไม่เฉลียวใจเลยว่าเพิ่งสละร่างกายผุดผ่องแสนหวานให้ปีศาจ


ไม่เอะใจว่าหลังจากนี้จะมีแต่ความเจ็บปวด


‘สงสารมันเหรอ’ ผมถาม จูบซับรอยน้ำตาจากหางตาถึงแก้มใส


อ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยทำให้ใคร


‘เปล่า ผมนับถือมันต่างหาก’


ไม่เคยถนอม ไม่เคยอยากมีอ้อมกอดอุ่นเพื่อใคร


‘อายุสั้นขนาดนั้น แต่ก็ยังเลือกที่จะบิน’


‘…’ ตั้งใจล่อลวง แต่กลับเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำถลำลงไป


‘เปราะบาง แต่เลือกชีวิตอิสระ อวดปีกสวยจนกว่าตัวจะตาย’


ปีศาจไม่เคยรู้ว่าตัวเองมีหัวใจ กระทั่งผีเสื้อกระพือปีก สะเทือนไหวถึงใจกลาง


ผีเสื้อตัวน้อยที่ยกยิ้มแสนซนหลังรวบรวมความกล้าแตะจูบลงบนริมฝีปากผม


‘เก่งเนอะ’


แรงปรารถนาถูกขับให้ลานลามอีกครั้ง ทั้งที่ไม่เคยปล่อยให้ลุกลามเกินตั้งใจ


ทุกครั้งเพื่อเพียงผ่าน ปลดเปลื้องราคะไร้รู้สึกให้กันและกัน


‘คุณพิชญ์’ แต่กับคนนี้ กลับไม่อาจห้าม


‘หืม?’


‘อีกครั้ง ไหวไหม’


อยากรั้ง อยากหนี อยากครอบครอง อยากผลักไส


อยากปกป้อง อยากทำลาย


...เผาปีกสวยจนมอดไหม้


‘...ครับ’


ทั้งอยากปล่อยให้สยายบินอิสระในช่วงชีวิตอันแสนสั้น


ทั้งอยากพาจมลงก้นทะเล กอดถนอมไว้จนสิ้นอายุไขไปพร้อมกัน









----------------------------------------------

สวัสดีค่า หายหน้าไปนาน วันนี้เรามีข่าวมาแจ้งค่ะ
พอดีว่ากำลังจะทำหนังสือทำมือรวบรวมตอนพิเศษ #เกมท้ารัก ที่ไม่มีในเล่มหลัก
เป็นตอนสั้นๆ ที่เคยเขียนลงทวิตเตอร์ และตอนพิเศษที่เขียนขึ้นใหม่อีกเล็กน้อยค่ะ
กำหนด Pre-Order ประมาณต้นเดือนธันวาคม 2561 นี้
ส่วนรายละเอียดต่างๆ จะแจ้งอีกทีประมาณ 1-2 อาทิตย์ก่อนเปิดพรีนะคะ
ระหว่างนี้จะอัพเนื้อหาให้อ่านกันไปเรื่อยๆ เพื่อการตัดสินใจ
ถ้าใครยังคิดถึงกันอยู่ก็ฝาก #เกมท้ารัก ด้วยนะคะ


ปล. เผื่อมีใครงง ตอนนี้คืออดีตก่อนพี่เตจะทิ้งน้องไปค่ะ
เราอยากย้อนให้เห็นของพี่ที่ขัดแย้งในตัวเองและเจ็บปวด
แต่หลังจากนี้ไม่มีดราม่านะคะ มีแต่ความหวาน เกียมสำลักได้เลย 5555

ขอบคุณมากๆ ค่า
-Martian-
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก : Special I : Moon’s Tear [22.11.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 22-11-2018 15:54:31
Truth or Dare

(Special : I)

Moon’s Tear


 

อีกครั้งที่เห็นพี่เตร้องไห้ เราสองคนอยู่ที่บ้านใหญ่



เป็นวันเรียบเรื่อยอากาศแจ่มใส คุณพ่อพาผมเดินดูสวนอวดต้นไม้ที่พ่อผมบ่นว่าอยากได้



ระหว่างคุยเรื่อยเปื่อยผมรับรู้ได้ถึงสายตาที่มองลงมาจากชั้นสอง



พี่เตยืนอยู่ตรงนั้น ริมระเบียงห้องนอนของเขา จ้องผมนิ่ง ก่อนยิ้มบาง



เขากำลังเรียกผม...



ผมยิ้มตอบ ไม่รีรอเมื่อคุณพ่อมองเราแตะไหล่อนุญาตให้ผมขึ้นไปหา



ผมดีใจที่ระยะหลังพี่เตยิ้มมากขึ้น หัวเราะมากขึ้น ยอมให้ตัวเองมีความสุขอย่างไร้ข้อกังขา



แต่ผมกลับดีใจกว่าเมื่อเห็นน้ำตาของเขา



น้ำตาของพระจันทร์ที่ยังคงงดงาม แม้หม่นแสงเหลือเพียงเสี้ยว



เป็นสัญญาณที่ดีว่าความเจ็บปวดที่อัดแน่นอยู่ในใจถูกระบายออกมาบ้าง เป็นสัญญาณว่าเขายอมให้ตัวเองอ่อนแอ เปิดใจยอมรับการปลอบประโลมจากคนรอบข้าง



“สวัสดีครับ” ผมสวนทางกับคุณอาหมอที่ยิ้มทักทาย มองผมกับประตูห้องที่ปิดอยู่ก่อนเอื้อมมือมาตบไหล่ผมเบาๆ



“พยายามได้ดีมาก ทั้งสองคน”



เพราะรู้ดีว่ากว่าจะผ่านมาถึงจุดนี้ได้เราต่างสาหัส เพราะจมกับมันมานาน ความรู้สึกผิดคล้ายเพื่อนสนิทลึกซึ้งที่ยังหลอกหลอน ฉายซ้ำ



คุณอาหมอบอกว่าใต้ธารน้ำแข็งที่พี่เตอยู่นั้นหนาวเหน็บ และอ้างว้างเกินกว่าที่คนข้างบนจะเข้าใจ



สิ่งสำคัญคือการยอมรับ เคียงข้าง



ในที่สุดเราฉุดเขาขึ้นสู่ผิวน้ำ ให้หายใจได้อีกครั้ง 



“ขอบคุณนะครับ”



“ขอบคุณตัวเองเถอะ ถ้าไม่มีพิชญ์ช่วยทำให้เจ้าเตเปิดใจ อาคงช่วยอะไรไม่ได้”



ผมยิ้ม ยกมือไหว้ลา คุณอาหมอขอตัวลงไปหาคุณพ่อที่เป็นเพื่อนสนิทกันมานาน



ผมเปิดประตูห้องนอนเข้ามาพบว่าเขานั่งอยู่ปลายเตียง เหม่อนิ่งไปยังที่ที่ไกลแสนไกล ดวงตาคู่สวยเคลือบอาบหยาดน้ำใสที่ยังไม่แห้งเหือดดี



ถือวิสาสะเดินเข้าไปนั่งคร่อมตักเขาไม่ทันให้รู้ตัว พี่เตตื่นจากภวังค์ มองหน้าผมแล้วยิ้มจางๆ อีกครั้ง



ยกมือประคองสองแก้มบรรจงเกลี่ยคราบน้ำตาให้แผ่วเบา จดจำร่องรอยจางที่ไม่มีโอกาสได้เห็นมานาน



“ผมดีใจที่พี่ร้องไห้”



โดนดุอย่างไม่ต้องสงสัย...



ก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อเห็นว่าน้ำตาของผมกำลังไหลเช่นกัน



"พี่ร้องไห้กับผมได้ รู้ใช่ไหม" ผมกระซิบบอกพลางกอดเขา กระชับแน่น อุ่นไอจากร่างกายแผ่ซ่าน หัวใจเต้นประสาน 



...เราจูบกัน



ยิ้มให้กัน หัวเราะและปาดน้ำตาให้กันอย่างคนโง่เง่าอยู่อย่างนั้น ซ้ำไปซ้ำมา







พายุผ่านพ้นแต่ยังมีเมฆฝนคั่งค้าง



พี่เตบอกว่าไม่ใช่เรื่องที่จะปล่อยผ่านได้ ถ้าไม่สะสางคงไม่มีทางเดินไปข้างหน้าอย่างสบายใจ



เขาจึงตัดสินใจสารภาพกับครอบครัวผมว่าเคยทำร้าย เปิดรอยแผล เปลือยอดีตแสนเจ็บปวดที่เกือบก่อโศกนาฏกรรม



เราเคยเลือกที่จะปิดเป็นความลับเพราะมันเป็นเรื่องยากจะเข้าใจ ลำพังคนในวัยเดียวกันเผชิญโลกที่โหดร้ายใบเดียวกันยังยากจะจินตนาการถึงความทุกข์ที่สาหัสกว่าความตาย



นับประสาอะไรกับผู้ใหญ่ที่กรำแดดกรำฝนคนละแบบ เผชิญโลกที่แตกต่างกัน



ผมกลัวผลลัพธ์แต่เขาบอกว่าเราไม่อาจปิดมันไว้ตลอดกาล



อีกอย่างเขารู้ว่าพ่อกับคุณแม่ของผมเป็นคนหัวโบราณแต่ไม่ได้ใจแคบปิดรับความคิดที่ผิดแผกจากที่เคยเข้าใจ



"ขอโทษครับ" สิ้นคำบอกเล่า พี่เตนั่งคุกเข่าจำนนต่อความผิดที่เคยก่อไว้



พ่อผมไม่พูดอะไร แต่ผมมองออกว่าท่านเข้าใจ... ไม่ใช่พี่เตคนเดียวที่ทำผิดพลาด ก่อนหน้านี้พ่อเพิ่งเปิดใจขอโทษผมเรื่องวิธีที่เข้มงวดเกินไปจนบางครั้งกลายเป็นบ่วงรัดคอ ทำร้าย



เราต่างผิดพลาด



สิ่งที่ต้องทำคือยอมรับและแก้ไข



ส่วนคุณแม่



“แม่ไม่ได้ถนอมน้องพิชญ์มาเพื่อให้เธอทำร้าย” น้ำเสียงตำหนิ แววตารวดร้าวขึ้งขวางมองคนรักของผมอย่างตรงไปตรงมา



ผมไม่เคยเห็นคุณแม่โกรธขนาดนี้เลยสักครั้ง ด้วยเป็นห่วง ด้วยรัก แต่ถึงอย่างนั้นท่านยังมีเหตุผลมากพอที่จะทำความเข้าใจ



เมตตาพอที่จะให้อภัย



“แต่เตรู้แล้วใช่ไหมว่ามันไม่ใช่ทางออก” เรามีบ้านที่ใหญ่มากพอจะต้อนรับสมาชิกใหม่ โอบรับทั้งตัวตนและบาดแผลของเขาเอาไว้



“รู้แล้วใช่ไหมลูกว่าชีวิตตัวเองมีค่า ทั้งน้องพิชญ์ ทั้งพ่อกับแม่ ทุกคนอยู่ข้างเตนะ” มีอ้อมกอดที่อุ่นพอจะให้เขาซุกตัวลงมาได้



เป็นอีกครั้งที่ผมเห็นน้ำตาของดวงจันทร์



เป็นอีกครั้งที่เขาปลดเปลื้องความอดกลั้น ยอมให้ตัวเองอ่อนแอและร้องไห้



ไม่จำเป็นต้องละอาย



ไม่จำเป็นต้องหลั่งน้ำตาอย่างโดดเดี่ยว เงียบงัน



ไม่จำเป็นต้องซุกซ่อนร่องริ้วขรุขระไว้ใต้แสงนวลสว่างเช่นที่ผ่านมา






#เกมท้ารัก

-Martian-
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก : Special II : Wake Him Up [23.11.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 23-11-2018 02:18:52
Truth or Dare

(Special : II)

Wake Him Up

 

ส่วนมากคนที่ตอบสนองต่อนาฬิกาปลุกเป็นคนแรกคือพี่เต ...แต่ไม่ใช่ทุกครั้ง



บางวันผมตื่นก่อนเขา ได้มีโอกาสจ้องใบหน้าหล่อเหลาใต้แดดอ่อนยามเช้า



นาฬิกาปลุกยังไม่ดัง และผมมีวิธีปลุกที่น่าสนใจกว่านั้น



ปลายจมูกคลอเคลียปลายจมูก

               

ริมฝีปากก่อกวนริมฝีปาก

               

ผละมองคนขี้เซาที่นิ่งสนิทก่อนจูบซ้ำ ลามเรื่อยมาถึงปลายคาง ไรหนวดจางๆ ชวนจั๊กจี้เมื่อไล้ริมฝีปากแผ่วเบา

               

หยอกเย้าบนใบหน้าสักพักจึงลากผ่านลำคอ กดจูบลูกกระเดือก ไหปลาร้า หัวไหล่เปลือยเปล่า แกล้งงับกล้ามแขนเบาๆ

               

ในที่สุดได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเมื่อริมฝีปากจรดลงตำแหน่งที่ผมโปรดปราน จุดเริ่มรอยแผลเป็นกลางแผ่นอกกว้าง

               

“ตื่นหรือยัง” เสียงหัวเราะทุ้มไม่ตอบคำถาม เปลือกตาบางเปิดสบตาผมคล้ายตำหนิก่อนปิดลงอีกครั้ง

               

ราวยินยอมให้กระทำตามใจ

               

ผมยิ้ม ก้มลงลากริมฝีปากสำรวจรอยแผลเก่าอีกครั้ง จูบต่อริมฝีปากจากหน้าอกถึงหน้าท้องสวยที่หดเกร็งก่อนผ่อนจนได้ยินเสียงลมหายใจหนัก

               

จังหวะหายใจสะดุดอีกครั้งเมื่อคมฟันกัดลงที่ขอบกางเกงพลางดึงมันลงต่ำ

               

ปลดปล่อยความแข็งขึงชูชันเป็นอิสระ

               

“ตื่นแล้ว” ตอบคำถามตัวเองเจือหัวเราะ



กอบประคองตัวตนคนรักไว้ในฝ่ามือ ค่อยๆ ลงน้ำหนักปลุกปั้นจนราคะคลั่ง ก่อนครอบริมฝีปากลงไป ดูดดุนลิ้นไล้เรื่อยจากส่วนปลาย เชื่องช้า ทีละน้อย กระทั่งกลืนกินทั้งหมดไว้ แทรกลึกถึงลำคอ

               

“คุณพิชญ์” เสียงแหบพร่าเรียกชื่อ



“เงยหน้าสิ” ออกคำสั่ง พลางเอื้อมมือบีบคางบังคับ มุมปากบางยกยิ้มพอใจเมื่อเห็นทุกการกระทำในสายตา

               

ฝ่ามือเลื่อนลูบกรอบหน้าแกล้งไล้วนกดแก้มที่อวบอูมด้วยรูปร่างแก่นกายที่คับแน่นอยู่ภายใน



เสียงครางต่ำสลับกับลมหายใจหนักขณะลูบไล้ใบหูหยอกเย้า เร่งให้ขยับด้วยจังหวะคุ้นเคยปลุกเร้า นิ้วเรียวเกลี่ยเส้นผมที่ยาวปรกสะเปะสะปะไม่ให้เกะกะใบหน้า จดจ้องทุกการขยับรูดรั้ง



“อืม...เด็กดี” นานพอจะทำให้ริมฝีปากชาเจ่อ น้ำตาเอ่อคลอจากความอึดอัดในโพรงปาก ความแข็งขึงแทรกเข้าออกทวีรุนแรงจนแทบคลั่ง



ตอบรับน้ำหนักที่ขยำเส้นผมในจังหวะสุดท้ายด้วยริมฝีปากที่กดลงจนสุดความยาวอีกครั้ง โอบรับทั้งหมดไว้ด้วยความร้อนฉ่ำชื้นในโพรงปาก



เติมชื้นฉ่ำด้วยทะเลกามที่ทะลักจนสำลักจึงคายตัวตนของเขาเป็นอิสระอีกครั้ง ปล่อยให้ฉีดพ่นละเลงลงใบหน้า ขณะไล้เลียรสราคะข้นขาวที่รดเปรอะขอบปาก



เมื่อสัตว์ร้ายสงบจึงเงยหน้าสบสีรัตติกาลอีกครั้ง ยิ้มพอใจเมื่อเห็นดวงตาคมตื่นเต็มตา



“อรุณสวัสดิ์ครับ”



“หึ...”



หลังจากนี้ นาฬิกาปลุกคงไม่จำเป็น









------------------------------------------------------

ถ้าไม่ซนคงไม่ใช่ยัยพิชญ์ 5555




#เกมท้ารัก

-Martian-
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก : Special II : Wake Him Up [23.11.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: megatef4 ที่ 23-11-2018 02:27:57
หนูลูกกกกก ทำไมปลุกได้ถูกใจพี่จริงๆ เลย :jul1:
ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษนะคะ
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก : Special II : Wake Him Up [23.11.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 23-11-2018 19:26:09
หนูพิชญ์เดี๋ยวแม่ตีตายยยเลย
ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษค่ะ
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก : Special II : Wake Him Up [23.11.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 23-11-2018 21:18:16
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก : Special II : Wake Him Up [23.11.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 23-11-2018 22:40:51
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก : Special II : Wake Him Up [23.11.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 24-11-2018 01:46:46
 :jul1: ดิฉันจมกองเลือกตายแล้วค่าาาา
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก : Special II : Wake Him Up [23.11.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 24-11-2018 12:55:28
อ่านแล้วได้แต่อุทานว่าหนูลูกกกกก มันน่าตีนัก  :hao7:
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก : Special II : Wake Him Up [23.11.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 25-11-2018 23:26:22
ไม่รักนวลสงวนตัวเลยหนูพิชญ์ ขอบคุณคนเขียนมาก น่ารักสุดๆโดยเฉพาะความพยายามของพิชญ์ที่อดทนกับพ่อเตสุดเล่นตัว555 เรื่องอเมริกาที่ไม่ใช่อเมริกานี่สุดจริง ก็ว่าทำไมไปตปท.ถึงต้องเลิกสถานเดียว เรื่องนี้น่ารักมากขอบคุณนะ
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก : Special III :Call Me Papa [26.11.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 26-11-2018 00:37:41
Truth Or Dare

(Special)

Call Me Papa

 



นานๆ ทีจะมีเวลาออกมาในที่สาธารณะด้วยกันสักครั้ง เพราะต่างนั่งจมอยู่ในกองงาน พอมีเวลาว่างก็หมดไปกับการกกกอดนอนขี้เกียจอยู่ในห้องจนหมดวัน



เบื่อๆ ผมเลยชวนพี่เตออกมาเดินห้างบ้าง นึกครึ้มอยากมาดูเสื้อผ้าคอลเล็กชั่นใหม่ของร้านประจำ แต่ไม่ได้รีบร้อนอะไร เลยเดินเอื่อยเฉื่อยดูโน่นนี่ทั้งที่ไม่มีอะไรที่สนใจจริงจัง พี่เตเดินอยู่ข้างๆ ผม โดดเด่นจนคนเหลียวหลังเหมือนเคย



ระหว่างเราไร้บทสนทนา มีสบตากันบางครั้งหรือสะกิดเรียกเวลาเจอของที่น่าจะเหมาะกับอีกฝ่าย แม้แต่ตอนที่เห็นร้านไอติม พี่เตก็หันมามองผม แล้วเดินนำไปซื้อให้อย่างรู้ใจ



“หวาน” บ่นไปอย่างนั้น ทั้งที่รู้อยู่แล้ว แต่ก็ยังสั่งรสเดิมทุกครั้ง ขนาดที่พี่เตซื้อมาตุนไว้ให้ในตู้เย็นไม่เคยขาด เพราะรู้ว่าเป็นรสหวานที่ผมถูกใจ มักมองหาเวลาเครียดหรืออยากหาของหวานเติมห่างกาย



“เลอะ” คิ้วเข้มขมวดน้อยๆ ยกนิ้วขึ้นมาปาดคราบไอศกรีมออกจากริมฝีปากให้ ผมเลียซ้ำแล้วส่งยิ้มทะเล้นกลับทันเห็นสายตาอ้อยอิ่งที่จับจ้องริมฝีปากผมไม่วางตา



แววตาแบบที่รู้ว่าถ้าอยู่ที่ห้อง เขาคงดึงผมไปจูบแรงๆ สักที แต่นี่ที่สาธารณะร่างสูงจึงทำได้เพียงยกนิ้วที่เปรอะไอศกรีมจากกลีบปากผมขึ้นมาจรดปลายลิ้นเบาๆ



ผมหัวเราะ ดึงมือเขาออกเดินอีกครั้ง รับรู้ได้ว่าระยะระหว่างเราใกล้ขึ้น คล้ายมีออร่าหวานๆ จากไอศกรีมฟุ้งกระจายอยู่ในมวลอากาศ



กินไอติมจนหมดก็เป็นจังหวะที่เดินมาถึงร้านพอดี พนักงานที่คุ้นหน้าคุ้นตาเอ่ยทักทายอย่างสุภาพ เชิญผมกับพี่เตนั่งที่โซฟาพร้อมเสิร์ฟน้ำ แล้วหยิบคอลเล็กชั่นใหม่ออกมาให้ดู



ไม่ใช่แบรนด์ดังอะไร แต่เป็นแบรนด์ที่เห็นครั้งแรกก็ถูกใจ และหลังจากนั้นไม่ว่าคลอดอะไรออกมาผมก็ไม่พลาดเลยสักครั้งถึงไม่ได้มาเองก็จะให้จัดส่งไปที่บ้าน คราวนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง



ยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดีขณะหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาเพื่อจ่ายเงินซื้อทั้งคอลเล็กชั่น แต่ไม่ทันอีกคนที่ยื่นแบล็คการ์ดตัดหน้าให้พนักงาน



“ดีอ่ะ มีแฟนนิสัยรวย” ผมหัวเราะเลิกคิ้วล้อเลียนไม่คิดดึงดันจะจ่ายเองตามตำรานางเอกขี้เกรงใจ



พี่เตเลิกคิ้ว ก่อนยกยิ้มมุมปาก “ไม่ได้ให้ฟรี”



ผมหัวเราะ รู้ดีว่าของตอบแทนที่เขาต้องการคืออะไร เลยยกยิ้มยั่วตีหน้าเดียงสากะพริบตาถี่ๆ พลางเกาะแขนแกร่งวางคางบนบ่าอ้อนเสียงอ่อนเสียงหวาน



“แล้วจะตอบแทนอย่างดีเลยค่ะ”



หวังยียวนให้หมั่นไส้ แต่อีกฝ่ายกลับไม่สะทกสะท้าน



จุ๊บ



“เฮ้ย!” เป็นผมเสียอีกที่ร้องเสียงหลง ผงะหนีเมื่อถูกฉกริมฝีปากต่อหน้าธารกำนัน



“หวาน” แถมยังแกล้งตีหน้ามึนเอ่ยรสชาติที่ติดอยู่ในปาก ไอหวานของไอศกรีมคล้ายจะตีอวลขึ้นมาอีกครั้ง



ผมมองตาขวางเพราะเห็นพนักงานอมยิ้มก่อนพากันหนีไปราวจะให้เวลาส่วนตัว แต่ไม่ทันได้ต่อว่าก็ถูกอีกฝ่ายขัดจังหวะด้วยการยกมือเกลี่ยแก้มร้อนเบาๆ


คนเจ้าเล่ห์หัวเราะ สบตาด้วยสายตาที่ทำเอาผมชะงัก นิ้วโป้งปาดเช็ดริมฝีปากผมก่อนไล้เลียปลายนิ้วลิ้มรสตกค้าง มุมปากยกยิ้มร้ายกาจ



“ป๊ะป๋าจะรอรางวัลจากหนูพิชญ์นะคะ”



ผมเบิกตากว้างก่อนระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น



ใครสอนคำพูดประหลาดๆ แบบนี้ให้เขาวะ



...ไอ้ป๊าแน่ๆ

 

               





“เฮ้ย กูไม่ได้สอน” พี่เจดปฏิเสธพัลวัน แต่แววตาเจือขบขัน



“มันเรียกมึงงั้นจริงดิ ขนลุกสัด ไปเอามาจากไหนวะ”

               

ท่าทางบ่งบอกว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่ได้ฟัง ผมหรี่ตามองคาดคั้น “ถ้าไม่ใช่ป๊าแล้วจะใครอ่ะ”

               

ช่วงนี้พี่เตสนิทกับพวกกลุ่มปีสี่เพราะไปช่วยไอ้พี่เจดทำงาน ทั้งแก๊งค์เป็นพวกทะลึ่งตึงตัง ไม่ใครก็ใครคงสอนคำพูดประหลาดๆ ให้เขา

               

“เราเอง”

               

แต่คำตอบกลับใกล้ตัวกว่าที่คาด... ใกล้ขนาดที่กำลังนั่งตักผม ยอมให้โอบเอวแต๊ะอั๋ง

               

กระต่ายนุ่มนิ่มยกมือสารภาพพลางเอี้ยวตัวกลับมาสบตาใสซื่อ ส่วนผมเบิกตากว้างกับคำตอบเหนือจินตนาการ

               

เจไดเนี่ยนะ...

               

“เตวิชญ์บอกว่าอิจฉาเวลาพิชญ์เรียกเจดว่าป๊า เลยมาปรึกษาเรา”

               

ช่วงนี้ผมเห็นพี่เตคุยกับแฟนป๊าบ่อยๆ นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่านอกจากเรื่องดนตรีแล้วยังมีอะไรให้คุยกัน

               

วันนี้ความจริงกระจ่าง

               

“เราเลยบอกว่าป๊ะป๋าก็ความหมายเดียวกัน”

               

“เดี๋ยวๆ แล้วคำว่าหนูพิชญ์นี่เจสอนด้วยเหรอ” คราวนี้ไม่ใช่ผมที่สงสัย เป็นพี่เจดที่เบิกตากว้างยิ่งกว่า

               

“...”

               

“พี่เจครับ?”

               

แต่กลับไม่ได้คำตอบ เจไดกระโดดดึ๋งหนีจากตักผมเดินหนีไปหาพี่เตที่เตรียมอาหารเย็นอยู่ในครัว



สองคนกระซิบกระซาบ ก่อนหันกลับมาสบตาผมกับป๊าแล้วต่างหัวเราะอย่างเป็นปริศนา

               

“ป๊า แฟนป๊าร้ายอ่ะ”

             

 “เออ กูก็เพิ่งรู้เหมือนกัน” 

               

วันหลัง จะไม่ปล่อยให้สองคนนี้ปรึกษาเรื่องแปลกๆ กันตามลำพังเด็ดขาดเลยครับ










----------------------------------------------------

ตอนนี้เคยเอาลงทวิตเตอร์มาก่อนค่ะ ใครตามอยู่อาจจะคุ้นๆ บ้าง

แต่ปรับนิดหน่อย+เพิ่มตอนท้าย พาป๊าเจดกับเจไดจาก #หมีแต่รัก มาร่วมแจมให้พอน่ารักๆ

หวังว่าจะชอบกันนะคะ



ฝาก #เกมท้ารัก ด้วยน้า

ขอบคุณมากค่า

-Martian-

หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก : Special III : Call Me Papa [26.11.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: HappyYaoi ที่ 26-11-2018 01:15:05
แงงงงงงง อยากให้น้องพิชญ์ไปเรียกป๊ป๋าเตบนเตียงในชุดนอนไม่ได้นอนค่ะ แค่ก
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก : Special III : Call Me Papa [26.11.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวลูกไก่ ที่ 26-11-2018 19:34:34
แงงง ทำไมน่ารัก พี่เตคนดุคุยอะไรงุ้งงิ้งกับกระต่าย หนูเจก็น่ารัก ยอมให้เค้าแต๊ะอั๋งด้วยย ว่าแต่คุณคนเขียนสนใจมีตอนพิเศษของป๊ากับกระต่ายมั้ยคะ คิดถึงสองคนนี้เหมือนกัน
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก : Special III : Call Me Papa [26.11.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 26-11-2018 19:54:28
น่ารักจัง กุ๊งๆกิ๊ง กัน

คิดถึงพี่เต น้องพิชญ์ มากกกกกก :o8:
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก : Special III : Call Me Papa [26.11.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 26-11-2018 21:34:14
พี่เตแดดดี้มากๆๆๆๆๆๆๆ   :hao6:
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก : Special IV : La La Ring [28.11.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 28-11-2018 21:03:18
Truth Or Dare

(Special)

La La Ring

 

วันนี้ผมตื่นเช้ากว่าเพราะพี่เตทำงานจนเกือบเช้า ผมไม่ได้ปลุกเขา เพียงกดจูบหนักๆ ทักทายแล้วผละออกเพื่อเข้าไปจัดการธุระส่วนตัว เตรียมออกไปใช้ชีวิตตามหน้าที่



อาบน้ำเสร็จพี่เตก็ตื่นพอดี



ถ้ารีบร้อนเราคงเร่งสลับกัน พี่เตเข้าไปอาบน้ำบ้าง ปล่อยให้ผมแต่งตัว



ทว่าเจ้าของใบหน้างัวเงียกลับยังนั่งจ้องผมนิ่ง หยดน้ำที่เกาะบนร่างเปลือยเปล่าไม่ได้ทำให้ความร้อนจากสายตาคู่นั้นเจือจาง เรียกให้เงยหน้าสบตากลับบนเงาสะท้อนบานกระจก ตั้งคำถาม



"ไม่ค่อยเห็นเวลาผิวเกลี้ยงแบบนี้" มุมปากบางยกยิ้ม ผมเลิกคิ้ว หัวเราะขัน



“หมายความว่าไง”



เพราะไร้แวววาวเครื่องประดับ หรือหมดจดไร้ร่องรอยรักสีกุหลาบ



เมื่อคืนต่างคนต่างเพลียจนหลับ เพียงกกกอดส่งไออุ่น เว้นว่างจากกิจกาม พี่เตหัวเราะ คงเดาออกว่าผมกำลังนึกถามพิเรนทร์ในใจ



“ไม่เคยเห็นถอดพวกนั้น” เพยิดหน้าไปทางกล่องกำมะหยี่ที่วางเรียงไว้บนโต๊ะข้างกาย



"พี่ไม่สังเกตมากกว่า" ใช่ว่าไม่เคยเปล่าเปลือยไร้เครื่องประดับ ผมถอดเสมอเวลาอาบน้ำ



...ทว่าเวลาอาบน้ำด้วยกัน เขาคงไม่มีเวลาได้สังเกต



"ชอบแบบไหนมากกว่า" พี่เตไม่เคยว่าเรื่องที่ผมเจาะตามร่างกาย แต่ผมก็ไม่เคยถามว่าเขารู้สึกยังไง



ดวงตาคมมองผมหัวจรดเท้า เรือนร่างไร้เครื่องประดับกลับแวววาวในสีรัตติกาลพราวระยับ



"ชอบทั้งหมด"



ราวกับร่างกายกำลังถูกหลอมด้วยดวงตาลึกล้ำคู่นั้น...



"โลภจัง" ผมแสร้งหัวเราะ กลบความประหม่า



แต่แล้วกลับนึกสนุก สบดวงตาที่ยังจ้องตรงมาผ่านกระจกอีกครั้ง



"ถ้าให้เลือกที่เดียว พี่อยากเจาะให้ผมตรงไหน?"



"หืม?" เขาเลิกคิ้ว ด้วยรูปประโยคประหลาด



ไม่ใช่ให้เจาะ แต่เจาะให้



รอยยิ้มมุมปากร้ายเรียกให้หมุนตัว โยนกล่องเครื่องประดับลงบนเตียง คลานเข่าตามคร่อมร่างทั้งที่ยังเปลือยเปล่า



"เตวิชญ์"



"..."



"ท้าหรือจริง?”




-----------------------------------------------

พี่เตจะให้น้องเจาะตรงไหนเพิ่มน้อ...

เป็นความลับค่ะ 55555







[แจ้งข่าว Pre-Order]


แอบมาเคาะกำหนดพรีออเดอร์เล่มพิเศษล่วงหน้าค่ะจะได้เตรียมตัวเตรียมไตกัน ><

Special Truth Or Dare #เกมท้ารัก จะเริ่มเปิดพรีออเดอร์วันที่ 8/12/561 - 8/01/2562 นี้ค่ะ

หนังสือจำนวน 120+ หน้า

ราคา 280 บาท รวมค่าจัดส่งลงทะเบียนค่ะ


ลิ้งก์สำหรับจองจะนำมาโพสต์ให้ในวันเปิดพรี พร้อมกับตัวอย่างอีก 1 ตอนนะคะ

ขอบคุณทุกคนที่เอ็นดูน้องพิชญ์กับพี่เตมากๆ น้า



ปล. แจ้งอีกทีว่าเล่มที่กำลังจะเปิดจองไม่ใช่เล่มหลักนะคะ เป็นตอนพิเศษที่เขียนเสริมขึ้นมา ส่วนเล่มหลักสามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไป หรือเว็บไซต์ของ EverY ค่ะ



ขอบคุณมากๆ ค่า

-Martian-

หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก : Special IV : La La Ring [28.11.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: HappyYaoi ที่ 28-11-2018 22:46:46
น้องพิชญ์ก็ไม่น่าถามอะ พี่เตจะเจาะตรงไหนได้
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก : Special IV : La La Ring [28.11.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 28-11-2018 23:05:39
ใช่ที่คิดไว้ไหมน๊า...หืดหาด..ดดดดด   :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก : Special IV : La La Ring [28.11.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 30-11-2018 22:49:42
ชอบสีเทาๆ
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก : Special V:We're Both Sick [30.11.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 30-11-2018 23:36:59
Truth Or Dare

(Special)

We’re both Sick

 



ผมเคยกังวลกับจิตใจแหลกสลายเรื้อรัง อยากวิ่งหนี อยากจากไป หนทางเดียวที่จะไม่ต้องทำให้คนที่รักมาลำบากกับอาการป่วยไข้



พิชญ์กลับหัวเราะบอกว่าผมขี้ขลาด การหนีโดยไม่พึ่งพากันต่างหากที่ทำร้ายคนที่รัก



‘มีใครบ้างที่ไม่เคยป่วยไข้’



‘…’



‘ถึงเวลานั้น ผมอยากมีพี่อยู่ข้างๆ



อดีตจวบจนปัจจุบัน



กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง… ผมก็ไม่มีทางเอาชนะเด็กคนนี้ได้เลย

 



“พิชญ์” ในวันที่พยากรณ์อากาศรายงงานการมาเยือนของฤดูหนาว ผมตื่นขึ้นมากลางดึกเมื่อรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร่างกายของคนในอ้อมกอดที่ผิดปกติ



“ตัวร้อน”



เอื้อมมือไปเปิดไฟพลางแตะริมฝีปากกับขมับชื้นเหงื่อ คนถูกปลุกส่งเสียงงัวเงีย พลิกตัวกลับมาซุกใบหน้าในอ้อมกอด ไถจมูกกับอกผมไปมา



“ปวดหัว” เสียงออดอ้อนแหบพร่าอย่างน่าเป็นห่วง ผมถอนใจยกมือสางผมนุ่มเบาๆ พลางจูบหน้าผากใสซ้ำๆ



“พี่ไปเอายามาให้”



หลายวันก่อนหน้านี้พิชญ์โหมงานหนัก พักผ่อนน้อย แถมอากาศเปลี่ยนจึงไม่แปลกที่ร่างกายน้องจะรับไม่ไหว



ผมเอายามาให้ พร้อมกับผ้าชุบน้ำเช็ดตัว คนป่วยเป็นผักเหี่ยวจับพลิกไปทางไหนก็ไหลตาม จนผมหยิบเสื้อมาให้ใส่ปกปิดท่อนบนที่เปลือยเปล่าเพราะเจ้าตัวขี้ร้อน ขี้รำคาญ จึงมักจะใส่เพียงกางเกงวอร์มตัวเดียวห่อคลุมร่างยามหลับ



“ไม่เอาอ่ะ” พิชญ์ส่ายหน้า ยังอยู่ในท่าชันเข่าซุกใบหน้าครึ่งหนึ่งลงไป สียังหน้างัวเงียเสียงอู้อี้จากพิษไข้



“ต้องใส่ อากาศหนาว” ผมดุ หยิบเสื้อสเวตเตอร์ที่พับไว้คลี่ออก กำลังจะบังคับใส่



“กอดพี่ก็ได้” แต่เหตุผลนั้นทำเอาชะงักไป



“หืม ไม่กลัวพี่ติดไข้หรือไง” หลุดหัวเราะ เมื่อนึกถึงครั้งแรกที่ไม่สบาย พิชญ์จะไล่ผมไปนอนนอกห้องให้ได้เพราะไม่อยากให้ติดหวัดไปตามกัน



คราวนี้กลับงอแงให้กอดซะอย่างนั้น



“หนาวๆ” คนเอาแต่ใจเงียบไปสักพัก ก่อนแกล้งงอแงเฉไฉ แต่สองมือกลับยื่นออกมาออดอ้อนให้เดินเข้าไปกอด



ผมยอมวางเสื้อแล้วสวมกอดร่างบางที่ยังอุ่นจัดจากพิษไข้ ดึงตัวน้องลงมานอนอีกครั้ง เกยก่ายอยู่บนร่าง ราวจะให้การแนบชิดถ่ายเทอุณหภูมิร่างกายมาไว้ที่ผมบ้าง



จูบซับหน้าผากและขมับซ้ำๆ ในความมืดและเงียบงัน กระทั่งพิชญ์หลับไป



ผมเห็นด้วยกับน้อง บางทีการกกกอดด้วยร่างกายเปล่าเปลือยแบบนี้ อาจอุ่นกว่าใส่เสื้อกันหนาวเป็นไหนๆ

   



รุ่งขึ้น ความดื้อดึงกลับกลายเป็นว่าง่าย



นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พิชญ์ไม่สบาย แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่ยอมนอนติดเตียง แถมใบหน้าขาวซีดเซียว แทบไม่คุยกับผมทั้งที่ปกติคงงอแงบ้างเวลาถูกบังคับให้กินยา ดื้อจะลุกมาทำงาน หรือไม่อยากอาหาร



เด็กรั้นดูซึมหม่นจนผมหวั่นใจ



[ เขากำลังหงุดหงิดน่ะ ] แต่ดูเหมือนท่าทางแบบนี้จะไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก



คุณแม่หัวเราะเบาๆ ระคนอ่อนใจเมื่อผมเล่าอาการให้ฟัง



[ น้องพิชญ์ไม่ชอบเวลาที่ตัวเองป่วย เขาบอกว่าร่างกายมันงี่เง่าไม่ได้ดั่งใจ ถ้านิ่งแบบนี้แสดงว่ากำลังพยายามเก็บอาการไว้ ]



ผมขมวดคิ้ว “แล้วผมทำอะไรได้บ้างไหมครับ”



ตั้งแต่เช้าผมป้อนข้าวป้อนยาเช็ดตัวให้จนไข้ลดแต่น้องก็ไม่มีทีท่าว่าจะร่าเริงขึ้น จนปัญญาถึงขั้นต้องโทรไปปรึกษาคุณแม่น้องเผื่อว่าจะมีคำแนะนำ



เพิ่งรู้ตัวว่านี่เป็นครั้งแรกที่ตัวเองหันหน้าหวังพึ่งคนอื่นบ้าง ตอนที่แม่ป่วย ผมดึงดัน คิดหาหนทางผิดๆ จนพาเราทั้งคู่ไปถึงทางตัน...



[ ถ้าไข้ลดแล้วก็ไม่มีปัญหาจ้ะ เดี๋ยวหายป่วยเขาก็กลับมาดื้อเหมือนเดิม ]



ทีแรกผมลังเลเพราะกลัวว่าจะรบกวน และทำให้เป็นห่วง เดือดร้อน แต่น้ำเสียงท่านยังคงใจดี วางใจให้ผมดูแลน้องอย่างใจเย็น



“ครับ” ผมรับคำ แต่เหมือนคุณแม่จะดูออกว่าผมยังไม่หายกังวลใจ ท่านหัวเราะ แล้วบอกเคล็ดลับให้



[ แต่ถ้าเตอยากน้องพิชญ์ให้ร่าเริงไวๆ... ]



ผมตั้งใจฟัง สายตายังมองไปที่คนป่วยที่เอาแต่นอนซึมอยู่บนเตียงอย่างน่าสงสาร คิดว่าดีแล้วที่ผมโทรไปปรึกษา เพราะคุณแม่ของพิชญ์รู้เกี่ยวกับน้องแทบทุกอย่าง



มันทำให้ผมเข้าใจว่าแบบนี้เอง ที่เรียกว่าครอบครัว

 



ต้มยำร้อนๆ ถูกยกมาวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง ผมนั่งลงข้างคนที่หลับอยู่ก่อนค่อยๆ แทรกตัวเข้าไปแทนที่หมอนใบโตอย่างเงียบเชียบ



“อือ... คุณแม่เหรอ” พอเริ่มลูบหัวน้องเบาๆ คนป่วยก็ส่งเสียงพึมพำพลางโอบแขนรอบเอวผมก่อนจะลืมตา “พี่เต?”



ผมยิ้มตอบสีหน้าประหลาดใจ ฝ่ามือยังคงลูบผมน้องอยู่อย่างนั้นตามคำแนะนำ



ก่อนวางสายคุณแม่ทิ้งสูตรต้มยำที่น้องชอบอ้อนให้ทำให้กินเวลาป่วยเอาไว้พร้อมบอกว่าพิชญ์ชอบนอนหนุนตัก ชอบให้ลูบหัวเอาใจจนกว่าจะหลับ



“คุณแม่บอกมาใช่ไหม” พอได้กลิ่นต้มยำแทนที่จะเป็นข้าวต้มจืดๆ เหมือนตอนเช้าคนป่วยเลยจับได้ ใบหน้าเซื่องซึมเบะปากทำท่างอแงใส่



“แล้วได้ผลหรือเปล่า” ผมแกล้งเลิกคิ้ว สางผมยาวๆ เล่นขณะที่พิชญ์ซุกหน้ากับหน้าท้องผมส่ายหัวปฏิเสธ



“ขี้โกงว่ะ” หัวเราะกับเสียงบ่นพึมพำ ก่อนดึงเจ้าของใบหน้ารั้นขึ้นมานั่งคร่อมตัก บังคับให้เผชิญหน้ากัน



“คุณพิชญ์” เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังที่จะทำให้น้องจะตั้งใจฟัง



“งี่เง่ากับพี่ได้ รู้ใช่ไหม” เมื่อได้ยินคำพูดตัวเองย้อนกลับ แววตาสีน้ำตาลอ่อนจึงวูบไหว



น้องเคยพูดแบบนี้ในวันที่ผมร้องไห้ ไม่ใช่คำถาม แต่เป็นขอร้องให้พึ่งพิงเคียงข้าง



“จะงอแง เอาแต่ใจยังไงก็ได้ แต่อย่าซึมแบบนี้ พี่เป็นห่วงนะครับ รู้ไหม”



ยิ่งได้ยินน้ำเสียงออดอ้อนที่ไม่ได้ฟังบ่อยนักกำแพงที่พยายามสร้างก็พังทลาย จากที่ปั้นท่าเข้มแข็งมาได้ตลอดวันก็ยอมแสดงความอ่อนไหว



“อือ” ซุกใบหน้าที่คล้ายจะร้องไห้กับไหล่ผม พลางบ่นระบายความอึดอัดในใจ



“พิชญ์ปวดหัวจะแย่แล้ว ปวดหัวๆๆๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว หงุดหงิดๆ เมื่อไหร่จะหายยย” เสียงสะอื้นเคล้าเสียงบ่นงุ่นง่านนานหลายนาที



เด็กรั้นยิ่งโวยวายหงุดหงิดเมื่อได้ยินผมปลอบไปขำไป

 





พอพิชญ์ร่าเริงขึ้นผมเลยโทรไปรายงานคุณแม่อีกครั้งเพื่อให้ท่านสบายใจ



สองสามวันต่อมาไข้ก็หาย แต่ผมก็ยังให้น้องกินยาต่อ ยังทำอาหารแก้หวัดกันเอาไว้



“พี่เต” ข้าวต้มร้อนๆ ถูกตักพักไว้ในถ้วยพอดีกับที่เอวของผมถูกรวบจากด้านหลัง เสียงเรียกออดอ้อนพร้อมกับริมฝีปากร้อนจูบหลังคอผมซ้ำๆ



“จะเอาอะไร หือ?” เลิกคิ้วถามพลางเอี้ยวตัวกลับไปสบตาคนที่ทำท่างอแงใส่แต่เช้า



“ผมไม่สบาย” ว่าพลางผละอ้อมกอด ถอยหลังกลับไปกระโดดขึ้นนั่งบนเคาน์เตอร์แววตารั้นร้าย



“ปวดหัว?” ผมยิ้ม รับรู้ถึงความเจ้าเล่ห์ของเด็กเอาแต่ใจ



“ไม่รู้ว่าเป็นอะไร” พิชญ์ส่ายหน้า ยกแขนโอบรอบคอเมื่อผมขยับเข้าไปใกล้ ยกขาเกี่ยวเอวผมไว้ในท่วงท่าอันตราย



ผมหัวเราะ ปล่อยให้คนอ้างว่าป่วยโน้มคอลงไปใกล้จนสัมผัสถึงลมหายใจ



สบตาซุกซน ก่อนจะยกยิ้มแล้วเลื่อนริมฝีปากกระซิบข้างหูแผ่วเบา



“ข้างในมันร้อนไปหมด...” 



“...”



“คุณหมอฉีดยาให้พิชญ์หน่อยได้ไหม”








----------------------------

เดิมทีจะอัพตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายค่ะ แต่ขออีกตอนดีกว่า 5555

ใจจริงอยากจะอัพให้อ่านทุกตอนเลยล่ะ แต่มันจะไม่ยุติธรรมสำหรับคนที่จะซื้อหนังสือสินะคะ ;-;

เจอกันอีกทีวันเปิดพรีน้า ><



ฝาก #เกมท้ารัก ด้วยนะคะ

ขอบคุณมากๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก : Special V :We're Both Sick [30.11.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: HappyYaoi ที่ 30-11-2018 23:48:22
ยัยพิชญ์น่าตีขึ้นทุกวัน ไม้เรียวในมือแม่สั่นไปหมด หนูยั่วมากลูกกกก
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก : Special V :We're Both Sick [30.11.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 01-12-2018 08:01:37
นุ้งพิชญ์น่ารักอ่ะ    :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก : Special VI : Intern [03.12.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 03-12-2018 23:17:02
Truth Or Dare

(Specail)

Intern (1.1)


           

ปิดเทอมฤดูร้อนตอนปีสี่ คือช่วงเวลาของการก้าวเข้าสู่ชีวิตจริงไปอีกขั้น

           

สุดท้ายผมเลือกฝึกงานที่บริษัทพ่อพี่เตอย่างที่ท่านเคยคะยั้นคะยอ

           

แต่เพียงบริษัทในเครือที่แยกออกมาเพื่อดูแลโครงการขนาดเล็ก สาเหตุหนึ่งคือสไตล์งานที่ผมชอบ แต่อีกสาเหตุเพราะผมแพ้เดิมพันคุณลูกชายผู้บริหารที่ตีหน้ามึนลงโทษกันด้วยการบังคับผมส่งพอร์ตงานมาที่บริษัท

               

แน่นอนว่าผมได้ที่ฝึกงาน ถึงจะไม่ใช่เพราะพี่เต แต่ผมยังให้เขารักษาความสัมพันธ์ของเราไว้เป็นความลับเพราะไม่อยากวุ่นวาย

               

ชีวิตเด็กฝึกงานไม่ได้ยากแต่ก็ไม่ได้สนุกอย่างที่หวัง

               

ระยะแรกผมอึดอัดที่แทบไม่ได้หยิบจับอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน งานหลักคือชงกาแฟกับออกไปซื้อข้าวให้พี่ๆ ในทีมไปวันๆ แต่พอเข้าอาทิตย์ที่สองอะไรๆ เริ่มเข้าที่เข้าทาง เริ่มมีงานเขียนแบบ Perspective กับงานเรนเดอร์ให้ทำ พี่เติ้งที่เป็นพี่เลี้ยงผมใจดีมาก ยอมให้ผมลองทำงานหลายๆ แบบพร้อมกับสอนในสิ่งที่ไม่รู้ทุกเรื่องจนเราสนิทกัน



ผมพยายามของานพร้อมกับแสดงความสามารถที่มีออกมา ไม่เข้าใจก็ถาม เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ แต่ดูเหมือนจะมีเรื่องหนึ่งที่ลำบาก

               

"คุณพิชญ์ เสื้อคอกว้างนะ" ผมยืดตัวเต็มความสูงจากที่ก้มตัวลงยันโต๊ะเพราะกำลังคุยกับรุ่นพี่ เลิกคิ้วมองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในออฟฟิศด้วยสูทเต็มยศแถมมีเลขาเดินตาม ท่าทางคงไปคุยกับพวกผู้ใหญ่มา เพราะอาการบูดบึ้งออกหน้าออกตา

               

“ขอโทษครับ” ผมพยายามกลั้นยิ้ม ปัดคอเสื้อยืดที่ย้วยลงมาเกือบถึงอกไปด้านหลัง ปกติเวลาทำงานทุกคนจะแต่งตัวสบายๆ แค่มีแจ็กเกต หรือเสื้อคอปกเตรียมไว้สวมเวลารับลูกค้าหรือมีประชุมสำคัญ

               

แต่คุณลูกชายผู้บริหารกลับยังงุ่นง่าน เหลือบตามองพี่เติ้งสลับกับผม



"อย่าคุยในเวลางาน ไม่เข้าใจมาถามผม"



หึงชัดๆ 



“ครับ” ผมแกล้งรับคำนอบน้อม ดึงแปลนกลับมาที่โต๊ะ เพราะได้ข้อมูลที่อยากรู้ครบตั้งนานแล้ว



อันที่จริงพี่เตคงมองออกว่าผมกำลังคุยเล่นในเวลางาน ถึงได้ดุ แต่โดยปกติออฟฟิศไม่ได้เคร่งขนาดไม่ให้พักระหว่างงาน ส่วนใหญ่ถ้างานไม่เร่งจริงๆ ก็ยืดหยุ่นตามสบาย โดยเฉพาะกับเด็กฝึกงานแทบไม่จำเป็นต้องโดนจับตามอง



คงมีแต่ผมนี่แหละที่โดนดุเป็นประจำ



“ไม่เป็นไร...”



"คุณพิชญ์ มาที่ห้อง" พี่เติ้งถึงกับชะงักกลางประโยค เมื่อพี่เตหันหลังกลับมาทั้งที่เพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว พี่เลี้ยงเบิกตาค้างท่าทางตกใจที่ผมถูกเรียกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแบบนั้น



ในขณะที่ผมได้แต่รับคำ ลุกขึ้นเดินตามร่างสูงไป



ถอนใจเจือขบขันกับเรื่องที่เจอเป็นประจำ

 









"เตวิชญ์พี่จะเรียกผมทุกวันแบบนี้ไม่ได้" สรรพนามเปลี่ยนทันทีที่อยู่ลำพัง



ต้องขอบคุณอภิสิทธิ์ของคุณลูกชายผู้บริหารที่มีห้องส่วนตัวปิดม่านมิดชิดแถมไม่มีใครกล้าโผงผางเข้ามารบกวนเพียงแค่เอ่ยปากบอกเลขาว่าไม่ว่าง



ไม่อย่างนั้นคงไม่อาจหลบสายตาภายนอกจากการกระทำอุกอาจ ลืมสถานะเจ้านายลูกน้องจากตำแหน่งนั่งของผมที่พิงสะโพกกับโต๊ะยืนระหว่างขาของคนที่นั่งบนเก้าอี้ต่ำกว่า



"อืม" แขนแกร่งโอบแผ่นหลังดึงร่างชิดกันมือซุกซนที่ไล้ไปทั่วในสาบเสื้อ ใบหน้าซุกอยู่กับซอกคอ สูดกลิ่นสลับจูบซ้ำไปซ้ำมาราวกระหาย



"คนอื่นเขาคิดว่าพี่รังแกผม" ผมว่า ใช้นิ้วชี้ดึงปมเนคไทของเขาลงมาพร้อมปลดกระดุมสองเม็ดบนให้คลายความอึดอัด



พี่เนมเคยสารภาพว่าเคยกังขาว่าผมเป็นเด็กเส้น เพราะเรียนสถาบันเดียวกับพี่เต แต่พอเห็นท่าทางเข้มงวด กับออร่าขึ้งขวางที่มักแผ่ออกมาเวลาเห็นผมอยู่กับพวกพี่ๆ เป็นประจำก็เริ่มเอนเอียง คล้ายจะเป็นโจทก์เก่ากันมากกว่า



"ก็จริงไหม" ร่างถูกดึงลงไปนั่งตัก มือและปากซุกซนยังคงรุ่มร่าม



"ไม่ใช่แบบนี้...อะ!" หลุดสะดุ้งเมื่ออยู่ๆ นิ้วเรียวยาวเกี่ยวรั้งสายโซ่ที่ซุกซ่อนในสาบเสื้อ



รั้งเกี่ยวห่วงเงินบนยอดอกสองข้างที่ถูกเชื่อมไว้ด้วยกัน



"วันหลังอย่าใส่เสื้อขาว มันเห็นนี่ชัดเกินไป" นิ้วเรียวร้ายยังแกล้งไล้เส้นสายจากซ้ายไปขวา



เพียงบางเบาแต่กลับทวีรสสัมผัสซ่านจนหลุดครางน้ำตาคลอ



"ระ รู้แล้ว อย่าจับสิ!" ผมดึงมือพี่เตออก ผุดหนีจากความแนบชิดระยะอันตราย



ถ้ารู้ว่าจะกลายเป็นจุดอ่อนแบบนี้วันหลังคงต้องปลดสายก่อนออกจากบ้าน



"ร้อนไหม พี่รวบผมให้" คนเจ้าเล่ห์ยกยิ้มขบขันลุกขึ้นตาม นิ้วเรียวเกี่ยวเส้นผมทัดหูก่อนเลื้อยมาถึงหลังคอ 



ผมสบสีรัตติกาลที่พราวระยับด้วยเลศนัยอย่างรู้ทัน



"ไม่ต้องมาแผนสูง ผมรู้พี่ทำรอยไว้"



พี่เตหัวเราะเมื่อถูกจับได้ทั้งที่ริมฝีปากไวเท่าลมหายใจ



เพียงชั่วครู่ขณะเบี่ยงเบนความรู้สึกผมไปที่ยอดอกที่ถูกรั้ง กลีบกุหลาบถูกฝังลงที่หลังคอผม



ผลิบาน ประกาศชัดจับจองผิวกาย   

 







Intern (1.2)

 

           

"เติ้ง น้องที่เพิ่งมาฝึกงานชื่ออะไรนะ ที่ผมยาวๆ"



"อ่อ น้องพิชญ์ น่ารัก เฟรนด์ลี่สัด"



“เออ โคตรน่ารัก ตอนเจอครั้งแรกกูนี่ใจสั่น”



“มึงชอบแบบนี้เหรอ?”



“มึงไม่ชอบ?”



“เปล่า น้องมันก็น่ารัก”



“แล้วหน้าบึ้งเพื่อ”



“...”



"เห็นว่ามาจากที่เดียวกับลูกชายบอส เด็กเส้นป่ะวะ"



"กูว่าไม่เส้นนะ น้องโดนดุตลอด คุณเตโคตรโหด"



“ดุเรื่องไร”



“คุณเขาบอกว่าน้องแต่งตัวไม่เรียบร้อย ชอบคุยในเวลางาน แต่กูก็ว่าปกตินะ มึงกับกูยังแต่งสถุลกว่าอีก ส่วนเรื่องที่คุยส่วนใหญ่ก็เรื่องงาน น้องมันไม่รู้ก็มาถาม แค่นั้น”



“แล้วมึงได้บอกคุณเตป่ะ”



“มึงกล้าบอกป่ะล่ะ”



“แต่มึงเป็นพี่เลี้ยงอ้ะ”



“ไม่เอาว่ะ กลัวหัวขาด”



“โห ขนาดนั้น กูเคยได้ยินว่าโหด แต่ไม่คิดว่าจะเคร่งแม้แต่กับเด็กฝึกงาน”



"เออโหดสัด เรียกเข้าห้องแต่ละทีน้องแม่งเดินเหงื่อแตกน้ำตาคลอออกมา กูล่ะสงสาร”








---------------------------------------------

ใครบอกจะอัพอีกตอนเดียว 5555 เอาเป็นว่าจะอัพเรื่อยๆ จนกว่าจะพอใจเนอะ ;-;

อยากเอาตอนนี้มาลงเพราะเผื่อใครไม่เคยอ่านในทวิตอาจจะยังไม่รู้จักพี่เติ้งกับพี่เนมที่เป็นพี่เลี้ยงฝึกงานให้น้องพิชญ์ค่ะ

เป็นตัวประกอบที่เข้ามาเพิ่มสีสันให้พอน่ารักๆ

แต่ไม่มีเรื่องของตัวเองนะคะ พามาป่วนเท่านี้แหละ 5555



ปล. วันนี้เพิ่งได้ข่าวดีจากบก. ว่าเรื่อง #หมีแต่รัก (คู่ป๊าเจด กับเจได) ซึ่งเป็นภาคแยกจากเรื่องนี้ผ่านการพิจารณาแล้วนะคะ ดีใจมากเลย แล้วก็คิดได้ว่าช่างเป็นเซตที่อารมณ์ต่างกันสุดขั้วมาก เรื่องหนึ่งหม่นเทาส่วนอีกเรื่องมุ้งมิ้งชมพูพาสเทลมาเลย 55555

ยังไงก็ฝากทั้ง #เกมท้ารัก ทั้ง #หมีแต่รัก เลยนะคะ



ขอบคุณมากๆ ค่า

-Martian-
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก : Special VI : Intern [03.12.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: megatef4 ที่ 03-12-2018 23:33:43
พี่เตคะ นั่นเด็กฝึกงานนะ เล่นบทเจ้านายลูกน้องสินะ  กร๊าวใจจจ  :hao7:
ขอบคุณค่าาา
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก : Special VI : Intern [03.12.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: HappyYaoi ที่ 03-12-2018 23:49:19
เจาะหน่มน๊มเพิ่มอีกข้าง หนูจะยั่วขนาดนี้ไม่ได้นะลูก
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก : Special VI : Intern [03.12.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 04-12-2018 00:52:45
จะกร้าวใจไปล้าวววว
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก : Special VI : Intern [03.12.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Josett ที่ 06-12-2018 11:52:32
พี่เตดุไปอะะ ใจสั่นเลยยย :katai1:
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก : Special VI : Intern [03.12.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 06-12-2018 21:02:30
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก :Special VII:Because Of Rain[09.12.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 09-12-2018 22:32:27
Truth Or Dare

(Special)

Because Of Rain





ข้างนอกฝนตกไม่หยุด อากาศเย็นๆ เหมาะกับเครื่องดื่มอุ่นๆ ผมเลยสลัดความเกียจคร้านลุกขึ้นมาชงกาแฟ



ฟ้ามืดแล้ว แต่เพราะยังมีงานฟรีแลนซ์ที่รับไว้เพื่อไม่ให้ช่วงปิดเทอมว่างเกินไป ไม่ได้เร่งรีบถึงทำไปพักไปตามอารมณ์ได้ 



หยิบแก้วเอสเพสโซ่ร้อนออกมายืนข้างหน้าต่างบานสูงมองวิวของท้องฟ้าที่ฉาบด้วยม่านฝนพลางฮัมเพลงจากหนังที่เพิ่งดูจบ เปียกปูนวิ่งมาพันแข้งพันขาจนผมต้องย่อตัวลงไปลูบหัวลูบหลังเล่นกับมัน



“เหงาอ่ะดิ” ตู่เอาเองว่าเจ้าตัวเล็กที่ชักจะไม่เล็กคงกำลังมีความคิดอย่างเดียวกัน



ช่วงนี้พี่เตกลับบ้านบ่อยๆ เพราะถูกพ่อบังคับให้เข้าไปช่วยงานที่บริษัท แลกกับการโอนกรรมสิทธิ์เพ้นท์เฮ้าส์นี้ให้เขาเป็นเจ้าของโดยสมบูรณ์ คนขี้งกก็เลยยอมทำ



ทั้งที่ไม่เคยคิดถึงเรื่องมรดก แต่ไม่ทันเรียนจบก็ต้องเข้าไปแสดงตัวในฐานะอนาคตผู้บริหาร เล่นเอาทั้งพี่เตทั้งคนบริษัทลำบากใจไปตามกัน ถึงอย่างนั้นคุณพ่อก็ดูจะไม่คิดมากเรื่องเสียงนกเสียงกา เพราะใจจริงแล้วท่านเองก็อยากป่าวประกาศเรื่องสถานะของพี่เตมานาน เลยถือโอกาสติวเข้มไปพร้อมๆ กับการทำให้ทุกคนค่อยๆ ยอมรับในความเดียว



งานหิน แต่ผมไม่คิดขัดเพราะอยากให้สองพ่อลูกใช้เวลาอยู่ด้วยกัน



แล้วอีกอย่าง... เวลากลับมาจากทำงานเหนื่อยๆ เสือยิ้มยากกลับกลายเป็นแมวป่าขี้อ้อนเป็นเท่าตัว



“คิดถึงๆๆ” ผมงอแงใส่เปียกปูน จับหน้าซนๆ ส่ายไปมาก่อนจุ๊บหน้าผากมันหนึ่งทีอย่างมันเขี้ยว ไม่ทันไรเจ้าตัวเล็กก็ดิ้นหนี ส่งเสียงเห่าพลางวิ่งขึ้นบันไดไปที่ชั้นลอย พอดีกับที่เสียงประตูเปิดออก



พอพ่อมาก็ลืมผมทันที



ผมหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาจิบ ฟังเสียงทุ้มต่ำทักทายเจ้าตูบนิ่งๆ เปียกปูนเหมือนพอใจที่เห็นเจ้าของกลับบ้าน วอแวสักพักก็วิ่งกลับเข้ามุมของตัวเอง นอนแผ่อย่างเกียจคร้าน



ผมยืนมองเจ้าของขายาวๆ ก้าวลงบันไดมาช้าๆ สูทตัวนอกถอดออกมาพาดแขนพลางปลดเนคไทกับกระดุมสองเม็ดบนด้วยท่าทางที่ทำเอาในหัวผมสบถออกมาว่าฮอตเป็นบ้า



และผมต้องกำลังหน้าแดงอยู่แน่ๆ เพราะดันคิดเรื่องไม่ดีขึ้นมา...



“มาทำอะไรตรงนี้” ใบหน้าคมทำท่าประหลาดใจที่เห็นผมยืนรับลมอยู่ริมหน้าต่างทั้งที่ฝนตกหนัก แต่มันไม่ใช่คำถาม คนพูดถึงได้เดินมารวบเอวผมโดยไม่คิดจะฟังคำตอบใดๆ จมูกโด่งซุกลงกับซอกคอสูดกลิ่นสลับจูบลงตามลาดไหล่เปลือยก่อนเลื่อนกลับมางับใบหูผมเบาๆ



“ตัวเย็นหมด เดี๋ยวก็ไม่สบาย”



ผมหัวเราะ อาศัยจังหวะที่เขาวุ่นวายกับซอกคอวางแก้วกาแฟลงที่ขอบหน้าต่างไม่อย่างนั้นคงหกเลอะตอนที่เขายกตัวผมขึ้นนั่งบนขอบหน้าต่างอีกบานหลังจากได้ยินเสียงกระซิบท้าทาย



“งั้นพี่ก็ทำให้ผมอุ่นสิ”



เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังข้างหู ก่อนที่ริมฝีปากจะถูกทาบทับด้วยอวัยวะเดียวกัน ร่างกำยำประชิดเข้ามาจนแผ่นหลังเปลือยเปล่าแทนจะแนบกับผืนกระจกเย็นเฉียบถ้าหากเขาไม่เอาฝ่ามือรองไว้ให้



เรียวลิ้นกระหวัดสลับกับขบริมฝีปากหยอกเย้าอยู่นาน กว่าเขาจะยอมผละออกไป มองหน้าผมด้วยสายตาและรอยยิ้มมุมปากที่ราวจะทำให้ใจผมเหลวละลายได้ทุกครั้ง



“ผมตกหลุมรักครั้งแรกวันฝนตก”



อาจเป็นเพราะเสียงหยาดฝนที่อึงอลเป็นฉากหลัง ผมถึงได้นึกอยากบอกเล่าถึงเหตุการณ์ในอดีต



พี่เตขมวดคิ้ว ท่าทางงุ่นง่านขึ้นมาทันทีตอนที่ถามออกมาห้วนๆ ว่า “ใคร”



ผมหลุดหัวเราะ ลืมไปว่าผมยังไม่เคยพูดถึงเหตุการณ์นี้ให้เขาฟัง



ครั้งแรกที่ผมเจอเขา



“เป็นเด็กลูกครึ่งที่ย้ายมาเรียนกลางเทอม” ผมทำท่านึกแล้วเกริ่น ยิ้มราวเพ้อถึงความหลัง



“หล่อมาก เป็นนักบาสโรงเรียนอีกต่างหาก”



พี่เตขมวดคิ้วแน่น ผมยิ่งขำ เจ้าตัวคงเริ่มจับทางได้ว่าผมพูดถึงใคร



“เล่นดนตรีก็เก่ง การเรียนดีเลิศ อ่อ แถมแข่งวาดรูปชนะผมขาดอีกต่างหาก” คราวนี้พี่เตหลุดหัวเราะบ้าง กระชับแผ่นหลังผมแน่นจรดหน้าผากแตะกันพลางสบตาผม รอฟังว่าจะพูดถึงเขายังไงอีก



“พี่เคยถามว่าทำไมผมถึงรักพี่ใช่ไหม” ผมสบตากลับ ยกมือขึ้นมาทาบแก้มเขาเกลี่ยใต้ดวงตาคู่สวยเบาๆ ทิ้งช่วงให้ลมหายใจสัมผัสกันและกัน “ถ้าผมบอกว่าเพราะผมเป็นคนเดียวที่ได้เห็น วันที่ดวงตาคู่นี้อ่อนโยนที่สุด พี่จะเชื่อไหม”



เปิดเผยความลับที่ซุกซ่อนไว้ ความลับที่ผมครอบครองอย่างหวงแหนตลอดหลายปีที่ผ่านมา



พี่เตทำหน้าไม่เข้าใจ ผมยิ้ม เกลี่ยแก้มตอบอย่างแสนรัก



“เย็นนั้นฝนตก พี่กำลังอุ้มลูกหมาตัวหนึ่งไว้บนตัก ปลอบมันซ้ำๆ ทั้งที่กำลังร้องไห้”



ท่ามกลางสายฝน ในสถานที่ไร้ผู้คน เขาลักลอบหลั่งน้ำตาให้ลูกหมากำพร้าที่ไม่มีใครสนใจ ผมไม่เคยเห็นใครทำแบบนั้น ไม่เคยเห็นสีดำเฉดไหนอ่อนโยนและสวยงามเท่ารัตติกาลในดวงตาเขา



“อา... นั่นมัน...หมาตัวนั้น...” เพียงลมหายใจสอดประสานหนึ่งครั้งพี่เตทำท่านึกขึ้นได้ ผงะออกไป ท่าทางเหมือนจะโต้แย้งอะไรแต่สุดท้ายงุ่นง่านไร้คำอธิบาย



“ไม่เห็นจะน่าประทับใจตรงไหน” เขางอแง ก้มหน้าลงมาซบไหล่ผมอีกครั้ง หัวเราะในลำคอ



“น่ารักจะตาย ผมตกหลุมรักพี่ตั้งแต่แรกพบเลยรู้ไหม” ผมกอดเขากลับ หุบยิ้มไม่ได้ พี่เตหัวเราะอีกครั้ง แกล้งงับหูผมแรงๆ ก่อนผละออกมาหรี่ตาคาดคั้น



“ยังมีเรื่องน่าอายของพี่เก็บไว้อีกไหม เล่ามาให้หมด คุณพิชญ์”



ผมเลิกคิ้ว แกล้งทำเป็นคิด ยียวนจนคนโตกว่าหมั่นไส้อุ้มผมขึ้นจนผวาคว้าไหล่พร้อมกับยกขาก่ายเอวสอบอัตโนมัติ ทว่าพอก้มหน้าลงสบดวงตาสีรัตติกาลพราวระยับแล้วหลุดยิ้มอีกครั้ง แสร้งทำเป็นหันมองนอกหน้าต่าง



“ฝนหยุดแล้ว” โน้มตัวลงกระซิบพลางขบใบหูหยอกเย้าจงใจกัดรั้งตำแหน่งต่างหูที่ผมเป็นคนเจาะให้



“ไว้ฝนตกคราวหน้า พิชญ์จะเล่าให้ฟัง”



ยังมีอีกหลายสิบหลายร้อยเรื่องเกี่ยวกับเราที่ผมยังไม่ได้เล่า หลายสิบเรื่องที่ผมยังเก็บไว้ในลิ้นชัก



ยังไม่ใช่วันนี้ที่ผมจะบอกให้เขาฟัง



ยังไม่ใช่วันที่บรรยากาศเป็นใจ เพราะในหัวผมกำลังวุ่นวาย ขบคิด...



ว่าสูทกับเนคไทจะใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง...บนเตียง




-----------------------------

แจ้งข่าว Pre-Order เล่มพิเศษเกมท้ารัก

(https://www.img.live/images/2018/12/09/77e8cd8b88f61ddd.jpg)

มาแล้วววว รายละเอียดและฟอร์มจองหนังสือเล่มพิเศษเกมท้ารักค่ะ ><

[Pre-Order] Special Truth Or Dare #เกมท้ารัก

รายละเอียดหนังสือ ::
???หนังสือรวบรวมตอนพิเศษที่ไม่มีในเล่มหลัก
- ขนาดเล่ม 12.5*18.5 cm. (เล็กกว่า A5)
- จำนวน140+ หน้า
- ของแถมที่คั่น 1อัน และโปสการ์ด 1ใบ

- ราคาเล่มละ 280 บาท (รวมค่าส่งลทบ.)

- ระยะเวลาในการโอนตั้งแต่ 08/12/2018 - 08/01/2019

- รายละเอียดการโอนและฟอร์มแจ้งโอน (https://docs.google.com/forms/d/1HliuAznuo58RAs0HRuCxWp--D5RA9hNOFLqJ7Wf1ygk/edit)  (คลิกที่ตัวหนังสือสีแดงได้เลยค่ะ)

- ส่วน e-book เล่มพิเศษจะมาหลังปิดพรีแล้วนะคะ ^^



ฝากพี่เตกับน้องพิชญ์ด้วยน้า
ขอบคุณทุกคนที่สนับสนุนนะคะ ^^

-Martian-




หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก : Special VII : Because Of Rain [09.12.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: HappyYaoi ที่ 10-12-2018 00:15:41
จะรอแบบ e-book นะคะ ขอบงานเขียนของคุณมาก ๆ มีความเซ็กซี่ในตัวอักษรทั้งที่ไม่มีฉากเรท ประทับใจการใช้คำมาก ๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re:[Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก : VIII : Playing With Fire [11.12.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 11-12-2018 17:47:35
Truth Or Dare

(Special)

Playing With Fire

 



ผมไม่เคยตามพี่เตไปยิมเลยสักครั้ง เพราะไม่พร้อมตื่นเช้าหลังจากตั้งหน้าตั้งตาปั่นงานจนรุ่งสาง

               

ในห้องมีสระว่ายน้ำ และเท่านั้นมากพอแล้วสำหรับการออกแรงสำหรับผม

               

วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมมาเหยียบที่นี่ สภาพชุดนอน ผมยุ่งเพิ้งถูกรวบไว้ลวกๆ หน้าคงยังงัวเงียเพราะเพิ่งลุกจากเตียง

               

ไม่ใช่นึกครึ้มอยากออกกำลังกาย แต่เพราะพี่เตดันลืมโทรศัพท์ไว้ และมีสายสำคัญโทรมาปลุกให้ผมมาตามเขาไปคุยธุระ

               

ตลอดทางรับรู้ได้ถึงสายตาที่จับจ้องมา คงเพราะไม่คุ้นหน้า หรืออาจจะเพราะคุ้นตาถึงได้ยินเสียงซุบซิบตามหลัง

               

ผมไม่รู้ว่าพี่เตอยู่ไหน จึงเดินตามหาสะเปะสะปะ แต่เช่นทุกครั้ง ที่ความโดดเด่นของเขาสะดุดตา จึงหาตัวคนรักได้ไม่ยากเย็น

               

ร่างสูงในเสื้อยืดกางเกงวอร์มง่ายๆ แผ่ตัวราบอยู่บนเบาะหนัง สอดตัวใต้เครื่องยกน้ำหนัก สองมือจับบาร์แน่น เส้นเลือดที่แขนขึ้นลายบนผิวหนังขณะที่เขาออกแรงยกมันขึ้นลง เสียงลมหายใจสม่ำเสมอก้องชัด

               

ผมนิ่งงัน มองภาพนั้นด้วยหัวใจที่เต้นผิดจังหวะขึ้นมา



เช่นตอนตีกลอง ความแน่วแน่และร่างกรำเหงื่อทำให้คนตรงหน้าดูเซ็กซี่จนแทบคลั่ง

               

ถ้าไม่ประเจิดประเจ้อเกินไป ผมคงเดินไปคร่อมร่างกำยำ บดจูบ โลมเร้า เรียกให้อ้อมแขนแข็งแกร่งบดขยี้ตามต้องการ

               

ทว่าต่อหน้าสาธารณะ ผมทำได้เพียงยืนนิ่งรอเวลา ด้วยไม่อยากขัดจังหวะ

               

“น้องพิชญ์ใช่ไหมครับ” เกือบสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเอ่ยทัก หันกลับไปมองรอยยิ้มที่ดูตั้งใจผูกมิตรเกินงาม ผมจำไม่ได้ว่าเรารู้จักกัน แต่ก็พยักหน้ารับ

               

“ครับ”

               

“อยู่คอนโดฯ นี้เหรอครับ ไม่เคยเจอเลย”

               

“อ่อ ครับ” ไม่รู้จะตอบรับอะไร คงเพราะสติยังไม่เข้าที่เข้าทาง สายตาผมยังจับจ้องไปยังเครื่องยกน้ำหนัก

               

คงเพราะได้ยินชื่อผม พี่เตจึงหยุดชะงัก หยุดออกกำลังแล้วลุกขึ้นนั่งพักปรับจังหวะหายใจ ดวงตาคมหันมาสบตาผม เลิกคิ้วตั้งคำถาม

               

“แล้วนี่มาออกกำลังกายเหรอครับ” ไม่ทันได้ตอบด้วยซ้ำ คนถามกลับเอ่ยต่อ เยินยอออกนอกหน้า “ถ้าน้องพิชญ์มีอะไรให้พี่แนะนำ...”

               

“คุณพิชญ์” ไม่ทันจบประโยคเช่นกัน เมื่อคนที่นั่งมองอยู่ลุกขึ้น เดินมายืนซ้อนหลัง

               

ถึงชายแปลกหน้าจะตัวสูงแล้ว แต่พี่เตกลับสูงกว่า ข่มหมดรูปด้วยกล้ามเนื้อสมบูรณ์แบบสัดส่วนนักกีฬา



ตาสบตา คล้ายเห็นประกายไฟประหลาดวูบวาบชวนเสียวสันหลัง

               

“ป๊าโทรมา บอกว่ามีธุระสำคัญ ด่วนมาก” ผมเลยรีบเอ่ยจุดประสงค์ เบี่ยงประเด็นก่อนเกิดสงคราม พี่เตเลิกคิ้ว หยิบโทรศัพท์ที่ยังถือสายค้างไว้ ป่านนี้พี่เจดคงได้ยินทั้งหมดว่าอะไรเป็นอะไร



ทว่าไม่ทันได้กรอกเสียงลงปลายสาย ดวงตาคมกลับยังจับจ้องคนแปลกหน้าราวกับมีธุระสำคัญกว่าต้องสะสาง ริมฝีปากบางขยับเพียงเล็กน้อย กดเสียงต่ำ   



“He's mine”

               

ผมหลุดหัวเราะกับน้ำเสียงจงใจคุกคาม เตือนให้ถอยห่าง



อย่าเล่นกับไฟ

 









กลับมาถึงห้อง ผมปล่อยให้พี่เตโทรศัพท์ส่วนตัวเองเดินมาเตรียมอาบน้ำออกไปส่งงาน



แปรงฟันเสร็จอีกคนก็เดินเข้ามา เตรียมถอดเสื้อผ้าเปียกเหงื่อเตรียมอาบน้ำเช่นกัน



ทว่าถอดได้เพียงเสื้อกลับชะงักงั้น สบตาผมที่จ้องการเคลื่อนไหวของเขา การขยับของกล้ามเนื้อที่เพิ่งผ่านกาออกกำลัง เย้ายวน งดงาม



สีรัตติกาลจ้องกลับมุมปากบางผุดยิ้มร้าย ก่อนร่างสูงเปลี่ยนทิศทางก้าวเข้ามายืนซ้อนหลังทั้งที่เหลือกางเกงวอร์มเพียงตัวเดียวอย่างนั้น



โอบกอด ก่อนซุกซบใบหน้าลงมาบนไหล่เปลือยเปล่า ช้อนสบตาในเงาสะท้อนของกระจก



ผมหน้าแดง แต่ยังแสร้งถอนอกระอาใจ



“รู้ตัวใช่ไหม ว่าตอนนี้พี่ฮอตเป็นบ้า”



เขาหัวเราะ ทั้งที่ยังฝังริมฝีปากลงกับไหล่ผม ดวงตาฉายแววร้ายกาจเจือออดอ้อนเอาใจ



ให้ตาย... เขารู้ตัวแน่ๆ ไม่สงสัย



ถึงรู้ว่ากำลังตกหลุมพราง ผมกลับยกมือสอดซุกในเส้นผมชื้นเหงื่อ ทึ้งขย้ำขณะฟันคมกัดลงบนผิวหนัง ลิ้นร้อนไล้เลีย ก่อนจูบซับ



กัดซ้ำ... ชิมเรื่อยมาจนถึงลำคอ ผมประบ่าถูกรวบพ้นทาง ถือโอกาสแทะโลมตามใจ



ไม่ทันไรผ้าขนหนูที่พันไว้ลวกๆ ถูกสลัดไปกองบนพื้น เปิดเปลือยให้สะโพกเสียดสีกับกลางร่างที่ดุนดันผ่านกางเกง



ควานหาร่อง กดแนบช่องทางเน้นเนื้อหนักจนสัมผัสถึงความแข็งขึงที่กำลังคลั่ง



เผลอเผยอริมฝีปากเอียงใบหน้าคลอเคลียเรียกร้องจุมพิตหวาน ฝ่ามือใหญ่ปัดป่ายทั่วร่าง ลูบหน้าท้องเรื่องมาจนถึงยอดอก กางนิ้วบดขยี้ทั้งสองข้างพร้อมกัน



ผมปัดมือเขาออก ก่อนหมุนตัวเข้าหา ทันควัน อ้อมแขนแข็งแร่งรวบเอวฉุดร่างของผมขึ้นนั่งบนอ่านล้างหน้า ก่อนโถมตัวแนบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง



เรียวลิ้นรุกเร้า เนิ่นนาน ต่างโรมรันไร้ท่าทีโอนอ่อนผ่อนตาม เสียงหยาบโลนดังก้องในห้องน้ำ ต่างยื้อแย่งปลุกเร้า



มือผมไล้สะเปะสะปะบนกล้ามเนื้อกำยำ หลังออกกำลังยิ่งสัมผัสความแข็งแกร่งชัด เผลอยิ้มพอใจขณะไล่ปลายนิ้วผ่านหน้าท้องตามแนวแผลเป็นงดงาม สะดุดลอนกล้ามทีละขั้น ก่อนหยุดที่ขอบกางเกงวอร์ม



เขาหัวเราะในลำคอขณะผละออกมองมือซนที่ยังละล้าละลัง คล้ายเร่งเร้าให้ล้วงจับลงไปในความอึดอัดที่นูนคับผ่านเนื้อผ้า



ทว่าผมเพียงยิ้ม สบตา ท้าทาย



ค่อยๆ เลื่อนมือกลับขึ้นมาจับคางเขา ก่อนสอดสองนิ้วเข้าไปในริมฝีปากให้ชื้นฉ่ำ



สองขายกขึ้นชันเข่า อ้ากว้าง สองนิ้วถูกดึงกลับ... อ้อยอิ่ง แตะกลางร่อง ไล้วนส่วนปิดสนิทยั่วเย้า



ก่อนกดลึก จมหาย...



“คุณพิชญ์” ดวงตาคมจับจ้องเรียวนิ้วที่กำลังรูดเข้าออก ปรนเปรอขยายช่องทางต่อหน้า ก่อนสบตากันอีกครั้ง



คล้ายได้กลิ่นราคะโชยชัด กวนพายุสีรัตติกาลคุคลั่ง



ต่างยกยิ้มมุมปาก ก่อนโถมจุมพิตร้อนร้าย บดขยี้ริมฝีปากกันและกัน



ขณะเว้นจังหวะหายใจ เสียงทุ้มเอ่ยกระซิบย้อนคำที่ผมเคยถาม



“รู้ตัวใช่ไหม ว่าตอนนี้น้องฮอตเป็นบ้า”   



ไฟปะทะกับไฟ สุดท้ายจึงโหมไหม้แหลกลาญ











----------------------------------------------

ขออนุญาตอัพตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายนะคะ

เนื้อหาที่เหลือเจอกันในเล่มเนอะ



เล่มพิเศษสามารถ Pre-Order ได้จนถึงวันที่ 8 มกราคม 2562 นะคะ

ฝาก #เกมท้ารัก ด้วยน้า

- Martian -
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก :SpecialVIII:Playing With Fire [11.12.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: megatef4 ที่ 11-12-2018 18:05:10
กรี๊ดดดดดดด รู้ตัวไหม ว่าฮอตเป็นบ้า ทั้งคู่เลยค่าา  โอ๊ย เลือดจะหมด  :hao6: 55 ขอบคุณนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก :SpecialVIII:Playing With Fire [11.12.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 11-12-2018 22:03:12
Sooooohottttt
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก :SpecialVIII:Playing With Fire [11.12.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: HappyYaoi ที่ 11-12-2018 22:07:19
นาวเบิร์นเบบี้เบิร์นมาก ๆ
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก :SpecialVIII:Playing With Fire [11.12.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 11-12-2018 23:20:58
 :m25: :m25: :m25:
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก :SpecialVIII:Playing With Fire [11.12.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: liarguy ที่ 12-12-2018 12:21:56
รู้สึกร้อนเลยค่ะ ไฟเจอไฟแบบนี้
 :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก :SpecialVIII:Playing With Fire [11.12.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Bluedock ที่ 12-12-2018 19:14:33
 :pighaun:
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก :SpecialVIII:Playing With Fire [11.12.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 16-12-2018 01:41:36
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก :SpecialVIII:Playing With Fire [11.12.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: TaeTae ที่ 28-12-2018 01:01:15
 :o8:
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก :SpecialVIII:Playing With Fire [11.12.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 05-01-2019 18:14:17
ภาษาสวยอีกแล้ววว สวยมากๆๆๆๆๆๆ ประทับใจสุดๆ ยัยน้องนี่มันน่าตีจริงๆเลยค่ะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก :SpecialVIII:Playing With Fire [11.12.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 04-03-2019 21:22:51
 o13 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก :SpecialVIII:Playing With Fire [11.12.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: A_Narciso ที่ 05-04-2019 10:48:03
 o13 ฮอตมากๆ ทั้งคนน้องงงงง ทั้งคนพี่
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก :SpecialVIII:Playing With Fire [11.12.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: sweetie ที่ 07-04-2019 08:03:01
มาอ่านทีไร ก็ร้องไห้ทุกที  :hao5:
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก :SpecialVIII:Playing With Fire [11.12.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: AgotoZ ที่ 26-08-2019 23:03:50
ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกกกค่าาาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก :SpecialVIII:Playing With Fire [11.12.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: mareeyah ที่ 28-08-2019 15:46:33
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก :SpecialVIII:Playing With Fire [11.12.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 08:42:02
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Special] Truth or Dare #เกมท้ารัก :SpecialVIII:Playing With Fire [11.12.2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Bear Company ที่ 31-07-2021 14:35:40
 :-[