Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #43 ถ้ำของเจ้าข้าจะรับเอาไว้ วะฮ่าๆๆ (5/11)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #43 ถ้ำของเจ้าข้าจะรับเอาไว้ วะฮ่าๆๆ (5/11)  (อ่าน 22720 ครั้ง)

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ซับซ้อนพัวพันได้ดี ซับซ้อนพัวพันได้ดี

โอ๋อวิ๋นมีแต่คนจับคู่ให้ แล้วเจ้าตัวอยากจับคู่กับใครล่ะ

และ.....จางฮุ่ยฮัวไล่เสี่ยวหมีได้ไง!!!!


ปล. เพิ่งสังเกตว่ามีแทบเล็ตใช้กันด้วย ล้ำเลิศยิ่งนัก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-09-2017 15:06:37 โดย alternative »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
พี่น้องเว่ย ที่เลิศ เชิดหยิ่ง จมูกเชิดมองฟ้า
ให้สงสัยเวลาฝนตก น้ำคงเข้าจมูกเป็นแน่

หยู กับโอ๋อวิ๋น พูดจาดีๆกัน ได้แล้ว

น่าสงสารเสี่ยวหมี ถูกไล่ออกจากการประชุม
เพราะจางชุ่ยโกรธ พรรคปลาทูทำผลงานได้ไม่ดี
เอ่อ.......เกี่ยวไรกับเสี่ยวหมีด้วย อ๊อออออออ
รอตอนใหม่
      :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ wnkth

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
เหมือนจะงกทั้งสำนัก ฮ่า

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook

เสี่ยวหมีที่รัก... ที่เราหายหน้าไปสองตอนนี่ไม่ใช่อะไรเลยนะเสี่ยวหมี...
เราไปตามอ่าน ZTJ มาแหละ (กร๊ากกกกก งานการไม่ทำ)
พอกลับมาอีกที เราก็อดสงสารเสี่ยวหมีที่รักไม่ได้
โธ่ พ่อหมีดำล่ำสันของป้า กลายเป็นมาสคอตถือป้ายเรียกแขกไปเสียได้
ตาย ๆๆๆ อะไรจะจงรักภักดีกับต้นสังกัดของนายได้ขนาดนี้ (อ๊ออออออ)

ที่สุดแล้ว ถึงจะอาศัยยาโป๊ว แต่อาหยูก็เริ่มดูจะมีแววเป็นเทพยุทธกับเขาบ้างแล้ว 
แต่อาหยูก็ยอมเชื่อน้องอวิ๋นง่ายไป เกิดคราวหน้าน้องอวิ๋นเอายาแรงกว่านี้มาป้าย ปิดประตูลงกลอนไม่ปล่อยออกจากห้องไปไหน
สงสัยสองหนุ่มจะได้ช่วยกันเดินลมปราณจนเสียการเสียงานไปหลายวันแน่ ๆ (แต่ถ้าน้องอวิ๋นทำจริง ๆ ป้าก็สนับสนุนนะ ป้าชอบ... หืดหาด หืดหาด)

เป็นกำลังใจให้นะคะ ^_^
ป.ล. คุณคนเขียนขา ตอนนี้เราหาลิงค์อ่าน ZTJ ภาษาไทยได้ถึงแค่ตอน 178 เองอ่ะค่ะ (แล้วก็ดันอ่านจบเสียแล้วสิ) หรือหลังจากนี้เราต้องไปตามอ่านภาษาอังกฤษเอาเองอ่ะคะ? ถ้าคุณคนเขียนพอมีลู่ทางที่ง่ายกว่านั้น ได้โปรดชี้แนะข้าน้อยด้วยเถิด ขอบคุณล่วงหน้าเลยค่ะ  :pig4:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-09-2017 11:38:44 โดย Malimaru »

ออฟไลน์ Kirimanjaro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
alternative: ฮ่า ๆ อย่าเพิ่งเบื่อช่วงชิงไหวพริบกันนะครับ  ผมเองก็เบื่อ  อยากให้ถึงช่วงบนเตียงไว ๆ  เอ๊ะ!

♥►MAGNOLIA◄♥:  โอยยยย  ขำ  น้ำเข้าจมูก   ถ้าผมคิดได้คงเขียนในนิยายแระ 5555+
ศิษย์น้องจางโกรธอาหยูครับ  นึกว่าอาหยูส่งหมีมาก่อกวน   #ลูบหัวเสี่ยวหมีด้วยความสงสาร


wnkth:  เป็นสำนักที่เงินมาผ้าหลุด  เย๊ย!

Malimaru:  เชอะคิดถึงแต่เสี่ยวหมี
อาหยูไม่ได้ยอมเชื่อฮะ   แต่สู้ม่ายด้ายยย  หนูป่าวนา  เค้ามาเองงง #ร้องเพลง

Ze Tian Ji  ผมว่าภาษาอังกฤษแปลได้สวยมากๆๆๆ   โดยเฉพาะมันจะมีอารัมภบทที่แสดงถึงโลกที่สร้างทั้งหมดได้ในบทเดียว  อันนี้คือลิงค์ครับ
http://www.novelupdates.com/series/ze-tian-ji/
ปกติอ่านที่นี่มีทุกเรื่องเลยครับ

และนี่คือลิงค์ของ machine translation  คือแปลด้วยเครื่องจักร  มันจะเหมือนกับภาษาอังกฤษที่แตกหัก  แต่ผมก็ชอบอ่าน  เพราะว่ามันจะทำให้เห็นโครงสร้างประโยคเดิมของภาษาจีน  และเมื่อคลิกแต่ละคำ  จะเห็นคำศัพท์ภาษาจีนด้วย
และเนื่องจากแปลด้วยเครื่องจักร  มันจึงออกมารวดเร็วมาก   เกือบสองพันตอน  ขณะที่การแปลด้วยกำลังมนุษย์ถึงแค่ 607 ตอน   อ่านจนอิ่มพุงกางกันไปเลย
https://lnmtl.com/novel/way-of-choices

แต่คนก็แซวกันว่า lnmtl คือ Demonic Dao ครับ  ฝึกแล้วจะเบี่ยงเบนจากเต๋าอันเที่ยงธรรมและอาจจะธาตุไฟแตกซ่านได้  ฮี่ ๆ





+++++++

รอยแผลเป็นที่ข้างแก้มของจ้าวเหรินเจี่ยน  ก็แบบนี้เลยครับ




+++++


สุราก็เหมือนนารี มีทั้งเผ็ดร้อนฉุนเฉียว  ดุดันจนแทบคลั่ง  มีทั้งอ่อนหวานนุ่มนวล  ทว่าค่อยรีดเร้นสติสัมปชัญญะของท่านไปโดยแนบเนียน  รินจากจอกเย็นใสแล้วเปลี่ยนเป็นเปลวเพลิงที่อาจแผดเผาท่านทั้งเป็น  แต่กระนั้นบุรุษก็ยังชื่นชอบสุรา  พวกมันหวังฝังตัวจมกับเหล้า  เพียงเพื่อหลงทางในความฝันไม่รู้ตื่นอันเต็มไปด้วยสหายน้ำมิตร  บทสนทนาอันรื่นรมย์  และแม้กระทั่งความตายสีแดงฉานประดุจผ้าย้อมชาดที่หุ้มปากไห   แต่ที่แปลกนักบุรุษมักพนันขันแข่งกันว่าผู้ใดดื่มแล้วไม่เมา  ถ้าท่านไม่อยากให้สุราทำในสิ่งที่มันทำได้ดีที่สุด  ใยไม่ดื่มน้ำเปล่า?

ป้านสุรากระแทกกับพื้นโต๊ะ  กลิ่นไอฉุนเฉียวของสุราอสรพิษเขียวอันปรับปรุงจากใบไผ่เขียวอันโด่งดัง  โชยมาเตะจมูกของผู้ชมดูการท้าประลอง  ยากที่จะแยกว่าใบหน้าอันแดงฉาดฉานของผู้กล้าหนุ่มว่าเกิดจากฤทธิ์อันเร่าร้อนของน้ำโสม  หรือว่าเป็นเพราะโคมแดงที่เพิ่งถูกจุดในเวลาย่ำค่ำกันแน่

เว่ยหลิงจื่อเช็ดปากด้วยแขนเสื้อ  ชุดของเขารุ่ยร่ายแบะอกออกระบายความร้อนหมดสภาพอันโอหังถือดีของคุณชายแห่งวังหมื่นบุปผา  ที่หลงเหลืออยู่คือธาตุบุรุษอันร้อนแรงที่แผ่ออกมาทางสองตาแดงซ่าน  เขาจ้องเขม็งไปยังฝ่ายตรงกันข้ามที่จิบสุราประดุจวัวที่ค่อย ๆ ละเลียดวักลิ้นดื่มน้ำในลำธาร

   “เจ้ายังไม่ยอมแพ้อีก?”

ตู้เกี่ยนหลงฟังแล้วจึงวางป้านสุรา  ประสานมือคารวะและกล่าว  “พี่เว่ยดื่มสุราได้เข้มแข็งอาจหาญประดุจแม่ทัพในสมรภูมิ  น้องชายเลื่อมใสยิ่งนัก  ทว่าจะให้น้องชายยกธงขาวนั้นเห็นจะไม่ได้”

   “เพ้ย! เจ้าดื่มช้ากว่าข้าตั้งเยอะ  ทำไมยังไม่ยอมแพ้”

   “พี่เว่ย  โบราณว่าศึกยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร  สถานการณ์อาจผันแปรทุกเมื่อ  พี่เว่ยใจร้อนเช่นนี้น้องชายใคร่ขอน้อมเตือนว่า  ขับเรือพันปีต้องระมัดระวังทุกย่างก้าว  ถ้าพี่เว่ยไม่เชื่อ  ท่านลองกระพริบตาสักครั้ง”

เว่ยหลิงจื่อไม่เชื่อเรื่องผีสาง   เขาลองกระพริบตาที่เพ่งจนโตดุจกระดิ่งนั้นดูครานึง   เมื่อลืมตาขึ้นมาดู  เขาก็เห็นไหสุราเปล่าเพิ่มขึ้นมาอีกไหตรงข้างตัวตู้เกี่ยนหลง

   “กราสส!!  เจ้าเล่นกลอะไร”

   “พี่เว่ยลองกระพริบตาอีกสามที”

คราวนี้มีหรือที่เว่ยหลิงจื่อจะเชื่อ  เขากระพริบตาสิบที   และเมื่อลืมตาดู   ปรากฏว่าไหเปล่าเพิ่มมาข้างตัวเด็กหนุ่มผิวคร้ามเจ้าของรอยยิ้มผ่อนคลายอีกสิบไห

   “มาเล่อ โกบี!!!” (1)  เว่ยหลิงจื่อสบถอย่างรุนแรงก่อนเอนกายไปถามน้องสาวตนเอง  “มันโกงหรือเปล่า?”

เห็นได้ชัดว่า  เว่ยเหลียนยู่ก็มีสีหน้าตระหนกตกใจราวกับพบพานผีสางก็ไม่ปาน  นางส่ายหน้ารัว ๆ เมื่อถูกพี่ชายถาม

   “เด็กร้ายกาจ  นับว่าเจ้าพอมีความสามารถอยู่บ้าง”

   “ฮ่า ๆ พี่เว่ยยังจะลองอีกหรือไม่  น้องชายมีวิชาลับของตระกูล  เรียกว่าวิชาเซียนกระพริบตาสุราหมดไห   ทุกครั้งที่คู่ดวลกระพริบตา  น้องชายสามารถใช้วิชาเซียนดื่มสุราได้ทันที  ทางเดียวที่จะเอาชนะน้องชายได้  คือพี่เว่ยต้องไม่กระพริบตาเลย   ท่านทำได้หรือไม่?”

เว่ยหลิงจื่อฟังแล้วก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง   เขาจ้องหน้าของคู่แข่งเพื่อจับโกหก  ทว่าไม่มีร่องรอยใดที่แพร่งพรายออกมาจากใบหน้าแจ่มใสและดวงตาเปล่งประกายคู่นั้นเลย

   “เฮอะ  นับว่าข้าประเมินเจ้าต่ำไป  การพนันครั้งนี้  ข้ายอมแพ้”

   “ท่านพี่  ท่านยอมแพ้เร็วไปหรือเปล่า   นั่นอาจจะเป็นหอกเปล่าดาบปลอมก็ได้”   เว่ยเหลียนยู่รั้งแขนพี่ชายแล้วเขย่าด้วยน้ำเสียงร้อนรน

   “เพ้ย  ในเมื่อมันไม่ได้โกง  เจ้าเด็กนี่ดื่มเหล้าสิบกว่าไหรวดเดียวโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน  ผู้ใดทำได้  ต่อให้นี่เป็นแผนเมืองว่างนั่งดีดขิม  ข้าก็ต้องนับถือในมันสมองอย่างน้อยสามส่วน”  เขากล่าวกับน้องสาวเสร็จก็หันไปพูดกับตู้เกี่ยนหลง

   “ในเมื่อเจ้าชนะพนัน  มีลมใดก็รีบผายมาในเวลาหนึ่งก้านธูป”

   “ช้าก่อน!”   สุ้มเสียงที่คุ้นเคยพร้อมกับมือกระบี่ชุดขาวที่เรียบกริบราวกับใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มแล้วรีดลงแป้ง  “..คุณชายตู้  คุณชายเว่ย  อย่าลืมจ่ายค่าสุรา” 

เว่ยหลิงจื่อเดือดดาล  เขาเกือบลืมตำลึงทองที่เสียไปเมื่อตอนบ่ายแล้ว  “จ้าวเหรินเจี่ยน!  เจ้ายังมีหน้าโผล่หัวมา!”

   “ถ้าจ้าวไม่โผล่มา  ผู้ใดจะกล้าเตือนคุณชายเว่ยว่าสุราของเราขายในโอกาสพิเศษ  ดังนั้น..”

ยังไม่ทันจะพูดจบ  ตู้เกี่ยนหลงก็พูดต่อทันที  “..ดังนั้นต้องจ่ายเป็นแร่วิญญาณเซียน  ให้สมฐานะชนชั้นผู้นำศิษย์สำนัก”

จ้าวเหรินเจี่ยนฟังแล้วก็กวาดตามองเจ้าของผ้าคาดหัวสุดเท่ห์ขึ้น ๆ ลง ๆ ด้วยความชื่นชมอีกครา  “คุณชายตู้มีสติปัญญา  หยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทร  นับถือ ๆ”

   “ครานี้คงต้องให้พี่เว่ยเป็นเจ้ามือ”   ตู้เกี่ยนหลงยอมแพ้ความไร้ยางอายของมือกระบี่ไร้ที่ติ  เลยส่งผ่านเผือกร้อนไปให้คนแพ้พนัน

   “เพ้ย  ถึงเจ้าจะไม่พูด  ข้าก็ไม่มีหน้าดื่มกินฟรีอีกครั้งหรอก  ข้าไม่ได้แซ่จ้าว  ไม่ได้ชื่อเหรินเจี่ยน”  ว่าแล้วก็ถลึงตามองคนที่ตนประชด  จากนั้นก็ดีดแร่วิญญาณเซียนขั้นกลางไปให้สองก้อน

   จ้าวเหรินเจี่ยนรับค่าสุรา  ส่งยิ้มละไม  รอยแผลเป็นข้างแก้มบุ๋มเข้าไปจนทำให้เขาดูผุดผาดประดุจบัวหนามที่งอกงามกลางหิมะ

   “คุณชายเว่ยใจกว้างสมคำร่ำลือ  จ้าวล่วงเกินแล้ว”  เขากล่าวจบก็สะกิดเท้าหายไปเหมือนที่จากมา

   “ทำให้ผู้คนคลั่งแค้นจนแทบตาย”  เว่ยหลิงจื่อกัดฟันกรอด ๆ   แล้วจึงเตรียมรับฟังสิ่งที่ตู้เกี่ยนหลงต้องการพูด

เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว  หนุ่มน้อยผิวคร้ามจึงลุกขึ้นแล้วผายมือ  “ที่นี่ไม่สะดวกสนทนา  เชิญพี่เว่ยและแม่นางเว่ยตามน้องชายมา”   
   
ทุกคนลงจากเหลาแล้วมุ่งหน้าไปยังอุทยานถั่วฝักยาว

(1)   วิธีพูดว่า “เย็บแม่” ในภาษาจีน


++++++



ศิษย์สำนักอำพันโบราณยกอ่างน้ำมาให้เว่ยหลิงจื่อล้างหน้า  เมื่อทุกคนอยู่ในสภาพที่แจ่มใสแล้ว  พวกเขาก็มานั่งกับพรมที่ปูบนก้อนหินยักษ์อันย้ายมาจากภูเขาใกล้ ๆ
 
   “น้องชายจะไม่อ้อมค้อม  ที่เชิญพี่เว่ยมาในวันนี้ก็เพื่อปรึกษาหารือเรื่องการทำเหมือง”

เว่ยหลิงจื่อพยักหน้าให้อีกฝ่ายกล่าวต่อ

   “อย่างที่เราเห็น  ลมตะวันออกหนุนสำนักประตูทรราชและไมตรีโลหิต  พวกเขานำหน้าเราไปหนึ่งก้าว  และความได้เปรียบนี้จะยิ่งถ่างขึ้นเรื่อย ๆ หากว่าชาวยุทธพเนจรยังคงหลั่งไหลไปที่สำนักของพวกเขา”

คุณชายแห่งวังหมื่นบุปผาจิบชาบรรเทาอาการเมาค้าง  เหลือบตามองนิดหนึ่งแล้วกล่าว  “ทำไมเจ้าไม่อดทนออมกำลัง  รอให้พวกเขาทุ่มเทกำลังกำจัดอสูรจนหมด  แล้วค่อยบุกยึดเหมืองที่พวกเขาตระเตรียมไว้ให้”
   
   “แผนยืมเสื้อเจ้าสาวนี้น้องชายก็ขบคิดอยู่  แต่มันมีปัญหาสองอย่าง  หนึ่งคือการแก้แค้น  และสองคือความเห็นของผู้คน”

   “ว่ามา”

   “ถ้าคะเนจากกติกา  ในช่วงครึ่งแรกของการประลอง  คือการแข่งขันกำจัดอสูรเฝ้าเหมือง  และช่วงครึ่งหลังคือการแย่งชิงเหมืองจากผู้อื่น  ทว่าครึ่งที่สองเป็นกับดักสำหรับคนที่คิดจะออมกำลัง  เพราะเมื่อท่านโจมตีเหมืองคนอื่นได้  ผู้อื่นก็ย่อมแก้แค้นโจมตีท่านได้  ซึ่งทำให้ในที่สุดแล้ว  ผู้ที่มีกำลังมากกว่า  ย่อมได้ชัยชนะอยู่ดี”

ตู้เกี่ยนหลงเว้นจังหวะนิดหนึ่งแล้วกล่าวต่อ   “และอสูรเฝ้าเหมือง  ในแง่หนึ่งมันคือหินลับมีด  อันสลักและขัดเงาดาบทื่อที่เรียกว่าศิษย์ใหม่  หินนั้นจะบดเนื้อเหล็กที่เกินความจำเป็น  อ่อนแอ  เศษสนิม  จนเหลือแต่แก่นโลหะอันแกร่งกล้า  ดังนั้นการรอแย่งชิงเหมืองด้วยดาบทื่อจึงเป็นไปไม่ได้  ถึงอย่างไรเราก็ต้องทำให้เต็มที่ในช่วงครึ่งแรก”

เว่ยหลิงจื่อขบคิดตามและพยักหน้า  “แล้วความเห็นของผู้คนล่ะ”

“ความเห็นของผู้คนคือชาวยุทธพเนจร   หากเรายึดเหมืองของสำนักอื่นและส่งคนของเราไปทำเหมือง  ชาวยุทธพเนจรที่ทำเหมืองนั้นอยู่แต่เดิมก็จะสูญเสียรายได้  พี่เว่ยว่าเขาจะมองเราเช่นไร”
   
“เข้าใจล่ะ  เจ้าหมายถึง  การแย่งชิงชาวยุทธรับจ้าง  ต้องเริ่มทำแต่เนิ่น ๆ  สินะ”

“ฮ่า ๆๆ”  ตู้เกี่ยนหลงหัวร่อ  “หรือมิเช่นนั้นเราก็ไม่ต้องแย่งชิงเลย  เราท่านไม่จำเป็นต้องมองว่าชาวยุทธเหล่านั้นคือบุคลากรภักดีมีสังกัด  แต่ให้มองว่าเป็นทรัพยากรที่เคลื่อนย้ายถ่ายเทได้  เมื่อท่านแย่งชิงเหมืองสำเร็จ  ท่านไม่จำเป็นต้องขับไล่พวกเขา  พี่เว่ยสามารถเสนอสัญญาใหม่ที่ดีกว่าเดิมหรือเท่าเดิม  ให้ทุกคนยังคงทำงานเดิม  เท่านี้ทุกคนก็จะสบายใจและเราก็จะช่วงชิงความเห็นของผู้คนได้  ไม่เพียงเท่านั้นเรายังมิต้องเปลืองกำลังและทรัพย์สินในการพยายามแย่งชิงผู้คนในช่วงนี้อีกด้วย”

   “เจ้าเด็กร้ายกาจ  ใครรับมือกับเจ้าต้องปวดหัวน่าดู”   เว่ยหลิงจื่อจิบชาพลางกล่าวชม  แต่เมื่อเห็นตู้เกี่ยนหลงนิ่งยิ้มอยู่  จึงวางถ้วยชาแล้วเอ่ยถามต่อ  “ในเมื่อเจ้ามีแผนที่ดีอยู่แล้ว  ไฉนไม่ปล่อยให้เราสองเฮียม่วยวิ่งหัวปั่นตามเกมของพวกนั้นล่ะ”

เด็กหนุ่มผมสั้นยกมือประสานคารวะ  “เพราะนั่นคือความจริงใจของน้องชายที่มีต่อพี่เว่ย”

     “อย่ามัวแต่อ้อมค้อม  เจ้าอยากให้วังหมื่นบุปผาทำอย่างไร”

   “ถ้าพี่เว่ยเชื่อน้องชาย  ช่วงแรกพี่เว่ยก็ไม่ต้องจ้างวานชาวยุทธ  และเน้นแสวงประสบการณ์การต่อสู้ให้กับศิษย์สำนัก  จากนั้นในช่วงครึ่งที่สอง  เราจะล่อซ้ายโจมตีทางขวาต่อสำนักประตูทรราช  ตราบใดที่เราไม่แตะต้องปมเหมืองที่หลี่โอ๋อวิ๋นคุมอยู่  เขาย่อมไม่สามารถออกมาจัดการอะไรเราได้”

   “เหตุใดจึงเป็นประตูทรราชสำนักเดียว”   เว่ยหลิงจื่อขมวดคิ้วสงสัย

   “เรื่องนี้คงต้องถามพี่จ้าว”

ตู้เกี่ยนหลงกล่าวจบ   เงาร่างของชายรูปงามที่สุดในยุทธจักรก็สาวเท้าเดินเข้าอุทยานมาอย่างแช่มช้า  กระบี่ที่สะพายอยู่ข้างเอวไหวไปมาตามจังหวะก้าวเดิน   เขาหยุดตรงที่ก้อนหินใหญ่อันชนชั้นผู้นำทั้งหมดนั่งหารือกันอยู่  แล้วประสานมือคารวะ

   “คุณชายตู้  คุณชายเว่ย  ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง”

เว่ยหลิงจื่อสำลักน้ำชาพรวด  ราวกับกระอักโลหิตด้วยความแค้นใจเมื่อคิดถึงเงินทองทั้งหมดที่สูญเสียไปในวันนี้   เขาชี้มือแล้วพูดได้คำเดียว  “..เจ้า”

ตู้เกี่ยนหลงตบไหล่คุณชายแห่งวังหมื่นบุปผา  แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม  “ความผิดอยู่ที่น้องชายเอง  น้องชายขอร้องพี่จ้าวให้เล่นละครเพื่อว่าผู้อื่นจะได้คิดว่าพี่ชายทั้งสองไม่กินเส้นกัน”

“ฮ่า ๆๆ  จ้าวก็ไม่ได้เล่นละครหรอก  จริง ๆ ก็ไม่ค่อยชอบหน้าคุณชายเว่ยอยู่เหมือนกัน”

คุณชายจ้าวเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนสุภาพไม่มีที่ติ  ทว่าเนื้อหาของมันทำเอาเว่ยหลิงจื่อกระอักน้ำชาที่กินเข้าไปอีกรอบ   เว่ยเหลียนยู่ลูบหลังพี่ชายแล้วถลึงตาใส่จ้าวเหรินเจี่ยนว่าเจ้าจะพูดยั่วโมโหคนให้น้อยลงกว่านี้ได้หรือไม่ 

   “เพ้ย  ตอนนี้ไมตรีโลหิตได้เปรียบอยู่แล้ว  ไฉนจะมาเป็นพันธมิตรกับพวกเรา  ตู้  เจ้าไม่กลัวว่าจะกลายเป็นเหยื่อป้อนกระสุนปืนให้ไอ้เด็กหน้าขาวแซ่จ้าวหรืออย่างไร”

จ้าวเหรินเจี่ยนได้ยินดังนั้นจึงรีบอธิบาย   “คุณชายเว่ยกลัวเช่นนั้นก็มีเหตุผลอยู่  ระหว่างเราสามคนอย่างไรก็ต้องมีผู้ชนะเพียงคนเดียว  ในท้ายที่สุดแล้วใครจะเป็นเหยื่อกระสุนปืนให้ใครนั้นก็ยังไม่แน่  แต่ที่จ้าวตัดสินใจร่วมมือกับคุณชายทั้งสองนั่นก็เพราะว่าไมตรีโลหิตไม่ต้องการที่จะถูกโดดเดี่ยว   คุณชายเว่ยอาจจะยังไม่ทราบว่าประตูทรราชจับมือกับวารีพิสุทธิ์เรียบร้อยแล้ว  และถ้าคุณชายทั้งสองตกลงร่วมมือกันอีก  จ้าวคงไม่สามารถนิ่งเฉยอยู่ได้”

ตู้เกี่ยนหลงหรี่ตาแล้วเอ่ยวาจา  “พี่จ้าวกล่าวเช่นนี้หรือจะมีนัยว่า  ยังไงพี่จ้าวก็จะเข้าร่วมพันธมิตรใดพันธมิตรหนึ่ง”

   “ฮี่ ๆ”

เมื่อจ้าวเหรินเจี่ยนไม่ตอบตรง ๆ   เด็กหนุ่มเจ้าของแขนล่ำน่ากัดจึงหันไปเกลี้ยกล่อมเว่ยหลิงจื่อ

“พี่เว่ยโปรดระงับความรู้สึกส่วนตัว  หากไมตรีโลหิตเข้าร่วมกับประตูทรราช  จะเหมือนพยัคฆ์ติดปีก  พันธมิตรสามสำนักเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของของเราท่าน  และพี่จ้าวเองก็คงไม่อยากเก็บประตูทรราชไว้เป็นคู่แข่งคนสุดท้ายด้วย  น้องชายกล่าวจริงหรือไม่”

จ้าวเหรินเจี่ยนผงกศีรษะน้อย ๆ  ยอมรับการวิเคราะห์ของผู้นำศิษย์สำนักอำพันโบราณ

   “ช้าก่อน!”  เว่ยหลิงจื่อร้องเรียก

   “พี่เว่ยมีอะไรจะกล่าว?”
   
   “ในเมื่อพวกเราร่วมมือกันแล้ว  เจ้าคงบอกได้แล้วสิว่าชนะข้าได้ยังไงในการดวลสุรา  แล้ววิชาเซียนกระพริบตามีจริงหรือไม่”

   “ที่แท้ก็เรื่องนี้”   ตู้เกี่ยนหลงจับจมูกตนเองอย่างเขินอาย  “ขออภัยที่น้องชายหลอกพี่เว่ย  วิชาเซียนกระพริบตาไม่มีจริง  วิชาที่น้องชายใช้เรียกว่าโครโนซอรัสกลืนทะเล   มันมีข้อจำกัดอยู่  หาได้ใช้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดดังที่น้องชายโม้ไม่”

เว่ยหลิงจื่อตบเข่าตัวเองฉาด  “ข้านึกแล้วว่าเด็กหน้าขาวอย่างพวกเจ้าไม่มีตัวดี  ไปกันเถอะเหลียนเหลียน  คืนนี้พี่คงนอนหลับลงแล้ว”

   “ฮ่า ๆ พี่เว่ย  แม่นางเว่ย  เดินดี ๆ ขออภัยที่ไม่ส่ง”

ทุกคนล่ำลากัน  จ้าวเหรินเจี่ยนกลับค่ายตนเองทันทีไม่รั้งรอ  แล้วก็เหลือแต่ตู้เกี่ยนฟงกับคุณชายเสื้อน้ำตาล  ซึ่งยังคงยืนดื่มด่ำกับความสำเร็จของการเจรจา

+++++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-09-2017 13:34:58 โดย Kirimanjaro »

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ร้ายกาจๆๆ สามพรรครวมพลัง  o22 o22 o22

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
เห็นรูปร่างกับเสื้อผ้าของตู้เกี่ยนหลงแล้วหายใจหืดหาดครับ คนนี้ผมอยากได้อ้ะคุณคีรีมานจาโร! (หัวเราะ) แหม่ สุภาพนอบน้อมแบบอ่านไม่ออก แถมยังมีอารมณ์ขันแบบแปลกๆอีกต่างหาก แล้วยังเลือกเสื้อผ้าเสริมเซ็กซ์แอพพีลสุดๆ! อูย ลำแขนนั้น อยากได้ครับ! (หัวเราะ) ปล่อยให้มังกรกับห่านฟ้าเค้าหวานกันต่อไป อย่าไปขัดเค้าเล้ย

หลายคนเปิดตัวได้น่าสนใจมากเลยครับ และเสี่ยวหมีก็ยังน่ารักเหมือนเดิมมมม (หัวเราะ) มีกลัวความสูงด้วยอะ แถมโดนจิ้มก็นอนหงายแผ่พุงอีก โอ้ยย ว่าแต่ข่าวคุณชายสามไปถึงพี่ชายรองรึยังเนี่ย เป็นจอมยุทธพเนจรรึ? หรือว่าจะเป็นผู้อาวุโสสำนักปริศนา หรือจะเป็นตัวละครลับแจกของพลิกกระดาน!? โอ้วว

สำหรับคุณชายสาม (ต้องปรับโหมดก่อน) คุณชายสาม... ผู้น้องแซ่ห่านขออนุญาตเสนอแนะ ผู้น้องคิดว่าคุณชายสามประมาทแผนหนีแห่งสามสิบหกแผนมากเกินไปแล้ว โบราณว่าไว้ หากเป็นถึงจ้าวยุทธจักร แต่ยามใดเพลี่ยงพล้ำก็ต้องจบชีวิต หากมีแผนหนีอันล้ำเลิศ ไม่ว่าคุณชายจะประสบยอดฝีมือเพียงใด หรือแม้ปะทะกับจ้าวยุทธจักร คุณชายย่อมคลาดแคล้ว รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ไม่ว่าจะเป็นฝีดาบเอี้ยก้วย มหาเวทดูดดาว กระบี่เหล่งหูชง หรือแม้แต่มีดบินลี้กิมฮวง หากคุณชายสำเร็จวิชาเซียนหนีได้ถึงขั้นสุดยอด ไม่ว่าจะเป็นวรยุทธใดก็สามารถหลบหนีได้ เท่านั้นไม่พอ ด้วยนิสัยคุณชาย ผู้น้องเห็นว่าสมควรยกกรณีขงเบ้งและจิวยี่มาเปรียบเปรย หากหลบหนีแล้วเย้ยหยัน ชาวยุทธจักรล้วนแต่เห็นค่าศักดิ์ศรีมากกว่าชีวิต ย่อมต้องกระอักเลือดตายเป็นแน่ ด้วยฝีปากคุณชายสาม ผู้น้องยังไม่เห็นใครเทียบเสมอเท่า ผู้น้องกล้ารับประกันว่าไม่ถึงสามบทกลอน ศัตรูย่อมหัวร้อนพลังปราณแตกซ่านตายห่าในทันใด

สำหรับศึกชิงเหมือง คุณชายสาม ทำการศึกย่อมต้องรู้จักศัตรู จอมยุทธเป็นได้ก็แค่จอมยุทธ อาจชนะการประลองหรือการต่อสู้ แต่มิอาจชนะศึกสงคราม ศึกสงครามสิ่งสำคัญคือสแตรจติจิส หากไร้ซึ่งกลยุทธ์ พลทหารย่อมวิ่งพล่านไปทั่วสนามรบ มิอาจบรรลุเป้าหมาย นักกลยุทธ์คือผู้กำหนดกระแสแห่งสงคราม ให้เป็นไปตามที่คาดหวัง รับแข็งด้วยอ่อน พลิกอ่อนเป็นกระแสน้ำไหลหลากเข้าถล่มศัตรู เต๋าแห่งการศึกนี้ผู้น้องเห็นว่าสำคัญนัก พี่ใหญ่ของคุณชายย่อมสั่งสอนบ้างเป็นแน่ เหล่าพรรคปลาทูสีน้ำเงิน(...)ควรต้องดึงความสามารถของคุณชายสามออกมาให้ได้ ผู้น้องขอเอาใจช่วย (และขอลวนลามตู้เกี่ยนหลงอยู่ห่างๆ (ฮา)) เสียดาย ผู้น้องอายุน้อยกว่าคุณชายสามสองสามปี หากมีโอกาส จะขอช่วยคุณชายสามพิทักษ์ธรรม อภิบาลผู้มีแวว กำจัดมารยุทธจักร

ออฟไลน์ Kirimanjaro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
 JustWait: เว้ลคั้มครับ

♥►MAGNOLIA◄♥: จะสู้คู่รักรวมพลังได้มั้ยนะ 55

Grey Twilight:  แน่ะ  อย่ามาแย่งตู้เกี่ยนหลงของผม  เป็นตัวร้ายที่น่าลูบไล้ที่สุด  ฮี่ๆๆ  เอ๊ะ  แต่แบ่งกันก็ได้  เกรย์เอาท่อนหัว  ผมเอาท่อนหาง  #เอาเขียงมาสับแบ่ง
อีกสามพี่น้องซีคงยังไม่มีบทช่วงนี้เลยครับ  แต่ผมยังไม่ลืมหรอกนะ
วิชาเซียนสามสิบหกแผนจะไปได้แค่ไหนก็ต้องลุ้นกันต่อไป  แต่มันยังไม่ถึงขั้นโกงเย้ยสวรรค์ (heaven defying)  เพราะไม่งั้นหวางเซียนเหลยคงไม่โยนให้ง่าย ๆ  อิอิ
เห็นอีพวกคุณชายและแม่นางทั้งหลายสุมหัววางแผนการ  บางทีผมก็อยากให้นายเมฆผยองเอาดาบมาฟาดทิ้งให้หมด  จะได้เข้าเส้นเรื่องหลักไว ๆ 55555+


+++++



ซีคงหยูลุกขึ้นจากเตียง  มือคว้ากระบอกไผ่หยกเย็นที่แอบจิ๊กมาจากหลี่โอ๋อวิ๋น  แล้วดื่มเข้าไปเพื่อชดเชยกับคอแห้งผาก   ในที่สุดเขาก็ฟื้นตัวจากผลข้างเคียงของยาเซียน  ซ่งมู่บอกเขาว่าที่เขาฟื้นตัวช้าเป็นเพราะใช้ยาเซียนชนิดนี้เป็นครั้งแรก  และเพราะเขาพ้นจากวัยที่ร่างกายแข็งแรงเต็มที่  หรือจะเรียกได้ว่าแก่..

“เพ้ย  จอมยุทธฝึกวิชาอายุขัยยืนยาวเป็นพันปี  27 อย่างข้าทำไมต้องเรียกว่าแก่”

หลิวเกาที่ยืนดูอาการอยู่ข้างเตียงจึงรีบบอกว่า

“เพราะนายน้อยเพิ่งบรรลุวรยุทธขั้นพื้นฐานสุด ๆ  ถ้าเทียบกับห่วงโซ่อาหารก็ปลาซิวปลาสร้อย   ศิษย์น้องจิ่งบอกข้าว่า  เด็กสี่ขวบที่ข้างบ้านนางก็มีวรยุทธระดับนายน้อยได้”

“เฮฟเว่นอะโบฟ!  แล้วเจ้าล่ะหลิวเกา  อายุเท่าไหร่”

“บ่าวอายุ 22 ไม่ขาดไม่เกิน”

“ฟัค!! ข้านึกมาตั้งนานว่าเจ้า 35”

“ความอ้วนมักจะลวงตาน่ะนายน้อย  แต่ตอนนี้บ่าวไม่อ้วนแล้ว”  พูดแล้วก็เบ่งกล้ามให้ดู   

“พูดคุยเรื่องอายุอะไรกันตาแก่”   หลู่เซียงเอ๋อเดินเข้ามาใกล้ ๆ กองฟางที่นอนของคุณชายสาม  พร้อมกับหมีเขียวคู่ใจ  นางเชิดอกแบน ๆ ตามวัยของตนอย่างภาคภูมิใจ   เมื่อเห็นคุณชายสามเลิกคิ้วมองก็เลยกอดอกพูดอย่างหยิ่งยโส

“ข้านำคำสั่งของประมุขพรรค  ซีคงหยู  เจ้ายังไม่รีบคุกเข่ารับคำสั่งอีก”

“เยอะนะยัยหมีเขียว  มีอะไรก็แพล่มมา”

“ประมุขจางสั่งว่า   การบุกเหมืองบ่ายนี้  เจ้าต้องเข้าร่วมคณะสำรวจด้วย”

“เมื่อวานข้าก็เพิ่งลงเหมืองมา  โอ๊ย  กระดูกกระเดี้ยว!”   ซีคงหยูบิดตัวทำสำออย

“เพ้ย  นั่นเจ้าลงให้ประตูทรราช   แต่ยังไม่ได้ช่วยสำนักเรา”

“...”   ซีคงหยูมองหน้าหลู่เซียงเอ๋อร์  แล้วก็เบือนหน้าหนี  ที่เขาลงเหมืองกับประตูทรราชมันเพราะอะไร  ถ้าไม่ใช่เพื่อสำนักวารีพิสุทธิ์

ศิษย์พี่หญิงสวีเดินเข้ามาพอดี   แล้วรีบปลอบประโลม

“ศิษย์น้องซีคง  อย่าได้ใส่ใจที่ศิษย์น้องหลู่พูดเหลวไหล  ศิษย์น้องจางไม่ได้สั่ง  แต่ขอร้องให้ช่วยเพราะเห็นว่าศิษย์น้องซีคงมีประสบการณ์ร่วมสำรวจกับทีมที่ประสบความสำเร็จ”

เมื่อเห็นว่าซีคงหยูยังนิ่งอยู่  นางจึงเกลี้ยกล่อมอีก

“การลงสำรวจครานี้ศิษย์พี่รับประกันว่าศิษย์น้องจะไม่ได้รับอันตรายอะไร  เราได้รับบทเรียนจากการบุกโจมตีครั้งก่อนแล้ว  ถ้าหากว่าเห็นท่าไม่ดี  พวกเราจะล่าถอยทันที”

“รักษาขุนเขาไว้ย่อมไม่ไร้ฟื้นไฟ  ศิษย์พี่หญิงสวีช่างเปี่ยมปัญญา”  ยัยหมีเขียวได้ทีรีบประจบประแจง

“นอกจากนั้น  ศิษย์น้องซีคงรู้เรื่องคะแนนความดีความชอบหรือไม่  ถ้าเจ้าร่วมทีมสำรวจจะได้ครั้งละ 5 คะแนน  แต่ถ้าการสำรวจประสบความสำเร็จจะได้คะแนนความดีความชอบถึง 100 คะแนน”

“โอ้”   คุณชายสามเริ่มกระดิกหูอย่างสนใจ   “แล้วคะแนนพวกนี้เอาไปใช้ทำอะไรได้บ้างล่ะศิษย์พี่หญิง”

“ใช้แลกยาเซียนประเภทต่าง ๆ  ทรัพยากรสำหรับฝึกวิชา  อาทิเช่นแร่วิญญาณเซียน  แก่นอสูร  รวมทั้งยอดวิชาท่าร่างและยอดวิชาเซียนของสำนัก”

“นายน้อย”  หลิวเกาพูดอีกแรง  “บ่าวแลกวิชาท่าเท้าคุนเผิงมา   มันสุดยอดมาก ๆ”

เมื่อเห็นซีคงหยูทำหน้าสงสัย   หลู่เซียงเอ๋อร์เลยพูดด้วยสีหน้าดูหมิ่น

“เจ้าคงไม่รู้สินะว่าศิษย์พี่หลิวเป็นผู้นำทีมคนเพียงคนเดียวที่บุกยึดเหมืองได้เมื่อวานนี้  คะแนนความดีความชอบของเขาจึงสูงกว่าคนอื่น”

คุณชายสามหรี่ตามองบ่าวรับใช้ของตน  ฮึ่ม  เจ้าเด่นเกินหน้าเกินตาข้าอีกแล้ว

เหมือนจะอ่านความคิดได้  หลิวเกาจึงรีบประสานมือกล่าว  “นายน้อย  ไม่มีชื่อเสียงใดได้มาโดยไม่ลงแรงกระทำ  ถ้านายน้อยตั้งใจพยายาม  บ่าวเชื่อว่านายน้อยต้องทำได้ดีกว่าบ่าวเป็นล้านเท่า”

“แต่ข้าไม่มีแรง  และข้าก็ปวดกระดูก  วันนี้อากาศหนาวเป็นพิเศษ  ดูสิมือข้าสั่นไปหมด”

หลู่เซียงเอ๋อร์เห็นดังนั้นก็ย่นจมูกใส่  “เจ้านอนขี้เกียจไปเถอะ  ข้าไม่ใช่ทาสรับใช้เจ้าจะได้มานั่งคอยให้ขวัญกำลังใจ”  นางสะบัดแขนเสื้อแล้วจูงหมีเดินจากไป

หญิงสวียิ้มให้ค้อมตัวน้อย ๆ  “ศิษย์พี่ก็คงโน้มน้าวได้แค่นี้  จะตัดสินใจอย่างไรก็แล้วแต่ศิษย์น้องซีคง”

ซีคงหยูเห็นแม่นางทั้งสองเดินจากไป  ก็เผยอปากเล็กน้อยแล้วก็ขมวดคิ้ว  จากนั้นจึงเหลือบไปมองหลิวเกาที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ

“เจ้าไม่พูดอะไรหรอหลิวเกา”

“บ่าวเข้าใจความรู้สึกนายน้อย   ดังนั้นจึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก”

   “ความรู้สึกข้าหรอ  ความรู้สึกข้ามันเป็นเช่นไร  ทำไมต้องสนใจ  ข้ามันก็แค่คนขี้คร้าน”   เขาพูดแล้วก็อ้าปากหาวก่อนดึงผ้าห่มมาคลุมหน้า

หลิวเกาตบคอหมีดำที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ  มันหันไปมองหลิวเกาครู่หนึ่ง  หลิวเกาถอนหายใจเดินออกไปจากโรงนอน  ส่วนเสี่ยวหมีหมอบคว่ำลงใกล้ ๆ กับคุณชายสามที่นอนหันหลังให้กับทุกสิ่ง




++++++



ซ่งมู่มาหยุดยืนที่หน้าค่ายวารีพิสุทธิ์ใกล้ศาลเจ้าเก่า  เขาเดินจากประตูเหนือและแวะซื้อพุทราเชื่อมที่คุณชายสามชอบ  ก้อนพุทราเป็นสีแดงสุกใสเหมือนกับลูกแก้ว

“ข้าชื่อซ่งมู่  จากประตูทรราช  มาเยี่ยมพี่หยู  ซีคงหยู”

ทหารหญิงเฝ้าค่ายสองคนมองหน้ากัน  จากนั้นจึงหันไปพยักหน้า  “เจ้าเข้ามาได้”

ซ่งมู่ส่งยิ้มขอบคุณให้  เขาค่อนข้างรูปหล่อ  ทหารหญิงทั้งสองเลยอดที่จะมีสีแดงซ่านแผ่ขึ้นมาบนหลังใบหูไม่ได้

“พวกประตูทรราช  ช่างเป็นศัตรูที่ร้ายกาจต่อใจจริง ๆ”  พวกนางซุบซิบกันเมื่อซ่งมู่เดินสบาย ๆ ไปทางกระโจมนอนที่ทหารหญิงชี้ทาง

“อ๊อออออออ”  เสี่ยวหมีร้องต้อนรับเมื่อเห็นคนรูปหล่อเดินเข้ามาใกล้

“เสี่ยวหมีว่าไง  สบายดีมั้ย”

“อ๊ออออออ”

ซีคงหยูได้ยินเสียงเลยพลิกตัวกลับมาดู  เขาดึงผ้าห่มออกจากคางแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอน

“อ้าว  น้องมู่  เป็นไงมาไง”

“ข้าซื้อมาฝาก”  ซ่งมู่ยื่นถุงใส่พุทราเชื่อมให้  อีกฝ่ายรีบคว้าไปสูดจมูกดมฟุดฟิดเหมือนแมวได้กลิ่นปลาย่าง

“ขอบใจน้องมู่มาก  ข้าเกือบอดตายผ่ายผอมแล้วถ้าไม่มีคนส่งอาหาร”  ซีคงหยูดึงคอเสื้อให้เห็นกระดูกไหปลาร้าที่บุ๋มเข้าไปตามความผ่ายผอมที่เขาอ้าง

ซ่งมู่มอง  แล้วก็เสมองทางอื่น  จากนั้นกวาดตากลับมาอีกที  แล้วกระแอม

“พี่หยู  เมื่อครู่ข้าเห็นวารีพิสุทธิ์ส่งคณะสำรวจออกไปที่เหมือง  ข้านึกว่าพี่หยูจะไปด้วยซะอีก”

“ฮ่า ๆ ก็เพราะข้าหยั่งรู้ว่าน้องมู่จะมา  ก็เลยอยู่รอไง”

“พี่หยูอย่าพูดเล่น  เดี๋ยวข้าเผลอคิดจริงจัง”  ซ่งมู่พูดยิ้ม ๆ

“ข้าพูดจริง  ข้าคิดถึงน้องมู่จะตาย  คนที่นี่เอาแต่กลั่นแกล้งข้า  หาว่าข้าขี้เกียจขี้คร้านไม่รักตัวเอง  กระซิก ๆ”   ได้ทีก็บีบน้ำตาใส่สีตีไข่อีกเจ็ดเท่า

“ฮ่า ๆ  พูดธุระดีกว่า  พี่ใหญ่ให้ข้าเอาของมาให้พี่หยู”

ซ่งมู่พูดจบก็ล้วงห่อผ้าออกมาจากอกเสื้อ   วางลงบนฟางใกล้ ๆ กับคุณชายสาม  แล้วคลี่ผ้าออก  มันเป็นกล่องหยกสำหรับรักษายาเซียนไม่ให้บุบสลาย

“ความกล้าของหนู่โม่หวาง”  ซีคงหยูเลิกคิ้วและลองเดาดู

ซ่งมู่พยักหน้า  “ใช่แล้ว”  เขาเว้นแล้วกล่าวต่อ  “พี่หยูอาจจะยังไม่รู้  ยาเซียนชนิดนี้มีมูลค่าสูงมาก  มันเป็นหนึ่งในสามยอดเซียนไฟ   จากตำหนักอาคันตุกะแดนไกล”

“สามยอดเซียนไฟ  อาคันตุกะแดนไกล?” 

เมื่อเห็นซีคงหยูทวนคำอย่างครุ่นคิด   ซ่งมู่จึงอธิบายต่ออย่างอดทน  “ตำหนักอาคันตุกะแดนไกลเป็นตำหนักที่วิจัยยาเซียนโดยเฉพาะ  พวกเขาสั่งสมชื่อเสียงมาหลายร้อยปี   และผลิตยาเซียนมหัศจรรย์จำนวนมาก   ถ้าพี่หยูสนใจด้านยาเซียน  สามารถเข้าศึกษาต่อที่ตำหนักนี้ได้   ทุก ๆ ปีพวกเขาจะเปิดรับนักปรุงยาจากทุกสารทิศมาเรียนรู้และฝึกปรือในตำหนัก”

ชายหนุ่มกล่าวต่ออีก  “สำหรับสามยอดเซียนไฟ  คือยาเซียนธาตุไฟสามชนิด  ที่มีฤทธิ์ต่อจิตประสาทที่ดีที่สุดในยุทธภพ  ความกล้าหาญของหนู่โม่หวางที่อยู่ตรงหน้าพี่หยูคือหนึ่งในนั้น  อีกสองยอดเซียนไฟคือความมุ่งมั่นของโฮ่วอี้  และความกระจ่างแจ้งของหนี่วา   ถ้าพี่หยูท่องเที่ยวในยุทธภพต่อไปเรื่อย ๆ คงได้สัมผัสยาเซียนทั้งสอง”

ซีคงหยูฟังจนหูกระดิก  “โอ้  ถ้างั้นก็แพงมากเลยสินะ  ทำไมน้องอวิ๋นเขาให้ข้าล่ะ”

“ถ้าพี่หยูไม่รู้  ข้าก็ไม่รู้สินะ  ฮ่า ๆ”   ซ่งมู่หัวเราะแล้วหลบตา

คุณชายสามเหล่มอง  เขาเชื่อว่าซ่งมู่มีสมมติฐานในใจ  แต่ขี้เกียจสืบสาว  เขาจึงยกถุงพุทราเชื่อมในมือขึ้นแล้วเขย่าเรียกความสนใจ

“ความปรารถนาดีของน้องมู่  ข้ารับมาแล้ว  เพื่อความยุติธรรมข้าจะรับความปรารถนาดีของน้องอวิ๋นด้วยก็ได้”    ทำทีเป็นไม่อยากได้แต่ก็รีบคว้ากล่องยาเซียนไปเก็บอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นของฝากตัวเองถูกเทียบกับพี่ใหญ่  ซ่งมู่ก็ยิ้มเขิน ๆ  ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง

“สำหรับวิธีใช้และข้อควรระวังของยาเซียน  พี่หยูคงทราบอยู่แล้ว  แต่ข้าอยากย้ำเตือนพี่หยูให้ระมัดระวังให้มาก  ข้าไม่แน่ใจว่าที่พี่ใหญ่กำนัลยาเซียนนี้จะเป็นโชคดีหรือเคราะห์ร้าย  ขอให้พี่หยูทำให้ดีที่สุด”

“ขอบใจมากสำหรับคำเตือนของน้องมู่”   คุณชายสามตบไหล่ซ่งมู่อย่างหนักแน่น  ก่อนคิ้วของเขาจะเริ่มขมวดอย่างใคร่ครวญ  ซ่งมู่ลอบมองสีหน้าครุ่นคิดของซีคงหยูอย่งตะลึงตะลานใจ  และสักพักคิ้วที่ขมวดนั้นก็คลี่ออก  พร้อมกับรอยยิ้มชั่วร้ายที่คลี่คลายด้วย

“ฮี่ ๆๆๆ   น้องมู่   ข้ามีเรื่องจะขอร้องเจ้า”

เสี่ยวหมีที่หมอบอยู่ลืมตาโพลง  เพราะรู้สึกได้ถึงรัศมีปีศาจร้าย




+++++++++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-09-2017 16:56:53 โดย Kirimanjaro »

ออฟไลน์ Kirimanjaro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
อภิทานตัวละคร


ตระกูลซีคง

- ซีคงเซี่ย    ท่านพ่อ
- ซีคงหยู     พระเอก
- ซีคงไท่หยาง   คุณพี่แม่ทัพ
- ซีคงเจี่ยง    ท่านจอมยุทธ
- ซีคงเหอ   เถ้าแก่น้อย


สำนักวารีพิสุทธิ์

- เจ้าสำนัก    ก็เจ้าสำนักน่ะสิ
- หมิงอวี้กว๋อ   ผู้อาวุโสจักรวาลสอดคล้อง
- ชวงลี่เอ๋อร์  ผู้อาวุโสปลาว่างเปล่า
- ไป่หลินหลิง  ผู้อาวุโสลมและเมฆ
- เส้าหยูเสวียน  ผู้อาวุโสนกยักษ์

- ไป่หลันหลัน  ศิษย์รับใช้ไป่หลินหลิง
- หวูชิงหรู   ศิษย์รับใช้ในสังกัดของไป่หลินหลิง
- อาสิบหกและอาสิบแปด  ตัวประกอบ  อย่าไปสนใจ
- จางชุ่ยฮัว   หัวหน้าคณะรัฐประหาร
- ศิษย์น้องเหยียน   ผู้ธำรงความยุติธรรมและความรัก
- ศิษย์พี่สวี   นางฟ้า
- หลู่เซียงเอ๋อร์  ยัยหมีเขียว
- ศิษย์น้องจิ่ง  ยัยหมาจู
- หลิวเกา  ดาวรุ่งพุ่งแรง
- หญิงลี่หญิงซู  ทหารหน่วยวารีโลหิต



สำนักประตูทรราช

- หลี่โอ๋อวิ๋น   นายเมฆผยองพองขนฟูนุ๊มนุ่ม
- ซ่งมู่   อิอิิอิ
- ซ่งจิน   มือธนูตาปลาตาย  แมลงวันก็ตาย


 
สำนักอำพันโบราณ
- ตู้เกี่ยนหลง   ของคนเขียน  ห้ามแย่ง
- หวงอี่กงจื้อ   แปลว่าคุณชายเสื้อเหลือง


สำนักไมตรีโลหิต
- จ้าวเหรินเจี่ยน   บางทีก็น่ารัก  บางทีก็น่าตบ


วังหมื่นบุปผา
- เว่ยหลิงจื่อ   จมูกชี้สู่ฟ้ารูที่หนึ่ง
- เว่ยเหลียนยู่  จมูกชี้สู่ฟ้ารูที่สอง



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-09-2017 22:13:59 โดย Kirimanjaro »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ wnkth

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
ของวังบุปผานี่แบบ อะไรคือรูจมูกชี้ฟ้า เหอๆ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
จริง ๆ หลิวเกาคือพระเอกสินะ....
สามสำนักร่วมมือ ข้าขอเดาว่าไร้มิตรแท้

...........

เป็นทำเนียบแนะนำตัวละครที่ไร้อคติ ช่างเป็นกลางและปล่อยวางดั่งแม่น้ำที่ไหลไปสู่ผู้ซึ่งน่ากินเสมอ

เที่ยงแท้ยิ่ง เที่ยงแท้ยิ่ง

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3
เมื่อไรซีคงหยูจะเทพ555

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook




เพ้ย! เสี่ยวหมี เจ้าจะยอมพ่ายแพ้ต่อความหล่อของบุรุษง่าย ๆ เหมือนข้ามิได้! (อ๊อออออออ!)
ฮึ่ย! ยิ่งอ่านยิ่งอยากหยำอยากนวดเสี่ยวหมี หมีอะไร น่าร้ากกกกกแบบนี้

มาทางฝั่งมนุษย์ ก็คงต้องปล่อยให้แต่ละพรรคเรียนรู้ความเจ็บปวดของการถูกทรยศหักหลังด้วยตัวเองกันต่อไป
หึ! คิดเหรอว่าเด็กเมื่อวานซืน (ศิษย์น้องตู้) พ่อหน้าหยก (พี่เจ้า) และสองศรีพี่น้องเว่ยจะดีกันได้นาน
นี่ก็รอวันที่คนใดคนหนึ่งจะหันมาสมคบกับไก่รองบ่อนอย่างพรรคปลาทูน้ำเงินบ้าง... สงสารพวกนางนะคะ ที่มีแค่หลิวเกาเท่านั้นให้เพ้อหา

ส่วนน้องอวิ๋นในตอนนี้ ถึงจะไม่มีบทบาท แต่ออร่าสายเปย์แผ่มาเตะตาป้าเต็ม ๆ เลยจ้ะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ ๆ !  :กอด1:

ป.ล. ขอบคุณที่ชี้แนะลิงค์ของดีค่ะ แต่ถึงเราจะดีใจที่เราสามารถหาแหล่งอ่าน ZTJ ได้แล้ว แต่พอเห็นจำนวนตอนทั้งหมด เราก็แทบลมจับ คุณพระ พันกว่าตอน... คนเขียนเก่งกล้าสามารถเหลือเกิน!


ออฟไลน์ Kirimanjaro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
wnkth:   ฮ่า ๆๆ  แซวพวกเขาเล่นเจ๋ย ๆ

alternative:    หลิวเกา!  ดูสิคนอ่านว่าเจ้าเป็นพระเอกแทนข้าแล้ว!  #คุณชายสามจับคอเสื้อหลิวเกาเขย่าๆๆ
"แม่น้ำที่ไหลไปสู่ผู้น่ากิน"  <<< บรรยายได้ดี บรรยายได้ดี  อิอิ

พิศตะวัน:  เริ่มฉายแววล่ะครับ  *-*

Malimaru: ไม่ได้ยอมแพ้ผู้ชายหล่อ  เขาเรียกว่าต่อให้ก่อน 
สามพันธมิตร  จ้าวเหรินเจี่ยนก็พูดล่ะว่ายังไงสุดท้ายก็ต้องแตกกัน  วารีพิสุทธิ์+ประตูทรราชก็เช่นกัน  เพราะผู้ชนะมีได้เพียงทีมเดียว  รักแท้ข้ามสำนักจะเอาชนะกติกาได้หรือไม่  เรามาติดตามกันต่อครับท่านผู้ชม  (T^T)



 


+++++++++


ดาบเป็นอาวุธที่ไม่สง่างามเท่ากับกระบี่  มันมีคมด้านเดียว  ความหนาและน้ำหนักไม่สมมาตร  ใบของมันบางทีก็ใหญ่บางทีก็เล็ก  ดาบเป็นอาวุธของพวกโจรผู้ร้าย  เพราะมันไม่ได้เอาไว้ดวลกับยอดฝีมือด้วยกัน  มันเอาไว้ฆ่าคน  วางเพลิง  ทำลายรั้วไม้  ทลายผนัง  รวมทั้งใช้สะบั้นคอมนุษย์  ดังนั้นมันจึงต้องการน้ำหนักที่จะช่วยให้การเหวี่ยงของมันรุนแรงขึ้น  มันไม่ได้ใช้แทงด้วยกระบวนท่าที่สวยงามประดุจการร่ายรำ  แต่ว่ามันใช้งานได้ดี

ประตูทรราชเป็นสำนักดาบ  แต่บางคนก็ไพล่ไปใช้ธนู  หรือกระบอง  ที่พวกเขาไม่ใช้คือกระบี่  สัญลักษณ์ของความเสแสร้งให้ดูหรูหราราคาแพง  ในมือซ่งมู่ก็ถือดาบ  มันเป็นดาบมาตรฐาน  ยาวห้าเชียะสามหุน  ด้ามทำจากทองแดงพันด้วยผ้าป่านสีดำธรรมดา   ตรงสันมีห่วงเหล็ก  มันจะส่งเสียงดังติงตังเมื่อเคลื่อนไหว  เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่อาวุธลอบสังหาร  มันคือสิ่งที่จะถูกใช้อย่างเปิดเผย   เสียงของมันจะบอกคู่ต่อสู้ว่า  เฮ้  ข้าจะโจมตีล่ะนะ

ท่าดาบที่เขาร่ายรำก็เป็นท่ามาตรฐาน  หงสากางปีก  พยัคฆ์ลงจากภูเขา   มังกรดั้นเมฆ  สามท่าวนเวียนกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุดประดุจวัฏจักรของฤดูกาล  ป้องกัน  จู่โจม  ฉกฉวยจังหวะ   สามท่าพื้นฐานที่แสดงถึงสารัตถะของการต่อสู้  เหมือนกับไม้หยาบอันถูกริดรอนกิ่งและผิวขรุขระออกจนหมด   เหลือแต่แก่นแกนของมันก็เท่านั้น

ซีคงหยูดูการร่ายรำเพลงดาบอย่างตะลึงตะลาน   เขารู้ว่านี่คือเพลงดาบอย่างง่ายที่ทุกผู้คนสามารถร่ำเรียนได้  หาใช่เพลงอาวุธวิเศษอันเป็นสมบัติบรรพชน  แต่กระนั้นเมื่อมันถูกร่ายโดยดาบที่ธรรมดาอย่างยิ่ง   ในมือที่ดูธรรมดาไม่ผิดแผกกัน  มันกลับดูเหมาะเจาะสอดคล้องโดยไม่มีที่ติ  เพลงดาบของซ่งมู่ถะโถมอย่างต่อเนื่องเหมือนกับธารน้ำไหล  แต่ในอีกชั่วขณะมันก็คือเปลวไฟ  สายตาของชายหนุ่มจดจ่อไปข้างหน้า  ราวกับจับจ้องศัตรูที่มองไม่เห็น   เหงื่อซึมออกมาตามคิ้ว  และย้อยลงไปสู่ขนตางอนยาวตัดกับเครื่องหน้าที่ดูแข็งแรงคมชัด  ซีคงหยูเคยล้อคนผู้นี้ว่า  จมูกยังโด่งไม่พอ  แต่เมื่อมองดูดี ๆ แล้ว  กลับพบว่าจุดบกพร่องของใบหน้ากลายเป็นเสน่ห์ตรึงตรา  ทำให้รู้สึกว่านี่คือมนุษย์  แต่ก็เป็นมนุษย์ที่มีมุมชวนเร่าร้อนและมุมพร่องที่ทำให้เขาเป็นเขาในเวลาเดียวกัน

ซ่งมู่ทวนเพลงดาบรอบที่ห้า   จากนั้นวาดดาบเก็บในท่าพัก  กล้ามเนื้อหลังและแขนที่เขม็งเกลียวของเขาก็ค่อย ๆ คลาย  เขายกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนใบหน้าของตน  จากนั้นส่งยิ้มเซ่อ ๆ ให้คนที่นั่งปรบมืออยู่ใกล้ ๆ

“พี่หยูดูแล้วจำกระบวนท่าได้หรือเปล่า  ลองดูบ้างมั้ย”

คุณชายสามลุกขึ้น  บิดขี้เกียจหนึ่งที   ก่อนยื่นมือไปรับดาบที่ซ่งมู่ส่งให้

“ลองดูก็ได้”   ซีคงหยูทบทวนความจำ   วาดดาบไปข้าง ๆ ยกขาขึ้นข้างหนึ่ง   อีกมือที่ไม่ได้ถือดาบก็ยกขึ้นเพื่อความสมดุล  นี่คือท่าหงสากางปีก   อาจจะดูเหมือนไม่มั่นคง  แต่หัวใจของมันคือการเปลี่ยนแปลงในสามทิศทาง  ท่าร่างของผู้ใช้จะดูเหมือนปิรามิด  ที่พร้อมจะยักย้ายถ่ายมุมได้ตลอดเวลา  ปีกของหงส์ที่กวาดไปทางซ้ายก็สามารถย้อนมาโจมตีขวา  หรือร่อนไปในนภาเพื่อเตรียมสังหารศัตรู

จากนั้นเขาหย่งปลายเท้าขึ้น   หมุนด้ามดาบมาจับสองมือ  ย้ายจุดศูนย์ถ่วงของร่างลงต่ำ  และพุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับฟาดดาบประดุจพยัคฆ์ร้ายที่กระโจนกางเขี้ยวเล็บ  กระบวนท่านี้จุดสำคัญอยู่ที่ความเร็วและการเปลี่ยนน้ำหนัก  มันคือการทำลายศัตรูในเวลาที่พวกเขาระมัดระวังตัวน้อยที่สุด  การอดทนรอจังหวะใช้เป็นเรื่องสำคัญ  เหมือนกับพยัคฆ์ที่จะต้องรู้ว่าควรลงเขาเมื่อใด

ซีคงหยูร่ายดาบทั้งสองกระบวนท่าอย่างเชื่องช้า   เขาทำตามคำแนะนำของซ่งมู่  ว่าให้เน้นความถูกต้องของรูปแบบก่อนแล้วค่อยใส่จังหวะ  พลัง  และจิตวิญญาณลงไป  ท่าสุดท้ายคือมังกรดั้นเมฆ  สองมือจับดาบฟาดช้อนขึ้นและสะบั้นลง  ด้ามดาบยกที่หลังใบหูพร้อมทั้งทิ่มแทง  และพร้อมที่จะยันตัวถอยออกไปห่าง   กระบวนท่านี้อาศัยการผันแปรตามสถานการณ์  ศัตรูพ่ายแพ้ให้รีบรุกไล่  เมื่อศัตรูได้เปรียบก็ต้องรีบถอย   โจมตีซ้ายขวาบนล่างเพื่อทำลายกระบวนทัพ  ซ่อนจริงปนลวง  ลวงปนจริง  ถอยและบุกผสมผสานกัน

“เร็วขึ้นอีก”   ซ่งมู่บอกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายร่ายจบหนึ่งรอบแล้ว  โดยที่รูปแบบท่าร่างถูกต้องในระดับที่ยอมรับได้

ซีคงหยูสูดลมหายใจลึก   จากนั้นเริ่มร่างหงสากางปีกใหม่อีกครั้ง  คราวนี้เขาฟังเสียงเต้นของหัวใจตนเอง  และปล่อยให้กระบวนท่าเคลื่อนคล้อยไปตามจังหวะ

“ยอดเยี่ยม”  ซ่งมู่กล่าวชม  เมื่อเห็นคุณชายสามใช้จังหวะของตนเองในการร่ายรำ  แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ปรมาจารย์ดาบ   แต่ซ่งมู่ก็รู้ว่าน้อยคนนักที่ทำถึงขั้นนี้ได้ในการทดลองครั้งแรก

เมื่อได้ยินคำชม  ซีคงหยูก็ฮึกเหิม  แต่เพราะคาดหวังความสำเร็จ  พยัคฆ์ลงจากภูเขาจึงล้มเหลวไม่เป็นท่า   เขาจับจังหวะมันไม่ได้  มันมีแต่รูปแบบทว่าปราศจากลมหายใจ

“ไม่ต้องสนใจ  ท่าต่อไป”   ซ่งมู่ตะโกนบอกเมื่อเห็นอีกฝ่ายเสียจังหวะ  ซีคงหยูรีบใช้มังกรดั้นเมฆ  มันรวดเร็วทว่ายังมีข้อผิดพลาด  เมื่อครบหนึ่งรอบ  ซีคงหยูก็หยุด

“ที่พี่หยูผิดพลาดเพราะท่ายืนไม่ถูกต้อง  และเกร็งกล้ามเนื้อผิดมัด  เมื่อใส่แรงลงไปมันจึงผิดเพี้ยนจากที่ฝึก”   ซ่งมู่วิจารณ์

“งั้นต้องทำไงล่ะ”

“พี่หยูลองยืนอย่างนี้”  ซ่งมู่ทำท่าจับดาบในอากาศ  แล้วยืนให้ดู  ซีคงหยูมองดูแล้วรีบทำตาม

“เกือบล่ะ”  ซ่งมู่เดินวนดูรอบ ๆ ขึ้น ๆ ลง ๆ ว่าท่าทางถูกต้องหรือไม่  “ทีนี้เวลาที่พี่หยูวาดดาบไปข้าง ๆ  พี่หยูต้องเกร็งหลังเหมือนกับบีบสะบักหลังเข้าหากัน”

“ยังไง”

ซ่งมู่ไม่ตอบด้วยคำพูด  เขาเข้าไปยืนข้างหลังศิษย์จำเป็น  แล้วจับไหล่ที่เนียนลื่นนั้นให้เคลื่อนเข้าหากัน

“ทีนี้ลองวาดดาบไปทางซ้ายท่าหงสากางปีก”

ซีคงหยูทำตามที่บอก  ไหล่ของเขาถูกจับเอาไว้ให้เกร็งไปข้างหลัง

“ไม่ ๆ  องศาแขนไม่ถูก”  ซ่งมู่พูดแล้วใช้มือหนึ่งสอดใต้รักแร้ของคนที่ยืนหันหลังให้  จับข้อศอกให้ตรงตามท่าที่ถูกต้อง  เขาต้องเคลื่อนไปใกล้จนร่างแทบแนบชิดกับอีกฝ่าย   จมูกของซ่งมู่เข้ามาใกล้ชิดกับซอกคอของคนตรงหน้า  และสายตาก็มองลงไปในคอเสื้อ  เห็นรอยต่อระหว่างผิวสีน้ำผึ้งกับสีขาวอันเกิดจากการชอบเที่ยวเล่นกลางแจ้งของคุณชายสาม  เขานิ่งไปครู่หนึ่ง   กลั้นหายใจ  ก่อนจะบอกให้ซีคงหยูเริ่มขยับตามกระบวนท่า  ซ่งมู่ต้องเคลื่อนไหวตามไปด้วยดุจเงา  เพื่อไม่ให้กระบวนท่าของผู้เรียนติดขัด  ร่างของทั้งสองสอดประสานและมือของซ่งมู่ก็เคลื่อนไปทั่ว  ตามแต่ว่าจะมีจุดผิดพลาดที่ร่างกายส่วนใด

เมื่อคุณชายสามออกแรงในกระบวนท่าได้อย่างถูกต้องตลอดรอดฝั่ง   ซ่งมู่ก็ลอบระบายลมหายใจที่กลั้นไว้  เขาถอยห่างออกมา  แล้วบอกให้ซีคงหยูทบทวนกระบวนท่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า

การฝึกและปรับแก้กระบวนท่าดำเนินไปอย่างต่อเนื่องถึงสองชั่วยาม   แต่ซีคงหยูก็พอใจในผลลัพธ์ที่ได้   เขาจับดาบในมือชั่งน้ำหนักอย่างอย่างคะเน  จากนั้นหมุนข้อมือให้ดาบควงเป็นวงหนึ่งรอบ  ตอนนี้เขาเริ่มมีความรู้สึกเหมือนกับว่าอาวุธในมือได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่สามารถบังคับได้ตามใจ

ซ่งมู่ยืนมอง  ส่ายหน้า  แล้วก็ถอนหายใจ   คุณชายสามที่เหลือบไปเห็นจึงเลิกคิ้วถาม

“ทำไมหรือน้องมู่  ข้ายังทำได้ไม่ดีหรอ”

“เปล่าหรอกพี่หยู   ข้าเพียงแต่สะทกสะท้อนในพรสวรรค์ของตนเอง  กว่าข้าจะฝึกให้ได้เท่าพี่หยู  ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าใช้เวลาไปเท่าไหร่”

ซีคงหยูส่ายหน้า

“สามเดือน..  แต่พี่หยูฝึกได้ในสองชั่วยาม  หากผู้ใดกล้าว่าพี่หยูไร้พรสวรรค์  ข้าจะเตะไข่มัน”

ซีคงหยูยิ้มกว้างอย่างดีใจ

“น้องมู่พูดจริงหรือ”

“จริง”

“โอ้  งั้นเตะเบา ๆ นะ”

“ไฮ้  ข้าหมายถึงจริงที่พี่หยูมีพรสวรรค์”

“ฮ่า ๆ  และข้าก็หมายถึงน้องอวิ๋นนั่นแหละที่บังอาจบอกว่าข้าไม่ได้เรื่อง  เจ้าจะเตะก็ระวังหน่อย”

“...”


+++++


เมื่อล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว  ซีคงหยูก็เดินไปหาซ่งมู่อีกครั้ง

“ตอนนี้ข้าก็ฝึกเพลงดาบพื้นฐานสำเร็จแล้ว  เจ้าจะพาข้าไปเที่ยว  เอ๊ย..ลงเหมืองตามที่สัญญาได้หรือยัง”

คุณชายสามประสานมืออธิษฐานทำตาเป็นประกายวิ้ง ๆ  ขณะที่อีกฝ่ายเหงื่อตก   เพราะไม่นึกว่าซีคงหยูจะทำได้ตามเงื่อนไขภายในระยะเวลาเท่านี้  สงสัยว่าเขาเผลอ ‘ตั้งใจสอน’ มากเกินไปหน่อย

“เอ่อ  ไม่ดีมั้ง  เดี๋ยวพี่ใหญ่ดุ  ข้าต้องไปรายงานเขาก่อน”

ซีคงหยูได้ยินดังนั้นจึงขมวดคิ้วนิ่วหน้า  “หืมมม  น้องมู่  เจ้าจะผิดคำพูดอย่างงั้นรึ”

ซ่งมู่ทำสีหน้ายุ่งยาก  “แต่..แต่พี่หยู   การโจมตีเหมืองกันแค่สามคนมันเป็นไปไม่ได้”

“ยังไม่ได้ลองจะรู้ได้ไง  นะ  นะ  น้องมู่  น้องมู่ผู้องอาจ  ชาญฉลาดและแข็งแรง  ประสาอะไรกับอสูรน้อยกระจอก ๆ พวกนี้  ต่อให้ราชาอสูรมา  น้องมู่ตวัดดาบเดียวก็ปลิวไปทั้งก๊ก   แถมยังมีเสี่ยวหมี..”   คุณชายสามตบคอหมีคู่ใจแปะ ๆ   “โอ้โห  เสี่ยวหมี  เจ้าหมีเทพสงคราม  อะไรจะแข็งแกร่งล่ำบึ๊กขนาดนี้”

“อ๊ออออออ”  เสี่ยวหมีฟังแล้วก็เชิดจมูกอย่างภาคภูมิใจ

“ฮ่า ๆๆ  เสี่ยวหมี  ถ้าเชื่อพี่หยูมาก  ระวังจะโดนหลอกไปขายนะ”

“อ๊อออออออ”

“เพ้ย  น้องมู่  อย่ามาเป่าหูหมีข้า..แล้วข้าจะแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้ถ้าขายได้”

“อ๊อออออออออ!!!”

“เอาล่ะ  จริงจัง”   ซีคงหยูเก็บรอยยิ้มหันไปมองตาซ่งมู่  “ข้าอยากทดลองความกล้าของหนู่โม่หวางอีกครั้ง  ข้ากำลังสงสัยว่ามันจะช่วยแก้จุดอ่อนของข้าได้หรือไม่”

“จุดอ่อนของพี่หยู?”

“อะเครเซีย”  ซีคงหยูพูดภาษาที่หนุ่มร่างสูงไม่รู้จัก  เมื่อเห็นดังนั้นคุณชายสามจึงขยายความ  “ความอ่อนแอของเจตจำนง..”

ซ่งมูพยักหน้าน้อย ๆ 

“ดังนั้นน้องมู่ช่วยไปดูแลข้าในเหมืองได้หรือเปล่าล่ะ”

“กุญแจเหมืองล่ะ”

“แอ่นแอ๊น..”  ซีคงหยูฉีกยิ้มโชว์แผ่นหยกกลมที่ไปจิ๊กมาจากโต๊ะทำงานของพี่หญิงสวี

ซ่งมู่ถอนหายใจ   เพราะดูเหมือนว่าจะเลี่ยงไม่ได้


++++++++++++



ซ่งมู่และซีคงหยูยืนอยู่ที่ปากถ้ำประตูเข้าสู่ดินแดนลี้ลับ   ในมือของทั้งสองคนมีเชือกมัดใหญ่  พวกเขาสาวเชือกดึงมวลวัตถุสีดำและมีขนอุยขึ้นมาที่หน้าถ้ำ  และเนื่องจากรู้ว่าเสี่ยวหมีกลัวความสูง  พวกเขาจึงเลือกประตูที่อยู่บนซอกผาที่ไม่ไกลจากพื้นดินมากนัก  แต่ถึงกระนั้นเสี่ยวหมีก็ต้องหลับตาปี๋เมื่อถูกชักรอกขึ้นมา

“เสี่ยวหมี  เจ้ากินอะไรเข้าไปวันนี้   ขนาดข้าใช้พลังปราณช่วยยังหนักอิ๊บอ๋าย”   ซีคงหยูบ่นขณะที่ลากหมีดำเข้ามาในถ้ำได้สำเร็จ

“อ๊อออออ”

ซ่งมู่ยืนยิ้มและลูบหัวเสี่ยวหมี  “พี่หยู  น้ำหนักเยอะสิดี  เดี๋ยวนี้เนื้อหมีราคาชั่งละหลายร้อยตำลึงเชียวนะ  โอ๋ ๆ เสี่ยวหมี  ข้าล้อเล่น”   นักดาบหนุ่มรีบปลอบใจเมื่อเห็นเสี่ยวหมีตวัดตาค้อนแล้วสะบัดหน้าไปทางอื่น  แต่แล้วก็หันกลับมาเลียมือของซ่งมู่เมื่อได้รับคำปลอบ

คุณชายสามเท้าสะเอวดูอย่างหมั่นไส้  กะเจ้าของงอนเอา ๆ   แต่ทีกะคนหล่อ  ออเซาะเลยนะ   เอ๊ะ  แต่มันเป็นตัวผู้นี่

ซีคงหยูม้วนเชือกเก็บ  แล้วใส่ในห่อผ้าที่สะพายไว้ข้างหลัง  เขาไม่มีแหวนสี่มิติเหมือนกับชนชั้นหัวหน้าศิษย์คนอื่น ๆ  จากนั้นก็ล้วงกล่องยาเซียนไฟออกมาจากอกเสื้อ  แล้วนั่งยอง ๆ คุกเข่าข้างหนึ่งเพื่อให้ถนัดเปิดกล่อง

เขาหยิบเข็มยาเซียนความกล้าของหนู่โม่หวางมาส่องดู  ผิวแก้วของกระเปาะยาสะท้อนแสงสีแดงอมขาวของประตูดินแดนลี้ลับที่ปากถ้ำ 

“คราวก่อนที่ผลข้างเคียงรุนแรง  อาจจะเพราะว่าได้รับปริมาณมากไป”   ซีคงหยูวิเคราะห์ตนเอง  “งั้นคราวนี้ข้าจะใช้แค่ครึ่งเดียว  ส่วนอีกครึ่ง”   เพ่งพิศดูยาเซียนอยู่ครู่หนึ่ง  ก็เหลือบหางตาไปมองเสี่ยวหมีที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่แล้วฉีกยิ้มหัวเราะฮี่ ๆ

เสี่ยวหมีขนลุก  มันหันไปมองซ่งมู่เพื่อส่งสายตาขอความช่วยเหลือ  แต่กลับเห็นพ่อหนุ่มทำตาเป็นประกายอย่างสนอกสนใจเช่นเดียวกัน   เมื่อสิ้นหวัง   เสี่ยวหมีจึงล้มแบะลงไปแล้วทำเสียงคร่อก   คนที่บอกว่าเจอหมีให้แกล้งตาย  แปลว่าเขายังไม่เคยเจอเหล่านักวิทย์สติเฟื่อง!

ซีคงหยูฉีดยาเซียนเข้าเส้นเลือดตนเองครึ่งหนึ่ง  จากนั้นก็ฉีดให้เสี่ยวหมี  ซึ่งร้องอ๊อเบา ๆ หนึ่งที  แต่ไม่ดิ้นมากมาย

“หมีฉลาด”   คุณชายสามลูบหัวมันแปะ ๆ   เสี่ยวหมีตวัดตาค้อนแล้วลุกขึ้น 

สองคนกับหนึ่งหมีเริ่มออกเดินทาง  สองหนุ่มถือดาบในท่าป้องกันอย่างระวังระไวตลอดเวลา   พวกเขาเคลื่อนที่อย่างไม่ช้าไม่เร็ว

ศัตรูตัวแรกของพวกเขา  เป็นอสูรต้นไม้  มันมีรากที่ระโยงรยางค์เหมือนรากไทร  และผิวหนังที่ยับย่นเหมือนไม้เน่า ๆ  ดวงตาของมันเป็นก้อนสีดำกลม ๆ ทั้งก้อน   ในปากของมันมีเขี้ยวที่เหมือนทำจากเปลือกไม้หัก ๆ  ทว่าแข็งแกร่งผิดจากที่เห็น  มันสามารถงับก้อนหินและเคี้ยวเล่นได้เลยทีเดียว  ประสาอะไรกับเนื้อหนังและกระดูกของมนุษย์

ซ่งมู่กระชับดาบในมือ  เขาใช้เพลงดาบของประตูทรราชที่สอนให้แก่ซีคงหยูไม่ได้  กระบวนท่าของเขาดุดันและรุนแรง  เหมือนกับจักรพรรดิอำมหิตผู้เข่นฆ่าผู้คนโดยไม่กระพริบตา

อสูรต้นไม้โรมรันพันตูอยู่กับซ่งมู่  รากของมันแกว่งปัดป่ายพยายามที่จะพัวพันเป็นอุปสรรคต่อคู่ต่อสู้  มือของมันที่เหมือนกับกิ่งไม้อันมีสามกิ่งและมีเล็บอันแหลมคม  ก็ตะกุยไปข้างหน้า  ปะทะกับเพลงดาบอันดุเดือด   ซีคงหยูกระโดดไปตามหินงอกข้าง ๆ เพื่ออ้อมการต่อสู้  และลอบเข้าไปข้างหลังอสูรต้นไม้   ทว่าไม่ทันจะได้โจมตี   เสี่ยวหมีก็ตะปบปีศาจต้นไม้จนกระเด็นไปโดนหินย้อยหักร่วงพรูจากเพดานถ้ำ

“โฮกกกกกก!”

อสูรต้นไม้คำรามอย่างโกรธเกรี้ยว   หนวดรากของมันปัดป่ายไปทั่วท่ามกลางผงคลีและเศษหิน  เหมือนพยาธิเส้นด้ายที่พยายามจะชอนไชเข้าร่างสิ่งมีชีวิต

ซ่งมู่กระโจนเข้าไป  เงาดาบของเขามีประกายสีน้ำเงินม่วงราวกับสายฟ้า  ปราณเซียนพลุ่งพล่านจากในร่างแล้วหลั่งไหลไปรวมเป็นจุดแสงในดาบ

“อัสนีทรราช!”

นักดาบหนุ่มตะโกนแล้วฟาดดาบลงไป   จุดแสงนั้นส่งเส้นสายฟ้าหยักซิกแซกไปกลางอากาศ  สายฟ้าอันรวดเร็วเกินกว่าคู่ต่อสู้จะเคลื่อนไหว  เผามัน  อัมพาตมัน  และทำให้อสูรต้นไม้กลายเป็นฟืนไหม้ ๆ ที่รอการผ่า

“ฉัวะ!”

ดาบฟาดซ้ำเข้าไป  คมของมันแหวกร่างของอสูรจนเห็นเครื่องใน  ไส้พุงของมันเหมือนกับของสัตว์บางชนิด  เป็นสีดำคล้ำและส่งกลิ่นคาวชวนคลื่นเหียน  ซ่งมู่แกว่งดาบอีกสองที  แขนและรากของมันก็ถูกสะบั้นออกจากตัวจนหมด  ซีคงหยูยืนมองตะลึงตะลาน   ตำแหน่งมือขวาของหลี่โอ๋อวิ๋นคงไม่ได้มาเพราะโชคช่วย

เมื่อเห็นว่ามันตายสนิทดี   ซ่งมู่ก็ค่อย ๆ ลดดาบในมือ จากนั้นเข้าไปนั่งยอง ๆ ใกล้ ๆ ใช้มีดสั้นชำแหละหาแกนอสูร

ซีคงหยูไม่พูดอะไรเกินจำเป็น   เวลาที่เขาอยู่ในสภาวะกล้าหาญ  เขาจะคิดอยู่เรื่องเดียวคือการบุกตะลุยไปข้างหน้า  สามคนกับหนึ่งหมี  ค่อย ๆ สังหารอสูรในเหมืองไปทีละตัว   และด้วยว่าซีคงหยูคุมตัวเองได้ดีขึ้น   เขาจึงใช้แผนการต่อสู้  ทั้งล่อ  ทั้งหนี  และสร้างความสับสน 

คราวนี้  ฤทธิ์ความกล้าหาญของหนู่โม่หวางไม่ได้หมดไปอย่างรวดเร็วเหมือนการลงเหมืองครั้งก่อน   เพราะคุณชายสามคอยรักษาระดับปราณในร่างกาย  ไม่ใช้เกินจำเป็น  ซีคงหยูใช้อสูรเป็นเป้าฝึกเพลงดาบพื้นฐานสามกระบวนท่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยแทบไม่ใช้วิชาเซียนสามสิบหกแผนเลย   เขาพยายามลับประสาทสัมผัสการต่อสู้ให้คม  โดยหลบหลีกและล่าถอยด้วยกระบวนดาบ
 
ทั้งสามคนพักเหนื่อยเมื่อลงเหมืองมาได้ครึ่งทาง  ซีคงหยูทิ้งตัวลงเอนกับโขดหินข้าง ๆ ซ่งมู่ซึ่งแลตามองอย่างเป็นห่วง

“เป็นไงบ้างพี่หยู”

“สบายดี”

แต่เหมือนนักดาบหนุ่มจะไม่เชื่อ  เลยตะแคงตัวมาใกล้ ๆ  ยื่นใบหน้าเข้ามาดู  และใช้นิ้วเลิกเปลือกตาของซีคงหยูเพื่อสังเกตม่านตา  ม่านตาของซีคงหยูหรี่ลงทันทีเมื่อถูกมองใกล้ ๆ มันขยับและไหวระริกเล็กน้อยตามจังหวะหายใจที่เขาสูดเข้าออกอย่างรุนแรงเพราะยังไม่หายเหนื่อย  ซ่งมู่นิ่งไปครู่หนึ่ง  ลมหายใจของหนุ่มรุ่นน้องค่อย ๆ ระบาย  ระสัมผัสข้างแก้มของคนตรงหน้า   ซีคงหยูรู้สึกขัดเขินเลยพูดทำลายความเงียบ

“น้องมู่ทำเหมือนเป็นหมอเลย”

ซ่งมู่เหมือนกับเพิ่งรู้สึกตัว  เขาปล่อยมือออกจากเปลือกตาของหนุ่มรุ่นพี่  ถอยห่างออกไปแล้วกล่าว   “พ่อของข้าเป็นแพทย์  แต่ข้าอยากเป็นนักดาบ  ถึงอย่างนั้นก็ยังพอรู้บ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ”

“โอ้  นอกจากซ่งจินแล้วเจ้ามีพี่น้องคนอื่นมั้ย”

ซ่งมู่ส่ายหน้า

“แปลว่าไม่มีใครสืบทอดวิชาแพทย์ของพ่อเจ้าเลย”

“ฮ่า ๆ  พี่หยูไม่ต้องห่วง  เขามีลูกศิษย์มากมาย  ข้าคงยังไม่เคยบอกท่านว่าพ่อของข้าเป็นอาจารย์อยู่ที่ตำหนักอาคันตุกะแดนไกล”

“สำมะคัญ  สำมะคัญ”  ซีคงหยูกวาดตามองใบหน้าที่แสดงอาการเขินปนภูมิใจนิด ๆ ตรงหน้า  “มิน่าน้องมู่ถึงแนะนำข้าให้ไปตำหนักอาคันตุกะฯ  ที่แท้ก็มีเส้นสาย”

ซ่งมู่ยิ้มกว้างจนเห็นฟัน   คุณชายสามจึงเอื้อมมือไปบีบจมูกของอีกฝ่ายแล้วเขย่าเบา ๆ อย่างมันเขี้ยว

“ยังมีความลับอะไรที่เจ้ายังไม่บอกข้าอีกมั้ย”

ซ่งมู่พูดเสียงอู้อี้เพราะถูกบีบจมูกว่าไม่มี
เมื่อคุณชายสามปล่อยมือ   เขาจึงถามกลับไป

“แล้วพี่หยูล่ะ  ถ้าจะลองยาเซียน  ไปกับศิษย์ร่วมสำนักก็ได้  ทำไมถึงต้องมากับข้า”

โดยไม่สังเกตถึงความคาดหวังที่ซ่อนเร้นลึกในสายตาของผู้ถาม  ซีคงหยูส่ายศีรษะ

“ข้าไม่อยากอธิบายกับคนอื่น  ขี้เกียจจะเห็นสายตาประหลาดใจเมื่อข้าพยายามแก้ปัญหาที่ข้าอธิบายไม่ได้”

“แต่พี่หยูก็กำลังอธิบายให้ข้าฟัง”

“ฮ่า ๆ  เจ้าไม่ใช่คนอื่นนี่นา  เราสองคนเป็นเฮียตี๋  เหตุใดจะต้องคิดมากความ”

“ฮ่า..ฮ่า...ฮ่า”  ซ่งมู่หัวเราะตามด้วยช้า ๆ   เขางำประกายตาของตนเอง  แล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นจากโขดหินที่เอนพิง  “พี่หยูหายเหนื่อยหรือยัง  พวกเราไปต่อกันเถอะ”

ซีคงหยูพยักหน้า   แล้วดีดนิ้วเรียกเสี่ยวหมี



++++++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-09-2017 23:29:47 โดย Kirimanjaro »

ออฟไลน์ wnkth

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
เสี่ยวหมีนี่เป็นหมีจริงๆใช่มะครับ ฮ่า

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ไรท์ สุดยอด  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
คนอ่าน อ่านไปขำไป  :ling1: :ling1: :ling1:

หยู เป็นนายเอก ที่แก่ไป ในความเห็นของซ่งมู่ อะจ๊ากกกก
ดูจากการฟื้นตัวหลังจากใช้หนูโม่  :เฮ้อ:

นี่ขนาดคิดว่าหยูแก่   o18
เหมือนซ่งมู่ จะหลงเสน่ห์หยูนะ  :z3: :z3: :z3:
มีกลั้นหายใจ เหลือบแลผิวขาวๆของหยู จ้องตาหยู แล้วนิ่งไปเลย  :really2: :really2: :really2:
หยู ไม่ได้จับใจแต่โอ๋อวิ๋นที่สายเปย์นะ ยังจับใจซ่งมู่ซะด้วย
ดีนะที่ซ่งจิน ตาปลาตาย แมงวันตายไม่มาหลงด้วยอีกคน
หมดกันเลย พรรคประตูทรราช

และแล้ว.....ก็มีคนเห็นว่าหยูมีพรสวรรค์เป็นคนแรก แปะ  แปะ /ตบมือให้และ
คือซ่งมู่ หยูอ้อนให้สอนท่ากระบี่ แลัวหยูก็ทำได้ในสองชั่วยาม  o22 o22 o22
ที่ผ่านมานี่หยูขี้เกียจ จนไม่เอาถ่าน จะเอาแต่แก๊สจริงๆสินะ
แต่หยูจะเอาจริงเอาจังแล้วนะ ชวนมู่ กับหมี อ๊ออออออ
เปิดเหมืองเองเลย  ไม่เจ๋งจริง ทำไม่ได้นะ    :a5: :a5: :a5:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-09-2017 05:02:51 โดย ♥►MAGNOLIA◄♥ »

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
หลี่โอ๋อวิ๋นไม่พูดอะไรเกินจำเป็น   เวลาที่เขาอยู่ในสภาวะกล้าหาญ  เขาจะคิดอยู่เรื่องเดียวคือการบุกตะลุยไปข้างหน้า

ตรงนี้นุ้งอวิ๋นโผล่ผิดที่หรือเปล่า รอบนี้ซ่งมู่เป็นตัวเด่น (แม้จะโดนหมีแกล้งตายกลบรัศมีก็เถอะ...) ห้ามแย่งซีนสิ!


ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
คงหยูถ้าจะขายเสี่ยวหมีขายมาให้เรานะคะ อยากฟัดสักที หมั่นเขี้ยว

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook


เฮ้ยยยยย! น้องมู่ น้องมู่จะมาหลงเสน่ห์อาเฮียมิได้
เดี๋ยวน้องมู่จะผิดใจกับน้องอวิ๋นในภายหลัง คนหล่อสองคนทะเลาะกัน อีป้านี้จะร้าวรานเอา

แต่พูดก็พูดเถอะ น้องอวิ๋นหายไปไหน
ทำไมปล่อยน้องมู่มาทำคะแนนกับเหล่าแม่ป้าอยู่แบบนี้
นี่ถ้าอีกตอนสองตอนน้องอวิ๋นไม่ซมซานกลับมา
ป้าอาจจะชิปอาตี๋กะเฮียหยูโดยการวิ่งบนน้ำไปแล้วก็เป็นได้ (นี่เม้นไปก็กำไม้พายในมือไปตลอด ๆ )

ส่วนเสี่ยวหมี... ป้าไม่มีอะไรจะบอก นอกจากบอกรักเสี่ยวหมีที่หลงระเริงไปกับความหล่อของผู้ชายไปเรื่อยเปื่อย
หมีอะไร ได้ใจป้าจริม ๆ (ชูป้ายไฟเชียร์เสี่ยวหมีรัว ๆ )
เป็นกำลังใจให้นะคะ ถ้าคนเขียนท้อ ๆ ก็ขอให้รู้ว่ายังมีพวกเรารออ่านอยู่นะคะ  :กอด1:



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Kirimanjaro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
wnkth: ไม่จริงครับ  มันเป็นเท็ดดี้แบร์ที่ถูกแม่มดเสกให้มีชีวิต #โม้

♥►MAGNOLIA◄♥:  ความแก่มีเสน่ห์จิตาย   มีเพื่อนผู้หญิงคนนึงบอกผมว่า  ชอบผู้ชายที่มีอายุหน่อย  เพราะว่าเวลามองเข้าไปในตา  มันจะเห็นริ้วรอยของความอ่อนล้า  ระโหยโรยแรงต่อชีวิตบางอย่างที่มันดูน่าดึงดูด
"ไม่เอาถ่าน  เอาแต่แก้ส"  <<<< 55555+

alternative: แก้แล้วคร้าบ  ขอบคุณมาก ๆ ที่ช่วยดูให้

JustWait: เอาครึ่งตัวหรือเอาเป็นกิโลดีครับ

Malimaru: น้องอวิ๋นกลับมาแล้วครับ  ไปขี่พายุทะลุฟ้ามา  5555
ซ่งมู่ก็น่ารักดีออก   ทำเรือพ่วงดีกว่า  พ่วงหลาย ๆ ลำ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ   ช่วงนี้ท้อในแง่ว่า   รู้สึกเขียนได้ไม่ดีเท่าที่ตั้งใจ   บางอย่างก็สกิป ๆ ไป  และแบบพอตอนนี้อ่านนิยายที่เขียนดีมาก ๆ อยู่  เลยรู้สึกเปรียบเทียบตลอด (นิยายเรื่องที่ว่าคือ Legend of the Great Saint)


++++++
 


กลางเมืองจิ้งซานมีแผ่นป้ายประกาศ   บนแผ่นป้ายมีรายนามของผู้คุมปมเหมือง  และเจ้าของรายนามก็มีทั้งหมดสิบสามคน  ทว่า ณ เวลานี้รายชื่อที่สิบสี่ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาบนกระดานนั้น

ตอนแรกไม่มีคนสนใจชื่อที่ว่า  จนกระทั่งศิษย์น้องเหยียนเดินผ่าน   นางเหลือบไปเห็นแวบหนึ่งจากนั้นก็เดินผ่านไป  แล้วชะงักเท้า   แล้ววิ่งกลับมาดูใหม่  นางเอียงคอทางซ้าย   เอียงไปทางขวา  จากนั้นลองตีลังกา   แต่ไม่ว่าจะอ่านยังไง  ชื่อบนป้ายก็ยังเหมือนเดิม

ศิษย์น้องเหยียนวิ่งหน้าตั้งกลับมาที่ค่ายหน้าศาลเจ้า

“ศิษย์พี่สวี!  ศิษย์พี่สวี!”

หญิงสวีเงยหน้าขึ้นมาจากเอกสารที่นางดูแลอยู่  คณะสำรวจที่ส่งไปล่าสุดเพิ่งกลับมาและนางก็มีงานที่จะต้องทำอีกเยอะ 

“ศิษย์น้องเหยียน  มีอะไรหรือ”

“ศิษย์พี่สวี”   เจ้าของใบหน้ากลมจับแขนศิษย์พี่หญิงเขย่าแล้วระล่ำระลัก  “สำนักเรายึดเหมืองได้!”

“ก็ยึดได้น่ะสิ   เพิ่งยึดไปเมื่อครู่เอง”   หลู่เซียงเอ๋อร์เดินผ่านมาพอดี   นางเบะปากคิดว่ายัยนี่จะตื่นเต้นอะไร   สำนักวารีพิสุทธิ์เพิ่งจัดตั้งทีมใหญ่ไปลงเหมืองมามันก็ต้องสำเร็จอยู่แล้ว

“เหอะ..”   ศิษย์น้องเหยียนหันไปแค่นเสียงใส่  “คิดว่าข้าไม่รู้เรื่องทีมหลักหรือไงศิษย์น้องหลู่   แต่ที่ข้าเห็นมันคือเสี่ยวหมี  ศิษย์พี่สวีได้ยินมั้ย  เสี่ยวหมียึดเหมืองได้!”

ทั้งยัยหมีเขียวและหญิงสวีได้ยินก็อึ้งไปครู่หนึ่ง   และในตอนนั้นเอง  สองคนกับหนึ่งหมีก็เดินเข้าค่ายมาพอดี   คุณชายสามดูระโหยโรยแรง  แต่เขาไม่นอนแผ่มาบนหมีเหมือนปกติ  เพราะหมีดำคู่ใจเองก็เหนื่อยไม่แพ้กัน   ทั้งคู่อยากนอนเต็มแก่  ซ่งมู่เดินตามมาส่งที่หน้าค่าย  เขาหยุดเท้าเมื่อถึงประตูที่หญิงลี่กับหญิงซูเป็นเวรรักษาการณ์อยู่

“พี่หยู   ข้าส่งเท่านี้นะ”

ซีคงหยูหันกลับไปมองคนตรงหน้าที่ยืนยิ้มบางแบบเหนื่อย ๆ อยู่   “ขอบใจเจ้าจริง ๆ น้องมู่”   พูดแล้วก็ยื่นมือไปจับมือของอีกฝ่ายมากุมไว้แล้วเขย่าเบา ๆ

“ไม่นึกเลยนะ  ว่าสุดท้ายกุญแจเหมืองจะประเมินว่าเสี่ยวหมีเก่งที่สุดในกลุ่มเรา”   ซ่งมู่กวาดตาไปมองหมีดำขนปุกปุยด้วยรอยยิ้มหล่อ

“อ๊ออออ”   เสี่ยวหมีร้องเสียงอ่อยแบบไม่ค่อยมีแรง

“ส่งอาคันตุกะพันลี้  อย่างไรก็ต้องจากกัน”   คุณชายสามทำท่าเจ้าบทเจ้าสำนวนขึ้นมาทันที

“เวอร์น่าพี่หยู”  ซ่งมู่แซว  จากนั้นดึงมือที่อีกฝ่ายจับไว้อยู่ออก  ยักคิ้วให้  ก่อนหันกายจากไป

เมื่อหญิงซูเห็นศิษย์น้องลุงของสำนักยังคงยืนชะแง้มองนักดาบรูปหล่อที่เดินกลับไปทางประตูเหนือ  นางก็แซวทันที

“แฟนใหม่หรือจ๊ะ  ศิษย์น้องซีคง”

คุณชายสามสะดุ้ง แล้วรีบหันมาโบกมือปฏิเสธ

“ไม่ใช่ ๆ  ศิษย์พี่ซูเข้าใจผิดแล้ว  เราเป็นพี่น้องกัน”

“ฮี่ ๆ  ไม่ใช่ก็ไม่ใช่  ไม่เห็นต้องร้อนใจ”

ในตอนนั้นเอง  หญิงสวี  ยัยหมีเขียว  และศิษย์น้องเหยียนก็สาวเท้าเร็ว ๆ มาที่ประตูค่าย  พวกนางกวาดตามองซีคงหยูขึ้น ๆ ลง ๆ  จากนั้นหันไปมองเสี่ยวหมี   ศิษย์น้องเหยียนซึ่งแอบเป็นแฟนคลับของเสี่ยวหมีอยู่ลับ ๆ  ก็ถึงกับไปเดินวนดูรอบ ๆ  แล้วพลิกหูเสี่ยวหมีดูว่ามีความลับอะไรซ่อนอยู่

“ศิษย์น้องซีคง  เสี่ยวหมี  ทำได้ดีมาก”  ยังคงเป็นพี่หญิงสวีที่พูดจาอย่างเหมาะสมโดยไม่ตื่นเต้นจนเกินไป

“เจ้าโกงแน่ ๆ”  หลู่เซี่ยงเอ๋อร์ย่นจมูกใส่  จนคุณชายสามเริ่มเป็นห่วงว่านางอาจจะเป็นไซนัสอักเสบ

“ห้ามว่าเสี่ยวหมีนะ”  ศิษย์น้องเหยียนกางแขนปกป้อง  แล้วกอดเสี่ยวหมีหนึ่งที  เอาหน้าแนบซ้ายแนบขวา  แล้วยีหน้าลงไปในขนฟู ๆ อย่างมันเขี้ยว  เสี่ยวหมีนั่งนิ่งให้กอด  เพราะว่ามันไม่มีแรงแล้ว

ซีคงหยูเห็นคนวุ่นวายก็เริ่มปวดหัวจี๊ดขึ้นมา  จึงรีบประสานมือคารวะ  “ศิษย์พี่  ศิษย์น้องทั้งหลาย  ขอข้าไปนอนพักก่อนเถอะ”

“อ้อ  ได้สิ”   หญิงสวีรีบดึงแขนยัยหมีเขียวให้พ้นทาง  ขณะที่ศิษย์น้องเหยียนปล่อยเสี่ยวหมีไปด้วยความเสียดาย   เมื่อหนึ่งชายกับหนึ่งหมีเดินไปพ้นจากตรงนั้นแล้ว  หญิงสวีก็หันไปคุยกับทหารหญิงหน้าประตู

“ศิษย์พี่ทั้งสอง  เมื่อครู่ศิษย์น้องซีคงเดินมากับใคร  ท่านทราบหรือไม่”

หญิงซูแตะริมฝีปากตัวเองอย่างครุ่นคิด  “เอ...ข้าก็คุ้น ๆ หน้าเขานะ  เหมือนเคยเห็นในเมือง  เดินไปไหนมาไหนกับคุณชายหลี่”

“คงเป็นคนสนิทของเขา”  หญิงลี่ช่วยวิเคราะห์  จากนั้นหันไปพูดกับหญิงสวี   “ทำไมไม่ไปถามซีคงหยูเลยล่ะ”

หญิงสวีส่ายหน้ายิ้ม ๆ  ในเมื่อซีคงหยูแอบไปโดยไม่บอกใคร  ก็แปลว่าเขาไม่ได้อยากให้คนรู้เท่าไหร่  ในเมื่อผลลัพธ์ออกมาดี  ก็ไม่จำเป็นต้องสืบสาวต่อไป



+++++



แต่จางชุ่ยฮัวเห็นอีกแบบ

“เราไม่รู้ว่าเขาไปกับใครบ้าง  และเอากำลังของสำนักประตูทรราชไปกี่คน  ครั้งนี้ถือว่าโชคดีที่เหมืองตกเป็นของเรา   แต่ถ้าประตูทรราชได้ไป  เรื่องนี้พวกเจ้าก็คงจะเห็นกันอีกอย่าง”

หลู่เซียงเอ๋อร์พยักหน้าอย่างเห็นด้วยและกล่าวซ้ำ  “เขาไม่ให้ความร่วมมือกับพวกเรา   แถมยังไปทำอะไรลับหลัง  ข้าว่าพวกเราต้องทำอะไรสักอย่าง”

“ทำอะไรล่ะ  เรียกมาต่อว่าหรือไง  หรือจะขับไล่จากสำนัก”  ศิษย์น้องเหยียนประชดประชันจากอีกฝั่งของที่ประชุม

“สุดท้ายแล้ว  เราก็ต้องปะทะกับประตูทรราช  ถ้าเขาเอาใจออกห่าง  มันก็จะมีปัญหา”  จางชุ่ยฮัวกล่าว

“ศิษย์น้องจางพูดรุนแรงไปหรือเปล่า  ถึงอย่างไรศิษย์น้องซีคงก็เป็นศิษย์สำนักวารีพิสุทธิ์  ข้าว่าเขาไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก”  พี่หญิงสวีกล่าวท้วง

“เราควรรอบคอบไว้ก่อน  เพราะถึงเขาจะไม่หักหลังสำนัก   แต่ถ้าเขาเผลอปล่อยข้อมูลสำคัญในเวลาที่สำคัญล่ะ  ศิษย์พี่คิดว่าเป็นไปได้หรือไม่”

หญิงสวีนิ่งครู่หนึ่งอย่างยอมรับว่าอีกฝ่ายพูดก็มีความเป็นไปได้  “แล้วศิษย์น้องจางคิดว่าจะทำอย่างไรล่ะ”

“ข้าคิดว่า  ต่อไปนี้ก็มองเขาเป็นเบี้ยที่ไว้จัดการกับประตูทรราชล่ะกัน”

ศิษย์น้องเหยียนได้ยินดังนั้นจึงเบะปาก   “เจ้าคิดว่าเขาเป็นเบี้ยตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก”

จางชุ่ยฮัวส่งยิ้มเย็นไปให้


+++++



ในห้องบัญชาการของค่ายประตูทรราช  หลี่โอ๋อวิ๋นนั่งอยู่บนเก้าอี้ลายเมฆา   มือหนึ่งของเขาถือพู่กัน  และสายตาก็มองออกไปข้างนอก  ซ่งมู่เดินเข้าประตูมา  เสื้อผ้าของเขามีริ้วรอยฉีกขาด  และตามร่างกายก็มีบาดแผลตื้น ๆ จำนวนหนึ่ง

“เจ้าไปไหนมา”

“พี่ใหญ่”  ซ่งมู่หยุดที่หน้าประตูก้มหน้าทักทาย  ก่อนเดินเข้ามา  และยืนสำรวมหน้าโต๊ะทำงานของชายผู้มีอำนาจสูงสุดในค่าย  “ข้ากำลังจะมารายงานพี่ใหญ่พอดี”

“ว่ามา”

ซ่งมู่ได้ยินเช่นนั้นจึงเล่าต้นสายปลายเหตุทั้งหมดให้อีกฝ่ายฟัง   เมื่อหลี่โอ๋อวิ๋นฟังจบก็พยักหน้า  เขามองซ่งมู่อย่างประเมิน  ในแง่หนึ่งการมาพบเขาทั้งในสภาพที่เพิ่งกลับจากเหมืองโดยไม่เปลี่ยนชุดและทำความสะอาดตัว  ก็เป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้พยายามปิดบังอะไร  แต่อีกแง่หนึ่งคือความฉลาด  เพราะคิดไว้ก่อนแล้วว่าต้องทำเช่นนี้หลี่โอ๋อวิ๋นจึงไม่รู้สึกระแวง

“ถ้าพี่ใหญ่ไม่มีอะไรแล้ว   ข้าขอตัว”

“ช้าก่อน”

“พี่ใหญ่มีอะไรหรือ”

“ในอีกสองวัน  บอกซีคงหยูให้มาท้าประลองเหมืองกับข้า”

“พี่ใหญ่!”  ซ่งมู่ร้องอย่างตกใจ  แต่คิดอีกตลบ  ก็ตกใจกว่าเดิม  “ท่านอย่าบอกนะว่า  ท่านจะยกเหมืองให้กับเขา”

“ทำไม่ได้หรือ?”  หลี่โอ๋อวิ๋นขมวดคิ้ว

ซ่งมู่ปาดเหงื่อที่ซึมมาบนหน้าผาก  แล้วกล่าว  “โดยส่วนตัวแล้ว  ข้าชอบพี่หยูนะ  แต่ว่าผลประโยชน์ของสำนัก...”

“เจ้าชอบอาหยูงั้นรึ”  หลี่โอ๋อวิ๋นหรี่ตามอง  เล่นเอาหนุ่มรุ่นน้องเหงื่อแตกกว่าเดิม

“อันนั้นมันไม่ใช่ประเด็น  ประเด็นคือถ้าท่านยกเหมืองให้กับวารีพิสุทธิ์..”  ซ่งมู่ไม่พูดชื่อคนแต่พูดชื่อสำนักเพื่อเน้นความร้ายแรงของสถานการณ์  “..ข้าเกรงว่าศิษย์น้องหลาย ๆ คนอาจจะไม่พอใจพี่เอาได้”

“มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด  จงไปทำตามที่บอก”

หลี่โอ๋อวิ๋นจบบทสนทนาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด



++++



และในบ่ายเดียวกันนั้นเอง   หลี่โอ๋อวิ๋นก็เรียกซ่งจินและผู้มีฝีมือทั้งหลายมารับคำสั่ง  รวมทั้งผู้กล้าทวนแดง

“ต่อไปนี้เราจะไม่บุกยึดเหมืองเพิ่ม”

ทุกคนในห้องบัญชาการส่งสายตาอย่างประหลาดใจไปทางหลี่โอ๋อวิ๋น  สำนักประตูทรราชกำลังได้เปรียบด้านจำนวนเหมืองและกำลังคนที่มาจากชาวยุทธพเนจร   เหตุใดจึงไม่รีบบุกเมื่อได้ชัย

“ซ่งมู่  ซ่งจิน  กวนหนิง”   หลี่โอ๋อวิ๋นเรียกชื่อสามคน   ทั้งสามคนก้าวออกมาข้างหน้าเตรียมรับคำสั่ง  “พวกเจ้าสามคนแบ่งกำลังที่เรามีออกเป็นสามทีม  จากนั้นให้จับตาดูสามสำนัก  ถ้าพวกเขาส่งกำลังไปที่เหมืองไหน  ให้พวกเจ้าตามเข้าไปทันที  สังหารได้ก็สังหาร  ถ้าไม่ได้ก็ก่อกวนอย่าให้พวกเขายึดเหมืองได้”

ทุกคนฟังแล้วก็ตกใจกับแผนการที่บ้าบิ่นและโอหัง

“แต่พี่ใหญ่”  กวนหนิงอ้าปากแย้ง  “ถ้าพวกเขาตลบหลังเราอีกทีล่ะ  เราจะกลายเป็นตั๊กแตนตำข้าวที่เป็นเหยื่อนกกระสาสิ”

หลี่โอ๋อวิ๋นฟังแล้วก็ใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบา ๆ  แต่กวนหนิงฟังแล้วใจเต้นตุ่มต่อม   มือดาบไร้ธุลีใช้สายตาพยัคฆ์จ้องมองหัวหน้าทีมทั้งสาม   แล้วจึงเอ่ยปาก

“เรื่องนี้  พวกเจ้าต้องคิดเอาเอง”

หัวหน้าทีมหันไปมองหน้ากัน  ยกเว้นซ่งจินที่ยังคงใช้สายตาชืดชามองไปข้างหน้าดุจเดิม



+++++++


ตู้เกี่ยนหลงได้รับข่าวจากนกกระเรียนกระดาษ   เขาอ่านแล้วก็หัวเราะหึ ๆ ในคอ
คุณชายเสื้อน้ำตาลมองอย่างสงสัย  เด็กหนุ่มผมสั้นจึงส่งกระดาษข่าวสารให้ดู

“หลี่โอ๋อวิ๋น!  ชักจะกำเริบไปแล้ว!   เขาไม่เกรงใจพวกเราสามสำนักเลย”

“ศิษย์พี่คิดว่าเราควรทำไงล่ะ”

“เราควรวางเหยื่อล่อ  ให้พวกเขาติดกับ   แล้วโจมตีทั้งซ้ายขวา  ทำลายกองกำลังศัตรูให้ย่อยยับในคราเดียว”

ตู้เกี่ยนหลงกอดอกเอนหลังพิงกับเสา  แขนของเขาเบียดกับกล้ามอกนูนเป็นก้อน  สายตาของเด็กหนุ่มทอดออกไปภายนอกยังสวนถั่วฝักยาวที่ฝักถั่วห้อยระย้าเต็มไปหมด   เขามองนกมองไม้อยู่ครู่หนึ่งจึงหันกลับมา

“ยุทธวิธีที่ศิษย์พี่ว่ามานั้นก็ถูกต้องตามตำรา  ทว่าสิ่งที่เราคิดได้  เขาก็น่าจะคิดได้  ถ้าต่างฝ่ายต่างระวังกัน  ก็ไม่มีใครตกกับดัก   แล้วหลี่โอ๋อวิ๋นจะแสดงมีดที่ซ่อนอยู่ทำไม”

“น้องตู้หมายความว่าอย่างไร”

“ข้าหมายความว่า  ความนี้มีนัยซับซ้อน  หลี่โอ๋อวิ๋นรู้ตัวอยู่ชัด ๆ ว่าเราฝังสายลับเอาไว้  เขาบอกว่าจะโจมตีพวกเราโดยเปิดเผย  ใยมิใช่แส่หาเรื่องใส่ตัว  ประตูทรราชเพียงสำนักเดียวไฉนจึงกล้าชนกับสามสำนัก  กองกำลังของพวกเขาเพียงพอหรือไม่  หรือว่าเขามีเจตนาอื่น”

“ข้าคิดว่าน้องตู้คิดมากไป   ธรรมชาติของหลี่โอ๋อวิ๋นเป็นคนโอหัง  น้องตู้ยังจำวันแรกที่เหมืองเปิดได้หรือไม่  เขาพูดว่าจะใช้หนึ่งดาบทลายทุกแผนร้าย  คนเช่นนั้นคงประเมินตนเองสูงส่งจนไม่มีสายตาเหลือบแลผู้อื่น”

“ฮ่า ๆๆ  บางทีเขาอาจจะเสแสร้งให้เราเชื่อก็ได้นะศิษย์พี่   โบราณว่าจิตคิดร้ายไม่มี  แต่ต้องมีจิตคิดป้องกัน  อย่าว่าแต่พวกเรามีจิตคิดร้ายจะไม่มีจิตป้องกันผู้อื่นเห็นจะเป็นไปไม่ได้   หลี่โอ๋อวิ๋น...หลี่โอ๋อวิ๋น   เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”



+++++



จ้าวเหรินเจี่ยนอ่านคัมภีร์อยู่กับแมวของตนเอง  แมวของเขาร่างสูงระหง   สวมใส่ชุดสาวใช้ในวังสีขาว  และมัดมวยผมด้วยเชือกลายกับกระดิ่ง

“ขาวน้อย”

“เมี้ยว”  นางร้องรับคำ

“เจ้าคิดว่าแผนยุทธวิธีที่ดีที่สุด  มันจะมีคุณสมบัติอย่างไร”

“จริงปนลวง  ปวงปนจริง  ยากจะแยกแยะ  เมี้ยว”

“การหลอกลวงคือเรื่องพื้นฐาน  ก่อนจะหลอกลวงศัตรูต้องหลอกลวงสหาย  แต่นั่นไม่ใช่แผนที่ดีที่สุด”

“งั้นคืออะไรล่ะเมี้ยว”

จ้าวเหรินเจี่ยนยิ้มพิมพ์ใจ  ลดคัมภีร์ในมือลงเล็กน้อย 

“มันคือ  การหลีกเลี่ยงไม่ได้  แผนที่ดีที่สุดคือแผนที่ศัตรูของเจ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้  ต่อให้พวกเขาจะชาญฉลาดและคิดตามได้ทันมากแค่ไหน   ยังไงก็ต้องเลือกระหว่างเสียอย่างหนึ่งหรือจะยอมเสียอีกอย่างหนึ่ง”

“ไม่เข้าใจเลยอ่ะเมี้ยว”

“ฮ่า ๆ”   จ้าวเหรินเจี่ยนหัวเราะ  ยื่นมือออกไป  นางจึงย่อตัวยื่นหัวให้ลูบ  “ขาวน้อย  มีคนเคยบอกกับข้าว่าเขาจะใช้หนึ่งดาบทลายทุกแผนร้าย   และตอนนี้เขากำลังจะทำให้ข้าเห็น”



++++++


เมื่อซ่งมู่มาส่งข่าวที่หลี่โอ๋อวิ๋นต้องการให้ส่ง   ซีคงหยูก็พยักหน้า

“ข้าเข้าใจแล้ว  จะทำตามที่น้องอวิ๋นบอก”

“พี่หยู  มันอันตรายนะ”  ซ่งมู่ร้องเตือน   ไม่เพียงเพราะเขาเดาใจหลี่โอ๋อวิ๋นไม่ถูก  เขายังเกรงว่าซีคงหยูจะได้รับบาดเจ็บเมื่อถูกท้าประลองต่อไป

คุณชายสามนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปากถาม  “ศิษย์ห้าสำนักสามารถต่อสู้กันถึงชีวิตได้หรือไม่”

“ถ้านอกเหมือง  ไม่สามารถ  แต่ถ้าในเหมืองก็ไม่มีปัญหา  แต่เวลานี้ยอดฝีมือของทุกสำนักกลายเป็นผู้คุมปมเหมืองหมดแล้ว  ซึ่งพวกเขาก็จะเข้าไปปมเหมืองอื่นไม่ได้  จึงทำให้ไม่มีการปะทะกันของยอดฝีมือในช่วงนี้”

“แต่น้องมู่ยังไม่เป็นผู้คุมเหมืองเลยนี่”

“เพราะครั้งก่อนข้าไปกับคนที่มีฝีมือมากกว่า”  ซ่งมู่ตอบแล้วเบนสายตาไปมองหมีดำข้าง ๆ อย่างเอ็นดู  “ส่วนรอบล่าสุดต้องโทษเสี่ยวหมี  แย่งความดีความชอบข้าไป”

“อ๊ออออออออ”

“งั้นข้ารู้แล้วล่ะ  ว่าหลี่โอ่อวิ๋นต้องการจะทำอะไร”

“พี่หยูรู้?  บอกได้หรือไม่”

“ความลับสวรรค์  มิอาจแพร่งพราย”  ซีคงหยูแลบลิ้น

ซ่งมู่ยิ้มแห้ง  เขาไม่ได้บอกถึงแผนของหลี่โอ๋อวิ๋นเรื่องการตั้งทีมล่าแก่คุณชายสาม  และสงสัยว่าทำไมซีคงหยูถึงถามเรื่องกฎการต่อสู้

“น้องมู่มาก็ดีแล้ว   เจ้ายังมีวิชาอะไรที่สอนข้าได้อีกหรือไม่”

“ฮ่า ๆ พี่หยู  ท่านยังจะเรียนอีกหรือ”

“แน่อยู่แล้ว  ข้ารู้สึกว่าเรียนกับเจ้าแล้วกระชุ่มกระชวย  มีแรงบันดาลใจอย่างบอกไม่ถูก  ข้าต้องรีบคว้าช่วงที่ข้าคึกคักเอาไว้   กลัวโรคขี้เกียจกำเริบน่ะ”

“พี่หยู  ถึงเราจะเป็นเฮียตี๋กัน  แต่ข้าสอนวิชาให้ท่านฟรี ๆ ไม่ได้หรอกนะ”

คุณชายสามเกาศีรษะตนเองอย่างขัดเขิน  “แหะแหะ  ข้าโลภมากไป  เลยทำให้น้องมู่ไม่สบายใจ  ต้องขอโทษด้วย”

“ข้าไม่ได้บอกว่าจะไม่สอนให้  แต่หมายถึง  มันต้องมีอะไรแลกเปลี่ยน”

“หืม  แย่จริง ๆ  เงินทองข้าก็ไม่มี   พ่อข้าเป็นหนี้พ่อของน้องอวิ๋นอยู่  จะล้มละลายมิล้มละลายแหล่  ข้าคงไม่มีอะไรแลกเปลี่ยนจริง ๆ  ถือเสียว่าข้าไม่ได้พูด”

ซ่งมู่กระพริบตาปริบ ๆ  เขามิได้ต้องการเงินทองเป็นของแลกเปลี่ยน  แต่ช่างเถอะ..

“อันที่จริง  ต่อให้คิดจะสอนพี่หยู  ข้าก็ไม่มีเวลาอยู่ดี   ต้องทำภารกิจให้สำนัก”

“โอ้  ข้าลืมไปว่าเราอยู่ในระหว่างการแข่งขัน  ข้าไม่รบกวนเวลาน้องมู่ล่ะ”

ซ่งมู่พยักหน้า  แล้วก็กลับไปรายงานผลการส่งข่าวที่ค่ายของตนเอง



+++++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-09-2017 03:51:55 โดย Kirimanjaro »

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook



เฮ่เว่นอะโบฟ ไฉนตอนนี้ถึงมีประเด็นให้ป้าต้องพูดถึงเยอะนัก!!

น้องมู่ จะสอนวิชาอาเฮียก็สอนไป
แต่ถ้าน้องมู่อยากได้อะไรให้บอกป้าค่ะ อย่าไปเร้าหรืออาเฮีย
อาเฮียเป็นสมบัติของน้องอวิ๋นนะลูก อย่าเผลอใจไปยุ่งกับคนมีเจ้าของเชียว เดี๋ยวจะเจ็บปวดเสียเปล่า ๆ 
(พูดกับน้องมู่พลางวางท่าร่ำรวยพร้อมตบชายพกที่มีแต่ปึกล็อตเตอรี่และโพยหวยเหน็บอยู่)

น้องอวิ๋น เจ้าคิดอ่านการใดอยู่ ป้านี้อยากรู้นัก
ก็จริงแหละที่น้องอวิ๋นอาจจะได้รู้ว่าหนอนตัวไหนมาแฝงตัวอาศัยชื่อสำนักประตูทรราชอยู่
แต่น้องอวิ๋นอย่าลืมนะลูกว่าน้องอวิ๋นไม่ได้ตัวเปล่าเล่าเปลือย
เกิดเพลี่ยงพล้ำโดนอีกสามสำนักรุมยำตีนขึ้นมา มือขวาน้องอวิ๋นน่ะรอท่าเสียบอาเฮียอยู่รอมร่อแล้วนะลูก
(ถึงป้าจะไม่แน่ใจ แต่โมเมนท์ในสองตอนที่ผ่านมาทำให้มือป้ากับไม้พายผสานเป็นเนื้อเดียวกันไปแล้ว วะฮ่า ๆๆๆ )

น้องเหยียน! น้องเหยียนทำแบบนี้กับเสี่ยวหมีได้เช่นไร?!!
นี่มันหยามน้ำหน้าป้าชัด ๆ ! เสี่ยวหมีเป็นของป้า เสี่ยวหมีเป็นของป้าเท่านั้น!!
(ขณะที่อีป้าโวยวาย เสี่ยวหมีก็ลุกหนีไปร้อง อ๊อออ ๆ ด่าทออีป้าอยู่ไกล ๆ )

เป็นกำลังใจให้นะคะ ^_^  :กอด1:

ป.ล. โธ่พ่อคุณ พ่อคนเขียนของบ่าว อย่าได้พาดพิงถึงนิยายเรื่องอื่นอีกเลย แค่ ZTJ เราก็ยังตามอ่านไม่ถึงไหน ฮรึก!
(ซบหน้ากับฝ่ามือแล้วแสร้งสะอึกสะอื่นล้องห้ายยยยย) 





ออฟไลน์ wnkth

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
Wow เสี่ยวหมีมีแฟนคลับ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ให้สงสัย หยู อยากให้มู่ ช่วยสอนวิชาเพิ่มเติม
แล้วมู่บอก อยากเรียนวิชา ต้องมีอะไรแลกเปลี่ยน
หยูบอกไม่มีเงินทอง พ่อก็ล้มละลาย
มู่คิดว่า มู่ไม่ได้ต้องการเงินทองแลกเปลี่ยน
แล้วมู่ ต้องการอะไรจากหยู น้าาาาาาา........อยากรู้  :ling1: :ling1: :ling1:

แล้วแมวของจ้าว ใส่ชุดสาวใช้ในวังสีขาว 
มัดมวยผมด้วยเชือกลายกับกระดิ่ง
พูดได้ ร้องเมี้ยวได้ด้วย
ตกลงเป็นคนที่ทำตัวเป็นแมว เอาใจเจ้านายสินะ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-09-2017 20:20:17 โดย ♥►MAGNOLIA◄♥ »

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ความนัยมากมายไปหมด

เอ๊ะ! มีคนลวนลามเสี่ยวหมี
อ๊ะ! น้องตู้กอดอกจนกล้ามเบียด
โอ๊ะ! ซีคงรู้ใจน้องอวิ๋น
อุ้ย! ซ่งมู่หวังเสียบ...เอิ่ม...หวังจะเป็นมากกว่ามิตร

อ่านไปยกมือทาบอก อุทานวุ้ย! ว้าย! ไป

ออฟไลน์ Kirimanjaro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0

Malimaru: 
หลงรักคนมีเจ้าของแอบมองอยู่ทุกวัน
ไปหลงรักแฟนชาวบ้านทั้งที่รู้ตัว   #มอบเพลงให้น้องมู่เพื่อยุยงส่งเสริม
แผนของน้องอวิ๋น  เดี๋ยวก็มาแล้วครับ
ว่าแต่น้องอวิ๋นไม่ตัวเปล่าเล่าเปลือยจริงหรอ  แอบส่องตอนอาบน้ำแป๊บ
และสำหรับน้องเหยียนและเสี่ยวหมี  พวกเราคือคู่แท้ค่ะ  เทอเป็นใครจะมาพรากเราจากกัน!!

wnkth: มีตั้งแต่เมืองสุยอันเลยยย

♥►MAGNOLIA◄♥:   ฮ่า ๆๆ   เอาหัวใจมาแลกแน่ ๆ เลย  #คิดแบบใสๆหัวใจสี่ดวง
น้องขาวน้อย <3

alternative:  ตอนสั้น ๆ แท้ ๆ แต่ประเด็นแอบเยอะจริง ๆ แหละ




+++++







เว่ยหลิงจื่อฟาดมือกับก้อนหินกลางอุทยานค่ายอำพันโบราณเสียงดังลั่น  เขากัดฟันไม่ให้ร้องด้วยความเจ็บมือ   แล้วชี้หน้าตู้เกี่ยนหลงที่วันนี้รอยยิ้มของเขาดูฝืดกว่าปกติ

“เจ้าขุดหลุมดักข้า!  เจ้าบอกไม่ให้ข้าจ้างชาวยุทธพเนจร  แล้วเป็นยังไง  ตอนนี้ทีมสำรวจของข้าโดนประตูทรราชอัดซะปี้ป่น  ศิษย์น้องของข้าต้องหนีออกมาจากเหมืองแทบเอาชีวิตไม่รอด!”

“พี่เว่ยใจเย็นก่อน”   หนุ่มรุ่นน้องคู่กรณียกมือทั้งสองตรงหน้า  เหมือนท่าทางยอมแพ้

“เห้ย  ไม่เย็นแล้ว  เหตุใดจึงมีแต่วังหมื่นบุปฝาที่เป็นเป้าโจมตีของประตูทรราช  ไฉนพวกเจ้าถึงไม่ถูกโจมตี”

คุณชายเสื้อน้ำตาลที่ยืนข้าง ๆ ตู้เกี่ยนหลงคลี่พัดหยกพัดเบา ๆ ให้ตนเอง  แล้วกล่าว  “เพราะว่าสำนักเราระมัดระวังเป็นอย่างดี  มีความละเอียดรอบคอบ  และเราส่งกำลังสำรองไปซุ่มรออยู่เสมอ”

“เพ้ย  แล้วเหตุใดไม่ส่งกำลังมาช่วยทีมสำรวจของสำนักข้า  พวกเจ้าจะละเมิดสัญญาพันธมิตรหรือไร”

อีกฝ่ายรวบพัดจีบดังฉับ  ถลกแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อย  หางตาของเขาชี้ขึ้นแสดงว่าอารมณ์ไม่ค่อยดี  “ข้อตกลงพันธมิตร  คือการรุมโจมตีประตูทรราชหลังจากนี้อีกสองวัน  เราไม่ได้จัดตั้งทีมครูอนุบาลมาคอยดูแลเด็กเล็ก”

เมื่อเห็นว่าเว่ยหลิงจื่อหน้าดำหน้าแดงราวกับไข่เยี่ยวม้า  ตู้เกี่ยนหลงก็รีบห้ามทัพ  “ศิษย์พี่ท่านอย่ากล่าวเช่นนั้น  การณ์นี้เป็นน้องชายที่คะเนผิดพลาดเอง  ผู้ใดจะคาดคิดว่าผู้แซ่หลี่จะยอมทิ้งความได้เปรียบในการโจมตีอสูรเฝ้าเหมืองของตนเอง  แล้วหันมาก่อกวนผู้อื่นเช่นนี้”

“เพ้ย  เช่นนั้นเจ้าจะทำอย่างไร  ถ้าเจ้าหาวิธีแก้ไขไม่ได้  บางทีวังหมื่นบุปผาอาจจะต้องขอแยกตัวจากพันธมิตร”

เมื่อฟังเว่ยหลิงจื่อขู่  ตู้เกี่ยนหลงก็เหยียดริมฝีปากเล็กน้อย   เขายังต้องการวังหมื่นบุปฝาอยู่  แต่ในฐานะเหยื่อกระสุนปืน   อันที่จริงสถานการณ์ตอนนี้ไม่ได้เลวร้ายสำหรับสำนักของเขาเลย  เพราะดูเหมือนว่าประตูทรราชจะเน้นโจมตีวังหมื่นบุปผา  และระหว่างที่เสือสองตัวกัดกัน  อำพันโบราณก็จะค่อย ๆ รุกคืบกินเหมืองใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ

“พี่เว่ยอย่าคิดเช่นนั้น  แผนการของหลี่โอ๋อวิ๋นดูเหมือนก้าวร้าวรุนแรง  ทว่าข้างในนั้นกลวงเปล่า  เขาละทิ้งเป้าหมายในการของการประลองครึ่งแรก  และในอีกสองวันการประลองก็จะเข้าสู่ช่วงที่สอง  ถึงตอนนั้น  เราก็ผลัดกันท้าประลองเพื่อยึดเหมืองของเขา  ประตูทรราชจะมียอดฝีมือที่ถือเหมืองไว้ในมือเป็นมั่นเหมาะได้สักกี่คนเชียว”

เขาเว้นไปครู่หนึ่งให้เว่ยหลิงจื่อไตร่ตรองแล้วกล่าวต่อ  “และสำหรับความช่วยเหลือ   เราจะจัดกำลังไปช่วยคุ้มกันคณะสำรวจของพี่เว่ย  แต่พี่เว่ยต้องมีกำลังคุ้มกันของตนเองด้วย   เราทั้งหมดอาจจะสำรวจช้าลงไปอีกหน่อย  แต่เมื่อเทียบกับประตูทรราชที่ไม่คืบหน้าเลย  ในที่สุดแล้วเราก็จะชนะเหมือนเต่าเอาชนะกระต่าย”

เว่ยหลิงจื่อกัดฟันจนกรามนูนเป็นสัน   เขายังรู้สึกโมโหอยู่  แต่มันค่อยบรรเทาลงเมื่อตู้เกี่ยนหลงรับปากว่าจะส่งกำลังไปช่วยคุ้มกัน

“ว่าแต่พี่จ้าว  มิทราบว่ามีความเห็นใดหรือไม่”

จ้าวเหรินเจี่ยนที่ยืนอมยิ้มและถือผ้าเช็ดกระบี่อยู่ก็เงยหน้าขึ้นจากงานในมือ   เขาไม่ชอบความสกปรก  จึงคอยระวังไม่ให้ฝุ่นละอองโรยลงมาต้องฝักกระบี่ของเขา 

“จ้าวก็จะส่งกำลังไปช่วยคุณชายเว่ย  แต่คงไม่มาก  เพราะจ้าวเองก็ต้องระวังการซุ่มโจมตีของประตูทรราชเช่นกัน”

“เฮอะ”  เว่ยหลิงจื่อแค่นเสียง  แต่ก็พอใจในผลการเจรจาไม่น้อย

เมื่อเห็นว่าบรรยากาศดีขึ้น  หนุ่มน้อยผิวคร้ามหน้าคมจึงยิ้มยิงฟันขาววาววับ  แล้วยื่นมือไปแตะบ่าคุณชายแห่งวังหมื่นบุปผา

“พี่เว่ย  ที่หลี่โอ๋อวิ๋นเน้นโจมตีวังหมื่นบุปผานั้น  ไม่ใช่เพราะพี่เว่ยโชคร้าย  แต่เขาตั้งใจยุแหย่ให้เราแตกกัน  ถ้าพี่เว่ยมั่นคงไม่หวั่นไหว   เขาก็จะรู้ว่าแผนแบบนี้ไม่ได้ผล  แล้วก็อาจจะกลับไปไล่ตีอสูรเฝ้าเหมืองเหมือนเดิม  พี่เว่ยต้องอดทน  พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้วและพวกเราก็จะผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ไปด้วยกัน”

เว่ยหลิงจื่อฟังแล้วก็สูดลมหายใจลึก  เขม็งตามองหน้าตู้เกี่ยนหลงอยู่ครึ่งค่อนวัน  ก่อนจะหันไปเขม้นมองจ้าวเหรินเจี่ยน  แล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป



++++++




“ช่างโชคดี  สำนักวารีพิสุทธิ์อยู่ห่างจากน้ำขุ่นไปได้อย่างหวุดหวิด”   ศิษย์น้องเหยียนเดินคุยกันมาคู่กับศิษย์พี่สวี

“แต่จำนวนเหมืองที่ยึดได้ของประตูทรราชหยุดนิ่งอยู่ที่เลข 4  ขณะที่อำพันโบราณเริ่มขึ้นนำทุกสำนัก”  หญิงสวีวิจารณ์   ทั้งคู่เพิ่งเดินออกมาจากที่ประชุมในศาลเจ้าและกำลังไปเตรียมตัวบุกยึดเหมืองต่อไป

“ไม่นานประตูทรราชก็คงสังเกตเห็นและเริ่มโจมตีอำพันโบราณบ้าง  ศิษย์พี่สวีไม่ต้องกังวล”

หญิงสวีพยักหน้า  ก่อนจะอุทานเบา ๆ  “เอ๊ะ  แต่แปลกจริง   ประตูทรราชไม่ขอให้เราช่วยอะไรเลยในฐานะพันธมิตร  ทั้ง ๆ ที่เราเป็นฝ่ายบากหน้าไปขอร้องให้เขาช่วย  คุณชายหลี่ใจดีขนาดนั้นเชียวหรือ”

“ศิษย์พี่สวีไม่รู้อะไรเสียแล้ว  มันเป็นพลังของความรัก  ความรักย่อมชนะทุกสิ่ง  ทำให้ยอดฝีมือเย็นชาหน้าตาย  ยอมสละได้แม้แต่สำนักของตนเองเป็นเครื่องพลีบูชารัก”    ศิษย์น้องเหยียนพูดด้วยดวงตาเป็นประกาย

“ใครรักกะใครหรอ”   ซีคงหยูซึ่งเดินมาจากอีกทางถามขึ้นเพราะได้ยินแค่ครึ่งประโยค

“ฮิฮิ   ไม่บอก”   ศิษย์น้องเหยียนป้องปากหัวเราะ  และกระพริบตาวิ้ง ๆ   จากนั้นก็วิ่งรี่เข้าใส่เสี่ยวหมีที่คลานตามหลังคุณชายสามมาติด ๆ

“อ๊อออออออออ”   เสี่ยวหมีร้องเมื่อโดนลวนลาม

“ศิษย์พี่หญิงสวี”  ซีคงหยูประสานมือคารวะนางฟ้าประจำสำนัก

“ศิษย์น้องซีคงมีอะไรหรือ”

“เราจะออกสำรวจเหมืองใหม่กันเมื่อไหร่  ข้าพร้อมแล้ว”

หญิงสวีได้ยินก็ยิ้มแช่มช้อยยินดี   “ในอีกหนึ่งชั่วยาม  ถ้าศิษย์น้องซีคงไม่เปลี่ยนใจ  ให้รอเข้าร่วมได้เลย  ศิษย์พี่จะเพิ่มรายชื่อให้เอง”

“ต้องรบกวนศิษย์พี่หญิงแล้ว”

“ไม่เป็นปัญหา   ว่าแต่ศิษย์น้องซีคง...ข้าได้ยินว่ายังไม่มีวิชาท่าร่าง  หรือเพลงอาวุธเลย  ศิษย์น้องรู้วิธีใช้คะแนนความดีความชอบแลกเปลี่ยนวิชาหรือไม่”

“อ้อ  เรื่องนี้  ข้าฝึกเพลงดาบพื้นฐานสามกระบวนท่า  คิดว่าคงพอใช้ได้”

หญิงสวีพยักหน้า   เพลงดาบพื้นฐานเป็นที่รู้จักกันทุกสำนัก  ทว่าแต่ละสำนักก็มีการตีความเป็นของตนเอง  และมีการพลิกแพลงที่เป็นเอกลักษณ์ 

“อ้อ   ที่แท้ศิษย์น้องซีคงก็ซุ่มฝึกอยู่  แสดงว่าเวลาสามเดือนที่ผ่านมาไม่เสียเปล่า  ศิษย์พี่ดีใจด้วยจริง ๆ”

ซีคงหยูหัวเราะแหะแหะ  เขาไม่กล้าบอกว่าเขาเพิ่งเริ่มขยันแค่วันสองวันก่อนจะถึงเวลา  นี่คือเต๋าแห่งเส้นตาย




+++++



ระหว่างที่รอคณะสำรวจเตรียมตัว   ซีคงหยูก็ลากหีบไม้ใส่สมบัติของเขาออกมา  ข้างในมีของกลไกที่เขาประดิษฐ์เล่น ๆ รวมทั้งพิมพ์เขียวที่สะสมไว้  เขาหยิบระเบิดควันสารพัดนึก ver 2.37  ออกมาส่องดูอย่างครุ่นคิด   เขาพบว่าสภาพแวดล้อมในถ้ำที่มืดสนิทของเหมือง  ระเบิดควันช่างไร้ประโยชน์   หรือเขาจะลองทำระเบิดแสงดู

เขาวางระเบิดควันในมือลงเมื่อยังคิดไม่ออกว่าจะทำระเบิดแสงอย่างไร   มือของเขาหยิบสมุดรวบรวมพิมพ์เขียวขึ้นมาพลิกดู  บางพิมพ์เขียวเป็นวัตถุกลไกที่เขาออกแบบเองและจดเอาไว้เพื่อกันลืม  แต่ส่วนใหญ่แล้วมันเป็นมรดก  พิมพ์เขียวสิ่งประดิษฐ์เหล่านี้ไม่มีค่าอะไร   เพราะทั้งหมดทำงานไม่ได้จริง  ในอดีตบิดาของเขาซีคงเซี่ยเคยนำมันไปให้นักพรตเต๋าแห่งกลไกของเมืองสุยอันประเมินมูลค่า  แต่ข้อสรุปก็คือมันเป็นสิ่งที่เขียนขึ้นมาจากจินตนาการ  กลไกเหล่านั้นใช้ไม่ได้จริง  และเขียนถึงแต่วัสดุที่ผู้คนไม่รู้จัก  สิ่งเดียวที่ทำให้บรรดานักพรตเต๋าแห่งกลไกลูบหนวดด้วยความทึ่ง  คือความละเอียดลออและความแม่นยำของมือในการวาดภาพร่าง

มีเพียงซีคงหยูที่เชื่อว่ามันทำงานได้จริง  เขาเพียรปรับปรุงและลอกเลียนไอเดียหลัก ๆ ของสิ่งประดิษฐ์แต่ละชิ้น  ทว่าตลอดเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา  เขาทำเลียนแบบได้เพียงไม่กี่อย่าง  ระเบิดควันเป็นหนึ่งในนั้น

ซีคงหยูวางสมุดบันทึกกลับลงไป   เลือกของบางชิ้นออกมาแล้วปิดกล่องไว้เหมือนเดิม   ก่อนจะหันไปเกาคอเสี่ยวหมีที่หลับตาพริ้มเมื่อรู้สึกสบายคอ

“เสี่ยวหมี  คราวนี้ไม่มีเจ้า  ไม่มีน้องมู่  ไม่มีหนู่โม่หวาง  เจ้าคิดว่าข้าจะทำได้มั้ย”

“อ๊อออออออ”

“จริง ๆ ข้าไม่ต้องไปก็ได้เนาะ  แต่เวลาที่ข้ารู้สึกว่ากำลังทำประโยชน์ให้ใคร  มันก็รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย”

เสี่ยวหมีผงกหัวขึ้น ๆ ลง ๆ  จนคุณชายสามหัวเราะกับท่าทางของมัน

“หรือพวกเราควรออกไปเที่ยวป่า  นอนอาบแดดบ่าย  ไล่จับผีเสื้อ  และตกปลาที่ลำธาร?”

เสี่ยวหมีรีบส่ายหน้ารัว ๆ  คุณชายสามเลยจับหนังที่แก้มมันดึงแล้วเขย่า

“เจ้าเป็นใคร  เสี่ยวหมีของข้าอยู่ที่ไหน  เจ้าทำอะไรเสี่ยวหมี  บอกมานะ!”

“อ๊ออออออออ”

“เจ้าไม่เห็นตามใจข้าเหมือนเดิมเลย”  คุณชายสามพูดงอน ๆ  เสี่ยวหมีเลยเลียมือเขา  แล้วเอาจมูกดุนคางซีคงหยูเบา ๆ

“ไม่ต้องมาง้อเลย  ทีหลังถ้าข้าจะไปเที่ยว  จะไม่ชวนล่ะ  ฮี่ ๆ”

“อ๊ออออออออออ!!”




++++++





คณะสำรวจเหมืองของพรรคปลาทูสีน้ำเงินครั้งนี้  เต็มไปด้วยศิษย์หญิงที่ซีคงหยูไม่รู้จักมาก่อน  ผสมกับชาวยุทธรับจ้างที่เข้ามาร่วมด้วย   วารีพิสุทธิ์สามารถดึงดูดผู้คนด้วยว่ามันเป็นสำนักหญิงล้วน   ชนชั้นที่ชื่นชอบบุปฝาจึงมารวมตัวเพื่อสูดดมกลิ่น  ในบรรดาเหล่านี้มีคุณชายจากตระกูลน่ำเก็งและสมุนอยู่ด้วย

“นายน้อย  ท่านดูสิ  คนผู้นั้นคือซีคงหยู  หนึ่งในสองศิษย์ชายของสำนักวารีพิสุทธิ์”

สมุนของเขากระซิบกระซาบให้คุณชายท่าทางรุ่มรวย  ถือพัดหยกคาดเข็มขัดทอง  เสื้อก็เป็นไหมที่ป้อนด้วยหม่อนวิญญาณเซียน  จึงมีคุณสมบัติป้องกันการโจมตีด้วยพลังปราณได้สูงเป็นพิเศษ  ใบหน้าของเขาก็ขาวและเล็ก  คิ้วเรียวและโค้งพอเหมาะพอเจาะเข้ากับสันจมูกได้รูปตามแบบคุณชายเจ้าสำราญ 

“อ้อ  ดูท่าทางปวกเปียกป้อแป้  ฝีมือจะเท่าไหร่เชียว” 

“นายน้อย  แต่ต้องระวังอย่าไปล่วงเกินเขา  คนของเขาชื่อหลิวเกา  ฉายาปีศาจอัจฉริยะ  บำเพ็ญพรตสำเร็จรวดเร็ว  บรรลุเขตแดนตะวันขึ้นสายชั้นสูงภายในสามเดือน  อีกไม่นานก็คงได้เป็นศิษย์ชั้นใน”

“เฮอะ  ที่แท้ก็เกาะขากางเกงผู้อื่น”

“ไม่เพียงเท่านั้น  ลือกันว่าเขาเป็นคู่หมั้นของหลี่โอ๋อวิ๋น..”

มือที่กระพือพัดของคุณชายน่ำเก็งชะงัก   ตาก็ปรายมองบ่าวรับใช้

“หลี่โอ๋อวิ๋น  หลี่โอ๋อวิ๋นคนนั้นน่ะรึ”

“นายน้อยไปอยู่ที่ไหนมา  ทำไมไม่รู้เรื่องอื้อฉาวของยุทธจักร”

“ฮ่า ๆๆๆๆ”

“นายน้อยเพี้ยนแล้วหรอ  หัวเราะทำไม”

คุณชายน่ำเก็งเอาพัดเคาะหัวสมุน

“เจ้านี่มันไม่รู้อะไร  ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงแปลว่าข้าไม่ต้องกังวลว่าใครจะแย่งจีบแม่นางเหยียนแข่งกับข้า  ในเมื่อเขามีรสนิยมพิเศษก็แปลว่าเราเป็นสหายกันได้  กลุ่มเป้าหมายคนละเป้า”

“นายน้อยช่างชาญฉลาด”

คุณชายน่ำเก็งคิดแล้วก็สาวเท้าเข้าไปหาซีคงหยูที่กำลังมัดห่อผ้าสะพายหลังให้แน่น

“เฮ้  เจ้าคือซีคงหยูใช่หรือไม่”

ซีคงหยูเงยหน้าจากปมเชือกที่มัด  พยักหน้าเล็กน้อยแล้วถามกลับ  “แล้วเจ้าคือ..”

“ข้าแซ่น่ำเก็ง  เรียกคุณชายน่ำเก็งก็ได้  ข้าเห็นเจ้าพอดูได้  ก็เลยจะมารับเป็นสหาย”

คุณชายสามฟังแล้วก็งง  “เอ่อ..ข้ายื่นใบสมัครเป็นสหายเจ้าไปเมื่อไหร่”

“เพ้ย  ในเมืองติ่งเฟิ่งไม่มีใครไม่อยากเป็นสหายกับข้า  เจ้าไม่รู้ซะแล้วว่าเป็นสหายกับข้านี่มันดียังไง”

“แล้วมันดียังไง”

น่ำเก็งกงจื่อรวบพัดแล้วเคาะมันกับฝ่ามืออีกข้างไปมา

“ข้อหนึ่งคือ  ร้านน้ำชา  หอนางโลม  และโรงเตี๊ยมครึ่งเมืองติ่งเฟิ่งเป็นธุรกิจของบ้านข้า  ถ้าเจ้าบอกพวกเขาว่าเจ้าเป็นสหายของคุณชายน่ำเก็ง  เจ้าจะได้รับส่วนลด 2%”

“ทำไมได้แค่ 2%  มิตรภาพของเจ้ามีค่าเท่าขี้เล็บของหัวแม่โป้งเท้าหรอ”

“เพ้ย  ข้ามีสหายหลายคน  ก็ต้องถัวเฉลี่ยกันไป”

“ฮ่า ๆ  งั้นข้าไม่ต้องการเป็นสหายเจ้า   ข้าจะกดปุ่มฟอลโลว์ก็พอ”

ไม่ทันที่คุณชายน่ำเก็งจะเกลี้ยกล่อมอะไรต่อ  ศิษย์น้องเหยียนก็วิ่งรี่เข้ามา   นางกางแขนสองข้างและโผเข้าหาซีคงหยู

“แม่นางเหยียน!”  คุณชายน่ำเก็งร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นนางในดวงใจโผเข้ากอดคนอื่น

ศิษย์น้องเหยียนไม่สนใจ   นางถอยจากซีคงหยูที่ยืนทื่อเพราะซาลาเปาสองก้อนเบียดเข้ามาเต็มรัก  แล้วดมฟุดฟิด

“เจ้าไม่ใช่เสี่ยวหมี”

คุณชายสามรวบรวมสติได้ตะโกนกลับไป  “ก็ไม่ใช่ไงเฟ้ย!”

“อ้าวศิษย์พี่ซีคง   ข้าได้กลิ่นเสี่ยวหมีเลยเผลอไปหน่อย”

“ศิษย์น้องที่รัก  รบกวนเจ้าเปิดตาด้วยอย่าใช้แต่จมูก  ความบริสุทธิ์ของข้าจะถูกทำลายป่นปี้หมด”

“ฮั่นแน่  รู้นะว่าเก็บพรหมจรรย์ไว้ให้ใคร”

“แม่นางเหยียน”  คุณชายน่ำเก็งพยายามแทรกบทสนทนา

“เสี่ยวหมีล่ะ”

“มันไปไม่ได้  มันเป็นผู้คุมปมเหมืองที่ 22”

“แม่นางเหยียน...”  คุณชายน่ำเก็งพยายามส่งสัญญาณไปยังยานแม่อีกที

ศิษย์น้องเหยียนเลยหันมามอง  มองสักพักก็ถอนหายใจ

“เฮ้อ..  เจ้าก็ไม่ใช่เสี่ยวหมี”

แล้วก็เดินไปโดยไม่แลซ้ำ

“นายน้อย  พยายามอีกหน่อย”  บ่าวของเขาปลุกปลอบกำลังใจ

“แม่นางเหยียน  ข้ารักเจ้า!”

ศิษย์น้องเหยียนชะงักเท้า   หันกาย  แล้ววิ่งรี่กลับมาอย่างรวดเร็ว

“เจ้าเชื่อในความรักอย่างงั้นรึ  เจ้าชื่ออะไร  บ้านอยู่ที่ไหน  มีแฟนหนุ่มหรือยัง”

“ข้าแซ่น่ำเก็ง  เอ่อะ  แต่แฟนหนุ่มคืออะไร”

ซีคงหยูส่ายหน้า   แล้วปล่อยให้ทั้งสองคนคุยกันเรื่องความรักต่อไป



++++++




คราวนี้ทิวทัศน์ของเหมืองผิดจากทุกครั้ง   มันเต็มไปด้วยภูเขาไฟและธารลาวา  ซีคงหยูมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีแดงเวิ้งว้าง  และควันขี้เถ้าภูเขาไฟที่พวยพุ่งอยู่ลิบ ๆ  มันดูไม่เหมือนในถ้ำ

“สหายจู  เอ๊ยจิ่ง   ทำไมในถ้ำถึงกว้างได้ขนาดนี้เหมือนเป็นคนละโลก”   คุณชายสามถามยัยหมาจูที่เป็นสารานุกรมยุทธจักรเคลื่อนที่   คราวนี้หลิวเกาไม่ได้มาด้วย  นางเลยต้องมาติดสอบห้อยตามเขาแทน

ศิษย์น้องจิ่งกลอกตา  “เจ้าไม่รู้ทุกเรื่องเลยหรือไง   นี่คือโฉมหน้าที่แท้จริงของดินแดนลี้ลับ   เมื่อพลังวิญญาณเซียนจากการย่อยสลายมิติไหลเวียนภายในเหมืองได้ระดับหนึ่ง  โลกของเราก็จะเริ่มซ้อนทับกับอีกโลก  ทำให้เจ้ามองเห็นสถานที่ใหม่ ๆ ที่ไม่มีในทวีปของเรา”

“โอ้  ถ้าอย่างงั้นแปลว่า  เดินทางตรงไปเรื่อย ๆ ข้ามทิวเขาลูกโน้น  ก็จะไปถึงอีกโลกได้งั้นสิ”

“คิดอะไรตื้น ๆ   เจ้าเป็นเจ้านายของศิษย์พี่หลิวได้ยังไงล่ะเนี่ย”

“สหายจิ่ง  ถ้าเจ้ายังเหน็บแนมข้า  ก็เข้ามาใกล้ ๆ ตรงนี้  ข้ารับรองว่าจะไม่ตื๊บเจ้าถึงตาย”

ยัยหมาจูรีบถอยออกห่างแล้วแลบลิ้นใส่   แต่ก็อธิบายต่อ  ความกระตือรือร้นที่จะให้ความรู้ก็คือข้อดีเพียงข้อเดียวของนาง  “โลกทั้งหมดที่เจ้าเห็น  มันอยู่ในอาณาบริเวณที่จำกัด   ถ้าเจ้ามีวรยุทธระดับที่บินขึ้นไปบนท้องฟ้าได้  เจ้าจะพบว่ามีตาข่ายฟ้าดินที่ห่อหุ้มและป้องกันมิให้ผู้ใดข้ามผ่าน  ลือกันว่าตรงเหมือง  หรือรอยต่อมิติที่เราจะไปนั่งสกัดแร่วิญญาณเซียน  คือประตูเชื่อมต่อเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถใช้เดินทางไปยังโลกอื่น ๆ  แต่ไม่มีใครมีวรยุทธสูงส่งพอที่จะทนกับการฉีกทึ้งของกาลอวกาศได้”

ซีคงหยูพยักหน้าอย่างเข้าใจ   จากนั้นจึงเดินตามคณะสำรวจที่กำลังไต่ลงเนินไปยังที่ราบหุบเขาอันร้อนระอุ

เมื่อทั้งหมดลงมาบนที่ราบ  พลสอดแนมซึ่งล่วงหน้าไปก่อนก็กลับมาพอดี  นางหยิบแท่งหยกบันทึกภาพมาฉายภาพสามมิติของอสูรเฝ้าเหมืองที่ไปบันทึกมา  ภาพที่ปรากฏเป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายกิ้งก่า   มันเดินสี่เท้าอย่างเชื่องช้าและมีหลังเป็นหนาม  หางของมันก็ดูคล้ายกับลูกตุ้มเหล็ก  ท่าทางหนักและอันตราย

“อสูรกลุ่มนี้เป็นประเภทเคลื่อนไหวช้า”  พลสอดแนมอธิบายข้อมูล  “พวกมันมีสายตาที่ไม่ค่อยดี   ข้าสามารถเข้าใกล้ได้ในระยะห้าสิบเมตรโดยไม่ถูกโจมตี”

“ถ้าเคลื่อนไหวช้าก็ต้องโจมตีแบบกองโจร”   ศิษย์น้องเหยียนซึ่งทำหน้าที่ผู้นำกลุ่มสำรวจนี้กล่าวตามตำรา

“ศิษย์พี่เหยียน  นี่มันดูเหมือนกับพวกสำนักอำพันโบราณเวลาพวกเขาแปลงร่าง”   ศิษย์น้องคนหนึ่งในกลุ่มอุทานเมื่อเห็นรูปลักษณ์ของอสูร

“โอ้  จริงด้วย”  พวกนางซุบซิบกันอย่างสนใจ

“ถูกแล้ว”  ศิษย์น้องจิ่งเชิดอกอธิบาย   “บรรพบุรุษของศิษย์สำนักอำพันโบราณคืออสูรประเภทนี้  ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รับคนนอก  และให้ความสำคัญกับสายเลือดยังไงล่ะ  ถ้าจะกล่าวแล้วสำนักอำพันโบราณก็ไม่น่าเรียกว่าสำนัก  แต่เป็นกลุ่มของตระกูลเก่าแก่ที่มารวมตัวกัน”

“ถ้างั้น  แปลว่าเราสามารถต่อสู้กับพวกมันแบบที่สู้กับศิษย์สำนักอำพันโบราณสินะ”  ซีคงหยูเสนอความเห็น  พวกผู้หญิงหันมามองเขา  จนคุณชายสามรู้สึกไม่สบายใจ    “มองอะไร”

“ไม่นึกว่าเจ้าจะพอมีสติปัญญาบ้าง”

“เพ้ย  ยัยหมาจู  ข้าจะขึ้นบัญชีหนังหมาเจ้าไว้คู่กับยัยหมีเขียว”

“จุดอ่อนของสัตว์พวกนี้คือความเย็น”  ศิษย์น้องเหยียนตัดบท  ถึงบางทีนางจะเพี้ยน  แต่เวลาเป็นผู้นำก็ทำได้ดี  นางกวาดตาไปรอบ ๆ แล้วถาม  “ใครในที่นี้ใช้วิชาเซียนประเภทน้ำหรือน้ำแข็งได้บ้าง”

“ข้า!  ข้าเอง!”  คุณชายน่ำเก็งโบกมือ

“ทำได้ดีเท่าเสี่ยวหมีมั้ย”

“หยุดเปรียบเทียบข้ากับเสี่ยวหมี!”


+++++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-09-2017 21:12:42 โดย Kirimanjaro »

ออฟไลน์ wnkth

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
เอ่อ แม่นางจะเสี่ยวหมีขึ้นสมองขนาดนั้นเลยรึ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เจอชื่อโอ๋อวิ๋น ก็นึกถึง ฟงอวิ๋น ขี่เมฆทะลุฟ้า เอ๊ย....ขี่พายุทะลุฟ้า(ขอโต้ด มันคิดครั้งแรกอย่างนี้จริงๆ)
อ่านเจอชื่อเว่ยหลิงจื่อ ก็อ่านกลับเป็นจื่อหลิง พระเอกในดวงใจมังกรคู่สู้สิบทิศ
สับสนซะจริงๆ

ที่แท้หยู สนใจสิ่งประดิษฐ์นี่เอง
ถึงละเลยเรื่องฝึกฝีมือ
รู้สึกว่าสิ่งประดิษฐ์ของหยูจะรุ่งนะ
หยู น้อยใจเสี่ยวหมี แล้วตอนนี้ / อ๊อออออออ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
555555เรื่องนี้พระเอกคือเสี่ยวหมีจริงๆ ทุกคนหลงรัก555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด