17
ปวันรัตน์หิ้วถุงใส่ของมาเต็มสองมือซึ่งชายหนุ่มร่างสูงผู้ทำหน้าที่ขับรถอย่างธนาก็มีสภาพไม่ต่างกันนัก
หลังเลิกเรียนในตอนเย็นเด็กสาวตั้งใจจะตรงดิ่งมาหาพี่ชายที่โรงพยาบาลทันที แต่เพราะมีสายเรียกเข้าจากพฤทธิกรโทรศัพท์มาบอกให้เธอซื้อของบำรุงร่างกายพี่ชายและอาหารอื่น ๆ สำหรับคนเฝ้าไข้ เธอจึงเลือกซื้อมาเสียเต็มที่
ธนารวบถุงสินค้าต่าง ๆ มาถือไว้ในมือเดียวพลางเดินนำหน้าไปเปิดประตูให้เด็กสาว เธอถือของเดินตามมาและนำพวกมันไปวางไว้ที่เคาน์เตอร์ติดผนัง
“พี่ปลาล่ะคะ”เธอเอ่ยถามเพราะสังเกตว่าห้องเงียบ ๆ มีเพียงเสียงโทรทัศน์ด้านนอกที่ถูกเปิดทิ้งไว้เท่านั้น
พุฒิพงศ์ชี้ไปที่ห้องพักผู้ป่วยด้านใน เธอจึงสาวเท้าไปแอบชะเง้อชะแง้มองดู เห็นพี่ชายกับพฤทธิกรนั่งสุมหัวเล่นเกมในแท็บเล็ตอยู่บนเตียงผู้ป่วย เธอโล่งใจเพราะมองจากไกล ๆ พี่ชายของเธอก็ดูไม่เป็นอะไรมากอย่างที่น้าฤทธิ์เคยบอกไว้จริง ๆ
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”เธอส่งเสียง ทั้งสองคนจึงเงยหน้าขึ้นมา
“เข้ามาสิ ไปยืนทำอะไรตรงนั้น”ปภินวิชเอ่ยถาม
“แหม...”เธอลากเสียงยานคาง จะให้เธอเข้ามาขัดจังหวะบรรยากาศส่วนตัวของพี่ชายกับพี่เขยหรือไง ปวันรัตน์แอบหัวเราะกับความคิดตัวเอง
“เป็นอะไรหรือเปล่า ทำหน้าแปลก ๆ”พี่ชายถามซ้ำพลางยื่นมือมาแตะสัมผัสใบหน้าของเธอ เด็กสาวจึงได้เห็นผ้าสีขาวซึ่งพันอยู่รอบข้อมือของพี่ชาย
“เจ็บมากหรือเปล่าเนี่ย”เธอลูบมันอย่างแผ่วเบา
ปภินวิชยิ้มให้ “ไม่เจ็บแล้ว ไม่ต้องห่วงนะ อีกไม่กี่วันก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วด้วย”เขาบอกอย่างหนักแน่น ปวันรัตน์พยักหน้ารับ แล้วปีนขึ้นเตียงผู้ป่วยมานั่งเบียดกับพี่ชาย โน้มหน้าไปดูหน้าจอแท็บเล็ตบนตัก นั่นคุยนั่งเล่นกันสามคนอยู่ครู่หนึ่ง คนที่อยู่ด้านนอกก็ส่งเสียงแจ้งมาว่า คุณหมอเข้ามาดูอาการคนป่วย
ปวันรัตน์ลงจากเตียงเดินออกไปด้านนอก ส่วนพฤทธิกรแค่ถอยเท้าขยับห่างออกมาแต่พยาบาลกลับยกยิ้มและผายมือเชิญเขาออกไปรอในห้องด้านนอกพร้อมกับเลื่อนปิดประตูห้อง เด็กสาวเห็นอย่างนั้นจึงไปรื้อถุงของกินพลางกวักมือเรียกชายหนุ่มให้ไปนั่งร่วมวง
ทว่าไม่กี่นาทีต่อมา คนป่วยกลับแผดเสียงลั่นดังชัดมาถึงข้างนอก
“ออกไป! บอกให้ออกไปไง!!!”ชายหนุ่มรีบถลาไปเปิดประตู เห็นทั้งหมอนทั้งผ้าห่มถูกเขวี้ยงลงมากองอยู่ที่พื้น ส่วนหมอเจ้าของไข้ยืนห่างออกมากำลังพูดกล่อมคนบนเตียงซึ่งนั่งกอดเข่าขยับตัวเบียดชิดหัวเตียง
ปวันรัตน์และบอดี้การ์ดของพฤทธิกรทั้งสองคนต่างก็ลุกขึ้นมายืนมุงดูอยู่หลังกรอบประตู
“ใจเย็น ๆ นะครับ หมอแค่จะดูแผลเฉย ๆ”
คนป่วยบนเตียงไม่ตอบคำทั้งไม่กล้าอาละวาดมากไปกว่านี้เพราะชายหนุ่มร่างสูงที่ตนมองเห็นอยู่ในครรลองสายตา เขาจึงขดตัวลงและพลิกหันหลังให้
“เดี๋ยวผมขอตัวคุยกับเขาสักครู่นะครับ”พฤทธิกรเอ่ยบอกและเป็นฝ่ายเชิญหมอกับพยาบาลให้ออกไปรอนอกห้องผู้ป่วย จากนั้นจึงเก็บหมอนและผ้าห่มถือกลับมาวางบนเตียงพลางสาวเท้าเดินเข้าไปหาร่างที่ซุกหน้าอยู่กับเข่า
“เดี๋ยวหายใจไม่ออก เงยหน้าขึ้นเถอะ”
ปภินวิชเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเหยเกคล้ายจะร้องไห้เต็มแก่ “ผมหายดีแล้ว เรากลับบ้านกันเลยได้ไหมครับ”
“ได้ แต่ให้หมอเขาดูแผลก่อนไม่ได้เหรอ”
“ผม...”เด็กหนุ่มก้มหน้าขมวดคิ้วด้วยใบหน้าสับสน พฤทธิกรจึงยื่นมือออกไปคว้าจับมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายที่เอาแต่กอดตัวเองไว้ ดึงยืดออกมาพร้อมกับสอดแขนข้างหนึ่งเข้าไปสวมกอดไว้ ดึงมือข้างหนึ่งของปภินวิชมาแนบที่ข้างแก้มของเขาพลางจ้องมองสบนัยน์ตาสีดำไหวระริก
“ไม่เป็นไรแล้วนะ มันผ่านไปแล้ว”
ปภินวิชน้ำตาไหลออกมา แต่ความเจ็บปวดของร่างกายยังคอยย้ำเตือนความทรงจำของเขาอยู่เสมอ เขาอยากสลัดมันทิ้งไม่อยากจดจำมันอีก
ชายหนุ่มแต้มจูบซับน้ำตา วนเวียนจุมพิตปลอบขวัญทั่วใบหน้าอ่อนเยาว์ที่มีแต่ความซีดเซียวเศร้าหมองพลางเอ่ยย้ำ “เรื่องมันผ่านไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปคิดถึงมันอีก ตอนนี้ขอแค่เธอรักษาตัวเองให้แข็งแรง อย่างน้อยเพื่อฉัน เพื่อปุ้ย”เขาปาดเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่าย แล้วพูดกล่อม “ให้หมอดูแผลนะ”
ปภินวิชยังนิ่งเงียบต่อไปอีกหลายอึดใจก่อนพยักหน้า พฤทธิกรจึงพยักพเยิดส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ดทั้งสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่ที่หน้ากรอบประตู
เมื่อหมอและพยาบาลเดินเข้ามา ชายหนุ่มจึงผละตัวออกห่างแต่มือของเขายังโดนจับยึดไว้แน่น พฤทธิกรวางมือทับบนหลังมือของปภินวิช พร้อมกระซิบบอกว่าเขารออยู่ด้านนอกก่อนจะดึงมือออกมา ปล่อยหน้าที่หลังจากนี้ให้อยู่ในความดูแลของหมอเจ้าของไข้
แพทย์ผู้รักษาเดินออกมาจากห้องพักฟื้นผู้ป่วยโดยยังทิ้งพยาบาลให้ทำเช็ดทำความสะอาดร่างกายคนไข้อยู่ด้านใน เขาตรงเข้ามาหาพฤทธิกร พูดคุยเรื่องสภาพร่างของปภินวิชอีกเล็กน้อยก่อนขอตัวไปดูแลผู้ป่วยคนอื่น อีกหลายนาทีต่อจากนั้นเมื่อพยาบาลสาวออกมาด้านนอก ปวันรัตน์จึงรีบก้าวเท้าเข้าไปด้านใน
“พี่ปลา”เธอเอ่ยเรียกพี่ชายซึ่งมีน้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย เด็กหนุ่มยกมือขึ้นปาดน้ำตาพร้อมขานรับ เธอจึงพุ่งตรงเข้าไปกอดเขาไว้
ทั้งธนาและพุฒิพงศ์ต่างบอกเธอว่า พี่ชายของเธอโดนโจรปล้นและถูกทำร้ายจนสลบ แต่จากภาพเมื่อครู่ที่ได้เห็น เธอกลับคิดว่ามันน่าจะมีเรื่องอะไรร้ายแรงกว่านั้น เพียงแต่เธอไม่กล้าถาม
“ไม่เป็นไรนะ พี่ปลามีปุ้ยอยู่ด้วยทั้งคน ปุ้ยจะอยู่กับพี่ปลาตลอดไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่ปลาไม่ต้องร้องนะ”เด็กสาวพูดปลอบ ตาแดงเหมือนจะร้องไห้ไปด้วย “เดี๋ยวปุ้ยจะร้องตาม”
ผู้เป็นพี่ชายจึงหัวเราะ “ยัยเด็กบ้าเอ๊ย”ครู่หนึ่งต่อมาก็เอ่ยด้วยแผ่วเบาต่อไปอีกว่า “พี่ไม่เป็นอะไรหรอก ไม่ต้องกังวล”
เด็กสาวหลุบสายตาซบหน้าลงกับไหล่ของพี่ชาย เธออยากถามเขา ถ้าไม่มีอะไรต้องกังวลทำไมต้องทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ด้วย แต่เธอยังเก็บคำถามนั้นไว้ในใจ
“เด็ก ๆ ทานข้าวกันเถอะ”พฤทธิกรพูดเสียงดัง ขับไล่ความอึมครึมภายในห้องพักด้วยความกระตือรือร้นกระฉับกระเฉง เขาลากโต๊ะทานอาหารสำหรับผู้ป่วยมาตั้งตรงหน้าเด็กหนุ่ม พุฒิพงศ์และธนาจึงได้ยกจานอาหารมาวางเสิร์ฟ
“โอ้ มาได้จังหวะพอดีเลย”เสียงร้องที่ดังแทรกขึ้นมานั้นเป็นของกวีวัธน์ เขาสาวเท้ามายื่นหน้าสำรวจกับข้าวด้วยความสนใจ
“คุณกลอนมาทำไมครับ”คนป่วยขมวดคิ้วถามเพราะก่อนหน้านี้เพิ่งมีเรื่องกันไปหมาด ๆ เด็กหนุ่มจึงคิดว่าพวกเขาไม่น่าจะญาติดีกันง่าย ๆ
“มากินข้าวกับน้าฤทธิ์”
คำตอบกวนประสาทของอีกฝ่ายทำให้เขานึกโมโห
“ถ้าจะกินข้าวด้วย ก็ไปตักข้าวมา”พฤทธิกรเอ่ยบอกก่อนหันไปตักข้าวใส่จานผู้ป่วยบนเตียง
กวีวัธน์ขานรับหายออกไปด้านนอกครู่เดียวก็กลับมาพร้อมจานในมือ ทั้งน้าชายและน้องสาวของคนป่วยต่างยืนล้อมรอบเตียงอยู่คนละฝั่ง ปวันรัตน์ถือจานข้าวของตัวเองไว้ในมือ ส่วนพฤทธิกรมีจานข้าวของตัวเองอยู่บนโต๊ะ แต่เหมือนจะสนใจแต่อาหารการกินของคนป่วยมากกว่า และทำเหมือนอยากจะป้อนข้าวคนบนเตียงเสียเอง
“เป็นประสบการณ์ที่เจ๋งสุด ๆ เพิ่งเคยยืนกินข้าวในโรง’บาลครั้งแรกเลยนะเนี่ย”
“แล้วใครใช้ให้มาเล่า”ปภินวิชบ่นงึมงำ ขณะที่น้องสาวอย่างปวันรัตน์ออกโรงจัดการแทนพี่ชาย “รีบ ๆ กินไปเลยค่ะพี่กลอนอย่าพูดมาก”
“จ้า ๆ แต่แหม กินไปคุยไปจะได้เจริญอาหารไง”
ปภินวิชทำหน้าเหม็นเบื่อ หยุดช้อนในมือแต่พอพฤทธิกรตักกับข้าวมาให้อีก เขาก็ส่งเสียงขอบคุณไปให้ กวีวัธน์จึงนึกสนุกตักกับข้าวอีกอย่างไปใส่จานของปภินวิช แต่ตักอาหารของพฤทธิกรในจานของเด็กหนุ่มมาใส่ปากตัวเอง
“คุณกลอน!!!”
“กลอน!!!”
ปภินวิชและพฤทธิกรส่งเสียงร้องออกมาพร้อมกัน
“ครับ”เจ้าตัวยังเคี้ยวหงับ ๆ อย่างไม่รู้สึกรู้สาซ้ำยังตักอาหารทานต่อไปหน้าตาเฉย ปภินวิชหน้างอง้ำส่วนน้าชายได้แต่มองอย่างทั้งขำทั้งฉิว
“นายท่านบอกคุณกลอนหรือครับ”ปภินวิชเอ่ยถาม ภายในห้องพักผู้ป่วยกลับมาสงบเงียบอีกครั้งเมื่อชายหนุ่มและเด็กสาวที่มาเยี่ยมไข้ทยอยกลับไป ที่จริงปวันรัตน์อยากจะอยู่เฝ้าพี่ชายแต่โดนพฤทธิกรเอ่ยดุจนต้องกลับไปนอนที่ห้อง ส่วนบอดี้การ์ดที่อยู่เฝ้าในคืนนี้เป็นหน้าที่ของธนา
“ไม่ได้บอกหรอก น่าจะเป็นคุณก้อยที่บอก”พูดพลางดึงผ้าห่มคลุมร่างของเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียง
ปภินวิชย่นจมูกขยับปากพึมพำ ก่อนจะหันใบหน้าบึ้งตึงไปทางชายหนุ่ม ขยับตัวนอนตะแคงเมื่ออีกฝ่ายทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้ “ผมมีเรื่องจะฟ้อง”
“หือ”
“คุณกลอนพูดไม่ดีว่าผมอีกแล้ว”
“อืม”พฤทธิกรพยักหน้ารับ
“นายท่านต้องจัดการให้ผมนะ นี่เป็นความผิดครั้งที่สองของคุณกลอนแล้วด้วย ไม่สิครั้งที่สามต่างหาก”
“งั้น...ควรลงโทษยังไงดีล่ะ”
“นั่นสิ”พวกเขานั่งคุยเล่นกันอีกครู่ใหญ่ก่อนที่พฤทธิกรจะพูดบอกให้เด็กหนุ่มหลับตานอนได้แล้ว ปภินวิชยื่นมือออกไปคว้าจับมือของคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงไว้
“อยากกลับบ้านแล้ว”เด็กหนุ่มบอกออกไปตามตรง บรรยากาศของโรงพยาบาลทำให้เขารู้สึกไม่ดี
“อืม พรุ่งนี้ก็ได้กลับแล้ว”เมื่อชายหนุ่มพูดตอบ ปภินวิชจึงยอมหลับตาลง เขานั่งมองพลางยกมือลูบศีรษะเด็กหนุ่มกระทั่งเวลาผ่านไปนานเป็นชั่วโมง รอจนลมหายใจของร่างบนเตียงทอดยาวสม่ำเสมอ
ธนาสืบเท้าเงียบเชียบเข้ามาใกล้พลางกระซิบพูดเสียงเบา “ผมเตรียมที่นอนไว้ให้แล้วครับ ถ้าอย่างไรเดี๋ยวคืนนี้ผมเฝ้าคุณปลาให้เอง”
พฤทธิกรยังนั่งนิ่ง
“พักสักหน่อยเถอะครับ สักสามสี่ชั่วโมงก็ยังดี เมื่อคืนคุณฤทธิ์ก็ไม่ได้นอนไม่ใช่หรือครับ”
ชายหนุ่มค่อย ๆ ดึงมือที่ถูกกุมไว้ออก เขายืดตัวลุกขึ้นยืน โน้มตัวแนบจุมพิตลงบนหน้าผากของเด็กหนุ่มพร้อมเอ่ยบอกฝันดีเสียงเบา
“ฝากด้วยนะ”เขาพูดกับธนาก่อนเดินออกไปยังห้องด้านนอกซึ่งแสงไฟยังคงถูกเปิดสว่าง แวะเข้าห้องน้ำจัดการธุระส่วนตัวด้วยความรวดเร็วและกลับมานอนบนโซฟาตัวยาวที่บอดี้การ์ดเตรียมหมอและผ้าห่มไว้ให้ เมื่อศีรษะถึงหมอนเขาก็หลับสนิททันที ดังนั้นตอนที่สะดุ้งตื่นเพราะเสียงร้องตะโกนโวยวายจึงรู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งหลับไปเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม พฤทธิกรกลับพุ่งตัวเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยอย่างว่องไว
ปภินวิชยังมีอาการเหมือนเมื่อคืนวาน ที่แม้จะลืมตาตื่นแต่เหมือนไม่รู้สึกตัว ส่งเสียงร้องไห้พยายามปัดป้องตัวเองจากอะไรสักอย่าง ถดตัวเบียดร่างกายแนบไปกับผนังบริเวณหัวเตียง ธนากำลังพยายามเขย่าร่างเด็กหนุ่มพลางตบหน้าเบา ๆ เพื่อเรียกสติ
เขาตรงเข้าไปหา ชายหนุ่มอีกคนจึงหลีกทางให้ พฤทธิกรดึงร่างบนเตียงมาโอบกอดไว้ เขาเรียกชื่ออีกฝ่ายพร้อมพูดปลอบ มือข้างหนึ่งลูบหลังไปพลาง ทำอย่างนั้นด้วยความใจเย็นชั่วครู่ใหญ่เด็กหนุ่มจึงรู้สึกตัว
“ไปพักเถอะ เดี๋ยวฉันดูต่อเอง”พฤทธิกรหันไปบอกบอดี้การ์ดที่ยังยืนรออยู่ไม่ห่าง ฝ่ายนั้นก้มศีรษะก่อนหมุนตัวออกไปด้านนอก
ปภินวิชปล่อยน้ำตาให้ไหลพร้อมเสียงสะอึกสะอื้น ซบหน้ากับแผงอกกว้างและกอดรัดชายหนุ่มไว้
มันกลับมาหลอกหลอนเขาอีกแล้ว ทั้งที่ตัวเขาก็รับรู้ว่ามันได้ผ่านไปแล้ว ไอ้บ้านั่นไม่มีทางทำร้ายเขาได้อีก เขาอยู่ในที่ปลอดภัยแต่มันก็ยังตามมาทำร้ายเขาในฝัน
เขาน่าจะรู้ตัวว่ามันเป็นความฝัน แต่ภาพทุกอย่างกลับชัดเจนจนเหมือนว่ามันกำลังเกิดขึ้นอีกครั้ง
ในยามที่เขาปล่อยให้น้ำตาหลั่งเป็นสาย ปภินวิชนึกโทษตัวเองทุกครั้ง ถ้าวันนั้นเขาระวังตัวกว่านี้อีกนิด มันไม่มีทางดึงเขาเข้าไปในห้องได้อยู่แล้ว เขาเห็นมือผอมแห้งของมัน เขาควรจะมีเรี่ยวแรงมากกว่า เขาควรจะสู้มันได้ ทุกครั้งที่ย้อนนึกถึงมันมีแต่ความเสียใจ
เด็กหนุ่มผละตัวออกห่างเมื่อเริ่มคุมสติของตัวเองได้ จมูกของเขาคัดแน่นจนหายใจไม่ออก ยามหายใจจึงได้ยินเสียงฟืดฟาด ศีรษะปวดตุ้บ ๆ อย่างทรมาน
“ขอโทษครับ”
“ขอโทษทำไม เธอไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย”ชายหนุ่มพูดตอบกลับไป
“ผมทำให้นายท่านตื่น”ปภินวิชพูดเสียงเบาทั้งยังคงก้มหน้าก้มตาเช่นเดิม พฤทธิกรจึงใช้สองมือแตะช้อนใบหน้าแดงก่ำเพราะการร่ำไห้ให้เงยขึ้น เมื่อแนบหน้าผากชนกับหน้าผากของเด็กหนุ่มตรงหน้าอุณหภูมิร้อนผ่าวจึงถูกส่งมา “ไม่เลย เธอไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องนั้น เพราะฉันไม่อยากให้เธอต้องเผชิญกับฝันร้ายเพียงลำพังเหมือนกัน”
ปภินวิชมองแววตาและรอยยิ้มอ่อนโยนที่ถูกส่งมาให้ จากนั้นจึงโผเข้ากอดชายหนุ่ม พิงร่างแอบอิงไออุ่นจากร่างกายของอีกฝ่าย ไม่รู้ว่าเขาเคยทำบุญอะไรไว้ถึงได้เจอคนดี ๆ เช่นนี้ เด็กหนุ่มรู้สึกว่าเหตุการณ์เลวร้ายซึ่งตนเคยประสบกลายเป็นแค่อุปสรรคเล็กน้อยที่ถูกส่งมาทดสอบเขาเพื่อแลกเปลี่ยนกับการเจอคนที่ดีพร้อมอย่างพฤทธิกร
“ผมรักนายท่านนะครับ”เด็กหนุ่มพูดออกไป
ตอนที่เขาถูกคนเลวทรามย่ำยีทำร้าย ชั่วขณะที่จมอยู่กับความเจ็บปวดของร่างกาย เขาคิดว่าตัวเองคงจะไม่มีชีวิตรอดพ้นไปจากสถานที่แห่งนั้น เขานึกห่วงกังวลถึงน้องสาวและคิดถึงพฤทธิกร คิดถึงแววตาที่ชายหนุ่มใช้มองเขา คิดถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่ร่วมกัน และนึกเสียใจที่น่าจะกอบโกยความสุขจากการถูกรักให้มากกว่านี้อีกหน่อย
ปภินวิชรู้ดีว่าการพลัดพรากมันมักจะมาเยือนโดยไม่ทันตั้งตัว เขาจึงไม่อยากต้องนึกเสียใจอีก
คำพูดนั้นทำให้ชายหนุ่มร่างสูงชะงักพลางรั้งร่างเพรียวบางของปภินวิชออกห่าง มองแววตาฉ่ำวาวที่ยังคงนิ่งมองสบสายตาเขา
“รังเกียจผมหรือเปล่า”เสียงถามมาพร้อมแววตาสั่นไหวไม่มั่นใจ “ผม...”
พฤทธิกรรีบแนบริมฝีปากปิดกั้นคำพูดประโยคต่อไปไว้ ก่อนจะละห่างออกมาอย่างเชื่องช้า “ไม่... ไม่เลย ฉันไม่ได้บอกชอบเธอเพราะหวังเรื่องอย่างนั้น”เมื่อกล่าวจบก็แนบจูบลงไปอีกครั้ง ทอดสายตาอ่อนเชื่อมสอดประสานกับนัยน์ตาสีดำสนิท หลังจากขบเม้มย้ำแรง เด็กหนุ่มก็ยอมเผยอริมฝีปากให้แทรกปลายลิ้นเข้าไปโดยง่าย เขามุ่งตรงเข้าหาเรียวลิ้นนุ่มหยุ่นที่พยายามถดถอยด้วยความขัดเขินประหม่า
ความหวิววาบกระหายเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเผลอไผลดันร่างของเด็กหนุ่มให้ล้มลงบนเตียง สองมือคอยลูบไล้ปลุกเร้าอย่างลืมตัว
พฤทธิกรตัดใจจำยอมถอนริมฝีปากออกมา ร่างด้านล่างจึงลืมตามองเขาด้วยความกังขาไม่เข้าใจ
“เธอยังไม่หายดี คงต้องรออีกพัก”เขาตั้งศอกยันช่วงตัวด้านบนไว้ไม่ทิ้งน้ำหนักลงไปทับเด็กหนุ่ม
“ไม่เป็นไร ผมทนได้”ปภินวิชบอกอย่างหนักแน่นเด็ดเดี่ยว ภายในอกยังหวั่นระแวงไม่มั่นคงแม้จะได้ยินคำพูดที่ชัดเจนจากชายหนุ่มแล้วก็ตาม เขาคิดว่าความสัมพันธ์ทางกายอาจจะทำให้ความสั่นไหวคลอนแคลนที่กำลังรู้สึกจางหายไปได้ ทว่าอีกฝ่ายกลับเพียงยกยิ้มและดึงให้เขาลุกขึ้นนั่ง แตะจูบที่ริมฝีปากกับหน้าผากซ้ำเหมือนปลอบใจพลางรั้งร่างของเขาเข้าไปกอดพร้อมกระซิบบอกว่าไม่ต้องรีบร้อน
ปภินวิชยอมพิงแนบศีรษะลงไปแต่โดยดี เพียงแต่มีความกลัวมากมายกับผุดพรายออกมาไม่หยุด
เด็กหนุ่มมองการตกแต่งของห้องภายในคอนโดของพฤทธิกรด้วยความคิดถึง เขาไม่ได้กลับมานอนที่ห้องนี้แค่สองคืนเท่านั้น แต่ในความรู้สึกของเขาราวกับว่ามันยาวนานหลายสิบปี เขาสูดลมหายใจเข้าปอดและปล่อยลมหายใจออกด้วยอาการผ่อนคลาย
“ง่วงหรือเปล่า”
ปภินวิชเงยหน้ามองคนถามพร้อมสั่นศีรษะปฏิเสธ “อยู่ที่โรงพยาบาลก็นอนตลอด แล้วนายท่านไม่ต้องไปทำงานเหรอ”เขาเอ่ยถามกลับไปบ้าง เมื่อชายหนุ่มร่างสูงดึงข้อมือให้เขาเดินตามมานั่งที่โซฟา
“ลาแค่วันสองวัน ไม่เป็นไรหรอก”
เด็กหนุ่มแสร้งเบ้ปากกับคำตอบ เขาขยับตัวเข้าไปใกล้แล้วสอดแขนกอดรัดช่วงเอวของชายหนุ่มไว้ เกยคางกับช่วงบ่าหนาด้วยอากัปกิริยาออดอ้อน ไออุ่นและกลิ่นกายของอีกฝ่ายทำให้เขาสบายใจ ปภินวิชจึงเบียดกายเข้าหายามที่ได้มีโอกาสอิงแอบแนบชิด
“พูดอย่างนี้ เดี๋ยวก็ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำอีก”
และยิ่งรู้สึกดีเมื่ออีกฝ่ายลูบหลังลูบศีรษะด้วยความนุ่มนวลอ่อนโยนเช่นนี้
“ต้องทำใจหน่อยนะ เป็นแฟนท่านประธาน”
“เราสองคนเป็นแฟนกันแล้วเหรอเนี่ย”ปภินวิชแกล้งทำเป็นหน้าตาตื่นไม่รู้เรื่อง ท่านประธานจึงแกล้งทำเป็นตกใจด้วย “อ้าว ไม่ใช่เหรอ เธอบอกรักฉันแล้ว เธอก็ต้องเป็นแฟนฉันแล้วสิ”
“อะไรกัน เสียเปรียบชะมัด นายท่านต้องขอผมเป็นแฟนก่อนสิ เราถึงจะเป็นแฟนกันได้”เขากระเง้ากระงอดแต่ถึงกระนั้นสองแขนยังกอดชายหนุ่มไว้ไม่ปล่อย
“เอ... อย่างนั้นเหรอ”พฤทธิกรพูดพึมพำ ทำท่าครุ่นคิดแสร้งยึกยักประวิงเวลา คล้ายกำลังหยอกเย้าเด็กหนุ่มซึ่งมองเขาด้วยสายตาคาดหวังเต็มเปี่ยม เพียงแต่มีเสียงร้องเรียกจากน้องสาวของเด็กหนุ่มซึ่งดังมาให้ได้ยินตั้งแต่ที่เธออยู่หน้าประตูขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน ปภินวิชกลอกนัยน์ตาสีหน้าไม่พอใจ จากนั้นจึงขยับตัวออกห่างจากชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้อง
“พี่ปลา”ปวันรัตน์พุ่งตรงเข้ามาหาพี่ชายอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว พี่ชายจำต้องยิ้มฝืดฝืนส่งไปให้
“ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าคะ”เธอถาม
“ไม่ ไม่เลย”เขาปฏิเสธเสียงสูง “พี่สบายดี”
เด็กสาวไม่แน่ใจกับคำตอบของพี่ชายนักแต่เพราะเมื่อหันไปทางพฤทธิกรแล้วเขาพยักหน้ายืนยัน เธอจึงยอมเชื่อคำพูดนั้นอย่างเสียไม่ได้
“เออ พี่ฟรังค์ถามถึงพี่ปลาด้วย”
“ไปคุยกันตอนไหน”เขาถามอย่างแปลกใจ
“คุยในเฟซ พี่ฟรังค์โทรหาพี่ปลาไม่ติดเลยส่งเมสเซจมาถามปุ้ย ปุ้ยเลยบอกไปว่า พี่โดนขโมยโทรศัพท์”
“วัน ๆ ได้เรียนบ้างหรือเปล่าเนี่ย เห็นเล่นเฟซทุกวัน”
“ปุ้ยเล่นแค่ช่วงพักเอง โทรศัพท์ปุ้ยเป็นสองจีนะ จะเล่นในเวลาเรียนได้ยังไง”เธอตอบพี่ชาย ก่อนหันไปพูดกับพฤทธิกร “น้าฤทธิ์คะ ปุ้ยขอยืมโทรศัพท์หน่อย”
ชายหนุ่มเจ้าของชื่อยกยิ้ม จากนั้นจึงหยิบแท็บเล็ตในกระเป๋ามาส่งให้ เด็กสาวยกมือไว้ขอบคุณ เธอกดเปิดหน้าจอและล็อกอินเข้ากล่องข้อความของแอปพลิเคชัน
“นี่ไง ปุ้ยบอกไปว่าพี่ปลาไม่ค่อยสบายด้วย พี่เขาเลยอยากมาเยี่ยม ถามว่าอยู่โรงพยาบาลไหน”เด็กสาวขยับปากบอกพี่ชายแต่สองมือก็พิมพ์ตอบข้อความทธรรษทิ้งไว้ในกล่องสนทนา
เด็กหนุ่มจึงโน้มหน้าเข้าไปดูข้อความโต้ตอบ
“บอกมันว่าให้ทิ้งเบอร์ไว้ เดี๋ยวพี่มีโทรศัพท์ใหม่จะโทรหามันเอง”
“พี่ฟรังค์เขาอยากเห็นหน้าอะ อยากรู้ว่ายังอยู่ครบสามสิบสองหรือเปล่า”
“ไอ้บ้า ปากไม่เป็นมงคลชะมัด”ปภินวิชพูดบ่น พฤทธิกรจึงพูดแทรกออกไปว่า “ให้เพื่อนมาหาก็ได้นี่”
“ไม่เอาเด็ดขาดครับ”ปภินวิชบอกปฏิเสธเสียงแข็ง แต่เหตุผลคราวนี้ไม่ใช่เพราะไม่อยากให้พวกนั้นรู้ระแคะระคายในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพฤทธิกรเหมือนเมื่อช่วงก่อน “พวกนั้นเสียงดังจะตาย แล้วก็วุ่นวายมาก ถ้ามาที่นี่นะห้องนายท่านโดนสำรวจจนพรุนแน่ ไม่เด็ดขาด”เขายกมือไขว้กันเป็นรูปกากบาท ขนาดปวันรัตน์ยังหัวเราะกับคำบรรยายของพี่ชาย
“พรุ่งนี้คุณฤทธิ์ไปทำงานหรือเปล่าครับ ถ้ายังไงเดี๋ยวผมติดรถไปด้วย”เด็กหนุ่มกลับมาเรียกพฤทธิกรด้วยชื่อเหมือนเดิม เมื่อสะดุดใจนึกขึ้นได้ว่าน้องสาวนั่งอยู่ด้วย
“พักอยู่เฉย ๆ อีกสักวันจะดีกว่า”พฤทธิกรบอกด้วยความเป็นห่วง “หรือถ้าจะไปเจอเพื่อนจริง ๆ เดี๋ยวให้ธนามาคอยรับส่ง ไม่ต้องไปแกร่วรออยู่ที่บริษัทหรอก”
ปภินวิชยังลังเล จะบอกว่าร่างกายของเขาหายดีแล้วก็พูดไม่ได้เต็มปาก แต่จะพูดว่าไม่อยากรบกวนพี่ธนา เขาก็เข็ดขยาดกับการเดินทางคนไปไหนมาไหนคนเดียว
“งั้นเอาอย่างนี้ นัดเพื่อนมาเจอที่ห้างวันเสาร์ดีไหม เผื่อจะได้กินข้าวกับเพื่อน แล้วฉันตั้งใจว่าจะพาไปซื้อโทรศัพท์ให้ใหม่ด้วย”
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมมีเงินในบัญชีเหลืออีกเยอะ”เด็กหนุ่มรีบโบกมือปฏิเสธ อยากจะต่อประโยคว่าเงินที่นายท่านโอนให้ทุกเดือนนั่นแหละ
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันว่าจะซื้อให้ปุ้ยด้วยเหมือนกัน”
“จริงเหรอคะ”เด็กสาวร้องถามอย่างดีใจ “งั้นปุ้ยขอแท็บเล็ตแทนได้ไหม”
“ปุ้ย!!!”พี่ชายร้องปรามอย่างนึกอ่อนใจ แทนที่น้องสาวจะเกรงใจบอกปฏิเสธกลับขอเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเสียนี่
“ไม่เป็นไรหรอกน่า เงินเดือนท่านประธานเยอะจะตาย”พฤทธิกรพูดบอกให้เด็กหนุ่มสบายใจ
“ขอบคุณค่ะ”เด็กสาวประนมมือไหว้ชายหนุ่มผู้ใจดี และกล่าวบอกต่อไปว่า “ปุ้ยเอาโทรศัพท์เครื่องเก่าไปเรียนดีกว่า ไม่ต้องระวังหาย แต่อยากได้แท็บเล็ตมาหาข้อมูลค่ะ”
“งั้นน้าซื้อโน้ตบุ๊กให้แล้วกัน”
“น้าฤทธิ์ใจดีมาก”ปวันรัตน์อยากกระโดดเข้าไปกอดเขา ถ้าชายหนุ่มเป็นน้าชายแท้ ๆ เธอคงทำอย่างนั้นไปแล้ว เด็กสาวจึงสะกิดเรียกพี่ชาย “พี่ปลา” เมื่อเขาหันหน้ามาหาเธอจึงบอกว่า “พี่ปลากอดน้าฤทธิ์แทนปุ้ยให้หน่อย ปุ้ยดีใจมากที่น้าฤทธิ์จะซื้อโน้ตบุ๊กให้”
ปภินวิชหน้าแดงขณะที่พฤทธิกรส่งเสียงหัวเราะ ก่อนจะต้องหัวเราะเสียงดังมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินประโยคต่อไปของเธอ
“เนี่ย ถ้าไม่ติดว่าน้าฤทธิ์เป็นพี่เขยของปุ้ยนะ ปุ้ยเข้าไปกอดเองแล้ว”
เด็กหนุ่มได้แต่อ้าปากพะงาบ ๆ ไม่รู้ว่าควรพูดกับน้องสาวว่าอย่างไรดี ระหว่างที่กำลังคิดหาทางปฏิเสธคำร้องของอันน่ากระอักกระอ่วนขัดเขินอย่างไรไม่ให้เป็นการทำร้ายน้ำใจชายหนุ่มผู้ที่ตนมีใจให้ไปด้วย เขากลับถูกดึงเขาไปกอดเสียแล้ว และเพราะไอร้อนผ่าวบนใบหน้ากับเสียงหัวเราะคิกคักของน้องสาวทำให้เขาต้องซุกหน้าลงกับลาดไหล่ผู้เป็นเจ้าของอ้อมกอดอย่างช่วยไม่ได้
+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
ช็อค
ไม่อยากเชื่อว่าจะสร้างจุดหักเหได้เเรงขนาดนี้
แรงระดับฆ่าตัวละครให้ตายอ่ะ
เปลี่ยนโทนนิยายกระทันหันเเละเเรงเกิน
ทำไมทำกับตัวละครได้...
ตอนที่เขียนเรื่องนี้รอบแรก เราตัน คิดเหตุการณ์ที่ช่วยส่งให้ตัวละครรักกันมากขึ้นไม่ออก แล้วบังเอิญว่าอ่านเจอข่าวนี้พอดีแต่เหยื่อเป็นผู้หญิง เราเลยยกมาใช้ ประมาณให้นายเอกเห็นว่า ต่อให้เกิดเรื่องร้ายแรงพระเอกก็ยังอยู่เคียงข้างอะไรทำนองนี้ (ส่วนหนึ่งก็อยากให้เป็นอุทาหรณ์เหมือนกัน)
ตอนที่เขียนฉากโหดเราก็ลุ้นนะ กลัวอยู่เหมือนกันว่าถ้าน้าฤทธิ์จะมาช่วยไม่ทัน น้องปลาอาจจะโดนฆ่าหันศพโยนทิ้งน้ำก็ได้ เพราะตอนหาข้อมูลเจอแต่โอกาสติดตามตำแหน่งจากโทรศัทพ์มือถือกรณีที่โทรศัพท์ปิดเครื่องเป็นไม่ได้ล่ะ แต่ก็เขียนให้เจอ เนื่องจากเราคิดว่ามันน่าจะมีเทคโนโลยีที่ทำได้น่า ส่วนเวอร์ชันที่แล้ว พระเอกหานายเอกเจอเพราะพระเอกมีลูกน้อง(ทีมบอดี้การ์ด)เป็นสิบ
แต่ที่นำเรื่องนี้มารีไรต์ใหม่ ส่วนหนึ่งเพราะอยากเขียนช่วงหลังเหตุการณ์นี้ใหม่อีกรอบค่ะ และอยากเปลี่ยนโทนโดยรวมของเรื่อง แต่ก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วเหมือนกันว่าจะทำได้แค่ไหน เพราะน้าฤทธิ์กับน้องปลายังต้องฟันฝ่าต่อไป