END『 #เรากับเขา 』Act 26: เป็นเรากับเขา...ทุกช่วงเวลา P.11 [12/8/62]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: END『 #เรากับเขา 』Act 26: เป็นเรากับเขา...ทุกช่วงเวลา P.11 [12/8/62]  (อ่าน 68037 ครั้ง)

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
พี่ปั้นนนน ไม่ร้องนะ อย่าไปนึกถึงเรื่องเมื่อก่อนเลยย ฮืออ //กอด

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
สงสารพี่ปั้น :mew6: :mew6:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
เอ็นดูพี่ปั้นน สู้ๆนะพี่ปั้นนายเข้ามาเติมเต็มให้พี่ปั้นแล้ววว

ออฟไลน์ utamon

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 706
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
ต่อไปนี้ให้น้องนายดูแลหัวใจของพี่ปั้นเถอะนะ :mew6:

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
นายดูแลพี่ปั้นดีๆนะ

ออฟไลน์ crazydoii

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 858
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
โหดร้ายกับปั้นเกินไปละ!!

ออฟไลน์ 0%

  • 0percent.
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สงสารพี่ปั้นคนซื่อจังเลยอะเเงๆ น้องนายต้องดูเเลดีๆนะ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
นายจะเยียวยาพี่ปั้นเองนะ โอ๋นะ  :hao5:

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ใครทำหนู :angry2:

ออฟไลน์ jaevin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-3
Act 10: เขา...กับสัญญาวันศุกร์



            ...วันนี้ใจเราทำงานหนักจัง...



                “ปั้น เหม่ออะไรเนี่ยลูก แม่เรียกตั้งนาน”



                “แม่...มีคนชอบปั้น”



                “ก็ดีแล้วนี่”



                “แบบชอบ ชอบนะแม่”



                “ชอบชอบอะไรของปั้น”



                “ก็แบบว่า...”



                “มีคนรักดีกว่ามีคนเกลียดไง แล้วคนที่ชอบปั้นคนนั้นปั้นชอบเขาหรือเปล่าล่ะ...”



                “...ก็...”



                “คิดช้า แม่ไปนอนล่ะ โอ๊ยย ทำงานมาทั้งอาทิตย์ ลูกก็ไม่อยู่กินข้าวด้วย”



                “แม่อะ...”



                แม่เดินขึ้นชั้นสองไปทิ้งให้เรานั่งจมอยู่กับความคิดอีกครั้ง เหตุการณ์ตอนหกโมงฉายวาบเข้ามาเป็นครั้งที่หนึ่งร้อยพอดี หลังจากที่เขาถอนใบหน้าออกไป เราได้แต่ยกหลังมือเช็ดจมูก มือไม้ไม่รู้จะวางไว้ตรงไหน ลนลานจนเขาลูบหัวเราเบาๆ พร้อมกับยิ้ม ก่อนจะดันหลังเราเข้าบ้าน เราหมุนตัวเดินเข้าบ้านอย่างงงๆ เดินมานั่งที่ห้องนั่งเล่นเป็นชั่วโมง จนแม่เรียกหา



                อา...ใจเต้นแรงจัง แถมยังรู้สึกเหมือนเสียงกระซิบและความรู้สึกที่ริมฝีปากยังคงอยู่



                ความเศร้าและความกังวลที่เราประสบอยู่แปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นไปเสียอย่างนั้น เขาทำให้เรารู้สึกเหมือนมีผีเสื้อฝูงใหญ่บินว่อนอยู่ในท้อง มันกระพือปีกจนเราแทบลอยไปบนฟ้า



                ...นายนะนาย มีเวทย์มนตร์งั้นหรอ...



                “นายชอบเราจริงๆ ...น่ะหรอ”



                เราถามย้ำกับตัวเอง และรู้คำตอบนั้นอยู่ในใจ แล้วก็เป็นเราอีกนั่นแหละที่กลัวเขาจะผิดหวังกับคำตอบที่ยังมาไม่ถึง           



                Rrrrrr



                จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น คนที่โทรมาคือคนที่กำลังอยู่ในความคิด ทันทีที่ได้ยินเสียงเขา ผีเสื้อก็ไหวปีกบินอีกครั้ง



                (พี่ปั้น...)



                เราเผลอมองออกนอกหน้าต่างที่มีผ้าม่านกั้นอยู่เหมือนกับว่าเขายังยืนอยู่หน้าบ้าน ความเคอะเขินที่ยังคงไม่จางหายทำให้เราไม่กล้าตอบอะไรไป กลัวว่าเสียงหัวใจจะเต้นดังเกินไปด้วยซ้ำเลยได้แต่อึกอักอยู่แบบนี้



                “...”



                (ผมอยากจะบอกว่า...ยังมีผม ผมไม่เคยผิดหวังเลยที่ได้รู้จักพี่ปั้น...)



                “...”



                (เพราะเป็นพี่ปั้น ผมถึงยังอยู่ตรงนี้...ชอบพี่ปั้นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ...ไปเรื่อยๆ จนกว่าพี่ปั้นจะชอบผม)



                “....”



                (พี่ปั้นยังไม่ตอบรีบตอบผมหรอกนะครับ...จนกว่าจะถึงวันนั้น...)



                “...”



                (ให้ผมชอบพี่ปั้นซ้ำๆ ได้ไหมครับ)



                “...”



                (ไปพักผ่อนได้แล้วครับ)



                สิ้นประโยคนั้นสายก็ตัดไป มันเป็นการพูดคุยที่เราเงียบอยู่ฝ่ายเดียว และดูเหมือนว่าความเงียบนั้นคือคำตอบ หลังจากนั้นเราก็พบว่าไม่ใช่แค่ใจเราที่ทำงานหนัก ทั้งแก้ม และผีเสื้อในท้องก็ทำงานหนักด้วยเหมือนกัน

 



.

.

                “นี่แกไม่ตอบอะไรน้องมันเลยหรอ”



                เราอมยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าให้กับชมพู่ เราบอกชมพู่ว่านายบอกชอบเราแค่นั้น ส่วนตอนนี้เราและชมพู่เพื่อนรักมานั่งที่ห้องสมุดเหมือนเดิม



                “นายนี่ก็ความอดทนสูงจริ๊งง มาเจอคนแบบแกเนี่ยปั้น”



                แล้วก็กำลังหาทฤษฎีประกอบการเขียนวิเคราะห์วรรณกรรมด้วย



                “แหน่ะ ช่วงนี้หน้าตาแกดูมีความสุข นายมันคงซื้อใจแกไปแล้วล่ะสิ” ไม่ว่าเปล่าชมพู่ยื่นปลายนิ้วมาสะกิดที่ข้างแก้มสองสามที



                “หือ? เขาไม่ได้ซื้อใจเรานะ” เรารีบเถียง



                “ถ้างั้นเขาทำอะไรล่ะจ๊ะหนุ่มน้อย”



                “...อา...ก็...”



                “หึหึ เขินก็เป็นเพื่อนฉัน รู้ใจตัวเองก็รีบๆ บอกเขาล่ะ”



                เราสบตากับชมพู่พร้อมกับยิ้ม



                “อื้ม”



                ...แน่นอน...



                เงียบกันไปซักพัก ชมพู่ก็หยิบโทรศัพท์มือถือมาเล่น นิ้วสวยปาดไปมาบนหน้าจอ เรามองตามเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไร และเป็นชมพู่เองที่เอ่ยขึ้นท่ามกลางเสียงหึ่งๆ ของเครื่องปรับอากาศในห้องสมุดชั้นสี่



                “เออปั้นมีคนแอดเฟรนด์ฉันมาเมื่อวันก่อน” เธอเริ่มเล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เราละสายตาจากกระดาษไปมองชมพู่แวบหนึ่ง



                “ไม่เห็นแปลก ก็มีคนแอดเฟรนมาหาเยอะอยู่แล้วนี่” เราไม่เห็นความแตกต่างในความฮ็อตของชมพู่เลย



                “มันแปลกเว้ย เพราะไอ้คนนี้อะไลค์รูปที่มีแต่หน้าแกติดมาด้วยทุกรูปเลย ดูดิๆ”



                เราเงยหน้ามองโทรศัพท์ที่ชมพู่ยื่นมาให้ เธอเลื่อนนิ้วอีกครั้ง โปรไฟล์เฟซบุ๊กของผู้ชายคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ดวงตาสีน้ำตาลที่คุ้นเคย



                กึก



                แต่ว่ากี่ครั้งที่เห็นดวงตาคู่นี้ เรามักไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง



                “ไงเป็นคดีที่น่าสนใจไหมโคนัน  ดอยล์ หืม? นิ่งแบบนี้แกรู้จักหรอปั้น?”



                “ก็เพื่อน...ที่เทพศิรินทร์น่ะ”



                “หือ?” เธอคว้าเอามือถือเข้าไปกดดูอีกครั้ง “จริงด้วย แล้วไม่แอดหาแกแทนวะ ฉันก็แท็กแกทุกรูปเนี่ย”



                เมื่อชมพู่แบมือมาตรงหน้า เราก็ทำหน้างงๆ ส่งกลับไปให้เพื่อน เธอถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดต่อ



                “เอามือถือมา จะเช็ค”



                “ชมพู่...”



                “อะไร”



                “หวงเราหรอ” เรายิ้มล้อเลียนแต่นาทีต่อมาเมื่อเจอชมพู่เล่นงาน เราก็หุบยิ้มแทบไม่ทัน



                “มีคนฝากหวง คนชื่อนายอะรู้จักไหม”



                “อะ...”



                ...แพ้ราบคาบ...



                เราย่นจมูกพร้อมกับส่งมือถือให้ ชมพู่รับไปอย่างกระตือรือร้น



                “นี่ไง แอดมาหาแกด้วย แกไม่รับถึงมาแอดฉันแทน”



                “จริงหรอ”



                “ย่ะ คนแอดมาเป็นร้อย เนี่ยไอ้พวกทีมบาสมันรอเหงือกแห้งแล้ว”



                “อ้าวน้องๆ ก็แอดมาหรอ ชมพู่รับเลยก็ได้ เรารู้จักน้องๆ แล้ว”



                “มันคงดีใจตาย ถ้ารู้ว่าฉันกดรับแอดให้ แล้วเพื่อนที่เทพศิรินทร์นี่ยังไง รับไหม?”



                “...เอาไว้ก่อนแล้วกัน” ตอนนี้ตอบได้เท่านั้นจริงๆ นั่นแหละ ว่าพลางก้มหน้าหลบสายตาเพื่อน



                “ปั้น อย่าบอกว่าไอ้หมอนี่คือคนที่เคยแบนแกนะ”



                “อ่าก็...”



                “ใช่จริงด้วย ถึงว่านายมันใช้ฉันยิกๆ”



                “ใช้อะไรหรอ” เราถามตาโต ท่าทางนายจะรู้จากเอ็มเจแน่ๆ แม้ว่าเราจะไม่บอกเขาว่าเพื่อนคนนั้นเป็นใคร แต่คนฉลาดอย่างนายคงเดาได้ไม่ยาก



                “ไม่มีอะไรหรอก” ชมพู่บอกปัดก่อนจะส่งมือถือคืน เรื่องของชานนท์อยู่ในส่วนลึกของเรามาหลายปี แน่นอนว่าเก็บไว้อย่างแน่นหนาจนถึงวันศุกร์ที่แล้ว



                “โอเคไหมปั้น” ชมพู่โบกมือไปมาตรงหน้า เอกสารบนโต๊ะถูกลืมอย่างสมบูรณ์แบบ



                “โอเค”



                “กินข้าวกันไหมวันนี้ เราไม่ได้กินข้าวเย็นด้วยกันมานานแล้วนะ”



                “ได้สิ อะไรดีล่ะ”



                “อืม....”



                “ชาบู!” เราร้องขึ้นมาพร้อมกันก่อนจะหัวเราะเบาๆ เพื่อนรักของเรากำลังปลอบใจเราอยู่ล่ะสิ เธอช่างรู้ใจโดยไม่ต้องอธิบายอะไรเลย



                ...ขอบคุณนะ...



 



                “สามชั้นนนน”



                Rrrrr Rrrrr Rrrrr Rrrrr



                “สันนอกกกก”



                Rrrrr Rrrrr Rrrr Rrrrr



                “สันในนนน”



                Rrrrr Rrrrr Rrrr Rrrrr



                “ปั้น ก่อนแกจะตาวาวตื่นเต้นเพราะเจอเนื้อ แกช่วยรับโทรศัพท์ก่อนดีไหม?”



                “ไม่เป็นไรเดี๋ยวค่อยโทรกลับก็ได้ เรากลัวกินไม่ทันชมพู่”



                “ปั้น...” ไม่ทันเห็นว่าชมพู่กลอกตามองบน “นี่มันบุฟเฟต์นะ ไม่ทันก็สั่งใหม่ดิ”



                “โห่” เราทำท่ายกไหล่ลง หูตกเหมือนหมาหงอย ...ถ้ามีคนสั่งเนื้อหมดร้านล่ะ เราก็อดสิ...



                “ไปรับโทรศัพท์”



                “ครับบบบ”



                เราหยิบมือถือที่มุมโต๊ะขึ้นมาแล้วก็พบว่าระบบแจ้งเตือนนี้ไม่ได้มาจากสายเข้า แต่เป็นใครซักคนที่กำลังวิดีโอคอลมาหาเราอยู่เดาได้ไม่ยาก นับตั้งแต่วันนั้นเรากับเขาก็คุยกันเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิม นั่นแหละ..ไม่บ่อยนักที่เขาจะวิดีโอคอลมาแบบนี้



                (พี่ปั้น)



                “นาย เราพูดไม่ได้เราอยู่ด้านนอก” เราตกใจที่หน้าของเขาโผล่ขึ้นมากลางจอ เรารีบป้องมือกับโทรศัพท์แล้วตอบกลับไป



                (พี่ปั้นถ่ายเพดานทำไมเนี่ย เอาหน้ามาสิครับ)



                “นายเราอยู่ข้างนอก” เรากระซิบชิดโทรศัพท์ เหลือบมองชมพู่ที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นพร้อมกับคีบหมูเข้าปาก ดูเหมือนไม่ใส่ใจแต่เราว่าใส่ใจแน่นอน



                (อะไรนะครับพี่ปั้น) เขาแทบจะตะโกนกลับมา เสียงหม้อไฟฟ้ามากกว่าเจ็ดหม้อในร้านนี้กำลังแข่งกันเสียงดังกลบการได้ยินของเขา



                “เราไม่สะดวกคุย แค่นี้นะ” สุดท้ายเราก็หันกล้องมาที่ตัวเองจนได้ บนจอสมาร์ทโฟนมีหน้าเราอยู่ในช่องเล็กๆ



                (เฮ้ยๆๆ พี่ปั้นนน แกล้งนิดเดียวเองงง) พอเราจะวางสายล่ะได้ยินชัดเชียวนะ



                “กินอยู่” เราโชว์ตะเกียบ “แกล้งเราทำไม”



                (เอ้า ก็อยากเห็นหน้าพี่ปั้นมากว่าเพดานนี่นา กินข้าวกับใครครับ)



                “ชมพู่”



                (รู้อยู่แล้วล่ะ)



                “กวน...” เราว่าแบบไม่จริงจัง พึ่งสังเกตว่าเขาใส่แว่น และกำลังเดินไปที่ไหนซักที่หนึ่ง “มีอะไรอีกไหม เรากินไม่ทันเพื่อนนะ”



                เราส่ายหน้าน้อยๆ มองเราเหมือนเป็นเด็ก แอบเคืองเพราะเราโตกว่า



                (ผมจะถามว่าวันพรุ่งนี้ให้ผมไปรอที่เดิมนะครับ)



                พรุ่งนี้ศุกร์แล้วหรอ?



                เราทำท่าคิด ลืมอะไรนะเรา ชมพู่ที่มองเราตอนไหนก็ไม่รู้เอ่ยขึ้น



                “ปั้น แกไม่ได้บอกน้องมันหรอว่าอาทิตย์นี้แกต้องอยู่ทำงาน”



                “ฮ้า ลืมเลย ถ้าชมพู่ไม่บอก พรุ่งนี้เราจะกลับบ้านแล้วนะเนี่ย”



                “พ่อคนรักบ้าน รักวันศุกร์จริงๆ เลยแกน่ะ”



                “เราเปล่าซะหน่อย แค่คิดถึงแม่เอง”



                “หมั่นไส้!”



                (พี่ปั้น...พี่ปั้น...พี่ป้านนน)



                “เด็กอะไรไม่อดทนเอาซะเลย แกไปคุยให้มันเสร็จๆ เดี๋ยวมีคนเรียกร้องความสนใจ ฉันจะไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึง ฝากของด้วย” ชมพู่ว่างั้นแล้วก็ลุกออกไป



                ...ชมพู่ ต่อให้เราหรอ เราขอคีบหมูก่อนนะ...



                เราตักกินสองชิ้นแล้วก็นึกขึ้นได้ว่ามีคนจ้องอยู่ “แหะๆ เออ...นาย เราลืมบอก”



                (บอกอะไรครับ)



                “อาทิตย์นี้เรามีนัดทำงาน ไม่ได้กลับไปนอนที่บ้าน”



                (เฮ้ ได้ไงอะ) เขาทำหน้างอง้ำ ขมวดคิ้ว จ้องตาเราผ่านกล้อง (งี้ผมจะได้เจอพี่ปั้นวันไหนครับ)



                “ศุกร์หน้าแหละมั้ง แล้วช่วงนี้เรายุ่งมากๆ อาจจะไม่ตอบนะบอกไว้ก่อน”



                (ยุ่งก็รีบทำงานสิครับ มากินชาบูได้ไง อยู่ห้องทำงานให้เสร็จเลยไม่ต้องออกไปไหน) เสียงต่อว่าเราดังมาตามสาย



                “ได้ไงอะ” เราพูดบ้าง “ทำงานกลุ่มนะไม่ใช่งานเดี่ยว”



                (พี่พู่ทำงานด้วยไหมครับ)



                “ทำสิ กลุ่มเดียวกัน”



                (เฮ้อ ก็ได้ ดูแลตัวเองด้วยนะพี่ปั้น...)



                “แล้วนี่นายจะออกไปไหน ค่ำแล้วนะ” 



                (เป็นห่วงหรอครับ)



                “เราแค่ถามเอง”



                (ฮ่าๆๆ ผมจะออกไปอ่านหนังสือที่หอเพื่อน ที่โทรมาหาเพราะมีคนหาย)



                “โอเค ตั้งใจอ่านนะ บาย”



                (เฮ้ย ยังพูดไม่จบ)



                “นาย...เราเป็นห่วง...”



                (...พี่...) ตาเขาเป็นประกาย มองเราด้วยความรู้สึกอะไรบางอย่าง ด้านหลังเขาเปลี่ยนเป็นทางมืดๆ แต่ก็ยังมีไฟพอให้เห็นทาง



                “เราเป็นห่วงหมู ขอกินก่อนนะ”



                ...ต้มนาน เนื้อแข็งน่าดู...



                (พี่ปั้น!...)



                ตริ๊ง!



                เราอมยิ้ม แคปภาพหน้าจอที่เขาทำหน้าเหวอได้ทัน



                “ไง คุณปั้น”



                “เข้าห้องน้ำเสร็จแล้วหรอ”



                “มีคนให้คุยนี่มันโลกสีชมพูจังน้า” ชมพู่ที่นั่งลงตรงข้ามเราคว้าตะเกียบทันทีที่กลับมาจากห้องน้ำ แถมยังพูดจาล้อเราอีกด้วย เธอควานตะเกียบไปในหม้อสองสามทีแล้วก็เริ่มขมวดคิ้ว



                “ปั้น!”



                “อะไรหรอ”



                “ทำหน้าซื่ออีก แกกินเนื้อหมูหมดแล้วใช่ไหม?!”



                “ก็...” อย่ามองเราแบบนั้น



                “น้อง! สั่งเพิ่ม! เอาแต่เนื้อผักไม่ต้อง!”



                ...โธ่ ทำไมมองเราแบบนั้น เราแค่ย้ายหมูมาอยู่ในท้องเอง กลัวมันเหงา...

 



.

.

                งานกลุ่มผ่านไปได้ด้วยดี เรามีพรีเซ้นท์ในวันพุธ หน้ากระดาษที่เตรียมข้อมูลมีรอยเน้นข้อความจนกระดาษแทบยุ่ย คืนก่อนพรีเซ้นท์เราไปค้างที่หอเพื่อนในกลุ่มเพื่อซ้อมและตอบคำถามที่อาจารย์อาจจะยิงมา...อย่ามองเราแบบนั้น ก็ใต้หอเพื่อนน่ะ มีห้องทำงานที่สามารถอยู่ได้ถึงเช้า เรากับชมพู่ รวมถึงเพื่อนในกลุ่มเลยไปขลุกตัวอยู่ที่นั่น

 

               ตอนที่เราเผลอฟุบตัวหลับอยู่นั้น นายโทรเข้ามาพอดี และชมพู่ตัวแสบก็แก้แค้นเราเรื่องหมูในวันนั้น อา...อาจจะเพราะความหมั่นไส้ส่วนตัว เธอว่ามาอย่างนั้น การแก้แค้นของชมพู่เริ่มต้นขึ้นโดยการกดรับโทรศัพท์ แล้ววางไว้ข้างๆ เรา ห้องอ่านหนังสือใต้หอตอนเที่ยงคืนไม่มีคนมากนัก และมันเงียบพอที่จะทำให้ได้ยินอะไรชัดเจน



                ชมพู่บอกให้เพื่อนชื่อเต๋อเดินเข้ามาปลุกให้ซ้อมต่อ แถมยังบอกเต๋อว่าให้กระซิบที่ข้างหูเพราะเราจะตื่นง่ายกว่าเขย่าไหล่ เต๋อยอมทำตามอย่างว่าง่าย เพราะเขาแอบชอบชมพู่อยู่นั่นเอง



            “ข้าวปั้นตื่นได้แล้ว...”



            “อื้อ...”



            “มาต่อกันเถอะ”




             แน่นอนว่าเพราะคำพูดนั้น นายร้องตะโกนดังออกมาจากลำโพงจนเราสะดุ้งตื่น



                เรื่องราวจบด้วยเสียงหัวเราะของชมพู่ ความงงๆ มึนๆ ของเราและเต๋อ กับคนที่โวยวายแต่ทำอะไรไม่ได้อย่างนาย เขาดุเราจนชมพู่ต้องคว้าโทรศัพท์ไปพูดเอง

 

                “กลับไงวันนี้”



                “นายบอกว่าจะมารับล่ะ”



                “นี่แกอวดฉันหรอ”



                “หา...เปล่าซะหน่อย เขาจะมารับจริงๆ” ถึงแม้ว่าเราจะห้ามแทบตายเขาก็ขอมารับ บอกว่ารถตู้อันตราย ไม่อยากให้เรานั่ง ให้ตายเถอะ เรานั่งทุกวันศุกร์มาเกือบสี่ปีแล้วนะ พอเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง แม่ก็เห็นดีเห็นงามด้วย อีกอย่างพ่อกับแม่ต้องไปงานเลี้ยงรุ่นที่พัทยา นอนค้างที่นู่นตั้งแต่คืนนี้เลย



                “ไม่ใช่ว่าตามติดแกจนเสียการเรียนหรอกนะ” พอชมพู่พูดแบบนั้นเราถึงนึกขึ้นได้



                ...ไม่หรอกมั้ง เขาขยันจะตายไป…



                “มารับกี่โมงล่ะ”



                “เขาเลิกประมาณสี่โมง วันนี้เขามีเรียนก็คงถึงที่นี่ห้าโมงกว่าๆ ล่ะมั้ง”



                “คุยกันเกือบทุกวัน แถมยังมารับกันขนาดนี้ ยิ่งกว่าจีบแล้วมั้งงง เอ๊ะเดี๋ยวๆ แกรู้ตัวใช่มั้ยว่าเขาจีบ”



                “อื้ม”



                “เออดีหน่อยที่รู้ ไม่งั้นนายมันคงหนักใจน่าดูมาหลงคนมึนๆ อย่างแกเนี่ยยย”



                “ไม่เห็นมึนตรงไหนเลย” เราลูบท้ายทอย ชมพู่ส่ายหน้าก่อนจะผลักหัวเราเบาๆ เธอบอกว่าวันนี้จะแวะเข้าไปดูทีมบาส ก่อนไปชมพู่ขอถ่ายรูปเราหนึ่งรูป ขอให้ยิ้มกว้างๆ ด้วย จากนั้นเราก็กลับหอ ไม่นานเสียงแจ้งเตือนจากเฟซบุ๊กก็ดังขึ้น



            Chompoo Poochom ดีใจที่เห็นแกยิ้มแบบนี้ทุกวันนะ หมาปั้น with Khoapun Punnathad



                “เราไม่ใช่หมาซะหน่อย”



                ถึงอย่างนั้นเราก็ยิ้มต่อไปอีกสิบนาทีเลยล่ะ

 

                Rrrrr Rrrr



                นั่งเล่น นอนเล่นไปซักพัก พอได้ยินเสียงโทรเข้า เรากดรับด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งก็คว้ากระเป๋า ท่าทางเขาจะมาแล้ว



                “ถึงแล้วหรอ”



                (พี่ปั้นครับ... อาจารย์จะขอสอนต่อเพราะอาทิตย์หน้าอาจารย์ติดธุระ ผมว่าผมไปรับพี่ปั้นไม่ทันแน่ๆ)



                “อ่า งั้นหรอ” เราก้มหน้ามองเท้า



                (ขอโทษนะครับ ผมจะรอที่ป้ายรถเมล์เหมือนเดิม ขืนให้พี่ปั้นรอผมเลิก รถตู้คงหมดแล้วแน่ๆ)



                “โอเค ไม่เป็นไร อันที่จริงเรากลับเองได้อยู่แล้ว”



                (พี่ปั้น ผมขอโทษจริงๆ นะครับ)



                “ทำไมทำเสียงแบบนั้น เราโอเค”



                (เฮ้อ แล้วเจอกันครับ ระวังตัวด้วยนะครับ)



                “บาย”



                เราวางสาย เราไม่ได้พูดประชดแต่อย่างใด แต่หัวใจฟีบลงนิดหน่อย มองรอบห้องเช็คความเรียบร้อยก่อนจะเดินออกจากห้องมาเพื่อเดินทางกลับบ้าน



                คนที่ต้องเดินทางกับรถสาธารณะอย่างรถตู้ คงจะเคยอ่านบทความเรื่องที่นั่งที่ปลอดภัยที่สุด เราเคยอ่านมาเหมือนกัน แต่ต้องบอกเลยว่ารถตู้น่ะเลือกที่นั่งไม่ได้หรอก นอกจากเราจะได้ขึ้นมาคนแรก วันนี้ก็เหมือนกัน เราได้นั่งข้างแม่ลูกคู่หนึ่งที่เบาะหน้าสุดหลังคนขับ เป็นที่นั่งตรงที่จัดได้ว่าอันตรายที่สุด



                เราคาดเข็มขัดนิรภัยถึงแม้จะอึดอัด ก่อนหยิบวรรณกรรมซีไรต์ปี 40 ของอ.วินทร์ขึ้นมาอ่าน



                “พี่อ่านอะไร” เสียงเล็กๆ ด้านข้างดังขึ้น



                “หนูแหวนอย่าไปรบกวนพี่เขา นั่งนิ่งๆ ลูก”



                “ไม่เป็นไรครับ พี่อ่านหนังสือครับ”



                “ขอโทษด้วยนะจ๊ะ”



                หนูแหวนเป็นเด็กหญิงที่น่าจะอายุประมาณ 6 ขวบ เธอสนใจสิ่งที่เรากำลังอ่านอยู่ ตลอดทางเราเหมือนได้เพื่อนใหม่ เพราะเรานั่งติดกัน เสียงพูดคุยเลยไม่ดังรบกวนคนอื่นมากนัก



                ผ่านไปไม่นาน หนูแหวนก็หลับ เธอเอนหัวมาพิงไหล่เรา และตอนนี้ฟ้าเริ่มมืด มันมืดจนใจเราสั่นแปลกๆ เราเหลือบมองคนขับที่คุยโทรศัพท์มาได้ห้านาทีแล้ว ก่อนจะมองตรงเบาะหลังคนขับที่มีขวดแรงเยอร์และกระป๋องกาแฟซุกตัวอยู่ในนั้น ...คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง...



                เพราะการเดินทางในวันศุกร์มักจะยาวนานกว่าวันอื่นๆ ดังนั้นหลายคนเริ่มจะหาท่าทางที่สบายเพื่อพักสายตา เราเองก็เหมือนกัน



                ...ของีบแป๊บนึงแล้วกันนะ...

 
[ต่ออีกนิดดด]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ jaevin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-3
.

.

                “เลิกคลาสได้ อาทิตย์หน้างด อย่าหลงมาเรียนกันล่ะ”

 

               “เฮ้ วู้ววว”



                ตึก ตึก



                “เฮ้ย เชี่ยนายรีบไปไหนวะ”



                “ไว้คุยกันเว้ยกูมีธุระ”



                มือของเพื่อนที่เอื้อมมาแตะไหล่คว้าได้แต่ลมเท่านั้น นายหยิบกระเป๋าและพุ่งตรงออกจากห้องมาอย่างรวดเร็วราวกับนักวิ่ง เขาตรงไปยังลานจอดรถหน้าคณะ ตรงมุมสุดนั้นมีรถของเอ็มเจจอดอยู่ กุญแจที่ยืมมาตั้งแต่เมื่อวานซ่อนตัวเงียบๆ อยู่ในกระเป๋าสะพายข้าง กุญแจนั่นซ่อนตัวจนเขาชักหงุดหงิด



                “อยู่ไหนวะเนี่ย คนยิ่งรีบๆ อยู่”



                ไม่รู้ทำไม วันนี้เขาคิดถึงพี่ปั้นมากกว่าปกติ เขาอยากเจอพี่ปั้นวงเล็บว่าโคตรๆ และนี่คงเป็นครั้งแรกที่ไม่ได้เจอพี่ปั้นเกือบสองอาทิตย์ แค่ได้เห็นหน้าพี่ปั้นเหมือนได้เติมพลังสว่างให้กับชีวิตมืดๆ ของเขาได้มากแล้ว



                “ไอ้นาย”



                เสียงเรียกดังขึ้นด้านหลังพร้อมกับการปรากฏตัวของคนบางคน คนที่ทำให้พี่ปั้นซึมเวลาอยู่กับเขา หน้าเศร้าๆ ของพี่ปั้นพาลให้เขาเกลียดคนที่พี่ปั้นนึกถึงอยู่



                “รีบไปไหนวะ”



                “เรื่องของผม” เสียงเขาสั้นห้วน เผลอเก็บอารมณ์ไม่อยู่ซะแล้ว



                ...โดนขังในห้องดนตรีหรอ กล้าดียังไงวะ...



                “เชี่ยนี่ กูพี่มึงนะ”



                “มีอะไรวะพี่ชา ผมรีบ” เขาปรายตามองรุ่นพี่ครู่หนึ่ง ข่มอารมณ์อยากต่อยหน้าคนไว้ในใจ



                “ก็มึงรีบเนี่ยแหละเลยทำไอ้นี่ตก” พี่ชาส่งยิ้มขำมาให้ก่อนจะยื่นกุญแจรถมาตรงหน้าเขา



                เขาชะงัก “ขอบใจพี่”



                “กินเหล้ากันไอ้นาย มึงไม่ได้กินเหล้ากับกูนานแค่ไหนแล้ววะเนี่ย ไปร้านเหล้าทีไรไม่เห็นหัวมึงทุกที” อีกคนไม่ได้สนใจความรีบร้อนของเขา กลับเท้าแขนที่ประตูฝั่งคนขับแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ



                นายย้อนกลับไปในความทรงจำ เขากับเพื่อน รวมถึงรุ่นพี่ใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงมาเกือบสามปี แต่ก่อนเขาไม่ได้สนใจตัวเองมากนัก เพราะไม่มีใครให้เป็นห่วงและไม่มีคนที่ห่วงตัวเขาเอง รุ่นพี่คนนี้เป็นพี่ที่สอนเขาทุกอย่าง จนเขาเคยนึกอิจฉาชีวิตดีๆ ของรุ่นพี่...ชีวิตที่มีความสุขของรุ่นพี่ทำให้เขาคิดถึงพี่ปั้นขึ้นมาอีกระลอก อีกคนสุขแต่อีกคนเศร้าแทบตาย



                ...แม่ง ยกโทษให้ไม่ได้...



                 “ไปก่อนนะพี่ รีบว่ะ” เขาตัดบท หมุนตัวเปิดประตูรถโดยไม่สนใจเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นเลยแม้แต่น้อย



                นายเกลียดการจราจรของกรุงเทพฯ ชะมัด เขาที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยเหลือบมองไปด้านหน้า ไฟท้ายรถนับสิบเหมือนดาวสีแดงบนถนนคอนกรีต ฟ้ามืดกว่าปกติจนนายรู้วูบโหวงอยู่ในใจ แม้ว่าท่าพระกับปิ่นเกล้าจะไม่ได้อยู่ไกลกันมานักแต่วันนี้กลับรู้สึกว่ามันไกลกันเหลือเกิน



                “ทำไมหงุดหงิดแบบนี้วะ”



                เขาพึมพำกับตัวเอง มันเกิดจากความร้อนรุ่มที่ใจ ที่เขาให้เหตุผลว่าอาจจะเป็นเพราะรถติด วันนี้แผนที่วางไว้รวนไปหมด เขานึกถึงเสียงหงอยๆ ของพี่ปั้นได้ และอยากจะชกหน้าตัวเองที่ทำให้พี่ปั้นรู้สึกแบบนั้น ไม่รักษาสัญญาเอาซะเลย ก็สัญญาว่าจะไปรับเเท้ๆ นายเอื้อมมือไปกดเปิดวิทยุให้ช่วยอยู่เป็นเพื่อน เขาเปิดเสียงดังพอประมาณแต่ไม่ได้ใส่ใจฟังเนื้อหามากนัก



                เขาฝ่าฝันความหงุดหงิดโดยการคิดถึงพี่ปั้น อันที่จริงตั้งแต่รู้จักกับพี่ปั้น เขาเห็นหน้าพี่ปั้นล่องลอยอยู่ในความคิดเสมอ ซึ่งนั่นดีแล้วล่ะ นายมักจะภูมิใจและแอบยืดอกอยู่นิดๆ เมื่อพบว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่พี่ปั้นยิ้ม หัวเราะ งอน หรือระบายความรู้สึกให้เขาฟัง แน่นอนว่าเขาอยากจะเป็นคนเดียวและสุดท้ายที่ได้ครอบครองทุกความรู้สึกของพี่ปั้น



                พี่ปั้นจะรู้ตัวไหมนะว่ามีคนเป็นบ้าเพราะพี่ปั้น



                เขาผ่านพาต้าปิ่นเกล้ามาซักครู่หนึ่งแล้ว อีกไม่นานก็จะถึงจุดนัดพบ เขาต้องหาที่จอดรถอาจจะในห้างแล้วค่อยเดินออกมารับ วันนี้เขาจะชวนพี่ปั้นลองกินอะไรดีนะ แค่คิดถึงใจก็เต้นแรงไม่หยุด เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่พี่ปั้นแสดงออกก็ทำให้เขาตกหลุมรักได้ซ้ำๆ แต่จู่ๆ เขาก็ต้องขมวดคิ้ว ความรู้สึกวูบไหวในท้องนี่มันอะไรกัน



                และเขาก็ได้รับคำตอบที่ทำให้เลือดในกายเย็นวาบ



                 “ข่าวอุบัติเหตุพึ่งแจ้งเข้ามาเมื่อกี้นะคะ เวลาประมาณ 19.00 รถตู้กรุงเทพฯ – นครปฐมหมายเลขข้างรถ xx-xxx เสียหลักชนแท่งมาริเอ่อ เบื้องต้นทราบว่ารถตู้คันดังกล่าวหักหลบรถโตโยต้าหมายเลขทะเบียน xx-xxxx ที่ขับเเซงมาด้วยความเร็วสูงบริเวณโค้งสายใต้เก่า ที่จุดเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนเพื่อไม่ให้กีดขวางการจราจร ขณะนี้ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตค่ะ ผู้ที่จะเดินทางโปรดตรวจสอบ...”



                ...พี่ปั้น...



                นายเบิกตากว้าง มือที่กำพวงมาลัยสั่นเล็กน้อย ตบไฟเลี้ยวเข้าข้างทางก่อนจะควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋า



                “หยุดสั่นดิวะ!”



                เพราะมือที่สั่นของเขาจึงไม่สามารถปลดล็อกโทรศัพท์สำเร็จซักที ถ้าพี่ปั้นเจ็บ ...กูจะไม่มีวันยกโทษให้มึงแน่ไอ้นาย… เขาจะบ้าอยู่แล้ว เขาตายแน่ๆ ถ้าพี่ปั้นเป็นอะไรไป เขากำลังกดโทรออกและนั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่มีสายเข้าพอดี



                Rrrrrr Rrrrrr



                “พี่ปั้น!” เขากดรับโทรศัพท์แล้วกรอกเสียงลงไปอย่างรวดเร็ว หวังในใจว่าคนของเขาจะปลอดภัยดี ทว่าเสียงที่ตอบกลับมานั้นทำเอาใจเขาถูกบีบไม่มีชิ้นดี



                (เอ่อ คุณเป็นญาติคุณปัณณฑัตใช่ไหมคะ คุณปัณณฑัตประสบอุบัติเหตุกำลังเข้าตรวจอยู่ที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาค่ะ...)



                นาทีนั้น นายรู้สึกเหมือนโลกถล่มทับลงมาที่ใจให้หยุดเต้นไปชั่วขณะ

 



                เขาเดินเข้ามาในบริเวณโรงพยาบาล เสียงรองเท้าผ้าใบกระทบพื้นมันปลาบดังสะท้อนเป็นจังหวะ หน้าทางเข้ามีรถพยาบาลเปิดเสียงไซเรนดังวุ่นวาย แต่ไม่เท่าใจเขาตอนนี้ นายเร่งฝีเท้าตรงไปยังห้องฉุกเฉินที่พยาบาลบอกเมื่อครู่ ถ้าในมือเขาไม่มีโทรศัพท์และกุญแจรถ ป่านนี้เขาคงกำมือแน่นจนเลือดโชก



                “พี่ปั้น” เขาเรียก เขาต้องเรียกแม้ไม่รู้ว่าพี่ปั้นอยู่ตรงไหน คนเจ็บหลายคนร้องโอดโอยให้ได้ยิน เขาไม่สนใจ พี่ปั้นอยู่ที่ไหน



                “คุณคะ ติดต่อทางนี้ค่ะ”



                “ปัณณฑัต เขาชื่อปัณณฑัต” นายบอกพยาบาลที่เคาน์เตอร์ด้วยเสียงราบเรียบ แต่ในใจเขากระวนกระวายหนัก และสายตาเขากวาดไปทั่ว



                “รอซักครู่นะคะ”



                “ผมรอไม่ได้แล้ว!” เขาตวาดลั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ หลายคนหันมาอย่างตกใจ เขาใจสั่นไปหมดเมื่อเหตุการณ์ในตอนนี้ซ้อนทับกับตอนที่พ่อแม่เขาเสียชีวิต พวกเขาก็ดีแต่พูดแบบนี้ รองั้นหรอ เขาจะหาเอง! เขาจะไม่ยอมให้เหตุการณ์บ้าๆ พรากใครไปอีกแล้ว



                ขณะที่เขาหันรีหันขวางเพ่งสายตามองไปทุกจุด ประตูห้องฉุกเฉินก็เลื่อนออกช้าๆ



                คนที่เขาตามหาเดินจูงมือเด็กผู้หญิงคนหนึ่งออกมา เขามองคนตรงหน้านิ่งราวกับทั้งโลกหยุดหมุน และทันทีที่เห็นเขา พี่ปั้นก็เม้มริมฝีปากแน่น ขอบตาแดงขึ้นมาเสียอย่างนั้น         



                พี่ปั้นคนดี เขาต่างหากที่ต้องรู้สึกแบบนั้น



                ใจที่ถูกบีบจนหายใจไม่ออกตั้งแต่รู้ข่าว...เริ่มคลายลง...



                เขาโกรธตัวเองที่พี่ปั้นต้องมาเจออะไรแบบนี้ ถ้าเขามารับตามที่สัญญาไว้ มันก็คง... นายกัดฟัน เมื่อมองพี่ปั้นเหนือคิ้วของพี่ปั้นมีผ้าปิดแผลที่มีรอยเลือด กับบริเวณข้อศอกทั้งสองข้าง เขานิ่วหน้า สะกดกลั้นอารมณ์ของตัวเองไว้เต็มที่ เขารู้สึกปวดใจอย่างที่สุดเมื่อมองแผลเหล่านั้น



                “เจ็บไหมครับพี่ปั้น” เขาพูดเสียงเบาหวิว ยกมือสั่นๆ ของตัวเองไปแตะที่ข้างแก้ม อยากกอดพี่ปั้น แต่กลัวพี่ปั้นเจ็บกว่าเดิม



                “นี่หรอ...นิดหน่อยเอง” พี่ปั้นส่งยิ้มกลับมา เป็นยิ้มที่เข้ากับใบหน้าพี่ปั้นที่สุด แต่พี่ปั้นยังคงเป็นพี่ปั้น ไม่เคยทำให้คนอื่นต้องรู้สึกแย่เพราะตัวเอง “ดีนะคนขับเบรกทัน ไม่เจ็บแย่เลยเนอะหนูแหวน” พี่ปั้นหันไปหาเด็กผู้หญิงคนนั้นที่ไม่มีร่องรอยบาดเจ็บแล้วหันมามองเขา แววตาของพี่ปั้นสั่นไหวน้อยๆ ยามเมื่อสบตากัน



                “ผมขอโทษนะครับพี่ปั้น” เขาไล้นิ้วโป้งที่หางตาของพี่ปั้น



                ...กลัวใช่ไหมครับ ผมก็กลัว...



                “ไม่เป็นไรนะ เราไม่เป็นไร”



                เขาอ่อนแอให้กับคนๆ นี้อย่างสมบูรณ์ ไม่รู้ว่าสีหน้าของเขาเป็นแบบไหน พี่ปั้นถึงก้าวเท้าเข้ามาใกล้เขา ปล่อยมือที่จับเด็กผู้หญิงคนนั้นแล้วกอดเขาแทน



                นายซบหน้ากับลาดไหล่ของอีกคน ความอบอุ่นของพี่ปั้นต่อชีวิตเขาให้ยืดยาวไปอีก ไม่รู้ว่าใครปลอบใครกันแน่ แต่สองมือของเขารั้งเอวพี่ปั้นเข้ามาจนแนบชิด



                ...หัวใจผมยังเต้นอยู่ใช่ไหม...



_______

น้องงงงงงงงงงงงง
เรามาเเล้ว น้ำตาจะไหลลลล
ขอโทษที่มาช้านะคะ
ตอนนี้แอบมีพาร์ทเขามาเล็กน้อย
เเละน้องนายมาแบบกั๊กๆ
ส่วนพี่ปั้นมักจะมีปัญหากับอาหารเสมอ555
รักทุกคนค่ะ
#เราเอง #เรากับเขาไง

*เราเข้ามาแก้ไขข้อมูล ต้องขอบคุณนักอ่านท่านหนึ่งที่บอกเราเรื่องเส้นทาง
เเหะๆ เราไม่สันทัดทางนี้ซะด้วย ต้องขอบคุณมากๆ เลยค่ะ
ถ้าผ่านเข้ามาเห็น จะบอกว่าเราดีใจมากๆ ที่มีมาทักท้วง ขอบคุณจากใจจริงอีกครั้งค่ะ*

ขอบคุณทุกคนด้วยค่ะ เลิฟ
 :L2: :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-12-2017 21:04:40 โดย jaevin »

ออฟไลน์ fahsai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 815
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
ปั้นปลอดภัยก็ดีแล้วววว ,❤️❤️

ออฟไลน์ villevia

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
พี่ปั้นยังคงความน่ารักไปทุกคน ชอบตอนกินชาบู ชอบความเป็นเพื่อนของพี่ปั้นกับชมพู่ ตอนหลังนี่ใจหายเลยย ดีที่คนเขียนไม่ตัดให้ค้าง

ออฟไลน์ utamon

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 706
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
น้องนายไม่โทษตัวเองน้าา พี่ปั้นปลอดภัยแล้ว :กอด1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
ดีนะที่พี่ปั้นไม่เป็นไร

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ตกใจหมดเลยยย พี่ปั้นนนนน นึกว่าจะเป็นอะไร นั่งตรงที่อันตรายที่สุดด้วย
เหมือนเขาคนนั้นจะอยากเข้ามาในชีวิตพี่ปั้นอีกนะ นายกันซีนไว้ๆ  :katai4:

ออฟไลน์ momonuke

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
แงง ดีแล้วที่ไม่เป็นอะไร :ling2:
พี่ปั้นน่ารักมากเลยย อยากบีบบบ

ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
อยากกินชาบูเลยยย 555 พี่ปั้นตกลงได้แล้วนี่รอลุ้นแทนนายมากอ่ะ แง้

ออฟไลน์ panpang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 508
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
โอ้ยยยย   :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ 0%

  • 0percent.
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
พระคุ้มครองนะพี่ปั้น ลุ้นจะเเย่สุดท้ายปลอดภัยก็ดีเเล้วใจหายหมดเลย

ออฟไลน์ faluao

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ฮืออออ พี่ปั้นดีแล้วที่ปลอดภัยค่ะ ใจหายหมดเลยยยยยย

ออฟไลน์ crazydoii

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 858
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
โอ้ย ใจหายใจคว่ำ

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
พี่ปั้นคนดี ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว
ขวัญเอ๊ยขวัญมาทั้งน้องนายและพี่ปั้นนะคะ :mew2:

ออฟไลน์ jaevin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-3
พี่ปั้น เเละน้องนาย โดนสตาฟไว้เมื่อตอนที่เเล้ว ใครลืมกลับไปอ่านอีกรอบได้นะคะ ขอโทษตุ๊กคนที่มาช้า ฮือ ฆ่าฉัน ฆ่าฉัน


Act 11: เรา...กับดาวในห้อง



                ตั้งแต่โรงพยาบาลจนถึงบ้าน นายก็มองตามเราไม่หยุด ดีหน่อยที่เขาต้องขับรถ เขาถึงละสายตาไปมองถนนแทน ตอนที่เราเล่ารายละเอียดคร่าวๆ ให้ฟัง เขามองมาอย่างเป็นเป็นห่วง ฝ่ามือใหญ่ๆ ของเขาลูบหัวเราช้าๆ เป็นการปลอบที่ไม่มีเสียงใดๆ เลย และเราคิดว่าก็ดีเหมือนกัน เพราะมันทำให้เคลิ้มหลับ และไม่ต้องฝืนมองถนนด้วยความตื่นกลัวไปตลอดทาง



                ตอนอยู่บนรถตู้ เราแค่หลับตา เพราะใจยังเป็นกังวล ยิ่งมืดแบบนี้เรายิ่งต้องสังเกตคนขับ สุดท้ายเราก็นั่งนิ่งๆ มองไปด้านหน้า ชั่ววินาทีจริงๆ ที่เกิดอุบัติเหตุ คนขับสบถลั่นเมื่อโตโยต้าหักข้ามเลนส์ด้านขวามาตัดหน้ากะทันหันทำให้เขาเหยียบเบรกอย่างแรงก่อนที่ตัวรถจะพุ่งชนจนทะลุโค้ง เราตัวชาวาบรีบกอดหนูแหวนที่ไม่ได้คาดเข็มขัดไว้ ไม่ให้เธอลอยไปกระแทกเบาะด้านหน้า เพราะแบบนั้นตัวเราเลยลอยหวือกระแทกไปด้านหน้าอย่างจัง เสียงโครมใหญ่ดังลั่นอยู่ในหู ประตูฝั่งข้างคนขับยุบลงไปอย่างน่ากลัว เราพยายามคุมสติไว้อย่างที่สุด กลัวรถระเบิด ถ้ามีรถมาชนท้ายหรืออะไรก็ตามที่ไม่ใช่แค่ชนขอบทาง เราไม่อยากจะคิด ยังเป็นโชคดีของเรา



                “เฮือก!”



                เราผวาสะดุ้งตื่น จนนายรีบตบไฟเลี้ยวเข้าข้างทาง



                “พี่ปั้น โอเคไหมครับ” เขาถามด้วยสีหน้าเป็นกังวลเอามากๆ



                “เรา...โอเค” ตอบไปแบบนั้นแต่ใจสั่นเหลือเกิน อีกนานไหมกว่าจะถึงบ้าน อีกนานไหมเราจะหลับสนิท



                นายมองเรานิ่ง เขาค่อยๆ ยื่นมือมาจับข้างแก้ม ปลายนิ้วโป้งปาดน้ำตาที่หางตาอย่างเบามือ นานทีเดียวที่เขาจะเอ่ยต่อมา



                “จับมือผมไว้สิครับ”



                นายรวบมือขวาของเราไว้ที่ตักของเขา ยืดไว้เหมือนเป็นที่พึ่งให้เราและในขณะเดียวกันก็เป็นความสบายใจให้แก่เขา ความอุ่นซ่านกระจายทั่วฝ่ามือไปจนถึงอวัยวะที่เต้นเป็นจังหวะตรงกลางอก เรารีบหลับตา เมื่อความรู้สึกอยากร้องไห้ฉายวาบขึ้นมา สีหน้าของเขาตอนที่เจอเรามันหลากหลาย แววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวหรือสายตาโล่งใจของเขา



                ...แปลกจัง ขนาดนอนหลับ นายยังอยู่ในฝันของเราเลย...

               







                “พี่ปั้น ถึงบ้านแล้วครับ”



                “อือ หือ?..”



                “ถึงบ้านแล้วครับ”



                เราลืมตาขึ้นแล้วก็พบว่าใบหน้าเขาอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย สายตาของเขายังไม่คลายกังวล ซึ่งนั่นไม่เหมือนนายคนที่ร่าเริงเท่าไหร่นัก และดูเหมือนว่าเขาพยายามอย่างหนักที่จะไม่ทำให้เราคิดมาก



                “ถึงแล้วหรอ”



                เราปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วควานกุญแจบ้านในกระเป๋าเป้ บ้านในตอนนี้มืดสนิท ดอกกล้วยไม้ของแม่อยู่ท่ามกลางความมืดอย่างโดดเดี่ยว



                “เดี๋ยวเราเปิดประตูให้”



                เขาถอยรถเข้า ขยับเขยื้อนรถอยู่ไม่นาน รถของเอ็มเจก็อยู่ในโรงรถบ้านเรา เราเปิดไฟ ทิ้งของทั้งหมดลงบนโซฟา เดินเข้าไปหยิบน้ำมาให้เขา



                “นาย หิวอะไรไหม” หลังจากเข้ามาในบ้าน เขาดูจะคิดอะไรอยู่คนเดียว “นาย...”



                “พี่ปั้นยังไม่ได้กินอะไรนี่ หิวไหมครับ” เขารีบพูด



                “เอ่อ...ก็นิดหน่อย แต่ตอนนี้ที่บ้านไม่มีอะไรกินเลย เราทำ...”



                “ก๋วยเตี๋ยวไหมครับ ตอนเลี้ยวเข้ามา ผมเห็นขายที่หน้าเซเว่น ผมไปซื้อให้”



                “เราไม่กิน...”



                “ไม่กินไม่ได้นะพี่ปั้น” เขาเผลอขมวดคิ้ว ส่งเสียงดุเราทั้งๆ ที่เรายังพูดไม่จบ แต่เราไม่ยี่หระต่อสายตาเขา พูดจาเอาแต่ใจเหมือนเด็กๆ



                “เราไม่กิน ถ้านายไม่กินด้วย” ว่าแล้วเราก็จ้องตาเขานิ่งเป็นเวลาหลายนาทีจนเขาหลบตาก่อน



                “...เฮ้อ จ้องขนาดนี้ต้องยอมแพ้แล้วล่ะครับ พี่ปั้นรออยู่นี่ ผมไปซื้อให้ เดี๋ยวเดียว”



                 นายน่ะดื้อของแท้เลย เขาว่าแบบนั้นแล้วก็เดินลิ่วไปหน้าบ้าน แต่ยังดีหน่อยเพราะเขาดูจะไม่เหม่อหรือคิดอะไรคนเดียวแล้ว ระหว่างที่เขาออกไปแม่กับพ่อก็โทรหาเรา เราบอกแม่ว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก และนายไปรับเรามาส่งที่บ้าน ในเวลาที่เราเสียขวัญ และต้องยืนเคว้งอยู่ตรงนั้น เราดีใจที่เห็นเขา คนที่มีแต่สายตาเป็นห่วง และนอกเหนือจากนั้น



                ...เราดีใจที่เป็นนาย...



                (ขวัญมานะลูก แล้วตอนนี้นายอยู่ไหนล่ะ)



                “นายออกไปซื้อก๋วยเตี๋ยวให้ปั้นครับ”



                (โธ่ ถ้าไม่ได้นาย ปั้นจะทำยังไง เฮ้อ แม่ใจไม่ดีเลย)



                “ปั้นไม่เป็นไรครับแม่ ออกมาจากห้องตรวจ นายก็มาหาเลย ปั้นไม่รู้จะพูดยังไงเลย...”



                (พระคุ้มครอง แล้วตอนนี้ดึกแล้วปั้นให้นายนอนที่บ้านนั่นแหละนะลูก อย่าให้น้องกลับ เสื้อผ้าใหม่ๆ ก็อยู่ในตู้...)



                แม่บอกว่าจะรีบกลับตอนเช้า ทั้งๆ ที่เราย้ำว่าเราโอเค ส่วนพ่อก็บ่นสองสามคำตามประสาผู้ชายไม่ค่อยพูด



                แกร๊กๆ



                เสียงประตูเหล็กเลื่อนเปิด เขากลับมาแล้ว เราวางสายจากแม่พอดีแล้วเดินเข้าไปเตรียมชามมาวางไว้ที่ห้องนั่งเล่น



                “ลืมถามเลยว่าพี่ปั้นกินเส้นอะไร” เขาพูดขำๆ หลังจากวางถุงก๋วยเตี๋ยวลงบนโต๊ะ



                “ก็รีบเดินไปซะขนาดนั้น” เราบ่นแบบไม่จริงจังนัก แต่ก็แอบดีใจที่เขายิ้มแล้ว



                “ผมสั่งบะหมี่กับเส้นเล็ก เผื่อว่าพี่ปั้นชอบหนึ่งในสองอันนี้” เราเสมองถุงก๋วยเตี๋ยว ก่อนจะหันมาสบตาเขา



                “เราชอบ...”



                “ครับ?”



                “เรา...ชอบบะหมี่มากกว่า”



                “ผมก็ชอบบะหมี่”



                “อ้าว แต่นายสั่งเส้นเล็กมาด้วยนะ”



                “เอางี้...” เขาชอบมีข้อแม้อยู่เรื่อย “ถึงผมจะชอบพี่ปั้นมากกว่าบะหมี่ แต่คราวนี้เราต้องแบ่งครึ่งกันแล้วล่ะครับ”



                เรามึนตึ้บไปกับประโยคบอกชอบที่มาไม่ทันตั้งตัวแล้วก็เงื่อนไขของเขา



                สรุปว่ามื้อเย็นตอนสามทุ่มกว่าๆ นั้น เรากับเขาเอาแต่เถียงกันเรื่องเส้นที่แบ่งไม่เท่ากัน เรามองเส้นบะหมี่สีเหลืองกับเส้นเล็กสีขาวในชามของเราสลับกับมองชามของเขา พอจะอ้าปากบอกว่าเขาตักบะหมี่มากเกินไป เจ้าเด็กคนนี้ก็คีบเส้นกินอย่างรวดเร็ว เขมือบหลักฐานชิ้นสำคัญลงท้องไปหมด เราถลึงตามอง แต่ถึงอย่างนั้นมุมปากก็ยกยิ้มขณะที่ซดน้ำซุป ช้อนบังอยู่นายคงไม่เห็นหรอกใช่ไหม



                “นาย ดึกแล้วนอนที่นี่แหละ” เราเดินเข้ามาบอกหลังจากล้างชาม ล้างปากเสร็จเรียบร้อย เขาที่นั่งดูทีวีพร้อมกับกินแอปเปิ้ลหันมามองเรา



                “ถึงไม่บอก ผมก็จะอยู่เฝ้าพี่ปั้นอยู่แล้ว”



                “เอ๊ะ...”



                “ที่บ้านก็ไม่มีคนอยู่ด้วย ถึงจะอยู่ในบ้านผมก็เป็นห่วง”



                “แล้วถ้าเราไม่ให้นอนแล้วล่ะ”



                “ผมก็จะนอนในรถ”



                “ดื้อจริงๆ เล้ยยย” เราหมั่นเขี้ยวในความดื้อดึงของเขา จนเผลอยื่นมือไปดึงแก้มเขา พอจับค้างไว้ เราถึงได้รู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ ต่างคนต่างจ้องมองกันนิ่ง เราชะงักเมื่อเห็นว่าเราสองคนอยู่ใกล้กันเกินไป แล้วมันก็น่าอายเกินไปด้วย ก่อนที่จะผละออกก็เป็นเขาที่จับมือเราไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ยืดท้ายทอยเราไว้ตอนไหนไม่รู้ เวลาอยู่กับเขาทุกอย่างดูเชื่องช้า เหมือนกับว่านาฬิกาเดินช้าลงทุกที



                “คราวหลังไม่เอาแล้วนะครับ ผมขอไปรับเอง ถ้าผมเรียนเลิกช้ามาก พี่ปั้นก็อยู่หอต่อ เดี๋ยวตอนวันเสาร์เช้าผมไปรับเอง เดินทางกลางวันดีกว่ากลางคืนเป็นไหนๆ”



                “...”



                “พี่ปั้นห้ามปฏิเสธ นี่เป็นบทลงโทษของผม ลงโทษที่พี่ปั้นทำให้ผมกลัว...” ประโยคท้ายเขาพูดเสียงเบาหวิว และดวงตาของเขาสั่นไหวเมื่อเอ่ยบทลงโทษที่เต็มไปด้วยการวอนขอ



                “เด็กขี้กลัว...” เรายิ้มอย่างเอ็นดู พยายามซ่อนความเขินอายแต่ก็ไม่เป็นผล



                และใบหน้าของเขาเคลื่อนเข้ามาใกล้ช้าๆ



                ส่วนผีเสื้อในท้องก็ออกเดินทางอีกครั้ง...

 







                “เอ่อ...นายเข้าก่อนเลย/พี่ปั้นเข้าก่อนเลย”



                เราทั้งคู่ชะงักเมื่อต่างคนก็จะเข้าห้องน้ำ บ้านหลังเล็กๆ ของเรามีห้องน้ำแค่ห้องเดียว ดังนั้นเราที่ขอตัวไปสงบใจที่ห้องของตัวเองมาพักนึงเลยโผล่พรวดออกมาเข้าห้องน้ำ ส่วนเขาที่นั่งที่ห้องนั่งเล่นก็คงจะมาเข้าห้องน้ำพอดี



                มันจะไม่มีอะไร ถ้าเราไม่รู้จะมองไปทางไหน มันจะไม่มีอะไร ถ้ามือไม้จะเกะกะไปหมดขนาดนี้ แล้วเขาก็เอาแต่ส่งสายตาแปลกๆ แถมยังอมยิ้มมาให้เราอยู่ได้



                 ...ทำแบบนั้นกับเราแล้วยังจะยิ้มล้ออีกนะ...



                “หืม?...พี่ปั้น...” นายขยับเข้ามาใกล้ ส่วนเราก็ถอยห่าง นายแปลงร่างกลับมาเป็นเด็กเจ้าเล่ห์เหมือนเดิมแล้ว และนั่นมันไม่น่าไว้ใจมากๆ เราเอนหลังไปจนรู้สึกว่าหลังแนบกับประตูจนหมดทางหนี แล้วเขาก็อมยิ้มก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ใจตรงกันแบบนี้...เข้าพร้อมกันเลยดีไหมครับ”



                “นาย!...ถอยออกไปเลยนะ” เราตกใจ เผลอดันหน้าเขาด้วยผ้าเช็ดตัว



                “พี่ปั้น! แค่กๆ ล้อเล่นครับ” เขารวบข้อมือเราไว้ ก่อนจะส่งเสียงโอดโอย



                “เราจริงจัง”



                “เรื่องที่จะเข้าพร้อมกันน่ะหรอครับ”



                “หนอย...”



                “โอ๊ยยย พี่ปั้นนน กดมาแรงเดี๋ยวเจ็บแผลหรอกครับบบ ผมไม่พูดแล้วๆ”



                …เรายอมรามือก่อนก็ได้ ฮึ...



                และหลังจากนั้น นายก็บ่นเรื่องที่เราจะอาบน้ำเอง เขาบอกว่าให้เช็ดตัวแทน เพราะแผลที่ข้อศอกจะโดนน้ำ



                “พี่ปั้นเช็ดตัวเถอะครับ”



                “เราอาบได้ ไม่ต้องห่วง”



                “พี่ปั้นดื้อกว่าผมอีกนะ” เขาส่ายหน้า แถมยังขมวดคิ้วอีกต่างหาก “ผมจะรออยู่หน้าห้องน้ำ ถ้ามีเสียงร้องโอ๊ยแค่คำเดียว ผมจะพังประตู”



                “บ้าหรอ!” เราร้อง เขาชักจะบ้าไปกันใหญ่



                “พี่ปั้นก็ลองดูว่าผมพูดจริงหรือพูดเล่น”



                เพราะคำขู่ของเขา เราถึงอาบน้ำอย่างระมัดระวังที่สุดแผลไม่โดนน้ำแม้แต่นิดเดียว พอออกจากห้องน้ำ เขาก็เดินตามเราเหมือนลูกเป็ด



                “ไปอาบน้ำ ตามเรามาทำไม”



                “ผมใส่ยาให้”



                “ไม่เป็นไร นายไปอาบน้ำได้แล้วไป ดึกแล้ว นี่ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า แล้วก็แปรงฟันเราเตรียมไว้ให้แล้ว” เขาเดินตามเข้ามาห้องเราอย่างธรรมชาติ ขณะที่เราแต่งตัวในห้องน้ำแล้วนั่งที่ปลายเตียงเตรียมทายาพร้อมกับชี้ไปที่กองเสื้อผ้าด้านข้าง แต่นายไม่สนใจมอง เขาทาบฝ่ามือที่หน้าผากเรา



                “พี่ปั้นตัวรุมๆ นะครับ กินยากันไว้ไหม”



                “เราอาบน้ำอุ่น ตัวเลยอุ่นรึเปล่า” เราทำหน้างงๆ ตอบกลับไปด้วยตรรกะมั่วๆ เขาไม่พูดอะไรแต่เลื่อนฝ่ามือมาปิดตาเราแทน



                “ตาก็ร้อน”



                “ไม่เห็นร้อนเลย นายจะรู้ดีกว่าตัวเราได้ไง” พอเขาเอามือออก เราก็เงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ขมวดคิ้วจนพันกันไปหมดแล้ว ไม่ทันได้บ่น นายก็พูดประโยคที่ทำให้เราแทบลมหายใจสะดุด



                “รู้สิครับ ตอนจูบ ลมหายใจพี่ปั้นร้อนจนจะลวกแก้มผมไ...”



                “นาย!” เรารู้สึกเหมือนแก้มจะระเบิด ...น่าอายอะไรอย่างนี้... ภาพเหตุการณ์โฟร์ดีฉายวาบเข้ามาในสมองบรรยากาศมันพาไปเท่านั้นล่ะ!



                ...แล้วใครใช้ให้พูดหน้าตายขนาดนี้กัน!...



                “เอ้า ก็พูดเรื่องจริงอะ...” เขาเถียง



                “หยุดเลยนะ! ไม่งั้นเราจะให้นายไปนอนในรถ!”



                “ใจร้าย งั้นถ้าผมหยุด ให้ผมนอนบนเตียงเดียวกับพี่ปั้นนะ”



                “นาย!”



                เขาขยิบตาแล้วคว้าเสื้อผ้าวิ่งออกไปได้ทันก่อนที่หมอนบนเตียงจะบิน



                ...ให้ตายเถอะ! เราเอ็ดเขาไปกี่ทีแล้วเนี่ย  แล้วก็หยุดเต้นแรงซักทีเถอะใจ...







                ปัญหาใหม่...เราไม่ยอมให้เขานอนในห้อง ไม่ได้หรอก ห้องเราเป็นความลับของเรา เกิดเขาไปเจออะไรล่ะ ถ้าเราจะปล่อยเขานอนในห้องนี้...ไม่ได้ๆๆ แล้วถ้าจะให้เขาไปนอนที่ห้องพ่อแม่ก็ไม่ดีอีก ดังนั้นเราเลยให้เขานอนในห้องนี้กับเรา เราจะได้จับตาดูเขาทุกฝีก้าว และนั่นเข้าทางเขาคนนี้สุดๆ



                “ผมไม่แอบดูอะไรหรอกครับ”



                “ยิ้มแบบนี้เราโคตรไม่ไว้ใจเลย”



                “ถ้าไม่ไว้ใจ ก็มาครับ มานอนกัน นอนกอดกันเลยก็ได้ พี่ปั้นจะได้มั่นใจว่าผมไม่แตะต้องของในห้องพี่ปั้นแน่นอน” เขาตบเตียงสองสามที ท่าที่เท้าแขนมองเรานี่มันกวนสิ้นดี ถึงจะดีใจที่เขากลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ตอนนี้ขอเปลี่ยนใจได้ไหม ทำไมกวนแบบนี้



                “เกลียดรอยยิ้มนายชะมัด”



                “หึหึ...”



                “นายเป็นแขกนายนอนบนเตียง เรานอนข้างล่างเอง”     



                “โธ่พี่ปั้น ตัวเองเจ็บจะไปนอนทำไมที่แข็งๆ ล่ะครับ เพื่อความสบายใจของพี่ปั้น...” เขาทำท่าคิด “ผมจะลงไปนอนพื้นเอง”



                ...ยอมง่ายเกินไป... เราหรี่ตามอง เขาเลยทำหน้าหงอยๆ หยิบหมอนบนเตียงแล้วลงมานั่งขัดสมาธิที่ฟูกด้านล่าง



                “แค่นี้ไม่เป็นอุปสรรคหรอกครับ”



                “ว่าไงนะ”



                “เปล่าครับ พี่ปั้นนอนได้แล้ว เที่ยงคืนกว่าแล้ว ผมไม่แกล้งแน่นอน”



                “แน่ใจ...”



                “แน่สิครับ ดีเหมือนกัน ถ้าพี่ปั้นไปนอนคนเดียวเดี๋ยวเจ็บแผลทำไง” จู่ๆ เขาก็ทำเสียงจริงจัง “กลางคืนมันจะปวดมากเลยนะครับ”



                “จริงหรอ” เราเอียงคอคิดตาม “แต่เรากินยาตามที่นายบอกแล้วนะ”



                “หึหึ พี่ปั้นเนี่ยก็ฟังผมเหมือนกันน้า” เขาพูดยิ้ม เราเลยรีบเปลี่ยนเรื่อง



                “นอนได้แล้ว” เขาส่งเสียงหัวเราะในลำคอแล้วก็ลุกขึ้นไปปิดไฟ ห้องทั้งห้องเลยอยู่ในความมืด จะว่าไปนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนมานอนในห้องนี้กับเรา เรานึกถึงตอนที่เจอกับนายครั้งแรกจนถึงตอนนี้ แปลกดีเหมือนกัน คนแปลกหน้าในวันนั้นกลับมานอนเป็นเพื่อนเราในห้องนี้ และเป็นคนแปลกหน้าที่ทำให้เราสบายใจที่สุดเวลาอยู่ด้วย เงียบไปไม่นาน คนที่นอนข้างล่างก็ส่งเสียงมา ฉุดเราออกจากภวังค์



                “พี่ปั้นดูดาวกัน”  เราหันหน้ามองเขา เห็นลางๆ ว่าเขายกแขนขึ้นไปบนเพดาน พอมองตามแล้วก็พบว่านั่นเป็นดาวเรืองแสงที่เราติดไว้เมื่อนานมาแล้ว นานจนเราไม่ได้ใส่ใจมอง นานจนไม่รู้ตัวเลยว่ามันสวยขนาดนี้ตั้งเเต่เมื่อไหร่



                “ลืมไปแล้วนะเนี่ยว่าเราเคยติดมัน”



                “นั่นดาวอะไรครับ”  เขาถามขึ้นอีก ทั้งๆ ที่ดาวเรืองแสงทุกดวง เป็นรูปดาวห้าแฉกเหมือนกันแท้ๆ แต่เราก็ตอบกลับ



                “ดาวลูกไก่”



                “งั้นหรอครับ นู่นล่ะดาวอะไร” เขาถามอีก



                “ดาวไถล่ะมั้ง”



                “มั่วแล้วพี่ปั้น”



                “เอ้าก็นายยังถามมั่วๆ เลย”



                “หึหึ”     



                พอเขาหัวเราะในลำคอแบบนั้น เราเลยส่งเสียงหัวเราะออกมาบ้าง สุดท้ายเราทั้งสองคนเลยนอนมองดาวพร้อมกับเสียงหัวเราะ จากนั้นก็มองเพดานกันเงียบๆ แต่รับรู้ได้ว่าอีกคนยังไม่หลับไป ทั้งๆ ที่ตอนนี้คงจะเข้าเช้าวันใหม่แล้ว



                “นาย...” เราตัดสินใจถามเขา เรามองมือขวาของตัวเองที่เข้ากุมไว้ตอนอยู่ในรถ



                “ครับ”



                “นายมี...เรื่องอะไรจะเล่าให้เราฟังไหม” ทุกเรื่องที่ทำให้นายมีสีหน้าและแววตาแบบนั้น เราอยากให้ห้านาทีแก่นายบ้าง แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เราพูดอยู่ในใจเท่านั้น



                “พี่ปั้นอยากให้ผมเล่านิทานก่อนนอนหรอ” เขาหัวเราะเบาๆ แต่ก็คล้ายจะเข้าใจในสิ่งที่เราขอ



                “...มีไหมล่ะ”         



                “ผมเล่านิทานไม่ค่อยเก่งหรอกนะครับ เรื่องนี้เป็นไง กระต่ายกับเต่า” เขาหัวเราะแผ่วๆ ในประโยคแรก ต่อมาก็พูดเสียงกระตือรือร้นเหมือนว่าคิดอะไรสนุกๆ ออก จนเราอดยิ้มไม่ได้ เอาเถอะ ถ้ายังไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยเขาก็ไม่กลับไปเศร้าก็พอแล้ว



                “โคตรเก่าเลย”



                “พี่ปั้นนน ยิ่งเก่ายิ่งคลาสสิคนะครับ”



                “ทำอย่างกับเราไม่รู้ตอนจบ”



                “เอาน่า รับรองเวอร์ชั่นนี้พี่ปั้นเดาตอนจบไม่ได้แน่นอน ว่าไง เริ่มเลยนะครับ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...มีเจ้าชายเต่าผู้หล่อเหลาแห่งเมืองสโลว์ไลฟ์พระองค์หนึ่ง เจ้าชายเต่าชอบกินผักบุ้งที่สุด วัน...”



                “ก็แน่ดิ เต่าที่ไหนไม่ชอบผักบุ้ง”



                “พี่ปั้นนนน”



                “อะๆ ไม่ขัดก็ได้”



                “...วันหนึ่งกระต่ายที่เป็นศัตรูก็มาบุกเมือง มันท้าให้เจ้าชายวิ่งแข่งกัน ถ้าแพ้มันจะเข้ายืดเมืองทันที เจ้าชายเต่าโกรธมากและยอมรับคำท้าในที่สุด เมื่อวันแข่งมาถึงทุกคนต่างมารอชมการแข่งขันกันอย่างล้นหลาม เจ้าชายเต่าเดินต้วมเตี้ยมมายังลานการแข่งขันที่หลังพระราชวัง เขาเดิน...เดิน มาเกือบจะครึ่งวันก็ยังไม่ถึง ในตอนนั้นกระต่ายก็เริ่มหงุดหงิด มันจึงกินแครอทระหว่างรอจนแครอทหมดทั้งภูเขา...”



                “ทำไมเจ้าชายเต่าถึงไม่ขึ้นราชรถ” เราถามอย่างสงสัย



                “เอ่อ...เจ้าชาย เอ่อ...อ๋อ เป็นเรื่องเศร้าของเมืองนี้ครับพี่ปั้น เจ้าชายเต่าไม่สามารถขึ้นราชรถได้เนื่องจาก...”



                “ขาของเจ้าชายสั้น!” เรารีบตอบ เผลอกระตุกแขนจนเจ็บแปล๊บที่แผล  “ใช่ไหมล่ะ?” เขาเลยส่งเสียงหัวเราะมาเป็นคำตอบ



                “โหพี่ปั้นสุดยอดเลย เคยอ่านเวอร์ชั่นนี้แล้วหรอครับ ถ้านอนอยู่ข้างๆ จะขอลูบหัวให้รางวัลพี่ปั้นเลย” เราเม้มปาก ไม่ตอบอะไรเดี๋ยวโดนล้ออีก เขาเลยเล่าต่อไปอีกยืดยาว แถมบรรยายซะจนเราหลับตาจินตนาการตามไปด้วย



                อา...ยิ่งฟังก็ยิ่งเคลิ้ม...จนฝืนลืมตาไม่ไหว



                “...พี่ปั้น” ได้ยินเสียงกระซิบใกล้ๆ เราเปล่งเสียงในลำคออย่างยากลำบาก



                “อือ”



                “นอนแล้วหรอครับ” รู้สึกถึงสัมผัสแผ่วเบาผ่านปลายคิ้ว เราโดนความง่วงโจมตีเต็มรูปแบบ แถมยังหนักไปทั้งตัว โดยเฉพาะแผลตรงข้อศอกทั้งสองข้างที่เริ่มตึง



                “...อืม”



                ช่วงที่ใกล้เข้าสู่ห้วงนิทราเต็มที ในตอนนั้นเราได้ยินเสียงกระซิบที่คุ้นหู พร้อมกับความอุ่นวาบที่หน้าผาก



                “ขอบคุณที่พี่ปั้นปลอดภัยนะครับ”

             




[ต่อด้านล่างนะคะ]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-06-2018 10:53:28 โดย jaevin »

ออฟไลน์ jaevin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-3
[ต่อจากด้านบน]


                “พี่ปั้น ตื่นมากินข้าวเช้าก่อนครับ”



                ฟึ่บ!



                “อ้าว พี่ปั้น ทำไมหันหลังให้ผมแบบนี้ล่ะครับ กินข้าว กินยาก่อน พี่ปั้นค่อยนอนต่อก็ได้”



                “...เราขอนอน”



                “โห พี่ปั้นเสียงแหบมากเลย มาครับ ตื่นก่อน”



                “เราขอ”



                “หรือว่า...ที่ไม่ยอมตื่น อยากให้ผมพิสูจน์ความร้อนแบบเมื่อคืนใช่ไหมครับ”



                พรึ่บ!



                “นาย...โอ๊ย!” ...เจ็บเเผล...



                “ค่อยๆ ครับ ถ้าอยากตีผมต้องค่อยๆ ลุก”



                หลังจากมีเสียงคนจอมเผด็จการอย่างนายดังอยู่ข้างหู เราก็ลุกขึ้นมาจ้องหน้าเขาด้วยสายตาปั้นเวอร์ชั่นตื่นนอนผสมปั้นเวอร์ชั่นตาขวาง



                …กวนแต่เช้าเลยเด็กอะไร...



                “ผมก็ยุ่ง”



                “ไม่ต้องมาจับหัวเรา” เราปัดมือเขาออก นายหัวเราะแล้วยื่นมือมาจับปลายคางอีก



                “หน้าก็บึ้ง”



                “ปล่อยนะเว้ย”



                “โห พูดจาไม่น่ารักเลย ตื่นมาต้องทำหน้าสดใสนะพี่ปั้น”



                “ใครจะสดใสแบบนายกัน ง่วงจะตายแล้ว” เราพึมพำ พร้อมกับลุกขึ้น นายถอยไปยืนอารมณ์ดีอยู่ข้างๆ เตียง ดูเหมือนเขาจะอาบน้ำเรียบร้อย แต่วันนี้ใส่เสื้อบาสเบอร์เก้าที่คงจะมีติดกระเป๋า กับกางเกงยีนส์ที่เขาใส่มาเมื่อวาน



                “ไปครับ ผมซื้อข้าวมันไก่มาให้ เจ้าดังแถวท่าพระเลยนะ”



                “นายตื่นกี่โมงเนี่ย” เราเดินลากขามาที่ห้องน้ำ เขาเดินตามมา และดูท่าทางเขาจะไม่มีร่องรอยของความง่วงเลย



                “ไม่ได้นอนต่างหาก”



                “งึมงำอะไร แล้วเมื่อกี้บอกว่าไปท่าพระหรอ นายไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้”



                “ไม่ได้นะครับ อยากให้พี่ปั้นได้กินอะไรอร่อยๆ จะได้หายเจ็บไวๆ”



                “เว่อร์ไปแล้ว” เราหันมามองหน้าเขา อยากจะดุว่าทำอะไรเกินตัวจริงๆ ซอยถัดไปก็มีร้านอาหารตั้งเยอะ แต่เอ๊ะ...



                “นาย”



                “ว่าไงครับ”



                “จะยืนตรงนี้อีกนานไหม เราจะเข้าห้องน้ำ”



                เขายิ้มตาหยี ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงกวนประสาท “เห็นพี่ปั้นไม่ว่าอะไร นึกว่าอยากชวนอาบน้ำให้ซะอีก”



                “คนโรคจิต!”



                ปัง!

 







                ถ้ามีคนถามว่าวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ของคุณเป็นแบบไหน? บางคนก็อาจจะตอบว่า ไปพักผ่อน ดูหนัง ฟังเพลง ทำการบ้าน นัดติวอะไรแบบนั้น แต่สำหรับเรา...ปกติแล้วเราจะนอนเฉยๆ ทิ้งความเหนื่อยล้ากับการเรียนไว้ที่มอ นอนเปื่อยๆ ไปครึ่งค่อนวัน แล้วค่อยทำงานที่ค้าง ไม่ก็หยิบหนังสือดีๆ มาอ่านซักเล่ม พร้อมกับนอนกินขนมจนแม่บ่น



                ...เอ่อ แต่ตอนนี้มีคนบ่นอีกคนแล้วล่ะ...



                “กินข้าวเสร็จก็ต่อด้วยขนม แถมนอนด้วย เดี๋ยวก็อ้วนเป็นหมูหรอกพี่ปั้น”



                “ทำไมนายขี้บ่น”



                “ก็ดูพี่ปั้นสิ จริงๆ เลย ไม่คิดว่าพี่ปั้นจะเป็นคนแบบนี้นะเนี่ย”



                “เราเป็นแบบไหน พูดให้ดีนะ” เขาเดินมาที่โซฟา ยกเท้าเราออกพอเราไม่ยอมก็แกล้งนั่งทับขาเรา กวนสุดๆ เราทนไม่ไหวเลยขยับท่าทางใหม่ นั่งขัดสมาธิบนโซฟาแต่หันหน้าไปทางคนที่ว่าเราเป็นหมู



                ...เราไม่ใช่หมูรู้ไว้ซะ! เจ้าเด็กน้อย...



                “อืมม  ก็...คิดว่าตอนแรกพี่ปั้นดูไม่ค่อยพูด ตามคนไม่ทัน คงจะไม่มีปากมีเสียงกับใคร” เขาเท้าคางกับหมอนอิง ส่วนตาก็มองมาทางเรา “แต่ตอนนี้ เถียงผมทุกคำ แถมทำร้ายร่างกายผมด้วย”



                เขาทำหน้างอนๆ ซึ่งนั่นทำให้เราหลุดหัวเราะ



                “เราก็เป็นแบบนั้นกับนายคนเดียวป้ะ” ...ถ้าคนอื่นมาเห็น ล้อเราตายเลย... เราเบะปาก คิดภาพว่าถ้ามีคนรู้เข้า ภาพลักษณ์เนิร์ดๆ ของเราคนป่นปี้แหงแซะ  เรายักไหล่แล้วก็ต้องชะงักเพราะนายมองเราตาไม่กระพริบ



                “เราพูดอะไรผิดไปหรอ” เราชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง



                “พี่ปั้น...อย่าไปพูดแบบนี้กับใครนะครับ” เขากระแอมพร้อมกับยกหลังมือเช็ดจมูก เบนสายตามองไปที่พื้น



                “พูดอะไร”



                “ก็...นั่นแหละครับ พี่ปั้นเป็นแบบนี้กับผมคนเดียวผมก็ดีใจแล้ว” เขายิ้ม แถมยังขยับตัวเข้ามาใกล้อีกต่างหาก “ถ้าพี่ปั้นอยากจะเศร้า อยากจะร้องไห้ อยากจะยิ้ม อยากจะหัวเราะ อยากจะทำตัวบ้าบอ อยากจะงอแง ใส่ใคร ขอให้คนๆ นั้นเป็นผมนะครับ”



                “นาย...” เราถอยจนหลังชนกับแขนโซฟาอีกฝั่ง หัวใจเต้นแรงเพราะคำพูดเขาอีกแล้ว “นี่นาย...”



                “ครับ” เขาส่งเสียงขานรับในลำคอ แล้วยื่นหน้ามาใกล้ จนเราเห็นตัวเองในแววตาเขา เราเลย..ยื่นฝ่ามือทั้งสองข้างไปวางที่แก้มเขา แล้วก็…



                แปะ!



                “...ว่าเราเป็นบ้าหรอ”



                “อ่า...แล้วก็อีกอย่าง พี่ปั้นเป็นคนที่ไม่โรแมนติกเอาซะเลย” เขาถอนหายใจแล้วพลิกตัวไปนั่งดูทีวี บ่นพึมพำอะไรคนเดียวไปตลอดทั้งเช้านั่น เราถามอะไรก็ไม่ตอบ เราเลยง้อเขาด้วยคุกกี้ที่เรารัก ไม่นาน นายก็เผลอยิ้มแล้วก็กลับมากวนประสาทได้เหมือนเดิม



                ...นายนั่นเเหละจะอ้วนเป็นหมู โธ่ คุกกี้เรา...

               







                “ปั้นลูก เป็นไงบ้าง”



                เราตื่นมาอีกทีด้วยเสียงปลุกของแม่ พอลืมตาขึ้นก็พบว่าตัวเองนอนหลับอยู่บนโซฟา แถมตอนนี้ก็เป็นเวลาสามโมงกว่าแล้วด้วย



                “เจ็บนิดหน่อยครับแม่ เเต่ว่าตอนนี้ดีขึ้นมากเเเล้วครับ”



                “ปะลูก ล้างหน้าล้างตาก่อนจะได้สดชื่น” แม่เอาผ้าห่มที่คลุมตัวเราไปพับ เรามองอย่างตามงงๆ



                “นายล่ะครับแม่”



                “น้องกลับไปประมาณชั่วโมงก่อนแล้วล่ะลูก บอกว่าต้องเอารถไปคืนเพื่อน แม่จะให้กินข้าวเย็นก่อนค่อยกลับก็ไม่ทัน นายนี่เป็นเด็กดีจริงๆ เลยนะ ตอนแม่เข้าบ้านเห็นนายกำลังห่มผ้าให้ปั้นอยู่เลย”



                “นายไปแล้วหรอครับ”



                …ยังไม่ได้ขอบคุณเลย...



                “ไปๆ ลุกไปล้างหน้า เดี๋ยวพ่อกับแม่พาไปเช็คร่างกายที่โรงพยาบาลอีกที อะ แล้วเราต้องไปโรงพักอะไรอีกไหม”



                “ไม่แล้วครับ เมื่อวานเรียบร้อยแล้วครับ”



                หลังจากนั้นพวกเราก็เดินทางไปโรงพยาบาล ระหว่างรอผลตรวจร่างกาย พ่อกับแม่ก็คุยเรื่องอุบัติเหตุ แถมยังถามเรื่องนายอีกเยอะแยะไปหมด และดูเหมือนว่าเราจะตอบไม่ค่อยได้เลย



                “บ้านนายเขาอยู่ไหนน่ะปั้น”



                “เอ่อ...” นั่นสิ เขาอยู่บ้านหรือเขาอยู่หอนะ “ปั้นก็...ไม่แน่ใจครับพ่อ”



                “แล้วเขาชอบอะไรเป็นพิเศษไหมลูก ถ้านายมาอีกแม่จะทำอาหารให้สุดฝีมือเลย”



                “เขาชอบบาสครับแม่”



                “ปั้น แม่หมายถึงอาหาร”



                “เอ่อก็...เขากินได้หมดเลยนะแม่ ปั้นอยากกินอาหารญี่ปุ่นก็พาไป ข้าวหน้าเนื้อ ข้าวหน้าหมูอะไรแบบเนี้ย แล้วเมื่อวานซื้อก๋วยเตี๋ยวมาให้ เขาบอกว่าชอบบะหมี่”



                “หือ นั่นมันของพี่ปั้นชอบไม่ใช่หรอ”



                “อ่า...” จริงด้วย...ที่เขากินเพราะเราชอบรึเปล่านะ...



                “ปั้นเนี่ยไม่ได้เรื่องเลย นี่รู้ไหมก่อนไป นายกำชับแม่ใหญ่เลยบอกว่าปั้นไม่สบาย ให้บังคับกินยาด้วย”



                “หรอครับ”



                “เราน่ะไปถามเขามาด้วยล่ะ คราวหน้าแม่ต้องกักตัวนายให้ได้จริงๆ เนอะพ่อเนอะ”



                “อืม เออ นายมาขอไปรับปั้น” พ่อหันมาบอก แม่เลยสำทับ



                “แล้วพ่อก็เลยอนุญาต ปั้นก็ห้ามปฏิเสธถือว่าเป็นความสบายใจของพ่อแม่แล้วก็นาย ถ้าน้องไม่มีรถก็มาเอารถบ้านเราได้ นายเขามีใบขับขี่อะไรเรียบร้อยเลยด้วย แม่ว่าเขาไว้ใจได้ ใช่ไหมลูก”



                เราพยักหน้าเงียบๆ แล้วก็เริ่มคิด...เราไม่ได้รู้จักเขาอย่างที่เขารู้จักเราเลยแม้แต่นิดเดียว...



                ในตอนนั้นประโยคนึงก็ผุดเข้ามาในความคิด



                ...เราอยากรู้จักนายให้มากกว่านี้...



                ไม่สิ



                ...เราต้องรู้จักนายให้มากกว่านี้นะข้าวปั้น...

 







                ตกกลางคืนเราก็เอาแต่นอนมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่วางอยู่บนหน้าท้อง แอพลิเคชั่นสีเขียวบนจอไม่แจ้งเตือนขึ้นมาพักใหญ่ หายไปไหนของเขาทั้งวัน เราเผลอกัดเล็บ



                ...เอาน่า ทักก่อนไม่เห็นเป็นไรเลย...



                เรากดพิมพ์ข้อความ ภายในห้องมีเพียงเสียงแป้นพิมพ์เท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อนเรา เพิ่มเสียงกรนเบาๆ ของพ่อที่ทะลุผนังมาด้วยแล้วกัน



                ...โอเค เริ่มพิมพ์...



                “นายย หายไปไหนมา เฮ้ย ไม่ได้ๆ ลบๆๆ นาย ยังไม่ทักอีก จะบ้าหรอ ลบๆๆๆ นาย กลับไม่บอกเลยนะ โอ๊ยย จะคิดไรเนี่ยปั้น”



                เราโคตรเหมือนสาวน้อยเลย แน่นอนว่าไม่ใช่เด็ดขาด! แค่ทักเขาไปแค่เนี้ย ชิลๆ



                “นาย จะกลับทำไมไม่ปลุกเราก่อน ไปแบบนี้ใช้ไม่ได้เลย อ่านแล้วตอบกลับด้วย ไม่งั้น อาทิตย์หน้าเราจะหนีกลับมาก่อนไม่รอนาย”



                ....กดส่งเลย...



                "Enter!"



                เราจ้องจนตาจะทะลุเข้าไปในคอมฯ นายก็ไม่อ่าน ไม่ตอบกลับมา สงสัยเขาจะนอนแล้วมั้ง เราเงยหน้ามองดาวเรืองแสงแล้วก็ถอนหายใจ เผลอห่อไหล่ หูตก ...นอนก็ได้เรา... เราถอดใจ เลื่อนเม้าส์ไปเพื่อจะปิดคอมแต่ก่อนจะปิดคอมนั้น จู่ๆ แจ้งเตือนไลน์ก็เด้งขึ้นทางด้านขวาของจอ เรารีบกดตอบกลับทันทีโดยไม่มองชื่อทันที



     
        read  Khaopun
                นี่ นายไม่เห็นข้อความเราหรอ เราพิมพ์ไปตั้งเยอะ
แล้วส่งสติ๊กเกอร์มาทำไม
ตอบเราเดี๋ยวนี้


                เราขมวดคิ้ว สงสัยว่าทำไมเขาเงียบแปลกๆ

                ไม่กี่วิหลังจากนั้น เราก็ได้คำตอบ...



                NchaN
                 ?
                ข้าวปั้นป้ะ
                นี่เราชานะ
                ชานนท์




                ...สิ่งที่หลีกเลี่ยงก็ปรากฏต่อหน้าโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

                แน่นอน มันรวดเร็วชนิดที่ว่า...

                ...เราหรือคุณไม่ทันได้ร้องคำว่าตุ๊ดตู่ออกมาเลยด้วยซ้ำ…







____________
กว่านายจะมา หวังว่าพี่ปั้นคงไม่ไหม้
อ่านจบเเล้วเป็นยังไงกันมั่งงง
ส่วนตัวเราชอบความเป็นธรรมชาติของนายนะ ถถ เนียนเป็นธรรมชาติเชียวพ่อเอ๊ย
ส่วนพี่ปั้น เรามีความรักให้ก็พอเเล้ว อย่ากลอกตา5555
คิดถึงทุกคนเหมือนเดิมนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ เลิฟ

แถมนิดโหน่ย
นาย - พี่ปั้น ถ้าพี่ปั้นเกิดเป็นดาว อยากเป็นดาวอะไร
พี่ปั้น - อืมม ดาวอะไรดีล่ะ
นาย - ดาว มยุรีไหมพี่ปั้น? เฮ้ๆ อย่าบอกนะไม่รู้จัก
พี่ปั้น - หือ ดาวมยุรีอยู่กาเเล็กซี่ไหนหรอ *กระพริบตางงๆ*
นาย - *คอตกไว้อาลัยให้คนไม่เก็ทมุก* กาเเล็กซี่อาร์สยามครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-06-2018 10:53:08 โดย jaevin »

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
แตกดังเพล้งเลยพี่ปั้น555พี่ปั้นจะรู้จักนายเพิ่มยังไงนะรอติดตาม

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
พี้ปั้นคนน่ารัก เมื่อไหร่จะเป็นแฟนกันน้อ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด