[เรื่องสั้น] ต่อยเองนักเลงพอ update ยกที่ 6 08.09.2018
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น] ต่อยเองนักเลงพอ update ยกที่ 6 08.09.2018  (อ่าน 5590 ครั้ง)

ออฟไลน์ ammriss

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด











เรื่องสั้นก่อนๆของเราเอง จบหมดแล้วววน้า :katai2-1:

จีบหมอ

อะไรของแม่งวะ










ต่อยเองนักเลงพอ


"เฮ้ย มึงต่อยกูทำไมวะ!"

"เรื่องของกู.."













“สวัสดีครับวันนี้น่ารักเหมือนเดิมเลยน้าน้องดาวววว

แต่สีหน้าดูเหนื่อยๆแต่เช้าเลยนะครับ

สงสัยจะเหนื่อยเพราะน้องดาวมาวิ่งเล่นในใจพี่ตลอดเวลาเยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”

ป้าบ!

“หนูเหนื่อยเพราะเห็นหน้าพี่แต่เช้าเนี่ยแหละค่ะไอ้สัด”

จึ้ก

โดนไป 1 ดอก

น้องดาวปากหมาจังเลยยยยย

ผมหัวเราะแห้งๆ ให้กับน้องดาวคนน่ารักแต่ปากจัดยิ่งกว่าหมาหน้าปากซอย  เป็นปกติแหละครับ ชินแล้ว

ผู้หญิงที่นี่ ต้องปรับตัวให้โหด โฉด ดุ สมกับเป็นผู้หญิงเพียงไม่กี่คนในโรงเรียนสหศึกษาแห่งนี้

นี่มึงยังกล้าเรียกตัวเองว่าโรงเรียนสหอีกเรอะ! ผู้หญิงแม่งน้อยยิ่งกว่ามาม่าเวลาน้ำท่วม

เพราะโรงเรียนแห่งนี้คือ....

“โรงเรียนนักเลง”

....จริงๆแล้วไม่ใช่ชื่อโรงเรียนหรอกครับ เป็นแค่คำพูดติดปากที่คนเค้าใช้เรียกกัน ซึ่งก็นั่นแหละ โรงเรียนที่ผมอยู่แม่งเป็น

โรงเรียนของนักเลงจริงๆ สมกับคำขวัญโรงเรียน “ปัญญาชนน้อยนิด เน้นผลิตกำลังแรงงาน”

สาสสสสส ดูเป็นโรงเรียนที่น่าอยู่มากๆเลยใข่มั้ยล่ะครับ  กูมองเห็นอนาคตอันสว่างไสวของตัวเองเลย!

ทุกวันนี้ยังนึกงอนแม่ในใจตลอดเวลาที่มาเรียนว่าแม่ส่งให้กูมาโรงเรียนนี้ทำไม หรือแม่ไม่รักกู

โรงเรียนนี้ มีสิ่งแปลกๆเยอะๆ  นักเรียนส่วนใหญ่ของที่นี่ไม่ต่างอะไรกับพวกนักเลงดีๆเลย ที่นี่เราอยู่กันเป็นแก๊ง คนเยอะคนน้อย

ก็แล้วแต่แก๊งกันไป แต่ใช่ว่าทุกแก๊งจะเก่งและมีกำลังวังชามากมายไปซะหมด

ยกตัวอย่างเช่นผมไง!

นอกจากหน้าตาดีแล้วกูก็ไม่มีอะไรดีอีกเลย กร๊ากกกกกกก

ผมชื่อขุน มีชื่อเต็มๆว่าขุนพล เหยด โคตรเท่ แค่ชื่อก็ดูหล่อล่ำบึ้ก สมาร์ทแมนแอนด์แฮนด์ซั่ม  แต่จริงๆแล้วผมแม่งเป็นคนกาก

ของโรงเรียน กำลังก็มีบ้าง เอาไว้ดักไถตังเด็ก น้อง! ส่งมา5บาท ถ้าค้นเจอเอาหมดนะเว้ย....

 ตัวสูงโปร่งแต่กล้ามเนื้อไม่ค่อยมี หน้าตาดีไปวันๆ  แต่เห็นกากๆแบบนี้ ... แก๊งนักเลงก็มีว่ะพูดเลย  มีสมาชิกแก๊งทั้งหมด 3 คน

ถ้วน หนึ่งคือไอ้ฉิม และสองคือไอ้ฉัตร สองคนนี้เป็นลูกกระจ๊อกผมเอง ส่วนผม ก็มีตำแหน่ง...แถ่นแทนแท๊น หัวหน้าแก๊งสบู่ขาว

นั่นเองงงงง ถามว่ามันสองคนเป็นคนเลือกผมเป็นหัวหน้าเหรอ ? เปล่า กูสมัครเอง เลือกเอง แต่งตั้งเอง ถุย!!!

และด้วยความที่กำลังไม่ค่อยมี  ถึงจะหน้าตาดีแต่สาวที่นี่ก็ไม่สนใจ ผมจึงได้แต่เต๊าะนิดหยอดหน่อยไปวันๆ ถือคติ น้ำหยดทุกวัน

เหล็กยังกร่อน.... อ้าวไม่ใช่เหรอ เออผมยึดคำขวัญโรงเรียนไง ครูสอนให้ใช้สมองให้น้อยที่สุด

แต่การเป็นชนกลุ่มน้อยก็ดีเหมือนกันนะ แก๊งเล็กๆที่ไม่มีใครสนใจ ใช้ชีวิตเฮฮาไปวันๆ ไม่ต้องไปมีเรื่องกับใคร เพราะไม่มีใครรู้จัก

การเป็นปมด้อยของโรงเรียนแม่งดีอย่างนี้นี่เอง ฮ่า...

“เฮ้ย ไอ้ขุน มาแล้วว่ะ”

ไอ้ฉิม ลูกกระจ๊อกเบอร์1หันมากระซิบข้างๆหูผมที่กำลังเดินก้มหน้าเช็คขี้ฟันอยู่กับหน้าจอไอโฟน  ยังไม่ทันจะได้เงยหน้าถามไอ้

ฉิมดีว่ามันพูดถึงอะไร หมัดหนักๆก็ถูกประเคนมาบนหน้าผมซะก่อน

ผัวะ!!!!!!!


“เหี้ย!”

ผมสบถออกมาด้วยความตกใจ  มือกุมที่แก้มขวาอย่างเจ็บปวด มองใบหน้าคนตรงหน้าด้วยความโกรธ

“ไอ้สัส มึงอีกแล้วหรอ! เป็นไรกับกูมากปะวะ”

ผมชี้หน้าด่ามันอย่างเดือดดาล  ไอ้คนข้างหน้านี่คือตัวเหี้ยไรไม่รู้ซึ่งแม่งชอบเดินมาต่อยหน้าผมทุกทีที่เดินสวนกัน 

คือจนตอนนี้ที่ผมโดนมันต่อยไปกี่ครั้งแล้วไม่รู้ ก็ยังไม่รู้ว่าไอ้เหี้ยข้างหน้านี้มันต่อยผมด้วยเหตุผลอะไร

รู้แค่เวลาเดินสวนกันที่ทางเดินทีไรไอ้นี่แม่งจะเดินมาต่อยผมตลอด

เวลาถามถึงเหตุผล อย่างเช่นในขณะนี้ ไอ้เหี้ยหน้านิ่งนี่ก็จะมองผมอย่างสุขุมแล้วตอบกลับมาด้วยเสียงเย็นๆว่า

“เรื่องของกู”

จบ แล้วแม่งก็เดินจากกูไปพร้อมลูกกระจ๊อกนับสิบที่เดินตามตูดมัน

สาดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด  มึงคิดว่าแก๊งมึงใหญ่แล้วมึงจะทำอะไรก็ได้หรา!!!!!!

ผมกุมแก้มขวาที่โดนชกด้วยความเจ็บใจ แผลเมื่อวันก่อนที่มึงต่อยมายังไม่หายดี อย่างน้อย มึงเปลี่ยนข้างไม่ได้เหรอวะ ใจร้าย

สัด

“วันนี้อีกแล้วเหรอวะไอ้ขุน” ไอ้ฉัตรที่เพิ่งมาโรงเรียนรีบวิ่งมาหาผมที่ยืนไฟลุกด้วยความแค้นอยู่กับไอ้ฉิม

“เออดีว่ะ ไอ้สัด กูไปทำไรให้แม่งวะ สงสัยชิบหาย”

“เออดิ เนี่ย เมื่อวานกูไปตามดูบัญชีหนังหมีของแก๊งเราชาวสบู่ขาวว่าไปทำเลวอะไรกับใครไว้บ้าง กูจดไว้เดี๋ยวกูหยิบแปป”

“เออ เอามาดูดิ้ ว่ามีที่เกี่ยวข้องกับแก๊งหงส์ดำของแม่งหรือเปล่า”

“ไม่มีเลยเว่ยไอ้ขุน มึงดู แก๊งเรามีแต่ไปเตะหมา ดักไถตังเด็ก ขโมยดินสอเพื่อน นินทาครู ขี้แล้วไม่กด เปิดกระโปรงน้องดาว

แล้วก็...”

“เฮ้ย เดี๋ยวๆไอ้สัด กูไม่ได้เปิดกระโปรงน้องดาว   บอกกูมาเดี๋ยวนี้ว่าใครเปิด!” ผมตวาดขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด

“แหะๆ... กูเอง” ไอ้ฉิมยกมือขึ้นเกาหัวแห้งๆ

“หน็อย ไอ้สัด มึงข้ามหน้าข้ามตาหัวหน้าแก๊งอย่างกูไปได้ไง!”

ผัวะ!

“หัวหน้าพ่อง  นั่นมึงแต่งตั้งเองกูไม่นับโว้ยยยย” ไอ้ฉิมตบหัวผมแล้วโวยวาย

“เออๆ เรื่องน้องดาวเดี๋ยวค่อยเคลียร์ แต่จากที่กูดู แก๊งเราไม่มีเรื่องกับแก๊งหงส์ดำเลยนะเว้ยไอ้ขุน” ไอ้ฉัตรพูด

“เออ กูก็ว่างั้น แก๊งมันดังแล้วก็ใหญ่คับโรงเรียน คนอย่างเราไม่หาเรื่องให้เปลืองแรงหรอกเว้ย”

ผมพูดอย่างฉุนเฉียว

“ไอ้ขุน  หรือว่า...”

“อะไรวะ”

“มึงเคยไปแย่งแฟนมันป่าววะ”

“เห้ย กูเปล่า มึงก็รู้กูมีแฟนล่าสุดก็ตอนป.5 ที่เลิกกันไปเพราะกูทำหนังยางกระโดดของเค้าขาดไง จำไม่ได้เหรอวะ”

“เออ ก็จริง  ถึงมึงจะหน้าตาดีแต่มึงโง่ จีบสาวไม่ติดหรอก”

“อ้าว ไอ้สัด มึงด่ากูอ่อ” ผมหันไปถลึงตาใส่ไอ้ฉัตร มันหัวเราะน้อยๆก่อนจะตบบ่าผมเบาๆ

“ช่างมันเหอะ กูก้ช่วยมึงไม่ได้และ ไม่รู้แม่งไปโกรธมึงมาจากไหน”

เออ เห็นด้วยในใจ

นึกย้อนไปเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว  เปิดเทอมม.6ใหม่ๆชีวิตยังแฮปปี้ดี๊ด๊า หน้าไร้แผลฟกช้ำ ที่ช้ำคงมีแต่ใจเราที่ไม่มีใครเอาสักที 

เฮ้อ.....

อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่กำลังเดินกินหมูย่างร้านข้างโรงเรียนอยู่กับไอ้ฉิมฉัตรดีๆ อยู่ๆก็รู้สึกได้ถึงสายตาเย็นๆที่มองพุ่งตรงมาที่ตัวผม

เงยหน้าขึ้นไปก็เจอไอ้หัวหน้าแก๊งหงส์ดำที่มีชื่อลือชาเนี่ยแหละ อยู่มาหลายปีเพิ่งเคยเจอวันแรกก็วันนี้  หน้าตาไม่เหมือนที่คิด

ไว้ น่าจะสูงร้อยเจ็บสิบปลายๆ กล้ามใช้ได้อยู่ ใส่เสื้อแล้วเท่ไม่หยอก แต่หน้าดูไม่ค่อยล่ำบึ้กถึกทึนเลย

ดูเป็นคนธรรมดากว่าที่คิดไว้


ในตอนนั้นผมคิดว่าผมอาจจะจ้องมันมากไป มันถึงส่งสายตานิ่งๆจ้องผมกลับมาแบบนั้น ด้วยความเป็นคนดีอยากผูกมิตร เผื่อแก๊ง

สบู่ขาวของเราจะได้ก้าวไกลไปขึ้นแท่นท็อปไฟฟว์ของโรงเรียนบ้าง เลยส่งยิ้มให้ไอ้หน้านิ่งที่ยืนอยู่อีกฝั่งพร้อมยกไม้หมูย่างขึ้น

พร้อมพูดว่า “หมูย่างไหม”

เท่านั้นแหละ ไอ้เหี้ยนิ่งนั่นเดินสับเท้าฉับๆๆตรงเข้ามาหาผมอย่างเร็วรี่ ไอ้เรารึก็นึกว่าห่านี่มันหิวมาก อยากแดก ผมจึงยื่นไม้หมู

ย่างไปข้างหน้าอย่างไวว่อง แต่แทนที่จะได้รับคำขอบคุณกลับเป็นหมัดหนักๆที่สวนมาอย่างฉับพลัน

ผลั่ก!!!!!

“เฮ้ย!!!”

นั่นเป็นหมัดแรกที่ผมได้จากมัน หลังจากนั้น3 เดือนต่อมาจนถึงทุกวันนี้ หน้ากูไม่ได้พักอีกเลย

อีกนิดนึงNASAคงมาวิเคราะห์หน้ากูแทนแล้วเนี่ย หน้าคนหรือผิวดวงจันทร์ ไอ้สัด ต่อยกูจนแก้มจะบุบเป็นหลุบยุบแล้วโว้ย

ยยยยย



แค้นนี้ต้องมีชำระ ไอ้นาวา แก๊งมึงจะไม่ได้พักผ่อนอีกต่อไป!!!!


....แต่รอแก๊งกูเก่งแปป
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-09-2018 18:17:06 โดย ammriss »

ออฟไลน์ no.fourth

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
อยากรู้เหตุผล...555  รอติดตามจ้า  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
นาวาต้องรอนานแค่ไหนละนั่น หืมขุนพล ฮา

ออฟไลน์ Ppkhth

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
เห้ยชอบบบบบบบบบบ 555555555555555555555555555555555555555
นาวาได้โดนแน่ แต่รอแก๊งน้องขุนแปป
ตลกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

ออฟไลน์ ammriss

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ขอบคุณสำหรับทุกเม้นนะคะ ดีใจมากเลย ^_^






ต่อยเองนักเลงพอ





ยกที่ 1 




ยกที่1


กริ๊งงงงงงงงงงง

ทันทีที่เสียงกริ่งบอกเวลาพักเที่ยงดัง ไม่ถึง2นาที ตัวผม ไอ้ขุนพลคนหน้าตาดี

คนนี้ก็ได้มาถึงโรงอาหารเป็นที่เรียบร้อย

ไวใช่มั้ยล่ะ…

ก็โรงอาหารมันอยู่ห่างจากห้องผมแค่สองตึก! มาถึงโรงอาหารก็แทบไม่มีที่ให้จองแล้ว สาดดดดด นอกจากกูจะกล้ามไม่ใหญ่

แล้วยังวิ่งช้าอีก แม่งเอ้ย คนบ้าอะไรทำไมมีดีแค่หน้าตา อิอิ

ผมมองหันซ้ายหันขวาหาที่นั่งอยู่สักพักก็เจอที่ว่างสามสี่ที่พอดี ด้วยความหน้าตาดีเลยรีบวิ่งตรงรี่เข้าหาที่ว่าง ยังไม่ทันถึงที่กูรีบ

กระโดดเข้าใส่โต๊ะเลยครับ กูจองแล้วใครก็ห้ามนั่ง!!!

“ไอ้ฉิม ไอ้ฉัตร เดี๋ยวกูจองให้ มึงไปซื้อข้าว กูเอา…”

“บะหมี่หมูแดงใส่ลูกชิ้นปลา” ไอ้ฉิมแทรก

“มึงมันรู้ใจกู เพื่อนรัก”

ผมหันไปตบบ่ามันปุๆ

“รักกับผีน่ะสิ มึงใช้กูทุกวันไอ้สัด วันหลังกูนั่งเฝ้าโต๊ะเอง มึงไปซื้อให้กูด้วย”

ผมเออออห่อหมกแล้วรีบผลักให้มันเดินไปซื้อข้าว ไอ้ฉิมแม่งก็ทำเป็นบ่นไปงั้นแหละครับ เห็นก็ยอมกูทุกที

ไม่นานนักมันก็กลับมาพร้อมกับชามบะหมี่สุดที่รักของผมก่อนมันสองตัวจะเดินไปขี้ก่อนแดก

 เป็นโรคอะไรทำไมต้องขี้ก่อนกินข้าววะ กูงง

ในขณะที่ผมกำลังจะอ้าปากแดกก็มีเสียงสวรรค์ดังขึ้นมาพอดี

“ตรงนี้มีใครนั่งมั้ยค้าา” ทันทีที่ได้ยินเสียงหวานใสของมนุษย์เพศเมียที่ขาดแคลน ผมนี่ถึงกับหันไปหาจนคอแทบเคล็ด

“ที่นั่งนี่ไม่มีใครจองจ้า ว่างพอๆกับใจพี่เลยยยยย”

ขอหยอดอัพเวล

“แหม…”

“สนใจมานั่งเปล่าครับน้อง ว่างทั้งที่นั่ง ว่างทั้งหัวใจ ให้น้องคนเดียวเลยนา..”

“ตีนกูก็ว่าง มึงสนไหมล่ะ”

ขวับ!

“ไอ้นาวา!! มึงอีกแล้วเรอะ”

“เออ” ไอ้คนที่เตี้ยกว่าผมข้างหน้าตีหน้านิ่ง

ถุย ทำเป็นเก๊กหล่อ มึงคิดว่ามึงหล่อมากมั้ย แบ๊ดบอยว่างั้น

มึงมันไม่รู้อะไร สมัยนี้เทรนด์โอปป้าเกาหลีซารางแฮแบบกูกำลังมาแรงโว้ยยยยย

“ที่นั่งนี่ไม่ว่าง กูจองแล้ว” มันบอก

“จองพ่อมึงดิ มึงเอาเมจิกวิเศษมาเขียนโต๊ะไว้รึไงว่าจอง ผู้หญิงเขามาก่อนก็ให้ผู้หญิงดิวะ”

“กูหมายถึงที่นั่งที่มึงนั่งตอนนี้ด้วย มันเป็นถิ่นกู กูไม่จำเป็นต้องเอาอะไรมาวางเพื่อจอง”

“หา! นี่มึงคิดว่าตัวเองเป็นพระเอกหนังยากูซ่าท้ารักหรือไงวะ เพ้อเจ้อ กูไม่เห็นเคยทำอะไรเพ้อเจ้อแบบมึงเลย”

“แก๊งมึงมันคนละชั้นกับกู”

โห หนังตากระตุกเลย

“ไอ้สัด มึงด่าแก๊งกูอ่อ!!”

ขึ้นเลยครับ ขึ้น ขึ้นชื่อว่าขุนพล ฆ่าได้หยามไม่ได้โว้ย

“เออ กูชมมั้ง”

ไอ้ห่านี่!!!

“ไม่รู้แหละที่นั่งกู”

ผมเอากระเป๋าวางลงบนที่นั่งแล้วยืดตัวเต็มความสูง ขยับเข้าไปใกล้มันอีกหน่อยเพื่อจะได้ข่มไอ้คนหน้านิ่งที่ยืนขมวดคิ้วอยู่ข้าง

หน้า

“นี่ถิ่นกู หลบไป”

“กูมาก่อน” ผมยักคิ้ว

ไอ้นาวาหยิบส้อมบนจานผมขึ้นมากำไว้แน่นพร้อมกับเงื้อมือขึ้นพร้อมกับจะปักลงมาที่ผมอย่างสุดแรง

เฮ้ยยยย!!!! มึงเล่นแรงเรอะ

ฉึก!!!!

“กรี้ดดดดดดดดดดดด”

ป่าวครับ ไม่ใช่ผม ยังไม่สาวแตก!!!

เสียงผู้หญิงรอบๆที่แอบยืนดูสถานการณ์ห่างๆอย่างห่วงๆต่างหาก คงเสียวแทนผมล่ะสิ กูก็เสียววาบเลยเมื่อกี้ ยิ่งกว่ามิยาบิอาโอ

อิก็ไอ้เหี้ยนี่แหละ จะทำอะไรกูไม่เคยคาดการณ์ได้

ใครจะคิดว่ามันจะเงื้อมือสุดแรงเผื่อปักส้อมมาที่ลูกชิ้นปลาลูกกลมที่อยู่ในจานบะหมี่ของผม

“ถ้ามึงยังไม่ลุก กูก็จะแย่งมึงกินไปเรื่อยๆ นี่แหละ”

ไอ้คนข้างหน้าพูดเสียงนิ่ง ท่าทางที่มันยืนเคี้ยวลูกชิ้นปลาของผมตุ้ยๆพร้อมส่งสายตาที่คิดว่ามันเหนือกว่าผมมาให้นั้นทำให้ผม

หลุดขำออกมานิดหน่อย

คิดว่าการแย่งแดกลูกชิ้นปลาโง่ๆของกุมันจะทำให้กุดิ้นทุรนทุรายรึไง

หัวหน้าแก๊งบ้าอะไรทำไมปัญญาอ่อน หึๆ

“ขำเหี้ยอะไร!!”

“ขำคนแถวนี้”

“ขำเหี้ยอะไร” มันพูดประโยคเดิมพร้อมเอื้อมมือมาจิ้มลูกชิ้นปลาบนจานผมอีกลูกพร้อมขยับยักคิ้วให้ผมอย่างสะใจ

เห็นท่าทางมันแล้วผมก็อดขำเบาๆอีกครั้งไม่ได้

“มึงหัวเราะเยาะกู”

“เปล่า ก็มึงตลกดี”

มันหน้าแดงจัดด้วยความโกรธ เสียดายไม่มีสโมคกี้ไบท์ วางไว้บนหัวแม่งคงสุกพอดี ควันออกหัวที่แท้ทรู

“สัด”

“นาวาหยาบคายอะ เรารับไม่ได้”

ผมเริ่มสนุกกับการแกล้งให้ไอ้นาวาเดือดปุดๆ

เห็นมันโมโหแล้วขำดีว่ะ

“กูไม่นั่งตรงนี้และ”

“ถิ่นมึงไม่ใช่อ่อ ยอมแพ้ง่ายจัง”

ผมได้ทีก็เอาใหญ่ ยื่นหน้าไปล้อมันใกล้ๆ

“กูไม่นั่งแล้ว เสนียด”

กำลังจะตอบโต้กลับ หากแต่มีเสียงแหลมหนึ่งดังขึ้นมาข้างๆหู

“กรี้ดดดดดดดด น่าร้ากกกกกกกกกกก แอบชิปคู่นี้มานานล้าวววว ใกล้อีกค่าใกล้อีกกกกก”




เดี๋ยว

นี่ใครวะ

เด็กผู้หญิงหน้าตาไม่น่ารักคนนี้คือใคร มายืนกรี๊ดข้างหูกูทำไม

ผมเขยิบตัวออกจากไอ้นาวาก่อนจะหันหน้ามาถามคนมาใหม่

“น้องคือใครเนี่ย”

“เป็นปาปารัสซี่มือทองของโรงเรียนค่าาาา ข่าวจริงไม่ยุ่ง มุ่งแต่ข่าวปลอม กรี้ดดด เคยจิ้นคู่นี้มานานแล้ว ขอถ่ายรูปไปลงข่าวได้มั้ยคะ”

“ไม่ได้!!!/ไม่ได้!!!”

“ง่าาา ถึงจะปฏิเสธแต่ก็แอบเขินที่พี่สองคนใจตรงกันขนาดนี้นะคะเนี่ยย สรุปจิ้นหรือจริงคะ อะไรยังงายยย”

ผมทำหน้าขยะแขยงเหมือนแดกปลาดุกที่ตายในน้ำเน่า

“โอ้ยยย น้อง ขนลุก!!! พี่-ชอบ-ผู้-หญิง-ครับ!!!” ชี้นิ้วไปที่ไอ้นาวาอย่างเกรี้ยวกราด “อย่างไอ้หน้านิ่งเนี่ย พี่ไม่เอาหรอกครับ”

ผัวะ!!!!!!

“โอ้ยย ไอ้สัดต่อยกูอีกและ”

ผมหันไปด่าได้นาวาพร้อมเอื้อมมือไปดึงคอเสื้อมันสุดแรงด้วยความโกรธ

 ไอ้นาวาหน้าแดงจัด ด่าผมด้วยน้ำเสียงนิ่งเหมือนเคย

“กูไม่ได้ไม่ชอบมึงนะ.. แต่กุเกลียดมึง!”

“โห กูรักมึงตายอะ มึงต่อยกูอีกแล้วนะ เดี๋ยวมึงได้เจอ….”

แชะ!

“เฮ้ย!!! ถ่ายรูปทำไมน้อง!”

“ก็พวกพี่น่ารักอ่าาาา ยืนคุยกันงุ้งงิ้งๆ ตัวจะติดกัน หน้าก็จะชิดกันอยู่แล้วววว”

โอ้ย!!!!! อีกนิดหัวพี่จะแบะแล้ว ด่ากันจนน้ำลายมันจะออสโมซิสเข้าเยื่อบุลูกตาพี่อยู่แล้วเนี่ย

ไอ้สัดถ้ากุติดเชื้อหมาบ้ามึงนะไอ้นาวา

“ชิ”

ไอ้นาวาสบถใส่หน้าผมก่อนจะดึงมือผมออกจากคอเสื้อมันก่อนจะเก๊กหน้านิ่งใส่ผมแล้วพูดว่า

“กูไม่กินแล้ว เหม็นเบื่อ”

ไอ้สัด กูก็เหมือนมึงนั่นแหละ!!










เช้าวันต่อมา

บีทีเอสในวันนี้ก็ยังแน่นเหมือนเคย อีกนิดตัวกูจะระเบิดเป็นโกโก้ครั้นช์แล้วเนี่ยสาดดดดดดดด

 ราคาก็เพิ่มแต่คุณภาพแม่งถดถอยเหี้ยๆ

ยืนหงิดอยู่บนบีทีเอสสักพักก็หยิบมือถือออกมากดสไลด์หน้าจอ เลื่อนแอพพลิเคชั่นสีน้ำเงินที่ใช้เป็นประจำด้วยความคล่องแคล่ว

เช้ดดดด น้องนาราวันนี้น่ารักสัดๆ

น้องมายด์ก็ใช้ได้ ยิ้มอ่อนอ้อนหัวใจเก๊าซะไม่มี

น้องเก้าก็หน้าสวยหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้าาา

น้องนาวาก็…

สัด!!!! นี่มันไอ้นาวา!!!!!

มึงกล้าดียังไงเอาหน้าโง่ๆมาแปะบนทามไลน์เฟสบุ๊คสาวๆของกู!!!!

โกรธมาก มาร์คซักเกอร์เบิร์ก มึงทำงานชุ่ยอะ ไม่รู้หรอว่ากูไม่ถูกกับมัน

แล้วนี่อะไร คิดว่ายืนยิ้มหวานใส่กล้องอย่างนี้ใครจะมาหลงหรือไง

และเสื้ออะไรย้วยชิบหาย บ้านไม่มีเงินอ่อ สภาพเหมือนเป็นเสื้อที่ใส่นอนตั้งแต่ป.1 ย้วยหย่อนยานจนกูมองลอดเห็นตาตุ่มมึงได้

แล้วเนี่ย!

เพจอะไรลงรูปมันวะ Nakleng cute boy official?

“นาวา หัวหน้าใหญ่ของแก๊งหงส์ดำ ม.6/3 สถานะยังโสด ชอบจีบได้ ใช่ขอเบอร์ แต่ยากหน่อยนะค้าาาาาเพราะคนนี้แอดมินจอง

แล้ว!!!!”

…เพจส้นตีนอะไรเนี่ยเกิดมากูก็เพิ่งเคยเห็นวันนี้แหละ

ผมกวาดสายตามองหน้าจอผ่านๆ ไอ้นาวาก็คือไอ้นาวา..

ไม่เห็นจะหน้าตาดีสมควรได้ลงตรงไหน

ก็แค่ยิ้มสวยนิดนึง

น่ารักนิดนึงเอง


…. เดี๋ยว

ไอ้สัดเมื่อกี้กูคิดอะไรออกมา

นักเลงมีกล้ามอย่างไอ้นาวาเนี่ยนะน่ารัก!!

พ่อมึงสิ กูควรเช็คสมองได้ละ ตบหัวโง่ๆของตัวเองไปสองทีก็พอดีกับที่สัญญาณบีทีเอสบอกถึงสถานีปลายทางที่ผมต้องลง ใช้

เวลาเดินไม่นานผมก็มาถึงโรงเรียนนักเลงแห่งเดิม

เดินผ่านประตูรั้วเข้ามาอย่างเท่ มือซ้ายล้วงกระเป๋า มือขวายกขึ้นเสยผมอย่างมาดแมนพร้อมขยิบตาให้สาว1ทีตามแบบฉบับของ

คาสโนว่าหาตัวจับยาก กำลังจะสาวเท้าเดินเข้าไปเต๊าะเหยื่อแต่กลับต้องหยุดชะงักอยู่กับที่ด้วยความตกใจ

เหยดเข้!!

รูปโปสเตอร์แผ่นเท่าควายข้างหน้าผมคืออะไร!!!!

ผู้ชายสองคนกำลังยืนติดกันอย่างใกล้ชิด มือของคนตัวสูงกว่ากำคอเสื้อของคนตัวเล็กกว่าแน่น ใบหน้าสองคนขึ้นสีแดงจัดด้วย

ความโกรธ มองก็ดูรู้ว่าสองคนนี้คงไม่ได้กำลังยืนคุยทักทายกันดีๆแน่ และผมจะไม่ด่าเลยถ้ารูปนี้ไม่ใช่รูปผมกับไอ้นาวา!!!

ตายยากชิบหาย เมื่อกี้เพิ่งด่าไปในใจ

ไอ้สัด เดี๋ยวนะ แล้วคนที่ปริ้นโปสเตอร์นี้มาแปะกลางบอร์ดใหญ่ของโรงเรียนต้องการอะไรจากกู?? อีเด็กคนนั้นใช่มั้ย!!! คนที่ถ่าย

รูปไปแล้วกูบอกว่าห้ามลง!

เชื่อฟังกูมาก …พ่องตายยยยยย สาดดดดดดดดด

คือตอนนั้นกูก็ไม่รู้ไงว่ากูกับไอ้นาวาจะยืนติดกันเหมือนจะฟิวส์รวมร่างกันอยู่แล้ว และคนเนี่ยจะยืนมุงดูโปสเตอร์กันเยอะๆทำไม

กูอายนะเว้ย อยากเป็นคนดังแต่ไม่ใช่วิธีนี้!!!

ผมกำหมัดแน่นด้วยความเกรี้ยวกราด อีเด็กนั่นมันอยู่ไหน กูจะไปจัดการกับมัน!!!

“โปรดทราบ นายขุนพล ห้องม.6/1 และนายนาวา ม.6/3 กรุณามาหาอาจารย์ที่ห้องฝ่ายปกครองเดี๋ยวนี้ ตอนนี้!!”


ชิบหาย งานเข้า !!!!





(ต่อด้านล่างจ้า)









« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-07-2017 12:52:42 โดย ammriss »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
คู่นี้นี้....ยังไง    :m4: :m4: :m4:

ออฟไลน์ ammriss

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
(ต่อจากด้านบนจ้า)





ปัง!

เมื่อผมเปิดประตูห้องฝ่ายกิจการนักเรียนเข้าไปก็ได้พบกับสายตาของคนสองคู่ที่มองมาที่ผมอย่างตำหนิว่ามึงจะเปิดประตูเสียงดังทำส้นตีนอะไร

“มาแล้วครับ” ผมเอ่ยกับอาจารย์หัวหน้าฝ่าย จารย์แกชื่อก้องเกียรติ

เป็นครูสอนพละควบตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายกิจการนักเรียน

แปลกป่าววะ? ไม่หรอก งี้แหละ โรงเรียนนักเลง อาจารย์ฝ่ายพละก็ต้องยิ่งใหญ่เป็นธรรมดา

และอาจารย์ก้องเกียรติแกไม่ธรรมดาจริงๆ

“อ่ะ มากันครบละ ที่เรียกมาเนี่ยรู้มั้ยว่าอาจาร์เรียกพวกเธอมาทำอะไร”

“จารย์ เลิกเก๊กเหอะ ไม่มีใครอยู่แถวนี้หรอก” ผมพูด

จารย์แกยกคิ้วขึ้นสูง ก่อนจะระเบิดขำออกมา

“เอ้ออออออ แกมันเหมือนเดิมเลยไอ้ขุน ปากเก่งเป็นที่หนึ่ง ทำมาเป็นรู้ดี อิอิ”

จารย์แกเป็นคนสอนพละครับ เลยสนิทกับเด็กเป็นธรรมดา รวมถึงผมซึ่งเคยเป็นสมาชิกชมรมฟุตบอลที่แกเคยประจำอยู่ด้วย

คือสนิทกับเด็กมากแบบอีกนิดกูลูบหัวได้แล้วอะ

“มีไรว่ามาเลยเหอะ อย่าบอกนะว่าเหงา”ผมหรี่ตามอง

"เฮ้ยยยยย เหงาแต่ไม่ง่ายนะโว้ยยยยยย” ทำเป็นยักไหล่แต่เมื่อจารย์แกหันหน้าไปพบกับสายตานิ่งๆของไอ้นาวาจึงเปิดประเด็นเข้าเรื่องซะที

“คืองี้ ครูเห็นข่าวที่แปะหน้าบอร์ดโรงเรียนแล้ว”

ผมเงียบ ไอ้นาวาก็เงียบ

ไอ้นาวามันจะเห็นโปสเตอร์นั้นหรือยังวะ?

“ดูจากรูปก็รู้ว่าพวกแกสองคนกำลังมีเรื่องทะเลาะชกตีกันในอาณาเขตบริเวณโรงเรียน

ซึ่งมันผิดกฎของโรงเรียนมาตร246ข้อ55 เพราะฉะนั้นพวกแกสองคนจะต้องโดนทำโทษ!!”

ผมยืนนิ่ง ยังงงกับสิ่งที่จารย์พูดมาเมื่อกี้ ส่วนไอ้นาวา…

“อาจารย์ครับ กฎโรงเรียนเรามีแค่240มาตรา”

อุ๊ป…..

กร๊ากกกกก กูขรรม โดนตอกกลับไป ไอ้จารย์ก้องหน้าซีดเลย

“เออ โทษที จำผิด เมื่อคืนดูบอลดึก เบลอนิโหน่ยยยย”

ถุย !!

“อย่ามาแหล!!!! ไอ้ที่จะลงโทษเรื่องชกต่อยนั่นข้ออ้างใช่ไหม! ผิดกฏโรงเรียนบ้าบออะไรกัน

ถ้ามีกฏนี้จริงแม่งนักเรียนทั้งโรงเรียนไม่โดนหมดเลยเหรอจารย์ ที่นี่โรงเรียนนักเลงนะ!!” ผมโวยวาย

“เออออออ ครูยอมรับก็ได้ ที่เอาเรื่องนั้นมาโยงเข้าหาบทลงโทษ จริงๆไม่ใช่บทลงโทษอะไรหรอก

แค่จะไหว้วานพวกแกนิดหน่อย คิดมาสักพักแล้ว”

“อะไรวะ แล้วทำไมต้องเป็นผมกับไอ้นี่”

ผมชี้นิ้วไปที่มันอย่างขยะแขยง มันก็ส่งสายตามองเหยียดมาให้ผมเช่นกัน

“ก็หาคนอยู่ ที่คิดไว้มีแก พอมีเรื่องนี้ขึ้นก็พอดีเลยเพราะรู้ว่านาวาเก่งกีฬาอยู่พอตัว”

จารย์แกเอามือลูบคางตัวเองแล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

“ด้วยอำนาจแห่งฝ่ายกิจการนักเรียน… ขอสั่งให้พวกแก…. ช่วยไปคุมชมรมบาสแทนจารย์หน่อยดิ!”











พ่อมึง กูเคยเล่นบอล ไม่ใช่เล่นบาส

จารย์ก้องมึงสับสนอะไรหรือเปล่า

และแค่สนิทกันนิดหน่อยไม่ใช่ว่าจะไหว้วานให้มาทำเหี้ยอะไรก็ได้โว้ยยยยย

ไม่ใช่เล็กๆน้อยๆเลยกับการมาคุมเด็กม.4-5ชมรมบาสทุกเย็นกับไอ้นาวาเนี่ย!
 
ก็ถูกหรอกว่าผมเล่นกีฬาพอได้บ้าง แต่ก็ไม่ถนัดไง

พอจะปฏิเสธไอ้จารย์ก้องนั่นก็ยกกฏของโรงเรียนฉบับใหม่เล่มเท่าควายแล้วอ้างนู่นนี่นั่นจนผมต้องจำใจรับหน้าที่นี้แต่โดยดี

กับไอ้คนข้างๆที่ยืนทำหน้านิ่งส่งกระแสจิตแผ่ไปยังดาวอังคารอันไกลโพ้นอยู่

ตอนนี้ผมกับมันเพิ่งเลิกเรียนครับและเราก็มาอยู่หน้าโรงยิมเรียบร้อยพร้อมกุญแจเปิดปิดยิม

ผมหันไปกำลังจะทักมันหากแต่…

ผัวะ!!!!

“โอ้ยยย เหี้ย! มึงยังไม่เลิกอีก!!!”

ผมด่า มันยังยืนนิ่งก่อนจะก้มตัวลงไปไขกุญแจเปิดยิม

ห่านี่ชกกูแล้วเดินหนีตลอด หน้าคนนะโว้ยไม่ใช่กระสอบทราย สาดดดดดดดด

“มึงจะหนีไปไหน มาเคลียร์กันให้รู้เรื่อง เดี๋ยวต้องทำงานด้วยกันอีกยาว มึงต่อยกูทำไม!!!!”

ผมเดินไปคว้าแขนมันแน่น กูเริ่มหมดความอดทนแล้วโว้ย

แต่ยังไม่ทันที่มันจะได้เอ่ยปากตอบอะไร เสียงทุ้มหลากหลายของเด็กม.5ก็ดังแทรกขึ้นมาพอดี

“พี่จะต่อยกันอ่อ!!!”

“กูเชียร์ฝั่งพี่… พี่น่ารักแล้วกัน”

“เออ กูด้วย กล้ามใหญ่กว่า เชียร์พี่น่ารัก”

“กูก็พี่น่ารัก”

กูอยากรู้ว่าพี่น่ารักที่พวกมึงพูดถึงนั่นใช่กูหรือเปล่า

“อ้าวไอ้สัด พวกมึงแย่ง กูไม่ชอบตามเทรนด์ใคร กูเชียร์พี่เอ๋อก็ได้”

โอ้โห เต็มเบ้าหู ชัดเลย

ไอ้เอ๋อมันกูนี่เอง!!!

ไม่อยากฟังมันด่าผมต่อ เลยต้องรีบหันไปเผชิญหน้ากับพวกมันแล้วพูดจาทักทาย

“เพ้อเจ้ออะไรกันพวกมึง อ่ะ หวัดดี กูชื่อขุน ส่วนไอ้นี่…”

“…”

“ทำนิ่งนะมึง ขี้เก๊กชิบหาย ชื่ออะไรก็แนะนำตัวไปดิ”

“กูชื่อนาวา”

“เออ ไอ้ขี้เก๊กเนี่ย หัวหน้าแก๊งหังส์ดำ พวกมึงคงรู้จักดี”

“โหหหววววววววว เช่ดเข้ โคตรเท่เลยว่ะพี่นาวา แล้วพี่ขุนอะ อยู่แก๊งอะไร”

อ้าวไอ้เหี้ย กูไม่รู้จะตอบยังไงเลย ถ้าตอบว่าแก๊งสบู่ขาวมึงจะรู้จักไหมอ่ะ

“กูไม่อนุญาตให้มึงถามคำถามกูโว้ยยย”

“งั้นผมถามพี่นาวาได้ใช่ปะ น่ารักอะ มีแฟนยัง”

อู้วววววววววววววววว

หน้าหม้อใช้ได้

“ไม่มีแต่กูไม่เอามึง”

หูยยยยยยยยยยยยยย

เสียงเพื่อนมันซี้ดปากกันใหญ่ ดุเด็ดเผ็ดมันจริงๆโว้ยไอ้คนเลือกได้!

“พอๆ เลิกไร้สาระได้แล้ว จารย์ก้องแม่งใช้ให้กูกับไอ้นาวามาคุมมึงเนี่ย ทำตัวดีๆ เชื่อฟังกูด้วย!”

“ถ้าพี่นาวามาอ้อนก็จะเชื่อฟังงับ”

“อ้อนตีนกูก่อนมั้ย”

ไอ้นาวาพูด เรียกเสียงหัวเราะจากเด็กๆได้ไม่น้อย

พวกมันคงเริ่มเหมือนผมละ พอได้แกล้งให้ไอ้นาวาด่าหรือโมโหก็จะรู้สึกเริ่มสนุก นี่กูบ้าปะเนี่ย

“อ่ะ มึงรีบไปเปลี่ยนชุดก่อนไปแล้วไปวอร์ม มึงฝึกกันไป กูมีหน้าที่แค่คอยคุม”

พูดจบพวกมันก็เดินแยกย้ายกันไปเปลี่ยนชุด จะว่าไปยังไม่ได้ถามชื่อพวกมันแต่ละคนเลย

แต่ช่างเหอะ  เดี๋ยวก็รู้จักกันไปเองแหละ ผู้ชายแม่งสนิทกันง่ายอยู่แล้ว

ไม่นานนักพวกมันก็ออกมาวิ่งเพื่อวอร์มรอบสนามบาสขนาดใหญ่นี่ ผมยืนมอง รู้สึกเบื่อที่ไม่ได้ทำอะไรเลยหันไปหาคนข้างๆ

“นาวามึงก็ไปวิ่งกับน้องมันดิ”

“ทำไมกูต้องไป”

“เพราะกูสั่ง”

“กูไม่ใช่ลูกน้องมึงไม่ต้องมาสั่ง”

“โหยไรวะ ไม่ใจเลย”

“มึงก็ลงไปวิ่งเองดิ”

“ทำไมกูต้องวิ่ง บ้าเปล่า”

“เพราะกูสั่ง”

“ไอ้นาวา!! กูชื่ออะไร ขุนพลนะครับบบบ ไม่ใช่กระจ๊อกแก๊งหงส์ดำ มีสิทธิอะไรมาสั่งกู”

“ไม่ใจเลยว่ะ”

“อ่ะมึงก็ไปวิ่งก่อนดิว่าแต่กู”

“กูจะวิ่งทำไมทีมึงยังไม่วิ่งเลย”

ผมย่นคิ้ว “อ่ะงั้นใจๆ ไม่ต้องวิ่งทั้งคู่ จบ”

“เออ”

“แต่กูเบื่อว่ะ ไปวิ่งกันเหอะ ทั้งคู่เนี่ยแหละ”

ไอ้นาวาทำหน้าเหมือนอยากด่าผมที่เป็นคนกลับกลอก ก่อนจะเดินลงมาจากที่นั่งเพื่อลงไปที่ตัวสนาม

เราเริ่มวิ่งกันแบบสโลว์ไลฟ์ ไม่อยากโชว์วิ่งแรงแซงทุกโค้งเพราะเดี๋ยวกล้ามเนื้ออักเสบแล้วจะมีเฮ

“ไม่ได้วิ่งมานานเลยว่ะ”

ผมพูด

“แต่กูวิ่งทุกวันเลยว่ะ”

“โอ้ยยยยยยย  นี่มึงไม่พูดจาเกทับกูสักวินาทีจะเป็นอะไรตายไหมเนี่ย”

“กูไม่ได้เกทับ กูแค่พูดความจริง”

“ปากอย่างนี้ทำไมมีเพื่อนคบวะ”

“แล้วปัญญาอ่อนแบบมึงทำไมยังมีเพื่อนคบอยู่ล่ะ”

“ไอ้สัด ด่ากูอีกละนี่ไง”

“เปล่า กูแค่พูดความจริง”

“ปากหมายังงี้เวลาจีบสาวทำไงวะเนี่ย”

“กูไม่ใช้มุกเสี่ยวบาทสองบาทแบบมึงละกัน”

“เห้ย อย่าดูถูกมุกเสี่ยวกูน้าา ถ้าได้ลองแล้วจะติดใจจจ”

“…คิดไปเอง”

“คิดไปเองจนเบื่อแล้วอะ มึงช่วยคิดถึงกูแทนได้ปะะะ”

“….”

“เป็นไง เขินอะดิมุกกู”

“อะไรนะ กูไม่ได้ฟัง”

“เอ้า กูพูดเมื่อกี้ทำไมมึงไม่ฟังกูอะ”

“แม่สอนให้ฟังแต่เรื่องมีประโยชน์”

สาดดดดดดด

ค้นพบอีกหนึ่งอย่าง : ไอ้นาวาเป็นคนกวนส้นตีน

เจอตอบแบบนี้ไปกูหยุดคุยกับมึงก็ได้สัด หันมาตั้งหน้าตั้งตาวิ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย

จนไอ้พวกน้องม.5มันเลิกวิ่งกันไปตั้งนาน หันไปซ้อมบาสกันแล้ว ผมกับไอ้นาวาก็ยังคงวิ่งกันต่อไป

แฮ่กๆๆ

เหนื่อยโว้ยยยย

แต่หยุดวิ่งก่อนไม่ได้เดี๋ยวเสียศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย

“ไอ้นาวา มึงหยุดวิ่งดิ้”

“มึงเหนื่อยก็พักไป ไอ้ขุนพล”

เป็นครั้งแรกที่มันเรียกชือผม เห้ยอมึงก็จำชื่อกูได้นี่หว่าทำไมไม่เคยเรียกชื่อซะที

“เหนื่อยเหี้ยอะไร … กู … กูแค่ จะให้มึงหยุดพัก กูเห็นมึงเหนื่อย”

“กูยังไม่เหนื่อย ได้อีกยาว”

หา!!! ได้อีกยาวเลยเรอะ

แต่กูจะหมดแรงแล้ว! ไฝว้กับมึงไม่ไหวแล้วววว

“มึงต้องไปคุม..น้องด้วยนะ… ลืมไปหรือเปล่า”

ผมพยายามหาข้ออ้าง

“และมึงไม่ไปรึไง”

“ก็ไปดิ”

“งั้นมึงก็หยุดวิ่งดิ”

“มึงหยุดก่อนดิ”

“มึงนั่นแหละหยุดก่อน”

“มึงอะหยุดก่อนสิ กูพูดให้มึงหยุดก่อนนะ”

“มึงต้องหยุดก่อน”

“เห้ย กลัวแพ้กูรึไงถึงสั่งให้กูหยุดวิ่งก่อน”

“เปล่า  แล้วมึงกลัวอะไรล่ะถึงสั่งให้กูหยุดวิ่งก่อนมึงอะ”

ผมมองหน้าไอ้นาวาด้วยความเกรี้ยวกราด

“มึงไม่หยุดใช่มั้ย”

“หลังจากที่มึงหยุด”

“ได้!!!”

ผมคว้าหมับที่แขนมันแล้วออกแรงดึงด้วยพลังช้าง

“เอ้า!! หยุดพร้อมกันและ!!”

แฮ่กๆๆ

ผมกับมันหยุดยืนที่ริมขอบสนามที่เดิม เหงื่อหยดแล้วหยดเล่าไหลลงสู่พื้นสนาม ทั้งผมและไอ้นาวาต่างตัวเปียกซ่กไปด้วยเหงื่อ

 นี่กูวิ่งกับมันไปนานแค่ไหนวะเนี่ยยยยย

เพราะแค่ความอยากเอาชนะของทั้งผมและมันนี่ทำให้ถึงกับต้องยอมวิ่งแข่งกันแบบไม่ยอมแพ้เลยเหรอวะ

เหี้ย จี้ว่ะ!

“ขำอะไร” ไอ้นาวาหันมาถามเมื่ออยู่ดีๆผมก็หัวเราะขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ หลังจากที่เรานั่งยืดแข้งยืดขากันอยู่ข้างสนาม

“ขำมึงกับกูเนี่ยแหละ”

“ทำไม”

“เล่นกันเป็นเด็กเลยว่ะ”

“กูไม่ได้เล่นกับมึงซะหน่อย”

“มึงแม่งก็ปัญญาอ่อนพอๆกับกูเนี่ยแหละไอ้นาวา”

“มึงยอมรับแล้วเหรอว่าตัวเองปัญญาอ่อน”

“เออ แต่น้อยกว่ามึงนะ”

“กูไม่ปัญญาอ่อน” ไอ้นาวาตีหน้านิ่ง

“มึงอะตัวดีเลย” ผมบอก

“มึงนั่นแหละ มึงคนเดียว”

“ถ้าไม่ปัญญาอ่อนจะมาบ้าจี้แข่งกับกูทำไม”

“มึงมันไร้สาระ”

“มึงมากกว่า” ผมเถียง

“มึงเป็นคนเริ่ม มึงมากกว่า”

“มึงอะแหละมากกว่า”

“มึงสิมากกว่า”

“มึงดิมากกว่า”

“…อุ๊ป”

อ้าวเฮ้ย

อยู่ๆไอ้นาวาที่เถียงหน้านิ่งก็หลุดขำออกมาซะงั้น

เพิ่งเคยเห็นไอ้หน้านิ่งนี่ยิ้มเป็นครั้งแรก

“มึงมันปัญญาอ่อนจริงๆว่ะ” มันพูดพร้อมกลั้นหัวเราะจนไหล่สั่น

“ไรของมึงเนี่ย” ผมมองมันด้วยท่าทีขัดใจ “จะหัวเราะก็หัวเราะดิวะ จะกลั้นขำทำไม"

"กูไม่ได้ขำ"


"มึงยิ้มแล้วก็น่ารักดีนี่”

“…..”


“อ้าว เงียบเลย”

“เรื่องของกู!”

“หน้าแดงไมอะ ร้อนหรอ”

“เรื่องของกู”

“หรือว่าเขิน”

“…เสือก!!”

ผมขำอีกรอบ ขอสรุปเลยแล้วกัน ไอ้นาวามันน่าแกล้งจริงๆครับ!

ถึงเวลายิ้มจะดูน่ารักนิดหน่อยก็จริง (เอออ นิดหน่อยยยยยจริงๆ)

แต่เวลาแหย่มันให้โมโหก็สนุกจริงๆนั่นแหละ













“กลับแล้วนะค้าบบบบบ”

ไอ้พวกเด็กเวร ส้นตีน จังไรแมน!!!

เห็นว่าจารย์ก้องใช้ผมกับไอ้นาวามาช่วยคุมชมรมให้หน่อยนี่เอาใหญ่ ใช้พวกผมต่ออย่างคุ้มเลย ไอ้พวกเด็กเวร!!!!


เมื่อไม่กี่นาทีก่อน พวกเด็กๆเลิกซ้อมแล้ว หลังจากที่แยกย้ายกันเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จพวกมันก็ออกมาจากห้องเปลี่ยนชุด

(ที่เป็นทั้งห้องเก็บของไปในตัว)พร้อมพูดกับผมด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า

“พี่ขุนนนนนน พรุ่งนี้พวกผมต้องสอบคณิตสมเกียรติอะ พี่ก็รู้ว่าแม่งยากแค่ไหนนนนนนนน ฮือออออออ”

“มึงต้องการอะไรว่ามา”

“แฮ่ รู้ดีจัง พี่ช่วยเก็บห้องให้พวกผมหน่อยดิ”

หลังจากทนการขอร้องแกมบังคับของพวกมันไม่ไหว เลยต้องจำยอมอยู่เก็บของให้มันพร้อมกับลากตัวไอ้นาวาให้อยู่ช่วยอีกแรง

กูไม่ได้กลับ มึงก็ห้ามกลับ!!!!!

ไอ้นาวาบ่นนิดหน่อยแต่แม่งก็อยู่ช่วยผมเก็บจริงๆ จนตอนนี้เวลาผ่านไปสักพักใหญ่

เราเหลือแค่ลูกบาสไม่กี่ลูกที่เมื่อหอบไปวางไว้ในห้องเก็บของได้ก็เป็นอันว่าจบสิ้นวันนี้

เฮ้อออออออ กูจะได้กลับบ้านแล้วโว้ยยยยย

“ไอ้นาวาเดี๋ยวกูแบกลูกบาสเอง มึงถือกล่องนี้ไป อ่ะ เปิดประตูห้องเก็บของให้กูด้วย”

น่าแปลกที่ครั้งนี้มันทำตามที่ผมพูดย่างว่าง่าย ไม่เถียงอะไรทั้งสิ้น สงสัยแม่งคงอยากกลับบ้านเต็มทนแล้วแหละ

เหนื่อยชิบหายเลยวันนี้

ผมวางลูกบาสหลายลูกที่หอบมาไว้บนพื้นห้อง ระหว่างทางก็เดินเตะเก้าอี้ไปหลายตัวจนนิ้วก้อยผมช้ำไปหมดแล้วเนี่ย

โรงเรียนก็รวย กับอีแค่หลอดไฟในห้องเก็บของมึงติดให้ไม่ได้รึงายยยยย

หนึ่งทุ่มกว่าแล้ว ในห้องโคตรมืด นี่ถ้ามีเสียงเพลงกล่อมเด็กอีกนิดนี่ใช่เลย

“เฮ้ออออ จบงานสักที  ไอ้นาวา กลับกันเหอะ”

ผมพูดท่ามกลางความมืดมิด นาวาไม่ตอบรับอะไร ถ้าให้เดาคงพยักหน้านิ่งๆแล้วกำลังเดินไปเปิดประตูอยู่

แกร้ก แกร้ก

“นาวา เสียงไรวะ”

แกร้ก แกร้ก

“ไอ้นาวา มึงอยู่ไหนอะ”

แกร้ก แกร้ก

“นาวา!”

ตอบกูสิ กูใจหายอะ

“ไอ้ขุนพล”

“เออ ตอบกูสักทีไอ้สัด พ่อมึงเป็นใบ้หรอ”

“ห้องล็อคว่ะ”

“อะไรนะ”

“กู-บอก-ว่า-ห้อง-ล็อค!!!”


เฮ้ย !!!!!!!















จบยกที่1










แฮร่ ชอบกันมั้ยอ่า ฝากขุนกับนาวาไว้ในอ้อมอกด้วยนะค้าาาร ฮริ้งงงงงงง

ขอบคุณสำหรับทุกเม้นค้าาา เลิฟฟฟฟฟฟ :mew1: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-07-2017 13:15:21 โดย ammriss »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
จะตีกันตาย หรือจะหันมากอดกันกลมนะ อิอิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ flimflam

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 881
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-4
โอ๊ย ห้องล็อคค่าาาาา
ทำยังไงดี 555555555

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
ตลกด้วย น่ารักด้วย ชอบ..บบบบบบบบ    :m4: :m4: :m4:

ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
นาวา น่ารักอ่ะ ถึงจะชอบใช้ความรุนแรง แต่ก็ยังน่ารัก  :-[
แอบชอบขุนพลแน่เลย แต่แสดงออกไม่เป็นใช่หรือเปล่า เลยชกเอา ๆ 555
ขุนพล เริ่มเห็นความน่ารักของนาวาแล้วใช่มะ นิดหน่อยก็ยังดี
แล้วนี่ดันมาติดในห้องกันสองคน จะทำยังไงเนี่ย  รักกันเข้าไว้เน้อ
เรื่องน่ารักมาก รอตอนต่อไปค่า ขอบคุณนะคะ :กอด1:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ ammriss

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ขอบคุณสำหรับทุกเม้นนะคะ ^^ มาต่อแล้วค่ะ




ยกที่ 2






“กู-บอก-ว่า-ห้อง-ล็อค!!!”


“เฮ้ยยยยย!”

.....

ห้องล็อค?


ห้องมันล็อคได้ยังไงวะ หรือว่า....

“กลอนที่ล็อคจากด้านนอกมันน่าจะเสียหรือเปล่าวะ” ผมเอ่ยขึ้น แต่ไร้เสียงตอบรับใดๆ

“ไอ้นาวา มึงไม่ตอบกูอะ ถึงมึงจะเกลียดกูแต่ตอนนี้เราเหลือกันสองคนนะเว้ย มึงอยู่เป็นเพื่อนกูก่อน”

“...”

“ไอ้นาวา” ไม่มีเสียงตอบรับอีกเช่นเคย หากแต่ผมได้ยินเสียงหายใจที่ถี่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว


นาวาเป็นอะไร?

ผมค่อยๆลากเท้าเดินอย่างระมัดระวังท่ามกลางความมืด เดินไปตามเสียงหายใจที่ได้ยิน

ปึ้ก!

ขาของผมสะดุดเข้ากับวัตถุก้อนกลมที่อยู่บนพื้น

“ไอ้นาวา?”

“....หือ”

“เป็นอะไรวะ”

“...ปละ...เปล่า”

ผมนั่งยองๆอยู่ข้างมันที่กำลังก้มหน้ากอดเข่าประหนึ่งพระเอกเอ็มวีถูกแฟนทิ้ง

“เปล่าบ้าอะไร ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าอย่างนี้ หรือว่า...”

“....”

“ของขาดเหรอ อยากยา?”

“....พ่อมึง...สิ”

“สรุปว่าเป็นอะไร บอกมาเร็วๆ”

“...กู...”

“...”

"กูเป็นโรค Claustrophobia”

“คือไรวะ...”

กูกลัวที่แคบ"


เชี่ย..............“จริงเปล่าวะ”


“ไม่จริงมั้ง..”

ผมนิ่งเงียบ มองดูแผ่นหลังที่สั่นๆของมันพร้อมกวาดสายตาดูพื้นที่รอบตัว

อืม.. ห้องนี้มันก็แคบจริงๆนั่นแหละ แถมมืดอีก

ผมนั่งขัดสมาธิลงข้างๆมัน พร้อมคิดหาวิธีปลอบ

เกิดมาก็ไม่เคยพบไม่เห็นซะด้วยสิ แล้วกูต้องทำยังไงวะเนี่ย

“เป็นโรคทั้งที ก็ล่อซะโรคสำออยเชียวนะมึง..”

ไม่รู้จะทำให้มันหายกลัวยังไง กูกวนตีนแม่งเลยแล้วกัน

“.....กูก็ไม่ได้อยากเป็นไง”

“กูล้อเล่นน่ะ... ไหนๆให้หมอดูอาการหน่อยซิ”

ผมสะกิดไหล่มัน

“หน้าโง่อย่างมึงเป็นหมอได้เหรอ”

โอ้โห ถึงจะตัวสั่นปากสั่นแต่หมาในปากนี่ไม่สั่นสะท้านไปด้วยจริงๆ

“ปากดีนะมึงอะ กูอุตส่าห์มานั่งเป็นเพื่อน”

“ไม่ได้ขอ”

“เอ้า กูเสือกเอง ขอโทษที งั้นกูไปนะ”

“....”

“ไปจริงๆน้า”

“...”

มันยังคงเงียบใส่ผม หากแต่ท่ามกลางความมืด มือของมันได้เอื้อมมาดึงรั้งชายเสื้อผมไว้ ผมหันหน้ากลับไปมองหน้ามันที่เห็น
เพียงเลือนราง

คนอะไร

ทำไมน่าแกล้งได้ขนาดนี้

เหมือนเด็กเลย ต้องการอะไรแต่ไม่กล้าพูด กลัวเสียฟอร์มล่ะสิ

อยากแกล้ง


“รั้งทำไมล่ะ”


“....”


“ไม่พูดแล้วจะรู้ไหมเนี่ย”


“....”


“รั้งทำไม”


“...”


“ตอบสิครับ”


มันตอบผมด้วยเสียงอู้อี้ที่เบามากจนผมไม่ได้ยิน


“อะไรนะ พูดใหม่ดิ”


“กูบอกว่า........... อยู่กับกูก่อน”


“สั่งกูอ่อ ไม่อยากทำตามอะ”


“ไม่ได้สั่ง”


“ไม่ได้สั่งงั้นอะไร”


“.........ขอ........นะ”


“.....”


“นั่งเป็นเพื่อนหน่อย...นะ” มือเรียวที่ดึงชายเสื้อผมอยู่ออกแรงกระตุกเบาๆ


......ไอ้นาวาอ้อน

ตึกตัก... ตึกตัก


คนอย่างไอ้นาวาอ้อนแล้วมีอะไรทำไมกูต้องใจเต้นด้วยวะ

ไม่เห็นจะน่ารักตรงไหนเลย!!

“อ่ะๆกูนั่งเป็นเพื่อนมึงก็ได้ สงสารหรอกนะ เผอิญเป็นคนหล่อแล้วยังใจดี”

“.....เพ้อเจ้อ”

อ้าว กลับมาเป็นไอ้นาวาโหมดปกติละ ผมไม่ได้โต้ตอบอะไร แค่อมยิ้มเล็กๆ เห็นมันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้ก็ตลกดี

ก่อนที่จะหันไปแหย่มันอีกรอบ สมองของผมก็นึกเรื่องสำคัญออกพอดี

“เฮ้ย ลืมโทรบอกไอ้ฟ้อนท์ให้มาเปิดห้องให้!!”

ชิบ!! ป่านนี้มันจะออกจากโรงเรียนไปถึงไหนแล้ววะเนี่ย

ผมรีบควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าตัวเองก่อนจะกดโทรหารุ่นน้องที่สนิทที่สุด

ดีนะ ขอเบอร์มันไว้ก่อน

ตรู๊ด... ตรู๊ด....

[ฮัลโหลพี่ขุน มีไรพี่]

“ตอนนี้มึงอยู่ไหนอะไอ้ฟ้อนท์!”

[ใกล้ถึงบ้านละเนี่ยพี่ มีไรเปล่าอะ เหงาหรา]

“เหงาพ่อมึงดิ กูกับไอ้นาวาติดอยู่ในห้องเก็บของเนี่ย! ทำไมมึงไม่บอกกูว่ากลอนข้างนอกมันเสีย!”

[อ้าว เฮ้ย จริงดิ! โทษทีว่ะพี่ ผมมัวแต่ซ้อมก็เลยลืมๆไป]

ซ้อมพ่อง กูเห็นมึงมองแต่ไอ้นาวาจนตาแฉะ

[ลืมบอกเลยว่ะ โทษที พี่รอผมแปปนึงนะ เดี๋ยวผมรีบกลับไป]

“เออ รีบมานะมึง”

[พี่จะให้ผมไปเปิดให้เลยใช่มั้ย]

“เอ้า ! ใช่สิวะ หรือมึงจะให้กูนอนห้องนี้ทั้งคืน สาด”

[เป็นผมผมเอานะ โอกาสมาทั้งที ป้าบๆเลย พี่นาวานี่ไม่ได้หาโอกาสง่ายๆน้า]

“พ่อมึงไอ้สัด เพ้อเจ้อ รีบมาเลย”

[ค้าบบบบบ.... อย่าให้รู้ว่าแอบคิดนะ อิอิ]

“ไอ้ฟ้อนท์!!!!!”

ตรู๊ด ตรู๊ด ตรู๊ด

ผมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าก่อนจะหันไปมองคนข้างกายที่นั่งขดตัวอยู่ข้างๆผม

มองหน้ามันแล้วรู้สึกผิดในใจ ไอ้ฟ้อนท์นะไอ้ฟ้อนท์ พูดจาบ้าอะไรไม่รู้ให้ผมเก็บเอามาจินตนาการเลย

....ว่าแต่ นี่ตัวมันยังไม่หายสั่นอีกเหรอวะ

น่าสงสารมันว่ะ โรคเหี้ยอะไรทำไมน่ากลัวจัง ผมรู้สึกว่าลมหายใจของมันถี่ขึ้นเรื่อยๆ

ไม่ได้และ ต้องหาอะไรเบนความสนใจ

“มึง... เล่นเกมกัน”

“เกมอะไร” ไอ้นาวาเงยหน้าขึ้นจากเข่ามันมามองผมในความมืด

ผมมองมันกลับ แม้จะเห็นแค่ลางๆเท่านั้น

 "เกมทำไม"


“หา...”

“มีชื่อว่าเกมทำไม กติกาง่ายมาก ผลัดกันถามคำถามอีกคนได้คนละข้อโดยขึ้นต้นประโยคว่าทำไม...

กฎคือมึงกับกูต้องตอบตามความจริงเท่านั้น ห้ามโกหก โกหกขอให้จู๊ดๆไป10วัน”

“เกมปัญญาอ่อน กูไม่เล่น”

“ถ้าไม่เล่นกูไปอ่ะ”

“เห้ย ไรวะ”

“เล่นกับกูหน่อยน่า กูเหงา”

“....มึงอย่าถามอะไรพิเรนทร์ๆก็แล้วกัน”

ผมพยักหน้ารับ “อ่ะงั้นกูเริ่มก่อนละกัน”

นิ่งคิดสักพักก็เริ่มเปิดคำถามถามมันเป็นข้อแรก

“ทำไม...มึงถึงเป็นหัวหน้าแก๊งส์ล่ะ”

อ่ะ คำถามดูดีอะดิ คือผมสงสัยจริงๆน่ะครับ

สงสัยว่าแก๊งส์ใหญ่ๆเค้าเลือกสมาชิกจากอะไร หัวหน้าดูยังไง คือเกิดมาไม่เคยสัมผัสมาก่อน

“เพราะกูเก่ง”

“ไอ้นาวา! หลงตัวเองจังวะ กูขอคำตอบดีๆได้มั้ย”

“...ก็มีวันนึง บังเอิญกูมีเรื่องชกต่อยอยู่พอดี แล้วหัวหน้าแก๊งส์รุ่นเก่ามาเห็น ก็เลยรับกูเข้ามาเป็นสมาชิกแก๊งส์ แล้วพอเลือกรุ่น

ใหม่กูก็ได้รับการแต่งตั้งนั่นแหละ”

“เหยดเข้ นี่ถ้าไม่บอกกูนึกว่ารีบอร์นภาคห้าแล้วเนี่ย เท่จังวะ...อ่ะ ตามึงถามกูมั่ง”

“ทำไมปัญญาอ่อน”

“นั่นถามกูจริงๆหรือมึงอยากด่ากูไอ้สัด”

“ฮะๆ....อ่ะถามจริงๆและ”

มันหัวเราะเล็กน้อย ผมรู้สึกว่าคนข้างๆเริ่มผ่อนคลายขึ้น

“ทำไมมึงถึงโง่อะ”

“ไหนบอกถามดีๆไงไอ้นาวา นี่มึงจะมีเรื่องใช่มั้ย!”

“ไม่ๆ กูจริงจัง... กูสงสัยจริงๆ”

สงสัยจริงๆว่าทำไมกูโง่


โอโห .... เจ็บกว่าด่าก็การพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังเนี่ยแหละ สาดดดดดดดดดดดด

“มึงรู้ได้ไงว่ากูโง่ จริงๆกูอาจจะแอ๊บโง่อยู่ก็ได้ แบบโคนันอะมึงไม่เคยดูเหรอ”

“แอ๊บยันคะแนนสอบเลยเหรอ..”

“หา?”

“ก็เห็นตกทุกครั้ง”

“สาดดดดดดดดดดดดดดด เออออ กูมันโง่ กูเกิดมาโง่ ไม่มีเหตุผล จบ!”

ฆวย!

มันขำเบาๆกับคำตอบผม  หัวร้อนเลยกู

...ว่าแต่ เดี๋ยวนะ

“ตากูถามมึงใช่มั้ย” ผมถาม ไอ้นาวาพยักหน้า

“ทำไม... มึงถึงรู้ว่ากูสอบตกตลอดล่ะ”

“.....หืม”

“มึงอยู่คนละห้องกับกูนี่ บอร์ดก็คนละบอร์ด”

“....”

“มึงรู้ได้ไง”

.....

เงียบ

คำตอบคือมีแต่ความเงียบ

“เอ้า มึงไม่ตอบกูวะ ตอบดิ ทีงี้ตอบดิ”

ผมเร่งเร้า

“มึงไม่รู้หรอก ความโง่ของมึงมันดังจะตาย”

“อะไรนะ”

“ก็กูได้ยินมาจากข่าวอีกที เค้าก็ลือกันให้ทั่วว่าคนที่โง่ที่สุดในชั้นปีตอนนี้คือมึง”

“สาดดดด มีไอ้เก๋งอีกคนโว้ยยย กูมันที่2....... จากท้าย”

“หึหึ” ไอ้นาวานิ่ง ก่อนจะเอ่ยคำถามสำหรับผมต่อมา

“ทำไมชื่อขุนพล”

“คำถามส้นตีนอะไรเนี่ย”

“ก็สงสัย”

“แล้วทำไมมึงชื่อนาวาล่ะ ไม่ต่างกันเท่าไหร่เลยนะ”

“กูถามมึงก่อนขุนพล ตอบกูมา”

ได้ยินมันเรียกชื่อผมทีไรรู้สึกจั๊กจี้ๆยังไงก็ไม่รู้ทุกทีเลย

“แม่กูตั้งเพราะเห็นว่าเท่ แค่นี้แหละ”

“กากสัด”

“เอ้าไอ้นี่”ผมตีเข่ามันไปหนึ่งฉาด

“แล้วมึงล่ะ ทำไม...ถึงชื่อนาวา”

“พ่อกูเป็นนาวาอากาศเอก”

เหยดเข้

ทำไมคำตอบผมกับมันถึงได้มีระดับต่างกันราวฟ้ากับเหวแบบนี้

“ขี้อวดอะ”

“มึงถามกูเอง”

“อ่ะๆ คำถามต่อไปครับ”

“ทำไม..... ทำไมหน้าหม้อจัง”

“เอ๊ะ คำถามมึงนี่ด่ากูทุกรอบเลยนะไอ้นาวา”

“ไม่ไง สงสัยจริงๆ”

กูเกลียดคำนี้ของมึง!

“ไม่ได้หน้าหม้อ เค้าเรียกว่าใช้คารมเก่ง”

“หม้อไอ้สัด กูเห็นมึงจีบสาวไปทั่ว”

“ไม่ได้จีบไปทั่วเว้ย ก็ทุกคนก็น่ารักเหมือนกันหมดจะให้กูเลือกจีบใครคนเดียวได้ไงอะ”

“มึงพูดเหมือนมึงเลือกได้”

“เออ กูมันไม่มีใครเอา สัด ตอกย้ำ แค่หม้อไปวันๆแค่นั้นเอง”

“... มึงก็อย่าจีบเรี่ยราดดิ ถ้าแบบนั้นอาจจะมีคนตอบรับก็ได้นะ”

“ก็กูไม่รู้ว่าคนไหนดีไม่ดีนี่หว่า ก็จีบแม่งรวมๆกันเนี่ยแหละ”

“...เจ้าชู้จังนะ”

“แต่ถ้ากูเจอคนที่ใช่น่ะ....กูก็จีบแค่คนเดียวอยู่แล้ว”

“เหรอ”

“เพียงแค่ตอนนี้กูยังไม่เจอคนนั้นไง”

“อืม”

“ว่าแต่มึงเหอะ... ทำไมคนชอบมึงเยอะจังวะ”

“อะไรนะ”

“รุ่นน้องที่ชมรมก็ดูชอบแซวมึงกันหมด วันนั้นกูเห็นเพจเหี้ยอะไรไม่รู้ก็ลงรู้มึง คนกดไลค์ตั้งหลายพัน...

มึงมันมีดีที่อะไรวะ”

“...นี่คำถามเหรอ”

“เออ กูแค่บ่น หมั่นไส้มึงอะเอาจริง อ่ะคำถามจริงๆและ”

“....อาฮะ”

“ทำไมมึงไม่มีแฟนล่ะ คนก็ดูชอบมึงเยอะ”

“....”

“เอ๊ะ หรือมึงมีแฟนแล้ว?”

“เปล่า”

“แล้วไม่จีบสักคน หรือไม่ก็ตอบรับสักคนที่เค้าชอบมึง”

“ก็กูไม่ชอบเค้านี่”

“โอะ... เออเนอะ มึงมันเลือกได้ กูลืมไปปปปปปปปปป”

“...กวนตีน กูก็แค่ไม่ง่ายเหมือนมึง”

“อ้อเหรอ..... สัด ด่ากูอีกแล้วนะ”

มันไม่ตอบอะไรผม แต่ผมได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้นมา

“ทำไม.. .. ทำไมมึงไม่ยิ้มให้มันบ่อยๆวะ”

“....” เสียงหัวเราะของไอ้นาวาหยุดลงในฉับพลัน

“เอ้า ยังไม่ทันขาดคำ..”

“ทำไมล่ะ” มันถามเสียงนิ่ง

“ก็สงสัย เห็นมึงจะหัวเราะทีไรก็ต้องแอบๆยิ้ม แอบๆขำ มึงจะหลบไปทำไม”

“กูไม่ได้หลบ”

“ไม่ได้หลบแล้วอะไร”

“...กูแค่... ไม่มั่นใจ”

“ทำไมล่ะ”

“ก็ปกติกูอยู่นิ่ง”

“แล้ว?”

“แล้วพอกูยิ้ม.... มัน...ตลก..... เชี่ย มึงถามบ้าอะไรวะไอ้ขุนพล”

“ไม่เห็นตลกเลย”

“หา”

“ก็น่ารักดีออก


“....”

“เอ่อ... กูหมายถึง จากที่กูได้ยินคนอื่นเค้าพูดมาน่ะ เค้าบอกว่ามึงยิ้มแล้วน่ารักไง”

“เออ”

ผมอึกอัก ไม่รู้จะพูดยังไงให้มันเข้าใจ

“คือกูไม่ได้คิดจริงๆว่ามึงน่ารักนะ” ผมรีบแย้ง ก่อนที่มันจะคิดว่าผมเป็นโรคจิตไปซะก่อน

“เออ”

“กูก็แค่ได้ยินคนอื่นพูดว่ามึงน่ารักเฉยๆ”

“เออกูเข้าใจแล้ว ขุนพลมึงหยุดพูดว่ากูน่ารักสักที”

“อ้าว กูพูดไปหลายรอบเหรอ”

“เออ”

“โทษที มึงคงไม่ชอบสินะ .. อ่ะตามึงถามเลย”

"ทำไมมึง....ถึง....ใจดี"

“อะไรนะ”

“เปล่าๆ ไม่มีอะไร”

“มึงพูดเบาอะไอ้นาวา พูดงี้กลัวยุงได้ยินแล้วเอาไปนินทาหรอ! พูดใหม่”

“ไม่เอา กูคิดคำถามไม่ออกละ ข้ามไปตามึงเลยแล้วกัน”

“เอ้า กูอยากรู้อะว่าเมื่อกี้มึงถามกูว่าอะไร”

“กูไม่ได้ถาม กูแค่บ่นเฉยๆว่ามึงมันปัญญาอ่อน”

“อ้าวไอ้สัด เออ ตากูถามบ้างละ”

“...”

“ทำไม... ทำไมไรดีวะ”

“...”

“ทำไม... มึงถึงเรียกกูว่าขุนพล”

“อ้าว ถ้ามึงไม่ชอบงั้นกูเรียกมึงว่าตัวเหี้ยก็ได้”

“โอ้ยย กวนตีนกูจังเลย..... กูหมายถึง ก็ถูกที่กูชื่อขุนพล แล้วทำไมมึงต้องเรียกชื่อกูเต็มๆด้วยล่ะ”

“อ้าว”

“ใครๆเค้าก็เรียกกูว่าขุน พอมึงเรียกชื่อเต็มแล้วบอกตรงๆกูฟังแล้วจั๊กจี้มากเลยว่ะ เหมือนกูอยู่ในหนังสงครามไรงี้อะ”

“มึงก็เรียกกูว่านาวาไง กูก็เลยเรียกมึงว่าขุนพล”

“งั้นถ้ากูเรียกชื่อสั้นมึงจะเรียกตามมั้ย”

“กูไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น”

“.....วา”

.........

“.....อะไรของมึง”

“วา”

“.....อะไร”

“วา.. นี่ไงเรียกแบบนี้แล้ว มึงเรียกกูว่าขุนได้ยัง”

“เออ”

“เอออะไร”

“ก็เรียกได้ไง”

“เรียกว่า?”

ขุน”

.....เออ

รู้สึกดีขึ้นว่ะ   

“ดีมาก” ผมยิ้มบางๆก่อนจะเอ่ยคำถามต่อไป “อ่ะมึงคงไม่มีอะไรจะถามกู กูขอถามมึงเลยแล้วกันนะวา”

“ไม่ต้องเรียกชื่อกูพร่ำเพรื่อก็ได้”

“ก็กูอยากเรียกมึงจะทำไม”

“...ก็เปล่า”

“กูมีคำถาม”

“อาฮะ”

“คำถามที่กูสงสัยมานานแล้ว.... ตั้งแต่เมื่อสามเดือนก่อน”

“....”

“มึงต่อยกูทำไมวะ”

....

......

..............

“.............คือ ......... กู............”

พลั่ก!!!!!!

“พี่!!!!!!!!!!!ผมมาแล้วววววววววววววววววว”

เสียงไอ้ฟ้อนต์ดังขึ้นพร้อมกับประตูห้องที่โดนผลักเปิดเข้ามาอย่างแรง

ใจนึงก็ดีใจที่ได้เห็นแสงรำไรจากภายนอกสักที แต่อีกใจนึงก็อยากด่าแม่งในใจ

ไอ้ฟ้อนต์ มึงขัดจังหวะกูมาก!!!!!!!!!!

เกือบได้รู้แล้วเชียว ว่าทำไมกูถึงถูกต่อยตลอดเวลา ฮือ

ไอ้นาวาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะเดินก้าวไปหารุ่นน้องคนเดิม

“ขอบคุณมึงมาก”

“ค้าบบบบบผม ความผิดผมด้วยแหละที่ลืมบอกพี่ว่าประตูมันเสีย”

“ใช่สิ ความผิดมึงเต็มๆ” อ้าว ไอ้นาวาหันไปมองค้อนไอ้ฟ้อนต์ซะงั้น

ไอ้รุ่นน้องตัวสูงก็ได้แต่ยืนมองตาละห้อยก่อนจะเดินไปกอดแข้งกอดขาไอ้นาวา

“โธ่... พี่นาวาคร้าบบบบบ ผมขอโทษนะ งื้ดๆ ไม่ทำอีกแล้ว ขอโทษนะค้าบบ”

ไอ้นาวาไม่ตอบอะไรแต่ก็เดินต่อไปโดยปล่อยให้ไอ้ฟ้อนต์มันเกาะแขนอยู่แบบนั้น

หน้ามึงจะฝังไปในซอกคอไอ้นาวาอยู่แล้วนะไอ้ฟ้อนต์

เกินไปละ เกินไป

ละไหนไอ้นาวาบอกไม่ตอบรับอะไรใครไง ทำไมไปยืนนิ่งๆให้มันจับให้มันกอดอยู่ได้

ฟึ่บ!

“กลับบ้านไปได้ละมึงอะ”

ผมเดินไปดึงไหล่กว้างของไอ้คนน้องออกจากตัวไอ้นาวา

“อ้าว.... โหยยย พอผมหมดประโยชน์ก็เฉดหัวทิ้งเลยนะพี่ขุน ฮือๆๆ”

“กระแดะ.. กลับบ้านไปได้แล้วไป๊”

“ด่าผมอีก ฮือๆๆ ก็ได้ครับ ไอ้เรามันคนไม่มีค่าอะไรก็โดนทิ้งแบบนี้แหละ”

ไอ้ฟ้อนต์ทำท่าร้องไห้อย่างตอแหลมากก่อนจะเดินออกจากตัวนาวาผ่านผมไปพร้อมกับกระซิบที่ข้างหูผมเบาๆว่า...

“ผมมันไม่ได้มีค่าเหมือนคนแถวนี้นิ ใช่มั้ยครับ ป้าบๆกันยัง อิอิ”

มีค่าไหมไม่รู้แต่กูจะฆ่ามึง!! ไอ้ฟ้อนต์!!!!














เย็นวันต่อมา..



ออดดดดดดดดดดดดดด

 ทันทีที่กริ่งบอกเวลาเลิกเรียนตอนเย็น ผมที่กำลังนั่งเหม่อลอยในคาบวิทย์กายภายอยู่ก็สะดุ้งตื่นทันที


เลิกเรียนสักทีโว้ยยยยยยยยยยยย

คาบอะไรน่าเบื่อเป็นบ้า ทำไมชีวิตคนเราต้องมานั่งจำประเภทดินหินแร่ด้วยวะ   

“ไอ้ฉิม ไอ้ฉัตร ไปไหนต่อวะ”

“กูคงไปกินข้าวก่อนอะ มึงจะไปด้วยกันมั้ย”

ผมกำลังจะตอบตกลงเพื่อจะไปกินข้าวเย็นกับมันก่อนไปคุมยิม หากแต่ภาพของคนหน้านิ่งก็ลอยขึ้นมาในหัว

“ไม่ดีกว่าว่ะ พวกมึงไปกันเลย เดี๋ยวกูต้องไปยิมต่อ”

“เออๆ งั้นเจอกันมึง”

ผมแยกย้ายกันมันสองตัวก่อนจะเดินพาร่างตัวเองไปยังห้องข้างๆที่อยู่ไม่ไกล

ม.6/3

ผมลากเท้าก้าวเข้าห้องสวนทางกับนักเรียนบางส่วนที่กำลังเดินออกมา

มองซ้ายมองขวาหาอยู่ไม่นานก็ได้เจอเป้าหมายยืนคุยกับเพื่อนอีกสองสามคน

ผมเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียก

ไอ้วา”

นาวาหันมาตามเสียงผมก่อนจะ

ผัวะ!!!!

“เชี่ย.....”

ดีนะหลบหมัดมันทัน

เป็นครั้งแรกที่หลบทัน ไม่น่าเชื่อ ดีใจยิ่งกว่าสอบผ่านไฟนอลอีกนะเนี่ยยยย (ซึ่งกูไม่เคยผ่าน)

ไอ้นาวาทำหน้าตกใจที่ผมหลบหมัดมันได้ ก่อนจะหันไปก้มตัวเก็บของใส่กระเป๋าอีกรอบ

“มึงยังไม่เลิกต่อยกูอีกเหรอวะ นึกว่าเมื่อวานเราซี้กันแล้วซะอีก” ผมพูด ไอ้นาวาไม่หันมามองผมเพียงแค่ตอบกลับด้วยน้ำเสียง
นิ่งๆ

“ซี้อะไร กูไม่เห็นอยากจะสนิทกับคนแบบมึง”

“อ้าวเหรอ...เห็นเมื่อวาน ใครนะที่อ้อนกูใหญ่เลย เสียงอ่อนเสียงหวาน”

“ไอ้ขุน!!”

“อยู่กับกูก่อน...นะนะ นะขุนนะ”

“ไอ้ขุน!!!!”

ผมหัวเราะขำกับท่าทางอาการฟึดฟัดหงุดหงิดของมัน ชอบจริงๆเวลาแกล้งมันแล้วมันโมโหเนี่ย

“แล้วมีอะไร” มันถาม

“กูมาตามไปเปิดยิมเนี่ย เร็วๆ”

“ไม่ไป กูจะไปกินข้าว”

“เห้ย กินข้าวอะไร เดี๋ยวไปเปิดยิมให้ไอ้พวกนั้นสายแล้วเดี๋ยวมันก็บ่นอีก ไปกับกูก่อนดิ”

“ไอ้ขุน... กูหิวข้าว”

“เหอะน่า ข้าวน่ะเดี๋ยวค่อยไปกินพร้อมกูหลังไปเปิดยิมก็ได้ แปปเดียว”   

“กูไม่อยากกินข้าวกับมึง”

“แต่กูอยากกินข้าวกับมึงนะวา”

“....”

“ไปเหอะน่าอย่าอิดออด” ผมดึงไหล่มันเบาๆ

“เออ...เออ”

มันทำปากจิ๊จ๊ะเล็กน้อยที่ไม่ได้ดั่งใจก่อนจะปิดกระเป๋าเก็บเก้าอี้เพื่อเตรียมไปกับผม

“กูไปก่อนนะพวกมึง” นาวาหันไปลาเพื่อนสองสามคนที่นั่งบนโต๊ะมองดูผมกับไอ้นาวาคุยกันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้

แต่สายตามึงนี่ดูอยากรู้อยากเห็นมากๆ

“ไปกินข้าวกับไอ้นี่หรอวะ” เพื่อนเบอร์นึงถามก่อนจะบุ้ยปากมายังผม

“อืม”

“มึงไปแน่นะ”

เอ้า

เพื่อนไอ้นาวานี่ก็ถามแปลกๆ แค่ไปกินข้าวกับกูมันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอวะ เมื่อเช้าก็ว่าโกนหนวดมาแล้วด้วยนะ

“เออ กูไปได้”

เอาเข้าไป  สายตาเป็นห่วงเป็นใยเพื่อนนั่นไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้มั้ง

“ไปได้แล้วไอ้วา กูไม่ได้ลักเพื่อนมึงไปฆ่าไม่ต้องห่วง” ผมหันไปบอกบรรดาเพื่อนๆมันก่อนจะลากแขนมันเดินออกมาจากห้อง

ขืนให้ร่ำลากันต่อกูคงได้กินข้าวชาติหน้า

เอาล่ะ รีบเดินไปเปิดห้องให้ไอ้พวกเกรียนนั่นดีกว่า...












7.03PM

มีไม่กี่สิ่งที่ทำให้ผมเกลียด บนโลกใบนี้

หนึ่งในสิ่งเหล่านั้นคือนั้นคือ

“ฝนตก!!!!!”

เสียงไอ้พวกเด็กเกรียนทั้งหลายร้องเฮทันทีที่พวกมันและผมกำลังเดินออกจากยิมเพื่อแยกย้ายกันกลับบ้านแล้วฝนตกลงมันห่า
ใหญ่

ห่าใหญ่.... ห่าใหญ่จริงๆด้วย ห่า!!!!

ไอ้พวกเด็กเกรียนทั้งหลายต่างพากันวางกระเป๋าไว้ในที่ร่มแล้ววิ่งออกไปเล่นน้ำฝนกันอย่างเมามันส์

คือบางทีผมก็สงสัยว่าแม่งมึงอายุเท่าไหร่กันแล้ววะเนี่ย

“ปัญญาอ่อนกันจริงๆ”

ผมส่ายหัวให้กับภาพตรงหน้า

“เหมือนมึงนั่นแหละ”

เสียงไอ้นาวาดังแทรกขึ้นมาในความคิด ผมหันไปมองคนข้างกายที่ยืนนิ่งๆอย่างเอาเรื่อง

“เผลอไม่ได้ หาโอกาสด่ากูตลอดเลยนะ”

“ช่วยไม่ได้ มึงมันปัญญาอ่อนจริงๆ ไม่ไปเล่นกับพวกนั้นเหรอ”

“เล่นให้โง่น่ะสิ ... กูเกลียดฝน!”

“อ้าว ทำไมล่ะ”

นาวาถาม หันหน้ามามองผมด้วยความสงสัย

“กูไม่ชอบ มันเฉอะแฉะ เสียงก็ดัง รถก็ติด ฝนมันไม่มีข้อดีอะไรเลย กูไม่ชอบ”

“เหรอ... แต่กูชอบนะ”

“ทำไมล่ะ”

“ไม่รู้สิ จริงๆทุกอย่างบนโลกมันก็มีข้อดีของมันอยู่นั่นแหละ...

ถ้าเราไม่ตั้งแง่กับมัน เราอาจจะพบสิ่งที่ตัวเองชอบจริงๆก็ได้นะ


....

เหยดเป็ด... ไอ้นาวาท่ามกลางสายฝนนี่โคตรเท่เลยว่ะ แต่สงสัยอยู่อย่าง

ที่มึงพูดมันเกี่ยวกับการเกลียดฝนของกูตรงไหน

หรือนี่คืออารมณ์นักประพันธ์ของมึง บรรยากาศมันได้

“โอ้ย” ผมร้อง

“เป็นอะไร”

“คำพูดมึงแม่งบาดใจว่ะ โคตรคมเลย ขอก๊อปไปใช้เพิ่มความคูลให้ตัวเองได้เปล่าวะ”

“หึๆ.. เพ้อเจ้อ”

มันขำเล็กน้อย ผมมองรอยยิ้มนั้นอย่างดีใจ

ดีใจ... ที่มันกล้ายิ้ม กล้าหัวเราะสักที

ถึงจะแค่นิดเดียวก็เถอะ

“กลับบ้านกันดีกว่ามึง วา มึงมีร่มหรือเปล่า”

“กูไม่ได้เอามาว่ะ เดี๋ยวกูเอาแฟ้มบังฝนก็ได้”

“ไม่เป็นไร กูมีร่ม” ผมพูดก่อนจะเปิดกระเป๋าหยิบร่มคันสีชมพูลายจุดออกมากาง ไอ้นาวามองที่ร่มผมด้วยความตกใจ

“.....  กูเพิ่งรู้”

“ว่า?”

“มึงมีรสนิยมชอบของแบบนี้เหรอ”

“สัด!” ผมผลักหัวมันเบาๆ “นี่มันร่มน้องสาวกู”

“อ้าว ขโมยของน้องมาอีก ใช้ไม่ได้เลยๆ”

ไอ้วาส่ายหัวไปมาเหมือนเอือมระอามากที่ผมเป็นพี่ที่ใช้ไม่ได้

ไม่ได้ขโมยโว้ยยย แค่ร่มของตัวเองพังเลยไปหยิบมาเฉยๆ แค่นี้เอ๊ง

“จะไปไหมล่ะ” ผมถาม ไอ้นาวาพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะเดินออกจากยิมไปพร้อมๆกับผม

ผู้ชายตัวใหญ่ๆสองคนในร่มคันเล็กสีชมพูลายจุด

ใครมาเห็นคงขำน่าดู....

เสียงฝนตกยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ผมหันไปเหล่มองคนข้างๆที่ดูเหมือนไม่อยากจะเดินข้างผม

“เอ้า ร่มกูไม่ใช่หลังคาบ้านนะโว้ย ไอ้วา เดินห่างแบบนั้นมึงอยากเป็นหวัดหรือไง”

ผมพูดก่อนจะเดินขยับไปใกล้ๆมัน ขนาดยืนชิดๆกัน ขนาดร่มมันยังกันฝนให้เราสองคนได้ไม่หมดเลย

“เปล่าสักหน่อย” มันตอบผมแบบนั้นแต่ทำท่าว่ากำลังจะเดินขยับหนีไปอีกครั้ง

หมับ!

“ไอ้ขุน! มึงทำอะไร”

“ก็กอดคอมึงนี่ไง เดินใกล้ๆนี่แหละ จะเดินหนีกูไปไหน”

“.......เปล่า”

ผมไม่ตอบอะไร แขนขวารั้งคอมันให้เข้ามาใกล้ๆ มือซ้ายยกร่มให้เอียงไปบังตัวมันได้มากที่สุด

ก็เห็นมันเป็นโรคกลัวที่แคบวันนั้นแล้วสงสาร รู้ว่าไม่เกี่ยวกันแต่ไม่รู้ว่าร่างกายถึกๆของมันแบบนี้จะป่วยง่ายหรือเปล่า

ไม่อยากเห็นมันป่วยสักเท่าไหร่

“มึงกลับบีทีเอสสายไหนนะ” ผมถาม

“ไปแบริ่ง” มันตอบด้วยน้ำเสียงเบา

“คนละสายว่ะ แล้วลงจากบีทีเอสกลับบ้านยังไงต่อ”

“เดินแปปนึงเดี๋ยวก็ถึง”

“อ้อ โอเค” ผมพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนที่บรรยากาศรอบตัวเราจะกลับมาเงียบอีกครั้ง

เสียงฝนยังคงดังอย่างต่อเนื่อง เสียงเท้าเหยียบย่ำน้ำบนพื้นดังขึ้นเป็นจังหวะ

กลิ่นหอมอ่อนๆที่ได้กลิ่นนี่ไม่รู้ว่ามาจากฝน...

หรือคนข้างๆกันแน่

“หอมดีเนอะ”

“อะไร”

ผมเหลือบตาลงมองมันที่ก้มหน้าเดินเงียบๆ

“กลิ่นฝนล่ะมั้ง... ไมได้กลิ่นเหรอ กลิ่นหอมอ่อนๆ”

“ไม่เห็นได้กลิ่นเลย”

มันตอบ ผมกระชับอ้อมแขนดึงรั้งคนข้างๆให้เข้ามาใกล้ตัว

ได้กลิ่นหอมอ่อนๆนี่ชัดเจนขึ้นอีกครั้ง

ถ้าอย่างนั้น...ก็คงเป็นกลิ่นมึงแล้วแหละมั้ง













“อ่ะ กูมาส่งเท่านี้นะ กลับเองได้ปะเนี่ย”

ผมพูดขึ้นขณะที่เรากำลังจะเดินแยกทางไปคนสะสายสถานทีบีทีเอส

"ได้สิสัด กูไม่ใช่เด็ก”

“ฮะๆ.... กูล้อเล่นน่ะ” ผมขำนิดหน่อย ก่อนจะยกร่มสีชมพูคันเก่าขึ้นเคาะบนหัวคนตัวเตี้ยกว่าเบาๆ

“เคาะทำไม”

มันเอามือกุมหัว ก่อนที่ผมจะยื่นร่มไปให้มัน

“เอาไปใช้ก่อนดิ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเอามาคืนกู”

“.... ไม่เอา มึงมีคันเดียว”

“เอาไปเหอะน่า”

ผมยัดร่มคันเล็กไว้ในมือของคนข้างหน้า

“กูบอกว่าไม่เอาไง นี่มันร่มมึง”

“มึงต้องเดินกลับบ้านอีกไง ของกูเนี่ยลงจากบีทีเอสก็ถึงเลย”

“โกหกหรือเปล่า”

มันถาม

อาฮะ กูโกหก

“ไม่ได้โกหก เอาไปเหอะน่า ซื้อความสบายใจกู เกิดมึงโดนฝนปอดบวมตายห่าขึ้นมา ต้องเป็นผีมาหลอกกูคนแรกแน่เลย”

“กูไม่ได้อ่อนแอไอ้ขุน”

“ใครจะไปรู้ ก็เห็นเป็นแต่โรคสำออย”

ตุ้บ!

“โอ้ย เจ็บๆๆ ล้อเล่นน่า” ผมร้องแหย่เมื่อถูกกำปั้นเบาๆของไอ้นาวาทุบเข้ามาที่ไหล่

 “ไปดีกว่า เบื่อหน้ามึงแล้ว” ผมบอกมัน

มันพยักหน้าเบาๆ

แต่มันก็ยังไม่เดินหันหลังกลับไปไหน ผมเลยเป็นฝ่ายเดินออกมาก่อนแทน

“กลับดีๆนะ”  มันพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนที่ผมจะหันหลังเดินไปยังรถไฟฟ้าอีกสายเพื่อกลับบ้าน...





ร่างเล็กพร้อมร่มสีชมพูในมือมองตามร่างสูงโปร่งที่เดินจากไปจนสุดทาง ก่อนจะก้มลงมองดูตัวเอง

ร่างกายของเขานั้น แทบไม่เปียกฝนเลย

แตกต่างจากคนที่เพิ่งจากไป ครึ่งตัวนั้นชุ่มน้ำไปหมด ทำไมเขาจะไม่สังเกตเห็น

นาวาก้มลงมองร่มคันสีชมพูเล็กๆในมือ

ทำไมถึงต้องใจดีขนาดนี้...... ขุนพล


























แอร็ยยย จบยกสองแล้วน้าาา แฮ่กๆๆๆ ชอบมั้ย ชอบมั้ย >O<

เม้นให้กำลังใจได้น้าค้าาา ♥♥ จะดีใจมากๆ แฮ่

#ต่อยเองนักเลงพอ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-08-2017 11:25:06 โดย ammriss »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
นาวาน้อยแอบชอบขุนรึเปล่า???  :z1: :z1: :z1:

ออฟไลน์ flimflam

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 881
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-4
กำลังจะรู้เลยว่าต่อยทำไม ฟฟฟฟฟ น้ำตาไหลแลงงง

ออฟไลน์ Ppkhth

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ที่ต่อยนี่ก็เพราะว่าไปแซวสาวอีกแล้วแมะ 5555555555
มองจากดอยอินทนนท์ยังรู้อ่ะว่าชอบ  :hao3:
มีแต่ขุนพลนี่แหละความโง่นี่โด่งดังจริง ๆ สินั 555555555555555555555

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9
โอ้ย...ทำไมน้องมันน่ารัก
ทำไม. นาวา. เขิน/หึง? รุนแรงเบอร์นี้

รอตอนต่อไปนะจ๊ะ อิอิ

ออฟไลน์ Ploylyorio11

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ยังคงรอ รอเรื่อยไป~ :hao4: :z13:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ joborcusier

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ฉันยังคงเฝ้ารอขุนพลคนกากกับนาวาคนน่ารักตลอดมา

ออฟไลน์ ammriss

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
จากนักเขียนนะค้าาา

ขอโทษจริงๆที่หายไปนะคะ  ติดปัญหาเรื่องเรียนนิดหน่อยค่ะ ตอนนี้กลับมาแล้วนะคะ

ขอบพระคุณทุกเม้นเลยนะคะ ^^ ไม่ว่าจะจำนวนเท่าไหร่ แต่เป็นกำลังใจมากๆ

เรากลับมาแล้วน้า><

ออฟไลน์ ammriss

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ขอโทษที่ห่างหายไปปนาน สวัสดีทุกคนนะคะ หวังว่าจะยังไม่ลืมกันน้าาาาา

มาต่อแล้วจ้า ฝากขุนกับนาวาด้วยนะคะ :katai2-1:







ยกที่สาม
[/b]










สัปดาห์ต่อมา




ช่วงนี้ผมรู้สึกว่าชีวิตของผมกำลังหมุนเวียนไปได้อย่างลงตัว


ตอนเช้ามาโรงเรียนทัน ตอนกลางวันอยู่กับแก๊งสบู่ขาว ตอนเย็นก็ไปคุมบาสกับไอ้นาวา


แถมดีสุดๆที่ช่วงนี้ผมกับไอ้นาวาเริ่มสนิทกันมากขึ้น ระยะห่างเริ่มลดแคบลงจนเรากลายเป็นเหมือนเพื่อนกัน(มั้ง)


วันนี้ได้เป็นเพื่อนกับหัวหน้าแก๊งดัง วันหน้าจะได้เป็นหัวหน้าแก๊งที่ยิ่งใหญ่กว่า อิอิ


“งั้นพวกกูกลับก่อนนะไอ้ขุนนนนนน คุมบาสต่อให้สนุกนะจ๊า เดี๋ยวพวกกูเล่นเกมเผื่อออ”


“จ้ะไอ้พวกเหี้ย พูดให้กูอิจฉา!”


“เออแต่มึงอย่าลืมอ่านเลขเพิ่มนะไอ้ขุน อาทิตย์หน้าสอบย่อยสาม”


“โอ้ยมึงก็รู้กูชิลๆอยู่แล้ว”


“ชิลเหี้ยไรล่ะ! สองรอบแรกมึงก็ตก ไอ้สัส ถ้ามึงตกครั้งนี้มึงแย่แน่ไอ้ขุน เผลอๆซ้ำชั้น”


“ไม่เป็นไร กูถือคติ ธรรมดาโลกไม่จำ”


ผมยักไหล่ ไม่หวั่นไหวกับคำพูดเพื่อน แค่เกรดแย่ แต่หน้าตากูดีอะ ใครจะทำไม


กูไม่ได้โง่นะ  เค้าเรียกมีจุดยืนทางสมองเป็นของตัวเอง


“เออ โลกจะจำไม่จำก็ช่างเถอะ แต่กูอยากให้มึงจำไว้อย่าง เมื่อคืนพ่อมึงโทรมาหาพ่อกู”


“นี่อย่าบอกนะว่า…”


“ก็อย่างที่มึงคิดน่ะแหละ”


“พ่อกูขอยืมเงินพ่อมึงอีกแล้วเรอะ!!! เชี่ย กูขอโทษแทนพ่อกูด้วยนะไอ้ฉิม”


“ไม่เป็นไร เพื่อนกันๆ… ก็เหี้ยแล้ว! ไม่ใช่โว้ยยยยย”


ไอ้ฉิมเอื้อมมือมาตบหัวผมดังป้าบ เดี๋ยวๆ สมองกูจะยุบไหม ยิ่งน้อยๆอยู่


“พ่อมึงโทรมาบอกว่า ถ้ามึงเกรดแย่ๆๆแบบนี้ไปเรื่อยๆ พ่อมึงจะจับมึงย้ายโรงเรียน”


“… อ่ะจ้อจี้อีกและ มึงก็ว่าไป” ผมขำ “พ่อดูชอบที่กูเรียนโรงเรียนนี้จะตาย”


“แต่พ่อมึงไม่โอเคที่ลูกโง่ไง ไอ้เหี้ย เดี๋ยวกูต้องรีบไปละ เดี๋ยวอัพเวลไม่ทัน” ไอ้ฉิมโบกมือเตรียมลา ก่อนที่ไอ้ฉัตรที่ยืนนิ่งจะหันหน้ามาพูดกับผม


“บายนะไอ้ขุน แต่กูอยากให้มึงคิดเรื่องที่ไอ้ฉิมพูดดีๆ มึงไม่ต้องฉลาด แต่มึงอย่าโง่จนเกินลิมิตก็พอ”


จึ้ก!


”ไอ้ขุน มึงยังอยากเป็นแก๊งสบู่ขาวต่อ หรือมึงจะยอมย้ายไปโรงเรียนอื่น ไปคิดดีๆ”


ไอ้ฉัตรพูดจบก็ยักไหล่ให้เก๋ๆก่อนจะหันหลังไปกอดคอไอ้ฉิมแล้วเดินจากไป


ไอ้เหี้ยยยย วันนี้มึงกินฮอลล์ คูลลี่เฟรช มาหราาาาาา ทำเป็นเท่นะมึง!!!!!
















ถึงจะทำเป็นปากเก่งจิ๊จ๊ะ ตอบเพื่อนแบบโนสนโนแคร์ แต่บอกเลยผมก็ยังเป็นคนนะครับ


ไอ้ห่า โดนด่าว่าโง่วันละเป็นสิบๆรอบแบบนั้น ใครบ้างจะไม่เก็บมาคิด


เห้ย เอาจริง นี่กูโง่ขนาดนั้นเลยเหรอวะ


ปกติที่เข้าใจมาตลอดคือ ก็โง่อะ แต่ระดับที่กูรู้สึกว่าชิลๆ


แต่ทำไมวันนี้ทุกคนดูไม่ชิลล์ไปกับกูเลยวะ เพื่อนด่า พ่อจะจับย้ายโรงเรียน


เหี้ยยยยย… บอกเลยว่า อันนี้เหี้ยสุด


ย้ายโรงเรียนกับผีน่ะสิ!! คิดสภาพผมโดนจับไปอยู่โรงเรียนประจำที่วันๆทำได้แค่เรียน เรียน และก็เรียน


แค่คิดก็ทุรนทุรายจะแย่


ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด หัวเด็ดตีนขาดยังไงผมก็ไม่ยอมย้ายโรงเรียนแน่ๆ!!!


ทางเดียวที่ต้องทำคือ สอบให้ผ่าน!!!!!!





……


……………แค่คิดกูยังเหนื่อยเลย ตัวอักษร สัญลักษณ์ ตัวเลขต่างๆลอยเข้ามาในหัวพันกันให้ยุ่บยั่บ


“เฮ้อออออออออออออออออออ”


คิดแล้วก็ปลงกับความโง่ของตัวเอง ทำไมเกิดมากูไม่พกสมองมาด้วยวะ เสือกเอามาแต่ความหล่อ อิอิ


”ถอนหายใจทำไม”


อยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองซะนานเลยลืมไปว่ากำลังนั่งคุมเด็กบาสอยู่ข้างๆไอ้นาวาคนเดิม เพิ่มเติมคือ


มันไม่ค่อยต่อยผมแล้วครับพี่น้อง ดีใจชิบหาย นอกจากหน้าผมจะหายช้ำเลือดแล้ว ยังไม่ต้องมาเสี่ยงเอว


เคล็ดจากการบิดตัวหลบหมัดมันด้วย


“ไอ้ขุน กูถามว่ามึงถอนหายใจทำไม”


มันถามย้ำเมื่อเห็นว่าผมไม่ตอบ


“ถามทำไม เป็นห่วงหราาาาา”


“…เป็นห่วงส้นตีนอะไร กูรำคาญเสียงถอนหายใจมึง กี่รอบแล้ววันนี้”


“ก็กูอยากถอนหายใจบ่อยๆอะ เพราะหายใจเข้าก็เฮ้อเธออออ เฮ้อเธออออ”


“ไอ้ขุน”


“หายใจออกก็เฮ้อเธออออ เฮ้อเธออออออ”


”ปัญญาอ่อน สมองนิ่ม”


จึ้ก!


“จ้าาาา พ่อคนสมองใสใจหมา”


ไอ้นาวามองผมด้วยสายตาขุ่นพร้อมส่ายหน้าเบาๆเหมือนเอือมผมจริงๆ ก่อนจะเงยหน้าหันมาถามผมว่า


“แล้วตกลงมึงเป็นอะไร”


หึๆ


มันก็เป็นงี้แหละ


ปากร้าย แต่ใจดี


“เป็นคนหล่อพ่อรวยแฟนไม่สวยเพราะแฟนไม่มี แต่ถ้าอยากลองดีก็มาเป็นแฟนพี่สิจ๊าาา”


“… ปัญญาอ่อน”


ไอ้ห่านี่ด่าบ่อยเหมือนจงใจย้ำปมกู


“เออ ใช่สิ เดี๋ยวก็ปัญญาอ่อน เดี๋ยวก็สมองนิ่ม  กูมันโง่ใช่มั้ยล่ะ โง่ๆๆ”


“ใช่ไง”





นิ่งเลยกู


ไอ้เหี้ยนาวาแม่งไม่รู้ส้นตีนไรแล้วยังมาด่าให้กูเจ็บอีกทำไม


“ถ้าไม่ปลอบมึงก็ไปไกลๆเลยไอ้วา กูเครียดอยู่ ซีเรียส สะเตรสอ่ะยูโน้ว”


มันหันมามองหน้าผมนิ่งๆ ไม่ได้ลุกไปไหน


”สรุปว่าเครียดอะไร”


“ให้ตายก็ไม่บอก”


ใครจะไปกล้าบอกวะว่าเครียดเรื่องตัวเองโง่อะ


“เครียดเรื่องที่มึงโง่หรอ”


จึ้ก!


“เหี้ย!! มึงรู้ได้ไง มึงแอบอ่านใจกูเหรอไอ้วา”


”ใช่มั้ง”


“เห้ย ทำไงวะ สอนกูบ้างดิ จะเอาไปอ่านใจคนออกข้อสอบ”


“…”


“อ่ะทำหยิ่งอีก ถึงว่ามึงแม่งได้คะแนนดีตลอด ที่แท้ก็มีวิธีนี่เอง ไม่แบ่งปันเพื่อนเลยวะ”


ผมดันไหล่มัน ไอ้นาวาหันมามองผมด้วยสายตานิ่งๆ


“ทำไมเครียดล่ะ”


มันถาม


“ก็ กู…โง่อะ”


“ใช่ มึงโง่”


 อ่ะนี่ก็ย้ำเก่งงงงงงงง


“แล้ววันนี้กูเพิ่งรู้ว่าถ้ากูสอบตกเลขย่อยสามอ่ะ พ่อกูจะย้ายกูไปเรียนที่อื่นว่ะ”


พูดถึงจุดนี้แล้วความเครียดแม่งตีขึ้นมายันขมับเลย ไอ้นาวาหันมามองผมด้วยสีหน้าตกใจนิดหน่อย


“แล้วมึงจะทำยังไงล่ะ”


“ก็ห้ามตกอ่ะแหละ กูก็ว่าจะเริ่มอ่านหนังสือบ้าง แต่คือ ไอ้นาวา มึงอย่าไปบอกใครนะ”


“ว่า”


“คือกูอ่ะ โง่แบบ โง่มากๆอ่ะมึง โง่เหี้ยๆเลยอะ ยิ่งกว่ากบอ่ะมึง”


“กูไม่บอกเค้าก็รู้กัน”


“มึงไม่ปลอบกูหน่อยหรอวะ กูจะร้องไห้ละนะ ด่ากูจัง”


“เออ มึงไม่โง่หรอกขุน อย่าคิดมากนะ”


”อันนี้เรียกตอแหล”


ไอ้นาวาหลุดขำออกมา นั่นทำให้ผมหายเครียดลงไปนิดนึง


บรรยากาศตึงๆรอบตัวดูจางลงไปหน่อย


“กูเครียดว่ะ กูอ่านอะไรก็ไม่เข้าหัวหรอก กูเคยลองแล้ว”


มันนิ่งไป


”ที่ผ่านมามึงสอบผ่านมาได้ไงวะเนี่ย”


“อ่อเปล่าหรอก นี่กูซ้ำชั้น จริงๆแล้วกูเป็นรุ่นพี่มึง”


“…จริงดิ”


“เปล่า กูล้อเล่น”


“ไอ้สัด กวนตีน”


ผมขำนิดหน่อยแบบเฝื่อนๆ พลางบรรยากาศรอบตัวก็กลับมาสู่ความเงียบอีกครั้ง


ผมหลบกลับเข้ามาอยู่ในความคิดของตัวเอง


ทำไงดีวะ ไม่อยากย้ายโรงเรียนเลยว่ะ ยังอยากเจอไอ้ฉิมไอ้ฉัตร ยังอยากปกครองแก๊งสบู่ขาว ยังอยากมา


คุมเด็กบาสนี่บ่อยๆ แล้วก็…


…ยังอยากเจอหน้าไอ้คนข้างๆนี่ด้วย


”ขุน”


“หือ…”


“จริงๆแล้ว กูช่วยสอนเลขให้มึงได้นะ”





……

”มึง… พูดจริงเปล่าวะ”


“จริง”


“มึง ไม่ได้เกลียดกูหรอกเหรอ”


“… ก็ไม่ได้เกลียดอะไร”


“แต่กูเกรงใจมึงว่ะ มึงต้องอ่านสอบของมึงด้วยเปล่าวะ”


“ไม่เป็นไร“


“กูเกรงใจ”


“ไม่เป็นไร กูฉลาด”





ผมนี่กำหมัดแน่นเลยครับ


ไอ้นาวาหันมาเห็นสายตามองแรงของผมแล้วเผลอยิ้มขำออกมาอีกรอบ


ผมเลยหลุดขำออกไปด้วย


เริ่มงงๆกับตัวเอง นี่กูเป็นส้นตีนอะไร ทำไมต้องขำตามมันวะเนี่ย


”ถ้ามึงเกรงใจงั้นกูไม่สอน”


“อ้าว… ไม่เอาดิ เมื่อกี้มึงบอกจะสอนกูแล้วอ่ะวาาาา”


“ก็เห็นมึงไม่อยากรับ”


“เหี้ยๆ กูอยากรับมากๆ กูไม่เกรงใจอะไรแล้ว มึงสอนกูเถอะนะ”


“เอามือออกไป ขนลุก”


“น้าาา”


”อย่ามาบีบแขนกู”


“กล้ามแน่นสัดอะ สอนกูเถอะนะ”


“เออ แล้วเอามือออกไปด้วย ก่อนเจอตีนกู”


“เยยยยยยยยยยยย้”


สอบผ่านอยู่ไม่ไกล อยู่ใกล้ๆแค่นี้เองโว้ยยยย














ใกล้…


ใกล้มาก…


ใกล้ก็เหี้ยแล้ว!!!!!!!!!


วันนี้ตอนเย็นผมกับนาวามานั่งติวหนังสือกันที่หอสมุดใกล้ๆโรงเรียนเป็นวันแรก


หลังจากที่ไอ้นาวาได้เห็นฝีมือการทำโจทย์ของผมแล้ว มันไม่ได้พูดอะไรมากมาย แค่ประโยคเดียวพร้อมน้ำเสียงนิ่งๆว่า


“หนักกว่าที่คิดนะ”


แงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง!!!!


“คือไอ้วา กูไม่ถนัดดิฟกับอินทิเกรตอ่ะมึง เข้าใจมั้ย”


“นี่สถิติไง ดิฟกับอินทิเกรตมันเทอมที่แล้ว”


“…อ้าว หรอๆ” ตาใสเลยกู


“มึงนั่งอ่านๆไปก่อน กูขอดูก่อนแล้วกันนะว่ามึงทำไม่ได้ตรงไหนบ้าง”


“อืมๆ”


ผมนั่งก้มหน้าดูโจทย์ข้ออื่นไปพลางๆ สักพักก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองคนตรงข้ามแทนกระดาษข้างหน้า


ไม่เข้าใจ งง ทำไม่ได้!


ไอ้วานั่งก้มหน้ามองโจทย์กับลายมือขยุกขยุยที่ผมเขียนไปอย่างตั้งใจ


เห็นแล้วอดซาบซึ้งไม่ได้ เลยยื่นมือไปดึงผมมันมาหนึ่งเส้น


จึ้ก!


“โอ้ยยยย ทำอะไรของมึงเนี่ย!”


“ก็กูหมั่นไส้มึงอ่ะ”


“นี่กูช่วยมึงอยู่นะไอ้ขุน”


“ง่ะ ขอโทษคับ แค่หมั่นเขี้ยว”


”เออ มึงมาดูข้อนี้เลย ข้อนี้มึงแทนผิดสูตร เห็นมั้ยเงื่อนไขมันคนละแบบ เพราะงั้น…………”

หลังจากนั้นไอ้นาวาก็อธิบายให้ผมฟังยาวๆ สอนวนซ้ำไปมาจนคนสมองหมาปัญญาควายอย่างเริ่มจะเข้าใจ

มาทีละส่วน ทีละส่วน มันไม่บ่นสักคำกับคำถามไหนก็ตามที่ผมถามออกไป ถามอะไรก็พยายามตอบให้

ผมเข้าใจ


อาจจะเป็นเพราะมันอายุเท่าผม หรือเปล่า..? มันถึงเข้าใจว่าผมไม่เข้าใจตรงไหน


 สิ่งที่ผมงง มันอธิบายให้ผมรู้เรื่อง


ผมเผลอระบายยิ้มออกมาขณะแอบมองหน้าไอ้คนตรงข้ามที่พูดสอนอยู่


เอาจริง… คณิตแม่งก็ไม่ได้เหี้ยอย่างที่คิดนี่หว่า







.


.


.



”นี่ไงแล้วมึงก็เอาค่าxที่ได้ไปแทนในสมการนี้เห็นป่ะแล้วก็เทคซิกม่าแล้วก็…”


“วาาาาา กูเหนื่อยแล้วอ่าาาาาา”


ผมบ่นขึ้นมา แต่ไม่มีทีท่าว่าไอ้วาจะสนใจ มันยังคงสอนต่อ ชี้ๆๆตัวเลขของมันต่อ จนผมทนไม่ไหวต้องปิด


หนังสือที่มันจับอยู่


“ไอ้วา ไปกินข้าวกันเหอะนะ กูหิวข้าวแล้วอะ”


“แล้วจะเรียนทันไหม”


“เออ ทันดิ นี่คือวันนี้กูคอมพลีทมามากแล้ว มันเกินลิมิตกูเหี้ยๆแล้ววา”


มันยังนั่งนิ่ง ก้มลงมองนาฬิกา บอกเวลาสี่ทุ่ม


“ดึกแล้วอ่ะดิ ป่ะ ไปกินข้าวกันแล้วเดี๋ยวรีบกลับบ้านกัน”


มันเริ่มเก็บสมุด หนังสือลงกระเป๋า “หรือจะกลับบ้านเลย?” มันถาม


“กูหิว ไปกินกับกูก่อน”


“แต่ดึกแล้ว”


“นะๆ ไอ้วา ไปกินข้าวกับกูหน่อยเหอะ”


“…เออๆ”


เก็บของเสร็จเราก็เดินออกมากินก๋วยเตี๋ยวร้านเจ้าดังใกล้โรงเรียน แม่งเปิดตั้งแต่เช้ายันเช้า


คือ24ชั่วโมงอ่ะครับ งงเหมือนกันว่าร้านก๋วยเตี๋ยวหรือเซเว่น พนักงานเปลี่ยนกะกันให้วุ่น


เนื่องจากตอนนี้สี่ทุ่มแลัวคนเลยมีไม่ค่อยมากนัก โชคดีของเรา จะได้รีบกินรีบกลับ


“มึงกินไร” ผมถาม


“เล็กหมูตกไม่งอก”


”โห ตอบเหมือนไม่ได้คิดเลยนะ มาบ่อยเหรอ”


“อืม… กินอยู่เมนูเดียว”


”อ้าว ไม่เบื่อเหรอวะ” ผมถามพลางเขียนเมนูที่ตัวเองสั่งก่อนจะยื่นใบให้พนักงาน


“เบื่อทำไม ก็กูชอบ”


“แต่มึงก็ชอบหลายเมนู กินหลายเมนูผลัดๆกันได้ไง กินอย่างเดียวเบื่อตายห่า”


“กูชอบแล้วชอบเลย ไม่เบื่อ ไม่ได้เหมือนมึง เยอะไปทั่ว”


“อ้าว มึงด่ากูโลเลเหรอ”


“เปล่า กูหมายถึงหลายเมนูไง” ไอ้วายักคิ้ว


อ้อ แล้วไป… นึกว่าด่าอะไรกู


ไอ้วาเริ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คโซเชียลต่างๆ มือนึงก็จิ้มหน้าจอ มือนึงก็พัดโบกไปมาตรงหน้า


เหงื่อเม็ดโตไหลลงมาจากหน้าผากมันเป็นทาง


เพิ่งรู้ว่าเป็นคนขี้ร้อน…


แต่หันไปมองรอบๆข้างก็เพิ่งพบว่าพัดลมมันไม่มีทางไหนเป่าโดนไอ้นาวาด้วยแหละ


ถึงว่า…


“วาๆ สลับที่กัน”


“อะไรของมึง”


“กูอยากนั่งตรงที่มึงอ่ะ กูอยากพิงผนัง”


“กินข้าวอะไรต้องพิงผนัง”


“กินสไตล์กูไง น่า สลับที่ให้กูหน่อยกูปวดหลังแล้วเนี่ย”


“เออๆ เรื่องมากจังวะ” มันบ่น แต่ก็ไม่วายลุกขึ้นสลับที่กับผม ในขณะที่ก๋วยเตี๋ยวสองชามถูกนำมาวางไว้บน


โต๊ะพอดี


ไม่รอช้า ผมกับไอ้นาวารีบจ้วงกินจ้วงกินทันที ไอ้ห่า หิวมากกกกก


“แล้วปกติมึงนอนกี่ทุ่มวะ” ผมถามขึ้นเมื่อบรรยากาศระหว่างผมกับมันเริ่มเงียบจนเกินไป


“ถามไม”


“เอ้า ก็อยากรู้”


“สี่ทุ่ม”


“เหี้ย โกหกและ”


“จริง”


“ตอแหลป่ะ”


“ไม่เชื่อก็เรื่องของมึง”


“อ่ะเชื่อๆ แต่เมื่อคืนกูเห็นมึงยังออนเฟสอยู่ตอนห้าทุ่มครึ่ง”


“…เหรอ”


“และเมื่อคืนอยู่ทำไรดึกดื่นอ่ะ”


“…” มันนิ่งไป ก่อนจะตอบ “เปล่า ไม่ได้ทำไร”


“ทำไมต้องคิดก่อนตอบ แน่ะๆ ทำไรอ่ะ”


“เปล่า”


“ดึกดื่นไอ้วาจะทำอะไรน้าาาาาา ทำอะไรตอนดึกๆ”


“ไอ้สัด ลามก!”


“เดี๋ยวๆ กูยังไม่ทันพูดเลยว่าทำอะไร มึงร้อนตัวอะ”


“…”


“ร้อนตัวงี้แสดงว่าทำจริงแน่เลย ใช่ป่ะ ใช่ป่ะ ไม่ต้องเขินหรอก”


“ไอ้สัด! กูบอกว่ากูไม่ได้ทำ กูแค่อ่านเลขมาเพื่อติวมึงไง”


“…”


“พอใจมึงยัง”






พอใจ


พอใจมาก


มากๆ


”ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าไง”


มันถาม ผมไม่ตอบ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้าแบบไหน


รู้สึกแค่แก้มมันปริๆชอบกล


“ยิ้มทำเหี้ยอะไร”


ไอ้วาถามอีก  แต่ผมเพียงแค่ยักไหล่ขึ้นลงอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะก้มลงกินก๋วยเตี๋ยวต่ออย่างมีความสุข



…มีความสุข?


เดี๋ยวๆ นี่กูมีความสุขอะไรวะ





“อ๋อ สงสัยก๋วยเตี๋ยวอร่อย”


ผมตอบคำถามในใจตัวเอง


















หลังจากวันนั้นมา นาวายังติวให้ผมอีกสองสามครั้ง


และทุกครั้งมันเป็นไปได้ด้วยดี ผมรู้สึกว่าผมเข้าใจเลขมากขึ้น


 ยิ่งพอเริ่มเข้าใจ เริ่มคิดตามได้ ก็ยิ่งสนใจ


อยากทำโจทย์ อยากเรียนรู้  อยากเข้าใจ


เหมือนเช่นวันนี้


“ไอ้ฉิมบีหนึ่ง มึงคิดเหมือนกูปะวะ”


“ไอ้ฉัตรบีสอง กูก็คิดเหมือนมึงเช่นกัน”


“เฮ้ย พวกมึงเงียบๆดิ้ กูตั้งใจเรียนอยู่”


“ไอ้ขุนเปลี่ยนไป!!” ไอ้สองตัวกวนข้างๆตะโกนขึ้นพร้อมกันอย่างไม่เกรงใจอาจารย์ที่ยืนหน้าห้อง


แต่ไม่เป็นไรหรอกครับจารย์แกแก่แล้ว หูตึง


“เปลี่ยนเหี้ยไร ก็หล่อเหมือนเดิม”


“โอเค เชื่อแล้วว่าคนเดิม” ไอ้ฉิมตบหัวผม



“มึงตั้งใจเรียนเลข เป็นไปได้ไงวะ” ไอ้ฉัตรถาม ทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ


“กู big ass”


“เหี้ยไร”


“กลับตัวกลับใจไง อ้าวไอ้สัด ทำหน้างง ไม่เคยฟังอี้ก!”


ผมเลิกให้ความสนใจไอ้สองคนข้างๆก่อนจะหันหน้าตรงไปตั้งใจจดตัวอักษรลงบนสมุดอีกครั้ง


“อยากดีพอให้สมที่เธอนั้น”


“โน้มตัวลงมาอยู่ข้างฉัน”


“ก็เธอคือคนสำคัญ”


“บอกเลยไม่ต้องเกรงใจ”


มันสองตัวร้องเพลงพึมพำๆงุ้งงิ้งกันอยู่ข้างหูผม ปรึกษาอะไรกันสักอย่างจนผมทนไม่ได้ต้องหันไปด่า


“ไอ้สัด กูจะตั้งใจเรียน!”


“เพลงนี้มึงร้องให้ใคร”


“ร้องอะไร”


“กลับตัวกลับใจไง จะบอกใครป่ะ” ไอ้ฉัตรถาม


“ร้องให้ใครอะไรของมึง แฟนกูก็ไม่มี กูจะร้องให้ใครล่ะเฮอะ”


“อ่ะหรอๆ”


“ก็เออดิ”


“นึกว่าจะเกี่ยวกับพฤติกรรมแปลกๆของมึงซะอีก”


“อะไรวะ”


“ก็อย่างเช่น… ตอนเช้าๆพวกกูไม่เห็นมึงหยอดมุกจีบสาวไปทั่วแล้ว”


“มุกกูหมด”


“ตอแหล”


“แล้วมึงเสือกอะไร”


“อ้าว ด่าพวกกูอี้กกกกกกกกก” ไอ้สองตัวทำเป็นเบะปากทำหน้าเศร้าเข้าหากัน


“ไอ้พวกเพื่อนเหี้ย มึงตั้งใจเรียนไปแล้วเลิกจับผิดกูสักที มันไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ กูแค่ไม่อยากโดนย้าย


โรงเรียนโว้ย!!!”


“เชื่อออออออออออออออออออออออออออออ”


เกลียด-พวก-มึง!










(ต่อด้านล่างจ้า)

ออฟไลน์ ammriss

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
(ต่อจากด้านบนค่ะ)





พักกลางวัน





ไม่ได้การแล้ว


จะให้พวกแม่งมาหยามผมอย่างนี้ต่อไปไม่ได้!


มีเหตุผลอะไรทำให้ผมเลิกเต๊าะสาวๆ นั่นคือความสุข นั่นคือกำลังใจในการเรียน

เพราะงั้นกลางวันนี้หลังจากใช้พวกแม่งไปซื้ออาหารให้เหมือนเคยแล้ว


ผมที่จับจองที่นั่งอยู่เฉยๆก็กวาดสายตาสอดส่องหาสาวๆเพื่อล่าเหยื่อทันที


“น้องแพรววววว เดินหาที่นั่งตรงไหนเหรอ ถ้าหาไม่เจอมานั่งตรงนี้ก็ได้นะ”


“ว่างกี่ที่คะพี่ขุนนนน”  อุ้ย วันนี้น้องแพรวเล่นด้วยอ่ะ


”ก็ข้างๆพี่หนึ่งที่ แต่ถ้านับรวมที่ตักพี่ก็เป็นสองจ้าาาาา”


“อ้องั้นไม่เป็นไรค่ะขอบคุณค่ะ”


พูดจบน้องนางก็รีบเดินสะบัดตูดหนีไปเลย


อ้าว … น้องตัดพี่ทิ้งดื้อๆเลยอ่ะ เศร้า


“น้องนุ่นนนน ที่นั่งตรงนี้ยังว่าง ที่นั่งข้างๆพี่ยังไม่มีใครนะจ๊ะ มานั่งได้ จองให้น้องนุ่นคนเดียว”


“ไม่เป็นไรค่ะ”


“ไม่ต้องเกรงใจ”



“ไม่ได้เกรงใจ นุ่นแค่รังเกียจ”


อ้าวเหี้ย


เพล้งเลยกู หน้าแตกเป็นเสี่ยงๆ


แต่เหมือนน้องนุ่นจะสนุกกับการแกล้งพี่นะคะ เห็นยืนขำคิกคักกับเพื่อนสองสามคน


ตลกมากมั้ยสัด!!


หงุดหงิดกับน้องนุ่นแอนด์เดอะแก๊งได้ไม่นานผมก็ต้องเงยหน้าขึ้นตามเสียงหวาน


“ที่นั่งตรงนี้ว่างไหมคะ”


“วะ…” กำลังจะตอบว่าว่างด้วยความยินดี  หากแต่สายตาเจ้ากรรมของผมมันดันเหลือบไปเห็นใบหน้าคุ้น


เคยที่กำลังเดินเข้ามาทางนี้พอดี


“ขอโทษน้า ไม่ว่างแล้วอ่า จองให้เพื่อนแล้ว วันหลังมาใหม่นะคะ”


“อ้อ ขอบคุณค่ะ”


“วันหลังพี่จะจองไว้ให้น้องน้าาาาาาา”


ผมตะโกนไล่หลัง พร้อมกับหันไปเรียกร่างโปร่งที่กำลังเดินเข้ามาใกล้


“วา! ไอ้วา ทางนี้ๆ”


มันขมวดคิ้ว ก่อนจะหันเดินหลบไปอีกทาง


เดี๋ยวๆ นี่มึงจงใจกวนตีนกูใช่มั้ย


ผมวางกระเป๋าไว้ที่โต๊ะก่อนจะรีบวิ่งไปดักหน้ามันไว้อีกทาง


“กวนตีนกูเหรอ” ผมเปิดประเด็น


มันทำหน้าไม่พอใจที่ผมมาขวาง แต่ผมไม่สนใจ


“กูเรียกมึงอะ จองที่ไว้ให้” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง


“จองให้กูหรือจองให้ใคร”


“จองให้มึงไง”


“กูก็เห็นมึงเรียกทุกคนที่เดินผ่าน ถอยไป กูจะไปกินข้าวกับเพื่อน”


“กูจองให้มึงจริงๆ”


มันเงยหน้ามองผมด้วยสายตาขุ่นๆ


“จองให้กูได้ยังไง กูก็เห็นมึงตะโกนเรียก ชวนผู้หญิงทุกคนที่เดินผ่านนี่”


“อันนั้นกูแค่แซวเล่นเฉยๆ”


“ก็ไม่ได้ว่าอะไร”


“กูก็เป็นของกูอย่างนี้อยู่แล้วอ่ะ กูไม่ได้คิดอะไรกับใครสักหน่อย”


“สิทธิ์ของมึง จะทำอะไรก็เรื่องของมึงดิ”


“…เหมือนมึงโกรธกูอ่ะ”


“ไอ้ขุน! โกรธเหี้ยไร ไม่ได้โกรธ”


“อ่ะ ถ้าไม่ได้โกรธก็ไปกินข้าวกับกูละกัน”


ผมไม่รอให้มันตอบอะไร เดินคว้าแขนลากมันมาที่โต๊ะที่จองไว้ทันที


“กินไรมึง”


“ก๋วยเตี๋ยวก็ได้”มันตอบ


ผมพยักหน้าก่อนจะหยิบโทรศัพท์เพื่อโทรหาไอ้สหายดูโอ้นั่นทันที


“มึง กูฝากซื้อก๋วยเตี๋ยวหน่อย”


“ได้ๆ ลุง! ก๋วยเตี๋ยวหนึ่ง!”


“ไอ้สัด กวนตีน เอาเล็กหมูตกไม่งอก”


ไอ้ดูโอ้บ่นนิดหน่อยว่าผมเอาแต่ใช้งานมัน นี่เพื่อนหรือคนรับใช้


เอ้าก็กูเป็นหัวหน้าอ่ะ จะทำอะไรก็ย่อมได้ ถูกป่ะ!


“มึงจำได้ด้วยเหรอ”


ไอ้นาวาพูดขึ้นหลังจากที่ผมวางสายโทรศัพท์


“หือ จำไร”


“เมนูกูไง”


“อ้อ จำได้ดิ”


ไอ้นาวาไม่ตอบอะไรแค่พยักหน้าแล้วก้มลงกดโทรศัพท์ของมันต่อไป











“อ่ะ กูให้ลูกชิ้น” ผมพูดพร้อมยื่นตะเกียบที่เสียบลูกชิ้นไปวางในชามมัน


“กูไม่เอา”


“กูรู้ว่ามึงชอบ ตอนนี้กูลดความอ้วนอยู่ ช่วยกูกินหน่อย”


“ก็เหี้ยละ มึงผอมอย่างกับไม้เสียบผี”


ผมไม่ตอบอะไร แต่ยัดเยียดลูกชิ้นให้มันได้สำเร็จ


จำได้ว่าตอนแรกๆที่ยังไม่ถูกกัน มันเคยแย่งลูกชิ้นผมไปกินแล้วทำหน้าฟินมากๆ


ตลกชิบหาย


“เอ่อ…โทษนะ” ไอ้ฉิมพูดขึ้น “นี่มึงสองคนไปสนิทกันตอนไหน”


“นั่นดิ ไม่นานมากูยังเห็นนาวาต่อยเอาต่อยเอาอยู่เลย” ไอ้ฉัตรพูดต่อ


ไอ้นาวาที่กำลังเคี้ยวลูกชิ้นอยู่ถึงกับสำลัก


ใช่สิ ควรสำลัก ถึงตอนนี้จะญาติดีกันแล้ว


แต่ประเด็นนี้ก็ยังไม่ได้เคลียร์กันสักที


“กูไม่ได้สนิทกับมัน” ไอ้นาวาตอบด้วยสีหน้าถมึงทึง


“โอ้โห กูอยากสนิทกับมึงมากมั้ง” ผมตอบกวนตีนมันไปบ้าง


หมั่นไส้ว่ะ ตอนทำหน้านิ่งๆแล้วพูดนู่นนี่ที่ไม่เป็นความจริงเนี่ย ถนัดจังนะมึงอะ


ทำเป็นพูดดี วันนั้นยังยอมนอนดึกเพื่ออ่านหนังสือมาติวให้กูอยู่เลย


พูดแล้วก็ขำ คิกคิก


”ไม่สนิทกันแต่ให้ลูกชิ้นกันเนี่ยนะ ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมาไอ้ขุนไม่เห็นเคยให้อะไรกูบ้างเลย ไอ้ฉัตรด้วย” ไอ้

ฉิมบ่น


“เดี๋ยวๆไอ้สัด มาพาดพิงกู มึงก็ไม่ให้อะไรกูเหมือนกัน ดีแต่ขโมย เจลเล่บิวตี้ของกูในตู้เย็นวันนั้นมึงก็แอบ


เอาไปแดกอะไอ้ฉิม” ไอ้ฉัตรแย้ง


“ก็กูไม่รู้ว่าของใคร มันไม่มีป้ายแปะชื่อไว้กูก็กินได้มั้ยอะ”


“ประเด็นคือห้องเราเราอยู่กันสองคนไงไอ้สัด!”


“เดี๋ยวๆมึงกินเจลเล่บิวตี้ด้วยอ่อวะไอ้ฉัตร” ผมถาม


“เออทำไมวะ”


“ไอ้เหี้ยแต๋วสัด”


“แต๋วเหี้ยไร มึงอย่ามาพูดจาดูถูกเจลเล่บิวตี้สีม่วงของกูถ้ามึงไม่เคยลอง!” ไอ้ฉัตร


“จริง กูเห็นด้วยกับไอ้ฉัตร อร่อยสัดหมาไม่เคยแดกห้ามด่า” ไอ้ฉิมเสริม ก่อนที่มันสองตัวจะหันไปแท็กทีมกัน


แล้วพูดบรรยายสรรพคุณของเจลเล่บิวตี้ไว้อีกมากมาย


เออ ไม่ว่าแม่งจะยังไงสุดท้ายพวกมึงก็ดูโอ้กันอยู่ดี กูยอม









.

.

.




”พี่ขุนพี่นาวาพวกผมกลับก่อนนะค้าบบบบบบ”


”เออๆพวกมึงกลับดีๆอย่าไปฉุดใครเค้าล่ะ” ผมตอบ


”ไม่ฉุดหรอก อยากฉุดแค่พี่นาวาคนเดียว”


“เดี๋ยวเจอตีนกู” ไอ้นาวาตอบ พวกเด็กเปรตทุกคนหัวเราะขำก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน


ผมหันไปหาไอ้นาวาก่อนจะก้มลงช่วยมันเก็บลูกบาสที่อยู่บนพื้น


“เดี๋ยววันนี้มึงไปสอนกูที่เดิมเปล่าอะ”


ไอ้นาวาเงียบ มันทำหน้าอึกอักๆก่อนจะตอบผมเสียงเบา


“คือ…โทษทีว่ะไอ้ขุน วันนี้กูมีนัดแล้วอะ”


“อ้าว แต่เมื่อคืนมึงนัดกับกูก่อนอะ”


“โทษทีว่ะแต่เรื่องด่วนจริงๆ”


“แน่ะ มึงไปแอบนัดกับสาวที่ไหนหราาาาาาาาาาา มีคนคุยละไม่บอกกูป่ะเนี่ย”


“เหี้ยไร ไม่ใช่!”



“ตอบเฉยๆกูก็เชื่อ ไม่ต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้น”


“ร้อนตัวเหี้ยไร ไม่มี!”


ตอนแรกก็แซวๆเฉยๆ ตอนนี้เริ่มสงสัยจริงละ


มันไปแอบมีแฟนป่ะวะ มีใครสำคัญกว่าผมด้วยเหรอ มันถึงยกเลิกการสอนเนี่ย


ไอ้ห่า คิดแล้วเริ่มหงุดหงิด


“เมื่อคืนมึงบอกว่าจะติวกูอะ เมื่อคืนกูก็ไปเตรียมอ่านมาอย่างดี”


“อ้าว มึงก็อ่านเองได้แล้วนี่”


“มันไม่เหมือนกันไหมอ่ะมึง กูอ่านเองก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา กูอ่านแต่ไม่เข้าใจ!”


“เออๆ เดี๋ยววันหลังติวให้ใหม่นะ”


“กูจะสอบแล้ว”


“…กูยกเลิกนัดเพื่อนไม่ได้ไอ้ขุน”


“มึงเลยมายกเลิกนัดกูแทนอะนะ”


“…ก็ใช่ โทษทีว่ะ”


“เออ ใช่สิ กูมันไม่สำคัญนี่หว่า ไปเลย มึงไปกับเพื่อนมึงให้สนุกเลยละกันนะ กูกลับละ บาย!”


ปัง!!


อย่าหวังว่าจะได้เจอหน้ากูอีก กูงอน!!!!!














ซะเมื่อไหร่ล่ะ!


ไอ้ห่า ทำไมมืดจังวะ มองไม่ชัดเลย…


ด้วยความขี้เสือกระดับพระกาฬทำให้ผมต้องมานั่งหลบหลังพุ่มไม้ด้อมๆมองๆไอ้นาวาจากด้านหลัง


แอบสะกดรอยตามมันตั้งนานก็ได้เห็นมันเดินมาร้านกาแฟแห่งหนึ่งใกล้ๆโรงเรียน มันเดินเข้าร้านและเลือก


นั่งที่มุมหนึ่งซึ่งผมเห็นมันได้จากข้างหลังเท่านั้น


ไหนวะ เพื่อนที่มึงนัด ไม่เห็นมีใครเลย


นั่งรอดูอย่างใจจดใจจ่อพลางในใจก็คิดว่าแม่งหลอกกูปะวะ นัดเนิดไรไม่มีหรอก สงสัยแค่ขี้เกียจสอนกูเป็นแน่แท้


หน็อยยยย ไอ้วา!


กำลังจะด่ามันในใจก็ต้องหยุดชะงักเมื่อพบกับร่างสูงที่เพิ่งเดินเข้ามาถึงโต๊ะ


อ้าว นัดเพื่อนจริงว่ะ


เพื่อนคนไหนวะ ดูจากชุดนักเรียนก็โรงเรียนเดียวกันนี่หว่า


เพือนสนิทขนาดไหนทำไมถึงกับต้องเลื่อนนัดกู


คิดอย่างหัวเสีย ในขณะที่ไอ้คนตัวสูงข้างหน้าค่อยๆนั่งลงที่ตรงข้ามไอ้วา…


ผมก็ได้เห็นหน้ามัน


เดี๋ยวนะ


ใครวะ ทำไมหน้าคุ้นๆ


คุ้นมาก … คุ้นแบบ คล้ายใครสักคน


ใครสักคนที่ผมเห็นทุกวัน





ไอ้เหี้ย!!!!


คนตรงหน้ามันเป็นใคร ทำไมหน้าตามันถึงคล้ายกูวะ!!!
















To be continue.








แง่ ใครหว่าหน้าเหมือนขุนพลลลลลลลลลล  :hao3:

หวังว่าจะชอบกันนะค้า คิดเห็นอย่างไรติชมได้เลยจ้า ขอบคุณค่ะ :-[ :o8:

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
อยากตามไปดูกับขุนพลด้วย อยากรู้เหมือนกัน

ออฟไลน์ Himbeere20

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โรงเรียนเดียวกัน ขุนไม่รู้จักเหรอ

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1

ออฟไลน์ yunnutjae

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
หืม อะไรยังไงคะะะ???
มาอัพบ่อยๆนะคะ ชอบเรื่องนี้มากๆๆๆ ค้างมานานนนนนน และค้างต่อไป โว้ย 5555555555

ออฟไลน์ ammriss

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นน้าค้า ชื่นใจมากกกกกกกกก
กำลังใจของฉัน :pig4:






ยกที่ 4







วันเสาร์อาทิตย์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว


ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำโจทย์คณิต อ่านทวนสิ่งที่ไอ้นาวาเคยสอนๆไว้


พ่อกับแม่เดินผ่านผมทีนี่ตาเหลือกตาโตกันใหญ่ เหมือนเห็นตัวเหี้ยนั่งแดกไก่อยู่ในบ้าน


ทำไมครับ!!! ตั้งใจเรียนแล้วผิดตรงไหน


พูดแล้วก็นึกสงสัยตัวเอง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แค่รู้สึกว่าครั้งนี้อยากทำคะแนนให้มันออกมาดีๆหน่อย




อืม สงสัยเป็นเพราะผมกลัวโดนย้ายโรงเรียนแหงๆ










วันจันทร์


วันนี้คือวันสอบย่อยคณิตครั้งที่สาม


ผมทำข้อสอบพอถูไถ บางข้อทำได้ บางข้อต้องพึ่งบุญบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย หนูแดง เดี๋ยวสอบเสร็จพ่อ


ซื้อน้ำแดงไปให้นะลูกกกกกก


จะอะไรก็แล้วแต่ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ใช้เวลาจนหมด


ไม่อยากจะพูด ปกติทำแค่5นาทีก็เสร็จครับ


โหนี่มึงคิดเลขเร็วมาก!!??


อ๋อเปล่า ได้กระดาษคำตอบแล้วฝนเลย ไม่ต้องอ่านโจทย์ให้เสียเวลา แฮร่!!


ผมค้นพบข้อดีอย่างหนึ่งของการตั้งใจทำอะไรสักอย่าง


มันสามารถทำให้ผมลืมเรื่องที่กำลังฟุ้งซ่านอยู่ก่อนหน้าได้ เรื่องที่ผมสงสัยเกี่ยวกับคนที่ไอ้นาวานัดเจอเมื่อ

วันศุกร์


คนที่หน้าตาคล้ายๆผม ใส่ชุดโรงเรียนเดียวกัน แต่ไม่เคยเห็นหน้ามันเลยสักครั้ง


แต่ก็นะ โรงเรียนเรามีคนตั้งเป็นพัน จำหน้าไม่ได้ก็ไม่เห็นแปลกอะไร


”ไอ้พวกลูกกระจ๊อกทั้งสอง” ผมเอ่ยขึ้นขณะที่เราชาวสบู่ขาวกำลังเดินมุ่งหน้าไปกินข้าวกลางวันที่โรงอาหาร


“ไหนใครลูกกระจ๊อกของมึงไอ้สัด พูดอีกทีเดี๋ยวกูฟาดด้วยเข็มขัด มึงอย่ามาโบกเดี๋ยวเจอกูกัด”


ผัวะ!


“นี่ไม่ใช่โชว์มีเดอะมันนี่ไอ้สัด!” ผมตบหัวไอ้ฉิมไปที


รำคาญ พวกแม่งชอบจัด ไอ้สัดครั้งก่อนทำกูติดเพลงคุกกี้เสี่ยงทายไปหลายอาทิตย์


ไอ้สองตัวขำที่ทำให้ผมหัวร้อนก่อนกินข้าวได้ บางทีผมก็สงสัยว่าพวกแม่งโรคจิตปะวะ


มีความสุขกันจั๊งงงงงงงงกับอะไรแบบเนี้ย


“กูมีไรจะถาม นี่จริงจังมาก” ผมเปิดประเด็น


“อะว่ามามีไร” ไอ้ฉัตรตอบ ทำหน้าขี้เสือกแบบเต็มส้นตีน


“ในโรงเรียนเรามึงเคยเจอใครหน้าตาเหมือนกูปะวะ”


“หืม… กูไม่คุ้นเลยนะ”


”ไม่มีคนหน้าตาดีเท่ากู?”


“ไม่มีใครหน้าตาดูปัญญาอ่อนได้เท่ามึงแล้ว!!!!”


อ่ะ ตะโกนแบบพร้อมเพรียง ถามจริงพวกมึงเป็นแฝดกันป่ะ


แล้วนี่กูจะชงมุกให้พวกมันด่ากลับทำไมละเนี่ย เอ๊ออออออออ












.

.

.



“ไอ้ขุนนนน คะแนนประกาศแล้วนะเว่ย”


“อ้าวเหรอ”


“เออดิเนี่ยย กูเห็นเค้าบอกว่าคนมุงกันเต็มเลย”


“หรอ อืมๆ เดี๋ยววันไหนว่างๆกูค่อยเดินไปดูนะ บอร์ดตึกสี่ใช่ป่ะ”


“เออ… ไม่ไปดูเหรอวะเห็นมึงดูตื่นเต้นนะสอบครั้งนี้อะ”


“เห้ย ตื่นเต้นเหี้ยไร กูสายชิลอยู่แล้วไง ไม่เคยตื่นเต้น”


“อ่ะเหรอๆ” ไอ้ฉิมไอ้ฉัตรทำหน้าตาไม่เชื่อ แต่ผมหาได้สนใจไม่


ก้มหน้าลงตีป้อมROVในมือถือต่อไป “เออ ไว้วันไหนว่างค่อยเดินไปดูละกัน”


“จ้ามึง เอาที่มึงสบายใจเถอะ” พวกมันตอบ


“เออ … เห้ย กูปวดขี้ว่ะ ไปขี้แปปนะ จะปลิดออกมาก้อนนึงละ อีกนิดจะทิ้งตัวลงมาแล้ววว”


“เออไอ้สัดมึงรีบไปเลย บรรยายซะกูเห็นภาพเลยเนี่ย”


ผมไม่สนใจกับท่าทาง’ไอ้เหี้ย กูจะอ้วก’ของพวกมัน แต่รีบวิ่งหน้าตั้งไปยังห้องน้ำหมายจะปลดทุกข์ทันที





… ซะที่ไหนล่ะ! จะไปไหนได้ล่ะครับ ก็ไปบอร์ดตึกสี่ดิ


ไอ้เหี้ยยยยยยยยยยยย ตื่นเต้นสัดๆๆๆๆๆๆๆ ประกาศคะแนนแล้วโว้ยยย ทำไงดีวะ


ถ้าได้คะแนนดีต้องทำหน้ายังไง


แล้วถ้าได้คะแนนแย่ต้องทำตัวแบบไหน


แล้วผมจะบอกไอ้นาวายังไง


จะมีหน้าไปบอกมันเหรอวะ  แม่งอุตส่าห์มาตั้งใจสอนให้ตั้งหลายวัน


ถ้าคะแนนไม่ดีมันจะเกลียดผมปะวะ


โอ้ยไอ้เหี้ยยยยยย ฟุ้งซ่านสัดๆๆ


ผมสะบัดความคิดในหัวในขณะที่สองขายังคงวิ่งด้วยความเร็วสูงหวังจะไปถึงที่หมายโดยเร็ว หากแต่ต้อง


หยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังออกมาจากหน้าต่างชั้นบน


“ไอ้ขุนนนนนนนนนนนนนนนนนนน”ผมหันหน้าไปมองตามเสียงก่อนจะพบหน้าไอ้คู่หูนรกตัวเดิมที่ยืนเท้า


แขนยิ้มแป้นแล้นอยู่ที่ขอบหน้าต่าง


“ไปขี้ไกลจังเลยนะมึงงงงงงงงงงงง”





เสือก!!!!!!!













บอกผมทีว่าผมควรรุ้สึกยังไงกับผลตรงหน้า


บอกผมทีว่าผมควรจะทำยังไง


บอกผมทีว่าผมควรบอกไอ้นาวาว่าอะไร


บอกผมทีว่าไอ้นาวาจะรู้สึกแบบไหน…





คิดวนไปวนมาพลางสองขาก็ก้าวมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องนี้เสียแล้ว


ม.6/3


ปึ้ก!


“ขอโทษที่ชน… อ้าว เด็กห้องอื่นนี่ มาหาใครล่ะ เรียกให้เอาป่ะ”


เด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักเอ่ยขึ้นหลังเปิดประตูออกมาจากห้อง “อืม เรียกให้เราหน่อย”


“มาหาใครล่ะ”


“นาวา”


“โห คนดังเลยนะ เครๆแปปนะ”


ผมยืนรอสักพัก ไม่นานนักไอ้นาวาก็โผล่หน้าออกมา


“มีไรมึง มาซะเร็วเลย เพิ่งเลิกเรียน”


“คะแนนกูประกาศแล้วว่ะ”


“เป็นไงบ้างล่ะ”


“ไอ้เหี้ยคือกู…” ผมตะกุกตะกัก


”อย่ามาหลอกกู กูรู้ว่ามึงทำได้”


“ทำไมมึงถึงคิดงั้น” ผมถาม


“ไม่มีเหตุผล”


“เอ้าไอ้สัด”


“กูแค่เชื่อ กูเชื่อว่ามึงทำได้”


มันตอบหน้าตาย แต่กลับมีผลต่อจิตใจผมแปลกๆ


รู้สึกเหมือนมีอะไรดันขึ้นมาในอกซะงั้น


เหี้ย ซึ้งว่ะ


“แล้วสรุปมึงได้คะแนนเท่าไหร่”


“67”



“เต็มเท่าไหร่” มันถาม


“ร้อย”


มันยิ้มกว้าง “นั่นไง กูบอกแล้วว่ามึงทำได้ ไม่ตกนี่”


ผมยิ้มตอบมัน ในใจก็นึกอยากให้มันยิ้มอยู่อย่างนั้นนานๆ


ผมตบไหล่มันเบาๆ “ขอบใจนะมึงที่เชื่อว่ากูทำได้อ่ะ”


“อ๋อ ไม่เป็นไรหรอก”มันอมยิ้ม


”บอร์ดตึกสี่มันก็ไม่ไกลจากห้องกูเท่าไหร่หรอก”





แล้วมาหลอกให้กูทำซึ้งตั้งนาน ไอ้เหี้ย!


















ถึงแม้มันจะกวนส้นตีนผมมากขนาดไหน แต่ด้วยความที่ผมดีใจมากๆ ตอนเย็นของเราเลยจบลงที่ร้านบิงซูชื่อ


ดังใกล้โรงเรียนโดยที่ผมเป็นเจ้ามือ


แม่งมาสอนให้ตั้งหลายวัน ก็ต้องเลี้ยงตอบแทนซะหน่อย


“แดกไร” ผมถาม ก่อนจะยื่นเมนูแผ่นใหญ่ให้ ”วันนี้กูเลี้ยงเอง”


“เห้ย…”


“ไม่เป็นไร ไม่ต้องเกรงใจ”


“อ๋อเปล่า กูจะบอกว่า เห้ย มึงไปหยิบน้ำตรงนั้นมาให้หน่อยดิกูคอแห้ง”


“ไอ้สัด” ผมด่ามันทีเล่นทีจริง ไอ้นาวาขำที่มันกวนโมโหผมได้


ผมไม่ตอบอะไรเพิ่ม แต่เดินไปหยิบน้ำเปล่ามาให้มันสองแก้ว


“จริงๆแล้วกูล้อเล่น”


“ไม่เป็นไร กูก็หิวน้ำพอดี”


มันไม่ตอบอะไร แต่มองหน้าผมนิ่ง


“มองทำไม” ผมถาม


“เปล่า แค่คิดว่ามึงนี่ใช้ง่ายดีนะ”


“เดี๋ยวนี้คิดว่าสนิทกับกูแล้วเอาใหญ่เลยนะมึง” ผมด่า


ไอ้ห่านี่นับวันมันกวนตีนผมขึ้นเรื่อยๆปะวะ


มันไม่ตอบอะไร แต่หันไปเรียกพนักงานมาสั่งเมนู


“เอาบิงซูสตรอเบอรี่ราดชีสครับ”


“เดี๋ยวๆนี่มึงไม่คิดจะถามความเห็นกูหน่อยเหรอ” ผมแย้งขึ้นมาหลังจากที่พนักงานรับออเดอร์แล้วเดินจากไป


“อ้าว ต้องหรอ”


“กูเป็นคนพามึงมาเลี้ยง”


“ก็ใช่ไง”


เออ เอากับแม่ง


เพิ่งรู้ว่าพอสนิทขึ้นแล้วจะเป็นคนกวนส้นตีนขนาดนี้


แต่ช่างเหอะ โชคดีที่เป็นเมนูที่ผมชอบเหมือนกัน


“เออ กีฬาสีครั้งนี้มึงทำงานไรป่ะ” ผมเปิดประเด็นขึ้นมาทำลายบรรยากาศเงียบๆระหว่างรอบิงซู


“กูเป็นรองประธานสี”


“เชร้ดเข้ ทำไมมึงต้องมียศมีตำแหน่งทุกงานเลยวะไอ้วา”


”แล้วมึงทำหน้าที่อะไร”


“กู…” มันรอฟัง “กูขายกล้วยปิ้งให้ที่ห้อง”


“อุ๊บ…”


“ไอ้สัด ถ้ามึงจะขำก็ขำมาเหอะ มากลั้นขำทำเหี้ยอะไร กูเสียใจหนักกว่าเดิมอีกเนี่ย”


ผมด่ามัน ไอ้นาวาเลยหลุดขำออกมาจนหน้าแดง


“เดี๋ยวเหอะมึงมาดูถูกหน้าที่กู ขายกล้วยปิ้งมันได้เงินนะเว้ย”


“ไม่ได้ดูถูก” มันส่ายหน้าไปมา “แค่คิดว่า ขายกล้วยปิ้งก็ดูเข้ากับมึงดีนะ”


“โห พูดอย่างนี้มึงต่อยหน้ากูเหอะ”


ยังไม่ทันได้ด่าต่อ บิงซูขนาดกลางก็ถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะพร้อมกิน


ไม่รอให้ไอ้นาวาเปิดก่อน ผมรีบหยิบช้อนจ้วงเข้าปากทันที


งืมมมมมมมมม อร่อยยยยยยยยยยยยย


ผมเคี้ยวสตรอเบอรี่ในปากหงุบหงับด้วยความฟิน ก่อนจะเงยหน้าไปมองไอ้คนตรงข้ามที่ตักบิงซูกินด้วยหน้า


ตายเหมือนเคย


“ไม่อร่อยเหรอวะ” ผมถาม


“ก็เปล่านี่ อร่อยดี”


“อร่อยเหี้ยไรทำหน้านิ่งอย่างนั้น”


“ก็หน้ากูก็เป็นงี้” มันตอบ


“หรือมึงไม่ชอบรสนี้”


“เปล่า กูชอบ”


“เออนั่นสิ ไม่ชอบแล้วจะสั่งมาทำไมวะ”


ผมส่ายหัวก่อนจะตักบิงซูกินอีกรอบ  “แล้วงานรองประธานสีนี่ทำอะไรบ้างวะ” ผมถามมัน


”… เยอะ”


“โอ้โฮ เอาซะกูรู้เรื่องเลย ไอ้วา รู้แล้วว่าไม่ชอบพูด แต่มึงเล่าให้กูฟังบ้างก็ได้ กูอยากเห็นภาพ”


“เหรอ”


“เออ เกิดมาไม่เคยแตะเลยเนี่ยไอ้พวกมีตำแหน่ง มียศทั้งหลาย น่าอิจฉามึงว่ะ”


“…อย่าอิจฉาเลย ไม่ดีหรอก”


มันตอบ น้ำเสียงราบนิ่งเหมือนเคย แต่ฟังแล้วรู้สึกแปลกไป


ผมเงยหน้ามองมัน


“เรื่องมันเยอะ”มันตอบอีกครั้ง


สีหน้ามันดู… เหนื่อย


เออ ใช่ มันดูเหนื่อยจริงๆ


ไอ้ห่า คิดแล้วความรู้สึกผิดก็ครอบงำจิดใจทันที นี่มันเหนื่อยกับงานมันขนาดนี้ยังอุตส่าห์เจียดเวลามาสอน


คนโง่อย่างผมอีกเหรอ


คนดีสัด


“เห้ย ไอ้วา มึงอย่าเครียดมากเลย”


ผมพยายามปลอบ


“ไม่ กูก็ไม่เครียดอะไร”


ไม่เครียดพ่อมึงคิ้วขมวดเป็นโบผูกผมแล้ว


“เอางี้ๆ ไว้วันหลังกูพาไปเลี้ยงหมูกะทะ”


“อารมณ์ไหน”


“เอ้า มึงรู้ป่ะ เวลาไปกินหมูกะทะเนี่ย พอมึงใส่หมูลงในเตาอ่ะ”


“ทำไม”


“มันจะดังว่า ซู่…ซู่…”





กริบเลยอะ


ไม่น่าเลย กูไม่น่าเล่นมุกสิ้นคิดนี้เลย


“อุ๊บ…”


แต่แล้วก็ต้องใจชื้นเมื่อได้ยินเสียงหลุดขำของคนตรงหน้า “มึงขำแล้ว!”


“ขำเหี้ยไร”


“มึงขำมุกกู แน้!!! ตลกอะดิทำมาเป็นนิ่งตั้งนาน กลั้นขำมันเหนื่อยนะมึง”


“ไม่ได้ขำเพราะตลก…”


“ขี้โม้ว่ะ”


“กูแค่ขำเพราะมันไม่ขำ”


เออ ฟังแล้วงงๆเนอะ


แต่ช่างเหอะ


อย่างน้อยมึงก็ยิ้มอะ

















"เออแต่ยังไงกูก็ขอบคุณมึงมากนะไอ้วา" ผมพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าบิงซูถ้วยใหญ่ใกล้จะหมด


"เรื่อง?"


"ที่มึงช่วยสอนกูไง ไม่ได้มึงกูไม่ผ่านแหง"


"ไม่เป็นไร" มันตอบ ก่อนที่บรรยากาศระหว่างเราจะตกสู่ความเงียบอีกครั้ง


"แล้ว... วิชาอื่นเป็นไงบ้าง"  มันถาม


"ก็ เรื่อยๆว่ะ แต่เชื่อเหอะไม่มีอะไรแย่เท่าเลขแล้ว" มันยักไหล่


"ถ้ามีแย่กว่านี้กูคงเครียดแทนพ่อมึง"


"ไอ้สัด" ผมด่ามันติดขำ ก่อนจะพูดต่อ "วิชาอื่นกูพออ่านเองได้ เดี๋ยววันพฤหัสมีสอบชีวะเนี่ย"


"ชีวะ? จานสุรีย์ป่ะ"


"สุรีย์ไหนวะ กูจำชื่อใครไม่ได้เลย แหะๆ"


มันส่ายหัวเอือมระอากับผม "ก็สุรีย์ที่มัดผมขึ้นสูงๆ ตาเล็กๆอ่ะ ไม่ใส่แว่น"


"อ๋อออออ กูนึกออกละ จานชะมดนี่เอง"


ไอ้นาวาขมวดคิ้ว "ชะมดเหี้ยไรของมึง"


"ก็หน้าเหมือนชะมด กูเรียกแบบนี้จำง่ายกว่าเยอะ เนี่ย กูมีหลายคนเลยนะ จานแพนด้า จานสมเสร็จ จานช้าง


จานลิงป่า จานอีกัวน่า"


"ไอ้สัดแต่ละตัว... ตั้งให้แต่คนอื่นแล้วอย่างมึงนี่เป็นตัวอะไรล่ะ"


"กูเหรอ"


ผมหยุดคิด คำถามนี้ไม่เคยมีคนถามมาก่อนแฮะ


"กูว่า…กูคงเป็นแมวลายหินอ่อน"


"ทำไมวะ"


"เพราะมันโดดเด่นและหาตัวจับยากไง น่อวววววววว"


ผมเอามือกำเป็นก้อนกลมก่อนจะทำเป็นบิดมือไปมาตรงหัวของตัวเอง กูสายแบ๊วก็รุ่งเว้ยมึงไม่รู้อะไร


ไอ้นาวาทำหน้าช็อคเหมือนเห็นผี ก่อนจะหลุดขำ


"โดดเด่นและหาตัวจับยากพ่อมึงเหอะ"


"เอ้า แมวลายหินอ่อนนี่สัตว์ป่าสงวนไง โห่ มึงไม่ตั้งใจเรียนชีวะอ่ะไอ้วา"


"มันอยู่ในคาบสังคม"


อ่ะหรอ แหะๆ


"อย่างมึงไม่เห็นเหมือนแมวเลย"


"อ้าว แล้วอย่างกูนี่เหมือนอะไร" ผมถามมันบ้าง


"ไม่รู้ดิ" มันตอบเหมือนไม่สนใจก่อนจะก้มหน้าลงไปตักบิงซูที่ใกล้หมดเต็มที


“แต่มึงอ่ะ กูคิดออกนะว่าเหมือนอะไร”


“อะไรวะ” มันหันมาให้ความสนใจ


“มึงเหมือนวิชาเลข”


“เพราะกูฉลาด?”


“เพราะมึงมันเข้าใจยากไอ้สัด” ผมตอบ


เลือกที่จะตบมุกให้มันแต่ไม่บอกเหตุผลจริงๆที่ผมคิดอยู่ในหัว


มันพึมพำด่าผมแต่ผมไม่ได้สนใจอะไร


ผมก้มลงตักบิงซูบ้าง แต่ยังไม่ทันได้กินไอ้นาวาก็พูดขึ้นมาก่อน


“หมา”


“หมาอะไรของมึง” ผมถาม


“กูแค่คิดว่า มึงเหมือนหมา”


“หา แบบตัวกลมๆแบบปอมๆงี้อะนะ”


“ไม่ดิ  แบบพันธุ์โกลเด้นตัวใหญ่ๆอะ”


“หมายถึงว่ากูน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนมัน?”


“เปล่า ดูหลอกง่ายดี”


จ้าาาาาาาาาาาาาาาาาาา


“เหอะๆมึงก็พูดไป กูรู้หรอกว่ามึงคิดอะไรอยู่”


“อะไร”


“มึงคิดว่า”


“ว่า…”


“ เพราะหมามันน่ารัก มันอบอุ่นเหมือนกูต่างหาก ใช่ปะ”


ผมตั้งใจจะกวนตีนมันเฉยๆ แต่กลับได้ปฏิกิริยาตอบกลับที่น่าสนใจแทน


”พูดเหี้ยไรของมึง”


“ไอ้วา … มึงร้อนหรอ”


“ร้านนี้แอร์สี่ หนาวจะตาย”


“นั่นดิ แล้วทำไมหน้าแดงวะ”


“เปล่า”


“เปล่าอะไร” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ “เนี่ย ก็เห็นอยู่ว่าหน้าแดง หูก็แดง”


“เสือก!!!” มันดันอกผมออก “ถอยไป กูจะกลับบ้านแล้ว”


“ฝนตก เดี๋ยวกูไปส่งนะ กูพกร่มมา”


“ไม่ต้อง กูตากฝนได้”


“ก็กูบอกว่าเดี๋ยวกูเดินไปส่ง”


“ไม่เป็นไร”


“น่า เดี๋ยวกูไปส่ง”


“ไม่เป็นไร” คำตอบเดิมแต่เสียงต่างออกไป


ผมเงยหน้าตามเสียงที่ไม่คุ้นเคยก่อนจะได้พบกับใบหน้าประดับรอยยิ้มที่เคยเจอเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว


“มึงเป็นใคร เป็นเพื่อนไอ้วาหรอ” ผมถามด้วยน้ำเสียง(ที่พยายามอย่างมากที่จะ)เป็นมิตร


ดูใกล้ๆมันก็ไม่ได้หน้าเหมือนผมสักเท่าไหร่


แค่…คล้ายๆ…ในบางมุม ล่ะมั้ง


“กูจะเป็นอะไรกับวาก็ไม่เกี่ยวอะไรกับมึง กูขอพาวากลับก่อนแล้วกันนะ”


อ้าว ไอ้สัดนี่วอนซะแล้ว!


”ป่ะ วา กลับกัน เดี๋ยวกูพามึงไปส่งบ้าน พี่มึงโทรถามกูยิกๆเลยว่ามึงอยู่ไหน เห็นมึงไม่รับโทรศัพท์”


“อ้าว โทษที กูไม่ได้เปิดเลย” ไอ้นาวาตอบมัน


“อืม วันหลังเปิดด้วย รู้ใช่มั้ยว่ากูเป็นห่วง”


นาวาไม่ตอบ แค่เงยหน้าสบตาคนตรงข้ามแล้วอมยิ้ม พยักหน้าเบาๆ


“ดี” ไอ้คนข้างหนัาหันไปยกมือลูบหัวไอ้วาไปมา


…สงสัยจะเป็นเพื่อนกัน


…หรือเปล่าวะ


ไอ้เหี้ยนั่นไม่สนใจผม จับแขนแล้วลากไอ้วาเดินผ่านผมออกจากร้านไป


ผ่านไปเป็นนาทีแล้วแต่ผมยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ด้วยความสับสน


สิ่งที่ผมไม่เข้าใจเพียงสิ่งเดียวคือรอยยิ้มบนใบหน้าของไอ้วาที่ผ่านสายตาผมไป


เพียงครู่เดียวแต่ผมก็จำได้ ว่ามันมีสีหน้ายังไง


ผมแค่สงสัยว่าทำไม


ทำไมมึงถึงมองเพื่อนมึงด้วยสายตาแบบนั้นวะไอ้วา




















(ต่อด้านล่างจ้า)

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
เอ๋..ตกลงนาวาแอบชอบใครกันแน่... :ruready

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด