ฝันร้ายของปาลิน
..ปาลิน..
วันนี้ทุกอย่างดูจะเป็นไปด้วยความราบรื่น ตั้งแต่อากาศที่เป็นใจ ฟ้าใส และเคมีของนักแสดง ผมมีโอกาสได้นั่งอยู่หลังผู้กำกับ ที่คอยดูจอมอนิเตอร์ระหว่างการถ่ายทำ จึงทำให้ได้รู้ว่าภาพที่ออกมาดูดีจริงๆ ได้ยินทีมงานพูดกันว่าช็อตที่เป็นเลิฟไลน์ดีมาก ดีจนตอนตัดต่อคงต้องมีการปรับให้มีฉากตรงนี้มากกว่าเดิม ผมก็เห็นด้วยตามที่ได้ยิน เพราะเคมีของคิตตี้และคนที่บอกว่าตัวเองเป็นมือสมัครเล่น กลับช่วยส่งเสริมกันและกันจนโดดเด่น เห็นแล้วก็ดีใจกับคิตตี้ที่ผลงานคงจะเป็นที่พูดถึงในเร็วๆนี้ ส่วนกับอีกคน ก็คงไม่ต่างกัน
“ขอบคุณลินมากเลยนะ”
เป็นคิตตี้ที่พูดกับผม ตอนที่เราเดินมายังรถมินิคูเปอร์สีแดงของเธอที่จอดอยู่
“ขอบคุณเรื่องอะไร”
ผมลูบกลุ่มผมนุ่ม แล้วจัดการโยกศรีษะของคนตัวเล็กเบาๆ
“ก็เรื่องที่มาให้กำลังใจ เรื่องที่อยู่รอทั้งวัน แล้วก็เรื่องที่ให้ยืมพี่ภูฟ้า”
คนตัวเล็กที่แสงแดดและน้ำคลอรีน ไม่ได้ลดทอนความน่ารักของเจ้าตัวลงไปแม้สักนิด พูดกับผมด้วยรอยยิ้มและประกายตาซุกซน
“บ้า พี่ภูอยากช่วยเอง แล้วก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราด้วย พี่เขาไม่ใช่ของของเราซักหน่อย”
ผมทำหน้าไม่ถูก ที่อยู่ดีๆคนอายุมากกว่าก็ถูกยกให้เป็นของผม แล้วที่สำคัญพี่เขาก็ไม่ใช่สิ่งของเสียหน่อย
“คิคิคิ จะเชื่อก็ได้ แต่พูดก็พูดเถอะ คนนี้เค้าให้สามผ่านเลยนะลิน ตอนที่เข้าฉากแล้วต้องชวนกันคุยนะ ตอนแรกเค้าก็เกร็งๆ แต่พอพี่ภูเอาแต่พูดเรื่องลินไม่หยุด เค้าก็เลยเพลินเลยอะ รู้ตัวอีกทีก็เลยหยุดตัวเองไม่ได้เหมือนกัน”
หื้ม ฟังดูเริ่มจะแปลกๆแล้วแฮะ ทำไมฉากเลิฟไลน์กลายเป็นการพูดถึงเรื่องผมไปซะได้หล่ะ
“เล่ามาให้หมดเลยนะ ว่าคุยอะไรกันบ้าง”
ผมหรี่ตาเตรียมคาดคั้นผู้ต้องสงสัย ที่ทำตัวหลุกหลิกเสียจนดูมีพิรุธยิ่งกว่าเดิม
“อ๊ะ ม่านกับพี่ภูมาแล้ว ลินอวยพรให้เค้าด้วยนะ ไปละๆ”
คิตตี้รีบเบี่ยงประเด็น แล้ววิ่งปรู๊ดไปนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถมินิคูเปอร์ของเจ้าตัว เมื่อเห็นม่านแพงกับพี่ภูฟ้าที่มีสีหน้าเครียดๆเดินมาทางนี้ ไหนบอกว่าไปหาผู้กำกับ วันนี้การถ่ายทำก็ราบรื่นดีนี่นา ทำไมสีหน้าถึงเป็นอย่างนั้นได้หล่ะ
“ลินกลับกับพี่ภูนะ เดี๋ยวม่านจะจัดการคนบางคนก่อน”
ผมไม่แปลกใจที่ม่านแพงจะกลับกับคิตตี้ แต่ก็พึ่งเข้าใจประโยคที่คิตตี้ขอให้ผมอวยพรให้เธอ นั่นก็เพราะตั้งแต่เช้าจนตอนนี้ ม่านแพงและคิตตี้ยังไม่มีเวลาปรับความเข้าใจกันเลยหน่ะสิ
“ค่อยๆพูดกันนะม่าน แล้วก็ขับรถดีๆ ถ้าอารมณ์ยังไม่ดีก็อย่าพึ่งกลับ”
ผมอดห่วงไม่ได้ เพราะสองคนนี้อารมณ์ร้อนทั้งคู่
“อื้ม”
ม่านแพงเพียงยิ้มให้ผม แล้วหันไปมองพี่ภู
“ฝากลินด้วยนะพี่ คนนี้หัวใจม่านเลยนะ”
“หัวใจคิตตี้ด้วย”
คนที่ยังมีชนักติดหลัง ไม่วายรีบแสดงตัวด้วยอีกคน ถึงแม้จะทำได้แค่โผล่ตัวออกมาจากกระจกฝั่งคนนั่งก็ตาม
“ได้สิครับ หัวใจดวงนี้พี่รับฝากแล้วไม่คืนด้วยนะ”
พูดกับสองสาวแต่ตามองที่ผม ถึงแม้จะยิ้ม แต่แววตากลับไม่ได้ยิ้มตามอย่างทุกที จากที่ควรจะหมั่นไส้ ผมเลยกลายเป็นทำตัวไม่ถูกแทน
“พี่ภูๆ อย่าลืมพาลินกินกุ้งเผาร้านโปรดก่อนกลับนะ เดี่ยวให้ลินบอกทาง เวลานี้กำลังดีเลย วิวสวย”
ม่านแพงที่สตาร์ทรถเตรียมขับออกจากลานจอดยังไม่วายห่วงผม กระจกที่คิตตี้ยังไม่ปิดขึ้นไป จึงถูกใช้เป็นช่องทางเพื่อสื่อสารกับคนโตกว่าที่ก็ยังไม่ทันได้ปิดประตูรถเช่นกัน
“อื้ม ไม่ต้องห่วง”
พี่ภูพูดด้วยน้ำเสียงสดใส แต่เพราะพี่เขาหันหลังอยู่ ผมจึงไม่รู้ว่าพี่ภูกำลังมีสีหน้าแบบไหน พอขึ้นมานั่งข้างกัน ถึงได้รู้ว่า วันนี้พี่ภูดูจะเหนื่อยไม่น้อย หรือผมควรขับแทนพี่เขาดีนะ ยังไม่ทันได้ถามออกไป พี่ภูก็จัดการสตาร์ทรถ และขับตามม่านแพงออกไปจากลานจอด
“พี่ต้องเลี้ยวซ้ายหรือขวาครับ”
พี่ภูหันมายิ้มตอนที่รถใกล้จะถึงประตูทางออก
“ทานร้านอื่นเถอะครับ”
เป็นผมเอง ที่รู้สึกไม่อยากไปทานที่ร้านโปรดอย่างทุกที
“ลินเคยมีความทรงจำอะไรที่นั่นหรอ ถึงไม่อยากไป”
คนที่เมื่อครู่ฝืนยิ้มแต่ตาไม่ได้ยิ้มสักนิด หันมาถามผมด้วยแววตาปวดร้าวโดยไม่ปิดบังอีกต่อไป
“พี่ภู พี่แพ้กุ้งนะครับ ร้านนั้นเมนูส่วนใหญ่เป็นกุ้งนะ แต่ถ้าพี่อยากไป ก็เลี้ยวซ้ายขับเลียบหาดไปเรื่อยๆ ซักสิบห้านาทีก็ถึงครับ”
ผมไม่เข้าใจว่าพี่ภูเป็นอะไร แต่ผมแค่เป็นห่วงว่าคนแพ้กุ้งจะไปร้านกุ้งเผา แล้วนั่งดูผมทานอร่อยคนเดียวเนี่ยสิ
“ให้พี่พาไปนะ พี่อยากไป”
ผมพยักหน้าตอบไป แม้แววตาแข็งๆของพี่ภูจะอ่อนลงกว่าเมื่อครู่นี้แล้ว แต่รอยวูบไหวกลับยังเห็นได้ชัด แม้เราจะสบตากันแค่เพียงไม่กี่วินาทีก็ตาม
❥
เราใช้เวลาไม่นานก็มาถึงร้านโปรดของผม ม่านแพงและคิตตี้ นี่ถ้าสองคนนั้นไม่โกรธกันอยู่ คงได้มาทานของโปรดกับผมแล้วหล่ะ นึกๆแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ไม่รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้จะเป็นยังไงบ้าง แต่เรื่องนั้นคงต้องให้เวลากับทั้งคู่ก่อน
“พี่ขอโทษนะ”
“ครับ?”
พี่เขาขอโทษผมเรื่องอะไร จะว่าเรื่องจอดรถข้างทางก็ไม่น่าใช่ เพราะตลอดแนวนี้คนอื่นก็จอดกัน แล้วก็ไม่ได้เป็นที่ห้ามจอดด้วย
“ขอโทษที่เคยบอกว่าไม่เชื่อ ว่าความรักระหว่างผู้ชายกับผู้ชายไม่น่าจะไปกันรอด”
ผมไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ดีๆพี่ภูถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา แต่รู้สึกว่าตัวเองยังไม่พร้อมจะฟัง
“ลงกันเถอะครับ”
ผมเปิดประตูลงมาก่อน ตอนนี้เป็นเวลาใกล้ค่ำ แสงสีส้มที่เป็นฉากหลังของอาคารไม้สองชั้น บอกได้เป็นอย่างดีว่าพระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า เราโชคดีที่ได้ที่นั่งติดระเบียง มองเห็นวิวทะเลที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ผมเลือกจะสั่งอาหารที่ไม่มีกุ้งอย่างระมัดระวัง เมื่อคนแพ้กุ้งยังนั่งเงียบไม่ออกความเห็นใดๆ
“เอากุ้งเผาโลนึงด้วยครับ”
ประโยคแรกที่คนเอาแต่เงียบพูดขึ้น กลับเป็นการสั่งอาหารที่ตัวเองทานไม่ได้ ผมไม่ได้ว่าอะไร เพราะรู้ว่าพี่เขากำลังใส่ใจผมอยู่
“พี่ภู พี่ได้ยินอะไรมาครับ”
วันนี้พี่ภูอยู่กับสองสาวทั้งวัน คงได้ยินเรื่องอะไรมาแน่ๆถึงได้มีสีหน้าแบบนี้
“พี่ขอโทษที่ตอกย้ำแผลของลินนะครับ”
นี่สองสาวเล่าอะไรไป ทำไมแต่ละประโยคของพี่ภูถึงจริงจังขนาดนี้
“พี่ไปฟังอะไรมาครับ”
“ก็เรื่อง..”
“เรื่องคนที่ผมเคยชอบ?”
ผมถอนหายใจเมื่อรู้ว่าต้องคุยเรื่องนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ผมเจ็บอีกต่อไปแล้ว จะมีทิ้งเอาไว้ก็แค่ฝันร้ายที่ยังตามมาหลอกหลอนในบางคืน ที่ร่างกายหรือจิตใจอ่อนแอก็เท่านั้น
“อย่าพูดคำนั้นได้รึเปล่า พี่ว่าพี่ไม่โอเคเท่าไหร่ เนี่ยอีกนิดก็ร้องไห้แล้ว”
ผมหัวเราะกับคนที่เบะปาก ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ตามที่บอกจริงๆ
“ม่านแพงกับคิตตี้ไม่ได้พูดอะไรมากหรอก แค่บอกว่าเคยมีคนขี้ขลาดเข้ามาในชีวิตลิน ถึงพี่จะเคยคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายด้วยกันจะไม่ยั่งยืน แต่เพราะคนคนนั้นไม่ใช่พี่ไง ถ้าเป็นพี่ ถ้าเป็นเรา มันต้องเป็นไปได้สิ พี่ไม่สัญญานะว่ามันจะง่ายหรือราบรื่น แต่พี่สัญญาได้ ว่าพี่จะไม่ขี้ขลาดในเรื่องของเรา”
พอได้พูด คนที่เอาแต่เงียบมานาน กลับพูดไม่หยุด ประโยคยาวๆถูกถ่ายทอดให้ผมฟังโดยที่ไม่ต้องถาม จนเป็นผมเองที่เกิดสงสัยขึ้นมา ว่าสายตาจริงจังแบบนั้นจะโกหกกันได้หรือเปล่า แต่เพราะผมไม่เคยได้เห็นสายตาแบบนี้สักครั้ง ทั้งที่เคยอยากเห็น อยากให้คนที่ผมชอบ เขาพูดให้ความมั่นใจและมองผมแบบนี้บ้าง เพราะมันเป็นความปรารถนาลึกๆในใจ พอได้มาโดยไม่ทันตั้งตัว เลยรู้สึกเหมือนใจที่ผมล็อคไว้อย่างแน่นหนา มันคลายตัวออกจนน่ากลัวว่าผมจะห้ามมันไม่ได้
“ให้พี่จีบแล้ว ต้องให้โอกาสพี่ด้วยนะ เปิดใจให้พี่บ้าง พี่เลือกแล้วว่าต้องเป็นลิน ยังไงก็ต้องเป็นลิน พี่ไม่แคร์สายตาคนอื่นหรอกนะ ไม่สนด้วยว่าคนอื่นจะพูดยังไง ที่พี่สนใจ ก็มีแค่ความรู้สึกของเรา”
คนอายุมากกว่ายกมือขึ้นมาเกลี่ยความเปียกชื้นออกจากหางตาของผม ไม่รู้ว่าเพราะคนตรงหน้า คำพูดพวกนั้น หรือเพราะแสงสีส้มที่ทาบทาเกลียวคลื่นจนเรืองรองที่ทำให้ผมอ่อนไหวได้ขนาดนี้
..ภูฟ้า..
ผมยิ้มกว้างเท่าที่จะกว้างได้ ตั้งแต่ที่น้องยอมให้ผมเกลี่ยน้ำใสออกจากหางตาคู่สวยโดยไม่ปัดออก คนมองมาที่เราไม่น้อย เนื่องจากร้านแห่งนี้ส่วนใหญ่จะมาทานกันเป็นครอบครัว น้อยที่จะเห็นคู่รัก เพราะผมคิดว่านอกจากวิวที่สวยจนหยุดหายใจ บรรยากาศจอแจภายในร้านก็ดูจะขัดขวางความโรแมนติคไม่น้อย ดังนั้นเป้าสายตาทุกคู่จึงจับจ้องมาที่ผู้ชายสองคน ที่เหมือนกำลังง้องอนกันท่ามกลางอาหารเต็มโต๊ะ
น้องใส่ใจผมมาก ตั้งแต่ที่จำได้ว่าผมแพ้กุ้ง ทั้งที่ผมงี่เงาพูดประชดไร้สาระออกไป แต่น้องก็ไม่โกรธ ดูเหมือนน้องก็พยายามปรับตัวเข้ากับผมโดยไม่รู้ตัว มุมน่ารักมากมายที่น้องแสดงออกเฉพาะกับผม ทำให้ผมหัวใจพองโต ตอนนี้ผมมั่นใจแล้วว่าผมรักผู้ชาย ผู้ชายที่ชื่อปาลิน ถึงแม้ผมจะเคยเชื่อ ว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายมันคงไปไม่รอด แต่คนอย่างผม นายภูฟ้า สิทธิธนานนท์คนนี้แหละ ที่จะทำให้มันเป็นไปได้เอง แต่ก่อนอื่น..
“ใจพี่พี่ให้ปาลินคนนี้ไปแล้ว ไม่คิดเอาคืน แต่ใจลินยังไม่ต้องให้พี่ตอนนี้ก็ได้ ขอแค่ฝากพี่ไว้ก็ยังดี”
ผมยิ้มให้คนน้องที่หันไปก้มหน้าก้มตาแกะกุ้งทันทีที่ผมพูดจบ คนอ่อนไหวเมื่อกี๊หายไปแล้ว แต่ผมได้คนน่ารักที่กำลังเขินมาแทน เราทานกันเรื่อยๆ ซึมซับบรรยากาศดีๆระหว่างกัน อาหารอร่อย เสียงคลื่นและพระอาทิตย์ดวงโตที่ค่อยๆลับขอบฟ้า ทำให้ผมอยากจะหยุดเวลาเอาไว้แค่ตรงนี้
❥
“เฮ้อออ หนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน”
ก็ไม่อยากกลับนี่นา ถึงจะสตาร์ทรถแล้วแต่ก็ยังทำใจกลับกรุงเทพไม่ได้ ไม่รู้ว่ากลับไปแล้ว น้องจะให้โอกาสที่ผมขอไว้รึเปล่า
“ผมขับให้มั้ย”
ชิ คนน่ารักมักใจร้ายจริงๆด้วย
“ไม่เอา ไม่ให้ขับ เดี๋ยวลินขับเร็ว แล้วจะถึงเร็ว พี่ไม่ยอมหรอก”
อีกอย่างที่น้องยอมผมมาสักพัก คือการที่ยอมให้ผมเรียกน้องว่าลิน โดยไม่ว่าอะไร
“พี่ยังไม่อยากกลับหรอ งั้นไปเดินเล่นที่ชายหาดกันก่อนมั้ย”
และความใจดีที่หยิบยื่นมาให้จนผมไม่ทันตั้งตัว
“เล็กๆน้อยๆพี่ก็คิดเข้าข้างตัวเองหมดนะ รู้ไว้เลย”
ไม่รู้หล่ะ อนุญาตให้จีบแล้ว น้องก็ต้องรู้ตัวไว้ด้วย ว่าทุกอย่างที่น้องทำมันทำให้ผมคิดไกล
“จะคิดก็คิดสิ ผมไม่ได้ห้ามซักหน่อย ผมไม่ใช่พวกชอบเล่นกับความรู้สึกใครอยู่แล้ว”
จากนั้นน้องก็ปล่อยหมัดน็อคใจผม ด้วยคำพูดและรอยยิ้มที่สดใสที่สุดของวันนี้
❥
เรามาเดินเล่นกันยังชายหาดที่คนใจดีเล่าให้ฟังว่าสมัยเรียนชอบแอบขับรถมากันกับม่านแพงและคิตตี้ พอเล่าถึงตรงนี้ผมแอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเลยทีเดียว
“พี่ภูอยากถามอะไรมั้ย”
เป็นคนข้างๆที่จับความรู้สึกของผมได้ก่อน แต่ผมยังไม่แน่ใจว่าตัวเองพร้อมจะฟังหรือเปล่า จึงยังไม่ได้ตอบอะไรออกไป
“ก็เรื่อง คนที่ผมเคย เอ่อ คนคนนั้นหน่ะ”
น้องคงรู้แล้วว่าผมใจบาง ขอบคุณนะครับที่ไม่พูดคำนั้นออกมา เพราะถ้าไม่ใช่พูดบอกกับผม ผมก็คงไม่อยากฟังน้องพูดว่า“ชอบ”กับใครอีก ถึงจะมีคำว่า“เคย”นำหน้าก็ตาม
“ลินอยากเล่ามั้ย”
ที่มั่นใจว่ารักน้องมาก เพราะหนึ่งในนั้นก็เพราะผมแคร์คนข้างๆนี่มากเหลือเกิน ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเขา ผมจะกังวลและคิดมากเสมอ ถ้าเป็นกับคนอื่นนี่ไม่มีวันหรอก ที่ผมจะมาคอยถามไถ่ความรู้สึก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมคบใครได้ไม่นาน ขี้เกียจเอาใจ ขี้เกียจสนใจความรู้สึก นานวันเข้าก็ยิ่งขี้เกียจประคับประคองความสัมพันธ์ไปโดยปริยาย
เราเดินเล่นอยู่ริมหาด แน่นอนว่าผมไม่พาน้องไปใกล้น้ำทะเลแน่นอน อยากจะขอจับมือ แต่ก็กลัวน้องปฏิเสธ
“ขอจับมือได้มั้ย”
แต่ความต้องการเอาชนะความใจบางได้ในวินาทีสุดท้าย ผมจึงถามออกไป ตอนนี้คนเริ่มบางตาลงแล้ว จะมีให้เห็นเยอะหน่อยก็เวลาเดินผ่านบาร์เบียร์ที่ตั้งประปรายอยู่ริมหาด
“พี่ไม่อายคนอื่นหรอ”
คำถามซื่อๆ ถูกส่งมาจากเจ้าของดวงตาซื่อๆที่ผมหลงใหล
“อายทำไมหล่ะ ถ้าลินยอมนะ ให้ทำมากกว่านี้ พี่ยิ่งมีความสุขเลย”
ผมยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งให้น้อง ตอนนี้มืดแล้ว ทำให้ผมเห็นสีหน้าน้องไม่ชัด อาศัยแสงจันทร์กับแสงไฟริมถนน ที่ทำให้รู้ว่าน้องกำลังมองผมอยู่
“อ๊ะ ให้โอกาสแล้วนะ”
น้องยื่นมือมาหน้าผม ในขณะที่สมองของผม กลับยังเลือกไม่ถูกว่าจะแสดงความรู้สึกยังไงออกไป ทั้งดีใจ ตื่นเต้น และมีความหวัง โดยเฉพาะประโยคสั้นๆที่กำลังดังวนซ้ำไปซ้ำมา จนผมอยากลองหยิกตัวเองซักที ว่าไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย
ผมหันไปยิ้มกว้างให้กับน้อง อยากให้รู้ว่าผมมีความสุขมากแค่ไหนกับโอกาสที่น้องมอบให้ และไม่ลืมจะกุมประสานมือนุ่มของคนใจดี เพื่อพาออกเดินเลียบหาดไปด้วยกัน เป็นวินาทีที่โคตรจะมีความสุขเลย อยากจะโทรบอกพ่อ บอกแม่ บอกพี่ฝัน บอกไอ้จั๊ดไอ้ปาล์ม บอกม่านแพงคิตตี้ และบอกทุกคนที่มหาลัยให้รู้ให้หมด
“คนคนนั้นเค้าเป็นรุ่นพี่ รุ่นเดียวกับพี่ภู”
ถึงแม้จะดีใจที่น้องเริ่มเล่าเรื่องอดีตออกมาเอง แต่ใจฟูๆเมื่อกี๊ ก็สั่นไหวไม่น้อย
“ตอนนั้นผมย้ายจากเชียงใหม่มาอยู่กับป้า ผมเข้าเรียนม.ปลายที่โรงเรียนเอกชนของครอบครัวม่านแพง เลยทำให้ได้เจอม่าน คิตตี้ และคนคนนั้น”
ผมกุมมือน้องแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว นึกโกรธพระจันทร์ข้างแรมที่ทำให้เห็นหน้าน้องไม่ชัดขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“คนคนนั้นเป็นคนดังของโรงเรียน เขาร้องเพลงเพราะ ตอนแรกผมก็แค่ชอบฟังเสียงเขา เป็นเหมือนแฟนคลับที่สนใจเรื่องของคนที่เราชื่นชม แต่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เขากลายเป็นคนที่ผมรู้สึกมากกว่าชื่นชม”
ความรู้สึกตอนนี้คืออยากโดดทะเล ไม่อยากฟังอะไรแล้วทั้งนั้น แต่สิ่งที่ทำได้ ก็คือยิ้มให้กำลังใจคนที่ยอมเล่าเรื่องที่เคยทำให้ตัวเองเจ็บปวด
“ไม่รู้ว่าโชคดีหรือร้าย ที่คนคนนั้นจำผมได้ หลังจากที่ผมไปฟังเขาร้องเพลงหลายต่อหลายครั้ง และเป็นเขาที่ทักผมก่อน เราเริ่มคุยกันมากขึ้นในฐานะพี่น้อง จากไลน์ก็กลายมาเป็นโทรศัพท์ จากไม่กี่นาทีก็กลายมาเป็นชั่วโมงๆ ตอนนั้นมันเหมือนทุกอย่างกำลังจะไปได้ดี ถึงพี่เขาจะไม่ยอมให้ใครรู้เรื่องระหว่างเรา แต่สำหรับผม แค่นั้นก็พอใจแล้ว”
รู้สึกถึงแรงบีบที่ใจตัวเองที่มาพร้อมกับแรงบีบที่ฝ่ามือ เพราะตัวเองฝืนยิ้มให้น้องไม่ได้ เลยเลือกที่จะหันไปมองทะเลแทน
“แต่ทุกอย่างมันกลับไม่ใช่อย่างที่คิด หลังจากที่คุยกันมาเกือบปี อยู่ดีๆก่อนที่คนคนนั้นจะเรียนจบ เขาก็บอกให้ผมเอาของขวัญเรียนจบไปให้ที่คอนโด ปกติเขาจะไม่ยอมเจอผมนอกโรงเรียน ผมเลยดีใจมาก”
ผมกำมืออีกข้างที่ไม่ได้จับมือน้องจนเจ็บ แต่ไม่ได้เจ็บน้อยไปกว่าใจผมเลยสักนิด อยากบอกน้องว่าไม่ต้องเล่าต่อได้มั้ย แต่ปากผมกลับพูดอะไรไม่ออก
“พี่เขาขอมีอะไรกับผม”
ผมห้ามตัวเองไม่ให้สั่นไม่ได้ มืออีกข้างที่กำไว้จนเจ็บก็เปลี่ยนมาลูบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติ น้องหยุดเดินเมื่อเห็นว่าผมไม่โอเคเท่าไหร่
“พี่ภูอยากฟังต่อมั้ย”
ผมพยักหน้าทั้งที่ฝืนใจ น้องใช้ความกล้าทั้งหมดที่มีเพื่อเล่าเรื่องที่น้องปิดล็อคมันไว้พร้อมกับหัวใจตัวเอง แล้วผมที่อยากให้น้องเปิดใจให้ มีสิทธิ์อะไรที่จะไปทำลายความกล้าของน้อง
“ผมไม่ได้มีอะไรกับคนคนนั้นหรอก”
ประโยคนั้นเหมือนน้ำที่รดใจเหี่ยวๆของผม จากคนที่ไม่เคยแคร์ว่าคนที่คบจะมีอดีตยังไง แต่พอเป็นน้อง ผมมั่นใจว่าไม่ได้รังเกียจ เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติ ตัวผมเองยังผ่านมาตั้งเท่าไหร่ แต่ที่ผมกำลังรู้สึก มันคือ“ความอิจฉา” อิจฉาที่คนคนนั้นเคยได้ใจน้องไป และผมคงแทบคลั่งตายเพราะความอิจฉาที่เหมือนไฟสุมใจ ถ้าน้องเคยให้ทั้งใจและกายกับไอ้เหี้ยนั่นด้วย
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะมีเสียงผู้หญิงมาเคาะห้องตอนผมพึ่งอาบน้ำเสร็จ เขาบอกจะออกไปดูแป๊บเดียว แต่ก็ไม่กลับมาอีกเลยตลอดคืน ผมรู้สึกว่าตัวเองโง่ โง่ที่ยอมเขาง่ายๆ แค่เขาพูดไม่กี่คำ ผมก็พร้อมจะยอมทุกอย่าง ยอมไม่คาดหวัง ยอมเป็นพี่เป็นน้อง ยอมปิดทุกอย่างเป็นความลับ ยอมเห็นเขาอยู่กับผู้หญิงคนอื่น ยอมจะมีอะไรกับเขา ทั้งที่คำว่าชอบหรือรักซักครั้งก็ไม่เคยได้ยิน โง่เพราะรอเขากลับมาหา และยิ่งรู้สึกโง่มากกว่าเดิมเมื่อวันต่อมา เขาตั้งสเตตัสคบกับดาวโรงเรียนหญิงล้วนที่อยู่ข้างๆ แล้วเลือกที่จะไม่ตอบไลน์หรือรับสายผมอีกเลย”
สมกับที่ม่านแพงด่าไอ้เหี้ยนั่นว่าคนขี้ขลาด คุยกันมาตั้งนาน แต่หลบๆซ่อนๆไม่ยอมให้ใครรู้ แล้วยังมีหน้าหลอกน้องมาทำระยำ แต่สุดท้ายก็ทิ้งน้องไว้ให้จมกับความอับอายและสับสน ใช้ความรักที่เด็กซื่อๆมอบให้ ย้อนมาทำร้ายกันอย่างเลือดเย็น แม่ง โคตรเหี้ย แอบสืบเพื่อไปกระทืบมันดีมั้ยวะ
“ผมโง่ใช่มั้ย น่าอายเนาะ โคตรของโคตรโง่เลย”
ผมคว้าตัวน้องมากอดทันทีที่น้องพูดแบบนั้น คนที่ไม่เคยพูดคำหยาบสักคำ นี่คงเป็นประโยคที่หยาบที่สุดของน้องแล้ว แต่ผมไม่ยอมหรอก เพราะแทนที่น้องจะด่าไอ้เหี้ยนั่น กลับเป็นตัวเอง
“ไม่โง่ซักนิด ลินไม่โง่ซักนิดเลยนะ”
ผมกระชับอ้อมแขนเพื่อกอดน้องที่กำลังสะอื้นให้แน่นขึ้น เป็นผมก็คงเสียความมั่นใจในตัวเองไปเลย คนที่เราชอบมาเป็นปี สุดท้ายกลับทำเหมือนเราคิดไปเองคนเดียว แล้วยังมีหน้ามาทำลายความรู้สึกทุกอย่าง ด้วยการปล่อยให้รอและหนีหน้าแบบนี้หน่ะหรอ ผมขบกรามแน่นเมื่อรู้สาเหตุที่น้องปิดตัวเอง ไม่แปลกที่น้องจะไม่เชื่อใจใครอีกต่อไป ขนาดคนที่คุยกันมานานยังทำกันได้ขนาดนี้ แล้วคนอื่นหล่ะ แล้วผมหล่ะ
“ให้แค่ใจพี่ก็พอ พี่ขอแค่นี้นะครับ”
ประโยคหล่อๆที่ในชีวิตนี้ผมยังไม่เชื่อว่าตัวเองจะพูด กลับออกจากปากผมด้วยความตั้งใจ ผมมั่นใจในทุกคำที่พูดไป และมั่นใจว่านอกจากเรื่องการปิดตัวเอง แผลในใจของน้องคงรวมไปถึงความสัมพันธ์ทางกาย ถ้าต้องเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ตอกย้ำบาดแผลนั้น ผมยอมโลกสวยด้วยมือเราตลอดไปก็ได้ ขอแค่น้องไม่ต้องร้องไห้ก็พอ
..ปาลิน..
ฝันร้ายของผมไม่ได้น่ากลัวเหมือนในหนังฆาตกรรม ไม่ได้มีเลือด หรือแม้แต่ภูติผีปีศาจ
ทั้งหมดที่ผมเห็นในฝัน มันก็แค่ตัวผมที่ยังเด็กกว่านี้
สวมชุดคลุมอาบน้ำที่เหมือนจะย้ำเตือนความใจง่ายและความโง่เขลาของตัวเอง
กำลังนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่หน้าบานประตูสีดำที่ผมพึ่งเคยสัมผัสเพียงครั้งเดียว
นอกจากเสียงร้องไห้ราวจะขาดใจของผมในวันวาน
อีกเสียงที่ผมเกือบลืมไปแล้วกลับดังย้ำๆซ้ำๆจนผมแทบบ้า
เสียงนั้นไม่ได้โกรธเกรี้ยวหรือด่าทอ แต่กลับเป็นน้ำเสียงใจดีที่บอกผมว่า
“เดี๋ยวพี่จะกลับมานะลิน”
แต่ผมคนในฝันที่โง่เง่ากับทุกเรื่อง กลับฉลาดที่จะรู้ว่า..
ต่อให้ร้องไห้แทบตาย..เขาก็ไม่มีวันกลับมา
。☆✼★━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━★✼☆。
ฝันร้ายของน้องลิน เหมือนเป็นปมในใจ เป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกต่ำต้อยและดูถูกตัวเอง
ตอนนั้นน้องยังเด็กและยอมทุกอย่างเพื่อความรัก
น้องน่ารักน่าสงสารขนาดนี้ ต่อไปพี่ภูต้องรักและดูแลน้องให้มากๆนะรู้มั้ย
ขอบคุณทุกคอมเมนท์ค่า แฮปปี้และช่วยเพิ่มกำลังใจได้มากเลย (´ ᴗ`✿)