Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #43 ถ้ำของเจ้าข้าจะรับเอาไว้ วะฮ่าๆๆ (5/11)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #43 ถ้ำของเจ้าข้าจะรับเอาไว้ วะฮ่าๆๆ (5/11)  (อ่าน 22722 ครั้ง)

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
พี่เว่ยเกือบฉลาดแล้ว

น่ำเก็งฝึกวิชาไร้ตัวตนหรือเปล่า? ซีคงก็ไม่ฟอลโลว์ น้องเหยียนก็มองทะลุไปหาหมี

ช่างมีฝีมือสูงส่งซะจริง

ซีคงเป็นนักประดิษฐ์นี่เอง ลองทำเครื่องมือจับผู้ที่น่ากินดูไหม? ฉันจะทุ่มเป็นนายทุนหมดกระเป๋าเลย อิอิ

ออฟไลน์ xexezero

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รอพี่อวิ๋นกะน้องหยู :o8:

ออฟไลน์ Kirimanjaro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0

wnkth:  ฮิ ๆ  แฟนคลับอันดับหนึ่งของเสี่ยวหมีเลยล่ะ

♥►MAGNOLIA◄♥:  อวิ๋นเดียวกันครับ   แปลว่าเมฆเหมือนกัน
ฮ่า ๆ ตอนตั้งชื่อผมก็รู้สึกคุ้น ๆ เหมือนกัน  คืออ่านมังกรคู่เมื่อ 6-7 ปีที่แล้ว  ลืมล่ะ

mild-dy:  :mew1:

JustWait:  พระเอกจริง ๆ คือหลิวเกา  #ผิดกว่าเดิม

alternative:  น่านสิ   เต๋าแห่งทรานสเพอเรนซี่
เครื่องมือไม่ต้องสร้างครับ   แค่จับคุณชายหยูไปแขวนไว้หน้าบ้าน  เดี๋ยวก็มาเอง  #ช่างมั่นใจตัวเองเหลือเกินนะอาหยู

 xexezero: พี่อวิ๋นหายไปสักพักล่ะฮะ   ให้โอกาสคู่แข่งทำคะแนน  อิอิ


+++++



ศิษย์น้องเหยียนแบ่งกำลังออกเป็นสามกลุ่ม   กลุ่มเข้าชนซึ่งจะต้องมีความแข็งแรงและสามารถเคลื่อนที่ได้ว่องไว  กลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวยุทธรับจ้าง  ซีคงหยูก็อยู่ในกลุ่มนี้   กลุ่มที่สองคือกลุ่มสนับสนุน  มีวิชาเซียนที่ใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการต่อสู้ลดความสามารถของศัตรู  เช่นวิชาเซียนสายน้ำแข็งของคุณชายน่ำเก็ง  และกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มโจมตีระยะไกล

ซีคงหยูกระชับดาบในมือให้มั่น  เขาและกลุ่มเข้าชน  เดินย่อตัวเข้าใกล้อสูรกิ้งก่าโบราณอย่างระมัดระวัง   เขาไม่รู้สึกหวาดหวั่นเหมือนครั้งก่อน ๆ เพราะอสูรตัวนี้ดูไม่ดุร้ายและไม่น่าเกลียดน่ากลัว  และจากประสบการณ์การลงเหมืองมาแล้วสองครั้ง  เขาพบว่าการจัดยุทธวิธีของศิษย์น้องเหยียนดูก้าวหน้ากว่าซ่งจิน  ซึ่งทำให้เขารู้สึกปลอดภัยมากขึ้น

เขามองตรงไปข้างหน้า  คนที่ฝึกวิชายุทธเข้าเขตแดนตะวันขึ้นสาย  จะมีดวงตะวันในจุดตันเถียน  มันเหมือนกับดวงแสงสีทองที่ไม่มีเนื้อหนัง  มีแต่พลังงานที่ไหลเวียนไปมา  แสงของดวงตะวันจะส่งผ่านเส้นเมอริเดียนทั่วร่างกายไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ได้แก่ประสาทสัมผัสทั้งห้า  และองคาพยพทั้งสี่  พลังปราณที่ถูกเก็บกักแล้วหน่วงไว้จะทำให้ดวงตาของผู้ฝึกยุทธทำงานได้ดีกว่าปกติ   พวกเขามองเห็นในความมืดได้ดีขึ้น  และที่สำคัญก็คือ  ตอนนี้พวกเขาจะสามารถรับสัมผัสรัศมีที่แผ่ออกมาจากผู้มีพลังยุทธ  อสูร  และของวิเศษ  ภาพที่พวกเขาเห็นมันไม่ได้ปรากฏชัดเจนเหมือนวาดเส้นสี  แต่เป็นความรู้สึกเหมือนกับมองเห็นสีสันลี้ลับที่ไม่เคยมองเห็นและรู้จักมาก่อนในทุก ๆ สิ่ง  รัศมีลี้ลับนี้ทำให้ผู้บำเพ็ญพรตสามารถตัดสินซึ่งกันและกันได้ว่าแต่ละฝ่ายบำเพ็ญพรตถึงขั้นใด  และถึงแม้ว่าสีสันเหล่านั้นเป็นสีสันที่มนุษย์บรรยายไม่ถูก  แต่พวกเขาก็แทนและเทียบเคียงมันด้วยแสงสีรุ้ง  โดยสีแดงคือระดับพลังพรตที่ต่ำที่สุด  และเมื่อมันมีความโน้มเอียงเข้าใกล้สีส้มมากเท่าใด   มันก็แปลว่าคนผู้นั้น  หรืออสูรตนนั้นมีระดับพลังพรตเข้าใกล้เขตแดนเมฆาเคลื่อนคล้อย

และในตอนนี้อสูรที่ซีคงหยูมองเห็นตรงหน้า  กิ้งก่าหลังหนาม  รัศมีของมันเกือบจะเป็นสีส้ม  ถือเป็นอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา 

เมื่อหน่วยเข้าชนเคลื่อนที่ไปใกล้จนเกือบจะถึงระยะ  คุณชายน่ำเก็งก็คลี่พัดหยกสีฟ้า  จากนั้นเริ่มร่ายรำบูชาเทพเจ้าน้ำแข็ง  การร่ายรำเป็นหนึ่งในวิธีการผสมผสานวิชาเซียนเข้ากับวิชาท่าร่าง  ในขณะที่จิตโคจรปราณ   ร่างกายก็ยักย้ายสร้างอีกวงจรที่สอดคล้องและขยายพลังซ้อนทับเข้าไปอีกชั้น

มือขวาสะบัดพัดหยก   อุณหภูมิลดต่ำลง

เท้าซ้ายยกขึ้นและย่างไปข้างหน้า  ไอเย็นเริ่มจับตัว

แขนเสื้อวาดและหมุนเหมือนกับพระจันทร์เสี้ยว  หิมะโปรยปราย

โดยไร้ซึ่งจังหวะและสรรพเสียง  สี่องคาพยพยักย้ายสร้างเขตแดนอันหนาวเหน็บขึ้นมาในพริบตา

“โจมตี” 

เมื่อได้รับสัญญาณ  ซีคงหยูก็ดีดตัวไปข้างหน้าจากท่าย่อรอโจมตี  เขาใช้กระบวนท่าพยัคฆ์ลงจากภูเขาฟาดฟันดาบไปเบื้องหน้า  อสูรกิ้งก่าหลังหนามรู้สึกตัวและเห็นเหล่ามนุษย์พุ่งเข้าใส่  มันอ้าปากแดงฉานคำรามลั่นจนพื้นสั่นสะเทือน   แล้วพลิกตัวบิดหลัง  เหวี่ยงหางลูกตุ้มเข้ากวาดใส่ผู้บุกรุก

“มังกรดั้นเมฆ!”  คุณชายสามตะโกน  สะกิดเท้าอาศัยแรงเหวี่ยงของดาบข้ามหางอันตรายของอสูรไปอย่างหวุดหวิด  ร่างของเขาซิกแซกลงมาที่พื้นและดาบก็กรีดเข้าไปในหนังของมันเกิดรอยแผลสีแดงสด

เมฆไร้ลักษณ์  มังกรไร้ร่องรอย  เมื่อจะดั้นเมฆก็ต้องแปรเปลี่ยนไปตามกระแสลมและฝน

ซีคงหยูโจมตีสำเร็จก็ไม่ชะล่าใจ  สะบัดดาบในมือให้เกิดแรงต้าน  แล้วรีบพุ่งตัวถอยหลังเหมือนกับมังกรที่ถูกตีขนดหาง  หน่อยเข้าชนคนอื่น  โจมตีมันต่อกันติด ๆ เหมือนกับยิงกระสุนลูกปราย  อสูรกิ้งก่าหลังหนามได้รับแผลตื้นเป็นจำนวนมาก  มันกรีดร้องอย่างโกรธเกรี้ยว  แผงคอของมันตั้งชันเหมือนครีบปลาหมอที่ถูกจับขึ้นมาบนบก   หางลูกตุ้มของมันเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา  และคอยาวก็พยายามไล่งับผู้คนเหมือนเป็นงูตัวหนึ่ง

ทว่าด้วยวิชาเซียนน้ำแข็งของคุณชายน่ำเก็ง  มันเคลื่อนไหวเชื่องช้าเกินกว่าที่จะไล่ตามชาวยุทธเหล่านั้นทัน  ระหว่างที่อสูรกำลังโรมรันพันตูกับหน่วยโจมตีระยะใกล้  หน่วยโจมตีระยะใกลก็เริ่มตระเตรียมวิชาเซียนและเพลงอาวุธของตน  บางคนใช้ธนูหน้าไม้แบบซ่งจิน  และบางคนก็ใช้ไม้ไผ่ผนึกหยก  ผู้ที่ใช้ไม้ไผ่  กระแทกอาวุธของตนลงกับพื้น  หลับตาโคจรพลังปราณ  ประสานใจเข้ากับฟ้าดิน  และท่องบ่นบทสวดที่ใช้ควบคู่กับวิชาเซียนนั้น  เมื่อโคจรปราณในจิตครบวงจรที่กำหนด  นางก็ลืมตา  ในแววตามีประกายเจิดจ้า  กิ่งไผ่ผนึกหยกในมือพลันงอกกิ่งก้านสาขาราวกับมีชีวิต   ใบของมันแตกออกตามช่อพุ่ม  และราวกับมีลมที่มองไม่เห็น  ใบไผ่ปลิดปลิวหมุนวนแล้วพุ่งเข้าโจมตีอสูรกิ่งก่าในทันที

“หลบ ๆๆๆ”

มีคนตะโกนบอก  ซีคงหยูเลยกลิ้งตัวหลบไปด้านหลัง   ใบไผ่  ห่าธนู  และวิชาเซียนระยะไกลอื่น ๆ ก็พุ่งเฉียดใบหูเขาเข้าไปฝังตามตัวอสูรโบราณที่ร้องคำรามอย่างเกรี้ยวกราด

มันคู้ตัวยกเท้าหน้าขึ้นกระทืบพื้น  สองตาแดงฉานมองเขม็งไปยังกลุ่มโจมตีระยะไกล  เมื่อเห็นอสูรเขม็งร่างกายเตรียมวิ่งเข้าใส่  ศิษย์น้องเหยียนก็ตะโกนบอกกลุ่มโจมตีระยะไกลให้วิ่งหนีกระจายออกไป  ในจังหวะนั้น  ผู้นำกลุ่มโจมตีระยะใกล้ก็พาสมาชิกเข้าไปตามฟาดฟันหลังและหางของอสูรเหมือนฝูงผึ้งที่ไล่โจมตีหมี

สักพักหนึ่ง  อสูรกิ้งก่าก็เปลี่ยนใจ  มันหันกลับมาแว้งกัดผู้โชคร้ายที่ก่อกวนมันข้างหลัง  ชาวยุทธผู้นั้นกรีดร้องผสมกับเสียงกระดูกแตกร้าว  เขี้ยวของอสูรงับเข้าไปกลางบ่า  และขากรรไกรของมันก็ขบจนกระดูกช่วงอกของเขาแหลกละเอียด  คุณชายสามเห็นแล้วก็กลืนน้ำลายอย่างตระหนก  แต่ก็กัดฟัน  ฉวยจังหวะที่มันยุ่งกับเหยื่อรายนั้น  เข้าไปซ้ำอีกหลายแผล  ขณะเดียวกันหางตาก็คอยเหลือบจ้องระวังหางลูกตุ้มของมันที่จะแกว่งมาฟาด

เพลงดาบของเขาลื่นไหลเป็นธรรมชาติมากขึ้น  รูปแบบอันตายตัวของเพลงดาบถูกปรับเปลี่ยน  บางทีมันก็ไม่ใช่ทั้งสามกระบวนท่า  และบางทีมันก็เหมือนกับเขาใช้หลาย ๆ กระบวนท่าไปพร้อม ๆ กัน

เมื่อเห็นว่าความสนใจของอสูรกลับไปอยู่ที่หน่วยท้าชน  ศิษย์น้องเหยียนจึงเรียกกองกำลังโจมตีระยะไกลมารวมกันใหม่และเริ่มต้นร่ายวิชาเซียนกันอีกครั้ง   หน่วยธนูที่โจมตีได้ทันทีก็ต้องหยุดรอ  เพราะหากว่าพวกนางดึงความสนใจของอสูรมาทางแนวหลังก่อนเวลาอันควร  ผู้ที่ใช้วิชาเซียนซึ่งต้องการระยะเวลาร่ายนานก็จะไม่สามารถหลบหนีได้ทัน

 คณะสำรวจหมุนเวียนโจมตีอย่างนี้อยู่สามสี่รอบ  อสูรกิ้งก่าหางหนามก็ร้องโหยหวนเป็นครั้งสุดท้าย  ก่อนล้มครืนลงไปด้านข้างจนเสียงสะเทือนดังสนั่น  พวกเขาเข้าไปช่วยกันชำแหละ   หาแกนอสูรและชิ้นส่วนที่สามารถใช้ทำยาเซียนและอาวุธ  บางคนเลื่อยหนามที่หลังของมันออกมา  และพินิจพิจารณาความเหนียวและความแข็งแกร่งของมัน  บางทีมันอาจจะถูกใช้ทำชุดอาวุธลับหรือหนามแส้ก็เป็นได้

ซีคงหยูนั่งพักอยู่ใกล้ ๆ  เขาเปิดน้ำมาดื่มและหายใจลึก ๆ เพื่อลดอาการมือสั่น  เขาเพิ่งเคยเห็นคนถูกอสูรฆ่าตายใกล้ ๆ  คราวที่ไปกับหลี่โอ๋อวิ๋นและซ่งจิน  เขารับหน้าที่วิ่งล่อ  และเมื่ออยู่ใต้ฤทธิ์ของหนู่โม่หวาง  ความทรงจำก็เหมือนกับเป็นภาพที่พร่าเลือนไปหมด   สักพักก็รู้สึกถึงสายตาที่มองมา  เลยหันไปดูและพบว่าศิษย์น้องจิ่งกำลังท้าวสะเอวมองอยู่  เขาเลิกคิ้วกลับไปเป็นเชิงถาม

“สหายซีคง  ไม่นึกว่าจะทำได้ดี”   นางเอ่ยชม  แต่ไม่ทันที่คุณชายสามจะรับคำชม  นางก็กล่าวต่อ  “ฝึกอีกยี่สิบปีก็น่าจะเก่งเท่าศิษย์พี่หลิว  พยายามเข้านะ”

ยี่สิบปีบิดาเจ้าสิ!  ซีคงหยูสบถในใจแล้วปาขนมเปี๊ยะไล่

ศิษย์น้องเหยียนเดินเข้ามา  แล้วตบบ่า

“ไม่อยากเชื่อเลยว่าศิษย์พี่ซีคงจะใช้เพลงดาบพื้นฐานได้ชำนาญขนาดนี้  เสี่ยวหมีสอนมาใช่มั้ย”

ซีคงหยูเหลือกตาแล้วตอบ  “ไม่ใช่”

“งั้นเดาอีกที  หลี่โอ๋อวิ๋น?”

ซีคงหยูส่ายหัว  อีกฝ่ายเลยทาบอกอุทาน

“ตายแล้ว  นี่ศิษย์พี่ซีคงแอบมีชายอื่นหรอ”

“ใช่ ๆ  ชื่อซ่งมู่  จมูกบี้นิด ๆ แต่หล่อน่ารัก  เพ้ย...คว่ำโต๊ะ  เจ้าคิดถึงเรื่องอะไร!”

ศิษย์น้องเหยียนหัวเราะคิกคัก 

“ฮิฮิ  คนนั้นนี่เอง”   นางนึกถึงนักดาบหน้าตาดีที่เจอหน้าค่ายวันนี้

“พอเลย  หยุดคิดอกุศล  เมื่อไหร่จะไปต่อ”

“ศิษย์พี่มีแรงก็ลุกมาสิ”  นางช่วยดึงเขาให้ลุกขึ้น  จากนั้นบอกกับเขาอย่างเป็นห่วงเป็นใย  “ศิษย์พี่ซีคง  การต่อสู้ต่อไปต้องระวังให้ดี  ศิษย์พี่ไม่ใช่คนตัวเปล่าเล่าเปลือยแล้วนะ  ต้องรักษาเนื้อรักษาตัวไว้ให้กับจอมยุทธหลี่และจอมยุทธซ่ง”

ซีคงหยูฟังแล้วก็เหลือกตามองสวรรค์เบื้องบน


+++++ 



เทอราโนดอนตัวสุดท้าย  เบิกตากว้างมองผู้สังหารมัน  ม่านตาของมันเป็นรูปลิ่มสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ  แก้วตาสะท้อนแสงเป็นมันวาวก่อนจะค่อย ๆ หม่นประกายตามลมหายใจที่เหือดหาย   เสียงร้องสั้น ๆ ครั้งสุดท้ายเหมือนกับการบอกลาโลกและผู้บุกรุกแปลกหน้าที่มันไม่รู้จัก  มันเคยมีรังที่สร้างบนหน้าผาสูงลิ่ว  ไข่ที่ยังไม่ฟักและคู่ครอง  ตราบกระทั่งเมื่อมันถูกกลืนหายในท้องฟ้าและทะเลดาวอันมืดหม่น

ซีคงหยูมองเห็นเงาของตนเองสะท้อนในดวงตาอสูรที่สิ้นลมหายใจ  เงาของเขาพร่าเลือนเพราะสีขาวหม่นที่เริ่มปรากฎเคลือบวุ้นใสลูกนั้น  เขามองดาบที่อยู่ในมือและในเงาสะท้อน  มันเปื้อนเลือดที่ทั้งสดใหม่และแห้งกรัง  และก็คงจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำตามกระแสลมอันพัดหวีดหวิวอยู่รอบตัว

ระบำบวงสรวงเทพน้ำแข็งสิ้นสุด  คุณชายน่ำเก็งทิ้งตัวลงกับพื้นด้วยความเหน็ดเหนื่อย  การต่อสู้นี้เป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้าย  สิ่งที่เหลืออยู่ก็เพียงแค่รอให้หัวหน้าคณะนำกุญแจเหมืองไปสอดเข้าแท่นบันทึก

“ท่านดูเศร้าใจ”

“ไม่  แค่เหนื่อย”  ซีคงหยูตอบทั้ง ๆ ที่ห่อไหล่  เขาไม่สนใจหันไปดูด้วยซ้ำว่าใครถาม

เขาเดินไปเรื่อย ๆ ไปสุดเขตแดนมิติลี้ลับที่อยู่ไม่ไกล  เขารู้ได้อย่างไร  ก็เพราะมันมีม่านมิติที่มองออกไปเห็นทะเลดาวและดวงดาราอันมืดดำดวงยักษ์ลูกนั้น

ซีคงหยูนั่งกับก้อนหินใกล้ ๆ ที่หันหน้าไปทางมิติอันถูกกัดกร่อน  และปล่อยให้แสงขาวอันห่อหุ้มดาวสีดำอาบไล้ใบหน้าของตน  เมื่อจ้องดูสักพัก   เขาก็วางดาบในมือลงข้างตัวและปลดห่อผ้าสะพายหลังออกมาดู  ในห่อผ้ามีอาหารและเสื้อผ้าสำรอง  และไม่เพียงเสื้อผ้าสำรอง   เขายังมีกังหันเล็ก ๆ   มันมีก้านตรงเหมือนกับก้านลูกกวาด  ตัวใบกังหันทำจากไม้และเคลือบด้วยโลหะบางชนิดที่มีเส้นใยต่อกันเป็นลวดลายเหมือนรังแมงมุมอันเป็นระเบียบ  เขามองกังหันในมือและจำได้ว่าตอนที่ประดิษฐ์มัน  เขาต้องหลอมโลหะผสมบางอย่างให้ละลาย  ใส่เครื่องมือรีดเส้นเล็ก ๆ แล้วค่อย ๆ หยอดลงไปให้เป็นลวดลายตามพิมพ์เขียว  ในพิมพ์เขียวบอกว่า  มันคือเครื่องมือติดต่อสื่อสาร  เหมือนกับนกกระเรียนกระดาษที่มีวงจรเซียนอยู่ภายในและขับเคลื่อนด้วยพลังปราณ  ผู้รับนกกระเรียนสามารถได้รับข้อความและอัดพลังปราณส่งมันกลับไปได้

ทว่ากังหันนี้กลับไม่เคยใช้งานได้จริงดังที่พิมพ์เขียวระบุ   เขาแค่เก็บมันไว้เป็นที่ระลึก  จนกระทั่งเมื่อเขาได้ลงมาเห็นรอยต่อของเหมืองกับมิติลึกลับ  จึงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา  ซีคงหยูลุกขึ้น  เขาเลียริมฝีปากแห้งผากโดยไม่รู้ตัว  ลิ้นของเขาแตะที่ปลายจมูกของตนเอง  ก่อนจะหายลับเข้าไปในปาก  โดยที่แทบไม่ได้ช่วยให้ความชุ่มชื้นเพิ่มขึ้นเท่าใด  และเหมือนจะรู้สึกตัว  คุณชายสามจึงปลดกระบอกไม้ไผ่หยกเย็นที่เหน็บไว้ข้างเอวมาดื่มน้ำในนั้นก่อนจะพบด้วยความผิดหวังว่าไม่มีของเหลวในกระบอกเหลือสักหยด

เขาเก็บกระบอกน้ำไว้ข้างเอวเหมือนเดิมด้วยอาการยอมแพ้  มันเป็นของที่เขาแอบยึดมาจากหลี่โอ๋อวิ๋น  และเมื่อมันใช้งานได้ดีเขาจึงพกติดตัวไปทุกที่  ซีคงหยูจ้องมองความลี้ลับของทะเลดาวและเศษซากของมิติที่วิ่งเกาะกันเป็นกลุ่มเหมือนฝุ่นผงปลายดาวหาง   มันโลดแล่นไปมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนกับว่าเป็นภารกิจทั้งชีวิต

เขาค่อย ๆ ยกกังหันในมือ  สองมือทาบเข้าหากันที่ก้านกังหัน  ขยับมือเบียดให้มันหมุน  ใบของมันหมุนอย่างรวดเร็ว  กินอากาศรอบ ๆ ตัวเข้าไปพยุงให้ลอยจากฝ่ามือเจ้าของ  แต่แม้กระนั้นมันก็ลอยขึ้นไปอย่างเชื่องช้าเหมือนเกสรดอกแดนดิไลออน  โดยที่ไม่มีใครทันสังเกต  แม้ซีคงหยูเองก็ไม่ทราบว่า ณ วินาทีไหน  ที่กังหันสื่อสารลอยออกไปเคว้งคว้างอยู่ท่ามกลางทะเลดาวอันมีดาวสีดำสนิทเป็นฉากหลัง

มันหมุนช้าลงไปชั่วขณะหนึ่ง  แต่แล้วก็หมุนเร็วขึ้นเหมือนกับพยายามปรับตัวตามทิศทางลม   ซีคงหยูไม่รู้ว่าข้างนอกนั่นมีลมหรือไม่  แต่กังหันของเขาหมุนวนอย่างทระนง  ก่อนจะปลิวหายลับไปจากสายตาในที่สุด

“นั่นอะไร”  ศิษย์น้องจิ่งซึ่งมายืนดูตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบถามอย่างสงสัย

“กังหันลม”

“โอ้  มันบินออกไปข้างนอกได้ด้วย”

“มันเป็นกังหันวิเศษ”  คุณชายสามยกยิ้มที่มุมปาก  ไม่มีใครรู้หรอกว่า  ในใจของเขาลิงโลดแค่ไหน  พิมพ์เขียวของวัตถุกลไกทั้งหมดไม่ใช่เรื่องไร้สาระ  มันใช้งานได้จริง

“ปล่อยให้ข้าอยู่คนเดียวสักครู่”  ซีคงหยูชำเลืองมองศิษย์น้องจิ่งซึ่งฟังแล้วทำแก้มป่อง

“ถ้าไม่เห็นแก่ศิษย์พี่หลิว  ข้าก็ไม่อยากมาดูแลเจ้าหรอกสหายซีคง”

ซีคงหยูทำเสียงเบา ๆ ในคอ  ก่อนตัดสินใจว่าจะไม่สนยัยหมาจู  ในหัวของเขาเต็มไปด้วยความคิดพลุ่งพล่าน  จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาลองสร้างวัตถุกลไกตามพิมพ์เขียวมรดกทั้งหมดแล้วมาทดลองที่นี่   ของเล่นบ้าบอที่เขาเล่นมาตลอดสิบกว่าปีจะไม่ใช่เรื่องไร้สาระแล้วอย่างงั้นหรือ  ถ้าสมาคมเต๋าแห่งกลไกรู้เรื่องนี้  ตาแก่พวกนั้นจะมาแย่งชิงสมุดบันทึกของเขาไปมั้ย

ความคิดของเขาถูกขัดจังหวะ  เมื่อศิษย์น้องเหยียนเสียบกุญแจเหมืองเข้าแท่นบันทึก  มันประกาศชื่อผู้คุมเหมือง  ซึ่งไม่ใช่เขา  ซีคงหยูไม่สนใจ  จ้องมองทะเลดาวภายนอกอย่างเนิ่นนาน  ก่อนจะถอยกลับไปเมื่อผู้นำคณะเรียกให้ทุกคนไปรวมตัว


+++++




ซ่งมู่รู้สึกเหนื่อย   แต่เขาไม่สามารถหยุดได้  เส้นทางมีแค่สองทาง  ไปข้างหน้าหรือล่าถอย  กระแสน้ำที่เชี่ยวกรากของลำธารอาจจะทำอันตรายผู้มีพลังยุทธไม่ได้  แต่มันก็กัดกร่อนพลังของผู้คนเหมือนกับผูกกระสอบทรายไว้ที่เอว  การไล่ล่าในธารน้ำระหว่างช่องแคบของหุบเหวเป็นภูมิประเทศที่เขาไม่คุ้นชิน  แต่ศัตรูก็ลำบากไม่แพ้กัน

ลูกทีมของเขาตามมาทางด้านหลัง  ทุกคนย่างเท้าไปข้างหน้าต้านทานกระแสน้ำ  พร้อม ๆ กับที่เงื้ออาวุธในมือของตนและตระเตรียมวิชาเซียนให้พร้อมโจมตีตลอดเวลา   สัตว์ร้ายที่วิ่งหนีเตลิดไปในพงไพร  ไม่แน่ว่ามันจะประสาทเครียดเขม็งเท่าผู้ล่า  มันอาจจะวิ่งไปเรื่อย ๆ ด้วยความตื่นกลัว  เพราะมันรู้แน่ว่ามีนายพรานที่กำลังไล่ล่าและคอยทำร้าย  ทว่านายพรานนั้นเล่า  เขาไม่สามารถเริงใจไปกับการล่าได้โดยสิ้นเชิง  การเป็นผู้ล่ามันก้ำกึ่งระหว่างความรู้สึกเหนือกว่าและความหวาดผวาว่าสัตว์ร้ายจะย้อนกลับมา  ซุ่มอยู่ในป่ารกและคอยกระโจนเข้าใส่ด้วยเขี้ยวเล็บอันแหลมคม

แต่ซ่งมู่ไม่ใช่ทั้งนายพรานและสัตว์ร้าย  เขาคือเหยื่อล่อ  คือม้าตื่นที่ปล่อยให้วิ่งไปในราวไพร  กลิ่นของเหงื่อและเลือดเนื้อม้าจะหอมหวลดึงดูดสัตว์กินเนื้อให้กระโจนตามอย่างหื่นกระหาย  ซ่งจินคือนายพรานที่แท้จริง  ทีมของเขาใช้เส้นทางที่ลัดเลาะไปบนขอบเหวอันมองลงไปเห็นลำธารและกลุ่มผู้ล่าและผู้ถูกล่าที่เตลิดไปอยู่ลิบ ๆ  ภูมิประเทศนี้เป็นรูปแบบที่เขาชื่นชอบที่สุด  เพราะมันเหมือนกับไหที่มีทางเข้าเพียงทางเดียว  และการไล่ต้อนตีตะพาบในไหนั้นก็ง่ายยิ่งกว่าการหยิบส้มในลัง

ทางเบื้องหน้าของศิษย์สำนักหมื่นบุปผาที่หนีเตลิด   มีอสูรเฝ้าอยู่  พวกมันซุ่มและซ่อนในโขดหิน  ลำธาร  และเงาไม้  เหมือนกับว่านั่นคือรังนอนชั่วนาตาปี  วังหมื่นบุปผาที่ไร้ทางเลือก  จึงสั่งให้ศิษย์ทุกคนหยุดเท้า และหันกลับไปตั้งขบวนป้องกัน

เมื่อซ่งมู่นำกำลังมาถึง  พวกนางก็ยึดสถานที่สูงกว่า  และกล่าวกับเขาว่า

“เราขอยอมแพ้”

ซ่งมู่เงยหน้าเล็กน้อยมองสตรีชุดม่วงที่ชายกระโปรงเต็มไปด้วยผ้ากลีบแหลมซ้อนกันแน่นขนัดเหมือนดอกบัว  สิ่งที่สองที่เขาเห็นคือคอระหงของนาง  ริ้วคอที่ขาวราวกับหยกสลัก  และเรียบเนียนราวกับผิวทารกอันซ่อนสีแดงเรื่อ ๆ บ่งบอกความเยาว์วัยภายใต้ผิวอันเรียบเนียนนั้น  เมื่อบุรุษมองเห็นคอของนาง  น้อยคนนักที่จะหักใจทำลายให้แหลกลาญ  พวกเขามักจะฝังจมูกลงไปดมกลิ่นกรุ่นและจุมพิตอย่างแผ่วเบาด้วยระแวงว่าจะทิ้งรอยแปดเปื้อนไว้บนวัตถุศิลปะชั้นดี

ทว่าซ่งมู่มิได้อยู่ในบุรุษกลุ่มนั้น  เขาชี้ปลายดาบเล็งไปที่คอของนาง  หางตาเหลือบแลซ้ายขวาอย่างระวังไว  และกล่าวตอบกลับ

“ถ้ายอมแพ้ก็วางอาวุธลงและส่งทรัพย์สินมา”

สตรีชุดม่วงฟังแล้วก็ตวาดเสียงเจื้อยแจ้ว   “เพ้ย  เจ้าเป็นโจรหรือเป็นชาวยุทธ  พวกเราจะยอมถอยไม่ยึดเหมืองนี้  เจ้ายังไม่พอใจ?!” 

ซ่งมู่ยิ้มหยันแล้วถามกลับ  “ชาวยุทธพบพานกันต้องฆ่าแกง  แต่โจรผู้ร้ายเพียงต้องการทรัพย์สิน  เจ้าอยากให้ข้าเป็นอะไร” 

“เจ้าคือโจร”  นางตอบอย่างแน่ใจ  แล้วปลดแหวนสี่มิติของตนเองโยนให้กับซ่งมู่

ซ่งมู่มองแหวนที่ลอยผ่านอากาศเป็นวงโค้ง   รับมา  และยังไม่ทันดู  ควันสีม่วงก็พวยพุ่งขึ้นมาจากแหวน  ลูกทีมข้าง ๆ ตะโกนอย่างตกใจ

“ควันพิษห้าบุปฝา!”

ซ่งมู่รีบโยนแหวนทิ้ง  แต่สายเกินไป  เขาสูดควันเข้าไปและรู้สึกถึงพลังปราณที่เริ่มปั่นป่วน

สตรีชุดม่วงโบกมือเป็นสัญญาณ  และร้องบอกกับกองกำลังทั้งหมด  “โจมตี!”

ซ่งมู่ใช้ดาบยันตัวเพราะเริ่มรู้สึกเหมือนโลกโคลงเคลง   เสียงเฮแว่วขึ้นมาโดยที่เขาจับทิศทางไม่ถูกเพราะฤทธิ์ควันพิษกำเริบ   ทว่าซ่งจินซึ่งอยู่ในมุมสูงกว่า  เห็นกองกำลังสามกองที่ซุ่มรออยู่เข้าขนาบกำลังของซ่งมู่พร้อม ๆ กัน   เขากัดฟันยกคันธนูขึ้นสูง   ขึ้นศรแล้วลดลงมาเล็งยังผู้คนในลำธารเบื้องล่าง  จากนั้นออกคำสั่งเดียวกัน

“โจมตี!”


++++++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-09-2017 21:20:29 โดย Kirimanjaro »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
สิ่งประดิษฐ์ของหยูใช้ได้จริง  :katai2-1:
ว่าแต่จะรู้ผลของการสื่อสารได้ยังไง เมื่อไร  :katai1:

หยูต่อสู้ได้ แต่คำถามกลับมานี่ไม่ถามซะดีกว่า
แบบเสี่ยวหมีสอนวิชาให้เหรอ  o22
ถ้าไม่ใช่เห็นแก่หลิวเกาก็ไม่มายุ่งด้วยหรอก  :sad4:
รักษาตัวเพื่อโอ๋อวิ๋น กับซ่งมู่นะ อะจ๊ากกกก  :z3: :z3: :z3:

ซ่งมู่ โดนเล่ห์กลของสำนักหมื่นบุบผาซะและ  :เฮ้อ:
แต่จะสามารถตีตื้นกลับมาต่อสู้ได้อย่างเต็มที่หรือเปล่า
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook


เรารักคุณคนเขียนมากที่สุด...
เพราะพอเราออกตัวว่าเราเป็นเมนเสี่ยวหมี
ตอนก่อนหน้านี้ ก็มีฉากเสี่ยวหมีเซอร์วิสเยอะมาก
ยิ่งอ่านเลยยิ่งหลงยิ่งรักเสี่ยวหมีกับคุณคนเขียนไปกันใหญ่

มาถึงตอนล่าสุด จะบอกว่าไม่ประทับใจในความก้าวหน้าของอาหยูก็คงไม่ได้
ดูสิ เล่นเปล่งออร่าตัวละครที่เข้าท่ามาตลอดทั้งตอน
แล้วอย่างนี้ป้าจะอดใจไม่แปรพักตร์หันมาเชียร์หนูให้ได้ดิบได้ดีแทนน้องอวิ๋น น้องมู่ได้อย่างไร...

ไหนคะพระเอกของอาหยู พ่อหลบไปอบผิวอยู่ที่ไหนคะ?
ปล่อยให้ป้ารอนาน ๆ เดี๋ยวป้าตั้งหน้าตั้งตาพายส่งน้องมู่เข้าปากอาเฮียหยูจริง ๆ นะคะ

รักคุณคนเขียนมากค่ะ จ๊วบ ๆๆๆ  :กอด1:


ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
เพ้ย ระดับมือขวาของหลี่โอ๋อวิ๋น จะมาพ่ายง่ายๆแค่กับพวกวังหมื่นบุบผารุมโจมตีรึ มันจะหยามหน้าประตูทรราชเกินไปแล้ว แต่ว่าก็น่าสนใจว่าถ้าหากซ่งมู่เกิดบาดเจ็บขึ้นมาจริงๆ มันก็น่าจะกระทบกับเส้นทางชีวิตคุณชายสามเหมือนกันนะครับ

คุณคีรีมันจาโรยังไม่ทิ้งฝีปากกาเดิม ยังมีทิ้งนัยยะให้ขบคิดต่อแม้จะเป็นเพียงไม่กี่ประโยค นับว่าตรงนี้เสน่ห์การเขียนของคุณคีรีมันจาโรนะครับ ถึงมันจะเป็นเซียนเซี่ย แต่มันก็ไม่ต้องเหมือนแบบที่คนอื่นเขียนจนหมดก็ได้ แค่คงแก่นของธีมเรื่องกับความเด่นของประเภทวรรณกรรม (ติดคอเมดี้อ่านง่ายคล้ายๆไลท์โนเวล) ส่วนอย่างอื่นก็ทำตามนิสัยการเขียนของคุณคีรีมันจาโรเลยครับ ผมว่าอย่างนี้มันจะเป็นเอกลักษณ์ของคุณคีรีมันจาโรและน่าจดจำในสายตาคนอ่านมากกว่านะ อย่างผม ผมชอบงานคุณคีรีมันจาโรก็ตรงนี้ (แต่เรื่องเก่าก็อย่างที่พูดไปแล้ว มันลึกเหลือเกิน บางทีถ้าคนเขียนไม่อธิบายตรงๆผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน (หัวเราะ))

จากตอนก่อน เราจะเห็นว่าคุณชายสามไวต่อความรู้สึกและอารมณ์ของคนรอบข้าง เขาจับสังเกตได้รวดเร็วและรู้จักแก้ไขสถานการณ์ ดังนั้นผมคิดว่าต่อให้กับอสูรก็ไม่น่าจะต่างกัน คุณชายสามจับอารมณ์และความรู้สึกของอสูรได้ มันทำให้เขา ‘เห็นคุณค่าของชีวิต’ ขึ้นมา คุณชายสามเริ่มรู้สึกเศร้าใจกับการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผล เขาเริ่มรู้สึกแย่เมื่อต้องปลิดชีวิต นี่เป็นประเด็นที่น่าสนใจมากครับ เพราะเมื่อเห็นค่าชีวิต...จะเกิดเมตตา เมื่อเมตตาจะนำพาสู่ความสงบ เมื่อสงบจะพบปัญญา การต่อสู้โดยต้องปลิดชีวิตเริ่มทำให้คุณชายสามไม่รู้สึกดี หรือแม้แต่ถ้าเขาเป็นสาเหตุที่ทำให้ปลิดชีวิต สังเกตจากการที่กังวลเรื่องสิ่งประดิษฐ์ที่อาจใช้ได้จริง ในนั้นคงมีอุปกรณ์ต่อสู้ด้วย มันอาจเป็นจุดเริ่มต้นให้คุณชายสามไปอยู่สาย Support ก็ได้นะครับ (หัวเราะ) ยิ่งเรื่องส่งมาด้วยว่าพ่อของซ่งมู่เป็นปรมาจารย์อยู่ในโรงเรียนสอนปรุงยาและเป็นแพทย์มือฉมัง แถมตัวสามสิบหกแผน แผนหนีเองก็ไม่ได้ใช้เพื่อปลิดชีวิตอยู่แล้วด้วย น่าสนใจมาก เพราะหลิวเกาที่ฝีมือรุดหน้าก็เป็นบริวารคอยรับใช้คุณชายสามได้ แถมยังมีเสี่ยวหมีผู้น่าฮัก แถมยังสำเร็จวรยุทธ์หมัดวารีอีก! (หัวเราะ)

ผมคิดว่าคุณชายสามน่ะฉลาดนะครับ อย่างที่มีคนบอก เขาน่าจะเก่งนะ แต่แค่ขี้เกียจ (หัวเราะ) เขาไม่เด่นเกินไปก็จะไม่มีคนจ้องเอาชีวิต เขาไม่ไปสู้รบตบมือกับใคร โครงเรื่องน่าสนใจมากครับ แต่ปัญหาคือถ้าคุณชายสามจะไปสาย Support จริงๆ ก็ต้องให้ผู้อาวุโส refer ไปล่ะมั้ง เป็นศิษย์สำนักวารีพิสุทธิ์แล้วนี่

คราวก่อนเห็นชื่อหนี่วาเลยสะดุดใจครับ เดี๋ยวนะ จะมีวิชาเซียนสายพุทธมารึเปล่าครับ แบบเวอร์โก้ ชากะ ในเซนต์เซย์ย่าอะ (หัวเราะ) ถ้ามีจริงนี่อย่างเท่เลยนะครับ จตุรโลกบาลเอย วิทยราชเอย พระพุทธเจ้าเอย นี่ยังไม่นับเหล่าเทพและเซียนบนสวรรค์ใต้อานัติเง็กเซียนฮ่องเต้อีกนะ (ฮา) จักรวาลแฟนตาซีแนวกำลังใจภายในมันแตกขยายไปได้เยอะมากเลยครับ สนุกๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-09-2017 12:25:36 โดย Grey Twilight »

ออฟไลน์ Kirimanjaro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
♥►MAGNOLIA◄♥:  ฮ่า ๆๆๆ มีแต่ประโยคทำร้ายจิตใจ  สงสารอาหยูจริงจริ๊งงงงง  #ส่งยัยหมีเขียวไปปลอบใจหยูหยู
ซ่งมู่กลับมาแล้วครับตอนล่าสุด  ผมเขียนแอคชั่นไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่  เลยข้าม ๆ ฉากสู้ไป  ฮ่าๆๆๆ

Malimaru:  ตามชื่อเรื่องเลย  เสี่ยวหมีต้องเด่น  ต้องได้ซีน  ห้ามทุกคนแย่งบท   ยกเว้นพี่มู่ของเสี่ยวหมี แย่งได้ #เอ๊ะ
อาหยูเปล่งออร่าได้แค่ระดับ local  ในสเกลใหญ่ไม่มีใครรับรู้การมีอยู่ของอาหยูเลย  ตู้เกี่ยนหลงผู้หล่อล่ำปล้ำง่ายก็ไม่รู้จัก  แล้วอย่างงี้อาหยูจะไล่เก็บสมาชิกฮาเร็มได้ยังไง   5555+
น้องอวิ๋นกลับมาแล้ววววว   เกจคะแนนความฮอทจะสู้เสี่ยวหมีได้หรือไม่  โปรดติดตามตอนต่อไป

Grey Twilight:  ประตูทรราชได้เปรียบที่จำนวนชาวยุทธรับจ้างที่มาเข้าร่วมงับ  ขณะที่ตู้เกี่ยนหลงเดินเกมผิดแต่แรก  เลยถึงสามสำนักรวมพลังกัน(อย่างไม่ค่อยจริงใจ)ก็ไม่ชนะ  แต่ก็ทำความเสียหายให้ประตูทรราชไม่น้อย
ขอบคุณสำหรับกำลังใจสนับสนุนแนวทางการเขียนนะครับ  กอดๆๆๆๆ
เรื่องความฉลาดทางอารมณ์ของคุณชายสาม  ก็คงเพราะ..แก่  อ่ะครับ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
แนวพุทธเนี่ยก็กำลังคิดอยู่เหมือนกันครับ  แต่ยังคิดไม่ออก


++++++


มวลหมอกลอยอ้อยอิ่ง  เสียงจิ้งหรีดร้อง  และต้นสนโบราณโดดเดี่ยว  หลี่โอ๋อวิ๋นยืนอยู่ที่หน้าผาเขาจิ้งซาน  มือไพล่หลังและมองไปยังประตูแดนลี้ลับ  อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องมา  มีกฎห้ามแต่ละสำนักโจมตีกันภายนอกเหมือง  แต่ครานี้เขาทราบข่าวจากสายว่าสองสำนักคู่อริลอบส่งกำลังไปช่วยเหลือคณะสำรวจของวังหมื่นบุปผา

เจ้าของใบหน้าเรียบเฉยและสายตาเย็นชา  กระตุกยิ้มที่มุมปาก  รอยยิ้มนั้นเหมือนแสงแดดที่ละลายหิมะในตอนต้นฤดูใบไม้ผลิ  แต่ภายใต้ผืนหิมะคือโลหิตอันร้อนรุ่มที่ถูกแช่แข็งไว้แต่เหมันตฤดู  ในมือของเขามีดาบ  ดาบสอดอยู่ในฝัก  แต่คมดาบเปล่งประกายออกทางแววตา  เมฆหมอกลอยเรี่ยเท้า  และสายตาอันคมกล้าของเขาก็มองลงไปยังทางเข้าดินแดนลี้ลับที่กองกำลังของสำนักประตูทรราชกำลังอพยพกันออกมา

“ชนะหรือไม่!”  หลี่โอ๋อวิ๋นตะโกนกร้าวด้วยพลังปราณ  เสียงของเขาสะท้อนก้องไปในหุบเขา
 
“ชนะ!”  ศิษย์สำนักประตูทรราชเงยหน้ามองผู้นำและตะโกนตอบเป็นเสียงเดียว  พวกเขามีรอยแผลดาบกระบี่ตามเนื้อตัว  และบางคนก็ต้องถูกพยุงออกมา  คนที่อาการหนักก็มีแคร่หาม  สีหน้าของพวกเขาภาคภูมิใจแกมกังวลต่อเพื่อนร่วมสำนักที่ได้รับบาดเจ็บ

ถัดออกไปคือกองกำลังของพันธมิตรสามสำนัก  พวกผู้ชายถูกบังคับให้ถอดเสื้อและยึดอาวุธไปทั้งหมด  พวกเขาเดินคอตกเหมือนไก่ชนที่พ่ายแพ้  และในเมื่อไม่มีอาวุธ  พวกเขาก็ไม่สามารถบุกโจมตีเหมืองต่อได้  และที่น่าแปลกใจกว่านั้นคือการที่ประตูทรราชเองก็ไม่ยึดเหมืองที่อสูรถูกกำจัดไปครึ่งทางแล้ว

“ราตรีนี้..”  หลี่โอ๋อวิ๋นตะโกนอีกครั้ง  เขาแน่ใจว่าจ้าวเหรินเจี่ยน  ตู้เกี่ยนหลง  และเว่ยหลิงจื่อซุ่มดูเหตุการณ์อยู่ใกล้ ๆ  “..หลี่ขอเชิญทุกสำนัก  เข้าร่วมประมูลอาวุธและวัตถุมีค่าได้ที่ค่ายประตูทรราช!”

เว่ยหลิงจื่อที่ซุ่มฟังอยู่  กระอักโลหิตออกมากองใหญ่



++++++



เมื่อซีคงหยูกลับมาที่ค่าย  ก็พบว่ามีสหายรอบกองไฟจากประตูทรราชมารอเขาที่หน้าประตู

“พี่หยู”  เขาประสานมือทักทายแล้วกล่าวธุระ  “ศิษย์พี่ใหญ่ให้ข้าเชิญท่านไปพบ”

ซีคงหยูบอกแก่เด็กเดินสารว่าเขาจะต้องล้างเนื้อล้างตัวและจัดการเก็บข้าวของก่อน  หนุ่มน้อยคนนั้นพยักหน้าอย่างเข้าใจและยืนรออย่างอดทน

สักพัก  ทั้งสองคนก็ไปถึงค่ายประตูทรราช  ทั้งค่ายเริ่มมีการประดับประดา  และต้นไม้จากป่าใกล้ ๆ  ถูกโค่นมาเพื่อสร้างแท่นปะรำอะไรสักอย่าง  ซีคงหยูกวาดสายตาไปรอบ ๆ  เห็นศิษย์สำนักและชาวยุทธพเนจร  ก่อกองไฟกันเป็นจุด ๆ  หลาย ๆ คนมีผ้าพันแผล  และใบหน้าที่ขมุกขมอม  สหายรอบกองไฟคนอื่นที่รู้จักคุณชายสาม  พยักหน้าให้อย่างเป็นมิตร  บางคนจะอ้าปากพูดอะไรสักอย่างแต่ก็เปลี่ยนใจ

ศิษย์น้องที่ไปเชิญเขามา  ผายมือให้เขาเดินไปแต่ลำพังยังห้องบัญชาการ  เมื่อก้าวเข้าไปในห้อง  เขาเห็นเทียนจุดส่องสว่างแข่งกับมุกเซียนส่องแสงที่ประดับตามมุมห้อง  ภายใต้แสงเทียน  ใบหน้าของหลี่โอ๋อวิ๋นคล้ายถูกเคลือบด้วยความลับอีกชั้น  คางของเขาเรียวด้วยว่ายังโตไม่เต็มหนุ่ม  เข้ากับดวงตารูปอัลมอนด์และจมูกโด่งเป็นสันให้ความรู้สึกทระนงถือดี  แววตาของเขาเหมือนจะเย็นชาปราศจากอารมณ์  แต่เมื่อมองดี ๆ ก็จะเห็นสีสันลี้ลับที่ซ่อนอยู่ข้างใน  มันคือความโศกรันทด   หรือความคิดลึกซึ้ง  หรือการดื่มด่ำกับความทรงจำที่ยังไม่เลือนหาย  ซีคงหยูก็อ่านไม่ออก

ด้วยดวงตาที่ทำให้เขาดูโตกว่าวัย  หลี่โอ๋อวิ๋นใช้จับจ้องผู้ก้าวเข้ามาในห้องอย่างพินิจ 

ซีคงหยูกระแอมเมื่อรู้สึกบอกไม่ถูกจากการถูกจ้องมอง

“น้องอวิ๋นเรียกข้ามามีอะไรงั้นหรือ”

“ดูเหมือนพลังปราณของเจ้าจะรุดหน้า”

“หืม”   คนถูกทักไม่ได้รู้ตัวเอง 

หลี่โอ๋อวิ๋นไม่ได้ตั้งใจจะคุยเรื่องวรยุทธ  เขาจึงเปลี่ยนอิริยาบถไปพร้อม ๆ กับการเปลี่ยนประเด็น

“ธุระก็คือ  เจ้ายังจำสัญญาที่ให้ไว้เมื่อวันก่อนได้หรือไม่”

ซีคงหยูคิดทบทวนแล้วพยักหน้า  “แน่นอน  ข้าจำได้”

“ปัญหาก็คือ  การท้าประลองจะต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้นำศิษย์สำนักเสมอ  เพื่อป้องกันสายลับ”  หลี่โอ๋อวิ๋นอธิบาย  “ดังนั้นเจ้าต้องบอกจางชุ่ยฮัวถึงข้อตกลงของเรา  แต่ว่า..”   นักดาบหนุ่มไล้ปลายคางของตนอย่างลังเลว่าจะพูดยังไง

“นางอาจจะไม่ตกลง  ใช่หรือไม่  น้องอวิ๋นไม่ต้องห่วง  ข้าจะเกลี้ยกล่อมนางเอง”

เมื่อเห็นคุณชายสามรับคำอย่างสดใส  หลี่โอ๋อวิ๋นจึงยันกายขึ้นจากเก้าอี้เล็กน้อยและจ้องหน้าเขาอย่างสนใจ

“เจ้ารู้งั้นรึว่าข้าจะทำอะไร”

“ฮ่า ๆ สองสามวันนี้ประตูทรราชเสียงดังมิใช่น้อย  ข้าเลยพอเดาได้”

“ว่ามา”

“น้องอวิ๋นเปรียบเหมือนพยัคฆ์ที่อยู่กลางฝูงกระต่าย  แต่พยัคฆ์ตนนี้ถูกขังไว้ในกรง  ส่วนข้าคือผู้ที่จะเปิดกรงปล่อยเสือออกมา”

หลี่โอ๋อวิ๋นไม่ตอบว่าซีคงหยูเดาถูกหรือผิด  คุณชายสามจึงกล่าวต่อ

“แต่ที่ทำให้ข้าสงสัยก็คือ  แล้วพยัคฆ์จะเอาตัวเข้ากรงไปทำไมตั้งแต่แรก  ถ้าน้องอวิ๋นไม่บุกยึดเหมือง  น้องอวิ๋นก็จะเป็นอิสระที่จะเข้าไปโจมตีสำนักใดก็ได้โดยไม่ต้องรอให้ข้ามาเปิดกรง”

เมื่อเห็นหลี่โอ๋อวิ๋นพยักหน้า  ซีคงหยูมีความมั่นใจในการวิเคราะห์ของตนเองมากขึ้น

“ดังนั้นเมื่อข้าขบคิด  มันคือการล่อให้ทุกคนไม่สงสัยว่าน้องอวิ๋นมีแผนอะไร  ทุกคนคิดว่าเจ้าจะเล่นตามเกม  ใช้ข้อได้เปรียบด้านกำลังทัพของประตูทรราชบุกยึดเหมืองทั้งหมด  แต่อันที่จริงแล้ว  เจ้าต้องการถ่วงเวลาให้การโจมตีอสูรเฝ้าเหมืองของทุกสำนักล่าช้าที่สุดจนกว่าพยัคฆ์จะออกจากกรง”

“อื้อฮึ”

“ดังนั้นตอนนี้  ผู้เล่นหลัก ๆ ของทั้งสามสำนัก  ไม่สิ..สี่สำนัก  ล้วนแต่มีโซ่ตรวนที่เรียกว่าการเป็นผู้คุมเหมือง  พวกเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวขุนพลเหล่านี้ได้อย่างอิสระ  แต่ถ้าข้าปล่อยเสือออกจากกรงได้  ผู้อื่นก็ทำได้  แผนของเจ้าดูเหมือนจะมีช่องโหว่”

หลี่โอ๋อวิ๋นยิ้มที่มุมปากอย่างลึกลับ  แต่เขาก็ยังคงไม่กล่าวอะไร

“ทว่าเมื่อคิดดูอีกที  น้องอวิ๋นไม่จำเป็นต้องใส่ใจใครเลย  คนผู้เดียวที่น้องอวิ๋นเล็งไว้ในแผนนี้คือพยัคฆ์อีกตัวในกรงไมตรีโลหิต  ทว่าพันธมิตรสามสำนักจะปล่อยจ้าวเหรินเจี่ยนหรือไม่  ข้าเชื่อว่าไม่  เพราะทุกคนมีความเห็นแก่ตัว  พยัคฆ์ตัวเดียวพวกเขายังมีโอกาสรอด  แต่ถ้าปล่อยเสือเข้าป่าสองตัว  พวกเขาจะไม่เหลือแม้แต่กระดูก”

“แล้วทำไมเจ้าถึงตกลงล่ะ  ไม่สนใจผลประโยชน์ของวารีพิสุทธิ์หรือไง”

ซีคงหยูหัวร่อ  “ฮ่า ๆ  ถ้าเป็นที่หนึ่งไม่ไหว  ก็ควรยอมเป็นที่สอง  ข้าเชื่อว่าถ้าร่วมมือกับน้องอวิ๋น  ทั้งสามสำนักต้องไม่มีใครที่ขันแข่งกับพันธมิตรของเราได้”

“ข้าชอบคุยกับคนที่ไม่โลภมาก”  หลี่โอ๋อวิ๋นกล่าวชม   จากนั้นพูดเหมือนนึกขึ้นได้   “จริงสิ  ข้าได้ยินว่าซ่งมู่ได้รับบาดเจ็บมา”

เมื่อฟังดังนั้น  รอยยิ้มบนใบหน้าของคุณชายสามก็จางหายไป  เพราะเขารู้ว่าถ้าเป็นอาการบาดเจ็บธรรมดา  ชนชั้นระดับหลี่โอ๋อวิ๋นคงไม่พูดให้เขาฟัง

“เจ้าเป็นห่วงเขางั้นรึ”  หลี่โอ๋อวิ๋นถามหยั่งเชิง  และสังเกตสีหน้า

ซีคงหยูยิ้มแล้วตอบกลับ  “น้องอวิ๋นน่าจะเป็นห่วงน้องมู่มากกว่าข้า  เขาเป็นมือขวาของเจ้า”

“ก็จริง”

“งั้น  ถ้าไม่มีอะไรแล้ว  ข้าขอตัว”

หลี่โอ๋อวิ๋นพยักหน้า   ผู้มาเยือนจึงถอยออกไปจากห้อง



+++++++


 
ซ่งมู่นั่งหลับตาพิงผนังห้อง  ขาเหยียดยาวอยู่บนเตียง  อกของเขาเปลือยเปล่ามีเพียงผ้าขาวที่พาดปิดบาดแผลเหนือราวนมด้านซ้าย  กลิ่นสมุนไพรและยาเซียนที่เร่งบรรเทาอาการบาดเจ็บอบอวลอยู่ในห้องที่มีคนเจ็บนั่งและนอนอยู่ห้าหกคน

สิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาของผู้มาเยือน  คือขนตางอนยาวที่พริ้มอยู่  เข้ากับคิ้วหนา ๆ และคางที่ดูแข็งแรง  เขากัดฟันเป็นพัก ๆ เพื่อระบายความรู้สึกเจ็บปวดบาดแผล  ซึ่งทำให้แก้มอันมีตอหนวดเขียวราง ๆ ของเขาบุ๋มเข้าไปเล็กน้อย 

ซีคงหยูมองคนเจ็บอยู่พักหนึ่งก็เอ่ยเรียก

“น้องมู่”

ผู้ถูกเรียกกระพริบตา  และลืมตามองไปตามทิศทางเสียง  สีหน้าที่ทุกข์ทนกับความเจ็บปวดของเขาละลายหายไปเหมือนขี้ผึ้งที่โดนความร้อน  กรามที่สบหากันแน่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มสดใสกึ่งจะเซ่อเหมือนเด็กเลี้ยงวัวในหมู่บ้านที่ห่างไกล  แต่เครื่องหน้าที่คมชัดละเอียดลออทำให้เขาไม่ได้ดูไกลปืนเที่ยงขนาดนั้น

“อา...พี่หยู”   เขาทำท่าจะชันตัวให้นั่งตรงขึ้นจากที่พิงกำแพงจนอีกฝ่ายต้องร้องห้าม

“ไอ๊หยา  อย่าเพิ่งขยับ  เป็นคนเจ็บทำไมไม่นอนดี ๆ”

คุณชายสามพูดพลางเดินเข้าไปใกล้  แล้วหยิบเก้าอี้จากใต้เตียงมานั่ง  ซ่งมู่ไม่ฟังที่เขาห้าม   จัดท่านั่งแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมลอนกล้ามหน้าท้องและไรขนที่ลามมาถึงสะดือ  จากนั้นหันไปก้มหัวทักทายหนุ่มรุ่นพี่

“ขออภัยด้วยพี่หยู  ข้าอยู่ในสภาพที่ไม่สุภาพ”

นอกจากจะดึงผ้าห่มคลุมช่วงล่างแล้ว  เขายังชันเข่าขึ้นอีกด้วยเพื่อปิดบังอาการของร่างกายที่เกิดตามธรรมชาติ

“ไฮ้  เราคนกันเอง  ไม่ต้องมากมารยาท  ว่าแต่เจ้าเป็นอะไรมากมั้ยน้องมู่”

“ขอบคุณพี่หยูที่กังวล  คงจะด้วยความเป็นห่วงของพี่หยูที่คุ้มครอง  ทำให้ข้ารอดมาได้อย่างหวุดหวิด”  เขาพูดแล้วก็ยิ้มยิงฟัน

ซีคงหยูไม่กล้าจ้องสายตาแพรวพราวนั้นนาน  เลยหลบตาแล้วสนทนาต่อ  “ก็ดีแล้ว  แย่จริง ๆ ที่น้องมู่ต้องทำงานอันตราย  การประลองศิษย์ใหม่ครั้งนี้มันสำคัญขนาดที่จะต้องเอาชีวิตแลกกันเชียวหรือ”

“มันเป็นวิถีแห่งการบำเพ็ญพรต  ยุทธจักรอันตรายทุกย่างก้าว  ถ้าผ่านด่านทดสอบเพียงเท่านี้ไม่ได้  ต่อไปต้องเจออันตรายมากกว่านี้  ก็คงเอาชีวิตไปทิ้งอยู่ดี”

ซีคงหยูพยักหน้า  “น้องมู่อายุน้อยกว่าข้าเยอะ  แต่มองเรื่องโลกทะลุปรุโปร่งกว่า นับถือผู้เยาว์  นับถือผู้เยาว์”

เลือดขับมาที่ผิวหน้าอันอ่อนบางและขาวดุจหยวกกล้วยของซ่งมู่จนเป็นสีแดงเรื่อ ๆ  “พี่หยู  ถ้าไม่อยากให้ข้าโกรธอย่าคิดว่าเราคนละรุ่นกันมากสิ”

“ฮ่า ๆ ขออภัย  ข้ารับบทเป็นศิษย์น้องลุงซะชิน”

คุณชายสามเห็นหนุ่มรุ่นน้องทำหน้างอน  ก็นึกอยากจับจมูกบี้ ๆ อขงอีกฝ่ายเขย่าเล่น  แต่เกรงใจคนป่วยเดี๋ยวจะกระเทือนแผล

“ว่าแต่  เจ้าโดนอะไรที่หน้าอก”

“อ๋อ...ธนู”

“ของใคร”

“ซ่งจิน”

“พี่ชายเจ้า?”

“ใช่”

“ทำไมงั้นล่ะ”

“เขายิงให้ข้าล้ม  เพราะมีคนแกว่งดาบมาจะฟันข้า”

“แผลดาบเจ็บกว่าแผลธนูหรอ”

“ธนูเจ็บกว่า”

“แล้วทำไมซ่งจินยิงเจ้า”

“แผลดาบไม่เจ็บ  แต่โดนแล้วไม่มีทางลุก”

“อ้อ”

“และข้ายังโดนควันพิษห้าบุปผาด้วย”   ซ่งมู่พูดด้วยเสียงอ้อน

เห็นสายตาเว้าวอนแบบนั้น  ในที่สุดซีคงหยูก็ทนไม่ไหว  เอื้อมมือไปบีบจมูกของหนุ่มตรงหน้า  คนโดนแกล้งประท้วงด้วยเสียงอู้อี้   บรรยากาศสมัครสมานจนเตียงข้าง ๆ จ้องมองด้วยความอิจฉา



+++++

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-09-2017 17:40:12 โดย Kirimanjaro »

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook

เฮเว่นอะโบฟ!! นี่อาหยูทะเยอทะยานถึงขั้นจะเปิดฮาเร็มตอนท้ายเรื่องจริง ๆ เหรอคะ?!!!

ที่ตกใจเบอร์แรงนี่ไม่ได้ต่อต้านนะ... ชอบ!
ยิ่งพอลองเอาคอนเซปต์ตัวเอกด๋อย ๆ ในฮาเร็มส่วนใหญ่ที่ไม่ค่อยล่อแสงไฟเท่าเหล่าบรรดาเมียรักในคอนโทรลมาจับกับอาหยู... ก็เออ เริ่มเห็นเค้าลาง ๆ เพราะตั้งแต่เปิดเริื่องมาจนถึงตอนนี้ ผู้ทั้งหลายที่รายล้อมรอบตัวอาหยูก็งานดีทั้งนั้น
(ยิ่งตอนล่าสุดน้องมู่แอบนั่งชันขา อีป้าก็ใจบ่ดี คิดให้อาเฮียผิดผีกับอาตี๋ไปหลายรอบแล้ว)

มาที่เรื่องของเสี่ยวหมี พอเราได้เห็นคุณคิริมัญจาโรรับปากเป็นมั่นเหมาะ เราก็พลอยสบายใจ...
เอาเป็นว่า เราจะขอสนับสนุนนิยายเรื่องนี้สืบไป ตราบใดที่เสี่ยวหมีของเรามีบทเด่นไม่เป็นรองมนุษย์หน้าไหน วะฮ่า ๆๆๆ !! 
(ว่าแล้วก็เทน้ำแดงผสมโซดาแทนการกรีดเลือดสาบาน ก่อนจะใส่น้ำแข็งและบีบน้ำมะนาวตามเพื่อความชื่นใจ)
รัก และเป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ  :กอด1:


ออฟไลน์ wnkth

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
เอิ่ม ฮาเร็มนี่ 8p เลยไหม

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3
สนุกมากค่ะ :hao7: :hao7:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Kirimanjaro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0

Malimaru:  ฮ่า ๆ ผมแซวเล่น  จะฮาเร็มหรือไม่  แล้วแต่วาสนาอาหยูครับ
ว่าแต่อาหยูก็ไม่ได้ด๋อยขนาดนั้นนะ  ฮีแค่สตาร์ทเครื่องช้า  โถ  สงสารพ่อพระเอกจืดจาง
ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ  อ๊อออออออ!!
ตอนล่าสุดลองมองหาดูครับว่าเสี่ยวหมีซ่อนอยู่บรรทัดไหน  อิอิ

wnkth:  แหม  8p แรงกว่าสโนไวท์อีก

พิศตะวัน:  ขอบคุณคร้าบบ


+++++



เมื่อซีคงหยูออกจากเรือนพยาบาล  ก็เป็นเวลาย่ำค่ำ  ภายในค่ายประดับประดาด้วยโคมไฟกระดาษที่ซ่อนมุกเซียนส่องแสงไว้ข้างใน  แสงสีขาวส่องผ่านกระดาษสาบาง ๆ สีต่าง ๆ ทำให้เกิดเงาหลากสีพร่าพรายให้ความรู้สึกของเทศกาล  แท่นปะรำพิธีที่สร้างเสร็จก็ประดับด้วยผ้าแพรสีดำและม่วง  อันเป็นสีประจำสำนักประตูทรราช  สีดำคือสีแทนของปฐมกษัตริย์ของโลก  กล่าวกันว่าชุดจักรพรรดิของเขาถักทอจากท้องฟ้ายามราตรีและทะเลดาว   เขาเป็นผู้ปกครองทวีปดินและทวีปฟ้าทั้งหมด  และอาจจะรวมไปถึงสวรรค์ทั้งสามพันด้วย  สีม่วงคือสีแห่งมงคลและความยิ่งใหญ่  ยามที่ดวงตะวันขึ้นสู่ท้องฟ้าทางทิศตะวันออก  ปราณสีม่วงจะฟุ้งกระจายทั่วฟ้า  เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นชีวิตใหม่และพลังหยาง 

คุณชายสามจับจองที่นั่งรอการประมูลใกล้ ๆ กับกลุ่มเพื่อนของซ่งมู่และซ่งจิน  มือขมังธนูซึ่งยิงน้องชายตนเองจนเป็นรูนั่งพันเชือกไหมบาง ๆ มัดหัวลูกศรเข้ากับแกนของมันอย่างไม่ทุกข์ร้อน  เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ค่าและมักจะมีงานในมือเสมอ  ซีคงหยูมองแล้วก็หาวหวอด ๆ อย่างไม่เข้าใจเต๋าแห่งความขยัน  เหตุใดผู้คนจึงต้องทำตัวให้ยุ่งตลอดเวลา  ใยไม่หาเครื่องทุ่นแรงหรือช่วงใช้ผู้อื่นทำ

เมื่อแท่นเวทีสำหรับทำการประมูลกลางแจ้งเตรียมการเสร็จสิ้น  ก็มีเสียงพึมพำมาจากทางเข้าของประตูเหนือ  สามสำนักนำโดยหนุ่มหล่อสาวสวย  เดินเข้ามาในเขตจัดงานอย่างสง่าผ่าเผย  ก็บอกแล้วว่าการบำเพ็ญพรตทำให้หน้าตาดี

“สำนักวารีพิสุทธิ์ยังไม่มา?”

คุณชายเสื้อน้ำตาลกระซิบกระซาบกับตู้เกี่ยนหลง  วันนี้หนุ่มน้อยแซ่ตู้ใส่เสื้อแขนยาวสีดำข้างในและใส่เสื้อกั๊กสีขาวขลิบริมฟ้าตัวเดิมทับ  ผ้าคาดหัวของเขาก็เป็นสีดำและปักลายมังกรสีเงิน  ผมของเขาชี้ตั้งเหมือนหนามทุเรียนคงด้วยใส่น้ำมันบางอย่าง  ใบหน้าสีน้ำผึ้งหมดจดประดุจหน้ากากโลหะสำริดประดับไว้ด้วยดวงตาสีนิลสุกสกาวดุจดวงดาว  สองตานั้นสอดส่ายไปรอบ ๆ ค่ายและงานประมูลซึ่งเต็มไปด้วยศิษย์สำนักประตูทรราช

นอกจากฝึกพลังฝีมือจะทำให้หน้าตาดี  มันยังทำให้หูดีอีกด้วย  คุณชายจ้าวในชุดขาวเรียบกริบ  นิ้วกำลังลูบคิ้วที่เรียงเป็นระเบียบสุด ๆ ของตนเอง  กล่าวแก่ทั้งสองคนว่า 

“มาแล้วคนหนึ่ง”  เขาบุ้ยใบ้ไปทางซีคงหยูที่เหลียวหลังมามองผู้มาเยือนจากเก้าอี้ของตน

ตู้เกี่ยนหลง  เว่ยหลิงจื่อ  และคณะมองตามที่จ้าวเหรินเจี่ยนส่งสายตาไป  และเห็นชายหนุ่มที่เรียกได้ว่าธรรมดาและปราศจากจุดเด่นเมื่อเทียบกับศิษย์ชั้นนำของสำนัก  และพยายามทบทวนความจำ   ทว่าสำนักวารีพิสุทธิ์ที่กำลังตกต่ำไม่ควรค่าแก่การสนใจ

“ไม่ใช่หลิวเกา”   เว่ยหลิงจื่อกล่าว  เขารู้จักบุคคลสำคัญในสำนักวารีพิสุทธิ์ประมาณหนึ่ง  เมื่อเห็นว่าชายผู้นั้นไม่ได้อยู่ในความทรงจำก็เลิกสนใจ

เมื่อเห็นทั้งหมดมีท่าทีเดียวกับเว่ยหลิงจื่อ  คุณชายจ้าวแอบหัวเราะในใจ  สหายร่วมพันธมิตรของเขาไม่รู้ถึงความสำคัญของซีคงหยูต่อสงครามครั้งนี้  ช่างเป็นอะไรที่น่าสนุกจริง ๆ  มือกระบี่ไร้ที่ติตัดสินใจว่าจะไม่เตือน  อมยิ้ม  และจัดผ้าเช็ดหน้าที่พับไว้ในกระเป๋าเสื้อให้ตรงดิก

“ก็เป็นธรรมดาที่วารีพิสุทธิ์จะไม่มา”  ตู้เกี่ยนหลงวิเคราะห์  “มันไม่ใช่ทรัพย์สินของพวกเขา  ถ้าเขาประมูลของสำคัญของเราได้ไป  ก็ต้องผิดใจกับพวกเรา  สิ่งที่ดำรงอยู่อย่างบอบบางเช่นสำนักวารีพิสุทธิ์คงไม่กล้าพอที่จะแส่หาศัตรูเพิ่ม”

“ผู้ใดว่าพวกเราไม่กล้า”   สุ้มเสียงที่นุ่มนวลทว่ามีความน่าระคายใจแฝงอยู่ดังขึ้นมาจากข้างหลัง  จางชุ่ยฮัวเดินนำคณะแกนนำพรรคปลาทูสีน้ำเงินเข้างานตามมาติด ๆ

“คารวะแม่นางจาง”  ตู้เกี่ยนหลงหันไปทักทายส่งรอยยิ้มสดใสราวกับว่าไม่ใช่เขาที่เมื่อครู่กำลังนินทาพวกนางอยู่

“คารวะคุณชายตู้”   มารยาคนเมืองของจางชุ่ยฮัวก็ลึกล้ำไม่แพ้กัน  นางแย้มยิ้มส่งไปให้  จากนั้นหันไปทักทายผู้นำสำนักอื่น ๆ ตามลำดับ

“แม่นางจางก็สนใจประมูลอาวุธและวัตถุวิเศษอย่างงั้นหรือ”  เมื่อยังไม่มีใครราดน้ำมันเข้ากองไฟ  จ้าวเหรินเจี่ยนเลยรับอาสาพาทุกคนเข้าประเด็น

“ข้าเกรงว่าพวกท่านจะฮั้วประมูลกันและทำให้พันธมิตรของสำนักเราเสียประโยชน์  เลยมาร่วมสนุกด้วย”  จางชุ่ยฮัวตอบยิ้ม ๆ  ระหว่างที่ทั้งหมดเดินไปพร้อม ๆ กันยังที่นั่งบุคคลสำคัญที่ประตูทรราชเตรียมไว้ให้

“แทนที่จะเรียกว่าประมูล  เรียกว่างานเรียกค่าไถ่จะดีกว่า”  เว่ยหลิงจื่อคันปากเลยเหน็บแนมประตูทรราชไปหน่อยหนึ่ง

จ้าวเหรินเจี่ยนฟังแล้วนึกขึ้นได้  “แล้วคุณชายเว่ยมีเงินจ่ายค่าไถ่พอหรือไม่  ถ้ายังไม่มี..จ้าวมีบริการปล่อยกู้  ดอกเบี้ยร้อยละสิบ”

“เจ้า...เจ้ายังจะหาประโยชน์กับพันธมิตร”  อาการกระอักเลือดของเว่ยหลิงจื่อเกือบกำเริบ  ดีที่เว่ยเหลียนยู่ลูบหลังถ่ายลมปราณเย็นเข้าไปทัน

ตู้เกี่ยนหลงเลยรีบรับบทเป็นกาวใจ  “พี่จ้าวแค่ล้อเล่น  พี่เว่ยใจเย็น ๆ”

“ฮี่ ๆ  ไมตรีโลหิตรวยเกินกว่าจะล้อเล่น  สำหรับคุณชายตู้  ถ้าจะกู้คิดดอกร้อยละห้า  ส่วนลดตามหน้าตา”

“เจ้า...”  เว่ยหลิงจื่อผู้เคยมั่นใจในความหล่อของตนเองมาตลอดกระอักเลือดมากำนึง

หลู่เซียงเอ๋อร์ซึ่งยืนอยู่หลังจางชุ่ยฮัวยิ้มเยาะ  เมื่อเห็นละครลิงของพันธมิตรสามสำนัก




++++


ซีคงหยูเหลือบไปเห็นหมีเขียวตัวใหญ่ที่เดินตามหลู่เซี่ยงเอ๋อร์ก็นึกขึ้นได้ว่าเขาลืมอะไร    แต่ในขณะนั้นพิธีการประมูลสินค้าก็เริ่มต้นขึ้น

ผู้ดำเนินการประมูลเป็นเด็กหนุ่มอายุราว ๆ 17 – 18  หน้าตาหล่อเหลาและยิ้มแย้มแจ่มใส  เนื่องจากถูกคัดมาเป็นพิเศษสำหรับรับแขก  ข้างหลังเขาคือศิษย์ร่วมสำนักที่ไม่หล่อแต่ถึกและบึกบึน  สมแล้วที่สองมือแบก [กล่องสารพัน]  อุปกรณ์สี่มิติที่มีพื้นที่เก็บสิ่งของมากกว่า [แหวนสี่มิติ]

หนุ่มน้อยผู้นั้นไม่เสียเวลาอารัมภบท  และพูดพิธีมารยาท  เพราะแขกที่มาก็ไม่ใช่คนที่ประตูทรราชอยากจะพินอบพิเทา

“สินค้าชิ้นแรก”  เขาประกาศ  “..ห่วงแม่ลูกพรากวิญญาณ  ราคาเริ่มต้นที่ 1000 ตำลึงทอง  ถ้าจะเสนอราคาเพิ่ม  ขั้นต่ำคือ +50 ตำลึงทอง”

เจ้าของห่วงแม่ลูก  หรือก็คือเว่ยเหลียนหยูนั่งกัดฟันกรอด ๆ แต่อาละวาดไม่ได้  นางเสนอราคาแข่งขันกับชาวยุทธพเนจรและตัวแทนสำนักวารีพิสุทธิ์  ราคาของห่วงพุ่งขึ้นไปถึง 2400 ตำลึงทอง  ก่อนที่ทุกคนจะยอมปล่อยให้นางได้อาวุธคู่ใจกลับไป

ซ่งจินมัดธนูดอกสุดท้ายที่เตรียมไว้เสร็จ  เก็บใส่กระบอก  จากนั้นหันไปมองซีคงหยูที่สนใจการประมูล   คุณชายสามรู้สึกถึงสายตา  จึงหันไปมองอย่างสงสัย

“ถ้าคุณชายซีคงอยากได้อะไรที่ไม่แพงเกินไป  ก็บอกข้าได้”

“น้องซ่งจะซื้อให้หรอ”  คุณชายสามเรียกซ่งจินด้วยแซ่เพราะไม่สนิทเท่ากับซ่งมู่

“เปล่า”

“อ้าว”

“เงินศิษย์พี่ใหญ่”

“เฮ้อ  น้องอวิ๋นอีกแล้วหรอ  เขาให้ [ยอดเซียนไฟ] ข้าตั้งสองชุด  ข้าเกรงใจ”

“คุณชายจะแต่งเข้าตระกูลหลี่  ไม่เห็นต้องเกรงใจ”  ซ่งจินวันนี้พูดมากกว่าทุกวัน

ขณะที่ซีคงหยูตกใจ  “น้องซ่งเอาที่ไหนมาพูด  ข้าไม่ได้อยากแต่งกับเขา  ไม่งั้นจะกระเสือกกระสนมาเป็นศิษย์สำนักวารีพิสุทธิ์ทำไม”

“เข้าใจแล้ว”

ซ่งจินรับคำ  แล้วผละสายตาปลาตายของตนออกไปโดยไม่พูดมาก

“แต่ถ้าได้ดาบดี ๆ สักหน่อยก็คงดี”  ซีคงหยูคิดดัง ๆ

“สรุปจะให้ซื้อหรือไม่”

“เห้ย  เกรงใจน้องอวิ๋น”

“แล้วถ้าอามู่เป็นเจ้ามือ?”

“เอาดิ”

ซ่งจินปรายตามอง  จากนั้นวิจารณ์  “ท่านนี่จนจริง ๆ”

“ฮ่า ๆ”  คุณชายสามได้แต่หัวเราะ  เพราะมันเป็นความจริง

สักพักเขาก็สะกิดซ่งจินอีกที

“น้องซ่ง ๆ”

“ว่า”

“วิธีหาเงินทำไงล่ะ”

“หาแกนอสูรหรือชิ้นส่วนที่ใช้ทำยาเซียนและวัตถุวิเศษไปขาย”

“อ้อ..ข้ามีแกนอสูรเทอราโนดอน  พอจะขายได้มั้ย”

เมื่อคุณชายสามควักแกนอสูรออกมา  ดวงตาปลาตายของซ่งจินก็มีประกายขึ้นมา

“..นี่มัน  แกนอสูรระดับเมฆาเคลื่อนคล้อย”  หนุ่มหน้าตายหยิบแกนอสูรที่เป็นสีส้มสุกทั้งลูกโดยปราศจากสีแดงปะปนมามองใกล้ ๆ  แน่นอนว่าสีที่เขาหมายถึง  เป็นสีสันอันมองเห็นได้ด้วยดวงตาจิต

“น่าจะขายได้แพงอยู่  สำนักอำพันโบราณคงต้องการแกนอสูรลูกนี้”  ซ่งจินสรุปการประเมิน

“งั้นรบกวนน้องซ่งเอาแกนอสูรนี้เข้ารายการประมูลให้หน่อย”

ซ่งจินคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าจะเป็นการรบกวนลำดับการประมูลหรือไม่   แต่แล้วก็พยักหน้า   แล้วถือแกนอสูรทรงลูกแก้วนั้นไปทางหลังเวที


+++++++

หลังจากการประมูลอาวุธผ่านไป ซึ่งบางชิ้นก็ได้กลับไปอยู่กับเจ้าของเดิม  และบางชิ้นก็ไปอยู่กับเจ้าของใหม่  การประมูลก็มาถึงช่วงวัตถุวิเศษ  และชิ้นแรก

“แกนอสูรเทอราโนดอน  ระดับเมฆาเคลื่อนคล้อย  ราคาเริ่มต้น  1300 ตำลึงทอง  ประมูลต่อเพิ่มครั้งละ +50 ตำลึงทอง”

เด็กหนุ่มหน้าใสผู้ดำเนินการประมูลเคาะโต๊ะประกาศ  แกนอสูรที่เขาบ่งชี้ลอยอยู่ในอากาศเหนือแท่นหยกแสดงสินค้าที่มีพลังเซียนต้านแรงโน้มถ่วง  มันมีราคาเริ่มต้นที่สูงกว่าอาวุธระดับตะวันขึ้นสายแทบจะทุกชิ้น  เนื่องจากมันมีระดับสูงกว่าหนึ่งขั้น

คุณชายเสื้อน้ำตาลจากอำพันโบราณมองด้วยตาที่หยีโค้งเป็นพระจันทร์คว่ำ  แต่แม้กระนั้นก็ไม่อาจงำความสนอกสนใจที่ฉายออกมาทางแววตาได้  ตู้เกี่ยนหลงเห็นแล้วจึงสะกิดถาม

“นี่คือแกนอสูรที่ศิษย์พี่กำลังหาอยู่นี่”

อสูรโบราณที่บินได้  เป็นของหายาก  และการล่ามันก็ยาก  เพราะมันสามารถเคลื่อนที่ไปในท้องฟ้าอย่างอิสระ  ถ้าไม่มีวิชาเซียนที่จำกัดการเคลื่อนไหวของมันอาทิเช่นพายุหิมะ  หรืออัมพาต  การสังหารมันก็จะเป็นไปได้ยากมากสำหรับผู้มีวรยุทธขั้นตะวันขึ้นสาย

“1350!”  คุณชายเสื้อน้ำตาลให้ราคาเป็นคนแรก

“2000!”  อีกเสียงสวนมาทันควัน  ราคาที่เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวดึงสายตาของทุกคนไปยังนักดาบหนุ่มเจ้าของเสื้อกันฝนสีน้ำตาลที่ยืนกอดอกอยู่ไม่ไกล

“คุณชายหลี่  ท่านเป็นเจ้าของห้องประมูล  แต่มาปั่นราคาเช่นนี้น่าเกลียดไปหรือไม่”

หลี่โอ๋อวิ๋นแทบจะไม่สนใจคุณชายเสื้อน้ำตาลที่ตั้งคำถาม  เขาพูดโดยที่ไม่เหลือบแลคู่สนทนา

“แกนอสูรนี้เป็นของที่สหายสำนักอื่นส่งเข้าร่วมประมูล  และข้าก็บังเอิญอยากได้มาไว้ดูเล่น  ถ้าใครไม่พอใจก็ไม่ต้องซื้อ”

เมื่อเห็นว่าข้อโต้แย้งของตนไม่ได้ผล  คุณชายเสื้อน้ำตาลจึงกัดฟันประมูลต่อ  “2200!”

“3000!”

“3300!”

เมื่อเห็นหน้าที่แดงก่ำของผู้ร่วมประมูล  หลี่โอ๋อวิ๋นก็พยักหน้าอย่างพอใจแล้วประกาศ  “เจ้าชนะ”

 “3300 ครั้งที่หนึ่ง”   ผู้ดำเนินรายการเริ่มนับถอยหลัง  “3300 ครั้งที่สอง   .....   3300  ครั้งที่สาม  สิ้นสุดการขาย!”

เมื่อค้อนเคาะดังปัง  คุณชายเสื้อน้ำตาลก็ลุกขึ้นยืนและประสานมือคารวะรอบทิศ

“ไม่ทราบว่าสหายท่านใดที่เป็นผู้ขายแกนอสูรชิ้นนี้  โปรดแสดงตัว  เพื่อข้าจะได้แน่ใจว่าประตูทรราชไม่ได้โกง”

ผู้ดำเนินการประมูลส่งสายตาถามหลี่โอ๋อวิ๋นทำนองว่าจะยับยั้งหรือไม่   แต่อีกฝ่ายทำแค่เพียงยักไหล่

“ถ้าคุณชายซีคงลุกขึ้นยืน  การดำรงอยู่ของท่านจะอยู่ในสายตาของพวกเขาทุกคน”   ซ่งจินแนะนำซีคงหยูซึ่งมีสีหน้าลังเล

ถึงแม้ว่าซีคงหยูจะไม่อยากตกเป็นเป้า  แต่เขาก็ไม่ต้องการให้เรื่องของตนเองเป็นสิ่งที่ฝ่ายนั้นเอามาใช้ดูหมิ่นประตูทรราช  เขาจึงลุกขึ้นยืนและประสานมือคารวะไปทางสำนักอำพันโบราณ

“แกนอสูรนั้นเป็นของข้าเอง  และข้าไม่ได้อยู่สำนักประตูทรราช”

คุณชายเสื้อน้ำตาล  ตู้เกี่ยนหลง  และคนอื่น ๆ ในพันธมิตรสามสำนักมองอย่างจำได้  ว่าคือคนที่จ้าวเหรินเจี่ยนชี้ให้ดูตอนเข้ามาในลานประมูล

“มิทราบว่า  สหายเต๋าท่านนี้มีนามว่าอะไร”

“ซีคงหยู”

“สหายซีคง  ขอบคุณที่ขายแกนอสูรให้กับข้า”  คุณชายเสื้อน้ำตาลยอมรับความพ่ายแพ้  และนั่งลงไปกับเก้าอี้ด้วยท่าทีที่เหมือนไม่ใส่ใจอะไรแล้ว

“ช้าก่อน!”  หลี่โอ๋อวิ๋นเหมือนพูดธรรมดา  แต่เสียงของเขาทรงพลังสะท้านแก้วหู   “เจ้าติดค้างคำขอโทษต่อประตูทรราช  เจ้าใส่ร้ายว่าเราพยายามปั่นราคาสินค้า”

คุณชายเสื้อน้ำตาลหน้าแดงเหมือนตับหมู  เขานึกขึ้นได้ว่าคู่หมั้นของหลี่โอ๋อวิ๋นที่ร่ำลือกันมีนามว่าซีคงหยู  และเชื่อว่าสองคนนี้เล่นละครคนหนึ่งหน้าขาวคนหนึ่งหน้าดำ (1)  เพื่อสร้างความอับอายให้กับเขา  แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่อาจโต้เถียงอะไรได้  ได้แต่ก่นด่าตนเองที่ตกหลุมพราง

“ข้าทำไม่ถูกต้อง”   คุณชายเสื้อน้ำตาลกัดฟันพูด  หลี่โอ๋อวิ๋นจึงยอมปล่อยเขาไป

ตู้เกี่ยนหลงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ศิษย์พี่ของตน  สูดลมหายใจลึก  เขาเองก็จำชื่อซีคงหยูได้  จึงลอบมองอีกฝ่ายซ้ำสองสามครา  และพยายามจดจำลักษณะท่าทางให้แม่น


(1)    หน้าขาวคือบทตัวเอก  และหน้าดำคือบทตัวร้าย
++++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-09-2017 12:39:39 โดย Kirimanjaro »

ออฟไลน์ xexezero

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ขำอาการกระอักเลือด55555

ตอนท้ายคู่รัก(?)มีการแทคทีมกันด้วย

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ต่อแถวเข้าชมฮาเร็มของซีคงหยู เอ๊ย การประมูล


ลืมเสี่ยวหมี! เจ้าช่างใจอำมหิตนัก

ออฟไลน์ wnkth

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
นี่เขาเรียกผัวเมียส่งเสริมกันใช่มะ

ออฟไลน์ Kirimanjaro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
ยามบ่ายของเสี่ยวหมี






++++

xexezero: อาหยูบอกว่าไม่ได้ตั้งใจแทค  เขามาเอง  หุหุ

alternative: เสี่ยวหมีกลับมาแร้ว  พร้อมแอร์ไทม์ที่ล้นเหลือ (หรอ?)

wnkth:  ฮ่า ๆๆ  ใช่แร้น


++++


 
ครึ่งหลังของการประมูลเป็นไปโดยราบเรียบ  สมบัติที่ควรจะกลับไปหาเจ้าของก็กลับไป  เหลือไว้แต่กำไรที่ประตูทรราชฟันไว้อื้อซ่า  ซีคงหยูรับเงิน 3000 ตำลึงทองจากศิษย์สำนักประตูทรราช  อีก 300 ถูกหักเป็นค่าใช้จ่ายของห้องประมูล  เขารู้สึกขอบคุณหลี่โอ๋อวิ๋นที่ช่วยดันราคาให้  แต่เมื่อเหลียวมองรอบ ๆ งานก็ไม่รู้ว่าพ่อคนหน้าดุหายไปอยู่แห่งหนใด

เขาบอกลาซ่งจิน  และเดินไปสมทบกับกลุ่มวารีพิสุทธิ์เพื่อเดินทางกลับค่ายของตน


++++


วันถัดมา  พันธมิตรสามสำนักเปลี่ยนยุทธวิธีใหม่  พวกเขาเลือกที่จะไม่ปะทะกับประตูทรราชตรง ๆ แล้ว  และแยกทีมออกเป็นหลายทีมเพื่อกระจายความเสี่ยงของการถูกขัดขวาง  คราวนี้ประตูทรราชเปลี่ยนไปมุ่งเป้าโจมตีทีมของอำพันโบราณ  ซึ่งสำนักอื่นก็มองอย่างพึงพอใจเพราะอำพันโบราณมีจำนวนเหมืองในครอบครองมากกว่าทุกสำนัก

และแล้วก็ถึงวันปล่อยพยัคฆ์เข้าป่า...

ลานประลองถูกจัดขึ้นทั้งหมด 16 แห่งตามจำนวนของเหมืองที่ถูกยึดและมีผู้คุมเหมือง   ลักษณะของลานเป็นเส้นใสราง ๆ ของลวดลายและสัญลักษณ์ไทจี่ที่ไขว้ขดกันอย่างซับซ้อน  มันดูเหมือนแผ่นคริสตัลใสลงลายที่ลอยหลดหลั่นกันอยู่ในห้วงนภากาศ  แต่ละลานก็จะมีวงสัญลักษณ์ขนาดเล็กของตัวมันอยู่บนพื้นดินในเมืองจิ้งซาน  มันคือ [วงจร] ที่ถูกสร้างโดยผู้มีวิชาเซียนสูงส่ง  หน้าที่ของมันคือเคลื่อนย้ายถ่ายโอน  มิว่าคน  วัตถุสิ่งของ  สามารถเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งได้ในพริบตา

วงจรเคลื่อนย้ายในพริบตาเป็นหนึ่งในแขนงวิชาประเภท [เทศะ]  กล่าวกันว่านักพรตเต๋ามู่หรงจวินจื่อเกิดพุทธปัญญาค้นพบความลี้ลับของเทศะหลังจากที่เขาไปนั่งบำเพ็ญเพียรในเหมืองนานกว่าสามร้อยปี  แม้ว่าจะเป็นแขนงวิชาที่สืบทอดและพัฒนามาช้านาน  แต่ชาวยุทธน้อยคนนักที่จะมีพรสวรรค์ในธาตุนี้  จะแสวงหาผู้มีพรสวรรค์ในธาตุทอง ไม้ ดิน น้ำ ไฟพร้อม ๆ กันทั้งหมด  ยังจะง่ายกว่า

ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ห้าสำนักจะต้องไปเชิญนักพรตเต๋าของพระเจ้าโจวเหวินหวางมาจัดลานประลอง

นักพรตเวิ่นเต๋อทำตัวเหมือนนักพรตเต๋าทั่วไป  เขาใส่เสื้อสีเทาตัวใหญ่ลายหยินหยาง  ตรงบ่ามีแส้ปัด  ใบหน้ามีเครายาว  ทว่าเคราและผมเผ้าสีดำขลับ  ดวงหน้าเต่งตึงแจ่มใสดูไม่ชราแม้ว่าอายุที่แท้จริงจะเกินหลักร้อย

“นักพรตเวิ่น”   ผู้อาวุโสห้าสำนักกำมือประสานเป็นรูปถ้วยที่หน้าอก  ทักทายอีกฝ่ายที่เดินเหยียบเมฆเจ็ดสีมายังจุดชมการประลอง   พวกเขาอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดของจิ้งซาน  อันมองเห็นลานประลองทั้งสิบหกที่ลดหลั่นซ้อนกันเหมือนต้นไม้โบราณที่คดเคี้ยวขึ้นมาบนท้องฟ้า

เวิ่นเต๋อเพียงพยักหน้า  ตาของเขาหลุบแทบจะไม่มองใคร  ทว่าไม่มีผู้อาวุโสคนใดรู้สึกไม่พอใจ  ถ้าท่านหยิ่งยโสโดยไม่มีคุณสมบัติ  นั่นคือการไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ  แต่ถ้าท่านเป็นนักพรตเต๋าชั้นสูงของราชสำนัก  ซ้ำยังมีพรสวรรค์ด้าน [เทศะ]  จะถุยน้ำลายรดหน้าคู่สนทนา  บางทีเขาอาจจะยิ้มให้ท่านด้วยซ้ำ

เมื่อถึงเวลา  พวกผู้อาวุโสก็จุดพลุ  ดอกไม้เพลิงกระจายในอากาศ  แสงเจิดจ้าชัดเจนแม้ว่าจะเป็นเวลากลางวัน   ลานประลองกลางฟ้าแต่ละลานเริ่มเปล่งแสง  และปรากฏกลุ่มก้อนแสงสีเหลืองเจิดจ้าซึ่งค่อย ๆ จางหาย  กลายเป็นผู้รอการท้าประลองของแต่ละสำนักที่ถูกเคลื่อนย้ายขึ้นมา  หลี่โอ๋อวิ๋นเป็นหนึ่งในนั้น  เขาสะพายดาบไว้ที่หลังและกอดอกอย่างถือดี  เพื่อรอให้คู่ท้าประลองปรากฏตัว 

“ฮ่า ๆๆ  ยินดีกับผู้อาวุโสตู้ด้วย  ดูเหมือนว่าอำพันโบราณจะยึดเหมืองได้มากที่สุด”

ผู้อาวุโสจากสำนักไมตรีโลหิตกล่าวกับตู้ถงเทียน  ซึ่งยืนมองลานประลองอย่างพึงพอใจ

ได้ยินดังนั้น  เยว่หนานอิ๋งผู้อาวุโสแห่งประตูทรราชก็เข้าร่วมสนทนา
“ยินว่าลูกชายคนเล็กของผู้อาวุโสตู้ก็อยู่ในการประลองครั้งนี้  มิน่าเล่าจึงสามารถชิงความได้เปรียบของการประลองได้”

“ฮ่า ๆ  ข้าไม่ได้หน้าด้านหน้าทนให้ของวิเศษแรง ๆ กับเขาหรอกนะ  ไม่เหมือนบางสำนัก  ส่งศิษย์เอกลงไปแข่งกับศิษย์ใหม่  ไม่ทราบว่าสุนัขคาบจิตสำนึกไปกินแล้วหรืออย่างไร”

ผู้อาวุโสไมตรีโลหิตยิ้มแห้ง  ขณะที่เยว่หนานอิ๋งชักสีหน้า  “เพ้ย  พวกเราก็ตกลงกันแล้วว่าสามารถส่งศิษย์เอกอย่างน้อยหนึ่งคนลงไปในห้าเหมือง  สำนักเจ้าก็ส่งไปอู๋ซาน  ไฉนมาทำเหมือนเจ้าเสียเปรียบอยู่คนเดียวแบบนี้  แล้วเจ้าอีก”  นางหันไปแว้งกัดผู้อาวุโสไมตรีโลหิต   “นึกยังไงถึงส่งจ้าวเหรินเจี่ยนมาชนกับศิษย์ข้า  เหมืองอื่นมีทำไมไม่ไป”

ผู้อาวุโสไมตรีโลหิตหัวร่อแก้เก้อ  “ไฮ้  ผู้อาวุโสเยว่  ท่านจะขัดหยกด้วยกระเบื้องได้อย่างไร  หยกต้องแข่งกับหยกถึงจะรุดหน้า  ความข้อนี้ทำไมท่านไม่เข้าใจ”

“แต่ข้าก็ไม่เห็นหยกจะไปปะทะกันเองตรงไหน  ข้าเห็นแต่ผู้แซ่หลี่รังแกศิษย์สำนักข้า”  ผู้อาวุโสวังหมื่นบุปผาอดรนทนไม่ได้  จึงเหน็บแนมและส่งสายตาจิกไปยังเยว่หนานอิ๋ง

เมื่อเห็นว่าถูกรุม  เยว่หนานอิ๋งจึงหันไปคว้าแขนคุณชายผู้สวมเสื้อคลุมลายคุนเผิงโต้คลื่นสีน้ำเงิน  ซึ่งยืมอมยิ้มอยู่

“พี่ไป่  ดูพวกนี้สิ  เอาชนะด้วยกำลังไม่ได้ก็มาตีฝีปาก”

ไป่หลินหลิงหัวร่อหนึ่งครา  รวบพัดเก็บแล้วก็โอบบ่าเยว่หนานอิ๋ง  มืออีกข้างเชยผมนางพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงละมุนละไม

“น้องเยว่ไม่ต้องกลัว  ถ้าใครกล้ารังแกเจ้า  ข้าจะให้มันชิมกระบี่มังกรอาฆาตสักจึ๊กสองจึ๊ก”

ตู้ถงเทียนกระแอม  แม้ว่าเขาจะเห็นทุ่งลิลลี่ระหว่างสองคนนี้บ่อยมาก  แต่ก็ไม่ชินเสียที

“พวกเจ้าเลิกพูดสาระ  ไปดูการประลองดีกว่า”

บนลานประลอง  ผู้ท้าประลองถูกเคลื่อนย้ายในพริบตามาประจันหน้ากับผู้รับคำท้าเกือบทั้งหมดแล้ว   จ้าวเหรินเจี่ยนไม่มีผุ้ท้าประลองตามที่ทุกคนคาด  ทว่า..ตรงข้ามกับหลี่โอ๋อวิ๋น  มีกลุ่มแสงปรากฏ  ก่อนที่แสงนั้นจะจางหาย  กลายเป็นชายหนุ่มใส่เสื้อสีดำ  สะพายห่อผ้าสีเหลือง  และในมือก็มีดาบที่ยาวเกือบครึ่งตัว   เขาถือปักพื้นเอาไว้เหมือนไม้เท้า  และยืนรอสัญญาณการเริ่มประลองอย่างสงบ

“โอ้  นั่นศิษย์สำนักใด  ไฉนกล้าท้าประลองกับหลี่โอ๋อวิ๋น”

เมื่อเห็นตู้ถงเทียนอุทานอย่างประหลาดใจ  ผู้อาวุโสไมตรีโลหิตก็พูดว่า  “เจ้าต้องเดาไม่ถูกแน่ ๆ”

เป็นเยว่หนานอิ๋งที่ทุบอกไป่หลินหลิงและทำหน้าเง้างอน  “ดูสิ  ศิษย์ท่านจะมายึดเหมืองของศิษย์ข้า”

คนที่ยังไม่รู้ก็หันไปมองไป่หลินหลิงอย่างประหลาดใจ  ขณะที่นางกำลังปลอบใจคนในอ้อมกอด

“พวกเด็ก ๆ ตีกันใยเราต้องสนใจ  ขนาดเจ้าสำนักพวกเราที่เหมือนน้ำกับไฟยังทำลายความสัมพันธ์เราสองไม่ได้”

“เจ้าก็ปากหวานไปวัน ๆ ข้ารู้ว่าเจ้ามีเล็กมีน้อยเต็มไปหมด”

ทุกคนมองอย่างเหยียดหยามเมื่อเห็นทั้งคู่เล่นละครพ่อแง่แม่งอน  พวกเขาล้วนแต่เป็นจิ้งจอกเฒ่า  ไฉนจะไม่รู้ว่าเหตุใดวารีพิสุทธิ์จึงส่งคนไปท้าประลองหลี่โอ๋อวิ๋น

ผู้อาวุโสไมตรีโลหิตถอนใจอย่างเสแสร้ง  “เฮ้อ  ไฉนวังหมื่นบุปผาและอำพันโบราณ  ไม่ส่งคนมาท้าประลองกับเจ้าเจี่ยนบ้าง  ทำให้ข้าต้องอิจฉาวารีพิสุทธิ์กับประตูทรราชยิ่งนัก”

ตู้ถงเทียนและผู้อาวุโสวังหมื่นบุปผาไม่ตอบ  ถือเสียว่าเป็นประโยคลอยลม

ทุกคนหันกลับไปสนใจลานประลองของหลี่โอ๋อวิ๋น  คู่ต่อสู้ของหลี่โอ๋อวิ๋นปลดห่อผ้าที่สะพายบ่า  และหยิบม้านั่งเตี้ย ๆ มาตัวหนึ่ง  วางไว้ตรงหน้า  แล้วยกเท้าซ้ายขึ้นเหยียบ  จากนั้นเอาดาบพาดบ่าแล้วชี้หน้าตวาด

“เพ้ย  ผู้แซ่หลี่  เอี้ยเอี้ย (your granpa) ลดตัวมาท้าประลองแล้ว  เจ้ายังไม่ไสตูดมายอมแพ้อีก”

เส้นเลือดตรงขมับของนักดาบหนุ่มเต้นปึด ๆ  ถึงจะตกลงเล่นละครกันแต่ก็ไม่ต้องกวนขนาดนี้มั้ย
หลี่โอ๋อวิ๋นนิ่งไปพัก  จากนั้นค่อย ๆ หยิบผ้าขาวยาวมาพันที่มือ  และส่งสายตามังกรไปยังฝ่ายตรงกันข้าม

“ได้ยินว่าเจ้าก็ฝึกเต๋าแห่งดาบ?”

ชายเสื้อดำหัวร่ออย่างลำพอง  “ใช่แล้วจะทำไม  เจ้าเริ่มกลัวแล้วหรือไรว่าจะหล่นจากตำแหน่งเต๋าแห่งดาบอันดับหนึ่งของผู้กล้ารุ่นเยาว์”

หลี่โอ๋อวิ๋นเลิกคิ้ว  “เจ้าน่ะหรอที่จะเขี่ยให้ข้าหล่นลงไป”

“โฮ่ ๆ แน่อยู่แล้ว  เพราะในวันนี้ไม่เป็นข้าชนะ  เจ้าก็แพ้  การประลองมีแค่ผลเดียวไม่มีอื่น  เจ้าเตรียมตัวถูกยัดเยียดความพ่ายแพ้เถอะ”

“หึ ๆ”  หลี่โอ๋อวิ๋นหัวเราะเย็น  มือจับด้ามดาบ  แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ  ดึงเอากิ่งไม้ยาวเกือบวาออกจากแหวนสี่มิติ

“เพ้ย  ผู้แซ่หลี่  เจ้าจะดูถูกข้าไปแล้ว  เจ้าใช้กิ่งไม้จะได้เป็นข้ออ้างเวลาแพ้สินะ”

“หรือจะให้ใช้ดาบจริง?”

เมื่อฟังเช่นนั้นชายชุดดำก็เหลือกตาส่ายหน้ารัว ๆ จนลมเข้ากระพุ้งแก้ม

“เฮอะ”  หลี่โอ๋อวิ๋นแค่นเสียงแล้วจับกิ่งไม้ในท่าเตรียม  “ได้ยินว่าเจ้ารู้เพลงดาบแค่สามกระบวนท่า  ข้าก็จะใช้สามกระบวนท่านั้นสั่งสอนเจ้า  เตรียมรับมือ!”

“คิดว่าข้ากลัวหรอ”   ชายชุดดำรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลแม้ว่าอีกฝ่ายจะยังไม่เคลื่อนไหว  จึงถอยกรูด ๆ ไปแทบชนขอบเขตวงจรลานประลอง

หลี่โอ๋อวิ๋นเปิดด้วยมังกรดั้นเมฆ  เท้าของเขาสะกิดไปเบื้องหน้า  เขาตั้งใจไม่ใช้พลังปราณขั้นจันทราเลื่อนลอย   เพราะถ้าทำเช่นนั้นซีคงหยูก็จะต้องพ่ายแพ้ในพริบตา

การโจมตีของมือดาบไร้ธุลีไม่เร็วไม่ช้า  เหมือนกับเปิดโอกาสให้คุณชายสามเตรียมรับมือ   ซีคงหยูเก็บรอยยิ้มแล้วกระโดดไปข้างหน้าพร้อมกับวาดดาบในท่าหงสากางปีก

ทว่ามังกรดั้นเมฆของหลี่โอ๋อวิ๋นนั้นประดุจมังกรเทพยดา  เห็นหางไม่เห็นศีรษะ  มังกรซอกซอนเข้าช่องโหว่ของปีกหงส์  และกิ่งไม้ก็เข้าไปพาดคอของซีคงหยู

“เจ้าตายรอบที่หนึ่ง”   หลี่โอ๋อวิ๋นกล่าวอย่างเย็นชา  ก่อนถอนกิ่งไม้กลับไปในท่าเตรียม

“เพ้ย  ข้าแค่เผลอไปหน่อย”

หลี่โอ๋อวิ๋นไม่พูดอะไร  เขากวักมือเรียกอย่างท้าทาย

ซีคงหยูพ่นลมหายใจพรืด  แล้วน้าวด้ามดาบไปที่หลังใบหูเตรียมใช้มังกรดั้นเมฆ
หลี่โอ๋อวิ๋นยิ้มเยาะ  เขาวาดดาบป้องกันในท่าหงสากางปีกดุจเดียวกับที่ซีคงหยูทำเมื่อครู่

ประกายดาบวาบซิกแซกในอากาศ  ราวกับสายฟ้าสีขาวยวง  ทว่าหลี่โอ๋อวิ๋นทำเพียงแค่ปาดดาบซ้ายป่ายขวาด้วยสีหน้าสบาย ๆ  ประกายดาบที่ถูกป้องกันด้วยกิ่งไม้เกิดเป็นดาวเงินกระจัดกระจายไปทั่ว

“มาอีก”

เมื่อถูกยั่วยุ  ซีคงหยูกระโดดถอยแล้วทะยานตัวในอากาศ  ใช้ท่าพยัคฆ์ลงจากภูเขา  หลี่โอ๋อวิ๋นเห็นดังนั้นจึงใช้ท่าเดียวกัน  เมื่อเสือสองตัวตะปบกันในอากาศ  ตัวที่อ่อนแอกว่าย่อมกระเด็นไป

ซีคงหยูม้วนตัวกับพื้นเพื่อลดแรงกระแทก  และกลับมาเตรียมใช้เพลงดาบต่อได้ทันที  มันไม่ใช่อะไรที่ฝึกจากเพลงดาบอย่างเดียว  แต่เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์การต่อสู้และลับปฏิกิริยาตอบสนองให้ฉับไว

หลี่โอ๋อวิ๋นไล่โจมตีด้วยมังกรดั้นเมฆ  ทว่าร่างของอีกฝ่ายเหมือนกับว่าเป็นภาพมายาที่ไม่อาจโจมตีได้ถูก  มือดาบไร้ธุลีอุทานในใจ  และในขณะเดียวกัน  เปลือกตาที่หลุบอยู่ของนักพรตเวิ่นเต๋อก็ลืมขึ้นมาเล็กน้อย

แต่กระนั้น  หลี่โอ๋อวิ๋นก็ไม่ได้ประหลาดใจมาก  เขาคำนวณทิศทางและใช้มังกรดั้นเมฆไล่โจมตีอีกฝ่ายที่สะกิดเท้าถอยหลังเตรียมตั้งหลัก

“เจ้าตายครั้งที่สอง”  หนุ่มหล่อหน้าดุกล่าวเมื่อกิ่งไม้ในมือของตนจี้ที่คอของฝ่ายตรงข้ามได้

“เฮ้  ไม่ออมมือให้ข้าเลย”  ซีคงหยูพูดแล้วก็วาบดาบป่ายกิ่งไม้  แล้วโจมตีกลับอย่างรวดเร็ว

“ข้าออมมือให้แล้ว”  หลี่โอ๋อวิ๋นปล่อยให้กิ่งไม้ถูกดาบปัดหมุนวนตามทิศทาง  อีกมือไขว้หลังบิดตัวหยิบกิ่งไม้ที่ลอยในอากาศตามเพลงดาบ  แล้วใช้โจมตีฝ่ายตรงกันข้ามจากแง่มุมที่ซีคงหยูไม่สามารถคาดเดาได้

“เจ้าตายครั้งที่สาม”

“เพ้ย  เจ้ากะจะฆ่าข้ากี่รอบ  เมื่อไหร่จะยอมแพ้”

ซีคงหยูเหวี่ยงดาบใช้แรงเหวี่ยงกระโจนถอย  เขาเรียกการพลิกแพลงนี้ว่าท่าพยัคฆ์ขึ้นภูเขา  แต่หลี่โอ๋อวิ๋นกัดไม่ปล่อย  เขาพลิกแพลงมังกรดั้นเมฆเป็นมังกรกลืนเมฆ  และกวาดกิ่งไม้โจมตีเป็นวงกว้างกว่าร้อยเงาจากเบื้องล่างพลางสนทนาไปด้วย

“ใครสอนเพลงดาบให้กับเจ้า”   ..ถึงรู้แล้วแต่ก็อยากถาม

“ลองเดาดูสิ”  ซีคงหยูใช้พยัคฆ์ขึ้นภูเขาซ้ำทั้งอยู่ในอากาศ  แรงเหวี่ยงของดาบพาร่างของเขาลอยไกลออกจากพื้นที่โจมตีของมังกรกลืนเมฆ

“สอนได้แย่มาก”  หลี่โอ๋อวิ๋นพูดแล้วใช้ท่าหงสาทะลวงใจ  ปีกหงส์ชี้ไปข้างหน้าหมุนเป็นเกลียวเหมือนพายุทอนาโดที่รุกไล่

“เฮ้  ไหนเจ้าว่าใช้แค่สามกระบวนท่า”  ซีคงหยูซึ่งโดนดาบจ่อคอหอยอีกรอบประท้วง  แล้วก็พูดต่อ  “..โอเค  ข้าตายครั้งที่สี่”

หลี่โอ๋อวิ๋นถอนดาบกิ่งไม้ออกไป  แล้วเลิกคิ้วถาม  “เจ้าจริงจังได้แค่นี้หรออาหยู  ข้าไม่อยากยอมแพ้ให้เพลงดาบเด็กเล่น”

กล้ามเนื้อเหนือริมฝีปากด้านซ้ายของซีคงหยูกระตุก  เป็นสัญญาณว่ากำลังของขึ้น  เขาใช้ปลายดาบยันพื้นแล้วพุ่งเข้าโจมตีด้วยหงสาทะลวงใจ

“ฮ่า ๆ เลียนแบบไปก็เท่านั้น”  หลี่โอ๋อวิ๋นหัวเราะเยาะ  แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกตระหนกว่าซีคงหยูรู้การพลิกแพลงนี้ได้อย่างไร  ซ่งมู่สอนท่านี้ด้วยหรือ  ทำไมเขาไม่ใช้แต่แรก

ในชั่วพริบตาที่เกลียวพายุทอนาโดพุ่งเข้ามาใกล้  หลี่โอ๋อวิ๋นวาดกิ่งไม้ขึ้นเฉียง ๆ กรีดไปยังช่องโหว่ของกระบวนท่า  ทว่าเสียงตะโกนจากในพายุดาบทำให้เขาสะดุ้ง

“เอามันไปแดกซะ!”

ควันสีดำพวยพุ่งจากพายุในพริบตา  และห้อมล้อมทั้งคู่ไว้ในผงคลีที่ดูดซึมแสงไปทั้งหมด

“ฟัค!  ระเบิดควัน!”

“ฮ่า ๆ  น้องอวิ๋นนี่น่ารักจริง  จำของเล่นข้าได้ด้วย”

ซีคงหยูใส่แว่นครอบตาที่เตรียมไว้  มันเป็นวัตถุกลไกที่ใช้คู่กับระเบิดควันในการมองทะลุความมืด  เขากำด้ามดาบกระชับในมือ  แล้วใช้ท่ามังกรดั้นเมฆพุ่งเข้าประชิดเงาร่างที่เห็นลาง ๆ ในควัน

ทว่าหลี่โอ๋อวิ๋นยกกิ่งไม้ในมือต้านกระบวนท่าเหมือนไม่ได้ลำบากอะไร

“ไอ๊หยา  เจ้ารู้ได้ยังไง”

“อาหยู  อย่าหาว่าข้าสอน  ผู้มีวรยุทธชั้นสูงสามารถมองเห็นกระแสปราณในอากาศ  ของเล่นยังไงก็เป็นของเล่นวันยังค่ำ”

หลี่โอ๋อวิ๋นวาดกิ่งไม้  กระแทกดาบและร่างของซีคงหยูให้กระเด็นลอยไปจากกลุ่มควัน

“แต่ถ้าข้ากะน้องอวิ๋นวรยุทธเท่ากัน  เจ้าต้องแพ้แล้ว”   ซีคงหยูสู้ดาบไม่ได้ก็ต้องใช้ปาก  มือลูบท้องป้อย ๆ ที่เจ็บจากแรงกระแทก

“ผู้ใดใช้ให้เจ้าขี้เกียจ  ไม่ยอมบำเพ็ญพรต”  หลี่โอ๋อวิ๋นกัดที่จุดอ่อนของชายชุดดำอย่างไม่ปราณี

“เมื่อไหร่จะยอมแพ้”  ซีคงหยูพูดแล้วก็โจมตีด้วยพยัคฆ์ลงจากภูเขาอีกครั้ง

หลี่โอ๋อวิ๋นไม่ตอบไพล่มือข้างหนึ่งไว้ข้างหลัง  ส่วนมือข้างที่ถือกิ่งไม้ก็วาดวนสลายกระบวนท่าของฝ่ายตรงข้าม  จากนั้น  เท้าสาวเข้าไป  กิ่งไม้กระแทกดาบจนซีคงหยูมือชา  และไม่ทันตั้งตัว  เขาพลิกข้อศอกกระแทกอกคุณชายสามจนกระเด็นไปสิบก้าว

“โอ๊ย!!”   เจ้าของเสื้อสีเหมือนหมีตัวเองคลำหน้าอกแล้วร้องครวญคราง

“สำออย”   หลี่โอ๋อวิ๋นสืบเท้ารุกไล่อีก  กิ่งไม้ลากเรี่ยพื้น  เสียดสีดังหวีดหวิดเหมือนเอาแท่งเหล็กไปกรีดก้อนหิน  ฝุ่นควันคลุ้งตามรอยไม้ที่กรีด  และในที่สุดปลายกิ่งไม้ที่โค้งงอตามการลากก็ดีดผึงสร้างกระแสลมรุนแรงพัดเอาซีคงหยูปลิวไปอีกสามสี่ตลบ

“นี่เจ้าเอาจริงใช่มั้ย”   ซีคงหยูยันตัวจากพื้นอย่างยากลำบาก   ตัวของเขาขะมุกขะมอมไปหมด

“ยัง”   หลี่โอ๋อวิ๋นใช้พลังปราณไม่ถึงหนึ่งในร้อยส่วนเลยด้วยซ้ำ

“ถ้าเจ้ายังไม่ยอมแพ้  ข้าจะใช้ไม้ตายล่ะนะ”  ซีคงหยูขู่ฟ่อ ๆ

หลี่โอ๋อวิ๋นเลิกคิ้ว  รอดูท่าไม้ตาย

คุณชายสามเอามือป้องปากแล้วตะโกนทีละคำ  “ข้า-ขอ-ยอม...”

“หยุด!”  ในที่สุดนักดาบหน้าเครียดก็ต้องยอม    เขาโยนกิ่งไม้ในมือแล้วประกาศ  “ข้า..หลี่โอ๋อวิ๋น  ขอยอมแพ้”

“ฮ่า ๆๆๆๆๆ”  เสียงหัวเราะดังมาจากคนหน้ามอมทันที  “เห็นมั้ยล่ะ  เห็นมั้ยล่ะ  ในที่สุดข้าก็เอาชนะเต๋าแห่งดาบอันดับหนึ่งได้”

ปึด! ปึด!  เสียงเส้นเลือดบนหน้าผากหลี่โอ๋อวิ๋นเต้นตุบ ๆ อีก  แต่ก็กัดฟันไว้

ซีคงหยูหันไปประสานมือคารวะรอบทิศ  “ชาวยุทธทั้งหลายโปรดเป็นพยาน  ข้าเอาชนะหลี่โอ๋อวิ๋นในการท้าประลองถอนหมั้นได้  ต่อไปนี้การหมั้นของพวกเรา...”

“เห้ย!”   คนถูกเอ่ยชื่อตะโกน  นิ้วกระดิก  กิ่งไม้ที่ใช้อัดซีคงหยูเมื่อครู่ก็ลอยกลับเข้ามาในมือ

เมื่อรับรู้ถึงจิตสังหาร  คุณชายสามก็ย่นคอทำตาปี๋ 

“โธ่  ข้าแค่ล้อเล่น  น้องอวิ๋นไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย”

“เฮอะ”  หลี่โอ๋อวิ๋นแค่นเสียง  ก่อนที่แสงของวงจรลานประลองจะกลืนร่างของทั้งคู่แล้วเคลื่อนย้ายกลับไปยังเมืองจิ้งซาน

เมื่อการประลองของทั้งคู่สิ้นสุด  เวิ่นเต๋อก็หลุบตาดุจเดิมราวกับไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว



++++


มาดูทางด้านเสี่ยวหมี
ศิษย์น้องเหยียนผู้สถาปนาตนเองเป็นแฟนคลับอันดับหนึ่งกัดผ้าเช็ดหน้าอย่างเจ็บใจ  เมื่อภาพถ่ายทอดสดที่ปรากฏบนแผ่นหยกสื่อสารคือหมีดำขนปุยตัวใหญ่ตาใสแบ๋วนอนหงายท้องเอาเท้าชี้ฟ้า

“ฮึ่ม  เสี่ยวหมี  แค้นนี้ข้าจะชำระให้เอง”

+++++++


(1)  เทศะ = position, space
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-09-2017 22:40:26 โดย Kirimanjaro »

ออฟไลน์ xexezero

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เสี่ยวหมีเป็นอะไรลูก?

แต่งกันไปเลยเลยอาหยู ข้าว่าเจ้าหนีเขา(?)ไม่พ้นหรอก//ตบบ่า

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook


เสี่ยวหมีีของป้า คิดถึงอ่ะ เมื่อไรจะออกมาให้ป้าเชยชมมมม!!
(ทีกับน้องอวิ๋น อีป้าไม่เคยทุรนทุรายอยากให้เข้าฉากเท่านี้เลย)

มาถึงตอนนี้ น้องอวิ๋นมีความหลัวมากลูก อ่านแล้วอยากจะให้อาหยูเบิกตากว้าง ๆ แล้วเล็งเห็นความน่ากินของคู่หมั้นเสียที
ปล่อยไว้นาน ๆ น้องอวิ๋นอาจจะโดนศิษย์เอกสำนักอื่นลากไปฟาดหลังเหมืองเอานา (เพราะถ้าป้ามีวรยุทธ ป้าก็ทำ!)

มาตอนนี้ เราว่าใครต่อใครต้องเริ่มเห็นอาหยูฉายแววบ้างแล้วล่ะ (อย่างน้อย ๆ ก็น้องอวิ๋นแหละ)
หูย! อยากอ่านเลยว่าถ้าอาหยูเก่งขึ้นกว่านี้ อาหยูจะมีเสน่ห์มากขนาดไหน...
(จริง ๆ อยากรู้มากกว่าว่าจะมีใครตบเท้าเข้ามาสมัครเป็นสนมให้อาหยูมั่ง - นี่ถ้ามีน้องจ้าวติดโผนะ ป้าจะหัวร่อให้ฟันหักเลย)

รักคุณคนเขียนค่ะ จ๊วบ ๆๆๆ  :กอด1:


ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
โธ่ ไปดีซะแล้วเสี่ยวหมี อย่าห่วงใยกังวลอะไรจนไม่ได้ไปสู่ภพใหม่เลยนะ


ปล. สารภาพว่างง ๆ ทำไมอวิ๋นยอมแพ้ให้ซีคงล่ะ นี่ฉันพลาดอะไรไป?


ออฟไลน์ Kirimanjaro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0

xexezero:  ท่ายอมแพ้ของเสี่ยวหมีงัย
แต่งกะน้งอวิ๋นแล้วน้องมู่จะเอาไปไหน  >_<

Malimaru:  ฮ่าๆๆๆ  สงสัยจะจำศีลตามน้องตู้ไป  เลยไม่โผล่
หลัวแบบพิศาลมาก ๆ ฮะ  ตบจูบ ๆ  มัดเตียงแล้วเอาแส้ฟาดอะไรประมาณนั้่น
ฮี่ ๆ  แต่ผู้อาวุโสลงความเห็นกันว่า  อาหยูยังธรรมดาอยู่   สงสารอาหยูจริง ๆ  ตอนนี้ก็โดนแย่งซีนอีกแระ

alternative: ตักบาตรด้วยขนมรังผึ้ง  น้ำผึ้งดอกข้าวโพด  และแพนเค้กราดน้ำผึ้งนะฮะ  5555+
ซีคงหยูสมคบคิดกับหลี่โอ๋อวิ๋นมาหลายตอนแล้วครับ  ว่าจะปลดสถานะผู้คุมเหมืองของหลี่โอ๋อวิ๋นออกด้วยการท้าประลอง  เพราะใครที่เป็นผู้คุมเหมืองจะไม่สามารถเข้าไปร่วมการโจมตีเหมืองหรือดักโจมตีฝ่ายตรงข้ามได้
เหมือนกับที่หลิวเกาและเสี่ยวหมีลงไปช่วยคุณชายสามตีเหมืองไม่ได้ในตอนก่อนหน้า


+++++++


ผลการประลองของหลี่โอ๋อวิ๋นไม่ได้ผิดความคาดหมายของผู้อาวุโสทุกคน  เพราะรู้อยู่แล้วว่าศิษย์เอกประตูทรราชต้องออมมือ  ทว่าที่น่าแปลกใจคืออาวุธและเพลงอาวุธที่ซีคงหยูใช้

“เล่าฮิว (1) ได้ยินว่าวารีพิสุทธิ์ไม่มีเต๋าแห่งดาบ”  ผู้อาวุโสไมตรีโลหิตเอ่ยขึ้นมา  เป็นที่รู้กันดีว่าวารีพิสุทธิ์ขึ้นชื่อในเรื่องวิชาเซียนธาตุทั้งห้าโดยเฉพาะธาตุที่เกื้อกูลและก่อเกิดจากน้ำ  อันได้แก่ทองและไม้  รวมทั้งท่าเท้าคุนเผิงย่างกราย  และวิชาเซียนคุนเผิงพันแปลง

“ซ้ำเต๋าแห่งดาบที่เจ้าเด็กนั่นใช้  เป็นท่าพื้นฐานก็จริง  แต่มีกลิ่นอายของประตูทรราช”  ผู้อาวุโสวังหมื่นบุปผาตั้งข้อสังเกตอีกเสียง  จากนั้นปรายตามองช่อลิลลี่สองก้านที่ยืนเคียงกัน  “พวกเจ้าสมคบคิดกันมานานแค่ไหน”

เยว่หนานอิ๋งเชิดหน้าขึ้นไม่ตอบ  แต่นางเองก็สงสัยใคร่รู้ว่าซีคงหยูเรียนหงสาทะลวงใจมาจากใคร  มันเป็นเพียงการพลิกแพลงเพลงดาบพื้นฐานหงสากางปีกก็จริง  แต่เป็นการพลิกแพลงที่เป็นเอกลักษณ์ของประตูทรราช

“ฮ่า ๆ ผู้อาวุโสเม่ย..”  ไป่หลินหลิงออกหน้ากล่าวกับผู้อาวุโสวังหมื่นบุปผา  “..การแลกเปลี่ยนความรู้วรยุทธเป็นเรื่องธรรมดา  อย่าว่าแต่เป็นเพียงท่าพื้นฐาน  เด็กคนนั้นไม่ได้มีอะไรพิเศษ  ใยพวกท่านต้องลดตัวมาใส่ใจ”

ตู้ถงเทียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย   วิชาและวรยุทธของซีคงหยูธรรมดาสามัญเป็นอย่างยิ่ง  จนเขาไม่เข้าใจว่าผู้อาวุโสสำนักอื่นจะทำให้เป็นประเด็นทำไม  ตอนนี้สายตาของเขาจับจ้องไปที่ลานประลองที่สี่  ซึ่งตู้เกี่ยนหลงรับคำท้าสู้จากศิษย์สำนักประตูทรราช

ที่ลานประลอง  ชายหนุ่มชุดเขียวถือดาบเขี้ยวนามว่า [สูบโลหิต]  ปลายดาบหยักเป็นเขี้ยวตะขอเหมือนกับปลายฉมวกหรือปลายเบ็ด  ข้างหลังดาบเป็นหนามเล็ก ๆ หลาย ๆ อันเรียงต่อกัน  ปลายคมของหนามโค้งงอลงล่างดุจหนามกุหลาบเสริมความรู้สึกอันตรายแก่อาวุธนี้อย่างน้อยสี่ส่วน

ตรงข้ามของหนุ่มชุดเขียว  คือหนุ่มน้อยเจ้าของผิวสีน้ำผึ้งที่เปลือยแขนและไหล่ท้าลมหนาวของจิ้งซาน  กล้ามเนื้อของเขาเหมือนกับหินอ่อนสลักที่ศิลปินรีดเร้นโลหิตในหัวใจมาใช้เป็นแรงขับเคลื่อนในการประติมา  เส้นผมสีน้ำตาลเข้มของเขาที่ย้อยลงจากข้างบนผ้าคาดหัว  ปลิวไหวเบา ๆ ตามแรงลม  ทำให้บางครั้งก็มองเห็นดวงตาด้านซ้าย  และบางครั้งก็มองไม่เห็น

บางทีถ้าตู้เกี่ยนหลงรำคาญผมตัวเอง  เขาก็จะเสยสักที  แต่ที่เขาไม่ทำคือมัดผมเอาไว้แบบคนอื่น ๆ  เขาไม่ชอบไว้ผมยาวจนเกินไป  และก็ไม่ได้อยากไถให้เตียนแบบหลวงจีน  ตู้เกี่ยนหลงพิถีพิถันกับทรงผมของตนเอง  บางครั้งเขาจะใส่น้ำมันลินสีดเพื่อจัดให้ตั้งขึ้นแบบหนาม  และบางครั้งเขาก็ปล่อยให้มันย้อยลงมาข้างหน้าเสริมบรรยากาศมืดมิดและลึกลับให้กับตนเอง  ทว่าดวงตาที่เปล่งประกายและรอยยิ้มที่สดใสดุจพระอาทิตย์มักจะทำให้เขาไม่สามารถเปลี่ยนภาพลักษณ์ได้มากนัก  เพราะเมื่อผู้คนจ้องมองเขา  ก็มักจะพิศวงงงวยกับดวงตาเปี่ยมชีวิตชีวา  และริมฝีปากหนากำลังเหมาะน่าจุมพิต  จนลืมดูว่าวันนี้เขาทำผมทรงอะไร  แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับยอดวิชาของเขา

กล่าวกันว่าใต้มหาสมุทรยุคบรรพกาลมีมังกรอาศัยอยู่  มันตัวใหญ่เหมือนกับช้าง  และมีคอยาวเหมือนตะพาบ  ดวงตาของมันกลมโต  และในดวงตาก็มีประกายระยิบระยับเหมือนแผนที่ของดวงดาวบนฟากฟ้า  ยามที่มันแหวกว่ายไปในห้วงเหวใต้สมุทร  ฝุ่นธุลีและสัตว์ทะเลทั้งหลายจะหยุดนิ่ง  และเมื่อมันหยุดเคลื่อนไหว  ทุกชีวิตก็เคลื่อนที่อีกครา  มันคือโครโนซอรัส  มังกรแห่งกาลเวลา  ผู้ท่องเที่ยวไปในห้วงเวลาได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด  มันสามารถสิ้นอายุขัยได้เพียงในชั่วพริบตาของชีวิตอื่น  และในขณะเดียวกัน  มันก็อาจจะดำรงอยู่ได้นานเกินกว่าที่มหาสมุทรทั้งเจ็ดจะเปลี่ยนเป็นทุ่งหม่อน  (2)

ตามลักษณะเฉพาะของมังกรแห่งกาลเวลา  วิชาเซียนโครโนซอรัสกลืนทะเล  จึงเป็นวิชาเซียนธาตุ [เวลา] ซึ่งถือว่าหายากและหาผู้มีพรสวรรค์ฝึกได้น้อยพอ ๆ กับธาตุ [เทศะ]  ดังนั้นจึงไม่แปลกที่อำพันโบราณให้ความสำคัญกับตู้เกี่ยนหลงเป็นอย่างยิ่ง  และเจ้าตัวก็ตระหนักถึงพรสวรรค์ของตนเองดี

เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงไม่เข้าโจมตี  ตู้เกี่ยนหลังจึงประสานมือคารวะทักทาย  “พี่ชาย  ท่านชื่ออะไร”

“กวนหนิง”

“ต้องขอคำชี้แนะพี่กวนแล้ว”   ตู้เกี่ยนหลงกล่าวก็ดึงผ้าคาดหัวมัดให้แน่นขึ้น  ก่อนกำหมัดและย่อตัวเล็กน้อยตั้งท่ามวย

ชายชุดเขียวไม่พูดพล่ามทำเพลงอีกต่อไป  เขาหมุนดาบในมือเป็นวงรอบหนึ่ง  หลับตาโคจรปราณ  และเมื่อลืมตา  แก้วตาสองดวงก็มีประกายสายฟ้าวิ่งพล่าน

“อัสนีสถิต!”

ริ้วคลื่นสีเหลืองของสายฟ้าวิ่งพล่านไปทั่วผิวโลหะของดาบสูบโลหิต  เขี้ยวหนามของแต่ละคมดาบมีประกายไฟฟ้าวิ่งข้ามไปมา  กวนหนิงตวัดดาบและสะกิดเท้าเข้าโจมตี

ตู้เกี่ยนหลงไขว้หมัดเข้าหากัน  แล้วชักลงเบื้องล่างอย่างรวดเร็วจนเกิดคลื่นปราณหมัดเป็นรูปกากบาท  จากนั้นเท้าขวากระทืบพื้นส่งร่างลอยขึ้นไปตามปราณหมัด  และเหวี่ยงหมัดซ้ายเฉียงลงสู่ผู้เข้าโจมตี

เปรี๊ยะ!

ดาบอาบสายฟ้าปะทะกับปราณหมัดส่งเสียงเหมือนแก้วหูจะปริแตก  กวนหนิงกำจัดคลื่นกากบาทได้  ก็กลิ้งตัวหลบหมัดซ้ายที่ฝ่ายตรงข้ามซัดตามมา

“อย่าหลบสิพี่กวน”   ตู้เกี่ยนหลงพูดเมื่อหมัดของเขากระแทกพื้นพร้อม ๆ กับหัวเข่า  เขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและหันหลังไปเผชิญกับพายุดาบที่กวนหนิงซัดเข้าใส่

“เจ้าก็เหมือนกัน  แน่จริงอย่าหลบ”    พายุดาบของกวนหนิงเป็นหนึ่งในคัมภีร์อัสนีของประตูทรราช  ชื่อก็เรียบง่ายว่าพายุอัสนี  ในเงาดาบมีเงาโลหะ  ในโลหะมีประกายสายฟ้า  ธาตุเพลิงและทองผสานสร้างพื้นที่คลุ้มฟ้าคลุ้มฝน  ทำลายสิ้นทุกอุปสรรค

“ฮ่า ๆ ไม่จำเป็น”   หนุ่มน้อยเจ้าของผ้าคาดหัวลายมังกรน้าวหมัดขวาแล้วชกไปข้างหน้า  สร้างกำแพงลม  ในลมมีเงาของมหาสมุทร  และในมหาสมุทรก็มีคลื่น   เหนือยอดคลื่นคือพลังทำลายล้างที่จะกลืนทุกพายุ

เขาสาวเท้าไปข้างหน้าอีกก้าว  เปลี่ยนเป็นชกหมัดซ้าย

“คลื่นที่สอง!”

ก้าวเท้าอีก  ชกหมัดขวา

“คลื่นที่สาม!”

จากนั้นปิดด้วยหมัดซ้าย

“คลื่นที่สี่!”

ท่านี้เรียกเก้าคลื่นสยบมังกรทะเล  เมื่อฝึกถึงขีดสูงสุดสามารถปล่อยคลื่นปราณหมัดซ้อนทับกันได้เก้าครั้ง  ทว่าสี่คลื่นคือขีดจำกัดของตู้เกี่ยนหลง

พายุดาบสายฟ้าถูกคลื่นมายารุกไล่โถมทับ  กวนหนิงรีบสะบัดดาบเก็บท่า  และพุ่งตัวถอยจากพื้นที่โจมตี  ทว่าหมัดเก้าคลื่นสยบมังกรทะเลยังคงไล่ตามเขาไปเหมือนเงาตามตัว  ไม่เพียงเท่านั้น  หลังจากปล่อยกระบวนท่า  ตู้เกี่ยนหลงยังกระโดดขึ้นไปบนอากาศแล้วใช้หมัดซ้ายไม้ตายของเขาอีกครั้ง

“เพ้ย”  กวนหนิงตวาดด้วยความหงุดหงิด  เพลงหมัดของตู้เกี่ยนหลงมันน่ารำคาญตรงนี่เป็นการโจมตีข้ามเวลา  อันสามารถเสริมการโจมตีด้วยกระบวนท่าอื่นทั้ง ๆ ที่กระบวนท่าเดิมยังไม่จบสิ้น  ทำให้ตู้เกี่ยนหลงสามารถรุกไล่ถอยกลับไปมาได้อย่างอิสระเหมือนกับแมวน้ำในน่านน้ำของตนเอง

นักดาบหนุ่มชี้ดาบขึ้นฟ้า  และใช้ท่าเดียวกับที่ซ่งมู่ใช้ 

“อัสนีทรราช!”

ประกายสายฟ้าสวรรค์วิ่งลงมาจากท้องฟ้าที่ไร้วี่แววของเมฆฝน  มันกรีดฟ้าเป็นรอยร้าวสีม่วงเข้ม  เหมือนกับโลหิตของเทพเจ้าที่หยาดหยดลงมาบนพื้นพิภพ

สายฟ้าสวรรค์พุ่งฟาดใส่ทลายสี่คลื่น  มีสาเหตุอยู่ว่าทำไมมันจึงเป็นท่าไม้ตายในคัมภีร์อัสนี  เพราะสายฟ้าในกระบวนท่านี้เป็นธาตุ [หยางวิกฤต]  มิใช่ส่วนผสมของธาตุไฟและทองดุจกระบวนท่าอื่น

เปรี้ยง!  เปรี้ยง!  เปรี้ยง!

เสียงกระหน่ำฟาดหนักแน่นดังสนั่นทั้งลานประลอง  เรียกความสนใจของทุกคนบนภูเขาให้มองดู

ตู้เกี่ยนหลงรีบเก็บกระบวนหมัด  เขาดูแล้วว่าไม่สามารถสู้กับสายฟ้าธาตุหยางวิกฤตได้  จึงคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น  แล้วยกสองหมัดขึ้นตั้งการ์ดป้องหน้า

“เต่าวิเศษคุ้มภัย!”

เกราะแสงสีฟ้ารูปเกล็ดแปดเหลี่ยมจำนวนมากสานต่อกัน  ปรากฏเบื้องหน้าเขาทันที   สายฟ้าอัสนีทรราชฟาดทำลายสี่คลื่นหมัดมาก่อนจึงอ่อนแรงลง  และเมื่อมันฟาดใส่ม่านพลังเกราะเต่าก็ทำให้ตู้เกี่ยนหลงกระเด็นไปสี่ห้าก้าวแต่ไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรง

มีหรือที่กวนหนิงจะพลาดโอกาส   ระดับปราณของเขาลดลงไปมากจากการใช้ท่าไม้ตาย   แต่เขาก็ยังบุกเข้าโจมตีต่ออย่างห้าวหาญ

“อัสนีดั้นเมฆ!”   หนึ่งในกระบวนท่าพลิกแพลงผสานเพลงดาบพื้นฐานเข้ากับคัมภีร์อัสนี  เงาร่างของกวนหนิงกลายเป็นสายฟ้าที่วิ่งซิกแซกในลานประลองในชั่วพริบตา

ตู้เกี่ยนหลงลุกขึ้นตั้งการ์ดไม่ทันจึงรีบร่ายวิชาเซียน

“โครโนซอรัสจำศีล!”

ทันใดนั้นคลื่นสีขาวก็ปรากฏรอบตัวตู้เกี่ยนหลง  มันรวบเข้าหาร่างของเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว  และแช่แข็งร่างของเขาไว้ในห้วงเวลา  ขณะที่ทุกคนเห็นตู้เกี่ยนหลงหยุดนิ่ง   ตู้เกี่ยนหลงก็มองเห็นทุกอย่างเคลื่อนที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับเวลาภายนอกผันผ่านไปร้อยปีพันปี

ดาบสูบโลหิตฟาดฟันเข้ามาถึง  ทว่าไม่สามารถทะลุผ่านคลื่นแสงสีขาวของร่างที่ถูกแช่แข็งได้

กวนหนิงกัดฟันกรอด   ปราณของเขาลดลงอย่างรวดเร็ว   เขากระโดดถอยแล้วเตรียมโจมตี   “ข้าจะดูว่าเจ้าจะทนเป็นเต่าหัวหดได้นานแค่ไหน”

ทว่าเขาไม่ต้องรอนาน  เพราะตู้เกี่ยนหลงรีบคลายสถานะอมตะ  แล้วกระโดดถอยไปตั้งหมัดเช่นกัน 

“พี่กวนรอเดี๋ยว”

“??”

ตู้เกี่ยนหลงไม่อธิบาย  เขายกหมัดซ้ายชี้ขึ้นสู่ท้องฟ้า  คลายนิ้วชี้จากหมัด  กระแสลมเริ่มพัดปลิวหมุนวนรอบ ๆ ตัว  เมื่อเขาเริ่มร่ายท่าไม้ตายเต๋าด้วยเสียงที่สะท้านสะเทือนเหมือนมังกรคำราม

“เต๋าของข้าคือเต๋าแห่งมังกรกาลเวลา..”

นักพรตเวิ่นเต๋อลืมตาที่หลุบอีกอีกครั้ง  ความสนใจของเขาพุ่งไปสู่การสั่นไหวของกระแสปราณในลานประลองที่สี่

“..หัวใจของข้าคือหัวใจแห่งหุบเหวมหาสมุทร  ณ ที่ซึ่งเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุด”

กวนหนิงรู้ตัวแล้วว่าถูกหลอกให้เสียสมาธิ   เขาตะโกนแล้วฟาดดาบร่ายกระบวนท่าเข้าใส่อีกครั้ง  ทว่าแผลดาบที่เกิดขึ้นถูกลดทอนด้วยกำแพงพายุปราณ  ตู้เกี่ยนหลงกัดฟันทนบาดแผลและร่ายท่าไม้ตายเต๋าต่อไป

“..เมื่อข้าหลับ  ทุกชีวิตจะตื่น  และเมื่อข้าตื่น  นั่นคือจุดจบของทุกสรรพสิ่ง!”

“ย๊ากกกกกกก!!”

กวนหนิงรวบรวมปราณทั้งหมด และเรียกอัสนีทรราชมาอีกครั้ง   บนท้องฟ้าสะท้อนเงาของจักรพรรดิสวรรค์ผู้มีอาภรณ์เป็นทะเลดาวและพื้นนภาอันมืดมิด  ปลายนิ้วของจักรพรรดิที่ชี้ลงมายังพื้นพิภพเบื้องล่างมีสายฟ้าสีม่วงที่อัดแน่นกันเป็นดวงแสงกลมพร้อมที่จะแผดเผาทำลายสิ่งตรงหน้าทุกเมื่อ  ทว่าอีกด้านของท้องฟ้า  ปรากฏม่านหมอกเมฆหมุนเป็นเกลียว   เสียงคำรามของสัตว์ร้ายยุคบรรพกาลดังครั่นครื้นเลื่อนลั่น   ทุกคนในขุนเขาจ้องมองการปะทะกันของเต๋าอย่างไม่กระพริบตา

ใจกลางเกลียวม่านเมฆที่เหมือนฟ้าทะลุ  เกิดม่านแสงสีดำกำมะหยี่เหมือนหุบเหวใต้ทะเลอันแสงอาทิตย์ส่องไปไม่ถึง  เงาของโครโนซอรัสเป็นแสงเรืองเหมือนเกิดจากการย่อยสลายของแพลงตอนใต้ทะเลค่อย ๆ แหวกว่ายออกมาจากช่องมิติ   มันขู่คำรามไปทางจักรพรรดิสวรรค์   เงาร่างของจักรพรรดิบนทะเลดาวพลันจางหายไปอย่างเงียบเชียบเหมือนกับเงาจันทร์ที่หายไปยามน้ำในบ่อกระเพื่อม  และกวนหนิงก็กระอักโลหิตทรุดลงไป

ผู้อาวุโสทั้งหมดอุทานในใจ  พวกเขาไม่นึกว่าศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักจะสามารถโจมตีโดยใช้เต๋าได้  ฝ่ายกวนหนิงนั้นพอเข้าใจว่ามันคือการสะท้อนเต๋า  ยิ่งผู้โจมตีมีพลังเต๋าที่รุนแรงเท่าไหร่  ก็จะยิ่งดึงเอาศักยภาพของเต๋าอีกฝ่ายออกมาได้มากขึ้น

เยว่หนานอิ๋งมีสีหน้ามืดทะมึน  นางไม่คิดว่าลูกชายคนเล็กของผู้อาวุโสตู้จะมีท่าไม้ตายนี้  มันเกินความคาดหมายของผู้มีวรยุทธระดับตะวันขึ้นสายไปมาก

“มิทราบว่า  พี่กวนจะยอมแพ้หรือยัง”

ตู้เกี่ยนหลงถามฝ่ายตรงข้ามด้วยสีหน้าสบาย ๆ  เงาเต๋าของทั้งคู่จางหายไปจากท้องฟ้าแล้ว  และแพ้ชนะก็เห็นชัดเจน  เหลือเพียงแค่การยอมรับจากปาก

“ฮึ่ม”  กวนหนิงใช้แขนเสื้อเช็ดเลือด  และพยายามลุกขึ้นยืนทั้งที่ขาสั่นพั่บ ๆ  เขาเอาดาบยันพื้นพยุงตัวไว้แล้วกล่าว

“ข้ายอมแพ้”

ตู้เกี่ยนหลงฟังแล้วก็ประสานมือคารวะ  โค้งตัว   ระบบประกาศชื่อผู้ชนะและประกาศว่าตู้เกี่ยนหลงยังคงรักษาตำแหน่งผู้คุมเหมืองไว้ได้  จากนั้นแสงของการเคลื่อนย้ายฉับพลันก็คลี่คลุมและดูดกลืนทั้งคู่หายวับไปจากลานประลอง




++++++++



“ดูเหมือนว่ายอดฝีมือรุ่นเยาว์ต่อจากหยกคู่จ้าวและหลี่  ก็คงต้องนับตู้เข้าไปไว้ล่วงหน้า”  ผู้อาวุโสไมตรีโลหิตผู้มีความสัมพันธ์อันดีกับทุกคนกล่าวกับตู้ถงเทียนซึ่งพยายามที่จะไม่ยิ้มภูมิใจมากเกินไป

“ฮ่า ๆ สหายเต๋าก็กล่าวเกินไป  เด็กคนนี้ยังต้องเดินทางอีกไกลกว่าจะเทียบชั้นกับจ้าวและหลี่ได้”  ตู้ถงเทียนกล่าวอย่างถ่อมตน

ทว่าผู้อาวุโสไมตรีโลหิตหันไปเอ่ยถามนักพรตเวิ่นเต๋อต่อ  “แล้วท่านนักพรตเวิ่น  มีความเห็นว่าอย่างไร”

เวิ่นเต๋อลืมตาขึ้นเล็กน้อย  แล้วกล่าวช้า ๆ  “เขาชนะด้วยเต๋า  มิได้ชนะด้วยพลังฝีมือ”

“ไฮ้  เต๋าไม่นับเป็นพลังฝีมือหรืออย่างไร   ข้ารู้น้อย   ท่านนักพรตโปรดอธิบาย”

“เต๋าในโลกมีสามพัน  ทว่าผู้ใดจะบอกได้ว่าเต๋าใดแข็งแกร่งกว่าเต๋าใด  ความเข้มแข็งของเต๋าแต่ละคนขึ้นกับความเข้าใจ  และการอุทิศตนต่อเต๋านั้น ๆ”  เวิ่นเต๋อนิ่งไปพักหนึ่งแล้วกล่าวอย่างระมัดระวัง  “ในที่สุดแล้ว  ยอดฝีมือย่อมไปถึงจุดสูงสุดของเต๋าของตน  ดังนั้นข้อได้เปรียบที่เด็กคนนั้นมี  ไม่ใช่ทางอันยั่งยืน”

“ขอบคุณท่านนักพรตที่ชี้แนะ”  ตู้ถงเทียนรีบประสานมือก้มศีรษะคารวะ  เพราะในเมื่อนักพรตเวิ่นเต๋อกล่าวให้เขาได้ยิน  เขาย่อมใช้ชี้แนะบุตรชายต่อได้

เมื่อเห็นว่านักพรตเวิ่นเต๋อไม่ได้ชมตู้เกี่ยนหลงเสียเลิศลอย  เยว่หนานอิ๋งในฐานะผู้อาวุโสของฝ่ายที่พ่ายแพ้ค่อยมีสีหน้าที่ดีขึ้นหน่อย   ทว่าในหัวกลับปรากฏเสียงของไป่หลินหลิงที่ถ่ายทอดปราณเสียงมา

“จริง ๆ แล้วตาเฒ่านี่อิจฉา  พวกใช้วิชาเซียน [เทศะ] มักมีอคติกับผู้ใช้วิชาเซียน [เวลา]   ดังนั้นอันที่จริงเด็กของเจ้ากระจอกกว่าเด็กแซ่ตู้จริง ๆ นั่นแหละ”

เยว่หนานอิ๋งหันขวับไปมองคุณชายรูปงามที่ยืนยิ้มกริ่มอยู่  นางเอื้อมมือไปหยิกแขนอีกฝ่ายแล้วส่งปราณเสียงกลับไป

“เฮอะ!  ใช่ว่าพวก [เทศะ] จะมีอคติอยู่คนเดียวเมื่อไหร่  พวก [เวลา] ก็อคติเข้าข้างพวกเดียวกัน”

ไป่หลินหลิงยิ้มเฉย  ไม่โต้ตอบกลับ


+++++++




(1)    เล่าฮิว = old body  ใช้เรียกตนเองอย่างถ่อมตน   
(2)    สำนวนจีนเดิมคือ mulberry field turn into sea  หมายถึงระยะเวลาที่นานมาก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-09-2017 16:55:32 โดย Kirimanjaro »

ออฟไลน์ xexezero

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอโห...
ไม่ธรรมดาเลย แต่ละคน o22

ปล. ท่ายอมแพ้ของเสี่ยวหมีน่ารักมากกกก ขอบคุณท่านคิลิมันจาโรที่ชี้แนะข้าพเจ้า//คารวะสามจอก555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-09-2017 21:09:53 โดย xexezero »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ wnkth

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
เสี่ยวหมีไมยอมแพ้ท่านั้นล่ะ ว่าแต่นักพรตนี่จะโผล่มาอีกไหม แล้วอีตาจอมขี้เกียจนั่น(ลืมชื่อ)จะเป็นยังไงต่อไป ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว...  เดี๋ยวขอบรรลุสุดยอดเต๋าแห่งการกินก่อน

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
อื้อหือ

ข้าน้อยแทบกระอักเลือดออกมาเพราะรูปลักษณ์ของน้องตู้เกี่ยนหลง

ข้าน้อยแทบกระอักเลือดเพราะพลังเต๋าแห่งจินตนาการบรรเจิดที่อัดแน่นอยู่ในทุกตัวอักษร!

บรรเจิดยิ่ง บรรเจิดยิ่ง

ปล. ขอบคุณที่มาไขข้อข้องใจจ้ะ ก็แบบหนุ่ม ๆ เยอะแยะ ฉันก็จิ้นจนมึนบ้างอะไรบ้าง....

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ภาพเสี่ยวหมี นอนพักผ่อนบนต้นไม้ได้น่ารักมาก อ๊อออออออ

ถึงแม้หยู รู้วิชาดาบเพียงสามดาบ
แต่ก็ใช้ได้อย่างแคล่วคล่อง ต่อเนื่อง
แล้วยังสามารถใช้ท่าหงสาทะลวงใจ แบบพลิกแพลง ทั้งที่ไม่เคยเรียนได้ด้วย
แม้โอ๋อวิ๋นเองยังแปลกใจที่หยู ไม่ได้เรียนจริงหรือ
ไม่ได้เรียนทำไมใช้เพลงดาบนี้ได้
แสดงว่าหยู มีไหวพริบ แค่เห็นสามารถนำไปปฏิบัติได้  ประยุกต์ใช้จริง

ละครประลองฝีมือ หยู สามารถชนะตอนจบได้ด้วย
คนที่ตายเป็นครั้งที่สี่ ก็ยังเอาชนะคนที่ฆ่าตัวเองสี่ครั้งได้ด้วย นับถือๆ
แถมไม่มีกรรมการท่านใดทักท้วง มีแต่ถกกัน
ว่าทำม้ายท่าสู้ของหยู มีกลิ่นอายของพรรคประตูทรราช เอ่อ.....ฝีมือหยูเก่งมากๆ

ตู้เกี่ยนหลง ฝีมือไม่เบา ท่ามังกรแอบกาลเวลา เอ๊ย.....แห่งกาลเวลา สุดยอดดดด
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
ปล.ได้อ่าน Legend of the Great Saint บ้างแล้ว  ถึงตอนเจอพวกขายโสม สูรบกัน พวกบ้านม้ามาช่วย

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
กระจก! กระจกเข้าไปวันเดอร์แลนด์อยู่ไหนครับ!!? ผมจะกระโจนเข้าไปช่วยศิษย์พี่ซีคง (หัวเราะ) จะขอร่วมสาบานเป็นเฮียตี๋ (ที่ไม่ได้หวังเคลม /กดเสียงพลางแอบเหล่ซ่งมู่อย่างจับผิด) แต่ว่าที่ต้องเข้าไปช่วย เพราะว่าน้องตู้เนี่ยบทโยนให้มากเลยครับ เล่นใช้วรยุทธมวยเลยหรือเนี่ย จะเพิ่มเซ็กซ์แอพพีลให้ตัวเองไปขนาดไหนกัน (กลืนน้ำลาย แต่ไม่! ของคนเขียน เราจะไม่แย่ง! (ฮา)) แต่แววตัวร้ายก็เริ่มฉายเห็นแล้ว ความหยิ่งผยองที่กลบไม่มิดกับท่าทางที่ดูมั่นใจในตัวเองจนเกือบยโสนั่น คล้ายๆกับมังกรเมฆผยองของเราเลยนะครับ ด้วยสาเหตุฉะนี้ เราจะเปลี่ยนข้าง! (ฮา) ผมจะเชียร์น้องซ่งมู่ของเราแทนแล้ว น้องซ่งของเราก็หุ่นไม่แพ้เค้าหรอกน่า! จมูกบี้นิด หน้าซื่อๆหน่อย แต่โดยรวมแล้วนิสัยน่ารักจะตาย! ยอหอ อย่าห่วง น้องซ่ง ภายใต้การดันของผู้น้อง น้องซ่งในอนาคตย่อมสูสีกับตู้เกี่ยนหลงแน่นอน ผู้น้องรับประกัน!

เปิดตัวบรรดาวิชาเซียนได้ดีเลยครับ มีวิชาสายอัญเชิญด้วย บรรยายออกมาได้ดีนะครับ ไม่ติดขัดอะไร แต่ผมยังคงเชียร์เต๋าแห่งพุทธะอยู่ หึๆ วิชาเซียนสายเวลาและสถานที่ ไฉนหรือจะสู้เต๋าแห่ง ‘พุทธะ’ ได้ สรรพสิ่งย่อมไม่จีรัง กาลเวลาไหลผ่าน หากแต่ผู้เข้าถึงสัจธรรมย่อมยั่งยืนผ่านนิจนิรันดร์ เดี๋ยวผู้น้องจะโชว์ซัมมอนวิทยราชนาม มหามยุรี มากวาดฟิลด์ หรือแสดงวิชาเซียนประทับร่างพลังพระโพธิสัตว์ทั้ง 5 หรือโชว์หอยสังข์พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ (เจ้าแม่กวนอิม) โชว์นรกทั้งเจ็ดสิบสองขุมให้ดูกันจะๆ เหล่าจอมยุทธต้องอ้าปากค้างกันเป็นแถบๆแน่นอน (อินๆ อยากเข้าไปเล่นกับเค้าด้วยครับ ฮา) จะได้ไม่มีใครมาดูถูกศิษย์พี่ซีคงของผู้น้อง! แล้วศิษย์พี่ก็จะได้เปิดฮาเร็มเป็นของตัวเอง (เอาจริงๆผมว่าซีคงหยูกับหลี่โอ๋อวิ๋นนี่เหมาะกันมากเลยนะครับ คนนึงขรึมๆทะมึนๆนิ่งๆเหมือนหัวหน้ามาเฟีย ส่วนอีกคนนิยมกวนประสาทแล้วทำให้อีกฝ่ายหลุดได้แบบที่เราเห็นว่าก็ เออ น่ารักดีนี่นา ถ้าสองคนนี้ขึ้นเตียงนี่ดุเด็ดเผ็ดมันส์แน่ๆครับ ฮะๆ)

ส่วนวิชาเซียน นี่เลยครับ แซมเปิล ภูตฟ้า มารดิน วิญญาณรุกขเทพ มารฟ้าสิ้นสลาย! (ไอดอลผมเลยนะเนี่ย)



เอ้อใช่ เห็นจุดแปลกๆนิดนึง จำได้ว่าผู้อาวุโสของสำนักทั้ง 5 ที่มาร่วมงานประลองศิษย์ใหม่เนี่ย ของสำนักวารีพิสุทธิ์คือผู้อาวุโสแห่งตำแหน่งจักรวาลสอดคล้องไม่ใช่หรือครับ? ทำไมฉากประชุมกันเชิญนักพรตเต๋าแห่งราชสำนักมาวาดวงล้อมนตรา ถึงกลายเป็นไป๋หลินหลิงไปได้ ผมโอเคนะถ้าจะเปลี่ยนคน แต่อยากให้มีซ่อนนัยยะหรือเพิ่มฉากอธิบายมาด้วย เพื่อความไหลลื่นของเนื้อเรื่องน่ะครับ อีกคำถามนึงคือ ผมอยากรู้ว่าระดับผู้อาวุโสเนี่ย วิทยายุทธระดับไหนกันครับ เข้าขั้นดาราเงียบงันหรือยัง? หรือว่าส่วนมากจะยังอยู่แถบกลางๆของจันทราเลื่อนลอยอยู่ และถ้ามีราชสำนักในโลกแฟนตาซีนี้ จะทำให้สเกลเรื่องเพิ่มไปได้ไกลมากเลยนะครับ ส่วนตัวผมชอบนะ แต่อยากแนะนำคืออยากให้ตรวจเรื่องความแน่นของพล็อตพื้นหลังหรือเนื้อหาสนับสนุนของสิ่งที่เราจะเพิ่มมาด้วยครับ เพื่อที่มันจะได้ดูมีน้ำหนักและมีมิติ อ่านแล้วมันสมเหตุสมผลกับตัวพล็อตเรื่องและไหลลื่นไปได้ด้วยกัน

ออฟไลน์ NuTonKaw

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 532
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
แหมการบรรยายน้องตู้ช่างน่าลากจริงๆ :ling1:

ช่างต่างกับศิษย์พี่ลุงซีของเราสุดใจ :hao5: :hao5:


ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook


ถึงใครจะกรี๊ดน้องตู้ก็ช่าง...
และถึงน้องตู้จะมีช่วงสโลว์โมชันโชว์ความแมนเป็นแก่นสารอยู่เนือง ๆ ก็เถอะ
ป้าก็ยังจะรักมั่นแต่เสี่ยวหมีและอาหยูอยู่เท่านั้น... มิได้หวั่นไหวกับกล้ามและความสดใสในหน่วยตาของน้องตู้ไม่ (แอบเช็ดน้ำลายแบบไม่มีพิรุธ)

รักคนเขียนค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ  :กอด1:
ป.ล. ไม่ต้องบอกก็รู้เนอะว่าทำไมตอนนี้เม้นสั้น ก็เมนฉันไม่ออกสักตัวเลยนี่นา T^T


ออฟไลน์ Kirimanjaro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0

xexezero: ฮ่า ๆ ครับผม  //รับคารวะ

wnkth: นักพรตเวิ่นจะอยู่กะเราไปอีกนานครับ
อะไรนะ! ลืมชื่อพระเอกได้ยังไง  55555555

alternative:  เหล่มองอย่างหยั่งรู้จิตเจตนาที่แท้จริม
555+  ตัวละครเยอะจริง ๆ ครับเรื่องนี้  เข้าใจความมึน

♥►MAGNOLIA◄♥: ไปค้นรูปหมีดำมาแล้วน่ารักน่ากอดทั้งนั้นเลย  แต่ถ้าไปเข้าใกล้มันจริง ๆ คงโดนตะปบหัวหลุด #ฟามจริงช่างโหดร้าย  ฝึกวรยุทรอรหันต์ร่างทองแปบ
อวิ๋นเขาอ่อนข้อให้หรอก  อาหยูเลยมีโอกาสตบตีกันตามประสา ผ. ม.  ฮี่ ๆๆ
LOTGS ถือว่าเป็นนิยายที่ทำระบบการฝึกฝีมือได้มีรายละเอียดมาก ๆ เลยครับ  รวมทั้งพื้นหลังและลักษณะนิสัยของตัวเอกก็ดูเข้าถึงง่ายต่างจากเรื่องทั่ว ๆ ไป
และ...ฮี่ ๆ  reading list ที่แนะนำ  เพื่อเผาผลาญเวลาสหายเต๋าแมกโนเลียอย่างโหดร้าย

World of Cultivation
เด่นในเรื่องการพูดถึงไดนามิคของเทคโนโลยีและทรัพยากรใหม่ ๆ  ที่ส่งผลต่อโลกผู้บำเพ็ญพรตได้อย่างดีงามมาก ๆ
พระเอกก็ตลก  แต่ไม่ขำถึงขั้นตกเก้าอี้

I Shall Seal the Heaven
ตลกเป็นบ้าเป็นหลัง  ตั้งแต่ the Lord Fifth ออกมา (ตอนที่ 200 กว่ามั้ง)  ก็หัวเราะจนหยุดไม่ได้  หัวเราะแล้วหัวเราะอีก  ดิ้นกับพื้นแล้วทุบพื้นรัว ๆ
ตัวเรื่องเองก็ดีมาก ๆ  มีความลึกลับปนสยองขวัญแบบโปเยโปโลเย  และความเป็นหนังฮีโร่ขบวนการลับสืบทอดผ้าคลุมแบทแมนอะไรแบบนั้น

"Have faith in the Lord Fifth, gain eternal life! When the Lord Fifth appear, who dare to cause striff!"

Grey Twilight: รีบฉุดสหายเต๋าเกรย์ไว้  แล้วชิงกระโดดเข้ากระจกไปแทน!!
เรื่องปักป้ายจองนี่ล้อเล่นฮะ  ผู้ชายหล่อ ๆ เป็นสมบัติผลัดกันชม  ยิ่งบ่มให้งอมยิ่งน่ากิน   เย๊ย!!
ว่าแต่สหายเต๋าเกรย์นี่ช่างสายตาแหลมคมซะจริง  เห็นว่าน้องมู่เป็นลูกรักของคคนเขียน  เลยจะดอดมาแฮปใช่ม๊าา 
อันที่จริง  ตัวละครในเรื่องมีคนนึงที่ใช้เต๋าแห่งพุทธะและเปิดตัวไปแล้วครับ  ฮี่ ๆ  สงสัยผมจะซ่อนแนบเนียนไป
เรื่องหยูกะอวิ๋นที่สหายเต๋าเกรย์ตีความปฏิกิริยาแบบนั้นก็น่าสนใจดีครับ   ทั้งคู่เหมือนจะหลุดเก๊กตลอดเวลาอยู่ด้วยกันในที่สาธารณะ
เรื่องผู้อาวุโส  เดี๋ยวผมค่อย ๆ อธิบายในเรื่องครับ  แต้งกิ้วที่ท้วงติง  แต่ถ้าอธิบายคร่าว ๆ ก่อน  คือเหมืองในเขามังกรทะยานมีทั้งหมดสี่เหมืองที่จัดการประลองพร้อม ๆ กัน (จิ้งซาน  เหิงซาน  ซีซาน  อู๋ซาน)

NuTonKaw:  ไอ้คนเขียนมันลำเอียงครับ  #ซีคงหยูตะโกน  แล้วปาแก้วชาเขียวใส่

Malimaru:  เสี่ยวหมี  เสี่ยวหมีอยู่ที่ไหน  รีบออกมาเรียกแขกเร้ว  โมะ ๆๆๆๆ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจคร้าบบบ  ทำให้มีแรงแต่งต่อเรื่อย ๆ




 




+++++++




เมื่อซีคงหยูลงมาข้างล่าง   เขาก็ไปรวมตัวกับศิษย์ห้าสำนักและคนอื่น ๆ ที่ไม่มีแผ่นหยกสื่อสาร  ยืนดูจอภาพอันฉายจากวิชาเซียนคันฉ่องวารีในลานกว้างของเมืองจิ้งซาน  มือหนักแน่นตบมาที่ไหล่เขา

“เป็นไงพี่หยู  โดนพี่ใหญ่อัดมาเจ็บมั้ย”

ซีคงหยูจำเสียงได้ก็ (หัวเราะ) แล้วหันกลับไปคุย  “น้องมู่หายดีแล้วหรอ”

ซ่งมู่ส่ายหน้าน้อย ๆ  “ก็ยังไม่สนิทดี   แต่เดินได้”

“แล้วอย่างงี้จะหายมั้ย”

“ไม่ต้องห่วง  กำลังใจดี  เดี๋ยวก็หาย”   พูดไม่พูดเปล่า  ถลกแขนเสื้อเบ่งกล้ามแขนให้ดู  แล้วก็ร้องโอ๊ย  เพราะเจ็บสะเทือนไปถึงแผล

คุณชายสามส่ายหน้า  “พูดไม่ทันขาดคำ” 

เมื่อหายเจ็บ  ซ่งมู่ก็สะกิดอีกฝ่าย  “พี่หยู  ไปหาร้านน้ำชานั่งกันมั้ย”

“เอาดิ   เดี๋ยวข้าเลี้ยงน้องมู่เอง   วันนี้รวย”  ว่าแล้วก็เอาตั๋วเงินมากระพือเป็นพัดโชว์ป๋า

เจ้าของตอหนวดเขียวเพราะลืมโกนยกนิ้วโป้งชี้ไปข้างหลัง  “ร้านน้ำชาสำนักอำพันโบราณ  นั่งตรงนั้นก็เห็นจอคันฉ่องวารี”

ซีคงหยูหันไปมองแล้วพยักหน้า  ทั้งคู่เดินไปจับจองที่นั่ง

เสี่ยวเอ้อเห็นลูกค้าเข้ามาก็พาดผ้าเช็ดโต๊ะไว้ที่บ่าแล้วรีบมาต้อนรับ

“คุณชายสองท่านนี้รับอะไร”

ซีคงหยูหยิบเมนูที่วางไว้มาดู

“อะไรคือชาน้ำทิพย์สุคนธ์”

“โอ้  คุณชายท่านนี้สายตาแหลมคมจริง ๆ  นี่เป็นสุดยอดชาจิตวิญญาณของร้านเรา  ทำจากดอกไม้เซียนเจ็ดชนิด  บ่มไว้ในสุราขึ้นชื่อจากเมืองมังกรเพลิง  จากนั้นจึงตากแห้งแล้วทำเป็นใบชา”

คุณชายสามฟังแล้วก็กลอกตารอบหนึ่ง   ตาแหลมคมอะไร  ถ้าเห็นว่านี่เป็นเมนูที่แพงที่สุดแล้วยังไม่รู้ว่าเป็นของดีประจำร้าน  ก็ควรเอาศีรษะไปชนเต้าหู้ตาย

ซ่งมู่เหลือบตามองเมนูเห็นราคาแล้วก็รีบร้องห้าม  “พี่หยู  พวกเราทานชาเขียวธรรมดาก็ได้”

“เฮ้   ข้าจะเลี้ยงน้อง  เจ้าอย่าขัดสิ”

ซ่งมู่ยิ้มฝืด ๆ น้องคนที่ว่าก็นั่งประท้วงอยู่ตรงนี้ไง  เขาจึงใช้ท่าไม้ตาย

“แต่ข้าอยากกินชาเขียวอ่ะพี่หยู”

“อ่ะ  ชาเขียวก็ชาเขียว  เอาชาเขียวเย็น  ใส่ฟองนม  ใส่ไข่มุก  ใส่ทุกอย่างที่มี”

ซ่งมู่อมยิ้มกับวิธีสั่งชาของคนตรงหน้า  และแอบจดจำไว้ในหัวว่าหนุ่มรุ่นพี่ชอบกินแบบไหน

“น้องมู่ทานชาเย็นหรือร้อน”

“เอาเหมือนพี่หยู”  เขาตอบง่าย ๆ

ในตอนนั้นเอง  ที่เสียงเฮของผู้คนดังลั่น  เพราะการประลองของตู้เกี่ยนหลงและกวนหนิงมาถึงจุดที่เร้าใจที่สุด  ท้องฟ้าทั่วทั้งเมืองจิ้งซานเปลี่ยนเป็นมืดมิด  และเงาร่างของจักรพรรดิสวรรค์ที่ประดุจเหมือนทะเลดาวทั้งกาแลคซี่มาก่อรูปรวมกันก็ปรากฏขึ้นมาที่ปลายฟ้าด้านตะวันออก

ซีคงหยูลุกขึ้นอย่างลืมตัว  และแหงนมองภาพฉายการปะทะกันของเต๋าที่ทำให้สวรรค์เปลี่ยนสีสัน

ซ่งมู่เองก็จับจ้องมอง  แต่สิ่งที่เขามองคือชายหนุ่มรุ่นพี่  เจ้าของใบหน้ากึ่งจะไร้เดียงสา  ตัดกับดวงตาที่เหม่อลอยเหมือนมีหมอกควัน  ทว่าภายใต้หมอกควัน  เขาเห็นประกายแห่งความทะเยอะทะยานอันจะเผยออกมาก็ต่อเมื่อสวรรค์และโลกทั้งหมดมืดมิดเช่นนี้

“เป็นเช่นนี้เอง”

ซีคงหยูค่อย ๆ นั่งลงแล้วก็ถอนหายใจ

ชายหนุ่มรุ่นน้องกระตุกมุมปากเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม  และเลิกคิ้วหนาเป็นเชิงถาม  เสี่ยวเอ้อเดินเข้าเสริฟชาเขียวพอดี  และกล่าวกับทั้งคู่อย่างภูมิใจว่า

“ท่านเห็นมั้ย  นั่นคือศิษย์พี่ตู้ของสำนักเรา”

“ฮ่า ๆ”  ซีคงหยูหัวเราะตามมารยาทระหว่างที่รับแก้วชามาจากเสี่ยวเอ้อที่ดูกระตือรือร้นเป็นพิเศษ  เมื่อเสี่ยวเอ้อเดินจากไป  คุณชายสามก็จิบชาชิมรสชาติ  จากนั้นเปลือกตาก็เผยอขึ้นและมองคนตรงหน้า  เขากล่าวช้า ๆ

“ความห่างชั้นของอัจฉริยะกับคนธรรมดา  มันช่างเหมือนสวรรค์กับพื้นดิน”

“พี่หยูก็เป็นอัจฉริยะ  เพียงแค่ยังไม่มีใครสังเกตเห็นเท่านั้น”

เมื่อฟังหนุ่มรุ่นน้องพูดด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม  ซีคงหยูก็วิเคราะห์ตนเองอย่างใจเย็น

“ไม่หรอก  สิ่งที่ข้าได้เปรียบคือประสบการณ์ชีวิต  เมื่อข้ามองย้อนกลับไปในอดีต  ในวัยที่เท่ากับพวกเขาเหล่านั้น  ข้าพบว่ามีหลายเรื่องที่ข้าเชื่ออย่างผิด ๆ และไม่มีความเข้าใจเท่ากับเวลานี้”  เขาหยิบกระดาษเช็ดฟองนมที่ริมฝีปากแล้วกล่าวต่อ  “ที่ข้าฝึกยุทธได้รวดเร็ว  เพราะข้ามีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ  ข้าเข้าใจวิธีการเรียนรู้  การจับสังเกตสิ่งที่ควรสังเกต  และเน้นในส่วนที่ควรให้ความสำคัญ  ทว่านั่นต้องแลกมาด้วยเวลาที่ไหลผ่านไปเหมือนสายน้ำ  ปัญญาที่ข้ามี  มันคือสิ่งที่ทุกคนควรจะมีตามวัย”

จากนั้นเขาก็เงยหน้าเล็กน้อยและมองท้องฟ้าที่กลับเป็นปกติ  อันเห็นลานประลองทั้งหมดสิบหกลานซ้อนเหลื่อมกันกลางฟ้าสีฟ้าอมเทาและเมฆหมอกหนาวเย็น

“ทำไมทุกสำนักจึงมองหาผู้มีเชาว์ญาณตั้งแต่อายุเยาว์  เพราะพวกเขามีช่องว่างให้เติบโตได้  พวกเขาเกิดมาพร้อมกับปัญญาภายใน  และเมื่อสลักและขัดเกลาด้วยประสบการณ์ของโลก  ปัญญาญาณของพวกเขาก็เปี่ยมพร้อมสมบูรณ์   สามารถนำสำนักให้รุดหน้า”

ซ่งมู่ยิ้มแห้ง  “ข้าไม่ค่อยเข้าใจที่พี่หยูพูดเท่าใดนัก  แต่มันฟังดูลึกซึ้ง  เหมือนกับที่พวกนักพรตพูดเรื่องเต๋า”

คุณชายสามพยักหน้าน้อย ๆ   “ถ้ามันเป็นเต๋า  มันก็เป็นเต๋าจากโลกอื่น”

ซ่งมู่ดื่มชาของตนเอง  มันหวานจนเขาแทบสำลัก

“เอาน้ำเปล่ามั้ย”   เป็นซีคงหยูที่ทักอย่างรู้ใจ

“ฮ่า ๆ ทำไมพี่หยูรู้”

“ดูสีหน้า  อีกอย่างข้ากินไม่เหมือนคนอื่น  เสี่ยวเอ้อ  น้ำชาธรรมดาหนึ่งกา”

เมื่อเสี่ยวเอ้อผงกหัวประหลก ๆ แล้วไปตระเตรียม  ซ่งมู่ก็ชวนคนตรงข้ามคุยต่อ   พวกเขาไม่เหมือนคนที่มาดูการประลอง  เพราะเอาแต่สนใจเครื่องดื่มในมือและคู่สนทนา

“พี่หยู  ถ้าข้าถามอะไรเรื่องส่วนตัว  จะโกรธมั้ย”

“ถามได้หมด  ยกเว้นขนาดจู๋”  คุณชายสามตอบยิ้ม ๆ   แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะหน้าแดงเล็กน้อยจากมุกนี้

“ฮ่า ๆ  คือข้าได้ยินพี่จินบอกว่าท่านไม่อยากแต่งกะพี่ใหญ่  จริงหรือเปล่า” 

“เอ้า  จริงน่ะสิ”

“อ้อ..”

เมื่อเห็นหนุ่มรุ่นน้องรับคำแค่นั้น  ซีคงหยูก็เลิกคิ้วและถามกลับ   “ไม่อยากรู้หรอว่าทำไม”

“รู้แค่นั้นก็พอแล้ว”

คนตอบตอบพลางอมยิ้ม

ซีคงหยูใช้ปลายนิ้วยันตรงกรามตนเองใต้ใบหู  เอียงคอเล็กน้อยแล้วถาม

“น้องมู่ไม่คิดว่าผู้ชายแต่งผู้ชายมันประหลาดหรอ”

ซ่งมู่ส่ายหน้าเป็นคำตอบ

“โอ้  สงสัยข้าจะตกเทรนด์”

ซ่งมู่ฟังดังนั้นจึงอธิบาย  “พี่หยูรู้จัก  คู่เต๋า (1) หรือไม่”

“ข้าล้างหูรอฟัง”

“คู่เต๋าไม่เหมือนกับคู่ครองของปุถุชน  ชีวิตของผู้บำเพ็ญพรตยาวนาน  พบเจอแต่ประสบการณ์พิสดารผิดประหลาด  ซ้ำระยะทางก็ยาวไกล  เต๋าบางทีก็แปลว่า [ทาง]  และบางครั้งเพื่อนร่วมทางก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเพื่อนร่วมเตียง”

“โอ้..”

“และคู่เต๋าก็หมายถึงผู้ที่มีความตั้งใจอันสูงส่งเดียวกัน  และอยู่ด้วยกันเพื่อส่งเสริมหนทางการไล่ตามเต๋าของแต่ละฝ่าย  ในยุทธจักรมีทั้งคู่เต๋าทุกแบบ  ทุกเพศวัย  ไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดอย่างที่พี่หยูคิด”

“ฟังดูเหมือนสิ่งที่เรียกว่า เพลโตนิกเลิฟ”

ซ่งมู่ทำหน้าฉงนกับคำแปลก ๆ  คุณชายสามจึงหัวเราะกลบเกลื่อน

“ฮ่า ๆ  ถ้าอย่างงั้นแปลว่าน้องอวิ๋นเขาอยากให้ข้าไปเป็นคู่เต๋าอย่างงั้นรึ”

“อันนี้ก็ไม่รู้”  ซ่งมู่ส่ายหน้า  เขาไม่รู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักชอบคุณชายสามแบบไหน  เพราะหลี่โอ๋อวิ๋นแทบไม่แสดงอะไรออกมาเลย  ไม่ว่าความเป็นเจ้าของ  การหึงหวง  หรือความห่วงใย  มีหลายครั้งที่หลี่โอ๋อวิ๋นช่วยคุณชายสามเอาไว้  แต่ดูเหมือนไม่มีอะไรพิเศษระหว่างทั้งคู่

“ยังไงก็ขอบคุณน้องมู่ที่ช่วยเปิดหูเปิดตา  ยุทธจักรนี่ช่างซับซ้อนจริง ๆ”

ซ่งมู่พยักหน้า  เขาไม่ได้บอกซีคงหยูอีกเรื่องว่า  ตามสถิติแล้ว  คู่เต๋า  ในที่สุดก็จะลงเอยเป็นคู่ผัวตัวเมียกัน  เพราะใกล้ชิดและมีจิตวิญญาณพัวพันกันมากเกินไป  แต่ ฮี่ ๆ ไว้รอตกหลุมพรางก่อนล่ะกัน



++++

(1)    คู่เต๋า = Dao companion
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-09-2017 11:15:48 โดย Kirimanjaro »

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
ซ่งมู่ จะล่อลวงศิษย์น้องลุงพี่หยูเหรอคะ555

พี่อวิ๋นน ศิษย์น้องจะตีท้ายครัวแล้วค่า

ออฟไลน์ Kirimanjaro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
JustWait: วี้หว่อ ๆๆ  สงสัยต้องหาเครื่องกันขโมยมาติดตั้งไว้บนตัวอาหยูล่ะ    :hao3:

+++++++




วันถัดมา   เสี่ยวหมีก็เดินออกจากค่ายวารีพิสุทธิ์โดยสวมเสื้อแปะป้ายโฆษณาใหม่เอี่ยม  ทุกคนรู้จักมันมากขึ้นเพราะเห็นมันในลานประลอง  สัตว์วิเศษเพียงตัวเดียวที่กลายเป็นผู้คุมเหมือง   ไฉนจะไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คนเล่า

“นั่นมัน  เสี่ยวหมีนี่นา”  ชาวยุทธพเนจรชี้ชวนกันดู 

“เสี่ยวหมี”  ชาวยุทธผู้หนึ่งไปดักมันไว้  และคุกเข่าลงข้างหนึ่ง  ในมือมีช่อกุหลาบ  “โปรดแต่งงานกับหมีของข้า”

หมีของเขาเป็นหมีแดงตัวอ้วน  ทำท่าทางเอียงอายอยู่ข้างหลังเจ้าของ

“อ๊ออออออ”  เสี่ยวหมีร้องพลางส่ายหน้าไปมา

“อะไรนะ  เจ้ามีคนที่ชอบแล้วหรอ”  ชายผู้นั้นคุยกับเสี่ยวหมีเป็นตุเป็นตะ

“อ๊อออออออออ”

ในตอนนั้น  เสี่ยวหมีก็ชูจมูกฟุดฟิด  ดมกลิ่นในอากาศ  มันทำหน้าดีใจ  แล้วเดินดมหา  ขณะที่หมีแดงและเจ้าของหมีเดินตามอย่างไม่ยอมถอดใจ

และในที่สุดมันก็เจอเป้าหมาย  เสี่ยวหมีรีบคลานเข้าไปใกล้  แล้วเอาจมูกดุนหลังชายหนุ่มหน้าตาดีที่ยืนทอดหุ่ยอยู่ใกล้ ๆ ร้านขายซาลาเปา

อีกฝ่ายหันกลับมามองด้วยสายตาปลาตาย

“ข้าไม่ใช่อามู่”  ชายผู้นั้นตอบ  ก่อนจะกัดซาลาเปาไส้ถั่วดำของตนเองไปคำนึง

“อ๊อออออออ”

“เจ้าอยากกินหรอ”  เขาบิซาลาเปาไส้หวานส่งให้เสี่ยวหมีที่แลบลิ้นตวัดกินเข้าไปในรวดเดียว  แถมฉวยโอกาสลวนลามมือของอีกฝ่ายด้วยลิ้นเปียก ๆ

ซ่งจินเช็ดมือกับชายเสื้อตนเองอย่างใจเย็น  และตบคอเสี่ยวหมีเบา ๆ  ในตอนนั้นชาวยุทธหมีแดงก็ตามมาถึงและยื่นช่อกุหลาบให้ซ่งจิน

“ให้ข้า?”  ซ่งจินชี้หน้าตนเอง

จอมยุทธหมีแดงพยักหน้าหงึก ๆ  “ท่านเป็นเจ้าของเสี่ยวหมีไม่ใช่หรอ  ข้าจะสู่ขอเขาให้กับหมีของข้า  เสี่ยวหง”  จากนั้นเขาก็ไปกวักมือเรียกเสี่ยวหงที่ยังไม่หายเขิน   “เสี่ยวหง  มาคารวะท่านพ่อตาสิ”

“ทำไมข้าเป็นพ่อตา”  เจ้าของตาปลาตายถามอย่างงวยงง

“เพราะเสี่ยวหงของข้ากำลังหาเจ้าสาวอยู่”  เขาตอบและมองซ่งจินเหมือนกับว่าเป็นคำถามที่ไม่น่าถาม

“ข้าไม่ใช่เจ้าของเสี่ยวหมี”

“งั้นท่านเป็นอะไรกับนาง  หรือว่า..”

ไม่เพียงจอมยุทธหมีแดงทำหน้าช็อค   เสี่ยวหงก็ช็อค

ซ่งจินขี้เกียจคุย  เลยพาเสี่ยวหมีเดินหนี
เสี่ยวหมีแลบลิ้นใส่เสี่ยวหงแล้วเดินตามคนหล่ออันดับสองในบัญชีรายชื่อของมันไป

“กราส!  หมีก็จับไม่ได้  แถมเสียกุหลาบไปหนึ่งกำมือ” (1)

“อี๊ยอ  อี๊ยอออ”

เมื่อซ่งจินเดินไปสักพัก  ถึงรู้สึกตัวว่ามีหมีดำตัวใหญ่เดินต้วมเตี้ยมตามมาด้วย

“ซาลาเปาข้าหมดแล้ว”   เขาเอามือที่ล้วงกระเป๋าอยู่ออก  และแบสองมือเปล่าให้ดู

“อ๊ออออออ”

“หรือว่าเจ้าอยากให้ข้าพาไปหาอามู่”

 เสี่ยวหมีผงกหัวสามสี่ครั้ง

“ตามมา”  ซ่งจินเอามือล้วงกระเป๋าและเดินตุหรัดตุเหร่ไปทางประตูทิศเหนือของเมืองจิ้งซาน

+++

ที่ค่ายประตูทรราช  หลี่โอ๋อวิ๋นกำลังเตรียมกองกำลังเพื่อโจมตีสำนักอื่น ๆ  เขาเดินสำรวจดูว่าแต่ละคนมีอาวุธโธปกรณ์ครบถ้วนหรือไม่   ในตอนนั้นเองที่หนึ่งคนกับหนึ่งหมีเดินทอดน่องเข้ามาในค่าย

“อ๊อออออออ” 

ทุกคนหันไปมองหมีดำในตำนานที่ประกาศตัวว่ามาเยือนแล้ว

หลี่โอ๋อวิ๋นซึ่งนั่งยอง ๆ คุยกับศิษย์น้องคนหนึ่งก็เงยหน้าขึ้น   ใช้ดวงตาสีสนิมจ้องมองหมีดำที่สวมเสื้อติดป้ายโฆษณาเต็มไปหมด  เขาลุกขึ้นยืน   จากนั้นก้าวเข้าไปใกล้เสี่ยวหมี  เดินวนดูรอบ ๆ  อ่านข้อความให้แน่ใจสายตาตัวเอง  ทำเสียงฮึ่มฮ่ำในคอ  แล้วมองหน้าซ่งจิน

“เจ้าเอาหมีนี่มาทำไม”

“โอ้...”  หนุ่มหน้าตายเบิกเปลือกตาบนสูงขึ้นเล็กน้อย  แต่แววในดวงตาก็ดูเฉยสนิทอยู่ดี  “หมีของคุณชายซีคงไงครับ”

“ฮ่า ๆๆ”  หลี่โอ๋อวิ๋นโกรธจนหัวเราะอย่างรุนแรง  “เจ้าลองอ่านดูสิ  ว่าเสื้อมันเขียนว่าไง”

ซ่งจินทำตามที่บอก  เขาอ่านออกเสียง 

“ข้าซีคงหยู  นักดาบอันดับหนึ่งผู้เอาชนะหลี่โอ๋อวิ๋น  มือดาบไร้ธุลีในการประลอง  ขอเชิญชาวยุทธทุกท่านเข้าร่วมเซ็นสัญญาขุดแร่กับสำนักวารีพิสุทธิ์  เราจะบุกอัดสี่สำนักด้วยทุกสิ่งที่เรามี  รวมพลังให้ทะลุอย่างไม่หยุดยั้ง!”

เสี่ยวหมีผงกหัวไปมาเมื่อฟังซ่งจินอ่านข้อความบนเสื้อและเชิดอกอย่างภูมิใจ
ซ่งจินอ่านจบก็หันไปมองศิษย์พี่ใหญ่ของตน  จากนั้นก็ส่งเสียงอืมในคอ  เขาไม่เห็นว่าข้อความนี้จะมีปัญหาตรงไหน

แต่ในตอนนั้นเอง  ซ่งมู่ที่ได้ยินเสียงร้องของเสี่ยวหมี  จึงออกมาจากเรือนพยาบาล  เมื่อเห็นเสื้อของเสี่ยวหมี  เขาก็รีบไปช่วยถอดมันออก

“โอ้  เสี่ยวหมี  เจ้ากล้าใส่เสื้อตัวนี้เข้าค่ายประตูทรราชได้ยังไง”

“อ๊อออออออออ”  เสี่ยวหมีหันไปกอดขาซ่งมู่   ขณะที่ซ่งจินคิ้วกระตุกกับการได้ใหม่แล้วลืมเก่าของเสี่ยวหมี

“พี่ใหญ่  เสื้อก็ถอดออกแล้ว  ท่านปล่อยเสี่ยวหมีไปเถอะ”

เมื่อซ่งมู่ขอความเมตตาให้หมี  คนหน้าดุก็แค่นเสียงในคอแล้วบอกว่า

“เจ้าคิดว่าข้าจะใจแคบลงมือกับหมี?  อย่าว่าแต่เรื่องก่อกวนเล็ก ๆ น้อย  ๆ นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่  แต่ข้าชักรำคาญซีคงหยู  ส่งคนไปเรียกเขามาคุยหน่อย”

ซ่งมู่ทำท่าจะออกตัว  แต่ศิษย์พี่ใหญ่ของเขารีบเบรก

“เจ้าคอยดูหมี”   หลี่โอ๋อวิ๋นชี้คางหนุ่มน้อยหน้าซื่อแล้วก็เดินกลับไปนั่งรอที่ห้องบัญชาการ



+++++



เมื่อซีคงหยูทราบว่าหมีของตนเองถูกจับเป็นตัวประกัน  เขาก็เหงื่อตก  เขาบอกเสี่ยวหมีแล้วว่าอย่าไปเตร่เข้าใกล้ค่ายประตูทรราช  แล้วทำไมหลี่โอ๋อวิ๋นถึงจับตัวเสี่ยวหมีไปได้  เขารีบวิ่งแจ้นไปเจรจากับโจรเรียกค่าไถ่

เมื่อซีคงหยูเข้าประตูห้องบัญชาการประตูทรราชมา  สิ่งแรกที่เห็นก็คือเสี่ยวหมีผู้หลับตาพริ้มนอนหมอบอยู่ใกล้ ๆ สองพี่น้องหนุ่มหล่อ  ซ่งมู่เกาหูให้  ส่วนซ่งจินเอามือวางไว้ที่หลังมันและลูบไปมาอย่างใจลอย   ดูไม่เหมือนตัวประกันเลยแม้แต่น้อย

เขาหันไปมองหลี่โอ๋อวิ๋น  และฉีกยิ้มประจบ

“เฮ้  น้องอวิ๋น”

“ทำไมช่วงนี้เจ้ากวนประสาทข้าจริง ๆ”   หลี่โอ๋อวิ๋นยิงคำถามกลับไปทันที

“ฮ่า ๆ ข้าไม่ได้ตั้งใจ”  ซีคงหยูพูดแล้วเกาหลังคออย่างขัดเขิน  เขาแค่คิดป้ายโฆษณาใหม่ ๆ ทำไมต้องจับผิดกันด้วย

“เจ้าสามตัวออกไปได้”

“สองคนกับหนึ่งตัวครับพี่ใหญ่”  ซ่งมู่เถียงมาจากหลังใบหูของเสี่ยวหมี  แต่เมื่อเห็นสายตาของหลี่โอ๋อวิ๋น  เขาก็รีบจูงเสี่ยวหมีและดึงคอเสื้อพี่ชายออกไป  โดยไม่ลืมปิดประตูห้องบัญชาการให้ด้วย

“เจ้าทำข้าปวดหัวจริง ๆ เลยอาหยู”  หลี่โอ๋อวิ๋นทอดถอนใจ  แล้วชี้ให้อีกฝ่ายนั่งตรงข้ามโต๊ะ

“ไฮ้  ข้าก็บอกแล้วว่าไม่ได้ตั้งใจ  ก็แค่เอาขำ ๆ”

“สำหรับเจ้าอาจจะขำ  แต่ว่ามันทำลายภาพลักษณ์ของข้า”

“เฮ้  ไม่นึกว่ามือดาบไร้ธุลีจะสนใจภาพลักษณ์”

“มีผู้ใดไม่สนใจ  จอมยุทธเย็นชาผู้ชืดชาต่อลาภยศชื่อเสียง  มันมีแต่ในนิยาย  ข้าขอโทษด้วยที่ทำให้เจ้าผิดหวัง”

หลี่โอ๋อวิ๋นกล่าวแล้วก็จ้องตาซีคงหยูอย่างจริงจัง  ในดวงตาไม่มีวี่แววของความโกรธ  ความขุ่นเคืองรำคาญใจ  มันมีแต่ความจริงจัง  จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นความกระตือรือร้นที่แรงกล้า

คุณชายสามเจอสายตาเช่นนี้  เขาก็สูดหายใจลึก  และรู้สึกอึดอัดใจแกมรู้สึกผิด  เขาอยากจะหลบสายตา  แต่ดวงตาสีสนิมคู่นั้นเหมือนบ่อน้ำวนที่ดึงดูดผู้คนให้จ้องมองกลับไป  เขานึกถึงวรรณคดีจากโลกอื่น  ที่บอกว่า  เมื่อท่านจ้องลงไปในนรก  นรกก็จะจ้องกลับมา  แต่นรกที่เขามองเห็นไม่ได้มีไฟมีน้ำแข็ง  มันมีเพียงประกายหม่นของแท่นเหล็กที่สลักบาปของท่านไว้  และทำให้ท่านรังเกียจตนเอง

“ข้าไม่ได้ผิดหวัง”   ซีคงหยูตอบเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าควรจะต่อบทสนทนา

หลี่โอ๋อวิ๋นกระตุกยิ้มบางที่มุมปาก  เมื่อเห็นปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้าม  เขาค่อย ๆ ถอนสายตาสะกดเหยื่อออกไป  แล้วเอนตัวกลับไปที่เก้าอี้  สีหน้าของเขามีความเย็นชาเพิ่มขึ้นสามส่วน  อุปมาคล้ายยามที่ท่านราดน้ำลงไปบนหัวผักกาดในอากาศหนาวจัด  มันจะเกิดชั้นน้ำแข็งใสบาง ๆ ห่อหุ้ม   แต่ในขณะเดียวกัน  เพราะน้ำแข็งนั้นจึงทำให้ชีวิตชีวาสีเขียวถูกถนอมไว้ไม่สูญหาย

เมื่อเห็นบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว  ซีคงหยูจึงขมวดคิ้วและกล่าวถาม

“งั้นเจ้าคือใครกันแน่”

หลี่โอ๋อวิ๋นเข้าใจคำถามนี้แต่ไม่ตอบ  เขายักไหล่และเปลี่ยนเรื่อง

“อาหยู  ที่ข้าเรียกเจ้ามาก็มีธุระอยู่  ในอีกสามวันการทดสอบก็จะสิ้นสุด  และทุกวันจะมีการประลองชิงเหมือง  เจ้าเตรียมตัวพร้อมหรือยัง”

“ถ้าหมายถึงเหมืองที่ข้ายึดได้จากน้องอวิ๋น  ข้าก็คิดจะป้องกันให้เต็มที่  ไม่ว่าผู้ท้าชิงจะเป็นใคร”  คุณชายสามพูดอย่างมั่นเหมาะ

“ข้าหมายถึงสำนักวารีพิสุทธิ์  พรรคปลาทูสีน้ำเงิน  หรือก็คือจางชุ่ยฮัว  นางยังจะทำตามข้อตกลงอยู่หรือไม่”

ซีคงหยูคิดนิดหนึ่งแล้วตอบ  “น่าจะ  ถ้าน้องอวิ๋นมีแผนที่ทำให้พรรคของเราเป็นที่สองได้”

“งั้นดูตรงนี้”   หลี่โอ๋อวิ๋นลุกขึ้นยืน  และยกกระดานยุทธศาสตร์มาจากชั้นวางของข้างหลังโต๊ะทำงาน   ซีคงหยูมองแผ่นหลังกว้างและคอขาว ๆ ของอีกฝ่ายจนเพลินตา  เพราะความที่เป็นชาวยุทธ  หลี่โอ๋อวิ๋นจึงไม่ค่อยหันหลังให้ใครหรือยอมให้ใครอยู่ข้างหลังง่าย ๆ  เขาจะเป็นคนที่อยู่ข้างหลังและจับจ้องมองฝ่ายตรงข้ามอย่างระมัดระวังอยู่เสมอ

เจ้าของตำแหน่งหยกคู่แห่งยุทธจักรหันกายกลับมา  และวางกระดานลงบนโต๊ะ  บนกระดานมีภาพแผนที่เหมืองทั้งยี่สิบสี่ปมของเขาจิ้งซาน   และแต่ละปมก็มีตัวหมากสีต่าง ๆ วางอยู่เป็นจุด ๆ

ซีคงหยูกวาดตามองและเห็นว่า  เหมืองที่วารีพิสุทธิ์ยึดครอง  มีตัวหมากสีน้ำเงิน  อำพันโบราณใช้หมากสีเหลือง  ไมตรีโลหิตใช้หมากสีแดง  วังหมื่นบุปผาใช้หมากสีม่วง  และประตูทรราชใช้หมากสีดำ

ประตูทรราชยึดได้ 5 เหมือง  เนื่องจากประลองชิงเหมืองสำเร็จไป 2  และสูญเสีย 1 ให้กับวารีพิสุทธิ์
อำพันโบราณมี 4 เหมือง  พวกเขาสูญเสีย 2 ให้กับประตูทรราช  ทว่ายึดเหมืองจากวารีพิสุทธิ์ได้ 1
ไมตรีโลหิตมี 4 เหมือง  เพิ่มขึ้นมา 1 จากการยึดสำนักวารีพิสุทธิ์
วังหมื่นบุปผามี 1 เหมือง  เนื่องจากพวกเขาถูกก่อกวนตลอด  ซ้ำยังชิงเหมืองไม่สำเร็จ
และวารีพิสุทธิ์ก็เหลือเพียง 2 เหมือง  ที่ซีคงหยูชิงมาได้  และที่หลิวเกาเฝ้าไว้

“ดูเหมือนว่าที่ 1 จะเป็นส้มในลังของประตูทรราช”  ซีคงหยูลูบคางและวิจารณ์

“ก็อาจใช่  แต่ที่สองดูจะห่างไกลพอสมควรสำหรับสำนักเจ้า”

“ฮ่า ๆ เช่นนั้นน้องอวิ๋นมีความเห็นใดจะชี้แนะเล่า”

“เจ้าลองดูตรงนี้”   หลี่โอ๋อวิ๋นชี้ให้ดูหมากสีขาว   “มีเหมืองที่ยังไม่ถูกยึด 8 แห่ง  พวกนี้คือตัวแปรชี้ผลแพ้ชนะ”

“อืม...”

“ที่ข้าถ่วงเวลาไม่ให้สำนักอื่นยึดเหมืองเหล่านี้ได้จนถึงตอนนี้เพราะ  เราจะเก็บมันไว้จนถึงวันสุดท้ายของการทดสอบ”

“อ่าฮะ  เพราะประตูทรราชมียอดฝีมือที่ป้องกันเหมืองได้ไม่พอใช่หรือไม่  แต่น้องอวิ๋นคนเดียว  สามารถต่อต้านทุกสำนักไม่ให้เข้าไปยึดเหมืองได้”

หลี่โอ๋อวิ๋นพยักหน้า  เขาไม่แปลกใจที่ซีคงหยูจะวิเคราะห์ได้ถูก  เพราะสมคบคิดกันมาตั้งแต่แรก

“ตัวเลขของเหมืองที่ทุกคนมี  น่าจะคงที่ไปจนถึงวันสุดท้าย  ในกรณีที่เจ้าป้องกันเอาไว้ได้นะอาหยู”   หลี่โอ๋อวิ๋นส่งยิ้มชั่วร้ายให้

“ฮ่า ๆๆๆ  นักดาบอันดับหนึ่งที่ชนะหลี่โอ๋อวิ๋นได้  มีหรือจะแพ้ใคร”

คนถูกพาดพิงที่นั่งอยู่หัวโด่กระแอมแรง ๆ หนึ่งที  แล้วอธิบายแผนต่อ

“แต่เพราะว่าประตูทรราชไม่มีกำลังพอที่จะยึดเหมืองเองได้ทั้งหมดในวันสุดท้าย  และเราก็ไม่อยากปล่อยมันไปให้พวกพันธมิตรสามสำนัก  ดังนั้นเราจะปล่อยให้วารีพิสุทธิ์เลือกยึดไปได้ 4 เหมือง  แต่สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำก็คือ  หยุดกิจกรรมการยึดเหมืองทั้งหมด  และจัดตั้งกองกำลังผสมเพื่อคอยป้องกันไม่ให้สำนักอื่นเข้าไปโจมตีอสูรเฝ้าเหมืองได้จนกว่าจะถึงวันสุดท้าย”

“เป็นแผนที่ดี”   ซีคงหยูเอ่ยชม  มีทัพเสริมเป็นยอดมือดาบไร้ธุลีคอยระวังหลังให้  ก็ไม่ต้องกลัวสำนักใดจะซุ่มโจมตี  “ข้าเชื่อว่าศิษย์น้องจางจะสนใจ”

หลี่โอ๋อวิ๋นเหยียดยิ้มเย็น  “นางไม่มีทางเลือกอื่น  ประตูทรราชสามารถรับความเสี่ยงปล่อยเหมืองทั้งสี่ไปให้สำนักอื่นได้  และเราก็ก่อกวนวารีพิสุทธิ์ไม่ให้ยึดเหมืองได้เช่นกัน”

“แต่แผนของเจ้ามีจุดอ่อน”  ซีคงหยูกล่าวพลางหรี่ตา  “ถ้าพวกเขาปล่อยจ้าวเหรินเจี่ยนออกมา...”

“หึหึ  ถ้าเป็นเช่นนั้น  ข้าก็จะขอพิสูจน์ดูว่ามือกระบี่ไร้ที่ติมีพิษสงเพิ่มมามากแค่ไหน”  นักดาบหนุ่มกล่าวอย่างไม่กลัวเกรง

“งั้นเป็นอันตกลง”

ซีคงหยูยกมือไปแปะกับหลี่โอ๋อวิ๋นเป็นสัญญา  จากนั้นคุณชายสามจึงลากลับไปค่ายของตนพร้อมกับเสี่ยวหมี





++++


(1)  สำนวนเดิม  จับไก่ไม่ได้  แถมเสียข้าวสุกไปหนึ่งกำมือ
(2)  เสี่ยวหง  แปลว่า เจ้าแดงน้อย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-09-2017 18:32:54 โดย Kirimanjaro »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ให้สงสัย ที่หยู คุยกับมู่  :katai1:
 “ถ้ามันเป็นเต๋า  มันก็เป็นเต๋าจากโลกอื่น”
เหมือนหยู ก็มาจากโลกอื่น ถึงได้รู้ จริงป่ะ

มู่ หลงเสน่ห์หยู แล้วล่ะ
ตามู่ไม่ได้มองกระจกถ่ายทอด มองแต่หน้าหยู
เลยเห็นความทะเยอทะยาน ที่ปกติไม่เห็น
แหะๆ.....เพราะหยู ให้คนเห็นแต่ทีท่ารักสบาย ไม่เอางานเอาการ
แต่ที่หยูพูดนั้น แสดงถึงความเข้าใจโลกทีเดียว
หยู ไม่ใช่ขี้ไก่แล้วนะ หยูเติบโตทั้งปราณ ทั้งความคิด ใช่ย่อย

แล้วอวิ๋น กับหยู จะเป็นเต๋าแบบไหนกันนะ
รอหยูก้าวกระโดด วาร์ปพลังฝีมือ
ขอบคุณไรท์ แนะนำการเผาผลาญเวลาที่ยอดเยี่ยม ลุยเลยยยย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-09-2017 20:58:57 โดย ♥►MAGNOLIA◄♥ »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด