หกหนุ่มตื่นขึ้นมาในตอนสายๆ พวกเขาต้มมาม่าหม้อใหญ่เป็นมื้อเช้ากินกันเอง ระดมเอาเนื้อสัตว์ที่เหลือจากเมื่อวาน กับไส้กรอกและไข่ใส่เข้าไปอีก กินกันแบบให้ท้องแตก จะได้มีแรงเดินขึ้นเขา
หลังจากอิ่มท้องและนั่งพักกันพอสมควรแล้ว พวกเขาก็ออกเดินทางกัน
“ทางขึ้นเขามีสี่ส่วนนะพี่วิน เรียก ย.1 ถึง ย.4” ภูพิงค์บรรยายขณะที่เดินนำทันตแพทย์หนุ่มไป
ช่วงแรกๆ ที่ยังมีเรี่ยวแรงอยู่ มันก็โอเคนะ พวกเขาเดินไปเรื่อยๆ หอบแฮ่กๆ แค่เล็กน้อย พอถึงย.3 ทางค่อนข้างชันและเป็นป่ารก อากาศเย็นมาก มีต้นไม้แปลกตาให้ดูตลอดทาง ถึงจะเพลินแต่ก็เหนื่อยแทบขาดใจ
ดิวโวยวายมาจากท้ายแถว “ทำไมแม่งยังไม่ถึงสักทีวะ” จะหยุดนั่งพักกันก็หยุดไม่ได้ เพราะทางแคบเหลือเกิน
“เริ่มเห็นต้นสนละเว้ย แปลว่าใกล้แล้ว”
แล้วหกหนุ่มก็มาหยุดหอบเป็นหมาหอบแดดกันที่หน้าป้ายเนินวัดใจ
“อะไรวะ ชีวิตกูนี่จะเจอแต่เนินวัดใจเรอะ”
“นั่งพักก่อน กูหมดแรง”
“ต้องบูมเรียกพลังมั้ยวะ”
รวินท์นึกขำ เหนื่อยก็เหนื่อย อยากหัวเราะก็อยาก เป็นไงล่ะ ตอนแรกดูถูกเขานัก แล้วสภาพแต่ละคนก็ไม่ต่างกันกับเขาสักหน่อย
“นี่เดินกันมาสองชั่วโมงกว่าละนะ มื้อเช้าที่กินอย่างกับยัดทะนาน หมดไปเร็วมาก”
“พี่วินหิวมั้ย ดื่มน้ำก่อน” ภูพิงค์หยิบขวดน้ำส่งให้
“ขอบใจ”
หลังนั่งพักกันจนพอใจแล้ว หกหนุ่มก็เดินขึ้นเนินวัดใจต่อ หากเพราะเดินมาหลายกิโลเมตรแล้ว ถึงจะเหลือแค่กิโลเมตรสุดท้าย สองขาก็สั่นไปหมด
“พี่วินจับมือผมไว้” ภูพิงค์ส่งมือให้อีกฝ่าย
“อีกไกลมั้ยวะเนี่ย ผมหิวแล้ว”
“ไม่รู้ดิ แต่ป้ายบอกกิโลฯ เดียวน่ะ ทนอีกนิด”
เมื่อขึ้นไปถึงยอดดอยได้ พวกเขาก็พบกับลานกว้างล้อมไว้ด้วยรั้วไม้ ท้องฟ้าเบื้องบนเป็นสีฟ้าสดใส มีปุยเมฆมากมาย ต้นไม้เป็นสีเขียวขจี อากาศเย็นสบาย หกหนุ่มวิ่งขึ้นไปยืนเรียงกันหน้ารั้วแล้วตะโกนก้อง
“ถึงแล้วโว้ย~”
“ถ่ายรูปๆ จะได้ไปเอาใบประกาศพิชิตยอดดอยเว้ย”
หลังจากถ่ายรูปกันจนสาแก่ใจ พวกเขาก็นั่งลงหันหน้าเข้าหากันเป็นวงกลม หยิบน้ำและขนมที่เตรียมไว้เป็นมื้อเที่ยงขึ้นมากินด้วยกัน เสร็จแล้วก็นอนหงายกันไปบนพื้นนั่นแหละ
รวินท์ยิ้มกว้าง รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เขาคิดว่านี่คงเป็นความหมายของการปีนขึ้นเขาในครั้งนี้ ที่ทุกคนพยายามให้เขาเข้าใจ พวกเด็กหนุ่มยอมปีนเขาลำบากลำบนด้วยกัน อดทนเพื่อให้มาถึงข้างบนได้ นี่คือการพิสูจน์ความจริงใจของคำพูดที่ทุกคนได้พูดกับเขาไว้
“สนุกใช่มั้ยพี่หมอ ข้างบนนี่สุดยอดไปเลยใช่ป่ะ”
“อือ เจ๋งสุดๆ ไปเลย ขอบใจทุกคนมากนะ”
ความรู้สึกแบบนี้... ไม่เลวเลยนะ เขานึกขอบคุณการรับน้องขึ้นดอยในคราวนั้น ที่ทำให้ได้รู้จักภูพิงค์และทุกคนแบบนี้
ภูพิงค์ลุกขึ้น พลางส่งมือให้ทันตแพทย์หนุ่ม “เดินเล่นถ่ายรูปกันพี่”
รวินท์จับมือเด็กหนุ่มตอบ “โอเค”
เมื่อถึงตอนลงจากยอดเขา พวกเขาใช้เวลาน้อยกว่าตอนเดินขึ้นมาก แต่ก็หิวกันปางตาย โชคดีที่สั่งอาหารที่ร้านสวัสดิการเอาไว้แล้ว พออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเสร็จก็ย้ายทัพไปเอาใบประกาศและกินมื้อเย็นกัน
หลังเสร็จจากมื้อเย็น หกหนุ่มก็เอากระดาษหนังสือพิมพ์มาปูนอนดูท้องฟ้าในยามค่ำคืนกันที่หน้าบ้าน เมื่อปิดไฟแล้วบริเวณนั้นก็แทบจะมืดสนิท ทำให้มองเห็นดวงดาวบนท้องฟ้าได้อย่างชัดเจน
ท้องฟ้าที่นี่สวยชะมัด ช่วยให้ใจเขารู้สึกสงบดี และที่สำคัญตอนนี้ เขาแทบจะไม่กังวลกับการเผชิญหน้ากับเตชิตแล้ว รู้สึกเข้มแข็งขึ้น พร้อมขึ้นเป็นกอง
“นั่นดาวลูกไก่” ดิวชี้ขึ้นไปบนฟ้า “ถึงเรื่องมันจะเศร้า แต่กูก็อยากเล่าให้พวกมึงฟัง แม่เอ๋ยแม่ไก่ มีขอไข่ในเล้า...”
“มึงไม่ต้องสำบัดสำนวนมะไอ้ดิว จะเล่าก็เล่าดีๆ” แซนดี้ตอบแทนใจทุกคน
“อะๆ มีตายายเลี้ยงแม่ไก่ไว้ ต่อมาจะฆ่าแม่ไก่ไปทำอาหารถวายพระ แม่ไก่ก็ยอมโดนฆ่าเพื่อทดแทนคุณ ลูกๆ เศร้าใจก็เลยโดดลงหม้อตายตามแม่ สรุปตายห่ากันหมด ไปเกิดเป็น...”
“ปลาบู่”
“สัส ผิดเรื่อง”
สี่หนุ่มเถียงกันไปเรื่อยๆ ภูพิงค์นิ่งฟังแล้วหัวเราะเป็นระยะๆ ส่วนรวินท์นิ่งเงียบ พอทันตแพทย์หนุ่มเงียบไปนานเข้า ภูพิงค์ก็ยกศีรษะขึ้นมอง
“พี่วิน หลับไปแล้วเหรอ”
“ยัง”
“ทำไมเงียบ ทุกทีถ้าไม่หลับ อย่างน้อยต้องมีเสียงท้องร้องมาบ้าง”
“ผมไม่ได้หิวตลอดเวลาป่ะวะ”
“อ้าว เหรอ”
รวินท์หันไปถีบเด็กหนุ่มเบาๆ “แต่ผมได้ยินเสียงหมาเห่าแว่วมาจากคุณตลอดเลยนะ”
“โห พี่วิน...”
สี่หนุ่มลุกขึ้นนั่งตบมือ “ยกนี้พี่หมอชนะน็อกเว้ย!”
ทันตแพทย์หนุ่มลุกขึ้นนั่งบ้าง เขายิ้มแล้วค้อมศีรษะให้กับทั้งสี่คน “ขอบคุณครับ ขอบคุณ”
ภูพิงค์พลิกตัวหันหน้าเข้าหาคนที่นั่งอยู่ข้างกัน พร้อมกับใช้แขนข้างหนึ่งตวัดกอดเอวดึงอีกฝ่ายเข้ามาหาตัว จากนั้นก็จั๊กจี้ตรงเอว “ผมไม่ยอมแพ้หรอก”
“เฮ้ย ขี้โกงนี่” รวินท์หัวเราะลั่น พอเขายิ่งดิ้น แขนของเด็กหนุ่มก็ยิ่งกอดรัดแน่นเข้า กลายเป็นภาพแสลงสายตาของเด็กหนุ่มอีกสี่คน
“เดี๋ยวค่อยจีบกันก็ได้ป่ะวะ เกรงใจพวกกูด้วย”
“พวกคุณดูยังไงว่าจีบกันวะ ผมโดนแกล้งอยู่เห็นมั้ย” ทันตแพทย์หนุ่มโวยวายไปหัวเราะไป “ช่วยด้วยดิ”
“เฮ้อ~ ไปๆ เข้านอนกันดีกว่า” หากอีกสี่หนุ่มไม่สน พวกเขาลุกขึ้นเก็บกระดาษหนังสือพิมพ์ที่ใช้รองนอนเอาไปใส่ถังขยะ แล้วก็พากันเดินเข้าบ้าน “เบาๆ หน่อยละกันนะไอ้พิงค์ เดี๋ยวพี่หมอกระดูกกระเดี้ยวหักหมดอะ มึงยังเหลือฟันคุดอีกสามซี่นะ”
“ปล่อยได้แล้วเว้ย” รวินท์ทุบไหล่คนที่กอดเขาอยู่รัวๆ
ภูพิงค์ยอมคลายอ้อมแขนออก ก่อนจะขยับขึ้นมานอนหนุนตักอีกฝ่าย “งั้นขอนอนตักหน่อย”
“คนอื่นไปนอนกันหมดแล้วนะ เราจะไม่เข้าไปนอนบ้างเหรอ”
“พี่วินง่วงแล้วเหรอ”
“ก็ยัง...”
“ไอ้พวกนั้นมันยังไม่นอนหรอก คงเกาะขอบหน้าต่างแอบดูพี่กับผมอยู่นั่นแหละ”
“คุณ...ไม่กลัวเพื่อนเข้าใจผิดเหรอวะ”
“เข้าใจผิดเรื่องอะไร”
“เรื่องคุณกับผมไง”
คนอ่อนวัยกว่าขมวดคิ้ว “ขนาดนี้พวกมันยังเข้าใจผิดได้อีกเหรอวะพี่ แล้วเรื่องพี่กับผม มันก็เป็นเรื่องจริงป่ะ”
“แต่พวกเขาก็ชอบแซวคุณกับผมแบบนี้อยู่แล้วป่ะวะ” ทันตแพทย์หนุ่มอ้ำอึ้ง ”พวกเขารู้เรื่องคุณกับผมแล้วเหรอ”
“น่าจะรู้ ผมออกจะชัดเจนขนาดนี้ คงไม่ต้องบอกตรงๆ มั้ง”
สายตาทั้งสองคู่ประสานกัน รวินท์รู้สึกแปลกๆ คือเขาก็ดีใจนะ แต่มันไม่สุด มันเหมือน...อะไรๆ ยังไม่ค่อยแน่ชัดสักอย่าง
เด็กหนุ่มยกมือขึ้นไล้แก้มอีกฝ่าย “คิดอะไรอยู่”
“ไม่รู้เหมือนกัน”
“คิดอะไรอยู่ยังไม่รู้อีก... ยังกังวลเรื่องพี่เต้เหรอ”
“ไม่แล้ว” ทันตแพทย์หนุ่มส่ายหน้า จากนั้นจึงยิ้มบาง “เพราะผมรู้ว่าคุณจะอยู่ข้างๆ ผมไง”
“พี่วินแม่งน่ารัก”
“มีคุณคนเดียวนี่แหละที่พูดแบบนี้”
“จริงอะ”
“อือ คนอื่นเขาชมว่าหล่อ”
ภูพิงค์หัวเราะ เขาทอดสายตามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว แล้วนิ่งเงียบไปชั่วครู่ เมื่อรวินท์เห็นอย่างนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองบ้าง
เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปกุมมือทันตแพทย์หนุ่มไว้ แล้วร้องเพลงคลอ “ขอให้ค่ำคืนนี้มีแต่เรา อยู่เคียงใต้แสงดาว และมีความรักให้กันและกัน” ก่อนจะเคลื่อนมือขึ้นไปโน้มคออีกฝ่ายลงมาหาตัว “พี่วิน เคยได้ยินเพลงนี้มะ”
รวินท์อมยิ้ม “เคยดิ แต่เวอร์ชันที่ได้ยินเมื่อกี้เพราะสุดนะ”
“โห ปากหวานว่ะ” คนอ่อนวัยกว่ายิ้มกริ่ม “ไหนๆ ไอ้พวกนั้นก็มองเราอยู่แล้ว ทำให้พวกมันเห็นชัดๆ ไปเลยดีป่ะ”
“ทำอะไร...วะ”
ภูพิงค์พูดจบก็ยกศีรษะขึ้นจูบริมฝีปากนุ่มตรงหน้า แค่สัมผัสบางเบา บานประตูบ้านก็เปิดออกผาง
“ไปจีบกันในห้องนู่นไป๊ พวกคุณมึงไม่ได้อยู่แค่สองคนใต้แสงดาว แต่พวกกูก็ด้วย!” แซนดี้ต่อว่า “สงสารใจกูบ้าง ขาดผู้ชายมาเป็นเดือนแล้วโว้ย!”
รวินท์หันขวับ “แซนดี้แอบดูอยู่เหรอเนี่ย”
แซนดี้ชะงัก “โอ๊ย ไม่ต้องแอบก็เห็นป่ะพี่หมอ” แล้วรีบถอยกลับเข้าบ้านไป
ภูพิงค์ลุกขึ้นนั่ง เขาหัวเราะไปพร้อมกับรวินท์ด้วย “เห็นมะ ผมบอกแล้ว” ก่อนจะลุกขึ้นแล้วฉุดอีกฝ่ายให้ลุกตาม “ปะ เข้าห้องเรากันเหอะ”
*TBC*เหม็งฟามรักนิดหน่อยนะคะ น้ำตาลท่วมดอยเบาๆ
หมั่นไส้คนร้องแพลงจีบแฟน แต่ไม่มีปัญญาทำอะไรแฟนนะคะ 555555
เดี๋ยวตอนหน้ากลับถึงลำพูนแร้วววว สนุกแน่นอนนน จะได้เปิดตัวพระรองที่แท้จิมสักทีค่ะ 55555
คืนนี้นอนหลับฝันดี ขอบคุณคนอ่านทุกคนมากค่ะ