mild-dy:
korinasai: ฉลาดหรือเปล่าไม่รู้ แต่ขี้เกียจน่ะจริงแน่แท้ อิอิ
Malimaru: เสี่ยวหมีกลับมาแล้ว และกำลังบุกตะลุยโจมตีศัตรูอย่างห้าวหาญในตอนล่าสุดนี้ ฮี่ ๆ
ส่วนน้องอวิ๋นก็ยังคงแอบมองในเงามืดต่อปายยย
ปล. ได้ลองอ่าน Ze Tian Ji หรือยังครับ เป็นไงบ้าง ผมหลงเสน่ห์มันต้องแต่ prologue เลยนะ
sirin_chadada: ขอบคุณคร้าบบ ทั้งสำหรับเป็ดเหลืองและกำลังจาย
wnkth: เหมือนกับบ้านเราเกี่ยวก้อยกันไง ซึ่งสัญญาก็ไม่ได้หนักแน่นแบบคำสาบาน แต่มันจะหนักแน่นสำหรับคนที่มีชื่อเสียงในยุทธจักร
+++++
ประตูทรราชแบ่งกลุ่มโจมตีออกเป็นห้ากลุ่ม แน่นอนว่าคุณชายสามก็ต้องอยู่กับหลี่โอ๋อวิ๋นในกลุ่มที่หนึ่ง ถึงแม้ว่าซ่งมู่จะแยกไปนำกลุ่มที่สอง แต่ในกลุ่มที่หนึ่งก็มีซ่งจินพี่ชายของซ่งมู่ เขาเป็นมือธนู..อาวุธที่น้อยคนนักจะใช้งาน เพราะว่าเมื่อท่านบรรลุถึงเขตแดนจันทราเลื่อนลอย ท่านก็จะสามารถถ่ายทอดพลังปราณบังคับกระบี่บินโจมตีจากระยะไกลได้ ซ่งจินมีใบหน้าที่ค่อนข้างหล่อเหลาคล้ายกับน้องชาย แต่บุคลิกของเขานั้นแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง เขาเป็นคนเงียบ ๆ จนแทบจะเรียกได้ว่าเฉยชา ดวงตาสีสนิมเหล็กของเขาดูไร้เป้าหมายเหมือนตาปลาตาย ทว่าหากท่านสั่งให้เขายิงแมลงวันที่บินอยู่ห่างออกไปห้าสิบวา เขาจะเด็ดปีกมันได้อย่างไม่พลาดเป้า นอกจากซ่งจินที่ถือว่าฝีมือค่อนข้างดีในบรรดาศิษย์ใหม่ของประตูทรราช กลุ่มที่หนึ่งก็ไม่มีใครที่คู่ควรแก่การอ้างถึง และเนื่องจากต้องกระจายยอดฝีมือออกไปตามกลุ่มต่าง ๆ ผู้กล้าทวนแดงที่ถือเป็นบุคลากรภายนอกก็ถูกแบ่งให้ไปช่วยเหลือกลุ่มที่สาม
ทุกกลุ่ม ทุกพรรค และทุกสำนัก พร้อมอาวุธและเสบียง เข้ามาชุมนุมกันพร้อมหน้าที่หน้าผาใหญ่ของเขาจิ้งซานอันเป็นที่มาของชื่อเมือง หน้าผานั้นเต็มไปด้วยรอยแตกร้าวมองเห็นหลืบเงามืดดำเจาะลึกเข้าไปข้างใน ผิวของหน้าผาขรุขระแต่มีก้อนหินยื่นออกมาเป็นระยะพอให้แพะภูเขากระโดดไปมาได้ คนธรรมดาอาจจะมีปัญหากับการปีนหน้าผา แต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรกับผู้ฝึกวรยุทธขั้นต้น
ทุกคนแหงนมองหน้าผาจิ้งซานด้วยใจจดจ่อ รอให้ถึงเวลา ...และดินแดนลี้ลับก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาผิดหวัง มันเริ่มจากแสงสีแดงเรื่อเรืองที่ค่อย ๆ แผ่จากส่วนลึกในถ้ำรอยแยก ก่อนที่แสงนั้นจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีขาวขับไล่เปลวแสงสีแดงพวยพุ่งออกมาเหมือนเถาวัลย์หรือหนวดของสิ่งมีชีวิตประหลาดที่ขดตัวและเคลื่อนไหมไปมาที่หน้าปากทางเข้าประตูมิติ ผู้อาวุโสจากสำนักทั้งห้าซึ่งยืนเหยียบอากาศอยู่บนท้องฟ้าสูงลิบสะบัดชายเสื้อ ยิงดอกไม้ไฟเป็นสัญญาณ ดอกไม้ไฟระเบิดกลางอากาศ เสียงตึบเบา ๆ ท่ามกลางความเงียบแบบอัดอั้นของผู้คนเบื้องล่าง พวกเขาเขาร้องเฮแล้วแยกออกเป็นกลุ่มกรูพุ่งเข้าไปในช่องหลืบเรืองแสงทั้งหมดยี่สิบสี่ช่อง
ศิษย์สำนักประตูทรราชและชาวยุทธรับจ้างในกลุ่มที่หนึ่งหันมามองชายผู้ใส่เสื้อกันฝนและมีหมวกคลุมครึ่งหน้าซึ่งยืนกอดอกมองความสับสนวุ่นวายอยู่ ทว่าไม่เพียงแต่กลุ่มของหลี่โอ๋อวิ๋นที่หยุดรอ กลุ่มของจางชุ่ยฮัว จ้าวเหรินเจี่ยน และตู้เกี่ยนหลงก็ยังไม่รีบเลือกเฟ้นเหมืองที่ตนจะเข้าไปเช่นกัน
“ที่แท้ก็หลี่โอ๋อวิ๋น” คุณชายเสื้อไหมลายงูยักษ์เอียงศีรษะไปพูดใกล้ ๆ ตู้เกี่ยนหลงซึ่งโยนก้อนหินสองก้อนในมือเล่นสลับไปมา เจ้าของผ้าคาดหัวขาวปักลายมังกรด้วยเส้นไหมครามเหล่มองกลุ่มเดียวที่ยังยืนอยู่ของประตูทรราช
“แปลก ถ้าเป็นเขาจริง ๆ ทำไมปล่อยให้เราส่งคนไปสอดแนมได้ ข้าคงต้องประเมินหลี่โอ๋อวิ๋นใหม่”
“น้องตู้หมายความว่าอย่างไร”
“ฮ่า ๆ ศิษย์พี่ภูมิใจในสายเลือดงูโบราณของตนเอง แต่ทำไมท่านไม่รู้ว่าคุณสมบัติของสัตว์ประเภทงูคืออะไร”
อย่างไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ ก้อนหินที่ตู้เกี่ยนหลงโยนเล่นร่วงลงมากระทบกันดังเป๊กในมือของเขา
“..มันคือความอดทน”
“แต่หลี่โอ๋อวิ๋นไม่ใช่อสรพิษ” คุณชายหน้าสวยท้วง
“ใช่ เขาไม่ใช่..” เด็กหนุ่มพูดด้วยดวงตาวิบวับและสีหน้าติดจะสนุก “..เขาคือมังกร”
เจ้าของดวงตารูปอัลมอนด์จับจมูกตนเองและกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสดใส “และศิษย์พี่รู้หรือไม่ว่านามของข้าหมายความว่าอย่างไร... สังหาร พัน มังกร”
คุณชายเสื้อน้ำตาลไม่กล่าวอะไร แต่ค้อมตัวน้อย ๆ คารวะในความทะเยอทะยาน เพราะตู้เกี่ยนหลงเป็นศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้าสำนัก ระดับวรยุทธและประสบการณ์ยังคงห่างชั้นกับหลี่โอ๋อวิ๋นมาก
เมื่อเห็นว่าทุกคนรีรออยู่ สองเฮียม่วยวังหมื่นบุปผาก็นำศิษย์ร่วมสำนักภายใต้ร่มธงของตนเข้าไป คนพี่ชายใส่เสื้อสีฟ้าลายเมฆหลังสะพายกระบี่ดูองอาจ ส่วนน้องสาวใส่ชุดโบราณสีขาวที่ขาวยิ่งกว่าหิมะ สองแขนมีแถบผ้าแพร ทั้งคู่แทบไม่แลมองใคร จมูกชี้สู่ท้องฟ้าดูเย่อหยิ่ง
จางชุ่ยฮัวลอบมองหลี่โอ๋อวิ๋นที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ เป็นเชิงสอบถาม ยอดนักดาบพยักหน้าน้อย ๆ จนแทบจะไม่เห็นถ้าไม่สังเกต กลุ่มของจางชุ่ยฮัวจึงเป็นกลุ่มที่สองในระดับหัวหน้าที่เลือกทางเข้าดินแดนลี้ลับไปหนึ่งทาง ศิษย์สามสำนักที่เหลือ ไมตรีโลหิต อำพันโบราณ และประตูทรราชลอบสอดส่องซึ่งกันและกัน และจ้าวเหรินเจี่ยนก็ทำลายความเงียบ เขาประสานมือไปทางสำนักประตูทรราช
“คุณชายหลี่ จากมาสบายดี?”
หลี่โอ๋อวิ๋นพยักหน้าให้ “อืม น้องชายจ้าวก็ดูสบายดีไม่ใช่น้อย”
“มิทราบว่า การขุดเหมืองครั้งนี้ คุณชายหลี่มีแผนการอะไรเป็นพิเศษ”
“ฮ่า ๆ เราสองใยต้องปรึกษาเรื่องแผนการ ภายใต้ดาบกระบี่อันเด็ดขาดย่อมทลายทุกแผนร้าย” หลี่โอ๋อวิ๋นพูดอย่างโอหัง สายตาก็กวาดไปทั้งสองสำนักตรงกันข้าม
“คุณชายหลี่ก็กล่าวไป” จากนั้นจ้าวเหรินเจี่ยนก็หันไปทักทายผู้นำกลุ่มของสำนักอำพันโบราณ “คุณชายท่านนี้คือ...”
“ข้าเรียกว่าตู้เกี่ยนหลง ขอคารวะพี่จ้าวที่พบกันครั้งแรก” เด็กหนุ่มส่งยิ้มกว้างกลับไป ซีคงหยูที่ยืนอยู่หลังหลี่โอ๋อวิ๋นลอบมองคนพูดอย่างสนใจ เพราะตู้เกี่ยนหลงแต่งกายไม่เหมือนคนอื่น ๆ ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บของจิ้งซานเขาใส่เสื้อด้ายดิบแขนกุดเหมือนเสื้อของชาวประมงเผยกล้ามแขนที่ถือว่าแน่นเมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มวัยเดียวกัน และมีผิวที่เป็นสีน้ำตาลอ่อน ๆ เหมือนคนที่อยู่กลางแจ้งเป็นประจำ ถ้ามองเผิน ๆ อาจจะคิดว่าเป็นเด็กหนุ่มชาวบ้านธรรมดา ทว่าโครงหน้าที่ละเอียดอ่อนและผ้าคาดหัวสีขาวปักลายมังกรของเขาอันปล่อยชายปลิวไสว ช่วยเพิ่มความรู้สึกสูงส่งให้กับเขาเจ็ดส่วน ตู้เกี่ยนหลงเหมือนกับรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมาจึงเหลือบสวนกลับไปแวบหนึ่ง
“คารวะที่พบกันครั้งแรกเช่นกัน” จ้าวเหรินเจี่ยนประสานมือกลับ จากนั้นกล่าวกับทั้งคู่ “นี่ก็ได้เวลาแล้ว คุณชายหลี่ คุณชายตู้ จ้าวขอล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง” เขายิ้มบาง โบกมือเป็นสัญญาณพาศิษย์สำนักไมตรีโลหิตปีนหน้าผาไป
“น้องอวิ๋น” ซีคงหยูกระตุกแขนเสื้อของหลี่โอ๋อวิ๋น อีกฝ่ายทำเสียงอืมในคอ เขาจึงกล่าวต่อ “ข้าไม่เข้าไปได้มั้ย”
“ไหนเจ้าสัญญาว่าจะไปด้วยไง”
“ข้าช่วยขุดเหมืองได้ ข้าไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะไปช่วยสู้กับอสูร”
“เจ้าจะมาปอดแหกอะไรตอนนี้”
“ข้าไม่ได้ปอดแหก ข้าแค่รอบคอบ”
“ถ้าเจ้าทำตัวไม่มีประโยชน์ ข้าจะเตะเจ้าลงเขาตอนนี้”
“เฮ้ ข้าเป็นคู่หมั้นเจ้านะ”
“เพ้ย ริจะใช้เต้าไต่ ดูถูกข้าไปหน่อยรึเปล่า ซ่งจิน เอาเชือกมา!”
“แว๊ก!”
หลี่โอ๋อวิ๋นมัดคุณชายสามไว้กับเสี่ยวหมี จากนั้นหิ้วทั้งคนทั้งหมี สะกิดเท้าใช้วิชาตัวเบาไต่หน้าผาเข้าหนึ่งในประตูแดนลี้ลับไป
สองหนุ่มและหนึ่งหมีเข้ามาในรอยแยกมิติ ภายในนั้นดูเหมือนทางเดินในถ้ำธรรมดา มันเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อย ก้อนหินหัก ๆ และหลืบรูลดเลี้ยวที่ดูเหมือนจะพาเจาะทะลุลงไปในใจกลางโลก ซ่งจิน กลุ่มศิษย์ใหม่ และชาวยุทธรับจ้างยังมาไม่ถึง พวกเขาไม่สามารถใช้วิชาตัวเบาได้เหมือนคุณชายหลี่ จึงต้องปีนหน้าผาขึ้นมาด้วยกำลังกาย
หลี่โอ๋อวิ๋นนั่งยอง ๆ ตรงหน้าหนึ่งคนกับหนึ่งหมีที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่กับพื้นถ้ำ
“น้องอวิ๋น เจ้าจะทำอะไรข้า” คุณชายสามพยายามดิ้นให้หลุดจากเชือกเมื่อเห็นอีกฝ่ายเข้ามาจ้องหน้าใกล้ ๆ ด้วยสายตาวิบวาว
“ข้าจะช่วยเจ้าน่ะสิ ข้ารู้ว่านี่เป็นครั้งแรกของเจ้า แต่ทำตัวผ่อนคลาย ไม่ต้องตื่นเต้น”
“ไอ๊หยา! น้องอวิ๋นพูดอะไร ข้าขายศิลปะ ไม่ขายร่างกาย”
หลี่โอ๋อวิ๋นไม่ตอบ เขาผิวปากหวือพลางเรียกกล่องหยกจากแหวนสี่มิติของตนเอง ข้างในกล่องหยกเป็นกระเปาะแก้วที่มีเข็มตรงปลายวางอยู่บนสำลีบุ ข้างในกระเปาะแก้วมีของเหลวที่น่าสงสัย หลี่โอ๋อวิ๋นหยิบมันขึ้นมาโคจรปราณเข้าไปไล่อากาศจนของเหลวในนั้นกระเด็นเป็นฝอยออกมาเล็กน้อย
“ยาเซียนธาตุไฟ” ซีคงหยูโพล่งออกมาเมื่อเห็นของในมืออีกฝ่าย
“อาฮะ...ความรู้กว้างขวางดีนี่อาหยู”
ยาเซียนในยุทธภพแบ่งออกเป็นห้าธาตุ ดิน ไฟ น้ำ ไม้ ทอง ซึ่งแยกจากวิธีการบริโภค ยาธาตุไฟต้องให้ทางโลหิต ธาตุน้ำสามารถกินเข้าไปได้ ธาตุไม้ต้องให้ผ่านทางเดินหายใจ ธาตุดินใช้ทาภายนอกที่ผิวหนังหรือบาดแผล ส่วนธาตุทองต้องใช้พลังปราณละลายและส่งมันเข้าไปในร่างกาย
“หยึยขนลุก อย่ามาเรียกสนิทสนมแบบนั้นสิ”
“ทีเจ้ายังเรียกข้าว่าน้องอวิ๋น”
“งั้นข้าจะเลิกเรียก”
“ห้ามเลิกเรียก” หลี่โอ๋อวิ๋นจับแขนของอีกฝ่าย แล้วกดเข็มลงไป
“โอ๊ย...เจ้ายังไม่บอกเลยว่านี่ยาอะไร”
หลี่โอ๋อวิ๋นใช้พลังปราณขับตัวยาเข้าเส้นเลือดของอีกฝ่ายจนหมด ดึงเข็มออกแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าของตนกดแผลรูเข็มเอาไว้ให้
“ความกล้าหาญของหนู่โม่หวาง เป็นยาเพิ่มความกล้า” เขาตอบ “เจ้าจะรู้สึกตื่นเต้น สนุกสนาน และไม่กลัวอันตราย ปกติเราใช้กับเด็กใหม่สายป๊อดเวลาที่พาออกไปล่าอสูร แต่บางที...” คนหน้าดุยื่นมือไปเชยผมที่ซอกหูของคุณชายสาม “..มันก็ใช้เป็นยาเสียสาวได้ เพราะเจ้าจะขาดความยับยั้งชั่งใจระหว่างที่ยาออกฤทธิ์”
ซีคงหยูเบี่ยงคอหลบมือที่มาแตะบริเวณแก้มและใบหูของเขา เม้มปากและมองไปที่อื่น หลี่โอ๋อวิ๋นเลิกคิ้วอย่างนึกสนุกเมื่อหยอกพอแล้ว เขาหยิบมีดสั้นข้างเอวมาตัดปมเชือกที่มัดคุณชายสามเอาไว้ แล้วถอยออกมายืนดูห่าง ๆ ถึงตอนนั้นซ่งจินก็พากลุ่มสำรวจเข้าปากถ้ำมาพอดี คุณชายสามลุกขึ้น ปัดเศษผงออกจากเนื้อตัว แล้วหันไปดุหมี
“ทำไมเจ้าไม่ปกป้องข้าเลยห๊ะ เสี่ยวหมี”
“อ๊อออออออ”
เสี่ยวหมีทำหน้าเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม โดนหิ้วคอปลิวขนาดนั้น ถ้าขัดขืนก็แสวงหาความอับอายให้ตนเองซะเปล่า ๆ
“เจ้ามีอาวุธหรือไม่”
“ต้องมีแน่อยู่แล้ว” เขาควักเอาก้อนวัตถุกลม ๆ สีดำออกมาจากในกระเป๋าสองก้อน เมื่อเห็นทุกคนทำหน้าฉงน คุณชายสามจึงรีบแนะนำ “นี่คือระเบิดควันสารพัดนึก ver 2.37 ผลงานชิ้นเอกของข้า”
“ไม่นึกว่าเจ้ามีฝีมือด้านกลไก” ยากที่หลี่โอ๋อวิ๋นจะเอ่ยปากชมใคร “ว่าแต่มันใช้ทำอะไร”
“ฮ่า ๆ ก็ต้องใช้เผ่นหนีแน่อยู่แล้ว”
“...”
+++++++
ซ่งจินรับหน้าที่ดูแลคุณชายสาม ผู้ยิ้มอย่างมั่นใจตลอดเวลาเนื่องจากยาเริ่มออกฤทธิ์ “ความกล้าหาญของหนู่โม่หวาง” มีผลข้างเคียงที่ต้องระวัง คือผู้เสพมักจะกล้าบ้าบิ่นเกินกว่าที่ตนจะประเมินได้ จึงต้องมีพี่เลี้ยงคอยดูแล ซีคงหยูฟาดดาบในมือกับหินงอกที่อยู่ระหว่างทาง หินบางก้อนมีสายแร่โลหะอยู่จึงเกิดประกายไฟดังเปรี๊ยะปร๊ะ
“คุณชายซีคง ถ้าเจออสูร ท่านต้องยืนข้างหลังข้า” ซ่งจินเตือนเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินฟาดดาบเล่นไปทั่ว
“ถ้าห้าวนัก ก็ปล่อยให้มันโดนงาบหัวไปเลยก็ได้” หลี่โอ๋อวิ๋นตะโกนมาจากข้างหน้า เขาเดินสำรวจอย่างระมัดระวังเพื่อจับสัญญาณของอสูรที่ซุ่มซ่อนอยู่
เมื่อได้ยินคำขู่ คุณชายสามเลยทำคอย่น แล้วเลิกเหวี่ยงดาบเล่น แต่ทันใดนั้นเอง พื้นถ้ำที่พวกเขาเดินอยู่ก็สะเทือน น้ำในแอ่งที่เกิดจากปลายหินย้อยหยดก็กระเพื่อมเป็นระลอก หลี่โอ๋อวิ๋นยั้งเท้ากำดาบสองมือเป็นมั่นเหมาะ
“มาได้ดี”
สิ้นคำพูด ก็มีเงากระโจนออกมาจากส่วนลึกของถ้ำพุ่งเข้าใส่หลี่โอ๋อวิ๋น มือดาบไร้ธุลีพลิกดาบใช้ด้านใบดาบปัดป้องการโจมตีของอีกฝ่าย สีหน้าของเขาสบาย ๆ เหมือนกับหยอกเล่นกับเด็กทารก ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดในเหมืองระดับต้นที่ทำให้เขารู้สึกว่าจะต้องต่อสู้อย่างจริงจัง
เมื่อโจมตีไม่สำเร็จ เงาดำดังกล่าวก็กระโจนถอยออกไปเกาะกับเพดานถ้ำ มันเหมือนลิงปีศาจตัวเล็ก ๆ ที่มีร่างกายแคระแกรนผิวสีดำสนิท ดวงตาโปนโตราวกระดิ่ง แก้วตาเป็นลิ่มแหลมคล้ายตางู และมีหูที่ใหญ่เหมือนกับค้างคาว
“เกรมลิน!” ชาวยุทธที่พอมีประสบการณ์อุทาน เกรมลินเป็นอสูรที่ว่องไว เฉลียวฉลาด และชั่วร้าย ที่สำคัญ มันไม่ออกล่าเพียงตัวเดียว และตอนนั้นเองก็มีเสียงจิ๊กจั๊ก ๆ จากส่วนลึกของถ้ำ พร้อมกับเสียงแปะ ๆ ของฝีเท้าที่กรูเข้ามาของฝูงเกรมลิน เมื่อพวกมันเข้ามาสู่ระยะแสงของมุกเซียนที่คณะสำรวจถืออยู่ มันก็ขู่คำรามอย่างชั่วร้ายดังฟอด ๆ
“พวกเจ้ารออะไรอยู่! ฆ่ามัน!” หลี่โอ๋อวิ๋นตะโกน เมื่อเห็นพวกศิษย์ใหม่กับชาวยุทธยืนตะลึง ถึงแม้ว่าเกรมลินฝูงนี้จะทำอันตรายเขาไม่ได้แม้แต่ปลายผม แต่ถ้าเหล่าศิษย์น้องยังไม่เริ่มลงมือ ก็อาจจะต้องมีคนสังเวยชีวิต
ระดับพลังปราณของหลี่โอ๋อวิ๋นเพียงพอที่จะกวาดทำลายพวกมันทั้งหมดในกระบวนท่าเดียว แต่ถ้าเขาจะทำอย่างงั้น ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องลากพวกเด็กใหม่มาตั้งแต่แรก
เสียงหวีดหวิวเฉียดผ่านไป ซ่งจินเป็นคนแรกที่ตอบสนอง เขาเริ่มยิงเกรมลินด้วยธนูในมืออย่างเยือกเย็น อัตราการยิงของเขา ไม่เร็วไม่ช้า ดวงตาปลาตายของเขาจ้องไปข้างหน้าและปล่อยธนูซึ่งโดนอสูรน้อยเหล่านั้นแทบทุกดอก
ซีคงหยูเอาดาบฟาดเกรมลินที่กระโดดเข้ามาใกล้ แต่เพราะความไร้ทักษะของเขา ทำให้พวกมันกระโดดหนีไปได้ ชาวยุทธและศิษย์สำนักคนอื่น ๆ เริ่มแสดงพลังฝีมือของตนเอง พวกมันเริ่มถูกกำจัดไปทีละตัวสองตัว ขณะที่หลี่โอ๋อวิ๋นไม่ได้ฆ่าเกรมลินตัวใดเลย เขาเอาแต่ปัดป้องและปล่อยให้ศิษย์ใหม่เป็นผู้ล่า
การต่อสู้รอบแรกเป็นอะไรที่น่าตกใจ แต่ไม่มีอันตราย พวกเขาหยุดพัก และคว้านท้องของเกรมลินเพื่อควักแกนอสูรออกมา พวกมันสามารถใช้ไปเป็นส่วนผสมของยา รวมทั้งมีวิชายุทธบางประเภทที่ฝึกโดยใช้แกนอสูรเหล่านี้
ซีคงหยูนั่งพิงกับหลังเสี่ยวหมี เขามือสั่นเล็กน้อย ในตอนแรกเขาก็กลัว แต่ตอนนี้เริ่มตื่นเต้น เขาอยากเจออสูรอีกรอบ เพื่อที่จะได้ฝึกโจมตีมันให้โดนเสียที
“เอ้า น้ำ” หลี่โอ๋อวิ๋นเดินเข้ามาใกล้และยื่นกระบอกน้ำที่ทำจากไม้ไผ่หยกเย็นให้ ซึ่งทำให้น้ำที่เก็บไว้ในกระบอกจะเย็นชื่นใจตลอดเวลา
“เจ้าต้องคอยดื่มน้ำตลอด เพราะถ้าตื่นเต้นเกินไปเจ้าจะลืมดื่มน้ำ อีกอย่างถ้ารู้สึกเบลอหรือสมองช้า ให้หยุดพัก บอกข้าหรือซ่งจินทันที”
“ข้าสบายดี ขอบใจน้องอวิ๋นที่เป็นห่วง”
“ก็ดีแล้ว” หลี่โอ๋อวิ๋นพูดด้วยสีหน้านิ่งเฉยแล้วเดินไปดูแลศิษย์ร่วมสำนักคนอื่น
“เจ้าเป็นคู่หมั้นของผู้กล้าหาญหลี่จริง ๆ น่ะรึ” ชาวยุทธรับจ้างที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ กระแซะมาแล้วเอ่ยปากถาม
“เพ้ย ถ้าไม่ใช่เขาจะดูแลข้าดีขนาดนี้เรอะ” พูดแล้วก็เหล่ไปเห็นหลี่โอ๋อวิ๋นส่งกระบอกน้ำแบบเดียวกันให้ซ่งจิน แถมส่งผ้าซับเหงื่อให้อีกต่างหาก บร๊ะ!
“ไม่น่าเชื่อ...” ชาวยุทธอีกคนมองหน้าคุณชายสามแล้วส่ายหัว
ซีคงหยูฟังแล้วก็อยากคว่ำโต๊ะ ถึงข้าจะไม่หล่อที่สุดในเรื่อง แค่ค่าความหน้าตาดีของข้าก็เกิน 6.0 นะเห้ย ส่วนไอ้น้องอวิ๋นน่ะหรอ เอาไป 9.5 ล่ะกัน อ่ะยอมรับก็ได้ว่าข้ามันหมาวัด แต่เห้ย นี่ข้ายอมตกลงปลงใจรับเรื่องนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่ได้ ๆ ยาเซียนความกล้าของหนู่โม่หวางมันต้องทำให้ตรรกะข้าผิดเพี้ยนไปหมดแน่ ๆ
“น้องชาย เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า” ชาวยุทธพเนจรวัยกลางคนที่ถามเขาเมื่อครู่ถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นคุณชายสามโคลงหัวไปมาแล้วทุบขมับตัวเองดังปึ๊ก ๆ
“ไม่มีอะไร”
เขาใช้ปลายดาบยันพื้นแล้วลุกขึ้น เพราะว่าหลี่โอ๋อวิ๋นเรียกรวมพลพอดี
+++++
คณะสำรวจยังคงเคลื่อนไปข้างหน้าแบบเดิม หลี่โอ๋อวิ๋นไม่ใช่คนพูดมาก เขาไม่สอนหรือบอกว่าใครจะต้องทำยังไง และปล่อยให้เรียนรู้จากประสบการณ์ พวกเขาเจอการต่อสู้อีกสองครั้ง โชคดีที่ไม่มีคนตาย แต่คิดอีกทีก็เป็นเพราะมียอดฝีมือระดับจันทราเลื่อนลอยคอยดูแลอยู่
ถัดจากทางคดเคี้ยวของถ้ำใต้ดิน พื้นที่ที่พวกเขาเดินเข้าไปก็กว้างขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งพวกเขามาหยุดอยู่ตรงจุดที่คล้ายเฉลียงชมวิว รูที่พวกเขามุดออกมาอยู่สูงจากระดับพื้นเบื้องล่างมาก และหน้าผาที่เหยียดยาวลงไปเบื้องล่างก็สูงชันราวกับมีคนเอาขวานมาถากจนเรียบ เมื่อมองลงไปตามมุกเซียนส่องแสงที่ถูกโยน พวกเขาก็เห็นสิ่งมีชีวิตที่มีเรือนร่างเหมือนมนุษย์ แต่ใหญ่มหึมาสูงมากกว่าห้าเมตรและมีดวงตาเพียงดวงเดียว ปากของมันไม่ได้อยู่ที่คาง แต่อยู่ตรงพุงอันล้นหลาม เหมือนมันถูกแหวะพุงออกแล้วเอาเขี้ยวฉลามไปประดับ เนื้อของมันเป็นสีขาวอมเขียวยับย่น ทั้งยังส่งกลิ่นอย่างรุนแรงจนมาถึงคณะสำรวจที่ยืนอยู่ตั้งไกล
“เสียงพื้นดินสะเทือน ดังมาจากไอ้ตัวพวกนี้นี่เอง” ศิษย์ใหม่คนหนึ่งอุทานอย่างระมัดระวัง
“มันตัวใหญ่ แต่วรยุทธของมันก็ไม่เกินขั้นตะวันขึ้นสาย พวกเจ้าจะกลัวอะไร” หลี่โอ๋อวิ๋นพูดพลางขมวดคิ้วเมื่อเห็นหลาย ๆ คนดูสีหน้าไม่ค่อยดี
“น้องซ่ง เจ้ายิงพวกมันจากตรงนี้ได้หรือไม่” คุณชายสามออกความเห็นเมื่อพบว่าพวกเขาอยู่ในที่สูงกว่าพวกอสูร
“ระยะไกลเกินไป” ซ่งจินตอบด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ หลี่โอ๋อวิ๋นกอดอกและยืนรอดู ซ่งจินลังเลเล็กน้อย ก่อนสะพายธนูไว้ที่หลังก่อนเรียกศิษย์สำนักและชาวยุทธพเนจรให้เตรียมตัวไต่หน้าผาลงไปข้างล่าง พวกเขาห่อมุกเซียนส่องแสงไว้ในผ้า และโรยตัวลงไปเงียบ ๆ กลิ่นของอสูรฉุนเฉียวมากขึ้นเมื่อพวกเขาเข้าใกล้พื้นเบื้องล่างจนหลายคนต้องเอาผ้าปิดจมูกไว้ ทว่ายอดฝีมือระดับหลี่โอ๋อวิ๋นสามารถโคจรปราณปิดและเปิดสัมผัสทั้งห้าได้ตามใจนึก เขาเหยียบอากาศลอยละล่องเหมือนขนนกตามลงไปเมื่อทุก ๆ คน ไต่ลงจากหน้าผาแล้ว มือของเขาข้างหนึ่งหิ้วเสี่ยวหมี และอีกข้างหิ้วซีคงหยู
“ข้าอยากปีนผา” คุณชายสามประท้วง เมื่อมีเรื่องสนุกแต่เขาไม่ได้ร่วม
“....” หลี่โอ๋อวิ๋นรู้สึกไม่ค่อยคุ้นกับคุณชายสามเวอร์ชั่นนี้
เสี่ยวหมีปิดปากตัวเองไว้ไม่ให้ร้อง ขาหลังของมันดิ้นไปดิ้นมาด้วยความกลัวความสูง แต่มันกลัวพวกอสูรจะได้ยินมากกว่า
เมื่อทุกคนลงมาถึงพื้น ซ่งจินสั่งให้จัดขบวน หลี่โอ๋อวิ๋นหามุมยืนหลบพร้อมกับเสี่ยวหมี เท้าก็เตะซีคงหยูให้ไปรวมกลุ่มกับพวกนักล่า ซีคงหยูแยกเขี้ยวใส่พ่อคนเท้าหนัก แล้ววิ่งถือดาบปุเลง ๆ ไปร่วมกับคนอื่น ๆ
เมื่อกระบวนรบพร้อม ซ่งจินก็คลี่ห่อผ้าแล้วโยนมุกเซียนส่องแสงไปด้านหน้า
“โฮกกกกกกก!!”
เสียงคำรามดังสนั่นเมื่อพวกมันเห็นแสงจากมุกและผู้บุกรุก ร่างใหญ่กว่าห้าเมตรนั้นก้าวตะลุยเข้ามา ขณะที่ซ่งจินเอื้อมมือไปข้างหลังหยิบลูกศรมาน้าวส่งแหวกอากาศไปเสียงหวีดหวือ
“หน่วยลาก ล่อตัวอื่นออกไปก่อน”
ซ่งจินสั่ง ชาวยุทธพเนจรและศิษย์สำนักที่มีวิชาท่าร่างเกี่ยวกับความเร็วก็ถือมุกส่องแสงวิ่งออกไปจากกลุ่มเพื่อล่ออสูรตัวอื่นไม่ให้เข้าไปกลุ่มรุมพร้อม ๆ กัน
มือฉมังธนูยิงพลางถอยพลาง อสูรร่างยักษ์คำรามอย่างโกรธเกรี้ยวแล้วกระชากลูกศารที่ปักอยู่ตามร่างกายของมันออก ตาดวงเดียวกลางศีรษะของมันเหลือกแดงฉานราวกับขอบตานั้นแทบจะปริออกมา เมื่อมันคำรามกลิ่นก็คละคลุ้ง ในกลิ่นไม่ใช่ชวนอาเจียนอย่างเดียว แต่ดูเหมือนจะมีสารพิษที่ทำให้คนเหน็บชาอยู่ด้วย
“ไอ้อสูรสกปรก!” เหล่านักดาบสำนักประตูทรราชวิ่งเข้าไปฟันเล็งข้อเท้าและขาของมัน ก่อนหลบฉากถอยห่างเหมือนนกนางแอ่น พวกเขาทำตามกลยุทธกองโจรซึ่งได้ผลดีกับการโจมตีศัตรูขนาดใหญ่และเคลื่อนไหวเชื่องช้า ซีคงหยูอยู่ในคลื่นการโจมตีลูกที่สาม เมื่อถึงคิวของเขา เขาก็วิ่งออกไปพร้อมกับคนอื่น ๆ และร้องอ๊ากกกกเพื่อปลุกปลอบกำลังใจของตน ไข่มุกเรืองแสงที่ได้รับแจก ร้อยแขวนอยู่กับหน้าอกกระเด้งกระดอนตามจังหวะย่างเท้าที่วิ่ง แสงส่องใบหน้าจากปลายคาง ทำให้ใบหน้าของเขาดูน่ากลัวอย่างประหลาด
เสี่ยวหมีและหลี่โอ๋อวิ๋นที่ยืนดูจากระยะปลอดภัย มองเห็นภาพของการโจมตีเป็นลูกไฟสีขาวที่พุ่งวาบไปมา เหมือนไฟดวงวิญญาณที่กำลังโรมรันทำศึกกันใต้พิภพ เสี่ยวหมีทาบอกเมื่อเห็นนายน้อยของตนพุ่งเข้าไปโจมตี แต่แทบจะโดนตีนใหญ่ ๆ ของอสูรเหยียบ เขากลิ้งตัวหลบทันเหมือนก้อนมุกเรืองแสงที่หมุนเป็นเกลียวอย่างรวดเร็วจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง
หลี่โอ๋อวิ๋นจับคางตนเองอย่างครุ่นคิด เขาเห็นซีคงหยูหลบการโจมตีได้อย่างแปลกประหลาดสองครั้งแล้ว และด้วยสายตาที่กว้างไกลของเขากลับอ่านไม่ออกว่ามันเป็นท่าร่างชนิดใด เขาขมวดคิ้วหันไปอีกทาง ตวัดดาบที่กุมในมือ อสูรยักษ์ตาเดียวที่ไล่ต้อนหน่วยลากคนหนึ่งจนจนมุม ถูกปราณดาบร้อยลี้ผ่าศีรษะและร่างของมันให้แยกออกจากกันทันที เขากะว่าการต่อสู้ครั้งสุดท้ายจะไม่ยื่นมือช่วยเลย แต่ก็ทำใจไม่ได้เมื่อเห็นศิษย์ร่วมสำนักกำลังจะกลายเป็นก้อนเนื้อเละ ๆ
“วิ่งกลับมา!” ซ่งจินตะโกนเมื่อเห็นหน่วยลากคนนั้นตัวสั่นงันงก ทว่ามันสายไป เพราะอสูรอีกตัวอ้าปากที่ท้องอย่างกว้าง แล้วงาบศิษย์คนนั้นเข้าไปทั้งตัว
“ไร้ประโยชน์จริง ๆ” หลี่โอ๋อวิ๋นพึมพำและปล่อยให้เป็นไป
“ซีคงหยู!” ซ่งจินตะโกนเรียก เพราะเขาเห็นความว่องไวของอีกฝ่าย “เจ้าไปลากอสูรทางขวาแทน รู้ใช่มั้ยว่าต้องลากยังไง”
“ได้เลยน้องซ่ง!”
เขาเปิดกระติกน้ำดื่มเข้าไปหนึ่งอึก แล้วปลดมุกที่คอ ชูขึ้นเหนือหัววิ่งออกไปตามทางที่ซ่งจินบอก ความกล้าหาญของหนู่โม่หวางทำให้เขาตื่นเต้นและปราศจากความกลัว หางตาของเขาเหลือบมองพื้นในระยะที่แสงส่องไปถึง และกระโดดไปตามก้อนหินที่ระเกะระกะต่าง ๆ อย่างคล่องแคล่ว ขณะเดียวกันก็คอยหลบแขนและขาของพวกอสูรที่ฟาดเข้ามาโดยดูจากตาเรืองสะท้อนแสงที่วาววามอยู่ในความมืด เขี้ยวของมันงับไล่หลังของคุณชายสามมาติด ๆ ไอพิษในท้องของมันอบอวลจนแทบจะทนทานไม่ได้ แต่ซีคงหยูใช้ยาเซียนกันอัมพาตที่ซ่งจินแจกหลังจากที่ประเมินความสามารถของอสูรเสร็จ
หลี่โอ๋อวิ๋นมือกำด้ามดาบแน่นจนเส้นเลือดขึ้นที่หลังมือ เขาเพ่งปราณไปยังจุดตันเถียนที่หว่างคิ้วเพื่อให้สายตาคมกล้ามองเห็นได้ในความมืด เสี่ยวหมีมองไม่เห็นอะไรนอกจากดวงแสงมุกที่เดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวหายตามที่ต่าง ๆ และบางทีมุกแสงก็พุ่งเป็นเกลียววาบจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
ซ่งจินไม่มีเวลาสังเกตว่าคุณชายสามวิ่งออกไปไกลเกินไป เขากำลังน้าวศรอย่างเอาเป็นเอาตายส่งลูกธนูใส่อสูรสามตัวที่กำลังเข้ามาโจมตีกลุ่มสำรวจหลัก
++++++