ตอนที่ 15
ไม่เคย ‘ลืมเลือน’
ชีวิตของไอ้ชยินกลับสู่สภาวะปกติอีกครั้ง ไม่มีซีนดราม่าตัดพ้อหรือหนีปัญหาไปกระโดดโลดเต้นกลางคอนเสิร์ตในสภาพกระเป๋าตังค์แบนเหมือนที่ผ่านมาอีก
ผมเริ่มใช้เวลาทำงานอยู่ที่ห้อง แต่ในทุกๆ วันไอ้คุณยุคก็มักจะแวะเวียนมาหาเสมอ บางวันซื้อของติดมือมาบ้าง บางวันก็หอบผ้าหอบผ่อนมานอนด้วยแบบงงๆ ความเก้อเขินที่มีในตอนแรกเลยลดน้อยลงกลายเป็นความเคยชินไปทีละนิด
ถามถึงเรื่องความสัมพันธ์ก็คงบอกได้แค่ว่าไม่คืบหน้า แบบ...ได้กันแล้ว เออได้กันจริงแต่ก็ไม่เคยได้ยินคำขอเป็นแฟนหลุดออกมาจากปากของมันสักคำ พาลให้เครียดอยู่หลายวันจนกระทั่งได้คุยกับไอ้เบิร์ด คำปลอบใจของมันทำให้จิตใจผมเริ่มสงบ มองในแง่ดีไม่ขอก็ช่างแม่ง ใช้ชีวิตแบบนี้ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด
อีกอย่างผมก็เป็นผู้ชายด้วย ไม่มีอะไรให้ต้องรับผิดชอบหรอก
ที่สำคัญเลยก็คือ...ผมดันไปเสนอตัวให้เขาเองยังจะเรียกร้องอะไรอีก อยู่เงียบๆ อย่างมีศักดิ์ศรีบ้างก็คงจะดี
แม่ง แล้วนี่นอยด์อะไรอีกวะเนี่ย คิดถึงเรื่องนี้ทีไรใจมันอ่อนเหลวทุกที ชอบท่อนนี้ว่ะ! จดไว้เผื่อเอาไปแต่งเพลงแล้วกัน
ก๊อกๆๆ
ผมหันขวับไปยังต้นเสียงทันที มีไม่กี่คนหรอกที่จะโผล่มาเคาะถึงหน้าห้องโดยไม่มีคีย์การ์ดแต่กลับเดินตัวปลิวมาหาได้ทุกวี่ทุกวัน ผมชันตัวขึ้น เดินไปเปิดประตูก่อนจะพบรอยยิ้มที่ทำเอาเข่าอ่อนทักทายอยู่ตรงหน้า
วันนี้ยุคยังคงสวมฮู้ดสีดำ กางเกงยีนส์ขาดเข่า กับหมวกแก๊ป A.P.C. ซึ่งขับเน้นลุคนักฆ่าได้เป็นอย่างดี ในมือของเขาไม่มีของอย่างอื่นติดมาด้วย จะมีก็แต่เป้สีดำสนิทหนึ่งใบที่สะพายอยู่ด้านหลังเท่านั้น
“ว่างนักเหรอคุณถึงได้ถ่อมาทุกวี่ทุกวัน”
“ไม่ว่าง โดนเดดไลน์งานอีกแล้วแต่ก็ต้องมาหาคุณ”
“ไม่เห็นต้องเหนื่อยขนาดนั้น”
พูดไปก็เหมือนจะไม่ฟังเมื่อร่างสูงก้าวเข้ามาภายในห้อง จุดแรกที่ตรงไปเลยก็คือตู้เสื้อผ้า เขาหยิบเอาข้าวของในนั้นใส่กระเป๋าเป้อย่างถือวิสาสะ
“เฮ้ยๆ ทำอะไรของคุณเนี่ย” ผมแหวขึ้นมาทันที ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุด
“วันนี้ไปอยู่เป็นเพื่อนผมหน่อย”
“งานเร่งไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงต้องให้ผมไปอยู่เป็นเพื่อนด้วย โตแล้วนะคุณ”
“คิดอะไรไม่ออก ไม่มีกำลังใจ”
“ออกไปเที่ยวกับเพื่อนได้”
“เดี๋ยวงานเสร็จไม่ทัน”
“ทำอย่างกับมาหาผมแล้วจะเสร็จทันอย่างนั้นแหละ”
คราวนี้คนตัวสูงไม่ตอบ แต่เร่งฝีเท้าเข้าไปยังห้องน้ำ คว้าเอาของใช้ส่วนตัวบางอย่างที่ผมต้องใช้ใส่กระเป๋า จากนั้นก็เดินหน้าตายมาถามอย่างเนียนๆ
“พร้อมยัง”
“อะ...อะไรของคุณเนี่ย”
“แต่งเพลงอยู่ใช่มั้ย โอเคไปหยิบกีตาร์กับสมุดจดเพลงมา เดี๋ยวเราต้องรีบไปกันแล้ว”
“ไปไหน”
“ห้องผม” พอเห็นว่าผมยังคงนิ่ง สองเท้าก็เดินไปหยิบกีตาร์แล้วกลับมาคว้าข้อมือของผมเอาไว้อย่างแนบแน่น ขณะกูนั้นยังขืนตัวไม่ยอมขยับเขยื้อนเพราะยังมึนอยู่
“ชยินผมทำงานไม่ได้ถ้าคุณไม่อยู่ มันไม่มีสมาธิ”
“แล้ว...แล้วทำไมคุณไม่หอบข้าวของมาที่ห้องผมเองเล่า” ดวงตาคู่คมจ้องมองกลับ ก่อนริมฝีปากได้รูปจะเอ่ยบอกเสียงเรียบ
“ที่ห้องผมมีของกินเพียบเลย”
“แล้วไง”
“คุณจะกินอิ่มกว่า ที่โน่นมีน้ำผลไม้ ไก่บอนชอนก็มีนะผมสั่งเอาไว้ ขนมก็มีอีกเยอะแยะรับรองว่าไม่อดตายแน่นอน” นึกว่ากูเป็นเด็กเหรอวะถึงได้เอาของกินมาล่อ แต่พอเห็นผมเงียบไปเจ้าตัวก็พูดต่อ “ดีกว่ากินมาม่าเยอะน้า อร่อยด้วยน้า...”
“ไม่ต้องมาพูดกรอกหูผมเลย ไปก็ไปสิ”
ว่าแล้วคนตรงหน้าก็ฉีกยิ้มกว้าง เป็นยิ้มที่สดใสและหล่อฉิบหาย ทำไมกูถึงไม่ยิ้มแล้วหล่ออย่างนี้บ้างวะ
ผมติดรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นคันเดิมไปยังคอนโดห้องเดิมที่แสนคุ้นตา บรรยากาศโดยรอบยังคงอบอุ่นเฉกเช่นทุกครั้งที่ก้าวเข้ามาในโลกของเขา ผมชอบเตียงที่รายล้อมไปด้วยตู้หนังสือที่สุด ดังนั้นเลยไม่รอช้าโถมตัวลงกลิ้งไปมา ก่อนจะหยิบสมุดแต่งเพลงออกมาเขียนทั้งที่ยังนอนเลื้อยอยู่
“อยากกินอะไร เดี๋ยวเอามาให้” เสียงทุ้มถามอย่างใส่ใจ ผมหันไปมองเขาก่อนจะตอบสั้นๆ
“ไก่”
“โอเค”
“แต่ผมกินบนเตียงได้เหรอ”
“ไม่ได้”
“อ้าว” สรุปไม่ได้กินบนเตียงแต่แดกบนพื้นครับ คือจะบอกว่าเป็นเตียงก็คงไม่ถูกซะทีเดียวเพราะห้องไอ้ศตวรรษมันมีแค่ฟูก เพราะงั้นความสูงจากพื้นเลยไม่มากนัก ผมจึงสามารถนอนกลิ้งบนฟูกขณะที่จานไก่และโคล่ายังอยู่บนพื้น โดยสองมือสามารถเอื้อมหยิบของกินได้ทุกเมื่อ
“ขี้เกียจอะไรขนาดนั้น” ผมเบะปากทันทีที่ถูกแขวะ
“มีงานให้เร่งทำก็ทำไปสิ สนใจผมทำไม”
“เดี๋ยวนี้เป็นเด็กกวนตีนแล้วเหรอ”
“ใครเด็ก ช่วยพูดให้มันดีๆ หน่อยนะครับ”
“โอเคคุณไม่ได้เป็นเด็ก คุณเป็นเมียผม” กูแทบจะปาไก่ใส่หน้าเพื่อระบายความหงุดหงิด แต่ยิ่งแสดงอาการเท่าไหร่ก็เหมือนอีกฝ่ายจะมีความสุขมากเท่านั้น เลยเลือกปิดปากเงียบ ไม่คิดต่อปากต่อคำนอกจากแดกให้เสร็จแล้วกลับมาแต่งเพลงยาวๆ
“เงียบไปเลยอ่ะ โกรธเหรอ”
“...”
“ชยิน”
พอทำเป็นไม่สนใจไปสักพัก เสียงทุ้มที่คอยก่อกวนก็เงียบไป ผมเหลือบตามองคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เขาไม่ได้หันมามองผมแล้วแต่เปลี่ยนเป็นจดจ้องที่หน้าจอซึ่งเต็มไปด้วยตัวหนังสือแทน
โกรธกูป่ะวะ...
ไม่น่าเล่นตัวเลยไง จะง้อก็กลัวเสียฟอร์มเลยใช้ความเงียบเข้าสู้บ้าง
ผมเก็บจานไก่ที่เพิ่งกินใส่ไว้ตรงเคาน์เตอร์ครัว ทำความสะอาดพื้นจนเรียบร้อยไอ้ยุคก็ยังไม่ยอมหันมา ผมเลยทำเป็นไม่สนใจบ้างด้วยการหยิบกีตาร์และสมุดเพลงขึ้นมาทำงาน ทั้งที่รู้ดีว่าต่อให้พยายามยังไงก็คงเขียนไม่ออก
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปยังไร้ซึ่งสุ้มเสียง ความกระวนกระวายเริ่มเกาะกุมในความรู้สึก ผมลุกขึ้นบิดขี้เกียจ ส่งเสียงเล็กน้อยเพื่อเรียกร้องความสนใจแต่ก็ไม่เกิดผล
เราสองคนเล่นสงครามประสาทกันอย่างเงียบๆ จนกระทั่งผมหมดความอดทนเป็นฝ่ายทักขึ้นมาซะก่อน
“ทำงานอยู่เหรอ” ลากเสียงยาวเข้าไว้ เผื่ออีกฝ่ายจะได้เห็นใจ
“อืม” ทว่าคำตอบที่ได้กลับสั้นจุ๊ดจู๋ แถมเจ้าตัวยังไม่ยอมหันหน้ามาสบตาด้วยอีก ใจแหว่งไปแล้วกู ทำไมต้องถูกงอนแบบนี้ด้วยวะ
“ละ...แล้วใกล้เสร็จยังอ่ะ”
“ยัง” ถามคำตอบคำจริงๆ เลยมึง
“ผมง่วง”
“นอนไปสิ” จะร้องไห้แล้ววววววววววววววว
ถามว่าเรียกร้องอะไรได้มั้ยก็คงตอบได้ว่าไม่ ยุคอาจจะยุ่งเรื่องงานประกอบกับงอนผีบ้าผีบอใส่ผมอยู่เลยประหยัดคำพูดจนน่าใจหาย ผมเองก็จนปัญญาไม่อยากต่อสู้กับสงครามที่ไม่มีทางชนะเลยขอยกธงขาวยอมแพ้ ก้มหน้าก้มตาเค้นไอเดียอันน้อยนิดกลับมาเขียนเพลงต่อ
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่เราเงียบใส่กัน ผมได้ยินเสียงขยับเขยื้อนแต่ก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมอง จนกระทั่งรับรู้ได้ถึงความอ่อนยวบของฟูกและผมถูกดึงเข้าไปกอดโดยไม่ถามความเห็นกันสักคำ
“อะไรเนี่ย ก่อนหน้ายังเงียบใส่ผมอยู่เลย”
“ผมทำงาน”
“แล้วทำไมเวลาผมพูดคุณไม่ตอบยาวๆ ล่ะ”
“ต้องตอบยาวด้วยเหรอในเมื่อตอบสั้นๆ ก็ได้” มือซุกซนวนเวียนกับการลูบพุงผมไปมา ถึงจะพยายามเบี่ยงตัวออกแต่ก็เหมือนว่าจะไม่ได้ผล เลยต้องยอมนั่งนิ่งให้แม่งซุกหน้าลงซอกคอเหมือนเด็กเอาแต่ใจ
“ทำอะไร” เสียงทุ้มต่ำถามผะแผ่ว
“แต่งเพลงไง”
“เพลงอะไร” ผมยื่นกระดาษที่เขียนคำว่า ‘ลืมเลือน’ ไปให้เขาดู ก่อนเจ้าตัวจะเอ่ยเสียงหม่นลง “เพลงเศร้าอีกแล้วเหรอ ไม่เหมาะกับคุณเลย”
“แบบนี้แหละที่เหมาะกับผม” เพลงนี้ตั้งใจเขียนขึ้นในวันที่ต้องกลับไปใช้ชีวิตอยู่คนเดียวอีกครั้ง ใครจะคิดว่าสุดท้ายผมก็ทำได้ไม่นานเพราะใครบางคนกลับเข้ามา แถมยังเริ่มผูกพันมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
“คุณเขียนเพลงรักสิ” จมูกสันโด่งยังคงคลอเคลียร์อยู่ข้างแก้มจนรู้สึกจักจี้ แม่งรู้สึกอยากให้มันกลับไปนั่งปั่นงานเงียบๆ เหมือนเดิมฉิบหายเลย
“ผมคิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับเพลงรักเท่าไหร่ อีกอย่างผมก็คิด MV เพลงนี้เสร็จหมดแล้วด้วย” ร่างสูงผละออกเล็กน้อยก่อนขมวดคิ้วมุ่น
“เดี๋ยวนะ ยังแต่งเพลงไม่จบรีบคิดเอ็มวีแล้วเหรอ”
“แน่นอนสิ อะไรคิดได้ก่อนก็คิด คุณอยากฟังมั้ย” เขาพยักหน้า ผมเลยฉีกยิ้มกว้างกระแอ่มไอสองทีแล้วเริ่มต้นเล่ารายละเอียดอย่างตื่นเต้น “ก็...พระเอกกับนางเอกคบกันตั้งแต่มัธยม เป็นความรักที่ยาวนานนับสิบปีเลย”
“อืม แล้วไงต่อ” สีหน้าดูไร้อารมณ์สัดๆ
“ช่วยทำหน้าให้ตื่นเต้นหน่อยได้มั้ย”
“คุณเล่ามาแค่นี้จะเอาอะไรมาตื่นเต้น”
“งั้นก็ฟังก่อนดิ เรื่องมันเกิดขึ้นในวันหนึ่งที่ประเทศเข้าสู่ภาวะวิกฤต มีสงครามระหว่างประเทศเกิดขึ้น พระเอกเลยอยากไปช่วยขณะที่นางเอกไม่ยอมจะรั้งให้อยู่ด้วยกัน”
“อ่าฮะ”
“สุดท้ายพระเอกก็ไปอยู่ดี นางเอกเลยใช้ชีวิตทุกวันเพื่อให้ลืมคนที่เคยอยู่ด้วยการทำอะไรแปลกใหม่ คบเพื่อนใหม่ เริ่มต้นชีวิตใหม่แต่ก็ไม่เคยลืมจนกระทั่งผ่านไปหลายปีพระเอกกลับมา ถึงตอนนั้นนางเอกก็ลืมพระเอกไปแล้ว”
“นางเอกไม่มีแฟนใหม่เหรอ”
“ต้องไม่มี ไม่งั้นมันจะไม่อิมแพค คุณคิดเหมือนกันป่ะ”
“ไม่อ่ะ”
เกลียดคนชื่อศตวรรษนี่ผิดมั้ยวะ
“ผมโคตรชอบ”
“เหรอ แต่พล็อตแม่งคลีเช่มากเลยนะ”
“ผมยังไม่เห็นเอ็มวีไหนทำเลย”
“โห พูดจริงดิ ไปเปิดยูทูบนี่บานเลยคุณ”
นอกจากจะไม่ให้กำลังใจแล้วยังตัดความหวังกันอีกต่างหาก ด้วยไม่รู้จะโต้เถียงกลับยังไงผมเลยทำหน้างอใส่ ริมฝีปากได้รูปฉีกยิ้มกว้างจากนั้นจึงหยิบสมุดจดเพลงขึ้นมาขีดเขียนอะไรบางอย่าง
“ลองแต่งเพลงรักดูสิ ผมว่ามันเหมาะกับคุณ อยากให้คุณลองเขียนมันดู ถ้าไม่เวิร์กก็ค่อยเลิก” สมุดจดเพลงถูกยื่นมาไว้ตรงหน้า ผมมองไปยังตัวหนังสือของตัวเอง ตอนนี้มันมีลายมือของใครอีกคนเพิ่มเข้ามาพร้อมกับความรู้สึกแปลกประหลาดในช่องท้อง
มันคือความรู้สึกดีๆ เวลาที่ได้เห็น
ไม่เคย ‘ลืมเลือน’
คำว่าไม่เคยเปลี่ยนอารมณ์ของเพลงไปจนหมด จากเศร้ากลายเป็นรัก จากเหงากลายเป็นคิดถึง
“คุณคิดว่าผมจะทำได้เหรอ”
“ได้สิ เด็กน้อยเป็นคนเก่ง” เด็กน้อยอีกแล้ว!
“ให้ผมจ่ายเท่าไหร่คุณถึงจะเลิกเรียกผมแบบนี้สักที”
“อยากจ่ายเหรอ”
“อะ...เอ่อ” ดูจากสายตาเจ้าเล่ห์ตอนนี้แล้ว ผมล่ะอยากตบปากตัวเองหลายๆ ที ไม่น่าเผลอพูดออกมาเลยเพราะกลัวว่ามันจะไม่ได้จบแค่ตรงนี้ ใครๆ ก็รู้ว่ายุคมันเป็นคนทะลึ่งตึงตัง แล้วตอนนี้... “จะทำอะไรอ่ะ” ผมร้องเสียงหลงทันทีที่ร่างสูงใหญ่รวบตัวของผมเข้าไปกอด
ใบหน้าหล่อเหลาคลอเคลียร์อยู่ตรงหน้า พรมจูบไปทุกที่จนผมต้องหลับตาปี๋
“อืออ คุณอย่า...แกล้งผม”
“ไม่ได้แกล้งซะหน่อย แค่หมั่นเขี้ยว” แล้วแม่งก็กัดคอกูจนเจ็บจี๊ด ผมตีแขนอีกฝ่ายเป็นการเอาคืนแต่ดูเหมือนมันจะเป็นการเพิ่มเชื้อไฟให้อีกฝ่าย
ผมถูกผลักให้ล้มตัวลงนอน หัวใจที่เต้นระส่ำคล้ายกับกำลังลงร่วงลงไปกองอยู่ตรงตาตุ่มจนต้องยกมือขึ้นดันอกแกร่งเอาไว้ ทว่าผมก็ยังแพ้ให้กับความเหนือชั้นของคนเหนือร่างอยู่ดี
“ยุค”
“ขอหอมแก้มหน่อย”
“ผมจะแต่งเพล...” พูดไม่ทันจบประโยคจมูกสันโด่งก็โน้มลงมาบดแก้มผมจนร้าวตึงไปทั้งหน้า นี่ฟังกูบ้างมั้ยเนี่ย แถมตอนผละออกแม่งยังมีหน้ามาถามต่ออีก
“ขอจูบได้มั้ย”
“ไม่ได้”
“ขอกัดแรงๆ ได้หรือเปล่า”
“ไม่”
“โอเค ได้รับอนุญาตแล้ว” พ่องดิ!
ยังไม่ทันได้ตอบโต้ผมก็ถูกตะครุบเป็นเหยื่อให้ไอ้หมีควายจนอ่อนระทวยไปทั้งร่าง เก่งจริงเรื่องทำให้คนอื่นแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเนี่ย
“อะ...เจ็บ ฮืออออ” กัดปากกูเหรอ กูจะกัดตอบแต่ไม่ทันเพราะลิ้นร้อนดันแทรกเข้ามาซะก่อน ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน ลมหายใจเริ่มติดขัด กว่าจะถูกปล่อยให้เป็นอิสระผมก็ถูกจูบ ถูกกัด ถูกฟัดจนนอนหมดสภาพเกิดกว่าจะขยับเขยื้อน
Rrr...!
เสียงโทรศัพท์เหมือนระฆังช่วยชีวิต มันแผดเสียงร้องครู่หนึ่งแต่ยุคก็ยังไม่สนใจจนกระทั่งดับไป แล้วดังขึ้นใหม่ในครั้งที่สองและสามราวกับคนโทรมีเรื่องด่วนเกี่ยวกับความเป็นความตาย
“ยุครับโทรศัพท์ก่อน” ขืนเป็นแบบนี้กูตายก่อนแน่
คนตัวสูงทำท่าฮึดฮัดขัดใจ เดินกลับไปยังโต๊ะทำงานก่อนกระแทกเสียงลงกับโทรศัพท์ ผมไม่รู้ว่าเขาคุยเรื่องอะไรแต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายทำมือเหมือนจะเดินลงไปข้างล่างผมก็พยักหน้ารับรู้ ไม่นานเสียงของใครคนหนึ่งก็ดังแทรกเข้ามาในโสตประสาท ผมเลยรู้ได้ในทันทีว่า...ชีวิตกูฉิบหายแล้ว!
“ไหนไอ้ชยิน วันนี้มานอนนี่เหรอวะ ชยิน! ชยิน!” ไอ้ท็อปแหกปากอยู่ด้านนอก ส่วนผมก็รีบกุลีกุจอลุกขึ้นนั่ง จัดเสื้อผ้าหน้าผมให้ดูเป็นปกติที่สุด เพราะรู้ดีว่าโลกนี้ไม่ได้มีแค่ไอ้เบิร์ดกับผมที่เสือกเก่ง แต่คอลัมนิสต์ระดับตำนานอย่างมันก็ใช่ย่อย
“มะ...มีอะไร แหกปากเสียงดังเลย น่ามคาญ” ไอ้ท็อปย่างเท้าเข้ามาในห้องนอน มันมองดูผมตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะถามขึ้น
“ทำอะไรอ่ะ”
“ทะ...ทำห่าอะไร กูไม่ได้ทำอะไรเลย” ผมปฏิเสธทันที
“กูหมายถึงแต่งเพลงอยู่หรือเปล่า ไม่ทำอะไรเลยของมึงนี่คือนั่งกรรมฐานเหรอ”
“ก็แต่งเพลง ส่วนยุคเขียนนิยาย”
“กูไม่ได้ถามถึงไอ้ยุคมัน มึงเป็นอะไรเนี่ยดูรนๆ นะ”
“มึงจับผิดกูเกินไปละ สรุปมึงมาทำอะไรที่นี่” จะมาก็โผล่มาเลย ตั้งตัวไม่ทันครับ ต้องใช้สกิลขั้นสองของตัวเองเร่งเปลี่ยนประเด็นไป
“แวะมาหาไอ้ยุค กูมาหามันเป็นปกติอยู่แล้ว ไม่คิดว่าวันนี้มึงจะอยู่ด้วย” ถ้าไม่ติดว่าสนิทกันผมนึกว่าไอ้ท็อปจะเป็นเมียไอ้ยุคอีกคน ตัวติดกันจริงนะ มีอะไรออกหน้าแทนกันหมด
“ก็ยุคพามาอ่ะ ความจริงก็ไม่อยากมาหรอก กูว่าตอนนี้เราออกไปข้างนอกมั้ย ดูหนังกัน” ผมรีบลุกพรวดจากเตียง ดันหลังคนตัวสูงกว่าออกไปยังห้องนั่งเล่น ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่เจ้าของห้องรื้อค้นของกินในตู้เย็นเสร็จพอดี
ไอ้ท็อปหย่อนก้นบนโซฟาตัวนุ่ม ส่วนผมก็ทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดีด้วยการค้นหาแผ่นหนังมากมายมหาศาลในลิ้นชักก่อนจะหยิบออกมาเรื่องหนึ่ง
“กูอยากดู Prisoner อ่ะ” ไอ้คอลัมนิสต์โพล่งขึ้น
“ไม่รู้ว่ามีหรือเปล่านะ”
“มี”
“รู้ได้ไง”
“ในกองนั้นกูดูหมดละ”
“มาบ่อยขนาดนั้นเลย”
“กูจำใจนั่งดูเป็นเพื่อนไอ้ยุค ตอนมึงหนีไปเมื่อหลายวันก่อนอ่ะ” หลังได้ยินประโยคนั้นจบ ใจของผมก็อ่อนยวบลงทันที ยิ่งเมื่อหันไปมองคนที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ด้วยแล้ว ความรู้สึกในอกยิ่งตีตื้นให้อยากร้องไห้ขึ้นมาเฉยเลย
“อย่าไปฟังไอ้ท็อปมัน ตอนนี้คุณก็กลับมาแล้วแถมยังกินจุอีกต่างหาก” คำพูดของยุคผลักให้ผมโต้เถียงต่ออย่างไม่ยอมแพ้
“ผมก็กินปกติอ่ะ มีแต่คุณที่ชอบเอาของกินมาล่อ”
“ก็คุณเป็นเด็กอ่ะ”
“ผมไม่เด็ก!”
“ถามจริงมึงสองคนเถียงกันด้วยเรื่องปัญญาอ่อนแบบนี้เหรอวะ กูเพลีย...” ว่าแล้วไอ้ท็อปก็ล้มตัวลงนอนเหยียดตรง พลางหยิบมือถือขึ้นมากดเป็นการตัดรำคาญ
หนัง Prisoner ถูกเปิดขณะคนตัวสูงเดินเอาน้ำดื่มและของกินเล่นสองสามอย่างมาวางไว้ตรงโต๊ะรับแขก ก่อนปลีกตัวไปนั่งหน้าคอมพ์ ทิ้งผมไว้กับอดีตเพื่อนสมัยมัธยมเพียงลำพัง
ไอ้ท็อปแม่งโรคจิตครับ มันมองผมไม่วางตาแต่ไม่ยอมพูดอะไรจนรู้สึกอึดอัด สุดท้ายความอดทนก็หมดลงเลยถามออกไปตรงๆ
“มองกูทำไม มีอะไรก็พูดมาสิวะ”
“ชยิน ก่อนหน้าที่กูจะมามึงทำอะไร”
“ไม่ได้ทำอะไร ก็ไปนั่งแต่งเพลงคนเดียว”
“คนเดียวจริงดิ”
“ก็เออสิวะ มึงสงสัยอะไร”
คนตรงหน้าชี้นิ้วไปที่คอของตัวเอง ผมเลยขมวดคิ้วก่อนจะเห็นมันส่ายหัวแล้วเปลี่ยนมาชี้ที่ผม
“คอมึงแดงเถือกเลย”
จริงดิ! ได้ยินอย่างนั้นก็รีบยกมือขึ้นลูบลำคอของตัวเองทันที ว้อทเดอะฟ้าคคคคคค ในหัวพยายามคิดหาข้อแก้ตัวสารพัด ทว่าสิ่งที่พอคิดออกก็มีแค่เพียง...
“สงสัยยุงกัดน่ะ”
“เหรอ ในห้องมียุงด้วย”
“ที่ไหนก็มียุงป่ะวะ นี่แน่ะมาอีกละ มึงเองก็ระวังด้วยนะ”
“ระวังตัวเองเถอะ ผิวมึงแม่งแดงจนเหมือนคนโดนดูดมาเลยว่ะ เห้อออออ”
ไอ้เพื่อนเหี้ย ไอ้บ้าเอ๊ยยยยยยยยยยย
ผมเหมือนเป็นบ้าอยู่คนเดียวเมื่อถูกจับผิด แถมประเด็นนี้ยังจบลงด้วยเสียงหัวเราะและใบหน้ากรุ้มกริ้มของไอ้ท็อปที่ทำเอาอยากร้องไห้ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
กูไม่ได้โดนดูดโว้ย กูแค่โดนหมีควายกัด โอเค๊ อย่าถามอีกรำคาญ!
ชีวิตของผมกับยุควุ่นวายเล็กน้อยเรื่องที่หลับนอน บางวันเขาก็จะขนเสื้อผ้าไปนอนที่ห้องผม แต่บางวันก็พาผมมานอนที่ห้อง เป็นอย่างนี้เกือบสัปดาห์จนข้าวของเครื่องใช้บางส่วนของเราเริ่มกระจัดกระจายจนต้องหาซื้อของใหม่อย่างละสองชุด
ที่ห้องผมชุดหนึ่ง ที่ห้องคนตัวสูงอีกหนึ่ง หลังจากนั้นความวุ่นวายก็กลับกลายเป็นความเคยชิน
“อรุณสวัสดิ์เด็กน้อย” เช้าวันใหม่เริ่มต้น ผมได้ยินเสียงทุ้มที่เป็นเอกลักษณ์ดังก้องในหู เขาไม่ได้นอน แต่กำลังนั่งอยู่ข้างๆ ในมือถือแก้วน้ำอุ่นเอาไว้เหมือนทุกๆ เช้า
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
“กินน้ำก่อน” เขาบอกว่าเพื่อสุขภาพ ไม่รู้ว่าจริงมั้ยแต่ผมก็ไม่เคยปฏิเสธคว้าเอาแก้วน้ำขึ้นมากระดกดื่มจนหมดแก้ว
เราไม่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น มีบ้างที่ถูกดึงเข้าไปกอดหรือจูบแรงๆ แต่ก็ไม่เคยเกินเลย สถานะที่เป็นอยู่ก็ยังคงคลุมเครือ เขาไม่เคยขอคบผม ขณะที่ผมก็ปากหนักเกินกว่าจะถามเลยปล่อยให้มันเป็นไปโดยไม่เร่งเร้า
“ตอนนี้กี่โมงแล้ว” ผมเอ่ยถามคนเคียงข้าง
“จะสิบโมงแล้วคุณ”
“ฮะ! ทำไมไม่ปลุกผมอ่ะ”
“เมื่อคืนคุณนอนเกือบเช้า ขืนนอนไม่เต็มอิ่มเดี๋ยวก็อาละวาดอีก” คนครับไม่ใช่หมาจะได้อาละวาดไปทั่ว
“ก็ผมคิดงานไม่ออกอ่ะ หาอะไรอ่านไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็เกือบเช้าแล้ว”
“อ่านอะไร”
“ยะ...อยากรู้ไปทำไม”
“ไม่ใช่ว่าคุณเข้าไปอ่านนิยายในแท็ก YukYinCouple เหรอ”
“อย่ามามั่วนะ” ถึงผมจะอ่านไปบ้างก็ตาม ช่วงนี้สมองตื้อจริงครับเลยต้องเรียกหาแรงบันดาลใจสักหน่อย ซึ่งผมก็กรองมาก่อนแล้ว เลยไม่ค่อยเจอเรื่องที่ตัวเองท้องหรือเกิดเป็นกะหล่ำปลีให้พระเอกย่ำยีอีก โว้ย!
“มั่วตรงไหน ผมแอบเห็นคุณเปิดอยู่”
“ผมแค่อ่านเรื่องที่ตัวเองเท่มากๆ ต่างหาก แล้วก็โมโหด้วยที่คนเขียนไม่มาต่อสักที” ผ่านไปเป็นเดือนแล้วไม่รู้ตายหรือยัง ปล่อยให้ค้างคาอ่านตอนเก่าอยู่นานเชียว
“เรื่องที่คุณท้องได้อ่ะนะ รอคอยอะไรขนาดนั้น”
“ไม่ใช่โว้ย เรื่องที่ผมคือ AC118 ต่างหาก”
“อ๋อ...” คนตัวสูงพยักหน้า แต่เหมือนจะไม่อินกับผมเท่าไหร่ แหงล่ะ เขาแค่เคยแนะนำนิยายเรื่องนี้ให้อ่าน ไม่ได้หมายความว่าจะตามต่อแล้วติดเป็นบ้าเป็นบอเหมือนผมตอนนี้
“เดี๋ยวผมไปอาบน้ำก่อนนะ จะรีบกลับมาเขียนเพลง”
“แต่งตัวหล่อๆ ล่ะ วันนี้ไปทำงานที่คาเฟ่พี่สาวผมกัน” ผมกะพริบตาปริบ ถามย้ำอีกฝ่ายให้แน่ใจ
“คาเฟ่พี่แยมเหรอ”
“อืม เห็นบ่นว่าคิดถึงคุณ อยากให้ไปกินเมนูใหม่ของร้าน”
“ก็ถ้าพี่สาวคุณชวนผมก็คงต้องไป”
“คุณเป็นน้องสะใภ้ ยังไงแยมก็ต้องชวนอยู่แล้ว”
“โคตรมั่ว”
“โอเคมั่วก็มั่ว” ผมส่งนิ้วกลางไปให้เป็นการปิดประเด็น ก่อนลากสังขารคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำ
แม้ร้านกาแฟจะวุ่นวายไปด้วยนักศึกษาจนบางครั้งก็ทำให้ปวดหัวอยู่บ้าง แต่มันคงดีกว่าอยู่เงียบๆ ในห้องแล้วปล่อยให้ยุคหาโอกาสลวนลามเหมือนทุกที คิดแล้วทำไมหน้าแดงขึ้นมาเฉยเลยวะ นับวันยิ่งทะลึ่งตามมันไปทุกที งงตัวเองฉิบหาย
“น้องสะใภ้~~” เสียงแหลมเล็กของผู้หญิงผิวขาวดังขึ้นทันทีที่ผมกับยุคก้าวเข้ามาในร้าน บรรยากาศยังคงเนืองแน่นไปด้วยผู้คน และผมไม่เคยชินสักครั้งตอนที่ถูกจ้องมองเป็นตาเดียว
“สวัสดีครับพี่แยม” ว่าแล้วก็ไม่ลืมยกมือไหว้เป็นการทักทาย
“ใครแยม ยุนอาจ้ะ”
“ครับ ยุนอา” โทษๆ กูลืมว่าพี่เขาเป็นไอดอล โว๊ะ!
“ไปนั่งตรงโน้นก่อน เดี๋ยวผมเอาขนมกับเครื่องดื่มไปให้” คนตัวสูงบอกหน้าตาย จากนั้นก็ดันหลังผมให้เดินไปยังโต๊ะมุมร้านที่ยังคงว่างอยู่ ท่ามกลางเสียงบ่นงึมงำของคนเป็นพี่สาว
“อะไรกัน มาร้านพี่แต่ไม่ทักกันสักคำ นี่ก็ไล่น้องสะใภ้ไปนั่งตรงโน้นอีกแล้ว”
“ผมไม่อยากให้พี่ยุ่งกับชยิน”
“ว่าไงนะ แกกลัวอะไรไม่ทราบ”
“กลัวพี่จะบังคับชยินให้ไปทำสีผมตามผู้ชายที่พี่ชอบไง”
ปล่อยให้สองพี่น้องเถียงกันไปพักใหญ่ๆ คุณชายศตวรรษก็กลับมาพร้อมเมนูใหม่ของทางร้านและขนมอีกหลายอย่างที่วางจนล้นจาน คือต่อให้มีชยินสิบร่างกูก็แดกไม่หมด
“เยอะขนาดนี้คุณต้องช่วยผมกินนะ”
“ผมไม่กินของหวาน”
“ได้ไงอ่ะ เมื่อก่อนยังกินน้ำสตรอเบอร์รี่ได้เลย อย่ามาเอาเปรียบกันดิ นั่งลงแล้วกินเป็นเพื่อนผมเดี๋ยวนี้เลย” ดูเหมือนคำขู่จะได้ผล เจ้าตัวเลยยอมนั่งกินขนมที่อยู่ตรงหน้าอย่างว่าง่าย
อ่านต่อด้านล่างค่ะ