... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]  (อ่าน 457633 ครั้ง)

ออฟไลน์ donut4top

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
สงคราม.. พี่อ้ายนี่ไม่ให้ได้ป่ะ หวงอ่ะ5555

ออฟไลน์ momonuke

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
มีนนี่ต้องมีบทบาทแน่ๆเลย  :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ kredkaew26

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
มาปูเสื่อรอเผือกเรื่องนี้ต่อ ^^  :z13: :katai4:

ออฟไลน์ zazoi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 970
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-1
ว้าว รอคู่นี้ต่อค่า คิดว่าพี่สงครามต้องคิดซีมติงกับอ้ายแน่ๆอ่ะ ว่าแต่มีนนี่คือใคร

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
55555 พี่อ้ายคนบ้า เป็นไบโพล่าเพียงชั่ววิ

อ้ายน่าสงสารอะ เก็บกดน่าดู รับหน้าที่ทั้งที่ไม่อยากทำ แต่ไม่เป็นไรนะ สงครามรอง้ออยู่

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
จาก #ทนายอาสา ก็ขอมาตามคู่นี้ต่อแล้วกันเรื่องโน้นสี่เศร้าเรื่องนี้จะสี่เศร้าด้วยรึเปล่านะแต่คิดว่าคนชื่อมีนคงไม่ได้มาแค่ตัวประกอบแน่ๆ จากเรื่องก่อนหน้าเราว่าพี่สงครามเริ่มอะไรๆกับพี่อ้ายแล้วแหละ

ออฟไลน์ minneemint

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1633
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0
สงคราอ้าย  :mc4:

ออฟไลน์ Wdf_mikeii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รอนะครับบ

ออฟไลน์ Dealta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
สารภาพเลย รอรอรอรอ รักรักรักรัก  อยากรีดแล้วอะะะะ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ tae1234

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 381
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ขอบคุณนะครับ

ออฟไลน์ Vivii_VIP

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รอ รอ รอ นะคะ

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
เดาๆไว้อยู่ว่าราชาวิหคน่าจะเป็นสงครามอ้าย ละก็จริงๆด้วยยยย  o18

ออฟไลน์ beautifuldead

  • wandered lonely as a cloud..
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
งือออ ถึงจะชอบเรื่องแรกมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
แต่สารภาพว่าแอบรอโมเม้น พี่อ้าย งือออออ
ในที่สุดดดดดดดดดดดดดด

แต่ว่านะ .. มาแค่บทนำก็ติดซะแล้วง่ะค่ะ
ชอบความเป็นประธานหอสามของพี่อ้าย โถ มีความไบโพล่าร์เบาๆ 55

ออฟไลน์ TheGraosiao

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชอบคู่นี้มากๆ #สงครามอ้าย

 :L2:

ออฟไลน์ Mooait

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รอรอรอ นะเจ้าคะ

ออฟไลน์ Dealta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1

ออฟไลน์ wingblack

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
รอๆๆๆๆๆๆๆ :mew2: :mew2: :mew2:
มาต่อไวๆ นะคะ  :hao7: :hao7: :mew1:

ออฟไลน์ kredkaew26

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
 :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13:   :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:  :t3: :t3: :t3: :t3: :t3: :t3:

ออฟไลน์ backforred

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รอค่ะมาต่อไวๆนะ น่าอ่านมากกก
 :-[  :-[ :-[

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Dealta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
                                                             พี่เค้ก มาอัพเถอะน่ะ พลีสสสสส

                                                                อยากอ่านพี่สงครามจะเเย่
                   
                                                                    #ทีมเมียพี่สงคราม

   

                                                :mew2:                                         :mew6:

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
รออ้ายกับสงครามจ้า :call: :call: :call:

ออฟไลน์ Chiffon_cake

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 712
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1544/-12


ตอนที่ 1




หลังจากที่เดินตรวจหอตอนเช้าเสร็จ ผมก็ได้ฤกษ์กลับไปที่ห้อง 101 ของตัวเอง ห้องนี้เป็นห้องของประธานหอและค่อนข้างเล็กครับ ผมอยู่คนเดียวในห้องนี้ ข้างๆ ห้องของผมซึ่งก็คือห้อง 102 เป็นห้องของไอ้ธัช มันเป็นเพลย์บอยตัวเอ้ของหอสามที่กลายมาเป็นผู้ช่วยผมในการดูแลหอ เป็นความซวยของมันเองที่เลือกมาสนิทกับประธานหอแทนที่จะสนิทกับคนธรรมดา

ระหว่างที่ผมกำลังจะไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเตรียมไปเรียนนั่นเอง เสียงแจ้งเตือนกรุ๊ปไลน์ที่ผมเกลียดที่สุดก็ดังขึ้น

กรุ๊ปไลน์กรุ๊ปนั้นชื่อ ‘ประธานหอผู้ยิ่งใหญ่แห่งมอ B’

ผมบอกไว้ ณ ตรงนี้เลยว่าชื่อกรุ๊ปโคตรต่างชีวิตจริง การเป็นประธานหอมันยิ่งใหญ่ก็จริงครับ แต่อีกมุมหนึ่งก็คือแม่งมีชีวิตอย่างกับทาส (นึกภาพตอนลูกหอมันมีปัญหาแล้ววิ่งโร่มาหาประธานสิครับ บางทีแม่งก็ไม่ได้มีแค่คนสองคนอ่ะ มารวดเดียวเป็นสิบก็มี) แต่ผมไม่ได้เกลียดกรุ๊ปไลน์นี้เพราะชื่อกลุ่มหรอก ที่ผมเกลียดก็เพราะเสียงแจ้งเตือนกรุ๊ปนี้ดังทีไร งานต้องเข้าทุกทีไป

ทิว หอหนึ่ง : เขาเรียกประชุมอีกแล้ว วันนี้ตอนก่อนแปดโมง

ผมแก้ไขชื่อไลน์ของพวกประธานหอให้จดจำได้ง่าย ทิวเป็นประธานหอหนึ่ง ซึ่งเป็นหอที่มีแต่เด็กเรียนและพวกเคร่งครัดเรื่องกฎระเบียบเต็มไปหมด เพราะงั้นเวลาที่ ‘พี่โอ’ เจ้าหน้าที่ฝ่ายดูแลหอของมอจะเรียกประชุมทีไร ก็จะเรียกผ่านไอ้ทิว ถ้าเรียกผ่านประธานหอคนอื่น ผมคิดว่าชาติหน้ามั้งถึงจะได้ประชุม

ตั้ม หอสี่ : เป็นเรื่องที่เหี้ยที่สุดในเช้าวันนี้เลย
ตั้ม หอสี่ : กูจะนอนไอ้สัด เมื่อคืนกูปาร์ตี้ถึงตีสี่


หอสี่เป็นหอของพวกคนรวยที่มีสิทธิพิเศษเยอะแยะเต็มไปหมด เพราะพวกมันคือแหล่งเงินแหล่งทองของมอครับ แม้กระทั่งอธิการบดียังเกรงใจพวกมันอ่ะ แต่ขอโทษทีเถอะ...ยังไงเช้านี้ไอ้ตั้มก็ต้องไปประชุมเพราะเจ้าหน้าที่สั่งมา ถึงมันจะบ่นแต่มันก็ต้องไป คนที่เกิดมาเป็นประธานหอยังไงก็ต้องยอมรับหน้าที่ตรงจุดนี้ให้ได้

โกวิทย์ หอห้า : อา นี่ผมต้องไปฟังอะไรบ้าๆ บอๆ อีกแล้วหรือ

เชี่ยโกวิทย์คือประธานหอห้า หอที่เต็มไปด้วยโอตาคุและเด็กเนิร์ด หอนี้ไม่ค่อยมีปัญหากับหอไหนหรอก ยกเว้นเสียแต่ตอนที่พวกมันเล่นเกมชนะหออื่นอ่ะ แม่งสร้างความหมั่นไส้ให้หออื่นมานักต่อนักแล้ว แต่ก็เฉพาะเรื่องเกมนั่นแหละ

ภาม หอหก : กูละเบื่อ

หอหกคือหอของพวกใจรักในเรื่องศิลปะทุกแขนง เป็นหอของพวกติสต์และเสรีชนอย่างแท้จริง เชี่ยภามมันเป็นพวกติสต์สายดนตรี และตอนนี้มันก็เรียนเอกขับร้องอยู่
ผมกำลังจะพิมพ์ตอบลงไปในกรุ๊ปบ้าง ทว่าไอ้สงครามมันดันพิมพ์ตอบมาซะก่อน

สงเหี้ย หอสอง : กูไม่ไป

เห็นชื่อไลน์ที่ได้รับการตั้งเป็นพิเศษของไอ้สงครามมั้ยครับ นั่นแหละครับท่านผู้ชม ชื่อนี้สามารถบ่งบอกได้ถึงการมีปัญหาระหว่างหอสองและหอสามเป็นอย่างดีว่ามันกินเวลามาอย่างยาวนานขนาดไหน
ผมเปลี่ยนชื่อไลน์ของมันเป็นชื่อนี้ตั้งแต่เราสองคนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานหอตอนปีสาม แม้ผมจะเรียนคณะเดียวกับมันแต่คนละสาขา อีกทั้งยังเป็นเพื่อนห่างๆ ของมันด้วย แต่บางครั้งก็ควบคุมอารมณ์หมั่นไส้ที่มีต่อมันไม่ได้
เรื่องที่มันจะไม่เข้าร่วมการประชุม...มันใช่หรือเปล่าเหอะ

สงเหี้ย หอสอง : ถ้าเหี้ยอ้ายไม่ไป กูก็ไม่ไป

อ้าว ทำไมหวยมาออกอยู่ที่กูล่ะ ผมเกาหัวแกรกๆ รู้สึกงงที่ชีวิตการไปประชุมประธานหอของไอ้สงครามต้องมาขึ้นอยู่กับผม

โกวิทย์ หอห้า : คุณอ้ายจะว่ายังไงครับ
โกวิทย์ หอห้า : คุณสงครามขาดประชุมบ่อยซะด้วยสิ
โกวิทย์ หอห้า : ถ้าขาดอีกนิด หอสองอาจจะถูกตัดน้ำตัดไฟก็เป็นได้
ทิว หอหนึ่ง : จริงซะยิ่งกว่าจริง


มันใช่เรื่องของกูที่ไหนกันเล่า ผมคิดอย่างขุ่นเคืองก่อนจะพิมพ์ข้อความอย่างกระแทกกระทั้น

AI : เรื่องของมันสิวะ

ไม่นานนักสงครามมันก็พิมพ์ตอบ

สงเหี้ย หอสอง : แสดงว่ามันไป
สงเหี้ย หอสอง : กูไปก็ได้
สงเหี้ย หอสอง : ไอ้สัด ประชุมเหี้ยไรนักหนา
สงเหี้ย หอสอง : อย่าให้รู้นะว่าใครในนี้เป็นคนเรียกร้องการประชุมครั้งนี้ อย่าให้กูรู้


แชตในกรุ๊ปเงียบไปในบัดดล....ใครจะกล้าไปมีเรื่องกับไอ้สงครามแม้กระทั่งประธานหอด้วยกัน ผมกลอกตาขึ้นฟ้าก่อนจะวางโทรศัพท์แล้วรีบไปอาบน้ำ






ห้องเย็นเฉียบ

ห้องนี้เป็นห้องขนาดกลางๆ ในตึกอเนกประสงค์ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างหอสามกับหอสี่ ไม่มีหอไหนเป็นเจ้าของเป็นพิเศษเพราะงั้นมันจึงกลายเป็นสถานที่ที่ประธานหอจะมารวมตัวกัน โดยส่วนใหญ่ก็มักจะประชุมกันเวลามีงานเข้า เหมือนวันนี้เป็นต้น

ที่ห้องนี้ถูกเรียกว่าห้องเย็นเฉียบเพราะแอร์แม่งอย่างหนาว...แต่ก่อนมันถูกเรียกว่าห้องเย็นเฉยๆ แต่หลังๆ ไม่รู้แอร์เป็นเหี้ยอะไรถึงได้หนาวอย่างกับขั้วโลกเหนือ เพราะงั้นห้องนี้จึงกลายเป็นห้องเย็นเฉียบ ไม่ใช่ห้องเย็นเฉยๆ

ผมมาถึงเป็นคนที่สามต่อจากโกวิทย์และก็ทิว สองคนนี้มันเข้ากันได้ดีเนื่องจากทิวเป็นคนเคร่งและโกวิทย์เป็นคนไม่คิดอะไรเยอะ ที่เหลือไม่มีใครเข้ากันได้สักคน ภามเงียบเกินไป ไอ้เหี้ยตั้มก็ขี้โอ่เกินไป และไอ้สงคราม...แม่งก็ชอบใช้กำลังเกินไป

ผมเนี่ยดีที่สุดแล้ว

“มีเรื่องอะไรวะ” ผมถามสองคนที่นั่งอยู่ในห้อง

โกวิทย์กับทิวส่ายหน้าแทนคำตอบว่าไม่รู้ บทสนทนาระหว่างพวกเราจึงจบลงเพียงเท่านั้น ไม่นานนักตั้มกับภามก็เดินเข้ามาในห้อง ภามทำหน้าเซ็งที่สุดในโลก ส่วนไอ้ตั้มมันหาวแล้วหาวอีก แม้มันจะปาร์ตี้จนดึกจนดื่นแต่ออร่าความรวยของไอ้เชี่ยตั้มก็ยังมีอยู่ มันเอามือที่มีแหวนราคาแพงปิดปากระหว่างหาว

“เหี้ยอะไรเนี่ย” เสียงไอ้สงครามมาก่อนที่ตัวมันจะเข้ามาถึง ผมก้มหน้าเซ็งๆ ระหว่างที่สงครามมันอาละวาดแต่เช้า นี่คือสิ่งปกติที่สุดในโลกครับ “ทำไมเจ้าหน้าที่ยังไม่มาอีก กูว่ากูมาช้าแล้วนะ”

ไม่มีใครกล้าเถียงมันเพราะทุกคนรู้ดีว่าสำหรับสงครามควรสงบปากสงบคำไว้จะดีที่สุด หากเป็นเมื่อก่อนในห้องเย็นเฉียบนี้จะมีแต่เสียงของผมเถียงกันกับไอ้สงคราม เพราะมีความเป็นเพื่อน (ห่างๆ) ในคณะเดียวกันและเรียนด้วยกันสมัยปีหนึ่งปีสองในวิชาเรียนภาคบังคับของวิศวะ แต่ทว่าตอนนี้ผมมีปัญหากับมันอยู่ ผมจึงเงียบ ไม่ยอมพูดกับมัน

ทั้งห้องจึงตกอยู่ในภวังค์แห่งความอึดอัด

สงครามเคยชินที่ประธานหอทุกคนก้มหัวให้มัน แม้กระทั่งประธานหอคนรวยที่ไม่เคยยอมใครหน้าไหนอย่างไอ้ตั้ม มันทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ผมก่อนจะหันมาพูดด้วย

“ยังไม่หายโกรธกูอีกเหรอ”

“...”

“มึงเป็นบ้าเหรออ้าย”

ดูคำพูดสไตล์ของไอ้สงครามสิครับ แม่งชอบทำให้บรรยากาศแย่ลงแทนที่จะทำให้ดีขึ้นอ่ะ

“กูรู้ว่ายังไงมึงก็ไม่ยอมพูดกับกู แต่วันนี้กูมีเรื่องจะถาม” มันที่เป็นฝ่ายพูดกับผมก่อนมานานมากแล้วเอ่ยเบาๆ อย่างจริงจัง ผมเงี่ยหูฟังทั้งๆ ที่แสดงสีหน้าไม่สนใจ “มึงแค่พยักหน้าหรือส่ายหน้าก็พอ”

เอาไงดีวะ...ผมโกรธมันมาเกือบสองเดือนแล้ว ความโกรธความหัวร้อนมันลดลงไปเยอะแล้วครับ ที่ยังเหลืออยู่ก็แค่ฟอร์มกับทิฐิจากศักดิ์ศรีประธานหอเท่านั้นนั่นแหละ

แต่ไม่ว่ายังไง ผมก็ยังรู้สึกขุ่นมัวกับมันอยู่ดี แม้มันจะน้อยลงไปแล้วก็ตาม

ทำไมมันเงียบไปแล้วไม่ยอมถามสักที ผมรอตั้งนาน ในที่สุดเชี่ยสงครามก็ยอมเปิดปาก

“มีนกลับมาแล้วเหรอวะ”

คำถามของมันทำเอาผมต้องหันไปมองหน้า ด้วยน้ำเสียงและอารมณ์ในการพูดของสงครามทำให้ผมรู้สึกได้เลยว่ามันอยากรู้คำตอบมาก

มันไม่ได้ตกใจที่ผมมองหน้ามัน แต่กลับทำสีหน้าคาดคั้นรอคอยคำตอบ

ผมพยักหน้าเบาๆ ให้มันหนึ่งทีเพื่อเป็นการทำบุญเล็กๆ น้อยๆ สงครามมีสีหน้าดีขึ้นมากจากหน้ามือเป็นหลังมือ

งง...ผมงงมาก สงครามเกี่ยวข้องอะไรกับมีน ทำไมมันถึงอยากรู้เรื่องสิ่งดีงามของหอผมอีกสิ่งหนึ่งนอกจากอาสาอย่างไอ้เหี้ยมีน
ตอนนั้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายดูแลหอเข้ามาพอดี ผมจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ (จริงๆ ก็ไม่คิดจะพูดอยู่แล้ว) ระหว่างที่เจ้าหน้าที่พูดเรื่องเดิมๆ (รบกวนทุกหอช่วยประหยัดไฟและน้ำช่วยมอหน่อย) สงครามดูอารมณ์ดีจนผิดสังเกตไปหมด ทั้งๆ ที่ปกติเวลามีประชุมเช้าก่อนไปเรียนแบบนี้มันจะแสดงอาการหงุดหงิดออกมาอย่างเห็นได้ชัด (‘พี่ก็ไปบอกพวกลูกหอมันเองดิ’ ‘เรื่องของหออื่นไม่เกี่ยวกับหอผม พี่เรียกผมมาทำไหปลาร้าอะไร’ ‘ฟวยไรเนี่ย คิดมากไปป่ะพี่’) เพราะงั้นจึงมีสายตาของพวกประธานหอหลายคนมองมาที่สงครามอย่างประหลาดใจกันหมด

ในที่สุดการประชุมบ้าๆ บอๆ ก็ผ่านพ้น ผมหิ้วกระเป๋าเตรียมออกไปเรียนที่คณะ

“ติดรถกูไปป่ะ” สงครามถาม

ผมยังคงไม่ตอบมัน

“อ้าย มึงอย่าทำตัวเป็นผู้หญิงดิ งอนกูเหมือนผู้หญิงเลยว่ะ”

“ไอ้เหี้ย” ผมร้องด่า “ถอยไป ไอ้สัด”

“แถวนี้ไม่มีพวกลูกหอหรอก” สงครามเอ่ย เวลาที่เราอยู่กันสองคนก็เหมือนมนุษย์ผู้ชายทั่วไปที่สนิทกัน แต่ที่ต้องทำเป็นมีปัญหากันก็เพราะคำว่าประธานหอมันค้ำคอ ซึ่งหอสองกับหอสามไม่ค่อยถูกกันมาอย่างเนิ่นนานหลายสิบปีแล้ว ลูกหอบางคนจึงเข้าใจว่าผมกับสงครามต้องไม่ชอบขี้หน้ากันอย่างแน่นอน ทั้งๆ ที่ไม่จริง แต่ก็ต้องรักษาอาการเหม็นขี้หน้ากันเอาไว้

“มันไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น”

“สัดอ้าย เชี่ยเตมันออกจากโรง’บาลนานมากแล้วนะ และกูก็ทำโทษไอ้พวกเหี้ยที่ไปรุมทำร้ายเชี่ยเตจนมันแทบไม่กล้ามองหน้ากูแล้ว แต่ทำไมมึงต้องสะบัดตูดงอนกูแบบนี้ด้วยวะ ไม่เข้าใจ”

ผมไม่ได้ตอบคำถามอะไรใดๆ ในเรื่องนั้น เอาแต่เดินไปข้างหน้าอย่างเดียว

“มึงคิดว่ามึงงอนแล้วน่ารักเหมือนไอ้ของขาวหอมึงเหรอ”

ผมชะงักกึก ไอ้ของขาวที่สงครามมันว่าต้องหมายถึงอาสาแน่นอน แม้จะมีหลายครั้งที่มันเรียกรวมๆ แต่ครั้งนี้มันหมายถึงอาสาชัวร์ เพราะใครๆ ในหอพักชายล้วนก็ต้องยกให้อาสาเป็นที่หนึ่ง แต่มันพูดแบบนั้นเหมือนดูถูกผมเลยว่ะ ยิ่งทำให้ผมเคืองฉิบหายแทนที่ผมจะรู้สึกดีกับมันมากขึ้น

นี่แหละครับประธานหอสอง มันพูดจาดีๆ ไม่ค่อยเป็นหรอก

“มึงจะเอายังไง” ผมก้าวเข้าไปขยุ้มคอเสื้อไอ้สงคราม อีกฝ่ายถอนหายใจก่อนจะจับมือผมให้ปล่อยคอเสื้อมันทิ้งไปอย่างง่ายดาย
แรงไอ้เหี้ยนี่เยอะมากกกกกกกกกกกก ผมที่สูงน้อยกว่ามันไม่เท่าไหร่ยังสู้แม่งไม่ได้

“ไม่เคยจำสักทีว่าอย่าหาเรื่องผิดคน” สงครามเอ่ยอย่างเซ็งๆ

เออ มึงเก่ง แต่กูโมโห จะให้กูกระทืบเท้าระบายอารมณ์ต่อหน้ามึงหรือไง กูก็ต้องกระชากคอเสื้อมึงดิวะ

ผมคิดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจที่สู้แม่งไม่ได้ ช่างเป็นประธานหอสามที่สุดแสนจะอ่อนแอและพึ่งไม่ได้จริงๆ ผมนี่มัน...ใช้ไม่ได้เอาเสียเลย

“ตกลงหายงอนหรือยัง”

“...”

“ไอ้ห่า กูต้องง้อมึงยังไง นี่กูง้อมาหลายเดือนแล้ว กูเหนื่อยละนะ”

“...”

“เดี๋ยวกูก็เลิกง้อซะเลยนี่”

เรื่องของมึงดิ...ผมเดินหน้าต่อไปทั้งๆ ที่สีหน้าบึ้งตึงยังไม่ผ่อนคลายลง ไอ้สงครามก้าวไม่กี่ก้าวก็ตามผมทัน การมาของมันทำให้คนที่เดินสวนไปมาเป็นกลุ่มพากันแตกฮือ หลีกทางให้มันกันหมด

ทีตอนที่ผมเดินสวนคนเป็นกลุ่ม มันไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนี่

“เหี้ยอ้าย”

“...”

“ฟวยอ้าย”

“...”

“สัดเอ๊ย”

สงครามเดินเลี่ยงออกห่างจากผมระหว่างที่เราทั้งคู่เดินผ่านหอสองและหอสาม ต่อหน้าลูกหอผมกับมันต้องทำตัวไม่สนิทกันอีกครั้ง มันมองผมอย่างขุ่นเคืองก่อนจะเดินเลี่ยงไปยังลานจอดรถของหอมันเพื่อจะไปเรียน

ผมมองตามมันแล้วถอนหายใจ จากที่ฟังๆ มาจากเพื่อนผู้ใกล้ชิดมัน สงครามมันไม่เคยง้อใครขนาดนี้มาก่อน การที่ผมไม่ยอมดีกับมันง่ายๆ แบบนี้เหมือนกำลังแกล้งมันอยู่ยังไงยังงั้น เพื่อนพวกนั้นก็ถามผมว่าผมสนุกที่ได้เห็นมันวิ่งตามผมแบบนี้เหรอ

แต่ผมให้คำตอบในเรื่องนั้นไม่ได้ว่ะ

สักพักหนึ่งเสียงแจ้งเตือนไลน์ของผมก็ดัง

PIPE : กูเห็นมึงแล้ว
PIPE : ออกมาขึ้นรถเลย


เป็นข้อความจากไปป์ เพื่อนในกลุ่มสาขายานยนต์ของผม มันอยู่หอสองก็จริงแต่มันเข้ากับผมได้ดีกว่าประธานหออย่างไอ้สงครามซะอีก

AI : เออ เดี๋ยวเดินไป

ที่สำคัญไปกว่านั้น...ไปป์เป็นมือขวาของไอ้สงครามครับ








ระหว่างทางไปคณะ

ผมเหลือบมองดูไอ้ไปป์ คนขับผู้ซึ่งเป็นเจ้าของหุ่นกำยำพอๆ กันกับสงคราม มันเป็นเพื่อนร่วมสาขาของผมและก็ค่อนข้างสนิทกันมาก แต่เราสองคนจำเป็นที่จะต้องทำตัวไม่ค่อยสนิทกัน สืบเนื่องมาจากการที่เราอยู่กันคนละหอ และไปป์เป็นผู้ช่วยของสงครามอีกทีหนึ่ง

ผมทำตัวสนิทกับประธานหอสองไม่ได้ฉันท์ใด ผมก็ไม่สามารถทำตัวสนิทกับผู้ช่วยประธานหอสองได้ฉันท์นั้น...

“ยังไม่หายโกรธสงครามมันอีกเหรอ” ไปป์ถามนิ่งๆ คำตอบของผมยังไงก็ไปไม่ถึงไอ้สงครามครับ เรื่องนี้ไอ้ไปป์วางตัวดีมาก ผมรับประกันเลย เรื่องไม่ถูกกันระหว่างหอก็เรื่องหนึ่ง เรื่องความเป็นเพื่อนก็อีกเรื่องหนึ่ง

“ไม่รู้ว่ะ ยังไงก็ไม่หายเคืองแม่งสักที”

“มันลงโทษคนพวกนั้นหนักมากเลยนะอ้าย”

“กูรู้ แต่ว่า...”

“นี่ถ้าลูกหอหอสองคนอื่นรู้ว่ามันแคร์มึงขนาดนี้นะ ฉิบหายตายห่า”

“ทำไมวะ”

“ก็เขาคิดกันหมดว่ามึงกับสงครามเกลียดกัน”

“ก็...เกลียดกัน” ผมเริ่มไม่แน่ใจในเรื่องนี้เท่าไหร่ เสียงของผมจึงแผ่วลงไป

“เหรอวะ” ไปป์เหลือบมามองผมยิ้มๆ “พวกมึงเถียงกันบ่อยก็จริง แต่กูมองว่าถ้าได้มาเป็นเพื่อนกันยังไงก็ต้องสนิทกัน”

ผมกับสงครามเคยคุยกันได้ดีในระดับเพื่อนผู้ชายทั่วไป แต่หลังจากที่ผมกับมันได้รับตำแหน่งประธานหอ มิตรภาพระหว่างเราสองคนก็เปลี่ยนไป จริงๆ แล้วผมกับมันก็ยังเหมือนเดิมนั่นแหละ เพียงแต่ว่าหน้าที่มันทำให้เราสนิทกันไม่ได้ อีกอย่างหนึ่งพวกหอสองมันชอบเอารัดเอาเปรียบหอสามไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และเวลาที่ลูกหอของผมมีเรื่องกับพวกหอสองแล้วผมต้องตามไปแก้ปัญหา ผมก็ค่อยๆ ห่างจากไอ้สงครามไปทุกที

ยิ่งเป็นเรื่องของเต และมันทำให้ผมเลิกคุยกับมันไปเลย ทั้งๆ ที่ผมกับสงครามเพิ่งได้มาคุยกันตอนที่มันมาขอให้ผมช่วยติวหนังสือเมื่อเดือนก่อนแท้ๆ

การติวกันครั้งนั้นต้องติวอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ในร้าน Pink Chiffon เพราะคงไม่เหมาะนักหากพวกลูกหอจะเห็นผมกับสงครามอยู่ด้วยกัน ไอ้สงครามบ่นฉิบหายเรื่องการเลือกร้านของผม ทำไมต้องสีชมพู ทำไมต้องเป็นร้านขนม

ก็เพราะร้านแบบนั้นมันไม่มีผู้ชายเข้าไงวะสัด

เอ แต่ตอนนั้นไอ้ทนายกับอาสาก็เข้าไปกินขนมด้วยกันอยู่นะ เอ่อ ช่างเถอะครับ

“ถ้ามึงสองคนไม่ได้เป็นประธานหอกันทั้งคู่ คงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาก”

“ก็คงงั้นมั้ง”

“สงครามไม่เคยเกลียดขี้หน้ามึงเลยนะอ้าย”

“แต่กูเกลียดขี้หน้ามันนะ”

“เอาดีๆ กูว่ามึงไม่เกลียดมันหรอก มึงก็แค่เล่นไปตามบทประธานหออ่ะ”

เซ็งที่แม่งรู้ทันว่ะ “สงครามมันก็ไม่ได้แย่”

“งั้นมึงก็เลิกโกรธมันได้แล้ว”

“นี่มันใช้มึงมาง้อกูป่ะเนี่ย”

“มันไม่รู้ว่ากูกับมึงสนิทกัน”

แม่ง ซับซ้อนฉิบ...ผมเกาหัวแกรกๆ เสมองออกไปนอกหน้าต่างรถราวกับต้องการสื่อให้รู้ว่าไม่อยากพูดเรื่องนี้แล้ว

“แต่ก็ตลกดีนะ ปกติสงครามแม่งเคยง้อใครแบบนั้นที่ไหน”

“...”

“ถ้ามันเหนื่อย มันก็เลิก ดีไม่ดีอาจจะมาด่าซ้ำ แต่กับมึงนี่มันง้อยาวเลย กูรู้สึกตกใจเหมือนกัน”

“กูเริ่มคิดแล้วนะว่ามันใช้ให้มึงมาพูดกับกูอ่ะ” ผมขมวดคิ้ว จ้องจับผิดไปที่ไอ้เหี้ยไปป์

“สาด กูเพื่อนมึงนะเว้ย”

“แต่มึงก็เป็นมือขวาเชี่ยสงคราม”

“มันคนละส่วนกัน กูแค่ไม่อยากให้คนที่เป็นเพื่อนกูทั้งคู่ผิดใจกัน”

“ช่างเหอะ มันไม่เป็นไรหรอก” ผมพูดให้ไปป์สบายใจ “ที่กูไม่ยอมดีกันกับมัน ก็เพราะกูอยากแกล้งมันนี่แหละมั้ง”

“หา”

“มึงบอกเองไม่ใช่เหรอว่าสงครามมันไม่เคยต้องง้อใครอ่ะ”

“เฮ้อ ยังไงก็สงสารประธานหอกูบ้างนะ” ไปป์ยิ้มให้ผม จากนั้นก็เลี้ยวเข้าไปยังคณะ ผมจำรถของสงครามได้ และตอนนี้มันก็จอดอยู่ข้างๆ ผมนั่งตัวลีบ ไม่อยากให้มันเห็นว่าผมอยู่กับไปป์ เพราะไปป์อาจจะมีปัญหาเอาได้ ใครจะไปเดาใจไอ้ประธานหอสองออก
สงครามเดินมาเคาะกระจกรถฝั่งที่นั่งของผมด้วยสีหน้าเซ็งๆ ท่าทางมันมีเรื่องจะพูดกับไปป์

“ฉิบหายแล้ว” ผมหันไปพูดกับไปป์ มันก็ดูตระหนกตกใจเหมือนกัน

“รออยู่นี่” ไปป์เปิดประตูลงไป สงครามก็เลยเลิกเคาะ มันคงมองไม่เห็นผมเพราะว่าฟิล์มรถไปป์ดำสนิท ผมมองดูชายหุ่นนักกีฬาสองคนคุยกัน มองไปมองมาก็ชักจะรู้สึกเหนื่อย ไม่รู้พวกแม่งคุยอะไรกันนักหนา

จริงๆ แล้วผมไม่ควรสนิทกับไปป์ด้วยซ้ำ ชีวิตนักศึกษามอผมเขาอยู่กันเป็นหอ ไม่ได้อยู่กันเป็นสาขาหรือคณะ ตอนที่ผมอยู่ปีหนึ่ง ผมสนิทกับไอ้ธัชมากที่สุด เพราะเราสองคนเข้ากันกับกลุ่มของมีนซึ่งอยู่หอเดียวกันไม่ได้ครับ ไม่ใช่ว่ากลุ่มของมีนจะนิสัยไม่ดี เพียงแต่ว่าไลฟ์สไตล์ไม่เหมือนกัน พวกมันเป็นนักเที่ยวกลางคืนกันยกแก๊ง บางครั้งไอ้ธัชก็ไปกับกลุ่มนี้บ้าง แต่มันก็ชอบเอามาบ่นให้ผมฟังว่ากลุ่มของมีนนั้น ‘ไม่แมน’

คนที่มาช่วยชีวิตไอ้ธัชก็คือไอ้ไปป์ ธัชเสือกเข้ากันได้ดีกับไปป์มากกว่าคนในหอด้วยกัน ผมจึงพลอยสนิทกับไปป์ไปด้วย ไอ้ธัชทำตัวสนิทกับไปป์ได้ ไม่เป็นปัญหาครับ แต่ผมซึ่งมีตำแหน่งประธานหอ สนิทกับไปป์ไม่ได้

ทำไมน่ะเหรอ เพราะผมชอบบอกน้องๆ ว่าอย่าไปยุ่งกับหออื่นให้มากโดยเฉพาะหอสอง ผมบอกคนอื่นไปแบบนั้นจะให้ผมกลืนน้ำลายตัวเองได้ยังไง มันเป็นเรื่องของการทำตัวน่าเคารพน่ะครับ ผมมองดูสงครามกับไปป์คุยกันจนเหนื่อย และในที่สุดสงครามก็เดินไปเรียนสักที

เคยบอกหรือยังครับว่าสงครามมันเรียนวิศวกรรมการบินน่ะ

ไปป์เปิดประตูรถให้ผมหลังจากสงครามเดินไปแล้ว มันมีสีหน้าเกรงอกเกรงใจผมมาก

“คุยเหี้ยไรกันนักหนา”

“ปัญหาชีวิตมันน่ะ” ไปป์ตอบ “เจอกันบนห้องนะ”

“เออ”

“...”

“ขอบใจนะที่ให้ติดรถมา ถ้าไอ้เชี่ยธัชมันไม่เมาค้าง...”

“ได้เสมอ ไม่ต้องห่วงเลย”

ผมพยักหน้าให้ไปป์ ก่อนจะเดินไปข้างหน้า คนที่ผมมองเห็นแผ่นหลังอยู่ไกลลิบนั่นก็คือสงคราม คำพูดของไปป์ที่ว่ามันมีปัญหาชีวิตเริ่มลอยเข้ามาในหัวผม

ไอ้ปัญหาที่ว่ามันคงไม่เกี่ยวกับประธานหอสามอย่างผมใช่มั้ย...








การกลับมาของมีนสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับชาววิศวะประหนึ่งมีอาสาสิบคนหลุดเข้ามาในคณะ

ปกติแล้วคณะของผมจะมีอัตราส่วนผู้ชาย 90 คนต่อผู้หญิง 10 คน พวกผู้ชายมันจะไม่ค่อยสนใจผู้ชายด้วยกันเว้นเสียแต่ว่าคนคนนั้นคืออาสา อย่างที่เคยบอก มันเป็นเด็กประหลาดที่ดึงดูดเพศเดียวกัน แม้ผู้ชายคนนั้นจะชอบผู้หญิงมาทั้งชีวิตแต่ก็ต้องมีหันไปมองไอ้อาสาสักเสี้ยววินาทีบ้าง แม้มีนจะไม่ได้น่ารักถึงขั้นนั้น แต่มีนก็เป็นดาราในวงการคนหนึ่งไปแล้ว

วันนี้ทั้งวันผมจึงได้ยินแต่คนพูดถึงมีน ผมกับไอ้เหี้ยธัชก็คอยแอบมองมันอยู่ตามประสาผู้ชายที่ชอบมองของน่ารักๆ ไอ้พวกที่มาจากหอสองมองตามมีนตาเป็นมัน เหมือนกับที่พวกมันเคยมองตามอาสาเด๊ะๆ

“มีนกลับมาแล้ว ชั้นห้าก็คงมีแขกเยอะเลยสินะ” ธัชพึมพำ

“เออ เพิ่งเจอมาสดๆ เมื่อเช้านี้เอง” ผมตอบอย่างเซ็งๆ

“แล้วมึงทำไง”

“กูจะทำไงได้ล่ะ แค่ไอ้คนที่แอบเข้ามานั่นดีดนิ้วตัวกูก็ปลิวแล้วมั้ง” แม้ผมจะไม่ได้เป็นผู้ชายร่างกายอ่อนแอ แต่ผมจะไปสู้ผู้ชายที่มาจากหอนักกีฬาได้ยังไงล่ะครับ

“มึงก็บอกสงครามดิ”

ผมถอนหายใจ “เรื่องนี้กูบอกมันบ่อยแล้วว่ะ บอกจนกูรู้สึกว่าตัวกูเองแก้ปัญหาไม่ได้แล้วโยนปัญหาไปให้คนอื่น”

“เฮ้อ” ธัชตบบ่าเห็นใจผม “มึงก็ต้องทำใจเรื่องที่เด็กหอเรามันเปิดประตูรอรับไอ้พวกนี้เองด้วยนะ มันเกินกำลังของมึงอ่ะ”

ผมเหลือบมองไปทางมีนที่กำลังยิ้มหัวเราะสนุกสนานกับคนที่เข้ามาคุยด้วย “ก็หวังว่าเด็กหอเรามันจะเมตตากู ไม่ทำอะไรที่มันประเจิดประเจ้อเกินไป”

“เออ มีนคงรู้แหละว่ามึงซีเรียสเรื่องนี้อยู่”

“ขอให้มันเป็นอย่างนั้น”

การจะดูแลลูกหอให้อยู่ในกฎระเบียบเป็นเรื่องยากมากจริงๆ ครับ ระหว่างที่ผมคิดในใจมีนก็ย่างกรายเดินมาหยุดตรงหน้าผมพอดี ผมกลืนน้ำลายมองมีนอย่างตกตะลึง

แม่ง น่ารักว่ะ...

มันเป็นผู้ชายในแบบของอาสาที่ดูโตขึ้นมาหน่อย นั่นหมายความว่ามีนทั้งน่ารักและก็ดูเซ็กซี่เพราะผ่านโลกมามากกว่าคนใสๆ อย่างอาสา

“วันนี้กูจะเลี้ยงเหล้าร้านพี่น้อยอ่ะ ไปด้วยกันมั้ย”

ไอ้ธัชเริ่มมีสีหน้ากระตือรือร้น ได้ข่าวว่ามันเพิ่งหายจากอาการแฮงก์เมื่อคืนนี่เองนะ “งานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของมึงเหรอ”

“ฮ่าๆๆ จะพูดอย่างนั้นก็ได้”

“แดกได้ไม่อั้นใช่ป่ะ”

“แน่นอนดิวะธัช”

“กูไป” ธัชตอบ ก่อนจะหันมาหาผม “เหี้ยอ้ายว่าไง”

“เอ่อ...” จู่ๆ หน้าลูกหอหลายร้อยชีวิตก็ลอยเข้ามาในหัวผม ณ ตอนนั้น

“สัดอ้าย เด็กมันโตแล้ว ปล่อยพวกแม่งดูแลตัวเองบ้างเหอะ” ธัชผู้รู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ถึงกับโวยวาย “อีกอย่างเด็กที่น่าเป็นห่วงที่สุดอย่างอาสามันก็มีแฟนแล้วป่ะวะ เพราะงั้นมึงยิ่งไม่ต้องห่วงเลย”

จริงของมัน...ไอ้อาสาเป็นคนที่น่าห่วงที่สุดในบรรดาลูกหอทุกคนแล้วครับ ถ้าเด็กนี่ปลอดภัย ก็แปลว่าคนทุกคนในหอจะต้องปลอดภัย

นี่ผมเคยชินกับการเป็นประธานหอมากกว่าการเป็นตัวเองไปซะแล้วเหรอวะ

“ไปก็ไป” ผมตอบตกลงในที่สุด “แต่กูไม่แดกจนภาพตัดนะเว้ย” ภาพตัดที่ว่าคือเมาหัวทิ่ม เมาแบบไม่เหลือสติสัมปชัญญะใดๆ อีกต่อไป

“เออ รู้น่า” ธัชยักคิ้วให้ผมกับมีน “แล้วเจอกันเว้ย”

มีนส่งยิ้มให้แล้วเดินจากไป ไอ้ธัชบีบนวดนิ้วมือราวกับมันกำลังจะได้เที่ยวครั้งแรกในรอบยี่สิบปี

“ไหนบอกกลุ่มมีนไม่แมนไง” ผมแซวเล่นๆ

“สัด มันไม่แมนแต่มันก็เป็นเพื่อนกูป่ะวะ”

“เออ กูเข้าใจ”

“มึงต้องเข้าใจเว้ยว่ากลุ่มมีนแม่งเป็นแบบมีนทุกคนอ่ะ กูเข้าไม่ถึงเว้ย”

“บอกแล้วไงว่ากูเข้าใจ ไอ้ห่า”

“มึงว่าคนจะไปกันเยอะมั้ยวะ”

“มีนจัดงานนะเว้ย คงเหมาร้านอ่ะ”

“จะมีแต่พวกหอสามหรือเปล่า”

ธัชกับผมมองไปที่มีนซึ่งเดินชวนคนนั้นคนนี้ไปทั่ว “กูว่าน่าจะมีคนจากทุกหอเลย”

















[มีต่อนะคะ]






ออฟไลน์ Chiffon_cake

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 712
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1544/-12






ร้านเหล้าน้อย

หลังจากฝากฝังให้พวกรุ่นพี่ดูแลพวกรุ่นน้องในหอ ผมก็สบายใจที่จะมาดื่มในที่สุด มีนมันไม่ได้คิดจะเลี้ยงแค่โต๊ะสองโต๊ะครับ แต่มันเหมาทั้งร้านเลย

“อ้าย ธัช มาแล้วเหรอวะ นู่นเลย ไปนั่งโต๊ะนู้น” มีนเดินมาต้อนรับแล้วพาผมไปยังโต๊ะของแขกผู้ทรงเกียรติ คนที่นั่งอยู่ก่อนแล้วมีแต่ระดับบิ๊กๆ ของหอพักชายซึ่งรู้จักกับมีน มีประธานหออย่างน้อยก็สามหอครับ และที่สำคัญ...มีไอ้สงครามด้วย

“ไงภาม” ผมทักประธานหอหกที่ขยับให้ผมไปนั่งข้างๆ “วันนี้ไม่มีคิวร้องเพลงเหรอวะ”

“ไม่มี ให้รุ่นน้องไปร้องแทนแล้ว”

“มีนชวนทั้งทีสินะ”

“ใช่ จะพลาดได้ยังไง”

ผมยิ้มให้ไอ้ภาม รับแก้วที่ได้รับการชงมาจากรุ่นน้องหอสาม ผมมองดูหน้าทุกคนซึ่งผมรู้จักมักจี่เป็นอย่างดีด้วยสายตาปกติธรรมดา แต่พอมองไปถึงไอ้สงครามทีไรผมก็รู้สึกแปลกๆ ทุกครั้งไป อาจเป็นเพราะผมยังต้องทำเป็นโกรธมันอยู่มั้ง ผมเป็นคนฟอร์มเยอะครับ ผมรู้ตัวดี

สงครามเป็นเด็กหอสองเพียงไม่กี่คนในงานนี้ แต่เชื่อเถอะครับว่าการนั่งอยู่เฉยๆ ของมันก็สามารถทำให้คนทั้งโต๊ะเกร็งกันไปหมดแล้ว จริงๆ จะพูดว่าเกร็งทั้งโต๊ะก็ไม่น่าจะถูกที่สุด เพราะคนอย่างมันทำให้คนเขาเกร็งกันทั้งร้าน

“มีอะไรจะคุยกับกูใช่มั้ย” สงครามเอ่ยท้วงเมื่อเห็นผมมองไปพอดี

“ไม่มี” ผมรีบปฏิเสธ

“มาเป่ายิ้งฉุบกัน”

อะไรนะ ผมมองหน้าไอ้สงครามอย่างไม่เข้าใจ

“ถ้ากูชนะ มึงต้องหายโกรธกู”

คนอื่นๆ หลุดขำ ขณะที่ผมทำหน้าซีเรียส “สาด เล่นเป็นเด็กๆ”

“ทีมึงยังงอนกูเป็นเด็กๆ เลย”

“กูไม่ได้...”

“เอางี้ดิ” ไอ้ตั้ม ประธานหอสี่ที่ไม่ควรจะมาอยู่แถวนี้เอ่ยแทรกขึ้นมา “สั่งเบียร์มาคนละเหยือก ใครเมาก่อนแพ้ ถ้าไอ้อ้ายแพ้ต้องหายงอนไอ้สงคราม”

“เดี๋ยว” ผมรีบประท้วง “งานเลี้ยงต้อนรับมีนนะเว้ย ทำไมต้องมาทำอะไรแบบนี้วะ”

“เอาเลยอ้าย กูไม่ว่า” สัดมีนเดินเข้ามาแตะไหล่ผมพร้อมส่งรอยยิ้ม

ทุกคนเชียร์กันไปหมดจากเชียร์กันทั้งโต๊ะกลายเป็นเชียร์กันทั้งร้าน ฉิบหายแล้ว ถ้ามาขนาดนี้มันไม่ใช่แค่เรื่องระหว่างผมกับสงครามแล้วล่ะ แต่มันเป็นการแข่งขันปกป้องศักดิ์ศรีของประธานหอ

ตั้มดูพอใจที่ทำให้ทุกคนสนุกสนาน “กูเลี้ยงเอง” แถมมันยังไม่ลืมที่จะโชว์ความป๋าตามสไตล์เด็กหอสี่ด้วย

“ถ้ากูแพ้ กูต้องหายโกรธมึงงั้นสินะ” ผมพูดกับสงคราม

“...”

“แล้วถ้ากูชนะล่ะ กูจะได้อะไรจากมึง”

แขกของมีนคนอื่นๆ เริ่มเดินมาดูการแข่งดวดเบียร์ระหว่างผมกับสงครามซึ่งกำลังจะเริ่มในไม่ช้า พวกที่นั่งอยู่ที่โต๊ะลุกขึ้นยืนเพื่อให้ผมได้นั่งแข่งกับสงครามแค่สองคน

“มึงอยากได้อะไรล่ะ”

ผมไม่เห็นจะอยากได้อะไรจากมันเลย แต่เอ๊ะ...หอสองมีอย่างหนึ่งที่หออื่นไม่มีนั่นก็คือห้องฟิตเนส และไอ้หอบ้านี่ก็มีห้องฟิตเนสทุกชั้นด้วยครับ (ถึงกระนั้นพวกแม่งก็ยังแย่งกันใช้เครื่องออกกำลังกายอ่ะ)

“กูจะเล่นฟิตเนสหอมึงหนึ่งเดือน”

สิ้นเสียงของผม เสียงฮือฮาก็ดังระงมไปหมด ปกติแล้วห้องฟิตเนสของหอสองไม่ให้เด็กหออื่นเข้าไปใช้หรอกครับ

“หึ ได้” สงครามรับคำ “ถ้ามึงชนะ กูจะให้มึงเล่นคนเดียวทั้งห้องเลย”

ผมถูกใจในข้อเสนอนี้ ตั้มเดินมาแหวกคนที่เข้ามามุงพร้อมๆ กับบอกให้เด็กร้านพี่น้อยเอาเหยือกเบียร์มาวางไว้หลายๆ เหยือก ผมนับดูคร่าวๆ น่าจะเป็นจำนวนเกือบสิบ

เหี้ย เยอะเกินไปเปล่าวะ

สงครามยิ้มมุมปาก ดูไม่ยี่หระกับจำนวนมหาศาลของเหยือกเบียร์ ผมจึงจำเป็นต้องทำหน้าไม่เกรงกลัว มีลูกหอของผมหลายคนจ้องมองมา ผมไม่อยากทำให้พวกมันผิดหวัง

“เอาล่ะนะ” ไอ้เชี่ยตั้มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพร้อมอัพลงโซเชียลตลอดเวลา สัด แม่งอัดคลิปด้วย “นี่คือสงครามระหว่างหอที่โด่งดังของมอ B นะครับ ฝั่งซ้ายคือประธานหอสามชื่อว่าอ้าย ฝั่งขวาคือประธานหอสองชื่อสงคราม ศึกนี้มีเดิมพันสูงส่งมาก ใครแพ้แม่งควรเอาปี๊บมาคลุมหัวหลังแข่งเสร็จนะ”

ไอ้เหี้ย มึงจะเริ่มได้หรือยัง

“ถ้าพร้อมแล้วก็ลุยเลย”









“อ้าย ไหวป่ะ”

“...”

“เชี่ยอ้าย”

คนที่เข้ามาช่วยพยุงผมก็คือมีนกับธัช ผมแพ้ไอ้สงครามชนิดที่ว่าน่าอายฉิบหาย ตอนนี้สภาพของผมไม่สามารถดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มได้อีกต่อไป ขณะที่สงครามนั้นมันยังสามารถดื่มได้ต่อเหมือนเหยือกเบียร์หลายๆ เหยือกที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่น้ำเปล่า

มีความจริงอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับพวกหอสองที่ท่านควรรู้เอาไว้ครับ พวกนี้แม่งคอแข็งสัดๆ ผมพลาดเองนั่นแหละที่ไปตอบรับการท้าทายของไอ้สงเหี้ย

“ขอบใจมากมีน มึงเข้าไปในร้านเถอะ เดี๋ยวกูดูไอ้อ้ายเอง” ธัชเอ่ย

“มันดูแย่มากเลยว่ะ”

“ก็ต้องยับเยินดิวะ แดกเข้าไปเยอะขนาดนั้น นานๆ ทีมันแดกด้วยก็เลยเมาง่าย” ไอ้ธัชขยับตัวเหมือนควานหากุญแจรถ “กุญแจกูไปไหนวะ”

“มึงลืมไว้ในร้านหรือเปล่า”

“ชัวร์เลย น่าจะอยู่บนโต๊ะ” ธัชจับตัวผมให้ทรงตัวดีๆ “ฝากเชี่ยอ้ายก่อน เดี๋ยวมา”

ธัชเดินไปแล้ว ผมที่ตัวใหญ่กว่ามีนกำลังจะทำให้มีนล้มทั้งยืน โชคดีที่มีมือปริศนามารับตัวผมเอาไว้ช่วยมีนอีกแรง คนคนนั้นแม่งตัวใหญ่แถมยังมีเสียงทุ้มเป็นเอกลักษณ์

คนที่ผมเพิ่งจะพ่ายแพ้ให้กับมัน ไอ้สงคราม

“มึงไปดีกว่า ถ้าอ้ายมันรู้ว่ามึงมาช่วยทั้งๆ ที่มันเพิ่งจะแพ้มึงมา มันโกรธตาย”

จริงๆ ผมก็รู้อยู่นั่นแหละ แต่ผมไม่มีสติพอที่จะเถียงหรือโวยวายอะไรทั้งสิ้น ตอนนี้ที่ผมต้องการมากที่สุดก็คือเตียงในห้อง 101 ของผม

“มันไม่รู้หรอก” เชี่ยสงครามแม่งกวนตีนด้วยการใช้มือดีดริมฝีปากผมเล่น “เห็นมั้ย ถ้ามันรู้ตัวป่านนี้มันคงด่าไปแล้ว”

ฟายยยยยยยยยยยยย เชี่ยธัชพากูไปจากตรงนี้เร็วๆ ที

“ต้องเอามันไปส่งรถสัดธัชใช่ป่ะ”

“ช่าย” มีนตอบ “ธัชลืมกุญแจ มันกำลังไปหยิบมา”

“พวกหอสามอ่อน”

“ว่าไงนะ” มีนโกรธแทนผมไปแล้ว

“ฮ่าๆๆ ล้อเล่นน่า”

“รู้ว่าอ้ายมันโกรธทำไมไม่ง้อมันดีๆ ทำไมต้องแกล้งมันด้วยวะ”

“กูง้อสารพัดวิธีแล้วเหอะ เหี้ยอ้ายไม่ยอมหายโกรธเอง แม่งเด็กน้อยสัด”

ผมสาบานไว้ ณ ตรงนี้เลยว่าถ้าสติผมกลับคืนมาเต็มร้อยเมื่อไหร่ ผมจะไปเอาเรื่องไอ้สงครามอย่างแน่นอน

“มีน” เสียงของสงครามเปลี่ยนไปหลังจากที่พูดประโยคนั้นภายในเวลาไม่ถึงนาที

“อะไรวะ”

“กูดีใจที่มึงกลับมานะ”

ทำไมเสียงมันอ่อนโยนแปลกๆ วะ ผมไม่เคยได้ยินเสียงของสงครามเป็นแบบนี้มาก่อน

“มึงอย่าไปไหนนานๆ อีกได้ป่ะ”

“...”

“กูคิดถึงมึงว่ะ”

หา ยังไงนะ ผมขยับใบหน้าหน่อยหนึ่งพร้อมกับเปิดตามองดูคนที่หิ้วปีกผมสองคน คนขวาคือไอ้สงคราม มันกำลังมองดูคนซ้ายซึ่งก็คือไอ้มีน

บรรยากาศแม่งสีชมพูแปลกๆ ว่ะ มีนดูขวยเขิน ขณะที่สงครามนั้นมีสายตาที่หวานหยดจนผมรู้สึกแปลกๆ

ไม่เคยเห็นมันทำสายตาแบบนี้กับใครมาก่อน

“ดีใจนะที่มึงคิดถึงกูอ่ะ” มีนยิ้ม

“มึง...คือว่า...” สงครามใช้มือข้างที่ไม่ได้จับแขนผมเกาหัวแกรกๆ ใบหน้าดูเขินอายอย่างเห็นได้ชัด

“ว่าไง”

“ตอนนี้มึงมีใครหรือยัง”

แบบนี้แปลว่าสงครามชอบมีนใช่มั้ย ผมวิเคราะห์ถูกใช่มั้ยครับ

“ยังไม่มี” มีนตอบยิ้มๆ คำตอบของมันทำเอาสงครามยิ้มออกบ้าง

ผมเป็นคนเมาที่รู้สึกอึดอัดกับบทสนทนาของสองคนนี้ แน่นอนว่ามันไม่เกี่ยวกับผมอย่างสิ้นเชิง สงครามจะชอบมีนหรือมีนจะชอบสงครามแล้วสองคนนี้มันจะคบกันก็เรื่องของพวกมัน เพียงแต่ว่าผมมีอะไรบางอย่างที่ขัดอยู่ในหัวใจ ตอนที่มีนบอกสงครามว่ามันไม่มีใคร ทำไมภาพตอนที่มีเด็กหอสองแอบเข้าไปในห้องมันถึงลอยเข้ามาอยู่ในหัวของผมได้

งงไปหมดแล้วกู...







ห้อง 101

ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนกลางดึก มือถือของผมมีไฟส่องสว่าง คนที่ทำให้มือถือมีการแจ้งเตือนมาในขณะนี้คือพวกลูกหอ มันเป็นข้อความจากกรุ๊ปไลน์ของหอสามที่เด้งไม่หยุด ผมไม่เคยปิดแจ้งเตือนกรุ๊ปนี้เลย ถึงแม้ว่าบางทีพวกมันจะคุยกันในเรื่องไร้สาระมากก็ตาม เช่น วันนี้อาสาใส่ชุดนอนสีอะไร การล้อเลียนไอ้ทนายเรื่องที่หึงแม่งทุกเรื่อง หรือไม่ก็คุยกันเรื่องดาราผู้หญิงที่กำลังมาแรงและเซ็กซี่

ใต้การแจ้งเตือนของกรุ๊ปไลน์หอสาม มีข้อความจากไอ้สงครามซึ่งส่งมานานมากแล้ว

สงเหี้ย หอสอง : พิมพ์มาว่าจะไม่งอนกูอีกแล้ว
สงเหี้ย หอสอง : เร็วๆ กูจะแคปเก็บ


เป็นประธานของหอโหดแต่ทำไมการกระทำหลายอย่างช่างแบ๊วเกินจะทน ผมรีบพิมพ์ตอบกลับไปอย่างกระแทกกระทั้น

AI : ฟวย

แปลกแต่จริงที่มันอ่านแล้วตอบอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่ตอนนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว

สงเหี้ย หอสอง : อย่าให้กูโมโห

ยังไงคนแพ้ก็คือคนแพ้สินะ ผมพิมพ์ตอบไปอย่างเซ็งๆ ไม่ได้สมัครใจที่จะพิมพ์เลยสักนิด

AI : กูจะไม่งอนมึงอีกแล้ว

สงเหี้ย หอสอง : ฮ่าๆๆ ดีมาก
สงเหี้ย หอสอง : /แนบรูปข้อความ ‘กูจะไม่งอนมึงอีกแล้ว’


กวนตีนสัดๆ มันแคปจอเก็บไว้ไม่พอยังตัดภาพให้เหลือแค่ข้อความของผมอีก ผมหงุดหงิดมากจนอยากจะพิมพ์ด่ามันกลับไปอีกสักยก แต่สงครามพิมพ์ตอบกลับมาในสิ่งที่ทำให้ผมชะงัก

สงเหี้ย หอสอง : เด็กหอมึงไปต่อร้านอื่นอ่ะ
สงเหี้ย หอสอง : กูเพิ่งเห็นมันกลับเข้ามาเมื่อสิบห้านาทีที่แล้ว


ผมขยี้ตา ทำท่าจะเปิดประตูไปตรวจดูว่าใครคือคนที่เข้าหอพักหลังเวลาเที่ยงคืน แม้หอพักชายของเราจะมีกฎยืดหยุ่นแบบสุดๆ แต่สำหรับหอสามของผมยังไงก็ต้องมีเคอร์ฟิวส์กันบ้างแหละครับ ไม่งั้นเละเทะแน่นอน

สงเหี้ย หอสอง : กูด่าและก็ให้วิดพื้นแล้วล่ะ ไม่ต้องไปทำเหี้ยไรพวกมันหรอก

ผมกลืนน้ำลาย ไม่คิดว่าสงครามมันจะช่วยลงโทษลูกหอให้ผม

AI : มึงอยู่ดูลูกหอให้กูเหรอวะ
สงเหี้ย หอสอง : เออดิ ประธานหอเมาซะเดี้ยงขนาดนั้น
สงเหี้ย หอสอง : ถ้าไม่ใช่กู ใครจะดูลูกหอให้มึง


เมื่อเช้ามันรดน้ำต้นไม้ให้ ตกเย็นมันอยู่ดูจนลูกหอคนสุดท้ายกลับเข้ามา ให้ตายสิ เพราะงี้ไงผมถึงไม่เคยกลัวมันสักที คนอื่นมองว่ามันน่ากลัวอย่างงั้นอย่างงี้ แต่ผมสัมผัสการเป็นประธานหอสองของมันมานานมากครับ สงครามมันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คนอื่นคิดเลย

มันเป็นคนดี...

AI : ขอบใจ
AI : นอนได้แล้วไอ้สัด
สงเหี้ย หอสอง : มึงอยากมาใช้ฟิตเนสหอกูเมื่อไหร่ก็บอกละกัน
AI : กูไม่ใช้!
สงเหี้ย หอสอง : มีกูดูอยู่ ไม่มีใครล้อมึงว่าแพ้แต่ทำตัวไม่สมกับแพ้หรอกน่า
AI : มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี
สงเหี้ย หอสอง : จ้า นอนแล้วนะ ง่วงสัดๆ
AI : เออ ขอบใจอีกรอบนะ


ผมวางโทรศัพท์ลงพลางนิ่งคิดอะไรนิดหน่อย แม้วันนี้จะรู้ว่าสงครามมันมีใจให้มีนแต่ความดีของมันก็ทำเอาผมเลิกโฟกัสเรื่องนั้นไปซะฉิบ
และก็ที่สำคัญ...ผมเกือบลืมบันทึกโน้ตสุขใจไปแล้ว

โน้ตสุขใจ
1. สงครามแม่งรดน้ำให้หอสาม (ไม่รู้ทำไปเพื่ออะไรและเพื่อใคร ตัวเองเป็นประธานหอสองแท้ๆ)
2. มีนกลับมาแล้ว
3. สงครามดูลูกหอที่กลับดึกให้ด้วย
4. สงครามบอกให้ใช้ฟิตเนสที่หอสองได้ (แม้จะไปใช้ไม่ได้ก็ตาม)
5. สงครามมันก็ทำอะไรหวานๆ เป็น


ให้ตายเถอะ ทำไมมีแต่เรื่องไอ้สงครามที่เป็นเรื่องดีๆ ของผมในวันนี้วะ...
ผมขอเพิ่มอีกข้อได้ป่ะ

6. สงครามแม่งตั้งใจง้อเราจริงๆ ว่ะ






TBC*

ออฟไลน์ Chiffon_cake

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 712
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1544/-12


ตอนที่ 2



ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ผมถูกปลุกด้วยเสียงเคาะประตู ให้เวลาตัวเองสะลึมสะลือประมาณเจ็ดวินาทีก่อนจะไปเปิดประตูรับ เพราะผมรู้ว่าต้องเป็นลูกหอคนใดคนหนึ่งมีปัญหาแน่นอน

คนที่มาเคาะคือเด็กปีหนึ่งหน้าตาดีมากและเรียนอยู่คณะแพทย์ ถ้ามันไม่หน้าตาดีขนาดนี้ มันก็คงเด้งไปอยู่หอหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัยเลยครับ

“พี่อ้าย ผมหมดความอดทนแล้ว” มาเคาะแต่เช้าแถมยังทำหน้าเหมือนแดกนมบูดเข้าไปแบบนี้ ดูก็รู้ว่าแม่งไม่เหลือความอดทนจริงๆ นั่นแหละ

“มีอะไรวะ”

“เหี้ยประทีปห้องข้างผมไม่ยอมเลิกส่งเสียงดังอ่ะ ผมอ่านหนังสือไม่ได้เลย”

มันบ่นเรื่องนี้มาแปดชาติเศษแล้วครับ ผมเองก็ด่าไอ้ประทีปผู้ซึ่งเรียนเอกแซ็กโซโฟนไปเป็นล้านครั้งเรื่องการส่งเสียงดัง แต่มันก็ยังไม่เกรงใจคนอื่นเหมือนเดิม

“เออ ไปเรียกมันลงมาหน้าหอให้ที”

“พี่จะทำอะไรมัน”

“ก็ด่ามันให้ไง”

“...”

“อาจจะให้มันไปกวาดใบไม้ต้นไม้รอบๆ หอด้วย”

“แค่นั้นจริงๆ นะ”

“ก็แค่นั้นแหละ”

มันวิ่งขึ้นไปตามไอ้ประทีปให้ผมแล้ว ผมมองตามอย่างขำๆ แม่งอยากให้ผมด่าประทีปให้ แต่ไม่ยอมให้ลงโทษอะไรแรงๆ ตลกดีเหมือนกันนะครับ

ตอนผมอยู่หน้าหอ ประทีปมันยังอยู่ในชุดนอนอยู่เลย มันทำหน้าเหมือนเพิ่งตื่นซึ่งไม่ต่างจากหน้าผมเท่าไหร่

“กูรู้ว่ามึงต้องซ้อมนะ แต่บางทีมันก็กวนห้องอื่นอ่ะ”

“ผมผิดเองนั่นแหละ” ประทีปน้อมรับแต่โดยดี

“ไป ไปกวาดใบไม้ซะ”

“วิดพื้นแทนไม่ได้เหรอ”

“ไปกวาดใบไม้”

ประทีปดูเซ็งๆ แต่ก็ไปหยิบไม้กวาดทางมะพร้าวมาจนได้ ผมส่ายหน้ามองตาม จังหวะนั้นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่พวกหอสองวิ่งผ่านผมไปเป็นฝูง

“ช้า! ไอ้สัด ตอนเอาคนอื่นทำไมไม่ช้าแบบนี้บ้าง!” เสียงสงครามตะโกนดังอยู่ไม่ไกล คำด่าของมันทำเอาผมสะอึกไปเหมือนกัน นี่มึงด่าลูกหอมึงแบบโจ่งแจ้งขนาดนี้เลยเหรอ

“ขอโทษครับ”
“ขอโทษคร้าบบบ”
“ขอโทษครับ”

เสียงประสานกันของพวกหอสองซึ่งวิ่งอยู่ทำเอาผมตกตะลึง มันพร้อมเพรียงกันยิ่งกว่าทหารซะอีก สงครามมองตามอย่างโหดๆ พร้อมกับทำหน้าโมโห เป็นหน้าตาที่ทุกคนรู้ว่าไม่ควรเข้าใกล้อย่างแรงในเวลานี้

การลงโทษลูกหอด้วยการกวาดใบไม้ของผมดูแบ๊วไปซะฉิบ

สงครามที่ทำหน้าโหดอยู่ฝั่งตรงข้ามมองเห็นผมพอดี มันเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็วชนิดที่ว่าพลิกจากหลังตีนเป็นหน้ามือ

“ตื่นไวนี่” สงครามทัก

“ลงโทษพวกนั้นเหรอ”

“เออ”

“พวกมันทำอะไรผิดอ่ะ” อดอยากรู้ไม่ได้จริงๆ ครับ

“ก็ปีนหอสามไงสัด”

ผมอ้าปากค้าง คนที่วิ่งผ่านผมไปเมื่อตะกี้ไม่ใช่แค่คนสองคนแต่มีเป็นสิบ ไอ้เหี้ย นี่ผมปล่อยให้พวกหอสองมาปีนหอผมเล่นเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ

ปวดหัวเลยว่ะ

“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวกูเล่นพวกมันให้หนัก”

“...”

“มึงก็ให้ลูกหอมึงที่ปล่อยไอ้พวกนี้ปีนขึ้นไปง่ายๆ กวาดใบไม้ไปละกัน ดูเข้ากับหอมึงดี”

ไอ้...ผมไม่รู้จะด่ามันด้วยคำไหนดี มันคงคิดว่าการลงโทษของผมดูหน่อมแน้มเกินไปสินะ แต่เอาเข้าจริงผมก็ไม่กล้าสั่งลงโทษลูกหอแบบโหดๆ อย่างประธานหอสอง ผมทำได้แค่กวนประสาทกับลงโทษเบาๆ แค่นั้น

สงครามกลับมาทำหน้าขึงขังอีกครั้งเมื่อลูกหอที่ถูกลงโทษวิ่งผ่าน ผมถอนหายใจยาวเหยียด พลางคิดในใจว่าตอนไหนนะที่ผมจะสามารถเด็ดขาดได้ถึงระดับสงครามบ้าง

“เร็วกว่านี้ ยังเหลืออีกตั้งหลายรอบ!”

“ขอโทษครับ”

“ขอโทษคร้าบบบ”

เมื่อลูกหอผ่านไปไกล สงครามก็เปลี่ยนสีหน้าอีกครั้งตอนมองผม

“แฮงก์บ้างป่ะ”

“มึงกำลังล้อกูเรื่องที่กูแพ้เมื่อคืนอยู่ใช่มั้ย” ผมหรี่ตามองมัน

“ไอ้สัด กูถามดีๆ”

“ก็เพลียนิดหน่อย”

“ไม่ต้องไปเรียน นอนอยู่หอไป”

“ฟวย กูมีคุยโปรเจ็กต์”

เป็นการคุยแบบห่างๆ โดยมีถนนระหว่างหอคั่นกลาง ถ้าผมยังโกรธมันอยู่ ป่านนี้ผมคงไปยืนที่อื่น ไม่มายืนให้มันถามง่ายตอบง่ายแบบนี้

จริงๆ แล้วผมก็รู้สึกว่าไม่ได้คุยกับมันมานานมากแล้วเหมือนกัน ทั้งๆ ที่ช่วงเวลาที่ผมโกรธมันก็แค่เดือนกว่าๆ เอง

“มีอะไรจะถามมึงอ่ะ” สงครามเอ่ยต่อ

“ว่าไง”

“มึงสนิทกับไอ้ไปป์เหรอ”

“...”

“ทำไมกูไม่เคยรู้”

จะให้มึงรู้ได้ไงล่ะวะ หอสองกับหอสามมันเหมือนกันซะที่ไหน เท่าที่ได้ยินการปกครองของพวกหอสองมา การที่ลูกหอไปสนิทกับคนจากหออื่นโดยเฉพาะประธานนี่มันไม่ใช่เรื่องดีเลยจริงๆ ยิ่งไอ้ไปป์ซึ่งเป็นคนสนิทของไอ้สงคราม มันยิ่งไม่น่ามาสนิทกับผมใหญ่เลย

ผมมองดูเด็กหอสองที่ถูกเชี่ยสงครามลงโทษแล้วรู้สึกตื่นตกใจกับคำถามของมันมาก จึงจำเป็นต้องตอบเลี่ยงๆ

“ไม่ได้คุยอะไรมากหรอก กูกับมันอยู่สาขาเดียวกันก็จริงแต่กูก็ไม่รู้จักมันเท่าไหร่”

“เหรอวะ เมื่อคืนที่ร้านหลังมึงกลับไปมันดูเป็นห่วงมึงมากเลยนะ”

“ก็ตามประสาเพื่อนร่วมสาขานั่นแหละ”

สงครามหรี่ตามองผม ส่วนผมก็จ้องตามันกลับ

“มึงมีแผนทำอะไรหอกูหรือเปล่าเชี่ยอ้าย” ดูความคิดมันสิครับ แม่งคิดได้ไง “มาอ่อยคนสนิทกูเพราะอยากล้วงความลับของหอกูใช่มั้ย”

“หอมึงมีสมบัติพันล้านเหรอ กูจะไปล้วงความลับทำไส้ติ่งอะไร”

“...”

“แล้วทำไมต้องใช้คำว่าอ่อย ไอ้สัด กูไม่ได้อ่อย”

“พวกหอสามก็เหมือนกันหมด ขี้อ่อย”

ผมจะคุยกับมันดีๆ ได้ถึงห้านาทีมั้ยเนี่ย...แบบนี้เรียกด่าแบบเหมารวมชัดๆ

“บอกหอกูขี้อ่อย แต่มึงก็หลงเสน่ห์คนในหอขี้อ่อยไม่ใช่เหรอ อย่าคิดว่ากูไม่รู้”

สงครามตกใจกับคำพูดที่เพิ่งจะได้ยิน

“มึงรู้เหรอ”

“เออ ให้กูพูดชื่อมั้ยล่ะ”

เป็นครั้งแรกที่สงครามพูดไม่ออกบอกไม่ถูกขนาดนี้ เรื่องมีนคงเป็นจุดอ่อนของมันจริงๆ มันทำหน้าสลดลงไปเล็กน้อย แต่พอเห็นลูกหอที่ถูกลงโทษวิ่งผ่าน มันก็เปลี่ยนสีหน้ากลับมาเป็นคนโหดอีกรอบ

เกิดเป็นสงครามก็ใช้ชีวิตยากเหมือนกันนะเนี่ย ผมรู้สึกเหมือนผมเห็นเงาตัวเองยังไงก็ไม่รู้

“อย่าเลย” สงครามพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง แต่ผมได้ยิน

“...”

“กูยังไม่หายช้ำใจจากเมื่อคืน”

ทำไมต้องพูดให้กูอยากรู้ต่อด้วยวะ ผมกำลังจะอ้าปากถาม แต่สงครามก็กลับหลังเดินเข้าหอตัวเองไปแล้ว รู้สึกไม่เข้าใจแฮะ ตอนนั้นผมเมาก็จริง แต่ผมก็พอจะเดาออกว่าสงครามกับมีนมีซัมธิง เพียงแต่หลังจากเหตุการณ์ที่ผมรับรู้มันเกิดอะไรขึ้นบ้างผมก็ไม่อาจทราบได้ แต่ที่แน่ๆ ไม่น่าจะใช่เรื่องดีเท่าไหร่

มีนแม่งทำอะไรสงคราม...










คณะวิศวฯ

“เหี้ยธัช” หลังจากที่ผมลงจากรถของเพื่อน ผมก็ยิงคำถามใส่มันทันที “หลังจากที่กูกลับเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น มีนทำอะไรวะ”
ไอ้ธัชหาวหวอดๆ ก่อนตอบ “มีนก็คือมีน แม่งก็อยู่กับคนนั้นคนนี้ไปทั่วอ่ะ”

ผมเริ่มจะเห็นเค้าลางอะไรบางอย่าง “ตอนนั้นสงครามก็อยู่ด้วยใช่ป่ะ”

“มันอยู่จนเลิกงาน”

ผมรู้ว่าสงครามมันชอบมีน แต่ผมไม่รู้ว่ามีนคิดยังไง ผมรู้จักมีนมาสามปีกว่า รู้ดีว่ามันเป็นผู้ชายที่ควงคนนั้นคนนี้ได้ไม่ซ้ำหน้า ถ้าสงครามมันรู้เหมือนที่ผมรู้แต่มันยังชอบมีนอยู่ ก็คงเป็นการตัดสินใจของตัวมันเอง

สิ่งที่ผมกลัวก็คือมันช้ำใจเพราะมันไม่รู้ว่ามีนเป็นคนยังไงนี่แหละ

“มึงนี่ก็นะ ดันไปตอบรับคำท้าไอ้สงครามทั้งๆ ที่รู้ว่าจะแพ้อ่ะ”

“อย่าตอกย้ำได้ป่ะวะ” เรื่องนี้แม่งต้องติดตัวผมไปยันลูกหลานผมบวชแน่นอน

“เออเว้ย พูดเรื่องโปรเจ็กต์กันหน่อย” อยู่ดีๆ ไอ้ธัชก็เป็นการเป็นงานเฉย “สรุปกลุ่มโปรเจ็กต์เราจะมีมึง กู แล้วก็ไอ้ไปป์นะ”

จริงๆ โปรเจ็กต์นี้ผมกับธัชเริ่มทำมาตั้งแต่ตอนปิดเทอมขึ้นปีสี่แล้วครับ แล้วไปป์มันตามมาสมทบทีหลังเพราะโปรเจ็กต์มันใกล้เคียงกับของพวกผมมากจนอาจารย์ให้มาทำด้วยกันซะเลย ตอนแรกไอ้เชี่ยไปป์แม่งเปรี้ยว ไม่ยอมจับกลุ่มโปรเจ็กต์กับคนอื่น แต่พอรู้ว่าจะได้อยู่กับผมกับไอ้ธัช มันก็ยอมเฉยเลย

“มึงโอเคใช่มั้ย”

“ทำไมกูจะไม่โอเคล่ะวะ”

“นึกว่ามึงกลัวจะมีปัญหากับไอ้สงคราม”

“กูเคยกลัวมันด้วยเหรอธัช”

“จริงๆ ในมอเราก็มีแต่มึงนั่นแหละที่ไม่กลัวมัน” ไอ้ธัชพูดเบาๆ “ยังไงก็ต้องบอกให้ธัชไปคุยกับสงครามเรื่องนี้หน่อยนะ นี่มันโปรเจ็กต์จบเลยนะเว้ย กูไม่อยากมีปัญหา”

มีแต่คนคิดไปเองว่าผมกับสงครามเกลียดกันนักหนา ทั้งๆ ที่จริงๆ มันไม่มีอะไรในกอไผ่ด้วยซ้ำ แต่จะมีคนคิดอย่างนั้นก็ไม่ผิด เพราะต่อหน้าคนอื่นผมกับสงครามก็ทำตัวเป็นศัตรูกันเสมอ เว้นเสียแต่จะมีโอกาสคุยกันสองต่อสองอย่างเมื่อเช้า

เกิดเป็นประธานหอมันก็เหนื่อยอย่างนี้แหละ

โปรเจ็กต์จบกลุ่มผมมีหัวข้อแล้ว ผม ไอ้ธัชและก็ไอ้ไปป์จะไปคุยกับอาจารย์ตอนบ่ายโมงเรื่องความคืบหน้า กว่าไอ้ไปป์จะโผล่มาก็ปาเข้าไปเที่ยงสี่สิบห้าแล้ว

“โทษที” มันพูด “เชี่ยสงครามเป็นบ้า”

ผมเลิกคิ้ว “ยังไง”

“สงสัยงานเลี้ยงต้อนรับมีนเมื่อคืนมันไปแดกเหล้าหมดอายุมาก็เลยหงุดหงิด”

จะเกี่ยวกับเรื่องที่มันบอกว่าช้ำใจมั้ย

“อยู่ดีๆ ก็สั่งลงโทษคนแทบทั้งหอเลย แม้กระทั่งคนใส่รองเท้าเข้ามาในส่วนกลางมันก็ยังลงโทษ”

“บ้าบอคอแตก” ผมบ่นไปอย่างนั้นเอง บางครั้งผมก็ลงโทษลูกหอเพียงเพราะอยากแกล้งเฉยๆ ก็มี

“คงโมโหอะไรมานั่นแหละ”

“มึงก็เลยต้องช่วยดูว่างั้น”

“เออดิ” ไปป์ดันหลังผมให้เดินไปข้างหน้า “ไปคุยกับอาจารย์ได้แล้ว”

เราสามคนเดินเข้าไปคุยกับอาจารย์ในห้องพัก โชคดีที่หัวข้อโปรเจ็กต์เป็นหัวข้อที่อาจารย์ถนัดโดยตรงเลยใช้เวลาไม่มากเท่าไหร่ ผมเป็นตัวหลักในการเขียนเล่มตามเคย ส่วนอีกสองคนที่เหลือเป็นตัวหลักในการปฏิบัติ แม้ว่ารวมๆ แล้วเราทั้งหมดจะต้องช่วยกันก็ตาม

มีไอ้ไปป์มาอยู่ด้วยทุกอย่างดูง่ายขึ้นมาก มันกลายเป็นผู้นำกลุ่มโปรเจ็กต์ ขนาดอาจารย์ยังเอ่ยชมว่าเป็นกลุ่มที่รวมตัวทีหลังกลุ่มอื่น แต่มีแววเด่นกว่าทุกคน ผมกับไอ้ธัชก็เลยพลอยได้หน้าไปด้วย

เมื่อคุยเสร็จผมกับเพื่อนก็เดินออกมา ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายนิดๆ ยังมีเวลาให้ทำอะไรอย่างอื่นเยอะแยะ ไอ้ธัชบอกว่าจะกลับไปนอนต่อ ผมที่ยังไม่มีอารมณ์กลับหอก็เลยเคว้ง ไม่รู้จะไปไหนดี

ว่าแต่ทำไมพวกเราถึงไม่เอาเวลาไปทำโปรเจ็กต์วะ ได้ข่าวว่าอีกไม่กี่เดือนก็ต้องพรีเซนต์แล้ว

“มึงอยากไปไหนหรือเปล่า” ไอ้ไปป์ที่ไม่มีอะไรทำถามขึ้นมา

“ไม่รู้ว่ะ”

“กูยังไม่อยากกลับหอตอนนี้อ่ะ ไม่รู้เหี้ยสงครามจะมีองค์อะไรมาลงอีก”

“เราเข้าเมืองกันมั้ยล่ะ”

“เอาสิ” ไปป์ตอบรับทันควัน ผมพยักหน้ารับแล้วเราสองคนก็ไปยังรถของไอ้ไปป์








[มีต่อนะคะ]





ออฟไลน์ Chiffon_cake

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 712
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1544/-12





ห้างภารกร

เป็นสถานที่ที่โคตรจะสิ้นคิดของเด็กมอ B ส่วนใหญ่แล้วผมมักจะเจอเด็กคณะอื่นที่ห้างนี้มากกว่าโรงอาหารกลางของมอผมซะอีก ดูเหมือนวันนี้ทั้งห้างจะมีการจัดโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมแฮะ เพราะคนเยอะแยะมากมายมหาศาล

มีเด็กหอสามแวะเวียนเข้ามาไหว้ผมทีละคนสองคน ซึ่งพอเป็นแบบนั้นทีไรไอ้ไปป์ก็จะเดินเลี่ยงออกห่างผมทุกที ผิดกับตอนที่เดินสวนเด็กหอสอง แทนที่ไปป์มันจะเดินห่างผม มันกลับเดินเข้ามาประชิดจนผมนึกว่าผมกับมันเป็นแฟนกัน

“ใกล้ไปแล้วสัด” ตรงนี้เป็นบันไดเลื่อนครับ และมันมีที่ให้ไอ้เชี่ยไปป์ยืนเยอะแยะ แต่มันเสือกจะมายืนขั้นเดียวกันกับผม

“โทษที” ไปป์ไม่ได้หมายความตามที่พูดหรอก

“แปลกนะ เจอเด็กหอกูมึงเดินหนี แต่เจอเด็กหอมึงทำไมต้องเข้ามาใกล้กูขนาดนั้น”

“มึงก็รู้ พวกหอสองมันบ้าเด็กหอสามจะตาย”

“กูไม่ใช่อาสา”

“มึงไม่รอดหรอกอ้าย” ไปป์พูดต่อ “คนหอกูมีหลายร้อย มึงคิดว่าทุกคนจะชอบสไตล์อาสากันหมดหรือไง”

“ไอ้พวกว่าง” ผมอดด่าไม่ได้จริงๆ “หออื่นมีเยอะแยะทำไมไม่ชอบ ทำไมต้องมาชอบเด็กหอกู ทำไมต้องมาสร้างปัญหาให้กูวะ”

“มึงพูดออกมาเนี่ยมึงคิดหรือยัง” ไปป์ถามยิ้มๆ ผมพ่นลมใส่มันจากนั้นก็ไม่กล่าวถึงประเด็นนี้อีก

หอสามเป็นหอหน้าตาดีนี่มันไม่ผิดหรอกครับ ผิดที่ผมเนี่ย ทำไมต้องเกิดมาเป็นประธานหอให้พวกแม่งก็ไม่รู้

“วันนี้อยากได้อะไรเป็นพิเศษป่ะ”

“สมุดโน้ต” ผมตอบทันควัน โน้ตสุขใจของผมเล่มปัจจุบันใกล้จะหมดเล่มแล้วครับ และผมจะหงุดหงิดมากถ้าไม่มีสมุดโน้ตให้เขียนต่อ

“แวะบีทูเอสละกันนะ”

“โอเค”

“...”

“ว่าแต่มึงไม่มีธุระอะไรเหรอ”

“มาเดินเล่นไง” ไปป์เอ่ย “แล้วก็หลบหน้าไอ้สงคราม”

“นี่ถ้ามึงไม่บ้ากีฬานะ ป่านนี้มึงได้มาอยู่หอสามแบบสบายๆ แล้ว” ไปป์มันเป็นคนหน้าตาดีครับ แต่ดันชอบเล่นกีฬาแบบโคตรๆ เรียกได้ว่าเล่นอย่างจริงจังจนนึกว่าเป็นตัวแทนทีมชาติ มันเป็นนักกีฬาฟุตบอลของมหา’ลัยด้วย แปลกแต่จริงที่มันยังขาวจั๊วะ ทั้งๆ ที่เล่นบอลกลางสนามแดดจ้าบ่อยมาก

“โชคชะตามั้ง” ไปป์ยิ้มเบาๆ “ถึงกูจะบ่นเหี้ยสงครามมากแค่ไหนนะ แต่กูก็ไม่นับถือใครเท่ามันอีกแล้ว คนบ้าอะไร โหดแต่เท่ฉิบหาย”

“มึงชอบมันป่ะเนี่ย”

“พูดงี้เดี๋ยวฟ้าก็ผ่าลงมากลางห้างหรอก”

“เออว่ะ มึงกับสงครามเนี่ยนะ...”

“...”

“แค่คิดก็ขนลุกแล้ว”

ผมกับไปป์เดินมาถึงบีทูเอส จากนั้นเราสองคนก็ตรงไปยังโซนสมุดโน้ต ผมเห็นเด็กหอสามหลายคนอยู่ในบีทูเอส ใจก็พาลนึกเป็นห่วงหอขึ้นมาจึงหยิบโทรศัพท์หวังจะโทรไปให้ไอ้ธัชช่วยดูสักเล็กน้อย แต่ปรากฏว่า...แบตผมหมด

“ไปป์ ยืมโทรศัพท์หน่อยดิ” ผมแบมือขอ ไอ้ไปป์ส่งมาให้อย่างรวดเร็ว

“เดี๋ยวกูไปดูซีดีเพลงตรงนู้นก่อนนะ”

“โอเค”

ลับหลังไปป์เดินไปไม่ทันไร โทรศัพท์ของมันก็สั่น คนที่โทรเข้าทำเอาผมสะดุ้ง คนเหี้ยอะไรก็ไม่รู้แค่ชื่อก็ทำให้คนอื่นเขาตื่นกลัวไปหมดขนาดนี้

สงครามพ่อมึงโทรมา

เหี้ยไปป์เม็มเบอร์ประธานหอมันไว้อย่างนี้จริงๆ เหรอวะ สงสัยจะทั้งนับถือทั้งกลัว ผมกดรับสายเพราะคิดว่าคงไม่เป็นอะไร

“ฮัลโหล”

[เหี้ยไปป์ มึงอยู่ไหน]

มันไม่ได้ตะโกน ไม่ได้ก่นด่า แต่ก็น่ากลัวอยู่ดี “กูไม่ใช่ไปป์”

[แล้วนั่นใคร มึงขโมยโทรศัพท์เพื่อนกูไปเหรอ]

“อ้าย”

[หา]

“กูอ้ายไงสัด”

[ประธานหอขี้อ่อยอ่ะนะ]

เหี้ยเอ๊ย... “มึงมีห่าอะไรไม่ทราบ”

[มึงรับสายโทรศัพท์เหี้ยไปป์ได้ยังไง]

“ก็ เอ่อ...” ทำไงดี สงครามยังไม่รู้ว่าผมกับไปป์เป็นเพื่อนกันแถมยังสนิทกัน ผมเชื่อว่าผมไม่ซวยหรอก แต่ไปป์ต่างหากที่จะซวย “กูเก็บโทรศัพท์มันได้”

[ก็เอาไปคืนมันสิ มึงจะกั๊กไว้ขายต่อเหรอ]

“ฟวยไรวะสงคราม”

[มันไม่ได้อยู่ใกล้มึงหรือไง]

“ไม่” ให้ตายเถอะ นี่ผมโกหกมันไปกี่เรื่องแล้ว

[เวร]

“...”

[ไอ้ประธานหอขี้อ่อยแถมยังขี้ขโมย]

“สัดสงคราม!”

[อยู่ไหนล่ะ]

“ว่าไงนะ”

[กูจะไปเอาโทรศัพท์ไอ้ไปป์คืน]

ทำไมเรื่องมันมาถึงตรงนี้ได้วะ ผมอ้าปากพะงาบๆ พูดอะไรไม่ออก ถ้าสงครามมันเหมือนมนุษย์เดินดินทั่วไปผมคงกล้าบอกมันไปแล้วว่าไปป์กับผมเป็นเพื่อนกัน แต่มันไม่ใช่คนปกติเนี่ยสิครับ มันคือพญามาร มันคืออสุรกาย เพราะงั้นทางที่ดีที่สุดคือทำตามในสิ่งที่มันคิดดีที่สุด

ยังไม่เชื่องั้นเหรอ เดี๋ยวผมจะให้คนที่อยู่ใกล้ชิดมันอย่างไอ้ไปป์มาช่วยยืนยัน

หลังจากที่บอกสงครามไปว่าผมอยู่บีทูเอสในห้างภารกร ผมก็รีบวิ่งไปหาไอ้ไปป์ืที่เดินเลือกซีดีอยู่ทันที หลังจากที่มันได้ยินว่าสงครามจะมาหาผมเพราะโทรศัพท์มัน มันก็ตื่นตระหนก ทำตัวลนลานแทบจะในทันที

“ปกติมันไม่โทรตามกูนะ” ไปป์แอบกัดเล็บเล็กน้อย “แปลว่าตอนนี้มันหงุดหงิดมาก เราไม่ควรไปสะกิดต่อมโมโหของมันแม้แต่นิดเดียว”

“กูเห็นด้วย”

“กูคงต้องกลับมอไปก่อน ทำตัวเหมือนทำโทรศัพท์หายจริงๆ”

“...”

“ขอโทษด้วยนะอ้าย”

“ไม่เป็นไรเว้ย”

“มึงรับมือเชี่ยสงครามได้แน่นะ”

“อย่างมันจะมีอะไรให้กลัววะ”

ไปป์เลิกคิ้ว การกระทำกับคำพูดของผมช่างสวนทางกัน ผมกำลังสนับสนุนให้ไปป์รีบหนีไปเพราะกลัวสงครามมันจับได้ว่าผมโกหกมัน นี่น่ะเหรอที่ผมบอกว่าไม่กลัว

“แล้วเจอกัน มีเหี้ยอะไรโทรหากูด้วยนะ”

“โทรศัพท์มึงอยู่นี่”

“ก็โทรมาตอนที่กูได้คืนมาแล้วสิไอ้บ้า”

“เออๆ ไว้เจอกัน”

ไปป์รีบชิ่งเดินหนีด้วยความไวแสง ขนาดตัวมันเท่าๆ กับสงครามแต่มันก็กลัวสงครามมากพอดูเลยแหละครับ เห็นมั้ยว่าไม่ได้มีแต่ผมที่ตื่นตกใจเพราะสงครามคนเดียว ไอ้ไปป์เองก็เป็นเหมือนกัน

อันที่จริงผมเองก็อดรู้สึกตื่นเต้นแปลกๆ ไม่ได้

ถ้าไม่ได้อยู่รอบๆ บริเวณมอ ผมก็ไม่เคยเจอสงครามที่อื่นเลย







15.34 น.

ผมเดินเลือกสมุดโน้ตจนเพลิน รู้ตัวอีกทีหลังก็ชนเข้ากับลำตัวถึกๆ ของไอ้สงครามแล้ว ผมตกใจจนผงะ ขณะที่มันเลิกคิ้วมองผม

“ทำอย่างกับไม่เคยเห็นหน้ากู” มันท้วง “ไหนโทรศัพท์ไอ้ไปป์”

ผมส่งคืนให้แบบไม่ลีลาอะไรมากมาย “เอาไป”

“โอเค บาย”

มันมาเพราะเรื่องแค่นี้จริงๆ เหรอวะ ผมอ้าปากค้างไม่กล้ารั้งมันเอาไว้ มันเดินออกห่างไปเรื่อยๆ จนในที่สุดผมก็ต้องออกวิ่งไปยืนขวางมันเอาไว้

“มีเหี้ยไรอีก”

“โทรศัพท์กูแบตหมด”

“แล้วยังไง”

“ญาติกูเอารถกูไปใช้ ป่านนี้ยังไม่เอามาคืนเลย”

“แล้วไงอีก”

“กูต้องกลับมอกับมึงอ่ะ”

สงครามมองผมอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า ด้วยศักดิ์ศรีความเป็นประธานหอเหมือนกัน ผมเกลียดหน้าแบบนี้ของมันจริงๆ

“มึงไม่มีรถแล้วมึงมายังไง”

“กูโดนเพื่อนเท”

“...”

“ช่างเถอะ กูกลับเองก็ได้” ผมโบกมือ คิดในใจเล่นๆ ว่าสงครามมันจะเสี่ยงมาอยู่ใกล้ชิดผมทำไม เดี๋ยวลูกหอมันก็เลิกนับถือมันหมด เพราะตอนนี้กฎของหอสองข้อแรกก็คือห้ามยุ่งเกี่ยวกับคนในหอสามแล้วมั้ง ผมคิดว่างั้นนะ

“สาด ฟอร์มเยอะนักนะ” สงครามส่ายหน้าก่อนเอ่ยแทรกความคิดผม “เออ มึงกลับพร้อมกูนั่นแหละ”

มันก็ไม่ใช่คนใจร้ายอะไร

“ว่าแต่มึงซื้อสมุดโน้ตกระจุ๋มกระจิ๋มพวกนี้ทำไมเนี่ย”

“ยุ่ง” ผมเดินหนีมัน

“ไม่เข้ากับลุคมึงเลย”

“ลุคอย่างกูมันต้องทำอะไร”

“นั่งสวยๆ และก็อยู่เฉยๆ ไป”

ผมชะงักกึก “ว่าไงนะ”

“ไอ้นี่ก็ดูดีนะ ไม่ซื้อเหรอ” มันหยิบสมุดโน้ตที่น่าสนใจเล่มหนึ่งขึ้นมา ผมก็เลยไม่ได้สงสัยอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่มันเพิ่งพูดอีก

“ว่าแต่...มึงรู้สึกดีขึ้นยัง” ผมถามเหมือนไม่ได้สนใจมากมาย

“เรื่องมีนน่ะเหรอ”

“...”

“ก็เรื่อยๆ นะ”

ไม่จริง ถ้ามันรู้สึกดีขึ้นจริงๆ มันคงไม่ไปลงกับลูกหอจนไปป์เอามาบ่นหรอก

“มึงชอบมันเหรอ”

สงครามชะงัก นัยน์ตาของมันดูเหม่อลอยยังไงชอบกล ไม่รู้ว่าผมถามถูกจุดเกินไปหรือเปล่า เพราะสามารถทำให้คนที่น่ากลัวอย่างสงครามตัวเล็กลงไปเลย หน้าตาแบบนี้ไม่เหมาะกับมันอย่างยิ่ง คนอย่างมันเหมาะกับการทำหน้าให้คนอื่นกลัวมากกว่า ผมเริ่มรู้สึกผิดที่ถามคำถามรุกล้ำมันมากไปหน่อย

“คือว่า...”

“เออ กูชอบ”

กลายเป็นผมที่ชะงักบ้าง

“ชอบมาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว”

ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าความรักของสงครามจะยาวนานมากมายขนาดนั้น คนที่มีอำนาจเหนือคนอื่นๆ ในมออีกทั้งยังเป็นเจ้าของหน้าตาที่ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ดันมีความรักให้กับมีน และยังไม่มีวี่แววสมหวังอีกด้วย

มันเป็นไปได้ด้วยเหรอ

“อย่าเอาไปบอกใครล่ะ” สงครามทำเป็นเลือกของอื่นๆ

ผมพยักหน้าเล็กน้อย

“เพราะนอกจากมีน ก็ไม่มีใครรู้เลยว่ากูคิดอะไรอยู่”








หลังจากนั้นผมก็เลือกที่จะไม่พูดถึงเรื่องมีนอีก

สงครามดูมีความสุขกับการกระแนะกระแหนผมมาก มันเอาแต่พูดว่าอันนี้ไม่เหมาะกับผม ไม่คิดว่าประธานหอสามจะมาเลือกเครื่องเขียนแบบนี้ และก็ใช้เวลาเลือกนานอย่างกับผู้หญิง ผมปล่อยให้มันแซะผมตามอำเภอใจพลางคิดว่าอีกไม่นานก็คงสลัดมันหลุดแล้ว อีกอย่างหนึ่งถ้ามันเผลอเปลี่ยนใจไม่ยอมให้ผมติดรถกลับไปด้วย ผมก็ซวยดิ

ครับ ผมมีความรักสบายนิดหน่อย

“เฮ้ย” สงครามหยุดเดินขณะมองไปยังร้านขายการ์ตูนชั้นใต้ดินซึ่งหน้าร้านกำลังวางเรียงหนังสือการ์ตูนเล่มใหม่อยู่ ร้านนี้มีเด็กหอห้าอยู่กันอื้อ คงเป็นที่สิงสถิตของพวกมันเลยทีเดียว

“มีเหี้ยอะไร”

“ไอ้นี่หน้าเหมือนมึงเลย” สงครามชี้นิ้วไปที่การ์ตูนเล่มหนึ่ง ถ้าผมมองไม่ผิดมันคือการ์ตูนที่มีผู้ชายกอดกันอยู่สองคน

ผู้ชายกอดกันงั้นเรอะ การ์ตูนแบบนี้เรียกว่าการ์ตูนประเภทไหนนะ วายใช่มั้ย

“เนี่ย ไอ้คนที่ถูกกอดหน้าเหมือนมึงเด๊ะเลย วาดมาจากมึงป่ะเนี่ย” สงครามมองผมสลับกับหน้าปกการ์ตูนเล่มนั้น

“ไร้สาระ” ผมเดินเลี่ยงๆ แต่สงครามมันจับคอเสื้อผมเอาไว้จนผมหงายหลัง

“เดี๋ยวกูซื้อให้”

“ไอ้บ้า กูไม่อ่านแนวนี้”

“มันเหมือนมึงจริงๆ นะ เหมือนวาดมาจากมึงอ่ะ” สงครามแม่งยังคงมีความเชื่ออย่างนี้ต่อไป “เล่มละไม่กี่บาทเอง”

“กูไม่อยากได้”

“กูอยากซื้อให้”

“ถ้าอยากซื้อมึงก็ซื้อเก็บไว้เองดิ”

สงครามยกมือยอมแพ้ มันปล่อยให้ผมเดินไปข้างหน้า ขณะที่มันยังมองการ์ตูนเล่มนั้นอยู่

“นักวาดแต่ละคนคงอยากวาดให้ตัวละครแต่ละตัวเพอร์เฟ็กต์และก็สวยงาม...”

“...”

“มึงเหมือนตัวละครที่เค้าวาด ก็แสดงว่าหน้าตามึงก็ไม่เลวนะอ้าย”

“หุบปาก”

“เขินหรือไง”

มันก็ไม่ได้มีแค่ครั้งสองครั้งหรอกครับที่มีคนเข้ามาชมบอกว่าผมสมบูรณ์แบบอย่างกับภาพวาดโน่นนี่ ผมฟังเพียงผ่านๆ เพราะไม่คิดว่าจะมีคนไหนที่เพอร์เฟ็กต์ได้ขนาดนั้น แต่เมื่อคำพูดนั้นออกมาจากสงคราม ความเชื่อของผมก็เริ่มสั่นแบบแปลกๆ คล้ายกับจะคล้อยตามในสิ่งที่มันพูด

ไม่ว่าสงครามมันจะทำอะไร มันก็มีอิทธิพลกับผมในแบบแปลกๆ เสมอ

เพียงเพราะมันเป็นประธานหอเหมือนกันนั่นแหละ

“สงสัยเขิน”

สงครามไม่ล้อเลียนต่อ เพราะมันต้องเดินห่างจากผมไปอีกเกือบห้าเมตรได้เมื่อสวนกับเด็กมอ B ผมกับไปป์ว่าเดินห่างกันแล้วยังไม่สามารถเทียบได้กับที่ผมเดินห่างจากสงคราม แม้จะไม่มีใครกล้าสบตามัน แต่มันก็กันไว้ดีกว่าแก้

นี่ถ้าผมกับมันเป็นเพื่อนกันจริงๆ ชีวิตจะลำบากมากกว่านี้ใช่มั้ยเนี่ย

“ถ้ากูไม่ได้มันมากูคงนอนไม่หลับว่ะ” สงครามบ่นจากนั้นก็หันหลังเดินกลับ “มึงรออยู่นี่”

“จะไปไหนวะ”

“ไปซื้อการ์ตูน”

ผมเกาหัวก่อนจะวิ่งตามมันไป มันเดินเข้าไปในร้านการ์ตูนนั้น การปรากฏตัวของมันทำให้เด็กหอห้าทุกคนพร้อมใจกันออกมานอกร้านให้มันได้เดินซื้อการ์ตูนอย่างสะดวกๆ ผมทำทีเป็นไม่ได้มากับสงครามระหว่างที่แอบมองมันเลือกการ์ตูนอยู่

มันเอาการ์ตูนเล่มนั้นมาเทียบกับใบหน้าของผม ชื่อการ์ตูนก็คือ ‘เพียงหนึ่งเส้นด้าย’ เขียนโดย Chiffon_cake วาดโดยใครก็ไม่รู้ผมมองไม่ทัน

“ใช่มาก ใช่จริงๆ” มันพึมพำต่อเนื่อง “เหลือเล่มเดียวด้วย ถ้ากูกลับมาอีกรอบแล้วกูไม่เจอ กูจะพังร้านนี้”

ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่าสงครามมันจะไม่ทำตามคำพูด ผมยอมยืนอยู่นิ่งๆ แต่โดยดี มองมันเอาการ์ตูนเล่มนั้นไปจ่าย
หลังจากที่ได้ใช้เงินไอ้สงครามทำหน้ามีความสุขมาก ผมคิดว่าน่าจะมีความสุขที่สุดเท่าที่ผมเห็นในวันนี้นะ

“มองเหี้ยไร”

แต่สงครามก็คือสงคราม มันตวาดเด็กหอห้าที่มองมันอย่างตื่นๆ ทั้งหมดแตกกระจายไปคนละทิศคนละทาง ผมรีบเดินตามมันไปเพราะกลัวจะไม่ทัน

“มีความสุขมากป่ะ ซื้อมาทำด๋อยอะไรของมึง”

สงครามแกะพลาสติกห่อการ์ตูนออก จากนั้นก็เปิดสุ่มๆ ดู

“ฮ่าๆๆ” มันหัวเราะลั่น ส่งการ์ตูนให้ผมดู ผมรีบกระชากมาปิดทันที

ฉากที่ผมเห็นเมื่อกี้คือไอ้คนที่สงครามมันคิดว่าหน้าเหมือนผมกำลังจะ...เอ่อ...อยู่บนเตียง และก็...อยู่ในท่าที่อ่อยสุดฤทธิ์

“หน้าแดงใหญ่เลย ฮ่าๆๆ”

“นี่มันการ์ตูนห่าไร คนเขียนเป็นคนโรคจิตเหรอ”

“ปกติจะตายไป” สงครามรีบดึงการ์ตูนเล่มนั้นคืน “คืนนี้กูจะอ่านให้หนำใจ”

“เชี่ย ไม่เอา มึงอย่าอ่านได้ป่ะวะ”

“มึงบอกเองว่าไม่เหมือนมึง ถ้าไม่เหมือนแล้วมึงจะกลัวอะไร”

“สงคราม” ผมร้อง เริ่มไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตัวเองหงุดหงิดอะไร ที่แน่ๆ อาการหงุดหงิดปนอับอายนี่มันรับมือยากเป็นบ้า ผมคิดว่าในเล่มนั้นคงจะเต็มไปด้วยฉากอย่างว่านั่นแน่ๆ ผมรับไม่ได้จริงๆ ถ้าสงครามมันจะอ่านและคิดว่าไอ้คนที่ถูกกระทำมันหน้าตาคล้ายผม

แค่คิดก็รู้สึกแพ้แล้ว อย่างน้อยก็ต้องเหมือนฝ่ายกระทำดิวะ แต่ความหวังนั้นดับสูญไปแล้วเพราะว่าฝ่ายกระทำนั้นดูไม่เหมือนผมเลยแม้แต่นิดเดียว

“ก็ได้ๆ” สงครามยอมแพ้ ส่งการ์ตูนเล่มนั้นมาให้ผม “กูให้ เก็บไว้เป็นที่ระลึกละกัน”

“...”

“อีกอย่าง เป็นของขวัญไถ่โทษที่กูดูแลลูกหอไม่ดี ทำให้พวกมันไปปีนหอมึง”

ขอบคุณมาก...ให้การ์ตูนวายมาหนึ่งเล่ม ช่างน่าดีใจอะไรเช่นนี้ แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยสงครามมันก็ไม่ได้แอบไปอ่านแล้วก็เอาไปหัวเราะลับหลังผมก็แล้วกัน

ระหว่างกลับมอ ผมหยิบโน้ตสุขใจเล่มใหม่ขึ้นมาเขียน

โน้ตสุขใจ
1. โปรเจ็กต์ไปได้สวย


ผมหยุดอยู่แค่นั้นและก็ทำท่านึก สงครามที่ขับรถอยู่มองมาเหมือนผมเป็นตัวประหลาด

“มึงเป็นตัวแทนขายหวยเหรอ จดอะไรอยู่วะ”

“ยุ่ง” หน้านิ่วคิ้วขมวด เพราะความสุขบางอย่างแม่งก็นึกออกได้ยากจริงๆ ครับ

2. มาเที่ยวห้างในรอบหลายวัน
3. มากับไอ้สงครามด้วย


“มีชื่อกูด้วย” สงครามยื่นหน้ามาใกล้

“เหี้ย” ผมร้องลั่น “ของแบบนี้ใครเขาให้มาแอบอ่านกันวะ มารยาทอ่ะสะกดเป็นมั้ย”

“มึงผิดเองที่มาจดบนรถกู กูยื่นคอไปแป๊บเดียวกูก็เห็นแล้ว”

“มึงนี่แม่ง...”

“จดไว้ทำไมวะ”

“ขับรถไปเลย”

“กูจอดกลางทางนะถ้ามึงไม่ตอบ”

“มึงจะจอดทำไม”

“กูจะลงไปฉี่”

“หา”

“กูก็จะปล่อยมึงลงน่ะสิ ถามได้”

“...”

“กูไม่ถามก็ได้ว่ามันคืออะไร แต่มึงบอกกูได้มั้ยว่าจดไปเพื่ออะไร สาปแช่งหรือเปล่า”

“กลัวกูเล่นของใส่เหรอ” ผมแหย่

“เออ”

“...”

“มึงสู้กูด้วยกำลังไม่ได้ไง ก็เลยจะมาเล่นคุณไสยใส่”

“เพ้อเจ้อ”

“ตอบมาได้แล้ว ลีลาจริงๆ”

“กูจดเรื่องดีๆ ในแต่ละวัน เขาบอกว่าไม่ว่าจะเจอเรื่องเครียดมายังไง อย่างน้อยก็มีเรื่องดีๆ ให้นึกถึง”

“เขานี่ใคร”

“พ่อมึงมั้ง”

“สาดดดดดดดด”

“...”

“กูเป็นเรื่องดีๆ ของมึงงั้นสิ”

“...”

“ปลื้มนะเนี่ย”

ถ้ามันไปเปิดดูโน้ตสุขใจเล่มเก่าของผม มันจะเห็นชื่อมันอีกหลายครั้งจนนับไม่หวาดไม่ไหวเลยทีเดียว







หอสาม เวลา 21.24 น.

“พี่อ้ายดูอารมณ์ดีจัง” ทนายที่เดินสวนผมทัก ผมกำลังจะออกจากห้องสำนักงานไปยังห้องพักของตัวเอง

“อย่าไปทัก เดี๋ยวหงุดหงิดแล้วก็มาลงกับเรา” อาสาสะกิดทนาย ผมมองคู่รักสองคนเดินผ่านผมไปด้วยสายตาเอือมระอา

ผมจำเป็นต้องมาเติมโน้ตสุขใจให้ครบห้าข้อ ถ้าไม่ครบผมนอนไม่หลับ

4. สงครามชมว่าเราหน้าเหมือนคนในการ์ตูน
5. มันซื้อการ์ตูนเล่มนั้นให้ด้วย


ว่าแต่การ์ตูนเล่มนั้นไปไหนวะ ผมควานหาไปทั่วห้อง แต่หายังไงก็ไม่เจอ ตอนนั้นข้อความไลน์ของผมก็ดังขึ้นมาพอดี คนที่ส่งมาคือสงคราม

สงเหี้ย หอสอง : /แนบรูป ‘การ์ตูนวายเรื่องเพียงหนึ่งเส้นด้าย’
สงเหี้ย หอสอง : คืนนี้มีอะไรให้อ่านแล้ว ฮ่าๆๆ


แม่งเอ๊ย ผมลืมไว้บนรถมันเหรอเนี่ย

AI : อย่าอ่านนะ กูขอร้อง
สงเหี้ย หอสอง : ขอร้องเลยเหรอ
สงเหี้ย หอสอง : ก็ได้ ไม่อ่านก็ได้
สงเหี้ย หอสอง : แต่พรุ่งนี้มึงต้องรดน้ำพุ่มไม้หน้าหอกู


เรื่องแค่นี้เอง มันชิลๆ อยู่แล้วป่ะวะ

AI : ตกลง







TBC*

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
 :ling1:  :ling1: ไหมสงครามไปชอบมีนละ ไม่ยอมมมมมม

ออฟไลน์ Chiffon_cake

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 712
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1544/-12



ตอนที่ 3




“อ้าย ให้กูช่วยมั้ย”

“ไม่เป็นไรไปป์ มึงออกกำลังกายต่อเหอะ”

“เหี้ยสงครามแม่งคิดอะไรอยู่”

“แป๊บเดียวเดี๋ยวก็เสร็จ”

ไอ้ไปป์ที่วิ่งเหยาะๆ อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลทำหน้าลังเลใจ แต่เมื่อเห็นผมยืนกรานมันก็เลยวิ่งต่อไป ผมตกลงกับสงครามไว้แล้วว่าจะรดน้ำให้ เพราะงั้นผมจะไม่ยืมมือคนอื่นมาทำแทนผมแน่ ผมยอมรับว่ารู้สึกแปลกๆ ไม่น้อยที่เห็นพวกหอสองมันจ้องมองมา ไม่รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่แต่ที่แน่ๆ ผมต้องรีบรดน้ำให้เสร็จ จะได้ไปทำอย่างอื่นต่อ

สงครามที่วิ่งจนเหงื่อซ่กเดินเข้ามาใกล้พร้อมส่งยิ้ม

“กูอ่านจนจบแล้วล่ะ” มันทำหน้าเจ้าเล่ห์ “คนที่หน้าเหมือนมึงนี่เซ็กซี่เป็นบ้า อ่านแล้วนึกถึงตอนที่มึงทำ...”

ผมฉีดน้ำใส่ไอ้สงครามทันที

“ฟวยอ้าย กูพูดเล่น!”

“กูก็ฉีดเล่นๆ เหมือนกัน”

“ลูกหอกูมองดูอยู่”

“แล้วยังไง”

“พอ ไอ้สัด พอ” มันวิ่งไปหลบทางอื่น ผมหยุดขำไม่ได้ ไม่คิดว่ามันจะกลัวน้ำขนาดนี้

“มองเชี่ยไร” ผมแก้ปัญหาเรื่องลูกหอสงครามด้วยการฉีดน้ำใส่พวกแม่งด้วย ทีนี้พวกมันจะได้ไม่คิดว่าสงครามแม่งยอมผม เพราะผมฉีดใส่ทุกคนอย่างเท่าเทียม

“ป่วนแต่เช้าเลยนะมึง” สงครามอดบ่นไม่ได้

“มึงอยากล้อกูเล่นก่อนทำไม”

“เรื่องการ์ตูนนั่นมันสำคัญอะไรนักหนา”

“เอามาคืนกูดิ”

“ไม่ มึงลืมเอาไว้เอง”

“เชี่ยสงคราม”

“รีบรดน้ำให้เสร็จได้แล้ว กูอยากไปอาบน้ำ”

“มึงก็ไปดิ”

สงครามทำหน้าเบื่อใส่ “ถามจริง จะให้กูปล่อยประธานหอสามไว้กับพวกลูกหอกูจริงๆ เหรอ”

เออว่ะ...ผมกลืนน้ำลาย ทำเป็นไม่ยอมรับความจริงเรื่องนี้ว่ามันพูดถูก

“เร็วๆ เข้า กูเหนียวตัว” สงครามเร่ง

“รู้แล้วน่า”

หากคนภายนอกมามองเผินๆ คงคิดว่าผมกับสงครามยังคงตีและกัดกันอย่างต่อเนื่อง แต่แท้จริงแล้วถือว่าบรรยากาศระหว่างเราสองคนมันดีมากขึ้นแล้วครับ หลังจากที่ผมปั้นปึ่งใส่มันเรื่องเด็กหอสองทำร้ายไอ้เตอยู่นานหลายเดือน วันนี้น่าจะเป็นยามเช้าที่ดีที่สุดระหว่างผมกับมันเลยทีเดียว

ระหว่างที่ผมกำลังรดน้ำต้นไม้เพลินๆ โดยมีไอ้สงครามมองดูอยู่ไม่ไกล ผมก็ถูกเรียกจากมนุษย์เพศผู้ที่ขึ้นชื่อได้ว่าเซ็กซี่ที่สุดในหอสาม

“อ้าย” ไอ้มีนนั่นเองครับ รู้สึกผงะเล็กน้อยเพราะออร่าของมันแยงตาผม นี่สินะคนเป็นดารา

“อ้าว มีอะไรวะ”

“กูจะต้องไปถ่ายงานสองสามวันนะ”

“โอเค”

มีนส่งยิ้มให้พร้อมกับเอามือมาแตะไหล่ของผม สายตาของมันตวัดไปมองสงครามจากนั้นก็ส่งยิ้มหวานละลายใจให้ สงครามถึงกับทำหน้าไม่ถูกไปเลย

เมื่อมีนเดินจากไปแล้ว ผมกลืนน้ำลายพลางมองไปที่สงคราม มันยังมองมีนอยู่ แต่ไม่เห็นมันจะทำห่าอะไรเลย

“มึงไม่เดินไปส่งมันหรือทำอะไรสักอย่างเหรอ” มันเป็นคนที่ชอบคนอื่นประเภทไหน เท่าที่สังเกตผมไม่เห็นว่าสงครามมันจะรุกหนักหรือจีบมีนอย่างออกนอกหน้ามากไปกว่าคนอื่นเลย

“ไม่ล่ะ”

“ทำไมล่ะ”

“เดี๋ยวมันจะรำคาญซะเปล่าๆ”

“มันก็ดูไม่ได้รังเกียจมึงนะ”

“ไม่ได้รังเกียจไม่ได้แปลว่าจะชอบนี่”

ผมมองประธานหอสองอย่างไม่เข้าใจเท่าไหร่ มันเลยช่วยชี้แจงแถลงไขให้ผมได้กระจ่าง

“มึงคิดว่าคนอย่างกูเวลาชอบใครสักคนกูจะไม่ทำอะไรสักอย่างเลยเหรอ สำหรับมีนกูทำมาทุกอย่างแล้วเว้ย และถ้ามันคิดจะชอบกูหรือคบกับกู มันคงทำอย่างนั้นไปนานแล้ว”

ผมยืนนิ่ง ไม่คิดว่าคนอย่างสงครามก็นกเป็น

“แต่มึงก็ยังเลือกที่จะชอบมันต่อ”

“ก็ใช่ไง มันไม่รักแต่กูไม่จำเป็นต้องเลิกรักป่ะวะ”

คำพูดของมันทำเอาความคิดของผมหลุดลอยไปไกล จริงๆ แล้วผมรู้ตัวดีว่าผมนั้นรู้สึกดีกับไอ้สงครามอยู่ลึกๆ เพราะผมเขียนเรื่องราวของมันในโน้ตสุขใจอยู่บ่อยครั้งมาก อันที่จริงก็แทบจะทุกวัน ยิ่งหลังจากที่มันเริ่มง้อผม สมุดโน้ตของผมก็มีแต่ชื่อของมัน บางทีไอ้ความรู้สึกดีที่ว่านั่นอาจจะเป็นความปลื้มอยู่ลึกๆ ก็เป็นได้

แม้ว่าผมจะต้องทำตัวเป็นศัตรูคู่อาฆาตหรือทำเป็นไม่ถูกชะตากับสงครามมากแค่ไหน ท้ายที่สุดแล้วผมก็ยังหวังดีกับมันอยู่ดีนั่นแหละ คนดีๆ อย่างมันควรได้รับสิ่งดีๆ ตอบแทน

“ถ้าจะให้กูช่วยอะไรก็บอกนะ”

“ช่วยรดน้ำต้นไม้ให้เสร็จไวๆ ได้หรือเปล่า รู้ว่าลูกหอกูชอบมองมึง มึงก็ถ่วงเวลาจังเลย”

“ไม่มีใครมองสักหน่อย”

สงครามหันไปมองพวกเด็กปีหนึ่งจากส่วนกลางของหอมันที่เกาะหน้าต่างมองผมกันหน้าสลอน ทุกคนแตกกระจายแยกกันไปคนละทิศคนละทางอย่างฉับพลันทันที

“มึงมองไม่เห็นหรือแกล้งทำเป็นไม่ยอมรับวะ”

“มึงว่าไงนะ”

“อย่างไอ้ของขาวนั่นน่ะ”

“อาสา” เมื่อไหร่มันจะเลิกเรียกอาสาว่าของขาวอะไรอย่างนี้สักที

“เออ ไอ้อาสามันฮอตมากเลยใช่ป่ะ”

“โคตร”

“ไอ้มีนก็ฮอต”

“ถูก”

“ลูกหอฮอตขนาดนี้ แม่พวกมันก็ต้องฮอตสิวะ”

“เดี๋ยวนะ ใครแม่”

“มึงไง สัดอ้าย”

“ฟวยสงคราม”

“นี่กูชมนะ”

“กูไม่ชอบให้ชมแบบนี้เว้ย”

“ยังไม่เสร็จอีกเหรอ” ไปป์ซึ่งวิ่งเสร็จแล้วเอ่ยถามตอนที่มันกำลังจะเข้าไปในหอ มันถามผมโดยที่ไม่ได้สังเกตเห็นว่าสงครามมันยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ผมต้องรีบส่งซิกให้มันดูว่าสงครามอยู่แถวนี้ แต่มันเสือกโง่ครับ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย “ตามึงเป็นอะไรวะอ้าย ทำไมกระพริบถี่ๆ”

“ไงเชี่ยไปป์” สงครามส่งเสียง ไปป์สะดุ้งเล็กน้อย มันโบกมือทักสงคราม จากนั้นก็วิ่งเข้าหอไปเลย ไอ้สงครามหรี่สายตามองผม “มือขวากูมึงก็ยังอ่อยไอ้ฟาย”

“เหี้ย ด่ากูหลายดอกแล้วนะวันนี้”

“มึงสนิทกับมันใช่มั้ยอ้าย”

“ก็บอกแล้วไงว่าเรียนสาขาเดียวกัน แต่ไม่ค่อยได้คุยกัน”

“เมื่อวานโทรศัพท์มันก็อยู่กับมึง”

“...”

“วันนี้มึงกับมันก็ยังทำท่าทางแปลกๆ ใส่กันอีก”

“...”

“พวกมึงไม่ได้เป็นแค่เพื่อนกันแล้ว”

“ยังไงนะ”

“แต่พวกมึงคบกัน”

“สัดสงคราม มึงไปอาบน้ำไป” เหลืออดกับการคิดไปเองได้อย่างไร้สาระของมันจริงๆ ผมเดินไปปิดก๊อกน้ำเพราะการรดน้ำต้นไม้หน้าหอสองของผมวันนี้เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ตกลงมึงคบกับไปป์หรือเปล่า”

“เปล่า ไอ้สัด”

“แน่ใจ”

“เออ เป็นเพื่อนห่างๆ”

“ชัวร์นะ”

“มึงเซ้าซี้ทำไม”

“เปล่าหรอก แค่อยากให้ไปป์มันเจอคนที่ดีกว่ามึง”

“ไปไกลๆ ตีนกูเลย”

วันนี้มันแม่งอารมณ์ดีเกินไปหรือเปล่าวะ ทำไมแม่งด่าผมจัง สงครามยักไหล่ให้ผมอย่างน่าหมั่นไส้ก่อนจะเดินกลับเข้าหอตัวเองไป มันไม่ลืมที่จะโบกมือไล่ให้ผมกลับไปเหมือนไล่หมาด้วย

“ฟวย” ผมด่า

ตอนที่ผมมาถึงบันไดหน้าหอของตัวเองแล้ว สงครามมันก็ยังมองดูอยู่ จนผมเดินเข้าไปในหอจริงๆ มันถึงกลับเข้าไป มันก็เป็นซะอย่างงี้ มันจะด่าจะว่าผมยังไงผมก็ไม่เคยโกรธมันลงก็เพราะเหตุนี้

แม้มันจะเป็นคนโหด แต่มันก็เป็นคนที่โคตรเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เลยว่ะ







คณะวิศวฯ

วันนี้ผมกับทีมที่ทำโปรเจ็กต์ร่วมกันนัดมาทำเรื่องเบิกอุปกรณ์ สาขาของผมเป็นสาขาระดับกลางๆ ของมอแห่งนี้ครับ ที่ว่าเป็นระดับกลางๆ ก็เพราะไม่ได้มีความเป็นลูกรักของอธิการบดีมากแต่ก็ไม่ถึงกับไม่ได้รับความรักเสียทีเดียว แม้มอ B ของผมจะเป็นมอที่อยู่ต่างจังหวัดและโดดเด่นด้านคณะบัญชีบริหาร แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่เด่นไม่แพ้คณะเหล่านั้น ดีไม่ดีอาจเด่นพอๆ กันด้วยซ้ำไป

สิ่งนั้นก็คือคณะวิศวฯ สาขาวิศวกรรมการบิน

จะไม่ให้เด่นได้ยังไงล่ะครับ ไอ้พวกที่มาเรียนเหมือนกับเกิดมาพร้อมกับเครื่องบินเจ็ทคนละลำอ่ะ (ว่าไปนั่น) พูดง่ายๆ ก็คือพวกมันดูรวยกันนั่นแหละ สาขานี้เป็นสาขาที่แยกออกไปไกลโคตร มีโกดังเก็บอุปกรณ์การเรียนต่างๆ ไว้เรียนส่วนตัว จะเข้าตึกทีก็ตอนที่มีเรียนวิชาเล็กเชอร์ต่างๆ ผมรู้จักกับสงครามตอนเรียนวิชาพื้นฐานปีหนึ่งแล้วมันมาขอร้องให้ผมช่วยติวนิดๆ หน่อยๆ แต่หลังจากขึ้นปีสองผมก็ไม่ค่อยได้เห็นหน้ามันอีก

ผมได้ยินข่าวลือมาว่าเครื่องบินที่อยู่ในโกดังเป็นเครื่องบินที่ไม่ได้ใช้งานแถมยังถูกแยกส่วน แม้จะเป็นเพียงแค่ข่าวลือกระนั้นก็ยังดูไฮโซกว่าสาขายานยนต์ของผมมากมายเลยทีเดียว อันที่จริงผมก็ไม่เคยเข้าไปส่องดูหรอกนะว่าโกดังบิ๊กเบิ้มนั่นบรรจุอะไรเอาไว้บ้าง มีแต่สิ่งที่ผมจินตนาการเองล้วนๆ สาเหตุที่ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าไปยุ่งก็เพราะไอ้สงครามนั่นแหละครับ ไม่ใช่เพราะคนอื่นเลย

นึกภาพมันกำลังใช้ไขควงงัดแงะแก้ไขส่วนประกอบเครื่องยนต์ของเครื่องบิน อื้อหือ มันคงจะเป็นที่ดึงดูดสายตาน่าดู

“งั้นวันนี้คงทำได้แค่นี้อ่ะ” ไปป์สรุปในที่สุด หลังจากที่ทีมโปรเจ็กต์ทำงานกันเสร็จสิ้น “อ้ายได้จดไว้หมดป่ะ”

“อื้ม” ผมเขย่าสมุดโน้ตให้มันดู

“โอเค งั้นไปก่อนนะ ต้องรีบไปเรียน”

ไปป์ติดวิชาพื้นฐานอยู่สองตัวครับ มันก็เลยมีตารางเรียนที่แน่นกว่า ผมพยักหน้าโบกมือลา หลังจากนั้นก็มีคนวิ่งตามไอ้ไปป์ไป ไม่ใช่ใครอื่นแต่มันคือเหี้ยธัชเพื่อนผม เพราะมันก็ติดเหมือนกัน ตอนนี้จึงเหลือแค่ผมอยู่คนเดียว

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางนึกไปถึงตอนที่ตัวเองเดินทางสะดวกกว่านี้ ผมเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีรถยนต์ใช้แต่กลับไม่ได้ใช้เพราะลูกพี่ลูกน้องผมขอยืมไป ที่จริงผมถูกลูกพี่ลูกน้องยืมของไปใช้มากมายนับไม่ถ้วนจนผมจำไม่ได้แล้วว่ามีอะไรบ้าง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมจำได้แม่น สิ่งนั้นก็คือรถนี่แหละครับ

ลูกพี่ลูกน้องของผมชื่อโอม เป็นลูกชายของลุงซึ่งเป็นพี่ชายของพ่อ ผมกับโอมโตมาด้วยกัน มีอะไรก็คุยกันตลอด หลังจากที่ลุงเกิดวิกฤตด้านการเงิน นิสัยโอมก็เปลี่ยนไป โอมมายืมของกับยืมเงินผมบ่อยมากขึ้น แต่ผมไม่ได้ติดใจอะไรเพราะจำนวนเงินมันไม่ได้มากมาย อีกอย่างผมเองก็ใช่ว่าจะเป็นคนที่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ส่วนใหญ่ผมจะหมดไปกับค่ากิน ค่าเหล้า ค่าอุปกรณ์การเรียน และค่าสมุดโน้ตกิ๊กก๊อกของผม

โอมยืมรถผมไปประมาณสองเดือนแล้ว ตอนนี้มันสมควรแก่เวลาที่ผมจะต้องโทรไปขอรถคืนจากโอมแล้วล่ะ ผมถอนหายใจขณะกดโทรศัพท์โทรออกหาลูกพี่ลูกน้องคนสนิท ไม่นานนักมันก็รับสาย

[กำลังจะโทรหาพอดีเลย]

“ไงโอม คือว่า...”

[ขอยืมเงินหน่อยดิสักสี่พัน ช่วงนี้ช็อตว่ะ เงินหมุนไม่ทัน]

ยังไงนะ ผมทำหน้าไม่ค่อยเข้าใจ “อาทิตย์ก่อนเพิ่งยืมไปไม่ใช่เหรอ”

[ช่วงนี้มีเลี้ยงน้องบ่อย มึงก็รู้] โอมไม่ได้เรียนอยู่มอ B เหมือนผมครับ แต่เรียนอยู่มอประจำจังหวัดที่อยู่ติดกัน

“ได้ เดี๋ยวโอนให้”

[ไม่เป็นไร กูเข้าเมืองวันนี้ เดี๋ยวกูไปเอาที่มอมึงเลยแล้วกัน]

“หา”

[คิดถึง อยากเห็นหน้าสักหน่อย]

“เดี๋ยวดิ”

[อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงถึง]

“โอม คือกูจะถามเรื่องรถ...”

มันวางสายไปแล้ว ผมถอนหายใจอีกรอบ มองโทรศัพท์อย่างเหนื่อยหน่ายใจราวกับมันจะรับรู้ความรู้สึกของผม หลายครั้งที่ผมรู้สึกว่าโอมเอาเปรียบมากจนเกินไป แต่เพราะความเป็นญาติพี่น้องก็เลยตัดสินใจไม่พูดอะไร ปล่อยให้โอมมันคิดได้เอง ถึงแม้ว่าจะใช้เวลาหน่อยก็ตาม

เงินสดที่ติดตัวตอนนี้มีไม่ถึงสี่พัน และคณะของผมก็ไม่มีตู้กดเงินซะด้วย ต้องไปกดที่หน้าคณะบัญชีหรือไม่ก็หน้ามหา’ลัยโน่น
เอาไงดีวะกู รถก็ไม่มี เพื่อนก็ไปเรียนกันหมด

โชคดีที่ตอนนั้นมีเด็กหอสามซึ่งเรียนวิศวะเดินผ่านมาพอดี ผมเลยแบมือขอยืมรถมันสักหน่อย มันส่งกุญแจรถมาให้พร้อมกับบอกว่าทนร้อนหน่อยนะ

กุญแจที่ว่านั่นเป็นกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ครับ

ผมขับไปกดเงินที่หน้ามอ รู้สึกร้อนแต่ก็อดทนเอา ระหว่างที่กดเงินอยู่นั่นเองโทรศัพท์ของผมก็ดัง โอมเป็นคนโทรมา

“ฮัลโหล”

[อ้าย กูมีเรื่องอยู่หน้าวิศวะว่ะ มาช่วยกูหน่อย]

“เกิดอะไรขึ้น”

[มีคนถอยรถมาชนรถกู (มึงว่าไงนะ มึงต่างหากที่ชนกู!)]

เสียงแม่งคุ้นจังวะ

“หน้าวิศวะเหรอ”

[เออ เร็วๆ รีบมา ไอ้เหี้ยนี่แม่งน่ากลัวอย่างกับหมาบ้า]

“เออๆ”

ผมรีบกดวางสาย เลิกต่อคิวกดเงินจากตู้แล้วรีบขับมอเตอร์ไซค์ไปตรงจุดเกิดเหตุทันที

ให้ตายเถอะ ไม่ต้องมองหาให้ยากเลยว่าญาติผมมันไปมีเรื่องตรงไหน เพราะมีไทยมุงกลุ่มใหญ่ยืนมองเหตุการณ์อยู่หน้าวิศวะ พูดได้เลยว่าหลายสิบ ดีไม่ดีอาจจะเกือบร้อยคน เพราะช่วงนี้มันเป็นเวลาพักเที่ยงพอดี

ถ้าเป็นคนอื่นมีเรื่องคงไม่มีไทยมุงเยอะขนาดนี้ แต่คู่กรณีของโอมเป็นคนที่ทุกคนในมอรู้จัก และทุกคนคงอยากรู้ว่าคนคนนี้จะซัดโอมหน้าหงายหรือเหยียบโอมจมดินหรือเปล่า

คนนั้นก็คือสงคราม

“เหี้ย!” สงครามร้องลั่นเมื่อเห็นผมเดินหน้าตื่นเข้าไป “นี่ญาติมึงเหรอ”

ผมไม่ได้สนใจสงครามแต่สนใจความเสียหายของรถมากกว่า รถสงครามไม่เป็นอะไรเลย แต่รถผมมีรอยถลอกนิดหน่อย

“กูไม่ได้ทำนะ” โอมโวยวายลั่น

ผมมองหน้าสงครามอย่างหาข้อเท็จจริง

“มันถอยรถมาชนรถกูเอง”

“...”

“มึงรู้ว่ากูไม่ใช่คนโกหก”

ประธานหอสองดูพยายามสงบอารมณ์โกรธเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ข้างๆ มันมีพวกหอสองหลายคนที่มาจากหลายสาขายืนเป็นแบ็คกราวน์สร้างความน่าเกรงขามและพร้อมเข้ามากระทืบโอมทุกเมื่อ

เรื่องตื้บคนนี่พวกหอสองไวมากครับ ผมขอบอก

ผมมองหน้าโอมก่อนจะถอนหายใจ “เดี๋ยวกูเคลียร์เรื่องค่าซ่อมเอง”

“ได้ไง มันเป็นคนถอยมาชน”

เชี่ยโอม มึงไม่รู้เหรอว่ามึงกำลังมีเรื่องกับใครอยู่น่ะหา

ผมกำลังจะอ้าปากพูด แต่สงครามดันพูดแทรกขึ้นมาซะก่อน “กูเคยสัญญาว่าจะไม่กระทืบเด็กหอมึง แต่กูไม่เคยสัญญาว่าจะไม่กระทืบญาติมึง”

“ใจเย็นก่อนได้ป่ะ” ผมพยายามขอร้อง

“มันกวนตีน”

“คิดว่ามึงแน่นักเหรอฮะ” โอมทำท่าจะพุ่งไปใส่สงครามผมจึงรีบเอาตัวเองเข้าไปห้าม ตอนที่โอมพุ่งเข้าไป เด็กหอสองคนอื่นก็เข้ามาใกล้โอมเหมือนกัน และเมื่อเห็นว่ามีผมอยู่ในเหตุการณ์บ้าๆ นี่ด้วย พวกหอสามคนอื่นๆ ก็เลยจะเข้ามาช่วยผมอีก นี่มันใกล้จะกลายเป็นสงครามกลางมออยู่แล้ว

“เหี้ยอ้าย ห้ามมันทำไมล่ะ ปล่อยให้แม่งเข้ามา” สงครามร้องลั่น

โอมดูชะงักและเอะใจ มันคงเพิ่งสังเกตว่ามีคนพร้อมสำหรับการสร้างความรุนแรงอยู่มากมาย มันมีแค่ผม มันไม่มีคนอื่นเลย

“มึงถอยไป” สงครามก้าวเข้ามาใกล้ กลายเป็นผมยืนคั่นกลางระหว่างมันกับโอม ผมจ้องหน้ามันเขม็ง ในใจรู้สึกตื่นกลัวและเสียงที่พูดก็สั่นมาก

“สงคราม เดี๋ยวกูจะจ่ายเอง”

“เรื่องเงินมันไม่เกี่ยวแล้ว ก่อนมึงจะมา ไอ้เหี้ยนี่ด่ากูไว้เยอะแค่ไหนมึงรู้มั้ย”

“...”

“ถ้าเป็นคนอื่นมันโดนจนเละไปแล้ว”

“มันเป็นญาติกู”

“แล้วไง”

“ก็มันเป็นญาติกูไง”

“ญาตินิสัยเหี้ยอ่ะดิ แบบนี้ไม่น่าปล่อยไว้ น่าจะถูกสั่งสอน”

“กูได้ยินนะ” โอมพูดแทรกอย่างไม่รู้ห่าเหวอะไรเลย ผมหันไปตำหนิ จังหวะนั้นเป็นจังหวะที่สงครามผลักตัวผมออกไปให้พ้นทาง จากนั้นมันก็ชกหน้าไอ้โอมเต็มๆ จนโอมล้มลงไปกองกับพื้น

ผมต้องรีบตั้งสติ ร้องปรามพวกหอสามคนอื่นๆ ที่จะพุ่งเข้ามามีเรื่อง เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับโอมและสงคราม ไม่เกี่ยวกับศักดิ์ศรีหออะไรทั้งสิ้น

“พวกมึงไม่ต้อง” สงครามเองก็บอกคนจากหอมันเหมือนกัน “เป็นเรื่องของกูกับไอ้เหี้ยนี่ ใครไม่เกี่ยวก็ไม่ต้องมายุ่ง”

สิ้นเสียงสงครามทุกคนก็หยุดนิ่งกันไปหมด สงครามหลุบสายตาลงต่ำ มองดูโอมที่ปากแตกซึ่งกำลังพ่นเลือดลงพื้น หมัดสงครามหนักเสมอถึงแม้ว่ามันจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจชกก็ตาม

“เหี้ย” ผมด่า

“กูทนมานานแล้ว”

“หมัดเดียวก็พอ ถอยไปไอ้สัด” ผมเดินผ่านสงครามแล้วรีบเข้าไปดูโอม มันค่อยๆ ลุกขึ้น ดูอับอายมากกว่าเจ็บแผล มันคงรู้ซึ้งแล้วว่าสงครามไม่ใช่คนที่ควรมีเรื่องด้วยไม่ว่ากรณีใดๆ แค่หมัดเดียวก็ทำมันเลือดกบปากขนาดนี้ คงไม่ต้องพูดถึงหมัดอื่นแล้วล่ะ ผมหันไปมองไอ้คนหมัดหนักด้วยสายตาไม่สู้ดีเท่าไหร่ “มึงจะเอายังไงสงคราม ให้กูโทรเรียกประกันมาดูด้วยเลยเปล่า กูจะจ่ายให้รถมึงด้วย”

“ไม่ต้อง” สงครามพูด “มึงดูแค่รถมึงเหอะ”

มันดูหงุดหงิดมากจนเลือกที่จะเดินไปทางอื่นแทนที่จะอยู่ดูต่อ เมื่อสงครามไม่ทำอะไรเหตุการณ์ก็ไม่มีอะไรน่าติดตามอีก ฝูงชนเริ่มกระจายตัวไปใช้ชีวิตกันตามเดิม ปล่อยให้ผมอยู่กับโอมที่บริเวณรถผมกับรถสงคราม

“ไปหายามาทาแผลมึงกัน”

“เออ” โอมกัดฟัน “หมัดมันแม่งอย่างกับบัวขาว”

“เคยโดนบัวขาวชกแล้วเหรอ”

“ความเจ็บก็น่าจะประมาณนี้ป่ะวะ”

ผมส่ายหน้าใส่โอม แม้โอมจะอายุมากกว่าผมแต่ก็ชอบทำตัวเด็กกว่า ผมคิดว่าจะพามันไปซื้อยาจากเซเว่นแถวนี้โดยที่ผมเป็นคนขับรถเอง ระหว่างที่กำลังจะขึ้นรถผมเห็นสงครามมองดูอยู่กลายๆ มันกำลังทำหน้าเซ็งใส่ผม

ผมหรือเปล่าวะที่ควรเป็นคนทำหน้าเซ็งใส่มันอ่ะ






[มีต่อนะคะ]






ออฟไลน์ Chiffon_cake

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 712
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1544/-12






หน้าเซเว่นนอกมอ

ผมมองดูโอมทำแผลให้ตัวเองอยู่บนรถ ในใจนึกอยากจะคุยกับมันเรื่องรถ แต่พอเห็นมันเจ็บแถมยังร้องครางเพราะแสบเบาๆ ผมก็เกิดความรู้สึกลังเลนิดๆ ว่าควรจะพูดดีหรือเปล่า

โอมมันข่มผมได้ตั้งแต่เด็กๆ สมัยก่อนมันก็เป็นเหมือนพี่ชายผม ลุงเอกพ่อของมันเป็นพี่ชายคนสนิทของพ่อ เวลามีความสุขหรือเดือดร้อนเราสองครอบครัวก็มักจะอยู่ด้วยกันมาโดยตลอด ผมเป็นลูกชายคนเดียวแต่ไม่ได้รู้สึกเหงาอะไรเพราะมีลูกพี่ลูกน้องซึ่งเป็นเหมือนพี่ชายมากมาย แต่คนที่ผมสนิทใจด้วยมากที่สุดก็คือโอมนี่แหละ

ช่วงนี้ชีวิตของมันเหมือนดิ่งลงเหว ลุงเอกมีปัญหาเรื่องเงินจนแทบเอาตัวเองไม่รอด โอมที่ควรเรียนจบเมื่อสองปีก่อนก็ไม่รู้มีผีห่าซาตานอะไรเข้าสิงถึงได้ไม่ยอมตั้งใจเรียนให้จบ กลายเป็นพี่ปีสูงของน้องๆ ที่วันๆ เอาแต่เล่น หาความสุขใส่ตัวไปเรื่อย ผมทั้งบอกทั้งเตือน แต่ท้ายที่สุดโอมก็กลับมาใช้ชีวิตตามเดิมนั่นก็คือทำตัวเสเพลไปวันๆ

ก็หวังว่าสักวันมันจะดีขึ้น เพราะอะไรที่มันอยากได้ ผมก็หามาให้หมด พ่อผมปฏิบัติตัวกับลุงเอกยังไง ผมก็ทำอย่างนั้นกับโอมเช่นเดียวกัน

“จริงๆ แล้วมึงจะโทรมาถามเรื่องรถใช่มั้ย” จู่ๆ โอมก็เอ่ยออกมา ผมมองตาค้างอย่างตกตะลึง ไม่คิดว่ามันจะรู้ตัวด้วย “กูนี่มันแย่จังเลยเนอะ ชอบยืมนั่นยืมนี่ของมึงอยู่เรื่อย”

“กูรู้ว่าเดี๋ยวมึงก็คืน”

“ใช่ กูคืนแน่”

“...”

“แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องเงิน กูก็ไม่รู้ว่าจะนัดมึงออกมาเจอกันได้ยังไง มึงเหมือนคนที่มีงานรัดตัวตลอดเวลาเลย”

“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย”

“จริงๆ นะ” โอมหันมามองผมอย่างจริงจัง “ทุกครั้งที่มึงยอมมาเจอ กูต้องเดือดร้อนหนักก่อน พอกูนัดมึงไปแดกข้าวเฉยๆ งี้ มึงไม่เคยยอมไปกับกูอ่ะ”

ช่วงนี้ผมยุ่งมากจริงๆ นั่นแหละ ไม่มีเวลาแม้กระทั่งไปเที่ยวเล่นตามประสานักศึกษาที่เรียนจนเครียดแบบสุดๆ เวลาในชีวิตของผมมอบให้ลูกหอเสียจนลืมหาเวลาว่างให้กับตัวเอง ฉะนั้นจึงมีบ่อยครั้งที่ผมปฏิเสธการนัดหมายกับโอม เว้นเสียแต่ว่ามันจะเดือดร้อนจริงๆ เลยกลายเป็นว่าผมเจอมันทุกครั้งก็มักจะมีเรื่องเดือดร้อนของมันพ่วงตามมาด้วยเสมอ

“กูรอพ่อแก้ปัญหาเรื่องเงินอยู่เนี่ย บอกว่าอีกไม่นานครอบครัวเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม มึงรู้ป่ะ พ่อพูดแบบนี้มาเป็นเดือนแล้ว”

“มึงก็อดทนสิวะ” ผมบอกได้แค่นั้น

“ยังไงกูก็ขอยืมรถมึงต่ออีกหน่อยนะอ้าย”

ผมนิ่งไปนิดหน่อยก่อนจะพยักหน้า

“แล้วก็...ขอยืมเงินอีกสักสี่พันด้วย”

“...”

“ขอโทษนะ แต่กูจะคืนมึงจริงๆ กูไม่มีวันเอาเปรียบมึง เพียงแต่ตอนนี้กูเดือดร้อนมาก และกูก็ขี้เกียจทะเลาะกับพ่อด้วย มึงก็ไม่ค่อยเดือดร้อนเรื่องเงินไม่ใช่เหรอ”

“แต่ว่า...”

โอมเอื้อมมือมาแตะไหล่ผม “กูคืนแน่นอน ช่วยกูหน่อยนะอ้าย”

“มึงสัญญากับกูได้มั้ยว่าจะใช้เงินกูที่มึงยืมไปให้เกิดประโยชน์ที่สุด”

“เงินที่กูมายืมมึง กูใช้ไปกับเรื่องที่มีแต่ประโยชน์จริงๆ นะ”

“แน่เหรอ”

“แน่สิ”

“...”

“ไปดูชีวิตกูที่มอหน่อยมั้ยล่ะ มันมีมากกว่าการเที่ยวกลางคืน ทำตัวเสเพลนะเว้ย”

“จะบ้าเหรอ”

“เห็นมั้ย มึงมันไม่มีเวลาจริงๆ”

คอผมตกและไหล่ของผมก็ห่อลงอย่างเห็นได้ชัด ถ้าให้เงินกับโอม เงินเดือนนี้ของผมจะเหลืออยู่ติดก้นบัญชีไม่เท่าไหร่แล้ว ถ้าจะอยู่ให้รอดไปได้ทั้งเดือนก็คงต้องกินมาม่าใต้หอ จริงๆ ผมก็ไม่ได้มีฐานะยากจนข้นแค้นอะไร เพียงแต่ว่าเงินฝากส่วนใหญ่อยู่กับแม่ ผมพยายามฝึกตัวเองให้เป็นผู้ใหญ่ด้วยการไม่ใช้จ่ายเกินงบที่ตั้งเอาไว้ แต่เดือนนี้ผมคงทำอย่างนั้นได้ยากหน่อย เพราะโอมมายืมเงินผมเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของเดือนแล้วก็ไม่รู้

“กูลงไปกดที่ตู้ให้ก็แล้วกัน” ผมพูดเสร็จก็เดินลงไปกดเงินให้โอม ระหว่างนั้นอยู่ดีๆ ก็มีผู้ชายขาวจั๊วะคนหนึ่งเดินผ่านไป ออร่าความเป็นเด็กหอสามพุ่งกระฉูดจนผมอดร้องเรียกไม่ได้ “เฮ้ย”

“อ้าวพี่อ้าย” อาสานี่เอง ผมมองซ้ายมองขวาอย่างเป็นกังวล มันมาคนเดียวครับ ไม่มีใครมาเป็นเพื่อนมันเลย

อันตรายสัดๆ

“ไม่มีใครมากับมึงเหรอ”

“ช่าย”

“ทนายปล่อยมึงมาได้ยังไง”

“พูดอย่างกับมันล่ามโซ่ผมเอาไว้”

“ก็ควรจะล่าม” ผมดันหลังรุ่นน้องที่ตัวเล็กกว่าเข้าไปในเซเว่น

“อะไรของพี่เนี่ย”

“รีบซื้อเร็วๆ”

“แล้วพี่ไม่ไปทำธุระของพี่หรือไง”

“แค่กดตังค์เอง”

“ก็ไปกดสิ”

“ไม่อยากปล่อยมึงไว้คนเดียว”

“บ้าบอจริงๆ”

“ก่อนด่ากูดูหน้าตัวเองด้วย”

มันไม่เคยชินหรอกเรื่องการที่คนจากหอสามต้องปกป้องมัน เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าอาสามันจะชอบครับ มันออกจะอึดอัดนิดหน่อยด้วยซ้ำ แต่มันก็ไม่ได้โวยวายหรือโอดครวญเรื่องนี้มากมายแต่อย่างใด เพราะหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าคนอย่างมันถ้าไม่อยู่กับคนจากหอสาม มันก็คือเหยื่อพวกหออื่นดีๆ นี่เอง

เกิดมาน่ารักจนเกินจะเป็นผู้ชายชีวิตมันก็เลยลำบากอย่างงี้แหละ

สิ่งที่อาสามาซื้อก็คือน้ำเปล่าหนึ่งขวดกับเค้กกล้วยหอมหนึ่งชิ้นถ้วน ผมกลอกตาเล็กน้อยระหว่างรอมันจ่ายตังค์ ขณะนั้นเองมีเด็กคณะไหนไม่รู้เดินเข้ามาในเซเว่นเป็นกลุ่มใหญ่ มองเผินๆ คงจะมาจากหอห้าหรือไม่ก็หอหก พวกมันมองอาสาตาค้าง สองหอนี้ไม่ค่อยได้อยู่ใกล้ชิดหอสามเท่าไหร่ พวกมันเจออาสาทีไรเป็นอันต้องเก็บอาการไม่อยู่ทุกทีไป

อยากจะเตือนความจำพวกมันเหลือเกินว่ามอ B แห่งนี้ก็มีผู้หญิงนะมึง...

คิวคิดเงินก็นานโคตรจนผมเริ่มจะทนไม่ไหว อาสาบอกให้ผมออกไปหลายรอบแล้วแต่ผมยังยืนกรานที่จะอยู่ต่อ ไม่นานนักคนกลุ่มนั้นก็เลือกของกันเสร็จ พวกมันมายืนต่ออาสากันหมด อย่าให้เรียกว่ายืนเรียงเป็นแถวเลยครับ เรียกยืนรุมเหอะ มันอธิบายภาพได้ชัดกว่า

เบื่อพวกแม่งจริงๆ

ผมกำลังจะเข้าไปแทรก ทำตัวเป็นการ์ดให้อาสา แต่แล้วก็มีคนเดินตัดหน้าผมไป

“กูจะจ่ายเงิน”

เมื่อคนกลุ่มนั้นหันหน้ามามอง พวกมันก็กระจายกันไปคนละทิศละทาง

สงครามมาเซเว่นด้วยเหรอเนี่ย

จริงๆ แล้วมันจะมาเซเว่นก็ไม่ผิดหรอกครับ มันก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เพียงแต่ว่าผมตกใจตรงที่บังเอิญเจอมันอีกครั้งในเวลาไล่เลี่ยกันต่างหาก อาสาค่อยๆ เขยิบ ดูมันหวาดๆ สงครามยังไงชอบกล (ใครบ้างล่ะที่จะไม่หวาด)

“มึงไม่ต้องไปไหน รีบจ่ายก่อนเลย ทำคนอื่นเขายุ่งยาก”

อาสาทำหน้าเบะเล็กน้อย ผมมองไอ้สงคราม ประธานหอมันอย่างกูยังไม่ด่ามันเลย มึงเป็นใครไม่ทราบ

กว่าอาสาจะจ่ายตังค์เสร็จผมก็ลุ้นจนเหนื่อย ผมดันตัวเด็กหอตัวเองให้เดินไปข้างหน้า

“มึงมายังไง” ไม่ลืมที่จะถามมันก่อนแยกกัน

“ทนายจอดรถรออยู่ตรงโน้น”

“อย่าลืมบอกมันล่ะว่าเกือบโดนผู้ชายรุม”

“จะไปบอกอย่างนั้นทำไม”

“ให้มันอกแตกตายเล่น”

“หา”

“เพราะมันควรจะเฝ้าแฟนตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ยิ่งมีแฟนหน้าแบบมึงด้วยแล้ว”

“ผมนี่แหละเป็นคนบอกไม่ให้มันลงมาเอง”

“งั้นเปลี่ยนที่ตัวมึง”

“เว่อร์เกินไปแล้ว”

“เชื่อกูนี่”

อาสาทำหน้าไม่เชื่อแต่ก็พยักหน้ารับเบาๆ “ไปก่อนนะพี่ ฝากขอบคุณพี่สงครามด้วยนะ”

ผมอ้าปากค้างเติ่ง กะจะบอกมันว่าผมไม่คิดจะพูดอะไรกับสงครามอีกในวันนี้ แต่มันกลับวิ่งขึ้นรถไอ้ทนายไปแล้ว ผมหันตัวกลับมาอีกทีก็เจอสงครามยืนอยู่ข้างๆ

“มีเรื่องจะคุยด้วย” มันพูด

“ไม่คุย”

“ไม่ใช่ตอนนี้”

กวนตีนกูป่ะวะ “ตอนไหนก็ไม่คุย”

“อีกแล้ว งอนกูเป็นผู้หญิงอีกแล้ว”

“ไม่ใช่โว้ย มึงต่อยญาติกูนะ”

“มันเป็นญาติมึงที่ปากเสีย ยังไงก็ต้องต่อยป่ะวะ”

“ถอยไป”

“เหี้ยอ้าย” สงครามทำเสียงแข็งใส่ผม แต่ผมไม่สนใจ ตั้งหน้าตั้งตาเดินไปกดตังค์ที่ตู้

หรือผมทำตัวงอนเป็นผู้หญิงจริงๆ วะเนี่ย จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้โกรธสงครามขนาดนั้นแต่ยังมีความขัดเคืองอยู่เล็กน้อย ผมไม่จำเป็นต้องปั้นปึ่งใส่มันก็ได้ แล้วผมทำอย่างนั้นไปทำไมกัน








ห้อง 101

ผมกำลังนั่งคิดเรื่องดีๆ เพื่อเขียนลงโน้ตสุขใจ แต่ทำไมมันคิดยากจังวะ วันอื่นไม่เห็นยากขนาดนี้ ที่แน่ๆ เรื่องที่สงครามมาช่วยไอ้อาสาในเซเว่นนั่นก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งของวัน

ห่าน ทำไมเรื่องดีๆ ในชีวิตผมถึงกลายเป็นเรื่องไอ้สงครามหมด วันนี้โปรเจ็กต์เดินไปข้างหน้าก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอวะ เขียนลงไปดิสัดอ้าย เขียนลงไป

โน้ตสุขใจ
1. โปรเจ็กต์ก้าวหน้าไปอีกหนึ่งขั้นถ้วน!


กำลังจะจรดปากกาเขียนความสุขข้อที่สองโทรศัพท์ก็สั่น ตอนแรกมันสั่นแค่ครั้งเดียว แต่ตอนหลังมันสั่นรัวๆ อย่างกับมันหนาว
เกิดเรื่องเหี้ยอะไรขึ้นหรือเปล่าวะเนี่ย ใครทักอะไรกูมา

สงเหี้ย หอสอง : /แนบรูปข้อความ ‘กูจะไม่งอนมึงอีกแล้ว’
สงเหี้ย หอสอง : /แนบรูปข้อความ ‘กูจะไม่งอนมึงอีกแล้ว’
สงเหี้ย หอสอง : /แนบรูปข้อความ ‘กูจะไม่งอนมึงอีกแล้ว’
สงเหี้ย หอสอง : /แนบรูปข้อความ ‘กูจะไม่งอนมึงอีกแล้ว’


ไอ้สงครามมมม อะไรของมึงงงงงงงงง

สงเหี้ย หอสอง : ประธานหอไรวะโกหก
สงเหี้ย หอสอง : อ๋อ หอสามนี่ไง
สงเหี้ย หอสอง : /แนบรูปข้อความ ‘กูจะไม่งอนมึงอีกแล้ว’


ไม่ต้องเสียเวลาบรรยายเลยครับว่าผมของขึ้นขนาดไหน ผมรีบพิมพ์ตอบไอ้สงครามทันทีอย่างมีน้ำโห

AI : เป็นเชี่ยไรสัด
สงเหี้ย หอสอง : กูแค่เตือนความจำมึงเฉยๆ
AI : กวนตีนสาดดดด
สงเหี้ย หอสอง : มึงต่างหาก งอนเก่งจังเลย งอนแล้วได้รางวัลเหรอ
AI : มึงก็ง้อเก่งจังไอ้เหี้ย


ผมชะงักกึกหลังจากที่ผมพิมพ์ข้อความนั้นเสร็จ เดี๋ยวสิ ผมไม่ควรจะพิมพ์ตอบมันไปแบบนั้นนี่

สงเหี้ย หอสอง : มึงชอบให้กูง้อสินะ
AI : บ้านมึงสิ
AI : ตกลงจะคุยเรื่องอะไร
สงเหี้ย หอสอง : เรื่องญาติมึง
AI : จะขอโทษ?
สงเหี้ย หอสอง : เปล่า กูจะตามไปเผาบ้านมันให้สิ้นซาก
AI : ฟวยสงคราม บ้าไปแล้วเหรอ
สงเหี้ย หอสอง : กูทำจริงๆ นะ
AI : กูรู้ ไอ้สาด
สงเหี้ย หอสอง : มึงแคร์มันมากกว่าแคร์กู
สงเหี้ย หอสอง : กูประธานหอสองนะเว้ย


ผมกระพริบตาปริบๆ ใส่ข้อความของมันอย่างไม่เข้าใจเท่าไหร่ ตำแหน่งประธานหอมันเกี่ยวตรงไหนวะ

AI : แล้วมึงจะแคร์ทำไมว่ากูแคร์ใคร ไอ้บ้า
สงเหี้ย หอสอง : นึกถึงแป้งเด็กเลยไอ้ห่า


มึงควรตอบกูแบบนี้เหรอ...

สงเหี้ย หอสอง : กูไม่ชอบมัน
สงเหี้ย หอสอง : กูแค่สัญญาว่าจะไม่ทำอะไรลูกหอมึง แต่ไม่ได้สัญญาเรื่องไม่ทำอะไรญาติมึง
สงเหี้ย หอสอง : ถ้ากูเจอมันอีก กูซัดไม่ยั้งแน่
AI : ไอ้สาด
สงเหี้ย หอสอง : ฝันดี


มันทักมากวนตีนผมเฉยๆ หรือเปล่าวะ ผมบีบโทรศัพท์ตัวเองแรงๆ อย่างบ้าคลั่ง แต่รู้ตัวดีว่าก็ไม่ได้โกรธอะไรขนาดนั้น
ลองย้อนไปอ่านข้อความจากไอ้สงครามดู แปลกแต่จริงที่ทำให้ผมยิ้มออกมาน้อยๆ
ผมสามารถเพิ่มความสุขของผมลงในโน้ตสุขใจได้แล้วครับ

2. สงครามช่วยอาสาในเซเว่น
3. มันง้อเราอีกแล้ว
4. วันนี้คุยไลน์กับมันแล้วรู้สึกดีแปลกๆ
5. รู้สึกดีจนลืมไปว่ามันชอบมีนอยู่...


ผมวางปากกาลงแล้วถอนหายใจ การเขียนบันทึกเรื่องราวอะไรแบบนี้มันดีตรงที่เราได้ทบทวนความรู้สึกตัวเองนะครับ...

และได้ทบทวนความจริงที่เป็นสิ่งฆ่าไม่ตายด้วย




TBC*

ออฟไลน์ Chiffon_cake

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 712
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1544/-12


ตอนที่ 4

ผมมองดูคลิปที่มีนไปออกงานในจอแล็ปท็อปด้วยสายตาหน่วงๆ ในเช้าวันต่อมา วันนี้ผมไม่มีเรียน (ปีสี่แล้วก็สบายอย่างงี้) ผมจึงมีเวลาดูคลิปในยูทูบเรื่อยเปื่อย คลิปของมีนเป็นคลิปแนะนำในยูทูบแถมยอดวิวยังพุ่งกระฉูดอย่างต่อเนื่อง ช่วงนี้มีนกำลังมาจริงๆ ครับ ต้องยอมมัน...

มือผมเลื่อนไปกดปิดแล้วถอนหายใจ ความน่ารักของมีนเหมือนตอกย้ำให้ผมบอกตัวเองซ้ำๆ ว่าคนคนนี้คือเจ้าของหัวใจของสงครามอย่างแท้จริง ผมไม่ควรไปตื่นเต้นกับข้อความไลน์ของมัน มันอาจจะพิมพ์มาแบบไม่คิดอะไรก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเหมือนเด็กหอสองคนอื่นๆ ที่ชอบปั่นหัวเด็กหอสามเล่น

หนอยแน่ ไอ้พวกชั่ว! #อยู่ดีๆก็ขึ้นเฉยเลย

วันนี้ผมรู้สึกฟิต เลยกะจะไปออกกำลังกายสักหน่อย คิดไว้ว่าจะไปสนามแบดมินตันในช่วงบ่ายกับไอ้ไปป์ เพราะไอ้ไปป์บอกว่าตอนเช้าเด็กคณะพลศึกษาใช้สนามอยู่ อยากรู้เรื่องกีฬาให้ไปถามเด็กหอสองครับ สนามกีฬาที่อยู่ในซอกหลืบมอและเล็กที่สุดมันก็ยังรู้ว่าช่วงเวลาไหนว่างหรือไม่ว่าง

เมื่อโปรแกรมชีวิตมีแค่ช่วงบ่าย ช่วงเช้าแบบนี้จึงปล่อยเวลาผ่านไปอย่างเปล่าๆ ปลี้ๆ ผมทิ้งตัวนอนลงบนเตียงจากนั้นก็มองดูเพดาน รู้สึกดีที่ได้พักบ้าง ชาวหอสามคงไปเรียนกันหมด ไม่มีคนมาเคาะห้อง ไม่มีเสียงเรียกจากเด็กๆ ว่าพี่อ้ายอย่างนั้น พี่อ้ายอย่างนี้

นี่มันสวรรค์ชั้นเจ็ดชัดๆ ผมควรจะนอนยาวๆ ไปจนถึงบ่าย หรือไม่ก็...

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ใครมาขัดความสุขผมตอนนี้วะ คงจะเป็นลูกหอคนใดคนหนึ่งอีกตามเคย ผมคิดอย่างเซ็งๆ แต่มือก็เปิดประตูห้องอย่างรวดเร็ว

คนที่มาเคาะยิ่งใหญ่กว่าลูกหอของผมทุกคนรวมกันซะอีกครับ เพราะมันคือประธานหอสอง!

มันไม่ควรจะมาเหยียบถิ่นหอสามป่ะวะ

“ฟวยยยยย!” ผมร้องลั่นอย่างตื่นตกใจ

“เต็มหน้ากูเลย” สงครามทำหน้าเซ็ง “เชี่ยตั้มให้มาตาม บอกมีประชุมที่ห้องเย็นเฉียบ”

“มึงโทรมาตามหรือไลน์มาตามก็ได้ มึงมาทำไม!” ผมมองซ้ายมองขวาเผื่อมีเด็กอยู่แถวนี้ เดี๋ยวต้องมาเล่นละครว่าเป็นศัตรูคู่แค้นกันอีก เหนื่อยจะแอ็กติ้ง

“หอมึงไม่เห็นจะมีใครอยู่”

“มึงเป็นกล้องวงจรปิดเหรอ”

“กูมองเห็น”

“ฟาย ออกไป”

“เร็วๆ เขาจะเริ่มกันแล้ว”

ผมมองสงครามอย่างไม่อยากจะเชื่อ มันอยากทำอะไรมันก็ทำ ใครจะห้ามอะไรมันได้ แต่สิ่งที่มันทำอยู่ตอนนี้คือสิ่งที่ผิดโคตรๆ เลยอดที่จะมองมันอย่างตำหนิไม่ได้

“นี่กูต้องง้อมึงอีกแล้วเหรอเนี่ย”

มันทำให้ผมคิดโทษตัวเองไปเลยว่าขี้งอน ผมเปล่าเป็นแบบนั้นสักหน่อย

“เร็วๆ กูรอหน้าหอ”

“เออ”

หัวใจผมเต้นแรงตอนที่สงครามก้าวถอยหลังออกไป ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ วันที่ประธานหอสองผู้ยิ่งใหญ่มาเหยียบหอสามด้วยตัวเอง ทำไมผมต้องตื่นเต้น ผมกำลังกลัวใช่มั้ยว่าจะมีลูกหอคนไหนมาเห็นสงครามหรือเปล่า

ผมรีบจัดการใส่ชุดไปรเวตแล้วออกมา สงครามกำลังขู่ลูกหอผมที่เพิ่งเดินผ่านมันไป

“มองเหี้ยไรนักหนา”

“สัด” ผมร้อง “อย่ายุ่งกับเด็กหอกู”

“แม่มันนี่ก็ดุจัง” สงครามส่ายหน้าเบาๆ “เร็ว”

“รู้แล้ว มึงรีบจัง เขาจะแจกเงินหรือไง”

“ก็ไม่แน่นะ ไอ้ตั้มเป็นคนเรียกประชุมด้วย ไม่ใช่พี่โอ” ยังจำเจ้าหน้าที่ดูแลหอพักอย่างพี่โอได้อยู่ใช่มั้ยครับ และไอ้ตั้มมันก็คือประธานหอสี่นั่นไง เวลาตั้มมันเรียกประชุมทีไร สิ่งที่ผมกับประธานคนอื่นๆ ได้ตามมาก็คือเงิน แต่ไม่ใช่เงินส่วนตัวครับ เป็นเงินจัดกิจกรรมภายในหอซึ่งสนับสนุนโดยพวกหอสี่โดยตรง

พวกนี้แม่งบ้า มีเงินเยอะก็เลยรู้สึกอยากเหวี่ยงเงินให้คนอื่นเล่นๆ

กว่าจะมาถึงห้องเย็นเฉียบ ผมกับไอ้สงครามก็เถียงกันอีกหลายยก ประธานทุกหอรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อผมกับสงครามก้าวเท้าเข้าไป การประชุมก็ได้ฤกษ์เริ่มต้นขึ้น

เป็นจริงอย่างที่ผมคาด เชี่ยตั้มมันจะแจกเงิน มันบอกว่ามีสินค้าชิ้นหนึ่งอยากมาเป็นสปอนเซอร์ให้แต่ละหอและอยากจะให้นำตู้สินค้านี้ไปวางไว้ใต้หอเพื่อจัดจำหน่ายสักหน่อย ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเสียหาย พื้นที่ใต้หอมีอยู่เยอะแยะ และอีกอย่างสินค้าชนิดนี้คงจะทำเรื่องขออย่างถูกต้องจนมาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้วนั่นก็คือพูดคุยกับประธานหอ

ดูท่าสินค้าตัวนี้คงจะเป็นของพ่อแม่เด็กปีหนึ่งซึ่งเป็นสมาชิกใหม่ของพวกหอสี่แหง

“และก็มีเรื่องจะพูดเป็นเรื่องสุดท้าย” ตั้มเอ่ยเมื่อถึงตอนท้ายของการประชุม มันหันมาสบตาผมเป็นครั้งแรก จากนั้นก็หลบสายตาไปทางอื่น ผมไม่เข้าใจว่าทำไมวันนี้มันแปลกไป ปกติแล้วไอ้ตั้มมันเป็นพวกมีความมั่นใจสูงจะตาย

มันสบตาทุกคนยกเว้นผม

“กรุณาเร่งหน่อยได้มั้ยครับ วันนี้มีเกมเปิดเซิร์ฟเวอร์ใหม่ ใกล้จะถึงเวลาแล้ว” โกวิทย์มองดูนาฬิกาข้อมืออย่างกระวนกระวาย

“เกมอะไรอ่ะ น่าสนใจ” เด็กเรียนอย่างไอ้ทิวส่งเสียงถาม

“อะแฮ่ม” ตั้มแกล้งกระแอม “ไอ้สัด กูพูดใกล้จะจบแล้ว”

“ว่ามา” สงครามพูดบ้าง

“ช่วงปลายสัปดาห์หน้ากูจะจัดงานเลี้ยง”

ผมกับคนอื่นๆ ส่งเสียงเซ็งไปตามๆ กัน เราทั้งหมดเคยไปงานปาร์ตี้ที่ไอ้ตั้มจัดอยู่หนหนึ่ง เป็นงานที่มีแต่พวกหอสี่และมันก็น่าเบื่อฉิบหายเพราะไม่มีคนที่เหมือนเราเลย แขกในงานพูดคุยแต่เรื่องที่คนรวยๆ เขาพูดกัน ผมอยู่กับเซียนเกมอย่างไอ้โกวิทย์ยังสนุกกว่าคนพวกนั้น

จำได้ว่าไอ้สงครามออกไปจากงานทั้งๆ ที่ใช้เวลาอยู่ในงานไม่ถึงห้านาที

“แต่กูไม่ได้จัดที่หอสี่”

“มึงจะไปจัดที่ไหนอีก” ภามเริ่มทำหน้าเหมือนสิ่งที่ไอ้ตั้มพูดแม่งโคตรเป็นสิ่งที่ไร้สาระ

“กรุงเทพฯ” ตั้มนั่งวางท่า “โรงแรมของเด็กหอกูเอง”

“กูไม่ไป” สงครามลุกขึ้นยืน

“แล้วแต่” ไอ้ตั้มไม่คิดจะรั้ง “จริงๆ กูอยากให้พวกมึงทุกคนไป เพราะแขกส่วนใหญ่มีแต่สปอนเซอร์ของมอ จะให้กูกับคนหอกูไปมันก็น่าเกลียดไปหน่อย”

ในเมื่อมันพูดมาซะขนาดนี้ยังไงก็ต้องไปสินะ

“แล้วทำไมต้องไปจัดไกลถึงกรุงเทพฯ” ผมถาม

“สปอนเซอร์ส่วนใหญ่เขาอยู่ในกรุงเทพฯ ไง เขาไม่ได้อยู่ต่างจังหวัดที่มีแต่ธุรกิจบ้านไอ้คีนแบบนี้” คำตอบของตั้มไม่ได้สร้างความแปลกใจเท่ากับการที่มันไม่ยอมสบตาคนถามอย่างผม

“มึงเป็นไรเชี่ยตั้ม มึงมีไรกับกูหรือเปล่า” ผมถามออกไปตรงๆ

“กูขอปิดการประชุมแค่นี้” ตั้มลุกขึ้นก่อนจะเดินหนี คนอื่นๆ เดินตามมันออกไปอย่างงงๆ ทิ้งให้ผมอยู่ตามลำพังกับไอ้สงครามในห้องเย็นเฉียบ

“ปกติมันไม่เป็นแบบนี้กับกูนะ” ผมอดตั้งข้อสังเกตไม่ได้

“เรื่องของมัน”

“...”

“จะกลับหอยัง”

“ทำไม”

“หออยู่ใกล้กันก็เดินไปด้วยกันดิ”

ผมขี้เกียจเถียงจึงทำตามในสิ่งที่มันพูด สงครามปล่อยให้ผมเดินนำหน้าโดยมีมันเดินตามหลังห่างออกไปเกือบสองเมตร แปลกแต่จริงที่นักศึกษาชายทั้งหลายพร้อมใจกันแหวกทางให้ผมเดิน คิดว่ามันไม่ได้เป็นเพราะผมหรอก แต่เป็นเพราะคนที่เดินตามผมมามากกว่า

สงครามไม่ได้อยู่ใกล้หรือไกลจนเกินไป จึงไม่มีพวกลูกหอคนไหนมองด้วยสายตาผิดปกติ

“มึงจะไปทำอะไรต่อ” สงครามถามมาจากด้านหลัง

“นอน”

“นั่นคือสิ่งที่มึงจะทำในวันนี้ทั้งวันเหรอ”

“เปล่าหรอก ตอนบ่ายมีตีแบดกับไปป์”

“ใครนะ”

ผมยั้งปากตัวเองไว้ไม่ทันแฮะ

“ไอ้ไปป์เพื่อนกูอ่ะนะ” สงครามถามย้ำ

“ฟังผิดแล้ว ไอ้ธัชเพื่อนกูต่างหาก”

“อ้าย” เสียงของสงครามจริงจังจนทำให้ผมหันกลับไปมอง “กูไม่ว่าอะไรหรอกนะถ้ามึงจะสนิทกับไปป์”

ทำไมมึงไม่พูดมาก่อนหน้านี้วะ ให้กูแถหรือพูดจาโกหกพกลมทำไมตั้งนานสาดดดดด

“ระวังสายตาคนอื่นก็พอ ไม่ต้องมาระวังกับกูหรอก”

“เฮ้อ” ผมถอนหายใจโล่งอก “กูสนิทกับไปป์รองจากธัชเพื่อนกูเลย”

“ที่ผ่านมาคือการแสดงหมดเลยงั้นสิ ที่ทำตัวไม่สนิทกันต่อหน้ากูอ่ะ”

“ก็มึงมันน่ากลัว”

“กูไม่คิดจะต่อยเพื่อนเพียงเพราะสนิทกับคนอื่นที่ไม่ใช่หอตัวเองนะเว้ย มึงก็น่าจะรู้อยู่ว่ากูเป็นคนยังไง”

“ใครจะไปเดาอารมณ์มึงได้” ผมพูดตามความรู้สึก “มึงมันไม่เหมือนใคร”

“ฟังดูน่าภูมิใจ” หน้าสงครามไม่ได้ยิ้มไม่ได้โมโห ติดจะเฉยๆ มากกว่า “ชนะไอ้ไปป์ให้ได้แล้วกัน”

“กูออกกำลังกายขำๆ ไม่ได้คิดจะเอาชนะ”

“งั้นก็ขอให้แพ้ไอ้ไปป์”

“...”

“แต่มึงคงแพ้อยู่แล้วเพราะมึงคือเด็กหอสาม ไอ้เชี่ยอ้าย เสียใจด้วยนะ”

“ไปไกลๆ กูเลย”







สนามแบดมินตัน คณะพลศึกษา

ด้วยอำนาจของไอ้ไปป์หรือเพราะแต้มบุญของผมก็ไม่รู้ วันนี้คนมาใช้สนามน้อยมาก มีคนที่มาตีแบดในเวลาบ่ายๆ อย่างนี้เพียงแค่สองสามคู่เท่านั้น ผมกับไอ้ไปป์แทบจะเรียกว่าเป็นวีไอพีกันเลยทีเดียว

“กูจะเล่นจนเหงื่ออาบเลย” ผมพันแขนเสื้อขึ้นพร้อมดวลกับไอ้ไปป์เต็มที่

“พร้อมนะ ระวังอย่าออกแรงจนปวดแขนล่ะ” ไปป์ตอบยิ้มๆ

“ยังไงก็ต้องปวดอยู่แล้วป่ะวะ”

“...”

“เพราะงั้นจะปวดทั้งทีก็ต้องเล่นให้มันสุดๆ”

เด็กหอสองก็คือเด็กหอสอง ไม่ว่ากีฬาอะไรพวกแม่งก็ถนัดหมด ผมต้องเสิร์ฟลูกจนเหนื่อยหอบ ขณะที่ไอ้ไปป์นั้นยืนจับไม้นิ่งๆ มองดูผมวิ่งเก็บลูกที่ตกฝั่งของผมอย่างมีมาด รู้สึกหมั่นไส้แม่งจริงๆ

“เหงื่อมึงออกแล้ว วันนี้ยังไงก็คุ้ม” มันพูด “ถ้าเหนื่อยก็พักนะ อย่าหักโหม”

“กูไม่พักโว้ย”

เล่นกันไปอีกสักพักผมก็ยกมือขอเวลานอก ไอ้ไปป์ยิ้มขำตอนที่มันทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ เหงื่อมันออกนิดเดียว ขณะที่เหงื่อผมนั้นไหลเป็นแม่น้ำ

“นี่น้ำ” น้ำไอ้ไปป์ดูน่าแดกกว่าน้ำผมเยอะ (น้ำเปล่านะครับนะ) ผมรับน้ำที่มันส่งมาให้ผมทันที นอกจากดื่มแล้วผมยังเอาน้ำมาสาดใส่หน้าอีกด้วยเพื่อความสดชื่น “นานๆ ทีจะเห็นประธานหอสามออกกำลังกาย”

“มันดูเป็นไงไม่ทราบ”

“ตลก”

“ไอ้เหี้ยไปป์”

“ก็ตลกจริงๆ อ่ะ มึงแม่งจริงจังเกินเหตุ ฮ่าๆๆ”

ผมคิดว่าผมจริงจังเพราะคำพูดดูถูกของไอ้สงครามเมื่อเช้า เรื่องกีฬาไม่ว่าจะพยายามยังไงก็สู้คนที่มาจากหอนี้ไม่ได้จริงๆ ผมควรทำใจใช่มั้ยเนี่ย

โทรศัพท์ของผมมีข้อความเข้ามา เป็นข้อความจากกลุ่มไลน์ประธานหอผู้ยิ่งใหญ่ คนที่ทักมาก็คือไอ้ตั้ม มันส่งตารางเวลางานเลี้ยงที่มันจัดมาให้ พอผมได้จับโทรศัพท์ผมก็เลยจับยาว เข้าแอปนั้นแอปนี้อย่างเคยชิน จนกระทั่งมาหยุดที่อินสตาแกรม

“มึงฟอลมีนด้วยเหรอ” ไอ้ไปป์ทัก มันหันมาเห็นหน้าจอผมพอดี “ติ่งเหรอสาด”

“ฟวยไร มีนมันลูกหอกูและก็เป็นเพื่อนสาขาเราด้วย ฟอลมันแล้วแปลกตรงไหน”

“...”

“หรือมึงไม่ฟอล”

“ไม่ได้ฟอลอ่ะ” ไปป์ยักไหล่

“เอาท์สัดๆ ของดีของเด็ดของหอกูทำไมมึงไม่ฟอล” ใครๆ ก็พูดถึงมีนกันทั้งนั้น ไม่ก็พูดถึงอาสาโดยเฉพาะไอ้พวกหอสอง เพราะงั้นผมจึงมองเหมือนไอ้ไปป์มันไม่ปกติ

“กูก็ฟอลของดีของหอมึงอยู่”

“ใครบ้างว่ามาซิ”

“อาสาไง”

“อันนี้มันของตายของหอมึง ใครๆ ก็ฟอล” ใครๆ ก็ชอบน้องยกเว้นไอ้สงครามครับ มันเห็นหน้าอาสาทีไรแล้วมันเบื่อ ชอบสร้างปัญหาให้มัน คิดแล้วผมก็ฮา “มีใครอีก”

“และก็มึง”

“ของดีของเด็ดเว้ยไอ้บ้า ไม่ใช่เพื่อนฝูง”

“เนี่ย กูก็กำลังพูดถึงของดีของเด็ด”

ผมหรี่ตามองไอ้ไปป์ มันหัวเราะหึหึคงสะใจมากที่แกล้งผมได้ ผมเอาผ้าขนหนูมาเช็ดหน้าแบบลวกๆ จนกระทั่งผมเอาผ้าออกจากใบหน้า หันไปมองไอ้ไปป์จึงเห็นว่ามันมองผมอยู่

“มีอะไรวะ”

“เคยมีคนบอกมั้ยว่ามึงหน้าเหมือนภาพวาด”

“ก็มีบ้าง”

“มึงคิดว่าไง”

“กูว่ามันตลก”

“ไม่นะ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ” ไปป์ขยับเข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับมองผมอย่างสำรวจ สายตาของมันดูลึกซึ้งมากกว่ามองสำรวจเฉยๆ นิดหน่อยจนผมรู้สึกได้ “คิ้ว ดวงตา จมูก ปาก รูปหน้า ทุกอย่างมันดูลงตัวหมดเลย อย่างกับวาดเอา”

“อวย ไอ้เหี้ย” ผมเอาผ้าตีหน้ามัน รู้สึกเขินแปลกๆ เพราะปกติไปป์มันไม่ค่อยได้ชมผมแบบนี้หรอกนะครับ

“พูดจริง”

ผมเลิกสนใจไอ้ไปป์แล้วลุกขึ้นยืน “ไป ไปเล่นกันต่อ”

“มึงหันมาดิ๊อ้าย” ผมหันไปตามคำเรียกแล้วไอ้ไปป์มันก็กดถ่ายรูปผมด้วยโทรศัพท์ “เพอร์เฟ็กต์สัด”

“เลิกอวยแล้วมาเล่น”

“มึงเขิน?”

“เปล่า กูฟิต”

“ฮ่าๆๆ เออ ไปเดี๋ยวนี้แหละ”







หอสาม ห้อง 101

หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนชุดเสร็จในตอนค่ำ ผมก็มีเวลานิดหน่อยในการเขียนโน้ตสุขใจก่อนออกไปเดินตรวจตรารอบๆ หอ วันนี้ผมนึกความสุขของผมได้ไม่ยากเลยครับ

โน้ตสุขใจ
1. สงครามกล้าเดินเข้ามาในหอสามอย่างหน้าด้านๆ (ซูฮก)
2. มันไม่โกรธเรื่องที่เราเป็นเพื่อนกับไปป์
3. วันนี้ได้ออกกำลังกาย
4. เพื่อนชมว่าหน้าเหมือนภาพวาด (อดรู้สึกปลื้มไม่ได้)
5. อาทิตย์หน้าจะได้ไปแดกของแพงฟรีๆ เพราะงานที่ไอ้เหี้ยตั้มมันจัด


หลังจากที่เขียนเสร็จผมก็เดินออกมาจากห้อง รับไหว้เด็กปีหนึ่ง แตะไหล่เด็กปีสอง ตบหัวเด็กปีสามเบาๆ ทำทุกอย่างเหมือนที่เคยทำ ทั้งนับจำนวน ตรวจสอบการใช้ชีวิตของลูกหอ และดูว่าพวกมันซ่องสุมสิ่งผิดกฎหมายไว้ในห้องหรือเปล่า ส่วนใหญ่หอผมมักจะไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องนี้ครับ เพราะงั้นงานของผมก็เลยสบายหน่อย

ผมยืนอยู่หน้าหอมองดูุลูกหอกลับเข้ามาคนแล้วคนเล่า บางวันก็กลับมาครบ บางวันก็กลับมาไม่ครบ โชคดีที่ไอ้ธัชมันเป็นผู้ช่วยดูแลหอที่ดี มันมักจะมีเหตุผลให้เสมอเวลาที่ผมถามว่าลูกหอไปไหน เช่น ไอ้เต เพื่อนอาสา มันชอบไปแดกเหล้าร้านพี่น้อยจนสนิทกันแถมยังมีห้องพักส่วนตัวที่ร้าน ถ้าไอ้เตมันหาย ก็แปลว่าอยู่ร้านพี่น้อย อะไรประมาณนี้

พักหลังๆ มันอยู่ติดห้อง 204 ของมันมาก อาจเป็นเพราะตั้งแต่มันคบกับไอ้ไมล์เพื่อนมันนั่นแหละ

ผมคิดอะไรเพลินๆ จนกระทั่งมีสิ่งผิดปกติบางอย่างเดินเข้ามาใกล้ พวกหอสี่กลุ่มใหญ่นำมาโดยไอ้เหี้ยตั้ม

“มีเหี้ยอะไร” แน่นอนว่าต้องมีเรื่องผิดปกติ เพราะคนอย่างไอ้ตั้มคงไม่ย่างกรายมาบริเวณหอคนอื่นแบบนี้ง่ายๆ หรอก

“มึงต้องมากับกู” ตั้มพูุด มันยังคงไม่ค่อยกล้าสบตาผมแต่ก็พูดด้วย

“ไปไหน กูประชุมกับมึงแล้วเมื่อเช้า”

“ไม่ใช่เรื่องงาน”

“...”

“เรื่องส่วนตัว”

ผมทำหน้าไม่เข้าใจ ไอ้ตั้มก็เลยกดเปิดโทรศัพท์ให้ดู ภาพที่เห็นในจอทำเอาผมตกใจจนหน้าซีดเผือด มันเป็นภาพของโอม ลูกพี่ลูกน้องของผมโดนต่อยจนหน้าเละและหลับอยู่ที่ไหนสักที่

“มันเป็นลูกหนี้คนของกู และมันวางตัวมึงเอาไว้ไถ่หนี้”

“เฮ้ย” เหี้ย ตลกแล้วววว นี่มันคอวอยออะไรไอ้สัดดดด

“กูขอโทษนะสัดอ้าย กูทำอะไรไม่ได้”

“เดี๋ยว” ผมพยายามรวบรวมสติ “โอมมันเป็นหนี้ มันต้องเกี่ยวกับกูแค่เรื่องเงินไม่ใช่เหรอ ไม่น่าจะเกี่ยวกับตัวกูนะ”

“อ้าย ถ้ามึงไม่สมัครใจ กูจะให้ไอ้พวกนี้แบกตัวมึงไป”

“เหี้ยตั้ม”

“ตอนนี้กูอยู่หน้าหอสาม ถ้ากูทำเหี้ยอะไรมึงพวกลูกหอของมึงคงลงมาจัดการพวกกู หอสี่ทุกคนก็คงจะไม่อยู่เฉยๆ เรื่องก็จะใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะงั้น...กูคิดว่ามึงตามกูมาดีๆ ดีกว่า”

“มึงจะพากูไปไหนตั้ม”

“เออ ตามกูมาก่อน”

ผมคิดว่าเรื่องแบบนี้มันควรจะเกิดกับคนอย่างอาสาไม่ก็คนอย่างมีนมากกว่า เพราะถ้ามันเกิดกับผมมันก็คงจะนิยายเกินไป โอมเอาตัวผมไปวางไว้เป็นตัวใช้หนี้ ทั้งๆ ที่ผมก็ไม่ได้เป็นผู้ชายหน้าตาน่ารักคิวต์ๆ อะไร ผมแข้งขายาวอีกทั้งยังตัวเก้งก้าง...

ทำไมโอมมันทำกับผมแบบนี้วะ








ห้องเย็นเฉียบ

ไอ้ตั้มคงไม่รู้ว่าควรจะพาผมไหนก็เลยให้ผมมาอยู่กับมันที่นี่ก่อน ในห้องที่โคตรหนาวห้องนี้มีผมอยู่กับตั้มสองคน ตั้มบอกให้พวกลูกน้องของมันคอยอยู่ข้างนอก มันมองหน้าผมเครียดๆ อยู่หัวโต๊ะแบบเมื่อเช้าเด๊ะ ขณะที่ผมเองก็เริ่มจะเครียดไปกับมันบ้างแล้ว
ปกติแล้วตั้มมันเป็นมนุษย์ที่ชอบต่อปากต่อคำกับผม แต่วันนี้มันเปลี่ยนไปจนแทบจะไม่เหลือภาพนั้นอีก ตั้มมันเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนจนผมรู้สึกแปลกๆ ที่ความเครียดนั้นมันเป็นเพราะผม ผู้ซึ่งไอ้ตั้มชอบหาว่ามีดีแต่หน้าตา ไม่มีอะไรอย่างอื่นดีเลย

“มึงรู้ใช่มั้ยว่ากูรวย” ช่างเป็นการเปิดประเด็นได้โคตรน่าหมั่นไส้ ผมพยักหน้ารับรู้ “บ้านกูทำหลายอย่างมาก หนึ่งในนั้นก็มีพวกปล่อยเงินกู้”

“...” มันอวดรวยกับผมทำไมกัน

“ญาติมึงคนนี้คงจะมายืมเงินจากสาขาหนึ่งของบ้านกูอ่ะ”

“มึงรู้ใช่มั้ยว่ากูไม่เกี่ยว” ตอนนี้ผมขอเอาตัวเองให้รอดก่อน เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง

“กูก็ไม่เกี่ยว”

“แล้วมึงลากกูมาทำไม”

“กูกำลังคิดว่ากูจะช่วยมึงยังไงดี” ตั้มดูเครียดมากจริงๆ “ปกติแล้วการจะใช้คนมาไถ่หนี้มันต้องเป็นคนที่...เอ่อ...”

“เหมือนอาสา” ผมช่วยขยายความ

“เออ อะไรเทือกๆ นั้น ตัวเล็กๆ ขาวๆ แต่พอผู้จัดการสาขานี้เห็นรูปมึง เขาก็ถูกใจ แล้วเขาก็ตกลงให้มึงเป็นตัวไถ่หนี้ได้”

“เดี๋ยวสิ”

“ญาติมึงไม่ยอมพามึงไปหาเขาตามข้อตกลง ก็เลยโดนเละ”

ผมเอามือทึ้งหัวตัวเอง “งั้นก็แปลว่ามึงช่วยกูได้ใช่มั้ย ในเมื่อเขาเป็นคนของบ้านมึงนี่”

“มันเป็นเรื่องของระบบว่ะอ้าย ถ้ากูเอาตัวเข้าไปยุ่ง ช่วยมึงให้หลุดพ้นจากเรื่องนี้ พวกลูกหนี้คนอื่นก็คงจะมีลีลาเยอะขึ้น เอาตัวกูเข้าไปเกี่ยวมากขึ้น ซึ่งพ่อกูไม่ชอบ”

“...”

“มึงก็น่าจะรู้ ลูกนักธุรกิจก็ต้องคิดแบบลูกนักธุรกิจ”

“มึงจะพูดอะไรกันแน่ไอ้สัดตั้ม”

มันตวัดสายตามองผม เป็นครั้งแรกของวันที่มันสบตาผมได้นานขนาดนี้

“กูจะจ่ายหนี้แทนญาติมึง ให้ญาติมึงเป็นหนี้กูแทน”

“...”

“มึงจะกลายมาเป็นเด็กกู สัดอ้าย”

นี่เป็นเรื่องที่ตลกที่สุดในวันนี้เลย “เหี้ย เป็นก็เหี้ยแล้ว”

“มึงมีทางเลือกเหรอ” ตั้มเสียงดังขึ้น “ถ้ามึงไม่ยอม มึงก็ต้องไปเป็นเด็กผู้จัดการสาขาคนนั้น”

“เหี้ยตั้ม อยู่เฉยๆ จะมาจับกูไปเป็นเด็กคนนั้นคนนี้ไม่ได้นะเว้ย นี่ไม่ใช่ละคร”

“มึงจะโทษใครได้ ในเมื่อญาติมึงทำสัญญาแบบนี้เอาไว้เอง ถ้ามึงไม่ทำตาม ญาติมึงจะตายนะอ้าย”

“ตายเลยเหรอ” ผมอ้าปากค้าง “บ้านมึงทำธุรกิจแบบไหนกันวะ บ้าไปแล้ว”

“มึงก็น่าจะได้เห็นความรุนแรงที่อยู่ในรูปแล้ว” ตั้มพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ผมนึกไปถึงสภาพของโอมที่เพิ่งได้เห็นเมื่อไม่กี่สิบนาทีก่อน มันดูไม่ได้จริงๆ “ถ้ามึงไม่ห่วงมัน อย่างน้อยก็ควรห่วงตัวมึงเอง กูรู้จักมึงมาก่อน แต่ผู้จัดการบ้าอะไรนั่นไม่รู้จักมึง”

“มัน...” ผมบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ “กูประธานหอสามนะเว้ย” อยู่ดีๆ จะให้ไปเป็นเด็กมัน มันบ้าป่ะ

“มึงเลือกมีญาติผิดอ่ะ”

“มันใช่ความผิดกูมั้ย”

“เป็นเด็กกูก็ไม่เสียหายหรอก”

“เหี้ยตั้ม!”

“มึงมองว่าเป็นเรื่องที่มึงติดหนี้บุญคุณกูก็แล้วกัน”

“...”

“แล้วกูจะติดต่อไป”







ผมกดโทรออกหาโอมเป็นครั้งที่สิบแล้วโอมก็ไม่ยอมรับสาย ผมจึงหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ระหว่างทางกลับหอผมเตะนั่นเตะนี่ไปทั่ว รู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ควรเกี่ยวอะไรกับผม ทำไมผมต้องมาเป็นแพะ

นี่มันเกินไปแล้ว ครั้งนี้โอมแม่งทำเกินไปจริงๆ

“เป็นอะไร” เสียงหนึ่งดังขึ้นจนผมสะดุ้งเฮือก สงครามมันยืนอยู่ในที่มืด ไม่รู้ว่ามันยืนทำอะไรอยู่

พอเห็นหน้ามันก็ยิ่งรู้สึกหน่วงในหัวใจ จึงเลือกที่จะไม่ตอบแล้วเดินหนีแทน

“เดี๋ยว ถ้าคราวนี้มึงงอนอะไรกูอีก กูว่ามึงต้องเป็นมนุษย์ที่โคตรขี้งอนที่สุดในโลก กูยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ”

สงครามเดินตามผมมา (แบบห่างๆ)

“เชี่ยอ้าย”

“ไม่เกี่ยวกับมึง โทษที กูไม่พร้อมจะคุย”

“ทำไมต้องเข้าไปห้องนั้นกับไอ้ตั้ม”

ฉิบหาย สงครามมันเห็นเหรอ

“มันทำอะไร บอกกูมา”

“...”

“จริงๆ แล้วไม่ต้องบอกก็ได้ กูว่ากูไปซัดแม่งเลยดีกว่า”

สงครามหันหลังกลับ ทำท่าจะเดินไปต่อยไอ้ตั้มจริงๆ จนผมต้องรีบคว้าไหล่มันเอาไว้

“ไม่มีอะไรเว้ย” ผมรีบพูด “กูโอเค”

“โอเคก็เหี้ยแล้ว เมื่อกี้มึงทำร้ายพุ่มไม้ไปตั้งเยอะ” อีกฝ่ายโวยวาย “ถ้ามันทำอะไรก็บอกกูมา กูต่อยคนอื่นเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องเสียหาย”

“มันซับซ้อน” สงครามไม่ควรโผล่มาในเวลานี้เลย

“อ้าย มึงดูผิดปกติจริงๆ นะ”

“กูทำเป็นปกติตอนนี้ไม่ได้จริงๆ”

“กูไม่สบายใจเลย”

“ไม่ต้องเป็นห่วง”

“ไม่มีใครเถียงกับกูได้สนุกเท่ามึงอีกแล้วจริงๆ นะ มึงเป็นแบบนี้มึงจะเถียงกับกูได้ไง”

“เหี้ยสงคราม”

“อ้าย” ผมได้ยินเสียงไอ้ตั้มเรียกจึงหันไปมอง มันเพิ่งวางสายเสร็จ สีหน้ามันดูโล่งใจไม่น้อย “กูเคลียร์เรียบร้อย”

“เคลียร์เหี้ยอะไร” สงครามที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรทำท่าจะพุ่งไปต่อยไอ้ตั้มอย่างเดียว ตั้มตกใจเล็กน้อย ผมรีบคว้าตัวสงครามเอาไว้ ไอ้ตั้มมันก็เลยกล้าพูดต่อ

“ไอ้เจ้าหนี้นั่นมันหน้าเลือดฉิบหาย โก่งราคาสัดๆ คงเสียดายมึงมากอ่ะ เขาบอกว่าเขาแอบขับรถมาดูมึงแล้วด้วยนะ”

“โรคจิตสัด” ทำไมผมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยวะ ขอทึ้งหัวตัวเองแป๊บ

“พวกมึงพูดเรื่องเหี้ยอะไรกัน” สงครามยังดูไม่เข้าใจ

“กูได้มึงมาในราคาสองเท่าของหนี้เดิมของญาติมึง สัดอ้าย”

“...”

“ต่อไปนี้มึงเป็นเด็กกูแล้ว”

“มึงหุบปากกกกกกก” สงครามดูหมดสิ้นความอดทน ไม่รู้เพราะมันโกรธหรือเพราะมันไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าความจริงเป็นยังไงกันแน่ ตั้มกับคนอื่นๆ รีบเดินหนีไปทางอื่น ขณะที่ผมพยายามจับตัวใหญ่ๆ ของสงครามเอาไว้ “เหี้ยนั่นพูดเรื่องอะไร เด็กอะไร ราคาอะไร เกี่ยวเหี้ยอะไรกับมึง”

“กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ” ผมทำหน้าเศร้า ไลน์ของผมดังตอนนั้นพอดี อ่านแล้วรู้สึกอยากเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้ง

ตั้ม หอสี่ : พรุ่งนี้เก้าโมง เจอกันที่ลานจอดรถหอกู




TBC*

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด