ตอนที่ 10
เช้าวันต่อมา
ตอนที่ผมเดินลงมาชั้นล่างกับข้าวบนโต๊ะอาหารก็ถูกวางเอาไว้เต็มไปหมด คนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะคือไอ้ไปป์ ส่วนคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะอีกฝั่งแบบกวนประสาทหน่อยคือไอ้สงคราม มันกำลังทำหน้าเซ็งๆ ยิ่งผมเดินลงมาให้มันเห็นมันก็ยิ่งเซ็ง
กูเองก็เซ็งมึงเหมือนกันล่ะวะ
“ลงมาแล้วเหรอ กับข้าวเพิ่งวางเอง” ไปป์ตบที่นั่งข้างๆ มันให้ผมนั่ง สงครามชักสีหน้า ดูมันไม่ค่อยพอใจหากผมจะนั่งติดกับไปป์ซึ่งอยู่อีกฝั่ง นั่นแปลว่ามันต้องนั่งอยู่ฝั่งนั้นคนเดียว
ผมกำลังจะทิ้งตัวลงนั่ง แต่สงครามก็ส่งเสียงกระแอม
“ข้างหน้ากูกับข้าวดูน่าอร่อยกว่านะ”
มันล่อผมด้วยอาหาร ดูเหมือนมันจะพูดถูกด้วย เพราะข้างหน้ามันมีแต่อาหารมีสีสัน แต่ข้างหน้าไปป์มีแต่อาหารซึ่งดูก็รู้ว่าคลีนขนาดหนัก
เอาไงดีวะกู...
“คนอย่างมึงไม่แดกคลีนอยู่แล้วกูรู้”
สงครามแม่งดูถูกว่าผมไม่ดูแลตัวเองหรือเปล่าวะ (คิดไปเอง) ผมทำการทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ไอ้ไปป์เพื่อต้องการเอาชนะไอ้สงคราม มันทำหน้าเหม็นเบื่อทันทีที่ผมทำอย่างนั้น
เมื่อมองไปที่อาหาร เป็นคราวของผมที่จะทำหน้าเหม็นเบื่อบ้าง สีสันของอาหารอยู่ไหน ทำไมมีแต่สีจางๆ พื้นๆ ไม่น่ากินเลย
“บอกแล้วไม่เชื่อ” สงครามย้ายมานั่งฝั่งตรงข้ามผม จากนั้นมันก็จ้วงอาหารคลีนทั้งหมดราวกับว่าเป็นกิจวัตรประจำวันที่มันทำอยู่แล้ว เช่นเดียวกันกับไอ้ไปป์ ทั้งคู่กินเหมือนอาหารตรงหน้าเป็นอาหารอันโอชะยังไงยังงั้น
ผมได้แต่ถือช้อนส้อมนิ่งๆ รู้ดีว่าอาหารคลีนรสชาติแม่งจืดอย่างกับอะไร เพราะงั้น...ผมมองไปที่อาหารซึ่งอยู่อีกฝั่งอย่างปรารถนา
“อาหารพวกนั้นแม่บ้านเขาทำมาไว้ให้มึงอ่ะ กินซะสิ” ไปป์พูดยิ้มๆ
ถ้าหากขยับไปนั่งอีกฝั่ง ไอ้สงครามมันก็ชนะน่ะสิ ผมพยายามกดความต้องการของตัวเองเอาไว้ ระหว่างนั้นสงครามก็ใช้แขนยาวๆ ของมันหยิบจานอาหารที่มีสีสันทั้งหมดมาวางไว้ตรงหน้าผม
“ไอ้พวกหอสามแม่งเรื่องมากฉิบ”
ผมอ้าปากพะงาบๆ พร้อมจะด่าสวนกลับ แต่เมื่อเห็นมันตักอาหารมาให้ผมโดยใช้ช้อนกลาง ผมก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก
อย่ามาทำดีกับกูแบบนี้ กูฟินนะเว้ย
“หวังว่าที่กูตักอาหารให้เช้านี้ มึงจะเอาไปเขียนในโน้ตของมึงนะ”
ผมกำช้อนส้อมแน่นมากจนมือไม้สั่น รู้สึกแพ้สงครามทั้งขึ้นทั้งล่องยังไงไม่รู้ มันได้ใจผมไปแล้ว มันคิดว่าจะทำอะไรหรือพูดอะไรกับผมก็ได้งั้นเหรอ ผมมองหน้ามันอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
“แดกสิ” สงครามเอ่ยเตือนสติ “อาหารเย็นหมดแล้ว”
จำใจต้องกินเพราะตอนนี้ผมหิวมาก เรื่องการตีกันระหว่างผมกับสงครามของเช้าวันนี้จึงหยุดลงแต่เพียงเท่านั้น วันนี้ไปป์ดูเหมือนจะยุ่งๆ มันกินข้าวเสร็จก็ขอตัวไปที่บ้านหลังใหญ่ก่อนเลย เนื่องจากมีญาติจากต่างจังหวัดมาหา บ้านของมันจึงเหลือแค่ผมกับสงครามที่กินข้าวกันอยู่โดยที่ต่างฝ่ายต่างก็นั่งตรงข้ามกันอีกที
ผมมองดูสงครามที่กดเปิดทีวีโดยใช้รีโมต มันกินไปดูทีวีไป สีหน้าท่าทางของมันไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อยจากสิ่งที่มันเพิ่งพูดกับผมเมื่อคืน
เรื่องนั้นมันใหญ่มากสำหรับผม แต่ตอนนี้กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับสงครามไปแล้ว เพราะมันดูชิลมากเสียจนผมคิดว่าความสับสนของมันเมื่อคืนคือเรื่องโกหกทั้งเพ
“กูไปดูมีนเสร็จกูจะมารับมึงไปงานเลี้ยงตอนเย็นด้วย โอเคมั้ย” สงครามพูดแข่งกับเสียงการ์ตูนในทีวี
“โอเค”
“กูมารับมึงได้ใช่มั้ย”
“ถ้ามึงไม่มารับ จะให้กูไปกับใครล่ะวะ”
“ก็นึกว่าอยากจะห่างกับกูอย่างนั้นอย่างนี้”
“นี่มึงประชดเหรอ”
“เออ”
ไอ้สัด มึงไม่ยอมรับหน่อยก็ได้ เจอแบบนี้กูไปต่อไม่เป็นเลย “ก็เสร็จจากงานนี้ก่อน มึงกับกูก็ค่อยๆ ห่างกัน”
“ได้”
“ตกลงตามนั้น”
“...”
“มึงจะไปงานอีเวนต์ของมีนใช่มั้ย”
สงครามเลิกคิ้วมองผม “ทำไม”
“กูไปด้วยได้หรือเปล่า”
มันดูเซอร์ไพรส์ที่ผมเอ่ยคำนี้ออกมา “ทำไมถึงจะไปล่ะ”
“กูสัญญากับมีนไว้ว่าจะไปดูอ่ะ ไม่อยากผิดคำพูดตัวเอง”
“...”
“อีกอย่างวันนี้กูก็ไม่มีอะไรทำด้วย ไม่ได้ดูลูกหอ ว่างๆ แบบนี้กูไม่ชินเลย” ผมขยับตัวอย่างไม่เคยชินประกอบคำพูด สิ่งที่เพิ่งพูดไปเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกจริงๆ ไม่มีเจตนาอื่นใดแอบแฝงทั้งสิ้น อีกอย่างหนึ่งมีนเป็นทั้งเพื่อนผมและก็ลูกหอของผม เลยอยากจะเห็นมีนทำงานเป็นขวัญตาสักครั้ง
“อ้อนกูสิ” สงครามหรี่ตามองก่อนจะพูดอย่างเย่อหยิ่ง
แม่งน่าหมั่นไส้ฉิบหาย “ทำไมกูต้องทำอย่างนั้น”
“มึงกำลังจะอาศัยรถกูไปนะ”
“...”
“คนบ้าอะไรจะมาอาศัยรถคนอื่นแต่พูดเหมือนออกคำสั่ง”
ผมจ้องมันเขม็ง สงครามแม่งเปิดศึกกับผมแต่เช้าตั้งแต่ผมเดินมาถึงโต๊ะอาหารนี่แล้ว ผมเป็นตัวแทนของหอสาม ไม่มีวันยอมคนที่มาจากหอที่เต็มไปด้วยพวกบ้าพลังแน่
“มึงต้องทำ”
“...”
“มึงต้องอ้อน”
“กูไม่อ้อน”
“มึงต้องอ้อน”
“สัดสงคราม”
“ไอ้เหี้ยอ้าย”
แม่งเอ๊ยยยย...ผมต้องใช้ความอดทนแค่ไหนในการคุยกับไอ้คนเอาแต่ใจคนนี้ มันต้องชนะในการแข่งขันทุกอย่างในชีวิตของมันตลอดเลยป่ะวะ คนเหี้ยอะไรเนี่ย
“กูอยู่บ้านไอ้ไปป์ก็ได้” คราวนี้ผมขอพลิกเกมก็แล้วกัน “มึงไปคนเดียวละกัน”
สงครามชักสีหน้า คงไม่คิดว่าผมจะเป็นแบบนี้กระมัง “สาด ไปด้วยกันนี่แหละ”
“กูไม่ต้องอ้อนแล้วเหรอ”
“ไม่ต้องแล้ว”
วู้ ชนะว่ะ ผมแอบยิ้มดีใจ สงครามมองมาที่ผมด้วยสายตาเซ็งนิดหน่อย
“รู้ว่ากูจะยอมใช่มั้ย”
“มึงไม่เคยยอมกู”
“กูยอมมาตลอดเหอะ”
“ไม่จริง”
“อย่างครั้งนี้กูยังยอมเลย”
“มึงช่วยแดกไปเงียบๆ ได้มั้ย”
ผมกับมันกลับมาตีกันอีกครั้งหนึ่ง และก็น่าจะเป็นแบบนี้ต่อไป ผมอดรู้สึกดีนิดๆ ไม่ได้ อย่างน้อยพวกเราก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย ไม่มีความอึดอัดเข้ามาแทรกตรงกลาง ซึ่งผมยินดีที่จะให้มันเป็นแบบนี้นะครับ ถ้าผมไม่ได้พูดกับมันเลย ผมก็คงจะรู้สึกเศร้าใจเหมือนกัน
เพราะอีกไม่นาน...ผมกับมันก็จะเรียนจบและก็แยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทางแล้ว บางทีผมก็ควรเก็บความสุขเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้เอาไว้
“ไปอาบน้ำแต่งตัวรอเลย”
“อืม”
ผมยิ้มให้แม่บ้านที่มาช่วยเก็บจาน ไอ้สงครามซึ่งยังไม่อิ่มดูเกรงอกเกรงใจแม่บ้านบ้านไอ้ไปป์มากจนมันทำท่าเก้ๆ กังๆ
“ยังไม่อิ่มก็แดกต่อสิ” ผมพูด
“เหมือนเขาจะรีบล้างจานเลย”
“แดกไปเลย”
“...”
“ของมึงเดี๋ยวกูล้างเอง” ผมหันไปหาแม่บ้าน “ของสงครามเดี๋ยวผมล้างเองครับ”
“เอ่อ...ค่ะ” แม่บ้านไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้สงครามเท่าไหร่จึงรีบตอบตกลงโดยไว ผมรีบเดินขึ้นไปอาบน้ำบนชั้นสองขณะที่ปล่อยให้สงครามกินอาหารของมันต่อไป คนบ้าอะไรไม่รู้กินเยอะฉิบหาย รู้สึกว่าแม่งจะเติมข้าวเป็นจานที่สองแล้วด้วยนะ
ผมใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวประมาณครึ่งชั่วโมง เดินลงมายังชั้นล่างในชุดไปรเวทง่ายๆ ด้วยกลิ่นหอมๆ และผมที่ยังไม่ค่อยแห้งดีเท่าไหร่ เมื่อเดินมาถึงโต๊ะอาหารกลับพบว่าจานเหล่านั้นหายไปเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแต่ความว่างเปล่า
“อยู่บนซิงก์โน่น” สงครามช่วยไขข้อข้องใจให้
“มึงยกจานมาไว้ที่ซิงก์ได้ แต่ล้างไม่ได้เนี่ยนะ”
“ก็ใครมันอาสาจะล้างให้ล่ะ”
ผมจิ๊ปากใส่สงครามก่อนจะเริ่มลงมือล้างจาน “มึงก็ไปอาบน้ำได้แล้ว กูได้ข่าวมาว่าอีเวนต์จะเริ่มตอนบ่ายแถมจัดอยู่ใจกลางกรุงอีก รถจะ...เฮ้ย”
ศอกของผมโดนพุงแข็งๆ (?) ของสงคราม มันมายืนอยู่ข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมเงยหน้าเล็กน้อยขึ้นไปมองหน้ามัน มันก็ไม่เห็นจะขยับตัวหนีผมไปไหนเลย
“มีเหี้ยอะไรเนี่ย” ผมเอ่ยแก้เก้อ
“กูมาตรวจสอบดูว่ามึงล้างจานสะอาดหรือเปล่า” ท่าทางมันคงไม่ยอมขยับเขยื้อนง่ายๆ “กูติดภาพมาว่าพวกหอสามเป็นพวกง่อย คุณหนู หน่อมแน้ม ทำห่าอะไรไม่เป็น...”
“ไอ้ฟายยยยยยยย” โดนดูถูกหอแบบนี้แล้วรู้สึกของขึ้น “เด็กหอสามก็เหมือนเด็กหออื่นนั่นแหละ”
“กูไม่เห็นจะรู้สึกอย่างนั้นเลย”
“มึงตั้งใจกวนตีนกูละสงคราม”
“กูเปล่าสักหน่อย”
“ไปอาบน้ำ” ผมใช้ศอกดันท้องของมันให้ออกห่าง แต่แม่งไม่สะเทือนต่อแรงดันของผมเลย มิหนำซ้ำยังไม่ยอมขยับตัวเลยสักนิด นี่มันว่างมากเลยหรือไง “เป็นห่าอะไรเนี่ยสงคราม ชอบให้กูโมโหนักเหรอ”
“เอาตรงๆ เลยมั้ย”
“...”
“กูไม่คิดว่ากลิ่นตอนมึงเพิ่งอาบน้ำเสร็จมันจะหอมขนาดนี้” มันพูดไม่พอ ยังก้มหน้าก้มตาเข้ามาใกล้เพื่อสูดกลิ่นของผมอีก
ก่อนที่ผมจะรู้สึกหน้าร้อนมากไปกว่านี้ ผมต้องรีบตัดจบฉากนี้ให้เร็วที่สุดเพื่อความปลอดภัยของหัวใจตัวเอง
ฟองน้ำล้างจานถูกบีบออกมาจนเป็นฟอง ผมใช้มันแปะเข้าไปที่อกของไอ้สงครามจนตัวมันเต็มไปด้วยฟองสีขาวของน้ำยาล้างจาน
“จะไปไม่ไป”
“ไอ้ฟาย เล่นเป็นเด็กๆ ไปได้ มันเหนียว”
“มึงจะได้ไปอาบน้ำสักทีไง”
“เออใช่”
“...”
“ต้องรีบไปแต่งหล่อเพื่อเอาใจมีนสักหน่อย” พูดจบมันก็เดินหนีไป
ผมคิดว่าผมจะชนะแล้ว แต่เปล่าเลย เชี่ยสงครามดันแซงทางโค้งแล้วพลิกเกมเอาชนะผมไปได้เฉย เพียงเพราะคำพูดประโยคสุดท้ายของมัน จากที่หน้าร้อนๆ ตอนนี้กลายเป็นอวัยวะภายในของผมที่ร้อนขึ้นมาแทน
หึ อย่าให้ถึงทีของกูบ้างก็แล้วกัน
นี่กูอุตส่าห์ล้างจานให้เลยนะ แต่ทำไมถึงทำให้หัวใจกูเจ็บแปลบอย่างนี้ล่ะสาด
ห้าง C
“ใหญ่กว่าภารกรบ้านเราเยอะเลยแฮะ” ผมมองซ้ายมองขวาอย่างตื่นตาตื่นใจ ตอนนี้ผมกับไอ้สงครามอยู่ภายในห้างใหญ่ที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมายเนื่องจากเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ผมสังเกตเห็นว่าสาวๆ ที่นี่ขาวๆ ทั้งนั้นเลยแฮะ อดมองตามด้วยความรู้สึกสนใจไม่ได้
“มองเหี้ยอะไรนักหนา” สงครามพึมพำ ผมสะดุ้งเพราะคำพูดของมันช่างเหมาะเจาะกับจังหวะที่ผมแอบมองสาวๆ พอดี แต่เมื่อหันไปมองก็เห็นว่ามันไม่ได้พูดกับผม มันพูดกับคนอื่น
กลุ่มผู้ชายตัวขาวๆ กำลังมองมาทางผม เมื่อเห็นว่าสงครามไม่ชอบใจ ทุกคนก็รีบเดินไปทางอื่นทันที
“มึงมีเสน่ห์กับคนกรุงเทพฯ เหรอเนี่ย” สงครามมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า “ไม่น่าเชื่อ”
ณ จุดนี้ขืนถ่อมตัวไปก็ไร้ประโยชน์ มันบวกมาผมขอบวกกลับ ไม่โกงโว้ย “ของมันแน่ กูอยู่หอสามนะ”
ได้ผล คำพูดของผมทำเอาสงครามคิ้วกระตุก “หมั่นไส้ฉิบหาย”
“อิจฉาก็บอก”
“กูจะอยากให้ผู้ชายมามองกูทำถ้วยอะไรวะ”
“แล้วมึงจะไม่พอใจทำไมล่ะ”
“กูไม่ชอบ”
“ไม่ชอบพวกนั้นเหรอ”
“ไม่ชอบมึงนี่แหละ!” มันตบมุขผมด้วย “กูเห็นมึงทำหน้าระริกระรี้ใหญ่เลยนะตอนรู้ว่าผู้ชายมองอ่ะ มึงบ้าป่ะวะ ทำอย่างกับไม่เคยโดนมองที่มอ”
แม่งไปกันใหญ่แล้ว “มึงต่างหากที่บ้า”
“เลิกเถียงกันเหอะ”
“ทำไม”
“งานเริ่มแล้วไอ้สัด นี่กูยังหาช่อดอกไม้ไม่ได้เลย”
“กูเกิ้ลแป๊บ” ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อตามหาร้านจัดดอกไม้แถวนี้ สงครามมันบ่นตั้งแต่อยู่บนรถแล้วว่าอยากให้ดอกไม้มีน แม้มือไม้ของผมตอนกดเสิร์ชหาร้านจะสั่น แต่ผมก็พยายามควบคุมให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คำพูดแปลกๆ ของสงครามเมื่อคืนจะไม่มีผลอะไรกับผมทั้งนั้นในวันนี้
“มีป่ะ” สงครามยื่นหน้าเข้ามาดูจอโทรศัพท์ผม
“มีๆ เดินไปอีกนิด” ผมเดินนำ อีกฝ่ายจึงรีบเดินตามมา
ระหว่างที่สงครามสั่งให้พนักงานจัดดอกไม้ตามที่มันต้องการ เสียงกรี๊ดก็ดังขึ้นเป็นระยะๆ ดูเหมือนอีเวนต์ที่มีนมาทำงานนั้นจะเริ่มขึ้นแล้ว ผมลอบมองสงคราม ดูปฏิกิริยาของมันกับเสียงกรี๊ดที่ดังแล้วดังอีก ดูมันไม่สนใจอะไร แถมยังติดจะรำคาญด้วยซ้ำ
“มึงไม่อยากให้มีนสักช่อเหรอ”
“ไม่มีเงิน”
“โกหก”
“ถ้ามีดอกไม้ไปให้หลายช่อ ดอกไม้ของมึงจะพิเศษตรงไหน”
“มึงไม่คิดจะให้กำลังใจมีนหน่อยหรือไง”
เป็นห่วงความรู้สึกกันจังเลยนะ ผมหรี่ตามองอีกฝ่ายก่อนจะหันหน้าไปสั่งดอกไม้อย่างไม่ยอมแพ้ แถมยังบอกให้พนักงานจัดดอกไม้ช่อใหญ่กว่าไอ้สงครามให้อีก หลังจากสั่งเสร็จผมไม่ลืมที่จะหันมายักคิ้วท้าทายสงคราม แต่แทนที่มันจะโกรธหรือทำหน้าบึ้ง มันกลับยิ้มน้อยๆ แทน
มึงมีความสุขในการตีกันกับกูเหรอวะ มึงคงบ้าเข้าขั้นสุดไปแล้วจริงๆ
หลังจากที่ผมกับมันกลายเป็นหนุ่มดอกไม้เพราะถือช่อดอกไม้กันทั้งคู่แล้ว เราสองคนก็เดินตรงมายังจุดที่จัดอีเวนต์ซึ่งหาได้ไม่ยาก เดินตามเสียงกรี๊ดไปไม่นานก็เจอ คนค่อนข้างเยอะพอสมควรเพราะงานนี้เป็นงานเดินแบบเปิดตัวแบรนด์เสื้อผ้าวัยรุ่น ตอนที่ผมกับสงครามเดินไปถึง มีนกำลังเดินแบบอยู่พอดี
แม่เจ้าโว้ย ทำไมมันต่างจากตอนที่อยู่มอแบบนี้วะ ดูดีฉิบหายชนิดที่ว่าทุกอย่างส่งเสริมมันไปหมด ทั้งเครื่องสำอาง ทรงผม และการเดิน
มีนแม่งเกิดมาเพื่อเป็นดาราจริงๆ
ผมมองสงครามที่ไม่ได้มองมีนเลย มันกำลังทะเลาะกับคนรอบข้างทางสายตาอยู่ ไม่รู้ว่ามันจะโกรธอะไรชาวบ้านเขานักหนา เขาก็แค่มองมาด้วยความสนอกสนใจเท่านั้นเอง
“มึงไม่ควรดันทุรังมางานนี้เลยนะอ้าย”
“เดี๋ยว มึงเป็นคนยอมให้กูมาด้วยเองนะ”
“มึงควรเก็บตัวอ่ะ”
“ทำไม”
“คนแถวนี้แม่งทำเหมือนไม่เคยเห็นผู้ชายแบบมึงมาก่อน”
“กูมันทำไม”
“สวยไงสัด”
ผมชะงักไปเล็กน้อย “นี่มึงพูดจริงเหรอเนี่ย”
“กูล้อเล่น”
“เหี้ยสงครามนี่” ผมคิดว่ามันคงจะเถียงกับผมไปอีกตลอดกาลนานเทอญอย่างแน่นอน
“แต่ที่บอกว่ามึงควรเก็บตัวอ่ะกูพูดจริงนะ”
“...”
“นี่ถ้ามึงไม่ได้อยู่กับกู มึงเสร็จคนอื่นแน่”
“...”
“รำคาญพวกหอสามจริงๆ นี่กะจะดึงดูดแต่คนเพศเดียวกันเหรอวะ”
“บ่นเป็นลุงเลยเว้ยไอ้เหี้ย” เสียงดนตรีในงานไม่ช่วยให้ผมเลิกเถียงกับสงครามได้เลย “แล้วเลิกสักทีเรื่องด่าหอกูเนี่ย กูขึ้นทุกประโยคที่มึงพูดเลยนะ”
“ขึ้นแล้วก็อย่าลง เพราะกูหมั่นไส้จริงๆ”
“หมั่นไส้เพราะกูหน้าตาดี”
“เปล่า หมั่นไส้คนที่มองมึงเนี่ย มองเหี้ยอะไรนักหนา” สงครามเริ่มหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ “แล้วไอ้เหี้ยมีนเมื่อไหร่จะเดินเสร็จ กูอยากออกไปจากที่นี่แล้ว”
“กูว่าเดินไปข้างหลังดีกว่า มีนมันเพิ่งเดินไฟนอลวอล์กกลับเข้าไป น่าจะเสร็จแล้ว”
“มึงรู้ได้ไงว่าอะไรคือไฟนอลวอล์ก”
“หอสามมีงานแบบนี้บ่อยจะตาย กูตามไปดูลูกหอบ่อย”
“ผิดกับหอกูนะ”
“...”
“นี่กูพลาดกีฬาซูโม่ของลูกหอเพราะต้องมางานเลี้ยงห่าไรไม่รู้เนี่ย แม่งโคตรเซ็งเลย”
หอสองมีคนแข่งซูโม่ด้วยเหรอวะ ผมเก็บความสงสัยไว้ในใจก่อนเดินนำสงครามมายังหลังเวที มีนมองเห็นสงครามก่อนผม มันเดินเข้ามาหาสงคราม ทันทีที่มันรับช่อดอกไม้จากประธานหอสอง แสงแฟลชก็สว่างวาบพร้อมกันจนผมรู้สึกแสบตาไปหมด
แฟนคลับไอ้มีนอยากได้รูปคู่ของสงครามกับมีนเหรอเนี่ย
“มากับใครวะ”
“ภาระ” สงครามพยักเพยิดมาทางผมก่อนจะกระซิบกับมีน “แฟนคลับมึงถ่ายเหี้ยอะไรกูเนี่ย”
“เขาชอบให้กูอยู่กับมึงอ่ะ” มีนยิ้มแฉ่ง จากนั้นก็ลากตัวสงครามเข้าไปใกล้ๆ พร้อมกับชูสองนิ้ว
ผมยืนอึ้งอยู่นาน มองดูสงครามถ่ายรูปกับคนที่มันชอบด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด เมื่อเห็นว่ามีคนคอยเก็บของขวัญที่มีนได้จากแฟนคลับ ผมจึงส่งช่อดอกไม้ของตัวเองไปให้คนนั้น จากนั้นก็ก้าวถอยหลังช้าๆ ให้ออกห่างจากคู่สงครามกับมีน
ไม่เคยคิดว่าสองคนนี้จะเหมาะสมกันขนาดนี้มาก่อน จริงๆ แล้วมีโอกาสน้อยมากที่สงครามจะได้มาอยู่ใกล้ชิดมีนขนาดนี้หากมันทั้งคู่ไม่ได้มาอยู่นอกสถานที่ ผมเผลอยืนมองอยู่นาน จากความรู้สึกแปลกๆ แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกเจ็บแปลบนิดๆ นี่แค่ระยะเริ่มต้นนะ ถ้ามันทั้งคู่ตกลงคบกันเมื่อไหร่ แผลในใจของผมคงใหญ่ขึ้น และความเจ็บปวดนั้นคงเป็นอะไรที่มากเกินกว่าจะบรรยาย
หลบภาพที่มองแล้วรู้สึกเจ็บหนีไปกินไอติมดีกว่ากู...
ร้านไอศกรีม
ของกินในมือของผมมันหวาน แต่ความรู้สึกของผมมันขม แน่นอนว่ามันต้องกลายเป็นความไม่อร่อย ผมถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ นึกโทษตัวเองที่เจ็บปวดแบบนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะผมผลักไสไล่ส่งไอ้สงครามออกไปเอง หากเมื่อคืนผมเห็นแก่ตัวบ้าง ผมคงจะทำอะไรบางอย่างให้เรื่องของผมกับสงครามมันดีขึ้นกว่านี้ แต่เพราะสงครามมันเอ่ยชื่อมีนพ่วงติดมาด้วยว่ามันสับสน ผมจึงไม่กล้าที่จะใช้ความเห็นแก่ตัวนั้นมาสร้างความสุขให้ตัวเอง
...เพราะมันคงเป็นความสุขที่ติดขัดน่าดู ถ้ามันรู้สึกชอบผมจริงๆ มันต้องไม่เอ่ยถึงชื่อของมีนเลย
หมั่นไส้แม่งฉิบหาย เสน่ห์มันมากมายเหลือล้นถึงขนาดที่ทำให้ผมต้องมาปวดหัวเพราะมันเลยเหรอวะ ให้ตายเหอะ ขืนมันรู้มีหวังผมคงโดนล้อตายห่า ดีไม่ดีไอ้สงครามแม่งก็จะเอาชื่อหอผมไปล้อซ้ำอีก
“พี่ครับ ขอโทษนะครับ ที่อื่นเต็มหมดเลย ผมนั่งด้วยได้มั้ย”
เด็กหน้าใส ตัวสูงโย่งส่งยิ้มให้ขณะที่ขอมานั่งด้วย ผมมองซ้ายมองขวา ร้านไอศกรีมแห่งนี้มีคนนั่งเต็มทุกโต๊ะจริงๆ ด้วย สงสัยอากาศร้อน ทุกคนเลยพาลอยากกินไอศกรีมกันหมด
“ได้ๆ เอาสิ” ยังไงที่ข้างหน้าผมก็ว่างอยู่แล้ว จึงไม่คิดจะกั๊กที่ไว้
“ขอบคุณครับ” มันทิ้งตัวนั่งก่อนจะมองหน้าผม ผมมองหน้ามันตอบอย่างงงงัน
“มีอะไรเหรอ”
“เปล่าครับ”
“...”
“หน้าพี่เด็กนะ แต่ผมเดาว่าพี่คงเรียนอยู่ปีสามปีสี่แล้ว”
เดี๋ยวนะ นี่มันชมหรือมันด่าหรือมันอะไรวะ ผมชักจะงง “น้องพูดถูกแล้วล่ะ”
“ให้ทายว่าผมเรียนอยู่ชั้นไหน”
ผมไม่ควรสร้างงานให้ตัวเองเลย นั่งอยู่คนเดียวก็ดีอยู่แล้วแท้ๆ ดันมาเจอเด็กเฟรนด์ลี่ผิดเวลาเสียได้
“ไม่ทายได้มั้ย”
“เอาน่า ลองทายดูหน่อย”
“ไม่มอห้าก็มอหก” ผมตอบส่งๆ
“มอหกครับ”
กูรู้แล้วกูได้อะไรวะ “เออ เก่ง”
“เก่งอะไรล่ะครับพี่”
“จะให้กูตอบว่าอะไรล่ะวะ” ผมคิดว่าสุภาพหรือไม่สุภาพกับมัน มันก็คงไม่แคร์แน่นอน
“พี่เรียนอยู่มอไหน”
“อยากรู้ไปทำไม”
“เผื่อจะเรียนอยู่มอที่ผมอยากสอบเข้าน่ะ”
ผมสังเกตมันด้วยสายตาอย่างรวดเร็ว มองแล้วรู้สึกเหมือนเห็นเงาของไอ้ทนายแฝงอยู่ในตัว ไอ้เด็กนี่มีความเป็นเด็กกรุงเทพฯ จ๋ามากทั้งการแต่งตัว บุคลิก และก็สำเนียงการพูด ดูยังไง้ยังไงก็คงอยากเรียนในกรุงเทพฯ ไม่มีทางอยากเรียนมอ B ของผมแน่ๆ
ดูซิว่าแม่งจะทำหน้ายังไงตอนที่รู้
“มอ B จังหวัดใกล้ๆ เนี่ย”
“เฮ้ยยยยยยยย” ไอ้เด็กแปลกหน้าร้องลั่นจนคนที่นั่งใกล้ๆ หันมามองกันใหญ่ “หน้าแบบนี้หอสามชัวร์เลย”
อุ้ย กูอึ้งแป๊บ นี่ผมไม่คิดว่ามันจะรู้เอกลักษณ์ของมอผม “มึงรู้เหรอ”
“รู้สิ ผมอยากเข้ามอ B เพราะเรื่องหอเลยนะรู้มั้ย”
ชักจะเอ็นดูเด็กนี่ขึ้นมาแล้ว (เปลี่ยนความคิดไวมาก) ผมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะแกล้งมองมันอย่างประเมิน
“จริงๆ นะพี่ หอชายมอพี่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก จบมาเป็นเจ้าคนนายคนหมด แถมยังคบกันยืดอีกต่างหาก แม้จะเฉพาะแค่คนในหอเดียวกันก็เหอะ”
มันรู้ลึกรู้จริงว่ะ “มึงอยากอยู่หอไหนล่ะ”
“ไม่รู้สิ พี่ช่วยมองผมหน่อยได้มั้ยว่าผมจะได้อยู่หอไหน”
ตอบยากเลยแฮะ “ขอฟังความปรารถนาของมึงก่อน”
“หอสอง”
“กูไม่ให้อยู่” เสียงโหดๆ ของสงครามดังขึ้นจนผู้หญิงที่นั่งใกล้ๆ สะดุ้ง “เหี้ยอ้าย กูตามหาซะทั่วเลย”
“แม่ เจ้า โว้ย” ไอ้เด็กแปลกหน้ามองสงครามจากนั้นก็อ้าปากค้างด้วยความอึ้งสุดขีด “เท่ฉิบหาย”
แค่นี้ก็ฟันธงได้แล้วว่ามันเหมาะกับหอไหน ถ้ามันสอบเข้ามอผมได้ หอสองคงต้องเตรียมห้องไว้รอต้อนรับมัน
“อยากตายเหรอ”
“มึงก็อย่าไปขู่เด็กมันดิวะ เสียผู้ใหญ่หมด” ผมปราม
“กูไม่ชอบ”
“โห” เด็กมันยิ่งปลื้มหนักเข้าไปอีกเมื่อได้ยินสงครามพูดตรงๆ
“โหไรสัด มองกูแบบนั้นทำไม”
“พี่อยู่หอสอง มอ B ใช่ป่ะครับ” ออร่าหอสองของสงครามมันพุ่งเว้ยยยย เด็กมันยังรู้อ่ะ
“แล้วมึงมาเสือกอะไรกับกูเนี่ย”
ไอ้บ้านี่มันโมโหจริง ผมต้องรีบลากตัวมันออกไปจากที่นี่ก่อนที่มันจะเผลอต่อยเด็กกรุงเทพฯ เข้า
“ไม่ได้อยู่แค่หอสองนะ” ผมกระซิบขณะลุกขึ้นยืน “มันยังเป็นประธานอีกด้วย”
เด็กคนนั้นช็อกเหมือนเจอดาราในดวงใจ ผมอดยิ้มกับท่าทางของมันไม่ได้ และไม่ลืมที่จะดันตัวสงครามให้เดินไปข้างหน้า ป้องกันแรงปะทะทุกรูปแบบ
“เด็กนั่นมันปีนเกลียวจีบมึงเหรอ แม้แต่เด็กปีหนึ่งในมอเรายังไม่กล้าจีบมึงเลยนะ มันเป็นใครวะ” สงครามทำท่าจะเอาเรื่องเด็กอย่างจริงจังจนผมอดห่วงไม่ได้
“พอแล้วได้มั้ย”
“มึงนี่ก็ทำหน้าฟินจัง อยากเป็นอมตะเหรอ อยากกินเด็กเหรอ”
“โว้ยยยยย”
“...”
“เห็นมันอยากเข้ามอเราแถมยังอยากอยู่หอสอง กูเลยคุยกับมัน แค่นั้นเอง”
“มึงหายไปตั้งนาน แล้วกูดันมาเจอมึงอยู่กับเด็กหน้าใสๆ จะให้กูคิดไง”
“คิดว่ากูหิวสิวะไอ้สัด”
“มึงรอแดกกับกูก็ได้”
“สงคราม วันนี้มึงเป็นไรวะ” ผมรู้สึกทนไม่ไหวจึงโพล่งออกมา “ทำไมชอบหาเรื่องเถียงกับกูนัก อยู่ในมอเราทะเลาะกันมามากพอแล้วนะเว้ย อยู่นอกมอเราจะดีกันสักหน่อยไม่ได้เหรอ”
หน้าโหดๆ ของสงครามเริ่มอ่อนลง ผมหายใจรัวเร็วหลังจากที่ตะโกนเสียงดัง รู้สึกโล่งที่ได้พูดอะไรบางอย่างซึ่งติดอยู่ในใจมานาน
“ขอโทษ” สงครามพูดสั้นๆ ง่ายๆ แถมเสียงยังน่าฟังมากขึ้นอีกด้วย
ทุกครั้งที่มันเอ่ยขอโทษ ผมรู้สึกใจเต้นไม่เป็นส่ำทุกที แม้กระทั่งตอนที่ผมยังไม่ทันได้รู้ใจตัวเอง ใจผมก็สั่นเสมอทุกครั้งที่ได้ยินคำขอโทษจากปากสงคราม มันเป็นมนุษย์ประเภทไม่แคร์สังคมหรือโลกใบนี้เลยทั้งสิ้น แต่มันกลับเอ่ยปากขอโทษผม ซึ่งนั่นอาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผมรู้สึกปลาบปลื้มมันก็เป็นได้
มันขอโทษทุกครั้งที่มันทำผิด ไม่ว่าจะผิดเล็กน้อยหรือผิดมากมายมหาศาล มันทั้งแคร์ทั้งให้เกียรติประธานหอที่ควรจะเป็นคู่กัดกับมันมากกว่าที่มันจะมาแคร์
...แบบนี้จะไม่ให้ผมชอบมันได้ยังไง
“กูให้อภัย”
“...”
“มีนไปไหน”
“ไม่รู้ มีหนุ่มที่ไหนมารับไปก็ไม่รู้”
“ทำไมมึงดูไม่โกรธเลย”
“กูโกรธก็ได้” สงครามเปลี่ยนสีหน้าอย่างมีพิรุธ “ไอ้เหี้ยนั่นมันเป็นใครวะ โว้ย อย่าให้กูเจอนะ กูเอาแม่งตายเลย”
ผมเลิกคิ้วมองดูสงครามที่โคตรไม่เนียน “บ้าๆ บอๆ เนอะมึงอ่ะ”
ระหว่างที่สงครามกำลังจะโต้ตอบ เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น หน้าจอโชว์เบอร์คนที่ผมพยายามจะติดต่อมานานมากแล้ว คนที่เป็นต้นเหตุให้ผมกลายเป็นตุ๊กตาให้ไอ้เหี้ยตั้มกับไอ้เหี้ยสงครามโยนไปโยนมา
ไอ้โอม“เหี้ย” เมื่อสงครามเห็นชื่อคนโทรมา มันก็ชักสีหน้าหงุดหงิดทันที “กูคุยเอง”
“บ้าเหรอ”
“กูจะถามว่ามันอยู่ไหน กูจะได้ไปฆ่ามันถูกที่”
สงครามมันคงพูดจริงในแบบของมัน แต่ตอนนี้ผมมีเรื่องที่จะคุยกับโอม และมันเป็นเรื่องด่วนมากกว่าเรื่องทั้งหมด
“ฮัลโหล” ผมเดินแยกออกมาจากสงครามเพื่อที่จะได้คุยสะดวกมากยิ่งขึ้น
[อ้ายเหรอ เป็นไงบ้าง]
“ยังกล้าถามออกมาได้”
[เฮ้ย ขอโทษเว้ย กูจำเป็นจริงๆ]
“...”
[ยังไงตอนนี้มึงก็ไม่ได้ไปอยู่กับเสี่ยคนไหนแล้วนี่]
มือของผมกำโทรศัพท์แน่นมากระหว่างที่ฟังลูกพี่ลูกน้องของผม
[จริงๆ แล้วเป็นกูเองนะที่แนะนำให้ไอ้ตั้มมาช่วยมึงอ่ะ]
“กูควรขอบคุณมึงงั้นสิ”
[อย่าโกรธกูดิวะ]
“จะไม่ให้กูโกรธได้ยังไง”
[เอางี้ กูมีบางอย่างที่อาจจะทำให้มึงโกรธน้อยลง]
“...”
[มึงอยู่กับไอ้สงครามที่เคยต่อยกูใช่มั้ย ตั้มมันเล่าให้ฟังว่ามันพยายามดึงตัวมึงไปด้วยเงินสี่แสน]
“ทำไม”
สายตาของผมสบตากับสงครามที่กำลังมองมาที่ผมพอดี
[กูมีทางหาเงินมาคืนให้ได้แล้ว]นั่นเป็นสิ่งที่ใจผมต้องการจริงๆ เหรอ
[มึงจะได้อยู่ห่างจากไอ้สงครามสักที]หรือว่าลึกๆ ในใจผมอาจจะอยากตัวติดกับสงคราม และปรารถนาอยากให้มันเรียกผมว่าอ้ายสี่แสนต่อไป
แสงสว่างอยู่ที่ปลายอุโมงค์แล้ว แต่ผมกลับอยากอยู่ในความมืด และยังไม่อยากเดินไปยังทางออกที่เตรียมเปิดต้อนรับผม...TBC*