หลังจากซื้อผักผลไม้จากโครงการหลวงเสร็จ ภูพิงค์ก็รับหน้าที่เป็นโชเฟอร์ต่อ เขาขับรถลงดอย พาทันตแพทย์หนุ่มมุ่งหน้ากลับไปยังโรงพยาบาลลำพูน
สองหนุ่มกลับมาถึงหอพักแพทย์ในตอนบ่ายแก่ๆ เมื่อมาถึงก็ช่วยกันหอบเสื้อผ้ากับของที่ซื้อมาขึ้นไปบนห้อง นั่งพักกันสักพักแล้วก็เริ่มต้นทำอาหาร
ภูพิงค์หุงข้าวไว้ก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงหยิบห่อยอดฟักแม้วขึ้นมาล้างน้ำ จัดการเด็ดเฉพาะตรงที่อ่อนๆ ใส่จานไว้ แล้วเอาผลฟักแม้วมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ต่อ ส่วนรวินท์ก็หั่นหมูยอเตรียมไว้ทอด
“นี่พิงค์ เดี๋ยวพรุ่งนี้เอาหมูยอกลับไปกินที่บ้านเช่ากับเพื่อนๆ ด้วยนะ ผมมีเยอะว่ะ กินไม่ไหวแล้ว”
เด็กหนุ่มยิ้มรับ “เออ ดีพี่ หมูยอทำกินง่ายดีด้วย ขอบคุณครับ”
ใช้เวลาไม่นานสองหนุ่มก็ยกกับข้าวมาตั้งโต๊ะกินกับข้าวที่เพิ่งสุกใหม่ๆ พวกเขาเคี้ยวแก้มตุ่ย กินไปยิ้มไปตามประสาสายแดกทั้งคู่
“ผักนี่อร่อยดี เห็นในซูเปอร์ฯ ขายประจำแต่ไม่เคยซื้อเลย เพิ่งรู้ว่าผัดง่ายขนาดนี้”
“ยังมีเหลือนะพี่ ผมเอาใส่ช่องกระบะไว้ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าผัดกินได้อีกรอบ”
“มีคุณอยู่นี่สะดวกดีจริงๆ มาค้างบ่อยๆ ดิ”
“คิดถึงผมก็ไปหาที่มหาลัยดิ๊”
“เออ...” รวินท์กินข้าวหมดจานพอดี เขารวบช้อนส้อมไว้แล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
“เออ อะไรวะพี่”
“อยากไปเดินดูในมหาลัย ตอนงานไนต์ไม่ทันได้เห็นอะไรเลย มืดแล้ว เดินเข้าเดินออกตึกแบบเร่งๆ ด้วย”
“แหม ไม่ต้องหาเหตุผลสารพัดหรอก อยากมาหาผมก็มาเหอะ มาเมื่อไหร่ก็ได้”
ทันตแพทย์หยุ่มกระตุกยิ้มมุมปาก “ก็อยากไปหา แต่จะโดนสโมฯ ของคุณจับไว้ขายอะไรอีกมะ”
“โดนแน่ ผมบอกเลย ไอ้พวกนั้นแม่งกล่อมเก่งฉิบหาย ผมไม่เคยปฏิเสธอะไรแม่งได้เลย”
รวินท์พยักหน้าหงึกหงัก เขาเองก็เคยเจอไปครั้งนึง เข้าใจอย่างสุดซึ้งเลย
ระหว่างที่คุยกันไปก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงของลูกบิดประตู จากนั้นบานประตูก็เปิดออกผาง
เตชิตเดินเข้ามาด้วยสีหน้าหงุดหงิด ยิ่งเห็นสีหน้ายิ้มแย้มของเพื่อนรักอยู่กับคนอื่นก็ยิ่งอารมณ์เสีย เขากระแทกถุงใส่ชีสเค้กลงบนโต๊ะ
“อ้าว กลับมาแล้วเรอะ” เจ้าของห้องเอ่ยทักทาย
“โทรศัพท์เป็นอะไร ทำไมมึงไม่รับโทรศัพท์กู”
“ไปเที่ยว อยู่บนดอย ไม่มีสัญญาณ” รวินท์ตอบเสียงเรียบ
“ดอยเหี้ยอะไร กันดารมากเลยรึไงวะ”
“แล้วมึงมีธุระอะไรสำคัญมากรึไง”
โอ้โห คุยกันแบบไม่เห็นหัวกูเล้ย!
เวลานี้ภูพิงค์อยากมุดโต๊ะหนีแล้ว เขาชำเลืองมองสีหน้านิ่งของพี่วิน สลับกับสีหน้าเกรี้ยวกราดของเตชิต ขนาดนี้แล้วไอ้พี่วินยังเฉยได้ เขานับถือจริงจริ๊ง~
“เอ่อ ผมไปล้างจานให้นะ” เด็กหนุ่มรีบตัดช่องน้อยแต่พอตัว เขารีบเก็บจานวางซ้อนๆ กันแล้วหอบเข้าครัว
เตชิตนั่งลงแทนที่ภูพิงค์ ระหว่างทั้งสองคนเงียบกริบไปสักพักใหญ่ จนกระทั่งอารมณ์เย็นลงเขาจึงพูดขึ้น “หิว”
“เดี๋ยวโทรสั่งพิซซ่าให้ จะแดกหน้าไร”
“เอาเหมือนมึง”
“กูแดกแล้วเมื่อกี้ อิ่มจะตายห่า”
“อ้าว แล้วมึงจะให้กูนั่งแดกคนเดียวเนี่ยนะ”
รวินท์หันมองไปในครัว พลางถอนหายใจเบาๆ “ยังมีข้าวเหลือ แดกหมูยอมั้ยล่ะ”
“อือ”
เจ้าของห้องลุกขึ้นเดินเข้าครัว ซึ่งภูพิงค์ยืนเช็ดจานที่ล้างไว้จนวาววับมันทุกใบแล้ว
“พี่วินไปนั่งเหอะ เดี๋ยวผมทอดให้” เด็กหนุ่มกระซิบ
“ไม่ล่ะ ผมทอดเอง คุณหั่นให้ทีละกัน”
ภูพิงค์เดินตัวลีบไปเปิดตู้เย็นหยิบหมูยอออกมา ก่อนจะหั่นเป็นแว่นๆ ให้อย่างรวดเร็ว “ใส่ลงกระทะเลยนะพี่ เดี๋ยวผมตักข้าวรอให้”
“อือ คุณจะไปอาบน้ำก่อนก็ได้นะ ไปรื้อเอาเสื้อผ้าในห้องนอนเลย ผมขอโทษแทนไอ้เต้มันด้วย ไม่รู้แม่งไปแดกต่อแตนที่ไหนมาว่ะ”
“พี่ก็ใจเย็นๆ หน่อยละกัน อย่าตีกันตายนะ เมืองไทยยังขาดหมอฟันนะรู้ป่ะ”
รวินท์หัวเราะ เป็นครั้งแรกที่สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป ตั้งแต่เตชิตโผล่มา “เออ รู้แล้วน่ะ” เมื่อทอดหมูยอเสร็จก็ตักใส่จาน เอาไปเสิร์ฟให้คนที่นั่งรออยู่
ฝ่ายภูพิงค์ พอเจ้าของห้องเดินออกไปจากครัว เขาก็วิ่งปรู๊ดไปรื้อหาเสื้อผ้าในห้องนอน แล้วโอ้เอ้อยู่ในห้องสักพัก
เตชิตมองตามเด็กหนุ่ม หากยังไม่พูดอะไร เขาตักข้าวในจานกินไปสองสามคำจึงค่อยถาม “ไอ้หมอนั่นใคร”
“ไอ้หมอนั่น?”
“ก็ไอ้คนที่นั่งกับมึงน่ะใคร”
“พิงค์ไง กูไปเที่ยวกับพิงค์มา ไปขึ้นดอยอินทนนท์ เพิ่งกลับมาก่อนมึงไม่นานหรอก”
เตชิตหลุบตาลงต่ำ ตักข้าวกินต่อไปเรื่อยๆ พอท้องอิ่มก็เริ่มสำนึกผิดเล็กน้อย “เออ โทรหามึงไม่ได้ก็นึกว่ามีเรื่องอะไรรึเปล่า เป็นห่วง”
“ขอบใจเว้ย แต่กูไม่ได้อายุสามขวบนะเว้ย ไม่ต้องห่วงอะไรให้มันเว่อร์นัก” รวินท์ส่ายหน้าไปมา เขาหันมองไปทางห้องนอน เห็นว่าเด็กหนุ่มแอบมองออกมาจากทางช่องประตูที่เปิดค้างไว้แล้วก็อมยิ้ม “แต่ก็ขอบใจเว้ย แล้วพ่อกับน้องมึงเป็นไงบ้าง”
“ทำกายภาพอยู่ตอนนี้ พอลุกเองได้แล้ว แต่ก็ยังงอแงกันทั้งคู่”
“ถ้างั้นมึงก็ยังต้องเดินทางไปมาบ่อยๆ สินะ”
“อือ จะทำไงได้” เตชิตเงยหน้าขึ้น เห็นภูพิงค์ย่องออกมาจากห้องนอนของเพื่อนรักพอดี เขาจึงเอ่ยขึ้น “หวัดดีพิงค์ เมื่อกี้ผมจำไม่ได้ โทษทีนะ”
เด็กหนุ่มยิ้มเจื่อนๆ “หวัดดีครับพี่ ตั้งแต่โดนจับตัดผมโกนหนวดมาก็ไม่ค่อยมีใครจำหน้าผมได้หรอกพี่ เดี๋ยวผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะ” พูดจบก็สาวเท้าฉับๆ เข้าห้องอาบน้ำไป
“วันนี้พิงค์ค้างด้วยเหรอ”
“อืม”
“ตัดผมซะจำไม่ได้เลยว่ะ”
“น่ารักดีใช่มะ” รวินท์ยิ้มน้อยๆ
เตชิตจ้องใบหน้าของเพื่อนรักเขม็ง หากก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาก้มลงกินข้าวในจานต่อไปเงียบๆ
ระหว่างที่รออีกฝ่ายกินข้าว รวินท์จึงพูดถึงทริปบนดอยของเขาฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ “กูเพิ่งเคยไปดอยอินทนน์ครั้งแรก แต่ขับรถขึ้นดอยสนุกดี น้ำตกก็สวย ต้นไม้ดอกไม้เยอะมาก”
“แล้วไปค้างที่ไหนวะ”
“ที่บ้านพักบนดอยเลยเว้ย กลางคืนหนาวฉิบหาย มืดมาก หลอนนิดๆ ด้วย แต่ตอนเช้าได้เห็นทะเลหมอกจึ๋งนึง” เมื่อเห็นว่าเพื่อนรักกินเสร็จแล้วก็พูดต่อ “สนุกแต่เหนื่อยเหี้ยๆ เดินจนขาลาก นี่ขนาดกูหลับมาแทบตลอดทาง ยังเพลียๆ อยู่เลย มึงเองกลับมาเหนื่อยๆ รีบไปอาบน้ำนอนซะนะเว้ย เดี๋ยวกูจะอาบน้ำนอนแล้วเหมือนกัน” เป็นเชิงไล่อีกฝ่ายกลายๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นบิดตัวไปมา
เตชิตยังไม่อยากกลับห้องสักเท่าไหร่ แต่เพราะคิดว่ารวินท์คงจะเหนื่อยจริงๆ และตัวเขาเองก็เช่นกัน “เออ มึงพักเยอะๆ ก็แล้วกัน พรุ่งนี้จะได้มีแรงทำงาน”
“มึงก็เหมือนกัน” เมื่อทันตแพทย์ทั้งสองลุกขึ้น รวินท์ก็หยิบถุงชีสเค้กขึ้นมาพลางยิ้มบาง “ขอบใจนะเว้ย ฝันดี”
“อือ ฝันดีเว้ย อย่าลืมล็อกห้องด้วยล่ะ”
“เออๆ ไม่ลืมหรอก ใครจะกล้าขึ้นมาปล้นหอพักแพทย์วะ”
รวินท์เดินถือจานเข้าไปในครัว ล้างจานเสร็จจึงเดินไปล็อกกลอนประตู และปิดผ้าม่านหน้าต่างให้เรียบร้อย เมื่อหันหน้ากลับมาก็เห็นว่าเด็กหนุ่มเดินออกมาจากห้องอาบน้ำพอดี คงจะรอให้เตชิตกลับไปก่อนค่อยออกมา เขาอมยิ้ม เห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของเด็กหนุ่มแล้วก็ต้องแซ็วสักหน่อย
“อาบน้ำนานชะมัด ขัดหนอนเหรอวะ”
“ไอ้พี่วิน! ใครจะมีอารมณ์ขัดตอนนี้วะ!”
“แปลว่าถ้าเป็นตอนอื่นขัดได้?”
“เออๆ ปกติก็ได้หมดแหละ ผมยังหนุ่มอยู่เว้ย” ภูพิงค์ขี้เกียจจะเถียง เขาเดินฉับๆ เข้าห้องนอนไป แต่แล้วก็โผล่หน้าออกมาอีกครั้งพร้อมกับส่งผ้าเช็ดตัวและชุดนอนให้เจ้าของห้อง “พี่ไปอาบน้ำเร็วๆ ดิ ผมจะนอนขัดหนอนรอพี่ไปพลางๆ”
ทันตแพทย์หนุ่มหัวเราะ เขาเดินไปรับผ้าเช็ดตัวกับชุดนอนมาถือไว้ “ไปขัดที่ระเบียงเลยเว้ย ไม่ขึ้นเงาไม่ต้องกลับเข้ามานะ”
“ไม่เอาอะ หนาวตูด” เมื่อพูดจบก็ผลุบกลับเข้าไปในห้องนอน
รวินท์ส่ายหน้าไปมา หากก็คงรอยยิ้มไว้เช่นนั้นจนกระทั่งอาบน้ำเสร็จ
*~TBC~*
พี่น้องกำลังสวีต หมอเต้มาทีวงแตกเลยน้าาา 555555
ใครไปเที่ยวต่างจังหวัด อย่าลืมลองเคล็ดกันผีของพี่วินนะคะ ได้ผลเป็นไงมาเล่าให้ฮัสกี้ฟังบ้างน้า 55555
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านค่ะ แล้วก็สุขสันต์วันเด็กนะคะ (อยากแจก porn แต่ตอนที่ว่ายังอยู่อีกไกล 55555)ปล.ขอพูดถึงเรื่องกิจกรรมของสโมฯ ที่อาจจะทำให้หลายๆ คนไม่พอใจนะคะ จุดนี้ฮัสกี้จะรีไรต์ในต้นฉบับให้ซ็อฟต์ลงเล็กน้อย ให้ดูเป็นการขอร้องของทางสโมฯ มากกว่ายัดเยียดให้ค่ะ แต่อย่างหนึ่งที่คงเปลี่ยนไม่ได้ คือการที่ทางสโมฯ ขอแรงจากพี่วินมาช่วยเหลือในกิจกรรมต่างๆ (กิจกรรมคณะตามมหาลัยทั่วไปก็มีการขอให้คนดังๆ หรือดารานักร้องมาร่วมทำกิจกรรมการกุศลนะคะ ขอร้องว่าอย่ามองว่าคนในคณะทำอะไรไม่ได้เลยค่ะ ฮัสกี้ว่ามันเป็นไอเดียอย่างหนึ่งของการเรียกคนให้มาร่วมงานมากกว่านะคะ) และในมุมมองของฮัสกี้ จุดที่อยากเน้นตั้งแต่ในตอนแรกๆ ก็คือการที่พี่วินได้มาร่วมวิ่งขึ้นดอยกับน้องๆ วิศวะค่ะ นั่นทำให้พี่วินได้พบกับน้องพิงค์ ได้เป็นส่วนหนึ่งของคณะวิศวะ และน้องๆ ในคณะเองก็คิดว่าพี่วินเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขาเช่นกัน แรงบันดาลใจในการเขียนเรื่องนี้มาจากการรับน้องขึ้นดอยของวิศวะมชค่ะ
ตัวพี่วินในเรื่องเอง ถึงแม้ตอนแรกจะตกกระไดพลอยโจนมาเข็นรถเข็นให้น้องวิศวะขึ้นดอยพร้อมกับเพื่อนๆ ได้ ที่จริงตรงนี้ไม่ใช่เพียงแค่เด็กๆ วิศวะในเรื่องที่ได้ประโยชน์ แต่พี่วินก็เช่นกัน พี่วินได้เห็นความสามัคคี ได้เห็นความรักกันของน้องๆ เป็นประสบการณ์ที่พี่วินเองก็ไม่เคยมีมาก่อน และจากการได้มาร่วมกิจกรรมหลายๆ อย่างของคณะ นั่นทำให้พี่วินได้ประสบการณ์ดีๆ (รวมถึงน้องพิงค์)กลับไปด้วยเช่นกัน อยากให้เปิดใจมองที่ตรงจุดนี้ด้วยค่ะ
สุดท้ายสิ่งที่สำคัญสุด การวิ่งขึ้นดอย กิจกรรมเพื่อชุมชนของคณะวิศวะ เป็นสิ่งที่ทำให้พี่วินและน้องพิงค์ค่อยๆ เข้ามาใกล้ชิดกัน ผูกพันกัน และจะมีกิจกรรมต่อไปอีกเรื่อยๆ ค่ะ จนเขารักกันนั่นล่ะ รักกันแล้วก็ยังมี เพราะมันเป็นจุดที่ฮัสกี้ใช้ดำเนินเรื่องค่ะ 555555
ปล.อีกที ฮัสกี้ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ ขอบคุณที่บอกกล่าวในส่วนที่ชอบหรือไม่ชอบในนิยายนะคะ ฮัสกี้รับฟังความคิดเห็นของทุกคนเสมอและจะพยายามปรับปรุงแก้ไขค่ะ แต่บางข้อความอ่านแล้วก็รู้สึกเจ็บและท้อได้เหมือนกันนะคะ ขอให้นึกถึงใจคนเขียนสักนิดนึง ขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจเสมอมาค่ะ 