ตอนที่ 10
ต่อให้เรือจมพี่ก็จะว่ายน้ำไป
เดี่ยวศตวรรษ... ทันทีที่ประตูถูกไข ชยินก็รีบเดินดุ่มๆ เข้าไปข้างในแล้วจัดการสะบัดตีนถอดรองเท้าด้วยความหงุดหงิด ท่าทีฮึดฮัดแบบเด็กๆ นี้ทำให้ผมอดขำไม่ได้
หูสองข้างของเขาแดงเถือกลามไปจนถึงลำคอ ไม่รู้ว่าเพราะเขินหรือโกรธกันแน่ แต่คาดว่าน่าจะเป็นอย่างหลังซะมากกว่า ผมรู้ว่าตัวเองผิด ก็แล้วจะให้ทำยังไงวะในเมื่ออีกฝ่ายน่ารักซะขนาดนี้ ใครอดทนได้ก็โคตรปรมาจารย์นักบวชแล้วเว้ย
กลิ่นตัวของเขา น้ำเสียงของเขา ริมฝีปาก ดวงตา รวมถึงท่าทางที่แสดงออก หากหยิบมาปั่นยัดใส่ปากได้ กูก็คงทำตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นหน้าแล้วแม่งเอ๊ย
“จะไม่พูดอะไรหน่อยหรือไง” น้ำเสียงแสนแข็งกระด้างเปล่งออกมาจากริมฝีปากได้รูป ผมยิ้ม มองดูคนร่างบางโถมตัวนั่งบนโซฟาพร้อมกับกอดอกรอฟังคำตอบอย่างจดจ่อ
“ให้พูดอะไร”
“ก็ที่คุณจูบผมแล้วโบ้ยทุกอย่างว่าเป็นความผิดของผมไง”
“ตอนอยู่ในลิฟต์คุณทำตัวน่าแกล้งเอง” ชยินเบะปากคว่ำ เอาแต่กรอกตาไปมาคล้ายกำลังคิดหาสารพัดคำด่าเพื่อตอบโต้
“สรุปผมผิดงั้นเหรอ”
“อือ”
“คนปกติเขาไม่ทำหรอกนะมาจูบกันในลิฟต์น่ะ ที่สำคัญผมกับคุณก็ไม่ได้เป็นอะไรกันด้วย คอนโดนี้ก็ต้องอยู่อีกยาว เกิดวันนึงเจอเพื่อนบ้านในลิฟต์ผมจะทำยังไง”
“ก็บอกไปว่าอดใจไม่ไหว แฟนขี้เอา แค่นี้ก็จบแล้วคุณ”
“คุณเอาแต่ว่าผมเหมือนเด็ก ความจริงแล้วคุณก็ไม่ต่างกันมากหรอก”
และใช่ ผมเป็นผู้ใหญ่มาตลอด ผมเป็นแบบนั้นเสมอจนกระทั่งเจอคุณ...“ชยิน เราดีกันเถอะ”
“กลับไปเลยรำคาญ”
โห คราวนี้หายใจถี่กว่าเดิมอีก จะตายมั้ยวะนั่น
ด้วยความสงสารจนไม่อยากแกล้งต่อ ผมจึงก้าวเท้าไปหาเจ้าตัว ย่อเข่าลงตรงหน้าเขาและตัดสินใจพูดออกไปตรงๆ
“ขอโทษนะ”
ชยินเอาแต่มองนิ่งไม่ไหวติง ความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่ายท้วมท้น จนผลักดันให้ผมตัดสินใจโน้มหน้าเข้าไปจูบหน้าผากขาวอย่างนึกเอ็นดู
ซึ่งเหมือนว่าเจ้าตัวจะอึ้งไปพักหนึ่ง ดวงตาสองข้างเบิกโพลงจนแทบถลน แต่ถึงอย่างนั้นมือบางก็ยังคงออกแรงดันผมให้ออกห่างจากตัวในที่สุด
“พูดขอโทษดีๆ ก็ได้”
“ก็คุณนิ่งอ่ะ”
“นิ่งแล้วต้องทำแบบนี้เหรอ”
“เวลาหมาที่บ้านงอน ผมจะใช้วิธีนี้ แล้วมันก็หายโกรธตลอดเลย”
“โว้ยยยยยยย ผมไม่ใช่หมานะ”
“แล้วคุณหายโกรธผมมั้ยอ่ะ”
“ไม่หาย”
“งั้นต้องจุ๊บเหม่งอีกรอบ”
แทนที่จะได้ทำอย่างปากพูด ผมกลับไม่มีโอกาสเข้าถึงตัวชยินอีกเลยเพราะถูกฝ่าเท้ายื่นออกมากันเอาไว้ซะก่อน จากตอนแรกที่คิดว่าคนเขาจะหายโกรธ สุดท้ายกลายเป็นว่าแม่งอาละวาดหนักกว่าเดิมอีกว่ะ สนุกจังเลย สนุกจังเล้ย!
“คุยกันดีๆ” ผมพูดไปกลั้นขำไป
“ไม่คุย กลับไปเลย แล้วไม่ต้องมาหาผมอีก”
“คุณจะเป็นฝ่ายไปหาผมที่ห้องแทนเหรอ ได้นะ เดี๋ยวจัดเตียงรอ”
“ไม่ใช่โว้ย เลิกกวนตีนผมสักนาทีได้มั้ย” และผมก็ทำตามคำขอจริงๆ ทุกอย่างเงียบลงถนัดตา เหลือแค่เราที่มองหยั่งเชิงกันอยู่อย่างนี้โดยไม่ขยับไปไหน
ผมไม่ได้อยากหน้าด้านอยู่ให้เขารำคาญ ทว่าลึกๆ ก็ไม่ได้อยากออกห่างเท่าไหร่นัก อาจเพราะมีความสุขที่จะอยู่ตรงนี้มากกว่า ในโลกของผมเต็มไปด้วยกำแพงที่เลือกว่าจะให้ใครปีนเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิต แต่กับชยิน...
เขาไม่จำเป็นต้องรอให้ผมเลือก ตัวผมต่างหากที่เป็นฝ่ายเลือกเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน
“สามพันหกร้อยเก้าสิบบาท” ต่างคนต่างเงียบได้อึดใจหนึ่ง ชยินก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น
“อะไร”
“เป็นค่าหมวก ผมไม่ให้เป็นของขวัญแล้ว วันนี้คุณทำผมประสาทแดกมาก”
“งั้นคิดเป็นเลขกลมๆ เลยแล้วกัน สองหมื่นห้าพันบาท” คราวนี้คนฟังรีบเงยหน้าขึ้นมามองด้วยสายตาติดสงสัย
“สองหมื่นห้า?”
“เป็นค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่ผมเคยออกให้คุณ อันนี้คือลดให้เยอะแล้วนะ ถ้าจะเอาค่าหมวกคุณก็จ่ายคืนผมให้ครบด้วย” ฟังจบ หน้านี่หดเหลือสองนิ้วแล้วมั้ง
“งั้นเอาเลขบัญชีมาเลย ผมจะโอนให้”
“ขอภายในวันนี้นะ”
“จะ...จะทันได้ยังไง ผมยังกินมาม่าอยู่เลย”
“ไม่สนอ่ะ ถ้าไม่อยากจ่ายก็ไม่ต้องขอหมวกคืน เพราะผมใช้แล้ว” เงียบดูสถานการณ์ไปพักหนึ่งจึงถือโอกาสเอ่ยต่อ “คุณคงง่วงแล้วใช่มั้ย เดี๋ยวผมกลับก่อนนะ”
“อืม”
“และคงไม่ได้มาเจอคุณอีก ดูแลตัวเองด้วย”
แสร้งทำหน้าหงอยไปงั้นแหละ เผื่อเด็กน้อยจะตกหลุมพราง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นไปตามคาดเพราะชยินนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ไอ้เหี้ย! เห็นหน้าแล้วกูอยากกระชากตัวมาฟัดให้หายหมั่นเขี้ยว แต่ไม่ได้ครับ ต้องคีพลุคขรึมๆ เอาไว้จากนั้นก็ลากเท้าไปยังหน้าประตูตั้งท่าจะไปจริงๆ
ทว่ายังไม่ทันได้หยิบรองเท้า เสียงของเด็กน้อยชยินก็ดังแง้วๆ มาแต่ไกล
“ทำไมคุณไม่มาล่ะ”
“ก็คุณบอกว่าไม่ต้องมา”
“ตอนนั้น...ก็ตอนนั้นผมโมโหมาก” คนอายุ 25 จำเป็นต้องน่ารักขนาดนี้มั้ยไอ้สัด
“แล้วตอนนี้ล่ะ คุณยกโทษให้ผมแล้วหรือไง”
“ไม่”
“โอเคงั้นผมกลับละ”
“ดะ...เดี๋ยว คุณ...จะไปจริงๆ เหรอ ไม่กลับมาแล้วเหรอ”
“ใช่”
“ทำไมคุณต้องบังคับให้ผมพูดมันออกมาด้วยวะ”
“พูดอะไร ใครบังคับคุณไม่ทราบ”
“ก็คุณจะไม่มาหาผมแล้วอ่ะ”
“คุณเป็นคนบอกเอง”
“ผมไม่ได้อยากให้คุณหายไปจริงๆ สักหน่อย รู้จักคำว่าประชดมั้ย รู้จักคำว่าอารมณ์ชั่ววูบหรือเปล่า แม่ง!!”
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
ผมยืนมองชยินซ้อมหมอนตรงโซฟาจนเละคามืออยู่พักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจหมุนลูกบิดประตูอีกครั้ง ร่างบางก็หันขวับกลับมามองพร้อมกับตะโกนลั่นห้อง
“ผมหงุดหงิดตัวเองอ่ะ”
เกรี้ยวกราดจังวะ
“ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไมผมถึงต้องโมโหตอนที่คุณจูบ แต่ที่น่าโมโหยิ่งกว่าคือผมไม่อยากให้คุณไป” พูดไปก็เบะปากไปจนหน้าสงสาร สองแก้มแดงซ่านจนต้องมุดหน้าลงกับหมอนแล้วพึมพำภาษามนุษย์ต่างดาวออกมาไม่หยุด
“ชยินใจเย็นๆ”
เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาสองข้างเหมือนมีน้ำใสๆ เอ่อคลออยู่ อ้าว! กูทำเด็กน้อยร้องไห้เฉย
“ผมไม่มีความรักมานานแล้วและผมก็ไม่ได้รู้สึกกับใครแบบนี้ คุณทำพังหมดเลย พังหมดเลย” จากเท้าที่ตั้งท่าจะเดินออกไปเป็นอันต้องหมุนกลับไปหาคนตัวเล็กกว่าราวกับถูกสะกด ผมทรุดตัวนั่งลงเคียงข้าง แล้วดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดไว้แนบแน่น
“อย่าเพิ่งโมโหนะ ผมขอโทษ”
“คุณทำให้ผมไม่มีเงินเพราะต้องซื้อหมวก ผมจน แต่ผมก็อยากซื้อของดีๆ ให้คุณ”
“...”
“ผมมารอคุณที่ร้านกาแฟทุกวัน เพราะไม่อยากให้คุณรู้ว่าผมอยากเจอคุณมากแค่ไหน ผมเคยปฏิเสธคุณ นั่นเท่ากับว่าผมกำลังกลืนน้ำลายตัวเองอยู่” เจ้าตัวพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ ขณะที่ใบหน้าขาวยังจมอยู่กับอกของผมโดยไม่คิดเงยหน้า
และชยินร้องไห้ออกมาจริงๆ
ไอ้เหี้ย! เขาร้องไห้แต่ผมกลับรู้สึกยินดีตอนได้ยินเจ้าตัวระบายความรู้สึกออกมา
“กลืนน้ำลายตัวเองแล้วยังไง มันก็ดีไม่ใช่เหรอที่คุณยอมรับในตัวเอง” พูดไปสองมือก็ลูบหลังอีกฝ่ายไป เข้าใจดีว่าบางครั้งคนเราก็มักสับสนในตัวเอง ยิ่งเป็นชยินที่เป็นศิลปินด้วยแล้วก็ยิ่งอ่อนไหวกว่าคนปกติเป็นเท่าตัว
“ผมไม่เข้าใจว่าความรู้สึกชอบที่มีให้คุณมันจริงหรือเปล่า บางทีผมอาจจะหลงไปกับความแสนดีของคุณเท่านั้น”
“ลองดูมั้ยล่ะ เปิดใจหน่อย คุณจะได้รู้ว่าชอบจริงหรือแค่อยากชอบ”
ชยินเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมตรงๆ ดวงตาของเขามุ่งมั่น ซึ่งมันทำให้ผมต้องจริงจังกับบทสนทนาครั้งนี้ไปด้วย
“แล้วถ้าเกิดผมชอบคุณจริงล่ะ”
“เราก็มาคบกัน”
“แต่ถ้าคำตอบออกมาว่าไม่ใช่ คุณจะทำยังไง”
“ไม่ทำไง”
“...”
“ก็แค่รักคุณข้างเดียวต่อไป”เท่านั้นเอง...
ความงอแงของชยินทำให้ผมไม่อยากไปไหน นอกจากนั่งเป็นเพื่อนอีกฝ่ายจนเวลาล่วงเลยเกือบแปดโมงเช้า ซึ่งมันควรเป็นช่วงที่เราต้องนอนกันทั้งคู่
ดวงตาสองข้างของคนตรงหน้าเริ่มปิด เอาแต่นั่งสัปหงกอยู่ตรงโซฟา ขณะที่ผมก็เอาแต่เฝ้ามองอย่างไม่รู้สึกเบื่อ นานเหมือนกันกว่าจะรู้ตัวว่าควรปล่อยให้เขาได้พักผ่อนสักที
“ง่วงก็ไปนอนได้แล้ว” ชยินหันมามองผมนิ่งๆ เม้มริมฝีปากเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
“ถ้าผมนอนแล้วคุณล่ะ”
“กลับห้องไง”
“แล้วคุณยังจะมาเจอผมอีกใช่มั้ย” ผมหลุดหัวเราะทันควัน เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งสองครั้งที่เจ้าตัวเลือกถามย้ำประโยคนี้ แต่เป็นนับครั้งไม่ถ้วนต่างหาก
“มาสิ”
“ถ้าคุณอยากได้รับโอกาสจากผมคุณต้องมานะ”
เด็กน้อยเอ๊ย ขี้ยั่วฉิบหายเลยว่ะ
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ตอนเย็นว่างมั้ย” ผมสังเกตสีหน้าของชยินครู่หนึ่งก่อนเอ่ยต่อ “ผมนัดกับพี่ที่ร้านสักไว้ ว่าจะเข้าไปเติมลายนิดหน่อย คุณไปเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ”
“ในเมื่อคุณชวนผมก็จะไป”
“งั้นตอนห้าโมงเย็นผมออกมารับนะ”
“อืม” เจ้าตัวพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนผมจะอดใจไม่ไหวยกมือขึ้นยีหัวอีกฝ่ายอย่างลืมตัว
เราพูดกันอีกเล็กน้อยจากนั้นก็แยกย้าย ต่างคนต่างใช้เวลาทั้งหมดไปกับการพักผ่อน รอจนกระทั่งเวลานัดหมายมาถึงผมถึงได้เห็นชยินเดินลงมาจากคอนโด ก้มหน้าก้มตาเข้ามาภายในรถ ดูก็รู้แล้วว่าตาสองข้างบวมปูดเป็นลูกมะนาวขนาดไหน แต่ก็ไม่อยากทักเพราะกลัวเด็กน้อยจะงอนใส่อีกรอบ
“นอนพอมั้ย” ผมถามพลางสตาร์ทรถ
“พอดีนอนไม่ตรงเวลาตาเลยบวมนิดหน่อย” ผมนึกขำอยู่ในใจ ดูหาคำแก้ตัวเข้า ไม่ใช่เพราะร้องไห้หรอกเหรอตาถึงได้เป็นแบบนี้
“ใช่เหรอ”
“เลิกสนใจผมเถอะ สนใจตัวคุณเองดีกว่า จะสักเพิ่มอีกแล้วหรือไง” ในเมื่ออีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่อง ผมก็คงต้องตามน้ำโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
“ใช่”
“พูดตามตรงนะ ผมเห็นคนที่ได้สักครั้งแรกแล้วก็มักไม่มีใครหยุดแค่ครั้งเดียวอ่ะ เจอกันอีกทีรอยสักคุณอาจจะเต็มคอไปหมด”
“ทำไม หวงผิวผมเหรอ”
“จินตนาการเก่งสินะ ความจริงจะสักตรงไหนหรือมากเท่าไหร่มันก็เรื่องของคุณ เกี่ยวอะไรกับผม”
“นั่นสิ เจอกันเดือนหน้าผมอาจจะสักทั้งตัว อย่าตกใจล่ะ”
“ไม่กลัวว่าวันหนึ่งจะไม่ชอบมันหรือไง ถ้าเผลอเกลียดมันขึ้นมาก็ต้องลำบากลบอีก” ผมหันไปมองเสี้ยวหน้าคนข้างๆ แว๊บหนึ่งก่อนตอบ
“ผมตัดสินใจสักโดยไม่มีความคิดจะลบมัน ถ้าวันหนึ่งไม่ได้รักมันแล้ว ก็ยังดีที่อย่างน้อยเราเคยรัก”
“โคตรคำคมนักเขียน”
“เหมือนความรักไง ถ้าคุณได้ชอบใครจริงๆ ต่อให้เขาแย่แค่ไหนคุณก็จะมองมันเป็นเรื่องที่ดีเสมอ”
“ไม่จริงอ่ะ”
“จริง”
“อย่ามั่ว”
“ไม่มั่ว ขนาดคุณไม่มีเหี้ยอะไรดีเลยผมยังมองว่าคุณวิเศษ”
“ด่ากันขนาดนี้ก็ถีบผมตกรถไปเลยดีกว่า”
“อย่าท้านะ ทำจริง” พูดจบ ไหล่ซ้ายก็ถูกหมัดแน่นๆ พุ่งเข้าใส่อย่างจัง ชยินที่เวลาโมโหหรือเขินอะไรก็มักจะแสดงออกด้วยการทำร้ายร่างกายเนี่ยแหละ แต่อย่าให้กูได้พาขึ้นเตียงนะ พ่อจะทบต้นทบดอกที่เคยทำไว้ให้หมด
ระยะทางจากคอนโดไปร้านสักไม่ไกลมาก ใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีผมก็มาถึงร้านของรุ่นพี่เรียบร้อย
“โห กว่าจะมานะมึง” หลังเดินลงจากรถได้ไม่นาน เสียงทุ้มต่ำที่เป็นเอกลักษณ์ของรุ่นพี่เจ้าของร้านก็ดังขึ้น ผมเลยโบกมือให้แกเป็นการทักทาย ก่อนหันไปทางชยิน
“ไอ้ฝรั่งนั่นชื่อลี เป็นรุ่นพี่ที่คณะผม”
“อ๋อ”
ลีเป็นลูกครึ่งไทย - อเมริกัน รู้จักกันตั้งแต่ผมเข้าเรียนปีหนึ่ง ด้วยไลฟ์สไตล์และอะไรหลายๆ อย่างที่ตรงกัน ทำให้ผมค่อนข้างสนิทกับอีกฝ่ายพอสมควร
หลังเรียนจบ ลีก็ออกมาทำตามความฝันด้วยการเปิดร้านสักเป็นของตัวเองจนโด่งดังในกลุ่มวัยรุ่นและคนในวงการอาร์ตตัวพ่อ
“ไม่ต้องกลัว รุ่นพี่ผมใจหมาก็จริงแต่มันไม่ทำอะไรคุณหรอก”
ผมคว้ามือของชยินมาจับไว้ แล้วพาเขาเดินเข้าไปภายในร้านซึ่งถูกตกแต่งในสไตล์เรโทรหน่อยๆ ข้าวของหลายอย่างที่อยู่ในร้านเต็มไปด้วยของโบราณแต่ดูคลาสิก ซึ่งแม่งตรงข้ามกับการแต่งตัวของไอ้พี่ลีโดยสิ้นเชิง มันชอบแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้น ใช้สีทูโทนแบบน้อยแต่มาก ทว่าร้านกลับรกเหี้ยๆ
“ไงมึง ไม่เจอกันมาพักใหญ่ๆ พาเหยื่อมาเป็นลูกค้าเหรอ” สายตาคมจ้องตรงมายังชยิน ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ผมกระชับฝ่ามือบางนั้นให้แน่นขึ้น
“สงสัยเหยื่อพี่ต้องเป็นคนอื่นละ คนนี้ของผม”
“โห ออกตัวขนาดนี้เลย”
“นี่เพื่อนผมชื่อชยิน” คนตัวเล็กกว่ายกมือไหว้ ก่อนรุ่นพี่ตรงหน้าจะยิ้มรับอย่างเจ้าเล่ห์
“เพื่อนเหรอ ก็นึกว่าแฟน เห็นจับมือถือแขน”
“กลัวเด็กหลงเถอะ”
“โอเคๆ ช่วงเย็นนี้กูมีลูกค้าจองคิวเพิ่มอีกคน เพราะงั้นรีบขึ้นเขียงครับ ส่วนน้องชยินเข้าไปนั่งข้างในด้วยกันนะ เกิดเปลี่ยนใจอยากสักก็บอกพี่ได้ รับรองว่าจะคิดราคาพิเศษแบบคนกันเองเลย”
“เดี๋ยวขอดูก่อนแล้วกันครับ”
ผมยังมีรอยสักที่ต้องเพิ่ม ความจริงแล้วก็ไม่ใช่ตำแหน่งใหม่บนร่างกายอะไรหรอก แต่เป็นบริเวณข้อมือขวาที่เคยสักตัวเลขค้างไว้ในครั้งนั้น
“สักเลขต่อเลยมั้ย หรือขึ้นบาร์โค้ดให้ครบก่อน” พี่ลีถาม เขารู้อยู่แล้วว่าผมต้องการอย่างไหน และเพื่อจุดประสงค์อะไร
“บาร์โค้ดก่อน”
แถบบาร์โค้ดทุกตัวอักษรจะมีความแตกต่างกัน ดังนั้นเราอาจต้องใช้เวลากันค่อนข้างมากเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด
“แล้ววันนี้จะให้เติมตัวเลขให้ครบเลยมั้ย”
“ไม่”
“ยังไม่ชัวร์อีกเหรอ”
“รอก่อน”
ชยินเอาแต่นั่งมองตาแป๋ว สองคิ้วขมวดปมเล็กน้อยตอนที่ผมกับรุ่นพี่คุยกันในเรื่องที่เขาเองก็คงไม่เข้าใจ และคิดว่าชยินเองก็ไม่ได้อยากเสียมารยาทแทรกถามก่อน ผมจึงเป็นฝ่ายบอกเขาด้วยตัวเอง
“ผมจะสักรูปบาร์โค้ดตรงข้อมือ”
“ทำไมต้องเป็นบาร์โค้ด” เจ้าตัวถามกลับอย่างเร็วรี่
“เพราะผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นสินค้า เกิดมาก็เพื่อขายสิ่งที่มีให้กับคนอื่น ขายความภูมิใจให้ครอบครัว ขายความสามารถแลกเงิน ขายผลงานแลกชื่อเสียง ผมมันก็แค่สินค้าที่ทำเงินได้เท่านั้นแหละ”
ใบหน้าของคนฟังหงอลงเล็กน้อย ขณะพึมพำประโยคต่อมาด้วยน้ำเสียงผะแผ่ว
“คุณไม่ใช่สินค้า”
“...”
“คุณเป็นคนเหี้ย”
“วอนซะละ” หมดกันอารมณ์โรแมนติกที่คิดเอาไว้
“เออเหมาะกันดีว่ะ กวนตีนกันทั้งคู่” แล้วมันก็ต้องมีคนเสือกเข้ามามีส่วนร่วมอยู่ตลอดเวลา เช่นไอ้ช่างสักซึ่งกำลังหยิบแมสก์ปิดปากมาสวมอยู่ตรงหน้านี้
ผมนั่งอยู่ตรงเบาะรอเชือด ส่วนชยินนั่งอยู่ใกล้ๆ และให้ความสนใจกับอุปกรณ์หลายชิ้นที่ถูกทำความสะอาดอย่างดีแล้ว
ลีเริ่มลอกลายตามแบบที่ผมให้มาอย่างตั้งอกตั้งใจ ใช้เวลาไม่นานก่อนจะหยิบเข็มสักขึ้นมาและบรรจงกดลงไปบนข้อมืออย่างชำนาญ ระหว่างนี้ต่างคนก็ต่างชวนกันพูดคุยไปเรื่อยๆ คงมีแต่ชยินล่ะมั้งที่สีหน้าเริ่มซีดลงจนเห็นได้ชัด
“เป็นอะไร” เอ่ยถามอย่างนึกห่วง เดาว่าคงไม่ชินกับอะไรแบบนี้ แม้ครั้งหนึ่งจะปากดีบอกว่าอยากลองไปสักเขาบ้าง
“เลือดคุณออกอ่ะ แล้วคือผม...”
“กลัว?”
คราวนี้เจ้าตัวพยักหน้าหงึกหงัก ไม่ทันไรก็ถูกแทรกจากรุ่นพี่ตรงหน้าด้วยความเร็วแสง
“อาการแบบนี้ลูกค้าเคยเป็น หน้าซีด เวียนหัว แล้วก็อ้วกแตกอ้วกแตน คือบอกไว้ก่อนเลยว่าถ้าอ้วกตรงนี้พี่เตะให้ร่วงเลยนะ แขยง!”
เชี่ยยยย หน้าว่าที่เมียเหลือแค่นิ้วครึ่งแล้วเนี่ย และดูเหมือนว่าลีจะรับรู้ด้วย
“โธ่…ขวัญเอ๊ยขวัญมา แค่ล้อเล่นน่า”
ขวัญมันคงไม่มาแล้ว แม่งหายไปเหมือนสติของพี่มึงตอนนี้ไง
“เล่นแรงนะเนี่ยพี่” ชยินยิ้มแหยส่งมาให้
“มีคนเรียกพี่แบบนี้ไม่ชินว่ะ ปกติเรียกแต่ไอ้เหี้ย”
“ก็เหี้ยจริง” ผมสำทับด้วยอีกคน
“ปากดีไอ้ยุค อยากเลือดสาดเหรอ” เก่งแต่ขู่แหละครับ ผมชินแล้วเลยไม่ได้แคร์อะไร จะมีก็แต่คนข้างๆ นี่แหละมั้งที่ดูเหมือนจะตื่นตระหนกไปซะทุกเรื่อง ยิ่งตอนที่เข็มสัมผัสไปบนผิวแล้วทิ้งรอยแดงเอาไว้ เขาก็ยิ่งสูดลมหายใจหนักหน่วงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“เจ็บมั้ยล่ะนั่น” เห็นเงียบอยู่นาน สุดท้ายชยินก็ถามเสียงแผ่ว
“ขอจับมือหน่อย ตอนนี้เจ็บระดับสิบ เนี่ยน้ำตาจะไหลละ”
“ตอแหล” กับเรื่องบางเรื่องนี่เก่งจัง
“หน้ามืดมาก พร้อมเป็นลมได้ทุกเมื่อ”
“เดี๋ยวโทรเรียกหมอให้เตรียมห้องเก็บศพให้”
“ไม่ต้องเรียกหรอก แค่คุณก็พอ” ผมใช้จังหวะที่อีกฝ่ายยังคงอึ้งๆ อยู่ ด้วยการคว้ามือบางมาจับไว้แน่น
ฝ่ามือของชยินอบอุ่น ลื่นมือ พอจับทีไรก็รู้สึกว่าผมเป็นคนโชคดีคนหนึ่งที่บังเอิญได้เจอเขา ในวันที่โคตรจำเจกับชีวิตแสนราบเรียบตลอดหลายปี คนคนนี้เปลี่ยนทุกอย่างให้ดีขึ้น
ลีมองไปเบะปากไปเป็นระยะ แต่ก็ไม่ได้พูดขัด ยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของตัวเองต่อ ชยินเองก็เช่นกัน เวลาที่ผมจ้องมองเขา ราวกับเห็นเด็กคนหนึ่งที่อายุน้อย เห็นเพื่อนที่อายุเท่ากัน เห็นผู้ใหญ่ที่กำลังมองหาความมั่นคงในชีวิต ทุกอย่างรวมอยู่ในคนที่ชื่อชยินเพียงคนเดียว
แค่นี้ก็พอจะเป็นเหตุผลได้แล้ว ว่าทำไมผมถึงชอบเขามากมายขนาดนี้
ฝ่ามือที่จับผมเริ่มชื้นเหงื่อ นานเข้าก็เลยรู้สึกสงสารกลัวเด็กจะร้อน เลยตั้งท่าจะปล่อยมือ ทว่ายังไม่มีโอกาสได้ทำอย่างนั้นชยินก็กระชับฝ่ามือของเขาให้แน่นขึ้น
“กลัวจะร้อน” ผมบอกไปยิ้มไป
“ไม่ร้อน ถ้าปล่อยมือผมคุณจะเจ็บนะ”
“ใช่ๆ เจ็บจริงๆ ด้วย” กะอีแค่เข็มสัก มีอะไรระคายผิววะ แต่ในเมื่อคิดจะทำการใหญ่แล้วใจก็ต้องเหี้ยพอสมควร รีบเปลี่ยนเรื่องถามต่อให้ว่อง “เบื่อมั้ย”
“ไม่นะ”
“อยากอ้วกมั้ย”
“ชินแล้ว”
เราอยู่กันแบบนี้อยู่เกือบสองชั่วโมงกว่าจะลงรายละเอียดสิ่งที่ต้องการสักจนเสร็จ ตอนนี้ข้อมือของผมมีบาร์โค้ดครบทุกแถบแล้ว ยังคงขาดเพียงตัวเลขที่ต้องการระบุเท่านั้น ครั้งแรกผมสักเลขหนึ่งทิ้งไว้ก่อน รอก็แต่เวลาว่าจะตัดสินใจมาเพิ่มตัวเลขที่เหลือกเมื่อไหร่เท่านั้น
ตอนอยู่ในห้องชยินนั่งหาวไปแล้วเกือบสิบรอบ ยิ่งเห็นตาปรอยๆ แบบนี้ในใจก็อยากพากลับไปนอนซะให้รู้แล้วรู้รอด เพราะงั้นหลังสักเสร็จผมจึงไม่รอช้าเอ่ยลากับรุ่นพี่แล้วพาชยินกลับทันที
“เดี๋ยวผมแวะซื้อข้าวกล่องให้คุณเก็บไว้กินที่ห้องนะ”
“ทำไมอ่า” เจ้าตัวถามเสียงยานคาง อะไรจะง่วงปานนั้น
“เผื่อกินเสร็จแล้วง่วงก็นอนเลยไง อยู่แบบนี้จะยิ่งฝืนตัวเองเปล่าๆ”
“ไม่นะ”
“อย่าเถียง”
“ไม่ได้เถียง ก็ข้าวกล่องมันไม่อร่อย” เจ้าตัวบ่นอุบอิบ ผมเลยอดไม่ได้รีบละมือจากพวงมาลัยข้างหน้าเพื่อลูบกลุ่มผมนุ่มนิ่มอย่างหมั่นเขี้ยว ชยินปัดออกอย่างไวว่องก่อนตวัดตาขวางใส่
“แล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะครับ” อยากรู้เหมือนกันว่าสิ่งที่เขาต้องการตอนนี้คืออะไรกันแน่ เพราะต่อให้อยากได้อะไร ผมสาบานได้ว่าจะหามาให้ทุกอย่าง
“ผมอยากทำเอง พอดีของสดที่ซื้อมาครั้งก่อนยังเหลืออยู่เยอะมาก และมันก็ใกล้หมดอายุแล้วด้วย”
“อ๋อ แล้วแต่คุณเลย”
“แต่ว่า...แต่ว่าเพราะของสดเยอะ ผมเองก็น่าจะกินคนเดียวไม่หมด”
“อาฮะ” ขานรับไปก็นึกขำในใจไป
“คุณเองก็มากินด้วยกันสิ”
“นี่คือคำชวน?”
“อืม”
“นี่คือการเปิดใจด้วยมั้ย”
“แล้วแต่จะคิด”
“งั้นตกลง มือนี้ขอฝากท้องไว้ที่คุณแล้วกัน”
รถเคลื่อนตัวออกไป ท่ามกลางบรรยากาศเดิมๆ และความราบเรียบของชีวิต ผมมองเห็นความสุขเล็กๆ ที่ถูกจุดขึ้นภายในใจของตัวเอง และเชื่อเหลือเกินว่ามันไม่เพียงเกิดขึ้นกับผม ทว่าในใจของใครบางคนก็รับรู้ได้ถึงมันเช่นกัน
อ่านต่อด้านล่างค่ะ