ตอนที่ 33
ทายาทอีกคน
“เอ่อ…นี่แกกับมัน เป็นแค่เพื่อนกันแน่นะ ทำไมฟังเรื่องของพวกแกแล้วฉันขนลุกชอบกล”
ไอ้เฟี้ยวลูบไล้ท่อนแขนของตัวเองพลางมองไปทางคุณจักรวาลด้วยสีหน้าพะอืดพะอม จนคนถูกมองต้องเบือนหน้าหนี
“แค่เพื่อนสิ จะมากกว่านั้นได้ยังไง”
“งั้นแสดงว่าที่พี่รอดมาได้ก็เพราะพี่กวินทร์สินะ”
คุณอวกาศที่นั่งฟังเงียบมาตลอดพูดขึ้นบ้าง
“อืม หลังจากนั้นฉันก็รีบไปหานายกับคุณพ่อที่โรงพยาบาล โชคดีที่รอดชีวิตกันทั้งคู่ถึงแม้ว่าจะบาดเจ็บหนัก”
“ผมเลยสูญเสียความทรงจำในช่วงตั้งแต่เกิดจนถึงแปดขวบไปก็เพราะเรื่องนี้เลยใช่ไหม”
“สูญเสียความทรงจำ?”
ผมมองพวกเขาด้วยความตกใจ หมายความว่ายังไง คุณอวกาศเคยสูญเสียความทรงจำด้วยเหรอ?
“ตอนประสบอุบัติคราวนั้นทำให้สมองของอวกาศได้รับการกระทบกระเทือนมาก ความทรงจำก็เลยหายไปหลังจากผ่าตัดและนอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่สามเดือนน่ะ”
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย”
พยักหน้ารับคำอธิบายของคุณจักรวาล ไม่อยากเชื่อเลยว่าช่วงชีวิตของพวกเขาจะพบกับเรื่องน่าปวดหัวและวุ่นวายขนาดนี้ ผมเคยคิดว่าตัวเองเกิดมาลำบากที่สุดในโลกแล้วนะเพราะจนโคตรจน แต่เอาเข้าจริง ชีวิตของผมกลายเป็นชีวิตของคนปกติธรรมดาไปเลย ดูมีความสุขกว่าพวกเขาเป็นไหนๆ
“แล้ว…คุณป้าล่ะ แม่ของสองคน… เอ่อ ฉันหมายถึงแกสองคน”
หมายถึงสองคนนั้นแล้วมองหน้ากูทำไมฟะ!
“พอคุณพ่อฟื้นขึ้นมาก็บอกฉันว่า คืนที่เกิดเหตุมีคนแอบบุกเข้าไปในบ้าน ลอบวางยาคนในบ้านทั้งหมดโยใส่ยานอนหลับไว้ในอาหาร โชคดีที่คุณพ่อรู้สึกตัวขึ้นมากลางดึก เลยรีบพาอวกาศขับรถหนีออกมา แต่พวกมันก็ยังขับรถตามมาไล่ล่าอยู่ ระหว่างนั้นคุณพ่อก็เลยติดต่อหาคุณแม่ ให้คุณแม่หนีไปและที่ซ่อนตัวที่ปลอดภัยสำหรับตัวเองและลูกในท้องซะ ถ้าคุณพ่อปลอดภัยรอดไปได้ จะเป็นฝ่ายตามหาคุณแม่เอง และพอรอดชีวิตมาได้ คุณพ่อก็ตามหาคุณแม่แบบพลิกแผ่นดินแต่ก็ไม่เคยเจอ จนท่านเสียไป ฉันก็รับหน้าที่ตามหาต่อ ทั้งคุณแม่ และ…ลูกในท้อง”
คำว่าลูกในท้องคุณจักรวาลมองมาทางผม ท่าทางเหมือนจะมีงานเข้ากูแฮะ
“คุณลุงออกจะกว้างขวาง แถมยังมีลูกน้องมีอิทธิพลตั้งเยอะ เป็นไปได้ยังไงที่จะหาคุณป้ากับไอ้ทะ… กับลูกในท้องไม่เจอ”
“เป็นไปได้สิ”
คำตอบของคุณจักรวาลเรียกความสนใจจากพวกเราทุกคนได้เป็นอย่างดี
“เพราะมันคือความต้องการของคุณแม่”
“พี่หมายความว่ายังไง”
“คุณแม่ไม่ได้หนีไปแค่สองคนกับลูกในท้อง แต่ยังมีสองสามีภรรยาคนสนิทที่คุณแม่คอยช่วยเหลือมาตลอดตามไปดูแลด้วย ดูเหมือนว่าหลังจากที่คลอดเด็กในท้องออกมา ไม่กี่วันคุณแม่ก็เสียชีวิตด้วยร่างกายอ่อนแอ ก่อนเสีย คุณแม่ฝากฝังเด็กคนนั้นไว้กับคนสนิทว่า…จนกว่าจะอายุสิบแปด ห้ามพาเด็กคนนั้นมาพบคุณพ่อหรือว่าฉันเด็ดขาด”
“ทำไมวะ! ถ้าพามาเจอตั้งแต่แรกเรื่องก็น่าจะจบหรือเปล่า ป่านนี้คงรับมรดกกันสบายใจเฉิบไปแล้ว”
ไอ้เฟี้ยวทักท้วงขึ้น ผมก้มหน้าเงียบ หัวใจสั่นสะท้านพอๆกับร่างกายที่กำลังสั่นไหวอยู่ในตอนนี้ ความจริงที่แม้ว่ายากจะยอมรับเพียงใด แต่มันก็คือความจริง กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ผมแล้ว…
“เพราะสิ่งที่คุณแม่อยากมอบให้เด็กคนนั้นไม่ใช่เงินมรดกที่คุณพ่อทิ้งไว้ให้ แต่เป็น…ชีวิตของคนธรรมดา ชีวิตที่ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดีกับใคร ชีวิตที่ไม่ต้องตกอยู่ในความหวาดกลัวทุกๆวัน ชีวิตที่เหมือนเด็กคนอื่นทั่วไป นั่นคือสิ่งที่คุณแม่อยากให้เด็กคนนั้นได้สัมผัส สิบแปดปีที่ท่านซ่อนเด็กคนนั้นเอาไว้ คือช่วงเวลาของชีวิตอิสระที่อยากให้ลูกของท่านได้พบกับความสุขจริงๆ คนที่รับดูแลเขาไว้บอกกับฉันแบบนี้ในวันที่พวกเขาติดต่อมาเพื่อคืนเด็กคนนั้นให้”
ผมรู้สึกได้ว่าตอนนี้สายตาของทุกคนกำลังจ้องมาที่ผม ทำไมล่ะ มองผมกันทำไม ที่ตัวผมไม่มีอะไรน่าสนใจสักหน่อย หยุดมองกันได้แล้ว…
พอสักที…
“ไทม์…”
“อ่า…ผม…ง่วงนอนจังเลย ขะ…ขอตัวไปนอน…”
“นายรู้แล้วใช่ไหม”
คำถามแบบตรงประเด็นของคุณจักรวาลเจาะเข้ากลางใจจนแทบทรุด ผมกำมือแน่น พยายามแค่นยิ้มออกมาด้วยใบหน้าใสซื่อ
“รู้? รู้อะไรเหรอครับ ผมไม่เข้าใจ”
เกร๊ง!
สองตาเบิกกว้างเมื่อเห็นสิ่งที่คุณจักรวาลโยนมาตรงหน้า ผมรีบเปิดกระเป๋าสะพายของตัวเองออกดูก็พบว่ามันไม่ได้อยู่ในกระเป๋า!
ปะ…ปากกาไปอยู่ที่คุณจักรวาลตั้งแต่เมื่อไหร่!
“มันตกอยู่ในรถหลังจากที่นายลงไปแล้ว คิดว่าคงจะหล่นลงมาตอนที่พวกเรา...”
เขาพูดค้างเอาไว้ ผมพอจะรู้ว่าเขากำลังหมายถึงตอนที่พวกเรากำลังทำอะไรแบบนั้นกันสินะ!
“ตอนที่พวกเราอะไรวะ พูดออกมาให้หมดดิ กูอยากรู้!”
อยากเสือกล่ะสิไม่ว่าไอ้เฟี้ยว!
“นายฟังเสียงที่อัดไว้ข้างในหมดแล้วเหรอ”
คราวนี้เป็นคุณอวกาศบ้างที่ถามผม เขาลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ สองมือเอื้อมมาแตะตัวผมเบาๆ
“ก็ไม่เห็นอะไรนี่ครับ ถึงจะฟังแล้วแต่ผมก็ไม่ได้สนใจมันสักหน่อย ที่ไปหาคุณกวินทร์วันนี้เพราะผมสนใจเรื่องสาเหตุที่ว่าทำไมเขาถึงกับคุณจักรวาลถึงฆ่ากันไม่ได้ต่างหาก ไอ้เรื่องที่เกี่ยวกับผมน่ะผมไม่…!”
หมับ!
ร่างกายถูกคนหัวขาวดึงเข้าไปกอดไว้แนบแน่น สิ่งที่อยากจะพูดหายไปจากสมองในชั่วพริบตา ความรู้สึกคุ้นเคย ความรู้สึกอบอุ่นยามอยู่ใกล้คุณอวกาศที่ผมเคยหาเหตุผลไม่ได้ วันนี้…ผมรู้เหตุผลนั้นแล้ว
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ”
“คุณอวกาศพูดอะไรน่ะครับ ผมไม่เห็นจะเข้าใจ…”
“ไทม์”
“…”
“ไว้จบเรื่องแล้ว ไปหาคุณพ่อกับคุณแม่ด้วยกัน ดีไหม”
ร่างกายของผมสั่นหนักขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว แต่ยิ่งมากขึ้นเท่าไหร่ คุณอวกาศก็ยิ่งกอดผมแน่นมากขึ้นเท่านั้น
ไม่ไหว…
เรื่องแบบนี้…ผมตั้งรับไม่ทันจริงๆ ถึงจะพอปะติดปะต่อเรื่องราวได้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ว่า…ทั้งที่พยายามไม่คิด หลอกตัวเองมาตลอดว่าต้องไม่ใช่ แล้วทำไม…ทำไม…
ผมหนีมันไม่ได้เลยสินะ
ชะตาชีวิตของตัวเอง
หมับ!
“อ๊ะ!”
“ให้เวลาไอ้ไทม์หน่อยดีกว่า แกน่ะมากับฉัน”
“เฮ้ย! เดี๋ยวสิเฟี้ยว ฉันยังคุยกับน้องไม่…อุ๊บ!”
“หุบปากแล้วตามกูมาเถอะไอ้สันขวาน!”
ไอ้เฟี้ยวอุดปากและรั้งตัวคุณอวกาศที่ทำท่าจะพุ่งกลับเข้ามาหาผมอีกรอบเอาไว้ก่อนจะลากไปทางห้องนอนของพวกเขาเอง
ในห้องเหลือแค่ผมกับคุณจักรวาล…อีกแล้ว
“มีอะไรอยากจะถามหรือเปล่า”
“แล้วคุณมีอะไรจะบอกผมไหมล่ะครับ”
นาทีนี้จะอะไรผมก็คงต้องฟังทั้งนั้น ไม่ใช่ว่ารังเกียจหรือโกรธกับความจริงที่ได้รับรู้หรอกนะ แต่เรื่องบางเรื่อง มันต้องใช้เวลาในการยอมรับ ผมที่เคยคิดว่าตัวเองเป็นเด็กกำพร้ามาตลอดเพราะพ่อกับแม่บอกว่าเก็บผมมาเลี้ยง ไม่เคยรู้แม้กระทั่งว่าแม่ที่แท้จริงตายหลังจากคลอดผมเพียงแค่ไม่กี่วัน แบบนี้มันไม่ต่างอะไรกับ…
…ผมเป็นคนฆ่าแม่ของตัวเอง
เพราะผมเกิดมา แม่เลยต้องจากไป
“เรื่องหนี้สิบล้านบาท ฉันโกหก”
“ครับ”
“ที่เอาตัวนายมาขัดดอกก็ด้วย ฉันโกหก”
“ครับ”
“น้องๆของนายไม่ได้ถูกมาเฟียตามล่า ฉันโกหก”
“ครับ”
“พ่อแม่บุญธรรมของนายตอนนี้ไม่ได้ไปทำงานหาเงินใช้หนี้ที่ไหน ฉันโกหก”
“ครับ”
“ทุกคนอยู่ด้วยกันในเซฟเฮ้าส์ ฉันจำเป็นต้องซ่อนตัวพวกเขาไว้เพื่อความปลอดภัย”
“ครับ”
พูดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ ผมทำได้แค่ยืนก้มหน้าตัวสั่นแล้วตอบรับในทุกๆอย่างที่เขาพูดออกมา ไม่มีอะไรจริงเลยตั้งแต่ต้น…
ผมไม่ใช่ลูกขัดดอกสิบล้าน
ไม่มีหนี้สิบล้านอะไรทั้งนั้น…
“แต่ที่ยังไม่บอกความจริง เพราะฉันอยากให้นายได้ใช้ชีวิตเด็กมัธยมปลายธรรมดาๆอย่างที่คุณแม่ต้องการจนกว่าจะอายุครบสิบแปดปีเต็ม ฉันตั้งใจจะบอกความจริงกับนายตอนนั้น แต่เพราะพวกมันรู้เรื่องการมีอยู่ของทายาทอีกคนเสียก่อน ทุกอย่างเลยวุ่นวายกว่าที่ฉันคิด”
“ครับ”
พูดอะไรมากกว่านี้ไม่ได้เลยหรือไง ผมไม่ได้อยากจะพูดแค่นี้สักหน่อย มีเรื่องอีกมากมายที่ผมอยากจะถามเขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพ่อที่แท้จริง หรือว่าแม่ที่แท้จริง ในหัวของผมสับสนไปหมด เหมือนตัวเองถูกดึงเข้าสู่โลกที่ไม่คุ้นเคย
อย่างกับคนละมิติ…
“ไทม์…”
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ร่างสูงเข้ามาประชิดตัวผมขนาดนี้ รู้ตัวอีกทีเขาก็มายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว ฝ่ามือที่เต็มไปด้วยรอยถลอกตอนสู้กับคุณอวกาศเมื่อกี้เลื่อนขึ้นประคองใบหน้าของผมเอาไว้
“ฉันอาจจะปิดบังความจริงทุกอย่างเอาไว้เพราะมันยังไม่ถึงเวลา แต่ว่า…”
“…”
“ความรู้สึกที่ฉันแสดงออกไป…กับนาย มันคือความจริง”
“…”
“ฉันปิดบังมันเอาไว้ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นความห่วงเวลาที่นายหายไปจากสายตา ความหวงเวลาที่มีคนอื่นเข้าใกล้นาย หรือแม้แต่ความหึง เวลาที่นายให้ความสนใจคนอื่นมากกว่าฉัน”
นัยน์ตาที่ไม่เคยสะท้อนภาพใดออกมาตอนนี้มีภาพของผมสะท้อนอยู่
“ไว้ใจฉันได้ไหม”
“…”
“ให้โอกาสทุกคนที่นี่ ในฐานะครอบครัวที่แท้จริง ได้หรือเปล่า”
วงแขนแกร่งตวัดตัวผมเข้าไปกอด ฝ่ามือใหญ่กดศีรษะให้ซบลงตรงแผ่นอกกว้าง ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปทั้งนั้น หลับตาลงซึมซับความอบอุ่นที่ไหลผ่านมาทางผิวหนังของเขา ความปลอดภัยที่ได้รับมาตลอดจากคนๆนี้ ยิ่งทำให้ผมแน่ใจแล้วว่า…
การตกหลุมรักใครสักคน มันเป็นยังไง
Special Talk :
“นายจะลากฉันมาทำไมเนี่ย ไม่เห็นเหรอว่าฉันกำลังคุยกับน้องชายฉันอยู่! น้องชายเลยนะ! น้องชายที่พลัดพรากจากกันมาถึงสิบแปดปี!”
“ยังไม่สิบแปดเฟ้ย อีกสี่เดือนต่างหาก”
“นั่นแหละ!”
คนถูกลากมาสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมเมื่อมาถึงห้อง มันตั้งท่าจะเปิดประตูกลับออกไปอีก ผมรีบพุ่งเข้าไปกระโดดเกาะหลังมันเอาไว้แล้วลากมันกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง
“ก็บอกว่าให้เวลาไอ้ไทม์มันหน่อยไงเล่า! เรื่องแบบนี้ไม่มีใครตั้งรับทันภายในสามนาทีหรอกเว้ย! ไม่ใช่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนะไอ้ฟาย!”
“แต่…!”
“ไอ้ไทม์มันต้องเข้าใจแน่นอน แค่ให้เวลามันคิดอะไรบ้าง มึงอย่าไปเร่งมันสิวะ”
ผมพูดเสียงอ่อนลง เข้าใจอยู่หรอกว่ามันอยากจะคุยกับไอ้ไทม์เพราะดีใจที่น้องชายร่วมสายเลือดเพียงคนเดียวยังมีชีวิตอยู่ แต่ผมเองก็เข้าใจไอ้ไทม์ด้วยเหมือนกัน มันคงตกใจไม่น้อยที่จู่ๆดันกลายมาเป็นทายาทอีกคนของตระกูลอสังหาซะงั้น
“แค่จะห้ามฉันนี่…ต้องเกาะหลังกันเป็นชัตเตอร์แบบนี้เลยเหรอ”
“เฮ้ย!”
รีบกระโดดลงจากหลังมันทันที ไอ้อวกาศบิดข้อไปมาจนมีเสียงกระดูกดังกร๊อบ
“โอ๊ะ! ลดน้ำหนักบ้างนะเฟี้ยว นายเกือบทำฉันหลังหัก”
“งั้นหักจริงๆไปเลยเป็นไง!”
พลั่ก!
ผมกระโดดถีบมันจนกระเด็นด้วยความหมั่นไส้ อีกฝ่ายร้องโอดครวญพยุงตัวมานั่งที่เตียงใบหน้าเหยเกแสดงถึงความเจ็บปวด
“เจ็บนะ! เพิ่งสู้กับพี่มาหมาดๆ ยังไม่ทันหายดีเลย”
“อยากปากแมวก่อนทำไม”
“ถ้าฉันปากแมวนายก็ปากหมาแล้วล่ะ”
“ดี! ปากในปากกูจะได้กัดแมวในปากมึงให้ตายไปเลย!”
“แต่ก่อนที่หมาในปากนายกับแมวในปากฉันจะมากัดกันได้ นายกับฉันต้องจูบกันก่อนนะ ไม่งั้นอะไรต่อมิอะไรที่อยู่ในปากจะมาเจอกันได้ยังไง”
เจ็บแล้วยังม่ออีกนะมึง!
ผมหรี่ตามองมันแบบจนปัญญาที่จะเถียงด้วย เดินไปที่ตู้ยาซึ่งจะมีอยู่ในห้องทุกห้องของคฤหาสน์นี้ หยิบเอาอุปกรณ์ทำแผลออกมาแล้วลากเก้าอี้ตรงโต๊ะเครื่องแป้งไปนั่งตรงปลายเตียง
“ทำอะไรอ่ะ”
“ซักผ้ามั้ง”
“ห้องซักผ้าอยู่เรือนเล็กนะ”
“ไอ้อวกาศ…”
เรียกชื่อมันลอดไรฟัน เส้นเลือดตรงขมับเต้นปุดๆพร้อมจะระเบิดลงได้ทุกเมื่อ
“คร้าบๆ ไม่กวนแล้วก็ได้”
มันพูดเสียงอ่อนแล้วเขยิบมาอยู่ตรงหน้าผมแต่โดยดี ดีนะที่ผมกับมารีอาคนละเพศกัน ถ้าเป็นผู้ชายแบบมันสองคนแล้วต้องต่อยกันแทบจะตายห่าไปข้างกว่าจะเคลียร์กันได้แบบนี้คงไม่ไหว
“แน่ใจนะว่าพวกมึงต้องกันเพื่อปรับความเข้าใจ ไม่ได้จะฆ่ากันจริงๆ”
บ่นไปพลางกดสำลีที่ชุบแอลกอฮอล์มาแล้วลงบนคิ้วที่แตกเลือดของอีกฝ่าย ไอ้อวกาศร้องจ๊ากทันทีที่แผลถูกสัมผัส
“เบาๆหน่อยสิ! ใช้มือหรือใช้เท้าเนี่ย พี่ต่อยยังเจ็บน้อยกว่าเลย!”
“เกิดมากูเคยทำแผลให้ใครที่ไหน อย่าบ่นมากได้ไหมวะ!”
“นายก็เบามือหน่อยสิ มีใครเขากดสำลีลงบนแผลเต็มแรงแบบนายบ้าง เขาต้องค่อยๆเช็ดรอบปากแผลก่อน จากนั้นก็แตะๆลงไปบนแผลเบาๆ ไม่ใช่ทิ่มเอาๆแบบนี้ เป็นผู้ชายแล้วยังจะแรงช้างอีก รู้งี้ไปอ้อนให้น้องชายสุดที่รักของฉันทำแผลให้ก็ดี ไม่สิ ป่านนี้คงทำแผลให้พี่อยู่แน่ๆ เฮ้อออ!”
แล้วแม่งก็ไม่เลิกบ่น
ผมหยุดทำแผลชั่วคราวเพื่อรอให้มันบ่นให้เสร็จก่อน ไม่แน่คิดจะทำตั้งแต่แรกเล้ยยย ปล่อยให้น้องเน่าไปพร้อมแผลก็ดีหรอก ฮึ่ย!
“เสร็จยัง”
“อะไรเหรอ?”
“มึงอ่ะ บ่นเสร็จยัง ถ้าเสร็จแล้วกูจะได้ทำแผลต่อ”
ผมมองไปที่สำลีในมือ ไอ้อวกาศรีบเม้มปากแน่นก่อนจะพยักหน้า มันคงเริ่มรับรู้ได้ถึงความไม่สบอารมณ์โคตรๆของผมแล้วสินะ
“อ๊ะ!”
คนตรงหน้าหลับตาปี๋ทั้งที่ยังไม่ทันได้กดสำลีลงไปด้วยซ้ำ ท่าทางที่เหมือนกลัวเจ็บของมันทำให้ผมชะงัก
‘เขาต้องค่อยๆเช็ดรอบปากแผลก่อน จากนั้นก็แตะๆลงไปบนแผลเบาๆ ไม่ใช่ทิ่มเอาๆแบบนี้’
คำพูดของมันแทรกเข้ามาในหัว โธ่โว้ยยยย! น่ารำคาญฉิบหาย!
ผมไล่ซับเลือดรอบปากแผลทั้งหมดออกก่อนจนใบหน้าเริ่มสะอาดสะอ้าน จากนั้นก็หยิบสำลีอีกก้อนชุบกับเบตาดีนแล้วแตะลงบนแผลอย่างเบามือที่สุด ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนใกล้จะเสร็จ ไม่รู้ว่าไอ้อวกาศมันลืมตาขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ตอนนี้คนกวนตีนที่สุดในศตวรรษอย่างมันกำลังมองผมพลางยิ้มเหมือนพอใจอะไรสักอย่าง
“ยิ้มเหี้ยอะไร”
“มือเบาเหมือนกันนะเรา”
“เพราะมีคนน่าเบื่อคนหนึ่งมันโวยวายก่อนหน้านี้น่ะสิ”
ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก กูคงไม่เสียเวลามานั่งทำแผลให้หรอก เรื่องของกูรึก็ไม่ใช่ ต่อยแม่งก็ต่อยกันเอง เฮ้อ!
ตุ้บ…!
“เฮ้อ…เหนื่อยจัง”
“ถ้าจะนอนก็หงายหลังนอนลงไปบนเตียงสิเฟ้ย ไหล่กูไม่ใช่หมอน!”
“ไม่เอา ขออยู่แบบนี้ก่อน ฉันเหนื่อยจริงๆนะ”
“ให้ตายสิ ลำบากกูตลอดนะมึง”
ผมบ่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ผลักไอ้อวกาศที่โน้มตัวมาด้านหน้าเพื่อเอาหัวซบกับไหล่ผมออก มือข้างหนึ่งที่สำลีค้างไว้ อีกข้างก็ถือขวดเบตาดีน
คืนนี้กูจะทำแผลเสร็จไหมเนี่ย
บับเบิ้ลบิวชวนคุย :
มาอัพแล้วจ้า ดูเหมือนว่าคู่ท่านจักรวาลและน้องไทม์ของเราจะก้าวหน้าขึ้นมาอีกขั้นแล้ววววว ขณะที่คู่ SM นั้น… แม้จะมีโมเม้นต์บ้าง แต่ยังดูเป็นเพื่อนสมัยเด็กกันมากกว่าอยู่นะคะ ดูได้จากดีกรีความปากหมาของเฟี้ยวไม่ได้ลดลงเลย 55555+ น้องไทม์ไม่ใช่คนโง่ มีมันสมองอัจฉริยะขนาดนั้นมีเหรอที่จะปะติดปะต่อเรื่องราวเองไม่ได้ แต่แค่ไม่พูดหรือให้ความสนใจก็เท่านั้น บางทีคงต้องให้เวลาหรือไม่ก็ให้ท่านจักรวาลคอยให้ความคุ้นเคยกับน้อง หึๆๆๆ =..= ( อย่าลืมเอาข้าวผัดกับโอเลี้ยงไปเยี่ยมคุณจักรวาลในคุกนะคะ 5555 )
เรื่องนี้อาจจะเน้นหนักเรื่องปมปริศนาไปสักหน่อย เพราะส่วนตัวเป็นคนแต่งนิยายที่ในเรื่องไม่มีอะไรนอกจากรักๆใคร่ๆฮาๆไม่ค่อยเป็น อย่างน้อยต้องเล่นปมนู่นนี่นั่นให้ในเรื่องมีจุดพีคจุดลุ้นบ้าง แต่ยอมรับว่าเรื่องนี้ใส่ปมเยอะไปหน่อยและค่อนข้างหนัก อาจทำให้นักอ่านที่ต้องการเข้ามาเสพความฟินจิ้นกระจายต้องผิดหวังไปบ้าง บิวต้องขอโทษด้วยนะคะ จะพยายามปรับปรุงให้ดีขึ้นทั้งในเรื่องนี้และเรื่องต่อๆไป แต่ยังไงก็ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและติดตามกันน้า แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะไม่ตรงใจอย่างที่หวังกันไว้แต่ก็ยังตามอ่านกันอยู่ ต้องขอบคุณมากจริงๆค่ะ! พบกันในตอนต่อไปเน้ออออ
ตอนนี้มีเรื่องใหม่ด้วยนะคะ ปมไม่หนักเท่าเรื่องนี้แน่นอน สบายกว่าเยอะมาก 5555 ตามไปอ่านกันได้น้า เรื่อง “SEX(Y)รักโคตรแซ่บ!”
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61699.0 จ้า