Chapter 19 : งานไนต์ของวิศวะเมื่อถึงเวลาบ่ายแก่ๆ ของวันเสาร์ เสียงเพลงจากวงดนตรีซึ่งกำลังทดลองเครื่องเสียงกันดังแว่วมาเป็นระยะๆ หลังจากเลิกงาน ภูพิงค์ก็ไปรับรวินท์มานั่งจ๋องอยู่ด้วยกันในห้องแต่งตัวซึ่งทางสโมฯ จัดไว้ให้ วันนี้มีทั้งช่างผมช่างแต่งหน้าพร้อม พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ สองหนุ่มก็มานั่งเป็นตุ๊กตาให้บรรดาช่างได้ทดสอบฝีมือกัน
“อาจารย์สั่งว่าของน้องพิงค์ให้แต่งแบบแบ๊วสุดๆ”
พอได้ยินมาเช่นนั้น รวินท์ก็ขำพรืด
“แต่ที่จริงแต่งให้คุณหมอแบ๊วๆ น่าจะง่ายกว่านะเนี่ย”
“พี่ตาถึงมากครับ” ภูพิงค์ยิ้มกริ่ม แล้วหันไปยักคิ้วให้ทันตแพทย์หนุ่ม
รวินค์คิ้วกระตุก “ผมว่าทำตามอาจารย์สั่งดีแล้วครับ”
ใช้เวลาไม่นานก็แต่งหน้าทำผมเสร็จ สองหนุ่มในชุดสูทที่สปอนเซอร์ให้ยืมมาจึงเดินไปประจำที่กันที่ข้างหลังเวที งานจะเริ่มตอนหนึ่งทุ่ม พวกเขายังมีเวลาเหลืออีกนิดหน่อยจึงตระเตรียมซ้อมบทกัน
“พี่วินหิวเปล่าอ่ะ จะกินอะไรก่อนมั้ย”
“ไม่อะ เดี๋ยวรอเสร็จงานดีกว่าว่ะ ตอนนี้กินไม่ลง”
เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น “พี่ก็ตื่นเต้นกับเขาเป็นด้วยเหรอเนี่ย”
“แหงสิวะ ผมไม่เคยรับหน้าที่พิธีกรนะเว้ย นี่ครั้งแรก”
“โห เปิดซิงกับผมเลย รู้สึกเป็นเกียรติมากขอรับท่านพี่”
“ถ้าล่มก็ล่มไปด้วยกันนะท่านน้อง”
“ไม่ล่มหรอกน่า เราซ้อมกันดีแล้วนี่” ภูพิงค์ยกมือขึ้นวางบนหัวไหล่ทันตแพทย์หนุ่มแล้วบีบเบาๆ “ทำใจให้สบาย แจกยิ้มการค้าของพี่ไปเราก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว”
“ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
“มันเป็นความสามารถพิเศษของพี่ต่างหากเว้ย”
รวินท์หัวเราะออกมาเบาๆ “ขอบใจ”
“พิงค์ พี่หมอ พร้อมยัง เตรียมตัวนะ” สตาฟฟ์จากบนเวทียื่นหน้าเข้ามาบอก
“โอเคเว้ย” ภูพิงค์พยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปโอบไหล่ทันตแพทย์หนุ่ม “ลุยเว้ยพี่ ปะ!”
สองหนุ่มก้าวขึ้นไปบนเวทีพร้อมกันด้วยรอยยิ้ม พวกเขาชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นจำนวนคนในงานจากบนเวที ข้างล่างแน่นขนัดไปหมด มองดูแล้วเหมือนถั่วงอกที่ปลูกไว้ในกะละมังอย่างไรอย่างนั้น
แสงแฟลชสว่างวาบจนตาพร่า แม้รวินท์จะเคยอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้มาก่อนก็ยังต้องตกใจ ผู้คนให้ความสนใจกับงานการกุศลครั้งนี้อย่างมากมายเหลือเชื่อ
“สวัสดีครับผม ภูพิงค์ คณะวิศวะปีสาม”
“สวัสดีครับ ผมรวินท์ เป็นพิธีกรรับเชิญของคณะวิศวะครับ”
เสียงปรบมือผิวปากต้อนรับดึงกึกก้อง พวกเขาทำหน้าที่ตามโพยที่ท่องไว้ เริ่มจากการกล่าวถึงจุดประสงค์ของงาน ขอบคุณสปอนเซอร์ แนะนำนักดนตรี จากนั้นก็ย้ายไปนั่งรออยู่บนแท่นพิธีกรซึ่งมีลูกโป่งจัดแต่งไว้อย่างน่ารัก
รุ่นพี่คณะเปิดการแสดงเพลงแรกด้วยเพลงร็อคสุดมันส์ เสียงกลอง เบสและกีตาร์ดังจนสะเทือนไปทั้งเวที รวินท์นั่งมองไปพลางอมยิ้ม เขานึกไม่ถึงเลยนะว่าทั้งหมดนี่จะเป็นฝีมือนักศึกษา ซึ่งใช้เวลาจัดการทั้งเวที เพิงร้านค้าและร้านอาหารเพียงแค่สัปดาห์กว่าๆ เท่านั้น
“รุ่นพี่คุณสุดยอดไปเลยว่ะ ร้องเพลงได้อย่างกับนักร้องจริงๆ แสงสีในงานก็เกือบจะเป็นมืออาชีพกันได้เลย”
“โห ปลื้มเลยว่ะพี่ พูดจริงหรือพูดจริงครับเนี่ย” ภูพิงค์หันมองไปรอบๆ ช้าๆ แล้วพูดต่อ “คณะเราจัดงานไนต์มาหลายปี ปกติไม่ฉุกละหุกขนาดนี้ด้วยซ้ำ แต่ตั้งแต่ผมอยู่มาก็มีปีนี้แหละที่คนแน่นมากขนาดนี้”
“อือ ผมว่าส่วนหนึ่งคงเพราะสโมฯ คุณเตรียมการประชาสัมพันธ์ดีด้วย VTR ที่นำเสนอตอนงานวิ่งมาราธอนก็ทำได้ซึ้งมากๆ”
“เรื่องแบบนี้ไอ้พวกพี่ๆ สโมฯ ถนัดนักละครับ ผมเองก็โดนเกลี้ยกล่อมแนวนั้นประจำ สุดท้ายก็ยอมให้เขาใช้งานมันได้ทุกที”
“แต่ถึงกับยอมตัดผมโกนหนวดเพื่องานนี้ ผมว่าถ้าน้องๆ กับชาวบ้านได้รู้ คงปลื้มในตัวคุณมากนะ” รวินท์เอื้อมมือไปตบลงบนหลังมืออีกฝ่ายเบาๆ
เด็กหนุ่มยิ้มมุมปาก “เปล่าซะหน่อย ผมตัดผมโกนหนวดให้แบ๊วเอาใจพี่ต่างหาก”
“ผมก็ปลื้มมาก ปลื้มมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” ทันตแพทย์หนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ
พิธีกรจำเป็นทั้งสองกลับไปยืนกลางเวทีเป็นระยะๆ เพื่อให้รุ่นพี่นักร้องนักดนตรีได้หยุดพัก พวกเขาพูดคุยกันตามสคริปต์ แนะนำซุ้มอาหารและเครื่องดื่ม แนะนำของที่สปอนเซอร์มอบให้นำมาขาย สลับกับการแสดงดนตรีไปเรื่อยๆ กระทั่งงานดำเนินไปเกือบครึ่งงาน หน้าที่ของสองหนุ่มใกล้จะเสร็จสิ้นลง ทว่าบรรยากาศในงานกำลังสนุกครึกครื้น จนรวินท์ไม่อยากให้หน้าที่ของเขาจบลงไปเลย
ทันตแพทย์หนุ่มวางแขนพาดบนพนักเก้าอี้ที่คนอ่อนวัยกว่านั่งอยู่ ถอนหายใจเบาๆ พลางขยับเข้าไปหา “เพลงต่อไปนี่เป็นเพลงสุดท้ายของครึ่งแรกแล้วใช่มั้ย”
“ใช่ครับ ทำหน้างี้เสียดายอะดิ”
“อือ อยากนั่งฟังต่อ กำลังมันส์เลย”
“เสร็จงานเราก็ยังฟังต่อได้มะ” ขณะที่เด็กหนุ่มขยับเข้าไปตอบ รุ่นพี่นักดนตรีกำลังพูดคุยถึงเพลงที่จะร้องต่อไปกับผู้คนในงานพอดี พอได้ยินชื่อเพลงเขาก็เลิกคิ้วขึ้น ยกโพยขึ้นดูชื่อเพลงอีกครั้งแล้วอมยิ้ม “พี่วินๆ รู้จักเพลงที่พี่เขากำลังจะร้องนี่มะ”
“หือ เพลงอะไร ผมยังไม่ทันได้ยินชื่อเลย” เจ้าของชื่อตอบพร้อมกับยกโพยขึ้นดูบ้าง
ภูพิงค์เคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้เมื่อจังหวะแรกของเพลงจากวงดนตรีที่กลางเวทีเริ่มขึ้น พลางร้องคลอตามที่ข้างๆ ใบหูของคนที่นั่งอยู่ข้างกัน “รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง รู้ว่าเหนื่อยถ้าอยากได้ของที่อยู่สูง...”
รวินท์หันขวับไปสบสายตากับคนอ่อนวัยกว่า ก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปาก ทว่ายังไม่ทันได้โต้ตอบอะไรสตาฟฟ์ของงานก็เข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
“เดี๋ยวเพลงนี้จบ พอพิธีกรอีกคู่ขึ้นมาบนเวที รบกวนพี่หมอกับพิงค์อยู่ให้สัมฯ ต่อ แล้วก็จะมีเล่นเกมอะไรกันนิดหน่อย โอเคมั้ยครับ”
“โอเค”
“จะฟังรายละเอียดเกมก่อนมั้ยครับ”
“ไม่ล่ะ จัดมาเลย” สองหนุ่มผู้ถูกถามส่ายหน้ารัว ไม่ได้สนใจจะฟังรายละเอียดอะไรของเกม เพราะใจกำลังจดจ่ออยู่กับเพลงเมื่อครู่
ทันทีที่สตาฟฟ์ถอยกลับไป ทันตแพทย์หนุ่มก็หันไปสะกิดบอกกับคนข้างๆ กัน “ร้องต่อดิ”
“ฮั่นแน่ ติดใจเสียงผมใช่มะ”
“อือ หายง่วงดี”
“โห พูดงี้ไม่ร้องต่อละ”
“เล่นตัวชะมัด” รวินท์ส่ายหน้าไปมา
ภูพิงค์หัวเราะร่วน “จำเนื้อไม่ได้แล้วว่ะพี่ ร้องได้แค่ที่ร้องไปนั่นแหละ”
ทันตแพทย์หนุ่มเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พร้อมกับเบือนหน้าไปทางเวทีแทน “โธ่เอ๊ย”
“ก็ฟังนักร้องร้องไปดิ”
รวินท์นั่งนิ่ง ไม่ได้สนใจจะหันไปมองคนที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ข้างกันอีก
เมื่อเพลงจบลงก็ถึงเวลาที่พิธีกรอีกคู่จะขึ้นมาบนเวที สองหนุ่มจึงอยู่รอตามที่เตี๊ยมกันไว้
หลังจากพิธีกรคู่ใหม่แนะนำตัวเสร็จ เสียงใสแจ๋วของพิธีกรสาวก็ดังขึ้น “เอาล่ะ ก่อนอื่นเลย เรามาสัมภาษณ์สองหนุ่มคนดังประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ของมหาลัยเรากันสักหน่อยดีกว่านะคะ”
เสียงกรีดร้องจากแฟนๆ ด้านหน้าเวทีดังกระหึ่ม ออร่าสีม่วงจากพวกทุกคนสว่างวาบๆ พอๆ กับแสงไฟจากบนเวที จนสองหนุ่มต้องถามตัวเองกันรัวๆ ว่า... นี่พวกเขาดังแบบไหนกันวะเนี่ย!
รวินท์กับภูพิงค์หันมองหน้ากัน หางคิ้วกระตุกแบบแปลกๆ มีลางสังหรณ์ว่าพวกเขาต้องพลาดท่าแน่แล้ว หากเวลานี้จะเปลี่ยนใจวิ่งหนีไปหลังเวที ก็คิดว่าคงจะไม่รอด
“เอาล่ะ ขอสัมภาษณ์น้องพิงค์หน่อยค่า อะไรดลใจให้ตัดผมโกนหนวดคะเนี่ย”
คนถูกถามคิ้วกระตุก
ก็ถูกบังคับไงโว้ย รู้แล้วยังจะถาม!
“เอ๊ะๆ หรือว่าเพราะเสาร์ที่แล้ว พี่หมอบอกว่าชอบแบ๊วๆ กันน้า~”
นั่น ชงกันเองได้อีก
ภูพิงค์เอื้อมมือไปขอไมค์มาเพื่อจะตอบ ทว่าพิธีกรทั้งสองรู้ทันว่าเขาต้องปฏิเสธ ทั้งคู่จึงดึงไมค์หนีแล้วหันไปทางรวินท์แทน
“พี่หมอรู้สึกยังไงครับที่น้องพิงค์เปลี่ยนแนวจากเถื่อนมาแบ๊วแบบนี้”
รวินท์โปรยยิ้มทันที “รู้สึกว่าเขาน่ารักมากเลยครับ”
“เด็กวิดวะของมหาลัยเราก็น่ารักทั้งนั้นเลยนะครับ พี่หมอว่ามั้ย”
“อืม... ผมว่าน้องพิงค์น่ารักที่สุดแล้วล่ะครับ”
ไอ้พี่วิน! ภูพิงค์หันไปทำหน้าดุใส่
“ว้าย~ น้องพิงงงงงค์~” ฝ่ายพิธีกรหญิงก็หันไปกรีดร้องกับสาวๆ ที่ข้างหน้าเวที “แล้วๆ... พี่หมออยากมีแฟนอยู่วิดวะบ้างเปล่าค้า”
ทันตแพทย์หนุ่มยกมือขึ้นลูบท้ายทอย พร้อมกับแจกยิ้มไปทั่วตามธรรมเนียม “แหม ถามแบบนี้ผมเขินแย่เลย”
คนอ่อนวัยกว่าที่ยืนอยู่ข้างกันอยากจะเบ้ปากแรงๆ มุมปากเขากระตุกยิกๆ
“แล้วน้องพิงค์ล่ะครับ อยากมีแฟนเป็นวิดวะเหมือนกัน หรืออยากได้แฟนเป็นหมอ”
โอ้โห... ชงเข้มข้นกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ภูพิงค์อ้าปากจะพูดบ้าง แต่ถูกพิธีกรหนุ่มเหยียบเท้าไว้ เขาจึงทำได้แค่ยิ้มเจื่อนๆ
“เขินกันใหญ่เลยเนอะ เอาล่ะ ไม่แซวแล้วดีกว่า เรามาเล่นเกมกันเถอะ”
“เกม!?” สองหนุุ่มชักไม่มั่นใจ พวกเขากลืนน้ำลายฝืดลงคอ ตอนนั้นพวกเขาไม่น่าเสือกรีบรับปากเล้ย มาถึงตอนนี้ก็ชักจะเสียวๆ สันหลังซะแล้วสิ
“เราจะประมูลเงินบริจาคกันโดยใช้เวลาสิบนาที ใครเป็นผู้บริจาคสูงสุดจะสามารถจับฉลาก แล้วเลือกใครคนหนึ่งหรือสองคนจากพวกเราสี่คนหรือรุ่นพี่นักร้องนักดนตรีบนเวทีนี่ มาจับคู่ทำอะไรกันตามฉลากที่จับได้นั้น ให้เวลาปรึกษากันก่อนสามนาทีนะครับ”
“ฮะ!?” ลางสังหรณ์ของพวกเขาถูกเป๊ะเลยเว้ย!
ขณะที่สองหนุ่มหันมองหน้ากัน เสียงปรึกษากันของสาวๆ ที่จะร่วมประมูลก็ดังอื้ออึง ทำให้พวกเขาเริ่มเหงื่อตก รู้สึกหวั่นใจอย่างไรชอบกล
“เอาล่ะ ครบสามนาทีแล้ว เริ่มที่หนึ่งร้อยบาทครับ!” สิ้นเสียงพิธีกรหนุ่ม จำนวนเงินก็เพิ่มขึ้นพรวดๆ แฟนคลับของรุ่นพี่นักร้องเองก็มีไม่ใช่น้อย ส่วนสาววายทั้งหลายก็สู้ตายเพื่อใส่เชื้อไฟให้เรือลำใหญ่ของพวกเธอ
จากการลงขันกันแบบทุ่มสุดตัว ในที่สุดบรรดาสาววายก็เป็นผู้ชนะไป พวกเธอส่งตัวแทนขึ้นเวทีไปแล้วกระชับกล้องในมือรอฉากฟินๆ
“เชิญผู้ชนะมาจับฉลากครับ”
ฉลากทั้งหมดมีสี่ใบ อยู่ในซองสี่ซอง เมื่อหญิงสาวผู้ชนะเลือกมาซองหนึ่งแล้ว พิธีกรก็เปิดออกอ่าน “ผลัดกันหอมแก้ม”
ฉิบหาย! สองหนุ่มอุทานอยู่ในใจ ได้แต่ภาวนาว่าเธอจะเป็นแฟนคลับของรุ่นพี่นักร้อง ไม่ใช่พวกเขา
แต่ดูท่าจะไม่เป็นอย่างที่หวัง เสียงภาวนาของพวกเขาเดินทางไปยังไม่ทันพ้นขอบเวทีเลย หญิงสาวผู้ชนะก็ชี้มือมาทางพวกเขาแล้ว “เลือกพี่วินกับพี่พิงค์ค่ะ”
เสียงหวีดร้องดังสนั่นจนพื้นเวทีสะเทือน หากสองหนุ่มหูอื้อ หน้ามืดตามัวไปก่อนเรียบร้อย
“เดี๋ยวให้เวลาพี่หมอกับน้องพิงค์ทำใจสักครู่ ระหว่างนี้ผมจะเฉลยฉลากใบอื่นๆ ก่อนนะครับ มีเล่นละครบอกรักกัน ผลัดกันอุ้มแบบเจ้าหญิง และกินป๊อกกี้ให้ได้เหลือน้อยกว่าครึ่งเซนติเมตร”
“ผลัดกันหอมแก้มง่ายที่สุดแล้วนะคะเนี่ย~”
ง่ายก็มาทำเองมั้ยวะ! ภูพิงค์อยากจะยกกลองชุดทุ่มใส่รุ่นพี่พิธีกรนัก
เด็กหนุ่มหันไปประสานสายตากับรวินท์อย่างรู้สึกผิด “ขอโทษนะพี่วิน” ทว่าสีหน้าอีกฝ่ายไม่ได้สลดเลยสักนิดเดียว
“อยากหอมแก้มผมก็บอกมาตรงๆ ดิวะ ติดสินบนรุ่นพี่พิธีกรของคุณไว้อีกแล้วใช่เปล่าวะเนี่ย”
ภูพิงค์คิ้วกระตุก ไอ้พี่วินนี่ ซีเรียสหน่อยไม่ได้เลยเว้ย “แหม ที่จริงพี่เป็นคนติดสินบนมากกว่าป่ะ ผมแบ๊วน่ารักเลยอยากหอมแก้มอะดิ”
“เมื่อเช้าโกนหนวดแล้วใช่ป่ะวะ”
“มีเรื่องน่าห่วงมากกว่าโกนหนวดมั้ยวะพี่”
“ห่วงอะไร หอมหมาหอมแมวผมยังหอมได้เลย”
“เหอะ อย่าติดใจผมก็แล้วกัน”
รวินท์ยักคิ้วให้ “แต่ถ้าคุณหอมแก้มผมแล้วติดใจ ให้หอมสองข้างเลยก็ได้นะ”
เว้ย~ ไอ้พี่วินนี่แม่ง!
“เอาล่ะ เชิญพี่หมอกับน้องพิงค์กลางเวทีเลยค่า ตกลงกันได้รึยังว่าใครจะเริ่มก่อนค้า”
“ผมเริ่มเองครับ” ทันตแพทย์หนุ่มยกมือขึ้น
“เพราะน้องพิงค์น่ารักจนอดใจไม่ไหวแล้วใช่มั้ยพี่หมอ”
รวินท์อมยิ้ม “ครับ”
เด็กหนุ่มหมั่นไส้ท่าทีอีกฝ่ายจนไม่รู้จะกลั่นคำพูดออกมาอย่างไร เขายื่นหน้าเข้าไปหาทันตแพทย์หนุ่มแล้วทำแก้มพองลม “เชิญเลยครับพี่วิน”
รวินท์ยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มช้าๆ จงใจให้ได้ยินเสียงดังฟอดใส่ไมค์ เอาให้สาวๆ หวีดร้องกันจนคอแห้งไปเลย พอถอนจมูกออกมา หันไปทางพิธีกรสาวก็เห็นว่าเธอยืนบีบจมูกตัวเองไว้ เพราะเลือดกำเดาใกล้จะไหลแล้ว
“อะ... อะ! ตาน้องพิงค์บ้าง หอมแก้มพี่หมอสิ” พิธีกรหนุ่มอ้ำอึ้ง เขารู้สึกราวกับว่าเป็นพิธีกรอยู่ในงานแต่งงานแล้วเนี่ย
ภูพิงค์ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาโอบไหล่ทันตแพทย์หนุ่มแล้วดึงเข้าหาตัว จากนั้นก็หอมแก้มฟอด ซ้ายทีขวาอีกทีตามคำท้าของอีกฝ่ายเลยทีเดียว
เสียงตบมือ เสียงหัวเราะ และเสียงกรีดร้องดังก้องจนเวทีแทบถล่ม พอหอมกันเสร็จ เด็กหนุ่มก็ถือโอกาสที่ทุกคนบนเวทีไม่ทันตั้งตัว คว้าแขนทันตแพทย์หนุ่มกลับเข้าไปที่ข้างหลังเวที ให้งานได้ดำเนินต่อก่อนจะกลายเป็นงานแข่งขันหอมแก้มของเขากับไอ้พี่วินแทน
สองหนุ่มนั่งหน้าแดงเถือกกันอยู่ที่ด้านหลังเวที โดยมีเพื่อนๆ ของภูพิงค์ถือพัดช่วยพัดและส่งยาดมให้
“ผมทำอะไรลงไปวะเนี่ย” รวินท์ส่ายหน้ากับความเพี้ยนของตัวเองรัวๆ
“พี่เริ่มก่อนนะเว้ย”
“เรื่องแบบนี้มันไม่ควรต้องแข่งกันเปล่าวะ”
ซันพูดตัดบท “เอาน่ะๆ ได้เงินประมูลมาเยอะเลยนะ คิดซะว่าหอมแก้มเพื่อการกุศล”
“พี่หมอกับไอ้วินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ จะได้ไปหาอะไรกิน”
“เออ ในซุ้มจะมีอาหารเหลือมั้ยเนี่ย” ภูพิงค์เงยหน้าขึ้นถามเพื่อนๆ
“มึงยังจะกล้าออกไปกินตามซุ้มให้โดนรุมอีกเหรอไอ้พิงค์ พาพี่วินไปกินหลังมอนู่นไป๊” ซันยัดเงินใส่มือเพื่อนรัก “พาพี่หมอไปเลี้ยงสักมื้อก่อน เต็มที่เลยเว้ย”
ภูพิงค์ขมวดคิ้ว “แต่พี่วินอยากฟังเพลงต่อด้วยนี่หว่า”
รวินท์บอกกับเด็กหนุ่มพร้อมกับตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ “ไม่เป็นไรๆ ไปหาอะไรกินกันเถอะ ผมหิวแล้วอะ”
และแล้วสองหนุ่มผู้น่าสงสารก็ต้องระเห็จกันไปกินบะหมี่หมูแดงร้านเดิม หากวันนี้ในร้านไม่มีใครรู้จักพวกเขา จึงได้กินกันอย่างสงบหน่อย
“เดี๋ยวพี่วินจะกลับเลยเปล่า”
“ยังไม่อยากกลับเลยว่ะ ที่จริงก็อยากเดินดูบรรยากาศในงานต่ออะนะ กำลังสนุกเลย แต่คงทำให้คนอื่นลำบากเปล่าๆ”
“ผมว่าอยู่ห่างๆ งานไว้ดีกว่า เผื่อว่าไอ้พี่พิธีกรคู่นั้นจะเกิดเพี้ยนหาเรื่องอะไรมาให้อีก”
“อือ ก็จริง”
สรุปแล้วพวกเขาจึงกลับไปปักหลักกันที่ข้างหน้าคลินิก ทั้งสองคนนั่งคู่กันบนขั้นบันได จากตรงที่นั่งก็ได้ยินเสียงเพลงดังมาแว่วๆ
ภูพิงค์ทอดสายตามองไปทางมหาวิยาลัย เขานิ่งเงียบไปสักพักใหญ่จึงพูดขึ้น “วันนี้เหนื่อยมั้ย พี่ช่วยพวกผมไม่รู้กี่รอบแล้วเนี่ย”
“ไม่หรอก สนุกดีนะ รู้สึกเหมือนได้กลับมาเป็นนักศึกษาอีกครั้งเลย” รวินท์อมยิ้ม “ผมเองก็ขอบใจพวกคุณมากนะ ที่ชวนผมให้มาร่วมในงานสนุกๆ แบบนี้ด้วย”
“เพราะทำให้พี่ได้รู้สึกกระชุ่มกระชวย เหมือนกลับเป็นหนุ่มอีกครั้งใช่มั้ยล่ะ”
“นี่ผมแก่กว่าคุณไม่กี่ปีเองนะเว้ย หมอฟันเขาเรียนหกปี ไม่ใช่สิบปี”
“ก็พี่ชอบเก๊กแก่ใส่ผมอ่ะ”
“เขาเรียกวางมาดให้ดูน่าเคารพต่างหาก”
“อื้อหือ นี่วางแล้ว? งั้นกลับไปถือไว้สักหน่อยเหอะพี่”
รวินท์ผลักศีรษะเด็กหนุ่มออกห่าง “เก็บปากไว้อ้าตอนผ่าฟันคุดบ้างเหอะ แล้วนี่ไปตรวจมายังวะ”
“ยังคร้าบ~”
“จะเก็บไว้ให้ฟันผุเน่าหนอนเป็นอาหารให้หมาในปากรึไง”
“ผมแปรงฟันดีน่า!”
ทันตแพทย์หนุ่มส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนใจ “แบบคุณนี่ ถ้ามาผ่ากับผมคงต้องทุบหัวให้สลบก่อนแล้วค่อยผ่า”
“คนนะพี่ไม่ใช่ปลาช่อน” ภูพิงค์เอนตัวเบียดเข้าไปหาอีกฝ่าย “พี่วิน งานนี้ผมขอบคุณพี่มากจริงๆ นะ... ถ้ามีไรให้ผมช่วยก็เรียกได้ตลอด”
“จริงอะ”
“จริง”
“ผมอยากกินน้ำพริกอ่อง”
เด็กหนุ่มหัวเราะพลางหยักหน้า “เลี้ยงง่ายดี”
“อยากฟังเพลงเมื่อตอนนั้นอีกรอบด้วย”
ภูพิงค์หยุดกึก ขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดหาเพลงในยูทูป แล้วเปิดให้อีกฝ่ายฟัง
“ไม่เอาแบบนี้อะ คุณร้องดิ”
“ฟังของจริงไม่ดีกว่ารึไงวะพี่”
“ก็ไม่ได้อยากฟังคนอื่นร้องนี่หว่า”
คนอ่อนวัยกว่ายิ้มมุมปาก “ร้องนิดเดียวพอนะ”
“เออ”
ภูพิงค์ปล่อยให้เพลงเล่นไปชั่วครู่ จึงค่อยร้องคลอตามเบาๆ “ได้เกิดมาเจอเธอทั้งที ไม่ว่ายังไงจะลองดีสักวัน อยากรักก็ต้องเสี่ยง ไม่อยากให้เธอเป็นเพียงภาพในฝัน... พอละ”
“โห กำลังเคลิ้มเลย”
เด็กหนุ่มหันหน้าไปหาสบสายตากับรวินท์ “เอาไว้ถ้ามีอารมณ์จะร้องให้ฟังต่อละกัน” จากนั้นจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา
รวินท์เสตามองตามมือของคนที่นั่งอยู่ข้างกัน “ทำไม”
“ไม่รู้เหมือนกัน อยากลูบ”
ทันตแพทย์หนุ่มเอื้อมมือออกไปหยิกแก้มคนอ่อนวัยกว่าบ้าง “อยากหยิก”
“เดี๋ยวถ้าผมเกิดอยากหอมแก้มพี่ขึ้นมาอีกพี่จะทำไงเนี่ย”
“เมื่อกี้ยังไม่พอรึไง”
“ติดใจอะ” ภูพิงค์ไม่พูดเปล่า เขายื่นหน้าเข้าไปหาทันตแพทย์หนุ่มด้วย หากเมื่อปลายจมูกเกือบจะถึงผิวแก้ม อีกฝ่ายก็หันหน้ามาประสานสายตากัน ปลายจมูกของพวกเขาอยู่ห่างกันแค่ปลายเล็บกั้น
รวินท์รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ของเด็กหนุ่ม ซึ่งทำให้เขาชะงัก แต่ก็ไม่ยอมถอยออกห่าง
คนอ่อนวัยกว่ายิ้มกว้าง “แอบหวังให้ผมทำจริงอะดิ”
ทันตแพทย์หนุ่มคิ้วกระตุก “ผมรู้ว่าคุณไม่กล้าหรอกน่ะ”
“แหม่ มีท้า”
“ผมไปแล้วดีกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นเช้าไม่ไหว”
“พี่หนีผมอ่ะ”
รวินท์ลอยหน้าลอยตาท้า “จะไปนอนด้วยกันเปล่าล่ะ ถ้าอยากหอมนักผมจะให้หอมทั้งคืนเลย”
ภูพิงค์ยิ้มมุมปาก “ผมรับคำท้านะ แต่เอาไว้จะทวงวันหลัง วันนี้ต้องไปช่วยเขาเก็บงานก่อนอ่ะ”
“หมดเขตเที่ยงคืนเว้ย” ทันตแพทย์หนุ่มดีดหน้าผากอีกฝ่ายไปหนึ่งที “ผมไปแล้ว”
“ฝันดีคร้าบพี่”
รวินท์ชำเลืองมองอีกฝ่าย “อือ ฝันดี อย่าลืมน้ำพริกอ่องด้วยนะ” ก่อนจะรีบรุดเปิดประตูคลินิกเข้าไปข้างใน
*TBC*วรั้ยยยยย! ผู้ชายเขาเล่นอะไรกันคระเนี่ย เขิลแทน 5555555
อยากให้น้องพิงค์มาร้องเพลงข้างๆ หูม่างอ่าาาา~ /พี่วินถีบ
แล้วๆๆๆ แก้มพี่วินจะหอมขนาดไหนน้าาาา~ อิอิ
ขอบคุณคนอ่านทุกคนมากค่ะ ฮัสกี้เอาตอนฟินๆ มาลงให้อย่างเร็ว ส่งท้ายปีเก่าเลยนะคะ 
แล้วก็ ขอ Happy New Year 2018 ทุกคนล่วงหน้าเลยนะคะ พบกับตอนใหม่ของภูสอยเดือนปีหน้าค่า รักน้องพิงค์และพี่วินไปกันนานๆ น้าาาาาาา
ปล. แปะเพลง เล่นของสูง ที่น้องพิงค์ร้องกรอกหูพี่วินค่ะ