Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #43 ถ้ำของเจ้าข้าจะรับเอาไว้ วะฮ่าๆๆ (5/11)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #43 ถ้ำของเจ้าข้าจะรับเอาไว้ วะฮ่าๆๆ (5/11)  (อ่าน 22728 ครั้ง)

ออฟไลน์ Kirimanjaro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
++++++++++




เมืองจิ้งซานเป็นเมืองเล็ก ๆ ในแนวเทือกเขามังกรทะยานฝั่งตะวันตก  ชาวเมืองประกอบอาชีพเรียบง่าย  ทำไร่ไถนาและทอผ้า  ทั้งเมืองจิ้งซานมีโรงเตี๊ยมอยู่แห่งเดียว  ชื่อโรงเตี๊ยมมั่งคั่งร่ำรวยผิดจากสภาพซอมซ่อของมันที่กลืนไปกับความไกลปืนเที่ยงของจิ้งซาน

ในเมืองมีโรงเตี๊ยม  ในโรงเตี๊ยมย่อมมีผู้คน  หากมิใช่อาคันตุกะก็เป็นเถ้าแก่  ถ้าโรงเตี๊ยมไม่มีคนมันย่อมไม่ควรเรียกว่าโรงเตี๊ยม 

แต่ทว่า..จ้าวเหรินเจี่ยนยืนอยู่หน้าโรงเตี๊ยมที่ไม่มีผู้คน  ประตูไม้บานพับเปิดอ้าไว้  เห็นโต๊ะที่มีฝุ่นจับและถ้วยชามวางทิ้งเกรอะ  ในชามมีซุปหัวผักกาดที่วางทิ้งไว้นานจนบูดหืน  จ้าวเหรินเจี่ยนยิ้มละไม  รอยยิ้มของเขาประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง  มันเหมือนติดอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา  แม้ยามดีใจท่านก็จะเห็นเขายิ้ม  ยามเศร้าโศกท่านก็จะเห็นเขายิ้ม  ยามที่เขานอนหลับท่านก็จะเห็นเขายิ้ม  และแม้กระทั่งยามที่เขาชักกระบี่สังหารผู้คนรอยยิ้มนั้นก็ไม่ได้จางหายไปจากหน้า  บางคนบอกว่าเป็นเพราะรอยแผลเป็นจากปลายกระบี่ที่ตวัดตรงข้างแก้มมุมปากของเขาอันดูเหมือนรอยลักยิ้ม  แต่บางคนก็ว่าเป็นเพราะเขามีบุคลิกภาพอันละมุนละม่อม  และมีความสุภาพอย่างหาที่ติไม่ได้  เสื้อผ้าของเขาเรียบร้อยปราศจากเส้นด้ายหลุดรุ่ย  เส้นผมทุกเส้นถูกหวีมัดมวยไว้อย่างเรียบกริบ  และไม่ว่าฝุ่นในโรงเตี๊ยมจะหนาแค่ไหน  ก็ไม่มีละอองใดมาจับต้องเสื้อผ้าเขาได้เลย

จ้าวเหรินเจี่ยนพ่นลมหายใจเบา ๆ  ฝุ่นหนาบนโต๊ะตัวหนึ่งก็ถูกเป่าออกไปจนหมด   เขาปลดสัมภาระที่พาดอยู่บนบ่าวางลงกับโต๊ะ  มันเป็นห่อผ้าสีขาวเหมือนกับเสื้อของเขา  ข้อมือผูกด้ายแดงตัดกับสีเสื้อ  คือสัญลักษณ์ของสำนักไมตรีโลหิต

จ้าวเหรินเจี่ยนชะงักมือที่จะวางกระบี่ลงบนโต๊ะ  เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยทั้ง ๆ ที่ยังมียิ้มประดับมุมปากอยู่

“โรงเตี๊ยมนี้มีเจ้าของแล้ว  เป็นของสำนักไมตรีโลหิต  ขอท่านที่นับถือโปรดเข้าใจ”

“ฮ่า ๆๆ”  เสียงหัวเราะเปิดเผยกังวานดังมาจากถนนที่หน้าประตูโรงเตี๊ยม  “น้องชายจ้าวยึดทำเลที่ดีที่สุดไป  แต่มาตัวคนเดียวกินชิ้นปลาก้อนใหญ่ขนาดนี้  ไม่กลัวก้างจะติดคอหรืออย่างไร”

จ้าวเหรินเจี่ยนหันไปช้า ๆ  ตลอดท่าร่างของเราป้องกันไว้อย่างมั่นเหมาะดูไม่มีช่องโหว่  กระบี่ที่ดูถือหลวม ๆ ไว้ในมือกลับอยู่ในตำแหน่งที่อันตรายที่สุด  ซึ่งบรรยายได้เพียงสองคำว่า  ไว  และเฉียบขาด 

“ที่แท้ก็คุณชายหลี่  ไม่นึกว่าประตูทรราชจะสนใจโรงเตี๊ยมซ่อมซ่อเช่นนี้  นับเป็นเกียรติจริง ๆ”

“ฮ่า ๆ  ถ้าข้าสนใจจริง ๆ ข้าคงมายึดแต่แรกแล้ว  นี่ข้าแวะมาทักทายและตักเตือนกันประสาคนรู้จัก  เพื่อมิให้น้องชายจ้าวต้องตกเป็นเป้าครหาของทั้งห้าสำนัก”

“ขอบคุณสำหรับความกังวลของคุณชายหลี่  จ้าวเชื่อว่าคนทั้งห้าสำนักล้วนใจกว้าง  คงไม่ถือสากับเรื่องแค่นี้”

จ้าวเหรินเจี่ยนตอบไปอย่างสุภาพ  แต่ลึก ๆ ในแววตามีประกายวาววาบและท้าทาย

หลี่โอ๋อวิ๋นหัวเราะพรืด   เขาลอบสังเกตจ้าวเหรินเจี่ยนและประเมินอย่างครุ่นคิด  พลังพรตที่แผ่ออกมาจากร่างของฝ่ายตรงข้ามถูกเก็บงำไว้จนอ่านไม่ออก  ท่วงท่าการยืนและจับกระบี่ก็สมบูรณ์แบบกว่าเมื่อตอนที่เจอกันในการประลองครั้งที่แล้ว

“แต่ว่า..ลมอะไรที่ทำให้คุณชายหลี่มาเยือนสถานที่ต่ำต้อยอย่างเมืองจิ้งซาน  การประลองครั้งนี้ไม่ใช่ระดับที่ศิษย์เอกสำนักควรจะเข้าร่วม”

หลี่โอ๋อวิ๋นยักไหล่  “น้องชายจ้าวมาได้  เหตุไฉนข้าจะมาไม่ได้”

จ้าวเหรินเจี่ยนยิ้มละไม  แล้วพูดอย่างช้า ๆ  “หรือลมที่ว่าจะเป็น...สำนักวารีพิสุทธิ์”

ผู้ยืนกอดอกที่หน้าประตูโรงเตี๊ยมเลิกคิ้วเข้มของตัวเอง  ใบหน้าของเขาเหมือนถูกสูบอารมณ์ออกไป  ทั้งรัก เกลียด ชัง ชอบ  จนเหมือนกับหน้ากากน้ำแข็งอันหนึ่ง

“จ้าวกล่าวผิดไป   ขอคุณชายหลี่โปรดอภัย”

หลี่โอ๋อวิ๋นฉีกยิ้มหยัน  “ไม่นึกว่าคุณชายที่สุภาพเหมาะสมที่สุดในยุทธภพ  ก็ชอบเรื่องซุบซิบนินทากับเขาเหมือนกัน”  เขายักไหล่อีกครั้งกล่าวต่อ  “จริง ๆ ก็รู้กันทั้งยุทธจักรว่าข้าเป็นพวกตัดชายเสื้อ  แต่ไม่ต้องห่วง  ข้าไม่ชอบคนที่สมบูรณ์แบบเกินไปอย่างน้องชายจ้าวหรอก”

(ตัดชายเสื้อ = ชอบผู้ชาย)

“ฮ่า ๆ”  จ้าวเหรินเจี่ยนหัวเราะอย่างอ่อนโยน  จนดูคล้ายกับว่าเพียงหัวเราะตามมารยาท  แต่ดวงตาที่ฉายแววซื่อสัตย์จริงใจของเขาทำให้ไม่มีใครคิดว่าเขามีเจตนาร้ายได้ลงคอ

หลี่โอ๋อวิ๋นถอนหายใจ  เขามองจ้าวเหรินเจี่ยนด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน  ก่อนจะตัดสินใจถาม

“ดูเหมือนว่าน้องชายจ้าวจะมีข้อมูลสำนักวารีพิสุทธิ์”

“คุณชายหลี่อยากทราบเรื่องใดล่ะ”

“ข้าอยากทราบว่า  ใครบ้าง..ที่มาร่วมงานประลองศิษย์ใหม่ครั้งนี้”

จ้าวเหรินเจี่ยนนิ่งคิดพักหนึ่ง   “..คนที่ควรมาก็มา  ที่ไม่ควรมาก็ไม่มา”

“คนแบบไหนที่ไม่ควรมา?”

มือกระบี่ไร้ที่ติหัวเราะเบา ๆ  แล้วเอานิ้วชี้หลี่โอ๋อวิ๋นและตนเอง  “ท่าน  และข้า”




+++++++++++



คุณชายสามเชื่อในคติสอนใจที่ว่า  ทำดีโลกต้องรู้  เขาจึงเดินขี่หมีอย่างโอ้อวดไปทั่วสำนัก  และทุกครั้งที่เขาเจอศิษย์รุ่นเดียวกัน  เขาจะพูดว่า

“ดูสิ ๆ ข้าสำเร็จพลังพรตขั้นตะวันขึ้นสายแล้ว  เป็นไงล่ะ”

พวกเด็กสาวหัวเราะคิกคัก  เพราะพวกนางบางคนก็สำเร็จถึงขั้นสูงไปแล้ว
หลิวเกาที่ติดสอยห้อยตามนายน้อยรู้สึกอับอายจนอยากกลับไปซุกหน้ากับหมอนในห้องพัก

“ศิษย์พี่หลิว”   เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งร้องเรียกหลิวเกาอย่างเอียงอาย 

“ศิษย์น้องจิ่ง”  หลิวเกาหยุดแวะทัก

“ถ้าศิษย์พี่หลิวว่าง  วันพรุ่งนี้เราไปฝึกวิชาด้วยกันอีกนะ”

ซีคงหยูที่กำลังป่าวประกาศความสำเร็จของตนเองบนหลังหมี  ชะงัก  และหันมาเขม้นมองจนลูกตาแทบหลุดจากเบ้า

“หลิวเกา”   คุณชายสามสั่งให้เสี่ยวหมีไปหิ้วคอบ่าวรับใช้กลับมา  เสี่ยวหมีใช้อุ้งมือเกี่ยวคอเสื้อหลิวเกาซึ่งไร้ไขมันแล้วจึงลอยขึ้นจากพื้นมาอย่างง่าย ๆ    “เจ้ามีแฟนคลับด้วยเรอะ   เจ้ามีได้ยังไง  ทั้ง ๆ ที่ข้าไม่มีเลยสักคน”

“เออะ..คือ”

“ปล่อยศิษย์พี่หลิวลงมาเดี๋ยวนี้นะ”  ศิษย์น้องจิ่งขู่คำรามเหมือนชิวาว่าตัวเล็ก ๆ

“เฮ่อ ๆ  เจ้าหมาจู  นี่คือเรื่องในบ้านของข้า  เจ้าอย่ามายุ่ง”  พูดแล้วก็โยนขนมเปี๊ยะก้อนเล็ก ๆ ที่พกมาให้นางก้อนนึง

ศิษย์น้องจิ่งปัดขนมทิ้งอย่างโมโห  “เจ้าว่าใครเป็นหมาจู  แล้วเรื่องในบ้านเจ้ามันคืออะไร  ศิษย์พี่หลิวเป็นอัจฉริยะของสำนัก  จะมาเป็นคนรับใช้ของเจ้าอยู่ได้ยังไง”

ซีคงหยูฟังแล้วก็ส่งเสียงทูท ทูท  ในคอ  แล้วหันไปซักไซ้คนที่ถูกหิ้ว

“ไม่นึกว่าเจ้าจะมีฉายาใหม่นะหลิวเกา”

“บ่าวมิกล้า  คำเรียกหาเป็นแค่ชื่อเสียงลอยลม  ไม่มีเนื้อหาสาระอะไร”

“ฮ่า ๆ  พูดได้ดี  อย่างงั้นที่ชาวเมืองเรียกข้าว่าคุณชายไม่เอาถ่านมาตลอดยี่สิบกว่าปี  นี่ก็ไม่มีสาระอะไรใช่มั้ย”

“นายน้อยกล่าวถูกแล้ว  ฮี่ ๆ”

“หลิวเกา!”

“ขอรับนายน้อย”

“เจ้าโดดเด่นเกินหน้าข้า   เจ้ารู้ความผิดหรือไม่”

“บ่าวทราบความผิด”

ซีคงหยูพยักหน้าอย่างพอใจ  และกอดอกถามอย่างทระนง

“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร”

หลิวเกาคิดอยู่พักหนึ่งแล้วจึงตอบ  “บ่าวก็จะต้อง...เฆี่ยนตี  ฉุดกระชากลากถู  จับนายน้อยโยนลงบ่อเสือบ่อจระเข้  บังคับให้ฝึกวิชาจนกว่านายน้อยจะมีฝีมือรุดหน้าและมีความโดดเด่นเกินหน้าบ่าว  จริงมั้ยเสี่ยวหมี”

“อ๊อออออ!”  เสี่ยวหมีพยักหน้าแล้วค่อย ๆ วางหลิวเกาลงไปกับพื้น  จากนั้นเอาอีกอุ้งมือเกี่ยวคอเสื้อคุณชายสามลงมาแทน

“หยุดนะ  เจ้าพวกทรยศ!  พวกเจ้าแอบสุมหัวกันนี่เฮ้ย  แว๊กกกก  อย่ามัดมือข้า  อุก ๆ”

ที่ศาลาริมสระบัว  กลุ่มหญิงสาวนั่งจิบชาคุยกัน  หางตาเหลือบมองคนกะหมีที่ลักพาตัวคุณชายสามไปยังที่ใดก็ไม่ทราบ  แล้วก็ส่ายหน้า

“เสี่ยวหรู  ดูประมุขพรรคของเจ้าสิ  น่าอายเสียจริง”

“ฮี่ ๆ  ข้าก็แค่เข้าไปเล่นสนุก ๆ  แล้วอีกอย่างเขาไม่ใช่ประมุขพรรคแล้ว  เสี่ยวหลัน..เจ้านี่ก็ดูสนใจเขาเหมือนกันนะ”

ไป่หลันหลันใช้ผ้าเช็ดหน้าซับปากที่เปื้อนน้ำชา  แล้วส่งสายตากลับไปยังหวูชิงหรู

“ข่าวว่าจ้าวเหรินเจี่ยนและหลี่โอ๋อวิ๋นปรากฎตัวที่จิ้งซาน”

นางพูดถึงหยกคู่ของยุทธจักร  เจ้าของฉายากระบี่ไร้ที่ติและดาบไร้ธุลี  อันทัดเทียมกันทั้งวิชาฝีมือและรูปโฉม

“ไฮ้   ไมตรีโลหิตและประตูทรราชช่างหน้าไม่อาย  ส่งศิษย์เอกมาร่วมการประลองของศิษย์ใหม่เสียได้”

“หลี่โอ๋อวิ๋นอาจจะมีเหตุผลอื่น”  ไป่หลันหลันกล่าวแล้วก็ยิ้มเป็นนัย

“เหตุผลอะไรหรอ”  อาสิบหกที่นั่งติดกับหวูชิงหรูเอ่ยปากด้วยความสงสัย  แต่อาสิบแปดเอาศอกกระทุ้งแฝดของตนแล้วกระซิบกระซาบ

“เรื่องนั้นไง ๆ  ข่าวลือน่ะ”

“ว้าว  จริงหรอเนี่ย”   หวูชิงหรูทาบอกอุทาน  “ซีคงหยู..กับหลี่โอ๋อวิ๋น?”

หญิงสาวเยือกเย็นที่นั่งตรงข้ามเพียงแค่พยักหน้าน้อย ๆ

“ทำไมถึงเป็นซีคงหยู  ทำไมไม่เป็นจ้าวเหรินเจี่ยน  หยกน่าจะคู่กับหยก  ทำไมไปคู่กับกิ่งไม้”

“มีแต่สวรรค์มั้งที่รู้”   ไป่หลันหลันตอบพลางหลุบตามองถ้วยชา



+++++


ซีคงหยูถูกจับโยนเข้ามาในถ้ำเซียนบำเพ็ญพรตพร้อมกับอาหารและตำรา  หลิวและเสี่ยวหมีทั้งขู่ทั้งปลอบ

“นายน้อยมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ  ถ้าไม่เช่นนั้นคงไม่บรรลุพลังพรตขั้นตะวันขึ้นสายได้ในวันเดียวหรอก  ดังนั้นนายน้อยต้องอดทนพยายามอีกนิด  แล้วพลังฝีมือจะรุดหน้าแซงทุก ๆ คน”

คุณชายสามถอนหายใจ  เขามีพรสวรรค์อะไรกันเล่า  ที่เขาสำเร็จการวางรากฐานขั้นแรกได้เพราะคำชี้แนะของหวางเซียนเหลย  บวกกับปราณเซียนชี้ทางที่หวางเซียนเหลยทิ้งไว้ให้ตอนที่ตบบ่าเขาก่อนไป  ซึ่งทำให้การสร้างรากฐานขั้นแรกนั้นง่ายเหมือนกับปอกส้มเข้าปาก

ในเมื่อเขามีรากฐานพลังพรตแล้ว  ต่อไปก็คือการหาวิชาเซียนที่เหมาะสม  เพราะพลังพรตก็เหมือนพลังงานที่ไร้ระเบียบ  และวิชาเซียนก็คือวงจรที่บังคับให้พลังพรตหมุนเวียนอย่างเป็นระบบและก่อให้เกิดผลลัพธ์ต่าง ๆ กันไปตามแต่ละวิชา  นอกจากวิชาเซียนแล้วยังมีวิชาท่าร่าง  วิชาท่าร่างเน้นการเคลื่อนไหวร่างกายและอาวุธให้เป็นไปตามกระบวนท่าที่ถูกต้อง  ถ้าเทียบแล้ววิชาเซียนคือการสร้างวงจรภายในจิตแล้วปล่อยพลังงานออกมา  ขณะที่วิชาท่าร่างเป็นการใช้ร่างกายเป็นวงจรให้พลังพรตไหลเวียนแล้วใช้มันในการโจมตีศัตรู

เมื่อนึกถึงวิชาเซียน  ซีคงหยูก็นึกถึงได้ถึงรางวัลจากการตั้งพรรคปลาทูสีน้ำเงิน   เขาพยายามเลิกถอนหายใจแล้วควักตำราวิชาเซียนสามสิบหกแผนขึ้นมาดู

“ในสามสิบหกแผน  หนีนับเป็นยอดกลยุทธ”   ซีคงหยูอ่านท่อนนำของตำรา  แล้วขมวดคิ้ว    “หมายความว่ายังไง  นี่คือวิชาสำหรับการหนีอย่างงั้นรึเนี่ย”

เขารีบพลิกไล่ดูอย่างรวดเร็ว
“วิชาหนีดาบกระบี่   วิชาหนีในน้ำ  วิชาหนีในอากาศ  ถุย ๆ...นี่มันบ้าอะไรกัน”

ซีคงหยูกวาดสายตาอย่างรวดเร็วตามหัวข้อไปเรื่อย ๆ แต่ไม่พบว่ามีวิชาไหนที่ใช้ในการโจมตีเลย

“ไหนพี่ชายหวางบอกว่า  ฝึกแล้วจะเป็นยอดฝีมือไงเห้ย”

คุณชายสามร้องเห้ยไม่หยุดตลอดห้านาที   จากนั้นก็ล้มลงตายคาตำรา

...สักพัก  เขาก็ฟื้นขึ้นใหม่จากสภาพศพ  แล้วคลานไปที่หน้าประตูถ้ำ 

“เสี่ยวหมมมมมี   เสี่ยวหมมมมมมี”  เขาร้องงื๊ด ๆ และเกาประตูดังครืด ๆ  “ปล่อยข้าออกไป   ข้ากำลังหัวใจสลาย  ร่างกายต้องการทะเลมาเยียวยา”

เสี่ยวหมีหันไปมองถ้ำเซียนที่ล็อคไว้จากข้างนอก  หลิวเกาซึ่งยึดเก้าอี้เอนตัวโปรดของคุณชายและจิบน้ำมะพร้าวอยู่  ส่ายหน้าไม่ให้เสี่ยวหมีใจอ่อน

“หลิววววกาวววววว”   เสียงร้องโหยหวนดังมาจากในถ้ำ  “ถ้าข้ากลายยเป็นนนวิญญญาณณณร้ายยยข้าจามาหลอกกกหลอนนนนเจ้าาาาาาาา”

หลิวเการีบควักเกลือในกะละมังที่เตรียมไว้เขวี้ยงไปหน้าถ้ำแล้วสวดคาถาบูชาพระอมิตาภพุทธเจ้า

“เสี่ยยยววววหมมมมมมี  เจ้าหมีอกกกตัญญญญญู  ข้าขอสาปปปปแช่งงงงงเจ้าาาาาาาาาา   ห้ายยยยโดดนนนนผึ้งงงต่อยยยยทุกกกกกครั้งงงงที่กินนนนนน้ำผึ้งงงงงง”

“อ๊อออออออออ!!”



++++++++++++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-08-2017 16:26:19 โดย Kirimanjaro »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
หยูน้อยเหมือนเด็กอะ ต้องมีคนคอยคุมให้ทำการบ้าน ฮา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-08-2017 20:44:18 โดย sirin_chadada »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
แค่อ่านคัมภีร์ หยูก็นอนตายหลายครั้ง
อุตส่าห์อ้อนวอนหลิวเกา เสี่ยวหมี ให้ปล่อยตัวเองออกมา
แต่อนิจจา ทั้งหลิว ทั้งหมีรักหยูมากกกกกกกกกก
เลยถูกสาปแช่งที่น่ากลั้ว น่ากลัว

ความสำเร็จของการฝึกวิชาของพรรควารีพิสุทธิ์
ตั้งชื่อไล่ตามแสงตะวัน ช่างทูอิเมจิ้น
ใจก็เต้นแผ่วลงๆ ว่าหยูต้องสำเร็จพลังแน่ๆ

ไรท์ อ่านเรื่องนิยายกำลังภายในสมัยโกว้เล้ง
แล้วสมัยใหม่อย่างเรื่องสยบฟ้าพิชิตปฐพี เทพยุทธ์เซียนกลอรี่
ก็สนุกนะไรท์ แต่ไรท์ เซียนอยู่แล้ว ต้องอ่านแน่ๆ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Kirimanjaro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
อันนี้ต้องขอเข้ามาตอบแรงมากกก

เรื่องสยบฟ้าพิชิตปฐพี  ผมไม่รู้ว่าเรื่องอะไร  แต่ไปค้นกูเกิ้ลดูแล้วขนลุก  Jiang Ye โดย Mao Ni นี่เอง  อยู่ในลิสต์จะอ่านครับ

ผู้เขียน Mao Ni คือไอดอลผมมาก ๆ   
ผมอ่านนิยายของเขาเรื่อง Ze Tian Ji (Way of Choice/ Fighter of Destiny) คือสุดมากกกก
ให้โม้ถึงความดีงามของเรื่องนี้สามวันสามคืนก็ไม่จบ

อีกเรื่องที่ผมตามของ Mao Ni คือ Joy of Life  แต่คนแปลเลิกแปลไป  และไม่มีใครเอามาแปลลง LNMTL (light novel machine translation) ด้วย

เทพยุทธเซียนกลอรี่  ผมอ่านฉบับแปลใน LNMTL จนจบล่ะครับ  ชื่อในนั้น The King's Avatar  อันนี้ก็ไอดอลด้านบทพูดและการให้บุคลิกตัวละครที่โดดเด่นจนจดจำได้  คืออ่านแล้วไม่น่าเชื่อ  จนถึงป่านนี้ผมยังจำเกือบทุกคนของทุกทีมและประวัติของผู้เล่นเหล่านั้นได้เลย  เวลาที่ต้าเฉินทั้งหลายมารวมตัว trash talk ใส่กันนี่มันฮามากกกกกกก    (คนโปรดของผมคือ  หวงเส้าเทียน และแชตบอกซ์ของเขา    ลืมอีกคน Blue River ผู้น่าสงสารและประสบวิกฤตวัยทอง)

ปล. เสียงหัวเราะ ฮี่ ๆ ผมก็เอามาจากพระเอกเรื่องนี้แหละ  อิอิ

++++

คุณศรียุดา   ไม่มีใครคุม  ผมก็ม่ายยทำงานเหมือนกัน ฮี่ ๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-08-2017 21:18:35 โดย Kirimanjaro »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ดีจัง ได้เรื่องที่จะอ่านใหม่ แล้ว Ze Tian Ji
เพิ่งเคยอ่านของนักเขียนคนนี้ เรื่องแรก ก็เรื่องสยบฟ้าพิชิตปฐพี
น้องชายแนะนำให้อ่าน
บอกว่านักเขียนคนนี้แหกกฎเรื่องคุณธรรมมากกกก
แต่พออ่านแล้วชอบมากกกก

ไม่รู้เรื่อง จอมนางจารชนหน่วย 11 กับ เรื่องผลาญ ไรท์เคยอ่านไหม
สนุกจริงๆตาต่อตาฟันต่อฟัน อ่านแล้วมันมากกกก
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook


แปะไว้ก่อน สัญญาเลยว่าจะมาตามอ่านให้เร็วที่สุดค่ะ  :กอด1:



ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ zakimi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
สะดุดตาสะดุดใจจริงๆเรื่องนี้ 555555

ออฟไลน์ Kirimanjaro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
 ♥►MAGNOLIA◄♥ :  ถ้านิยายที่ผู้หญิงเป็นตัวเอกผมจะชอบอ่านแนวตลกหน่อย ๆ น่ะครับไม่ค่อยอ่านซีเรียส   ที่อ่านและชอบมากๆ ก็อย่างเช่น
Jiang Hu's Road is Curve
My Disciple, You Die yet again
A Slight Smile is Devastating
สองเรื่องแรกดีงามมาก  ถ้าสนใจลองอ่านดูครับ

Malimaru: คร้าบผม

พิศตะวัน:   :mew3: :mew3:

zakimi: อย่าสะดุดล้มนะครับ  อิอิ




++++++++++++
++++++++++++


“ในกระบอกไม้นี้มีจิ้งซาน  เหิงซาน  ซีซาน  อู๋ซาน  พวกเจ้าผลัดกันจับดูว่าใครจะได้ไปที่ไหน”

เจ้าสำนักชูกระบอกกระเบื้องลายครามในมือที่มีไม้ทาสีแดงปักอยู่สี่ด้าม  เบื้องหน้านางคือประมุขพรรคศิษย์ใหม่สี่คน  อันได้แก่พรรคปลาทูสีน้ำเงิน  พรรคนักล่าจิ้งจอกขาว   พรรคเมฆเขียว  และพรรคหยกคราม 

“เจ้าสำนัก...”  จางชุ่ยฮัว  ประมุขพรรคปลาทูสีน้ำเงินเอ่ยปาก  “..ถ้าส่งพวกเราไปคนละที่  แปลว่าไม่ต้องแข่งขันกันเองแล้วหรือ”

“คู่แข่งโดยตรงของพวกเจ้าก็คือสำนักอื่น ๆ อีกสี่สำนัก  แต่ถึงยังไง  ก็จงทำให้ดีที่สุด  เพราะผู้อาวุโสหมิงก็จะเปรียบเทียบผลงานของพวกเจ้าและจัดลำดับความดีความชอบ”

เจ้าสำนักส่งสายตาไปทางผู้อาวุโสหมิงอวี้กว๋อแห่งฉีเซี่ยซึ่งทำหน้าที่ตัดสินผลการประลองครั้งนี้  ผู้อาวุโสเจ้าของเสื้อคลุมคุนเผิงโต้คลื่นสีครามค้อมศีรษะน้อย ๆ รับคำเจ้าสำนัก

“ใครจะจับสลากก่อน?”

จางชุ่ยฮัวก้าวเท้าไปข้างหน้า  “ศิษย์เอง”

ประมุขพรรคคนอื่น ๆ มองอย่างขัดหูขัดตาระหว่างที่ประมุขพรรคปลาทูสีน้ำเงินดึงเอาแท่งไม้เสี่ยงทายออกมาจากกระบอก
เจ้าสำนักรับไม้ไปอ่านและประกาศจุดหมายปลายทาง

“จิ้งซาน”



++++++



ตำนานโบราณเล่าไว้ว่า  เมื่อสมัยอดีตที่ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ยังเยาว์วัย  และผืนดินอันอุดมสมบูรณ์ก็ปราศจากการบุกรุกของอารยธรรม  เทพเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาในถ้ำ  และสร้างภาพเงาของสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้มนุษย์สุขสันต์รื่นเริงกับภาพมายา  เทพเจ้าขังมนุษย์ไว้เพื่อดูเล่นเป็นนันทนาการ  แต่ในที่สุดก็มีมนุษย์ผู้หนึ่งที่เบื่อหน่ายมายาภาพ  และเฝ้าฝันว่าจะได้เจอกับการผจญภัยที่พ้นไปจากถ้ำแห่งนี้

แอ๊ดดดดด...

เสียงประตูถ้ำเปิดอ้า   กระทาชายผู้มีผมกระเซอะกระเซิงยกมือขึ้นบังดวงตาจากแสงอาทิตย์  เขาหรี่ตามองลอดง่ามนิ้วตัวเอง  ทำจมูกฟุดฟิดดมอากาศ

“อ๊าาาา  กลิ่นของเสรีภาพ  หอมชื่นใจ”

“แต่กลิ่นท่านไม่หอมเลยนายน้อย”  หลิวเกาวิจารณ์อย่างซื่อสัตย์จากข้าง ๆ ประตูถ้ำ

“หุบปาก  ใครกันล่ะที่จับข้าขังไว้ตั้งนาน  น้ำท่าก็ไม่มีให้อาบ”

“นายน้อยสำเร็จวิชาหรือยัง”  หลิวเกาถูมือไปมาและถามด้วยดวงตาเป็นประกาย

“เพ้ย  เจ้ามีตาแต่หามีแววไม่  ไม่รู้ซะแล้วว่าเขาไท่ซานตั้งอยู่ตรงหน้า  จงดูข้า  ดูดี ๆ ข้าคือยอดอัจฉริยะที่หมื่นปียากจะพบพาน  วิชาเซียนกระจอก ๆ ข้าก็ต้องสำเร็จแน่อยู่แล้ว  วาฮาๆๆๆๆ”

ซีคงหยูชี้หน้าตัวเองแล้วก็หัวเราะอย่างเสียสติ

“สงสัยคงหิวจนตาลาย”  หลิวเกากระซิบกระซาบกับเสี่ยวหมีที่พยักหน้าหงึก ๆ  แล้วหันตัวดุ่ม ๆ ไปเอาแพนเค้กน้ำผึ้งมาเสิร์ฟ

“นายน้อย  วันนี้พรรคปลาทูสีน้ำเงินจะออกเดินทางไปทำภารกิจ  ท่านมีเวลาเตรียมตัวสองชั่วยาม”

คุณชายสามผู้กำลังยัดแพนเค้กเข้าปากอย่างหิวโหยพูดเสียงอู้อี้

“อ้าเอ็นอะอาอิ๊กก่ออั้งอั๊ก อ้องไออ้วยอ๋อ”   (ข้าเป็นสมาชิกก่อตั้งพรรคต้องไปด้วยหรอ)

“ถ้าท่านไม่ไป  ท่านจะเอาคะแนนความดีความชอบจากไหนล่ะนายน้อย”

ซีคงหยูตบชิ้นขนมเข้าคอแล้วเหล่มองหลิวเกา  “ของเจ้าไง”

ศิษย์น้องจิ่งที่แอบซุ่มอยู่ในพุ่มไม้เพื่อแอบถ้ำมองศิษย์พี่หลิวก็กระโดดออกมาแล้วชี้หน้าตะโกนใส่คุณชายสาม  “อันธพาล  อันธพาลชัด ๆ  ศิษย์พี่หลิวก็ต้องกินต้องใช้  เจ้าทำไมงอมืองอเท้า  ไปเอาเปรียบศิษย์พี่หลิวที่น่าสงสารอย่างงั้น”

“ถ้าข้าบอกว่ามันคือเต๋าแห่งการเป็นอันธพาลท้องถิ่น  เจ้าจะเชื่อหรือไม่”  ซีคงหยูชี้ท้องฟ้าด้วยความมุ่งมั่น

“อ๊ออออออ!”  เสี่ยวหมีบอกว่าไม่เชื่อ

“เฮ้อ  ศิษย์น้องจิ่ง  เจ้าอย่าทะเลาะกับคุณชายสามเลย  ภาษิตว่าสิบคนดีไม่อาจสู้หนึ่งคนบ้า  งาช้างย่อมแทงเขี้ยวสุนัขไม่เข้า  ศิษย์น้องจิ่ง..เจ้าต้องเข้าใจโลก”

ศิษย์น้องจิ่งกอดอกแล้วสะบัดหน้าพรืดไปทางอื่น

“ยัยหมาจู  เจ้าอยู่พรรคไหน”

“เฮอะ  ต้องไม่ใช่ปลาทูสีน้ำเงินไร้สาระของเจ้าอยู่แล้ว  แต่เดี๋ยวนะ  ข้าไม่ใช่หมาจู  ข้าชื่อจิ่ง!”

“สปาย!!  สปายอยู่ตรงนี้!!”   คุณชายสามกระโดดเหยง ๆ ตะโกนเรียกเด็กสาวจากพรรคปลาทูสีน้ำเงินที่เดินคุยกันอยู่ไม่ไกลจากหน้าถ้ำ   พวกนางชะงัก  ก่อนรีบเข้ามารุมล้อมศิษย์น้องจิ่งที่ตัวสั่นด้วยความตกใจ

“เจ้ามาจากพรรคไหน!”

“เจ้ามาสอดแนมพรรคเราทำไม!”

“ข้า..ข้า  มาจากพรรคเมฆเขียว”

“เฮอะ  ถือว่ายังดี  ถ้าเจ้ามาจากนักล่าจิ้งจอกขาวล่ะก็...”  เด็กสาวคนหนึ่งถลึงตาเอานิ้วทำสัญญาณปาดคอ

“หลิวเกาเจ้าอย่าเสียใจไป”   ซีคงหยูลูบหลังบ่าวรับใช้ที่มองตามศิษย์น้องจิ่งถูกลากตัวไปด้วยน้ำตาซึม  “โบราณว่าไว้  อันวีรบุรุษยากจะฝ่าด่านหญิงงาม  และท่านประธานเหมาก็กล่าวเอาไว้ว่าผู้กล้าที่แท้จริงต้องทิ้งความรักพิทักษ์มาตุภูมิ  ถ้าเจ้าอยากได้หมาจูมาเลี้ยงจริง ๆ ไว้ข้าไปเมืองติ่งเฟิ่งจะซื้อมาให้”

“นายน้อยมีเงินหรอ”

“เพ้ย  เงินเจ้าสิ”

ซีคงหยูยิ้มกริ่มอย่างภาคภูมิใจในเต๋าของตนเอง




++++++++++++




มนุษย์คนแรกที่ออกไปจากถ้ำมองไปที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์   ในเวลานั้นดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มีแสงสว่างเท่า ๆ กัน  เขาอยู่ตามลำพังในโลกที่ไม่รู้จัก  นั่งบนอยู่บนโขดหินภายใต้ดาวทั้งสองเคลื่อนไหววนเวียนจนนับเวลาไม่ได้  จนเมื่อพลังของฟ้าและดินเต็มเปี่ยม  เขาจึงยื่นมือขึ้นไปบนท้องฟ้าแบ่งแสงจันทร์ให้แก่แสงอาทิตย์  เวลานั้นความมืดและความสว่างจึงเกิดขึ้น  จึงเกิดฝน  จึงเกิดเมฆ  เกิดฤดูกาล  เกิดกลางวันและกลางคืน  และเมื่อเขามองไปในท้องฟ้ายามราตรีที่มีดวงดาวพราวพร่าง  เขาจึงรู้ว่าโลกนี้กว้างกว่าที่เขาคิด...

และก็เล่ากันอีกว่า  พยับเมฆที่มืดครึ้มเป็นสัญลักษณ์ของพลังหวูจี่..ความปั่นป่วนบรรพกาล  มันคือส่วนผสมปนเปอย่างแยกไม่ออกของลมและน้ำ  ความร้อนและความเย็น  แสงและความมืด  เล่ากันว่ายามที่พลังหวูจี่สะสมจนถึงจุดสูงสุด  เหล่ามังกรเทพยดาจะออกมาร่ายรำและดูดกลืนพลังบรรพกาลเหล่านั้น  พวกมันจะพ่นสายฟ้าและไฟ  น้ำแข็งและพายุ  เพื่อให้พลังฟ้าดินหมุนเวียนกลายเป็นวัฎจักรไท่จี่

ครานี้  พยับเมฆร้ายมาเยือนเมืองจิ้งซาน  สภาวะที่ฝนฟ้าร่ำไม่ออกร้องไม่ได้ชวนให้ผู้คนอึดอัดจนแทบตาย  ต้นไม้ในป่ารอบเมืองต้อนรับลมหวีดหวิว  และเสียงครวญครางของสัตว์ร้ายในภูเขาก็ถูกกลบด้วยครั่นครื้นคำรามของมังกรเทพยดาที่ซุ่มซ่อนในม่านเมฆ

ท่านกลางฝนฟ้าครื้นครั่น  ศิษย์สำนักวารีพิสุทธิ์เดินทางมาถึงหน้าโรงเตี๊ยมร่ำรวยมั่งคั่งของเมืองจิ้งซาน  หน่วยทหารวารีโลหิตหยุดยั้งกระบวนที่หน้าโรงเตี๊ยมตามคำสั่งของสตรีผู้มีรูปโฉมธรรมดาทว่ามีประกายตาเย่อหยิ่ง  นางมองเข้าไปในโรงเตี๊ยมที่ประตูเปิดครึ่งและปิดครึ่ง  ในโรงเตี๊ยมมีแสงเทียนวับแวมบ่งให้เห็นว่าผู้อยู่อยู่ในโรงเตี๊ยมเป็นชนชั้นที่ละเอียดรอบคอบและรู้จักตระเตรียมสิ่งที่ต้องใช้ยามจำเป็น  ทว่าในแสงเทียนที่วาบวามก็มีประกายคมกล้าของกระบี่  บนกระบี่มีผ้าขาวที่ลูบไล้  และมือที่จับผ้าขาวอยู่ก็ขาวสะอาดยิ่งกว่าผ้า  เรียวยิ่งกว่าลำเทียน  บางจนเห็นเส้นเลือดสีเขียวลาง ๆ ใต้ผิวหนัง  นิ้วนั้นดูไม่เหมือนผู้ที่ใช้แรงงานหนัก  มันเหมือนกับหยกที่ยอดกวีใช้ในการดีดเครื่องซีเทอร์ระหว่างร่ายบทประพันธ์  แต่ที่ชวนพิศวงงงงวยกว่ามือที่งดงามนั้น  ก็คือเจ้าของใบหน้าขาวและเครื่องหน้าชัดราวงิ้วตัวเอก  ดวงตาเรียวดูคมชัดสุกใสสะท้อนแสงเทียน  จมูกโด่งพอเหมาะได้รูป  หากจะบรรยายองคาพยพบนหน้าทั้งหมดของเขาแล้วคงต้องอ้างอิงถึงรูปปั้นหยกจำนวนมากที่จักรพรรดิแห่งอาณาจักรวายุกระซิบสะสมในท้องพระคลังอันถูกสลักเสลาโดยประติมากรมือฉมัง  เหล่าดรุณีที่ยืนอยู่หน้าโรงเตี๊ยมชมโฉมของเขาจนใจเต้นระทึกแทบกระดอนออกมานอกอก  พวกนางบางคนที่ไม่อาจทนทานต่อความหยาดฟ้ามาดินของใบหน้านั้นได้ก็เสมองเส้นผมเงาดำขลับประดุจขนนกกาที่เรียงตัวกันเป็นระเบียบและมัดพันเป็นมวยไว้อย่างไม่มีที่ติ

จ้าวเหรินเจี่ยนค่อย ๆ เงยหน้ามองศิษย์สำนักวารีพิสุทธิ์และยกยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากอย่างเป็นมิตร  โดยหารู้มั้ยว่าภาพของตนได้กลายเป็นที่รำลึกในใจอันจะเป็นตำนานสืบต่อไปในหมู่เด็กสาวกลุ่มนี้ว่า  ...เทพยดาขัดกระบี่...

“ท่านที่นับถือ  มิทราบว่าท่านมีคำเรียกหาใด”  จางชุ่ยฮัวประสานมือคารวะ  ด้วยที่นางเพิ่งก้าวเข้าสู่การบำเพ็ญพรต  นางจึงไม่ทราบว่าคุณชายที่นั่งอยู่ในโรงเตี๊ยมคือผู้ใด  ทว่าจากลักษณะและอากัปกิริยาของอีกฝ่ายแล้ว นับว่าคงมีที่มาที่ไม่ธรรมดา

“แซ่จ้าว  นามเหรินเจี่ยน   สำนักโลหิตไมตรี”

“อา...”  พวกเด็กสาวอุทานและหันไปพึมพำกระซิบกระซาบกัน

คุณชายสามซึ่งยืนมองฟ้ามองฝนอยู่เริ่มรู้สึกสนใจ  จึงสะกิดถามหวูชิงหรูที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ   “ศิษย์พี่หญิงหวู  หมอนี่เป็นใคร  ทำไมทุกคนต้องตื่นเต้น”

หวูชิงหรูฟังแล้วก็มองผู้ถามราวกับตัวโง่งมตัวหนึ่ง  “เขาคือจ้าวเหรินเจี่ยน” 

นางรู้สึกว่าการอธิบายต่อว่าจ้าวเหรินเจี่ยนคือใครคือการลบหลู่ดูหมิ่นเป็นอย่างยิ่ง  ถ้าใครไม่รู้จักจ้าวเหรินเจี่ยนควรหาอัสนีบาตมาฟาดล้างกกหูสักสองสามรอบ

“ข้าได้ยินแล้วว่าเขาชื่อจ้าวเหรินเจี่ยน  ออกจะนำเสนอตัวเองขนาดนั้น”  ซีคงหยูพูดด้วยน้ำเสียงดูหมิ่น

“ฮี่ ๆ”  เด็กสาวรอบ ๆ ตัวที่ได้ยินคำวิจารณ์ของเขาหัวร่อพร้อม ๆ กัน  แต่ทำไมคุณชายสามรู้สึกเย็นสันหลังวาบอย่างบอกไม่ถูก 


“นายน้อย”  หลิวเกาสะกิด  “ศิษย์น้องจิ่งบอกว่านางรู้ว่าเขาเป็นใคร”

“อ่ะ  ว่ามา...ฟัค!!   ยัยหมาจู  เจ้ามาได้ยังไง”

ศิษย์น้องจิ่งกอดออกและสะบัดหน้าให้ทวินเทลของนางสั่นไหวพอเป็นพิธี

“หึ  เราโกวเนี้ยก็ย้ายพรรคน่ะสิ  เพราะที่เจ้าพูดน่ะถูกอย่างหนึ่ง  วีรบุรุษควรแสวงหาความรักก่อนพิทักษ์มาตุภูมิ”

“...”   ซีคงหยูจำได้เลา ๆ ว่าเขาไม่ได้พูดอย่างงั้น

“สปาย!!!  สปายอยู่ตรงนี้!!!”  คุณชายสามรีบชี้ตัวศิษย์น้องจิ่ง

“หึ  มุกเดิมเจ้าใช้ไม่ได้ผลหรอก  เราโกวเนี้ยคือสมาชิกที่เที่ยงธรรมของปลาทูสีน้ำเงิน”  นางควักธงประจำพรรคออกมาโบกปลิวไสว  และฮัมเพลงมาร์ชเป็นจังหวะ  ขณะที่เหล่าสหายพรรคทั้งหลายรอบ ๆ ยืนปรบมือด้วยสีหน้าชื่นมื่น

“เฮฟเว่นอะโบฟ”  ซีคงหยูเหลือกตามองเมฆทึบเบื้องบน

เมื่อเห็นความวุ่นวายกลางขบวนสำนักวารีพิสุทธิ์  เทพยดาขัดกระบี่ก็ละสายตาจากกระบี่และเพ่งมองเจ้าของหมีดำตรงใจกลางความวุ่นวายนั้นด้วยสายตาคมกล้า  เขาลุกขึ้นจากโต๊ะและหยิบร่มกระดาษที่พิงไว้ข้างโต๊ะด้วยความรอบคอบแม้ว่าพิรุณจะยังไม่โปรยปรายลงมา  การเคลื่อนไหวของเขาดูทั้งเรียบง่ายและสง่างามตั้งแต่ลุกขึ้น  ยืน  หยิบร่ม  สะบัดเล็กน้อย  กางมันออกและสาวท้าวออกมาจากประตูบานพับของโรงเตี๊ยม

และหากท่านยืนอยู่มุมเดียวกับหลี่โอ๋อวิ๋นในตอนนี้  ท่านจะมองเห็นร่มสีขาวจากด้านบนที่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวฝ่าผู้คนราวกับเกล็ดหิมะที่ร่วงหล่นลงไปในทะเลลึก  หรือราชาภูตผู้เคลื่อนไหวในทุ่งดอกไม้อันระบัดไหวเปิดทางให้แก่เขา  จุดหมายปลายทางของเกล็ดหิมะนั้นหยุดที่ผู้ชายเพียงสองคนในกลุ่ม  และหมีสีดำตัวใหญ่อันยากจะหลบซ่อน

หลี่โอ๋อวิ๋นกัดฟางที่คาบในปากดังฉับ  แต่ก็ยืนนิ่งและจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสายตาเย็นชา

“พี่ชายท่านนี้คือ...”   จ้าวเหรินเจี่ยนค้อมหัวทักทายก่อน

“เรียกข้าหรอ”  ซีคงหยูชี้ตัวเองอย่างประหลาดใจ  ขณะที่รู้สึกเสียวสันหลังวาบมากกว่าเดิม  เหมือนถูกวิญญาณอาฆาตนับร้อยตามติด  และ  เอ๊ะ  เหมือนจะมีเงาอาฆาตของหัวหน้าผีที่รุนแรงเป็นพิเศษจากที่ไหนสักแห่งแถว ๆ นี้

จ้าวเหรินเจี่ยนยิ้มละไม   เขาถามไปแล้วและรอคำตอบอยู่

“แซ่ซีคง  นามหยู  คุณชายสามนามกระเดื่องแห่งเมืองสุยอัน  อัศวินแห่งหมีดำ  ผู้ปลดปล่อยอิสระแก่หลิวเกา  ศิษย์ของหวางเซียนเหลย  และผู้ก่อตั้งพรรคปลาทูสีน้ำเงิน”   ซีคงหยูทุบอกตัวเองแนะนำตัว  เอาเสะ  เจ้านำเหนอตัวเองได้  ทำไมข้าจะทำไม่ได้

จ้าวเหรินเจี่ยนเจอชื่อที่ไม่รู้จักจำนวนมากจนงงงวย  หลิวเกาคือใคร  ปลาทูสีน้ำเงินคืออะไร  แต่ด้วยความมีมารยาทดี  จึงจึงพยายามเก็บงำสีหน้า

“ที่แท้ก็คุณชายซีคง  ยินดีที่ได้รู้จัก   จ้าวแซ่จ้าว  นามเหรินเจี่ยน   บิดานามว่าจ้าวโป้ถง  อยู่เมืองติ่งเฟิ่ง  เลี้ยงแมวหนึ่งตัวชื่อเจ้าขาวน้อย”

ไอ๊หยา!  คุณชายสามสบถในใจ  เจ้าจะเลียนแบบข้าเพื่อ  แล้วบอกชื่อบิดา  ไม่กลัวโดนข้าล้อหรือไร

“นับถือมานาน  นับถือมานาน  ถึงจะเพิ่งเคยได้ยินชื่อเจ้าวันนี้ก็นับถือมานาน”  คุณชายสามพยักหน้าประหลก ๆ

“คุณชายสามมีอารมณ์ขัน  เหมือนที่ได้ยินมาจริง ๆ”

“เอ๊ะ  เจ้ารู้จักข้าด้วยหรอ  รู้จักจากใคร”

“หลี่..”

ไม่ทันจะกล่าวคำที่สอง  เขาก็หมุนจากตำแหน่งเดิม  ตรงพื้นมีรอยปราณดาบปักดังฉึกฉึก  จ้าวเหรินเจี่ยนหุบร่มสะกิดเท้าหมุนตัวกลางอากาศ  ร่มในมือพลิกเหนี่ยวไปทางซ้าย  ตวัดข้อมือและทิ่มแทงไปปะทะกับปราณดาบไร้รูปในอากาศด้วยกระบวนท่าที่รวดเร็วและงดงามประดุจพายุกระหน่ำ  หยาดฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมาทำให้ทุกคนมองเห็นเงาปราณดาบอันแหวกละอองฝนจนเห็นเป็นรูปเงา  เทพยดาชุดขาวร่ายร้อยกระบี่พันกระบี่ในพริบตาเพื่อต่อต้านพลังปราณนั้น  และเมื่อทุกคนหายใจหายคอได้  สายตาของพวกเขาก็มองตามทิศทางการโจมตีไปยังหลังคาเรือนฝั่งตรงข้ามกับโรงเตี๊ยม  และ ณ ที่แห่งนั้นมีอาคันตุกะที่ไม่ได้รับเชิญยืนกอดอกอยู่พร้อมกับเสื้อกันฝนสีน้ำตาลไหม้ที่มีหมวกคลุมปิดครึ่งหน้าจนเห็นแค่ปากและจมูก

“เพ้ย  ชนชั้นเร้นลับทำตัวเหมือนภูตผี  กล้าลอบทำร้ายคุณชายจ้าวรึ”  ดรุณีของสำนักวารีพิสุทธิ์ตวาดเสียงเจื้อยแจ้วใส่ผู้โจมตี  แต่จ้าวเหรินยกมือเป็นสัญญาณห้าม  เมื่อพวกนางเงียบลง  เขาจึงหันไปทางชายในเสื้อคลุมฝนและประสานมือคารวะ

“นิสัยเสียของจ้าวกำเริบ   ขอพี่ชายท่านนี้โปรดอภัย”  กล่าวจบก็สะกิดเท้า  ใช้วิชาตัวเบาลอยกลับเข้าโรงเตี๊ยมไปโดยไม่แม้แต่จะบอกลาคุณชายสาม

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายล่าถอยไป  ชายในเสื้อกันฝนก็หันหลัง  แล้วกระโดดหายลับไปทางหลังเรือนนั้น

ซีคงหยูเกาหัวแกรก ๆ แล้วหันไปถามคนที่น่าจะพึ่งพิงได้มากที่สุดอย่างศิษย์น้องจิ่ง   “จ้าวเหรินเจี่ยน  เขาเป็นอะไรหรอ  นิสัยเสียอะไร”

“ไฮ้  เห็นแก่หน้าศิษย์พี่หลิว  ข้าจะบอกก็ได้  คุณชายจ้าวน่ะดีงามเพียบพร้อมไร้ที่ติ  แต่สวรรค์มักริษยาคนสมบูรณ์แบบ  คุณชายจ้าวจึงมีโรคที่เรียกว่า  อาการคันในหัวใจยากที่จะเกา   เขามักจะพูดเรื่องที่ไม่ควรพูด  โดยเฉพาะความลับทั้งหลายที่ไปรู้มาในเวลาที่ไม่เหมาะสมกับคนที่ไม่เหมาะสม”

ซีคงหยูทาบอก  ไอ๊หยา...นี่มันโรครนหาที่ตายชัด ๆ


+++++++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-08-2017 20:15:00 โดย Kirimanjaro »

ออฟไลน์ Kirimanjaro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
+++++++


ในเมื่อโรงเตี๊ยมถูกศิษย์เอกสำนักโลหิตไมตรียึดครอง  จางชุยฮัวจึงนำพรรคของนางไปหยุดที่ศาลเจ้ารกร้างในมุมหนึ่งของเมืองจิ้งซาน  หน่วยวารีโลหิตกางกระโจมพักอย่างขันแข็งท่ามกลางฝนที่ตกพรำลงมาอย่างหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ
ประมุขพรรคปลาทูสีน้ำเงินปรายตามองดูการทำงานของศิษย์ใหม่และทหารคุ้มครองว่าเป็นไปด้วยความเรียบร้อยดี  นางจึงเรียกแกนนำพรรคเข้าไปประชุมกันในศาลเจ้าร้าง  ในศาลเจ้ามีรูปปั้นพระโพธิสัตว์และกระถางธูปหินที่สลักไว้อย่างลวก ๆ  แต่ละคนหยิบฟางที่สุมอยู่ในศาลเจ้ามาเป็นที่รองนั่ง  และเมื่อทุกคนนั่งกันเรียบร้อยดี  จางชุ่ยฮัวก็กวาดสายตาไปรอบ ๆ จนกระทั่งหยุดที่หมีดำตัวหนึ่ง

“ศิษย์พี่ซีคงไปไหน”

“อ๊ออออออ!!”

เมื่อเห็นว่าหัวหน้าพรรคไม่เข้าใจคำตอบ   ยัยหมีเขียวเลยเอ่ยปาก

“เฮอะ  เจ้านั่นบอกว่าป่วย  เลยให้หมีเข้าประชุมแทน”   นางพูดพลางย่นจมูก

“ศิษย์พี่หญิงหวูล่ะ”

“นางบอกว่านางไม่ใช่ศิษย์ใหม่  เลยขอไม่ยุ่งเกี่ยว”   ศิษย์พี่สวีพูดพลางขมวดคิ้ว  และนึกตำหนิในใจกับความไม่ดูดำดูดีของคนที่ถูกเอ่ยถึง

“ก็ดีแล้ว  มากคนก็มากความ”  อาสิบหกกล่าว  ก่อนจะหันขวับเพราะโดนอาสิบแปดแกล้งดึงผม

“เอาล่ะ”  จางชุ่ยฮัวสูดลมหายใจลึก  “ศิษย์พี่หญิงสวีช่วยสรุปภารกิจให้หน่อย”

หญิงสวีฟังดังนั้นก็หยิบแผ่นหยกบันทึกข้อมูลออกมา  และปล่อยพลังปราณใส่เข้าไป  ประกายไฟฟ้าพุ่งวาบทั่วแผ่นหยก  ก่อนจะค่อย ๆ รวมตัวเป็นจุดแสงเดียวแล้วยิงขึ้นไปบนอากาศ   ภาพสามมิติของข้อมูลที่บันทึกไว้ปรากฏขึ้นมากลางโถงศาลเจ้าโดยทันที
 
 “การประลองครั้งนี้เป็นการประลองแย่งชิงแร่วิญญาณเซียน  โดยในทุก ๆ ห้าปี  ห้าเมืองรายรอบภูเขามังกรทะยานอันได้แก่  จิ้งซาน  เหิงซาน  ซีซาน  อู๋ซาน  และเทียนซาน  จะมีประตูดินแดนลี้ลับที่นำไปสู่เหมืองแร่ปรากฏขึ้นมา”  นางกล่าวและใช้นิ้วเลื่อนแสดงภาพของเมืองในหูบเขาทั้งห้าและภาพที่บันทึกจากภายในเหมือง

“ในอดีตเหมืองแร่ทั้งห้าเป็นกรรมสิทธิ์โดยขาดของสำนักวารีพิสุทธิ์  แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา  สำนักของเราอ่อนแอลง  เราจึงต้องยอมให้สำนักอื่น ๆ เข้ามามีส่วนแบ่ง  แต่เพราะสำนักที่เข้มแข็งก็ไม่อยากแบ่งแร่ให้ทุกๆ คนเท่าๆ กัน  แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่มีเหตุผลอันดีที่จะครอบครองมากกว่าคนอื่น  ทั้งห้าสำนักจึงตกลงสร้างการประลองแข่งขันขึ้นมา  มันคือสงครามตัวแทนที่จะแย่งชิงทรัพยากรให้แก่สำนัก  และทำให้สำนักที่มีศิษย์เข้มแข็งได้รับแร่วิญญาณเซียนมากกว่าคนอื่นโดยชอบธรรม”

ทุกคนพยักหน้าอย่างเข้าใจมากขึ้นเมื่อได้ฟังต้นสายปลายเหตุ

“งั้นหมายความว่าเราต้องลงไปทำเหมืองอย่างงั้นหรอ”  ศิษย์น้องเหยียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย

แต่หญิงสวีส่ายหน้า  “ไม่หรอก  ตั้งแต่แรกแล้วที่สำนักของเราตระหนักดีกว่าสองหมัดยากสู้สี่ฝ่ามือ  พวกผู้อาวุโสจึงแบ่งปันเหมืองแร่กับชาวยุทธพเนจร  โดยในทุก ๆ ปีที่ดินแดนลี้ลับเปิดทาง  ชาวยุทธพเนจรจะหลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศ  และสำนักเราจะทำการ—จ้าง—ให้พวกเขาเข้าไปในดินแดนลี้ลับและขุดค้นแร่ออกมา  โดยแลกกับการแบ่งแร่ที่ขุดได้จำนวนหนึ่งให้  และแม้ว่าสำนักวารีพิสุทธิ์จะสูญเสียสิทธิผูกขาดของเหมืองเหล่านี้แต่ธรรมเนียมดังกล่าวก็ยังเหมือนเดิม  ภายในสี่ซ้าห้าวัน  ชาวยุทธพเนจรและศิษย์สำนักเล็ก ๆ จะหลั่งไหลเข้ามาที่จิ้งซานเพื่อรับจ้างขุดค้นแร่  ในตอนนั้นพวกเราก็จ้างพวกเขา  รวมทั้งอาจจะส่งศิษย์ของเราไปร่วมขุดค้นด้วย”

“โฮ่ ๆๆ   ถ้าแค่นั้นก็ดูสบายจังเลยนะ  ภารกิจนี้”

“มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ”  หญิงสวีกล่าวต่อ  “อย่างที่รู้กันว่า  ดินแดนลี้ลับเกิดจากการซ้อนเหลื่อมกันของมิติ  ทำให้โลกหนึ่งซ้อนกับอีกโลกหนึ่ง  และการเบียดอัดทับกันระหว่างมิตินั้นทำให้พลังงานที่ก่อตัวเป็นพื้นที่ของมิติย่อยสลายกลายรูปเป็นผลึกแร่วิญญาณเซียน  ดังนั้นมันจึงมีช่องว่างที่เชื่อมต่อกันระหว่างสองมิติ  และเราไม่อาจรู้ได้ว่าในแต่ละครั้งที่ประตูดินแดนลี้ลับเปิด  อีกด้านของประตูเชื่อมต่อกับที่ใดในบรรดาโลกทั้งหมด 3000 โลก”

นางเลื่อนนิ้วบนแผ่นหยกเพื่อแสดงภาพสัตว์ประหลาดหน้าตาพิลึกกึกกือที่มองไม่ออกว่ามันคือส่วนผสมของสัตว์ชนิดใด  จากนั้นชี้ไปที่รูปภาพที่ลอยอยู่บนอากาศ  “พวกเหล่านี้เรียกว่าอสูร (โม่)  มันอาจจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่องว่างระหว่างมิติหรือสิ่งมีชีวิตพื้นถิ่นของอีกด้านของประตู  ไม่มีใครรู้แน่  ที่รู้ ๆ คือ  มันดุร้ายและเต็มไปด้วยพละกำลัง  และมันมักจะปรากฏตัวในเหมืองทุกครั้งที่ดินแดนลี้ลับเปิดให้เข้า”

“น่ากลัวจัง  เหตุไฉนผู้อาวุโสพรรคถึงไม่ส่งยอดฝีมือมากำจัดมันก่อน”

“เพราะไม่จำเป็น”  หญิงสวีตอบคำถามของศิษย์น้องเหยียน  “อสูรพวกนี้มีพลังกำลังที่เทียบกับวรยุทธของมนุษย์แล้วไม่เกินระดับตะวันขึ้นสาย  เหมืองทั้งสี่ในเขตเขามังกรทะยานเป็นเหมืองชั้นต้น   ผู้อาวุโสไม่ส่งพวกเรามาที่เหมืองชั้นกลางและชั้นสูงหรอก”

“แล้วเหมืองที่ห้า...เทียนซานล่ะ?”  จางชุ่ยฮัวจับเบาะแสในคำบอกเล่าของหญิงสวีได้  เพราะนางก็จำได้ว่าตอนจับสลากไม่มีชื่อเหมืองนี้

“เทียนซาน  เหมืองภูเขาสวรรค์  เป็นเหมืองระดับกลาง  และเป็นสถานที่ตัดสินของการประลองขั้นสุดท้าย  สัตว์อสูรในนั้นเทียบได้กับวรยุทธขั้นเมฆาเคลื่อนคล้อย  ดังนั้นทีมที่ดีที่สุดจากเหมืองห้าขุนเขาจะถูกคัดเลือกไปแข่งขันที่นั่นเป็นจุดสุดท้าย  เพราะพวกเขาจะเป็นหัวกะทิที่สามารถต่อสู้กับอสูรระดับนั้นได้”   

จางชุ่ยฮัวปรบมือเรียกความสนใจของทุกคน  “ถ้าอย่างงั้น  เป้าหมายของเรามีหนึ่งเดียวเท่านั้น”  ดวงตาของนางฉายประกายมาดมั่น  “ไปเทียนซาน”


++++



รัตติกาลหลังฝนไม่เงียบงัน   มันมีเสียงกบเขียดร้องออด ๆ แอด ๆ  และนานทีก็จะมีเสียงนกฮูกร้องจากในป่าที่ทำให้มุสิกและกบเขียดเงียบเสียงลงชั่วคราวด้วยความกลัวภัยจากนักล่า  คุณชายสามผู้ซึ่งไม่อาจนอนหลับลงได้เพราะอยากกินขนมตอนกลางคืน  เขาจึงออกมาจากกระโจมพักและเดินวนไปมาหน้าทหารยามชุดแดงที่ยืนถือหอกอยู่ข้างคบไฟอันคุกรุ่น

“เจ้าหยุดเดินได้มั้ย  ข้าเวียนหัว”

ทหารหญิงเกราะแดงคนหนึ่งกล่าวกับเขา

ซีคงหยูหันไปมองอย่างประหลาดใจ  แต่แล้วก็ประสานมือคารวะ   “ขออภัยด้วยศิษย์พี่หญิง”  เขาจำได้ว่าหน่วยวารีโลหิตคืออดีตศิษย์ใหม่ที่มีพรสวรรค์ไม่เพียงพอ  แต่ถ้านับตามศักดิ์แล้วก็ยังคงเป็นศิษย์พี่  คุณชายสามกล่าวต่อ  “ข้านึกว่าท่านเป็น npc”

“npc เตี่ยเจ้าสิ   ถ้าจะนอนก็นอน  ถ้าไม่นอนก็ไปที่อื่น”

“น้องลี่”  ทหารหญิงอีกคนกล่าว  “จะไปหงุดหงิดใส่เขาทำไม  ข้ารู้นะว่าเจ้าแอบหึงที่คุณชายจ้าวมาคุยกับเขา  เพราะเจ้าแอบชอบคุณชายจ้าวอยู่ใช่มั้ย”

“พี่หญิงซูอย่าพูดเหลวไหล”  นางพูดแล้วก็ทำหน้าเคร่งขรึม

“ข้ามีว่าที่สามีอยู่แล้ว  ข้าไม่สนใจจ้าวเหรินเจี่ยนหรอก”  ซีคงหยูรีบโบกมือปฏิเสธ

“ผู้ใดถามความเห็นเจ้ากัน”  ทหารที่ชื่อลี่ตวัดเสียง

“ศิษย์พี่หญิง  ถ้าท่านอยากให้ข้าหยุดเดิน  ข้าก็ต้องหาเรื่องอื่นทำ  แล้วในเมืองรูหนูที่ถูกพระเจ้าละเลยจะมีอะไรให้ทำอีกล่ะ  นอกจากนั่งผิงไฟพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน”

หญิงลี่ไม่ตอบ  หญิงซูจึงส่งยิ้มให้เขาแล้วบอกว่า  “ถ้าศิษย์น้องเบื่อมาก  ลองไปที่ประตูทิศเหนือ  ตรงนั้นมีค่ายของสำนักอื่น  พวกนั้นมีผู้ชายเยอะคงยังไม่นอนและร่ำสุรากันข้ามคืน  เจ้าลองไปที่นั่นก็คงจะมีเพื่อนคุย”

“โอ้  จริงหรอเนี่ย  หลิว...”  ซีคงหยูอ้าปากจะตะโกนเรียกบ่าวคู่ใจ

“ห้ามส่งเสียงดัง”  หญิงลี่เอาด้ามหอกกระทุ้งเท้าเขาจนคุณชายสามกระโดดเหยง ๆ ด้วยความเจ็บ

“จะไปก็ไปคนเดียวไม่ต้องเรียกคนอื่น”  นางเอาด้ามหอกฟาดไล่ต่อเหมือนไล่สุนัข  ซีคงหยูทำหน้าแบบฝากไว้ก่อนเถอะโอฬาร  แล้วเดินหนีไปตามทิศทางที่หญิงซูชี้

“เจ้า..”  หญิงลี่ไล่หมาน้อยเสร็จก็หันมาเหล่มองหญิงซู  “...ถ้าข้าจำไม่ผิด  ประตูทางเหนือนั่นมัน”

“ฮี่ ๆ”



+++++++++



หลี่โอ๋อวิ่นนั่งอยู่บนขอนไม้ข้าง ๆ กองไฟ  มือถือป้านสุรา  หน้าของเขาเริ่มแดงจากฤทธิ์เหล้า  เพราะศิษย์น้องเกือบทุกคนแวะเวียนกันมารินสุราคารวะตั้งแต่หัวค่ำ  เขายังคงใส่เสื้อกันฝนตัวเดิม   ไม่ใช่เพราะว่ากลัวฝนจะตกซ้ำอีกครั้ง  แต่มันคือของวิเศษประจำสำนัก..เกราะเท็นงู  มีฤทธิ์ต้านร้อนต้านหนาว  ป้องกันอาวุธลับและสัตว์มีพิษได้

ศิษย์น้องคนหนึ่งเดินดุ่ม ๆ มาหาเขา  หลี่โอ๋อวิ๋นยกป้านสุราออกไปโดยอัตโนมัติ  เพราะนึกว่าอีกฝ่ายจะมารินสุราคารวะ

“พี่หลี่..”  ศิษย์น้องคนนั้นไม่ได้มารินสุรา  เขามากระซิบข้างหูบอกข่าว  หลี่โอ๋อวิ๋นประกายตาวาววาบ  จากนั้นออกคำสั่ง

“ทำเป็นเหมือนข้าไม่ได้อยู่ที่นี่  และไม่ต้องบอกเขาว่าเรามาจากสำนักใด”

ศิษย์ชายคนนั้นพยักหน้า  แล้วถอยออกไปเชิญแขก  หลี่โอ๋อวิ๋นดึงหมวกของเกราะเท็นงูลงมาคลุมครึ่งหน้า  และคลึงป้านสุราในมือเงียบ ๆ

ไม่ทันไร  ซีคงหยูก็ก้าวอาด ๆ เข้ามาในเขตกองไฟ  และประสานมือคารวะทุกคนในวง

“ท่านที่นับถือทั้งหลาย  ข้าชื่อซีคง  นามหยู  ใคร่จะผูกมิตรกับผู้กล้าในยุทธจักร  เห็นพวกท่านมีทีท่าห้าวหาญ  วรยุทธสูงส่ง  หากไม่รังเกียจขอให้ข้าร่วมวงด้วยสักคน”

เด็กหนุ่มคนหนึ่งในวงเจ้าของร่างบึกบึน  คิ้วหนา  และตาเป็นประกาย  ฟังแล้วก็หัวร่อพร้อมตบเข่าฉาด

“พี่ซีคงบุคลิกภาพเปิดเผย  พูดจาชัดเจนไม่ซุ่มซ่อน  นับว่าถูกใจผู้น้อง  ยินดีต้อนรับพี่ซีคง  ตัวข้าแซ่ซ่ง  นามมู่  ต่อไปนี้พวกเราเป็นเฮียตี๋กัน”

คนหนุ่มข้าง ๆ ตบหลังซ่งมู่แล้วหัวร่อฮา ๆ  พวกเขาดื่มสังสรรค์กันมาสักพักแล้ว  จึงอารมณ์ไหลลื่นและเปิดรับคนอื่นได้ง่าย

ซีคงหยูเข้าไปนั่งใกล้ ๆ ซ่งมู่ที่คุยกับเขาเป็นคนแรก  รับป้านสุราจากศิษย์คนอื่นที่เดินมาแจก  ซ่งมู่รินสุราให้  คุณชายสามรับมือกรอกเข้าปากในอึดเดียวแล้วคว่ำจอกให้ดู  คนที่อยู่ใกล้ ๆ โห่ร้อง  และยกนิ้วให้

“ข้าจะไม่ถามสำนักพี่ซีคง  พวกเราคบกันเป็นเฮียตี๋ไม่เกี่ยวกับบุญคุณความแค้นของสำนัก  ขอให้เป็นลูกผู้ชายมีจิตใจร้อนระอุ  ย่อมเป็นสหายกันได้  พี่ท่านว่าจริงหรือไม่”

หลี่โอ๋อวิ๋นซึ่งนั่งฟังอยู่ห่าง ๆ แอบยกนิ้วให้ศิษย์น้องคนนี้  ที่มีวิธีพูดอย่างชาญฉลาดในการที่จะทำให้ซีคงหยูไม่สามารถถามได้ว่าพวกเขามาจากสำนักอะไร  เขาจดจำชื่อซ่งมู่เอาไว้  และคิดว่าเมื่อกลับไปยังสำนักจะแนะนำให้ผู้อาวุโสช่วยส่งเสริม

“ซ่งเซี่ยงตี๋กล่าวได้ถูกต้อง  บุญคุณความแค้นเป็นเรื่องลอยลม  แต่สุราขม ๆ น่ะของจริง  เอามาอีกจอก!”

เมื่อเห็นว่าคุณชายสามไม่มีกำแพงกั้น  คนอื่น ๆ จึงเริ่มเข้าไปรินสุราแลกเปลี่ยนกับเขาและพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ  แต่คุยไป ๆ มา ๆ ก็เริ่มวกเข้าเรื่องเหมืองแร่

“ข้าได้ยินว่า  ไมตรีโลหิตส่งจ้าวเหรินเจี่ยนที่เป็นศิษย์เอกมาร่วมประลอง  ทำอย่างงี้มันโกงชัด ๆ”   ซีคงหยูบ่นสิ่งที่อยู่ในใจ  เขาแน่ใจว่าที่นี่ไม่ใช่ค่ายของไมตรีโลหิต  จึงนินทาอย่างคล่องปาก

ทว่าทุกคนในวงทำหน้าปูเลี่ยน ๆ  แล้วแอบหันไปมองชายในเสื้อกันฝนปิดหน้าปิดตาที่นั่งดื่มสุราเงียบ ๆ ในมุมหนึ่งของกองไฟ  เพราะนั่นก็ตัวโกง

“พี่หยูอย่าไปคิดอย่างงั้น”  ซ่งมู่ที่เริ่มสนิทกับคุณชายสาม  จึงเรียกเขาด้วยชื่อ  “การประลองมีข้อจำกัดมากกว่าที่คิด  พี่หยูรู้หรือไม่ว่าในเหมืองจิ้งซานมีปมแบ่งเป็นยี่สิบสี่ปม  แต่ละปมจะมีอสูรเฝ้าอยู่กลุ่มหนึ่ง  ถ้าสำนักใดกำจัดอสูรได้ก็จะมีสิทธิครอบครองปมนั้น ๆ  แต่จะต้องกำหนดผู้คุมปมเอาไว้หนึ่งคน  เพราะสำนักอื่นสามารถแย่งชิงปมนั้นได้ด้วยการท้าประลองกับผู้คุมปม  และผู้ที่ถูกกำหนดให้คุมปมใดปมหนึ่ง  จะไม่สามารถเข้าร่วมการล่าอสูรในปมอื่น ๆ ได้  กฎนี้ถือเป็นที่สิ้นสุดและจะมีผู้อาวุโสคอยดูแลมิให้ผู้ใดละเมิด”

ซ่งมู่จิบสุราในมืออีกอึกแล้วกล่าวต่อ  “ดังนั้นยอดฝีมือคนเดียวจึงมีผลน้อยมาก  อย่างมากก็สามารถคุมได้แน่นอนเพียงหนึ่งปม”

“ได้เปรียบหนึ่งปมก็ถือว่าได้เปรียบอยู่ดี”  ซีคงหยูเถียง  “ถ้าจ้าวเหรินเจี่ยนยึดไว้หนึ่งปม  ใครจะไปโค่นเขาได้”

“ฮ่า ๆๆ”  ซ่งมู่หัวเราะ  “จ้าวเหรินเจี่ยนนับเป็นตัวอะไร  เพลงกระบี่สามขาและหน้าขาว ๆ ของเขามีเอาไว้กายกรรมให้เด็กผู้หญิงดูเท่านั้นล่ะ”

“จริงสิ  เมื่อเย็นข้าเห็นเขาถูกมือดาบลึกลับต้อนจนหมดรูป  ข้าสงสัยจริง ๆ ว่า...”  ซีคงหยูอ้าปากแต่พูดไม่จบ  เขายื่นมือชี้ไปข้างหน้าเพราะเพิ่งสังเกตเห็นชายในเสื้อกันฝนสีน้ำตาลไหม้ที่มุมหนึ่งของกองไฟ  คุณชายสามลุกไปถึงจะเซนิด ๆ แต่ก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนซ่งมู่จับเอาไว้ไม่ทัน

“พี่ชายท่านนี้ ..ท่านคือคนที่สู้กับจ้าวเหรินเจี่ยนนี่นา  ไม่นึกว่าเราจะมีวาสนาได้เจอกัน  นับว่าเป็นสวรรค์ลิขิต ๆ”

“ข้าอายุน้อยกว่าเจ้า  อย่าเรียกว่าพี่ชาย”  อีกฝ่ายตอบด้วยเสียงเย็นชา

ซีคงหยูตบหน้าผากตัวเอง  “อ้าว  ข้าลืมไป  ทีนี่มีแต่เด็ก ๆ  มีแต่ข้าแก่ที่สุด  โอ้  น้องชาย  เจ้ารู้มั้ยว่า  ที่สำนักเขาเรียกข้าว่าอะไร..ศิษย์น้องลุง  เจ้าเชื่อหรือไม่  ฮ่าๆๆๆ”

“ถ้าเจ้าเมา  ก็นั่งดี ๆ เดี๋ยวล้ม”   เสียงเย็นชาเริ่มอ่อนลงนิดนึง  และเขยิบที่ให้นั่งตรงขอนไม้ข้าง ๆ

ซีคงหยูรีบไปนั่งตามคำเชิญ  อีกฝ่ายนี่ไอด้อลเขาชัด ๆ  สามารถสั่งสอนเจ้าเด็กหน้าขาวแซ่จ้าวที่บังอาจหล่อกว่า ดูดีกว่า  และเท่ห์กว่าคุณชายสามคนนี้  เขาหันไปทางซ่งมู่แล้วกวักมือเรียก

“ซ่งเซียงตี๋  มานั่งทางนี้  ตรงนี้มีอะไรน่าสนใจ  เจ้ารู้มั้ยว่าฝีมือดาบของน้องชายคนนี้สุดยอดมาก”

ซ่งมู่ทำคอย่นหน้าแหย ๆ แล้วส่ายศีรษะปฏิเสธ  คนฉลาดอย่างเขารู้ดีว่าเวลาไหนไม่ควรเอาคานเข้าไปสอด
เมื่อเห็นว่าซ่งมู่ไม่มา  เขาจึงหันไปหาคู่สนทนาใหม่

“ว่าแต่น้องชายมีนามอันสูงส่งว่าอะไร”

“ข้าชื่อซีคงเซี่ย”

“ฮ่า ๆ นับถือ ๆ  เพ้ย..นั่นชื่อบิดาข้า”

“ไอแอมยัวร์ฟาร์ทเธอร์”

“ฮ่า ๆ อย่ามาตลก  น้องชายชื่อจริง ๆ ว่าอะไร”  คุณชายสามกรึ่มจนลืมสงสัยว่าอีกฝ่ายล่วงรู้เรื่องครอบครัวได้อย่างไร

“แซ่หยู  นามอวิ๋น”  ชายในเสื้อกันฝนตอบ

“ที่แท้ก็น้องอวิ๋น  เอ๊ะ ทำไมคนชื่ออวิ๋นมักกวนตีน”

“เจ้าอยากตายรึไง”

“ฮ่า ๆ  น้องชายเข้าใจผิดแล้ว  ข้าเพียงแต่นึกถึงศัตรูคู่อาฆาตเท่านั้น”  ว่าแล้วก็ขยับไปนวดเฟ้นแขนเอาใจเพื่อให้อีกฝ่ายหายโกรธ

“เฮอะ”  หยูอวิ๋นแค่นเสียง

“วิชาดาบของเจ้าที่ใช้โจมตีจ้าวเหรินเจี่ยน  เรียกว่าอะไร  ฝึกยากมั้ย”  ซีคงหยูวกเข้าเรื่องหลักที่เขาสนใจ  จะเป็นอะไรไปเสียอีกนอกจากยอดวิชาและประสบการณ์พิสดาร (aka ทางลัด)

“เรียกว่าดาบไร้ธุลี  ..ฟ้าไร้เมตตา  ดินไร้รื่นรมย์  ดาบไร้คันฉ่อง  จึงไร้ธุลีละออง..”

“ห๊ะ..”

“นั่นคือใจความของเคล็ดวิชา”  หยูอวิ๋นกล่าวอย่างไม่ยี่หระราวกับเพลงดาบนี้เป็นหัวผักกาดที่ขายตามข้างทาง  ขณะที่ศิษย์น้องรอบ ๆ กลืนน้ำลายกันเอื้อก ๆ  และพยายามจดจำเคล็ดวิชาให้ได้แม่นที่สุด

“แล้วอย่างข้าจะฝึกได้มั้ย”

ผู้ถูกถามมองผู้ถูกถามผ่านเงามืดของหมวกคลุม

“เจ้าน่ะรึ...ข้าให้เวลาสามวัน”  เขาชูสามนิ้วประกอบ

“สามวันก็ฝึกสำเร็จใช่มั้ย  น้องชาย  เจ้าสายตาแหลมคมจริง ๆ  ทำไมถึงมองทะลุว่าข้าเป็นอัจฉริยะในรอบหมื่นปียากจะพบพานได้เล่า  เจ้ารู้มั้ยว่าเมื่อวันก่อนข้าฝึกวิชาเซียน...”

หยูอวิ๋นรีบยกมือเบรกคุณชายสามที่เริ่มพูดเรื่อยเปื่อย

“..ข้ายังพูดไม่จบ  ให้เวลาสามวัน  เจ้าต้องเบื่อและเลิกฝึก”

“ไฮ้  น้องอวิ๋น  ทำไมเจ้าพูดเหมือนเป็นพยาธิในท้องของเราคุณชายได้  ถ้ามันยากนักก็ต้องเลิกฝึกแน่อยู่แล้ว  จะทรมานตัวเองไปทำไม”  เนื่องจากซีคงหยูเป็นสายเมาแล้วใจดี  ใครพูดอะไรมาก็เออออกับเขาไปหมด
แต่ว่าแล้วหาวหวอด

“เจ้าง่วงแล้ว?”

“เพ้ย ใครง่วงกัน  ข้าอยู่ได้ทั้งคืน  สมัยข้ายังสิบแปดข้าอ่านหนังสือตลกอยู่สามวันสามคืนโดยไม่หลับไม่นอน”

ซีคงหยูพูดอย่างภาคภูมิใจ 

"แต่ตอนนี้เจ้าแก่เกินสิบแปดไปโขแล้ว"  อีกฝ่ายพูดความจริงอย่างโหดร้ายจากนั้นก็ขยับตัวลุกขึ้น  “มา  ข้าไปส่ง”  อย่างไม่รอให้ปฏิเสธ  ชายหนุ่มในเสื้อกันฝนก็หิ้วปีกคุณชายสามขึ้นจากขอนไม้ที่นั่งทันที  วรยุทธของเขาแข็งกล้า  คุณชายหยูจึงไม่สามารถต่อต้านได้  ในเมื่อทำอะไรไม่ได้  คุณชายสามของเราจึงได้แต่โบกมือลาให้กับซ่งมู่และสหายใหม่ข้างกองไฟคนอื่น ๆ

ที่หน้ากระโจมสำนักวารีพิสุทธิ์  หญิงลี่และหญิงซูกำลังจะเปลี่ยนเวร  แต่พวกนางเห็นเงาที่เดินมาจากทางประตูเหนือในความมืด  จึงรอดูว่าใช่ศิษย์น้องลุงที่หายตัวไปหรือไม่  เงาร่างสองร่างเดินมาใกล้  คนหนึ่งคอพับคออ่อน  อีกคนประคองเอาแขนพาดคอเอาไว้และส่งพลังปราณเพื่อให้อีกฝ่ายสามารถเดินได้โดยไม่ต้องลากไปกับพื้น

“โอ้..”  หญิงซู่อุทานเมื่อเห็นสภาพของซีคงหยู

“เขาไม่ได้เป็นอะไร  แค่เมา”   ชายลึกลับในเสื้อกันฝนพูดราวกับหยั่งรู้ความคิดของทหารหญิงเกราะแดง

“ขอบคุณน้องชายท่านนี้มากที่พาศิษย์สำนักเรามาส่ง”

หยูอวิ๋นมองเข้าไปในความมืดของประตูกระโจมนอนแล้วกล่าวกับทหารหญิงทั้งสอง  “ข้าคงเข้าไปไม่สะดวก   พวกเจ้ารับไปส่งต่อที”  เขาส่งปีกปวกเปียกของคุณชายสามให้หญิงซูประคอง   แล้วพยักหน้า  ก่อนจะผละจากไปโดยไม่รั้งรอ

“เขาเป็นคนสำนักอื่น  ทำไมปล่อยให้เขาใช้น้ำเสียงสั่งพวกเราอย่างงั้นล่ะพี่หญิงซู”  หญิงลี่ขยี้เท้าด้วยความไม่พอใจและบ่นทันทีที่อีกฝ่ายลับตาไปทางประตูเหนือ

“เจ้าจำเขาไม่ได้รึ”  หญิงซูยิ้มกริ่มถาม

“จำได้สิ  เขาคือยอดฝีมือที่ลอบโจมตีคุณชายจ้าวยังไงล่ะ”

“ฮี่ ๆ  เจ้ามีฉันทาคติต่อคุณชายจ้าวมากไปแล้ว  จนลืมนึกไปว่า  ผู้เยาว์ใดในยุทธจักรที่มีฝีมือทัดเทียมคุณชายจ้าว”

ด้วยสายตาอันแหลมคมของหญิงซู  แม้ว่าหยูอวิ๋นจะสวมหมวกคลุมปิดหน้าปิดตา  แต่นางก็ประเมินอายุของอีกฝ่ายได้  หญิงลี่กลืนน้ำลายอย่างตกใจเมื่อนึกขึ้นได้

“พี่ซูอย่าบอกนะว่า”

“ฮี่ ๆ  ดูท่าวันนี้ข้าได้ทำบุญกุศลอันยิ่งใหญ่  เกื้อหนุนให้คู่รักได้พบเจอกัน”

หญิงลี่ไม่ได้กล่าวคำต่อ  เพราะยังคงเหลียวมองตามไปทางด้านประตูทิศเหนือด้วยความว้าวุ่นใจว่าพลาดโอกาสเสวนาวิสาสะกับหนึ่งในหยกคู่แห่งยุทธจักร

+++++

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-08-2017 20:36:53 โดย Kirimanjaro »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ wnkth

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
แหมๆ เกื้อหนุนคู่รัก

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook




ืีที่สุดก็ตามทันแล้ว เราชอบสำนวนคุณคนเขียนมาก ๆ
ชอบมากพอ ๆ กับเสี่ยวหมีเลย (อ๊อออออออ!)

เท่าที่อ่านเนื้อเรื่องจนถึงตอนนี้ เรามีความรู้สึกว่า
กว่าอาหยูของเราจะกลายเป็นเทพยุทธได้นั้น
น่าจะมีอุปสรรคขวากหนามรออยู่อีกเยอะเชียว
แต่ก็ดีค่ะ เราจะได้ตามอ่านเสี่ยวหมีไปนาน ๆ ฮ่า ๆๆ
(เดี๋ยว! หล่อนจะเมนหมีแทนผู้ชายไม่ได้!!)

เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ ๆ !!  :กอด1:




ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ตามกลิ่น Malimaru มาเม้นหมี

มันสนุกมว๊ากกกก

สำนวนพลิกแพลงไม่ต่างจากเพลงกระบี่พิสดาร
ข้าน้อยขอคารวะด้วยหมีหนึ่งตัว อ๊ออออออออออออ

ออฟไลน์ Kirimanjaro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
wnkth :  ฮี่ ๆ  คนเขียนก็รอลุ้นครับว่าเมื่อไหร่จะได้กัน

Malimaru :  น้อยใจจุง  รู้สึกเป็นรองเสี่ยวหมีนิดหน่อย  และแอบสงสารคุณชายซีคงผู้จืดจางแถมยังไม่สำเร็จวิชาซะที
ส่วนจำนวนตอน  คาดว่าน่าจะเขียนอย่างน้อยก็สัก 1500 ตอนครับตามมาตรฐานนิยายเซียนเซี่ย (ล้อเล่น 555+)

พิศตะวัน :   <3  <3  <3

alternative :  ฮา ๆ ยินดีต้อนรับครับ   รับหมีเป็นคารวะหนึ่งจอก  เอ๊ยหนึ่งตัว


+++++


ไม่กี่วันถัดมา  เมืองจิ้งซานที่เคยเงียบสงบก็คึกคักขึ้นมาทันตาเห็น   นอกจากศิษย์สำนักทั้งห้าที่หาทำเลตั้งซุ้มรับสมัครคนงานเหมือง  บนถนนในเมืองก็เริ่มมีชาวยุทธพเนจรหอบเสื่อผืนหมอนเดินสวนกันไปมา  ทว่าชาวยุทธส่วนใหญ่ยังคงไม่ตกลงใจที่จะเซ็นสัญญากับสำนักใด  พวกเขาคอยเฝ้าสังเกตการณ์และประเมินความสามารถของแต่ละสำนัก  เนื่องจากว่าหากเลือกสำนักที่อ่อนแอ  เหมืองที่พวกเขาเข้าไปขุดได้ก็อาจจะมีคุณภาพแย่  ไม่เพียงเท่านั้น  พวกเขาอาจจะเอาชีวิตไปทิ้งเมื่อต้องร่วมมือกับศิษย์สำนักในการกำจัดอสูรเสียอีก

แต่ในขณะเดียวกันก็มีชาวยุทธบางกลุ่มคิดแตกต่างออกไป  พวกเขามั่นใจในวรยุทธของตนเองว่าจะเอาชีวิตรอดจากดินแดนลี้ลับได้ไม่ว่าจะเข้าร่วมกับสำนักไหน  พวกเขาสนใจสำนักที่อ่อนแอ   เพราะสำนักแบบนั้นมักจะให้ค่าตอบแทนการทำเหมืองที่มากกว่าสำนักอื่นเป็นการชดเชย  และสำนักที่ว่าก็คือสำนักวารีพิสุทธิ์

“พี่ชายท่านนี้   ถ้าขุดได้ร้อยส่วน  ท่านเก็บไว้ได้เจ็ดส่วน”

หญิงสวีซึ่งอยู่ที่โต๊ะลงทะเบียนพูดด้วยรอยยิ้มละไม
ทว่าชาวยุทธพเนจรที่ยืนอยู่ข้างหน้าส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย  เขาสวมหมวกไม้ไผ่สาน  ใส่เสื้อผ้าสะอาดสะอ้านสีน้ำเงินเข้ม  หลังสะพายทวน  ทวนเป็นสีแดงประดุจเลือดนก  ซึ่งเป็นฉายาของเขา  ผู้กล้าทวนแดง

“ข้ามีวรยุทธตะวันขึ้นสายขั้นสูง  เจ้าให้ค่าจ้างในอัตราเดียวกับคนอื่น ๆ ไม่คิดว่ารังแกกันเกินไปรึ”  เขากล่าวต่อ  “แล้วอีกอย่าง  เมื่อครู่ข้าลองไปถามสำนักประตูทรราช  เขายินดีให้ค่าจ้างหนึ่งในสิบของแร่ที่ขุดได้”

“เป็นไปไม่ได้หรอก”  หญิงสวีโต้แย้ง  “ประตูทรราชกำหนดอัตราตายตัวไว้ที่ห้าในร้อย  พี่ชายคงจำผิดพลาดแล้วกระมัง”

“ฮ่า ๆ  เจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ  แต่ถ้าเจ้าให้ไม่ได้มากกว่านี้  ข้าก็ขอดูก่อนล่ะกัน”

ผู้กล้าทวนแดงหัวร่อดังกังวานอย่างไม่ยี่หระ  แล้วผละออกไปจากจุดลงทะเบียน  คำพูดของเขาดังไม่ใช่น้อย  ส่งผลให้ชาวยุทธคนอื่น ๆ หันไปมองหน้ากันอย่างขบคิด  บางคนลุกจากที่จับเจ่ารอ  แล้วเดินไปทางค่ายสำนักประตูทรราช

“ศิษย์น้องหลู่”  จางชุ่ยฮัวที่นั่งดูการเจรจาอยู่กระซิบเรียกหลู่เซียงเอ๋อร์  หรือยัยหมีเขียวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ  “เจ้าลองตามดูว่าเขาไปที่ไหน”

ศิษย์น้องหลู่พยักหน้า  แล้วกระซิบบอกหมีเขียวของตนอีกที

ผู้กล้าทวนแดงแวะไปดื่มน้ำชาที่ซุ้มขายเครื่องดื่มของศิษย์สำนักอำพันโบราณ  เขาหันขวับเมื่อได้ยินเสียงเก้าอี้หัก  และเห็นหมีตัวเขียวขนาดเบิ้มนั่งจุ้มปุ๊กอยู่กับพื้นท่ามกลางเศษเก้าอี้ในร้าน   เสี่ยวเอ้อของร้านรีบวิ่งมาดูด้วยความตกใจ  และทึ้งผมตัวเองเนื่องด้วยไม่รู้ว่าจะเรียกค่าเสียหายกับหมียังไง

เขาดื่มน้ำชาแก้ความเหน็บหนาวจากอากาศที่ครึ้มฟ้าครึ้มฝนเสร็จ  ก็แวะดูอาวุธที่ศิษย์สำนักโลหิตไมตรีมาวางขายข้างถนน  เขากำลังจะหยิบทวนเหล็กกล้าสีเขียววาววามเหมือนทำจากเหล็กเย็นใต้ทะเล  แต่ก็มีอุ้งมือสีเขียวมีขนปุยเข้ามาคว้าทวนด้ามนั้นพอดี

“ข้าเห็นก่อน”  ผู้กล้าทวนแดงบอกกับหมีเขียว

“แอออออ๊!”

“แต่เจ้าเอาไปดูก่อนก็ได้”   เขาคิดว่าไม่ควรจะลดตัวไปทะเลาะกับหมี  เลยพลิกดูอาวุธอื่นต่อ

ผู้กล้าทวนแดงไม่พบเจออาวุธที่ถูกใจ  จึงเดินเตร่ไปที่อื่น  แต่ไม่ว่าเขาไปที่ไหน   เขาก็จะเห็นเจ้าหมีเขียวตัวเดิมผลุบ ๆ โผล่ ๆ  ผู้กล้าทวนแดงจึงขยับหมวกไม้ไผ่บนศีรษะให้เข้าที่  แล้วรีบหลบเข้าตรอกลึกที่ไม่มีผู้คนทันที

เขาได้ยินเสียงอุ้งตีนหมีย่ำมากับพื้นช้า ๆ ตามมาข้างหลัง  จึงหยุดชะงัก  และเอื้อมมือไปปลดเชือกที่มัดทวนไว้

“แม้แต่พระพุทธรูปไม้ยังยอมให้คนตบหน้าได้แค่สามครั้ง  แล้วประสาอะไรกะข้าที่ไม่ใช่พระพุทธรูป  เจ้าสะกดรอยตามข้ามาเช่นนี้  คงรำคาญชีวิตมากสินะ”

“อ๊ออออ??”

ผู้กล้าทวนแดงหันกลับไปช้า ๆ  และเผชิญหน้ากับสัตว์วิเศษขนปุย   ทวนในมือของเขาสะท้อนประกายวาบและชี้ไปข้างหน้า  เขาชะงักนิดนึงเมื่อเห็นมัน

“อะแฮ่ม  เจ้าอย่าคิดว่าไปย้อมขนให้เป็นสีดำแล้วข้าจะจำไม่ได้  เจ้าสุนัขรับใช้สำนักวารีพิสุทธิ์”

“อ๊ออออออ!!”  เสี่ยวหมีเถียงว่าตนเองไม่ใช่สุนัข    แต่ไม่ทันไร   ผู้กล้าทวนแดงก็สะกิดเท้าพุ่งเข้ามา  ทวนปักพื้นแล้วดีดตัวกระโดดฟาด  ด้วยท่าทวนทลายภูเขา  เสี่ยวหมีสะดุ้ง  แต่รีบกลิ้งหลบตามสัญชาติญาณ  มันกลิ้งไปหงายกับพื้นมองเห็นพุงปุกปุยแล้วพลิกตัวลุกไม่ขึ้นขณะที่ด้ามทวนฟาดลงมาข้าง ๆ เฉียดไปเส้นยาแดงผ่าแปด

ผู้กล้าทวนแดงดึงทวนกลับ  ควงทวนหมุนมาไขว้หลัง   ท่าแรกเขาแค่ลองหยั่งเชิง

“ฮ่า ๆ ฝีมือมีแค่นี้  กล้าลอบติดตามข้านับว่าเร็วไปร้อยปี  หากว่ายังรักชีวิตก็จงไสหัวไปเรียกเจ้าของเจ้ามาให้ข้าสั่งสอนซะ”

มือทวนเสื้อน้ำเงินขู่ไปอย่างงั้น  ถ้าเป็นไปได้  เขาก็ไม่อยากมีเรื่องถึงเป็นถึงตายกับศิษย์ห้าสำนักใหญ่  ทว่าถ้าเขาเอาชนะศิษย์เหล่านั้นในการขัดแย้งเล็ก ๆ ได้  ค่าตัวของเขาก็จะสูงขึ้นและสามารถต่อรองค่าจ้างได้มากขึ้น

คุณชายสามเดินกินพุทราเชื่อม  และตามเสี่ยวหมีเข้ามา   เมื่อเห็นผู้กล้าทวนแดงและเสี่ยวหมีที่นอนหงายท้องอยู่  เขาก็ชะงักเท้า

“เสี่ยวหมี?”  เขาเรียกทดสอบว่ามันตายหรือยัง

“อ๊อออออ”

ซีคงหยูถอนหายใจอย่างโล่งอก  “ยังไม่ตายก็ดีแล้ว  กว่าข้าจะขุนเจ้ามาได้ขนาดนี้ต้องเสียข้าวสารข้าวสุกตั้งเท่าไหร่”

“อ๊อออออออออ!!”

“เพ้ย  เจ้าคือเจ้าของหมีนี่สินะ”   ผู้กล้าทวนแดงหมุนทวนที่ไขว้หลังไว้  แล้วเอาปลายชี้หน้าคุณชายสาม 

“ถ้าใช่แล้วจะทำไม  ถ้าไม่ใช่แล้วจะทำไม”  ซีคงหยูย้อนถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ  เพราะเชื่อแน่ว่าหมอนี่ต้องเป็นคนชั่ว  เสี่ยวหมีรักสงบขนาดนี้ยังรังแกได้ลงคอ

“ตอนนี้ชีวิตเจ้าหมีนี่อยู่ในกำมือข้า  เจ้ายังพูดจาโอหังอีก!”

เมื่อได้ยินดังนั้นซีคงหยูก็ตกใจรีบเอ่ยวาจา   “ไอ๊หยา!  พี่ชาย  มีอะไรก็ค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จา  หมีของข้าไปทำให้ท่านรำคาญใจอะไร  มันก็เป็นแค่หมี  ท่านไปหาเรื่องกับหมี  หรือว่าท่านเป็นหมา”

“เพ้ย  เจ้ารู้อยู่แก่ใจ  ถ้าเจ้าอยากได้หมาของเจ้ากลับไป  ก็จงรับกระบวนท่าของข้าสามกระบวนท่าเสียก่อน”

“พี่ชาย..นั่นมันหมี”

“เหลวไหล!  กระบวนท่าที่หนึ่ง  ทวนสะบั้นแม่น้ำ!”

เขาตวัดทวนกรีดอากาศ  วาดจากซ้ายไปขวา  ในเพลงทวนมีพลังปราณ  และพลังปราณก็ไหลโถมถั่งประดุจแม่น้ำสายหนึ่ง  มันท่าทวนที่เรียบง่าย  แต่เพราะว่ามันเรียบง่ายมันจึงรับมือยาก  หัวใจของเพลงทวนนี้คือแข็งสยบอ่อน  ถ้าท่านมีพละกำลังไม่พอ  ใช้แข็งต้านแข็งย่อมพ่ายแพ้

ซีคงหยูไม่มีประสบการณ์ต่อสู้  ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าท่าแบบไหนต้องรับมือยังไง   เขารู้สึกใจเต้นรัวด้วยความตระหนกเมื่อเห็นเงาคมทวนเหวี่ยงเข้ามาใกล้  แต่เมื่อหัวใจของเขาเต้นแรง  พลังปราณก็ไหลเวียนตามจังหวะหัวใจเต้น  คุณชายสามย่างเท้าไปข้าง ๆ โดยไม่รู้ตัว  ร่างของเขาบิดหลบ  เหมือนกระดาษแผ่นหนึ่งกลางลมพายุ

ผู้กล้าทวนแดงชะงัก  เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหลบได้ยังไง  ทวนเหวี่ยงเป็นเส้นตรงจากซ้ายไปขวา  ถ้าศัตรูจะหลบก็ต้องหมอบกับพื้นหรือกระโดดขึ้นให้พ้น  แต่อีกฝ่ายยืนอยู่กับที่ชัด ๆ ทว่าเพลงทวนของเขาเหมือนกับกวาดผ่านอากาศธาตุ

“พี่ชาย  โปรดหยุดมือก่อน  ข้าไม่รู้วรยุทธ!”

“หุบปาก”  ผู้กล้าทวนแดงไม่เชื่อในภูตผีปีศาจ   เขาดึงทวนกลับมา  หมุนข้อมือ  แล้วแทงเข้าไปตรง ๆ  “ท่าทวนทะลวงศิลา!”

ซีคงหยูหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ  คมทวนหมุนเป็นเกลียวแทงเข้ามาที่ท้องน้อยของเขา  แต่ทันใด  อุ้งมือดำใหญ่ก็ฟาดใส่ด้ามทวน   จนมันเบี่ยงออกไปจากเป้าหมาย

ผู้กล้าทวนแดงสะดุ้ง  พลังที่ฟาดมาถ่ายทอดผ่านทวนจนง่ามมือของเขาเจ็บแปลบ  เขารีบดึงทวนกลับมา กระโดดถอยไป  และย่อตัวยืนถือทวนเฉียงในท่าเตรียมต่อสู้  หมีดำตัวใหญ่ลุกขึ้นมา  แยกเขี้ยวใส่เขา  แต่เมื่อเขาขยับทวนทำท่าจะจิ้ม  มันก็ร้องงื๊ด ๆ แล้ววิ่งจุ้มปุ๊กไปหลบหลังคุณชายสาม

“เฮอะ  ที่แท้ก็ดวงดี  เอาล่ะ   กระบวนท่าสุดท้าย..”  ยังไม่ทันจะกล่าวชื่อกระบวนท่า  สัญชาติญาณของเขาก็บ่งบอกถึงอันตราย  เขารู้สึกเหมือนกับถูกจ้องโดยสัตว์ร้าย  เหงื่อเย็นเยียบของเขาซึมออกมาเต็มฝ่ามือ  ผู้กล้าทวนแดงพยายามกวาดสายตาจากใต้หมวกไม้ไผ่เพื่อมองหาอันตรายที่ว่า  แต่ไม่สามารถจับสิ่งผิดปกติได้  ทว่าสัญชาติญาณของเขาอันผ่านดงดาบดงกระบี่ในชีวิตชาวยุทธพเนจรไม่โกหกแน่ ๆ  มันเหมือนกับมีดาบอำมหิตจ่อคอหอยของเขาอยู่ในตอนนี้

เจ้าของทวนแดงและเสื้อน้ำเงิน  เก็บทวนกลับยืนในท่าพัก  เขากลืนน้ำลายแล้วตวาดไป

“เพ้ย  วันนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อน”  เขาพูดแล้วก็วิ่งไปสุดตรอก  ใช้ทวนงัดพื้นต่างคานแล้วกระโดดข้ามกำแพงลับหายไป

“เฮ้อ...”  คุณชายสามถอนหายใจอย่างโล่งอก  เขาล้มตัวลงไปนอนทับเสี่ยวหมี  เพราะขาของเขาสั่นไปหมด  ไม่มีเรี่ยวแรงหลงเหลือ



++++




ที่ศาลเจ้าเก่า  หมีเขียวเดินกลับเข้ามาคอตก  หลู่เซียงเอ๋อร์ขมวดคิ้วมองมัน

“แออออออ๊!!”

“เจ้าว่ายังไงนะ  คลาดกันอย่างงั้นหรอ”  ยัยหมีเขียวร้องอย่างตกอกตกใจ

ส่วนจางชุ่ยฮัวมองด้วยสายตาระอา  เจ้าคิดได้ยังไง  ส่งหมีตัวเท่าบ้านไปสะกดรอยยอดฝีมือ  แต่ด้วยความเพลียใจนางจึงไม่พูดอะไร

แต่ไม่ทันไร   ก็เห็นหมีดำเดินดุ่ม ๆ มา   บนหลังมีกระทาชายนอนพังพาบอยู่  เสี่ยวหมีเดินมาใกล้ ๆ กองฟาง  แล้วเอียงตัวให้ศพบนนั้นไหลลงมา  ศพนั้นลืมตาขึ้นและไอแค่ก ๆ จากละอองฟางที่พลัดเข้าจมูก

“ศิษย์น้องซีคง  เจ้าไปทำอะไรมา  ทำไมหมดเรี่ยวหมดแรงแบบนี้”  ศิษย์พี่หญิงสวีที่โต๊ะลงทะเบียนใกล้ ๆ ถามด้วยความใส่ใจ

“ศิษย์พี่หญิง  ข้า..ไปโดนคนจิ้มมา”

หญิงซูและหญิงลี่ที่ยืนยามรักษาการณ์อยู่  สำลักน้ำลายพรวดพร้อม ๆ กัน   พวกนางนึกถึงเรื่องเมื่อคืนวาน  และแอบคิดไม่ได้ว่าคุณชายสามไปโดนอะไรจิ้ม

“แค้นนี้ข้าต้องชำระ”  ซีคงหยูกำหมัดแน่นทั้ง ๆ ที่ยังนอนแผ่อยู่บนกองฟาง  สีหน้าของเขาคับแค้นใจประดุจพระเอกนิยายที่โดนศัตรูฆ่าล้างตระกูล  “เจ้าหมอนั่นคือมือทวน  มันถือทวนสีแดง”

“ทวนแดง..”  ยัยหมีเขียวทวนคำ  แล้วนึกได้   เลยหัวเราะกลบเกลื่อนเดินเข้าไปหาคุณชายสาม  กะจะตบหลังปลอบใจ  ทว่าอีกฝ่ายนอนหงายอยู่เลยตบพุงดังป๊าบ ๆ

“ฮ่า ๆๆ   ศิษย์พี่ลุงซีคงรอดมาได้ก็ดีแล้ว  คนที่เจ้าเจอคือผู้กล้าทวนแดง  เขาคงโกรธที่สำนักเราไม่ให้ค่าจ้างตามที่เขาอยากได้  เลยแกล้งศิษย์พี่ลุงไปอย่างงั้นเอง”

ซีคงหยูจุกพุงจนแทบกระอักพุทราที่กินเข้าไป  เขาคลำพุงป้อย ๆ  แล้วร้อง

“เจ้าเบามือกว่านี้จะได้หรือไม่  มือหนักอย่างนี้จะหาสามีที่ไหน”

หลู่เซียงเอ๋อร์มีสีหน้าเคร่งเครียดแล้วบอกกับหมีเขียว

“เสี่ยวชิง  ตบมัน”

 “แอ๊ก!”



++++++++



“กราสสส!!”   เสียงสบถพร้อมกับหมวกที่ปามากลางวงหมากรุกที่กลางสวนถั่วฝักยาวอันรกร้าง  ผู้เล่นหมากรุกและคนที่ยืนกอดอกชมดูหมากหันขวับไปมองผู้กล้าทวนแดงที่หายใจหอบอยู่ไม่ไกล 

“ไหนพวกเจ้าบอกว่างานนี้ง่าย ๆ ไม่อันตรายยังไงล่ะ  ทำไมข้าถึงถูกจับจ้องโดยยอดฝีมือ”

ผู้เล่นหมากรุกฝั่งสีแดงเป็นคุณชายท่าทางนุ่มนวลใส่เสื้อไหมลายงูยักษ์สีน้ำตาลทอง  บนหัวสวมมงกุฎ (1) ทรงสูงประดับด้วยบุษราคัมและปิ่นที่ทำจากแร่ชนิดเดียวกัน  เขาหันไปมองผู้กล้าทวนแดงและหรี่ตาจนเรียวเหมือนวงพระจันทร์คว่ำ 

“เจ้าไปทำอะไรให้ใครจับตามาล่ะ”

“ข้าทำตามที่เจ้าสั่งทุกอย่าง  จนไอ้เด็กสำนักวารีพิสุทธิ์สะกดรอยข้า  ข้าเลยจะสั่งสอนมัน  แต่ว่า...”  ผู้กล้าทวนแดงลังเลที่จะกล่าว   มันเป็นแค่ความรู้สึกของเขา  ที่เหมือนกับมีสายตาจ้องมองที่หลังคอของเขาตลอดเวลาทั้ง ๆ ที่เขาหนีมาตั้งไกลแล้ว 

“เจ้ารู้สึกว่ามีคนตามเจ้ามา”  ดวงตาของคุณชายเสื้อน้ำตาลเปลี่ยนจากรูปพระจันทร์คว่ำเป็นชี้ขึ้น  หมากในมือถูกบีบจนหักครึ่ง  “..แล้วเจ้าก็นำมันมาที่นี่อย่างงั้นรึ”

“เพ้ย  เจ้าคิดว่าข้าเป็นใคร  ถึงต้องให้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมสั่งสอนประสบการณ์ยุทธภพ  ข้าสลัดมันหลุดแล้วถึงมาที่นี่”   ผู้กล้าทวนแดงกล่าวเสียงห้วน

คนที่นั่งตรงกันข้ามกระดานหมากของคุณชายเสื้อน้ำตาล  เป็นเด็กหนุ่มท่าทางสบาย ๆ ใบหน้าเปื้อนยิ้ม  เขามีผมสั้นปานกลางที่ปล่อยชี้อย่างอิสระเหนือผ้าคาดหัวลายมังกรน้ำ  ดวงตารูปอัลมอนด์ของเขาสุกใส  แต่ลึกลงไปกับมีแววซับซ้อนที่อ่านออกได้ยาก   เขาเอ่ยปากกับคู่เดินหมากว่า

“คนที่ทำให้พี่ชายทวนแดงผวาได้ในเมืองนี้  ที่รู้ ๆ ก็คือจ้าวเหรินเจี่ยน  แต่จ้าวเหรินเจี่ยนไม่น่าจะมีจิตสังหารรุนแรงจนทำให้ผู้คนตระหนกตกใจ  น่าจะเป็นยอดฝีมือที่ซ่อนตัวคนอื่นมากกว่า”

คุณชายเสื้อน้ำตาลวางหมากที่หักในมือลงไป  แล้วหันกลับมามองเด็กหนุ่มตรงหน้า  “หรือน้องตู้จะหมายถึง  ยังมียอดฝีมือที่เราไม่รู้ในสำนักอื่น ๆ  หรือจะเป็นชาวยุทธพเนจรกันล่ะ”

ตู้เกี่ยนหลง (สังหารพันมังกร)  ฟังแล้วก็จับจมูกตัวเองด้วยความเคยชินก่อนตอบไปว่า  “คงจะเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับสองสำนักที่เรายุแยงมากกว่า  หากไม่ใช่วารีพิสุทธิ์  ก็ประตูทรราช”

เขาพูดจบก็หันไปหาศิษย์ร่วมสำนักที่ยืนประสานมืออย่างสำรวมอยู่ใกล้ ๆ แล้วสั่ง   “จ่ายแร่ให้เขา”

ศิษย์ผู้นั้นประสานมือรับคำ  ล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อหยิบถุงหนังออกมาแล้วโยนไปให้กับผู้กล้าทวนแดง  ผู้กล้าทวนแดงรีบยื่นมือคว้ารับแล้วเปิดห่อดูแร่วิญญาณเซียนขั้นกลางก้อนเท่านิ้วโป้ด้วยรอยยิ้มกว้าง  ถ้าเขาใช้ผลึกนี้ในการบำเพ็ญตบะ  ความหวังที่จะก้าวเข้าสู่วรยุทธขั้นตะวันขึ้นสายระดับสุดยอดก็จะอยู่ไม่ไกล

“เจ้ายังอยากจะทำงานกับสำนักเราต่ออีกมั้ย”  ตู้เกี่ยนหลงถามยิ้ม ๆ

“ถ้าพวกเจ้ากล้าจ้างกล้าจ่ายแบบนี้ล่ะก็นะ”  ผู้กล้าทวนแดงหรี่ตาตอบ

“น้ำแถวนี้มันลึก  ข้าจะให้เจ้าเอาเท้าไปหยั่ง  เจ้าอาจจะโดนยอดฝีมือคนนั้นสังหาร  นี่ข้าเตือนไว้ก่อน”

ผู้กล้าทวนแดงฟังแล้วก็มีสีหน้ามืดทะมึน  เงินทองและสมบัติจะมีค่าก็ต่อเมื่อมีชีวิตอยู่ใช้มัน

“ขอบคุณคุณชายตู้ที่พูดตรง ๆ  ข้าคิดว่างานนี้อาจจะต้องขอปฏิเสธ”

“แร่วิญญาณเซียนขั้นสูงหนึ่งก้อน”   ตู้เกี่ยนหลงโพล่งขึ้นมา

“คุณชายตู้หมายถึง..”

“รางวัลที่เจ้าจะได้..”  เขาเว้นจังหวะ  ดวงตาสดใสของเขาเหมือนส่งยิ้มได้  ยิ้มนั้นมันล่อลวงราวกับน้ำผึ้งเดือนห้าที่ชโลมใจผู้จ้องมองเข้าไป  “..คิดดูดี ๆ นะ  เจ้าอาจจะสำเร็จพลังพรตขั้นเมฆาเคลื่อนคล้อยได้เลย”

นกตายเพราะอาหาร  คนตายเพราะสมบัติ  สิ่งที่ชาวยุทธพเนจรเฝ้าฝันคือการมีพลังฝีมือเหนือกว่าคนอื่น  ผู้กล้าทวนแดงมีสีหน้าปั้นยาก  บัดเดี๋ยวแดง  บัดเดี๋ยวดำ  แต่ในที่สุดก็ก้มหน้าประสานมือคารวะ

“เชิญคุณชายกล่าวเงื่อนไข”

ตู้เกี่ยนหลงเสยผมตนเองที่ร่วงลงมาบังตา  เชิดคางขึ้นเล็กน้อยมองค้างถั่วฝักยาวใกล้ ๆ  เขายกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นและอีกข้างก็หลู่ต่ำลงอย่างครุ่นคิด  คุณชายเสื้อน้ำตาลที่นั่งตรงกันข้ามลอบมองเสี้ยวหน้าของเขา  ตู้เกี่ยนหลงเวลานี้ดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก  และถ้ามีสตรีที่ใจกล้าหน่อยเห็นเขาในตอนนี้  ก็คงจะเดินเข้าไปจับสองข้างแก้มและประทับจูบลงไป

“เจ้าต้องลองไปสมัครขุดแร่กับสำนักประตูทรราชดู”

“ผู้น้อยเข้าใจแล้ว”   ผู้กล้าทวนแดงตอบอย่างสุภาพ  และถอยออกไปเมื่อตู้เกี่ยนหลงโบกมือเป็นสัญญาณส่งแขก

“น้องตู้..เจ้าให้รางวัลเขามากไปหรือเปล่า”   คุณชายผู้มีใบหน้าสะสวยกล่าวประท้วง  ผลึกแร่วิญญาณเซียนขั้นสูง  ไม่ใช่จะหากันง่าย ๆ  ในหนึ่งปมเหมืองอาจจะขุดเจอแค่ชิ้นเดียว  เท่ากับว่าทั้งเหมืองจิ้งซานอาจจะมีสักยี่สิบสามสิบชิ้น

“ฮ่า ๆ  ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวลใจไป  ถ้าข้าเดาไม่ผิด  เขาไม่มีชีวิตรอดกลับมารับรางวัลหรอก”

มุมปากของตู้เกี่ยนหลงยกขึ้นเล็กน้อย  เขาจับตัวหมากที่ล้มระเนระนาดจากหมวกที่ผู้กล้าทวนแดงโยนเข้ามาตั้งใหม่  คุณชายเสื้อน้ำตาลเห็นแล้วก็ยิ้มจนตาคว่ำเป็นพระจันทร์

“ฮี่ ๆ ข้านึกแล้วว่าน้องตู้ทำไมใจกว้างนัก  ที่แท้เจ้าก็คิดยืมดาบฆ่าคนเพราะเขาทำลายเกมหมากของเราสองนี่เอง”

“ฮ่า ๆๆ”  ตู้เกี่ยนหลงหัวเราะ  แต่ไม่บอกว่าที่อีกฝ่ายคาดเดานั้นจริงหรือเท็จ


++++


(1)  มงกุฎผมหมายถึงที่รัดผมคล้าย ๆ แบบนี้



ปล. เมืองจิ้งซานมันบ้านนอก  ไม่มีสวนท้อป่าไผ่  มีแต่ไร่กล้วยกับค้างถั่วฝักยาว  อิอิ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-09-2017 01:44:00 โดย Kirimanjaro »

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Kirimanjaro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0

++++


เหลืออีกสองชั่วยาม  ประตูดินแดนลี้ลับของเหมืองห้าขุนเขาจะเปิดให้เข้าได้  ในช่วงสุดท้ายนี้  ชาวยุทธส่วนใหญ่รีบตัดสินใจเข้าร่วมคณะสำรวจเหมืองของห้าสำนัก  ขณะที่ส่วนน้อยยังคงรอดูผลงานการโจมตีอสูรเฝ้าเหมืองรอบแรกของแต่ละสำนักก่อนตัดสินใจ  จางชุ่ยฮัวจดบันทึกสิ่งที่คิดได้และตระเตรียมแผนระหว่างที่หญิงสวีซึ่งทำหน้าที่เป็นเลขากำลังตรวจสอบรายชื่อของชาวยุทธที่เซ็นสัญญากับสำนักวารีพิสุทธิ์  จางชุ่ยฮัวกัดเครื่องเขียนในมือ  นางไม่ใช้พู่กันซึ่งยุ่งยาก  แต่ใช้ไม้ถ่านที่มีปลายแหลมเพื่อความสะดวกในการพกพา  อันที่จริงนางสามารถหาซื้อแผ่นหยกเซียนมาใช้ในการบันทึก  ซึ่งสามารถถ่ายพลังปราณของตนเข้าไปเขียนและอ่านได้โดยตรง  แต่นางชอบวิธีการแบบสมัยเก่ามากกว่า

“ผลกำไรของกิจการเป็นไงบ้าง”  นางถามหญิงสวีถึงการค้าขายที่ส่งศิษย์สำนักไปทำในเมืองจิ้งซาน  การค้าเหล่านั้นจะได้ผลตอบแทนเป็นตำลึงทองและเงิน  ซึ่งเป็นเงินทางโลกที่มีค่าน้อยกว่าแร่วิญญาณเซียน  แต่ก็ยังถูกนับเป็นความดีความชอบของสำนักได้

“ไม่ค่อยดีเท่าไหร่”  หญิงสวีตอบเมื่อเรียกข้อมูลที่บันทึกในแผ่นหยกเซียนขึ้นมาดู   “สำนักโลหิตไมตรียึดโรงเตี๊ยมไป  พวกเขาจัดมันเป็นตลาดนัดเล็ก ๆ และเปิดให้ทุกสำนักเช่าขายของ  ทุกคนดูเหมือนจะได้ผลประโยชน์  แต่จริง ๆ แล้วไมตรีโลหิตได้เงินทองไปมากที่สุด”

“น่าชังจริง ๆ”

“ช่วยไม่ได้  พวกเขามีจ้าวเหรินเจี่ยน”  หวูชิงหรูที่กำลังเลื่อนแผ่นหยกสื่อสารและพิมพ์ข้อความคุยกับเพื่อนต่างสำนักพูดลอย ๆ จากเก้าอี้ที่นางเอกเขนกอยู่

“ถ้าอย่างงั้นต้องตัดไมตรีโลหิตออกจากแผนพันธมิตร  พวกเขากำลังได้เปรียบและมียอดฝีมือ  คงไม่อยากจับมือกับใคร”   จางชุ่ยฮัวหมุนแท่งถ่านในมืออย่างครุ่นคิด

“ศิษย์น้องจาง  นี่เจ้ากำลังคิดจะหาพันธมิตรหรอ  เพื่ออะไร”   หวูชิงหรูเริ่มสนใจและละสายตาจากจอแผ่นหยก

“อย่างน้อยเราก็จะได้วางแผนร่วมกันไม่แก่งแย่งตีเหมืองซ้ำ  และบางทีเราอาจจะตลบหลังบางสำนักได้”

“ฮี่ ๆ  พันธมิตรมันก็แค่ลมปาก  สุดท้ายก็ต้องแก่งแย่งว่าใครจะเป็นที่หนึ่งอยู่ดี  ว่าแต่ศิษย์น้องจางมีเป้าหมายในใจหรือยังล่ะ”

จางชุ่ยฮัวก้มมองดูแผนภาพที่ตนขีดเขียนไว้ในกระดาษ  แล้วกล่าวกับศิษย์พี่หญิงทั้งสอง

“ข้าคงเอาอย่างผู้อาวุโสไป่  พันธมิตรที่ดีที่สุดคืออดีตศัตรู  เราจะจับมือกับประตูทรราช”

“ฮ่า ๆๆๆๆๆ”   หวูชิงหรูฟังแล้วก็หัวร่อยกใหญ่ 

“ไม่ทราบว่าศิษย์พี่หวูมีความเห็นสูงส่งอันใด”

หวูชิงหรูหยุดหัวเราะและถามกลับ  “ศิษย์น้องจางลองบอกศิษย์พี่มาก่อน  ว่ามีเหตุผลเฉพาะเจาะจงอะไรที่ทำให้เจ้าเลือกประตูทรราช”

จางชุ่ยฮัวยิ้มอย่างมั่นใจและเริ่มนับนิ้ว  “ข้อแรก  ข้ารู้สึกว่าในช่วงสองสามวันนี้มีบางสำนักที่พยายามยุแหย่เรากับประตูทรราช  ในเมื่อพวกเขาไม่อยากเห็นเราดีกันนัก   เราก็ช่วยสนองหน่อยล่ะกัน”  นางหยุดไปหนึ่งจังหวะแล้วกล่าวต่อ  “ข้อสอง  ข้ารู้มาว่า  ซีคงหยูไปมาหาสู่กับประตูทรราช  พวกเขามีมิตรภาพต่อกัน  เรื่องนี้น่าจะใช้ประโยชน์ได้”

“อื้อหือ   ความเคลื่อนไหวในค่ายพัก  ไม่รอดพ้นสายตาเจ้าเลยสินะ”  หวูชิงหรูกล่าวชมครึ่งประชดครึ่ง  “เหลือเวลาอีกชั่วยามครึ่ง  แต่ดูเหมือนว่าเจ้าคงมีคนที่คิดจะส่งไปเจรจาในใจแล้วสินะ”

จางชุ่ยฮัวเคาะแท่งถ่านกับโต๊ะก่อนจะกวักมือเรียกคนให้ไปตามคุณชายสาม


++++++++



ซีคงหยูจูงหมีดำไปที่ค่ายของประตูทรราช  หลิวเกาไม่ได้มาด้วยเพราะต้องเตรียมตัวคุมกลุ่มสำรวจเหมืองกลุ่มที่สามกับศิษย์น้องจิ่ง   ตั้งแต่ที่วรยุทธของหลิวเการุดหน้าจนได้ฉายาว่าปีศาจอัจฉริยะ  คนในสำนักก็ดูเหมือนจะหวังพึ่งพิงเขามากขึ้น

“เฮอะ  งานง่าย ๆ  ไม่ต้องมีเจ้าหลิวเกาข้าก็ทำได้”  คุณชายสามพูดพลางเตะก้อนหินจนฝุ่นกระเด็น  เขาเดินคู่เสี่ยวหมีมาสักพักก็มาถึงค่ายที่ประตูเหนือ  พวกเด็กหนุ่มในค่ายกำลังเตรียมตัวออกไปต่อสู้  บางคนก็ต้มเครื่องดื่มควันขโมง   บางคนก็ขัดชุดเกราะอ่อน  และบางคนก็ลับกระบี่ด้วยหินทราย   ซ่งมู่รีบลุกขึ้นมาต้อนรับคุณชายสามเมื่อเขาเงยหน้าเห็นเจ้าของหมีดำผู้มีเอกลักษณ์

“พี่หยูเป็นไงบ้าง  วันนี้มีเรื่องอะไรให้ผู้น้องช่วยหรือไม่”

“ฮ่า ๆ  หน้าข้าเขียนไว้ชัดขนาดนั้นเลยรึว่า  กำลังต้องการความช่วยเหลือ”

“เวลานี้หน้าสิ่วหน้าขวาน  ประตูแดนลี้ลับใกล้จะเปิด  พี่หยูคงไม่ได้มาคุยเล่นหรอกกระมัง”

  ซ่งมู่เดินกอดคอซีคงหยูเข้าไปในค่าย   พวกสหายวงเหล้าที่คุ้นเคยกันเห็นซีคงหยูก็พยักหน้าส่งยิ้มทักทาย  คุณชายทักทายกลับด้วยท่าทาง  แต่ไม่เสียเวลาพูดคุยสัพเพเหระ  เข้าเรื่องทันที

“น้องซ่ง..ในค่ายของพวกเจ้า  มีใครเป็นผู้ตัดสินใจอย่างงั้นรึ”

ซ่งมู่เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะตอบคำถาม  “อ้อ  พี่หยูคงหมายถึงพี่ใหญ่อวิ๋น”

“ที่แท้ก็น้องอวิ๋น  ข้านึกอยู่แล้วเชียวว่าน้องอวิ๋นดูไม่ธรรมดา  ราวกับนกกระเรียนกลางฝูงไก่  มังกรกลางหมู่มนุษย์”

ซ่งมู่ทำหน้าเลี่ยน ๆ เพราะเขาถูกเปรียบเทียบเหมือนไก่ที่เป็นวอลเปเปอร์ให้นกกระเรียน  ซีคงหยูซึ่งไวต่อความรู้สึกคนอื่นเลยรีบหัวร่อแล้วตบบ่าอีกฝ่ายแรง ๆ

“ต่อให้น้องซ่งเป็นไก่  ก็เป็นไก่ฟ้า  ถ้าหล่ออีกนิด  จมูกโด่งอีกหน่อย  ก็เป็นนกฟีนิกส์ได้”  คุณชายสามแกล้งบีบจมูกของเด็กหนุ่มรุ่นน้องเล่น

ในตอนนั้นกระโจมค่ายก็เปิดออกมาพอดี  เจ้าของเสื้อกันฝนสีน้ำตาลไหม้ที่ปิดหน้าปิดตาอยู่ตลอดวันออกมาเห็นก็ชะงัก  ซ่งมู่รีบเอามือปัดมือของคุณชายสามที่จับจมูกของเขาอยู่ออก  แต่ก็ไม่แรงเกินไปจนกลายเป็นความหยาบคาย

“เจ้า..” 

“ไฮ้  น้องอวิ๋น ตายยากจริง ๆ พูดถึงโจโฉ  โจโฉก็มา”  คุณชายสามย้ายไปติดหนึบกอดคอพ่อคนเย็นชา   ซึ่งดูจะสะดุ้งนิด ๆ เหมือนไม่อยากโดนกอด

“มีลมอะไรก็ผายออกมา  ประตูเหมืองจะเปิดแล้ว”   หยูอวิ๋นเหลือบมองนาฬิกาแดดกลางค่าย  เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วยามเท่านั้น

สักพัก  พวกเขาก็เข้าไปนั่งคุยกันในห้องบัญชาการ   ซ่งมู่ยืนรับฟังอยู่ใกล้ ๆ ในฐานะมือขวาของหยูอวิ๋น

“ประมุขพรรคปลาทูสีน้ำเงินของข้า  ส่งข้ามาเป็นตัวแทนเพื่อขอความร่วมมือเป็นพันธมิตรกัน”  ซีคงหยูบอกจุดประสงค์

หยูอวิ๋นกอดอก  เอนตัวกับเก้าอี้  แสดงถึงระยะห่างที่เขาอยากจะอยู่ให้ไกลกับข้อเสนอดังกล่าว

“แล้วกลุ่มของข้าจะได้อะไรจากการเป็นพันธมิตรกับวารีพิสุทธิ์”

“ฮ่า ๆ  เรื่องนี้....”   ซีคงหยูนึกไม่ออก  เพราะไม่ได้เตรียมทำการบ้านมา

“เจ้าลองคิดดูดี ๆ สำนักของข้าแข็งแกร่งกว่าสำนักเจ้ามาก  วรยุทธของข้าอยู่ในระดับจันทราเลื่อนลอย  มีความจำเป็นอะไรที่ต้องไปช่วยเหลือมดปลวก”

“ว้อท!!”  ซีคงหยูอุทานอย่างตกใจเมื่อรู้ระดับวรยุทธของหยูอวิ๋น  นั่นมันมากกว่าทุกคนในพรรคปลาทูสีน้ำเงินสองเขตแดนใหญ่ ๆ เลยนะ

“พี่ใหญ่...”  ซ่งมู่อ้าปากจะช่วยพูดให้ด้วยเห็นแก่มิตรภาพ  แต่อีกฝ่ายยกมือห้ามไว้

“แต่ข้าจะรับข้อเสนอก็ได้..”  เขาคลายมือที่กอดอกอยู่  แล้วโน้มตัวมาข้างหน้า  “..ถ้าเจ้าทำตามเงื่อนไขบางอย่าง”

“โอ้  เงื่อนไขอะไร”

“เจ้าต้องเข้าร่วมคณะสำรวจกับเรา”

“ห๊ะ  ให้ข้าทำงานให้ประตูทรราชรึ”

“นั่นคือข้อแลกเปลี่ยน”  หยูอวิ๋นกล่าวและนิ่งรออีกฝ่ายตัดสินใจ

ซีคงหยูครุ่นคิด   กลอกตาไปมา  สักพักหนึ่งจึงเผยอปากพูดสิ่งที่ทำให้ผู้บัญชาการค่ายแทบตกเก้าอี้

“หลี่โอ๋อวิ๋น”

“ฟัค!!”  คนโดนจับได้สะดุ้งจนหมวกแทบหลุด  “เจ้ารู้ได้ยังไง”

“ทุกอย่างมันใช่  ที่นี่ประตูทรราช  เจ้าปิดหน้าปิดตาตลอด  และที่สำคัญ  วรยุทธของเจ้าตรงกับหลี่โอ๋อวิ๋น”

“ฮ่า ๆ”  หลี่โอ๋อวิ๋นเลิกหมวกของเสื้อคลุมไปด้านหลัง  ใบหน้าคมสันนั้นยังดูมีส่วนผสมของความเยาว์วัย  ความห้าวหาญ  และความถือดีเหมือนเช่นเคย  ซ่งมู่เห็นเช่นนั้นจึงถอยออกไปจากห้องบัญชาการ

หลี่โอ๋อวิ๋นเลิกคิ้วและถามคุณชายสามต่อ  “ถ้ารู้ว่าโดนหลอก  ทำไมไม่โวยวายล่ะ”

“ข้าคุยดี ๆ ก็เป็นน่ะสิ  น้องอวิ๋น..”  ซีคงหยูจงใจลากเสียงคำว่าน้องเป็นพิเศษ  ซึ่งทำให้คนหน้าคมรู้สึกคันหัวใจยุบยิบ

“ในที่สุดเจ้าก็ทำตัวสมอายุ”  สุ้มเสียงไม่รู้ว่าชมหรือแดกดัน

“ข้าจะตกลงรับเงื่อนไข”  คุณชายสามโพล่งคำตอบ

“ข้าได้ยินผิดหรือเปล่า”

“น้องอวิ๋น  เจ้านี่มันยังไงกัน  เจ้าอยากให้ข้ารับข้าก็รับ  ใยต้องถามหาเหตุผล”

“นั่นสินะ  งั้นปรบมือทำสัญญากัน”  หลี่โอ๋อวิ๋นยื่นฝ่ามือไปข้างหน้าตรงกลางโต๊ะ   ซีคงหยูยื่นมือออกไปแปะเป็นสัญญา

“ยอดเยี่ยม”  ซีคงหยูกล่าวชม  จากนั้นส่งกระดาษที่เขียนรายการปมเหมืองซึ่งพรรคปลาทูสีน้ำเงินจะเข้าโจมตีให้กับท่านผู้บัญชาการ


+++++


ออฟไลน์ korinasai

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 309
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
เราสัมผัสได้ว่า ซีคงหยูฉลาด ความสามารถ แต่นางขี้เกียจ 5555

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook

ตายแล้วอาหยู อยู่ดี ๆ ก็ทำตัวมีวุฒิภาวะขึ้นมาเสียอย่างนั้น เสี่ยวหมีของป้าเลยตกลงป๋องไปชั่วคราว
เพ้ย! นี่มันนิยายอะไร ทำไมถึงทำให้ความนิยมในตัวหมีผันแปรได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้

(อีป้านี่เอาแต่พูดถึงหมีและเจ้าของหมี แต่มิเคยพูดดี ๆ ถึงน้องอวิ๋นเลย - สงสัยน้องอวิ๋นต้องรีบทำคะแนนเสียแล้วล่ะ จะมามัวแอบหลบแผ่รังสีอาฆาตอยู่ตามซอกหลืบต่อไป เห็นจะไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่แท้ // ตบบ่าน้องอวิ๋นปุ ๆ )

ขอบคุณที่เขียนนิยายสนุก ๆ แบบนี้ให้อ่านค่ะ จะลงสักกี่ตอน เราก็จะติดตาม
(นี่ก็เตรียมตะบันน้ำรอแต่เนิ่น ๆ เลยนะ - แต่ต้องขอโทษคุณคนเขียนล่วงหน้า หากเรามาเม้นช้า หรือเม้นข้ามบางตอน
เพราะเรานอนหัวค่ำ จะเห็นหน้าเสี่ยวหมีอีกทีก็ตอนเช้าของอีกวันแล้ว)

ป.ล. เรามาอ่านชื่อเรื่องอีกที แล้วก็ผงะไปชั่วครู่
หรือเนื้อเรื่องกว่าพันสี่ร้อยตอนข้างหน้าจะว่าด้วยการฝึกวิิิทยายุทธของเสี่ยวหมีกันนะ...
หรือแท้ที่จริงแล้ว เทพยุทธหมีดำในตำนานจะมีขนปุกปุยและพุงพลุ้ย ร้องอ๊อ ๆ ? อืม... น่าคิด

ป.ล.1 พอได้ยินเสียงหมีเขียวแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าระหว่างหมีด้วยกัน จะเคยสนทนากันไหมคะ?
เอาดี ๆ เราว่าต้องน่ารักแน่ ๆ เลย อ๊ออออออออ แออออออออ๊ อ๊ออออ แออออ๊ (แต่คนฟังอย่างเราคงไม่รู้ความหมาย)



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-09-2017 07:04:17 โดย Malimaru »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
แวะมาจิ้มเป็ดเหลืองค่ะ
ให้กำลังใจคนเขียนนะคะ  :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ wnkth

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
อะไรคือทำสัญญากันแบบนั้นครับ ?

ออฟไลน์ Kirimanjaro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
mild-dy:   :mew1:

korinasai:  ฉลาดหรือเปล่าไม่รู้  แต่ขี้เกียจน่ะจริงแน่แท้  อิอิ

Malimaru: เสี่ยวหมีกลับมาแล้ว  และกำลังบุกตะลุยโจมตีศัตรูอย่างห้าวหาญในตอนล่าสุดนี้  ฮี่ ๆ
ส่วนน้องอวิ๋นก็ยังคงแอบมองในเงามืดต่อปายยย

ปล. ได้ลองอ่าน Ze Tian Ji หรือยังครับ  เป็นไงบ้าง  ผมหลงเสน่ห์มันต้องแต่ prologue เลยนะ

 sirin_chadada: ขอบคุณคร้าบบ  ทั้งสำหรับเป็ดเหลืองและกำลังจาย

wnkth: เหมือนกับบ้านเราเกี่ยวก้อยกันไง  ซึ่งสัญญาก็ไม่ได้หนักแน่นแบบคำสาบาน  แต่มันจะหนักแน่นสำหรับคนที่มีชื่อเสียงในยุทธจักร


+++++



ประตูทรราชแบ่งกลุ่มโจมตีออกเป็นห้ากลุ่ม  แน่นอนว่าคุณชายสามก็ต้องอยู่กับหลี่โอ๋อวิ๋นในกลุ่มที่หนึ่ง  ถึงแม้ว่าซ่งมู่จะแยกไปนำกลุ่มที่สอง  แต่ในกลุ่มที่หนึ่งก็มีซ่งจินพี่ชายของซ่งมู่  เขาเป็นมือธนู..อาวุธที่น้อยคนนักจะใช้งาน   เพราะว่าเมื่อท่านบรรลุถึงเขตแดนจันทราเลื่อนลอย  ท่านก็จะสามารถถ่ายทอดพลังปราณบังคับกระบี่บินโจมตีจากระยะไกลได้  ซ่งจินมีใบหน้าที่ค่อนข้างหล่อเหลาคล้ายกับน้องชาย  แต่บุคลิกของเขานั้นแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง   เขาเป็นคนเงียบ ๆ จนแทบจะเรียกได้ว่าเฉยชา   ดวงตาสีสนิมเหล็กของเขาดูไร้เป้าหมายเหมือนตาปลาตาย  ทว่าหากท่านสั่งให้เขายิงแมลงวันที่บินอยู่ห่างออกไปห้าสิบวา  เขาจะเด็ดปีกมันได้อย่างไม่พลาดเป้า  นอกจากซ่งจินที่ถือว่าฝีมือค่อนข้างดีในบรรดาศิษย์ใหม่ของประตูทรราช  กลุ่มที่หนึ่งก็ไม่มีใครที่คู่ควรแก่การอ้างถึง   และเนื่องจากต้องกระจายยอดฝีมือออกไปตามกลุ่มต่าง ๆ  ผู้กล้าทวนแดงที่ถือเป็นบุคลากรภายนอกก็ถูกแบ่งให้ไปช่วยเหลือกลุ่มที่สาม

ทุกกลุ่ม  ทุกพรรค  และทุกสำนัก  พร้อมอาวุธและเสบียง  เข้ามาชุมนุมกันพร้อมหน้าที่หน้าผาใหญ่ของเขาจิ้งซานอันเป็นที่มาของชื่อเมือง  หน้าผานั้นเต็มไปด้วยรอยแตกร้าวมองเห็นหลืบเงามืดดำเจาะลึกเข้าไปข้างใน  ผิวของหน้าผาขรุขระแต่มีก้อนหินยื่นออกมาเป็นระยะพอให้แพะภูเขากระโดดไปมาได้   คนธรรมดาอาจจะมีปัญหากับการปีนหน้าผา  แต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรกับผู้ฝึกวรยุทธขั้นต้น

ทุกคนแหงนมองหน้าผาจิ้งซานด้วยใจจดจ่อ  รอให้ถึงเวลา  ...และดินแดนลี้ลับก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาผิดหวัง   มันเริ่มจากแสงสีแดงเรื่อเรืองที่ค่อย ๆ แผ่จากส่วนลึกในถ้ำรอยแยก  ก่อนที่แสงนั้นจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีขาวขับไล่เปลวแสงสีแดงพวยพุ่งออกมาเหมือนเถาวัลย์หรือหนวดของสิ่งมีชีวิตประหลาดที่ขดตัวและเคลื่อนไหมไปมาที่หน้าปากทางเข้าประตูมิติ  ผู้อาวุโสจากสำนักทั้งห้าซึ่งยืนเหยียบอากาศอยู่บนท้องฟ้าสูงลิบสะบัดชายเสื้อ  ยิงดอกไม้ไฟเป็นสัญญาณ  ดอกไม้ไฟระเบิดกลางอากาศ   เสียงตึบเบา ๆ ท่ามกลางความเงียบแบบอัดอั้นของผู้คนเบื้องล่าง  พวกเขาเขาร้องเฮแล้วแยกออกเป็นกลุ่มกรูพุ่งเข้าไปในช่องหลืบเรืองแสงทั้งหมดยี่สิบสี่ช่อง

ศิษย์สำนักประตูทรราชและชาวยุทธรับจ้างในกลุ่มที่หนึ่งหันมามองชายผู้ใส่เสื้อกันฝนและมีหมวกคลุมครึ่งหน้าซึ่งยืนกอดอกมองความสับสนวุ่นวายอยู่  ทว่าไม่เพียงแต่กลุ่มของหลี่โอ๋อวิ๋นที่หยุดรอ  กลุ่มของจางชุ่ยฮัว  จ้าวเหรินเจี่ยน  และตู้เกี่ยนหลงก็ยังไม่รีบเลือกเฟ้นเหมืองที่ตนจะเข้าไปเช่นกัน

“ที่แท้ก็หลี่โอ๋อวิ๋น”  คุณชายเสื้อไหมลายงูยักษ์เอียงศีรษะไปพูดใกล้ ๆ ตู้เกี่ยนหลงซึ่งโยนก้อนหินสองก้อนในมือเล่นสลับไปมา  เจ้าของผ้าคาดหัวขาวปักลายมังกรด้วยเส้นไหมครามเหล่มองกลุ่มเดียวที่ยังยืนอยู่ของประตูทรราช

“แปลก  ถ้าเป็นเขาจริง ๆ ทำไมปล่อยให้เราส่งคนไปสอดแนมได้   ข้าคงต้องประเมินหลี่โอ๋อวิ๋นใหม่”

   “น้องตู้หมายความว่าอย่างไร”

   “ฮ่า ๆ  ศิษย์พี่ภูมิใจในสายเลือดงูโบราณของตนเอง  แต่ทำไมท่านไม่รู้ว่าคุณสมบัติของสัตว์ประเภทงูคืออะไร”
อย่างไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ  ก้อนหินที่ตู้เกี่ยนหลงโยนเล่นร่วงลงมากระทบกันดังเป๊กในมือของเขา 
   “..มันคือความอดทน”

   “แต่หลี่โอ๋อวิ๋นไม่ใช่อสรพิษ”   คุณชายหน้าสวยท้วง

   “ใช่  เขาไม่ใช่..”  เด็กหนุ่มพูดด้วยดวงตาวิบวับและสีหน้าติดจะสนุก  “..เขาคือมังกร”

เจ้าของดวงตารูปอัลมอนด์จับจมูกตนเองและกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสดใส  “และศิษย์พี่รู้หรือไม่ว่านามของข้าหมายความว่าอย่างไร... สังหาร พัน มังกร”

คุณชายเสื้อน้ำตาลไม่กล่าวอะไร  แต่ค้อมตัวน้อย ๆ คารวะในความทะเยอทะยาน  เพราะตู้เกี่ยนหลงเป็นศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้าสำนัก  ระดับวรยุทธและประสบการณ์ยังคงห่างชั้นกับหลี่โอ๋อวิ๋นมาก


เมื่อเห็นว่าทุกคนรีรออยู่  สองเฮียม่วยวังหมื่นบุปผาก็นำศิษย์ร่วมสำนักภายใต้ร่มธงของตนเข้าไป  คนพี่ชายใส่เสื้อสีฟ้าลายเมฆหลังสะพายกระบี่ดูองอาจ  ส่วนน้องสาวใส่ชุดโบราณสีขาวที่ขาวยิ่งกว่าหิมะ   สองแขนมีแถบผ้าแพร  ทั้งคู่แทบไม่แลมองใคร  จมูกชี้สู่ท้องฟ้าดูเย่อหยิ่ง

   จางชุ่ยฮัวลอบมองหลี่โอ๋อวิ๋นที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ  เป็นเชิงสอบถาม    ยอดนักดาบพยักหน้าน้อย ๆ จนแทบจะไม่เห็นถ้าไม่สังเกต  กลุ่มของจางชุ่ยฮัวจึงเป็นกลุ่มที่สองในระดับหัวหน้าที่เลือกทางเข้าดินแดนลี้ลับไปหนึ่งทาง  ศิษย์สามสำนักที่เหลือ  ไมตรีโลหิต  อำพันโบราณ  และประตูทรราชลอบสอดส่องซึ่งกันและกัน  และจ้าวเหรินเจี่ยนก็ทำลายความเงียบ  เขาประสานมือไปทางสำนักประตูทรราช

   “คุณชายหลี่  จากมาสบายดี?”

หลี่โอ๋อวิ๋นพยักหน้าให้   “อืม  น้องชายจ้าวก็ดูสบายดีไม่ใช่น้อย”

   “มิทราบว่า  การขุดเหมืองครั้งนี้  คุณชายหลี่มีแผนการอะไรเป็นพิเศษ”

   “ฮ่า ๆ  เราสองใยต้องปรึกษาเรื่องแผนการ  ภายใต้ดาบกระบี่อันเด็ดขาดย่อมทลายทุกแผนร้าย”   หลี่โอ๋อวิ๋นพูดอย่างโอหัง  สายตาก็กวาดไปทั้งสองสำนักตรงกันข้าม

   “คุณชายหลี่ก็กล่าวไป”  จากนั้นจ้าวเหรินเจี่ยนก็หันไปทักทายผู้นำกลุ่มของสำนักอำพันโบราณ  “คุณชายท่านนี้คือ...”

   “ข้าเรียกว่าตู้เกี่ยนหลง  ขอคารวะพี่จ้าวที่พบกันครั้งแรก”   เด็กหนุ่มส่งยิ้มกว้างกลับไป  ซีคงหยูที่ยืนอยู่หลังหลี่โอ๋อวิ๋นลอบมองคนพูดอย่างสนใจ  เพราะตู้เกี่ยนหลงแต่งกายไม่เหมือนคนอื่น ๆ  ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บของจิ้งซานเขาใส่เสื้อด้ายดิบแขนกุดเหมือนเสื้อของชาวประมงเผยกล้ามแขนที่ถือว่าแน่นเมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มวัยเดียวกัน  และมีผิวที่เป็นสีน้ำตาลอ่อน ๆ เหมือนคนที่อยู่กลางแจ้งเป็นประจำ   ถ้ามองเผิน ๆ อาจจะคิดว่าเป็นเด็กหนุ่มชาวบ้านธรรมดา  ทว่าโครงหน้าที่ละเอียดอ่อนและผ้าคาดหัวสีขาวปักลายมังกรของเขาอันปล่อยชายปลิวไสว  ช่วยเพิ่มความรู้สึกสูงส่งให้กับเขาเจ็ดส่วน  ตู้เกี่ยนหลงเหมือนกับรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมาจึงเหลือบสวนกลับไปแวบหนึ่ง

   “คารวะที่พบกันครั้งแรกเช่นกัน”  จ้าวเหรินเจี่ยนประสานมือกลับ   จากนั้นกล่าวกับทั้งคู่  “นี่ก็ได้เวลาแล้ว  คุณชายหลี่  คุณชายตู้  จ้าวขอล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง”  เขายิ้มบาง  โบกมือเป็นสัญญาณพาศิษย์สำนักไมตรีโลหิตปีนหน้าผาไป

   “น้องอวิ๋น”  ซีคงหยูกระตุกแขนเสื้อของหลี่โอ๋อวิ๋น  อีกฝ่ายทำเสียงอืมในคอ  เขาจึงกล่าวต่อ  “ข้าไม่เข้าไปได้มั้ย”

   “ไหนเจ้าสัญญาว่าจะไปด้วยไง”

   “ข้าช่วยขุดเหมืองได้  ข้าไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะไปช่วยสู้กับอสูร”

   “เจ้าจะมาปอดแหกอะไรตอนนี้”

“ข้าไม่ได้ปอดแหก  ข้าแค่รอบคอบ”

“ถ้าเจ้าทำตัวไม่มีประโยชน์  ข้าจะเตะเจ้าลงเขาตอนนี้”

“เฮ้  ข้าเป็นคู่หมั้นเจ้านะ”

“เพ้ย  ริจะใช้เต้าไต่  ดูถูกข้าไปหน่อยรึเปล่า  ซ่งจิน  เอาเชือกมา!”

   “แว๊ก!”

หลี่โอ๋อวิ๋นมัดคุณชายสามไว้กับเสี่ยวหมี  จากนั้นหิ้วทั้งคนทั้งหมี  สะกิดเท้าใช้วิชาตัวเบาไต่หน้าผาเข้าหนึ่งในประตูแดนลี้ลับไป 

   สองหนุ่มและหนึ่งหมีเข้ามาในรอยแยกมิติ  ภายในนั้นดูเหมือนทางเดินในถ้ำธรรมดา  มันเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อย  ก้อนหินหัก ๆ และหลืบรูลดเลี้ยวที่ดูเหมือนจะพาเจาะทะลุลงไปในใจกลางโลก   ซ่งจิน  กลุ่มศิษย์ใหม่ และชาวยุทธรับจ้างยังมาไม่ถึง   พวกเขาไม่สามารถใช้วิชาตัวเบาได้เหมือนคุณชายหลี่  จึงต้องปีนหน้าผาขึ้นมาด้วยกำลังกาย

   หลี่โอ๋อวิ๋นนั่งยอง ๆ ตรงหน้าหนึ่งคนกับหนึ่งหมีที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่กับพื้นถ้ำ

   “น้องอวิ๋น  เจ้าจะทำอะไรข้า”  คุณชายสามพยายามดิ้นให้หลุดจากเชือกเมื่อเห็นอีกฝ่ายเข้ามาจ้องหน้าใกล้ ๆ ด้วยสายตาวิบวาว

   “ข้าจะช่วยเจ้าน่ะสิ  ข้ารู้ว่านี่เป็นครั้งแรกของเจ้า  แต่ทำตัวผ่อนคลาย  ไม่ต้องตื่นเต้น”

   “ไอ๊หยา!  น้องอวิ๋นพูดอะไร  ข้าขายศิลปะ  ไม่ขายร่างกาย”

หลี่โอ๋อวิ๋นไม่ตอบ  เขาผิวปากหวือพลางเรียกกล่องหยกจากแหวนสี่มิติของตนเอง  ข้างในกล่องหยกเป็นกระเปาะแก้วที่มีเข็มตรงปลายวางอยู่บนสำลีบุ  ข้างในกระเปาะแก้วมีของเหลวที่น่าสงสัย  หลี่โอ๋อวิ๋นหยิบมันขึ้นมาโคจรปราณเข้าไปไล่อากาศจนของเหลวในนั้นกระเด็นเป็นฝอยออกมาเล็กน้อย

   “ยาเซียนธาตุไฟ”  ซีคงหยูโพล่งออกมาเมื่อเห็นของในมืออีกฝ่าย

   “อาฮะ...ความรู้กว้างขวางดีนี่อาหยู”

ยาเซียนในยุทธภพแบ่งออกเป็นห้าธาตุ  ดิน ไฟ น้ำ ไม้ ทอง  ซึ่งแยกจากวิธีการบริโภค   ยาธาตุไฟต้องให้ทางโลหิต  ธาตุน้ำสามารถกินเข้าไปได้  ธาตุไม้ต้องให้ผ่านทางเดินหายใจ   ธาตุดินใช้ทาภายนอกที่ผิวหนังหรือบาดแผล  ส่วนธาตุทองต้องใช้พลังปราณละลายและส่งมันเข้าไปในร่างกาย

   “หยึยขนลุก  อย่ามาเรียกสนิทสนมแบบนั้นสิ” 

   “ทีเจ้ายังเรียกข้าว่าน้องอวิ๋น”

   “งั้นข้าจะเลิกเรียก”

   “ห้ามเลิกเรียก”   หลี่โอ๋อวิ๋นจับแขนของอีกฝ่าย  แล้วกดเข็มลงไป

   “โอ๊ย...เจ้ายังไม่บอกเลยว่านี่ยาอะไร”

หลี่โอ๋อวิ๋นใช้พลังปราณขับตัวยาเข้าเส้นเลือดของอีกฝ่ายจนหมด   ดึงเข็มออกแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าของตนกดแผลรูเข็มเอาไว้ให้

   “ความกล้าหาญของหนู่โม่หวาง  เป็นยาเพิ่มความกล้า”  เขาตอบ  “เจ้าจะรู้สึกตื่นเต้น  สนุกสนาน  และไม่กลัวอันตราย  ปกติเราใช้กับเด็กใหม่สายป๊อดเวลาที่พาออกไปล่าอสูร  แต่บางที...”   คนหน้าดุยื่นมือไปเชยผมที่ซอกหูของคุณชายสาม  “..มันก็ใช้เป็นยาเสียสาวได้  เพราะเจ้าจะขาดความยับยั้งชั่งใจระหว่างที่ยาออกฤทธิ์”

   ซีคงหยูเบี่ยงคอหลบมือที่มาแตะบริเวณแก้มและใบหูของเขา  เม้มปากและมองไปที่อื่น  หลี่โอ๋อวิ๋นเลิกคิ้วอย่างนึกสนุกเมื่อหยอกพอแล้ว   เขาหยิบมีดสั้นข้างเอวมาตัดปมเชือกที่มัดคุณชายสามเอาไว้  แล้วถอยออกมายืนดูห่าง ๆ  ถึงตอนนั้นซ่งจินก็พากลุ่มสำรวจเข้าปากถ้ำมาพอดี   คุณชายสามลุกขึ้น  ปัดเศษผงออกจากเนื้อตัว  แล้วหันไปดุหมี

   “ทำไมเจ้าไม่ปกป้องข้าเลยห๊ะ  เสี่ยวหมี”

   “อ๊อออออออ”

เสี่ยวหมีทำหน้าเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม  โดนหิ้วคอปลิวขนาดนั้น  ถ้าขัดขืนก็แสวงหาความอับอายให้ตนเองซะเปล่า ๆ

   “เจ้ามีอาวุธหรือไม่”

   “ต้องมีแน่อยู่แล้ว”   เขาควักเอาก้อนวัตถุกลม ๆ สีดำออกมาจากในกระเป๋าสองก้อน  เมื่อเห็นทุกคนทำหน้าฉงน  คุณชายสามจึงรีบแนะนำ  “นี่คือระเบิดควันสารพัดนึก ver 2.37  ผลงานชิ้นเอกของข้า”

   “ไม่นึกว่าเจ้ามีฝีมือด้านกลไก”   ยากที่หลี่โอ๋อวิ๋นจะเอ่ยปากชมใคร  “ว่าแต่มันใช้ทำอะไร”

   “ฮ่า ๆ ก็ต้องใช้เผ่นหนีแน่อยู่แล้ว”

   “...”



+++++++


   ซ่งจินรับหน้าที่ดูแลคุณชายสาม  ผู้ยิ้มอย่างมั่นใจตลอดเวลาเนื่องจากยาเริ่มออกฤทธิ์  “ความกล้าหาญของหนู่โม่หวาง”  มีผลข้างเคียงที่ต้องระวัง  คือผู้เสพมักจะกล้าบ้าบิ่นเกินกว่าที่ตนจะประเมินได้   จึงต้องมีพี่เลี้ยงคอยดูแล   ซีคงหยูฟาดดาบในมือกับหินงอกที่อยู่ระหว่างทาง  หินบางก้อนมีสายแร่โลหะอยู่จึงเกิดประกายไฟดังเปรี๊ยะปร๊ะ

“คุณชายซีคง  ถ้าเจออสูร  ท่านต้องยืนข้างหลังข้า”  ซ่งจินเตือนเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินฟาดดาบเล่นไปทั่ว

“ถ้าห้าวนัก  ก็ปล่อยให้มันโดนงาบหัวไปเลยก็ได้”  หลี่โอ๋อวิ๋นตะโกนมาจากข้างหน้า  เขาเดินสำรวจอย่างระมัดระวังเพื่อจับสัญญาณของอสูรที่ซุ่มซ่อนอยู่

เมื่อได้ยินคำขู่  คุณชายสามเลยทำคอย่น  แล้วเลิกเหวี่ยงดาบเล่น  แต่ทันใดนั้นเอง  พื้นถ้ำที่พวกเขาเดินอยู่ก็สะเทือน  น้ำในแอ่งที่เกิดจากปลายหินย้อยหยดก็กระเพื่อมเป็นระลอก   หลี่โอ๋อวิ๋นยั้งเท้ากำดาบสองมือเป็นมั่นเหมาะ

“มาได้ดี”

สิ้นคำพูด  ก็มีเงากระโจนออกมาจากส่วนลึกของถ้ำพุ่งเข้าใส่หลี่โอ๋อวิ๋น  มือดาบไร้ธุลีพลิกดาบใช้ด้านใบดาบปัดป้องการโจมตีของอีกฝ่าย  สีหน้าของเขาสบาย ๆ  เหมือนกับหยอกเล่นกับเด็กทารก   ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดในเหมืองระดับต้นที่ทำให้เขารู้สึกว่าจะต้องต่อสู้อย่างจริงจัง

   เมื่อโจมตีไม่สำเร็จ  เงาดำดังกล่าวก็กระโจนถอยออกไปเกาะกับเพดานถ้ำ  มันเหมือนลิงปีศาจตัวเล็ก ๆ ที่มีร่างกายแคระแกรนผิวสีดำสนิท  ดวงตาโปนโตราวกระดิ่ง  แก้วตาเป็นลิ่มแหลมคล้ายตางู  และมีหูที่ใหญ่เหมือนกับค้างคาว

   “เกรมลิน!”   ชาวยุทธที่พอมีประสบการณ์อุทาน  เกรมลินเป็นอสูรที่ว่องไว  เฉลียวฉลาด  และชั่วร้าย   ที่สำคัญ  มันไม่ออกล่าเพียงตัวเดียว   และตอนนั้นเองก็มีเสียงจิ๊กจั๊ก ๆ จากส่วนลึกของถ้ำ   พร้อมกับเสียงแปะ ๆ ของฝีเท้าที่กรูเข้ามาของฝูงเกรมลิน  เมื่อพวกมันเข้ามาสู่ระยะแสงของมุกเซียนที่คณะสำรวจถืออยู่  มันก็ขู่คำรามอย่างชั่วร้ายดังฟอด ๆ

   “พวกเจ้ารออะไรอยู่!  ฆ่ามัน!”  หลี่โอ๋อวิ๋นตะโกน  เมื่อเห็นพวกศิษย์ใหม่กับชาวยุทธยืนตะลึง  ถึงแม้ว่าเกรมลินฝูงนี้จะทำอันตรายเขาไม่ได้แม้แต่ปลายผม  แต่ถ้าเหล่าศิษย์น้องยังไม่เริ่มลงมือ  ก็อาจจะต้องมีคนสังเวยชีวิต

   ระดับพลังปราณของหลี่โอ๋อวิ๋นเพียงพอที่จะกวาดทำลายพวกมันทั้งหมดในกระบวนท่าเดียว  แต่ถ้าเขาจะทำอย่างงั้น   ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องลากพวกเด็กใหม่มาตั้งแต่แรก

   เสียงหวีดหวิวเฉียดผ่านไป   ซ่งจินเป็นคนแรกที่ตอบสนอง   เขาเริ่มยิงเกรมลินด้วยธนูในมืออย่างเยือกเย็น  อัตราการยิงของเขา  ไม่เร็วไม่ช้า  ดวงตาปลาตายของเขาจ้องไปข้างหน้าและปล่อยธนูซึ่งโดนอสูรน้อยเหล่านั้นแทบทุกดอก

ซีคงหยูเอาดาบฟาดเกรมลินที่กระโดดเข้ามาใกล้  แต่เพราะความไร้ทักษะของเขา  ทำให้พวกมันกระโดดหนีไปได้  ชาวยุทธและศิษย์สำนักคนอื่น ๆ เริ่มแสดงพลังฝีมือของตนเอง   พวกมันเริ่มถูกกำจัดไปทีละตัวสองตัว   ขณะที่หลี่โอ๋อวิ๋นไม่ได้ฆ่าเกรมลินตัวใดเลย  เขาเอาแต่ปัดป้องและปล่อยให้ศิษย์ใหม่เป็นผู้ล่า

การต่อสู้รอบแรกเป็นอะไรที่น่าตกใจ  แต่ไม่มีอันตราย   พวกเขาหยุดพัก  และคว้านท้องของเกรมลินเพื่อควักแกนอสูรออกมา  พวกมันสามารถใช้ไปเป็นส่วนผสมของยา  รวมทั้งมีวิชายุทธบางประเภทที่ฝึกโดยใช้แกนอสูรเหล่านี้

   ซีคงหยูนั่งพิงกับหลังเสี่ยวหมี  เขามือสั่นเล็กน้อย  ในตอนแรกเขาก็กลัว  แต่ตอนนี้เริ่มตื่นเต้น   เขาอยากเจออสูรอีกรอบ  เพื่อที่จะได้ฝึกโจมตีมันให้โดนเสียที

   “เอ้า  น้ำ”  หลี่โอ๋อวิ๋นเดินเข้ามาใกล้และยื่นกระบอกน้ำที่ทำจากไม้ไผ่หยกเย็นให้  ซึ่งทำให้น้ำที่เก็บไว้ในกระบอกจะเย็นชื่นใจตลอดเวลา

   “เจ้าต้องคอยดื่มน้ำตลอด  เพราะถ้าตื่นเต้นเกินไปเจ้าจะลืมดื่มน้ำ  อีกอย่างถ้ารู้สึกเบลอหรือสมองช้า  ให้หยุดพัก  บอกข้าหรือซ่งจินทันที”

“ข้าสบายดี  ขอบใจน้องอวิ๋นที่เป็นห่วง”

“ก็ดีแล้ว”  หลี่โอ๋อวิ๋นพูดด้วยสีหน้านิ่งเฉยแล้วเดินไปดูแลศิษย์ร่วมสำนักคนอื่น

    “เจ้าเป็นคู่หมั้นของผู้กล้าหาญหลี่จริง ๆ น่ะรึ”  ชาวยุทธรับจ้างที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ กระแซะมาแล้วเอ่ยปากถาม

   “เพ้ย  ถ้าไม่ใช่เขาจะดูแลข้าดีขนาดนี้เรอะ”  พูดแล้วก็เหล่ไปเห็นหลี่โอ๋อวิ๋นส่งกระบอกน้ำแบบเดียวกันให้ซ่งจิน  แถมส่งผ้าซับเหงื่อให้อีกต่างหาก  บร๊ะ!

   “ไม่น่าเชื่อ...”  ชาวยุทธอีกคนมองหน้าคุณชายสามแล้วส่ายหัว

ซีคงหยูฟังแล้วก็อยากคว่ำโต๊ะ  ถึงข้าจะไม่หล่อที่สุดในเรื่อง  แค่ค่าความหน้าตาดีของข้าก็เกิน 6.0 นะเห้ย  ส่วนไอ้น้องอวิ๋นน่ะหรอ  เอาไป 9.5 ล่ะกัน  อ่ะยอมรับก็ได้ว่าข้ามันหมาวัด   แต่เห้ย  นี่ข้ายอมตกลงปลงใจรับเรื่องนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่  ไม่ได้ ๆ ยาเซียนความกล้าของหนู่โม่หวางมันต้องทำให้ตรรกะข้าผิดเพี้ยนไปหมดแน่ ๆ

   “น้องชาย  เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”  ชาวยุทธพเนจรวัยกลางคนที่ถามเขาเมื่อครู่ถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นคุณชายสามโคลงหัวไปมาแล้วทุบขมับตัวเองดังปึ๊ก ๆ

   “ไม่มีอะไร”

   เขาใช้ปลายดาบยันพื้นแล้วลุกขึ้น  เพราะว่าหลี่โอ๋อวิ๋นเรียกรวมพลพอดี


+++++

   คณะสำรวจยังคงเคลื่อนไปข้างหน้าแบบเดิม  หลี่โอ๋อวิ๋นไม่ใช่คนพูดมาก  เขาไม่สอนหรือบอกว่าใครจะต้องทำยังไง  และปล่อยให้เรียนรู้จากประสบการณ์  พวกเขาเจอการต่อสู้อีกสองครั้ง  โชคดีที่ไม่มีคนตาย  แต่คิดอีกทีก็เป็นเพราะมียอดฝีมือระดับจันทราเลื่อนลอยคอยดูแลอยู่ 

ถัดจากทางคดเคี้ยวของถ้ำใต้ดิน  พื้นที่ที่พวกเขาเดินเข้าไปก็กว้างขึ้นเรื่อย ๆ  จนกระทั่งพวกเขามาหยุดอยู่ตรงจุดที่คล้ายเฉลียงชมวิว  รูที่พวกเขามุดออกมาอยู่สูงจากระดับพื้นเบื้องล่างมาก  และหน้าผาที่เหยียดยาวลงไปเบื้องล่างก็สูงชันราวกับมีคนเอาขวานมาถากจนเรียบ   เมื่อมองลงไปตามมุกเซียนส่องแสงที่ถูกโยน  พวกเขาก็เห็นสิ่งมีชีวิตที่มีเรือนร่างเหมือนมนุษย์  แต่ใหญ่มหึมาสูงมากกว่าห้าเมตรและมีดวงตาเพียงดวงเดียว  ปากของมันไม่ได้อยู่ที่คาง  แต่อยู่ตรงพุงอันล้นหลาม  เหมือนมันถูกแหวะพุงออกแล้วเอาเขี้ยวฉลามไปประดับ  เนื้อของมันเป็นสีขาวอมเขียวยับย่น  ทั้งยังส่งกลิ่นอย่างรุนแรงจนมาถึงคณะสำรวจที่ยืนอยู่ตั้งไกล

“เสียงพื้นดินสะเทือน  ดังมาจากไอ้ตัวพวกนี้นี่เอง”  ศิษย์ใหม่คนหนึ่งอุทานอย่างระมัดระวัง

   “มันตัวใหญ่  แต่วรยุทธของมันก็ไม่เกินขั้นตะวันขึ้นสาย  พวกเจ้าจะกลัวอะไร”  หลี่โอ๋อวิ๋นพูดพลางขมวดคิ้วเมื่อเห็นหลาย ๆ คนดูสีหน้าไม่ค่อยดี

   “น้องซ่ง  เจ้ายิงพวกมันจากตรงนี้ได้หรือไม่”  คุณชายสามออกความเห็นเมื่อพบว่าพวกเขาอยู่ในที่สูงกว่าพวกอสูร

   “ระยะไกลเกินไป”  ซ่งจินตอบด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์   หลี่โอ๋อวิ๋นกอดอกและยืนรอดู  ซ่งจินลังเลเล็กน้อย  ก่อนสะพายธนูไว้ที่หลังก่อนเรียกศิษย์สำนักและชาวยุทธพเนจรให้เตรียมตัวไต่หน้าผาลงไปข้างล่าง  พวกเขาห่อมุกเซียนส่องแสงไว้ในผ้า  และโรยตัวลงไปเงียบ ๆ  กลิ่นของอสูรฉุนเฉียวมากขึ้นเมื่อพวกเขาเข้าใกล้พื้นเบื้องล่างจนหลายคนต้องเอาผ้าปิดจมูกไว้  ทว่ายอดฝีมือระดับหลี่โอ๋อวิ๋นสามารถโคจรปราณปิดและเปิดสัมผัสทั้งห้าได้ตามใจนึก  เขาเหยียบอากาศลอยละล่องเหมือนขนนกตามลงไปเมื่อทุก ๆ คน ไต่ลงจากหน้าผาแล้ว  มือของเขาข้างหนึ่งหิ้วเสี่ยวหมี  และอีกข้างหิ้วซีคงหยู

   “ข้าอยากปีนผา”  คุณชายสามประท้วง  เมื่อมีเรื่องสนุกแต่เขาไม่ได้ร่วม

   “....”   หลี่โอ๋อวิ๋นรู้สึกไม่ค่อยคุ้นกับคุณชายสามเวอร์ชั่นนี้

เสี่ยวหมีปิดปากตัวเองไว้ไม่ให้ร้อง  ขาหลังของมันดิ้นไปดิ้นมาด้วยความกลัวความสูง  แต่มันกลัวพวกอสูรจะได้ยินมากกว่า

เมื่อทุกคนลงมาถึงพื้น  ซ่งจินสั่งให้จัดขบวน  หลี่โอ๋อวิ๋นหามุมยืนหลบพร้อมกับเสี่ยวหมี  เท้าก็เตะซีคงหยูให้ไปรวมกลุ่มกับพวกนักล่า  ซีคงหยูแยกเขี้ยวใส่พ่อคนเท้าหนัก  แล้ววิ่งถือดาบปุเลง ๆ ไปร่วมกับคนอื่น ๆ

   เมื่อกระบวนรบพร้อม   ซ่งจินก็คลี่ห่อผ้าแล้วโยนมุกเซียนส่องแสงไปด้านหน้า

“โฮกกกกกกก!!”

เสียงคำรามดังสนั่นเมื่อพวกมันเห็นแสงจากมุกและผู้บุกรุก  ร่างใหญ่กว่าห้าเมตรนั้นก้าวตะลุยเข้ามา  ขณะที่ซ่งจินเอื้อมมือไปข้างหลังหยิบลูกศรมาน้าวส่งแหวกอากาศไปเสียงหวีดหวือ

   “หน่วยลาก  ล่อตัวอื่นออกไปก่อน”

ซ่งจินสั่ง   ชาวยุทธพเนจรและศิษย์สำนักที่มีวิชาท่าร่างเกี่ยวกับความเร็วก็ถือมุกส่องแสงวิ่งออกไปจากกลุ่มเพื่อล่ออสูรตัวอื่นไม่ให้เข้าไปกลุ่มรุมพร้อม ๆ กัน

มือฉมังธนูยิงพลางถอยพลาง   อสูรร่างยักษ์คำรามอย่างโกรธเกรี้ยวแล้วกระชากลูกศารที่ปักอยู่ตามร่างกายของมันออก  ตาดวงเดียวกลางศีรษะของมันเหลือกแดงฉานราวกับขอบตานั้นแทบจะปริออกมา   เมื่อมันคำรามกลิ่นก็คละคลุ้ง  ในกลิ่นไม่ใช่ชวนอาเจียนอย่างเดียว  แต่ดูเหมือนจะมีสารพิษที่ทำให้คนเหน็บชาอยู่ด้วย

   “ไอ้อสูรสกปรก!”   เหล่านักดาบสำนักประตูทรราชวิ่งเข้าไปฟันเล็งข้อเท้าและขาของมัน  ก่อนหลบฉากถอยห่างเหมือนนกนางแอ่น    พวกเขาทำตามกลยุทธกองโจรซึ่งได้ผลดีกับการโจมตีศัตรูขนาดใหญ่และเคลื่อนไหวเชื่องช้า  ซีคงหยูอยู่ในคลื่นการโจมตีลูกที่สาม  เมื่อถึงคิวของเขา  เขาก็วิ่งออกไปพร้อมกับคนอื่น ๆ และร้องอ๊ากกกกเพื่อปลุกปลอบกำลังใจของตน  ไข่มุกเรืองแสงที่ได้รับแจก  ร้อยแขวนอยู่กับหน้าอกกระเด้งกระดอนตามจังหวะย่างเท้าที่วิ่ง  แสงส่องใบหน้าจากปลายคาง  ทำให้ใบหน้าของเขาดูน่ากลัวอย่างประหลาด

   เสี่ยวหมีและหลี่โอ๋อวิ๋นที่ยืนดูจากระยะปลอดภัย  มองเห็นภาพของการโจมตีเป็นลูกไฟสีขาวที่พุ่งวาบไปมา  เหมือนไฟดวงวิญญาณที่กำลังโรมรันทำศึกกันใต้พิภพ   เสี่ยวหมีทาบอกเมื่อเห็นนายน้อยของตนพุ่งเข้าไปโจมตี  แต่แทบจะโดนตีนใหญ่ ๆ ของอสูรเหยียบ   เขากลิ้งตัวหลบทันเหมือนก้อนมุกเรืองแสงที่หมุนเป็นเกลียวอย่างรวดเร็วจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง

   หลี่โอ๋อวิ๋นจับคางตนเองอย่างครุ่นคิด   เขาเห็นซีคงหยูหลบการโจมตีได้อย่างแปลกประหลาดสองครั้งแล้ว  และด้วยสายตาที่กว้างไกลของเขากลับอ่านไม่ออกว่ามันเป็นท่าร่างชนิดใด  เขาขมวดคิ้วหันไปอีกทาง  ตวัดดาบที่กุมในมือ   อสูรยักษ์ตาเดียวที่ไล่ต้อนหน่วยลากคนหนึ่งจนจนมุม   ถูกปราณดาบร้อยลี้ผ่าศีรษะและร่างของมันให้แยกออกจากกันทันที   เขากะว่าการต่อสู้ครั้งสุดท้ายจะไม่ยื่นมือช่วยเลย  แต่ก็ทำใจไม่ได้เมื่อเห็นศิษย์ร่วมสำนักกำลังจะกลายเป็นก้อนเนื้อเละ ๆ

   “วิ่งกลับมา!”  ซ่งจินตะโกนเมื่อเห็นหน่วยลากคนนั้นตัวสั่นงันงก  ทว่ามันสายไป  เพราะอสูรอีกตัวอ้าปากที่ท้องอย่างกว้าง  แล้วงาบศิษย์คนนั้นเข้าไปทั้งตัว

   “ไร้ประโยชน์จริง ๆ”  หลี่โอ๋อวิ๋นพึมพำและปล่อยให้เป็นไป

   “ซีคงหยู!”  ซ่งจินตะโกนเรียก  เพราะเขาเห็นความว่องไวของอีกฝ่าย  “เจ้าไปลากอสูรทางขวาแทน  รู้ใช่มั้ยว่าต้องลากยังไง”

   “ได้เลยน้องซ่ง!”

 เขาเปิดกระติกน้ำดื่มเข้าไปหนึ่งอึก  แล้วปลดมุกที่คอ  ชูขึ้นเหนือหัววิ่งออกไปตามทางที่ซ่งจินบอก  ความกล้าหาญของหนู่โม่หวางทำให้เขาตื่นเต้นและปราศจากความกลัว  หางตาของเขาเหลือบมองพื้นในระยะที่แสงส่องไปถึง  และกระโดดไปตามก้อนหินที่ระเกะระกะต่าง ๆ อย่างคล่องแคล่ว  ขณะเดียวกันก็คอยหลบแขนและขาของพวกอสูรที่ฟาดเข้ามาโดยดูจากตาเรืองสะท้อนแสงที่วาววามอยู่ในความมืด  เขี้ยวของมันงับไล่หลังของคุณชายสามมาติด ๆ  ไอพิษในท้องของมันอบอวลจนแทบจะทนทานไม่ได้  แต่ซีคงหยูใช้ยาเซียนกันอัมพาตที่ซ่งจินแจกหลังจากที่ประเมินความสามารถของอสูรเสร็จ

   หลี่โอ๋อวิ๋นมือกำด้ามดาบแน่นจนเส้นเลือดขึ้นที่หลังมือ   เขาเพ่งปราณไปยังจุดตันเถียนที่หว่างคิ้วเพื่อให้สายตาคมกล้ามองเห็นได้ในความมืด   เสี่ยวหมีมองไม่เห็นอะไรนอกจากดวงแสงมุกที่เดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวหายตามที่ต่าง ๆ  และบางทีมุกแสงก็พุ่งเป็นเกลียววาบจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ

   ซ่งจินไม่มีเวลาสังเกตว่าคุณชายสามวิ่งออกไปไกลเกินไป  เขากำลังน้าวศรอย่างเอาเป็นเอาตายส่งลูกธนูใส่อสูรสามตัวที่กำลังเข้ามาโจมตีกลุ่มสำรวจหลัก


++++++

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-09-2017 16:05:24 โดย Kirimanjaro »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
+เป็ดจ้า

ออฟไลน์ wnkth

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
นี่ยอดวิชาหนีใช่มะ

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
นี่ยอดวิชาหนีใช่มะ

สงสัยอยู่
ทำไมท่าร่างถึงรวดเร็วแคล่วคล่อง แปลกตา
จนทำให้จับตาหลี่โอ๋อวิ่น
แหมๆ......พอหยูเรียกน้องอวิ๋นทีเดียว
หลี่โอ๋อวิ๋น สั่งหยูว่าห้ามเลิกเรียก  แอ๊ะๆ......ชอบล่ะสิ

หยู นี่ยังไง บางทีก็ยอมรับหลี่โอ๋อวิ๋น เป็นคู่หมั้นง่ายๆ ไบโพลาร์ปะ
แต่พอได้ยาหนู่โม่หวาง หยูก็กล้าหาญได้รวดเร็วเจงๆ
งี้ต้องได้ยาตลอดหรือเปล่า
เอ่อ.....แล้วจะเสียหนุ่มให้หลี่โอ๋อวิ๋น เร็วๆ  รึเปล่านะ  :z3: :z3: :z3: :z3:
 
ได้อ่าน Ze Tian Ji แล้ว ติดหนึบเลย  :ling1: :ling1: :ling1:
ให้สงสัยว่าหยู กับเฉินฉางเซิง คล้ายกันนะ
หยู ไม่มีพลัง เฉิน ก็ไม่มีปราน
แต่ไลฟ์สไตล์ ตรงกันข้ามเหมือนฟ้ากับเหว
หยู สุดจะขี้เกียจ เฉิน ไม่มีทาง ทางตัน ก็ขยันเปลี่ยนทางไปเรื่อยๆ
ขอบคุณไรท์มากกกกกก / อ๊อออออออ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
โอ้โห สนุกจนขนลุกเลย

ออฟไลน์ korinasai

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 309
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
สัญชาตญาณ การหนีของซีคงหยู ดีเลิศ ทั้งระเบิดควัน ทั้งการหลบหลีก

ออฟไลน์ zakimi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
เสี่ยวหมี  ค้างจังเลย

ออฟไลน์ Kirimanjaro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
 sirin_chadada:  บวกด้วยๆ

wnkth: แม่นแล้ว

พิศตะวัน: 

♥►MAGNOLIA◄♥:
ฮ่า ๆ  ผมว่าอาหยู is a bit proud of someone
เรื่องยาคิดว่าจะมีบทบาทสำคัญต่อไปครับ 
ตามตำรับแนวนี้ที่ต้องมียาวิเศษ
และ..ฮี่ ๆ ล่อลวงคนเข้าลัทธิเฉินฉางเซิงได้ 1 ราย

alternative:  ฟังแล้วชื่นใจ  มีแฮง <3

korinasai:  ระเบิดไม่ได้ใช้เลยครับ   มันอยู่ในถ้ำมืด  มีควันหรือไม่มีก็ไม่ต่าง   สงสารอาหยู  ประดิษฐ์แต่ของไม่ได้เรื่อง

zakimi: สอยหมีลงมาแระครับ


++++++

ศิษย์น้องจิ่งผู้หายไปนาน






++++++




อสูรพุงเขี้ยวเงื้อมือของมันฟาดตะปบสิ่งมีชีวิตที่กลิ้งหลบไปได้เฉียดฉิว  พวกมันร้องคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวและลากร่างหนักกว่าสองพันชั่งบุกตะลุยไปตามพื้นที่อันซับซ้อนของโถงถ้ำ   ในโถงถ้ำนั้นกว้างราวกับทะเลสาบใต้พิภพ  เสียแต่ไม่มีน้ำ  มันแห้งเสียจนลมหายใจของซีคงหยูเริ่มแห้งผาก   เขาเริ่มรู้สึกกระหายน้ำจากการวิ่งไปทั่วอย่างไม่หยุด  และในดวงตาก็เห็นแสงวูบวาบ  ระหว่างที่วิ่งเขาโคจรปราณตามวงจรของวิชาเซียนสามสิบหกแผน  ในตอนแรกมันเป็นไปโดยไม่รู้ตัว   แต่เมื่อเขาเริ่มรู้สึกถึงวงจรพลังงานที่สั่นสะเทือนในจุดตันเถียน   เขาก็ทบทวนมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ทว่าด้วยความด้อยประสบการณ์  คุณชายสามไม่รู้เลยว่าการใช้วิชาเซียนอย่างต่อเนื่องจะทำให้เขาสิ้นเปลืองพลังงานมากแค่ไหน  โดยเฉพาะเมื่อระดับพลังปราณของเขาอยู่เพียงเขตแดนตะวันขึ้นสายขั้นต้นเท่านั้น   ยาเซียนความกล้าหาญของหนู่โม่หวางไม่ได้ชดเชยพลังงาน  แต่เป็นสารที่ออกฤทธิ์ต่อจิต   เขาเริ่มก้าวพลาดในบางครั้ง  แต่ความผิดพลาดดังกล่าวยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้  ลมหวือผ่านหัวมาเฉียดฉิวทำให้เขาสบถในใจถึงความว่องไวผิดขนาดตัวของอสูรพวกนี้   

ทว่าจริง ๆ แล้ว  พวกมันไม่ได้ว่องไวขึ้น  แต่จิตของซีคงหยูทำงานช้าลง  สารสื่อประสาทที่ถูกกระตุ้นมาใช้ถึงขีดสุดเริ่มเข้าสู่วงจรพัก  เขาเริ่มรู้สึกชาที่มือและเท้า  เหมือนมันค่อย ๆ อ่อนเปลี้ยลงไปเรื่อย ๆ  อุณหภูมิร่างกายของเขาต่ำลงอย่างรวดเร็วขณะที่เหงื่อซึมออกมาจนโชกเสื้อ  ซีคงหยูอยากตบหน้าตัวเอง  เขารู้สึกว่าเขาทำได้ดีกว่านี้   เขากัดฟันแล้ววิ่งควงมุกแสงต่อไป  และคิดซ้ำ ๆ กันว่า  เขาต้องทำได้ดีกว่านี้  มันเหมือนกับว่า  ในจิตของเขากระจ่างว่าจะต้องทำอะไร  แต่ร่างกายรับคำสั่งช้าลง  เขารู้สึกเหมือนคนมีสติที่ถูกขังเอาไว้ในร่างกายของคนปัญญาอ่อน  มันไม่มีอะไรที่ทันใจ  และทำให้เขารู้สึกคั่งแค้นแทบตายต่อความเชื่องช้าของตนเอง 

เขากัดฟันกระโจนจากโขดหินหนึ่งไปอีกโขดหินหนึ่ง  การที่เขาหมกมุ่นอยู่กับการพิสูจน์ตัวเองทำให้เขาไม่ได้คิดถึงการกลับไปรวมกลุ่มกับคณะสำรวจ  หรือลึก ๆ เขาอาจจะคิดคะเนแล้วว่าไม่มีทางที่เหล่าศิษย์สำนักและชาวยุทธจะต่อสู้กับอสูรเหล่านี้พร้อม ๆ กันได้  เขาจึงวิ่ง  วิ่ง  วิ่ง   ล้มลุกคลุกคลาน  และปีนไต่ไปตามหินระเกะระกะที่บางครั้งที่มีคมจนทำให้หัวเข่าของเขาถลอกไปหมด

   สวบ!

เสียงเดียวเท่านั้น  เหล่าอสูรที่วิ่งตามมาทั้งหมดก็ชะงักไปครู่หนึ่ง   ก่อนที่ร่างกายของมันจะพุ่งต่อไปข้างหน้าตามแรงเดิม  ขาของพวกมันสะดุดล้มคว่ำ  ร่างไถลไปกับโขดหิน  และหัวที่มีดวงตาเดียวอันบ้าคลั่งก็กระเด็นหลุดจากตัว  หลี่โอ๋อวิ๋นเก็บดาบเข้าฝัก  ดาบไร้ธุลี  จึงไร้โลหิตและไร้ร่องรอย  ชีวิตนับสิบปลิดปลิวไปอย่างเงียบงัน  หลงเหลือแต่เพียงเสียงตึบ ๆๆ ของก้อนเนื้อไร้ชีวิตที่ล้มระเนระนาดลงกับพื้น

   และสุดท้ายก็มีเสียงตึบเบา ๆ ของหัวเข่าและผ้ากระทบกับพื้น  ถึงแม้ซีคงหยูจะรู้สึกว่าจิตของตนเชื่องช้า  แต่เขาก็รับรู้ได้ว่าอันตรายที่ตามมาถูกกำจัดโดยสิ้นแล้ว  เขาคุกเข่าใช้มือยันพื้น  ก้มหน้าหายใจหอบเหมือนม้าที่วิ่งมาพันลี้  หลี่โอ๋อวิ๋นเดินเข้ามาช้า ๆ  แสงมุกที่อยู่ในมืออันกำแน่นของคุณชายสามส่องลอดง่ามนิ้ว  เห็นรองเท้าหนังและกางเกงสีน้ำตาลของคนที่มาหยุดอยู่ตรงหน้า

   “เมื่อครู่  ศิษย์น้องของข้าตาย”   นักดาบหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ  “..และข้ามาช่วยเจ้า  พวกเขาก็คงจะตายกันอีก”

   “ข้า..ขอโทษ”

   “เจ้าไม่มีอะไรที่ต้องขอโทษ  พวกเขาถูกกำหนดให้ตายตั้งแต่แรก   คนอ่อนแอตายไป  คนเข้มแข็งจะยังอยู่  นั่นคือธรรมชาติของยุทธจักร”

ซีคงหยูสูดหายใจลึก  และพยายามระงับอาการใจสั่นมือสั่นของตนเอง  เขาเงยหน้ามองคนตรงหน้า  ในใจลึก ๆ เหมือนมีความคาดหวังบางอย่างที่เขาก็ไม่เข้าใจตนเอง

   “แล้วทำไมน้องอวิ๋นถึงช่วยคนอ่อนแออย่างข้า”

   “เพราะเจ้าอยู่ในความรับผิดชอบของข้ายังไงล่ะอาหยู..”  เขาเว้นไปนิดหนึ่งแล้วพูดต่อด้วยเสียงเรียบกว่าเดิม  “..ข้าเป็นคนให้ยาหนู่โม่หวางกับเจ้า  มันก็แค่นั้น”

   จากนั้นก็ยื่นกระบอกไผ่หยกเย็นให้   “ดื่มน้ำก่อน”

คนที่ดื่มเสร็จเอาแขนเสื้อเช็ดปากแล้วเอ่ยชมรสชาติ  “..หวาน”

   “ข้าผสมยาเซียนที่ให้พลังงานไปด้วย   เจ้านั่งสมาธิโคจรปราณสักครู่ก็จะดีขึ้น”

  ซีคงหยูทำตามโดยไม่อิดออด  เขาสูดลมหายใจรับปราณฟ้าดินจากจมูกซ้าย  ให้มันเดินไปทั่วเส้นโคจรในร่างกาย   จากนั้นปล่อยออกมาทางจมูกขวา  ของเสียในร่างกายที่สะสมจากการใช้พลังงานอย่างหนักเริ่มถูกปราณจากธรรมชาติชำระล้าง   เนื้อเยื่อต่าง ๆ เริ่มฟื้นฟู  แม้ว่าอาการสมองช้าและตัวชา  รวมทั้งความรู้สึกหนาวสั่นจะยังคงอยู่   แต่ก็ดีกว่าเมื่อครู่มาก 

   เมื่อลืมตาขึ้นมา  ก็ยังเห็นหลี่โอ๋อวิ๋นยืนกอดอกอยู่ที่เดิม  เงาทะมึนของร่างกายส่วนบนที่พ้นจากเขตของมุกเซียนส่องแสงทำให้ซีคงหยูอ่านสีหน้าฝ่ายตรงข้ามไม่ออก

   “เจ้าไม่กลับไปช่วยพวกศิษย์น้องหรือ”  พูดพลางก็พยายามลุกขึ้นจากพื้น

หลี่โอ๋อวิ๋นคลายมือที่กอดอก  และช่วยหิ้วปีกคนขาสั่นให้ยืนขึ้นได้   “ที่ข้าสังหารอสูรตรงนี้  ก็ช่วยมากเกินไปแล้ว”   จากนั้นดึงตัวคุณชายสามมาใกล้ ๆ  แล้วพาเดินไปในส่วนลึกของถ้ำมากกว่าเดิม

   “เรากำลังจะไปที่ไหน”

   “เดี๋ยวก็รู้”

และสักพัก  ซีคงหยูก็มองเห็นแสงในความมืด   มันไม่ใช่แสงอย่างเดียว   มันเหมือนจอหยกดำขนาดยักษ์แบบที่ไว้แสดงภาพฉายในเมืองหลวง   และก็เหมือนบ่อน้ำมืดมิด  ที่สะท้อนเงาภาพของดวงดาวภายในบ่อ   ตรงหน้าของเขาคือมิติที่ถูกตัด  เหมือนมีคนเอามีดมาหั่นถ้ำออกแล้วโยนถ้ำนี้ออกไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน

   “ว้าววว...”   ซีคงหยูอุทาน   สิ่งที่เขาเห็นเหมือนกับจ้องไปในเอกภพ  เสียแต่มีดวงดาวไม่มาก   เพราะเทหวัตถุที่ใหญ่ที่สุดที่เขามองเห็น  คือก้อนกลมสีดำมืดสนิท  ทว่ามีประกายแสงสีขาวบาง ๆ แผ่เรื่อเรืองเหมือนกับเคลือบหุ้มอยู่   เขาก้มลงมองรอยต่อระหว่างถ้ำกับมิติที่เขาไม่รู้จัก   และเห็นว่าก้อนหินและดินที่ประกอบเป็นถ้ำ  กำลังถูกย่อยสลายและกัดกินไปอย่างช้า ๆ  เศษละอองของมันโปรยปลิวและหลุดร่วง  เหมือนกับโลกที่กำลังถูกย่อยสลาย  เขาสังเกตเห็นเศษชิ้นส่วนของผนังถ้ำ  ลอยขึ้นและร่วงลงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  ซีคงหยูเอื้อมมือไปกะจะคว้าจับเศษหินที่ลอยละล่องอยู่

   “หยุด!” 

เมื่อถูกตวาดห้ามเขาก็ชะงักและหันไปมอง

   “นั่นคือห้วงมิติที่เวลาและทุก  ๆ อย่างไหลวนเวียนอย่างไม่มีทางออก  ถ้าเจ้ายื่นมือออกไป  มือของเจ้าจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน  ซึ่งนั่นหมายถึง..”   หลี่โอ๋อวิ๋นส่งสายตาไปยังขอบถ้ำที่ถูกย่อยสลายกัดกิน

ซีคงหยูเก็บมือที่ยื่นออกไป  สูดหายใจลึก  “ที่แท้  เหมืองแร่วิญญาณเซียนก็หน้าตาเช่นนี้  แล้ว...เคยมีใครที่สามารถออกไปข้างนอกได้หรือไม่”  เขาพูดแล้วก็มองไปยังดาวยักษ์สีดำและวงแหวนเรืองแสงของมัน

   “ไม่เคยมีในบันทึก  หรือถ้ามีคนออกไปได้  พวกเขาก็คงไม่กลับมาที่นี่อีก”  สุ้มเสียงของหลี่โอ๋อวิ๋นดูเศร้าสร้อยอย่างบอกไม่ถูก  จนคุณชายสามต้องหันไปมองหน้าอันฉาบทาด้วยแสงจากเทหวัตถุตรงหน้า

   “แต่ไม่เป็นไร  เรามีทวีปดิน  เรามีทวีปฟ้า  มีเจียงหู่ที่กว้างใหญ่ไพศาล  ขุนเขาเขียวและขาวที่ทอดยาวไปจรดทะเลนิรันดร์  ท่องเที่ยวไปในโลกทั้งสามพันอาจจะเป็นความฝันของเซียน  แต่ข้าจะเป็นราชาในหมู่มนุษย์”

เมื่อฟังถ้อยคำที่ฮึกเหิม  คุณชายสามก็คลี่ยิ้ม  และตบบ่าคนที่ตัวสูงกว่าเบา ๆ  “ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องทำได้”

หลี่โอ๋อวิ๋นเลิกคิ้ว  เขาเผยอปากเหมือนจะกล่าวอะไร  แต่ก็ไม่มีคำพูดออกมา  เขาหันตัวกลับไปและเดินไปจากมิติที่ถูกกัดกินและคุณชายสาม
   

++++++


เมื่อกลับมาถึงกลุ่มศิษย์สำนัก  ซีคงหยูก็พบว่าการต่อสู้จบสิ้นไปแล้ว   จริงอย่างที่หลี่โอ๋อวิ๋นว่า  การที่เขาช่วยสังหารอสูรไปเกือบสิบตัวนั้นมีผลต่อความสำเร็จภารกิจเป็นอย่างมาก  ซ่งจินเดินดูแลคณะสำรวจเพื่อแจกจ่ายยาและผ้าพันแผล  พวกเขามีพลังยุทธค่อนข้างต่ำ  จึงไม่สามารถใช้ปราณรักษาอาการบาดเจ็บทางกายได้เร็วเท่ากับการรักษาจากภายนอก

เมื่อเห็นสองคนเดินเข้ามาใกล้  ซ่งจินก็ลุกขึ้นมาจากที่ดูอาการคนเจ็บอยู่   เขาก้มหน้าทักทายหลี่โอ๋อวิ๋น

   “ศิษย์พี่ใหญ่”

   “อืม”  หลี่โอ๋อวิ๋นตอบคำเดียว  แล้วเดินสวนไป   เขายังไม่ค่อยพอใจกับผลงานการบัญชาการของซ่งจิน

ซ่งจินเห็นว่าหลี่โอ๋อวิ๋นไม่อยากคุยด้วยจึงหันมาหาอีกคน  “คุณชายซีคง  ท่านทำได้เยี่ยมมาก”

   “ฮ่า ๆ  ก็เพราะหนู่โม่หวางน่ะ”

   “ไม่หรอก”  ตาปลาตายของซ่งจินมีแววชื่นชมฉายขึ้นมา  ซึ่งแต่งแต้มสีสันให้กับใบหน้าเรียบเฉยนั้นขึ้นอีกมาก  “เด็กใหม่ทั่วไปต่อให้ใช้ยาเซียนก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้ดีขนาดนี้  ลึก ๆ แล้วท่านต้องเป็นคนกล้าหาญ  หรืออยากจะเป็นคนกล้าหาญอยู่แน่ ๆ”

   “อาจจะ”  ซีคงหยูยักไหล่   เขากำลังรู้สึกเพลียและเบลอจึงไม่มีอารมณ์พูดสัพยอก

ซ่งจินพยายามยิ้มให้   เขาไม่ค่อยชินกับการแสดงอารมณ์  ทำให้มันดูเหมือนแยกเขี้ยว  เขาตบบ่าซีคงหยูอีกครั้ง  แล้วหันกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง

เมื่อเก็บกวาดทุกอย่าง  ชำแหละอสูรเพื่อควักเอาแกนและชิ้นส่วนที่ใช้ได้ออกมาแล้ว  คณะสำรวจเหมืองก็เดินฝ่าโถถ้ำที่ระเกะระไปด้วยกองหินไปยังเหมืองที่หลี่โอ๋อวิ๋นพาคุณชายสามไปดูเมื่อครู่  ซ่งจินหยิบแผ่นหยกกลมมีรูตรงกลางที่เรียกว่ากุญแจเหมืองออกมาจากแหวนสี่มิติ  และเสียบเข้าไปในช่องบนแท่นที่ซีคงหยูไม่ทันสังเกตตอนเข้ามาครั้งแรก   แท่นนั้นส่องแสงออกมาทันที  เป็นแสงรูปตาข่ายที่กวาดส่องไปรอบ ๆ กับทุกคน   มันประมวลผลข้อมูลและประกาศด้วยเสียงที่ไม่เหมือนเสียงมนุษย์ว่า

   “ปมที่สิบสาม  ผู้คุมปม  หลี่โอ๋อวิ๋น”   

กุญแจเหมืองจะเลือกผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มเป็นผู้คุมเหมืองเสมอ  เพื่อมิให้สำนักใดใช้ยอดฝีมือไปช่วยบุกโจมตีเหมืองซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ผู้ถูกประกาศชื่อยืนเก๊กอยู่อย่างไม่ประหลาดใจ  เขารู้อยู่แล้วว่ายังไงเขาก็ต้องดูแลเหมืองนี้  เขาจึงเลือกปมเหมืองที่มีสถิติว่ายากที่สุดในยี่สิบสี่ปมของจิ้งซาน

   เมื่อบันทึกการครอบครองเหมืองเสร็จสิ้น   ชาวยุทธรับจ้างและศิษย์สำนักจำนวนหนึ่งก็เริ่มนั่งสมาธิตรงหน้าช่องว่างมิติ   พวกเขาจะได้รับแจกวิชาเซียนที่ใช้สกัดแร่วิญญาณเซียนจากมิติเวิ้งว้างนั้นโดยเฉพาะ   ซึ่งจะเร็วหรือช้าก็ขึ้นกับความสามารถของแต่ละบุคคลบวกกับคุณภาพของเหมือง  เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น  ซ่งจิน  หลี่โออวิ๋น  ซีคงหยู  และนักดาบที่มีฝีมือค่อนข้างดี   ก็ออกไปจากเหมืองเพื่อเตรียมตัวบุกโจมตีเหมืองอื่นต่อไป   หลี่โอ๋ออวิ๋นเองก็จะต้องไปรอรับคำท้าดวลพนันเหมืองที่เมืองจิ้งซานซึ่งจะจัดขึ้นในอีกสามวันให้หลัง


++++++


เนื่องจากซีคงหยูต้องนอนพักเพื่อบรรเทาผลข้างเคียงของยาเซียน  เขาจึงไม่ได้เข้าประชุมแกนนำพรรควารีพิสุทธิ์   จางชุ่ยฮัวโกรธจัดต่อความล้มเหลวย่อยยับของการบุกยึดเหมืองของทีมแทบจะทั้งหมด  นางจึงไม่อดทนต่อความเหลวไหลไร้สาระ  และขับไล่เสี่ยวหมีออกจากที่ประชุม   พรรคปลาทูสีน้ำเงินสูญเสียสมาชิกไปเกือบหนึ่งในสาม  และยึดเหมืองได้เพียงเหมืองเดียว  และอย่างที่ทุกคนคาดไว้  สำนักที่ทำได้ดีที่สุดในวันแรกคือสำนักประตูทรราช  และไมตรีโลหิต  ซึ่งมีหยกคู่แห่งยุทธจักรประจำการ

ระหว่างที่ทุกสำนักพักฟื้นเพื่อรวบรวมพลังโจมตีเหมืองใหม่อีกครั้ง  ชาวยุทธที่รอดูผลงานก็พากันไปสมัครรับจ้างกับสองสำนักใหญ่ที่ว่า  มันเป็นเรื่องง่าย ๆ ว่า  ถ้าการสำรวจเหมืองมีโอกาสประสบความสำเร็จสูง  พวกเขาก็มีโอกาสเป็นเหยื่อป้อนกระสุน (cannon fodder) น้อยลง  สำนักอื่น ๆ ต้องปรับตัวโดยการเพิ่มอัตราค่าจ้าง   โฆษณาและให้สัญญาถึงความสำเร็จ  เสี่ยวหมีและเสี่ยวชิงต้องเดินไปรอบ ๆ เมืองพร้อมป้ายโฆษณา  เพื่อหาชาวยุทธรับจ้างเข้าร่วมทีมสำรวจพรรคปลาทูสีน้ำเงิน

สองเฮียม่วยวังหมื่นบุปผานั่งจิบชาอยู่บนเหลา  สำนักของพวกเขาก็ทำได้ไม่ดีไปกว่าสำนักอื่น ๆ เท่าไหร่นัก  ทำให้จมูกที่ชี้ขึ้นสู่ฟ้าของทั้งคู่ทำองศาใกล้พื้นดินมากขึ้น  และท่ามกลางชาวยุทธที่กินและดื่มอย่างจอแจ   เด็กหนุ่มผิวเข้มหน้าตาหล่อเหลาและทรงผมสั้นชี้ ๆ ปล่อยอิสระก็เดินขึ้นมาบนเหลาพร้อมกับศิษย์พี่คู่ใจ  เขาหยุดเบี่ยงตัวให้ชาวยุทธที่เดินเบ่ง ๆ ลงบันไดอย่างมีมารยาทดี  แล้วก้าวขึ้นไปชั้นสองของเหลาช้า ๆ ราวกับโลกนี้ไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนอะไร

เมื่อขึ้นมาถึงชั้นสองของเหลา  ตู้เกี่ยนหลงก็ฉีกยิ้มสดใส  แล้วเดินเข้าไปประสานมือคารวะสองเฮียม่วย

   “คารวะที่พบกันครั้งแรกคุณชายเว่ยและแม่นางเว่ย”

สองเฮียม่วยคีบอาหารกินต่อไปอย่างไม่สนใจ  ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะมีฐานะทัดเทียมกันในฐานะผู้นำศิษย์ใหม่

   “น้องชายนามว่าตู้เกี่ยนหลงจากสำนักอำพันโบราณ  มิทราบว่า  คุณชายเว่ยและแม่นางเว่ยจะสามารถสนทนากับน้องชายสักครู่ได้หรือไม่”

   “ตู้เกี่ยนหลง?”  คนพี่ชายทวนชื่อ  แต่ตามองหมูสามชั้นในตะเกียบ  “..มันคือตัวอะไร”

   “แมลงวันล่ะมั้งท่านพี่”  คนน้องสาวรับคำราวกับพูดถึงอะไรไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง

   “พวกเจ้า...”  คุณชายหน้าสวยเสื้อน้ำตาลทำท่าจะทนไม่ไหว  จับแขนเสื้อถลกมากำลังจะชี้หน้า  แต่ตู้เกี่ยนหลงรีบเอามือกดเอาไว้

   “ยินว่าพี่เว่ยกล้าแข็งด้านการร่ำสุรา   ถ้าผู้น้องจะท้าดวล  พี่เว่ยสนใจหรือไม่”

   “ฮ่า ๆๆๆ”  เว่ยหลิงจื่อหัวเราะอย่างขบขัน  แล้วจึงชายตามองตู้เกี่ยนหลงเป็นครั้งแรก  “เจ้าเด็กหน้าขาว (1)  ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”

   “น้องชายว่าหน้าของตนไม่ขาวเท่าไหร่”

   “เพ้ย  ข้าว่าเจ้าหน้าขาว  เจ้าก็ต้องขาว”

   “เอาตามแต่พี่เว่ยสบายใจ”  ตู้เกี่ยนหลงตอบไปอย่างไม่ขุ่นเคือง

   “ฮา ๆ  ข้าชอบนิสัยเจ้า   จะรับท้าดวลก็ได้  แต่เดิมพันคืออะไร”

   “สำหรับน้องชาย  ใคร่อยากให้พี่เว่ยสละเวลาหนึ่งก้านธูปรับฟังข้อเสนอบางอย่าง  ส่วนเดิมพันที่พี่เว่ยอยากได้จากน้องชายก็ตามแต่ท่านกำหนด”

   “ได้!  เดิมพันที่ข้าอยากได้  ก็คือเจ้าจะต้องคุกเข่าโขกศีรษะให้ข้าสามครา”

   “โขกให้ข้าด้วย”  แม่นางแพรขาว  เว่ยเหลียนยู่กล่าวอีกคน

   “แม่นางเว่ยไม่เกี่ยว”  ตู้เกี่ยนหลงท้วง  “ถ้ามิเช่นนั้นฝั่งข้าต้องเพิ่มเดิมพัน”

   “ท่านพี่  เขาว่าข้าไม่เกี่ยว”  นางรีบออเซาะพี่ชาย

   “ไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยวมีอันใดต้องเสียดายกับชนชั้นนี้มาคำนับ  ไว้พี่จะหาชนชั้นระดับหลี่โอ๋อวิ๋นมาคุกเข่าคำนับเจ้าวันละสองเวลาเช้าค่ำ  น้องเหลียนว่าดีหรือไม่”

   “ท่านพี่  ที่ท่านกล่าวก็ไม่ถูก”  เว่ยเหลียนยู่ท้วงติง

   “ไม่ถูกอันใด  เหลียนเหลียนของพี่มีศักดิ์ศรีสูงส่ง  ทุกคนย่อมควรคำนับ”

   “ท่านพี่ แต่ว่าท่านไม่ควรให้ว่าที่สามีมาคำนับข้า”

   “ไอ๊หยา  ข้าลืมไป  เจ้านิยมชมชอบไอ้เด็กแซ่หลี่อยู่  ได้  ข้าจะไปจับตัวมันมาแต่งกับเจ้า”

   “พี่เว่ย..”   ตู้เกี่ยนหลงพูดแทรกเมื่อบทสนทนาเริ่มบิดเบี้ยวไปไกล  “..แล้วเรื่องท้าดวลดื่มสุรา”

   “เจ้ารับเดิมพัน  ข้าก็รับดวล”

“น้องตู้...”  ศิษย์พี่ของเขากระตุกแขนเสื้อ  “...หัวเข่าลูกผู้ชายมีค่าดุจทองคำ  เจ้าเปลี่ยนเดิมพันไม่ดีกว่าหรือ”

“เพ้ย  เจ้าคิดว่าการดวลสุราเป็นการละเล่นของเด็ก ๆ หรือไร   เดิมพันนี้ข้าพอใจ  ถ้าเจ้าไม่พอใจก็ไสหัวไปที่อื่น”

“พี่เว่ยอย่าเพิ่งโกรธ”   ตู้เกี่ยนหลงยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม  “น้องชายหาได้ตั้งใจจะบิดพลิ้วไม่  ไม่ว่าพี่เว่ยจะต้องการศีรษะน้องชายคนนี้เป็นเดิมพัน  น้องชายก็ไม่เกี่ยง  เพราะถึงอย่างไรน้องชายก็ไม่มีทางแพ้อยู่แล้ว”

“ฮ่าๆๆๆ  โอหังจริง ๆ  ข้าชอบ  เสี่ยวเอ้อ!  ไปเอาสุรามา!”

เสี่ยวเอ้อซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นศิษย์ของสำนักไมตรีโลหิตซึ่งกำลังเช็ดโต๊ะอยู่  ก็รีบลงไปตระเตรียม  เหลาสุราอาหารนี้เปิดบนชั้นสองของโรงเตี๊ยมร่ำรวยมั่งคั่ง  จึงไม่น่าแปลกใจที่เมื่อมีเรื่องน่าสนใจ   เจ้าของเหลาก็จะปรากฏตัว

   จ้าวเหรินเจี่ยนใช้วิชาตัวเบาลอยล่องลงมาที่เหลาชั้นสอง  เขาประสานมือคารวะทั้งคู่

   “คารวะคุณชายเว่ย  คุณชายตู้  จ้าวได้ยินว่ามีการพนันสุรา  จึงรีบแวะมาเก็บค่าเช่าที่”

   “เพ้ย  เจ้านี่มันงกจริง ๆ   เอาไป”  เว่ยหลิงจื่อโยนตำลึงทองให้  จ้าวเหรินเจี่ยนรับมาเก็บเข้าอกเสื้อแล้วประสานมือกล่าวอีกที

   “พี่เว่ยเข้าใจผิดแล้ว  เหลาของเราไม่รับเงินทองทางโลก  เพื่อสมศักดิ์ศรีโต๊ะพนันระดับผู้นำศิษย์สำนัก  เราจะเรียกเก็บเป็นแร่วิญญาณเซียน”

   “ฮ่า ๆๆ  พี่จ้าว  พี่เว่ย   ค่าโต๊ะพนันน้องชายขอเป็นเจ้ามือเอง”  ตู้เกี่ยนหลงพูดแล้วก็โยนแร่วิญญาณเซียนระดับกลางให้  จ้าวเหรินเจี่ยนรับแล้วเก็บใส่อกเสื้อ  จากนั้นกวาดตามองอีกฝ่ายด้วยความชื่นชม

   “ผู้กล้าเกิดในวัยเยาว์  นับถือ ๆ”

เขาสะกิดเท้าจะใช้วิชาตัวเบาลอยจากเหลา  แต่เว่ยหลิงจื่อรีบเรียกไว้

   “ช้าก่อน!”

จ้าวเหรินเจี่ยนยั้งเท้าไว้ตามที่ถูกเรียก    “คุณชายเว่ยมีอะไรจะสั่งสอน?”

       “ตำลึงทองของข้าล่ะ”

“ฮ่า   จ้าวถือว่าเป็นของขวัญพบกันครั้งแรกที่คุณชายเว่ยให้”  กล่าวจบก็สะกิดเท้าออกไปโดยไม่คืน

   “เพ้ย”  เว่ยหลิงจื่อหงุดหงิดแต่ทำอะไรไม่ได้   “ไม่อยากจะเชื่อว่ามือกระบี่ไร้ที่ติจะหน้าเลือดขนาดนี้”

   “ปกติเขาไม่งกหรอก”   เว่ยเหลียนยู่กล่าว  “แต่เขาจงใจกวนตีนท่านพี่  เพราะเขารู้ว่าท่านพี่ยอมเสียเปรียบใครไม่ได้”

   “ฮ่า ๆ  กวนตีนได้ดี  กวนตีนได้ดี  เป็นเหลียนเหลียนรู้ใจพี่ดีที่สุด  เสี่ยวเอ้อ!  สุราได้หรือยัง!”

เว่ยหลิงจื่อผู้โกรธง่ายหายเร็วตะโกนเรียกให้เริ่มจัดตั้งการพนันดื่มสุรา



++++++
   

(1)    Little white face,  หรือเป็นสำนวนว่า pretty boy
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-09-2017 15:04:53 โดย Kirimanjaro »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด