ยามบ่ายของเสี่ยวหมี
++++
xexezero: อาหยูบอกว่าไม่ได้ตั้งใจแทค เขามาเอง หุหุ
alternative: เสี่ยวหมีกลับมาแร้ว พร้อมแอร์ไทม์ที่ล้นเหลือ (หรอ?)
wnkth: ฮ่า ๆๆ ใช่แร้น
++++
ครึ่งหลังของการประมูลเป็นไปโดยราบเรียบ สมบัติที่ควรจะกลับไปหาเจ้าของก็กลับไป เหลือไว้แต่กำไรที่ประตูทรราชฟันไว้อื้อซ่า ซีคงหยูรับเงิน 3000 ตำลึงทองจากศิษย์สำนักประตูทรราช อีก 300 ถูกหักเป็นค่าใช้จ่ายของห้องประมูล เขารู้สึกขอบคุณหลี่โอ๋อวิ๋นที่ช่วยดันราคาให้ แต่เมื่อเหลียวมองรอบ ๆ งานก็ไม่รู้ว่าพ่อคนหน้าดุหายไปอยู่แห่งหนใด
เขาบอกลาซ่งจิน และเดินไปสมทบกับกลุ่มวารีพิสุทธิ์เพื่อเดินทางกลับค่ายของตน
++++
วันถัดมา พันธมิตรสามสำนักเปลี่ยนยุทธวิธีใหม่ พวกเขาเลือกที่จะไม่ปะทะกับประตูทรราชตรง ๆ แล้ว และแยกทีมออกเป็นหลายทีมเพื่อกระจายความเสี่ยงของการถูกขัดขวาง คราวนี้ประตูทรราชเปลี่ยนไปมุ่งเป้าโจมตีทีมของอำพันโบราณ ซึ่งสำนักอื่นก็มองอย่างพึงพอใจเพราะอำพันโบราณมีจำนวนเหมืองในครอบครองมากกว่าทุกสำนัก
และแล้วก็ถึงวันปล่อยพยัคฆ์เข้าป่า...
ลานประลองถูกจัดขึ้นทั้งหมด 16 แห่งตามจำนวนของเหมืองที่ถูกยึดและมีผู้คุมเหมือง ลักษณะของลานเป็นเส้นใสราง ๆ ของลวดลายและสัญลักษณ์ไทจี่ที่ไขว้ขดกันอย่างซับซ้อน มันดูเหมือนแผ่นคริสตัลใสลงลายที่ลอยหลดหลั่นกันอยู่ในห้วงนภากาศ แต่ละลานก็จะมีวงสัญลักษณ์ขนาดเล็กของตัวมันอยู่บนพื้นดินในเมืองจิ้งซาน มันคือ [วงจร] ที่ถูกสร้างโดยผู้มีวิชาเซียนสูงส่ง หน้าที่ของมันคือเคลื่อนย้ายถ่ายโอน มิว่าคน วัตถุสิ่งของ สามารถเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งได้ในพริบตา
วงจรเคลื่อนย้ายในพริบตาเป็นหนึ่งในแขนงวิชาประเภท [เทศะ] กล่าวกันว่านักพรตเต๋ามู่หรงจวินจื่อเกิดพุทธปัญญาค้นพบความลี้ลับของเทศะหลังจากที่เขาไปนั่งบำเพ็ญเพียรในเหมืองนานกว่าสามร้อยปี แม้ว่าจะเป็นแขนงวิชาที่สืบทอดและพัฒนามาช้านาน แต่ชาวยุทธน้อยคนนักที่จะมีพรสวรรค์ในธาตุนี้ จะแสวงหาผู้มีพรสวรรค์ในธาตุทอง ไม้ ดิน น้ำ ไฟพร้อม ๆ กันทั้งหมด ยังจะง่ายกว่า
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ห้าสำนักจะต้องไปเชิญนักพรตเต๋าของพระเจ้าโจวเหวินหวางมาจัดลานประลอง
นักพรตเวิ่นเต๋อทำตัวเหมือนนักพรตเต๋าทั่วไป เขาใส่เสื้อสีเทาตัวใหญ่ลายหยินหยาง ตรงบ่ามีแส้ปัด ใบหน้ามีเครายาว ทว่าเคราและผมเผ้าสีดำขลับ ดวงหน้าเต่งตึงแจ่มใสดูไม่ชราแม้ว่าอายุที่แท้จริงจะเกินหลักร้อย
“นักพรตเวิ่น” ผู้อาวุโสห้าสำนักกำมือประสานเป็นรูปถ้วยที่หน้าอก ทักทายอีกฝ่ายที่เดินเหยียบเมฆเจ็ดสีมายังจุดชมการประลอง พวกเขาอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดของจิ้งซาน อันมองเห็นลานประลองทั้งสิบหกที่ลดหลั่นซ้อนกันเหมือนต้นไม้โบราณที่คดเคี้ยวขึ้นมาบนท้องฟ้า
เวิ่นเต๋อเพียงพยักหน้า ตาของเขาหลุบแทบจะไม่มองใคร ทว่าไม่มีผู้อาวุโสคนใดรู้สึกไม่พอใจ ถ้าท่านหยิ่งยโสโดยไม่มีคุณสมบัติ นั่นคือการไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ แต่ถ้าท่านเป็นนักพรตเต๋าชั้นสูงของราชสำนัก ซ้ำยังมีพรสวรรค์ด้าน [เทศะ] จะถุยน้ำลายรดหน้าคู่สนทนา บางทีเขาอาจจะยิ้มให้ท่านด้วยซ้ำ
เมื่อถึงเวลา พวกผู้อาวุโสก็จุดพลุ ดอกไม้เพลิงกระจายในอากาศ แสงเจิดจ้าชัดเจนแม้ว่าจะเป็นเวลากลางวัน ลานประลองกลางฟ้าแต่ละลานเริ่มเปล่งแสง และปรากฏกลุ่มก้อนแสงสีเหลืองเจิดจ้าซึ่งค่อย ๆ จางหาย กลายเป็นผู้รอการท้าประลองของแต่ละสำนักที่ถูกเคลื่อนย้ายขึ้นมา หลี่โอ๋อวิ๋นเป็นหนึ่งในนั้น เขาสะพายดาบไว้ที่หลังและกอดอกอย่างถือดี เพื่อรอให้คู่ท้าประลองปรากฏตัว
“ฮ่า ๆๆ ยินดีกับผู้อาวุโสตู้ด้วย ดูเหมือนว่าอำพันโบราณจะยึดเหมืองได้มากที่สุด”
ผู้อาวุโสจากสำนักไมตรีโลหิตกล่าวกับตู้ถงเทียน ซึ่งยืนมองลานประลองอย่างพึงพอใจ
ได้ยินดังนั้น เยว่หนานอิ๋งผู้อาวุโสแห่งประตูทรราชก็เข้าร่วมสนทนา
“ยินว่าลูกชายคนเล็กของผู้อาวุโสตู้ก็อยู่ในการประลองครั้งนี้ มิน่าเล่าจึงสามารถชิงความได้เปรียบของการประลองได้”
“ฮ่า ๆ ข้าไม่ได้หน้าด้านหน้าทนให้ของวิเศษแรง ๆ กับเขาหรอกนะ ไม่เหมือนบางสำนัก ส่งศิษย์เอกลงไปแข่งกับศิษย์ใหม่ ไม่ทราบว่าสุนัขคาบจิตสำนึกไปกินแล้วหรืออย่างไร”
ผู้อาวุโสไมตรีโลหิตยิ้มแห้ง ขณะที่เยว่หนานอิ๋งชักสีหน้า “เพ้ย พวกเราก็ตกลงกันแล้วว่าสามารถส่งศิษย์เอกอย่างน้อยหนึ่งคนลงไปในห้าเหมือง สำนักเจ้าก็ส่งไปอู๋ซาน ไฉนมาทำเหมือนเจ้าเสียเปรียบอยู่คนเดียวแบบนี้ แล้วเจ้าอีก” นางหันไปแว้งกัดผู้อาวุโสไมตรีโลหิต “นึกยังไงถึงส่งจ้าวเหรินเจี่ยนมาชนกับศิษย์ข้า เหมืองอื่นมีทำไมไม่ไป”
ผู้อาวุโสไมตรีโลหิตหัวร่อแก้เก้อ “ไฮ้ ผู้อาวุโสเยว่ ท่านจะขัดหยกด้วยกระเบื้องได้อย่างไร หยกต้องแข่งกับหยกถึงจะรุดหน้า ความข้อนี้ทำไมท่านไม่เข้าใจ”
“แต่ข้าก็ไม่เห็นหยกจะไปปะทะกันเองตรงไหน ข้าเห็นแต่ผู้แซ่หลี่รังแกศิษย์สำนักข้า” ผู้อาวุโสวังหมื่นบุปผาอดรนทนไม่ได้ จึงเหน็บแนมและส่งสายตาจิกไปยังเยว่หนานอิ๋ง
เมื่อเห็นว่าถูกรุม เยว่หนานอิ๋งจึงหันไปคว้าแขนคุณชายผู้สวมเสื้อคลุมลายคุนเผิงโต้คลื่นสีน้ำเงิน ซึ่งยืมอมยิ้มอยู่
“พี่ไป่ ดูพวกนี้สิ เอาชนะด้วยกำลังไม่ได้ก็มาตีฝีปาก”
ไป่หลินหลิงหัวร่อหนึ่งครา รวบพัดเก็บแล้วก็โอบบ่าเยว่หนานอิ๋ง มืออีกข้างเชยผมนางพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงละมุนละไม
“น้องเยว่ไม่ต้องกลัว ถ้าใครกล้ารังแกเจ้า ข้าจะให้มันชิมกระบี่มังกรอาฆาตสักจึ๊กสองจึ๊ก”
ตู้ถงเทียนกระแอม แม้ว่าเขาจะเห็นทุ่งลิลลี่ระหว่างสองคนนี้บ่อยมาก แต่ก็ไม่ชินเสียที
“พวกเจ้าเลิกพูดสาระ ไปดูการประลองดีกว่า”
บนลานประลอง ผู้ท้าประลองถูกเคลื่อนย้ายในพริบตามาประจันหน้ากับผู้รับคำท้าเกือบทั้งหมดแล้ว จ้าวเหรินเจี่ยนไม่มีผุ้ท้าประลองตามที่ทุกคนคาด ทว่า..ตรงข้ามกับหลี่โอ๋อวิ๋น มีกลุ่มแสงปรากฏ ก่อนที่แสงนั้นจะจางหาย กลายเป็นชายหนุ่มใส่เสื้อสีดำ สะพายห่อผ้าสีเหลือง และในมือก็มีดาบที่ยาวเกือบครึ่งตัว เขาถือปักพื้นเอาไว้เหมือนไม้เท้า และยืนรอสัญญาณการเริ่มประลองอย่างสงบ
“โอ้ นั่นศิษย์สำนักใด ไฉนกล้าท้าประลองกับหลี่โอ๋อวิ๋น”
เมื่อเห็นตู้ถงเทียนอุทานอย่างประหลาดใจ ผู้อาวุโสไมตรีโลหิตก็พูดว่า “เจ้าต้องเดาไม่ถูกแน่ ๆ”
เป็นเยว่หนานอิ๋งที่ทุบอกไป่หลินหลิงและทำหน้าเง้างอน “ดูสิ ศิษย์ท่านจะมายึดเหมืองของศิษย์ข้า”
คนที่ยังไม่รู้ก็หันไปมองไป่หลินหลิงอย่างประหลาดใจ ขณะที่นางกำลังปลอบใจคนในอ้อมกอด
“พวกเด็ก ๆ ตีกันใยเราต้องสนใจ ขนาดเจ้าสำนักพวกเราที่เหมือนน้ำกับไฟยังทำลายความสัมพันธ์เราสองไม่ได้”
“เจ้าก็ปากหวานไปวัน ๆ ข้ารู้ว่าเจ้ามีเล็กมีน้อยเต็มไปหมด”
ทุกคนมองอย่างเหยียดหยามเมื่อเห็นทั้งคู่เล่นละครพ่อแง่แม่งอน พวกเขาล้วนแต่เป็นจิ้งจอกเฒ่า ไฉนจะไม่รู้ว่าเหตุใดวารีพิสุทธิ์จึงส่งคนไปท้าประลองหลี่โอ๋อวิ๋น
ผู้อาวุโสไมตรีโลหิตถอนใจอย่างเสแสร้ง “เฮ้อ ไฉนวังหมื่นบุปผาและอำพันโบราณ ไม่ส่งคนมาท้าประลองกับเจ้าเจี่ยนบ้าง ทำให้ข้าต้องอิจฉาวารีพิสุทธิ์กับประตูทรราชยิ่งนัก”
ตู้ถงเทียนและผู้อาวุโสวังหมื่นบุปผาไม่ตอบ ถือเสียว่าเป็นประโยคลอยลม
ทุกคนหันกลับไปสนใจลานประลองของหลี่โอ๋อวิ๋น คู่ต่อสู้ของหลี่โอ๋อวิ๋นปลดห่อผ้าที่สะพายบ่า และหยิบม้านั่งเตี้ย ๆ มาตัวหนึ่ง วางไว้ตรงหน้า แล้วยกเท้าซ้ายขึ้นเหยียบ จากนั้นเอาดาบพาดบ่าแล้วชี้หน้าตวาด
“เพ้ย ผู้แซ่หลี่ เอี้ยเอี้ย (your granpa) ลดตัวมาท้าประลองแล้ว เจ้ายังไม่ไสตูดมายอมแพ้อีก”
เส้นเลือดตรงขมับของนักดาบหนุ่มเต้นปึด ๆ ถึงจะตกลงเล่นละครกันแต่ก็ไม่ต้องกวนขนาดนี้มั้ย
หลี่โอ๋อวิ๋นนิ่งไปพัก จากนั้นค่อย ๆ หยิบผ้าขาวยาวมาพันที่มือ และส่งสายตามังกรไปยังฝ่ายตรงกันข้าม
“ได้ยินว่าเจ้าก็ฝึกเต๋าแห่งดาบ?”
ชายเสื้อดำหัวร่ออย่างลำพอง “ใช่แล้วจะทำไม เจ้าเริ่มกลัวแล้วหรือไรว่าจะหล่นจากตำแหน่งเต๋าแห่งดาบอันดับหนึ่งของผู้กล้ารุ่นเยาว์”
หลี่โอ๋อวิ๋นเลิกคิ้ว “เจ้าน่ะหรอที่จะเขี่ยให้ข้าหล่นลงไป”
“โฮ่ ๆ แน่อยู่แล้ว เพราะในวันนี้ไม่เป็นข้าชนะ เจ้าก็แพ้ การประลองมีแค่ผลเดียวไม่มีอื่น เจ้าเตรียมตัวถูกยัดเยียดความพ่ายแพ้เถอะ”
“หึ ๆ” หลี่โอ๋อวิ๋นหัวเราะเย็น มือจับด้ามดาบ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ดึงเอากิ่งไม้ยาวเกือบวาออกจากแหวนสี่มิติ
“เพ้ย ผู้แซ่หลี่ เจ้าจะดูถูกข้าไปแล้ว เจ้าใช้กิ่งไม้จะได้เป็นข้ออ้างเวลาแพ้สินะ”
“หรือจะให้ใช้ดาบจริง?”
เมื่อฟังเช่นนั้นชายชุดดำก็เหลือกตาส่ายหน้ารัว ๆ จนลมเข้ากระพุ้งแก้ม
“เฮอะ” หลี่โอ๋อวิ๋นแค่นเสียงแล้วจับกิ่งไม้ในท่าเตรียม “ได้ยินว่าเจ้ารู้เพลงดาบแค่สามกระบวนท่า ข้าก็จะใช้สามกระบวนท่านั้นสั่งสอนเจ้า เตรียมรับมือ!”
“คิดว่าข้ากลัวหรอ” ชายชุดดำรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลแม้ว่าอีกฝ่ายจะยังไม่เคลื่อนไหว จึงถอยกรูด ๆ ไปแทบชนขอบเขตวงจรลานประลอง
หลี่โอ๋อวิ๋นเปิดด้วยมังกรดั้นเมฆ เท้าของเขาสะกิดไปเบื้องหน้า เขาตั้งใจไม่ใช้พลังปราณขั้นจันทราเลื่อนลอย เพราะถ้าทำเช่นนั้นซีคงหยูก็จะต้องพ่ายแพ้ในพริบตา
การโจมตีของมือดาบไร้ธุลีไม่เร็วไม่ช้า เหมือนกับเปิดโอกาสให้คุณชายสามเตรียมรับมือ ซีคงหยูเก็บรอยยิ้มแล้วกระโดดไปข้างหน้าพร้อมกับวาดดาบในท่าหงสากางปีก
ทว่ามังกรดั้นเมฆของหลี่โอ๋อวิ๋นนั้นประดุจมังกรเทพยดา เห็นหางไม่เห็นศีรษะ มังกรซอกซอนเข้าช่องโหว่ของปีกหงส์ และกิ่งไม้ก็เข้าไปพาดคอของซีคงหยู
“เจ้าตายรอบที่หนึ่ง” หลี่โอ๋อวิ๋นกล่าวอย่างเย็นชา ก่อนถอนกิ่งไม้กลับไปในท่าเตรียม
“เพ้ย ข้าแค่เผลอไปหน่อย”
หลี่โอ๋อวิ๋นไม่พูดอะไร เขากวักมือเรียกอย่างท้าทาย
ซีคงหยูพ่นลมหายใจพรืด แล้วน้าวด้ามดาบไปที่หลังใบหูเตรียมใช้มังกรดั้นเมฆ
หลี่โอ๋อวิ๋นยิ้มเยาะ เขาวาดดาบป้องกันในท่าหงสากางปีกดุจเดียวกับที่ซีคงหยูทำเมื่อครู่
ประกายดาบวาบซิกแซกในอากาศ ราวกับสายฟ้าสีขาวยวง ทว่าหลี่โอ๋อวิ๋นทำเพียงแค่ปาดดาบซ้ายป่ายขวาด้วยสีหน้าสบาย ๆ ประกายดาบที่ถูกป้องกันด้วยกิ่งไม้เกิดเป็นดาวเงินกระจัดกระจายไปทั่ว
“มาอีก”
เมื่อถูกยั่วยุ ซีคงหยูกระโดดถอยแล้วทะยานตัวในอากาศ ใช้ท่าพยัคฆ์ลงจากภูเขา หลี่โอ๋อวิ๋นเห็นดังนั้นจึงใช้ท่าเดียวกัน เมื่อเสือสองตัวตะปบกันในอากาศ ตัวที่อ่อนแอกว่าย่อมกระเด็นไป
ซีคงหยูม้วนตัวกับพื้นเพื่อลดแรงกระแทก และกลับมาเตรียมใช้เพลงดาบต่อได้ทันที มันไม่ใช่อะไรที่ฝึกจากเพลงดาบอย่างเดียว แต่เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์การต่อสู้และลับปฏิกิริยาตอบสนองให้ฉับไว
หลี่โอ๋อวิ๋นไล่โจมตีด้วยมังกรดั้นเมฆ ทว่าร่างของอีกฝ่ายเหมือนกับว่าเป็นภาพมายาที่ไม่อาจโจมตีได้ถูก มือดาบไร้ธุลีอุทานในใจ และในขณะเดียวกัน เปลือกตาที่หลุบอยู่ของนักพรตเวิ่นเต๋อก็ลืมขึ้นมาเล็กน้อย
แต่กระนั้น หลี่โอ๋อวิ๋นก็ไม่ได้ประหลาดใจมาก เขาคำนวณทิศทางและใช้มังกรดั้นเมฆไล่โจมตีอีกฝ่ายที่สะกิดเท้าถอยหลังเตรียมตั้งหลัก
“เจ้าตายครั้งที่สอง” หนุ่มหล่อหน้าดุกล่าวเมื่อกิ่งไม้ในมือของตนจี้ที่คอของฝ่ายตรงข้ามได้
“เฮ้ ไม่ออมมือให้ข้าเลย” ซีคงหยูพูดแล้วก็วาบดาบป่ายกิ่งไม้ แล้วโจมตีกลับอย่างรวดเร็ว
“ข้าออมมือให้แล้ว” หลี่โอ๋อวิ๋นปล่อยให้กิ่งไม้ถูกดาบปัดหมุนวนตามทิศทาง อีกมือไขว้หลังบิดตัวหยิบกิ่งไม้ที่ลอยในอากาศตามเพลงดาบ แล้วใช้โจมตีฝ่ายตรงกันข้ามจากแง่มุมที่ซีคงหยูไม่สามารถคาดเดาได้
“เจ้าตายครั้งที่สาม”
“เพ้ย เจ้ากะจะฆ่าข้ากี่รอบ เมื่อไหร่จะยอมแพ้”
ซีคงหยูเหวี่ยงดาบใช้แรงเหวี่ยงกระโจนถอย เขาเรียกการพลิกแพลงนี้ว่าท่าพยัคฆ์ขึ้นภูเขา แต่หลี่โอ๋อวิ๋นกัดไม่ปล่อย เขาพลิกแพลงมังกรดั้นเมฆเป็นมังกรกลืนเมฆ และกวาดกิ่งไม้โจมตีเป็นวงกว้างกว่าร้อยเงาจากเบื้องล่างพลางสนทนาไปด้วย
“ใครสอนเพลงดาบให้กับเจ้า” ..ถึงรู้แล้วแต่ก็อยากถาม
“ลองเดาดูสิ” ซีคงหยูใช้พยัคฆ์ขึ้นภูเขาซ้ำทั้งอยู่ในอากาศ แรงเหวี่ยงของดาบพาร่างของเขาลอยไกลออกจากพื้นที่โจมตีของมังกรกลืนเมฆ
“สอนได้แย่มาก” หลี่โอ๋อวิ๋นพูดแล้วใช้ท่าหงสาทะลวงใจ ปีกหงส์ชี้ไปข้างหน้าหมุนเป็นเกลียวเหมือนพายุทอนาโดที่รุกไล่
“เฮ้ ไหนเจ้าว่าใช้แค่สามกระบวนท่า” ซีคงหยูซึ่งโดนดาบจ่อคอหอยอีกรอบประท้วง แล้วก็พูดต่อ “..โอเค ข้าตายครั้งที่สี่”
หลี่โอ๋อวิ๋นถอนดาบกิ่งไม้ออกไป แล้วเลิกคิ้วถาม “เจ้าจริงจังได้แค่นี้หรออาหยู ข้าไม่อยากยอมแพ้ให้เพลงดาบเด็กเล่น”
กล้ามเนื้อเหนือริมฝีปากด้านซ้ายของซีคงหยูกระตุก เป็นสัญญาณว่ากำลังของขึ้น เขาใช้ปลายดาบยันพื้นแล้วพุ่งเข้าโจมตีด้วยหงสาทะลวงใจ
“ฮ่า ๆ เลียนแบบไปก็เท่านั้น” หลี่โอ๋อวิ๋นหัวเราะเยาะ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกตระหนกว่าซีคงหยูรู้การพลิกแพลงนี้ได้อย่างไร ซ่งมู่สอนท่านี้ด้วยหรือ ทำไมเขาไม่ใช้แต่แรก
ในชั่วพริบตาที่เกลียวพายุทอนาโดพุ่งเข้ามาใกล้ หลี่โอ๋อวิ๋นวาดกิ่งไม้ขึ้นเฉียง ๆ กรีดไปยังช่องโหว่ของกระบวนท่า ทว่าเสียงตะโกนจากในพายุดาบทำให้เขาสะดุ้ง
“เอามันไปแดกซะ!”
ควันสีดำพวยพุ่งจากพายุในพริบตา และห้อมล้อมทั้งคู่ไว้ในผงคลีที่ดูดซึมแสงไปทั้งหมด
“ฟัค! ระเบิดควัน!”
“ฮ่า ๆ น้องอวิ๋นนี่น่ารักจริง จำของเล่นข้าได้ด้วย”
ซีคงหยูใส่แว่นครอบตาที่เตรียมไว้ มันเป็นวัตถุกลไกที่ใช้คู่กับระเบิดควันในการมองทะลุความมืด เขากำด้ามดาบกระชับในมือ แล้วใช้ท่ามังกรดั้นเมฆพุ่งเข้าประชิดเงาร่างที่เห็นลาง ๆ ในควัน
ทว่าหลี่โอ๋อวิ๋นยกกิ่งไม้ในมือต้านกระบวนท่าเหมือนไม่ได้ลำบากอะไร
“ไอ๊หยา เจ้ารู้ได้ยังไง”
“อาหยู อย่าหาว่าข้าสอน ผู้มีวรยุทธชั้นสูงสามารถมองเห็นกระแสปราณในอากาศ ของเล่นยังไงก็เป็นของเล่นวันยังค่ำ”
หลี่โอ๋อวิ๋นวาดกิ่งไม้ กระแทกดาบและร่างของซีคงหยูให้กระเด็นลอยไปจากกลุ่มควัน
“แต่ถ้าข้ากะน้องอวิ๋นวรยุทธเท่ากัน เจ้าต้องแพ้แล้ว” ซีคงหยูสู้ดาบไม่ได้ก็ต้องใช้ปาก มือลูบท้องป้อย ๆ ที่เจ็บจากแรงกระแทก
“ผู้ใดใช้ให้เจ้าขี้เกียจ ไม่ยอมบำเพ็ญพรต” หลี่โอ๋อวิ๋นกัดที่จุดอ่อนของชายชุดดำอย่างไม่ปราณี
“เมื่อไหร่จะยอมแพ้” ซีคงหยูพูดแล้วก็โจมตีด้วยพยัคฆ์ลงจากภูเขาอีกครั้ง
หลี่โอ๋อวิ๋นไม่ตอบไพล่มือข้างหนึ่งไว้ข้างหลัง ส่วนมือข้างที่ถือกิ่งไม้ก็วาดวนสลายกระบวนท่าของฝ่ายตรงข้าม จากนั้น เท้าสาวเข้าไป กิ่งไม้กระแทกดาบจนซีคงหยูมือชา และไม่ทันตั้งตัว เขาพลิกข้อศอกกระแทกอกคุณชายสามจนกระเด็นไปสิบก้าว
“โอ๊ย!!” เจ้าของเสื้อสีเหมือนหมีตัวเองคลำหน้าอกแล้วร้องครวญคราง
“สำออย” หลี่โอ๋อวิ๋นสืบเท้ารุกไล่อีก กิ่งไม้ลากเรี่ยพื้น เสียดสีดังหวีดหวิดเหมือนเอาแท่งเหล็กไปกรีดก้อนหิน ฝุ่นควันคลุ้งตามรอยไม้ที่กรีด และในที่สุดปลายกิ่งไม้ที่โค้งงอตามการลากก็ดีดผึงสร้างกระแสลมรุนแรงพัดเอาซีคงหยูปลิวไปอีกสามสี่ตลบ
“นี่เจ้าเอาจริงใช่มั้ย” ซีคงหยูยันตัวจากพื้นอย่างยากลำบาก ตัวของเขาขะมุกขะมอมไปหมด
“ยัง” หลี่โอ๋อวิ๋นใช้พลังปราณไม่ถึงหนึ่งในร้อยส่วนเลยด้วยซ้ำ
“ถ้าเจ้ายังไม่ยอมแพ้ ข้าจะใช้ไม้ตายล่ะนะ” ซีคงหยูขู่ฟ่อ ๆ
หลี่โอ๋อวิ๋นเลิกคิ้ว รอดูท่าไม้ตาย
คุณชายสามเอามือป้องปากแล้วตะโกนทีละคำ “ข้า-ขอ-ยอม...”
“หยุด!” ในที่สุดนักดาบหน้าเครียดก็ต้องยอม เขาโยนกิ่งไม้ในมือแล้วประกาศ “ข้า..หลี่โอ๋อวิ๋น ขอยอมแพ้”
“ฮ่า ๆๆๆๆๆ” เสียงหัวเราะดังมาจากคนหน้ามอมทันที “เห็นมั้ยล่ะ เห็นมั้ยล่ะ ในที่สุดข้าก็เอาชนะเต๋าแห่งดาบอันดับหนึ่งได้”
ปึด! ปึด! เสียงเส้นเลือดบนหน้าผากหลี่โอ๋อวิ๋นเต้นตุบ ๆ อีก แต่ก็กัดฟันไว้
ซีคงหยูหันไปประสานมือคารวะรอบทิศ “ชาวยุทธทั้งหลายโปรดเป็นพยาน ข้าเอาชนะหลี่โอ๋อวิ๋นในการท้าประลองถอนหมั้นได้ ต่อไปนี้การหมั้นของพวกเรา...”
“เห้ย!” คนถูกเอ่ยชื่อตะโกน นิ้วกระดิก กิ่งไม้ที่ใช้อัดซีคงหยูเมื่อครู่ก็ลอยกลับเข้ามาในมือ
เมื่อรับรู้ถึงจิตสังหาร คุณชายสามก็ย่นคอทำตาปี๋
“โธ่ ข้าแค่ล้อเล่น น้องอวิ๋นไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย”
“เฮอะ” หลี่โอ๋อวิ๋นแค่นเสียง ก่อนที่แสงของวงจรลานประลองจะกลืนร่างของทั้งคู่แล้วเคลื่อนย้ายกลับไปยังเมืองจิ้งซาน
เมื่อการประลองของทั้งคู่สิ้นสุด เวิ่นเต๋อก็หลุบตาดุจเดิมราวกับไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว
++++
มาดูทางด้านเสี่ยวหมี
ศิษย์น้องเหยียนผู้สถาปนาตนเองเป็นแฟนคลับอันดับหนึ่งกัดผ้าเช็ดหน้าอย่างเจ็บใจ เมื่อภาพถ่ายทอดสดที่ปรากฏบนแผ่นหยกสื่อสารคือหมีดำขนปุยตัวใหญ่ตาใสแบ๋วนอนหงายท้องเอาเท้าชี้ฟ้า
“ฮึ่ม เสี่ยวหมี แค้นนี้ข้าจะชำระให้เอง”
+++++++
(1) เทศะ = position, space