Step by step’02 เพื่อน ‘ที่รัก’
เจ้าตัวหันกลับมามองรอยเชื่อมระหว่างกายพวกเขาก่อนจะเหลือบขึ้นมาทำตาขีดตาขวางใส่อีกฝ่ายพร้อมสะบัดแขนให้หลุดออกจากพันธนาการนั้น ขาคู่เล็กย่างก้าวปฏิบัติหน้าที่ต่อ เขาเกือบลืมเรื่องนั้นได้อยู่แล้วเชียว ทำไมต้องมาเจอคนที่เขาชังที่สุดในชีวิตนี้อีกด้วยก็ไม่รู้!
หากกลับผิดคาด ร่างสูงเดินตามมาวอแวไม่เลิกลา
"ทำหน้าบูดบึ้งใส่รุ่นพี่มันถูกแล้วหรือ...กฎเหล็กในการอยู่ในรั้วมหา'ลัยนี้คืออะไรลืมไปแล้วหรือไง" คนตัวใหญ่กล่าวอิงสิ่งนู้นนี้เต็มกำลังเสียง จนละเลยในการคำนึงถึงเลยว่าที่ที่เขาอยู่ในขณะนี้คือที่ใด ซึ่งมารู้ตัวอีกทีก็ล่วงมาพักหนึ่ง รับรู้จากพฤติกรรมของคนรอบข้างที่รวมตัวกันเป็นกระจุกตั้งแต่เมื่อใดก็มิอาจทราบได้ ซิบซุบกันดังกระหึ่ม... แต่ใครบอกว่าเขาแคร์ล่ะ ในเมื่อผู้ 'โครตดึงดูดความสนใจ' ของเขาอยู่ตรงหน้าในยามนี้ เขาจำต้องสนใจใครอื่นไม่
วาจาเปรียบดั่งดาบคมอันเรียกความสนใจจากคนรอบข้างได้ ทำให้ร่างบางพลันหยุดเคลื่อนไหว และละจะตอบโต้กลับมิได้ "ถ้าคุณเป็นรุ่นพี่อย่างที่ว่าจริงๆ ก็ควรรู้จักสัมมาคารวะสิครับ มาเดินตามรุ่นน้องต้อยๆ เป็นหมาข้างถนนไร้เจ้าของอย่างนี้ ไม่เข้าใจหรือครับว่าผมรำคาญ จะทำอะไรก็ระเกะระกะมือเท้าผมฉิบหาย"
มิใช่เขาไม่รู้กฎเหล็กนั่น...ที่ว่า 'รุ่นน้องต้องให้ความเคารพแก่รุ่นพี่แม้จะอยู่ต่างคณะกันก็ตาม' ทว่าในเมื่ออีกฝ่ายประสงค์จะเล่นอย่างนี้ ครั้งนี้เขาก็จะยอมเป็นคู่ให้...จะเอาคืนให้เจ็บแสบลามถึงกระดูกเลยคอยดู
ร่างสูงขบกรามกรอด ผ่อนลมเข้าออกจากกายผ่านโพรงจมูกฮึดฮัดบ่งถึงความไม่พอใจ ก่อนจะตัดสินใจลากอีกฝ่ายไปที่ใดสักแห่งใกล้ระแวกนี้
"อื้อออ ไอ้เหี้-จะพากูไปไหน ปล่อยกู!!! " เสียงทุ้มหวานร้องบอก เมื่อฝ่ายที่จับแขนเขาเอาแต่จ้ำอ้าวๆ ไม่ใส่ใจว่าเขาจะเดินทันหรือไม่สักเพียงนิด...อีห่าลาก กูจวนจะไถพื้นได้อยู่แล้ว เกลียดคนขายาวจริงๆ!
เมื่อย่างมาถึงที่หมาย คนที่เข้ามาก่อนหน้ามีก้าวออกมาเล็กน้อย บ้างก็กำลังเซทผมเสริมหล่อด้วยน้ำสะอาดจากก๊อกราวกับบ้านขาดสนไม่มีเจลใช้ (เจลสำหรับเซทผม)
สรุปคือห้องน้ำ
ครั้นเบียดเสียดแทรกตัวเข้ามาภายในห้องๆ หนึ่งที่แสนโรแมนติกได้ นักศึกษาที่มีศักดิ์เป็นรุ่นพี่ก็เหวี่ยงร่างเล็กเข้าที่ผนัง หันมาลงกลอนประตูที่สามารถนับเป็นหนทางแห่งการหลุดพ้นสำหรับอีกฝ่ายได้แล้วประกบจูบอันดุดันปนความรุ่มร้อนตามลงมาทันที
"อืออออห์ อ่อย ~! " กำปั้นทุบอกหนา พลางครางบอกในลำคอเนื่องจากริมฝีปากตนถูกคนคนนั้นช่วงชิงปิดระงับคำกล่าวขานต่างๆ ระหว่างที่ฝ่ามือหนาชอนไชเลื้อยลูบคลำไปตามกายเล็กอย่างหลงใหลใคร่ครวญและอารมณ์อื่นๆ ในเวลาเดียวกัน ทั้งยังดูดปากเขาจนเกิดเสียงหยาบโลน
จวบจนความอดทนของชายหนุ่มขาดผึง เจ้าตัวรวบสองมือสุดแสนซนนั่นไว้ด้วยมือเดียวแล้วกดลงแนบกับผนังเหนือศีรษะ ขาทั้งสองย่างถอยออกมาเล็กน้อยเฉกเช่นเดียวกับใบหน้า เป็นเหตุให้ปลายจมูกโด่งสันชนกับอวัยวะเดียวกันของฝ่ายตรงข้าม
เขาตั้งใจจะมองเข้ามานัยน์ตาอีกฝ่าย พบว่าคอสกำลังหลับตาปี๋อยู่ เลยใช้โอกาสนาทีนั้นเปลี่ยนมากวาดตาสำรวจใบหน้าหวานแทนเสียเลย…นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นใบหน้าของเพื่อนรักที่มิได้พานพบหันมานานนม เปลี่ยนไปเยอะพอควรเลยล่ะแต่ถึงกระนั้นก็ยังพอมีเค้าโครงเดิมอยู่บ้าง... สุดท้ายร่างหนาก็ตกอยู่ในห้วงภวังค์ความคิดของตัวเองที่มีเพียงร่างเล็กปรากฎข้องเกี่ยวกับข้อมูลทั้งหลายแหล่ในนั้น จนเผลอไผลคืนอิสระให้กับมือคู่ขาว ซึ่งดูท่าว่าหากจะให้หลุดออกมาจากภวังค์คงยากเอาการ
บัดดลนั้นผู้พ้นจากเบื้องล่างภายใต้อำนาจของชายหนุ่มเริ่มปรือตาขึ้นมาทีละนิด พอเห็นร่างสูงนิ่งเฉยไปก็รู้สึกคลางแคลงใจไม่น้อยกระทั่งพอทราบและมั่นใจว่าสติของอีกฝ่ายล่องลอยไปในอากาศแล้ว มือขาวเขยื้อนมาปลดล็อคถอดถอนกลอนประตูอย่างระแวกระวัง จนในที่สุดก็บรรลุหมายขั้นแรก
ร่างบางสูดลมเข้าปอดผ่านโพรงจมูกยาวๆ แล้วตัดสินใจผลักอีกฝ่ายออกห่าง ขาสองข้างกุลีกุจรรีบวิ่งออกมาสุดพลังความสามารถ ชายหนุ่มสะดุงตัวโหยง แผ่นหลังที่กระทบผนังกระเบื้องมันเจ็บพอควรเจ้าตัวสะบัดหัวสองสามทีไล่ความมึนมัว ก่อนจะวิ่งตามผู้ที่เพิ่งสาวเท้าออกไปได้ไม่นาน
เมื่อก้าวมาประชิดตัวหนุ่มหน้าหวานเสี้ยวคมได้ วงแขนแกร่งตวัดโอบรัดรอบเอวบาง จับยกขึ้นพาดบ่า หากแต่ครั้งนี้มันคงไม่ง่ายอย่างครั้งคราที่แล้ว
ร่างเล็กสะบัดสะบิ้งดีดดิ้นไปมาจนเกือบตกจากบ่าหนาพลางทุบกำปั้นลงบนหลังอีกฝ่าย "เอากูลงเดี๋ยวนี้นะ! ไอ้ควายเถื่อน...กูบอกให้เอากูลง!!! ฟังไม่รู้ภาษาหรือไง!! "
'ไอ้ควายเถื่อน' ได้ยินสรรพนามที่ใช้เรียกดังนี้ คิ้วหนาก็ขมวดมุ่น ส่งเสียงจิ๊จ๊ะอย่างหวุดหวิด ในเมื่อยัดเยียดคำๆ นั้นให้เขา เขาจะยอมรับมาก็แล้วกัน แล้วจะได้รู้ฤทธิ์ของควายเถื่อนตัวนี้แน่!
ทว่าตอนนี้สิ่งที่เขาทำได้มากที่สุดคือยึดจับอีกคนไว้ให้มั่น พร้อมกับก้าวย่างมายังสถานที่ที่เพิ่งออกมาได้ไม่นาน ขณะสาวเท้านั่นมิใช่ว่าคนที่ถูกอุ้มพาดอยู่บนบ่าจะยอมให้ความร่วมมือให้สถานการณ์ขณะนี้เป็นไปอย่างราบรื่น
เจ้าตัวทั้งดิ้นดุกดิก ตะโกนโหวกเหวก ทุบหลังแต่อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยตามคำขอเชิงสั่งเสียที สุดท้ายความอดทนอดกลั้นที่ถูกข่มมานานก็สิ้นลง
งั่บบบบบ
ฟันแถบหน้าของผู้ถูกควบคุมการขยับกัดเข้าที่หลังคอแกร่งสุดแรง ทัชมีสีหน้าเหยเกทันท่วงที ร่างสูงเองแทบจะทุ่มอีกฝ่ายลงพื้น ดีที่ไหวตัวรับกลับมาคืนสู่อ้อมอกทัน มิฉะนั้นคงมีการเสียโฉมเกิดขึ้นแน่
พอถึงห้องน้ำ ชายร่างใหญ่ก็วางคนคนนั้นลง ห่างเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าประมาณหกสิบเซนติเมตร มือหนาส่งมาดุนดันบริเวณไหล่ดันจนติดผนังกระเบื้องลายดอกไม้สุดทางก้าว
ทัชปล่อยให้ฝ่ายนั้นได้ใจนาน ขายาวรีบย่ำมาบดเบียดกายเล็กประจวบแนบสนิทไร้ช่องว่าง จากนั้นก็จับปกเสื้อออกอีกฝ่ายแล้วกระตุกแรงๆ จนผ้าส่วนบนบนกายของคอสฉีกขาด รังดุมหลุดร่วงกระจัดกระจายเต็มพื้น
ร่างเล็กเริ่มตัวสั่นไหว ห่อแขนเข้าหากันด้วยความรีบร้อนและพยายามหาที่ปกปิด แม้นรู้ว่ามันจะช่วยได้ไม่มากก็ตาม ตาระริกทอดมองต่ำ ก่อนจะผวาเฮือกเมื่อคนคนนั้นจับข้อมือของตนแยกออก ดันติดกับผนังไปตามๆ กัน ใบหน้าคมโน้มลงมา ริมฝีปากหนาขบเม้มที่คอดูดดุนอย่างกระหาย
สักพักคนเป็นฝ่ายบุกลุกล้ำก็ผละออกพร้อมชักมือตนข้างหนึ่งกลับ ย้ายเป้าหมายมุ่งตรงไปด้านล่างที่ส่วนกลางลำตัวของฝ่ายตรงข้าม เสียงทุ้มเข้มเอ่ย “อะไรกัน...โดนจู่โจมแค่สองสามทีก็ตื่นแล้วหรือ เส้นตื้นจริงๆ นะคอสน้อยเนี่ย" น้ำเสียงเย้ยหยัน พลางแลบลิ้นตวัดกวาดทั่วริมฝีปากตนเอง
"อะ อื้มมม ปะ ปล่อยยย อึกกกกก" เจ้าตัวบอกหักห้ามด้วยเสียงครางกระเส่า ใบหน้าเหยเกเชิดขึ้น ปิดตาแน่นสนิท ความอุ่นชื้นในโพรงปากหนาที่เจาะจงมาที่ยอดอกสีชมพูมันกำลังทำให้เขาเป็นบ้า
ยิ่งฝืน ยิ่งรู้สึก
ยิ่งยับยั้ง ยิ่งรุนแรง
ชายสองตนยืนค้างอยู่ตรงนั้นในท่านั้นนานพอที่จะทำให้คนตัวเล็กอ่อนระทวยแทบล้มทั้งยืนได้ ยังดีที่มีคนตัวสูงสอดแขนเข้ามาใต้วงแขนเล็กค้ำยันกับผนังอีกที ช่วยยึดเหนี่ยวคอสไว้ไม่ให้ทรุดลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลก กระทั่งมีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาพร้อมกับแสงขาวที่ฉายมาทางพวกเขาชั่วขณะหนึ่ง
แชะะะะะ
ร่างสูงหยุดกระทำการต่างๆ สองมือชักกลับมาข้างลำตัวทันท่วงที หน้าคมผินมาด้านหลังด้วยความขุ่นเคือง
เพียงเห็นคนหมู่มากที่มารวมตัวกันตั้งแต่เมื่อใดก็มิทราบจดจ้องมาที่เขาและโดยเฉพาะร่างบาง เขาก็ของขึ้นแล้ว แม่มึงเอ๊ย มีที่ไหนมายืนมองเมียชาวบ้านวะ
ทัชจ้องกลับเขม็ง เคลื่อนกายมาบังผู้ที่เปลือยท่อนบนในขณะนี้อย่างหวงแหน พร้อมลั่นวาจาประกาศกร้าวด้วยน้ำเสียงแกมประชดประชัน "ไม่เคยเห็นผัวเมียจะเอากันหรือครับ เอากล้องลงให้หมด! ในเมื่อเสือกไม่รู้ที่รู้ทางก็ลบรูปที่ถ่ายไปปิดปากให้สนิทด้วย ถ้ามีข่าวของกูเล็ดลอดออกไป กูตามเล่นรายตัวแน่!! "
จากนั้นไม่ถึงเสี้ยววินาที กล้องโทรศัพท์ของทุกคนในที่นี้ก็ถูกยัดคืนใส่กระเป๋ากางเกงโดยเจ้าของเรียบร้อย... หากแต่ทุกคนในที่นั้นยังไม่กระจายกันไปจนชายหนุ่มนึกกลุ้ม ผสมกับความหัวเสียที่ถูกขัดจังหวะกลางคันจึงทำให้เจ้าตัวออกปากตะเพิดไล่
"ไม่มีห่าอะไรทำกันแล้วหรือไง!! จะไปไหนก็ไป! กูบอกให้ไปไง ไปสิวะ!!! "
ครั้นกล่าวจบสิ้น หมู่คนที่ยกมาเป็นกองทัพก็วิ่งเตลิดเปิดโปงกันไปคนละทิศทางด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ
ทัชผ่อนลมภายในร่างออกเอามือแนบหัวอย่างระอา ก่อนจะจัดการปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาของตน ยื่นให้อีกฝ่าย
"เอาไปใส่ซะ กูไม่ชอบให้คนอื่นมองมึงแบบนั้น”
คนตัวเล็กที่นั่งชันเข่าเงยหน้าขึ้นมองขวับ ใจก็นึกข้องไขสงสัย ถ้าทัชสละเสื้อมาให้เขา แล้วเจ้าตัวจะใส่อะไรล่ะ
แต่เหมือนว่าร่างสูงรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอันใดอยู่ "กูบอกไม่ชอบก็ไม่ชอบสิวะ ให้ใส่ก็ใส่ไปเถอะอย่าเรื่องมากนักเลย"
คอสถึงกับรอกตาเลิกลั่กไม่มั่นใจในสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามเลือก ครู่แล้วครู่เล่าจนทัชเริ่มหงุดหงิด
“กูจะหนาวตายเพราะอากาศตรงนี้นี่แหละ เร็วรับไปสิ อยากให้กูปล้ำมึงอย่างที่พูดไล่พวกห่านั่นหรือไง”
ได้ผล…ร่างบางรีบรับคว้ามาทันทีเพราะคาดว่าขืนอยู่ตรงนี้นานไปก็มีแต่ผลเสีย พร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนมาเตรียมจะจิกกัดได้ทุกเมื่อดังเดิม “ทีนี้จะไสหัวไปได้ยัง!”
“อยากโดนกระแทกรูแหกมากหรือไง กูเป็นใครมึงเป็นใครฐานะอะไรอย่าลืมสิ”
“ถ้าตอนนั้นรู้ว่าโตมามึงจะเหี้-ได้ถึงขนาดนี้กูไม่คบมึงเป็นเพื่อนหรอก!!”
“หึ อย่าปากดีนักเลย ถึงกูจะแย่จะเหี้ยจะเลวขนาดไหน ก็ได้มึงเป็นเมียละกัน อืม รู้สึกว่าตอนนั้นมึงยังใสๆซิงๆไม่มั่วเหมือนตอนนี้ด้วยซิ อย่างที่โบราณว่าจริงๆกาลเวลาแปรผันคนก็ย่อมเปลี่ยนไป”
“มึง!...” คำที่กำลังจะหลุดออกมาต่อจากนี้จำต้องหยุดลงเมื่อเจ้าตัวเริ่มคาดเดาการณ์ได้ว่า หากจะต่อปากต่อคำกับควายเถื่อนแถวนี้ต่อไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา แถมยังเจ็บแค้นใจด้วย มีแต่เสียกับเสีย เลยสงบปากสงบคำลง
หันมาสวมใส่เสื้อตัวโคร่งแทน ถ้าก่อนหน้านี้เขาไม่หยุดเรียนถึงสี่ห้าวัน ป่านนี้เขาคงไม่ต้องรอฤกษ์ยามที่จะได้เข้าเรียนหรอก
ร่างหนายักไหล่ด้วยท่าทีสบายๆ ไม่เป็นกังวลหรือเกรงขามใดใด สองเท้ายินยอมก้าวถอยมา เป็นยามเดียวกับที่โทรศัพท์ของตนแผดเสียงดังขึ้น จึงล้วงจ้วงมือควานมันขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง ดูหน้าจอสายเรียกเข้าก่อนกดรับ ยกแนบหู
"อยู่ไหนวะ กูกับไอ้เทคหามึงจนจะมุดซีเมนต์หาแล้วเนี่ย อีกสิบนาทีเข้าคลาสเรียน'จารย์ยายแล้วนะเว้ย! " ฝ่ายตรงข้ามรีบรนเริ่มบทสนทนาขึ้น
เขารับคำ 'อืม' ในลำคอเชิงเปป็นอย่างแรก เสียงเข้มโต้ตอบพร้อมเดินออกมาหน้าห้องน้ำ (ด้านนอก) "กูกะจะโทรบอกมึงพอดีเลย กูโดดนะคาบบ่ายฝากจดเล็คเชอร์ด้วย เดี๋ยวเลี้ยงข้าวมื้อหนึ่ง"
คนทางนี้เหมือนจะตกใจนิดหน่อย ทว่าถึงกระนั้นก็มิได้ค้านคัดขัดใจอันใด "อ้าว...ไหงงั้นวะ เออๆ เดี๋ยวกูจัดการให้ แต่อย่าลืมที่พูดนะมึง กูไปก่อนล่ะ...บาย" เมื่อตกลงข้อแลกเปลี่ยนกันเรียบร้อยก็ตัดสายทิ้งทันใด
ทัชเลื่อนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดนั้นมาไว้ระดับใบหน้า จ้องจนมันแทบจะเงือดงดสลายแหลกคามือ กว่าจะเป็นที่พอใจยัดเก็บเข้าที่ก็กินเวลาไปมากพอสมควร หลังจากนั้นก็เคลื่อนย้ายพาร่างกลับไปยังที่ที่เพิ่งก้าวออกมา เจ้าตัวผินหน้าซ้ายขวาปารถนาจะได้พบคนของเขา กลับเห็นเพียงสิ่งของเครื่องใช้ที่มีอยู่ก่อนแล้ว มาถึงจุดนั้นเขารีบตรวจตาค้นหาแถวบริเวณนั้นมาสำรวจในส่วนของห้องน้ำที่กั้นแบ่เป็นห้องๆ
คิ้วหนาขมวดเครียดครุ่นเมื่อวิ่งเวียนหาอีกคนหลายสิบรอบแล้วพบเพียงความว่างเปล่า ใบหน้าคมคายผินไปมาอย่างยังคงบากบั่นเสาะหา สุดท้ายก็มาหยุดตากับตึกเรียนของคณะหนึ่ง ปากหยักฉีกยิ้มข้างหนึ่ง เริ่มปล่อยวางความตึงเครียดสังเกตเห็นได้จากหว่างคิ้วที่คลายตัวลงต่างกับช่วงเวลาเมื่อครู่ที่ตีหน้ายักษ์จนคนเดินสวนผ่านคิดไปในทางเดียวกันและไม่กล้าเข้าใกล้เพราะรับรู้ถึงรังสีอันตรายที่แผ่ตีออกมารอบกาย ‘อดีตเดือนมหาลัยผีเข้าหรือ ถึงได้มาเดินโชของโต้งๆตอนกลางวันแสกๆอย่างนี้ ไหนจะใบหน้าที่ดูเข้งขรึมจริงจังกว่าทุกทีอีก‘ จึงทำให้ครั้งนี้ไม่มีผู้คนกล้าแสดงตัวออกไปขอเบอร์ติดต่อหรือลายเซ็นดังทุกที แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นความหล่อเหลาก็สามารถเอาชนะใจคนพวกนั้นได้อยู่วันยันค่ำ
กลับมาต่อที่ทัชพระเอกสุดหล่ออันเป็นถึงคนโด่งดังในสถานศึกษารวมถึงโลกโซเชี่ยลและน้อยคนที่จะไม่รู้จัก สัปดาห์ก่อนหรือวันถัดมาที่เขาพบกับคนตัวเล็กที่ผับ เขาได้ฝากคนไปสืบหาเรื่องราวของคนตัวเล็กมานี่ เขาลืมข้อมูลสำคัญไปได้อย่างไรกันนะว่าเจ้าตัวเข้ามาเรียนต่อที่นี่...ที่มหา’ลัยเดียวกับเขา เพียงแต่ต่างคณะและชั้นปีกันก็เท่านั้น ซึ่งเป็นผลพลอยได้ให้เขาได้มีโอกาสเข้าหาเจ้าตัวได้มากขึ้น ฉะนั้นตอนนี้เขาขอกลับไปนอนเอาแรงที่ห้องพักของตนก่อนก็แล้วกัน ไว้ค่อยมาสานต่อมันคงไม่สายเกินไปหรอกกระมัง
“ขออนุญาตเข้าห้องครับอาจารย์”
ผู้ที่กำลังทำการสอนหันมามองขวับ ยกมือขยับแว่นทีหนึ่ง “เธอไปทำธุรกิจใหญ่โตที่ไหนมาหรือไงทำไมถึงช้าเยี่ยงนี้ เพื่อนเขาเรียนไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว แล้วนั่นชายเสื้อยับเยินหลุดลุ่ยออกจากกางเกงนักศึกษามันผิดกฎระเบียบนะคะ เชิญโน่นด่วนเลยค่ะไปวิ่งรอบสนามสิบรอบ” ท่านร่ายยาวพร้อม ชี้ไปทางสนามหญ้าของสถานศึกษาแห่งนี้โดยน้ำเสียงที่ใช้สื่อสารไม่มีความหยอกล้อปนเพียงนิด
ก้มหน้าน้อมรับอย่างจำใจ “ครับอาจารย์”
ขณะที่คนตัวเล็กกำลังก้าวห่างจากห้องไปเรื่อยๆ ก็มีซุ่มเสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมา “อาจารย์ครับ แต่เพื่อนผมมาช้าแค่ห้านาทีเองนะครับ อาจารย์ไม่เยอะไปหน่อยหรือครับ”
“ห้านาทีหรือ เธอรู้ไหมว่าห้านาทีเนี่ยมีค่ามากแค่ไหน สำหรับฉันทุกนาทีทุกวินาทีมันมีค่าเสมอ พ่อแม่เขาให้เงินพวกเธอมาเล่าเรียนหนังสือไม่ใช่ไปเที่ยวเตร่เถลไถลจนเข้าคลาสช้าอย่างนี้ พวกเธอไม่คิดสงสารพ่อแม่เลยหรือ...ว่ากว่าการที่พวกเขาจะหาเงินมาได้แต่ละบาทต้องแลกกับหยาดเหงื่อเท่าไหร่กัน และอีกคดีหนึ่ง…เธอหาว่าฉันเยอะหรือ ได้…ฉันยอมรับว่าฉันเยอะ”
“=..,..=“
“ดังนั้น ฉันขอสั่งให้เธอ…”
ลมพัดโชยพาความเย็นชื้น ยอดไม้สนต้นสูงรอบสนามหญ้าอันกว้างใหญ่สะบัดโบกโยกเอนตามแรงในอากาศ หากลองวาดแขนจากทางทิศเหนือมาสองร้อยเจ็ดสิบองศา(จะได้ทิศตะวันตก)แล้วกวาดขึ้นไปด้านบนอีกประมาณเจ็ดสิบแปดองศาจะพบดวงอาทิตย์กำลังฉายแสงอร่ามสีส้ม เบื้องใต้แผ่นก้อนเมฆเหล่านั้น ปรากฎผู้ชายสองตนที่ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งเอารอบ แน่นอนว่ามีคอสร่วมด้วย
วิ่งได้แปดรอบหมือนร่างกายของคนตัวเล็กเริ่มไม่ไหว เขาทรุดลงข้างสนามพิงลำต้นของต้นไม้ ปากและจมูกทำงานพร้อมกันแล้ว ณ เวลานี้ หยาดน้ำใสใสผุดขึ้นมาตามขมับบางรวมถึงส่วนอื่นๆ ล้นหลามบ่งบอกถึงระดับความเหน็ดเหนื่อย จนเพื่อนสนิทที่กะจะช่วยในตอนแรกสุดท้ายก็ถูกพลอยทำโทษไปด้วยนึกเป็นห่วง
“ไหวเปล่ามึง กูไม่ได้เอาน้ำลงมาด้วยซิ” พลางย่อเข่าลดตัวลง หยิบผ้าผืนขาวสี่เหลี่ยมจัตุรัสออกมาจากเสื้อนักศึกษาตน ซับตามโครงหน้าของอีกฝ่าย แล้วเอ่ยต่ออย่างนุ่มนวล “โทษนะที่กูช่วยมึงไม่ได้อ่ะ แต่ก็สภาพมึงตอนนี้โครตเหมือนลูกหมาตกน้ำไม่มีผิดเลยว่ะ ฮ่าฮ่า”
ใบหน้าหวานเผยยิ้มบางขณะที่ยังหอบหายใจ ก่อนจะกอบโกยอากาศเข้าปอดฟืดใหญ่อีกครั้ง จากนั้นค่อยเปิดปากเริ่มเปล่งวาจาด้วยสีหน้าหมองหม่น “อือห์ ขอโทษด้วยนะที่ทำให้ลำบาก”
“หืม...ลำบากเรื่อง?” เลิกคิ้วฉงน
“ทำให้แทนกับอาจารย์…”
“ลำบากอะไรกัน มึงเพื่อนรักกูเชียวนะ แถมเรามีกันแค่สองคน ไม่ให้กูห่วงเพื่อนแล้วจะให้กูห่วงแมวที่ไหนล่ะจริงไหม ส่วนเรื่อง’ จารย์ ช่างเถอะอะไรมันจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิดไปเถอะ
กูแคร์แค่มึงคนเดียวก็พอแล้ว” หลังจากนั้นก็ผละออกมา วางผ้าเช็ดหน้าพักไว้บนหน้าขาของเพื่อนตน ก่อนจับไหล่เล็กหมุนไปมากวาดตาสำรวจพินิจ “ว่าแต่เสื้อตัวโคร่งพอๆ กับกูเลยนะวันนี้ ปกติมึงใส่ไซส์เล็กกว่ากูไม่ใช่หรือวะ!?”
“…อะ เอ่อ คือ…”
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงอันคุ้นหูตะโกนแทรกแซงเข้ามา เสียงที่ทุกคนมักจะหลอนและเสียวสันหลังวาบเมื่อได้ยิน
“นายกฤษณะ นายวิภาวดี ชาติไหนจะวิ่งเสร็จคะ!! ลุกขึ้นมาให้มันเร็วๆ หน่อย!”
ทั้งสองสบตากัน สื่อเป็นนัยน์ราว ‘จารย์ท่านมาเฝ้าด้วยหรือ คอสส่ายหน้าหงึกๆพร้อมขมุบขมิบปาก ‘ไม่รู้’ ก่อนพวกเขาจะลุกขึ้นวิ่งต่ออย่างกระตือรือร้น
ใครจะคิดล่ะว่า 'จารย์ท่านจะขยันมาคุม และหากท่านได้ยินที่เขาคุยกัน จะซวยซ้ำซวยซ้อนของจริงก็ทีนี้ล่ะ
ปล่อยมันไปปปปปปป กู๊ดบัยยยยยยย