ตอนที่ 12
Find yourself and grow
ตอนนี้ยุคอาจจะโกรธมาก มันคงไม่อยากคุยกับผมหรือเจอหน้ากันอีกแล้ว
ใช่ ผมปากพล่อยเองที่พูดออกไปแบบนั้น เพราะรู้สึกทนไม่ได้ตอนที่ได้ยินว่าเขาจะไม่ทำทุกอย่างเพื่อผมอีกแล้ว มันเหมือนตัวเรากำลังถูกลดความสำคัญ ผมโคตรจะเห็นแก่ตัว พอได้รับทุกอย่างจากอีกฝ่ายผมก็ยิ่งคาดหวังว่าจะยังได้รับมันเหมือนเดิมหรือมากกว่า
ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าวันหนึ่งหากเขาไม่หยิบยื่นทุกอย่างให้แล้วผมจะเป็นยังไง
ยุคเดินไปข้างหน้าโดยไม่หันหลังกลับ ภาพที่แสนเลือนรางสุดท้ายก็จางหายไป เหลือตัวผมเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงประตู บางที...เราอาจต้องการเวลาสำหรับทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่ามันจะจบลงหรือไปต่อข้างหน้าผมก็พร้อมจะยอมรับ
ลูกบิดประตูถูกหมุน ผมก้าวเท้าเข้าไปภายในห้อง มองดูความจำเจของชีวิตด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ที่ผ่านมาผมก็ใช้ชีวิตแบบเดิมมาตลอด หากแต่วันนี้ในใจกลับว้าวุ่นจนไม่สามารถจัดการได้
“ทุกอย่างยังเหมือนเดิม” เอ่ยบอกกับตัวเอง
โต๊ะกินข้าวตัวเดิม ตู้เย็นหลังเดิม ข้าวของทุกอย่างก็ไม่ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปไหน แต่ทำไม...ความรู้สึกของผมถึงได้เปลี่ยนไป
ผมทำลายความฟุ้งซ่านที่อยู่ในหัวด้วยการอาบน้ำ ล้างหน้าล้างตาเพื่อขจัดความรู้สึกแย่ๆ ออกให้หมด ก่อนทิ้งตัวลงบนเตียง มือข้างหนึ่งคว้ามือถือเอาไว้ จากนั้นก็กดเลื่อนดูข้อความจากไลน์
มีแจ้งเตือนหนึ่งถูกส่งมาเมื่อสิบห้านาทีก่อน แล้วความมัวหมองที่เกาะกุมใจในคราแรกก็สลายหายไป เมื่อชื่อของผู้ส่งนั้นเป็นคนที่ผมคิดถึงมากที่สุด
‘ขอโทษที่ไม่ได้รับโทรศัพท์ แต่ลืมไว้ที่ห้องจริงๆ’ นี่เลยเป็นสาเหตุที่ผมไม่สามารถติดต่ออีกฝ่ายได้ ปกติยุคไม่ใช่คนขี้ลืม ผมไม่รู้เหตุผลสำหรับการลืมในครั้งนี้ แต่หวังเหลือเกินว่าเขาจะไม่รีบมาหาผมเกินไปจนลืมหมดทุกอย่าง ถ้าเป็นอย่างนั้น...
ผมจะทำยังไง
ทว่าสิ่งเดียวที่อยู่ในหัวและพอจะทำได้ในตอนนี้ไม่ใช่การถามหาเหตุผลข้ออื่น แต่เป็นการส่งความรู้สึกของตัวเองออกไปตรงๆ
‘ยุค ที่พูดออกไป...ขอโทษนะ’ ผมมีอะไรอยากบอกกับเขาเยอะแยะเต็มไปหมด แต่ก็ยังรอว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมายังไง ไม่คิดเลยว่าหลังส่งไปแล้ว นอกจากไม่ได้รับการตอบกลับ ยุคยังไม่แม้แต่จะเปิดอ่านมันด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าผมคงนอนไม่หลับแน่ถ้าทุกอย่างยังค้างคาอยู่แบบนี้ เอาแต่พลิกตัวไปมาบนเตียง หยิบมือถือขึ้นมาดูเป็นระยะจนกระทั่งเวลาล่วงเลยเข้าสู่เที่ยงคืน ผมยังรอคำตอบอย่างใจจดจ่อ
ไม่ใช่ว่าบล็อกกันไปแล้วหรอกนะ
ตีหนึ่ง...ตีสอง...ตีสาม...
ร่างกายไม่ได้รู้สึกง่วงเลยสักนิด ดวงตาสองข้างยังคงสว่างใสแจ๋ว เนื่องจากกำลังคาดหวังว่าจะได้อ่านข้อความจากใครอีกคน
แต่ไม่มี
ไม่รู้ว่าเผลอหลับคาเตียงไปตั้งแต่ตอนไหน กว่าจะสะดุ้งตื่นอีกทีเวลาก็ปาไปเกือบแปดโมงแล้ว ผมรู้สึกปวดขมับเล็กน้อย เลยเดินสืบเท้าไปล้างหน้าล้างตาก่อนหาอะไรกิน จากนั้นก็กลับมาเช็กมือถืออีกครั้ง
ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม คือไม่มีการเปิดอ่านหรือมีข้อความใดตอบกลับมา ผมทำใจกล้าด้วยการสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนเลื่อนมือหาเบอร์โทรที่อยู่ในรายชื่อติดต่อ จากนั้นก็กดโทรออกออก
‘ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก...’ ปิดเครื่อง!
เออดี ปล่อยให้กูเป็นบ้าฟุ้งซ่านอยู่ทั้งคืน ในเมื่ออยากจบทุกอย่างไว้แค่นี้ก็เชิญเลย
คิดได้เท่านั้นก็รีบคว้าแล็ปท็อป สมุดเพลง และกีตาร์ขึ้นมา บางทีงานยุ่งก็อาจจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น ผมยังเหลือโปรเจ็กต์ที่ไม่ได้เร่งทำจากทางค่ายอยู่ วันนี้ได้ฤกษ์ดีที่ไม่ต้องเอาคำว่าขี้เกียจมาอ้างแล้ว เลยขอใช้โอกาสนี้ทำงานให้เต็มที่
หนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
สุดท้าย...ผมไม่ได้อะไรเลย
ไม่มีไอเดียที่จะเขียน ไม่มีแรงจูงใจที่จะทำมัน ผมพยายามหลายต่อหลายครั้งที่จะเขียนเพลงขึ้นมาแต่มันก็เปล่าประโยชน์ ทำได้แค่ทิ้งตัวลงนอนเกลือกกลิ้งกับพื้น มองดูฝ้าเพดานสีขาวแล้วเอาแต่ถามตัวเองว่าควรทำยังไง อย่างไหนที่ต้องทำในตอนนี้
ซ้ำซาก จำเจ น่าเบื่อ บางครั้งก็หดหู่
กว่าจะลากตัวเองให้ผ่านเวลาแย่ๆ แบบนี้มาได้ก็เข้าสู่วันที่สามแล้ว
วันที่ไม่มีแม้แต่เสียงเคาะประตูหน้าห้อง วันที่ไม่มีคนตัวสูงยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับหนังสือมูราคามิที่โคตรหายาก วันที่ไม่มีโอกาสได้เห็นหมวกแก๊ปสีขาวกับดำยี่ห้อต่างๆ แม้แต่เสื้อผ้าสไตล์นักฆ่าที่ผมมักเบะปากใส่ตลอดเวลาก็ไม่หลงเหลือ
ไม่มี...
เหงา เหงาจนรู้สึกปั่นป่วนในอก ความรู้สึกผีเสื้อบินวนในท้องหายไป มีเพียงความว่างเปล่าและการอยู่คนเดียวเหมือนในอดีตเท่านั้นที่บอกเล่าชีวิตแสนหดหู่นี้เป็นอย่างดี หลายครั้งเหมือนกันที่ผมมักได้รับการติดต่อจากไอ้ริวมาเป็นระยะ แต่ผมก็ทำได้แค่หันไปมอง แล้วปล่อยให้โทรศัพท์สั่นครืดจนกว่าจะดับไป
ผมไม่อยากคุยกับใคร มีคนเดียวที่พอจะทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ก็มีแค่ไอ้ยุคเท่านั้น
“ทำไงดี” ได้แต่ถามตัวเองเป็นรอบที่ล้าน
สุดท้ายผมก็ไม่เคยหาคำตอบได้เลย
ตึ่ง!!
แล้วข้อความใหม่ก็เด้งขึ้นมาในเวลาตีหนึ่ง ร่างกายมีปฏิกิริยาด้วยการชันตัวลุกขึ้นนั่งโดยอัตโนมัติ ผมคว้าโทรศัพท์ขึ้นมา เลื่อนจอไปยังแอพลิเคชั่นคุ้นตาอย่างตื่นเต้น
แต่ผมก็ต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะคนที่หวังกลับกลายเป็นเพื่อนสนิทอย่างไอ้เบิร์ดแทน
‘กูรู้ว่ามึงยังไม่หลับ ตายหรือยัง หรือกำลังยุ่งกับการแต่งเพลงอยู่’ หลังอ่านประโยคตรงหน้าจบ ผมรีบส่งข้อความกลับไปทันที...
‘ขอโทรคุยด้วยได้มั้ย’ ในเสี้ยววินาทีหลังข้อความถูกส่ง เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้น ผมกดรับโดยไม่รีรอก่อนกรอกเสียงอ่อยๆ เหมือนหมาโดนทิ้งลงไปจนเพื่อนสายเนิร์ดจับสังเกตได้
[เป็นห่าอะไรวะ] ถึงจะเป็นน้ำเสียงที่ดูแข็งกระด้าง แต่ผมก็ยังสัมผัสได้ถึงความห่วงใยจากปลายสายอยู่
“กู...ทะเลาะกับยุคว่ะ” ผมไม่เคยมีความลับกับมันอยู่แล้ว มีอะไรก็พูดออกไปตรงๆ เวลามีความสุขก็แชร์กัน เวลาเศร้าผมโยนทุกอย่างให้มันช่วยแบกรับ เพื่อนแบบนี้ไม่มีอีกแล้วครับ
พูดแล้วกูจะร้อง
[โฮลี่ชิท! ทะเลาะอะไรกัน เรื่องที่มึงไม่ยอมครางชื่อมันหรือเปล่า]
“ไม่ตลก” กูแทบปามือถือทิ้ง นี่คิดถูกหรือคิดผิดกันแน่ที่ตัดสินใจบอกไอ้เบิร์ด
[เออรู้ละว่าเครียดจริง มีอะไรเล่าให้กูฟังได้ ถึงจะช่วยอะไรไม่ได้เลยอ่ะนะ] แค่เป็นผู้ฟังที่ดีก็รู้สึกตื้นตันใจฉิบหายแล้วครับ
“หลายวันก่อนเกิดเรื่องนิดหน่อย กูนัดกับยุคไว้ว่าจะมาเจอกันที่ห้องตอนเย็นๆ แต่ไอ้ริวก็ดันมาชวนกูไปดูหนัง ที่คิดไว้คือยังไงก็กลับมาทันนัดอยู่แล้วก็เลยตอบตกลงไป แต่มีบางอย่างผิดพลาด กูมาไม่ทัน” ท้ายเสียงเริ่มแผ่วลงเรื่อยๆ ตามความรู้สึกผิด
[ไม่ทันนี่ปล่อยให้รอนานมั้ย กูจะได้ประมาณถูก ถ้าไม่มากก็จะช่วยหาวิธีง้อให้]
“มันมารอกูที่ห้องตั้งแต่สี่โมง”
[อ่า แล้วมึงดูหนังกลับมากี่โมง]
“สามทุ่ม”
[สามทุ่ม! มึงบ้าป่ะชยิน] ปลายสายแหกปากลั่นจนผมต้องดึงมือถือออกห่างจากหู
“กูรู้ว่าตัวเองผิด เลยขอโทษและพยายามอธิบาย แต่ไอ้ยุคแม่งก็ไม่ฟังลูกเดียว กูเลยโมโหไล่ให้มันไปพ้นๆ หน้า แบบไม่ต้องมาเจอกันอีกยิ่งดี”
[ฉิบ-หาย-ละ] ไอ้เบิร์ดเน้นย้ำที่ละคำ
มันปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่แทนอยู่พักใหญ่ก่อนจะกระแอ่มไอออกมา ผมรอฟังคำแนะนำของมันอย่างจดจ่อ อะไรก็ได้ที่ทำให้รู้สึกดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
[คืออย่างนี้นะชยิน ตอนที่ไอ้ริวนัดมึงทำไมถึงได้ตอบตกลงวะ]
“ริวบอกว่าจะมาส่งกูให้ทัน”
[แล้วตอนที่มึงรู้ว่ามันเลยเวลานัดแล้วทำไมมึงถึงยังอยู่ต่อ]
“กูไม่กล้าปฏิเสธมัน กู...”
[มึงไม่กล้าปฏิเสธอันนี้กูเข้าใจ นิสัยมึงอ่ะทำไมจะไม่รู้ มึงกลัวคนอื่นรู้สึกไม่ดีเวลาที่ถูกปฏิเสธใช่มั้ย แต่ถามหน่อยมึงไม่แคร์ไอ้ยุคเลยเหรอว่ามันต้องรอมึงนานแค่ไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามึงกำลังทำอะไร ใจคนรออ่ะมันคิดไปสารพัดแหละ] คำพูดของไอ้เบิร์ดทำผมอยากร้องไห้ออกมาอีกรอบ
“กูก็ไม่ได้มีความสุขที่ทำแบบนี้นะเว้ย”
[ใช่ไง ปฏิเสธคนไม่เป็นเองก็ต้องยอมรับสิ่งที่ตัวเองเลือกป่ะวะ แต่ผิดแล้วขอโทษอ่ะดีแล้ว กูรู้ว่ามึงไม่ได้เป็นคนฟอร์มจัดกับคนที่แคร์ขนาดนั้น แต่ที่ไม่เข้าใจคือมึงไล่เขาทำไม]
“มันพูดเหมือนกับว่าจะไม่ทำทุกอย่างเพื่อกูอีกแล้ว จะไม่มาหา จะไม่บอกชอบ จะไม่ชวนไปร้านกาแฟหรือกินข้าวด้วยกัน ซึ่งกูรู้สึกไม่ดี กูยังอยากให้ทุกอย่างเป็นเหมือนเดิม เลยเผลอพูดท้าทายว่าถ้าไม่อยากทำก็ไปเลย คิดอยู่ตลอดแหละว่ายังไงมันก็คงไม่ไปไหน แต่กูคิดผิดว่ะ”
ผมได้ยินเสียงถอนหายใจของคนทางไกล ก็ตอนนั้นกูควบคุมตัวเองไม่ได้นี่หว่า
[มันมีนะ คนที่รอจะรับทุกอย่างอยู่ตลอดแต่สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรกลับไปเลย เพราะไม่เคยให้อะไรเขาตอบแทน]
“...” คำพูดนั้นทำผมสะอึก
[มึงเชื่อมั่นว่าเขาต้องรัก ต้องทำทุกอย่างเพื่อมึง ต้องแคร์มึงมาก ผิดแค่ไหนเขาก็ไม่ไปไหน แต่มึงลืมไปหรือเปล่าว่าคนทุกคนมีขีดจำกัดของตัวเองเหมือนกัน]
“กูรู้...กูรู้แต่ไม่คิดว่ามันจะมาถึงเร็วขนาดนี้ เบิร์ดกูชอบยุค กูชอบจริงๆ นะ” พูดไปน้ำตาก็ไหลไปจนต้องซบหน้าลงกับหมอน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมต้องเครียดกับหลายสิ่งหลายอย่างที่เข้ามาในชีวิต เพราะมัวแต่ยึดบรรทัดฐานของสังคม ผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิง ที่ผ่านมาความรักของผมก็เป็นแบบนั้นมาตลอดจนกระทั่งใครคนหนึ่งเดินเข้ามา เราทำความรู้จักกัน พบปะ กินข้าว และแชร์เรื่องราวต่างๆ มากมาย แม้เป็นเวลาไม่นานนักแต่กลับรู้สึกผูกพัน
ผมถามตัวเองมาตลอด ความชอบคืออะไร ความรักคืออะไร ที่ผ่านมาผมปฏิเสธความรู้สึกของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อกลับไปเป็นคนที่สังคมคาดหวังอีกครั้ง แล้วอย่างไหนที่ตัวของผมคาดหวังล่ะ
การเข้ามาของผู้ชายแปลกประหลาดคนหนึ่งเปลี่ยนทุกอย่างในโลกของผม โลกที่ไม่ต้องเหงาและโดดเดี่ยว โลกที่มีสีสันและเรื่องราวที่ไม่เคยพบเจอ โลกที่ไม่ต้องเครียดว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับเราแล้วปล่อยวางทุกอย่างลง
ผมยอมให้ผู้ชายคนหนึ่งกอดได้ทั้งที่ไม่เคยให้ใครมากอดนอกจากคนในครอบครัว ยอมให้เขาจูบแม้จะรู้สึกขัดๆ แต่กลับมีความรู้สึกซาบซ่านอยู่ในนั้น ยอมทุกอย่างหากอีกฝ่ายต้องการจนคิดว่านี่แหละคือสิ่งที่ผมอยากให้เป็นและไม่ยอมสูญเสียไป
...ความรัก...
เราทุกคนต่างเรียกมันแบบนั้น
[กูโทรไปเคลียร์ให้มั้ย ทุกอย่างมันจะโอเคเว้ย] หลังต่างคนต่างเงียบไปนาน ไอ้เบิร์ดก็เสนอทางออกให้กับผม แต่นี่ไม่เวิร์กหรอก
“กูอยากจบทุกอย่างด้วยตัวเองมากกว่า แต่การได้คุยกับมึงก็ทำให้กูรู้ว่าตัวเองควรทำยังไง”
[งั้นกูเอาใจช่วย มันจะโอเคเว้ย]
“หวังอยากนั้น ขอบใจมึงมากนะเบิร์ด”
[มึงอย่าร้องไห้ดิสัด]
“ใครร้อง กูไม่ได้ร้อง...” แม้เสียงที่ตอบกลับจะเจือไปด้วยเสียงสะอื้นและน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย
ปล่อยให้ตัวเองได้สงบสติอารมณ์ครู่หนึ่งถึงวางแผนว่าพรุ่งนี้จะทำอะไรต่อไป ในเมื่อโทรศัพท์ติดต่อไม่ได้ ไลน์ก็ไม่ได้กดอ่าน สิ่งที่ทำได้คงมีแค่การโผล่ไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายตรงๆ
ผมสลัดความกลัวออกไปจนหมด เพื่อพาตัวเองมายืนอยู่ตรงล็อบบี้คอนโดของคนตัวสูง มันแย่หน่อยก็ตรงที่ผมไม่สามารถเข้าไปข้างในได้นอกจากรอเขาลงมา หรือบอกกับพนักงานให้เปิดประตูให้หลังได้รับคำยืนยันจากเจ้าของห้อง
“เอ่อ...ตอนนี้คุณศตวรรษได้ตอบกลับมามั้ยครับ”
ผมเดินไปถามที่เคาน์เตอร์อีกครั้ง หลังนั่งรอมาเกือบสองชั่วโมง และจิบน้ำดื่มหมดไปแล้วสามแก้วถ้วน
“ที่ห้องยังไม่มีคนรับสาย เดาว่าเจ้าของห้องอาจจะไม่อยู่ค่ะ”
“แต่ผมคิดว่าเขาน่าจะอยู่ ยังไงรบกวนลองติดต่อกลับไปอีกครั้งนะครับ” รู้ดีว่าได้สร้างความลำบากให้กับคนอื่นแล้ว แต่มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมง พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ก็เรียกผม เธอทำหน้าเจื่อนลงเล็กน้อยก่อนตอบคำถามอย่างครบถ้วน
“ทางเราได้ติดต่อไปที่ห้อง 2108 แล้ว ทางคุณศตวรรษแจ้งมาว่าไม่สะดวกให้ใครเข้าพบ เพราะฉะนั้นต้องขออภัยด้วยนะคะ” เธอค้อมหัวเล็กน้อย ขณะที่ผมได้แต่ยืนตัวชาอยู่ที่เดิม
“ขะ...ขอบคุณมากครับ” กว่าจะเค้นแต่ละประโยคออกมาได้ก็ใช้เวลาอยู่นาน ผมเดินออกจากคอนโดในสภาพใกล้เคียงกับคนไร้วิญญาณเต็มแก่ ทุกอย่างที่ผ่านมาจบลงแล้วเหรอ ได้แต่ถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด
การรอคอยทรมานแค่ไหนตอนนี้ผมรู้แล้ว จิตใจมันทั้งกระวนกระวายและไม่เป็นสุข ยิ่งเวลาได้รับคำตอบในแบบที่เราไม่เคยคาดคิดมาก่อนก็ยิ่งเจ็บปวดเป็นเท่าตัว ผมไม่คิดว่าตัวเองจะทนได้ และคงผ่านมันไปไม่ได้ในเร็วๆ นี้แน่
ผมเดินคอตกกลับห้องขณะในหัวครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ความจริงแล้วผมมันก็แค่ไอ้ขี้แพ้คนหนึ่งเท่านั้นแหละ
แม้พยายามจัดการปัญหาที่ยุ่งเหยิงไปทีละอย่าง แต่มันก็ยังล้มเหลว วันนี้ยังเคลียร์กับยุคไม่ได้ ส่วนริวผมก็ละอายใจเกินกว่าจะเจอหน้า คนเดียวที่เหลืออยู่เลยมีแค่เจเจ
แน่นอนว่าเราได้เห็นหน้าค่าตากันเพียงครั้งเดียว แต่บทสนทนาทาง MSN ไม่ได้เป็นอย่างนั้น ถึงจะบอกความรู้สึกของตัวเองกับอีกฝ่ายไปตรงๆ แต่เราก็ไม่ได้เคลียร์เรื่องค้างคาใจให้จบตั้งแต่คืนนั้น แถมยุคยังพาผมหนีกลับซะก่อน ความสัมพันธ์ของเราเลยคาราคาซังมาจนทุกวันนี้
ผมโทรหาไอ้เบิร์ดเพื่อขอเบอร์เจเจ จากนั้นก็นัดแนะอีกฝ่ายมาเจอในวันรุ่งขึ้น
“ชยิน” เสียงของใครคนหนึ่งร้องเรียก ผมหันขวับไปทางต้นเสียงนั้นก่อนทักทายกลับ
“หมีใหญ่”
ใช่ หมีใหญ่มาแล้ว แถมมาซะตรงเวลาเป๊ะ
“เรียกเจเถอะ ฟังชื่อหมีใหญ่แล้วมันเขินยังไงก็ไม่รู้” เจ้าตัวเอ่ยตอบ จากนั้นก็ย้ายก้นมานั่งยังฝั่งตรงข้ามของผมด้วยรอยยิ้ม
แปลกดี ขนาดคนที่รู้สึกดีเวลาที่เล่น MSN ด้วยกันครั้งนั้น ทำไมตอนนี้ถึงไม่ได้มีความรู้สึกอะไรเลยนอกจากดีใจที่ได้เจอกัน
“ไม่ได้คุยกันเลยตั้งแต่วันนั้น”
“เอ่อ...อืม นั่นสิ” พูดแล้วก็อายจนไม่รู้จะมุดหน้าไว้ตรงไหน
“ตอนมึงบอกรักไอ้ยุคกูอึ้งมาก”
“จริงๆ ลืมมันซะก็ได้”
“จะลืมได้ยังไง จริงใจออกขนาดนั้น”
“มึงไม่โกรธใช่มั้ย”
“โกรธทำไม คนไม่มีใจไม่ผิดเว้ย คิดซะว่าทุกอย่างผ่านไปแล้วกัน ยังไงเราก็เป็นเพื่อนกันได้”
“มึงคิดอย่างนี้เหรอ”
“แหงสิ ก็บอกว่าเป็นแค่เพื่อนก็ต้องเป็นเพื่อน กูจะพยายามเป็นอย่างอื่นไปทำไม ว่าแต่ที่นัดมาวันนี้มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” เขาถาม ผมเลยตอบตามตรง
“ก็จะคุยเรื่องนี้แหละ เหมือนคืนนั้นเรายังพูดกันไม่เคลียร์เท่าไหร่ กลัวว่าต่อไปจะมีปัญหาเพิ่มขึ้น”
“ปัญหาอะไร กับไอ้ยุคเหรอ”
“ไม่ใช่หรอก”
“สบายใจได้ เป็นเพื่อนกันแล้วกูก็ไม่คิดเกินเลยเป็นอย่างอื่นหรอก ฝากบอกไอ้ยุคด้วยนะว่าอย่าคิดมาก ได้ข่าวว่ามันเองก็ชอบมึงหนิ แม่งคงรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ที่มีเรื่องของกูเข้าไปแทรก” ยิ่งพูดถึงบุคคลที่สามทีไรใจผมก็เหมือนดิ่งลงเหวทุกที
“กับยุคอาจจะไม่ได้บอกหรอก เรา...ทะเลาะกันนิดหน่อย”
“ไหงเป็นงั้นวะ” เจ้าตัวบ่นงุบงิบ ดวงตาสองข้างหรี่มองผมเหมือนกำลังพิจารณาอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่ยอมพูดออกมาตรงๆ เราต่างคนต่างแสดงท่าทีอึกอักไปพักใหญ่ ก่อนผมจะเป็นฝ่ายถามออกไป
“ถามหน่อยสิ ทำไมวันนั้นก่อนโปรแกรมจะหมดอายุ มึงถึงบอกชอบกูวะ” เพราะดูจากตอนนี้แล้ว เราเหมือนคนที่ไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ จะบอกว่าที่ห่างเพราะผมปฏิเสธไปเมื่อครั้งก่อนก็คงเป็นไปไม่ได้
“ก็เพราะชอบล่ะมั้ง” อีกฝ่ายตอบหน้าตาย
“งั้นถามต่อ ชอบกูที่ตรงไหนเหรอ”
“มันอาจจะบอกเป็นเหตุผลทั้งหมดไม่ได้ ความจริง...” เจหยุดพูดไปอึดใจหนึ่ง แล้วพรูหายใจออกมายาวเหยียด “ไม่เคยรู้สึกบ้างเหรอว่าไม่ใช่”
“ฮะ?”
“รู้สึกมั้ยว่ากูไม่ใช่หมีใหญ่ หรือปักใจเชื่อเลย”
คำพูดนั้นทำสมองผมหยุดทำงานไปชั่วขณะ อะไรคือใช่หรือไม่ใช่ ที่ผ่านมาเวลาผมถามเขาก็ไม่เคยปฏิเสธมันสักครั้งไม่ใช่เหรอ
“เจเจคือหมีใหญ่มาตลอด” ผมพึมพำเสียงแผ่ว
“กูมีแฟนแล้ว” คราวนี้กูเบิกตากว้างเลยจ้า
“แฟน?”
“ใช่ เป็นผู้หญิงด้วย”
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“คืองี้นะ แผ่นโปรแกรม MSN กูได้มาจากไอ้เบิร์ด แถมสัญญากับมันไว้เสร็จสรรพว่าจะทดลองใช้เพื่อบอกผล แต่พอดีว่าช่วงนั้นกูไม่มีเวลาเลยยกแผ่นโปรแกรมให้กับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง มันอยู่คณะเดียวกัน มหา’ลัยเดียวกัน และก็เป็นเพื่อนเก่าตั้งแต่เรียนมัธยม”
สมองผมเริ่มประมวลผล ปะติดปะต่อทุกเรื่องเข้าด้วยกันทีละน้อย
“หมีใหญ่เป็นชื่อกลุ่มดาว ในนั้นมีดาวดวงหนึ่งที่แปลกประหลาดมาก มันคือPC 0832/676 ซึ่งอยู่ห่างไกลที่สุดในระนาบดาราจักร”
“...” คนตรงหน้ายังคงพูดไม่หยุด ส่วนตัวผมเองก็เป็นผู้ฟังที่ดี
“มันบอกว่าตัวมันเหมือนดาวดวงนี้ โดดเดี่ยว และน้อยครั้งมากที่ใครจะหาเจอ มันเป็นคนโลกส่วนตัวสูง งานของมันแทบไม่ต้องเจอกับใครเลย แม่งโคตรเหงา แต่ความเหงานี่แหละมั้งที่เป็นเสน่ห์ เผื่อวันนึงที่จักรวาลหมุนวนไปเรื่อยๆ ก็อาจจะได้เจอกับดวงดาวที่อยู่ห่างไกลเหมือนกัน”
ผมเริ่มมองเห็นเค้าลางบางอย่างที่ไม่เคยสังเกตเห็น
หมีใหญ่ PC 0832/676 ดาวที่อยู่ไกลที่สุดในระนาบดาราจักร
“จริงๆ กลุ่มดาวนี้มีอีกชื่อนะ รู้มั้ยว่าชื่ออะไร”
ต่างคนต่างเงียบ มองหน้าหยั่งเชิงกันพักหนึ่ง
“คัลลิสโต”
เราพูดออกมาพร้อมกัน ผมกลืนน้ำลายลงคอไปหลายอึก ก้มมองดูฝ่ามือที่กำลังสั่นเทาพอๆ กับหัวใจที่รัวกระหน่ำไม่มีหยุด
ทำไมถึงได้มองข้ามทุกอย่างไปจนหมด ทำไมถึงไม่เอะใจสักนิดว่าแท้จริงแล้วเราไม่ได้อยู่ไกลกันเลย แต่สิ่งที่อยากถามมากที่สุดก็คือ ทำไมถึงไม่บอกกัน ทำไมถึงปล่อยให้ผมสับสนเนิ่นนานขนาดนี้
ผมไม่ได้โกรธ ตรงข้ามกลับดีใจด้วยซ้ำ
ตอนคุยกันผ่าน MSN เราเหมือนเพื่อน แชร์กันได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่แค่ไหนก็ตาม แต่พอได้คุยกันในชีวิตจริงเราเป็นยิ่งกว่านั้น ผมไม่ได้รู้สึกเสียใจแต่โล่งใจเป็นร้อยเท่า ขอบคุณที่ไม่ใช่คนอื่น ขอบคุณที่เป็นคุณ
“อาจจะแย่นิดหน่อยตรงที่ไอ้ยุคไม่ได้บอกเอง ขอโทษจริงๆ ว่ะ”
“...” ผมส่ายหัว
“อย่าโกรธมันเลย”
“ไม่สักนิด”
“ถ้าทะเลาะอะไรกันก็รีบคุยกันเถอะ”
“แน่นอน ต้องคุยอยู่แล้ว”
“พอได้พูดความจริงทั้งหมดแล้วกูโคตรโล่งใจเลยว่ะ”
“ขอบคุณที่บอกกูนะ”
“ไม่เป็นไร แต่ฝากบอกไอ้ยุคด้วยว่าอย่าโกรธกู กูแค่ทนความน่ารักของเด็กน้อยอย่างมึงไม่ได้ก็เท่านั้น” ผมส่งยิ้มให้คนตรงหน้า ก่อนนั่งเขี่ยข้าวในจานไปมาพร้อมกับคิดอะไรเพลินๆ
ทุกอย่างชัดเจนหมดแล้ว แม้ไม่รู้ว่าผมมียุคในคอนแท็กเอ็มเอสเอ็นตั้งแต่ตอนไหน ทว่ามันไม่สำคัญอีกต่อไป
หมีใหญ่ คัลลิสโต ศตวรรษ แท้จริงแล้วคือคนเดียวกัน
เป็นคนที่ผมรัก อ่านต่อด้านล่างค่ะ