พิมพ์หน้านี้ - ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Chiffon_cake ที่ 01-08-2017 22:17:57

หัวข้อ: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 01-08-2017 22:17:57
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม








สิบสองเศร้า

(II) ราชาวิหค


คำแนะนำ
หากต้องการอรรถรสในการอ่านมากขึ้น
ควรอ่านเรียงลำดับดังนี้
1. สิบสองเศร้า : (I) บัลลังก์ปักษา
2. สิบสองเศร้า : (II) ราชาวิหค
3. สิบสองเศร้า : (III) ดุจนกในกรงขัง

บทนำ (http://http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61356.msg3682168;topicseen#msg3682168)
ตอนที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61356.msg3695911#msg3695911)
ตอนที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61356.msg3695964#msg3695964)
ตอนที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61356.msg3695985#msg3695985)
ตอนที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61356.msg3695999#msg3695999)
ตอนที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61356.msg3696014#msg3696014)
ตอนที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61356.msg3696973#msg3696973)
ตอนที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61356.msg3696985#msg3696985)
ตอนที่ 8 (http://http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61356.msg3696992#msg3696992)
ตอนที่ 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61356.msg3697001#msg3697001)
ตอนที่ 10 (http://http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61356.msg3697013#msg3697013)
ตอนที่ 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61356.msg3697040#msg3697040)
ตอนที่ 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61356.msg3697056#msg3697056)
ตอนที่ 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61356.msg3697063#msg3697063)
ตอนที่ 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61356.msg3697072#msg3697072)
ตอนที่ 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61356.msg3697085#msg3697085)
ตอนที่ 16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61356.msg3697099#msg3697099)
ตอนที่ 17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61356.msg3697106#msg3697106)
ตอนที่ 18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61356.msg3697114#msg3697114)
ตอนที่ 19 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61356.msg3697120#msg3697120)
ตอนที่ 20 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61356.msg3697127#msg3697127)
ตอนที่ 21 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61356.msg3697142#msg3697142)
ตอนที่ 22 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61356.msg3697144#msg3697144)
ตอนที่ 23 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61356.msg3697148#msg3697148)
ตอนที่ 24 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61356.msg3697152#msg3697152)
ตอนที่ 25 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61356.msg3697155#msg3697155)
ตอนที่ 26 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61356.msg3697160#msg3697160)
ตอนที่ 27 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61356.msg3697162#msg3697162)
ตอนที่ 28 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61356.msg3697164#msg3697164)
ตอนที่ 29 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61356.msg3697166#msg3697166)
ตอนที่ 30 บทส่งท้าย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61356.msg3697167#msg3697167)






คำเตือน
บุคคล เหตุการณ์ และสถานที่ในนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องสมมติและไม่มีอยู่จริง
ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 01-08-2017 22:21:11


ราชาวิหค

คนบางคนเท่และยิ่งใหญ่จนใครๆ ต่างก็ก้มหัวให้
แต่ก็ยังนกซ้ำๆ อยู่แบบนั้น...



บทนำ

ผมชื่ออ้าย ชื่อจริงชื่ออัจฉริยะ ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่ 4 คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมยานยนต์ ฟังดูก็เหมือนผมเป็นนักศึกษาธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษใช่มั้ยครับ ใช่ ผมเป็นอย่างนั้นแหละ แต่ในความเป็นนักศึกษาธรรมดาของผม มีความพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง

ผมเป็นประธานหอสามของมอ B

หา อะไรนะ ยังฟังดูไม่พิเศษพออีกเหรอ คนภายนอกอาจจะคิดแบบนั้นซึ่งผมเข้าใจนะครับ ประธานหอมันจะมีดีอาไร้ (วิบัติเพื่อเสียง) ก็แค่ต้องดูแลลูกหอที่มีจำนวนหลายร้อยคนเท่านั้นหรือเปล่า อันนี้มันก็จริงนะ แต่สำหรับมอผมผู้ที่ไม่ยอมเป็นเหมือนมอใดๆ ประธานหอจึงมีความพิเศษอยู่อีกอย่างคือมีอำนาจสูงสุด เช่น สั่งลงโทษลูกหอตอนตีสามได้ เคาะประตูห้องของลูกหอตอนตีสี่ก็ได้ อะไรเทือกๆ นี้

ยังไม่น่าตื่นเต้นขึ้นอีกเหรอครับ โอเค ผมยอมแพ้ ผมไม่มีข้อดีอะไรจะมาเล่าให้พวกคุณฟังแล้วล่ะ ดูเหมือนผมภูมิใจในหน้าที่นี้มากเลยใช่มั้ยถึงได้อวดอ้างสรรพคุณดีๆ ของการเป็นประธานหอขนาดนั้น แต่ผมขอบอกเลยว่าคุณคิดผิดครับ...มันไม่จริงทั้งหมด!

แม้จะได้รับหน้าที่เป็นประธานหอสองปีซ้อนแล้วก็ตาม แต่ผมก็ยังไม่ชินกับไอ้หน้าที่บ้าๆ นี่สักที ไม่ว่าลูกหอจะมีปัญหาระดับมดหรือปัญหาระดับช้าง พวกแม่งก็ต้องเอามาฟ้องผมหมด ซึ่งบางครั้งก็อยากจะตะโกนใส่หูพวกมันเหลือเกินว่า ‘ไอ้สัด มันไม่เกี่ยวกับกู มึงไปแก้ปัญหาเอง!’ แต่ผมก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ สาเหตุก็เพราะผมเป็นประธานหอที่เปรียบเสมือนพี่และพ่อ แม้จะอยากดุด่ามากแค่ไหน ท้ายที่สุดผมก็ต้องยอมพวกมันอยู่ดี

การเป็นประธานหอข้อเสียมันก็มี แต่ข้อดีมันก็มีเยอะ ผมจะขอเล่าขอดีให้ฟังคร่าวๆ ก่อนแล้วกัน

ข้อดีข้อที่หนึ่ง น้องๆ เคารพและเป็นที่รักของน้องๆ

“อ้าว หวัดดีพี่อ้าย” ไอ้ทนาย ลูกหอตัวจี๊ดเดินผ่านมาตอนที่ผมกำลังพูดกับคนอ่านอยู่ในหัวพอดี (ซึ่งก็คือตอนนี้นี่แหละ) มันคือเดือนหอปีนี้ (ผู้ที่ได้รับการโหวตจากผู้ชายทั้งหอว่าหล่อที่สุด) และมีแฟนเป็นดาวหอปีนี้เช่นกัน (ผู้ที่ได้รับการโหวตจากผู้ชายทั้งหอว่าเอ่อ...น่ารักที่สุด...มั้ง) เรียกได้ว่าสิ่งดีๆ ของหอสามมีเท่าไหร่เชี่ยทนายแม่งเหมาเอาไปหมดเลย

หอสามของผมเป็นหอชายล้วน แฟนไอ้ทนายก็เป็นผู้ชายเหมือนกันกับมัน เอ่อ เรื่องนี้ทุกคนไม่ตกใจกันใช่มั้ยครับ

“มาทำเหี้ยไรแถวนี้แต่เช้าครับ”

บอกแล้วไงครับว่าผมเป็นที่รักของน้องๆ...หลักฐานก็คือทนายมันพูดเพราะๆ กับผมนี่ไง #ประชด

“มาเดินดูปกตินี่แหละ”

“เดินผ่านห้อง 503 ช่วยเดินเบาๆ ด้วยนะพี่ อาสาหลับอยู่” ทนายกระซิบ พาดพิงถึงผู้เป็นดาวหอที่เป็นแฟนมัน อาสาคือสิ่งดีงามของหอพักชายล้วนซึ่งมีอยู่ทั้งหมดหกหอครับ เดี๋ยวผมจะเล่ารายละเอียดให้ฟังทีหลัง ที่แน่ๆ ถ้าอาสามันดีงามที่สุดในหอพักชายล้วน นั่นก็แปลว่ามันดีงามที่สุดในหอสามแล้วล่ะ

“ทำไมกูต้องเดินเบาๆ”

“ก็เดี๋ยวอาสามันจะตื่นไงเล่า” ทนายทำสีหน้าเหมือนผมโง่ซะเต็มประดา ก่อนจะส่ายหน้าแล้วเดินลงบันไดไป

เห็นมั้ยครับ น้องทั้งรักและก็เคารพผม ชีวิตผมแม่งโคตรดีอ่ะ #ประชดอีกครั้ง

ข้อดีข้อที่สอง สามารถลงโทษลูกหอแบบเอามันส์ได้

มีเด็กปีหนึ่งเดินผ่านผมพอดีตอนที่ทนายมันเดินจากไปแล้ว ไอ้เด็กคนนี้มัวแต่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ ผมก็เลยไปยืนขวางให้มันเดินชนผมเล่น

มันตกใจจนโทรศัพท์เกือบจะหล่นออกจากมือ “พี่อ้าย หวัดดีครับ”

“ไหว้ช้าสัด ไปเลย มึงไปเปิดหน้าต่างที่ส่วนกลางให้กูเลย”

“อะไรวะ ไหว้ช้าก็ผิด”

“มันเป็นความพอใจของกู”

เด็กนี่กลอกตามองบนใส่ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ผมยิ้มขำเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของมันที่รีบโค้งตัวลาก่อนจะรีบวิ่งออกไปให้ห่างจากตัวผม

ข้อดีข้อที่สาม ผมเป็นคนมีความรับผิดชอบมากขึ้น แบ่งเวลาเป็น และรู้จักการเสียสละ

เนื่องจากเช้านี้เป็นเช้าแห่งการรีบเร่ง มีหลายห้องที่สมาชิกออกไปกันจนหมดแล้ว (แต่ละห้องมีสมาชิกอยู่สี่คน ยกเว้นห้องอาสากับทนายที่มีแค่สองคน...มันคือสิทธิพิเศษของดาวเดือนหอครับ อย่าถือสา) แต่ลืมปิดประตูห้อง พัดลม และก๊อกน้ำ ผมจำเป็นต้องเข้าไปปิดให้พวกมัน เพราะถ้าค่าไฟของหอพุ่ง เจ้าหน้าที่ฝ่ายดูแลหอของมหา’ลัยไม่ได้สวดพวกลูกหอครับ

...แต่มาสวดผมนี่แหละ

จริงๆ ข้อดียังมีอีกมากแต่หัวข้อใหญ่ๆ ก็จะมีประมาณนี้ ฟังดูดีขึ้นมาเลยใช่มั้ยล่ะ หน้าที่นี้ดูเป็นหน้าที่ในฝันไปซะฉิบ อย่าเพิ่งคิดเช่นนั้นจนกว่าพวกท่านจะได้ฟังข้อเสียซะก่อน

ผมขอเล่าให้ฟังคร่าวๆ ก็แล้วกันนะครับ เล่ายาวเดี๋ยวพวกท่านจะหลับ

ข้อเสียข้อที่หนึ่ง ผมต้องตื่นเช้าและนอนดึก

อย่างเช่นวันนี้ผมต้องตื่นมาดูลูกหอตั้งแต่หกโมงเช้า ทั้งๆ ที่เมื่อคืนผมนอนตีสอง ปกติแล้วเวลานอนของผมจะไม่เกินตีหนึ่ง แต่เมื่อคืนดันมีพวกบ้าจากห้อง 109 แม่งไปดื่มแล้วกลับดึก ผมจำเป็นต้องอยู่รอทำโทษพวกมัน กว่าจะเสร็จก็ตีสอง (พวกมันกลับมาตอนตีหนึ่งครึ่ง โอ๊้ย กูอยากจะบ้า) ผมหาวจนกระทั่งตอนนี้ แต่ก็ต้องอดทนเอาไว้ครับ

ข้อเสียข้อที่สอง ความรับผิดชอบมันมีมากเกินไปจนบางครั้งผมก็แบกรับคนเดียวไม่ไหว

ตอนนี้ผมเดินอยู่ชั้นห้า เดินผ่านห้อง 503 ของดาวและเดือนหอไปแล้ว (พยายามทำเสียงฝีเท้าเบาๆ ตามคำรีเควสต์ของไอ้ทนาย) แต่ตอนที่เดินมาถึงห้อง 505 ผมเห็นคนแปลกหน้าที่ไม่ใช่เด็กหอสามเดินออกมาจากห้องนั้น

เรื่องใหญ่เลยสิทีนี้ มอนี้ห้ามไปเดินเล่นหออื่นสุ่มสี่สุ่มห้านะครับ

“เหี้ย มึงเป็นใคร”

“ฉิบหาย” ดูจากขนาดตัวที่เหมือนตัวดาวหอของผมสองคนรวมกัน มันน่าจะมาจากหอสอง...หอที่มีปัญหากับหอสามมากที่สุดในโลก

มันกำลังจะวิ่งฉิวเพื่อหนีไปจากผม แต่ผมคว้าคอเสื้อมันเอาไว้ได้ซะก่อน

“มึงเป็นกิ๊กคนในห้องนี้เหรอวะ” สาเหตุส่วนใหญ่ที่หออื่นมาปีนหอผมก็เพราะมาหากิ๊กหรือไม่ก็แฟนในหอผมนี่แหละครับ

“เอ่อ ใช่” มันพยักหน้า สีหน้าดูลนลาน

“ใครวะ” ผมจำได้ว่าสมาชิกห้องนี้มีแต่ไอ้พวกตัวสูงๆ หุ่นถึกๆ หน้าตาหล่อๆ เหมือนไอ้เหี้ยที่ผมกำลังจับคอเสื้อไว้อยู่ ณ ตอนนี้ ปกติแล้วพวกหอสองมันชอบสไตล์อย่างอาสาโน่นครับ ขาวๆ ตัวเล็กๆ คนที่พอจะให้มันมากิ๊กด้วยได้คนเดียวก็คือมีน เพื่อนคณะของผมที่ตอนนี้ดรอปเรียนเพื่อไปเป็นดารา

“ก็...มีนไง”

“หา” ผมอ้าปากค้าง “เชี่ยมีนกลับมาแล้วเหรอ”

“ไปก่อนนะ” มันทำท่าจะวิ่งต่อ ผมที่แรงน้อยกว่ามันเป็นทุนเดิมทำมันหลุดมือไปจนได้ ผมมองตามอย่างเจ็บใจ ช่วงนี้ไอ้พวกหอสองแม่งกลับมาปีนหอผมอีกแล้ว ทั้งๆ ที่ไอ้ทนายก็มีชื่อเสียงเรื่องความน่ากลัวข่มอยู่ (ชั้นนี้มีแฟนมันอยู่ด้วยครับ มิหนำซ้ำแฟนมันยังเป็นมนุษย์ประหลาดที่ดึงดูดเพศผู้แบบสุดๆ มันก็เลยต้องคุ้มครองและจับตาดูเป็นพิเศษ) แต่ที่มันเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกเป็นเพราะเชี่ยมีนมันกลับมาหรือเปล่าวะ

ผมมองประตูห้อง 505 อย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะคิดแค้นใจพวกหอสองอีกครั้ง และคนที่ผมแค้นมากที่สุดก็หนีไม่พ้นประธานหอสอง
ไอ้สงคราม

ข้อเสียข้อที่สามซึ่งเป็นข้อเสียข้อสุดท้ายและยิ่งใหญ่มากที่สุดก็คือ ผมต้องต่อกรกับประธานหอสองอยู่ตลอดเวลา เพราะหอสองแม่งเป็นหอที่มีปัญหากับหอสามของผมมากที่สุดแล้ว

ปัญหาเรื่องที่มีคนปีนหอแบบเมื่อกี้หากเป็นเมื่อก่อนผมจะต้องเอาไปถกกับไอ้สงคราม มันเป็นอย่างนี้มาเนิ่นนานมากแล้วครับ แต่พักหลังๆ ผมไม่ได้พูดกับมันเลย เพราะลูกหอมันได้ทำในสิ่งที่ผมเกลียดที่สุดเอาไว้

พวกมันทำร้ายเชี่ยเต ลูกหอผมตอนที่มันเมาและขี่รถล้ม

แม้ปัญหานี้มันจะผ่านมาหลายเดือนมากแล้ว และไอ้เชี่ยสงครามก็ลงโทษคนเหล่านั้นไปแล้ว แต่ผมก็ยังไม่หายเคืองเรื่องนี้สักนี้ มันไม่ใช่ความผิดของสงครามก็จริง แต่ผมก็เคืองครับ

ผมรู้ว่าผมไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย แต่สงครามคือคนที่มีอำนาจและมีพลังมากที่สุดในมอนะครับ ใครๆ ก็เกรงใจมัน เพราะงั้นมันต้องคุมลูกหอของมันได้สิ ผมจำได้ว่าหอสองคือหอที่มีการรวมตัวของพวกมีพละกำลังในมอมากที่สุด เพราะงั้นพวกมันจึงมีปณิธานอย่างเดียวกันนั่นก็คือ ‘ไม่ทำร้ายคนที่อ่อนแอกว่า’ ตอนนั้นเชี่ยเตมันทั้งเมาทั้งรถล้ม แต่พวกมันก็ยังทำร้ายจนเตต้องเข้าโรงพยาบาล จะไม่ให้ผมโกรธทั้งพวกมันและประธานหอพวกมันได้ยังไง

มันก็เป็นตรรกะเดียวกับตอนที่ค่าไฟของหอสามพุ่งสูง แต่ไม่มีใครในหอสามโดนสวดยกเว้นแค่ผมคนเดียวนั่นแหละ ถ้าลูกหอผิด ประธานก็ผิด เพราะงั้นแม้ว่าสงครามมันจะเป็นเพื่อน (ห่างๆ) ของผมตั้งแต่ปีหนึ่ง แต่ตอนนี้ผมก็ยังไม่คุยกับมันครับ

ในที่สุดการตรวจหอในรอบเช้าก็เสร็จสิ้นลง ผมเดินมาถึงหน้าห้องที่อยู่ลึกที่สุดของชั้นห้า มองผ่านกระจกลงไปยังชั้นล่าง เห็นประธานหอสองคนที่ผมยังเคืองอยู่กำลังรดน้ำพุ่มไม้ที่หน้าหอสองของมันอยู่

มึงเพิ่งปล่อยลูกหอมึงมาแดกคนในหอกูอีกแล้วนะสงคราม

ความผิดของมันมีเพิ่มขึ้นอีกกระทง ผมมองมันอย่างขุ่นเคืองจนกระทั่งเห็นมันหันสายยางฉีดรดน้ำต้นไม้มายังพุ่มไม้ประจำหอสามของผม สายตาของผมก็ซอฟต์ลงทีละนิดๆ

เป็นอีกครั้งที่สงครามแม่งช่วยผมดูแลหอสาม...เหมือนที่มันทำมาตลอดตั้งแต่ได้รับหน้าที่ประธานหอสอง

แต่ผมก็ยังไม่หายเคืองมันหรอกนะครับ

ผมถอนหายใจขณะหยิบสมุดโน้ตเล่มเล็กที่พกติดตัวเสมอ ผมเป็นคนที่มีความแปลกอยู่อย่างหนึ่งนั่นก็คือผมมักจะจดอะไรก็ตามที่เป็นสิ่งดีๆ ในแต่ละวัน สิ่งดีๆ ที่บางวันก็มีมากบางวันก็มีน้อย ผมจะคัดเลือกสิ่งที่ดีที่สุดมาวันละห้าอย่างแล้วเขียนลงไป

และสิ่งที่สงครามเพิ่งทำ แม่งก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในเช้าวันนี้ของผม

โน้ตสุขใจ
1. สงครามแม่งรดน้ำให้หอสาม (ไม่รู้ทำไปเพื่ออะไรและเพื่อใคร ตัวเองเป็นประธานหอสองแท้ๆ)
2. มีนกลับมาแล้ว


ผมไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับมีนนอกจากความเป็นเพื่อนสาขาเดียวกัน แต่ที่ผมเขียนเรื่องมีนลงไปในโน้ตสุขใจเป็นเพราะการกลับมาของมีนคงจะสร้างความดีใจให้กับลูกหอของผมและชาววิศวะได้

บางครั้งเรื่องดีๆ ของคนอื่นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรา แต่มันก็ยังถือว่าเป็นเรื่องดีๆ ไม่ใช่เหรอครับ





Tbc*
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Dealta ที่ 01-08-2017 22:33:28
ทนาย อาสา เป็นแฟนกันแล้ว ๆๆๆๆๆๆๆ เอ๊ยยย ผิดๆๆๆๆ   พี่อ้าย นางจะเป็นไบโพลาร์ป่าววะ 5555
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: bigbeeboom ที่ 01-08-2017 22:38:54
ว๊าวววว รอคู่นี้อยู่ น่าสนุกๆ  :-[
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: ma-prang ที่ 01-08-2017 22:39:01
คู่นี้มาแล้ววววววววว
 :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 01-08-2017 23:00:22
 :katai2-1: ลอยคอรอคอย
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 01-08-2017 23:19:41
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 01-08-2017 23:24:15
รอพี่อ้ายกับพี่สงครามนานมากกกกกกกก  :ling1:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 02-08-2017 00:21:15
พี่อ้ายกับพี่สงครามมาแล้วววว จะรออ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Brosohub ที่ 02-08-2017 00:28:48
พี่อ้ายของข่อยยยย (มันให้ฟีลนี้ง่ะ)
แว้บรายงานตัวไว้ก่อนว่าเป็นฟนคลับเฮียอ้าย 5555  :ling1: :ling1:
ไว้อ่านจบจิมาเม้นอีกรอบ ตอนนี้ขอแปะไว้ก่อนนะค้าาาาา
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-08-2017 03:57:05
 :katai5:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 02-08-2017 05:34:28
พี่อ้ายโคตรเป็นประธานหอที้มีเรื่องจุกจิกโคตรๆ ประธานหอที่น่าเอ็นดู 555
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 02-08-2017 06:00:54
#ทีมสงคราม 555555
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 02-08-2017 06:12:12
#ทีมพี่อ้าย
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 02-08-2017 08:37:56
งืออออออ มาแล้วววววคู่ในฝันของเรา #(เชี่ย)สงคราม&อ้าย  ชอบคู่นี้มากเหมือนกัน มีความแมนๆ เถื่อนๆ ลุ้นๆอยู่แล้วก็ได้อ่านจริงๆด้วย ตามค่ะตาม ... จริงๆก็ตาม Chiffon_cake ทุกเรื่องอยู่แล้วอ่ะนะ แหะๆ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 02-08-2017 08:53:47
ปรบมือรัวๆรับพี่อ้าย~
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 02-08-2017 10:19:01
รอเปิดตัวมีนค่ะ

ดูโดดเด่น



ทีมใครดี#พี่อ้าย #พี่สงคราม คิคิ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Ryoooo ที่ 02-08-2017 12:48:59
พี่อ้ายยยย พี่สงครามมมม น้องรอเรื่องนี้ค๊่าา
ปักหมุด ผูกเสาเรือ!!!
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: kredkaew26 ที่ 02-08-2017 13:16:08
5555 ขำพี่อ้ายอ่ะ  นางมีความไบโพล่าร์สูงมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก  รอเฮียสงนะคะ  ^^   :mew4: :mew4:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 02-08-2017 20:24:36
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: wichta ที่ 03-08-2017 10:32:15
เตรียมตัว เรือ(รบ)หลวงกำลังจะโลดแล่น ศึกครั้งนี้ยิ่งใหญ่นัก ทีมประธานหอไหนเตรียมตัวเชียร์ #ทีมสงคราม #ทีมพี่อ้าย
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 03-08-2017 15:21:43
คู่สงครามเป็นคู่ที่ดีงาม
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 03-08-2017 16:19:25
คู่ที่รอคอยมาเนิ่นนาน 55555555
เรื่องนี้ทนายอาสาเป็นแฟนกันแล้วว
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 05-08-2017 13:12:18
สงครามกับอ้ายซินะ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 05-08-2017 16:26:41
โน้ตสุขใจ...พี่อ้ายมีความน่ารัก อรั้ยๆ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 09-08-2017 21:16:57
ประธานหอสอง จ้องจะกิน  ประธานหอสาม มั้ย.... อิอิ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 13-08-2017 21:56:18
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 14-08-2017 01:06:38
 :hao7: o13
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-08-2017 05:28:52
เรื่องของพี่อ้าย ชอบบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
สงคราม อ้าย  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: PAtxxkMxxn ที่ 14-08-2017 12:24:15
 :bye2: :mc4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: donut4top ที่ 14-08-2017 17:32:38
สงคราม.. พี่อ้ายนี่ไม่ให้ได้ป่ะ หวงอ่ะ5555
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 14-08-2017 22:39:26
มีนนี่ต้องมีบทบาทแน่ๆเลย  :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: kredkaew26 ที่ 19-08-2017 11:30:10
มาปูเสื่อรอเผือกเรื่องนี้ต่อ ^^  :z13: :katai4:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: zazoi ที่ 19-08-2017 18:30:17
ว้าว รอคู่นี้ต่อค่า คิดว่าพี่สงครามต้องคิดซีมติงกับอ้ายแน่ๆอ่ะ ว่าแต่มีนนี่คือใคร
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 20-08-2017 13:16:44
55555 พี่อ้ายคนบ้า เป็นไบโพล่าเพียงชั่ววิ

อ้ายน่าสงสารอะ เก็บกดน่าดู รับหน้าที่ทั้งที่ไม่อยากทำ แต่ไม่เป็นไรนะ สงครามรอง้ออยู่
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 20-08-2017 15:28:27
จาก #ทนายอาสา ก็ขอมาตามคู่นี้ต่อแล้วกันเรื่องโน้นสี่เศร้าเรื่องนี้จะสี่เศร้าด้วยรึเปล่านะแต่คิดว่าคนชื่อมีนคงไม่ได้มาแค่ตัวประกอบแน่ๆ จากเรื่องก่อนหน้าเราว่าพี่สงครามเริ่มอะไรๆกับพี่อ้ายแล้วแหละ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 20-08-2017 15:36:27
สงคราอ้าย  :mc4:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Wdf_mikeii ที่ 21-08-2017 14:45:43
รอนะครับบ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Dealta ที่ 21-08-2017 16:35:20
สารภาพเลย รอรอรอรอ รักรักรักรัก  อยากรีดแล้วอะะะะ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 21-08-2017 17:34:15
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: tae1234 ที่ 21-08-2017 19:12:19
ขอบคุณนะครับ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Vivii_VIP ที่ 21-08-2017 20:40:34
รอ รอ รอ นะคะ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 21-08-2017 21:53:58
เดาๆไว้อยู่ว่าราชาวิหคน่าจะเป็นสงครามอ้าย ละก็จริงๆด้วยยยย  o18
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: beautifuldead ที่ 22-08-2017 01:03:49
งือออ ถึงจะชอบเรื่องแรกมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
แต่สารภาพว่าแอบรอโมเม้น พี่อ้าย งือออออ
ในที่สุดดดดดดดดดดดดดด

แต่ว่านะ .. มาแค่บทนำก็ติดซะแล้วง่ะค่ะ
ชอบความเป็นประธานหอสามของพี่อ้าย โถ มีความไบโพล่าร์เบาๆ 55
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: TheGraosiao ที่ 22-08-2017 10:03:44
ชอบคู่นี้มากๆ #สงครามอ้าย

 :L2:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Mooait ที่ 23-08-2017 01:01:44
รอรอรอ นะเจ้าคะ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Dealta ที่ 24-08-2017 00:23:47
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
 :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: wingblack ที่ 24-08-2017 11:00:49
รอๆๆๆๆๆๆๆ :mew2: :mew2: :mew2:
มาต่อไวๆ นะคะ  :hao7: :hao7: :mew1:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: kredkaew26 ที่ 25-08-2017 10:02:50
 :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13:   :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:  :t3: :t3: :t3: :t3: :t3: :t3:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: backforred ที่ 25-08-2017 11:46:03
รอค่ะมาต่อไวๆนะ น่าอ่านมากกก
 :-[  :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Dealta ที่ 25-08-2017 17:04:29
                                                             พี่เค้ก มาอัพเถอะน่ะ พลีสสสสส

                                                                อยากอ่านพี่สงครามจะเเย่
                   
                                                                    #ทีมเมียพี่สงคราม

   

                                                :mew2:                                         :mew6:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 27-08-2017 01:47:46
รออ้ายกับสงครามจ้า :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 28-08-2017 21:05:08


ตอนที่ 1




หลังจากที่เดินตรวจหอตอนเช้าเสร็จ ผมก็ได้ฤกษ์กลับไปที่ห้อง 101 ของตัวเอง ห้องนี้เป็นห้องของประธานหอและค่อนข้างเล็กครับ ผมอยู่คนเดียวในห้องนี้ ข้างๆ ห้องของผมซึ่งก็คือห้อง 102 เป็นห้องของไอ้ธัช มันเป็นเพลย์บอยตัวเอ้ของหอสามที่กลายมาเป็นผู้ช่วยผมในการดูแลหอ เป็นความซวยของมันเองที่เลือกมาสนิทกับประธานหอแทนที่จะสนิทกับคนธรรมดา

ระหว่างที่ผมกำลังจะไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเตรียมไปเรียนนั่นเอง เสียงแจ้งเตือนกรุ๊ปไลน์ที่ผมเกลียดที่สุดก็ดังขึ้น

กรุ๊ปไลน์กรุ๊ปนั้นชื่อ ‘ประธานหอผู้ยิ่งใหญ่แห่งมอ B’

ผมบอกไว้ ณ ตรงนี้เลยว่าชื่อกรุ๊ปโคตรต่างชีวิตจริง การเป็นประธานหอมันยิ่งใหญ่ก็จริงครับ แต่อีกมุมหนึ่งก็คือแม่งมีชีวิตอย่างกับทาส (นึกภาพตอนลูกหอมันมีปัญหาแล้ววิ่งโร่มาหาประธานสิครับ บางทีแม่งก็ไม่ได้มีแค่คนสองคนอ่ะ มารวดเดียวเป็นสิบก็มี) แต่ผมไม่ได้เกลียดกรุ๊ปไลน์นี้เพราะชื่อกลุ่มหรอก ที่ผมเกลียดก็เพราะเสียงแจ้งเตือนกรุ๊ปนี้ดังทีไร งานต้องเข้าทุกทีไป

ทิว หอหนึ่ง : เขาเรียกประชุมอีกแล้ว วันนี้ตอนก่อนแปดโมง

ผมแก้ไขชื่อไลน์ของพวกประธานหอให้จดจำได้ง่าย ทิวเป็นประธานหอหนึ่ง ซึ่งเป็นหอที่มีแต่เด็กเรียนและพวกเคร่งครัดเรื่องกฎระเบียบเต็มไปหมด เพราะงั้นเวลาที่ ‘พี่โอ’ เจ้าหน้าที่ฝ่ายดูแลหอของมอจะเรียกประชุมทีไร ก็จะเรียกผ่านไอ้ทิว ถ้าเรียกผ่านประธานหอคนอื่น ผมคิดว่าชาติหน้ามั้งถึงจะได้ประชุม

ตั้ม หอสี่ : เป็นเรื่องที่เหี้ยที่สุดในเช้าวันนี้เลย
ตั้ม หอสี่ : กูจะนอนไอ้สัด เมื่อคืนกูปาร์ตี้ถึงตีสี่


หอสี่เป็นหอของพวกคนรวยที่มีสิทธิพิเศษเยอะแยะเต็มไปหมด เพราะพวกมันคือแหล่งเงินแหล่งทองของมอครับ แม้กระทั่งอธิการบดียังเกรงใจพวกมันอ่ะ แต่ขอโทษทีเถอะ...ยังไงเช้านี้ไอ้ตั้มก็ต้องไปประชุมเพราะเจ้าหน้าที่สั่งมา ถึงมันจะบ่นแต่มันก็ต้องไป คนที่เกิดมาเป็นประธานหอยังไงก็ต้องยอมรับหน้าที่ตรงจุดนี้ให้ได้

โกวิทย์ หอห้า : อา นี่ผมต้องไปฟังอะไรบ้าๆ บอๆ อีกแล้วหรือ

เชี่ยโกวิทย์คือประธานหอห้า หอที่เต็มไปด้วยโอตาคุและเด็กเนิร์ด หอนี้ไม่ค่อยมีปัญหากับหอไหนหรอก ยกเว้นเสียแต่ตอนที่พวกมันเล่นเกมชนะหออื่นอ่ะ แม่งสร้างความหมั่นไส้ให้หออื่นมานักต่อนักแล้ว แต่ก็เฉพาะเรื่องเกมนั่นแหละ

ภาม หอหก : กูละเบื่อ

หอหกคือหอของพวกใจรักในเรื่องศิลปะทุกแขนง เป็นหอของพวกติสต์และเสรีชนอย่างแท้จริง เชี่ยภามมันเป็นพวกติสต์สายดนตรี และตอนนี้มันก็เรียนเอกขับร้องอยู่
ผมกำลังจะพิมพ์ตอบลงไปในกรุ๊ปบ้าง ทว่าไอ้สงครามมันดันพิมพ์ตอบมาซะก่อน

สงเหี้ย หอสอง : กูไม่ไป

เห็นชื่อไลน์ที่ได้รับการตั้งเป็นพิเศษของไอ้สงครามมั้ยครับ นั่นแหละครับท่านผู้ชม ชื่อนี้สามารถบ่งบอกได้ถึงการมีปัญหาระหว่างหอสองและหอสามเป็นอย่างดีว่ามันกินเวลามาอย่างยาวนานขนาดไหน
ผมเปลี่ยนชื่อไลน์ของมันเป็นชื่อนี้ตั้งแต่เราสองคนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานหอตอนปีสาม แม้ผมจะเรียนคณะเดียวกับมันแต่คนละสาขา อีกทั้งยังเป็นเพื่อนห่างๆ ของมันด้วย แต่บางครั้งก็ควบคุมอารมณ์หมั่นไส้ที่มีต่อมันไม่ได้
เรื่องที่มันจะไม่เข้าร่วมการประชุม...มันใช่หรือเปล่าเหอะ

สงเหี้ย หอสอง : ถ้าเหี้ยอ้ายไม่ไป กูก็ไม่ไป

อ้าว ทำไมหวยมาออกอยู่ที่กูล่ะ ผมเกาหัวแกรกๆ รู้สึกงงที่ชีวิตการไปประชุมประธานหอของไอ้สงครามต้องมาขึ้นอยู่กับผม

โกวิทย์ หอห้า : คุณอ้ายจะว่ายังไงครับ
โกวิทย์ หอห้า : คุณสงครามขาดประชุมบ่อยซะด้วยสิ
โกวิทย์ หอห้า : ถ้าขาดอีกนิด หอสองอาจจะถูกตัดน้ำตัดไฟก็เป็นได้
ทิว หอหนึ่ง : จริงซะยิ่งกว่าจริง


มันใช่เรื่องของกูที่ไหนกันเล่า ผมคิดอย่างขุ่นเคืองก่อนจะพิมพ์ข้อความอย่างกระแทกกระทั้น

AI : เรื่องของมันสิวะ

ไม่นานนักสงครามมันก็พิมพ์ตอบ

สงเหี้ย หอสอง : แสดงว่ามันไป
สงเหี้ย หอสอง : กูไปก็ได้
สงเหี้ย หอสอง : ไอ้สัด ประชุมเหี้ยไรนักหนา
สงเหี้ย หอสอง : อย่าให้รู้นะว่าใครในนี้เป็นคนเรียกร้องการประชุมครั้งนี้ อย่าให้กูรู้


แชตในกรุ๊ปเงียบไปในบัดดล....ใครจะกล้าไปมีเรื่องกับไอ้สงครามแม้กระทั่งประธานหอด้วยกัน ผมกลอกตาขึ้นฟ้าก่อนจะวางโทรศัพท์แล้วรีบไปอาบน้ำ






ห้องเย็นเฉียบ

ห้องนี้เป็นห้องขนาดกลางๆ ในตึกอเนกประสงค์ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างหอสามกับหอสี่ ไม่มีหอไหนเป็นเจ้าของเป็นพิเศษเพราะงั้นมันจึงกลายเป็นสถานที่ที่ประธานหอจะมารวมตัวกัน โดยส่วนใหญ่ก็มักจะประชุมกันเวลามีงานเข้า เหมือนวันนี้เป็นต้น

ที่ห้องนี้ถูกเรียกว่าห้องเย็นเฉียบเพราะแอร์แม่งอย่างหนาว...แต่ก่อนมันถูกเรียกว่าห้องเย็นเฉยๆ แต่หลังๆ ไม่รู้แอร์เป็นเหี้ยอะไรถึงได้หนาวอย่างกับขั้วโลกเหนือ เพราะงั้นห้องนี้จึงกลายเป็นห้องเย็นเฉียบ ไม่ใช่ห้องเย็นเฉยๆ

ผมมาถึงเป็นคนที่สามต่อจากโกวิทย์และก็ทิว สองคนนี้มันเข้ากันได้ดีเนื่องจากทิวเป็นคนเคร่งและโกวิทย์เป็นคนไม่คิดอะไรเยอะ ที่เหลือไม่มีใครเข้ากันได้สักคน ภามเงียบเกินไป ไอ้เหี้ยตั้มก็ขี้โอ่เกินไป และไอ้สงคราม...แม่งก็ชอบใช้กำลังเกินไป

ผมเนี่ยดีที่สุดแล้ว

“มีเรื่องอะไรวะ” ผมถามสองคนที่นั่งอยู่ในห้อง

โกวิทย์กับทิวส่ายหน้าแทนคำตอบว่าไม่รู้ บทสนทนาระหว่างพวกเราจึงจบลงเพียงเท่านั้น ไม่นานนักตั้มกับภามก็เดินเข้ามาในห้อง ภามทำหน้าเซ็งที่สุดในโลก ส่วนไอ้ตั้มมันหาวแล้วหาวอีก แม้มันจะปาร์ตี้จนดึกจนดื่นแต่ออร่าความรวยของไอ้เชี่ยตั้มก็ยังมีอยู่ มันเอามือที่มีแหวนราคาแพงปิดปากระหว่างหาว

“เหี้ยอะไรเนี่ย” เสียงไอ้สงครามมาก่อนที่ตัวมันจะเข้ามาถึง ผมก้มหน้าเซ็งๆ ระหว่างที่สงครามมันอาละวาดแต่เช้า นี่คือสิ่งปกติที่สุดในโลกครับ “ทำไมเจ้าหน้าที่ยังไม่มาอีก กูว่ากูมาช้าแล้วนะ”

ไม่มีใครกล้าเถียงมันเพราะทุกคนรู้ดีว่าสำหรับสงครามควรสงบปากสงบคำไว้จะดีที่สุด หากเป็นเมื่อก่อนในห้องเย็นเฉียบนี้จะมีแต่เสียงของผมเถียงกันกับไอ้สงคราม เพราะมีความเป็นเพื่อน (ห่างๆ) ในคณะเดียวกันและเรียนด้วยกันสมัยปีหนึ่งปีสองในวิชาเรียนภาคบังคับของวิศวะ แต่ทว่าตอนนี้ผมมีปัญหากับมันอยู่ ผมจึงเงียบ ไม่ยอมพูดกับมัน

ทั้งห้องจึงตกอยู่ในภวังค์แห่งความอึดอัด

สงครามเคยชินที่ประธานหอทุกคนก้มหัวให้มัน แม้กระทั่งประธานหอคนรวยที่ไม่เคยยอมใครหน้าไหนอย่างไอ้ตั้ม มันทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ผมก่อนจะหันมาพูดด้วย

“ยังไม่หายโกรธกูอีกเหรอ”

“...”

“มึงเป็นบ้าเหรออ้าย”

ดูคำพูดสไตล์ของไอ้สงครามสิครับ แม่งชอบทำให้บรรยากาศแย่ลงแทนที่จะทำให้ดีขึ้นอ่ะ

“กูรู้ว่ายังไงมึงก็ไม่ยอมพูดกับกู แต่วันนี้กูมีเรื่องจะถาม” มันที่เป็นฝ่ายพูดกับผมก่อนมานานมากแล้วเอ่ยเบาๆ อย่างจริงจัง ผมเงี่ยหูฟังทั้งๆ ที่แสดงสีหน้าไม่สนใจ “มึงแค่พยักหน้าหรือส่ายหน้าก็พอ”

เอาไงดีวะ...ผมโกรธมันมาเกือบสองเดือนแล้ว ความโกรธความหัวร้อนมันลดลงไปเยอะแล้วครับ ที่ยังเหลืออยู่ก็แค่ฟอร์มกับทิฐิจากศักดิ์ศรีประธานหอเท่านั้นนั่นแหละ

แต่ไม่ว่ายังไง ผมก็ยังรู้สึกขุ่นมัวกับมันอยู่ดี แม้มันจะน้อยลงไปแล้วก็ตาม

ทำไมมันเงียบไปแล้วไม่ยอมถามสักที ผมรอตั้งนาน ในที่สุดเชี่ยสงครามก็ยอมเปิดปาก

“มีนกลับมาแล้วเหรอวะ”

คำถามของมันทำเอาผมต้องหันไปมองหน้า ด้วยน้ำเสียงและอารมณ์ในการพูดของสงครามทำให้ผมรู้สึกได้เลยว่ามันอยากรู้คำตอบมาก

มันไม่ได้ตกใจที่ผมมองหน้ามัน แต่กลับทำสีหน้าคาดคั้นรอคอยคำตอบ

ผมพยักหน้าเบาๆ ให้มันหนึ่งทีเพื่อเป็นการทำบุญเล็กๆ น้อยๆ สงครามมีสีหน้าดีขึ้นมากจากหน้ามือเป็นหลังมือ

งง...ผมงงมาก สงครามเกี่ยวข้องอะไรกับมีน ทำไมมันถึงอยากรู้เรื่องสิ่งดีงามของหอผมอีกสิ่งหนึ่งนอกจากอาสาอย่างไอ้เหี้ยมีน
ตอนนั้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายดูแลหอเข้ามาพอดี ผมจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ (จริงๆ ก็ไม่คิดจะพูดอยู่แล้ว) ระหว่างที่เจ้าหน้าที่พูดเรื่องเดิมๆ (รบกวนทุกหอช่วยประหยัดไฟและน้ำช่วยมอหน่อย) สงครามดูอารมณ์ดีจนผิดสังเกตไปหมด ทั้งๆ ที่ปกติเวลามีประชุมเช้าก่อนไปเรียนแบบนี้มันจะแสดงอาการหงุดหงิดออกมาอย่างเห็นได้ชัด (‘พี่ก็ไปบอกพวกลูกหอมันเองดิ’ ‘เรื่องของหออื่นไม่เกี่ยวกับหอผม พี่เรียกผมมาทำไหปลาร้าอะไร’ ‘ฟวยไรเนี่ย คิดมากไปป่ะพี่’) เพราะงั้นจึงมีสายตาของพวกประธานหอหลายคนมองมาที่สงครามอย่างประหลาดใจกันหมด

ในที่สุดการประชุมบ้าๆ บอๆ ก็ผ่านพ้น ผมหิ้วกระเป๋าเตรียมออกไปเรียนที่คณะ

“ติดรถกูไปป่ะ” สงครามถาม

ผมยังคงไม่ตอบมัน

“อ้าย มึงอย่าทำตัวเป็นผู้หญิงดิ งอนกูเหมือนผู้หญิงเลยว่ะ”

“ไอ้เหี้ย” ผมร้องด่า “ถอยไป ไอ้สัด”

“แถวนี้ไม่มีพวกลูกหอหรอก” สงครามเอ่ย เวลาที่เราอยู่กันสองคนก็เหมือนมนุษย์ผู้ชายทั่วไปที่สนิทกัน แต่ที่ต้องทำเป็นมีปัญหากันก็เพราะคำว่าประธานหอมันค้ำคอ ซึ่งหอสองกับหอสามไม่ค่อยถูกกันมาอย่างเนิ่นนานหลายสิบปีแล้ว ลูกหอบางคนจึงเข้าใจว่าผมกับสงครามต้องไม่ชอบขี้หน้ากันอย่างแน่นอน ทั้งๆ ที่ไม่จริง แต่ก็ต้องรักษาอาการเหม็นขี้หน้ากันเอาไว้

“มันไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น”

“สัดอ้าย เชี่ยเตมันออกจากโรง’บาลนานมากแล้วนะ และกูก็ทำโทษไอ้พวกเหี้ยที่ไปรุมทำร้ายเชี่ยเตจนมันแทบไม่กล้ามองหน้ากูแล้ว แต่ทำไมมึงต้องสะบัดตูดงอนกูแบบนี้ด้วยวะ ไม่เข้าใจ”

ผมไม่ได้ตอบคำถามอะไรใดๆ ในเรื่องนั้น เอาแต่เดินไปข้างหน้าอย่างเดียว

“มึงคิดว่ามึงงอนแล้วน่ารักเหมือนไอ้ของขาวหอมึงเหรอ”

ผมชะงักกึก ไอ้ของขาวที่สงครามมันว่าต้องหมายถึงอาสาแน่นอน แม้จะมีหลายครั้งที่มันเรียกรวมๆ แต่ครั้งนี้มันหมายถึงอาสาชัวร์ เพราะใครๆ ในหอพักชายล้วนก็ต้องยกให้อาสาเป็นที่หนึ่ง แต่มันพูดแบบนั้นเหมือนดูถูกผมเลยว่ะ ยิ่งทำให้ผมเคืองฉิบหายแทนที่ผมจะรู้สึกดีกับมันมากขึ้น

นี่แหละครับประธานหอสอง มันพูดจาดีๆ ไม่ค่อยเป็นหรอก

“มึงจะเอายังไง” ผมก้าวเข้าไปขยุ้มคอเสื้อไอ้สงคราม อีกฝ่ายถอนหายใจก่อนจะจับมือผมให้ปล่อยคอเสื้อมันทิ้งไปอย่างง่ายดาย
แรงไอ้เหี้ยนี่เยอะมากกกกกกกกกกกก ผมที่สูงน้อยกว่ามันไม่เท่าไหร่ยังสู้แม่งไม่ได้

“ไม่เคยจำสักทีว่าอย่าหาเรื่องผิดคน” สงครามเอ่ยอย่างเซ็งๆ

เออ มึงเก่ง แต่กูโมโห จะให้กูกระทืบเท้าระบายอารมณ์ต่อหน้ามึงหรือไง กูก็ต้องกระชากคอเสื้อมึงดิวะ

ผมคิดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจที่สู้แม่งไม่ได้ ช่างเป็นประธานหอสามที่สุดแสนจะอ่อนแอและพึ่งไม่ได้จริงๆ ผมนี่มัน...ใช้ไม่ได้เอาเสียเลย

“ตกลงหายงอนหรือยัง”

“...”

“ไอ้ห่า กูต้องง้อมึงยังไง นี่กูง้อมาหลายเดือนแล้ว กูเหนื่อยละนะ”

“...”

“เดี๋ยวกูก็เลิกง้อซะเลยนี่”

เรื่องของมึงดิ...ผมเดินหน้าต่อไปทั้งๆ ที่สีหน้าบึ้งตึงยังไม่ผ่อนคลายลง ไอ้สงครามก้าวไม่กี่ก้าวก็ตามผมทัน การมาของมันทำให้คนที่เดินสวนไปมาเป็นกลุ่มพากันแตกฮือ หลีกทางให้มันกันหมด

ทีตอนที่ผมเดินสวนคนเป็นกลุ่ม มันไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนี่

“เหี้ยอ้าย”

“...”

“ฟวยอ้าย”

“...”

“สัดเอ๊ย”

สงครามเดินเลี่ยงออกห่างจากผมระหว่างที่เราทั้งคู่เดินผ่านหอสองและหอสาม ต่อหน้าลูกหอผมกับมันต้องทำตัวไม่สนิทกันอีกครั้ง มันมองผมอย่างขุ่นเคืองก่อนจะเดินเลี่ยงไปยังลานจอดรถของหอมันเพื่อจะไปเรียน

ผมมองตามมันแล้วถอนหายใจ จากที่ฟังๆ มาจากเพื่อนผู้ใกล้ชิดมัน สงครามมันไม่เคยง้อใครขนาดนี้มาก่อน การที่ผมไม่ยอมดีกับมันง่ายๆ แบบนี้เหมือนกำลังแกล้งมันอยู่ยังไงยังงั้น เพื่อนพวกนั้นก็ถามผมว่าผมสนุกที่ได้เห็นมันวิ่งตามผมแบบนี้เหรอ

แต่ผมให้คำตอบในเรื่องนั้นไม่ได้ว่ะ

สักพักหนึ่งเสียงแจ้งเตือนไลน์ของผมก็ดัง

PIPE : กูเห็นมึงแล้ว
PIPE : ออกมาขึ้นรถเลย


เป็นข้อความจากไปป์ เพื่อนในกลุ่มสาขายานยนต์ของผม มันอยู่หอสองก็จริงแต่มันเข้ากับผมได้ดีกว่าประธานหออย่างไอ้สงครามซะอีก

AI : เออ เดี๋ยวเดินไป

ที่สำคัญไปกว่านั้น...ไปป์เป็นมือขวาของไอ้สงครามครับ








ระหว่างทางไปคณะ

ผมเหลือบมองดูไอ้ไปป์ คนขับผู้ซึ่งเป็นเจ้าของหุ่นกำยำพอๆ กันกับสงคราม มันเป็นเพื่อนร่วมสาขาของผมและก็ค่อนข้างสนิทกันมาก แต่เราสองคนจำเป็นที่จะต้องทำตัวไม่ค่อยสนิทกัน สืบเนื่องมาจากการที่เราอยู่กันคนละหอ และไปป์เป็นผู้ช่วยของสงครามอีกทีหนึ่ง

ผมทำตัวสนิทกับประธานหอสองไม่ได้ฉันท์ใด ผมก็ไม่สามารถทำตัวสนิทกับผู้ช่วยประธานหอสองได้ฉันท์นั้น...

“ยังไม่หายโกรธสงครามมันอีกเหรอ” ไปป์ถามนิ่งๆ คำตอบของผมยังไงก็ไปไม่ถึงไอ้สงครามครับ เรื่องนี้ไอ้ไปป์วางตัวดีมาก ผมรับประกันเลย เรื่องไม่ถูกกันระหว่างหอก็เรื่องหนึ่ง เรื่องความเป็นเพื่อนก็อีกเรื่องหนึ่ง

“ไม่รู้ว่ะ ยังไงก็ไม่หายเคืองแม่งสักที”

“มันลงโทษคนพวกนั้นหนักมากเลยนะอ้าย”

“กูรู้ แต่ว่า...”

“นี่ถ้าลูกหอหอสองคนอื่นรู้ว่ามันแคร์มึงขนาดนี้นะ ฉิบหายตายห่า”

“ทำไมวะ”

“ก็เขาคิดกันหมดว่ามึงกับสงครามเกลียดกัน”

“ก็...เกลียดกัน” ผมเริ่มไม่แน่ใจในเรื่องนี้เท่าไหร่ เสียงของผมจึงแผ่วลงไป

“เหรอวะ” ไปป์เหลือบมามองผมยิ้มๆ “พวกมึงเถียงกันบ่อยก็จริง แต่กูมองว่าถ้าได้มาเป็นเพื่อนกันยังไงก็ต้องสนิทกัน”

ผมกับสงครามเคยคุยกันได้ดีในระดับเพื่อนผู้ชายทั่วไป แต่หลังจากที่ผมกับมันได้รับตำแหน่งประธานหอ มิตรภาพระหว่างเราสองคนก็เปลี่ยนไป จริงๆ แล้วผมกับมันก็ยังเหมือนเดิมนั่นแหละ เพียงแต่ว่าหน้าที่มันทำให้เราสนิทกันไม่ได้ อีกอย่างหนึ่งพวกหอสองมันชอบเอารัดเอาเปรียบหอสามไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และเวลาที่ลูกหอของผมมีเรื่องกับพวกหอสองแล้วผมต้องตามไปแก้ปัญหา ผมก็ค่อยๆ ห่างจากไอ้สงครามไปทุกที

ยิ่งเป็นเรื่องของเต และมันทำให้ผมเลิกคุยกับมันไปเลย ทั้งๆ ที่ผมกับสงครามเพิ่งได้มาคุยกันตอนที่มันมาขอให้ผมช่วยติวหนังสือเมื่อเดือนก่อนแท้ๆ

การติวกันครั้งนั้นต้องติวอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ในร้าน Pink Chiffon เพราะคงไม่เหมาะนักหากพวกลูกหอจะเห็นผมกับสงครามอยู่ด้วยกัน ไอ้สงครามบ่นฉิบหายเรื่องการเลือกร้านของผม ทำไมต้องสีชมพู ทำไมต้องเป็นร้านขนม

ก็เพราะร้านแบบนั้นมันไม่มีผู้ชายเข้าไงวะสัด

เอ แต่ตอนนั้นไอ้ทนายกับอาสาก็เข้าไปกินขนมด้วยกันอยู่นะ เอ่อ ช่างเถอะครับ

“ถ้ามึงสองคนไม่ได้เป็นประธานหอกันทั้งคู่ คงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาก”

“ก็คงงั้นมั้ง”

“สงครามไม่เคยเกลียดขี้หน้ามึงเลยนะอ้าย”

“แต่กูเกลียดขี้หน้ามันนะ”

“เอาดีๆ กูว่ามึงไม่เกลียดมันหรอก มึงก็แค่เล่นไปตามบทประธานหออ่ะ”

เซ็งที่แม่งรู้ทันว่ะ “สงครามมันก็ไม่ได้แย่”

“งั้นมึงก็เลิกโกรธมันได้แล้ว”

“นี่มันใช้มึงมาง้อกูป่ะเนี่ย”

“มันไม่รู้ว่ากูกับมึงสนิทกัน”

แม่ง ซับซ้อนฉิบ...ผมเกาหัวแกรกๆ เสมองออกไปนอกหน้าต่างรถราวกับต้องการสื่อให้รู้ว่าไม่อยากพูดเรื่องนี้แล้ว

“แต่ก็ตลกดีนะ ปกติสงครามแม่งเคยง้อใครแบบนั้นที่ไหน”

“...”

“ถ้ามันเหนื่อย มันก็เลิก ดีไม่ดีอาจจะมาด่าซ้ำ แต่กับมึงนี่มันง้อยาวเลย กูรู้สึกตกใจเหมือนกัน”

“กูเริ่มคิดแล้วนะว่ามันใช้ให้มึงมาพูดกับกูอ่ะ” ผมขมวดคิ้ว จ้องจับผิดไปที่ไอ้เหี้ยไปป์

“สาด กูเพื่อนมึงนะเว้ย”

“แต่มึงก็เป็นมือขวาเชี่ยสงคราม”

“มันคนละส่วนกัน กูแค่ไม่อยากให้คนที่เป็นเพื่อนกูทั้งคู่ผิดใจกัน”

“ช่างเหอะ มันไม่เป็นไรหรอก” ผมพูดให้ไปป์สบายใจ “ที่กูไม่ยอมดีกันกับมัน ก็เพราะกูอยากแกล้งมันนี่แหละมั้ง”

“หา”

“มึงบอกเองไม่ใช่เหรอว่าสงครามมันไม่เคยต้องง้อใครอ่ะ”

“เฮ้อ ยังไงก็สงสารประธานหอกูบ้างนะ” ไปป์ยิ้มให้ผม จากนั้นก็เลี้ยวเข้าไปยังคณะ ผมจำรถของสงครามได้ และตอนนี้มันก็จอดอยู่ข้างๆ ผมนั่งตัวลีบ ไม่อยากให้มันเห็นว่าผมอยู่กับไปป์ เพราะไปป์อาจจะมีปัญหาเอาได้ ใครจะไปเดาใจไอ้ประธานหอสองออก
สงครามเดินมาเคาะกระจกรถฝั่งที่นั่งของผมด้วยสีหน้าเซ็งๆ ท่าทางมันมีเรื่องจะพูดกับไปป์

“ฉิบหายแล้ว” ผมหันไปพูดกับไปป์ มันก็ดูตระหนกตกใจเหมือนกัน

“รออยู่นี่” ไปป์เปิดประตูลงไป สงครามก็เลยเลิกเคาะ มันคงมองไม่เห็นผมเพราะว่าฟิล์มรถไปป์ดำสนิท ผมมองดูชายหุ่นนักกีฬาสองคนคุยกัน มองไปมองมาก็ชักจะรู้สึกเหนื่อย ไม่รู้พวกแม่งคุยอะไรกันนักหนา

จริงๆ แล้วผมไม่ควรสนิทกับไปป์ด้วยซ้ำ ชีวิตนักศึกษามอผมเขาอยู่กันเป็นหอ ไม่ได้อยู่กันเป็นสาขาหรือคณะ ตอนที่ผมอยู่ปีหนึ่ง ผมสนิทกับไอ้ธัชมากที่สุด เพราะเราสองคนเข้ากันกับกลุ่มของมีนซึ่งอยู่หอเดียวกันไม่ได้ครับ ไม่ใช่ว่ากลุ่มของมีนจะนิสัยไม่ดี เพียงแต่ว่าไลฟ์สไตล์ไม่เหมือนกัน พวกมันเป็นนักเที่ยวกลางคืนกันยกแก๊ง บางครั้งไอ้ธัชก็ไปกับกลุ่มนี้บ้าง แต่มันก็ชอบเอามาบ่นให้ผมฟังว่ากลุ่มของมีนนั้น ‘ไม่แมน’

คนที่มาช่วยชีวิตไอ้ธัชก็คือไอ้ไปป์ ธัชเสือกเข้ากันได้ดีกับไปป์มากกว่าคนในหอด้วยกัน ผมจึงพลอยสนิทกับไปป์ไปด้วย ไอ้ธัชทำตัวสนิทกับไปป์ได้ ไม่เป็นปัญหาครับ แต่ผมซึ่งมีตำแหน่งประธานหอ สนิทกับไปป์ไม่ได้

ทำไมน่ะเหรอ เพราะผมชอบบอกน้องๆ ว่าอย่าไปยุ่งกับหออื่นให้มากโดยเฉพาะหอสอง ผมบอกคนอื่นไปแบบนั้นจะให้ผมกลืนน้ำลายตัวเองได้ยังไง มันเป็นเรื่องของการทำตัวน่าเคารพน่ะครับ ผมมองดูสงครามกับไปป์คุยกันจนเหนื่อย และในที่สุดสงครามก็เดินไปเรียนสักที

เคยบอกหรือยังครับว่าสงครามมันเรียนวิศวกรรมการบินน่ะ

ไปป์เปิดประตูรถให้ผมหลังจากสงครามเดินไปแล้ว มันมีสีหน้าเกรงอกเกรงใจผมมาก

“คุยเหี้ยไรกันนักหนา”

“ปัญหาชีวิตมันน่ะ” ไปป์ตอบ “เจอกันบนห้องนะ”

“เออ”

“...”

“ขอบใจนะที่ให้ติดรถมา ถ้าไอ้เชี่ยธัชมันไม่เมาค้าง...”

“ได้เสมอ ไม่ต้องห่วงเลย”

ผมพยักหน้าให้ไปป์ ก่อนจะเดินไปข้างหน้า คนที่ผมมองเห็นแผ่นหลังอยู่ไกลลิบนั่นก็คือสงคราม คำพูดของไปป์ที่ว่ามันมีปัญหาชีวิตเริ่มลอยเข้ามาในหัวผม

ไอ้ปัญหาที่ว่ามันคงไม่เกี่ยวกับประธานหอสามอย่างผมใช่มั้ย...








การกลับมาของมีนสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับชาววิศวะประหนึ่งมีอาสาสิบคนหลุดเข้ามาในคณะ

ปกติแล้วคณะของผมจะมีอัตราส่วนผู้ชาย 90 คนต่อผู้หญิง 10 คน พวกผู้ชายมันจะไม่ค่อยสนใจผู้ชายด้วยกันเว้นเสียแต่ว่าคนคนนั้นคืออาสา อย่างที่เคยบอก มันเป็นเด็กประหลาดที่ดึงดูดเพศเดียวกัน แม้ผู้ชายคนนั้นจะชอบผู้หญิงมาทั้งชีวิตแต่ก็ต้องมีหันไปมองไอ้อาสาสักเสี้ยววินาทีบ้าง แม้มีนจะไม่ได้น่ารักถึงขั้นนั้น แต่มีนก็เป็นดาราในวงการคนหนึ่งไปแล้ว

วันนี้ทั้งวันผมจึงได้ยินแต่คนพูดถึงมีน ผมกับไอ้เหี้ยธัชก็คอยแอบมองมันอยู่ตามประสาผู้ชายที่ชอบมองของน่ารักๆ ไอ้พวกที่มาจากหอสองมองตามมีนตาเป็นมัน เหมือนกับที่พวกมันเคยมองตามอาสาเด๊ะๆ

“มีนกลับมาแล้ว ชั้นห้าก็คงมีแขกเยอะเลยสินะ” ธัชพึมพำ

“เออ เพิ่งเจอมาสดๆ เมื่อเช้านี้เอง” ผมตอบอย่างเซ็งๆ

“แล้วมึงทำไง”

“กูจะทำไงได้ล่ะ แค่ไอ้คนที่แอบเข้ามานั่นดีดนิ้วตัวกูก็ปลิวแล้วมั้ง” แม้ผมจะไม่ได้เป็นผู้ชายร่างกายอ่อนแอ แต่ผมจะไปสู้ผู้ชายที่มาจากหอนักกีฬาได้ยังไงล่ะครับ

“มึงก็บอกสงครามดิ”

ผมถอนหายใจ “เรื่องนี้กูบอกมันบ่อยแล้วว่ะ บอกจนกูรู้สึกว่าตัวกูเองแก้ปัญหาไม่ได้แล้วโยนปัญหาไปให้คนอื่น”

“เฮ้อ” ธัชตบบ่าเห็นใจผม “มึงก็ต้องทำใจเรื่องที่เด็กหอเรามันเปิดประตูรอรับไอ้พวกนี้เองด้วยนะ มันเกินกำลังของมึงอ่ะ”

ผมเหลือบมองไปทางมีนที่กำลังยิ้มหัวเราะสนุกสนานกับคนที่เข้ามาคุยด้วย “ก็หวังว่าเด็กหอเรามันจะเมตตากู ไม่ทำอะไรที่มันประเจิดประเจ้อเกินไป”

“เออ มีนคงรู้แหละว่ามึงซีเรียสเรื่องนี้อยู่”

“ขอให้มันเป็นอย่างนั้น”

การจะดูแลลูกหอให้อยู่ในกฎระเบียบเป็นเรื่องยากมากจริงๆ ครับ ระหว่างที่ผมคิดในใจมีนก็ย่างกรายเดินมาหยุดตรงหน้าผมพอดี ผมกลืนน้ำลายมองมีนอย่างตกตะลึง

แม่ง น่ารักว่ะ...

มันเป็นผู้ชายในแบบของอาสาที่ดูโตขึ้นมาหน่อย นั่นหมายความว่ามีนทั้งน่ารักและก็ดูเซ็กซี่เพราะผ่านโลกมามากกว่าคนใสๆ อย่างอาสา

“วันนี้กูจะเลี้ยงเหล้าร้านพี่น้อยอ่ะ ไปด้วยกันมั้ย”

ไอ้ธัชเริ่มมีสีหน้ากระตือรือร้น ได้ข่าวว่ามันเพิ่งหายจากอาการแฮงก์เมื่อคืนนี่เองนะ “งานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของมึงเหรอ”

“ฮ่าๆๆ จะพูดอย่างนั้นก็ได้”

“แดกได้ไม่อั้นใช่ป่ะ”

“แน่นอนดิวะธัช”

“กูไป” ธัชตอบ ก่อนจะหันมาหาผม “เหี้ยอ้ายว่าไง”

“เอ่อ...” จู่ๆ หน้าลูกหอหลายร้อยชีวิตก็ลอยเข้ามาในหัวผม ณ ตอนนั้น

“สัดอ้าย เด็กมันโตแล้ว ปล่อยพวกแม่งดูแลตัวเองบ้างเหอะ” ธัชผู้รู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ถึงกับโวยวาย “อีกอย่างเด็กที่น่าเป็นห่วงที่สุดอย่างอาสามันก็มีแฟนแล้วป่ะวะ เพราะงั้นมึงยิ่งไม่ต้องห่วงเลย”

จริงของมัน...ไอ้อาสาเป็นคนที่น่าห่วงที่สุดในบรรดาลูกหอทุกคนแล้วครับ ถ้าเด็กนี่ปลอดภัย ก็แปลว่าคนทุกคนในหอจะต้องปลอดภัย

นี่ผมเคยชินกับการเป็นประธานหอมากกว่าการเป็นตัวเองไปซะแล้วเหรอวะ

“ไปก็ไป” ผมตอบตกลงในที่สุด “แต่กูไม่แดกจนภาพตัดนะเว้ย” ภาพตัดที่ว่าคือเมาหัวทิ่ม เมาแบบไม่เหลือสติสัมปชัญญะใดๆ อีกต่อไป

“เออ รู้น่า” ธัชยักคิ้วให้ผมกับมีน “แล้วเจอกันเว้ย”

มีนส่งยิ้มให้แล้วเดินจากไป ไอ้ธัชบีบนวดนิ้วมือราวกับมันกำลังจะได้เที่ยวครั้งแรกในรอบยี่สิบปี

“ไหนบอกกลุ่มมีนไม่แมนไง” ผมแซวเล่นๆ

“สัด มันไม่แมนแต่มันก็เป็นเพื่อนกูป่ะวะ”

“เออ กูเข้าใจ”

“มึงต้องเข้าใจเว้ยว่ากลุ่มมีนแม่งเป็นแบบมีนทุกคนอ่ะ กูเข้าไม่ถึงเว้ย”

“บอกแล้วไงว่ากูเข้าใจ ไอ้ห่า”

“มึงว่าคนจะไปกันเยอะมั้ยวะ”

“มีนจัดงานนะเว้ย คงเหมาร้านอ่ะ”

“จะมีแต่พวกหอสามหรือเปล่า”

ธัชกับผมมองไปที่มีนซึ่งเดินชวนคนนั้นคนนี้ไปทั่ว “กูว่าน่าจะมีคนจากทุกหอเลย”

















[มีต่อนะคะ]





หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 28-08-2017 21:05:30






ร้านเหล้าน้อย

หลังจากฝากฝังให้พวกรุ่นพี่ดูแลพวกรุ่นน้องในหอ ผมก็สบายใจที่จะมาดื่มในที่สุด มีนมันไม่ได้คิดจะเลี้ยงแค่โต๊ะสองโต๊ะครับ แต่มันเหมาทั้งร้านเลย

“อ้าย ธัช มาแล้วเหรอวะ นู่นเลย ไปนั่งโต๊ะนู้น” มีนเดินมาต้อนรับแล้วพาผมไปยังโต๊ะของแขกผู้ทรงเกียรติ คนที่นั่งอยู่ก่อนแล้วมีแต่ระดับบิ๊กๆ ของหอพักชายซึ่งรู้จักกับมีน มีประธานหออย่างน้อยก็สามหอครับ และที่สำคัญ...มีไอ้สงครามด้วย

“ไงภาม” ผมทักประธานหอหกที่ขยับให้ผมไปนั่งข้างๆ “วันนี้ไม่มีคิวร้องเพลงเหรอวะ”

“ไม่มี ให้รุ่นน้องไปร้องแทนแล้ว”

“มีนชวนทั้งทีสินะ”

“ใช่ จะพลาดได้ยังไง”

ผมยิ้มให้ไอ้ภาม รับแก้วที่ได้รับการชงมาจากรุ่นน้องหอสาม ผมมองดูหน้าทุกคนซึ่งผมรู้จักมักจี่เป็นอย่างดีด้วยสายตาปกติธรรมดา แต่พอมองไปถึงไอ้สงครามทีไรผมก็รู้สึกแปลกๆ ทุกครั้งไป อาจเป็นเพราะผมยังต้องทำเป็นโกรธมันอยู่มั้ง ผมเป็นคนฟอร์มเยอะครับ ผมรู้ตัวดี

สงครามเป็นเด็กหอสองเพียงไม่กี่คนในงานนี้ แต่เชื่อเถอะครับว่าการนั่งอยู่เฉยๆ ของมันก็สามารถทำให้คนทั้งโต๊ะเกร็งกันไปหมดแล้ว จริงๆ จะพูดว่าเกร็งทั้งโต๊ะก็ไม่น่าจะถูกที่สุด เพราะคนอย่างมันทำให้คนเขาเกร็งกันทั้งร้าน

“มีอะไรจะคุยกับกูใช่มั้ย” สงครามเอ่ยท้วงเมื่อเห็นผมมองไปพอดี

“ไม่มี” ผมรีบปฏิเสธ

“มาเป่ายิ้งฉุบกัน”

อะไรนะ ผมมองหน้าไอ้สงครามอย่างไม่เข้าใจ

“ถ้ากูชนะ มึงต้องหายโกรธกู”

คนอื่นๆ หลุดขำ ขณะที่ผมทำหน้าซีเรียส “สาด เล่นเป็นเด็กๆ”

“ทีมึงยังงอนกูเป็นเด็กๆ เลย”

“กูไม่ได้...”

“เอางี้ดิ” ไอ้ตั้ม ประธานหอสี่ที่ไม่ควรจะมาอยู่แถวนี้เอ่ยแทรกขึ้นมา “สั่งเบียร์มาคนละเหยือก ใครเมาก่อนแพ้ ถ้าไอ้อ้ายแพ้ต้องหายงอนไอ้สงคราม”

“เดี๋ยว” ผมรีบประท้วง “งานเลี้ยงต้อนรับมีนนะเว้ย ทำไมต้องมาทำอะไรแบบนี้วะ”

“เอาเลยอ้าย กูไม่ว่า” สัดมีนเดินเข้ามาแตะไหล่ผมพร้อมส่งรอยยิ้ม

ทุกคนเชียร์กันไปหมดจากเชียร์กันทั้งโต๊ะกลายเป็นเชียร์กันทั้งร้าน ฉิบหายแล้ว ถ้ามาขนาดนี้มันไม่ใช่แค่เรื่องระหว่างผมกับสงครามแล้วล่ะ แต่มันเป็นการแข่งขันปกป้องศักดิ์ศรีของประธานหอ

ตั้มดูพอใจที่ทำให้ทุกคนสนุกสนาน “กูเลี้ยงเอง” แถมมันยังไม่ลืมที่จะโชว์ความป๋าตามสไตล์เด็กหอสี่ด้วย

“ถ้ากูแพ้ กูต้องหายโกรธมึงงั้นสินะ” ผมพูดกับสงคราม

“...”

“แล้วถ้ากูชนะล่ะ กูจะได้อะไรจากมึง”

แขกของมีนคนอื่นๆ เริ่มเดินมาดูการแข่งดวดเบียร์ระหว่างผมกับสงครามซึ่งกำลังจะเริ่มในไม่ช้า พวกที่นั่งอยู่ที่โต๊ะลุกขึ้นยืนเพื่อให้ผมได้นั่งแข่งกับสงครามแค่สองคน

“มึงอยากได้อะไรล่ะ”

ผมไม่เห็นจะอยากได้อะไรจากมันเลย แต่เอ๊ะ...หอสองมีอย่างหนึ่งที่หออื่นไม่มีนั่นก็คือห้องฟิตเนส และไอ้หอบ้านี่ก็มีห้องฟิตเนสทุกชั้นด้วยครับ (ถึงกระนั้นพวกแม่งก็ยังแย่งกันใช้เครื่องออกกำลังกายอ่ะ)

“กูจะเล่นฟิตเนสหอมึงหนึ่งเดือน”

สิ้นเสียงของผม เสียงฮือฮาก็ดังระงมไปหมด ปกติแล้วห้องฟิตเนสของหอสองไม่ให้เด็กหออื่นเข้าไปใช้หรอกครับ

“หึ ได้” สงครามรับคำ “ถ้ามึงชนะ กูจะให้มึงเล่นคนเดียวทั้งห้องเลย”

ผมถูกใจในข้อเสนอนี้ ตั้มเดินมาแหวกคนที่เข้ามามุงพร้อมๆ กับบอกให้เด็กร้านพี่น้อยเอาเหยือกเบียร์มาวางไว้หลายๆ เหยือก ผมนับดูคร่าวๆ น่าจะเป็นจำนวนเกือบสิบ

เหี้ย เยอะเกินไปเปล่าวะ

สงครามยิ้มมุมปาก ดูไม่ยี่หระกับจำนวนมหาศาลของเหยือกเบียร์ ผมจึงจำเป็นต้องทำหน้าไม่เกรงกลัว มีลูกหอของผมหลายคนจ้องมองมา ผมไม่อยากทำให้พวกมันผิดหวัง

“เอาล่ะนะ” ไอ้เชี่ยตั้มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพร้อมอัพลงโซเชียลตลอดเวลา สัด แม่งอัดคลิปด้วย “นี่คือสงครามระหว่างหอที่โด่งดังของมอ B นะครับ ฝั่งซ้ายคือประธานหอสามชื่อว่าอ้าย ฝั่งขวาคือประธานหอสองชื่อสงคราม ศึกนี้มีเดิมพันสูงส่งมาก ใครแพ้แม่งควรเอาปี๊บมาคลุมหัวหลังแข่งเสร็จนะ”

ไอ้เหี้ย มึงจะเริ่มได้หรือยัง

“ถ้าพร้อมแล้วก็ลุยเลย”









“อ้าย ไหวป่ะ”

“...”

“เชี่ยอ้าย”

คนที่เข้ามาช่วยพยุงผมก็คือมีนกับธัช ผมแพ้ไอ้สงครามชนิดที่ว่าน่าอายฉิบหาย ตอนนี้สภาพของผมไม่สามารถดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มได้อีกต่อไป ขณะที่สงครามนั้นมันยังสามารถดื่มได้ต่อเหมือนเหยือกเบียร์หลายๆ เหยือกที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่น้ำเปล่า

มีความจริงอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับพวกหอสองที่ท่านควรรู้เอาไว้ครับ พวกนี้แม่งคอแข็งสัดๆ ผมพลาดเองนั่นแหละที่ไปตอบรับการท้าทายของไอ้สงเหี้ย

“ขอบใจมากมีน มึงเข้าไปในร้านเถอะ เดี๋ยวกูดูไอ้อ้ายเอง” ธัชเอ่ย

“มันดูแย่มากเลยว่ะ”

“ก็ต้องยับเยินดิวะ แดกเข้าไปเยอะขนาดนั้น นานๆ ทีมันแดกด้วยก็เลยเมาง่าย” ไอ้ธัชขยับตัวเหมือนควานหากุญแจรถ “กุญแจกูไปไหนวะ”

“มึงลืมไว้ในร้านหรือเปล่า”

“ชัวร์เลย น่าจะอยู่บนโต๊ะ” ธัชจับตัวผมให้ทรงตัวดีๆ “ฝากเชี่ยอ้ายก่อน เดี๋ยวมา”

ธัชเดินไปแล้ว ผมที่ตัวใหญ่กว่ามีนกำลังจะทำให้มีนล้มทั้งยืน โชคดีที่มีมือปริศนามารับตัวผมเอาไว้ช่วยมีนอีกแรง คนคนนั้นแม่งตัวใหญ่แถมยังมีเสียงทุ้มเป็นเอกลักษณ์

คนที่ผมเพิ่งจะพ่ายแพ้ให้กับมัน ไอ้สงคราม

“มึงไปดีกว่า ถ้าอ้ายมันรู้ว่ามึงมาช่วยทั้งๆ ที่มันเพิ่งจะแพ้มึงมา มันโกรธตาย”

จริงๆ ผมก็รู้อยู่นั่นแหละ แต่ผมไม่มีสติพอที่จะเถียงหรือโวยวายอะไรทั้งสิ้น ตอนนี้ที่ผมต้องการมากที่สุดก็คือเตียงในห้อง 101 ของผม

“มันไม่รู้หรอก” เชี่ยสงครามแม่งกวนตีนด้วยการใช้มือดีดริมฝีปากผมเล่น “เห็นมั้ย ถ้ามันรู้ตัวป่านนี้มันคงด่าไปแล้ว”

ฟายยยยยยยยยยยยย เชี่ยธัชพากูไปจากตรงนี้เร็วๆ ที

“ต้องเอามันไปส่งรถสัดธัชใช่ป่ะ”

“ช่าย” มีนตอบ “ธัชลืมกุญแจ มันกำลังไปหยิบมา”

“พวกหอสามอ่อน”

“ว่าไงนะ” มีนโกรธแทนผมไปแล้ว

“ฮ่าๆๆ ล้อเล่นน่า”

“รู้ว่าอ้ายมันโกรธทำไมไม่ง้อมันดีๆ ทำไมต้องแกล้งมันด้วยวะ”

“กูง้อสารพัดวิธีแล้วเหอะ เหี้ยอ้ายไม่ยอมหายโกรธเอง แม่งเด็กน้อยสัด”

ผมสาบานไว้ ณ ตรงนี้เลยว่าถ้าสติผมกลับคืนมาเต็มร้อยเมื่อไหร่ ผมจะไปเอาเรื่องไอ้สงครามอย่างแน่นอน

“มีน” เสียงของสงครามเปลี่ยนไปหลังจากที่พูดประโยคนั้นภายในเวลาไม่ถึงนาที

“อะไรวะ”

“กูดีใจที่มึงกลับมานะ”

ทำไมเสียงมันอ่อนโยนแปลกๆ วะ ผมไม่เคยได้ยินเสียงของสงครามเป็นแบบนี้มาก่อน

“มึงอย่าไปไหนนานๆ อีกได้ป่ะ”

“...”

“กูคิดถึงมึงว่ะ”

หา ยังไงนะ ผมขยับใบหน้าหน่อยหนึ่งพร้อมกับเปิดตามองดูคนที่หิ้วปีกผมสองคน คนขวาคือไอ้สงคราม มันกำลังมองดูคนซ้ายซึ่งก็คือไอ้มีน

บรรยากาศแม่งสีชมพูแปลกๆ ว่ะ มีนดูขวยเขิน ขณะที่สงครามนั้นมีสายตาที่หวานหยดจนผมรู้สึกแปลกๆ

ไม่เคยเห็นมันทำสายตาแบบนี้กับใครมาก่อน

“ดีใจนะที่มึงคิดถึงกูอ่ะ” มีนยิ้ม

“มึง...คือว่า...” สงครามใช้มือข้างที่ไม่ได้จับแขนผมเกาหัวแกรกๆ ใบหน้าดูเขินอายอย่างเห็นได้ชัด

“ว่าไง”

“ตอนนี้มึงมีใครหรือยัง”

แบบนี้แปลว่าสงครามชอบมีนใช่มั้ย ผมวิเคราะห์ถูกใช่มั้ยครับ

“ยังไม่มี” มีนตอบยิ้มๆ คำตอบของมันทำเอาสงครามยิ้มออกบ้าง

ผมเป็นคนเมาที่รู้สึกอึดอัดกับบทสนทนาของสองคนนี้ แน่นอนว่ามันไม่เกี่ยวกับผมอย่างสิ้นเชิง สงครามจะชอบมีนหรือมีนจะชอบสงครามแล้วสองคนนี้มันจะคบกันก็เรื่องของพวกมัน เพียงแต่ว่าผมมีอะไรบางอย่างที่ขัดอยู่ในหัวใจ ตอนที่มีนบอกสงครามว่ามันไม่มีใคร ทำไมภาพตอนที่มีเด็กหอสองแอบเข้าไปในห้องมันถึงลอยเข้ามาอยู่ในหัวของผมได้

งงไปหมดแล้วกู...







ห้อง 101

ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนกลางดึก มือถือของผมมีไฟส่องสว่าง คนที่ทำให้มือถือมีการแจ้งเตือนมาในขณะนี้คือพวกลูกหอ มันเป็นข้อความจากกรุ๊ปไลน์ของหอสามที่เด้งไม่หยุด ผมไม่เคยปิดแจ้งเตือนกรุ๊ปนี้เลย ถึงแม้ว่าบางทีพวกมันจะคุยกันในเรื่องไร้สาระมากก็ตาม เช่น วันนี้อาสาใส่ชุดนอนสีอะไร การล้อเลียนไอ้ทนายเรื่องที่หึงแม่งทุกเรื่อง หรือไม่ก็คุยกันเรื่องดาราผู้หญิงที่กำลังมาแรงและเซ็กซี่

ใต้การแจ้งเตือนของกรุ๊ปไลน์หอสาม มีข้อความจากไอ้สงครามซึ่งส่งมานานมากแล้ว

สงเหี้ย หอสอง : พิมพ์มาว่าจะไม่งอนกูอีกแล้ว
สงเหี้ย หอสอง : เร็วๆ กูจะแคปเก็บ


เป็นประธานของหอโหดแต่ทำไมการกระทำหลายอย่างช่างแบ๊วเกินจะทน ผมรีบพิมพ์ตอบกลับไปอย่างกระแทกกระทั้น

AI : ฟวย

แปลกแต่จริงที่มันอ่านแล้วตอบอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่ตอนนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว

สงเหี้ย หอสอง : อย่าให้กูโมโห

ยังไงคนแพ้ก็คือคนแพ้สินะ ผมพิมพ์ตอบไปอย่างเซ็งๆ ไม่ได้สมัครใจที่จะพิมพ์เลยสักนิด

AI : กูจะไม่งอนมึงอีกแล้ว

สงเหี้ย หอสอง : ฮ่าๆๆ ดีมาก
สงเหี้ย หอสอง : /แนบรูปข้อความ ‘กูจะไม่งอนมึงอีกแล้ว’


กวนตีนสัดๆ มันแคปจอเก็บไว้ไม่พอยังตัดภาพให้เหลือแค่ข้อความของผมอีก ผมหงุดหงิดมากจนอยากจะพิมพ์ด่ามันกลับไปอีกสักยก แต่สงครามพิมพ์ตอบกลับมาในสิ่งที่ทำให้ผมชะงัก

สงเหี้ย หอสอง : เด็กหอมึงไปต่อร้านอื่นอ่ะ
สงเหี้ย หอสอง : กูเพิ่งเห็นมันกลับเข้ามาเมื่อสิบห้านาทีที่แล้ว


ผมขยี้ตา ทำท่าจะเปิดประตูไปตรวจดูว่าใครคือคนที่เข้าหอพักหลังเวลาเที่ยงคืน แม้หอพักชายของเราจะมีกฎยืดหยุ่นแบบสุดๆ แต่สำหรับหอสามของผมยังไงก็ต้องมีเคอร์ฟิวส์กันบ้างแหละครับ ไม่งั้นเละเทะแน่นอน

สงเหี้ย หอสอง : กูด่าและก็ให้วิดพื้นแล้วล่ะ ไม่ต้องไปทำเหี้ยไรพวกมันหรอก

ผมกลืนน้ำลาย ไม่คิดว่าสงครามมันจะช่วยลงโทษลูกหอให้ผม

AI : มึงอยู่ดูลูกหอให้กูเหรอวะ
สงเหี้ย หอสอง : เออดิ ประธานหอเมาซะเดี้ยงขนาดนั้น
สงเหี้ย หอสอง : ถ้าไม่ใช่กู ใครจะดูลูกหอให้มึง


เมื่อเช้ามันรดน้ำต้นไม้ให้ ตกเย็นมันอยู่ดูจนลูกหอคนสุดท้ายกลับเข้ามา ให้ตายสิ เพราะงี้ไงผมถึงไม่เคยกลัวมันสักที คนอื่นมองว่ามันน่ากลัวอย่างงั้นอย่างงี้ แต่ผมสัมผัสการเป็นประธานหอสองของมันมานานมากครับ สงครามมันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คนอื่นคิดเลย

มันเป็นคนดี...

AI : ขอบใจ
AI : นอนได้แล้วไอ้สัด
สงเหี้ย หอสอง : มึงอยากมาใช้ฟิตเนสหอกูเมื่อไหร่ก็บอกละกัน
AI : กูไม่ใช้!
สงเหี้ย หอสอง : มีกูดูอยู่ ไม่มีใครล้อมึงว่าแพ้แต่ทำตัวไม่สมกับแพ้หรอกน่า
AI : มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี
สงเหี้ย หอสอง : จ้า นอนแล้วนะ ง่วงสัดๆ
AI : เออ ขอบใจอีกรอบนะ


ผมวางโทรศัพท์ลงพลางนิ่งคิดอะไรนิดหน่อย แม้วันนี้จะรู้ว่าสงครามมันมีใจให้มีนแต่ความดีของมันก็ทำเอาผมเลิกโฟกัสเรื่องนั้นไปซะฉิบ
และก็ที่สำคัญ...ผมเกือบลืมบันทึกโน้ตสุขใจไปแล้ว

โน้ตสุขใจ
1. สงครามแม่งรดน้ำให้หอสาม (ไม่รู้ทำไปเพื่ออะไรและเพื่อใคร ตัวเองเป็นประธานหอสองแท้ๆ)
2. มีนกลับมาแล้ว
3. สงครามดูลูกหอที่กลับดึกให้ด้วย
4. สงครามบอกให้ใช้ฟิตเนสที่หอสองได้ (แม้จะไปใช้ไม่ได้ก็ตาม)
5. สงครามมันก็ทำอะไรหวานๆ เป็น


ให้ตายเถอะ ทำไมมีแต่เรื่องไอ้สงครามที่เป็นเรื่องดีๆ ของผมในวันนี้วะ...
ผมขอเพิ่มอีกข้อได้ป่ะ

6. สงครามแม่งตั้งใจง้อเราจริงๆ ว่ะ






TBC*
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 28-08-2017 21:46:50


ตอนที่ 2



ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ผมถูกปลุกด้วยเสียงเคาะประตู ให้เวลาตัวเองสะลึมสะลือประมาณเจ็ดวินาทีก่อนจะไปเปิดประตูรับ เพราะผมรู้ว่าต้องเป็นลูกหอคนใดคนหนึ่งมีปัญหาแน่นอน

คนที่มาเคาะคือเด็กปีหนึ่งหน้าตาดีมากและเรียนอยู่คณะแพทย์ ถ้ามันไม่หน้าตาดีขนาดนี้ มันก็คงเด้งไปอยู่หอหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัยเลยครับ

“พี่อ้าย ผมหมดความอดทนแล้ว” มาเคาะแต่เช้าแถมยังทำหน้าเหมือนแดกนมบูดเข้าไปแบบนี้ ดูก็รู้ว่าแม่งไม่เหลือความอดทนจริงๆ นั่นแหละ

“มีอะไรวะ”

“เหี้ยประทีปห้องข้างผมไม่ยอมเลิกส่งเสียงดังอ่ะ ผมอ่านหนังสือไม่ได้เลย”

มันบ่นเรื่องนี้มาแปดชาติเศษแล้วครับ ผมเองก็ด่าไอ้ประทีปผู้ซึ่งเรียนเอกแซ็กโซโฟนไปเป็นล้านครั้งเรื่องการส่งเสียงดัง แต่มันก็ยังไม่เกรงใจคนอื่นเหมือนเดิม

“เออ ไปเรียกมันลงมาหน้าหอให้ที”

“พี่จะทำอะไรมัน”

“ก็ด่ามันให้ไง”

“...”

“อาจจะให้มันไปกวาดใบไม้ต้นไม้รอบๆ หอด้วย”

“แค่นั้นจริงๆ นะ”

“ก็แค่นั้นแหละ”

มันวิ่งขึ้นไปตามไอ้ประทีปให้ผมแล้ว ผมมองตามอย่างขำๆ แม่งอยากให้ผมด่าประทีปให้ แต่ไม่ยอมให้ลงโทษอะไรแรงๆ ตลกดีเหมือนกันนะครับ

ตอนผมอยู่หน้าหอ ประทีปมันยังอยู่ในชุดนอนอยู่เลย มันทำหน้าเหมือนเพิ่งตื่นซึ่งไม่ต่างจากหน้าผมเท่าไหร่

“กูรู้ว่ามึงต้องซ้อมนะ แต่บางทีมันก็กวนห้องอื่นอ่ะ”

“ผมผิดเองนั่นแหละ” ประทีปน้อมรับแต่โดยดี

“ไป ไปกวาดใบไม้ซะ”

“วิดพื้นแทนไม่ได้เหรอ”

“ไปกวาดใบไม้”

ประทีปดูเซ็งๆ แต่ก็ไปหยิบไม้กวาดทางมะพร้าวมาจนได้ ผมส่ายหน้ามองตาม จังหวะนั้นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่พวกหอสองวิ่งผ่านผมไปเป็นฝูง

“ช้า! ไอ้สัด ตอนเอาคนอื่นทำไมไม่ช้าแบบนี้บ้าง!” เสียงสงครามตะโกนดังอยู่ไม่ไกล คำด่าของมันทำเอาผมสะอึกไปเหมือนกัน นี่มึงด่าลูกหอมึงแบบโจ่งแจ้งขนาดนี้เลยเหรอ

“ขอโทษครับ”
“ขอโทษคร้าบบบ”
“ขอโทษครับ”

เสียงประสานกันของพวกหอสองซึ่งวิ่งอยู่ทำเอาผมตกตะลึง มันพร้อมเพรียงกันยิ่งกว่าทหารซะอีก สงครามมองตามอย่างโหดๆ พร้อมกับทำหน้าโมโห เป็นหน้าตาที่ทุกคนรู้ว่าไม่ควรเข้าใกล้อย่างแรงในเวลานี้

การลงโทษลูกหอด้วยการกวาดใบไม้ของผมดูแบ๊วไปซะฉิบ

สงครามที่ทำหน้าโหดอยู่ฝั่งตรงข้ามมองเห็นผมพอดี มันเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็วชนิดที่ว่าพลิกจากหลังตีนเป็นหน้ามือ

“ตื่นไวนี่” สงครามทัก

“ลงโทษพวกนั้นเหรอ”

“เออ”

“พวกมันทำอะไรผิดอ่ะ” อดอยากรู้ไม่ได้จริงๆ ครับ

“ก็ปีนหอสามไงสัด”

ผมอ้าปากค้าง คนที่วิ่งผ่านผมไปเมื่อตะกี้ไม่ใช่แค่คนสองคนแต่มีเป็นสิบ ไอ้เหี้ย นี่ผมปล่อยให้พวกหอสองมาปีนหอผมเล่นเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ

ปวดหัวเลยว่ะ

“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวกูเล่นพวกมันให้หนัก”

“...”

“มึงก็ให้ลูกหอมึงที่ปล่อยไอ้พวกนี้ปีนขึ้นไปง่ายๆ กวาดใบไม้ไปละกัน ดูเข้ากับหอมึงดี”

ไอ้...ผมไม่รู้จะด่ามันด้วยคำไหนดี มันคงคิดว่าการลงโทษของผมดูหน่อมแน้มเกินไปสินะ แต่เอาเข้าจริงผมก็ไม่กล้าสั่งลงโทษลูกหอแบบโหดๆ อย่างประธานหอสอง ผมทำได้แค่กวนประสาทกับลงโทษเบาๆ แค่นั้น

สงครามกลับมาทำหน้าขึงขังอีกครั้งเมื่อลูกหอที่ถูกลงโทษวิ่งผ่าน ผมถอนหายใจยาวเหยียด พลางคิดในใจว่าตอนไหนนะที่ผมจะสามารถเด็ดขาดได้ถึงระดับสงครามบ้าง

“เร็วกว่านี้ ยังเหลืออีกตั้งหลายรอบ!”

“ขอโทษครับ”

“ขอโทษคร้าบบบ”

เมื่อลูกหอผ่านไปไกล สงครามก็เปลี่ยนสีหน้าอีกครั้งตอนมองผม

“แฮงก์บ้างป่ะ”

“มึงกำลังล้อกูเรื่องที่กูแพ้เมื่อคืนอยู่ใช่มั้ย” ผมหรี่ตามองมัน

“ไอ้สัด กูถามดีๆ”

“ก็เพลียนิดหน่อย”

“ไม่ต้องไปเรียน นอนอยู่หอไป”

“ฟวย กูมีคุยโปรเจ็กต์”

เป็นการคุยแบบห่างๆ โดยมีถนนระหว่างหอคั่นกลาง ถ้าผมยังโกรธมันอยู่ ป่านนี้ผมคงไปยืนที่อื่น ไม่มายืนให้มันถามง่ายตอบง่ายแบบนี้

จริงๆ แล้วผมก็รู้สึกว่าไม่ได้คุยกับมันมานานมากแล้วเหมือนกัน ทั้งๆ ที่ช่วงเวลาที่ผมโกรธมันก็แค่เดือนกว่าๆ เอง

“มีอะไรจะถามมึงอ่ะ” สงครามเอ่ยต่อ

“ว่าไง”

“มึงสนิทกับไอ้ไปป์เหรอ”

“...”

“ทำไมกูไม่เคยรู้”

จะให้มึงรู้ได้ไงล่ะวะ หอสองกับหอสามมันเหมือนกันซะที่ไหน เท่าที่ได้ยินการปกครองของพวกหอสองมา การที่ลูกหอไปสนิทกับคนจากหออื่นโดยเฉพาะประธานนี่มันไม่ใช่เรื่องดีเลยจริงๆ ยิ่งไอ้ไปป์ซึ่งเป็นคนสนิทของไอ้สงคราม มันยิ่งไม่น่ามาสนิทกับผมใหญ่เลย

ผมมองดูเด็กหอสองที่ถูกเชี่ยสงครามลงโทษแล้วรู้สึกตื่นตกใจกับคำถามของมันมาก จึงจำเป็นต้องตอบเลี่ยงๆ

“ไม่ได้คุยอะไรมากหรอก กูกับมันอยู่สาขาเดียวกันก็จริงแต่กูก็ไม่รู้จักมันเท่าไหร่”

“เหรอวะ เมื่อคืนที่ร้านหลังมึงกลับไปมันดูเป็นห่วงมึงมากเลยนะ”

“ก็ตามประสาเพื่อนร่วมสาขานั่นแหละ”

สงครามหรี่ตามองผม ส่วนผมก็จ้องตามันกลับ

“มึงมีแผนทำอะไรหอกูหรือเปล่าเชี่ยอ้าย” ดูความคิดมันสิครับ แม่งคิดได้ไง “มาอ่อยคนสนิทกูเพราะอยากล้วงความลับของหอกูใช่มั้ย”

“หอมึงมีสมบัติพันล้านเหรอ กูจะไปล้วงความลับทำไส้ติ่งอะไร”

“...”

“แล้วทำไมต้องใช้คำว่าอ่อย ไอ้สัด กูไม่ได้อ่อย”

“พวกหอสามก็เหมือนกันหมด ขี้อ่อย”

ผมจะคุยกับมันดีๆ ได้ถึงห้านาทีมั้ยเนี่ย...แบบนี้เรียกด่าแบบเหมารวมชัดๆ

“บอกหอกูขี้อ่อย แต่มึงก็หลงเสน่ห์คนในหอขี้อ่อยไม่ใช่เหรอ อย่าคิดว่ากูไม่รู้”

สงครามตกใจกับคำพูดที่เพิ่งจะได้ยิน

“มึงรู้เหรอ”

“เออ ให้กูพูดชื่อมั้ยล่ะ”

เป็นครั้งแรกที่สงครามพูดไม่ออกบอกไม่ถูกขนาดนี้ เรื่องมีนคงเป็นจุดอ่อนของมันจริงๆ มันทำหน้าสลดลงไปเล็กน้อย แต่พอเห็นลูกหอที่ถูกลงโทษวิ่งผ่าน มันก็เปลี่ยนสีหน้ากลับมาเป็นคนโหดอีกรอบ

เกิดเป็นสงครามก็ใช้ชีวิตยากเหมือนกันนะเนี่ย ผมรู้สึกเหมือนผมเห็นเงาตัวเองยังไงก็ไม่รู้

“อย่าเลย” สงครามพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง แต่ผมได้ยิน

“...”

“กูยังไม่หายช้ำใจจากเมื่อคืน”

ทำไมต้องพูดให้กูอยากรู้ต่อด้วยวะ ผมกำลังจะอ้าปากถาม แต่สงครามก็กลับหลังเดินเข้าหอตัวเองไปแล้ว รู้สึกไม่เข้าใจแฮะ ตอนนั้นผมเมาก็จริง แต่ผมก็พอจะเดาออกว่าสงครามกับมีนมีซัมธิง เพียงแต่หลังจากเหตุการณ์ที่ผมรับรู้มันเกิดอะไรขึ้นบ้างผมก็ไม่อาจทราบได้ แต่ที่แน่ๆ ไม่น่าจะใช่เรื่องดีเท่าไหร่

มีนแม่งทำอะไรสงคราม...










คณะวิศวฯ

“เหี้ยธัช” หลังจากที่ผมลงจากรถของเพื่อน ผมก็ยิงคำถามใส่มันทันที “หลังจากที่กูกลับเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น มีนทำอะไรวะ”
ไอ้ธัชหาวหวอดๆ ก่อนตอบ “มีนก็คือมีน แม่งก็อยู่กับคนนั้นคนนี้ไปทั่วอ่ะ”

ผมเริ่มจะเห็นเค้าลางอะไรบางอย่าง “ตอนนั้นสงครามก็อยู่ด้วยใช่ป่ะ”

“มันอยู่จนเลิกงาน”

ผมรู้ว่าสงครามมันชอบมีน แต่ผมไม่รู้ว่ามีนคิดยังไง ผมรู้จักมีนมาสามปีกว่า รู้ดีว่ามันเป็นผู้ชายที่ควงคนนั้นคนนี้ได้ไม่ซ้ำหน้า ถ้าสงครามมันรู้เหมือนที่ผมรู้แต่มันยังชอบมีนอยู่ ก็คงเป็นการตัดสินใจของตัวมันเอง

สิ่งที่ผมกลัวก็คือมันช้ำใจเพราะมันไม่รู้ว่ามีนเป็นคนยังไงนี่แหละ

“มึงนี่ก็นะ ดันไปตอบรับคำท้าไอ้สงครามทั้งๆ ที่รู้ว่าจะแพ้อ่ะ”

“อย่าตอกย้ำได้ป่ะวะ” เรื่องนี้แม่งต้องติดตัวผมไปยันลูกหลานผมบวชแน่นอน

“เออเว้ย พูดเรื่องโปรเจ็กต์กันหน่อย” อยู่ดีๆ ไอ้ธัชก็เป็นการเป็นงานเฉย “สรุปกลุ่มโปรเจ็กต์เราจะมีมึง กู แล้วก็ไอ้ไปป์นะ”

จริงๆ โปรเจ็กต์นี้ผมกับธัชเริ่มทำมาตั้งแต่ตอนปิดเทอมขึ้นปีสี่แล้วครับ แล้วไปป์มันตามมาสมทบทีหลังเพราะโปรเจ็กต์มันใกล้เคียงกับของพวกผมมากจนอาจารย์ให้มาทำด้วยกันซะเลย ตอนแรกไอ้เชี่ยไปป์แม่งเปรี้ยว ไม่ยอมจับกลุ่มโปรเจ็กต์กับคนอื่น แต่พอรู้ว่าจะได้อยู่กับผมกับไอ้ธัช มันก็ยอมเฉยเลย

“มึงโอเคใช่มั้ย”

“ทำไมกูจะไม่โอเคล่ะวะ”

“นึกว่ามึงกลัวจะมีปัญหากับไอ้สงคราม”

“กูเคยกลัวมันด้วยเหรอธัช”

“จริงๆ ในมอเราก็มีแต่มึงนั่นแหละที่ไม่กลัวมัน” ไอ้ธัชพูดเบาๆ “ยังไงก็ต้องบอกให้ธัชไปคุยกับสงครามเรื่องนี้หน่อยนะ นี่มันโปรเจ็กต์จบเลยนะเว้ย กูไม่อยากมีปัญหา”

มีแต่คนคิดไปเองว่าผมกับสงครามเกลียดกันนักหนา ทั้งๆ ที่จริงๆ มันไม่มีอะไรในกอไผ่ด้วยซ้ำ แต่จะมีคนคิดอย่างนั้นก็ไม่ผิด เพราะต่อหน้าคนอื่นผมกับสงครามก็ทำตัวเป็นศัตรูกันเสมอ เว้นเสียแต่จะมีโอกาสคุยกันสองต่อสองอย่างเมื่อเช้า

เกิดเป็นประธานหอมันก็เหนื่อยอย่างนี้แหละ

โปรเจ็กต์จบกลุ่มผมมีหัวข้อแล้ว ผม ไอ้ธัชและก็ไอ้ไปป์จะไปคุยกับอาจารย์ตอนบ่ายโมงเรื่องความคืบหน้า กว่าไอ้ไปป์จะโผล่มาก็ปาเข้าไปเที่ยงสี่สิบห้าแล้ว

“โทษที” มันพูด “เชี่ยสงครามเป็นบ้า”

ผมเลิกคิ้ว “ยังไง”

“สงสัยงานเลี้ยงต้อนรับมีนเมื่อคืนมันไปแดกเหล้าหมดอายุมาก็เลยหงุดหงิด”

จะเกี่ยวกับเรื่องที่มันบอกว่าช้ำใจมั้ย

“อยู่ดีๆ ก็สั่งลงโทษคนแทบทั้งหอเลย แม้กระทั่งคนใส่รองเท้าเข้ามาในส่วนกลางมันก็ยังลงโทษ”

“บ้าบอคอแตก” ผมบ่นไปอย่างนั้นเอง บางครั้งผมก็ลงโทษลูกหอเพียงเพราะอยากแกล้งเฉยๆ ก็มี

“คงโมโหอะไรมานั่นแหละ”

“มึงก็เลยต้องช่วยดูว่างั้น”

“เออดิ” ไปป์ดันหลังผมให้เดินไปข้างหน้า “ไปคุยกับอาจารย์ได้แล้ว”

เราสามคนเดินเข้าไปคุยกับอาจารย์ในห้องพัก โชคดีที่หัวข้อโปรเจ็กต์เป็นหัวข้อที่อาจารย์ถนัดโดยตรงเลยใช้เวลาไม่มากเท่าไหร่ ผมเป็นตัวหลักในการเขียนเล่มตามเคย ส่วนอีกสองคนที่เหลือเป็นตัวหลักในการปฏิบัติ แม้ว่ารวมๆ แล้วเราทั้งหมดจะต้องช่วยกันก็ตาม

มีไอ้ไปป์มาอยู่ด้วยทุกอย่างดูง่ายขึ้นมาก มันกลายเป็นผู้นำกลุ่มโปรเจ็กต์ ขนาดอาจารย์ยังเอ่ยชมว่าเป็นกลุ่มที่รวมตัวทีหลังกลุ่มอื่น แต่มีแววเด่นกว่าทุกคน ผมกับไอ้ธัชก็เลยพลอยได้หน้าไปด้วย

เมื่อคุยเสร็จผมกับเพื่อนก็เดินออกมา ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายนิดๆ ยังมีเวลาให้ทำอะไรอย่างอื่นเยอะแยะ ไอ้ธัชบอกว่าจะกลับไปนอนต่อ ผมที่ยังไม่มีอารมณ์กลับหอก็เลยเคว้ง ไม่รู้จะไปไหนดี

ว่าแต่ทำไมพวกเราถึงไม่เอาเวลาไปทำโปรเจ็กต์วะ ได้ข่าวว่าอีกไม่กี่เดือนก็ต้องพรีเซนต์แล้ว

“มึงอยากไปไหนหรือเปล่า” ไอ้ไปป์ที่ไม่มีอะไรทำถามขึ้นมา

“ไม่รู้ว่ะ”

“กูยังไม่อยากกลับหอตอนนี้อ่ะ ไม่รู้เหี้ยสงครามจะมีองค์อะไรมาลงอีก”

“เราเข้าเมืองกันมั้ยล่ะ”

“เอาสิ” ไปป์ตอบรับทันควัน ผมพยักหน้ารับแล้วเราสองคนก็ไปยังรถของไอ้ไปป์








[มีต่อนะคะ]




หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 28-08-2017 21:47:12





ห้างภารกร

เป็นสถานที่ที่โคตรจะสิ้นคิดของเด็กมอ B ส่วนใหญ่แล้วผมมักจะเจอเด็กคณะอื่นที่ห้างนี้มากกว่าโรงอาหารกลางของมอผมซะอีก ดูเหมือนวันนี้ทั้งห้างจะมีการจัดโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมแฮะ เพราะคนเยอะแยะมากมายมหาศาล

มีเด็กหอสามแวะเวียนเข้ามาไหว้ผมทีละคนสองคน ซึ่งพอเป็นแบบนั้นทีไรไอ้ไปป์ก็จะเดินเลี่ยงออกห่างผมทุกที ผิดกับตอนที่เดินสวนเด็กหอสอง แทนที่ไปป์มันจะเดินห่างผม มันกลับเดินเข้ามาประชิดจนผมนึกว่าผมกับมันเป็นแฟนกัน

“ใกล้ไปแล้วสัด” ตรงนี้เป็นบันไดเลื่อนครับ และมันมีที่ให้ไอ้เชี่ยไปป์ยืนเยอะแยะ แต่มันเสือกจะมายืนขั้นเดียวกันกับผม

“โทษที” ไปป์ไม่ได้หมายความตามที่พูดหรอก

“แปลกนะ เจอเด็กหอกูมึงเดินหนี แต่เจอเด็กหอมึงทำไมต้องเข้ามาใกล้กูขนาดนั้น”

“มึงก็รู้ พวกหอสองมันบ้าเด็กหอสามจะตาย”

“กูไม่ใช่อาสา”

“มึงไม่รอดหรอกอ้าย” ไปป์พูดต่อ “คนหอกูมีหลายร้อย มึงคิดว่าทุกคนจะชอบสไตล์อาสากันหมดหรือไง”

“ไอ้พวกว่าง” ผมอดด่าไม่ได้จริงๆ “หออื่นมีเยอะแยะทำไมไม่ชอบ ทำไมต้องมาชอบเด็กหอกู ทำไมต้องมาสร้างปัญหาให้กูวะ”

“มึงพูดออกมาเนี่ยมึงคิดหรือยัง” ไปป์ถามยิ้มๆ ผมพ่นลมใส่มันจากนั้นก็ไม่กล่าวถึงประเด็นนี้อีก

หอสามเป็นหอหน้าตาดีนี่มันไม่ผิดหรอกครับ ผิดที่ผมเนี่ย ทำไมต้องเกิดมาเป็นประธานหอให้พวกแม่งก็ไม่รู้

“วันนี้อยากได้อะไรเป็นพิเศษป่ะ”

“สมุดโน้ต” ผมตอบทันควัน โน้ตสุขใจของผมเล่มปัจจุบันใกล้จะหมดเล่มแล้วครับ และผมจะหงุดหงิดมากถ้าไม่มีสมุดโน้ตให้เขียนต่อ

“แวะบีทูเอสละกันนะ”

“โอเค”

“...”

“ว่าแต่มึงไม่มีธุระอะไรเหรอ”

“มาเดินเล่นไง” ไปป์เอ่ย “แล้วก็หลบหน้าไอ้สงคราม”

“นี่ถ้ามึงไม่บ้ากีฬานะ ป่านนี้มึงได้มาอยู่หอสามแบบสบายๆ แล้ว” ไปป์มันเป็นคนหน้าตาดีครับ แต่ดันชอบเล่นกีฬาแบบโคตรๆ เรียกได้ว่าเล่นอย่างจริงจังจนนึกว่าเป็นตัวแทนทีมชาติ มันเป็นนักกีฬาฟุตบอลของมหา’ลัยด้วย แปลกแต่จริงที่มันยังขาวจั๊วะ ทั้งๆ ที่เล่นบอลกลางสนามแดดจ้าบ่อยมาก

“โชคชะตามั้ง” ไปป์ยิ้มเบาๆ “ถึงกูจะบ่นเหี้ยสงครามมากแค่ไหนนะ แต่กูก็ไม่นับถือใครเท่ามันอีกแล้ว คนบ้าอะไร โหดแต่เท่ฉิบหาย”

“มึงชอบมันป่ะเนี่ย”

“พูดงี้เดี๋ยวฟ้าก็ผ่าลงมากลางห้างหรอก”

“เออว่ะ มึงกับสงครามเนี่ยนะ...”

“...”

“แค่คิดก็ขนลุกแล้ว”

ผมกับไปป์เดินมาถึงบีทูเอส จากนั้นเราสองคนก็ตรงไปยังโซนสมุดโน้ต ผมเห็นเด็กหอสามหลายคนอยู่ในบีทูเอส ใจก็พาลนึกเป็นห่วงหอขึ้นมาจึงหยิบโทรศัพท์หวังจะโทรไปให้ไอ้ธัชช่วยดูสักเล็กน้อย แต่ปรากฏว่า...แบตผมหมด

“ไปป์ ยืมโทรศัพท์หน่อยดิ” ผมแบมือขอ ไอ้ไปป์ส่งมาให้อย่างรวดเร็ว

“เดี๋ยวกูไปดูซีดีเพลงตรงนู้นก่อนนะ”

“โอเค”

ลับหลังไปป์เดินไปไม่ทันไร โทรศัพท์ของมันก็สั่น คนที่โทรเข้าทำเอาผมสะดุ้ง คนเหี้ยอะไรก็ไม่รู้แค่ชื่อก็ทำให้คนอื่นเขาตื่นกลัวไปหมดขนาดนี้

สงครามพ่อมึงโทรมา

เหี้ยไปป์เม็มเบอร์ประธานหอมันไว้อย่างนี้จริงๆ เหรอวะ สงสัยจะทั้งนับถือทั้งกลัว ผมกดรับสายเพราะคิดว่าคงไม่เป็นอะไร

“ฮัลโหล”

[เหี้ยไปป์ มึงอยู่ไหน]

มันไม่ได้ตะโกน ไม่ได้ก่นด่า แต่ก็น่ากลัวอยู่ดี “กูไม่ใช่ไปป์”

[แล้วนั่นใคร มึงขโมยโทรศัพท์เพื่อนกูไปเหรอ]

“อ้าย”

[หา]

“กูอ้ายไงสัด”

[ประธานหอขี้อ่อยอ่ะนะ]

เหี้ยเอ๊ย... “มึงมีห่าอะไรไม่ทราบ”

[มึงรับสายโทรศัพท์เหี้ยไปป์ได้ยังไง]

“ก็ เอ่อ...” ทำไงดี สงครามยังไม่รู้ว่าผมกับไปป์เป็นเพื่อนกันแถมยังสนิทกัน ผมเชื่อว่าผมไม่ซวยหรอก แต่ไปป์ต่างหากที่จะซวย “กูเก็บโทรศัพท์มันได้”

[ก็เอาไปคืนมันสิ มึงจะกั๊กไว้ขายต่อเหรอ]

“ฟวยไรวะสงคราม”

[มันไม่ได้อยู่ใกล้มึงหรือไง]

“ไม่” ให้ตายเถอะ นี่ผมโกหกมันไปกี่เรื่องแล้ว

[เวร]

“...”

[ไอ้ประธานหอขี้อ่อยแถมยังขี้ขโมย]

“สัดสงคราม!”

[อยู่ไหนล่ะ]

“ว่าไงนะ”

[กูจะไปเอาโทรศัพท์ไอ้ไปป์คืน]

ทำไมเรื่องมันมาถึงตรงนี้ได้วะ ผมอ้าปากพะงาบๆ พูดอะไรไม่ออก ถ้าสงครามมันเหมือนมนุษย์เดินดินทั่วไปผมคงกล้าบอกมันไปแล้วว่าไปป์กับผมเป็นเพื่อนกัน แต่มันไม่ใช่คนปกติเนี่ยสิครับ มันคือพญามาร มันคืออสุรกาย เพราะงั้นทางที่ดีที่สุดคือทำตามในสิ่งที่มันคิดดีที่สุด

ยังไม่เชื่องั้นเหรอ เดี๋ยวผมจะให้คนที่อยู่ใกล้ชิดมันอย่างไอ้ไปป์มาช่วยยืนยัน

หลังจากที่บอกสงครามไปว่าผมอยู่บีทูเอสในห้างภารกร ผมก็รีบวิ่งไปหาไอ้ไปป์ืที่เดินเลือกซีดีอยู่ทันที หลังจากที่มันได้ยินว่าสงครามจะมาหาผมเพราะโทรศัพท์มัน มันก็ตื่นตระหนก ทำตัวลนลานแทบจะในทันที

“ปกติมันไม่โทรตามกูนะ” ไปป์แอบกัดเล็บเล็กน้อย “แปลว่าตอนนี้มันหงุดหงิดมาก เราไม่ควรไปสะกิดต่อมโมโหของมันแม้แต่นิดเดียว”

“กูเห็นด้วย”

“กูคงต้องกลับมอไปก่อน ทำตัวเหมือนทำโทรศัพท์หายจริงๆ”

“...”

“ขอโทษด้วยนะอ้าย”

“ไม่เป็นไรเว้ย”

“มึงรับมือเชี่ยสงครามได้แน่นะ”

“อย่างมันจะมีอะไรให้กลัววะ”

ไปป์เลิกคิ้ว การกระทำกับคำพูดของผมช่างสวนทางกัน ผมกำลังสนับสนุนให้ไปป์รีบหนีไปเพราะกลัวสงครามมันจับได้ว่าผมโกหกมัน นี่น่ะเหรอที่ผมบอกว่าไม่กลัว

“แล้วเจอกัน มีเหี้ยอะไรโทรหากูด้วยนะ”

“โทรศัพท์มึงอยู่นี่”

“ก็โทรมาตอนที่กูได้คืนมาแล้วสิไอ้บ้า”

“เออๆ ไว้เจอกัน”

ไปป์รีบชิ่งเดินหนีด้วยความไวแสง ขนาดตัวมันเท่าๆ กับสงครามแต่มันก็กลัวสงครามมากพอดูเลยแหละครับ เห็นมั้ยว่าไม่ได้มีแต่ผมที่ตื่นตกใจเพราะสงครามคนเดียว ไอ้ไปป์เองก็เป็นเหมือนกัน

อันที่จริงผมเองก็อดรู้สึกตื่นเต้นแปลกๆ ไม่ได้

ถ้าไม่ได้อยู่รอบๆ บริเวณมอ ผมก็ไม่เคยเจอสงครามที่อื่นเลย







15.34 น.

ผมเดินเลือกสมุดโน้ตจนเพลิน รู้ตัวอีกทีหลังก็ชนเข้ากับลำตัวถึกๆ ของไอ้สงครามแล้ว ผมตกใจจนผงะ ขณะที่มันเลิกคิ้วมองผม

“ทำอย่างกับไม่เคยเห็นหน้ากู” มันท้วง “ไหนโทรศัพท์ไอ้ไปป์”

ผมส่งคืนให้แบบไม่ลีลาอะไรมากมาย “เอาไป”

“โอเค บาย”

มันมาเพราะเรื่องแค่นี้จริงๆ เหรอวะ ผมอ้าปากค้างไม่กล้ารั้งมันเอาไว้ มันเดินออกห่างไปเรื่อยๆ จนในที่สุดผมก็ต้องออกวิ่งไปยืนขวางมันเอาไว้

“มีเหี้ยไรอีก”

“โทรศัพท์กูแบตหมด”

“แล้วยังไง”

“ญาติกูเอารถกูไปใช้ ป่านนี้ยังไม่เอามาคืนเลย”

“แล้วไงอีก”

“กูต้องกลับมอกับมึงอ่ะ”

สงครามมองผมอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า ด้วยศักดิ์ศรีความเป็นประธานหอเหมือนกัน ผมเกลียดหน้าแบบนี้ของมันจริงๆ

“มึงไม่มีรถแล้วมึงมายังไง”

“กูโดนเพื่อนเท”

“...”

“ช่างเถอะ กูกลับเองก็ได้” ผมโบกมือ คิดในใจเล่นๆ ว่าสงครามมันจะเสี่ยงมาอยู่ใกล้ชิดผมทำไม เดี๋ยวลูกหอมันก็เลิกนับถือมันหมด เพราะตอนนี้กฎของหอสองข้อแรกก็คือห้ามยุ่งเกี่ยวกับคนในหอสามแล้วมั้ง ผมคิดว่างั้นนะ

“สาด ฟอร์มเยอะนักนะ” สงครามส่ายหน้าก่อนเอ่ยแทรกความคิดผม “เออ มึงกลับพร้อมกูนั่นแหละ”

มันก็ไม่ใช่คนใจร้ายอะไร

“ว่าแต่มึงซื้อสมุดโน้ตกระจุ๋มกระจิ๋มพวกนี้ทำไมเนี่ย”

“ยุ่ง” ผมเดินหนีมัน

“ไม่เข้ากับลุคมึงเลย”

“ลุคอย่างกูมันต้องทำอะไร”

“นั่งสวยๆ และก็อยู่เฉยๆ ไป”

ผมชะงักกึก “ว่าไงนะ”

“ไอ้นี่ก็ดูดีนะ ไม่ซื้อเหรอ” มันหยิบสมุดโน้ตที่น่าสนใจเล่มหนึ่งขึ้นมา ผมก็เลยไม่ได้สงสัยอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่มันเพิ่งพูดอีก

“ว่าแต่...มึงรู้สึกดีขึ้นยัง” ผมถามเหมือนไม่ได้สนใจมากมาย

“เรื่องมีนน่ะเหรอ”

“...”

“ก็เรื่อยๆ นะ”

ไม่จริง ถ้ามันรู้สึกดีขึ้นจริงๆ มันคงไม่ไปลงกับลูกหอจนไปป์เอามาบ่นหรอก

“มึงชอบมันเหรอ”

สงครามชะงัก นัยน์ตาของมันดูเหม่อลอยยังไงชอบกล ไม่รู้ว่าผมถามถูกจุดเกินไปหรือเปล่า เพราะสามารถทำให้คนที่น่ากลัวอย่างสงครามตัวเล็กลงไปเลย หน้าตาแบบนี้ไม่เหมาะกับมันอย่างยิ่ง คนอย่างมันเหมาะกับการทำหน้าให้คนอื่นกลัวมากกว่า ผมเริ่มรู้สึกผิดที่ถามคำถามรุกล้ำมันมากไปหน่อย

“คือว่า...”

“เออ กูชอบ”

กลายเป็นผมที่ชะงักบ้าง

“ชอบมาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว”

ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าความรักของสงครามจะยาวนานมากมายขนาดนั้น คนที่มีอำนาจเหนือคนอื่นๆ ในมออีกทั้งยังเป็นเจ้าของหน้าตาที่ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ดันมีความรักให้กับมีน และยังไม่มีวี่แววสมหวังอีกด้วย

มันเป็นไปได้ด้วยเหรอ

“อย่าเอาไปบอกใครล่ะ” สงครามทำเป็นเลือกของอื่นๆ

ผมพยักหน้าเล็กน้อย

“เพราะนอกจากมีน ก็ไม่มีใครรู้เลยว่ากูคิดอะไรอยู่”








หลังจากนั้นผมก็เลือกที่จะไม่พูดถึงเรื่องมีนอีก

สงครามดูมีความสุขกับการกระแนะกระแหนผมมาก มันเอาแต่พูดว่าอันนี้ไม่เหมาะกับผม ไม่คิดว่าประธานหอสามจะมาเลือกเครื่องเขียนแบบนี้ และก็ใช้เวลาเลือกนานอย่างกับผู้หญิง ผมปล่อยให้มันแซะผมตามอำเภอใจพลางคิดว่าอีกไม่นานก็คงสลัดมันหลุดแล้ว อีกอย่างหนึ่งถ้ามันเผลอเปลี่ยนใจไม่ยอมให้ผมติดรถกลับไปด้วย ผมก็ซวยดิ

ครับ ผมมีความรักสบายนิดหน่อย

“เฮ้ย” สงครามหยุดเดินขณะมองไปยังร้านขายการ์ตูนชั้นใต้ดินซึ่งหน้าร้านกำลังวางเรียงหนังสือการ์ตูนเล่มใหม่อยู่ ร้านนี้มีเด็กหอห้าอยู่กันอื้อ คงเป็นที่สิงสถิตของพวกมันเลยทีเดียว

“มีเหี้ยอะไร”

“ไอ้นี่หน้าเหมือนมึงเลย” สงครามชี้นิ้วไปที่การ์ตูนเล่มหนึ่ง ถ้าผมมองไม่ผิดมันคือการ์ตูนที่มีผู้ชายกอดกันอยู่สองคน

ผู้ชายกอดกันงั้นเรอะ การ์ตูนแบบนี้เรียกว่าการ์ตูนประเภทไหนนะ วายใช่มั้ย

“เนี่ย ไอ้คนที่ถูกกอดหน้าเหมือนมึงเด๊ะเลย วาดมาจากมึงป่ะเนี่ย” สงครามมองผมสลับกับหน้าปกการ์ตูนเล่มนั้น

“ไร้สาระ” ผมเดินเลี่ยงๆ แต่สงครามมันจับคอเสื้อผมเอาไว้จนผมหงายหลัง

“เดี๋ยวกูซื้อให้”

“ไอ้บ้า กูไม่อ่านแนวนี้”

“มันเหมือนมึงจริงๆ นะ เหมือนวาดมาจากมึงอ่ะ” สงครามแม่งยังคงมีความเชื่ออย่างนี้ต่อไป “เล่มละไม่กี่บาทเอง”

“กูไม่อยากได้”

“กูอยากซื้อให้”

“ถ้าอยากซื้อมึงก็ซื้อเก็บไว้เองดิ”

สงครามยกมือยอมแพ้ มันปล่อยให้ผมเดินไปข้างหน้า ขณะที่มันยังมองการ์ตูนเล่มนั้นอยู่

“นักวาดแต่ละคนคงอยากวาดให้ตัวละครแต่ละตัวเพอร์เฟ็กต์และก็สวยงาม...”

“...”

“มึงเหมือนตัวละครที่เค้าวาด ก็แสดงว่าหน้าตามึงก็ไม่เลวนะอ้าย”

“หุบปาก”

“เขินหรือไง”

มันก็ไม่ได้มีแค่ครั้งสองครั้งหรอกครับที่มีคนเข้ามาชมบอกว่าผมสมบูรณ์แบบอย่างกับภาพวาดโน่นนี่ ผมฟังเพียงผ่านๆ เพราะไม่คิดว่าจะมีคนไหนที่เพอร์เฟ็กต์ได้ขนาดนั้น แต่เมื่อคำพูดนั้นออกมาจากสงคราม ความเชื่อของผมก็เริ่มสั่นแบบแปลกๆ คล้ายกับจะคล้อยตามในสิ่งที่มันพูด

ไม่ว่าสงครามมันจะทำอะไร มันก็มีอิทธิพลกับผมในแบบแปลกๆ เสมอ

เพียงเพราะมันเป็นประธานหอเหมือนกันนั่นแหละ

“สงสัยเขิน”

สงครามไม่ล้อเลียนต่อ เพราะมันต้องเดินห่างจากผมไปอีกเกือบห้าเมตรได้เมื่อสวนกับเด็กมอ B ผมกับไปป์ว่าเดินห่างกันแล้วยังไม่สามารถเทียบได้กับที่ผมเดินห่างจากสงคราม แม้จะไม่มีใครกล้าสบตามัน แต่มันก็กันไว้ดีกว่าแก้

นี่ถ้าผมกับมันเป็นเพื่อนกันจริงๆ ชีวิตจะลำบากมากกว่านี้ใช่มั้ยเนี่ย

“ถ้ากูไม่ได้มันมากูคงนอนไม่หลับว่ะ” สงครามบ่นจากนั้นก็หันหลังเดินกลับ “มึงรออยู่นี่”

“จะไปไหนวะ”

“ไปซื้อการ์ตูน”

ผมเกาหัวก่อนจะวิ่งตามมันไป มันเดินเข้าไปในร้านการ์ตูนนั้น การปรากฏตัวของมันทำให้เด็กหอห้าทุกคนพร้อมใจกันออกมานอกร้านให้มันได้เดินซื้อการ์ตูนอย่างสะดวกๆ ผมทำทีเป็นไม่ได้มากับสงครามระหว่างที่แอบมองมันเลือกการ์ตูนอยู่

มันเอาการ์ตูนเล่มนั้นมาเทียบกับใบหน้าของผม ชื่อการ์ตูนก็คือ ‘เพียงหนึ่งเส้นด้าย’ เขียนโดย Chiffon_cake วาดโดยใครก็ไม่รู้ผมมองไม่ทัน

“ใช่มาก ใช่จริงๆ” มันพึมพำต่อเนื่อง “เหลือเล่มเดียวด้วย ถ้ากูกลับมาอีกรอบแล้วกูไม่เจอ กูจะพังร้านนี้”

ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่าสงครามมันจะไม่ทำตามคำพูด ผมยอมยืนอยู่นิ่งๆ แต่โดยดี มองมันเอาการ์ตูนเล่มนั้นไปจ่าย
หลังจากที่ได้ใช้เงินไอ้สงครามทำหน้ามีความสุขมาก ผมคิดว่าน่าจะมีความสุขที่สุดเท่าที่ผมเห็นในวันนี้นะ

“มองเหี้ยไร”

แต่สงครามก็คือสงคราม มันตวาดเด็กหอห้าที่มองมันอย่างตื่นๆ ทั้งหมดแตกกระจายไปคนละทิศคนละทาง ผมรีบเดินตามมันไปเพราะกลัวจะไม่ทัน

“มีความสุขมากป่ะ ซื้อมาทำด๋อยอะไรของมึง”

สงครามแกะพลาสติกห่อการ์ตูนออก จากนั้นก็เปิดสุ่มๆ ดู

“ฮ่าๆๆ” มันหัวเราะลั่น ส่งการ์ตูนให้ผมดู ผมรีบกระชากมาปิดทันที

ฉากที่ผมเห็นเมื่อกี้คือไอ้คนที่สงครามมันคิดว่าหน้าเหมือนผมกำลังจะ...เอ่อ...อยู่บนเตียง และก็...อยู่ในท่าที่อ่อยสุดฤทธิ์

“หน้าแดงใหญ่เลย ฮ่าๆๆ”

“นี่มันการ์ตูนห่าไร คนเขียนเป็นคนโรคจิตเหรอ”

“ปกติจะตายไป” สงครามรีบดึงการ์ตูนเล่มนั้นคืน “คืนนี้กูจะอ่านให้หนำใจ”

“เชี่ย ไม่เอา มึงอย่าอ่านได้ป่ะวะ”

“มึงบอกเองว่าไม่เหมือนมึง ถ้าไม่เหมือนแล้วมึงจะกลัวอะไร”

“สงคราม” ผมร้อง เริ่มไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตัวเองหงุดหงิดอะไร ที่แน่ๆ อาการหงุดหงิดปนอับอายนี่มันรับมือยากเป็นบ้า ผมคิดว่าในเล่มนั้นคงจะเต็มไปด้วยฉากอย่างว่านั่นแน่ๆ ผมรับไม่ได้จริงๆ ถ้าสงครามมันจะอ่านและคิดว่าไอ้คนที่ถูกกระทำมันหน้าตาคล้ายผม

แค่คิดก็รู้สึกแพ้แล้ว อย่างน้อยก็ต้องเหมือนฝ่ายกระทำดิวะ แต่ความหวังนั้นดับสูญไปแล้วเพราะว่าฝ่ายกระทำนั้นดูไม่เหมือนผมเลยแม้แต่นิดเดียว

“ก็ได้ๆ” สงครามยอมแพ้ ส่งการ์ตูนเล่มนั้นมาให้ผม “กูให้ เก็บไว้เป็นที่ระลึกละกัน”

“...”

“อีกอย่าง เป็นของขวัญไถ่โทษที่กูดูแลลูกหอไม่ดี ทำให้พวกมันไปปีนหอมึง”

ขอบคุณมาก...ให้การ์ตูนวายมาหนึ่งเล่ม ช่างน่าดีใจอะไรเช่นนี้ แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยสงครามมันก็ไม่ได้แอบไปอ่านแล้วก็เอาไปหัวเราะลับหลังผมก็แล้วกัน

ระหว่างกลับมอ ผมหยิบโน้ตสุขใจเล่มใหม่ขึ้นมาเขียน

โน้ตสุขใจ
1. โปรเจ็กต์ไปได้สวย


ผมหยุดอยู่แค่นั้นและก็ทำท่านึก สงครามที่ขับรถอยู่มองมาเหมือนผมเป็นตัวประหลาด

“มึงเป็นตัวแทนขายหวยเหรอ จดอะไรอยู่วะ”

“ยุ่ง” หน้านิ่วคิ้วขมวด เพราะความสุขบางอย่างแม่งก็นึกออกได้ยากจริงๆ ครับ

2. มาเที่ยวห้างในรอบหลายวัน
3. มากับไอ้สงครามด้วย


“มีชื่อกูด้วย” สงครามยื่นหน้ามาใกล้

“เหี้ย” ผมร้องลั่น “ของแบบนี้ใครเขาให้มาแอบอ่านกันวะ มารยาทอ่ะสะกดเป็นมั้ย”

“มึงผิดเองที่มาจดบนรถกู กูยื่นคอไปแป๊บเดียวกูก็เห็นแล้ว”

“มึงนี่แม่ง...”

“จดไว้ทำไมวะ”

“ขับรถไปเลย”

“กูจอดกลางทางนะถ้ามึงไม่ตอบ”

“มึงจะจอดทำไม”

“กูจะลงไปฉี่”

“หา”

“กูก็จะปล่อยมึงลงน่ะสิ ถามได้”

“...”

“กูไม่ถามก็ได้ว่ามันคืออะไร แต่มึงบอกกูได้มั้ยว่าจดไปเพื่ออะไร สาปแช่งหรือเปล่า”

“กลัวกูเล่นของใส่เหรอ” ผมแหย่

“เออ”

“...”

“มึงสู้กูด้วยกำลังไม่ได้ไง ก็เลยจะมาเล่นคุณไสยใส่”

“เพ้อเจ้อ”

“ตอบมาได้แล้ว ลีลาจริงๆ”

“กูจดเรื่องดีๆ ในแต่ละวัน เขาบอกว่าไม่ว่าจะเจอเรื่องเครียดมายังไง อย่างน้อยก็มีเรื่องดีๆ ให้นึกถึง”

“เขานี่ใคร”

“พ่อมึงมั้ง”

“สาดดดดดดดด”

“...”

“กูเป็นเรื่องดีๆ ของมึงงั้นสิ”

“...”

“ปลื้มนะเนี่ย”

ถ้ามันไปเปิดดูโน้ตสุขใจเล่มเก่าของผม มันจะเห็นชื่อมันอีกหลายครั้งจนนับไม่หวาดไม่ไหวเลยทีเดียว







หอสาม เวลา 21.24 น.

“พี่อ้ายดูอารมณ์ดีจัง” ทนายที่เดินสวนผมทัก ผมกำลังจะออกจากห้องสำนักงานไปยังห้องพักของตัวเอง

“อย่าไปทัก เดี๋ยวหงุดหงิดแล้วก็มาลงกับเรา” อาสาสะกิดทนาย ผมมองคู่รักสองคนเดินผ่านผมไปด้วยสายตาเอือมระอา

ผมจำเป็นต้องมาเติมโน้ตสุขใจให้ครบห้าข้อ ถ้าไม่ครบผมนอนไม่หลับ

4. สงครามชมว่าเราหน้าเหมือนคนในการ์ตูน
5. มันซื้อการ์ตูนเล่มนั้นให้ด้วย


ว่าแต่การ์ตูนเล่มนั้นไปไหนวะ ผมควานหาไปทั่วห้อง แต่หายังไงก็ไม่เจอ ตอนนั้นข้อความไลน์ของผมก็ดังขึ้นมาพอดี คนที่ส่งมาคือสงคราม

สงเหี้ย หอสอง : /แนบรูป ‘การ์ตูนวายเรื่องเพียงหนึ่งเส้นด้าย’
สงเหี้ย หอสอง : คืนนี้มีอะไรให้อ่านแล้ว ฮ่าๆๆ


แม่งเอ๊ย ผมลืมไว้บนรถมันเหรอเนี่ย

AI : อย่าอ่านนะ กูขอร้อง
สงเหี้ย หอสอง : ขอร้องเลยเหรอ
สงเหี้ย หอสอง : ก็ได้ ไม่อ่านก็ได้
สงเหี้ย หอสอง : แต่พรุ่งนี้มึงต้องรดน้ำพุ่มไม้หน้าหอกู


เรื่องแค่นี้เอง มันชิลๆ อยู่แล้วป่ะวะ

AI : ตกลง







TBC*
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 28-08-2017 22:00:51
 :ling1:  :ling1: ไหมสงครามไปชอบมีนละ ไม่ยอมมมมมม
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 28-08-2017 22:06:20



ตอนที่ 3




“อ้าย ให้กูช่วยมั้ย”

“ไม่เป็นไรไปป์ มึงออกกำลังกายต่อเหอะ”

“เหี้ยสงครามแม่งคิดอะไรอยู่”

“แป๊บเดียวเดี๋ยวก็เสร็จ”

ไอ้ไปป์ที่วิ่งเหยาะๆ อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลทำหน้าลังเลใจ แต่เมื่อเห็นผมยืนกรานมันก็เลยวิ่งต่อไป ผมตกลงกับสงครามไว้แล้วว่าจะรดน้ำให้ เพราะงั้นผมจะไม่ยืมมือคนอื่นมาทำแทนผมแน่ ผมยอมรับว่ารู้สึกแปลกๆ ไม่น้อยที่เห็นพวกหอสองมันจ้องมองมา ไม่รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่แต่ที่แน่ๆ ผมต้องรีบรดน้ำให้เสร็จ จะได้ไปทำอย่างอื่นต่อ

สงครามที่วิ่งจนเหงื่อซ่กเดินเข้ามาใกล้พร้อมส่งยิ้ม

“กูอ่านจนจบแล้วล่ะ” มันทำหน้าเจ้าเล่ห์ “คนที่หน้าเหมือนมึงนี่เซ็กซี่เป็นบ้า อ่านแล้วนึกถึงตอนที่มึงทำ...”

ผมฉีดน้ำใส่ไอ้สงครามทันที

“ฟวยอ้าย กูพูดเล่น!”

“กูก็ฉีดเล่นๆ เหมือนกัน”

“ลูกหอกูมองดูอยู่”

“แล้วยังไง”

“พอ ไอ้สัด พอ” มันวิ่งไปหลบทางอื่น ผมหยุดขำไม่ได้ ไม่คิดว่ามันจะกลัวน้ำขนาดนี้

“มองเชี่ยไร” ผมแก้ปัญหาเรื่องลูกหอสงครามด้วยการฉีดน้ำใส่พวกแม่งด้วย ทีนี้พวกมันจะได้ไม่คิดว่าสงครามแม่งยอมผม เพราะผมฉีดใส่ทุกคนอย่างเท่าเทียม

“ป่วนแต่เช้าเลยนะมึง” สงครามอดบ่นไม่ได้

“มึงอยากล้อกูเล่นก่อนทำไม”

“เรื่องการ์ตูนนั่นมันสำคัญอะไรนักหนา”

“เอามาคืนกูดิ”

“ไม่ มึงลืมเอาไว้เอง”

“เชี่ยสงคราม”

“รีบรดน้ำให้เสร็จได้แล้ว กูอยากไปอาบน้ำ”

“มึงก็ไปดิ”

สงครามทำหน้าเบื่อใส่ “ถามจริง จะให้กูปล่อยประธานหอสามไว้กับพวกลูกหอกูจริงๆ เหรอ”

เออว่ะ...ผมกลืนน้ำลาย ทำเป็นไม่ยอมรับความจริงเรื่องนี้ว่ามันพูดถูก

“เร็วๆ เข้า กูเหนียวตัว” สงครามเร่ง

“รู้แล้วน่า”

หากคนภายนอกมามองเผินๆ คงคิดว่าผมกับสงครามยังคงตีและกัดกันอย่างต่อเนื่อง แต่แท้จริงแล้วถือว่าบรรยากาศระหว่างเราสองคนมันดีมากขึ้นแล้วครับ หลังจากที่ผมปั้นปึ่งใส่มันเรื่องเด็กหอสองทำร้ายไอ้เตอยู่นานหลายเดือน วันนี้น่าจะเป็นยามเช้าที่ดีที่สุดระหว่างผมกับมันเลยทีเดียว

ระหว่างที่ผมกำลังรดน้ำต้นไม้เพลินๆ โดยมีไอ้สงครามมองดูอยู่ไม่ไกล ผมก็ถูกเรียกจากมนุษย์เพศผู้ที่ขึ้นชื่อได้ว่าเซ็กซี่ที่สุดในหอสาม

“อ้าย” ไอ้มีนนั่นเองครับ รู้สึกผงะเล็กน้อยเพราะออร่าของมันแยงตาผม นี่สินะคนเป็นดารา

“อ้าว มีอะไรวะ”

“กูจะต้องไปถ่ายงานสองสามวันนะ”

“โอเค”

มีนส่งยิ้มให้พร้อมกับเอามือมาแตะไหล่ของผม สายตาของมันตวัดไปมองสงครามจากนั้นก็ส่งยิ้มหวานละลายใจให้ สงครามถึงกับทำหน้าไม่ถูกไปเลย

เมื่อมีนเดินจากไปแล้ว ผมกลืนน้ำลายพลางมองไปที่สงคราม มันยังมองมีนอยู่ แต่ไม่เห็นมันจะทำห่าอะไรเลย

“มึงไม่เดินไปส่งมันหรือทำอะไรสักอย่างเหรอ” มันเป็นคนที่ชอบคนอื่นประเภทไหน เท่าที่สังเกตผมไม่เห็นว่าสงครามมันจะรุกหนักหรือจีบมีนอย่างออกนอกหน้ามากไปกว่าคนอื่นเลย

“ไม่ล่ะ”

“ทำไมล่ะ”

“เดี๋ยวมันจะรำคาญซะเปล่าๆ”

“มันก็ดูไม่ได้รังเกียจมึงนะ”

“ไม่ได้รังเกียจไม่ได้แปลว่าจะชอบนี่”

ผมมองประธานหอสองอย่างไม่เข้าใจเท่าไหร่ มันเลยช่วยชี้แจงแถลงไขให้ผมได้กระจ่าง

“มึงคิดว่าคนอย่างกูเวลาชอบใครสักคนกูจะไม่ทำอะไรสักอย่างเลยเหรอ สำหรับมีนกูทำมาทุกอย่างแล้วเว้ย และถ้ามันคิดจะชอบกูหรือคบกับกู มันคงทำอย่างนั้นไปนานแล้ว”

ผมยืนนิ่ง ไม่คิดว่าคนอย่างสงครามก็นกเป็น

“แต่มึงก็ยังเลือกที่จะชอบมันต่อ”

“ก็ใช่ไง มันไม่รักแต่กูไม่จำเป็นต้องเลิกรักป่ะวะ”

คำพูดของมันทำเอาความคิดของผมหลุดลอยไปไกล จริงๆ แล้วผมรู้ตัวดีว่าผมนั้นรู้สึกดีกับไอ้สงครามอยู่ลึกๆ เพราะผมเขียนเรื่องราวของมันในโน้ตสุขใจอยู่บ่อยครั้งมาก อันที่จริงก็แทบจะทุกวัน ยิ่งหลังจากที่มันเริ่มง้อผม สมุดโน้ตของผมก็มีแต่ชื่อของมัน บางทีไอ้ความรู้สึกดีที่ว่านั่นอาจจะเป็นความปลื้มอยู่ลึกๆ ก็เป็นได้

แม้ว่าผมจะต้องทำตัวเป็นศัตรูคู่อาฆาตหรือทำเป็นไม่ถูกชะตากับสงครามมากแค่ไหน ท้ายที่สุดแล้วผมก็ยังหวังดีกับมันอยู่ดีนั่นแหละ คนดีๆ อย่างมันควรได้รับสิ่งดีๆ ตอบแทน

“ถ้าจะให้กูช่วยอะไรก็บอกนะ”

“ช่วยรดน้ำต้นไม้ให้เสร็จไวๆ ได้หรือเปล่า รู้ว่าลูกหอกูชอบมองมึง มึงก็ถ่วงเวลาจังเลย”

“ไม่มีใครมองสักหน่อย”

สงครามหันไปมองพวกเด็กปีหนึ่งจากส่วนกลางของหอมันที่เกาะหน้าต่างมองผมกันหน้าสลอน ทุกคนแตกกระจายแยกกันไปคนละทิศคนละทางอย่างฉับพลันทันที

“มึงมองไม่เห็นหรือแกล้งทำเป็นไม่ยอมรับวะ”

“มึงว่าไงนะ”

“อย่างไอ้ของขาวนั่นน่ะ”

“อาสา” เมื่อไหร่มันจะเลิกเรียกอาสาว่าของขาวอะไรอย่างนี้สักที

“เออ ไอ้อาสามันฮอตมากเลยใช่ป่ะ”

“โคตร”

“ไอ้มีนก็ฮอต”

“ถูก”

“ลูกหอฮอตขนาดนี้ แม่พวกมันก็ต้องฮอตสิวะ”

“เดี๋ยวนะ ใครแม่”

“มึงไง สัดอ้าย”

“ฟวยสงคราม”

“นี่กูชมนะ”

“กูไม่ชอบให้ชมแบบนี้เว้ย”

“ยังไม่เสร็จอีกเหรอ” ไปป์ซึ่งวิ่งเสร็จแล้วเอ่ยถามตอนที่มันกำลังจะเข้าไปในหอ มันถามผมโดยที่ไม่ได้สังเกตเห็นว่าสงครามมันยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ผมต้องรีบส่งซิกให้มันดูว่าสงครามอยู่แถวนี้ แต่มันเสือกโง่ครับ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย “ตามึงเป็นอะไรวะอ้าย ทำไมกระพริบถี่ๆ”

“ไงเชี่ยไปป์” สงครามส่งเสียง ไปป์สะดุ้งเล็กน้อย มันโบกมือทักสงคราม จากนั้นก็วิ่งเข้าหอไปเลย ไอ้สงครามหรี่สายตามองผม “มือขวากูมึงก็ยังอ่อยไอ้ฟาย”

“เหี้ย ด่ากูหลายดอกแล้วนะวันนี้”

“มึงสนิทกับมันใช่มั้ยอ้าย”

“ก็บอกแล้วไงว่าเรียนสาขาเดียวกัน แต่ไม่ค่อยได้คุยกัน”

“เมื่อวานโทรศัพท์มันก็อยู่กับมึง”

“...”

“วันนี้มึงกับมันก็ยังทำท่าทางแปลกๆ ใส่กันอีก”

“...”

“พวกมึงไม่ได้เป็นแค่เพื่อนกันแล้ว”

“ยังไงนะ”

“แต่พวกมึงคบกัน”

“สัดสงคราม มึงไปอาบน้ำไป” เหลืออดกับการคิดไปเองได้อย่างไร้สาระของมันจริงๆ ผมเดินไปปิดก๊อกน้ำเพราะการรดน้ำต้นไม้หน้าหอสองของผมวันนี้เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ตกลงมึงคบกับไปป์หรือเปล่า”

“เปล่า ไอ้สัด”

“แน่ใจ”

“เออ เป็นเพื่อนห่างๆ”

“ชัวร์นะ”

“มึงเซ้าซี้ทำไม”

“เปล่าหรอก แค่อยากให้ไปป์มันเจอคนที่ดีกว่ามึง”

“ไปไกลๆ ตีนกูเลย”

วันนี้มันแม่งอารมณ์ดีเกินไปหรือเปล่าวะ ทำไมแม่งด่าผมจัง สงครามยักไหล่ให้ผมอย่างน่าหมั่นไส้ก่อนจะเดินกลับเข้าหอตัวเองไป มันไม่ลืมที่จะโบกมือไล่ให้ผมกลับไปเหมือนไล่หมาด้วย

“ฟวย” ผมด่า

ตอนที่ผมมาถึงบันไดหน้าหอของตัวเองแล้ว สงครามมันก็ยังมองดูอยู่ จนผมเดินเข้าไปในหอจริงๆ มันถึงกลับเข้าไป มันก็เป็นซะอย่างงี้ มันจะด่าจะว่าผมยังไงผมก็ไม่เคยโกรธมันลงก็เพราะเหตุนี้

แม้มันจะเป็นคนโหด แต่มันก็เป็นคนที่โคตรเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เลยว่ะ







คณะวิศวฯ

วันนี้ผมกับทีมที่ทำโปรเจ็กต์ร่วมกันนัดมาทำเรื่องเบิกอุปกรณ์ สาขาของผมเป็นสาขาระดับกลางๆ ของมอแห่งนี้ครับ ที่ว่าเป็นระดับกลางๆ ก็เพราะไม่ได้มีความเป็นลูกรักของอธิการบดีมากแต่ก็ไม่ถึงกับไม่ได้รับความรักเสียทีเดียว แม้มอ B ของผมจะเป็นมอที่อยู่ต่างจังหวัดและโดดเด่นด้านคณะบัญชีบริหาร แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่เด่นไม่แพ้คณะเหล่านั้น ดีไม่ดีอาจเด่นพอๆ กันด้วยซ้ำไป

สิ่งนั้นก็คือคณะวิศวฯ สาขาวิศวกรรมการบิน

จะไม่ให้เด่นได้ยังไงล่ะครับ ไอ้พวกที่มาเรียนเหมือนกับเกิดมาพร้อมกับเครื่องบินเจ็ทคนละลำอ่ะ (ว่าไปนั่น) พูดง่ายๆ ก็คือพวกมันดูรวยกันนั่นแหละ สาขานี้เป็นสาขาที่แยกออกไปไกลโคตร มีโกดังเก็บอุปกรณ์การเรียนต่างๆ ไว้เรียนส่วนตัว จะเข้าตึกทีก็ตอนที่มีเรียนวิชาเล็กเชอร์ต่างๆ ผมรู้จักกับสงครามตอนเรียนวิชาพื้นฐานปีหนึ่งแล้วมันมาขอร้องให้ผมช่วยติวนิดๆ หน่อยๆ แต่หลังจากขึ้นปีสองผมก็ไม่ค่อยได้เห็นหน้ามันอีก

ผมได้ยินข่าวลือมาว่าเครื่องบินที่อยู่ในโกดังเป็นเครื่องบินที่ไม่ได้ใช้งานแถมยังถูกแยกส่วน แม้จะเป็นเพียงแค่ข่าวลือกระนั้นก็ยังดูไฮโซกว่าสาขายานยนต์ของผมมากมายเลยทีเดียว อันที่จริงผมก็ไม่เคยเข้าไปส่องดูหรอกนะว่าโกดังบิ๊กเบิ้มนั่นบรรจุอะไรเอาไว้บ้าง มีแต่สิ่งที่ผมจินตนาการเองล้วนๆ สาเหตุที่ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าไปยุ่งก็เพราะไอ้สงครามนั่นแหละครับ ไม่ใช่เพราะคนอื่นเลย

นึกภาพมันกำลังใช้ไขควงงัดแงะแก้ไขส่วนประกอบเครื่องยนต์ของเครื่องบิน อื้อหือ มันคงจะเป็นที่ดึงดูดสายตาน่าดู

“งั้นวันนี้คงทำได้แค่นี้อ่ะ” ไปป์สรุปในที่สุด หลังจากที่ทีมโปรเจ็กต์ทำงานกันเสร็จสิ้น “อ้ายได้จดไว้หมดป่ะ”

“อื้ม” ผมเขย่าสมุดโน้ตให้มันดู

“โอเค งั้นไปก่อนนะ ต้องรีบไปเรียน”

ไปป์ติดวิชาพื้นฐานอยู่สองตัวครับ มันก็เลยมีตารางเรียนที่แน่นกว่า ผมพยักหน้าโบกมือลา หลังจากนั้นก็มีคนวิ่งตามไอ้ไปป์ไป ไม่ใช่ใครอื่นแต่มันคือเหี้ยธัชเพื่อนผม เพราะมันก็ติดเหมือนกัน ตอนนี้จึงเหลือแค่ผมอยู่คนเดียว

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางนึกไปถึงตอนที่ตัวเองเดินทางสะดวกกว่านี้ ผมเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีรถยนต์ใช้แต่กลับไม่ได้ใช้เพราะลูกพี่ลูกน้องผมขอยืมไป ที่จริงผมถูกลูกพี่ลูกน้องยืมของไปใช้มากมายนับไม่ถ้วนจนผมจำไม่ได้แล้วว่ามีอะไรบ้าง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมจำได้แม่น สิ่งนั้นก็คือรถนี่แหละครับ

ลูกพี่ลูกน้องของผมชื่อโอม เป็นลูกชายของลุงซึ่งเป็นพี่ชายของพ่อ ผมกับโอมโตมาด้วยกัน มีอะไรก็คุยกันตลอด หลังจากที่ลุงเกิดวิกฤตด้านการเงิน นิสัยโอมก็เปลี่ยนไป โอมมายืมของกับยืมเงินผมบ่อยมากขึ้น แต่ผมไม่ได้ติดใจอะไรเพราะจำนวนเงินมันไม่ได้มากมาย อีกอย่างผมเองก็ใช่ว่าจะเป็นคนที่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ส่วนใหญ่ผมจะหมดไปกับค่ากิน ค่าเหล้า ค่าอุปกรณ์การเรียน และค่าสมุดโน้ตกิ๊กก๊อกของผม

โอมยืมรถผมไปประมาณสองเดือนแล้ว ตอนนี้มันสมควรแก่เวลาที่ผมจะต้องโทรไปขอรถคืนจากโอมแล้วล่ะ ผมถอนหายใจขณะกดโทรศัพท์โทรออกหาลูกพี่ลูกน้องคนสนิท ไม่นานนักมันก็รับสาย

[กำลังจะโทรหาพอดีเลย]

“ไงโอม คือว่า...”

[ขอยืมเงินหน่อยดิสักสี่พัน ช่วงนี้ช็อตว่ะ เงินหมุนไม่ทัน]

ยังไงนะ ผมทำหน้าไม่ค่อยเข้าใจ “อาทิตย์ก่อนเพิ่งยืมไปไม่ใช่เหรอ”

[ช่วงนี้มีเลี้ยงน้องบ่อย มึงก็รู้] โอมไม่ได้เรียนอยู่มอ B เหมือนผมครับ แต่เรียนอยู่มอประจำจังหวัดที่อยู่ติดกัน

“ได้ เดี๋ยวโอนให้”

[ไม่เป็นไร กูเข้าเมืองวันนี้ เดี๋ยวกูไปเอาที่มอมึงเลยแล้วกัน]

“หา”

[คิดถึง อยากเห็นหน้าสักหน่อย]

“เดี๋ยวดิ”

[อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงถึง]

“โอม คือกูจะถามเรื่องรถ...”

มันวางสายไปแล้ว ผมถอนหายใจอีกรอบ มองโทรศัพท์อย่างเหนื่อยหน่ายใจราวกับมันจะรับรู้ความรู้สึกของผม หลายครั้งที่ผมรู้สึกว่าโอมเอาเปรียบมากจนเกินไป แต่เพราะความเป็นญาติพี่น้องก็เลยตัดสินใจไม่พูดอะไร ปล่อยให้โอมมันคิดได้เอง ถึงแม้ว่าจะใช้เวลาหน่อยก็ตาม

เงินสดที่ติดตัวตอนนี้มีไม่ถึงสี่พัน และคณะของผมก็ไม่มีตู้กดเงินซะด้วย ต้องไปกดที่หน้าคณะบัญชีหรือไม่ก็หน้ามหา’ลัยโน่น
เอาไงดีวะกู รถก็ไม่มี เพื่อนก็ไปเรียนกันหมด

โชคดีที่ตอนนั้นมีเด็กหอสามซึ่งเรียนวิศวะเดินผ่านมาพอดี ผมเลยแบมือขอยืมรถมันสักหน่อย มันส่งกุญแจรถมาให้พร้อมกับบอกว่าทนร้อนหน่อยนะ

กุญแจที่ว่านั่นเป็นกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ครับ

ผมขับไปกดเงินที่หน้ามอ รู้สึกร้อนแต่ก็อดทนเอา ระหว่างที่กดเงินอยู่นั่นเองโทรศัพท์ของผมก็ดัง โอมเป็นคนโทรมา

“ฮัลโหล”

[อ้าย กูมีเรื่องอยู่หน้าวิศวะว่ะ มาช่วยกูหน่อย]

“เกิดอะไรขึ้น”

[มีคนถอยรถมาชนรถกู (มึงว่าไงนะ มึงต่างหากที่ชนกู!)]

เสียงแม่งคุ้นจังวะ

“หน้าวิศวะเหรอ”

[เออ เร็วๆ รีบมา ไอ้เหี้ยนี่แม่งน่ากลัวอย่างกับหมาบ้า]

“เออๆ”

ผมรีบกดวางสาย เลิกต่อคิวกดเงินจากตู้แล้วรีบขับมอเตอร์ไซค์ไปตรงจุดเกิดเหตุทันที

ให้ตายเถอะ ไม่ต้องมองหาให้ยากเลยว่าญาติผมมันไปมีเรื่องตรงไหน เพราะมีไทยมุงกลุ่มใหญ่ยืนมองเหตุการณ์อยู่หน้าวิศวะ พูดได้เลยว่าหลายสิบ ดีไม่ดีอาจจะเกือบร้อยคน เพราะช่วงนี้มันเป็นเวลาพักเที่ยงพอดี

ถ้าเป็นคนอื่นมีเรื่องคงไม่มีไทยมุงเยอะขนาดนี้ แต่คู่กรณีของโอมเป็นคนที่ทุกคนในมอรู้จัก และทุกคนคงอยากรู้ว่าคนคนนี้จะซัดโอมหน้าหงายหรือเหยียบโอมจมดินหรือเปล่า

คนนั้นก็คือสงคราม

“เหี้ย!” สงครามร้องลั่นเมื่อเห็นผมเดินหน้าตื่นเข้าไป “นี่ญาติมึงเหรอ”

ผมไม่ได้สนใจสงครามแต่สนใจความเสียหายของรถมากกว่า รถสงครามไม่เป็นอะไรเลย แต่รถผมมีรอยถลอกนิดหน่อย

“กูไม่ได้ทำนะ” โอมโวยวายลั่น

ผมมองหน้าสงครามอย่างหาข้อเท็จจริง

“มันถอยรถมาชนรถกูเอง”

“...”

“มึงรู้ว่ากูไม่ใช่คนโกหก”

ประธานหอสองดูพยายามสงบอารมณ์โกรธเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ข้างๆ มันมีพวกหอสองหลายคนที่มาจากหลายสาขายืนเป็นแบ็คกราวน์สร้างความน่าเกรงขามและพร้อมเข้ามากระทืบโอมทุกเมื่อ

เรื่องตื้บคนนี่พวกหอสองไวมากครับ ผมขอบอก

ผมมองหน้าโอมก่อนจะถอนหายใจ “เดี๋ยวกูเคลียร์เรื่องค่าซ่อมเอง”

“ได้ไง มันเป็นคนถอยมาชน”

เชี่ยโอม มึงไม่รู้เหรอว่ามึงกำลังมีเรื่องกับใครอยู่น่ะหา

ผมกำลังจะอ้าปากพูด แต่สงครามดันพูดแทรกขึ้นมาซะก่อน “กูเคยสัญญาว่าจะไม่กระทืบเด็กหอมึง แต่กูไม่เคยสัญญาว่าจะไม่กระทืบญาติมึง”

“ใจเย็นก่อนได้ป่ะ” ผมพยายามขอร้อง

“มันกวนตีน”

“คิดว่ามึงแน่นักเหรอฮะ” โอมทำท่าจะพุ่งไปใส่สงครามผมจึงรีบเอาตัวเองเข้าไปห้าม ตอนที่โอมพุ่งเข้าไป เด็กหอสองคนอื่นก็เข้ามาใกล้โอมเหมือนกัน และเมื่อเห็นว่ามีผมอยู่ในเหตุการณ์บ้าๆ นี่ด้วย พวกหอสามคนอื่นๆ ก็เลยจะเข้ามาช่วยผมอีก นี่มันใกล้จะกลายเป็นสงครามกลางมออยู่แล้ว

“เหี้ยอ้าย ห้ามมันทำไมล่ะ ปล่อยให้แม่งเข้ามา” สงครามร้องลั่น

โอมดูชะงักและเอะใจ มันคงเพิ่งสังเกตว่ามีคนพร้อมสำหรับการสร้างความรุนแรงอยู่มากมาย มันมีแค่ผม มันไม่มีคนอื่นเลย

“มึงถอยไป” สงครามก้าวเข้ามาใกล้ กลายเป็นผมยืนคั่นกลางระหว่างมันกับโอม ผมจ้องหน้ามันเขม็ง ในใจรู้สึกตื่นกลัวและเสียงที่พูดก็สั่นมาก

“สงคราม เดี๋ยวกูจะจ่ายเอง”

“เรื่องเงินมันไม่เกี่ยวแล้ว ก่อนมึงจะมา ไอ้เหี้ยนี่ด่ากูไว้เยอะแค่ไหนมึงรู้มั้ย”

“...”

“ถ้าเป็นคนอื่นมันโดนจนเละไปแล้ว”

“มันเป็นญาติกู”

“แล้วไง”

“ก็มันเป็นญาติกูไง”

“ญาตินิสัยเหี้ยอ่ะดิ แบบนี้ไม่น่าปล่อยไว้ น่าจะถูกสั่งสอน”

“กูได้ยินนะ” โอมพูดแทรกอย่างไม่รู้ห่าเหวอะไรเลย ผมหันไปตำหนิ จังหวะนั้นเป็นจังหวะที่สงครามผลักตัวผมออกไปให้พ้นทาง จากนั้นมันก็ชกหน้าไอ้โอมเต็มๆ จนโอมล้มลงไปกองกับพื้น

ผมต้องรีบตั้งสติ ร้องปรามพวกหอสามคนอื่นๆ ที่จะพุ่งเข้ามามีเรื่อง เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับโอมและสงคราม ไม่เกี่ยวกับศักดิ์ศรีหออะไรทั้งสิ้น

“พวกมึงไม่ต้อง” สงครามเองก็บอกคนจากหอมันเหมือนกัน “เป็นเรื่องของกูกับไอ้เหี้ยนี่ ใครไม่เกี่ยวก็ไม่ต้องมายุ่ง”

สิ้นเสียงสงครามทุกคนก็หยุดนิ่งกันไปหมด สงครามหลุบสายตาลงต่ำ มองดูโอมที่ปากแตกซึ่งกำลังพ่นเลือดลงพื้น หมัดสงครามหนักเสมอถึงแม้ว่ามันจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจชกก็ตาม

“เหี้ย” ผมด่า

“กูทนมานานแล้ว”

“หมัดเดียวก็พอ ถอยไปไอ้สัด” ผมเดินผ่านสงครามแล้วรีบเข้าไปดูโอม มันค่อยๆ ลุกขึ้น ดูอับอายมากกว่าเจ็บแผล มันคงรู้ซึ้งแล้วว่าสงครามไม่ใช่คนที่ควรมีเรื่องด้วยไม่ว่ากรณีใดๆ แค่หมัดเดียวก็ทำมันเลือดกบปากขนาดนี้ คงไม่ต้องพูดถึงหมัดอื่นแล้วล่ะ ผมหันไปมองไอ้คนหมัดหนักด้วยสายตาไม่สู้ดีเท่าไหร่ “มึงจะเอายังไงสงคราม ให้กูโทรเรียกประกันมาดูด้วยเลยเปล่า กูจะจ่ายให้รถมึงด้วย”

“ไม่ต้อง” สงครามพูด “มึงดูแค่รถมึงเหอะ”

มันดูหงุดหงิดมากจนเลือกที่จะเดินไปทางอื่นแทนที่จะอยู่ดูต่อ เมื่อสงครามไม่ทำอะไรเหตุการณ์ก็ไม่มีอะไรน่าติดตามอีก ฝูงชนเริ่มกระจายตัวไปใช้ชีวิตกันตามเดิม ปล่อยให้ผมอยู่กับโอมที่บริเวณรถผมกับรถสงคราม

“ไปหายามาทาแผลมึงกัน”

“เออ” โอมกัดฟัน “หมัดมันแม่งอย่างกับบัวขาว”

“เคยโดนบัวขาวชกแล้วเหรอ”

“ความเจ็บก็น่าจะประมาณนี้ป่ะวะ”

ผมส่ายหน้าใส่โอม แม้โอมจะอายุมากกว่าผมแต่ก็ชอบทำตัวเด็กกว่า ผมคิดว่าจะพามันไปซื้อยาจากเซเว่นแถวนี้โดยที่ผมเป็นคนขับรถเอง ระหว่างที่กำลังจะขึ้นรถผมเห็นสงครามมองดูอยู่กลายๆ มันกำลังทำหน้าเซ็งใส่ผม

ผมหรือเปล่าวะที่ควรเป็นคนทำหน้าเซ็งใส่มันอ่ะ






[มีต่อนะคะ]





หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 28-08-2017 22:06:44






หน้าเซเว่นนอกมอ

ผมมองดูโอมทำแผลให้ตัวเองอยู่บนรถ ในใจนึกอยากจะคุยกับมันเรื่องรถ แต่พอเห็นมันเจ็บแถมยังร้องครางเพราะแสบเบาๆ ผมก็เกิดความรู้สึกลังเลนิดๆ ว่าควรจะพูดดีหรือเปล่า

โอมมันข่มผมได้ตั้งแต่เด็กๆ สมัยก่อนมันก็เป็นเหมือนพี่ชายผม ลุงเอกพ่อของมันเป็นพี่ชายคนสนิทของพ่อ เวลามีความสุขหรือเดือดร้อนเราสองครอบครัวก็มักจะอยู่ด้วยกันมาโดยตลอด ผมเป็นลูกชายคนเดียวแต่ไม่ได้รู้สึกเหงาอะไรเพราะมีลูกพี่ลูกน้องซึ่งเป็นเหมือนพี่ชายมากมาย แต่คนที่ผมสนิทใจด้วยมากที่สุดก็คือโอมนี่แหละ

ช่วงนี้ชีวิตของมันเหมือนดิ่งลงเหว ลุงเอกมีปัญหาเรื่องเงินจนแทบเอาตัวเองไม่รอด โอมที่ควรเรียนจบเมื่อสองปีก่อนก็ไม่รู้มีผีห่าซาตานอะไรเข้าสิงถึงได้ไม่ยอมตั้งใจเรียนให้จบ กลายเป็นพี่ปีสูงของน้องๆ ที่วันๆ เอาแต่เล่น หาความสุขใส่ตัวไปเรื่อย ผมทั้งบอกทั้งเตือน แต่ท้ายที่สุดโอมก็กลับมาใช้ชีวิตตามเดิมนั่นก็คือทำตัวเสเพลไปวันๆ

ก็หวังว่าสักวันมันจะดีขึ้น เพราะอะไรที่มันอยากได้ ผมก็หามาให้หมด พ่อผมปฏิบัติตัวกับลุงเอกยังไง ผมก็ทำอย่างนั้นกับโอมเช่นเดียวกัน

“จริงๆ แล้วมึงจะโทรมาถามเรื่องรถใช่มั้ย” จู่ๆ โอมก็เอ่ยออกมา ผมมองตาค้างอย่างตกตะลึง ไม่คิดว่ามันจะรู้ตัวด้วย “กูนี่มันแย่จังเลยเนอะ ชอบยืมนั่นยืมนี่ของมึงอยู่เรื่อย”

“กูรู้ว่าเดี๋ยวมึงก็คืน”

“ใช่ กูคืนแน่”

“...”

“แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องเงิน กูก็ไม่รู้ว่าจะนัดมึงออกมาเจอกันได้ยังไง มึงเหมือนคนที่มีงานรัดตัวตลอดเวลาเลย”

“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย”

“จริงๆ นะ” โอมหันมามองผมอย่างจริงจัง “ทุกครั้งที่มึงยอมมาเจอ กูต้องเดือดร้อนหนักก่อน พอกูนัดมึงไปแดกข้าวเฉยๆ งี้ มึงไม่เคยยอมไปกับกูอ่ะ”

ช่วงนี้ผมยุ่งมากจริงๆ นั่นแหละ ไม่มีเวลาแม้กระทั่งไปเที่ยวเล่นตามประสานักศึกษาที่เรียนจนเครียดแบบสุดๆ เวลาในชีวิตของผมมอบให้ลูกหอเสียจนลืมหาเวลาว่างให้กับตัวเอง ฉะนั้นจึงมีบ่อยครั้งที่ผมปฏิเสธการนัดหมายกับโอม เว้นเสียแต่ว่ามันจะเดือดร้อนจริงๆ เลยกลายเป็นว่าผมเจอมันทุกครั้งก็มักจะมีเรื่องเดือดร้อนของมันพ่วงตามมาด้วยเสมอ

“กูรอพ่อแก้ปัญหาเรื่องเงินอยู่เนี่ย บอกว่าอีกไม่นานครอบครัวเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม มึงรู้ป่ะ พ่อพูดแบบนี้มาเป็นเดือนแล้ว”

“มึงก็อดทนสิวะ” ผมบอกได้แค่นั้น

“ยังไงกูก็ขอยืมรถมึงต่ออีกหน่อยนะอ้าย”

ผมนิ่งไปนิดหน่อยก่อนจะพยักหน้า

“แล้วก็...ขอยืมเงินอีกสักสี่พันด้วย”

“...”

“ขอโทษนะ แต่กูจะคืนมึงจริงๆ กูไม่มีวันเอาเปรียบมึง เพียงแต่ตอนนี้กูเดือดร้อนมาก และกูก็ขี้เกียจทะเลาะกับพ่อด้วย มึงก็ไม่ค่อยเดือดร้อนเรื่องเงินไม่ใช่เหรอ”

“แต่ว่า...”

โอมเอื้อมมือมาแตะไหล่ผม “กูคืนแน่นอน ช่วยกูหน่อยนะอ้าย”

“มึงสัญญากับกูได้มั้ยว่าจะใช้เงินกูที่มึงยืมไปให้เกิดประโยชน์ที่สุด”

“เงินที่กูมายืมมึง กูใช้ไปกับเรื่องที่มีแต่ประโยชน์จริงๆ นะ”

“แน่เหรอ”

“แน่สิ”

“...”

“ไปดูชีวิตกูที่มอหน่อยมั้ยล่ะ มันมีมากกว่าการเที่ยวกลางคืน ทำตัวเสเพลนะเว้ย”

“จะบ้าเหรอ”

“เห็นมั้ย มึงมันไม่มีเวลาจริงๆ”

คอผมตกและไหล่ของผมก็ห่อลงอย่างเห็นได้ชัด ถ้าให้เงินกับโอม เงินเดือนนี้ของผมจะเหลืออยู่ติดก้นบัญชีไม่เท่าไหร่แล้ว ถ้าจะอยู่ให้รอดไปได้ทั้งเดือนก็คงต้องกินมาม่าใต้หอ จริงๆ ผมก็ไม่ได้มีฐานะยากจนข้นแค้นอะไร เพียงแต่ว่าเงินฝากส่วนใหญ่อยู่กับแม่ ผมพยายามฝึกตัวเองให้เป็นผู้ใหญ่ด้วยการไม่ใช้จ่ายเกินงบที่ตั้งเอาไว้ แต่เดือนนี้ผมคงทำอย่างนั้นได้ยากหน่อย เพราะโอมมายืมเงินผมเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของเดือนแล้วก็ไม่รู้

“กูลงไปกดที่ตู้ให้ก็แล้วกัน” ผมพูดเสร็จก็เดินลงไปกดเงินให้โอม ระหว่างนั้นอยู่ดีๆ ก็มีผู้ชายขาวจั๊วะคนหนึ่งเดินผ่านไป ออร่าความเป็นเด็กหอสามพุ่งกระฉูดจนผมอดร้องเรียกไม่ได้ “เฮ้ย”

“อ้าวพี่อ้าย” อาสานี่เอง ผมมองซ้ายมองขวาอย่างเป็นกังวล มันมาคนเดียวครับ ไม่มีใครมาเป็นเพื่อนมันเลย

อันตรายสัดๆ

“ไม่มีใครมากับมึงเหรอ”

“ช่าย”

“ทนายปล่อยมึงมาได้ยังไง”

“พูดอย่างกับมันล่ามโซ่ผมเอาไว้”

“ก็ควรจะล่าม” ผมดันหลังรุ่นน้องที่ตัวเล็กกว่าเข้าไปในเซเว่น

“อะไรของพี่เนี่ย”

“รีบซื้อเร็วๆ”

“แล้วพี่ไม่ไปทำธุระของพี่หรือไง”

“แค่กดตังค์เอง”

“ก็ไปกดสิ”

“ไม่อยากปล่อยมึงไว้คนเดียว”

“บ้าบอจริงๆ”

“ก่อนด่ากูดูหน้าตัวเองด้วย”

มันไม่เคยชินหรอกเรื่องการที่คนจากหอสามต้องปกป้องมัน เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าอาสามันจะชอบครับ มันออกจะอึดอัดนิดหน่อยด้วยซ้ำ แต่มันก็ไม่ได้โวยวายหรือโอดครวญเรื่องนี้มากมายแต่อย่างใด เพราะหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าคนอย่างมันถ้าไม่อยู่กับคนจากหอสาม มันก็คือเหยื่อพวกหออื่นดีๆ นี่เอง

เกิดมาน่ารักจนเกินจะเป็นผู้ชายชีวิตมันก็เลยลำบากอย่างงี้แหละ

สิ่งที่อาสามาซื้อก็คือน้ำเปล่าหนึ่งขวดกับเค้กกล้วยหอมหนึ่งชิ้นถ้วน ผมกลอกตาเล็กน้อยระหว่างรอมันจ่ายตังค์ ขณะนั้นเองมีเด็กคณะไหนไม่รู้เดินเข้ามาในเซเว่นเป็นกลุ่มใหญ่ มองเผินๆ คงจะมาจากหอห้าหรือไม่ก็หอหก พวกมันมองอาสาตาค้าง สองหอนี้ไม่ค่อยได้อยู่ใกล้ชิดหอสามเท่าไหร่ พวกมันเจออาสาทีไรเป็นอันต้องเก็บอาการไม่อยู่ทุกทีไป

อยากจะเตือนความจำพวกมันเหลือเกินว่ามอ B แห่งนี้ก็มีผู้หญิงนะมึง...

คิวคิดเงินก็นานโคตรจนผมเริ่มจะทนไม่ไหว อาสาบอกให้ผมออกไปหลายรอบแล้วแต่ผมยังยืนกรานที่จะอยู่ต่อ ไม่นานนักคนกลุ่มนั้นก็เลือกของกันเสร็จ พวกมันมายืนต่ออาสากันหมด อย่าให้เรียกว่ายืนเรียงเป็นแถวเลยครับ เรียกยืนรุมเหอะ มันอธิบายภาพได้ชัดกว่า

เบื่อพวกแม่งจริงๆ

ผมกำลังจะเข้าไปแทรก ทำตัวเป็นการ์ดให้อาสา แต่แล้วก็มีคนเดินตัดหน้าผมไป

“กูจะจ่ายเงิน”

เมื่อคนกลุ่มนั้นหันหน้ามามอง พวกมันก็กระจายกันไปคนละทิศละทาง

สงครามมาเซเว่นด้วยเหรอเนี่ย

จริงๆ แล้วมันจะมาเซเว่นก็ไม่ผิดหรอกครับ มันก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เพียงแต่ว่าผมตกใจตรงที่บังเอิญเจอมันอีกครั้งในเวลาไล่เลี่ยกันต่างหาก อาสาค่อยๆ เขยิบ ดูมันหวาดๆ สงครามยังไงชอบกล (ใครบ้างล่ะที่จะไม่หวาด)

“มึงไม่ต้องไปไหน รีบจ่ายก่อนเลย ทำคนอื่นเขายุ่งยาก”

อาสาทำหน้าเบะเล็กน้อย ผมมองไอ้สงคราม ประธานหอมันอย่างกูยังไม่ด่ามันเลย มึงเป็นใครไม่ทราบ

กว่าอาสาจะจ่ายตังค์เสร็จผมก็ลุ้นจนเหนื่อย ผมดันตัวเด็กหอตัวเองให้เดินไปข้างหน้า

“มึงมายังไง” ไม่ลืมที่จะถามมันก่อนแยกกัน

“ทนายจอดรถรออยู่ตรงโน้น”

“อย่าลืมบอกมันล่ะว่าเกือบโดนผู้ชายรุม”

“จะไปบอกอย่างนั้นทำไม”

“ให้มันอกแตกตายเล่น”

“หา”

“เพราะมันควรจะเฝ้าแฟนตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ยิ่งมีแฟนหน้าแบบมึงด้วยแล้ว”

“ผมนี่แหละเป็นคนบอกไม่ให้มันลงมาเอง”

“งั้นเปลี่ยนที่ตัวมึง”

“เว่อร์เกินไปแล้ว”

“เชื่อกูนี่”

อาสาทำหน้าไม่เชื่อแต่ก็พยักหน้ารับเบาๆ “ไปก่อนนะพี่ ฝากขอบคุณพี่สงครามด้วยนะ”

ผมอ้าปากค้างเติ่ง กะจะบอกมันว่าผมไม่คิดจะพูดอะไรกับสงครามอีกในวันนี้ แต่มันกลับวิ่งขึ้นรถไอ้ทนายไปแล้ว ผมหันตัวกลับมาอีกทีก็เจอสงครามยืนอยู่ข้างๆ

“มีเรื่องจะคุยด้วย” มันพูด

“ไม่คุย”

“ไม่ใช่ตอนนี้”

กวนตีนกูป่ะวะ “ตอนไหนก็ไม่คุย”

“อีกแล้ว งอนกูเป็นผู้หญิงอีกแล้ว”

“ไม่ใช่โว้ย มึงต่อยญาติกูนะ”

“มันเป็นญาติมึงที่ปากเสีย ยังไงก็ต้องต่อยป่ะวะ”

“ถอยไป”

“เหี้ยอ้าย” สงครามทำเสียงแข็งใส่ผม แต่ผมไม่สนใจ ตั้งหน้าตั้งตาเดินไปกดตังค์ที่ตู้

หรือผมทำตัวงอนเป็นผู้หญิงจริงๆ วะเนี่ย จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้โกรธสงครามขนาดนั้นแต่ยังมีความขัดเคืองอยู่เล็กน้อย ผมไม่จำเป็นต้องปั้นปึ่งใส่มันก็ได้ แล้วผมทำอย่างนั้นไปทำไมกัน








ห้อง 101

ผมกำลังนั่งคิดเรื่องดีๆ เพื่อเขียนลงโน้ตสุขใจ แต่ทำไมมันคิดยากจังวะ วันอื่นไม่เห็นยากขนาดนี้ ที่แน่ๆ เรื่องที่สงครามมาช่วยไอ้อาสาในเซเว่นนั่นก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งของวัน

ห่าน ทำไมเรื่องดีๆ ในชีวิตผมถึงกลายเป็นเรื่องไอ้สงครามหมด วันนี้โปรเจ็กต์เดินไปข้างหน้าก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอวะ เขียนลงไปดิสัดอ้าย เขียนลงไป

โน้ตสุขใจ
1. โปรเจ็กต์ก้าวหน้าไปอีกหนึ่งขั้นถ้วน!


กำลังจะจรดปากกาเขียนความสุขข้อที่สองโทรศัพท์ก็สั่น ตอนแรกมันสั่นแค่ครั้งเดียว แต่ตอนหลังมันสั่นรัวๆ อย่างกับมันหนาว
เกิดเรื่องเหี้ยอะไรขึ้นหรือเปล่าวะเนี่ย ใครทักอะไรกูมา

สงเหี้ย หอสอง : /แนบรูปข้อความ ‘กูจะไม่งอนมึงอีกแล้ว’
สงเหี้ย หอสอง : /แนบรูปข้อความ ‘กูจะไม่งอนมึงอีกแล้ว’
สงเหี้ย หอสอง : /แนบรูปข้อความ ‘กูจะไม่งอนมึงอีกแล้ว’
สงเหี้ย หอสอง : /แนบรูปข้อความ ‘กูจะไม่งอนมึงอีกแล้ว’


ไอ้สงครามมมม อะไรของมึงงงงงงงงง

สงเหี้ย หอสอง : ประธานหอไรวะโกหก
สงเหี้ย หอสอง : อ๋อ หอสามนี่ไง
สงเหี้ย หอสอง : /แนบรูปข้อความ ‘กูจะไม่งอนมึงอีกแล้ว’


ไม่ต้องเสียเวลาบรรยายเลยครับว่าผมของขึ้นขนาดไหน ผมรีบพิมพ์ตอบไอ้สงครามทันทีอย่างมีน้ำโห

AI : เป็นเชี่ยไรสัด
สงเหี้ย หอสอง : กูแค่เตือนความจำมึงเฉยๆ
AI : กวนตีนสาดดดด
สงเหี้ย หอสอง : มึงต่างหาก งอนเก่งจังเลย งอนแล้วได้รางวัลเหรอ
AI : มึงก็ง้อเก่งจังไอ้เหี้ย


ผมชะงักกึกหลังจากที่ผมพิมพ์ข้อความนั้นเสร็จ เดี๋ยวสิ ผมไม่ควรจะพิมพ์ตอบมันไปแบบนั้นนี่

สงเหี้ย หอสอง : มึงชอบให้กูง้อสินะ
AI : บ้านมึงสิ
AI : ตกลงจะคุยเรื่องอะไร
สงเหี้ย หอสอง : เรื่องญาติมึง
AI : จะขอโทษ?
สงเหี้ย หอสอง : เปล่า กูจะตามไปเผาบ้านมันให้สิ้นซาก
AI : ฟวยสงคราม บ้าไปแล้วเหรอ
สงเหี้ย หอสอง : กูทำจริงๆ นะ
AI : กูรู้ ไอ้สาด
สงเหี้ย หอสอง : มึงแคร์มันมากกว่าแคร์กู
สงเหี้ย หอสอง : กูประธานหอสองนะเว้ย


ผมกระพริบตาปริบๆ ใส่ข้อความของมันอย่างไม่เข้าใจเท่าไหร่ ตำแหน่งประธานหอมันเกี่ยวตรงไหนวะ

AI : แล้วมึงจะแคร์ทำไมว่ากูแคร์ใคร ไอ้บ้า
สงเหี้ย หอสอง : นึกถึงแป้งเด็กเลยไอ้ห่า


มึงควรตอบกูแบบนี้เหรอ...

สงเหี้ย หอสอง : กูไม่ชอบมัน
สงเหี้ย หอสอง : กูแค่สัญญาว่าจะไม่ทำอะไรลูกหอมึง แต่ไม่ได้สัญญาเรื่องไม่ทำอะไรญาติมึง
สงเหี้ย หอสอง : ถ้ากูเจอมันอีก กูซัดไม่ยั้งแน่
AI : ไอ้สาด
สงเหี้ย หอสอง : ฝันดี


มันทักมากวนตีนผมเฉยๆ หรือเปล่าวะ ผมบีบโทรศัพท์ตัวเองแรงๆ อย่างบ้าคลั่ง แต่รู้ตัวดีว่าก็ไม่ได้โกรธอะไรขนาดนั้น
ลองย้อนไปอ่านข้อความจากไอ้สงครามดู แปลกแต่จริงที่ทำให้ผมยิ้มออกมาน้อยๆ
ผมสามารถเพิ่มความสุขของผมลงในโน้ตสุขใจได้แล้วครับ

2. สงครามช่วยอาสาในเซเว่น
3. มันง้อเราอีกแล้ว
4. วันนี้คุยไลน์กับมันแล้วรู้สึกดีแปลกๆ
5. รู้สึกดีจนลืมไปว่ามันชอบมีนอยู่...


ผมวางปากกาลงแล้วถอนหายใจ การเขียนบันทึกเรื่องราวอะไรแบบนี้มันดีตรงที่เราได้ทบทวนความรู้สึกตัวเองนะครับ...

และได้ทบทวนความจริงที่เป็นสิ่งฆ่าไม่ตายด้วย




TBC*
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 28-08-2017 22:20:15


ตอนที่ 4

ผมมองดูคลิปที่มีนไปออกงานในจอแล็ปท็อปด้วยสายตาหน่วงๆ ในเช้าวันต่อมา วันนี้ผมไม่มีเรียน (ปีสี่แล้วก็สบายอย่างงี้) ผมจึงมีเวลาดูคลิปในยูทูบเรื่อยเปื่อย คลิปของมีนเป็นคลิปแนะนำในยูทูบแถมยอดวิวยังพุ่งกระฉูดอย่างต่อเนื่อง ช่วงนี้มีนกำลังมาจริงๆ ครับ ต้องยอมมัน...

มือผมเลื่อนไปกดปิดแล้วถอนหายใจ ความน่ารักของมีนเหมือนตอกย้ำให้ผมบอกตัวเองซ้ำๆ ว่าคนคนนี้คือเจ้าของหัวใจของสงครามอย่างแท้จริง ผมไม่ควรไปตื่นเต้นกับข้อความไลน์ของมัน มันอาจจะพิมพ์มาแบบไม่คิดอะไรก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเหมือนเด็กหอสองคนอื่นๆ ที่ชอบปั่นหัวเด็กหอสามเล่น

หนอยแน่ ไอ้พวกชั่ว! #อยู่ดีๆก็ขึ้นเฉยเลย

วันนี้ผมรู้สึกฟิต เลยกะจะไปออกกำลังกายสักหน่อย คิดไว้ว่าจะไปสนามแบดมินตันในช่วงบ่ายกับไอ้ไปป์ เพราะไอ้ไปป์บอกว่าตอนเช้าเด็กคณะพลศึกษาใช้สนามอยู่ อยากรู้เรื่องกีฬาให้ไปถามเด็กหอสองครับ สนามกีฬาที่อยู่ในซอกหลืบมอและเล็กที่สุดมันก็ยังรู้ว่าช่วงเวลาไหนว่างหรือไม่ว่าง

เมื่อโปรแกรมชีวิตมีแค่ช่วงบ่าย ช่วงเช้าแบบนี้จึงปล่อยเวลาผ่านไปอย่างเปล่าๆ ปลี้ๆ ผมทิ้งตัวนอนลงบนเตียงจากนั้นก็มองดูเพดาน รู้สึกดีที่ได้พักบ้าง ชาวหอสามคงไปเรียนกันหมด ไม่มีคนมาเคาะห้อง ไม่มีเสียงเรียกจากเด็กๆ ว่าพี่อ้ายอย่างนั้น พี่อ้ายอย่างนี้

นี่มันสวรรค์ชั้นเจ็ดชัดๆ ผมควรจะนอนยาวๆ ไปจนถึงบ่าย หรือไม่ก็...

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ใครมาขัดความสุขผมตอนนี้วะ คงจะเป็นลูกหอคนใดคนหนึ่งอีกตามเคย ผมคิดอย่างเซ็งๆ แต่มือก็เปิดประตูห้องอย่างรวดเร็ว

คนที่มาเคาะยิ่งใหญ่กว่าลูกหอของผมทุกคนรวมกันซะอีกครับ เพราะมันคือประธานหอสอง!

มันไม่ควรจะมาเหยียบถิ่นหอสามป่ะวะ

“ฟวยยยยย!” ผมร้องลั่นอย่างตื่นตกใจ

“เต็มหน้ากูเลย” สงครามทำหน้าเซ็ง “เชี่ยตั้มให้มาตาม บอกมีประชุมที่ห้องเย็นเฉียบ”

“มึงโทรมาตามหรือไลน์มาตามก็ได้ มึงมาทำไม!” ผมมองซ้ายมองขวาเผื่อมีเด็กอยู่แถวนี้ เดี๋ยวต้องมาเล่นละครว่าเป็นศัตรูคู่แค้นกันอีก เหนื่อยจะแอ็กติ้ง

“หอมึงไม่เห็นจะมีใครอยู่”

“มึงเป็นกล้องวงจรปิดเหรอ”

“กูมองเห็น”

“ฟาย ออกไป”

“เร็วๆ เขาจะเริ่มกันแล้ว”

ผมมองสงครามอย่างไม่อยากจะเชื่อ มันอยากทำอะไรมันก็ทำ ใครจะห้ามอะไรมันได้ แต่สิ่งที่มันทำอยู่ตอนนี้คือสิ่งที่ผิดโคตรๆ เลยอดที่จะมองมันอย่างตำหนิไม่ได้

“นี่กูต้องง้อมึงอีกแล้วเหรอเนี่ย”

มันทำให้ผมคิดโทษตัวเองไปเลยว่าขี้งอน ผมเปล่าเป็นแบบนั้นสักหน่อย

“เร็วๆ กูรอหน้าหอ”

“เออ”

หัวใจผมเต้นแรงตอนที่สงครามก้าวถอยหลังออกไป ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ วันที่ประธานหอสองผู้ยิ่งใหญ่มาเหยียบหอสามด้วยตัวเอง ทำไมผมต้องตื่นเต้น ผมกำลังกลัวใช่มั้ยว่าจะมีลูกหอคนไหนมาเห็นสงครามหรือเปล่า

ผมรีบจัดการใส่ชุดไปรเวตแล้วออกมา สงครามกำลังขู่ลูกหอผมที่เพิ่งเดินผ่านมันไป

“มองเหี้ยไรนักหนา”

“สัด” ผมร้อง “อย่ายุ่งกับเด็กหอกู”

“แม่มันนี่ก็ดุจัง” สงครามส่ายหน้าเบาๆ “เร็ว”

“รู้แล้ว มึงรีบจัง เขาจะแจกเงินหรือไง”

“ก็ไม่แน่นะ ไอ้ตั้มเป็นคนเรียกประชุมด้วย ไม่ใช่พี่โอ” ยังจำเจ้าหน้าที่ดูแลหอพักอย่างพี่โอได้อยู่ใช่มั้ยครับ และไอ้ตั้มมันก็คือประธานหอสี่นั่นไง เวลาตั้มมันเรียกประชุมทีไร สิ่งที่ผมกับประธานคนอื่นๆ ได้ตามมาก็คือเงิน แต่ไม่ใช่เงินส่วนตัวครับ เป็นเงินจัดกิจกรรมภายในหอซึ่งสนับสนุนโดยพวกหอสี่โดยตรง

พวกนี้แม่งบ้า มีเงินเยอะก็เลยรู้สึกอยากเหวี่ยงเงินให้คนอื่นเล่นๆ

กว่าจะมาถึงห้องเย็นเฉียบ ผมกับไอ้สงครามก็เถียงกันอีกหลายยก ประธานทุกหอรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อผมกับสงครามก้าวเท้าเข้าไป การประชุมก็ได้ฤกษ์เริ่มต้นขึ้น

เป็นจริงอย่างที่ผมคาด เชี่ยตั้มมันจะแจกเงิน มันบอกว่ามีสินค้าชิ้นหนึ่งอยากมาเป็นสปอนเซอร์ให้แต่ละหอและอยากจะให้นำตู้สินค้านี้ไปวางไว้ใต้หอเพื่อจัดจำหน่ายสักหน่อย ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเสียหาย พื้นที่ใต้หอมีอยู่เยอะแยะ และอีกอย่างสินค้าชนิดนี้คงจะทำเรื่องขออย่างถูกต้องจนมาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้วนั่นก็คือพูดคุยกับประธานหอ

ดูท่าสินค้าตัวนี้คงจะเป็นของพ่อแม่เด็กปีหนึ่งซึ่งเป็นสมาชิกใหม่ของพวกหอสี่แหง

“และก็มีเรื่องจะพูดเป็นเรื่องสุดท้าย” ตั้มเอ่ยเมื่อถึงตอนท้ายของการประชุม มันหันมาสบตาผมเป็นครั้งแรก จากนั้นก็หลบสายตาไปทางอื่น ผมไม่เข้าใจว่าทำไมวันนี้มันแปลกไป ปกติแล้วไอ้ตั้มมันเป็นพวกมีความมั่นใจสูงจะตาย

มันสบตาทุกคนยกเว้นผม

“กรุณาเร่งหน่อยได้มั้ยครับ วันนี้มีเกมเปิดเซิร์ฟเวอร์ใหม่ ใกล้จะถึงเวลาแล้ว” โกวิทย์มองดูนาฬิกาข้อมืออย่างกระวนกระวาย

“เกมอะไรอ่ะ น่าสนใจ” เด็กเรียนอย่างไอ้ทิวส่งเสียงถาม

“อะแฮ่ม” ตั้มแกล้งกระแอม “ไอ้สัด กูพูดใกล้จะจบแล้ว”

“ว่ามา” สงครามพูดบ้าง

“ช่วงปลายสัปดาห์หน้ากูจะจัดงานเลี้ยง”

ผมกับคนอื่นๆ ส่งเสียงเซ็งไปตามๆ กัน เราทั้งหมดเคยไปงานปาร์ตี้ที่ไอ้ตั้มจัดอยู่หนหนึ่ง เป็นงานที่มีแต่พวกหอสี่และมันก็น่าเบื่อฉิบหายเพราะไม่มีคนที่เหมือนเราเลย แขกในงานพูดคุยแต่เรื่องที่คนรวยๆ เขาพูดกัน ผมอยู่กับเซียนเกมอย่างไอ้โกวิทย์ยังสนุกกว่าคนพวกนั้น

จำได้ว่าไอ้สงครามออกไปจากงานทั้งๆ ที่ใช้เวลาอยู่ในงานไม่ถึงห้านาที

“แต่กูไม่ได้จัดที่หอสี่”

“มึงจะไปจัดที่ไหนอีก” ภามเริ่มทำหน้าเหมือนสิ่งที่ไอ้ตั้มพูดแม่งโคตรเป็นสิ่งที่ไร้สาระ

“กรุงเทพฯ” ตั้มนั่งวางท่า “โรงแรมของเด็กหอกูเอง”

“กูไม่ไป” สงครามลุกขึ้นยืน

“แล้วแต่” ไอ้ตั้มไม่คิดจะรั้ง “จริงๆ กูอยากให้พวกมึงทุกคนไป เพราะแขกส่วนใหญ่มีแต่สปอนเซอร์ของมอ จะให้กูกับคนหอกูไปมันก็น่าเกลียดไปหน่อย”

ในเมื่อมันพูดมาซะขนาดนี้ยังไงก็ต้องไปสินะ

“แล้วทำไมต้องไปจัดไกลถึงกรุงเทพฯ” ผมถาม

“สปอนเซอร์ส่วนใหญ่เขาอยู่ในกรุงเทพฯ ไง เขาไม่ได้อยู่ต่างจังหวัดที่มีแต่ธุรกิจบ้านไอ้คีนแบบนี้” คำตอบของตั้มไม่ได้สร้างความแปลกใจเท่ากับการที่มันไม่ยอมสบตาคนถามอย่างผม

“มึงเป็นไรเชี่ยตั้ม มึงมีไรกับกูหรือเปล่า” ผมถามออกไปตรงๆ

“กูขอปิดการประชุมแค่นี้” ตั้มลุกขึ้นก่อนจะเดินหนี คนอื่นๆ เดินตามมันออกไปอย่างงงๆ ทิ้งให้ผมอยู่ตามลำพังกับไอ้สงครามในห้องเย็นเฉียบ

“ปกติมันไม่เป็นแบบนี้กับกูนะ” ผมอดตั้งข้อสังเกตไม่ได้

“เรื่องของมัน”

“...”

“จะกลับหอยัง”

“ทำไม”

“หออยู่ใกล้กันก็เดินไปด้วยกันดิ”

ผมขี้เกียจเถียงจึงทำตามในสิ่งที่มันพูด สงครามปล่อยให้ผมเดินนำหน้าโดยมีมันเดินตามหลังห่างออกไปเกือบสองเมตร แปลกแต่จริงที่นักศึกษาชายทั้งหลายพร้อมใจกันแหวกทางให้ผมเดิน คิดว่ามันไม่ได้เป็นเพราะผมหรอก แต่เป็นเพราะคนที่เดินตามผมมามากกว่า

สงครามไม่ได้อยู่ใกล้หรือไกลจนเกินไป จึงไม่มีพวกลูกหอคนไหนมองด้วยสายตาผิดปกติ

“มึงจะไปทำอะไรต่อ” สงครามถามมาจากด้านหลัง

“นอน”

“นั่นคือสิ่งที่มึงจะทำในวันนี้ทั้งวันเหรอ”

“เปล่าหรอก ตอนบ่ายมีตีแบดกับไปป์”

“ใครนะ”

ผมยั้งปากตัวเองไว้ไม่ทันแฮะ

“ไอ้ไปป์เพื่อนกูอ่ะนะ” สงครามถามย้ำ

“ฟังผิดแล้ว ไอ้ธัชเพื่อนกูต่างหาก”

“อ้าย” เสียงของสงครามจริงจังจนทำให้ผมหันกลับไปมอง “กูไม่ว่าอะไรหรอกนะถ้ามึงจะสนิทกับไปป์”

ทำไมมึงไม่พูดมาก่อนหน้านี้วะ ให้กูแถหรือพูดจาโกหกพกลมทำไมตั้งนานสาดดดดด

“ระวังสายตาคนอื่นก็พอ ไม่ต้องมาระวังกับกูหรอก”

“เฮ้อ” ผมถอนหายใจโล่งอก “กูสนิทกับไปป์รองจากธัชเพื่อนกูเลย”

“ที่ผ่านมาคือการแสดงหมดเลยงั้นสิ ที่ทำตัวไม่สนิทกันต่อหน้ากูอ่ะ”

“ก็มึงมันน่ากลัว”

“กูไม่คิดจะต่อยเพื่อนเพียงเพราะสนิทกับคนอื่นที่ไม่ใช่หอตัวเองนะเว้ย มึงก็น่าจะรู้อยู่ว่ากูเป็นคนยังไง”

“ใครจะไปเดาอารมณ์มึงได้” ผมพูดตามความรู้สึก “มึงมันไม่เหมือนใคร”

“ฟังดูน่าภูมิใจ” หน้าสงครามไม่ได้ยิ้มไม่ได้โมโห ติดจะเฉยๆ มากกว่า “ชนะไอ้ไปป์ให้ได้แล้วกัน”

“กูออกกำลังกายขำๆ ไม่ได้คิดจะเอาชนะ”

“งั้นก็ขอให้แพ้ไอ้ไปป์”

“...”

“แต่มึงคงแพ้อยู่แล้วเพราะมึงคือเด็กหอสาม ไอ้เชี่ยอ้าย เสียใจด้วยนะ”

“ไปไกลๆ กูเลย”







สนามแบดมินตัน คณะพลศึกษา

ด้วยอำนาจของไอ้ไปป์หรือเพราะแต้มบุญของผมก็ไม่รู้ วันนี้คนมาใช้สนามน้อยมาก มีคนที่มาตีแบดในเวลาบ่ายๆ อย่างนี้เพียงแค่สองสามคู่เท่านั้น ผมกับไอ้ไปป์แทบจะเรียกว่าเป็นวีไอพีกันเลยทีเดียว

“กูจะเล่นจนเหงื่ออาบเลย” ผมพันแขนเสื้อขึ้นพร้อมดวลกับไอ้ไปป์เต็มที่

“พร้อมนะ ระวังอย่าออกแรงจนปวดแขนล่ะ” ไปป์ตอบยิ้มๆ

“ยังไงก็ต้องปวดอยู่แล้วป่ะวะ”

“...”

“เพราะงั้นจะปวดทั้งทีก็ต้องเล่นให้มันสุดๆ”

เด็กหอสองก็คือเด็กหอสอง ไม่ว่ากีฬาอะไรพวกแม่งก็ถนัดหมด ผมต้องเสิร์ฟลูกจนเหนื่อยหอบ ขณะที่ไอ้ไปป์นั้นยืนจับไม้นิ่งๆ มองดูผมวิ่งเก็บลูกที่ตกฝั่งของผมอย่างมีมาด รู้สึกหมั่นไส้แม่งจริงๆ

“เหงื่อมึงออกแล้ว วันนี้ยังไงก็คุ้ม” มันพูด “ถ้าเหนื่อยก็พักนะ อย่าหักโหม”

“กูไม่พักโว้ย”

เล่นกันไปอีกสักพักผมก็ยกมือขอเวลานอก ไอ้ไปป์ยิ้มขำตอนที่มันทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ เหงื่อมันออกนิดเดียว ขณะที่เหงื่อผมนั้นไหลเป็นแม่น้ำ

“นี่น้ำ” น้ำไอ้ไปป์ดูน่าแดกกว่าน้ำผมเยอะ (น้ำเปล่านะครับนะ) ผมรับน้ำที่มันส่งมาให้ผมทันที นอกจากดื่มแล้วผมยังเอาน้ำมาสาดใส่หน้าอีกด้วยเพื่อความสดชื่น “นานๆ ทีจะเห็นประธานหอสามออกกำลังกาย”

“มันดูเป็นไงไม่ทราบ”

“ตลก”

“ไอ้เหี้ยไปป์”

“ก็ตลกจริงๆ อ่ะ มึงแม่งจริงจังเกินเหตุ ฮ่าๆๆ”

ผมคิดว่าผมจริงจังเพราะคำพูดดูถูกของไอ้สงครามเมื่อเช้า เรื่องกีฬาไม่ว่าจะพยายามยังไงก็สู้คนที่มาจากหอนี้ไม่ได้จริงๆ ผมควรทำใจใช่มั้ยเนี่ย

โทรศัพท์ของผมมีข้อความเข้ามา เป็นข้อความจากกลุ่มไลน์ประธานหอผู้ยิ่งใหญ่ คนที่ทักมาก็คือไอ้ตั้ม มันส่งตารางเวลางานเลี้ยงที่มันจัดมาให้ พอผมได้จับโทรศัพท์ผมก็เลยจับยาว เข้าแอปนั้นแอปนี้อย่างเคยชิน จนกระทั่งมาหยุดที่อินสตาแกรม

“มึงฟอลมีนด้วยเหรอ” ไอ้ไปป์ทัก มันหันมาเห็นหน้าจอผมพอดี “ติ่งเหรอสาด”

“ฟวยไร มีนมันลูกหอกูและก็เป็นเพื่อนสาขาเราด้วย ฟอลมันแล้วแปลกตรงไหน”

“...”

“หรือมึงไม่ฟอล”

“ไม่ได้ฟอลอ่ะ” ไปป์ยักไหล่

“เอาท์สัดๆ ของดีของเด็ดของหอกูทำไมมึงไม่ฟอล” ใครๆ ก็พูดถึงมีนกันทั้งนั้น ไม่ก็พูดถึงอาสาโดยเฉพาะไอ้พวกหอสอง เพราะงั้นผมจึงมองเหมือนไอ้ไปป์มันไม่ปกติ

“กูก็ฟอลของดีของหอมึงอยู่”

“ใครบ้างว่ามาซิ”

“อาสาไง”

“อันนี้มันของตายของหอมึง ใครๆ ก็ฟอล” ใครๆ ก็ชอบน้องยกเว้นไอ้สงครามครับ มันเห็นหน้าอาสาทีไรแล้วมันเบื่อ ชอบสร้างปัญหาให้มัน คิดแล้วผมก็ฮา “มีใครอีก”

“และก็มึง”

“ของดีของเด็ดเว้ยไอ้บ้า ไม่ใช่เพื่อนฝูง”

“เนี่ย กูก็กำลังพูดถึงของดีของเด็ด”

ผมหรี่ตามองไอ้ไปป์ มันหัวเราะหึหึคงสะใจมากที่แกล้งผมได้ ผมเอาผ้าขนหนูมาเช็ดหน้าแบบลวกๆ จนกระทั่งผมเอาผ้าออกจากใบหน้า หันไปมองไอ้ไปป์จึงเห็นว่ามันมองผมอยู่

“มีอะไรวะ”

“เคยมีคนบอกมั้ยว่ามึงหน้าเหมือนภาพวาด”

“ก็มีบ้าง”

“มึงคิดว่าไง”

“กูว่ามันตลก”

“ไม่นะ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ” ไปป์ขยับเข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับมองผมอย่างสำรวจ สายตาของมันดูลึกซึ้งมากกว่ามองสำรวจเฉยๆ นิดหน่อยจนผมรู้สึกได้ “คิ้ว ดวงตา จมูก ปาก รูปหน้า ทุกอย่างมันดูลงตัวหมดเลย อย่างกับวาดเอา”

“อวย ไอ้เหี้ย” ผมเอาผ้าตีหน้ามัน รู้สึกเขินแปลกๆ เพราะปกติไปป์มันไม่ค่อยได้ชมผมแบบนี้หรอกนะครับ

“พูดจริง”

ผมเลิกสนใจไอ้ไปป์แล้วลุกขึ้นยืน “ไป ไปเล่นกันต่อ”

“มึงหันมาดิ๊อ้าย” ผมหันไปตามคำเรียกแล้วไอ้ไปป์มันก็กดถ่ายรูปผมด้วยโทรศัพท์ “เพอร์เฟ็กต์สัด”

“เลิกอวยแล้วมาเล่น”

“มึงเขิน?”

“เปล่า กูฟิต”

“ฮ่าๆๆ เออ ไปเดี๋ยวนี้แหละ”







หอสาม ห้อง 101

หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนชุดเสร็จในตอนค่ำ ผมก็มีเวลานิดหน่อยในการเขียนโน้ตสุขใจก่อนออกไปเดินตรวจตรารอบๆ หอ วันนี้ผมนึกความสุขของผมได้ไม่ยากเลยครับ

โน้ตสุขใจ
1. สงครามกล้าเดินเข้ามาในหอสามอย่างหน้าด้านๆ (ซูฮก)
2. มันไม่โกรธเรื่องที่เราเป็นเพื่อนกับไปป์
3. วันนี้ได้ออกกำลังกาย
4. เพื่อนชมว่าหน้าเหมือนภาพวาด (อดรู้สึกปลื้มไม่ได้)
5. อาทิตย์หน้าจะได้ไปแดกของแพงฟรีๆ เพราะงานที่ไอ้เหี้ยตั้มมันจัด


หลังจากที่เขียนเสร็จผมก็เดินออกมาจากห้อง รับไหว้เด็กปีหนึ่ง แตะไหล่เด็กปีสอง ตบหัวเด็กปีสามเบาๆ ทำทุกอย่างเหมือนที่เคยทำ ทั้งนับจำนวน ตรวจสอบการใช้ชีวิตของลูกหอ และดูว่าพวกมันซ่องสุมสิ่งผิดกฎหมายไว้ในห้องหรือเปล่า ส่วนใหญ่หอผมมักจะไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องนี้ครับ เพราะงั้นงานของผมก็เลยสบายหน่อย

ผมยืนอยู่หน้าหอมองดูุลูกหอกลับเข้ามาคนแล้วคนเล่า บางวันก็กลับมาครบ บางวันก็กลับมาไม่ครบ โชคดีที่ไอ้ธัชมันเป็นผู้ช่วยดูแลหอที่ดี มันมักจะมีเหตุผลให้เสมอเวลาที่ผมถามว่าลูกหอไปไหน เช่น ไอ้เต เพื่อนอาสา มันชอบไปแดกเหล้าร้านพี่น้อยจนสนิทกันแถมยังมีห้องพักส่วนตัวที่ร้าน ถ้าไอ้เตมันหาย ก็แปลว่าอยู่ร้านพี่น้อย อะไรประมาณนี้

พักหลังๆ มันอยู่ติดห้อง 204 ของมันมาก อาจเป็นเพราะตั้งแต่มันคบกับไอ้ไมล์เพื่อนมันนั่นแหละ

ผมคิดอะไรเพลินๆ จนกระทั่งมีสิ่งผิดปกติบางอย่างเดินเข้ามาใกล้ พวกหอสี่กลุ่มใหญ่นำมาโดยไอ้เหี้ยตั้ม

“มีเหี้ยอะไร” แน่นอนว่าต้องมีเรื่องผิดปกติ เพราะคนอย่างไอ้ตั้มคงไม่ย่างกรายมาบริเวณหอคนอื่นแบบนี้ง่ายๆ หรอก

“มึงต้องมากับกู” ตั้มพูุด มันยังคงไม่ค่อยกล้าสบตาผมแต่ก็พูดด้วย

“ไปไหน กูประชุมกับมึงแล้วเมื่อเช้า”

“ไม่ใช่เรื่องงาน”

“...”

“เรื่องส่วนตัว”

ผมทำหน้าไม่เข้าใจ ไอ้ตั้มก็เลยกดเปิดโทรศัพท์ให้ดู ภาพที่เห็นในจอทำเอาผมตกใจจนหน้าซีดเผือด มันเป็นภาพของโอม ลูกพี่ลูกน้องของผมโดนต่อยจนหน้าเละและหลับอยู่ที่ไหนสักที่

“มันเป็นลูกหนี้คนของกู และมันวางตัวมึงเอาไว้ไถ่หนี้”

“เฮ้ย” เหี้ย ตลกแล้วววว นี่มันคอวอยออะไรไอ้สัดดดด

“กูขอโทษนะสัดอ้าย กูทำอะไรไม่ได้”

“เดี๋ยว” ผมพยายามรวบรวมสติ “โอมมันเป็นหนี้ มันต้องเกี่ยวกับกูแค่เรื่องเงินไม่ใช่เหรอ ไม่น่าจะเกี่ยวกับตัวกูนะ”

“อ้าย ถ้ามึงไม่สมัครใจ กูจะให้ไอ้พวกนี้แบกตัวมึงไป”

“เหี้ยตั้ม”

“ตอนนี้กูอยู่หน้าหอสาม ถ้ากูทำเหี้ยอะไรมึงพวกลูกหอของมึงคงลงมาจัดการพวกกู หอสี่ทุกคนก็คงจะไม่อยู่เฉยๆ เรื่องก็จะใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะงั้น...กูคิดว่ามึงตามกูมาดีๆ ดีกว่า”

“มึงจะพากูไปไหนตั้ม”

“เออ ตามกูมาก่อน”

ผมคิดว่าเรื่องแบบนี้มันควรจะเกิดกับคนอย่างอาสาไม่ก็คนอย่างมีนมากกว่า เพราะถ้ามันเกิดกับผมมันก็คงจะนิยายเกินไป โอมเอาตัวผมไปวางไว้เป็นตัวใช้หนี้ ทั้งๆ ที่ผมก็ไม่ได้เป็นผู้ชายหน้าตาน่ารักคิวต์ๆ อะไร ผมแข้งขายาวอีกทั้งยังตัวเก้งก้าง...

ทำไมโอมมันทำกับผมแบบนี้วะ








ห้องเย็นเฉียบ

ไอ้ตั้มคงไม่รู้ว่าควรจะพาผมไหนก็เลยให้ผมมาอยู่กับมันที่นี่ก่อน ในห้องที่โคตรหนาวห้องนี้มีผมอยู่กับตั้มสองคน ตั้มบอกให้พวกลูกน้องของมันคอยอยู่ข้างนอก มันมองหน้าผมเครียดๆ อยู่หัวโต๊ะแบบเมื่อเช้าเด๊ะ ขณะที่ผมเองก็เริ่มจะเครียดไปกับมันบ้างแล้ว
ปกติแล้วตั้มมันเป็นมนุษย์ที่ชอบต่อปากต่อคำกับผม แต่วันนี้มันเปลี่ยนไปจนแทบจะไม่เหลือภาพนั้นอีก ตั้มมันเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนจนผมรู้สึกแปลกๆ ที่ความเครียดนั้นมันเป็นเพราะผม ผู้ซึ่งไอ้ตั้มชอบหาว่ามีดีแต่หน้าตา ไม่มีอะไรอย่างอื่นดีเลย

“มึงรู้ใช่มั้ยว่ากูรวย” ช่างเป็นการเปิดประเด็นได้โคตรน่าหมั่นไส้ ผมพยักหน้ารับรู้ “บ้านกูทำหลายอย่างมาก หนึ่งในนั้นก็มีพวกปล่อยเงินกู้”

“...” มันอวดรวยกับผมทำไมกัน

“ญาติมึงคนนี้คงจะมายืมเงินจากสาขาหนึ่งของบ้านกูอ่ะ”

“มึงรู้ใช่มั้ยว่ากูไม่เกี่ยว” ตอนนี้ผมขอเอาตัวเองให้รอดก่อน เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง

“กูก็ไม่เกี่ยว”

“แล้วมึงลากกูมาทำไม”

“กูกำลังคิดว่ากูจะช่วยมึงยังไงดี” ตั้มดูเครียดมากจริงๆ “ปกติแล้วการจะใช้คนมาไถ่หนี้มันต้องเป็นคนที่...เอ่อ...”

“เหมือนอาสา” ผมช่วยขยายความ

“เออ อะไรเทือกๆ นั้น ตัวเล็กๆ ขาวๆ แต่พอผู้จัดการสาขานี้เห็นรูปมึง เขาก็ถูกใจ แล้วเขาก็ตกลงให้มึงเป็นตัวไถ่หนี้ได้”

“เดี๋ยวสิ”

“ญาติมึงไม่ยอมพามึงไปหาเขาตามข้อตกลง ก็เลยโดนเละ”

ผมเอามือทึ้งหัวตัวเอง “งั้นก็แปลว่ามึงช่วยกูได้ใช่มั้ย ในเมื่อเขาเป็นคนของบ้านมึงนี่”

“มันเป็นเรื่องของระบบว่ะอ้าย ถ้ากูเอาตัวเข้าไปยุ่ง ช่วยมึงให้หลุดพ้นจากเรื่องนี้ พวกลูกหนี้คนอื่นก็คงจะมีลีลาเยอะขึ้น เอาตัวกูเข้าไปเกี่ยวมากขึ้น ซึ่งพ่อกูไม่ชอบ”

“...”

“มึงก็น่าจะรู้ ลูกนักธุรกิจก็ต้องคิดแบบลูกนักธุรกิจ”

“มึงจะพูดอะไรกันแน่ไอ้สัดตั้ม”

มันตวัดสายตามองผม เป็นครั้งแรกของวันที่มันสบตาผมได้นานขนาดนี้

“กูจะจ่ายหนี้แทนญาติมึง ให้ญาติมึงเป็นหนี้กูแทน”

“...”

“มึงจะกลายมาเป็นเด็กกู สัดอ้าย”

นี่เป็นเรื่องที่ตลกที่สุดในวันนี้เลย “เหี้ย เป็นก็เหี้ยแล้ว”

“มึงมีทางเลือกเหรอ” ตั้มเสียงดังขึ้น “ถ้ามึงไม่ยอม มึงก็ต้องไปเป็นเด็กผู้จัดการสาขาคนนั้น”

“เหี้ยตั้ม อยู่เฉยๆ จะมาจับกูไปเป็นเด็กคนนั้นคนนี้ไม่ได้นะเว้ย นี่ไม่ใช่ละคร”

“มึงจะโทษใครได้ ในเมื่อญาติมึงทำสัญญาแบบนี้เอาไว้เอง ถ้ามึงไม่ทำตาม ญาติมึงจะตายนะอ้าย”

“ตายเลยเหรอ” ผมอ้าปากค้าง “บ้านมึงทำธุรกิจแบบไหนกันวะ บ้าไปแล้ว”

“มึงก็น่าจะได้เห็นความรุนแรงที่อยู่ในรูปแล้ว” ตั้มพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ผมนึกไปถึงสภาพของโอมที่เพิ่งได้เห็นเมื่อไม่กี่สิบนาทีก่อน มันดูไม่ได้จริงๆ “ถ้ามึงไม่ห่วงมัน อย่างน้อยก็ควรห่วงตัวมึงเอง กูรู้จักมึงมาก่อน แต่ผู้จัดการบ้าอะไรนั่นไม่รู้จักมึง”

“มัน...” ผมบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ “กูประธานหอสามนะเว้ย” อยู่ดีๆ จะให้ไปเป็นเด็กมัน มันบ้าป่ะ

“มึงเลือกมีญาติผิดอ่ะ”

“มันใช่ความผิดกูมั้ย”

“เป็นเด็กกูก็ไม่เสียหายหรอก”

“เหี้ยตั้ม!”

“มึงมองว่าเป็นเรื่องที่มึงติดหนี้บุญคุณกูก็แล้วกัน”

“...”

“แล้วกูจะติดต่อไป”







ผมกดโทรออกหาโอมเป็นครั้งที่สิบแล้วโอมก็ไม่ยอมรับสาย ผมจึงหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ระหว่างทางกลับหอผมเตะนั่นเตะนี่ไปทั่ว รู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ควรเกี่ยวอะไรกับผม ทำไมผมต้องมาเป็นแพะ

นี่มันเกินไปแล้ว ครั้งนี้โอมแม่งทำเกินไปจริงๆ

“เป็นอะไร” เสียงหนึ่งดังขึ้นจนผมสะดุ้งเฮือก สงครามมันยืนอยู่ในที่มืด ไม่รู้ว่ามันยืนทำอะไรอยู่

พอเห็นหน้ามันก็ยิ่งรู้สึกหน่วงในหัวใจ จึงเลือกที่จะไม่ตอบแล้วเดินหนีแทน

“เดี๋ยว ถ้าคราวนี้มึงงอนอะไรกูอีก กูว่ามึงต้องเป็นมนุษย์ที่โคตรขี้งอนที่สุดในโลก กูยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ”

สงครามเดินตามผมมา (แบบห่างๆ)

“เชี่ยอ้าย”

“ไม่เกี่ยวกับมึง โทษที กูไม่พร้อมจะคุย”

“ทำไมต้องเข้าไปห้องนั้นกับไอ้ตั้ม”

ฉิบหาย สงครามมันเห็นเหรอ

“มันทำอะไร บอกกูมา”

“...”

“จริงๆ แล้วไม่ต้องบอกก็ได้ กูว่ากูไปซัดแม่งเลยดีกว่า”

สงครามหันหลังกลับ ทำท่าจะเดินไปต่อยไอ้ตั้มจริงๆ จนผมต้องรีบคว้าไหล่มันเอาไว้

“ไม่มีอะไรเว้ย” ผมรีบพูด “กูโอเค”

“โอเคก็เหี้ยแล้ว เมื่อกี้มึงทำร้ายพุ่มไม้ไปตั้งเยอะ” อีกฝ่ายโวยวาย “ถ้ามันทำอะไรก็บอกกูมา กูต่อยคนอื่นเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องเสียหาย”

“มันซับซ้อน” สงครามไม่ควรโผล่มาในเวลานี้เลย

“อ้าย มึงดูผิดปกติจริงๆ นะ”

“กูทำเป็นปกติตอนนี้ไม่ได้จริงๆ”

“กูไม่สบายใจเลย”

“ไม่ต้องเป็นห่วง”

“ไม่มีใครเถียงกับกูได้สนุกเท่ามึงอีกแล้วจริงๆ นะ มึงเป็นแบบนี้มึงจะเถียงกับกูได้ไง”

“เหี้ยสงคราม”

“อ้าย” ผมได้ยินเสียงไอ้ตั้มเรียกจึงหันไปมอง มันเพิ่งวางสายเสร็จ สีหน้ามันดูโล่งใจไม่น้อย “กูเคลียร์เรียบร้อย”

“เคลียร์เหี้ยอะไร” สงครามที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรทำท่าจะพุ่งไปต่อยไอ้ตั้มอย่างเดียว ตั้มตกใจเล็กน้อย ผมรีบคว้าตัวสงครามเอาไว้ ไอ้ตั้มมันก็เลยกล้าพูดต่อ

“ไอ้เจ้าหนี้นั่นมันหน้าเลือดฉิบหาย โก่งราคาสัดๆ คงเสียดายมึงมากอ่ะ เขาบอกว่าเขาแอบขับรถมาดูมึงแล้วด้วยนะ”

“โรคจิตสัด” ทำไมผมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยวะ ขอทึ้งหัวตัวเองแป๊บ

“พวกมึงพูดเรื่องเหี้ยอะไรกัน” สงครามยังดูไม่เข้าใจ

“กูได้มึงมาในราคาสองเท่าของหนี้เดิมของญาติมึง สัดอ้าย”

“...”

“ต่อไปนี้มึงเป็นเด็กกูแล้ว”

“มึงหุบปากกกกกกก” สงครามดูหมดสิ้นความอดทน ไม่รู้เพราะมันโกรธหรือเพราะมันไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าความจริงเป็นยังไงกันแน่ ตั้มกับคนอื่นๆ รีบเดินหนีไปทางอื่น ขณะที่ผมพยายามจับตัวใหญ่ๆ ของสงครามเอาไว้ “เหี้ยนั่นพูดเรื่องอะไร เด็กอะไร ราคาอะไร เกี่ยวเหี้ยอะไรกับมึง”

“กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ” ผมทำหน้าเศร้า ไลน์ของผมดังตอนนั้นพอดี อ่านแล้วรู้สึกอยากเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้ง

ตั้ม หอสี่ : พรุ่งนี้เก้าโมง เจอกันที่ลานจอดรถหอกู




TBC*
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 28-08-2017 22:22:33
ฮืออออ รอพี่อ้ายนานมากกกกกก
ไม่อยากยกให้อิพี่สงครามแล้ว เราหวงพี่อ้ายยยย :ling1:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 28-08-2017 22:40:44


ตอนที่ 5




08.21 น. โรงอาหารใต้หอสาม

มือของผมกำลังไล่กดอ่านข้อความในไลน์ที่มีคนส่งมาหาเมื่อเช้าอยู่

สงเหี้ย หอสอง : เด็กไอ้ตั้มเหี้ยอะไร ไม่เข้าใจโว้ย

“เหี้ย” ผมอ่านข้อความไอ้สงครามแล้วอดบ่นไม่ได้ กูก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง มึงเข้าใจกูม้ายยย

ตั้ม หอสี่ : ปกติกูชอบเลี้ยงข้าวเด็กกูอ่ะ มึงอย่าเพิ่งแดกอะไรเยอะละกัน

“โคตรเหี้ย” กำตะเกียบแน่นมากตอนอ่าน

PIPE : วันนี้ทำโปรเจ็กต์ตอนสิบเอ็ดโมงนะเว้ย อาจารย์ว่างแค่ตอนนั้นว่ะ

“ฉิบหายยยยย” คราวนี้ตะเกียบในมือผมหล่นกระจายชนิดที่ว่าน่าอายเป็นที่สุด พวกลูกหอเริ่มมองผมด้วยสายตาแปลกประหลาด

“ไหวป่ะเนี่ย” ทนายวางจานอาหารลงตรงหน้าผม “ทำไมดูไม่ค่อยมีสติ”

“งานเข้ากูเยอะ มึงไม่เข้าใจหรอก” ผมตอบเดือนหอปีนี้อย่างเซ็งๆ

“พี่สงครามเหรอ”

“ทำไมถึงคิดว่าเป็นเรื่องไอ้นั่น”

“อาสาเล่าให้ฟัง เห็นพี่กับพี่สงครามในเซเว่น” ทนายทำหน้ายิ้ม “แลดูมีซัมธิง”

“ซัมธิงค. อะไร”

“ดูคำพูดคำจาสิ ฮ่าๆๆ ผมล้อเล่น”

“เดี๋ยวกูก็แช่งให้แฟนมึงมีคนมารุม”

“ไม่ต้องแช่งหรอกพี่ มันกำลังโดนเลยเนี่ย” ทนายร้องเมื่อเห็นว่าอาสาที่กำลังสั่งอาหารอยู่มีพวกหอสองมายืนแซวอยู่ใกล้ๆ “ไอ้ห่านเป็ดเอ๊ย คลาดสายตากูไม่กี่วิ”

มันลุกขึ้นไปจัดการลากตัวแฟนตัวเองทันที ผมมองอย่างปลงๆ ชีวิตผมมีปัญหา ชีวิตไอ้ทนายมันก็มีปัญหา แม้จะเป็นปัญหาคนละแบบก็ตาม ผมดูไอ้ทนายมองขู่ใส่พวกหอสองอย่างเฉยชา จนกระทั่งนึกอะไรขึ้นมาได้

ไอ้สัด พวกหอสองมาทำเหี้ยอะไรแถวนี้!

“จะไปไหน” ผมกำลังจะไปจัดการแต่ถูกคนคนหนึ่งคว้าคอเสื้อผมเอาไว้จนตัวปลิว “มาคุยกับกูเลยไอ้เหี้ย”

เห็นหน้าสงครามวันนี้แล้วรู้สึกอยากหนีไปให้ไกลสุดขอบโลก ตอนนี้ปัญหาของผมมีอยู่อย่างมากล้น มันไม่จำเป็นที่จะต้องมาเพิ่มปัญหาให้ด้วยการมาแดกข้าวใต้หอคนอื่นแบบนี้ มันใช่เวลามั้ย

“นั่ง” เสียงมันวางอำนาจ ผมเหนื่อยจนไม่คิดจะขัด ใครจะคิดเหี้ยอะไรก็เรื่องของแม่งแล้ว

F*CK THE WORLD

อดมองไปที่อาสากับทนายอย่างเป็นห่วงไม่ได้ สงครามมองผมอย่างนึกรำคาญ ก่อนที่มันจะหันไปหาลูกหอของมันแล้วพยักเพยิดให้คนพวกนั้นออกไปจากหอสามซะ

พวกมันแห่กันเดินกลับไปภายในเวลาไม่ถึงห้าวินาที

ยอมใจแม่งจริงๆ ใช้แค่สายตาขู่ก็ได้ด้วย

“ทีนี้คุยกับกูได้หรือยัง”

“กูไม่รู้จะคุยอะไร”

“มึงไม่ตอบไลน์กู มึงกล้ามากอ่ะ”

“กูไล่อ่านอยู่ไอ้บ้า”

“มีคนทักมาหลายคนเหรอ”

“ก็เอ่อ...”

“เหี้ยตั้มใช่มั้ย”

“มึงเป็นพ่อกูแล้วเหรอสงคราม ถามจังเลยเนี่ย”

“พี่อ้าย มีอะไรหรือเปล่าพี่” คนเดียวในหอสามที่กล้าต่อกรกับสงครามทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ผม มันไม่ยอมให้อาสาไปนั่งฝั่งสงครามจึงลากให้นั่งอยู่อีกข้างของมัน โต๊ะที่นี่ก็มีเยอะแยะมั้ยล่ะทนาย “มีเรื่องอะไรกับพี่ผม”

“มาเสือกอะไรตอนนี้เนี่ย ถอยไป”

“เอาไง” ทนายเริ่มลังเลเพราะสงครามดูจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ มันหันมาหาผมอย่างขอความเห็น ผมถอนหายใจก่อนจะพยักหน้าเบาๆ

น่าสงสารอาสาที่ถูกทนายลากไปลากมา คราวนี้ถูกลากไปนั่งที่อื่นเรียบร้อยแล้ว

เมื่ออยู่กันสองคน สงครามจึงเอ่ยปากพูดต่อ “ตอบมา รู้ว่าตัวเองสวยก็อย่าลีลา”

“สวยเหี้ยอะไร” อดเสียงดังขึ้นไม่ได้

“ไม่สวยหรือไง คนทักมาเยอะแยะแบบนี้”

“ไอ้ควายเสียงสั้นๆ”

“มึงด่าออกมาเลยดีกว่า”

“ค.”

“มีเรื่องเหี้ยอะไร และถ้ามึงไม่ตอบภายในสิบวิ กูคว่ำโต๊ะนี้แน่”

มันทำจริงๆ แน่ มันทำชัวร์ๆ ใครจะไปห้ามคนอย่างสงครามได้ ผมคอตกอย่างปลงๆ ไม่คิดว่าปัญหาที่ผมไม่เข้าใจจะถูกแชร์ให้สงครามมันได้รับรู้ ท่ามกลางสายตาของเด็กหอสามที่มองพวกเราอย่างประหลาดใจ ต้องขอบคุณออร่าความอำมหิตของสงครามที่คงทำให้คนภายนอกมองดูเหมือนผมถูกมันข่มขู่ตลอดเวลา ไม่มีทางญาติดีกันแน่นอน ผมจึงไม่ควรคิดมากว่าลูกหอจะมองผมยังไง

ผมเริ่มเปิดปากเล่า สงครามมีปฏิกิริยาตอบรับอย่างป่าเถื่อนขึ้นเรื่อยๆ พอผมเล่าเสร็จมันก็ลุกขึ้น จากนั้นมันก็เตะถังขยะแถวนั้นจนล้มกระจาย

ไอ้ฟายยยยยย สงสารแม่บ้านโรงอาหารโว้ย

“กูจะไปฆ่าสัดโอม มันเป็นคนเหี้ยยยย!”

“อย่าเสียงดัง”

“หรือจะฆ่าไอ้เหี้ยตั้มก่อนดี ง่ายดี จัดการไปทีละคน”

“สงคราม”

“กูไม่ชอบ ไม่ชอบโว้ย” มันกระทืบเข้าไปที่เก้าอี้ซึ่งติดกับโต๊ะผมจนสะเทือนไปหมด ผมสะดุ้งแล้วสะดุ้งอีก ไม่คิดว่าสงครามมันจะโมโหได้รุนแรงขนาดนี้ “มึงควรเป็นของเล่นของกูคนเดียว ไม่ใช่ของคนอื่น”

“นี่เรียกว่าคำพูดเหรอเนี่ย”

“ควรฆ่ามันยังไงดี ถีบลงจากยอดตึกหรือว่าผลักลงจากภูเขา”

“เหี้ยสงคราม ฟังกูอยู่มั้ยเนี่ย”

“อ้าย กูกำลังคิดหนักอยู่นะ”

“มันไม่เกี่ยวกับมึง”

“มันเกี่ยวตั้งแต่มึงทำหน้าไม่สบายใจแล้ว” สงครามร้อง ผมอดชะงักนิ่งมองมันอย่างทึ่งๆ ไม่ได้ มันเดินหนีไปทิ้งให้ผมอ้าปากค้างตามหลัง

ทนายกับอาสากลับมานั่งที่โต๊ะเดียวกันกับผมอีกครั้ง มึงสองคนนี่เป็นอะไรมากมั้ยเนี่ย

“ซัมธิง” อาสากระซิบกับทนาย

“ชัวร์” อีกฝ่ายก็เห็นดีเห็นงาม

ผมทำหน้าเย็นชาใส่เด็กสองคนนี้ก่อนจะเดินหนีไปอีกคน นึกขึ้นได้ว่าต้องรีบไปเจอเหี้ยตั้ม






ลานจอดรถหอสี่

ผมมีปัญหาครับตอนนี้ รถคันไหนเป็นของไอ้เหี้ยตั้มวะ รถแพงๆ พวกนี้ดูเหมือนกันไปหมดจนน่าตกใจ

“กูอยู่นี่” ไอ้ตั้มโบกมือเรียกจากรถยี่ห้อพอร์ช ผมถอนหายใจขณะเดินไปเปิดประตูขึ้นนั่งข้างคนขับ ไอ้ตั้มดูอารมณ์ดีกว่าเมื่อวานอย่างเห็นได้ชัด ดูมันมีความสุขยังไงชอบกล

มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นหรือเปล่าวะ

“ตั้ม กูว่ามึงกับกูมีเรื่องต้องคุยกัน”

“อะไรไอ้สัด”

“ไอ้สถานะเด็กมึงอะไรเนี่ย กูยังมึนๆ อึนๆ อยู่เลย”

“กูรู้” ตั้มพยักหน้า “มึงทำตัวตามปกติไปเลย อย่างน้อยก็ช่วยทำให้คุ้มกับเงินสองแสนที่กูเสียไป กูเป็นลูกนักธุรกิจ กูลงทุนกับอะไรกูต้องได้กลับคืนมาบ้าง...”

“เดี๋ยว” ใจผมโฟกัสไปที่จำนวนเงิน “สองแสนอะไร”

“หนี้ไอ้โอมมันแสนนึงไง กูอยากได้ตัวมึง กูก็ต้องจ่ายเป็นสองเท่า”

“เรื่องเหี้ยอะไรเนี่ย” ใครก็ได้ช่วยดีดนิ้วแล้วบอกผมทีว่าเรื่องทั้งหมดมันไม่จริง

“มึงจะดูตัวเลขในบัญชีที่หายไปมั้ยล่ะ” ตั้มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูเมสเสจแจ้งเตือนของธนาคาร เงินมันหายไปสองแสนจริงๆ จากเงินที่มีอยู่จำนวนมาก มีกี่หลักวะนั่นน่ะผมมองไม่ทัน ตัวเลขแม่งเยอะอย่างกับรหัสตัวเลขใต้บาร์โค้ด

“นี่มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นกันเหรอวะ” ผมยังคงทำใจไม่ได้

“มึงก็เห็นสภาพไอ้โอมแล้ว”

“กูยังติดต่อมันไม่ได้เลย” ไอ้ญาติห่านี่

“ลูกหนี้ก็ชอบทำตัวเหมือนลูกหนี้นั่นแหละ ไม่รับสายใครง่ายๆ หรอก” ตั้มจับพวงมาลัย มันสตาร์ทรถไว้นานแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมออกตัวสักที

“แล้วมึงช่วยกูทำไม”

คำถามนี้ของผมทำเอามันบีบพวงมาลัยแน่นขึ้น

“นี่อาจจะดูเป็นเรื่องล้อเล่นมากกว่าเรื่องเมื่อกี้อีกนะอ้าย”

“...”

“ลึกๆ แล้วกูอาจจะสนใจมึงอยู่” ท้ายประโยคของไอ้ตั้มแผ่วลงไปมากจนผมไม่ได้ยินอะไรเลย






สองแสน สองแสน สองแสน...

จำนวนเงินที่มากมายมหาศาล (สำหรับวัยอย่างผมซึ่งยังหาเงินเองไม่เป็น) มันลอยไปลอยมาอยู่ในหัว จนถึงวินาทีนี้ผมก็ยังติดต่อไอ้โอมมาเคลียร์เรื่องนี้ไม่ได้ ฉะนั้นตลอดช่วงเวลาทำโปรเจ็กต์กับไอ้ธัชและก็ไอ้ไปป์ ผมไม่มีสติเลย ใจมัวแต่คิดไปถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นซึ่งตลกราวกับเป็นนิยายที่คนสติไม่ดีแต่งขึ้น

มันเป็นความจริงที่ผมต้องเจอจริงๆ เหรอ นี่ผมกลายเป็นเด็กไอ้เหี้ยตั้มไปแล้วเหรอ เป็นแบบที่ผมไม่ได้สมัครใจจะเป็นเนี่ยนะ

“เมื่อเช้าใครมาส่งวะ” ไอ้ธัชเอ่ยระหว่างที่มันกำลังนั่งเช็กส่วนประกอบของเครื่องยนต์อยู่

“มึงสองคนไม่ได้มาด้วยกันเหรอ” ไปป์มองหน้าผมกับธัชสลับกัน ธัชมันส่ายหน้า ในขณะที่ผมนั้นไม่รู้จะตอบพวกมันดีหรือเปล่า

“รถหรูซะด้วยนะ” หน้าไอ้ธัชมีแววจับผิด “กูได้กลิ่นพวกหอสี่มาแต่ไกล”

“ไอ้เหี้ยตั้มน่ะ” ผมตอบ เพราะปิดไปเดี๋ยวมันก็หาทางไปสืบเองอยู่ดีว่ารถใคร

“ไอ้ตั้มเนี่ยนะ มึงไปญาติดีกับมันตั้งแต่เมื่อไหร่”

“เมื่อวานมั้ง”

ไอ้ธัชเลิกคิ้วอย่างงงๆ ส่วนไอ้ไปป์ถึงกับเปลี่ยนสีหน้าไปเลย คล้ายกับต้องการคาดคั้นผมต่อยังไงชอบกล

“มึงก็รู้ว่าพวกหอสี่มันเจ้าเล่ห์จะตาย” ไปป์กล่าว “โดยเฉพาะประธานหอมัน มึงไปยุ่งกับมันทำไม”

“กูไม่ได้อยากยุ่งเลย แต่กูมีปัญหาส่วนตัวว่ะ”

“ปัญหาอะไร มึงมาหากูก็ได้นะเว้ยอ้าย”

“...”

“มึงเดือดร้อนเรื่องเงินเหรอ”

“ไม่ใช่โว้ย” พอมีพวกหอสี่มาเกี่ยวข้องทีไรเป็นอันต้องพูดถึงเงินทุกทีไป “ปัญหาส่วนตัวที่กูพูดไม่ได้ มันเกี่ยวกับครอบครัวกู”

ใครจะไปกล้าเล่าว่าญาติเป็นหนี้แล้วเอาตัวผมเป็นตัวชดใช้หนี้ นอกจากน่าอายแล้วยังน่าสมเพชฉิบหาย

“อย่าเพิ่งเซ้าซี้กูตอนนี้เลยว่ะ วินาทีนี้กูยังงงกับชีวิตกูอยู่เลย”

ธัชพยักหน้าเข้าใจเพราะรู้ว่าผมดูแลตัวเองได้ชัวร์ๆ แต่ไอ้ไปป์เนี่ยสิ ดูยังไงมันก็ไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ

“หรือมึงกับตั้มกำลังคุยกันอยู่?”

“ไม่ใช่” ผมรีบร้องปฏิเสธ

“ไม่มีใครได้นั่งรถไอ้ตั้มง่ายๆ นะ แม้กระทั่งเด็กมัน” ธัชเอ่ยลอยๆ “ประธานหอกูไปทำอะไรถูกใจประธานหอสี่เข้าล่ะเนี่ย”

“แล้วคนอย่างมึงไปรู้เรื่องของประธานหอสี่ได้ยังไง” ผมถามคืน

“โอ้ย ชีวิตพวกมันใครๆ ก็พูดถึง รวยมหาศาลล้านแปดขนาดนั้น”

“...”

“ตกลงมึงกับไอ้ตั้มไม่ได้มีอะไรกันใช่ป่ะวะอ้าย เพราะถ้ามีกูว่าลูกหอเราจะมีปัญหา ไม่มีใครชอบพวกหอสี่เลยนะเว้ย”

“กูไม่ได้ชอบมันโว้ยไอ้เหี้ยธัช”

“อะแฮ่ม” เสียงคนกระแอมขัดจังหวะบทสนทนาของพวกเรา เด็กคณะนิเทศฯ ปีสี่อย่างไอ้ตั้มมาปรากฎตัวอยู่ในตึกสาขาวิศวกรรมยานยนต์ได้ยังไงก็ไม่รู้ ทำให้ไอ้ธัชถึงกับทำไขควงหล่น

“มาทำเหี้ยอะไร” ไปป์ถามตั้มอย่างไม่ไว้ใจ

“มารับไอ้อ้าย” ตั้มตอบสีหน้าเฉยๆ

“ทำไมต้องมารับ ออกไปไกลๆ”

“เกิดอะไรขึ้น” ความวุ่นวายระลอกที่สามกำลังจะตามมา ไอ้สงครามซึ่งควรอยู่ในโรงเก็บเครื่องบินก็ดันมาโผล่ที่ตึกสาขาของผมอีกคน “มีเหี้ยอะไรกัน”

ไปป์มองหน้าสงคราม สงครามมองหน้าตั้ม ไอ้ตั้มมองหน้าผม ส่วนผมไม่รู้จะมองใครดี

“แม่เจ้าโว้ย” ไอ้ธัชถอยหลังกรูด ผมจะถอยหลังตามมันแต่ไอ้สงครามคว้าตัวผมเอาไว้

“มึงไม่ต้องไปไหนเลย”

“กูทำงานค้างไว้อยู่”

“มึงต้องไปคุยกับกูและก็ไอ้เหี้ยตั้ม”

ตั้มหันมาจ้องสงครามเขม็ง ผมเริ่มภาวนาในใจไม่ให้พวกมันใช้ความรุนแรงกันในนี้

“เออ ก็ได้” ผมวางปากกากับสมุดพร้อมออกไปกับพวกมันสองคน แต่ไอ้เหี้ยไปป์ก็คว้าแขนผมเอาไว้

“กูไปด้วยได้หรือเปล่า”

ผมไม่เข้าใจสีหน้ากับสายตาของไปป์ มันดูเป็นห่วงผมมากจนเกินไป

“ไม่ต้อง” สงครามตอบแทน จากนั้นก็กระชากแขนผมให้เดินไปข้างหน้า ไอ้ตั้มรีบเดินตามมา อาจเป็นเพราะมันกลัวว่าผมจะหัวคะมำจากแรงฉุดของไอ้สงคราม






ผม ไอ้ตั้ม และก็ไอ้สงครามยืนอยู่หน้าคณะวิศวฯ ท่ามกลางสายตาหลากหลายคู่ นานๆ ทีชาวบ้านชาวช่องจะมีโอกาสได้เห็นประธานหอสามคนยืนอยู่ด้วยกัน เขาคงมองเพราะมันเป็นเรื่องประหลาด ส่วนผมกำลังรู้สึกหวาดระแวงถึงขั้นหวั่นวิตก กลัวฉิบหายว่าสงครามมันจะทำอะไรไอ้เชี่ยตั้มตรงนี้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นความสงบสุขของหอพักทั้งหกคงจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป

ทุกอย่างขึ้นอยู่กับฝ่ามือและก็ฝ่าตีนของไอ้สงครามเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่มีใครกล้าลงมือกับมันก่อนหรอกครับ เว้นเสียแต่ว่าคนคนนั้นจะไม่รู้พิษสงของไอ้เหี้ยสงครามจริงๆ

“จะคุยตรงนี้ กลางแดดเปรี้ยงๆ เนี่ยนะ” ไอ้ตั้มผู้รักสบายเอามือปิดหน้ากันแดด

“สำอางจริงๆ ไอ้เหี้ยอ้ายต่างหากที่ควรกลัวแดดมากกว่ามึง”

“อ้าวไอ้สงคราม กูยืนอยู่เฉยๆ นะครับ” ไอ้เรื่องห่วงหล่อนี่ทำไมต้องโยนมาให้ชาวหอสามอย่างผมรับอยู่เรื่อย

“มีอะไรจะคุยก็ว่ามา” ตั้มที่สูงน้อยกว่าสงครามหน่อยพยายามหยีตาสู้แดด

“กูรู้เรื่องมึงกับไอ้เหี้ยนี่แล้ว” สงครามพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มแข็ง “กูไม่เห็นด้วย”

“มึงกำลังเสือกเต็มๆ”

“กูยอมรับ”

“...”

“ทำไงถึงจะไม่ให้ไอ้เหี้ยอ้ายมีสถานะว่าเป็นเด็กของมึง”

ณ ชั่วเวลาขณะนั้น ผมมองหน้าสงครามอย่างเผลอไผล จริงๆ เรื่องนี้แม่งโคตรจะไม่เกี่ยวกับมัน มันสามารถไปออกกำลังกายชิลๆ ไปเรียน ไปทำโปรเจ็กต์ ไปทำอะไรก็ได้โดยที่ไม่ต้องมาสนใจเรื่องนี้ แต่มันกลับสนซะงั้น อีกทั้งยังบากหน้ามาคุยกับไอ้เหี้ยตั้มโดยที่ไม่สนใจว่าตั้มจะเอาเรื่องนี้ไปขยายต่อหรือเปล่า

สถานะของเราสามคนแม้จะดูแข็งแกร่งแต่ก็ค่อนข้างเปราะบาง บางครั้งการเป็นประธานหอมันก็ทำให้เราทุกคนวางตัวยาก ที่แน่ๆ ผมไม่ควรสนิทกับประธานหออื่นมากจนเกินไป แต่ดูเหมือนไอ้ตั้มมันจะไม่แคร์ความจริงในเรื่องนี้เลย เพราะมันยังลากผมไปเป็นเด็กมันได้ ช่างบ้าบอจริงๆ

มันจะว่ายังไงเรื่องที่สงครามเพิ่งถามไป

“มึงถามจริงจังหรือมึงถามเล่นๆ” ตั้มเหลือบมองผมก่อนตอบสงคราม

“ดูหน้ากูเอาก็แล้วกัน”

มันจริงจัง...ไม่ต้องเสียเวลาสืบให้ยากเลยครับ

“ก็ต้องเสียเงินให้กูสองเท่า เหมือนที่กูจ่ายให้เจ้าหนี้ไอ้เหี้ยโอมก่อนจะได้ไอ้อ้ายมา”

ผมหลับตาลงอย่างเจ็บปวดรวดร้าว

กูเป็นคนไม่ใช่สิ่งของ แม่งโยนไปโยนมาเหมือนกูเป็นกระดูกให้หมามาแย่งกันแทะยังไงยังงั้น

“เท่าไหร่” สงครามดูไม่ตกใจกับเรื่องบ้าๆ พรรค์นี้ บ้านมันก็มีฐานะในระดับหนึ่งครับ คงจะชินกับอะไรแบบนี้ล่ะมั้ง ผมไม่เห็นจะเคยชินเหี้ยไรเลย

“สองเท่าของสองแสน”

“สี่แสน” สงครามมองหน้าผม จากนั้นก็ลากสายตาตั้งแต่ศีรษะไปจรดปลายเท้า “ราคาไอ้อ้ายแพงไปป่ะเนี่ย ลดหน่อยเด๊ะ”

ผมควรจะโกรธหรือรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ดีครับ สงครามแม่งกวนตีน

“ก็ถ้าไม่จ่าย...” ไอ้ตั้มคว้าไหล่ของผมหมับ “เชี่ยอ้ายมันก็ยังเป็นเด็กกู”

“ต้องเป็นนานเท่าไหร่”

“สัญญาที่ไอ้โอมมันทำไว้ก็หนึ่งเดือน”

สงครามมองผมก่อนจะถาม “ไหวป่ะเดือนนึง”

“ไหวก็บ้าดิวะไอ้สัด” ผมพยายามสะบัดแขนไอ้ตั้มออก สงครามเข้ามาช่วยด้วยการลากตัวผมไปอีกฝั่ง อย่าคิดว่ามันจะลากเบาๆ ครับ มันกระชากจนผมเกือบล้ม

พลังของแม่งไม่ใช่แค่พลังช้างสาร แต่เป็นแมมมอธสาร แรงเยอะขนาดนี้มึงไปเป็นยอดมนุษย์ช่วยกู้โลกดีกว่า

“กูขอโทรไปหาแม่ก่อน” สงครามพูด “เดี๋ยวกูจะจ่ายให้”

“ตอนนี้ถ้ากูยังไม่ได้ตังค์ อ้ายมันก็ยังต้องไปกับกู”

“กูไม่ให้ไป”

“เสือกไรสงคราม”

“กูเสือกเพราะกูต่อยเป็นเนี่ยแหละ มึงจะเอายังไงไอ้ตั้ม”

ไอ้ตั้มกระพริบตาปริบๆ มันไม่ยอมเสียมาดประธานหอง่ายๆ แต่ดูก็รู้ว่ามันเองก็แอบหวั่นหมัดของสงคราม

“กูให้เวลาไม่เกินสี่ทุ่ม” ตั้มพูดขึ้นในที่สุด

“เออ”

“ถ้าเกิน...มึงจะไม่มีโอกาสได้ตัวไอ้อ้ายอีก”

“รู้แล้ว”

ตั้มมองหน้าผม จากนั้นก็เดินหนีกลับไปยังรถของมัน ผมกำลังจะอ้าปากคุยกับสงคราม แต่อีกฝ่ายก็กดกุญแจรถแล้วเดินนำผมไปยังรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ชักช้าทำไมล่ะ ตามมาสิเดี๋ยวไม่ทัน”

“ไปไหนวะ”

“ไปหาเงินไงไอ้สัด สี่แสนนะเว้ยไม่ใช่สี่บาท”

ผมมองอย่างไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นสงครามมันชักสีหน้าผมจึงรู้ตัวว่าควรรีบขึ้นรถ ก่อนที่มันจะโวยวายไปมากกว่านี้





[มีต่อนะคะ]






หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 01/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 28-08-2017 22:41:10





“แม่ ยืมเงินหน่อยสี่แสน”

[!@#$%^&*!@#$%^&*!@#$%^&]

สงครามเอียงหูออกจากโทรศัพท์ขณะที่โทรหาแม่

“มีเหตุจำเป็นน่ะ ลูกหอถูกต่อยจนคางเหลืองเจ็บไปตั้งแปดคนอ่ะแม่ ไม่มีเงินจ่ายค่ารักษา”

สกิลการตอแหลของมันนี่ถือว่าควรได้รับโล่รางวัล

“น่ารักมาก สี่แสนนะแม่”

สายตาของสงครามมองผมอย่างเซ็งๆ

“สองไม่ได้ สามไม่ได้ ต้องสี่”

ผมหลบสายตาสาวๆ ที่เดินผ่านไปมาและกำลังมองดูพวกเราอย่างสนอกสนใจ

“เนี่ย อยู่หน้าธนาคาร”

ใช่ ตอนนี้ผมกับมันกำลังอยู่หน้าธนาคารในห้างภารกร

“ถอนเงินรวดเดียวสี่แสนไม่ได้เหรอ ต้องมีลายเซ็นแม่เหรอ”

สงครามพูดอย่างเซ็งๆ ในระหว่างนั้นมีขบวนอะไรก็ไม่รู้เดินผ่านหน้าผมกับสงครามไป คนที่ยืนอยู่อย่างโดดเด่นท่ามกลางพนักงานกลุ่มใหญ่นั่นผมรู้สึกคุ้นหน้าอย่างประหลาด เหมือนเด็กหอสี่มอผมเลย

“พรุ่งนี้ก็ได้ แต่ต้องพรุ่งนี้นะแม่ ตอนนี้ผมขอเคลียร์ปัญหาเรื่องวันนี้ก่อน ขอบคุณมากครับ บุญคุณครั้งนี้จะไม่มีวันลืม สงครามยืมแล้วต้องคืน พูดคำไหนคำนั้น”

มันกดวางสายไปแล้ว จากนั้นมันก็ลุกขึ้นทำท่าเหมือนจะเดินไปขวางขบวนนั้น

“เฮ้ย มึงทำไรวะ”

ผมห้ามมันไม่ทัน สงครามไปยืนขวางทางชาวบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมรู้ครับว่ามันเป็นคนตามใจตัวเองแบบสุดโต่ง แต่ไม่คิดว่ามันจะทำขนาดนี้

“ไอ้คีน”

“ครับ พี่สงคราม” ที่แท้เด็กหอสี่คนนั้นก็คือไอ้คีนนี่เอง บ้านมันรวยที่สุดในจังหวัดนี้แล้วอีกทั้งห้างนี้ยังเป็นของที่บ้านมันอีกต่างหาก

“มีเรื่องจะคุยด้วย”

แม้แต่คีนยังเกรงใจสงคราม มันจัดการให้พนักงานเดินไปทางอื่นก่อนจะมายืนฟังสงครามพูดอย่างตั้งใจ

“ว่าไงครับพี่”

“ยืมเงินหน่อยสี่แสน พรุ่งนี้คืน”

ผมแทบจะเอามือปิดหน้าปิดตาตัวเองอยู่แล้ว ดูก็รู้ว่าคีนมันจะต้องตกใจหรือไม่ก็ช็อกที่จู่ๆ ใครก็ไม่รู้มายืมเงินหลายแสนแต่ทำเหมือนมายืมเงินสิบบาท

แปลกแต่จริง คีนมันดูไม่ตกใจขนาดนั้น อีกทั้งยังมองสงครามอย่างพินิจพิเคราะห์แบบอารมณ์ดีอีกต่างหาก

“มีเรื่องใช้เงินด่วนเหรอครับ”

“ใช่ ด่วนฉิบหาย”

“...”

“กูไปดีลอะไรบางอย่างไว้กับคนในหอมึงอ่ะ”

“บอกได้มั้ยครับว่าใคร”

“ไม่” สงครามตอบ “มันได้รู้กันพอดีว่ากูมาเอาเงินจากมึงก่อน”

คีนจ้องสงครามสลับกับผม ผมคิดว่าให้ตายยังไงคีนก็ไม่ให้ยืมง่ายๆ แน่ เงินมันไม่ใช่น้อยๆ ไอ้สงครามนี่ก็นะ ไม่รู้ใช้อะไรคิด ถึงได้...

“ได้สิครับพี่ ห้องทำงานผมอยู่ตรงโน้น เดี๋ยวผมจัดการเรื่องเงินให้นะ”

เหี้ยอะไรเนี่ยยยยยยยยย

“เออ ขอบใจ เดี๋ยวพรุ่งนี้กูคืน”

“ครับ ผมรู้ พี่พูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว”

สงครามมันน่าไว้ใจขนาดนั้นเลยเหรอวะคีน ผมอยากจะถามใจจะขาด แต่มนุษย์สองคนมันก็เดินตามกันไปจัดการเรื่องเงินเป็นที่เรียบร้อย ผมอ้าปากพะงาบๆ จะทักท้วงสงครามในเรื่องนี้ แต่สงครามไม่ยอมเปิดโอกาสให้ผมพูดเลย

จริงๆ มันไม่ยอมเปิดอกพูดเรื่องนี้กับผมตั้งแต่อยู่บนรถมันแล้วล่ะ

ไม่ได้ ผมจำเป็นต้องพูดกับมันเรื่องนี้

หลังจากที่สงครามคุยเรื่องเงินกับคีนจนเสร็จสิ้น ผมต้องลากตัวมันออกมาเพื่อปรับความเข้าใจ

“มึงไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” สงครามในเวลานี้ดูดื้อดึงจนเหมือนเด็ก “สิ่งที่กูทำมันดีที่สุดแล้ว”

“ไม่ มันไม่ใช่เรื่องของมึง”

“...”

“เดี๋ยวกูจะลองไปพูดเรื่องนี้กับที่บ้านกู ยังไงมึงก็ไม่ควรมาเดือดร้อนเพราะกู ไม่ก็เพราะญาติกู”

มันพ่นลมพร้อมกับทำหน้าบึ้งตึง “กูตัดสินใจทำไปแล้ว”

“เอาเงินคืนไอ้คีนไป”

“ไม่”

“...”

“กูอยากทำเรื่องนี้ ปล่อยให้กูทำไป มึงอย่ามาเรื่องมากได้มั้ย”

“มันไม่...”

“อ้าย” สงครามบีบไหล่ผมพร้อมๆ กับจ้องเขม็งมายังดวงตาซึ่งเต็มไปด้วยความเกรงใจอีกทั้งยังรู้สึกหวาดหวั่นด้วย “กูอยากทำ กูยินดีที่จะทำ มึงไม่ต้องไปบอกเรื่องนี้กับคนที่บ้าน ปล่อยให้กูเป็นคนจัดการ”

“สงคราม”

“กูอยากทำเพื่อมึง”

“...”

“ให้กูได้ทำเพื่อมึงโดยตรงจริงๆ สักครั้งเถอะ ที่ผ่านมากูทำแบบอ้อมๆ ตลอดเลย” สงครามปล่อยผมก่อนจะเกาหัวแกรกๆ

“มึงไม่ฟังกูเลยใช่มั้ย”

“กูคิดว่าแบบนี้มันเท่ที่สุดแล้ว”

“ไม่เท่เลยโว้ย” ผมโวยวาย “กูจะโทรหาที่บ้าน กูจะ...”

สงครามเตะถังขยะในห้างจนผมสะดุ้งโหยง “ไม่ก็คือไม่ไง กูพูดไปแล้ว อย่ามาขัดใจกู”

“เชี่ยเอ๊ย...” เป็นอีกครั้งที่มันเอาแต่ใจ ผมมองดูสงครามที่เดินไปเดินมาด้วยสายตาขุ่นเคือง คนบ้าอะไรวะจู่ๆ ก็อยากมาเดือดร้อนเพราะผม ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองแท้ๆ

ใจมึงคิดอะไรอยู่วะสงคราม มึงทำทั้งหมดนี่ไปเพื่ออะไร...







ห้องเย็นเฉียบ เวลา 20.14 น.

สงครามนัดกับไอ้ตั้มไว้ที่นี่ ตรงหน้ามันคือซองบรรจุเงินจำนวนสี่แสนบาท ผมเอ่ยปากจะพูดกับมันอยู่หลายครั้ง แต่ก็ถูกมันยกมือห้ามไม่ให้พูดอะไรต่ออยู่เรื่อย

“มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นะ” ผมพยายามเอ่ย “จริงๆ แล้วกูคิดว่าจะไปเคลียร์กับโอม”

“ไอ้เหี้ยนั่นน่ะเหรอ ชาติหน้ามั้งถึงจะได้เคลียร์”

“มันไม่เกี่ยวอะไรกับมึง”

“ถ้ารู้สึกผิดก็หุบปากซะ”

“เงินตั้งสี่แสนนะเว้ยสงคราม”

“แลกกับศักดิ์ศรีมึง แค่นี้ยังถือว่าเบา”

ผมไม่เคยคิดว่ามันจะจริงจังเรื่องผมขนาดนี้ การเป็นเด็กไอ้ตั้มแน่นอนว่าต้องเสียศักดิ์ศรีประธานหอ และสงครามไม่ยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้น แม่งโคตรนับถือน้ำใจมันเลย

เงินสี่แสนสำหรับผมอาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่ผมคิดว่าจะหาทางเอาเงินนี้มาคืนมันให้ได้ในวันหนึ่ง

“ขอบใจนะ” ผมพูดอย่างซึ้งใจ

“อยากตอบแทนกูมั้ย” สงครามเหลือบมองผมทางหางตา “ตอบแทนแบบไม่ต้องคืนตังค์กู”

“ทำยังไง”

“สมุดโน้ตที่มึงชอบเขียนอ่ะ”

“...”

“ต่อไปนี้มึงเขียนแต่เรื่องของกูได้ป่ะ”

ผมอ้าปากค้างเติ่ง จริงๆ แล้วเรื่องนี้แม้แต่พ่อกับแม่ยังไม่รู้เลยว่าผมชอบเขียนโน้ตอะไรแบบนี้ทุกวัน

“ทำได้มั้ย”

ที่ผมเงียบเพราะไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนของผม และสงครามมันรับรู้ในส่วนนี้ นั่นเป็นอะไรที่ผมพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเลยทีเดียว

“สาด กูขอแค่นี้ก็ให้กูไม่ได้”

“ก็ได้ๆ” ไหนๆ โน้ตสุขใจของผมส่วนใหญ่ก็มีแต่ชื่อมันอยู่แล้วนี่ “แต่กูคิดว่ากูจะแถมให้มึงอีกเรื่อง”

“หา”

“เรื่องมีน” ผมหลับหูหลับตาพูด “กูจะช่วยมึงจีบมันเอง”

สงครามขมวดคิ้ว จ้องหน้าผมเขม็งเหมือนจะคาดคั้นเอาอะไรบางอย่าง จากนั้นมันก็นิ่ง จ้องซองเงินราวกับว่าสิ่งนี้จะให้คำตอบดีๆ แก่ตัวมันได้

ในบรรยากาศที่เงียบและแอร์ที่โคตรเย็นเฉียบ ผมได้คิดทบทวนถึงสิ่งที่ผมเพิ่งพูดออกไปด้วย เรื่องของมีนกับสงครามเป็นเรื่องที่ติดอยู่ลึกภายในใจผม คล้ายกับเป็นขอนไม้ใหญ่ที่ปิดกั้นความรู้สึกเอ่อล้นทะลักบางอย่างซึ่งอยู่ในหัวใจ

หากขอนไม้นี้หายไป สายน้ำแห่งความรู้สึกนั้นคงจะไม่มีอะไรมาขัดขวางได้อีก

แม้จะรู้สึกขัดๆ อยู่ไม่น้อย แต่เรื่องนี้ทำให้สงครามนิ่งคิดอยู่นานมากจนผมคิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องใหญ่สมราคาสี่แสนซึ่งมันจ่ายให้แก่ความเป็นอิสระและศักดิ์ศรีของผม

“ตกลง” สงครามพูดออกมาหลังจากที่เงียบไปหลายนาที ผมรู้สึกว่าภายในของผมมันกระตุกวูบหน่อยๆ “แต่กูขอเพิ่มเงื่อนไขอีกหนึ่งข้อ”

“เยอะ” ผมแกล้งพูด

“สี่แสนไม่ใช่จำนวนเงินที่น้อย”

สัดเอ๊ย ตอกย้ำเหี้ยๆ แม้ว่าผมจะทำเรื่องนี้เพื่อชดเชยเงินที่มันจ่ายให้ แต่ผมก็คิดว่าท้ายที่สุดก็จะหาเงินไปคืนมันอยู่ดี

“ว่ามา”

“กูต้องได้อ่านโน้ตของมึงทุกวัน”

“ไอ้เหี้ยเอ๊ย” ผมอดโอดครวญไม่ได้ “มันเป็นความลับ มึงจะมาอ่านความลับของคนอื่นได้ยังไง”

สงครามลอยหน้าลอยตาไม่สนใจ ดูก็รู้ว่าเรื่องนี้มันตกลงกับตัวเองก่อนที่จะมาตกลงกับผม แปลว่าคงไม่มีใครมาขัดใจพ่อเจ้าประคุณคนนี้ได้อีกแล้วล่ะ

“มันเป็นโน้ตที่กูเขียนเรื่องดีๆ ทุกวัน บางอย่างกูก็ไม่อยากให้มึงรู้ป่ะวะ”

อีกฝ่ายเหลือบมองหน้าผมก่อนจะยิ้มมุมปากน้อยๆ

“แต่กูอยากรู้ มึงต้องส่งมาให้กูอ่าน”

“แล้วถ้าเกิดกูตีกับมึงทั้งวัน ไม่มีเรื่องไหนดีเลยล่ะ”

“ก็เขียนไปเหอะ”

“...”

“ถ้ามึงเขียนเรื่องกู จะเรื่องไหนกูก็อยากอ่านหมดนั่นแหละ”

แบบนี้ก็เข้าทางผมสิ คืนนี้จะด่าแม่งให้ยับจนมันโมโหอยากเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้ง

กว่าไอ้ตั้มจะมาก็เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่ม มันรับเงินสงครามไปเปิดดูแล้วมองเพียงปราดเดียว จากนั้นก็จ้องหน้าผมสลับกับสงคราม

“จะจีบคนอยู่หอสามนี่มันยากจริงๆ โดยเฉพาะประธาน ไอ้เหี้ยนี่แม่งจีบยากสุดเลย”

“มึงว่าไงนะ” ผมเงี่ยหูฟังคำบ่นรำพึงรำพันของมัน

“เปล่า” ไอ้ตั้มลุกขึ้นยืน “สงคราม กูขอแนะนำให้มึงไปจัดการญาติไอ้อ้ายให้สิ้นเรื่องสิ้นราวก่อนที่มันจะใช้ไอ้อ้ายไปต่อรองอะไรอีก ดีนะที่เป็นกู ถ้าเป็นคนอื่นมึงคงไม่ได้มันกลับไปง่ายๆ แบบนี้”

“กูรู้แล้ว” สงครามพยักหน้า

ตั้มมองผมอย่างอาลัยอาวรณ์

“มึงรู้ใช่มั้ยว่าต้องเหยียบเรื่องนี้เอาไว้” สงครามเลิกคิ้วมองหน้าประธานหอสี่

“รู้สิวะ”

“...”

“แต่อีกไม่นานคนเขาก็คงจะรู้กันทั่ว พวกมึงเตรียมรับแรงกระแทกไว้ให้ดีๆ ล่ะ”

ตั้มยังคงมองหน้าผมอยู่อย่างนั้น

“ไปได้แล้วไอ้เหี้ยเอ๊ย” สงครามเกือบลุกขึ้นมาเตะไอ้ตั้มแล้วครับ


ห้อง 101

ใจผมเต้นไม่เป็นส่ำ พลิกตัวไปมาหลายล้านตลบแล้ว ไม่ว่าจะยังไงผมก็นอนไม่หลับ สิ่งที่สงครามเพิ่งทำแม่งกินใจผมมากเสียจนผมไม่สามารถไล่ใบหน้าของมันให้ออกไปจากหัวผมได้

มันจ่ายเงินดึงตัวผมกลับมาจากการเป็นเด็กไอ้ตั้ม อีกทั้งยังบากหน้าไปยืมเงินแม่ ยืมเงินไอ้คีน เด็กปีสามของหอสี่อีกต่างหาก คนอย่างสงครามเนี่ยนะไปยืมเงินเด็กหอสี่ ถ้าลูกหอมันรู้คงได้เสื่อมศรัทธาแน่ๆ แต่มันก็ทำอย่างนั้นเพราะผม

อดรู้สึกประทับใจแม่งไม่ได้เลย

โทรศัพท์ของผมสั่นเพราะมีข้อความเข้า เป็นข้อความจากสงเหี้ย หอสองที่ผมเริ่มจะคุ้นเคยแล้ว

สงเหี้ย หอสอง : ไหนโน้ตเรื่องกู
สงเหี้ย หอสอง : กูอยากอ่าน
สงเหี้ย หอสอง : รู้สึกว่าตัวเองเพิ่งทำอะไรเท่ๆ ลงไป
สงเหี้ย หอสอง : มึงต้องแอบเขียนเรื่องดีๆ ของกูอยู่แน่ๆ


น่าหมั่นไส้ฉิบหายยยยยย แม้จะรู้สึกอย่างนั้นแต่ปากผมก็ยิ้มนะ

AI : ยังไม่ได้เขียนเลย
สงเหี้ย หอสอง : เขียนดิไอ้สัด กูง่วงแล้วเนี่ย
AI : มันต้องออกมาจากอินเนอร์
สงเหี้ย หอสอง : อินเนอร์มึงไม่มาตอนตีสี่เลยล่ะวะ


ผมยิ้มขำ วางโทรศัพท์ลงก่อนจะจ้องหน้ากระดาษโน้ตสุขใจของวันนี้ที่ยังว่างเปล่า ผมสูดลมหายใจลึกๆ พลางคิดในใจว่าต่อไปนี้เรื่องราวของสงครามจะกลายเป็นเรื่องดีๆ ของผมในทุกๆ วันไปแล้วเหรอ

แปลกแต่จริงที่ลึกๆ ในใจไม่ได้ต่อต้านอะไรในเรื่องนี้เลย

โน้ตสุขใจ
1. สงครามมันจ่ายหนี้ให้แลกกับการที่เราไม่ต้องไปเป็นเด็กไอ้ตั้ม


เอ่อ ผมเขียนไม่ออกแล้วว่ะ ทำไมน่ะเหรอ เพราะผมรู้ว่าไอ้โน้ตนี้จะได้ไปอยู่ในสายตาของไอ้สงครามในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าซึ่งเป็นอะไรที่น่าอายโคตรๆ
โทรศัพท์ของผมสั่นอีกแล้ว

สงเหี้ย หอสอง : เร็วเข้า พ่อนักเขียน
สงเหี้ย หอสอง : นักอ่านอยากอ่านใจจะขาดรอนๆ แล้ว


เป็นคำพูดที่อยากแคปไปประจานลงเฟซบุ๊กมากว่าประธานหอสองมันทำตัวไม่สมกับมาดคูลๆ ของมันเลย

2. มันเป็นคนดีกว่าที่คิด
3. วันนี้ได้นั่งรถมันด้วย
4. ได้เจอมันในตึกสาขายานยนต์ ทั้งๆ ที่พวกเรียนการบินไม่ค่อยเดินผ่าน
5. ต่อไปนี้คงได้คุยกับมันเยอะขึ้น เพราะต้องช่วยมันจีบคนที่มันชอบ

AI : /แนบรูปโน้ตสุขใจ


สงครามมันอ่านปุ๊บก็เงียบปั๊บ ปกติถ้ามันจับโทรศัพท์อยู่มันจะตอบมาไวมากครับแต่ครั้งนี้กลับเงียบนานจนผิดปกติ ตอนที่มันตอบกลับมา ผมเลยรีบหยิบขึ้นมาอ่านอย่างรวดเร็วทันที

สงเหี้ย หอสอง : นี่คือสิ่งที่ออกมาจากใจมึงเหรอ
AI : โน้ตสุขใจของกูมีความศักดิ์สิทธิ์มากนะเว้ย
สงเหี้ย หอสอง : เออดี กูชอบ


ผมกลืนน้ำลาย หัวใจเต้นแรงตึกตัก รู้สึกดีใจกับเขินปนกัน

สงเหี้ย หอสอง : นอนได้แล้ว เด็กกู

อะ อะไรนะ

AI : เด็กมึงเหี้ยอะไรล่ะ
สงเหี้ย หอสอง : จะเป็นเด็กกูหรือจะให้กูเรียกว่าอ้ายสี่แสน
AI : อ้ายเฉยๆ ไม่ได้เหรอ
สงเหี้ย หอสอง : ไม่ได้แล้วเว้ยสัด
AI : เซ็งเลย
สงเหี้ย หอสอง : ฮ่าๆๆ







TBC*
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: ploysure ที่ 28-08-2017 22:46:07
แอบเห็นคำผิดอ่ะค่ะ
บทที่สอง ตอนช่วงที่ธัชคุยกับอ้ายเรื่องโปรเจ็คกับไปป์ ที่บอกให้ไปป์ไปคุยกับสงคราม จะได้ไม่มีปัญหา
พิมชื่อผิดจากไปป์เป็นชื่อธัชค่าา ;__;

ฉาหนุกกก รออ่านต่อ :mew1:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: veerapont ที่ 28-08-2017 23:48:12
 :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: kredkaew26 ที่ 28-08-2017 23:57:30
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด เค้าชอบอ่ะ  555 ว่าแต่อีพี่สงเอาไงแน่คะ จะมีน รึจะพี่อ้าย  เลือกสักทางเหอะค่ะ  คุณน้องจะได้เชียร์ถูก ^^  :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Fujung ที่ 29-08-2017 00:06:23
ไม่ว่าจะนายเองหรือพระเอกเรื่องนี้ปากแข็งกันทุกคนเลย
สงครามไม่ได้ชอบมีนใช่มะ หรือแค่เคยชอบ ตอนนี้ก็ชอบอ้ายอยู่

โอมนี่ก็หน้าบีบคอจริงๆ เกลียดจริงพวกชอบเบียดเบียนคนอื่นเนี่ย
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 29-08-2017 00:24:56
ดูเป็นเงื่อนไขการกู้เงินที่แปลก ๆ
ว่าแต่ พี่อ้ายเสน่ห์แรงไม่แพ้ลูกหอเลยนะคะ ฮี่ฮี่
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: MorethanMore ที่ 29-08-2017 02:56:07
เข้าใจคำว่า ราชาวิหคละ นกจริงจัง นกแบบ นกอะ สงสาร 555 แต่ละคน สรุปอ้ายสวยหรืออ้ายหล่อ นี่แอบงงเบา ๆ ตอนแรกอ่านทนายบอก พี่อ้ายโคตรหล่อ แบบบรรยายไม่ได้ แล้วไหงมาตอนนี้บอกอ้ายสวย ??
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-08-2017 02:57:27
ตาแฉะ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 29-08-2017 05:34:49
คิดว่าตั้ม ไม่กล้ามองหน้าอ้าย
เพราะภาพวาดของการ์ตูนชายรักชายซะอีก  o18
แต่กลายเป็นเรื่องใหญ่กว่า เพราะโอมวางตัวอ้ายเป็นตัวประกันใช้หนี้   o22 o22 o22
แต่ก็คงเพราะภาพวาด และความหน้าตาดีของอ้ายนั่นแหละ
ที่ทำให้ตั้มสนใจอ้าย หรือที่ผ่านมาก้แอบชอบอยู่แล้ว
เหมือนอ้ายต้องกลายเป็นเด็กของตั้มจริงๆ

มีญาติเลวแบบนี้ เครียดโคตรๆ :z3:
รถอ้ายก็เอาไปใช้ เงินก็ยืมเงินอ้าย  :fire: :fire: :fire:
จนอ้าย การเงินปั่นป่วน จนแทบไม่มีเงินใช้เองซะด้วย :z3: :z3: :z3:

สงคราม ทำให้อ้ายบันทึกโน้ตสุขใจได้อย่างสุขใจ  :mew1:
ดูท่าต่างฝ่ายต่างชอบกัน
สงครามปากว่าชอบมีน แต่ไม่เห็นเข้าหา รุก อย่างที่ควรจะเป็น
แต่มาง้องอนอ้ายตลอดๆ อย่างผิดปกติวิสัย
หรือความชอบเปลี่ยนจากมีน เป็นอ้าย แต่ไม่รู้ตัวใช่มั้ย

แล้วสงคราม ก็รู้เรื่องที่อ้ายจะต้องกลายเป็นเด็กตั้ม  :เฮ้อ:
เรื่องอ้ายก็เป็นเรื่องที่มาเป็นที่หนึ่งของสงครามอยู่ซะด้วย(ยังไม่รู้ตัว)
แค่อ้ายโกรธ ก็ตามง้อซ้าาาาาา ก็ถ้าไม่รู้สึกไรๆ จะตามง้อทำไม
คงได้มีเรื่องเหนือความคาดเดาเกิดขึ้นแน่ๆ
รอตอนใหม่ สนุกกกก มากกกกกก  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: ma-prang ที่ 29-08-2017 10:36:55
รักพี่อ้ายยย
สงครามจีบมีนก็จีบไปนะ ส่วนพี่อ้ายเราจะเก็บไว้เอง ไม่ให้ด้วย ชิๆๆ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 29-08-2017 11:42:16
คู่นี้เค้าดูมึนๆกันนะ ชอบที่พี่สงครามเรียกพี่อ้ายว่าตัวแม่ ลูกหอยังดึงดูดขนาดนั้น ประธานหอจะไม่มีได้ยังไงเนอะ คิดแบบทนายและอาสาเลย มีซัมธิง ชัวร์   :hao7: ขอบคุณมากค่ะ สนุกดีได้อ่านยาวๆ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chise ที่ 29-08-2017 11:47:16
อย่างแรกที่ควรทำคือฆ่าเอี้ยโอมซะ โคดสารเลว
อ้ายต้องบอกพ่อแม่ได้แล้ว ตัดญาติกับมันไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกันอีก

หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 29-08-2017 14:13:05
ได้อ่านหลายตอนติดเลย ดีใจ


สงครามแปลกๆ ตกลงชอบใครกันแน่
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 29-08-2017 14:32:35
กรี๊ดดดดดดพี่สงครามพี่อ้ายมาแล้ว แอบชอบพี่อ้ายตั้งแต่เรื่องก่อนหน้าแล้วมาเรื่องนี้คือดีพี่อ้ายฮอตเว่อร์ก็อย่างว่าละนะเป็นถึงประธานหอสามนี่ กับพี่สงนี่ยังไม่ชัวร์กับพี่แกแต่ก็ดูมีซัมธิงแต่ที่ชอบพี่อ้ายแน่ๆนี่น่าจะเป็นพี่ไปป์อะแล้วก็พี่ตั้มอีกคน และตอนนี้พี่อ้ายมาเป็นเด็กพี่สงแล้วจะเป็นยังไงต่อน่าติดตามมากแอบกลัวจะมีดราม่าฝั่งมีนนะเนี่ย

ปล.ขอฝากพี่สงกระทืบญาติพี่อ้ายด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: plafishy ที่ 29-08-2017 16:37:54
ชอบคู่นี้มากเลยค่ะ
พี่สงครามในมุมมองของทนายกับอาสานี่ต่างกับพี่สงครามในมุมของพี่อ้ายมาก อ่านแล้วเขิน 55555

รออ่านตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Ryoooo ที่ 29-08-2017 17:36:22
อย่างพีคคคค เกิดเป็นพี่อ้ายของเค้า ไม่ง่าายจริงๆ
ต้องไปจัดการอิโอมให้สิ้นซาก ร้ายกาจมาก กล้าทำกับบพี่อ้ายที่ยอมมันขนาดนั้นได้ยังไง

เราว่าพี่สงครามมีซัมติง อย่างที่อาสากับทนายคิดละน่าาา
และน่าจะไม่เกี่ยวกับเรื่องมีนแล้วด้วย
เกี่ยวพี่อ้ายคนเดียวเต็มๆแล้วรึเปล่าาาาาา

รอตอนอื่นๆค๊าาา สนุกมากกก
จุใจมากกกกก อ่านเพลินสุดๆ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 29-08-2017 18:28:06
อ่านตาแฉะกันเลยทีเดียว ฮือออออออ ชอบพี่อ้าย //ส่งจูบ :mew1: :mew1: #สงครามอย่าเตะเรา
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 29-08-2017 19:30:04
ฮืออออ...ป้าก็อยากเป็นเด็กพี่สงนะ...โถพ่อคุณสายเปย์
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: itsgonnabeme ที่ 29-08-2017 20:03:13
ไม่ไหวแล้วววววววววววว
เจ้ไม่รู้จะอธิบายยังไง
แต่มันพีคมาก พีกทุกฉาก ชอบนิยายฟีลแบบนี้ที่สุด

สงครามกับอ้ายเป็นส่วนผสมที่ลงตัวมาก
และพอมาอ่านภาคอ้าย อ้ายก็กลายเป็ยเคะเบอร์1ของเจ้ไปโดยปริยาย

คู่นี่คือที่สุดของที่สุด
ชอบความสัมพันธ์แบบมึนๆที่มันพัฒนาโดยไม่รู้ตัว

ขอบคุณน้องนุ่นสำหรับเรื่องราวดีๆที่ทำให้พี่ได้อมยิ้มและผ่อนคลายได้ตลอดนะจ้ะ

เป็นกำลังใจให้เสมอ รอตอนต่อไปอย่างใจจดจ่อจ้ะ

ปล.แอบไปดูพี่สงครามในเว็ปมา ทำไมจำนวนหน้าน้อยกว่าอาสา เจ้จิคราย เจ้อยากอ่านเยอะๆ5555
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 29-08-2017 21:18:49
สนุกมากเลย ชอบความเถื่อน ดิบของพี่สงคราม ชอบพี่อ้ายน่ารักและฮาดี เป็นห่วงคนอื่นก่อนตลอด พี่สงครามดูแลเด็กพี่ดีๆ นะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 29-08-2017 21:30:00
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: naezapril ที่ 29-08-2017 21:33:53
สนุกกกกกก มาบ่อยๆเด้ออ้ายยย
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: monkey_saru ที่ 29-08-2017 23:14:38
สง...แกยังคิดว่าตัวเองชอบมีนอยู่อีกหรอ ฮ่าๆๆ
ชอบตอนที่บอกว่า ต้องเป็นของเล่นของกูคนเดียว มีความเด็กน้อยโดนแย่งของอะ

ไปป์นี่แอบชอบพี่อ้ายด้วยไหมเนี่ยยย
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: bigbeeboom ที่ 30-08-2017 00:12:20
ชอบมาก รอเลยเปิดจองปุ๊ป จัดแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 30-08-2017 00:46:31
ชอบมากกกกกก.   :ling1: :ling1:
ทั้งกรี๊ดทั้งทุบเตียง เป็นเอามากอ่ะบอกเลย เราชอบพี่อ้ายมาก ชอบมากกกกกกก
แอบชอบตั้มอ้ายด้วยนะคะ มาแป๊ปๆแต่ทีม #ตั้มอ้าย ไปละ ฮ่าๆๆๆ
ช่างอิพี่สงครามมัน ถึงจะเท่จะคูลแต่พี่อ้ายต้องเป็นของเราคนเดียว
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 30-08-2017 00:53:44
หนุกหนาน ๆ รอตอนต่อไปดีกว่า  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Wdf_mikeii ที่ 30-08-2017 01:03:31
คิดถึงพี่อ้ายยยยยย :z3:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: donut4top ที่ 30-08-2017 02:06:05
พี่อ้ายดูเขารู้ตัวแล้ว แล้วคุณสงล่ะคะเมื่อไหร่จะรู้หัวใจตัวเอง o18
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 30-08-2017 07:32:11
สงคราม ชอบอ้ายมาโดยตลอด หรือ!!!!

แล้ว มีน อยู่ในฐานะอะไร
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: hoshichi ที่ 30-08-2017 12:09:36
อ้ายยยยยยสี่แสน
555555

ป๊อปกว่าองศาเลยมั้ยพี่อ้ายยยยย
ชอบสงครามมากกกกก แดมเมจแรง
คนจริง 55555
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: mg175 ที่ 30-08-2017 15:22:40
 :monkeysad: ชอบมากกกกกกก
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 30-08-2017 16:24:52
ขอแอนตี้มีนล่วงหน้านะ555
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: jbook ที่ 30-08-2017 20:23:05
 :mew1: รอ ร๊อ รอ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: MorethanMore ที่ 30-08-2017 20:44:24
รอ

คือหวังว่าพี่สงครามจะไม่นกจากพี่อ้ายนะคะ 555

แต่เรื่องนี้ ตัวท๊อปนกกันเป็นแถบ ๆ พี่อ้ายนี่เคะในอุดมคติ หลังจากเห็นปก อยากได้หนักมาก
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 30-08-2017 20:55:43
อ่านเพลินจุใจมากกก ขอบคุณนะคะ cfc  //  แม่หอสาม ของดีแรร์ไอเทม แต่ความจีบยากอยู่ที่นางไม่รู้ตัวว่าสวยแล้วโดนจีบอยู่ 5555555  ไหนจะตั้ม สงคราม และน่าจะไปป์ด้วยอ่ะเนอะ // สงครามเหมือนจะเริ่มรู้ตัวแล้วเลย มีนเมินที่ไหนกัลลล อ้าย(สี่แสน)ที่แท้ทรู ต่างหากล่ะค้าบท่านผู้โชมมมม  :mew1:  o13
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 30-08-2017 21:15:46




ตอนที่ 6





“ตรงนี้กันสาดพัง”

“อือฮึ”

“ตรงโน้นก็พังด้วย รู้สึกเหมือนว่าแม่งจะมีคนปีนเล่นมากกว่าเสื่อมอายุนะ”

“อืม”

“เชี่ยอ้าย”

“...”

“ฟังกูอยู่ป่ะเนี่ย”

ผมสะดุ้งตอนหันกลับไปมองหน้าไอ้ธัช มันกำลังชี้แจงปัญหาของหอที่ลูกหอไปร้องเรียนให้ผมฟังอยู่

“มองหาอะไรอยู่วะ คอมึงนี่บิดไปบิดมาจนจะพันเป็นเกลียวอยู่แล้ว”

“ไม่ได้มองหาใคร”

ธัชยิ้มเผล่ใส่ผม “กูจะถามแค่ว่ามองหาประธานหอไหน”

“สัด” ผมด่า “ไม่ได้มองหาเหี้ยไหนทั้งนั้น”

“นั่นไง ไอ้สงครามวิ่งผ่าน!”

ผมหันขวับไปมองดูอย่างรวดเร็ว ไม่มีวี่แววของสงครามคนที่ไอ้ธัชเพิ่งพูดถึงเมื่อสักครู่ ผมชูกำปั้นขู่เพื่อนซึ่งกำลังหัวเราะล้อเลียนผมอยู่

“รู้คำตอบแล้ว”

“กลับมาคุยเรื่องกันสาดได้ยัง”

ไอ้ธัชพูดเรื่องกันสาดต่อ ตอนนั้นหางตาของผมหันไปเจอว่ามีนกำลังจะกลับเข้าหอพอดี ท่าทางเหมือนเพิ่งกลับมาจากทำงาน ผมยิ้มทักมีน มันโบกมือทักก่อนจะเดินเข้าไป ข้างหลังเพื่อนสาขาของผม ผมเห็นไอ้สงครามยืนอยู่ด้วย เหมือนมันเพิ่งมาส่งมีนหยกๆ และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ

หัวใจของผมรู้สึกชาแปลกๆ ผมรีบหันหนี ทำเป็นมองไม่เห็นว่าสงครามมันอยู่ไม่ไกล

“ช่วงนี้เข้าหน้าหนาวคงไม่ต้องเอาเงินมาซ่อมหรอก” ผมพูดกับธัช

“หน้าหนาวที่ไม่ได้รู้สึกหนาวเหี้ยอะไรเลย”

“บ่นเป็นลุงไปได้ไอ้สัด”

“มีคนมองมึงอยู่แน่ะ”

“ใคร”

“สงคราม”

“...”

“ครั้งนี้กูไม่ได้โกหก”

ผมรู้ว่าธัชมันพูดจริง

“มึงมองมันหน่อย กูกลัวแม่งโมโหแล้วเตะถังขยะหอเราล้มถ้ามึงไม่สนใจมัน”

“ทำไมกูต้องทำอย่างนั้น”

“เพราะถ้ามึงไม่ทำ สงครามมันคงทำอย่างนั้นจริงๆ เพื่อน”

“ไอ้...”

ธัชเดินหนีไปแล้ว ผมมองตามมันก่อนจะถอนหายใจอย่างเซ็งๆ

“ทำเป็นมองไม่เห็นกูเหรอ” สงครามที่อยู่ในชุดออกกำลังกายร้องคุยกับผม “กูเห็นนะว่ามึงเห็นกูแล้ว”

ผมจำใจต้องหันไปมองหน้าไอ้ประธานหอสองจนได้ “ว่าไง”

“ไม่ได้ว่าไร”

“กูเห็นมีนแล้ว มึงมาส่งมันนี่”

“...”

“กูไม่จำเป็นต้องออกแรงอะไรด้วยซ้ำเรื่องนี้ ยังไงมึงก็ทำคะแนนเองเป็นอยู่แล้ว” น้ำเสียงของผมฟังดูแปร่งๆ คล้ายกับพยายามทำให้เสียงเป็นปกติมากเกินไปจนฟังดูประหลาด

“สี่แสนไม่ใช่เงินน้อยๆ นะ”

มันพูดแบบนี้แสดงว่าอยากให้ผมช่วยมันอยู่ ผมกลืนน้ำลายลงคอแล้วก้มหน้าก้มตา เพิ่งวันแรกแท้ๆ แต่ทำไมถึงได้รู้สึกอึดอัดใจแบบนี้นะ สงครามมันอุตส่าห์ช่วย ผมก็ต้องช่วยมันตอบแทนนั่นคือสิ่งที่ถูกต้องไม่ใช่เหรอ

“เป็นไรวะ”

“มึงอย่ามายืนอยู่หน้าหอกูนานๆ เลย”

“ทำไม”

“มันไม่ดี”

“ใครจะมาทำอะไรกู” สงครามเลิกคิ้ว “กูแค่คุยกับมึงเนี่ย”

“คุยในโทรศัพท์ก็ได้”

“เอางั้นเหรอ” มันเงยหน้าขึ้นมองตึกสูงของหอสาม ผมไม่แน่ใจว่าพวกลูกหอซึ่งอยู่ภายในตึกจะรู้สึกยังไงตอนเห็นสงคราม ผมจำได้ว่าตอนที่ผมไปยืนอยู่หน้าหอสอง พวกหอสองเอาแต่จ้องเหมือนผมเป็นของแปลกที่เดินหลงทางไปอยู่แถวนั้น “ก็ได้ คุยผ่านโทรศัพท์ก็ได้”

สงครามเดินเลี่ยงไป ผมมองตามมันด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ไม่นานนักโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น

คนที่โทรมาคือสงเหี้ย หอสอง

“ไอ้สัด ห่างกันยังไม่ถึงหนึ่งนาทีเลย” ผมยังมองเห็นแผ่นหลังมันอยู่เลยเนี่ย

“เริ่มวันนี้เลย”

“เริ่มอะไร”

“เรื่องมีนไง”

ถ้ามันหันมา มันคงจะเห็นว่าสีหน้าของผมฉายแววไม่ค่อยสะดวกใจนิดหน่อย “จะให้เริ่มยังไง”

“มึงเป็นคนช่วยไม่ใช่เหรอ มึงก็ต้องคิดสิ”

“...”

“สี่แสนไม่ใช่เงินจำนวนน้อย”

“ย้ำจังวะ”

“อ้ายสี่แสน”

“ก็ได้ๆ”

“กูคุยโปรเจ็กต์เสร็จสิบโมง ลองถามไอ้ไปป์ดูแล้ววันนี้มึงไม่มีทำโปรเจ็กต์ ถ้ากูเสร็จแล้วจะไปรับที่หน้าคณะนะ” ช่วงเช้าวันนี้ผมมีเรียนนิดหน่อยครับ เป็นหนึ่งในไม่กี่ตัวที่ต้องเรียนในเทอมนี้

“สาดดดด ตรงนั้นคนเยอะจะตาย”

“แล้วจะให้ไปรับที่ไหนล่ะ”

“รออยู่บนรถเดี๋ยวเดินไปหาเอง แถวๆ ลานจอดรถข้างตึกสาขากูอ่ะ”

สงครามซึ่งเดินเกือบจะถึงหอของตัวเองแล้วหันมามองหน้าผม จากนั้นก็ส่งยิ้มมาให้ ผมยืนชะงักค้างแข็งเพราะรอยยิ้มนั้นของสงคราม ระหว่างผมกับมันมีเพียงถนนระหว่างหอสองกับหอสามกั้นขวางอยู่ แม้ว่ามันจะค่อนข้างไกลไปสักหน่อย แต่เพราะโทรศัพท์ที่แนบหูอยู่ทำให้ผมรู้สึกว่าเข้าใกล้มันไปบ้างแล้วนิดหนึ่ง

“อย่ามาช้านะเว้ย” อีกฝ่ายยังคงจ้องมองมา

“เออ”









ตึกสาขาวิศวกรรมยานยนต์

ผมมองมีนที่กลับมาเรียนด้วยสายตาค้นหา มันเป็นผู้ชายหน้าตาค่อนไปทางสวยและดึงดูดเพศผู้เหมือนอาสา สมบัติล้ำค่าของหอผมเด๊ะๆ แต่มีนจะต่างกับอาสาตรงที่มีนไม่ใสเท่าอาสา เพราะมีนผ่านอะไรมาเยอะ ถ้าหากคุณจำได้ มีเด็กหอสองปีนเข้ามาหามีนบ่อยจนพวกที่อยู่ชั้นห้าเขารู้กันหมดแล้วว่าห้องมีนเปิดรับคนจากหออื่น

สงครามชอบคนแบบนี้ มันคงชอบอะไรที่เซ็กซี่ๆ และก็ต้องแข่งขันกับคนอื่นหน่อยๆ สินะ

“มีนดูดีขึ้นมากเลยว่ะ” ไอ้ธัชกระซิบ มันนั่งอยู่ข้างซ้ายของผม ข้างขวาเป็นไอ้ไปป์ ผู้ซึ่งพยายามทำตัวเกาะติดกับพวกหอสองกลุ่มใหญ่ซึ่งนั่งอยู่ด้วยกัน ให้คนอื่นที่มองมารู้สึกว่ามันนั่งอยู่กับพวกหอสอง ไม่ได้นั่งอยู่กับผมอะไรทำนองนั้น ชีวิตผมกับมันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วครับ ชินจนไม่รู้จะชินยังไง ต้องทำตัวเหมือนไม่ใช่เพื่อนกันทั้งๆ ที่เป็นเพื่อนกัน

“ดาราไง” ผมตอบ

“เหมือนหน้าเล็กลง ผิวก็ใสขึ้นด้วย”

“ก็อาจจะแวะไปทำอะไรมาก่อนกลับ” ผมกลายเป็นพวกวิเคราะห์ภาพลักษณ์ภายนอกของคนอื่นไปตั้งแต่เมื่อไหร่ “มึงว่ามีนชอบคนแบบไหนวะ”

คำถามนี้ไอ้ไปป์เองก็ได้ยิน มันหันกลับมา แสร้งทำเป็นเล่นโทรศัพท์ก่อนตอบผม

“จากที่ได้ยินเขาลือกันมา มันชอบผู้ชายหุ่นนักกีฬา” ไปป์ตอบ

“กูไม่สงสัยเลย” ผมกับธัชสบตากัน ส่วนใหญ่ห้องมีนก็เปิดรับแต่พวกหอสองนั่นแหละ

“และก็...รวยด้วยมั้งนะ”

“มันก็ต้องชอบคนรวยอยู่แล้ว เพราะมีนเองก็รวย”

“มันชอบผู้ชายที่ดูแลเทกแคร์ดี”

“ทำไมมึงรู้วะไปป์” ธัชยืดคอไปถาม

“กูเดาจากท่าทางของมันล้วนๆ”

“ที่พูดมามึงเองก็มีส่วนคล้ายคนที่มีนชอบนะ”

“กูดูแลเทกแคร์คนอื่นดีเหรอ” ไอ้ไปป์เลิกคิ้ว

“เออดิ อย่างน้อยก็ดูแลไอ้อ้ายดีก็แล้วกัน” ธัชกล่าวยิ้มๆ จากนั้นก็นั่งเล่นโทรศัพท์ของมันต่อ

ไปป์กลืนน้ำลายหลังจากที่ถอนหายใจเบาๆ แล้ววางโทรศัพท์ลงก่อนจะหันไปมองอาจารย์ที่กำลังสอนอยู่

“วันนี้มึงไปไหนป่ะ”

“มีธุระว่ะ” ผมตอบ

“ใช่ธุระที่เกี่ยวกับไอ้สงครามมั้ย”

“...”

“ช่วงนี้มึงสนิทกับมันจัง วันนั้นมันก็มาดึงตัวมึงไป”

ผมไม่รู้จะตอบว่ายังไงดี ความสัมพันธ์ของผมกับสงครามเหมือนจะอยู่ไกลกันคนละโลก แต่ทำไมถึงรู้สึกว่าแท้จริงแล้วผมกับมันอยู่ใกล้กันมากก็ไม่รู้ ทั้งเรื่องการช่วยกันแก้ปัญหาตอนที่ลูกหอของเราทำตัวไม่อยู่ในกรอบ และก็เรื่องเรียนของสงครามซึ่งผมก็ยังคอยช่วยเหลือมันอยู่บ้างตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

จริงๆ แล้วผมกับมันช่วยเหลือกันมากกว่าสองเรื่องนี้ และก็มีเยอะจนสาธยายแทบไม่หมด แต่มันก็เป็นความลับ ไม่มีใครรับรู้ถึงความใกล้ชิดระหว่างผมกับสงคราม

“ไม่มีอะไรว่ะ” ผมตอบเลี่ยงๆ

“ไม่มีอะไรที่เป็นอันตรายใช่มั้ย มันไม่ได้ขู่อะไรมึงใช่หรือเปล่า”

ผมมองหน้าไปป์ก่อนเอ่ย “มึงลองคิดทบทวนถึงนิสัยประธานหอของมึงดู มันใช่คนแบบนั้นที่ไหนกันล่ะ”

ไปป์นิ่งไปนิดหน่อย “เออว่ะ”

“...”

“มันแม่งโคตรให้เกียรติมึงอ่ะ เวลาเด็กหอกูไปหาเรื่องหอสามทีไร โดนไอ้สงครามจัดการจนเละทุกที”

“จริงเหรอ” ผมได้ยินมาบ้าง แต่ก็ไม่รู้รายละเอียดนัก

“จริงสิ จริงจนกูรู้สึกอิจฉามันเลย” ไปป์ถอนหายใจ “กูอยากเท่และก็ทำเพื่อมึงได้ถึงขนาดนั้นบ้าง”

“สาดดดด” ผมแกล้งโวย “มันไม่ได้ทำเพื่อกูสักหน่อย มันก็แค่ลงโทษลูกหอที่ทำผิด”

“เมื่อวันก่อนมีเด็กหอกูไปต่อยเด็กหอหกเรื่องแย่งที่นั่งในร้านเหล้า สงครามยังลงโทษไม่เท่ากับตอนที่พวกนั้นไปแซวน้องอาสาเลย ขอย้ำ แค่แซวนะ”

“จริงเหรอวะ”

“จริงสิ”

“...”

“เคยถามนะว่ามันทำไปเพื่ออะไร มันบอกเพื่อความสบายใจ”

“...”

“และก็ไม่น่าจะใช่ความสบายใจของมันด้วย น่าจะเป็นความสบายใจของมึง”

“อวยประธานหอสัดๆ” ผมหันไปทางอื่นเพื่อกลบเกลื่อนสีหน้าแปลกๆ ของตัวเอง

“กูสังเกตมันมานานแล้วเว้ย” ไปป์พูดต่อไป “แต่เพราะงี้มั้งกูถึงนับถือมัน มันให้เกียรติคนอื่น” แม้จะฟังดูอวยไปหน่อยแต่นั่นแหละคือสงครามของแท้ “ถ้ามีปัญหาอะไรบอกกูได้เลยนะอ้าย เรื่องสงครามอ่ะ เผื่อมึงรับมือมันไม่ได้”

“เข้าใจแล้ว”

ไปป์เหลือบมองผมอย่างเป็นห่วง ผมส่งสัญญาณผ่านสายตาบอกมันว่าไม่เป็นไร แม้สงครามจะเป็นคนรับมือยากแต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่ฟังคนอื่นเลย สิ่งที่ผมกังวลจึงไม่ใช่เรื่องนั้นแต่เป็นความรู้สึกของผมเองนี่แหละ

เพราะเวลาผมมองไปที่มีนทีไร ทำไมผมถึงได้รู้สึกโหวงๆ ในใจ แม่งเป็นความรู้สึกที่ผมไม่ชอบเลย








การเดินมาขึ้นรถสงครามเป็นอะไรที่ต้องทำแบบหลบๆ ซ่อนๆ ผมมองซ้ายมองขวาให้เรียบร้อยก่อนจะเปิดประตูเข้าไปนั่ง สงครามนั่งมองผมอยู่ก่อนแล้ว ดูมันขำกับท่าทางของผมมากทีเดียว

“เหมือนมึงลักลอบขายของเถื่อนเลยไอ้เหี้ย”

“เออ เอามาขายให้มึงไงสัด” ผมรับมุขต่อ “ออกรถได้แล้ว เมื่อกี้เห็นเด็กปีหนึ่งหอกูยืนกันอยู่เยอะมาก”

“จะยากอะไร ก็เอากำปั้นยัดปากพวกมันไม่ให้พวกมันปากโป้ง”

ผมมองหน้าสงครามด้วยสายตาไม่ชอบใจ

“โอเคครับแม่ กูไม่แตะลูกมึงก็ได้”

สงครามออกรถ ผมเสมองออกไปนอกหน้าต่าง จากนั้นใจของผมก็ลอยละล่องกลับเข้ามาสู่วังวนแห่งการคิดมากอีกครั้ง ผมเป็นคนเอ่ยปากเรื่องจะช่วยมันจีบมีนเองแท้ๆ แต่กลับรู้สึกไม่สบายใจและไม่มีความสุข นี่ผมจะต้องทนรับความรู้สึกนี้อีกนานเท่าไหร่ ต้องนานจนถึงตอนที่สงครามได้คบกับมีนเลยมั้ย แล้วมันเมื่อไหร่กันล่ะ

ไอ้ความรู้สึกแบบนี้แค่ชั่วโมงสองชั่วโมงก็อึดอัดจะตายห่าแล้ว

“เป็นอะไรวะ” สงครามถามขณะขับรถไปด้วย “เครียดโปรเจ็กต์เหรอ”

นี่คือหัวข้อที่มนุษย์ปีสี่ทุกคนจะต้องคุยกันสินะ “นิดหน่อย”

“ไม่ยากหรอก เหี้ยไปป์มันเก่ง ยังไงมันก็พามึงผ่านอยู่แล้ว”

“อืม”

“แวะกินเค้กก่อนมั้ย” รถของมันกำลังจะผ่านร้าน Pink Chiffon ที่มันเกลียดนักเกลียดหนา

“ไหนมึงบอกว่ามึงไม่ชอบร้านนี้ไง สีร้านมันแต๋วไม่ใช่เหรอ”

“ก็เห็นมึงชอบร้านนี้”

“ไม่เป็นไร ไปทำธุระก่อนเลย”

“ธุระอะไรวะ” อ้าว แล้วมึงกับกูมาเจอกันเพื่ออะไรล่ะวะสาด

“ก็เรื่องมีนไง” ผมตอบแล้วจ้องหน้ามันเขม็ง “ขั้นตอนแรก...”

“หืม”

“ต้องเปลี่ยนลุคมึง”

มันมองไปที่ร่างตัวเองด้วยสายตาไม่เข้าใจเท่าไหร่ “ต้องเปลี่ยนด้วยเหรอวะ ตอนนี้กูก็ออกจะดูดีนะ”

ผมจะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินก็แล้วกัน “มีนมันชอบคนหล่อ”

“กูไม่หล่อเหรอ”

“มันชอบคนรวยด้วย”

“อะไรกรวยๆ นะ”

“กูบอกว่าคนรวยยยยยย”

“กูได้ยินเป็นคำอื่นอ่ะ”

ผมหลุดขำออกมา “มึงนี่มันเหี้ยจริงๆ”

“แต่ก็ทำให้มึงขำใช่มั้ยล่ะ”

“แล้วก็...มันชอบผู้ชายดูแลเทกแคร์ดี”

สงครามนิ่งไปนิดหน่อย ดูมันไม่ค่อยอินกับสิ่งที่ผมเพิ่งจะพูดเท่าไหร่ มันทำสีหน้ารับรู้แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก บรรยากาศภายในรถจึงกลับมาเงียบอีกครั้ง

“กูตัดผมครั้งล่าสุดก็ตอนที่เดินแบบรถมอเตอร์ไซค์อ่ะ มึงจำได้ป่ะ ที่มึงส่งไอ้ทนายกับไอ้เตมาเดิน”

“กูจำได้” ผมจำได้ว่างานนั้นผมเหนื่อยฉิบหาย การควบคุมไอ้ทนายกับไอ้เตก็เหมือนการจับปูใส่กระด้ง ผมกลัวพวกมันจะทำให้เสียชื่อหอสามก็เลยต้องเข้มงวดสักหน่อย แต่สรุปว่าพวกมันทำได้ดีอย่างสมศักดิ์ศรีครับ

วันนั้นไอ้สงครามก็ทำได้ดีด้วย มันใช้หน้าบึ้งๆ ของมันให้เป็นประโยชน์ด้วยการเดินแบบและมองหน้าคนในงานเหมือนจะไปฆ่าเขา ผลปรากฏว่าเจ้าของสินค้าแบรนด์นี้ชอบมาก อยากจ้างมันอีก แต่ได้ข่าวว่ามันไม่เอา มันไม่ชอบงานในวงการบันเทิง แม้ว่างานนี้จะเป็นแค่การชิมลางก็เถอะ ผมรู้เพราะผมได้ข่าวจากพวกน้องๆ ที่ทำงานแนวนี้มาน่ะครับ

“ได้ตัดผมก็ดีเหมือนกัน ร้อน รำคาญ” สงครามเสยผมที่เริ่มยาวนิดๆ ของตัวเอง มันคงดูแลเอาใจใส่ผมของมันดีมากเพราะผมแม่งดูนิ่มและก็สลวยมาก “มองอะไรวะ”

“วิเคราะห์อยู่ว่าทรงอะไรถึงจะเข้ากับมึง”

“สกินเฮด”

“พ่องดิ”

“ไม่โอเคเหรอ เท่ออก ลูกหอกูตัดกันเต็มเลย”

“ไม่ชอบอ่ะ” ผมหลุดปากออกไป สงครามมันหน้าตาดี ตัดผมทรงอะไรก็ไม่น่าจะผิด แต่สำหรับทรงสกินเฮดผมคิดว่าคงไม่ค่อยเหมาะกับมันเท่าไหร่ เพราะถ้ามันตัดทรงนั้นคงจะเพิ่มความน่ากลัวให้กับภาพลักษณ์ของมันมากขึ้นไปอีก

“หึ” สงครามยิ้มเบาๆ

“อะไร”

“เปล่า”

“ตกลงจะไม่ตัดสกินเฮดแล้วใช่ป่ะ”

“ก็เออดิ มึงไม่ชอบนี่”

ผมรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาแวบหนึ่ง แม้จะรู้ว่ามันฟังความเห็นผมก็เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการจีบมีน แต่นั่นก็ทำให้ผมรู้สึกดี เพราะอะไรไม่รู้ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

สงสัยผมเขียนโน้ตสุขใจให้ตัวเองมานาน อะไรที่ทำให้ผมมีความสุขมากหรือมีความสุขแบบนิดๆ หน่อยๆ ผมชอบหมดอ่ะ เรื่องนี้ก็น่าจะถูกเขียนลงไปด้วยมั้งครับ

เรื่องที่สงครามมันฟังความเห็นของผมเกี่ยวกับทรงผมใหม่ของมัน








ห้างภารกร ร้านแจ่มใสซาลอน

เป็นร้านตัดผมที่มีสีส้มทั้งร้านแถมพนักงานส่วนใหญ่ก็เป็นผู้หญิงอีก สายตาหลายคู่มองผมกับสงครามพลางยิ้มน้อยๆ ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรกันอยู่ ผมนั่งรอสงครามอยู่บนโซฟาขณะที่มันกำลังขึ้นเขียงถูกช่างตัดผมให้ ผมพลิกนิตยสารแฟชั่นไปมาหลายเล่มจนเริ่มรู้สึกเบื่อ โชคดีที่มีนิตยสารเล่มหนึ่งดึงความสนใจผมเอาไว้ เป็นนิตยสารสำหรับแฟชั่นของผู้ชาย และคอลัมน์นาฬิกาข้อมือก็เขียนได้ดีจนผมอ่านแบบต้องมนตร์สะกด

ผมใส่นาฬิกาข้อมือยี่ห้อ G-Shock สีดำ เป็นนาฬิกาที่ราคาไม่ได้แพงจนเกินเอื้อมเท่าไหร่อีกทั้งยังเท่และก็โคตรคูล ผมชอบดูนาฬิกาข้อมือที่มันแพงเกินเอื้อม ราคาหลายหลักเพราะมันสวยดี คิดว่าสักวันหนึ่งจะลองเป็นนักสะสมนาฬิกาข้อมือดู

ว่าแต่ผมไม่เคยสังเกตสงครามเลยว่ามันใส่นาฬิกายี่ห้ออะไร ผมวางนิตยสารในมือลงก่อนจะมองไปทางมันด้วยความสงสัย ในตอนนั้นเองที่ผมถูกตัวใครไม่รู้บดบังทัศนวิสัยจนหมด คนคนนั้นมายืนอยู่ตรงหน้าผม

.

.

.

“แม่ง...” ผมรำพึงเมื่อเห็นสงครามลุคใหม่ นอกจากนี้ผมก็เพิ่งรู้ว่ามันใส่ G-Shock สีดำเหมือนกันกับผม

“ไม่โอเคเหรอ” ผมของมันสั้นลงแถมยังตัดแบบอันเดอร์คัทไถเกรียนข้างๆ อีกต่างหาก จริงๆ แล้วก็ไม่ค่อยต่างจากทรงที่มันชอบตัด แต่พอมันพลิกโฉมจากผมยาวนิดๆ มาเป็นผมสั้น ผมก็อดที่จะรู้สึกอึ้งไม่ได้ “เหี้ย มึงช่วยกูเลือกทรงนี้เองนะ”

“เออ ไอ้สัด หล่อๆๆ” ผมทำเป็นชมแบบขอไปที ทั้งๆ ที่ผมทรงนี้แม่งเข้ากับลุคเถื่อนๆ ของมันโคตรๆ

“แน่นะ”

“...”

“เพราะถ้ามึงบอกว่าไม่หล่อกูจะโกนทิ้งให้หมด”

“จะบ้าเหรอวะ” ผมรีบร้อง “หล่อแล้ว พอแล้ว”

มันดูพอใจในคำตอบ กว่าแม่งจะพอใจก็เล่นเอาผมชมมันอยู่หลายรอบ คนบ้าอะไรชอบให้คนอื่นชม

ผมกับสงครามเดินออกมาจากร้าน มันจับผมตัวเองอย่างเก้อเขินหน่อยๆ เพราะไม่ค่อยชิน ผมพยายามอย่างยิ่งที่จะทำเป็นไม่มองมัน ทั้งๆ ที่อยากมองใจจะขาด

แม่งทั้งหล่อทั้งเท่ฉิบหายเลยโว้ย

สงครามดูไม่ค่อยกล้าสบตาผมเท่าไหร่ มีไม่กี่ครั้งที่มันแสดงท่าทีไม่มั่นใจในตัวเองชัดมากมายขนาดนี้ จะว่าไปมันในมุมนี้ดูแตกต่างจากตอนที่สั่งลงโทษลูกหอมากชนิดที่ว่าห่างกันร้อยเลเวล

ผมชอบมันมุมนี้มากกว่า

“หิวป่ะ” สงครามถาม “เลี้ยงกูหน่อย เพิ่งจ่ายค่าตัดผมไป หมดตูดแล้วเนี่ย”

“ก็อยากมาตัดในห้างเองทำไม”

“มึงชอบตัดร้านนี้ มึงบอกกูนี่”

“แล้วยังไง”

“ร้านที่มึงชอบก็คงจะตัดดีนั่นแหละ”

“...”

“อยากดูดีก็ต้องทำตามๆ ไอ้พวกหอสามดิ หอนี้แม่งหน้าตาดีหมด”

ผมยิ้มเล็กน้อยกำลังจะเอ่ยปากคุยต่อ แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นคนคู่หนึ่งที่อยู่ตรงหน้า หนึ่งคนในนั้นคือเพื่อนผมที่เพิ่งแยกกันตอนเรียน ส่วนอีกคนก็เป็นเพื่อนผมเหมือนกัน

ไปป์กับมีน

เราสี่คนมองหน้ากันอย่างกระอักกระอ่วน ทุกคนยืนนิ่งๆ รอใครสักคนเอ่ยทักทายแต่ไม่มีใครส่งเสียงอะไรออกมาทั้งนั้น เท่าที่ผมจำได้ ไปป์มันไม่สนิทกับมีนเลย ไอจีของมีนมันก็ไม่ฟอลด้วยซ้ำ ผมก็เลยอดสงสัยไม่ได้ว่าสองคนนี้อยู่ด้วยกันได้ยังไง

ไปป์ตกใจจนหน้าซีด ไม่รู้ว่าช็อกเพราะสงครามมาเห็นหรือเพราะผมมาเห็น พอคิดถึงสงคราม ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่ามันชอบมีนอยู่นี่หว่า มันจะทำหน้ายังไงที่เห็นมีนอยู่กับไปป์

ผมหันขวับไปมอง สงครามมองสลับไปที่มีนกับไปป์อย่างไม่ค่อยเข้าใจ

“ทำไมมาด้วยกันได้” มันเป็นคนเอ่ยปากท่ามกลางความเงียบ

“เอ่อ...กูขอติดรถมันกลับอ่ะ กูโดนเพื่อนเท” มีนเล่าให้ฟัง

“จะกลับแล้วเหรอ” ประธานหอสองถามต่อ

“ช่าย”

“แต่ห้างเพิ่งเปิดนะ”

มึงจะซักไซ้ทำไมเนี่ยสงคราม “เอ่อ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว” ผมพยายามทำให้บรรยากาศมันดีขึ้น “ไปหาอะไรกินด้วยกันเปล่า”
หอสองสองคนกับหอสามสองคนไปกินข้าวด้วยกันคงแปลกน่าดู

“กูกำลังจะกลับจริงๆ” มีนพูด

“เออ เหี้ยไปป์กูเพิ่งนึกขึ้นได้” ผมทำการแสดง “อาจารย์โปรเจ็กต์เรียกคุยด่วน มึงกับกูต้องรีบกลับมอเดี๋ยวนี้เลย”

“หา” ไปป์ขมวดคิ้ว ผมพยายามส่งสายตาให้มันรู้ว่านี่เป็นแผนการของผมเพื่อให้สงครามกับมีนได้กลับด้วยกัน

“เนี่ย ข้อความในไลน์ อาจารย์ส่งมา” ผมชูให้มันดู ไอ้ไปป์ตัวอ่อนไปตามแรงดึงของผม “สงคราม มึงไปส่งมีนก็แล้วกัน กูจะไปกับไอ้เหี้ยไปป์”

“เฮ้ย” สงครามส่งเสียงไม่เข้าใจ

“ไปนะ”

ผมรีบลากไปป์ออกมา ปล่อยให้สองคนนั้นได้อยู่ด้วยกันโดยที่ไม่หันกลับไปมองอีก

“เหี้ยอะไรของมึงวะไปป์” ผมถามเพื่อนระหว่างที่เราสองคนเดินห่างมาไกลมากแล้ว “มึงก็รู้ว่าประธานหอมึงชอบมีนอยู่”

“เออ กูรู้”

“เราสองคนควรปล่อยให้พวกมันได้อยู่ด้วยกัน”

“ก็ทำแล้วนี่ไง”

“ไหนบอกไม่สนิทกับมีน”

ไปป์ไม่ยอมสบตาผม ท่าทางมันมีพิรุธขนาดหนัก “ก็ไม่ได้สนิทอะไร”

“สนิทก็บอกสนิทกูไม่ได้ว่าอะไร แต่สงครามมันชอบมีนอยู่ ยังไงมึงก็ช่วยมันหน่อยก็แล้วกันนะ”

“เออ กูรู้แล้ว” ไปป์พยักหน้า “แล้วมึงกับกูจะไปไหนต่อ หาอะไรกินมั้ย”

ผมถอนหายใจ พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกโหวงๆ ภายใน

“ไม่หิวแล้ว กลับเลยดีกว่า...”









กลางดึกคืนนั้น

วันนี้ผมไม่มีสติเลยทั้งวันแถมยังสั่งลงโทษลูกหอด้วยเรื่องเล็กๆ เท่าขี้ตามดอีกต่างหาก เด็กๆ มันคงจะแอบโกรธอยู่ลึกๆ ที่ผมหงุดหงิดแล้วไปลงกับพวกมัน แต่ผมไม่ได้แกล้งอะไรหนักเลยนะ ก็แค่ให้ทำความสะอาดโต๊ะหินอ่อนหน้าหอก็เท่านั้นเอง

ระหว่างที่ควบคุมเด็กๆ กลุ่มที่ถูกลงโทษ ผมไม่เห็นเงาของสงครามเลย แม้จะชำเลืองไปมองดูตึกหอสองอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็เห็นแค่พวกหอสองร่างยักษ์เดินไปเดินมาแถมยังเสียงดังโหวกเหวกแบบคงคอนเซ็ปต์ ไร้ซึ่งเงาของประธานหอ...

หอสามของผมก็ไร้เงาของมีนเหมือนกัน

แม่งไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ววะ

ผมนอนกลิ้งไปมา จากนั้นก็ดิ้นพล่านเผื่ออารมณ์มันจะดีขึ้นมาบ้าง วันนี้ควรเป็นวันดีๆ ของผมแท้ๆ แต่ทำไมถึงกลายมาเป็นแบบนี้ไปได้ โคตรไม่เข้าใจตัวเองเลย

โน้ตสุขใจของผมจึงกลายเป็นที่ระบายอารมณ์ไปซะฉิบ

โน้ตสุขใจ
1. เหี้ยสงคราม
2. ไอ้เหี้ยสงครามมมมมมม
3. ไม่รีบกลับหอวะไอ้สัดดด
4. เดี๋ยวกูก็ยกพวกไปบุกหอมึงซะนี่
5. รีบกลับมาเร็วๆ


เหมือนสงครามจะรู้ว่าตัวเองควรออกมาในซีนไหน ทันทีที่ผมเขียนจบปุ๊บ มันก็ทักผมมาปั๊บราวกับรออยู่แล้ว

สงเหี้ย หอสอง : ไหนโน้ตของวันนี้
สงเหี้ย หอสอง : ส่งมาเร็วๆ


ใครจะบ้าส่งสิ่งที่เพิ่งเขียนไปให้มัน ไม่มีวันเด็ดขาด

สงเหี้ย หอสอง : อ่านแล้วยังตอบช้าอีก
สงเหี้ย หอสอง : งอนกูอยู่ป่ะเนี่ย กูมีสังหรณ์แปลกๆ


ฉิบหาย ผมงอนมันเหรอ ผมไม่ได้งอนมันสักหน่อย ถ้างอนผมจะงอนเรื่องอะไรล่ะ ให้ตายเถอะ ผมยังให้คำตอบตัวเองไม่ได้เลย

สงเหี้ย หอสอง : /แนบรูปข้อความ ‘กูจะไม่งอนมึงอีกแล้ว’

ไอ้รูปเหี้ยนี่มาอีกแล้วววววววว

AI : -วย
สงเหี้ย หอสอง : หน้าตาดีก็พูดจาดีๆ หน่อย 555
สงเหี้ย หอสอง : สรุปไม่ได้งอนใช่มั้ย
AI : กูจะงอนเรื่องอะไรล่ะ
สงเหี้ย หอสอง : ไม่รู้ เซนส์กูมันคิดไปไกลแล้ว


ผมกัดเล็บ คราวนี้ผมเครียดจริงๆ ว่าผมจะสื่อสารอะไรกับไอ้สงครามดี ตอนนี้ผมควรไปนั่งคุยกับตัวเองก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม ทั้งๆ ที่เป็นคนปล่อยให้สงครามอยู่กับมีนเองแท้ๆ แต่ทำไมถึงได้รู้สึกเครียดขนาดนี้ เครียดไม่พอยังทำตัวแย่ ไปลงกับน้องๆ แถมยังมาลงกับสงครามอีก บ้าบอจริงๆ เลยผม

สงเหี้ย หอสอง : จะส่งไม่ส่ง ไม่ส่งกูบุก

มันมาจริงแน่ มันกลัวใครที่ไหนกัน ผมมือไม้สั่น รีบจับปากกาพยายามคิดถึงความสุขของผมที่เกี่ยวกับไอ้สงครามในวันนี้ มันตัดผมใหม่แล้วโคตรหล่อ แล้วไงต่อ

สงเหี้ย หอสอง : กำลังจะถึงหน้าหอสามแล้ว

ฟ๊าคคคคคคคค กูส่งให้มึงก็ได้ไอ้ห่ารากกกกกกกกก

AI : /แนบรูปโน้ตสุขใจ

สงครามอ่านอยู่สักพักก่อนจะตอบกลับมา

สงเหี้ย หอสอง : นี่มันบันทึกคำด่าชัดๆ
AI : อยากอ่านเองไม่ใช่เหรอ
สงเหี้ย หอสอง : เออ 555
AI : สนุกมั้ยวันนี้
สงเหี้ย หอสอง : ตอนไปตัดผมน่ะเหรอ ก็สนุกดี
AI : กูหมายถึงตอนไปกับมีน


ผมเพิ่งรู้ว่าผมลุ้นกับคำตอบของมันมาก

สงเหี้ย หอสอง : ก็เหมือนเคย
AI : เหรอ
สงเหี้ย หอสอง : มาบุกหอกูหน่อย ให้มันเป็นแบบที่มึงเขียน
AI : บ้าเหรอไอ้สัด
สงเหี้ย หอสอง : ตอนเขียนคงโมโหมากเลยสิ


ไม่น่าเลยว่ะ ผมไม่น่าส่งไปหามันเลยจริงๆ

สงเหี้ย หอสอง : ต่อไปจะกลับหอไวๆ แล้ว

ผมเอามือปิดหน้า มองดูข้อความระหว่างนิ้วมือของตัวเอง

สงเหี้ย หอสอง : คุ้มราคาจริงๆ เด็กกู
AI : ฟวยอะไร
AI : นอนก่อนนะ
AI : พรุ่งนี้เจอกัน
สงเหี้ย หอสอง : ไปเดินห้างกันอีกเหรอ
AI : จะบ้าเหรอ
AI : ขั้นตอนต่อไปในการช่วยมึงจีบมีนไง...
สงเหี้ย หอสอง : อืมมม โอเค


ผมคว่ำหน้าจอโทรศัพท์ จากนั้นก็เอามือทั้งสองข้างทึ้งหัวตัวเองอย่างบ้าคลั่ง

ผมเพิ่งรู้ตัวว่าชอบสงคราม ผมชอบสงครามมาก และคงจะชอบมานานแล้วด้วย

เพราะถ้าผมไม่ชอบ ทำไมผมต้องคิดถึงมันอยู่บ่อยครั้ง ทำไมต้องคอยมองหา ทำไมต้องคอยเขียนชื่อมันในสมุดโน้ตที่มีคุณค่าทางจิตใจ ทำไมถึงยิ้มออกทุกครั้งเวลาเห็นสิ่งดีๆ ที่มันทำ ไม่สิ ผมรู้สึกดีทุกครั้งที่เจอหน้ามัน

ทำไมผมเพิ่งมารู้ตัวเอาป่านนี้

และที่ผมย้ำเรื่องมีนกับมันทั้งหมดเป็นการย้ำกับตัวเองทั้งนั้น ไม่เกี่ยวกับมันเลยสักนิดเดียว





TBC*
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 30-08-2017 21:24:43




ตอนที่ 7




เอาไงดีเรื่องเงินสี่แสน เอาไงดีวะ เอาไงดี

“พี่อ้ายเป็นไรวะ”
“อะไรเข้าสิงพี่มัน”
“ปกติไม่เห็นจะออกกำลังกาย”
“สงสัยเครียดเรื่องโปรเจ็กต์”

นี่คือสิ่งที่เด็กหอสามพูดถึงระหว่างที่ผมกำลังจ็อกกิ้งในยามเช้า พวกมันพูดถูก จริงๆ แล้วนานทีๆ ผมจะออกกำลังกายและที่สำคัญผมไม่ค่อยวิ่งแต่เช้าตรู่แบบนี้ ทุกอย่างเป็นเรื่องผิดปกติ แม้แต่ตัวผมเองก็รู้สึกได้

ผมคิดหนักเรื่องเงินสี่แสนเพราะว่าผมต้องการคืนสงครามให้ครบ ผมจะได้ไม่ต้องช่วยมันจีบมีน ไม่ต้องฝืนใจทำ ไม่ทำร้ายจิตใจของผมเอง ผมทำเพื่อตัวเองเต็มๆ ครับ ไม่ได้ทำเพื่อคนอื่นเลย เรื่องนี้ขอเห็นแก่ตัวเถอะ ใครมันจะไปทนช่วยคนที่ตัวเองชอบไปจีบคนอื่นวะ บ้าป่ะ ผมไม่ได้แข็งแกร่งดุจหินผาขนาดนั้น

“พอ ไอ้สัด” ไปป์ร้องพลางโยนผ้าขนหนูมาให้ ผมเจอมันโดยบังเอิญขณะที่วิ่งใกล้ถึงหอตัวเอง “เหงื่อเต็มตัวแล้ว รู้ว่าไม่ไหวก็อย่าหักโหม”

“เออ เหนื่อยแล้วว่ะ” ผมก้มตัวเอามือไปจับไว้ที่เข่าพลางหอบ

“เป็นอะไรหรือเปล่า มีเรื่องเครียดใช่มั้ย”

“รู้ได้ไง”

“กูเป็นเพื่อนมึงมากี่ปี”

“...”

“มีอะไรก็เล่าให้กูฟังสิ”

เล่าไม่ได้ ยังไงก็เล่าไม่ได้อย่างเด็ดขาด นี่มันต้องเป็นความลับสูงสุดระดับชาติ ชีวิตผมตอนนี้ไม่ได้สวยหรูเป็นประธานหอที่น้องๆ ให้ความเคารพ แต่อยู่ในจุดที่แอบรักประธานหอซึ่งเป็นหอไม้เบื่อไม้เมากันมานานหลายสิบปี ที่สำคัญไอ้ประธานหอที่ว่านั่นมันก็ดันเป็นเพื่อน (ห่างๆ) ของผมอีก บอกไปก็มีแต่เสียกับเสีย

...แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องอะไรที่คุยกับไอ้ไปป์ไม่ได้เลย

“ไปป์ มันพอจะมีทางไหนที่จะหาเงินสี่แสนให้ได้เร็วๆ บ้างป่ะ”

“ต้องการในอีกกี่วันล่ะ”

“พรุ่งนี้”

“ไอ้เหี้ย” ไปป์ร้องลั่นอย่างไม่อยากจะเชื่อ “แบบนั้นก็ต้องเสกเอาแล้วมั้งสัด”

“กูจำเป็น”

“ยืมกูก่อนมั้ยล่ะ”

“บ้า!” เป็นทีของผมที่ทำสีหน้าไม่อยากจะเชื่อบ้าง “จริงๆ กูก็พอมีอ่ะ แต่ไม่อยากกวนเงินเก็บ ไม่อยากกวนเงินของที่บ้าน บ้านกูก็ไม่ได้รวยล้นฟ้า”

“เดี๋ยวก่อนนะ มึงไปทำอะไรมา ไปติดหนี้ใครเขามา”

“เรื่องมันยาวว่ะ” หรือจริงๆ แล้วผมควรจะตามหาไอ้ตัวต้นเหตุมารับผิดชอบให้ได้ก่อน คนคนนั้นก็คือญาติผมนี่แหละ จนถึงป่านนี้แม่งก็ยังติดต่อไม่ได้เลย “เฮ้อออออออ”

“เฮ้ย” ไปป์หน้าเสีย “นี่มึงจริงจังใช่ป่ะ”

“จริงจังสิ”

“มันไม่มีทางที่จะหาเงินได้ขนาดนั้นในเวลาอันสั้นนะเว้ย นอกเสียจาก...” มันงุบงิบคำพูดเอาไว้ราวกับไม่ต้องการพูดมันออกมา

“นอกจากอะไรวะ”

“ต้องไปเล่นพนันกับพวกหอสี่”

ผมแทบจะหงายหลังล้มตึง ไอ้พวกหอนั้นมันบ้า มันเดิมพันกันทุกวี่ทุกวันอยู่ภายในหอโดยที่คนนอกนั้นรู้ดีว่าพวกมันเล่นกันหนักมากมายเพียงใด ทั้งพนันเงิน พนันบ้าน พนันรถ และพนันคน เป็นหอที่รวยมากและก็อันตรายมากด้วย

“ถ้ามันไม่มีทางเลือกก็คงต้องไปหาพวกนั้นป่ะวะ”

“อ้าย มึงคิดดีๆ มึงจำเป็นขนาดนั้นเลยเหรอ”

“เออ กูจำเป็น”

สงครามวิ่งมาหยุดอยู่ระหว่างพวกเราสองคน มันบอกไอ้ไปป์ให้กลับหอเหมือนมีเรื่องจะคุยด้วย ไปป์จึงจำใจต้องเดินจากผมไป ผมหลบสายตาของสงครามที่กำลังมองตรงมา

ใจผมเต้นแรงไม่หยุดเลย อาการแม่งรุนแรงกว่าตอนที่ผมยังไม่ยอมรับความรู้สึกของตัวเองมาก มันจะรู้ไม่ได้ มันจะรู้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด

“ไปป์คงได้เห็นตอนมึงเหงื่อออกบ่อยเลยสิ” มันเลิกคิ้ว ผมนิ่งคิดทบทวนคำพูดมันแป๊บหนึ่ง เออว่ะ เวลาผมออกกำลังกายทีไรผมมักจะอยู่แต่กับไอ้ไปป์ทุกที ส่วนไอ้ธัชน่ะเหรอ มันตื่นไปเรียนทันก็บุญแล้ว

“น่าจะใช่มั้ง”

สงครามเม้มปาก ดูไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ “อย่าลืมทักมาด้วยนะ”

“หืม”

“ก็วันนี้เราจะเจอกันอีกไม่ใช่เหรอ”

ผมถึงบางอ้อในที่สุด สงครามส่ายหน้าใส่ผมแล้วเดินจากไป เวลาผมกับมันเจอกันอยู่แถวหอทีไร เราสองคนคุยกันยาวๆ ไม่ได้ทุกทีครับ แต่...เฮ้ยยยย วันนี้ผมยังต้องเจอสงครามอีกเหรอเนี่ย แถมยังต้องช่วยมันเรื่องมีนอีก

สาดดดด นี่กูไม่ได้เป็นพวกซาดิสต์ชอบหาความเศร้าใส่หัวใจตัวเองนะเว้ย

ไม่ได้ ผมจะปล่อยให้เรื่องนี้มันดำเนินไปแบบนี้ไม่ได้ ผมเชื่อว่าต้องมีวิธีไหนสักวิธีที่ผมจะสามารถหนีไปจากเรื่องนี้ได้

อย่างน้อยก็ขอแค่ได้มองมันอยู่ในมุมไกลๆ ของผมก็พอ ใกล้เกินไปแล้วเจ็บแบบนี้ ผมขอถอยดีกว่า








คณะวิศวฯ

วันนี้ผมมีเรียนหนึ่งตัวและก็มีทำโปรเจ็กต์ตอนบ่าย บอกเลยว่าสติผมไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เอาแต่ใจลอยไปถึงมนุษย์คนหนึ่งซึ่งเรียนอยู่ในตึกสาขาของมันที่อยู่ไกลโพ้น มันไม่เคยทำผมเป็นหนักขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เวลานี้ผมควรจะเอาเวลาทั้งหมดไปตั้งใจเรียนให้จบปีสี่แท้ๆ

โทษตัวเองดีกว่าที่อยู่ดีๆ ก็มารู้ใจตัวเองตอนที่เรียนอยู่ปีสี่เข้าให้แล้ว

ไลน์กลุ่มประธานหอผู้ยิ่งใหญ่แจ้งเตือนในรอบหลายวัน ผมเห็นชื่อคนที่ส่งข้อความมาแล้วก็ถึงกับต้องทำเสียงเซ็ง ไอ้ตั้มแห่งหอสี่ มันคือต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องมานั่งปวดหัวว่าจะเอายังไงกับเงินสี่แสนและก็เรื่องของไอ้สงคราม

กูเซ็งมึงจริงๆ

ตั้ม หอสี่ : งานเลี้ยงขอบคุณสปอนเซอร์จัดวันเสาร์นี้นะเว้ย
ตั้ม หอสี่ : อยากให้ไปกันทุกคน


ผมเกือบลืมไปเลยว่ามีออกงาน ให้ตายเถอะ โคตรไม่มีอารมณ์อยากจะไปงานเลี้ยงในตอนนี้ วันเสาร์ก็วันมะรืนนี้่แล้วสิ นี่ผมต้องจองตั๋วเครื่องบินไปเลยมั้ยเนี่ย โอ๊ยไอ้สัด ยุ่งยากฉิบหาย

หลังจากนั้นไม่นานนักสงครามก็ทักไลน์ส่วนตัวของผมมา

สงเหี้ย หอสอง : มึงจะไปยังไง

ผมตอบไลน์มันไปอย่างรวดเร็ว

AI : ยังไม่รู้เลย
สงเหี้ย หอสอง : ไปกับกูก็แล้วกัน จะขับรถไป
AI : เฮ้ย
สงเหี้ย หอสอง : เอาตามนั้น เป็นเด็กกูอย่าเรื่องมาก
AI : กูว่าไม่ดีมั้ง
สงเหี้ย หอสอง : สี่แสน...


เห็นมั้ย เพราะมันเป็นเจ้าหนี้ผม ทุกอย่างก็เลยอยู่ในกำมือมันหมด ผมมองหน้าจอโทรศัพท์อย่างลำบากใจ ไม่รู้จะพิมพ์อะไรตอบกลับไป

สงเหี้ย หอสอง : ทำโปรเจ็กต์เสร็จแล้วบอก เดี๋ยวจะไปรับ







เวลา 14.30 น.

ผมนั่งอยู่ใต้ตึกคณะซึ่งเป็นตึกเรียนรวม มีนักศึกษาคณะวิศวฯ เดินไปมากันอย่างขวักไขว่ ตอนนี้สภาพผมเหมือนเพิ่งผ่านโศกนาฏกรรมมา เด็กหอผมที่เดินผ่านไปจึงไม่มีใครกล้าเข้ามาทักทาย มีแต่ยกมือไหว้เฉยๆ เท่านั้น

ผมยังไม่ได้ไลน์ไปบอกสงครามว่าแยกกับเพื่อนแล้วเพราะมัวแต่นั่งคิดมากว่าจะเอายังไงอยู่ ไลน์ของผมแจ้งเตือนอีกครั้ง นึกสงสัยอยู่ในใจว่าสงครามอาจจะทักมาเร่งก็ได้ มันก็เป็นคนแบบนี้แหละ

คนที่ทักมาไม่ใช่สงคราม แต่เป็นโอม

OHM : อ้าย กูขอโทษ
OHM : ชีวิตกูกำลังจะดีขึ้น อะไรที่กูแย่งมึงมา กูจะคืนมึงให้หมด
OHM : กูสัญญา
OHM : ขอเวลากูหน่อยนะ


ผมกำลังจะพิมพ์ตอบกลับไป แต่รู้สึกว่ามีใครบางคนทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ผมจึงหยุดมือ สงครามกับผมทรงใหม่อยู่ในชุดเสื้อช็อปกับกางเกงยีนส์ฟอกสีอ่อน มันทำท่าเหมือนผมไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้แต่กลับมองตรงไปข้างหน้า พูดง่ายๆ ก็คือเก๊กนั่นแหละ

“บอกให้ทักมาๆ ไอ้สัด นี่กูต้องเหนื่อยลงทุนตามหามึงเอง”

“นี่เรานั่งใกล้กันเกินไปหรือเปล่าวะ”

ศอกของมันที่ค้ำโต๊ะอยู่เกือบชนศอกของผมอยู่แล้ว แน่นอนว่าผมทรงใหม่ของสงครามเป็นอะไรที่เตะตาเอามากๆ สาวๆ มองตามกันให้ควั่ก ส่วนหนุ่มๆ ก็มองด้วยสายตาชื่นชมว่าคนเหี้ยอะไรแม่งโคตรเท่

“ใครจะกล้ามานินทาหรือด่าอะไร นี่กูนะ กูคือสงคราม”

จริงของมัน ไม่มีใครกล้าติดใจเรื่องความสนิทสนมระหว่างผมกับสงครามหรอก แต่มันก็ไม่เหมาะไม่ควรป่ะวะ

“วันนี้มึงจะพากูทำอะไร”

“ไม่ทำอะไรได้ป่ะ” ผมตอบทันควัน “กูเหนื่อย”

“ไปทำอะไรมา”

“เหนื่อยใจนี่แหละไอ้สัด”

“เกิดอะไรขึ้น”

“...”

“เรื่องลูกหอเหรอ”

ผมส่ายหน้าดิก

“เรื่องเรียน”

ผมส่ายหน้าอีกครั้ง

“เรื่องญาติมึงหรือเปล่า ไอ้คนที่มันเหี้ยๆ”

“ไม่ใช่”

“แล้วเรื่องอะไรล่ะวะ”

เรื่องมึงนั่นแหละโว้ย แต่กูพูดไม่ได้... “อากาศร้อน กูเหนื่อยใจ”

“มึงเหนื่อยใจเพราะอากาศ”

“เยส”

“เหี้ยอะไรของมึงเนี่ย” สงครามมองผมเหมือนผมเป็นเด็กน้อย มันเริ่มรำคาญสายตาชาวบ้านชาวช่องจึงรีบลุกขึ้นยืน “ไปขึ้นรถได้แล้ว”

“นี่กูยังไม่รู้เลยนะว่าเราจะไปไหนกัน”

สงครามยักไหล่ จากนั้นมันก็พูดอย่างกวนประสาทว่า “กูก็ไม่รู้เหมือนกัน”







ร้าน Pink Chiffon

ผมกับสงครามมาลงเอยที่ร้านนี้ได้ไงวะเนี่ย เราสองคนเคยมาที่นี่กันหนหนึ่งตอนที่สงครามขอร้องให้ผมช่วยติวให้มัน ตอนนั้นเราทั้งคู่เลือกมาร้านนี้เพราะนักศึกษาชายไม่ค่อยมาร้านที่มีแต่สีชมพูไปทั้งร้านแบบนี้ ตอนนั้นไอ้ทนายกับอาสาก็มาเจอพวกเราที่นี่ หลังจากนั้นผมกับไอ้สงครามก็ไม่ได้มาอีกเลย

สงครามมันไม่ชอบ แต่ผมชอบ แม้การตกแต่งมันจะดูไม่ค่อยเหมาะกับผู้ชายสักเท่าไหร่ แต่เค้กร้านนี้ก็อร่อย น้ำลายของผมไหลย้อยตั้งแต่ตอนที่สงครามเลี้ยวรถเข้ามาจอด จนกระทั่งเดินเข้ามาในร้านแล้วน้ำลายผมก็ยังไม่หยุดไหลเลยครับ

“แสดงว่าอยากแดกเค้ก” สงครามตั้งข้อสังเกตผม “เพราะไม่โวยวายห่าอะไรเลยตอนกูพาเข้ามา”

“ก็ในเมื่อมันไม่มีที่ให้ไปอยู่แล้วนี่หว่า”

อีกฝ่ายคงรู้สึกกระดากอายหน่อยๆ เพราะทันทีที่มันเดินเข้ามาในร้านปุ๊บ คนก็มองมันกันหมดปั๊บ

“อา แม่งเอ๊ย” มันเอามือขยี้ผมตัวเองอย่างเซ็งๆ

“กลับมั้ย” ผมอดยิ้มเมื่อเห็นมันทำท่าทางอย่างนั้นไม่ได้

มันมองหน้าผมจากนั้นก็ถอนใจ “มึงชอบเค้กร้านนี้นี่”

ผมพูดไม่ออก ไม่คิดว่ามันจะจำรายละเอียดเล็กน้อยแบบนั้นได้ ผมจำได้ว่าวันนั้นสงครามมันไม่ค่อยตั้งใจฟังที่ผมสอนเท่าไหร่ เอาแต่บ่นอิดออดว่าอยากออกไปจากร้านนี้ ยิ่งพอเห็นว่าทนายมันหัวเราะขำไอ้สงครามก็ยิ่งอยากออกไป ผมรบเร้ามันให้อยู่ต่อเพราะผมชอบกินเค้กร้านนี้จริงๆ มันก็เลยนั่งนิ่งๆ อยู่อย่างนั้นจนผมสอนเสร็จ

ดีใจแฮะที่มันจำได้ นอกจากจำได้แล้วมันยังพาผมมาร้านนี้อีก ทั้งๆ ที่มันไม่ชอบด้วยซ้ำ

“กูมีเรื่องจะคุยกับมึง” ผมพูดออกมาพร้อมกับกลืนน้ำลาย

“ว่าแล้ว มึงดูมีเรื่องอะไรในใจ”

“เดี๋ยวขอสั่งเค้กก่อน”

“อืม”

“มึงเอาอะไร”

“อเมริกาโน่เย็น”

“แดกกาแฟตอนบ่ายเนี่ยนะ”

“มึงจะให้กูแดกอะไรล่ะ อย่างอื่นแค่มองกูก็อ้วนแล้ว”

เหี้ย มึงทำให้กูรู้สึกผิดที่จะกินเค้กเลย ผมมองเค้กในตู้อย่างชั่งใจ ไอ้สงครามมันเป็นคนชอบดูแลรูปร่างตัวเองอยู่แล้ว แต่ผมชอบตามใจปากมากกว่า

เมื่อสั่งเสร็จผมก็กลับมานั่ง สงครามหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นแก้เขิน เพราะคนมองมันกันทั้งร้านจริงๆ มันเป็นคนดัง อีกทั้งยังเพิ่งตัดผมมาใหม่ ใครๆ ต่างก็ให้ความสนใจ

“จะออกวันเสาร์หรือวันศุกร์”

ผมมองสงครามอย่างไม่เข้าใจ “หา”

“งานเลี้ยงที่กรุงเทพฯ ไง”

“มันน่าจะจัดเย็นๆ ออกวันเสาร์เช้าก็ได้”

“ออกวันศุกร์ดีกว่า”

“เหี้ย แล้วจะไปนอนไหน”

“ที่นอนเยอะแยะ ข้างถนนไงสัด”

ผมอ้าปากเตรียมจะด่า แต่เค้กมาเสิร์ฟทันเวลาอย่างเหมาะเจาะพอดี ผมจึงให้ความสนใจของหวานมากกว่าคำที่จะพูดต่อไป

“ไหนบอกมีเรื่องจะพูดกับกู” สงครามคว่ำจอโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ จากนั้นก็กอดอกนั่งมองหน้าผมซึ่งกำลังกินอยู่คนเดียว “ว่ามา”

แม้ตรงหน้าผมจะเป็นของหวาน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมมีสีหน้าสดใสขึ้นแต่อย่างใด เพราะเรื่องที่กำลังจะพูดมันส่งผลโดยตรงกับผม...และก็หัวใจ

“เล่าเรื่องมีนให้ฟังหน่อย”

“ทำไมวะ” สงครามขมวดคิ้ว

“อยู่ดีๆ จะให้ไปช่วยจีบเฉยๆ ได้ไง ต้องฟังเรื่องราวก่อนสิจะได้เริ่มถูก”

“ก็ไม่มีอะไรมาก ชอบมาตั้งแต่ปีหนึ่ง จะไปบอกว่าชอบทีไรมันก็มีคนมาควงแล้วทุกทีไป”

ผมพยายามแสดงสีหน้าว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำพูดเหล่านั้น “ปีนี้ลองดูอีกทีก็แล้วกัน”

“อืม”

สงครามยิ้มให้พนักงานเสิร์ฟสาวเล็กน้อยตอนที่เธอเอากาแฟมาเสิร์ฟให้ ผมแอบมองมันพลางถอนหายใจ

“มึงชอบมันมากมั้ย”

“ก็...อืม”

“ไอ้สัด มึงอินในสิ่งที่กูถามมั้ยเนี่ย”

“แล้วกูต้องตอบยังไงอ่ะ นี่กูก็ตอบความจริงไปแล้ว”

“มึงดูไม่ค่อยสนใจอะไรเลย”

“อาจเป็นเพราะกูง่วง” ไอ้นี่หนิ...

“...”

“แต่จริงๆ แล้วกูรู้สึกว่าไม่ว่าจะพยายามยังไง มีนก็ไม่สนใจกู”

นี่มันกำลังท้ออยู่เหรอเนี่ย

“มีแต่ผู้ชายมารุมมันเต็มไปหมด จนกูสงสัยเลยนะว่ากูแม่งไม่มีห่าอะไรดีให้มันสนใจเลยหรือไงวะ”

“มึงมีดี” อันนี้ผมพูดมาจากใจ ตั้งแต่รู้จักกับมันมา สงครามมีแต่เรื่องให้ผมชื่นชม จนผมสามารถเปลี่ยนจากแอบปลื้มกลายเป็นแอบชอบได้ “ถึงแม้จะขี้บังคับ เอาแต่ใจตัวเองไปหน่อย”

“มึงก็เสือกยอมกูไง”

“ใครบ้างจะกล้าไม่ยอมมึง”

“อ้าย ถ้ามึงไม่อยากยอมก็ไม่ต้องยอม สำหรับมึงกูไม่เคยใจร้าย มึงก็น่าจะรู้”

“ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ”

สงครามจ้องแก้วกาแฟของตัวเองราวกับนึกหาคำตอบอยู่ “กูก็สงสัยตัวเองเหมือนกัน”

“กูเชื่อว่าถ้ามึงตั้งใจจีบจริงๆ ยังไงก็ติด” แม้ยิ่งพูดก็ยิ่งทำร้ายตัวเอง แต่ผมก็จะพูดต่อไปครับ

“หมายความว่าไง”

“ที่ผ่านมามึงอาจจะพยายามไม่มากพอก็ได้”

“เชื่อป่ะ มีนรู้ว่ากูชอบมัน และอาจจะรู้มานานแล้วด้วย” สงครามบีบแก้วกาแฟแน่นขึ้น “แต่มันก็ไม่ได้ให้ความหวัง ไม่ได้ปฏิเสธ เพราะงี้มั้งกูถึงยังชอบมันอยู่ เหมือนลึกๆ ในใจกูคิดว่ากูยังมีความหวัง”

ผมเริ่มคิดว่าตัวเองนั้นพลาดที่เริ่มต้นบทสนทนาด้วยเรื่องที่ทำให้ตัวเองปวดใจ จุดที่ผมยืนอยู่มันค่อนข้างวางตัวลำบาก ผมไม่รู้จะหาทางออกให้ตัวเองยังไง จะช่วยมันต่อตัวผมเองก็เจ็บ แต่จะไม่ให้ช่วยอะไรมันเลยก็รู้สึกว่าผมแล้งน้ำใจกับคนที่ตัวเองแคร์เกินไปหน่อย อีกอย่างหนึ่งเงินสี่แสนก็ไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ นี่เรื่องจริงไม่ใช่นิยาย ที่สำคัญผมไม่ใช่คนจากหอสี่ด้วย ผมคือนักศึกษาธรรมดาๆ ระดับกลางๆ คนหนึ่ง

หากมองโลกในแง่ดี นี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่ผมจะได้อยู่ใกล้ชิดสงครามก่อนที่จะแยกจากกันไป อีกไม่ถึงหนึ่งปีเราสองคนก็จะเรียนจบแล้ว ถ้าผมอดทนกับความเจ็บปวดสักนิด มองว่าการได้อยู่ใกล้ๆ สงครามเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ก็ดีกว่าการไม่มีความสุขเลยไม่ใช่เหรอ

“มีนเป็นดาราใช่ป่ะ”

“อืม”

“มึงต้องเริ่มจากการเป็นติ่งมันก่อน”

“ไส้ติ่งเหรอ”

“ไม่ใช่โว้ย ติ่งอ่ะติ่ง”

“มึงจะให้กูไปตามดาราเหรอ ไอ้เหี้ย แบบนั้นมันใช่กูที่ไหน”

“ไม่ใช่ตามโว้ย แค่ให้กำลังใจ สนับสนุน”

สงครามกระพริบตาปริบๆ ใส่ ผมจำใจต้องเล่ารายละเอียดให้มันอยู่นานกว่ามันจะเข้าใจ

“แปลว่าสิ่งที่มีนรัก กูก็ต้องรักด้วย กูเข้าใจถูกมั้ย”

“เออ ประมาณนั้นนั่นแหละ”

“มึงรู้เรื่องความรักดีนะ แต่ทำไมไม่เห็นจะมีแฟนสักทีวะ”

“แค่ดูแลลูกหอเวลาในชีวิตกูก็หมดแล้ว”

“เออ...เหมือนกูเลย”

“แต่มึงก็กำลังจะมีแฟนแล้วนี่”

“มึงเชื่อว่ากูทำได้เหรอ”

“ใช่”

“...”

“กูบอกแล้วไงว่ามึงมีดี”

สงครามทำสีหน้ารับรู้ บอกตามตรงว่ามันไม่ได้อินกับสิ่งที่ผมกับมันคุยกันเลยครับ เหมือนเป็นแค่บทสนทนาเรื่องหนึ่งที่จำเป็นต้องคุยกันเท่านั้น ผมชักจะเป็นห่วงแล้วนะว่าความเฉื่อยของมันอาจจะทำให้มันไม่สมปรารถนา

มึงนกมาหลายครั้งแล้ว มึงอยากจะนกซ้ำอีกหนเหรอวะสงคราม...







หอสาม

ผมกำลังยืนลังเลอยู่หน้าห้องของมีน ห้องที่มีเปอร์เซ็นต์การเข้าออกจากคนหออื่นมากที่สุด แม้ลึกๆ ในใจของผมจะไม่เห็นด้วยเรื่องที่สงครามมันชอบคนนี้ แต่ผมก็ไม่ใช่คนที่จะตัดสินทุกอย่างของคนอื่นด้วยเรื่องแค่บางเรื่อง เพราะฉะนั้นถ้าสงครามมันชอบ ผมก็จะทำใจยอมรับให้ได้

ทำไงได้...ก็ในเมื่อสงครามมันชอบไปแล้วแถมยังชอบมานานมากด้วย ผมผู้ซึ่งรู้ใจตัวเองทีหลังยังไงก็สู้คนในใจของมันไม่ได้ ในเมื่อไม่มีทางเลือก อีกทั้งยังไม่สามารถหาเงินสี่แสนมาคืนสงครามได้ในเวลาอันใกล้ ไม่ว่าจะยังไงตอนนี้ผมก็ต้องช่วยมันอย่างดีที่สุดไปก่อน

ผมสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนเคาะประตูสามครั้ง

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ จากหมายเลขที่ผมเรียก

ห้องของมีนคือห้องที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นห้องรวมซุป’ตาร์ของหอ สมาชิกในห้องทุกคนล้วนแล้วแต่ทำงานในวงการและส่วนใหญ่ก็นอนนอกหอกันทั้งนั้น หรือวันนี้พวกมันมีงานกันหมดวะ เห็นทีผมคงต้องถามไอ้ธัชเพื่อนผมซะแล้ว เผื่อพวกมันแจ้งไอ้ธัชเรื่องไม่กลับหอแทนที่จะมาแจ้งผม

ระหว่างที่คิดๆ อยู่ ประตูก็เปิดแง้มออกพอดี หน้ามึนๆ ง่วงๆ ของมีนทำเอาผมรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา

“ไงอ้าย มีอะไร”

สีหน้าของมันตอนนี้ดูง่วงมาก มันจะมีอารมณ์คุยกับผมมั้ยเนี่ย

“กูจะมาถามว่ามึงมีงานหรือเปล่าวันเสาร์อาทิตย์นี้อ่ะ”

“อืม” มันทำท่าคิด “มีวันเสาร์นะ อยู่กรุงเทพฯ อ่ะ มีอะไรหรือเปล่า”

“พอดีกูเข้ากรุงเทพฯ ว่างๆ กูอาจจะไปเชียร์”

“เฮ้ยยย อย่ามาหลอกให้ดีใจเล่น”

“กูอยากไปดูมึงทำงานจริงๆ”

“ขอบคุณมาก เดี๋ยวไลน์ไปบอกที่จัดอีเวนต์ก็แล้วกัน”

“เออๆ”

มีนทำท่าจะปิดประตู แต่ก็สงสัยว่าทำไมผมถึงยังไม่เดินไปสักที มันจึงนิ่งชะงักค้าง

“มีอะไรอีกหรือเปล่าวะ”

“ช่วงนี้มึงโสดใช่ป่ะ”

มีนหัวเราะ “อืม ใช่”

“โอเค”

“มึงชอบกูเหรอ” มันถามแบบไม่ได้คิดอะไร

“กูไม่อาจเอื้อมหรอกเพื่อน” ผมยิ้มแห้งๆ ก่อนจะโบกมือ “ไปก่อนนะ”

“แปลกๆ นะมึง มีอะไรหรือเปล่า”

“ไม่มีอะไรโว้ย”

“...”

“แค่อยากจะบอกว่าถ้ามีคนมาจีบ มึงก็เปิดๆ ใจให้มันหน่อยก็แล้วกัน มันชอบมึงมานานมากแล้ว”

“เดี๋ยว”

ผมรีบวิ่งหนีก่อนที่มีนจะซักไซ้ไล่เลียงอะไรมากไปกว่านี้ ผมหลบมายืนอยู่ติดกับผนัง จากนั้นก็กุมหัวใจตัวเอง

แม่ง...ไม่คิดว่าที่เพิ่งทำไปมันจะรู้สึกปวดแปลบขนาดนี้







ห้อง 101

โน้ตสุขใจ
1. สงครามพาไปร้านที่มันเกลียด
2. มันจำได้ว่าชอบเค้กร้านนี้
3. มันเล่าความลับให้ฟัง
4. ผมทรงใหม่มันเท่ดี
5. มันจะเป็นคนขับรถพาเราไปกรุงเทพฯ


หลังจากที่เขียนเสร็จผมก็มองดูข้อความเหล่านั้นก่อนจะถอนหายใจ ทุกอย่างในนี้มันดูดีมีความสุขไปหมดเพราะมันคือเรื่องดีๆ ของสงครามที่เกิดขึ้นจริงๆ ความรู้สึกของผมในตอนนี้เป็นความหวานปนขม รู้สึกว่าต้องกล้ำกลืนความทุกข์ในใจของตัวเองลงไปยังไงชอบกล

ถ้าหากผมรู้ตัวไวกว่านี้ผมจะมีความสุขมากกว่านี้มั้ย ผมจะทำอะไรได้นอกจากเก็บความรู้สึกนี้ไว้ในซอกหลืบของหัวใจต่อไป สถานะของผมกับสงครามแม้จะเป็นเพื่อนกันแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นแฟนกันได้ง่ายๆ มันเป็นประธานหอ ผมก็เป็นประธานหอ เพราะงั้นรู้ตัวช้าหรือเร็วมันก็มีค่าเท่ากัน ท้ายที่สุดแล้วผมกับมันก็คบกันไม่ได้อยู่ดี

จริงๆ แล้วก็ไม่ค่อยมีใครเคร่งกับเรื่องศักดิ์ศรีหออะไรขนาดนั้น แต่เพราะผมยึดหลักว่าหอต้องมาที่หนึ่ง แล้วจะให้ผมไปคบกับคนจากหออื่นได้ยังไง มันจะกลายเป็นเรื่องที่ห้ามเด็กๆ ในหอไม่ให้ทำแต่ดันมาทำเสียเอง ทำไมกลืนน้ำลายตัวเอง อะไรเทือกๆ นั้น

สงครามคงรู้เรื่องนี้ดีอยู่แก่ใจ บางทีที่มันไม่กล้ารุกจีบมีนมากก็เพราะมันเป็นประธานหอสองที่มาชอบคนจากหอสามด้วยนี่แหละ
ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว ผมกดโทรศัพท์โทรออกเพื่อดำเนินแผนการขั้นต่อไปดีกว่า

[ฮัลโหล]

“เหี้ยไปป์เหรอ”

[เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ทำไมประธานหอสามถึงโทรมาหากูได้]

“กวนตีนไอ้สัด กูก็โทรหามึงตลอด”

[มีอะไรวะ]

“อาทิตย์นี้มึงกลับกรุงเทพฯ ป่ะวะ” ไปป์มันเป็นเด็กกรุงเทพฯ ที่ติดบ้าน ชอบกลับทุกอาทิตย์ครับ

[...]

“เผื่อกูจะติดรถกลับไปด้วยงี้ กูมีธุระว่ะ”

[กลับดิ]

“กูไปด้วยได้ใช่เปล่า”

[ได้สิวะ ทำไมจะไม่ได้]

“ขอบใจนะ”

[ไปทำอะไรที่กรุงเทพฯ วะ]

“งานเลี้ยงที่ไอ้เหี้ยตั้มมันจัดอ่ะ ขอบคุณสปอนเซอร์ห่าเหวไรไม่รู้”

[อ๋อ สงครามมันก็จะไปนี่]

“ใช่”

[ไม่ได้ไปด้วยกันเหรอ]

“มันติดธุระว่ะ” ผมจำใจต้องโกหก

[โอเค กูออกวันพรุ่งนี้นะ]

“เออๆ”

ผมวางสาย จากนั้นก็กดโทรออกหาสงคราม ใช้เวลาไม่นานมันก็รับสาย

[ว่าไง]

“มีนมีงานวันเสาร์”

[แล้ว?]

“พรุ่งนี้วันศุกร์ใช่มั้ย มึงก็รับมีนไปด้วยกันกับมึงเลย กูว่าแผนนี้เด็ด”

[หา]

“โอกาสมาแล้วนะเว้ย”

[มันจะไม่มีรถผู้จัดกงผู้จัดการอะไรของมันเหรอ]

“เถอะน่า ลองตื๊อดู ยังไงมันก็ยอมไปกับมึง กูเชื่อ”

[เดี๋ยวๆ]

“แค่นี้นะ”

ผมโยนโทรศัพท์ลงบนเตียงจากนั้นก็นอนฟุบหน้าลงกับหมอน ใครจะรู้ว่าอ้าย ประธานหอสามผู้ที่ชอบข่มขู่น้องๆ เป็นชีวิตจิตใจจะมีมุมเจ็บปวดหัวใจแบบเด็กหนุ่มวัยแรกแย้มแบบนี้ ผมทำดีที่สุดแล้วนะครับ และวันนี้ผมก็ทำได้แค่นี้เท่านั้นจริงๆ

โทรศัพท์ผมสั่นเพราะไลน์แจ้งเตือน คนที่ทักมาก็คือสงคราม

สงเหี้ย หอสอง : มีนตกลงไปกับกูแล้ว
สงเหี้ย หอสอง : แล้วมึงจะไปยังไง...


ผมไม่ตอบแต่แนบรูปโน้ตสุขใจส่งไปให้มันแทน

AI : /แนบรูปโน้ตสุขใจ

หลังจากนั้นมีข้อความอะไรจากมันกลับมาบ้างผมก็ไม่สนแล้ว ผมขอเวลาไปทำใจก่อน





TBC*
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 30-08-2017 21:31:41




ตอนที่ 8



สงเหี้ย หอสอง : เฮ้ยย กวนตีนไอ้สัด ตกลงมึงจะไปยังไง
สงเหี้ย หอสอง : เชี่ยอ้าย
สงเหี้ย หอสอง : ถ้าไม่ตอบมึงตาย
สงเหี้ย หอสอง : กูล้อเล่น
สงเหี้ย หอสอง : ไอ้สัดอ้าย


นี่คือข้อความที่เมื่อคืนไอ้สงครามมันกระหน่ำส่งมา พออ่านเสร็จปุ๊บผมก็คว่ำหน้าจอปั๊บ ตอนนี้ผมกำลังอยู่ในห้องเรียน รอเวลาเรียนเสร็จเพื่อเดินทางไปกรุงเทพฯ กับไอ้เชี่ยไปป์ มอ B ตั้งอยู่ในจังหวัดที่อยู่ไม่ไกลจากกรงเทพฯ เท่าไหร่ครับ ไอ้พวกเด็กกรุงเทพฯ ที่มาเรียนอยู่ที่นี่จึงชอบโชว์เปรี้ยวขับรถเข้าเมืองหลวงกันบ่อยๆ หนึ่งในนั้นก็คือไอ้ไปป์นี่แหละ

มันนั่งเรียนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากผม วางตัวให้อยู่ไกลกันเพราะอยู่กันคนละหอเหมือนที่เคยเป็น แต่ผมสังเกตเห็นว่ามันเล่นโทรศัพท์บ่อยจนผิดปกติ บางครั้งมันก็แสดงความหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด

“เหี้ยไปป์เป็นไรวะ” ผมถามไอ้ธัชที่กำลังจะหลับ

“ไม่รู้” มันตอบกลับมาอย่างง่วงๆ “เห็นมันหงุดหงิดตั้งแต่เช้าแล้ว”

ผมมองเพื่อนต่างหออย่างไม่สบายใจ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่มันหันมามองผมพอดี ผมยักคิ้วทักทาย ส่วนมันก็ยิ้มเบาๆ ตอบผม

“หรือกูคิดไปเอง”

“มึงควรคิดเรื่องคนอื่นให้น้อยลง และคิดเรื่องตัวเองให้มากขึ้น”

“หาว่ากูเสือกอีก คนเรามีเพื่อนไว้ทำไมวะ”

“ไว้เสือก”

“ถูก” ผมกับไอ้ธัชกำลังเล่นตลกคาเฟ่กันอยู่เหรอเนี่ย “ไอ้สัด ไว้ห่วงดิ”

“รอคุยกับมันเองละกัน”

“มึงดูไม่สนใจเพื่อนเลย”

“กูง่วงเว้ย ไอ้เหี้ย”

ผมเลิกสนใจไอ้เชี่ยธัช ก่อนจะตั้งใจฟังอาจารย์ อีกไม่นานก็จะสอบไฟนอลเทอมหนึ่งแล้ว รู้สึกว่าชีวิตผมยังไร้สาระอยู่เลยครับ นี่ถ้าอาจารย์ไม่เตือนผมก็ลืมไปแล้วนะเนี่ยว่ากำลังจะมีสอบ

คลาสเรียนจบปุ๊บ ไอ้ไปป์ก็เดินมาหยุดอยู่ที่โต๊ะของผมปั๊บ

“มีเรื่องจะคุยด้วย”

ผมมองหน้าไอ้ธัชอย่างไม่เข้าใจ เพื่อนผมมันยักไหล่จากนั้นก็ผายมือเชิญให้ผมกับไปป์ไปคุยกัน ไปป์พาผมมายังบันไดหนีไฟซึ่งไม่ค่อยมีใครเดินผ่าน มันทำหน้าร้อนใจคล้ายจะหงุดหงิด

“เกิดอะไรขึ้นวะ”

“เหี้ยสงครามมันจะเอายังไง”

พอได้ยินชื่อสงครามผมก็ถึงกับสตัน “มึงว่าไงนะ”

“ตอนนี้มันเหมือนจะชอบมีนด้วยแล้วก็ชอบมึงด้วย”

ว็อท เดอะ ฟ... “หา”

“มันบอกให้กูเทมึงเพราะเย็นนี้มันจะไปกับมึงแทน แม่งโคตรเด็กน้อยอ่ะ”

ผมอ้าปากค้างเติ่ง ไม่คิดว่าปมที่ผมทิ้งไว้เมื่อคืนจะลุกลามบานปลายมาจนถึงบ่ายวันนี้

“มันจะไปกับมีนก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องมาทำให้เป็นเรื่องเพื่อที่จะได้ไปกับมึง กูงงฉิบหายเลยเว้ยไอ้เหี้ย”

“ไปป์ มึงใจเย็นๆ ก่อน”

“ปกติสงครามมันไม่ทำตัวไร้เหตุผลแบบนี้ คำสั่งของมันทุกคำมีเหตุผลหมด แต่นี่แม่งโคตรไม่ใช่อ่ะ”

“เอ่อ...ให้กูพูดกับมันมั้ย” ผมรู้สึกเหมือนผมเป็นต้นเหตุของความวุ่นวายนี้เลยว่ะ “กูไม่อยากให้มึงกับมันตีกันเพราะเรื่องนี้เลย”

“ไม่ได้ตีกันเว้ย แค่กูไม่เข้าใจเฉยๆ”

“เดี๋ยวกูพูดกับมันเอง”

“เชื่อป่ะ...ถ้ามึงไปพูดกับมัน ท้ายที่สุดมึงก็ต้องไปกับมันอยู่ดี ไม่ว่าใครก็ต้องยอมมันกันหมด เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว”

“...”

“กูถึงได้บอกไงว่ากูงง ตกลงสงครามมันชอบใคร มึงหรือมีน หรือแม่งจะเอาหมดและก็กั๊กไว้ทั้งหมด”

คิ้วของผมขมวดเป็นปมหนักเมื่อได้ยินประโยคเหล่านั้นจากปากของไปป์ มันเป็นเหมือนเชื้อเพลิงชั้นดีที่สร้างความร้อนในใจของผมได้แม้มันจะน้อยนิดก็ตาม

“เอาเป็นว่ายังไงกูก็จะไปกับมึง” ผมพูดตัดปัญหา ไปป์มีสีหน้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “ไม่มีใครยอมสงครามมันได้ตลอดหรอก จริงมั้ยล่ะ”

“คนจริงนี่หว่า”

“กูคือใคร กูคือประธานหอนะเว้ย กูไม่เคยกลัวไอ้สงคราม”

“เยี่ยม”

“ว่าแต่มึงเหอะ มึงไม่ยอมทำตามในสิ่งที่มันต้องการ มึงจะไม่พังเหรอ”

ไปป์แอบกลืนน้ำลายอยู่หน่อยๆ “กูว่าหลังจากนี้กูคงต้องกล้าบวกกับมัน”

“เฮ้ย” ผมแกล้งทำสีหน้าทึ่ง

“เพราะถ้ากูยอมตลอด อะไรที่กูอยากได้ กูก็จะไม่ได้”

สายตาที่ไปป์มองมาทำเอาผมรู้สึกอึดอัดจนต้องกระแอมออกมา

“ไปเตรียมตัวกันมั้ย” ผมพูด

“เออ ก็ดีเหมือนกัน”








บนรถของไปป์

ผมรู้สึกใจสั่นแปลกๆ แต่หัวใจที่ว่าสั่นแล้ว โทรศัพท์ของผมนั้นสั่นยิ่งกว่า หน้าจอแสดงคนโทรเข้าก็คือสงคราม ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นถูกหรือเปล่า แต่ตอนนี้สงครามมันควรจะอยู่กับมีน และก็ไม่สนใจผมไม่ใช่เหรอ

แล้วมันจะกระหน่ำโทรมาทำซากแมวอะไรเนี่ย

“มึงโอเคนะอ้าย” ไปป์ซึ่งขับรถอยู่เอ่ยถาม ผมนั่งเกร็งมาตลอดเป็นเวลาชั่วโมงกว่าแล้ว จึงไม่แปลกที่ไปป์จะสัมผัสได้ถึงความอึดอัด

“กูโอเค” ผมตอบ

“พูดตามตรงนะกูก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกัน”

“...”

“กูไม่เคยท้าทายเชี่ยสงครามมาก่อนเลย” ไปป์ทำสีหน้ากังวลใจ “อาจเพราะเป็นเรื่องของมึง กูก็เลยมีความกล้าขึ้นมา”

ผมไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงออกไปจึงได้แต่เงียบ

“กูไม่อยากให้มันจับปลาสองมือนะเว้ย ต้องเลือกสักคนดิ ไม่ใช่จะเอาหมด แบบนี้แม่งไม่คูลว่ะ”

“ไปเอามาจากไหนเรื่องที่ว่ามันก็จะเก็บกูไว้เหมือนมีน”

“กูดูออกก็แล้วกัน”

“...”

“มีนก็จะเอา มึงก็จะเอา แบบนี้มันใช่ซะที่ไหน”

คำพูดของไปป์ทำเอาผมต้องดูหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองอีกครั้ง สงครามยังโทรมาต่อเนื่องอยู่แบบนั้น ที่ผ่านมาผมไม่เคยคิดเลยสักนิดว่าสงครามมันคิดอะไรกับผม ตอนนี้ผมแค่อยากเปิดโอกาสให้มันอยู่กับมีน มันไม่ควรกระหน่ำโทรมาหาผมแบบนี้

เพราะถ้าขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ตัวผมเองก็จะเริ่มคิดเข้าข้างตัวเองแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นอย่างยิ่ง

เสียงโทรศัพท์ซึ่งเชื่อมต่อกับเครื่องเสียงรถดังลั่น เป็นโทรศัพท์ของไปป์ หน้าจอโชว์ชื่อสงครามหรา ไอ้ไปป์ถึงขนาดกลืนน้ำลายเลยทีเดียว

ไอ้เหี้ยสงครามนี่...ผมกดรับสายอย่างโมโหโทโส

[ฟวยไปป์ มึงอยู่ไหน]

“มึงมีเหี้ยอะไรนักหนาสงคราม” ผมเป็นคนตอบกลับไปเอง

[...]

“กูเปิดโอกาสให้มึงกับมีนแล้วมึงยังต้องการอะไรอีก”

[...]

“แค่นี้นะ เลิกกวนสักทีไอ้สัด”

[เชี่ยอ้าย คุยกันก่อน]

“ไม่คุยโว้ย”

[ไอ้เหี้ยนี่]

ผมกดวางสาย ไปป์มองผมอย่างตื่นๆ ไม่คิดว่าผมจะกล้าไฟต์กล้าบวกกับคนอย่างสงคราม ผมเลือกที่จะหันหน้าไปทางอื่นพร้อมพ่นลมหายใจอย่างแรงเพื่อระบายอารมณ์

“ถ้าเป็นคนอื่นมันคงเอาตาย”

“ไม่แน่ ตอนที่มันเจอกูมันอาจจะซ้อมกูก็ได้”

“บ้า มันให้เกียรติมึงจะตาย”

“แต่กูเพิ่งทำมันโกรธนะ”

“เออ”

“...”

“ขอไว้อาลัยให้มึงล่วงหน้า”

ผมหัวเราะเบาๆ กับคำพูดของไปป์ สงครามมันจะอะไรกับผมนักหนา สาเหตุที่ผมโกรธก็คือมันควรจะมีความสุขกับการได้ใช้โมเมนต์ร่วมกับมีน ผมอุตส่าห์ปูทางรักให้มันไว้เป็นอย่างดี แต่ทำไมมันถึงยังโทรมาหาผมอยู่ได้

...ให้ความหวังกันอยู่ได้

ผมขอสารภาพไว้ ณ ตรงนี้เลยว่าที่ผมรู้สึกโกรธสงครามขนาดนี้เพราะคำพูดของไปป์ ก่อนหน้าที่ไปป์จะพูดว่าสงครามมันกั๊กผมเอาไว้ ผมไม่ได้ตั้งความหวังอะไรให้กับตัวเองทั้งนั้น สงครามมันเป็นคนดี กับเพื่อนคนอื่นมันก็คงจะทำแบบผม เพราะงั้นผมเลยไม่เคยคิดเข้าข้างตัวเอง แต่เมื่อได้ยินคำพูดของไปป์ ความรู้สึกโกรธก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนมิสคอลล์ที่สงครามทิ้งเอาไว้
หรือจริงๆ แล้วผมควรคุยกับมัน ไม่ควรหนีมันแบบนี้ แต่ผมก็โกรธเกินกว่าจะรับสายมันอยู่ดี

โว้ยยย สับสนฉิบหาย






ที่พักในคืนนี้ของผมก็คือบ้านไอ้เชี่ยไปป์นั่นแหละ ผมเคยมานอนเล่นอยู่สองสามหนกับไอ้เหี้ยธัช เวลาที่พวกเรามาเที่ยวกรุงเทพฯ กันตามประสาหนุ่มๆ ไอ้ธัชมันชอบผับกับร้านเหล้าที่นี่ มันบอกสาวๆ สวยดีซึ่งก็จริงตามที่มันพูด สาวๆ ในเมืองหลวงก็สวยกันทั้งนั้นแหละ

บ้านไปป์มีหลายหลังและรวมกันเป็นกระจุกอยู่ในพื้นที่ใหญ่ๆ แห่งหนึ่ง แปลว่ามันเป็นคนที่รวยมากคนหนึ่งนั่นแหละครับ แม่งมีบ้านเป็นของตัวเองตั้งแต่อายุ 18 แบบนี้ไม่รวยก็ให้มันรู้ไป

“ตามสบายเลยนะอ้าย กูไปคุยกับพ่อแม่ก่อน อาจจะคุยกันยาว กูไม่ได้กลับมาหลายอาทิตย์แล้ว”

“โอเค”

อยู่ดีๆ จะให้ผมอยู่บ้านมันคนเดียวแบบนี้ก็สบายเลยสิ ผมกะจะถามว่าให้ผมไปทักทายพ่อแม่มันก่อนจะดีหรือเปล่า แต่ไอ้ไปป์ก็เดินไปทางอื่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะงั้นผมจึงทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟากลางบ้านจากนั้นก็ใจลอยไปถึงความวุ่นวายในใจของผมที่กำลังเกิดขึ้น

ทำไมผมถึงโกรธ

ทำไมผมถึงรู้สึกหัวร้อน

ทำไมผมถึงรู้สึก...อิจฉา

คำตอบของคำถามมันชัดเจนจนผมไม่กล้าหนีมันอีกต่อไป ผมคงชอบสงครามมากนั่นแหละถึงได้รู้สึกขนาดนี้ การที่มันอยู่กับมีนแต่ก็ยังโทรหาผมเป็นบ้าเป็นหลัง แบบนี้ไม่เรียกว่าให้ความหวังจะเรียกว่าอะไรดีวะ ต้องขอบคุณไปป์มันด้วยที่พูดเตือนสติผม วันนี้สงครามแม่งทำเกินไปจริงๆ ผมควรจะ...

ตุบ

ที่ว่างๆ ข้างๆ โซฟายุบลง ผมหันกลับไปมองอย่างตกใจ และเมื่อเห็นว่าเป็นสงครามผมก็ยิ่งตกใจมากขึ้นกว่าเก่า

“ไอ้เหี้ยยยยยย!!!” ยิ่งกว่าเจอผีอีก พูดตรงๆ

“เสียงดังทำไม” สงครามดูหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม มันหน้าบึ้งมากจนผมรู้สึกเหมือนกับว่ามีลูกหอของมันคนไหนไปฆ่าคนอื่นเขาตาย “มึงนี่มัน...น่าหงุดหงิดจริงๆ”

“มาได้ไงวะ”

“งัดเข้ามา”

“เฮ้ย” ผมคิดว่ามันพูดเรื่องจริง

“ไอ้สัด ก็เดินเข้ามาน่ะสิ บ้านนี้กูมาบ่อย”

ผมกระพริบตาปริบๆ มองอีกฝ่ายอย่างคาดคั้น

“เชี่ยไปป์พามึงอ้อมเหรอ มาถึงช้าสัดๆ”

“มีนอยู่ไหน”

“มันก็อยู่กับผู้จัดการมันสิ”

“มึงทิ้งมันเหรอ”

“ไม่ได้ทิ้ง” สงครามโวยวายลั่น “นี่กูกำลังโมโหมึงมากนะอ้าย”

“โมโหทำไม”

มันพยายามควบคุมโทสะ ผมเห็นมันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากนั้นมันก็เปิดอะไรบางอย่างมาชูให้ผมดู ผมจำลายมือตัวเองได้ นั่นมันโน้ตสุขใจของเมื่อคืนนี่หว่า

“มึงอ่านดูข้อห้า”

มันจะเป็นคนขับรถพาเราไปกรุงเทพฯ

“มันเป็นเรื่องดีของมึง แต่กูทำไม่ได้ จะให้กูรู้สึกยังไง กูโทรหามึงเพราะอยากทำให้ความสุขข้อนี้ของมึงเป็นความจริง แต่มึงก็ไม่ให้ความร่วมมือ มึงไม่รับสายกูเลย ไอ้ฟายเอ๊ย”

สงครามโมโหอย่างจริงจังกับเรื่องเล็กๆ ของผมมากจนผมอดอึ้งไม่ได้

...แต่เหี้ย มึงกำลังให้ความหวังกูอยู่นะ

“ทำไมมึงต้องใส่ใจกูขนาดนั้น” สู้เขาเว้ยอ้าย อย่าไปยอมมัน “คนที่มึงควรใส่ใจคือมีน ไม่ใช่กู”

สงครามชะงักค้าง ก่อนจะลุกขึ้นยืน จากนั้นมันก็โยนหมอนอิงลงบนพื้น ผมสะดุ้งกับวิธีระบายอารมณ์ของมัน แม่งน่ากลัวสัดๆ

“กู...ไม่รู้”

“กูมันก็แค่คนคนนึง มึงไม่จำเป็นต้องมาสนใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนั้นก็ได้”

“...”

“กูไม่รู้ว่ามึงหงุดหงิดอะไร อุตส่าห์เปิดโอกาสให้ แต่เสือกไม่เอาเฉย ตกลงมึงยังไงกันแน่วะสงคราม”

“ถ้ากูรู้กูจะหงุดหงิดอย่างงี้มั้ยล่ะ” สงครามหยิบหมอนอีกใบโยนลงพื้นอีกรอบ “มึงแม่ง...ทำกูได้”

“กูทำอะไร”

“มึงมีเสน่ห์มากไอ้สัด”

ผมพูดไม่ออกหลังจากได้ยินคำนั้น

“ทุกอย่างที่มึงทำ ทุกการกระทำของมึง ทุกการแสดงออกของมึง สีหน้า ท่าทาง แม่งน่าดูไปหมดเลย”

“แล้วมันเกี่ยวกับมึงตรงไหน”

“เกี่ยวตรงที่ว่ามึงทำกูสับสนไง”

“...”

“กูชอบใครกันแน่ ระหว่างมึงกับมีน”

หัวใจผมกระตุกวูบ รู้สึกวูบไหวไปหมดทั่วอวัยวะภายใน สงครามพ่นลมหายใจพร้อมทำลายล้างข้าวของทุกอย่างที่อยู่ใกล้ๆ คำพูดของสงครามแม้จะเป็นสิ่งที่ทำให้ผมตั้งความหวัง แต่ผมก็ไม่อยากให้ความหวังของผมมันสูงเกินกว่าที่จะควบคุม

“มึงมั่วป่ะวะ”

“...”

“แค่เราสนิทกันมากขึ้น ใช่ว่ามึงจะมาชอบกูได้นะเว้ย”

“...”

“ถ้ามึงชอบกูจริง มึงจะเอามีนมาเพิ่มความสับสนให้ตัวเองทำไม ยังไงมึงก็ชอบเขา สำหรับกูมันก็แค่ความหวั่นไหวชั่วขณะ มันไม่มีอะไรหรอก”

นั่นคือสิ่งที่ผมคิดตอนนี้ มันเป็นการตัดความหวังของผมรวมถึงตอบคำถามที่สงครามมันกำลังสับสนด้วย

“งั้นแปลว่าอะไร” มันพูดออกมาหลังจากที่เงียบไปนาน

“แปลว่ากูจะรีบหาเงินมาคืนมึง แล้วเราก็ไม่ต้องอยู่ใกล้กันเพราะเรื่องอะไรอีก”

“เหี้ยอ้าย”

“ตามนั้น”

“กูไม่โอเค” มันตะโกนออกมาอย่างขัดใจ “ไม่เอา”

“โลกไม่ได้หมุนรอบตัวมึงนะเว้ย นี่อาจจะเป็นทางที่ดีที่สุดของมึงก็ได้”

“ไม่...”

“เอาเวลาไปทำคะแนนกับมีนเถอะว่ะ ส่วนกูก็ปล่อยๆ ไป”

สงครามเตะเท้ากับโซฟาจากนั้นก็เดินเลี่ยงไป ผมมองตามมันด้วยสายตาเจ็บปวดรวดร้าว ใครมันจะไปอยากห่างกับคนที่ตัวเองแอบชอบ ไม่มีหรอก ที่ผมเพิ่งทำไปทั้งหมดผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกแล้ว ถ้าสงครามเลือกผม จะต้องไม่มีชื่อของมีนโผล่ขึ้นมาให้มันสับสน

เพราะถ้าเป็นแบบนั้น ผมขอถอยออกมาดีกว่า...









คืนนั้นผมคุยกับแม่เรื่องขอใช้เงินเก็บ แม่ก็ไม่ว่าอะไรเนื่องจากเห็นว่ามันเป็นเหตุจำเป็นของผม ผมดูยอดเงินในบัญชีแล้วก็คิดไปอีกหลายตลบว่าควรจะหาเงินมาเพิ่มยังไงให้มันครบ ระหว่างที่คิดอยู่นั้นไปป์มันก็เดินเข้ามาในห้องนอนแขกของบ้านมันพอดี

“เดี๋ยวกูออกไปข้างนอกนะ มีธุระนิดหน่อย”

“เออ”

“มึงอยู่ได้นะอ้าย”

“อยู่ได้สิวะ”

“เออ เดี๋ยวล็อกบ้านเอาไว้ให้”

ไปป์มองผมที่นอนคว่ำใต้ผ้าห่ม จากนั้นแม่งก็นึกครึ้มอะไรไม่รู้มาลูบหัวผมเฉย

“เหี้ยอะไรของมึง”

“น่าเอ็นดูว่ะ”

“คนนะเว้ยไม่ใช่หมา”

“หึหึ ไปนะ”

“...”

“เออนี่ มึงลืมการ์ตูนไว้ข้างล่างแน่ะ” ไปป์ส่งการ์ตูนเล่มหนึ่งมาให้ “อ่านแนวนี้ด้วยเหรอวะ กูเขินเลย”

มันเกาหัวก่อนจะเดินออกจากห้องไป ผมอ้าปากค้างเติ่งเมื่อเห็นว่ามันเป็นการ์ตูนเรื่องอะไร ‘เพียงหนึ่งเส้นด้าย’ เรื่องที่ไอ้สงครามย้ำนักย้ำหนาว่ามีตัวละครที่หน้าเหมือนผม ผมมองดูสภาพของมัน น่าจะผ่านการพลิกเปิดไปมาอย่างหนักเพราะมันหนีห่างจากความใหม่ไปไกลพอสมควร

ไม่ใช่การ์ตูนของผม ไม่ใช่การ์ตูนของไปป์ แต่เป็นของสงคราม

นี่มึงเอามาอ่านระหว่างรอกูกับไปป์เหรอเนี่ยยยย

“เอาคืนมา” สงครามโผล่มาจากไหนไม่รู้อีกครั้ง มันเดินเข้ามาในห้องก่อนจะแย่งการ์ตูนในมือของผมไปเฉย “ของกู”

“จริงๆ แล้วมันเป็นของกูป่ะวะ”

“มึงไม่เห็นจะสนใจเลย เพราะงั้นมันเป็นของกูแล้ว”

“เดี๋ยว” ผมร้องเรียกสงครามที่กำลังจะเดินออกไป “มึงนอนนี่เหรอ”

“เออ นอนข้างล่าง”

“มึงคุยกับไปป์แล้วเหรอ”

“กับมันไม่จำเป็นต้องคุยมันก็ให้กูนอนอยู่แล้ว”

ผมกระพริบตามองมัน สงครามมองหน้าผมเล็กน้อยก่อนจะล็อกลูกบิดประตูให้ผม

“เจอกันพรุ่งนี้”

“อืม”

“สี่แสนอ่ะไม่ต้องคืนก็ได้”

“บ้าเหรอ ยังไงก็ต้องคืน ใจเย็นก่อนนะ กูกำลังจะหาได้แล้ว”

“มึงนี่มัน...” สงครามไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี “โอ๊ย กูไปดีกว่า”

มันเดินจากไปพร้อมๆ กับเสียงประตูที่ถูกปิดลง ผมมองตามอย่างสับสนงงงวย คืนนั้นกว่าจะนอนหลับก็ใช้เวลานานมากมายพอสมควรเลยทีเดียว

กลางดึกคืนนั้นมีไลน์ส่งมาจากสงคราม

สงเหี้ย หอสอง : เงินสี่แสนของกูจ้างให้มึงเขียนโน้ตถึงกูไม่ได้เหรอ
สงเหี้ย หอสอง : มึงไม่ต้องช่วยกูเรื่องมีนแล้วก็ได้...







TBC*
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 30-08-2017 21:38:10


ตอนที่ 9
พาร์ตของมีน





เวลาคนเรามีความรักเขาแสดงออกกันยังไงบ้างเหรอครับ

สำหรับผมนั้น แสดงความรู้สึกออกมาได้อย่างเด็กน้อยมากมายเหลือเกิน เพราะคนที่ผมรัก คนที่ผมมองว่าเขาเป็นเหมือนพี่ชายของผมตลอดเวลาทั้งๆ ที่เราอายุเท่ากัน ผมยอมรับว่าผมทำตัวเด็กเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขา แม้เขาจะไม่ให้ความรักกับผม แต่อย่างน้อยเขาก็ให้ความสนใจผมในระดับหนึ่งล่ะ

หลายคนอาจจะมองว่าผมมั่ว มีคู่นอนหรือกิ๊กไปทั่ว แต่ใครจะรู้ว่ามันไม่เคยมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นเลย ไม่ว่าจะอยู่ในหอสามหรืออยู่ข้างนอกก็ตาม อ้ายคงจะปวดหัวกับผมมาก แต่นั่นเป็นหนึ่งในวิธีที่ผมเรียกร้องความสนใจจากใครบางคน วิธีนี้แม่งไม่เคยได้ผลเลย ที่สำคัญผมยังโดนเขาด่าอีกต่างหาก หาว่าผมไม่รักตัวเองและก็ปล่อยเนื้อปล่อยตัว

แทนที่ผมจะรู้สึกแย่ ผมกลับรู้สึกดีนะที่เขาด่าผมบ้าง หากผมไม่มีเรื่อง เขาคนนี้ก็จะไม่สนใจผมเลยแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้นผมจึงขยันสร้างเรื่องให้เขาด่าจนเหมือนคนบ้า

จะไม่ให้ผมบ้าได้ยังไง เพราะตั้งแต่เด็กจนโต ผมไม่เคยชอบคนอื่นเลยนอกจากเขา...






ย้อนเหตุการณ์กลับไปเมื่อตอนกลางวัน

การกอดจูบลูบคลำได้เพียงอย่างเดียวเป็นหนึ่งในกฎของคนที่จะเข้ามาใกล้ชิดผม ปัง วิศวะโยธาปีสาม ผู้ซึ่งอยู่หอสี่พึงพอใจที่จะได้สัมผัสลูบไล้ผมแบบไร้ซึ่งการรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ผมกับเด็กที่อายุน้อยกว่าคนนี้กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอย่างไม่อายฟ้าดินจนกระทั่งเราทั้งคู่ได้ยินเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งเดินเข้ามาใกล้

ปังมีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่ ราวกับมันรู้ว่าใครคือผู้ที่กำลังมาใหม่ในตอนนี้

“พี่สงคราม” ปังกระซิบบอกผม “ไว้ค่อยทำกันใหม่นะครับพี่มีน”

ผมยังไม่ทันได้ตอบอะไรปังก็วิ่งหนีหน้าตื่นไปเป็นที่เรียบร้อย ผมหลับตาลงอย่างคาดคะเน ก่อนจะลืมตาขึ้นมาเมื่อรู้ว่าสงครามมาหยุดยืนอยู่ข้างหน้าแล้ว

ผมยิ้มทักทายสงคราม ขณะที่อีกฝ่ายทำหน้าจ๋อยๆ ยังไงไม่รู้

“ไง”

“ไอ้เด็กที่วิ่งไปนั่นคือคนที่เท่าไหร่ของวันนี้” สงครามล้วงกระเป๋าพร้อมกับมองหน้าผม

“สอง” ผมยักไหล่

“มึงนี่ก็นะ”

“อย่าว่าแต่กูเลย...มึงเองก็เหมือนกัน” ผมมองสงครามอย่างตำหนิ “ใช้ชื่อกูไปใช้ประโยชน์มากี่ครั้งแล้วล่ะ”

“ไม่ได้ใช้ประโยชน์เลยเว้ย ที่ผ่านมากูรู้สึกอย่างนั้นกับมึงจริงๆ”

“หลอกตัวเอง”

“...”

“ถ้ามึงชอบกูจริงๆ นะ ป่านนี้มึงเดินหน้าจีบกูตั้งนานแล้ว คนอย่างมึงอยากได้อะไรก็ต้องได้ไม่ใช่เหรอ มึงไม่กั๊กความรู้สึกของตัวเองไว้แบบนี้หรอก”

“เออ กูยอมก็ได้”

“...”

“เรื่องอ้ายอะไรก็ยากไปหมดเลย” น้อยครั้งนักที่คนมาดเท่ๆ อย่างสงครามจะจนตรอกเช่นนี้

“มึงผิดที่เอาชื่อกูไปใช้ตั้งแต่ต้นแล้ว”

“ก็นึกว่าจะช่วยให้กูกับมันมีโอกาสใกล้กันมากขึ้น”

“มันเลยคิดว่ามึงยังชอบกูอยู่”

“โว้ย จะให้กูทำไง” สงครามขยี้ผมตัวเองแรงๆ “กูไม่มั่นใจและกูก็กลัวด้วย กลัวแม่งรู้แล้วแม่งจะไม่คุยกับกูอีกเลย คนอย่างมันอ่ะนะเอาเรื่องหอเป็นใหญ่ คิดว่าลูกหอเป็นลูกจริงๆ แม้แต่ประธานหอสองที่โคตรหล่อโคตรคูลอย่างกูมันยังไม่สนใจเลย”

“รู้ได้ไงว่ามันไม่สนใจ”

“ไม่รู้ว่ะ มันอาจจะไม่สนกูเพราะกูเป็นประธานหอก็ได้”

“เย็นไว้สงคราม” ผมเอื้อมมือไปแตะบ่ามัน “กูยินดีให้มึงใช้ชื่อกูได้ทุกสถานการณ์นะเว้ย แต่มึงต้องใช้อย่างฉลาดด้วย”

“ก็พยายามอยู่ แต่ยากว่ะ เหมือนมันพังไปหมด กูคิดว่ายิ่งใช้ชื่อมึงก็จะยิ่งทำให้มันหึงและก็รู้ใจตัวเองซะอีก แต่เปล่าเลย ดูมันสนุกกับการที่จะให้มึงกับกูชอบกันมาก”

“อย่าเพิ่งคิดงั้นดิ”

“ตอนชอบมึงไม่เห็นจะยากแบบนี้เลย”

“นั่นไม่ได้เรียกว่าชอบ นั่นเรียกว่าปลื้ม”

“ทำมาเป็นรู้ดี”

“กูรู้ก็แล้วกันน่า” ผมอดยิ้มที่เห็นสงครามทำหน้าหมาหงอยไม่ได้ “ใจเย็นๆ นะ กูเชื่อว่าอ้ายมันก็แคร์มึงมากนั่นแหละ ให้เวลามันหน่อย”

“ให้เวลากูด้วยเนี่ย ทำห่าอะไรไม่เป็นเลย ดีแต่บังคับมัน ไม่รู้ว่ามันจะอึดอัดใจหรือเปล่า”

“ลองใช้ชื่อกูอ้างให้น้อยลงสิ”

“กูกลัวมันมองว่ากูเลว ไหนบอกว่าชอบมีน แต่ทำไมจู่ๆ ถึงไปชอบมันได้ อะไรอย่างงี้”

“ทำไมมึงกลัวไปหมดเลยวะสงคราม ดูไม่ใช่มึงเลย”

สงครามทิ้งตัวนั่งพิงผนังจากนั้นก็ถอนหายใจรัวๆ “เพราะกูไม่อยากผิดหวังจากมันมาก กูเลยไม่กล้าเดินหน้าห่าไรเลย”

“...”

“กูอยากบอกชอบมันปุ๊บ แล้วมันตกลงคบกับกูปั๊บ ไม่อยากให้มันลังเล ไม่อยากให้มันมีปัญหา”

“มึงก็รีบเคลียร์สิ ทำไงก็ได้ให้มันรู้ว่ามึงมีเหตุผลอ่ะ”

สงครามนิ่งคิดไปนิดหน่อยก่อนจะตอบ “ก็คงต้องใช้ชื่อมึงอ้างอีกแล้ว”

ผมกลอกตาเบาๆ “มึงก็ใช้อยู่แล้วป่ะวะ”

“ว่าแต่มึงเหอะ ทำแบบนี้มันโอเคเหรอ แม่งดูมั่วมากเลยนะเว้ย” สงครามมองผมอย่างเป็นห่วง “แล้วเมื่อไหร่จะบอกกูสักทีว่ามึงชอบใคร กูจะได้ช่วย มึงช่วยกูมาเยอะมากแล้ว กูอยากช่วยมึงบ้าง”

“กูโอเคเว้ย เรื่องของกู เดี๋ยวกูเอาตัวรอดเอง”

“เพลาๆ บ้างก็ดีนะ เรื่องผู้ชายอ่ะ”

“มึงไปเครียดเรื่องอ้ายเถอะไอ้สัด”

สงครามมองผมอีกครั้งก่อนจะตั้งท่าพร้อมเดินจากไป มันไม่ลืมหันมาหาผมพร้อมกับคำถามที่ว่า “วันนี้มึงไม่ได้ไปกับกู แล้วมึงจะไปกรุงเทพฯ ยังไงวะ”

“กูมีทางของกูน่า ไม่ต้องห่วง”

“เออ พ่อดาราดัง”

ประธานหอสองเดินจากไปแล้ว สายตาของผมเปลี่ยนไปเป็นหม่นหมอง ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมามองดูข้อความที่ผมส่งไปหาใครบางคนแต่มันไม่สนใจเลย มิหนำซ้ำยังบ่นเหมือนผมเป็นเด็กน้อยที่ดูแลตัวเองไม่ได้อีก ทั้งๆ ที่ผมก็ทำงานในวงการแล้ว

มันน่าน้อยใจนักเชียว

โตมาด้วยกันแท้ๆ แต่ดันใส่ใจเพื่อนตัวเองมากกว่า

ใส่ใจขนาดนี้ อาจจะแอบชอบเพื่อนด้วยกันมั้ง









MEAN : ตกลงกูไปด้วยได้หรือเปล่า
PIPE : ไม่ได้ มีคนไปด้วยแล้ว
MEAN : กูบอกยกเลิกไม่ให้ผู้จัดการมารับแล้วนะ
PIPE : ได้ข่าวว่าจะไปกับสงครามไม่ใช่เหรอ
PIPE : ก็ไปสิ
PIPE : ทำไมมันต้องทักมาบังคับให้กูไม่ไปกับอ้ายด้วยวะ
PIPE : โอกาสกูยิ่งมีน้อยๆ อยู่ด้วย
MEAN : กูจะนั่งเงียบๆ ไม่พูดไม่จาเลย
MEAN : ปล่อยให้มึงจีบอ้ายได้ตามอัธยาศัย
PIPE : แล้วสงครามล่ะ
PIPE : กูไม่อยากมีเรื่องกับมัน อย่างน้อยก็ให้เป็นไปตามสิ่งที่มันต้องการหน่อยเถอะ






คนที่ผมแอบชอบมันชื่อว่าไปป์ มันเป็นเพื่อนกับอ้าย และมันก็แอบชอบอ้ายมานานมากแล้ว มันคิดว่าสงครามชอบผม สงครามเป็นคนที่มันเห็นดีเห็นงาม พร้อมที่จะปล่อยให้เพื่อนซึ่งเหมือนน้องชายของมันคนนี้ถูกสงครามดูแล มันนับถือสงครามมาก และมันก็คิดว่าคงจะอุ่นใจน่าดูหากเพื่อนสมัยเด็กคนนี้ของมันจะถูกคนอย่างสงครามดูแลประคบประหงม

เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด...มันรู้ว่าผมชอบมันอยู่ครับ แต่มันไม่สนใจ ไม่ว่าผมจะพยายามเรียกร้องความสนใจมากเท่าไหร่ มันก็ไม่เคยคิดที่จะชอบผมเลย

ไปป์คือต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องคั่วกับคนอื่นมั่วไปหมดแบบนี้

ไปป์คือต้นเหตุที่ทำให้ผมเรียกร้องความสนใจในแบบเด็กน้อย

ไปป์คือคนที่ผมแอบชอบมานาน ตั้งแต่เด็กจนโต จากวันนั้นถึงวันนี้ผมก็ยังไม่เคยเลิกชอบมันเลย









ตัดกลับเข้าสู่เหตุการณ์ปัจจุบัน

ผมถึงกรุงเทพฯ โดยรถตู้ของผู้จัดการ ผู้จัดการของผมชื่อพี่มะนาว แกเป็นตุ๊ดร่างท้วมที่ดึงตัวผมเข้าสู่วงการมาได้เกือบสองปีแล้ว แกบ่นผมใหญ่เรื่องที่ผมแคนเซิลรถตู้ทั้งๆ ที่ไม่มีคนมาส่ง จนต้องลำบากให้หารถตู้ไปรับ กว่าจะมาถึงกรุงเทพฯ ก็ปาเข้าไปดึกมากแล้ว

ผมดื่มในบาร์ที่คุ้นหน้าคุ้นตาผมเป็นอย่างดี เป็นบาร์ที่อยู่ใต้คอนโดซึ่งผมเช่าไว้เพื่อความสะดวกในการทำงานที่กรุงเทพฯ ก่อนพี่มะนาวจะกลับไปพักผ่อนแกไม่ลืมที่จะบอกผมว่าอย่าดื่มเยอะ แม้วันพรุ่งนี้จะเป็นอีเวนต์ตอนบ่ายแต่ผมก็ควรหล่อมากที่สุด ผมรับคำไปเพื่อความสบายใจของพี่มะนาว

นั่งได้ไม่นานนักสงครามก็โทรมาหาผมอีกรอบ ผมยิ้มทันทีเมื่อเห็นชื่อมัน มาอีหรอบนี้แสดงว่ามีปัญหาอีกตามเคย

“ไง”

[นอกจากอ้ายจะไม่สนใจกูแล้ว มันยังไล่กูให้ไปไกลๆ มันอีกด้วย]

นั่นยังไงล่ะ ผมควรจะซื้อล็อตเตอรี่บ้างนะ ถ้าผมจะทายถูกแบบนี้

“มึงไปบอกมันว่าไงล่ะ”

[ใช้ชื่อมึง...อีกแล้ว]

“หึ กูรู้”

[กูบอกว่ากูสับสน ไม่รู้ว่ากูชอบมึงหรือมันกันแน่]

“...”

[มันก็เสือกคิดว่ากูอ่ะชอบมึงแน่ๆ สำหรับมันกูก็แค่หวั่นไหวชั่วครู่ แม่งคิดได้ไงวะ]

“เป็นความผิดของมึงเองตั้งแต่ต้นที่ทำให้มันคิดว่ามึงอ่ะชอบกูมาก ตั้งแต่ที่มึงพูดกับกูตอนเมาแล้ว ไอ้สัด ตอนนั้นมึงพูดออกมาได้ยังไงว่ามึงคิดถึงกูอ่ะ บ้าป่ะวะ”

ผมยังจำวันนั้นได้อยู่เลย มันเป็นวันที่ผมเหมาร้านพี่น้อยเพื่อเลี้ยงเหล้าทุกคน วันนั้นไอ้อ้ายมันเมา ผมกับไอ้สงครามหิ้วปีกมันคนละข้าง จากนั้นไอ้สงครามก็เกิดห่าอะไรไม่รู้ถึงได้มาพูดจาเสียงหวานใส่ผม ได้ยินแล้วแม่งก็ขำดิ

[มันเป็นแผน]

“...”

[โว้ยยยย กูยอมรับก็ได้ว่ากูมั่นหน้าคิดว่ามันเองก็มีใจให้กูอ่ะ]

“...”

[นึกว่าใช้มึงแล้วทุกอย่างมันจะไวขึ้น ไอ้สัด แม่งช้ากว่าเดิมอีก เหี้ยเอ๊ย กูควรไปทำบุญบ้าง]

ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ตอนนี้สงครามแม่งคงหงุดหงิดเหมือนเด็กที่ไม่ได้ของเล่น

“อ้ายเป็นคนดีมากนะ”

[กูรู้]

“คนแบบนี้มักคิดถึงคนอื่นก่อนตัวเอง”

[จริงของมึง]

“กูว่ามันถึงเวลาที่มึงจะเลิกเอาชื่อกูไปอ้างแล้วก็ทำตามความรู้สึกมึงได้แล้ว”

[มันจะว่ากูเป็นคนขี้โกหกน่ะสิ]

“ปล่อยมันว่าไป ถึงมันจะว่าแต่มันหวั่นไหวก็โอเคนะ”

[...]

“มึงโกหกมันจริงๆ นี่นา”

[โอยยย อย่าตอกย้ำได้ป่ะ]

“ไปเว้ย ไปสู้”

[อยู่ห่างกันแค่บ้านชั้นเดียวแต่ทำไมเหมือนอยู่ไกลกันเป็นดาวคนละดวงแบบนี้]

“มึงอยู่ไหน บ้านไปป์เหรอ”

[เออ]

“...”

[แต่กูล็อกห้องเชี่ยอ้ายไว้แล้ว กูไม่ไว้ใจสัดไปป์ พักหลังๆ มันกล้าหือกับกูเพราะอ้าย กูกำลังคิดอยู่ว่ามันชอบอ้ายหรือเปล่า]

“...” ผมถึงกับโนคอมเมนต์ไปเลย เรื่องนี้จี้ใจดำผมมากพอดู แต่สงครามไม่รู้

[พรุ่งนี้มึงทำงานใช่ป่ะ ก่อนกูไปงานเลี้ยงแน่เลย]

“ใช่”

[กูจะไปเชียร์มึงพร้อมดอกไม้ช่อโตๆ ประชดประชันแม่ง]

“เดี๋ยวไอ้สัด แล้วอ้ายจะว่ายังไง”

[อยากไล่กูดีนัก]

“เชี่ยสงคราม”

[มันเป็นการแสดงความรักในแบบของกูเว้ย การประชดประชันนี่แหละ ยิ่งทำให้ความรักเกิดเร็วขึ้น]

คู่สงครามกับอ้ายถ้าจะรักกันยากนี่ไม่ต้องโทษคนอื่นเลยครับ โทษไอ้สงครามเนี่ย มันเป็นผู้นำคนอื่นอีกทั้งยังมีมาดน่าเกรงขาม แต่สำหรับเรื่องความรัก มันสอบตกชนิดที่ว่าตกลงไปในดิน มุดเข้าไปใต้ดินอีกทีจนไปจ๊ะเอ๋กับแม็กม่าลาวาที่อยู่ใต้ชั้นพื้นผิวโลก มันแม่งโง่มากเรื่องความรักอ่ะ

ตอนที่มันเริ่มสงสัยว่าไปป์แอบชอบอ้าย มันสั่งลงโทษคนทั้งหอเลยครับ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นวันต่อจากที่ผมนัดเลี้ยงเหล้าร้านพี่น้อยมั้ง มันบอกว่าตั้งแต่อ้ายเมาและก็กลับไปนอน ไอ้ไปป์ก็เมานิดหน่อยเหมือนกัน เอาแต่ถามหาอ้ายไม่หยุด มันช้ำใจมากพอดูเรื่องที่มันชอบคนเดียวกันกับเพื่อน

กูเองก็ช้ำใจมากเหมือนกันล่ะวะ

รู้สึกอยากเอาตีนก่ายหน้าผากฉิบ

“แล้วแต่มึงละกันนะสงคราม”

[ว่าแต่มึงอยู่ไหนเนี่ย]

“ร้านเดิม”

[กูไม่รู้หรอกว่าร้านไหน กรุงเทพฯ แม่งวุ่นวายเป็นบ้า อยากกลับแล้วเนี่ย]

“...”

[ดูแลตัวเองด้วยนะเว้ย]

“โอเค โชคดีนะ”

[เจอกันที่อีเวนต์]

“โผล่มาแย่งซีนกูทำไม เดี๋ยวแฟนคลับกูกรี๊ดมึง”

[ดี มึงจะได้ถูกลืม]

“ไอ้เหี้ย”

[ล้อเล่น ไว้เดี๋ยวเจอกัน]

“...”

[สัญญาว่าจะแต่งตัวหล่อให้น้อยที่สุด]

ยังไงมันก็จะแต่งตัวมาหล่อ เชื่อผมดิ ผมหัวเราะใส่โทรศัพท์พลางกดเข้าไปเช็กนั่นเช็กนี่เล็กน้อย ชีวิตผมเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ หลายคนชื่นชมผมเพราะหน้าตาอันแสนไม่ธรรมดาของผม แต่เชื่อมั้ยครับว่าสิ่งเหล่านั้นผมไมได้ต้องการเลยแม้แต่น้อย
ผมต้องการความรักจากใครบางคน คนที่โตมาด้วยกัน ผู้ซึ่งแอบชอบเพื่อนตัวเองอยู่

ยิ่งคิดผมก็ยิ่งดื่มหนักขึ้น หนักมากพอที่จะทำให้คนที่เที่ยวอยู่แถวนี้เดินเข้ามาใกล้แล้วขอชนแก้ว

ถ้ารายนี้อยากกอดจูบลูบคลำผมอีก สำหรับวันนี้ก็น่าจะเป็นรายที่สามแล้ว แต่ผมกลับไม่มีอารมณ์เลย ขอชนแก้วเฉยๆ ได้มั้ย

ผมกำลังจะเอ่ยปากบอกคุณหนูรูปหล่อพ่อรวยตรงหน้า ก็มีมือหนึ่งคว้าแก้วของผมเอาไว้ก่อนที่จะผมจะชนกับอีกฝ่าย มันคือคนที่ผมคิดว่าเป็นคนสุดท้ายที่จะมาอยู่ที่นี่ ไอ้เชี่ยไปป์

“นี่แฟนผม เขางอนผมอยู่ ขอโทษด้วยครับ”

ผมอดส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ มันชอบใช้คำนี้อ้างเวลาที่มาช่วยผม ทุกครั้งที่มันเอ่ยปากพูด ก็เหมือนมันกรีดแผลที่อยู่ในใจผมซ้ำๆ ไปมา คนที่มาขอชนแก้วเดินจากไปแล้ว และถูกแทนที่ด้วยไอ้ไปป์ ผู้ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่

“พี่มะนาวโทรบอก” มันเอ่ย “เขากลัวมึงดื่มหนักจนเสียการเสียงาน ก็เลยเรียกให้กูมาดู”

“เซ็ง” ผมอดบ่นไม่ได้ ผู้จัดการคนนี้รู้ใจผมมาก เหมือนแกจะจับไต๋ได้ว่าผมชอบเพื่อนคนนี้อยู่ คิดแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กๆ “กูรับผิดชอบตัวเองได้น่า ไม่ต้องมายุ่ง”

“ทำไมสงครามถึงโผล่ไปบ้านกูได้ล่ะ”

“มันนึกอยากจะไปไหนมันก็ไปได้อยู่แล้ว นั่นสงครามนะ”

“กูไม่เข้าใจมันเลย ตกลงมันชอบมึงหรืออ้าย แม่งทำกูงงไปหมดแล้ว”

“มึงไม่รู้จริงๆ หรือมึงไม่อยากยอมรับวะ” ผมแค่นหัวเราะขณะถาม “กลัวจะสู้สงครามไม่ได้เหรอ”

“สัด” คำพูดของผมเหมือนแทงใจไปป์เข้าอย่างจัง คิ้วของมันกระตุกอย่างเห็นได้ชัด “ดื่มเสร็จก็ขึ้นไปนอนได้แล้ว อย่าอยู่ดึกให้มาก รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองเป็นที่ดึงดูด”

“ก็แค่อยากคิดอะไรกับตัวเองเงียบๆ”

ไปป์มองผมอย่างชั่งใจ ผมกับมันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร พูดจากล่าวหาว่าร้ายกัน แต่ลึกๆ แล้วก็ยังเป็นห่วงกันอยู่ดี พ่อมันสนิทกับพ่อผม แม่มันสนิทกับแม่ผม เราสองคนจึงถูกเลี้ยงมาด้วยกันเหมือนเป็นพี่น้อง เพียงแต่ว่าไอ้ความรู้สึกนั้นมันแปรเปลี่ยนไปเนิ่นนานโดยที่ผมเป็นคนเริ่ม มันเกิดขึ้นตอนไหนก็ไม่อาจทราบได้ รู้ตัวอีกทีผมก็ชอบไอ้บ้านี่เข้าให้แล้ว

...จากนั้นผมก็นึกภาพตัวเองชอบคนอื่นไม่ออกอีกเลย

มันดูแลผมเหมือนเห็นผมเป็นน้องชาย แต่ผมไม่เคยมองว่ามันเป็นพี่ชายหรือเพื่อนกันเลย การที่ผมแสดงออกไปอย่างเต็มที่ทำให้ไปป์รู้สึกอึดอัดจนอยากจะเลี่ยง แต่ท้ายที่สุดมันก็มองข้ามผมไปไม่ได้ ผมกับมันสนิทกันมากจนเกินไป ไม่ว่าผมจะทำอะไร ไปป์ก็ไม่มีวันทำใจทิ้งผมให้อยู่คนเดียวได้

เราสองคนเป็นแบบนี้กันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เมื่อมันออกห่างจากผมไม่ได้ สิ่งที่มันรู้สึกจึงถูกถ่ายทอดออกมาผ่านปากของมันโดยไม่เกรงอกเกรงใจผม ไม่สนใจว่าใจผมจะรู้สึกยังไง ตอนที่มันบอกว่ามันแอบชอบเพื่อนตัวเองและคนคนนั้นก็คืออ้าย

ใครๆ ก็ชอบอ้าย ซึ่งผมไม่แปลกใจเลย อ้ายเป็นคนที่สง่างามขั้นสุดยอด ไม่ว่าจะขยับตัวไปทางไหนก็น่ามองไปหมดจนผู้ชายด้วยกันยังเผลอมองตามไม่ได้ ไม่ผิดที่ไปป์จะรู้สึกชื่นชอบอ้าย แต่ผิดที่ผมเองนี่แหละที่เปลี่ยนใจจากไปป์ไม่ได้ ทุกอย่างมันก็เลยกลายเป็นความอึดอัดและทุกข์ใจจนมาถึงทุกวันนี้

แม้กระทั่งไปป์เองก็คงรู้สึก มันคงเหนื่อยที่จะต้องมาปลอบผม ผู้ซึ่งเอาแต่เพ้อเรื่องของมันตั้งแต่เช้ายันค่ำ

“มึงดูแลตัวเองได้นะ” ไปป์ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “ถ้าอย่างนั้นกูจะกลับบ้านแล้ว”

“อย่าคิดทำอะไรอ้ายตอนมันเผลอล่ะ”

“บ้าเหรอ”

“ไม่งั้นความเป็นเพื่อนของมึงกับสงครามจบแน่”

ไปป์เม้มปากอย่างไม่สบอารมณ์ “แบบนั้นความเป็นเพื่อนของกูกับอ้ายก็จะจบเหมือนกัน”

มันเดินจากไปแล้ว ผมบีบแก้วที่อยู่ในมือแน่นขึ้นอย่างรู้สึกเจ็บปวด มือผมไม่ได้เจ็บ แต่ใจผมต่างหากที่เจ็บ มันเป็นความรู้สึกเดิมๆ ที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า

ผมหาว่าสงครามโง่เรื่องความรัก แต่ผมเองต่างหากที่โง่กว่า

ผมแม่งโง่ที่ยังรักคนที่ไม่มีวันรักผมอยู่ได้...





TBC*
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 30-08-2017 21:48:02



ตอนที่ 10





เช้าวันต่อมา

ตอนที่ผมเดินลงมาชั้นล่างกับข้าวบนโต๊ะอาหารก็ถูกวางเอาไว้เต็มไปหมด คนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะคือไอ้ไปป์ ส่วนคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะอีกฝั่งแบบกวนประสาทหน่อยคือไอ้สงคราม มันกำลังทำหน้าเซ็งๆ ยิ่งผมเดินลงมาให้มันเห็นมันก็ยิ่งเซ็ง

กูเองก็เซ็งมึงเหมือนกันล่ะวะ

“ลงมาแล้วเหรอ กับข้าวเพิ่งวางเอง” ไปป์ตบที่นั่งข้างๆ มันให้ผมนั่ง สงครามชักสีหน้า ดูมันไม่ค่อยพอใจหากผมจะนั่งติดกับไปป์ซึ่งอยู่อีกฝั่ง นั่นแปลว่ามันต้องนั่งอยู่ฝั่งนั้นคนเดียว

ผมกำลังจะทิ้งตัวลงนั่ง แต่สงครามก็ส่งเสียงกระแอม

“ข้างหน้ากูกับข้าวดูน่าอร่อยกว่านะ”

มันล่อผมด้วยอาหาร ดูเหมือนมันจะพูดถูกด้วย เพราะข้างหน้ามันมีแต่อาหารมีสีสัน แต่ข้างหน้าไปป์มีแต่อาหารซึ่งดูก็รู้ว่าคลีนขนาดหนัก

เอาไงดีวะกู...

“คนอย่างมึงไม่แดกคลีนอยู่แล้วกูรู้”

สงครามแม่งดูถูกว่าผมไม่ดูแลตัวเองหรือเปล่าวะ (คิดไปเอง) ผมทำการทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ไอ้ไปป์เพื่อต้องการเอาชนะไอ้สงคราม มันทำหน้าเหม็นเบื่อทันทีที่ผมทำอย่างนั้น

เมื่อมองไปที่อาหาร เป็นคราวของผมที่จะทำหน้าเหม็นเบื่อบ้าง สีสันของอาหารอยู่ไหน ทำไมมีแต่สีจางๆ พื้นๆ ไม่น่ากินเลย

“บอกแล้วไม่เชื่อ” สงครามย้ายมานั่งฝั่งตรงข้ามผม จากนั้นมันก็จ้วงอาหารคลีนทั้งหมดราวกับว่าเป็นกิจวัตรประจำวันที่มันทำอยู่แล้ว เช่นเดียวกันกับไอ้ไปป์ ทั้งคู่กินเหมือนอาหารตรงหน้าเป็นอาหารอันโอชะยังไงยังงั้น

ผมได้แต่ถือช้อนส้อมนิ่งๆ รู้ดีว่าอาหารคลีนรสชาติแม่งจืดอย่างกับอะไร เพราะงั้น...ผมมองไปที่อาหารซึ่งอยู่อีกฝั่งอย่างปรารถนา

“อาหารพวกนั้นแม่บ้านเขาทำมาไว้ให้มึงอ่ะ กินซะสิ” ไปป์พูดยิ้มๆ

ถ้าหากขยับไปนั่งอีกฝั่ง ไอ้สงครามมันก็ชนะน่ะสิ ผมพยายามกดความต้องการของตัวเองเอาไว้ ระหว่างนั้นสงครามก็ใช้แขนยาวๆ ของมันหยิบจานอาหารที่มีสีสันทั้งหมดมาวางไว้ตรงหน้าผม

“ไอ้พวกหอสามแม่งเรื่องมากฉิบ”

ผมอ้าปากพะงาบๆ พร้อมจะด่าสวนกลับ แต่เมื่อเห็นมันตักอาหารมาให้ผมโดยใช้ช้อนกลาง ผมก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก

อย่ามาทำดีกับกูแบบนี้ กูฟินนะเว้ย

“หวังว่าที่กูตักอาหารให้เช้านี้ มึงจะเอาไปเขียนในโน้ตของมึงนะ”

ผมกำช้อนส้อมแน่นมากจนมือไม้สั่น รู้สึกแพ้สงครามทั้งขึ้นทั้งล่องยังไงไม่รู้ มันได้ใจผมไปแล้ว มันคิดว่าจะทำอะไรหรือพูดอะไรกับผมก็ได้งั้นเหรอ ผมมองหน้ามันอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่

“แดกสิ” สงครามเอ่ยเตือนสติ “อาหารเย็นหมดแล้ว”

จำใจต้องกินเพราะตอนนี้ผมหิวมาก เรื่องการตีกันระหว่างผมกับสงครามของเช้าวันนี้จึงหยุดลงแต่เพียงเท่านั้น วันนี้ไปป์ดูเหมือนจะยุ่งๆ มันกินข้าวเสร็จก็ขอตัวไปที่บ้านหลังใหญ่ก่อนเลย เนื่องจากมีญาติจากต่างจังหวัดมาหา บ้านของมันจึงเหลือแค่ผมกับสงครามที่กินข้าวกันอยู่โดยที่ต่างฝ่ายต่างก็นั่งตรงข้ามกันอีกที

ผมมองดูสงครามที่กดเปิดทีวีโดยใช้รีโมต มันกินไปดูทีวีไป สีหน้าท่าทางของมันไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อยจากสิ่งที่มันเพิ่งพูดกับผมเมื่อคืน

เรื่องนั้นมันใหญ่มากสำหรับผม แต่ตอนนี้กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับสงครามไปแล้ว เพราะมันดูชิลมากเสียจนผมคิดว่าความสับสนของมันเมื่อคืนคือเรื่องโกหกทั้งเพ

“กูไปดูมีนเสร็จกูจะมารับมึงไปงานเลี้ยงตอนเย็นด้วย โอเคมั้ย” สงครามพูดแข่งกับเสียงการ์ตูนในทีวี

“โอเค”

“กูมารับมึงได้ใช่มั้ย”

“ถ้ามึงไม่มารับ จะให้กูไปกับใครล่ะวะ”

“ก็นึกว่าอยากจะห่างกับกูอย่างนั้นอย่างนี้”

“นี่มึงประชดเหรอ”

“เออ”

ไอ้สัด มึงไม่ยอมรับหน่อยก็ได้ เจอแบบนี้กูไปต่อไม่เป็นเลย “ก็เสร็จจากงานนี้ก่อน มึงกับกูก็ค่อยๆ ห่างกัน”

“ได้”

“ตกลงตามนั้น”

“...”

“มึงจะไปงานอีเวนต์ของมีนใช่มั้ย”

สงครามเลิกคิ้วมองผม “ทำไม”

“กูไปด้วยได้หรือเปล่า”

มันดูเซอร์ไพรส์ที่ผมเอ่ยคำนี้ออกมา “ทำไมถึงจะไปล่ะ”

“กูสัญญากับมีนไว้ว่าจะไปดูอ่ะ ไม่อยากผิดคำพูดตัวเอง”

“...”

“อีกอย่างวันนี้กูก็ไม่มีอะไรทำด้วย ไม่ได้ดูลูกหอ ว่างๆ แบบนี้กูไม่ชินเลย” ผมขยับตัวอย่างไม่เคยชินประกอบคำพูด สิ่งที่เพิ่งพูดไปเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกจริงๆ ไม่มีเจตนาอื่นใดแอบแฝงทั้งสิ้น อีกอย่างหนึ่งมีนเป็นทั้งเพื่อนผมและก็ลูกหอของผม เลยอยากจะเห็นมีนทำงานเป็นขวัญตาสักครั้ง

“อ้อนกูสิ” สงครามหรี่ตามองก่อนจะพูดอย่างเย่อหยิ่ง

แม่งน่าหมั่นไส้ฉิบหาย “ทำไมกูต้องทำอย่างนั้น”

“มึงกำลังจะอาศัยรถกูไปนะ”

“...”

“คนบ้าอะไรจะมาอาศัยรถคนอื่นแต่พูดเหมือนออกคำสั่ง”

ผมจ้องมันเขม็ง สงครามแม่งเปิดศึกกับผมแต่เช้าตั้งแต่ผมเดินมาถึงโต๊ะอาหารนี่แล้ว ผมเป็นตัวแทนของหอสาม ไม่มีวันยอมคนที่มาจากหอที่เต็มไปด้วยพวกบ้าพลังแน่

“มึงต้องทำ”

“...”

“มึงต้องอ้อน”

“กูไม่อ้อน”

“มึงต้องอ้อน”

“สัดสงคราม”

“ไอ้เหี้ยอ้าย”

แม่งเอ๊ยยยย...ผมต้องใช้ความอดทนแค่ไหนในการคุยกับไอ้คนเอาแต่ใจคนนี้ มันต้องชนะในการแข่งขันทุกอย่างในชีวิตของมันตลอดเลยป่ะวะ คนเหี้ยอะไรเนี่ย

“กูอยู่บ้านไอ้ไปป์ก็ได้” คราวนี้ผมขอพลิกเกมก็แล้วกัน “มึงไปคนเดียวละกัน”

สงครามชักสีหน้า คงไม่คิดว่าผมจะเป็นแบบนี้กระมัง “สาด ไปด้วยกันนี่แหละ”

“กูไม่ต้องอ้อนแล้วเหรอ”

“ไม่ต้องแล้ว”

วู้ ชนะว่ะ ผมแอบยิ้มดีใจ สงครามมองมาที่ผมด้วยสายตาเซ็งนิดหน่อย

“รู้ว่ากูจะยอมใช่มั้ย”

“มึงไม่เคยยอมกู”

“กูยอมมาตลอดเหอะ”

“ไม่จริง”

“อย่างครั้งนี้กูยังยอมเลย”

“มึงช่วยแดกไปเงียบๆ ได้มั้ย”

ผมกับมันกลับมาตีกันอีกครั้งหนึ่ง และก็น่าจะเป็นแบบนี้ต่อไป ผมอดรู้สึกดีนิดๆ ไม่ได้ อย่างน้อยพวกเราก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย ไม่มีความอึดอัดเข้ามาแทรกตรงกลาง ซึ่งผมยินดีที่จะให้มันเป็นแบบนี้นะครับ ถ้าผมไม่ได้พูดกับมันเลย ผมก็คงจะรู้สึกเศร้าใจเหมือนกัน

เพราะอีกไม่นาน...ผมกับมันก็จะเรียนจบและก็แยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทางแล้ว บางทีผมก็ควรเก็บความสุขเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้เอาไว้

“ไปอาบน้ำแต่งตัวรอเลย”

“อืม”

ผมยิ้มให้แม่บ้านที่มาช่วยเก็บจาน ไอ้สงครามซึ่งยังไม่อิ่มดูเกรงอกเกรงใจแม่บ้านบ้านไอ้ไปป์มากจนมันทำท่าเก้ๆ กังๆ

“ยังไม่อิ่มก็แดกต่อสิ” ผมพูด

“เหมือนเขาจะรีบล้างจานเลย”

“แดกไปเลย”

“...”

“ของมึงเดี๋ยวกูล้างเอง” ผมหันไปหาแม่บ้าน “ของสงครามเดี๋ยวผมล้างเองครับ”

“เอ่อ...ค่ะ” แม่บ้านไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้สงครามเท่าไหร่จึงรีบตอบตกลงโดยไว ผมรีบเดินขึ้นไปอาบน้ำบนชั้นสองขณะที่ปล่อยให้สงครามกินอาหารของมันต่อไป คนบ้าอะไรไม่รู้กินเยอะฉิบหาย รู้สึกว่าแม่งจะเติมข้าวเป็นจานที่สองแล้วด้วยนะ

ผมใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวประมาณครึ่งชั่วโมง เดินลงมายังชั้นล่างในชุดไปรเวทง่ายๆ ด้วยกลิ่นหอมๆ และผมที่ยังไม่ค่อยแห้งดีเท่าไหร่ เมื่อเดินมาถึงโต๊ะอาหารกลับพบว่าจานเหล่านั้นหายไปเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแต่ความว่างเปล่า

“อยู่บนซิงก์โน่น” สงครามช่วยไขข้อข้องใจให้

“มึงยกจานมาไว้ที่ซิงก์ได้ แต่ล้างไม่ได้เนี่ยนะ”

“ก็ใครมันอาสาจะล้างให้ล่ะ”

ผมจิ๊ปากใส่สงครามก่อนจะเริ่มลงมือล้างจาน “มึงก็ไปอาบน้ำได้แล้ว กูได้ข่าวมาว่าอีเวนต์จะเริ่มตอนบ่ายแถมจัดอยู่ใจกลางกรุงอีก รถจะ...เฮ้ย”

ศอกของผมโดนพุงแข็งๆ (?) ของสงคราม มันมายืนอยู่ข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมเงยหน้าเล็กน้อยขึ้นไปมองหน้ามัน มันก็ไม่เห็นจะขยับตัวหนีผมไปไหนเลย

“มีเหี้ยอะไรเนี่ย” ผมเอ่ยแก้เก้อ

“กูมาตรวจสอบดูว่ามึงล้างจานสะอาดหรือเปล่า” ท่าทางมันคงไม่ยอมขยับเขยื้อนง่ายๆ “กูติดภาพมาว่าพวกหอสามเป็นพวกง่อย คุณหนู หน่อมแน้ม ทำห่าอะไรไม่เป็น...”

“ไอ้ฟายยยยยยยย” โดนดูถูกหอแบบนี้แล้วรู้สึกของขึ้น “เด็กหอสามก็เหมือนเด็กหออื่นนั่นแหละ”

“กูไม่เห็นจะรู้สึกอย่างนั้นเลย”

“มึงตั้งใจกวนตีนกูละสงคราม”

“กูเปล่าสักหน่อย”

“ไปอาบน้ำ” ผมใช้ศอกดันท้องของมันให้ออกห่าง แต่แม่งไม่สะเทือนต่อแรงดันของผมเลย มิหนำซ้ำยังไม่ยอมขยับตัวเลยสักนิด นี่มันว่างมากเลยหรือไง “เป็นห่าอะไรเนี่ยสงคราม ชอบให้กูโมโหนักเหรอ”

“เอาตรงๆ เลยมั้ย”

“...”

“กูไม่คิดว่ากลิ่นตอนมึงเพิ่งอาบน้ำเสร็จมันจะหอมขนาดนี้” มันพูดไม่พอ ยังก้มหน้าก้มตาเข้ามาใกล้เพื่อสูดกลิ่นของผมอีก

ก่อนที่ผมจะรู้สึกหน้าร้อนมากไปกว่านี้ ผมต้องรีบตัดจบฉากนี้ให้เร็วที่สุดเพื่อความปลอดภัยของหัวใจตัวเอง

ฟองน้ำล้างจานถูกบีบออกมาจนเป็นฟอง ผมใช้มันแปะเข้าไปที่อกของไอ้สงครามจนตัวมันเต็มไปด้วยฟองสีขาวของน้ำยาล้างจาน

“จะไปไม่ไป”

“ไอ้ฟาย เล่นเป็นเด็กๆ ไปได้ มันเหนียว”

“มึงจะได้ไปอาบน้ำสักทีไง”

“เออใช่”

“...”

“ต้องรีบไปแต่งหล่อเพื่อเอาใจมีนสักหน่อย” พูดจบมันก็เดินหนีไป

ผมคิดว่าผมจะชนะแล้ว แต่เปล่าเลย เชี่ยสงครามดันแซงทางโค้งแล้วพลิกเกมเอาชนะผมไปได้เฉย เพียงเพราะคำพูดประโยคสุดท้ายของมัน จากที่หน้าร้อนๆ ตอนนี้กลายเป็นอวัยวะภายในของผมที่ร้อนขึ้นมาแทน

หึ อย่าให้ถึงทีของกูบ้างก็แล้วกัน

นี่กูอุตส่าห์ล้างจานให้เลยนะ แต่ทำไมถึงทำให้หัวใจกูเจ็บแปลบอย่างนี้ล่ะสาด







ห้าง C

“ใหญ่กว่าภารกรบ้านเราเยอะเลยแฮะ” ผมมองซ้ายมองขวาอย่างตื่นตาตื่นใจ ตอนนี้ผมกับไอ้สงครามอยู่ภายในห้างใหญ่ที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมายเนื่องจากเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ผมสังเกตเห็นว่าสาวๆ ที่นี่ขาวๆ ทั้งนั้นเลยแฮะ อดมองตามด้วยความรู้สึกสนใจไม่ได้

“มองเหี้ยอะไรนักหนา” สงครามพึมพำ ผมสะดุ้งเพราะคำพูดของมันช่างเหมาะเจาะกับจังหวะที่ผมแอบมองสาวๆ พอดี แต่เมื่อหันไปมองก็เห็นว่ามันไม่ได้พูดกับผม มันพูดกับคนอื่น

กลุ่มผู้ชายตัวขาวๆ กำลังมองมาทางผม เมื่อเห็นว่าสงครามไม่ชอบใจ ทุกคนก็รีบเดินไปทางอื่นทันที

“มึงมีเสน่ห์กับคนกรุงเทพฯ เหรอเนี่ย” สงครามมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า “ไม่น่าเชื่อ”

ณ จุดนี้ขืนถ่อมตัวไปก็ไร้ประโยชน์ มันบวกมาผมขอบวกกลับ ไม่โกงโว้ย “ของมันแน่ กูอยู่หอสามนะ”

ได้ผล คำพูดของผมทำเอาสงครามคิ้วกระตุก “หมั่นไส้ฉิบหาย”

“อิจฉาก็บอก”

“กูจะอยากให้ผู้ชายมามองกูทำถ้วยอะไรวะ”

“แล้วมึงจะไม่พอใจทำไมล่ะ”

“กูไม่ชอบ”

“ไม่ชอบพวกนั้นเหรอ”

“ไม่ชอบมึงนี่แหละ!” มันตบมุขผมด้วย “กูเห็นมึงทำหน้าระริกระรี้ใหญ่เลยนะตอนรู้ว่าผู้ชายมองอ่ะ มึงบ้าป่ะวะ ทำอย่างกับไม่เคยโดนมองที่มอ”

แม่งไปกันใหญ่แล้ว “มึงต่างหากที่บ้า”

“เลิกเถียงกันเหอะ”

“ทำไม”

“งานเริ่มแล้วไอ้สัด นี่กูยังหาช่อดอกไม้ไม่ได้เลย”

“กูเกิ้ลแป๊บ” ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อตามหาร้านจัดดอกไม้แถวนี้ สงครามมันบ่นตั้งแต่อยู่บนรถแล้วว่าอยากให้ดอกไม้มีน แม้มือไม้ของผมตอนกดเสิร์ชหาร้านจะสั่น แต่ผมก็พยายามควบคุมให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

คำพูดแปลกๆ ของสงครามเมื่อคืนจะไม่มีผลอะไรกับผมทั้งนั้นในวันนี้

“มีป่ะ” สงครามยื่นหน้าเข้ามาดูจอโทรศัพท์ผม

“มีๆ เดินไปอีกนิด” ผมเดินนำ อีกฝ่ายจึงรีบเดินตามมา

ระหว่างที่สงครามสั่งให้พนักงานจัดดอกไม้ตามที่มันต้องการ เสียงกรี๊ดก็ดังขึ้นเป็นระยะๆ ดูเหมือนอีเวนต์ที่มีนมาทำงานนั้นจะเริ่มขึ้นแล้ว ผมลอบมองสงคราม ดูปฏิกิริยาของมันกับเสียงกรี๊ดที่ดังแล้วดังอีก ดูมันไม่สนใจอะไร แถมยังติดจะรำคาญด้วยซ้ำ

“มึงไม่อยากให้มีนสักช่อเหรอ”

“ไม่มีเงิน”

“โกหก”

“ถ้ามีดอกไม้ไปให้หลายช่อ ดอกไม้ของมึงจะพิเศษตรงไหน”

“มึงไม่คิดจะให้กำลังใจมีนหน่อยหรือไง”

เป็นห่วงความรู้สึกกันจังเลยนะ ผมหรี่ตามองอีกฝ่ายก่อนจะหันหน้าไปสั่งดอกไม้อย่างไม่ยอมแพ้ แถมยังบอกให้พนักงานจัดดอกไม้ช่อใหญ่กว่าไอ้สงครามให้อีก หลังจากสั่งเสร็จผมไม่ลืมที่จะหันมายักคิ้วท้าทายสงคราม แต่แทนที่มันจะโกรธหรือทำหน้าบึ้ง มันกลับยิ้มน้อยๆ แทน

มึงมีความสุขในการตีกันกับกูเหรอวะ มึงคงบ้าเข้าขั้นสุดไปแล้วจริงๆ

หลังจากที่ผมกับมันกลายเป็นหนุ่มดอกไม้เพราะถือช่อดอกไม้กันทั้งคู่แล้ว เราสองคนก็เดินตรงมายังจุดที่จัดอีเวนต์ซึ่งหาได้ไม่ยาก เดินตามเสียงกรี๊ดไปไม่นานก็เจอ คนค่อนข้างเยอะพอสมควรเพราะงานนี้เป็นงานเดินแบบเปิดตัวแบรนด์เสื้อผ้าวัยรุ่น ตอนที่ผมกับสงครามเดินไปถึง มีนกำลังเดินแบบอยู่พอดี

แม่เจ้าโว้ย ทำไมมันต่างจากตอนที่อยู่มอแบบนี้วะ ดูดีฉิบหายชนิดที่ว่าทุกอย่างส่งเสริมมันไปหมด ทั้งเครื่องสำอาง ทรงผม และการเดิน

มีนแม่งเกิดมาเพื่อเป็นดาราจริงๆ

ผมมองสงครามที่ไม่ได้มองมีนเลย มันกำลังทะเลาะกับคนรอบข้างทางสายตาอยู่ ไม่รู้ว่ามันจะโกรธอะไรชาวบ้านเขานักหนา เขาก็แค่มองมาด้วยความสนอกสนใจเท่านั้นเอง

“มึงไม่ควรดันทุรังมางานนี้เลยนะอ้าย”

“เดี๋ยว มึงเป็นคนยอมให้กูมาด้วยเองนะ”

“มึงควรเก็บตัวอ่ะ”

“ทำไม”

“คนแถวนี้แม่งทำเหมือนไม่เคยเห็นผู้ชายแบบมึงมาก่อน”

“กูมันทำไม”

“สวยไงสัด”

ผมชะงักไปเล็กน้อย “นี่มึงพูดจริงเหรอเนี่ย”

“กูล้อเล่น”

“เหี้ยสงครามนี่” ผมคิดว่ามันคงจะเถียงกับผมไปอีกตลอดกาลนานเทอญอย่างแน่นอน

“แต่ที่บอกว่ามึงควรเก็บตัวอ่ะกูพูดจริงนะ”

“...”

“นี่ถ้ามึงไม่ได้อยู่กับกู มึงเสร็จคนอื่นแน่”

“...”

“รำคาญพวกหอสามจริงๆ นี่กะจะดึงดูดแต่คนเพศเดียวกันเหรอวะ”

“บ่นเป็นลุงเลยเว้ยไอ้เหี้ย” เสียงดนตรีในงานไม่ช่วยให้ผมเลิกเถียงกับสงครามได้เลย “แล้วเลิกสักทีเรื่องด่าหอกูเนี่ย กูขึ้นทุกประโยคที่มึงพูดเลยนะ”

“ขึ้นแล้วก็อย่าลง เพราะกูหมั่นไส้จริงๆ”

“หมั่นไส้เพราะกูหน้าตาดี”

“เปล่า หมั่นไส้คนที่มองมึงเนี่ย มองเหี้ยอะไรนักหนา” สงครามเริ่มหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ “แล้วไอ้เหี้ยมีนเมื่อไหร่จะเดินเสร็จ กูอยากออกไปจากที่นี่แล้ว”

“กูว่าเดินไปข้างหลังดีกว่า มีนมันเพิ่งเดินไฟนอลวอล์กกลับเข้าไป น่าจะเสร็จแล้ว”

“มึงรู้ได้ไงว่าอะไรคือไฟนอลวอล์ก”

“หอสามมีงานแบบนี้บ่อยจะตาย กูตามไปดูลูกหอบ่อย”

“ผิดกับหอกูนะ”

“...”

“นี่กูพลาดกีฬาซูโม่ของลูกหอเพราะต้องมางานเลี้ยงห่าไรไม่รู้เนี่ย แม่งโคตรเซ็งเลย”

หอสองมีคนแข่งซูโม่ด้วยเหรอวะ ผมเก็บความสงสัยไว้ในใจก่อนเดินนำสงครามมายังหลังเวที มีนมองเห็นสงครามก่อนผม มันเดินเข้ามาหาสงคราม ทันทีที่มันรับช่อดอกไม้จากประธานหอสอง แสงแฟลชก็สว่างวาบพร้อมกันจนผมรู้สึกแสบตาไปหมด
แฟนคลับไอ้มีนอยากได้รูปคู่ของสงครามกับมีนเหรอเนี่ย

“มากับใครวะ”

“ภาระ” สงครามพยักเพยิดมาทางผมก่อนจะกระซิบกับมีน “แฟนคลับมึงถ่ายเหี้ยอะไรกูเนี่ย”

“เขาชอบให้กูอยู่กับมึงอ่ะ” มีนยิ้มแฉ่ง จากนั้นก็ลากตัวสงครามเข้าไปใกล้ๆ พร้อมกับชูสองนิ้ว

ผมยืนอึ้งอยู่นาน มองดูสงครามถ่ายรูปกับคนที่มันชอบด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด เมื่อเห็นว่ามีคนคอยเก็บของขวัญที่มีนได้จากแฟนคลับ ผมจึงส่งช่อดอกไม้ของตัวเองไปให้คนนั้น จากนั้นก็ก้าวถอยหลังช้าๆ ให้ออกห่างจากคู่สงครามกับมีน

ไม่เคยคิดว่าสองคนนี้จะเหมาะสมกันขนาดนี้มาก่อน จริงๆ แล้วมีโอกาสน้อยมากที่สงครามจะได้มาอยู่ใกล้ชิดมีนขนาดนี้หากมันทั้งคู่ไม่ได้มาอยู่นอกสถานที่ ผมเผลอยืนมองอยู่นาน จากความรู้สึกแปลกๆ แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกเจ็บแปลบนิดๆ นี่แค่ระยะเริ่มต้นนะ ถ้ามันทั้งคู่ตกลงคบกันเมื่อไหร่ แผลในใจของผมคงใหญ่ขึ้น และความเจ็บปวดนั้นคงเป็นอะไรที่มากเกินกว่าจะบรรยาย

หลบภาพที่มองแล้วรู้สึกเจ็บหนีไปกินไอติมดีกว่ากู...









ร้านไอศกรีม

ของกินในมือของผมมันหวาน แต่ความรู้สึกของผมมันขม แน่นอนว่ามันต้องกลายเป็นความไม่อร่อย ผมถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ นึกโทษตัวเองที่เจ็บปวดแบบนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะผมผลักไสไล่ส่งไอ้สงครามออกไปเอง หากเมื่อคืนผมเห็นแก่ตัวบ้าง ผมคงจะทำอะไรบางอย่างให้เรื่องของผมกับสงครามมันดีขึ้นกว่านี้ แต่เพราะสงครามมันเอ่ยชื่อมีนพ่วงติดมาด้วยว่ามันสับสน ผมจึงไม่กล้าที่จะใช้ความเห็นแก่ตัวนั้นมาสร้างความสุขให้ตัวเอง

...เพราะมันคงเป็นความสุขที่ติดขัดน่าดู ถ้ามันรู้สึกชอบผมจริงๆ มันต้องไม่เอ่ยถึงชื่อของมีนเลย

หมั่นไส้แม่งฉิบหาย เสน่ห์มันมากมายเหลือล้นถึงขนาดที่ทำให้ผมต้องมาปวดหัวเพราะมันเลยเหรอวะ ให้ตายเหอะ ขืนมันรู้มีหวังผมคงโดนล้อตายห่า ดีไม่ดีไอ้สงครามแม่งก็จะเอาชื่อหอผมไปล้อซ้ำอีก

“พี่ครับ ขอโทษนะครับ ที่อื่นเต็มหมดเลย ผมนั่งด้วยได้มั้ย”

เด็กหน้าใส ตัวสูงโย่งส่งยิ้มให้ขณะที่ขอมานั่งด้วย ผมมองซ้ายมองขวา ร้านไอศกรีมแห่งนี้มีคนนั่งเต็มทุกโต๊ะจริงๆ ด้วย สงสัยอากาศร้อน ทุกคนเลยพาลอยากกินไอศกรีมกันหมด

“ได้ๆ เอาสิ” ยังไงที่ข้างหน้าผมก็ว่างอยู่แล้ว จึงไม่คิดจะกั๊กที่ไว้

“ขอบคุณครับ” มันทิ้งตัวนั่งก่อนจะมองหน้าผม ผมมองหน้ามันตอบอย่างงงงัน

“มีอะไรเหรอ”

“เปล่าครับ”

“...”

“หน้าพี่เด็กนะ แต่ผมเดาว่าพี่คงเรียนอยู่ปีสามปีสี่แล้ว”

เดี๋ยวนะ นี่มันชมหรือมันด่าหรือมันอะไรวะ ผมชักจะงง “น้องพูดถูกแล้วล่ะ”

“ให้ทายว่าผมเรียนอยู่ชั้นไหน”

ผมไม่ควรสร้างงานให้ตัวเองเลย นั่งอยู่คนเดียวก็ดีอยู่แล้วแท้ๆ ดันมาเจอเด็กเฟรนด์ลี่ผิดเวลาเสียได้

“ไม่ทายได้มั้ย”

“เอาน่า ลองทายดูหน่อย”

“ไม่มอห้าก็มอหก” ผมตอบส่งๆ

“มอหกครับ”

กูรู้แล้วกูได้อะไรวะ “เออ เก่ง”

“เก่งอะไรล่ะครับพี่”

“จะให้กูตอบว่าอะไรล่ะวะ” ผมคิดว่าสุภาพหรือไม่สุภาพกับมัน มันก็คงไม่แคร์แน่นอน

“พี่เรียนอยู่มอไหน”

“อยากรู้ไปทำไม”

“เผื่อจะเรียนอยู่มอที่ผมอยากสอบเข้าน่ะ”

ผมสังเกตมันด้วยสายตาอย่างรวดเร็ว มองแล้วรู้สึกเหมือนเห็นเงาของไอ้ทนายแฝงอยู่ในตัว ไอ้เด็กนี่มีความเป็นเด็กกรุงเทพฯ จ๋ามากทั้งการแต่งตัว บุคลิก และก็สำเนียงการพูด ดูยังไง้ยังไงก็คงอยากเรียนในกรุงเทพฯ ไม่มีทางอยากเรียนมอ B ของผมแน่ๆ
ดูซิว่าแม่งจะทำหน้ายังไงตอนที่รู้

“มอ B จังหวัดใกล้ๆ เนี่ย”

“เฮ้ยยยยยยยย” ไอ้เด็กแปลกหน้าร้องลั่นจนคนที่นั่งใกล้ๆ หันมามองกันใหญ่ “หน้าแบบนี้หอสามชัวร์เลย”

อุ้ย กูอึ้งแป๊บ นี่ผมไม่คิดว่ามันจะรู้เอกลักษณ์ของมอผม “มึงรู้เหรอ”

“รู้สิ ผมอยากเข้ามอ B เพราะเรื่องหอเลยนะรู้มั้ย”

ชักจะเอ็นดูเด็กนี่ขึ้นมาแล้ว (เปลี่ยนความคิดไวมาก) ผมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะแกล้งมองมันอย่างประเมิน

“จริงๆ นะพี่ หอชายมอพี่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก จบมาเป็นเจ้าคนนายคนหมด แถมยังคบกันยืดอีกต่างหาก แม้จะเฉพาะแค่คนในหอเดียวกันก็เหอะ”

มันรู้ลึกรู้จริงว่ะ “มึงอยากอยู่หอไหนล่ะ”

“ไม่รู้สิ พี่ช่วยมองผมหน่อยได้มั้ยว่าผมจะได้อยู่หอไหน”

ตอบยากเลยแฮะ “ขอฟังความปรารถนาของมึงก่อน”

“หอสอง”

“กูไม่ให้อยู่” เสียงโหดๆ ของสงครามดังขึ้นจนผู้หญิงที่นั่งใกล้ๆ สะดุ้ง “เหี้ยอ้าย กูตามหาซะทั่วเลย”

“แม่ เจ้า โว้ย” ไอ้เด็กแปลกหน้ามองสงครามจากนั้นก็อ้าปากค้างด้วยความอึ้งสุดขีด “เท่ฉิบหาย”

แค่นี้ก็ฟันธงได้แล้วว่ามันเหมาะกับหอไหน ถ้ามันสอบเข้ามอผมได้ หอสองคงต้องเตรียมห้องไว้รอต้อนรับมัน

“อยากตายเหรอ”

“มึงก็อย่าไปขู่เด็กมันดิวะ เสียผู้ใหญ่หมด” ผมปราม

“กูไม่ชอบ”

“โห” เด็กมันยิ่งปลื้มหนักเข้าไปอีกเมื่อได้ยินสงครามพูดตรงๆ

“โหไรสัด มองกูแบบนั้นทำไม”

“พี่อยู่หอสอง มอ B ใช่ป่ะครับ” ออร่าหอสองของสงครามมันพุ่งเว้ยยยย เด็กมันยังรู้อ่ะ

“แล้วมึงมาเสือกอะไรกับกูเนี่ย”

ไอ้บ้านี่มันโมโหจริง ผมต้องรีบลากตัวมันออกไปจากที่นี่ก่อนที่มันจะเผลอต่อยเด็กกรุงเทพฯ เข้า

“ไม่ได้อยู่แค่หอสองนะ” ผมกระซิบขณะลุกขึ้นยืน “มันยังเป็นประธานอีกด้วย”

เด็กคนนั้นช็อกเหมือนเจอดาราในดวงใจ ผมอดยิ้มกับท่าทางของมันไม่ได้ และไม่ลืมที่จะดันตัวสงครามให้เดินไปข้างหน้า ป้องกันแรงปะทะทุกรูปแบบ

“เด็กนั่นมันปีนเกลียวจีบมึงเหรอ แม้แต่เด็กปีหนึ่งในมอเรายังไม่กล้าจีบมึงเลยนะ มันเป็นใครวะ” สงครามทำท่าจะเอาเรื่องเด็กอย่างจริงจังจนผมอดห่วงไม่ได้

“พอแล้วได้มั้ย”

“มึงนี่ก็ทำหน้าฟินจัง อยากเป็นอมตะเหรอ อยากกินเด็กเหรอ”

“โว้ยยยยย”

“...”

“เห็นมันอยากเข้ามอเราแถมยังอยากอยู่หอสอง กูเลยคุยกับมัน แค่นั้นเอง”

“มึงหายไปตั้งนาน แล้วกูดันมาเจอมึงอยู่กับเด็กหน้าใสๆ จะให้กูคิดไง”

“คิดว่ากูหิวสิวะไอ้สัด”

“มึงรอแดกกับกูก็ได้”

“สงคราม วันนี้มึงเป็นไรวะ” ผมรู้สึกทนไม่ไหวจึงโพล่งออกมา “ทำไมชอบหาเรื่องเถียงกับกูนัก อยู่ในมอเราทะเลาะกันมามากพอแล้วนะเว้ย อยู่นอกมอเราจะดีกันสักหน่อยไม่ได้เหรอ”

หน้าโหดๆ ของสงครามเริ่มอ่อนลง ผมหายใจรัวเร็วหลังจากที่ตะโกนเสียงดัง รู้สึกโล่งที่ได้พูดอะไรบางอย่างซึ่งติดอยู่ในใจมานาน

“ขอโทษ” สงครามพูดสั้นๆ ง่ายๆ แถมเสียงยังน่าฟังมากขึ้นอีกด้วย

ทุกครั้งที่มันเอ่ยขอโทษ ผมรู้สึกใจเต้นไม่เป็นส่ำทุกที แม้กระทั่งตอนที่ผมยังไม่ทันได้รู้ใจตัวเอง ใจผมก็สั่นเสมอทุกครั้งที่ได้ยินคำขอโทษจากปากสงคราม มันเป็นมนุษย์ประเภทไม่แคร์สังคมหรือโลกใบนี้เลยทั้งสิ้น แต่มันกลับเอ่ยปากขอโทษผม ซึ่งนั่นอาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผมรู้สึกปลาบปลื้มมันก็เป็นได้

มันขอโทษทุกครั้งที่มันทำผิด ไม่ว่าจะผิดเล็กน้อยหรือผิดมากมายมหาศาล มันทั้งแคร์ทั้งให้เกียรติประธานหอที่ควรจะเป็นคู่กัดกับมันมากกว่าที่มันจะมาแคร์

...แบบนี้จะไม่ให้ผมชอบมันได้ยังไง

“กูให้อภัย”

“...”

“มีนไปไหน”

“ไม่รู้ มีหนุ่มที่ไหนมารับไปก็ไม่รู้”

“ทำไมมึงดูไม่โกรธเลย”

“กูโกรธก็ได้” สงครามเปลี่ยนสีหน้าอย่างมีพิรุธ “ไอ้เหี้ยนั่นมันเป็นใครวะ โว้ย อย่าให้กูเจอนะ กูเอาแม่งตายเลย”

ผมเลิกคิ้วมองดูสงครามที่โคตรไม่เนียน “บ้าๆ บอๆ เนอะมึงอ่ะ”

ระหว่างที่สงครามกำลังจะโต้ตอบ เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น หน้าจอโชว์เบอร์คนที่ผมพยายามจะติดต่อมานานมากแล้ว คนที่เป็นต้นเหตุให้ผมกลายเป็นตุ๊กตาให้ไอ้เหี้ยตั้มกับไอ้เหี้ยสงครามโยนไปโยนมา

ไอ้โอม

“เหี้ย” เมื่อสงครามเห็นชื่อคนโทรมา มันก็ชักสีหน้าหงุดหงิดทันที “กูคุยเอง”

“บ้าเหรอ”

“กูจะถามว่ามันอยู่ไหน กูจะได้ไปฆ่ามันถูกที่”

สงครามมันคงพูดจริงในแบบของมัน แต่ตอนนี้ผมมีเรื่องที่จะคุยกับโอม และมันเป็นเรื่องด่วนมากกว่าเรื่องทั้งหมด

“ฮัลโหล” ผมเดินแยกออกมาจากสงครามเพื่อที่จะได้คุยสะดวกมากยิ่งขึ้น

[อ้ายเหรอ เป็นไงบ้าง]

“ยังกล้าถามออกมาได้”

[เฮ้ย ขอโทษเว้ย กูจำเป็นจริงๆ]

“...”

[ยังไงตอนนี้มึงก็ไม่ได้ไปอยู่กับเสี่ยคนไหนแล้วนี่]

มือของผมกำโทรศัพท์แน่นมากระหว่างที่ฟังลูกพี่ลูกน้องของผม

[จริงๆ แล้วเป็นกูเองนะที่แนะนำให้ไอ้ตั้มมาช่วยมึงอ่ะ]

“กูควรขอบคุณมึงงั้นสิ”

[อย่าโกรธกูดิวะ]

“จะไม่ให้กูโกรธได้ยังไง”

[เอางี้ กูมีบางอย่างที่อาจจะทำให้มึงโกรธน้อยลง]

“...”

[มึงอยู่กับไอ้สงครามที่เคยต่อยกูใช่มั้ย ตั้มมันเล่าให้ฟังว่ามันพยายามดึงตัวมึงไปด้วยเงินสี่แสน]

“ทำไม”

สายตาของผมสบตากับสงครามที่กำลังมองมาที่ผมพอดี

[กูมีทางหาเงินมาคืนให้ได้แล้ว]

นั่นเป็นสิ่งที่ใจผมต้องการจริงๆ เหรอ

[มึงจะได้อยู่ห่างจากไอ้สงครามสักที]

หรือว่าลึกๆ ในใจผมอาจจะอยากตัวติดกับสงคราม และปรารถนาอยากให้มันเรียกผมว่าอ้ายสี่แสนต่อไป

แสงสว่างอยู่ที่ปลายอุโมงค์แล้ว แต่ผมกลับอยากอยู่ในความมืด และยังไม่อยากเดินไปยังทางออกที่เตรียมเปิดต้อนรับผม...







TBC*
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 30-08-2017 22:15:24




ตอนที่ 11





ผมกับสงครามกลับมาที่บ้านของไปป์เพื่อแต่งตัวก่อนไปงานเลี้ยง เราสองคนไม่มีใครกระตือรือร้นอยากจะไปก่อนเวลาเลยสักคน เพราะฉะนั้นผมกับมันจึงมานั่งหน้าทีวี ดูรายการโน่นนี่ฆ่าเวลาไปเรื่อย

ในหัวของผมยังสับสนอยู่ว่าจะเอายังไง เรื่องเงินที่ผมติดมันเป็นเพียงเรื่องเดียวที่เชื่อมโยงผมกับสงครามให้เข้ามาอยู่ใกล้กัน หากไม่มีเงินจำนวนนั้นแล้วผมก็จะไม่มีเหตุผลไหนที่ได้ไปอยู่ใกล้ชิดสงคราม

ไหนมึงบอกมึงอยากอยู่ห่างจากมันไงไอ้เชี่ยอ้าย แล้วนี่อะไร ทำไมลังเล ทำไมย้อนแย้งในตัวเอง ไอ้ห่าเอ๊ยยย

“ใกล้ถึงเวลาแล้วนะ” สงครามมองดูนาฬิกาข้อมือ “มึงใช้เวลาแต่งตัวนานป่ะ”

“ไม่นานหรอก ครึ่งชั่วโมงก็เสร็จ” ผมมองสงครามอย่างไม่ไว้วางใจ “อย่าแต่งหล่อให้มากนะมึง กูเอามาแค่เสื้อเชิ้ต”

“กูก็จะใส่เสื้อเชิ้ตไป”

เมื่อได้ยินว่าสงครามจะแต่งตัวคล้ายๆ กันผมก็อุ่นใจ งานนี้เต็มไปด้วยคนรวยๆ ที่น่าจะให้ความสนใจไอ้ตั้มเพียงแค่คนเดียว เพราะงั้นผมกับประธานหอคนอื่นๆ ไม่จำเป็นต้องหล่อมากก็ได้ แค่ไปงานแบบง่ายๆ ให้มันจบๆ ไปก็พอ

ไปป์ยังไม่กลับมาเลยครับ ดูเหมือนวันนี้ครอบครัวของมันจะมีเรื่องนิดหน่อยซึ่งผมกับสงครามก็ไม่อยากจะเข้าไปเผือก โชคดีที่บ้านไอ้ไปป์แยกออกมาตั้งไกล ผมกับสงครามจึงไม่อึดอัดเท่าไหร่

งานเลี้ยงจัดที่โรงแรมซึ่งอยู่ไกลออกไป การขับรถของสงครามที่น่าหวาดเสียวนิดๆ ทำให้เราทั้งคู่มาถึงงานแบบไม่น่าเกลียด

ระหว่างที่อยู่ในรถผมเอาแต่กดเปลี่ยนเพลงไปมาเพื่อให้ใจไปโฟกัสกับเพลงมากกว่าที่จะคิดไปถึงเรื่องของอนาคต สงครามเองก็มัวแต่มีสมาธิกับการขับรถในกรุงเทพฯ จึงไม่มีใครพูดอะไรกันมากนัก

มันอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มที่แสนจะธรรมดาแต่โคตรหล่อเมื่ออยู่บนตัวมัน เนื่องจากสงครามเป็นคนหุ่นดีมากอยู่แล้ว ทุกอย่างเลยดูเสริมกันไปหมด ผมที่ใส่เชิ้ตสีขาวหม่นๆ รู้สึกหม่นไปตามสีเสื้อ เดินเคียงคู่ไปกับสงครามผมบอกได้คำเดียวว่าผมดับแน่นอน แต่ผมรู้สึกดีนะ นานๆ ทีจะเห็นสงครามมันแต่งตัวเป็นทางการแบบนี้

รอยสักที่โผล่พ้นเสื้อของมันช่วยลดความเนี้ยบลงมาบ้าง ทำให้มันยังคงเป็นตัวมันอยู่ และผมเรียกมันว่าเสน่ห์ประจำตัวสงคราม
มันจอดรถที่บริเวณโรงแรมเมื่อเรามาถึง สีหน้าของมันดูไม่สบอารมณ์หน่อยๆ กับการจราจรในช่วงหัวค่ำของกรุงเทพฯ ผมเดินลงจากรถ บิดขี้เกียจ แล้วจัดเสื้อให้ดูดี ส่วนสงครามเดินลงมาทีหลัง มันใส่เสื้อนอกสีเดียวกันกับกางเกงที่มันเตรียมมา

ใส่เสื้อนอก เสื้อนอก เสื้อนอก...

ไอ้สัดนี่มันทรยศผมนี่!

“ไหนบอกว่ามีแค่เสื้อเชิ้ตไง” ผมโวยวาย แบบนี้ผมก็จะกลายเป็นคนเดียวที่ชิลตายห่าตายเหวน่ะสิ ความมั่นใจของผมลดไปเกือบครึ่ง ขณะที่สงครามมองว่าสิ่งที่ผมโวยวายมันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย

“กูก็ใส่เสื้อเชิ้ตอยู่นะ”

“แต่มึงมีเสื้อนอก”

“มึงไม่มีเหรอ”

“ก็ไม่มีไง!”

“อ้าว พลาดแล้วสัดอ้าย”

กวนตีนนนนนนน ผมกำหมัดแน่นอย่างโมโหแต่ก็ปล่อยๆ ลงไปบ้างเพราะผมยังต้องอาศัยรถมันกลับไปด้วยอีก ระหว่างที่เดินเข้างาน ผมยังคงมองสงครามอย่างเจ้าคิดเจ้าแค้น มันก็เอาแต่ลอยหน้าลอยตาไม่สนใจความโกรธนิดๆ ของผมเลย

เมื่อเข้ามาอยู่ในงาน ผมนี่อยากเดินหาร้านเสื้อสูทใกล้ๆ แล้วสวมทับเสื้อเชิ้ตของผมให้เร็วที่สุด ไอ้สงครามมองขาดมากว่างานจะออกมาในรูปแบบไหน ทุกคนดูหรูไฮ สวมชุดสูท และแต่งตัวเป็นทางการหมด แม้กระทั่งประธานหอคนอื่นๆ

รู้สึกเหี้ยมากที่โดนหักหลัง

“เดี๋ยวงานก็จบแล้ว อย่าเครียดนักเลย”

ผมมองคนพูดด้วยสายตาเคียดแค้น “มึงไม่ใช่คนที่โดนหักหลังนี่”

“นี่กูต้องส่งรูปนั้นให้มึงอีกมั้ย”

“รูปอะไร”

สงครามหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งอะไรบางอย่างให้ผมผ่านทางไลน์

สงเหี้ย หอสอง : /แนบรูปข้อความ ‘กูจะไม่งอนมึงอีกแล้ว’

“ไอ้เหี้ย” ผมร้องลั่น “นี่รูปหากินมึงหรือไง”

สงครามยิ้มกริ่มเล็กๆ “ใช้ได้ทุกงาน”

“อย่าให้กูแคปข้อความมึงบ้างนะ”

“รู้สึกอยากโดนแคปจังโว้ย”

ได้ ในเมื่อมันท้าผมมาขนาดนี้ ต่อไปนี้ถ้าคุยกับมันผมจะใช้รูปที่ผมแคปอย่างเดียว!

เอ่อ ผมล้อเล่นนะ

สงครามดูสนุกสนานกับการดื่มเครื่องดื่มฟรีมาก ส่วนผมนั้นรู้สึกอยากกลับตั้งแต่เข้ามาในงานได้สิบนาทีแรกแล้ว ที่นี่เต็มไปด้วยใครก็ไม่รู้ที่ผมไม่รู้จัก นอกจากประธานหอทั้งห้าผมก็ไม่รู้จักใครอีกเลย งานเลี้ยงสำหรับผมจึงกร่อยแทนที่จะสนุก

นอกจากไม่สนุกและก็น่ากลับบ้านไปนอนแล้ว แอร์ในห้องจัดงานนี้ยังหนาวมากจนผมรู้สึกตัวสั่น สงสัยจะเปิดแอร์เอาใจแขกที่ใส่เสื้อสูทกันทั้งๆ ที่อยู่ในเมืองไทย คนที่ไม่มีเสื้อนอกอย่างผมจึงได้แต่ตัวสั่นด้วยความทุกข์ทรมาน

อยากกลับมอแล้ว คิดถึงลูกหอ คิดถึงหอสามมมมมมม

“เหยดเข้” ไอ้ทิว ประธานหอหนึ่งมองดูสาวสวยที่เดินเรียงหน้ากันเข้ามาในงาน ทุกคนอยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกับเรา

“ผมคิดว่างานจะเริ่มสนุกจริงๆ ก็คราวนี้” โกวิทย์ยิ้มกริ่ม ตาของมันลุกวาวเพราะสาวๆ ขาวๆ สวยๆ

ผมก็รู้สึกดีอยู่หรอก แต่ความหนาวมันมีมากกว่าความฟินเมื่อได้เห็นผู้หญิง เพราะงั้นผมจึงไม่อินเหมือนพวกประธานหอคนอื่นๆ ผมมองซ้ายมองขวาเพราะรู้สึกว่าสงครามมันไม่ได้ยืนอยู่ใกล้ๆ มันหายไปเอาเครื่องดื่มที่บาร์แน่ๆ แต่เมื่อมองไปที่บาร์ก็ยังไม่เห็นมัน

ไอ้บ้านี่ ไหลไปเรื่อยปานน้ำเลยนะมึง ไหนบอกไม่ชอบ ไม่อยากมา แต่ทำไมพอมาถึงจริงๆ มึงกลับดูเนียนไปกับคนอื่น แม่งสนุกกว่ากูอีก

ทรยศทั้งชุด ทรยศทั้งความรู้สึกในงานเลี้ยง สงครามแม่งทำตัวให้น่าโกรธจริงๆ

“อุ้ย ขอโทษครับ” ผมได้ยินเสียงสงครามจึงหันขวับไปมอง มันกำลังถือแก้วเครื่องดื่มในมือสองแก้ว เมื่อสักครู่แม่งเดินสะดุดชายชุดเดรสของผู้หญิงคนหนึ่ง ดีนะที่ผู้หญิงเขาไม่เป็นอะไรมาก “นี่แก้วมึง”

ผมรับแก้วมาจากสงครามอย่างงงๆ หางตาของผมเหลือบไปเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นยังมองสงครามอยู่เลย

“วิธีการอ่อยแบบหอสอง” ภาม ประธานหอหกกระซิบกับทิวและก็โกวิทย์ “แกล้งสะดุดชายชุดเขา มึงจำเอาไว้นะโกวิทย์”

“มีกระดาษให้จดมั้ยครับ ผมกลัวว่าผมจะลืม”

“พวกมึงคุยไรกัน” สงครามมองหน้าคนอื่นๆ อย่างนึกสงสัย

“ก็เนี่ย คนที่มึงไปเหยียบชุดเขาอ่ะ ยังมองมึงอยู่เลย” ทิวพยักเพยิดให้สงครามมันดู เมื่อเจ้าตัวหันไป ผู้หญิงคนนั้นก็หันหน้าหนีแล้วหัวเราะคิกคักกับเพื่อนๆ แบบที่ดูไม่มากไม่น้อยจนเกินไป

แทนที่สงครามมันจะทำหน้าเบื่อหน่ายตามประสา มันกลับยิ้มกริ่มอย่างถูกอกถูกใจ

“ไม่ได้เจอผู้หญิงนาน นี่กูนึกว่าต่อมหว่านเสน่ห์กูมีปัญหาไปแล้ว”

ผมบีบแก้วในมือแน่นขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ...

“สักหน่อยมั้ยล่ะ” ภามกระทุ้งแขนสงคราม “นานๆ ทีจะได้สาวนอกสถานที่นะเว้ย”

“ผมขอสนับสนุนอย่างเต็มที่ครับ” โกวิทย์พูดบ้าง “เพียงแค่ขอให้คุณสงครามช่วยมาเล่ารายละเอียดที่เกิดขึ้นให้ฟังหน่อยก็เท่านั้น”

โกวิทย์แม่งอยากเสือกนี่หว่า ไอ้สงครามทำหน้าระรื่นที่หลายเสียงสนับสนุนให้มันรุกเดินหน้าเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้น ผมไม่เคยเห็นมันในมุมนี้มาก่อน จึงได้ยืนถือแก้วนิ่งๆ พลางหลุบสายตาลงต่ำก้มมองเท้าตัวเอง

“หอสองอย่างกูไม่แพ้หอสามหรอกเว้ย” สงครามยักคิ้วให้ผม

“เดี๋ยวๆ เกี่ยวอะไรกับกู”

“เรื่องผู้หญิงพวกเราหออื่นแพ้หอสามมาโดยตลอด” โกวิทย์พูดอย่างจริงจัง “เราอยากมีโอกาสชนะบ้างครับ แล้ววันนี้เราขออนุญาตส่งตัวแทนอย่างสงครามลงแข่ง”

แม่งมาเรื่องนี้ได้ไงวะเนี่ย แกทเชื่อมโยงมึงได้เต็มมาใช่มั้ย “กูทำอะไรหรือยังเหอะ”

“มันเป็นความคับแค้นใจเว้ย พวกหอสามไม่เข้าใจหรอก” ภามเสริม

“หน้าตาดีก็ผิดเหรอวะ”

“ผิด ไอ้สัด!”

พวกมันแค้นกันจริงด้วยแฮะ ผมกลืนน้ำลาย ไม่อยากเอาเรือไปขวางน้ำที่กำลังเชี่ยว ทุกคนยกเว้นไอ้ตั้ม ผู้ซึ่งกำลังยุ่งกับการคุยกับผู้ใหญ่ดันสงครามให้เข้าไปหาผู้หญิงคนนั้นเต็มที่ ไอ้สงครามทำท่าเรียกความกระชุ่มกระชวย ขณะที่ผมเริ่มก้าวถอยหลังช้าๆ เพราะอยากหายไปจากตรงนี้

สงครามเดินเข้าไปสะกิดไหล่ผู้หญิงคนนั้น นั่นคือฉากสุดท้ายในห้องจัดงานที่ผมได้เห็น ผมหันหน้าเดินหนี กะจะออกไปข้างนอก และไม่คิดกลับเข้ามาอีก







ระเบียงชั้นสิบสี่ของโรงแรม

บริเวณนี้อยู่ห่างจากจุดที่จัดงานเลี้ยงไม่ไกล ผมดื่มเครื่องดื่มในมือพลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ความอึดอัดตรงนี้น้อยกว่าตอนอยู่ในงานเยอะ ยิ่งนึกถึงตอนที่สงครามมันกลายร่างเป็นเพลย์บอยไปจีบสาว บรรยากาศข้างในแม่งก็ชวนคลื่นไส้มากขึ้นไปอีก

ยิ่งคิดหน้าก็ยิ่งบึ้ง ไหนมึงบอกว่ามึงสับสนระหว่างกูกับมีน แต่นี่เบนเข็มไปหาผู้หญิงเฉย งงแบบพุ่งทะยานจนทะลุปรอท

หรือไอ้นี่มันจะร้ายกว่าที่ผมรู้จัก สงครามที่ผมเคยคุยด้วยนั้นใช่ว่าจะอยู่กับผมตลอดเวลา มันต้องมีมุมร้ายๆ บางอย่างที่ผมไม่เคยสัมผัส และนี่ก็อาจจะเป็นหนึ่งในนั้น

“เชี่ยเอ๊ย” ผมอดสบถเสียงแผ่วไม่ได้

“อ้าย กูตามหาตั้งนาน” มือของใครไม่รู้มาสัมผัสไหล่ผม ผมรีบหันกลับไปมอง คนที่โผล่มาเป็นคนที่สร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับผมมาก เพราะผมพยายามติดต่อมันมานานมากแล้ว

“เหี้ยโอม” สีหน้าของผมเปลี่ยนไปแทบจะในทันที

“ใจเย็นก่อนนะ”

“มึงทำอะไรกับกู กูยังเป็นญาติ ยังเป็นน้องมึงอยู่หรือเปล่า”

“มึงมีสิทธิ์ที่จะโกรธ กูรู้”

“แม่ง เอากูไปเป็นตัวประกันหนี้ให้มึงได้ยังไง”

“อ้าย คือกูไม่ได้ตั้งใจ สถานการณ์ตอนนั้นมันงงไปหมด"

“กูไม่เข้าใจ”

“เจ้าหนี้กูมันเห็นรูปมึงมันก็ถูกใจ มันบีบบังคับกูด้วย กูทำอะไรไม่ได้”

“แล้วมันไปเห็นรูปกูได้ยังไง” ทำไมยิ่งฟังแล้วยิ่งโมโห

“หน้าจอกูไง”

“...”

“กูตั้งรูปมึงเป็นหน้าจอ”

ผมไม่ได้อยู่ในอารมณ์ตกใจหรือประหลาดใจเรื่องที่โอมตั้งหน้าจอเป็นรูปผม เพราะผมกำลังโกรธและก็ไม่เข้าใจอะไรง่ายๆ ในตอนนี้

“มึงไม่รู้หรอกว่ากูต้องต่อสู้แค่ไหนเพื่อให้มันเปลี่ยนความคิดอ่ะ” โอมพยายามอธิบายต่อไป “มึงน่าจะเห็นสภาพกู”

“ไปให้พ้นเลย”

“ทำยังไงมึงก็ไม่หายโกรธใช่ป่ะ”

“โอม สิ่งที่มึงทำคือการเอากูโยนไปโยนมาเหมือนลูกบอลในเกมลิงชิงบอลเลยนะเว้ย”

“กูขอโทษจริงๆ อ้าย” มันพยายามจะจับมือผม แต่ผมขยับตัวออกห่าง “กูขอโทษจริงๆ”

“...”

“มึงคงไม่หายโกรธกูง่ายๆ ใช่มั้ย”

ผมกลืนน้ำลาย ยังไงในตอนนี้ผมก็ยังไม่หายเคืองมัน

“ชีวิตกูกลับมาแล้ว”

ผมหยุดชะงัก มองหน้าไอ้โอมที่อาจจะพูดจริง การแต่งตัวของมันดีขึ้น มิหนำซ้ำใบหน้ายังไม่มีแววโทรมให้เห็น อาจมีบาดแผลเล็กน้อย แต่ก็ใช่ว่าจะดูไม่ได้เลย

“พ่อกูแก้ปัญหาเรื่องเงินได้แล้ว ตอนนี้ทุกอย่างกำลังจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม”

“...”

“มึงก็รู้ว่าเรื่องแบบนี้กูไม่เคยโกหก”

ผมไม่รู้จะตอบมันยังไงดี

“กูเคยยืมเงินมึงมาเท่าไหร่ หรือยืมอะไรมึงมา กูจะคืนให้ทุกอย่าง แต่ตอนนี้กูขอคืนเงินไอ้สงครามให้มึงเป็นอิสระจากมันก่อน ได้หรือเปล่า”

“คือว่า...”

“กูเห็นมึงอึดอัดใจตลอดเวลาที่อยู่ในงานเลย อยู่กับไอ้เหี้ยสงครามมึงไม่มีความสุขเลยใช่ไหม”

มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย

“มันคงจะบีบบังคับ คงจะลวนลามแต๊ะอั๋ง พยายามขืนใจมึง...”

“เหี้ยโอม” ผมเสียงดังขึ้นเพื่อให้โอมหยุดพูด “มันไม่ใช่แบบนั้น เรื่องเงินของสงคราม กูอยากให้มึงเป็นคนรับผิดชอบส่วนหนึ่ง”

“ไม่เป็นไร กูอยากรับผิดชอบเต็มๆ เรื่องนี้กูเป็นคนผิด”

“...”

“เท่าไหร่นะ สี่แสนหรือเปล่า”

โอมคงแอบไปคุยกับตั้มมาตอนไหนก็ได้ที่ผมไม่รู้ ผมมองหน้าลูกพี่ลูกน้องที่โตมาด้วยกัน แม้จะยังรู้สึกโมโหอยู่ แต่นี่คืออิสระที่โอมมันยื่นมาให้ ถ้าผมรับไว้ ผมกับสงครามก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องมาข้องเกี่ยวกันอีก ต่างคนต่างก็ดูแลลูกหอของตัวเองไปตามหน้าที่ ผมไม่ต้องช่วยเหลือมันเรื่องมีน มันก็ไม่ต้องเอาเรื่องที่ผมเป็นเด็กมันมาอ้าง

ทุกอย่างมีแต่ได้กับได้...แต่ทำไมผมถึงรู้สึกลังเลแบบนี้

ระหว่างที่ผมคิด ผมเห็นเงาสูงใหญ่ของสงครามอยู่ข้างในตัวอาคาร ผมรีบจับโอมให้หันไปทางอื่นพร้อมๆ กับไล่ให้มันหนีไป

“สงครามกำลังมา”

“...”

“ถ้ามันเห็นมึงตอนนี้ มึงตายแน่”

“อะไรนะ กูไม่ได้กลัวมัน”

“เชื่อกู”

“...”

“สำหรับสงครามไม่มีใครรอดได้เกินสองหน”

ไอ้โอมเองก็คงจะพอจำแรงหมัดของสงครามได้ มันรีบเดินหนีไปอย่างไวที่สุด ผมมองตามหลังโอมไปอย่างโล่งอก มันโคตรโชคดีที่สงครามมาไม่ทันเห็นแม้กระทั่งเงาของมัน

“กูตามหาซะทั่วเลย เกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมา”

“ตามหากูทำไม”

“กูจะกลับแล้ว”

“งั้นเหรอ” ไม่มีอะไรจะเถียงแม่งกลับเลย

“เฮ้ย สวยนี่หว่า” สงครามเพิ่งได้มีโอกาสสังเกตวิวของกรุงเทพฯ “วิวสวยก็ไม่เรียกให้มาดูไอ้สาด”

“ก็เห็นมึงยุ่ง”

“ยุ่งอะไร”

“จีบสาว”

สงครามมองใบหน้าด้านข้างของผม “ไม่ได้จีบ”

“โห แบบนั้นถ้าไม่เรียกจีบแล้วจะให้เรียกอะไร”

“เรียกว่าทำเพราะเป็นหน้าเป็นตาของหอสิ”

“ยังไงนะ”

“ก็ดูแต่ละคน ทั้งไอ้ทิว ไอ้โกวิทย์ ไอ้ภาม ทุกคนแม่งยุกูหมดอ่ะ ขืนกูไม่ทำนะ หอสองกูเสียหน้าพอดี”

เรื่องศักดิ์ศรีหอแม่งตามมาถึงกรุงเทพฯ เลยแฮะ (ผมเองก็เช่นกัน) ยอมใจในตัวนักศึกษามอ B ทุกคนจริงๆ

“แล้วได้มาป่ะ” ผมถาม

“ได้อะไร”

“ไลน์งี้ เบอร์งี้”

“ยังจะถามอีกเหรอ” สงครามหัวเราะในลำคอ มันเอื้อมมือไปจับราวระเบียงก่อนจะมองไปข้างหน้า

“ถ้ามึงชอบมีน มึงก็ต้องสนแค่มีนสิ นี่มึงจะไปขอเบอร์สาวอื่นทำหอกอะไร”

“ก็บอกแล้วไงว่าเพื่อศักดิ์ศรีหอ นี่มึงเป็นมีนหรือไง ทำไมถึงได้โมโห”

พูดไม่ออกเลยว่ะ เออ นั่นสิ ผมโมโหทำไม...ระหว่างที่ผมกำลังคิดอย่างสับสน เสื้อนอกของไอ้สงครามก็ถูกโยนมาปิดหน้าผมเอาไว้เต็มๆ ขอย้ำ มันโยนมาครับแล้วก็แรงมากด้วย ตัวผมเซเลยอ่ะ

“เอาไปใส่ซะ กูร้อน” สงครามพันแขนเสื้อขึ้นประกอบคำพูด

“โยนมาขนาดนี้มึงไม่เอามารัดคอกูเลยล่ะวะไอ้เหี้ย” ผมดึงเสื้อนอกออกมาถือเอาไว้

“ได้เหรอ”

“...”

“อยากฆ่าประธานหอสามมานานแล้ว แม่งชอบมาวีนใส่กูเพราะลูกหอกูไปปีนหอมัน กูแค้นมานานมากเหลือเกิน”

มันทำท่าจะเข้ามาจริงๆ ผมรีบหลบเพราะกลัวร่างกายที่สูงใหญ่ของมัน

“หึ” สงครามยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่กว้างมากจนเห็นฟันเกือบทุกซี่ ผมมองตาค้าง ไม่คิดว่าจะมีวันได้เห็นสงครามยิ้มจนเกือบจะหัวเราะแบบนี้

ไอ้เหี้ย...หล่อมาก

นี่ถ้าแม่งไม่ชอบเล่นกีฬาอย่างกับคนบ้านะ หอสามจะหนีมันไปไหนพ้น

ผมส่ายหน้าเรียกคืนสติให้ตัวเอง หันไปมองวิวยามค่ำคืนของกรุงเทพฯ แม้จิตใจจะไม่ได้อยู่กับวิวก็ตามทีเถอะ

“คลุมเสื้อสิ หรือว่ามึงไม่หนาวแล้ว”

มันรู้ได้ไงว่าผมหนาว “เอ่อ...”

“แล้วแต่มึงนะ”

ผมจัดการคลุมเสื้ออย่างง่ายๆ มือของผมเผลอชนเข้ากับมือของสงครามอย่างไม่ตั้งใจ ตัวผมร้อนไปหมด รู้สึกว่ามีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านไปทั่วทั้งตัว นี่แค่มือแตะกันแบบเฉียดๆ เองนะ สงครามมันคงไม่รู้สึกตัว สีหน้ามันไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลย

“มึง ที่มึงพูดเมื่อคืนอ่ะ...”

“มึงลืมได้มั้ย” สงครามหันมาพูดกับผมด้วยแววตาจริงจังจนผมอดที่จะอึ้งไม่ได้

“ลืมเหรอ”

“เออ ลืมว่ากูเคยสับสน”

เหี้ย ความรู้สึกในใจผมมันว่างเปล่าไปหมด จากตอนแรกที่ผมทำให้สงครามมันสับสนระหว่างผมกับมีนได้ กลายเป็นผมไม่มีสถานะสำคัญอะไรเกี่ยวกับตัวมันแล้ว ไม่แม้กระทั่งเป็นตัวที่ทำให้มันรู้สึกหวั่นไหวชั่วขณะ

มันคงชอบมีนมากจริงๆ

“ลืมแล้วมาเริ่มต้นใหม่กัน” สงครามพึมพำ จากนั้นมันก็ไม่พูดอะไรกับผมอีกเลย







บ้านของไปป์

ผมที่อาบน้ำเสร็จแล้วนอนเล่นอยู่ในห้องนอนแขก ข้างล่างกำลังเสียงดังกันอยู่เพราะสงครามกับไปป์ดวลเกมกันอยู่ ผมเพิ่งวางสายจากไอ้เหี้ยธัชเรื่องไต่ถามสารทุกข์สุขดิบของลูกหอ มันบอกว่าเหตุการณ์ทุกอย่างปกติยกเว้นก็แต่ไอ้ทนายเกือบมีเรื่องกับคนจากหออื่นเพราะพวกนั้นมามองอาสา

ไอ้เหี้ยธัช นั่นแหละที่เรียกว่าปกติโว้ยยยยย

ผมไม่คิดว่าชีวิตของผมจะมีแต่ลูกหอ หากตอนไหนว่างๆ แทนที่ผมจะคิดถึงตัวเอง ผมกลับคิดถึงลูกหอก่อน ถ้าเหตุการณ์ในหอปกติ ผมก็จะเดินตรวจให้แน่ใจว่าทุกอย่างมันปกติไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ มันกลายเป็นกิจวัตรและก็หน้าที่ที่ผมภาคภูมิใจกับมันมาก
ถึงแม้ว่าการวางตัวจะค่อนข้างลำบากหน่อยก็เถอะ ยิ่งรู้ว่าตัวเองแอบรักประธานหออื่นอยู่ แม่งยิ่งโคตรลำบากอ่ะพูดเลย เรื่องนี้ผมจะเล่าให้ใครฟังได้วะ ไอ้เหี้ยธัชเหรอ หรือว่าไอ้ไปป์ ยังไงก็มีแต่เสียกับเสีย

หลังจากที่เหินห่างโน้ตสุขใจมาหลายวัน ผมก็ถือโอกาสกลับมาเขียนมันอีกครั้ง

โน้ตสุขใจ
1. สงครามแต่งตัวหล่อมากกกกกกในวันนี้
2. มันยังมีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้าม
3. รู้สึกว่าเพิ่งจะเคยเห็นมันยิ้มกว้าง เหี้ย แม่งหล่อมาก
4. พรุ่งนี้จะได้กลับรถมัน


อีกข้อหนึ่งผมควรเขียนว่าอะไรดีนะ จริงๆ แล้วผมอยากระบายความรู้สึกของผมตอนนี้ลงไปมากกว่า แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นคงต้องเปลี่ยนหน้าแล้วก็เริ่มต้นเขียนใหม่ ยิ่งไม่สามารถระบายออกกับใครได้ ผมก็ยิ่งอยากที่จะเขียนให้มากกว่าเดิม จบวิศวะแล้วไปเป็นนักเขียนดีมั้ยเนี่ย เผื่อจะแย่งงานของใครบางคน

“มึงชมกูหล่อเหรอเนี่ย”

ยอมรับว่าสะดุ้งจนเกือบหลุดร้องจ๊ากออกมา ไอ้สงครามโผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ที่สำคัญมันนั่งลงบนเตียงเป็นที่เรียบร้อย นี่ผมมีสมาธิกับการเขียนมากจนไม่รู้สึกเลยเหรอว่าเตียงมันยุบ

“เพิ่งได้เห็นเล่มจริง รู้สึกเหมือนเห็นดาราในดวงใจ” มันมองสมุดโน้ตของผมอย่างให้ความสนใจ ผมรีบขยับของๆ ผมให้ห่างออกจากมันโดยไว

“ไม่ให้สุ้มให้เสียงเลย”

“เห็นมึงกำลังตั้งใจใครจะไปกล้าขัด”

“มีอะไรเหรอ”

สงครามมองไปรอบๆ ก่อนตอบ “กูขึ้นมาดูเฉยๆ”

“กูมีอะไรให้ดูวะ”

“เยอะแยะ”

คำพูดของมันทำให้สีหน้าของผมแปลกไป “อะไรของมึง”

“คือ...” สงครามดูลังเลที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมา

“ว่า?”

“คือ...”

“พูดมาดิ”

“มึงนั่งดีๆ ก่อนไม่ได้เหรอ มึงนอนฟังแบบนี้กูคิดอะไรไม่ออกนะเนี่ย”

“เรื่องมากจริง” ผมเปลี่ยนท่าจากนอนเป็นนั่งเพื่อความสะดวกใจของอีกฝ่าย “ว่ามา”

โทรศัพท์ของผมสั่นก่อนที่สงครามมันจะพูดอะไร เป็นข้อความจากไลน์ของโอม หน้าจอแสดงข้อความอย่างชัดเจนเต็มที่ว่าโอมกำลังพูดถึงเรื่องอะไร

OHM : คิดว่าพรุ่งนี้น่าจะได้เงินครบนะ
OHM : ขอเบอร์ติดต่อไอ้สงครามหน่อย


“เงินอะไรวะ” สงครามชักสีหน้า “ไอ้เหี้ยนี่มันพูดเรื่องอะไร ใช่ญาติมึงมั้ย คนที่เอาตัวมึงส่งไปให้คนนั้นคนนี้หรือเปล่า”

ผมถอนหายใจยาวก่อนพูดน้ำเสียงสลด “มันจะหาเงินมาคืนมึง และเราสองคนก็จะไม่มีพันธะอะไรข้องเกี่ยวกัน”

“เฮ้ย ได้ไงวะ” สงครามร้องลั่น มันลุกขึ้นยืนอย่างมีอารมณ์โมโห “ทำไมไม่ถามกูสักคำ”

“เป็นความต้องการของกูเอง” ผมพูดอย่างนั้นเพื่อตัดปัญหา “ยังไงกูก็คิดว่าเรื่องมีนมึงไม่จำเป็นต้องใช้กูก็ได้”

“กูไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น”

“อย่ามาเอาแต่ใจ”

“กูอยากได้อะไรก็ต้องได้ป่ะ”

“เรื่องนี้กูให้ไม่ได้”

“เชี่ยอ้าย”

“มึงให้เกียรติกูเสมอ และกูขอแค่เรื่องนี้อีกครั้งเดียวได้มั้ยวะ”

สงครามทำท่าเหมือนอยากเตะอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ทำ มันคงหงุดหงิดถึงขีดสุดแต่ก็ไม่ทำลายข้าวของบ้านไอ้ไปป์ หัวใจผมรู้สึกว่างเปล่าไปหมด ไม่คิดว่าผมจะกล้าพูดกับสงครามในแบบที่ตรงข้ามกับใจของตัวเองแบบนี้

“เจอกันพรุ่งนี้” สงครามเดินออกไปจากห้อง “แล้วค่อยมาคุยเรื่องนี้กันใหม่”

“มีอะไรที่ต้องคุยอีก” มันไม่ฟังผมเลย

“ล็อกห้องดีๆ ด้วยสัด”

เสียงประตูปิดดังปัง ผมจ้องประตูด้วยสายตามึนงงสับสน ปฏิกิริยาตอบรับของสงครามสร้างอาการเจ็บแปลบภายในใจให้ผมมาก เหมือนเรื่องที่ผมเพิ่งตัดสินใจกลายเป็นความเจ็บปวดของผมกับมัน

มันเป็นแบบนี้ก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมผมถึงทำใจไม่ได้ ในเมื่อผมต้องการแบบนี้ ผมก็ต้องอยู่กับมันให้ได้สิ

ผมสามารถถลำลึกมากไปกว่านี้ก็ได้ แต่ลึกๆ ในใจแล้วผมกลัว กลัวว่าสถานะระหว่างผมกับสงครามที่พอจะรับได้อยู่แล้วมันจะพัง และผมไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก เราสองคนเป็นประธานหอที่มีหน้าที่ดูแลลูกหอมากมาย คอยป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องระหว่างหอ สงครามมันเป็นคนดีและนิสัยดี ผมไม่อยากจะเสียมิตรภาพเรื่องงานตรงนี้ไป

จริงๆ แล้วผมไม่อยากเสียมันไปน่าจะถูกกว่า

เคยได้ยินเรื่องที่ว่ามีใครบางคนชอบคนหนึ่งมาก แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรเพียงเพราะกลัวจะเสียคนคนนั้นไปมั้ยครับ

นั่นคือเรื่องราวของผมเอง





TBC*
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 30-08-2017 22:30:59





ตอนที่ 12
พาร์ตของสงคราม




คนบางคนเก่งทุกอย่าง แต่เรื่องความรักนี่ห่วยจนไม่รู้จะอธิบายเป็นคำพูดยังไง

ตั้งแต่เข้ามาเรียนปีหนึ่งที่มหา’ลัย B มอสุดพิลึกพิลั่นที่จำแนกนักศึกษาผู้ชายเข้าไปอยู่ในหอพัก ผมเคยเชื่อว่าผมชอบคนที่เข้ามาพร้อมกับผม มันหน้าเหมือนคนที่ผมเคยให้ความสนใจก่อนสอบเข้ามหา’ลัย มันเป็นความเชื่อระยะสั้นมาก (ไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ) แม้จะอยู่กันคนละหอแต่ผมก็คิดว่าคนนี้แหละที่ผมตามหา มันเป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่หน้าตามันถือว่าใช้คำว่าผู้ชายไม่เต็มปากเพราะผู้หญิงยังต้องอายในใบหน้าสวยหวานของมัน

คนคนนั้นชื่อมีน

ทันทีที่ผมสารภาพรัก ไอ้เชี่ยมีนกลับหัวเราะลั่นใส่จนผมเสียเซลฟ์ มันหาว่าผมเหมือนถูกบังคับให้มาบอกรักมันยังไงยังงั้น #นกครั้งที่หนึ่ง เพราะฉะนั้นพอมีโอกาสอีกครั้งผมจึงลองสารภาพรักกับมันอีกหน คราวนี้เป็นตอนที่ผมขึ้นปีสอง

มันได้แต่ส่งยิ้ม อีกทั้งยังบอกว่าผมเหมาะสมกับคนที่ผมไปคุยเรื่องเรียนกับเรื่องที่ขอให้เช็กชื่อให้นั่นมากกว่า #นกครั้งที่สอง หลังจากวันนั้นเรื่องของไอ้เชี่ยอ้ายก็เริ่มเข้ามารบกวนจิตใจผม ที่จริงมันก็รบกวนมานานแล้วอ่ะนะ แต่เพิ่งจะมารบกวนเต็มๆ ก็คราวนี้ ในหัวผมมีแต่มนุษย์เพศชายนามว่าอ้ายที่แม่งสง่างามทุกกระเบียดนิ้วจนผมอดคิดไม่ได้ว่า...พ่อแม่มันส่งมันเรียนบุคลิกภาพตั้งแต่มันอยู่ในท้องหรือเปล่าวะ

การสารภาพรักครั้งที่สามยังไม่ทันจะได้เกิดขึ้น ไอ้เชี่ยมีนก็เอ่ยชื่ออ้ายมาให้ผมได้ยินอีกครั้ง #นกครั้งที่สามแบบงงๆ คราวนี้ผมยอมรับกับมันตรงๆ ว่าผมชอบอ้าย ซึ่งจริงๆ แล้วผมก็ชอบอ้ายมานานมากแล้วล่ะ เพียงแต่เก็บเอาไว้ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจก็เท่านั้น ระหว่างนั้นเรื่องราวระหว่างผมกับอ้ายก็มีเรื่องรุ่นพี่เข้ามาแทรกกลาง ผมไม่สามารถเข้าไปใกล้อ้ายได้เนื่องจากต้องคีพลุคทุกอย่างให้เหมาะกับการรับช่วงต่อเป็นประธานหอ

ถ้าผมอยู่ใกล้อ้าย อ้ายจะซวย เราสองคนเคยอยู่ใกล้กันและก็โดนรุ่นพี่เพ่งเล็งมาแล้ว พวกรุ่นพี่แม่งเอาจริงมากแถมยังปกครองอย่างเข้มงวดหนักว่ารุ่นผมเยอะครับ อ้ายไม่รู้ความจริงในเรื่องนี้ว่าที่ผมต้องห่างมันเพราะผมกลัวรุ่นพี่ประธานหอรุ่นนั้นจะไปทำอะไรมันเข้าหากผมไม่ทำตามกฎ เพราะงั้น...ผมจึงต้องจำใจห่างอ้ายอย่างช่วยไม่ได้

สรุปก็คือทุกอย่างที่ผมเคยพูดกับมีนแม่งกลายเป็นเรื่องตลกและก็ทำให้ผมสนิทกับมีนซะอย่างนั้น มีนเล่าให้ฟังว่าอ้ายมีความรับผิดชอบดีมาก อีกทั้งยังเสียสละ ตั้งแต่ได้รับตำแหน่งประธานไม่เคยนอนก่อนหรือตื่นทีหลังคนอื่น

หลังจากวันนั้นทุกครั้งที่เจอไอ้มีน ผมก็จะคุยกับมันเรื่องอ้ายเสมอ ผมกับอ้ายเริ่มตีตัวออกห่างกันเพราะตำแหน่งประธานของหอที่ไม่ถูกกันมาหลายสิบรุ่น ทั้งๆ ที่ช่วงปีหนึ่งเราเคยคุยกันมากกว่านี้ แม้ตอนนี้เราจะคุยกันอยู่แต่ก็เป็นเพียงเพราะเรื่องลูกหอที่ขยันสร้างปัญหาให้ ไม่เคยมีโอกาสได้คุยเรื่องส่วนตัว ไม่เคยได้อัปเดตชีวิตประจำวันของกันและกันเลยว่าเคยกินหมูกระทะร้านนี้มั้ย หรือเคยกินจิ้มจุ่มร้านหลังมอหรือเปล่า

ดังนั้นผมกับอ้ายจึงไม่สามารถพูดคำว่าสนิทกันได้เต็มปาก เราทั้งคู่เหมือนคนรู้จักแต่ก็เหมือนคนไม่รู้จักกัน ผมพยายามหาโอกาสเข้าไปใกล้ชิดสนิทสนมกับมันมากขึ้น พอเริ่มจะทำได้พวกลูกหอผมแม่งก็สร้างปัญหาให้ผมจนได้ เป็นปัญหาที่อ้ายเกลียดเข้าไส้และก็โกรธจนง้อยากฉิบหาย นั่นก็คือพวกลูกหอผมไปทำร้ายร่างกายเด็กหอมันนี่แหละ

ความผิดนั้นร้ายแรงเกินกว่าผมจะให้อภัยได้ ผมจัดการลงโทษไอ้พวกนั้นอย่างสาสมไปแล้วและพยายามไปง้ออ้าย ยิ่งง้อผมก็ยิ่งรู้ว่าตัวเองนั้นแคร์เจ้าประธานหอตึกใกล้ๆ นี้มากเสียจนเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง ยิ่งถกประเด็นเรื่องนี้กับมีนทีไร มีนก็ยิ่งฟันธงว่าผมนั้นหลงรักไอ้คนที่น่ามองไปหมดที่ชื่อว่าอ้าย

มันเป็นความจริง และผมไม่อยากจะเถียงสักคำ

ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับอ้ายจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก ผมแม่งกั๊กความรู้สึกของตัวเองเอาไว้จนมาถึงวันนี้ได้ก็นับว่าเก่งแล้ว ตอนที่ไอ้ตั้มมันดึงตัวอ้ายไปเป็นเด็กมันและผมหาทางนำอ้ายกลับคืนมา ผมดีใจฉิบหายที่ผมมีเหตุผลแบบที่ฟังขึ้นเพื่อให้ได้อยู่ใกล้ชิดอ้าย แม้อ้ายจะติดหนี้ผมก็ตาม แต่ผมยอม

ถ้าจะได้อยู่ใกล้คนคนนี้ เสียมากกว่าสี่แสนผมก็ยอมครับ

โชคดีที่บ้านผมพอมีเงินอยู่บ้าง ผมไม่ได้เดือดร้อนอะไรตอนที่ขอแม่ เพราะแม่ผมก็จะเอาเงินจากบัญชีผมแต่เป็นชื่อแม่นั่นแหละมาให้ (ผมคืนตังค์ไอ้คีนเรียบร้อยแล้วนะครับทุกคนไม่ต้องกังวล) อ้ายดูไม่ค่อยสบายใจเรื่องนี้เท่าไหร่ตามประสาคนที่คิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง มันจึงเอ่ยปากเสนอว่าจะช่วยผมเรื่องมีนแทนที่มันจะอยู่เฉยๆ แบบเปล่าๆ ปลี้ๆ

แม้จะฟังดูน่าสมเพช แต่ตอนนั้นไม่ว่าอ้ายมันอยากทำอะไรผมก็ยอมหมด อะไรก็ได้ที่จะทำให้ผมกับมันขยับความสัมพันธ์เข้ามาใกล้กันมากกว่าประธานหอสองหอซึ่งมีถนนคั่นกลาง มากกว่าเพื่อนห่างๆ ในคณะ และก็มากกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้

ผมเดินหมากผิดตั้งแต่เอาชื่อมีนเข้ามาเกี่ยวข้อง

ทีนี้เรื่องราวมันชักจะยุ่งเหยิงมากขึ้นก็ตอนที่ไอ้ห่าไอ้เหวโอม (แค่ไอ้เหี้ยก็คงไม่พอ) ญาติของอ้ายคนที่ผมเกลียดขี้หน้านักหนาจู่ๆ ก็นึกอยากทำความดีกลบเกลื่อนความผิดของตัวเองด้วยการจะใช้เงินคืนผม เงินจำนวนนี้เป็นเรื่องเดียวที่ผมสามารถดึงอ้ายเข้ามาอยู่ใกล้ๆ ได้ หากไม่มีมัน ผมกับอ้ายก็จะกลับไปสู่สถานะประธานหอคนละหอที่เวลาเดินผ่านกันจะคุยกันได้ไม่ถึงสี่ประโยค

ผมยอมแม้กระทั่งใช้ชื่อมีน ผมยอมแม้กระทั่งใจกล้าหน้าด้านไปขอยืมเงินไอ้เชี่ยคีนเพื่อที่จะให้อ้ายได้มาอยู่ข้างๆ เมื่อกำลังจะเสียสิทธิ์นี้ไป ผมบอกได้คำเดียวว่าผมโคตรเซ็ง และรู้สึกอยากจะเผาบ้านใครก็ไม่รู้สักคนให้วอดวายทั้งหลัง

การได้เข้าไปใกล้ๆ มันเป็นสิ่งที่ดีและมีความสุข แต่การที่ห่างออกมาเลยแบบนี้มันทำให้ผมเซ็งเป็ดมากและเป็นอะไรที่ผมรับไม่ได้

ตลอดการเดินทางกลับต่างจังหวัด ผมเอาสมาธิของผมทั้งหมดไปอยู่กับการขับรถ อ้ายเองก็เอาแต่ฟังเพลงบนรถอย่างไม่ได้สนใจเลยว่ามีคนกำลังเดือดเนื้อร้อนใจ ผมรู้ว่าอ้ายมันยังไม่เปลี่ยนความคิด แต่ที่ผมปวดหัวอยู่นี่ก็คือผมจะเอาเรื่องไหนมาอ้างให้ได้อยู่ใกล้มันอีก

บอกแล้วไงครับว่าผมเก่งเรื่องอื่น แต่ผมโคตรโง่เรื่องความรัก

อ้ายแม่ง...มีพลังทำลายล้างต่อใจผมว่ะ

กว่าจะมาถึงมอ B ก็เป็นเวลาบ่ายของวันอาทิตย์ อ้ายขอลงจากรถก่อนที่รถของผมจะถึงลานจอดรถของหอสอง ผมทำตามที่มันปรารถนา หลังจากที่แยกกัน ผมก็เกิดความรู้สึกคิดถึงมันขึ้นมา เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เราสองคนเริ่มเข้ามาอยู่ใกล้ๆ กันแล้วล่ะครับ
มันจะเป็นเหมือนผมมั้ย มันจะคิดเหมือนผมหรือเปล่า

“เหี้ย”

อยู่ดีๆ ก็มีคนส่งเสียงเหมือนด่าผม ผมหันไปมองด้วยสายตาไม่สบอารมณ์ทันที คนเพิ่งลงจากรถและอารมณ์ยังไม่ดี อยู่ดีๆ มาพูดแบบนี้กับผมได้ยังไง

“สัด พี่เขาได้ยิน ฉิบหายแล้วไงกูกับมึง”

เจ้าของเสียงที่สองทำผมแสบตาเล็กน้อยเพราะผิวขาวเจิดจ้าของมัน คนที่พูดคำว่าเหี้ยก็คือไอ้ทนาย ส่วนคนที่สองก็คือไอ้ของขาวประจำหอสามชื่อว่าอาสา มันเป็นคู่รักที่เพิ่งคบกันเมื่อตอนกลางเทอมนี่เอง

“ไปซะ วันนี้กูไม่มีอารมณ์เตะคน” ผมไล่

“เครียดเหรอพี่ ออกกำลังกายหน่อยมั้ย” ทนายมันคงรู้ว่าผมชอบนิสัยบางอย่างในตัวมันมั้ง มันก็เลยไม่กลัวผมเหมือนที่คนอื่นเขากลัวกัน

“จะออกไม่ออกก็เรื่องของกู ไปได้แล้วไป”

“ไปไหนกับพี่อ้ายมาเหรอครับ” อาสาถามด้วยดวงตาใสซื่อ

แม่งเห็นด้วยเหรอเนี่ย “ตาฝาดแล้ว”

“ตาฝาดอะไร ผมกับอาสาเห็นเต็มๆ สองตา พี่อ้ายเพิ่งลงจากรถพี่ตรงโค้งนู้น” ทนายหรี่ตามองผม “พวกพี่กิ๊กกันเหรอ”

“ไม่ใช่หรอก” ผมยังไม่อยากสร้างปัญหาให้อ้าย เจ้าตัวอยากพูดอะไรให้มันพูดเองดีกว่า

“โห อุตส่าห์เชียร์” ทนายสบตากับอาสา

“เดี๋ยว เชียร์อะไร” ผมเริ่มให้ความสนใจขึ้นมาแล้ว

“ไม่มีอะไรหรอกพี่ ไปนะครับ”

“ไอ้สัด กูถามมึงอยู่นะ”

อาสากระตุกแขนแฟนมันราวกับเตือนสติว่าอย่ายั่วโมโหผม ทนายทำสีหน้ารำคาญก่อนจะตอบ

“ตั้งแต่ตอนที่ผมเจอพี่ครั้งแรกแล้ว พี่แม่งเกรงใจพี่อ้ายมาก จะไม่ให้ผมคิดได้ไงว่าพี่ไม่ได้คิดอะไรกับพี่อ้าย ยังไงพี่ก็คิด”

กูไม่ได้อยากได้ยินส่วนของกูเว้ย กูอยากได้ยินส่วนของอ้าย

“แล้ว?”

“จบแล้วครับ”

“อ้าว”

“ไม่มีอะไรมากกว่านี้อีกแล้วนี่”

ผมอดที่จะทำหน้าเซ็งไม่ได้ นึกว่าไอ้ทนายที่อยู่หอสามผู้ซึ่งอยู่ใกล้ชิดอ้ายจะรู้อะไรมาซะอีก ที่ไหนได้แม่งไม่รู้อะไรเลยนี่หว่า

“แต่วันนี้พวกคณะคหกรรมของหอสามจะมีไปขายขนมที่งานตลาดนัดนะ ผมเชื่อว่ายังไงพี่อ้ายก็จะไปดู”

มันต้องอย่างงี้สิวะ ผมมีสีหน้าดีขึ้นจนไอ้ทนายอดขำไม่ได้ มันโอบรอบไหล่อาสาก่อนจะดันตัวแฟนมันให้เดินไปข้างหน้า ทิ้งให้ผมยืนนิ่งจมอยู่กับความคิดของตัวเองตามลำพัง

ผมไม่ได้ไปตลาดนัดมอมานานเท่าไหร่แล้วนะ








ระหว่างนี้ผมจะขอชี้แจงเหตุผลที่ผมไม่ค่อยได้ไปตลาดนัดมอก็แล้วกัน

เวลาผมไปไหนมาไหนในมหา’ลัย มักจะมีพวกหอสองเดินไปกับผมเสมอเป็นกลุ่มใหญ่ๆ พวกเราเป็นพวกตัวใหญ่ กล้ามเป็นมัด ที่สำคัญบางคนยังหน้าตาน่ากลัวประดุจเป็นผู้ช่วยตัวร้ายในละคร (ตัวร้ายบางเรื่องมันหล่อนี่ครับ) เวลาผมไปปรากฏตัวที่งานชุมนุมของมอทีไร ผู้คนมักจะแตกตื่นแล้วก็เดินหลบพวกหอสองเสียเป็นส่วนใหญ่ ผมกลัวจะทำให้คนอื่นเกิดความไม่สะดวกใจ เพราะงั้นผมจึงไม่ค่อยปรากฏตัวที่กิจกรรมไหนง่ายๆ เว้นเสียแต่ว่าจะโดนบังคับให้ไป

การไปตลาดนัดมอครั้งนี้ไม่มีใครบังคับ แต่ผมนี่แหละอยากไปด้วยตัวของผมเอง ผมพยายามไม่เอ่ยปากชวนใคร เพราะถ้าชวนล่ะก็...แม่งต้องตามผมไปเกือบทั้งหอแน่ พวกพ่อค้าแม่ค้าที่ตลาดนัดคงไม่ได้ขายกันพอดี เพราะนึกว่าหอสองจะตามมาดักตีใคร ฉะนั้นผมคิดว่าผมจะไปคนเดียวดีกว่า

แต่คิดไปคิดมา...แม่งไม่คูลว่ะ ผู้ชายเดินคนเดียวมันเท่ที่ไหนกัน มันต้องมีพรรคพวกสิ เพื่อนสนิทในหอของผมก็มีไอ้ไปป์ ไอ้ภพ (ผู้ที่ไม่ค่อยพบเจอตัวเท่าไหร่เพราะติดสาว) และก็ไอ้แดน สองคนหลังมันเรียนสาขาเดียวกันกับผม ส่วนไอ้ไปป์มันเรียนอีกสาขาหนึ่ง ซึ่งเป็นสาขาเดียวกันกับอ้าย

พูดแล้วก็ขึ้น...นับวันไอ้เชี่ยไปป์ก็ยิ่งทำให้ผมสงสัยในตัวของมันหนักมากขึ้นเรื่องอ้าย มันคงจะเป็นเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อสำหรับอ้ายแน่ๆ แต่อ้ายแม่งซื่อ ไม่รู้แน่ๆ ว่าไปป์มันชอบ เพราะงี้ไงผมถึงเริ่มหวง เอ๊ย ห่วง เอาเป็นว่าวันนี้การไปตลาดนัดของผม ผมจะชวนไอ้ภพและก็ไอ้แดนเท่านั้น ส่วนไอ้ไปป์ผมขอไม่ชวนแม่ง ขออนุญาตเทเพื่อนหน่อยเหอะ นี่ยังแค้นไม่หายเลยตอนที่มันขับรถพาอ้ายไปกรุงเทพฯ กันสองต่อสองอ่ะ

ตอนนี้ผมนั่งอยู่ส่วนกลางของหอตัวเอง ผมไลน์ไปตามไอ้ภพกับไอ้แดนให้ไปตลาดนัดมอด้วยกัน มีพวกน้องๆ เข้ามาไหว้ผมหลายคนพร้อมกับถามว่าผมไปไหนมา ผมไม่ได้ตอบพวกมันเลยสักคนเพราะผมยุ่งอยู่

SONGKRAM : ตลาดนัดมอ ตอนหกโมงเย็น ใครไปก็บวกมา
SONGKRAM : ป.ล. กูบังคับให้บวก


ยิ้มกริ่มกับความเอาแต่ใจของตัวเอง ระหว่างรอให้ไอ้แดนกับไอ้ภพมันตอบ

DAN : ฟวย ที่นัดสาวไว้ก็พังหมดดิ
POB : เชี่ยสงงงง กูนัดน้องดิวไว้


น้องดิวคือแฟนของไอ้ภพ คบกันมาเกือบปีแล้วครับ ไอ้ภพมันจริงจังน่าดู ว่าแต่พวกมันเริ่มเห็นสาวสำคัญกว่าเพื่อนเมื่อไหร่ นี่เพื่อนมึงนะ!

SONGKRAM : ตกลงบวกไม่บวก
DAN : +
POB : +


มันก็แค่นี้เอง ผมหัวเราะภูมิใจที่สามารถบังคับให้เพื่อนไปกับผมได้ เสียงหัวเราะแบบนี้ทำเอาลูกหอของผมไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ตั้งแต่อยู่กันมาไม่เคยมีใครเดาอารมณ์ผมออกเลย

POB : แต่ขอควงน้องดิวไปด้วยนะ
POB : กูกราบบบบบบ


ไอ้พวกมีแฟน ไอ้พวกมีพันธะเอ๊ย

SONGKRAM : เออ
POB : มึงช่วยลดความน่ากลัวลงมาด้วยนะสงคราม
SONGKRAM : กูน่ากลัวเหรอ
POB : ไม่มั้ง!


ผมก็เป็นของผมแบบนี้มานาน ไม่เคยรู้สึกเลยว่าตัวเองน่ากลัว แต่เมื่อได้มาอยู่ใกล้ๆ อ้าย ได้มองเห็นหน้ามันตอนที่หวาดกลัวผม ผมก็เริ่มเข้าใจแล้วล่ะว่าตัวผมนั้นมีความน่ากลัวแฝงเอาไว้จริงๆ ผมก็พยายามบอกแล้วนะว่าอ้ายมันไม่จำเป็นต้องกลัวผมหรือยอมผม แต่ใต้คำว่าสงคราม มันทำให้มีบางครั้งที่อ้ายเองก็คงหวั่นๆ

หรือผมจะใช้ความกลัวของอ้ายให้เป็นประโยชน์ดี

คิดแล้วก็คอตก เคยใช้ชื่อมีนแล้วเป็นไง แทนที่จะใกล้กับกลายเป็นห่างมากไปกว่าเดิม

ระหว่างที่ผมคิดอะไรอยู่นั่นเอง ผมแอบมองเห็นว่าอ้ายมันเดินออกมาอยู่ข้างหน้าตึกซึ่งเป็นที่ประจำของมัน มันมองไปทั่วหอเหมือนที่เคยทำเป็นกิจวัตร ผมใช้ที่ตรงนี้แอบมองดูอ้ายบ่อย หากมีสอบวัดการเป็นประธานหอ เต็มสิบอ้ายคงได้ล้าน คนบ้าอะไรไม่รู้ถึงได้ชอบเป็นประธานหอขนาดนั้น

ผมเห็นเด็กปีหนึ่งหอผมสองสามคนกำลังจะเดินไปเตะบอลเลยกวักมือเรียกพวกมันยิกๆ

“ครับพี่สงคราม”

“ยืนนิ่งๆ แป๊บนึง”

ผมหากระดาษแถวนั้นมาเขียนอย่างรวดเร็วจากนั้นก็พับครึ่ง

“เอาไปให้พี่อ้าย ประธานหอสามหน่อย”

เด็กมันดูงงๆ แต่ผมก็ใช้สายตาตัวเองบังคับให้พวกมันรีบไปโดยเร็ว ก่อนที่อ้ายจะเดินหนีไปที่อื่น

“สารท้ารบเหรอพี่” กำลังจะถึงหน้าหอสามแล้วมันยังมีหน้ามาตะโกนถามผมอีก ผมรีบโบกมือไล่ เพราะกลัวอ้ายมันจะได้ยินแล้วเห็นผม

ข้อความข้างในไม่มีอะไรมาก

เจอกันตลาดนัด มึงไม่มามึงตาย

ไม่ใช่สารท้ารบ แต่เป็นสารท้ารักเว้ย

และนี่มันก็คือการจีบตามสไตล์ของผมเอง









ตลาดนัดมอ

คิดถูกคิดผิดที่มาวะ ผมรู้สึกปวดหัวตั้งแต่ก้าวเท้าลงมาจากรถจนกระทั่งมาถึงบริเวณทางเข้าตลาดนัด วันนี้คนก็เสือกเยอะผิดปกติ แต่อาจจะเป็นเพราะวันนี้เขาเปิดให้พวกนักศึกษามาตั้งขายของเองก็เป็นได้ ปกติแล้วจะมีแต่พ่อค้าแม่ค้าข้างนอกที่เข้ามาขายน่ะครับ

ไอ้ภพกับไอ้แดนมารอผมอยู่ก่อนแล้ว ข้างๆ ไอ้ภพคือน้องดิว ส่วนข้างๆ น้องดิวนั่นคือ...ใครวะ

“สัดสงคราม นี่น้องกะทิ เพื่อนน้องดิว”

น้องเขายิ้มแล้วยกมือไหว้ผม หน้าตาน้องจัดว่าน่ารักแต่ความขาวของน้องนั้นโดดเด่นกว่าหน้าตาของน้องซะอีก เห็นแล้วก็นึกถึงไอ้ของขาวอาสา ไอ้เด็กเหี้ยนั่นมันขาวมาก ขาวจนนึกว่าบรรพบุรุษมันเป็นกระดาษเอสี่

ผมไม่นึกอยากสานสัมพันธ์อะไรกับใครต่อ จึงเดินลิ่วนำหน้าเพื่อนไป ไอ้แดนรีบตามมาประกบ ส่วนไอ้ภพก็รับหน้าที่ดูแลสองสาวไป

“มึงนึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรถึงอยากมาตลาดนัดวะ” แดนทนเก็บความสงสัยของตัวเองไม่ได้

“กูแค่อยากมาไม่ได้หรือไง”

“มึงเกลียดที่แบบนี้จะตาย”

“กูอยากมา”

“มีเหตุผลอะไรที่ต้องมาหรือเปล่า” แดนมองไปรอบๆ “หรือเพราะวันนี้มีพวกเด็กมอเรามาเปิดร้าน มึงก็เลยอยากมา”

“...”

“มึงอยากมาอุดหนุนใครหรือเปล่าวะ”

“โห ไอ้สัด ไม่เจอกันหลายวัน สกิลการเผือกของมึงพุ่งขึ้นเนอะ”

“ก็กูอยากรู้ ใครวะถึงทำให้คนยิ่งใหญ่อย่างสงครามลงทุนดั้นด้นมาที่ที่คนอัดแน่นเป็นปลากระป๋องแบบนี้”

มึงจงเก็บความสงสัยนั้นต่อไปเถอะ...คนที่ผมชอบใช่ว่าจะเป็นคนที่พูดถึงได้ง่ายๆ สมัยที่ผมชอบมีน ผมก็เก็บความชอบของผมไว้คนเดียว ไอ้ไปป์ผู้ซึ่งมารู้ทีหลังมันยังตกใจเลยว่าผมเนี่ยนะจะชอบคนจากหอสาม ผมดูเป็นคนหมั่นไส้คนที่มาจากหอนี้จะตาย
อีกอย่างหนึ่ง อ้ายมันเป็นประธาน ผมน่าจะควบคุมปากและคำพูดของลูกหอผมได้ แต่ผมไม่สามารถควบคุมลูกหอของอ้ายได้ ไม่แน่หากข่าวแพร่ออกไป อ้ายอาจจะถูกลูกหอนินทาได้ว่า ‘ห้ามลูกหอไม่ให้คบกับเด็กหอสอง แต่ตัวเองดันจะคบเสียเอง’ อะไรเทือกๆ นี้

เพราะฉะนั้นผมจะไม่บอกใคร เป็นการป้องกันเอาไว้ก่อน...ส่วนอนาคตจะเป็นยังไง ค่อยว่ากันอีกที

คนมาเดินตลาดนัดเยอะมากจนผมรู้สึกอึดอัด แม้จะมีคนคอยหลีกทางให้ผมแล้วก็ตาม แต่ผมก็ยังรู้สึกอึดอัดอยู่ดี ผมได้ยินเสียงกระซิบไล่ตามหลังผมมา ทุกคนพูดเหมือนผมจะไม่ได้ยิน แต่ผมได้ยินเต็มๆ

“พี่สงครามแหละแก”
“โคตรเท่เลยอ่ะ”
“พี่เขามาทำไม มาตีใครหรือเปล่า”

มันน่าภูมิใจมั้ยเนี่ย ไปไหนมาไหนคนอื่นก็คิดว่าผมจะไปตีชาวบ้านซะงั้น

“สงคราม แป๊บนึง” ไอ้ภพร้องเรียก ผมหันกลับไปมอง เห็นสองสาวกำลังเลือกซื้อเสื้อผ้าราคานักศึกษากันอยู่ ผมจึงได้แต่ยืนนิ่ง อดทำหน้าเซ็งไม่ได้ ไม่ใช่เพราะผมเซ็งสองสาวนะ แต่ผมหาอ้ายไม่เจอสักทีต่างหาก

ร้านที่มันจะมาอยู่ตรงไหนวะ มันต้องหาไม่ยากสิ ในเมื่อออร่าไอ้พวกหอสามมันเตะตาคนที่เดินผ่านไปผ่านมาอยู่แล้ว ผมเอาแต่มองหาอ้ายไปทั่ว จนกระทั่งเจอคู่ทนายอาสา...อีกแล้ว

มึงช่วยไปรักกันไกลๆ หน่อย กูหมั่นไส้

“พี่สงครามๆ” ไอ้ทนายมันสะกิดแฟนมันพลางโค้งหัวให้ผมเล็กน้อย “บอกแล้ว พี่มันจีบพี่อ้าย”

กูได้ยินนะเว้ย...ผมทำท่าจะเข้าไปคุยกับมันอย่างหาเรื่อง แต่พวกที่มากับผมก็เดินมาหาแล้วสะกิดให้ผมเดินต่อ

ผมกับคนอื่นๆ เดินเข้ามาอีกนิดหน่อยก็เป็นโซนขายอาหารแล้ว แม่เจ้า โซนขายเสื้อผ้าของใช้ที่ว่าเยอะแล้วยังต้องแพ้ให้กับคนที่มาในโซนของกิน ผมรู้สึกอยากหันหลังเดินกลับไปทันที แต่เมื่อเห็นอะไรบางอย่างที่หางตา ผมก็เปลี่ยนความคิดนั้นทันที

อ้ายกำลังนั่งยิ้มอยู่ท้ายรถกระบะ โดยที่ข้างหน้ารถกระบะนั่นคือเด็กหอสามคณะคหกรรมที่กำลังทำขนมขายอย่างขะมักเขม้น เป็นร้านที่ทำให้ผมรู้สึกแสบตาไปหมดเพราะมีแต่คนหล่อๆ มาขาย มิน่าสาวๆ ถึงรุมซื้อกันเต็มไปหมด แถมมีคนมากดถ่ายไลฟ์ลงเฟซบุ๊กด้วยนะ

รู้สึกเข้าไม่ถึงไอ้เหี้ยอ้าย...เว้นเสียแต่ว่าผมจะเดินอ้อมไปหาอ้ายทางข้างหลังร้าน

“พวกหอสามมาขายของ” ไอ้แดนทำสีหน้าเซ็ง “อยากหล่อให้ได้สักครึ่งของพวกมัน”

“เอาไงสงคราม” ภพตามมาเสริมทัพ “พังร้านแม่งเลยดีมั้ย”

เดี๋ยวสิ ไอ้พวกนี้...แค่นี้คนก็จำภาพกูว่าเป็นนักเลงคุมมอกันหมดแล้ว

“ไปต่อคิวกันเถอะกะทิ” น้องดิวลากแขนเพื่อนไปต่อคิวซื้อของร้านของพวกหอสาม ไอ้ภพมองตามแฟนตัวเองและก็พ่นลมออกมาอย่างเซ็งๆ

หุ่นดีอย่างเดียวดึงน้องเขาไว้ไม่ได้หรอกนะเว้ย มันต้องใช้หน้าตาด้วย

“เดี๋ยวกูไปยืนเป็นเพื่อนน้องเขานะ” ผมพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย ตีเนียนไปยืนต่อคิวกับสาวๆ คนที่เข้าคิวก่อนหน้าเมื่อหันกลับมาเห็นว่าเป็นผมที่มายืนต่อ ทุกคนถึงกับสะดุ้งกันหมด

นี่กูน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอวะ

เมื่อใกล้ถึงคิวของผมกับสาวๆ ผมเห็นไอ้อ้ายเดินลงมาจากหลังรถกระบะ จากนั้นมันก็มายืนคุมอยู่ใกล้ๆ นี่มันกลัวผมจะแดกหัวลูกหอมันที่กำลังขายของอยู่หรือไง

“พี่สงครามอยากกินอะไรคะ” กะทิถามผมด้วยเสียงสอง

“อะไรก็ได้ เลือกให้พี่เลย” ผมไม่อยากหยาบกับผู้หญิงเท่าไหร่หรอกครับ

เหมือนผมมายืนเป็นบอดี้การ์ดให้กะทิกับดิว สองสาวเลือกขนมกันอย่างสนุกสนานโดยไม่มีใครกล้าหมั่นไส้ว่าเลือกนานเกินไปหรือเปล่า ไอ้อ้ายยืนสบตากับผม เราสองคนห่างกันโดยมีเพียงแค่หน้าร้านกั้น

“กูไม่มาพังร้านน้องมึงหรอก” ผมพูดให้มันสบายใจ

“แต่หน้ามึงเหมือนอยากทำแบบนั้นนะ”

“เชี่ยอ้าย มึงเห็นกูเป็นคนแบบนั้นเหรอ”

“ได้แล้วครับ” เด็กหอสามยื่นถุงมาให้สองสาว พวกเธอทำท่าจะจ่ายเงินแต่ผมบอกว่าไม่ต้อง

“เดี๋ยวพี่จ่ายให้” ผมหยิบเงินออกมาเตรียมจ่าย “เท่าไหร่”

“เอ่อ...ร้อยสี่สิบบาทครับพี่สงคราม”

“เก็บมันห้าร้อยไปเลย” อ้ายพูด จากนั้นก็เดินหนีกลับไปนั่งท้ายรถกระบะตามเดิม โดยมีพวกหอสามรุมล้อม ผมถือเงินค้างไว้อย่างงงๆ แม่งจะให้ผมจ่ายห้าร้อยจริงเหรอวะ

“เท่าไหร่นะ” ผมถามย้ำ

“ร้อยสี่สิบบาทครับ”

“เอาไป” ผมยื่นแบงก์ห้าร้อยไปให้ จากนั้นก็เดินหนีกลับมาตั้งหลักเคียงข้างกับไอ้ภพและก็ไอ้แดน

ทำไมรู้สึกว่าอากาศแม่งร้อนขึ้น...

“ถ้าไม่ขาวก็โอเคนะเว้ย มันหน้าตาดีอยู่แล้ว”
“แล้วถ้าอ้วนกว่านี้ล่ะ”
“ก็ยังน่ามองอ่ะ คนมันดูดีมาจากอินเนอร์ ยังไงก็ดูดี”

พวกนี้กำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่ “มึงสองคนคุยไรกัน”

“กำลังคุยเรื่องอ้าย” ไอ้แดนตอบ “แม่งโคตรหล่อ กูกับภพมองกันซะเพลินเลย”

“กลับกันได้แล้ว” ผมเดินหนี ไม่อยากให้พวกมันพูดถึงอ้ายแบบนี้อีก ลำบากไอ้ภพต้องไปลากตัวสองสาวให้ออกมาจากหน้าร้านที่มีลูกค้ามารุมหนักมากกว่าเดิม

ผมทำได้แค่นี้เองเหรอวะ...แค่จ่ายเงินช่วยซื้อสินค้าของลูกหอไอ้อ้ายแค่นี้เนี่ยนะ








ใต้ถุนคณะนิเทศ

บริเวณนี้มีม้านั่งอยู่เต็มไปหมด ผมกับคนอื่นๆ เดินออกมาจากตลาดนัดและก็พากันมานั่งสิงกันที่นี่ นักศึกษาส่วนใหญ่ก็ทำแบบผมกันทั้งนั้น ทุกคนไปเลือกซื้อของกินแล้วก็มานั่งกินใต้ถุนตึกคณะซึ่งอยู่ใกล้ตลาดนัดที่สุด

ผมยังมองเห็นอ้ายจากไกลๆ มันยังนั่งอยู่ที่เดิม ดูมันร่าเริงและกำลังหัวร่อต่อกระซิกกับพวกหอสามคนอื่นๆ ขณะที่ผมนั้นสลดลงทุกวินาทีที่ผ่านไป ใจจริงผมอยากจะเทียวไปซื้อร้านของลูกหอไอ้อ้ายจนของหมด แต่เพราะอะไรหลายๆ อย่างทำให้ผมไม่กล้าทำแบบนั้น

ความป๊อดน่าจะเป็นเหตุผลอันดับหนึ่ง

สองสาวสนุกกับการกิน เพื่อนผมอีกสองคนก็สนุกกับการคุยกับเธอทั้งคู่ ผมที่เหมือนอยู่คนละโลกมองพื้นสลับกับมองไปที่อ้าย หันไปอีกทีไอ้ประธานหอสามก็หายหัวไปจากท้ายรถกระบะคันนั้นซะแล้ว

“ที่ขายหมดนี่เพราะพี่อ้ายเลยนะเนี่ย”

ไอ้อ้ายกับบรรดาลูกหอยกโขยงมานั่งที่ใต้ถุนนี่เหมือนกัน ผมรีบหันไปทางอื่นเพราะไม่อยากให้มันรู้ว่าผมมองอยู่ #วิถีคนป๊อด
โต๊ะผมเริ่มเงียบกริบตอนที่อ้ายกับคนอื่นๆ เข้ามา รวมถึงโต๊ะอื่นๆ ด้วย เหมือนทุกคนกำลังลุ้นว่าผมกับอ้ายจะซัดกันให้ดูหรือเปล่าอะไรประมาณนั้น ใครๆ ก็มักจะจำภาพว่าหอสองกับหอสามไม่ถูกกันเสมอ

“บ้า” ผมได้ยินเสียงอ้ายตอบ “พวกมึงทำอร่อยเองนั่นแหละ”

“แล้วเรื่องเงินที่พี่สงครามให้เกินจะว่ายังไงครับ”

“มันให้เกินเราก็รับมา”

“มันจะไม่มีอะไรใช่มั้ยพี่อ้าย"

“ไม่มีหรอก”

“แม่ง ขนลุกมากอ่ะ อยู่ดีๆ คนอย่างพี่สงครามก็มาซื้อขนม”

กูนั่งอยู่นี่โว้ยไอ้พวกห่ารากกกกกก มือของผมกำแน่นขึ้น น้องกะทิที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโบกไม้โบกมือเรียกร้องความสนใจจากผม

“พี่สงครามคะ”

เสียงน้องแหลมพอที่จะทำให้พวกหอสามหันมาสนใจ ทุกอย่างรอบตัวผมเงียบลงไปแทบจะในทันที

“กะทิกับดิวว่าจะชวนพี่สงครามไปดื่มคืนนี้หน่อยน่ะค่ะ พี่สงครามไปด้วยกันได้มั้ยคะ”

สายตาของอ้ายที่มองมาทำให้ผมเกิดความรู้สึกอยากเอาชนะยังไงก็ไม่รู้

“เอาสิ ไปกัน”

ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรจากอีกฝั่งและผมก็ไม่ได้มอง

“พี่อ้าย กลับแล้วเหรอ”
“หวัดดีครับ”

อ้ายมันคงจะเดินกลับไปแล้วมั้ง ผมลองหันไปมอง ทันเห็นแค่หลังของมันเท่านั้นเอง โทรศัพท์ของผมสั่นตอนที่ผมเห็นอ้ายหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพอดี

อ้ายเด็กกู : โอมขอเลขบัญชีหน่อย

หรือเรื่องการใกล้ชิดของมันกับผมจะจบลงแค่นี้จริงๆ





TBC*
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 30-08-2017 22:48:12




ตอนที่ 13




“พี่อ้าย คือว่า...”

“อย่ามายุ่ง กูไม่ว่าง”

“พี่อ้าย ไอ้...”

“ไปบอกไอ้ธัช”

“พี่อ้าย”

“อย่าเพิ่งพูดกับกู”

“พี่...”

“โว้ยยยยยยยย”

เด็กหอสามที่อยู่ส่วนกลางต่างก็ตกใจที่อยู่ๆ ผมก็ตะโกนเสียงดังขึ้น ไม่รู้ว่าทำไมพวกลูกหอถึงได้สามัคคีกันมีเรื่องในวันที่ผมไม่สบอารมณ์แบบนี้ด้วย ตั้งแต่กลับมาจากตลาดนัด ทุกอย่างรอบตัวผมเปรียบเสมือนกองไฟกำลังลุกโชน ผมรู้สึกหงุดหงิด อยากฟาดงวงฟาดงามาก และผมก็รู้ด้วยว่าสาเหตุที่ผมเป็นแบบนี้เพราะอะไร

ก็ตั้งแต่สงครามมันมีผู้หญิงที่ไหนไม่รู้มาอยู่ใกล้ๆ นั่นแหละ

ผมสับสนมาตลอดทั้งวัน อีกทั้งไอ้โอมญาติผมก็ไลน์มาเซ้าซี้ขอเลขบัญชีของสงครามจนผมรู้สึกเครียดไปหมด เงินจำนวนนั้นเป็นเหมือนเยื่อใยบางๆ ระหว่างผมกับสงคราม และถ้ามันหายไป ผมกับมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะได้เข้าใกล้กันอีก นอกจากเป็นประธานคนละหอ

แต่เมื่อเห็นความประพฤติของสงครามในวันนี้ ทั้งมีรุ่นน้องสาวๆ มารุมล้อม ซ้ำยังเลี้ยงขนมเขาและตัวติดกับเขาอีก ผมก็เริ่มฟิวส์ขาด

มึงมาทำอย่างนี้ให้กูเห็น ทั้งๆ ที่มึงเอ่ยปากชวนกูมาตลาดนัดเนี่ยนะ

ผมรู้ว่าผมไม่มีสิทธิ์โมโหอ่ะ แต่ผมก็โมโหไปแล้ว คนมันชอบแถมยังโดนชวนแบบนี้ แน่นอนว่าใจมนุษย์อย่างเราๆ ก็ต้องตั้งความหวัง นอกจากสงครามมันจะไม่ให้ความหวังอะไรผมแล้ว มันยังตัดความหวังผมด้วยการควงผู้หญิงมาเย้ยอีก

แม่งเอ๊ย ไอ้ฟายยยยยย

“อยู่ห่างๆ ดีกว่า” ผมได้ยินเสียงธัชเตือนน้องๆ ให้อยู่ห่างๆ ผม “วันนี้เหี้ยอ้ายเล่นด้วยไม่ได้”

“พี่เขาเป็นไรเหรอพี่”

“เอาตรงๆ นะ กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ”

ปกติผมไม่ใช่คนที่หงุดหงิดแล้วมาลงกับคนอื่น แต่วันนี้ผมคงอดกลั้นเอาไว้ไม่ได้จริงๆ ผมโดนไอ้โอมไลน์มาเซ้าซี้ถามเลขบัญชีไอ้สงครามท่ามกลางความสับสนของผม เมื่อไปเจอสิ่งที่ทำร้ายจิตใจเข้าอย่างจัง ผมจึงได้แต่หงุดหงิดงุ่นง่าน แถมยังเผลอกดส่งข้อความไปถามเลขบัญชีของสงครามด้วย

ที่พีคไปกว่านั้น ไอ้สงครามแม่งตอบเลขบัญชีมา พร้อมชื่อธนาคารจนผมมือสั่นเทาไปหมดตอนที่อ่าน

สงเหี้ย หอสอง : 123-456-78XX ธนาคาร L ชื่อบัญชีนายสงคราม วิวัฒน์ธัญญนนท์

เป็นการบอกเลขบัญชีที่ให้ความรู้สึกโหดร้ายเสียยิ่งกว่าคำด่าใดๆ ของมันซะอีก

ผมกับมัน...จะจบกันแค่นี้เหรอวะ

เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย ผมส่งเลขบัญชีของสงครามไปให้โอมจัดการต่อ ยังไงโอมก็มีส่วนผิด ผมอยากให้โอมรับผิดชอบจนถึงที่สุด ไม่รู้ว่าตอนนี้โอมโอนเงินคืนสงครามแล้วหรือยัง แต่ที่ผมรู้แน่ๆ ก็คือ...ตอนนี้ไอ้สงครามมันยังไม่กลับหอมันเลย
คงกำลังสนุกอยู่กับน้องๆ ผู้หญิงพวกนั้น

หึ ไอ้เหี้ยเอ๊ย

ไอ้ธัชจัดการดูแลลูกหอแทนผมจนเคลียร์ไปทีละกลุ่มๆ (ส่วนใหญ่ปัญหาแม่งก็เดิมๆ ทะเลาะกันภายในห้อง ทะเลาะกันกับคนจากห้องอื่น โวยวายเรื่องแอร์ไม่เย็น หรือไม่ก็ร้านเกาเหลาเจ๊ฝ้ายทำไมไม่เปิด...นี่พวกมันไม่รู้เหรอว่าเจ๊แกไปปฏิบัติธรรมอยู่จังหวัดสิงห์บุรีน่ะ) จนในที่สุดโซนส่วนกลางก็เหลือแค่ผมกับมัน

“มีอะไรจะเล่าให้กูฟังมั้ย” ธัชพูดกับผมอย่างใจเย็น “กูเห็นไอ้นี่” มันชูกระดาษที่สงครามเขียนส่งมาให้ผม “มีลูกหอเห็นว่าพวกหอสองมันส่งมา ไม่มีใครมาท้ามึงต่อยใช่ป่ะวะ”

ผมรีบส่ายหน้า “ไม่มีอะไรหรอก”

“ให้กูเดานะ แม่งต้องเกี่ยวกับไอ้สงครามชัวร์ๆ”

“...”

“ตกลงมึงกับมันนี่ยังไง กูเป็นเพื่อนมึงมานานนะอ้าย มึงอาจจะปิดคนอื่นได้ แต่มึงปิดกูไม่ได้”

ผมเม้มปาก ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไป

“มึงชอบกันกับไอ้สงครามใช่ป่ะวะ”

ช่างเป็นคำถามที่ตรงประเด็นดีจัง ผมมองหน้าไอ้ธัชพร้อมกับคิดอย่างรวดเร็วภายในใจว่าจะบอกหรือไม่บอกดี ตอนนี้แม่งรู้สึกอัดอั้นฉิบหาย อยากระบายให้ใครสักคนได้รู้จริงๆ

“เปล่า” ผมตัดสินใจตอบพร้อมกับมองหน้าธัชราวกับต้องการลุ้นในปฏิกิริยาตอบกลับ “กูชอบมันฝ่ายเดียว”

ไอ้ธัชไม่ได้ตกใจอะไรเลยสักนิด แต่มันทำหน้าไม่อยากจะเชื่อมากกว่า

“ตลกแล้ว ดูยังไงก็ชอบกัน กูเห็นสงครามมันมองมึง มึงไม่ได้ชอบมันข้างเดียวแน่”

“มันชอบไอ้มีน”

“อย่ามาหลอกตัวเอง”

“เฮ้ย” ผมชักหงุดหงิดขึ้นมา

“เรื่องนี้ไอ้ไปป์มันก็เคยพูดกับกูในวงเหล้า มันงงว่าสงครามชอบมึงหรือมีน พอกูสังเกตดีๆ นะ กูว่าสงครามชอบมึงมากกว่าว่ะ เวลามันมาตึกสาขาเรา มันมาหามึงนะ มันไม่ได้มาหาอีกคน”

มันไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาสักนิด ตอนนี้ผมกับสงครามกำลังปั้นปึ่งใส่กันชนิดที่ว่ารุนแรงมากกว่าครั้งไหนๆ ผมไม่รู้ว่าคำพูดของธัชมีน้ำหนักพอหรือเปล่า แต่สำหรับผมในตอนนี้ ความโกรธมันมีมากกว่าเรื่องไหนทั้งนั้น

“ความรู้สึกของมึง...กูจะไม่บอกใครหรอกนะ แม้กระทั่งไอ้ไปป์” ธัชตบไหล่ผม

“ขอบใจ”

“กูไปนอนก่อนนะ พรุ่งนี้มึงตื่นมาดูลูกหอไหวป่ะเนี่ย”

“ไหวดิ”

ธัชเดินจากไป ทิ้งให้ผมนั่งอยู่ส่วนกลางคนเดียว ผมเดินไปปิดไฟทุกดวง ให้เหลือแต่ไฟตรงจุดที่ผมนั่งอยู่ คนมองเข้ามาคงจะหลอนมาก แต่ผมก็ไม่แคร์หรอก

ตัวเลขในโทรศัพท์บ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้ว ผมเหลือบมองไปทางหอสอง ส่วนกลางของหอนั้นยังคึกคักไปด้วยผู้คนจอมบ้าพลังที่ส่งเสียงดังล้งเล้ง ไร้เงาของประธานหอ สงครามมันคงกำลังสนุก หรือไม่ก็กำลังเมาแอ๋ จะอะไรก็ช่างตอนนี้ผมแค่...

แค่อยากเห็นมันกลับถึงหอดีๆ

นี่ผมพูดกับคนอ่านแบบไม่มีกั๊กแล้วนะ ถ้าผมบอกว่าผมรอมันเพื่อที่จะเคลียร์ เปอร์เซ็นต์ความน่าเชื่อถือของผมคงลดฮวบเพราะผมไม่ได้อยากเคลียร์อะไรกับสงครามทั้งสิ้นในตอนนี้ มันไม่มีอะไรให้พูดคุยกันอีกแล้ว ถ้าจะมีอะไรให้คุยกันนั่นก็คือความในใจของผมนั่นแหละ ซึ่งผมยังไม่กล้าที่จะพูดมันออกมา

แม้จะโกรธ แต่ก็ยังอยากเห็นว่ามันกลับเข้าหออย่างปลอดภัยหรือเปล่า

ห้าทุ่มก็แล้ว เที่ยงคืนก็แล้ว ตีหนึ่งก็แล้ว...

ความอดทนของผมหมดในที่สุด คนที่มาปิดไฟโซนส่วนกลางของหอสองไม่ใช่สงครามแต่เป็นไอ้ไปป์ และไฟโซนนั้นก็ดับไปเมื่อเกือบหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว ไอ้สงครามแม่งจะนอนอยู่ร้านเหล้าเหรอ มันคิดจะทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอ

ผมมองโทรศัพท์อย่างชั่งใจ จำได้ว่าที่ผ่านมาผมโทรหาสงครามนับครั้งได้ การโทรในแต่ละครั้งนั้นค่อนข้างใช้เวลาเพราะผมต้องรวบรวมกำลังใจ คราวนี้ก็คงจะเหมือนกัน

เพราะความเป็นห่วงกับความโมโหปนขุ่นเคือง ทำให้ผมตัดสินใจโทรหาสงครามจนได้ หัวใจผมเต้นไม่เป็นส่ำ ขณะที่สัญญาณโทรศัพท์ดังอย่างต่อเนื่อง ไม่มีวี่แววว่าสงครามจะรับสายเลยสักครั้ง

เฮ้ย นี่มันเกินไปแล้วนะ

ผมเดินไปเดินมาอยู่หลายรอบ กดโทรออกหาสงครามอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งก็ลงท้ายอีหรอบเดิมนั่นคือสงครามเมินเฉยต่อสายโทรศัพท์ของผม ผมทึ้งหัวตัวเองอย่างหงุดหงิด สงครามแม่งกำลังเล่นแง่อะไรกับผมอยู่หรือเปล่าวะ

อากาศเย็นๆ ในตอนนี้ไม่ระคายเคืองต่อผิวของผม ผมเดินลงมาข้างล่างเพื่อมองไปที่ประตูทางเข้าโซนหอพักชายอย่างร้อนใจ เมื่อหันกลับมาอีกที ผมก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสงครามกำลังนั่งพิงบันไดขึ้นหอของผมอยู่

อย่าให้บรรยายถึงกลิ่นเหล้าเลยครับ ไอ้เหี้ยนี่เหมือนเอาตัวเองไปจุ่มถังเหล้ามาอ่ะ

“เวรเอ๊ย” ผมอดสบถไม่ได้ สงครามหมดสภาพชนิดที่ว่าไม่มีสติสัมปชัญญะใดๆ ทั้งสิ้น “สงคราม สงครามโว้ย”

คอของมันพับไปมา แปลว่าตอนนี้มันหลับแบบสติหลุดเป็นที่เรียบร้อย

“มึงจะเอางี้จริงดิ”

ไม่มีสัญญาณตอบรับอะไรจากปากของสงคราม

“กูจะแบกมึงไหวได้ไงวะ”

ผมมองซ้ายมองขวา ตอนนี้บริเวณนี้มีแต่ผมกับสงครามเท่านั้น ไม่มีลูกหอคนไหนเดินผ่านมาเลยสักคน หากผมแบกสงครามกลับไปหอสอง ผมคิดว่านั่นจะเป็นการฆ่าตัวเองทางอ้อมและไม่มีทางแบกไหวแน่ๆ สิ่งเดียวที่ผมทำได้นั่นก็คือพยุงตัวควายๆ ของมันไปนอนในห้องผมนี่แหละ ตอนฟ้าสางค่อยว่ากันอีกทีว่าสงครามจะกลับหอยังไง

“แม่ง”

กว่าผมจะพาตัวมันมานอนบนเตียงผมได้ก็เล่นเอาเหนื่อยจนเหงื่อซึม ผมมองดูสงครามที่นอนคว่ำบนเตียงด้วยสายตาหนักใจ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนอย่างมันจะมาอยู่ในห้อง 101 ของผมได้ ห้องผมดูเล็กไปถนัดตาเมื่อมีคนอย่างสงครามเข้ามานอนอยู่

ว่าแต่มันนอนนี่...แล้วผมนอนไหนอ่ะ

เตียงนี้เป็นเตียงเดี่ยวประจำหอใน ไม่ใช่เตียงควีนไซส์หรือคิงไซส์ ผมกับสงครามไม่สามารถนอนด้วยกันได้แน่ๆ อีกอย่างถ้านอนได้ผมก็ไม่นอนหรอก กลิ่นเหล้าหึ่งออกมาจากตัวสงครามขนาดนี้ นอนยังไงก็นอนไม่หลับ

ผมถอดรองเท้าให้สงคราม จากนั้นก็ห่มผ้าห่มให้ ก่อนคิดจะทำอะไรอย่างอื่นผมทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้นวมเพียงหนึ่งเดียวในห้อง มองดูสงครามที่สลบไสลราวกับกินยาสลบช้างเข้าไป

แค่เห็นมันปลอดภัยผมก็โอเคแล้ว...

คืนนี้ช่างเป็นคืนที่ยาวนานมากมายเหลือเกิน








06.20 น.

ผมได้ยินเสียงห้องน้ำในห้องของผมถูกใช้งาน ดวงตาค่อยๆ ลืมขึ้นมา สติเริ่มกลับเข้าสู่ห้วงความคิด นี่ผมมานอนอยู่บนเตียงได้ไง อีกอย่างหนึ่งคนที่อยู่ในห้องน้ำตอนนี้ก็คือไอ้สงครามงั้นสิ

ตอนที่ผมลุกพรวดขึ้นมานั่ง สงครามมันก็เปิดประตูห้องน้ำออกมา ผมกลืนน้ำลายนั่งมองมันอยู่บนเตียง มันเองก็ชะงักนิ่งมองผมอยู่ที่หน้าประตูห้องน้ำ

บรรยากาศที่น่ากระอักกระอ่วนนี้มันคืออะไร

“มึงแปรงฟันเหรอ” ผมพูดก่อนคิด ไม่ได้คิดหน้าคิดหลังว่าควรเริ่มบทสนทนากับมันยังไง

“ใช่” สงครามอยู่ในชุดเมื่อวาน มันอาจจะแค่ล้างหน้ากับแปรงฟันเท่านั้น

“เอาแปรงสีฟันมาจากไหน”

“ของมึงไง”

“เฮ้ย”

“ในตู้ กูเห็นมึงซื้อมาตุนไว้เลยหยิบมาใช้”

ตกใจหมด นึกว่ามันใช้แปรงเดียวกันกับผมเสียอีก “เอ่อ...”

“มึงจะนอนต่อก็ได้นะ”

“คงไม่ได้แล้วล่ะ ต้องไปดูลูกหอ” ผมหลับตาลงราวกับเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก “ลูกหอ...”

“ทำไมเหรอ”

“มึงต้องรอให้สายๆ ก่อนถึงจะกลับหอมึงได้ ตอนนี้น้องๆ กูคงออกมาใช้ชีวิตกันแล้ว กูไม่อยากให้ใครมาเห็นว่ากูพาคนหออื่นเข้ามา ไม่งั้นกูคงโดนประณามแน่”

“เข้าใจ” สงครามพยักหน้า “แต่ขอยืมเสื้อผ้ามึงได้ป่ะ ไม่ไหวละ กูเหนียวตัวฉิบหาย”

“เออ เลือกๆ เอาเลย” ผมตอบอย่างเก้อๆ เดินหลบสงครามไปเข้าห้องน้ำเพื่อทำการล้างหน้าแปรงฟันบ้าง สงครามหันมามองผม จากนั้นมันก็พูดอะไรบางอย่างออกมา

“รู้ใช่มั้ยว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน”

ผมนิ่งไปนิดหน่อยก่อนจะพยักหน้า “อืม”

นานแค่ไหนแล้วที่ห้องของผมไม่มีมนุษย์คนอื่นเข้ามานอกจากไอ้เหี้ยธัช ซึ่งเพื่อนผมคนนั้นมันก็ไม่ได้มาล้างหน้าแปรงฟันในห้องของผม ก็เลยรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อยตอนปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน

สงครามอยู่ข้างนอก ประธานหอสองอยู่ข้างนอก คนที่ผมแอบชอบอยู่ข้างนอก ไอ้เหี้ยยยย อยู่ดีๆ ก็ตื่นเต้นขึ้นมาซะอย่างนั้น

ผมโผล่หน้าออกมาอีกทีตอนที่ทำทุกอย่างเสร็จแล้ว สงครามถอดเสื้อและกำลังวิดพื้นอยู่กลางห้อง

คนบ้าพลังนี่มันก็บ้าพลังจริงๆ สินะ ผมกลืนน้ำลายตอนที่เห็นรอยสักของสงครามซึ่งตัดกับผิวขาวๆ ของมัน ให้ตายเถอะ ปกติเวลามองหุ่นผู้ชายแบบนี้ด้วยกันแล้วผมไม่ได้รู้สึกหน้าร้อนๆ แบบนี้นะ

หรือกูควรหลบเข้าไปในห้องน้ำ รอไอ้เหี้ยนี่ออกกำลังกายให้เสร็จก่อน

“ตามสบายเลยนะ ทำเหมือนอยู่ในห้องของมึงเอง” ราวกับว่ามันมีดวงตาอยู่หลังศีรษะ

“ไอ้เหี้ย นี่ก็ห้องกูอยู่แล้วป่ะวะ”

“เออน่า กูขอรบกวนแค่วันนี้”

“รบกวนอีกวันมึงตายแน่ เมื่อคืนกูเหนื่อยมากเลยนะ ตอนลากตัวมึงมานอนนี่อ่ะ”

“แหะ” สงครามเลิกวิดพื้นและก็นั่งมองหน้าผม มันยังหอบแฮ่กๆ อยู่เลย ทุกอย่างบนตัวมันในตอนนี้เป็นส่วนผสมของคำว่าเซ็กซี่อย่างลงตัวจนผมทนมองนานๆ ไม่ได้

แม่ง มาอ่อยผมถึงที่แบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกันว้า

“ปกติก็ไม่เคยเมาเละขนาดนั้น”

“กูรู้ไอ้สัด” ผมเดินอ้อมตัวมันไปยังประตูห้อง “อยู่ในห้องก็เงียบๆ อย่าส่งเสียงดังล่ะ”

“รู้แล้ว”

“ใครมาเคาะก็ไม่ต้องเปิด ให้น้องมันคิดไปเองว่ากูไม่ได้อยู่ในห้อง ลูกหอกูจะรู้ไม่ได้ว่ามึงอยู่ที่นี่”

“จ้าๆๆ” มันรับคำส่งๆ

ผมมองมันอีกแวบหนึ่งก่อนจะเดินออกไปจากห้อง หัวใจยังเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ไม่หยุด รอยสักลายมังกรที่อกซ้ายลากยาวไปจนถึงไหล่ของมันยังติดตาผมจนถึงวินาทีนี้

พลังทำลายล้างของสงคราม แอทแทคหัวใจผมเข้าเต็มๆ







[พาร์ตของสงคราม]




อ้ายเดินจากไปแล้ว

ในที่สุดผมก็แสดงอาการตื่นเต้นได้ นี่ห้องของอ้าย ห้องของอ้ายโว้ยยยยยยย (ประกาศเสียงดังให้โลกรู้) จริงๆ แล้วผมก็แอบสำรวจตอนที่ตื่นขึ้นมาและก็ยกตัวอ้ายขึ้นมานอนแล้วล่ะ แต่ตอนนั้นถือว่าสำรวจอะไรได้ไม่มาก เพราะกลัวว่าเจ้าของห้องจะตื่นและผมจะถูกจับได้ พอมาถึงวินาทีนี้อ้ายไม่อยู่คอยจับผิดผมแล้ว เพราะฉะนั้นผมจะดูอะไรก็ได้อย่างที่ผมต้องการ

ห้องของอ้ายสะอาดเรียบร้อยกว่าห้องของผมเยอะ ผมไม่รู้ว่าอ้ายจัดสรรเวลามาทำความสะอาดห้องของตัวเองยังไง เพราะผมไม่มีเวลาเลย แค่ดูไม่ให้ลูกหอมันตีกันแย่งเครื่องออกกำลังกายก็กินเวลาผมไปทั้งชีวิตแล้ว (?)

การตกแต่งทุกอย่างในห้องดูเป็นตัวอ้าย น้อยแต่มาก ไม่หรูแต่ดูแพง นี่ผมกำลังอยู่ในห้องของนักศึกษาที่อยู่หอในจริงๆ หรือเปล่าอันนี้ผมก็สงสัยอยู่

สิ่งที่เตะตาผมที่สุดก็คือสมุดโน้ตบนโต๊ะเขียนหนังสือของอ้ายครับ ไอ้เหี้ย มันมีเยอะมาก ผมเคยเห็นอ้ายจดอะไรไม่รู้ยุกยิกอยู่ครั้งสองครั้ง แต่ผมไม่คิดว่าอ้ายจะจดมาโดยตลอดแบบนี้

ขอแอบอ่านหน่อยจะดีหรือไม่

คนอ่านอย่าเอาไปบอกมันได้มั้ยครับว่าผมเสียมารยาท

จะไม่ให้ผมอยากอ่านได้ยังไง ตอนที่มันเขียนอะไรไม่รู้อยู่บนรถผมแล้วผมหันไปเห็น ผมดีใจฉิบหายที่มันเขียนชื่อผมลงไปอ่ะ เพราะงั้นผมจึงใช้อำนาจข่มขู่อีกทั้งยังอ้างเหตุผลร้อยแปดเพื่อจะขออ่านในสิ่งที่อ้ายเขียนถึงผม พอได้เห็นแล้วมันฟิน มันมีกำลังใจใช้ชีวิตต่อจริงๆ นะครับ

หลังๆ อ้ายไม่ค่อยถ่ายรูปเจ้านี่มาให้ผมดูแล้ว เพราะงั้น...ขอดูสักนิดเถอะนะ

อ้ายเขียนลงวันที่ไว้อย่างชัดเจนว่าห้าประโยคนี้มันเขียนไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ นี่เป็นโน้ตสุขใจของมันเมื่อสองสามเดือนที่แล้ว
น่ารักจังแฮะ ไอ้คำว่าโน้ตสุขใจเนี่ย

ผมจะขอคัดมาเฉพาะที่มันพูดถึงผมก็แล้วกัน และก็...เฮ้ยยยยยยยยยย! แม่งมีเยอะขนาดนี้เลยเหรอวะ

สงครามจัดการเด็กที่มาปีนหอให้อีกแล้ว

มันขอโทษทั้งๆ ที่ไม่ใช่ความผิดของมัน

วันนี้สงครามโบกมือทักเราด้วยโว้ย

กลิ่นน้ำหอมของสงครามวันนี้ใช่ CK หรือเปล่าวะ ไอ้เหี้ย หอมมาก

ลูกหอเล่าให้ฟังว่าสงครามเป็นคนไล่ออกจากร้านเหล้าเพราะเรารอเช็กจำนวนคนอยู่

วันนี้พามันไปร้าน Pink Chiffon ตลกหน้ามันตอนอยู่ในร้านฉิบหาย น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นระหว่างเรากับมันแล้วล่ะมั้ง





ก่อนหน้าที่ผมจะพาอ้ายไปร้านเค้ก ผมกับมันเคยไปด้วยกันหนหนึ่ง ตอนนั้นผมอยากมุดแผ่นดินหนีฉิบหายเพราะดันเจอไอ้เด็กทนาย คนที่ผมค่อนข้างจะชอบนิสัยมันนิดหนึ่ง ดีนะที่มันไม่เอาไปป่าวประกาศว่าคนอย่างสงครามก็มาร้านแบบนี้

จะว่าไป...ถึงผมจะไม่ชอบร้านเท่าไหร่ แต่วันนั้นผมก็มีความสุขมากที่ได้ใช้เวลาอยู่กับอ้ายตามลำพัง

รู้งี้ติดอีกหลายวิชาแล้วไปขอให้มันช่วยอีกดีกว่า #ไม่ใช่

ผมเปิดอ่านดูข้อความอื่นๆ อ่านไปยิ้มไปแม้บางอย่างจะไม่เกี่ยวกับผม เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างอากาศดีหรือไม่ก็วันนี้ร้านพี่น้อยเบียร์อร่อยอ้ายมันก็เขียน แปลว่ามันเป็นคนมองโลกในแง่ดีอีกทั้งยังเป็นคนที่มีมุมตะมุตะมิ ใครจะไปรู้ว่าประธานหอสามที่คอยปั้นหน้าเหวี่ยง วีนใส่ทุกคนที่เข้ามายุ่งกับลูกหอมันจะมานั่งเขียนอะไรเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้

ที่ปลื้มที่สุดก็เพราะมันมีชื่อผม มีเรื่องราวของผม ไม่มีเรื่องราวของผู้ชายคนอื่นเลยครับ

ขอคิดแป๊บนะ แบบนี้แปลว่าอะไร แปลว่ามันก็ชอบผมเหมือนกันหรือเปล่า เฮ้ยยยยยย จะใช่หรือเปล่านะ ถ้าเป็นงั้นจริงผมดีใจนะโว้ยยยยย

เสียงโทรศัพท์ดังขัดโลกมโนของผม ไอ้ไปป์เป็นคนทักมา

PIPE : มึงหายไปไหนวะสงคราม


ผมรีบตอบมันไปว่าผมอยู่ข้างนอก เมื่อคืนเมาเละอย่างกับหมา ไอ้ไปป์ส่งข้อความมาบอกว่าโอเค เดี๋ยวมันจะดูหอให้ ผมพิมพ์ขอบคุณมัน เราสองคนรู้ดีว่าคนอย่างประธานหอไม่ควรจะมาแฮงก์ให้ลูกหอเห็น เพราะฉะนั้นวันนี้ผมถือว่าผมฟรี เป็นอิสระ สามารถนอนเกลือกกลิ้งอยู่ในห้องของอ้ายได้ตามอำเภอใจ

ผมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เลือกชุดของอ้ายโดยเลือกจากเสื้อที่ไซส์ใหญ่ที่สุด โชคดีที่ยังมีเสื้อยืดพอจะใส่ได้อยู่ อ้ายมันสูงไม่ต่างจากผมมากก็จริง แต่เรื่องกล้ามเนื้อผมมีมากกว่ามันเยอะ

ระหว่างที่รออ้ายกลับมาจากตรวจหอรอบเช้า ผมกดเปิดทีวี เมื่อเห็นว่าไม่มีรายการน่าสนใจ ผมจึงกดเปลี่ยนไปเปิด PS4 เตรียมเล่นทันทีแบบไม่ขอเจ้าของเกมใดๆ ทั้งสิ้น

มันมีเกมเยอะขนาดนี้เลยเหรอ

ดูจากสถิติที่มันสร้างไว้ มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ค่อยมีเวลาเล่น ผมมองจออย่างหมายมั่นปั้นมือ คิดจะสร้างสถิติในชื่อสงครามเอาไว้ให้อ้ายมันเห็น มันจะได้คิดถึง เอ้ย นึกถึงผม

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ผมตัวแข็งทื่อ ใครมาเคาะห้องอ้ายตอนนี้วะ ลูกหอคนไหนมันช่างกล้า

“กูอ้ายเอง”

เสียงสวรรค์...ผมรีบกุลีกุจอไปเปิดประตูให้ อ้ายรีบพาตัวเองเข้ามาแล้วก็ปิดประตูอย่างรวดเร็ว

“เหี้ยมาก” มันบ่น “ช่วงนี้ใกล้สอบมิดเทอม เด็กมันเลยอยู่กันเต็ม”

ผมกระพริบตาปริบๆ มองดูอีกฝ่าย “แปลว่าอะไรวะ”

“แปลว่ามึงยังกลับหอมึงตอนนี้ไม่ได้ไง”

ผมควรทำหน้ายังไง ถ้าแสดงหน้าดีใจไอ้เหี้ยอ้ายก็คงจะด่าผมอีก เพราะงั้นผมควรทำหน้าผิดหวังสินะ

“รู้สึกแย่จัง” แสร้งทำหน้าสลดให้สมจริง

“นี่มึงรู้สึกแย่จริงป่ะเนี่ย”

“จริงสิ”

“กูซื้อข้าวมาให้ด้วย มากินสิ” กลิ่นอาหารเช้าจากโรงอาหารหอสามทำเอาผมสติเริ่มหลุด แม้จะยังเล่นเกมค้างอยู่ แต่กองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง

“คลีนเปล่า”

“โหไอ้สัด ของฟรีก็ยังจะเรื่องมาก”

“...”

“จะแดกไม่แดก”

“แดกครับ”

เวลาที่อ้ายมันหน้าบึ้ง หงุดหงิด อารมณ์เสีย ผมมักจะทำอะไรไม่ถูกทุกที ผมเผลอหลุดฟอร์มต่อหน้าลูกหอผมหลายต่อหลายครั้งเวลาที่อ้ายมันโกรธหรือโมโห ไม่ว่าจะใช่ความผิดของผมหรือไม่ ผมก็รู้สึกอยากขอโทษมันทุกทีไป

ผมทำได้ทุกอย่างแหละถ้าไอ้เหี้ยอ้ายกลับมายิ้มได้เหมือนเดิม

“มึงกินแล้วเหรอ” ผมถามเจ้าของห้อง

“กินมาแล้ว”

“อืมๆ”

อ้ายปล่อยให้ผมนั่งกินข้าวอยู่ที่โต๊ะ ส่วนมันก็เดินไปคว้าจอยเกมแล้วเล่นต่อจากผม

“แข่งกันเปล่า” ผมลองท้าดู รู้สึกอยากเล่นกับอ้ายมากกว่ากินอาหารในตอนนี้

“มึงจะแดกหรือมึงจะเล่นเกม”

“เล่นก่อนก็ได้”

อ้ายส่ายหน้าเบาๆ ใส่ผม มันส่งจอยเกมอีกอันมาให้ จากนั้นมันก็เลือกเป็นโหมดแข่งกันสองคน เราสองคนนั่งอยู่บนเตียงของอ้ายและกำลังจ้องหน้าจอทีวีเขม็ง

ไม่เคยคิดว่าผมกับมันจะมีโมเมนต์แบบนี้มาก่อน รู้สึกว่าเข้าไปใกล้ความเป็นอ้ายจริงๆ มากกว่าการเป็นประธานหอของอ้าย

“กูไม่แพ้เด็กหอสองอย่างมึงแน่” อ้ายพูดอย่างมาดมั่น

“ถ้ามึงแพ้แล้วกูจะได้อะไร” ผมมองอีกฝ่ายอย่างนึกสนุก เรื่องศักดิ์ศรีหอมันกินไม่ได้ครับ แต่มันมีความสุขตอนหาความฟินเข้าตัวเองนี่แหละ

มีโอกาสทั้งทีผมก็ต้องคว้าเอาไว้สิ

“กูนึกไม่ออก”

“มึงจะหุบปาก ไม่ยอมพูดอะไรจนกว่ามึงจะต้องออกไปข้างนอกอีกที” ผมนิ่งคิดไปแป๊บหนึ่ง “มึงออกไปอีกทีตอนไหนนะ”

“ไปป์บอกว่าสิบโมง”

ไอ้ฟวยไปป์ ตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงครึ่งแล้ว ผมมีเวลาอยู่กับอ้ายอีกแค่ชั่วโมงกว่าเอง

“จะไปไหนกัน”

“ทำโปรเจ็กต์”

มันอาจจะเอาเรื่องโปรเจ็กต์มาอ้างก็ได้นี่

“ตกลงยังไงนะ” อ้ายรีบถามก่อนที่ผมจะเงียบไปมากกว่านี้

“มึงจะเงียบจนกว่าจะสิบโมง”

“แล้วถ้ามึงแพ้ มึงก็จะเงียบงั้นสิ”

“ช่าย”

“กูไม่เห็นอยากให้มึงเงียบเลย” อ้ายทำหน้าฉงน ผมแอบอมยิ้มกับสีหน้าที่คล้ายเด็กของอ้ายในยามนี้

“เถอะน่า รับรองสนุก”

“กูพูดแล้วมันน่ารำคาญมากเลยหรือไง”

“ก็ไม่นะ”

“...”

“แค่เงียบแล้วดูดีกว่าตอนพูดก็เท่านั้น”

ผมเอียงตัวหลบขาของอ้ายที่มุ่งมาที่การฟาดลำตัวของผม ขาขาวๆ ของมันโผล่พ้นกางเกงขาสั้นแถมยังถ่างขาให้ผมเห็นชัดๆ อีก
บอกเลย...ไรขนอ่อนของผมลุกชูชันไปหมด

“หอสามกาก” ผมพูดติดตลกและไม่เคยคิดจริงจังกับคำดูถูกนี้สักครั้ง

“มึงสิกาก ไอ้เวร”

ลองทายกันดูเล่นๆ ครับว่าใครจะชนะ

“เหี้ย กูแพ้ได้ไง มึงโกงใช่มั้ยไอ้สงคราม” อ้ายโวยวายทันทีที่แพ้เป็นตาที่สี่ ผมให้โอกาสมันแข่งใหม่ทุกครั้งตามที่มันร้องขอ แต่มันก็แพ้ผมทุกที

หรือในตัวของผมจะมีเลือดหอห้าบ้าเกมอยู่หน่อยๆ #ยิ้มกริ่ม

“มึงต้องโกงกูแน่ๆ กูขอแข่งอีกตา!”

“คนบ้าอะไรไม่ยอมรับความจริง แข่งอีกก็แพ้อีก ไม่อายเหรอ”

“ไอ้เหี้ยเอ๊ย นี่มันเกมกู เครื่องกู ทีวีกู แต่ทำไมกูแพ้”

“โวยวายฉิบหาย เข้าใจหรือยังว่าทำไมกูถึงอยากให้เงียบน่ะหา”

ไอ้อ้ายพูดไม่ออก มันหุบปากฉับพร้อมกับทำหน้าบึ้งตึง เป็นหน้าที่ผมไม่ชอบเพราะเห็นทีไรแล้วผมใจอ่อนทุกที แต่ครั้งนี้ผมจะไม่ใจอ่อน ผมทำเพื่อความฟินของผม

ผมหยิบหน้ากากอนามัยของมันมาแล้วยื่นให้

“เงียบไว้จนกว่าจะสิบโมงนะจ๊ะคนดี”

อ้ายทำปากด่าผมว่าควายเสียงสั้น ผมหัวเราะหึหึในความร้ายกาจของอ้าย มันทำหน้าไม่สบอารมณ์แต่ก็พยายามใส่มาส์กปิดหน้าครึ่งหน้าของตัวเองเอาไว้ ผมชอบอ้ายก็ตรงนี้ แพ้ก็คือแพ้ ยืดอกยอมรับอย่างลูกผู้ชาย

ณ เวลานี้ผมก็อยากเป็นลูกผู้ชายเหมือนกัน

“อ้าย” จอยเกมถูกวางทิ้ง ผมหันไปหาเจ้าของห้องที่มองผมตาขวางอยู่ใกล้ๆ “กูมีเรื่องจะพูดด้วย”

“...”

“มันง่ายขึ้นตอนที่มึงพูดไม่ได้ เพราะกูกลัวว่ามึงจะมาขัดอะไรกูอีก”

ดวงตาของอ้ายเปลี่ยนไป คล้ายกับนึกสงสัยว่าผมกำลังจะพูดอะไร

“กูเคยบอกว่ากูสับสนเรื่องมึงกับมีนใช่ป่ะ”

มันหลุบสายตาลงต่ำ ขณะที่ผมเขยิบใบหน้าของตัวเองเข้าไปใกล้ๆ มัน

“ตอนนี้กูไม่สับสนแล้ว อันที่จริงกูไม่เคยสับสนเลยด้วยซ้ำ ที่ผ่านมากูโกหกทั้งหมด”

อ้ายนิ่งไปเป็นที่เรียบร้อย มันก้มหน้ามองมือตัวเอง ผมจึงต้องจับใบหน้าของมัน เชยคางให้เงยหน้าขึ้นมามองผม ตอนนี้ใบหน้าของเราสองคนอยู่ใกล้กันมาก และผมไม่อยากจะมีอะไรมาขวางระหว่างผมกับมันอีก

ผมปลดมาส์กที่ปิดปากของอ้ายออกไป

“มึงคือคนที่กูชอบมาโดยตลอด”

บ่อยครั้งนักที่ผมเคยจินตนาการถึงความนุ่มของริมฝีปากของประธานหอสามผู้งดงามคนนี้ ปากเก่งๆ แบบนั้น และด่าคนอื่นเก่งแบบนั้นมันจะเป็นยังไงนะหากผมได้มีโอกาสสัมผัส พอได้มาสัมผัสจริงๆ ...ผมนึกอะไรไม่ออกเลย

หัวสมองของผมว่างเปล่า ตื่นเต้นยิ่งกว่าการสัมผัสใดๆ ในชีวิต จูบของอ้ายเป็นจูบที่ขลาดเขลาปนหวาดหวั่น แต่ผมเข้าใจความรู้สึกนั้นของมัน จึงพยายามป้อนความรู้สึกนุ่มนวลอ่อนหวานผ่านริมฝีปากและปลายลิ้นที่ผมกำลังเชื่อมโยงต่อติดกับอีกฝ่ายอยู่
อ้ายผลักตัวผมออกอย่างกะทันหัน มันรีบลุกเดินหนีออกไปจากห้องพร้อมกับใบหน้าที่แดงก่ำ

งงเลยกู...

ผมทำอะไรผิดป่ะเนี่ย ปฏิกิริยาตอบรับของมันแบบนี้ทำเอาผมสูญเสียความมั่นใจไปเลย ผมจูบแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ

โทรศัพท์ของผมมีข้อความจากไลน์ถูกส่งมาท่ามกลางความสับสนของผม

อ้ายเด็กกู : ขอเวลาไปจูนสติแป๊บ

มันดีใช่มั้ย มันโอเคใช่มั้ยครับ อย่างน้อยอ้ายมันก็ไม่ได้เมินเฉยใส่ผมนี่

SONGKRAM : อย่านานนักล่ะ
SONGKRAM : กูอยากคบกับมึงแล้ว


[จบพาร์ตของสงคราม]







TBC*
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 30-08-2017 22:59:32





ตอนที่ 14





เมื่อตะกี้ผมฝันไปหรือเปล่าครับ

สงครามมาบอกชอบผมที่สำคัญมันยังจูบผมอีกด้วย

ไอ้เหี้ย ขอตบหน้าตัวเองแรงๆ หนึ่งที!

สงเหี้ย หอสอง : กูกลับหอตัวเองแล้วนะ
สงเหี้ย หอสอง : ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องรีบ กูรอได้
สงเหี้ย หอสอง : กูรอมาจะสี่ปีแล้วไอ้สัด


คืออะไร คือเหี้ยอะไร แล้วมีนล่ะ มันเอาไปไว้ไหน แม่งงงฉิบ นี่มันแปลว่าอะไรครับเนี่ย

ผมกลับเข้ามาในห้องตัวเอง สงครามไม่อยู่แล้วจริงๆ ตามคำที่มันบอก หัวใจของผมเต้นตึกตักขณะพยายามควบคุมสติ สิ่งที่สงครามเพิ่งทำกับผมและข้อความที่มันเพิ่งส่งมาทำเอาผมคิดหนักจนหัวหมุนไปหมด แล้วไหนจะความเขินอายระดับสิบที่ผมต้องรับมือเพราะจูบที่มันทิ้งไว้ให้ผมอีก

แม่เจ้า...เป็นช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงที่ทำตัวผมใกล้ระเบิด

มันต้องเป็นคนชี้แจงเรื่องที่ผมงงอยู่ทั้งหมด แต่ในส่วนที่ผมเขินจนต้องเอามือมาปิดหน้าตัวเองนั้น ผมขอรับผิดชอบเอง จะให้ลูกหอมาเห็นผมในสภาพนี้ไม่ได้ ผมเหมือนเด็กสาววัยแรกแย้มที่เพิ่งมีจูบแรกเลย ทั้งๆ ที่จูบแรกของผมนั้นเกิดขึ้นตอนมอปลายกับรุ่นพี่ผู้หญิงที่คบกันในช่วงนั้น

แต่ทำไมความเขินมันถึงเทียบกันไม่ได้แบบนี้นะ

“เหี้ยอ้าย” ไอ้ธัชเปิดประตูพรวดเข้ามาจนผมร้องจ๊าก “ตกใจเบอร์ใหญ่ไปป่ะ”

“...”

“มึงเป็นอะไรเนี่ย”

“กูเป็นอะไร กูไม่ได้เป็น” ให้ตายเถอะ ทำไมมันถึงสังเกตอะไรได้ไวขนาดนั้น

“มีเด็กมาฟ้องกูว่าแอบเห็นไอ้สงครามมาปีนหอเราแวบๆ เว้ย”

ผมกระพริบตาปริบๆ “เหรอวะ”

“มันมาปีนห้องใครกูอยากรู้”

“เดี๋ยว” ผมแกล้งบ่ายเบี่ยง “มึงควรจะแคร์เรื่องที่มันปีนหอเรามากกว่าไม่ใช่เหรอวะ”

“แคร์เพื่อ?” มันร้องลั่นพร้อมกับเกาหัว “นั่นสงครามนะเว้ย ใครจะกล้าไปเอาเรื่องมัน นอกจากมันจะเอาเรื่องตัวเอง”

ก็จริงของมันนะ

“กูก็แค่อยากรู้ ว่าคนที่มันปีนหอมาหา...จะใช่เพื่อนกูมั้ยนะ”

ไอ้ธัชหรี่ตามองผมอย่างสงสัย ส่วนผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “ตกลงมึงมีธุระอะไรกับกูกันแน่”

“นี่ถ้ากูขยี้กูอาจจะรู้ความจริงเลยนะเนี่ย”

“ไม่ต้องโว้ย”

“ไม่อัปเดตเพื่อนสักหน่อยเหรอ”

“เชี่ยธัช”

“โอเคครับท่านประธาน ผมไม่ถาม ไม่ขยี้ ไม่เซ้าซี้แล้ว” ธัชยอมแพ้ในที่สุด “กูกะจะมาเตือนเรื่องโปรเจ็กต์แหละ สิบโมงนะเว้ย”

“ไม่ลืมๆ”

มันยิ้มอย่างมีเลศนัย “โอเค”

กว่าไอ้ธัชมันจะออกไปจากห้องได้ก็เล่นเอาผมเหนื่อย ผมกลับมาอยู่กับตัวเองอีกครั้ง ตบหน้าตัวเองอีกหลายๆ ทีเพื่อดึงสติ เดี๋ยวก็จะสอบมิดเทอม เดี๋ยวก็จะมีพรีเซนต์โปรเจ็กต์จบ และเดี๋ยวก็จะมีสัมมนาอีก (คิวพูดของผมอยู่ปลายเทอม) ผมควรดึงตัวเองกลับมาให้ตั้งใจเรียนบ้างอะไรบ้าง...

แม้จะคิดอย่างนั้น แต่ผมก็ไม่สามารถดึงใบหน้าของสงครามตอนที่อยู่ใกล้ชิดกันออกไปจากหัวผมได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว







“เชี่ย เวิร์กว่ะ” ไอ้ไปป์ตีมือกับไอ้ธัชเมื่อเครื่องยนต์เป็นไปตามที่เราต้องการ

“เหยดเข้” ผมร้องบ้าง

“เรียนจบแล้วสิเรา” ไปป์ยิ้มให้ผม

“อย่าเพิ่งคิดงั้น เล่มยังไม่เสร็จเลย”

“นั่นสินะ”

ถ้าไม่มีไปป์ทุกอย่างมันจะง่ายเหมือนที่ทำอยู่ในตอนนี้ป่ะเนี่ย ผมรีบจดทุกอย่างเอาไว้กันลืม ในที่สุดโปรเจ็กต์จบของพวกเราในภาคปฏิบัติก็สำเร็จลุล่วง ทีนี้ก็เหลือแต่ทำเล่มออกมาให้ดีที่สุด อีกทั้งยังต้องไปสรุปย่อเพื่อนำไปพิมพ์ใส่ไวนิลอีก เอาเป็นว่ายังไงหนทางก็ยังอีกยาวไกลครับ เหมือนจะเสร็จแต่ก็ยังไม่เสร็จนั่นแหละ

“เดี๋ยวกูเริ่มพิมพ์คืนนี้เลย” ผมบอกกับกลุ่มโปรเจ็กต์ของผม

“ไหวเหรออ้าย ช่วงนี้เด็กๆ เริ่มสอบด้วยนี่” ไปป์ถามอย่างเป็นห่วง

“โอ้ย ชิลๆ กูดูพวกมันมาหลายเทอมแล้ว ดูอีกสักเทอมจะเป็นไร”

“นี่ถ้ากูไม่ติดเรียนต่อกูชวนมึงไปหาอะไรแดกแล้วนะเนี่ย”

“ไปเรียนกับเหี้ยธัชเหอะไป จะได้จบ”

ผมตบไหล่ไอ้ไปป์เพื่อทำการไล่อย่างขำๆ

“วันนี้อารมณ์ดีเป็นพิเศษนะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าวะ”

“มีคนมาหามัน” ไอ้เหี้ยธัชที่ไม่ควรมีบทในตอนนี้จู่ๆ ก็เอ่ยปากพูดเสียงดังซะอย่างนั้น

“ใครเหรอ”

ผมจ้องหน้าไอ้ธัชเขม็ง กูอยู่หอเดียวกับมึงนะธัช กูเป็นประธานหอมึงด้วย มึงอย่าลืม...

“ไอ้พี่โอมไง ญาติมันอ่ะ”

“อ๋อ” ไปป์คงจำได้ลางๆ โอมมันไม่ค่อยโผล่หน้ามาให้เพื่อนผมเห็นสักเท่าไหร่ “คนนี้กูจำได้ว่ามึงไม่ค่อยชอบนี่”

“เดี๋ยวก่อน” ขออนุญาตแก้ข่าวแป๊บหนึ่ง “ไม่ใช่ไม่ชอบเว้ย กูแค่ไม่เห็นด้วยกับบางอย่างที่มันทำเฉยๆ”

“อืม” ตอนนี้เพื่อนหอสองเพียงคนเดียวของเราคงกำลังงงอยู่และก็คงจะงงต่อไป “ไปกันเถอะไอ้ธัช”

“เออ”

ผมมองดูเพื่อนทั้งสองคนเดินจากไปอีกทาง ส่วนผมก็เดินไปอีกทางหลังเก็บของเสร็จ ตอนที่เลี้ยวออกมาจากตึกสาขา ผมก็ชนเข้ากับใครบางคนเต็มๆ

ไอ้สงคราม...

ผมหันหลังกลับแล้วเดินหนีอย่างไม่เสียเวลาฉุกคิด

“ไอ้บ้า” สงครามรีบเดินตามมาอย่างรวดเร็ว “หนีกูทำไมเนี่ย”

“บอกแล้วไงว่าขอเวลาจูนสติ”

“ไม่ต้องจูนห่าไรแล้ว” มันเดินมาขวางทางผมเอาไว้ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาลงมาจ้องหน้า

มึงไม่เคยเห็นหน้ากูเหรออออ ไอ้เหี้ย

“นี่มึงให้เวลากูไม่ถึงสามชั่วโมงเลย”

“แค่นั้นก็นานแล้ว”

“เอาแต่ใจว่ะ”

“เพิ่งรู้เหรอ”

รู้สึกอยากละลายหายไปจากตรงนี้ เชี่ยสงครามมันควรให้เวลาผมคิดบ้าง อย่างน้อยก็สักหนึ่งวันก็ยังดี แต่นี่อะไร มันมาตื๊อเพื่อจะขอคุยกับผมทั้งๆ ที่ผมยังรู้สึกตกตะลึงจากเหตุการณ์นั้นไม่หาย

“มาเปิดใจคุยกันเลยดีกว่า”

“...”

“มึงจะไม่มองหน้ากูสักหน่อยเหรอวะ”

ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะทำใจกล้า เงยหน้าขึ้นมาดูหน้าสงคราม

รู้สึกพ่ายแพ้ว่ะ...ไอ้เหี้ยนี่มันกำลังยิ้มอยู่

“มึงนี่นะ” ผมไม่รู้จะพูดเป็นคำว่าอะไรออกไปดี

“เอางี้ ไม่ต้องคุยกันก็ได้ แค่มึงอยู่กับกูก็พอ”

“...”

“มึงไม่มีเรียนต่อไม่ใช่เหรอ”

แม่งเสือกรู้อีก...ผมเกาหัวแกรกๆ พลางคิดอย่างชั่งใจว่าจะเอาไงดี แต่ไอ้สงครามมันไม่ฟังผมหรอกครับ มันกดเปิดรถโดยใช้กุญแจรถของมันเป็นที่เรียบร้อย แบบนี้มันบังคับขู่เข็ญกันชัดๆ

“ไปขึ้นรถเลย” มันผายมือให้ผมเดินก่อน

เอาวะ กล้าๆ หน่อยอ้าย ไม่คุยวันนี้วันอื่นมึงก็ต้องคุยอยู่ดี ผมมองหน้าไอ้สงครามก่อนจะเดินก้มหน้าก้มตาไปขึ้นรถมัน

“มองเหี้ยไรสัด” มันก็ยังมิวายหันไปด่ารุ่นน้องที่มองมา รุ่นน้องแม่งสะดุ้งก่อนจะวิ่งหนีกันยกใหญ่ สำหรับคนอื่นที่ผ่านมามันน่ากลัวยังไง ทุกวันนี้มันก็ยังน่ากลัวเหมือนเดิม แต่สำหรับผม...มองว่ามันเป็นมนุษย์ที่จะต้องรับมือให้ได้ไม่ว่ามันจะมาไม้ไหน

มันอาจจะทำให้ผมเขินมากกว่านี้ หรือไม่ก็อาจจะทำให้ผมรู้สึกเสียเซลฟ์จนไม่กล้ามองหน้ามันมากไปกว่านี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากวินาทีนี้ ผมต้องพร้อมรับมือไอ้สงครามทุกเวลาและทุกขณะจิต

มันก็น่ากลัวสำหรับผมเหมือนกัน...เพียงแต่ผมไม่ใช่คนที่ยอมมันนี่แหละ






สวนอาหารแห่งหนึ่ง

ผมมองซ้ายมองขวาเพราะไม่คุ้น ร้านนี้แม่งต้องเปิดใหม่แหงเลย สงครามดูถูกอกถูกใจที่ผมตื่นเต้นกับบรรยากาศรอบๆ

กูไม่ได้ตื่นเต้นเว้ย กูแค่อยากรู้อยากเห็น

“อยากกินไรก็สั่งเลย” มันยื่นเมนูมาให้

“มึงไม่กินเหรอ”

“มันไม่คลีน”

หมั่นไส้แม่งฉิบหาย “คลีนไม่คลีนเมื่อถึงเวลามึงก็แดกไปเหอะ คนมันออกกำลังกายทุกวันอยู่แล้วหุ่นไม่พังหรอก”

สงครามเลิกคิ้ว มันยิ้มมุมปาก มองดูผมอย่างประเมิน “เอางั้นก็ได้” มันหยิบเมนูอีกอันมาเปิด

“ถามจริงดิ”

“ว่าไง”

“เราจะมาคุยกันเรื่องนี้ที่ร้านอาหารจริงๆ เหรอวะ”

ไอ้สงครามหลุดขำอย่างกลั้นไม่ได้ ผมมองหน้ามันอย่างเก้อกระดากนิดหน่อย “เปล่าสักหน่อย ก็บอกแล้วไงว่าขอแค่มึงมาอยู่กับกูเฉยๆ มึงพร้อมคุยตอนไหนค่อยคุย”

มันใจดีกับผมอยู่นะ... “อย่างนี้ค่อยน่าฟังหน่อย”

“กูคุยง่ายจะตาย”

“เหรออออออ” ผมถามย้ำอย่างประชดประชัน “ที่ผ่านมาคุยง่ายมากเลย สงครามไม่เคยเอาแต่ใจเลย ไม่เคยเลย”

คิ้วของอีกฝ่ายเริ่มกระตุกนิดๆ “กวนตีนนะมึง”

ผมสั่งอาหารจากเมนูอย่างอารมณ์ดี ไอ้สงครามสั่งไปอย่างสองอย่างก่อนจะวางเมนูแล้วปล่อยให้ผมเลือกอาหารคนเดียว หลังจากที่พนักงานเดินจากไป บรรยากาศบนโต๊ะของเราก็กลับสู่ความเงียบอีกครั้ง

“ตกลงเรื่องมีนนี่ยังไงวะ”

สงครามสะดุ้งจนหมดมาด “ไหนบอกว่าเอาไว้คุยทีหลังไง”

“ก็กูสงสัยอ่ะ”

“กูว่าคนที่รับมือยากไม่น่าจะใช่กูนะ กูว่ามึงนี่แหละ”

“ตอบ” ผมเสียงดังขึ้น แปลกแต่จริงที่สงครามมันกลืนน้ำลาย สีหน้าดูเกรงอกเกรงใจผมขึ้นมา ในฐานะที่เป็นประธานหอสามมาเกือบสองปี ผมรู้สึกสะใจอยู่ลึกๆ ที่ทำให้ประธานหอที่โหดที่สุดของมอเกรงใจผมได้

“เรื่องมันยาวนะอ้าย แดกข้าวจนเสร็จก็ไม่รู้ว่าจะ...”

“ตอบบบบ”

“โอเค” สงครามยอมแพ้ “กูโกหกอ่ะ”

ว่าไงนะ...ผมรู้สึกช็อกนิดๆ อย่างอดไม่ได้

“คือว่าตอนแรกอ่ะกูก็ให้ความสนใจมีนมันอยู่เว้ย เพราะมีนมันหน้าเหมือนคนที่กูเคยสนใจเมื่อหลายปีก่อนโน้น” ผมนึกตามคำพูดของสงคราม มันซับซ้อนนิดหน่อย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเข้าใจยาก “ตอนบอกชอบมันครั้งแรก มันบอกว่ากูเหมือนถูกบังคับให้ไปบอกชอบมัน ซึ่งก็ใช่จริงๆ”

สงครามเว้นช่วงให้ผมทำความเข้าใจ

“พอบอกชอบมันครั้งที่สองแบบเล่นๆ มันก็บอกว่ากูเหมาะกับมึงมากกว่า”

นี่มันเรื่องอะไรกันแน่...

“และครั้งที่สามกูก็ปรึกษาเรื่องมึงกับมันแล้ว สรุปก็คือทุกครั้งที่กูบอกชอบไอ้มีน กูพูดถึงมึงหมดเลย ไม่เคยมีครั้งไหนจริงเลย กูกับมันเป็นเพียงแค่เพื่อนห่างๆ ที่คุยกันเวลากูปรึกษาเรื่องมึงเท่านั้น”

ผมอ้าปากค้างเติ่ง...จริงๆ แล้วเรื่องราวจากฝั่งของผมก็มีประวัติเหมือนกัน หลังจากที่รู้จักกับสงครามเมื่อครั้งอยู่ปีหนึ่ง ผมก็คอยเฝ้ามองดูมันอยู่ห่างๆ จนถึงปัจจุบัน ความรู้สึกแปรเปลี่ยนจากปลาบปลื้มกลายเป็นความรัก

“มันกลายเป็นเรื่องโจ๊กสำหรับกูกับมันไปน่ะ” สงครามยักไหล่

“งั้นแสดงว่า...”

“ทุกครั้งที่กูเอ่ยถึงชื่อมีนต่อหน้ามึง...กูหวังผลประโยชน์หมดเลย”

“เหี้ย!” ผมร้องดังมากจนพนักงานหันมามอง

“มีนมันอนุญาตด้วยนะ”

“สัดสงคราม” ผมอดทำสีหน้าผิดหวังไม่ได้

“จะให้กูทำไงล่ะ กูเป็นประธานหอสองนะเว้ย กูไม่รู้ว่าควรใช้วิธีไหนเพื่อที่จะได้อยู่ใกล้มึง กูกลัวกูสารภาพไปตรงๆ แล้วมึงจะตกใจ พาลจะไม่คุยกับกูไปอีก เพราะทุกวันนี้ถ้าไม่ใช่เรื่องปัญหาของลูกหอ มึงก็ไม่คุยกับกูอยู่แล้ว”

ผมพูดไม่ออก สิ่งที่สงครามบอกเป็นความจริงที่ผมเถียงไม่ออกสักคำ เราสองคนอยู่ในจุดที่ถูกชะตากันแต่ดันเป็นเพื่อนกันไม่ได้ ด้วยภาระหน้าที่และสถานะที่น่าเกรงขามในมหา’ลัย

แท้จริงแล้วเรื่องราวของผมกับมันอาจจะเป็นไปได้สวยมากกว่านี้หากไม่มีหน้าที่ประธานหอค้ำคออยู่

“ตอนที่เริ่มห่างจากมึงเมื่อตอนปีหนึ่งอ่ะ...กูก็เริ่มคิดถึงมึงเลยนะ” สงครามพูดเบาๆ

ตอนนั้นรุ่นพี่หอสองมาดึงตัวไอ้สงครามไปเลยต่อหน้าต่อตาผมครับ เห็นว่าจะเล็งให้มันเป็นประธานหอคนต่อไป (กะปั้นตั้งแต่ปีแรกๆ) จึงไม่อยากให้ผมกับสงครามไปมาหาสู่กันเท่าไหร่ หลังจากวันนั้นเราสองคนก็ไม่ได้เฉียดเข้าใกล้กันอีกเลย จนกระทั่งตอนนี้ที่ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไป เพราะสงครามใช้เรื่องมีนมาอ้างและก็เรื่องง้อผมตอนที่เด็กหอมันทำร้ายไอ้เต

เรื่องราวมันช่างตลกดีแท้ๆ ถ้าสงครามไม่หาเหตุ ผมกับมันก็คงจะไม่ได้อยู่ใกล้กันจริงๆ

“จะไม่พูดอะไรสักหน่อยเหรอวะ” สงครามเล่นกุญแจรถของตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะแก้เก้อ

ผมพ่นลมหายใจออกมา ไม่เคยคิดฝันว่าทุกอย่างมันจะกลายมาเป็นเรื่องง่ายๆ แบบนี้ หากผมกับสงครามเปิดใจพูดคุยกันเราคงลงเอยกันไปแล้ว ผมค่อยๆ ลอบมองหน้าอีกฝ่าย มันดูลุ้นกับคำพูดต่อไปของผมมาก

“จริงๆ แล้วกูเห็นสมุดโน้ตไม่ได้วางอยู่ตำแหน่งเดิมอ่ะ”

“...”

“มึงแอบดูใช่มั้ย”

สงครามกระพริบตาปริบๆ ก่อนตอบ “กูไม่ได้ตั้งใจนะเว้ย”

มึงตั้งใจชัดๆ ไอ้บ้า “งั้นมึงก็คงเห็นแล้ว” คราวนี้เป็นทีของผมที่จะต้องรู้สึกเก้อกระดากบ้าง “กูก็เหมือนๆ กับมึงอ่ะ”

สงครามมองผมยิ้มๆ “ก็แค่เนี้ย ไม่ได้อยากจะฟังอะไรมากมายหรอก”

“สรุปก็คือ...”

“อาหารได้แล้วค่ะ” พนักงานเอาอาหารมาเสิร์ฟ สงครามหน้าหงิกใส่เธอคนนั้นทันที ไอ้เหี้ยนี่ก็ไม่เคยคุมสีหน้าตัวเองเลย

“ขอบคุณนะครับ” ผมกลัวเธอจะทำจานแตกจึงรีบเอ่ยอย่างให้กำลังใจ

สงครามไม่ได้สนใจอาหาร แต่สนใจผมแทน “สรุปก็คืออะไรวะอ้าย”

มือของมันเลื่อนมาแตะมือผมที่วางอยู่บนโต๊ะ ผมทำท่าจะหลบแต่ไอ้สงครามก็รีบตะครุบไว้ แม้จะจับเอาไว้ได้ไม่เต็มมือ แต่มือของผมก็ไม่สามารถขยับไปไหนได้อีก

เหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านจากมือของมันมาสู่ตัวของผม

“คนในร้านอยู่กันเยอะนะมึง”

“มึงคิดเหรอว่ากูจะแคร์”

ลืมไปว่ามันคือสงคราม...

“ตกลงว่ายังไงล่ะ”

ผมหลบสายตาที่มองมา เมื่อก่อนผมเคยแพ้แค่รอยยิ้มของมัน แต่ตอนนี้ผมคงแพ้สายตาของมันด้วย

“กูจะว่าอะไรได้ล่ะ”

“ขอคำพูดตรงๆ”

“ตรงกว่านี้ไม่ได้แล้ว"

“อ้าย ไม่มีใครมาได้ยินหรอกนะ”

“กูกลัวแค่มึงได้ยินคนเดียว”

มันบีบมือผมแน่นขึ้น ผมทำหน้าเหยเกเพราะรู้สึกเจ็บ ไอ้สงครามจึงผ่อนแรงลง

“แฟน...” พอแล้ว ผมขอพูดแค่นี้พอแล้ว

สงครามดูพึงพอใจมาก “โอเค”

ผมดีใจที่มือของผมจะเป็นอิสระแล้ว

“แต่กูจะไม่ปล่อยมือมึงหรอกนะ”

อ้าว ไอ้ฟายยยย ผมอ้าปากพะงาบๆ พร้อมกับก่นด่า “จะแดกข้าว กูต้องใช้สองมือนะเว้ย”

“ใช้มือเดียวพอ”

“สองมือ”

“นี่แฟนขอนะ”

พูดไม่ออกเลยกู... “บังคับกันตั้งแต่วินาทีแรกที่เป็นแฟนแบบนี้ กูว่ากูโสดดีกว่า”

“พ่อมึง” สงครามลังเล แต่ในที่สุดมันก็ตัดสินใจปล่อย ผมอดขำนิดๆ ไม่ได้ เพิ่งเห็นว่ามันก็มีมุมเด็กน้อยแบบนี้

“แต่เวลาอื่นกูขอจับ”

ผมยิ้ม รู้สึกได้ถึงความสุขที่เอ่อล้นอยู่ในอก “ตามใจมึงเลย”

โน้ตสุขใจของผมในวันนี้คงไม่ได้มีแค่ห้าข้อและก็คงจะมีแต่ชื่อของสงคราม สงคราม และสงคราม...





TBC*
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 30-08-2017 23:09:46



ตอนที่ 15
พาร์ตของมีน




SONGKRAM : ไม่โสดแล้วนะ
SONGKRAM : กูคงไปบอกรักมึงไม่ได้อีกแล้ว
SONGKRAM : เดี๋ยวอ้ายหึง อิอิ


อิอิพ่อมึงดิ ผมแกล้งทำหน้าโมโหใส่โทรศัพท์ตอนที่เห็นข้อความนี้ ไม่รู้ว่าสงครามกับอ้ายไปทำ (หรือยังไม่ได้ทำ) อีท่าไหนกันถึงได้ตกลงปลงใจกันซะอย่างนั้น ผมรู้สึกยินดีกับสงครามมาก จนพี่มะนาว ผู้จัดการของผมซึ่งนั่งอยู่ด้วยกันบนรถถึงกับเอ่ยถามผมว่าผมมีเรื่องดีอะไรนักหนา

ปกติผมเหมือนเด็กหน้าตาดีที่อมทุกข์จะตาย

“เพื่อนมันไม่นกแล้วน่ะครับ”

“โอ๊ย เด็กสมัยนี้น่ารักดีเนอะ มีความรักแบบกุ๊กๆ กิ๊กๆ” เขาเป็นตุ๊ดร่างท้วมที่ดูใจดีคนหนึ่งครับ “นึกถึงพี่สมัยเมื่อก่อนเลย แต่ไม่ได้แบบนี้หรอก เพราะส่วนใหญ่จะแห้ว”

“เหมือนผมนั่นแหละน่า”

พี่มะนาวถอนหายใจใส่ผม “ไปป์ใช่มั้ย” ผมเสมองออกไปนอกหน้าต่างแทนการตอบรับ “จริงๆ แล้วมีคนให้ความสนใจมีนเยอะอยู่นะ หล่อๆ ทั้งนั้นเลย ไม่คิดจะสนใจบ้างเหรอ”

พี่มะนาวเป็นผู้จัดการที่ค่อนข้างเปิดกว้างและให้ความสำคัญเรื่องความสุขส่วนตัวของเด็กในสังกัด ไม่ว่าคนไหนอยากมีแฟนหรือคนไหนเป็นเกย์ พี่มะนาวไม่ว่าเลยครับ ขอแค่ตั้งใจทำงานก็พอ เพราะงี้ผมถึงไว้ใจระบายให้พี่มะนาวรับรู้ว่าผมนั้นรักไปป์มาก

“ไม่รู้ดิพี่ ไม่เห็นจะรู้สึกแบบนี้กับใครเลย”

“ไอ้ที่ไปคั่วมาก็มีแต่แซ่บๆ อย่าบอกนะว่าไม่เคยหวั่นไหว”

“ครับ ไม่เลย”

“ตายจริง” พี่มะนาวเอามือกุมอก “ความรักบางทีก็เข้าใจง่าย บางทีก็เข้าใจยากแฮะ”

ผมเหลือบไปมองกล่องสีดำที่วางอยู่เบาะหลัง ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกเศร้าใจอยู่ลึกๆ ผมเตรียมของให้มันทุกครั้งก่อนใกล้ถึงวันเกิดมัน แต่ไม่เคยมีปีไหนเลยที่มันจะรับไปเก็บไว้

หวังว่าปีนี้มันคงจะรับนะ...

“จริงๆ พี่ก็เป็นห่วงมีนเรื่องนี้อยู่นะ มีนดูไม่ค่อยมีความสุขเลย”

“...”

“ตัดใจดีมั้ย ไหนๆ มันก็ไม่มีโอกาสแล้ว”

พี่มะนาวรู้ดีว่าไปป์มันตัดความหวังผมมากเพียงใด ผมผู้ซึ่งรักเดียวใจเดียวมาโดยตลอดไม่มีวี่แววที่จะสมหวังในความรัก จึงไม่แปลกที่พี่มะนาวจะแนะนำให้ผมตัดใจ

“ถ้าตัดใจมันง่ายเหมือนเอากรรไกรตัดกระดาษนะ ผมตัดไปนานแล้วล่ะ”

“พี่อยากให้มีนมีความสุขนะเว้ย”

“ผมอยู่แบบนี้มาเกือบทั้งชีวิตแล้วครับ ผมไม่เป็นไร”

ผู้จัดการของผมดูเหนื่อยใจกับการตัดสินใจของผม เขาเลือกที่จะไม่พูดถึงเรื่องนี้ ส่วนผมก็ได้แต่ใจลอยไปถึงไปป์ นึกถึงเหตุผลที่ผมเริ่มชอบมัน

ตั้งแต่เด็กจนโตชีวิตผมก็มีไอ้ไปป์มาโดยตลอด แม้จะอายุเท่ากันแต่มันก็ชอบทำตัวเป็นพี่ชายเสมอ ไม่ว่าผมจะมีเรื่องหรือปัญหาอะไรไอ้ไปป์มันก็อยู่คอยช่วยเหลือผม อยู่มาวันหนึ่งผมสารภาพความรู้สึกของตัวเองให้มันรับรู้ ตอนนั้นเราทั้งคู่อยู่ในช่วงมอปลาย จากที่เคยสนิทกันมาก ไอ้ไปป์ก็เริ่มตีตัวออกห่างจากบ้าน กลายเป็นคนที่มีความก้าวร้าวกับผมมากขึ้น ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของมัน

มันเซ็งที่ผมตื๊อ โกรธที่ผมทำตัวเรียกร้องความสนใจ รำคาญที่ผมยังคงรักมันอยู่ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ มันไม่ผิดที่เป็นแบบนั้น ถ้าจะผิดก็ผิดที่ผมเองนี่แหละที่ทำให้ทุกอย่างระหว่างผมกับไปป์เปลี่ยนไปหมด จากที่เคยคุยกันดีๆ ตอนนี้แม้แต่หน้าผมไปป์มันก็ยังไม่อยากจะมองเลย

มันคงอยากให้ผมตัดใจ...

“ยังไงก็อย่าลืมนอนเยอะๆ นะ ค่าทำหน้าแต่ละทีก็ใช่ว่าจะถูกๆ” พี่มะนาวเอ่ยเมื่อเลี้ยวรถมาถึงบริเวณโซนหอพักชาย

“ครับพี่มะนาว”

“เดี๋ยววันศุกร์พี่มารับ”

“ครับ”

ผมมองตามรถตู้ของพี่มะนาวไปจนสุดสายตา ก่อนจะถือกล่องของขวัญที่จะให้ไปป์เดินเข้าไปในโซนหอพักชายของมอ B ซึ่งเป็นโซนหอพักที่ประหลาดที่สุดในไทยแล้วมั้งผมว่า มีการจำแนกประเภทของคนในหอด้วย ใครกันนะเป็นคน (สิ้น) คิด

“มีนมาว่ะ”
“ช่วยถือมั้ยจ๊ะ”

ผมพยายามไม่สนใจพวกหอสองสองสามคนที่เดินสวนมา

“ช่วยไปไกลๆ จะดีกว่า” เสียงนี้คุ้นหูผมมาก และก็ทำให้ผมยิ้มออกทุกทีที่ได้ยิน ไอ้พวกหอสองพวกนั้นก้มหน้าลงต่ำ ก่อนรีบจ้ำอ้าวเดินไปทางอื่น “ไงไอ้สาด”

มึงจะเปิดตัวอลังการทุกครั้งที่กูเจอตลอดมั้ยวะสงคราม

“ไง” จากที่ทำหน้าเศร้าๆ ผมก็อดยิ้มตามความสดใสของไอ้สงครามไม่ได้ คนหน้าโหดๆ อย่างมันมีอารมณ์สดใสนี่ช่างเป็นอะไรที่ควรมีความสุขไปด้วยจริงๆ นะครับ

“เพิ่งทำงานมาเหรอ”

“เออ” ผมยักไหล่ “ถ่ายแบบนิดหน่อย”

“รวยว่ะ ขอเงินหน่อยดิ”

“ไปขอแฟนมึงโน่น”

เมื่อเจอผมแซว ไอ้สงครามก็ถึงกับทำหน้ายิ้มกริ่ม โว้ย รู้สึกหมั่นไส้คนมีคู่ว่ะ

“นี่กูเดินใกล้มึงไม่ได้แล้วนะ”

“ทำไมวะ”

“เดี๋ยวอ้ายหึง”

ไอ้ขี้เห่อเอ๊ยยยยยยย นี่อ้ายมันรู้มั้ยเนี่ยว่าไอ้สงครามเป็นเอามากขนาดนี้

“คิก”

เกลียดที่มันเอามือปิดปากตัวเองเพื่อกลั้นยิ้มจังว่ะครับ มาดประธานหอละลายหายไปหมดแล้วมั้งหลังจากที่มีแฟนเนี่ย

“เหี้ยเอ๊ย” ผมส่ายหน้าเบาๆ อย่างเอ็นดู

“ให้กูช่วยถือป่ะ”

“ไม่เป็นไรๆ”

“ของอะไรวะ ท่าทางจะแพง”

“ยุ่ง”

“ไม่ได้ยุ่งเว้ย เสือกเลย”

“อ้ายปล่อยมึงมาเพ่นพ่านแถวนี้ได้ไงวะ”

“คนนะเว้ยไม่ใช่หมา”

ผมเดินไปข้างหน้าโดยมีสงครามเดินตามในมุมมืด

“กูถามได้มั้ยว่ามึงกับอ้ายลงเอยกันได้ยังไง”

“อยากรู้จริงเหรอ”

“...”

“ต้องบอกความลับแลกกันสิวะ”

“เฮ้อ” ผมถอนหายใจ “กูรู้ว่ามึงอยากรู้อะไร กูกลัวว่าหากกูบอกมึงไป ไอ้เหี้ยนั่นมันจะไม่พอใจกูอ่ะดิ”

“ใครกล้าไม่พอใจเพื่อนกู กูต่อยให้เอามั้ย”

“มึงจะต่อยคนที่อยู่หอเดียวกันเหรอวะ”

สงครามชะงัก ขนาดมันอยู่ในที่มืดๆ ผมยังรู้เลยว่ามันกำลังจ้องจับผิดผมอยู่ ลืมนึกไปว่าไอ้สงครามมันก็ต่อยทุกคนที่ทำให้มันไม่พอใจนั่นแหละ ไม่ว่าคนคนนั้นจะอยู่หอเดียวกันกับมันหรือไม่

“รู้แล้ว”

“...”

“ไอ้เชี่ยไปป์นี่เอง”

ขอบคุณที่มันรู้วันนี้ นึกว่ามันจะรู้ปีหน้าซะอีก

“กูจำได้ มึงเคยไปห้างกับมันนี่”

“ตอนนั้นกูบังคับมันไปด้วยนะ” ผมหัวเราะแห้งๆ อย่างกล้ำกลืนกับโชคชะตาของตัวเอง

“เดี๋ยวนะ กูขอเรียบเรียงแป๊บ” สงครามหยุดเดิน ยกมือให้ผมหยุดตามมันด้วย “มึงชอบไอ้ไปป์ แต่ไอ้ไปป์มันชอบ...”

“ถ้ากูพูดแล้วเดี๋ยวมึงก็ไปต่อยมันอ่ะ”

“เหี้ย”

“...”

“กูสงสารมึง”

“นึกว่ามึงจะโกรธซะอีก”

“ก็มีไม่พอใจบ้าง แต่อ้ายมันดีขนาดนี้ ยังไงก็ต้องมีคนมาหลงเสน่ห์มันเป็นเรื่องธรรมดา”

“ใจกว้างว่างั้น”

“กว้างถึงแค่วินาทีนี้เท่านั้นแหละ ต่อจากนี้อย่าหวังเลยว่าไอ้เหี้ยไปป์จะได้เข้าใกล้แฟนกูอีก”

มีลูกหอคนไหนเห็นมุมที่น่าเอ็นดูของสงครามแบบผมบ้างมั้ยเนี่ย ไอ้เหี้ยนี่อย่างกับเด็กหวงของ จะว่าโหดก็โหด จะว่าเด็กน้อยก็เด็กน้อยอ่ะ

“มึงไหวนะมีน” สงครามเสียงแผ่วลงด้วยความเป็นห่วง “จำได้ว่ามึงเคยเล่าให้ฟัง มึงชอบคนนี้มานานมากเลยนี่ เกือบทั้งชีวิตมึงเลยมั้ง”

“ชินแล้วกับความเจ็บปวด” ผมเตรียมโบกมือลา “คุยกันแค่นี้แหละ เดี๋ยวอ้ายมันจะหึงเอา”

“จริงดิ”

“เออสิ”

“อยากเห็นอ้ายหึงอ่ะ นี่เพิ่งคบกันวันแรกด้วย”

หา นี่คบกันวันแรกเหรอ แม่งพูดถึงอ้ายหนักมาก แสดงว่าทั้งเห่อทั้งหลงขั้นสุดดดดดด

“มึงอยากให้อ้ายงอนมึงตั้งแต่วันแรกที่คบเลยหรือไง”

“...เออว่ะ”

“...”

“ไอ้เหี้ยนั่นแปลก งอนแล้วง้อยากมาก ไม่ชอบเวลาที่มันงอนเลย” สงครามแม่งบ่นก็จริง แต่หน้าตามันมีความสุขฉิบหาย นี่ผมต้องทนฟังคนอวดแฟนไปอีกนานเท่าไหร่ “เลิกพูดถึงเรื่องกูเถอะ ตกลงมึงจะเอายังไงเรื่องไอ้ไปป์”

“กูต้องทำอะไรล่ะวะ”

“อย่างน้อยก็เรื่องที่มึงจะให้ของนี่” สงครามมองกล่องในมือผม “ให้กูเอาไปให้มั้ย มันรับของจากกูอยู่แล้ว”

“แต่มันจะไม่รับเมื่อรู้ว่ามาจากกูอ่ะดิ”

“ไอ้เหี้ยไปป์นี่หล่อมาจากไหนกัน ทำไมถึงกล้าปฏิเสธมึง”

“หล่อมาจากกรุงเทพฯ นั่นแหละ บ้านเกิดมันอยู่นั่น”

“เป็นตลกเหรอเรา”

“เป็นนักศึกษาด้วย”

“โว้ย ไอ้บ้า” สงครามเกือบไล่เตะผมแล้ว “เอามาเหอะ เดี๋ยวกูเอาไปให้เอง มันไม่กล้าปฏิเสธกูหรอก”

ผมมองสงครามอย่างชั่งใจ เป้าหมายของผมก็คืออยากให้ไปป์มันได้ใช้ของที่ผมซื้อให้ ไม่ใช่เรื่องที่มันจะรับของจากมือผมหรือเปล่า ผมยื่นกล่องของขวัญไปให้สงคราม มันทำตาวาวเมื่อเห็นแบรนด์ที่แปะอยู่บนกล่อง

“ราคาของนี่คือค่าแดกกูสามเดือนเลยมั้งเนี่ย”

“ฝากด้วยนะ”

“กูก็ฝากด้วย”

“ฝากอะไรวะ”

“ฝากอ้าย”

“ไอ้ฟายยยยยย”

สงครามโบกมือลา เดินถือกล่องเพื่อกลับไปยังหอของตัวเอง ผมมองตามมันไปอย่างลุ้นๆ นิดหน่อยก่อนจะถอนหายใจอย่างปลงๆ
อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดนั่นแหละ







ห้อง 504

ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเป็นที่เรียบร้อย วันนี้ผมคงต้องนอนคนเดียวอีกตามเคย เพราะเพื่อนร่วมห้องทุกคนแม่งมีงานเข้ากันหมดเลย อ้ายมันชอบเรียกห้องผมว่าห้องรวมดารา และไม่ค่อยมีใครว่างตรงกันสักเท่าไหร่

ห้องนี้มีประวัติไม่ค่อยสู้ดีนัก เพราะผมชอบลากเด็กหอนั้นหอนี้เข้ามาในห้องเพื่อเรียกร้องความสนใจจากไปป์ อ้ายหรือคนอื่นๆ ที่เคยเห็นว่าผมพาเด็กหออื่นเข้ามาอาจจะมองว่าผมทำอะไรต่อมิอะไรกับผู้ชายพวกนี้ แต่แท้จริงมันไม่มีอะไรในกอไผ่เลย อาจจะมีกอดจูบลูบคลำบ้าง แต่ก็ยังไม่เลยเถิดถึงขั้นสัมผัสอย่างลึกซึ้ง

หลังๆ ผมไม่ทำแบบนั้นแล้ว ตั้งแต่ถ่ายละครจบไปและกลับมาอยู่ในห้องนี้ ผมก็เลิกเรียกคนนั้นคนนี้มาหา เพราะผมสงสารอ้าย มันคงเหนื่อยจะแก้ปัญหาเรื่องลูกหอแล้ว ผมไม่อยากสร้างปัญหาให้มันเพิ่มอีก มันเป็นคนดี เป็นคนนิสัยน่ารัก ผมไม่เคยนึกโกรธหรือเกลียดมันเลยที่มันได้หัวใจไปป์ไปครอง

พูดถึงไปป์ ไปป์ก็ (โทร) มา

ผมมองดูโทรศัพท์ที่กำลังสั่นอย่างบ้าคลั่ง รู้แน่ๆ ว่าต้องโดนตำหนิเรื่องของ ทันทีที่สงครามมันไปถึงหอ มันคงเอาของไปส่งให้ไปป์อย่างทันทีแน่ๆ

“ฮัลโหล” แม้จะหวั่นๆ แต่ผมก็รับสายอยู่ดี

[ซื้อของนี่มาทำไม มันเปลืองเงินนะ] กะแล้วเชียวว่ามันต้องไม่พอใจ

“ก็กูอยากให้ ใกล้จะวันเกิดมึงแล้ว”

[มึงก็รู้ว่ากูไม่รับของจากมึง]

“แต่กูซื้อมาแล้ว มันเป็นของมึง”

[มีน มึงไม่เด็กแล้วนะ อย่าดื้อสิวะ]

“กูให้ก็ใช้ๆ ไปเถอะน่า”

[สิ้นเปลืองฉิบหาย แพงก็แพง]

“แค่นั้นกูไม่ลำบากหรอก”

[กูรู้ว่ามึงหาเงินได้เยอะ แต่มึงไม่จำเป็นต้องซื้อของมาให้กู]

“เลิกบ่นแล้วก็ใช้ๆ ไปเหอะ”

[กูไม่ใช้ มันแพงเกินไป]

“...”

[แพงกว่าค่าเทอมกูตั้งสองเทอม]

“งั้นมึงก็เก็บไว้เฉยๆ ก็ได้”

[มึงรู้ใช่มั้ยว่าสิ่งที่มึงทำไม่ได้ช่วยให้อะไรเปลี่ยนแปลง]

“แล้วมึงรู้หรือเปล่าว่าทุกวันนี้มึงใจร้ายกับกูมากขนาดไหน”

[เลิกชอบกูไม่ได้เหรอวะมีน แบบนี้มีแต่จะอึดอัดมากขึ้นกว่าเดิมนะเว้ย]

“...”

[มึงไม่อยากกลับมาเป็นเหมือนเมื่อก่อนเหรอวะ เหมือนตอนที่เราโตมาด้วยกันอ่ะ]

ผมเม้มปากระหว่างที่ฟังคำพูดของอีกฝ่าย “อยากสิ แต่จะให้กูทรยศความรู้สึกตัวเองกูก็ทำไม่ได้”

[มีน]

“ก็กูรักมึงไปแล้วอ่ะ”

ช่างเป็นการสารภาพรักที่โคตรไร้น้ำหนักและคงไม่ทำให้ใจของไอ้เหี้ยไปป์หวั่นไหวได้เลยแม้แต่นิดเดียว

[เฮ้อ]

“มึงไปนอนเหอะ”

“...”

“และก็สุขสันต์วันเกิดล่วงหน้านะ”

ไปป์ถอนหายใจยาวก่อนจะกดวางสาย ผมวางโทรศัพท์ หลับตาลงพร้อมรับความเจ็บปวดครั้งใหม่ที่เพิ่งได้รับ น้ำตาที่ควบคุมไม่ได้ปริ่มอยู่ที่ขอบตา เป็นความเจ็บปวดที่ผมเคยชิน แต่ก็ไม่เคยรับมือกับมันได้สักที

ถ้าเลือกได้...กูก็ไม่อยากรักแค่มึงคนเดียวหรอกนะสัดไปป์






ก๊อก ก๊อก ก๊อก

มีคนมาเคาะประตูปลุกผมแต่เช้า ผมขยี้ดวงตาที่แสนหนักอึ้งของตัวเองก่อนไปเปิดประตู คนที่มาเคาะก็คืออ้ายนั่นเอง ในมือมันถือแม็กกาซีนที่ผมเพิ่งไปถ่ายแบบเมื่อเดือนก่อนมาด้วย

“ไอ้พวกปีหนึ่งมันฝากมาขอลายเซ็น” อ้ายทำสีหน้าปลงๆ “เหนื่อยหน่อยนะ”

“น้องมันซื้อด้วยเหรอวะ”

“พี่มีนถ่ายทั้งทีทำไมพวกมันจะไม่ซื้อ มึงมันอดีตดาวหอนะเว้ย”

“หึ” ผมหัวเราะเบาๆ

“ตามึงบวมนะ”

“นอนน้อยน่ะ”

“งี้แหละ ช่วงงานเข้าเงินเข้า”

“โอย สาธุดังๆ เลย” ผมเหลือบมองดูไอ้อ้ายที่มีสีหน้าสดใสขึ้นมาก “กูรู้ข่าวแล้วนะ เรื่องมึงกับสงคราม”

มันพ่นลมดังพรืด “เหี้ยนั่นมันเอามาปูดใช่ป่ะ”

“อย่าถือสามันเลย”

“...”

“มันชอบมึงมาก มันคงเห่อมึงมากนั่นแหละ” ผมเซ็นไปด้วยพูดไปด้วย “ขอโทษด้วยนะถ้ากูมีอะไรที่เคยหลอกมึงเรื่องนี้อ่ะ สงครามมันขอไว้ แผนจีบมึงของมันก็เหี้ยๆ ไม่ค่อยได้ใช้ความคิดเท่าไหร่ มึงก็รู้ว่ามันเก่งแต่ใช้กำลัง”

“เออ ฟังดูเป็นมันดี” อ้ายกอดอกพร้อมกับยิ้มน้อยๆ “ขอบใจสำหรับทุกอย่างนะเว้ย”

“ได้เสมอเลย” ผมส่งแม็กกาซีนทั้งหมดคืนอ้าย

“เออ วันนี้กู ไอ้ธัช แล้วก็ไอ้ไปป์จะเริ่มทำเล่มโปรเจ็กต์กันที่ร้านกาแฟหน้าคณะอ่ะ มีติวสอบมิดเทอมบางตัวกับไอ้พวกหอหนึ่งด้วยนะ มาด้วยกันป่ะ”

ผมเริ่มไม่แน่ใจเมื่อได้ยินชื่อของไปป์ ทั้งๆ ที่ใจผมน่ะโคตรจะอยากไป ผมทำงานบ่อยกว่าเข้าเรียนอีก ผมอยากตามคนอื่นเขาให้ทัน แม้ว่าจะไม่ได้จบภายในสี่ปีแน่ๆ แล้วก็เถอะ

“เอาไงดีวะ” ทำหน้าลังเลอย่างไม่ปิดบัง

“ไปด้วยกันเถอะ”

“เอ่อ ก็ได้”

“เจอกันตอนบ่าย”

“โอเค”

อ้ายเดินจากไปแล้ว ผมปิดประตูพร้อมกับทำสีหน้าหนักอกหนักใจ แต่เมื่อลองคิดๆ ดู ไม่ว่าผมจะไปเจอไปป์หรือไม่ บรรยากาศระหว่างผมกับมันก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนไปจากเดิม

ยังไงไอ้เหี้ยไปป์ก็ต้องทำท่าเหมือนมันไม่แคร์ผมตามเดิม

ในเมื่อเปลี่ยนแปลงความจริงเรื่องนี้ไม่ได้ ผมก็แค่ต้องอยู่กับมันไปป่ะวะ

โทรศัพท์ผมมีไลน์เข้า คนที่ไลน์มาหาก็คือสงคราม

SONGKRAM : อ้ายมันไม่ยอมบอกว่ามันจะไปทำงานร้านไหน
SONGKRAM : ถ้ารู้ส่งข่าวด้วย
SONGKRAM : เหี้ยแม่งเริ่มฉายแววร้ายกาจกับกูแล้วเว้ย


ผมหัวเราะก่อนจะพิมพ์ตอบ

MEAN : มันแค่ไม่อยากให้มึงไปกวนป่ะวะ
SONGKRAM : กูเป็นแฟนมันนะ
SONGKRAM : หรือมันมีกิ๊กอยู่สาขายานยนต์
MEAN : ไอ้สัด บ้าบอคอแตก
MEAN : ร้านหน้าคณะเว้ย อยากมาก็มา
SONGKRAM : เหี้ยไปป์ไปด้วยนี่
SONGKRAM : เดี๋ยวแม่งเจอของจริง
MEAN : เพราะงี้ไงอ้ายมันถึงไม่อยากให้มึงไป
SONGKRAM : กูไม่ทำมันเสียการเสียงานหรอก
MEAN : กูจะคอยดูละกัน





TBC*
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 30-08-2017 23:31:32



ตอนที่ 16




ผมจะเล่าให้ฟังว่าการมีแฟนชื่อสงครามในเวลาสองวันนั้นเป็นยังไง

หลังจากที่เอาแม็กกาซีนที่แฟนคลับของมีนฝากให้เอาไปให้มีนเซ็น ผมก็เดินลงมาข้างล่างเพื่อกลับห้องของตัวเอง ทันทีที่เข้ามาถึงห้อง ผมก็สัมผัสได้ว่ามีคนทักไลน์มาอย่างบ้าคลั่ง

สงเหี้ย หอสองเจ้าเก่าเจ้าเดิม แต่คราวนี้มันรัวมาแบบไม่ยั้ง ไร้ซึ่งความเกรงใจใดๆ ทั้งสิ้น ผมทันเห็นข้อความล่าสุดของมันสองสามข้อความ

สงเหี้ย หอสอง : ถ้าไม่ตอบกูจะบุกหอมึงภายในห้าวินาที
สงเหี้ย หอสอง : 5
สงเหี้ย หอสอง : 4


โว้ยยยย ไอ้พระเจ้าของโลกใบนี้ ผมไม่ยอมเสียเวลาพิม์ตอบกลับหรอกครับ ผมโทรหาแม่งเลยดีกว่า ไอ้สงครามมันเป็นคนพูดจริงทำจริง ผมเจอมานักต่อนักแล้ว

[อีกห้าก้าวถึงหน้าหอสามแล้วเนี่ย]

“ถอยหลังกลับไปเลย”

[หายไปไหนมา]

“ไปคุยกับมีนมา”

[อ๋อ]

“มึงนึกว่ากูหายไปทำอะไรวะ กูก็มีหน้าที่ประธานให้ทำนะเว้ย มึงไม่มีเหรอ”

[มี แต่ไม่ทำ]

“...”

[อยากมาทำหน้าที่แฟน]

เสี่ยวสัด...แล้วทำไมผมต้องยืนยิ้มด้วยวะเนี่ย

“สงคราม เอาดีๆ มีอะไร”

[ก็สงสัยว่าหายไปไหนเฉยๆ เห็นไม่ตอบกูเลยอ่ะ]

“ไปห้องมีนมาไง” เสียงมันน่ารักขึ้นหรือผมคิดไปเองวะ เวลาชั่วข้ามคืนสามารถทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนี้เชียวหรือ

[ใครสร้างปัญหาบอกกูมาได้เลยนะ เดี๋ยวกูจัดการให้]

“...”

[อย่าให้รู้ว่าใครทำแฟนกูเหนื่อย]

ผมหลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ “กูว่าคนที่ทำให้กูเหนื่อยคือมึงนะสงคราม”

[ภูมิใจว่ะ]

“โว้ยแม่ง วางสายแล้วไปหาอะไรอย่างอื่นทำกัน”

[เช่นอะไรวะ]

“ไปทำโปรเจ็กต์ไงล่ะวะ ไม่ก็อาบน้ำ กูยังไม่ได้ทำอะไรเลยเนี่ย ตื่นมาก็ดูลูกหอเลย”

[ดูแต่ลูกหอ ไม่ยอมมาดูลูกของเราบ้าง]

“อีกนิดกูจะด่าแล้วนะสงคราม”

[เล่นด้วยหน่อยก็ไม่ได้]

“มึงอยู่ไหนเนี่ย”

[หน้าหอสาม]

“ยังไม่กลับไปอีก” ผมเดินออกไปดู กลัวว่าสงครามมันจะอยู่หน้าหอของผมจริงๆ ทันทีที่ผมเดินออกไป ผมก็เห็นร่างของสงครามยืนอยู่จากที่ไกลๆ พูดง่ายๆ ก็คือมันยืนอยู่ตรงหน้าหอมันนั่นแหละ ไม่ได้อยู่หน้าหอสามอย่างที่มันพูดจริงๆ

[นี่ถ้าไม่โกหกคงไม่ได้เห็นหน้าสินะเนี่ย]

“ร้ายว่ะ”

[แล้วเจอกันนะ] สงครามโบกมือ แต่ก็ต้องลดมือลงเพราะลูกหอของมันเดินผ่านก่อนจะไหว้มัน

“เออ แล้วเจอกัน” ผมมองสงครามที่อยู่ไกลๆ เราทำเป็นเหมือนไม่ได้ตั้งใจมองกันแต่ก็มอง

“พี่มองใครอ่ะ” ไอ้ทนายที่โผล่มาจากไหนไม่รู้อยู่ดีๆ ก็มากระซิบข้างหูผมเฉย “ใครยืนอยู่ตรงนั้นเหรอ”

“ยุ่ง” ผมด่าเสร็จแล้วก็เดินหนี พยายามควบคุมหัวใจตัวเองที่เต้นตึกตักไม่หยุดตั้งแต่ตอนที่ได้คุยกับสงครามเมื่อตะกี้ จริงๆ มันไม่ต้องทำอะไรถึงขนาดนี้ด้วยซ้ำ ไม่ต้องโทรหาแต่เช้า ไม่ต้องกระหน่ำทักไลน์มาหา แค่ผมกับมันมองเห็นกันและกันอยู่ไกลๆ ผมก็มีความสุขมากแล้ว

มันอาจจะเป็นแฟนที่ดีมากกว่าที่ผมคิดนะเนี่ย







ดีกับผีน่ะสิ

แม่งตามมาคุมแจเหมือนผมเป็นนักโทษของมันเลยโว้ยยยยยยยย

ตอนนี้ผมกับเพื่อนๆ สาขาเดียวกันกำลังอยู่ในร้านกาแฟหน้าตึกคณะวิศวฯ ซึ่งเป็นร้านที่ค่อนข้างใหญ่ เนื่องจากสร้างมาให้พวกนักศึกษามานั่งอ่านหนังสือและก็ทำงานโดยเฉพาะ แม้ว่าจะมีแต่พวกนั่งแช่นานๆ แต่ร้านนี้ก็ได้กำไรพุ่งสูงมากขึ้นทุกปี

ได้ข่าวว่าเป็นร้านของที่บ้านไอ้คีน เด็กปีสามที่อยู่หอสี่ จะว่าไปมีธุรกิจอะไรที่บ้านไอ้เด็กนี่มันไม่ได้ทำป่ะวะ

เดี๋ยวสิ เก็บความสงสัยนั่นเอาไว้ก่อนเพราะตอนนี้ผมกำลังมีปัญหา จากที่นั่งคุยงาน เริ่มทำเล่มจบ อีกทั้งยังติววิชาบางตัวให้เพื่อนมาเป็นเวลาชั่วโมงกว่า ไอ้แฟนหมาดๆ เจ้าปัญหาของผมก็ปรากฏตัวขึ้นมาในร้านซะอย่างนั้น

ประเด็นหลักคือมันไม่ได้มาคนเดียว มันมากับเพื่อนสาขามันอีกเป็นสิบ คนทั้งร้านจึงพาลอึดอัดกันไปหมด เพราะกลัวว่าสงครามมันจะมาหาเรื่องใครหรือเปล่า

มันมาหาเรื่องผมนี่แหละท่านผู้ชม ตั้งแต่เข้ามาในร้าน มันเอาก็แต่คอยมองผม แม้จะนั่งอยู่ห่างๆ แต่ทั้งตัวและก็สายตาของมันต่างก็หันมาจับจ้องผมเต็มที่ ชนิดที่ว่าหากผมขยับตัวผิดองศาไปอยู่ใกล้เพื่อนคนไหนที่มันไม่ชอบ มันก็จะควักปืนแล้วยิงผมทิ้งทันที

เอ่อ ผมก็เว่อร์ไปอย่างนั้น แต่ผมรู้สึกว่ามันจะทำงั้นจริงๆ นะ

นี่แฟนกูโหดไปป่ะเนี่ย

“กูร่างมาแล้ว มึงลองใช้คำที่มันเป็นทางการดูนะอ้าย”

“...”

“ไอ้สัดอ้าย” ผมสะดุ้งตอนที่ไอ้ไปป์เรียก “ใจลอยอีกแล้ว มึงใจลอยตั้งแต่สงครามเข้ามาในร้านใช่มั้ยเนี่ย”

แม่งก็ช่างสังเกตเกิ๊น ผมไม่รู้จะเถียงมันยังไง

“เอามา เดี๋ยวจัดการเอง”

คนที่นั่งข้างๆ ผมคือไอ้ไปป์ ส่วนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผมคือมีน มันกำลังหัดทำข้อสอบเก่าที่ผมเก็งเอาไว้ให้อยู่ ดูมันมีสมาธิมาก แต่ก็มีบางครั้งที่มือสั่นชอบกล ผมเลยชอบมองมันอย่างเป็นห่วง

รู้สึกว่าการทำงานของผมในวันนี้ยุ่งวุ่นวายมากกว่าที่คิด

“มีนมึงติดตรงไหนถามกูได้นะ” ตัวที่มีนกำลังจะสอบผมเรียนผ่านมาแล้ว แถมยังได้เกรดดีมากด้วย เพราะงั้นผมถึงมั่นใจที่จะติวให้มีนได้

“เออ ขอบใจนะ”

เสียงหัวเราะดังขึ้นจากโต๊ะของสงคราม มันกับเพื่อนกำลังคุยเล่นกันอยู่ แน่นอนว่าคนทั้งร้านต้องรู้สึกตำหนิมัน โต๊ะมันมีคนนั่งอยู่เยอะก็จริง แต่สงครามคือคนที่ทุกคนรู้จัก เขาไม่โทษคนทั้งโต๊ะหรอกครับ เขาโทษแต่ไอ้สงครามกัน เชื่อผมสิ

ผมส่งสายตาไปเตือน ทำปากขมุบขมิบบอกให้เบาเสียงลงหน่อย ไม่นานนักสงครามก็บอกให้เพื่อนมันเงียบ บรรยากาศในร้านจึงกลับเข้ามาสู่บรรยากาศวิชาการอีกครั้งหนึ่ง

จริงๆ เล้ย ถ้าว่างนักทำไมไม่ไปทำโปรเจ็กต์กัน มานั่งเสียเวลาทำไม ไม่เข้าใจ

“เฮ้ย มึงเก่งนี่” ไปป์ยื่นหน้ามาใกล้พร้อมๆ กับส่งรอยยิ้มให้

“แน่นอน เรื่องเขียนเล่มนี่โยนมาให้กูเลย” เพราะผมไม่ค่อยมีความสามารถด้านปฏิบัติเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ไอ้ไปป์กับไอ้ธัชจะเป็นผู้ลงมือ ผมไม่อยากเอาเปรียบเพื่อน

“กูย้ายโต๊ะแป๊บนะ” มีนบอกผม ก่อนที่จะลุกขึ้นทันทีและย้ายไปนั่งโต๊ะของ...สงคราม

มันทำเอาคนช็อกทั้งร้าน รวมถึงผมด้วย

สงครามต้อนรับมีนเป็นอย่างดี อีกทั้งยังเดินไปเอาน้ำเปล่ามาให้ด้วย ผมรู้สึกว่าตัวเองนั้นเริ่มอิจฉามีนเล็กๆ อยากเดินไปหาสงครามก็สามารถทำได้เลย ไม่ต้องสนใจสายตาชาวบ้านชาวช่องอะไรทั้งนั้น

ตอนนั้นไปป์เดินไปหาเพื่อนกลุ่มที่กำลังติวกันแล้ว ผมจึงนั่งอยู่หน้าแล็ปท็อปคนเดียว ระหว่างนั้นสงครามได้ส่งข้อความไลน์มาหา

สงเหี้ย หอสอง : มองไร ทำงานไปดิ

ผมอดไม่ได้ที่จะพิมพ์โต้ตอบกลับไป

AI : มึงมานั่งหายใจทิ้งทำไมเนี่ยสงคราม
AI : ไม่มีอะไรทำเหรอ
สงเหี้ย หอสอง : กูผิดเหรอ กูมาเฝ้าแฟนทำงาน


สงครามยักคิ้วให้ผม ส่วนผมได้แต่ถอนหายใจใส่มัน

AI : กูไม่เป็นไร
สงเหี้ย หอสอง : กูทำแบบนี้แล้วกูสบายใจ
สงเหี้ย หอสอง : ปล่อยกูทำไป
สงเหี้ย หอสอง : และก็อย่าใกล้เชี่ยไปป์ให้มันมาก
สงเหี้ย หอสอง : ไม่ชอบ


ผมมองไปที่สงคราม มันกำลังทำหน้าบูดบึ้งซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่มันเพิ่งพิมพ์มาพอดี

AI : นั่นกลุ่มโปรเจ็กต์กู
สงเหี้ย หอสอง : มันชอบมึง


ผมเองก็พอจะมีเซนส์เรื่องนี้อยู่บ้าง จึงไม่ค่อยช็อกเท่าไหร่นัก ที่ผ่านมาผมปฏิบัติตัวกับไปป์อย่างเป็นเพื่อนมาโดยตลอด หากมันจะเปลี่ยนความรู้สึกของมันที่มีต่อผม ผมก็จะยังเป็นเหมือนเดิมนั่นก็คือเป็นเพื่อนที่ดีของมันต่อไป

AI : แต่กูชอบมึงนะสงคราม

“เฮ้ยยยย” ผมได้ยินเสียงสงครามร้องดังมาจากมุมร้าน มันมองผมอย่างตกตะลึงก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว แม่งดูมีความสุขจนน่าหมั่นไส้อ่ะ

สงเหี้ย หอสอง : ไม่มาพูดใกล้ๆ ล่ะ มากระซิบข้างๆ หูนี่
AI : เอาตีนไปก่อนได้เปล่า
สงเหี้ย หอสอง : โหดดดด
AI : ไปหาอะไรทำได้แล้ว
สงเหี้ย หอสอง : ก็ได้ๆๆ


“กลับตึกกัน” สงครามพูดกับเพื่อนแต่เสียงดังพอที่ผมจะได้ยิน ไม่อยากจะเชื่อก็ต้องเชื่อว่ามันทำตามสิ่งที่ผมบอกด้วย “มีนนั่งคนเดียวได้ใช่ป่ะ”

“โอ๊ย สบาย” มีนซึ่งหันหลังให้ผมส่งเสียงตอบ

“โอเค”

สงครามเดินนำคนอื่่นมาผ่านโต๊ะผม มันมองหน้าผมก่อนจะขยิบตาข้างหนึ่งมาให้ ผมหลุดยิ้มออกมานิดหน่อย รู้สึกใจเต้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้






19.10 น.

โต๊ะของผมเหลือเพียงแค่ผม ไปป์ และก็ธัช วันนี้เราเริ่มทำเล่มโปรเจ็กต์กันได้มากแล้ว และไม่มีใครมีทีท่าว่าอยากจะหยุดยั้ง ไอ้ไปป์กับไอ้ธัชเทียวเข้าเทียวออกร้านกาแฟเพื่อออกไปเช็กโปรเจ็กต์อีกที ผมนั่งพิมพ์งานอยู่นานตั้งแต่บ่ายจนกระทั่งถึงตอนนี้ ส่วนมีนที่นั่งอยู่อีกโต๊ะนั้นกลับไปตั้งแต่ตอนเย็นแล้วครับ

อุปสรรคในการทำงานของผมมีอยู่ไม่กี่สิ่ง เรื่องเหนื่อยสมองน่ะไม่เท่าไหร่หรอกครับ แต่การปวดหลังเนี่ยสิมันทำให้ผมรู้สึกอยากนอนราบไปกับเตียงมากๆ แต่ก็ทำไม่ได้

ยังไงวันนี้ก็ต้องจบบทที่หนึ่ง

“ธัชมึงมาพิมพ์ต่อดิ๊ เชี่ยอ้ายไม่น่าจะไหวแล้ว”

เหี้ยไปป์มันรู้ได้ไงวะ แต่ผมก็รู้สึกไม่ไหวแล้วจริงๆ “เดี๋ยวกูเกลาให้เอง ขอเอนหลังแป๊บ”

ผมขยับตัวไปนั่งโซฟา ไอ้ธัชกับไอ้ไปป์เริ่มกลับมาจ้องหน้าจอและก็พิมพ์งานกันต่อ วันนี้ผมสั่งกาแฟดื่มไปสองแก้วแล้ว ทำไมยังรู้สึกง่วงอยู่แบบนี้ นี่กาแฟปลอมป่ะวะ

โซฟาข้างๆ ยุบลง คนที่เข้ามานั่งคือคนที่ไม่ค่อยแคร์อะไรสักอย่างบนโลกใบนี้ และคราวนี้มันก็มาคนเดียวด้วย

สงคราม...

“เสร็จชาติหน้าหรือเปล่าเนี่ย” สงครามมาถึงก็ทำหน้าหงิกทันที “กูรอมึงกลับหอจนขี้เกียจจะรอแล้ว มึงเป็นแม่ที่ทิ้งลูกๆ มึงหรือไง”

มาถึงก็ใส่เป็นชุดเลย

“งานยังไม่เสร็จเลย”

“มันไม่เสร็จภายในวันนี้คืนนี้หรอก พักบ้าง” สงครามเอื้อมมือมาลูบหัวผม ผมอดรู้สึกอึ้งกับการกระทำของมันไม่ได้ ได้แต่ก้มหน้ากระพริบตาปริบๆ ทำไมจากที่เหนื่อยๆ อยู่กลายเป็นหายเหนื่อยไปเฉยเลย

เมื่อเงยหน้าขึ้นมาดูอีกที ไอ้ธัชกับไอ้ไปป์กำลังมองผมกับสงครามอย่างงงๆ ดวงตาของพวกมันใสแจ๋ว เต็มไปด้วยความสงสัย
สงครามปล่อยมือจากศีรษะของผม ส่วนผมขยับตัวออกห่างจากมันเล็กน้อย

“มึงมารอใครวะสงคราม” ไปป์ยิงคำถามใส่ สีหน้าของมันดูเคร่งเครียดมากกว่าตอนทำงานเสียอีก

ผมไม่คิดว่าตัวเองจะห้ามปรามอะไรไอ้สงครามได้อยู่แล้ว มันเป็นคนที่อยากพูดอะไรก็พูด ไม่เคยเกรงใจ ไม่เคยกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น

“ไอ้อ้าย”

“ทำไมต้องมารอ”

“เสือกไรไปป์”

ไอ้ธัชเอามือนวดขมับรอเลยครับ ส่วนผมก็เอื้อมมือไปแตะหน้าขาของไอ้สงคราม

“ใจเย็น”

“มันเป็นเพื่อนกู กูไม่จำเป็นต้องปิดบัง” สงครามมีสีหน้าบึ้งตึง “ส่วนเพื่อนมึงอย่างไอ้ธัช มึงก็ไม่จำเป็นต้องปิดอะไรมันเหมือนกัน”

ที่ผมอยากปิดบังเรื่องนี้จากลูกหอ สงครามมันเข้าใจ แต่เรื่องที่ปิดบังเพื่อนมันคงไม่เข้าใจและทำไม่ได้จริงๆ ผมไม่อยากให้เรื่องนี้มาเป็นเรื่องผิดใจกันระหว่างผมกับมัน ผมควรทำในสิ่งที่มันต้องการแบบครึ่งต่อครึ่ง

ชีวิตรักของผมไม่ได้มีแค่ตัวผมอีกต่อไปแล้ว

ธัชอ้าปากค้างเติ่ง มันไม่ค่อยสนิทกับสงครามจึงไม่กล้าส่งเสียงอะไรออกมาทั้งนั้น ส่วนไอ้ไปป์ตอนนี้ผมไม่แน่ใจว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่ สีหน้าของมันดูมีอะไรมากมายที่พยายามอดกลั้นเอาไว้

“จะถามอะไรอีกมั้ย”

สงครามมันจี้ไอ้ไปป์ราวกับมีเงาแค้นอะไรอยู่เบื้องลึกเบื้องหลังที่ผมไม่รู้ ปกติแล้วสงครามกับไปป์มันสนิทกันจะตาย

“กูไม่ถามมึง แต่กูจะถามอ้าย”

“...”

“อ้ายพักพอหรือยัง มาพิมพ์ต่อมั้ย”

ผมสะดุ้งก่อนจะพยักหน้าแล้วเดินอ้อมไปนั่งหลังแล็ปท็อปเพื่อพิมพ์งานต่อ ระหว่างนั้นผมได้ยินเสียงกระป๋องถูกบีบจนบี้แบน คนที่บีบก็คือสงคราม มันหยิบกระป๋องโค้กของไอ้ธัชที่ดื่มหมดแล้วมาบีบเล่นนี่เอง

ไอ้เหี้ย น่ากลัวเป็นบ้า

“กูว่าวันนี้พวกเราทำได้เยอะแล้ว กลับกันดีมั้ยวะ” ธัชถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ

ผมได้แต่หันไปมองผู้นำกลุ่มที่ยังคงมีสีหน้าขึงขัง

“อ้ายว่าไง” ไปป์แม่งเสือกหันมาถามผมซะงั้น

เราทุกคนรู้สึกเหนื่อยล้า มิหนำซ้ำยังไม่มีใครกล้าคาดเดาอารมณ์ของไอ้สงคราม บรรยากาศเย็นยะเยือกที่ถูกส่งผ่านมาจากตัวสงครามทำให้ผมคิดว่าเราทุกคนควรพอแค่นี้

“กลับก็ได้”






ตอนมาที่นี่ผมมารถไอ้ธัช แต่ตอนกลับผมต้องกลับรถของสงคราม จนถึงตอนนี้ผมยังไม่หายรู้สึกกลัวมันเลยครับ ไอ้สงครามที่แย่งแล็ปท็อปของผมไปถือมองผมอย่างประหลาดใจ

“มึงเป็นอะไร”

“...”

“กูอาบน้ำมาแล้วนะ รังเกียจกูขนาดนั้นเลยเหรอ”

น้ำเสียงกับสีหน้ามันช่างต่างจากตอนที่มันบีบกระป๋องโค้กมาก สงครามเดินมาขวางผมเอาไว้ไม่ให้ผมเดินต่อ

“อ้าย กูเครียดนะเนี่ย”

“เครียดไรวะ”

สงครามเอื้อมมือมาแตะปลายจมูกกับริมฝีปากผมอย่างรวดเร็ว ก่อนจะใช้อุ้งมือแตะแก้มผมต่อ

เหี้ย มันเก่งจังเลยเรื่องที่ทำให้คนอื่นเขาใจเต้นแรง

“อะไร” ถามออกไปอย่างหวาดระแวงปนเคอะเขิน

“ไม่ชอบที่มึงทำหน้าแบบนี้อ่ะ”

“แบบไหน”

“มึงจำได้มั้ย ตอนที่มึงโกรธกูเรื่องลูกหอกูไปต่อยไอ้เชี่ยเต”

ผมพยักหน้าหงึกๆ

“มึงทำหน้าแบบนี้ใส่กูตลอดเลย” มันตีแก้มผมเบาๆ ก่อนจะปล่อยมือ

“ทำหน้าแบบไหน”

“แบบที่เหมือนเกลียดกูอ่ะ”

“บ้า เกลียดห่าไร”

“เวลาที่มึงทำหน้าเหมือนมึงไม่ชอบกู กูเซ็งมากเลย” ผมเหลือบมองสงครามที่บ่นขมุบขมิบ “ง้อยากฉิบหายแต่กูก็ง้อ มึงจำไม่ได้เหรอ”

“จำได้”

“...”

“นึกว่ามึงจะชอบทุกหน้าของกูซะอีก” ผมแกล้งแหย่เล่น ไอ้สงครามยกเท้าขึ้นมาแกล้งจะเตะผม

“ก็ชอบ แต่ชอบที่สุดก็คือตอนมึงมองหน้ากูดีๆ ไง”

“จะไม่ให้กูงอนมึงเลยว่างั้น”

“ใครจะอยากให้มึงงอน เดี๋ยวกูก็ได้ส่งรูปนั้นให้มึงอีกหรอก”

ไอ้รูปที่มันแคปข้อความเก็บไว้นั้นแม่งคงจะตามมาหลอกหลอนผมไปอีกนานสินะ รูปที่มีคำว่า ‘กูจะไม่งอนมึงอีกแล้ว’ นั่นน่ะ ผมไม่น่าหลวมตัวพิมพ์ข้อความนี้ไปหามันตั้งแต่แรกเลย

“ตกลงจะทำหน้าดีๆ ใส่กูได้หรือยัง”

“สงคราม”

“ว่า?”

“เมื่อกี้กูกลัวมึงมากเลยว่ะ”

“เฮ้ย” มันหยุดฝีเท้า ก่อนจะหันมามองหน้าผมอย่างจริงจัง “กลัวกูทำไม”

“ตอนมึงบีบกระป๋องโค้ก”

“...”

“น่ากลัวฉิบหาย กูกลัวว่าอนาคตมึงจะมาบีบคอกู”

สงครามแม่งหลุดขำออกมาอย่างไม่เกรงใจในความหวาดกลัวของผม “กูจะไปบีบคอมึงทำไมล่ะอ้าย”

“ไม่รู้ คนอย่างมึงยิ่งชอบใช้ความรุนแรง”

มันมองซ้ายมองขวาก่อนจะโอบไหล่ผมเอาไว้เบาๆ “กูจะไปใช้ความรุนแรงกับคนที่กูรักทำไม”

นั่นไง...แม่งทำให้ผมใจเต้นตึกตักอีกแล้ว

“ไม่ต้องห่วงหรอก กูไม่ทำมึงเจ็บตัวแน่นอน”

“...”

“แต่ถ้าทำเรื่องนั้น มึงก็อาจจะเจ็บสักหน่อย”

สาบานดิ๊ว่านี่คือบทสนทนาของคนที่เพิ่งคบกันได้สองวัน ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยครับ ผมอ้าปากค้าง มองหน้าสงครามที่มีแววตาเจ้าชู้แบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

หน้าของผมตอนนี้คงแดงแปร๊ดมากแน่ๆ

“นั่นไง ทำหน้าแบบนั้นอีกละ บึ้งอีกละ” สงสัยไม่ค่อยมีแสงไฟแถวนี้ มันถึงไม่เห็นว่าผมหน้าแดง

“รีบกลับเหอะ”

“หรือมึงใจร้อน”

“ใจร้อนบ้าอะไรล่ะ”

ต้องโทษมันคนเดียวที่ทำให้ผมคิดถึงแต่เรื่องนั้นทั้งคืนอย่างสลัดออกไปจากหัวไม่ได้

...เพิ่งคบกันสองวันนะเว้ย แค่สองวันเอง!





TBC*
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 30-08-2017 23:41:09



ตอนที่ 17
พาร์ตของไปป์




สงครามกับอ้ายแม่งคบกันแล้วจริงๆ เหรอวะ

จนถึงตอนนี้ผมก็ยังอดรู้สึกช็อกไม่ได้ เมื่อไม่กี่วันก่อนผมยังเชื่อว่าสงครามมันชอบมีนอยู่เลย แต่พอคิดไปคิดมา ทุกครั้งที่มันปรึกษาผม มันไม่เคยเอ่ยถึงชื่อเพื่อนสมัยเด็กของผมคนนี้เลย

มีแต่ผมที่คิดไปเองคนเดียว

‘กูชอบคนคนหนึ่งว่ะ แต่เรื่องกูกับมันดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เลย มันอยู่คนละหอกับกู’

‘ใจกูก็อยากรุกจีบมันตรงๆ นะ แต่ถ้ากูพลาด กูเฟล กูก็กลัวว่าระหว่างกูกับมันจะเปลี่ยนไป’

‘ตอนนี้สถานะของมันกับกูค่อนข้างโอเค ไม่ได้ดีมาก แต่ก็ไม่ได้แย่’

‘กูคงชอบมันมากถึงขนาดกลัวว่าแม้แต่คนรู้จักก็จะไม่ได้เป็นอ่ะ’

‘คนชื่อสงครามแม่งมีช่วงเวลาที่ป๊อดหนักขนาดนี้ด้วยเหรอวะ โอยยย กูอยากฆ่าตัวเองเป็นบ้า’


ทั้งหมดทั้งมวลที่สงครามมันเคยพูดกับผม เป็นสิ่งที่มันพูดถึงอ้าย ไม่ใช่สิ่งที่มันพูดถึงมีน ผมนึกย้อนเวลากลับไปในช่วงระหว่างที่ผมเอาความคิดเรื่องสงครามชอบมีนว่ามันมาฝังหัวของผมได้ยังไง

มันก็ฉากๆ เดียวที่ผมไปแอบเห็น ประธานหอของผมยืนคุยกับเพื่อนสมัยเด็กของผมด้วยท่าทางสนิทสนม ทั้งคู่หัวร่อต่อกระซิกกันอย่างมีความสุขจนผมอดคิดไปเองไม่ได้ว่าสองคนนี้แม่งมีซัมธิงรองกัน หลังจากนั้นความคิดเรื่องสงครามชอบมีนก็เข้ามาอยู่ในหัวผม ผมชอบเป็นห่วงมีน และถ้าสงครามได้คบกับเพื่อนผมคนนี้ผมจะได้เบาใจ มีนจะได้ทำร้ายตัวเองเพราะต้องการเรียกร้องความสนใจน้อยลง

แต่สิ่งที่ผมเห็นในวันนี้ทำเอาทุกอย่างในหัวผมตีกันไปหมด ภาพในร้านกาแฟหน้าตึกคณะยังคงตามมาหลอกหลอน ภาพที่สงครามเดินมานั่งข้างๆ อ้าย อีกทั้งยังแสดงท่าทีห่วงใยแบบไม่มีปิดบัง มันทำให้ใจของผมร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ที่แย่ไปกว่านั้นตอนที่ผมมองอ้าย ซึ่งเป็นภาพที่อ้ายยิ้มนิดๆ ปนเขินอายหน่อยๆ มันทำให้ใจของผมที่ร่วงลงมากองถูกเท้าคนอื่นเหยียบจนเละไม่มีชิ้นดี

และเท้าของคนคนนั้นก็คือสงคราม

ผมปลื้มมันมาโดยตลอด เพราะไม่เคยเห็นใครเสียสละเท่ามันมาก่อน แม้มันจะเป็นประเภทเอาแต่ใจตัวเองแถมยังโหดนิดๆ แต่เมื่อผมเห็นมันทำงาน สิ่งที่เป็นข้อเสียของมันกลายเป็นข้อดีที่ทำให้ลูกหอต่างก็ชื่นชม น้อมเคารพคนอย่างไอ้สงครามชนิดที่ว่าเต็มหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ ปกติแล้วคนอย่างสงครามจะมีคนหมั่นไส้ใช่มั้ยครับ แต่สำหรับหอสอง คนหมั่นไส้ไอ้สงครามแม้แต่คนเดียวยังไม่มี

ผมเองก็เป็นหนึ่งในบรรดาคนเหล่านั้นเหมือนกัน แต่การที่จู่ๆ สงครามมันมาซิวเอาอ้ายไปต่อหน้าต่อตา ผมก็อดรู้สึกเคืองนิดๆ ไม่ได้ แม้จะรู้ว่ามันไม่ใช่ความผิดของสงคราม แต่ผมก็ขุ่นมัวในอารมณ์ เหมือนคนแพ้ที่ยังไม่อยากยอมรับว่าตัวเองแพ้ และพยายามโทษคนอื่น ไม่ได้โทษตัวเองว่าคิดไปเองฝ่ายเดียวมาโดยตลอด ทั้งๆ ที่ความจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น

และเมื่อความจริงได้ปรากฏ ลูกผู้ชายอย่างผมก็ต้องยอมรับความจริงไม่ใช่เหรอ

แต่ผมยังไม่อยากปล่อยอ้ายไป ผมยังพยายามได้ไม่เท่าไหร่เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องเรียน โปรเจ็กต์ และช่วยสงครามดูแลลูกหอ

ผมอยากมีเวลามากกว่านี้

ปัง!

ผมสะดุ้งเมื่อประตูห้องของผมถูกพัง อ่านกันไม่ผิดหรอก ถ้าไอ้คนที่มามันเปิดดีๆ คงเสียงไม่ดังสนั่นลั่นทุ่งแบบนี้ ดูก็น่าจะรู้ว่าใครเป็นคนทำ เวลาสงครามมันหงุดหงิดมันชอบทำลายข้าวของเสมอ

มันยืนอยู่ในห้องผม สีหน้าดูไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง รูมเมตของผมคนอื่นๆ หยุดทำกิจกรรมและพากันมองหน้าสงครามนิ่งๆ แม้จะอยู่ปีสี่เหมือนกัน แต่เชื่อเถอะครับว่าคนทั้งหอนั้นเกรงใจมันกันหมด

“จะเอายังไง” สงครามเอ่ย “จะวัดกันแบบไหน เลือกมา”

เวลาคนในหอสองชอบคนเดียวกัน ส่วนใหญ่ก็มักจะใช้วิธีนี้เพื่อที่จะได้รู้ว่าใครควรถอย ใครควรอยู่ต่อ ผมไม่คิดว่าจู่ๆ ผมจะมีวันนี้ ไม่ว่าจะแข่งเรื่องไหนยังไงผมก็แพ้สงครามอยู่ดี

“คิดว่ามันทันเหรอ ในเมื่อมึงเอาอ้ายไปแล้ว”

สิ้นเสียงของผม เพื่อนร่วมห้องทุกคนต่างไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ ไม่ช้าก็เร็วข่าวประธานหอสองคบประธานหอสามคงแพร่กระจายไปทั่ว

“กูไม่ชอบสีหน้าที่มึงแสดงออก”

“กูอกหัก จะให้กูทำหน้ายินดีหรือไง”

“แต่สิ่งที่กูไม่ชอบที่สุดก็คือสิ่งที่มึงทำกับมีน”

“...”

“มึงใจร้ายเหี้ยๆ เลยไอ้ห่าไปป์”

ผมคิ้วกระตุก รู้สึกฟิวส์ขาดที่มันมายุ่งเรื่องของผม “แบบนี้เรียกว่ามึงเสือกแล้ว สงคราม”

หลับตาลงอย่างรู้โชคชะตาล่วงหน้า สงครามเดินมาคว้าตัวผมจากนั้นก็ซัดเปรี้ยงจนผมหน้าหัน ตัวผมล้มลงไปกองกับพื้นอย่างคนน่าสมเพช

“นี่สำหรับมีน”

“มึงแคร์มีนมากกว่าแคร์อ้ายเหรอวะ”

“เหี้ยไรของมึง”

“แทนที่มึงจะต่อยกูเพราะอ้าย แต่มึงดันต่อยกูเพราะมีนเนี่ยนะ”

สงครามคว่ำเก้าอี้ของผมจนสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งชั้น

“ถ้าทำเพื่ออ้าย กูกลัวมึงจะเข้าโรง’บาล”

“...”

“อีกอย่างหนึ่งมึงแอบชอบเพื่อน มึงไม่ผิดเท่ากับการที่มึงเพิกเฉยต่อเพื่อนสมัยเด็กของมึงจนน่าเตะหรอก”

มันไม่ใช่คนไร้เหตุผลเรื่องใช้กำลังแม้จะเป็นคนที่ชอบใช้กำลังมากก็ตาม สงครามดูสงบลงอย่างเห็นได้ชัด มันเดินออกจากห้องผมไป ทิ้งเศษซากอารยธรรมที่มันทำพังไปอย่างไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น

จะพูดว่ามันแคร์มีนมากกว่าก็ไม่น่าจะถูก ที่มันทำแบบนี้ดูเหมือนมันจะโกรธเรื่องมีนมากกว่าเรื่องที่ผมแอบชอบอ้าย ผมแอบชอบเพื่อน มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากตัวผมเอง ส่วนเรื่องที่ปั้นปึ่งกับมีนตลอดเวลา...มันเป็นเรื่องที่ผมไม่สมควรจะทำเป็นอย่างยิ่ง
ผมรู้ตัวดี ผมรู้มาตั้งนานแล้วล่ะ...เพียงแต่ผมก็ยังทำเหมือนเดิมต่อไปเพราะหวังว่ามีนจะเปลี่ยนใจ

สงครามมันคงข่มอารมณ์โกรธมาตั้งแต่อยู่ในร้านกาแฟ ผมเห็นว่ามีนเปลี่ยนโต๊ะไปนั่งกับมันท่ามกลางพวกวิศวะการบินเฉย ผมพอจะเดาออกว่ามีนย้ายโต๊ะไปเพราะผม แต่ไม่คิดว่ามีนจะสนิทกับสงครามถึงขั้นกล้าไปนั่งร่วมโต๊ะกันได้

พวกมันคงสนิทกันนั่นแหละ สงครามถึงได้โกรธมากขนาดนี้

“มึงโอเคป่ะวะไปป์” เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งถามผมอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ไม่มีเรื่องอะไรใหญ่โตใช่มั้ย”

“ไม่มีเว้ย”

“ปกติไม่เห็นมึงเคยทะเลาะกับสงคราม”

“ก็นี่มันคือช่วงเวลาผิดปกติไง”

เพื่อนร่วมห้องอีกคนเริ่มหันมาคุยกับผมพร้อมทำหน้าเคร่งเครียด “เรื่องสงครามอ้ายนี่กูไม่รู้นะ เรื่องของมันกูไม่กล้ายุ่งอยู่แล้ว แต่เรื่องมีนอ่ะ มึงทำอะไรสักอย่างเหอะว่ะ พอกูได้ยินสงครามมันพูดแบบนี้แล้วกูไม่สบายใจเลย”

ผมลุกขึ้นมานั่งบนเตียงก่อนจะถาม “มีเรื่องอะไรกัน”

“คือ...” พวกมันมองหน้ากันแล้วก็เกี่ยงกันพูด “เด็กหอเรามีเรื่องแย่งมีนกันหลายครั้งแล้วว่ะ กูคิดว่าเรื่องมันเล็กก็เลยไม่ได้บอกสงคราม”

“เฮ้ยยยยย”

“ต้องให้เพื่อนมึงคนนี้น่ะเพลาๆ บ้างแล้วนะกูว่า”

จากที่เคยเครียดเรื่องอ้าย ตอนนี้ผมเครียดเรื่องไอ้มีนแทนแล้วล่ะครับ บางคนอาจจะคิดว่ามีนเป็นคนที่มั่วและก็ชอบอ่อยคนนั้นคนนี้ไปทั่ว แต่สาเหตุที่แท้จริงไม่ใช่มีน...มันคือผมที่นั่งปวดกรามอยู่ตรงนี้

ทุกสิ่งที่มีนทำก็เพื่อเรียกร้องความสนใจจากผม ผมไม่เคยสนใจมันเลย ทุกอย่างมันจึงบานปลายจนมาถึงตอนนี้ ตอนที่เพื่อนร่วมห้องผู้ไม่ค่อยยุ่งเรื่องชาวบ้านถึงขนาดต้องเอ่ยปากเตือน

มีนมันถูกมองว่าแย่ก็เพราะผม แต่ก่อนผมเคยคิดนะว่ามันเป็นแบบนั้นก็เพราะมันทำตัวเอง แต่ตอนนี้ผมก็อดที่จะคิดไม่ได้ว่าทุกอย่างที่มันทำให้ตัวเองแย่ลงแบบนี้ มันเกิดจากผมเองนี่แหละ

เคยคิดนะว่าเมื่อไหร่มีนมันจะตัดใจจากผมสักที...ผมคิดจนเหนื่อย คิดจนยอมแพ้

แต่มีนมันไม่เคยยอมแพ้เรื่องของผมเลย








เราทั้งคู่เป็นเด็กที่โตมาด้วยกัน ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาโดยตลอด ผมเป็นห่วงมีนมากกว่าเป็นห่วงตัวผมเองซะอีก เพราะผมเป็นเด็กที่โตไว อยู่ดีๆ ก็สูงขึ้นพรวดพราดในช่วงมอปลายปีละเกือบสิบเซนติเมตร ขณะที่มีนนั้นพอขึ้นชั้นมอสี่ปุ๊บ มันก็หยุดสูงปั๊บ ร้อยเจ็ดสิบกว่าเซ็นต์ยังไงก็ยังเป็นเหมือนเดิมอยู่แบบนั้น

มันเป็นคนหน้าตาน่ารัก น่ารักมากกกกกกกเลยแหละ คนรู้จักผมมักจะเข้ามาชมมีนกับผมเสมอว่าเป็นผู้ชายที่หน้าตาน่ารักฉิบหาย เพราะงี้มันถึงถูกผู้ชายจีบมาตั้งแต่เด็กๆ ผมที่เป็นเพื่อนเพียงไม่กี่คนของมันก็ต้องดูแลมันไปตลอด แต่ก่อนมีนมันใสมาก ใครชวนไปไหนก็ไป ใครมาขอเบอร์ก็ให้ ไม่มีไตร่ตรองหรอกครับว่าคนที่เข้ามาจะอยากได้อะไรมากกว่าเบอร์หรือเปล่า

สาบานได้ว่าตอนนั้นผมไม่เคยคิดเลยว่ามีนจะชอบผม มันไม่เคยแสดงออกเลย หรือถ้ามันแสดงออกผมก็เดาไม่ออกเพราะมันก็เหมือนสมัยเด็กๆ ผมกับมันดูแลกันและกันเสมอ ยากที่จะมีเรื่องอะไรมาตัดขาด แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง วันที่ผมตกลงปลงใจคบกับเพื่อนผู้หญิงที่รู้จักกันในขณะนั้น มีนก็มาสารภาพรักกับผม

ตอนนั้นผมอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก มันทั้งช็อกทั้งอึ้งและก็รู้สึกผิดหวัง ผมมองมันเป็นเพื่อนและก็น้องชายตัวเล็กๆ มาโดยตลอด ไม่คิดว่ามันจะคิดกับผมแบบนี้ จำได้ว่าวันนั้นผมเผลอพูดเสียงดังใส่มันไปเยอะ อีกทั้งยังบอกอีกว่ายังไงเรื่องของเราก็ไม่มีทางเป็นไปได้ ผมมีแฟนแล้ว...และผมก็ไม่อยากให้มีนมาชอบผมในทางแบบนี้ เราสองคนผูกพันกันมากเกินไป

ใครเล่าจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นมีนประชดประชันผมหนักมาก ควงผู้ชายเป็นว่าเล่น สร้างเรื่องฉาวๆ ให้ลอยเข้ามาในหูของผมเสมอ ผมกำหมัดแน่นแล้วแน่นอีก เป็นห่วงมันฉิบหาย พยายามดึงมันให้ออกมาจากวังวนด้านมืด แต่มันไม่ให้ความร่วมมือผมเลย มิหนำซ้ำยังแข็งข้อ ทำอะไรที่ดาร์กอยู่แล้วให้ดาร์กลงไปอีก

นานวันเข้าผมจึงยอมแพ้ ปล่อยให้มีนทำสิ่งที่มันคิดว่าถูก ผมนึกว่ามันจะเลิก แต่เปล่าเลย...มันมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ มากจนผมโกรธ จนมองหน้าก็โมโห กลายเป็นผมที่ก้าวร้าวใส่เพื่อนผมคนนี้ทุกครั้งที่เจอหน้ากัน

รอยร้าวมันรุนแรงเกินกว่าจะซ่อมแซมและใกล้จะแตกหัก ทุกวันนี้ผมยังคงโมโหมีนอยู่ แต่ก็เป็นห่วงมันมากอยู่ดี ผมไม่กล้าแสดงออกเพราะผมยังเชื่อมั่นในความคิดที่ว่าผมอยากให้มันตัดใจจากผมและกลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ผมคิดถึงมัน อยากคุยกับมันเหมือนวันเก่าๆ แต่มันก็ไม่ให้ความร่วมมือกับผมเลย

มันไม่ตัดใจ มันไม่อยากตัดใจ...

ผมไม่คิดว่าปัญหาจะลุกลามบานปลายมาจนถึงปัญหาภายในของหอสอง ตอนนี้ผมกับสงครามก็อยู่ปีสี่แล้ว ไม่อยากจัดการปัญหาหยุมหยิมที่ไม่รู้ว่าจะกลายเป็นปัญหาใหญ่แบบยกพวกตีกันกลางหอหรือเปล่า ผมไม่อยากให้เรื่องมันใหญ่ถึงขั้นนั้น
หรือผมต้องเข้าไปแก้ปัญหานี้ด้วยตัวของผมเองจริงๆ








วันต่อมา

อินสตาแกรม bigbossdormno.3
ภาพ : อ้ายตอนไปเที่ยวญี่ปุ่น
แคปชั่น : โลกนี้ช่างสวยงาม


ผมที่พักผ่อนจากการนั่งอ่านหนังสืออยู่เลื่อนดูอินสตาแกรมแล้วบังเอิญไปเห็นว่าอ้ายเพิ่งอัพรูปพอดี แคปชั่นแบบนี้ดูก็รู้ว่ากำลังอินเลิฟ ผมกดไลก์ด้วยใจที่เจ็บแปลบ ก่อนจะเลื่อนไปดูรูปต่อไปที่อัพในเวลาติดๆ กัน

อินสตาแกรม skwwytn
ภาพ : สงครามถูกแอบถ่ายตอนเผลอที่ลานวิศวะ
แคปชั่น : ปั๊บ ปา ดับ ปา


หมดกันความเท่ของประธานหอกู...ปกติแล้วสงครามมันชอบตั้งแคปชั่นเกรี้ยวกราดด้วยคำสั้นๆ เช่น ‘แดกอยู่’ ‘อยู่ร้านนี้ใครไม่มามีตื้บ’ ‘นี่อาหารคนหรืออาหารมด ให้น้อยฉิบหาย กูหิว’ แต่พอมาถึงรูปล่าสุด แม่งตั้งว่า ‘ปั๊บ ปา ดับ ปา’ มันคิวต์ขัดกับแคปชั่นภาพอื่นของมันมาก

สงสัยแม่งกลัวคนไม่รู้ว่าอยากต่อเพลงกับอ้าย

ผมกดไลก์อีกครั้งด้วยใจที่เจ็บแปลบ...อันที่จริงก็ไม่อยากจะยอมแพ้ แต่พวกแม่งคบกันแล้ว อีกอย่างทั้งคู่ก็เป็นคนที่ผมรัก ถ้าเข้าไปขัดผมก็คงกลายเป็นขี้แพ้ชวนตีไปเลย ตอนนี้ผมจึงทำได้แค่กดไลก์ด้วยใจที่...นั่นแหละ...เจ็บแปลบ

อัพรูปแข่งกันอยู่ได้กูอัพบ้างดีมั้ยเนี่ยยยยยยยย

ไม่ทันที่ผมจะได้ทำอะไร การแจ้งเตือนในไอจีก็บอกว่ามีคนเพิ่งเข้ามากดไลก์ในไอจีของผมเมื่อสักครู่นี้ ผมจำแอคเคาท์นี้ได้ เป็นแอคเคาท์ที่มีผู้ติดตามเกือบจะ 100K แล้ว ซึ่งนับว่าเยอะมากเมื่อเทียบกับเด็กรุ่นเดียวกันคนอื่นๆ

pmean

ไอจีของมีนกำลังฮอตสุดๆ เพราะยอดกดไลก์แต่ละรูปของมันไม่ต่ำกว่าสองหมื่นไลก์ทุกรูป ผมไม่ได้ฟอลไอจีนี้ซึ่งสาเหตุก็มาจากโมโหที่มันไม่ยอมเชื่อคำพูดผม จากที่เลื่อนและส่องดู รูปล่าสุดที่มีนอัพนั้นแม่งคุ้นเหมือนมันอยู่ในร้านที่ผม...กำลังนั่งอยู่ แต่มองซ้ายมองขวาหายังไงผมก็ไม่เห็นมัน

อินสตาแกรม pmean
ภาพ : กาแฟหนึ่งแก้วที่ถูกถืออยู่ในมือ
แคปชั่น : กาแฟมันขมแต่ใจผมขมกว่า #นกอีกแล้วทำไงดีครับ #เหมือนนกมาทั้งชีวิต #นกตลอดเวลา #จะนกอะไรขนาดนั้นวะ


ไอ้เหี้ยนี่มันตั้งแคปชั่นอ้อนแฟนคลับนี่หว่า ดูดิ๊มีคนมาเมนต์ให้กำลังใจกันใหญ่จะสี่ร้อยคอมเมนต์แล้ว ผมจะไม่รู้สึกอะไรเลยถ้าคอมเมนต์เหล่านั้นมันไม่สะเทือนมาถึงผม

ใคร ใครทำพี่มีนนก หนูจะไปเผาบ้าน

พี่มีนขา เห็นอกหักมาหลายปีแล้ว คนคนนั้นเขาไม่คิดจะสนใจพี่มีนจริงๆ เหรอคะ

ใครกันที่หักอกมีนของผม

ใช่คนที่ตัว p ป่ะคะ หนูนั่งคิดกับเพื่อนอยู่ว่าชื่อไอจีพี่มีนหมายความว่าไง เพราะชื่อจริงของพี่มีนไม่ได้ขึ้นต้นตัว p เอ๊ะ หรือหนูคิดมากไป หนูควรไปนอนดีกว่าเนอะ

อยากเห็นหน้าคนคนนั้นของพี่มีนจัง

ดูพี่เพ้อมาหลายปี หนูสงสารพี่มากเลยค่ะ

มันไม่สนก็ปล่อยมันไป แดกกาแฟต่อไปให้สบายใจ


ทำไมเมนต์สุดท้ายนี่คนกดไลก์เยอะจังวะ...คนเมนต์คือใครกัน มีเพื่อนๆ ในมอ B มากดเพียบเลยครับ มิหนำซ้ำยังคุยกันต่อจากคอมเมนต์อย่างสนุกปาก

เชี่ยสงคราม

ไอ้ห่านี่! มึงมีแฟนแล้วมึงมาเสือกไรวะ

อยู่ดีๆ ผมก็รู้สึกคิ้วกระตุกขึ้นมาซะอย่างนั้น หรือเพราะผมไปอ่านเมนต์ของคนอื่นๆ ก่อนมาเจอเมนต์ของสงครามก็เลยพาลหงุดหงิดไปหมดแบบนี้

กูผิดขนาดนั้นเลยเหรอ...แค่อยากให้เพื่อนมันตัดใจนี่ผิดมากเลยหรือไง

“มีน”

ผมได้ยินเสียงดังมาจากที่นั่งหลังเสา งั้นก็แปลว่าไอ้มีนมันนั่งอยู่หลังเสาของผมนี่มานานแล้วแต่ผมไม่รู้สินะ ตอนนี้มันก็คงนั่งอยู่
เกือบลืมไปแล้วว่าสมัยก่อนผมกับมันชอบมานั่งร้านกาแฟแก้วละเกือบสองร้อยบาทนี่บ่อยขนาดไหน

“ทำไมไม่รับสายเราเลย”

คนพูดคือเสียงผู้ชายแน่แท้เลยทีเดียว

“เราไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกนะ”

“มีสิ เราต้องคุยกัน เรื่องคืนนั้นเราจะหยุดไว้ตรงนั้นไม่ได้นะ ต้องมีต่อ”

ผมกลืนน้ำลาย...ไม่คิดว่าจะได้มาฟังเรื่องบนเตียงของมีนแบบใกล้ชิดเอ็กซ์คลูซีฟขนาดนี้ ไอ้เรื่องนี้นี่แหละที่ทำผมฟิวส์ขาด โมโหสติหลุดจนไม่อยากมองหน้า มันเป็นเรื่องที่ทำให้ผมมองมีนแบบติดลบที่สุดแล้ว

ทำไมไม่รักตัวเองเลย ทำไมถึงได้ควงใครก็ได้ขึ้นห้องแบบนั้น

“มันไม่มีอะไรต่อแล้ว แค่จูบก็พอ”

“ไม่เข้าใจว่ะ” ไอ้นั่นเริ่มเสียงดังขึ้น “อีกอย่างก็ไม่คิดว่าที่เขาลือมามันจะถูก ที่แท้มีนหอสามก็แค่ไก่อ่อน ไม่กล้ามีอะไรกับคนอื่นจริงๆ”

หมายความว่าไงวะ...

“จะคิดอย่างงั้นก็คิดไปเหอะ แล้วแต่” เสียงของมีนดูไม่สนใจที่จะพูดคุยเรื่องนี้ต่อไป

“กูจะเอาไปแฉ”

เดี๋ยวก่อนนะ...พูดถึงขนาดนี้ผมไม่ยุ่งไม่ได้ว่ะ

“เฮ้ย” ผมลุกไปประจันหน้ากับคนคู่นั้นที่กำลังคุยกัน มีนทำตาโตใส่ผม ส่วนคู่กรณีของมีนทำหน้าตกใจเล็กน้อยเท่านั้น

มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนจากหอสี่ แต่ผมไม่รู้ว่ามันเป็นใคร

“แฉห่าไรของมึง”

“นี่อย่าบอกนะว่าไอ้นี่ก็เป็นผัวมึงอีกคนอ่ะ”

“ผัวไม่ผัวไม่รู้ แต่มึงอ่ะจะแฉอะไร เขาไม่ชอบก็ปล่อยเขาอย่ามาตื๊อดิ มีเงินเยอะไม่ใช่เหรอ ถ้าอยากนักก็ไปซื้อแดก”

“-วยไรวะ” ผมคงพูดจี้ใจดำมันเต็มๆ เพราะมันเริ่มโมโหและก็พร้อมจะเข้ามาต่อย แต่เมื่อผมพุ่งเข้าไปใกล้มันเตรียมจะสวนกลับ มันก็ชะงักตัวค้างเอาไว้

เรื่องใช้กำลัง หอสี่จะมาสู้หอสองได้ยังไง

มันดูหงุดหงิดอารมณ์เสีย ก่อนจะฟาดงวงฟาดงาเดินจากไป นี่สินะอาการของคนที่อยากได้แต่ไม่ได้

มีนยังคงมองผมอย่างตกตะลึงอยู่ ส่วนผมตวัดสายตามองมันอย่างไม่สบอารมณ์

“เจอแบบนี้มากี่คนแล้ว”

“ยุ่งไร”

ทำไมวันนี้ผมรู้สึกหงุดหงิดขนาดนี้ก็ไม่รู้ ผมเดินไปหยิบเอาของๆ ตัวเองมานั่งฝั่งตรงข้ามกับไอ้มีนที่กำลังอ่านหนังสืออยู่เหมือนกัน มีนกระพริบตามองการกระทำของผมอย่างไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก

“เลิกสักทีได้มั้ยกับการใช้ชีวิตแบบนี้”

“มาถึงก็เทศนากูเลยเหรอ”

“เออดิ ถ้ากูไม่มาช่วยป่านนี้มึงจะเป็นไง”

มีนเม้มปาก “ก็รอดมาทุกครั้ง”

“มีน”

“อะไรรร” มีนลากเสียงยาวคล้ายกับรำคาญผมเสียเต็มประดา “ถ้าไม่สนใจก็ไม่สนใจไปเลย ไม่ต้องมาแคร์อะไรตอนนี้หรอก”

“บอกก่อนว่าจะเลิกทำตัวแบบนี้”

“เพิ่งมาสนใจหรือไง”

“เลิกประชดสักที”

“...”

“ทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเองมันมีความสุขมากหรือไง”

นัยน์ตาของมีนสั่นระริก มันพ่นลมออกมาอย่างหงุดหงิด

“เสือกจริง”

“ดูคำพูดคำจา”

“ปกติกูกับมึงก็พูดกันแบบนี้”

เออว่ะ...ผมคงห่างกับมันมากเกินไปจนลืมไปเลยว่าผมกับมันเคยสนิทกันแค่ไหน

“มึงควรถามตัวเองมากกว่านะว่าไม่ได้เป็นตัวเองมีความสุขมั้ย ตัวมึงเองก็ไม่ได้ชอบที่จะมานั่งคุยกับกูแบบนี้ไม่ใช่เหรอ”

เกมพลิก...ตอนนี้ไม่ว่าผมจะอยากเอาชนะมันแค่ไหน สุดท้ายมีนมันก็ชนะผมจนได้ จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้มีความสุขนักหรอกตลอดเวลาที่ผมกับมันเป็นแบบนี้ ผมคิดถึงตอนที่เราเข้ากันได้มากกว่านี้ ตอนที่เราสองคนคุยกันได้ทุกเรื่อง

ผมเอาแต่โทษมีนที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป แต่ผมไม่เคยโทษตัวเองเลยว่าผมเห็นแก่ตัวมากแค่ไหนที่อยากให้มีนตัดใจด้วยการตัดมิตรภาพระหว่างเราสองคนไป

ผมผิดเอง...ผมผิดหมดทุกอย่าง

“ที่ผ่านมากูก็ไม่มีความสุขนักหรอก” เสียงของผมสลดจนมีนเปลี่ยนสีหน้า แววตาของมันยังเป็นมีนคนเดิมที่เป็นห่วงผมเสมอ “กูขอโทษนะ”

“เอ่อ...”

“กูขอโทษจริงๆ”

มือที่จับปากกาของมีนสั่นจนมันต้องวางปากกาลง มันใช้มือเรียวขาวเกาศีรษะแกรกๆ ราวกับกำลังทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์นี้

“กินขนมมั้ย” มันถาม ผมส่ายหน้าดิก “เครื่องดื่มล่ะ เอาอะไรเพิ่มหรือเปล่า”

“มึงจะกลับตอนไหน”

อีกฝ่ายมองดูนาฬิกา “อีกสักพักอ่ะ”

“งั้นก็เลือกๆ มาให้หน่อย”

“ช็อกโกแลตเหมือนเดิมใช่มั้ย”

มันจำได้แฮะ “ใช่”

“อืม”

มีนลุกขึ้นไปสั่งของกินให้ ผมถอนหายใจก่อนจะมองตามมันไปอย่างรู้สึกผิด ผมใจร้ายกับเพื่อนคนนี้มากี่ปีแล้ว พยายามเอาตัวเองไปอยู่ใกล้อ้ายซึ่งดูยังไงก็ไม่มีวันจะหันมามองคนอย่างผม ไม่ใช่ว่าผมมันแย่ขนาดนั้น แต่เหมือนอ้ายมันมองสงครามมานานแล้วต่างหาก

เหตุการณ์หลายอย่างเริ่มประเดประดังเข้ามารวดเดียวจนผมต้องกุมขมับ ทุกครั้งที่อยู่กับอ้าย ทุกครั้งที่อ้ายเอ่ยถามเรื่องหอสองและพาลเอ่ยถามไปถึงสงคราม ทำไมผมไม่เฉลียวใจ ทำไมผมไม่เอะใจ

มันให้ความเป็นเพื่อนกับผมเสมอมา ผิดกับบางคนที่ให้ทั้งความรัก ความเป็นเพื่อน และก็ความห่วงใยทั้งๆ ที่ผมแสดงออกนักหนาว่าอย่ามาชอบผมเลย

ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแย่

ตอนนี้ผมใกล้เป็นบ้าแล้วล่ะครับ

คนที่ผมควรกดฟอลไอจีมาตั้งนานแล้วแต่ผมก็เพิ่งรู้ตัวว่าควรกดฟอลวันนี้

บางอย่างมันเปลี่ยนแปลงกันได้ หากมันยังไม่สายจนเกินไป

ผมจะขอลองดู

skwwtyn มันไม่สนก็ปล่อยมันไป แดกกาแฟต่อไปให้สบายใจ
pipepipe @skwwtyn เสือกเหี้ยไรสงคราม
skwwtyn @pipepipe เกรี้ยวกราดสัด...มาฉี่ในไอจีสร้างอาณาเขตแล้วเหรอ
pipepipe @skwwtyn คนนะไม่ใช่หมา
skwwtyn @pipepipe ช้ากว่านี้กูเชียร์คนอื่นแน่
pmean @skwwtyn @pipepipe อะแฮ่ม ไอจีกูคนอยู่กันเยอะครับ
bigbossdormno.3 @pmean @skwwtyn @pipepipe มีปาร์ตี้อะไรที่กูพลาดหรือเปล่า
skwwtyn @bigbossdormno.3 ก่อนจะรู้ ตอบไลน์กูก่อนมึงง่ะ







TBC*
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 30-08-2017 23:53:36





ตอนที่ 18




OHM : มีสอบกี่ตัว
OHM : สะดวกเปล่าวะ
OHM : จะเอารถไปคืน


ผมที่กำลังเปิดหน้าต่างตรงโซนส่วนกลางอดประหลาดใจกับข้อความของโอมไม่ได้ ชีวิตโอมดีขึ้นทันตาเห็นราวกับเสกเงินได้จริงใช่มั้ยเนี่ย

จะว่าไปคนรอบตัวมีแต่คนเสกเงินได้ทั้งนั้น อย่างไอ้สงครามเป็นต้น ทุกวันนี้บางครั้งมันก็ยังเรียกผมว่าอ้ายสี่แสนอยู่เลย

กูขอขยับเป็นอ้ายสี่ล้านไม่ได้เหรอวะ

“โอ๊ย!”

“อุ้ย โทษทีว่ะ”

ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาของการเตรียมสอบมิดเทอมของเทอมสองครับ พวกลูกหอมันชอบมานอนกองๆ กันอยู่ส่วนกลาง ผมปิดแอร์ไปเรียบร้อยแล้วก็เลยอยากเปิดหน้าต่างให้อากาศธรรมชาติลอยเข้ามาในห้องกว้างใหญ่แห่งนี้บ้าง แต่สงสัยมัวแต่ติดโทรศัพท์ ก็เลยเผลอเหยียบลูกหอนิดๆ หน่อยๆ

กูขอโทษนะเว้ย กูไม่ได้ตั้งใจ

“ไปนอนห้องตัวเองได้แล้วไป” ผมเริ่มไล่ “จะอ่านอะไรทั้งวันทั้งคืนขนาดนั้น อ่านไปก็ไม่ได้เอ”

“โห ปากประธานหอกู”

“นี่ถ้าไม่ปลื้มนะ ป่านนี้ไล่เตะไปแล้ว”

“อย่าไปไล่เตะพี่เขาเลย ช่วงนี้พี่เขามีแบ็กใหญ่มาก”

“อะไรของมึงไอ้จ้อย” ผมเลิกคิ้วถามไอ้เด็กที่มีปัญหา “แบ็กใหญ่อะไร”

“ให้พูดป่ะ” จ้อยทำหน้าทีเล่นทีจริง “เขาลือกันมาว่าพี่กับพี่สงครามหอสองกำลังกุ๊กกิ๊กกัน”

แม่งช็อกกว่าโดนน้ำผสมน้ำแข็งเย็นๆ มาสาดใส่หน้าอีก ผมรีบมองดูปฏิกิริยาคนอื่นๆ ทันทีว่าจะทำหน้ายังไงกัน จะโกรธผมมั้ย จะเกลียดผมมั้ย ที่คอยบอกรุ่นน้องไม่ให้ไปยุ่งกับหออื่นแต่ตัวเองดันทำซะเอง

เชื่อมั้ยครับว่าไม่มีใครทำหน้าโกรธหรือโมโหผมเลย ทุกคนทำหน้าแบบเดียวกันคือล้อเลียน ขอย้ำ...ล้อเลียน แม้จะดีกว่าแต่ก็ใช่ว่าผมจะรับมือได้ง่าย

“มั่ว”ผมตอบได้แค่นั้น

“อย่าไปล้อพี่มันเยอะเลย เจอตีนพี่สงครามแล้วจะซวยเอา”
“เออ ไปกันเหอะ”

สาบานดิ๊ว่านี่คือคำพูดของคนที่นอนเพิ่งตื่นกันจริงๆ ตื่นมาก็ล้อเลียนกูเฉย ผมส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะหันไปมองข้อความที่มาจากโอมอีกครั้ง ชีวิตโอมมันดีขึ้นผมก็รู้สึกยินดีตาม ไอ้เงินกับของที่มันยืมไปผมเชื่อว่ายังไงมันก็ต้องเอามาคืนจริงๆ

AI : ตัวสองตัวว่ะ
AI : มาวันนี้เลยมั้ยล่ะ
OHM : เดี๋ยวถามเพื่อนก่อนว่าว่างมั้ย


เพราะมันต้องเอารถมาคืน มันจึงต้องหาคนที่จะขับรถพามันกลับมอของมันด้วยน่ะครับ

OHM : เพื่อนว่าง แต่มันบอกขอออกไปเจอแฟนที่มอมึงแป๊บนึง
OHM : ระหว่างนั้นมึงไปแดกเหล้ากับกูได้มั้ย
OHM : ไม่ได้แดกด้วยกันมานานแล้วนะเว้ย


ไอ้โอมมันเพิ่งจะถามผมเองนะว่าผมมีสอบหรือเปล่า ชวนไปดื่มตอนใกล้จะสอบเนี่ยนะ เฮ้ย มันไม่ใช่ป่ะ

AI : เออ ไป

สิ่งที่ผมตอบกลับไปคือสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับความถูกต้อง แม้ว่ามันจะไม่ใช่เวลาที่เหมาะ แต่ผมกลับเปรี้ยวปากอยากดื่มขึ้นมาซะอย่างนั้น โอมบอกเดี๋ยวจะไลน์มานัดเวลาอีกที ผมเริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา จะได้จับรถที่จากผมไปนานหลายเดือนนี่มันรู้สึกเหมือนกำลังจะรับลูกคืนสู่เหย้ายังไงยังงั้น

สายตาของผมเหลือบหันไปมองหอสอง ตั้งแต่เช้าก็ยังไม่เห็นว่าประธานหอโน้นมันจะมีความเคลื่อนไหวอะไร ทั้งเรื่องดูแลลูกหอกับเรื่องส่งไลน์มาทักทายผม ผิดมั้ยที่ผมจะรู้สึกผิดปกติ เพราะทุกทีไอ้สงครามมันจะดีดตั้งแต่เช้าและเป็นคนแอ็กทีฟชอบออกมาจ๊อกกิ้งด้วย แต่ทว่าวันนี้ประธานหอสองเงียบมากจนผมอดเป็นห่วงไม่ได้

แต่จะให้ผมบุกไป...มันก็กระไรอยู่

วันสองวันก่อนผมกับสงครามเข้าไปถล่มไอจีไอ้มีนกันอย่างสนุกสนาน ยิ่งรู้ว่ามีนมีแฟนคลับเยอะก็ยิ่งแกล้ง ผมสังเกตว่าสงครามมันชงให้ไปป์ได้กับมีนมาก ซึ่งเรื่องนี้ผมจะขอถามมันอีกทีว่าตกลงมันอะไรยังไงกันแน่ ตอนนี้ขอไขข้อสงสัยก่อนว่าสงครามมันหายไปไหน ทำไมถึงเงียบแบบนี้

AI : สงคราม ตื่นยังวะ

ไร้ซึ่งการตอบรับ โทรไปก็เงียบกริบไม่มีการรับสายใดๆ ทั้งสิ้น เฮ้ย นี่ผมชักจะคิดมากแล้วนะเนี่ยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมเดินลงไปหน้าตึกหอสามที่มีคนจากหออื่นเดินผ่านไปมาซึ่งเป็นเรื่องปกติในยามเช้า

“มึง พี่สงครามป่วยว่ะ”

“เฮ้ยจริงดิ พี่มันเป็นไร”

“ไม่รู้ เหมือนจะไข้แดก เพิ่งใช้ให้พวกกูไปซื้อข้าวมาให้เนี่ย”

“เดี๋ยว” ผมเอาตัวไปขวางเด็กปีหนึ่งสามคนที่กำลังคุยกัน มันอยู่ปีหนึ่งจริงเหรอวะ ทำไมตัวสูงแบบนี้

“ครับ” เด็กแต่ละคนมันดูงงๆ ว่าผมมาขวางทางพวกมันทำไม

“ไอ้สงคราม...ป่วยเหรอ”

พวกแม่งกั๊กมาก ท่าทางเหมือนไม่อยากจะบอกเพราะผมเป็นประธานหออื่น ให้ตายเถอะ หน้าอย่างผมจะไปทำอะไรเหี้ยสงครามได้ เรื่องศักดิ์ศรีหอวางไว้บนหิ้งก่อนได้มั้ย

“พี่อ้ายอยากรู้ไปทำไมครับ” นั่นไง กูว่าแล้ว

“กูเป็นห่วงมันเฉยๆ นี่แหละ” หน้าด้านตอบไปแล้ว ยังไงตอนนี้ข่าวของสงครามก็สำคัญกว่าการประหม่าของผม

เด็กสามคนซุบซิบกัน ผมรู้สึกอยากเอาตีนก่ายหน้าผากมาก สงครามมันสอนให้เด็กหอมันเรื่องเยอะขนาดนี้เหรอ อย่าให้เจอนะ เดี๋ยวแม่งจะด่าซะให้เข็ด

“มีเหี้ยไร” ทนายผู้โผล่มาจากไหนไม่รู้เดินมาสมทบ มันมองหน้าเด็กพวกนั้นอย่างเอาเรื่อง “พี่อ้าย พวกมันมีอะไรหรือเปล่า”

ผมว่าเอาตีนอีกข้างมาช่วยก่ายหน้าผากด้วยน่าจะเหมาะ

“มาหาเรื่องอะไรแต่เช้า”

“สัด” ผมกระทุ้งสีข้างทนาย “กูแค่ถามว่าสงครามป่วยเหรอ”

“มึงก็ตอบพี่มันไปดิ นี่เมียพี่สงครามนะ รู้ไว้ซะด้วย”

โอ้โห มึงตอบแบบไม่ดูหน้าดูตาดูศักดิ์ศรีกูเลยไอ้เหี้ยทนายยยยยยยย

เด็กสามคนอึ้งแดกไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนผมก็ไม่รู้จะเอาอวัยวะส่วนไหนมาก่ายหน้าผากเพิ่มอีก

“พี่สงครามป่วยครับ นอนซมอยู่ในห้อง”

“ปกติแล้วพี่มันไม่ป่วย เรื่องนี้คนก็เลยพูดถึงกันทั้งหอเลย”

“พวกผมไปได้หรือยังครับ”

คำว่าเมียพี่สงครามทำเอาพฤติกรรมของไอ้เด็กเหล่านี้เปลี่ยนไป เรื่องนั้นช่างมันก่อน ตอนนี้ผมกำลังมองหอสองอย่างนึกเป็นห่วง มันหลับถึงขนาดที่ว่าขาดการติดต่อกับผมไปเลยแบบนี้แสดงว่าหนักมากจริงๆ

ทนายปล่อยให้เด็กสามคนนั้นเดินไปก่อนจะกระซิบข้างหูผม

“ห่วงนักก็บุกเลย”

“เชี่ย”

“รอคนน้อยกว่านี้ ไม่สิ อยากไปก็ไปเลย ไม่ต้องแคร์หน้าไหนทั้งนั้น”

“...”

“พี่จะจบปีสี่แล้วนะครับ ไม่มีใครเขามาสนหรอกว่าพี่จะคบกับประธานหอไหนอ่ะ”

ทนายแม่งขี้ยุ แต่สิ่งที่มันพูดคือเรื่องจริงทั้งหมด ลึกๆ แล้วผมก็ไม่อยากสนหรอกว่าคนอื่นจะมองยังไง เทอมนี้ผมกับสงครามจะเรียนที่นี่เป็นเทอมสุดท้ายแล้ว อีกไม่กี่เดือนก็ต้องอำลาตำแหน่ง

ตอนนี้สิ่งที่ผมเป็นห่วงที่สุดก็คือสงคราม...








หอสอง

ยอมรับว่าผมตัวสั่น ยอมรับว่าผมทำอะไรไม่ถูกโคตรๆ ที่ตรงนี้มันเปรียบเหมือนวัดในขณะที่ตัวผมเป็นผีอ่ะ เป็นหอที่เคยย่างกรายผ่านแค่หน้าหอเท่านั้น ไม่เคยคิดอยากจะเข้าไปข้างในสักที เนื่องด้วยถูกรุ่นพี่ฝังมาใส่ในหัวว่าพวกหอนี้มันเหี้ย ชอบมาจีบเด็กหอเราแล้วก็ทิ้ง บางครั้งก็ปล่อยให้เด็กหอเราร้องไห้ฟูมฟายจะเป็นจะตาย บางครั้งก็คบเด็กหอเราและก็คบพวกผู้หญิงไปด้วย

จำได้ว่าตอนนั้นผมมีความรู้สึกหลากหลายมาก หนึ่งคืองงว่ากูต้องเกลียดหอสองใช่มั้ย สองคืองงว่าเด็กหอสามซึ่งเป็นผู้ชายล้วนจะร้องไห้ฟูมฟายเพราะพวกหอสองมันทำไม

แต่นั่นก็เป็นแค่อดีต ยิ่งพอได้มาสัมผัสว่าพวกหอสองมันแสบกับเด็กหอผมขนาดไหนผมก็ยิ่งเข็ดขยาด ไม่อยากเดินเฉียดเข้าใกล้ ดีนะที่สงครามมันไม่ได้เป็นแบบนั้น ผมก็เลยไม่ได้มองหอสองในแง่ร้ายไปซะหมด

คิดไปคิดมาถ้าไม่มีมันชีวิตการเป็นประธานหอของผมคงยากลำบากมากกว่านี้แน่นอน

“แดงเดือดนะมึง”

“เออ มึงเจอกูแน่”

“ผีกูชนะทีมมึงแน่นอน ทีมมึงนี่ทีมอะไรนะ ทีมที่ไม่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกหลายๆ ปีอ่ะ”

“พ่อมึงตาย”

เสียงดังมาจากโซนส่วนกลาง ที่จริงมันก็ดังปนกันไปหมดจนไม่เป็นภาษา ผมเพิ่งเดินขึ้นบันไดมาได้ไม่เท่าไหร่ พวกหอสองที่เดินสวนมาก็มองผมเหมือนเป็นตัวประหลาด

“มองหาพ่อง”

คีพมาดคูลๆ เอาไว้ก่อน ประธานหอยังไงก็คือประธานหอ ผมต้องไม่กลัวใครทั้งนั้น (รู้สึกเหมือนแบกศักดิ์ศรีคนทั้งหอไว้บนบ่า)

“หลงทางหรือเปล่าครับพี่อ้าย”

“นี่หอสองน้า ไม่ใช่หอสาม ฮิ้ววววว”

“หุบปาก” เจอมากกว่านี้ผมมาดหลุดแน่ๆ

“มาที่นี่ทำไมเหรอครับ” เด็กกลุ่มใหม่เดินเข้ามาสมทบ ผมกลายเป็นเป้านิ่งให้ไอ้พวกบ้านี่เข้ามารุม “มาหาใครหรือเปล่า ใครคือผู้โชคดีคนนั้น”

“กูว่ากูแน่เลย”

“กูหรือเปล่าว้า”

“กูชัวร์ๆ”

เนี่ย ไอ้พวกนี้มันก็เป็นซะอย่างเงี้ย จะไม่ให้ผมกับเด็กหอสามคนอื่นๆ ตกใจได้ยังไง นอกจากพวกมันจะตัวกำยำร่างสูงใหญ่แล้ว ยังชอบยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ เหมือนต้องการดมกลิ่นห่าอะไรก็ไม่รู้ คราวนี้ผมโดนเต็มๆ เพราะยืนเป็นเป้านิ่งให้คนนับสิบ

กูจะบ้าตาย...คิดถูกคิดผิดที่มาวะ

“ถอยไป สัด” เสียงเนือยๆ ดังมากพอที่จะทำให้พวกที่มาเกาะกลุ่มแตกกระจายกันออกไป สงครามที่หน้าซีดเผือดเดินเข้ามาคว้ามือผมแล้วลากเข้ามาข้างใน เจ้าพวกนั้นพากันอึ้งกิมกี่ จากนั้นก็ไม่ติดใจอะไรอีก หันกลับไปใช้ชีวิตตามเดิม แต่ก็ไม่ลืมที่จะซุบซิบเรื่องราวระหว่างผมกับสงครามว่ามีอะไรเกิดขึ้นกันแน่

มือของสงครามร้อนมากจนผมรู้สึกได้ มันพาตัวผมเข้ามาในห้อง 101 ของมัน ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างหมดสภาพ

แม่งป่วยหนัก...แต่ก็เสือกลุกไปช่วยกูไหวด้วยเนอะ

“มาทำไมก็ไม่รู้”

“...”

“ไอ้พวกห่านั่นเลยได้กำไรเลย”

ป่วยขนาดนี้ยังเผลอบ่นออกมาได้อีก ผมทรุดตัวนั่งลงข้างๆ เตียงก่อนจะมองดูสงครามอย่างเป็นห่วงชนิดที่ว่าไม่มีการปิดบังใดๆ ทั้งสิ้น

“ทำไมอยู่ดีๆ ป่วยล่ะ”

มันขยับใบหน้าหันมาทางผมขณะที่นอนคว่ำ ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อครับ สงครามกำลังทำหน้างอแง!

“นั่นน่ะสิ”

ไม่สบายแล้ววิญญาณผีเด็กเข้าสิงหรือเปล่าวะ

“ดูแลหน่อยยยยย”

เจอลูกอ้อนเข้าไปแบบนี้ ผมถึงกับไปไม่เป็น “ก็ดูอยู่นี่ไง”

“เดี๋ยวน้องจะเอาข้าวมาให้ มึงกินอะไรมาหรือยัง”

“มึงห่วงตัวมึงก่อนเหอะ” ผมเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของสงคราม แม่งร้อนฉ่าอย่างกับไฟ “เฮ้ย ไปหาหมอดีมั้ย ไข้มึงสูงนะ”

“แค่ไข้แดก ไม่เป็นไรหรอก”

“แต่คนอย่างมึงถึงกับนอนซมเลยนะเว้ย เหมือนควายถึกๆ ที่อยู่ดีๆ ก็ล้มเฉยอ่ะ”

“เชี่ยอ้าย นี่แฟนมึงนะ”

ขอหลุดขำสักนิดได้มั้ยครับ...ผมไม่ได้ตั้งใจจะใช้คำนั้นกับมัน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีคำไหนเหมาะมากไปกว่าคำนี้อีกแล้ว

“เออวะ ควายก็ควาย” หมดฤทธิ์ขนาดที่ไม่มีแรงเถียงกับผมเชียวเหรอ

“ว่าแต่มึงรู้ได้ไงวะว่ากูมา”

“พวกที่เดินผ่านห้องกูมันส่งเสียงดังว่าพี่อ้ายมาๆๆ กูก็เลยต้องออกไปดู”

“...”

“มึงดังในหมู่เด็กๆ อ่ะ ส่วนไอ้ของขาวนั่นมันดังในหมู่รุ่นพี่”

แม่ง ผมกับอาสาเป็นที่ชื่นชอบในคนละทาร์เก็ตไปอีก...แต่ผมไม่แน่ใจว่าควรดีใจกับเรื่องนี้ดีหรือเปล่า

“เอาล่ะ นอนพักซะ” ผมแตะไหล่ของสงคราม “พลิกตัวนอนหงายดีๆ ดีมั้ย”

“นอนแบบนี้แล้วอุ่นดี”

“มึงก็ห่มผ้าสิ”

“ก็ห่มให้หน่อยสิครับ”

รู้สึกใจอ่อนระทวยยังไงก็ไม่รู้...ปกติไอ้สงครามมันพูดเพราะกับผมที่ไหนกัน ให้ตายเถอะ ป่วยแล้วเหมือนคนละคนกับตอนสภาพร่างกายปกติ ทั้งเด็กทั้งขี้อ้อน

แบบนี้มึงช่วยป่วยบ่อยๆ ได้มั้ย #ล้อเล่น

ผมจัดการห่มผ้าให้สงคราม คอยเช็กดูว่ามันนอนสบายดีทุกอย่างแล้ว ระหว่างนั้นได้ยินเสียงเคาะประตู ผมคิดว่าเด็กหอสองคงซื้อข้าวมาให้สงครามเป็นที่เรียบร้อยแล้วล่ะ ผมเดินไปเปิดประตูรับข้าวกล่องที่รุ่นน้องคนนั้นซื้อมาให้ อีกฝ่ายมองดูผมเหมือนผมเป็นผี

“ขอบใจนะ” ผมบอกน้อง

กลัวว่าเรื่องจะยาวจึงรีบปิดประตู ผมแกะอาหารลงบนจาน พร้อมกับหยิบน้ำเปล่ามาวางคู่กันหนึ่งขวด ห้องไอ้สงครามไม่มีแก้ว แปลว่าเจ้าตัวคงชอบดื่มน้ำจากขวดแน่ๆ

“สงคราม มึงลุกขึ้นมากินข้าวไหวมั้ย”

“อืมมมมม” อืมนี่แปลว่าอะไร ไหวหรือเปล่าวะ “ไม่กินไม่ได้เหรอ”

“ไม่ได้ ถ้าไม่กินข้าวแล้วจะกินยายังไง”

“ปกติไม่กินยา”

“ป่วยก็ต้องกินยาสิ”

“ก็ปกติไม่ป่วยอ่ะ”

ขอถอนคำพูดเรื่องที่อยากให้มันป่วยบ่อยๆ เพราะถ้ามันเหมือนเด็กก็แปลว่ามันดื้อครับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อร่างกายของมัน

“ลุกขึ้นมา” แม้จะเพิ่งส่งมันนอน แต่ผมก็อยากให้มันกินยาก่อน ผมลงทุนไปลากตัวมันให้ลุกขึ้นนั่ง “สัญญาว่าถ้ากินเสร็จปุ๊บแล้วจะให้นอนปั๊บเลย”

“ตอนนั้นมึงจะยังอยู่กับกูป่ะ”

ผมไม่ต้องเสียเวลาคิดเลย “อยู่สิ”

มันลุกขึ้นนั่ง นัยน์ตาปรือ อีกทั้งตัวยังโงนเงนไปมา เหี้ยแม่งน่ารักว่ะ เดี๋ยว นี่ผมชอบสงครามตอนป่วยมากขนาดนี้เชียวเหรอ

“สัญญาแล้วนะ”

ผมยิ้มให้มันเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่น “สัญญา”

“ป้อนได้มั้ย”

“ได้”

คงไม่ต้องใช้ฟอร์มกับสงครามแล้วล่ะมั้งครับตอนนี้ ผมหยิบจานก่อนจะมานั่งข้างๆ สงครามบนเตียง มันเอียงใบหน้ามาซบกับไหล่ผมทันทีจนไหล่ผมรู้สึกร้อน

โห อย่างกับโดนไฟลวก

ผมตักข้าวใส่ปากของสงคราม มันเงยหน้าขึ้นกินเสร็จก็ก้มลงซบไหล่ผมต่อ ดูมันเพลียจัดจนไม่มีแรงแม้กระทั่งเคี้ยวข้าว เห็นมันเป็นแบบนี้ผมใจไม่ดีเลย

“หาหมอดีกว่ามั้ย”

“ไม่เอา นอนพักวันเดียวเดี๋ยวก็หาย”

“เคยเป็นแบบนี้บ่อยเหรอ”

“สองปีป่วยครั้งนึง”

ลืมไปว่ามันคือราชานักดูแลสุขภาพ... “ชัวร์นะ ถ้าตอนบ่ายไข้ไม่ลดกูจะลากมึงไปโรง’บาล”

“เดินพ้นหอกูให้ได้ก่อนมึงอ่ะ”

“...”

“แต่ไม่ต้องไปไหนหรอก อยู่กับกูนี่แหละ อย่าอยู่ให้ไกลจากสายตากูนะ ไอ้เด็กพวกนี้แม่งชอบจ้องจะแดกทีเผลอ”

“เลิกบ่นแล้วกินข้าวเถอะ”

สงครามยังกินแบบเดิมนั่นก็คือเงยหน้าขึ้นมากินทีและก็เคี้ยวแบบซบไหล่ผมที ดูอ่อนระโหยโรยแรงจนน่าเป็นห่วง

“พอแล้ว”

“เฮ้ย เพิ่งกินไปห้าคำเอง”

“กินได้แค่นี้จริงๆ”

“ตัวมึงใหญ่ มึงต้องใช้พลังงาน”

“เวลานอนไม่ต้องใช้พลังงานอะไรเท่าไหร่หรอก”

“...”

“แต่ถ้ามึงจูบหนึ่งทีกูจะกินอีกหนึ่งคำก็ได้ แลกๆ กันไป”

มึงสาบานมาซิว่ามึงป่วยจริงๆ น่ะสงคราม

“ว่ายังไง” ตอนมันพูดแม้แต่แรงลืมตายังไม่มีเลยครับ นี่ยังจะมีอารมณ์มาท้าทายผมอีก “หอสามอ่อนจริงๆ ด้วย”

ที่ผมจะยอมไม่ใช่เพราะมันดูถูกหอผม แต่ผมยอมเพราะอยากให้มันกินข้าวเยอะๆ ต่างหาก “เงยหน้าขึ้นมาสิวะ”

มันเงยหน้า ผมส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะเลื่อนริมฝีปากตัวเองไปประทับกับริมฝีปากของมัน

ปากแม่งร้อนสัด...แบบนี้ยังมีหน้ามาฤทธิ์เยอะอีก

“เฮ้ย จูบดิ ไม่จุ๊บ เมื่อตะกี้ไม่นับ”

“สงคราม” ผมทำเสียงเข้ม มันพ่นลมอย่างอ่อนใจก่อนจะยอมเปิดปากรับข้าว

มันเคี้ยวแจ้บๆ ก่อนจะทำปากจู๋เพื่อรอจูบจากผมอีก “คราวนี้นานๆ นะเว้ย”

ดูเหมือนมันจะเริ่มเจริญอาหารแล้วล่ะครับ แม่งแดกไม่หยุดฉุดไม่อยู่ แม้ผมจะต้องจูบมันหลายครั้ง แต่ผมก็ยอมเพราะรู้สึกสุขใจตอนที่เห็นมันกินข้าวอร่อยทั้งที่ร่างกายป่วย

เฮ้อ...จะเขินก็ไม่ทันแล้วสินะ








สงครามไข้เริ่มลดแล้ว

ผมอุ่นใจมากขึ้นเมื่อเห็นว่าอาการดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตอนมันหลับ เหมือนเด็กซนที่หมดฤทธิ์เดช แถมยังหลับเป็นตายและมีลมหายใจสม่ำเสมอเสียจนผมไม่กล้ารบกวน ผมนั่งเฝ้าอยู่ในห้องมันตลอดทั้งเช้า อาบน้ำเปลี่ยนชุดโดยใช้เสื้อผ้าและแปรงสีฟันอันใหม่ของมัน (เหตุการณ์คุ้นๆ มั้ยครับ)

ตอนกลางวันผมไม่ลืมที่จะปลุกสงครามขึ้นมากินมื้อเที่ยง ทีแรกผมกะจะลงไปยังโรงอาหารหอสอง แต่เมื่อกำลังจะเปิดประตูออก เด็กคนเดิมที่เคยซื้อข้าวมาให้สงครามเมื่อเช้าก็มารออยู่หน้าประตูพร้อมทั้งยื่นข้าวกลางวันมาให้ แม่งทำหน้าที่ดีมากซะจนผมอดยิ้มให้ไม่ได้

“พี่สงครามดีขึ้นมั้ยครับ” น้องมันถาม เหลือบมองดูสงครามที่อยู่ในห้องด้วยสายตาเป็นห่วง

“ดีขึ้นนะ”

“ครับ”

“ขอบใจมากนะสำหรับข้าว”

“ไม่เป็นไรครับ สบายมาก”

“...”

“ผมปลื้มพี่นะครับพี่อ้าย”

ยะ ยังไงนะ กำลังจะถามเพิ่มแต่เด็กคนนั้นมันก็วิ่งหายจ๋อมไปแล้ว ไม่รู้ว่ากลัวผมซักไซ้ต่อหรือกลัวสงครามมันได้ยิน แต่น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่านะ เพราะผมได้ยินสงครามมันบ่นพึมพำ

“รอให้กูหายก่อนเถอะ มึงโดนแน่”

หลังจากที่ทานข้าวกลางวันไป (แน่นอนว่าผมต้องจูบคนป่วยอีกหลายๆ ทีเพื่อแลกกับการเจริญอาหารของมัน) สงครามก็นอนลงตามเดิม ผมไม่ลืมที่จะเช็ดเหงื่อให้เป็นระยะๆ ก่อนคิดในใจว่าอาจจะจริงอย่างที่สงครามพูดก็ได้ แค่นอนเฉยๆ ทั้งวี่ทั้งวันอาจจะหาย ร่างกายสงครามแข็งแรงอยู่แล้วน่าจะฟื้นตัวไว

แบบนี้ผมค่อยเบาใจหน่อย...

ผมมัวแต่เฝ้าสงครามจนไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เมื่อสงครามหลับในตอนบ่ายผมจึงหยิบขึ้นมาเล่น และผมก็ต้องตกใจกับจำนวนข้อความของโอมที่ส่งมาแบบกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์มาก

OHM : ตอนนี้กูอยู่มอมึงแล้ว ทำไงดี
OHM : ออกมาอยู่เป็นเพื่อนกูหน่อย
OHM : อ้ายยยยยยย โทรหาไม่รับ
OHM : ไอ้เหี้ยอ้ายยยยยย


ฉิบหายแล้ว ผมลืมนัดไอ้โอมไปซะสนิท

AI : ตอนนี้ติดว่ะ
AI : ออกไปไหนไม่ได้เลย
OHM : ติดไรวะ


แฟนกูป่วยไงโว้ยยยย แต่ผมยังไม่กล้าพิมพ์ว่าแฟน เพราะเดี๋ยวแม่งจะยิงคำถามยาวอีก

AI :  ออกไปไม่ได้จริงๆ
OHM : โห จะปล่อยให้กูอยู่คนเดียวจริงๆ เหรอ
AI : มึงอยู่ได้อยู่แล้ว


ตัวโตกว่าลูกหมายังไงก็ถือว่าใช้ชีวิตเป็น ผมคว่ำหน้าจอโทรศัพท์ลงก่อนจะจ้องสงครามเขม็ง เหมือนที่ทำมาตลอดทั้งวัน







เวลา 17.20 น.

ผมเริ่มรู้สึกลุกลี้ลุกลน ไม่ใช่เพราะโอมมันกำลังรอ แต่เพราะผมต้องไปดูแลลูกหอ สงครามอาการดีขึ้นมากจนน่าจะหายห่วงได้แล้ว เพราะฉะนั้นผมจึงค่อยๆ กระซิบถามมันว่าผมออกไปได้หรือยัง

“อืมมม” มันตอบผมแค่นี้

“อย่าลืมกินข้าวเย็นกินยานะเว้ย”

“อืมมม”

มองไปรอบๆ อย่างสำรวจความเรียบร้อย ไม่ลืมที่จะขยับผ้าห่มให้สงครามอีกครั้งก่อนออกมาจากห้อง ทันทีที่เปิดประตูออกมา ผมก็เห็นเจ้าเด็กที่ติ่งผมกำลังยืนพิงผนังอยู่ วันนี้ทั้งวันมันได้ไปเรียนบ้างมั้ยเนี่ย อย่าบอกนะว่าเฝ้าอยู่หน้าห้องตลอด

“พี่ฝากสงครามได้มั้ย พี่ต้องกลับหอแล้ว”

เด็กคนนั้นพยักหน้า

“แล้วก็...ไหนๆ ก็รบกวนเรื่องข้าวมาตั้งแต่เช้าแล้วเนอะ พี่ขอรบกวนอีกสักมื้อนะ”

“ผมให้เพื่อนไปซื้อมาให้แล้วล่ะครับ”

หรือผมไม่ควรกังวลเรื่องฝากสงครามไว้กับเด็กหอสองเลย ทุกคนดูพร้อมที่จะดูแลไอ้สงครามกันทั้งนั้น

“ยังไงก็ฝากด้วยละกัน”

“ถ้าพี่สงครามตื่นมาแล้วไม่เจอพี่ ผมจะโดนเตะมั้ยครับ”

มึงเตะรุ่นน้องเพราะกูเหรอสงครามมมมมมม “ใช้ชื่อพี่อ้างไปเลย บอกว่าพี่อ้ายไม่ให้เตะ”

มันยื่นโทรศัพท์เข้ามาใกล้ “อัดเสียงไว้ได้มั้ยครับ กลัวพี่สงครามไม่เชื่อ”

แม่งซื่อแบบนี้แต่มาอยู่หอสองได้ไง ผมไม่เข้าใจจริงๆ “บอกแบบนั้นไปเหอะ”

“โอเคครับ”

ผมเดินกลับหออย่างสบายใจในที่สุด พยายามเดินเลี่ยงๆ มนุษย์บ้ากีฬาทั้งหลายที่มองผมเหมือนเป็นกินรีหลงเข้ามาในป่าหิมพานต์ เมื่อรีบจ้ำอ้าวหนีก็ไม่มีใครเข้ามารุมแกล้งผมได้อีก รู้สึกว่าวันนี้ผ่านไปอย่างเนิ่นนานมากจริงๆ แต่สงครามดีขึ้นผมก็ดีใจมากแล้วล่ะ

“หายไปไหนมาทั้งวันวะอ้าย” ธัชที่คุมเด็กกวาดใบไม้แห้งร้องถาม “เชี่ยไปป์ถามเรื่องเล่มโปรเจ็กต์ด้วยนะรู้มั้ย”

“อ่า ฉิบหาย” ผมขยี้ผมตัวเองไปมา “โทษทีว่ะ สงครามป่วย”

ธัชเปลี่ยนสีหน้า “อ้าวเหรอ”

“ใช่ กูไปดูมันมาทั้งวันเลย”

“ที่หอสองเนี่ยนะ”

“ใช่”

ธัชมองสำรวจร่างกายผมใหญ่ “ไม่มีใครประทุษร้ายมึงใช่มั้ย”

“ไม่มี”

“ลืมไป มึงมันเมียประธานหอ”

“ขอโทษทุกอย่างเลยนะเว้ย”

“ไม่เป็นไร แฟนป่วยนี่หว่า เดี๋ยวกูบอกเชี่ยไปป์ให้”

“...”

“มันจะหงุดหงิดขึ้นกว่าเดิมมั้ยวะ”

“เดี๋ยวกูบอกมันเองก็ได้”

“โอเค”

“...”

“เออ มีคนมาหามึงอ่ะ” ธัชชี้มือไปที่ใต้ถุนของหอสาม “พี่โอมมา”

“มันนั่งอยู่ตรงนั้นเหรอ”

“ช่าย”

ผมขยี้ผมตัวเองอีกรอบ ทำไมวันนี้เรื่องแม่งเกิดขึ้นเยอะจังวะ คิดอย่างเซ็งๆ ก่อนจะรีบไปหาโอม มันกำลังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ ท่าทางจะนั่งรอผมนานแล้ว เมื่อมันเห็นผม ก็ทำหน้าเหมือนเห็นแสงสว่างท่ามกลางความมืด

“รอเป็นชาติ”

“ปกติแล้วคนนอกห้ามเข้านะ ออกไปข้างนอกดีกว่า”

“เออ ว่าไงก็ว่าตามกัน”

รู้สึกเหนื่อยยังไงไม่รู้แฮะ เหมือนเพิ่งผ่านการวิ่งรอบสนามฟุตบอลมาทั้งหมดสิบรอบยังไงยังงั้น ผมเดินเคียงคู่ไปกับโอม โดยไม่ได้คำนึงถึงเลยว่าสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่มันจะก่อให้เกิดปัญหา

ตอนนั้นผมไม่รู้เลยจริงๆ...





TBC*
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 31-08-2017 00:03:39




ตอนที่ 19
พาร์ตของสงคราม




ป่วยได้ไงวะ แม่งน่าอายฉิบหาย

ระหว่างที่นอนซมอยู่สิ่งเดียวที่จำได้ก็คือผมจูบกับอ้ายนี่แหละ จูบกี่ครั้งก็ไม่รู้จำไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ ผมไม่อยากหยุดจูบเลย

ขณะที่กำลังนั่งปรับสภาพตอนตื่นนอนของตนอยู่นั่นเอง ผมก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสายตาของไอ้องุ่น ลูกหอปีหนึ่งที่กำลังมองมาด้วยดวงตากลมแป๋ว มันเป็นนักกีฬาแบดมินตันน่ะครับ หุ่นเลยไม่ค่อยสูงใหญ่เท่าไหร่

“อ้ายล่ะ”

“กลับไปแล้วครับ”

“อ้าวเฮ้ย” ไหนบอกจะอยู่กับผมไง

“อย่าเตะผมนะ พี่อ้ายบอกให้ผมมาช่วยดูพี่”

แม่งรู้อีก กำลังจะยกเท้าขึ้นเตะมันแล้วเชียว “กี่โมงแล้วตอนนี้”

“จะสามทุ่มแล้วครับ”

“...”

“พี่สงครามดีขึ้นยัง”

“เออ จะเตะมึงได้ก็แปลว่าดีขึ้นมากแล้วล่ะ”

“พี่อ้ายน่ารักมากเลยอ่ะ เท่อย่างงี้” ไอ้องุ่นชูนิ้วโป้งให้ผมดูประกอบคำพูด “หน้างี้ก็ใสมาก ชอบบบบ”

“กูว่ากูจำได้ลางๆ แล้ว เหมือนกูได้ยินว่ามึงพูดอะไรกับอ้าย”

“...”

“อะไรสักอย่าง คล้ายๆ คำว่ามึงชอบ”

“พี่สงครามหูฝาดแล้ว” มันหน้าซีดเผือด

“ฝาดพ่อมึง นั่นเมียกูนะเว้ย เมียยยย!” ผมลุกขึ้นยืน พร้อมเข้าไปเตะไอ้องุ่น มันวิ่งหนีไปทั่วห้องหัวซุกหัวซุน

“ได้ของดีแล้วอวดใหญ่”

“ไม่อยากเถียงกับมึงแล้ว เสียเวล่ำเวลา”

“พี่อ้ายบอกให้พี่กินข้าวเย็นด้วย แต่ผมเห็นพี่นอนอยู่เลยไม่กล้าปลุก อย่าลืมกินด้วยนะครับ”

“เออ ไปอ่านหนังสือสอบได้แล้วไป”

“ครับ”

ไอ้องุ่นมันเป็นเด็กปีหนึ่งที่ค่อนข้างนับถือผมมากกว่าคนอื่น เพราะผมไปช่วยมันจากการโดนรุมกระทืบ ไอ้พวกคนที่กระทืบมันมาจากหอหก ผมต้องเคลียร์กับเชี่ยภามประธานหอนั้นอยู่นาน ดีที่แม่งคุยกันง่าย ไม่งั้นเรื่องคงไม่จบง่ายๆ แน่

ผมนี่แหละที่จะไม่จบ...แม่งมารุมเด็กหอสองได้ไงวะ พูดแล้วก็ขึ้น

หลังจากวันนั้นองุ่นก็ชอบเข้ามาช่วยเหลือผมในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มันบอกว่าอย่างผมต้องมีคนคอยดูแลในเรื่องจุกจิก เช่น ซักผ้า รีดผ้า ถ้าทำเองผมจะดูไม่เท่ แต่อย่าเพิ่งคิดว่าผมกับมันจะมีซัมธิงอะไรกันนะครับ ไอ้เด็กนี่มันรู้ว่าผมคิดอะไรกับอ้าย ประมาณว่ามันเคยหลอกถามแล้วผมไม่ยอมแก้คำถามมันอ่ะ

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็ก ข้อความกับมิสคอลล์ส่วนใหญ่เป็นของอ้ายซึ่งน่าจะทักผมจากเมื่อเช้า ผมอ่านด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เข้าแอปเฟซบุ๊กด้วยความเคยชิน

รูปของอ้ายถูกแท็กมาจากใครไม่รู้ ตอนนี้มันกำลังอยู่ในร้านเหล้า ที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด เหมือนมันนั่งอยู่บนตักของไอ้เหี้ยโอม ญาติของมันที่ผมไม่เคยชอบขี้หน้า

จู่ๆ ของก็ขึ้นอีกรอบ คราวนี้ขึ้นหนักว่าตอนที่คิดเรื่องไอ้องุ่นซะอีก

ผมกดโทรศัพท์โทรออกหาอ้ายทันที ใช้เวลานานมากกว่าอีกฝ่ายจะรับสาย

[ฮัลโหล] ไม่ใช่เสียงอ้าย

“นี่เหี้ยไหนวะ”

[โห นั่นปากเหรอ]

“เออ เอาอ้ายมารับสายดิ๊”

ปลายสายส่งเสียงกุกกักๆ [สงเหี้ย หอสองนี่ใครวะอ้าย (เฮ้ย เอาโทรศัพท์มา) ไอ้สงครามเหรอ (เอามาเหี้ยโอมมมม)]

อะไรคือสงเหี้ย หอสอง และไอ้เหี้ยโอมนี่ทำไมมันต้องกวนประสาทไม่ให้อ้ายคุยกับผมด้วย มือที่กำโทรศัพท์อยู่เริ่มแน่นมากขึ้น แม้จะเพิ่งหายป่วยและยังมีอาการเพลียๆ หลงเหลืออยู่บ้าง แต่ผมก็ต่อยคนได้อยู่นะ

[ฮัล...ฮัลโหล]

โอ้โห เสียงอ้อแอ้ขั้นสุดเลยนี่หว่า “อยู่ไหน”

[ร้าน...เราอยู่ร้านไหนกันวะโอมมมม]

ใจเย็นๆ นะสงคราม มึงใจเย็นเข้าไว้

[เหี้ยโอมไม่ตอบอ่ะ]

“มึงไม่รู้จริงๆ เหรอว่าตัวเองอยู่ร้านไหน”

[มึนอ่ะ วันนี้ไปมาหลายร้าน]

“...”

[เด็กน้อยตื่นแล้วเหรอ หายไข้แล้วเหรอ]

“เด็กน้อยไหนวะ”

[เด็กน้อยที่ชื่อสงคราม]

ผมคิดว่าผมใจเย็นไม่ไหวแล้วล่ะ เสียงแบบนี้และคำพูดแบบนี้ ยังไงก็ต้องรีบไปลากตัวให้มาอยู่ใกล้ผมมากที่สุด ผมจำได้ดีว่าเวลาอ้ายเมามันเป็นคนยังไงเพราะเคยแอบมองดูอยู่ห่างๆ แม่งเลื้อยไปทั่วเหมือนตัวมันเป็นงูอ่ะ

โว้ยยยย ยิ่งคิดก็ยิ่งลืมไปแล้วว่าตัวเองเพิ่งหายไข้

“อ้าย กูถามครั้งสุดท้าย มึงอยู่ไหน ร้านพี่น้อยหรือเปล่า”

[ไม่น่าช่ายนะ]

“ถ้ากูเจอมึงตายแน่ ไม่สิ” ชินกับการขู่คนอื่นแต่ไม่ชินกับการขู่อ้าย “ถ้ากูเจอมึงเสร็จกูแน่อ้าย”

[เสร็จอะไรวะสงคราม]

แม่งเอ๊ย...ผมรีบหยิบกุญแจรถก่อนจะพุ่งตัวออกไปข้างนอก “อ้ายมึงฟังกูนะ”

[ฟังอาราย]

“แยกตัวออกมา ห้ามไปอยู่ใกล้ใครทั้งนั้น เดี๋ยวกูไปรับ”

[ต้องทำแบบนั้นเหรอ]

“เออดิ”

[ทำไมล่ะ]

แม่งไม่ได้เห็นใจกูเลยว่าเพิ่งหายป่วย “แฟนมึงหวงไงไอ้ห่า”

[เหรอออ]

“ตกลงจะบอกชื่อร้านได้หรือยัง”

[น่าจะ...ร้านพี่น้อยมั้ง]

“จำได้มั้ยว่ากูบอกให้ทำอะไร”

[อยู่ให้ห่างจากทุกคน]

“ทำตามหรือยัง”

[กำลังเดินหนี]

“ดี เดินออกมารอหน้าร้านเลย”








ร้านเหล้าน้อย

หลังจากที่จอดรถเสร็จผมก็รีบเดินไปหาอ้ายที่นั่งโงนเงนอยู่หน้าร้านทันที มีพวกห่าไหนไม่รู้กำลังจับกลุ่มด้อมๆ มองๆ อ้ายอยู่ ผมไม่รู้ว่าพวกแม่งคิดอะไร แต่ถ้าผมไม่มาให้เร็วกว่านี้อะไรที่ไม่ควรเกิดมันก็อาจจะเกิดขึ้นมาได้

คนที่สง่างามขนาดนี้ ยังไงก็เป็นที่ปรารถนาของคนอื่นๆ อยู่ดี

ผมคว้าตัวอ้าย มันทิ้งน้ำหนักลงมาที่ผมทันที กลิ่นหอมๆ ของอ้ายปะปนกับกลิ่นแอลกอฮอล์อย่างลงตัว กลายเป็นความเซ็กซี่สุดประหลาดที่ทำให้ผมเผลอกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว

“ไอ้สงคราม” ไอ้โอมโผล่ออกมาทำสีหน้าเอาเรื่องผม “มึงจะทำอะไร”

“ไปไกลๆ”

“นั่นญาติกู”

“แต่เป็นเมียกู”

“...”

“กูกับมันคบกันแล้ว”

ผมพูดตัดรำคาญ เปิดประตูรถตัวเองจากนั้นก็พาตัวอ้ายไปนั่งข้างใน ระหว่างที่เดินอ้อมมายังฝั่งที่นั่งคนขับ ผมจ้องหน้าไอ้โอมเขม็ง

“ถ้ากูเจอหน้ามึงอีกมึงไม่รอดแน่”

“...”

“มึงผิดหลายกระทงแล้วไอ้สัด”

โอมมีสีหน้าหวาดหวั่น ผมเลิกให้ความสนใจมันก่อนจะรีบออกรถให้ไวมากที่สุด








ลานจอดรถหอสอง

อ้ายหลับอย่างสม่ำเสมอจนผมไม่กล้าปลุก ผมมองเจ้าตัวปัญหาอยู่นานสลับกับถอนหายใจ นึกไปถึงว่าถ้าหากผมไปรับมันช้ากว่านี้ จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง มันจะโดนใครลากไปทำอะไรหรือเปล่า

แค่คิดผมก็เริ่มฉุนขึ้นมานิดๆ แล้ว

“อือออ”

อ้ายขยับตัวไปมา มันปลดกระดุมเสื้อจนทำให้ผมเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่ควรเห็นเข้า รอยจ้ำแดงบนลำคอขาวของอ้าย และมันมีมากกว่าหนึ่งรอย

“นี่อะไร” สติผมขาดผึง กระชากแขนคนเมาให้มีสติ “รอยเหี้ยนี่คืออะไร ตอบ!”

อีกฝ่ายเมาหนักเกินกว่าจะสนใจความเกรี้ยวกราดของผม

“อ้าย”

“...”

“เหี้ยอ้าย”

“...”

“ไอ้เชี่ยอ้าย”

มันทำสีหน้ารำคาญใส่ผม มือของผมสั่นไปหมด ยื่นหน้าเข้าไปใกล้อ้ายหมายจะระบายอารมณ์กับมัน บอกเลยบนรถผมก็ทำได้ ผมทำได้ทุกที่นั่นแหละถ้าผมโมโหอ่ะ

เมื่อมองหน้าแฟนที่คบกันมาได้เกือบหนึ่งอาทิตย์ ผมคิดว่าผมควรคุยกับมันตอนที่มีสติน่าจะดีกว่า ขืนผมทำอะไรมันลงไปตอนนี้มันอาจจะเอาผมตายได้ อย่าลืมสิครับว่าผมแคร์ความรู้สึกมันมากกว่าสิ่งใด มันเป็นคนที่ผมยอมให้ได้ทุกอย่างอยู่แล้ว

ผมพยายามระงับความโกรธเอาไว้ ฮึดฮัดขัดใจระบายอารมณ์กับพวงมาลัยด้วยการตีลงไปซ้ำๆ นึกอยากจับอ้ายมาขย้ำสักสิบยี่สิบรอบ โทษฐานที่ไปโดนใครไม่รู้มาฝากรอยจูบเอาไว้ จริงๆ แล้วนี่ไม่ใช่ผม ไม่ใช่ผมเลยจริงๆ หากเป็นเมื่อก่อนผมคงโวยวาย ไม่ก็ระบายอารมณ์โกรธของตัวเองด้วยการทำสิ่งที่ผิดไปแล้ว แต่นี่ผมกลับอยากฟังคำอธิบายก่อน

หรือผมโมโหมากเกินกว่าจะทำอะไรแบบนั้นวะ

ครั้งนี้ผมแม่งควรเป็นฝ่ายงอนว่ะ









“มองทำเหี้ยอะไร ถอยไป”

“...”

“หรือจะเอา”

“ไอ้สงคราม นั่นเด็กหออื่นนะ” แดนเตือนสติผม

“หอไหนก็ช่าง กูเหวี่ยงใส่ได้หมดอ่ะ”

“มันเป็นอะไรวะ” ภพกระซิบกับแดนอย่างไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก

“มึงกับกูเคยเดาอารมณ์มันออกด้วยเหรอ” พวกมันสองคนมองหน้ากัน จากนั้นประเด็นเรื่องของผมก็ตกไป เพราะไม่ว่าพวกมันจะคิดยังไง ก็คงคิดกันไม่ออกว่าผมเป็นอะไร

เราสามคนมาที่หอสมุดเพื่อทำเล่มโปรเจ็กต์จบ ในส่วนของภาคปฏิบัติผมกับเพื่อนๆ ทำเสร็จกันหมดแล้ว แม้ว่าผมจะไม่ค่อยมีส่วนในการพิมพ์เล่มครั้งนี้สักเท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่ผมจะเป็นคนลงมือปฏิบัติ แต่ก็อยากมานั่งคอยช่วยเพื่อน เผื่อไอเดียของผมอาจจะทำให้พวกมันเขียนเล่มได้ดีขึ้นก็ได้

วันนี้บอกเลยว่าผมไม่มีอารมณ์ทำงาน หลังจากที่พาตัวอ้ายไปส่งถึงห้องมันที่หอสาม ผมก็เดินกลับมาที่ห้องตัวเอง รู้สึกเฟลเหมือนจู่ๆ โลกนี้ก็ล่มสลาย ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ นะครับ

ปกติแล้วผมไม่ใช่คนที่จะเก็บเอามาคิดน้อยเนื้อต่ำใจ ผมรู้สึกยังไงก็แสดงออกอย่างนั้นไปเลย เพียงแต่คราวนี้ผมกลับไม่กล้าโวยวายหรือออกอาการอะไรมาก ผมน้อยใจ ผมโกรธ ผมโมโห ผมรู้สึกเยอะแยะไปหมดจนทำให้เลือกไม่ถูกว่าควรจะแสดงออกกับอ้ายยังไง

ผมจึงทำได้แค่เพียงเงียบ...และก็พยายามโฟกัสเรื่องโปรเจ็กต์จบให้ได้มากที่สุดก็เท่านั้น

โทรศัพท์ผมสั่นครืดๆ ตอนเกือบสิบเอ็ดโมง หน้าจอโชว์ชื่อของอ้ายเด็กกู ไอ้ภพกับไอ้แดนยื่นหน้าเข้ามาดู จากนั้นมันก็ทำตาวาวแล้วพยักหน้าให้กัน

ผมไม่คิดจะปิดบังใครอยู่แล้วล่ะ

“ไม่รับสายเหรอ” ภพมองดูโทรศัพท์บนโต๊ะก่อนถามผม

“ไม่รู้ว่ะ”

“งอนกันงั้นสิ”

“ไม่รู้”

“ให้กูรับให้มั้ย กูจะบอกเขาให้ว่ามึงไปขี้” สิ้นเสียงไอ้ภพ ไอ้แดนก็ตีหัวมันเบาๆ ทันที “อะไรของมึงแดน”

“ขี้เหี้ยอะไร บอกว่าไม่ว่างก็พอ”

ระหว่างที่เพื่อนมันเถียงกัน อ้ายก็วางสายไปแล้ว ผมถอยหายใจออกมาก่อนจะสะดุ้งเบาๆ เพราะอ้ายโทรมาอีกครั้ง

“เขาไม่ยอมว่ะ” แดนมองอย่างอึ้งๆ

“ดูก็รู้ว่าอยากง้อมึง รับสักหน่อยสิ”

“พวกมึงย้ายไปอยู่หอสามแล้วเหรอ” ผมพูดเสียงแข็งอย่างไม่ค่อยคิดอะไร ก็พวกมันไม่เข้าข้างผมอ่ะ

“ก็อยากย้ายอยู่ แต่หนังหน้าไม่เข้าขั้น” ไอ้ภพตีหัวไอ้แดนเพราะคำพูดนี้ ผมปล่อยให้พวกมันสองคนตีกันไปแล้วมองโทรศัพท์อย่างชั่งใจ คราวนี้หลังจากอ้ายวางสาย มันก็ทักไลน์มาหาผม

AI : สงคราม
AI : งอนใช่มั้ย


อดทำหน้าตกใจไม่ได้ คบกันได้แค่เกือบอาทิตย์แต่แม่งเสือกรู้ว่าผมกำลังคิดอะไร ขนลุกว่ะ

AI : รับสายดิ จะได้คุยกัน

อ้ายโทรมาอีกครั้ง แต่ผมก็ดึงดันที่จะไม่รับอีก ไม่รู้สิครับ ผมแม่งงอนว่ะ ถ้ารับสายผมก็ต้องเหวี่ยงใส่มัน กลัวมันจะหาว่าผมงี่เง่าไร้เหตุผลและคงจะทะเลาะกันยาวแน่

AI : ถ้าไม่รับกูจะเดินเข้าไปหาแล้วนะ

ผมชะเง้อไปอ่านดู รู้สึกตกใจจนต้องหันซ้ายหันขวา อ้ายมันอยู่แถวนี้เหรอ ใช่เรื่องจริงป่ะเนี่ย พอผมหันกลับมาอีกที อ้ายก็นั่งลงฝั่งตรงข้ามผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เพื่อนผมพร้อมใจกันเก็บของแล้วเลื่อนไปนั่งไกลๆ แม้จะยังนั่งโต๊ะเดียวกันอยู่ก็ตาม ปล่อยให้ผมกับอ้ายอยู่ด้วยกันสองคน หน้าผมตอนนี้คงทำให้อ้ายร้อนใจมาก เพราะผมไร้อารมณ์และดูเย็นชาแบบสุดๆ

“มาได้ไง” ผมยังอยากรู้ความจริงข้อนี้อยู่

“เพื่อนมึงเช็กอินเฟซบุ๊กเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว”

ไอ้ภพกับไอ้แดนทำเป็นตั้งใจทำงานอย่างไม่เนียน ผมหันกลับมามองหน้าอ้ายอีกรอบ ระหว่างมันกับผมไม่มีใครสบายใจกันเลยในตอนนี้

“กูรู้กูผิดนะ”

“...”

“แต่กูก็อยากรู้จากปากมึงว่ามึงงอนเรื่องอะไร”

มันมีแค่เรื่องเดียวเท่านั้นแหละ เรื่องเดียว!

“เซนส์มึงดีขนาดนี้มึงก็ลองพูดความผิดของมึงมาสิ” ผมหายไปเกือบครึ่งวัน คำแรกๆ ที่มันทักผมก็คือผมงอนมันใช่มั้ย จะไม่ให้ผมคิดว่ามันเซนส์ดีได้ยังไง

“กูไม่ได้อยู่เฝ้าไข้มึงต่อ”

“ผิด”

“กูไปกับโอม”

“ไม่ใช่”

“งั้นก็...กูไปแดกเหล้าแต่ไม่ชวนมึง”

“นี่ยิ่งไม่ใช่ใหญ่เลย” ผมทำหน้าบึ้งตึง ตกลงมันรู้จริงป่ะวะ

“ถ้างั้นเรื่องอะไรล่ะ” อ้ายดูปวดใจ “มึงเป็นแบบนี้กูเครียดจริงๆ นะเว้ย”

“...”

“ปกติมึงต้องกระหน่ำไลน์มาหากูแล้ว หรือไม่ก็โทร แต่นี่มึงเล่นเงียบตลอดทั้งเช้าเลย”

เพราะกูงอนไงสาด

“ตกลงกูผิดอะไร”

“มึงอาบน้ำหรือยัง” ผมไม่ตอบแต่ยิงคำถามสวนกลับไป

“หา” มันงงว่าผมถามมันเรื่องนี้ทำไม “อาบแล้วสิ”

“มึงไม่เห็นรอยที่คอมึงเหรอ”

อีกฝ่ายอ้าปากค้าง นัยน์ตาดูสับสนว้าวุ่น “มึงหมายถึงรอย...” มันชี้มือไปที่คอตัวเอง

“ใช่”

“...”

“มึงคงดูดคอตัวเองไม่ได้หรอกมั้งอ้าย”

พูดจบผมก็เดินหนีไปเลย ทิ้งให้อ้ายตกใจจนหน้าเสียอยู่เบื้องหลัง เรื่องนี้ผมทั้งงอนทั้งโกรธ แค่นึกภาพว่าอ้ายมันถูกคนอื่นนัวเนียผมก็แทบจะเป็นบ้าแล้ว เพราะงั้นเข้าใจผมเถอะว่าทำไมผมถึงรู้สึกโกรธมากขนาดนี้

“มึง” มือของผมถูกอ้ายคว้าเอาไว้ราวกับต้องการรั้ง ที่ที่เราอยู่ตรงนี้คือบริเวณชั้นสี่ซึ่งเป็นโซนสำหรับศึกษาด้วยตัวเองโดยเฉพาะ ช่วงนี้นักศึกษามอ B กำลังเตรียมสอบมิดเทอมกันอยู่ แน่นอนว่าคนต้องเยอะอย่างกับมดที่อยู่ในรัง แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น...

ประเด็นก็คือตอนนี้คนในชั้นสี่ของหอสมุดทุกคนมองมาที่ผมกับอ้ายหมดเลย

ผมคิดว่าอ้ายจะแคร์ แต่เปล่าเลยครับ มันแคร์ผมมากกว่า

“ขอโทษ” เสียงของอ้ายอ่อยจนผมใจแป้ว “ขอโทษจริงๆ กูผิดไปแล้ว”

จริงๆ แล้วผมก็ไม่อยากจะโกรธอ้ายขนาดนี้หรอก แต่จะให้ผมหายโกรธตอนนี้ผมก็ยังทำไม่ได้

“ขอเวลากูหน่อย”

อ้ายปล่อยมือผมเพราะตกใจกับคำที่ผมเพิ่งเอ่ยออกมา ผมเดินหนีออกจากที่ตรงนั้น ถึงผมจะเป็นคนเดินจากมาก่อน แต่ผมก็เจ็บปวดไม่แพ้กันกับคนที่กำลังมองตามมา






18.03 น.

“พี่มันดูซึมๆ นะ”
“อย่าเข้าไปใกล้นะ นี่อาจจะอันตรายกว่าตอนโมโหหัวร้อน”
“แบบนี้ไม่เหมาะกับพี่สงครามเลยว่ะ”
“ใครหนอช่างทำกับประธานหอกู”
“พี่อ้ายไง พี่อ้าย ได้ข่าวมาว่าง้อกันกลางหอสมุดเลยนะเว้ย”

ผมตวัดสายตาไปมองรุ่นน้องที่นินทาเหมือนผมไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้ พวกมันสะดุ้งก่อนจะแตกกระจายไปนั่งที่อื่น โซนส่วนกลางตรงนี้คนเยอะมาก แต่ไม่มีใครกล้านั่งใกล้ผมในระยะรัศมีสิบเมตรเลย

อย่ามายุ่งกับกูตอนนี้จะดีที่สุด...

คนที่กล้าเข้ามาใกล้ผมคงจะมีแต่เพื่อนๆ กลุ่มเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่นไอ้ไปป์ เพราะผมเห็นมันเดินเข้ามาหาพร้อมกับวางขวดน้ำเปล่าเย็นๆ ให้ผมบนโต๊ะ

“เรื่องของมึงกับอ้ายอาจจะทำให้เกิดโลกาวินาศเลยก็ได้”

“อะไรของมึงเชี่ยไปป์” ผมมองมันทิ้งตัวลงนั่งใกล้ๆ

“พวกหอสามมันบ่นเป็นห่วงอ้ายกันไง อ้ายดูไม่เป็นตัวเองเลยวันนี้”

“มึงรู้ดีจัง มีเมียอยู่หอนั้นหรือไง”

“...” ไปป์ดูไม่อยากคุยเล่นกับผมสักเท่าไหร่

“กูก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้หรอก”

“ครั้งนี้อ้ายมันผิดจริงๆ เหรอวะ”

“ไม่รู้ แต่แค่คิดกูก็เซ็งแล้ว” ผมเอามือขยี้ผมตัวเอง

“ตอนทำเล่มด้วยกันมันอย่างกับเป็นวิญญาณ”

“วันนี้ไปทำงานด้วยกันมาเหรอ”

“ใช่ เพิ่งแยกกันเนี่ย”

ผมหรี่ตามองไอ้ไปป์

“อะไรของมึงสงคราม”

“มึงเลิกคิดอะไรกับแฟนกูหรือยัง”

“พูดออกมาได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็นแฟน ทั้งๆ ที่มึงงอนเขาอยู่เนี่ยนะ”

“งอนกันไม่ได้แปลว่าเลิกรักกันเว้ย” ผมโวยเสียงดัง

“เอาล่ะๆ ช่วงนี้กูก็ทำใจอยู่แหละ”

“เออ รีบทำใจไวๆ มึงก็รู้ว่ามีคนรอมึงอยู่”

ไปป์กลืนน้ำลาย ดูท่าทางเหมือนคนสูญเสียความมั่นใจเล็กน้อย ถ้ามันไม่แคร์มีนเลย มันคงไม่ออกอาการแบบนี้หรอกครับ

“กูจะมาบอกมึงว่าอ้ายมันยังทำงานอยู่ร้านกาแฟ 24 ชั่วโมงอยู่เลย”

“หา” ผมมองดูนาฬิกา “ลูกหงลูกหอมันไม่ดูแล้วเหรอ”

“ไม่รู้กับมันหรอกนะ”

“มันอยู่กับใคร”

“คนเดียว”

ไปป์ลุกขึ้นยืนก่อนจะตบบ่าของผมเสียงดังปุปุ “ให้โอกาสอ้ายบ้าง บางทีอ้ายอาจจะผิดแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์จากร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ได้”

ผมโบกมือไล่มันพลางขมวดคิ้วคิดหนัก ไปป์มันเดินจากไปแล้วแต่คำพูดของมันยังคงวนไปวนมาอยู่ในหัวของผม

หรือผมจะไร้เหตุผลมากเกินไป...ผมควรจะฟังอ้ายสักหน่อย ไม่ใช่หลบมาคิดหนักแบบนี้ นอกจากไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาแล้ว แม่งยังโคตรเสียเวล่ำเวลาอีกต่างหาก

จะยังไงก็ช่าง ตอนนี้อ้ายมันไม่ควรอยู่คนเดียวไม่ว่ามันจะอยู่ส่วนไหนของโลกทั้งสิ้น







ร้านกาแฟ 24 ชั่วโมง

ผมเห็นอ้ายฟุบอยู่มุมร้านหลังแล็บท็อป ท่าทางเศร้าสร้อยหงอยเหงา มือของอ้ายขยับไปมาเหนือสมุดโน้ตที่อ้ายชอบเขียน ผมเห็นไอ้สมุดนี่ทีไรต่อมเผือกผมกระตุกทุกทีไป อยากรู้ว่าอ้ายจะเขียนอะไรและสิ่งที่เขียนมันเกี่ยวกับผมหรือไม่

ผมเดินอ้อมๆ แอบยืดคอไปอ่านเหมือนที่เคยทำมาแล้วหลายครั้ง

โน้ตทุกข์ใจ
1. เรามันเหี้ยมากจริงๆ
2. เราจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนทำ
3. แม่งเอ๊ยยยยยยยยย
4. สงคราม ขอโทษ
5. ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ


มันเขียนเสร็จปุ๊บมันก็ขีดฆ่าทิ้งเบาๆ วนไปวนมา ดูก็รู้ว่าสติหลุดไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้ ผมมองอย่างลังเล ไม่แน่ใจว่าควรพุ่งเข้าไปหาเลยดีหรือไม่

ระหว่างนั้นอ้ายก็โทรเข้ามาหาผมพอดี ผมรีบกดรับสายเพราะกลัวเจ้าตัวจะรู้ว่าผมยืนอยู่ข้างหลัง

“ฮัล...”

[หายงอนกูเถอะ กูกราบล่ะ]

อ้ายทิ้งตัวลงฟุบกับโต๊ะอีกรอบเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก

[กูยอมมึงทุกอย่างแล้ว หายงอนเถอะนะ]

“บอกรักกูก่อน” ผมค่อยๆ ขยับตัวเข้าไปนั่งข้างๆ อ้ายโดยที่มันไม่รู้ตัว

[กูรักมึง]

พูดง่ายด้วยว่ะ แบบนี้ก็แปลว่าผมถือไพ่เหนือกว่าน่ะสิ รู้สึกฟินเพราะคำพูดเมื่อกี้ไม่พอ ยังต้องมารู้สึกฟินเพราะคนงามอย่างอ้ายยอมให้ผมอีก “หันมาพูดด้วยดีๆ ซิ”

[ฮะ]

แขนของผมพาดไปที่พนักพิงด้านหลัง ทำให้อ้ายเหมือนอยู่ในอ้อมกอดของผมแบบกลายๆ มันตกใจมากจนอ้าปากหวอ มือของมันยังถือโทรศัพท์ค้างไว้

ดวงตาของผมจ้องมองมันด้วยสายตาที่อ่อนโยนลงมากกว่าเมื่อตอนกลางวัน

“พูดใหม่อีกที”

“เชี่ย” มันวางโทรศัพท์ลง ยังคงมองผมเหมือนผมเป็นผีที่ไม่ควรจะมานั่งกับมันตรงนี้

“ไม่พูดไม่หายงอนนะ”

อ้ายหลับตาปี๋คล้ายกับกำลังตกอยู่ในอาการประหม่าอย่างมาก “มึงนี่...”

“เร็ว”

“รักมึง”

“ใครรักกู”

“กู”

“สามพยางค์ดิ”

“ไอ้เหี้ยเอ๊ย”

“...”

“กูรักมึง”

ผมยิ้มออกมาจนได้ อ้ายชกตัวผมเบาๆ ก่อนจะก้มหน้าก้มตา ทำท่าเหมือนอยากเอียงตัวมาหาผมมากแต่เพราะรู้ว่ามีคนมองดูอยู่จึงไม่ได้ทำเช่นนั้น

“จริงๆ แล้วก็ยังไม่หายโกรธหรอก แต่ก็ไม่อยากปั้นปึ่งใส่มึงนานกว่านี้อีกแล้ว” ผมสารภาพความรู้สึก “มึงมีอะไรจะแก้ตัวมั้ย”

“กูจำไม่ได้จริงๆ ว่ะว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

ผมกำหมัดแน่นให้มันเห็น “ต่อไปห้ามเมาแบบนั้นอีก”

“เข้าใจแล้ว”

“ถ้าไม่เข้าใจก็ให้นึกภาพตอนที่มีคนมาดูดคอกูดู หากเป็นอย่างนั้นมึงจะรู้สึกยังไงก็คิดเอาแล้วกัน”

อ้ายกลืนน้ำลายอย่างหวั่นๆ ก่อนจะพยักหน้าแรงๆ หลายรอบ ผมใช้มือที่โอบมันกลายๆ จับแก้มมันอย่างเอ็นดู

“เข้าใจก็ดีแล้ว”

“กูจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้วสงคราม”

“กูเชื่อมึง”

คราวนี้อ้ายคงเลิกแคร์สายตาประชาชนแล้วล่ะ มันเอียงตัวมาซบกับไหล่ผม

“ถ้ามึงโกรธนานกว่านี้กูตายแน่เลยว่ะ” มันพึมพำ

“ได้ข่าวว่าไม่ได้ดูแลลูกหอเลย”

“เออ เหี้ยมาก สนใจแต่เรื่องแฟนไง”

“กูรักมึงนะอ้าย กูถึงได้หึงมึงขนาดนี้อ่ะ”

“อื้อ”

“บอกกูได้มั้ยว่าใครเป็นคนทำ”

“ไม่รู้จริงๆ”

“แต่ถ้าหากกูรู้...กูขออนุญาตฆ่ามันได้มั้ย”






TBC*
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 31-08-2017 00:11:30


ตอนที่ 20
พาร์ตของมีน



ช่วงนี้ไปป์มันทำดีกับผมมากเป็นพิเศษ

บทนึกอยากจะเปลี่ยนมันก็เปลี่ยนไปเลยเหรอ จากที่เคยก้าวร้าว เคยด่า เคยต่อว่าผมสารพัด ตอนนี้มันเริ่มจะทำตัวดีกับผมมากขึ้น คอยถามว่าผมไปไหน ต้องการให้มันไปเป็นเพื่อนหรือเปล่า หรือไม่ก็ถามว่าผมทำอะไรอยู่

มันไม่เป็นแบบนี้มานานแล้วตั้งแต่ที่ผมบอกชอบมัน

ยอมรับว่ารู้สึกขนลุกขนพองอยู่หน่อยๆ ก็ไม่มันไม่ชินนี่ครับ ผมอยู่อย่างคนรักเขาข้างเดียวมาเนิ่นนานหลายปีจนนับไม่หวาดไม่ไหว แต่อยู่ดีๆ ไอ้คนที่ผมรักกลับมาทำดีกับผมเฉยทั้งๆ ที่เมื่อก่อนไม่คิดจะหันมามองด้วยซ้ำ ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่วะ

ถ้าสงครามยังไม่คบกับอ้าย มันจะกลายมาเป็นแบบนี้มั้ย

ผมอ่านหนังสือจนปวดตา พรุ่งนี้เป็นวันสอบวันแรก ผมที่ขาดเรียนตอนปีสามบ่อยจึงมีวิชาที่ต้องสอบหนักกว่าคนอื่น รักที่จะทำงานวงการตอนเรียนต้องเหนื่อยกว่าคนอื่นครับ ผมอ่านหนังสือหนักติดต่อกันหลายวันแล้ว บอกได้เลยว่าทุกวันนี้ผมนอนวันละไม่ถึงสี่ชั่วโมง หน้าผมคงโทรมไปหมดแล้ว และพี่มะนาวก็คงจะเฉ่งผมแน่นอนเรื่องที่ต้องพาผมไปดูแลผิวหน้าที่คลินิกอีก

นอกจากจะนอนน้อยแล้ว ผมยังต้องมารับมือกับไอ้เชี่ยไปป์ที่จู่ๆ ก็เปลี่ยนไปในแบบที่ผมบอก บอกเลยว่าเรื่องอ่านหนังสือมันกลายเป็นเรื่องขี้ประติ๋วไปเลยเมื่อต้องมาเจอกับไอ้ไปป์

ขอเรียกมันเล่นๆ ในใจว่าไปป์ร่างสอง

ก็ดูข้อความไลน์ที่มันส่งมาหาผมสิครับ นอกจากเยอะแล้วยังไร้สาระอีก

PIPE : นอนยัง
PIPE : เมื่อกี้รู้สึกเหมือนมีกระรอกวิ่งเข้ามาในห้องแหละ
PIPE : เพื่อนตกใจมาก
PIPE : แต่กูไม่ตกใจเลย
PIPE : สติกูดีไง
PIPE : ตกลงมึงนอนหรือยังเนี่ย


เนี่ยยยย มันพิมพ์มาแบบนี้ในขณะที่ผมต้องอ่านหนังสือหนักมาก แม้ว่าผมจะชอบมันแต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะมากวนผมได้ตลอดเวลานะ

PIPE : ตอบกูหน่อยยยยย
PIPE : อยากไปเซเว่นว่ะ


ส่ง #เรื่องของมึง ไปให้ไอ้เหี้ยไปป์น่าจะเหมาะ แต่ไม่ทำงั้นจะดีกว่า

MEAN : ซูเปอร์ข้างล่างหอมึงไม่เปิดเหรอ
MEAN : ช่วงสอบเขายิ่งต้องเปิด
PIPE : สิ่งที่กูอยากแดกมันอยู่เซเว่น
PIPE : นะ พาไปหน่อย


ผมมองดูนาฬิกาก่อนตอบ

MEAN : ดึกแล้วนะ
PIPE : กูหิวตอนนี้
MEAN : ฟาย
MEAN : เออ ไปก็ไป


หลังจากนั้นประมาณสิบห้านาทีผมก็มายืนอยู่ที่ลานจอดรถของหอสองแล้ว ปกติผมมักจะไม่ได้นั่งรถไอ้เหี้ยไปป์ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังจำได้อยู่ดีว่ารถของมันคือคันไหน เจ้าของรถเดินยิ้มแฉ่งมาแต่ไกล ไม่รู้ว่าดีใจที่จะได้กินของที่อยากกินหรือเพราะหลอกล่อผมออกมาได้สำเร็จกันแน่

ในหัวของผมเต็มไปด้วยความกังวลเพราะกลัวอ่านหนังสือไม่ทัน พรุ่งนี้เป็นวันสอบตัวแรกของผมแล้ว แม้ผมจะไม่ได้จบสี่ปีเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ แต่ผมก็ไม่อยากเพิ่มให้มันเป็นหก เจ็ด หรือแปดปีนะเว้ย

“หน้าเครียดเชียว”

“ก็เพิ่งอ่านหนังสือมา” ผมรีบยัดตัวเองเข้าไปในรถของไปป์ รอมันมานั่งข้างๆ ก่อนจะเอ่ยปากพูด “ต้องรีบไปรีบกลับนะ กูยังอ่านหนังสือไม่จบ”

“เข้าใจแล้ว”

“...”

“แต่คืนนี้กูอยากให้มึงอยู่เป็นเพื่อนกูนะ”

ผมแอบตกใจเล็กน้อยขณะที่มองมันขับรถ “เกิดอะไรขึ้น หรือว่ามึงเฮิร์ตเรื่องอ้าย”

“ก็ประมาณนั้น”

“ช่วยเฮิร์ตวันอื่นได้ป่ะ พรุ่งนี้กูสอบ”

“เฮ้ย คนเราเลือกวันเฮิร์ตได้ด้วยเหรอวะ”

“เลือกได้สิ อย่างพรุ่งนี้ใครๆ ก็มีสอบใช่ป่ะ ไม่มีใครมาอยู่ปลอบใจมึงหรอก”

“...”

“แม้กระทั่งตัวมึงเองมึงยังมีสอบเลยไปป์”

ไอ้ไปป์ทำหน้าหงิกเล็กน้อย ส่วนผมมองออกไปนอกหน้าต่าง บรรยากาศในคืนนี้ร้อนอบอ้าวคล้ายกับฝนจะตกยังไงชอบกล ผมคิดไปถึงการสอบในวันพรุ่งนี้ หากฝนตกแปลว่าคืนนี้ผมอาจจะหลับสบาย และผมก็อาจจะไปสอบสาย...

“คิดอะไรอยู่”

“คิดว่าจะตื่นยังไงให้ทัน”

“...”

“บรรยากาศแม่งเหมือนฝนใกล้จะตกยังไงไม่รู้ว่ะ”

“มึงไม่คิดเรื่องกูสักหน่อยเหรอ”

“กูต้องคิดอะไรอ่ะ”

มือที่จับพวงมาลัยของมันบีบแน่นขึ้น ผมยังคงไม่เข้าใจกับสิ่งที่มันเพิ่งพูด ไม่นานนักมันก็จอดรถที่หน้าเซเว่น

“จะเอาอะไรป่ะ”

“เออ เดี๋ยวลงไปดูด้วย”

ได้ข่าวว่ากาแฟเซเว่นนี่มันทำให้ตาสว่างดียิ่งนัก (ข่าวมาจากไหนไม่รู้ผมจำไม่ได้) ผมคาดว่าคืนนี้น่าจะไม่ได้นอนเพราะยังอ่านหนังสือไม่จบ มีความจำเป็นจะต้องซื้ออะไรบางอย่างที่จะทำให้ผมไม่ล้มคอพับหลับไปเสียก่อน

ไอ้ไปป์เดินนำเข้าไป ส่วนผมก็พุ่งตัวไปกดกาแฟก่อน มีมนุษย์คนหนึ่งกำลังด้อมๆ มองๆ ผมอย่างพินิจพิจารณา ผมค่อนข้างคุ้นชินกับการถูกมองแบบนี้จึงไม่ได้คิดอะไรมากเท่าไหร่ ชื่อเสียงของผมอาจจะยังมีไม่มากแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครไม่รู้จักผมเลย

“เอาแค่กาแฟแก้วเดียวเหรอ” ไปป์เดินเข้ามาขนาบข้าง ขวางคนที่กำลังมองผมอยู่ในขณะนั้น

“ช่าย”

“เอาขนมไปด้วยสิ”

“ไม่ได้”

“...”

“เดี๋ยวอ้วน”

“โห หุ่นมึงนี่ดีดทีเดียวก็ปลิวแล้ว จะมากลัวอ้วนทำไม”

“ชีวิตจริงกับตอนออกกล้องมันไม่เหมือนกันนะ”

ไปป์นิ่งคิด “เออว่ะ ในจอทีวีมึงดูบวมๆ”

“ใช่ กล้องแม่งขยายหน้ากูฉิบหาย”

อีกฝ่ายส่งเสียงหัวเราะหึหึ ก่อนจะมองไปที่มนุษย์คนนั้นที่เดินอ้อมมาอีกฝั่งเพื่อที่จะได้เห็นหน้าผมชัดๆ

“ข้องใจอะไรหรือเปล่า” วิญญาณหอสองของไปป์นี่มันแรงจริงๆ ผมรีบเขย่าตัวมันเพื่อเรียกสติ เขาอาจจะแค่มองเฉยๆ ไม่มีอะไรในกอไผ่ก็ได้

คนคนนั้นหันไปทางอื่น แต่ก็ยังคอยมองมาอยู่เรื่อยๆ ผมเลิกสนใจแล้วก็ตั้งท่าจะไปจ่ายตังค์ ตอนนั้นไอ้ไปป์เดินไปซื้อของของมัน ทำให้คนคนนั้นมีโอกาสได้อยู่กับผมสองคน

“มีนครับ” เขาเรียก ผมหันไปมองด้วยใบหน้างงๆ “ชอบนะครับ”

เหยดเข้ ตรงฉิบหาย ตรงยิ่งกว่าไม้บรรทัดตลับเมตร ผมอ้าปากค้างเติ่ง หันไปมองพนักงานเซเว่นแทนที่จะมองหน้าคนแปลกหน้าคนนั้น เขาไม่ใช่ผู้ชายที่หน้าตาเลวร้าย จัดได้ว่าดีค่อนข้างน่ามองเลยทีเดียว เพียงแต่ว่าผมไม่ได้อยู่ในยุคที่จะใช้ผู้ชายมาเรียกร้องความสนใจของไอ้ไปป์แล้ว

ผมอยู่ในยุคที่กำลังจะมีสอบ และผมยังอ่านหนังสือไม่จบ พรุ่งนี้ผมต้องขึ้นเขียงแล้ว ไม่อยากยุ่งกับเรื่องวุ่นวายอะไรทั้งนั้น

“ขอบคุณครับ” ตอบแบบนี้ไปดีกว่า ให้อีกฝ่ายคิดว่าผมมองเขาเป็นแค่แฟนคลับ

“ไม่ได้ชอบแบบนั้นนะครับ”

หา ยังไงนะ

“ชอบจริงๆ ครับ”

ผมตกใจจริงๆ แล้วในตอนนี้ “คือว่าผม...”

“ผมอยู่วงเดียวกับไอ้ภาม ประธานหอหกนะครับ ว่างๆ มาฟังเพลงของผมดูได้”

“เอ่อ...”

“ผมชื่อ...”

“ยังไม่จ่ายตังค์อีกเหรอ” ไอ้ไปป์เดินเข้ามาโอบไหล่ผม ทำให้คำพูดของคนนั้นหยุดไป “ไหนบอกรีบไง ทำไมมึงเอื่อยแบบนี้ล่ะวะมีน”

“ก็...” แม่งงงไปหมดแล้ว ผมรีบจ่ายเงินให้พนักงานเซเว่น ถือแก้วกาแฟออกมาข้างนอกจากนั้นก็ดูดมันด้วยอาการงงๆ ปกติแล้วผู้ชายที่ผมเจอไม่มีใครตรงแบบนี้หรอกครับ สมัยนั้นเพียงแค่สบตากันผมก็ลากตัวเขาไปกอดจูบในห้องน้ำแล้ว พอมาเจออะไรแบบนี้ก็รู้สึกแปลกใหม่ดีเหมือนกัน

ชื่อเสียๆ ของผมในวงการชายที่ชอบเพศเดียวกันมันไม่ได้ดีจนทำให้มีหนุ่มหน้าตาดีมาบอกชอบตรงๆ แบบนี้หรอกนะ หรือไอ้คนนี้แค่อยากจะลองใจผมเล่นวะ มาพูดกับผมเพียงเพราะอยากดูปฏิกิริยาตอบกลับหรือเปล่า (พูดง่ายๆ ก็คือลองของนั่นแหละ)

ไปป์เดินออกมาพร้อมกับขนมถุงใหญ่ หน้าตามันไม่ค่อยสบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด

“ไอ้นั่นมันใช่หนึ่งในบรรดากิ๊กของมึงมั้ย”

ผมส่ายหน้า “เหยื่อรายใหม่ของกูมั้ง”

“เหยื่อเหี้ยไร”

“ไม่รู้สิ”

ผมแกล้งพูดไปอย่างนั้นเอง จริงๆ แล้วผมก็ไม่คิดหรอกว่าไปป์มันจะมองว่าผมกลับมาดีร้อยเปอร์เซ็นต์ หน้าตาของมันทำเอาผมหงุดหงิดและคำถามของมันก็ส่อแววให้เห็นว่ามันไม่เชื่อใจผม แต่ก็นั่นแหละ เราสองคนห่างกันมาหลายปีเกินไป ทุกอย่างมันจะเหมือนเดิมได้ยังไง

เราเป็นเพียงแค่เพื่อนที่เคยรู้ใจกันมากก็เท่านั้น

ไปป์ขับรถกลับมาถึงลานจอดรถหอมันภายในเวลาไม่ถึงห้านาที มันขับเร็วกว่าตอนขาไปมากจนหลังผมติดเบาะ ตอนมันเข้าโค้งก็ขับฉวัดเฉวียนมากเสียจนผมนึกว่าเป็นดอมินิค ทอเรตโตจากหนังเรื่องฟาสต์หนึ่งสองสามสี่ทั้งหลายแหล่

“ไปนะ” ผมบอกลามัน ปากยังคงดูดกาแฟในมือด้วยความหวังว่าจะทำให้ผมตาสว่างไปทั้งคืน

หมับ ไอ้ไปป์คว้ามือผมเอาไว้ก่อนที่ผมจะลงจากรถ

“มีอะไร”

“เลิกได้มั้ย”

“หืม”

“เรื่องที่มึงชอบทำอ่ะ”

ผมเลิกคิ้ว “เรื่องไหนวะ”

“ก็เรื่อง...ยุ่งกับผู้ชายเยอะๆ อ่ะ” ไปป์ไม่กล้าสบตาผม “ตอนนี้กูก็สนใจมึงแล้ว ทีนี้มึงไม่จำเป็นต้องประชดประชันกูอีกแล้วนะ”

“กูประชดอะไรมึงวะ” ขอแกล้งหน่อยเถอะ ที่ผ่านมาไอ้เหี้ยไปป์ทำกับผมสารพัด นอกจากจะทำเหมือนผมไม่ใช่เพื่อนที่โตมาด้วยกันแล้ว มันยังชอบผลักไสไล่ส่งผมอีก ผมแค้นมานานแล้ว ไม่ยอมง่ายๆ หรอกนะ “ถ้ากูจะบอกว่ากูไม่ได้ประชดมึงล่ะ ที่ผ่านมากูแม่งมีความสุขฉิบหายที่ได้อยู่กับผู้ชายคนนั้นคนนี้”

ปี๊นนนนนน!

เชี่ยไปป์ทุบพวงมาลัยเสียงดังจนผมสะดุ้งโหยง ก็รู้อยู่แหละว่ามันไปอยู่หอสองมา นิสัยมันก็ต้องรุนแรงและป่าเถื่อนมากขึ้นตามสิ่งแวดล้อม แต่ไม่คิดว่าจะขาดการควบคุมตัวเองขนาดนี้

“มึงหงุดหงิดเพราะอะไรวะไปป์”

“...”

“ถ้าจะบอกว่ามึงหึงกูก็ไม่น่าใช่ เพราะเมื่อไม่กี่สิบนาทีก่อนมึงยังบอกกูอยู่เลยว่ามึงเฮิร์ตเรื่องอ้าย” ผมแกะมือมันออกไปจากมือของผม “อะไรที่ไม่ใช่ตัวมึง ก็ไม่ต้องพยายามหรอก กูเห็นแล้วอึดอัด”

“มันไม่ใช่อย่างนั้น”

“ให้กูไปอ่านหนังสือเถอะ จะไม่ทันแล้วว่ะ”

ไปป์ปล่อยให้ผมลงจากรถในที่สุด คำพูดเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากพูดออกไปจริงๆ หรอก เพราะมันเป็นคำที่ทำร้ายตัวผมเอง ผมไม่อยากคิดเข้าข้างไปเองว่าไปป์มันหวงหรือหึงผม จริงๆ ผมแค่พยายามเตือนใจตัวเองว่าคนอย่างไปป์คงไม่หันมาสนใจผมง่ายๆ เพียงแค่คนที่มันชอบมีแฟนแล้ว ผมรู้ว่าไปป์มันเป็นคนแบบนั้น

นอกเสียจากว่าตลอดช่วงระยะเวลาหลายปีที่เราห่างกัน ไปป์มันจะเปลี่ยนไปโดยที่ผมไม่รู้








เช้าวันต่อมา

ผมตื่นสายครับและตอนนี้ผมก็จะไปไม่ทันสอบอยู่แล้ว! วิชาแรกเริ่มสอบตอนเก้าโมง ซึ่งตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงสี่สิบห้าและผมเพิ่งจะเดินตึงตังลงมาจากหออย่างรีบเร่ง มีเด็กหอสามสองสามคนทื่ตื่นสายเหมือนกัน แต่พวกนั้นไวอย่างกับจรวด ผมกลัวว่าจะไปสอบไม่ทันฉิบหาย

กาแฟเซเว่นแม่งทำให้ร่างกายรู้สึกดีดๆ ก็จริงครับ แต่พอผมได้นอนเท่านั้นแหละ แม่งก็ไม่ช่วยอะไรผมเลย ผมนอนตอนตีสามครึ่ง ตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ตอนหกโมงครึ่งเพื่อตื่นมาอ่านต่อ แต่ผมเสือกไม่ตื่น

บอกได้คำเดียวว่าฉิบหาย

ตอนทำงานผมตื่นทันตลอด ไม่ว่าจะนัดเช้ามากขนาดไหนก็ตาม แต่ทำไมตอนสอบผมถึงไม่ตื่น หรือเพราะผมไม่มีพี่มะนาวมาคอยจ้ำจี้จ้ำไชวะ

“สัดเอ๊ย” ไปป์ที่ยืนอยู่เดินมาลากตัวผมให้ไปขึ้นรถมัน

“เดี๋ยว อะไรเนี่ย”

“อย่ามาพูดมาก กูกับมึงจะไปสอบไม่ทันกันอยู่แล้ว”

“นี่มึงรอ...”

“เออ”

“...”

“ตั้งแต่เช้าแล้ว เจ็ดโมงครึ่งมั้ง”

ผมถูกยัดเข้าไปในรถอย่างงงๆ “ไปป์ คือ...”

“ไม่ต้องพูด”

“เฮ้ย”

“เอาไว้คุยกันทีหลัง”

ผมเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของไปป์ มันดูเคร่งเครียดจนผมไม่กล้าพูดอะไรอีก เหมือนมันโมโหเรื่องที่ผมตื่นสายทั้งๆ ที่มันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือเดือดร้อนอะไรกับเรื่องนี้ด้วยซ้ำ

ใช้เวลาไม่นานเราทั้งคู่ก็มาถึงลานจอดรถของตึกสาขา ไอ้ไปป์กับผมกำลังจะวิ่งไปสอบกันคนละฝั่ง แต่ก่อนจะเดินแยกไปผมกับมันหันมามองหน้ากัน เราทั้งคู่หยุดนิ่งไปประมาณสิบวินาทีเนื่องจากไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลย

“โชคดีนะ ตัวที่มึงสอบอ่ะไม่ยากหรอก” ไปป์เอ่ย

“อื้ม”

“โง่ๆ อย่างกูยังผ่านมาได้เลย”

“โอเค สู้ๆ นะเว้ย”

ผมกับมันวิ่งกันไปคนละทาง แต่จะมีอยู่คนหนึ่งที่หันกลับไปมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายเสมอตอนที่แยกกัน คนคนนั้นก็คือผมเองนี่แหละ

ผมหันกลับไปมองมัน คิดว่าตัวเองจะได้เห็นแต่แผ่นหลังกว้างๆ ของมันอย่างที่เคยเป็นมาตลอด แต่เปล่าเลย ไอ้ไปป์เองก็หันกลับมามอง มิหนำซ้ำยังโบกมือให้ผมด้วยกล่องดินสอของมันด้วย

เหี้ย เกิดอะไรขึ้นวะ

เรื่องนั้นควรช่างมันก่อน ผมควรจะสอบวิชานี้ให้รอดแล้วค่อยเอาเวลามาครุ่นคิดเรื่องนี้ทีหลัง







หลังสอบเสร็จ

จะบอกว่าพังไปเลยก็คงไม่ถูก เพราะมันก็มีโจทย์บางข้อที่ผมทำได้อยู่ แม้ผมจะเรียนเก่งไม่เท่าหอหนึ่งและก็อ้าย (มันเป็นเด็กหอสามที่เรียนเก่งฉิบหายเลยครับ แต่ไปป์เคยบอกว่ามันเก่งแต่ทฤษฎีนะ ปฏิบัติมันก็ครึ่งๆ กลางๆ) แต่ก็ถือว่าวิชานี้ผมน่าจะรอด และก็ได้ไปต่ออยู่

ผมยินดีที่จะเรียนจบห้าปีครับ เพราะตารางงานกับตารางเรียนของผมบางครั้งมันก็ทับซ้อนกัน จึงจำเป็นต้องดรอปบางวิชาไป ถึงจะเป็นอย่างนั้นผมก็จะพยายามเรียนให้จบภายในห้าปี ไม่ใช่ หก เจ็ด หรือแปดปี

ผมเดินออกมาจากห้องสอบอย่างหมดสภาพ เมื่อเห็นว่ามีใครบางคนมายืนรออยู่ผมก็ถึงกับสตัน

ไปป์ไม่ได้มาคนเดียวครับ แต่มันขนเพื่อนสาขาการบินจากหอสองอย่างสงคราม แดน และก็ภพมาด้วย การที่มันเอาตัวสงครามมาด้วย จะไม่ให้คนอย่างผมและคนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณโดยรอบไม่ตกใจได้ยังไง

“เป็นไง” ไปป์ทักเสียงนุ่ม ผมมองสงครามอย่างประหลาดใจ มันเอาแต่เล่นโทรศัพท์ ท่าทางจะคุยกับอ้ายอยู่

คือมึงมายืนเก๊กเฉยๆ เพิ่มความน่าเกรงขามให้ตัวมึงกับเพื่อนเหรอวะ...

“กูอยู่นี่ มองสงครามทำไม”

“กูสงสัยว่ามันมาทำไม”

“ค่อยถามมันทีหลัง ตอบคำถามกูก่อน สอบเป็นไงบ้าง”

“ก็ดีนะ”

“โอเค ป่ะ ไปกินข้าวกัน”

อะไรยังไงนะ ผมถูกดันหลังให้เดินไปข้างหน้าอย่างงงๆ ตอนนี้ผมกับไอ้ไปป์จึงเป็นเหมือนเซเลบที่มีการ์ดสามคนเดินตามหลังไปซะฉิบ (แถมการ์ดยังตัวใหญ่มาก) งงฉิบหาย ไม่รู้จะถามเพื่อไขข้อสงสัยข้อไหนก่อนดี

แต่ไอ้เหี้ยไปป์ก็ไม่ยอมให้ผมมีโอกาสได้ถาม แม้กระทั่งตอนนั่งอยู่ในร้านอาหารแล้ว ผมก็ยังทำได้แค่มองดูพวกหอสองร่างยักษ์สลับกันไปมาทีละคน คนที่ไม่สนใจผมมากที่สุดคือสงคราม แดนกับภพก็หันมามองและมีรอยยิ้มส่งให้บ้าง แต่ก็ถือว่าไม่ได้ชวนผมคุยเท่าไหร่นัก

“ทำไมเขาไม่เอาน้ำแข็งมาให้สักทีวะ” ไอ้ไปป์จับแก้วเปล่าพลิกไปมาแล้วหงุดหงิด มันลุกขึ้นไปหยิบถังพร้อมๆ กับลงมือตักน้ำแข็งเอง เป็นภาพที่น่ามองดีเหมือนกัน

ผมสบโอกาสจึงลอบเข้าไปกระซิบถามไอ้สงครามที่ไม่ได้สนใจเหตุการณ์ปัจจุบันเลยแม้แต่นิดเดียว

“มึงมาทำไมวะสงคราม”

“ก็ไอ้ไปป์มันอยากแนะนำคนที่มันกำลังจะจีบให้เพื่อนรู้จักอ่ะ ก็เลยต้องยกโขยงกันมา” ภพเป็นคนตอบแทน คนนี้ผมเคยเห็นบ่อย เห็นชอบตามสงครามไปดื่มตามร้านต่างๆ อยู่เป็นประจำ สมัยก่อนผมเป็นพวกขาดื่มขาเที่ยวน่ะ

“เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ”

“อืม”

สงครามเป็นคนถูกถาม แต่เสือกตอบแค่คำว่าอืม

“แล้วใครวะ” ผมถามซ้ำอย่างไม่ค่อยเข้าใจ

“ก็...มีนไง” แดนตอบ

“เฮ้ยยยยยยยยย” ผมร้องลั่นจนคนทั้งร้านหันมามอง รวมถึงไอ้ไปป์ที่เดินกลับมาพร้อมถังน้ำแข็งด้วย

“มีอะไรเหรอ”

“เปล่า” เพื่อนมันส่ายหน้าดิก รวมถึงสงครามด้วย

“พวกมันนินทากูให้ฟังหรือเปล่า”

“เอ่อ...ก็ไม่ได้พูดอะไรนะ” ผมตอบ

จากที่เคยสงสัย แม่งก็ยิ่งสงสัยหนักขึ้นไปกว่าเดิม อย่างไอ้ไปป์น่ะนะจะจีบผม เมื่อคืนมันเป็นคนบอกผมเองว่ามันเฮิร์ตเรื่องอ้าย แต่วันต่อมากลับพลิกมาบอกว่าจะจีบผมเฉย แม่งงงฉิบหาย

“ก็นี่แหละ มีนก็จะประมาณนี้” ไปป์พูดกับเพื่อนมัน

“อ่าฮะ” สงครามยกมือรับรู้อย่างน่าหมั่นไส้ ถ้ามันเอาตัวเข้าไปในโทรศัพท์ได้ มันคงทำไปแล้วล่ะผมว่า

“พวกมึงว่าไง” ไปป์หันไปหาอีกสองคนที่เหลือ

“เด็ดมาก”
“สุดติ่งกระดิ่งแมวไปเลย”

เพื่อนสมัยเด็กของผมยิ้มภูมิใจ ผมสะกิดมันอย่างบ้าคลั่งเพราะต้องการรู้เรื่องนี้ให้ได้

“กูงงไปหมดแล้วนะไปป์”

“ไม่เห็นมีอะไรต้องคิดมาก”

“...”

“ในเมื่อมึงเปลี่ยนตัวเองไม่ได้ กูก็จะตามคุมมึงแจตลอดยี่สิบชั่วโมง ไม่ให้มึงกระดิกตัวไปหากิ๊กคนไหนได้อีกเลยไง”

เมื่อคืนกูพูดเล่นโว้ยยยยยยย! ผมไม่คิดว่าเรื่องมันจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้

“แล้วมึงขนเพื่อนมาด้วยทำไม”

“ก็เป็นธรรมเนียมของหอสองอ่ะ” ไปป์พูดยิ้มๆ “ถ้าเพื่อนจะจีบใคร ก็ต้องพามาแนะนำให้รู้จัก”

“แล้วกูใช่หรือไง”

“ก็ใช่ไง มึงคงไม่มานั่งหายใจทิ้งเล่นๆ ตรงนี้เฉยๆ หรอกถูกมั้ย”

อะไรวะ...มีใครงงมากกว่าผมมั้ยครับ ผมมองหน้าไอ้ไปป์ที่ตีหน้ามึนไม่รู้ไม่ชี้ บทมันจะเปลี่ยนตัวเองมันก็พลิกเร็วมากเสียจนผมตั้งรับไม่ทัน

“อย่าคิดเยอะเลยสัดมีน” สงครามลอบคุยกับผมด้วยน้ำเสียงเบา “ดีซะอีกที่เป็นแบบนี้ มันคงไม่กล้าปล่อยมึงไปไหนอีกแล้วล่ะกูว่า”

“แต่มันเพิ่ง...”

“เรื่องอ้ายน่ะเหรอ”

“...”

“มึงไม่เคยคิดบ้างเหรอว่ามันอาจจะทำเป็นชอบอ้ายเพราะแค่อยากให้มึงเลิกชอบมันอ่ะ”

“เป็นไปได้เหรอวะ”

“ไม่รู้สิ” สงครามเขย่าโทรศัพท์ “กูคุยกับอ้ายอยู่เนี่ย ไม่เห็นเหี้ยไปป์มันจะรู้สึกอะไรเลย”

“คุยเหี้ยไรกัน” ไปป์ยื่นหน้าเข้ามาฟังด้วย

“แต่พอกูคุยกับมึง มันก็สนใจเลยเห็นมั้ย”

“เอ่อ...”

“อะไรของมึงวะ” ไปป์ชักสีหน้าใส่ประธานหอมัน

“บางคนก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าคนที่ใช่อยู่ใกล้แค่ใต้จมูกอ่ะ”

“ไอ้เหี้ยสงคราม”

“ด่าเยอะไปแล้วสัดไปป์” สงครามทุบโต๊ะ

“ขอโทษครับ”

แดนกับภพหัวเราะหึๆ ส่วนสงครามก็ไม่ถือสาไอ้ไปป์ที่แกล้งทำหน้ารู้สึกผิด ผมมองคนสี่คนไปมาก่อนจะมาหยุดมองที่ใบหน้าของไปป์

อะไรที่ทำให้มึงคิดว่ากูใช่สำหรับมึงวะ มึงทิ้งให้กูชอบมึงคนเดียวมานานหลายปีมากเลยนะ

ไปป์ขยับมือมาแตะหน้าขาของผม

“ให้โอกาสกูแก้ตัวหน่อย”

คำพูดของมันทำเอาผมใจชื้นขึ้นมา แม้ว่าจะยังไม่ไว้ใจมันร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ผมคิดว่าลองให้โอกาสมันดูก็ไม่น่าจะเสียหาย

เพราะไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ผมก็ยังไม่เคยเลิกรักมันเลยครับ




TBC*
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 31-08-2017 00:33:12



ตอนที่ 21



สงเหี้ย หอสอง : ไปป์มันพามีนมาแนะนำกับเพื่อนแล้วนะเว้ย
สงเหี้ย หอสอง : แล้วมึงล่ะ สะดวกวันไหน
สงเหี้ย หอสอง : กูอยากเปิดตัวแล้ว


สงครามเซ้าซี้เรื่องนี้มาตั้งแต่ตอนกลางวันแล้ว ดูเหมือนว่าวันนี้เรื่องของไปป์กับมีนจะมีความคืบหน้า ผมยิ้มกริ่มขณะตอบข้อความไลน์ของสงคราม ระหว่างที่เดินดูลูกหอจับกลุ่มอ่านหนังสือกันหลายกลุ่มในโซนส่วนกลาง

AI : ตอนนี้เป็นช่วงสอบนะเว้ย
สงเหี้ย หอสอง : มึงเหลืออีกตัวเดียวนี่
สงเหี้ย หอสอง : คืนพรุ่งนี้แดงเดือดด้วย
สงเหี้ย หอสอง : ไปเหม่อมองฟ้ากัน


มันไม่ได้ชวนผมไปยืนแหงนหน้ามองดูท้องฟ้าครับ แต่มันเป็นชื่อร้านเหล้าซึ่งเป็นถิ่นของหอสอง ร้านที่ผมไม่ชอบไปเท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่ลูกหอผมที่ไปมักจะมีเรื่องกลับมาเสมอ ไม่รู้ว่าพวกหอสองป่าเถื่อนเกินไปหรือเพราะพวกผมกวนประสาทมากกันแน่

หอสามเป็นพวกหล่อแต่กวนประสาท หลังๆ ผมกวนประสาทน้อยลงเพราะมัวแต่คิดมากเรื่องสงคราม จะว่าไปแล้วก็เซ็ง

อ้อ เรื่องแดงเดือดนี่ เป็นเรื่องที่พูดกันทุกหอไม่ใช่แค่เฉพาะพวกหอสอง ศึกระหว่างแมนยูกับลิเวอร์พูลที่ไม่รู้จะแข่งขันช่วงสอบให้เด็กมอ B ช้ำใจเล่นทำไม แต่ใครเล่าจะแคร์ ผมได้ยินพวกเด็กในหอมันจองโต๊ะตามร้านต่างๆ กันยกใหญ่ คิดดูว่าขนาดหอสามยังตื่นเต้นขนาดนี้ ประสาอะไรกับพวกหอสองที่คงจองโต๊ะกันตั้งแต่อาทิตย์ก่อน

แม้ใจผมจะอยากลังเลมากกว่านี้ แต่ผมเพิ่งทำผิดกับสงครามมา วันนั้นผมเมาแล้วอยู่ดีๆ ใครก็ไม่รู้มาฝากรอยคิสมาร์กเอาไว้ สงครามงอนผมฉิบหาย ในทางกลับกันถ้าคนที่โดนคิสมาร์กเป็นสงคราม ผมเองก็จะงอนเหมือนกัน ดีไม่ดีงอนหนักกว่าตอนที่สงครามมันงอนอีก

มันหาว่าผมงอนเก่ง และผมก็ไม่อยากให้มีอะไรมาทำลายความจริงเรื่องนั้น

เอ่อ ผมล้อเล่น ผมรีบกดตอบสงครามไปอย่างรวดเร็วและตามใจคุณเขาสักหน่อย มันดูดีอกดีใจมากเลยทีเดียวจนลืมไปแล้วมั้งว่าพรุ่งนี้ผมกับมันยังมีสอบกันอีกคนละตัว

AI : ไปสิ
สงเหี้ย หอสอง : เยสสสส ไว้นัดเวลากัน
สงเหี้ย หอสอง : ฝันดีโว้ยที่รักกกก
สงเหี้ย หอสอง : ไอ้พวกลูกหอเหี้ยก็อย่าไปดูแลมันให้มากนัก กูอิจฉา


ผมเชื่อว่าระหว่างที่พิมพ์อยู่ มันก็คงจะเดินดูลูกหอของมันเหมือนกัน ผมยิ้มก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง และเมื่อเงยหน้าขึ้นก็ต้องตกใจเมื่ออยู่ๆ ผมก็เป็นเป้าสายตาของพวกลูกหอที่หันมามองผมด้วยนัยน์ตากลมๆ แบ๊วๆ

“เหี้ยไรวะ” คาดประมาณจำนวนคนในนี้น่าจะเกือบๆ ร้อยคนเห็นจะได้

“เมื่อไหร่พี่อ้ายจะบอกเรา” เด็กคนหนึ่งยกมือถาม

“บอกอะไร” ชักหวาดระแวงขึ้นมาแล้ว

“เรื่องพี่กับพี่สงครามไง”

เวรแล้ว...ผมรู้ว่าคงไม่สามารถปิดบังข่าวได้เพราะผมกับสงครามก็ใช่ว่าจะเป็นโนบอดี้ในสังคมมอ B แต่ผมไม่คิดว่าจะมีวันที่พวกลูกหอมันเงียบ จ้อง แล้วก็ถามว่าผมจะบอกพวกมันเมื่อไหร่ ยอมรับตามตรงว่าตกใจฉิบหาย แถมยังทำตัวไม่ถูกอีกต่างหาก

ผมขอความช่วยเหลือไปทางไอ้ธัช มันยักไหล่พร้อมๆ กับเชียร์น้องๆ ให้ถามผมหนักมากขึ้นกว่าเดิมอีก

ไอ้เพื่อนเวร กูกลัวมีดราม่าเว้ย

“ไอ้พวกหอสองมันรู้กันหมดแล้วนะ”
“พี่คิดจะปิดบังเราไปถึงเมื่อไหร่”
“เราไม่น่าไว้ใจหรือไง”
“พี่สงครามยังไม่เห็นจะแคร์ใครเลย พี่อ้ายก็ทำบ้างสิ”

พวกมึงเป็นนายเหนือหัวกูเรอะ ด่าปาวๆ แถมยังมาสั่งให้กูทำนั่นทำนี่อีก ไอ้เด็กพวกนี้นี่

“เดี๋ยวก่อนนะ ใจเย็นๆ” ผมยกมือปราม เด็กมันเริ่มให้ความสนใจและก็ขยับเข้ามานั่งคล้ายกับว่าผมมีอะไรจะประกาศ “เฮ้ย กูยังไม่ได้บอกเลยนะว่ากูจะพูด”

“ต้องพูดแล้วล่ะมั้ง เปิดมาซะขนาดนี้แล้ว” ไอ้ทนายที่นั่งอยู่มุมห้องกับอาสาร้องออกมา เกลียดในความกล้าของแม่งจริงๆ

“นั่นสิ พูดๆๆ”
“เล่าเลย รักกันได้ยังไง”
“ใครจีบใครก่อน พี่สงครามหรือพี่อ้าย”

“เดี๋ยวก่อนนะ” ขอผมตั้งรับแป๊บ “ได้ข่าวว่าพวกมึงมีสอบพรุ่งนี้”

“โอ๊ย เล่าเหอะ พวกผมอ่านกันมาทั้งวันแล้ว” ทนายเป็นตัวตั้งตัวตีสัมภาษณ์ผมในครั้งนี้

ผมมองดวงตาแป๋วๆ ที่ความเป็นจริงไม่ค่อยจะแป๋วเท่าไหร่ พวกมันดูเด็กและน่าเอ็นดูสำหรับผมเสมอ (เวลาที่ไม่สร้างปัญหา) ไม่นึกว่าเวลาแบบนี้ยังจะมีหน้ามาอยากฟังเรื่องของคนอื่นอีก

“เฮ้อ” ผมถอนหายใจ ยอมแพ้เพราะพวกมันรวมพลังกัน ผมลากเก้าอี้มานั่ง ขณะที่เด็กๆ เริ่มนั่งเป็นวงล้อมมากขึ้น สายตาของผมเหลือบมองไปที่ส่วนกลางของหอสอง ทางนั้นก็ยังเปิดไฟสว่างจ้าอยู่เลย “กูขอถามก่อน”

“ถามว่า” หลายเสียงถามผมกลับ

“โกรธกูหรือเปล่าที่คบกับเด็กหอสอง”

พวกมันส่ายหน้ากันสลอน ขออนุญาตอึ้งแป๊บ นี่คิดว่าพวกมันจะด่าผมเสียอีกนะ

“ทำไมถึงเป็นงั้นล่ะ”
“จริงๆ พี่สงครามก็ไม่ได้เลวร้าย”
“หล่อด้วย เท่ด้วย”
“ที่พวกผมปลอดภัยจากพวกหอสองทุกวันนี้ก็เพราะพี่สงครามคอยดูให้ พี่อ้ายรู้มั้ย”

แปลกแต่จริงที่ไม่มีใครเกลียดสงครามเลย ส่วนใหญ่จะเกรงใจและก็หวาดกลัวมากกว่า ซึ่งก็เป็นกันทั้งมหา’ลัยนั่นแหละ

“กูดีใจได้มั้ยเนี่ย กูนึกว่าจะโดนพวกมึงด่า”

“พี่อ้าย ไม่มีใครเขาอยากฟังเรื่องนี้หรอกครับ” เพื่อนไอ้ทนายที่ชื่อโอ๊คเอ่ยต่อ “เขาอยากฟังว่าพี่สงครามจีบพี่ยังไง”

“หรือไม่ก็พี่ไปจีบยังไง” ทนายถามย้ำอีก

พวกขี้เสือกขนานแท้ “กูไม่ได้จีบมันก่อนเว้ย”

“ตกลงยังไงๆ”
“เนี่ย กูบอกแล้วว่าสนุกกว่าแคลคูลัสเยอะ”
“นินทาพี่สงครามมมม”

เด็กพวกนี้คงจะอยากฟังเรื่องหลุดๆ ของไอ้สงครามสินะ ผมยิ้มกริ่ม นึกอยากแกล้งไอ้คนที่ชอบทำตัวเท่ ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้วก็ไม่ได้เท่ขนาดนั้น

“มันง้อคนเก่งมาก”

“ฮิ้วววววววว” ทุกคนดูชอบใจที่จะได้ฟังอะไรแบบนี้

“จริงๆ แล้วมันแม่งกวนตีนเว้ย มันชอบกูแต่ดันมาบอกกูว่าชอบคนอื่น กูไม่ได้ว่ามึงนะมีน”

ไอ้มีนที่โดนพาดพิงถึงยิ้มพร้อมกับขยับมือเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร ไอ้พวกเด็กขี้เสือกขยับหัวมองผมกับมีนสลับกัน ดูพวกมันกระตือรือร้นที่จะฟังมาก จากที่ใกล้หลับเพราะเนื้อหาที่จะสอบมันน่าเบื่อ กลายเป็นตื่นเต็มตาพร้อมทำการเสือกซะอย่างนั้น

“ถ้าพวกมึงจะไปจีบใครนะ บอกเขาไปเลยว่าชอบเขา อย่าไปบอกว่าชอบคนอื่น นอกจากจะเสียเวลาแล้วยังถูกเข้าใจผิดอีก”

“โห พี่สงครามป๊อดว่ะ”
“ใช้ไม่ได้เลย”
“งั้นที่ผ่านมา พี่มันช่วยเราก็เพราะทำเพื่อพี่อ้ายงั้นดิ”
“ฮิ้วววววววววว”

“ทุกวันนี้กูก็ยังงงอยู่เลย” ผมเกาหัวแกรกๆ “เอาล่ะ พอได้แล้วมั้ง”

“พี่อ้ายก็ชอบพี่สงครามมากอ่ะดิ ถึงไม่ได้โกรธที่พี่มันโกหกว่าชอบคนอื่นอ่ะ” ให้ทายว่าใครถามคำถามนี้ครับ ถูกต้อง...กล้าๆ แบบนี้ทั้งหอมีแต่ไอ้ทนายคนเดียวนั่นแหละ

“ไอ้เหี้ย” ขอด่าก่อนตอบ “ที่ผ่านมาการกระทำของมันก็ค่อนข้างเมคเซนส์อ่ะว่ามันชอบกู กูเองก็...มองๆ มันอยู่นานแล้วด้วย”

“โหยยยยยยยยยยยยย”
“ชอบประธานหอสองนี่หว่า”
“พี่อ้ายชอบพี่สงคราม”

“เอาล่ะๆ มันชักจะเกินไปแล้วไอ้พวกบ้า” กูก็เขินเป็นนะเว้ย “เอาเป็นว่ากูกับสงครามชอบกันแล้วก็คบกัน จบ”

“ว่าแล้วเชียว ทำไมพี่สงครามชอบมารดน้ำต้นไม้หอเรา”
“ทำไมชอบมาคุมหอเราตอนที่พี่อ้ายไม่อยู่”
“เออ แล้วก็มีตอนที่เข้ามาตบหัวพวกหอสองเวลาพวกมันมากวนเราอ่ะ”
“แม่ง เพื่อพี่อ้ายล้วนๆ ไม่มีคนอื่นผสม”

“พอแล้วววววววววววว” ไอ้เหี้ย แม่งเขินมาก ยิ่งฟังก็ยิ่งเขิน “กูจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วนะ ใครอยู่คนสุดท้ายอย่าลืมปิดไฟ ส่วนกูขอตัวไปนอนก่อน”

“กำลังสนุกเลย”

“ไม่เอาแล้วโว้ย” ผมเก็บเก้าอี้ จากนั้นก็ออกมาจากห้องด้วยใบหน้าแดงก่ำ รู้สึกตื้นตันใจยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก ไอ้เรื่องที่ผมกลัวนักกลัวหนาเอาเข้าจริงๆ มันกลับไม่มีอะไรเลย

ถ้าประธานหอสองคนที่ผมคบไม่ใช่สงคราม เจ้าเด็กพวกนี้อาจจะไม่ได้ยอมง่ายๆ แบบนี้ก็ได้

ต้องขอบคุณสงครามที่ทำตัวดีมาโดยตลอด...







ผมมีสอบอีกหนึ่งตัวในเช้าวันนี้

ใช้เวลาไม่นานก็สอบเสร็จ สิ่งต่อไปที่ผมต้องทำก็คือรอไปดูฟุตบอลแดงเดือดคืนนี้ที่ร้านเหม่อมองฟ้า ตอนนี้ผมมีรถเป็นของตัวเองแล้วครับ วันนี้ผมก็เลยคิดว่าจะไปเดินช็อปปิ้งสักเล็กน้อย ที่ผ่านมาแทบไม่มีเวลาดูแลตัวเองเลย ไอ้นั่นก็หมด ไอ้นี่ก็หมด

ผมพุ่งตรงไปยังภารกรโดยไม่ลืมที่จะบอกสงครามว่าผมไปไหน นี่ถ้าไม่บอกเดี๋ยวเจ้าตัวก็งอนผมอีก ชักจะไม่แน่ใจเรื่องขี้งอนแล้วครับว่าใครกันแน่ควรได้รับคำนี้ไป แต่ที่แน่ๆ ณ ช่วงเวลานี้ผมมีความสุขมาก แม้จะเป็นช่วงเวลาที่เราคบกันแรกๆ ก็ตาม

แปลกแต่จริงที่ทักไลน์ไปแล้วมันไม่ตอบ ผมคิดว่ามันอาจจะกำลังยุ่งๆ ที่ตึกสาขามัน ดีไม่ดีอาจมีทำเล่มโปรเจ็กต์ต่อ พูดถึงเรื่องทำเล่มโปรเจ็กต์ กลุ่มผมก็ยังทำไม่ถึงไหนเลย...

แล้วตอนนี้ผมก็ยังมีหน้ามาเดินช็อปปิ้งชิลๆ ไปอีก

คิดแล้วก็รู้สึกผิด เย็นนี้ต้องเปิดไฟล์มาเริ่มทำต่อซะแล้ว ช่วงนี้มีอะไรหลายอย่างประเดประดังใส่ผมเหลือเกิน หรือนี่เป็นสัญญาณในการฝึกเป็นผู้ใหญ่หลังจากผมเรียนจบวะ

เอาเถอะ ตอนนี้ขอผมดูโลชั่นกับครีมกันแดดสักหน่อยก็แล้วกัน

ผมเดินเข้าออกหลายๆ ร้าน รู้สึกผ่อนคลายเมื่อได้ซื้อของ มีเด็กมอ B หลายคนเดินเข้ามาทัก ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กที่มาจากหอไม่ค่อยมีปัญหา ผมบอกอย่างนี้ก็รู้เลยใช่มั้ยครับว่าหอไหนที่มีปัญหา

ใช่ ผมกำลังพูดถึงหอสอง

ตัวพ่อมันแสบยังไง ลูกมันก็แสบพอกันนั่นแหละ

“พี่อ้ายครับ”

เวลานั้นผมจำได้ว่าผมตกใจมาก ผมกำลังต่อคิวซื้อขนมไปแจกพวกลูกหออยู่ (ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกอยากเป็นป๋าขึ้นมาในวันนี้) จู่ๆ ก็มีเด็กหอสองเข้ามาทักผมแบบกะทันหัน ที่ผมจำพวกมันได้ก็เพราะร่างกำยำของพวกมันนั่นแหละ น่าจะอยู่ปีหนึ่งหรือไม่ก็ปีสอง แต่ตัวใหญ่ท่วมหัวผมไปหมดแล้ว

“ว่าไง” ผมมองอย่างหวาดระแวง ไม่รู้พวกแม่งจะมาดีหรือมาร้าย ถึงตอนนี้ผมจะเป็นแฟนประธานหอมัน แต่ก็ใช่ว่าคนในหอนี้จะไว้ใจได้ไปซะหมด ผมถูกปลูกฝังมาว่าแบบนี้น่ะครับ

“ผมจะมาบอกว่าอย่างอนพี่สงครามบ่อยจะดีกว่าครับ”

“หา” กูช็อกแป๊บ

“มันโอเคครับถ้าคนเป็นแฟนกันจะงอนง้อกัน แต่ผมอยากให้พี่อ้ายช่วยงอนให้น้อยๆ ลงหน่อย เพราะถ้าพี่สงครามไปง้อบ่อยๆ มันจะส่งผลไม่ดีต่อภาพลักษณ์ของหอสอง”

มันขนาดนั้นเลยเหรอ

“ผมไหว้ล่ะครับ” ไอ้เด็กนั่นจริงจังมาก มันกับเพื่อนสะกิดกันก่อนจะชวนกันยกมือไหว้ผมเหนือหัว แล้วเดินหน้าบึ้งตึงออกไป ผมมองตามอย่างงงงัน ก่อนที่จะคิดอะไรขึ้นมาได้

สงครามแม่งเอาเรื่องอะไรของผมไปบอกเด็กหอสองงงงงงงงงงงง

ไอ้เหี้ยนี่แสบมาก ผมนินทามันได้ มันก็นินทาผมได้สินะ นี่ขนาดเป็นแฟนกันแล้วยังหนีไม่พ้นเรื่องศักดิ์ศรีหออีกเหรอ

“พี่อ้าย” เด็กหอสองที่มาเที่ยวห้างเริ่มเข้ามาหาผมอีกแล้ว

“มีเหี้ยอะไร”

“อย่านอกใจพี่สงครามนะครับ เพราะถ้าพี่อ้ายนอกใจพี่สงคราม พวกผมซวยแน่”

อ้าว เกี่ยวกับกูตรงไหน “เดี๋ยวก่อนนะ”

“ทุกวันนี้พี่มันชอบใช้พวกเราเป็นเครื่องมือระบายความโกรธ สั่งลงโทษโน่นนี่ ขนาดพี่มันอยู่ในอารมณ์ปกติพวกเรายังโดนเลย ประสาอะไรกับตอนที่พี่อ้ายนอกใจ”

“กูยังไม่ได้นอกใจไง”

“ผมฝากคำพูดไว้แค่นี้แหละครับ”

ผมเริ่มกำหมัดแน่นขึ้น ไอ้สงครามมันกำลังแกล้งผมแน่นอน ผมชี้นิ้วขู่ไม่ให้เด็กหอสองมันเดินเข้ามาคุยกับผมเรื่องนี้ ขณะที่อีกมือหนึ่งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกหาสงคราม มันยังไม่รับสาย สงสัยอาจจะติดธุระอยู่

แต่เอ๊ะ...ครั้งล่าสุดที่มันไม่รับสายก็คือมันงอนผม นี่อย่าบอกนะว่าตอนนี้มันก็กำลังงอนผมอยู่อ่ะ

ครั้งก่อนผมสัมผัสความปกติของสงครามได้ไว เพราะมันเป็นคนประเภทกระตือรือร้นตั้งแต่เช้า คอยทัก คอยโทรหา ถ้าผมไม่ตอบคือมาบุกหอผมชัวร์ๆ

ผมพยายามมองโลกในแง่ดี สงครามมันทักมาหาผมแต่เช้าพร้อมทั้งอวยพรก่อนผมเข้าห้องสอบอีก แปลว่ายังไงมันก็ไม่ได้งอนผมอยู่ เพียงแต่ว่าตอนนี้...มันหายไปไหนหรือทำอะไรอยู่กันแน่

น่าสงสัยจริงๆ










20.02 น.

บอลเริ่มเตะประมาณห้าทุ่ม และตอนนี้ผมก็ยังติดต่อสงครามไม่ได้ ผมไม่อยากให้คู่เรากลายเป็นคู่สามวันดีสี่วันไข้แบบนี้ ยิ่งมันเงียบผมก็ยิ่งรู้สึกใจคอไม่ดี นี่ผมไปทำอะไรผิดแบบที่ผมไม่รู้ตัวหรือเปล่าวะ

ที่แน่ๆ ก็คือผมเอาสงครามมาเผากับลูกหอ แต่เรื่องนี้ผมควรโกรธมากกว่ามันอีก ไอ้เหี้ยนั่นคงเอาไปเล่าให้พวกหอสองฟังแบบละเอียดยิบแน่ๆ ผิดกับผมที่ตอบแบบผ่านๆ เพราะผมเขินซะก่อน

ให้ตายเถอะ รับสายสักทีสิวะไอ้บ้า

ระหว่างที่กำลังจะโทรออกหาสงครามเป็นสายที่เท่าไหร่ไม่รู้ ไอ้โอมญาติของผมก็ส่งข้อความไลน์มาหาซะก่อน สิ่งที่มันแนบมากับข้อความทำให้ผมตกใจจนบีบโทรศัพท์แน่นขึ้น

OHM : /แนบรูป
OHM : /แนบรูป
OHM : /แนบรูป
OHM : ฝีมือแฟนมึง
OHM : นี่แค่ส่วนหนึ่งนะ


รูปที่โอมส่งมาคือรอยฟกช้ำดำเขียวสดใหม่ที่โอมมันน่าจะโดนสดๆ วันนี้ ผมอ้าปากค้างเติ่ง อึ้งจนไม่รู้จะอึ้งยังไง

AI : เฮ้ย เกิดอะไรขึ้น
OHM : มันบุกมาถึงมอกูเลย
OHM : คุมผัวมึงหน่อยดิวะอ้าย


ผมรู้แล้วว่าตลอดทั้งวันสงครามมันหายไปไหน ความสับสนในใจของผมมาพร้อมกับเสียงฝีเท้าบริเวณหน้าหอฝั่งตรงข้าม

สงครามมันกลับมาแล้ว...และเป็นการกลับมาหลังจากที่ซัดโอมญาติผมจนเจ็บหนักยับเยิน

ผมเดินออกไปข้างนอก ซึ่งพอสงครามเห็นมันก็มองไปทางอื่นทันที

“กูเพิ่งรู้” ผมเปิดประเด็น “ว่ามึงหายไปไหนมา”

“เด็กโคตร ขี้ฟ้องฉิบหาย” ลองสำรวจตรวจตราใบหน้าของสงคราม มันมีรอยฟกช้ำอยู่บ้างแต่ก็คงไม่หนักเท่าโอม “มึงจะด่าอะไรกูล่ะ”

“กูไม่เข้าใจ”

“มันทำผิดมาตั้งเยอะ จะโดนแบบนั้นมันก็ถูกแล้วนี่”

“แต่มันเป็นญาติกูนะเว้ย มึงหักห้ามใจตัวเองไม่ได้เลยเหรอ”

“งั้นก็แปลว่ากูผิดสินะที่กูไปทำร้ายญาติที่รักของมึงอ่ะ”

“ทำไมมึงหงุดหงิดขนาดนี้”

“นั่นน่ะสิ กูก็สงสัยตัวเองเหมือนกัน” สงครามโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง พยายามเดินเลี่ยงผมซึ่งกำลังทำความเข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

“มึงเป็นแบบนี้กูไม่สบายใจเลยนะ เราเพิ่งดีกันนะเว้ย”

“จะให้กูหายหงุดหงิดตอนนี้กูก็ทำไม่ได้ว่ะ”

“...”

“ไว้ค่อยคุยกันนะ คืนนี้กูกลัวกูขาดสติ”

“สงคราม มีอะไรก็คุยกันดิ”

“พี่สงครามมาแล้ว พี่สงครามมาแล้วโว้ย” เราทั้งคู่หันไปมองเจ้าของเสียงที่แทรกขึ้นมา พวกหอสองต่างก็ดีใจที่เห็นสงครามกลับมา “พร้อมกันแล้วพี่ ไปกัน!”

วันแดงเดือดหรือวันก่อม็อบอะไรวะ อะไรมันจะกระตือรือร้นขนาดนั้น ผมเริ่มไม่อินกับสิ่งนี้เพราะผมกับสงครามมีเรื่องไม่เข้าใจกัน ผมขยับเท้าถอยหลัง ปล่อยให้ลูกหอกับประธานหอได้อยู่ด้วยกัน

“แล้วนัดเรายังมีอยู่มั้ยวะ” ผมถามเสียงอ่อย สีหน้าของผมเหนื่อยใจอย่างปิดไม่มิด

สงครามทำได้แค่เพียงยักไหล่เล็กน้อย นั่นทำให้ผมเกิดความรู้สึกขุ่นมัวในใจขึ้นมา ผมอุตส่าห์คิดว่าจะได้ไปกับสงคราม แม้จะเป็นการเปิดตัวของผมแต่ผมก็พร้อมที่จะทำเพื่อมันต่อให้จะรู้สึกเขินอายแค่ไหนก็ตาม แต่ดูมันสิครับ มันทำเหมือนนัดของผมกับมันไม่มีค่าอ่ะ

ผมไม่จำเป็นต้องไปกับมัน ผมไปกับคนอื่นก็ได้







ร้านเหม่อมองฟ้า

การนัดหมายแม่งง่ายกว่าที่คิด ผมเพียงเอ่ยปากว่าใครจะไปดูบอลที่เหม่อมองฟ้าบ้าง ลูกหอนับสิบก็ส่งเสียงตอบรับกันใหญ่ คนเด่นๆ ที่มากับผมก็มีไอ้ธัช ทนาย อาสา และก็ไอ้โอ๊คนี่แหละ แม้เราจะเป็นพวกหอสามอีกทั้งยังไปบุกร้านถิ่นหอสอง แต่ตอนนี้ผมโกรธจนเกินกว่าจะหวาดกลัวอะไรทั้งสิ้น ดูเหมือนไอ้ทนายจะถูกใจผมในเวอร์ชั่นนี้มาก เวอร์ชั่นที่กล้าบวก กล้าได้กล้าเสียกับไอ้พวกหอสองที่เราเอาแต่ก้มหน้าก้มตาหลบแม่งตลอด

ตอนที่เข้ามาในร้าน แน่นอนว่าเราต้องถูกจับตามอง โดยเฉพาะโต๊ะใหญ่ข้างๆ ที่ไม่รู้ว่าโชคชะตาจงใจให้ผมได้ตรงนี้หรือเปล่า สงครามมันนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะใหญ่นั้นและกำลังมองจ้องผมเขม็ง

หรือผมกับมันจะไม่มีวันเป็นแฟนที่หวานกันปกติได้วะ หรือเราสองคนเคยชินกับการห้ำหั่นกันผ่านสายตาแบบนี้เหมือนช่วงสองสามปีที่ผ่านมามากกว่า

มึงตอบมาซิสงคราม มึงตอบมา

“เอาไงวะ” เพื่อนๆ ของไอ้สงครามถามความเห็นมัน ปกติเห็นพวกหอสามบุกถิ่น พวกมันจะไม่นั่งนิ่งปล่อยให้เราเดินเข้ามาเหมือนอยู่ในทุ่งดอกไม้แบบนี้หรอกนะครับ

สงครามทำเพียงแค่ยกแก้วในมือขึ้นดื่มจนหมด “เขาอยากมาก็ปล่อยเขา”

สิ้นเสียงของมัน ไม่มีใครตั้งคำถามว่าจะทำยังไงกับโต๊ะของผมอีก นี่มันแย่ยิ่งกว่าการสั่งให้คนอื่นมาเอาเรื่องผมกับพวกลูกหออีกนะ การเพิกเฉยของสงครามแม่งทำให้ผมรู้สึกโกรธจนไม่มีอารมณ์ดูบอลแล้ว

“พี่อ้าย แดกอะ...”

“เข้มๆ อ่ะ ชงมาเลย” ผมบอกไอ้โอ๊คคนถาม มันพยักหน้าแล้วเริ่มจัดการชงเหล้าให้ผมซึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะทันที ผมกับสงครามห่างกันแค่ช่องว่างประมาณเกือบหนึ่งเมตรกั้นอยู่เท่านั้น แต่เหมือนไกลกันฉิบหาย

“บอกมา มีปัญหาอะไรเดี๋ยวผมไปเคลียร์” ไอ้ทนายเริ่มพันแขนเสื้อ โดยที่แฟนมันก็ทำหน้าที่ปรามอยู่ข้างๆ อย่างเคย “แบบนี้แม่งน่าหมั่นไส้อ่ะ”

“มันไม่ยอมเคลียร์กับกู มันเป็นบ้า”

“แต่ผมมองอีกแง่หนึ่งนะ” อาสาค่อยๆ พูด ทนายเอียงคอไปตั้งใจฟังเต็มที่ “ปกติพี่สงครามอยากพูดอะไรก็พูด แต่นี่พี่มันไม่กล้าพูดเลย แปลว่าต้องมีเรื่องที่หนักใจมาก”

“พูดออกมาดีกว่า” ผมตั้งใจเสียงดังให้มันได้ยิน “มีปัญหาอะไรจะได้เคลียร์ๆ ไม่ใช่เก็บเอาไว้คนเดียว”

คิดว่าสงครามมันสนใจมั้ยครับ มันสนใจแต่มันไม่ยอมพูดอะไรทั้งสิ้น บอลกำลังจะเริ่มเตะแต่สายตาของมันกลับจมจ่อมอยู่กับเครื่องดื่มตรงหน้า ไม่ได้ครื้นเครง ไม่ได้ตื่นเต้นกับศึกครั้งยิ่งใหญ่ของฟุตบอลพรีเมียร์ลีก

ทนายที่เป็นเด็กหงส์เริ่มหันไปสนใจจอฉายแทน ส่วนผมก็ทำเหมือนสงครามนั่นคือปล่อยสมาธิให้อยู่กับการยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม
ไหนๆ ก็สอบเสร็จแล้ว ถ้าจะเมาจนยับเยินก็ขอให้เมาจนภาพตัดไปเลย

ไอ้โอ๊คทำหน้าที่ดีมาก มันนั่งอยู่อีกฝั่งของผมและพยายามทรีตผมด้วยการชงให้ดื่มตลอด อาจเป็นเพราะให้เกียรติหรือไม่ก็มันไม่ดูบอล ผมเองก็ไม่ได้ขัดศรัทธา มันชงมาผมก็ยกจนเริ่มรู้สึกว่าวันนี้ผมคงดื่มหนักและรัวเร็วมากที่สุดในชีวิต

เสียงเฮดังขึ้นเมื่อมีทีมใดทีมหนึ่งยิงประตูเข้า มีการบลัฟกันอย่างเปิดเผยราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้คือวัฒนธรรมปกติของหอสอง (ประมาณว่าถ้าจะให้ข่มกันมากกว่านี้ก็คือต่อยกันแล้วน่ะครับ) ผมเหลือบมองไอ้สงคราม มันนั่งได้อย่างขี้เกียจ อีกทั้งยังเอาแต่จ้องแก้วตัวเองซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ แทนที่จะอินกับบรรยากาศชวนคึกรอบตัว

เราสองคนควรแยกไปคุยกัน ไม่ควรปล่อยให้เวลาผ่านไปง่ายๆ แบบนี้ ผมยังไม่เคลียร์อีกทั้งสงครามแม่งก็ไม่ยอมทำอะไรให้มันดีขึ้น แบบนี้มันใช้ได้เหรอวะ

“พี่อ้ายครับ อีกแก้ว...”

ปึง!

เท้ายาวๆ ของสงครามพาดมาขวางผมกับไอ้โอ๊คเอาไว้ ไอ้โอ๊คตกใจจนแก้วเหล้าในมือกระฉอก ส่วนผมเองได้แต่มองหน้าสงครามอย่างตกตะลึง เท้ามันวางอยู่บนโต๊ะซึ่งมีกับแกล้มที่น้องๆ ผมกำลังกินอยู่ แบบนี้แม่งโคตรป่าเถื่อนเลย

“พอแล้ว” มันส่งเสียงแข็ง “เลิกดื่มได้แล้ว”

“เสือก” ผมด่า “สนใจด้วยเหรอ”

ตอนนี้แมนยูหรือลิเวอร์พูลจะยิงเข้าก็ไม่มีใครสนใจแล้วมั้งครับ ทุกคนรอดูว่าประธานทั้งสองหอจะมีเรื่องกันหรือเปล่า จะได้ช่วยทันเวลา

ช่วยให้วุ่นวายมากขึ้นนะครับ ไม่ได้ช่วยให้มันดีขึ้น

“อยากคุยนักใช่มั้ย”

“...”

“งั้นก็ตอบกูมา”

เป็นคำถามที่เร่งด่วนและไม่มีเวลาให้ผมได้คิดวิเคราะห์ไตร่ตรองอะไรทั้งสิ้น หากผมย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะไม่เร่งรัดสงคราม และปัญหาของพวกเราก็อาจจะเบาลง

“ระหว่างกูกับญาติมึง มึงจะเลือกใคร”





TBC*
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 31-08-2017 00:43:50



ตอนที่ 22



หลังจากวันนั้นผมกับสงครามก็ห่างกันมากที่สุดเท่าที่เรารู้จักกันมา

มันคงคิดว่าผมให้คำตอบไปแล้ว ส่วนผมก็อยู่ในช่วงที่กำลังมึนงงว่านี่มันคือเรื่องเหี้ยอะไรกันแน่ ทำไมมันต้องถามคำถามนี้หลังจากที่มันจัดการโอมจนเละไม่มีชิ้นดี มันมีเรื่องอะไรที่ไม่ยอมบอกผมหรือเปล่า

สงครามคือแฟนของผม คือคนที่ผมรัก คือคนที่ผมคิดอยากจะแชร์เวลาที่ผมมีความสุขด้วยกันกับมัน ส่วนโอม คือลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกันมานาน สนิทเสียจนผมให้ยืมเงินและสิ่งของเพราะเชื่อใจว่าจะได้คืน และโอมก็คืนจริงๆ

แฟนกับญาติเป็นสิ่งที่ผมต้องเลือกด้วยเหรอวะ

ช่วงเวลาสอบมิดเทอมผ่านพ้นไป ผมต้องมานั่งเคร่งกับการทำสัมมนาและการทำเล่มโปรเจ็กต์ ขอบอกก่อนเลยว่าคิวพูดสัมมนาของผมนั้นอยู่ท้ายๆ และผมทำเสร็จตั้งแต่ตอนต้นเทอมแล้ว พอเป็นช่วงหลังกลางเทอม ผมจึงต้องนำมันกลับมาปัดฝุ่นและเตรียมความพร้อมสำหรับพูดสัมมนาอีกครั้ง บอกได้คำเดียวว่า...แม่งหนักมาก

ตอนนี้ผมคงเป็นประธานหอที่ละเลยต่อหน้าที่ที่สุดในสามโลก เพราะต้องพยายามเข็นตัวเองให้เรียนจบท่ามกลางพายุดราม่าระหว่างผมกับสงคราม ณ เวลานี้มันเป็นช่วงที่สำคัญของการมองหาประธานหอคนต่อไป ซึ่งผมก็มองๆ มันไว้อยู่แล้วล่ะว่าใคร

ไม่ใช่อาสา

ไม่ใช่ทนาย

แต่เป็นแฟนไอ้เตที่ชื่อไมล์

ไอ้เด็กคนนี้มันไม่ค่อยเด่นก็จริง แต่มันเอาแต่ใจตัวเองครับ ผมสังเกตเวลาที่มันอยู่กับไอ้เต มันคุมคนอย่างไอ้เตได้เพราะความเอาแต่ใจของมันนี่แหละ ที่ผมเป็นประธานหอและสามารถคุมเด็กให้อยู่ในกฎได้ทุกวันนี้ก็เพราะผมมีความเอาแต่ใจตัวเองในแบบของผม ซึ่งสิ่งนี้ทนายมันทำไม่ได้แน่ๆ ส่วนอาสาน่ะเหรอ...มันควรดูแลตัวเองไม่ให้โดนผู้ชายจับไปแดกให้ได้ก่อน

เพราะฉะนั้นนอกจากปัญหาเรื่องสงครามแล้ว เรื่องอื่นผมก็ยังพอแก้ไขให้มันผ่านพ้นไปแบบถูไถได้ เรื่องเรียนมันเป็นสิ่งที่ต้องผ่านไปให้ได้อยู่แล้ว ไม่นับว่าเป็นอุปสรรคใหญ่ แต่เรื่องสงครามเนี่ยสิ...ผมกับมันจะจบกันแค่นั้นจริงๆ น่ะเหรอ

หลายวันที่ผ่านมานี้โน้ตสุขใจของผมกลายเป็นโน้ตทุกข์ใจไปซะฉิบ แต่ละวันผมพร่ำเพ้อละเมอถึงความไม่เข้าใจกันระหว่างผมกับสงคราม การที่มันไม่กล้าฟังคำตอบของผม การที่ผมไม่กล้าเอ่ยปากขอคุยกับมันตรงๆ สองอย่างนี้เป็นเหมือนสิ่งเปราะบางระหว่างเราสองคน ซึ่งหากใครคนใดคนหนึ่งไปแตะในส่วนนั้นเข้า...ผมกับมันก็อาจจะแตกหักกัน

ให้ตายเถอะ...ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากโดดลงไปในน้ำให้หัวมันเย็นเสีย

ผมจำได้ว่าสงครามเคยกลัวเรื่องที่ผมจะปฏิเสธมัน กลัวจนถึงขนาดไม่กล้าบอกชอบผมตรงๆ แต่ไปบอกว่าชอบคนอื่นแทนเพื่อหันเหความสนใจของผม ผมกำลังคิดถึงเรื่องนี้ หากความกลัวของเราสองคนมันมีมากขึ้น มันจะผิดใจกันไปเรื่อยๆ แทนที่บรรยากาศระหว่างเราจะกลับมาสดใสเหมือนเดิม

ยิ่งคิด ผมก็ยิ่งไม่มีสมาธิที่จะทำอะไรทั้งสิ้น

วันนี้ผม ธัช และก็ไอ้ไปป์อยู่ที่ห้องสมุด ไอ้เหี้ยไปป์เซอร์ไพรส์ผมกับธัชด้วยการควงมีนมาด้วย ช่วงนี้แม่งหนีบมีนไปทุกที่เท่าที่มันจะพาไปได้ ไม่รู้ว่ากลัวมีนหายหรือเปล่า

ธัชกับไปป์สัมมนาผ่านตั้งแต่ต้นเทอมแล้ว มีนกับผมยังไม่ผ่าน มันสองคนเข้าใจเรื่องการเตรียมตัวจึงปล่อยให้ผมทำงานสัมมนาของผมไป ส่วนพวกมันก็ทำเล่มโปรเจ็กต์กันแทน เราสามคนคิดว่ายังไงก็เสร็จทันพรีเซนต์โปรเจ็กต์แน่นอน ดีไม่ดีอาจมีเวลาแก้เล่มให้ใหม่เอี่ยมมากขึ้นไปกว่าเดิมได้

ผมที่นั่งทำงานสัมมนามาทั้งวันแล้วเริ่มรู้สึกเหนื่อย ลำตัวของผมเอียงลงพร้อมๆ กับฟุบใบหน้าลงกับโต๊ะ มือของผมเริ่มจัดการไถหน้าจอโทรศัพท์ซึ่งผมคิดว่าใครหลายคนก็คงทำกันจนเป็นกิจวัตร

คิดถึง...สงคราม

แม้ว่าจะอยู่ในช่วงที่ค่อนข้างคุกรุ่น แต่ผมก็คิดถึงมันอยู่ จริงๆ แล้วผมไม่ได้รู้สึกว่าเราหมดรักกัน สิ่งที่ผมรู้สึกก็คือผมคิดว่าเราทั้งคู่แค่ไม่เข้าใจกัน

สำหรับผม ผมหวังว่าจะเป็นเพียงแค่นั้น

อินสตาแกรม skwwytn
ภาพ : สงครามถูกแอบถ่ายตอนเผลอที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง
แคปชั่น : ถ้าคนไหนโสด...ได้โปรดส่งเสียงมาหน่อย


“โสดพ่อมึงดิ!”

เพราะบรรยากาศที่เงียบของหอสมุดทำให้คำพูดที่แทบจะเป็นการตะโกนของผมได้ยินกันทั่วทั้งชั้น ทุกคนมองมาที่ผมราวกับเป็นตัวประหลาด แต่ผมกลับไม่ได้สนใจสายตาเหล่านั้น

ผมสนใจแต่แคปชั่นไอ้สงครามนี่แหละ แคปชั่นเหี้ยฉิบหาย คนมีแฟนอย่างมันไม่ควรตั้งแบบนั้นป่ะวะ

หรือมันบอกเลิกผมผ่านทางไอจี

มึงไม่ไลฟ์บอกชาวบ้านเขาไปเลยล่ะวะไอ้เหี้ยสงครามมมมมมม!

“อ้าย มึงใจเย็นนะ” ไปป์ที่เพิ่งเงยหน้าขึ้นมาจากไอจีปรามผมอย่างเกร็งๆ “สงครามมันไม่ตั้งแคปชั่นเสี่ยวแบบนี้ มึงก็รู้”

“ใช่ๆๆ” มีนช่วยพูดอีกแรง “ปกติแคปชั่นมันห่ามจะตาย อ่านแล้วยังสัมผัสได้ถึงความน่ากลัว”

“พวกมึงไม่ต้องแก้ตัวแทนมันเลย” ผมกำหมัดแน่น คัดเลือกรูปที่เพิ่งถ่ายล่าสุด (ใช้ลูกหอที่เล่นกล้องถ่ายเพราะแสงสวย) เตรียมพร้อมอัพลงไอจี

“อ้าย มึงจะทำอะไร” ธัชเอียงคอมาดูผม

อินสตาแกรม bigbossdormno.3
ภาพ : อ้าย (ทำเป็น) เผลอที่ลานแห่งหนึ่ง
แคปชั่น : ก็โสด โสดอยู่ทางนี้


“แม่งเอาเรื่องว่ะ” ไปป์กระซิบกับคนอื่นๆ ส่วนผมวางโทรศัพท์คว่ำจอลงกับโต๊ะไปแล้ว

“ถ้าแม่งเล่น ก็เล่นแรงไปไง” มีนวิเคราะห์

“ก็นั่นน่ะสิ” ผมร้อง “แรงมาก ไม่เห็นหัวกูเลย”

“มึงสองคนควรไปคุยกันนะกูว่า มึงดูคอมเมนต์ดิ” ไอ้ธัชเลื่อนคอมเมนต์ที่ใต้รูปผมให้ดู “มีแต่ลูกหอเข้ามาปั่น แม่งมีแฮชแท็กแล้วด้วย”

“แฮชแท็กอะไรวะ”

“ทีมอ้าย”

“แน่นอน เด็กหอกูก็ต้องทีมกูสิ” ผมรู้สึกดีที่มีคนเข้าข้างผมในสถานการณ์แบบนี้

“มึงดูใต้รูปไอจีของสงครามซะก่อน” ไปป์ชูมาให้ผมดู “แฮชแท็กทีมสงครามเต็มไปหมด”

“พวกมึงจะทำให้เกิดสงครามระหว่างหอเพียงเพราะเรื่องเล็กๆ ของพวกมึงแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย” มีนทำหน้าเครียด

“มันยังไม่เกิดหรอก มึงอย่าคิดมาก”

“เหรอ อีกนิดก็บลัฟกันแล้วเนี่ย” ธัชเริ่มเครียด “ใครๆ ก็อยากเชียร์หอตัวเองทั้งนั้น ยิ่งยุคหลังๆ หอพักชายแม่งสงบสุขเกินไป พวกลูกหอก็อยากมีเรื่องข่มหออื่นให้รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง”

ทั้งหกหอมีความเก่งในแต่ละด้านต่างกันออกไป เวลาจัดการแข่งขันอะไรก็ไม่สนุก ถ้าแข่งกีฬา หอสองก็ฟาดถ้วยไปครอง ถ้าประกวดเดือน พวกเดือนก็มากองกันอยู่ที่หอสาม และประกวดดนตรี พวกผู้ชนะก็จะอยู่ที่หอหก เพราะงั้นจึงไม่มีการจัดแข่งขันความสามารถมานานมากแล้วครับ

“ตื่นเต้นด้วยการที่จะเอาเรื่องของกูกับสงครามมาข่มกันเนี่ยนะ”

“ก็แค่เตือนไว้ พวกหอสองหัวรุนแรง” มีนพูด

“หอสามก็เหมือนกันนั่นแหละ” ไอ้ไปป์ผู้อยู่หอสองคนเดียวเอ่ยแทรกขึ้นมาพร้อมทำหน้าเคืองๆ “นี่ไง บลัฟกันแล้วเห็นมั้ย”

อ่านคอมเมนต์ในโทรศัพท์ไอ้ไปป์แล้วรู้สึกปวดกบาลเลยครับ

ประธานหอมึงทำไรผิดหรือเปล่า @คนเมนต์คนที่หนึ่ง
ความผิดอาจจะอยู่ที่ประธานหอมึงก็ได้เว้ย ไอ้เหี้ย #ทีมอ้าย @คนเมนต์คนที่สอง


เริ่มปวดหัวแล้วล่ะครับ ผมจับโทรศัพท์หงายขึ้น ชื่อสงเหี้ย หอสองปรากฎขึ้นมาเป็นเบอร์ที่กำลังโทรเข้าพอดี มีน ธัช และก็ไปป์ผายมือให้ผมไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกแทบจะในทันที

ผมลุกขึ้นเดินหนีเพื่อไปหาที่คุยโทรศัพท์ ยอมรับว่าใจสั่นและก็กลัวฉิบหายว่าสงครามมันจะบอกเลิกผมเพราะอยากโสดจริงๆ ตามแคปชั่น

อย่าทำแบบนั้นกับกูเลยนะ






“ฮัล...”

[ภพมันแกล้ง กูไม่ได้อัพรูป กูไม่ได้ตั้งแคปชั่นนั้นด้วย]

ฟังแล้วรู้สึกใจชื้นขึ้นมายังไงก็ไม่รู้ “จริงเหรอ”

[เออดิ]

“แล้วถ้าเป็นมึงจะตั้งว่าไง”

[ง่วงเลยแดกกาแฟ]

ก็ดูเป็นมันดีนะครับผมว่า “ตอนนี้อยู่ร้านกาแฟเหรอ”

[ใช่ แต่อีกแป๊บจะไปอยู่หอสมุดแล้ว]

“ทำไม”

[มึงเช็กอินไงสัด]

ผมอัพรูปพร้อมกับเช็กอินสถานที่ติดไปด้วยอย่างเคยชิน “เราสองคนพร้อมจะคุยกันแล้วเหรอวะ”

[...]

“สงคราม คือกูไม่อยากให้เราเป็นแบบนี้เลย”

[กูก็ไม่อยากอ่ะ]

“แล้วทำไมไม่คุยกัน”

[กูกลัว]

“...”

[กลัวว่ามึงจะเลือกไอ้เหี้ยนั่น เพราะมันเป็นคนในครอบครัวมึง แต่กูไม่ชอบมันไง]

ผมเกาหัวแกรกๆ ระหว่างที่กำลังพูด “มันไม่เหมือนกันป่ะ”

[ถ้ามึงจะแคร์มัน มึงก็ไม่ต้องมาแคร์กู]

“กูยังไม่ได้พูดเลย”

[...]

“ทำไมมึงถึงเกลียดโอมขนาดนั้นวะ”

[ก็มันเป็นคนดูดคอมึงไงอ้าย]

เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

[ญาติกันไม่น่าจะทำแบบนั้นหรอกจริงมั้ย]

ผมถึงกับพูดไม่ออก เป็นความจริงที่ทำผมอึ้งอย่างแรงจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้

“มึง...รู้ได้ไง”

[สายกูเยอะ มึงก็รู้ว่ากูเป็นใคร]

“...”

[มีคนเห็นเยอะ ไม่มีใครกล้าเข้ามาบอกกู เพราะมีแต่คนกลัวว่ากูจะเอาตีนยัดปากคนบอก]

“สงคราม”

[อ้าย กูรับไม่ได้หรอกนะถ้ามึงจะมีญาติที่คิดจะทำอะไรมึงแบบนั้น]

“คือ...”

[ถ้ามีมัน ต้องไม่มีกู มึงเข้าใจใช่มั้ย]

“...”

[ถ้าคิดออกแล้วก็บอกกูหน่อยแล้วกัน]

“...”

[กูยังรักมึงเหมือนเดิม]







[พาร์ตของสงคราม]

ความกังวลที่อยู่ในใจผม ผมบอกอ้ายไปจนหมดสิ้นแล้ว

“เป็นไง” ไอ้ภพที่เป็นมือดีแกล้งผมด้วยการอัพรูปพร้อมตั้งแคปชั่นดึงดราม่ามองมาอย่างลุ้นๆ “อ้ายสนใจมึงแล้วใช่มั้ย เขาบอกรักมึงใหญ่เลยสิ”

ผมชักจะสงสัยแล้วว่าชาวหอสองอย่างเราๆ แม่งโง่เรื่องความรักกันหมดทุกคนหรือเปล่า ดูอย่างไอ้ภพสิครับ มันให้ผมเรียกร้องความสนใจด้วยวิธีแปลกๆ แบบนี้ แทนที่อ้ายจะสนใจ ผมคิดว่าอ้ายยิ่งจะเมินผมมากกว่าเดิม

“มึงนี่มันเหี้ยจริงๆ” ผมรีบเข้าไปในไอจีเพื่อแก้ไขแคปชั่นของตัวเองอย่างเร่งด่วน ก่อนที่ลูกหอของผมกับอ้ายจะตีกันมากไปกว่านี้ และผมไม่ลืมที่จะเมนต์เพิ่มลงไปด้วยว่า

skwwtyn พวกมึงควรเอาเวลาเสือกไปทำอย่างอื่น

เท่านั้นแหละครับ เมนต์ใต้รูปของผมกับอ้ายก็ไม่มีใครกล้าพิมพ์อะไรเพิ่มเติมอีก

“มึงจะเอายังไงต่อไป” แดนถามต่อ มันกับภพคือคนที่พาผมไปจัดการไอ้เหี้ยโอมที่มอของมันเมื่อวานนี้ครับ

“รอคำตอบอ้าย” ผมตอบแค่นี้ “แต่กูก็กังวลเรื่องหนึ่ง...”

“กังวลเรื่อง?”

“ถ้ามันจะเลือกกู ทำไมมันต้องลังเลวะ” พอพูดจบผมก็อดที่จะเอามือมาปิดหน้าไม่ได้ “กูรับไม่ได้จริงๆ นะ ถ้ามีกูต้องไม่มีไอ้เหี้ยนั่นจริงๆ มึงดูสิ่งที่มันทำกับอ้าย มีแต่ข่มเหง มีแต่บีบบังคับ พูดแล้วแม่งก็...” เท้าของผมถีบเก้าอี้ในร้านกาแฟจนคนในร้านสะดุ้ง “อยากซัดมันอีกรอบ”

“ใจเย็นๆ” เชี่ยแดนพยายามปราม “เมื่อวานมันก็เละไปแล้ว”

“จะให้เละกว่านี้ก็ได้นะ กูพร้อมซัพพอร์ต” ไอ้ภพพันแขนเสื้อ

ผมโบกมือปัดกลายๆ ตอนนี้ควรจะปล่อยเรื่องไอ้โอมไปแล้วมาลุ้นเรื่องอ้ายดีกว่าว่ามันจะเอายังไง ยิ่งคิดผมก็ยิ่งโมโห ภาพคิสมาร์กสองรอยมันทำให้ผมต้องนึกไปถึงตอนที่ไอ้สัดโอมมันพยายามลวนลามอ้ายของผม

แค่คิดผมก็กำหมัดแน่นจนสั่นแล้ว

อ้ายเงียบไปนานจนผมนึกหวั่นใจ ยิ่งมันปล่อยไว้นานผมก็ยิ่งคิดว่ามันมีความลังเลสูง ผมไม่รู้หรอกว่าอ้ายกับโอมมันผูกพันกันถึงขั้นไหน แต่เป็นลูกพี่ลูกน้องกันก็ไม่ควรจะท้องชนกันป่ะวะ

ผมเหลือบไปที่รายชื่อคนโทรออกล่าสุด ชื่ออ้ายเด็กกูยังคงทำให้ผมใจสั่นทุกครั้งที่มอง

แต่ครั้งนี้ผมลุ้นมากกว่าครั้งไหนๆ ทั้งสิ้น...







วันนี้หอสามช่างเป็นอะไรที่เงียบเชียบมาก

ดูก็รู้ว่าประธานหอมันไม่อยู่ ผมเดินวนไปวนมาอยู่หน้าหอตัวเองเฝ้าดูว่าอ้ายจะกลับมาเมื่อไหร่ ผมไม่รู้ว่าอ้ายอยู่ไหนหรือทำอะไร แต่สถานะของเราสองคนตอนนี้ทำให้ผมอดคิดไปเองไม่ได้ว่ามันอาจจะอยู่กับคนที่ผมไม่อยากให้อยู่ด้วย

คนที่ชื่อว่าโอม

ผมเหลือบไปมองอีกทีก็เห็นเพื่อนของอ้ายที่ชื่อธัชกำลังจะเดินเข้าหอ ปากของผมเรียกมันเอาไว้เร็วกว่าความคิดของผมซะอีก

“ธัช”

มันหันมา เมื่อเห็นว่าผมเป็นคนเรียกมันก็อดทำหน้าตกใจไม่ได้ เพื่อนอ้ายคนนี้ชอบตื่นกลัวผม แต่ก็อาจจะเป็นเพราะชื่อเสียงเสียๆ ของผมนั่นแหละ

“วะ ว่าไง”

“เห็นอ้ายป่ะ”

“ตั้งแต่แยกกันที่หอสมุดเมื่อสองชั่วโมงก่อนก็ไม่รู้ว่ามันไปอยู่ไหนอ่ะ”

“เหรอ”

“โทรหาดิ” ธัชเริ่มให้ความสนใจกับเรื่องนี้มากขึ้น

“ไม่กล้าว่ะ”

“ทำไมถึงไม่กล้า”

“ไม่รู้”

ธัชคงไม่เคยเห็นผมในมุมนี้มั้ง มันหยิบโทรศัพท์ของมันขึ้นมาก่อนจะกดโทรออกหาอ้ายให้

“ฮัลโหล สัดอ้าย อยู่ไหนวะ” เพื่อนของอ้ายมองผมอย่างหวั่นวิตกระหว่างที่ฟังคำตอบ “อ่าฮะ ไม่มีไรเว้ย”

ผมมองอีกฝ่ายอย่างลุ้นๆ “สรุปว่า...”

“ตอนนี้มันอยู่กับโอม เหมือนมีเรื่องต้องเคลียร์กัน”

สีหน้าของผมเปลี่ยนไปอย่างควบคุมไม่ได้

“อ้ายเล่าปัญหาของมันกับมึงให้กูฟังแล้วล่ะ”

“...”

“มึงไม่ต้องห่วงนะ มันรักมึงมาก ยังไงมันก็ต้องหาทางออกได้”

คำพูดของธัชช่วยให้ผมอุ่นใจขึ้นได้นิดหน่อย แต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้ผมหายกังวล

“อีกนานป่ะกว่ามันจะกลับ” หัวของผมไม่สามารถลบภาพไอ้โอมนัวเนียอ้ายในร้านเหล้าคืนนั้นได้จริงๆ

“คงอีกสักพักแหละ ให้กูบอกมันมั้ยว่ามึงรอ”

“ไม่ต้องหรอก”

“โอเค”

“...”

“เย็นๆ เข้าไว้นะเว้ยสงคราม”

“ขอบใจ”

ธัชกระพริบตาปริบๆ ให้ผมก่อนจะเดินเข้าไปในหอ ผมถอนหายใจยาวเหยียดแล้วทึ้งหัวตัวเองเบาๆ ผมแม่งกลัวคำตอบของอ้าย กลัวว่ามันจะเลือกโอมมากกว่าผม ความผูกพันของมันระหว่างผมกับโอมคงจะเทียบกันไม่ได้ แต่ผมก็อยากให้อ้ายมันเลือกผม

ให้ตายเถอะ...เมื่อไหร่เราสองคนจะผ่านพ้นเรื่องนี้ไปสักที







22.04 น.

ผมย้ายตัวเองมารออ้ายอยู่บริเวณลานจอดรถของหอสาม บรรยากาศโดยรอบค่อนข้างเงียบ เว้นเสียแต่ว่ามีพวกขาเที่ยวกำลังขับรถเข้าๆ ออกๆ หลายสายตามองมาที่ผมอย่างสงสัย แต่ผมไม่สนใจ ผมยังคงอดทนรออ้ายต่อไป

23.32 น.

มันไปคุยอะไรกับไอ้เชี่ยโอมบ้าง มีเรื่องที่ต้องถกกันนานตั้งแต่บ่ายจนถึงดึกขนาดนี้เชียวเหรอ ผมเริ่มอดทนรอไม่ไหว กดโทรออกหาอ้าย แต่รู้สึกเหมือนว่าแบตของอ้ายจะหมดหรืออะไรไม่รู้ เพราะผมโทรหาไม่ติดเลย

นี่มันชักจะมากเกินไปแล้วนะ

00.17 น.

ผมคิดว่ามันนานเกินไปแล้ว สมองของผมเริ่มจินตนาการไปต่างๆ นานาว่าอ้ายกับโอมอาจจะทำเหี้ยอะไรก็ตามที่ผมไม่ชอบ ใจจริงแล้วผมก็ไม่อยากคิดในแง่ลบเท่าไหร่หรอก แต่เพราะผมรออ้ายมาตั้งแต่เย็นจนกระทั่งถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เห็นเงาของอ้าย อารมณ์หงุดหงิดของผมพุ่งถึงขีดสุด หนำซ้ำยังรวมกับอาการคิดไปเองของผมอีก บอกได้เลยว่าผมพร้อมระเบิดได้ทุกเมื่อ

01.38 น.

ในที่สุดรถของอ้ายก็เข้ามาจอด ผมยืนกอดอกพิงรถคนอื่นมองดูอ้ายด้วยนัยน์ตาเจ็บปวดรวดร้าว แฟนผมดูเหนื่อยมากเหมือนเพิ่งผ่านศึกสงครามที่มันเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ย่อยยับ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น...ผมก็ยังมีเรื่องที่อยากคุยกับอ้ายอยู่ดี

“ไปอยู่กับมันนานเกินไปหรือเปล่า” ผมยั้งปากตัวเองเอาไว้ไม่ทัน รู้แต่ว่าผมทั้งโกรธและโมโหจนอยากจะระบายมันออกมา

“เอาไว้ค่อยคุยกันได้เปล่า” อ้ายมองผมอย่างเหนื่อยใจ นั่นยิ่งทำให้ผมฉุนขาด

“คุยกับมันได้ แต่คุยกับกูไม่ได้งั้นเหรอวะ”

“สงคราม อย่าเพิ่งเลยว่ะ”

“ไม่” ผมคว้าข้อมือของมันเอาไว้เพราะมันกำลังจะหันหลังเดินหนีผม “ถ้าเป็นแบบนี้มึงก็ไม่ต้องตอบคำถามกูแล้ว”

“ว่าไงนะ”

“มึงคุยกับมันได้ แต่มึงคุยกับกูไม่ได้ แบบนี้จะให้กูคิดยังไง”

“สงคราม” อ้ายสะบัดมือผมออก “กูเหนื่อย”

“ไปทำอะไรมาถึงเหนื่อย”

“มึงอย่ามาเด็กน้อยแถวนี้ได้ป่ะ”

ปึง!

อ้ายถูกผมดันตัวไปชิดกับรถของมัน กระเป๋าและของในมืออ้ายหล่นกระจาย ผมที่คร่อมอยู่เหนือร่างของมันอยู่ในอารมณ์ที่พร้อมบดขยี้ร่างสวยงามนี่ทุกเมื่อ

อีกฝ่ายสั่นและทำสีหน้าตื่นกลัวผมอย่างเช่นทุกครั้งที่ผมทำรุนแรงกับมัน แต่ครั้งนี้ผมไม่สนเหี้ยอะไรทั้งนั้น ผมโกรธและต้องการระบายมันออก

“ไปทำอะไรกับมันมา” ข้อมือของอ้ายถูกผมบีบจนแดงก่ำ

“สงคราม...”

มือของผมอีกข้างเริ่มไล่ไปตามลำตัวที่งดงามเกินกว่าความเป็นชาย ความนวลเนียนทำเอาผมอึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็พยายามสะบัดมันทิ้งไป เพราะจุดหมายของผมตอนนี้คือต้องการให้อีกฝ่ายเจ็บปวดให้มากที่สุด ให้สมกับการที่ผมต้องรอท่ามกลางความสับสนและไม่แน่นอนอะไรเลยสักอย่าง

ริมฝีปากของผมอยู่เหนือริมฝีปากของอ้ายไม่กี่เซนต์ อีกฝ่ายเม้มปาก ราวกับกลัวการสัมผัสของผมมากในขณะนี้

นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกโกรธหนักมากกว่าเดิม

“ปล่อย” มันแค่นเสียงตอบผม นัยน์ตาสั่นระริกพร้อมกับมีน้ำตาปริ่มอยู่ที่ขอบตา

มือที่ผมสัมผัสร่างกายใต้ร่มผ้าของมันเลื่อนไปกระตุกเป้ากางเกงของอ้ายจนมันสะดุ้ง

“สงคราม”

“...”

“นี่ลานจอดรถ”

“คิดว่ากูสนเหรอ” กางเกงของอ้ายเริ่มถูกผมปลดอย่างรวดเร็ว มันงอตัวพร้อมกับตัวสั่นงันงกอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

“มีสติหน่อย” มันขอร้อง พยายามดิ้นออกจากพันธนาการที่ผมเป็นคนทำ “กูขอร้อง...นะ”

น้ำตาหนึ่งหยดของอ้ายหล่นกระทบแขนผม ในตอนนั้นผมจึงได้สติกลับคืนมา อ้ายมองผมพร้อมกับทำสีหน้าหวาดกลัว เหมือนผมไม่ใช่คนที่มันรัก ไม่ใช่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนของมัน

อย่างที่ผมเคยบอก...ผมไม่ชอบเวลาที่อ้ายทำหน้างอนหรือโกรธผม แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะรุนแรงกว่านั้นหลายเท่านัก

ผมนี่แหละที่เป็นคนทำพังเองกับมือ

อ้ายจัดการตัวเองอย่างรวดเร็วก่อนจะรีบเดินหนีผมชนิดที่ว่าไม่ยอมหันกลับมามองอีกเลย ผมมองตามไปจนสุดสายตาก่อนจะทึ้งหัวตัวเองอย่างบ้าคลั่ง

ผมไม่ชอบที่เราทั้งคู่เป็นแบบนี้...แต่มันก็เป็นความผิดของผมเองนั่นแหละที่ขาดสติและทำให้มันแย่ลงไปกว่าเดิม

ตอนนี้...อ้ายมันคงจะเกลียดผมไปแล้วมั้ง






TBC*
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 31-08-2017 00:54:31




ตอนที่ 23
พาร์ตของมีน




PIPE : ทำอะไรอยู่
MEAN : แต่งตัว
PIPE : ถ่ายเสร็จยัง
MEAN : มึงเพิ่งถามกูเองนะว่ากูทำอะไร
PIPE : จะแต่งตัวอะไรนานนักหนา
MEAN : ต้องวางมือถือแล้ว
PIPE : เฮ้ย
MEAN : อาจหายไปชั่วโมงสองชั่วโมงเลยนะ มีถ่ายหลายชุด
PIPE : เสร็จแล้วทักมานะเว้ย


“เดี๋ยวนี้เริ่มคุยกับไปป์บ่อยขึ้นแล้วเหรอ” พี่มะนาวที่เดินอยู่รอบๆ ผมกับช่างแต่งหน้าและช่างทำผมถามด้วยสีหน้ายิ้มๆ “ไปป์เริ่มรู้ตัวแล้วหรือไงว่าชอบเราอ่ะ”

“ไม่รู้สิครับ”

“โอ๊ย หน้าตาดูมีความสุขเว่อร์อ่ะ”

“จริง” พี่ช่างแต่งหน้าเอ่ย “ผิวดีขึ้นมากเลยลูกมีนเอ๊ย ช่วงนี้ชีวิตรักดีใช่มั้ยล่ะ”

“ก็นิดหน่อย...มั้ง”

“เชื่อมั้ยล่ะว่าถ้าอีกฝ่ายว่างก็คงจะมารับมาส่งแหละ” พี่มะนาวเริ่มเปิดประเด็นในการเมาท์ นี่พี่เขาลืมไปหรือเปล่าว่าผมนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ “จะเมาท์ให้ฟังว่าน้องไปป์ของมีนหน้าตาเป็นยังไง”

“เดี๋ยวก่อนนะพี่มะนาว”

“จะมาหวงก็ไม่ทันแล้วล่ะมีน” พี่มะนาวกับพี่ๆ ช่างแต่งหน้าทำผมแลดูมีความสุขมาก “น้องไปป์หุ่นดีมากเว่อร์อ่ะพวกแก ล่ำแบบสมส่วน สูงอีก”

“แค่นี้ก็เอาไปเลยสิบแต้ม” พี่ช่างแต่งหน้าน้ำลายหก “แล้วหน้าตาล่ะคะคุณพี่”

“จัดได้ว่าดี ยิ่งหุ่นดีก็ยิ่งเสริมให้ทุกอย่างดูดีไปหมด”

“มีนมีรูปมั้ยลูก แบ่งปันให้พวกป้าๆ ที่กำลังนกอยู่หน่อย” พี่ช่างทำผมก็เป็นไปกับเขา

“ใช่ แต่ถ้าไม่ใช่มีนนี่พวกเราอย่าหวังเลยว่าผู้ชายจะชายตาแลมองเรา”

“พูดแล้วก็เศร้า อยากร้องไห้”

“รัชดาซอยแปดกันหน่อยมั้ยล่ะคืนนี้”

ผมคิดว่าพวกพี่เขาคงไม่อยากเห็นรูปไอ้ไปป์กันแล้วล่ะครับ เพราะตอนนี้เริ่มหน้าเครียดกันเรื่องนัดเที่ยวรัชดาซอยแปดกันแล้ว ผมมองพวกพี่ๆ ผ่านกระจก ก่อนจะมองดูโทรศัพท์ตัวเอง

บอกแล้วว่าผมติดงาน แต่ทำไมเชี่ยไปป์แม่งยังทักเข้ามาไม่หยุดไม่หย่อนก็ไม่รู้

“ถามอะไรหน่อยสิ” พี่มะนาวนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ พร้อมหันมาจ้องมองผม พี่ๆ คนอื่นออกไปจากจุดนี้กันหมดแล้ว เพราะใกล้เวลาที่ผมต้องไปเตรียมตัวถ่ายรูปพอดี “ทำไมอยู่ดีๆ ไปป์ถึงได้มารักมาหลงได้ล่ะ”

“ไม่รู้สิ”

“ไปอ่อยอะไรเขา”

“ไม่ได้อ่อยเลยเหอะ”

“...”

“หลังจากคนที่มันชอบมีแฟน มันก็หันมาสนใจผมเฉยเลย”

“เอ่อ...” พี่มะนาวกุมอก “เริ่มแปลกๆ แล้วนะ”

“นั่นน่ะสิครับ” ไลน์ผมยังคงเด้งไม่หยุด และแน่นอนว่าคนที่ทักมาก็คือไอ้ไปป์คนเดิม

“แต่จริงๆ แล้วพี่ว่าไปป์เองก็น่าจะมีใจให้มีนอยู่บ้าง”

“ทำไมถึงคิดงั้นล่ะ”

“เวลาพี่ขอให้ไปป์ช่วยอะไร ไปป์ไม่เคยอิดออดเลยนะ ไม่ว่ามีนจะอยู่ไกลแค่ไหน”

ผมนึกตามคำพูดของพี่มะนาว

“ตอนนั้นมีนมีงานที่ทะเล รถตู้เรายางแตก ไปป์ยังขับรถจากกรุงเทพฯ ไปรับเลย ตอนนั้นกี่โมงล่ะ ตีสองเลยนะ”

“สรุปคือพี่มะนาวต้องการจะสื่ออะไรเนี่ย”

“พี่ว่าไปป์คงชอบมีนอยู่บ้างนั่นแหละ แต่ก็เพิ่งมาทำคะแนนอย่างอลังการบานตะไทเอาตอนนี้”

ผมเกาหัวแกรกๆ ยังคงพยายามไม่คิดอะไรมากมายเพราะต้องการเซฟหัวใจตัวเองด้วยส่วนหนึ่ง แม้ว่าผมจะเจ็บเรื่องไอ้ไปป์มานานหลายปี แต่ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์ที่ทำให้เผลอคิดว่าไปป์มันมีใจ ผมก็ไม่กล้าคิดแบบนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะกลัวจะฮีลหัวใจตัวเองได้ยาก

มนุษย์ที่ต้องทนรับความเจ็บปวดกับการให้ความสนใจคนคนหนึ่งมานานหลายปีมักจะมีวิธีปกป้องหัวใจในแบบของตัวเอง และนี่ก็คือวิธีของผมครับ ไม่คิดไปเองและไม่ยอมปักใจเชื่อในการกระทำของไอ้เชี่ยไปป์เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์

“คุณมีนพร้อมหรือยังครับ”

“พร้อมแล้วค่า พร้อมแล้ว” พี่มะนาวลุกขึ้นขณะที่ผมลุกตาม “โอเค หล่อแล้ว”

วันนี้ผมมาถ่ายนิตยสารภายใต้คอนเซ็ปต์ขายของแบบคู่จิ้น คนที่มาถ่ายแบบคู่กับผมชื่อปอง อายุเท่ากันและก็เคยร่วมงานกันบ่อยมาก ปองเป็นเด็กในสังกัดโมเดลลิ่งของเพื่อนพี่มะนาว ด้วยความที่ได้ร่วมงานกันบ่อยจึงแอบมีแฟนคลับจิ้นคู่ปองมีนบ้างอะไรบ้าง
แต่ไอ้ปองมันไม่ได้เป็นเกย์ครับ มันเป็นชายแท้...

“ไง” ผมทักปอง

“เออ ไง”

“เป็นไร หงุดหงิดเหรอ”

“เออ เมียไม่ให้เอา”

ผมสะดุ้งกับคำพูดของปอง มันเป็นคนแมนๆ ตรงๆ แบบนี้แหละผมถึงเข้ากับมันได้ง่าย แฟนปองเป็นสาวเที่ยวรุ่นพี่ที่เห็นแค่รูปก็รู้สึกเข็ดฟันแล้ว พี่เขาเปรี้ยวฉิบหายจนผมเองก็อดน้ำลายหกไม่ได้ แม้ว่าผมจะเป็นเกย์ก็เถอะ คือแฟนของปองเป็นสาวที่เซ็กซี่โคตรๆ น่ะครับ สัญชาตญาณดิบเถื่อนในร่างของผมถูกปลุกเพราะรูปของแฟนไอ้ปองเลย แต่อย่าไปบอกมันล่ะ เดี๋ยวมันต่อยผม

“ก็คุยกับเขาดีๆ สิ”

“เนี่ย เสร็จงานนี้ก็ว่าจะไปคุย”

“มีนชิดเข้าไปอีกหน่อยนะ” พี่ช่างภาพบอกผม ไอ้ปองอ้าแขนรับตัวผมอย่างรู้งาน สินค้าที่เราจะถ่ายวันนี้เป็นลูกอมสื่อรักครับ คอนเซ็ปต์คู่จิ้นแบบน่ารักๆ ผมกับปองรับงานนี้เพราะว่าไม่ได้โชว์หวิวซึ่งอยู่ในภายใต้ข้อจำกัดของเราทั้งคู่ ไม่มีใครอยากให้ภาพความเป็นเกย์ติดตัวเรามากเกินไป ซึ่งพี่มะนาวกับผู้จัดการของไอ้ปองก็เห็นพ้องต้องกัน

ใจผมไม่สั่นและไม่มีความตื่นเต้น ปองมันเป็นเหมือนหุ่นสำหรับผม ขณะที่ไอ้ปองเองก็มองว่าผมเป็นหุ่นที่มันต้องถ่ายรูปคู่ด้วยเช่นด้วยกัน ระหว่างที่เปลี่ยนเซ็ตใหม่ ปองมันก็บ่นเรื่องเมียของมันให้ฟังอีกรอบ

“ช่วงนี้เหมือนจะมีกิ๊ก”

“มึงไม่ตามไปคุมเขาล่ะ”


“แฟนกูแม่งดิ้นเก่งอย่างกับปลาไหล กูจับเอาไว้ไม่อยู่หรอกนะ”
“มึงมีความสุขมั้ยล่ะ”

ปองทำหน้าครุ่นคิดนิดๆ กระชับตัวผมให้เข้าไปอยู่ในอ้อมแขนอีกรอบ ผมได้ยินเสียงวี๊ดว้ายของพี่มะนาวกับคนอื่นๆ แต่ผมกลับไม่รู้สึกเขินอายเลย

“มี” มันจ้องตาผมไปด้วย พี่ตากล้องจึงได้รูปเด็ดไปอีกหลายรูป “กูชอบจับผู้หญิงเปรี้ยวๆ แบบนี้ให้อยู่หมัด ท้าทายดี”

“เหลือเชื่อจริงๆ”

ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ การถ่ายแบบของผมกับปองก็เสร็จ ระหว่างที่ผมกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมเห็นผู้จัดการของปองฝากฝังมันไว้กับพี่มะนาว เหมือนเจ๊แกจะรีบไปไหนก็ไม่รู้

“มีอะไรเหรอพี่”

“ปองจะติดรถกลับไปด้วยน่ะ”

“ได้มั้ย” ปองถามผมอย่างกวนๆ “หรือจะให้กูติดไปด้วยตอนมึงเดตกับหนุ่มก็ได้นะ กูไม่ว่า”

“พ่อมึงสิ” ผมแกล้งด่า ไอ้ปองหัวเราะขำก่อนจะนั่งรอผม

หลังจากที่เปลี่ยนมาใส่ชุดเดิมเหมือนตอนเข้ามาในสตูดิโอ ผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดู รู้สึกจะเป็นลมกับไลน์จากไอ้ไปป์มาก แม่งกระหน่ำพิมพ์มาหาผมอะไรขนาดนั้น ข้อความแรกๆ ส่วนใหญ่จะเป็นการเร่งให้ผมตอบกลับโดยเร็ว แต่ข้อความที่มันเพิ่งพิมพ์มาเมื่อกี้เป็นข้อความที่ทำให้ผมรู้สึกสะดุด

PIPE : ไอ้นี่ใคร
PIPE : /แนบรูปภาพแคปจากไอจีของปอง
MEAN : คนที่ทำงานด้วยวันนี้ไง
PIPE : แล้วแท็ก ‘ตัวพีของมีน’ นี่อะไร
PIPE : แฟนคลับมึงเล่นเต็มเลย
MEAN : อะไรของมึงวะไปป์
PIPE : ในทวิตอ่ะ เต็มเลย เข้าไปดูดิ


“พร้อมจะกลับกันหรือยังหนุ่มๆ อย่าลืมเช็กข้าวเช็กของด้วยนะ” พี่มะนาวเดินเข้ามาตาม ผมเดินตามหลังไอ้ปองออกไปจากสตูฯ ในขณะที่มือกดเข้าแอปทวิตเตอร์เพื่อเช็กดูว่าเกิดอะไรขึ้น

ไอ้เหี้ย #ตัวพีของมีน ติดเทรนด์ไทย!

ผมสะดุ้งโหยงเมื่อกล่องเมนชั่นของผมจำนวนพุ่งสูงมากเป็นประวัติการณ์ และเมื่อกดเข้าไปดูเทรนด์ที่กำลังเป็นที่กล่าวถึง ผมก็ถึงบางอ้อว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

‘พี่ปองนี่แหละ น่าจะใช่ #ตัวพีของมีน #MEANAPAT #PONGWAT’

‘แนบหลักฐานให้ดูค่ะ คู่นี้เขาแนบชิดสนิทสนมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว คิคิ #ตัวพีของมีน’

‘เรือปองมีนเท่านั้นที่เราจะแล่น! #ตัวพีของมีน #ปองมีน #PONGMEAN’

‘สมมติพี่ปองมีแฟนแล้วเราก็ไม่สน เมื่อใจเราชิปไปแล้ว เราจะไม่มีวันหยุดชิปค่ะ #ตัวพีของมีน’

‘พี่มะนาวขอรูปอีก ชงเยอะๆ ค่า ชงเยอะๆ หนูชอบบบบบบบ #ตัวพีของมีน’


ผมเห็นภาพแคปจากไอจีสตอรี่ของพี่มะนาว จึงรีบเข้าไปดูในไอจี ระหว่างที่ผมทำงานถ่ายแบบอยู่นั้น พี่มะนาวได้ลงสตอรี่ในไอจีของตัวเองไปด้วย ผมรู้ว่าพี่เขาไม่ได้ตั้งใจจะชง แต่แฟนคลับคงสนุกกับการที่ได้จิ้น อีกอย่างหนึ่งผมชอบตั้งแคปชั่นเพ้อเจ้อด้วย ซึ่งมันไปประจวบเหมาะกับรูปที่ไอ้ปองมันถ่ายคู่กับผู้หญิงที่ไม่ใช่แฟนมันตัวจริงพอดี เขาก็เลยโยงกันใหญ่

ผมไม่มีปัญหาเรื่องคู่จิ้นครับ แต่ผมจะมีปัญหาเพราะไลน์ที่ไอ้ไปป์มันกระหน่ำพิมพ์มาหาผมอีกระลอกนี่แหละ เพิ่งรู้ว่าแม่งเล่นทวิตด้วย ทำไมไม่บอกผม ผมจะได้กดฟอลโลว์

ตัวพีของมีนนี่น่าจะเอามาจากชื่อไอจีของผม pmean ซึ่งความจริงแล้วตัวพีนั้นก็คือไอ้ไปป์...แต่ไม่มีใครรู้แม้กระทั่งเจ้าตัว ทำไมไม่มีคนคิดว่ามันอาจจะเป็นแค่ตัวอักษรที่ผมชอบก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นตัวย่อจากคำที่ผมชอบ ป๊อบปูล่าร์งี้ เพียวที่แปลว่าบริสุทธิ์งี้

PIPE : มึงไม่ขี่คอมันเลยล่ะวะมีน
PIPE : ทำไมไม่บอกกูว่ามึงทำงานแบบนี้
PIPE : แล้วตัวพีของมีนมันมีที่มายังไง
PIPE : โว้ย มึงทำกูหงุดหงิดแล้วนะ


“ยิ้มหน่อยสิวะมีน” ไอ้ปองที่นั่งบนรถหันโทรศัพท์มาหาผม ท่าทางของมันคงกำลังถ่ายสตอรี่ลงไอจีอยู่ ผมยิ้มแห้งๆ พอเป็นมารยาท ก่อนจะรีบตอบไลน์ไอ้ไปป์เพราะกลัวแม่งจะโวยวายมากไปกว่านี้

MEAN : ไม่มีอะไร แฟนคลับก็คิดกันไป
PIPE : กูเคยเห็นแวบๆ มีคนสงสัยว่าตัวพีในชื่อไอจีของมึงคืออะไรใช่มั้ย
PIPE : แล้วตกลงมันคืออะไร


กูจะบอกมึงทำไมล่ะวะสาดดด มันเป็นความลับที่กูรู้อยู่คนเดียว!

MEAN : พิมพ์รัวมาขนาดนี้ มึงปวดมือบ้างมั้ยเนี่ย
PIPE : โอ้โหมีการเปลี่ยนเรื่อง
PIPE : เร็ว ตอบมา


ผมกำลังพิมพ์ตอบ ไอ้ไปป์ก็ส่งอะไรไม่รู้มาอีกรัวๆ ทุกอย่างมันไวมากจนผมงง สิ่งที่มันส่งมาก็คือภาพแคปจากไอจีสตอรี่ของปองเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ ผมนั่งก้มหน้าอ่านไลน์ไอ้ไปป์ก่อนจะเงยหน้ามายิ้มให้โทรศัพท์ของปอง

PIPE : ตอนนี้ก็อยู่กับมันเหรอ

ถ้าพิมพ์คงรับอารมณ์มันตอนนี้ไม่ได้แน่ๆ ผมเลยเซลฟี่กับไอ้ปองไปให้จะได้รวดเร็วทันใจคุณไปป์ท่าน

MEAN : /แนบรูปเซลฟี่กับปอง
PIPE : ไอ้เหี้ยมีน มึงงงงงงงงงงงงงงง
MEAN : ผู้จัดการมันมีธุระ มันก็เลยติดรถกลับกับกู
PIPE : ไล่มันลงข้างทางเดี๋ยวนี้
MEAN : บ้าเหรอ กำลังจะขึ้นทางด่วน
PIPE : สัด
PIPE : ชอบใช่มั้ยที่เห็นกูเป็นแบบนี้


ยังไงนะ...จู่ๆ มันก็ดราม่าใส่ผมซะอย่างนั้น ผมเลยเม้มปาก ก่อนจะพิมพ์ดราม่าใส่มันบ้าง

MEAN : ถ้าอ้ายยังไม่มีแฟน
MEAN : มึงจะมานั่งพิมพ์คุยกับกูแบบนี้มั้ย


อีกฝ่ายอ่านจากนั้นก็เงียบไป ข้อความของผมคงไปกระแทกอะไรบางอย่างของมันเข้าอย่างจัง มันไม่ได้ตอบอะไรอีก ผมจึงเข้าไปดูแท็กที่กำลังเป็นที่กล่าวถึงในขณะนี้

พอรู้มาบ้างว่ามีคนจิ้นปองกับผม แต่วันนี้คงมีแม่ยกเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว ดูจากทวิตล่าสุดที่วิ่งไม่หยุด อีกทั้งทวิตยอดนิยมที่มียอดรีทวิตพุ่งขึ้นตลอด สรุปก็คือ...ผมกับปองคงกลายเป็นคู่จิ้นกันอย่างเป็นทางการแล้วล่ะครับ

“แฟนกูโทรมาว่ะ” ปองเขย่าโทรศัพท์ให้ดู “สงสัยเห็นในแท็กแล้วจะหึง กูไม่รับสายดีกว่า”

“อ้าวไอ้เหี้ย รับดิ เดี๋ยวเขาก็งอนมึง”

“กูไล่ตามเขามาเยอะแล้ว กูอยากให้เขาไล่ตามกูบ้าง”

“...”

“ไอ้นั่นมันเลิกทักมึงมาหรือยัง กูแอบส่องโทรศัพท์มึงในห้องแต่งตัวอ่ะ แม่งทักมาเป็นสิบ ผัวหรือเพื่อนวะ”

“เสือกนะปอง” นี่คือเบื้องหลังคู่จิ้นที่ติดเทรนด์ไทยขณะนี้จริงๆ เหรอวะ ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาจิ้นกันเลย ขอโทษนะครับที่อาจจะดับฝันใครหลายๆ คน แต่ความจริงมันก็คือความจริงอ่ะ

ผมชอบเพื่อนตัวเอง ส่วนไอ้ปองก็มีแฟนเป็นพี่สาวสุดเปรี้ยวคนนั้น

“งั้นก็แปลว่าเป็นผัวแน่”

“ทำไมคิดงั้น”

“มึงดูแฟนกูดิ” ปองโชว์หน้าจอซึ่งเป็นรูปของพี่สาวคนนั้นใหญ่เต็มจอที่กำลังโทรเข้ามา “นี่คือคนที่กำลังหึง”

“แล้ว?”

“คนๆ นั้นของมึงก็คงจะกำลังหึงเหมือนกัน”

“...”

“คนหึงไม่โกหกหรอกนะเว้ย”

ผมมองไปที่พี่มะนาว พี่เขาตั้งใจฟังทุกคำนั่นแหละแต่คงอยากปล่อยให้ผมได้คุยกับปองต่อไป

“กูไม่แน่ใจเลย” ผมโพล่งออกมาอย่างไม่มีปิดบัง “มันเพิ่งให้ความสนใจกู เพราะคนที่มันชอบไปมีแฟน เป็นมึงมึงจะคิดไง”

“กูว่าไอ้เหี้ยนี่ต้องเป็นตัวพีตัวจริงของมึงแน่เลย”

เซนส์แรงมาก...ขอยืมไปใช้ซื้อหวยได้มั้ยเนี่ย

“ขอดูหน้าหน่อย”

“เฮ้ย” อดตกใจไม่ได้

“ดูเฉยๆ ถ้าไม่หล่อก็ไม่ล้อหรอกน่า”

รู้สึกขึ้นยังไงก็ไม่รู้ ผมกดเข้าไอจีไอ้ไปป์ก่อนจะยื่นไปให้มันดู ไอ้ปองดูอยู่สองวินาที จากนั้นมันก็ส่งโทรศัพท์คืนมา

“ไอ้เหี้ยนี่ขี้หึงมาก ดูก็รู้”

“ถ้าจะหึง ทำไมเพิ่งมาหึงเอาตอนนี้”

“จะรู้กับมันเหรอ มันอาจจะมีช่วงสับสนอยู่นั่นแหละ แต่หน้าแบบนั้น...” ปองจับคางครุ่นคิด “น่าจะรักใครรักจริง”

ใบหน้าของคนแม่งบอกอะไรได้ขนาดนั้นเลยเหรอวะ

“มึงลองคิดดูดีๆ ดิ๊เรื่องไอ้นี่ กูไม่รู้หรอกว่ามึงกับมันมีที่มายังไง แต่มันเพิ่งจะมาหึงมึงจริงๆ น่ะเหรอ”

นึกให้ตายยังไงก็นึกไม่ออกหรอก ที่ผ่านมาไอ้เหี้ยไปป์ไม่ได้ให้ความสนใจผมขนาดนี้นี่...






ขออนุญาตตัดภาพสักครู่

นี่คือสิ่งที่มีนไม่เคยได้ยิน คำพูดเหล่านี้คือคำที่ออกมาจากปากของไปป์หลังจากที่เขากับสงครามจับได้ว่าใครปีนหอสาม และใครคือคนที่ปีนเข้าไปในห้องของมีน

‘ทำไมต้องคนนี้ คนอื่นไม่ได้หรือไง ไอ้ฟาย!’

‘มีนอีกแล้วเหรอ มึงเคยตายมั้ยวะ’

‘คนนี้ห้าม ยังไงก็ห้าม’

‘สงครามมึงลงโทษน้อยไปเปล่า นี่มันปีนห้องมีนเลยนะเว้ย เอาให้หนักกว่านี้ดิ’

‘สงครามให้วิ่งสามรอบ แต่กูจะให้วิ่งสิบรอบ ไป ไปวิ่ง ไอ้พวกเหี้ย ไอ้พวกหื่น!’


จริงๆ ยังมีคำพูดอีกหลายประโยคแต่นี่เป็นแค่ตัวอย่าง

จบการตัดภาพ







ยิ่งคิดผมก็ยิ่งไม่เข้าใจ ไม่มีทางไหนเลยที่ผมจะเชื่อว่าไปป์มันหึงผมจริงๆ นอกเสียจากมันจะโผล่มาหาผมที่กรุงเทพฯ ภายในเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้แน่ๆ เพราะผมจำได้ว่าวันนี้มันนัดทำเล่มโปรเจ็กต์กับธัชและอ้ายที่มอ

หากมันทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เกิดขึ้น ผมก็อาจจะลองเปิดใจเชื่อดูสักครั้ง

หลังจากที่ส่งไอ้ปองเสร็จ ก่อนจะถึงคอนโดผมกดดูในแท็กตัวพีของมีนที่กำลังไต่อันดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ทุกอย่างมันเป็นความผิดของผมเองนั่นแหละ ผมชอบพร่ำเพ้อลงในแคปชั่นไอจี อีกทั้งยังเคยออกสื่อไปอีกว่าตัวพีในชื่อแอคเคาท์ของผมเป็นชื่อคนสำคัญ แฟนคลับก็เลยพากันคิดไปต่างๆ นานาแบบนี้ ถ้าพวกเขารู้ความจริงพวกเขาจะเกลียดผมกันมั้ยเนี่ย

คิดอย่างหนักใจก่อนจะกดล็อกโทรศัพท์ ไอ้ไปป์ไม่ได้ตอบข้อความอะไรต่อท้ายประโยคแทงใจมัน กลับกลายเป็นผมที่รู้สึกเซ็ง เพราะไม่คุ้นชินที่อยู่ดีๆ ไปป์ก็หายไปจากการไลน์มาหาผมทุกวินาที ทั้งๆ ที่เราก็คุยกันมาทั้งวัน ตั้งแต่ก่อนผมทำงาน ระหว่างผมทำงาน และหลังผมทำงาน

พี่มะนาวส่งผมที่คอนโดพร้อมบอกว่าพรุ่งนี้อย่าลืมตื่นเช้าไปเตรียมถ่ายแบบต่อ ผมบอกโอเคก่อนจะขึ้นไปพักผ่อน คิดว่าจะงีบสักหน่อยและตอนเย็นก็อาจจะออกไปหาอะไรกินในห้างที่อยู่ใกล้ที่สุด

ขอให้ทุกอย่างมันดีขึ้นตอนที่ผมตื่นขึ้นมาก็แล้วกัน...

เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว แม้ว่าเธอไม่เคยเป็นอะไรกับฉันเลย ฉันก็แค่คนหนึ่ง...

เสียงริงโทนของผมดังสนั่น ขณะที่ผมนั้นยังงัวเงียอยู่บนเตียง ปกติแล้วริงโทนจะเป็นเสียงเตือนโทรเข้าธรรมดา แต่นี่มาเป็นเพลง...งั้นก็แสดงว่าคนที่โทรเข้ามานั้นเป็นคนพิเศษ

คนพิเศษที่ผมตั้งเพลงนี้เป็นริงโทนเอาไว้ในยามที่มันโทรเข้าแค่คนเดียว

ใครกันนะที่เป็นคนพิเศษของผม

...ที่เธอต้องการในบางครั้ง ได้อยู่ตรงนี้ก็ดีแค่ไหน จะหวังอะไรให้มากมาย

ถึงแม้จะเป็นคนพิเศษ แต่ผมก็ง่วงฉิบหาย เมื่อเช้าผมต้องนั่งเครื่องมาลงที่กรุงเทพฯ จากนั้นก็นั่งรถไปทำงานต่อเลย บอกได้เลยว่าเป็นอะไรที่เหนื่อยและเพลียมาก

ผมอยากนอนต่อ สายนี้เอาไว้รับทีหลังก็แล้วกัน

เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว...

มันสู้ว่ะ แม่งไม่ยอมลดราวาศอกเลย ผมไม่รับ มันก็จะโทรต่อไปงั้นสิ

ก็ได้ กูรับก็ได้ แต่เพราะกูรำคาญเสียงริงโทนหรอกนะ

“ฮัลโหล”

[กว่าจะรับได้นะ มาเปิดประตูเร็วๆ เข้า]

“ฮะ อะไรนะ” ผมทั้งง่วงและงัวเงียมากเสียจนสติสตังมีไม่ถึงห้าเปอร์เซ็นต์

[มาเปิดประตู]

“ไม่ได้สั่งพิซซ่าครับ”

[มีน]

“แค่นี้นะครับ”

[เฮ้ยยยยยย เชี่ยมีน ห้ามวางสาย!!!]

เสียงดังลั่นมาจากประตูหน้าห้องทำเอาผมเริ่มมีสติมากกว่าเดิม จากห้าเปอร์เซ็นต์กลายเป็นสิบห้าเปอร์เซ็นต์แล้ว ผมลืมตาเล็กน้อย ก่อนจะรีบตั้งสติ

[เปิดประตูโว้ย!]

“ใครน่ะ”

[ไปป์ไง]

“ไปป์”

[เออ]

“เฮ้ย”

[เลิกลีลาแล้วก็มาเปิดประตูได้แล้ว]

“มึงอยู่หน้าห้องกูเหรอ”

[ใช่ไง]

มันคงหงุดหงิดถึงขีดสุดแล้ว ผมรีบลุกขึ้นมาจากเตียงก่อนจะไปเปิดประตูให้ไอ้ไปป์ด้วยสภาพง่วงงุน ไอ้ไปป์ยังอยู่ในเสื้อช้อป ท่าทางเหมือนเพิ่งขับรถมาจากมอ...

แต่เดี๋ยวก่อนนะ ไอ้ไปป์ ไอ้ไปป์เนี่ยนะอยู่หน้าห้องผม!

อะไรที่เป็นไปไม่ได้แม่งเป็นไปได้ได้ไงวะเนี่ย

“มองไม” ไปป์เดินชนไหล่ผมเข้ามาในห้อง มันมองซ้ายมองขวาอย่างเอาเรื่อง “ซ่อนกิ๊กไว้ที่ไหน”

“กูอยู่คนเดียว” ผมปิดประตูแล้วตามมันเข้ามา

“ไอ้คนที่ขึ้นเทรนด์ไทยกับมึงอ่ะ อยู่ไหน”

“มันก็ไปอยู่กับเมียมันสิวะ”

“หา” ไปป์ช็อกเล็กน้อยก่อนจะปรับสีหน้าให้ตัวเองดูดีขึ้นมาทันตา “มันมีเมียแล้วเหรอ”

“มึงมาที่นี่ได้ไง ไม่สิ มึงมาทำไม”

“กูก็...” มันสบตาผมก่อนจะหลบสายตาไปทางอื่น “กูต้องเฝ้ามึงตลอดเวลาไง จำไม่ได้เหรอ”

“ลงทุนขับรถจากมอเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเฝ้ากู”

“เออ”

“กูควรภูมิใจดีมั้ยเนี่ย”

“มีไรกินป่ะ หิวฉิบหาย”

“จริงๆ แล้วก็ว่าจะออกไปหาอะไรกินข้างนอก”

“งั้นไป” ไปป์ลุกขึ้นยืนทันที

“เฮ้ย เดี๋ยวดิ” ผมรั้งมันเอาไว้ “กูยังไม่เข้าใจมึงเลย”

“บางอย่างมึงก็ไม่ต้องคิดให้เยอะหรอก” ไปป์ตบบ่าผม หยิบกุญแจรถพร้อมกับใส่รองเท้าที่เพิ่งจะถอด ผมเกาหัวแกรกๆ มองดูไอ้ไปป์ “เนี่ย อย่างน้อยเรื่องกินข้าวก็ไม่ต้องคิดให้เยอะ กูหิว”

ท้องของผมส่งเสียงร้องจ้อกๆ จนไอ้ไปป์มันกลั้นขำ จะขอคุยกับมันก่อนตอนนี้ก็คงจะไม่ได้แล้วเพราะร่างกายไม่เป็นใจ เอาเป็นว่ากินไปคุยไปก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร เราทั้งคู่จึงออกไปข้างนอกเพื่อหาอะไรกิน






ห้างสรรพสินค้าใกล้คอนโด

ไอ้ไปป์กินแหลกอย่างเดียวจนผมอดงงไม่ได้ มันใช้พลังงานจากเรื่องอะไรมาถึงได้กินแบบตายอดตายอยากขนาดนั้น จากที่หิวๆ อยู่กลายเป็นว่าผมมองไอ้ไปป์กินอย่างเดียวผมก็อิ่มแล้ว แทนที่ผมจะถามว่ามันมากรุงเทพฯ ทำไม ผมกลับปล่อยให้มันได้กินอย่างเต็มที่

ระหว่างที่ผมกำลังตักอาหารเข้าปากอย่างช้าๆ โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น คนที่โทรเข้ามาคือสงคราม ไปป์มองผมรับสายด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ

“ไง”

[เชี่ยมีน ทะเลาะกับอ้ายว่ะ]

“เฮ้ย เกิดอะไรขึ้น” ผมวางช้อนแล้วตั้งใจฟังไอ้สงครามทันที น้ำเสียงมันเหมือนคนเบื่อโลก นั่นแปลว่าตอนนี้มันกำลังอาการหนักเข้าขั้นสุด

[กู...เกือบปล้ำมัน]

“หา”

[กลางลานจอดรถ]

“ไอ้เหี้ย” ไม่รู้จะสบถอะไรออกมาแล้วจริงๆ

[กูโมโหมาก ไม่มีสติเลย]

ก็ฟังดูเป็นมันดีนะครับ แต่จะปล้ำเลยเหรอ เฮ้ย! ไม่ไหวมั้ง

[กูกลัวมันเกลียดกู จากนั้นก็จะเงียบๆ ไป โผล่มาอีกทีคือบอกเลิกกูเลยงี้]

“สาดดดด มันไม่ใช่คนแบบนั้น”

[เครียดมากเลยว่ะ]

“...”

[แล้วมึงอยู่ไหนเนี่ย]

เพิ่งจะมาสนใจเรื่องของผมเอาป่านนี้ “ข้างนอก มากรุงเทพฯ ทำงานไง”

[วันนี้ไอ้เหี้ยไปป์เป็นไรไม่รู้ ติดต่อไม่ได้เลย]

ผมมองหน้าไอ้ไปป์ที่กำลังเคี้ยวตุ้ยๆ พร้อมมองหน้าผม

[มันอยู่กับมึงเปล่า]

“เออ”

[โห รักแท้ไม่แพ้ระยะทางว่ะ ขับรถแป๊บเดียวถึง]

“ไม่รู้มัน”

[กูโทรมาขัดจังหวะสินะ]

“ไม่เป็นไรเว้ย คุยได้”

ไอ้ไปป์กระแอม แต่ผมไม่สนใจมัน

“เป็นห่วงมึงทั้งคู่อ่ะ กูอยากให้คุยกันดีๆ”

[มันไม่มองหน้ากูเลย เจอกูก็เอาแต่ก้มหน้า]

“อ้ายมันก็เป็นแบบนี้” เมื่อได้ยินชื่ออ้ายออกจากปากผม ไอ้ไปป์ก็ทำหน้าไม่ติดใจอะไรอีก มันคงรู้แล้วว่าปลายสายที่ผมคุยโทรศัพท์ด้วยอยู่ก็คือสงคราม “มึงต้องตั้งใจง้อหน่อยอ่ะ”

[เวลามันงอนกูก็ตั้งใจง้อทุกครั้ง]

“ครั้งนี้ก็ต้องตั้งใจมากกว่าเดิมไง”

[...]

“บอกให้มันรู้ว่ามึงแคร์มัน”

[...]

“บอกให้มันรู้ว่ามึงอยากเป็นเจ้าของมันในแบบทะนุถนอม เพียงแต่สถานการณ์ตอนนั้นอารมณ์มันพาไปก็เลยทำรุนแรงไปหน่อย”

เชี่ยไปป์ถึงกับสำลัก ส่วนผมได้แต่ทำหน้างงใส่มัน ผมพูดอะไรผิดตรงไหน...

[มันจะฟังกูเหรอ]

“ทำให้มันฟังสิ มึงคือสงครามนะ”

[ตอนนี้ใช้ความเป็นกูยิ่งจะแย่ลง]

“แต่อ้ายมันชอบมึง ในแบบที่มึงเป็นมึง”

[...]

“เลือกใช้ให้เหมาะสมก็แล้วกัน อย่าให้มากจนเกินไปนัก เดี๋ยวอ้ายมันจะตื่นเอา”

[โอเค]

“...”

[มึงก็เหมือนกันล่ะ ถนอมไอ้เหี้ยไปป์หน่อย]

“พ่อมึง” ถนอมอะไรยังไม่ถึงขั้นนั้นโว้ยยยย

[ขอบใจ งั้นกูวางละนะ]

“เออ โชคดี”

ผมกดวางสาย จากนั้นก็ค้นพบว่ามีคนกำลังมองอยู่ ซึ่งก็คือไอ้คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามนี่แหละ

“สงครามโทรมาเหรอ”

“อืม” ผมไม่คิดจะปิดบังอะไรมันอยู่แล้ว “มันโทรมาปรึกษาเรื่องอ้าย”

“อ่าฮะ” ไปป์กินต่อ ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับสิ่งที่ผมพูด

“ไม่เซ็งเหรอ”

“เซ็งอะไร”

“ก็นี่คือเรื่องอ้าย สงครามโทรมาปรึกษาเรื่องอ้าย”

“เป้าหมายกูเปลี่ยนแล้วมีน” ไปป์เคี้ยวแจ๊บๆ ดวงตาของมันคมกริบราวกับต้องการสื่อว่าสิ่งที่มันพูดคือความจริงทั้งหมด “เปลี่ยนจากอ้ายไปเป็นคนอื่น”

“ใคร”

“โง่ป่ะเนี่ย” ไปป์ร้องดังลั่น “มึงไงไอ้เหี้ย ถ้ากูไม่อะไรกูจะทักไลน์มาหามึงทำไมทั้งวัน กูจะขับรถมาหามึงตั้งไกลทำไม คิดสิวะคิด”

“กูแค่...” ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าควรจะทำหน้ายังไงดี ไอ้ไปป์ไม่ได้พูดเสียงหวานชวนให้ผมเขิน แต่ความจริงใจเต็มเปี่ยมแบบบ้านๆ ของมันทำเอาผมถึงกับไปต่อไม่เป็น

“มึงกังวลเพราะกูเปลี่ยนจากอ้ายมาเป็นมึงแบบปุบปับใช่ป่ะ”

แม่งตรงใจผมมากจนผมเกือบจะพยักหน้ารับ

“กูเข้าใจที่มึงกังวล มันเป็นบาปกรรมของกูเองแหละที่ทำให้มึงเชื่อใจกูไม่ได้ กูทำผิดกับมึงมามาก กูรู้ แต่จะให้กูเสียเวลาไปมากกว่านี้และเสียมึงไป กูก็ทนไม่ได้ว่ะ”

“...”

“ถึงมันจะดูงงๆ และก็เร็วไปหน่อย แต่กูจะไม่ไปไหน จะทำให้มึงเชื่อใจว่าเรื่องมึงกูจริงจัง”

ผมใจสั่นไม่น้อยกับคำพูดของมัน ยอมรับว่ามันทำให้ผมเปิดใจเชื่อมันขึ้นมาบ้างแม้จะยังไม่ใช่ทั้งหมดก็ตาม ของแบบนี้ผมขออนุญาตดูต่อไปเรื่อยๆ ก่อนแล้วกัน

ที่แน่ๆ ไอ้เหี้ยไปป์มันทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ด้วยการขับรถมาหาผมอย่างรวดเร็ว สิ่งนี้ทำให้ผมรู้สึกทึ่งและประทับใจมากจริงๆ

“กินเยอะๆ” ไปป์ตักอาหารมาใส่จานผม “ว่าแต่ตัวพีของมีนจริงๆ แล้วมันคือใครกันแน่ หล่อเท่ากูป่ะ หรือหล่อน้อยกว่ากู คงไม่น่าจะหล่อมากกว่ากูหรอกมั้ง”

ผมยิ้มกริ่ม...ไม่มีทางบอกแม่งให้รู้ในเร็วๆ นี้แน่

“แฟนกูในอนาคตเว้ย”




TBC*
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 31-08-2017 01:03:28




ตอนที่ 24
พาร์ตของสงคราม




ผมไม่ได้คุยกับอ้ายมาหลายวันแล้ว

ที่ผ่านมาเราทั้งคู่ไม่เคยห่างกันขนาดนี้ถึงแม้สมัยก่อนเราจะยังไม่ได้เป็นแฟนกันก็ตาม เวลาเจอกันโดยบังเอิญผมกับอ้ายก็จะทักกันทุกครั้ง แม้ส่วนใหญ่ผมจะเป็นฝ่ายทัก เราไม่เคยเมินเฉยต่อกันนานขนาดนี้ นี่น่าจะเรียกได้ว่านานมากที่สุดเป็นประวัติการณ์เลยก็ได้

ความรู้สึกผิดเกาะกินหัวใจผม หากตอนนั้นผมไม่ยับยั้งชั่งใจมันจะเกิดอะไรขึ้น ที่ลานจอดรถนั่นมันไม่มีคนเดินผ่านก็จริง แต่ผมก็ได้ทำการหยามเกียรติและศักดิ์ศรีอ้ายขั้นสุดจนผมนึกอยากตีหัวอกชกหัวตัวเอง

มึงทำอย่างนั้นเข้าไปได้ยังไง...มึงรักอ้ายจริงๆ หรือเปล่าสงคราม

หลังจากที่ผมโทรปรึกษามีน ผมก็ไม่มีโอกาสได้ใช้เวลาง้ออ้ายมากนัก ราวกับชะตาฟ้ากำหนดให้ลงโทษคนอย่างผม ผมมีงานเข้าทุกทิศทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นโปรเจ็กต์จบ สัมมนา สอบยิบสอบย่อย ดูแลลูกหอ ดูแลหอ ผมไม่มีเวลาปลีกตัวไปง้ออ้ายเลย มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่ผมจะสามารถติดต่ออ้ายได้นั่นก็คือโทรศัพท์หรือไม่ก็เดินไปบุกหอซะเลย แต่ครั้งนี้ผมแม่งป๊อด ป๊อดกว่าตอนจะบอกรักอ้ายด้วยซ้ำ

ผมกลัวว่าอ้ายจะบอกเลิกผม...

ยังจำสายตาที่อ้ายมองมาที่ผมในคืนนั้นได้ เป็นสายตาของความผิดหวังขั้นรุนแรงอีกทั้งยังตัดพ้อต่อว่า ที่ผ่านมาผมให้เกียรติอ้ายยิ่งกว่าประธานหอคนไหน ไม่เคยทำในสิ่งที่มันไม่ชอบใจ อะไรที่ผมควบคุมไม่ได้ ผมก็แสดงออกอย่างสุดจิตสุดใจให้อ้ายรับรู้ว่าผมไม่ได้ต้องการให้มันเกิดขึ้น แต่มาครั้งนี้ทุกอย่างมันพังไปหมด

ผิดมากกว่าครั้งไหนๆ และก็โทษใครไม่ได้เลยนอกจากตัวผมเอง

การออกกำลังกายคือการคลายเครียดที่ดีที่สุดของผมในตอนนี้ ผมไม่ได้วิ่งที่บริเวณหอพักชายอีกแล้ว ผมเลือกที่จะมาวิ่งรอบๆ สระพลาสติกของมหา’ลัยแทน ในช่วงเย็นอย่างวันนี้มีคนวิ่งกันน้อย และส่วนใหญ่ที่มาวิ่งก็พวกเด็กหอสองทั้งนั้น

วิ่งไปเรื่อยๆ...เผื่อจะลดความคิดถึงลงมาได้บ้าง

“ไอ้พี่สงคราม” มีคนวิ่งเหยาะๆ ตามผมมา มันยังอยู่ในชุดนักศึกษาอยู่เลย “หยุด”

ใครสั่งกูวะ ผมหันไปมองอย่างไม่ชอบใจ เห็นหน้าหล่อๆ พิมพ์นิยมของไอ้ทนายกำลังมองผมอย่างซีเรียสอยู่

“หยุดวิ่งเดี๋ยวนี้นะโว้ย”

“เสือกไรกับกูวะ” ผมหยุดกะทันหัน ทำให้ทนายมันวิ่งเลยผมไปอย่างช่วยไม่ได้

“จะหยุดก็ไม่บอก”

ผมใช้ผ้าขนหนูเช็ดเหงื่อก่อนจะมองมันอย่างไม่สบอารมณ์ ไอ้เด็กนี่คือเด็กหอสามในบรรดาไม่กี่คนที่ไม่เกรงกลัวผม และนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกถูกชะตากับมัน

ส่วนอาสาที่เป็นแฟนของมัน...ผมรำคาญ อาสาหน้าตาเหมือนตุ๊กตาเกินไปจนน่าปวดหัว เพราะลูกหอผมแม่งชอบมากเหลือเกินจนอ้ายโกรธผมบ่อยๆ ที่คุมลูกหอตัวเองเวลาไปแซวอาสาไม่ได้ อาสาแม่งเป็นลูกรักของอ้ายเลยแหละ

“มีเหี้ยอะไร”

“ผมไปคุยกับพี่ธัชมา”

รู้สึกสะดุดนิดหน่อยเพราะเป็นชื่อของเพื่อนสนิทอ้าย “แล้วไง”

“พี่อ้ายกำลังแย่”

ถ้าเป็นเรื่องนี้...ผมยอมให้ทนายมันเสือกก็ได้ “แย่ยังไง”

“ผอมซูบซีดไปหมด ข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน” มันเท้าสะเอวเพราะมันคงร้อนและก็เหนื่อย “นี่ผมถามจริงๆ เถอะนะ พวกพี่โกรธอะไรกันนักหนา ถ้าวันนั้นพี่งอนเพราะพี่อ้ายไปหาพี่โอมมา ผมไปถามพี่ธัชมาหมดแล้ว”

ผมกลืนน้ำลาย ไม่คิดว่าทนายมันจะรู้ลึกรู้จริงขนาดนี้ หอสามมันรักกันมากครับ ส่วนใหญ่จะรู้เรื่องคนนั้นคนนี้หมดแหละ ยิ่งเป็นเรื่องของประธานหอ ผมคิดว่าพวกมันคงนั่งถกประเด็นอ้ายกันทั้งวัน

“มึงรู้อะไรก็พูดมา”

“ถ้ารู้แล้วพี่สงครามจะเลิกเก๊กแล้วไปง้อพี่อ้ายป่ะ”

“กูไม่ได้เก๊ก”

“เก๊กฉิบหายเลยเหอะ ง้อคนที่พี่รักนะ ทำไมต้องมีฟอร์มขนาดนี้ด้วย”

มันแม่งไม่เข้าใจในความกลัวของผมเลยว่ะ...แต่เพราะเหตุนี้มั้งผมถึงรู้สึกชอบมัน (ไม่ใช่ในแง่นั้น) มันกล้าที่จะเอ่ยเตือนสติผม อย่างเพื่อนผมบางคนมันยังไม่กล้าด้วยซ้ำ เพราะพวกมันกลัวจะโดนผมต่อยหลังพูดจบ

“ง้อ...แน่นอน”

“จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะเสือกนะ แต่พี่ธัชมาเล่าให้ฟังเอง” ทนายกลืนน้ำลาย

“กูรู้ มึงไปถามเหี้ยธัชมา”

“ก็ถูก”

“จะเล่าได้ยัง”

“วันที่พี่โกรธพี่อ้ายมาก พี่อ้ายไปบ้านพี่โอมมา” ผมกำหมัดแน่น ทนายตวัดสายตามองดูกำปั้นผมก่อนจะรีบพูดต่อ “พี่มันต้องไปฟังปัญหาครอบครัวพี่โอมไม่พอ ยังจะต้องมาเจอเรื่องที่พี่โอมรู้สึกชอบตัวเองอีก มันก็เลยหนักหน่อยอ่ะวันนั้น”

“เดี๋ยว” ผมอ้าปากค้าง “ชอบ...อะไรนะ เหี้ยโอมชอบอ้ายเหรอ”

“ใช่”

“มันเป็นญาติกัน” ผมรู้อยู่แล้วแหละ คนที่มาขโมยจูบซอกคอแฟนผมมันต้องคิดอะไรด้วยไม่มากก็น้อย แต่พอได้ฟังความจริงก็อดตะลึงไม่ได้เหมือนกัน

“ผมไม่รู้อะไรกับพี่คนนั้นหรอกนะ อาจจะผูกพันมากจนคิดไปเองว่าตัวเองชอบมั้ง” ทนายดูเหนื่อยใจ “จริงๆ แล้วโลกใบนี้ผมสนใจแค่อาสา...และก็อาสา”

“มึงบอกกูทำไม”

“แต่เพราะพี่อ้ายดูแย่มาก ถ้าพี่อ้ายแย่หอผมก็แย่ไปหมด ถ้าอาสาเป็นนางฟ้าของหอ พี่อ้ายนี่ก็คือแม่พระศูนย์รวมจิตใจ”

“...”

“รีบไปง้อพี่อ้ายซะ อย่าให้ผมโมโห” ทนายส่ายหน้าใส่ผมก่อนจะเดินจากไป “อ้อ วันนี้วันเกิดอาสา”

“บอกกูทำไมวะ”

“รู้ว่าพี่ไม่ชอบขี้หน้าแฟนผม แต่ผมจะบอกว่าคืนนี้ไม่มีใครอยู่หอสามเลย ทุกคนจะไปรวมตัวกันที่ร้านพี่น้อย”

“แปลว่า...”

“โว้ย!” ทนายเริ่มหมดความอดทน จริงๆ ผมแกล้งมันนั่นแหละ เพราะพอจะรู้ว่ามันหมายถึงอะไร “ไม่มีคนอยู่หอสามไง พี่ก็ไปปีนหอผมได้ตามสบาย จะไปง้อใคร หรือจะไปเดินเล่นก็แล้วแต่”

“...”

“เปิดโอกาสให้ซะขนาดนี้ ถ้าไม่รีบคว้าเอาไว้ก็โคตรไร้น้ำยาอ่ะ”

ผมกลืนน้ำลาย แต่ก็เก๊กหน้าเอาไว้ “จะให้กูรวบหัวรวบหางอ้ายคืนนี้เลยเหรอ”

“บ้าเรอะ!” ทนายแม่งทำตัวเหมือนพ่อเหมือนพี่ชายอ้ายมากครับ ทั้งๆ ที่มันห่างจากอ้ายตั้งสองสามปี “แค่ไปง้อ ไม่ต้องทำแบบนั้น”

“ถ้ากูอยากล่ะ”

“ขอให้พี่อ้ายไม่ยอม”

“เหี้ย”

“ไปนะ” ทนายโบกมือ

“เดี๋ยว” ผมรั้งมันเอาไว้ มันหันมาอย่างงงๆ หลังจากที่ก้าวออกไปได้ไม่ถึงสองก้าว

“ว่า?”

“ขอบใจ”

ทนายถอนหายใจก่อนจะมองผมอย่างเหนื่อยหน่าย “จริงๆ ถ้าคนเรารักกันมาก ทุกอย่างมันก็ง่าย ถ้ารู้ตัวว่าทำผิดก็รีบๆ แก้ไขซะ มีคนเขารออยู่”

“เออ”

ผมมองทนายที่อุตส่าห์ขับรถมาที่นี่เพื่อที่จะคุยกับผม รู้สึกโกรธตัวเองฉิบหายที่ทั้งดูโง่และเซ่อ แต่ก็เอาเถอะ...ผมจะฉลาดขึ้นตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป สิ่งที่ผมกลัว...จะไม่มีวันยอมให้มันเกิดขึ้น

เพราะผมเชื่อว่าอ้ายก็ยังรักผมเหมือนเดิม






เวลา 19.02 น.

ผมเห็นพวกหอสามแห่ออกไปวันเกิดอาสากันเยอะจนผมนึกว่าอาสามันจัดเทศกาลเบียร์ฟรี นึกสงสัยว่าพวกมันบอกอ้ายยังไงอ้ายถึงไม่ไปด้วย เอ๊ะ หรือว่ามันรู้แต่ไม่มีอารมณ์ไปวะ แต่คนจากหอมันไปกันหมดเลยนะเว้ย

ทำไมผมถึงฟุ้งซ่านได้ขนาดนี้ นี่ผมกำลังตื่นเต้นเหรอ

“สงคราม” ไปป์ที่แต่งตัวโคตรหล่อกำลังวิ่งขึ้นบันไดหอสอง มันเห็นผมอยู่หน้าหอก็เลยร้องทัก “ไม่ไปงานวันเกิดอาสาเหรอ”

ผมพ่นลมแทนคำตอบ

“ลืมไปว่ามึงไม่ชอบน้องมัน”

“ไม่ใช่โว้ย รำคาญเฉยๆ”

“ต่างกันมั้ยล่ะนั่น”

“มึงถูกชวนด้วยเหรอ” ชักจะเป็นห่วงไอ้ไปป์ มันแข็งแรงก็จริงแต่ไปอยู่ท่ามกลางดงตีนหอสามที่ส่วนใหญ่เกลียดคนจากหอผมอย่างกับอะไร ก็ไม่คิดว่ามันจะปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์

“เปล่า มีนถูกชวน กูตามมีนไปอีกที”

“รำคาญจริงๆ” ผมพูดอย่างเซ็งๆ บทจะรักกันพวกแม่งก็ตัวติดกันอย่างกับตังเม...แต่จริงๆ ผมว่าไอ้ไปป์มันติดมีนคนเดียวมากกว่า สงสัยกลัวมีนจะหลุดมือหรือไม่ก็ไปหากิ๊กอีก

“มึงก็ไปชวนอ้ายสิ”

“รีบๆ ไปเหอะ เดี๋ยวกลิ่นน้ำหอมจะระเหยหายไปหมด”

มันดมกลิ่นตัวเองก่อนจะยิ้ม “ดีกันไวๆ ล่ะ มึงหงุดหงิดแบบนี้มันดูแล้วตลก”

“สัด” ผมรีบยกเท้าตัวเองทำท่าจะเตะมัน แต่มันหายเข้าไปในหอแล้ว

สภาพผมตอนนี้เหมือนกำลังจะลงแข่งกีฬาอะไรสักอย่าง มีการวอร์มอัพ มีการเรียกกำลังใจให้ตัวเอง อีกทั้งยังมีการรวบรวมความกล้า บอกตรงๆ เลยนะตอนแข่งกีฬายังไม่ตื่นเต้นเท่านี้เลยครับ ลุ้นฉิบหายว่าหลังง้ออ้ายจะยอมดีกับผมมั้ยหรือว่าในทางที่แย่ที่สุด...มันจะเลิกกับผมไปเลย

พอได้แล้วไอ้สงคราม...หมดเวลากลัวแล้ว ต้องลุยไปข้างหน้าเท่านั้น

ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปยังหอสาม ไม่สนใจว่าพวกหอสามจะออกมากันหมดหรือยัง ไม่สนใจว่าจะมีใครมองอยู่มั้ย ผมมุ่งมั่นตั้งใจเดินเข้าไปเพื่อที่จะไปเคาะประตูห้อง 101 เท่านั้น

หวังว่าทุกอย่างมันจะผ่านไปได้ด้วยดี

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ระหว่างที่เคาะประตู พวกลูกหอของอ้ายซึ่งอยู่ชั้นหนึ่งก็พากันมองผมอย่างหวาดระแวง ผมไม่สนใจสายตาเหล่านั้นแต่มองไปที่ประตูห้องของอ้ายอย่างใจจดใจจ่อ

อ้ายเปิดประตู พร้อมกับมีโทรศัพท์แนบหู มันดูตกตะลึงที่เห็นผม

“แค่นี้ก่อนนะโอม”

ประโยคนี้ของอ้ายทำเอาผมสับสนว่าควรจะโฟกัสตรงไหนดี คำพูดของอ้ายเมื่อสักครู่ที่มีชื่อไอ้เหี้ยโอมหรือสภาพของอ้ายที่เหมือนคนไร้วิญญาณสุดๆ

“มาได้ไง” อ้ายถามเสียงเบาปนสั่นเครือ

“ก็...เดินมา” ผมไม่ได้ตั้งใจจะกวนประสาท แต่ผมไม่รู้จะพูดอะไรในตอนนี้จริงๆ

อ้ายดูเหนื่อยเกินกว่าที่จะสนใจว่าผมอยู่ผิดที่ผิดเวลาหรือเปล่า ผมพาตัวเองเข้าไปในห้องของอ้าย จากนั้นก็ปิดประตู ห้องอ้ายเคยเป็นระเบียบมากกว่านี้ แต่ ณ เวลานี้เจ้าของห้องดูไม่ใส่ใจที่จะเก็บมัน แม้จะไม่สกปรกมากแต่ข้าวของก็กระจัดกระจายผิดกับห้องที่ผมเคยเห็น

อีกฝ่ายนั่งลงบนเตียง ส่วนผมก็นั่งลงข้างๆ มองหน้าแฟนที่รู้สึกเหมือนไม่ได้เห็นหน้ามานาน อ้ายดูซูบลงไปเยอะจนผมสะเทือนในหัวใจ

“ขอโทษ” ผมเสียงสั่นไปหมด อ้ายนิ่งและตั้งใจฟังผม นิ้วมือของอ้ายเขี่ยกางเกงตัวเองไปมา “ขอโทษจริงๆ กูผิดไปแล้ว”

มันเอาแต่มองอย่างอื่น ไม่มองหน้าผมเลย

“มองหน้ากูหน่อยสิ”

“จะให้มองยังไงวะ” อ้ายเสียงดังขึ้นอย่างเหลืออด ผมเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายด้วยความตกใจ “หลังจากวันนั้นมึงก็หายไปเลย มึงไม่คิดจะทำให้อะไรมันดีขึ้นเลย” มันตีผมตามจังหวะคำพูดในแต่ละคำของมัน นั่นหมายความว่าผมโดนมือหนักๆ ของมันตีที่ต้นแขนหลายครั้ง แต่ผมก็ยอมให้มันต่อยแต่โดยดี เพราะผมผิดกับมันจริงๆ

“กูมั่นใจในตัวเองทุกเรื่องนะเว้ย แต่เรื่องมึงกูไม่มั่นใจเลยสักอย่าง กูกลัวนั่นกลัวนี่ไปหมด”

อ้ายพ่นลม “อย่างมึงกลัวประธานหอสามด้วยเหรอ”

“ยิ่งกว่าอะไรในโลกนี้” ผมพูดจากใจ

“โม้” แฟนผมส่ายหัวไปมา

“อ้าย มึงลองมองหน้ากูดีๆ”

“...”

“กูพูดจริงๆ นะ”

อ้ายเหลือบมองดูผม สายตาของมันยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความมึนงงสับสน แต่หลังจากนั้นไม่นานนัก มันก็ยื่นมือมาบีบแก้มที่ไม่ค่อยมีของผมทั้งสองข้างแล้วก็ดึงๆ ยืดๆ เหมือนแก้มผมเป็นมาร์ชเมลโลว์

อะไรของมึงวะอ้าย

ผมขมวดคิ้วมอง เมื่อมันเห็นว่าผมไม่ได้ตอบโต้ มันจึงลองตีแก้มผมเบาๆ หลายๆ ที

“สนุกมั้ยเนี่ย”

“ไม่ด่ากูจริงๆ แฮะ”

“จะทดสอบอะไรก็ให้เข้ากับหน้ากูด้วย เกรงใจรอยสักกูหน่อย”

มันหลุดหัวเราะออกมานิดหน่อย ผมเริ่มใจชื้นขึ้นมาเมื่อเห็นว่าบรรยากาศระหว่างเราสองคนดีมากยิ่งขึ้น

“ขอโทษ”

“...”

“ขอโทษจริงๆ”

“...”

“ขอโทษนะ”

“พอแล้ว” อ้ายดันหน้าผมออก เพราะผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “แล้วนี่ไม่ใช้รูปแคปหากินของมึงแล้วเหรอ” รูปที่มันพูดถึงก็คือรูปแคปข้อความ ‘กูจะไม่งอนมึงอีกแล้ว’ นั่นแหละ

“เรื่องนี้กูผิดจริง กูไม่มีสิทธิ์ใช้รูปนั้นว่ะ”

อ้ายจ้องมองผมเขม็ง ราวกับมันต้องการทดสอบว่าสิ่งที่ผมพูดนั้นผมจริงใจร้อยเปอร์เซ็นต์หรือไม่ ผมจ้องตามันตอบ อีกทั้งยังลงทุนทำตาเว้าวอนง้องอน

ปกติผมเคยมีมุมนี้ซะที่ไหน ไม่แปลกใจที่อ้ายมันทำสีหน้าแปลกใจ

“มึงจะให้กูทำอะไรกูยอมทุกอย่างเลยตอนนี้” ผมยกมือเพื่อแสดงให้เห็นว่าผมยอมมันจริงๆ “ให้กูถอดเสื้อผ้าก็ได้นะ”

“เดี๋ยว ทำไมต้องถอดเสื้อผ้า” อ้ายเสียงดังขึ้น

“หุ่นกูดี มีแต่คนอยากเห็น”

“...”

“ใครๆ เขาก็ว่ากัน”

“ใครๆ นี่มีใครบ้าง”

“กู สงคราม และก็...ประธานหอสอง”

ยิ่งผมพูดอ้ายก็เหมือนจะยิ้มออกมามากยิ่งขึ้น “มึงว่าดีแต่คนอื่นอาจจะว่าไม่ดีก็ได้นะ”

ผมลองเปิดหน้าท้องโชว์ให้มันดู โชคดีที่วันนี้ไม่ค่อยกินอะไร ร่องที่หน้าท้องจึงยังชัดอยู่ อ้ายมองจนอ้าปากค้างเติ่ง จากนั้นก็เป็นคนดึงเสื้อผมลงด้วยตัวเอง

“ไม่ดีเหรอ” ผมถามด้วยใบหน้าซื่อๆ เริ่มรู้สึกสูญเสียความมั่นใจ

“มัน...” อ้ายตอบไม่ถูก “ก็ดี แต่มึงไม่ต้องอวดกูก็ได้”

“ไม่ได้อวด กูบอกแล้วไงว่ากูทำได้ทุกอย่างถ้ามันจะช่วยไถ่โทษได้”

“แต่ก็ไม่ใช่การเปิดพุงโชว์ป่ะวะ”

ผมเปิดเสื้อขึ้นอีกครั้ง “เรียกพุงได้ไง เรียกว่าหน้าท้องดิ” อ้ายพยายามเอามือมาดึงลง “เฮ้ย ไม่ต้องมาช่วยกูปิด กูจะเปิด”

“พอแล้วสัด กูอาย”

“อายเพราะกูเท่ใช่มั้ย”

“อายเพราะกูไม่มีแบบมึงต่างหาก”

“ไหน” ผมหลุบสายตาลงต่ำ เอื้อมมือหมายจะเปิดเสื้ออ้ายขึ้นมาดู สงสัยมานานแล้วว่าภายใต้คนที่หน้าตางดงามแถมบุคลิกยังดีไปหมดแบบนี้จะมีหน้าท้องเป็นยังไง “ขอดูหน่อย”

“แอ๊ะ แอ๊ะ” มันส่งเสียงอย่างนี้จริงๆ ครับ แถมยังชี้นิ้วขู่ผมด้วย “คราวนี้มึงต้องยอมกูทุกอย่าง มึงเพิ่งพูดอย่างนั้นไปเอง กูไม่ให้มึงดูเว้ย”

น้ำเสียงและสายตาของอ้ายเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว ผมเริ่มยิ้มออกเมื่อเห็นว่าเป็นแบบนั้น

“มึงซูบมากเลย ไปหาอะไรกินกันมั้ย”

“กินมาแล้ว”

“นี่กินมาแล้วเหรอ”

“ใช่”

“กินหรือดมเอาวะ ทำไมหน้าตาดูซูบซีด ไม่มีน้ำมีนวลเลย”

อ้ายเบี่ยงหน้าหลบผม “เรื่องของกูน่า” มันชักสีหน้าจากนั้นก็ทำหน้าแปลกๆ “ได้ยินเสียงอะไรป่ะ”

“เปล่านี่”

“มีคนเปิดน้ำทิ้งไว้” อ้ายลุกขึ้น มันเปิดประตูแล้วเดินออกไปข้างนอกแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ผมเดินตามมันไปเผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง “พวกแม่งไปกันหมดทั้งหอจริงๆ ด้วย”

“มึงรู้เหรอว่าวันนี้มีปาร์ตี้วันเกิดอาสา”

“รู้ดิ”

“แล้วทำไมไม่ไป”

“ถ้ากูไปใครจะมาดูว่าใครเปิดน้ำทิ้งไว้หรือเปล่า” มันเดินเข้าไปในห้องหนึ่งก่อนจะเข้าไปในห้องน้ำของห้องนั้น “พวกแม่งหน้าตาดี แต่ไม่มีความรอบคอบเลย”

“วันเกิดลูกหอคนสำคัญไม่คิดว่ามึงจะพลาด”

“อาสามันเข้าใจ”

“...”

“กูไม่ได้มีอารมณ์จะไปปาร์ตี้ไง”

“แล้วตอนนี้มีอารมณ์หรือยัง”

“มี”

“อารมณ์ดีเหรอ”

“อารมณ์อยากถีบมึงเนี่ย ไอ้สัด ถามเยอะจัง” มันดันตัวผมออกไป ทำหน้าเหมือนรังเกียจ ผมนึกว่าอ้ายจะกลับเข้าห้องของตัวอง แต่ว่ามันกลับเดินไปที่ห้องอื่นๆ ต่อ

“มึงทำอะไรเนี่ย”

“ไปดูไงว่ามีใครเปิดน้ำเปิดแอร์เปิดพัดลมทิ้งไว้อีกหรือเปล่า” มันหันมามองหน้าผม “มึงจะกลับหอมึงเลยก็ได้นะ”

“กูจะกลับทำไมล่ะ” ผมเปิดประตูห้องที่ใกล้ที่สุด “กูจะช่วยมึงดู”

“ลูกหอมึงคงโกรธตาย”

“กูไม่แคร์”

“...”

“เมียกูเป็นประธานหอนี้นี่”

อ้ายทำท่าจะชกผม แต่ผมหลบ มันส่ายหน้าดิกก่อนจะตั้งใจตรวจสอบความเรียบร้อยของหอต่อไป ผมขึ้นไปชั้นสองตามมันไป มันขึ้นไปชั้นสามผมก็ตามมันไป เอาเป็นว่าผมตามมันไปทุกที่นั่นแหละ

“หอมึงมีเดือนหอกับดาวหอป่ะ” อ้ายถาม

“หอเราไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก แต่จะแข่งว่าใครแข็งแรงสุดทุกเดือน”

มันส่ายหน้าใส่ผม “พวกมึงมันพวกป่าเถื่อน”

“พวกมึงมันพวกหลงตัวเอง”

“แล้วคนที่แข็งแรงสุดจะได้อะไรวะ”

“ก็ไม่มีอะไรมาก เหล้าฟรีทั้งเดือนอ่ะ”

“หา”

“มันโผล่ไปร้านไหนก็ตาม คนที่อยู่หอสองต้องเลี้ยงมันทุกคน มันไม่ต้องออก”

“รางวัลล่อตาล่อใจเป็นบ้า”

“ใช่มั้ยล่ะ”

“แต่สำหรับพวกขี้เมานะ”

“แล้วรางวัลเดือนหอดาวหอของมึงล่ะ”

“นี่ไง” อ้ายเปิดประตูห้อง 503 “สิทธิ์ในการเลือกอยู่ห้องไหนก็ได้ ปกติกูเป็นคนเลือกให้”

“ห้องใครวะ หอมฉิบ”

“ทนายกับอาสาไง”

“อ๋อ คู่ผัวเมีย” ผมเดินสำรวจไปทั่ว ไอ้ห้องบ้านี่มันค่อนข้างเป็นส่วนผสมที่ลงตัวอีกทั้งยังหอมไปหมด อ้ายเองก็ชอบที่จะอยู่ในห้องนี้ เพราะมันเองก็กำลังมองดูข้าวของของเด็กสองคนนี้เหมือนกัน

สายตาของผมสะดุดไปที่อุปกรณ์ตรงโต๊ะหัวเตียง อ้ายเองก็มองไปตรงนั้น

เราสองคนสบตากัน จากนั้นก็ถอนสายตาไปทางอื่นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เชี่ยทนายแม่งมีถุงยางเต็มถ้วยแก้ว อีกทั้งข้างๆ นั่นก็มีเจลหล่อลื่นหลากสีสันหลายขวดจนผมซึ่งไม่คุ้นเคยรู้สึกขัดๆ เขินๆ

กูรู้สึกสงสารอาสาขึ้นมาเลย

“กูไปดูห้องอื่นดีกว่า”

ผมคว้ามืออ้าย “เดี๋ยว”

มันหันกลับมา ใบหน้าแดงก่ำ “มีอะไร”

“ครั้งนั้นน่ะ กูผิดจริงๆ นะ ที่ลานจอดรถอ่ะ”

“ก็ผิดจริงๆ”

“โกรธมั้ย”

“มาก”

“...”

“เหมือนมึงเหยียบศักดิ์ศรีกู”

ผมจับมือมันทั้งสองข้างขึ้นมา “ถ้ามึงอยากทำอะไรกูคืน กูให้มึงทำตอนนี้เลย”

มันอ้าปากค้าง ท่าทางทำอะไรไม่ถูกของมันทำเอาผมต้องเผลอกลืนน้ำลาย “ไอ้บ้า...นี่ห้องน้อง”

“ถ้าไม่ใช่ห้องน้อง...ก็ทำได้ดิ”

“...”

“มึงลงมากับกูเลยอ้าย”

ก่อนที่ผมจะคว้าแขนอ้าย ผมไม่ลืมที่จะจิ๊กถุงยางจากถ้วยแก้วของไอ้ทนายมาหนึ่งกำมือ

และก็...เจลหล่อลื่นด้วย






TBC*
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 31-08-2017 01:10:12


ตอนที่ 25



ห้อง 101

ผมปิดประตูตามหลังอ้าย เจ้าตัวขยับถอยหลังช้าๆ ดูเหมือนมันทั้งตกใจและหวั่นเกรง

“สงคราม มึง...น่ากลัวอีกแล้วนะ” มันเดินถอยหลังจนขามันสะดุดทำให้มันล้มนอนลงไปบนเตียง

“เปิดหรือปิดไฟ”

“เฮ้ย เอาจริงเหรอ”

“จริงสิ ไม่เห็นถุงยางในมือกูเหรอ”

“เหี้ย กูเพิ่งดีกับมึงเองนะ”

หลังจากที่ผมกดปิดไฟ ผมก็ทิ้งตัวลงไปคร่อมตัวอ้าย หุ่นสวยๆ ขาวๆ ยาวๆ ของมันทำเอาผมเริ่มคุมสติไม่อยู่ “เชื่อป่ะ คนเราโกรธกันก็เอากันได้”

“สงคราม” เสียงอ้ายสั่นระริก มันคงไม่คิดว่าทุกอย่างจะมาไวขนาดนี้มั้ง “ถ้าเด็กๆ กลับมาล่ะ”

“อีกนาน”

“...”

“ยี่สิบนาทีก็เหลือเฟือ”

ริมฝีปากของผมประทับริมฝีปากของอ้ายหลังพูดจบ ความตื่นกลัวของมันผมสัมผัสได้อย่างเต็มเปี่ยม มันทั้งสั่น ทั้งกังวล แม้แต่จูบก็ยังกั๊กไม่กล้าเปิดปากให้ผมเต็มๆ

ผมโยนถุงยางในมือทิ้งไป จับตัวอ้ายพลิกให้มาคร่อมผมบ้าง มันดูงงๆ แต่ดูเขินมากกว่า แสงสลัวในห้องของอ้ายทำเอาผมจินตนาการไปไกลว่าถ้าเสื้อผ้าหลุดออกจากร่างกายนี้

...ผมจะคลั่งแค่ไหน

“มึงจะให้กูทำอะไร” มันกระซิบถาม ผมเผลอจับเอวที่สั่นไปหมดของมันไว้

โอ้โห...นี่เอวคนจริงๆ เหรอ ถ้าผมบีบแรงๆ เชื่อว่ามีแบนราบไปข้างหนึ่ง...

“มึงโกรธกูไม่ใช่เหรอ”

“ก็...ใช่”

“ระบายความโกรธออกมาดิ”

“หะ หา”

“กูยอมให้มึงทำกูทุกอย่างแล้วเนี่ย”

อ้ายกลืนน้ำลาย “สงคราม”

“จะทำแรงๆ จะทำอะไร กูยอมหมดเลย”

“เหี้ย” ผมกระตุกตัวอ้ายให้เข้ามาใกล้ นิ้วมือของผมไล่คลอเคลียไปตามเรือนร่างที่ผมไม่นึกว่ามันจะน่าหลงใหลได้ปานนี้ “มึงอารมณ์ขึ้นเพราะเห็นของพวกนั้นในห้องของทนายเหรอ”

“ก็มีส่วน”

“กู...” มันยังคงตัวสั่นอยู่ “กูทำไม่เป็น”

“อ้าว” ขออนุญาตหัวเราะได้มั้ย ผมมองลงต่ำ รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่นูนขึ้นมาตรงหว่างขาของอ้าย “ขึ้นแล้วนี่...ทำไปตามธรรมชาติดิ”

“มึง...เร่งกู”

“เรายังต้องรออะไรอีกล่ะ”

“สงคราม” อ้ายกลืนน้ำลาย ก่อนจะเอียงใบหน้าลงมากระซิบข้างหูผมอย่างออดอ้อน กลิ่นของอ้าย ท่าทางเหมือนแมวไร้เดียงสาของอ้าย ทำเอาผมกลืนน้ำลายกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่รู้

“ครับ”

“มึงทำให้ได้ป่ะ”

ผมยิ้มมุมปาก “จริงเหรอ”

“อื้ม”

ผมพลิกตัวอีกครั้ง กลายเป็นผมที่อยู่เบื้องบนตามเดิม “ได้”

ผมจูบไล่เรียงไปตามใบหูกับใบหน้าของอ้าย มือของผมทำงานประสานกับริมฝีปากด้วยการจัดการกับเสื้อผ้าของอ้ายที่ขวางหูขวางตา ผมไม่เคยเห็นหุ่นใต้ร่มผ้าของมัน และคราวนี้ผมกำลังจะได้เห็นแล้ว

เอื้อมมือไปเปิดไฟดีมั้ยนะ

ไม่คิดว่าอ้ายจะยอม ไม่คิดว่าอ้ายจะไม่ขัดขืน เสื้อของมันถูกปลดออกเผยให้เห็นถึงเรือนร่างนวลเนียนที่เด่นทับความเป็นชาย เอวของมันบางกว่าที่ผมคิด และเหนือสิ่งอื่นใด...ยอดอกของมันแม่งเป็นสีชมพู

บริสุทธิ์ผุดผ่องสมกับคำว่างดงามอย่างที่ไม่รู้ว่าจะมีคำไหนมาใช้ทดแทนได้

ผมกลืนน้ำลายอย่างพยายามอดกลั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่เบื้องล่างของผมคือภาพงดงามที่เคยนึกฝันในจินตนาการ การ์ตูนวายเรื่องเพียงหนึ่งเส้นด้ายซึ่งเป็นการ์ตูนเล่มโปรดมักจะทำให้ผมต้องสูญเสียความชื้นในร่างกาย ทุกๆ เช้าผมมักจะจินตนาการว่านายเอกในเรื่องเป็นอ้าย อ้ายคล้ายกับเขามาก คล้ายเสียจนผมเห็นภาพวาดกับภาพอ้ายในตอนนี้ทับซ้อนจนแทบจะกลายเป็นภาพเดียวกัน

อ้ายงดงาม...ไม่ต่างจากภาพวาดเลย

ทว่าบางสิ่งบางอย่างกลับทำให้ผมหยุดชะงักและมองมันตาค้างแบบนั้น

อารมณ์ปรารถนาของผมมันมีมากก็จริง แต่ผมก็ยังติดขัดกับอะไรบางอย่างที่อยู่ในใจ จนไม่สามารถทำต่อไปได้

“เป็นอะไร” อ้ายดูตื่นตระหนก “ตัวกูมันทำไมเหรอ”

“เปล่า”

“...”

“กูนึกไปถึงตอนที่โอมมันดูดคอมึง”

“กับโอมไม่มีอะไรไง” มันขยับตัวลุกขึ้นมานั่งก่อนจะดึงผมเข้าไปใกล้ๆ เราทั้งคู่อยู่ด้วยกันสองต่อสองมันจึงไม่เขินอายที่จะพูดและแสดงออกมาอย่างตรงๆ “ไม่มีอะไรจริงๆ”

“มึงเลือกได้แล้วเหรอ”

“กูเลือกมึง”

เป็นคำพูดสุดเซอร์ไพรส์ที่ผมไม่คิดว่าจะออกมาจากปากของอ้าย

“โอมจะกลายเป็นญาติที่กูจะไม่คุยด้วยอีกแล้ว”

“มึงแน่ใจเหรอ”

“กูแน่ใจ”

“มันดูดคอมึงนะ”

“นั่นแหละที่ทำให้กูตัดสินใจได้”

“...”

“ที่ผ่านมามันก็ทำตัวเป็นเหมือนญาติคนหนึ่งที่อาจจะทำตัวเกินไปหน่อยเรื่องยืมเงิน มันวางตัวเป็นญาติได้ดีมาโดยตลอด จนกระทั่งมันทำกับกูแบบนั้น แล้วยังมาสารภาพว่าชอบกูอีก กูไม่โอเคว่ะ”

ผมเลิกคิ้วตั้งใจฟังอ้ายอธิบาย มันก็จะแปลกๆ หน่อยนั่นแหละที่ต้องมาเคลียร์กันตอนนี้ แต่ถ้าจะไม่ให้ผมเคลียร์เรื่องไอ้โอมเลย สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปคงไม่ใช่เรื่องที่ผมมีความสุขได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ มันจะเต็มไปด้วยความตะขิดตะขวงในใจ ซึ่งผมไม่ยอมแน่

“กูก็ไม่โอเค” ผมพูดเสียงแข็ง

อ้ายเอื้อมมือมาแตะตัวผมราวกับต้องการง้องอน ผมไม่คิดว่าอ้ายจะแสดงท่าทีที่แคร์ผมมากขนาดนี้

“มึงจะให้กูทำยังไงเรื่องโอมล่ะ”

“ไม่ต้องไปเจอมันอีก”

“กูทำแน่”

“ห้ามติดต่อมัน”

“อืม”

“ตัดมันออกจากชีวิตไปเลย”

“งานรวมญาติที่มีไอ้โอม กูก็จะไม่ไป” คำพูดของอ้ายเต็มไปด้วยความแน่วแน่ อีกทั้งสายตายังเต็มไปด้วยความจริงจังจนผมรู้สึกเชื่อมั่นในคำพูดของอ้ายมากขึ้น

“พูดด้วยเกียรติของประธานหอ”

“ไม่”

“...”

“กูพูดด้วยเกียรติของคนที่รักมึง”

คำพูดของอ้ายสร้างความพึงพอใจให้ผมอย่างรุนแรง ผมยิ้มกริ่มนิดๆ ก่อนจะมองอ้ายด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ผมถอดเสื้อตัวเองออก อีกฝ่ายดูตกใจมากกับภาพที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันตรงหน้า มันมองตัวผมตาค้างพร้อมๆ กับจ้องสำรวจไปทั่วด้วยนัยน์ตาที่เก็บความตะลึงเอาไว้ไม่อยู่

“เหลืออีกอย่างที่มึงควรทำ”

อ้ายมองผมอย่างหวาดระแวง ท่าทางที่เซ็กซี่มากขึ้นของผมทำให้มันกลืนน้ำลายลงคอ

“อะ อะไร”

“พิสูจน์สิ” ผมขยับตัวมาพิงผนังพร้อมๆ กับดึงตัวอ้ายให้มานั่งอยู่ข้างหน้า

“ยังไง”

“จูบรอยสักกู”

มันมองไล่สายตาไปตามรอยสักลายมังกรที่อยู่ไหล่ซ้ายของผม

“สงคราม”

“ทุกจุดเลย”

“...”

“แล้วกูจะเชื่อว่ามึงเลือกกูจริงๆ” น้ำเสียงของผมแหบพร่า ภาพตรงหน้ามันยากเกินจะหักห้ามใจ แต่ผมก็อยากให้เราทั้งคู่เคลียร์เรื่องทุกอย่าง

“...”

“มึงโกรธกูเรื่องที่กูทำกับมึงที่ลานจอดรถด้วยใช่ป่ะ”

“...”

“ระบายมันออกมาเลย”

ผมคิดว่าเราทั้งคู่คงหมดเวลาเรื่องการพูดมากจนเป็นการต่อความยาวสาวความยืด ในเมื่อบรรยากาศเป็นใจอีกทั้งแรงปรารถนาของเราก็มีมากเกินกว่าจะหักห้ามใจไหว

อ้ายในตอนนี้จึงร้อนแรงและเต็มไปด้วยแรงกระหายอย่างที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน

ริมฝีปากที่สัมผัสไปทั่วรอยสักของผม ลมหายใจที่หอบหนัก รวมไปถึงกลิ่นกายอันเป็นธรรมชาติที่ออกมาจากตัวอ้ายทำให้ผมเผลอใช้มือบีบร่างกายของอีกฝ่าย หลายครั้งอ้ายทำให้ผมอดกลั้นจนต้องกัดริมฝีปาก และก็หลายครั้งอ้ายทำให้ผมต้องเผลอส่งเสียงออกมาตามแรงขบเม้มที่มันทำให้

มันพิสูจน์มามากพอแล้ว

ถึงเวลาที่มันควรจะเป็นของผม...อย่างแท้จริง

แน่นอนว่าผมต้องผลักตัวมันให้นอนราบไปกับเตียง ขยับกายผมให้เบียดเสียดอยู่เหนือร่างกายที่น่ามองของอ้ายพร้อมกับไม่ลืมที่จะปลดเปลื้องอาภรณ์ชิ้นล่างของอ้ายให้ออกไปพ้นจากสายตา อ้ายหลับตาพริ้ม เม้มริมฝีปากแน่นทุกครั้งที่ผมเพิ่มความแรงของริมฝีปากในการดูดดุนไปทั่วร่างของมัน

ถ้าอ้ายเป็นอาหารคงเป็นของคาวที่มีกลิ่นหวาน ทำไมมันถึงได้ดูไร้เดียงสาแต่ก็ไม่ใช่เด็กอ่อนหัด และทำไมมันถึงได้ดูทำไม่เป็นแต่ก็เป็นงานจนผมอดทึ่งไม่ได้ อ้ายรู้จักการขยับตัวรับแรงสัมผัส รู้จักการส่งเสียงในเวลาที่ควรส่งมันออกมา รู้จักการสัมผัสตัวผมอย่างแรงจนแทบจะใช้เล็บข่วนในยามที่ผมทำให้มันนั้นรู้สึกวาบหวามจนเกินไป

“เด็กๆ จะกลับมาเมื่อไหร่” ผมถามขณะที่ปลดกางเกงของตัวเองไปด้วย

“ไม่รู้” อ้ายส่ายหน้าร่างๆ มองดูร่างของผมที่อยู่เหนือตัวของมัน

ให้ตายเถอะ...มันกลืนน้ำลายด้วย

หุ่นผมแซ่บพอประมาณใช่มั้ยล่ะ

“แสดงว่ามึงก็ร้องดังๆ ได้ใช่มั้ยล่ะ”

“...มั้ง”

“ร้องดังๆ เลยนะ อยากได้ยินว่ะ”

ในที่สุดกางเกงผมก็หลุดออกไป เหลืออันเดอร์แวร์เพียงตัวเดียวเหมือนกันกับมัน อ้ายหลับตาปี๋จนผมต้องเอ่ยถาม

“ทำไม”

“ของมึง”

“ทำไมล่ะ” เอียงหน้าไปกระซิบที่ข้างหู ไม่ลืมที่จะจุมพิตย้ำไปทั่วทั้งแก้มและซอกคอขาว

“เชี่ยแม่ง”

“ก็ดูตัวกูสิ”

“...”

“และกูก็อยู่หอสอง”

“...”

“เด็กหอสองทุกคนก็ใหญ่กันทั้งนั้นนั่นแหละ”

อ้ายจิกเล็บที่ไหล่ของผมราวกับหวาดกลัว

“ไม่ต้องกลัว”

“...”

“กูขโมยเจลเชี่ยทนายมา”

สิ่งที่ผมนึกฝันจินตนาการความปรารถนาในทุกๆ เช้าผ่านการอ่านหนังสือการ์ตูน บัดนี้ผมกำลังทำสิ่งนั้นกับคนที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นผู้ชายที่งดงามที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอ อ้ายมันทำให้ผมเผลอแสดงสัญชาตญาณดิบเถื่อนออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ มันทำให้ผมลืมความยับยั้งชั่งใจ ลืมนึกไปถึงความเจ็บปวดหลังจากที่ผมกระทำกับมัน

แต่เชื่อมั้ยครับ...ว่าอ้ายมันชอบ ยิ่งผมดุดันกับมันผ่านแรงกระแทกบนเตียงรวมไปถึงความแรงของการสัมผัสด้วยริมฝีปาก มันก็ไม่คิดจะเอ่ยปากห้ามหรือบอกให้ผมพอ

ผมชอบมันตรงนี้ ไม่สิ ผมรักมันก็ตรงนี้

เรื่องบนเตียง...เราสองคนศีลเสมอกัน








เสียงโหวกเหวกโวยวายของคนเมาดังเต็มไปหมดจนผมไม่สามารถออกไปข้างนอกได้

อ้ายนอนหลับๆ ตื่นๆ อยู่ในอ้อมกอดของผม สภาพของมันตอนนี้เรียกได้ว่าอย่างกับผ่านสงครามโลกมา ผมนึกสงสารมันทุกครั้งเวลาที่มองไปเห็นรอยแดงที่อยู่ตามเนื้อตัว ไม่ต้องถามถึงจุดนั้นนะครับว่าจะเป็นรอยช้ำแดงแค่ไหน
ผมไม่ยอมทำให้เสียชื่อสงครามหรอก...

ในเมื่อออกไปไหนไม่ได้ ก็ดีเหมือนกัน ที่จริงผมก็ไม่ได้อยากออกไปไหนอยู่แล้วล่ะ ใครจะปล่อยให้อ้ายอยู่คนเดียวได้ลงหลังจากที่ผมเพิ่งทำแบบนั้นกับอ้ายมา

“จะอยู่จนเช้าเลยหรือไง” อ้ายถามเสียงแหบ

“นี่ก็ใกล้จะเช้าแล้วล่ะ” ผมตอบ จูบไปที่ริมฝีปากของอ้ายอีกครั้ง “มึงเก่งมากนะ ครั้งแรกยังทนได้ขนาดนี้”

“เพื่อมึงไงสัด”

ผมยิ้ม “แล้วกูเป็นไงบ้าง”

“ก็...โอเค”

ชักสีหน้าเพราะไม่เห็นด้วย “แค่โอเคเหรอ”

“โอเคมากกกกกกกกก”

“ดี”

“...”

“เพราะถ้ามึงไม่โอเคกูจะแก้ตัวใหม่ตอนนี้”

“ฆ่ากูเลยง่ายกว่า”

“...”

“มึงเซ็กซี่นะ” อ้ายกระซิบ

“เพื่อมึงไงไอ้เหี้ย” มันหัวเราะถูกใจจนผมอดที่จะเข้าไปจูบมันอีกครั้งไม่ได้ “ถามเรื่องโอมหน่อยได้ป่ะ”

“ได้สิ”

“มันสารภาพรักด้วยเลยเหรอ”

“ก็ไม่เชิงอ่ะ ตอนมันพูดมันยังดูสับสนอยู่เลย” อ้ายเล่าด้วยน้ำเสียงเบา “วันนั้นก็ไปหามันเพื่อที่จะไปเคลียร์รอยแดงห่านี่ แต่ดันไปเจอมันทะเลาะกับพ่อ กูไปช่วงที่มันอ่อนแอ มันก็เลยเล่าส่วนที่อยู่ลึกที่สุดในใจของมันออกมา”

“แก้ตัวแทนมันหรือเปล่าเนี่ย ทำไมละเอียดจัง”

“ฟังก่อนดิ”

“...”

“กูเข้าใจมันเพราะกูโตมากับมัน” อ้ายพูด “วันนั้นมันเมามาก แล้วมันก็บอกว่ามันมองกูเหมือนเป็นผู้ชายที่เหมือนผู้หญิงมาตั้งแต่เด็ก พอเห็นกูเมาก็เลยหน้ามืดเผลอทำคิสมาร์กใส่”

“กูไม่อยากฟังแล้ว”

“สงคราม” อ้ายเอื้อมมือมากอดตัวผม “อย่าโกรธเรื่องนี้อีกเลยนะ”

“ต่อไปมึงต้องไปแดกเหล้ากับกูทุกครั้ง”

“ได้”

“ถ้ากูเจอหน้าไอ้โอมอีกกูจะฆ่ามัน”

“มันจะไม่มาให้มึงเจออีกแล้ว”

“...”

“รวมถึงกูด้วย กูรู้สึกแปลกๆ กับมันไปแล้วว่ะ”

ผมลูบหัวอ้ายเบาๆ “มึงไหวนะ”

“ไหวดิ”

“...”

“มันหายไป ไม่ใช่มึงหายไปสักหน่อย”

“...”

“ถ้าเป็นมึงหายไป กูแย่แน่เลยสงคราม”

คำพูดของมันถูกใจผมมากจนผมต้องดึงตัวมันมากอดเอาไว้ทั้งตัว แม้จะทุลักทุเลไปสักหน่อยเนื่องจากอ้ายมันรู้สึกเจ็บตรงสะโพก

“วันนั้นที่ลานจอดรถ...ขอโทษจริงๆ นะ ไม่ทำอีกแล้ว สาบาน”

“วันนั้นที่ไม่ระมัดระวังตัว...กูก็ขอโทษเหมือนกัน”

“กูรักมึงนะอ้าย”

“รักมึงเหมือนกัน”






ตอนเช้าผมเดินออกมาจากห้องของอ้าย สวนทางกับไอ้ของขาวประจำหอซึ่งมันกำลังจะเคาะประตูห้องอ้ายพอดี

“มึงหยุดเลยนะ” มันสะดุ้งเพราะเห็นผมเสียงดังใส่

“ทำไมล่ะครับ” ไอ้นี่มันกลัวผมครับ ดูมันตื่นๆ ยังไงชอบกล

“อ้ายมัน...ไม่ค่อยสบายตัว มึงห้ามกวนมัน”

“ครับ ไม่กวนก็ได้” อาสาถอยหลังออกมาอย่างเข้าใจ ตั้งท่าจะวิ่งหนีไป แต่ผมดึงคอเสื้อมันเอาไว้ซะก่อน “มีอะไรกับผมอีกเหรอครับ”

“บอกคนอื่นว่าห้ามกวนมัน ใครกวนเจอตีนกูแน่”

“...”

“รู้จักตีนสงครามอยู่ใช่มั้ยมึงอ่ะ”

“ได้ครับพี่ ผมจะบอกทุกคนเลย” อาสาคอหด ผมรู้สึกสงสารจึงปล่อยมันไป

ก่อนออกจากหอสามผมได้ยินเสียงมันตะโกนดังลั่นไปทั่วหอสาม

“พี่อ้ายเสร็จพี่สงครามแล้ว วันนี้พวกมึงห้ามกวนพี่อ้ายเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นพี่สงครามจะมาเสิร์ฟตีนให้ถึงที่!”

ถือว่าแม่งรู้งาน เป็นการประกาศศักดาไปเลยว่าอ้ายเป็นของผมแล้ว

“เชี่ยอาสา พ่อมึงตาย!”

เสียงร้องตะโกนด่าของอ้ายดังขึ้นมาหลังจากนั้น...





TBC*
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 31-08-2017 01:23:22



ตอนที่ 26
พาร์ตของไปป์



ผมดีใจที่เห็นคู่ของสงครามกับอ้ายกลับมาดีกัน แต่เมื่อคิดไปคิดมา ผมจะดีใจมากกว่าหากคู่ของผมกับมีนมีแววสมหวังบ้าง
บอกเลยว่าเวรกรรมนั้นได้ตามสนองผมแล้วครับ

ถ้าผมเป็นมีน ผมก็ไม่แน่ใจในตัวของผมเองเหมือนกัน มีอย่างที่ไหนที่จู่ๆ พออ้ายซึ่งปากผมบอกว่าชอบนักชอบหนามีแฟนแล้วผมก็เปลี่ยนขั้วมาหามีนทันที เพราะฉะนั้นผมเข้าใจถ้ามันยังไม่เปิดใจให้ผมร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมถึงได้พยายามทำทุกอย่างให้มีนสัมผัสถึงความจริงใจของผม แต่ทำไมรู้สึกว่ายิ่งพยายามเท่าไหร่ มีนก็ยิ่งอยู่ไกลจากผมไปเรื่อยๆ ทุกที

จากที่มันเคยให้ผมเป็นที่หนึ่ง ไม่ว่าจะมีกิ๊กมากมายมหาศาลที่เคยลากกันไปทำอะไร มันก็ไม่เคยแสดงออกว่าไม่ใส่ใจผม เหมือนมันเคยวิ่งตามผม ขณะที่ผมเป็นฝ่ายวิ่งหนีมันอะไรทำนองนั้น

แต่คราวนี้เราสลับตำแหน่งกัน ผมวิ่งตามมัน ส่วนมันวิ่งหนีผม

บางครั้งผมก็คิดว่ามีนมันยังชอบผมเหมือนเดิม แต่บางครั้งผมก็ไม่แน่ใจ ยิ่งพอมาอยู่ใกล้ๆ แทนที่ทุกอย่างมันจะชัดเจนมากขึ้น ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรเข้ามาแทรกทุกอย่างมันถึงได้จางลงไป

อย่างที่บอกนั่นแหละ...เวรกรรมได้ตามสนองผม แต่เชื่อเถอะว่าความเจ็บปวดที่ผมได้รับในตอนนี้นั้น ยังน้อยมากเมื่อเทียบกับที่มีนเคยเจ็บ ตอนนั้นมันร่ำร้องบอกรักผม ขณะที่ผมผลักไสไล่ส่งมันสารพัดสารเพ

อยากฆ่าตัวเองฉิบหาย

นี่ถ้าไม่เจ็บปวด ไม่สูญเสีย จะรู้มั้ยว่าใครคือคนที่หัวใจต้องการจริงๆ

ผมคิดว่าผมชอบอ้าย แต่เหมือนเอาอ้ายมาวางทับมีนซึ่งอยู่ที่เดิมในหัวใจของผมมาตลอดมากกว่า ยอมรับว่าใจผมอาจจะหลงระเริงคิดว่ามีนคือของตายสำหรับผม ไม่ว่าผมจะทำอะไรยังไงมีนมันก็ยังชอบ ตอนนั้นผมจึงท่องไว้ในใจเสมอว่าคนที่ผมชอบคืออ้าย อ้าย และก็อ้าย แต่ทุกครั้งที่มีนมันเดินคู่ไปกับใครหรือผมได้ข่าวว่ามีนกิ๊กกับคนไหน ผมก็เผลอกำหมัดแน่นอยากต่อยกำแพงแทบทุกทีไป

ทำไมผมถึงไม่อยากเป็นคนรักกับมีน ทำไมผมถึงอยากให้เราเป็นเพื่อนกันมากกว่า ก็เพราะว่าผมกับมันโตมาด้วยกัน เรียกได้ว่าเจอกันตั้งแต่จำความได้ มันเป็นความผูกพันที่ผมไม่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงหรือเลิกรา เป็นความสัมพันธ์ที่ผมหวงแหน พอวันหนึ่งที่ความสัมพันธ์เปลี่ยนไปเพราะมีนเป็นคนบอกรักผม ผมก็อดปล่อยอารมณ์เกรี้ยวกราดไม่ได้

และเหตุการณ์ก็ลามมาจนถึงทุกวันนี้เพราะมีนมันเป็นคนดื้อ ประชดประชันเก่ง ส่วนผมเป็นพวกไม่ชอบตามใจ เบื่อพวกชอบประชดประชัน เราจึงมีความสัมพันธ์กันแบบปั้นปึ่งต่อกันมานานหลายปีเลยทีเดียว

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ตอนมัธยมที่มีนมาสารภาพรัก ผมจะนั่งคิดทบทวนหัวใจตัวเองดีๆ ว่าคนที่ผมต้องการจริงๆ คือคนที่ผมต้องออกไปตามหา หรือเป็นคนที่อยู่ตรงหน้าผมแล้ว อีกทั้งมันยังมีผมอยู่ในหัวใจมาโดยตลอดอีกต่างหาก

ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองนั้นพลาดขนาดหนัก

หลังจากที่ทำโปรเจ็กต์กันจนอึน ผม อ้าย และไอ้ธัชต่างก็แยกย้ายไปใช้ชีวิตของตน ผมค่อนข้างแน่ใจว่าธัชมันต้องไปหากิ๊กสักคน อ้ายก็คงไปหาสงคราม ส่วนผมนั้นต้องมานั่งรอไอ้มีนที่กำลังเรียนอยู่กับคลาสย่อยของปีสาม เป็นวิชาที่ผมกับคนอื่นๆ ผ่านมาแล้ว แต่มีนยังไม่ผ่านเพราะดรอปเรียนไปแสดงละคร

ผมลองมองเข้าไปภายในห้องผ่านประตูที่มีกระจก มีนนั่งอยู่กลางวงล้อมเด็กวิศวะยานยนต์ปีสาม มันดูสดใสและสดชื่นกว่าตอนที่ผมไปรับมันมาเรียนเยอะ การแสดงออกของมันดูกักเก็บ ปิดบัง และฝืนธรรมชาติ ไม่เหมือนกับสมัยก่อนที่ผมกับมันยังสนิทกันมาก
ผมคิดถึงช่วงเวลานั้นฉิบหาย

คลาสเรียนไอ้มีนเลิกแล้ว ผมยืนกางแขนเกาะริมระเบียงหน้าห้อง มองดูพวกนักศึกษาในห้องทยอยออกมา ส่วนใหญ่มักจะยกมือไหว้ผมพร้อมทำหน้างงๆ แกมตื่นตระหนก อาจเป็นเพราะดูเหมือนผมจะมาหาเรื่องมากกว่าเหมือนมารอใครสักคน

ตอนที่มีนเดินออกมา มันกำลังหัวร่อต่อกระซิกกับปีสามสองคน ทั้งหมดชะงักเมื่อเห็นผม

“ไปก่อนนะ แล้วเจอกัน” สองคนนั้นไหว้ผมแล้วบอกลามีน

“เออ เจอกันเย็นนี้”

มีนเดินเข้ามาหาผมจึงเอ่ยถามทางสายตาว่ามันมีแผนจะไปทำอะไรในตอนเย็น

“น้องมันนัด”

“แต่นี่ครั้งที่สามของอาทิตย์แล้วนะ”

“ไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะ” มีนทำหน้างงว่าทำไมผมต้องบ่น ทั้งๆ ที่ผมไม่จำเป็นต้องสนใจก็ได้ แต่จะไม่ให้ผมสนใจได้ยังไง ในเมื่อหลังๆ ทุกครั้งที่มีนไปเที่ยวผมไปด้วยทุกครั้ง ถ้าวันนี้มันไปอีกผมจะไม่ไปด้วยไม่ได้ครับ เพราะอย่างที่บอกผมอยากตามติดมันตลอดเวลา

“กูแค่จะบอกว่าอ่านหนังสือเตรียมสอบไฟนอลเลยก็ดีนะ ตัวที่มึงเรียนอยู่อ่ะ มีแต่ตัวยากๆ”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวมีพวกปีสามหอหนึ่งติวให้”

ผมทำหน้าบึ้งตึง “มึงกำลังยั่วอะไรกูอยู่หรือเปล่ามีน”

“เปล่า”

“มึงไม่ได้ทดสอบความอดทนของกูอยู่ใช่มั้ย”

มีนตัวแข็งไปเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ อย่างมีพิรุธ “เปล่าสักหน่อย”

“กูไม่ยักรู้ว่ามึงเที่ยวบ่อยขนาดนี้”

“เพื่อนที่หอพาไปน่ะ ก็เลยติดเป็นนิสัย”

“มันไม่ดีกับตัวมึงนะ ยิ่งต่อไปมึงยิ่งจะเป็นคนมีชื่อเสียงด้วย”

“นี่มึงจะมาสอนกูตอนนี้จริงๆ เหรอ หน้าห้องเรียนเนี่ยนะ” นักศึกษายังออกมาจากห้องไม่หมดเลย ผมถอนหายใจใส่หน้าคนที่คิดว่าผมรู้ใจมันมากที่สุด แต่ทว่าตอนนี้ผมกลับไม่เข้าใจตัวมันเลยแม้แต่นิดเดียว

“หิวมั้ยล่ะ” ผมจงใจเปลี่ยนเรื่อง

“หิวมากเลย” มีนเอามือลูบท้อง

“อยากกินอะไร”

“สปาเก็ตตี้”

“อื้ม”

เชื่อว่าตอนนี้คนในสาขาคงเห็นผมกับมีนจนชิน หลังจากที่ทุกคนเห็นสงครามกับอ้ายบ่อยๆ คู่อื่นคงไม่ได้มีความแปลกหรือน่าสนใจแต่อย่างใด ส่วนใหญ่คนในสาขามักจะรู้ว่ามีนเป็นคนยังไง แต่ไม่มีใครขี้เม้าท์หรือปากโป้ง ทุกคนใช้ชีวิตของตัวเอง สนใจแต่เรื่องของตัวเองกับเรื่องหอที่ตนสังกัด

ระหว่างที่เดินตามหลังมีน ผมก็กดทวิตเตอร์เช็กดูข่าวมีนไปเรื่อย มันไม่รู้ว่าผมเล่นแอคไหน ผมสมัครทวิตเตอร์แต่ตั้งไพรเวทไว้เพื่อเอาไว้ส่องข่าวคราวของมีนโดยเฉพาะ แอคเคาท์ลับๆ นี้ไม่ได้เพิ่งมีแต่อย่างใดครับ มีมานานแล้วด้วย มันไม่รู้หรอกว่าผมคอยส่องความเป็นไปของมันตลอดเวลา แทบจะรู้หมดว่าคิวงานของมันมีวันไหนอะไรยังไงบ้าง

ผมเพิ่งจะมาแสดงตัวว่าเล่นก็ตอนที่ #ตัวพีของมีน ติดเทรนด์ไทย แทนที่จะเป็น #MEENAPAT ซึ่งเป็นแฮชแท็กของมีนคนเดียวโดยเฉพาะ ผมเข้าแฮชแท็กนี้ทุกวัน แรกๆ ก็จะมีแต่รูปสวยๆ หรือไม่ก็ข้อมูลเล็กๆ จากสายตาของแฟนคลับ แต่หลังๆ นี่รู้สึกจะมีไอ้ปองโผล่เข้ามาในแท็กของมีนอยู่เรื่อย

และตอนนี้ #ตัวพีของมีน ก็ติดเทรนด์ไทยอีกครั้งหนึ่ง

ผมมองดูมีนว่ามันมีปฏิกิริยาอะไรหรือเปล่า เจ้าของเทรนด์ยังเดินนำหน้าเรื่อยๆ เพื่อไปที่รถอย่างเดียว

“ทำไมติดเทรนด์อีก” ผมเขย่าโทรศัพท์ให้มันดู

“ไม่รู้สิ”

“ไหนบอกว่ามันมีเมียแล้วไง”

“กูรู้ แต่คนอื่นเขาไม่รู้นี่”

มีนหาวให้ผมดู ผมไม่แน่ใจว่าควรซักไซ้มันต่อหรือเปล่า ดวงไฟลูกเล็กๆ เริ่มแผดเผาที่หัวใจของผมอีกครั้ง อิจฉาไอ้เชี่ยปองที่แม่งทำอะไรคู่กับมีนก็มีคนมาร่วมอวยไปหมด ส่วนผมน่ะเหรอ...แม้แต่มีนมันยังแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายออกมาเลย

เชี่ยไปป์ไม่เคยรู้สึกหมดสภาพขนาดนี้มาก่อน ไม่ได้มีความคูลและความเท่หลงเหลืออยู่เลยแม้แต่นิดเดียว

ผมลองส่องดูดีๆ แฟนคลับไอ้ปองกับไอ้มีนตื่นเต้นเพราะมันสองคนไปโต้ตอบกันในไอจีของคนอื่น สิ่งที่มันโต้ตอบกันจนเป็นเรื่องเป็นราวนั้นมันค่อนข้างน่ารักและก็...น่าจิ้น แฮชแท็กตัวพีของมีนจึงได้กลับมาอีกครั้ง และครั้งนี้ดูเหมือนจะมีแฟนคลับคู่นี้เพิ่มมากขึ้นกว่าครั้งที่แล้วอีกด้วย

ไอ้ตัวพีของมีนนี่มันสลักสำคัญอะไรกับมีนมากขนาดนั้นเลยหรือไง ทำไมแฟนคลับผู้ที่ติดตามมีนมาอย่างเหนียวแน่นถึงได้คอยลุ้นและเชียร์มีนกับคนตัวพีนี้มาก จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นสาวกเดนตายเพื่อความรักที่สุขสมหวังของมีน นี่ขนาดผมติดตามความเคลื่อนไหวของมีนมาโดยตลอด ผมยังไม่รู้รายละเอียดเรื่องนี้เลยว่ามันอะไรยังไง

เห็นทีผมต้องมีสกิลการส่องมากขึ้นกว่านี้ และก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่ามีอยู่สิ่งเดียวที่ผมไม่ค่อยได้เข้าไปส่อง อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในไม่กี่โซเชียลที่มีนเล่นบ่อยๆ นั่นก็คือ...อินสตาแกรม

เหตุผลที่ผมไม่ค่อยชอบเข้าอินสตาแกรมก็คือมีนชอบตั้งแคปชั่นน้อยใจและตัดพ้อต่อว่าผมแบบกลายๆ ผมอ่านทุกครั้งก็รู้สึกผิดทุกครั้ง จึงเลี่ยงและหลบหลีกด้วยการไม่เข้าไปส่องอีกเลย

หรือนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้แฟนคลับเอาใจช่วยมีน แคปชั่นเหล่านั้นอาจมีส่วนเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อย

“เปิดรถได้แล้ว” มีนโบกมือไปมาหน้าผม ตอนนี้เราเดินมาจนถึงรถแล้ว แต่สติของผมหลุดลอยไปไกล

“อืมๆ”






ร้านบาร์หิ่งห้อย

ร้านนี้นอกจากจะเป็นบาร์หรูหราไฮโซที่สุดในบรรดาร้านอาหารแถวมอแล้ว ยังเป็นร้านอาหารอิตาเลียนที่อร่อยมากอีกต่างหาก มีนผู้ชื่นชอบอาหารต่างประเทศชอบมาร้านนี้บ่อยๆ ส่วนผมที่ชื่นชอบอาหารไทยจำเป็นต้องมาเพราะอยากตามใจมัน

มีนสั่งอาหารคนเดียวเพราะมีแต่มันที่หิว ส่วนผมกำลังสืบหาความจริงเรื่องของมันอยู่ ตอนนั้นผมคงทำหน้าเคร่งเครียดมาก จนคนที่ไม่ค่อยสนใจผมอย่างมีนถึงขนาดเอ่ยปากซักถาม

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

“เปล่า” เรื่องอะไรผมจะบอกมัน

“เกรงใจนะที่ต้องให้มึงมานั่งดูกูกิน”

“มึงทำแบบนี้กับกูมากี่มื้อแล้ว ทำไมเพิ่งจะมาเกรงใจเอาป่านนี้”

อีกฝ่ายมองผมอย่างครุ่นคิดก่อนจะทำหน้าคลายความกังวล ผมวางโทรศัพท์ลง ตั้งใจมองหน้าคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม มองให้ลึก จ้องให้สุด ทุกวันนี้ที่มันอยู่กับผมมีแต่ความผิดปกติเต็มไปหมด ไม่ใช่มีนคนเดิมที่เคยชอบผมนักหนา มันเป็นไอ้มีนที่ไม่มีความมั่นใจ และผมเชื่อว่าความไม่มั่นใจนั้นคือเรื่องของผมร้อยเปอร์เซ็นต์

กูทำขนาดนี้มึงยังไม่เชื่อใจกูอีกเหรอวะ

“อาหารได้แล้วนะคะ”

มีนนั่งทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ขณะที่ผมจมกับความคิดของตัวเองไปเรื่อย จนกระทั่งมีนมันรู้ตัวว่าถูกจ้อง มันถึงได้เอ่ยถามว่าผมมองมันทำไม

“ก็กูว่าง” ผมตอบ

“เล่นมือถือก็ได้ กูไม่ว่า”

“มองหน้ามึงสนุกกว่า”

มีนกลืนน้ำลาย “ทำเป็นหยอด”

“กูทำอย่างอื่นเก่งกว่าหยอดอีก”

“อะ อะไรของมึง”

“มึงก็น่าจะรู้ แต่ก่อนกูดูแลมึงดีจะตาย มึงชอบกูเพราะกูดูแลมึงดีใช่มั้ยล่ะ”

“...”

“ต่อไปนี้กูจะทำให้ดีขึ้นมากกว่านั้นอีกนะ”

ผมเห็นรอยสีแดงเป็นปื้นปรากฏอยู่บนแก้มของมัน มันกำลังเขินผมใช่มั้ย เอ๊ะ นี่ผมกำลังมาถูกทางเหรอ หยอดมันไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะเชื่อว่าผมชอบมันจริงๆ งี้เหรอ

ยิ้มกริ่มกับตัวเองก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นแก้เขินบ้าง ผมพยายามสืบเสาะจากภาพเก่าๆ ในไอจีของมีน เข้าใจแล้วว่าทำไมแฟนคลับถึงเอาใจช่วยเรื่องความรักของมันนักหนา แคปชั่นใต้รูปแต่ละอันของมันล้วนแล้วแต่น่าสงสารทั้งสิ้น

‘เจ็บมากกว่านี้ก็เคยมาแล้ว เจ็บอีกสักนิดจะเป็นไรไป’

‘กูมองมึง มึงมองคนอื่น’

‘บางคนคงไม่รู้ว่ามีคนคิดถึงอยู่’

‘เต็มใจเดินวนอยู่ที่เดิม เหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง’

‘คิดถึง คิดถึง คิดถึง’

‘ทำอะไร อยู่ที่ไหน กินข้าวหรือยัง’

‘เดินผ่านเหมือนคนไม่รู้จักกัน ทั้งๆ ที่เคยรู้จัก’


นี่แค่ตัวอย่างเท่านั้นนะครับ มีนเล่นไอจีมานานหลายปี รูปจึงมีจำนวนค่อนข้างมาก แต่ละรูปที่มันอัพทั้งหมดล้วนแล้วแต่มีแคปชั่นที่ตัดพ้อเรื่องความรัก ผมอ่านไปมองหน้าอีกฝ่ายไปอย่างรู้สึกผิด ยิ่งอ่านก็ยิ่งเข้าใจว่าที่ผ่านมามีนมันเจ็บปวดแค่ไหนกับการเพิกเฉยของผม

ไอ้ตัวพีของมีนที่ว่าจะเป็นใครซะอีกล่ะ...ถ้าไม่ใช่ผมอ่ะ

ผมแม่งโง่มาก สงสัยไปเสพความคิดของคนในทวิตมาเยอะจนลืมคิดถึงความเป็นจริง มีนแม่งชอบผมมาตั้งแต่สมัยไหนแล้ว มันจะเป็นคนอื่นไปได้ยังไง

พีคือไปป์ ไม่ใช่ปองโว้ย! ไปป์อ่ะไปป์!

ควรเลิกลังเลและเริ่มต้นใหม่ได้แล้ว ผมไม่ได้บอกมีนนะครับ บอกตัวเองนี่แหละ ถ้ามันยังไม่เชื่อใจก็ต้องแสดงออกมากกว่านี้ ก็แค่นั้นเอง

แชะ

มีนไม่รู้ว่าถูกผมแอบถ่ายรูป ไม่รู้ว่าผมแต่งรูปของมัน ไม่รู้ว่าผมกำลังจะอัพรูปลงไอจีของผมเอง พร้อมกับตั้งแคปชั่นว่า

‘you’re my new beginning’

ถ้าจะเอาให้ชัดกว่านี้ก็สมาร์ททีวี 4K แล้วล่ะ! ประกาศให้โลกรู้แม่งไปเลย ผมได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มีน มีนมันตั้งแจ้งเตือนเวลาที่ผมอัพไอจีไว้ด้วย

“เหี้ย” มันร้อง “เด๋อสัดหน้ากู มุมนี้อ้วน”

“ไม่ดูแคปชั่นเลยเหรอ”

ดูก็รู้ว่ามันเลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถาม ผมยิ้ม ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะมือของมันที่วางอยู่

“เฮ้ย” มันร้อง

“แตะไม่ได้เหรอ”

“อะไรของมึง” ผมไม่รอให้มันอนุญาต แต่เอื้อมมือไปจับเลยแถมยังกุมไว้อย่างแน่นจนมันดิ้นไม่หลุด “เหี้ยไปป์ กูจะแดกต่อยังไง”

“เดี๋ยวกูป้อน” ผมรีบทำตามคำพูดตัวเองทันทีด้วยการจับส้อมของอีกฝ่าย จากนั้นก็ม้วนเส้นสปาเก็ตตี้

“กูตกใจนะ”

“ยังไม่หายตกใจอีกเหรอ กูว่ากูตัวติดมึงมานานมากแล้วนะ”

“ไม่ดิ”

“...”

“ครั้งนี้แม่งเยอะกว่าเดิม”

“จะเยอะหรือน้อยกูไม่สนแล้วล่ะ กูจะทำในสิ่งที่กูควรทำมานานแล้ว”

“...”

“กูปล่อยมึงมานานมากเกินไปแล้ว ไม่เอาอีกแล้ว พอแล้ว”

“...”

“จะกินมั้ยเนี่ย”

มีนอ้าปากท่าทางงกๆ เงิ่นๆ ดูมันทั้งงงทั้งเขิน จะว่าไปก็น่ารักดีเหมือนกัน รู้สึกเป็นภาพที่คุ้นตาและผมก็ชอบภาพนี้เอามากๆ ด้วย ถ้าผมรู้ตัวมานานว่าชอบดูแลไอ้มีนเพราะอยากเห็นความน่ารักของมันในมุมนี้...เรื่องที่ผมชอบอ้ายก็คงจะไม่เคยเกิดขึ้น

ขอไว้อาลัยให้กับความบ้าบอของตัวเองเป็นเวลาสิบวินาที...

“เย็นนี้ไม่ไปได้ป่ะ” ผมส่งเสียงอ่อน

“ทำไมอ่ะ”

“อยากอ่านหนังสืออ่ะ รู้สึกตามคนอื่นไม่ทัน”

“กูไป แต่มึงจะไม่ไปก็ได้นะ”

ผมถอนหายใจ รู้สึกได้ว่ามีนบีบมือผมแน่นขึ้น

“กูเปลี่ยนใจ กูไม่ไปก็ได้”

ในที่สุดผมก็ยิ้มออก รอยยิ้มของผมทำเอามีนเก้อกระดาก มันส่ายหน้าเบาๆ ให้ผม ความสดใสของมันกลับมาให้ผมเห็นอีกครั้งหนึ่ง






ลานจอดรถหอสอง

“ไปนะ” มีนโบกมือลาผม พร้อมกับเปิดประตูรถ

“เดี๋ยว” ผมรั้ง ทำให้มีนต้องปิดประตูรถกลับมาอีกครั้ง

“มีอะไร”

พูดกันตรงๆ ตามประสาผู้ชายห่ามๆ อยากจูบ อยากหอม แต่ไม่กล้า นี่ก็ขอยอมรับแบบผู้ชายห่ามๆ เหมือนกันครับ

“ไปป์”

“กูเคยได้ยินมา...คนที่มึงควงแต่ละคนไม่มีใครเคยได้มึงเลย”

อีกฝ่ายดูตกตะลึง “มึงจะพูดเรื่องนี้ทำไม”

“มึงมีแต่กอดจูบลูบคลำอ่ะ”

“กูกลับหอกูได้ยัง”

“ทำแบบนั้นกับกูบ้างได้ป่ะ” หน้าด้านเกินไปมั้ยผม...แต่ลองถามดูก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรไม่ใช่เหรอครับ

“ไอ้เหี้ย” มีนมองไปทางอื่น “ไม่ใช่วันนี้”

“เหรอ...งั้นกูรอนะ” กลายเป็นไปป์เวอร์ชั่นที่ว่าง่ายไปซะฉิบ ผมลูบหัวมันเหมือนที่เคยทำบ่อยๆ สมัยก่อน มีนมองผมด้วยนัยน์ตาสั่นระริก สัมผัสนี้ของผมทำให้มันซึ้งใจถึงขนาดนั้นเลยเหรอ

ผมปล่อยมือออกอย่างเก้อเขิน ไอ้มีนยื่นหน้ามาทำท่าจะหอมแก้มแต่ผมหันไปมองมันก่อน

นั่นแหละครับท่านผู้ชม...คิดว่าปากผมกับปากมีนจะชนกันมั้ยครับ ลองทายดูซิครับ ติ๊กต่อกๆ

ถึงแม้ใจผมจะอยากให้มันเป็นอย่างนั้น ผมจะได้ฟินเหมือนคนที่ดูละครแล้วเจอฉากนี้ ทว่าผมตัวใหญ่กว่ามีนค่อนข้างมาก ปากของผมจึงไปชนเข้ากับหน้าผากของมันพอดี

ไม่คิดว่าผมกับมันจะกลายเป็นคู่ที่มุ้งมิ้ง...ไม่ได้เข้ากับหุ่นและหน้าผมเลย

“กับคนอื่นกูไม่เห็นจะเขินแบบนี้เลย” มีนเกาหัวตัวเองอย่างแรง “กูไปจริงๆ ล่ะนะ”

มันไม่รอคำตอบของผม แต่วิ่งลงไปเลย ท่าทางจะเขินจริงๆ เหมือนที่มันบอก

ริมฝีปากที่ฉีกยิ้มเล็กๆ ของตัวเอง ทำให้ผมรู้เลยว่าผมเองก็เขินเหมือนกัน





TBC*
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 31-08-2017 01:34:48



ตอนที่ 27



ผมบอกได้เลยว่าสงครามเปลี่ยนไปมากเสียจนอึ้งกันไปเป็นแถบๆ

ชีวิตของมันตอนนี้อย่างกับเป็นคนของหอสามเต็มตัว ถ้าบอกว่ามันอยู่หอสองก็ไม่มีใครเชื่อแล้วครับ เพราะว่าตลอดทั้งวันมันใช้เวลาอยู่ที่หอสามมากกว่าหอสองอีก และต้นเหตุก็ไม่ใช่ใครอื่น...เพราะผมนี่แหละที่ทำให้สงครามต้องมาหอสามอย่างกับเป็นหอพักหลังที่สองของมัน

นี่คือคำพูดของคนอื่นที่อยู่รอบตัวผมกับสงครามว่าควรจะเรียกอาการนี้ของสงครามว่าอะไร

ไอ้ธัช = ตามตูดเหมือนหมาตามเจ้านาย
ไอ้ทนาย = พ่อบ้านใจกล้าเลเวลหนึ่ง
อาสา = พี่สงครามโหมดมุ้งมิ้ง
ไอ้มีน = ภาพที่ควรจะเกิดขึ้นมานานแล้ว
ไอ้ไปป์ = ประธานหอสองในตำนาน

ผมเข้าใจที่ไปป์มันเรียกสงครามแบบนั้น เพราะมันให้เหตุผลว่าปกติแล้วไม่มีประธานหอสองรุ่นไหนมาหลงประธานหออื่นแบบนี้ ส่วนใหญ่จะแข่งกันว่าจะกระทืบประธานหออื่นได้เจ็บมากแค่ไหน ไม่ได้ตามดูแลอย่างใกล้ชิด (เกินไป) แบบนี้

บางครั้งผมก็รู้สึกกลัวว่าไอ้สงครามมันจะโดนลูกหอมันรุมกระทืบหรือเปล่า เพราะมันเล่นไม่สนใจธรรมเนียมศักดิ์ศรีหอเลย มันเป็นบุคคลประเภทที่โนแคร์โนสนได้อย่างเหลือเชื่อจนผมอดที่จะอึ้งไม่ได้

ทำอะไรตามใจคือคนไทยที่ชื่อสงคราม

ทุกครั้งที่ผมถามเรื่องนี้ มันก็จะตอบกลับมาเป็นคำพูดซ้ำๆ ว่า ‘กูไม่แคร์’ ‘มันเป็นเรื่องของกู’ ‘เป็นใครใครก็ต้องดูแลแฟน’ และก็ ‘กูจะตามไปขู่คนที่แอบมองมึงทุกคน’

นับได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข ถึงแม้จะเป็นเป้าสายตาของคนอื่นๆ มากไปหน่อยก็ตาม แต่ผมกับสงครามอยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายของการเป็นประธาน อีกทั้งยังต้องโฟกัสเรื่องโปรเจ็กต์อีก ผมกับสงครามจึงปล่อยวางเรื่องความไม่เหมาะสมว่าอยู่คนละหอแต่กลับคบกัน และหันมาสนใจสิ่งที่ควรสนใจมากที่สุดในตอนนี้แทน

ถ้าประธานหอคนที่มาเป็นแฟนผมไม่ใช่สงคราม ผมว่าสถานการณ์คงกลับตาลปัตร หอผมก็คงจะมีคนโวยหาว่าผมห้ามให้ไปยุ่งกับเด็กหออื่นแต่ตัวเองดันไปคบซะเอง ทำไมกลืนน้ำลายตัวเองแบบนี้ อะไรทำนองนั้น แต่แฟนผมดันเป็นสงคราม คนที่ผมทราบจากปากของไปป์ว่าคนในหอสองรักและเคารพมันกันหมด มันมีความสุข ทุกคนก็มีความสุข

หลายคนบ่นอย่างเสียดายว่าหากสงครามเรียนจบไป...ใครจะเป็นประธานหอสองได้ดีเท่ามัน

คิดเรื่องนี้แล้วผมก็เผลอกลืนน้ำลายและนึกไปถึงเรื่องของตัวเอง ช่วงนี้ผมปล่อยข่าวไปอย่างแพร่สะพัดว่าประธานหอคนต่อไปก็คือไอ้ไมล์ (แฟนไอ้เชี่ยเต) ตอนแรกที่คุยกับไมล์ ดูมันตกอกตกใจเหมือนกัน อีกทั้งยังแสดงสีหน้ากังวล กลัวปฏิบัติหน้าที่ประธานได้ไม่ดีเท่าผม แต่เพราะไอ้เตมันตบบ่าพร้อมกับให้คำมั่นว่าจะเป็นผู้ช่วยของมันอีกที ไมล์จึงตบปากรับคำ

ระหว่างนี้มันก็เริ่มลองทำงานในส่วนของผมดูแล้ว ส่วนผมก็เอาเวลาไปจัดการเรื่องเรียนและ...คอยคุมไม่ให้สงครามมันหาเรื่องคนอื่นมากไปกว่านี้

แม้จะอยู่ในร้านที่มีแต่ผู้หญิงแม่งก็ไม่เว้นครับ

ตอนนี้ผมกับมันอยู่ในร้านกาแฟที่มันไม่ชอบ จำชื่อได้ใช่มั้ยครับว่าร้านอะไร ผมทวนให้ก็ได้ ร้านชื่อว่าชิฟฟ่อนสีชมพูนั่นแหละ (ใครตั้งชื่อร้านวะ สิ้นคิดเว่อร์) ในมือของมันกำลังถือการ์ตูนวายเล่มโปรดที่สุดของมันอยู่ (เรื่องเพียงหนึ่งเส้นด้าย) แม้จะทำเป็นอ่านการ์ตูน แต่ก็คอยทำหน้าบึ้งใส่ผู้หญิงที่มองผมไปเรื่อย ในส่วนของผมนั้นกำลังตรวจทานเล่มโปรเจ็กต์ให้ออกมาสมบูรณ์แบบมากที่สุดอยู่ พยายามมองดูว่าสงครามมันจะไปขู่ผู้หญิงคนไหนหรือเปล่า แต่ก็ทำเล่มโปรเจ็กต์ไปด้วย

เพราะนี่มันคือโค้งสุดท้ายของการเรียนปีสี่แล้วจริงๆ

โปรเจ็กต์ของไอ้สงครามเสร็จไปเมื่อสองสามวันก่อน คงต้องซ้อมพรีเซนต์ต่อหน้าอาจารย์วนไป จนกว่าจะถึงวันนั้นมันก็ยังมาเฝ้าผมอย่างใกล้ชิดต่อไปตามแบบฉบับของมัน

“อ้าย”

“...”

“ลองทำท่านี้กันดูมั้ย”

ไอ้การ์ตูนเรื่องนี้แม่งยังตามหลอกหลอนผมไม่จบไม่สิ้น ผมดันการ์ตูนที่สงครามส่งมาออกไปจากคลองสายตา

“อยากรู้จังว่าจะฟินขนาดไหน”

“ได้ทีแล้วเอาใหญ่”

“แน่นอน ได้แล้วก็ต้องเอาดิ”

ผมทำหน้าปวดหัว “ในร้านมีแต่ผู้หญิง ไอ้สัด”

“มึงคิดว่ากูแคร์มั้ยล่ะ”

ลืมไปว่ามันไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น “มึงพูดเบาๆ ก็ได้”

สงครามพ่นลม กลายเป็นคนที่เหมือนกับเด็กอีกครั้งหนึ่ง ผมนั่งทำงานหน้าแล็บท็อปต่อไปโดยที่ไอ้สงครามก็นั่งเฝ้าผมต่อไปเฉยๆ แบบที่ไม่คิดจะทำอย่างอื่นเลย นอกจากอ่านการ์ตูนเล่มเดิมซ้ำไปซ้ำมา หรือไม่ก็ส่งสายตาข่มขู่คนที่มองผม

“วันนี้ว่างมากใช่มั้ย”

“ใช่ดิ”

“ประธานหอคนใหม่มึงเป็นไงบ้าง”

สงครามยักไหล่ “ก็ดี...แต่ยังต้องฝึกอีกเยอะ คนไม่ค่อยกลัวมัน”

“ใครมันจะเหมือนมึง มึงมันน่ากลัวไอ้สัด”

“มึงน่ากลัวกว่าอีก”

“กูน่ะเหรอ” ผมชี้นิ้วมาที่ตัวเอง

“มึงทำให้คนที่น่ากลัวที่สุดกลัวมึงได้...มึงคิดว่ามึงน่ากลัวป่ะล่ะ”

ผมควรจะภูมิใจดีมั้ยเนี่ย “รู้สึกยังไงเรื่องที่ไม่ได้เป็นประธานหอแล้ว”

สงครามวางหนังสือการ์ตูนลง มันยกมือมาจับพนักโซฟาตัวยาวจึงทำให้ดูเหมือนเป็นการโอบผมกลายๆ “เรื่องนี้กูเป็นห่วงมึงมากกว่า”

“ยะ ยังไงนะ”

“พอถึงเวลากูก็ทำใจได้ แต่มึงอ่ะดิ...จะทำใจได้หรือเปล่า” ผมกลืนน้ำลายขณะฟัง “มึงแม่งอย่างกับแม่เด็กหอสามอ่ะ คนเป็นแม่ใครบ้างวะจะไม่คิดถึงลูก คิดถึงตอนดูแลลูก”

ทำไมใจผมมันวูบๆ วะ สิ่งที่สงครามพูดมันจริงเสียยิ่งกว่าจริง เวลาคิดถึงเรื่องที่ผมต้องส่งต่อตำแหน่งประธานหอผมก็ต้องสลัดความคิดเรื่องนี้ทิ้งไป มันเป็นเหมือนเรื่องหน่วงๆ ที่ผมพยายามไม่นึกถึง

ชีวิตตลอดสองปีของผม ผมยกให้เรื่องลูกหอมาเป็นที่หนึ่งเสมอ แม้ตลอดระยะเวลาเหล่านั้นผมจะแอบมองสงครามอยู่บ้าง แต่หน้าที่เรื่องการเป็นประธานหอก็สำคัญเป็นอันดับแรก ตื่นเช้ามาผมจะคิดถึงเรื่องหอไม่ก็ลูกหอ ก่อนนอนผมก็คิดเหมือนเมื่อเช้า ยกเว้นเสียแต่ว่าผมมีดราม่าเรื่องสงคราม ซึ่งหลังๆ ชีวิตรักของผมกับมันก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร

สิ่งที่สงครามพูดนั้นไม่ผิด...แทนที่ผมจะห่วงมัน ผมควรห่วงตัวเองมากกว่าว่าถ้าไม่ได้เป็นประธานหอแล้ว ผมจะรู้สึกยังไง
แม่งเป็นหนึ่งในเรื่องที่โคตรอ่อนไหวของผมแน่ๆ เลย

อีกไม่กี่อาทิตย์ตำแหน่งประธานหอสามก็ต้องเปลี่ยนแล้วล่ะครับ

“ชีวิตยังไงก็ต้องดำเนินต่อไป” ผมก้มหน้าดูหน้าจอ “ต่อไปกูก็ต้องคิดเรื่องงานสิวะ”

“พูดถึงเรื่องงาน...มึงรู้บ้างป่ะว่ากูอยากเป็นอะไร”

“มึงไม่เคยบอกกูนี่”

“กูอยากเป็นนักบิน” สงครามตอบทันที “กูอยากเป็นกัปตัน”

ดวงตาของผมเป็นประกายมากขึ้นระหว่างที่จ้องมองมัน สิ่งที่สงครามเพิ่งพูดแม่งโคตรแน่วแน่เสียจนผมคิดว่าคนอย่างมันต้องทำสำเร็จแน่ๆ

“ถ้าสายการบินไหนเปิดรับสมัครนักบินผู้ช่วยกูจะไปสอบทันที กูขอบอกแฟนกูไว้ก่อน”

“ใครแฟนมึงวะ”

“แมวตัวนั้นมั้ง ไอ้สัด” สงครามชี้มือไปที่แมวซึ่งเดินเล่นอยู่นอกร้าน ผมหัวเราะหึหึในลำคอ “แล้วมึงล่ะ คงอยากไปทำงานโรงงานผลิตรถยนต์แน่เลย กูเดา”

“ช่าย ก็ต้องเป็นสายงานตามที่กูจบมาอ่ะ”

“นักบินกับวิศวกร” สงครามพึมพำ “กูเชื่อว่าเราทำได้เว้ย”

ผมยิ้ม เอียงตัวไปซบกับอกสงครามโดยที่มันก็ไม่ได้ขยับตัวหนี หลังจากนั้นไม่นานโทรศัพท์สงครามก็ดัง มันกดรับสายอย่างรวดเร็ว แต่ผมก็ทันเห็นชื่อบนหน้าจอแวบหนึ่ง

เป็นชื่อของผู้หญิง และสงครามก็เม็มไว้ว่า ‘อิเจน’

“มีเหี้ยอะไร” ดูแม่งรับสายผู้หญิงสิครับ “หา ตอนนี้เนี่ยนะ มึงบ้าป่ะ” ผมได้ยินเสียงแหลมๆ ดังออกมาจากโทรศัพท์ของสงครามเลยทีเดียว “ไม่ว่าง กูอยู่กับแฟน”

ใจผมชื้นขึ้นนิดหน่อยเพราะสงครามมันเป็นคนชัดเจน

“มึงอกหักเหรอ ไอ้เหี้ยนั่นมันทิ้งมึงเหรอ แม่งเอ๊ย ห่าราก ส้นตีน ประสาทแดก” ปกติสงครามมันไม่ด่าเป็นชุดแบบนี้ แปลว่าครั้งนี้มันโกรธมาก แต่ไม่ได้โกรธแบบคิดอยากทำลายข้าวของ “อะไรนะ มึงจะมามอกู”

แฟนผมมองหน้าผมก่อนจะกระพริบตาปริบๆ ให้

“โปรเจ็กต์กูเสร็จแล้วเหลือพรีเซนต์ สัมมนาก็พูดแล้ว ก็คงเหลือแค่อ่านสอบไฟนอลและก็พรีเซนต์โปรเจ็กต์นั่นแหละ ไม่หนักมากหรอก...ยังไงมึงก็จะมาให้ได้สินะ”

ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าสงครามมีเพื่อนผู้หญิงที่ทำให้มันพูดถึงชีวิตตัวเองได้ละเอียดขนาดนี้ รู้สึกเคืองนิดหน่อยแล้วว่ะ

“อาจจะมั้ง ไม่รู้โว้ย แม่งเอ๊ย ยุ่งยากจริงๆ”

สงครามวางสายไปแล้ว ผมกำลังคิดในใจว่าควรถามมันดีหรือเปล่าว่าใครคือคนที่โทรมาหา แต่ผมคิดว่ารอให้มันเล่าเองจะดีกว่า ผมไม่อยากเป็นแฟนที่รุกล้ำความเป็นส่วนตัวมากเกินไป แม้จะอยากรู้มากก็ตาม

แต่สงครามแม่งไม่บอกผมว่ะ

มันกำลังคุยไลน์กับใครสักคน ผมทำเป็นสนใจงาน แต่จริงๆ แล้วผมสนใจสงครามต่างหาก นี่มันไม่คิดจะบอกผมสักหน่อยเหรอว่าคนที่โทรมาน่ะเป็นใคร

ไอ้เหี้ย...ไม่ได้มีเซนส์อะไรสักนิดเลยเหรอว่าควรบอกอ่ะ

“ใครโทรมา” เอาล่ะ ยอมแพ้ ผมถามแม่งก็ได้ เพราะถ้าจะให้รอ ผมคิดว่าชาตินี้แม่งก็คงไม่บอก

“อิเจน”

“คือใคร”

“กระเทย”

เสียงที่ผมได้ยินมันเป็นเสียงของผู้หญิงชัดๆ แม่งหลอกผมแบบนี้ผมเคืองว่ะ “โกหก”

สงครามเงยหน้าขึ้นมองผม “มาแล้ว หน้าแบบนี้...”

“หา”

“โดนงอนอีกชัวร์ๆ เลยกู”

“เดี๋ยว” เมื่อไหร่ผมจะหนีพ้นจากคำว่าขี้งอนนี่สักที “ยังไม่ได้งอน แค่ต้องการคำอธิบาย”

“อิเจนมันคือเพื่อนกู”

“เรียกเขาดีๆ หน่อย เขาเป็นผู้หญิง”

สงครามทำหน้าเบื่อโลกขึ้นมา “กูอยากให้มึงเจอมันก่อน แล้วมึงจะเข้าใจว่าทำไมกูถึงไม่อยากให้เกียรติมัน”

สีหน้าของผมยังเต็มไปด้วยคำถาม แต่สงครามก็ไม่คิดที่จะไขข้อสงสัยให้กระจ่าง มันวางการ์ตูนวายไว้ตรงนั้น สนใจแต่โทรศัพท์มากเป็นพิเศษ

ผมนั่งนิ่งๆ จ้องมันมาห้านาทีแล้วครับ ไอ้สงครามยังไม่เงยหน้าจากจอโทรศัพท์เลย

ชักสงสัยขึ้นมาจริงๆ แล้วว่าผู้หญิงที่ชื่อเจนมีความหมายกับสงครามยังไง







ช่วงนี้ผมเจอไอ้ไปป์กับไอ้ธัชบ่อยจนเรียกได้ว่าแทบจะเบื่อขี้หน้า

ไอ้ธัชบ่นฉิบหายเรื่องไม่ได้ไปไหนมาไหนกับสาวๆ ส่วนไอ้ไปป์...ทุกวันนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าเมื่อก่อนมันเคยชอบผมได้ยังไง ตอนนั้นมันคิดไปเองหรือมีตัวอะไรแปลกๆ มาเข้าสิงมันกันแน่ เพราะสิ่งที่ผมเห็นตอนนี้มันไม่ได้เสริมเหตุผลเรื่องที่มันเคยชอบผมเลยครับ ตรงกันข้าม...แม่งกลับชัดมากด้วยซ้ำ

ระหว่างที่เราช่วยกันทำเล่มโปรเจ็กต์ ไอ้ไปป์มันเอาแต่เช็กโทรศัพท์ ติดคนในโทรศัพท์ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดบนโลกใบนี้ ใบหน้ามันดูแฮปปี้สลับกับกังวลจนผมรู้สึกว่ามันเป็นไบโพล่าร์

มึงจะอยู่ในอารมณ์ไหนกันแน่...มึงช่วยเลือกซิ

“เอาล่ะไปป์ กูต้องพูดกับมึงตรงๆ แล้ว กูรำคาญเสียงถอนหายใจมึงมากตอนนี้” เสี่ยธัชกล้าบวกหนุ่มหอสองว่ะ “เป็นเหี้ยอะไร ไหวมั้ย มีอะไรเล่า”

สรุปคืออยากเสือกนั่นเอง

“กูรู้สึกว่ากูเข้ากับมีนไม่ได้”

แค่จั่วหัวมาก็รู้ว่าดราม่า ผมกับไอ้ธัชวางงานทันทีแล้วหันมาสนใจไอ้ไปป์

“ยังไง” ผมถาม

“มาถึงจุดนี้กูพูดตรงๆ ได้หมดแล้วใช่มั้ย”

ผมกับธัชยักไหล่ ไปป์แม่งไปเฝ้ามีนตลอดเช้าจรดเย็นแบบนั้นมันจะต้องมีอะไรอ้อมค้อมอีกล่ะ

“กูกับมีนกำลังดูๆ กันดูเว้ย อะไรที่มันรับไม่ได้มันก็บอก อะไรที่กูรับไม่ได้กูก็บอก ทีนี้ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่าไอ้สิ่งที่กูไม่ชอบเนี่ย ไอ้มีนแม่งทำฉิบหาย”

คนที่อยู่หอเดียวกันกับมีนซึ่งนั่นก็คือผมกับธัชมองหน้ากัน พอจะเดาออกว่าไอ้ไปป์มันหมายถึงอะไร

ก็มีนมันเป็นคนชอบเที่ยวไง

“บอกแม่งไปดิว่าให้ลดลงบ้าง” ผมพูด

“บอกเป็นสิบๆ รอบแล้ว มันไม่ฟังเลย”

“มึงได้ตามไปมั้ย” ธัชถามต่อ

“กูตามจนเหนื่อยอ่ะ อาทิตย์ละหลายวันแบบนี้ก็ไม่ไหวป่ะ” ไปป์ทำหน้าเครียด พิมพ์ไลน์คุยกับมีนอย่างกระแทกกระทั้น แม่งคงกำลังทะเลาะกันอยู่ “จนบางครั้งมันทำให้กูคิดถึงสมัยก่อนที่กูสนิทกับมัน ตอนนั้นแม่งมีความสุขกว่านี้เยอะ มีนมันโตขึ้นมาก เปลี่ยนไปมาก กูรู้สึกอึ้งเลย”

เป็นอีกครั้งที่ผมกับไอ้ธัชมองตากันราวกับปรึกษากันผ่านระบบไวไฟ

“เท่าที่กูจำได้ มึงสนิทกับมีนมาก่อนจากนั้นก็ห่างๆ กันใช่ป่ะ” ธัชเอ่ย

“ใช่”

“ได้ข่าวว่าห่างหลายปีเลยนี่”

“อืม”

“มีนมันก็ต้องโตขึ้นป่ะวะ มันอาจจะเพิ่งมาชอบเที่ยวทีหลังก็ได้”

“กูเข้าใจเว้ย อย่างกูเองก็ชอบแดกเหล้ามากกว่าตอนมอปลายเยอะ” ไปป์มันดูเหนื่อยใจมากจริงๆ “และกูก็เข้าใจด้วยที่มันชอบเที่ยว ก็พยายามปรับๆ อยู่ แต่ในเรื่องเที่ยวเนี่ยมันมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้น”

“ยังไง” ผมพูดบ้าง

“มีนมันดังในหมู่นักเที่ยวมากเลย บางอย่างกูก็ปรับตัวเข้ากับแม่งไม่ได้”

“ขยายความทีดิ๊” ธัชเลิกคิ้ว

“กูกังวลและก็ระแวงไปหมด แม่งมีพวกเกย์มาส่งสายตาให้มันเยอะฉิบหาย บางคนก็มองเหมือนจะมีอะไร บางคนก็มองมันเหมือนเป็นคนที่เคยผ่านอะไรกันมา พวกมึงเข้าใจความหมายที่กูพยายามสื่อป่ะ”

ผมนิ่งคิด ส่วนไอ้ธัชเอามือลูบคาง ตอนนี้ไม่มีใครสนใจที่จะทำเล่มโปรเจ็กต์แล้วล่ะครับ ทุกคนสนใจเรื่องไอ้เหี้ยไปป์กันหมดเลย

“กูเข้าใจแล้ว” ธัชพูดในที่สุด

ไปป์รอฟังอย่างใจจดใจจ่อ

“มันจะมีอะไรมาก มึงก็แค่หวงมีนเท่านั้นนั่นแหละ”

“มันก็...ใช่”

“สิ่งที่มึงควรรู้ไว้ก็คือไม่มีใครไม่มองมีนเว้ย ไม่ว่าคนๆ นั้นมันจะเคยเป็นกิ๊กมีนหรือไม่ มันเป็นดารานะเว้ย ใครๆ ก็ต้องให้ความสนใจ”

“...”

“กูว่ามึงควรกังวลเรื่องมีนมันอ่อยคนอื่นมากกว่าเรื่องที่คนอื่นมาอ่อยมันนะ”

ไอ้ไปป์เอามือทึ้งหัว “ก็เพราะมันเปลี่ยนไปเยอะมากนี่แหละ กูถึงเดาแม่งไม่ออกเลยว่ามันจะอ่อยเขามั้ย”

“ไม่หรอกไอ้เหี้ย” ผมพูดให้ไปป์รู้สึกดีขึ้น “คิดมากฉิบหายเลยมึงเนี่ย”

“นั่นดิ สมัยกูชอบมึงกูไม่เห็นจะคิดมากแบบนี้”

“อย่านับว่าชอบเลย เรียกว่าหลงเสน่ห์ชั่วครู่” ไอ้ธัชพูดเสียงกลั้วหัวเราะ “ความรู้สึกที่มีต่อมีนของมึงดูชัดกว่าตอนที่มึงมีความรู้สึกให้ไอ้เหี้ยอ้ายอีก ดีไม่ดีมันชัดมานานแล้วด้วยซ้ำ”

“กูควรทำยังไงดีครับอาจารย์ธัช กูจะทำใจเรื่องที่คนมองมัน แต่กูไม่อยากทำใจเรื่องที่มันเที่ยวอาทิตย์ละสามสี่วัน”

“บังคับดิ มึงอยู่หอสองไม่ใช่เหรอ ลากเข้าห้องแล้วล่ามโซ่เลย”

“ทำได้เหรอ”

“รุนแรงไปไอ้เหี้ย” ผมปราม “มีนอาจจะแค่แกล้งมึงเฉยๆ ก็ได้ กูว่ามึงกับมันไม่ได้มีปัญหาอะไรใหญ่หรอก ใจเย็นๆ ค่อยๆ คุยกัน”

“เรียกว่ามึงกับมีนอยู่ในช่วงปรับตัวเข้าหากัน”

“จูนกันติดปุ๊บก็คบกันต่อได้ยาวๆ”

“ถูกครับเพื่อนอ้าย”

ไอ้ไปป์ดูอารมณ์ดีมากขึ้น ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น เพิ่งเห็นข้อความที่สงครามมันส่งมาบอกว่ามารับไม่ได้เพราะติดธุระด่วนเรื่องเจน

ถ้าเป็นคุณ คุณจะสงสัยเหมือนผมมั้ยครับ

“สงครามแม่งชวนไปดื่มว่ะเย็นนี้” ไปป์พึมพำ

ผมทำหน้างงก่อนจะเอ่ย “หา”

“นี่ไง มันเพิ่งส่งมาบอก มึงไปด้วยป่ะเนี่ยอ้าย”

“งงเลยกู” ผมพึมพำ “ไหนมันบอกว่ามันจะไปทำธุระเรื่องเจน”

ไปป์เบิกตาโพลงอย่างตื่นตระหนก ผมไม่คิดว่ามันจะมีรีแอ็กชั่นชัดเจนมากขนาดนี้ตอนที่มันได้ยินชื่อของเจน

“เจนมาเหรอ!” มันร้อง ผมพยักหน้าหงึกๆ “เหี้ยแล้ว งั้นกูไม่ไป”

“เดี๋ยวๆ เจนคือใครอะไรยังไงวะ สงครามแม่งไม่เล่าห่าอะไรให้กูฟังเลย”

“เหี้ยแล้ว เชี่ยสงครามแม่ง...” ไปป์ไม่ได้ฟังผมเลย “มันชวนมีนก่อนชวนกูเพราะมันกลัวกูไม่ไป”

“มีนตอบว่าไง” ธัชถาม

“มีนไป กูก็ต้องไปไง”

“เชี่ยไปป์” ผมต้องเรียกมันอีกครั้ง “เจนคือใครวะ”

ไปป์ถอนใจก่อนจะทำหน้าปลงๆ “เจนคือเพื่อนผู้หญิงที่สงครามมันสนิทด้วยมากที่สุดไง”

“มันยกเลิกนัดกูเพื่อไปหาเขา”

“เจนสำคัญสำหรับสงคราม”

“...”

“แต่ไม่สำคัญกับกูเท่าไหร่ เหี้ยเอ๊ย” ไปป์เอามือเกาหัว ส่วนธัชมันหันมามองผมเพราะรู้ว่าผมต้องกังวลเรื่องเจนแน่ๆ

ใช่ ผมกำลังกังวล

และผมจะไปดูให้เห็นกับตา ว่าทำไมสงครามมันถึงเลี่ยงไม่ยอมให้ผมเจอกับเจน









ร้านเหม่อมองฟ้า

ผมเดินดุ่มๆ เข้าไปในร้านหลังจากที่เลยเวลานัดของสงครามกับคนอื่นๆ มานานโขแล้ว ทันทีที่ผมไปถึงโต๊ะของสงคราม เจ้าตัวก็ทำหน้าเหมือนเห็นผี

ข้างตัวมันมีสาวสวยหุ่นดีน่าปล้ำคนหนึ่งกำลังคลอเคลีย เป็นภาพที่ไม่น่าดูเท่าไหร่ ผมจึงอดรู้สึกขุ่นเคืองไม่ได้

แม่งสนิทกันขนาดนั้นเลยเหรอวะ

“อ้ายมา” มีนสะกิดไปป์ ทั้งคู่มองไปทั่วหมายจะหาที่นั่งให้ผม เพราะผู้หญิงที่น่าจะชื่อเจนไม่ยอมขยับที่นั่งข้างๆ สงครามให้
ผมนั่งฝั่งตรงข้ามมันได้ ผมชิลๆ อยู่แล้ว

สงครามเหมือนคนวิญญาณหลุดออกจากร่าง มันพยายามแกะไม้แกะมือของเพื่อนมันออกไป แต่ไม่ทันแล้วล่ะ ผมมาเห็นตอนที่มันเกือบจะโดนผู้หญิงเขาสิงร่างพอดี ถ้าจะบอกว่าไม่หึงผมคงโกหก และถ้าจะบอกว่าผมไม่โกรธ ผมก็คงโกหกอีกนั่นแหละ

“อิเจน กูไม่เล่น” สงครามพูดกับผู้หญิงเหมือนที่พูดกับผู้ชายเด๊ะๆ

“นี่กูอกหักนะเว้ย ชนแก้วกับกูหน่อยดิ๊”

ผมอึ้งไปเล็กน้อย เจนเป็นคนสวยมากและดูสง่ามีราศี แต่คำพูดที่ออกมากลับสวนทางกับรูปลักษณ์ภายนอกแบบตรงข้ามกันสุดขั้วจนน่าประหลาดใจ

“กูเป็นเพื่อนมึงนะ”

“เสียงดังสัด”

“ทำไมมึงท่าทางแปลกๆ ไปวะ”

สายตาของเจนมองไปเรื่อยจนมาหยุดอยู่ที่ผม เธอมองผมอย่างสำรวจตรวจตรา ผมกระพริบตาปริบๆ อย่างไม่แน่ใจว่าควรจะแสดงสีหน้ายังไง

“มานั่งตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” เธอดูเฟรนด์ลี่ในแบบเมาๆ “ชื่ออะไรเหรอ เพื่อนสงครามเหมือนกันเหรอ”

“ไม่ใช่เพื่อน” สงครามกระซิบ

“อ้าว งั้นมึงเป็นใครวะ มานั่งโต๊ะเพื่อนกูได้ไง”

“ไอ้เหี้ย” สงครามผลักหัวของเจนเบาๆ “อย่าไปยุ่งกับเขา”

“ทำไม”

“มันเป็นแฟนกูไงสัด” สงครามทำเหมือนต้องตอบอย่างเลี่ยงไม่ได้ ท่าทางของมันปวดหัวกับเจนมาก

เจนอ้าปากหวอ ดูประหลาดใจปนยินดี เธอคนนี้เป็นผู้หญิงที่ไม่ห่วงสวยเลย ไม่เลยครับ ดูเข้ากับผู้ชายได้ง่าย แต่ก็ดูน่ากลัวไปอีกแบบ

ผมเริ่มรู้สึกว่าความน่ากลัวนั้นกำลังจะลามมาถึงตัว

“เดี๋ยวขอย้ายไปนั่งข้างๆ” เจนพูดจบก็ย้ายที่มานั่งข้างผมทันที “แฟนสงครามตัวเป็นๆ รู้สึกอยากสำรวจใกล้ๆ”

“อิเจน เห็นตีนกูมั้ย” สงครามพยายามอดทน “อย่าทำอะไรแผลงๆ นะเว้ย”

“เปล่าสักหน่อย” ผมมองเจนอย่างตื่นๆ ในเสี้ยววินาทีนั้นเจนก็จับใบหน้าผมพร้อมกับขยับไปมาอย่างไม่เกรงใจ “ดูดีว่ะ นี่มึงไปขุดขึ้นมาจากเหมืองไหน เขาดูดีเกินกว่าที่จะเป็นแฟนของมึง”

ทั้งโต๊ะไม่มีใครกล้าพูดอะไร บางคนก็ขำ บางคนก็ทำหน้าสงสารผม

“เหี้ยเจน ปล่อยยย” สงครามตีมือเพื่อนมัน “อ้าย มึงมานั่งข้างๆ กูนี่”

ผมทำท่าจะลุกแต่เจนเกาะแขนผมเอาไว้ อีกทั้งยังเอียงตัวมาเบียดผมอีก ผมไม่ได้รู้สึกอะไรนอกจากเกร็ง แต่สงครามมันดูโกรธมากขึ้นจนใกล้จะควันออกหู

“ถ้าจะแกล้งกู กูไม่สนุกด้วยนะ คนนี้กูรักมากนะเว้ย”

“จริงง่ะ” เจนเอียงหน้ามาซบไหล่ผมพร้อมถูไถไปมา

เอาล่ะ นี่มันเกินไปแล้ว ผมพยายามแกะเจนให้ออกไปจากตัว แต่ทว่า...

ตึง!

เท้าของสงครามที่วางลงบนโต๊ะอย่างแรงทำให้ผมต้องหยุดการกระทำทุกอย่าง ในขณะที่เจนยิ้มกริ่ม

“มันรักมากจริงด้วย” เจนปล่อยตัวผมในที่สุด “ขอโทษทีนะ ชื่ออะไรเหรอ ไม่กล้าพูดเหี้ยๆ ด้วยเลยอ่ะ ดูผู้ดีเว่อร์”

“อย่าไปตอบมัน อย่าไปคุยกับมัน มานั่งกับกูนี่” สงครามเอื้อมมือมาดึงแขนผม ผมจำเป็นต้องลุกไปนั่งข้างๆ มัน สีหน้ามันดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังทำท่าจะกระซิบข้างหูผมด้วย

เหี้ยแม่งไม่ได้กระซิบ...แต่มันหอมแก้มผมแบบเฉียดๆ

“ไอ้เหี้ย” เจนรำพึง “อิจฉาโว้ยยยยย”

สงครามทำหน้าเหนือกว่าใส่เจน ส่วนผมก็ได้แต่ปลง เอาเป็นว่าระดับความหึงของผมลดฮวบอย่างรวดเร็วเพราะสงครามแม่งคงไม่มีอะไรในกอไผ่กับเจน ถ้าจะมี...มันก็คงมีแต่ปัญหากับเจนนั่นแหละ

เพราะตลอดเวลาที่เหลือมีแต่มันกับเจนที่เถียงกัน

เจนจะขอชนแก้ว แต่สงครามบอกพอแล้วเพราะทุกคนยังต้องไปเรียนไม่ก็ทำโปรเจ็กต์ต่อ คิดว่าเจนจะสนใจมั้ยครับ เธอไม่สนเลยแม้แต่นิดเดียว

“เหี้ยสงคราม ทำไมชอบขัดกูจังเลย”

“ก็มึงมันไม่มีเหตุผลอ่ะ”

“กูอกหักมานะเว้ย”

“มึงจะอกหักหรืออกเล็กก็เรื่องของมึงอ่ะ ตอนนี้สิ่งที่มึงต้องทำไม่ใช่บังคับให้คนอื่นมาแดกเหล้ากับมึงเว้ย แต่มึงต้องไปทำให้ตัวเองเข้มแข็งขึ้น”

ผมเพิ่งจะเห็นว่าเจนหน้าเสียก็คราวนี้

“สัด!!!!” เจนร้อง ดูบ้าคลั่งขึ้นมากกว่าเดิมจนมีนต้องสะกิด “กูเพิ่งอกหักมาสดๆ ร้อนๆ จะไม่ให้กูเฮิร์ตสักหน่อยเลยเหรอ กูคนนะเว้ย ไม่ใช่นางฟ้า อ๋อ กูเป็นนางฟ้าอยู่เพราะกูสวย แต่กูก็อยากมีเวลาเฮิร์ตบ้างไง มันต้องเป็นไปตามลำดับขั้นตอนดิ มึงจะรีบลัดขั้นตอนไปไหนวะสงคราม”

“เกรงใจคนอื่นบ้าง”

“มึงลากพวกนี้มาเอง กูนัดแค่มึงออกมา มึงคนเดียว”

“เสียงดัง รำคาญ”

“กูก็รำคาญมึงเหมือนกัน มึงไปขัดห้องน้ำโน่นไป”

“ทำไมกูต้องไป”

“เพราะกูรำคาญมึงไงไอ้เหี้ย”

เหมือนจะทะเลาะแต่ก็ไม่...ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมไปป์มันถึงไม่อยากมาเจอเจนขนาดนั้น เจนไม่ได้เลวร้ายเลยครับ อีกทั้งยังติดจะตลกด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าเจนเป็นผู้หญิงที่เสียงดังและชอบเรียกให้คนทั้งโต๊ะชนแก้ว

แม้แต่คนคอแข็งอย่างไปป์ยังเริ่มทำหน้ามึนๆ แล้ว มันบอกมีนว่าจะไปห้องน้ำ มีนขอตามไปด้วย ที่โต๊ะจึงเหลือแค่ผม สงครามและเจน

“อ้าย” ผมสะดุ้งเมื่อเจนเรียก

“ครับ”

“เชื่อเรานะ เลิกกับสงครามเหอะ อ้ายดีเกินไป”

“เหี้ยเจนมึง” ผมต้องเอามือไปแตะขาสงครามไว้เพราะกลัวมันใช้ขายาวๆ ของมันทำร้ายผู้หญิง

“เราอกหัก มันก็ต้องอกหักด้วย ทิ้งมันเถอะนะ ทิ้งมันเลย”

“ก็กำลังคิดๆ อยู่เหมือนกัน” ผมพูดติดตลก สงครามหน้าบึ้งตึงก่อนจะผลักหัวผมเบาๆ

“ไม่ต้องไปเล่นกับมัน ไม่ต้องไปสนิทกับมัน เสียเวลาชีวิต”

“แต่มึงก็สนิทกับเขานะ”

“กูไม่อยากสนิทเลย” เสียงของสงครามจริงจังมาก “สถานการณ์บังคับทั้งนั้น เหี้ยเจนแม่งไม่มีใครคบไง เพื่อนมันก็มีแค่กูเนี่ย”

“สัด!” เจนด่าคำนี้ทีไร ผมสะดุ้งทุกที “เพื่อนกูมันไม่มีใครว่างเหมือนมึงไง มึงมันเป็นพวกไม่มีอะไรทำ”

“อิเจนมึง” วันนี้สงครามดูเหนื่อยมาก

“อ้ายดูดิ เลิกกับมันเหอะ มันไม่ดีหรอก เชื่อเรา”

“มึงน่ะสิไม่ดี อ้ายไม่เลิกกับกูหรอกเว้ย” สงครามหันมาถามอย่างไม่แน่ใจ “ใช่มั้ยวะ”

“สัด” ผมด่าไปหัวเราะไป “ไม่เลิกๆ”

“ทำไมต้องมารักกันต่อหน้าคนอกหักอย่างกูด้วย”

“มึงอยากมาเจอกูเอง กูอินเลิฟอยู่ ช่วยไม่ได้ที่มึงต้องมาเห็นอะไรแบบนี้” สงครามพาดมือมาที่หลังของผมเพื่อโอบ

“มีนกับไปป์หายไปเลย” ผมท้วง

เจนดื่มแล้วพูด “เมื่อกี้เหมือนจะทะเลาะกันนะ”

“หา”

“ปล่อยมัน” สงครามเอ่ย “มันสองคนคงมีเรื่องที่ต้องเคลียร์กัน”






สงครามขับรถไปส่งเจนก่อนที่เราสองคนจะนั่งรถเพื่อกลับหอด้วยกัน

“เข้าใจหรือยังว่าทำไมกูถึงไม่อยากให้มึงเจอเจน”

ผมหัวเราะในลำคอ “เข้าใจแล้ว”

“มันเป็นผู้หญิงเหี้ยๆ อ่ะ เหี้ยมาตั้งแต่คบสมัยมัธยมแล้ว แต่ก็ไม่ใช่คนที่คบไม่ได้”

“อืม”

“โอมได้โทรมาบ้างมั้ย”

“ไม่แล้วล่ะ”

“ดี”

“...”

“กูชอบที่เราเปิดเผยต่อกันแบบนี้นะ”

ผมหันไปมองคนขับ “ตอนแรกกูตกใจฉิบหาย นึกว่ามึงจะมีอะไรกับเจน”

“อย่าพูดให้กูคลื่นไส้ตอนนี้เลย” ผมกับสงครามหัวเราะไปด้วยกัน “แล้วนี่จะไม่ถามความเป็นไปของไอ้ไปป์กับไอ้มีนกันหน่อยเหรอวะ พวกแม่งหายไปเลยนะ”

“มึงบอกเองไม่ใช่เหรอว่าอยากให้พวกมันเคลียร์กัน”

“งั้นก็...” มือของสงครามมาจับต้นขาผมไวมากจนผมรู้สึกขนลุกชูชัน “คืนนี้”

“เหี้ย ดึกแล้ว” เหนื่อยที่จะต้องแอบไปที่หอของผมหรือไม่ก็หอของไอ้สงคราม

“แป๊บเดียว รอบเดียว”

“ลูกหออาจจะไม่ว่าที่กูคบกับมึงนะเว้ย แต่กูก็เกรงใจ”

“ถ้างั้นก็บนรถนี่เลย” สงครามเลี้ยวเข้าไปจอดข้างทาง

“มึง” ผมอดตกใจไม่ได้ “มือไวใจเร็วมากกกกก”

“นั่นมันกูเลยแหละ” สงครามยิ้มกริ่ม ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นเรื่อยๆ

“โรงแรมก็มีมั้ยล่ะ” ตอนที่พูดผมก็รู้สึกเขินอายเหมือนกัน แต่อยู่กันสองคนคงไม่มีอะไรต้องอายหรอกมั้ง

ในเมื่อผมกับสงครามก็เคยๆ กันมาแล้วนี่...

“งั้นเลี้ยวเลยนะ”

ผมคว้าแขนมัน “เดี๋ยว ข้างหน้ามีเซเว่น”

“ทำไม หิวเหรอ”

“เปล่า”

“...”

“มีถุงยางหรือยัง”

แฟนผมยิ้มมุมปาก “เออว่ะ” มันขยับตัวมาจูบที่แก้มของผมอย่างอ้อยอิ่ง จากนั้นก็ขับรถไปจอดที่เซเว่น

และก็นั่นแหละครับ...เราสองคนเลี้ยวเข้าโรงแรม




TBC*
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 31-08-2017 01:40:55



ตอนที่ 28
พาร์ตของมีน



พอแล้ว...ผมอยากจะหยุดตัวตนเก่าๆ ของผมแล้ว

เลิกดึงผมกลับไปสักที...

ไปป์กำลังรอผมอยู่ที่หน้าห้องน้ำ แต่มีมือดีดึงตัวผมเอาไว้คล้ายกับต้องการรั้ง มันคือคนที่ตามผมไปถึงร้านสตาร์บัคส์ เป็นเด็กจากหอสี่ที่ผมแทบจะจำชื่อไม่ได้ด้วยซ้ำ

นั่นแปลว่าที่ผ่านมา...ผมทำตัวเหลวแหลกมากจนเกินไป

“คบกับมันแล้วใช่มั้ย” นั่นคือเสียงที่มันถามผม

“ปล่อย” แรงจากมือที่ดึงตัวผมไว้ทำเอารู้สึกเหมือนกำลังจะถูกทำมิดีมิร้ายอย่างแน่นอน “ปล่อยกู”

“กูไม่ปล่อย กูจะเอามึง ยังไงกูก็ต้องได้”

เหี้ย เหี้ยแล้ว ผมมองไปรอบๆ เพิ่งรู้ว่าในห้องน้ำมีแต่ผมกับไอ้บ้านี่ เข้าใจแล้วว่าไม่ใช่ใครทุกคนที่ยินดีทำเพียงกอดจูบลูบคลำ มีหลายคนที่อยากทำมากกว่านั้น และก็มีแค่คนเดียวที่พยายามอย่างถึงที่สุด

ซึ่งนั่นก็คือมันคนนี้...

“ไปป์ ไปป์!” ผมส่งเสียงเรียกคนที่รออยู่หน้าห้องน้ำ แต่ร้านเหม่อมองฟ้าตอนนี้กำลังมีดนตรีสดและเสียงก็ดังมากด้วย ไม่มีทางที่ไปป์มันจะได้ยินผม “ไอ้สัดไปป์ แม่งเอ๊ย!”

ไอ้บ้านี่พยายามลากผมเข้าห้องส้วม ผมพยายามร้องอีกรอบแต่มันก็เอามือมาปิดปากไว้ มันเป็นมนุษย์หอสี่ที่แข็งแรงมากจนผมตกใจ

ไม่ดิ...มันต้องไม่จบแบบนี้ดิ

ไปป์เปิดประตูเข้ามาในห้องน้ำ มันตกใจที่เห็นผมกำลังจะถูกลาก มันตรงรี่เข้ามากระชากตัวผมออกจากนั้นก็ต่อยไอ้บ้านั่นสุดแรงจนอีกฝ่ายล้มลง

วินาทีนั้นผมรู้แทบจะในทันทีว่าไปป์มันจะฆ่าคนคนนี้อย่างแน่นอน

“ไปป์” ผมเอื้อมมือไปห้าม แต่ไม่ทันแล้ว ไปป์ขึ้นคร่อมตัวของอีกฝ่ายจากนั้นก็ซัดไม่ยั้งจนน่าตกใจ “เฮ้ย! พอ”

มันชกหน้าคนคนนั้นจนเลือดออกและหน้าใกล้พังยับเยินเข้าไปทุกที ผมต้องเข้าไปดึงตัวของมันออกมาก่อนที่มันจะทำคนอื่นเจ็บไปมากกว่านี้

ไปป์สะบัดมือผม ใบหน้าของมันแดงก่ำราวกับกำลังโกรธจัด มันไม่พูดกับผมพร้อมกับเดินตึงตังออกไป ผมรีบตามไปและไม่คิดจะสนใจคนเจ็บที่ร้องโอดโอยอยู่ด้านหลัง

เชี่ยไปป์มันไม่เดินกลับไปที่โต๊ะ มันเดินผ่านสงคราม อ้ายและก็เจนไปอย่างไม่เหลียวหลัง กว่าผมจะตามมันได้ทัน เราทั้งคู่ก็ยืนอยู่ที่หน้าร้านแล้ว

“มึง” ผมเดินไปขวางทางมันเอาไว้

“ถอยไป”

“ทำไมถึงโกรธกูล่ะ”

“ก็ที่มันเป็นแบบนี้ก็เพราะตัวมึงไม่ใช่เหรอ”

ผมอ้าปากค้างเติ่ง “กู...ไม่รู้”

“ถ้าเมื่อก่อนมึงไม่บ้าทำนั่นทำนี่ประชดประชันกู มันจะมีเรื่องแบบนี้มั้ย”

“กูไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะเกิดขึ้นอ่ะ”

“กูเหนื่อยแล้วมีน มึงไม่เปลี่ยนไปเลย ทั้งๆ ที่กูเปลี่ยนแล้ว แต่มึงก็ยังเหมือนเดิม”

“ไปป์” ผมพยายามร้องเรียก แต่ไปป์มันไม่สนใจเลย ครั้งนี้มันโกรธจริงๆ และก็คงจะไม่หายโกรธง่ายๆ ด้วย ผมมองมันขับรถออกไปด้วยใจที่ปวดร้าวไปหมด

ทั้งๆ ที่ผมเพิ่งคิดได้แท้ๆ ว่าผมจะทำตัวดีๆ เพื่อไปป์ แต่ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้






พัง...ทุกอย่างแม่งพังไปหมดแล้ว

“เป็นเหี้ยไร” คนที่ทักผมก็คืออ้าย ผมกำลังนั่งอยู่นิ่งๆ ที่ใต้ถุนตึกสาขา มันกับธัชเดินผ่านมาพอดี ผมเดาว่าพวกมันสองคนน่าจะไปหาไปป์เพื่อทำโปรเจ็กต์ ช่วงนี้สามคนนี้ตัวติดกันอย่างกับบอยแบนด์

“มึงทำหน้าเครียดแล้วโลกไม่สดใสเลยมีน มึงต้องยิ้มดิ” ธัชทิ้งตัวนั่งข้างๆ ผม ส่วนอ้ายนั่งลงอีกข้างหนึ่ง กลายเป็นผมนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างมันสองคน “แบบนี้เราซวยแน่เลยว่ะอ้าย”

“ทำไมวะ” ผมถาม

“ก็ถ้ามึงทะเลาะกับไอ้ไปป์ มันก็จะเซ็ง แล้วงานพวกกูก็ไม่เดิน”

“เกี่ยวมั้ย”

“เกี่ยวดิ ไปป์มันเป็นตัวหลักในการทำโปรเจ็กต์เลยนะเว้ย” ธัชเอ่ยอย่างจริงจัง “มึงไปทำยังไงก็ได้ให้มันรู้สึกดี”

“ทำไมต้องกูวะ”

“อ้าย มึงสั่งมันดิ๊ มึงเป็นประธานหอ ยังไงเชี่ยมีนก็ต้องฟัง”

“กูเหรอ” อ้ายมันก็งงเหมือนผมนั่นแหละ “ไปดีกับไอ้เชี่ยไปป์ไป”

โว้ย พูดเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ

“เอางี้...ไปทำงานกับพวกกู พวกกูกำลังจะไปเจอมันเนี่ย” ธัชดึงแขนผมให้ยืนขึ้น

“มันโกรธกูอยู่นะ”

“ก็ไปทำให้มันหายโกรธสิ”

“เฮ้ย”

“ไม่ต้องมาเฮ้ยแล้ว ไปเร็ว รีบๆ อย่าเสียเวลาชีวิต อยากทำอะไรต้องทำให้ไว”

“ธัช มึงรีบแบบนี้เพราะมึงเป็นห่วงกูกับไปป์ใช่ป่ะ”

“เปล่าหรอก” ผมถามเพื่อให้มันปฏิเสธนั่นแหละ

“กูกลัวโปรเจ็กต์กูไม่เสร็จ”








ไปป์นัดเพื่อนอีกสองคนให้มาทำงานกันที่หน้าอาคารช่างยนต์ มันบอกว่าหากมาทำตรงนี้เวลาติดขัดตรงไหนจะได้เข้าไปปฏิบัติการใหม่หรือไม่ก็ถามอาจารย์ที่ปรึกษาเลย ตอนที่มันนั่งอยู่ตรงโต๊ะหินอ่อน มันก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์และไม่รู้ว่าผมมาด้วย

“เชี่ยไปป์ โทษที มาสายไปนิดนึง” ธัชมันพูดอย่างนั้น แต่มันก็ทั้งผลักทั้งดันผมให้เข้าไปใกล้ไอ้ไปป์ เมื่อเจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมา มันจึงเห็นผมเต็มๆ

“ไม่เป็นไร” วิธีการของไปป์คือทำเหมือนผมไม่มีตัวตน “อ้าย รบกวนเปิดแล็บท็อปเลย”

“โอเค” อ้ายมองผมอย่างเกรงใจ แต่มันก็เปิดแล็บท็อปอย่างที่ไปป์มันบอก

ผมพ่นลมออกมาขณะมองดูไอ้ไปป์ “จะเอางี้ใช่มั้ย”

“คิดว่าน่าจะใกล้เสร็จแล้ว”

“ไปป์”

“อาจารย์บอกว่า...”

“สัดไปป์!”

ไม่มีทางที่มันจะไม่ได้ยิน ธัชกับอ้ายมีสีหน้าอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด ส่วนไอ้ไปป์ก็ค่อยๆ หันมามองผมอย่างไม่เต็มใจ

“มึงมีอะไร”

“ไปคุยกันหน่อย”

“ไม่เห็นเหรอว่ากูยุ่ง”

“กูอยากคุย”

“อย่ามาเอาแต่ใจ”

“จะคุยไม่คุย”

“...”

“ไม่คุยก็จบกันวันนี้นะ”

ในที่สุดไปป์ก็สนใจผมสักที มันมองผมอย่างหงุดหงิดก่อนจะหันไปหาอ้ายกับธัช

“กูขอตัวแป๊บนึงได้มั้ย”

“ได้สิ ไปเลย” อ้ายผายมือ

“นานๆ เลยก็ได้ พวกกูทำกันเองได้” ไอ้ธัชเสริม

เด็กหอสองเพียงคนเดียวในนี้กลืนน้ำลายมองผม จากนั้นก็พยักเพยิดให้ผมไปคุยกับมันในอาคารช่างยนต์








อาคารนี้เป็นอาคารที่ไม่ใช้แล้วครับ

ที่ไอ้ไปป์มันเลือกที่นี่เพราะว่าอาคารอื่นมีกลุ่มโปรเจ็กต์อยู่ในตัวอาคารกันประปราย ผมกับมันคงต้องขึ้นเสียงใส่กัน และถ้าไปเถียงกันให้คนอื่นดูคงเป็นภาพที่ไม่งามเท่าไหร่

“ว่ามา” ไปป์กอดอก กลายเป็นผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่าผมทุกประการ

“กูผิดเอง กูผิดหมดทุกอย่าง”

“...”

“เพราะการประชดประชันของกูทำให้ปัญหามันใหญ่ขึ้น กูไม่ควรทำตัวอย่างนั้น และกูก็...ไม่ควรเที่ยวอีกแล้วด้วย”

แม้จะไม่ค่อยตรงประเด็นเท่าไหร่ แต่คำพูดของผมก็ทำให้ไปป์ดูเย็นลง

“กูจะไม่เป็นคนแบบนั้นอีกแล้ว กูพอแล้ว” ผมยกสองมือแสดงออกว่าผมยอมแพ้จริงๆ “จะไม่มีความไม่แน่ใจ ความลังเลสงสัย กูจะเป็นกูที่เคยเป็นเมื่อหลายปีก่อน คนที่มึงชอบ...มั้ง”

ท้ายประโยคผมไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ เพราะผมไม่รู้ว่าไปป์มันชอบผมตอนไหน แต่ถึงอย่างนั้นเราทั้งคู่ก็ถือว่าผูกพันเกินกว่าที่จะตัดกันขาดได้ เอาเป็นว่าตอนที่ผมกับมันเป็นเพื่อนสนิทกัน มันคงชอบผมในแบบของเพื่อนนั่นแหละ ถึงจะชอบแบบไหนก็ตามแต่ ผมจะไม่ยอมกลับไปเป็นจอมประชดประชันที่สร้างเรื่องยุ่งยากอีกแล้ว

พอแล้วจริงๆ

ผมคิดได้ก่อนเหตุการณ์เมื่อวานด้วยซ้ำ ไปป์ไม่ชอบให้ผมเที่ยว ผมก็กำลังจะเลิกและทำตามที่มันขอ แต่สงครามมันดันโทรมาขอร้องก่อนว่าให้ไปดื่มเป็นเพื่อนหน่อย ผมจึงซวยไปเต็มๆ

ไปป์ชั่งใจ มองดูผมก่อนจะทอดถอนใจ จังหวะที่มันกำลังจะคว้าตัวผมนั้น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น

“ในนี้ไม่มีคนแน่เหรอ”

ก่อนที่ผมจะทันได้คิดอะไร ไปป์ก็ลากผมเข้าไปอยู่ในซอกที่เต็มไปด้วยลังใส่กระดาษเก่าๆ แล้ว ผมมองไม่เห็นว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น เพราะผมหันหลังอยู่ คนที่เห็นเต็มๆ คือไปป์

ไม่เข้าใจว่าเราทั้งคู่ต้องซ่อนทำไม

“นี่”

“ชู่ววว” ไปป์ส่งเสียงห้าม เอามือปิดปากผมพร้อมเบียดตัวเข้ามาใกล้ “ข้างนอกนั่นคือเด็กยานยนต์ที่กูเคยสงสัยว่ามันคบกันหรือเปล่า”

“แล้วมึงจะไปเสือกกับพวกมันทำไม”

“ไม่เงียบไม่รู้นะเว้ย”

ทำเอาผมอยากรู้ไปด้วยเลยว่าพวกมันคบกันใช่มั้ย แต่ตัวผมขยับไม่ได้ ไอ้ซอกบ้านี่มันแคบเกินไป ผมจึงทำได้แค่มองหน้าอยากรู้อยากเห็นของไปป์ ตลกดีเหมือนกันที่มันเองก็เป็นคนขี้เผือก

“บรรยายมาซิ” ผมกระซิบ มือของไปป์ยังปิดปากผมอยู่แต่ไม่ได้ปิดสนิทมาก

“พวกมันคุยกัน”

“...”

“จับมือกัน”

ผมได้ยินเสียงกระซิบกระซาบกับเสียงหัวเราะ ก่อนที่จะได้ยินเสียงโต๊ะขยับ

“คนหนึ่งอุ้มอีกคนไปนั่งบนโต๊ะ”

เสียงจ๊วบๆ นี่มันอะไรวะ

“พวกมันจูบกัน”

“...”

“แลกลิ้น”

“...”

“ดูดดื่ม”

มันทั้งคู่เป็นผู้ชายเหมือนกัน ผมลอบสังเกตมองดูไปป์ที่ทำตัวเหมือนพวกถ้ำมองไม่มีผิด จะว่าตลกก็ตลกแต่มีอะไรที่ตลกกว่านั้น...

ตรงหว่างขาไอ้ไปป์...มันนูนขึ้น

ผมรีบดึงสายตากลับมาที่หน้าของไปป์ซึ่งอยู่ใกล้ๆ ทันที เห็นมันเลียริมฝีปากแล้วกลืนน้ำลายคล้ายกับหื่นกระหายไม่มากก็น้อย
หนัง (เกือบ) สดที่มึงแอบดูอยู่นี่มันปลุกอารมณ์มึงได้ขนาดนั้นเลยเหรอ

มือที่ว่างอยู่ของผมปลดกางเกงไอ้ไปป์ก่อนจะรูดซิปลง มันอ้าปากค้างก่อนจะมองผมอย่างตกตะลึง

“มีน”

“อยู่เฉยๆ เถอะ”

“เฮ้ย”

“ขยับไปชิดโน่น”

“คือกู...ไม่”

เสียงหนังเกือบสดเงียบไปแล้ว ดูเหมือนทั้งคู่จะออกไปที่อื่นกันแล้ว แต่ผมกับไปป์...จะอยู่ต่อ

ผมมองไม่เห็นว่าตรงส่วนนั้นของไปป์เป็นยังไง ผมเอาแต่มองใบหน้าที่ตื่นตะลึงของมัน มือของผมไล่สัมผัสไปยังส่วนแข็งขืน และก็รู้สึกว่าขนาดมันก็...อืม...สมศักดิ์ศรีของพวกหอสอง

“มีน คือ...”

“ชู่วววววว”

“ไม่ คือกูจะบอกว่า...จูบกูไปด้วยดิ”

ผมยิ้ม “ได้”

ระหว่างที่ผมช่วยเหลือมัน ริมฝีปากของผมก็เกี่ยวประสานกับริมฝีปากของไปป์อย่างดูดดื่ม ตัวของผมเอียงไปมาอยู่เหนือร่างที่นั่งพิงผนังของไปป์ และหลังจากนั้น...มันก็ปลดกางเกงของผม

ผมหน้าแดงก่ำ “คือกูไม่...”

“ช่วยกันดิ” ไปป์กระซิบเสียงกระเส่า

มันเป็นความรู้สึกใหม่ที่ผิดแปลก ไม่มีใครได้สัมผัสในส่วนนี้ของผมถึงแม้ว่าผมจะมีคู่ควงมากมายมหาศาล หลายคนต้องการทำมากกว่าจับ ทำมากกว่าการรุกล้ำ แต่ผมก็ไม่เคยปล่อยให้คนเหล่านั้นเข้ามาใกล้ในส่วนที่ผมหวงแหน

คนที่ทำได้...มีแต่ไปป์ แค่ไปป์คนเดียว

ริมฝีปากที่มีลิ้นเกี่ยวกระหวัด มือของพวกเราที่ทำงานสอดคล้องกับจังหวะของแรงอารมณ์ปรารถนา ทำให้เราไปถึงจุดนั้นพร้อมกันอย่างน่าอัศจรรย์

ผมหายใจหอบ งอตัวเกือบจะทิ้งตัวลงไปนั่ง แต่แขนยาวๆ ของไอ้ไปป์โอบรอบตัวผม ก่อนจะฝังศีรษะของมันกับหน้าท้องของผม

“ยังไม่ได้ใส่กางเกงเลย”

“รู้” มันเองก็หอบ “แค่อยากกอด”

“เร็วเถอะ เดี๋ยวคนมาเห็น”

มันสูดลมหายใจลึกๆ เรียกแรง “โอเค”

ผมกับมันช่างเป็นคนที่เหี้ยจริงๆ แม้แต่ทิชชูก็ไม่มี คราบนั้นของเราจึงคงอยู่แบบนั้น

หลังจากที่จัดการตัวเองเสร็จ ไปป์ก็จับมือผมพร้อมบีบแน่น

“อะไร”

“หายโกรธแล้ว หายโกรธทุกอย่าง”

ไอ้...เหี้ยเอ๊ย “เออ ก็ดี”

“อยากลองของจริงบ้าง”

ผมกลืนน้ำลาย “ของจริงอะไร”

มันมองมาที่บั้นท้ายผมอย่างมีเลศนัย

“เฮ้ย”

“นะ”

“ไอ้เหี้ยไปป์”

“คืนนี้”

“บ้า”

“กูไม่ว่า”

“กูหมายถึงมึงมันบ้า”

“ได้ป่ะล่ะ”

ผมยิ้มมุมปาก “ขอคิดดูอีกที”

ลองคิดกันเล่นๆ ครับว่าผมเสร็จไอ้ไปป์มั้ย...

ครับ...ผมเสร็จมัน

ที่โรงแรม...ซึ่งอยู่ไกลจากมอหน่อย

ทำไมถึงเป็นโรงแรม...ก็เพราะเราอยู่กันคนละหอไงเล่า

เรื่องนี้เราทั้งคู่เรียนรู้มาจากอ้ายและสงครามครับ






ตัดภาพกลับมาที่อ้ายกับธัชซึ่งนั่งทำงานกันอยู่สองคนหลังจากไปป์กับมีนขอตัวไปคุยกัน

“มึงว่าพวกมันจะกลับมาเมื่อไหร่วะ” อ้ายถามขณะพิมพ์ไปด้วย

“ดึงกันไปซอกนั้น...กูว่ามันไม่กลับมาแล้วว่ะ” ธัชพยักหน้าขึงขัง

“ตรงนั้นมันดีเหรอ”

“จะลากสงครามมาด้วยว่างั้น”

“เปล่าสักหน่อย”

“ตึกเรียนมั้ยล่ะไอ้พวกบ้า หักห้ามใจตัวเองบ้าง”

“ยังไม่ได้บอกเลยว่าจะทำ”

“แต่หัวมึงนี่คิดไปแล้ว...กูรู้”

“...”

“กูพูดถูกใช่มั้ย”

“กูไม่ตอบเว้ย!”





TBC*
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 31-08-2017 01:49:12


ตอนที่ 29



ลองคิดกันดูสิครับว่าหลังจากที่ผมกับสงครามเลี้ยวเข้าโรงแรมในวันนั้น เราทั้งคู่จะมีการแอบปีนหอมานอนด้วยกันอีกหรือเปล่า
ผมบอกเลยว่า...บ่อยมากและก็เยอะมากด้วย

อย่างเช่นวันนี้สงครามมันแอบมานอนที่หอผม เมื่อคืนเราสองคนก็มีเรื่องอย่างว่ากัน ผมกับมันเป็นคนที่มีความต้องการพอๆ กันในเรื่องนี้ ไม่ได้มีมากแต่ก็ไม่ได้มีน้อย วันไหนที่ผมเหนื่อยมันก็ฟังและก็พร้อมที่จะไม่ทำ แต่วันไหนที่มันอยากมากจนอดไม่ได้ ผมก็ต้องตามใจ

สงครามอาบน้ำเสร็จจนกลิ่นตัวหอมฉุย มันทิ้งตัวลงมานอนกอดผมทั้งๆ ที่ผมยังไม่ตื่นดี

“ตื่นได้แล้ว ใกล้ถึงเวลาดูลูกหอแล้ว” มันจูบขมับผมย้ำๆ ทุกเช้ามันไม่เคยแสดงอาการสะลึมสะลือให้เห็นเลยครับ เป็นคนที่กระฉับกระเฉงดีจริงๆ

“ไม่เอา จะตื่นสาย” วันนี้ผมขอ...เพราะผมเพลียมากจริงๆ “ให้ไมล์มันดูไปก็แล้วกัน”

ตอนนี้ไมล์เริ่มมาฝึกตำแหน่งประธานหอแล้วครับ ตอนแรกก็เต็มไปด้วยอุปสรรค แต่เพราะมันมีไอ้เหี้ยเตอยู่เคียงข้าง คนก็เริ่มเกรงใจมันมากขึ้น

“เครียดมั้ยเนี่ย” สงครามถามอย่างเป็นห่วง ขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ผมที่กำลังฟุบอยู่กับหมอน แล้วมันแม่งก็จูบขมับผมย้ำๆ อีก “กลัวมึงเครียดว่ะ”

“ไม่เครียด แต่ใจหายนิดหน่อย ตามประสาคนเคยชินนั่นแหละ”

“...”

“มาถามเรื่องนี้ทำไมแต่เช้า”

“สงสัยจัง ปกติเวลาเพิ่งตื่นมนุษย์ธรรมดาเขาจะหัวฟูกัน” สงครามเอามือจับศีรษะของผม “แต่ผมมึงนิ่มมาก ดูดีไปหมดแม้กระทั่งตอนตื่น”

“กูเป็นใครล่ะวะ ประธานหอที่มีแต่คนหน้าตาดีนะเว้ย”

“หมั่นไส้ว่ะ” สงครามฟุบลงกับหมอนผมบ้าง

“สรุปมึงจะกลับออกไปหรือยัง”

“กูนึกถึงคำพูดของมึงเมื่อคืน” แฟนผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัย “มึงจะเอางั้นจริงเหรอ ไม่อยากให้ลูกหอจัดงานเลี้ยงอำลาให้เพราะไม่อยากเสียน้ำตา”

เมื่อคืนก่อนที่พวกเราจะ...เอ่อ...มีอะไรกัน เราทั้งคู่พูดเรื่องการเป็นประธานหอและก็การออกจากตำแหน่ง สงครามดูใจหายเหมือนกัน แต่ก็แข็งแกร่งไร้ซึ่งความอ่อนไหว ส่วนผมนั้นทั้งบ่นและก็ดราม่า จนสงครามแม่งเรียกผมว่าแม่ของหอสามแทนที่จะเรียกว่าประธานหอแล้ว

สไตล์หอมันกับหอผมไม่เหมือนกัน ผมก็แค่...ใจหาย...นั่นแหละ

“เอาจริงใช่มั้ย”

“ใช่”

“วันเรียนจบคือจะย้ายออกไปเลย”

“อืม”

“แบบไม่บอกลูกหอ”

“ประมาณนั้น ช่วยกูหน่อยนะ”

สงครามยังคงลูบหัวผมต่อไปขณะทอดถอนใจ “มึงนี่นะ...อ่อนไหวจริง”

“...”

“แต่ก็นะ สไตล์ของหอสามก็คงจะอ่อนแอประมาณนี้”

“อ่อนแอพ่อมึงดิ” ผมปัดมือมันออก สงครามหัวเราะร่วนก่อนจะลุกขึ้น

“ช่วงนี้กูอาจจะยุ่งๆ หน่อยนะ เดี๋ยวก็พรีเซนต์โปรเจ็กต์กันแล้ว”

“อืม กูเองก็ยุ่ง”

“รักมึงนะอ้าย”

“รักมึงเหมือนกันนะสงคราม”







หลังจากวันนั้นสงครามกับผมก็ห่างกันไป

อาจเป็นเพราะต่างฝ่ายต่างก็ยุ่ง ยิ่งใกล้วันพรีเซนต์โปรเจ็กต์มากเท่าไหร่ ผมกับสงครามก็มีเวลาคุยกันน้อยลงมากเท่านั้น บางครั้งผมก็รู้สึกโอเคที่มันเป็นแบบนี้ แต่บางครั้งผมก็รู้สึกเหงาขึ้นมาในใจซะอย่างนั้น เพราะถ้าไม่มีสงคราม ใจผมก็จะหวนนึกไปถึงวันที่ผมต้องเลิกเป็นประธานหอสาม

ทุกๆ วันก็เหมือนวันอื่น ไม่มีลูกหอของผมคนไหนทำท่าเหมือนผมกำลังจะออกจากตำแหน่ง ทุกคนยังตอบรับการกวนประสาทของผม อีกทั้งยังเล่นกับผมเหมือนเดิมราวกับผมจะยังอยู่ที่นี่ไปอีกเป็นปี ซึ่งนั่นก็ถือว่าเป็นข้อดี ผมไม่อยากให้บรรยากาศภายในหอมันดราม่าจนเกินไป

เพราะแค่สอบไฟนอล...พวกมันก็ดราม่ามากเกินพอแล้ว

ไปป์กับมีนคบกันอย่างเปิดเผยเหมือนผมกับสงคราม ทั้งคู่ดูเป็นคู่ที่เงียบทั้งๆ ที่มีนเป็นที่รู้จัก ในที่สุดพวกมันก็ปรับจูนเข้าหากันติด ลืมเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีตและก็เริ่มต้นใหม่ด้วยความรักของพวกมัน แม้มีนจะเคยเป็นคนที่มีผู้ชายหลายคนมาข้องเกี่ยว แต่ทว่าตอนนี้เสน่ห์ของมีนดูเพิ่มขึ้นมากกว่าตอนนั้นอีก อาจเป็นเพราะออร่าที่เกิดจากความสุขเมื่อได้อยู่กับไอ้ไปป์ล่ะมั้ง

เวลาผ่านไป นานวันเข้าสงครามแม่งก็เริ่มผิดปกติ โทรไปหาก็กลายเป็นถามคำตอบคำ ผมพยายามทำความเข้าใจว่าโปรเจ็กต์สาขาของสงครามอาจจะยุ่งยาก แต่อย่างน้อยก็ช่วยใส่ใจผมในช่วงเวลาที่สุดจะเปราะบางนี้หน่อย

เพราะงั้นผมจึงระบายความรู้สึกอัดอั้นนี้ทั้งหมดลงบน...โน้ตสุขใจ ในเมื่อสงครามแม่งไม่ว่างฟังผม ผมก็จะบ่นไปเรื่อยตามแบบฉบับที่ผมถนัดนั่นแหละ

“อ้าย” ธัชเอียงหน้ามากระซิบ เราทั้งคู่กำลังทำงานอยู่ในโซนส่วนกลางครับ “ช่วงนี้กูเห็นสงครามออกไปกับผู้หญิงโคตรบ่อย”

“สวยๆ ใช่มั้ย”

“โคตร”

“หุ่นดี”

“สุดๆ”

“เสียงดังๆ หน่อย”

“อืม ได้ยินแว่วๆ”

“เพื่อนรักมัน” ผมตอบ

“เพื่อนรักแบบคนละเพศเนี่ยนะ ใช่เหรอวะอ้าย” ธัชดูซีเรียสมากจริงๆ “ปกติกูไม่เสือกนะเว้ย” เหรอ “แต่ครั้งนี้เชี่ยสงครามแม่งทำเกินไปจริงๆ กูเห็นอยู่กับผู้หญิงคนนี้บ่อยกว่าอยู่กับมึงอีก”

แม่ง...อย่าเสี้ยมดิ ช่วงนี้กูยิ่งมีหลายความรู้สึกอยู่ ทั้งเครียด กดดัน กังวล และก็เหงา

“ลองคุยกับมันหน่อยมั้ย”

“มันไปกับเจนบ่อยจริงๆ เหรอ”

“ใช่ เมื่อวานก็เห็น”

“เมื่อเช้าผมก็เห็นพี่” จู่ๆ ทนายแม่งก็โผล่หัวมาตอบ อะไรของมึงเนี่ย อยู่ดีๆ ก็มีซีนเฉย

“ไปเลยมึง...ไปคุยกับมันตอนนี้เลย” ไอ้ธัชกับทนายดันตัวผมให้เดินออกจากโซนส่วนกลางเพื่อไปยังหอสอง ผมเกาหัวแกรกๆ อย่างงงๆ ไม่คิดว่าพวกมันจะสามัคคีกะทันหันกันแบบนี้

ผมรู้สึกเหมือนไม่ได้มายืนอยู่ตรงหน้าหอสองนานมากแล้วทั้งๆ ที่อยู่ห่างกันเพียงแค่ถนนกั้น จริงๆ แล้วถูกทนายกับไอ้ธัชดันตัวผมมาตอนนี้ก็ดี ผมจะได้ไต่ถามสงครามบ้างว่าทำไมช่วงนี้ถึงได้เงียบไป

คนเป็นแฟนกัน ยังไงก็ต้องคุยกันได้ทุกเรื่องครับ

ระหว่างที่กำลังจะเดินเข้าไป ผมสวนทางกับแดนและภพ สองคนสะดุ้งโหยงก่อนจะซ่อนอะไรบางอย่างไว้ข้างหลัง อะไรบางอย่างก็ไม่รู้สีดำๆ

“สงครามมันอยู่ทางโน้นน่ะ” ภพพูดก่อนจะดึงแขนแดนให้รีบออกห่างจาก

ทำไมวันนี้มีแต่คนแปลกๆ ผมกำลังจะเดินไปหาสงคราม แต่แล้วภาพๆ หนึ่งก็ทำให้ผมรู้สึกตัวชาขาแข็งไปหมด

มีผู้หญิงกำลังหอมแก้มสงคราม

อ่านกันไม่ผิดครับ มีผู้หญิงกำลังทำอย่างนั้นกับแฟนผมจริงๆ

ถ้าจะบอกว่าไม่หึง ผมก็คงโกหก ถ้าจะบอกว่าไม่โกรธ ผมก็คงโกหกอีกนั่นแหละ

เท้าของผมก้าวเข้าไปไวกว่าความคิด ไม่นานนักก็อยู่ในจุดที่ใกล้สงครามกับผู้หญิงคนนั้น และเมื่อได้มองดูใกล้ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็คือเจนนั่นเอง

“พอแล้ว ถ้าอ้ายรู้นี่กูตาย”

“...”

“และนี่กูก็รีบมากด้วย มีเรื่องต้องทำ”

“กูขออีกช็อต เมื่อกี้แม่งสั่นมาก ไม่ชัดว่ะ อ้าว...” เจนเห็นผมก่อนสงคราม “ฉิบหายแล้วกู”

สงครามหันมามองตามสายตาของเจน เมื่อเห็นว่าผมยืนอยู่มันก็ก้าวถอยห่างออกจากเจนโดยอัตโนมัติ

“บายนะสงคราม” เจนเตรียมวิ่งหนี แต่สงครามจับกระเป้าเป้ใบเล็กของเจนไว้

“มึงไม่ต้องทิ้งให้กูโดนคนเดียวไอ้สัด มึงต้องช่วยกูคุยกับอ้าย”

“นี่มันเรื่องของมึงนะ”

“เลว” สงครามตบกระเป๋าของเจนเสียงดังเพื่อเลี่ยงการทำร้ายร่างกายผู้หญิง ผมมองดูภาพความสนิทสนมของสองคนนี้อย่างไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังรู้สึกยังไง

สงครามมันเป็นคนเท่ที่ดูหล่อเพราะหุ่นและความสูง ส่วนเจนเป็นผู้หญิงขายาวที่ทั้งสวยและเซ็กซี่ ความสนิทของทั้งคู่ที่มากกว่าเพื่อนต่างเพศทั่วไปมันทำให้ทั้งคู่ดูเหมือน...กิ่งทองกับใบหยก

เป็นอีกครั้งที่ถ้าบอกว่าผมไม่รู้สึกอะไรเลย ผมก็คงโกหกครับ

เชี่ยสงคราม...หล่อนักเหรอมึงอ่ะ #กัดฟัน

“ไปเลย คุยให้กูเลย” สงครามพยายามให้เจนเป็นฝ่ายคุยกับผม

“มึงไม่พูดเองล่ะวะสงคราม” เสียงเย็นๆ ของผมทำเอาทั้งคู่หน้าซีดเผือด

“เมียมึงน่ากลัวว่ะ” เจนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

สงครามปล่อยเจนเหมือนเธอไม่มีความหมายอีกต่อไป มันวิ่งเข้ามาดึงมือผมไปจับ สีหน้าหวั่นเกรงสุดฤทธิ์

“กูขอบอกก่อนว่าทุกอย่างมันมีเหตุและผล กูรักมึง และกูไม่ชอบเจนเลยแม้แต่นิดเดียว” ดูเชี่ยแม่งเกริ่นซะจนผมไม่กล้าโกรธมากไปกว่านี้ ท่าทางเหมือนอยากให้เรื่องนี้จบโดยไว “มันจะยั่วให้แฟนมันหึงด้วยการใช้กู”

ผมกระพริบตามองดูเจนกับสงครามสลับกัน เจนพยักหน้าอย่างแข็งขันสนับสนุนคำพูดของเพื่อนรักอย่างสุดขั้ว

“แล้วได้ผลป่ะ” ผมลองถามดู

“ได้ผลดิ แฟนแม่ง...” เจนส่ายหน้าเพื่อปรับคำพูดให้ไพเราะขึ้น “แฟนเรามันคิดว่าเราชอบผู้ชายแบบสงคราม ถ้าจะทำให้มันหึง ก็ต้องใช้สงครามนี่แหละ” เจนมองสงครามเหยียดๆ “ทั้งๆ ที่เราเกลียดมันจะตาย แต่เราก็จำเป็นต้องทำ เพราะรูปที่ร้านเหม่อมองฟ้าหาพระแสงวันที่เราเจอกับอ้ายอ่ะ มันหึงเรากับสงครามฉิบหาย”

“เจน มันไม่ใช่แค่เรื่องนี้” สงครามกอดอกข่มขู่

“อะไรอีกล่ะเหี้ยนี่”

“มึงไม่ได้ใช้กูทำแค่เรื่องนี้ มึงต้องช่วยกูบอก เป็นการกันเอาไว้ก่อน”

“เกรงใจเมียขนาดนั้นเลยหรือไง ตอนอยู่กับชาวหอของมึง มึงข่มเขาจะตาย”

“ก็นั่นลูกหอ แต่นี่เมีย ไอ้สัดเจน มึงแยกแยะด้วย” ถ้าเจนเป็นผู้ชายผมคงจะได้เห็นสองคนนี้ต่อยกันไปนานแล้วล่ะ

เจนเดินเข้ามาใกล้ผม เธอดูเริ่มเกรงใจผมตามไอ้สงคราม มือสวยๆ ของเธอกำลังจะเอื้อมมือมาแตะมือผม แต่สงครามดึงกระเป๋าเอาไว้ให้เธออยู่ห่างๆ จากผม

“นิดนึงก็ไม่ได้”

“ไม่ได้โว้ย”

“กูอยากจับอยากสัมผัสอ่ะ ดูผู้ดี ดูงดงามมากเลยมึง”

“แฟนกูไม่ใช่รูปปั้นโว้ย นี่มึงจะพูดได้ยังเชี่ยเจน”

“ก็ได้ๆ” เจนยอมแพ้ “อ้าย ฟังให้ดีนะ ช่วงนี้ที่สงครามมันไม่ว่างอ่ะก็เพราะเราดึงตัวมันไปช่วยยั่วให้แฟนเราหึงที่มอเรา มันก็เลยหายไปบ่อย อีกอย่างนะมันกำลังทำเพื่ออ้ายด้วย มันแอบไปถะ...” มือใหญ่ๆ ของสงครามปิดปากเจนเอาไว้

ผมถึงกับขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็น

“เชี่ย มือเค็มสัด” เจนปัดมือสงครามออก “มันก็ประมาณนี้แหละ เราขอโทษที่เราไม่คุยไม่ขออ้ายก่อน อันที่จริงเราเองก็ผิด แต่เราบริสุทธิ์ใจจริงๆ นะ เราไม่มีวันคิดอะไรเกินเลยกับไอ้เหี้ยสงครามห่าเหวเลวบรรลัยนี่แน่นอน”

“...”

“ตอนมัธยมมันยังไม่เลิกฉี่รดที่นอนเลย”

“...”

“มันจีบสาวก็ไม่เป็น อ่อนฉิบหาย”

“...”

“และมันก็เคย...”

“พอแล้วอิเจน แม่งไม่ช่วยห่าอะไรกูเลย” สงครามส่ายหน้าให้เพื่อนก่อนจะมองผมด้วยนัยน์ตากลมๆ “หายงอนหรือยัง”

“คือ...”

“เจน มึงหมดหน้าที่แล้ว ไปไกลๆ ไป”

“อ้าวไอ้เหี้ย” เจนสบถ ส่งยิ้มให้ผมก่อนจะชูนิ้วกลางให้สงคราม

“ไม่ไปส่งเขาหน่อยเหรอวะ” ผมมองตามอย่างเป็นห่วง

“มันขับรถมา รถมันอยู่นั่น” เจนหายตัวขึ้นรถไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ในที่สุดก็ได้อยู่กันสองคน ผมจ้องมองแฟนตัวเองที่คุยกับผมน้อยลงมานาน

“ไปคุยกันที่อื่นดีกว่ามั้ย”










เราสองคนเลือกที่จะมาสระพลาสติกกัน

โชคดีที่วันนี้แดดไม่ร้อน สงครามกับผมจึงเดินไปรอบๆ สระแห่งนี้ได้อย่างสบายๆ แม้มันจะเดินอยู่กับผม แต่มันก็ยังเล่นโทรศัพท์อยู่ ผมอดไม่ได้ที่จะทำหน้าเคืองจนมันรู้สึกตัว

“โทษที”

“มึงค้ายาหรือไง ทำไมต้องลับๆ ล่อๆ”

“ไม่มีไรเว้ย” สงครามพาดมือมาโอบหลังผม

“หรือมึงคุยกับสาว”

“สาวที่ชื่ออ้าย”

“สาวพ่อมึงสิ” ผมใช้ศอกกระทุ้งสีข้างมัน

“ทำไมดุดันจังวะ”

“...”

“วันมามาก?”

“สงคราม” ผมทำเสียงขู่ “ไม่เจอกันนานนี่ไปเรียนวิชากวนตีนมาเหรอ”

“เมนส์มึงก็ไม่น่าจะมาแล้วนะ ช่วงก่อนหน้านั้นเราทำกันบ่อย”

“...”

“ตอนนี้มึงควรท้อง”

คราวนี้ผมไม่เกรงใจแล้วล่ะครับ เอื้อมมือขึ้นหมายจะไปโบกกบาลมันสักหน่อย แต่สงครามก็คือสงคราม มันจับมือผมเอาไว้ไม่ให้ทำร้ายมันได้

เกลียดแม่งก็ตรงนี้

มันถือโอกาสจับมือผมพร้อมกับแกว่งไปมาด้วย

“งอนใช่มั้ย”

“มีบ้าง” ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ยอมรับ

“ขอโทษจริงๆ นะ ช่วงนี้ยุ่งมาก ไม่ค่อยได้ไปอยู่เป็นเพื่อนเลย”

“...”

“มึงคงจะคิดมากเรื่องกำลังจะออกจากหอสาม แต่กูกลับช่วยห่าอะไรไม่ได้เลย”

“บ้า” ผมเขย่ามือของสงคราม “ไม่ได้งอนขนาดนั้น มึงอย่าคิดมาก ปีสี่ใครบ้างที่ไม่ยุ่ง”

“แน่นะ”

“แน่สิ”

“แต่ตอนที่มึงอยู่ต่อหน้าเจนนี่น่ากลัวฉิบ ถ้าแดกเจนได้มึงแดกลงท้องแล้วก็ขี้ออกมาแล้ว” ผมก็เสือกจะไปนึกภาพตามคำพูดมัน “มึงดูโมโห”

“พวกมึงสนิทกันมากกว่ากูอีก”

“ก็เรียนด้วยกันมาตั้งแต่มัธยมอ่ะ เจนแม่งเหมือนกูในเวอร์ชั่นผู้หญิง”

“...”

“มึงหึงแม้กระทั่งคำพูดนี้เหรอ”

“กูเปล่าสักหน่อย”

“ทำไมสีหน้าเปลี่ยนล่ะ”

“เออ! หึง ยอมรับก็ได้ไอ้สัด”

สงครามทำหน้าเว้าวอน “กูขอร้อง อย่าไปหึงกูกับอิเจนเลย แค่คิดกูก็ฝันร้ายแล้ว มึงควรไปหึงกูกับคนอื่นมากกว่า” เป็นอีกครั้งที่ผมต้องเลิกคิ้ว “ทำไมวันนี้กูพูดอะไรก็ผิดวะ”

ท่าทางงกๆ เงิ่นๆ ของสงครามทำเอาผมยิ้มออก จริงๆ มันไม่จำเป็นต้องเท่ตลอดเวลาก็ได้ ตอนนี้มันแม่งมีสเน่ห์มากกว่าตอนที่มันเท่อีกนะ

“เดี๋ยวก็เรียนจบกันแล้ว” ผมเอ่ย

“อืม”

“มึงคงเตรียมไปสอบนักบินผู้ช่วย”

“ส่วนมึงก็คงหางานทำที่โรงงานผลิตรถ”

“ช่วงนี้ก็เริ่มหาเอาไว้แล้ว”

“ไม่ต้องห่วงนะ กูจะตามไปอยู่กับมึงทุกที่”

ผมยิ้ม “ยังไม่ได้พูดเลยว่ากังวล”

“...”

“เพราะกูรู้ว่ามึงจะตามไปอยู่กับกูแน่นอน”

สงครามยิ้มแฉ่งบ้าง เป็นอีกครั้งที่ผมเผลอมองแล้วใจสั่น เวลาคนที่ไม่ค่อยยิ้มอย่างมันยิ้มกว้าง มันเป็นอะไรที่น่ามองจริงๆ นะครับ

“อย่ามองอย่างงี้ดิ” สงครามผลักหน้าผมเบาๆ

“ทำไมอ่ะ” สายตากูออกจะเต็มไปด้วยความรัก

“กูเขิน”

“...”

“มันทำให้กูหื่นด้วย”

เดี๋ยว...ไอ้เหี้ย มันลามไปถึงเรื่องนั้นได้ไงวะ “กูเลิกมองมึงดีกว่า”

“ทำไมอ่ะ” มันถามผมกลับเหมือนที่ผมเคยถาม

“เดี๋ยวแม่งได้เลี้ยวรถเข้าโรงแรมอีก”

“หึ” สงครามผลักหัวผม “มึงไม่เอากูก็ไม่เอา เหตุผลง่ายๆ แค่นั้น”

ผมมองไปข้างหน้า ดูสระน้ำใสสะอาดที่มีผู้คนเดินไปเดินมารอบๆ อย่างบางตา สงครามเองก็มองแบบผม มือของเรายังคงจับกันเอาไว้แน่น

“ใจหายเนอะ ใกล้จะเรียนจบแล้ว” สงครามเป็นคนเปิดประเด็นขึ้นมาก่อน

“เออ จะมีมอไหนแปลกเท่ามอเราอีกมั้ยวะ”

“อย่าเหมารวมเลย พูดว่าแปลกแค่หอสามก็พอ”

“ทำไม”

“ก็แม่งบ้า มีแต่พวกหน้าตาดีๆ มาอยู่ด้วยกัน มีสมบัติหอเป็นไอ้เด็กตัวเล็กๆ ขาวๆ และก็มีประธานหอที่เหมือนภาพวาดสุดๆ ถ้าจะถามว่ามีอะไรแปลกในมอก็คงหอสามนั่นแหละวะที่แปลก”

ไอ้เหี้ยนี่... “หอสองไม่แปลกเลย ไม่แปลกเลยเนอะ” ผมประชด

“ออกจะปกติ มีแต่ผู้ชายแมนๆ ตัวล่ำๆ”

“แต่ก็ไม่ควรไปอยู่รวมกัน”

“ทำไม”

“มันน่ากลัวอ่ะดิไอ้บ้า”

สงครามหัวเราะ “เชื่อป่ะ กูถูกใจมึงเพราะมึงบอกว่ากลัวแต่มึงไม่เคยกลัวจริงๆ”

“กูกลัวจริงๆ เว้ย แต่ต้องทำเป็นไม่กลัว”

“ชีวิตมึงนี่นะ”

“...”

“แต่กูว่าสาเหตุหนึ่งที่มึงทำเป็นกล้าต่อหน้าพวกหอกูก็เพราะมึงรู้ว่ากูเกรงใจมึงใช่ป่ะ”

“ก็มีส่วน”

“แม่งข่มกูตั้งแต่ยังไม่เป็นแฟนกันอ่ะ”

“ตอนนี้กูก็ข่มมึงเหรอ” เสียงของผมเข้มขึ้น

“เปล่าครับ” สงครามเอ่ยเสียงเจื่อน “แต่จะข่มก็ได้นะ กูยอมอ่ะ คนกลัวเมียเจริญกันทุกคน”

“...”

“เผลอๆ กูอาจจะได้เป็นกัปตันเพราะมึง”

“นี่คือความฝันสูงสุดของมึงจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย”

“เรื่องเป็นนักบินน่ะเหรอ”

“อื้ม”

“เปล่าหรอก”

“...”

“ความฝันสูงสุดของกูก็คือเมียตามกูบินไปทุกที่ต่างหาก” สงครามพูดอย่างจริงจังจนผมเชื่อมันไปหมดแล้วทุกคำ เชี่ยแม่งกดดันว่ะ “ความฝันสูงสุดของมึงล่ะ”

จริงๆ แล้วตอนนี้ผมยังไม่มีความฝันอะไรด้วยซ้ำ สิ่งที่ผมคิดก็คือทำปัจจุบันให้ดีที่สุด

แต่ดูเหมือนครั้งนี้ผมจะมีความฝันสูงสุดแล้ว

“ความฝันสูงสุดของกูน่ะเหรอ”

“...”

“กูก็จะตามมึงไปทุกที่ที่มึงไปไงวะสงคราม”







TBC*
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 28/08/17
เริ่มหัวข้อโดย: Chiffon_cake ที่ 31-08-2017 02:04:10



ตอนที่ 30
บทส่งท้าย




ผมจะจำไว้ว่าวันนี้เป็นวันที่ผมกลัวมากที่สุดอีกวันหนึ่งในชีวิต

ตลอดการเป็นประธานหอสามของมอ B ผมไม่เคยต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ ขนาดนี้มาก่อน หัวใจของผมไม่ได้เต้นตึกตักเพราะผมกลัวว่าจะมีคนจับได้ แต่ผมรู้สึกใจหายที่จะไม่ได้เป็นประธานหอนี้อีกต่อไปแล้ว

วันนี้เป็นวันที่ผมสอบเสร็จวันสุดท้าย ผมพรีเซนต์โปรเจ็กต์และพูดสัมมนาเป็นที่เรียบร้อย ผมเรียนจบแล้ว...และผมก็กำลังจะย้ายออกจากหอโดยที่ไม่ร่ำลาเด็กๆ เลยแม้แต่คนเดียว

มันเป็นความต้องการของผมเอง สงครามไม่ค่อยเห็นด้วยเรื่องที่ผมจะแอบย้ายออกเงียบๆ อย่างน้อยก็ควรให้เด็กๆ มันได้กล่าวร่ำลาหรือให้ของที่ระลึกบ้าง แต่ผมไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น เพราะขืนผมอยู่ให้พวกมันเข้ามาหา พร้อมกับพูดขอบคุณโน่นนี่นั่น น้ำตาผมได้ไหลเป็นเขื่อนแตกชัวร์ๆ

แม้ผมจะเป็นอดีตประธานหอไปแล้ว แต่ผมจะแสดงความอ่อนแอให้ลูกหอเห็นไม่ได้ มีทางเดียวเท่านั้นนั่นคือผมต้องรีบย้ายออกในคืนวันที่ผมสอบไฟนอลตัวสุดท้ายเสร็จทันที ซึ่งก็คือคืนนี้

ตอนนี้เป็นเวลาตีสองครึ่ง สงครามมันให้ความช่วยเหลือผมเป็นอย่างดี ด้วยการเรียกรุ่นน้องสองสามคนมาช่วยขนของออกจากห้อง 101 ของผมอย่างเงียบเชียบ เมื่อตอนช่วงสี่ห้าทุ่มสงครามมันไปทำการส่งต่อตำแหน่งประธานหอสองที่ร้านเหม่อมองฟ้าเป็นที่เรียบร้อย มันเล่าให้ฟังว่าการร่ำลาสไตล์หอสองต้องไม่มีน้ำตาสักหยด ซึ่งมันกับลูกหอก็สามารถทำอย่างนั้นได้จริงๆ

แม้ลูกหอของสงครามที่ชื่อว่าองุ่นจะมาร้องไห้ทีหลังตอนกลับมาแล้วก็ตาม

“ขอบใจมากนะ” สงครามบอกรุ่นน้องที่ขนของช่วยผม แม่งขนกันไวมาก ผมถือของมากล่องเดียวเพื่อนำไปขึ้นรถ หันกลับมาอีกทีของทั้งหมดของผมก็อยู่บนรถแล้ว พวกหอที่เก่งเรื่องใช้พลังมันก็มีข้อดีอย่างนี้นี่เอง

“ได้เสมอครับพี่”

“...”

“โชคดีนะครับ ทั้งคู่เลย”

สงครามพยักหน้า ดูก็รู้ว่าแม่งแอบสะเทือนใจ มันขนของออกจากหอเสร็จก่อนผมอีก (บางทีพวกหอสองก็ทำการย้ายของได้ไวเกินไป) เมื่อผมกับสงครามพ้นจากโซนหอพักชายนี้ ชีวิตการเป็นนักศึกษาปริญญาตรีของเราก็จะจบลงตลอดกาล (แน่นอนว่าทุกตัวที่เราเรียนนั้นเป็นอะไรที่ผ่านชัวร์ๆ)

“พร้อมยัง” สงครามถามผม ผมหันมองหอสามอีกครั้งด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ก่อนจะพยักหน้าให้

ลาก่อนนะไอ้พวกตัวปัญหาทั้งหลาย...ถ้ากูมีเวลากูจะกลับมาเยี่ยมพวกมึง








“เงียบไปมั้ย”

“...”

“เปิดเพลงหรือเปล่า”

สงครามที่ขับรถอยู่ถามผมที่พยายามลืมเรื่องลูกหออยู่

“ไม่เป็นไร เงียบๆ แบบนี้แหละดี”

“มึงจะหลับก็ได้นะ”

“หลับได้ไง มึงขับรถอยู่”

“แป๊บเดียวเดี๋ยวก็ถึงแล้ว”

“...”

“อย่าคิดมากดิ” มือใหญ่ของสงครามเอื้อมมาจับศีรษะของผม “ดีจะตายไม่ต้องคอยไปปิดน้ำปิดไฟให้ใครอีกแล้ว”

ผมหลุดหัวเราะ “นั่นสินะ”

“ถ้าง่วงก็นอนได้เลย เดี๋ยวถึงบ้านมึงแล้วกูจะปลุก”

“อื้ม”

“บอกที่บ้านแล้วใช่ป่ะว่าจะมีเพื่อนไป”

“บอกแล้ว”

“เพื่อนที่ไม่ได้เป็นแค่เพื่อน”

“อย่าเพิ่งพูดแบบนั้นออกไปนะ”

“รู้แล้วล่ะน่า”

ไม่รู้ว่าพ่อแม่ผมจะว่ายังไงเรื่องที่มีแฟนเป็นผู้ชาย ผมกับสงครามคิดตรงกันว่าเราสองคนควรบอกพ่อแม่ก็ต่อเมื่อหน้าที่การงานของเรามั่นคงมากพอแล้วเท่านั้น ระหว่างนี้ผมกับมันจะบอกพ่อกับแม่ว่าเราต่างก็เป็นเพื่อนสนิทกันไปก่อน

ผมเสมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะก้มดูนาฬิกาข้อมือที่เกือบจะตีห้าแล้ว ตอนที่พวกลูกหอมันตื่นขึ้นมา มันจะรู้มั้ยว่าผมไม่อยู่แล้ว

เฮ้อ...ไม่ว่ายังไงผมก็เลิกรู้สึกใจหายไม่ได้สักที






บ้านของผม

ทันทีที่มาถึง ผมกับสงครามก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบทักทายพ่อกับแม่แล้วก็ขึ้นไปนอนหลับพักผ่อนทันที โชคดีที่ผมง่วงมาก เพราะวันก่อนหน้านี้ผมอดหลับอดนอนเนื่องจากอ่านหนังสือสอบไปเสียเยอะ เมื่อหัวถึงเตียงผมก็นอนหลับภายในเวลาไม่กี่นาที
ไม่ลืมที่จะปิดโทรศัพท์ ป้องกันการโทรตามหรือโทรหาของพวกลูกหอทุกคน ผมคิดไว้ว่าจะไม่เปิดโทรศัพท์จนกว่าจะผ่านพ้นช่วงกลางวันของวันนี้ไป อย่างน้อยความรู้สึกโหยหาของเด็กๆ จะได้น้อยลง

ผมตื่นขึ้นมาอีกทีก็เห็นสงครามนั่งเล่นคอมพิวเตอร์บนโต๊ะเขียนหนังสือผมอยู่

“กี่โมงแล้ววะ”

“สิบเอ็ดโมงว่ะ” ผมขยี้ตา จับโทรศัพท์ขึ้นมา เมื่อเห็นว่าตัวเองทำอะไรกับโทรศัพท์เอาไว้ก็ตัดสินใจวางไว้ตามเดิม

“หิวมั้ย”

“มึงหิวเปล่า”

“นิดหน่อย”

“เดี๋ยวจะลงไปดูให้ว่าที่บ้านทำอะไรไว้ให้มั้ย”

“ลงไปด้วยกันเลยดีกว่า”

พ่อกับแม่ผมคงออกจากบ้านไปแล้วล่ะ เหลือเพียงแต่พี่เลี้ยงของผม เมื่อเห็นว่าผมกับสงครามตื่นแล้วเธอจึงรีบจัดการเตรียมอาหารง่ายๆ ให้โดยใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที

ระหว่างที่ทานกันอยู่ สงครามแอบชำเลืองมองผมเป็นระยะๆ

“มึงโอเคมั้ยอ้าย”

“หืม”

“ดูโซเชียลหน่อยมั้ย”

“ไม่ล่ะ”

“เด็กมันก็โตแล้ว มันไม่เรียกร้องอะไรจากมึงหรอก ลองเปิดดูสักหน่อยสิ”

“มันอาจจะไม่อะไร แต่กูเนี่ยสิจะแย่”

“เว่อร์จริง แม่ก็คือแม่”

“อะไรของมึงวะ”

“ก็แค่อยากให้มึงดูอะไรสักหน่อยอ่ะ”

ผมทำหน้าบึ้งใส่สงคราม มันตามใจผมมาทั้งวันทั้งคืนแล้ว ผมเองก็ควรทำตามใจมันบ้างสินะ ยิ่งคบกับมันผมก็ยิ่งค้นพบว่ามันไม่ใช่คนน่ากลัวอะไรเหมือนกับที่คนอื่นกลัวกัน มันก็ดูเป็นผู้ชายธรรมดาๆ ที่เท่และก็ชอบทำหน้าโหดๆ เท่านั้นเอง

คำพูดของมันทำให้ผมเริ่มลังเล แปลว่ามันคงเห็นแน่นอนว่ามีอะไรเกิดขึ้นในโซเชียลและมันต้องเกี่ยวกับพวกหอสามแน่ๆ ผมมองอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ ไม่แน่ใจว่าควรจะเอายังไงดี

อย่าป๊อดดิวะอ้าย...ถ้ามึงร้องไห้ก็คงไม่มีเด็กคนไหนมาล้อมึงแล้วล่ะ







นี่มันอะไรกัน

ผมกดดูเฟซบุ๊กในคอมพิวเตอร์ที่ห้องตัวเองอย่างตกตะลึง แฮชแท็ก ThankyouAiBigboss เต็มเฟซบุ๊กไปหมด อีกทั้งพวกลูกหอมันยังพร้อมใจแชร์คลิปที่พื้นหลังเป็นสีดำกันแทบทุกคนอีกด้วย

ไม่มีใครทักเมสเสจ ไม่มีใครแท็กคลิปนี้หรือแท็กอะไรใดๆ ก็ตามมาหาผมทั้งนั้น ทุกคนแชร์พร้อมกับพิมพ์แคปชั่นประกอบว่า #ThankyouAiBigboss เท่านั้น

แม่งเรียบง่ายมาก...แต่เท่สัด ผมอดที่จะเอามือกุมอกอย่างตกตะลึงไม่ได้

หันไปมองสงครามที่ยืนจับเก้าอี้ผมอยู่ มือของมันเลื่อนมาแตะไหล่ผมแทนพร้อมๆ กับก้มหน้าเข้ามาใกล้เพื่อที่จะดูไปพร้อมกัน

“มึงรู้เรื่องนี้เหรอ” มันยักไหล่ “ในคลิปแม่งต้องซึ้งมากๆ แน่เลยว่ะ”

“ร้องไห้เลย” สงครามขยับกล่องทิชชู่เข้ามาใกล้ “เพราะกูรู้ว่ายังไงมึงก็ต้องร้อง”

ผมแตะคางมองดูจออย่างเคร่งเครียด จะเลื่อนหน้าฟีดไปไหนก็เจอแต่คลิปนี้ แม้กระทั่งพวกรุ่นพี่ที่จบไปแล้วยังแชร์อ่ะ คิดดูก็แล้วกัน

“พร้อมเมื่อไหร่ก็กดเลย”

ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะกดเข้าไปดู ไม่ลืมที่จะขยายให้เต็มจอ

คลิปเริ่มด้วยการเป็นพื้นสีดำเรียบๆ จากนั้นก็มีคนโผล่ขึ้นมาในจอ นั่นก็คือสงคราม

“เฮ้ย” ผมตกใจ “ไปถ่ายเมื่อไหร่”

“ดูก่อน”

สงครามในจอดูมึนงงกับการใช้กล้องมาก หน้าหล่อๆ ของมันขมวดคิ้วเต็มจอจนดูตลก

‘ไอ้เหี้ยนี่มันอัดยังวะ ไปป์ มึงมาดูดิ๊’

อะไรหลุดๆ แบบนี้แม่งก็ไม่ตัดออก ผมเห็นไอ้ไปป์เดินเข้ามาในจอ มันก็ดูมีปัญหาเหมือนกัน ภพกับแดนจึงเข้ามาช่วย ในที่สุดภาพที่สงครามต้องการก็ใช้ได้สักที

‘เอาล่ะ สวัสดีอ้าย นี่แฟนมึงเองนะ’

ผมมองคนข้างๆ อย่างทึ่งๆ

‘กูรู้ว่ามึงกลัวฉิบหายเรื่องจะย้ายออก เรื่องเปลี่ยนตำแหน่งประธาน บลาๆๆ ห่าเหว กูก็เลยอัดคลิปนี้ไว้ให้ ให้ลูกหอของมึงได้บอกขอบคุณมึงผ่านคลิปนี้ (เชี่ยสงครามมึงเรียบเรียงคำพูดดีๆ หน่อย) เชี่ยแดนมึงเอาตีนกูไปแดกไป เมื่อกี้ถึงไหนแล้วนะ อ๋อ เตรียมทิชชูไว้ด้วยนะอ้าย กูรักมึง (ใช่เวลามั้ย) ภพแม่งเอาแดนไปไกลๆ หน่อยไป (เฮ้ย! เด็กหอสามมา) รายแรกมาแล้ว แม่งเอ๊ย ไม่ถ่ายมันได้ป่ะวะ’

เป็นคลิปที่ธรรมชาติและก็วุ่นวายฉิบหาย แต่ดูได้เพลินมากเพราะเหี้ยสงครามแม่งขึ้นกล้องมากจริงๆ

‘กูรักมึงนะอ้าย และกูทำเพื่อมึง’

สงครามเปลี่ยนจากถ่ายตัวเองไปถ่าย...อาสากับทนาย พวกแม่งเดินผ่านมาพอดี ทั้งคู่ทำหน้าเอ๋อๆ

‘อ้ายจะไปแล้ว มีอะไรจะบอกอ้ายมั้ย’

ผมอ้าปากค้าง ไม่รู้จะตกตะลึงอะไรก่อนดี ดูจากสีหน้าของเด็กสองคนนี้ก็รู้ว่าสงครามคงบรีฟว่าผมไม่อยากให้มีการอำลาแบบเอิกเกริก พวกมันทั้งคู่ดูสลดมาก

‘ขอบคุณที่ดูแลผมเป็นอย่างดี แม้ว่าผมจะเพิ่งเข้ามาได้แค่ปีเดียว แต่พี่สุดยอดมากจริงๆ ผมจะปกป้องอาสา สืบทอดเจตนารมณ์ของชาวหอสามต่อไป’

‘ผมจะคิดถึงพี่นะครับ พี่แม่ง...สุดยอด’

ทนายกับอาสาผ่านไปแล้ว ต่อไปก็เป็นเชี่ยมีน สงครามไม่ได้เอาเสียงของตัวเองใส่ลงไปอีกแล้ว แต่เริ่มตัดไปที่ชาวหอสามทีละคนแทน

‘กูขอโทษเรื่องที่รู้ความในใจของสงครามก่อนมึง กูทำมันอกหักทุกครั้งที่มันสารภาพรักกับกู แต่มึงอย่าทำให้มันอกหักนะ ไหนๆ มันก็รักมึงแล้วนี่ โชคดีนะเว้ย กูจะเรียนจบให้ได้ภายในห้าปี’

สงครามจูบขมับผม ขณะที่ผมเริ่มตกตะลึงมากขึ้นเรื่อยๆ

‘พี่อ้าย ผมไม่คิดว่าพี่สงครามจะมาทำอะไรแบบนี้ให้พี่ แม่งโรแมนติกสัดอ่ะ (ไอ้สัด กูให้มาบอกลาอ้ายโว้ย!) อ้อ ผมรักพี่ (รักพ่อมึงสิ) แม่งไม่พูดอะไรแล้วดีกว่า’

‘ขอบคุณที่เข้ามาปิดไฟให้ห้องผมทุกเช้าครับ’

‘ขอบคุณที่ไปตามเจ๊ฝ้ายมาเปิดร้านเกาเหลาให้อีกครั้ง’

‘พี่เป็นประธานหอที่เจ๋งที่สุดแล้ว’

‘รักพี่อ้ายนะครับ (กูไม่ให้บอกรัก) ขอโทษครับพี่สงคราม’

‘ขอให้พี่โชคดี’

‘คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้’

‘พี่ดีกว่าแม่ผมอีก’

‘ระวังพี่สงครามมีกิ๊กนะครับ (ไอ้เหี้ยยยยยย)’

‘ตามไปดูแลผมตอนผมทำงานไม่ได้เหรอ (ถามกูหรือยัง)’


เพลงในคลิปแม่งบิลด์อารมณ์ผมไม่พอ สงครามมันยังพยายามถ่ายมาให้ได้ครบทุกคนอีก แม้กระทั่งคนที่พูดสั้นๆ หรือคนที่กำลังฉี่สงครามมันก็ถ่าย น้ำตาผมเริ่มไหลออกมา ไม่แน่ใจว่าซึ้งเรื่องลูกหอบอกลาหรือซึ้งเรื่องคนทำคลิปวิดีโอนี้ให้กันแน่

มันตัดภาพไปเป็นตอนที่พวกลูกหอมันแอบถ่ายผม ไม่ว่าจะเป็นสแนปแชต ไอจีสตอรี่ คลิปแอบถ่ายเหล่านั้นถูกอัปโหลดลง โดยที่สงครามใช้คำพูดของพวกหอสามมาประกอบ ภาพความทรงจำต่างๆ ทำเอาผมไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป ยิ่งลูกหอพูดประกอบกับคลิปที่ผมด่าพวกมัน ไล่เตะพวกมัน คอยแกล้งคอยกวนประสาทพวกมัน ผมก็ยิ่งร้องไห้หนักมากกว่าเดิม

สงครามจูบผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า อีกทั้งยังพยายามกอดปลอบผมอีกต่างหาก ผมดูคลิปในช่วงต่อไปด้วยความรู้สึกมึนๆ อึนๆ แม่งทั้งซึ้งทั้งประทับใจเกินไปจนดูต่อแทบไม่ได้

ดีใจที่มันรู้ใจผม

ดีใจที่มันทำเพื่อผม

“ทำกี่วัน”

“สองอาทิตย์อ่ะ ถ่ายแบบเก็บๆ เอา”

“...”

“ตอนนั้นมึงแอบงอนกูด้วยนี่ ที่กูหายไปถ่ายคลิปอ่ะ ฮ่าๆๆ”

ผมเม้มปาก “ไม่มีลูกหอคนไหนมีพิรุธเลย”

“พวกมันไม่อยากสร้างปัญหาให้มึงก่อนไปไง” สงครามดึงผมไปนั่งบนเตียงจากนั้นก็กอดปลอบผมเบาๆ คลิปวิดีโอจบลงไปด้วยภาพลูกหอนั่งอยู่ที่ส่วนกลางกันเกือบทั้งหมดแล้วโบกมือลาผม “แบบนี้โอเคใช่ป่ะ ไม่เอิกเกริก และมึงก็ไม่เสียน้ำตาให้พวกนั้นเห็น”

“อืม” ผมพยักหน้าหงึกๆ “มึงแม่ง...”

“ทำไม”

“ดีว่ะ”

“...”

“ขอบคุณ”

สงครามลูบศีรษะของผม “เพื่อมึง ไม่ว่าอะไรกูก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ”

“...”

“กูจะเป็นนักบิน กูจะทำให้พ่อกับแม่ของพวกเรายอมรับ โอเคป่ะ”

ผมยังคงพยักหน้าต่อไปอย่างบ้าคลั่ง “มึงทำได้”

“มึงก็ทำได้”

“ขอบคุณนะสงคราม”

“...”

“ขอบคุณสำหรับทุกเรื่องเลย”

“แค่มึงรักกูเหมือนกันกูก็ดีใจฉิบหายแล้ว”

“กูก็ดีใจที่มึงรักกู”

“มีอะไรจะบอกแหละ”

“ว่า?”

“ที่พวกนั้นมันยอมไม่จัดงานเลี้ยงอำลามึงแบบยิ่งใหญ่ เพราะกูไปให้คำสัญญากับพวกมันไว้”

“สัญญาอะไรวะ” ผมเงยหน้ามองไอ้สงครามอย่างไม่เข้าใจ

“สัญญาที่ว่ากูต้องดูแลมึงตลอดไป”

“เฮ้ย”

“มึงรู้ว่าคนอย่างสงครามไม่ผิดสัญญาใช่มั้ย”

ใจผมเต้นตึกตักไปหมด มันขยับใบหน้าเข้ามาจูบริมฝีปากของผมอย่างนุ่มนวลอ่อนหวาน

“กูจะไม่มีวันผิดสัญญา”

สายตาของผมเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ รู้แน่แท้ทีเดียวว่าสงครามมันทำตามคำพูดได้แน่ๆ ผมที่เป็นประธานหอและทำงานกับมันมานานรู้ดีว่ามันเป็นคนยังไง

“เอาศักดิ์ศรีอดีตประธานหอมาเดิมพัน” ผมขู่

“เอาตัวกับหัวใจกูไปเดิมพันเลยดีกว่า”

“...”

“ประธานหอสองรักประธานหอสามมากนะเว้ย”

“ไม่ใช่ประธานแล้วมั้ย”

“ก็อยากพูดแบบนี้อ่ะ”

“...”

“มึงรักกูบ้างป่ะอ้าย”

“รักดิ ไม่รักจะยอมให้กอดมั้ยล่ะ”

“พูดบ่อยๆ นะ อยากฟัง”

“เออ จะพูดบ่อยๆ”

“ทำกับกูบ่อยๆ เหมือนนายเอกในการ์ตูนเรื่องนั้นทำกับพระเอก”

“อะไรของมึงวะสงคราม”

“คืนนี้”

“ไม่เอา”

“ว้า...นี่กูต้องไปอ่านการ์ตูนเอาอีกแล้วเหรอ”

“แม่งเอ๊ย”

“...”

“ก็ได้”

สงครามยิ้ม กอดผมอย่างบ้าคลั่ง ทำกันก็บ่อยแต่ไม่รู้ทำไมมันถึงดีใจนักหนาเหมือนไม่ได้ร่วมรักกันมานานหลายปี ผมเกาหัวแกรกๆ พยายามเช็ดน้ำตาออกไปจากหน้า สงครามขยับริมฝีปากเข้ามาจูบซับน้ำตาให้

“กูจูบรอยน้ำตามึง คืนนี้มึงจูบรอยสักกูก็แล้วกัน”

ผมคงต้องจูบรอยสักของมันต่อไป...ตราบนานเท่านาน






END





Talk สักนิดน้าา
ในที่สุดเรื่องที่สองของเซ็ตที่คนรอคอยมากที่สุดก็จบลงแล้ววววว
เป็นยังไงบ้างคะ สงครามน่ารักสมกับที่รอคอยมั้ย 55555
ขึ้นแท่นให้เป็นหนึ่งในพระเอกคนโปรดรองจากเหนือนที (Limitless รักที่เหนือกว่า) หมอป่า (เดือนเกี้ยวเดือน) เลย

ก่อนอื่นต้องขอบคุณกลุ่มนักอ่านที่โต้รุ่งอยู่ด้วยกันนะคะ
เป็นเซ็ตนิยายที่อัพรวดเดียวจบ ไม่ทะยอยอัพทีละตอน นับว่าเป็นประสบการณ์ใหม่เลยทีเดียว
ตอนที่ปั่นนิยายเรื่องนี้ค่อนข้างเครียดอยู่เหมือนกันนะคะ
แต่พอกลับมาอ่านดูอีกที ทำไมมันไม่ได้เครียดตามความรู้สึกเราเลย
สงสัยเพราะสงครามช่วยฉุด 55555


กลายเป็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชวนยิ้มได้มากที่สุดในเซ็ต
ส่วนเรื่องแรก (ทนายอาสา) คนเขียนคิดว่าน่าจะดราม่าที่สุดแล้ว
ให้ทายว่าคีนแห่งหอสี่ พระเอกเรื่องที่สาม #ดุจนกในกรงขัง นางจะพาเรื่องเดินมาสายอะไร
ยังไม่บอกดีกว่า 555 เอาเป็นว่าทุกคนไปรอที่เรื่องนั้นกันได้เลยนะคะ
จะอัพให้อ่านแบบรวดเดียวจบตามเดิม (เซ็ตที่มากับไฟอย่างแท้ทรู)

ขอบคุณนักอ่านที่ยังเชื่อใจ
ยอมอ่านทั้งๆ ที่ชื่อเซ็ตสุดแสนจะเข้าใจยาก อีกทั้งยังชวนคิดว่าน่าจะเป็นดราม่าทั้งเซ็ต
จุดนี้บอกเลยว่าแต่งดราม่าไม่ค่อยได้ค่ะ เซ็ตนี้น่าจะดราม่าที่สุดแล้วมั้งนะ (นี่ดราม่าแล้ว?)

ไว้พบกันที่ #ดุจนกในกรงขัง คู่คีนกับน้ำเงินนะคะ
แฟนคลับสงครามอ้ายไปอ่านเถอะ เพราะพวกนางจะโผล่ไปให้หายคิดถึงทั้งต้นเรื่องถึงปลายเรื่องเลย 555

รักมากจากหัวใจ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: itsgonnabeme ที่ 31-08-2017 02:25:48
ขณะนี้เวลาตีสองกับอีกสามสิบนาที

จริงๆต้องบอกว่าเฝ้ารอคอยสงครามอ้ายมาตั้งแต่เรื่องที่แล้ว ด้วยความที่จับสังเกตได้ว่าสงครามจะเป็นผู้ชายตรงๆแมนๆในแบบที่นี่ชอบ เลยหวีดมาตั้งแต่ตอนนั้น

และต้องบอกว่าคืนนี้ก็ไม่ทำให้เจ้ผิดหวังจริงๆ อย่างที่บอกไปในเฟสว่าขอบคุณจริงๆที่สร้างพระเอกในแบบที่เจ้อยากได้มาตลอดให้มาโลดแล่นบนนิยาย ขอบคุณที่ทำให้เค้ามีชีวิต ขอบคุณที่ให้ความสุขกับเจ้

เรื่องนี้สมชื่อราชาจริงๆ เพราะทั้งสงครามและอ้ายต่างเป็นคนที่เป็นผู้นำอย่างแท้จริง ความรักของทั้งคู่อาจจะถูกถ่ายทอดผ่านเหตุการณ์หรือเรื่องราวที่ทำให้เราขำและยิ้มไปกับมันก็จริง แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปกว่านั้นนี่คือความรักในแบบของผู้ใหญ่ ความรักในแบบของคนที่ต่างรู้ว่าเรารักกันและพยายามทะนุถนอมความรักของเราอย่างดีที่สุด สิ่งที่ชอบมากคือการที่สองคนนี้มีสติอยู่เสมอ ไม่งี่เง่า ไม่ตีโพยตีพาย เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการมีความรักดีดีที่พร้อมจะทำให้อีกฝ่ายมีความสุข

นอกจากรู้สึกว่าเป็นความรักในแบบผู้ใหญ่แล้ว พี่ยังรู้สึกว่าเค้าสองคนถ่ายทอดความรักในแบบของผู้ให้ได้ดีทีเดียว เพราะเค้าสองคนต่างก็เป็นคนให้คนอื่นมาตลอด จนมาให้กันและกัน

จริงๆถ้าให้พูดถึงสงครามนี่หมดหน้ากระดาษเอสี่ก็คงไม่พอ เอาเป็นว่าสิ่งที่ชื่นชมที่สุดของสงครามคือการที่ให้เค้าเกียรติผู้อื่นเสมอ และไม่ยอมที่จะทำร้ายคนที่ตัวเองรักโดยการเห็นแก่คนอื่น

สำหรับอ้าย พี่ชอบความเป็นคนจริงและการเป็นคนที่จิตใจดี ต้องบอกว่าการเขียนโน้ตสุขใจของอ้ายเป็นอะไรที่พี่ชอบมาก คนเราต้องหาความสุขและสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นให้เจอเพื่อต่อกำลังใจในการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน อ้ายเป็นตัวอย่างในการเป็นคนดีแบบที่รู้จักตัวเองดีและพยายามเป็นคนดีเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

ชอบความสัมพันธ์ในการอยู่กันแบบชาวหอของเรื่องนี้มาก มันดูอบอุ่นและรักกันดีจริงๆ และประทับใจความเป็นผู้นำของสงครามและอ้ายมาก ซึ่งสองคนนี้ก็คนละแนวนะ เลี้ยงลูกหอคนละอย่าง แต่สิ่งที่ทำให้ลูกหอต่างรักน่าจะเป็นเพราะสองคนนี้ให้ใจลูกหอจริงๆ ซึ่งถึงวิธีการจะงงๆโหดๆไปบ้าง แต่ถ้าลูกหอสัมผัสได้ว่าตัวเองกำลังได้รับความรักที่แท้จริง เค้าก็จะยอมรับเราเอง

ขอบคุณตัวละครในเรื่องนี้ทุกตัวที่ซื่อสัตย์กับตัวเอง ขอบคุณไปป์ ขอบคุณมีน ขอบคุณเพื่อนสงครามและเพื่อนอ้ายทุกคน ขอบคุณน้องๆหอสองและหอสามที่น่ารักกับประธานหอเสมอ

และของคุณชิฟฟ่อนเค้ก ที่ทำให้พี่กลับมามีโมเม้นต์ติดนิยายแบบตามอ่านไม่หยุดจนลืมความง่วงแบบที่ไม่ได้เป็นม่หลายปีแล้ว

ภาษาของหนูเรื่องนี้ลื่นไหลดีมากจริงๆ เป็นอีกเรื่องที่รับส่งบทได้ดีมาก เห็นการพัฒนาของหนูได้ชัดเจนทีเดียว พี่เองอยู่กับหนูมาตั้งแต่ตอนเหนือคิน บอกได้เลยว่าครั้งนี้สมู๊ธมาก และลูกเล่นลูกชนเยอะจริงๆ ชอบที่เขียนให้ตลกได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยที่ไม่ต้องใช้คำหยาบหรือมุขสัปดนอะไรเลย

เป็นกำลังใจให้หนูเสมอนะคะ แล้วเราจะโตไปด้วยกันะจ๊ะ

ตั้งแต่พรุ่งนี้จะเริ่มมาอ่านใหม่ตั้งแต่ต้น และอย่างที่บอก อาจจะซื่อ2เล่มนะ อ่านเล่มเก็บเล่ม55555

ปล.เจอกันคู่คีนน้ำเงินค่ะ พี่อ่ะลุ้นคู่รองมาก

ปล.สอง ภามพี่จะมีคู่ไหม อยากอ่านเรื่องของภามมมม

ปล.สาม ก่อนหน้านี้คนที่ล้มตำแหน่งพระเอกในใจพี่ที่เคยมีเหนือยืนอยู่คือพี่โฟร์ท แต่ต่อจากนี้คนที่จะล้มพี่โฟร์ทและอยู่บนบัลลังก์ตลอดไปคือสงครามค่ะ

ปล.สี่ พี่เม้นต์ด้วยความงงๆหลังอ่านจบ และสมองเบลอแล้วเนื่องจากปกตินอนก่อนเที่ยงคืน ถ้าอ่านแล้วงงๆโปรดอย่าถือสา

อีดิทอีกที...พอดีลืมบอกรัก กล้าพูดเลยว่ารักเรื่องนี้ที่สุดในบรรดานิยายทั้งหมดของชิฟฟ่อนเค้ก และก็เบียดเป็นหนึ่งในห้าของนิยายที่เคยอ่านมาของนี่เลย รักนะ ขอบคุณจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: graciej ที่ 31-08-2017 02:38:31
อัพเร็วมาก อ่านไม่ทันเลยค่ะ  :pig4:
หน้าปกสวยมากมาย รออุดหนุนหนังสือนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: MorethanMore ที่ 31-08-2017 02:42:44
เราชอบเรื่องนี้มาก สัญญาซื้อแน่นอน น้ำตาซึมเลย สงครามน่ารักมาก ถึงมาก
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: jbook ที่ 31-08-2017 02:43:46
 :mew1: ขอบคุณค่ะ รักเลย รออุดหนุนค่ะ ไม่พลาดแน่นอน
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 31-08-2017 04:45:02
คนแต่งอัพจนจบ คนแก่ก็ตามอ่านจนจบ สรุปได้เวลาไปทำงานพอดี  o13 o13
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: TheGraosiao ที่ 31-08-2017 09:18:03
ยังไม่ได้อ่าน แต่ชอบสงครามอ้าย มาตั้งแต่อ่าน คู่ทนายอาสาแล้ว

รอไปตามเก็บรูปเล่มนะคะ เชื่อว่าต้องสนุกแน่นอน เห็นปกแล้วด้วย พี่สงเท๊เท่  o13
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: kredkaew26 ที่ 31-08-2017 10:25:34
นี่คือจะบอกว่าอ่านถึงตอนที่ 27 กลางเรื่อง ง่วงแล้วไม่ไหวอ่ะ  มันตี 3 ครึ่งแล้ว  เลยมาอ่านต่อที่ทำงานตอนเช้า  555  อยากบอกว่าสนุกมาก  ฮาอีพี่สงสุดแระ  คืออะไรรรรรรรรรร  นางจะมุ้งมิ้งไปไหน ^^  ชักสงสารพี่อ้าย  คืออ่านอยู่แล้วขำออกมาเลยอ่ะ  ต้องรีบเอามือปิดปากเพราะดึกมากแล้ว อิ อิ    ขอบคุณนะคะที่แต่งนิยายสนุกๆ ดีๆ แบบนี้มาให้อ่าน  รักคนแต่งที่ซู้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด   :pig4: :pig4: :pig4:   :bye2: :bye2: :bye2:  :กอด1: :กอด1: :กอด1:  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Apinnoolek ที่ 31-08-2017 11:05:52
อ่านจบแล้ววววว สนุกมากกกก พี่สงครามน่ารักสุดๆ รอติดตามเรื่องต่อๆไปค่า :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Dealta ที่ 31-08-2017 11:07:26
ซึ้งอะ ร้องไห้เลย ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆ :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: beautifuldead ที่ 31-08-2017 11:45:38
อ่านรวดเดียวสาแก่ใจมากกก
พี่สงครามคนจริงงง ><~~~ ถึงใจยัง งงๆ แต่การกระทำนี่ชัดเจนมาแต่ไหนแต่ไร
เชียร์คู่นี้มาตั้งแต่ตอนของทนายกับอาสา 55 ชอบความเป็นตัวแม่ของพี่อ้าย
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: TK323 ที่ 31-08-2017 13:34:26
พออ่านมาถึงตอนจบรู้สึกใจหายมากกกกก เหมือนเรารู้สึกผูกผันกับการเป็นหัวหน้าคุมหอของทั้งคู่ไปแล้ว เข้าใจความรู้สึกอ้ายเลยเหมือนเลี้ยงลูกๆมาเองกับมือ แอบน้ำตาซึมตอนฉากดูวีดีโอของคนในหอ อยากรู้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่หลังจากจบมหาลัยไปแล้ว นักบินกับวิศวะ ว๊ายตายแล้วววคือดีงาม สงครามพอมีแฟนแล้วความติ๊งต๊องก็เพิ่มขึ้น หลงแฟน รักแฟน หึงแฟน หวงแฟน ยอมแฟน  5555555555 ตอนแรกที่อ่านยังแอบคิดอยู่เลยสงครามไม่มีเค้าลางเลยจะชอบมีนที่แท้ก็เป็นแผนนี่เอง ถถถถถถ อ้ายเป็นนายเอกที่เราชอบมากกกกคนนึงเป็นคนที่มีเสน่ห์มาก(เหมือนที่สงครามบอก) ดูนิ่มนวล อบอุ่น น่าค้นหา มีความเป็นแม่สูงมากจริงๆ สงครามถึงหลงหัวปักหัวปำขนาดนี้ไง ตามไปซื้อเล่มแน่นอน เราอยากรู้ตอนพิเศษของคู่นี้มากจะเป็นอย่างไร
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 31-08-2017 14:46:13
โอ้โห มาทีเดียวจบเลยอ่ะ โคตรใจ o13
เรื่องนี้สนุกอ่ะ มีทุกอารมณ์เลย ชอบมากเลยค่ะ
ส่วนตัวอยากได้พี่อ้ายละเกิน แต่กลัวตีนพี่สงคราม :laugh:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Haruya ที่ 31-08-2017 16:48:34
ิอ่านจบแล้ว ปาดเหงื่อแป๊บบบ
อ่านทีเดียว รวด !!
เหนื่อย 555+

น่ารักมากกก สงครามกับอ้าย
โอยยยยย มีนกับไปป์ก็ฟิน
แต่ตอนจบมันเป้นเรื่องของการลาจากที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว อ่านแล้วก็ใจหายนิดๆ
แต่ไม่เป็นไรนะ ถึงจะเรียนจบแล้ว แต่สงครามก็จะอยู่กับอ้ายตลอดไป

อิอิ รอเรื่องที่สามต่อ  :bye2: o13
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 31-08-2017 19:16:00
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 31-08-2017 19:24:06
เสียดายไม่ได้อ่านพี่อ้ายกับพี่สงครามโต้รุ่ง แต่ก็อ่านทั้งวันเลยตั้งแต่ตื่นมา  :mew3: ดีใจกับคู่นี้และคู่pmeanด้วย พี่สงครามจริงๆแล้วโรแมนติกมากก ฮือออออ ขอบคุณมากค่ะ รอคู่คีนน้ำเงินต่อไป  :กอด1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Veesi3 ที่ 31-08-2017 19:38:58
สนุกมากกกกก อ่านมันส์มากค่าาา  :mew3: o13 o13
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Fangbg1001 ที่ 31-08-2017 22:04:10
ประทับใจทุกเรื่องที่แต่งจริงๆ เป็นนักเขียนที่แต่งภาษาได้ดี เข้าใจง่าย ไม่เยอะ ชอบทุกตัวละครเลย ทำให้เรารู้สึกเหมือนมันมีอยู่จริง เนื้อเรื่องไม่น่าเบื่อ ชอบผู้ชายแบบสงครามอ่ะ (อยากรู้ว่าคิดคาแรกเตอร์พระเอกแบบนี้ได้ยังไง)  ชอบกว่าหมอป่าอีกตอนนี้555555  เป็นผู้ชายที่พออยู่กับอ้ายละน่ารักเว่อร์ ต้องคิดถึงชาวหอมากแน่ๆอ่ะ  :hao5: อยากให้ในเล่มมีสเปเชียลเยอะๆเลย รอซื้อเซตนี้อยู่นะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 31-08-2017 22:45:55
รัก
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: bigbeeboom ที่ 31-08-2017 23:18:34
ชอบอ่ะ เรื่องนี้มาไม่ยาว แต่ได้ฟินกับทุกอารมณ์เลย ปล. คิดถึงโน๊ตสุขใจ อิอิ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 31-08-2017 23:44:14
ตำนานรักประธานหอ ม. B
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 01-09-2017 00:11:22
อ่านจบแล้วววขอบคุณคุณเค้กด้วยค่ะที่เอาพี่สงกัยพี่อ้ายมาส่งแบบรวดเดียวจบ สนุกมากและชอบมากด้วยพี่สงแกน่ารักจริงๆแหละ แต่เราแอบเดาผิดเรื่องมีนอะ ฮ่าๆ นึกว่ามีนชอบสงครามซะอีกที่ไหนได้แต่ก็เป็นคอนเซ็ปต์รักสี่เศร้าอยู่ดี อ่านจบแล้วแอบเศร้าเหมือนกันที่พี่สงกับพี่อ้ายเรียนจบแล้วนี่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกหอพี่อ้ายอะ ฮ่าๆๆ รอเรื่องสุดท้ายนะคะ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: plafishy ที่ 01-09-2017 01:25:25
มาแบบยาวๆจนจบแบบนี้ อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ
ชอบคู่นี้มากกกกกกกก เอาไปเขียนโน๊ตสุขใจบ้างดีกว่า 5555
ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 01-09-2017 11:05:15
สงครามเป็นพระเอกที่เท่มากจริงๆคะ ทนายธรรมดาไปเลย

แต่นี่ทีมอ้ายค่ะ



มาต่อแบบนวดเดียวยาวๆจนจบจบ จุใจมากค่ะ



ขอบคุณมากๆนะคะ

หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: hoshichi ที่ 01-09-2017 12:27:14
เราอ่านทนายอาสา แล้วรู้สึกว่าตัวเองจะเป็นทนาย
5555 มีความแอบสังเกตุคู่นี้ มันน่าจะมีซัมติง
พอราชาวิหกมา ก็มีจริงๆ คือ วันๆ กดรีเฟรชบ่อยมาก รอคนเขียนมาอัพ
จนนี่ตอนจบแล้ว ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ
ดีนะไม่หยุดอัพตอนกะลังจะดราม่าหรือช่วงมีลุ้น
ไม่งั้นขาดใจ
สงครามเป็นตัวละครที่โคตรตรงใจนะ แต่อาจจะมีบางเรื่องที่หงุดหงิด
ส่วนอ้ายยยยยยย ก็เหมือน queenมั้ยอ่ะ เป็นราชินี 55555 มีกลิ่นอายของความอยู่บนที่สูง
โดยรวมเรื่องนี้คือรักมาก

ฮ่าๆๆๆๆๆ ทนายแพ้สงครามย่อยยับเลย
โคตรปันใจอ่ะ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Ryoooo ที่ 01-09-2017 16:15:55
เราใช้เวลาสองวันในการลุ้นพี่อ้ายพี่สงมากกกกก
ขอบคุณที่อัพให้แบบไม่อั้น จุใจมากกกกกกก อ่านเพลิน หลับคาหน้าจอ
สนุกมาก เกลียดอิพี่โฮมมากด้วย ชิชิชิ
สงครามน่ารักอ่ัะ อยู่กับพี่อ้ายแล้วโครตมุ้งมิ้ง
ชอบมากค่ะ สนุกสมการรอคอยที่จะอ่าน

ไปปูเสื่อ กางเต้นพี่คีนน้องน้ำเงินก่อนนน่า ฟิ้วววว
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: npsp2555 ที่ 01-09-2017 19:38:30
ขอบคุณค่ะ น่ารักมากๆเลย  :pig4:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: tae1234 ที่ 01-09-2017 20:39:42
สนุก มาก ครับ 
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: hikari_JH ที่ 01-09-2017 22:01:15
เข้ามาอ่านแบบม้วนเดียวจบ
สนุกมากกกกกกก
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: yokibear ที่ 01-09-2017 23:05:17
ตอนจบพีคมากกก เราซึ้งมิตรภาพแบบนี้ที่สุดเลย
ความรักของสงครามแสดงออกมาได้เพื่ออ้ายจริงๆ
ขอบคุณนะคะ เราชอบทุกตัวละครเลย รูุ้สึกผูกพันมากๆ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 02-09-2017 01:17:57
ตำนานหอสุดๆ
หวีดพี่อ้ายกับพี่สงครามตั้งแต่เรื่องทนายอาสาแล้ว ฮืออ ดีใจมาก
ขอบคุณมากนะคะ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 02-09-2017 01:54:40
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: spsygk ที่ 02-09-2017 02:44:02
 :hao3: o13
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: PAiPEiPEi ที่ 02-09-2017 07:10:14
ในฐานะคนอ่านขอแสดงความคิดเห็นนะคะ  ชอบคารเเร็คเตอร์ตัวละครนะคะ  อันนี้เราว่าเป็นอะไรที่โดดเด้งชัดเจนชวนให้หน้าติดตาม  แต่พอร์ตกับการดำเนินเรื่องใครรอบนี้ (ขอเม้นรวมกัน 2 เรื่องนะคะ)  รู้สึกว่ามันขาดบางอย่างไปกลิ่นไอที่คุณชฟค. ที่เคยมี  คือขอโทษด้วยนะคะคือบรรยายความรู้สึกไม่ถูกอะอาจจะทำให้ไม่เข้าใจว่าจะสื่ออะไร   แต่ส่วนตัวแค่รู้สึกว่าขาดบางอย่างไปจริงๆค่ะเราตามอ่านคุณมาตั้งแต่เหนือนทีคินตา   อ่านมาทุกเรื่องเลยเรารู้สึกได้แบบนั้นจริงๆ 


ปล.ขอบคุณที่ตั้งใจสร้างผลงานมาให้อ่านกันนะคะ  แล้วก็อย่าโกรธเราเลยนะคะทางนี้เเค่อยากจะเเสดงความเห็นในมุมมองคนอ่านคนหนึ่งให้คนเขียนรับรู้จ้าา 
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 02-09-2017 08:09:35
 :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: HeIsMine ที่ 02-09-2017 10:15:20
ชอบเรื่องนี้มากๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Bronc ที่ 02-09-2017 12:58:16
ชอบเรื่องนี้ ชอบกลิ่นอายของอ้ายกับสงคราม
เลิฟฟฟ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Charmy ที่ 02-09-2017 15:14:32
ชอบความแม่ของอ้าย
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: A_Narciso ที่ 02-09-2017 21:03:32
 :pig4: ขอบคุณมากค่ะ พี่สงครามเท่มากๆ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 03-09-2017 00:48:11
                             :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
                 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 03-09-2017 01:30:24
สมกับการรอคอย
สงครามกับอ้าย ชอบมากๆๆๆๆๆ
อยากอ่านตอนพิเศษเลยค่ะ
จะไปโผล่ในเรื่องของคีนใช่ไหม
แล้วจะเป็นตอนต่อด้วยใช่ไหมคะ
อยากอ่านเร็วๆ แล้ว
คีนน่าจะโก๊ะๆ บ้าอำนาจ
อยากอ่านต่อเร็วๆแล้วสิ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 03-09-2017 19:05:13
คือดีงามที่สุดในโลกมนุษย์ ชอบเรื่องนี้มาก~ นอนตีสองตาดำอย่าได้แคร์ อ่านทุกตัวอักษร ทุกบรรทัด สงคราม-อ้ายเขาเหมาะกันมาก ขอบคุณค่ะ...ขอบคุณจริงๆ(ปล.ปกสวยมากกก~)
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: spiral_sai ที่ 04-09-2017 00:45:54
อ่านรวดเดียวจบ ชอบมากเลยค่าา สนุกมากๆ เป็นม.ที่น่าเรียนมาก 5555 ตอนแรกไม่กล้าอ่านเพราะชื่อเรื่องเลย >< พอได้อ่านแล้วสนุกจริงๆ ^^
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: donut4top ที่ 04-09-2017 01:21:18
ขอบคุณนะคะ ชอบมากๆเลย ยังดีที่ยังมีเรื่องพี่คีนให้อ่านต่อ ผูกพันกับทุกตัวละครในเรื่องนี้ไปแล้วสิ หวังว่าจะได้เจอทนาย อาสา อ้าย สงคราม และคนอื่นๆในเรื่องต่อไปน้า เลิ้บคนแต่ง
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 04-09-2017 01:57:46
ชอบอ้ายกับสงครามมาก แต่กว่าจะรักกันได้สงครามนี่ปากแข็งจริงๆ
ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่านนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 04-09-2017 03:47:21
 o13 ถึงไม่ค่อยได้เข้ามาเขียนcomment แต่ชอบทุกเรื่องของคุณมากค่ะ....  :-[ ยิ่งชอบไปใหญ่ที่มากระหน่ำลงจบจบ..... ไม่ค้างคา...  o13 ขอบคุณมากนะคะ  :ruready
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 04-09-2017 07:29:10
ชอบคู่สงครามอ้ายมากกก
ชอบพระเอกแบบสงครามจัง  :-[
ขอบคุณที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมานะคะ น่ารักมากๆ เลย ^^
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 04-09-2017 11:29:56
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: chayennnnnnn ที่ 04-09-2017 14:59:57
ขอบคุณชิฟฟ่อนเค้กมากกกกกกกกกกกกกกกกก รอมาพี่อ้ายมาตั้งแต่ทนายอาสาแล้ว รักคนเขียนนนนนน จุบุจุบุ ต่อไปรอพี่คีนนะคะ  สู้ๆ เราซึ้งมากเลย อยากเจอแบบพี่อ้ายกับสงครามบ้าง รอติดตามนะคะ  :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: moonoy68 ที่ 04-09-2017 15:39:07
สมการรอคอยจริงๆ ทั้งสงครามทั้งอ้ายคือมันใช่
ดีต่อใจกันทั้งคู่ แต่ที่ต่อใจสุดคือคเขียนอัพทีเดียวจบ
ยอมใจแท้ อ่านกันตาลายไปเลย 555+
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Imagine_chic ที่ 04-09-2017 19:51:38
สนุกกกกก ชอบสงครามอ้ายมาก
ตอนอ้ายกับสงครามออกจากตำแหน่งประธานหอ
แอบใจหายไปด้วยเลย
เพราะรู้สึกผูกพันกับคู่นี้ตั้งแต่เรื่องของทนายอาสา

ขอบคุณสำหรับงานดีๆนะคะ รอติดตามคู่ต่อไปน้า  :pig4:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 05-09-2017 09:10:55
คนเขียนลงรวดเดียว คนอ่านก็อ่านรวดเดียวเลยคร้าาาา  :hao3:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: italy18 ที่ 05-09-2017 12:15:45
โอ้วววว....หลงรักเรื่องนี้แบบโคตร ๆ จะรักเลยอ่ะ...สงครามแมน ดิบ เถื่อนเว่อร์ (เวลาอยู่กับพวกลูกหอสองของตัวเอง) แต่พออยู่กับอ้าย...อ่อนมาก ๆ 555 ส่วนอ้าย...พี่แกคูลมาก ๆ ตำแหน่งพี่ชายใจดีต้องยกให้พี่ท่านเลยงานนี้...ชอบที่ทั้งสองเวลางอน เวลาเคือง มีอะไรไม่เข้าใจก้อเปิดปากบอกกันตรง ๆ ไม่กั๊กไว้ให้แผลมันเรื้อรังจนใจอักเสบ...  :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: lollionlypop ที่ 05-09-2017 18:14:41
คุณเค้ก ;-; พี่สงครามจะเป็นพระเอกนัมเบอร์วันในจักรวาลของชิฟฟ่อนเค้กเลยค่ะ ชอบมากมาตั้งแต่ทนายอาสา พอได้มาอ่านเรื่องสงครามอ้ายจริงๆ มันดีมาก เป็นคาแรคเตอร์ที่ดีมาก ตอนจบจบได้ดีมากจริงๆ ค่ะ ร้องไห้เลย ร้องไห้เยอะมากๆ ขอบคุณที่เขียนนิยายดีๆ แบบนี้มาเสมอนะคะ เราติดตามมานานมาก และจะติดตามตลอดไป ขอบคุณนะคะ ;_;
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: jing_sng ที่ 05-09-2017 20:56:37
กลับมาอ่านรอบ 2 เอาจริงนะชอบเรื่องนี้กว่าเรื่องก่อนๆ แม้แต่หมอป่ากะวาโยที่เค้าชอบๆ กันยังอ่านไม่จบเลย แต่นี่เข้ามารอบที่2 มาแสดงความคิดเห็นก่อน
สิ่งที่สงครามกะอ้ายมีเหมือนกันคือ ภาวะความเป็นผู้นำ ยอมรับใจตัวเอง ไม่ก่อดราม่า โดยเฉพาะตอนคบกันแล้ว คือชีวิตจริงคนเรามีควรเคลียร์ๆ กันให้จบเร็วๆ ยิ่งปล่อยไว้ความสัมพันธ์ยิ่งเปรอะบาง สงครามนี่ได้ใจมาก อะไรจะเซ่อซ่าเรื่องความรักขนาดนี้ นกมาตั้งนานเพราะความคิดอุตรินี่แหละ มีที่ไหนจะจับอีกคนดันไปประชดเค้าซะงั้น ดีนะมีนไม่ได้รักสงครามไม่งั้นอิลุงตุงนังแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: mouymai ที่ 05-09-2017 23:31:25
สนุดมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: psyche ที่ 05-09-2017 23:42:14
ชอบความอ้าย นางไม่ดราม่า พอคบกันแล้วนางชัดเจน
ชอบความสงคราม พอนางคบกันนางบอกหมด มีความละมุน มีความขี้อวดแฟน

ชั้นชอบบบ เราอ่านของคุณทุกเรื่องเลย
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 06-09-2017 10:13:20
 :pig4: :pig4: :pig4:
คือความดีงาม
รักอ้ายรักสงครา รักมีนรักไปป์
 :mew1:
 :mew1:
 :mew1:
 :mew1:
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Maeo ที่ 06-09-2017 12:07:22
รักเรื่องนี้มากค่ะ ❤️

ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆ แบบนี้ให้อ่านค่ะ

อินมาก รักสงคราม
 :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Numai ที่ 06-09-2017 19:24:33
ชอบคู่สงครามกับอ้าย มากๆ เลยคะ

ประทับใจใจคะ ขอบคุณที่เขียนให้อ่านนะคะ

 :mew1:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 06-09-2017 21:48:45
อ่านแบบต่อเนื่อง รัวๆเลยค่ะ ชอบ

อ้ายน่ารักนะ พอทุกอย่างชัดเจน คือยอมรับน่ะว่ารักก็รัก หวงก็หวง ยอมทุกอย่าง พอชัดเจนแล้วชัดเจนอะ แสดงออกด้วย
ไม่เกี่ยงเรื่องบนเตียง ไม่ง้อยากถ้ามีเหตุผล อ้ายคือความงดงามของหอสาม คือความงามดั่งภาพวาดในใจสงคราม

สงครามอาการหนัก แต่ไม่หนักฝ่ายเดียว มีอ้ายหนักด้วย บื้อมานาน เสียเวลามากเลย
จะเนียนก็ทำไม่จบแถมจะพาลทำเอาอ้ายไม่อยากคบไปด้วยอีก สงครามทำให้อ้ายเลิกคิดมากเรื่องคนสองหอไปเลย
สงครามคือสิ่งดีงามของอ้ายนะ คือทำให้อ้ายน่ะ คนอื่นช่าง

ไปป์ก็เสียเวลากว่าอีก ไม่สนใจโลก ไม่ดูใจตัวเอง สมควรที่มีนไม่มั่นใจ
มีนก็ชอบประชดไปอีก ทำหนักขึ้นเรื่อยๆ ไปอีก แต่สุดท้ายแล้วต้องยอม เพราะไปป์ชัดเจน
คู่นี้ต้องเซ่นสงครามอ้ายนะ ไม่งั้นไปป์ก็คงยังไม่เริ่มทำอะไร

ตลกทนาย บ้าบอมาก เกรียน อาสาก็เหมือนเด็กน้อยอะ ฮาตอนประกาศกลางหอเรื่องอ้าย 5555
เด็กของขาวต้องไปรับรางวัลที่หอสองนะ

ทีมสงครามคืองานดี สงครามทำดี ทำหวานจนอ้ายไปไหนไม่รอดแล้ว  ชอบค่ะ

โอมทำตัวแย่มาก ไม่น่าพลาดเลย สมควรเจอสงคราม

ขอบคุณคนแต่งมากนะคะ เรื่องราวน่าอ่าน น่าติดตามมากค่ะ ลุ้นตลอดว่าจะเริ่มดองกันตอนไหน
จะไปติดตามเรื่องต่อไปนะคะ อย่าลืมมาต่อน้า เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Nickname ที่ 06-09-2017 23:07:42
มีนกับไปป์นี่จบแล้วเหรอค่ะ อยากอ่านต่อจัง
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 07-09-2017 05:27:22
เป็นเรื่องที่อบอุ่นดีงามมาก ขอบคุณเป็นที่สุด
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: KuMaY ที่ 07-09-2017 17:22:54
ขอบคุณคุณเค้กมากเลย ที่อัพรวดเดียวเลย
นี่ก็อ่านรวดเดียวเหมือนกัน ไม่ได้หลับ ไม่ได้นอนกันเลยทีเดียว
ตอนที่อ้ายเข้าใจว่าสงครามชอบมีน เป็นอะไรที่หน่วงมาก สงสารอ้าย
สงครามก็ชอบประชดประชัน ป๊อด น่าขัดใจ แต่พอเผยความรู้สึกแล้วเท่านั้นแระ
หลงรักสงครามแบบหัวปักหัวปำเลยจ้า คนอะไร เท่ โหด อบอุ่น ใจดี บ้าบอ ในคนเดียวกัน
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: ClioNe ที่ 07-09-2017 21:11:11
 :L2: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 09-09-2017 00:05:21
น่ารักอีกแร้วววว...  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: ldiot ที่ 09-09-2017 22:40:22
สนุกมากกกก น่ารักจริงๆเลยคู่นี้
เป็นเรื่องผู้ชายคูลๆ ที่รักจริง โอ๊ยยย ชอบบบ :katai4:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: MIwEMInE ที่ 10-09-2017 16:07:39
น่ารักดีนะคะ
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Min*Jee ที่ 10-09-2017 19:12:22
แพ้ใจความเถื่อนของสงครามมมมมมมมมม
น้องป่าตกกระป๋องไปก่อนนะลูกนะ
เรื่องนี้น่ารักมากค่ะ พี่อ้ายดีที่หนึ่งเลย
รออ่านพี่คีนต่อน้าาา
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: myapril ที่ 10-09-2017 20:02:43
คนโหดๆพอมีความรักแล้วมุ้งมิ้งอ่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 10-09-2017 21:44:58
ประธานหอสองกับหอสามคือดีงามมากกกกกกกกกกกก :heaven :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Bejae ที่ 10-09-2017 21:57:30
ปากแข็งทั้งคู่  กว่่าจะลงเอยกันได้ลุ้นแทบแย่
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: smilepengy ที่ 12-09-2017 07:41:41
สนุกมากเลย ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 12-09-2017 16:10:20
ตอนแรกเห็นชื่อเรื่องนึกว่าจะอ่านแล้วน้ำตาแตกแหง แต่จริงๆแล้วมีแต่ความสนุกสนาน น่ารัก ตลก
สงครามเท่มาก อ้ายก็สวยและดูแลลูก(หอ)ดีมาก ชอบทั้งคู่

ขอบคุณสำหรับนิยายค่า :pig4:

บวกๆจ้า :L2:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 12-09-2017 23:51:33
ชอบพี่อ้ายกับพี่สงครามาตั้งแต่เรื่องแรก ตอนนี้ยิ่งโคตรชอบ พี่อ้ายน่ารัก มีความเป็นแม่ ส่วนพี่สงครามก็ดูรักและทำทุกอย่างเพื่อพี่อ้ายมาตลอด  แอบรักมาสี่ปีเต็ม ทำทุกอย่างเพื่อพี่อ้ายมาตลอด ตอนที่เตโดนตีนหอสองก็มั่นใจแล้วว่า  พี่สงครามชอบพี่อ้ายแน่ๆ  ขอบคุณนะคะ ชอบคู่นี้ที่สุดตั้งแต่อ่านนิยายมาเลย
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: pacharapetch ที่ 13-09-2017 01:01:10
  :mew1:รักนิยายเรื่องนี้มากเลยค่ะ จริงๆแล้วเราก็ชอบนิยายของชิฟฟอนหลายๆเรื่องรวมถึงเรื่องนี้ด้วย ขึ้นแท่นเฟวเวอร์ริทเลย อยากให้มีตอนพอเศษนะคะ รักและคิดถึงพี่อ้ายมากจริงๆ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: เมียงู ที่ 13-09-2017 01:14:23
ชอบคู่นี้มากๆ เลย  :hao7:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: zabzebra ที่ 13-09-2017 15:18:24
ชอบคู่นี้มากค่ะ อ่านรวดเดียวจนจบเลย
ฮืออ สนุกทั้งคู่ สงครามอ้าย และ ไปป์มีน
สนุกมากจริงๆ เราจะซื้อหนังสือเก็บนะ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: purejupajups ที่ 13-09-2017 18:51:12
ชอบนิยายที่แต่ทุกเรื่องเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 16-09-2017 02:21:23
อ่านมาราธอนมาก วันเดียวจบไปสองภาคแล้วค่ะ จะต่อพี่คีนเลย ชอบสงครามมาก ที่สุดเลย  :hao5:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: meyj4ever ที่ 16-09-2017 09:03:03
อ่านรวดเดียวจบ ชอบคู่นี้มาตั้งแต่เรื่องของทนายกับน้องอาสาแล้ว
ว่าแล้วว่าต้องมีซัมติงกัน
ก็พี่สงครามแกเล่นยอมให้พี่อ้ายขนาดนี้เนาะ
เดี๋ยวตามไปอ่านคู่พี่คินต่อดีกว่า
ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆ ที่มีมาให้อ่านกันนะจ๊ะ แต้งงงงง
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: akiko ที่ 17-09-2017 06:52:18
ตามอ่านต่อทนายอาสา มาลุ้นพี่อ้ายกับสงคราม สนุกมากเลยค่ะ อยากอ่านตอนพิเศษของสองคนนี้จัง  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: CLShunny ที่ 17-09-2017 11:13:24
 :กอด1: :กอด1:รักกกก รักคนแบบพี่อ้าย เหมือนมีแม่อีกคน รักที่นางเทคแคร์ดีมากๆๆ ชอบบบแลื้มมมมม อบอุ่นนน5555 และขำสงครามมากกก ก้าวเท้าเข้าพ่อบ้านใจกล้าเลยจ้าาาา สู้เค้านะครามม555
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: nano ที่ 17-09-2017 17:00:52
นิยายของ chiffon  ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยจริงๆ
น่ารัก สนุก ฟิน  มีความสุขที่ได้อ่านทุกครั้ง
อยากให้มีต่อจุงเบย เขียนดีทุกเรื่องเลย อยากได้ยาวๆ
แบบจุใจ อิอิ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Zinub ที่ 18-09-2017 17:31:46
สนุกมากค่ะ ชอบมากเลย

ทั้งสงครามและอ้ายน่ารักมาก :give2:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: TOR.SOR.7 ที่ 18-09-2017 18:43:43
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: JellyKei ที่ 19-09-2017 13:28:34
ฮือ เป็นเรื่องที่น่ารักมากเลยค่ะ อ่านจบแล้วอยากมีแฟนเป็นนักบินชื่อสงครามเลยทีเดียว ชอบคาแรกเตอร์พระเอกมาก น้องอ้ายคุณแม่หอสามก็น่ารักมากเลย ตอนจบนี่ดีมากๆแพ้สงคราม เกือบร้องไห้ตามอ้ายแล้ว :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 20-09-2017 08:15:53
อื้อหือ ชอบสงครามมากอ่ะ
ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูเท่ไปหมด
ส่วนอ้ายนี้มีความเป็นแม่มากอ่ะ น่ารักดี 55555+
ไปตามอ่านเรื่องต่อไปค่ะ
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Am.FerfaHara ที่ 21-09-2017 17:56:56
เริ่มอ่านค่ะ นิยายเค้กสนุกอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Am.FerfaHara ที่ 22-09-2017 23:25:54
ขอบคุณมากเค้ก  รักสงคราม รักอ้าย รักเค้ก
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: BeauBeeiiz ที่ 23-09-2017 18:12:21
สนุกมากกก ขอสงครามอ่ะ เปิดเผยว่ารักอ้ายและเกรงใจอ้ายสัดๆ

อ้ายก็คืออ้ายอ่ะ แม่พระของหอสาม

ชอบบบบบ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: whoami ที่ 23-09-2017 23:25:17
รักเรื่องนี้นะคะ สนุก ละมุน หน่วง เศร้า เคล้าน้ำตา ทุกรสชาตมาครบหมดเลย ขอบคุณนะคะ  :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: whyrockstarx3 ที่ 23-09-2017 23:43:13
เราชอบภาษาของเรื่องเน้ แกกกกก ชอบไปหมด
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: reborn ที่ 24-09-2017 04:07:04
 o13
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 24-09-2017 15:57:17
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ สนุกแบบที่หยุดอ่านไม่ได้จริงๆ ต้องเอาให้จบทีเดียว
สงครามเป็นพระเอกที่แบบโคตรเท่อะ เท่ด้วยทั้งหน้าตา นิสัย และบุคลิกการวางตัว
หน้าตาก้อย่างที่รู้ๆกันว่าโคตรหล่อแบบเถื่อนๆ นี่ก้เท่อะ
นิสัยที่อาจจะโผงผางไปบ้าง แต่ก้ใส่ใจรายละเอียดทุกอย่าง คุมคนในหอที่โคตรเถื่อนแบบหอสองได้ และเป็นการคุมด้วยความเกรงใจและเคารพมากกว่าที่จะหวาดดกลัว ต้องบอกเลยส่าทำให้คนกลัวมันง่ายกว่าเกรงใจหรือเคารพอะ แต่สงครามทำได้แบบที่ไม่ต้องพยายาม เหมือนเป็นธรรมชาติของสงครามที่ใครๆที่ใกล้ชิดก้จะต้องเกรงใจและเคารพรวมถึงรักสงครามแน่ๆอะ
ชอบการวางตัวที่ถึงจะรู้ส่าทุกๆคนกลัวและไม่กล้าทำอะไรตัวเองแน่ๆ แต่ก้ไม่เคยกร่าง หรือไปข่มเหงรังแกคนอื่นเลย ซึ่งมันเท่มากๆๆๆๆอะ
ชอบในความรักของคนอย่างสงครามอะ คนที่ใครๆก้เกรงกลัวแต่ตัวเองกลับกลัวทุกๆเรื่องที่เกี่ยวกับอ้าย พร้อมจะทำทุกๆอย่างเพื่ออ้าย ถึงตอนแรกจะโคตรกากเรื่องจีบก้ตาม แต่พอมันคลิ๊กเข้าใจกันแล้ว สงครามนี่ก้ทำให้อ้ายกลายเป็นคนโชคดีสุดๆไปเลยอะ
เป็นคนที่แสดงออกทุกอย่างอย่างตรงไปตรงมา ทุกการกระทำมีเหตุผลที่ชัดเจนว่าทั้งหมดเพราะรักอ้ายมากก ก้เลนทั้งกลัวจนไม่กล้านู่นนี่ ทั้งทุ่มเททำทุกอย่าง ทั้งการขี้หึงขนาดหนัก อ่านแล้วเข้าใจได้ทันทีเลนว่านั่นอะเพราะรักมากจริงๆ
เซอร์ไพรซ์สุดท้ายของสงครามคือดีงามมากแบบมากสุดๆเลย ใครจะคิดว่าคนแบบสงครามจะมาทำอะไรแบบนี้ได้ ถึงจะเพื่ออ้ายก้เถอะ

ส่วนอ้ายก้เป็นคนที่ชัดเจนมากๆอะทั้งกับความรู้สึกของตัวเองที่ก้ยอมรับได้อย่างรวดเร็วว่าตัวเองชอบสงคราม และก้แสดงออกชัดเจนในตอนที่รักกันแล้วว่าทั้งรักทั้งแคร์สงครามมากขนาดไหน งอนก้แสดงออกมาชัดๆ เป็นห่วงก้บุกถึงหอ หึงก้บอกหึงงี้
เป็นประธานหอที่ทำหน้าที่เหมือนแม่จริงๆอะ คอยดูแลทั้งคนที่อยู่ในบ้านทุกคนให้มีความสุขและสะดวกสบาย รวมถึงคอยดูแลบ้านที่อยู่ให้เรียนร้อง ทั้งคอยปิดน้ำ ปิดไฟ ปิดแอร์ ล้อกบ้าน ดูแลสวน รวมถึงเวลาคนในบ้านกลับดึกๆก้อยู่รอ เป็นคุณแม่มากๆๆๆเลย
อ่านแล้วรู้สึกเอ็นดูพี่อ้ายมากๆตอนที่กำลังจะสละตำแน่งประธานหอ แม้จะใจหายตามนิดหน่อยก้ตาม

ส่วนคูรองไปป์มีนก้ดราม่ามาเต็มมากกค่าาาา
สารภาพเลยว่าตอนแรกๆไม่ชอบมีนเลย แบบทำไมต้องโผล่มาเป็นดราม่าคู่หลักตลอดงี้ ถึงบางทีจะมาแค่ชื่อก้เถอะ
ทั้งหมดนี่ต้องโทษสงครามเลยที่ทำคนไม่ชอบมีน ถ้าไม่เอาขื่อมีนมาอ้างเราคงไม่เข้าใจมีนผิดดด //กอดดมีนน
แต่พอได้อ่านพาร์ทมีนอันแรกความรู้สึกไม่ลอบก่หายไป กลายเป็นสงสารนางแทน และคอยลุ้นว่าเมื่อไหร่มีนจะสมหวังซะทีนะ
มีนน่าสงสารมาก ยิ่งทำตัวเหลวไหลเท่าไหร่ก้ยิ่งรู้สึกส่าน่าสงสารที่ต้องทำอะไรแบบนี้เพื่อเรียกร้องความสนใจจากไปป์ ทั้งๆที่ความจริงไม่มีอะไรเลย และไม่ได้อะไรกลับมาเลย ทุกอย่างดูจะยิ่งแย่ไปหมดเลยด้วยซ้ำ
ส่วนไปป์นี่เฉยๆกับนางมาก ทั้งที่ตอนรู้ว่านางชอบอ้ายก้ยังเฉยๆ อาจจะเพราะรู้ว่านางนกแน่ๆด้วยมั้งเลยไม่ทำให้เคืองอะไร55555
พอตอนที่คิดได้แล้วมาตามติดมีนนี่ก้ไม่สงสรรอีก555 ทำร้ายมีนไว้เยอะ โดนเอาคืนบ้างแค่นี้ยังไม่เท่าที่มีนโดนเลย แต่ก้พอเข้าใจได้เรื่องที่หึงที่หวงเรื่องมีนไปเที่ยวบ่อยๆงี้
รักกันดีๆซะทีเราก้แฮปปี้ กลับมาน่ารักกันเหมือนเดิม

เรื่องนี้สมชื่อราชาวิหกจริงๆอะ คือทั้งสงครามทั้งอ้ายเป็นคนที่อยู่ในตำแหน่งของราชาจริงๆ
ยิ่งใหญ่มีอำนาจเป็นประธานหอ แต่ขณะเดียวกันหน้าที่ที่ต้องทำต้องรับผิดชอบก้มากมายตามอำนาจที่มี  เป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ พอมารักกันอะไรๆมันก้จะดีค่ะ เพราะต่างฝ่ายต่างก้คิดถึงอีกฝ่ายนึงก่อนเสมอ
หลงรักคนแบบสงครามเลยอะ เป็นคนที่ดีต่อใจจริงๆไม่ว่าจะในฐานะคนรัก หัวหน้า รุ่นพี่ หรือตำแหน่งใดๆในชีวิตก้ตาม เป็นคนที่ดีต่อใจในทุกๆตำแน่งเลยอะ

ขอบคุณสำหรับซีรี่ย์คนนกนะคะ555 สนุกอีกเช่นเคยเหมือนๆที่เคยเป็นมาตลอด
จะคิบติดตามผลงานของชฟค.ต่อไปเรื่อยๆเลยค่ะ
ไปอ่านอีกเรื่องต่อเลยดีกว่าค่ะ ติดลมมาก555
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: tn ที่ 25-09-2017 17:21:12
โอ๊ยความโหดที่แสนร่ําลืออันสุดกระฉ่อนของเฮียมันช่างมุ้งมิ้งเพราะคนๆเดียวตั้งแต่เรื่องที่แล้วจนเรื่องนี้จริงๆ นับถือในความยิ่งใหญ่ของพี่อ้ายสุดๆไปเลยจ้า
ปล.ไอ้ร้านเค้กนี่มันอยู่ตรงไหนนะคะ อยากจะไปพิสูจน์ความศักดิ์สิทธิ์  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: van16 ที่ 30-09-2017 14:32:11
หลงรักสงครามกับพี่อ้าย.  :กอด1:
 :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Carina ที่ 30-09-2017 17:25:33
อ่านแล้วจิกหมอน คู่สงครามอ้ายกร๊าวใจมากค่ะ ภาพพจน์พี่อ้ายในเรื้องของทนายอาสาดูเป็นพี่ชายที่พึ่งพาได้สมเป็นประธานหอ แต่ในเรื่องนี้เหมือนได้เห็นมุมอื่นๆ ของพี่อ้ายมากขึ้นเยอะมาก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพี่สงครามถึงรัก ส่วนพี่สงคราม แม้ว่าจะหมั่นไส้ในความท่ามากของพี่แกในช่วงต้นๆ แต่ถ้าดูดีๆ แล้วพี่สงครามก็เป็นแค่ผู้ชายที่รักคนที่รักมากๆ เท่ารั้นเอง
 ขอบคุณคุณชิฟฟอนเค้กที่เขียนเรื่องราวดีๆ อย่างนี้ขึ้นมาค่ะ จะติดตามผลงานนะคะ  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: realpsy__ ที่ 30-09-2017 23:42:04
ถ้าเราเป็นพี่อ้านก็คงช็อคเด้อ มีญาติแบบนี้ยอมเอาสายสะดือรัดคอตาย(คอญาติ)
 :z6:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: realpsy__ ที่ 01-10-2017 02:35:33
ตีสองสี่สิบกับพี่อ้าย ประทับใจมาก ไม่ผิดหวังที่อ่าน ชอบคุณพี่เค้กมากๆ ค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Fish129 ที่ 01-10-2017 19:05:13
ตกหลุมรักสงคราม
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: zleep ที่ 04-10-2017 20:41:36
สงครามนี่ติดท็อปทรีพระเอกในดวงใจของเราไปแล้ว แล้วเราก็รักอ้ายมากๆ พี่อ้ายเป็นคนที่มีพลังบวกมาก ฮือ
รู้สึกอินกับการอำลาตำแหน่งประธานหอประหนึ่งว่าเราเป็นลูกหอของพี่อ้ายสะเอง เลิ้บนะคะ ;-;
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: lllittled ที่ 08-10-2017 08:30:50
เพิ่งมีเวลาตามอ่าน
อยากจะบอกว่าสงครามขึ้นแท่นที่หนึ่งพระเอกในดวงใจไปแล้ว
ฉันรักเขา ฮา ชอบบุคลิกชอบความเป็นสงคราม
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: TheWanFah ที่ 12-10-2017 15:45:50
ชอบมาก ดีมาก
อ่านแล้วหยุดไม่ได้ อ้ายน่ารักมากจริงๆ เป็นห่วงลูกหอตลอด
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: EunJin ที่ 13-10-2017 03:02:40
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเหมือนเคยค่ะ อ่านแบบจุใจมากกกกก ชอบสงครามจัง เท่ห์อ่ะ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: lemonphug ที่ 15-10-2017 19:56:04
สนุกมากอ่านรวดเดียวจบชอบทั้งอ้ายทั้งสงคราม
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: WASAWATTE ที่ 25-10-2017 21:17:52
อ่านจบแล้ว ร้องไห้กับตอนทีอ้ายดูคลิปมากมาย
แอบปลื้มสงครามมาตั้งแต่ภาคแรกแล้ว
พอรู้ว่าภาคนี้สงครามเป็นพระเอก คือพลาดไม่ได้
อ่านแล้วชอบภาคนี้มาก อะไรหลายๆ อย่างก็ลงตัว
ขอบคุณนะคะที่เขียนนิยายดีๆ มาให้เราอ่าน
ปล.อยากอ่านภาคเตไมล์
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: กวังกีเมย์บี ที่ 27-10-2017 22:58:37
ฮืออออออ อ่านจบแล้วพูดไม่ออก
ซึ่งไปกับความผูกพันธ์ของตัวละครในเรื่องนี้นี้จริงๆค่ะ
 :heaven :monkeysad: :heaven :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: AgotoZ ที่ 31-10-2017 21:29:09
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 02-11-2017 02:29:38
ตอนจบยิ่งซึ้งมากเลย จะร้องไห้ตาม ประทับใจในตัวพี่อ้ายกับเฮียสงครามมาก ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: The_22nd_Letter ที่ 04-11-2017 20:37:18
สนุกมากค่ะ นั่งอ่านนอนอ่านจนจบรวดเดียวเลย
ตัวละครทุกตัวน่าสนใจมีมิติ ชอบมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 12-11-2017 21:19:59
ชอบความรักของทั้งคู่มากๆอ่ะ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Cuddlemoon ที่ 22-11-2017 11:35:59
สงครามชอบมีนจริงปะเนี่ย หรือชอบจริงแต่เปลี่ยนใจแล้ว
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Cuddlemoon ที่ 23-11-2017 09:18:29
สงครามเป็นคนที่โคตรจริงใจแม้วิธีจีบมันจะวุ่นวายเหมาะกับสงครามมากก็ตามปวดขมับไปหมดอิลูก55555555
อ้ายนี่ก็เป็นคนหล่อแบบไม่ได่เอ่ยถึงความหล่อเว่อวังของตัวเองออกมาเลยก็ตาม
ขอบคุณที่มาลงให้อ่านรวดเดียวนะคะเพิ่งเคยเจอนิยายแบบนี้เลยไม่ได้เม้นทุกตอนเลย5555555
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 26-11-2017 18:53:46
น้ำตาร่วงน้ำตาไหลกับตอนจบ รักอ้าย ทุกคนก็รักอ้าย สงครามน่ารักจริงๆ เคารพการตัดสินใจ
แต่ก็แอบไปทำอะไรประทับใจๆ มาให้ ห้ามบอกรักอีก โอ้ย ชอบเรื่องนี้มาก สงครามคือดี
เป็นคนตัวใหญ่ที่ไม่น่ากลัวมุมน่ารักมีเยอะ โดยเฉพาะกับอ้าย นางใจดีพิเศษ นางรักกก
คิดมาตั้งแต่เรื่องทนายอาสาละ เอ๊ ทำไมพี่สงแกถึงยอมพี่อ้ายนัก ซัมติงๆ
ส่วนอ้าย ในมุมอ้ายเองที่เราอ่าน อ้ายเรียบง่าย น่ารัก ใส่ใจเรื่องคนอื่นมาก รักลูกหอมาก
เป็นคนที่หน้ามที่มาก่อนเรื่องส่วนตัว น่านับถือจริงๆ แต่พอมาอ่านมุมคนอื่น อ้ายคือสวย มีเสน่ห์
วางตัวดี ภาพลักษณ์ดี สวยเหมือนภาพวาดอ่ะ สงครามถึงทั้งรักทั้งหวง น่ารักๆๆ ชอบมากค่ะ
วาร์ปไปเรื่องถัดไป

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: lemonphug ที่ 08-12-2017 19:00:41
ชอบอ้ายกับสงครามมากๆๆๆๆๆๆๆ เป็นคู่รักที่หนึ่งในใจเราเลย ปล.สงครามโคตรเท่
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Basberry ที่ 11-12-2017 04:46:10
ชอบคู่ #อ้ายสงคราม มาก สนุกดี น่ารัก (ไม่ดราม่ามากเหมือน #ทนายอาสา) พ่อแง่แม่งอน อยากให้มีคู่นี้ภาคต่อ #เหนือคินตา ก็อยากให้มีภาคต่อ สนุกดี
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: yin ที่ 12-12-2017 21:02:13
มันคือความน่ารักและที่สุดของความซึน ป๊อด แต่สุดท้ายสงครามก็ทำได้555 อ้ายน่ารักเกินไป..อยากได้เอง(นอกเรื่อง) สนุกมาก..ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: PKDSand ที่ 15-12-2017 15:24:23
 :monkeysad: :sad4: :hao5: :mew6: :oo1: :monkeysad: :sad11:
สนุกมากเลยคร้า ยกให้พี่สงครามขึ้นเป็นพระเอกที่ 1 ตอนจบน้ำตาไหลพราก
ขอบคุณไรท์ที่แต่งนิยายดีๆมาให้ได้อ่านตลอดเลยนะคะ สู้ๆนะคะ
 :katai2-1: :mew1: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 22-12-2017 07:23:45
ตอนจบซึ้งมากเลย ต้องกลั้นน้ำตาแทบแย่ ถ้าร้องไห้บนรถไฟฟ้าเขาจะตกใจกันหมด 555

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆนะค่ะ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: memozy ที่ 25-12-2017 08:38:46
ตอนจบเศร้ามาก แต่พี่สงครามคนรักแฟนเนอะทำให้ทุกอย่าง  :mew2:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: suginosama ที่ 29-12-2017 10:01:33
สงครามเป็นผู้ชายที่โรแมนติคมากค่ะ
อ่านตอนนี้แล้วน่ารัก
รักอ้าย รักสงคราม
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: jeabjunsu ที่ 31-12-2017 10:57:24
ขอบคุณมากๆๆๆๆๆๆนะคะ สนุกมากมาย
หลงนีกสงครามกับอ้ายมาตั้งแต่อ่านทนายกับอาสาแล้ว
แล้วพอได้มาอ่านเรื่องของทั้งคู่จริง บอกได้เลยว่ารักมาก นางน่ารักทั้งคู่
สงครามีความน่ารักอยู่ในตัวตลอดเวลา เพื่ออ้ายนางทำทุกอย่างจริงๆ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง นางทำเพื่อเมียตลอด5555
อ้ายนางน่ารักนะ แม่ก็คทอแม่ รักลูกๆมาก 5555 นางสมควรมีคนมาดูแลจริงๆ แต่นางดันมีดราม่าเรื่องโอมเข้ามาให้นางไม่สบายใจเนี่ยสิ สงสารอ้ายยยย
ไปป์มีนนี่มีปมมาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ ดรนะเนี่ยที่ไปป์กลับตัวทัน ไม่งั้นตนในตัวpได้เปลี่ยนแน่จ้า 5555
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: PoPoe ที่ 02-01-2018 21:40:25
สนุกมากกกกกกก :hao5:
ขอบคุณมากนะคะ ชอบคาแร็คเตอร์ตัวละครแต่ละตัวมาก
แต่ละคนมีเหตุผล ไม่เยอะไป ไม่น้อยไป
เรื่องไม่ดราม่ามาก ตามอ่านสบายๆ เป็นของขวัญปีใหม่(สำหรับเราที่เพิ่งได้อ่านช่วงนี้)ที่ดีมาก
รอติดตามผลงานเรื่องต่อๆไปค่ะ :katai2-1:

ปล.ชอบคาแร็คเตอร์สงครามมากค่ะ ตรงๆ ฮาๆ แอบมีมุมเด๋อๆบ้างนิดหน่อย :hao3:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 03-01-2018 21:53:46
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: karashi ที่ 07-01-2018 01:09:20
สงครามอ้ายคือดีมาก จบได้ดีมากเลยค่ะ จะต้องไปซื้อเล่มเก็บแน่นอน
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: MADWHALE ที่ 08-01-2018 02:17:10
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วชอบมากๆ เลย ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: bojaemyboo ที่ 07-02-2018 23:40:51
พี่สงครามโคตรเท่อ่ะ พี่อ้ายน่ารักอ่ะมีความแม่ของลูก(หอ) o18
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: munjung ที่ 10-02-2018 18:31:16
ชอบผู้ชายแบบพี่สงครามมากค่ะ พี่อ้ายก็น่ารัก คู่นี้เหมาะสมกันมาก อ่านแล้วหยุดไม่ได้เลย รอตอนพิเศษนะคะ^^
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: iikol ที่ 03-03-2018 00:45:47
ไม่เคยคิดเลยว่า chiffon cake จะถูกเรื่องแบบ... เอิ่ม มันเม้กเซนต์ได้มากกว่านี้อะ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: piengtavan ที่ 06-03-2018 17:04:22
อ่่านแล้วอยากเข้าไปอยู่หอสามเลย  เป็นคนขายเกาเหลาก็ได้เอ้า (เหมือนจะมีความสำคัญ ใครๆก็ตามหา)
อยากได้คนอย่างอ้ายมาอยู่ในชีวิตมั่งอ่ะ มันคงจะดีมิน้อย
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Mushroom_mus ที่ 18-04-2018 20:04:04
ขอบคุณ​สำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: mybear_sr ที่ 20-04-2018 17:21:23
แอบข้ามเรื่องแรกมาอ่านเรื่องนี้ก่อนเลย แฮะๆ ชอบอ้ายมากกกกกกกกกกกกกก คนอะไรทำไมเหมือนมีความฟุ้งๆลอยๆอยู่รอบตัวตลอด นิสัยก็น่ารักมากๆ ส่วนสงครามคือรักเลย ชอบความตรงๆแมนๆแต่กลัว(ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ)เมีย ชอบค่ะ55555
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: minyjae ที่ 26-04-2018 19:35:13
ปกติไม่ใช่คชอบอ่านแนวนี้เท่าไหร่ จะชอบดราม่า เนื้อเรื่องเข้มข้น หนักๆหน่วงๆ
ทำไมอ่านเรื่องนี้แล้วชอบ ไม่เข้าใจตัวเอง หรือเพราะอ่านสายนั้นมาเยอะไปต้องการฮีลตัวเอง
รู้สึกเรื่องอ่านแล้ว เออ มันได้วะ ขอบคุณคนเขียนมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 02-06-2018 01:37:11
รักพี่อ้าย อยากได้สงคราม  :ling1:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: RiyaKwon ที่ 28-06-2018 22:24:39
อ่านตั้งแต่ต้นจนจบ บอกเลยชอบมากกกกกก
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 30-06-2018 08:14:43
รักผู้ชายแบบสงครามม
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 19-07-2018 10:48:27
สนุกมาก ๆ ครับ อ้ายน่ารักมาก สงครามโคตรโหด โคตรเท่ แต่บางมุมก็เด็กน้อยน่ารัก



ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 24-07-2018 07:59:48
ชอบคู่นี้มากๆ เลย สงครามคงต้องเท่มากๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 28-09-2018 07:12:27
สนุกมากๆๆๆๆๆๆๆ ชอบคู่นี้ ยกขึ้นหิ้งเลย o13
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: j9xss ที่ 12-12-2018 01:53:52
รักผู้ชายแบบสงครามม




Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: ชอบอ่าน ที่ 14-12-2018 23:46:36
อ่านรวดเดียวจบวางไม่ลงเลย ชอบความผูกพันของหอแต่ละหอมันอบอุ่นมาก สงครามอ้ายคือดีงามสุด
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Bear Company ที่ 01-04-2019 20:37:42
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: pearl9845 ที่ 26-04-2019 10:12:56
เรื่องนี้น่ารักมากเลยค่ะ  ชอบชอบมากมาก
 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: fulltime ที่ 24-07-2019 18:56:05
ไอสาดดดดดดดดตั้ม
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: kimhamwong ที่ 29-01-2020 10:55:17
สนุกมากๆ อ่านแล้วอ่านอีก คู่ สงคราม อ้าย ก็ยังเป็นหนึ่งในดวงใจ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: panda11 ที่ 14-02-2020 02:20:56
แอบอ่านในเวลางานตั่งแต่บ่าย อ่านจบตอนนี้ 02.26   นิยายสนุกมาก   :katai2-1:  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 19-08-2020 12:37:37
เรื่องนี้ชอบมาก วนกลับมาอ่านกี่ครั้งก็ยังสนุก สนุกจริง มีครบทุกอารมณ์  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Areya ที่ 07-03-2021 21:40:07
 :pig4: นิยายในดวงใจอีกเรื่อง ชอบความคิดเห็นตรงของสงคราม แล้วชอบความ Queen ของอ้าย แต่ที่แน่ๆคู่นี้เขาศีลเสมอกันค่ะ ฮ่าๆๆ  :L1:ขอบคุณมากๆค่ะ สำหรับงานดีๆที่มีมาให้อ่าน อ่านกี่ครั้งก็ยังฟิน
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 19-09-2021 01:03:00
 :-[
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: cakecoco-boom ที่ 08-10-2021 09:42:03
พี่อ้ายยยยย น่ารักจัง
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 24-10-2021 19:05:10
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: princessrain ที่ 15-05-2022 22:36:25
วันนี้แวะมาอ่านพี่อ้ายค่ะ อยู่ก็รู้สึกคิดถึง ขอสารภาพรักพี่อ้ายและสงครามที่สุดในเซ็ทสิบสองเศร้าเลยยย อ่านมา 4-5 รอบแล้วค่ะ สนุกมาก ไม่ว่านานแค่ไหน ตำนานก็คือตำนาน กลับมาอ่านอีกก็มีแต่ความฟินและความประทับใจ
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 17-05-2022 09:53:24
เข้ามาอ่านอีกรอบแล้ว
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: TrebleBass ที่ 24-05-2022 07:12:13
ขอบคุณม ากค่ะ  สงครามน่ารัก และอ้ายก็น่ารัก
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: moeiriver ที่ 15-02-2023 00:44:20
 :mew1:

ขอบคุณมากเลยนะคะ เรื่องนี้น่ารักมากก  แต่งได้ดีมากเลยค่ะสนุกสุดๆไปเลย
หัวข้อ: Re: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (II) ราชาวิหค l up : 31/08/17 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 07-03-2023 01:30:24
กลับมาอ่านรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้