17
เวลาประมาณบ่ายสาม ผมกลับมาที่หอ ไอ้ฉางนอนตายอยู่บนเตียง ส่วนผมเลือกที่จะนั่งอ่านหนังสือน่าเบื่อนี่ต่อไป ช่วยไม่ได้ มันต้องทำ อาทิตย์หน้าก็เริ่มสอบแล้ว ผมไม่ควรทำตัวขี้เกียจ
จนกระทั่งผ่านไปถึงห้าโมง... กระเพาะผมเริ่มร้องประท้วง ผมกลั้นหิวไว้จนหกโมง ทนไม่ไหวถึงลงไปซื้อข้าวขึ้นมากิน ไอ้ฉางยังคงหลับอยู่ท่าเดิม นอนนิ่งเป็นศพได้อย่างแนบเนียน ผมไม่อยากไปกวนมันจึงไม่ปลุก หลังจากที่ฟังอัลฟ่าเล่าแล้ว คิดว่ามันคงเหนื่อยมามาก เลยปล่อยมันไป
ผมเริ่มจะเข้าใจตารางชีวิตมันมากขึ้นและคิดว่าเรื่องนี้ผมน่าจะจัดการได้ ถ้าแค่ไอ้ฉางยุ่งหรืองานหนัก ผมก็จะรออยู่เฉยๆ ไม่ไปวอแวหรือคิดมากอีกแล้ว เพราะที่ผ่านมาผมรู้จักมันแค่ผิวเผิน มาจนตอนนี้ผมรู้จักมันมากขึ้น ก็มีแต่ต้องเรียนรู้ ปรับตัวให้เข้ากับมันมากขึ้น ไอ้ฉางเองก็พยายามทำตัวให้ผมเชื่อคำพูดมันได้จริงๆ
เรื่องที่มันชอบผม...
สองทุ่ม แสงอาทิตย์จากไปสักพักแล้ว ภายห้องเองก็มืดสนิท ผมยังคงไม่ปลุกมัน เลือกเปิดไฟจากโคมไฟแทน หยิบหนังสือมาอ่าน ไม่เปิดไฟห้องให้สว่างทั้งๆ ที่รู้ว่าเปิดไปไอ้ฉางมันก็ไม่ตื่นหรอก แต่ก็เลือกที่จะทำแบบนี้
คงเป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่ผมจงใจให้เกิด
ปล่อยเวลาไหลผ่านไปพร้อมกับเนื้อหาในหนังสือ จดจ่อกับแบบฝึกหัด ผมไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว แต่รู้ว่านั่งเงียบๆ ในห้องมาค่อนข้างนาน อาจจะชั่วโมงหรือสองชั่วโมง ทว่ายังไม่รู้สึกอยากลุกไปไหนแม้ว่าในห้องจะมืดตื๋อ มีเพียงแสงสว่างจากโคมไฟเท่านั้นก็ตาม รู้ทั้งรู้ว่าควรไปเปิดไฟได้แล้ว เสียสายตา แต่ก็ยังนั่งจมอยู่อย่างนั้น...บอกกับตัวเองว่าขอจบบทนี้ก่อน
ตุบ!
“เฮ้ย!”
ผมร้องลั่นเมื่อจู่ๆ ก็มีสัมผัสหนักๆ ทับเข้าที่หลัง รีบหันหน้าไปตามสัญชาติญาณทันที
“ข้าว..”
เสียงมาก่อนจะเจอใบหน้า ไอ้ฉางร้องออกมา เป็นมันนั่นเองที่พุ่งพรวด โถมตัวใส่ผม หนำซ้ำยังเอาคางมาเกยไหล่อีก
“ไอ้สัด มาเงียบๆ กูตกใจหมด”
“ไม่เปิดไฟเหรอ...”
“...ว่าจะไปเปิดอยู่”
“ทำไมไม่เปิดตั้งแต่แรกล่ะ”
“...”
“ข้าวกลัวผมตื่นเหรอ? ผมไม่ตื่นง่ายๆ หรอกข้าวก็รู้”
“...มึงหิวรึยัง กูซื้อข้าวมาให้”
“อ๊ะ...”
ผมเปลี่ยนประเด็น ไม่ตอบคำถามเรื่องไฟในห้อง หลีกเลี่ยงคำถามที่คำตอบของมันจะทำให้หน้าผมขึ้นสี และดูท่าไอ้ฉางก็ให้ความร่วมมือดี เมื่อมันผละออกไป เหมือนระลึกได้ว่าตัวเองยังไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน อันที่จริงถ้าฟังจากอัลฟ่าไม่ผิด มันไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อวาน...อยู่ไปได้ไงวะ
ผมบอกให้มันเปิดไฟ ในห้องมืดมิดกลับมาสว่างอีกครั้ง ก่อนให้ทานข้าวกล่องที่ซื้อมาจากร้านอาหารตามสั่งแถวหอ ไอ้ฉางเปิดข้าว นั่งกินเงียบๆ
“ข้าวล่ะ”
“กูกินนานแล้ว”
“ข้าวอ่ะ...”
“อะไร”
ผมนั่งมองมันเคี้ยวข้าวในปากตุ้ยๆ ตั้งแต่เริ่มกินคำแรกจนหมดไปครึ่งหนึ่งแล้ว มันถึงเอ่ยปากขึ้นมา
“ก็ข้าวอ่ะ...”
“อะไรเล่า”
“ข้าวทำแบบนี้ผมก็แย่สิ”
“...”
“เล่นดูแลผมดีอย่างนี้ ผมก็ไม่ได้ดูแลข้าวเลยสิ”
“ก็มึงเล่นหายไปเอง” อีกอย่าง ผมไม่ได้ต้องการคนดูแล แค่คิดว่าโผล่มาให้เห็นหน้า ทำอะไรพิเศษมากกว่านอนทำลายสถิติโลกก็พอแล้ว
“ก็ผมทำโปรเจค... แต่เพิ่งส่งไปวันนี้ เพราะงั้นหลังจากนี้ผมจะได้มีเวลาดูแลข้าวแล้ว ตั้งใจไว้อย่างนั้น...แต่พอตื่นมาข้าวก็เตรียมข้าวเย็นให้ผมเลยอ่ะ...”
“คิดอะไรประหลาด”
“ก็ผมไม่ได้เจอข้าวเลย ที่บอกว่าจะทำให้ดูว่าชอบจริงๆ ผมยังจำได้อยู่นะ”
“แล้วทำไมไม่ทำ”
“...ข้าว!”
“อะไร”
“อยากจูบเลยอ่ะ”
“ก็เหี้ย มีวิธีเป็นแสนที่ทำให้รู้ได้โดยไม่ต้องมาลวนลามกูเนี่ย”
“ก็ข้าวน่ารัก”
“มึงแดกให้หมดไป กูไปอาบน้ำละ”
ผมว่า ขืนอยู่เถียงกับมันต่อคงเป็นผมเสียเองที่เป็นฝ่ายแพ้ ผมหนีไปเข้าห้องน้ำ เปิดฝักบัวก่อนยืนให้สายน้ำรดทั่วร่าง ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จธุระ ผมเดินออกมาจากห้องน้ำ เจอไอ้ฉางนอนเล่นมือถืออยู่
“ไปอาบน้ำไป”
ผมบอก กึ่งสั่ง ดองเน่ามาทั้งวัน โสโครกจะตาย
ไอ้ฉางลุกขึ้นอย่างว่าง่าย หยิบผ้าเช็ดตัวเดินไปทางห้องน้ำ ก่อนผมจะได้ยินเสียงพึมพำ “ข้าวใจร้าย รออาบพร้อมกันก็ไม่ได้”
กูได้ยินนะเฮ้ย!
ผมนั่งอ่านหนังสือต่อ ที่เอาจริงๆ เรียกว่าปล่อยเหม่อมากกว่า นั่งจ้องแบบฝึกหัดในชีท ไม่ได้ขยับมือแก้โจทย์ สมองเองก็ไม่คิดจะทำงานเลยด้วยซ้ำ อธิบายไม่ถูก รู้สึกแปลกๆ เวลาเห็นหน้าไอ้ฉาง ไม่ใช่ในแง่ลบ แค่คิดว่านี่กูคบกันมันจริงๆ แล้ว ก็เกิดความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกขึ้นมา
ผู้ชายประหลาดสติไม่สมประกอบ อะไรดลใจให้กูชอบมันวะเนี่ย
ถึงอย่างนั้นกลับยิ่งปฏิเสธตัวตนของไอ้ฉางไม่ได้ ยิ่งได้เจอมัน หัวใจผมยิ่งเต้น อาจจะไม่ได้เต้นแรงเท่าตอนที่เจอหน้าเพียว แต่เป็นจังหวะที่แตกต่างจากชีวิตปกติธรรมดาที่เคยผ่านมา เขินหน่อยๆ แฮะ
แกร๊ก
เสียงประตูห้องน้ำเปิดออก บ่งบอกว่าคนข้างในทำธุระเสร็จแล้ว ผมไม่ได้หันไป นั่งเหม่อมองชีทหน้าเดิมอยู่อย่างนั้น
จุ๊บ
“เชี่ย”
“ข้าวพูดไม่เพราะเลย”
“ก็มึง...!”
ผมสะดุ้งสุดแรงเมื่อจู่ๆ ก็มีสัมผัสหยุ่นๆ เกิดขึ้นข้างแก้ม ไอ้ฉางลอบหอมแก้มผมอย่างไม่ทันตั้งตัว เพราะไม่คิดว่ามันจะเข้ามาจู่โจมแบบนี้ถึงได้ตกใจสุดแรง ไอ้บ้าเอ๊ย ใครสั่งใครสอนให้ทำตัวอย่างนี้วะ
ไอ้ฉางเดินไปจองที่บนเตียง ล้มตัวนอนกลิ้ง ปล่อยให้ผมยืนกุมแก้มหน้าแดงค้าง มันน่าตีให้ตายนัก
ผมมองมันการกระทำมัน พยายามส่งสายตาต่อว่าแต่ไอ้คนน่าไม่อายหลับไม่ยอมสบตาผมราวกับรู้ตัว เมื่อรู้ว่าไร้ประโยชน์ผมจึงตั้งใจจะหมุนตัวกลับมาดูหนังสือต่อ ปล่อยให้หัวใจที่เต้นแรงขึ้นมานี่ได้เจอกับตัวหนังสือคงยอมสงบลง ทว่าเสียงไอ้ฉางกลับดังขึ้นมา ไม่ยอมให้ผมทำตามความคิด
“ข้าว ลองมาอ่านหนังสือตรงนี้มั้ย”
ตรงนี้ที่มันว่าคือบนเตียง ข้างตัวมัน...
“ไม่” ผมทำหน้าเอือมระอาตอบมันไป
“ทำไมล่ะ”
“มันไม่สะดวก กูต้องทำแบบฝึกหัด แถมอยู่บนเตียงเดี๋ยวหลับอีก”
“ข้าวอ่า เอาวิชาที่ต้องอ่านอย่างเดียวมาอ่านก็ได้”
“อย่าเรื่องมากฉาง”
ผมดุมัน ปิดประเด็น ไอ้ฉางร้องครางเสียงหงอย ผมทำใจแข็งไม่หันไปมองมันอีก ทำตามปณิธานตัวเองอย่างแน่วแน่ ผมไม่ชอบนอนบนเตียง เป็นเรื่องน่ากลัวมากถ้าจู่ๆ ก็หลับไปทั้งที่ยังอ่านไม่จบบทเนี่ย เคยทำตอนปีหนึ่ง ไม่เวิร์กเลยมานั่งโต๊ะแทน อย่างน้อยถ้าหลับมันก็สบายน้อยกว่านอนบนเตียง ทำให้ตื่นง่ายกว่า...
หมับ
“ฉาง!”
อ่านไปไม่กี่บรรทัดผมกลับโดนไอ้ฉางลอบสวมกอดจากด้านหลัง แขนมันล็อกตัวผมกับเก้าอี้ไว้แน่น
“ผมแค่อยากอยู่กับข้าวเอง”
“ตอนนี้ไม่เรียกว่าอยู่ด้วยกันหรือไง”
“...ก็อยากอยู่ใกล้กว่านี้ แต่ข้าวไม่ยอมขึ้นเตียง ผมเลยมาหาไง”
“...งั้นก็นั่งดีๆ อย่ามาเกาะแกะกู”
“ข้าว...”
“อะไรอีก”
“ก็ผมอยากกอดข้าว”
“ไปนอนกอดหมอนไป”
ผมไล่มัน ไม่สนใจน้ำเสียงหงอยๆ นั่น ก้มหน้าก้มตาทำแบบฝึกหัด ไม่ใช่ไม่อยากอยู่เล่นกับมัน แต่ตอนนี้ต้องอ่านหนังสือสอบ ไว้ทำจบบทนี้ก่อนค่อยไปหามันคงไม่สายหรอกมั้ง
จนกระทั่งผมได้ยินเสียงประหลาดจากเตียง
เมื่อหันไปก็เจอไอ้ฉาง...นอนพันตัวอยู่ในผ้าห่ม ม้วนเป็นโรลกลิ้งไปกลิ้งมา จนต้องเอ่ยถามในพฤติกรรมประหลาด
“ทำอะไร”
“กลิ่นข้าว”
“เป็นบ้าหรอ”
“อือ จะบ้าแล้ว ไม่ได้กอดข้าว”
มันตอบ ผมหลุดขำ เชื่อมันเลย จำเป็นต้องเอาผ้าห่มผมไปพันตัวขนาดนั้น? จนใจแล้ว ผมยอมหยุดทำแบบฝึกหัดก็ได้ หยิบชีทสรุปวิชาที่ต้องอ่านอย่างเดียวตามคำแนะนำไอ้ฉางว่า เดินไปหามันที่เตียง
“ข้าว?”
ไอ้ฉางโผล่หน้าออกมาจากผ้าห่ม เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นผมเดินมานั่งบนเตียง
“มาแล้วไง ออกมาจากผ้าห่มเถอะ” ผมว่าพร้อมกลั้นขำ ผู้ชายตัวโตเป็นควายอย่างมันนี่มาทำอะไรแบบเด็กๆ แบบนี้ เห็นแล้วขำไม่ใช่น้อย ฉางมันสติไม่สมประกอบจริงๆ นั่นแหละ
ฉางพยายามคลายผ้าห่ม มุดออกมาจนหลุดพ้นจากการกักขังของผ้านวมนุ่ม มันเคลื่อนตัวมาข้างๆ ผม ใกล้มากขึ้น มากขึ้น...จนผมเผลอจ้องตามัน ทำให้หลงไปในมิติอื่นอีกแล้ว กระทั่งฉางมันพิงหัวตัวเองกับไหล่ผม ถึงได้รู้สึกตัว...
“อะ...อะไรอีกล่ะ”
“ผมชอบข้าวจัง”
“รู้แล้ว...”
มันเงยหน้าขึ้นมา ขยับตัวพิงกับหัวเตียง ดึงตัวผมให้มาพิงตัวมันอีกทอดพร้อมกับล็อกตัวผมแน่น ไม่ให้หนี
ไม่หนีหรอกหน่า ผมไม่ดิ้นขัดขืนมันด้วยซ้ำ ปล่อยให้ตัวเองพิงอกมันอยู่อย่างนั้น มวลความเงียบเข้าจู่โจมอีกครั้ง ทว่ากลับไม่รู้สึกอึดอัด แม้ไม่ได้เห็นหน้าไอ้ฉางแต่รับรู้ได้ด้วยเสียงหัวใจที่ดังมากจากข้างหลังตัวเอง ว่าเต้นแรงไม่แพ้กัน
จนเขิน...ผมหยิบชีทขึ้นมาอ่าน หาอะไรให้ตัวเองทำ ก่อนที่หัวใจตัวเองจะเด้งหลุดออกมา
“คณะมึงเนี่ย...งานเยอะขนาดนี้เลยเหรอ” ผมถามตัดความเงียบ ปิดบังเสียงหัวใจที่เต้นดังแข่งกัน
“เยอะสิข้าว คณะผมเน้นเรียนเชิงความคิดและปฏิบัติ มันก็เลยต้องมีงานแสดงถึงสิ่งที่เราคิดออกมา”
“ถึงขนาดไม่ได้กินไม่ได้นอนเลย?”
“อือ...วิชาสตูดิโอที่เป็นวิชาหลักเรียนทุกจันทร์พุธศุกร์ พวกผมเลยต้องตรวจแบบส่งงานวันเว้นวันอย่างนั้น ส่งไปโดนแก้ มีเวลาหนึ่งวันให้คิดใหม่ทำใหม่แล้วส่ง วนไปแบบนี้”
“อ่า...แค่คิดก็หนักแล้ว”
“อืม ใครๆ ก็ไม่ได้เรียนแค่วิชาเดียวจริงไหม”
“...”
“นอกจากวิชาหลักแล้ว วิชาอื่นๆ ก็มีงานไม่แพ้กัน บางวิชาเรียนอังคารกับพฤหัส บางเรียนวันเดียวกับสตูฯ แบ่งเวลาไม่ดีมีแต่ต้องตาย อย่างวิชาโครงสร้างก็ต้องออกแบบโครงสร้างมาส่งเป็นโปรเจคนึง วิชาวัสดุหรืองานระบบก็มีอีกคนละโปรเจค สรุปคือผมต้องตรวจแบบทุกวัน แล้วแต่วิชา”
“...กูว่ากูเริ่มเข้าใจแล้ว” ปกติงานคณะพวกมันก็เยอะอยู่แล้ว แล้วยังไปรับงานนอกอย่างประกวดแบบมาทำอีกนะ เหลือเชื่อเลยจริงๆ
“ผมเหนื่อยขนาดนี้ ข้าวต้องใจดีกับผมเยอะๆ นะ”
“...”
ผมเงียบเป็นคำตอบ โน้มตัวพิงหลังมันมากกว่าเก่า เรื่องเรียนผมช่วยมันไม่ได้หรอก แต่เรื่องอื่นผมก็อยากทำให้มันไม่เครียดและมีความสุขบ้าง
บรรยากาศกลับมาเนิบช้านิ่งเงียบอีกครั้ง ผมไม่รู้ว่าไอ้ฉางทำอะไร ปล่อยให้ความเงียบทำงานปกคลุมห้องไป ผมนั่งจ้องตัวหนังสือในบทเรียน พิงอกไอ้ฉางไปๆ มาๆ ก็ค่อยๆ ไหลลงไปเรื่อยๆ จนหัวถึงหมอน
เป็นไอ้ฉางที่จับหัวผมไปนอนหนุนตักมัน ผมเงยหน้าไปมองมัน ไอ้ฉางมองกลับมาพร้อมรอยยิ้ม ไม่มีเสียงพูดอีกเช่นเคย มีแต่เสียงหัวใจที่ดังแทนการสนทนา
XVII
ผมจะบ้าแล้ว ข้าวน่ารักขนาดนี้ผมก็แย่สิ
ข้าวผล็อยหลับไปแล้ว คาตักผมนี่แหละ ผมได้แต่จ้องเขาแล้วจ้องเขาอีก ทำไมเป็นคนน่ารักได้ขนาดนี้กันนะ มาถามไถ่ถึงเรื่องของผม ทั้งยังยอมมานอนข้างๆ กันอีก ผมจ้องมองเชยชมเครื่องหน้าข้าวยามหลับ ข้าวหน้าตาดีจริงๆ นั่นแหละ ดูมีตัวเลือกเยอะจะตาย ไม่คิดเลยว่าข้าวจะชอบคนอย่างผม คิดแล้วหัวใจก็เต้นผิดจังหวะเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
เหนื่อยกับการเต้นของหัวใจเหลือเกิน
กลัวว่ามันจะทะลุออกมาจากอกเข้าสักวัน
ผมปล่อยให้ข้าวนอนหนุนตักผมอยู่อย่างนั้นสักพัก จนข้าวขยับตัวกลิ้งไปหนุนหมอนแทน ผมถึงรู้ตัวว่าขาผมชาเพราะเหน็บกิน เวลามีความสุขนี่อะไรก็ทำผมไม่ได้จริงๆ
ผมอยากแสดงให้ข้าวรู้ว่าผมชอบข้าวมากกว่านี้แต่ไม่อยากไปรุ่มร่าม ข้าวดูตั้งใจอ่านหนังสือมาก ก็พอรู้ว่าเป็นคนตั้งใจเรียน เลยไม่ไปกวน แต่เพราะอยากอยู่กับข้าวมากกว่านี้เลยชวนให้ข้าวมานอนอ่านหนังสือบนเตียง ไม่ใช่เรื่องปกติที่ใครๆ ก็ทำหรอกหรือ ผมคิดเช่นนั้นทว่าข้าวกลับปฏิเสธมาเสียนี่
ใจแป้วเหมือนกัน แต่ไม่ใช่คนไร้เหตุผล เมื่อรู้ว่าข้าวไม่ต้องการอย่างนั้นผมก็จะไม่ตื๊อให้ข้าวรำคาญ แต่ใจมันก็ยังอยากซึมซับข้าวมากกว่านี้ แค่นอนดมกลิ่นข้าวจากเตียงมันไม่พอนี่ ถึงได้เอาผ้าห่มของข้าวมันพันรอบตัว อยากเป็นของข้าวใจจะขาด อยากให้ข้าวเป็นของผมด้วย
ไม่คิดว่าสุดท้ายแล้วข้าวจะยอมทำตามคำร้องขอของผม ใจดีอีกแล้ว แม้ว่าต้องอ่านหนังสือสอบแต่ข้าวก็ยังยอมมาเล่นกับผม ใจผมเต้นแทบคลั่งแล้ว
ผมปล่อยให้ข้าวจ้องตัวหนังสือในบทเรียนไป ไม่อยากไปกวน แค่ข้าวยอมมาพิงตัวใส่ผมก็ดีจะแย่แล้ว ถ้าผมไม่ยอมนั่งนิ่งๆ ข้าวก็คงเสียสมาธิจนไม่ได้อ่านหนังสือ ผมอยากจับข้าวฟัดให้ชื่นใจไปข้าง แต่ทำไม่ได้เลยยอมทำตัวเป็นพนักพิงเกรดพรีเมี่ยมให้
หลังจากจบการพูดคุยเรื่องงานนรกที่คณะ ข้าวก็ใช้สมาธิไปกับชีทตรงหน้า ไม่รู้ตัวว่าตัวเองไหลลงจากอกผมไปเรื่อยๆ จนถึงหมอน ถึงอย่างนั้นผมกลับยกหัวข้าวก่อนขยับขาตัวเอง ให้ข้าวนอนหนุนตักแทน ไม่ต้องลุกขึ้นมานั่งใหม่ ผมมองข้าว ในหัวคิดแต่เรื่องอยากจูบ ริมฝีปากข้าววนอยู่ในหัวจนคล้ายคนโรคจิต จนกระทั่งข้าวเผลอหลับไป แผนการที่อดทนอดกลั้นมาก่อนหน้านี้ถึงได้เริ่มขึ้น
ผมลุกไปปิดไฟเตรียมพร้อมแล้ว ปีนขึ้นเตียงอีกครั้ง ขยับตัวสอดแขนไปใต้ร่างเจ้าของห้อง กอดข้าวให้แน่น ก่อนเอื้อมตัวไปประทับจูบ กดย้ำๆ ซ้ำๆ ให้สมใจ
เหมือนความรู้สึกทะลักออกมา ช่วงที่ผ่านมาผมแทบไม่ได้แตะต้องข้าวเลย ได้แค่ลอบจุ๊บนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเอง พอตอนนี้ผมเลยระเบิดอารมณ์ ระดมจูบเขาอย่างบ้าคลั่ง
“อือ...ฉะ...ฉาง”
เมื่อมีเสียงร้องขัด ผมชะงักก่อนผละจูบออกจากข้าวอย่างเสียดาย
“ข้าวยังไม่หลับอีกหรือ...”
“...ยัง”
“...งั้นก็ดี ผมจะได้จูบข้าวแบบไม่ต้องแอบซะที”
ก่อนประกบจูบลงไปอีกครั้งไม่ให้คนใต้ร่างได้เอ่ยแย้งอะไรออกมา
♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦
เนือยไปมั้ย กลัวจะเบื่อกัน ;.;
ตอนหน้ามีอะไรให้ระทึกเบาๆ นะ