Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #43 ถ้ำของเจ้าข้าจะรับเอาไว้ วะฮ่าๆๆ (5/11)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Xianxia: เทพยุทธหมีดำในตำนาน: #43 ถ้ำของเจ้าข้าจะรับเอาไว้ วะฮ่าๆๆ (5/11)  (อ่าน 22708 ครั้ง)

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ให้สงสัย  :katai1: :katai1: :katai1:
ขนาดสถานที่ได้เปรียบ เพราะอ.เวิ่นเลือก
หยู ถนัดเรื่องน้ำ แต่แพ้
งั้นที่แพ้ เพราะหวงอี กินยาเสริมพลังปราณ
อย่างนี้ถือว่าอ.เวิ่น กับผู้อาวุโสไป๋ ไม่ได้สนับสนุนหยูจริงจังสินะ
ไม่เตรียมยาเสริมพลังปราณให้เลย
แต่แค่นี้คิดไม่ได้ ก็ต้องมีอะไรมากกว่านี้และ
ดูท่าหยูต้องแพ้เพื่อ ?  :hao3: :hao3: :hao3:

คิดอีกอย่าง ถ้าหวงอีไม่กินยา ก็แพ้หยู
โอ๋ ท่าทางแค้นแทนหยูนะ เอาคืนให้หนักๆเลย
เข้าข้างหยูออกหน้าออกตาไปไหม
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
alternative : เจ็บแต่จริง หวงอี้พูดถึงความจริงในยุทธจักรล้วนๆครับ คุณชายสามไม่มีอาจารย์สอนวิชาอย่างจริงๆจังๆ การใช้ปราณเซียนก็เลยดูงกๆเงิ่นๆ แล้วก็มาจากตระกูลเล็กๆจริงๆ จะแพ้ก็ไม่แปลก ...แต่เดี๋ยวเหอะ! เจอทั่นจอมยุทธพี่ชายสองแล้วจะได้รู้ว่า 'เมื่อยังไม่ถึงเวลา เทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้ ...ครั้นถึงเวลาทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่' เดี๋ยวได้เจอมหาอัลติจากคนบ้านนอกสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ฮ่าๆ

แต่ดูเหมือนคุณชายหวงอี้นี่คิดเคลมน้องตู้รึเปล่า อ้ะๆ อาตมารู้ อาตมาเห็นนะ

เสี่ยวหมี! หลิวเกา! นี่พวกเจ้าไปมุดหัวอยู่ไหนห๊ะ เจ้านายหมอบราบคาบแก้ว นอนให้น้ำเกลือขนาดนี้ ยังไม่มาอยู่ข้างเตียงอ้อนพินอบพิเทาตามบทอีก เดี๊ยะๆ เดี๋ยวใช้ฝ่ามือยูไลส่งไปเรียนมารยาทซะเลย

ออฟไลน์ llSJAr34

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
  เป็นตอนที่สะเทือนใจแต่ก็เป็นความจริง หงอยเลยเรา ตอนหน้าขอเสี่ยวหมีนะ ขอฟังเสียงน่ารักๆจะได้มีกำลังใจ  :m31: :katai1:

ออฟไลน์ Kirimanjaro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0

wnkth: ตอนล่าสุดยิ่งร้ายเนาะ 

alternative: รุมตบหวงอีกันคร่ะ

NuTonKaw: พี่หยูฟื้นแร้วววว   

mild-dy: อิอิ  หวัดดีคับ

♥►MAGNOLIA◄♥:  ก็ดูตอนอาหยูฝึกวิชาที่สำนักสิ  ยังกะเลี้ยงไก่แบบบุฟเฟต์ (ปล่อยหากินตามธรรมชาติ)  55555+
เป็นสำนักที่เหมาะแก่การปิคนิกแต่อย่าหวังอะไรมาก
แต่ถ้าเอาจริง ๆ คือ  พวกนี้คือ probation disciple ครับ   สำนักจะไม่ลงทุนมาก  เพราะต้องการคัดผู้มีความสามารถโดดเด่นจริง ๆ  ขณะที่หวงอีและตู้เกี่ยนหลงมาจากตระกูลใหญ่  เพราะเคยบรรยายไว้ในตอนนึงว่าสำนักอำพันโบราณเป็นการรวมตัวกันของหลายตระกูลใหญ่ที่มีสายเลือดโบราณ

Grey Twilight:  ซือเฮียกล่าวได้ตรงใจผู้น้องยิ่งนัก   เสี่ยวหมีกับหลิวเกากลับมาแร้ว  แต่ออกฉากแปบเดียว

llSJAr34: ยินดีต้อนรับครับ   เสี่ยวหมีมาแล้วครับ  แต่ตอนน่ารัก ๆ ยังไม่มาเลย


+++++++




เปลวดาบและรังสีกระบี่โรมรันกันสะท้านปฐพี  ทว่าภายใต้พลังทำลายล้างและรัศมีอันเจิดจ้าบาดตา  จ้าวเหรินเจี่ยนกล่าวกับคู่ต่อสู้ว่า

“คุณชายหลี่  เรามาเจรจากันดีกว่า”

หลี่โอ๋อวิ๋นไม่ตอบ  บิดข้อมือและฟาดฟันดาบออกไปอย่างรวดเร็ว   

“ดาบของท่านคือดาบไว  คือดาบพิฆาต  หากคุณชายหลี่ต้องการเอาชนะจ้าวคงไม่รอให้เราต้องประมือกันกว่ายี่สิบเพลง  ใช่หรือไม่”

หลี่โอ๋อวิ๋นจึงยอมเอ่ยปาก

“มีอะไรก็พูดมา”

ทั้งคู่ยังคงปะทะกันอย่างไม่หยุดยั้ง  กระแสปราณจันทราสองสายปะทะกันจนมิติบิดเบี้ยวสั่นสะเทือนจนยากที่คนภายนอกจะสอดแนมเข้าไป  ถึงแม้จะมีพลังยุทธสูงกว่า

“คุณชายหลี่เองก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะจ้าวได้ด้วยดาบพิฆาต  จึงไม่รีบเร่งร้อนตัดสินเป็นตาย  ทว่าถ้าเป็นเช่นนั้น  จ้าวก็จะทำงานให้กับสามสำนักสำเร็จ  ก็คือถ่วงเวลาคุณชายหลี่เอาไว้จนกว่าการยึดเหมืองจะเสร็จสิ้น”

“หึ..แต่น้องจ้าวดูเหมือนจะไม่ต้องการทำงานให้กับสามสำนัก”

จ้าวเหรินเจี่ยนฟังแล้วก็ตวัดกระบี่ในกระบวนท่าที่ 7 ของเงาจันทรา   กระบี่อันเคยเลือนรางคล้ายเงาจันทร์  กลับดูกดดันเหมือนพระจันทร์ทรงกลดที่กดทับห้วงนภาด้วยแสงสีรุ้งเบาบางรอบ ๆ ดวงสุกใสสีเงินยวง

“มีคนกล่าวกับจ้าววันนี้ว่า  ชีวิตของเขาเกลียดที่สุดไม่ใช่ความพ่ายแพ้  แต่เป็นการถูกหลอกใช้”

“แล้ว..”

หลี่โอ๋อวิ๋นใช้ฟ้าไร้เมตตาอีกครั้ง  รัศมีแห่งความตายเข้าปะทะกับพระจันทร์ทรงกลดประดุจมารฟ้าต่อสู้กับเทพีฉางเอ๋อ

“ไฉนคุณชายหลี่กับจ้าวไม่แยกย้ายกันทำธุระของตนเองกันเล่า   คุณชายหลี่สามารถไล่โจมตีขับไล่สองสำนัก  และจ้าวเองก็จะได้เข้าไปช่วยเหลือศิษย์น้องยึดเหมืองของวารีพิสุทธิ์”

ทั้งคู่ปะทะกันอีกห้าเพลง  เมื่อเห็นว่าหลี่โอ๋อวิ๋นไม่ตอบ  มือกระบี่ชุดขาวจึงเอ่ยถามอีกครา

“คุณชายหลี่  ท่านเห็นว่าอย่างไร”

“ข้ากำลังสงสัย..”  หลี่โอ๋อวิ๋นหรี่ตามองทั้ง ๆ ที่ฟาดดาบไปด้วย  เหมือนกับการสนทนาและการต่อสู้แทบไม่ได้เปลืองแรงเขาเลย  “..เหตุใดเจ้าจึงจะยอมเป็นที่สอง  ในเมื่อหากว่าเจ้าถ่วงเวลาข้าไว้ได้สำเร็จ  เจ้าจะได้เป็นที่หนึ่ง”

คำถามของหลี่โอ๋อวิ๋นนั้นไม่ผิดความจริง  หากประตูทรราชขับไล่สองสำนักและยึดสี่เหมืองได้  ก็จะมีคะแนนนำไมตรีโลหิต  เหตุใดจ้าวเหรินเจี่ยนต้องยื่นข้อเสนอที่ตนเองเสียเปรียบมากกว่าเดิม

“คุณชายหลี่ท่านอาจจะไม่เข้าใจการเมือง  การเมืองไม่ได้วางอยู่บนพื้นฐานของการหักหลังหรือการทำผิดข้อตกลงเพื่อผลประโยชน์ระยะสั้น  เพราะนั่นจะทำให้ทุกอย่างปั่นป่วน  จนการเมืองไม่สามารถดำเนินต่อไปได้  ไมตรีโลหิตยังคงต้องสานสัมพันธ์กับสี่สำนักในระยะยาว   ดังนั้นจ้าวจึงต้องทำตามข้อตกลงทุกอย่างที่ทำเอาไว้กับทุกสำนัก”

“ถ้าให้ข้าเดา  วังหมื่นบุปผาใช่หรือไม่”

“ใช่  สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงแค่สั่งสอนอำพันโบราณเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น”

“หืม  ถ้าเช่นนั้นมิใช่เจ้าละเมิดข้อตกลงกับอำพันโบราณในพันธมิตรสามสำนักหรอกหรือ”

“พันธมิตรสามสำนักตกลงกันว่าจะไม่ปล่อยให้จ้าวออกมาช่วยต่อสู้  ดังนั้นโดยส่วนตัวแล้ว  จ้าวไม่มีหน้าที่ต้องคุ้มกันพันธมิตรสามสำนัก”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนั้น”

หลี่โอ๋อวิ๋นกล่าว  และยังคงโจมตีจ้าวเหรินเจี่ยนอีกสิบกระบวนท่า  เพลงดาบของเขาดุดันขึ้นสามส่วนจนอีกฝ่ายเริ่มรู้สึกกดดัน

“คุณชายหลี่ไม่ตกลงอย่างงั้นรึ”

“เจ้าไม่ใช่คนเดียวที่มีสัญญาผูกพัน..”

หลี่โอ๋อวิ๋นกล่าวพลางเรียกสายฟ้าอัสนีฟาดรุกไล่จ้าวเหรินเจี่ยน

“ท่านคิดจะแลกผลประโยชน์สำนักกับคำสัญญาของคนคนเดียวน่ะหรือ”

สิ่งที่จ้าวเหรินเจี่ยนกล่าวก็มิผิดเช่นกัน  เพราะหากประตูทรราชสูญเสียสี่เหมือง  อันดับของเขาจะตกลงไปที่สาม

หลี่โอ๋อวิ๋นคิดว่าตนไม่ใช่คนเสแสร้ง  ทว่าการที่เขาถ่วงเวลารอฟังข้อเสนอของจ้าวเหรินเจี่ยนโดยไม่รีบตัดสินชี้ขาดก็แสดงว่าจิตใจของเขาเอนเอียงไปแต่แรกอยู่แล้ว  เมื่อตระหนักรู้ใจตน  หลี่โอ๋อวิ๋นจึงหยุดมือพร้อม ๆ กับที่จ้าวเหรินเจี่ยนเรียกกระบี่บินกลับไปราวกับใจเชื่อมถึงกัน

“ตกลง!”

“คุณชายหลี่ตัดสินใจได้ถูกต้องแล้ว”   จ้าวเหรินเจี่ยนประสานมือคารวะ  “ทว่าจ้าวมีเรื่องขอร้องอีกเรื่อง”

“ว่ามา”

“โปรดปล่อยให้วังหมื่นบุปผาได้ไปหนึ่งเหมือง”

“ทำไม”  หลี่โอ๋อวิ๋นถามด้วยความประหลาดใจ  เพราะไม่ว่าวังหมื่นบุปผาจะได้เหมืองเพิ่มอีกหรือไม่ก็ไม่ส่งผลต่ออันดับของประตูทรราชและไมตรีโลหิต

“นั่นคือท่าทีที่ต้องแสดง  คุณชายตู้ควรจะได้รู้ว่าใครที่หักหลังเขา”

หลี่โอ๋อวิ๋นสูดลมหายใจด้วยความหนาวเหน็บ  จ้าวเหรินเจี่ยนวางแผนอย่างไม่มีที่ติ  ไม่ยอมแบกชื่อของการเป็นผู้ทรยศสัญญาพันธมิตรสามสำนัก  และข้อเสนอนี้เขาก็ปฏิเสธไม่ได้  เพราะนั่นจะช่วยอธิบายว่าเหตุใดหลี่โอ๋อวิ๋นจึงถูกบีบให้ต้องยอมละทิ้งการคุ้มกันวารีพิสุทธิ์
 
จ้าวเหรินเจี่ยนยิ้มละไมเมื่อเห็นว่าหลี่โอ๋อวิ๋นไม่กล่าวปฏิเสธ  และใช้วิชาตัวเบาเหยียบเมฆหมอกตามกองกำลังของวารีพิสุทธิ์ไป

หลี่โอ๋อวิ๋นเก็บดาบเข้าไปในฝักด้วยสีหน้าไร้อารมณ์   เต๋าของเขาคือไร้ใจ  ในเมื่อตัดสินใจหักหาญ  ใยต้องนึกเสียดายทีหลัง  มือดาบไร้ธุลีสะกิดเท้าติดตามไปช่วยเหลือสำนักของตน





+++++++




ตู้เกี่ยนหลงหน้าซีดเผือดเหมือนไก่ต้ม  เมื่อพบว่ายอดฝีมือที่ติดตามมาข้างหลังและส่งปราณสังหารกดดันศิษย์สำนักทุกคนคือใคร

“วางอาวุธและไสหัวออกไป”

ศิษย์ประตูทรราชซึ่งเพิ่งผ่านการต่อสู้อันเจ็บปวดร้องเฮดังลั่น  ขณะที่ศิษย์อำพันโบราณรีบร่นขบวนกลับมาตั้งท่าคุ้มกันตู้เกี่ยนหลง

“พี่หลี่...ท่านมาได้อย่างไร”  เด็กหนุ่มฝืนยิ้มและประสานมือคารวะถาม   หลี่โอ๋อวิ๋นดูไม่เหมือนผ่านการต่อสู้อย่างหนัก  เขาไม่มีรอยแผลและเสื้อผ้าก็ปราศจากริ้วรอยกระบี่

“เจ้าจำเป็นต้องถาม?  รีบไสหัวออกไปก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ”

เขาแผดรังสีสังหารรุนแรงขึ้น  ตู้เกี่ยนหลงกลืนน้ำลาย  จากนั้นส่งสัญญาณมือให้ศิษย์สำนักทุกคนวางอาวุธและล่าถอยออกไปจากเหมือง   พวกเขาทำตัวลีบแบนแนบกับทางเดินอ้อมศิษย์พี่ใหญ่แห่งประตูทรราชไปด้วยความหวั่นเกรง   หลี่โอ๋อวิ๋นเดินตามและต้อนกองกำลังของตู้เกี่ยนหลงออกไปภายนอก  จากนั้นเข้าถ้ำอื่นเพื่อไปจัดการแบบเดียวกัน



++++++


ซ่งมู่ต่อกรกับฮู้หลินอย่างดุเดือด  ทั้งคู่เหมือนกับศัตรูคู่อาฆาตที่กลับมาเจอกันอีกครั้ง  ฮู้หลินร่ายควันพิษห้าบุปผา  ทว่าอัสนีทรราชซึ่งเป็นธาตุหยางวิกฤตมีฤทธิ์สยบธาตุหยินทุกประเภท  รวมทั้งพิษและแมลงร้าย   นางจึงต่อสู้ด้วยความเสียเปรียบเป็นอย่างยิ่ง

ศิษย์ประตูทรราชภายใต้การนำของซ่งมู่เห็นว่าผู้นำกองกำลังของตนได้ชัยก็มีใจฮึกเหิม   พวกเขาตวัดดาบและยิงธนูรุกไล่ศิษย์วังหมื่นบุปผาที่ถอยร่นกลับไปไม่เป็นขบวน   ทว่าในตอนนั้นเอง  ก็มีเสียงตวาดดังดุจฟ้าผ่า

“หยุดมือ!”

เสียงนั้นสะเทือนเลื่อนลั่นแฝงปราณจันทราอังสูงส่งและทำให้พลังปราณของทุกคนปั่นป่วน  ทั้งสองสำนักที่ปะทะกันยืนซวนเซจึงต้องหยุดการต่อสู้  และหันไปทางที่มาของสุ้มเสียงด้วยความตระหนก

ทว่าเมื่อเห็นผู้ที่ยืนขวางทางออกขนาบด้านหลังของวังหมื่นบุปฝา   ประตูทรราชก็ส่งเสียงอย่างดีใจ  ขณะที่ศิษย์วังหมื่นบุปผาเข่าอ่อนแทบจะทรุดลงไปกับพื้น

“ซ่งมู่  นำศิษย์ของเราถอยออกมา”

หลี่โอ๋อวิ๋นออกคำสั่ง   ทว่าผู้รับคำสั่งยืนตะลึงอยู่ครึ่งค่อนวันก่อนจะถามซ้ำอย่างไม่เชื่อหู

“พี่ใหญ่  ท่านกล่าวว่าอย่างไร”

“ซ่งมู่  นำศิษย์ของเราถอยออกมา”

หนุ่มหน้าซื่ออ้าปากค้าง  ทว่ารีบตั้งสติ  และประสานมือรับคำสั่ง

“รับทราบ  พวกเราถอย!”

ศิษย์ประตูทรราชคนอื่น ๆ ก็งุนงงไม่แพ้กัน  ทว่าด้วยระเบียบวินัยของสำนัก   คำสั่งของศิษย์พี่ใหญ่ถือเป็นเด็ดขาดและไม่มีช่องว่างให้สงสัย  พวกเขาจึงตั้งขบวนเดินตามซ่งมู่ผ่านกองกำลังของฮู้หลินไปทางหลี่โอ๋อวิ๋น

“เหมืองนี้  จ้าวเหรินเจี่ยนยกให้กับพวกเจ้า  เชิญตามสบาย”   หลี่โอ๋อวิ๋นกล่าวกับวังหมื่นบุปผา  จากนั้นพาศิษย์สำนักประตูทรราชออกไปจากเหมือง  ทิ้งฮู้หลินและกองกำลังยืนทื่อเหมือนหินอย่างไม่เชื่อหูตนเอง



++++++

เมื่อออกมาภายนอก  ซ่งมู่ก็เห็นกองกำลังของอำพันโบราณที่ยืนอย่างหดหู่ปนกับเคียดแค้นเหมือนกับไก่ชนที่พ่ายแพ้อยู่ที่หน้าผาจิ้งซาน  ทว่ากองกำลังของวังหมื่นบุปผาไม่ได้รู้สึกอัดอั้นตันใจเช่นนั้นเพราะไม่ว่าพวกเขาจะได้เหมืองนี้หรือไม่ก็แทบไม่ส่งผลต่ออันดับ

ที่ร้ายที่สุดคือวารีพิสุทธิ์  พวกนางมองมาทางประตูทรราชด้วยน้ำตาคลอเบ้า  และสายตาแดงก่ำอย่างปิดไม่มิด  จางชุ่ยฮัวกัดฟันจนฟันสีเงินของนางแทบจะแหลกทำลาย  นางไม่กล้าจ้องหลี่โอ๋อวิ๋น  นางจึงมองซ่งมู่เหมือนกับจะฉีกเนื้อ

ซ่งมู่เมินสายตาของนางและมองหาหลิวเกาและเสี่ยวหมี  ทว่าทั้งคู่ไม่ปรากฏอยู่ ณ ที่นั้น   ถึงบางครั้งเขาจะหัวช้า  แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่  หนุ่มหล่อร่างสูงเจ้าของไรหนวดเขียวหลับตาลงช้า ๆ สะกดกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน  จากนั้นเดินเข้าไปหาหลี่โอ๋อวิ๋น

“พี่ใหญ่”

ซ่งมู่ร้องเรียกให้อีกฝ่ายหันมา  จากนั้นง้างหมัดชกหน้าอีกฝ่ายอย่างรุนแรง

หลี่โอ๋อวิ๋นจับข้อมือของเขาไว้ทันควัน   หมัดของอีกฝ่ายอยู่ห่างจากใบหน้าเขาแค่ไม่ถึงหุน   และเลิกคิ้วถาม  “เจ้าจะทำอะไร”

ซ่งมู่ไม่ตอบ  เงื้ออีกหมัดที่ว่างชกหน้า  ทว่าถูกหยุดยั้งไว้ได้อีกครั้ง  เขาจึงยกเท้าถีบ  ทว่าหลี่โอ๋อวิ๋นชิงถีบท้องเขากระเด็นออกไปเจ็ดแปดวา

“อย่าทำอะไรโง่ ๆ จะดีกว่า”   หลี่โอ๋อวิ๋นกล่าวเตือน  จากนั้นใช้วิชาตัวเบาลอยลงมาจากหน้าประตูดินแดนลี้ลับมาที่พื้นเบื้องล่าง

ทันใดนั้น   ท้องฟ้าก็เปลี่ยนสีเพราะพลุไฟจำนวนมากที่จุดประกาศว่าเหมืองสุดท้ายถูกยึดเสร็จสิ้นแล้ว   จากยอดเขาเบื้องบน  ร่างของผู้อาวุโสทั้งห้าลอยเลื่อนลงมาเหมือนเซียนเหยียบเมฆ   แรงกดดันของยอดฝีมือระดับดาราเงียบงันทำให้ทุกคนใจสั่นสะท้านและไม่สามารถขยับตัวได้  ซ่งมู่กัดฟันพยายามลุกขึ้นยืน  ทว่าแม้เพียงแรงกดดันที่ปล่อยออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจก็ทำให้เขาคุกเข่าอยู่กับพื้นเหมือนมดปลวก  เขาได้แต่จ้องด้วยดวงตาแดงฉานไปทางผู้อาวุโสห้าสำนักและหลี่โอ๋อวิ๋น

ปราณจันทราคุ้มครองร่างของหลี่โอ๋อวิ๋น  ทำให้เขายังคงยืนตรงโดยไม่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดัน  เขาค้อมศีรษะทักทายผู้อาวุโสสำนักตน

“ผู้อาวุโสเยว่”

“เจ้าทำได้ดีมาก  อวิ๋น”   นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเริงร่า  เพราะผลสุดท้ายประตูทรราชคว้าชัยชนะไปได้  และทีมของนางกับหลี่โอ๋อวิ๋นก็จะได้ไปต่อสู้ที่เหมืองเทียนซานต่อ

ตู้ถงเทียนเห็นสีหน้าของลูกชายคนเล็กของตนก็ถอนหายใจและกล่าว   “เจ้ายังเยาว์วัยไป..”

เว่ยหลิงจื่อไม่ได้ร่วมการต่อสู้  เพราะเขาเป็นผู้คุ้มกันเหมืองที่ชิงมาจากจ้าวเหรินเจี่ยน   ผู้อาวุโสเหม่ยจึงพยักหน้าทักทายเว่ยเหลียนยู่และฮู้หลิน

“ศิษย์ไร้ความสามารถ  ผู้อาวุโสไป่โปรดลงโทษ”  จางชุ่ยฮัวคุกเข่าและโขกศีรษะหน้าไป่หลินหลิง  ทว่าไป่หลินหลิงไม่ยิ้มไม่บึ้ง  นางโบกพัดเหมือนกับไม่สนใจผลการประลองและตั้งคำถามต่อคนอื่น ๆ

“ซีคงหยูไปไหนล่ะ”

ในตอนนั้นเอง  หลิวเกาก็เดินนำหมีดำมา  บนหลังหมีดำมีชายในชุดลำลองชั้นในสีขาวสำหรับใส่นอน  นั่งสลึมสลืออยู่บนหลังหมี

“ศิษย์คำนับผู้อาวุโสไป่”  หลิวเกาประสานมือคารวะและค้อมกายแสดงความเคารพ

เมื่อไป่หลินหลิงเห็นว่าซีคงหยูพยายามปีนลงจากหลังหมี  นางก็รีบโบกมือห้าม

“ไม่ต้องมากมารยาท  แต่ซีคงหยู  เจ้าทราบใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”

คุณชายสามฟังแล้วก็ฝืนยิ้ม

“ศิษย์ทราบ”

“ความพ่ายแพ้ของสำนักเรา  ส่วนหนึ่งต้องนับไว้ที่เจ้าที่ไว้ใจผู้คนมากเกินไป”   ไป่หลินหลิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย

“ศิษย์เข้าใจดี”

“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว  เรื่องลงโทษ  กลับสำนักไปค่อยว่ากัน”   ไป่หลินหลิงกล่าวแล้วก็หันกายกลับไปรวมกลุ่มกับผู้อาวุโสห้าสำนัก  ขณะที่จางชุ่ยฮัวรู้สึกลิงโลด  หากว่าไป่หลินหลิงไม่กล่าวตำหนิซีคงหยู  นางก็วางแผนที่จะกล่าวโทษเขาต่อผู้อาวุโสหมิงซึ่งรับผิดชอบการประลองทั้งหมดอยู่แล้ว

พิธีปิดการประลองเป็นไปอย่างเรียบง่าย   ผู้อาวุโสห้าสำนักตั้งโต๊ะสักการะจักรพรรดิสวรรค์   จากนั้นเซ่นสรวงด้วยผลึกวิญญาณเซียนที่ดีที่สุดของแต่ละสำนัก   ใช้ผลึกแร่สร้างไฟวิเศษเผากำยานในกระถางเพื่อส่งสัญญาณถึงสวรรค์   พลังปราณในผลึกแร่กระกระจายเป็นเปลวไฟและพวยควัน  สร้างบรรยากาศลี้ลับเหมือนกับแดนเทพยดา  ตลอดพิธีปิด  นักพรตเวิ่นเต๋อไม่ปรากฎตัวทุกคนคาดเดาว่าเขาคงเดินทางกลับเมืองหลวงไปแล้ว  หลังจากนั้นแต่ละสำนักก็แยกย้ายกลับไปจัดการเก็บข้าวของและเตรียมเดินทางกลับ

ซีคงหยูกระตุ้นเสี่ยวหมีให้เดินเข้าไปหาหลี่โอ๋อวิ๋นที่ยืนรออยู่ 

“น้องอวิ๋น  เจ้าผิดสัญญา”

หลี่โอ๋อวิ๋นก้มหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าว   “อาหยู  ข้าทำผิดต่อเจ้า”

“ต่อไปนี้ข้าจะไม่เชื่อเจ้าอีกแล้ว  เจ้ารู้หรือไม่”

“ข้ารู้”

“เจ้าชอบข้าจริงน่ะหรือ  น้องอวิ๋น”

“จริง”

“งั้นทำไม?”

“เพราะข้าไม่ใช่แค่หลี่โอ๋อวิ๋น”

“เจ้าหมายถึง?”

“ข้ายังเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของประตูทรราช  ข้ามีหน้าที่รับผิดชอบต่อสำนัก”

ซีคงหยูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้า  “เข้าใจล่ะ  ถ้าข้าเป็นน้องอวิ๋นก็คงทำแบบเดียวกัน”

“แต่ถ้าข้าเป็นเขา  ข้าจะไม่ทำแบบเดียวกัน”   ซ่งมู่ก้าวเข้ามาและพูดด้วยน้ำเสียงกร้าว

หลี่โอ๋อวิ๋นยิ้มหยัน  “เช่นนั้นเจ้าถึงไม่มีวันได้เป็นศิษย์พี่ใหญ่ยังไงล่ะ”

“น้องมู่  ใจเย็น”  ซีคงหยูเอ่ยปากเมื่อเห็นซ่งมู่หน้าแดงก่ำ

“ทำไมพี่หยู  คนผู้นี้ทำกับพี่ถึงขนาดนี้  ไฉนจะต้องปกป้องมันอีก”

“ระวังปากของเจ้า”  หลี่โอ๋อวิ๋นเตือน

“ฟัคยู!  ฟัคประตูทรราช!  เจ้ามันจอมปลอม  หลอกใช้ความรู้สึกพี่หยูแลกผลประโยชน์!”

“ใช่  เจ้ากล่าวเช่นนั้นได้..”   หลี่โอ๋อวิ๋นยังคงยืนยิ้มน้อย ๆ อย่างใจเย็นโดยไม่สนใจคำสบถที่ถูกถ่มใส่หน้า  “..เพราะอะไรรู้มั้ย  เพราะเจ้าไม่จำเป็นต้องอุทิศตนเพื่อสำนัก  ไม่จำเป็นต้องต่อสู้ฝ่าฟันเพื่อชีวิตที่ดีของตนเอง   เพราะเจ้ามีที่ให้กลับไป  เจ้าไม่ต้องพนันทุกอย่างของชีวิตไว้กับการแข่งขันไร้สาระพวกนี้  เจ้าถึงพูดใส่หน้าข้าได้  ทำตัวเหมือนกับผู้มีคุณธรรมสูงส่งเต็มประดา..  ข้ากล่าวถูกหรือไม่  ทายาทของหมอเทวดาซ่งเฉิน”

ซ่งมู่ถอยหลังหนึ่งก้าวเหมือนโดนฟ้าผ่าทั้งด้วยถ้อยคำเย้ยหยันเสียดแทงใจ  และการที่หลี่โอ๋อวิ๋นทราบดีถึงที่มาของตน  ขณะที่ซ่งจินเดินตามมายืนข้างหลังน้องชายของตน  และใช้ดวงตาปลาตายจ้องมองหลี่โอ๋อวิ๋นอย่างไม่ลดละ   ศิษย์สำนักอื่น ๆ เริ่มสังเกตเห็นจึงหยุดรอชมดูแต่ไม่กล้าเข้าใกล้เพราะเกรงกลัวหลี่โอ๋อวิ๋น

“ซ่งมู่  เจ้าเหมือนต้นไม้ในเรือนกระจก  เจ้าไม่เข้าใจความยากลำบากของชนชั้นล่างที่ต้องดิ้นรน  เจ้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนเราจึงต้องทะเยอทะยานและปีนป่ายไปยังชีวิตที่ดีขึ้น  ดังนั้นข้าจึงเข้าใจเจ้า  และหวังว่าเจ้าจะเข้าใจข้าเช่นกัน”

ซีคงหยูเอื้อมมือจากหลังหมีไปตบบ่าซ่งมู่เบา ๆ   หนุ่มรุ่นน้องหันไปสบตาผู้ที่มองจากที่สูงกว่า  ในดวงตานั้นมีความเห็นใจและความอารี  ไฟโทสะในใจของเขาจึงลดลงช้า ๆ

“น้องมู่  ข้าไม่เป็นไร”

“อ๊ออออออออ”

เมื่อเสี่ยวหมีพูดอีกเสียง  ซ่งมู่จึงสูดหายใจลึกแล้วกล่าวกับหลี่โอ๋อวิ๋น

“นับแต่นี้  ข้าขอตัดขาดกับประตูทรราช”

หลี่โอ๋อวิ๋นยิ้มเย็นเหมือนกับคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว  เขาชี้หน้าซ่งมู่แล้วตั้งคำถาม

“แต่เจ้าเรียนคัมภีร์อัสนี  และเพลงดาบจักพรรดิทมิฬ  อันเป็นวิชาที่ถ่ายทอดเฉพาะศิษย์สำนักประตูทรราช”

“ข้าจะชดใช้”  ซ่งมู่เชิดหน้ากล่าว

“ด้วยเงินทองงั้นหรือ  อ้อ  ข้าลืมไป  หมอเทวดาซ่งเฉินมีหรือจะขาดทรัพย์สฤงคาร”

ซ่งมู่ไม่ตอบ  เขายกมือขึ้นขึ้นระดับอก   จากนั้นค่อย ๆ แบมือออก   ตรงใจกลางฝ่ามือมี [เมล็ดพันธุ์เต๋า] เป็นรูปดาบเล็ก ๆ ทว่าสุกใสเจิดจ้า  มันหมุนวนใจกลางฝ่ามือช้า ๆ เหมือนอัญมณีที่ถูกตั้งแสดงไว้ในตู้    ซ่งมู่ถ่ายเทปราณเมฆาของตน  กระแทกกระทั้นเมล็ดพันธุ์เต๋าครั้งแล้วครั้งเล่า  ใบหน้าของเขาซีดเผือดสลับแดงฉาน   เมล็ดพันธุ์เต๋าเริ่มแตกร้าว  และแหลกสลายเป็นชิ้นเล็ก ๆ ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน

ซ่งมู่กระอักเลือดแล้วทรุดลงไป  ทว่าซ่งจินหิ้วปีกเขาเอาไว้ทัน  เจ้าของดวงตาแดงฉานจากการบาดเจ็บภายในและความคั่งแค้นใช้สองตาแดงฉานจ้องมองหลี่โอ๋อวิ๋น

“เต๋าแห่งดาบของข้าถูกทำลาย  ต่อไปนี้  ข้าจะไม่จับดาบอีก!”

หลี่โอ๋อวิ๋นพยักหน้า  ยอมรับการชดใช้นี้  จากนั้นกล่าวกับซีคงหยู

“อาหยู  หวังว่าคงได้เจอกันอีก”

ซีคงหยูเหลือบมองผู้พูด  จากนั้นรีบลงจากหลังเสี่ยวหมีไปดูอาการซ่งมู่  ขณะที่หลี่โอ๋อวิ๋นจากไปอย่างเงียบงันท่ามกลางสายตาของศิษย์ห้าสำนักนับร้อย



++++++



เมื่อเวิ่นเต๋อกล่าวรายงานทุกอย่างกับผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร

ราชาแห่งอาณาจักรวายุกระซิบวางคางของตนกับฝ่ามืออย่างครุ่นคิด

"ท่านนักพรตคิดว่า  การประลองครั้งนี้สำนักใดชนะกันล่ะ"

เวิ่นเต๋อถอนหายใจแล้วกล่าว

"เรียนท่านอ๋อง  นักพรตผู้นี้คิดว่าผู้ที่ได้ชัยชนะสุดท้ายคือไมตรีีโลหิต"

"น่าสนใจ  ทำไมท่านคิดเช่นนั้น"

"ด้วยความสามารถในการคาดคะเนและช่วงใช้จิตใจของผู้คนของจ้าวเหรินเจี่ยน  ตลอดการประลองไมตรีโลหิตแทบไม่ได้ทำอะไรเลย  ทว่ากลับได้ที่สอง  เรียกว่าชนะโดยไม่ต้องยกมือ  มิหนำซ้ำยังสร้างรอยร้าวฉานระหว่างอำพันโบราณและวังหมื่นบุปผา  และขยายรอยร้าวระหว่างประตูทรราชกับวารีพิสุทธิ์  ที่ร้ายที่สุดคือการทำให้ประตูทรราชสูญเสียเมล็ดพันธุ์ยอดฝีมือที่ดีไปถึงสองคน"

"เจ้าหมายถึงสองพี่น้องตระกูลซ่ง?"

"ใช่แล้วท่านอ๋อง"

"แล้วศิษย์คนใหม่ของเจ้าล่ะ?"

"เฮ้อ.."  นักพรตเวิ่นถอนหายใจ   "..ดาบที่ดีต้องผ่านไฟและผ่านน้ำ  เคี่ยวกรำและฟาดตีด้วยค้อนของช่างฝีมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ทุกอย่างขึ้นกับสวรรค์และเจตจำนงของผู้คน  ข้ามิอาจยุ่งเกี่ยว"

"พูดได้ดี  ข้าหวังว่าเขาจะกลายเป็นดาบที่ดี  ช่วยเจ้าขายหนังสือได้เยอะ ๆ"  พระเจ้าโจวเหวินหวางกล่าวกลั้วหัวเราะ

"ท่านอ๋องล้อเล่นแล้ว"

นักพรตเวิ่นเต๋อกล่าวแล้วก็ประสานมือคารวะ  กล่าวลาพระเจ้าโจวเหวินหวาง




++++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-10-2017 20:51:14 โดย Kirimanjaro »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ wnkth

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
อ่านไปอ่านมาเหมือนนักพรตเป็น บก. เจ้าของบริษัทแล้วซีคงเป้นพนักงานขาย ฮ่า

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
แล้วก็ถึงการเลิกลา แยกย้าย
เพื่อการเดินหน้าต่อไป

รอหยู เก่งกาจขึ้นอีก
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
อืมมม์ ว่ากันตรงๆ หลี่โอ๋อวิ๋นกับซ่งมู่นี่คนละรุ่นกันเลยนะครับ คนละรุ่นในที่นี้ไม่ได้หมายถึงอายุ แต่หมายถึงทั้งความสามารถด้านการปั่นหัวคน คาดเดาสถานการณ์เพื่อประโยชน์ส่วนตัวสูงสุด อุปนิสัยใจคอ และสกิลฝีมือ ดังนั้นเอาจริงๆถ้าสองคนนี้ปะทะกัน ซ่งมู่ก็พ่ายแพ้กันเห็นๆอยู่แล้ว แม้ต่อให้ฝีมือทัดเทียม แต่ซ่งมู่ตามฝีมือหมากคาดเดาจิตใจของหลี่โอ๋อวิ๋นไม่ทันหรอก เมื่อจิตใจแปรปรวน คู่ต่อสู้ย่อมเอาชัยได้ในทุกสนามรบ ไม่เพียงแค่การต่อสู้เท่านั้น ดังนั้นอย่าเสี่ยงจะดีกว่า

อีกอย่าง พี่น้องตระกูลซ่งจิตใจดีงาม สมกับเป็นทายาทของแพทย์จีน ผู้เห็นชีวิตและจิตใจมนุษย์สำคัญกว่าทุกสิ่ง จะไปสู้คนที่เล่นนอกเกมเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองอยากจะได้แบบหลี่โอ๋อวิ๋นได้อย่างไร การจะทำอย่างนั้นต้องไร้เมตตา ไร้รื่นรมย์ สมฉายาประตูทรราชที่อาจเปิดสู่การเป็นจักรพรรดิ ผู้น้องรู้นะ หลี่โอ๋อวิ๋น เจ้าคาดการณ์หลายอย่างไว้หมดแล้ว เจ้าไม่ให้ซ่งมู่ไปดูอาการซีคงหยู เพราะเจ้ารู้ว่าถ้าซ่งมู่เห็น ประตูทรราชจะขาดกำลังรบสำคัญ แล้วเจ้าก็รู้ดีว่าถ้าเจ้าไม่ให้ซ่งมู่ไปดูแต่เมื่อเขามารู้ทีหลัง ซ่งมู่จะมุทะลุแตกหักกับประตูทรราชแน่ ดีไม่ดี การทำลายเต๋าแห่งดาบของเขาก็อาจอยู่ในการคาดการณ์ของเจ้า กำจัดคู่แข่งมากเกินไปไม่ดีนะ หลี่โอ๋อวิ๋น ข้าไม่เห็นว่าซ่งมู่จะเป็นภัยต่อเจ้าตรงไหน พรสวรรค์ด้านดาบของเขา ผู้น้องก็ยังไม่เห็นว่ามันจะโดดเด่นตรงไหน คุณชายซีคงเสียอีกที่ดูจะมีพรสวรรค์ด้านการอ่านวิชาและคาดการณ์ทิศทางของคู่ต่อสู้

คำเตือนของข้านะ หลี่โอ๋อวิ๋น จากผู้สำเร็จเต๋าแห่งพุทธะ มังกรดินที่ทะเยอทะยานเป็นมังกรฟ้า มันก็เป็นไปได้ แต่ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้าจะขึ้นมาด้วยวิธีโหดร้ายเย็นชาเพื่อถีบตนเองให้ขึ้นมาสู่จุดสูงสุด คำเตือนของข้าคือ เจ้าอาจจะคิดว่าเมื่อเจ้าเป็นจักรพรรดิเหนือผู้คน เจ้าจะแสวงหาทุกอย่างที่เจ้าละทิ้งไปในระหว่างเส้นทางได้ แต่ความจริงนั้นไม่ใช่ เจ้าจะไม่มีวันได้พักตราบใดที่เจ้าใช้วิธีการนี้เพื่อแสวงหาครอบครองตำแหน่ง และสิ่งที่สำคัญกับเจ้าที่สุด เจ้าจะไม่สามารถเอื้อมมันมาได้ หรือเอื้อมได้ก็แค่ชั่วคราว ไม่อาจครอบครอง เพราะในทุกเงามืดจะปรากฏคมดาบ มิตรบังเอิญกลายเป็นศัตรู อาหารอาจย้อมกลายด้วยยาพิษ และเป้าหมายของสิ่งเหล่านั้น จะพุ่งตรงมาที่สิ่งสำคัญหรือความสุขของเจ้า เนื่องจากผลของสิ่งที่เจ้าเคยทำตลอดเส้นทางนั่นแหละ ตรองดูให้ดี

น้องมู่... เจ้ามุทะลุเกินไป อาจจะด้วยอายุยังเยาว์วัย การทำลายเต๋าแห่งดาบที่ฝึกเพียรขัดเกลามากี่ปีทิ้ง มันคุ้มค่าเสียเวลาไหม? มุทะลุเกินไปจริงๆ /ถอนหายใจ ทั้งๆที่วิชาของหยางวิกฤตินั้นไม่ได้หาเรียนกันง่ายๆ น้องมู่ ผู้น้องขอเตือนในฐานะที่บรรลุเต๋าแห่งพุทธะ การมุทะลุเกินไปนั้นเป็นได้ทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือทำให้เรียนวิชาต่อสู้ได้ดี มีความตั้งใจจะเอาชนะอุปสรรคที่ขวางกั้น มันขัดเกลาจิตใจและร่างกายให้หมั่นฝึกฝนในสิ่งที่ตนอยากได้ แต่ข้อเสียคือทำให้สายตาไม่ยาวไกล ไม่อาจตามเล่ห์กลคนทัน อีกทั้งยังทำให้ง่ายดายที่เจ้าอาจตกเป็นทาสของโทสะและการแก้แค้น ไปลั่นวาจาเสียแบบนั้น ส่วนตัวแล้วผู้น้องก็คิดว่าน้องมู่ไม่เหมาะเป็นแพทย์หรอก แต่การจะไม่จับดาบอีกเลย ถือว่าน่าเสียดายแทนเจ้าสำนัก สำหรับมือคู่นั้นจริงๆ /ถอนหายใจหนักๆอีกรอบ

แต่ก็ถือว่าผู้น้องจะขอเป็นซัพพอร์ตน้องมู่อยู่อย่างลับๆแล้วกัน เป้าหมายแรก ไปฝึกวิชาหมัดมวยแบบตู้เกี่ยนหลง! ผู้น้องว่าเต๋าแห่งหมัดมวยสายปราณแข็ง หรือ [มวยแข็ง] น้องมู่น่าจะทำได้ดี อย่าไปกลัว! ยอมแพ้ง่ายๆได้อย่างไร! ถ้ามือดาบหลี่โอ๋อวิ๋นมีประตูทรราช มือกระบี่จ้าวเหรินเจี๋ยนมีไมตรีโลหิต ตู้เกี่ยนหลงมีอำพันโบราณ ซีคงหยูมีนักพรตเวิ่นเต๋อกับไป่หลินหลิง (ที่ทั้งคู่ดูไม่จริงจัง) เหล่านี้คอยแบ็คอัพ น้องมู่ก็มีผู้น้องกับสหายเต๋านักอ่านคอยซัพพอร์ตเหมือนกัน! /ผลักซีคงหยูไปให้ท่านหมอเทวดาคอยสอนวิชา

รายงานในท้องพระโรง คุณชายใหญ่แห่งตระกูลซีคงก็ต้องอยู่ด้วยสิ ไม่ธรรมดานะท่านแม่ทัพ ผู้น้องต้องแสดงความยินดีกับน้องชายสามของท่านด้วย /แอบยิ้มแล้วเนียนถือจอกเหล้าไปคลุกวงใน ฮ่าๆ

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ NuTonKaw

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 532
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
โอ๊ย หยูเจ็บแล้วน้องมู่ก็มาเจ็บอีกงี้น้องมู่ก็ไม่ได้ดูแลหยูนะสิ :ling1:

เสียดายสองพี่น้องแต่ออกไปก็ดีจะได้ลุยเรื่องหยูแบบไม่ต้องกรงใจใคร

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ทุกคำกล่าวของอวิ๋นล้วนทิ่มแทงใจ
คนที่เกิดมาสบาย ไหนเลยจะเข้าใจผู้ขาดแคลน? การกัดไม่ยอมปล่อยย่อมเป็นหนทางของคนด้อยโอกาสอย่างแท้จริง

อาหยูบทน้อยไปหรือไม่? air time ของหลิวกับหมีแพงยิ่งกว่าทองเสียอีก

ปล. ขอบคุณคุณ Grey Twilight ที่ชี้แนะให้กระจ่างใจ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ kawoat

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 388
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
ดีใจอ่านทันแล้วคืออ่านนิยายแปลของจีนแนวกำลังภายในมาตลอดทั้งพี่เมิ่ง จี้หนิง ปู่ฉีเย่ จ้าวเฟิง ชูเฟิง เจียงเฉิน เลยเข้าใจแนวการเขียนนิยายแบบนี้มากกว่าผู้อ่านหลายๆท่านที่งงว่ามันจะออกจีนแนวโบราณรึอย่างไหนแน่ ขอบคุณมากนะที่แต่งแนวนี้มาให้อ่าน เพราะตอนที่อ่านนิยายแปลพวกนี้เคยคิดว่าแหม มันน่าจะแบบช-ช บ้างเนาะ โดยเฉพาะเรื่องที่มันฮาเร็มมากๆ อย่างชูเฟิงมันหงุดหงิด เดี่ยวก็ได้เมียๆ ไปไหนก็ได้เมีย ถ้าไม่ติดว่าเนื้อเรื่องมันสนุกจะไม่ทนอ่านเลย อยากเปลี่ยนจากน้องนี เป็นเด็กหนุ่มคงสนุกไม่น้อย เคยถอดใจขนาดที่ว่าคงต้องแต่งเองเพื่อสนองนี๊ดแล้วล่ะ เพราะคงไม่มีใครเขียน xianxia แนวช-ช หรือต้นฉบับที่จีนอาจจะมีแต่ก็ไม่มีคนไทยคยไหนหยิบมาแปลอยุ่ดี ตอนเลื่อนมาเจอนิยายนี้ขึ้นหัวเรื่องว่า xianxia นี่ตาลุกวาวมาก ขอบคุณมากจริงๆ ที่แต่งนิยายแนวนี้มาให้อ่าน ส่วนตัวมองว่ายังมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับวรยุทธน้อยไป เพราะแทบไม่เห็นวิชาอะไรกันเลย อาจจะด้วยอ่านแนว xianxia มาเยอะแล้วเค้าเน้นที่ฝึกปราณ วิชา บ่มเพาะ แล้วก็เสี่ยงโชค เลยรู้สึกว่าเรื่องนี้ตัวละครยังใช้ชีวิตแบบสามัญชนเหมือนคนไม่ได้ฝึกปราณซะงั้น (อันนี้ผมอาจจะคิดหรือรุ้สึกไปเองคนเดียวนะ) ยังไงก็สู้ๆ น้าเป็นกำลังใจให้จ้า  :katai2-1:

ออฟไลน์ llSJAr34

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 สำนักวารี ไม่ไหวจริงๆ ฝืนต่อไปก็เป็นตัวถ่วง คอยรอแต่ความช่วยเหลืออย่างเดียว   
ส่วนประเด็นดราม่าก็น่าเห็นใจ แล้วก็น่าเสียดายเต๋ากว่าจะขัดเกลาให้ประกายเงางามขนาดนั้นได้ คงไม่ง่ายแน่นอน

ออฟไลน์ cocoaharry

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
    • cocoaharry_Demmy Chan_Otaku Y Girl
โอ้ เพิ่งได้เข้ามาอ่าน
อยากทึ้งหัวตัวเองว่าปล่อยให้เรื่องสนุกแบบนี้หลุดรอดสายตาไปได้ยังไง
ติดตามค่าาา

ออฟไลน์ xหยกน้อยx

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เริ่มงงกับตัวละครอยากให้หน้าแรกมีชื่อตัวละคล เป็นใคร มาจากสำนักไหน

ออฟไลน์ XXX

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :hao5: :hao5: :hao5: แลดูโหดร้ายย

ออฟไลน์ Kirimanjaro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
++++++



ซ่งจินประคองซ่งมู่ไปนั่งพักที่โขดหิน  และป้อนยาเซียนฟื้นโลหิตให้  จากนั้นหยิบกล่องไม้เล็ก ๆ สีดำออกมา   แล้วใช้เข็มในกล่องไม้  ปักตามจุดชีพจรต่าง ๆ บนหลังของซ่งมู่

“น้องมู่...ข้าขอโทษที่ลากเจ้ามาพัวพันกับเรื่องนี้”

ซ่งมู่อ้าปากจะตอบ  ทว่าซ่งจินรีบสกัดจุดที่คอ  และส่งสายตาชืดชาไปยังคุณชายสาม

“อย่าเพิ่งชวนเขาคุย”

ซีคงหยูก้มหน้าอย่างสำนึกผิด  และหาที่ยืนไม่ไกลนักเพื่อรอให้หนุ่มรุ่นน้องฟื้นฟูอาการบาดเจ็บเสร็จสิ้น

โดยไม่ต้องรอให้พี่ชายกระตุ้นเตือน  ซ่งมู่หลับตาโคจรปราณตามจุดชีพจรที่ถูกปักเข็มสามสิบหกตำแหน่ง  เขารู้ลำดับของการโคจรดีอยู่แล้ว  กระแสปราณเมฆาที่อุ่นวาบเหมือนกับไออันร้อนผ่าวของไอแดดในฤดูร้อนเคลื่อนผ่านเส้นเมอริเดียน  สร้างวงจรโดยใช้เข็มแต่ละตำแหน่งเป็นจุดอ้างอิง  พร้อม ๆ กันนั้น  ยาเซียนธาตุน้ำที่ซ่งมู่กลืนเข้าไปก็แตกตัวเป็นละอองที่แทรกซึมผ่านเนื้อเยื่อและเส้นเอ็นไปหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อและเครื่องในที่บอบช้ำจากอาการบาดเจ็บภายใน

หน้าผาของจิ้งซานตอนนี้ไร้วี่แววของศิษย์ห้าสำนัก  ทว่ามิได้ไร้ร้างผู้คน   ชาวยุทธพเนจรที่ถูกกันเอาไว้ตอนแรก  เริ่มกลับมาจับจองเหมืองที่ตนจะเข้าไปสกัดแร่  รวมทั้งเหมืองใหม่ทั้งเจ็ด  พวกเขาบางคนก็มองดูสามหนุ่มที่กำลังนั่งรอซ่งมู่รักษาอาการบาดเจ็บด้วยความสนใจเนื่องจากมีสัญลักษณ์ของศิษย์ห้าสำนัก

เวลาผ่านไปครึ่งชั่วยาม  สีหน้าของซ่งมู่ก็ดีขึ้น   หน้าผากและคิ้วเข้มหนาของเขาผุดพรายไปด้วยเม็ดเหงื่อ  เส้นเลือดฝอยในดวงตาที่แตกซ่านก็เริ่มจางหาย   เขาผ่อนลมหายใจและมองไปยังซีคงหยูที่ยืนรออยู่ด้วยสายตาลึกซึ้ง  เขาอ้าปากพูด

“......”

“ฮาโหล ๆ สัญญาณไม่ค่อยดีเลย  น้องมู่เจ้าพูดว่าอะไร”

“.........”

ซ่งมู่พยายามเปล่งเสียงพะงาบ ๆ  ทว่าไม่มีเสียงเปล่งจากคอ   เขาตะโกนจนหน้าแดงก่ำ   ทว่ายังไม่ได้ผล  จึงนึกขึ้นได้  หันไปฉุดชายแขนเสื้อของพี่ชายที่ยืนอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“..........”

ซ่งจินมองหน้าน้องชายสักพัก  ก็ตบที่ต้นคอ  คลายจุดเสียงให้

“ฟัค!”

เมื่อได้ยินคำแรกของซ่งมู่  เจ้าของตาปลาตายเลยตบหัวน้องชายทีนึง  แล้วจับหัวของอีกฝ่ายหันไปทางซีคงหยู

“พี่หยู”   หนุ่มรุ่นน้องเผยรอยยิ้มบางให้  “ท่านไม่ต้องห่วงข้าหรอก”

“ข้าจะไม่ห่วงเจ้าได้อย่างไร  เหตุใดถึงต้องทำขนาดนี้”

“พี่หยู  ข้าตัดสินใจไว้นานแล้วว่าจะแยกจากประตูทรราช   เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เป็นเพียงโอกาสที่พวกเราสองพี่น้องจะได้ปลีกตัวเท่านั้น”

“แล้วเจ้าจะไปที่ไหนต่อ  เจ้าทำลายพลังฝีมือของตนเอง   ชีวิตจะไม่ลำบากหรืออย่างไร”

“เต๋าถูกทำลายได้  ก็ฝึกใหม่ได้  ถ้าข้าตั้งใจ  มีอะไรที่จะทำไม่ได้”

ซีคงหยูฟังแล้วก็ถอนหายใจ  กี่ปีแล้วที่เขาเคยมีความมุ่งมั่นแบบนี้    เขาจำได้ลาง ๆ ถึงความรู้สึกเปี่ยมความหวังและความหมายมาดในชีวิต  ราวกับว่าภายใต้ท้องฟ้านี้ไม่มีสิ่งใดที่จะขัดขวางเจตจำนงของตน  ท้องฟ้าของคนรุ่นเยาว์ทั้งกว้างและก็แคบในเวลาเดียวกัน  มันกว้างเพราะว่าในใต้หล้าเต็มไปด้วยการผจญภัยและสิ่งใหม่ ๆ ที่พวกเขายังไม่ได้สำเร็จ  มีตัวตนที่พวกเขายังไม่ค้นพบ   และมันแคบก็เพราะว่า  คนรุ่นเยาว์เหล่านั้นเชื่อว่าด้วยสองเท้าของตน  พวกเขาจะเดินทางไปถึงสุดขอบฟ้า  และปีนป่ายยอดเขาที่สูงที่สุดได้สำเร็จ

ขณะที่คนอายุมากขึ้นมักจะมองความเป็นจริงของชีวิต  พวกเขาสำรวจขอบเขตความสามารถของตนเอง  และยอมรับเส้นขอบฟ้าที่ตนเองไปถึง  การผจญภัยอันตื่นเต้นที่ชวนให้ใจสั่นสะท้านก็เป็นเพียงแค่ความฝันกลางฤดูร้อนที่พร้อมจะระเหิดหายไปกับพยับแดด  บางคนอาจจะมีความสุขกับการนั่งที่ม้านั่งตัวเดิม ๆ และจ้องไปยังแม่น้ำเหลืองซ้ำ ๆ ซาก ๆ  ความสุขที่เป็นจริงคือความสงบใจ  และการมีชีวิตที่สุขสบายพอสมควรต่างหากล่ะ

ซีคงหยูมองไฟในแววตาของฝ่ายตรงข้ามแล้วก็ยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก  ทั้งเป็นรอยยิ้มที่มาจากใจจริงและเป็นรอยยิ้มหยันตนเอง  การประลองครั้งนี้จุดไฟฮึดสู้ให้เขาไม่มากก็น้อย  เขาพบว่าความคิดของเขามีค่าสำหรับหลี่โอ๋อวิ๋น  และเป็นหนึ่งในผู้เรียกลมเรียกฝนของจิ้งซาน  ทั้งยังพลังฝีมือที่เขาไม่เคยฝึกมาก่อนก็รุดหน้าเร็วอย่างไม่น่าเชื่อจนกลายเป็นจุดสนใจของผู้คน  ทว่าในขณะเดียวกัน  เขาก็รู้สึกร้าวรานใจเมื่อนึกถึงว่าทุกสิ่งที่ทำให้เขาตัวพองเหมือนปุยนุ่น  พังทลายในเสี้ยวพริบตา  ความพ่ายแพ้และการถูกหลอกใช้  ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่ดีแค่ไหน  และไม่ว่าเขาจะเข้าอกเข้าใจการตัดสินใจของหลี่โอ๋อวิ๋นมากแค่ไหน  มันก็ปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่าสุดท้ายเขาถูกหักหลังอย่างไร้เยื่อใย

“แล้ว..พี่หยูล่ะ  เป็นอย่างไรบ้าง”   หนุ่มรุ่นน้องส่งเสียงถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยืนนิ่งเหมือนตกในภวังค์

สายตาซีคงหยูกลับมาโฟกัสที่ใบหน้าและจมูกบี้ ๆ อันเขารู้สึกว่าน่ารักอีกครั้ง  รอยยิ้มหยันบาง ๆ เปลี่ยนเป็นยิ้มกว้าง  จากนั้นเอื้อมมือไปแตะบ่าของอีกฝ่าย

“ข้าก็ต้องไม่เป็นอะไรแน่อยู่แล้ว  นี่มันแค่การแข่งขันย่อมมีแพ้มีชนะ  อย่าว่าแต่วารีพิสุทธิ์เองก็ไม่ได้มีความสามารถอะไร  จะหวังพึ่งน้องอวิ๋นตลอดไปก็ไม่ถูก  เท่าที่เขาทำให้ตั้งแต่แรกก็ถือว่าเขาเห็นแก่หน้าข้ามากแล้ว”

“แต่...”  ซ่งมู่จะเอ่ยวาจาทว่าก็กลืนถ้อยคำกลับไปในคอ  เขาจะพูดได้อย่างไรว่าเขาลอบเห็นจูบอันเร่าร้อนนั้น  อันเป็นข้อสัญญาที่เกินเลยไปกว่า ‘การเห็นแก่หน้า’

“น้องมู่  เจ้าไม่ต้องห่วงข้าจริง ๆ  ข้าจะขยันฝึกฝีมือ  แล้วกลับมาเตะไข่น้องอวิ๋นให้ครางฮือ”   ซีคงหยูพูดกลั้วหัวเราะ

ในตอนนั้น  หลิวเกาก็เดินมาพร้อมกับเสี่ยวหมีที่บรรทุกข้าวของเครื่องใช้ของคุณชายสามมาเต็มหลัง 
“นายน้อย  สำนักเราจะออกเดินทางแล้ว”  หลิวเกากล่าวกับซีคงหยู  พลางจับสัมภาระบนหลังเสี่ยวหมีให้นิ่งไม่หล่น
ซีคงหยูสูดลมหายใจลึก   และมองหน้าของซ่งมู่พลางใคร่ครวญว่าจะพูดอะไรดีในการลาจากกัน

“น้องมู่  น้องจิน  พวกเจ้ามาวารีพิสุทธิ์ดีหรือไม่”

“ฮ่า ๆ”

“เฮ้  ทำไมต้องหัวเราะ”

“ข้าจำได้ว่าเคยชวนพี่หยูไปประตูทรราช  แต่ท่านไม่ตกลง”

“มีเรื่องนี้ด้วยรึ”   คุณชายสามยืนนึกแต่จำไม่ได้

“พี่หยู  ข้าเคยได้ยินคำกล่าวว่า  ผู้คนในยุทธจักร  มิอาจเป็นตัวของตัวเอง  จนถึงวันนี้ข้าถึงรู้ซึ้งถึงความหมายของมัน”

“หืม..”  ซีคงหยูเลิกคิ้วเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดเป็นปรัชญา

“หลี่โอ๋อวิ๋นต้องทำเพื่อสำนัก  เขาจึงไม่อาจทำตามใจ  ถ้าข้าเข้าสำนัก  เหตุการณ์เดิม ๆ ก็จะวนซ้ำมาอีก  ข้าไม่อยากเลือกทำสิ่งที่ชวนให้ปวดร้าวใจ”

ซ่งมู่กล่าวพลางจ้องตาหนุ่มรุ่นพี่อย่างลึกซึ้ง   มือของเขาคลอเคลียเส้นผมของอีกฝ่ายที่ตกระใบหน้าอย่างไม่เกรงใจเสี่ยวหมีที่ยืนสี่ขาอยู่ข้าง ๆ

“ถ้าข้าอยากทำตามใจ  ข้าต้องกรุยเส้นทางของตนด้วยสองมือ..”

ซ่งจินที่ยืนข้าง ๆ อดไม่ได้จึงกล่าวแทรก  “เจ้าเรียกการกลับไปคุกเข่าสำนึกผิดกับท่านพ่อว่าการเริ่มต้นด้วยสองมือตัวเองหรอกหรือ”

ซีคงหยูหันไปมองซ่งจินที่พูดประโยคยาว ๆ อย่างประหลาดใจ  ขณะที่ซ่งมู่ทำปากขมุบขมิบคงจะด่าทอพี่ชายร่วมสายเลือด

“เราจะกลับตำหนักอาคันตุกะแดนไกล”  ซ่งจินเฉลย  “ที่พี่หยูเอ่ยชวนนั้น  ขอบคุณ”

“พี่หยูชวนข้า  ท่านพี่อ่ะตัวแถม”   ซ่งมู่ประท้วงจากข้าง ๆ

“เจ้ารู้ได้ไงว่าข้าเป็นตัวแถม”

“อ๊อออออออ”   เสี่ยวหมีร้องสนับสนุนอีกเสียง 

“เสี่ยวหมี  ขนมโก๋ชุบน้ำผึ้งน่ะ  ไม่เอาแล้วใช่มั้ย”

“อ๊ออออออออออ”  เสี่ยวหมีรีบเปลี่ยนฝั่งไปสนับสนุนซ่งมู่

“ทำไมข้ารู้สึกเสี่ยวหมีไม่ใช่ของข้ามากขึ้นทุกที”   คุณชายสามหันไปปรับทุกข์กับหลิวเกา

“เสี่ยวหมีเป็นของบ่าวตั้งนานแล้วนายน้อย”

“เพ้ย...งั้นที่จริงแล้ว  ข้าคือตัวแถมใช่มั้ย”

ทุกคนพยักหน้าพร้อมกัน  ก่อนจะระเบิดหัวเราะ  แม้แต่หน้าตายอย่างซ่งจินก็ยังยิ้มน้อย ๆ

“ตัวพี่หยูน่ะของแถม  แต่ของหลักที่ข้าอยากได้คือหัวใจ”  ซ่งมู่ไม่ลืมทิ้งท้าย

“เฮ้..”   ซีคงหยูยิ้มเขิน ๆ  เขารู้มาสักพักแล้วว่าอีกฝ่ายชอบเขา  ทว่าพูดกันซึ่ง  ๆ หน้าแบบนี้  เขาก็ทำตัวไม่ค่อยถูก  เขาพบว่านอกจากความเขินน้อย ๆ แล้วเขาไม่มีความรู้สึกไม่สบายใจหรืออึดอัด  หรือการพยายามปฏิเสธตนเองว่าไม่ได้รู้สึกดีกับอีกฝ่าย

ซ่งมู่ดึงตัวคุณชายสามมากอดอย่างแนบแน่นเป็นการลา  เขาทำใจกล้า  ทว่าจริง ๆ แล้วใจเต้นตึกตักอย่างบอกไม่ถูก  และรู้สึกขอบคุณสวรรค์ที่ซีคงหยูไม่ผลักไส   และกอดตอบอย่างแนบแน่นเหมือนกัน   เมื่อซ่งมู่สูดลมหายใจลึกดมกลิ่นกายของหนุ่มรุ่นพี่ไว้ราวกับจะจดจำให้ฝังใจแล้ว   เขาจึงปล่อยอีกฝ่าย

“มา  น้องจิน”  ซีคงหยูอ้าแขน   เจ้าของตาปลาตายลังเลเล็กน้อย  ก่อนเดินเข้าไปและรับกอด  ท่ามกลางสายตาริษยาจนลุกเป็นไฟของซ่งมู่

“ขอบคุณมากที่ช่วยข้าตั้งหลายเรื่อง”  ซีคงหยูพูดที่ข้างหูของอีกฝ่าย 

“อืม”   ซ่งจินส่งเสียงตอบ  จากนั้นถอนตัวจากแบร์ฮักของซีคงหยู  แล้วไปฮักแบร์จริง ๆ ที่ยืนชะแง้อยู่
“อ๊ออออออออ”   เสี่ยวหมีทำตาละห้อยและมองซ่งจินอย่างอาวรณ์   มันงับมือของอีกฝ่ายไว้  ด้วยแรงที่ไม่มากจนทำให้เจ็บ  จากนั้นเอาหัวไปไถ ๆ ที่ข้างเอวและขาอ่อนของหนุ่มหน้าตาย

“เราจะได้เจอกันอีก”  ซ่งจินกล่าวกับเสี่ยวหมี   แล้วถอยกลับไปยืนข้าง ๆ น้องชายของตน

ซีคงหยูพยักหน้า  เขารู้ว่าซ่งจินกล่าวกับเขาเช่นเดียวกัน

ทั้งสองฝ่ายแยกจากกันเมื่อศิษย์สำนักวารีพิสุทธิ์มาตามตัวอีกครั้ง  ซ่งมู่และซ่งจิน  ยืนมองสองคนกับหนึ่งหมีเดินลับหายไปพร้อมกับดวงตะวันยามเย็นที่คล้อยตัวลงไป



++++++



ที่เชิงเขามังกรทะยาน   ผลึกเงารุ้งเปล่งประกายจากยอดเขาเสมือนต้อนรับการเดินทางกลับของศิษย์สำนักวารีพิสุทธิ์  ซีคงหยูแหงนมองประกายแสง  ทว่ามันไม่ได้ดูบาดตาเช่นเคย  แลหมอกหนาอันเกิดจากค่ายกลอันพรางตาทางเข้าสำนักก็มิได้ดูลึกลับดังเช่นที่เขาเคยรู้สึก

ผู้อาวุโสไป่เปิดทางเขาสำนัก  เผยบันไดที่ลดหลั่นซับซ้อนไปตามเหลี่ยมมุมของภูเขา  ขบวนทหารวารีโลหิตและสมาชิกพรรคปลาทูสีน้ำเงินภายใต้การนำของจางชุ่ยฮัวตามหลังกองกำลังไป  ขณะที่ซีคงหยูยืนไพล่หลังมองทางขึ้นสำนักพร้อมกับหลิวเกาและเสี่ยวหมี

“นายน้อย  ท่านหยุดทำไม”

คุณชายสามสูดลมหายใจลึก   และปรายตามองอัจฉริยะแห่งสำนักวารีพิสุทธิ์ด้วยสายตาตำหนิ

“ให้เวลาข้าหว่องสักหน่อยไม่ได้หรือไง”

“อ๊ออออออออ”

“เสี่ยวหมีบอกว่า  ท่านจะถ่วงเวลาไปก็หนีการลงโทษไม่พ้นหรอก”

หลิวเกาอธิบายพลางเคี้ยววุ้นแปลภาษา

“เฮ้อ...”   ซีคงหยูถอนหายใจแล้วสะบัดแขนเสื้อ   จากนั้นเดินขึ้นบันไดไปสองสามก้าวก่อนเอี้ยวคอกลับมาอย่างนึกขึ้นได้

“เสี่ยวหมี”

“อ๊อออ?”

“เจ้าลืมหน้าที่ของเจ้าแล้วหรือไง”

เสี่ยวหมีผงกหัว   ก่อนจะนึกขึ้นได้   รีบส่ายหน้า  จากนั้นเดินไปยอบตัวหมอบหน้าหลิวเกา

คุณชายสามยืนตะลึงอยู่ครึ่งค่อนวันเมื่อเห็นหลิวเกาขี่เสี่ยวหมีกระโจนขึ้นบันไดสำนักหายไปในพริบตา


++++++



เมื่อไป่หลินหลิงนำพรรคปลาทูสีน้ำเงินกลับมา  ก็เจอกับผู้อาวุโสชวงและพรรคเมฆเขียว  นางโบกพัดจีบแล้วหัวร่อ

“โฮ่ ๆๆๆ  ผู้อาวุโสชวง  ท่านก็ซมซานกลับมาเหมือนกันเรอะ”

“เฮอะ  เจ้าเอาเวลาไปกังวลถึงเส้าหยูเสวียนจะดีกว่า  ได้ข่าวว่าพรรคของนางกับศิษย์พี่ใหญ่หมิงผ่านเข้าไปต่อสู้ในสนามประลองเขาเทียนซาน”

ไป่หลินหลิงแย้มยิ้ม   “ไม่นึกว่าผู้แซ่เส้าจะมีฝีมืออยู่บ้าง  คาดไม่ถึงเลยจริง ๆ”

เมื่อชวงลี่เอ๋อร์เห็นว่าทำให้อารมณ์ของอีกฝ่ายหวั่นไหวไม่สำเร็จ  จึงหุบปากเงียบและยืนรอเจ้าสำนักที่หน้าตึกวารีอำไพ

สักครู่หนึ่ง  เจ้าสำนักก็เดินออกมาด้วยสีหน้าเปล่งปลั่งเบิกบาน    จากสี่ลานประลอง  วารีพิสุทธิ์ชนะสองลานประลอง  ลบล้างคำสบประมาทที่ว่าเป็นสำนักที่อ่อนแอที่สุดในห้าสำนักไปได้   ทว่าเมื่อคิดถึงความพ่ายแพ้ย่อยยับของทางจิ้งซานและเหิงซาน  นางก็เก็บรอยยิ้มและเดินออกมาเบื้องหน้าผู้อาวุโสทั้งสองและศิษย์สำนักทั้งสองพรรค

“คารวะเจ้าสำนัก”   ทุกคนกล่าวพร้อมกันพลางประสานมือ

“ไม่ต้องมากพิธี”   เจ้าสำนักโบกมือ  จากนั้นหันไปมองชวงลี่เอ๋อร์   “ผู้อาวุโสชวง  พรรคของเจ้ายึดเหมืองมาได้เท่าไหร่”

“เรียนเจ้าสำนัก  โปรดลงโทษลี่เอ๋อร์  ศิษย์พรรคเมฆเขียวยึดเหมืองได้มาเพียงสี่เหมือง”

เจ้าสำนักโบกมืออีกที  แล้วหันไปมองไป่หลินหลิง   ผู้อาวุโสไป่เห็นดังนั้นจึงรีบประสานมือรายงาน

“นับว่าโชคเกื้อหนุน  ภารกิจจึงสำเร็จ  พรรคปลาทูสีน้ำเงินยึดเหมืองได้มากถึงสองเหมือง”

เจ้าสำนักฟังแล้วก็ขมวดคิ้วจนรอยตีนกาที่หน้าผากจมลึกเข้าไปอีกครึ่งหุน

“นี่เจ้าเรียกว่าภารกิจสำเร็จเรอะ!”  ผู้อาวุโสชวงตวาดแว๊ดแทนสิ่งที่เจ้าสำนักคิดอยู่ในใจ

“ผู้อาวุโสชวงอาจจะเรียนมาน้อยเลยไม่เข้าใจ  สำเร็จมากสำเร็จน้อยก็เรียกว่าสำเร็จ  ไว้ข้ายึดไม่ได้เลยสักเหมืองท่านค่อยติติงก็ยังไม่สาย”   

“เจ้า!”

“เอาเถอะ ๆ”  เจ้าสำนักโบกมือห้ามและแอบตบหายาเซียนแก้ไมเกรนจากอกเสื้อตน  ขนาดเส้าหยูเสวียนไม่อยู่  ยังมีคนชวนไป่หลินหลิงทะเลาะ  ผู้อาวุโสไป่น่าจะไปเอาดีด้านเป็นสายล่อฟ้า  หรือหน่วยค้นหากับระเบิด

“เจ้าสำนัก  หลินหลิงไม่ได้ตั้งใจจะเล่นลิ้น  แต่ที่จิ้งซาน  วารีพิสุทธิ์ต้องเผชิญกับศิษย์เอกถึงสองสำนัก  ยึดได้สองเหมืองควรจะถือว่าเป็นความสำเร็จ  สมควรแก่การปูนบำเหน็จความดีความชอบ”

“หน้าด้านหน้าทน  ที่เหิงซานก็มีศิษย์เอกสำนักอำพันโบราณ  ข้าไม่เห็นจะเอามาอวดอ้างเอาความดีความชอบ”

“ผู้อาวุโสชวง  นั่นคือความแตกต่างระหว่างอัจฉริยะกับตัวโง่งม”

“เพ้ย  เจ้าหมายความว่ายังไง!”

“ฮี่ ๆ”

เมื่อเห็นว่าสงครามน้ำลายเริ่มจะดุเดือด  เจ้าสำนักเลยโบกมือไล่    “ชวงลี่เอ๋อร์  เจ้าพาศิษย์กลับไปพักผ่อนก่อน  ข้าจะซักถามสถานการณ์ของจิ้งซานก่อน  ไป่หลินหลิง  เจ้าเลือกศิษย์มาสองคน  แล้วตามข้าเข้าไปรายงานสถานการณ์”

เจ้าสำนักกล่าวจบก็เดินกลับเข้าตึกวารีอำไพ  ชวงลี่เอ๋อร์ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน  จากนั้นพาศิษย์สำนักตนแยกไป   ไป่หลินหลิงชี้จางชุ่ยฮัว  และซีคงหยู  ซึ่งฝ่ายหลังเพิ่งปีนบันไดมาถึงประตูสำนัก

“เจ้าสองคน   ตามข้ามา”

ซีคงหยูชี้หน้าตนเองอย่างฉงน  เมื่อไป่หลินหลิงพยักหน้ายืนยัน   เขาก็เดินตามไปอย่างเซื่อง ๆ เข้าตึกวารีอำไพ

จางชุ่ยฮัวเตรียมพร้อมอยู่แล้ว  นางเอาแท่งหยกบันทึกสถิติของศิษย์สำนักที่ไปจิ้งซานทั้งหมด  อันศิษย์พี่หญิงสวีตระเตรียมไว้ให้  มอบให้แก่ไป่หลินหลิง  และไป่หลินหลิงก็น้อมมอบให้กับเจ้าสำนักอีกที   เจ้าสำนักวาดมือ  ใช้วีชาคันฉ่องวารี  ผู้อาวุโสหมิงอวี้กว๋อก็ปรากฏตัวจากอีกด้านของกระจกทันที

“คารวะเจ้าสำนัก  หลินหลิงเจ้าเดินทางกลับถึงแล้วหรือ”

“ด้วยความคุ้มครองของศิษย์พี่ใหญ่  หลินหลิงเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ”

เจ้าสำนักฟังจนคิ้วกระตุก  พวกเจ้าจะเลียรองเท้าบู๊ตกันก็อย่าลืมว่าข้ายืนอยู่ตรงนี้ทนโท่

“นี่คือข้อมูลของจิ้งซาน”  แท่งหยกในมือเจ้าสำนักเรืองแสงสีฟ้าอยู่ครู่หนึ่ง  ก่อนที่ไอแสงจะพวยพุ่งไปยังคันฉ่องวารีและส่งข้อมูลไปยังแท่งหยกอีกแท่งของหมิงอวี้กว๋อ   เมื่อโอนถ่ายข้อมูลเรียบร้อยแล้ว  หมิงอวี้กว๋อก็ใช้สัมผัสเซียนสอดส่องข้อมูลจำนวนมากในแท่งหยกทันที

ทั้งหมดรอนางวิเคราะห์ข้อมูลอยู่หนึ่งก้านธูป  หมิงอวี้กว๋อจึงเงยหน้ามองคันฉ่องวารีอีกครั้ง

“ศิษย์คนไหนคือซีคงหยู?”  อันที่จริงผู้อาวุโสหมิงเห็นแต่แรกแล้ว  ศิษย์ชายของสำนักมีเพียงสองคน  ไฉนนางจะจำไม่ได้

ผู้ถูกเรียกชื่อชะงัก  ก่อนยกมือขึ้น  “ศิษย์เอง”

“ตามรายงาน  ความผิดพลาดส่วนใหญ่  เกิดจากการที่เจ้าดำเนินแผนตามสำนักประตูทรราชมากเกินไป  ซ้ำยังปกป้องเหมืองที่ตนคุ้มกันไว้ไม่ได้  เป็นเรื่องจริงหรือไม่”

คุณชายสามฝืนยิ้ม  “เป็นเช่นนั้นจริง”

หมิงอวี้กว๋อไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรมากมาย  นางเพ่งดูข้อมูลเพิ่มเติมจากนั้นกล่าวว่า  “ถ้าหากเจ้าไม่ได้บรรลุเขตแดนเมฆาเคลื่อนคล้อย  ข้าคงส่งเจ้าไปตบยุงเฝ้าร้านขายของแล้ว”

“ศิษย์พี่ใหญ่  ตามกฎแล้ว  ศิษย์ที่บรรลุเขตแดนเมฆาเคลื่อนคล้อยจะได้เข้าเป็นศิษย์ชั้นในโดยไม่มีข้อแม้  ใช่หรือไม่”  ไป่หลินหลิงเอ่ยถาม

“ที่เจ้ากล่าวนั้นก็จริง   แต่ในเมื่อเจ้าสำนักมอบหน้าที่การประเมินให้กับข้า  การตอบแทนและลงโทษต้องเป็นไปอย่างยุติธรรม”

เมื่อหมิงอวี้กว๋อกล่าวอ้างเจ้าสำนัก  ไป่หลินหลิงจึงยิ้มไม่ตอบคำ

“ซีคงหยู  เจ้าจะได้เป็นศิษย์ชั้นใน  ทว่าการลงโทษสำหรับเจ้าก็คือ  หักค่าความดีความชอบ 2000 แต้ม”

“และจากการประเมิน”   ผู้อาวุโสหมิงหยิบเครื่องคิดเลขมาคำนวณ  “เจ้ามีค่าความดีความชอบจากการประลองที่จิ้งซาน  527 แต้ม  หักไป 2000 ก็เท่ากับติดลบ 1473 แต้ม  เจ้ามีอะไรจะโต้แย้งหรือไม่”

ซีคงหยูกลืนน้ำลาย  เข้าสำนักไม่ทันไรก็เป็นหนี้หัวโตซะแล้ว  เขาหันไปมองผู้อาวุโสไป่ด้วยสายตาลูกหมาโดนทิ้ง  ทว่าอีกฝ่ายแกล้งทำเป็นไม่เห็น   ซีคงหยูจึงได้แต่ค้อมตัวรับคำ

“ศิษย์ไม่มีข้อโต้แย้ง”

“ที่เหลือ  ข้าจะส่งผลการประเมินให้กับเจ้าสำนัก  ท่านเจ้าสำนักมีอะไรจะชี้แนะเพิ่มเติมหรือไม่”

“อวี้กว๋อ  เจ้าจัดการได้เรียบร้อยดีแล้ว  ขอบใจเจ้ามาก”

เมื่อแสงสีฟ้าพุ่งมาจากแท่งหยกอีกด้านของกระจกเข้าสู่แท่งหยกเดิมของเจ้าสำนัก  นางก็วาดมืออีกที  คันฉ่องวารีหายไปจากห้องโถงทันใด

“นี่คือรายชื่อของศิษย์ที่จะได้เป็นศิษย์ชั้นใน  ที่เหลือสามารถเลือกว่าจะเข้าหน่วยวารีโลหิต  เป็นศิษย์ชั้นนอก  หรือออกจากสำนัก”

เจ้าสำนักกล่าวตามพิธีแล้วส่งมอบแท่งหยกคืนให้แก่ไป่หลินหลิง

ไป่หลินหลิงรับแท่งหยกกลับมา  ประสานมือคารวะเจ้าสำนัก  และพาศิษย์ทั้งสองเดินออกจากตึกวารีอำไพ  ซีคงหยูเดินคอตกไปยืนใกล้ ๆ กับเสี่ยวหมี  หลิวเกา  ศิษย์น้องจิ่ง  รวมทั้งศิษย์น้องเหยียนที่เดินมากระแซะเสี่ยวหมี

“เป็นอย่างไรบ้าง นายน้อย”

“ข้าได้เป็นศิษย์ชั้นใน”  ซีคงหยูตอบด้วยน้ำเสียงระโหย

“มันแน่อยู่แล้ว  ผู้บรรลุเขตแดนเมฆาเคลื่อนคล้อยทุกคนจะได้เป็นศิษย์ชั้นใน  ส่วนที่เหลือถ้าแสดงความสามารถโดดเด่นก็จะได้รับการคัดเลือกเช่นกัน”

ศิษย์น้องจิ่งผู้รู้ทุกเรื่องให้อรรถาอธิบาย

“เจ้าว่าจางชุ่ยฮัวจะได้เป็นศิษย์ชั้นในหรือไม่”

เมื่อฟังคำถามของซีคงหยู   ศิษย์น้องเหยียนก็ยิ้มหยัน  “นางเป็นคนเขียนรายงาน”

คุณชายสามพยักหน้าอย่างเข้าใจ   จากนั้นกล่าว  “แต่นับว่าโชคดีที่พวกเราสามคนได้เข้าเป็นศิษย์ชั้นในพร้อมกัน”

ศิษย์สำนักที่ไปจิ้งซาน  มีเพียงซีคงหยู  หลิวเกา  และศิษย์น้องเหยียนที่บรรลุเขตแดนเมฆาเคลื่อนคล้อย

“แล้วข้าล่ะ”  ศิษย์น้องจิ่งทำแก้มป่อง  เหมือนหมาจูที่อดขนมจนงอน

“น้องจิ่งก็ขยันเข้า  เดี๋ยวก็ได้เลื่อนขั้น”  หลิวเกากล่าวพลางลูบหัวอีกฝ่ายที่เตี้ยกว่าเขาตั้งสองคืบ  “ว่าแต่  ไฉนนายน้อยมีสีหน้าซีดเซียว”

ซีคงหยูฟังแล้วกระแอมสองสามที

“อะแฮ่ม ๆ...จะว่าไปแล้ว  พวกเจ้ามีแต้มความดีความชอบให้ข้ายืมสักพันสองพันมั้ย”

สิ้นคำพูด  หลิวเกา  เสี่ยวหมี  ศิษย์น้องจิ่ง  และศิษย์น้องเหยียนก็กระโดดออกห่างจากคุณชายสามไปสี่ห้าวาทันที

"เฮเว่นอะโบฟ!"




++++++++++++++


P.S.  การประลองลับครั้งสุดท้ายที่จิ้งซาน  วารีพิสุทธิ์ถูกชิงไปสองเหมืองรวมที่ซีคงหยูเสียไปให้กับหวงอี 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-10-2017 16:43:07 โดย Kirimanjaro »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ wnkth

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ xหยกน้อยx

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
รอตอนต่อไปคะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
หลิวเกาเจ้าช่างเป็นลูกน้องที่ซื่อสัตย์.....หักหลังคงหยูได้อย่างสม่ำเสมอ...

เสี่ยวหมีก็ไม่น้อยหน้า ผู้มาข้าเปลี่ยนทิศ ฮ่า ๆ ๆ

ซ่งมู่น่ารักเสมอเลย แต่ก็นะ ไม่ใช่พระเอกก็ชวดไปเช่นนี้แล

เมื่อไรน้องอวิ๋นจะได้สำรวจปรานเซียนกับซีคงหยูอย่างลึกซึ้งล่ะ?
อุ้ย! หมีพิมพ์

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-11-2017 23:07:16 โดย alternative »

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
อ้าว ช่วงตอบเมนท์หายไปไหนล่ะครับเนี่ย (หัวเราะ)

ออฟไลน์ Kirimanjaro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0

ขอผลุบ ๆ โผล่ ๆ สักพักครับ  ช่วงนี้ยังไม่ค่อยดีขึ้น


+++++++++




ซีคงหยูกลับมาเก็บข้าวของที่เรือนพักเก่า   และพบว่ามีนกพิราบยืนเกาะชายคาสองสามตัว   พวกมันทำตาลุกวาวเมื่อเห็นคุณชายสามเดินเข้ามาในประตูรั้ว

“อู้ ๆ”

พวกมันส่งเสียงก่อนจะตีปีกร่อนลงมากระพือดักหน้า   ที่ขาของพวกมันมีกระบอกไม้เล็ก ๆ ผูกอยู่   ซีคงแกะออกมาทีละตัว  นกพิราบสื่อสารบินพึ่บพั่บจากไปทันทีที่เสร็จสิ้นภารกิจ

“โอ้  จดหมายพี่ใหญ่”

ซีคงหยูแกะม้วนกระดาษที่ซ่อนอยู่ในกระบอกแล้วอ่าน  ก่อนจะเหงื่อตก  เพราะในจดหมายเขียนไว้แค่สองประโยค

“เจ้าสิจู๋สั้น  บ้านเจ้าจู๋สั้นทั้งตระกูล”

คุณชายสามปาดเหงื่อบนใบหน้า  ลงอีแบบนี้แปลว่าพี่ใหญ่รู้ทันเขาสินะ  แต่ ฮี่ ๆ ส่งต่อให้น้องอวิ๋นดีกว่า

ซีคงหยูสาวเท้าเข้าไปในห้องหาโต๊ะนั่ง  แล้วเริ่มเลียนแบบลายมือของซีคงไท่หยาง  เขาเขียนเติมข้างหน้าแค่คำเดียว  และข้างหลังอีกคำ   จากนั้นม้วนมันกลับเข้าไปในกระบอกเดิม  เพื่อเตรียมหานกพิราบส่งไปที่เทียนซาน

จากนั้นคุณชายสามเปิดดูจดหมายฉบับต่อไป  มันมาจากพี่รอง   พี่รองของเขาถามไถ่เขาด้วยความเป็นห่วง  ก่อนจะแสดงความยินดีที่เขาได้เข้าสำนักวารีพิสุทธิ์  แล้วลงท้ายด้วยการบอกว่า  เขาไม่ถือสาที่มีคนหมิ่นหยามว่าจู๋สั้น  เพราะปกติก็ไม่ได้ใช้จู๋อยู่แล้ว  อามิตตาพุทธ

ซีคงหยูตบหน้าผากตัวเอง   ลืมไปได้ไงว่าพี่สองเป็นหลวงจีน

จดหมายอันที่สามเป็นของน้องสี่  ข้อความข้างในไม่ใช่คนเขียน  แต่เป็นระบบตอบกลับข้อความอัตโนมัติ   ซีคงหยูขมวดคิ้วพลางสงสัยว่าซีคงเหอวุ่นกับธุรกิจขนาดไม่มีเวลาอ่านจดหมายเชียวหรือ  หรือจะเกิดเรื่องอะไร

และจดหมายอันที่สี่  ซีคงหยูเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นชื่อผู้ส่ง

“ข้าได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นกับเจ้าและหลี่โอ๋อวิ๋น  และข้าเสียใจที่เป็นต้นเหตุของเรื่อง  /เว่ยหลิงจื่อ”

ซีคงหยูใช้นิ้วโป้งยันคางตนเองอย่างครุ่นคิด  เขาไม่นึกว่าคนที่โผงผางและดูหยิ่งยโสอย่างเว่ยหลิงจื่อจะส่งขอหมายขอโทษเขาเป็นการส่วนตัว  เขาตัดสินใจที่จะเขียนจดหมายตอบ  รวมทั้งให้กำลังใจนกน้อยในดงเหมยในเรื่องงานเขียน

หลังจากนั้น  เขาก็ไปนอนที่เตียง  มือก่ายหน้าผากและมองเพดานอันมีเพียงขื่อคาและแผ่นกระเบื้อง  ความขี้เกียจเข้ามาเกาะกุมทำให้เขาไม่รู้สึกอยากรีบเก็บข้าวของอย่างที่ตั้งใจไว้

“ก๊อก ๆๆ”

หลิวเกาเคาะขอบประตูที่เปิดข้างไว้   ซีคงหยูเหลือบตามองจากใต้แขนตัวเอง

“นายน้อย  ท่านยังไม่ย้ายไปที่พักของศิษย์ชั้นในอีกหรือ”

“ข้าเหนื่อย  วันนี้ทำงานทั้งวันเลย”

“หา...ท่านเพิ่งเดินกลับมาเมื่อครู่เอง  นายน้อยทำงานอะไรเป็นด้วยหรอ”

“ข้าตอบจดหมายสองฉบับ”  ซีคงหยูพูดด้วยน้ำเสียงระโหยโรยแรง

หลิวเกาทำหน้าหนักอก   ซีคงหยูคร้านจะมองดู  เลยนอนตะแคงตัวหันไปทางกำแพง

“วันนี้นายน้อยเป็นอะไรกันแน่”

“ข้าหมดกำลังใจจะมีชีวิตอยู่  ทำไมชีวิตของข้าจึงมีแต่หนี้สิน”  ซีคงหยูคุยกับกำแพง

“นายน้อยหมายถึงแต้มความดีความชอบ?”

“ถ้าข้าไม่มีแต้มความดีความชอบ  ข้าจะไปแลกแผ่นหยกสื่อสารที่ไหน  ยังมีแหวนสี่มิติ  ยาเซียน  สมุนไพรวิเศษ  ยอดวิชาอีก  โอ...”

“นายน้อยจะเอาแผ่นหยกสื่อสารไปทำไม  ท่านไม่เคยฮอทในโลกโซเชียลอยู่แล้ว”

“...”

“แล้วแหวนสี่มิติ  สมบัติของนายน้อยมีกี่อย่างกันเชียว  มันของคนรวยเขาใช้กัน   นายน้อยไม่มีเงินต้องรู้จักพอเพียง”

“...”

“ยาเซียน  สมุนไพรอีก  บ่าวไม่เคยได้ยินว่ามียาเซียนแก้โรคขี้เกียจ  ดังนั้นนายน้อยจะหามันไปทำไม”

“หลิวเกา!”

“อ๊อออออออ!”

เมื่อคุณชายสามหันไปปาหมอนก็พบว่าสิ่งที่ยืนหน้าซื่ออยู่คือหมีดำตัวปุกปุย  ขณะที่เสียงหัวเราะของหลิวเกาดังมาจากข้างนอก

“ฮ่า ๆๆ  ลืมบอกไปว่า  บ่าวสำเร็จวิชาจักจั่นลอกคราบ  เลยแสดงให้นายน้อยดูเป็นขวัญตา”

เสี่ยวหมีก้มลงคาบหมอนของคุณชายสาม  แล้วเดินต้วมเตี้ยมเอามาส่งให้เจ้านาย

“เสี่ยวหมีน่ารักที่สุด”   ซีคงหยูเอ่ยชมพลางลูบหัวอย่างรักใคร่  รับหมอนมาหนุนนอนต่อ  ก่อนจะสะดุ้งโหยง

“ฟัค!  น้ำลายเจ้า!”

เสี่ยวหมีทำตาเยิ้มแล้วเขย่าหัวเหมือนกำลังหัวเราะดังซี่ ๆ  แล้วรีบวิ่งแจ้นออกไปนอกห้อง

“นายน้อย   รีบเก็บข้าวของเถอะ  ไม่งั้นบ่าวกับเสี่ยวหมีไม่รอแล้วนะ”

เสียงของหลิวเกายังเร่งเร้าเขาจากข้างนอก  ซีคงหยูทึ้งผมตนเองเมื่อพบว่าการนอนอู้ตอนบ่ายถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง


++++++



หลิวเกาและเสี่ยวหมี  นำคนหน้ามุ่ยแบกข้าวของย้ายไปยังที่พักศิษย์ชั้นใน   มันเป็นถ้ำเซียนที่เจาะลึกเข้าไปในภูเขา  ให้บรรยากาศที่พำนักของผู้บำเพ็ญพรตมากกว่าเรือนพักแบบปุถุชน   ภายในถ้ำมีพลังปราณไหลเวียน  ว่ากันว่าภายใต้ยอดเขาวารีพิสุทธิ์มีเหมืองแร่วิญญาณเซียนอยู่  ซึ่งจะมีพลังปราณรั่วไหลส่งมาหล่อเลี้ยงถ้ำเซียนของศิษย์ในสำนัก

คุณชายสามสูดหายใจลึก  เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมระดับขั้นบำเพ็ญพรตของศิษย์สำนักจึงก้าวหน้าได้ง่ายในตอนที่ไปสู้ที่เขาจิ้งซาน   เพราะบริเวณใกล้เหมืองแร่จะมีความหนาแน่นของพลังปราณมากกว่าพื้นที่ทั่วไป  และเขาเพิ่งสัมผัสมันได้เมื่อประสาทสัมผัสเฉียบไวขึ้นจากการก้าวหน้าของระดับขั้นบำเพ็ญพรต

ตะวันขึ้นสายเป็นขั้นตอนการสร้างนิสัยใหม่ในการไหลเวียนของปราณ  โดยทั่วไปแล้ว  พลังปราณอยู่ในธรรมชาติ  อยู่ในสิ่งต่าง ๆ ภายใต้ฟ้าและดิน  มนุษย์ปุถุชนหายใจเข้าและออกก็จะมีพลังปราณไหลเวียนเข้าไป  แต่กลไกโดยธรรมชาติของมนุษย์จะทำให้เข้าปราณที่ไหลเวียนไม่ถูกเก็บกัก  มันช่วยหล่อเลี้ยงร่างกาย  ทว่าไม่สามารถเรียกใช้ได้  เหมือนกับแม่น้ำลำคลองที่ขุดลอกโดยตลอด  และมีน้ำไหลเวียนตลอดเวลา  ขณะที่การบำเพ็ญพรตเพื่อย่างเข้าสู้เขตแดนตะวันขึ้นสาย  ผู้บำเพ็ญพรตจะมีวิธีการหายใจและการโคจรปราณให้เกิดพื้นที่ว่างบริเวณท้องน้อย  หรือที่เรียกว่าจุดตันเถียน  โดยจะมีมนตรากำกับการหายใจ  ซึ่งก็คือการสร้างวงจรภายในร่างให้เริ่มเปลี่ยนนิสัยของร่างกายในการรับปราณให้มากขึ้นและปล่อยปราณไหลเวียนกลับสู่ฟ้าดินให้น้อยลง  อุปมาเหมือนกับฝายหรือเขื่อนกั้นน้ำที่มีประตูระบายน้ำเล็ก ๆ  ดังนั้นสำหรับผู้บำเพ็ญพรตระดับตะวันขึ้นสาย  ตราบใดที่เขายังหายใจอยู่  พลังปราณก็จะสะสมในจุดตันเถียนมากขึ้น ๆ  ทำให้ระดับขั้นบำเพ็ญพรตก้าวหน้าโดยอัตโนมัติ  ทว่าหากผู้บำเพ็ญพรตไม่ขวนขวายหาวิธีอื่นในการช่วยสะสมปราณ  กว่าที่พวกเขาจะบรรลุเขตแดนเมฆาเคลื่อนคล้อยก็อาจจะใช้เวลาเป็นสิบปี

สำหรับเขตแดนเมฆาเคลื่อนคล้อย  คือการที่ผู้บำเพ็ญพรตใช้สายฟ้าทำปฏิกิริยากับดวงตะวันในจุดตันเถียน  ทำให้เกิดปรากฎการณ์ที่เรียกว่า [การก่อรูปภายนอกของปราณ]   นั่นก็คือเมื่อพลังปราณเต็มขีดจำกัดของตันเถียน  มันจะควบแน่นและก่อตัวเหมือนเมฆหมอกที่เกาะกุมรอบ ๆ ดวงตะวัน  ซึ่งเมฆหมอกพวกนี้จะเชื่อมต่อตันเถียนเข้ากับอวัยวะทั้งห้าและสัมผัสทั้งหก  ทำให้ผู้บำเพ็ญพรตมีสายตาเฉียบไว  มีหูที่ฟังเสียงได้แม่นยำ  และอื่น ๆ  นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ผู้บำเพ็ญพรตขั้นนี้จะรู้สึกว่ามองเห็นโลกได้ชัดเจนขึ้น  เหมือนกับแง้มดูความลับของธรรมชาติและสัมผัสเศษเสี้ยวของเต๋าอันยิ่งใหญ่

ในขั้นเมฆาเคลื่อนคล้อย  มนตราดึงดูดปราณเข้าร่างกายก็ยังจำเป็นอยู่  ทว่าสิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือการส่งปราณที่ก่อรูปเข้าไปหล่อเลี้ยงอวัยวะทั้งห้าและสัมผัสทั้งหก  ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการมนตราอีกบทที่ใช้หล่อเลี้ยงอวัยวะและประสาทสัมผัสโดยเฉพาะ

วารีพิสุทธิ์มีมนตราพื้นฐานของสำนักที่แจกให้กับศิษย์แต่ละระดับ  ซึ่งไม่ได้มีประสิทธิภาพเท่ากับมนตราชั้นสูงและมนตราลับ  ซึ่งถ่ายทอดจากอาจารย์สู่ศิษย์  หรือต้องใช้การแลกเปลี่ยน  อาทิเช่น  แต้มความดีความชอบ  นอกจากนั้นยังมีมนตราเฉพาะตน  ซึ่งเป็นวิธีการหายใจและสร้างวงจรที่ออกแบบให้กับคนคนเดียวโดยเฉพาะ  โดย [นักออกแบบวงจร] จะวิเคราะห์โครงสร้างของร่างกายและจุดตันเถียน  เพื่อออกแบบมนตราที่มีประสิทธิภาพที่สุด  ทว่านั่นคือสิ่งที่เกินเอื้อมสำหรับศิษย์สำนักและชาวยุทธทั่ว ๆ ไป

ทว่าสำหรับซีคงหยู  อย่าว่าแต่มนตราเฉพาะตน  มนตราอื่น ๆ นอกจากมนตราพื้นฐานเขาก็ไม่มี  ตำราวิชาเซียนสามสิบหกแผนบันทึกมนตราไว้แต่ของระดับตะวันขึ้นสาย  ซึ่งเขาสงสัยว่าอาจจะเป็นมนตราขั้นสูงมาก ๆ ถึงทำให้เขาบรรลุเขตแดนเมฆาเคลื่อนคล้อยอย่างรวดเร็ว

ระหว่างที่ยืนเหม่อ  เขาก็พบว่า  สองเตียงหินในถ้ำถูกจับจองเรียบร้อยแล้ว 

“เสี่ยวหมี..”

“อ๊อออออ?”

“เจ้าก็นอนเตียงด้วยหรอ”

เสี่ยวหมีฟังแล้วก็ผงกหัวประหลก ๆ

ซีคงหยูหันไปมองหลิวเกา

“หลิวเกา..”

“นายน้อยมีอะไรให้บ่าวรับใช้”

“ได้ข่าวว่าเจ้ามีถ้ำของตัวเอง  ดีกว่าข้าอีก”

“โอ้  ไม่นึกว่านายน้อยก็ข่าวไว”

“ฮ่า ๆๆๆ”  ซีคงหยูหัวเราะแล้วชี้หน้าหนึ่งหมีหนึ่งคน  “ดีมาก  ดีมาก ๆ  พวกเจ้าอยู่ด้วยกันตามสบาย  เดี๋ยวข้าไปยึดถ้ำเจ้าเอง”

คุณชายสามกล่าวจบก็หอบที่นอนและหมอนของตนเองผลุนผลันออกไป

“ช้าก่อน นายน้อย”

เสียงตะโกนตอบกลับมาจากข้างนอกทันที  “เสียใจตอนนี้ก็สายไปแล้วหลิวเกา  ถ้ำเซียนของเจ้าข้าจะฝืนใจรับเอาไว้ก็แล้วกัน วะฮ่าๆๆๆๆ”

“บ่าวกำลังจะบอกว่า...”

ซีคงหยูไม่รอฟัง  รีบแจ้นไปหาถ้ำเซียนของหลิวเกาทันที



++++++



“ฟัค!”  ซีคงหยูทุบประตูถ้ำอย่างโกรธเกรี้ยว  “ข้าลืมจิ๊กกุญแจมา”

เมื่อสงบสติอารมณ์  คุณชายสามก็หันซ้ายหันขวา   และพบว่าศิษย์สำนักในถ้ำข้างเคียงชะโงกออกมาดูเขาด้วยความสนอกสนใจ

“เจ้าใช่หลิวเกาที่เข้ามาใหม่หรือเปล่า”  ผู้กล่าวถามเป็นเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม  ตาของนางโตและแวววาวเหมือนลูกแก้ว  ชุดโบราณสีฟ้าอ่อนพลิ้วสะบัดไปมาตามลม

“ข้า...”

นางรีบกระโดดข้ามรั้ว  แล้วเดินวนดูสำรวจรอบ ๆ  “หืม...ทำไมเจ้าไม่เห็นเหมือนที่เขาร่ำลือกัน  ไหนพวกนางบอกว่าเจ้าน่ะสูงองอาจผึ่งผาย  สมชายชาตรี  ใบหน้าหล่อเหลาประดุจหยก  ฝีมือยังสูงล้ำประดุจปีศาจ  แต่ข้าดูแล้ว  เจ้าก็โซ ๆ”  นางกล่าวแล้วก็ส่ายหน้า

“โลลิอย่างเจ้าจะไปรู้อะไร  เหนือฟ้ายังมีฟ้า  เหนือหลิวเกายังมีข้า..ซีคงหยู!”

“อ้อ...”   คราวนี้นางเบิกตากว้างอย่างตื่นเต้น  “..ที่แท้เจ้าก็คือศิษย์น้องลุงในตำนานคนนั้นนี่เอง”   ว่าแล้วนางก็จิ้มเอวและท้องของเขาเหมือนกับกำลังพิจารณาของแปลก

“เพ้ย  เด็กโลลิปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม  เจ้าต้องเรียกข้าว่าศิษย์พี่!”

นางฟังแล้วก็พยักหน้าอย่างว่าง่าย  “ได้สิ  ศิษย์พี่ลุง”

ซีคงหยูทึ้งผมตนเอง  ก่อนตัดสินใจว่าจะไม่สนใจนาง  เขานั่งพักที่บันไดหน้าประตูถ้ำอันปิดสนิท

“เฮ้  แล้วเจ้ามาหาศิษย์น้องหลิวงั้นรึ  เขายังไม่มาหรอก”

“ฮึ่ม   ข้ามาเดินเล่นเฉย ๆ”  จะให้เขายอมรับได้ยังไงว่าตั้งใจมายึดถ้ำแต่ไม่สำเร็จ

ทว่าสายตาของนางมองที่นอนและหมอนในมือของคุณชายสามแล้วปิดปากอุทาน  “เจ้าจะมานอนกับเขา  หรือว่า..พวกเจ้า!”

“หยุดความคิดบัดซบของเจ้าเลยนะ  โลลิ”

“ฮี่ ๆ  ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลย”   นางหัวเราะแล้วก็มานั่งข้าง ๆ โดยที่เขาไม่ได้เชื้อเชิญ  “ได้ข่าวว่าเจ้าสนิทกับศิษย์น้องหลิวงั้นหรือ”

คุณชายสามเหล่ตามอง  “เจ้าสนใจเขางั้นรึ”

“ฮิ ๆ ใครล่ะจะไม่สนใจ  ผู้ชายคนเดียวในสำนักก็เหมือนบุปผาโดดเดี่ยวที่เบ่งบานท่ามกลางทะเลทราย”  นางพูดพลางประสานมือน้าวไปข้างหน้าด้วยนัยน์ตาเคลิ้มฝัน

“แล้วข้าไม่ใช่ผู้ชาย?”  ซีคงหยูชี้หน้าตัวเอง   แต่สิ่งที่ตอบเขาคือการย่นจมูกของเด็กสาว

“ศิษย์พี่ลุงเป็นผู้อาวุโส  ควรแก่การเคารพสักการะของชนรุ่นหลัง”

“เจ้า..”

เมื่อเห็นซีคงหยูพ่นลมหายใจฟืด ๆ เหมือนวัวกระทิง   นางก็แลบลิ้นแล้วบอก

“ข้าล้อเล่น  โถ  ศิษย์พี่ลุงยังหนุ่มยังแน่นทำไมใจน้อยนัก”

“ฮึ่ม  ถือว่าเจ้ายังรู้สำนึก”  เขากล่าวแล้วก็เลิกคิ้วถาม  “แล้วมีข่าวลืออะไรเกี่ยวกับข้า  ที่เจ้าพูดว่าศิษย์น้องลุงในตำนานคืออะไร”

“ฮี่ ๆ  ท่านอยากรู้จริง ๆ หรอ”

ซีคงหยูชักลังเลว่าควรจะอยากรู้ดีหรือไม่

“ตำนานรักสามเส้าของเจ้ากับจอมยุทธหลี่และจอมยุทธซ่ง  ถูกเอาไปทำเป็นแฟนฟิคแพร่หลายอยู่ในสำนักตอนนี้”

“เฮเว่นอะโบฟ!”

“ซีคงหยูครวญครางเสียงกระเส่า  ร่างบางผวากอดเรือนกายอุ่นที่ทาบทับอย่างตระหนกเมื่อถูกรุกล้ำ  ซ่งมู่เป่าลมเบา ๆ ที่ข้างใบหูของเจ้าของใบหน้าหวานพลางกระแทกแก่นกายเข้าไปเป็นจังหวะ..”

นางหยิบตัวอย่างแฟนฟิคมาอ่านให้เขาฟังโดยที่ไม่ได้ร้องขอ

“ฟัค!”

ซีคงหยูอุทาน  หน้าแดงฉาดฉาน  ภาษาช่างเปิดเผยเสียจนเขาเผลอนึกภาพตามไปด้วย

ในตอนนั้นเอง  ก็มีเด็กสาวอีกคนเดินกึ่งวิ่งกึ่งกระโดดมาจากภายนอก  นางก็เป็นอีกคนที่กระโดดข้ามรั้วมา  อา...ข้ารู้ว่าเจ้ามีวรยุทธ  แต่ประตูอยู่ตรงนั้น..

“ศิษย์พี่เหยา”   เจ้าของแววตาสดใสและใบหน้าที่คุ้นเคยกล่าวทักทาย  จากนั้นหันมาทางซีคงหยู   “เอ๊ะ  เจ้าก็มานี่ด้วย”

“ศิษย์น้องเหยียนสบายดี?”  คนที่นั่งข้าง ๆ ซีคงหยูเอ่ยทัก

“ขอบคุณที่ศิษย์พี่หลู่เป็นห่วง  ที่ข้าแวะมาเพราะว่าต้นฉบับเรื่องต่อไปเสร็จแล้ว”

ศิษย์น้องเหยียนยื่นกระดาษสี่ห้าแผ่นในมือให้กับเพื่อนใหม่ของซีคงหยู  นางรับไปอ่านแล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ  ซีคงหยูชะโงกมอง  ก่อนจะอุทานอีกที

“ฟัค!  แฟนฟิคพวกนี้ฝีมือเจ้าเรอะ!”  เขามองศิษย์น้องเหยียนด้วยอารมณ์อยากไปกระชากคอมาเขย่าเต็มแก่

“งานอดิเรกเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยชม”  ศิษย์น้องเหยียนกล่าวอย่างถ่อมตน

“เอ่ยชมน้องสาวเจ้าสิ!  เจ้าทำลายชื่อเสียงข้าย่อยยับ  ต่อจากนี้ผู้หญิงที่ไหนจะคิดเอาข้าไปเป็นเมีย..อาเพ้ย  สามี”

ศิษย์น้องเหยียนมองเขาด้วยสายตาสงสาร  จากนั้นตบบ่า  “ศิษย์พี่ซีคง   จากที่เห็นที่จิ้งซาน  ท่านไปกระโดดแม่น้ำเหลืองก็ล้างมลทินไม่ออก  ที่ข้าเขียนแฟนฟิคนั้นเรียกว่าเสริมเติมแต่งในสิ่งที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว”

ซีคงหยูเหลือกตาใส่  จากนั้นลุกหอบหมอนกับที่นอนหนี 

“ช้าก่อน  ท่านจะไปไหน”

“ข้าจะไปหาแม่น้ำเหลืองน่ะสิ  ถ้ากระโดดแล้วไม่หายก็จะไปแม่น้ำแดง ส้ม เขียว คราม ม่วงต่อ”

“สีรุ้ง”  พวกนางหันมาสบตากันเป็นนัย

ซีคงหยูคร้านจะคุยกับพวกนางเลยรีบหนีกลับถ้ำเดิม


+++++


เมื่อกลับมาถึง  เขาก็เห็นหลิวเกานอนเล่นป้ายหยกในมือ  ซีคงหยูรีบสะกิดเท้าพุ่งตัวไปตะครุบ  ทว่าหลิวเกาพลิกมือหลบกระบวนท่าอย่างว่องไว

“เอากุญแจถ้ำมา”  เมื่อเห็นว่าใช้กำลังไม่สำเร็จ  ซีคงหยูก็แบมือออกคำสั่ง

“นายน้อย  นี่ไม่ใช่แค่กุญแจถ้ำ  แต่เป็นป้ายหยกประจำตัวของศิษย์แต่ละคน  บ่าวให้ท่านไม่ได้หรอก”

ซีคงหยูฟังแล้วขมวดคิ้ว  “แล้วเจ้าเข้าถ้ำข้าได้ไง”

“แอ่นแอ้น  เพราะข้ามีนี่ไง”   หลิวเกาชูมือซ้าย  ที่มีป้ายหยกลักษณะเดียวกัน  ซีคงหยูรีบตบอกเสื้อตนเองอย่างตกใจเพื่อหาของที่เก็บไว้  แล้วร้อง

“ป้ายหยกของข้า!”

หลิวเการีบโยนป้ายหยกคืนให้

“ทำไมเราไม่สลับป้ายกัน”  ซีคงหยูออกไอเดีย

“ท่านจะเป็นหลิวเกาหรอ”   เจ้าของเสียงทุ้มหรี่ตาถาม

“เป็นหลิวเกาจะยากอะไร  ทั้งหน้าตา  ทั้งวรยุทธข้าก็ไม่ด้อยไปกว่าเจ้า”  ซีคงหยูกอดอกกล่าว

“ฮี่ ๆ  แต่บ่าวคงต้องปฏิเสธ  นายน้อยจะโยนหนี้แต้มความดีความชอบพันกว่าแต้มให้บ่าวไม่ได้นะ”

“ชิชะ  รู้ทันด้วย”

ซีคงหยูจุ๊ปาก  แล้วหันไปหาเสี่ยวหมีที่นอนหลับอุตุอยู่บนเตียง  แล้วใช้เท้าเขี่ย

“หมีอะไรเอาแต่กินกะนอน”

“อ๊อออออออออ”  เสี่ยวหมีร้องพลางส่ายหัวอย่างงัวเงีย

“เสี่ยวหมีบอกว่า  มันเลียนแบบนายน้อยไง”  หลิวเกาออกความเห็นจากเตียงฝั่งตรงข้าม

ซีคงหยูทำหูทวนลม  ช่วงนี้เขาโดนรังแกจนมีภูมิคุ้มกัน 

“เสี่ยวหมี  ข้าให้เจ้าเลือกสองอย่าง  หนึ่งสละเตียงให้ข้านอน  สองสละหนังหมีให้ข้าปูนอนที่พื้น”

เสี่ยวหมีลืมตาโพลง

“อ๊อออออออออออ!”

“โอเค  รีบลงไปได้แล้ว”  ซีคงหยูถีบเสี่ยวหมีที่คลานลงจากเตียงแล้วเริ่มปูที่นอน  วางหมอนเสร็จ  เอนตัวนอน  ดึงผ้าห่มคลุมตัว  ก่อนจะนึกขึ้นได้  ผงกหัวขึ้นมา

“หลิวเกา  เจ้าอย่าลืมเตรียมอาหารเย็น”

ผู้รับคำสั่งส่ายหัวยิ้ม ๆ  ก่อนโยนป้ายหยกในมือเล่นต่อ




++++++

ออฟไลน์ wnkth

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
ไปขอรูปจากศิษย์น้อง น่าจะเสี่ยวหมี 

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
เสี่ยวหมี5555หลังๆเป็นกิ้งก่าแล้วค่ะ ไม่หมีแล้ว ไม่ก็นก นกสองหัวด้วย55

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด