ท่าเรือที่ 15
3 ปีที่เจ้าลืม
Gear’s Part 3 ปีที่แล้ว... ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย~~ เสียงเพลงชาติไทยดังขึ้นในเวลาแปดนาฬิกาตรงท่ามกลางเสียงงึมงำที่ร้องเพลงชาติตามเสียงต้นสาย กิจกรรมหน้าเสาธงของเด็กไทยซึ่งไม่เว้นแม้แต่โรเรียนคริสต์ที่เรียกครูผู้สอนว่ามาสเตอร์อย่างโรงเรียนผม แดดยามเช้าในเวลานี้ที่ให้ความรู้สึกเหมือนถูกแผดเผาด้วยแดดยามเที่ยงวัน ทั้งๆที่มีหลังคาโดมคลุมหัวก็ยังไม่สามารถต้านพลังทำลายล้างของดวงอาทิตย์สุดร้อนแรง
ตู้มๆ ปิ้วๆ
“มึงอย่าหนีดิวะ มาตีป้อมฝั่งนี้ก่อน”
“เลือดกูจะหมดแล้ว”
“ไอ้เหี้ย มันซุ่มอยู่ตรงนี้ 3 ตัว”
เสียงมนุษย์เพศชายที่ใช้คำหน้าหน้าว่านายมา 3 ปี กำลังโหวกเหวกโวยวายแข่งกับเสียงกิจกรรมหน้าเสาธงที่ทั้งหมดถือวิสาสะไม่เข้าร่วมตามอำเภอใจ แต่ละคนกำลังมุ่งมั่นในการทลายป้อมปราการของคู่ต่อสู้ในเกมชื่อดังที่เหล่าวัยรุ่นวัยเรียนติดกันงอมแงม แต่ดูท่าแล้วงานนี้แพ้ราบคาบแน่นอน
"ไปอดหลับอดนอนจากไหนมาวะมึง" เพื่อนหน้าตี๋หัวเกรียนทรงสกินเฮดข้างตัวมันใช้ศอกสะกิดผมที่ฟุบหลับบนโต๊ะนักเรียนแล้วถามทั้ง ๆ ที่ตายังจ้องโทรศัพท์อยู่
"เรียนพิเศษ" คำตอบสั้นๆหลุดออกจากปากด้วยเสียงเรียบเบา
"หื้อ? เรียนหนักหรือวะ สรุปพ่อมึงจะให้เข้าวิศวะฯให้ได้เลยใช่ปะ" ไอ้หัวสกินเฮดคนเดิมที่ทุกคนเรียกมันว่า เต้ กดออกจากหน้าเกมแล้วหันมาถามผมอย่างตั้งใจ
"อืม เฟืองมันเรียนบริหารแล้ว กูก็ต้องเรียนวิศวะฯไปช่วยงานต่อ"
งานที่ว่าก็คือบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ที่พ่อผมเป็นประธานบริษัทซึ่งสืบทอดมาจากรุ่นปู่ และก็คงไม่พ้นผมกับพี่ชายที่ต้องสานต่อกิจการอันรุ่งเรืองนี้ ตัวผมก็ไม่ได้รู้สึกต่อต้านอะไรที่จะต้องแบกรับความคาดหวังอันใหญ่หลวงนี้ โชคดีนิดหน่อยที่ไม่ได้มีความฝันชัดเจนว่าอยากเรียนอะไร อยากเป็นอะไร ก็เลยไม่มีความทุกข์ใจมากเท่าไหร่ที่ไม่ได้ทำตามความฝัน ผมโตมามีกินมีใช้ เรียนโรงเรียนดี ๆ ก็ เพราะบริษัทนี้ ก็เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะยินดีรับหน้าที่ดูแลต่อ แต่ในวัยที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะนั้นผมก็ยังขอเที่ยวเล่นตามประสาเด็กหนุ่มคนหนึ่งก่อน
"มึงโอเคใช่เปล่าวะ" ไอ้คริสโตเฟอร์ เพื่อนลูกครึ่งอเมริกาตาสีฟ้าร่างยักษ์หันมาถามผมอีกคน
"ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ไม่โอเคนี่หว่า" ผมเงยหน้าขึ้นมาบิดคอซ้ายขวาคลายความเมื่อยล้าจากการก้มหน้านาน ๆ "กูก็ไม่ได้มีความฝันจะเรียนอะไรสักหน่อย เรียนวิศวะ ฯ ไปช่วยพ่อกูก็ไม่ลำบากเท่าไหร่ ว่าแต่พวกมึงเหอะ เอาไงวะ" ผมย้อนถามเหล่าเพื่อนสนิทที่กอดคอกันโดนครูทำโทษมาตั้งแต่สมัยประถม
"กูคงไปเรียนเมกา แม่กูจะย้ายไปอยู่ที่นู่นยาวละ" คริสตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนรู้ชะตากรรมตัวเองตั้งแต่แรก
"ขายบ้านที่นี่เลยหรือวะ" เต้ถามพลางหยิบทาโร่ขึ้นมากิน
"อืม ขายบ้านใหญ่ แต่กูขอไว้แค่คอนโดของกู เผื่อกลับมาหาพวกมึงจะได้มีที่ซุกหัวนอน" เด็กหนุ่มลูกครึ่งยักคิ้วตอบเพื่อนหัวเกรียน
"ดีมากเพื่อน ไปดีมาดีนะมึง"
"กูยังไม่ไปไหมล่ะไอ้นี่" สิ้นคำตอบไอ้เต้ก็โดนคริสกระชากห่อทาโร่ออกไปจากมือ "แล้วไอ้พี มึงอ่ะเอาไง"
"ที่เดียวกับไอ้เกียร์มั้ง" บุคคลที่มีนิสัยเฉยชาที่สุดในกลุ่มเอ่ยตอบแบบขอไปที
"เห้ย! นี่มึงกะจะผูกข้อต่อแขนอยู่ด้วยกันไปยันตายหรือไง แยกๆกันบ้างเถอะ" ไอ้เต้เจ้าเดิมก็ยังคงสานต่อประเด็นนี้ต่อไป
ไอ้พีมองเหล่ด้วยหางตา "เสือก" เชือดนิ่มๆ
"ไอ้คริส ไอ้พีมันด่ากู มึงด่ามันให้กูหน่อย" ไม่พูดอย่างเดียว ไอ้เต้ยังจับแขนไอ้คริสเขย่าเหมือนเด็กงอแงอยากได้ของเล่น
"สมควร"
"ฮ่า ๆ" เสียงหัวเราะจากทุกคนในกลุ่มยกเว้นไอ้เต้ที่กำลังทำหน้างอง้ำ มันคงคิดว่าน่ารักมากมั้ง
อย่างที่บอก พวกเราทั้ง 3 คน เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันตั้งแต่สมัยเรียนชั้นประถมศึกษาปีแรก เข้ามาเรียนที่โรงเรียนชายล้วนนี้พร้อมกันที่ฝ่ายประถม คนแรกที่เข้ามาทักผมคือไอ้เต้ เด็กชายหน้าตี๋ บ่งบอกชัดเจนว่ามีเชื้อสายมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ เด็กชายผู้ไม่เคยหยุดพูด พูดจนตัวเองหลับ มันเข้ามาชวนผมเขี่ยการ์ดยูกิ ตอนนั้นผมกับมันก็ตัวเท่า ๆ กันนี่แหละ อยู่กับมันแล้วไม่เครียดดีก็เลยเล่นตามน้ำมันไป
ส่วนไอ้พีได้อยู่กลุ่มเพราะจับสลากได้นั่งข้างกัน ครูประจำชั้นก็ให้เป็นบัดดี้ดูแลกัน ไอ้พีมันเป็นคนไม่ค่อยพูด อยู่รอดแบบไม่ตีกันตายด้วยคำว่า 'อะไรก็ได้ , ตามใจมึง' จนมาถึงทุกวันนี้ ด้วยเหตุนี้ไอ้คนพูดมากอย่างไอ้เต้ก็เลยเหมือนเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ของกลุ่ม ไอ้พีก็เลยพลอยพูดมากขึ้นกว่าเดิม
พอกลางเทอมก็มีเด็กต่างชาติ ผิวขาวซีด ตาสีฟ้า ผมสีน้ำตาลอ่อน ตัวเล็กๆผอมๆเข้ามาเรียนในห้องเรา เด็กนั่นแนะนำตัวว่าชื่อคริสโตเฟอร์ ทุกคนก็เลยเรียกมันสั้นๆว่าคริส ปัญหาใหญ่ของไอ้คริสตอนนั้นก็คือเรื่องภาษา มันฟังและพูดภาษาไทยได้น้อยมาก ผมเคยถามมันตอนโตซึ่งได้ความว่าแม่มันพูดกับมันด้วยภาษาไทย แต่ส่วนใหญ่อยู่กับพ่อ ก็เลยใช้ภาษาไทยไม่บ่อย ทีนี้ด้วยความที่ตัวเล็ก พูดกับใครไม่รู้เรื่อง แล้วมาใช้ชีวิตในโรงเรียนชายล้วน ก็ไม่พ้นที่จะโดนแกล้ง
ตอนแรกพวกผมก็ไม่ได้ใส่ใจ แต่พอมันโดนแกล้งหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนไอ้พีไปเห็นว่าแอบร้องไห้ในห้องน้ำนั่นแหละ ถึงได้ดึงเข้ามาอยู่กลุ่มด้วย ไอ้พีมันตัวใหญ่มาตั้งแต่เด็ก เพื่อนในห้องก็เลยเกรงๆมันอยู่พอตัว พอเรียนมาด้วยกันจนถึงปัจจุบันที่อยู่ชั้นมัธยมปีสุดท้ายนี้ ทุกคนโตขึ้นหมดโดยเฉพาะไอ้คริส ที่ร่างยักษ์ตามเชื้อชาติและพันธุกรรมทางพ่อมัน มีไอ้เต้คนเดียวที่หยุดความสูงไว้ตั้งแต่ ม. 3 โดนเพื่อนล้อจนมันขี้เกียจด่า
ตอนนี้พวกผมโดดกิจกรรมเข้าแถวมารวมหัวกันอยู่ในห้องเรียนประจำชั้นของตัวเองและถือเป็นความโชคดีที่สุดที่วันนี้มาสเตอร์ประจำวันไม่ขึ้นมาตรวจอาคารเรียนจับเด็กเกเรไปทำโทษ
“ว่าแต่มึงเถอะ ถามแต่คนอื่น ตัวเองคิดไว้ยัง” ไอ้คริสมันหันกลับมาตั้งคำถามกับเพื่อนตัวแสบ
“คิดแล้วดิวะ” ไม่พูดเปล่าแถมยักคิ้วกวนตีนให้อีกสองที ตีนผมนี่กระตุกเลย
“คิดไว้ว่า”
ไอ้เต้ทำหน้าเจ้าเล่ห้ คำตอบน่าจะวอนโดนด่า“คณะไหนก็ได้ที่ผู้หญิงสวยๆ” ว่าแล้วไง
“โห่ ไอ้ควายยยยย” ตามควายมาก็คือฝ่ามือหนาฟาดลงหัวเกรียนเบาๆ
“โอ้ย! กูเจ็บนะไอ้ยักษ์”
“หยุด! กูรำคาญ” เสียงเย็นราบเรียบจากไอ้พีถือเป็นประกาศิตจบศึกปัญญาอ่อน
“เออ ไอ้เกียร์ แล้วมึงจะเข้าที่เดียวกับพี่เฟืองปะ” ยังคงเป็นคนเดิมที่อยากรู้อยากใส่ใจเพื่อนไม่จบไม่สิ้น
“ไม่รู้ ติดที่ไหนก็เรียนที่นั่นแหละ”
“ส่วนไอ้พีก็คงคำตอบเดียวกับไอ้เกียร์ กูไม่ถามก็ได้” พูดเอง เออเองเสร็จสรรพ แล้วก็เปิดเกมส์มาเล่นต่อ น่าถีบชิบหาย
คาบเรียนช่วงเช้าผ่านไปแบบหนักหนาสาหัสพอสมควร เพราะมีแต่วิชาหนักๆทั้งนั้น ผ่านกันมาในสภาพอิดโรยเต็มที และเมื่อเป็นช่วงเวลาของการพักกลางวันของชั้นมัธยมปลาย ทำให้โรงอาหารไม่ได้มีเสียงดังโวยวายมากเท่าไหร่ ซึ่งต่างจากรอบพักของมัธยมต้นอย่างสิ้นเชิง โรงเรียนผมคนเยอะก็เลยต้องแบ่งพักแบบนี้ครับ
ระหว่างเดินก็มีรุ่นน้องที่รู้จักเข้ามาทักตามประสานักกีฬาโรงเรียน ถ้าพูดแบบไม่อ้อมค้อมกลุ่มพวกผมก็เป็นที่รู้จักในระดับหนึ่ง ซึ่งผมยินดีมากที่ความเป็นจุดเด่นมาจากความสามารถตัวเอง แต่ก็เป็นเหตุผลส่วนน้อย เพราะส่วนใหญ่ที่รู้จักและเกรงใจก็เพราะบารมีไอ้พี่ชายจอมกวนประสาทของผมนั่นแหละสร้างไว้ ชื่อเสียงเรื่องท้าตีท้าต่อยของมันนี่ดังกระฉ่อนมาก
บางครั้งผมก็ได้มีไปแจมบ้างถ้าสาเหตุมาจากผม ไม่พ้นเรื่องคู่อริหมั่นไส้เพราะแฟนมันทิ้งมาตามกลุ่มพวกผม แต่ทุกครั้งที่ปัญหาจะมาเกิดที่ผม ไอ้เฟืองพี่ชายของผมมันก็จะจัดการกันผมออกมาจากเรื่องนั้น แล้วพาพวกไปยำเอง ผมเคยหงุดหงิดมันจนระเบิดลงไปทีว่าทำไมไม่ให้ผมจัดการปัญหาด้วยตัวเอง
มันตอบมาแค่ว่า ‘เหลือลูกชายไว้ให้พ่อแม่ภูมิใจสักคน ซึ่งไม่ใช่กูแน่ๆ’
ผมไม่เข้าใจมันทั้งหมด แต่ก็ยอมทำตาม เพราะเป็นสิ่งเดียวที่มันกล้าขอผม ผมกับเฟืองอายุห่างกันแค่ปีเดียวก็เลยไม่ค่อยมีโมเมนต์เรียกพี่เรียกน้องเท่าไหร่
ระหว่างที่ผมนั่งจองโต๊ะให้พวกเพื่อนที่ไปซื้อข้าว ส่วนผมก็ฝากไอ้คริสซื้อมาให้
“อะ..เอ่อ พี่เกียร์ครับ” ผมเงยหน้าตามเสียงเรียกก็เห็นเด็ก ม.ต้น ผมทรงนักเรียนยืนก้มหน้าไม่สบตาผมอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะไม้ยาว
“ครับ”
“คะ..คือว่า…ผม”
“หมดเวลาพักของ ม.ต้นแล้ว ทำไมไม่ขึ้นเรียน” ผมสวนประโยคยาวเหยียดออกไปก่อนที่รุ่นน้องจะพูดจบ
“ผมกำลังจะไปเรียนครับ”
“ก็ไปสิ”
เด็กนั่นสูดลมหายใจเข้าปอดเหมือนเตรียมตัวเตรียมใจอะไรสักอย่าง
“คือผมชื่อเซฟนะครับ ผมจะบอกว่า ผมชอบพี่มาก ชอบตั้งแต่พี่อยู่ ม.4 แล้ว แล้วตอนนี้พี่อยู่ ม.6 ผมก็อยากจะสารภาพความในใจก่อนที่จะไม่มีโอกาสครับ พี่ไม่ต้องตอบรับผมก็ได้นะ ผมแค่อยากบอก ฟู่ว…” สิ้นเสียงเป่าปากของเด็กตรงหน้า ก็ไร้ซึ่งเสียงใดๆจากปากผม
สิ่งที่ผมทำก็แค่ส่งรอยยิ้มเอ็นดูไปให้เด็กที่ยังไม่ประสาเรื่องความรัก แต่ก็กล้าพอที่จะมาสารภาพกับคนที่ชอบ
“โหย น้อง ใจกล้ามากนะเนี่ย พี่เห็นคนอื่นจะบอกทียังบอกผ่านการ์ด น้องนี่แน่จริงว่ะ” ไอ้เต้ที่มันเดินกลับมาเห็นฉากสำคัญพอดี วางจานข้าวลงบนโต๊ะแล้วเดินไปตบบ่ารุ่นน้องเบาๆ
“เอ่อ คือผม…” ริ้วสีแดงจางๆที่พาดแก้มขาวยาวไปจนถึงใบหูแสดงชัดว่ารุ่นน้องใจกล้ามีอาการอย่างไร
“หึหึ พี่ขอบใจน้องนะที่ชอบพี่ แต่กลับไปตั้งใจเรียนก่อน ไว้โตกว่านี้ก่อนแล้วค่อยคิด” ผมจ้องหน้าคนที่ไม่ยอมสบตาผมตั้งแต่มายืนตรงนี้
“ครับ ขอบคุณครับที่พี่ไม่ด่าผม ไว้ผมโต ผมจะมาบอกชอบพี่อีกครั้งนะครับ” เด็กน้อยใจกล้าก็ยังคงยืนหยัดในความตั้งใจของตัวเอง
ไอ้เต้ยกนิ้วโป้งให้น้องเซฟ“เหยด น้องนี่มันสุดยอดจริงๆ รักมั่นคงซะด้วย ฮ่า ๆ”
“ขอบคุณครับ”
“เออ ไปเรียนได้แล้วไป” ไอ้เต้เอ่ยพลางยกมือไล่น้องไปเรียน
ไอ้เต้ยังไม่ทันโบกมือรอบที่สองรุ่นน้องใจกล้าก็หันหลังวิ่งฉิวกลับไปทางอาคารเรียนของชั้นมัธยมต้น
“มีอะไรวะ” ไอ้คริสที่กลับมาพร้อมจานข้าวสองจานในมือเอ่ยถามพร้อมวางจานข้าวตรงหน้าผมหนึ่งจานแล้วเดินไปนั่งลงข้างไอ้เต้
“เหมือนเดิม หนุ่มน้อยวัยใส รวบรวมความกล้ามาสารภาพรักกับรุ่นพี่สุดป๊อบ” ไอ้เต้ก็ยังคงเป็นคนที่อธิบายเหตุการณ์ธรรมดาให้เหมือนฉากในละครได้ดีเหมือนเดิม ไอ้เพื่อนเวร
“ฮ่า ๆ อีกแล้วหรือวะ เทอมนี้คนที่เท่าไหร่แล้ววะ” ไอ้คริสถึงกับวางช้อนแล้วหัวเราะใส่ผม
“เห้ย แต่คนนี้โคตรกล้า ไม่ยื่นการ์ดนะเว้ย สารภาพสด ๆ บทไม่ต้อง ฮ่า ๆ” คู่ขาหัวเกรียนของไอ้คริสก็ยังไม่หยุดชื่นชมรุ่นน้องคนนั้น
“ไอ้พี เพื่อนมึงนี่ขายดีในหมู่หนุ่มน้อยจริง ๆ”
ไอ้พีที่มานั่งข้างผมได้ครู่หนึ่งก็เงยหน้ามองเพื่อนลูกครึ่ง “ก็นี่โรงเรียนชายล้วน”
“แต่กูกับไอ้เต้ไม่เห็นจะมี”
“มึงหน้าเหี้ยไง” เชือดนิ่มอีกหนึ่งดอกจากคุณชายพี
“สัด! กูก็หล่อเหอะ สาว ๆ หญิงล้วนโรงเรียนข้าง ๆ มาตามกูเป็นพรวน” ไอ้เพื่อนร่างยักษ์ยังคงโอ้อวดในความหล่อของตัวเอง
“มึงติดหนี้เขาเปล่า เขาเลยมาตามทวงเป็นพรวน ฮ่า ๆ โอ้ย!! ตีกูอีกแล้วนะ”
“ก็มึงปากเสีย”
“กูพูดความจริงเหอะ เห้ย นั่นหมูกู เอาคืนมานะไอ้ยักษ์!!!”
ผมกับไอ้พีหันมาสบตากันแล้วก็อดที่จะ “เฮ้อ” ใส่กันเบาไม่ได้ จะจบ ม.6 แต่แม่งยังตีกันเป็นเด็กอนุบาล ผมขี้เกียจห้ามก็เลยนั่งตักข้าวใส่ปากเงียบ ๆ ปล่อยอ๊อกรบกับคนแคระไป ไม่ได้รบการแย่งแหวนเหมือนในหนังเดอะลอร์ดออฟเดอะริงหรอกครับ รบกันแย่งหมูทอด ปวดกะบาล
หลังจากใช้เวลาในการพักกลางวันจนเต็มอัตราที่โรงเรียนอนุญาต พวกผมก็ชวนกันขึ้นเรียนในคาบบ่าย ก็ยังดีที่วันนี้เป็นวิชาไม่ชวนเข้าเฝ้าพระอินทร์เท่าไหร่ ผมเข้าใจว่า ม.6 ตารางเรียนก็น่าจะประมาณนี้ ไม่ได้หนักวิชาพื้นฐานมากแล้ว เหมือนให้นักเรียนมีเวลาเตรียมตัวสอบ หาที่เรียนอะไรก็ว่าไป
ตึ่ง ตึง ตึง ตึ้ง ตึง เสียงระฆังดิจิตอลดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าหมดเวลาในคาบเรียนสุดท้ายของวันแล้ว เพื่อนในห้องเรียนก็ต่างเก็บของใส่กระเป๋าพร้อมที่จะออกจากห้องสี่เหลี่ยมที่ใช้ชีวิตอยู่วันละหลายชั่วโมง
หลายคนกลับบ้าน หลายคนไปเที่ยวพักผ่อนตามห้าง และมีอีกพวกคือไปเรียนพิเศษตามคอร์สที่ลงไว้ ซึ่งผมกับไอ้พีก็ถูกจัดอยู่ในประเภทสุดท้ายเช่นกัน
ปกติผมไม่ได้เรียนพิเศษหรอกครับ เป็นพวกเรียนแค่ในห้อง มันก็มีหลับบ้าง เล่นบ้าง แต่เกรดผมไม่เคยออกมาแย่กว่าที่ควรจะเป็น
แต่พอขึ้น ม.6 มาแล้วต้องพยายามเข้าคณะที่พ่อวางแผนไว้ให้ผม ก็เลยต้องพยายามขึ้นมาหน่อย เห็นว่าคณะนี้ในมหาวิทยาลัยชื่อดังก็ไม่ได้เข้าง่ายๆ ซึ่งผมก็ไม่ลำบากต้องขวนขวายไปลงคอร์สเอง เพราะแม่ของผมจัดการให้เสร็จสรรพ ผมก็มีหน้าที่ไปเรียนให้คุ้มเงินที่เสียก็พอ
วันนี้ก็คงไม่ต่างจากทุกวันหรอก ผมกับไอ้พีจะขับมอเตอร์ไซต์กำลังขับเคลื่อนมากกว่ารถยนต์บางรุ่นคนละคันไปที่ตึกรวมโรงเรียนสอนพิเศษชื่อดัง
ระหว่างที่พวกเราทั้ง 4 คนกำลังสะพายกระเป๋าเดินลงบันไดมายังชั้นล่างสุด
“พี่เกียร์ๆ พี่เกียร์ครับ เฮ่อ เฮ่อ ฟู่ว…” รุ่นน้องคนหนึ่งที่น่าจะอยู่ ม.5 สังเกตจากจำนวนจุดสีแดงบนปกคอเสื้อ วิ่งมาตัดหน้าพวกผมทันทีที่เท้าแตะบันไดขั้นสุดท้าย
อาการเหนื่อยหอบของคนตรงหน้าเพราะคงจะรีบวิ่งมาก็สร้างความสงสัยให้พวกผมทั้งกลุ่ม
“มีอะไร วิ่งหนีอะไรมา” ผมขมวดคิ้วถามเสียงเรียบ
“เปล่าพี่ เปล่า ๆ ไม่ได้หนี แต่…แต่ ฮึบ ฟู่ว…” ประโยคตะกุกตะกักที่จับใจความได้บางคำก็ยังไม่ช่วยคลายความสงสัยได้
“มึงใจเย็น ๆ ก่อนน้อง หายใจก่อน กูล่ะกลัวมึงหอบแดกตาย” ไอ้เต้สวมรอยเป็นรุ่นพี่แสนดียกสมุดมาพัดให้รุ่นน้อง
“ฮึบ! โอเคแล้วครับ ขอบคุณครับพี่เต้”
ไอ้เต้เลยเก็บสมุดลงกระเป๋าเหมือนเดิม “เออ แล้วมีอะไรกับเพื่อนกู”
“ผมไม่มีพี่ แต่ผมมีเรื่องต้องบอก”
“เรื่องอะไร” คิ้วที่เพิ่งคลายลงก็เริ่มขมวดเข้ามาอีกครั้ง
“คืองี้พี่ เมื่อกี้เพื่อนผมที่เรียนโรงเรียนชายล้วนกางเกงดำแถวปากคลองอ่ะ มันส่งคลิปเด็กช่างน่าจะประมาณ 10 คนได้พี่ กำลังเหมือนจะยกพวกไปมีเรื่องอ่ะ” รุ่นน้องมันหยุดหอบหายใจอีกครั้ง
“แล้ว?” ไอ้คริสตีหน้าเข้มถามรุ่นน้อง
“คือผมกับเพื่อนก็ดูเรื่อย ๆ แล้วในคลิปอ่ะพี่ ผมเห็นพี่เฟือง ผมจำไม่ผิดแน่ ๆ ผมไม่รู้ว่าพี่เฟืองเกี่ยวอะไรไหม แต่ผมคิดว่าผมต้องมาบอกพี่อ่ะ”
“กูขอดูคลิป” ผมยื่นมือไปขอโทรศัพท์จากคนบอกข่าว
“แปบ ๆ ครับ” รุ่นน้องผู้หวังดีกดปลดล็อคโทรศัพท์ ก็เห็นเป็นหน้าคลิปวีดีโอที่ยังหยุดค้างไว้อยู่ “นี่ครับ”
ผมรับมากดเล่นวีดีโอเริ่มจากช่วงต้น โดยมีเพื่อนอีกสามคนมาชะโงกหน้าดูอยู่ด้านหลัง วีดีโอเล่นไปจนเกือบจะจบผมก็ได้เห็นบุคคลที่รุ่นน้องผมบอกว่าเป็นพี่ชายของผมอยู่ในคลิปที่ดูเหตุการณ์จะไม่จบด้วยดีเท่าไหร่
ถ้ารุ่นน้องยังจำพี่ชายผมได้ ทำไมผมจะจำไม่ได้ว่าคนที่สงสัยคือเฟืองจริง ๆ
“เชี่ยแล้วไง” ไอ้เต้หลุดอุทานออกมาหลังจากคลิปจบลง
“เดี๋ยวกูโทรหามันก่อน” ผมรีบล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงนักเรียนเพื่อหยิบโทรศัพท์มากดโทรหาไอ้พี่ชายจอมซ่าส์
หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ใน-“เชี่ยเอ้ย ปิดเครื่อง !” ผมกดตัดสายทั้งที่เสียงตอบรับอัตโนมัติยังพูดไม่จบ คิ้วผมยิ่งขมวดเป็นปมกับปัญหาที่กำลังเจอ
“มึงใจเย็นก่อนไอ้เกียร์” ไอ้คริสยกมือตบบ่าผมเบาๆ
ไอ้พีที่ยืนขมวดคิ้วไม่ต่างจากผมก็ยกมือจับไหล่รุ่นน้อง “มึงชื่อไร”
“เวย์ครับ”
“ไอ้เวย์มึงฟังกู กูวานมึงไปบอกเพื่อนให้ช่วยตามดูห่าง ๆ ได้ไหม แล้วบอกมาเป็นระยะว่าอยู่ตรงไหน เอาโทรศัพท์มึงมา” ไอ้เวย์ยื่นโทรศัพท์ให้ไอ้พี “นี่เบอร์กู ได้เรื่องยังไงโทรมา”
“ครับ ๆ”
“แล้วบอกเพื่อนมึงว่าตามห่าง ๆ ระวังตัวเอง ถ้าเห็นท่าไม่ดีก็ให้หนี”
“ครับ”
“เข้าใจไหม”
“เข้าใจครับ เดี๋ยวผมโทรเลยตอนนี้” ไอ้เวย์ที่เหมือนได้รับบทเป็นหนึ่งในฮีโร่ก็รีบทำหน้าที่ด้วยความว่องไว
“จะไปคันเดียวกันหรือคนละคัน” ไอ้พีหันมาถามผม
“คนละคัน ไอ้เต้มึงไปกับไอ้คริส” ฝากฝังไอ้หัวเกรียนไว้กับไอ้คริส เพราะมีมันคนเดียวที่ไม่ได้ขับมอเตอร์ไซต์มาโรงเรียน ม๊ามันหวงลูกชายมาก กลัวขับไปชนใครเขา
“โอเค” ไอ้คริสรับคำ
“งั้นไป” สิ้นเสียงไอ้พี ผมกับพวกมันก็รีบวิ่งไปโรงจอดรถของนักเรียนเพื่อขับสายฟ้าลูกรักไปย่านปากคลองตลาด ถ้าไปซอยที่เป็นทางลัด ก็ใช้เวลาไม่นานมาก
(ต่อด้านล่างค่ะ)