ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นน้าค้า ชื่นใจมากกกกกกกกก
กำลังใจของฉัน
ยกที่ 4
วันเสาร์อาทิตย์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำโจทย์คณิต อ่านทวนสิ่งที่ไอ้นาวาเคยสอนๆไว้
พ่อกับแม่เดินผ่านผมทีนี่ตาเหลือกตาโตกันใหญ่ เหมือนเห็นตัวเหี้ยนั่งแดกไก่อยู่ในบ้าน
ทำไมครับ!!! ตั้งใจเรียนแล้วผิดตรงไหน
พูดแล้วก็นึกสงสัยตัวเอง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แค่รู้สึกว่าครั้งนี้อยากทำคะแนนให้มันออกมาดีๆหน่อย
…
อืม สงสัยเป็นเพราะผมกลัวโดนย้ายโรงเรียนแหงๆ
วันจันทร์
วันนี้คือวันสอบย่อยคณิตครั้งที่สาม
ผมทำข้อสอบพอถูไถ บางข้อทำได้ บางข้อต้องพึ่งบุญบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย หนูแดง เดี๋ยวสอบเสร็จพ่อ
ซื้อน้ำแดงไปให้นะลูกกกกกก
จะอะไรก็แล้วแต่ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ใช้เวลาจนหมด
ไม่อยากจะพูด ปกติทำแค่5นาทีก็เสร็จครับ
โหนี่มึงคิดเลขเร็วมาก!!??
อ๋อเปล่า ได้กระดาษคำตอบแล้วฝนเลย ไม่ต้องอ่านโจทย์ให้เสียเวลา แฮร่!!
ผมค้นพบข้อดีอย่างหนึ่งของการตั้งใจทำอะไรสักอย่าง
มันสามารถทำให้ผมลืมเรื่องที่กำลังฟุ้งซ่านอยู่ก่อนหน้าได้ เรื่องที่ผมสงสัยเกี่ยวกับคนที่ไอ้นาวานัดเจอเมื่อ
วันศุกร์
คนที่หน้าตาคล้ายๆผม ใส่ชุดโรงเรียนเดียวกัน แต่ไม่เคยเห็นหน้ามันเลยสักครั้ง
แต่ก็นะ โรงเรียนเรามีคนตั้งเป็นพัน จำหน้าไม่ได้ก็ไม่เห็นแปลกอะไร
”ไอ้พวกลูกกระจ๊อกทั้งสอง” ผมเอ่ยขึ้นขณะที่เราชาวสบู่ขาวกำลังเดินมุ่งหน้าไปกินข้าวกลางวันที่โรงอาหาร
“ไหนใครลูกกระจ๊อกของมึงไอ้สัด พูดอีกทีเดี๋ยวกูฟาดด้วยเข็มขัด มึงอย่ามาโบกเดี๋ยวเจอกูกัด”
ผัวะ!
“นี่ไม่ใช่โชว์มีเดอะมันนี่ไอ้สัด!” ผมตบหัวไอ้ฉิมไปที
รำคาญ พวกแม่งชอบจัด ไอ้สัดครั้งก่อนทำกูติดเพลงคุกกี้เสี่ยงทายไปหลายอาทิตย์
ไอ้สองตัวขำที่ทำให้ผมหัวร้อนก่อนกินข้าวได้ บางทีผมก็สงสัยว่าพวกแม่งโรคจิตปะวะ
มีความสุขกันจั๊งงงงงงงงกับอะไรแบบเนี้ย
“กูมีไรจะถาม นี่จริงจังมาก” ผมเปิดประเด็น
“อะว่ามามีไร” ไอ้ฉัตรตอบ ทำหน้าขี้เสือกแบบเต็มส้นตีน
“ในโรงเรียนเรามึงเคยเจอใครหน้าตาเหมือนกูปะวะ”
“หืม… กูไม่คุ้นเลยนะ”
”ไม่มีคนหน้าตาดีเท่ากู?”
“ไม่มีใครหน้าตาดูปัญญาอ่อนได้เท่ามึงแล้ว!!!!”
อ่ะ ตะโกนแบบพร้อมเพรียง ถามจริงพวกมึงเป็นแฝดกันป่ะ
แล้วนี่กูจะชงมุกให้พวกมันด่ากลับทำไมละเนี่ย เอ๊ออออออออ
.
.
.
“ไอ้ขุนนนน คะแนนประกาศแล้วนะเว่ย”
“อ้าวเหรอ”
“เออดิเนี่ยย กูเห็นเค้าบอกว่าคนมุงกันเต็มเลย”
“หรอ อืมๆ เดี๋ยววันไหนว่างๆกูค่อยเดินไปดูนะ บอร์ดตึกสี่ใช่ป่ะ”
“เออ… ไม่ไปดูเหรอวะเห็นมึงดูตื่นเต้นนะสอบครั้งนี้อะ”
“เห้ย ตื่นเต้นเหี้ยไร กูสายชิลอยู่แล้วไง ไม่เคยตื่นเต้น”
“อ่ะเหรอๆ” ไอ้ฉิมไอ้ฉัตรทำหน้าตาไม่เชื่อ แต่ผมหาได้สนใจไม่
ก้มหน้าลงตีป้อมROVในมือถือต่อไป “เออ ไว้วันไหนว่างค่อยเดินไปดูละกัน”
“จ้ามึง เอาที่มึงสบายใจเถอะ” พวกมันตอบ
“เออ … เห้ย กูปวดขี้ว่ะ ไปขี้แปปนะ จะปลิดออกมาก้อนนึงละ อีกนิดจะทิ้งตัวลงมาแล้ววว”
“เออไอ้สัดมึงรีบไปเลย บรรยายซะกูเห็นภาพเลยเนี่ย”
ผมไม่สนใจกับท่าทาง’ไอ้เหี้ย กูจะอ้วก’ของพวกมัน แต่รีบวิ่งหน้าตั้งไปยังห้องน้ำหมายจะปลดทุกข์ทันที
…
… ซะที่ไหนล่ะ! จะไปไหนได้ล่ะครับ ก็ไปบอร์ดตึกสี่ดิ
ไอ้เหี้ยยยยยยยยยยยย ตื่นเต้นสัดๆๆๆๆๆๆๆ ประกาศคะแนนแล้วโว้ยยย ทำไงดีวะ
ถ้าได้คะแนนดีต้องทำหน้ายังไง
แล้วถ้าได้คะแนนแย่ต้องทำตัวแบบไหน
แล้วผมจะบอกไอ้นาวายังไง
จะมีหน้าไปบอกมันเหรอวะ แม่งอุตส่าห์มาตั้งใจสอนให้ตั้งหลายวัน
ถ้าคะแนนไม่ดีมันจะเกลียดผมปะวะ
โอ้ยไอ้เหี้ยยยยยย ฟุ้งซ่านสัดๆๆ
ผมสะบัดความคิดในหัวในขณะที่สองขายังคงวิ่งด้วยความเร็วสูงหวังจะไปถึงที่หมายโดยเร็ว หากแต่ต้อง
หยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังออกมาจากหน้าต่างชั้นบน
“ไอ้ขุนนนนนนนนนนนนนนนนนนน”ผมหันหน้าไปมองตามเสียงก่อนจะพบหน้าไอ้คู่หูนรกตัวเดิมที่ยืนเท้า
แขนยิ้มแป้นแล้นอยู่ที่ขอบหน้าต่าง
“ไปขี้ไกลจังเลยนะมึงงงงงงงงงงงง”
…
เสือก!!!!!!!
บอกผมทีว่าผมควรรุ้สึกยังไงกับผลตรงหน้า
บอกผมทีว่าผมควรจะทำยังไง
บอกผมทีว่าผมควรบอกไอ้นาวาว่าอะไร
บอกผมทีว่าไอ้นาวาจะรู้สึกแบบไหน…
คิดวนไปวนมาพลางสองขาก็ก้าวมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องนี้เสียแล้ว
ม.6/3
ปึ้ก!
“ขอโทษที่ชน… อ้าว เด็กห้องอื่นนี่ มาหาใครล่ะ เรียกให้เอาป่ะ”
เด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักเอ่ยขึ้นหลังเปิดประตูออกมาจากห้อง “อืม เรียกให้เราหน่อย”
“มาหาใครล่ะ”
“นาวา”
“โห คนดังเลยนะ เครๆแปปนะ”
ผมยืนรอสักพัก ไม่นานนักไอ้นาวาก็โผล่หน้าออกมา
“มีไรมึง มาซะเร็วเลย เพิ่งเลิกเรียน”
“คะแนนกูประกาศแล้วว่ะ”
“เป็นไงบ้างล่ะ”
“ไอ้เหี้ยคือกู…” ผมตะกุกตะกัก
”อย่ามาหลอกกู กูรู้ว่ามึงทำได้”
“ทำไมมึงถึงคิดงั้น” ผมถาม
“ไม่มีเหตุผล”
“เอ้าไอ้สัด”
“กูแค่เชื่อ กูเชื่อว่ามึงทำได้”
มันตอบหน้าตาย แต่กลับมีผลต่อจิตใจผมแปลกๆ
รู้สึกเหมือนมีอะไรดันขึ้นมาในอกซะงั้น
เหี้ย ซึ้งว่ะ
“แล้วสรุปมึงได้คะแนนเท่าไหร่”
“67”
“เต็มเท่าไหร่” มันถาม
“ร้อย”
มันยิ้มกว้าง “นั่นไง กูบอกแล้วว่ามึงทำได้ ไม่ตกนี่”
ผมยิ้มตอบมัน ในใจก็นึกอยากให้มันยิ้มอยู่อย่างนั้นนานๆ
ผมตบไหล่มันเบาๆ “ขอบใจนะมึงที่เชื่อว่ากูทำได้อ่ะ”
“อ๋อ ไม่เป็นไรหรอก”มันอมยิ้ม
”บอร์ดตึกสี่มันก็ไม่ไกลจากห้องกูเท่าไหร่หรอก”
…
แล้วมาหลอกให้กูทำซึ้งตั้งนาน ไอ้เหี้ย!
ถึงแม้มันจะกวนส้นตีนผมมากขนาดไหน แต่ด้วยความที่ผมดีใจมากๆ ตอนเย็นของเราเลยจบลงที่ร้านบิงซูชื่อ
ดังใกล้โรงเรียนโดยที่ผมเป็นเจ้ามือ
แม่งมาสอนให้ตั้งหลายวัน ก็ต้องเลี้ยงตอบแทนซะหน่อย
“แดกไร” ผมถาม ก่อนจะยื่นเมนูแผ่นใหญ่ให้ ”วันนี้กูเลี้ยงเอง”
“เห้ย…”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องเกรงใจ”
“อ๋อเปล่า กูจะบอกว่า เห้ย มึงไปหยิบน้ำตรงนั้นมาให้หน่อยดิกูคอแห้ง”
“ไอ้สัด” ผมด่ามันทีเล่นทีจริง ไอ้นาวาขำที่มันกวนโมโหผมได้
ผมไม่ตอบอะไรเพิ่ม แต่เดินไปหยิบน้ำเปล่ามาให้มันสองแก้ว
“จริงๆแล้วกูล้อเล่น”
“ไม่เป็นไร กูก็หิวน้ำพอดี”
มันไม่ตอบอะไร แต่มองหน้าผมนิ่ง
“มองทำไม” ผมถาม
“เปล่า แค่คิดว่ามึงนี่ใช้ง่ายดีนะ”
“เดี๋ยวนี้คิดว่าสนิทกับกูแล้วเอาใหญ่เลยนะมึง” ผมด่า
ไอ้ห่านี่นับวันมันกวนตีนผมขึ้นเรื่อยๆปะวะ
มันไม่ตอบอะไร แต่หันไปเรียกพนักงานมาสั่งเมนู
“เอาบิงซูสตรอเบอรี่ราดชีสครับ”
“เดี๋ยวๆนี่มึงไม่คิดจะถามความเห็นกูหน่อยเหรอ” ผมแย้งขึ้นมาหลังจากที่พนักงานรับออเดอร์แล้วเดินจากไป
“อ้าว ต้องหรอ”
“กูเป็นคนพามึงมาเลี้ยง”
“ก็ใช่ไง”
เออ เอากับแม่ง
เพิ่งรู้ว่าพอสนิทขึ้นแล้วจะเป็นคนกวนส้นตีนขนาดนี้
แต่ช่างเหอะ โชคดีที่เป็นเมนูที่ผมชอบเหมือนกัน
“เออ กีฬาสีครั้งนี้มึงทำงานไรป่ะ” ผมเปิดประเด็นขึ้นมาทำลายบรรยากาศเงียบๆระหว่างรอบิงซู
“กูเป็นรองประธานสี”
“เชร้ดเข้ ทำไมมึงต้องมียศมีตำแหน่งทุกงานเลยวะไอ้วา”
”แล้วมึงทำหน้าที่อะไร”
“กู…” มันรอฟัง “กูขายกล้วยปิ้งให้ที่ห้อง”
“อุ๊บ…”
“ไอ้สัด ถ้ามึงจะขำก็ขำมาเหอะ มากลั้นขำทำเหี้ยอะไร กูเสียใจหนักกว่าเดิมอีกเนี่ย”
ผมด่ามัน ไอ้นาวาเลยหลุดขำออกมาจนหน้าแดง
“เดี๋ยวเหอะมึงมาดูถูกหน้าที่กู ขายกล้วยปิ้งมันได้เงินนะเว้ย”
“ไม่ได้ดูถูก” มันส่ายหน้าไปมา “แค่คิดว่า ขายกล้วยปิ้งก็ดูเข้ากับมึงดีนะ”
“โห พูดอย่างนี้มึงต่อยหน้ากูเหอะ”
ยังไม่ทันได้ด่าต่อ บิงซูขนาดกลางก็ถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะพร้อมกิน
ไม่รอให้ไอ้นาวาเปิดก่อน ผมรีบหยิบช้อนจ้วงเข้าปากทันที
งืมมมมมมมมม อร่อยยยยยยยยยยยยย
ผมเคี้ยวสตรอเบอรี่ในปากหงุบหงับด้วยความฟิน ก่อนจะเงยหน้าไปมองไอ้คนตรงข้ามที่ตักบิงซูกินด้วยหน้า
ตายเหมือนเคย
“ไม่อร่อยเหรอวะ” ผมถาม
“ก็เปล่านี่ อร่อยดี”
“อร่อยเหี้ยไรทำหน้านิ่งอย่างนั้น”
“ก็หน้ากูก็เป็นงี้” มันตอบ
“หรือมึงไม่ชอบรสนี้”
“เปล่า กูชอบ”
“เออนั่นสิ ไม่ชอบแล้วจะสั่งมาทำไมวะ”
ผมส่ายหัวก่อนจะตักบิงซูกินอีกรอบ “แล้วงานรองประธานสีนี่ทำอะไรบ้างวะ” ผมถามมัน
”… เยอะ”
“โอ้โฮ เอาซะกูรู้เรื่องเลย ไอ้วา รู้แล้วว่าไม่ชอบพูด แต่มึงเล่าให้กูฟังบ้างก็ได้ กูอยากเห็นภาพ”
“เหรอ”
“เออ เกิดมาไม่เคยแตะเลยเนี่ยไอ้พวกมีตำแหน่ง มียศทั้งหลาย น่าอิจฉามึงว่ะ”
“…อย่าอิจฉาเลย ไม่ดีหรอก”
มันตอบ น้ำเสียงราบนิ่งเหมือนเคย แต่ฟังแล้วรู้สึกแปลกไป
ผมเงยหน้ามองมัน
“เรื่องมันเยอะ”มันตอบอีกครั้ง
สีหน้ามันดู… เหนื่อย
เออ ใช่ มันดูเหนื่อยจริงๆ
ไอ้ห่า คิดแล้วความรู้สึกผิดก็ครอบงำจิดใจทันที นี่มันเหนื่อยกับงานมันขนาดนี้ยังอุตส่าห์เจียดเวลามาสอน
คนโง่อย่างผมอีกเหรอ
คนดีสัด
“เห้ย ไอ้วา มึงอย่าเครียดมากเลย”
ผมพยายามปลอบ
“ไม่ กูก็ไม่เครียดอะไร”
ไม่เครียดพ่อมึงคิ้วขมวดเป็นโบผูกผมแล้ว
“เอางี้ๆ ไว้วันหลังกูพาไปเลี้ยงหมูกะทะ”
“อารมณ์ไหน”
“เอ้า มึงรู้ป่ะ เวลาไปกินหมูกะทะเนี่ย พอมึงใส่หมูลงในเตาอ่ะ”
“ทำไม”
“มันจะดังว่า ซู่…ซู่…”
…
กริบเลยอะ
ไม่น่าเลย กูไม่น่าเล่นมุกสิ้นคิดนี้เลย
“อุ๊บ…”
แต่แล้วก็ต้องใจชื้นเมื่อได้ยินเสียงหลุดขำของคนตรงหน้า “มึงขำแล้ว!”
“ขำเหี้ยไร”
“มึงขำมุกกู แน้!!! ตลกอะดิทำมาเป็นนิ่งตั้งนาน กลั้นขำมันเหนื่อยนะมึง”
“ไม่ได้ขำเพราะตลก…”
“ขี้โม้ว่ะ”
“กูแค่ขำเพราะมันไม่ขำ”
เออ ฟังแล้วงงๆเนอะ
แต่ช่างเหอะ
อย่างน้อยมึงก็ยิ้มอะ
"เออแต่ยังไงกูก็ขอบคุณมึงมากนะไอ้วา" ผมพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าบิงซูถ้วยใหญ่ใกล้จะหมด
"เรื่อง?"
"ที่มึงช่วยสอนกูไง ไม่ได้มึงกูไม่ผ่านแหง"
"ไม่เป็นไร" มันตอบ ก่อนที่บรรยากาศระหว่างเราจะตกสู่ความเงียบอีกครั้ง
"แล้ว... วิชาอื่นเป็นไงบ้าง" มันถาม
"ก็ เรื่อยๆว่ะ แต่เชื่อเหอะไม่มีอะไรแย่เท่าเลขแล้ว" มันยักไหล่
"ถ้ามีแย่กว่านี้กูคงเครียดแทนพ่อมึง"
"ไอ้สัด" ผมด่ามันติดขำ ก่อนจะพูดต่อ "วิชาอื่นกูพออ่านเองได้ เดี๋ยววันพฤหัสมีสอบชีวะเนี่ย"
"ชีวะ? จานสุรีย์ป่ะ"
"สุรีย์ไหนวะ กูจำชื่อใครไม่ได้เลย แหะๆ"
มันส่ายหัวเอือมระอากับผม "ก็สุรีย์ที่มัดผมขึ้นสูงๆ ตาเล็กๆอ่ะ ไม่ใส่แว่น"
"อ๋อออออ กูนึกออกละ จานชะมดนี่เอง"
ไอ้นาวาขมวดคิ้ว "ชะมดเหี้ยไรของมึง"
"ก็หน้าเหมือนชะมด กูเรียกแบบนี้จำง่ายกว่าเยอะ เนี่ย กูมีหลายคนเลยนะ จานแพนด้า จานสมเสร็จ จานช้าง
จานลิงป่า จานอีกัวน่า"
"ไอ้สัดแต่ละตัว... ตั้งให้แต่คนอื่นแล้วอย่างมึงนี่เป็นตัวอะไรล่ะ"
"กูเหรอ"
ผมหยุดคิด คำถามนี้ไม่เคยมีคนถามมาก่อนแฮะ
"กูว่า…กูคงเป็นแมวลายหินอ่อน"
"ทำไมวะ"
"เพราะมันโดดเด่นและหาตัวจับยากไง น่อวววววววว"
ผมเอามือกำเป็นก้อนกลมก่อนจะทำเป็นบิดมือไปมาตรงหัวของตัวเอง กูสายแบ๊วก็รุ่งเว้ยมึงไม่รู้อะไร
ไอ้นาวาทำหน้าช็อคเหมือนเห็นผี ก่อนจะหลุดขำ
"โดดเด่นและหาตัวจับยากพ่อมึงเหอะ"
"เอ้า แมวลายหินอ่อนนี่สัตว์ป่าสงวนไง โห่ มึงไม่ตั้งใจเรียนชีวะอ่ะไอ้วา"
"มันอยู่ในคาบสังคม"
อ่ะหรอ แหะๆ
"อย่างมึงไม่เห็นเหมือนแมวเลย"
"อ้าว แล้วอย่างกูนี่เหมือนอะไร" ผมถามมันบ้าง
"ไม่รู้ดิ" มันตอบเหมือนไม่สนใจก่อนจะก้มหน้าลงไปตักบิงซูที่ใกล้หมดเต็มที
“แต่มึงอ่ะ กูคิดออกนะว่าเหมือนอะไร”
“อะไรวะ” มันหันมาให้ความสนใจ
“มึงเหมือนวิชาเลข”
“เพราะกูฉลาด?”
“เพราะมึงมันเข้าใจยากไอ้สัด” ผมตอบ
เลือกที่จะตบมุกให้มันแต่ไม่บอกเหตุผลจริงๆที่ผมคิดอยู่ในหัว
มันพึมพำด่าผมแต่ผมไม่ได้สนใจอะไร
ผมก้มลงตักบิงซูบ้าง แต่ยังไม่ทันได้กินไอ้นาวาก็พูดขึ้นมาก่อน
“หมา”
“หมาอะไรของมึง” ผมถาม
“กูแค่คิดว่า มึงเหมือนหมา”
“หา แบบตัวกลมๆแบบปอมๆงี้อะนะ”
“ไม่ดิ แบบพันธุ์โกลเด้นตัวใหญ่ๆอะ”
“หมายถึงว่ากูน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนมัน?”
“เปล่า ดูหลอกง่ายดี”
จ้าาาาาาาาาาาาาาาาาาา
“เหอะๆมึงก็พูดไป กูรู้หรอกว่ามึงคิดอะไรอยู่”
“อะไร”
“มึงคิดว่า”
“ว่า…”
“ เพราะหมามันน่ารัก มันอบอุ่นเหมือนกูต่างหาก ใช่ปะ”
ผมตั้งใจจะกวนตีนมันเฉยๆ แต่กลับได้ปฏิกิริยาตอบกลับที่น่าสนใจแทน
”พูดเหี้ยไรของมึง”
“ไอ้วา … มึงร้อนหรอ”
“ร้านนี้แอร์สี่ หนาวจะตาย”
“นั่นดิ แล้วทำไมหน้าแดงวะ”
“เปล่า”
“เปล่าอะไร” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ “เนี่ย ก็เห็นอยู่ว่าหน้าแดง หูก็แดง”
“เสือก!!!” มันดันอกผมออก “ถอยไป กูจะกลับบ้านแล้ว”
“ฝนตก เดี๋ยวกูไปส่งนะ กูพกร่มมา”
“ไม่ต้อง กูตากฝนได้”
“ก็กูบอกว่าเดี๋ยวกูเดินไปส่ง”
“ไม่เป็นไร”
“น่า เดี๋ยวกูไปส่ง”
“ไม่เป็นไร” คำตอบเดิมแต่เสียงต่างออกไป
ผมเงยหน้าตามเสียงที่ไม่คุ้นเคยก่อนจะได้พบกับใบหน้าประดับรอยยิ้มที่เคยเจอเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว
“มึงเป็นใคร เป็นเพื่อนไอ้วาหรอ” ผมถามด้วยน้ำเสียง(ที่พยายามอย่างมากที่จะ)เป็นมิตร
ดูใกล้ๆมันก็ไม่ได้หน้าเหมือนผมสักเท่าไหร่
แค่…คล้ายๆ…ในบางมุม ล่ะมั้ง
“กูจะเป็นอะไรกับวาก็ไม่เกี่ยวอะไรกับมึง กูขอพาวากลับก่อนแล้วกันนะ”
อ้าว ไอ้สัดนี่วอนซะแล้ว!
”ป่ะ วา กลับกัน เดี๋ยวกูพามึงไปส่งบ้าน พี่มึงโทรถามกูยิกๆเลยว่ามึงอยู่ไหน เห็นมึงไม่รับโทรศัพท์”
“อ้าว โทษที กูไม่ได้เปิดเลย” ไอ้นาวาตอบมัน
“อืม วันหลังเปิดด้วย รู้ใช่มั้ยว่ากูเป็นห่วง”
นาวาไม่ตอบ แค่เงยหน้าสบตาคนตรงข้ามแล้วอมยิ้ม พยักหน้าเบาๆ
“ดี” ไอ้คนข้างหนัาหันไปยกมือลูบหัวไอ้วาไปมา
…สงสัยจะเป็นเพื่อนกัน
…หรือเปล่าวะ
ไอ้เหี้ยนั่นไม่สนใจผม จับแขนแล้วลากไอ้วาเดินผ่านผมออกจากร้านไป
ผ่านไปเป็นนาทีแล้วแต่ผมยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ด้วยความสับสน
สิ่งที่ผมไม่เข้าใจเพียงสิ่งเดียวคือรอยยิ้มบนใบหน้าของไอ้วาที่ผ่านสายตาผมไป
เพียงครู่เดียวแต่ผมก็จำได้ ว่ามันมีสีหน้ายังไง
ผมแค่สงสัยว่าทำไม
ทำไมมึงถึงมองเพื่อนมึงด้วยสายตาแบบนั้นวะไอ้วา
(ต่อด้านล่างจ้า)