@@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - มื้อค่ำพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ (5/1/64)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: @@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - มื้อค่ำพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ (5/1/64)  (อ่าน 116204 ครั้ง)

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- ความสุขที่คู่ควร (ต่อ) ----




"ผมสงสัยอ่ะว่าทำไมลุงหลงต้องแอ๊บเป็นเจ้าพ่อด้วยอ่ะ? "

คำถามของเจทำให้ฆาเบียร์ต้องหัวเราะออกมาดัง ๆ

"นี่ คำถามนี้ฉันว่านายไปถามกับลุงเขาเองดีกว่าไหม? "

คนตัวโตพูดยิ้ม ๆ เจนยุทธทำหน้ามุ่ยแล้วส่ายหัว

"ไม่เอาอ่ะ ผมขี้เกียจไปถามลุงเค้า ถามคุณตอนนี้ดีกว่า"

เจทำท่าอ้อนคนรักของเขาด้วยการถูแก้มไปกับแผงอกกว้างเหมือนกับแมวที่กำลังอ้อนเจ้าของ ฆาเบียร์ยิ้มน้อย ๆ พลางยกมือขึ้นลูบผมนิ่ม

"จะว่าไงดี..."

คนตัวโตยิ้มน้อย ๆ

"...เอาเป็นว่าเท่าที่ฉันฟังจากอาปามา ลุงเขาหลงใหลวิถีชีวิตแบบนักเลงน่ะ"

ฆาเบียร์พูดยิ้ม ๆ เจทำตาโต

"แบบ อยากเป็นอั้งยี่ไรงี้เหรอคุณ? "

"อั้งยี่ มาเฟีย ยากูซ่า ทุกอย่างที่ดูเป็น Gangster หรือเกี่ยวกับโลกใต้ดิน ลุงแกชอบหมด"



ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก อู่ทินหลงนั้นหลงใหลสิ่งที่เขามองว่าเป็นวิถีชีวิตลูกผู้ชายอย่างยิ่งยวด เขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากประวัติและความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวของเขาและเพื่อนสนิททั้งสอง โดยเฉพาะครอบครัวตระกูลจิวซึ่งมีความใกล้เคียงกับความเป็นนักเลงที่สุด

"เห็นว่าตอนเด็ก ๆ ลุงแกจะบ่นตลอดว่าทำไมปู่ของลุงถึงต้องเลือกเส้นทางสายสุจริตแล้วผันตัวมาเป็นชาวประมงด้วย แล้วลุงเดวิดก็จะด่าสวนทุกครั้งว่าอยู่ดี ๆ ไม่ว่าดี อยากจะเป็นพวกนอกกฎหมายซะงั้น..."

เจส่ายหัวเมื่อนึกภาพตาลุงหัวดื้อเถียงกับเดวิด จิวในเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้

"ลุงเขาเลยชอบใช้เวลากับที่บ้านของลุงเดวิด ที่เป็นโรงฝึกน่ะ"

ฆาเบียร์พูดถึงโรงฝึกคนที่จะเข้ามาทำงานในกิจการรักษาความปลอดภัยของบ้านตระกูลจิว ในช่วงปิดเทอม อู่ทินหลงจะเข้าไปฝึกศิลปะต่อสู้ป้องกันตัวรวมถึงการใช้อาวุธต่าง ๆ ร่วมกับเพื่อนของเขา หากสิ่งที่เขาชอบที่สุดคือการที่ได้นั่งฟังผู้เฒ่าจิวซึ่งเป็นปู่ของของจิวจี๋โหล่วเล่าเรื่องชีวิตอันโลดโผนในช่วงก่อนสงครามโลก

"ที่คุณบอกว่าท่านทำกิจการใต้ดินคล้าย ๆ กับของลุงเดวิดตอนนี้เหรอครับ? "

เจนยุทธถาม ฆาเบียร์พยักหน้ารับคำ

"ใช่จ้ะ ฮ่องกงในยุคนั้น ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ต่อต้นศตวรรษที่ 20 นั้นถือเป็นยุคที่พวกแก๊งต่าง ๆ กำลังเริ่มก่อตั้งและเฟื่องฟูขึ้น แต่จะเป็นคนละแบบกับแก๊งในช่วงปี 70 80 นะ แก๊งอั้งยี่ในฮ่องกงช่วงแรก ๆ นั้น ว่ากันว่าส่วนหนึ่งเป็นการรวมตัวเพื่อขับไล่ชาวตะวันตก อีกส่วนหนึ่งก็เพื่อช่วยเหลือชาวจีนที่อพยพมาใหม่ให้ตั้งตัวได้ ลุงเขาคงประทับใจกับเรื่องราวพวกนี้มั้ง"

เจพยักหน้าหงึกหงัก เขาพอจะนึกภาพออกว่าเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นและเปี่ยมล้นไปด้วยมิตรภาพและน้ำใจของลูกผู้ชายคงทำให้คนที่มีนิสัยเปิดเผยแบบอู่ทินหลงซาบซึ้งได้ไม่ใช่น้อย

"ถัดจากเรื่องตอนเด็ก พอเริ่มโตมาหน่อย ลุงแกก็มาติดใจพวกเรื่องราวของ gangster ที่เห็นในสื่อแทน ก็พวกหนังพวกละครนั่นแหละ น่าจะเริ่มจากเรื่อง The Godfather ก่อนเลย...”

ฆาเบียร์อดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อนึกถึงตอนที่คริสเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง หลังจากได้เจอฤทธิ์ของตาลุงตัวแสบคนนี้ไปในครั้งแรกที่เจอกัน เขาก็ได้ถามคำถามคล้ายกันกับที่เจถามกับอาปาของเขา

“อาปาเล่าว่าช่วงที่หนังเรื่อง The Godfather เข้าฉาย ตอนนั้นพวกลุงหลง ลุงเดวิดกับลุงวิคเตอร์ไปเรียนต่อที่อังกฤษกัน ลุงหลงแกอินกับหนังเรื่องนั้นมากแล้วเริ่มแต่งตัวและพูดเลียนแบบอัล ปาชิโน เอ่อ ที่แสดงเป็นไมเคิล คอเลโอเน่ พระเอกของเรื่องนะ เจรู้ไหมว่าในตอนนั้นลุงเดวิดแกก็เขียนจดหมายมาบ่นกับอาปาซะใหญ่โตว่าลุงหลงแกทำตัวน่ารำคาญมาก”

“คุณโม้ป่าว? ลุงแกเป็นขนาดนั้นจริง ๆ เหรอ?”

เจหัวเราะคิกคักจนคนตัวโตพลอยหัวเราะตามไปด้วย

“เฮ้ย ไม่ได้โม้ นี่อาปาไปค้นจดหมายของลุงเดวิดมาให้ฉันอ่านเลย ฉันงี้อึ้งไปเลย ไม่นึกว่าลุงหลงเขาจะเป็นขนาดนี้”

ฆาเบียร์พูดยิ้ม ๆ เมื่อกลับไปสหรัฐฯ หลังจากจบทริปเล่นไพ่คราวนั้น คริสก็ยกกล่องไม้ขนาดใหญ่ที่เขาใช้เก็บจดหมายที่เพื่อนส่งมาให้ตลอดเวลาหลายสิบปีออกมา เขาเลือก ๆ หยิบฉบับที่เดวิดบ่นพฤติกรรมของอู่ทินหลงมาให้ฆาเบียร์ลองอ่านดู



‘มันให้ฉันเรียกมันว่า ดอนดราโก ซึ่งก็ได้มาโดยเอาชื่อมันไปแปลงเป็นคำว่ามังกรในภาษาอิตาเลียนแล้วเติมคำว่า Don ที่ใช้เรียกพวกหัวหน้ามาเฟียเข้าไปน่ะ ถ้าไม่เรียกก็ทำฮึดฮัดแล้วก็เซ้าซี้ให้เรียกอยู่ได้ น่ารำคาญที่สุดเลยนะ อาซิง’




ฆาเบียร์เล่าคร่าว ๆ ถึงเนื้อหาจดหมายที่เขาจำได้ เจนยุทธถึงกับหัวเราะก๊ากออกมาอย่างอดไม่ไหว

“ตลอดเวลาที่เรียนที่อังกฤษ ลุงหลงแกทำตัวเป็นมาเฟียอิตาเลียนจนเพื่อน ๆ ฝรั่งจำลุงได้แม่นเลย ทีนี้พอจบโทกันแล้วกลับมามาเก๊า พ่อลุงก็บ่นใหญ่ว่าส่งไปเรียนอังกฤษทั้งที ทำไมได้สำเนียงอิตาเลียน - อเมริกันมาแทน แต่พอเข้าช่วงยุค 80 ตอนนั้นที่ฮ่องกงก็เริ่มมีกระแสหนังแก๊งอั้งยี่อะไรพวกนั้น ลุงแกก็เปลี่ยนแนว กลายเป็นมาแต่งตัวทำตัวเป็นพวกอั้งยี่ตามในหนังอีกเพราะมาติดซีรีส์เรื่อง เอ่อ The Bund เจรู้จักไหม? มันดังมาก ๆ เลยนะ”

เจนยุทธส่ายหัว ฆาเบียร์ลองพูดชื่อภาษาจีนของมันออกมาแต่เจนยุทธก็ยังไม่รู้จัก

“ที่ไทย เราจะตั้งชื่อพวกหนังฮ่องกงเป็นภาษาไทยครับ ผมไม่รู้ชื่อจีนหรือชื่อภาษาอังกฤษหรอกครับ เนื้อเรื่องมันเป็นยังไงล่ะ?”

“เอ่อ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับแก๊งในเซี่ยงไฮ้จ้ะ เรื่องน่าจะเป็นช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เป็นเรื่องของนักเลงที่กลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันสองคน แต่เส้นทางพาให้ต้องกลายมาเป็นศัตรูกัน คนนึงเหมือนจะชื่อ Ting Lik หรืออะไรสักอย่างนี่แหละ มีภาคต่อด้วยนะ”

ฆาเบียร์ขมวดคิ้วและพยายามเรียกความทรงจำของตน เขาเคยดูซีรีส์เรื่องนี้ตอนยังเป็นเด็กกับอาปาของเขา คริสทนคำรบเร้าของอู่ทินหลงที่คะยั้นคะยอให้เขาดูซีรีส์ที่มีถึง 3 ภาคเรื่องนี้ไม่ได้ และต้องไปหามันมาดูย้อนหลังจากร้านเช่าวีดีโอในไชน่าทาวน์ แต่ด้วยความสนุกของมันทำให้คริสพลอยติดไปด้วยและเช่ามาดูซ้ำอีกหลายครั้ง ส่วนตัวฆาเบียร์นั้นก็ไม่ได้ตั้งอกตั้งใจดูนักเพราะรู้สึกว่ามันเก่าเกินไป อีกทั้งในตอนนั้นเขาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจภาษากวางตุ้งนักจึงแค่ดูผ่าน ๆ เท่านั้น

“Ting Lik เหรอ? อ๋อ! ติงลี่หรือเปล่าครับ? ถ้าใช่ ผมก็รู้แล้วล่ะว่าเรื่องอะไร ที่ไทยเราเรียกว่า  ‘เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้’ ครับ”

เจอุทานออกมาและบอกว่าตัวเขานั้นไม่ทันดูซีรีส์เรื่องนี้อย่างจริงจังเพราะมันออกฉายก่อนที่เขาจะเกิด แต่มันมีอิทธิพลอย่างมากจนถูกนำมาพูดถึงในหลาย ๆ วงการจนถึงทุกวันนี้



"ในไทยนี่เหมือนเพลงจะดังกว่าหนังครับ เพลง เอ่อ ผมไม่รู้ว่าชื่ออะไร คนไทยเราก็เรียกว่าเพลงเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้เลย คือถ้ามีงานอะไรที่เป็นจีน ๆ เพลงที่เอามาเล่นประกอบก็จะต้องมีเพลงนี้กับเพลงเถียนมี่มี่"

"โอย อย่า อย่าพูดถึงเพลงนี้ เจ ฉันได้ยินก็ปวดหัวจี๊ดแล้ว"

ฆาเบียร์โบกไม้โบกมือห้ามเจนยุทธขึ้นมาทันที เพลงประกอบละครที่ขับร้องโดยฟรานซิส ยิปนี้มีชื่อว่า Shang Hai Tan หรือ หาดเซี่ยงไฮ้ อันเป็นชื่อเดียวกับละคร มันเป็นเพลงที่เขาต้องได้ยินทุกครั้งที่มาร่วมวงเล่นไพ่กับบรรดาลุง ๆ

"ลุงหลงแกชอบเพลงนี้มาก เปิดมันทุกครั้งที่ได้เจอกัน และที่นรกที่สุดคือมีครั้งหนึ่งที่แกพาพวกเราไปปาร์ตี้กันบนเรือยอชท์ของแก แล้วเกิดอะไรขึ้นรู้ไหม? เอ้า ทายมาซิ? "

เจขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้าบอกว่าเขาทายไม่ถูก

"หึ ๆ บนเรือของลุงมีห้องคาราโอเกะ ตอนแรก ๆ ก็ร้องเพลงกันสนุกดีอยู่หรอก แต่พอลุงแกเมาเท่านั้นแหละ แกเล่นจองไมค์ร้องเพลงคนเดียว แล้วเล่นร้องเพลงนี้ติด ๆ กัน คือ ในเครื่องมีกี่เวอร์ชั่นแกก็ขุดเอามาร้องหมด คนอื่นขัดก็ไม่ได้ ฉันงี้เข็ดเลยจริง ๆ "

คนตัวโตบ่นด้วยท่าทีเอือมระอา เสียงของอู่ทินหลงยามเมานั้นไม่ได้ไพเราะน่าฟังอะไรเลยแถมยังติดหูจนเขานอนไม่หลับไปหลายคืน

"โอย คุณ ฮ่ะ ๆ ๆ น่าสงสารมาก"

เจพยายามกลั้นหัวเราะจนตัวโยน

"แล้วยังมีอีกนะ เจจำได้ไหมที่ฉันบอกว่าตอนที่ฉันเจอลุงหลงครั้งแรก ลุงแกก็แกล้งทำตัวเป็นมาเฟียขู่ฉันเหมือนกับที่ขู่เจวันนี้"

"ครับ ๆ แล้วไงอีก? "

เจนยุทธทำตาแป๋วตั้งใจฟังฆาเบียร์เล่า

"ในวันนั้นลุงแกแต่งตัวถอดแบบจากเรื่องเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้นี่มาเลย ไม่ใช่ชุดสูทนะ แต่เป็นชุดจีนยาว ๆ ที่มีปลายแขนสีขาว มีผ้าขาวคล้องคอแล้วก็ใส่หมวกสักหลาดด้วย ครบเครื่องมาก ๆ "

ครั้งแรกที่ได้เจอ ฆาเบียร์รู้สึกได้ทันทีว่าผู้อาวุโสร่างสูงใหญ่กำยำในชุดจีนคนนี้ช่างดูน่าเกรงขาม มันทำให้เขาไม่กล้าที่จะพูดจาหรือแสดงท่าทีที่อาจจะทำให้คนที่เขาคิดอยู่ในใจว่าน่าจะเป็นเพื่อนที่อยู่ในด้านมืดของคริสได้ขัดเคือง หากเมื่ออู่ทินหลงแสดงท่าทางดูแคลนเขา ฆาเบียร์จึงเลือดขึ้นหน้าและตอบโต้จนเกิดเหตุการณ์แบบที่เขาเล่าให้เจฟังไปขึ้น



(เพลงเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ Shang Hai Tan - Frances Yip)

https://www.youtube.com/watch?v=52O7WqR1bT0




"หูย งั้นปกติลุงเขาแต่งชุดเจ้าพ่อแบบจีน ๆ งี้ในชีวิตประจำวันด้วยเหรอครับ? คนไม่มองแย่เหรอ? "

เจนยุทธนึกภาพตามคำของคนรัก หากฆาเบียร์ส่ายหัวและหัวเราะเบา ๆ

"ไม่หรอกจ้ะ ถึงลุงแกจะบ้าวิถีนักเลงแค่ไหน แกก็ไม่ถึงขั้นแต่งตัวแบบนั้นตลอดเวลาหรอก ช่วงเป็นหนุ่ม ๆ น่ะอาจจะใช่ แต่ตอนหลังมา ลุงแกจะแต่งตัวแบบนี้เฉพาะตอนมาเจอเพื่อน ๆ เท่านั้น แกจะสนุกมากกับการเปลี่ยนแคแร็คเตอร์ตัวเองแล้วให้เพื่อนทายกันว่านี่เป็นแก๊งสัญชาติไหน หรือเอามาจากหนังเรื่องไหน"

เจอ้าปากค้าง ความเพี้ยนของตาลุงตัวแสบคนนี้มีมากกว่าที่เขาจะจินตนาการไปถึงหลายเท่านัก

"เท่าที่ฉันเคยเจอนะ ก็มีใส่สูทเต็มยศ ใส่หมวกแบบในเรื่อง The Godfather กับเอ่อ 'Jao Por Sianghai'..."

เมียตัวโตของเจพยายามเลียนเสียงชื่อละครภาษาไทยที่เจบอกให้เขาฟังเมื่อครู่ เจนยุทธยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อคนรักของเขาสามารถออกเสียงได้ค่อนข้างชัดเจน

"...สองชุดนี้กับชุดจีนนี่ก็เห็นบ่อยหน่อย เคยมีแบบที่ใส่เสื้อยืดสีดำกับเสื้อยีนส์ กางเกงยีนส์สีซีด ๆ แล้วก็ใส่แว่นตาดำก็มี ทำเอาฉันงงว่ามาเฟียประสาอะไรแต่งตัวแบบนั้น แต่เห็นลุงวิคเตอร์ว่ามาจากหนังดังช่วงปี 90"

"เฮ้ย ๆ ๆ เรื่องนั้นผมรู้จัก! "

เจร้องออกมา ถึงหนังเรื่องนั้นจะออกฉายตอนเขายังอายุไม่ถึง 5 ขวบ แต่หนังเรื่อง "ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ" นี้ถือเป็นตำนานของหนังนักเลงแนวจิ๊กโก๋ที่หลงรักดอกฟ้าอีกเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้

"นอกจากนั้นก็ยังมีแต่งตัวเป็นยากูซ่า ประเภทใส่เสื้อลาย ๆ ทองเส้นโต ๆ ไม่ก็เป็นสูทเนี้ยบไปเลยพร้อมกับแว่นดำ แต่ชุดดำล้วนแบบวันนี้นี่เดายากแฮะ"

ฆาเบียร์พูดพึมพำ ถึงจะบ่นเรื่องรสนิยมประหลาดของอู่ทินหลง แต่ฆาเบียร์ก็แอบสนุกไปกับการที่ได้ทายว่าคราวนี้อู่ทินหลงแต่งตัวเป็นอะไร แม้จะทายไม่ค่อยจะถูกก็ตาม



"งั้นพรุ่งนี้ผมจะลองทายดูมั่ง"

เจพูดพลางหาวน้อย ๆ เขายกนาฬิกาขึ้นดูแล้วก็ต้องสะดุ้งว่ามันเป็นเวลาเกือบหกโมงเช้าแล้ว

"โอย ตาย จะเช้าแล้วคุณครับ เรานอนกันเถอะ"

เจนยุทธขยับกายลงจากอกคนรักเพื่อที่ฆาเบียร์จะได้จัดท่าทางนอนให้สบาย คนตัวโตจัดการดึงผ้าขึ้นห่มคลุมตัวเขาและเจนยุทธ

"Buenas Noches, Mi Rey"

ฆาเบียร์กระซิบและจุมพิตหน้าผากของราชาผู้ครองใจของเขา เจจุ๊บแผ่ว ๆ ตอบที่ปลายคางของคนรักก่อนที่จะขยับกายเบียดเข้าอ้อมอกอุ่น

"ฝันดีครับ ที่รัก"

เจนยุทธพูดอย่างง่วงงุนก่อนที่จะหลับไปภายในอ้อมกอดของคนรัก





"Ты украл мою машину...и убил мою собаку"

"ครับ? อะไรนะครับลุงหลง? "

เจทำหน้างงเมื่ออู่ทินหลงพึมพำประโยคหนึ่งออกมาเป็นภาษารัสเซีย ผู้อาวุโสร่างใหญ่หัวเราะเบา ๆ

"ก็เอ็งอยากรู้ไม่ใช่รึ ว่าลุงแต่งตัวเป็นใคร ก็ลองทายดูสิ ฟังอีกทีนะ"

อู่ทินหลงพูดประโยคเดิมซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่กดต่ำจนฟังดูเหี้ยมเกรียม พร้อมกับแปลประโยคนั้นออกมาเป็นภาษาอังกฤษ

"You stole my car...and you killed my dog! "

เจขมวดคิ้วแล้วพูดทวนตามประโยคที่คุ้นหูเขามากประโยคนี้อีกรอบหนึ่ง จากนั้นก็เบิกตาโพลงและโพล่งออกมาดัง ๆ

"Baba Yaga! "

"ถูกต้อง! เฮ้ย ไอ้เด็กเวร ไอ้หนูนี่มันใช้ได้เหมือนกันนี่หว่า"

อู่ทินหลงร้องออกมาอย่างสมใจพร้อมหันไปตบไหล่หนาของฆาเบียร์ฉาดใหญ่ เขาพยายามบอกใบ้ให้เพื่อน ๆ ในวงไพ่ของเขาได้ทายกันหลายรอบแล้ว แต่คราวนี้ไม่มีใครทายถูกเลยว่าเขาแต่งตัวเป็นตัวเอกในหนังแนวแก๊งตัวไหน

"โอย ลุงครับ ไม่ต้องรุนแรงกับผมขนาดนี้ก็ได้..."

เมียตัวโตของเจทำหน้านิ่วแล้วลูบไหล่เบา ๆ

"...ว่าแต่ไอ้เจ้าบาบายาก้านี่มันใครกันครับลุง? ชื่อมันฟังดูคุ้นจังนะเจ"

ฆาเบียร์หันไปถามคนรักที่ยืนหัวเราะจนหน้าแดงอยู่ข้าง ๆ

"คุณ ก็นั่นไง บาบายาก้าอ่ะ เอ่อ บูกี้แมนอ่ะ"

เจนยุทธพยายามบอกใบ้ให้ฆาเบียร์ได้ทายเอง แต่คนตัวโตก็ยังคงทำหน้างง สุดท้ายเจนยุทธก็ยอมแพ้แล้วกระซิบคำตอบกับคนรักเบา ๆ



"โห ลุงครับ นี่ลุงเทียบตัวเองกับคีอานู รีฟส์เลยเหรอครับ?! "

ฆาเบียร์ร้องออกมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อรู้ว่าอู่ทินหลงพยายามแต่งตัวเลียนแบบนักฆ่าผู้อ่อนโยนต่อสัตว์อย่าง จอห์น วิค

"ทำไมจะเทียบไม่ได้วะ? ก็มีเชื้อสายจีนเหมือนกัน รูปร่างก็พอ ๆ กัน แถมยังเท่และหน้าตาดีเหมือนกันด้วย"

อู่ทินหลงพูดยิ้ม ๆ พลางใช้มือลูบเคราบนคางที่เขาลงทุนไว้มาล่วงหน้าเพื่อให้เข้ากับแคแรคเตอร์ ฆาเบียร์ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับคำพูดของคนที่หน้าไม่อายจนยกตัวเองว่าหล่อทัดเทียมกับนักแสดงในดวงใจของเขาคนหนึ่ง

"เจ นายช่วยฉันบอกลุงเขาหน่อยซิ ว่าลุงเขาไม่เหมือนจอห์น วิค"

ฆาเบียร์หันไปหาคนที่นั่งหัวเราะจนตัวงออยู่บนเก้าอี้นวม เจโบกไม้โบกมือบอกว่าเขาขำจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว คนตัวโตถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

"ครับ ๆ จอห์น วิคก็จอห์น วิค เอาตามที่ลุงสบายใจเลย"

อู่ทินหลงยิ้มจนหน้าบาน เขาหันไปคุยกับเจเรื่องหนังเรื่องนี้ ซึ่งเจก็ตอบรับอย่างกระตือรือร้นในฐานะคนที่ชอบดูหนังเช่นกัน ฆาเบียร์นั่งยิ้มมองคนรักสนทนากับเพื่อนรักของอาปา เจนยุทธมักพูดอย่างถ่อมตนว่าตัวเขานั้นเข้าสังคมชั้นสูงหรือเข้ากับผู้ใหญ่ไม่ค่อยเป็น แต่เท่าที่เคยเห็นมา เจนยุทธก็แสดงให้เขาเห็นแล้วว่าความจริงใจ ความถ่อมตนและความรู้รอบของเขาคือใบเบิกทางชั้นดีไปสู่ใจของผู้ที่เขาสนทนาด้วย



"อ้าว อาบน้ำอาบท่ากันเรียบร้อยแล้วเหรอลูก? อาปานึกว่าพวกเรายังไม่ตื่นเสียอีก"

คริสซึ่งเดินออกมาจากห้องนอนพร้อมกับจิวจี๋โหล่วทักเด็ก ๆ ของเขา

"ครับ เจเขาหิวก็เลยตื่นเร็ว เดี๋ยวพวกผมจะไปกินข้าวกันที่คลับ อาปาจะขึ้นไปด้วยกันไหมครับ? "

ฆาเบียร์ถามพ่อบุญธรรมของเขา คริสหันไปถามเดวิดกับอาหลงเบา ๆ ก่อนจะพยักหน้าตอบรับ

"เราขึ้นไปกันเลยก็ได้ ไม่งั้นจะมีคนหิวตายก่อน ใช่ไหม หืมม์? "

คริสหันไปพยักเพยิดกับเจนยุทธที่ส่งยิ้มแหย ๆ มาให้ ฆาเบียร์หัวเราะน้อย ๆ เมื่อเห็นคนรักพยายามปฏิเสธว่าเขายังไม่ได้หิวถึงขั้นนั้น

"นี่! นายปลุกฉันขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่แปดโมงนี่ยังจะบอกว่าไม่หิวอีกเหรอ? ไป ไปกินข้าวได้แล้วไอ้ตัวยุ่ง ไม่ต้องมาทำลีลาท่ามาก"

ฆาเบียร์บีบปากน้อย ๆ ที่ทำท่าจะเถียงเขาเบา ๆ ก่อนจะใช้แขนโอบเอวของร่างเพรียวและดึงขึ้นจากเก้าอี้นวมทันที เจนยุทธอิดออดเล็กน้อยพอเป็นพิธีแล้วก็รีบเดินตามคนรักออกห้องไป



"เอ๊ะ อาปาครับ ที่คออาปาเป็นอะไรครับ? "

ฆาเบียร์ขมวดคิ้วเมื่อสังเกตเห็นพลาสเตอร์ยาแผ่นใหญ่ติดอยู่ที่ข้างลำคอของคริส เขายังเห็นรอยเลือดแห้งจาง ๆ เป็นแนวภายใต้ชั้นผ้าก๊อซ

"เอ่อ..."

"ไม่มีอะไรหรอก ฆาบี้..."

คริสแอบแตะแขนห้ามจิวจี๋โหล่วซึ่งมีท่าทีสำนึกผิดและจะสารภาพเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

"...อาปาลืมเอาเครื่องโกนหนวดไฟฟ้ามาก็เลยใช้มีดโกนของทางโรงแรม แต่ไม่ค่อยถนัดก็เลยทำบาดตัวเองน่ะ"

คริสรีบแก้ตัว หากฆาเบียร์ก็ยังดูมีทีท่าเป็นกังวล

"เดี๋ยวให้หมอดูแผลหน่อยไหมครับ? จากรอยเลือดนี่เหมือนแผลจะยาวอยู่นะครับ"

"ไม่เป็นไร ๆ จริง ๆ แผลมันนิดเดียวเองลูก อาโหล่วเขาใส่ยาแล้วก็ทำแผลให้แล้ว ไม่มีอะไรซีเรียส มา ๆ สั่งอาหารกันเถอะ เจนั่งทำตาละห้อยแล้ว"

คริสรีบเปลี่ยนเรื่องแล้วหันไปยิ้มให้คนรักของลูกชาย เจนยุทธยิ้มแห้ง ๆ แล้วรีบกวาดตาดูเมนูอาหารเช้าของคลับเลาจ์



"หูย คุณ ๆ ผมอยากกินนี่กับนี่อ่ะ จำได้ว่ามันอร่อย"

เจป้องปากกระซิบกับคนรักแล้วชี้ไปที่ของที่เขาอยากกินในเมนู คนตัวโตรับคำแล้วจัดการสั่งอาหารกับพนักงาน เจลุกไปตักอาหารในไลน์บุฟเฟต์แล้วกลับมาพร้อมกับอาหารเต็มสองจานที่ถือมา

"นี่ครับ ฆาบี้ ครัวซองต์กับเนยถั่วแล้วก็นูเตลลา"

เจนยุทธพูดยิ้ม ๆ พร้อมกับเลื่อนจานที่มีทั้งเพสตรี้หน้าตาดูดี ครัวซองต์และโดนัทส่งให้คนรัก

"โธ่ เจ ฉันกำลังจะลดน้ำหนักนะ"

คนตัวโตที่ไม่ค่อยได้มีเวลาออกกำลังกายบ่นเบา ๆ

"งั้นคุณไม่กินเนาะ ผมจะได้จัดการเองให้หมด"

เจนยุทธพยักหน้าหงึกหงักแล้วดึงจานกลับ

"เดี๋ยว ๆ นิดนึงก็ได้"

ฆาเบียร์ซึ่งแพ้ตั้งแต่คำว่าเนยถั่วกับนูเตลลาแล้วคว้าข้อมือคนรักไว้แล้วพูดเสียงอ่อย ๆ เจหัวเราะคิกออกมา เขาจัดการฉีกครัวซองออกเป็นชิ้นน้อย ๆ แล้วใช้มีดป้ายเนยถั่วจำนวนมากลงไป

"เอานูเตลลาด้วยไหมครับ? "

เจนยุทธถามยิ้ม ๆ แล้วป้ายช็อคโกแลตผสมเฮเซลนัทครีมลงไปบนครัวซองต์น้อยชิ้นนั้นเมื่อคนรักพยักหน้ารับคำอย่างไม่ลังเล



"โอย เลี่ยนโว้ย"

อู่ทินหลงบ่นออกมาดัง ๆ เมื่อเห็นฆาเบียร์อ้าปากรับชิ้นครัวซองต์ที่คนรักป้อนให้ถึงปาก

"ไม่เอา อย่าอิจฉาผมสิครับลุง"

คนตัวโตหันมาขยิบตาให้เพื่อนของพ่อบุญธรรมที่บางครั้งก็ทำท่าเหมือนเด็กไม่ยอมโต

"ชิ ใครจะไปอิจฉาเอ็ง ถ้าคนป้อนให้เป็นสาว ๆ นมโต ๆ ล่ะก็ไม่แน่"

อาหลงบ่นอุบอิบพร้อมกับยกแก้วแชมเปญในมือขึ้นจิบ เขาหันไปหาเพื่อนอีกสองคนแล้วก็ต้องหรี่ตาลงเมื่อสัมผัสถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย

"เอ่อ นายจะเอาขนมจีบด้วยไหม อาหลง? "

จิวจี๋โหล่วหน้าแดงน้อย ๆ เมื่อถูกเพื่อนผู้โผงผางของเขาหันมาเจอตอนที่เขากำลังคีบขนมจีบในเข่งวางบนจานให้คริส

"อือ ฮึ"

อู่ทินหลงตอบรับสั้น ๆ พร้อมกับเดาะลิ้นน้อย ๆ อาโหล่วรีบคีบขนมจีบอีกลูกที่เหลือวางใส่จานให้เพื่อนทันที

"จ้องหน้าฉันอยู่ได้น่า อาหลง มีอะไรติดหน้าฉันหรือไง? "

หว่องซีซิงบ่นเบา ๆ เมื่อเพื่อนตัวโตของเขากินอาหารไปพลางจ้องหน้าเขาไปพลาง

"เปล๊า ไม่มีอะไร"

อู่ทินหลงพูดแล้วก้มหน้าก้มตากินต่อ คริสก้มหน้างุด รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ประดับบนริมฝีปากของอู่ทินหลงทำให้เขารู้สึกประหม่าไปหมด จิวจี๋โหล่วเองก็หน้าร้อนผ่าวเมื่อรู้สึกได้ว่าความลับเล็ก ๆ ของเขากับคริสน่าจะถูกเพื่อนล่วงรู้เข้าเสียแล้ว

"เฮ้อ สงสัยในห้องนี้จะแอร์เสียนะ ดูพ่อเรากับอาโหล่วสิ ฆาบี้ ร้อนจนหน้าแดงหมดแล้ว บอกพนักงานให้เร่งแอร์หน่อยดีไหม? "

อาหลงหันไปบ่นดัง ๆ กับฆาเบียร์ซึ่งยังทำหน้างง ๆ เขาไม่ได้รู้สึกว่าอากาศในห้องนี้ร้อนเลยสักนิด



"เอ่อ ฆาบี้..."

จิวจี๋โหล่วเรียกลูกบุญธรรมของเพื่อนทันทีที่เห็นฆาเบียร์กำลังจะยกมือเรียกพนักงาน

"ครับ ลุงโหล่ว? "

คนตัวโตหันมารับคำ จิวจี๋โหล่วหันรีหันขวางด้วยไม่รู้ว่าจะหาเรื่องอะไรมาชวนลูกเลี้ยงของเพื่อนคุย

"เอ่อ อ่า เมื่อคืนตอนซักตีสามลุงออกมาเช็คพวกลูกน้อง แล้ว เอ่อ..."

เดวิด จิวอึกอักอยู่ครู่หนึ่งแล้วตัดใจพูดบางอย่างออกมา

"เอ่อ ลุงยังได้ยินเสียงพวกเรา 'คุย' กันอยู่เลยนะ หลับดึกเหมือนกันนี่"

"ตายห่าน!"

เจอุทานออกมาเบา ๆ เป็นภาษาไทยอย่างลืมตัวเมื่อได้ยินคำพูดที่แฝงความนัยของเดวิด ส่วนฆาเบียร์นั้นหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที เดวิดลอบถอนหายใจ เขารู้สึกผิดเล็ก ๆ กับชายหนุ่มคู่นี้ แต่เขาต้องหาเรื่องมาเบี่ยงเบนความสนใจของอู่ทินหลง ซึ่งก็เหมือนจะได้ผล เพื่อนตัวโตของเขาหันขวับไปหาชายหนุ่มทั้งคู่ทันที



"อ้อ เหรอ นี่ดึกดื่นไม่หลับไม่นอน 'คุย' กันเสียงดังจนอาโหล่วได้ยินเลยเหรอ? "

อู่ทินหลงทำหน้ากรุ้มกริ่มใส่หนุ่มวัยลูกทั้งสองคน

"ไม่ใช่แค่อาโหล่วนะ พวกการ์ดเขาก็ได้ยินเหมือนกัน อาปาว่าเราสองคนต้องระวังตัวแล้วก็ 'คุย' กันให้น้อยหน่อย หรือว่าเบาลงหน่อยนะ"

คริสพูดยิ้ม ๆ ในเมื่อจิวจี๋โหล่วเปิดประเด็นขึ้นมาแล้ว เขาก็ถือโอกาสขยี้ซ้ำเพื่อที่เด็ก ๆ ของเขาจะได้ระวังตัวไว้บ้าง ชายหนุ่มทั้งสองซึ่งไม่รู้มาก่อนเลยว่าเสียงครางกระเส่าของพวกเขาได้ดังลอดออกไปให้คนในห้องนั่งเล่นได้ยินทำหน้าพิพักพิพ่วน

"เอ่อ มัน เอ่อ ดังมากเลยเหรอครับลุง? "

เจนยุทธถามจิวจี๋โหล่วด้วยใบหน้าแดงก่ำ

"ไม่ ๆ ไม่ได้ดังอะไรมากหรอก ถ้าเปิดทีวีอะไรไว้ก็คงแทบไม่ได้ยิน แต่พอดีว่าห้องมันเงียบ..."

เดวิด จิวพยายามพูดปลอบเจนยุทธที่ทำท่าเหมือนจะร้องไห้อยู่มะรอมมะร่อ

"French Toast กับ Truffle Egg Benedict ของคุณเจได้แล้วครับ ส่วนนี่ไข่กวนใส่เนื้อปูอลาสกาของคุณมาร์ติเนซครับ"

จิวจี๋โหล่วถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อพนักงานที่เป็นเหมือนระฆังช่วยชีวิตนำจานอาหารมาวางลงตรงหน้าเจนยุทธ




(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-08-2019 00:05:27 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- ความสุขที่คู่ควร (ต่อ) ----




"เอ่อ เรื่องนี้ไว้ค่อยคุยกันทีหลัง ตอนนี้กินกันก่อนเถอะนะ เดี๋ยวจะเย็นหมด"

จิวจี๋โหล่วรีบเลื่อนจานอาหารไปให้เจนยุทธทันที เจรีบหันมาสนใจกับของกินตรงหน้า ตาลุงตัวร้ายของเจเองก็เช่นกัน เขาหันไปรับจานอาหารจากพนักงานและลงมือกินทันที

"โอย อร่อย! "

เจนยุทธกับอู่ทินหลงพูดออกมาพร้อม ๆ กันหลังจากที่ทั้งคู่ต่างส่งชิ้นไข่ต้มซึ่งยังมีไข่แดงเยิ้ม ๆ อยู่และราดซอสออลลองเดสเข้าปากคำโต พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองหน้ากันแล้วก็ต้องอดยิ้มออกมาไม่ได้

"ลุงครับ ไข่แดงติดหนวดครับ"

เจชี้คราบไข่เยิ้ม ๆ ที่ติดอยู่เหนือริมฝีปากของอู่ทินหลง

"เอ็งก็มีเศษเห็ดติดแก้มเหมือนกัน กินยังไงให้ติดได้ ฮึ? ไอ้เด็กตะกละ! "

อาหลงชี้ที่ข้างแก้มของเจนยุทธที่มีเศษเห็ดทรัฟเฟิลดำที่โรยหน้า Egg Benedict ฟองสวยมาติดอยู่ ฆาเบียร์โคลงหัวน้อย ๆ แล้วรีบใช้ผ้าเช็ดปากเช็ดออกให้ เขาเกาหัวแกรก ๆ เมื่อเจนยุทธรีบใช้นิ้วป้ายมันใส่กลับเข้าปากอย่างลืมตัว

"ขอโทษครับคุณ ก็มันเสียดายอ่ะ"

เจทำหน้าเจื่อนเมื่อนึกว่าอาจจะทำให้คนรักได้อายต่อหน้าผู้ใหญ่เสียแล้ว หากอู่ทินหลงนั้นหัวเราะร่า

"อยู่ต่อหน้าพวกลุงไม่ต้องมีพิธีรีตรองอะไรมากก็ได้ ทำตัวตามสบายไปเถอะ"

อาหลงผู้เปิดเผยพูดยิ้ม ๆ

"ใช่ เพราะยังไงเราก็ไม่มีทางมารยาทแย่ไปกว่าอาหลงอยู่แล้วล่ะ"

เสียงทุ้ม ๆ ของวิคเตอร์ ลีดังขึ้นที่ด้านหลังของเจนยุทธ เจหันไปทักทายและส่งยิ้มให้เพื่อนผู้เป็น CEO ของคริส

"เฮ้ย พอเมียไม่อยู่แล้วปากดีเลยนะ! "

อาหลงโวยเพื่อนผู้มาทีหลังเบา ๆ วิคเตอร์ผู้ประสบภัยเมียจนต้องรีบแจ้นออกวงไพ่ไปเมื่อคืนแยกเขี้ยวใส่เพื่อน เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่ว่างตรงกันข้ามกับอู่ทินหลง



"ไหน มีอะไรกินมั่ง? "

วิคเตอร์หยิบเมนูที่วางอยู่กลางโต๊ะขึ้นมาดู

"พวกไข่ ๆ นี่ไม่กินล่ะ เบื่อแล้ว มีอะไรอีก โจ๊ก หมี่ผัด อ๊ะ ไอ้เจ้า French Toast นี่น่าสนใจ วาฟเฟิลด้วย"

วิคเตอร์ไล่นิ้วไปตามเมนู เขาหันไปสั่งอาหารกับพนักงานแล้วชวนอู่ทินหลงลุกขึ้นเพื่อไปตักอาหารเพิ่มจากไลน์บุฟเฟต์

"ไปด้วยไหม ไอ้เด็กเวร? "

อู่ทินหลงหันไปพยักเพยิดกับฆาเบียร์ หากคนตัวโตซึ่งกำลังอยู่ในช่วงไดเอ็ทส่ายหน้าปฏิเสธ หากเป็นเจนยุทธที่ขยับเก้าอี้เพื่อลุกขึ้นแทน เขากับอู่ทินหลงชวนกันแวะเวียนไปตักนู่นนี่กันอย่างเพลิดเพลินจนทำให้ฆาเบียร์ซึ่งนั่งดูอยู่อดยิ้มออกมาไม่ได้



"เจดูเข้ากับอาหลงได้ดีกว่าที่คิดนะ"

คริสหันมากระซิบเบา ๆ กับลูกชาย ฆาเบียร์ยิ้มกว้างแล้วพยักหน้าน้อย ๆ

"ครับ ผมว่าถ้าตัดเรื่องรูปร่างภายนอกออก สองคนนั้นคล้ายกันหลายอย่างนะครับ"

คนตัวโตหัวเราะเบา ๆ ชายต่างวัยสองคนนั้นทั้งขี้เล่น ทะลึ่ง กินจุและมองโลกในแง่ดีเหมือนกันทั้งคู่

"หึ ๆ ไงก็ระวังหน่อยแล้วกันนะ ถ้าคู่นี้สนิทกันและรวมหัวกันแกล้งลูกขึ้นมาเมื่อไหร่ ลูกแย่แน่นะ ฆาบี้"

ฆาเบียร์หุบยิ้มทันทีที่คริสกระเซ้ามาและมีสีหน้ากังวลแทน ท่าทีของเขาเรียกรอยยิ้มจากคริสและเดวิดได้ไม่ใช่น้อย



"เฮ้ย ไอ้หนู แน่ใจนะว่ากินไหว? เอ็งเพิ่งกินหมี่ผัดกับพวกเพสตรี้ไปจานใหญ่เลยนี่ ไหนจะเฟรนช์โทสต์กับ egg benedict อีกล่ะ ไม่ต้องตามใจพวกลุงก็ได้"

อาหลงถามชายหนุ่มร่างเพรียวที่ลุกตามเขามายังไลน์อาหาร เขาเข้าใจว่าการที่เจลุกมานั้นเป็นเพราะไม่อยากให้เขาเสียน้ำใจที่ชวน หากวิคเตอร์ซึ่งเคยเจอเจนยุทธบ่อยครั้งกว่าหัวเราะเบา ๆ

"อย่าไปดูถูกเด็กมัน เจอฤทธิ์ไอ้เจ้านี่แล้วจะหนาว"

เจยิ้มแหย ๆ

"ก็จวนอิ่มแล้วครับ เดี๋ยวผมตักมาอีกนิดเดียวก็คงพอแล้ว"

เจนยุทธพูดพลางสาวเท้าเดินตามผู้อาวุโสทั้งสองเพื่อหาของกินเพิ่ม








"นิดเดียวกะผีน่ะสิ กินขนาดนี้มันเอาไปเก็บไว้ที่ไหนหมด หือ? "

อู่ทินหลงกระเซ้าเจ้าเด็กกินจุซึ่งทำให้เขาได้แปลกใจอีกครั้ง เจซึ่งบอกเขาว่าจวนอิ่มแล้วตักโจ๊กมาถ้วยใหญ่ ไหนจะขนมหัวผักกาด ข้าวเหนียวห่อใบบัว และยังมีพวกชีส แฮม อีกทั้งของจากในตู้เย็นอย่างมูสลี่และโยเกิร์ตอีกสองสามกระปุก แถมเมื่อลงนั่งที่โต๊ะ เจนยุทธยังสั่ง French Toast หรือขนมปังชุบไข่แผ่นหนาที่เขาติดใจนักหนามาอีกหนึ่งจานอีกด้วย

"ผมก็ยังสงสัยครับลุงหลงว่าในท้องของเจมีหลุมดำอยู่หรือเปล่า"

คนตัวโตกระซิบกับอู่ทินหลงเป็นภาษากวางตุ้ง

"เฮ้! ถ้าจะนินทาก็ขอภาษาอังกฤษให้ผมรู้เรื่องด้วยครับ! "

เจนยุทธแว๊ดคนรักเบา ๆ ฆาเบียร์หัวเราะพลางแกล้งเอื้อมมือไปดึงจานอาหารของเจ้าตัวกินจุของเขามา เจรีบตะครุบไว้พร้อมค้อนปะหลับปะเหลือก คนตัวโตทำท่ายอมแพ้และปล่อยให้คนรักของเขากินตามใจชอบไป เขาหันไปคุยกับก๊วนคุณลุงและเริ่มใช้ภาษากวางตุ้งคุยกัน เจเหลือบมองและก้มหน้าลงกินต่อเมื่อรู้สึกว่ากลุ่มนั้นน่าจะคุยกันในเรื่องที่เขาไม่จำเป็นต้องรู้ หากฆาเบียร์ก็คุยกับเหล่าผู้อาวุโสเพียงครู่เดียวแล้วก็หันมาสนใจคนรักของเขาอีกครั้ง

"วันนี้มีโจ๊กปูครับ ลองชิมดูไหม? "

เจนยุทธส่งถ้วยโจ๊กที่มีเนื้อปูลอยอยู่ในคนตัวโตดูเมื่อฆาเบียร์ถามว่าโจ๊กในไลน์อาหารวันนี้เป็นโจ๊กอะไร ฆาเบียร์ใช้ช้อนตักโจ๊กที่มีเนื้อปูลอยไม่มากนักขึ้นชิม

"กลาง ๆ เนาะ"

เจซึ่งสังเกตสีหน้าของคนรักออกพูดเบา ๆ ฆาเบียร์พยักหน้า ถ้านับว่าเป็นอาหารในไลน์บุฟเฟต์ก็ถือว่าไม่ขี้เหร่นัก หากปริมาณเนื้อปูในนั้นไม่ได้มีมากมายจนให้รสชาติ เจบอกว่าเขาติดใจปาท่องโก๋ซึ่งตัดเป็นท่อน ๆ ที่เขาโรยหน้าโจ๊กมามากกว่า

"มันกรอบนอกนุ่มในดีครับ ทอดดีจริง ๆ เลย"

เจทำหน้ามีความสุขเมื่อได้กินของอร่อยถูกใจ เขาจัดการโจ๊กจนหมดแล้วจึงหันมากินอย่างอื่นต่อ



"โอ๊ย ผมนี่ก็ไม่จำ คราวที่แล้วก็เอาไอ้เจ้าข้าวเหนียวห่อใบบัวนี่มาแล้วก็ยังบ่นไม่อร่อยอยู่เลย วันนี้ก็ดันหยิบมาอีกให้ถ่วงท้อง"

เจนยุทธบ่นอุบอิบ

"หึ ๆ ก็ติ่มซำมื้อเช้าของคลับเลาจ์มันเป็นของที่รับมานี่จ๊ะ ไม่ได้มาจาก Lai Heen"

ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ เขาเคยผิดหวังกับติ่มซำบนคลับเลาจ์นี้มาแล้วโดยที่ไปคิดเอาว่ามันน่าจะมีคุณภาพทัดเทียมกับของภัตตาคาร Lai Heen ซึ่งเป็นภัตตาคารระดับ 1 ดาวมิเชแลงของโรงแรมริทซ์ คาร์ลตัน มาเก๊าแห่งนี้

"นั่นสิ คราวที่แล้วผมก็ถามพนักงานแล้ว เขาก็บอกว่าติ่มซำของ Lai Heen เขาทำใหม่ในตอนเช้าทุกวันเพื่อเสิร์ฟในตอนเที่ยงก็เลยจะทำไม่ทันสำหรับมื้อเช้าของคลับ ฉะนั้นพวกติ่มซำอย่างขนมจีบกับข้าวห่อใบบัวนี่จะเป็นของที่รับมาจากร้านข้างนอก แต่ก็ยังโอเคกว่าของที่ริทซ์ ฮ่องกงเยอะนะครับ"

เจเบะปากเมื่อนึกถึงฝั่นโก๋แป้งหนาเตอะรสชาติจืดชืดที่ทำให้เขาผิดหวังอย่างแรงมาแล้ว เขาจัดการกิน ๆ ข้าวห่อใบบัวให้หมด ๆ ไปแล้วจึงมาจัดการกับเฟรนช์โทสต์เป็นอย่างสุดท้าย



"นายนี่ชอบขนมปังชุบไข่ทอดของที่นี่จริงนะ"

ฆาเบียร์พูดยิ้ม ๆ เมื่อเห็นคนรักทำหน้าทำตามีความสุขเมื่อเคี้ยวขนมปังชิ้นหนาเข้าไป

"ก็มันอร่อยจริง ๆ นี่ครับคุณ เขาทอดดีมากเลย ไม่อมน้ำมัน แถมยังหอมวนิลาอีก น้ำเชื่อมเมเปิลนี่ก็ของแท้ ไม่ใช่น้ำตาลแต่งกลิ่น"

เจนยุทธทำหน้าฟิน คนตัวโตอดยกมือขึ้นขยี้ผมเจ้าตัวดีของเขาเบา ๆ ด้วยความเอ็นดูไม่ได้ เจย่นจมูกให้คนรักแล้วก็หันไปสนใจกับอาหารในจานต่อ ฆาเบียร์โคลงหัวน้อย ๆ แล้วยกกาแฟซึ่งบนฟองนมมีผงโกโก้โรยเป็นตัว M ซึ่งเป็นอักษรย่อของนามสกุลเขาขึ้นจิบ

"เอ้า รู้นะว่าอยากชิม"

คนตัวโตส่งแก้วกาแฟให้เจนยุทธซึ่งส่งสายตาแป๋วแหววมาให้

"กาแฟเค้าหอมดีเนาะ"

เจชมเปาะหลังจากจิบกาแฟคาปูชิโนร้อนเข้าไปอึกใหญ่ จากนั้นก็ส่งแก้วคืนให้คนรัก

"แต่ผมชอบนี่มากกว่า"

คนตัวเล็กยกแก้วแชมเปญของตนขึ้นจิบพร้อมยักคิ้วให้คนรักที่กำลังพยายามเลี่ยงของมึนเมา ฆาเบียร์จิ๊ปากเบา ๆ อย่างขัดใจ สิ่งหนึ่งที่เขาชอบที่สุดในคลับเลาจ์ของโรงแรมเครือริทซ์ คาร์ลตันคือแชมเปญที่เสิร์ฟไม่อั้นทั้งวัน แต่ในตอนนี้ตัวเขากลับไม่สามารถใช้สิทธิประโยชน์นี้ได้อย่างเต็มที่แล้ว







"ทุกคน..."

เดวิดลุกขึ้นยืนพร้อมกับแก้วแชมเปญในมือ

"ฉันต้องขอขอบใจทุกคนที่คอยตามใจฉันตลอดมา..."

ผู้เฒ่าผู้โดดเดี่ยวพูดแล้วก็ต้องหยุดเพื่อกลั้นก้อนสะอื้นด้วยความซาบซึ้ง เขากวาดตามองเพื่อนสนิททั้ง 3 คนผู้ไม่เคยเกี่ยงงอนที่จะมาพบเขาไม่ว่าเขาจะนัดพบกระชั้นเพียงใดก็ตาม

"โดยเฉพาะนาย หว่องซีซิง ขอบใจที่มาไกลถึงนี่เพื่อฉัน..."

จิวจี๋โหล่วยกแก้วในมือขึ้นชูให้เพื่อนซึ่งเป็นเจ้าความคิดเรื่องการนัดเล่นไพ่ และยอมเดินทางมาไกลจากแคลิฟอร์เนียทุกครั้งที่เขาต้องการพบ

"อย่าขอบใจฉันเลย อาโหล่ว พวกเราต่างหากที่ต้องขอบใจสำหรับทุกสิ่งที่นายทำให้พวกเรา ทุกอย่างจริง ๆ "

คริสเน้นประโยคท้ายพร้อมกับสบตาคนที่ยืนทำตาแดง ๆ อยู่ตรงหน้า จิวจี๋โหล่วส่งยิ้มกลับคืนให้กับคนที่ทำให้หัวใจของเขาพองโตไปเมื่อเช้านี้

"ชิ ฉันก็มาจากแคนาดาเลยนะ ไม่เห็นจะยิ้มหวานให้ฉันแบบนั้นมั่งเลย"

อู่ทินหลงทำเป็นบ่นอุบอิบ หากก็ส่งสายตาเจ้าเล่ห์ที่มีแววยั่วเย้าไปให้เพื่อนที่อาศัยอยู่ที่มาเก๊าเหมือนกันกับเขา

"แคนาดง แคนาดาอะไรเดือนนี้ทั้งเดือนนายอยู่มาเก๊ากับฮ่องกงไม่ใช่เหรอ? "

วิคเตอร์ซึ่งไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรถามอย่างงง ๆ อู่ทินหลงจิ๊ปากเบา ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เดวิดหัวเราะเบา ๆ แล้วกวาดตามองผู้ร่วมโต๊ะทุกคน

"แด่มิตรภาพทั้งเก่าและใหม่"

เขาชูแก้วในมือขึ้นโดยมีผู้ร่วมโต๊ะคนอื่นทำตาม เจหันไปยิ้มคนรักและยกแก้วแชมเปญในมือขึ้นชนเบา ๆ กับแก้วน้ำผลไม้ของฆาเบียร์



"เอ๊ะ คุณนี่! "

คนตัวเล็กร้องลั่นเมื่อฆาเบียร์จุ๊บเบา ๆ เข้าที่ปากของเขาต่อหน้าทุกคนแทนที่จะยกแก้วขึ้นดื่ม

"ก็ฉันไม่มีแชมเปญนี่ ก็ต้องดื่มจากเจนี่แหละ..."

"แล้วจะมายุ่งกับปากผมทำไมเล่า ขอแก้วผมไปดื่มซะก็หมดเรื่อง"

เจนยุทธบ่นอุบอิบแล้วรีบส่งแก้วแชมเปญในมือให้คนรักทันที

"เหม็นความรักโว้ย"

อู่ทินหลงบ่นขึ้นดัง ๆ

"ใช่ พวกข้าวใหม่ปลามันก็อย่างนี้นี่แหละ รออยู่ด้วยกันไปหลาย ๆ ปีก่อนเถอะ"

ผู้ประสบภัยเมียอีกคนหนึ่งอย่างวิคเตอร์ ลี รีบตอบรับทันควัน ท่าทีเหม็นเบื่อของคนทั้งสองเรียกรอยยิ้มได้จากทุกคน

"เจของผมอร่อยแบบนี้ ยังไงก็ไม่เบื่อหรอกครับ"

ฆาเบียร์พูดยิ้ม ๆ แล้วก็ต้องร้องออกมาอย่างสำออยเมื่อโดนเจนยุทธที่ทำตาเขียวปั้ดทุบหลังเข้าบึ้กใหญ่ คริสยิ้มละไมใหักับภาพความสุขตรงหน้า เขาหันกลับไปหาจิวจี๋โหล่วซึ่งส่งสายตาเปี่ยมรักมาแล้วส่งยิ้มกลับคืนไปให้ ในใจเขาเต็มไปด้วยความหวังที่ว่าในที่สุดทั้งเขาและเพื่อนรักที่สูญเสียมามากเหลือเกินแล้วคนนี้คงจะได้พบกับความสุขที่พวกเขาควรได้รับเสียที



"อาปาครับ เดี๋ยวพวกผมว่าจะไปถนนอาหารอีกสักรอบ อาปาจะไปด้วยกันไหมครับ? "

ฆาเบียร์ถามพ่อบุญธรรมของเขา คริสส่ายหัวน้อย ๆ

"พวกเราไปกันเถอะ เดี๋ยวพวกอาปาจะเล่นไพ่ต่อกันอีกสักหน่อย..."

คริสทิ้งช่วงไปอึดใจหนึ่ง เขาเหลือบมองเพื่อนซึ่งนั่งอยู่ตรงกันข้ามแว่บหนึ่งแล้วจึงพูดต่อ

"...ไพ่นกกระจอกน่ะ น่าจะเล่นที่ห้องนอนเรา"

ฆาเบียร์ร้องอาออกมาเบา ๆ แล้วพยักหน้ารับคำ

"ถ้าอย่างนั้น กลับมาแล้วผมจะนั่งรออยู่ที่เลาจ์ก่อนนะครับ"

คริสพยักหน้าน้อย ๆ ให้ลูกบุญธรรม ฆาเบียร์ค้อมหัวให้เพื่อน ๆ ของอาปาแล้วจึงชวนเจนยุทธลุกออกมา



"ทำไมเราถึงเข้าห้องตอนพวกอาปาเล่นไพ่นกกระจอกไม่ได้ล่ะครับ? ผมก็อยากดูเวลาพวกลุง ๆ เขาเล่นเหมือนกันนี่นา"

เจนยุทธถามฆาเบียร์เบา ๆ ยามที่พวกเขากลับมาเข้าห้องน้ำห้องท่าที่ห้องก่อนที่จะออกไปข้างนอก ฆาเบียร์ยิ้มน้อย ๆ และไขข้อข้องใจให้คนรัก

"ที่บอกว่าเล่นไพ่นกกระจอกน่ะ จริงลุง ๆ เขาไม่ได้เล่นกันจริง ๆ จัง ๆ หรอก เป็นการนั่งล้อมวงกันเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกิจกันแบบที่ฉันเคยบอกนั่นแหละ โดยมากก็คือการรับข้อมูลจากลุงเดวิดน่ะ"

เจนยุทธร้องอาแล้วพยักหน้าน้อย ๆ

"เข้าใจแล้วครับ แล้วคุณไม่ต้องไปเข้าฟังด้วยเหรอ? "

เจถามอย่างสงสัย ฆาเบียร์ส่ายหน้าและบอกว่าส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจทางฝั่งฮ่องกงของพวกลุง ๆ มากกว่า

"อีกอย่าง อาปาเองก็พยายามกันไม่ให้ฉันต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องราวทางนี้มากนักน่ะ บอกว่ายิ่งรู้น้อยยิ่งดี"

เจพยักหน้ารับคำแล้วไม่ถามอันใดต่อ



"สงสารลุงเดวิดเนาะ"

เจนยุทธพูดลอย ๆ ขึ้นยามที่เขากับฆาเบียร์ลงลิฟท์มายังด้านล่างของอาคารด้วยกัน

"หืมม์? ทำไมเหรอจ๊ะ? "

"คือ ลุงเค้าดูมีความสุขมาก ๆ เวลาที่ได้อยู่กับพวกอาปา แล้วพอมานึกถึงว่าปี ๆ หนึ่งลุงเขาจะได้เจอพวกเพื่อน ๆ แค่ไม่กี่ครั้ง เวลาที่เหลือก็ต้องพยายามไม่ติดต่อกัน ไม่มีปฏิสัมพันธ์กัน มัน...มันน่าเศร้าอ่ะครับ"

เจพูดเสียงเครือ เขาอดนึกถึงเรื่องราวของเดวิดที่คนรักเล่าให้เขาฟังไม่ได้ ฆาเบียร์ถอนหายใจเบา ๆ การแก้แค้นซึ่งสุดท้ายแปรเปลี่ยนมาเป็นความพยายามเอาตัวรอดของเดวิดนั้นมีราคาสูงเหลือเกิน

"แล้วลุงเขาเลิกทำเรื่องที่ทำอยู่ไม่ได้เหรอครับ? "

เจถามคนรักเมื่อเขาขึ้นนั่งในรถซึ่งอู่ทินหลงจัดไว้ให้ ฆาเบียร์ส่ายหน้าแล้วกระซิบเบา ๆ กับคนรัก

"เลิกไม่ได้หรอก เจ มันเหมือนขึ้นหลังเสือแล้วลงไม่ได้..."

คนตัวโตอธิบายต่อว่าสิ่งที่คริสทำในตอนนี้เป็นเหมือนการการันตีว่าเขาจะยังสามารถมีชีวิตต่อไปได้โดยอาศัยสารพัดความลับและบุญคุณที่เขามีกับเหล่าลูกค้าซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลในโลกใต้ดินทั้งหลายเป็นสิ่งค้ำประกัน

"อีกอย่าง ลือกันว่าลุงเขามีแก๊งอั้งยี่ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเป็นแบ็คให้อีกด้วย แก๊งที่ลุงไปขอความช่วยเหลือในช่วงสิบปีที่หายไปจากฮ่องกงน่ะ"

คนตัวโตลังเลเล็กน้อยก่อนจะเล่าให้เจฟังต่อ

"...หลาย ๆ อย่างที่ลุงทำ บางทีก็เพราะเป็นหน้าฉากให้หรือเพื่อผลประโยชน์ของแก๊งนี้ เขาถึงพูดกันว่าที่ใครแตะต้องลุงไม่ได้ส่วนหนึี่งก็เพราะเป็นอันรู้กันว่าลุงเป็นคนของที่นี่ แต่ที่เลิกไม่ได้ ก็เพราะว่าแก๊งนี้ไม่ปล่อยให้เลิกด้วย"

ฆาเบียร์ถอนหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่

"ฉันก็หวังว่าวันหนึ่งลุงเดวิดเขาจะเป็นอิสระจากเรื่องพวกนี้และมีความสุขในชีวิตได้เสียที"

เจนยุทธเอื้อมมือไปกุมมือใหญ่ของคนรักที่กำแน่น เขาเองก็ได้แต่ส่งกำลังใจไปให้ผู้เฒ่าร่างเล็กซึ่งมีแววตาแสนเศร้าคนนั้นและภาวนาให้เขาได้รับความสุขเสียที



"เอ้า ถึงละ ป่ะ เจจะแวะที่ไหนก่อนดี? ร้านขนม Fong Kei ใช่ไหม? "

ฆาเบียร์พูดขึ้นหลังจากที่พวกเขานั่งเงียบกันมาครู่หนึ่ง เขาส่งยิ้มให้คนรักที่ส่งยิ้มหวานกลับมาให้

"ครับ แต่ก่อนอื่นผมขอแวะ Lord Stow' s ก่อนนะ อยากกินทาร์ตไข่ซักสองสามอันอ่ะ"

เจหัวเราะแหะ ๆ ฆาเบียร์ได้แต่โคลงหัว

"นี่นายยังกินไหวอยู่เหรอ เจนยุทธ เมื่อกี้ก็กินไปเยอะมากเลยนะ"

คนตัวโตซึ่งแค่ดูเจกินก็จะอิ่มแทนแล้วบ่นขึ้นมาดัง ๆ

"แหม นั่นมันของคาว กระเพาะของหวานผมยังเหลือที่อีกเยอะน่า"

คนตัวโตบ่นพึมพำและส่ายหน้าให้กับหลักอนาโตมั่วของคนรักอีกครั้ง

"น่า ๆ บ่นมากเป็นคนแก่ไปได้น่ะคุณ ป่ะ เราไปกันเถอะ ผมหิวขนมแล้ว"

เจหัวเราะคิกแล้วฉุดมือคนรักให้ลงจากรถตู้คันงามของอู่ทินหลงไป




---------------------------------------


ตอนนี้เหมือนเขียนได้กะพร่องกะแพร่งยังไงก็ไม่รู้ค่ะ แต่อย่างน้อยก็จบก่อนไปกทม. แหะ ๆ ตอนนี้เน้นเรื่องอาปาหน่อย หวังว่าคนคอยลุ้นจะสมใจนะคะ เรื่องของคู่นี้จะเบรคไว้ตรงนี้ก่อน ไว้คอยไปลุ้นกันเพิ่มทีหลังเนาะ ไม่งั้นพวกหนุ่ม ๆ คู่เอกของเราจะน้อยใจกันเสียก่อน

ตอนนี้เขียนเรื่องนักเลงนิดหน่อย พอเขียนแล้วก็พอดีไปเจอบทความน่าสนใจเรื่องหนัง "ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ" ก็เลยเอามาให้อ่านเล่นกันดูค่ะ http://bit.ly/2ZY7Z4k

ส่วนเรื่องเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ มีให้ดูใน Netflix ด้วยนะคะ https://www.netflix.com/th/title/80997866



อาหารในตอนนี้ก็ยังคงอยู่ในคลับเลาจ์ของโรงแรมริทซ์ คาร์ลตัน มาเก๊านะคะ เป็นมื้อเช้าที่ดีที่สุดมื้อหนึ่งที่เคยเจอมาก็ว่าได้ ต่อให้ไม่ได้มีสเต๊กมื้อเช้าเหมือนกับของที่อินเตอร์คอนกรุงเทพฯ แต่ก็มีของกินให้เลือกหลากหลาย รวมทั้งอาหารจานไข่ของที่นี่ก็ทำออกมาได้ดีมาก ๆ ไข่กวนใส่เนื้อปูอลาสกานี่ก็ได้ปูเยอะดี ส่วน egg benedict ของที่นี่ก็นับว่าดีที่สุดเท่าที่เคยกินมา (ถ้านับว่าเป็นของในบุฟเฟต์ ไม่นับกับพวกที่จ่ายเงินซื้อเป็นจานนะคะ) เครื่องเคียงอย่างไส้กรอกก็อร่อย แต่ที่ติดใจสุด ๆ ก็คือ french toast นี่แหละค่ะ ขนมปังนุ่มฟูชุ่มไข่ ส่วนข้างนอกก็ทอดดีเกรียมกำลังดี ปรุงรสดี แถมเมเปิลไซรัปก็อร่อย ส่วนวาฟเฟิลก็กลาง ๆ แต่ถ้าให้เลือกก็จะกินเฟรนช์โทสต์ซ้ำค่ะ ส่วนพวกของร้อนอย่างโจ๊กก็โอเค ติ่มซำน่าผิดหวังไปนิด แต่พนักงานก็ยอมรับตรง ๆ ว่ามันเป็นของที่รับมาจากร้านข้างนอก ไม่ได้มาจากห้องอาหารจีนหนึ่งดาวของทางโรงแรม ส่วนพวกชีส ของหวาน โยเกิร์ต มูสลี่ พวกขนมปังและขนมปังหวานต่าง ๆ รวมทั้งผลไม้ก็ดีงามตามรูปค่ะ

อีกอย่างหนึ่งที่ได้รู้มาจากพนักงานเมื่อคราวที่ไปพักคือว่า เนื่องจากคนที่มาพักที่ริทซ์ มาเก๊าส่วนมากไม่ค่อยตื่นเช้ามากินข้าวเช้ากันเท่าไหร่ ทางโรงแรมจึงไม่เปิดห้องอาหารที่ด้านล่างเพื่อเสิร์ฟมื้อเช้า และจะให้แขกทั้งหมดขึ้นมากินอาหารเช้าที่บนคลับแทนหรือไม่ก็ให้เลือกกินในห้อง (ในวันที่ไปก็มีอยู่ไม่ถึงสิบโต๊ะ คนตื่นเช้ากันน้อยจริง ๆ) ฉะนั้นถ้าอยากกินมื้อเช้าบนคลับแบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินนอนชั้นคลับก็ได้ค่ะ แต่น่าจะได้แค่อาหาร ไม่ได้แชมเปญค่ะ และไม่แน่ใจว่าพวกอาหารที่อยู่ในเมนูตามในรูปจะมีให้เฉพาะแขกคลับหรือให้กับทุกคนค่ะ และไม่แน่ใจว่าถ้าเป็นช่วง high season จะให้ลงไปกินที่ห้องอาหารด้านล่างเหมือนเดิมหรือเปล่าด้วยนะคะ

จบตอนนี้ ตอนหน้าก็น่าจะหมดช่วงมาเก๊าแล้วกลับไปฮ่องกงต่อ พูดถึงฮ่องกง สถานการณ์ตอนนี้กำลังแย่เลยทีเดียว ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง ก็หวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดีโดยไม่ต้องมีความรุนแรงอันใดนะคะ คนเขียนก็กำลังใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ เพราะมีทริปตอนเดือนตุลาฯ จะได้ไปหรือไม่ได้ไปก็ไม่รู้ นี่กะจะไปส่งท้ายโรงแรมอินเตอร์คอนฯ ฮ่องกงที่จะปิดปรับปรุงและเปิดใหม่เป็นโรงแรม The Regent แต่ถ้าเหตุการณ์ลุกลามบานปลายไม่จบสิ้นก็คงจะได้เททริปแน่ ๆ ค่ะ ใครที่มีแพลนจะไปในช่วงนี้ก็คอยตามข่าวเรื่อย ๆ นะคะ ขอให้ปลอดภัยค่ะ


เจอกันตอนหน้านะคะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-08-2019 07:32:11 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
มีความสุขแทนทั้งอาปาแล้วก็อาจิว

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Yum! 'Yum Cha' ----





"เจ นี่ไม่เยอะไปเหรอ? "

คนตัวโตบ่นเบา ๆ เมื่อเห็นคนรักยืนชี้สั่งขนมนั่นนี่ในตู้กระจกของร้าน Fong Kei อย่างสนุกมือ

"ไม่เยอะหรอกครับคุณ ผมซื้อเป็นของฝากด้วย ไม่ได้กินเองทั้งหมด"

เจพูดพร้อมกับหันไปสั่งขนมรูปร่างเหมือนปอเปี๊ยะไส้กุ้งแห้งน้อยที่เขาติดใจหนักหนา

"ผมขอ 30 ถุงครับ"

"ฮะ? 30 ถุง? นายจะเอาไปถมที่เหรอ? "

ฆาเบียร์ร้องออกมาลั่น เจขมวดคิ้ว

"แหม คุณ ผมจะเอาไปฝากที่บ้าน 10 ถุง ไอ้ขนมแบบนี้ ไอ้เจ้าอันปังกับเอแคลร์กินแป๊บเดียวก็หมดแล้ว แล้วก็เอาให้พี่นพ ปรินซ์กับซันซันคนละ 3 ถุง แล้วก็เอาให้ลุงนิติฯ คอนโดอีก 1 ถุง รวมกับขนมอย่างอื่นอีก อืมม์..."

เจนยุทธทำท่าครุ่นคิดก่อนจะยกมือขึ้นและทำท่าจะสั่งต่อ

"เดี๋ยว ๆ นั่นมันก็แค่ 20 ถุงนะ แล้วอีก 10 ล่ะ?”

คนตัวโตทักท้วงทันที

“แหะ ๆ ก็ของผมไงครับ…น่า ก็เผื่อให้คุณกินตอนกลับบ้านด้วยไง”

เจนยุทธส่งยิ้มพร้อมทำตาแป๋วให้คนรักเหมือนอย่างเคยเมื่อเห็นฆาเบียร์ทำตาโตเท่าไข่ห่าน

“เหอะ ขอให้ไอ้เจ้า 10 ถุงนี่อยู่เหลือถึงตอนฉันกลับไปเชียงใหม่จริงเถอะ”

คนตัวโตบ่นอุบอิบ เจยิ้มแห้ง ๆ แล้วหันไปสั่งเจ้าปอเปี๊ยะเพิ่มอีก 5 ถุงทันที

“แหะ ๆ เผื่อมันไม่พอ แล้วผมก็ลืมนับไอ้ตั้มมันด้วย”

ฆาเบียร์หน้าตึงขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อน้องรหัสของเจนยุทธ หากเขาก็รีบปรับสีหน้าให้ยิ้มแย้มเหมือนเดิมก่อนที่คนตัวเล็กจะจ้องมองมา

“แล้วเจไม่เอาไปฝากพวกสาว ๆ ของนายด้วยล่ะ?”

“เออ นั่นสิ เดี๋ยวผมซื้อรวม ๆ หลาย ๆ อย่างไปให้พวกเจ๊ ๆ เขาแบ่งกันกินแล้วกันเนาะ"

เจนยุทธครุ่นคิดแล้วสั่งขนมเพิ่มมาอีกหลายอย่างจนฆาเบียร์ต้องลากเขาออกมาจากหน้าตู้



"คุณ พอเลย ไม่ต้องจ่ายให้ผม"

เจรีบดึงกระเป๋าเงินในมือของคนรักออกมาถือไว้แล้วรีบล้วงกระเป๋าของตนออกมาอย่างรวดเร็ว

"โธ่ เจ ขอฉันจ่ายด้วยเถอะ ก็ถือว่าเป็นของฝากจากฉันด้วยไง"

คนตัวโตขมวดคิ้วเมื่อเห็นคนรักหยิบธนบัตรใบละ 500 ดอลลาร์ฮ่องกงออกมาหลายใบ เจนยุทธถอนหายใจเฮือกแล้วส่งกระเป๋าเงินคืนให้คนรัก ฆาเบียร์ทำท่าดีใจได้ครู่หนึ่งแต่ก็ต้องหน้าเจื่อนเมื่อคนตัวเล็กยอมให้เขาจ่ายเพียงแค่ 300 เหรียญฮ่องกงซึ่งยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของค่าขนมทั้งหมดด้วยซ้ำ เขาพยายามประท้วงแต่คนตัวเล็กก็ไม่ยอมฟังแถมยังเดินหนีออกจากร้านพร้อมถุงขนมในมือ

"อ๊ะ ขอบคุณครับ"

เจอุทานออกมาเบา ๆ เมื่อร่างสูงของบอดี้การ์ด 2 คนของจิวจี๋โหล่วที่คอยเดินตามพวกเขามาตั้งแต่เริ่มเข้ามายังถนนอาหารแห่งนี้ก้าวเข้ามาประชิดตัวและยื่นมือขอรับถุงจากเขาไป เจนยุทธส่งถุงในมือให้ส่วนหนึ่งและหิ้วเองอีกส่วนหนึ่ง เขาชะงักเมื่อนึกได้ว่าฆาเบียร์ไม่ได้เดินตามเขาออกมาจากร้านด้วย เขามองหาไปรอบ ๆ อย่างร้อนใจ แล้วก็ต้องโคลงหัวเมื่อเห็นคนรักเดินมาหาพร้อมกับถุงในมือ

"ไงครับ ได้อะไรมาบ้าง? "

เจหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นถุงใบใหญ่ของร้าน Fong Kei ในมือฆาเบียร์ คนตัวโตยิ้มเขิน ๆ พร้อมเปิดกล่องขนมในถุงให้เจดู เจอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นถุงปอเปี๊ยะน้อยที่อัดแน่นอยู่ในนั้น

"นาน ๆ ได้มาซื้อที ก็ต้องตุนไว้หน่อย ไม่ใช่ว่าจะกินให้หมดรวดเดียวซักหน่อยนะ"

คนตัวโตซึ่งติดใจขนมชนิดนี้มาตั้งแต่ตอนที่คริสซื้อกลับไปฝากเขาที่แคลิฟอร์เนียพูดขึ้นเบา ๆ

"อือ ฮึ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อยนิ"

เจพูดยิ้ม ๆ แล้วยกมือขึ้นโอบเอวคนรัก ฆาเบียร์ยิ้มบาง ๆ แล้วยกมือขึ้นโอบไหล่ของเจ้าตัวดีของเขาแล้วพาเดินต่อไป



"ให้ตายสิ อยู่กับเจนี่ฉันคงไม่มีทางคุมน้ำหนักได้แน่ ๆ "

ฆาเบียร์บ่นอุบอิบ หลังจากซื้อขนมจากร้าน Fong Kei เรียบร้อยแล้ว เจก็จัดการซื้อทาร์ตไข่ของร้าน Lord Stow's มา 6 ชิ้นแล้วเอามานั่งกินอย่างเอร็ดอร่อยที่ลานกว้างซึ่งเขากับคริสมานั่งกันเมื่อคืนที่ผ่านมา หลังจากอิดออดเล็กน้อย ฆาเบียร์ก็ยอมกินทาร์ตไข่ร้อน ๆ ที่เจนยุทธส่งมา แต่เขาก็กินไปบ่นไปจนเรียกรอยยิ้มจากเจนยุทธได้

"น่า แค่ชิ้นเดียวเอง ไม่อ้วนหรอกครับ"

เจพูดยิ้ม ๆ พลางยกทาร์ตที่มีไส้คัสตาร์ดอุ่น ๆ เนื้อเนียนนิ่มในมือขึ้นกัด ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่

"แต่สองชิ้นมันจะอ้วนเอาน่ะสิ"

คนตัวโตบ่นแล้วก็เอื้อมมือไปหยิบทาร์ตไข่ที่เหลืออยู่ชิ้นสุดท้ายในกล่องขึ้นมา เจทำตาโตแล้วทำท่าจะตะครุบคืนหากคนตัวโตก็รีบยกหนีอย่างเร็ว เจหัวเราะคิกออกมาเมื่อเห็นท่าทางของคนรัก

"โอเค ๆ กินเถอะครับ ไว้เดี๋ยวผมกลับแล้วคุณค่อยไดเอ็ทใหม่แล้วกันนะ"

เจพูดพลางเอนกายซบกับไหล่กว้าง คนตัวโตทำหน้าสลดลงทันควัน

"ฉันยังไม่อยากให้นายกลับเลย เจนยุทธ"

ฆาเบียร์พูดเบา ๆ ขนมแสนอร่อยในมือของเขากลายเป็นไร้รสชาติไปเสียแล้ว เขามัวแต่มีความสุขจนลืมไปว่าอีกเพียงสองคืนเจนยุทธก็ต้องกลับเชียงใหม่แล้ว เจยกมือขึ้นโอบไหล่คนรักแล้วตบเบา ๆ

"น่า คุณ ผมกลับไปแป๊บเดียวคุณก็จะตามไปหาผมที่เชียงใหม่อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? อย่าเพิ่งเศร้าเลยนะครับ"

เจลูบแก้มคนรักเบา ๆ

"เฮ้! ไม่ต้องเนียนเช็ดมือเลย"

คนตัวโตโวยเมื่อรู้สึกถึงความมันของขนมจากมือคนรักบนแก้มของตน เจหัวเราะคิกคักแล้วดึงมือที่ถือทาร์ตไข่ของคนรักให้ส่งขนมเข้ามาถึงปากของเขา ฆาเบียร์โคลงหัวแล้วก็ต้องปล่อยให้เจ้าตัวดีกัดขนมในมือของตัวเองไปคำใหญ่ พวกเขานั่งกินขนมและหยอกเอินกันอีกพักหนึ่งแล้วจึงลุกขึ้นเพื่อเดินทางกลับโรงแรม



"เอ๊ะ ๆ ๆ คุณ ๆ แวะนี่หน่อย"

เจดึงแขนคนรักให้หยุดเมื่อพวกเขาเดินผ่านร้านสาขาของร้านบะหมี่ชื่อดังจากฝั่งจัตุรัส Senado อย่างร้าน Wong Chi Kei

"เจ นี่ยังจะกินบะหมี่ไหวอีกเหรอ? "

คนตัวโตซึ่งยังอิ่มจากมื้อเช้าและทาร์ตไข่สองอันที่เมื่อครู่บ่นออกมาดัง ๆ

"ไม่ใช่ ๆ ผมจะแวะซื้อนี่ต่างหาก"

เจพาคนรักเดินเข้าไปในส่วนขายของฝากของทางร้าน เขาหยิบกล่องเส้นบะหมี่แบบแห้งของทางร้านขึ้นมาดูอย่างสนใจ เขาเห็นมันตั้งแต่ตอนที่มาเดินเล่นกับอาปาเมื่อคืนแล้ว หากไม่กล้าเข้าไปดูเพราะกลัวว่าคริสจะชิงจ่ายเงินซื้อให้เขาเสียก่อน

"เนี่ย ๆ ผมว่าจะซื้อบะหมี่ของที่นี่ไปกินกับไข่กุ้งที่ผมซื้อไปเมื่อคราวที่แล้ว น่าจะอร่อยเนาะ"

เจนยุทธซึ่งซื้อไข่กุ้งอบแห้งจากร้าน Wong Kun Sio Kung ไปถึง 2 กระปุกเมื่อคราวที่แล้วที่มามาเก๊าพูดอย่างลิงโลด แม้จะซื้อไข่กุ้งกลับไปเยอะ เขากลับหาโอกาสกินมันได้ไม่บ่อยนักเพราะไม่รู้ว่าจะนำไปคลุกกับอะไรดี เขาลองคลุกมันกับเส้นสปาเก็ตตี้หรือเส้นมาม่าหรือกระทั่งเอาไปโรยข้าวผัด แต่มันก็ยังไม่ได้รสชาติเท่ากับคลุกกับเส้นบะหมี่แบบฮ่องกง เขาหยิบเส้นบะหมี่อบแห้งกล่องสีน้ำตาลที่วางโชว์อยู่ขึ้นมาดู



“Yea Yea noodle? มันคือหมี่แบบไหนครับ?”

เจอ่านชื่อบนสายคาดกล่องสีเขียวแล้วหันไปถามคนตัวโต ฆาเบียร์ส่ายหัวแล้วบอกว่าเขาไม่รู้จัก เจยักไหล่น้อย ๆ แล้วหยิบกล่องซึ่งมีบะหมี่ 8 ก้อนมาสองกล่อง

“ไม่เยอะไปเหรอ? เกิดมันไม่อร่อยล่ะ?”

ฆาเบียร์ถาม

“บะหมี่ร้านนี้อร่อยครับ เส้นกึ่งสำเร็จรูปก็ไม่น่าแย่นัก ถ้าต้มเฉย ๆ แล้วคลุกกับไข่กุ้งไม่อร่อย ผมก็อาจจะเอาไปใส่น้ำต้มยำ รับรองว่ายังไงก็อร่อย”

เจพูดยิ้ม ๆ ต่อให้บะหมี่รสชาติแย่แค่ไหน ถ้าเจอรสจัดจ้านของน้ำต้มยำเข้าไปก็พอจะกลบความไม่อร่อยนั้นไปได้

“แล้วนายไม่เอาแบบที่มีเครื่องไปด้วยเหรอ?”

คนตัวโตหันไปชี้บะหมี่ที่วางโชว์ไว้อีกกล่อง กล่องนี้มาพร้อมซองใส่ไข่กุ้งแห้งและน้ำพริกเผาสำหรับบะหมี่แต่ละก้อนด้วย

“ไม่ดีกว่าครับ ผมมีไข่กุ้งที่บ้านอยู่แล้ว น้ำพริกเผาก็ใช้ของไทยก็ได้ ไม่ต้องมาจ่ายเพิ่ม”

เจพูดพลางเดินไปจ่ายเงิน เขาฮัมเพลงอย่างมีความสุขเมื่อเดินออกร้านมาพร้อมของอร่อยในมือ เขาบอกฆาเบียร์ว่าเมื่อกลับถึงบ้านเขาจะจัดการลวกเส้นพร้อมกับโรยไข่กุ้งอย่างจุใจแบบที่ไม่สามารถกินได้ในร้าน ฆาเบียร์ได้แต่โคลงหัวให้กับความตะกละของเจ้าตัวดีของเขา



“วัน ๆ นายคิดแต่เรื่องกินใช่ไหม หืมม์?”

คนตัวโตบีบปากน้อย ๆ ที่ขยับหาของกินตลอดเวลาด้วยความเอ็นดู เจรีบดิ้นหนีแล้วบ่นอุบอิบ

“ใครว่าผมคิดแต่เรื่องกิน อย่างอื่นผมก็คิด…”

เจนยุทธยกยิ้มมุมปาก ฆาเบียร์หน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเมื่อเห็นสายตาเจ้าชู้ที่กวาดขึ้นลงร่างกายของเขา ฟันขาว ๆ ที่กัดริมฝีปากแดงระเรื่อและแววตากรุ้มกริ่มนั้นทำให้เขานึกอยากเห็นภาพในหัวของเจ้าตัวดีขึ้นมาทันที

"ทะลึ่งนักนะเรา! "

คนตัวโตคำรามเบา ๆ

"โอ๊ย อะไรอ่ะ ผมยังไม่ทันพูดอะไรเลย! คุณนั่นแหละ คิดทะลึ่งอะไร? "

เจนยุทธทำหน้านิ่วเมื่อโดนคนรักยีหัวจนผมยุ่งเหยิง เขาหันไปแลบลิ้นให้คนรักที่เข้ามาโอบไหล่และพาเขาเดินไปตามถนนคนเดินที่มีคนพลุกพล่าน ฆาเบียร์หัวเราะหึ ๆ เมื่อสนิทสนมกันนานวันเข้า เจก็มักแสดงนิสัยช่างออดอ้อนและบางทีก็แสนงอนเอาแต่ใจตามประสาน้องน้อยที่มีพี่อายุห่างกันมาก ๆ เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมบรรดา "พี่สาว" ของเจถึงได้ติดอกติดใจเจ้าตัวดีนี้นัก นิสัยแบบน้องน้อยของเจคงไปกระตุ้นสัญชาตญาณความเป็นแม่ของสาว ๆ เหล่านั้น ประกอบกับความช่างเอาใจและรู้ใจผู้หญิงตามประสาเด็กหนุ่มที่โตมากับพี่สาว ทั้งหมดนี้ประกอบกันทำให้เจ้าตัวดีของเขาสามารถมัดใจ "พี่สาว" โพรไฟล์สูงเหล่านั้นไว้ได้

"หึ น่าหมั่นไส้นัก! "

คนตัวโตพูดความในใจออกมาดัง ๆ โดยไม่รู้ตัว เขานิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะทำหน้าตึงและปล่อยมือจากร่า่งเพรียวแล้วออกเดินลิ่วนำหน้าไปยังรถที่จอดรออยู่ เจนยุทธทำหน้างง ๆ แล้วรีบสาวเท้าเดินตามไป



"คุณ เอ่อ ผม ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า? ถ้าผมพูดหรือทำอะไรให้คุณโกรธ ผมต้องขอโทษด้วยจริง ๆ "

เจพูดด้วยท่าทางไม่สบายใจหลังตามคนรักขึ้นมานั่งบนรถ เขาพยายามนึกอย่างหนักว่าตนได้ทำหรือพูดอะไรที่จะทำให้คนรักได้เคืองขุ่นใจขึ้นมาหรือเปล่า ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วยกมือขึ้นโอบร่างคนรักแล้วรั้งเข้ามาอิงแอบกาย

"ไม่ใช่ความผิดของเจหรอก แต่เป็นตัวฉันเองน่ะ"

คนตัวโตพ่นลมหายใจออกจากปากอย่างขัดใจ เมื่อนึกถึงบรรดาสาว ๆ ในอดีตของเจ ตัวเขาก็เกิดความรู้สึกริษยาและหึงหวงขึ้นมาอย่างระงับไม่อยู่

"...ที่ฉันเดินหนีมาก็เพราะไม่อยากให้เจเห็นฉันที่เป็นแบบนั้น ฉัน เอ่อ ฉันไม่อยากทำตัวเป็นแฟนไร้เหตุผลที่หึงแม้กระทั่งคนในอดีตของนาย..."

ฆาเบียร์ยกมือขึ้นลูบหน้าแรง ๆ แม้เขาจะรู้ดีว่าเจนยุทธไม่ได้มีสัมพันธ์ทางกายกับบรรดาสาวรุ่นพี่เหล่านั้นซึ่งเป็นเพื่อนของอิ่มใจมานานนับปีแล้ว หากตัวเขาซึ่งได้ติดต่อพูดคุยกับสาว ๆ เหล่านั้นบางคนมาตั้งแต่ช่วงปีใหม่ก็ได้รับรู้ถึงความห่วงหาอาทรที่สาว ๆ เหล่านั้นยังมีให้กับคนรักของเขา โดยเฉพาะแตงโม สาวนักลงทุนที่เคยแต่งงานและหย่าแล้วมักจะเอ่ยชมเจในอดีตให้เขาฟังอยู่เนือง ๆ ซึ่งฆาเบียร์ก็ได้แต่ยิ้มและรับฟังไป ทั้ง ๆ ที่เขาก็รู้ว่ามันก็เป็นเพียงความคนึงหาที่เจ้าตัวไม่ได้คิดที่จะสานต่อหรือต้องการอะไรไปมากกว่านั้น แต่บางครั้งเมื่อนึกถึงมันขึ้นมาได้ เขากลับรู้สึกฉุนและนึกหมั่นไส้คนรักขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุอย่างเช่นเมื่อครู่นี้เป็นต้น



"ฉันไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้เลย ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่ามันไม่มีอะไร แต่ฉันก็อด เอ่อ อดหึงไม่ได้..."

ฆาเบียร์พูดคำที่เขาไม่ค่อยได้ใช้นักออกมาด้วยความรู้สึกละอายใจ ในอดีตเขามักรู้สึกรำคาญและเบื่อหน่ายทุกครั้งที่เหล่าคู่นอนของเขาแสดงอาการหึงหวงออกมา หากในตอนนี้เขากลับต้องมารู้สึกมันเสียเอง คนตัวโตซึ่งก้มหน้าลงต่ำค่อย ๆ ช้อนตาขึ้นมองหน้าคนรักเพื่อสังเกตปฏิกิริยา แต่สิ่งที่เห็นนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไว้เลย

"...ยิ้มทำไม เจนยุทธ? มีอะไรน่าขันรึไง? "

คนตัวโตสะบัดเสียงใส่คนตัวเล็กที่ยิ้มกว้างจนตาหยี

"ไม่ได้มีอะไรน่าขันเลยครับ...ผมดีใจต่างหากที่คุณหึงผม..."

เจนยุทธซบหน้าลงบนแขนของคนรัก

"...มันทำให้ผมรู้ว่าคุณเองก็รักผมมาก ๆ เหมือนกัน"

เจพูดยิ้ม ๆ

"ผมนึกว่าจะมีแค่ผมที่รู้สึกไม่ดีเวลาที่คุณพูดถึงกิ๊กเก่า แต่พอรู้ว่าคุณเองก็รู้สึกเหมือนกันผมก็สบายใจละ"

เจนยุทธหัวเราะคิกคักอย่างสบายอารมณ์ เขาเคยนึกกลัวไม่อยากให้คนตัวโตรู้ว่าเขารู้สึกอึดอัดที่ได้ฟังเรื่องราวของคนที่คนรักเคยมีสัมพันธ์ด้วยในอดีต แม้บางเรื่องจะตื่นเต้นน่าติดตามอย่างเรื่องของอดีตนายจ้างของคนรัก แต่หลังจากฟังคนรักเล่าจบและความตื่นเต้นจากเรื่องราวนั้นหมดไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่คือความรู้สึกเจ็บแปลบที่ได้รู้ว่าฆาเบียร์เองก็เคยเผลอใจรักหนุ่มใหญ่เจ้าของบาร์คนนั้นเข้าไปเหมือนกัน




"เจไม่โกรธฉันเหรอ ที่ฉันรู้สึกหึงกระทั่งคนที่จบความสัมพันธ์กันไปแล้วน่ะ? "

ฆาเบียร์ถามเสียงอ่อย ๆ เขาไม่ชินนักกับความรู้สึกอยากแสดงตนเป็นเจ้าข้าวเจ้าของคนที่ตนคบหาอยู่แบบนี้ หากเจนยุทธทำให้เขาได้รู้ตัวว่าตนนั้นเป็นคนขี้หวงอย่างรุนแรงทีเดียว

"คุณครับ ไอ้ความรู้สึกหวงแหนสิ่งที่ตนรักและไม่อยากให้คนอื่นมายุ่มย่ามน่ะมันเป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์นะครับ ผมเองก็เป็น ถ้าคุณจะมายืนคุมผมเป็นไม้กันหมาบ้างน่ะ ผมไม่ว่าหรอก ตราบใดที่คุณยังให้เกียรติและไว้ใจผมโดยไม่ล้ำเส้นขนาดไประรานคนอื่น หรือถึงขั้นตามเช็คมือถือ แอบเช็คไลน์หรือแอบตามดูน่ะ ไอ้แบบนั้นผมไม่โอเค"

เจพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ฆาเบียร์ทำหน้าเบ้ทันที

"เจจ๊ะ ถ้าวันไหนฉันเกิดความรู้สึกว่าฉันอยากทำแบบนั้นขึ้นมา วันนั้นฉันจะเป็นฝ่ายขอเลิกกับนายเอง เพราะนั่นมันแปลว่าความสัมพันธ์ของเราสองคนมันกำลังดิ่งลงเหวแล้ว และฉันเองก็คงทนรับตัวเองไม่ได้ที่จะต้องกลายเป็นคนแบบนั้น"

"เฮ้ย ๆ ๆ เดี๋ยวครับ นี่จะเลิกกันง่าย ๆ แบบนั้นเลยเรอะ? ไม่คิดจะหันหน้ามาคุยกันอะไรก่อนเรอะ? "

เจร้องลั่นรถ ก่อนที่จะรีบลดเสียงลง



"ฆาบี้ แบบนั้นไม่โอเคครับ..."

เจนยุทธพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เมียตัวโตของเขาเกิดคิดฟุ้งซ่านขึ้นมาอีกแล้ว

"สัญญากับผมได้ไหม ฆาบี้..."

เจใช้มือสัมผัสใบหน้าคนรักเบา ๆ แล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่มีแววโศกคู่นั้น

"...ถ้าวันหนึ่งคุณเกิดคลางแคลงใจในตัวผมขึ้นมา เกิดความไม่ไว้ใจหรือสงสัยจนทำให้อยากทำอย่างที่ว่าขึ้นมา..."

คนตัวเล็กถอนหายใจเฮือก

"ถ้าเกิดรู้สึกแบบนั้น ผมขอให้คุณมาถามผมตรง ๆ มาจับเข่าคุยกันให้รู้เรื่องก่อน ก่อนที่จะคิดเลิกราหรือทำอะไรพวกนั้นไป สัญญากับผมได้ไหมครับ คุณมาร์ติเนซ? "

ฆาเบียร์นิ่งไป สายตาจริงจังของคนรักทำให้เขารู้สึกประหม่าขึ้นมา เขายกมือขึ้นเกาะกุมมือของคนรักที่ประคองแก้มอยู่แล้วดึงมาแนบอก

"ได้ เจนยุทธ งั้นฉันก็จะขอสัญญาจากนายเหมือนกัน ถ้าวันไหนนายเกิดสงสัยในตัวฉันขึ้นมา นายเองก็ต้องเข้ามาคุยกับฉันตรง ๆ เหมือนกัน"

คนตัวโตจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมใสของคนรักบ้าง เจนยุทธรีบพยักหน้ารับคำอย่างไม่ลังเล สำหรับตัวเขาแล้ว การพูดคุยสื่อสารกันระหว่างคู่รักเป็นสิ่งสำคัญ มันคือเคล็ดลับที่ทำให้พ่อแม่ของเขารักษาชีวิตคู่มาได้ยาวนานจนกระทั่งพ่อของเขาเสียชีวิตลง



"แม่ผมสอนตลอดว่าถ้ามีแฟนให้พูดคุยกันมาก ๆ บางอย่างเราอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่อีกฝ่ายอาจจะคิดไม่เหมือนกันก็ได้..."

เจนยุทธพูดในสิ่งที่แม่ของเขาพยายามสอนให้แก่ลูก ๆ สำหรับตัวฟองนวลและสามีแล้ว ด้วยความที่ค้าขายอยู่ในตลาดซึ่งต้องพบเจอคนมากหน้าหลายตาตลอดเวลา บางครั้งมันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างจากพวกปากหอยปากปู หรือกระทั่งเสียงตักเตือนด้วยความ "หวังดี" จากคนรอบข้างเกี่ยวกับอีกฝ่าย โดยมากพ่อแม่ของเจก็เลือกที่จะปล่อยให้มันผ่านหูไป แต่เมื่อใดที่มันมากจนทำให้พวกเขารู้สึกคลางแคลงใจหรือสงสัยในตัวอีกฝ่ายหนึ่งขึ้นมา พวกเขาก็มักจะใช้วิธีพูดคุยกันตรง ๆ แทนที่จะคอยระแวงจนเป็นเหตุทำให้ต้องได้ทะเลาะกันภายหลัง เมื่อลูก ๆ ของเธอเริ่มโตพอที่จะมีความรัก เธอจึงพยายามสอนเรื่องนี้ให้พวกลูก ๆ มาโดยตลอด โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าเจเริ่มคบหากับคนที่มาจากต่างวัฒนธรรม ฟองนวลยิ่งพยายามย้ำเตือนเรื่องนี้ให้ลูกชายเข้าใจ

"แม่ผมบอกว่ายิ่งกับคุณแล้ว ผมยิ่งต้องใส่ใจมากขึ้น เพราะบางครั้งความที่มาจากต่างวัฒนธรรม แนวคิดอะไรหลาย ๆ อย่างเราก็อาจจะไม่เหมือนกัน ยิ่งเราพูดกันคนละภาษาด้วยแล้ว การสื่อสารยิ่งสำคัญมาก ผมก็พยายามทำตามที่แม่บอกอยู่นะ แต่บางทีมันก็ลืมอ่ะ"

คนตัวเล็กหัวเราะแหะ ๆ แม้เขาจะพยายามอย่างมากที่จะทำตามคำของแม่ แต่บางครั้งด้วยความที่ไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูดอย่างถ่องแท้หรือการกระทำบางอย่างของคนตัวโตซึ่งเขาอาจตีความผิดไปเนื่องจากวัฒนธรรมที่ต่างกัน มันก็ได้ทำให้พวกเขาเกิดความไม่เข้าใจกันบ้างและอาจเกิดขัดเคืองกันขึ้น แต่เมื่อนึกขึ้นได้เขาก็มักจะพยายามมองสิ่งต่าง ๆ ใหม่ด้วยมุมมองของอีกฝ่าย

"จริงของแม่เจนะ..."

ฆาเบียร์พูดเบา ๆ และครุ่นคิดถึงพ่อแม่ของเขา แม้ที่บ้านจะไม่ได้เข้ามาแนะนำเรื่องชีวิตรักของเขามากนักตามประสาครอบครัวตะวันตก แต่เขาก็ได้เห็นตัวอย่างการใช้ชีวิตคู่จากพ่อแม่ของเขาเช่นกัน

"...นี่ขนาดพ่อกับแม่ฉันเป็นชาวละตินอเมริกาเหมือนกัน พูดได้ทั้งภาษาสเปนและภาษาอังกฤษเหมือนกัน ก็ยังมีเรื่องไม่เข้าใจกันเพราะว่าคนหนึ่งเป็นอาร์เจนไตน์และอีกคนเป็นปูเอร์โตริโกเลย"

คนตัวโตหัวเราะหึ ๆ แม้แม่ของเขาจะเติบโตมาในครอบครัวสเปนแท้ ๆ ซึ่งมาตั้งรกรากในอาร์เจนติน่าตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 โดยที่คนในครอบครัวแทบไม่ได้มีการแต่งงานข้ามไปกับชาวพื้นเมืองหรือชาวยุโรปชาติอื่น ๆ อย่างอิตาเลียนและเยอรมันที่ย้ายมาอยู่ภายหลัง แต่ทุกคนก็ยังติดสำนวนการพูดแบบอาร์เจนไตน์มาจากคนในสังคมรอบข้างมาบ้าง ซึ่งมันต่างจากภาษาสเปนแบบปูเอร์โตริกันของอันเดรสอย่างมาก



"...ถึงแม่ฉันจะเรียนในโรงเรียนที่มีครูมาจากสเปนและพูดด้วยสำเนียงมาตรฐานของประเทศสเปน แต่แม่ก็จะได้พวกสำนวนต่าง ๆ หรือคำศัพท์แบบอาร์เจนไตน์หลาย ๆ คำที่ติดมาจากในทีวีหรือจากในชีวิตประจำวันก็ไม่เหมือนกับที่พ่อฉันพูด ส่วนพ่อฉันก็มีสำเนียงปูเอร์โตริโกและใช้สำนวนแบบท้องถิ่นของพ่อ เห็นแม่บอกว่าช่วงแรก ๆ ที่คบกันก็ต้องปรับตัวเข้าหากันเยอะทีเดียว"

ฆาเบียร์พูดยิ้ม ๆ แม่ของเขาเล่าว่าหลายครั้งที่พวกเขาต้องหัวเราะกับคำศัพท์ที่อีกฝ่ายใช้เพราะมันไม่มีความหมายหรืออาจจะหมายถึงอีกสิ่งหนึ่งในประเทศบ้านเกิดของอีกคนหนึ่ง

"สุดท้าย แม่ฉันก็เลยเป็นฝ่ายปรับโดยพยายามพูดด้วยภาษาสเปนแบบ Castellano ซึ่งเป็นสำเนียงที่ได้ยินจากในทีวีหรือวิทยุจากประเทศสเปน ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็จะเปรียบได้กับสำเนียงของสำนักข่าว BBC แล้วพอฉันเกิด แม่ก็พยายามให้ฉันได้สำเนียงมาตรฐานจากแม่ด้วย..."

คนตัวโตยิ้มน้อย ๆ เมื่อนึกถึงวันเวลาเก่า ๆ

"แต่สุดท้ายฉันก็ไปติดสำนวนและสแลงแบบเม็กซิกันจากพวกเพื่อนที่โรงเรียนอยู่ดี"

ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ สำหรับเขาแล้วไม่ว่าจะสำเนียงไหน ขอให้สื่อสารเข้าใจก็ถือว่าโอเคแล้ว

"นอกจากเรื่องภาษาแล้ว พ่อแม่คุณยังต้องปรับตัวเข้าหากันอีกเยอะไหมอ่ะ? "

เจนยุทธถามอย่างสนใจใคร่รู้ เขาบอกคนตัวโตว่าสำหรับพ่อกับแม่ของเขาแทบไม่มีปัญหาในการปรับตัวเข้าหากัน ถึงครอบครัวทางพ่อของเขาจะมีเชื้อสายจีน แต่ก็เป็นจีนที่อยู่ในภาคเหนือมานานหลายชั่วคนจนแทบจะกลายเป็น "คนเมือง" ไปแล้ว จะมีแค่ช่วงเทศกาลสำคัญ ๆ อย่างตรุษจีนที่พวกเขาต้องเตรียมการไหว้บรรพบุรุษตามธรรมเนียม แต่นอกเหนือจากนั้นแล้วก็แทบไม่มีธรรมเนียมหรือการปฏิบัติตัวใดที่ต่างไปจากครอบครัวของฟองนวล



"อืมม์ ของบ้านฉันจะว่าเป็นเชิงวัฒนธรรมก็ไม่ได้นะ เรียกว่าเป็นที่การเลี้ยงดูมามากกว่า ฉันเล่าให้เจฟังแล้วใช่ไหมว่าแม่ของฉันโตมาแบบคุณหนู คือเป็นลูกสาวคนเดียว งานบ้านไม่เคยแตะ เรียนโรงเรียนคอนแวนต์อะไรแบบนั้นเลยนะ ฉันยังเคยสงสัยเลยว่ายายปล่อยแม่ออกมาเรียนที่สหรัฐฯ ได้ยังไง..."

ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ ช่วงเขายังเด็ก ๆ เขายังทันเห็นช่วงเวลาที่แม่ของเขาต้องสู้รบปรบมือกับพวกงานบ้านทั้งหลายที่เธอไม่ถนัด แต่เมื่อเวลาผ่านไป แม่บ้านมือใหม่อย่างคาตาลิน่าก็ทำเป็นทุกอย่างยกเว้นทำอาหาร

"...ส่วนพ่อของฉันนั้นเป็นเด็กกำพร้าที่โตมาในโบสถ์ ถึงจะได้รับการสั่งสอนอบรมวินัยและมารยาทมาจากบาทหลวงที่นั่น แต่มันก็เทียบไม่ได้กับทางแม่ของฉันหรอก พ่อของฉันเลยมักจะรู้สึกเก้อเขินที่ต้องไปออกงานใหญ่ ๆ พบปะเข้าสังคมอะไรพวกนั้น แต่ก็ได้แม่ฉันกับอาปานี่แหละเป็นคนคอยชี้แนะให้"

"อืมม์ ก็เหนื่อยเหมือนกันเนาะ"

เจนยุทธเปรยออกมาเบา ๆ เขาอดนึกไม่ได้ว่าสำหรับเขากับฆาเบียร์ในตอนนี้ก็นับว่ามีปัญหาเรื่องการปรับตัวเข้าหากันน้อยมาก หากในอนาคตหากพวกเขาคบหากันจริงจังยิ่งขึ้นไปอีก ความต่างระหว่างภาษาและวัฒนธรรมเหล่านี้จะส่งผลทำให้พวกเขาต้องมีปัญหากันหรือไม่

"สำหรับพ่อแม่ฉัน สุดท้ายคนที่ช่วยให้ทั้งสองคนจูนกันได้ติดก็คืออาปานั่นแหละ"

ฆาเบียร์ยิ้มละไมเมื่อนึกถึงอาปาผู้อ่อนโยนและมีความอดทนสูงของเขา

"หลายครั้งที่สองคนนั้นเกิดไม่เข้าใจกัน คนที่จะเข้ามาไกล่เกลี่ยหรือคอยเป็นตัวกลางก็คืออาปา เรียกได้ว่าถ้าไม่มีอาปา พ่อกับแม่ฉันอาจจะเลิกกันไปนานแล้วก็ได้"

นอกจากฆาเบียร์แล้ว คนที่เป็นกาวใจระหว่างสองผัวเมียมาร์ติเนซนั้นก็คือคริส แม้เขาจะรักอันเดรสแค่ไหน แต่เขาก็ไม่เคยใช้โอกาสที่เพื่อนของเขาทะเลาะกับเมียเพื่อยุยงให้ทั้งคู่เลิกกัน สำหรับคริสแล้ว ความสุขของอันเดรสและครอบครัวก็คือความสุขของเขาด้วย ดังนั้นเขาจึงเต็มใจที่จะทำหน้าที่เป็นคนคอยให้คำปรึกษาและคอยเยียวยาจิตใจคนในครอบครัวเล็ก ๆ นี้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะครอบครัวเล็ก ๆ นี้เป็นภาพครอบครัวอันสมบูรณ์แบบที่เขาไม่เคยได้มีนับตั้งแต่แม่ของเขาเสียชีวิตไป คริสจึงพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อที่จะรักษาครอบครัวเล็ก ๆ นี้ไว้เพราะเขาไม่อยากให้ฆาเบียร์ต้องมาอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขาในอดีต



"พูดถึงอาปา..."

เจนยุทธขมวดคิ้วน้อย ๆ

"อาปาทำไมเหรอ? "

คนตัวโตถามเมื่อคนรักหยุดพูดลงกลางคัน เจกัดริมฝีปากน้อย ๆ เขาไม่แน่ใจว่าควรจะพูดมันออกไปหรือไม่

"ผมว่า ไม่รู้สิ ไม่รู้คุณสังเกตเห็นเหมือนผมหรือเปล่า..."

เจนยุทธอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา

"ผมว่าเมื่อเช้าท่าทีของอาปากับลุงเดวิดดูแปลก ๆ อ่ะ ผมบอกไม่ถูกนะ แต่มันมีอะไรแปลกไปซักอย่าง คุณรู้สึกเหมือนผมไหมอ่ะ? "

"อืมม์ เรื่องนั้น อ๊ะ เจจ๊ะ ถึงโรงแรมแล้ว..."

คนตัวโตชะงักและกลืนสิ่งที่เขากำลังจะพูดลงท้องไปเมื่อรถตู้สีดำมันปลาบเข้าไปจอดเทียบยังหน้าโรงแรมริทซ์ คาร์ลตัน



"คุณครับ ระวังหัวหน่อยนะ"

เจนยุทธยกมือขึ้นกันเพื่อไม่ให้หัวของฆาเบียร์ชนกับขอบประตูด้านบน เขาประคองเมียตัวโตของเขาออกจากรถตู้อัลพาร์ดของอู่ทินหลงจากนั้นหันไปรับถุงขนมจากมือคนรถ ฆาเบียร์ยิ้มบาง ๆ เขายื่นมือไปเพื่อขอรับถุงขนมจากเจมา หากเจ้าตัวดีของเขาไม่ยอมและบอกว่าถือไหว ทั้งสองคนพากันขึ้นลิฟท์ไปยังห้องพักของพวกเขาบนชั้น 52

"แบบนี้แสดงว่าในห้องยังคุยกันไม่เสร็จจ้ะ"

ฆาเบียร์บอกเจนยุทธเมื่อเห็นบอดี้การ์ดของจิวจี๋โหล่วที่ยืนเฝ้าหน้าประตูห้องของเขา

"เจอยากจะเข้าไปเข้าห้องน้ำหรืออะไรไหม? "

คนตัวโตถาม หากเจนยุทธส่ายหน้า ฆาเบียร์รับถุงขนมจากมือเจนยุทธมาแล้วนำไปฝากไว้กับคนเฝ้าร่างใหญ่ เขากำชับให้นำมันไปวางไว้ในห้องนอนของเขาทั้งสอง จากนั้นเดินกลับมาหาคนรัก

"เราขึ้นไปรอบนเลาจ์กันเถอะครับ ตอนเที่ยงเขามีมื้อเที่ยงให้ด้วยใช่ไหม? ผมยังไม่เคยลองของที่นี่เลยซักครั้ง..."

เจพูดพลางดึงคนรักให้ขึ้นลิฟท์ไปยังเลาจ์ชั้น 53




(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)

[/size]

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Yum! 'Yum Cha'  (ต่อ) ----




"หูย น่ากินทุกอย่างเลยอะ"

เจเปรยออกมาเบา ๆ หลังจากวนเวียนเดินดูไลน์อาหารมาแล้วรอบหนึ่ง แม้ว่ามุมสลัดและของหวานจะคล้ายกับมื้อเช้าและมื้อเย็น หากสิ่งที่ต่างไปสำหรับมื้อเที่ยงคืออาหารคาวซึ่งมีทั้งข้าวผัด หมี่ผัด ไก่ผัดผัก ซุป ข้าวห่อสาหร่ายแบบญี่ปุ่น แต่สิ่งที่ทำให้เจนยุทธยืนมองน้ำลายไหลยืดนั้นคือหมูแดงและหมูหันหนังกรอบหน้าตาน่ากินซึ่งหั่นไว้เป็นชิ้นพอดีคำ

"อร่อยจัง คุณครับ ชิมสิ"

เจนยุทธตาโตกับหมูหันซึ่งรสชาติดีจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นอาหารในไลน์บุฟเฟต์ เขาจิ้มหมูแดงซึ่งดูฉ่ำเยิ้มเข้าปากดูบ้างแล้วก็ต้องระบายลมหายใจออกมาอย่างพึงใจ

"ต้องอร่อยสิจ๊ะ ก็สองอย่างนี้มาจากห้องอาหาร Lai Heen นี่"

"โห มิน่าล่ะ มันถึงได้อร่อยนัก"

เจนยุทธตาโต Lai Heen คือห้องอาหารจีนระดับ 1 ดาวมิเชแลงของโรงแรมริทซ์ คาร์ลตัน มาเก๊า

"แต่เจรู้ไหม หมูหันนี่น่ะ ยังไม่ใช่แบบที่เสิร์ฟในห้องอาหารนะ..."

ฆาเบียร์พูดยิ้ม ๆ

"...อยากลองชิมไหม?"

คนตัวโตถามเมื่อเจทำท่าสนใจ

"อืมม์ ไม่เป็นไรก็ได้ครับ นี่มันก็เที่ยงกว่าแล้ว ไม่ได้จองไปก่อนไม่รู้จะมีที่นั่งไหม"

เจนยุทธดูนาฬิกาแล้วทำเสียงอ่อย ๆ ต่อให้อยากลองชิมแค่ไหน แต่เขาก็ไม่หวังให้ห้องอาหารระดับมีดาวจะมีที่ว่างเหลือให้พวกเขาในเที่ยงวันเสาร์แบบนี้ หากเขาก็ต้องยิ้มออกมาเมื่อฆาเบียร์เรียกพนักงานของคลับเลาจ์มาถาม หลังจากโทรเช็คอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กลับมาพร้อมคำตอบ

"เขาบอกว่าถ้าเป็นซักบ่ายโมงครึ่งจะมีโต๊ะว่าง เจสนใจไหม?"

เจนยุทธรีบพยักหน้าระรัว ฆาเบียร์ยิ้มน้อย ๆ แล้วจัดการจองโต๊ะไป



"นี่ ๆ เดี๋ยวก็จะลงไปกินที่ Lai Heen แล้ว นายยังจะกินอะไรเยอะแยะ หืมม์?"

คนตัวโตโคลงหัวเมื่อเจเดินไปตักอาหารจากในไลน์บุฟเฟต์มาเป็นรอบที่ 2

"โธ่ คุณครับ ที่ Lai Heen น่ะ ผมกะลงไปชิมให้รู้เฉย ๆ ไม่ได้กะกินเอาอิ่มหรอกครับ"

เจหันมายิ้มหวานให้คนรักก่อนที่จะคีบรากบัวยัดไส้ข้าวเหนียวเข้าปาก เขาฮัมเพลงอย่างมีความสุข

"ทำไมล่ะ เจนยุทธ? นายอยากกินอาหารห้อง Lai Heen ก็กินไปสิ ทำไมจะต้องกินให้อิ่มก่อนด้วยล่ะ?"

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่

"ก็ห้องนั้นมันแพงนี่ครับ ถ้ามีของฟรีกินก็กินไปก่อน ส่วนของที่นั่นผมแค่ลงไปชิมให้รู้รสก็พอแล้ว ผมไม่อยากให้คุณสิ้นเปลืองกับผมไปมากกว่านี้อ่ะ"

เจพูดเบา ๆ คนตัวโตบอกกับเขาตั้งแต่ตอนก่อนมาที่ฮ่องกงแล้วว่าเขาจะเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเรื่องกินอยู่ของเจนยุทธในทริปนี้เอง ส่วนเจจะจ่ายเองเฉพาะเวลาที่พวกเขาไปช้อปปิ้งซื้อของส่วนตัวเท่านั้น

"โธ่ เจ ไม่เห็นจะเป็นไรเลย แค่นี้เอง"

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วลูบหัวคนรักเบา ๆ แต่สุดท้ายเขาก็ยอมปล่อยให้เจนยุทธทำตามที่ตั้งใจไว้

"ผมเองก็อยากใช้เลาจ์ให้คุ้มด้วยครับ ไหน ๆ เขาก็มีอาหารให้เรากินแล้ว เราก็กินอย่าให้ได้เสียของไป"

เจพูดยิ้ม ๆ พลางตักข้าวผัดหยางโจวที่ใส่หมูแดงด้วยเข้าปากอีกคำโต จากนั้นยกแชมเปญซึ่งมีเสิร์ฟทั้งวันขึ้นจิบตาม ฆาเบียร์ยิ้มบาง ๆ เมื่อเห็นท่าทีมีความสุขของเจนยุทธ



"อ่ะ ลวนลามผมกลางที่สาธารณะอีกแล้วนะครับ คุณมาร์ติเนซ"

เจนยุทธรีบขยับกายหนีคนตัวโต ฆาเบียร์ยิ้มกริ่มพร้อมกับยักไหล่น้อย ๆ แก้มที่แดงระเรื่อเพราะฤทธิ์แชมเปญที่เจนยุทธกระดกเข้าไปสามสี่แก้วแล้วนั้นดึงดูดให้เขาต้องประทับรอยจูปลงไปจ้วบใหญ่ เจย่นจมูกให้คนรักที่ชอบแสดงความรักไม่เลือกที่ของเขาแล้วคีบรากบัวชิ้นใหญ่ส่งให้ถึงปาก

"เอ้า นี่ครับ เหงาปากนักก็เคี้ยวนี่ไปก่อน..."

ฆาเบียร์จำใจต้องกัดรากบัวยัดไส้ข้าวเหนียวรสชาติดีชิ้นนั้นเข้าไปคำโต หากประโยคถัดไปของเจทำให้เขาแทบสำลัก

"...ไว้ถ้ากินข้าวเสร็จแล้วคุณยังเหงาปากอยู่ ผมจะให้กินอย่างอื่นแทนนะ พอถึงตอนนั้นห้ามบ่นเมื่อยปากล่ะ"

เจ้าตัวเล็กแสนทะลึ่งของเขาพูดพลางยักคิ้วให้อย่างยียวน ฆาเบียร์ถลึงตาให้เจ้าตัวดีของเขา เจหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นแก้มที่แดงซ่านขึ้นของคนรัก เขาดึงมือใหญ่ขึ้นมาจูบเบา ๆ คนตัวโตโคลงหัวให้กับความช่างออดอ้อนของคนรัก

"เอ้า เลิกเล่น ๆ บ่ายโมงกว่าแล้ว นายจัดการกินอะไรที่อยากกินให้เรียบร้อยซะนะ"

คนตัวโตดูนาฬิกาแล้วส่งเสียงเตือนมาเบา ๆ เจรีบจัดการกวาดอาหารในจานเข้าปากอย่างรวดเร็วแล้วตบท้ายด้วยแชมเปญแก้วที่ 4

"เครครับ พร้อมลุย Lai Heen แล้ว"

คนตัวเล็กยิ้มเผล่ ฆาเบียร์อดไม่ได้ต้องยกมือขึ้นขยี้หัวเจ้าตัวดีที่ดูจะคึกคักหลังจากได้แอลกอฮอล์ไปหลายแก้ว

"วันนี้ดื่มไปกี่แก้วแล้ว หืมม์? ไหวไหม?"

ฆาเบียร์ถามเจ้าตัวดีที่นั่งดื่มมาตั้งแต่มื้อเช้าแล้ว เจพยักหน้า

"สบาย ๆ ครับ เมื่อเช้าผมดื่มไปสองแก้วเอง ไปเดินถนนอาหารมาก็หมดฤทธิ์แล้ว ตอนนี้อีกสี่ ชิลๆ"

เจนยุทธยืดอกอวดความคอแข็งของตน

"นี่แน่ะ ทำเก่งนักนะ"

เจบ่นอุบอิบเมื่อคนรักใช้นิ้วดีดหน้าผากเขาเบา ๆ คนตัวโตหัวเราะเบา ๆ แล้วดึงคนรักให้ลุกขึ้นเพื่อลงลิฟท์ไปยังห้องอาหาร Lai Heen บนชั้น 51








"สวัสดีค่ะ คุณมาร์ติเนซ โต๊ะของคุณพร้อมแล้วค่ะ"

พนักงานสาวซึ่งยืนต้อนรับอยู่หน้าห้องทักทายชายหนุ่มทั้งสองด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เจนยุทธรู้สึกทึ่งที่เธอไม่ต้องถามด้วยซ้ำว่าพวกเขาเป็นใครหรือว่าได้จองมาหรือเปล่า

"คุณมาที่นี่บ่อยเหรอครับ?"

เจนยุทธแอบกระซิบถามคนตัวโต ฆาเบียร์ส่ายหน้าและบอกว่าเขาเคยมากินอาหารที่นี่กับอาปาแค่สองสามครั้งเท่านั้น

"แต่ฉันเดาว่าพนักงานบนคลับเขาน่าจะโทรลงมาบอกไว้ว่าเรากำลังจะลงมา อาจจะอธิบายลักษณะของพวกเราไว้เพื่อที่จะได้ทักทายถูกคน"

เจนยุทธพยักหน้าหงึกหงัก นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับโรงแรมและร้านอาหารระดับนี้



"ว้าว หรูหราไม่เบาเลยนะครับ"

เจนยุทธอุทานออกมาเมื่อพวกเขาเดินผ่านเข้าประตูของห้องอาหารจีนระดับ 1 ดาวมิเชแลงแห่งนี้ ห้องอาหาร Lai Heen ตกแต่งด้วยสไตล์ชิโน-ปอร์ตุกีสร่วมสมัย เหล่าเครื่องลายครามแบบจีนที่ตั้งวางเรียงรายบนชั้นและตู้กับผนังซึ่งกรุด้วยกระเบื้องแบบโปรตุเกสนั้นไม่ได้ดูขัดกันแม้แต่น้อย แม้ในห้องอาหารแห่งนี้จะตกแต่งด้วยโทนสีน้ำตาลของไม้สีเข้มและสีดำของหินแกรนิต แต่แสงไฟสีทองที่สาดส่องเป็นที่ ๆ และแสงสว่างจากผนังกระจกขนาดใหญ่ก็ทำให้ห้องอาหารแห่งนี้สว่างไสว

"คุณ ผมชอบตั้งแต่การตกแต่งแล้วอ่ะ สวยจริง ๆ เลย"

เจกระซิบเบา ๆ กับคนรัก สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกทึ่งคือแม้ห้องอาหารแห่งนี้จะมีลูกค้าอยู่เต็มห้อง แต่เขากลับไม่รู้สึกว่าอึดอัดเลยแม้แต่น้อย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการจัดการพื้นที่อย่างชาญฉลาดด้วยการจัดวางตู้เตี้ย ๆ ชั้น หรือฉากกั้นไว้ระหว่างโต๊ะจนเหมือนกับพวกเขานั่งอยู่ในห้องส่วนตัว พนักงานซึ่งพาพวกเขามานั่ง จัดให้พวกเขานั่งลงเคียงข้างกันที่โต๊ะกลมขนาดไม่ใหญ่นัก



"สวัสดีค่ะ ฉันชื่อลูซี่เป็นพนักงานประจำโต๊ะของคุณ..."

พนักงานสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายคนทั้งสองด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว เธอส่งเมนูอาหารให้ชายทั้งสองลองอ่านดู

"เจจ๊ะ ถ้าสั่งเป็น a la carte นี่เบา ๆ หน่อยนะ ฉันอิ่มจากข้างบนมาบ้างแล้ว"

ฆาเบียร์บอกกับคนรักซึ่งมักสั่งอาหารเหมือนลืมไปว่าตัวเขานั้นกินน้อยกว่าเจ้าตัวมาก เจหันมายิ้มให้คนรัก

"ผมก็ไม่กะจะสั่งเยอะอยู่แล้วครับ อยากกินเป็นพวกติ่มซำมากกว่า แต่ก็อยากกินหมูหันของเขาด้วย เอ่อ หมูหันที่นี่มาจานไม่ใหญ่ใช่ไหมครับ?"

เจนยุทธดูราคาหมูหันจากในเมนูแล้วเงยหน้าขึ้นถามพนักงานเสิร์ฟ ราคาของหมูหันซึ่งไม่ได้เสิร์ฟเป็นตัวเหมือนที่เมืองไทยนั้นอยู่ที่จานละ 288++ ปาตากาส

"ค่ะ หมูหันของเรามาเป็นจานเล็ก ถ้าคุณอยากจะสั่งรวมกับหมูกรอบหรือหมูแดงก็ได้นะคะ เราก็จะคิดราคาเป็นชิ้นไป"

เจทำตาลุกวาวด้วยความสนใจ เขาหันไปปรึกษากับคนตัวโตครู่หนึ่งแล้วจึงสั่งหมูหันพร้อมกับหมูกรอบไป

"เมื่อกี้ผมกินหมูแดงไปแล้ว มันอาจจะไม่ใช่ของดีเท่ากับที่เสิร์ฟในห้องอาหารนี้ แต่อย่างน้อยผมก็พอรู้รสมันแล้ว ก็เลยว่าจะลองหมูกรอบแทนครับ"

เจนยุทธให้เหตุผลกับฆาเบียร์ นอกจากของย่างทั้งสองอย่างนี้แล้ว เขาก็ไม่ได้สั่งอาหารอื่นจากเมนูอาลาคาร์ทอีก แต่สั่งพวกติ่มซำมาอีกหลายอย่าง



"ดีจังแฮะ ติ่มซำที่นี่บางอย่างสั่งเป็นชิ้นก็ได้ด้วย"

เจกระซิบกับคนรักเบา ๆ เวลาที่ไปกินติ่มซำกับคู่หูกินข้าวอย่างนพแค่สองคน พวกเขามักประสบปัญหาหารไม่ลงตัวเนื่องจากติ่มซำคำน้อยพวกนี้มักมา 3 ชิ้น หากที่ห้องอาหารแห่งนี้ เขาสามารถเลือกสั่งติ่มซำบางอย่างโดยระบุจำนวนได้

"หึ ไหนนายบอกว่าจะสั่งนิดเดียวไงล่ะเจนยุทธ เท่าที่ฉันเห็นนี่ไม่นิดเลยนะ"

คนตัวโตกระเซ้าคนรัก เจนยุทธหัวเราะแหะ ๆ แล้วบอกว่าเขารู้สึกว่ามันน่ากินไปเสียหมดทุกอย่างและเผลอตัวสั่งมาเยอะอีกจนได้

"น่า ๆ ผมกินหมดแล้วกัน แค่ติ่มซำชิ้นเล็ก ๆ ไม่กี่ชิ้นเองน่า"

"อือฮึ แบบที่นายกับนพกินที่ร้าน Tim Ho Van ใช่ไหม?"

ฆาเบียร์พูดยิ้ม ๆ เจนยุทธย่นจมูกให้คนรักเมื่อโดนแซวเรื่องที่พวกเขาจัดหนักติ่มซำที่ฮ่องกงเมื่อหลายปีที่แล้ว

"โธ่ คุณ ใครจะไปกล้าสั่งขนาดนั้นที่นี่ล่ะ..."

เจพูดพลางหยิบวอลนัทเคลือบน้ำตาลที่ถูกยกมาเสิร์ฟให้เพื่อเป็นของเรียกน้ำย่อยเข้าปาก เขาทำตาโตให้กับรสชาติแสนอร่อยของมัน เขาหยิบอีกชิ้นเข้าปากทันทีอีกหนึ่งชิ้นแล้วหันไปพูดต่อ

"...ราคามันต่างกันเยอะ ขืนสั่งแบบวันนั้นคงทะลุหมื่นแหง ๆ ครับ"

เจนยุทธพูดเสียงอุบอิบ ที่ร้าน Tim Ho Van ในวันนั้น ถึงเขาและนพจะกินติ่มซำไปกว่า 20 เข่ง พวกเขาก็จ่ายเงินไปเพียง 339 เหรียญฮ่องกงหรือประมาณ 1,450 บาท หากที่ห้องอาหาร Lai Heen แห่งนี้ ฮะเก๋าที่เขาสั่งไปเข่งเดียวราคาก็ปาเข้าไปถึง 98 ปาตากาสหรือประมาณเกือบ 400 บาทแล้ว



"โธ่ เจ ต่อให้เกินหมื่นฉันก็เลี้ยงนายไหวน่า บอกแล้วว่าอย่าคิดมาก"

คนตัวโตถอนหายใจหนัก ๆ พร้อมกับยื่นมือไปเกาะกุมมือของคนรัก

"ถ้าคิดว่าจะไม่อิ่ม นายก็สั่งเพิ่มเถอะนะ ไม่ต้องเกรงใจอะไรเลย"

"หูย ป๋ามากเลยครับ ว่าแต่ Papi แน่ใจว่าจะเลี้ยงผมไหวเหรอ?"

คนตัวเล็กหันไปยิ้มอย่างยียวนให้กับ "ป๋า" ของเขา เขาขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้แล้วเอนกายซบคนรักอย่างออเซาะ

"หึ ถ้าหนูยอมให้ป๋าเลี้ยงล่ะก็เท่าไหร่ก็เท่ากันนะ เด็กน้อย"

คนตัวโตพูดทีเล่นทีจริง พลางทำท่าจะหอมแก้ม "หนู" ของเขาสักฟอด หากเจหันมาทำหน้ายักษ์ใส่พร้อมกับรีบขยับเก้าอี้หนีทันควัน

"ชิ เผลอเป็นไม่ได้..."

 คนตัวเล็กบ่นอุบอิบ

"...ผมยังไม่สั่งเพิ่มหรอกครับ เพราะก็ลืมนึกไปว่าติ่มซำที่นี่มันจะเป็นแบบตัวโต ๆ แบบที่ฮ่องกงหรือเปล่า ถ้าไซส์ขนาดนั้น ผมก็คงลำบากเหมือนกันอ่ะ"

เจพูดทิ้งท้าย ก่อนที่จะหันมาให้ความสนใจกับอุปกรณ์ในการกินที่แปลกตาไปกว่าทุกครั้ง



"เอ๊ะ คุณครับ ทำไมที่นี่เขาถึงให้ตะเกียบมาสองคู่ล่ะ?"

เจนยุทธถามคนรัก ที่ห้องอาหารแห่งนี้จัดตะเกียบสีขาวและสีดำมาให้อย่างละคู่

"อ๋อ เราจะเห็นแบบนี้ตามร้านอาหารจีนหรู ๆ จ้ะ สีดำคือตะเกียบที่เอาไว้ใช้คีบอาหารจากจานใหญ่มาไว้ที่จานตัวเอง ส่วนสีขาวเอาไว้คีบอาหารเข้าปาก"

"เหมือนช้อนกลางของคนไทยเหรอครับ?"

เจนยุทธถามอย่างตื่นเต้น นี่เป็นอีกหนึ่งความรู้ใหม่ที่เขาได้จากการมาเที่ยวครั้งนี้

"ใช่จ้ะ เป็นแนวคิดเดียวกันคือไม่ให้น้ำลายของเราลงไปปนกับอาหารจานกลาง"

เจพยักหน้าหงึกหงัก หากฆาเบียร์ก็ต้องรู้สึกวูบวาบขึ้นมาเมื่อเห็นแววตาซุกซนของคนรัก

"งั้น สำหรับเราก็ไม่ต้องใช้ก็ได้มั้งครับ?..."

คนตัวเล็กพูดยิ้ม ๆ คนตัวโตสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อรู้สึกถึงมือของคนรักที่ลูบไล้หน้าขาเขาเบา ๆ

"...ก็เราแลกน้ำลายกันเป็นปกติอยู่แล้วนี่นา"

เจนยุทธพูดด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่ม เขาแอบส่งจูบเล็ก ๆ ให้คนรักผู้ได้แต่โคลงหัวให้กับความทะลึ่งของเจ้าตัวดีของเขา



"เอ้า พอ ๆๆ กินได้แล้ว"

ฆาเบียร์รีบตัดบทเมื่อพนักงานสาวประจำโต๊ะของเขาเริ่มยกอาหารลง แต่ดูเหมือนเจ้าตัวดีจะชิงเลิกยั่วเขาไปก่อนแล้ว เจละสายตาจากคนรักอย่างทันควันแล้วหันไปจ้องเป๋งกับอาหารอันแสนโอชะ

"เอ๋ คุณเรียกแบบนี้ว่าฮะเก๋าเหมือนกันเหรอครับ?"

เจนยุทธถามพนักงานซึ่งเรียกติ่มซำในเข่งไม้ไผ่ว่า 'ฮ้าก๋าว'

"งั้นแสดงว่าพวกชื่อติ่มซำนี่คนไทยน่าจะเอามาจากภาษากวางตุ้งเต็ม ๆ เลยครับ"

เจนยุทธหันไปคุยกับคนรักเมื่อพนักงานสาวตอบรับคำของเขา

“น่าจะใช่จ้ะ แล้วเจเรียกไอ้เจ้านี่ว่า 'ซิ้วหม่าย' ด้วยหรือเปล่า?”

ฆาเบียร์ชี้ขนมจีบในเข่ง หากเจนยุทธส่ายหน้า

“เราเรียกนี่ว่า ‘ขนมจีบ’ ครับ แปลตรงตัวว่าอะไรดี? เอ่อ pleated snack ได้มะ?”

เจนยุทธหัวเราะคิกคักกับการแปลมั่ว ๆ ของเขา

“...แต่มันเป็นการเรียกชื่อตามขนมของไทยอย่างหนึ่งซึ่งมีหน้าตาแบบเดียวกันครับ”

 เจนยุทธเปิดโทรศัพท์เพื่อค้นหารูปขนมจีบไทยแบบชาววังซึ่งมีการจับจีบอย่างสวยงามให้คนรักดู ฆาเบียร์รับไปดูอย่างสนอกสนใจ



“เอ ที่เราเคยกินตอนเราไปที่ร้านอะไรน้า?...”

คนตัวโตครุ่นคิดเมื่อเห็นของว่างหน้าตาคุ้นเคยชนิดนี้

“ครัวอาจารย์สายหยุดครับ”

เจนยุทธเสริมมาด้วยจำได้ว่าในสำรับของว่างที่เขาสั่งมาในวันนั้นมีขนมจีบไทยรูปนกตัวน้อยอยู่ด้วย

“ใช่ ๆ ในวันนั้นมี Kanom Jeep ด้วยใช่ไหม? พอนายพูดขึ้นมาฉันก็นึกได้ มันมี pleat แบบที่นายว่าจริง ๆ”

คนตัวโตยิ้มบาง ๆ เมื่อนึกถึงของว่างแสนสวยนั้นที่มีจีบหรือ pleat ขอบคมอยู่รอบชิ้น

“ใช่ครับ แต่ผมว่ามันก็น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากซิ้วหมายของจีนนี่แหละ”

ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ

"เออ แปลกดีนะ ของว่างไทยที่ได้รับอิทธิพลจากอาหารจีน ถูกเอาชื่อไปใช้เพื่อเรียกอาหารจีนชนิดนั้นซะเอง"

"เอ่อ คุณพูดแบบนี้ผมก็งงละ"

เจทำท่าปวดหัว จากนั้นหันไปให้ความสนใจกับอาหารชนิดอื่นที่วางลงบนโต๊ะแทน



"แล้วไอ้เจ้านี่ ภาษาไทยเรียกว่าอะไรเหรอ? ภาษากวางตุ้งเราเรียกว่า เฉิงฝัน"

"นี่เหรอครับ? ภาษาไทยเรียกว่า 'ก๋วยเตี๋ยวหลอด' แล้วก็ต่อด้วยชื่อไส้ของมัน อย่างจานนี้ก็เรียกว่า 'ก๋วยเตี๋ยวหลอดไส้หอยเชลล์กับหน่อไม้ฝรั่ง' ครับ"

คนตัวโตทำตาเหลือกเมื่อคนรักรัวภาษาไทยมาเป็นชุด

"เดี๋ยว ๆ อะไรนะ Kuay Tiew Lord?"

เจนยุทธพูดซ้ำช้า ๆ พร้อมกับแปลความหมายให้คนรักฟัง คนตัวโตขมวดคิ้วแล้วพูดตาม

"เอ่อ คุณครับ ๆ ออกเสียง ก แบบคำว่าน้ำในภาษาสเปนดีกว่านะ ออกเสียงแบบเมื่อกี้แล้วมันฟังดูจั๊กจี้พิกล"

เจหัวเราะแหะ ๆ เมียตัวโตของเขาออกเสียง ค ในพยางค์แรกอย่างชัดแจ๋ว ฆาเบียร์หน้าแดงวูบเมื่อนึกได้ว่ามันเป็นคำที่เคยโดนเพื่อนตัวแสบอย่างนพสอนแบบผิด ๆ ไว้ตั้งแต่ตอนเป็นนักศึกษา เขาออกเสียงใหม่จนเจชมว่าใกล้เคียงกับภาษาไทยแล้วจึงได้พอใจ

"เอ คำว่า ก๋วยเตี๋ยว นี่คือที่แปลว่า rice noodle ใช่ไหม?"

"ครับ น่าจะเป็นภาษาแต้จิ๋ว เพราะผมเคยเห็นอาหารที่เรียกว่า Char kway teow หรือก๋วยเตี๋ยวผัดที่มาเลเซียกับสิงคโปร์ด้วย..."

เจนยุทธใช้ช้อนตักก๋วยเตี๋ยวหลอดชิ้นโตวางบนจานคนรักแล้วจึงตักให้ตัวเอง

"...ส่วนไอ้เจ้านี่ที่ภาษาไทยเรียกว่า ก๋วยเตี๋ยวหลอด น่ะ เพราะว่ามันใช้เส้นก๋วยเตี๋ยวห่อเป็นกลม ๆ แบบนี้ คำว่า หลอด นั้นแปลว่า tube ก็ได้ครับ"

คนตัวเล็กพูดแล้วคีบก๋วยเตี๋ยวหลอดหอยเชลล์ส่งเข้าปาก



"แอ่ะ ไม่โดนแฮะ..."

เจบ่นเบา ๆ แม้หอยเชลล์ที่เป็นไส้ในจะสดมาก แต่ตัวเส้นนั้นยังไม่บางและเหนียวนุ่มเท่ากับที่เขาหวังไว้

"มันจืดไปด้วยครับ ตัวซอสมันรส ๆ อ่อน ๆ ตัวไส้ก็รสอ่อนเลยจืดไปหมด ผมอาจจะติดรสแบบของไทยมั้งนะ แต่จะว่าไป ผมก็ไม่ค่อยชอบก๋วยเตี๋ยวหลอดเท่าไหร่ กินที่ไหนก็ไม่ค่อยเจอโดน ๆ"

ฆาเบียร์ยกชิ้นก๋วยเตี๋ยวหลอดในจานขึ้นชิมแล้วก็ต้องเห็นด้วยว่ารสของมันออกจะจืด ๆ ไปบ้างจริง แต่ก็ไม่ถึงกับว่าไม่อร่อย

"แล้วไอ้เจ้า 'ขนมจีบ' นี่ล่ะ? เจชอบไหม?"

คนตัวโตคีบขนมจีบลูกโตซึ่งมีหอยเป๋าฮื้อแห้งชิ้นขนาดประมาณเหรียญสิบบาทไทยแปะอยู่ข้างบนให้เจ เจยิ้มจนตาหยีให้คนรัก หากเขาก็ใช้ช้อนตัดขนมจีบลูกสุดท้ายในเข่งออกครึ่งหนึ่งและทำเช่นเดียวกันกับตัวหอยเป๋าฮื้อด้วย

"มันมาแค่สามลูก ก็ต้องแบ่งให้เท่า ๆ กันครับ..."

เจส่งขนมจีบที่แบ่งแล้วให้คนรัก จากนั้นคีบส่วนของตนในจานขึ้นเคี้ยวอย่างมีความสุข

"อร่อยจัง..."

คนตัวเล็กครางหงุงหงิง ตัวขนมจีบกุ้งปนหมูนั้นเขาก็ว่ารสชาติดีแล้ว แต่ส่วนที่อร่อยที่สุดคือเป๋าฮื้อแห้งตัวน้อยที่ตุ๋นมาจนนิ่มในน้ำซุปเห็ด

"ตอนแรกผมนึกว่าเค้าจะสับ ๆ เป๋าฮื้อใส่มาในขนมจีบ ไม่ก็หั่นเป็นเส้น ๆ ที่ไหนได้มาเป็นตัวเลยวุ้ย มิน่าถึงเข่งตั้ง 108 ปาตากาส"

เจนยุทธแลบลิ้นเลียซอสที่ติดบนริมฝีปากแล้วจึงจัดการกับก๋วยเตี๋ยวหลอดส่วนของเขาต่อจนหมด จากนั้นจึงหันไปหาฮะเก๋าซึ่งเขามองว่าแปลกจากของที่เมืองไทย แต่ก่อนที่เขาจะทันได้คีบกิน อาหารจานใหม่ก็มาลง









"นี่คือห่ามโสยก่อกค่ะ"

พนักงานสาวพูดพลางวางจานใส่ของทอดชิ้นสวยลงบนโต๊ะ เจมองสิ่งที่เขาเรียกมาตลอดชีวิตว่าห่ำซุยก๋อด้วยแววตาเป็นประกาย ของทอดที่ทำจากแป้งข้าวเหนียวห่อไส้ไก่สับและกุ้งแห้งของร้านอาหารมีดาวแห่งนี้ทำออกมาเป็นรูปร่างของลูกแพร์ขนาดเล็ก

"หูย สวยมากเลยคุณ ถ่ายรูปออกมาแล้วเหมือนลูกแพร์จริง ๆ เลย"

เจนยุทธมองภาพที่ตนถ่ายเพิ่งไว้จากหน้าจอโทรศัพท์ มันมีแม้กระทั่งก้านสีน้ำตาลที่ติดอยู่กับขั้วของลูกแพร์ปลอมนั้น เขามองฮะเก๋ากับห่ำซุยก๋ออย่างลังเลว่าจะกินอะไรก่อนดี แต่ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจกินของที่เขาคิดว่ารสอ่อนกว่าอย่างฮะเก๋าไส้กุ้งสับกับหน่อไม้และหน่อไม้ฝรั่งซึ่งมีแผ่นทองคำเปลวแปะมาด้วย

"เออ แปลกดีแฮะ"

เจพึมพำ ถ้าพูดถึงฮะเก๋าที่ร้านอาหารจีนในไทยแล้ว ไส้ของมันมักจะเป็นกุ้งล้วนไม่ว่าจะเป็นกุ้งทั้งตัวหรือผสมกุ้งบดลงไปก็ตาม หากฮะเก๋าของร้านอาหารชื่อดังแห่งนี้ แม้หน้าตาจะสวยงามไร้ที่ติ แต่ภายในของมันนั้นกลับผสมทั้งหน่อไม้และหน่อไม้ฝรั่ง

"อืมม์ แต่ก็อร่อยดีครับ ปรุงรสดี ได้เนื้อสัมผัสกรุบ ๆ ของทั้งหน่อไม้ด้วย แต่ไม่ค่อยรู้สึกถึงหน่อไม้ฝรั่งเลย"

เจพูดเบา ๆ ฆาเบียร์มองริมฝีปากแดงที่หุบลงแน่น หากจากการขยับน้อย ๆ ของริมฝีปาก มันทำให้เขารู้ว่าคนตัวเล็กกำลังใช้ลิ้นบี้ไส้ของฮะเก๋านั้นเพื่อชิมรส



“เอ้า นี่ ทำหน้าอยากกินอะไรขนาดนั้น”

คนที่กำลังเพลินกับการมองปากแดง ๆ สะดุ้งเฮือกเมื่อฮะเก๋าขนาดพอดีคำถูกยื่นมาจนแตะริมฝีปาก เขาอ้าปากรับเข้ามาเคี้ยวกลืน

“อืมม์ ก็ดีนะ แต่เจจ๊ะ…”

ฆาเบียร์ยิ้มบาง ๆ

“…ที่อยากกินน่ะ ไม่ใช่ฮะเก๋าหรอกนะ”

คนตัวโตส่งสายตาหวานเชื่อมให้คนรัก เจนยุทธหน้าแดงซ่าน เขาหันซ้ายหันขวาแล้วโน้มกายเข้าไปจุ๊บริมฝีปากคนตัวโตเร็ว ๆ ฆาเบียร์นั่งตะลึง เขาเพียงแค่หยอกเจ้าตัวดีของเขาเล่น แต่ก็ไม่นึกว่าเจจะใจถึงขนาดยอมจุ๊บเขากลางร้านอาหารที่มีคนพลุกพล่านขนาดนี้

“เจจ๋า…”

ฆาเบียร์พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน

“เราห่อติ่มซำพวกนี้ไปกินต่อบนห้องดีไหม?”

คนตัวโตซึ่งหมายมั่นปั้นมือแล้วว่าวันนี้จะต้องใช้ปากของตนป้อนติ่มซำให้ถึงปากของคนรักจนได้อ้อนวอนเจนยุทธ หากเจก็ส่ายหน้าปฏิเสธทันที

“ไม่ได้ ๆ ของแบบนี้ต้องกินร้อน ๆ สิครับถึงจะอร่อย…”

เจปฏิเสธแข็งขัน เขารู้ได้จากสายตาของคนรักว่าขืนทำตามเขาก็คงได้กินอาหารรสเลิศเหล่านี้ตอนยังร้อน ๆ อยู่เพียงไม่กี่คำ ส่วนที่เหลือก็คงต้องยกยอดไปกินเย็น ๆ หลังจากโรมรันพันตูกับคนรักบนเตียงเสร็จแล้วเป็นแน่แท้



“…เอ้า เลิกคิดฟุ้งซ่านได้แล้ว กินครับ กิน”

เจพูดกลั้วหัวเราะ ฆาเบียร์คีบของทอดรูปลูกแพร์ซึ่งเจคีบใส่จานไว้ให้ขึ้นกัดกินอย่างเซ็ง ๆ

“เอ๊ะ ก็ใช้ได้เหมือนกันนะ”

คนตัวโตซึ่งกัดแป้งทอดซึ่งให้รสสัมผัสกรอบกรุบด้านนอกแต่ด้านในนั้นยังคงความหนึบหนับแบบแป้งข้าวเหนียวเข้าไปคำใหญ่ชมออกมาดัง ๆ ไส้อุ่น ๆ ซึ่งมีทั้งไก่สับและกุ้งแห้งที่ปรุงรสมาอย่างดีก็ช่วยชูรสชาติของของทอดชนิดนี้ขึ้นอีกมาก

"โหย ถ้ารู้ว่าอร่อยขนาดนี้ผมเอามาทั้งสามชิ้นเลยก็ดี"

เจนยุทธบ่นเบา ๆ โดยปกติแล้วของทอดจานนี้จะมาทั้งหมด 3 ชิ้น หากพนักงานเสิร์ฟบอกว่าเขาสามารถเลือกสั่งเพียงแค่ 2 ชิ้นได้

"คุณเคยมากินที่นี่แล้วไม่รู้เหรอครับว่าไอ้นี่มันอร่อยขนาดนี้อ่ะ"

คนตัวเล็กที่อดกินของอร่อยชักเริ่มพาล ฆาเบียร์หัวเราะหึ ๆ แล้วยกมือดึงแก้มป่อง ๆ ของคนรักอย่างด้วยความหมั่นไส้เล็ก ๆ

"ปกติมากินกับอาปา ฉันก็ให้ผู้ใหญ่เขาสั่งไป แล้วเจก็รู้ว่าปกติฉันเลี่ยงไม่กินพวกของทอดแบบนี้"

คนตัวโตซึ่งพยายามรักษารูปร่างพูดอ้อมแอ้มออกมา

"โถ พอเจอผมคุณก็เลยตบะแตกเลยงิ?"

เจยิ้มกว้างให้คนรัก ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือก เขาพยักหน้าน้อย ๆ แล้วคีบห่ำซุยก๋ออีกครึ่งลูกที่เหลือเข้าปากอย่างซังกะตาย ถ้ายังอยู่ใกล้ ๆ เจนยุทธ เขาคงไม่ต้องหวังที่จะกลับไปคุมอาหารได้



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Yum! 'Yum Cha' (ต่อ) ----





"ทาร์ตเป๋าฮื้อ ปลาหมึกทอดพริกเกลือ และหมูหัน หมูกรอบค่ะ"

 พนักงานสาวลำเลียงอาหารชุดสุดท้ายลงบนโต๊ะ เจทำตาโตเมื่อเห็นของที่เขาตั้งใจมากินอย่างหมูหันหนังกรอบกรุบ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาต้องมองตาค้างคือทาร์ตเป๋าฮื้อ

"เฮ้ มัวแต่ตะลึงอะไร หืมม์?"

คนตัวโตถามยิ้ม ๆ

"คุณ ผมนึกว่าทาร์ตเป๋าฮื้อคือเป็นเป๋าฮื้อหั่นเต๋าหรือว่าแบบแผ่นอ่ะ"

เจหันมาพูดเสียงอ่อย ๆ แล้วหันกลับไปชื่นชมกับทาร์ตเป๋าฮื้อชิ้นประมาณไข่ไก่ บนแป้งทาร์ตนั้นเป็นเป๋าฮื้อแห้งที่ตุ๋นจนนิ่มทั้งตัวขนาดเกือบเท่าแป้งทาร์ตวางแปะอยู่ เจนยุทธหยิบส่วนของเขาขึ้นมาแล้วใช้มือถือถ่ายรูปแทบจะทุกมุมด้วยความปลื้มปริ่ม ถึงมันจะไม่ใช่ทาร์ตหรือพายเป๋าฮื้อชิ้นแรกที่เขาเคยกิน แต่มันก็สร้างความประทับใจให้เขาได้

"ตอนแรกที่ผมสั่งไอ้เจ้าทาร์ตนี่ ผมก็คิดนะว่ามันคงจะสู้พายเป๋าฮื้อของเชฟเฉินที่บ้านอาปาเมื่อวานซืนไม่ได้และไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นเป๋าฮื้อมาทั้งตัวเหมือนกัน แต่นี่มันดูดีมากเลยอ่ะ"

เจนยุทธเอียงคอดูทาร์ตชิ้นน้อยในมือ ตอนแรกเขาคิดว่าพายหอยเป๋าฮื้อที่เชฟเฉินอี้เหลียงทำมาให้นั้นน่าจะเป็นการรังสรรค์เมนูใหม่ขึ้นมา แต่ดูเหมือนว่าการเอาเป๋าฮื้อของจีนมาประยุกต์ใส่ในเบเกอรี่แบบฝรั่งนั้นจะไม่ใช่สิ่งแปลกอย่างที่คิด



"เมื่อกี้น้องพนักงานเขาบอกว่าด้านล่างนี้เป็นอะไรนะครับ?"

เจถามหลังจากกัดทาร์ตเข้าไปคำหนึ่ง

"ห่านย่างหั่นเต๋าจ้ะ น่าจะปรุงพริกไทยดำ"

คนตัวโตตอบแล้วยกทาร์ตชิ้นน้อยนั้นเข้าปาก ส่วนเจค่อย ๆ ละเลียดด้วยความเสียดาย

"อร่อยดีครับ แต่เสียดายที่รสพริกไทยดำมันเด่นกลบรสอื่น ๆ ไปหน่อย แต่ไอ้เจ้าเป๋าฮื้อเนี่ย หูยยย ผมอยากได้อีกสิบตัว"

ฆาเบียร์หัวเราะหึ ๆ เมื่อเห็นเจนยุทธแงะเจ้าเป๋าฮื้อชิ้นงามออกมาจากหน้าทาร์ตแล้วค่อย ๆ กัดกินทีละน้อย

"นี่ แบบนี้มันจะไปอร่อยตรงไหนล่ะ? ก็ต้องกินพร้อมกันหมดสิ"

"ก็ผมเสียดายอ่ะ"

เจนยุทธบ่นเบา ๆ ถึงรสชาติของเป๋าฮื้อตุ๋นซุปแบบจีนนั้นจะไม่ได้แปลกใหม่ชวนตะลึงเท่ากับเป๋าฮื้อตุ๋นซุปต้มยำของเชฟเฉิน แต่รสชาติและเนื้อสัมผัสสุดละมุนละไมของมันก็ทำให้เขาเพ้อได้ คนตัวโตโคลงหัวแล้วปล่อยเจ้าตัวดีของเขากินตามใจชอบไป เขาหันมาให้ความสนใจกับหมูหันและหมูกรอบบนจานแทน



"เดี๋ยว ๆๆ ยู้ด! ขอผมถ่ายรูปก่อน!"

เจรีบยื่นมือไปสกัดกั้นตะเกียบของคนรักที่กำลังจะยื่นไปคีบหมูหันในจาน เจนยุทธรีบคว้าโทรศัพท์มาถ่ายรูปหมูหันชิ้นสวยบนจาน

"นี่ ๆ ถ่ายมันจะทุกมุมแล้ว พอแล้ว ขอฉันกินหน่อยเถอะ"

คนตัวโตพูดกลั้วหัวเราะ เจหันมายิ้มหวานให้คนรักและเก็บโทรศัพท์ของตน

"เชิญครับ ๆ เชิญผู้อาวุโสเปิดก่อนเลย"

ฆาเบียร์หุบยิ้มทันทีและพ่นลมหายใจออกมาแรง ๆ อย่างขัดใจ เจนยุทธหัวเราะคิก

"อ้าว ไม่กินแล้วเหรอครับ?"

"ไม่กินแล้ว เจกินก่อนเลย"

คนกลัวแก่สะบัดเสียงเบา ๆ เจยิ้มกริ่ม เขายกตะเกียบสีดำขึ้นแล้วจด ๆ จ้อง ๆ ดูหมูหันชิ้นจ้อยซึ่งมีมาให้ 4 ชิ้นพร้อมด้วยหมูกรอบอีก 4 ชิ้น

"เห้อ ชิ้นเล็กชะมัด..."

เจบ่นเบา ๆ หมูหันราคาจานละเกือบ 300 ปาตากาสนี้ แต่ละชิ้นมีขนาดประมาณ 1 x 1.5 นิ้วเท่านั้น



"นี่ ตกลงจะกินหรือไม่กิน? ถ้าไม่กินฉันจะกินหมดแล้วนะ"

คนตัวโตเร่งเจ้าตัวดีที่มัวแต่ยึก ๆ ยัก ๆ

"กินครับกิน ชิ! ขอชื่นชมหน่อยก็ไม่ได้"

เจนยุทธบ่นเบา ๆ พลางคีบชิ้นหมูหันหนังกรอบซึ่งมีเนื้อติดอยู่ด้วยขึ้นมา

"เอ๊ะ ไอ้ชั้นขาว ๆ นี่ไม่ใช่มันหมูเหรอ?"

เจอุทานออกมาเมื่อหมูชิ้นที่เขาคีบมานั้นแยกชิ้นส่วนกันออกมาอย่างเห็นได้ชัด ฆาเบียร์หัวเราะหึ ๆ นี่คือความเยี่ยมยอดของหมูหันระดับมีดาว

"จ้ะ ปกติเวลาเรากินหมูหัน บางทีก็จะเซ็งเวลาเจอมันใต้หนังหนา ๆ ใช่ไหม? ของที่นี่เขาเฉือนมันส่วนเกินทิ้งและใส่แผ่นแป้งเข้ามาให้แทน"

เจทำตาโต เขายกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปอีกครั้ง อาหารจานนี้ได้แสดงทักษะการใช้มีดของเชฟชาวจีนให้เห็นได้อย่างชัดเจน ส่วนหนังกรอบ ๆ ของหมูถูกเฉือนออกมาโดยมีไขมันติดอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และที่สำคัญคือมันมีความบางเท่ากันทั้งชิ้น ส่วนแป้งที่ใส่มานั้นเป็นเหมือนแป้งหมั่นโถวแผ่นบางซึ่งถูกตัดออกมาพอดีกับชิ้นหมู

"เยี่ยมสุด ๆ เลย"

เจครางออกมาอย่างประทับใจ เขาคีบชิ้นหมูขึ้นเอียงซ้ายเอียงขวาดูอย่างชื่นชม



"เอ แล้วมันกินยังไงล่ะเนี่ย?"

เจนยุทธถามอย่างจนใจ เขามองดูถ้วยซอสที่วางอยู่ข้างจานหมูหัน จานหนึ่งเป็นซอสข้นหนืดหน้าตาเหมือนซีอิ๊วดำ ส่วนอีกถ้วยหนึ่งนั้นใส่น้ำตาลทรายไว้

"คนที่นี่กินหมูหันจิ้มกับน้ำตาลทรายจ้ะ แต่ฉันก็ไม่เคยแตะซักทีนะ"

ฆาเบียร์พูดพลางคีบชิ้นหมูแตะซอสหวานในถ้วยเพียงเล็กน้อย เจพยักหน้าแล้วทำตาม

"โอย แค่นี้ก็อร่อยแล้วอ่ะ เนื้อหมูกับหนังมันรสชาติเข้มข้นอยู่แล้ว แป้งก็อร่อย เดี๋ยวอีกชิ้นผมไม่จิ้มแล้วดีกว่า"

เจนยุทธทำหน้าเคลิบเคลิ้ม เขาพยายามใช้เวลาเคึ้ยวหมูหันคำน้อยนั้นให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้

"ก็หารมาแล้วชิ้นตั้ง 48  ผมก็ต้องค่อย ๆ กินหน่อยอ่ะ"

เจบ่นเบา ๆ เมื่อคนรักถามว่าทำไมเขาจึงกินช้านัก เขากลืนหมูหันชิ้นแรกลงท้องไป แล้วจึงจัดการชิ้นต่อไป

"เฮ้อ อร่อยโคตร! เนื้องี้นิ๊ม นิ่ม ไม่กระด้างสักนิด อร่อยกว่าที่บนคลับเยอะเลยครับ รสชาติคล้ายกันก็จริง แต่พอวิธีเสิร์ฟต่างกัน ความอร่อยมันก็ต่างกันอ่ะ"

คนตัวโตพยักหน้าเบา ๆ หมูหันหนังกรอบบนคลับเลาจ์เมื่อสักครู่ออกมาจากครัวเดียวกันก็จริง แต่เมื่อไม่ได้ถูกเฉือนชั้นไขมันส่วนเกินออก มันจึงค่อนข้างจะมันเลี่ยนเกินไปและทำให้ตัวหนังหายกรอบเร็ว



"ไม่น่ากินหมูหันก่อนเลย ทีนี้ไอ้หมูกรอบนี่ก็กลายเป็นของเบ ๆ ไปเลยสิ"

คนตัวเล็กถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วบ่นพึมพำออกมา เขาคีบหมูกรอบขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วจัดการเคี้ยวอย่างเซ็ง ๆ มันเทียบกันไม่ได้จริง ๆ

"มันก็อร่อยนะคุณ รสดี ย่างได้ดี เอามันออกได้เยอะ แต่มันก็หมูกรอบอ่ะ"

เจพูดอย่างเซ็ง ๆ เขาคีบหมูกรอบส่วนของตัวเองที่เหลืออีกชิ้นหนึ่งเข้าปากและรีบเคี้ยวกลืนลงท้องไป

"เอ้า นี่ ฉันให้"

คนตัวโตยิ้มบาง ๆ แล้วจัดการคีบหมูหันส่วนของเขาที่เหลืออีกชิ้นวางใส่จานให้คนรัก เจนยุทธส่งสายตาหวานเยิ้มให้เมียตัวโตของเขาทันที เขาคีบมันขึ้นมา แต่แทนที่จะกินเข้าไปเขากลับส่งมันคืนให้ถึงปากของคนรัก

"กินเองเถอะครับ ผมไม่แย่งคุณอ่ะ ของดีก็ต้องแบ่งกัน"

เจนยุทธพูด ฆาเบียร์โคลงหัวน้อย ๆ แล้วอ้าปากรับหมูหันชิ้นสวยนั้น

"ฉันกะจะเอาหมูหันไปแลกกับรางวัลซะหน่อย"

คนตัวโตพูดอุบอิบ

"เอ๊า มีแผนการนี่หว่า? รางวัลอะไรของคุณครับ?"

ฆาเบียร์ยิ้มกริ่ม เขาเอนกายเข้าไปกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูคนรัก เจอุทานออกมาเบา ๆ

"โธ่ คุณ ขอดี ๆ ก็ได้ ไม่ต้องเอาอะไรมาแลกหรอกครับ"

เจนยุทธหัวเราะคิก พร้อมส่งสายตาที่มีแววยั่วเย้าให้คนรัก

"...แต่ ไว้กลับฮ่องกงก่อนนะ"

ฆาเบียร์กัดริมฝีปากน้อย ๆ แล้วพยักหน้ารับคำ เจขยับริมฝีปากส่งจูบให้คนรักแล้วหันมาจัดการกับอาหารที่เหลือ

"อ่ะ ผมเจอของที่ไม่ชอบแล้วอ่ะ"

เจนยุทธพูดอย่างเซ็ง ๆ ของที่เขาคิดว่าน่าจะอร่อยแล้วเก็บไว้กินตบท้ายอย่างหมึกทอดพริกเกลือนั้นกลับมีรสชาติจืดชืดกว่าที่คิดมาก แม้เนื้อหมึกจะสดหวาน แต่การปรุงรสของมันนั้นสู้ของร้านอาหารหลาย ๆ ร้านในไทยไม่ได้เลยจริง ๆ

"หรือว่าเขาจะจงใจทำให้มันจืดหน่อยเพื่อโชว์ความสดหวานของเนื้อหมึกหว่า?"

เจหันไปถามคนตัวโตหากฆาเบียร์ก็ส่ายหน้าเป็นเชิงว่าเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เจยักไหล่แล้วหันกลับมาจัดการกับหมึกทอดจนหมด








"รับน้ำร้อนเพิ่มอีกไหมคะ?"

พนักงานสาวเดินเข้ามาพร้อมกาน้ำร้อนในมือ ฆาเบียร์พยักหน้าแล้วเปิดฝาถ้วยชาของเขา ทั้งเขาและเจเลือกสั่งชาจีนชั้นดีจากในลิสต์ชาที่มีมากมายหลายชนิดของทางห้องอาหารแห่งนี้ พนักงานสาวเทน้ำร้อนลงในถ้วยชาใบใหญ่ที่มีใบชาลอยอยู่จนเต็มจากนั้นปิดฝาไว้เช่นเดิม เธอทำเช่นเดียวกันกับถ้วยชาของเจนยุทธแล้วจึงขอตัวไป เมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็เดินกลับมาแล้วจัดการเผยอฝาออกเล็กน้อยแล้วเทน้ำชาจากถ้วยมีฝานั้นลงในจอกชาที่อยู่ตรงหน้าของแต่ละคนโดยใช้ฝาเป็นตัวกั้นใบชาไม่ให้ไหลลงไปในจอก

"คุณรู้ไหม ผมเพิ่งเคยดื่มชาที่เสิร์ฟด้วยวิธีนี้เป็นครั้งแรกเลยนะ..."

เจนยุทธพูดพลางยกจอกชาดำในมือขึ้นจิบ เขาบอกฆาเบียร์ว่าตามปกติแล้วถ้าเขาจะดื่มชาใบแบบนี้ก็จะใช้กาน้ำชาแบบมีที่กรองในตัวมากกว่า

"แบบนี้มันมีไว้สำหรับเสิร์ฟชาให้กับแต่ละคนเลยมากกว่าจ้ะ เพราะถ้าเจดื่มชาคนเดียวแต่ใช้กาน้ำชาใบใหญ่แช่ใบชาไว้ แก้วหลัง ๆ มันก็จะแก่เกินจนดื่มไม่อร่อย แต่วิธีนี้ก็ชงทีเดียวแล้วก็รินเสิร์ฟครั้งเดียวไป ถ้าจะดื่มอีก ก็เติมน้ำร้อนเพิ่มอีกแบบเมื่อกี้"

เจนยุทธพยักหน้าหงึกหงัก บางครั้งคนเราก็ต้องยอมทำเรื่องที่ยุ่งยากกว่าบ้างเพื่อรสชาติที่ดีกว่า

"เฮ้อ ผมนี่ชอบไอ้เจ้า Lapsang Souchong นี่จริง ๆ ผมว่ามันหอมกว่าที่ผมเคยกินที่ไทยน่ะ"

เจนยุทธดื่มชาจากแคว้นฟูเจี้ยนที่หอมกลิ่นควันไฟจากการรมควันด้วยถ่านไม้สน เขาเล่าให้ฆาเบียร์ฟังว่าเขาได้เคยลิ้มรสชาชนิดนี้เป็นครั้งแรกจากการติดสอยห้อยตามนพไปงาน Tea tasting ที่โรงแรมชั้นนำแห่งหนึ่งในเชียงใหม่เมื่อเกือบ 10 ปีมาแล้ว

"ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นงานชิมชาของบริษัท Ronnefeldt ตอนนั้นผมรู้จักพี่นพได้ไม่นาน พี่กับเพื่อนเขาจะไปงานชิมชากันแล้วก็เลยชวนผมไปด้วย พอได้ชิมไอ้ชานี้ครั้งแรกนะคุณเอ๊ย ผมงี้อินเลิฟเลย..."

เจบอกคนรักว่าเขาหลงใหลกลิ่นควันหอม ๆ ในอาหารหลาย ๆ ชนิด ไม่ว่าจะเป็นเบค่อน แซลมอนรมควัน กลิ่นควันเทียนในอาหารไทย เส้นราดหน้าที่หอมกลิ่นกะทะ หรือกระทั่งซิงเกิลมอลท์ยี่ห้อ Laproaig ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่กลิ่นควันหอม ๆ จากถังไม้ที่ใช้หมักบ่ม



"...ตั้งแต่นั้น ผมเจออิชา Lapsang Souchong นี่ที่ไหน ผมก็สั่งตลอดเลยครับ แต่ของที่นี่มันอร่อยกว่าจริง ๆ แฮะ แต่อย่างว่า แพงซะขนาดนั้น..."

เจนยุทธพึมพำ ชาจีนของที่นี่มีให้เลือกหลายราคา ตั้งแต่ชาเกรดธรรมดาซึ่งมีราคา 28 - 38 ปาตากาสต่อคน ส่วนชาแบบที่เขาและฆาเบียร์เลือกดื่มอยู่ในระดับ Sommelier recommendation จึงมีราคาสูงขึ้นไปอีก ชาดำ Lapsang Souchong ของเขาซึ่งเติมน้ำร้อนได้ไม่อั้นนั้นมีราคา 68 ปาตากาส ส่วนชาเขียวของฆาเบียร์นั้นมีราคาสูงถึงที่ละ 138 ปาตากาสเลยทีเดียว

"ของคุณนั่นมันชาอะไรนะครับ? แล้วทำไมมันแพงโหดแบบนั้นนะ?"

เจชะโงกหน้าไปดูชาสีเขียวอมเหลืองของคนตัวโตแล้วถามอย่างสงสัย เขาจัดการชิมรสของมันไปแล้วและรู้สึกว่ามันหอมสดชื่น อีกทั้งมีรสชาติดีกว่าชาเขียวที่เคยชงดื่มเอง แต่ก็ไม่ได้ถึงกับพิเศษจนต้องจ่ายแพงปานนั้น

"เป็นชาเขียวหลงจิ่งจ้ะ แต่เป็นแบบที่เรียกว่า Xihu pre-QingMing ปกติชาหลงจิ่งนี่ก็เรียกว่าเป็นชาเขียวที่ดีติดอันดับหนึ่งในสิบของจีนเลยนะ แต่แบบนี้ก็ยิ่งพิเศษเข้าไปอีกเพราะเหมือนกับว่าจะต้องเก็บเกี่ยวภายในช่วงเวลาที่จำกัด เดี๋ยวนะ ฉันถามพนักงานดีกว่า"

คนตัวโตซึ่งเคยติดใจกับชาแบบนี้มาแล้วและสั่งซ้ำทุกครั้งที่มีโอกาสยกมือเรียกพนักงานสาวประจำโต๊ะของเขาเข้ามาเพื่อถามรายละเอียดเรื่องชาดังกล่าว

"อ๋อ Xihu นี่คือชื่อเรียก ทะเลสาบตะวันตกของมณฑลหางโจวค่ะ ชาเขียวหลงจิ่งแท้ ๆ นั้นจะต้องมีแหล่งปลูกอยู่ที่หมู่บ้านห้าแห่งที่อยู่ริมทะเลสาบนี้เท่านั้น ส่วน pre-QingMing นั้นแสดงว่าชานั้นถูกเก็บช่วงก่อนเทศกาลเช็งเม้งในเดือนเมษายน โดยมีเวลาเก็บเกี่ยวเพียง 15 วัน มิฉะนั้นคุณภาพจะแย่ลงค่ะ"

เจนยุทธนั่งฟังด้วยความสนใจ เขายังได้ซักถามเรื่องชาต่าง ๆ นานาอีกครู่หนึ่งพนักงานสาวจึงได้ขอตัวไป เจหันไปพูดกับคนรัก

"มิน่า อิชาของคุณมันถึงแพงขนาดนั้น แต่ลิ้นถึกอย่างผมกินแล้วมันก็ชาเขียวอ่ะ แค่รู้สึกว่ารสมันละมุนกว่าที่เคยกินหน่อย"

เจสารภาพ เขาไม่ได้รู้สึกถึงความแพงของมันเท่าไหร่เลย คนตัวโตหัวเราะหึ ๆ แล้วหยิบจอกชาของตนขึ้นจิบน้อย ๆ ตัวเขาเองก็ไม่ได้เป็นเซียนชาเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังพอรับรสอร่อยของชาราคาสูงชนิดนี้ได้ นอกจากชาเขียวราคาสูงชนิดนี้แล้ว ที่ห้องอาหารแห่งนี้ยังมีชาผู่เอ๋อร์ซึ่งเป็นชาดำหมักที่มีราคาสูงลิ่วขายอีกด้วย นอกจากจะมีสำหรับดื่มในห้องอาหารแล้วก็ยังมีแบบเป็นก้อนให้แขกได้ซื้อกลับบ้านอีกด้วย โดยแบบที่แพงที่สุดเท่าที่มีขายคือกิฟท์เซ็ตชาผู้เอ๋อร์หมัก 30 ปีซึ่งมีราคาสูงถึงกว่าสองแสนปาตากาสต่อหนึ่งกล่องเลยทีเดียว



"คุณเจคะ เดี๋ยวพนักงานของเราจะมาสาธิตการชงชาแบบจีนให้คุณได้ดูนะคะ"

ลูซี่ พนักงานสาวประจำโต๊ะเดินเข้ามาหาทั้งสองคนอีกครั้งพร้อมกับแนะนำผู้ร่วมงานของเธอ พนักงานสาวคนนั้นวางถาดใบใหญ่ซึ่งหนาประมาณสามนิ้วลงบนโต๊ะ บนนั้นมีอุปกรณ์ชงชาอย่างกาน้ำร้อน กาชาแก้ว จอกชาและแก้วชาแบบมีฝาปิด เจนยุทธหันไปมองหน้าคนตัวโตอย่างงง ๆ ฆาเบียร์หันไปถามพนักงานประจำโต๊ะของเขาเบา ๆ เป็นภาษากวางตุ้ง

"อ๋อ เจจ๊ะ ลูซี่เขาเห็นว่าเจสนใจเรื่องชา เขาก็เลยอยากให้เจได้เห็นการชงชาแบบจีนแท้ ๆ จ้ะ"

คนตัวโตพูดยิ้ม ๆ เจนยุทธพยักหน้ารับคำแล้วจึงหันไปกล่าวขอบอกขอบใจพนักงานสาวยกใหญ่ โดยเธอก็ได้ยิ้มละไมกลับมาแล้วบอกว่าเธอยินดีที่ได้เห็นว่าเจนยุทธนั้นมีความสนใจในวัฒนธรรมบ้านเกิดของเธอและอยากแสดงให้เขาได้เห็นมากขึ้น

"ก่อนอื่นเราต้องล้างใบชาก่อนนะคะ..."

พนักงานสาวเทน้ำร้อนลงในแก้วชงซึ่งเธอเทใบชาสีดำใส่ไว้แล้ว เธอรอเล็กน้อยแล้วจึงเทมันลงในกาชาแก้วใบน้อยก่อน เธอแกว่งให้น้ำชาสัมผัสกาทั่วใบ จากนั้นเทน้ำชาลงในจอกชาปากกว้างสองใบที่วางอยู่บนถาด

"เพื่ออุ่นจอกชาค่ะ"

พนักงานสาวพูดแล้วใช้คีมไม้คีบจอกไว้ เธอแกว่งน้ำชาร้อน ๆ ให้สัมผัสทั่วจอกและเทน้ำชาในจอกนั้นทิ้งลงไปบนถาด น้ำชาร้อน ๆ นั้นก็ไหลลงร่องบนพื้นถาดไปทันที จากนั้นเธอส่งแก้วชาทั้งสองใบที่ได้รับการอุ่นเรียบร้อยแล้วมาวางไว้ตรงหน้าคนทั้งสอง

"อ๋อ ก้นถาดมันเป็นสองชั้นนั่นเอง"

เจหันไปพูดกับคนรัก ฆาเบียร์พยักหน้าให้น้อย ๆ เจหันกลับไปดูการชงชาต่ออย่างสนใจ พนักงานสาวเทน้ำร้อนลงไปในถ้วยชงชาอีกครั้ง เธอทิ้งให้ใบชาสัมผัสน้ำร้อนอึดใจหนึ่งแล้วจึงเทมันใส่กาน้ำชาแก้ว จากนั้นรินมันให้กับเจนยุทธและฆาเบียร์



"นี่คือชาชงน้ำแรกค่ะ"

"ว้าว สวยจัง"

เจจ้องมองจอกชาทรงเตี้ยปากกว้างนั้นด้วยความชอบใจ ก้นจอกชาเนื้อบางเบาใบนั้นมีลายปั้นนูนรูปปลาคาร์ปสีสันสดใสอยู่ตัวหนึ่ง ข้างปลาคาร์ปเป็นรูปวาดดอกบัวตูมดอกใหญ่อยู่ เมื่อมีน้ำสีชาจาง ๆ ในถ้วย มันดูเหมือนกับเจ้าปลาน้อยนั้นกำลังแหวกว่ายอยู่ในน้ำชาอย่างเริงร่า เขายกชาซึ่งพนักงานสาวบอกว่าเป็นชาทิกวนอินขึ้นจิบ เขาหันไปหัวเราะแหะ ๆ กับฆาเบียร์แล้วบอกคนรักเบา ๆ ว่าคงอีกนานกว่าที่เขาจะเข้าใจเรื่องชา

"อ้อ เจจ๊ะ ฉันก็ลืมไป ดูนี่นะ"

ฆาเบียร์พูดพลางหันหน้าไปทางพนักงานสาวที่ชงชาให้ เขาใช้ปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางเคาะโต๊ะเบา ๆ สองครั้ง พนักงานสาวส่งยิ้มตอบพร้อมกับค้อมหัวให้น้อย ๆ เจนยุทธทำท่างง ๆ

"เอ่อ ส่งซิกอะไรกันครับ?"

"ตามธรรมเนียมแล้ว มันเป็นวิธีแสดงความขอบใจคนที่รินชาให้เราจ้ะ"

"แล้วทำไมต้องทำท่าแบบนี้ล่ะครับ?"

เจนยุทธถามต่อ ทีนี้คนที่เคยแค่ทำแต่ไม่รู้เรื่องราวเบื้องหลังก็ไปไม่เป็นแล้ว เขาจึงหันไปถามกับพนักงานประจำโต๊ะของเขา

"มีเรื่องเล่าค่ะว่าในอดีต จักรพรรดิองค์หนึ่งได้ปลอมตัวออกประพาสหัวเมือง พระองค์พาผู้ติดตามเข้าไปรับประทานอาหารที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง แล้วมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นซึ่งทำให้พระองค์ต้องเป็นคนรินชาให้มหาดเล็ก แต่ตัวมหาดเล็กก็ไม่สามารถที่จะลุกขึ้นมาโขกศีรษะคารวะได้เพราะจะทำให้ความแตก ก็เลยใช้นิ้วเคาะโต๊ะแทนเพื่อแสดงความเคารพค่ะ"

ลูซี่เล่าว่าไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลกลใด ภายหลังธรรมเนียมนี้จึงกลายเป็นที่แพร่หลายและกลายเป็นสิ่งที่ลูกหลานชาวจีนปฏิบัติเมื่อมีผู้รินชาหรือเหล้าให้

"นี่ชาชงน้ำที่สองค่ะ"

พนักงานสาวรินชาให้ทั้งสองคนอีกจอกหนึ่ง ในครั้งนี้เจก็ไม่พลาดที่จะเคาะนิ้วบนโต๊ะให้กับพนักงานชงชาก่อนแล้วจึงได้ยกจอกชาขึ้นจิบ เขาพบว่าคราวนี้เธอทิ้งให้ใบชาแช่ในน้ำนานขึ้นอีกนิด จึงได้ชาที่สีและรสชาติเข้มข้นขึ้น หลังจากนั้นพนักงานสาวก็ได้ชงชาให้เขาอีกหนึ่งจอกแล้วจึงเก็บอุปกรณ์กลับไป



"โอย ผมกินติ่มซำมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็มีครั้งนี้แหละที่เรียกว่าได้มา Yum Cha แบบที่ดื่มชาไปด้วยจริง ๆ"

เจนยุทธเปรยเบา ๆ ตอนนี้ท้องน้อย ๆ ของเขาเต็มไปด้วยน้ำชาถึงสามแบบ ทั้งชาแดงหรือที่คนตะวันตกเรียกว่าชาดำอย่าง Lapsang Souchong ชาเขียวหลงจิ่งที่เขาแอบจิบของฆาเบียร์ไปเกือบทั้งถ้วย และตอนนี้ยังมีชาทิกวนอินซึ่งอยู่ในตระกูลชาอู่หลงอีก

"นี่นายรู้จักคำว่า Yum Cha ด้วยเหรอ?"

คนตัวโตถามด้วยความประหลาดใจ คำว่าหยำฉาที่เจพูดออกมานั้นเป็นภาษากวางตุ้งที่แปลตรงตัวว่า "ดื่มชา" หากสำหรับชาวจีนกวางตุ้ง ชาวฮ่องกงและชาวมาเก๊าแล้ว มันถูกนำมาใช้ในความหมายที่ว่า "ไปกินติ่มซำ"

"แหม รู้จักสิครับ ถึงบ้านผมจะเหลือเชื้อจีนอยู่ไม่มาก แต่ก็ยังเป็นคนจีนนะ ผมจำได้ว่าตอนผมเด็ก ๆ น่ะ พวกอากงเวลาจะไปกินติ่มซำ พวกท่านไม่ได้พูดว่า 'ไปกินติ่มซำ'นะ แต่จะพูดว่า 'ไปหยำฉา' กันเถอะ"

เจนยุทธพูดยิ้ม ๆ ถึงบ้านเขาจะเป็นจีนแต้จิ๋ว หากคำว่าหยำฉาซึ่งเป็นภาษากวางตุ้งนี้ก็เป็นคำที่ติดมากับธรรมเนียมการดื่มชาพร้อมกับกินติ่มซำไปด้วย

"ตอนเด็ก ๆ ผมเคยมาฮ่องกงกับที่บ้าน ตอนนั้นพวกผู้ใหญ่เขาก็เคยพาไปหยำฉาแบบฮ่องกงแท้ ๆ ที่มีคนเข็นรถใส่ติ่มซำมาให้เราเลือก แล้วร้านจะเสียงดัง ๆ วุ่น ๆ วาย ๆ หน่อยอะไรแบบนั้น ตอนนั้นพวกผู้ใหญ่เขาก็เหมือนจะสั่งชามาชิมหลายแบบเหมือนกัน แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอ่ะ"

เจอมยิ้มเมื่อนึกถึงประสบการณ์ในวัยเด็ก ตัวเขานั้นเพลิดเพลินกับการชี้เข่งนั้นเข่งนี้และยัดติ่มซำลูกโต ๆ เข้าไปจนเต็มท้อง มันทำให้เขาจำคำว่า 'หยำฉา' ได้ขึ้นใจจนถึงทุกวันนี้ และทุกครั้งที่มีโอกาสได้มาฮ่องกง เขาก็มักจะหาเวลาไป "หยำฉา" ไม่ว่าจะเป็นในร้านแบบมีรถเข็นหรือแบบสั่งจากเมนู หากที่ผ่านมาเขาก็สนใจเพียงแค่การกินติ่มซำและไม่ได้สนใจรายละเอียดของชาที่มีให้เลือกดื่มคู่กับติ่มซำมากนัก จนกระทั่งวันนี้



"เรื่องชานี่มันวุ่นวายจริงน้อ ผมว่าเผลอ ๆ จะยากพอ ๆ กับไวน์เลยนะเนี่ย"

เจเปรยขึ้นมาเบา ๆ หลังจากดื่มชาแก้วสุดท้ายของเขาหมด

"ฉันเองก็ไม่ชำนาญเรื่องชาจีนนัก เพราะอาปาก็ชอบชาฝรั่งกับกาแฟมากกว่าชาจีน ถ้าอยากรู้เรื่องชานายน่าจะต้องไปถามลุงเดวิดไม่ก็ลุงหลง สองคนนั่นเค้าชอบอะไรจีนแท้ ๆ"

ฆาเบียร์บอกคนรักของเขา แต่เขาก็บอกว่าตัวเขาพอจะรู้ว่าชาจีนนั้นจำแนกออกเป็น 5-6 แบบเลยทีเดียว

"อย่างแรกคือชาเขียว เรามักจะนึกว่าชาเขียวเป็นของญี่ปุ่น แต่จริง ๆ แล้วคนจีนดื่มชาเขียวกันมากทีเดียวนะ นับเป็นครึ่งหนึ่งของการบริโภคชาในประเทศเลยก็ว่าได้"

ฆาเบียร์พูดต่อว่าชาเขียวนั้นแทบไม่ต้องนำมาผ่านกระบวนการหมักซึ่งในที่นี้ฆาเบียร์ใช้คำว่า oxidation หรือการที่ให้เอนไซม์ในใบชาสัมผัสกับออกซิเจนเลย เรียกได้ว่าเด็ดมาแล้วทำให้แห้งด้วยการตากหรือคั่วเร็ว ๆ เท่านั้น มันจึงให้รสชาติที่สดชื่นเป็นธรรมชาติที่สุด ส่วนชาอีกประเภทที่เรียกได้ว่าให้รสชาติเป็นธรรมชาติเช่นกันคือชาขาว เหตุที่เรียกว่าชาขาวก็เพราะยอดอ่อนใบชาที่นำมาทำชาขาวจะต้องเป็นยอดตูมที่มีขนอ่อนสีขาวขึ้นปกคลุม หลังจากเด็ดแล้ว ชาชนิดนี้จะถูกนำไปตากแห้งไม่เกินครึ่งวันเพื่อให้คงรสชาติสดชื่นไว้



"ตัวอย่างของชาชนิดนี้แบบที่เห็นในเมนูของที่นี่ก็คือชา Silver Needle จ้ะ ของแพงเลยเหมือนกัน ส่วนไอ้เจ้า Lapsang Souchong ที่เจดื่มไปนั้นเรียกว่า Hong Cha หรือชาแดง...."

ชาแดงของจีนหรือที่ชาวตะวันตกเรียกว่าชาดำนั้นเกิดจากการเอาใบชาเขียวไปนวดและหมักจนกลายเป็นสีเข้ม โดยต้องสัมผัสกับออกซิเจนถึง 99% จึงจะใช้ได้ หลังจากนั้นจึงนำไปขึ้นรูปและอบแห้งจนกลายมาเป็นชาอย่างที่เห็นขายอยู่ในท้องตลาด ตัวอย่างของชาชนิดนี้จากประเทศอื่นก็คือชาที่พบได้ในท้องตลาดทั่วไปอย่าง Earl Gray, Darjeeling หรือกระทั่งชาอัสสัม

"อย่างชา Lapsang หรือที่ภาษาจีนเรียกว่า Zheng Shan Xiao Zhong นั้นก็ได้กลิ่นควันไฟมาจากกระบวนการอบแห้งนั่นแหละ แล้วที่เจชอบก็คงเพราะว่ากลิ่นรสมันชัดแล้วรู้สึกต่างจากดื่มชาปกติใช่ไหม?"

ฆาเบียร์ถามคนรัก เจพยักหน้าตอบรับทันที กลิ่นของควันไฟอ่อน ๆ ทำให้เขารู้สึกได้ว่าชาที่ดื่มนั้นต่างออกไปจากชาจีนทั่วไป

"ส่วนชาจีนแบบที่เสิร์ฟกันตามร้านอาหารจีนทั่วไปที่มีสีน้ำตาลอ่อน ๆ นั้นก็คือชาอู่หลงจ้ะ"

คนตัวโตพูดแล้วอธิบายต่อว่าชาอู่หลงนั้นมีวิธีการผลิตซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างชาเขียวและชาแดง หลังจากเก็บและตากชาแล้ว ใบชาก็จะถูกหมักบ่มเพียงครึ่งกระบวนการแล้วจึงนำมาคั่วและนวดเพื่อขึ้นรูปเป็นเม็ด ชาชนิดนี้เป็นชาที่คนรู้จักกันแพร่หลายที่สุดในฐานะ "ชาจีน"



"แล้วชาผู่เอ๋อร์ล่ะครับ? จัดอยู่ในหมวดไหน? แล้วทำไมมันถึงแพงนักแพงหนา?"

เจนยุทธถาม เขาเคยได้ยินชื่อของชาราคาแพงระยับชนิดนี้มานานแต่ไม่เคยสนใจจะหาข้อมูลเพิ่มเติมจนกระทั่งวันนี้

"ผู่เอ๋อร์ก็เป็นชาแดงเหมือนกันจ้ะ แต่จะต้องทำจากชาใบใหญ่จากยูนนาน ที่ทำให้ต่างออกไปจากชาจีนชนิดอื่นก็ตรงนำไปหมักในตะกร้าสานแล้วรองด้วยใบตองจนได้ที่ จากนั้นนำไปอัดเป็นก้อนมีตั้งแต่ขนาดเล็ก ๆ จนใหญ่เท่าโต๊ะเลย อาจจะเพื่อให้ง่ายในการขนส่งนะ"

ฆาเบียร์เล่าว่าเวลาซื้อชาผู่เอ๋อร์ตามร้านขายชา คนขายมักจะเรียกก้อนชานั้นว่า cake

"อ๋อ ใช่ ๆ เมื่อกี้ผมเห็นจากในเมนูแล้ว มีเมนูชาผู่เอ๋อร์แยกต่างหากเลย ผมก็ว่าทำไมขายแพงนัก เป็นหมื่นเหรียญก็มี ที่แท้ขายยกก้อนนั่นเอง แล้วผมเห็นมีแบบ ripe กับ raw ด้วย มันต่างกันตรงไหนครับ?"

"เอ เดี๋ยวนะ..."

ฆาเบียร์หันไปถามลูซี่อีกครั้งแล้วกลับมาพร้อมคำตอบ

"แบบ raw คือไม่ได้ผ่านการหมักจ้ะ แต่จะแค่ตากแดงให้แห้งแล้วเอามาอัดเป็นก้อนไว้แล้วให้ชามันค่อย ๆ หมักตัวของมันเองไป ชาแบบนี้จะยังเหลือสีเขียวในตอนแรกอยู่ มันเป็นกรรมวิธีโบราณที่ทำมาเป็นพันปีแล้ว..."

คนตัวโตชะงักเล็กน้อยเมื่อโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น เขารับสายและคุยเบา ๆ ครู่หนึ่งก่อนที่จะวางสายไป



"อาปาเหรอครับ?"

เจนยุทธถาม ฆาเบียร์พยักหน้า

"จ้ะ อาปาบอกว่าทางนั้นเล่นไพ่เสร็จแล้ว และถามว่าเราอยู่ไหนกัน"

"งั้น เราคิดตังค์เลยก็ได้ครับ..."

เจนยุทธทำท่าจะเรียกพนักงานเข้ามาคิดเงิน หากฆาเบียร์ยกมือห้ามไว้ก่อน

"ใจเย็นจ้ะ นั่งพักท้องก่อนก็ได้ อาปาแค่โทรมาบอกว่าพวกอาปาจะสั่งอาหารจากที่ Lai Heen นี่ขึ้นไปกิน เผื่อพวกเราจะอยากขึ้นไปกินด้วย ฉันก็เลยบอกว่าเรากินกันเสร็จแล้ว เอ๊ะ หรือว่าเจยังไม่อิ่ม?"

คนตัวโตขมวดคิ้ว เขาก็ลืมนึกไปว่าเจนยุทธอาจจะยังอยากหาอะไรใส่ท้องอยู่

"โอย ไม่แล้วครับ ตอนนี้ผมตื้อพอสมควรแล้ว กินอะไรหนัก ๆ อีกคงไม่ไหวแล้ว"

เจนยุทธพูดเสียงอ่อย ๆ พลางดึงเสื้อโปโลของเขาให้ตึงจนเห็นพุงที่ป่องออกมาน้อย ๆ เขาอุทานออกมาเมื่อคนรักกดมันเบา ๆ

"พอครับ พอ ไม่ต้องจิ้มเลย เดี๋ยวอ้วกกันพอดี เอ้า เมื่อกี้คุณยังเล่าไม่จบ แล้วไอ้เจ้าชาผู่เอ๋อร์แบบ ripe นี่มันต่างกับแบบ raw ตรงไหนครับ?"

คนตัวโตโคลงหัวน้อย ๆ แล้วจึงเล่าต่อ




(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-08-2019 21:52:17 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Yum! 'Yum Cha' (ต่อ) ----





"ชาผู่เอ๋อร์แบบ ripe เนี่ยเป็นกรรมวิธีที่คิดค้นขึ้นมาใหม่เมื่อไม่กี่สิบปีนี้เองจ้ะ มันเป็นการเลียนแบบกระบวนการหมักตามธรรมชาติที่อาจต้องใช้เวลานานเป็นปี ๆ โดยการหมักในห้องที่ควบคุมความชื้นและอุณหภูมิ แถมยังมีการเติมจุลินทรีย์เพื่อเร่งกระบวนการด้วย เลยทำให้ได้ผลผลิตออกมาภายในเวลาแค่ไม่กี่เดือน"

"อ๋อ เป็นแบบนี้นี่เอง"

เจนยุทธพึมพำกับตนเอง

"เพราะมันเป็นชาหมัก ราคาของชาผู่เอ๋อร์นี่ก็เลยจะแตกต่างกันไปตามอายุของมันด้วย ยิ่งเก็บนานยิ่งดี เอางี้ เจอยากชิมไหม? เดี๋ยวฉันสั่งมาให้อีกที่"

"เดี๋ยว ๆๆ พอครับ ไม่เอาแล้ว วันนี้ผมกินชาไปเยอะมากแล้ว ขืนกินมากกว่านี้รับรองท้องผูกแน่"

เจนยุทธส่งเสียงห้ามลั่น อีกสาเหตุหนึ่งก็เพราะเขาไม่แน่ใจว่าคนที่ไม่ชำนาญเรื่องชาอย่างเขาจะสามารถแยกแยะความแตกต่างของชาผู่เอ๋อร์คุณภาพเยี่ยมได้

"ผมว่าผมเคยชิมชาผู่เอ๋อร์นี่ครั้งนึงนะ ก็ตอนที่ผมไปร้านทิมโฮวานกับพี่นพอ่ะ แต่มันคงเป็นเกรดแบบแย่สุดของแย่ละ เพราะเขาขายแค่แก้วละ 2 เหรียญเอง"

เจนยุทธพูดกลั้วหัวเราะ

"อ๋อ ฉันจำได้แล้ว"

คนตัวโตยิ้มออกมา จริงอย่างที่เจว่า ชาซึ่งปัจจุบันขายอยู่ที่ราคาแก้วละ 3 เหรียญนั้นไม่ได้ดีเด่อะไรมากจริง ๆ



"ถ้านายอยากชิมชาผู่เอ๋อร์ดี ๆ จริง ๆ ก็ลองไปขออาปาดูก็ได้ ถ้าจำไม่ผิด อาปาน่าจะมีก้อนชาผู่เอ๋อร์อยู่ที่บ้านเหมือนกัน"

ฆาเบียร์พูด เขาบอกเจว่าอาปาเคยได้รับชานี้เป็นของขวัญเนื่องในโอกาสนั้นนี้หลายครั้ง แต่คริสซึ่งนิยมชาฝรั่งมากกว่าชาจีนก็มักเก็บมันไว้และเอาออกมาชงดื่มนาน ๆ ที

"เออ ใช่ ๆ จำได้แล้ว ผมเคยดื่มแล้วนี่คุณ ก็คราวที่เราไปกินห่านย่างที่บ้านอาปาตอนก่อนมามาเก๊ารอบที่แล้วไง"

เจอุทานออกมาเบา ๆ อย่างนึกได้

"อ๋อ ใช่สิ แล้วเจคิดว่าไง อร่อยสมกับที่ราคาแพงไหม?"

คนตัวโตถามยิ้ม ๆ เขาคิดว่าเขาพอจะเดาคำตอบของคนรักได้

"เอ่อ แหะ ๆ มันก็ชาอ่ะครับ"

แม้จะรู้คำตอบอยู่แล้ว ฆาเบียร์ก็อดหัวเราะพรืดออกมาไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางขัดเขินอย่างน่ารักของเจ้าตัวดีของเขา

"ตลกอะไรขนาดนั้นครับ คุณมาร์ติเนซ?..."

เจนยุทธหน้าแดงระเรื่อเมื่อเห็นคนรักพยายามกลั้นหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย

"...ก็มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ นี่หว่า กินอิ่มซะขนาดนั้น ต่อให้กินชาก้อนละสองแสนเข้าไปก็ไม่รู้รสแล้วอ่ะ"

เจบ่นอุบอิบแล้วทำแก้มพองน้อย ๆ

"นายนี่มันเหลือเกินจริง ๆ นะ เจนยุทธ"

คนตัวโตยกมือขึ้นยีหัวคนรักเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู เจนยุทธคือความสดใสและแสงสว่างในชีวิตของเขาจริง ๆ



"คุณมาร์ติเนซจะรับของหวานเลยหรือเปล่าคะ?"

ลูซี่ พนักงานประจำโต๊ะเดินเข้ามาอย่างรู้งานเมื่อเห็นชายทั้งสองหยอกล้อกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว

"...เป็น complimentary จากทางห้องอาหารของเราค่ะ"

เธอรีบพูดต่อเมื่อเห็นท่าทางลังเลของคนทั้งสอง

"อ๋อ งั้นรับเลยครับ"

เจนยุทธรีบตอบรับทันควันแทนฆาเบียร์ซึ่งทำท่าเหมือนจะกินอะไรไม่ลงแล้ว

"หึ ไหนนายบอกเมื่อกี้ไงว่าอิ่มตื้อและกินอะไรไม่ไหวแล้ว"

คนตัวโตแซวหลังจากที่พนักงานสาวเดินคล้อยหลังไป เจย่นจมูกให้คนรัก

"ผมบอกว่ากินอะไรหนัก ๆ ไม่ไหวแล้ว แต่ของหวานถ้วยเล็ก ๆ น่ะ สบายมาก"

เจยืดอกขึ้น แต่ก็ต้องค่อย ๆ งอตัวกลับลงไปใหม่ด้วยความอิ่ม

"งั้นกินส่วนของฉันให้ด้วยแล้วกัน เพราะฉันคงกินไหวแค่คำเล็ก ๆ เท่านั้น"

คนตัวโตพูด เจนยุทธหันไปยิ้มหวานให้แล้วบอกว่าเขาจะจัดการเขมือบมันให้เรียบให้เอง



"พุดดิ้งมะม่วงส้มโอและนมตุ๋นค่ะ"

พนักงานสาววางขนมทั้งสองถ้วยลงตรงหน้าชายทั้งสอง พร้อมกับกาแฟดำตามที่ทั้งสองสั่งไว้ เจแย้มยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อคนรักเลื่อนถ้วยพุดดิ้งมะม่วงที่มีเนื้อส้มโอปนอยู่ด้วยส่งให้หลังจากชิมเข้าไปแล้วคำหนึ่ง

"คุณก็กินของผมด้วยสิครับ"

เจตักเนื้อนมตุ๋นซึ่งมีรังนกตุ๋นจำนวนเล็กน้อยตกแต่งอยู่ด้านบนให้กับฆาเบียร์ คนตัวโตอ้าปากรับขนมเนื้อนุ่มหยุ่นเหมือนไข่ตุ๋นเข้าปาก เนื้ออันเนียนนุ่มและรสชาติหอมมันทำให้เขาอดขอชิมอีกคำไม่ได้

"ทุกทีฉันจะไม่กินขนมต่อเลยน่ะ"

ฆาเบียร์พูดเขิน ๆ เมื่อถูกคนรักแซวว่าเขาทำเหมือนกับไม่เคยกินขนมของห้องอาหารนี้มาก่อน เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

"ให้ตายสิ เจนยุทธ นายทำให้ฉันกลายเป็นคนตะกละไปจนได้แล้วนะ"

 "ฮึ่ย ตะกล่งตะกละอะไร เขาเรียกว่ารู้จักใช้ชีวิต"

เจนยุทธบ่นอุบอิบแล้วก้มหน้าก้มตาจัดการกับขนมทั้งสองถ้วยอย่างรวดเร็ว คนตัวโตดูนาฬิกาแล้วจึงยกมือเรียกพนักงานมาเพื่อจัดการกับค่าอาหาร จากนั้นชายทั้งสองก็พากันเดินกลับไปยังห้องพักของตน








"อ้าว มากันแล้วเหรอ?"

คริสเงยหน้าขึ้นทักทายเด็ก ๆ ของเขาที่เดินเข้ามาในห้อง เจแอบกวาดตาสำรวจบนโต๊ะกลมที่ทางโรงแรมจัดให้เป็นโต๊ะกินข้าว บนนั้นมีเข่งติ่มซำอยู่นับสิบ อีกทั้งจานของย่างและหมี่ผัดจานโตซึ่งอู่ทินหลงกำลังกวาดส่วนที่เหลือเพียงน้อยนิดลงจานของเขา

"ไง ไอ้เด็กกินดุ กินด้วยกันไหม?"

อาหลงกวักมือเรียกเด็กตะกละของเขา เจนิ่วหน้า เจอหน้ากันไม่ถึงวันดีเขาก็ได้ฉายานามเป็น big eater เสียแล้ว

"อย่าแกล้งเจสิครับ ลุงหลง"

คนตัวโตรีบทำท่าปกป้องคนรักของเขาโดยมีจุดประสงค์เพื่อยั่วเย้าคนแก่ไม่รู้จักโตคนนี้

"ชิ เหม็นความรักโว้ย"

ฆาเบียร์แอบอมยิ้มเมื่ออู่ทินหลงเบะปากและทำหน้าเหม็นเบื่อดังคาด แต่เขาก็สะดุดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาของอู่ทินหลงที่ตวัดเลยเขาและเจนยุทธไปยังอีกฟากหนึ่งของโต๊ะด้วย

"น่า ๆ อาหลง อย่าไปแกล้งเด็ก ๆ เลย เด็กมันรักกันก็ดีแล้วนี่"

เป้าสายตาของอู่ทินหลงส่งเสียงทักท้วงเพื่อนของเขาเบา ๆ

"อืมม์ นั่นสินะอาโหล่ว รักกันได้ก็ดีแล้ว..."

อู่ทินหลงเปรยขึ้นมาลอย ๆ เขากวาดตามองเพื่อนทั้งสองที่นั่งเคลียคลอกันไม่ห่างมาตั้งแต่เช้าแล้วก็อดยิ้มออกมาน้อย ๆ ไม่ได้ มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่าเพื่อนสนิทอย่างจิวจี๋โหล่วนั้นปักใจรักอาซิงผู้เป็นน้องน้อยของกลุ่มมานานแค่ไหนแล้ว และในวันนี้ดูท่าทางว่าในที่สุดเพื่อนของเขาก็คงได้สมหวังเสียที แต่ต่อให้ยินดีกับเพื่อนแค่ไหน ตาลุงตัวร้ายของเจก็ยังอดแกล้งเพื่อนของเขาไม่ได้



"...แต่จะรักกันยังไงก็ต้องเกรงใจคนรอบข้างมั่งนะ อย่าหวานกันให้มากนัก เดี๋ยวเบาหวานจะขึ้นตาพวกฉัน!"

อู่ทินหลงกระแทกเสียงพลางหันไปจ้องมองฆาเบียร์กับเจนยุทธ ชายหนุ่มทั้งสองยิ้มแหย ๆ กลับมาให้เขา หากวัวแก่สันหลังหวะสองตัวที่นั่งอยู่ตรงข้ามอาหลงกลับสะดุ้งเฮือก ผู้เฒ่าร่างใหญ่แอบอมยิ้มเมื่อเห็นท่าทีเลิ่กลั่กของเพื่อนทั้งสองที่รีบขยับเก้าอี้ออกห่างกันทันที

"เฮ้อ ส่วนเราสองคนก็คงต้องทนอยู่กับเมียแก่เหม็นเปรี้ยวต่อไป ใช่ไหม? วิคเตอร์?"

อาหลงหันไปตบไหล่เพื่อนผู้มีชะตากรรมเดียวกันของเขา วิคเตอร์หันมาทำหน้าเหรอหรา

"เฮ้ย ๆๆ พูดแบบนี้ได้ไงวะ? หน้าต่างมีหูประตูมีช่องนะเว้ย"

อดีตเพลย์บอยซึ่งปัจจุบันกลับตัวมาอยู่ในโอวาทของเมียรีบมองซ้ายมองขวาอย่างหวาด ๆ แม้เมียเขาจะออกไปสังสรรค์กับบรรดาเพื่อน ๆ อดีตนักแสดงและไฮโซชาวฮ่องกงซึ่งนัดกันมาเที่ยวและเข้าคาสิโนเล็ก ๆ น้อย ๆ เขาก็ยังอดระแวงไม่ได้ว่าแม่เสือของเขาจะย่องกลับมาและได้ยินสิ่งที่เพื่อนปากม้าของเขาพูด อู่ทินหลงหัวเราะออกมาดัง ๆ เมื่อเห็นท่าทีหวาดหวั่นของเพื่อน

"โอ๊ย กลัวทำไม๊? เมีย ไม่ใช่แม่!"

"อือ ฮึ แล้วเมื่อคืนใครมันรีบวิ่งแน่บกลับไปหาเมียกันล่ะ พอเมียไม่อยู่แล้วก็กล้าใหญ่เลยนะ อาหลง"

เดวิดอดแซวเพื่อนของเขาไม่ได้ ที่อู่ทินหลงปากกล้าได้ในตอนนี้เพราะรู้ว่าเมียรักของเขาขึ้นเครื่องไปมิลานแล้วเมื่อเช้านี้ เขาหันไปพูดกับลูกน้องชุดดำของอู่ทินหลงที่ยืนคอยรับใช้อยู่ข้าง ๆ เบา ๆ เป็นภาษากวางตุ้ง



"ลุงหลงหน้าซีดเลย ลุงเดวิดเขาบอกว่าอะไรเหรอครับ?"

เจหันไปถามคนรักของเขาที่นั่งอมยิ้มดูคนแก่ตีกันเบา ๆ

"ลุงเดวิดบอกการ์ดของลุงหลงให้ไปรายงานพฤติกรรมของลุงหลงให้เมียลุงฟังด้วยจ้ะ"

ฆาเบียร์หัวเราะคิกแล้วแปลประโยคถัดไปของอู่ทินหลงให้เจฟัง

"เฮ้ย มายุคนของฉันให้แข็งข้อได้ไงวะ?"

อู่ทินหลงว๊ากลั่นแล้วหันไปถลึงตาใส่บอดี้การ์ดของเขา

"เฮ้ ช่วยไม่ได้นะ เด็ก ๆ ของฉันพวกนี้กินเงินเดือนจากเมียนาย ฉะนั้นเด็กมันก็มีหน้าที่ต้องรายงานสถานการณ์ต่าง ๆ ให้เมียนายฟังด้วย ใช่ไหม?"

เดวิด จิวหันไปพยักเพยิดกับบอดี้การ์ดในสังกัดซึ่งเขาส่งมาทำงานให้กับครอบครัวของอู่ทินหลง

"ชิ เงินเมียมันก็เงินฉันล่ะวะ แค่ยัยเฒ่ามันทำบัญชีเก่งกว่าก็เลยปล่อยให้ดูแลแค่นั้นเอง"

อู่ทินหลงบ่นอุบอิบ เขากระดิกนิ้วเรียกหัวหน้าการ์ดของเขาซึ่งยืนกลั้นหัวเราะจนหน้าดำหน้าแดงอยู่ด้านหลังเข้ามา

"เอ้า เอาไปแจกเด็ก ๆ เป็นค่าขนมกันซะ แล้วปิดปากให้สนิทล่ะ"

อาหลงหยิบธนบัตรปีกหนึ่งจากในกระเป๋ามายัดใส่มือหัวหน้าการ์ดของเขา แม้เจ้าตัวจะพยายามคืนให้แต่ตาลุงผู้ชอบแจกเงินคนนี้ก็ยัดเยียดให้จนได้ เดวิดยิ้มบาง ๆ ทั้งตัวเขาและอู่ทินหลงต่างรู้ดีว่าไม่ว่าอย่างไรบอดี้การ์ดพวกนี้ก็ไม่มีทางปริปากบอกคุณนายอู่เรื่องที่พวกเขาได้ยินในห้องนี้อยู่แล้ว นี่ก็คงเป็นวิธีที่อู่ทินหลงใช้ตกรางวัลเพิ่มเติมให้ลูกน้องที่อุตส่าห์มารับใช้พวกเขาล่วงเวลาในระยะเวลาสองสามวันนี้

"จำไว้นะ หุบปากให้แน่น"

อู่ทินหลงกำชับอีกครั้ง หัวหน้าบอดี้การ์ดของเขาหันไปมองหน้าเจ้านายตัวจริงของเขา จิวจี๋โหล่วพยักหน้าน้อย ๆ แล้วยกมือขึ้นทำท่ารูดซิปปาก ชายกลางคนชุดดำค้อมหัวให้แล้วถอยหลังเดินกลับไปประจำตำแหน่งเช่นเดิม



"อาปาครับ เดี๋ยวผมกับเจขอตัวไปเก็บกระเป๋าก่อนนะครับ นี่ก็จะสี่โมงแล้ว"

ฆาเบียร์ลุกขึ้นแล้วหันไปคุยกับอาปาของเขา คริสบอกเขาเมื่อวานนี้ว่าจะกลับฮ่องกงด้วยเรือเที่ยวไม่เกินหกโมงเย็น เจรีบลุกขึ้นตาม

"อืมม์ ไปเก็บของเถอะ เราจะกลับเที่ยวกี่โมงล่ะ? เดี๋ยวอาปาจะให้ริคกี้เขาล่วงหน้าไปซื้อตั๋วเรือไว้ให้ก่อน"

คริสส่งยิ้มละไมให้เด็ก ๆ ของเขา

"แล้วอาปากะจะออกโรงแรมซักกี่โมงครับ พวกผมจะได้รอไปด้วยกัน"

ฆาเบียร์ถาม เขาไม่แน่ใจว่าคริสเสร็จธุระของตนหมดเรียบร้อยแล้วหรือยัง แต่พวกเขาก็ไม่รังเกียจที่จะรอ

"อืมม์ พวกลูกต้องกลับเย็นนี้เพราะพรุ่งนี้เจจองซันเดย์ บรันช์ที่โรงแรมไว้ใช่ไหม?..."

คริสถามกลับ เจหัวเราะแหะ ๆ แล้วตอบรับคำ

"...อืมม์ นั่นสินะ จะออกที่นี่กี่โมงดี?"

คริสทำท่าครุ่นคิดแล้วลอบหันไปเหลือบมองคนที่นั่งทำท่าเซื่องซึมอยู่ด้านข้าง

"...เอาอย่างนี้ พวกเราจะออกกี่โมงก็ตามใจเลยเพราะอาปาจะอยู่มาเก๊าต่ออีกคืน"

คริสยิ้มละไมก่อนจะหันไปคุยกับคนข้างตัว

"...นี่ อาโหล่ว ขอฉันไปค้างที่บ้านนายหน่อยนะ เมื่อคืนเรายังคุยกันไม่หนำใจเลย"

จิวจี๋โหล่วหันขวับมามองหน้าคนในใจของเขา เขาพยักหน้าทันทีและยิ้มออกมาอย่างสุดกลั้นเมื่อมืออันอบอุ่นของเพื่อนเกาะกุมเข้ากับมือของเขาที่ใต้โต๊ะ



"เฮ้ย ๆ ได้ไง จะไปงุบงิบคุยอะไรกันสองคน ให้พวกฉันไปด้วยสิ ฉันไม่ได้ไปบ้านอาโหล่วมาตั้งนานแล้วนะ"

วิคเตอร์ ลีผู้ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยพูดแทรกขึ้นทันควัน หากอู่ทินหลงก็หัวเราะร่าและกอดคอเพื่อนของเขาไว้

"นี่ ไอ้พวกเรามันไม่ใช่ตัวเปล่าเล่าเปลือย ขอเมียมาเที่ยวได้แค่นี้ก็เต็มกลืนแล้ว จะขออยู่ต่ออีกคืนแม่เสือของแกมันจะยอมเรอะ? ปล่อยพวกคนโสดมันคุยกันไปเถอะน่า"

วิคเตอร์ทำหน้ายู่ยี่เมื่อได้ยินคำว่าเมีย

"เฮ้อ ฉันก็ว่าไปงั้นแหละ พรุ่งนี้วันอาทิตย์ ต้องไปกินข้าวกับลูก ๆ ด้วย ไว้โอกาสหน้าสัญญานะอาโหล่ว ว่าจะให้ฉันไปเที่ยวที่บ้านบ้าง"

ซีอีโอคนเก่งถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยรู้ว่าวันหรรษาของเขาคงต้องจบลงแค่ตรงนี้ จิวจี๋โหล่วหัวเราะเบา ๆ แล้วพยักหน้ารับคำกับเพื่อน

"นายไม่ต้องชวนฉันนะ อาโหล่ว ยังไง ๆ วันนี้ฉันก็ไปไม่ได้ ต้องตามเมียไปมิลานว่ะ..."

เพื่อนผู้โผงผางของจิวจี๋โหล่วพูดพลางหัวเราะฮ่า ๆ เขายกนาฬิกาขึ้นดูแล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงทันที

"ตายล่ะ ฉันต้องไปแล้ว เดี๋ยวต้องแวะไปอาบน้ำอาบท่าแล้วเอาเสื้อผ้าที่บ้านอีก"

อู่ทินหลงลุกขึ้นยืนและบอกว่ากำหนดบินของเขาคือหนึ่งทุ่มตรง จิวจี๋โหล่วและคริสลุกขึ้นยืนตาม



"งั้น ฉันไปก่อนนะ"

อู่ทินหลงเดินเข้าไปจับมือเพื่อนผู้เคยมีชีวิตอยู่อย่างทุกข์ระทมของเขา จิวจี๋โหล่วกระชับมือของเพื่อนสนิทไว้แน่นแล้วดึงร่างสูงใหญ่ของเพื่อนมากอดไว้

"ขอบใจนะ สำหรับทุกอย่าง"

เขากระซิบเบา ๆ กับเพื่อนคนที่มักเป็นธุระจัดการเรื่องการพบปะสังสรรค์ของพวกเขา อู่ทินหลงยิ้มละไมแล้วตบไหล่เพื่อนป้าบใหญ่

"เรื่องแค่นี้ ขี้ปะติ๋วน่า..."

ผู้เฒ่าซึ่งเป็นเหมือนพี่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มหัวเราะร่า

"ไว้คราวหน้าถ้านายว่างอีกก็รีบ ๆ บอกพวกฉันล่ะจะได้จัดการนัดกันอีก อย่าทิ้งช่วงให้มันนานนักเหมือนคราวที่แล้วล่ะ"

อู่ทินหลงพูดยิ้ม ๆ เขากวาดสายตาดูเพื่อนทั้งสองที่ยืนเคียงข้างกัน รอยยิ้มเจ้าเล่ห์พลันผุดขึ้นมาบนริมฝีปากของเขา



"...แต่ เอ จากนี้ไป อาโหล่วคงจะหาเวลาว่างให้พวกเราได้บ่อยขึ้นแล้วมั้ง? นายว่างั้นไหม? อาซิง?"

คริสซึ่งจู่ ๆ ก็ตกเป็นเป้าของคำถามหน้าร้อนวาบขึ้นมาทันที เขายิ่งรู้สึกเขินหนักขึ้นไปอีกเมื่อหันไปเจอสายตาแพรวพรายของลูกบุญธรรมที่จ้องมองมา

"ฉัน...ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ เรื่อง...เรื่องนี้ก็ต้องแล้วแต่อาโหล่วเขาสิ"

อู่ทินหลงยิ้มกริ่มเมื่อเห็นหว่องซีซิงซึ่งปกติมักเก็บอารมณ์และความรู้สึกได้ดีจนเอาชนะพวกเขาในวงโป๊กเกอร์ได้บ่อยพอ ๆ กับฆาเบียร์ต้องเสียอาการจนพูดตะกุกตะกักไปแบบนี้

"เอ้า แล้วนายว่าไง อาโหล่ว?"

อาหลงหันไปขยิบตาให้จิวจี๋โหล่วซึ่งก็หน้าแดงจนถึงหูแล้วเช่นกัน

"เอ่อ ฉัน ฉันจะพยายามหาเวลาว่างให้พวกนายบ่อยขึ้นแล้วกันนะ"

ชายผู้มีชีวิตส่วนใหญ่ในโลกใต้ดินพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

"ดี ได้ยินนายพูดแบบนี้แล้วฉันก็ดีใจ งั้นฉันไปก่อนนะ..."

อู่ทินหลงลดเสียงของเขาลงเพื่อไม่ให้ฆาเบียร์และเจซึ่งยืนห่างออกไปได้ยิน

"...ส่วนพวกนายสองคน คืนนี้ก็ 'คุย' กันให้สนุกล่ะ แต่ก็อย่าให้ดังมากนักนะ เดี๋ยวพวกเด็ก ๆ ที่ยืนยามอยู่มันจะนอนไม่หลับ"

ผู้เฒ่าจอมแกล้งกระซิบแผ่วเบาเป็นภาษากวางตุ้งและส่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้เพื่อนทั้งสอง คริสก้มหน้างุดเพื่อซ่อนใบหน้าที่แดงก่ำของเขา ส่วนจิวจี๋โหล่วนั้นได้แต่พึมพำด่าเพื่อนปากไม่มีหูรูดของเขาเบา ๆ



"นี่พวกนายคุยอะไรกันวะ? ฉันไม่เห็นเข้าใจสักนิดเลย นี่ฉันตกข่าวอะไรไปหรือเปล่า?"

วิคเตอร์ผู้ไม่รู้อะไรเลยเกาหัวแกร่ก ๆ แล้วหันไปดูคนนั้นทีคนนี้ที อู่ทินหลงหัวเราะแล้วยกมือขึ้นโอบไหล่เพื่อน

"เฮ้อ ไม่มีอะไรร้อก ไป ๆ พวกเราสองคนได้เวลากลับไปชดใช้กรรมแล้ว เมื่อกี้เมียโทรมาตามแล้วไม่ใช่เหรอ?"

อาหลงถามยิ้ม ๆ เมียคนสวยของวิคเตอร์โทรมาตามผู้เป็นสามีตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วแล้ว

"เออ ว่ะ ตาย ลืมไปเลย! เมียฉันบอกว่าให้ ฮ. มารับตอนหกโมง"

ซีอีโอผู้เอาชนะได้ทุกคนยกเว้นเมียทำท่าลนลานเมื่อเห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาสี่โมงเย็นแล้ว เขานัดกับคุณนายของเขาไว้ที่ท่าจอดฮ. ของมาเก๊าเวลาห้าโมงครึ่ง

"เอ่อ งั้นเดี๋ยวลุงวิคเตอร์ไปกับพวกผมเลยก็ได้ครับ พวกผมกะว่าเก็บของเสร็จก็จะไปที่ท่าเรือเลย ออกจากที่นี่ไม่น่าเกินห้าโมงเย็น"

ฆาเบียร์ซึ่งยืนฟังบรรดาลุง ๆ คุยกันอยู่นานพูดขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม วิคเตอร์หันมาพยักหน้า

"ได้ งั้นเดี๋ยวลุงลงไปเก็บข้าวเก็บของในห้องก่อน ส่วนเรื่องเช็คเอาท์นี่นายให้คนจัดการเหมือนเดิมใช่ไหม อาหลง?"

วิคเตอร์หันไปพูดกับเพื่อน อู่ทินหลงพยักหน้า ทุกครั้งที่พวกเขามาเล่นไพ่กัน เขาจะเป็นคนจัดการเรื่องที่พักให้เพื่อน ๆ โดยอาศัยคอนเน็คชั่นส่วนตัวที่มี

"ใช่ เดี๋ยวเอากุญแจมาให้เด็กของฉันเหมือนทุกทีนั่นแหละ แล้วอย่ามาลืมอะไรไว้อีกล่ะ ตาแก่ขี้ลืมเอ๊ย"

"เออ ๆๆ รับรองไม่ลืมแล้วน่า"

วิคเตอร์ทำหน้ายุ่ง คราวที่แล้วพวกเขาเล่นไพ่เพลินจนลืมเวลานัด เมื่อถูกเมียตามเขาก็ลนลานจนลืมกระเป๋าเงินที่มีบัตรประชาชนฮ่องกงซึ่งต้องใช้ในกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองไว้ที่โรงแรม เดือดร้อนถึงเพื่อน ๆ ต้องรีบเอามันมาส่งให้ถึงที่ก่อนเวลาอย่างฉิวเฉียด อู่ทินหลงหัวเราะหึ ๆ เขายืนสนทนากับเพื่อนอีกครู่หนึ่งแล้วจึงขอตัวกลับไปโดยออกไปพร้อมกับวิคเตอร์ซึ่งต้องลงไปเก็บข้าวของที่ห้อง

"งั้น ถ้าพวกผมเก็บของเสร็จแล้วก็จะออกไปเลยนะครับ ส่วนเมลิน่ากับริคกี้นี่ ผมจะให้พวกเขาพักผ่อนอยู่เที่ยวที่มาเก๊าเลยนะครับเพราะอาปาไม่น่าจะต้องเรียกใช้อะไรสองคนนั่นแล้ว"

ฆาเบียร์พูดยิ้ม ๆ คริสพยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติแล้วพยักหน้ารับคำ เขาอดคิดไม่ได้ว่าลูกบุญธรรมของเขาคงจับพิรุธของเขาได้แล้วเป็นแน่แท้ เมียตัวโตของเจยิ้มละไม เขาค้อมหัวน้อย ๆ ให้อาปาของเขากับเดวิด จิว แล้วพาเจนยุทธเดินเข้าห้องไป



"เดี๋ยวอาปาจะไปส่งพวกลูกกับวิคเตอร์ด้วย"

คริสซึ่งนั่งรออยู่ที่ห้องนั่งเล่นลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นเด็ก ๆ ของเขาออกมาจากห้องนอนพร้อมกับกระเป๋า หากฆาเบียร์ได้ยกมือห้ามพ่อบุญธรรมของเขาไว้

"ไม่เป็นไรครับอาปา ไปแค่ท่าเรือนี่เอง อาปาไม่ต้องเสียเวลาไปกับพวกผมหรอกครับ"

เจนยุทธเป็นฝ่ายพูดขึ้นแทนคนรัก คริสขมวดคิ้วน้อย ๆ

"เจจะกลับเชียงใหม่เช้าวันจันทร์ไหม?"

คริสถามคนรักของลูกชาย เจนยุทธตอบรับ

"อาปาน่าจะกลับฮ่องกงบ่าย ๆ เย็น ๆ วันพรุ่งนี้...งั้น เราน่าจะเจอกันอีกทีพรุ่งนี้ค่ำ ๆ นะ"

พ่อบุญธรรมของฆาเบียร์พูดพลางเหลือบมองคนที่ยืนเคียงข้างแว่บหนึ่ง เขาหันไปพูดต่อจนจบประโยคเมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับน้อย ๆ

"แหะ ๆ ถ้าผมไม่เมาพับไปก่อนนะครับ"

เจนยุทธหัวเราะแหะ ๆ แล้วอธิบายให้คริสกับเดวิดฟังว่าเขาตั้งใจจะดื่มแชมเปญแพงระยับที่เสิร์ฟในซันเดย์ บรันช์ให้ได้ซักขวดสองขวด



"เรานี่มันร้ายจริง ๆ นะ ไว้คราวหน้ามามาเก๊าเราคงต้องมาก๊งเหล้ากันอีกสักรอบแล้ว"

จิวจี๋โหล่วหัวเราะอย่างถูกใจ

"ได้เลยครับ ลุงเดวิด ถ้าคราวหน้าลุงอยากเล่นไพ่อีกก็อย่าลืมชวนผมด้วยนะครับ ถ้ามาได้ผมจะมาแน่ ๆ"

เจนยุทธหันไปยิ้มให้ผู้เฒ่าร่างเล็กซึ่งเขาเคยนึกหวาดกลัว หากเมื่อได้พูดคุยและทำความรู้จักกับชายผู้ทรงอิทธิพลในโลกใต้ดินคนนี้แล้ว เขากลับรู้สึกอยากคบหาและพูดคุยทำความรู้จักกับผู้เฒ่าคนนี้ให้มากขึ้น

"ได้สิ เจ ลุงจะชวนเราแน่ ๆ"

จิวจี๋โหล่วพูดอย่างลิงโลด เขาอดไม่ได้ที่จะต้องยื่นมือไปจับมือทั้งสองของเจเขย่าแรง ๆ

"ได้เวลาแล้ว งั้นเราไปกันดีกว่านะ เจ"

ฆาเบียร์ยกนาฬิกาขึ้นดูแล้วร้องเตือนคนรักเบา ๆ เจยื่นมือไปสัมผัสกับมือจิวจี๋โหล่วเบา ๆ

"ลาก่อนนะครับ ลุงเดวิด ไว้เจอกันอีกนะครับ"

เจพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม จิวจี๋โหล่วดึงร่างเพรียวของเจนยุทธเข้ามากอดไว้

"ขอบใจนะ เจนยุทธ ที่ไม่รังเกียจกัน"

อาโหล่วพูดเสียงเครือ ในทีแรกเขานึกว่าชายหนุ่มคนนี้จะถูกสิ่งที่เขาเป็นทำให้หวาดกลัวหรือรังเกียจจนไม่กล้าเข้าใกล้ หากเจกลับตอบรับไมตรีของเขาและทำท่าเหมือนต้องการผูกมิตรกับเขามากขึ้น เขาปล่อยมือจากเจแล้วหันไปกอดลูกบุญธรรมของคริสเพื่อลา



"ไว้เจอกันใหม่ครับ ลุงเดวิด แล้วก็..."

ฆาเบียร์พูดเบา ๆ กับเดวิด จิวเป็นภาษากวางตุ้ง

"...ฝากดูแลอาปาของผมด้วยนะครับ"

คนตัวโตกอดและกระซิบกับคนที่ดูท่าทีว่ากำลังจะก้าวมาเป็นคนสำคัญของอาปาของเขา จิวจี๋โหล่วตะลึงไปกับคำพูดที่แฝงความหมายนั้น เขาดันร่างใหญ่กำยำของหนุ่มละตินออกแล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น

"ไม่ต้องห่วง ฆาบี้ ลุงจะไม่ปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับอาซิงเป็นอันขาด ลุงขอเอาชีวิตของลุงเป็นประกัน"


ผู้เฒ่าแซ่จิวรับปากอย่างแข็งขันก่อนจะหันหน้าไปยิ้มให้กับคนที่ยืนหน้าแดงซ่านอยู่ข้าง ๆ

"ฆาบี้ เอ่อ..."

คริสเรียกลูกบุญธรรมของเขาเบา ๆ หากฆาเบียร์ชิงตัดบทขึ้นก่อน

"ผมต้องไปแล้วจริง ๆ ครับอาปา เลทแล้ว ไว้เจอกันวันพรุ่งนี้นะครับ"

คนตัวโตหันไปพยักเพยิดกับคนรัก เขากล่าวอำลาผู้อาวุโสทั้งสองอีกครั้งก่อนที่จะพากันออกห้องไป




----------------------------------------------

เห้อ นึกว่าตอนนี้จะสั้น ๆ ที่ไหนได้ ยาวเฟื้อยมาอีกตอนแล้วนะคะ แหะ ๆ ถึงจะยังไม่ขยับไปไหนมาก แต่ตอนนี้เรามีของกินมาแจกค่ะ

ในช่วงต้นของตอนได้พูดถึงเส้นหมี่ Yea Yea ของร้าน Wong Chi Kei คนเขียนจำได้ว่าถ่ายรูปมันไว้แล้วแต่หารูปไม่เจอ ไว้ค่อยเอามารีวิววันหลังพร้อมกับไข่กุ้งด้วยเลยแล้วกันนะคะ แต่ถ้าใครได้มีโอกาสแวะไปที่ร้านนั้นก็ลองซื้อกลับมาชิมดูได้ค่ะ หมี่ของเขาอร่อยจริง ๆ ราคาก็ไม่ได้แพงโหดมากด้วย

ในตอนนี้พูดถึงของกินจากสองที่ ที่แรกคือมื้อเที่ยงในคลับเลาจ์ของริทซ์ มาเก๊า ก็จะไม่พูดถึงอะไรมากแล้วนะคะ ยังคงดื่มแชมเปญได้ไม่อั้นเหมือนเดิม อาหารจานเรียกน้ำย่อยกับพวกของหวานก็จะคล้าย ๆ กับของมื้อค่ำและมื้อเช้า แต่มีอาหารจานหลักเพิ่มเติมมาตามในเนื้อเรื่อง ส่วนที่ชอบที่สุดคือมีหมูแดงและหมูหันจาก Lai Heen ถึงจะไม่ได้คุณภาพดีเท่ากับที่กินในร้าน แต่ก็ยังอร่อยสุด ๆ ค่ะ (แต่ติ่มซำก็ยังคงเป็นแบบโฟรเซ่นจากซัพพลายเออร์นอกรร. เหมือนมื้อเช้าค่ะ)


ต่อด้วยห้องอาหาร Lai Heen ซึ่งได้รับ 1 ดาวมิเชแลง ตอนที่คนเขียนไปนั้น (เดือนธันวา 2561) ทางโรงแรมเพิ่งได้เชฟจากห้องอาหาร Tin Lung Heen ของโรงแรมริทซ์ คาร์ลตัน ฮ่องกงซึ่งเป็นห้องระดับ 2 ดาวมาเป็น head chef แต่ดูเหมือนจะเป็นการยืมตัวมาก่อนที่จะเปลี่ยนเชฟใหม่อีกรอบตอนช่วงต้นปีที่ผ่านมา เชฟคนปัจจุบันของห้องอาหารนี้คือเชฟ Ricky Ho ซึ่งเคยเป็นเชฟใหญ่ของห้องอาหาร Mei Jiang โรงแรมเพนินซูลาริมแม่น้ำเจ้าพระยา กรุงเทพฯ ของเรานี้เองค่ะ ฉะนั้นใครที่เคยติดใจฝีมือของเชฟริคกี้ก็ตามไปกินกันต่อได้ที่ห้อง Lai Heen นี้นะคะ

ในส่วนของอาหารนั้น บอกได้ไม่มากว่าเป็นอย่างไร เพราะได้กินแค่ติ่มซำตามที่เขียนถึงในเรื่อง แต่สิ่งที่ชอบที่สุดนอกจากทาร์ตเป๋าฮื้อแล้วก็คงจะเป็นหมูหันนั่นแหละค่ะ แต่ถ้าจะให้ไปกินอีกครั้งนี่ขอคิดก่อนเพราะราคาสูงน่ากลัวจริง ๆ เท่าที่เห็นในรีวิว + ชานั่นนี่แล้ว ราคาเท่า ๆ กับที่กินที่ไทย คือประมาณพันนิด ๆ เพียงแต่ว่าเปลี่ยนหน่วยเป็น Macau Patacas (ประมาณ 3.8 บาทต่อ 1 Patacas) แค่นั้น -_-"

สิ่งที่ชอบมากอีกอย่างในห้องอาหารนี้และคิดว่ามันสมกับเป็นห้องมีดาวมากคือการบริการค่ะ นอกจากจะคอยบริการแล้ว พนักงานประจำโต๊ะของเรายังคอยตอบคำถามและให้ความรู้เรื่องอาหารและมารยาทบนโต๊ะอาหารของคนจีนอีกหลายอย่างเลย เรื่องการใช้ตะเกียบกับการเคาะโต๊ะเพื่อขอบคุณคนเสิร์ฟชานั้นก็ได้เขาสอนมา แล้วที่ให้พนักงานอีกคนมาชงชาโชว์นี่ก็ด้วยค่ะ เธอบอกว่าเห็นเราสนใจในวัฒนธรรมการกินชาก็เลยอยากมาสาธิตให้ดู ส่วนขนมสองอย่างนั้น เธอก็ไปจัดการขอมาให้ (ไม่แน่ใจว่าปกติเขาเสิร์ฟขนมฟรีอยู่แล้วหรือเปล่า แต่คิดว่าไม่) เรียกได้ว่าประทับใจในบริการมาก ๆ ค่ะ

ห้องอาหาร Lai Heen ค่ะ http://bit.ly/2zri9yO


ส่วนเรื่องชาจะไม่ขอลงลึกอะไรแล้วนะคะ แจกลิงค์ให้ไปอ่านเล่นแล้วกันเนาะ

ชาผู่เอ๋อร์ http://bit.ly/340lvaa

การชงชาผู่เอ๋อร์ http://bit.ly/2ZEpI4c

ชาอู่หลง http://bit.ly/2zlQ63Z

ชา Lapsang Souchong http://bit.ly/2PhA1XF

ชาหลงจิ่ง http://bit.ly/32dZwuR

คลิปชงชาที่ถ่ายมาจากห้อง Lai Heen นะคะ ตามดูได้จากในเพจของคนเขียนค่ะ

http://bit.ly/2ZxraAY


ตอนหน้าจะพยายามมาให้เร็วกว่านี้นะคะ ตอนนี้ต่อนยอนเกินไปจริง ๆ ฮืออออ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :L1:


 :hao6:

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- "หรือว่าอาปา...?" ----

 


“ฆาบี้ครับ”

“หืมม์ ยังไม่หลับอีก?”

ฆาเบียร์หันไปถามคนที่นั่งหลับตาอิงแอบกายเขา พวกเขาเพิ่งขึ้นเรือเฟอรี่เพื่อกลับสู่ฮ่องกง

“กินยาเข้าไปแล้วนี่ นอนเถอะ เดี๋ยวก็เมาเรือหรอก”

คนตัวโตขยับเก้าอี้ของเขาให้เอนนอนลงเพื่อที่เจจะได้พิงกายเข้ากับเขาง่ายขึ้น

“เดี๋ยวค่อยนอนครับ แต่ตอนนี้มีเรื่องอยากคุยมากกว่า”

เจนยุทธหัวเราะแหะ ๆ เขาลืมตาขึ้นจ้องมองคนรักของเขาเป๋ง

“เอ้า ว่าไง จะคุยอะไร หืมม์?”

“แหะ ๆ ถ้าพูดแล้วคุณอย่าโกรธผมนะ”

เจนยุทธยิ้มเจื่อน ๆ ฆาเบียร์ขมวดคิ้ว เจพูดแบบนี้ทีไรก็มักมีเรื่องให้เขาได้ปวดหัวตลอด

 


“...ก็ เอ่อ เรื่องอาปาอ่ะ”

เจอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบเมื่อคนรักถามว่าเขาต้องการคุยเรื่องอะไร

“อาปาทำไมเหรอ?”

เจนยุทธถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ก็อาปากับลุงเดวิดอ่ะ คุณว่าท่าทางของสองคนนั้นดูแปลก ๆ ไหมอ่ะ ยิ่งตอนก่อนพวกเราออกมายิ่งดูแปลก ๆ เข้าไปใหญ่ เหมือน เอ่อ เหมือน...”

เจพูดสิ่่งที่คาใจเขาออกมาชุดใหญ่

“อ๋อ ฮ่ะ ๆๆ ฉันนึกว่าเรื่องอะไร ที่แท้เรื่องนี้นี่เอง...”

คนตัวโตหัวเราะออกมาเบา ๆ เจนยุทธเลิกคิ้ว

“เอ๋ คุณรู้เหรอ? แล้วตกลงเรื่องมันเป็นอะไร ยังไง? อาปากับลุงเดวิด เอ่อ เป็น เป็น?”

คนตัวเล็กพูดตะกุกตะกัก จากสิ่งที่เขาเห็นตอนก่อนกลับ ท่าทางของคนทั้งคู่ดูแปลกไปไม่เหมือนเมื่อวาน

“ก็เป็นเพื่อนกันนั่นแหละจ้ะ อย่างน้อยในตอนนี้นะ”

คนตัวโตพูดยิ้ม ๆ เจเกาหัวแกรก ๆ

“จะเล่าก็เล่าให้สุดสิครับ คุณมาติเนซ มัวแต่อมพะนำอยู่ได้”

เจลุกขึ้นนั่งตัวตรงและจ้องตาคนรักเขม็ง

“โอเค ๆ เล่าแล้ว ๆ แต่จะบอกก่อนว่าที่ฉันพูดเนี่ย ไม่ใช่ว่าฉันรู้อะไรมาแน่นอนนะ แต่มันเป็นการคาดเดาที่ได้มาจากการสังเกตของฉัน”

“โอ๊ย ฆาบี้ ผมไว้ใจในสกิลเผือกของคุณครับ ฉะนั้น รู้อะไรมา ก็เล่ามาให้หมด”

เจซึ่งรู้ดีว่าคนรักของตนนั้นมีความอยากรู้อยากเห็นในเรื่องของคนอื่นแค่ไหนพูดยิ้ม ๆ ฆาเบียร์โคลงหัวน้อย ๆ ให้กับความกระตือรือร้นของเจ้าตัวดีของเขา

 

“เจสงสัยว่าอาปากับลุงเดวิดเป็นคู่รักกันใช่ไหม?”

คนตัวโตย้อนถามคนรัก เจกัดริมฝีปากน้อย ๆ แล้วพยักหน้า

“เท่าที่รู้ ไม่ใช่จ้ะ...”

"โอเค ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ผมคงคิดมากไปเอง"

เจพยักหน้าหงึกหงัก หากฆาเบียร์ยิ้มกริ่ม

“แต่ในอนาคตนี่ ไม่รู้นะ...”

“ฮ้า อะไร? ยังไง? งั้นแปลว่าอาปาเป็น เอ่อ เป็น...”

เจทำตาโตด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“เป็นเกย์เหรอ? นั่นสินะ..."

ฆาเบียร์ถอนหายใจ

"ฉันก็คงพูดเต็มปากไม่ได้หรอก เจนยุทธ เพราะตั้งแต่เล็กจนโต ฉันก็เคยไม่เห็นอาปามีใครทั้งนั้น ไม่ว่าจะผู้ชายหรือผู้หญิง”

ฆาเบียร์ยิ้มเศร้า ๆ เขารู้สาเหตุดีว่าเพราะเหตุใด

"ฮึ่ย? จริงอ่ะ?!"

เจนยุทธทำท่าประหลาดใจอีกครั้ง เขาอึกอักก่อนที่จะถามสิ่งที่อยู่ในใจออกไป

 

"ผมก็ว่าจะถามคุณนานละครับ ฆาบี้ ว่าอาปาไม่มีแฟน มีกิ๊ก หรืออะไรงี้เลยเหรอ?"

เจถาม เขาสงสัยมานานแล้วว่าคนที่มีพร้อมทั้งฐานะ หน้าที่การงานแถมหน้าตาก็ยังดูดีไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ทั้งที่อายุเกิน 60 ปีแล้วอย่างคริสนั้น ทำไมจึงไม่มีคู่ควงสักคนสองคนให้เห็นเลยสักนิด

"ไม่มีเลย เจ อย่างน้อยก็เท่าที่ฉันรู้นะ"

ฆาเบียร์ขบริมฝีปากน้อย ๆ คริสไม่เคยแสดงท่าทีสนใจใครให้เขาเห็นเลยสักครั้งแม้กระทั่งหลังจากพ่อของเขาจากไปแล้ว อาปาของเขาก็ยังคงทำตัวเหมือนนักบวชหรือนักพรต เขาไม่เคยมีข่าวกับใครไม่ว่าจะเป็นเพศตรงข้ามหรือเพศเดียวกัน ไม่เคยไปเดท ไม่มีแม้กระทั่งการที่จะแสดงความสนใจเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ เลยสักนิด ยิ่งพออายุมากขึ้น เขาก็เหมือนจะตัดตัวเองออกจากเรื่องนี้โดยสมบูรณ์แบบ

"อย่างตอนหนุ่ม ๆ อาปาก็มีออกไปเที่ยวสังสรรค์บ้าง แต่โดยมากก็ไปกับกลุ่มเพื่อน ดื่มแล้วก็กลับบ้าน ไม่เคยค้างนอกบ้าน ถ้าจะมีไปกินข้าวข้างนอกก็ไปกับฉัน กับพ่อแม่ฉัน กับเพื่อน กับลูกค้า"

คนตัวโตนึกย้อนไปถึงตอนเขายังเป็นเด็ก คริสใช้ชีวิตของเขาโดยมีครอบครัวมาร์ติเนซเป็นศูนย์กลาง ชีวิตเขาเหมือนไม่ต้องการความรักจากใครอื่นนอกจากคนสำคัญในชีวิตเขาทั้งสามคน

"ส่วนที่เจถามว่าอาปาเป็นเกย์ไหมน่ะ...อันนี้ฉันก็ไม่รู้ แต่พ่อฉันเคยบอกว่าอาปายอมรับกับพ่อเองว่าอาปาเป็นเกย์"

ฆาเบียร์เล่าเหตุการณ์ตอนที่เขาสารภาพกับครอบครัวว่าตัวเขาเป็นเกย์ ในตอนแรกพ่อของเขานั้นรับไม่ได้จนกระทั่งคริสตามออกไปคุยกับเขาที่นอกบ้าน

"อาปาบอกพ่อของฉันว่าอาปาเป็นเกย์ แต่ไม่ได้มีแฟนเป็นตัวเป็นตน และออกไปหาผู้ชายบ้างนาน ๆ ที เพื่อปลดปล่อย แต่เจจ๊ะ ฉันไม่คิดว่าอาปาพูดจริงเรื่องนี้นะ..."

 

"เล่าต่อ ๆ ให้ไวครับ"

เจนยุทธเร่งยิกเมื่อเมียตัวโตของเขาแกล้งหยุดเล่าเพื่อยกเครื่องดื่มของเขาขึ้นจิบ ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ

"ไม่เมาเรือแล้วเหรอ?"

"ไม่เมาสักนิดเลยครับ"

เจตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

"...ที่ทำให้ฉันคิดว่าอาปาพูดไม่จริงเพราะ เอ่อ..."

ฆาเบียร์หน้าแดงน้อย ๆ เมื่อพูดถึงเรื่องในอดีตสมัยเขายังเป็นวัยรุ่น

"...ตอนฉันเริ่มคบอเล็กซ์ แล้วตัดสินใจว่าเราจะมี เอ่อ มีครั้งแรกกัน ฉันก็ต้อง ต้องหาข้อมูลหน่อยว่าต้องทำยังไง..."

คนตัวโตเหลือบมองคนรักด้วยท่าทีเกรงใจ หากเจก็ไม่ได้มีอาการขัดเคืองอันใด แถมยังเร่งให้คนตัวโตเล่าต่อไว ๆ

"ยุคนั้น ตอนฉันอายุ 17 น่ะ มันไม่ใช่จะหาข้อมูลง่าย ๆ ในเน็ตได้เหมือนสมัยนี้ แล้วฉันจะไปถามใครได้นอกจากคนใกล้ตัวที่ฉันคิดว่ามีประสบการณ์ตรงที่สุด..."

แต่เมื่อเขาลองถามตรง ๆ แล้ว คริสกลับอ้ำอึ้งให้คำตอบเขาไม่ได้และบอกให้เขาไปถามเพื่อน ๆ วัยรุ่นด้วยกันดีกว่า

"ตอนนั้นฉันก็คิดว่าอาปาอาจจะเขินตามประสาคนเอเชียที่ไม่ได้เปิดเผยเรื่องชีวิตเซ็กส์กับคนในบ้านเท่าชาวตะวันตก แต่พอมานึก ๆ ดูตอนนี้แล้ว ที่อาปาพูดกับพ่อฉันไปว่าเป็นเกย์และไปมีอะไรกับผู้ชายบ้างนั้น อาจจะโกหกก็ได้"

"โกหก เพราะว่าอยากให้พ่อคุณยอมรับคุณเหรอครับ? แล้วทำไมต้องลงทุนทำแบบนั้นด้วยล่ะ? เกิดในอนาคตอาปามีแฟนผู้หญิงไปก็โป๊ะแตกสิ"

เจนยุทธเกาหัวแกรก ๆ เขาลองคิดว่าถ้าเขาตกอยู่ในที่นั่งเดียวกับคริส เขาคงไม่คิดจะไปบอกใครว่าตัวเองเป็นเกย์ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็น

 

"หรืออาปาจะชอบผู้ชายจริง ๆ หว่า? อุ่ย ขอโทษครับ"

เจพึมพำออกมา เขาหันไปหัวเราะแหะ ๆ แล้วหันไปขอโทษขอโพยคนรัก

"ไม่ต้องขอโทษหรอก ฉันก็คิดเหมือนเจนั่นแหละ แต่เจจ๊ะ..."

ฆาเบียร์กัดปากน้อย ๆ เขาตัดสินใจเล่าสิ่งที่อยู่ในใจตัวเองออกมา

"เท่าที่ฉันสังเกตมาหลายสิบปีนี้ อาปาไม่ได้ชอบผู้ชายที่ไหนก็ได้นะ..."

คนตัวโตยิ้มเศร้า ๆ เมื่อนึกถึงความโศกเศร้าของอาปาของเขายามที่พ่อของเขาเสียชีวิตไป

"อาปารักพ่อของฉัน"

"ห๊ะ?!"

เจร้องลั่นแล้วรีบตะครุบปากตัวเอง ฆาเบียร์จุ๊ปากเบา ๆ เจ้าตัวดีของเขานี่ช่างเก็บอาการไม่เป็นเลยจริง ๆ

"ฆาบี้ คุณมั่วแล้วอ่ะ"

เจลดเสียงลงจนเป็นเสียงกระซิบเมื่อพนักงานเดินมาเสิร์ฟอาหารให้เขา

"ไม่มั่ว! ถึงไม่เคยได้ยินจากปากอาปาเอง แต่ฉันค่อนข้างมั่นใจว่าเซนส์ของฉันไม่พลาดแน่นอน ตอนเป็นเด็กน่ะฉันไม่ชัวร์หรอก แต่พอฉันเป็นวัยรุ่นและ เอ่อ เปิดตัวแล้วน่ะ พอรู้ว่าอาปาบอกกับพ่อของฉันว่าอาปาเป็นเกย์ ฉันก็เริ่มสังเกตพฤติกรรมอาปามากขึ้น ตอนแรกก็เพราะว่าอยากรู้อยากเห็นมั้งว่าต้องทำตัวยังไง จะคบผู้ชายด้วยกันยังไง แต่สุดท้ายก็อย่างที่เห็น อาปาไม่เคยออกไปคบค้าสมาคมเชิงชู้สาวกับใครเลย..."

แต่ยิ่งสังเกต หนุ่มน้อยฆาเบียร์ก็ยิ่งเห็นอาการเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคริสซึ่งทำให้เขาสรุปได้ว่าอาปานั้นหลงรักเพื่อนรักของตนเข้าให้อย่างเต็มเปา

"อาปาจะดูมีความสุขมาก สดใสมากเวลาที่อยู่กับพ่อของฉัน บางทีก็จะมีหลุดท่าทีเขินอายออกมาบ้างเวลาที่พ่อฉันแซวเล่น หรือมีถึงเนื้อถึงตัวกัน”

อันเดรสนั้นเป็นพวกชอบกอดและถึงเนื้อถึงตัวกับคนรอบข้างตามประสาหนุ่มละติน

“พ่อฉันนี่ชอบแต๊ะอั๋งคนมากกว่าฉันเยอะ…”

ฆาเบียร์พูดยิ้ม ๆ

"โดยเฉพาะเวลาเมานะ ใครอยู่ใกล้ก็กอดคอ ก็โอบ แต่ไม่ใช่แบบชู้สาวอะไรนะ ออกแนวอยากใกล้ชิด อยากให้ความสนิทสนมอะไรแบบนี้ เจพอจะนึกออกไหม?"

เจนยุทธพยักหน้า

"ประมาณไอ้ซันตอนเมาหรือเปล่าครับ? ใกล้ใครก็เลื้อยก็ซบไปหมด"

คนตัวโตอมยิ้มเมื่อนึกถึงเพื่อนตัวกลมของเจ ด้วยนิสัยนี้ ปรินซ์จึงมักต้องนั่งประกบเพื่อนสนิทของเขาไว้ตลอดเวลายามที่พวกเขาออกไปดื่มกัน

"ก็แบบนั้นแหละจ้ะ นพมันยังเคยโดนฤทธิ์ปาปี๊ของฉันเลย"

ฆาเบียร์หัวเราะหึ ๆ นพเจอพ่อของเขาครั้งแรกตอนวันงานขอบคุณพระเจ้าที่บ้าน หลังจากหมดไวน์ไปสองสามขวด พ่อของเขาก็เริ่มเฮฮา เขาเข้ามากอดรูมเมทจากเมืองไทยของลูกชายแถมยังหอมซ้ายหอมขวา แล้วกล่าวขอบอกขอบใจเสียยกใหญ่ที่ยอมมาสนิทสนมเป็นเพื่อนกับฆาเบียร์ เขาต้องรีบลากนพออกจากพ่อของเขาก่อนที่พ่อจะเริ่มพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องออกมา

 

"หึ หวงล่ะสิ"

เจนยุทธแกล้งพ่นลมหายใจออกจากจมูกอย่างไม่สบอารมณ์

"ใช่ หวง"

ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ เมื่อถูกคนรักถลึงตาใส่ เจนยุทธแลบลิ้นให้คนขี้แกลัง เขาอุทานออกมาเบา ๆ เมื่อโดนคนตัวโตดึงแก้มด้วยความเอ็นดูอีกครั้ง

“แก้มคนนะ ไม่ใช่ตุ๊กตา ดึงได้ดึงดี ผมจะหน้าเหี่ยวเร็วก็เพราะคุณนี่แหละ”

เจลูบแก้มของตัวเองเบา ๆ

“กลัวหน้าเหี่ยวก็ขยันทาครีมหน่อยสิ ฉันซื้อมาให้ก็ไม่เห็นเจจะเคยทาเลย”

ฆาเบียร์โคลงหัว เขาหาครีมบำรุง 2-3 ตัวเพิ่มเติมมาให้นอกเหนือจากสกินแคร์ตัวพื้นฐานที่เจนยุทธใช้เป็นปกติอยู่แล้ว แต่เจ้าตัวดีของเขาก็ไม่เคยใช้ให้เห็นเลยสักครั้ง

“ก็อยู่กับคุณมันเคยได้มีเวลาทาที่ไหนล่ะ ตอนอยู่คนเดียวผมก็ทาอยู่หรอก”

เจบ่นอุบอิบ ฆาเบียร์ยิ้มกริ่มด้วยเข้าใจความหมายแฝงของคนตัวเล็ก

“ไม่ต้องห่วงจ้ะ เดี๋ยวคืนนี้ฉันจะทาครีมให้เจก่อนนอนเอง ครีมสูตรพิเศษ รับรองใช้แล้วหน้าใส”

“เอ๊ะ คุณนี่ไม่ต้องมาทำทะลึ่งเลย มา เล่าต่อครับ”

เจแยกเขี้ยวพลางปัดมือคนรักที่ไล้เบา ๆ บนใบหน้าเขา ฆาเบียร์ยิ้มกรุ้มกริ่มให้คนรัก ก่อนที่จะปรับเก้าอี้ให้ตั้งตรงตามเจนยุทธซึ่งเริ่มลงมือกินอาหารจานร้อนที่มีให้บริการบนเรือ Turbojet ชั้น พรีเมียร์ แกรนด์ คลาส

 

“แล้วเรื่องอาปา เอ่อ รักพ่อของคุณนี่ พ่อของคุณรู้ตัวไหมอ่ะ?”

เจนยุทธถามเสียงอ่อย ๆ

“โอ๊ย พ่อของฉันความรู้สึกช้าจะตาย ไม่รู้หรอกรายนั้น”

ฆาเบียร์ยิ้มบาง ๆ เจพยักหน้ารับคำพลางใช้ส้อมม้วนพาสตาที่เสิร์ฟมาพร้อมหมูอบหน้าตาน่ากินเข้าปาก หากเขาก็ต้องแทบสำลักเมื่อได้ยินประโยคถัดไปจากปากของคนตัวโต

“แต่ฉันคิดว่าแม่ฉันรู้ น่าจะรู้มานานแล้วด้วย”

“ตายห่าน!!”

เจนยุทธหลุดปากอุทานออกมาเป็นภาษาไทย

“ได้ไงอ่ะ? เอ่อ แล้วแม่คุณโอเคเหรอครับ? แล้ว แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าแม่ของคุณรู้น่ะ”

เจถามตะกุกตะกัก

“นั่นสินะ...”

คนตัวโตทำท่าครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ในอดีต

“...ฉันเคยเล่าให้เจฟังแล้วใช่ไหมว่า นอกจากจะสนิทกับพ่อของฉันแล้ว อาปาเองก็เป็นเพื่อนสนิทของแม่ของฉันด้วย จะว่าไปเวลาอยู่ที่บ้าน สองคนนี้จะตัวติดกันมากกว่ากับพ่อของฉันอีก”

แม้จะเรียนด้านคอมพิวเตอร์มาเหมือนกัน แต่เมื่อถึงเวลาทำงานจริง คริสนั้นรับงานด้านบริหาร ส่วนคนที่เป็นฝ่ายดูแลด้านเทคนิคก็คืออันเดรส ฉะนั้นยามเว็บไซต์ของเขาเริ่มให้บริการในช่วงแรก ๆ และยังต้องมีการปรับปรุง อันเดรสจึงมักกลับบ้านดึกดื่นหรืออาจต้องค้างที่ทำงาน ในช่วงนั้น คนเดียวที่เขาวางใจพอให้ช่วยดูแลเมียและลูกที่ยังเล็กก็คือคริส

“ตั้งแต่ฉันยังเด็ก บางทีเย็น ๆ มา ถ้าพ่อไม่อยู่และอาปาเลิกงานกลับจากออฟฟิศเร็ว อาปาก็จะมาขลุกอยู่ที่บ้านฉัน มาช่วยแม่ทำงานบ้านบ้าง ทำอะไรง่าย ๆ กินกันบ้าง สอนฉันเล่นดนตรีหรือทำการบ้าน หรือไม่ก็ไปซื้อของ เลยทำให้ทั้งคู่สนิทกันมากและคุยกันได้ทุกเรื่อง...”

คนตัวโตยิ้มบาง ๆ บางทีพ่อของเขาก็เคยแกล้งบ่นว่าเวลาอยู่กันสามคน บางทีตัวเขากลับรู้สึกเป็นส่วนเกิน

“...ฉะนั้น ถ้าอย่างฉันยังดูท่าทีของอาปาออก แม่ของฉันมีเหรอที่จะสังเกตไม่เห็นบ้าง อันที่จริง ฉันยิ่งรู้สึกว่าที่แม่พยายามให้อาปาเข้ามาอยู่ในชีวิตของพวกเรามาก ๆ ก็เพราะว่ารู้เรื่องนี้นั่นแหละ”

เจอุทานออกมาเบา ๆ อย่างประหลาดใจ ฆาเบียร์นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในอดีต

 

“อย่างตอนที่ฉันไปเรียนที่มินเนโซตา อันที่จริงแม่ไม่จำเป็นต้องย้ายไปอยู่เฝ้าฉันถึง 4 ปีเลยด้วยซ้ำ เพราะว่ายังไงฉันก็ไม่ได้อยู่บ้านกับแม่อยู่แล้ว...”

แม่ของเขาอาศัยอยู่ในบ้านเช่าในเมืองมินเนอาโปลิสใกล้มหาวิทยาลัยที่เธอย้ายไปสอน ส่วนเขานั้นอยู่ที่หอของวิทยาลัยซึ่งอยู่ห่างไป 70 กิโลเมตร

“...พวกเราเจอกันแค่ช่วงสุดสัปดาห์เท่านั้น แล้วพอพ้นปีแรกไป ฉันก็ปรับตัวเข้ากับชีวิตนักศึกษาได้แล้วก็หายจากไอ้เจ้าอาการซึมเศร้า ฉันก็เคยบอกแม่แล้วว่าให้แม่กลับไปอยู่บ้าน แต่แม่ก็อ้างว่าเซ็นสัญญาสอนกับที่นี่ไว้ 4 ปีแล้ว...”

อีกสิ่งหนึ่งที่เขาจำได้แม่นคือ แม่ของเขาหัวเราะเบา ๆ แล้วบอกว่า ‘พวกหนุ่ม ๆ เขาจะได้มีเวลาส่วนตัวกันบ้าง’

“ในตอนแรกฉันนึกว่าแม่หมายถึงจะปล่อยให้พ่อได้ใช้ชีวิตแบบหนุ่มโสดโดยไม่ต้องมีเมียอยู่คุมบ้าง แต่เมื่อนึกไปนึกมา แม่อาจจะอยากปล่อยให้อาปาได้ใช้เวลากับพ่อโดยที่ไม่ต้องมานั่งเกรงใจแม่บ้างก็ได้”

คาตาลิน่าขอร้องแกมบังคับให้คริสช่วยย้ายมานอนที่บ้านของเธอแทนโดยอ้างว่าเธอกลัวว่าอันเดรสจะไปหมกตัวอยู่ที่ทำงานถ้าไม่มีใครคอยตามเขากลับบ้าน

“เอ้า นี่ เอาของฉันไปกินด้วย”

ฆาเบียร์ส่งถาดใส่สเต๊กปลาแซลมอนของเขาให้เจนยุทธ เขากินไปเพียงนิดเดียวก็ต้องยอมแพ้เพราะยังตื้อมาจากมื้อกลางวัน เจรับไปด้วยท่าทางมีความสุขและลงมือกินพร้อมกับฟังคนรักเล่าต่อ

“พอฉันเรียนจบแล้วกลับมาบ้าน แม่ฉันก็พยายามชวนอาปาที่ช่วงที่แล้วมานอนค้างที่บ้านฉันสัปดาห์ละ 3-4 วันอยู่แล้วให้ย้ายมาอยู่ด้วยกันเลย ตัวพ่อฉันก็เห็นด้วย แต่อาปาก็ไม่ยอม แถมไม่ยอมมาค้างอีก เล่นเอาแม่ฉันงอนไปพักใหญ่เลย”

คริสซึ่งบ้านอยู่ตรงข้ามกับบ้านของครอบครัวมาร์ติเนซอยู่แล้วให้เหตุผลกับอันเดรสว่าทุกวันนี้เขาก็ใช้ชีวิตนอกเหนือจากเวลานอนกับเวลาทำงานอยู่ที่บ้านนี้อยู่แล้ว

 

“นั่นแหละ ฉันถึงบอกว่าแม่ของฉันน่ะไม่รังเกียจที่อาปารักพ่อของฉันหรอก เหมือนจะยิ่งชอบใจด้วยซ้ำที่มีอาปาอยู่ด้วย”

คนตัวโตพูดยิ้ม ๆ แทนที่จะรังเกียจเขารู้สึกว่าแม่ของเขากลับให้เกียรติอาปาคริสมากในการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวพ่อของเขา

“แม่คุณนี่เจ๋งไปเลย ถ้าได้คุยด้วยคงสนุกดีเนาะ”

เจนยุทธหลุดปากพูดออกมาแล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือก เขายกมือขึ้นตบปากตัวเองเบา ๆ ทันที

“เอ่อ คุณ ขอโทษครับ”

เจพูดเสียงอ่อย ๆ เมื่อเห็นคนรักมีสีหน้าที่เจื่อนลงทันที

“ไม่เป็นไรจ้ะ เอ่อ เจเอาขนมของฉันด้วยไหม?”

ฆาเบียร์ฝืนยิ้ม เขาส่งช็อคโกแลตมูสถ้วยน้อยของเขาให้คนรัก เจรับมาแล้วตักขึ้นกินอย่างไม่ค่อยรู้รสอะไร เขาเผลอพูดสิ่งที่อาจจะทำให้คนรักได้เสียใจออกไปอีกครั้ง

“ฉันไม่เป็นไร จริง ๆ นะ ไม่ต้องห่วงหรอก”

คนตัวโตซึ่งสังเกตอาการของคนรักออกฉีกยิ้มกว้าง เขาปรับเบาะเอนลงเล็กน้อยอีกครั้งเมื่อเห็นเจกินขนมของเขาหมดเกลี้ยงแล้ว จากนั้นดึงคนรักให้ลงมาอิงแอบแนบอก

“เราคุยเรื่องอาปาเสร็จแล้ว นายมีคำถามอะไรอีกไหม?”

“สรุปว่าอาปาก็ไม่เคยมีแฟนผู้ชายมาก่อน และรักแค่พ่อของคุณ?”

เจถามย้ำอีกรอบ ฆาเบียร์พยักหน้า เจขมวดคิ้ว



“แล้วลุงเดวิดล่ะครับ? ลุงเขาก็เคยมีเมีย มีลูกไม่ใช่เหรอ?”

ฆาเบียร์หลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ

“นี่เป็นคำถามที่นายไม่น่าถามเลยนะ เจนยุทธ”

คนตัวโตพูดยิ้ม ๆ

“นายเองก็มีผู้หญิงมานับไม่ถ้วนไม่ใช่เหรอ? หืมม์?”

ฆาเบียร์ตบแก้มคนรักเบา ๆ เจอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเผยอยิ้มออกมา ใช่แล้ว เขาควรจะรู้ดีที่สุดว่าเมื่อเป็นเรื่องของหัวใจ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพศ อายุ หรือรูปลักษณ์ใด ๆ

“นั่นสิเนาะ ผมก็ถามออกมาได้”

เจนยุทธซบหน้าลงกับไหล่กว้างของคนที่ทำให้เขาก้าวข้ามข้อจำกัดต่าง ๆ มาได้

“อาปาของผมแสนจะประเสริฐขนาดนี้ ลุงเดวิดจะอดรักไม่ได้ก็ไม่แปลกหรอกเนาะ”

เจพูดยิ้ม ๆ แล้วก็ต้องหุบยิ้ม เขาหลับตานิ่งและรีบล้วงยาดมขึ้นมาสูดดม คนตัวโตยกแขนขึ้นโอบไหล่คนรักที่เริ่มจะดูมีอาการเมาเรือขึ้นมาบ้างแล้วอย่างทะนุถนอม ดีที่เก้าอี้ด้านหลังของพวกเขาไม่มีคนนั่ง เขาจึงปรับเบาะเจให้เอนลงอีกนิดได้

“นอนเถอะ เจ เดี๋ยวก็เมาเรือหรอก”

ฆาเบียร์บ่นเบา ๆ หากเจก็ยังมีท่าทีว่าจะไม่หลับง่าย ๆ

“อีกไม่นานก็จะถึงแล้วครับ หลับไปก็เท่านั้น ผมนั่งหลับตานิ่ง ๆ แล้วฟังคุณก็ได้”

เจนยุทธพูด เมื่อครู่เขาทั้งกินและคุยจนเวลาผ่านไปเกือบครึ่งของการเดินทาง ฆาเบียร์พยักหน้ารับคำแล้วจึงเล่าต่อไป

 

“ลุงเดวิดน่าจะรักชอบอาปามาตั้งแต่สมัยเรียนแล้วล่ะ”

“หืมม์? ทำไมคุณถึงคิดอย่างนั้นล่ะ?”

เจนยุทธถาม

“อย่างแรก ฉันสังเกตจากท่าทางของลุงหลงที่ดูจะไม่แปลกใจกับท่าทีของอาปากับลุงเดวิดวันนี้เท่าไหร่ แถมยังพูดแซวอีก แปลว่าลุงแกน่าจะระแคะระคายเรื่องนี้มานานแล้ว ฉันก็เลยเดาว่าน่าจะเป็นเรื่องในอดีต”

“อืมม์ คุณนี่ก็เดาเก่งจริง ฆาบี้...”

เจหัวเราะคิกแล้วนึกย้อนไปถึงท่าทางของอู่ทินหลงก่อนหน้าที่พวกเขาจะออกจากโรงแรมมา

“...แต่ผมว่ามันฟังดูมั่วซั่วไปหน่อยนา”

“อ้าว มันไม่ใช่แค่นั้นสิ ฉันยังมีหลักฐานอื่นประกอบอีกนะ”

คนตัวโตพูดยิ้ม ๆ พลางขยับตัวให้คนรักอิงแอบเขาได้ถนัดขึ้น คนที่เพลินจนลืมเมาเรือไปแล้วเบิกตากว้าง

“หูย นี่ถึงขั้นว่ามีหลักฐานเลยเหรอ? อะไรครับ?”

“จดหมายจ้ะ”

“หืมม์? จดหมายอะไร?”

เจขมวดคิ้ว ฆาเบียร์ยิ้มน้อย ๆ

 

“เจจำที่ฉันเล่าให้ฟังได้ไหมว่าอาปาเคยเอาจดหมายที่ลุงเดวิดเขียนบ่นลุงหลงมาให้ฉันอ่าน...”

“จำได้ ๆ แล้วไงต่อ?”

เจนยุทธทำตาแป๋วฟังคนรักเล่า

“ตอนอาปาเอามาให้ฉันอ่าน อาปาอาจจะลืมไปว่าในนั้นมันไม่ได้มีแค่เรื่องบ่นลุงหลงสิ...”

คนตัวโตหัวเราะเบา ๆ ระหว่างที่คริสส่งจดหมายซึ่งเขียนด้วยภาษาจีนฉบับนั้นให้เขาอ่าน โทรศัพท์มือถือของเขาที่วางไว้อีกห้องหนึ่งก็ดังขึ้น ระหว่างที่อาปาของเขาออกไปรับโทรศัพท์ ฆาเบียร์ซึ่งอยู่ว่าง ๆ ก็นั่งอ่านจดหมายฉบับนั้นเล่นไป เขาสะดุดใจเข้ากับเนื้อหาที่แสดงถึงความห่วงหาอาทร มันมีบางอย่างซึ่งสะกิดใจเขาว่าคนที่เขียนจดหมายนั้นอาจคิดอะไรกับคริสมากกว่าเพื่อน

“จดหมายฉบับที่อาปาให้ฉันอ่านนี่เขียนตัวหนังสือละเอียดยิบแล้วก็ยาวสี่ห้าแผ่น ในขณะที่จดหมายของคนอื่นที่เขียนมานี่ก็มีแค่แผ่นสองแผ่น แถมจากในกล่องที่อาปาใช้เก็บจดหมาย ในนั้นก็มีจดหมายจากลุงเดวิดอยู่เยอะเลยทีเดียว”

แม้เดวิดจะหยุดส่งจดหมายหาคริสหลังจากปี 1984 ซึ่งเป็นปีที่เขาหนีออกจากฮ่องกงไป แต่จำนวนจดหมายในกล่องนั้นก็น้อยกว่าจดหมายจากพวกอาหลงซึ่งเขียนหาคริสมาตลอดจนกระทั่งเปลี่ยนไปใช้อีเมล์ไม่เท่าไหร่นัก

“แล้วคุณก็ไปแอบอ่านจดหมายของอาปาจนหมดเนี่ยนะ? ให้ตายสิ คุณมาร์ติเนซ ผมงี้ยอมรับสกิลเผือกของคุณจริง ๆ เลย”

เจพูดกลั้วหัวเราะแล้วใช้มือตบแก้มของคนรักเบา ๆ ฆาเบียร์หน้าแดงซ่านขึ้นแล้วรีบปฏิเสธ

“ไม่ใช่ซักหน่อย ฉันอ่านแค่ในฉบับที่อาปาส่งให้อ่าน ที่เหลือฉันแค่พลิก ๆ ดูชื่อคนส่งแค่นั้นเอง”

คนตัวโตอ้อมแอ้มตอบ

“โธ่เอ๊ย แล้วทำมาเป็นบอกผมว่ามีหลักฐาน ก็แค่เดาเอาล่ะว้า”

เจนยุทธแกล้งจิ๊ปากเบา ๆ แล้วกระเซ้าคนรักของเขาอีกครั้ง

“ไม่เชื่อก็ตามใจ ฉันรู้สึกแล้วกันว่าฉันคิดถูก”

คนตัวโตสะบัดเสียงเบา ๆ อย่างไม่สบอารมณ์น้อย ๆ

 

“อ่ะ คุณครับ อย่าพึ่งงอนสิ”

เจนยุทธลูบแก้มคนรักที่เริ่มมีเคราขึ้นน้อย ๆ อย่างเอาใจ เขาจุ๊บเบา ๆ ที่ปลายคางของคนทีแกล้งทำเป็นหงุดหงิด

“ผมล้อเล่นน่า คุณว่าไงผมก็ว่าตามนั้นแหละ ผมก็คิดแหละว่าถ้าอาปากับลุงเดวิดมาชอบพอกันจริง ๆ มันก็ไม่น่าใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดมา 2-3 ปีนี้แน่ ๆ”

“อืมม์ เวลาจะเจอกันยังแทบไม่มี นี่ไม่นับว่าลุงเดวิดแกพยายามเลี่ยงจะติดต่อกับอาปาจะตาย คิดว่าคงกลัวว่าจะลากอาปาเข้ามาในวังวนของตัวเองด้วย...”

ฆาเบียร์ทอดเสียงแผ่วเบา เจชะงักทันที

“เออ ใช่ ผมลืมไปเลยว่าลุงเขาเป็นใคร...”

เจนยุทธพูดด้วยน้ำเสียงกังวลทันที

“คุณครับ ถ้าอาปากับลุงเดวิดคบหากันจริง ๆ แล้วจะเป็นยังไงต่อล่ะ? คุณ เอ่อ คุณไม่ห่วงมั่งเหรอ?”

ฆาเบียร์ลูบหัวคนรักในอ้อมอกที่มีสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยอาปาของเขา

“ก็ห่วง แต่ฉันก็เชื่อใจลุงเดวิดว่าลุงจะไม่ทำให้อาปาต้องเดือดร้อนแน่นอน อีกอย่าง ตัวลุงเขาก็ให้คำมั่นกับฉันแล้ว”

คนตัวโตพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขาถ่ายทอดประโยคสุดท้ายของจิวจี๋โหล่วพูดกับเขาเป็นภาษากวางตุ้งให้เจฟัง คนตัวเล็กอุทานออกมาเบา ๆ แล้วพยักหน้ารับคำ คำสัญญาจากปากคนในโลกใต้ดินอย่างเดวิดนั้นฟังดูน่าเชื่อถือจนทำให้เขาคลายความกังวลลงไปได้มาก

 

“สำหรับฉันแล้ว ถ้าอาปามีความสุข ฉันก็มีความสุขตามไปด้วย ฉะนั้นลุงเดวิดสามารถทำให้อาปามีความสุขได้ ฉันก็พร้อมที่จะสนับสนุนทั้งสองคนนั้นนะ”

“จริงของคุณครับ สุดท้าย มันก็เป็นเรื่องของอาปากับลุงเดวิดเขา พวกเรามีหน้าที่แค่เป็นคนให้กำลังใจและคอยสนับสนุนอยู่ข้าง ๆ...”

เจนยุทธหันมายิ้มหวานให้คนรัก

“...ฉะนั้น เราก็ควรเลิกเม้าอาปากันได้แล้วครับ ฆาบี้”

“เฮ้ เจนยุทธ ใครเป็นคนเริ่มก่อนกันแน่”

คนตัวโตใช้ข้อนิ้วเคาะหน้าผากเจ้าตัวดีที่พยายามปั้นหน้าดุเขาเหมือนผู้ใหญ่ดุเด็กเบา ๆ เจร้องโอดโอยเบา ๆ แล้วลูบหน้าผากอย่างสำออย

“นายนี่มันเหลือเกินจริง ๆ นะ หืมม์?”

ฆาเบียร์โคลงหัวน้อย ๆ เจหันมาแลบลิ้นให้กับคนรักอย่างยั่วเย้า หนุ่มละตินกัดริมฝีปากน้อย ๆ เขามองซ้ายมองขวา เมื่อดูแน่ชัดแล้วว่าคนรอบข้างที่นั่งกระจายกันอยู่ห่าง ๆ ไม่ได้สนใจพวกเขา เขาจึงก้มหน้าลงเพื่อลิ้มรสริมฝีปากแสนหวานของคนรัก เจสะดุ้งน้อย ๆ ในตอนแรก แต่ก็ตอบสนองอย่างอ่อนโยน ทั้งคู่แลกจุมพิตอันอ่อนหวานกันครู่หนึ่งก่อนที่จะผละจากกัน

“แกล้งผมอีกแล้วนะ ฆาบี้”

เจซบหน้าแดงระเรื่อของตนไปบนไหล่กว้างของคนรัก ฆาเบียร์ขยับแขนขึ้นโอบรอบไหล่ของคนตัวเล็กเพื่อให้เจ้าตัวได้เอนนอนสบาย ๆ

“อีกแป๊บนึงน่าจะถึงฝั่งแล้ว ระหว่างนี้เจก็พักไปก่อนแล้วกันนะ เดี๋ยวถึงแล้วฉันจะเรียกอีกที”

คนตัวโตพูดกับคนในอ้อมอกเบา ๆ เจนยุทธพยักหน้าพร้อมกับหาวน้อย ๆ ต่อให้เหลือเวลาอีกไม่ถึง 20 นาที แต่เขาก็กำลังรู้สึกง่วงเหลือทนเพราะฤทธิ์ยาแก้เมาเรือ เจปิดตาลงแล้วหลับไปในเวลาไม่ช้า

 

“ขอบคุณครับ ลุงโจว พรุ่งนี้อาปาน่าจะติดต่อลุงหรือไม่ก็เควินเพื่อนัดเวลาให้ไปรับที่ท่าเรือนะครับ”

ฆาเบียร์ซึ่งยืนอยู่นอกรถเบนท์ลีย์ มุลซานน์ของคริสโน้มตัวลงคุยกับคนรถอาวุโสที่มาส่งเขาและเจนยุทธที่หน้าล็อบบี้ของโรงแรมริทซ์ คาร์ลตัน ฮ่องกง เขาค้อมหัวน้อย ๆ เพื่อบอกลาและเดินกลับไปหาเจนยุทธที่ยืนทำตาปรืออยู่ใกล้ ๆ

“ไป ขึ้นห้องกันเถอะ”

คนตัวโตโอบเอวคนรักที่ทำท่าจะหลับมิหลับแหล่เพราะฤทธิ์ยาแก้เมาเรือ เจหันมายิ้มหวานให้แล้วจึงเดินตามแรงรั้งของคนรักไปยังลิฟท์ที่จะพาขึ้นไปยังล็อบบี้โรงแรม

“ถึงห้องแล้วผมของีบนิดนึงนะ”

เจนยุทธพูดแล้วหาวน้อย ๆ คนตัวโตพยักหน้า คืนที่ผ่านมาทั้งเขาและเจนยุทธต่างก็นอนน้อยด้วยกันทั้งคู่ ในตอนนี้ถึงเขาจะไม่ได้กินยาแก้เมาเรือเหมือนกับคนรัก แต่ยาที่เขาต้องกินเป็นปกติอยู่แล้วทุกวันนั้นก็มีฤทธิ์ทำให้ง่วงซึมได้เช่นกัน

“โอย ง่วงชะมัด งั้นผมไม่อาบน้ำแล้วนะ ขอนอนเลย”

เจทุ่มตัวลงไปบนเตียงนุ่มทันทีที่กลับขึ้นมาถึงห้องพักของพวกเขา ฆาเบียร์เอากระเป๋าเสื้อผ้าของพวกเขาที่ลากมาด้วยไปวางแอบไว้ที่มุมหนึ่งของห้อง เขาเดินเข้าห้องน้ำไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อกลับมาก็เห็นเจนยุทธนำกระเป๋านั้นมากางเปิดและจัดการเก็บข้าวของ





(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2019 00:35:59 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- "หรือว่าอาปา...?" (ต่อ) ----



“ถ้าไม่รื้อตอนนี้ เดี๋ยวก็จะขี้เกียจรื้อครับ”

คนตัวเล็กที่เป็นระเบียบกว่าอย่างไม่น่าเชื่อพูดพึมพำ ถ้าเขาไม่จัดการให้ กระเป๋าใบนี้อาจจะตั้งอยู่ตรงนี้โดยไม่ถูกแตะต้องไปอีก 2 – 3 วันก็ได้

“ตื่นมาแล้วค่อยรื้อก็ได้น่า”

 คนตัวโตที่ขึ้นไปอยู่บนเตียงเรียบร้อยแล้วบ่นเบา ๆ เจปิดกระเป๋าแล้วนำกลับไปวางไว้ที่เดิม เขาจัดการเดินวนดูรอบห้องหนึ่งรอบก่อนจะเดินไปที่ริมหน้าต่างเพื่อดูแสงไฟระยิบระยับจากหมู่ตึกริมอ่าววิคตอเรียที่อยู่ห่างลงไปเบื้องล่างกว่า 400 เมตร

“ยังไม่อยากกลับเลยอ่ะ”

เจนยุทธเปรยเบา ๆ เมื่อรู้สึกถึงแผงอกอันอบอุ่นที่เข้ามาแนบชิดกับแผ่นหลังของเขา เขาลูบท่อนแขนแข็งแรงที่โอบเอวจากเบื้องหลังเบา ๆ ก่อนจะหันหน้าไปรับจุมพิตอันอ่อนโยนของคนรัก

“อยู่ต่ออีกหน่อยก็ได้นี่นา เดี๋ยวฉันให้เมลิน่าเลื่อนตั๋วให้”

ฆาเบียร์พูด เจนยุทธยิ้มบาง ๆ แล้วส่ายหน้าปฏิเสธคนที่กำลังเพลิดเพลินกับการจูบไล่ไปตามซอกคอและพวงแก้มของเขา

“พี่นพบอกมาแล้วครับว่าอีกสองสามวันนี้งานใหม่จะเข้า ผมไม่ได้เอาคอมมาด้วย ไงก็ต้องกลับไปทำที่บ้าน”

เจนยุทธหันกายกลับมายืนเผชิญหน้ากับคนรัก ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ก็ใช้ของที่สำนักงานฉันก็ได้ มีคอมตั้งหลายเครื่อง ไม่งั้นก็ซื้อโน้ตบุ๊คใหม่อีกสักเครื่องเอาไว้ใช้ตอนนายมาอยู่ที่ฮ่องกงก็ได้”

“โอ๊ย ไม่ล่ะครับ เปลืองเงินเปล่า...”

เจรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ

“...อีกอย่าง มาอยู่นี่ผมก็อยากจะมาพักผ่อนสบาย ๆ ไม่อยากหอบงานมาทำด้วยหรอก...”

คนตัวเล็กหลบสายตาคนรักที่จ้องมองมา

“...แล้วมาอยู่ที่นี่ ก็คงไม่ได้งานได้การอะไรหรอกครับ กลางวันก็ไปนั่นไปนี่ กลางคืนก็...”

เจนยุทธละไว้ในฐานที่เข้าใจ เขาซัดมือเข้าไปที่อกกว้างด้านหน้า

“ยิ้มอะไรนักหนาล่ะคุณ ปากฉีกถึงรูหูแล้ว”

คนตัวเล็กบ่นคนที่ยืนยิ้มกว้างอยู่ตรงหน้า คนตัวโตหัวเราะเบา ๆ แล้วรวบร่างเพรียวเข้ามาแนบอกแล้วหอมเรือนผมนิ่มอย่างรักใคร่

 

“เรื่องงานเจก็บอกนพไปก่อนสิว่าช่วงนี้ยังไม่ว่าง เจเลือกรับงานได้ไม่ใช่เหรอ? อยู่กับฉันอีกนิดนึงเถอะนะ ถ้าห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย เดี๋ยวฉันจะเป็นคนจัดการให้เอง”

ฆาเบียร์พยายามอ้อนคนรัก แต่เจนยุทธก็ส่ายหัวดิกและดันตัวออกจากอ้อมอกของเมียตัวโตของเขา

“อยู่กับคุณนาน ๆ แล้วผมเสียนิสัยหมดครับ ส่วนเรื่องงาน ยังไงผมก็ต้องทำ ผมรับปากพี่เขาไปแล้ว ต่อให้มันเป็นแค่งานฟรีแลนซ์ก็เถอะ ผมก็ต้องมีความรับผิดชอบ อีกอย่าง เงินมันไม่ได้งอกมาเองนะครับ คุณมาร์ติเนซ จะให้มานั่ง ๆ นอน ๆ ให้คุณเลี้ยง ผมทำไม่ได้”

เจพูดด้วยน้ำเสียงที่กระด้างขึ้นเล็กน้อยจนคนตัวโตรู้สึกได้  ฆาเบียร์ลอบถอนหายใจ ดูเหมือนว่าเขาจะเผลอตัวแตะในสิ่งที่เจไม่ชอบให้แตะเข้าอีกแล้ว เขาเข้าลูบแขนลูบไหล่คนรักด้วยท่าทางเอาออกเอาใจ

“จ้ะ ๆๆ ฉันก็ถามไปงั้นแหละ เผื่อจะฟลุ้ค ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร”

เจมองคนที่ทำหน้าจ๋อยอยู่ตรงหน้าแล้วตัดสินใจข่มความรู้สึกไม่พอใจลงด้วยรู้ว่าคนรักไม่ได้ตั้งใจ

“เอางี้ไหมครับ? ไว้คราวหน้าถ้าผมเคลียร์งาน นั่นนี่อะไรได้แล้ว ผมจะมาอยู่กับคุณให้นานขึ้นกว่านี้ ดีไหม? สัก 10 วัน อะไรแบบนี้ หรือเอาซัก 20 วันดี?”

เจนยุทธปรับน้ำเสียงให้ร่าเริงขึ้น เขาส่งยิ้มให้คนรักและหวังว่ามันจะทำให้คนที่มีท่าทีเสียใจได้อารมณ์ดีขึ้น และเหมือนกับว่ามันจะได้ผลดี ฆาเบียร์เริ่มมีสีหน้าแช่มชื่นขึ้น เจส่งยิ้มหวานให้คนรักอีกครั้ง



“พอดีคราวนี้มันยังติดหลาย ๆ อย่าง ไหนจะงานที่ผมรับปากไว้แล้ว แล้วผมยังต้องไปทำเรื่องคอนโดให้คุณอีก แล้วจันทร์นู้นก็วันเกิดพี่อิ่ม...”

เจพึมพำเบา ๆ ฆาเบียร์ขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยิน

“นี่ใกล้วันเกิดอิ่มใจแล้วเหรอ?”

คนตัวโตพูดแทรกทันที เขานับวันอยู่ในใจ

“เจ ช่วงที่แล้วที่เจพาฉันไปหาแม่เจเป็นครั้งแรก มันก็เป็นช่วงหลังวันเกิดของอิ่มน่ะสิ แล้วทำไม...?”

“ครับ ๆ ใช่ เป็นช่วงนั้นนั่นแหละ เฮ้ ๆ อย่าพึ่งบ่นผมสิ...”

เจรีบเบรคฆาเบียร์ที่ทำท่าจะเริ่มบ่นเมื่อรู้ว่าช่วงที่เป็นวันเกิดของอิ่มใจเมื่อปีที่แล้ว เจนยุทธมัวแต่มาใช้เวลาขลุกอยู่กับเขาจนกระทั่งเรื่องเขาและเจลอยไปถึงหูของฟองนวล

“ช่วงนั้นพี่อิ่มติดงานเลยไม่ได้ไปฉลองวันเกิดกัน แต่ผมแว่บเอาของขวัญไปให้แล้วตอนที่คุณไปกับพี่นพอ่ะ...”

คนตัวโตร้องอ๋อเมื่อนึกได้ว่าในช่วงนั้นมีเวลาที่นพรับเขาไปกินข้าวหรือไปเที่ยวเองบ้างโดยปล่อยให้เจนยุทธได้มีเวลาส่วนตัวบ้าง เจส่งยิ้มแฝงเลศนัยให้คนรัก

“...แล้วคุณไม่ต้องห่วงนะว่าผมจะละเลยที่บ้าน อันที่จริง ปีที่แล้วผมมีของขวัญชิ้นใหญ่มากให้พี่อิ่มด้วย...”

เจนยุทธหัวเราะร่วนจนคนตัวโตอดหมั่นไส้ไม่ได้ เขาหยิกแก้มป่อง ๆ ที่แดงระเรื่อเบา ๆ จนคนตัวเล็กบ่นเขาอีกครั้ง


“ของขวัญอะไรล่ะ? ให้ตายสิ ที่จริงตอนนั้นนายก็น่าจะบอกฉันด้วย ฉันจะได้มีอะไรติดไม้ติดมือไปฝากพี่นายบ้าง”

ฆาเบียร์ขมวดคิ้วน้อย ๆ แล้วบ่นซ้ำว่าถ้าเขารู้ก่อนว่าช่วงนั้นเป็นวันเกิดของอิ่มใจ เขาคงจะได้ซื้อของกำนัลให้พี่สาวของคนที่เขากำลังติดเนื้อต้องใจเพื่อเป็นการทำคะแนนไว้ก่อน หากเจมองคนรักด้วยสายตาแพรวพรายก่อนที่จะเฉลยให้เมียตัวโตของเขาได้รู้

“พี่อิ่มบอกว่าของขวัญที่ดีที่สุดที่ผมให้ก็คือ "คุณ" ไงครับ ฆาบี้”

คนตัวโตอุทานออกมาสั้น ๆ ก่อนจะหน้าร้อนวาบ เจหัวเราะคิกคัก สำหรับสาววายเลือดสีม่วงเข้มอย่างพี่อิ่มของเขาในตอนนั้น การได้รู้จักเกย์หนุ่มละตินรูปงามที่ดูเหมือนหลุดออกมาจากนิยายอย่างเมียตัวโตของเขานั้นคงเป็นเรื่องที่ฟินที่สุดแล้ว นี่ยังไม่นับเรื่องที่เจ้าตัวกับเขามีโมเมนท์ชวนจิ้นต่อหน้าแม่อีก

“ผมเดาได้เลยว่าในช่วงนั้นพี่อิ่มคงนอนฝันดีไปอีกหลายคืนเลย”

เจปิดปากหัวเราะคิกคักด้วยท่าทีกรุ้มกริ่มจนคนตัวโตอดหัวเราะตามออกมาไม่ได้

“นายนี่มันเหลือเกินจริง ๆ นะ เจนยุทธ”

ฆาเบียร์โคลงหัวน้อย ๆ

“ไม่ได้ละ ฉันต้องให้นายจดให้แล้วว่าวันเกิดของคนที่บ้านเป็นวันไหนบ้าง ฉันจะได้เตรียมของขวัญไว้ให้เรียบร้อย”

“ครับ ๆ แล้วคุณบอกของอาปามาให้ผมด้วยล่ะ ผมจะได้เตรียมอะไรไว้ให้เหมือนกัน”

 เจพูดพลางเดินไปหยิบโทรศัพท์มาเพื่อเซฟวันเกิดของคริสไว้บนปฏิทิน ฆาเบียร์เองก็ทำเช่นกัน

 

“นี่เรารู้จักกันมาเกินปีแล้วจริง ๆ ใช่ไหม?”

เจนยุทธเปรยออกมาเบา ๆ พร้อมกับหันไปจุ๊บปลายคางคนที่ยืนโอบเขาอยู่ริมหน้าต่างกระจกบานใหญ่ที่ทำให้พวกเขาเห็นการแสดง Symphony of Light ได้อย่างชัดเจน

“ใช่ และอีกสองเดือนก็จะครบรอบหนึ่งปีของครั้งแรกที่เราได้ดูการแสดงแสงสีเสียงนี้ด้วยกัน”

ฆาเบียร์ตอบรับพร้อมกับทอดตาดูแสงไฟแว่บสุดท้ายในการแสดงแสงสีเสียงที่เป็นสัญลักษณ์ของฮ่องกง

“เออ ใช่สินะ ผมมาหาคุณที่ฮ่องกงช่วงเดือนกรกฎาใช่ไหม? ตอนนั้นคุณดู...ดู”

เจพูดเสียงแผ่วเบา น้ำตาของเขารื้นขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงสภาพของฆาเบียร์ที่เขาได้เห็นเป็นครั้งแรกหลังจากไม่ได้เจอกันมานับเดือน มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้ตัวว่าตนนั้นมีอิทธิพลกับอีกฝ่ายเพียงไหน ฆาเบียร์จับไหล่คนรักและหมุนให้คนตัวเล็กหันมาเผชิญหน้า

“ฉันคิดถึงเจ รู้ใช่ไหม?”

คนตัวโตจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมใสของเจนยุทธ เจทุ่มกายเข้าในอ้อมอกของคนรักแทนคำตอบ

“อือ รู้ ผมก็คิดถึงคุณ”

เจนยุทธงึมงำกับแผงอกกว้าง เขาลอบถอนหายใจเบา ๆ เมื่อนึกถึงว่าอีกไม่ถึง 48 ชั่วโมงเขาก็ต้องจากกายอุ่นที่เขายังกอดไม่พอให้หายคิดถึงเลยสักนิดไปอีกแล้ว ทั้งคู่กอดกันนิ่งเหมือนจะประทับเอาไออุ่นจากร่างของอีกฝ่ายเข้าไปไว้ในหัวใจ ก่อนที่เจจะเป็นฝ่ายดันร่างของอีกฝ่ายออกหลังจากเวลาผ่านออกไปครู่ใหญ่

 

“งีบกันสักหน่อยดีกว่านะครับ”

เจแอบปาดหยาดน้ำที่ยังค้างอยู่ที่หางตา เขาดึงมือของคนรักมายังเตียงนุ่ม แต่เขาก็ต้องอุทานออกมาเมื่อถูกคนตัวโตยกร่างขึ้นแล้วโยนลงที่กลางเตียง ฆาเบียร์โดดตามขึ้นไปคร่อมร่างเพรียวพร้อมกับจั๊กจี้ที่เอวและซอกแขน เจหัวเราะลั่นพร้อมกับพยายามกลิ้งตัวหลบ สุดท้ายริมฝีปากของทั้งคู่ก็ล็อคติดกันอีกครั้ง

“อ้ายฮักเจนะ”

เสียงทุ้มแหบกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูของเจนยุทธ

“Y yo te quiero tambien”

เจกระซิบกลับด้วยภาษาแม่ของคนรักแบบที่พวกเขาทำกันจนเป็นนิสัย เขาจุมพิตแผ่ว ๆ บนริมฝีปากของคนที่อยู่ใต้ร่างของเขาอีกครั้ง ก่อนที่จะขยับกายลงนอนซบแผงอกใหญ่หนาของคนรัก

“นอนกันเถอะครับ ตอนนี้กี่โมงแล้วนะ?”

เจหยิบมือถือที่ตกอยู่ข้างเตียงขึ้นมาดู

“ตายล่ะ สองทุ่มกว่าแล้ว ขอผมงีบซัก 2-3 ชั่วโมงนะ คุณตั้งปลุกไว้ด้วยล่ะ”

เจจิ้มหน้าจอมือถือของตนเพื่อตั้งปลุก

“หลับไปเลยก็ได้นี่ จะหลับ ๆ ตื่น ๆ ทำไมล่ะจ๊ะ?”

คนตัวโตพูดพลางช่วยแกะต่างหูสีน้ำเงินออกจากหูของเจนยุทธและนำไปวางไว้ข้างเตียงคู่กับของตน เจส่ายหัว

“ไม่ได้ครับ คืนนี้มีอะไรต้องทำอีก”

ฆาเบียร์มองเข้าไปในตาของคนรักอีกครั้ง เขาหัวเราะหึ ๆ ออกมาเมื่อเห็นแววตาที่เขารู้ดีว่าเจ้าตัวดีกำลังจะหาเรื่องวุ่น ๆ มาให้เขาอีกแล้ว



“ก็ที่คุณบอกผมตอนกินหมูหันกันไงว่าอยากจะขอรางวัลจากผมน่ะ...”

เจนยุทธยิ้มอย่างเชิญชวน

“แล้วที่ผมบอกว่าถ้าคุณไม่ต้องทำอะไรให้ผมหรอก แค่ขอมาผมก็จะทำให้แต่ต้องรอกลับฮ่องกงก่อน จำได้ไหมครับ?”

คนตัวโตตาลุกวาว เขาพูดไปเพียงเพื่อกระเซ้าคนรักเท่านั้น โดยไม่นึกเลยว่าเจ้าตัวดีของเขาจะจำสิ่งที่เขาพูดเล่นบนโต๊ะอาหารเมื่อตอนกลางวันได้ ฆาเบียร์รีบพยักหน้าระรัวก่อนที่เจนยุทธจะเปลี่ยนใจ

“นั่นแหละ ผมว่าคืนนี้แหละโอกาสเหมาะ แต่ก็คงต้องรอให้ดึกกว่านี้อีกหน่อย ฉะนั้น ตอนนี้งีบตุนไว้ก่อนเลยครับ”

เจพูดด้วยน้ำเสียงแฝงความนัย ฆาเบียร์รีบกดปุ่มปิดไฟในห้องแล้วทำท่าจะลุกไปปิดม่านที่หน้าต่างหากคนรักที่นอนทอดกายอยู่เคียงข้างรีบรั้งไว้

“เปิดไว้ก็ได้ครับ จะได้เห็นไฟจากข้างล่างด้วย”

ฆาเบียร์อดขำออกมาไม่ได้เมื่อเห็นเจนยุทธพูดทั้งที่หลับตาแน่นไปแล้ว

“จ้ะ ๆ งั้นเรานอนกันได้แล้วนะ จะได้ตื่นมาสดชื่น”

คนตัวโตพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นจนเจต้องหัวเราะคิกออกมา เขาขยับกายขึ้นอิงแอบหัวไหล่ของอีกฝ่ายก่อนจะผลอยหลับไปในไม่ช้า


(ด้านล่างสุดมีตอนสั้น ๆ ต่อนะคะ) 



---------------------------------------


"กราบคารวะคุณชายและแม่นางทั้งหลาย ก่อนอื่น ข้าน้อยต้องขออภัยพวกท่านเป็นอย่างมากที่ต้องให้รอเสียเนิ่นนาน แต่กลับมีหน้ามาพบพวกท่านด้วยตอนที่สั้นเพียงนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือกว่า 15 วันมานี้ข้าได้เดินทางเข้าไปยังอวิ๋นเซินปู้จื่อฉู้หรือดินแดนในม่านหมอกเพื่อตามหาเหล่าเซียน ข้ามุ่งมั่นว่าจะต้องเดินทางผ่านทั้ง 50 ด่านให้ได้โดยเร็วที่สุดเพื่อที่จะรีบกลับมาหาพวกท่าน ในทีแรกข้าก็ทำได้อย่างที่ตั้งใจหวังไว้ ข้าผ่านด่านทั้ง 50 ด่านได้ภายในเวลาเพียง 4 ราตรี หากในระหว่างทางกลับออกจากกูซูนั้นข้าก็ประสบเหตุอันมิคาดคิด ข้าได้ประมาทดินแดนแห่งนี้เกินไป เป็นเวลากว่า 15 วันที่ข้าได้เดินหลงวนเวียนอยู่ในดินแดนแห่งนี้ มิว่าจะเป็นเพราะค่ายกลที่คุณชายหลานวั่งจี๋ได้วางไว้ หรือเพราะเสียงขลุ่ยอันแสนเย้ายวนของปรมาจารย์อี๋หลิง เว่ยอู่เชี่ยน มันทำให้ข้าหลงติดอยู่ในดินแดนแห่งปรมาจารย์ลัทธิมารโดยหาทางออกมิได้ ยิ่งดิ้นรน ยิ่งต่อต้าน ยิ่งพยายามดิ้นหนีข้ากลับยิ่งถลำลึกและตกลงในหล่มแห่งนี้มากขึ้นทุกทีโดยที่มิแน่ใจว่าจะหาทางขึ้นมาได้หรือไม่ ในที่สุดข้าจึงปล่อยเลยตามเลยไป และพยายามเขียนเรื่องราวในตอนนี้ให้มากที่สุดเมื่อเวลาอำนวย และถึงจะใช้เวลายาวนาน ในที่สุดก็สามารถนำตอนนี้มาส่งถึงมือพวกท่านได้ แม้มันจะสั้นไปนิด แต่ก็หวังว่าพวกท่านจะสามารถหาความบันเทิงได้จากมันบ้าง"

 

ค่ะ เกริ่นมาเนิ่นนาน สรุปว่าไปติดซีรีส์มาค่ะ หลังจากเลี่ยงไม่ดูมาพักใหญ่ ในที่สุดคนเขียนก็ทนความเย้ายวนของ “ปรมาจารย์ลัทธิมาร” ไม่ได้ และเปิดดูไปในที่สุด สุดท้ายก็ติดบ่วงไปเต็ม ๆ ตอนนี้ซีรีส์จบ คนไม่จบ ดูวนไปวนมา ดูคลิปเบื้องหลัง ตามไปจนถึงตัวนักแสดง กลายเป็นว่านั่งไถทวิตเตอร์ได้ทั้งวันทั้งคืน จนมาถึงช่วงไม่กี่วันนี้ถึงจะเริ่มเขียนได้เยอะขึ้นบ้าง จริง ๆ อยากเขียนยาวกว่านี้ แต่พอดีว่ามันตัดตอนได้พอดีก็เลยเอามาให้อ่านกันก่อนนะคะ

 

นอกเหนือจากตอนหลักนี้แล้ว ระหว่างที่ยังงมอยู่ในกูซู คนเขียนก็ได้แรงบันดาลใจและเขียนเป็นตอนสั้น ๆ เพื่อบรรยายสภาพของตัวเองในตอนนั้นมาอีกตอน โดยลงไว้ในเพจของคนเขียนใน FB ก็เลยขอเอามาลงไว้ให้คนที่ยังไม่ได้ตาม FB ของคนเขียนอ่าน ณ ที่นี่ด้วยนะคะ

สำหรับคนที่อยากมาคุยมาเม้ากัน เชิญแวะได้ที่

เพจ fb ค่ะ https://www.facebook.com/LaVidaSinTuAmor/ (แจ้งอัพเดทนิยาย รีวิวร้านนั้นนี่ และอาจจะมีตอนเล็ก ๆ แบบด้านล่างนี้มาลงอีกในอนาคต)

ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/VidaSinTuAmorTH (แจ้งอัพเดทนิยายเป็นส่วนน้อย เน้นชมผู้ชายเป็นส่วนมาก)


 

 

---- อวิ๋นเซินปู้จื่อฉู้ เข้าได้ ออกไม่ได้ ----


 

"เจ เฮ้!"

 เจนยุทธสะดุ้งเฮือกเมื่อหูฟังไร้สายข้างหนึ่งถูกดึงออกจากหูตน

 "ดูอะไรอยู่?"

 ฆาเบียร์ถามพร้อมกับยกผ้าขึ้นเช็ดผมตัวเอง วันนี้เจนยุทธไม่มาใส่ใจเขาเหมือนทุกครั้งเพราะเจ้าตัวมัวแต่นอนพังพาบอยู่บนเตียงและดูอะไรบางอย่างในแท็บเล็ต

 "แหะ ๆ ดูซีรีส์ครับ กำลังติดเลย"

 เจหันมาทำหน้าเป็นให้กับคนรัก คนตัวโตลงนั่งเคียงข้างคนรัก

 "หึ รู้แล้วล่ะว่าติด สนุกอะไรขนาดนั้น หืมม์?

 ฆาเบียร์เอาหูฟังข้างที่ดึงออกมาเสียบใส่หูแล้วก้มหน้าลงดูหน้าจอ เขาขมวดคิ้วเมื่อเห็นภาพบนนั้น

 "ซีรีส์จีนเหรอ? เรื่องอะไรล่ะ? The Legends of Condor Heroes?"

 คนตัวโตพูดชื่อภาษาอังกฤษของ "มังกรหยก" ออกมา มันเป็นหนึ่งในละครแนวกำลังภายในไม่กี่เรื่องที่เขารู้จักเพราะอาปาเคยชวนให้เขานั่งดูด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก

 "ไม่ใช่ครับ นี่เป็นซีรีส์ทำใหม่ เห็นว่ามาจากนิยายนะ"

 เจนยุทธพูดพร้อมทำสายตากรุ้มกริ่ม เขากดเพลย์และชวนให้คนรักนั่งดูด้วยกันต่อ



"เจ นี่มัน..."

 ฆาเบียร์ขมวดคิ้วเป็นเชิงถาม แม้จะดูต่อไปได้เพียงเล็กน้อย เขาก็พอจะจับเคมีระหว่างนักแสดงชายสองคนในเรื่องได้ เจนยุทธหัวเราะคิก

 "ครับ ซีรีส์เรื่องนี้ทำมาจากนิยายที่เป็นแนว Boy's Love แต่เพื่อที่จะให้ฉายได้เลยต้องดัดแปลงมาเป็นแนวมิตรภาพลูกผู้ชายแทน แต่แหม มิตรภาพมากเลย สายตาแบบนี้ดูออกตั้งแต่เป็นกิโลแล้วว่ามันไม่ใช่"

 เจพูดกลั้วหัวเราะ ฆาเบียร์พยักหน้าน้อย ๆ สายตาของหนุ่มชุดขาวในเรื่องนั้นแสดงออกถึงความรู้สึกที่มีให้กับอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน

 "ใช่มะ ๆ ดูหลงสุด ๆ เลย แต่เป็นผม ผมก็หลงนะ ดูสิ ยิ้มสวยซะขนาดนั้น"

 เจนยุทธกดเพลย์ต่ออีกนิดเพื่อให้คนรักได้เห็นรอยยิ้มอันงดงามของชายหนุ่มชุดดำ

 "ผมเคยคิดนะว่าผู้ชายจะหน้าสวยแค่ไหนมันก็คือผู้ชาย จะให้ดูแล้วใจเต้นตึกตักแบบเห็นสาว ๆ ก็คงเป็นไปไม่ได้..."

 เจอมยิ้มน้อย ๆ แล้วหันไปหาคนรัก นอกจากฆาเบียร์แล้ว เขาไม่คิดว่าจะสามารถถูกใจผู้ชายคนไหนได้อีก

 "อย่างเฟลิเป้ กิ๊กเก่าคุณอ่ะ หน้าหวานสุด ๆ แต่ผมก็ยังไม่อินอ่ะ..."

 คนที่เคยโดนหนุ่มหน้าหวานคนนั้นจับกดมาแล้วพูดยิ้ม ๆ

 "แต่กับคนนี้นะ คุณเอ๊ย ยิ้มทีโลกสว่างไสวไปหมด ผมดูแล้ว เออ เข้าใจละว่าทำไมคุณถึงชอบพวกหน้าสวย ๆ แบบนี้นัก"

 เจนยุทธพูดแล้วเลื่อนกลับไปดูชายหนุ่มหน้าสวยค่อย ๆ คลี่ยิ้มอีกครั้ง



"คุณ เป็นอะไร ทำไมเงียบไปอ่ะ"

 เจกด pause ภาพบนจอเมื่อรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของคนที่ข้างกาย เขาหันไปมองคนที่เมินหลบสายตาของเขาได้อย่างเห็นได้ชัด

 "เอ่อ ฆาบี้ คุณเคืองอะไรผมหรือเปล่า? ผมไม่ดูแล้วก็ได้"

 เจนยุทธรีบปิดหน้าซีรีส์นั้นลงไปทันที เขาคิดว่าคนรักอาจไม่พอใจที่มันไปเบียดบังเวลาอันมีค่าของพวกเขา

 "ไม่มีอะไรหรอก เจนยุทธ"

 "มันจะไม่มีอะไรได้ยังไงครับ หน้าคุณมันออกจะฟ้องชัด"

 เจพูดเบา ๆ อย่างกังวล

 "ฉันแค่...แค่ เฮ้อ..."

 คนตัวโตถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับความคิดในหัวของเขา เขามองลึกเข้าไปในดวงตากลมวาวของคนเบื้องหน้า

 "ฉันแค่หงุดหงิดน่ะ..."

 ฆาเบียร์อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ แล้วก็พูดโพล่งออกมา

 "...ฉันคงยิ้มหวานให้จนนายใจเต้นแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ"

 คนตัวโตเม้มปากแน่นเมื่อเห็นคนตัวเล็กตะลึงไป

 "ขอโทษนะที่ฉันมันหน้าตาแบบนี้ ไม่ได้สวยล่มเมืองแบบที่เจชอบ"

 ฆาเบียร์พึมพำออกมาด้วยอารมณ์พาล เขาลุกพรวดขึ้นจากเตียงเพื่อที่จะออกไปสงบสติอารมณ์นอกห้องนอน



 "เดี๋ยว ๆๆ ฆาบี้ กลับมาก่อน"

 คนตัวโตหันไปหาคนที่โดดพรวดมาฉุดข้อมือเขาไว้

 "...นี่คุณหึงผมเหรอ? กับเว่ยอิงเนี่ยนะ?"

 เจนยุทธถาม คนตัวโตก้มหน้าลงต่ำ

 "ใช่ นายคงคิดว่ามันงี่เง่าสินะ"

 ฆาเบียร์พูดเสียงแผ่วเบา เขาพยายามดึงมือออก แต่มือแสนนิ่มของเจนั้นแข็งแรงกว่าที่เห็นมากนัก

 "ปล่อยสิ เจนยุทธ ฉันขอออกไปกินน้ำก่อน นายจะดูซีรีส์ก็ดูไปเถอะ ไม่ต้องมาสนใจเรื่องไร้สาระนี้หรอก"

 คนตัวโตขอร้องคนที่เขาคิดว่าน่าจะมองสิ่งที่เขาพูดออกไปเป็นเรื่องไร้สาระ เขารู้สึกอดสูที่ทำตัวเป็นคนรักงี่เง่าแบบที่หึงไปหมดเสียทุกอย่าง

"ใครว่าไร้สาระกันครับ"

 ฆาเบียร์เงยหน้าขึ้นมองคนรักทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงเจือความขบขัน



 "โอ๊ย คุณนี่มันน่ารักจริง ๆ เลยนะ รู้ตัวไหม?"

 เจดึงร่างใหญ่กำยำเข้ามากอดแนบอกเมื่อเห็นแววตาสับสนของคนรัก

 "คุณไม่ต้องยิ้มสวยหรือหน้าสวยแบบนั้นผมก็รักคุณจะตายอยู่แล้ว คุณมาร์ติเนซ"

 เจจุมพิตเบา ๆ บนหน้าผากสีแทน เขาไล้นิ้วไปตามโหนกแก้มสูงสมชายของคนรัก

 "แล้วผมก็ใจเต้นได้กับทุกอย่างของคุณนะครับ ฆาบี้"

 เจพูดด้วยสายตาแพรวพราย

 "ไม่ว่าจะเป็นตรงนี้..."

 ฆาเบียร์หน้าร้อนผ่าวเมื่อคนรักไล้นิ้วแตะต้องร่างกายเขาตรงนั้นทีตรงนี้ที

 "ตรงนี้...แล้วก็ตรงนี้"

 เจประทับจูบลงบนริมฝีปากบางที่เผยอรอรับอยู่แล้ว

 "คุณไม่ต้องห่วงหรือหึงผมกับใครหรืออะไรหรอกครับ คุณมาร์ติเนซ..."

 เจดันร่างคนตัวโตออกเพื่อที่เขาจะได้จ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่ฉ่ำเยิ้มเพราะรสจูบของเขา



 "ผมอาจจะใจเต้นไปกับคนนั้นคนนี้ได้ แต่ผมก็รู้ดีว่าผมรักใคร และผมจะไม่มีทางทรยศคนที่ผมรักเป็นอันขาด..."

 เจนยุทธพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"...เข้าใจไหมครับ? คุณมาร์ติเนซที่รัก"

 "อืมม์"

 ฆาเบียร์ตอบรับแผ่วเบาในลำคอ สายตาของเจทำให้เขารู้สึกประหม่า

 "แล้วคุณน่ะ เลิกคิดเลยว่าตัวเองยิ้มไม่สวย คุณน่ะ ยิ้มสวย ปากสวยจะตาย รู้ตัวไหม?"

 เจนยุทธพูดด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า เขาใช้นิ้วโป้งไล้ริมฝีปากบางที่เขานั้นรักนักหนา

 "เห็นปากคุณทีไร ผมอยากจูบ อยากสัมผัส อยากให้..."

 คนตัวโตหน้าร้อนวาบทันทีเมื่อคนรักกวาดตาลงต่ำ

 "พอ ๆๆ ฉันเข้าใจแล้ว"

 ฆาเบียรผลักคนลามกออกห่าง เจหัวเราะเบา ๆ แล้วหยิบแท็บเล็ตของเขาขึ้นมา

 "ผมขอดูตอนนี้จบก่อนนะ หลังจากนั้น ผมจะแสดงให้คุณดูว่าปากของคุณทำให้ผมใจเต้นได้แค่ไหน"

 คนตัวโตพยักหน้าน้อย ๆ เขากลับขึ้นไปนั่งพิงหัวเตียงและกวักมือเรียกคนรักให้มานั่งอิงแอบ เจหยิบหูฟังที่พวกเขาถอดทิ้งไว้บนเตียงขึ้นมา เขาใส่มันให้คนรักข้างหนึ่งและใส่อีกข้างให้ตัวเอง จากนั้นกดเพลย์



"ฆาบี้ครับ คุณ ผมไม่ไหวแล้วอ่ะ"

 เจนยุทธครางอย่างน่าสงสาร

 "หกโมงกว่าแล้วนะครับ คุณ พอเถอะ"

 คนตัวเล็กซบหน้าลงกับหมอน เขาไม่น่าพูดในสิ่งที่ทำให้ตัวเขาต้องลำบากแบบนี้ออกมาเลย

 "เดี๋ยวสิจ๊ะ กำลังสนุกเลย เจไม่ไหวก็นอนไปก่อนเลย..."

 คนตัวโตพูด ตาเขาจ้องเป๋งอยู่ที่หน้าจอแท็บเล็ต เจนยุทธโอดครวญออกมาอีกเบา ๆ เป็นภาษาไทย หลังดูตอนที่ดูค้างไว้จบ เขาก็เล่าเรื่องราวคร่าว ๆ ให้ฆาเบียร์ฟังและเปิดให้คนรักดูตั้งแต่ตอนที่ 1

 "ถ้ารู้ว่าจะดูรวดเดียว 8 ตอนขนาดนี้ผมไม่เปิดให้คุณดูหรอก"

 ฆาเบียร์หันมาหัวเราะให้กับคนที่บ่นอุบอิบ เขาดึงร่างคนรักที่ทำท่าจะหลับมิหลับแหล่ให้เข้ามาแนบกาย เจทำหน้าตูมแต่ก็ยอมดูต่อแต่โดยดี

 "อีกตอนเดียวนะครับ แล้วต้องนอนจริง ๆ นะ"

 เจนยุทธกำชับ ฆาเบียร์พยักหน้ารับคำ เจถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยรู้ดีว่ามันเป็นรอบที่ 3 แล้วที่เมียตัวโตของเขารับปากแบบนั้น คนตัวเล็กเอนกายซบอกคนรักแล้วดูซีรีส์ต่ออย่างจนใจ


https://youtu.be/8msGnbfjGbw


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2019 00:36:42 โดย La Vida Sin Tu Amor »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Let's...Outdoor ----





“นี่ ฆาบี้ ตกลงคุณจะบอกผมได้หรือยังว่าจะพาผมไปไหน?”

เจนยุทธถามคนรักซึ่งนั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถสปอร์ตคันงามของเขา หลังจากนอนหลับพักผ่อนกันไปประมาณ 3 ชั่วโมง ฆาเบียร์ซึ่งตื่นมาด้วยความกระปรี้กระเปร่าก็ทวงถามหา ‘รางวัล’ ของเขาซึ่งเจได้รับปากว่าจะให้เมื่อก่อนหน้านี้

“เดี๋ยวถึงแล้วนายก็รู้เองน่า”

คนตัวโตตอบด้วยท่าทีสบาย ๆ เขาฮัมเพลงตามเสียงเพลงที่เปิดคลอเบา ๆ มือที่ถือพวงมาลัยเพียงข้างเดียวนั้นหมุนบังคับรถไปตามทางคดเคี้ยวซึ่งพาพวกเขาขึ้นที่สูงไปทุกที เจหันไปมองคนรักที่มีใบหน้าเปื้อนยิ้มด้วยความรู้สึกหมั่นไส้เล็ก ๆ พ่อเจ้าประคุณของเขาดูครึ้มอกครึ้มใจเป็นพิเศษ

“เฮ้ เจ ทำ...ทำอะไร?”

ฆาเบียร์ร้องลั่นแล้วรีบใช้มืออีกข้างหนึ่งมาช่วยประคองพวงมาลัยทันที

“น่า ๆ ขับรถไปเถอะคุณ ไม่ต้องสนใจผม ขับดี ๆ แล้วกัน”

เจพูดด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า คนตัวโตก้มลงมองมือเรียวที่ถือวิสาสะดึงเชือกที่ผูกเป็นโบว์บนกางเกงจ็อกเกอร์ของเขาให้คลายออกอย่างจนปัญญา

“อย่าซนสิ เจนยุทธ”

ฆาเบียร์ดุคนรักเบา ๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงความอุ่นของฝ่ามือที่ส่วนสงวนของตน เจยิ้มกริ่มหากก็ไม่ได้หยุดตามที่เมียตัวโตของเขาสั่ง เขาค่อย ๆ นวดเฟ้นสิ่งที่หลับใหลอยู่ในมือจนมันค่อย ๆ ผงาดง้ำขึ้นมา ฆาเบียร์กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่พร้อมกับพยายามตั้งสมาธิให้จดจ่ออยู่กับถนน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาถูกคู่ขาใจร้อนกระตุ้นเร้ายามที่กำลังขับรถ หากครั้งสุดท้ายนั้นก็เป็นเวลานานโขจนเขาแทบลืมความตื่นเต้นของมันไปแล้ว

“นี่นายจะเอาคืนฉันเหรอ?”

คนตัวโตส่งเสียงแหบพร่าถามคนที่เคยโดนเขาแกล้งเช่นนี้มาก่อน เจไม่ตอบ แต่กลับขยับมือต่ออย่างนุ่มนวล ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ อย่างน้อยคนตัวเล็กก็ทำเพียงแค่กระตุ้นเร้าให้เขาตื่นตัวไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะนำพาเขาไปถึงจุดสุดยอดในระหว่างขับรถแต่อย่างใด



“เจ ทำแบบนี้มันทรมานนะ ให้ฉันจอดข้างทางก่อนได้ไหม?”

คนที่ตื่นตัวจนรู้สึกปวดโอดครวญเบา ๆ หากคนรักใจร้ายของเขาส่ายหน้า

“ไปที่ที่คุณจะพาผมไปนั่นแหละครับ ผมไม่แกล้งแล้วก็ได้”

เจพูดยิ้ม ๆ เขาหยุดมือและหันซ้ายหันขวาเพื่อหาทิชชู่มาเช็ดเมือกใสที่เปรอะฝ่ามือ หากฝ่ามือใหญ่ของฆาเบียร์ก็กลับรวบหมับเข้าที่ข้อมือของเขาและดึงให้กลับมาวางที่ตำแหน่งเดิม

“ยังไงครับ คุณมาร์ติเนซ? ติดใจหรือไง?”

เสียงสดใสเจือเสียงหัวเราะทำให้คนที่ขับรถอยู่หน้าร้อนผ่าว

“มันก็ จวนถึงที่แล้ว ต่ออีกหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก ฉันทนไหว”

คนตัวโตพึมพำออกมาเบา ๆ เจนยุทธยิ้มกริ่มแล้วจัดการลูบไล้สิ่งที่อยู่ในมือต่อ



“ที่นี่เหรอครับ?”

เจนยุทธถามอย่างประหลาดใจเมื่อคนรักจัดการจอดรถในลานจอด ฆาเบียร์ไม่ตอบหากกลับเหนี่ยวคอเจเข้ามาแล้วจูบอย่างกระหาย เจนยุทธตอบสนองด้วยความร้อนแรงไม่แพ้กัน ปลายนิ้วของเขาสางเข้าในกลุ่มผมยาวสลวยของคนรัก เขาเผลอขยุ้มมันเล็กน้อยเมื่อลิ้นของคนตัวโตบดเบียดเข้ากับลิ้นของเขา ฆาเบียร์ดูดดึงริมฝีปากและเรียวลิ้นของเจอย่างหนักหน่วงจนเจ้าตัวต้องตบหลังเบา ๆ เพื่อคืนสติให้คนรัก

“ใจเย็น ๆ สิครับคุณ จะจัดตรงนี้เลยเหรอ?”

เจดิ้นขลุกขลักจนดันกายออกจากอ้อมแขนที่โอบรั้งเขาไว้แน่นได้ เขาจุ๊บเบา ๆ บนริมฝีปากบางที่แดงก่ำด้วยความตื่นเต้น ฆาเบียร์พยายามไล่งับริมฝีปากที่ปัดเบา ๆ กับปากเขาอย่างยั่วเย้า หากเจก็รีบเบี่ยงหลบทัน คนตัวโตกัดริมฝีปากเบา ๆ เสียงหัวเราะอันสดใสของเจยิ่งกระตุ้นเร้าให้เขาอยากจับเจ้าตัวดีกดตั้งแต่บนรถนัก

“...ไหนคุณบอกผมไง ว่าอยาก fooling around outdoor ก็เอาตามนั้นสิครับ คุณมาร์ติเนซ”

คนตัวเล็กพูดยิ้ม ๆ เมื่อพ่อเจ้าประคุณของเขาเกิดอารมณ์อยาก  ‘เล่นสนุก’ กับเขากลางแจ้งขึ้นมา เขาก็ไม่พลาดที่จะตอบสนอง หากตอนนี้เจ้าตัวกลับดูเหมือนจะพอใจกับแค่ได้นัวเนียกันในลานจอดรถแบบนี้เท่านั้น

“มันก็ใช่อยู่...”

ฆาเบียร์พูดเสียงแผ่วเบา ใจหนึ่งเขาก็อยากจะจัดการเจ้าตัวดีเสียตั้งแต่ตรงนี้ให้สมกับที่โดนยั่วมาตลอดทาง แต่อีกใจหนึ่ง ความตื่นเต้นของการได้แอบเล่นเสียวกันกลางแจ้งก็เรียกร้องให้เขาต้องรอต่ออีกนิด



“รอก็รอ”

คนตัวโตสะบัดเสียงพร้อมกับจัดการเก็บส่วนสงวนที่เริ่มสงบลงแล้วของตนกลับเข้าที่ เจขยับขึ้นนั่งบนที่เท้าแขนบนคอนโซลกลางของรถแอสตัน มาร์ตินคันงามของคนรัก เขาใช้แขนขวาโอบคอคนรรักแล้วจุ๊บที่แก้มตอบของฆาเบียร์เบา ๆ

“อย่าพึ่งงอนนะครับ รออีกนิด”

เจไล้นิ้วไปบนตอหนวดที่เริ่มขึ้นแข็ง ฆาเบียร์ส่ายหัวอย่างจนปัญญา เขาดันร่างคนรกให้กลับไปนั่งบนที่นั่งเหมือนเดิม

“โอเค ๆ ไป ๆ ๆ”

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาเปิดประตูรถลงจากรถแล้วจึงเดินไปเปิดกระโปรงท้ายรถ

“แหม อุปกรณ์พร้อมจริง ๆ นะครับ ได้ใช้บ่อยล่ะสิ”

เจแซวทันทีที่เห็นคนตัวโตหยิบผ้าห่มผืนบางที่ใช้ปูพื้นได้ด้วยออกมาจากท้ายรถ ฆาเบียร์ไม่ตอบแต่ส่งผ้าทั้งสองผืนนั้นให้เจถือ ส่วนตัวเขาหยิบเอาถุงผ้าใส่เครื่องดื่มและของขบเคี้ยวที่แวะซื้อจากร้านสะดวกซื้อออกมา



“ฆาบี้ ตรงนี้ จะดีเหรอ?”

เจนยุทธถามอย่างไม่มันใจ ฆาเบียร์พาเขาเดินจากที่จอดรถซึ่งยังมีรถจอดเรียงรายอยู่หลายคัน เขาพาคนตัวเล็กเดินไปตามทางซีเมนต์ที่ลาดลงน้อย ๆ ระหว่างทางที่เดินเจทำคอยืดคอยาวดูแสงไฟระยิบระยับที่อยู่เบื้องล่างไปหลายร้อยเมตร แม้เวลาจะล่วงเลยผ่านไปจนเหลืออีกไม่ถึงชั่วโมงจะเที่ยงคืนแล้วนั้น หากหมู่ตึกของเกาะฮ่องกงและเกาลูนที่มีอ่าววิคตอเรียกั้นกลางนั้นก็ยังคงประดับประดาไปด้วยแสงไฟ

“ที่นี่แล้วกันนะ”

คนตัวโตไม่ตอบคำถามเจ แต่กลับหยุดเดินแล้วหันมาพยักเพยิดกับเจ เขาพาคนรักเดินลงบันไดหินเตี้ย ๆ ไปสู่ลานชมวิวบนไหล่เขา สุดปลายด้านหนึ่งของลานที่เปิดโล่งให้เห็นทิวทัศน์ของอ่าววิคตอเรียยามค่ำคืนได้นั้นมีศาลาหินสไตล์เก๋งจีนหลังน้อยตั้งอยู่ หากแทนที่ฆาเบียร์จะพาเจนยุทธเข้าไปนั่งในนั้น เขากลับเดินไปยังสนามหญ้าที่ข้างศาลาแทน

“ที่นั่งมีดี ๆ ไม่ชอบ จะต้องมานั่งพื้นทำไมครับ”

เจนยุทธบ่นกะปอดกะแปดเมื่อเห็นคนรักสะบัดผ้าผวยในมือผืนหนึ่งลงปูกับพื้นหญ้า หากเขาก็ลงนั่งตามแต่โดยดีเมื่อคนตัวโตกวักมือเรียก



“จัดเลยไหมครับ?”

เจพูดยิ้ม ๆ คนตัวโตได้แต่โคลงหัวด้วยรู้ดีว่าแม้เจ้าตัวยุ่งของเขาจะถามอย่างยั่วเย้าว่าเขาอยากจะ get it now เลยหรือไม่ เจนยุทธก็ไม่ได้หมายถึงสิ่งที่พวกเขาทำค้างไว้ในรถยนต์เมื่อสักครู่

“จะกินอะไรก็เอาออกมาเลยจ้ะ”

ฆาเบียร์ส่งถุงที่วางอยู่ข้างตัวให้คนรัก เจคุ้ย ๆ ดูแล้วดึงเอาถุงขนมขบเคี้ยวที่เขาซื้อมาเพื่อเป็นกับแกล้มออกมาสองสามถุง

“เบียร์ครับ”

เจยื่นเบียร์ยุโรปยี่ห้อดังให้ฆาเบียร์ คนตัวโตรับมาเปิดและจิบน้อย ๆ ถึงจะไม่ได้เย็นเฉียบเหมือนตอนที่ออกตู้แช่มาใหม่ ๆ แต่ก็ถือว่ายังพอดื่มให้อร่อยได้ เจขยับกายให้นั่งเคียงข้างคนรัก เขาซบหน้าลงกับไหล่คนตัวโต

“ขอบคุณครับที่ตามใจผม...”

คนตัวเล็กพูด ตอนกำลังจะออกจากห้องพัก ฆาเบียร์เตรียมที่จะหยิบขวดสปาร์คลิ่งไวน์ที่มีติดห้องไว้ออกมาด้วย แต่เจทัดทานไว้และบอกว่าเขารู้สึกอยากดื่มเบียร์มากกว่าในคืนนี้ แม้ตัวเขาจะไม่ชอบเบียร์นัก แต่ฆาเบียร์ก็ไม่ขัดความปรารถนาของคนรัก ระหว่างทางขึ้นมาบนวิคตอเรีย พีคนี้ พวกเขาก็ได้แวะซื้อเครื่องดื่มและของขบเคี้ยวจากในร้านสะดวกซื้อ ฆาเบียร์ต้องคอยเบรคเจ้าตัวดีที่ทำท่าจะหยิบทุกอย่างที่ขวางหน้า

“ก็มันน่ากินไปหมดนี่ครับ เนี่ย แบบนี้ บ้านผมไม่มีมันทอดรสนี้ขายนะ”

เจนยุทธเปิดถุงมันทอดที่บริษัท Calbee จับมือกับร้านราเมงญี่ปุ่นชื่อดังอย่าง Ippudo ผลิตออกมาโดยมีรสชาติของ Akamaru ซึ่งเป็นราเมงชื่อดังของร้าน เจหยิบมันทอดในถุงกินสองสามชิ้นจากนั้นก็หยิบขนมถุงใหม่ออกมา คราวนี้เป็นตีนหอยเชลล์อบแห้งซึ่งเป็นสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่นแบรนด์ของทางร้านสะดวกซื้อเอง เขาเปิดถุง หยิบเข้าปากเคี้ยว ๆ แล้วดื่มเบียร์ตามเข้าไป



“เฮ้อ สดชื่นนนนน”

คนตัวเล็กส่งเสียงออกมาอย่างพึงใจ เขาทำท่าจะเปิดถุงใหม่แต่ก็ถูกมือใหญ่รวบข้อมือไว้ก่อน

“เดี๋ยว ๆ กินสองถุงนี้ให้หมดก่อนสิจ๊ะ”

ฆาเบียร์ท้วงขึ้นทันที เจนยุทธหันมายิ้มหวานให้คนรัก

“นิดเดียวเอง แป๊บ ๆ ผมก็กินหมดแล้วน่า”

เจพยายามอ้อนขอเปิดชิมมันทอดรสห่านย่างและหนังปลาทอดคลุกไข่เค็มจากสิงคโปร์ที่เขาหมายมั่นปั้นมืออยากกินมานาน แต่คนตัวโตก็ไม่ยอมใจอ่อน

“ค่อย ๆ กินไป เจนยุทธ ฉันไม่ช่วยนายกินด้วยนะ”

ฆาเบียร์ทำเสียงแข็ง เขาพยายามเลี่ยงพวกของขบเคี้ยวเหล่านี้และจะไม่ยอมตบะแตกในคืนนี้แน่ ๆ เจย่นจมูกให้คนรักและบ่นกะปอดกะแปดเป็นภาษาไทย

“ตามใจคุณครับ ไม่แกะก็ไม่แกะ งั้นผมไม่แกะไอ้นี่ด้วยนะ”

เจนยุทธซ่อนยิ้มแล้วหยิบถุงปอเปี๊ยะน้อยรสกุ้งแห้งของร้าน Fong Kei ที่เขาหยิบติดไม้ติดมือจากในห้องพักมาด้วยเมื่อได้ยินว่าคนรักจะพาไปปิคนิคยามดึก ฆาเบียร์ทำตาโตแล้วรีบยื่นมือไปฉวยของโปรดของเขาออกจากมือเจนยุทธทันที

“อะไร ๆ ไหนว่าไม่กินไงครับ?”

เจรีบดึงมือหลบทันควัน เขาหัวเราะพร้อมกับฉีกถุงขนมนั้นแล้วหยิบชิ้นหนึ่งออกมาป้อนให้กับเมียตัวโตของเขา



“ผมรู้ว่าคุณไม่ชอบขนมพวกนี้ กินชิ้นเดียวก็พอนะ”

“เฮ้!”

คนตัวโตร้องลั่นพลางเอื้อมมือไปฉวยถุงขนมนั้นมาไว้แนบอก

“กินเบียร์มันก็ต้องมีของแกล้มบ้างน่า”

ฆาเบียร์พึมพำ เจหัวเราะคิกคักและปล่อยให้คนรักกินของโปรดไปตามใจ ฆาเบียร์หยิบขนมชิ้นน้อยเข้าปากแล้วจิบเบียร์ตาม เจยกกระป๋องเบียร์ของเขาขึ้นชนกับคนรักเบา ๆ คนตัวโตถอนหายใจเฮือกแล้วยกเบียร์ในมือขึ้นมอง

“ไม่โรแมนติกเลย”

ฆาเบียร์บ่นเบา ๆ การนั่งดื่มเบียร์แกล้มขนมถุงนั้นช่างไกลห่างกับภาพการปิกนิกยามค่ำคืนกับคนรักในความคิดของเขานัก เจหัวเราะคิกแล้วใช้ไหล่กระแทกไหล่เมียตัวโตของเขาเบา ๆ

“ได้นั่งดื่มชมวิวเงินล้านแบบนี้ อากาศก็ดีไม่ร้อนไม่หนาวเกิน สำหรับผมก็โอเคแล้วนะ”

เจพูดยิ้ม ๆ แม้อากาศช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ฮ่องกงจะร้อนชื้น แต่อุณหภูมิบนวิคตอเรีย พีคในยามดึกนี้ก็อยู่ที่ประมาณ 25 – 27 องศาเซลเซียส สำหรับเด็กเมืองร้อนอย่างเจนยุทธ แค่นี้ก็ถือว่าสบายตัวมากแล้ว ฆาเบียร์หันมาสบตาของคนที่ยิ้มร่าอยู่ข้างกายแล้วก็ต้องยิ้มออกมาตาม เขาพยักหน้าและยกกระป๋องเบียร์ของเขาชนกับเจอีกครั้งหนึ่งแล้วหันกลับไปดู “วิวเงินล้าน” ที่เขาไม่ค่อยมีโอกาสได้ชื่นชมจนกระทั่งได้พบกับเจนยุทธ



“ไม่น่าเชื่อว่าบนนี้ก็เห็นดาวเหมือนกันเนาะ”

เจพูดเบา ๆ พลางเหม่อมองดูดวงดาวที่ส่งแสงวิบวาวอยู่บนท้องฟ้า เขาหันไปยิ้มให้คนรักที่นอนอยู่เคียงข้างบนผ้าผวยผืนบางที่ใช้ปูพื้น แทนที่จะรีบดื่มกินแล้วทำเรื่องที่พวกเขาทำค้างไว้ในรถต่ออย่างที่ตั้งใจไว้ในคราแรก พวกเขาทั้งสองกลับใช้เวลาดื่มด่ำกับบทสนทนาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ หลังจากหมดเบียร์ที่ซื้อมาหลาย ๆ ยี่ห้อไป 3 กระป๋องครึ่งกับขนมอีก 3 ถุง เจก็ชวนคนรักที่ดื่มไปแค่กระป๋องครึ่งให้ลงนอนดูดาวด้วยกัน

“บนนี้แสงจากเมืองไม่ค่อยกวนเท่าไหร่จ้ะ อีกอย่าง นี่ก็หลังเที่ยงคืนแล้ว แสงไฟจากเมืองก็หายไปเยอะแล้วด้วย”

เจพยักหน้ารับ เขามองดาวบนฟ้าอีกครั้ง เขายกยิ้มเมื่อรู้สึกถึงฝ่ามือใหญ่ที่เอื้อมมาเกาะกุมมือเขา คนตัวโตยกมันขึ้นจรดริมฝีปาก เจขยับกายเข้าจนไหล่ของเขาทั้งสองเบียดกัน แสงไฟสีส้มสลัวจากโคมที่เรียงกันห่าง ๆ บนราวเหล็กที่กั้นระหว่างลานกว้างกับขอบผานั้นแทบไม่ได้ให้แสงมาถึงจุดที่พวกเขาทั้งสองนอนอยู่ อีกทั้งยังมีเงาของศาลาหินบังพวกเขาทั้งจากแสงและสายตาคนที่อาจเดินผ่านมา รอบข้างของพวกเขานั้นเงียบสงัด มีเพียงเสียงเพลงรักแผ่ว ๆ จากลำโพงมือถือที่ฆาเบียร์เปิดไว้ขับกล่อมพวกเขาทั้งสอง

“อืมม์”

คนตัวโตครางแผ่ว ๆ ในลำคอเมื่อคนรักยันกายขึ้นและป้อนจุมพิตอันอ่อนโยนแต่เนิ่นนานให้เขา เจค่อย ๆ ขบเม้มริมฝีปากบางอย่างใจเย็น เขาซบร่างท่อนบนไปกับแผงอกกว้างและป้อนจูบให้ต่อ วงแขนที่โอบรัดร่างของเขาทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจ มือของคนตัวโตที่ลูบไล้แผ่นหลังแข็งแรงของคนรัก ก่อนที่จะไล้ขึ้นมายังต้นคอและหลังหัว จากนั้นก็ย้ายมาเขี่ยคลึงใบหูของเขาเบา ๆ สัมผัสนั้นทำให้อารมณ์ของเจนยุทธพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เจเริ่มรุกเร้ามากขึ้น เขาบดริมฝีปากลงและส่งลิ้นเข้าไปพัวพันกับลิ้นของอีกฝ่ายหนักขึ้น ฆาเบียร์ก็ตอบโต้ด้วยความร้อนแรงไม่แพ้กัน



“เจ เจจ๊ะ ช้า ๆ หน่อย”

ฆาเบียร์หอบกระเส่าเมื่อคนรักใจร้อนจูบเขาแบบแทบไม่ปล่อยให้ได้หายใจหายคอ เจยิ้มมุมปากและลดดีกรีความร้อนแรงลง หากมือของเขากลับอยู่ไม่สุขแทน ฆาเบียร์สะดุ้งเฮือกเมื่อปลายนิ้วของเจค่อย ๆ ไล้เข้าใต้ชายเสื้อยืดของเขาขึ้นไปสู่ยอดอกที่ชูชัน ฆาเบียร์เชิดหน้าขึ้นน้อย ๆ ด้วยความเสียวซ่านเมื่อมืออีกข้างของเจเริ่มซุกซน คราวนี้มันซอกซอนลงต่ำและหายเข้าไปในขอบกางเกงจ็อกเกอร์ของเขา

“เฮ้ย นี่คุณไม่ใส่กางเกงในมาจริง ๆ อ่ะ?”

เจอุทานออกมาเมื่อมือของเขาสัมผัสเพียงเนื้อผ้ายืดของกางเกงจ็อกเกอร์เท่านั้น คนตัวโตยิ้มละไมแล้วพยักหน้าให้คนรัก

“ให้ตายสิ คุณนี่มันขี้ยั่วจริง ๆ”

คนตัวเล็กคำรามเบา ๆ พร้อมกับเพิ่มแรงที่อุ้งมืออีกนิดส่งผลให้คนรักของเขาสะดุ้งโหยงทันที

“มิน่าล่ะ เมื่อกี้ตอนลงไปซื้อเบียร์คุณถึงไม่ยอมลง ที่แท้ก็ลงไปไม่ได้นั่นเอง”

เจนยุทธหัวเราะหึ ๆ เมื่อสักครู่ตอนที่เขาจัดการกระตุ้นอารมณ์คนรักบนรถนั้น เขาเพลินไปกับการพยายามแกล้งฆาเบียร์จนไม่ทันได้สังเกตสิ่งที่หายไป

“ทำแบบนี้ อยากให้ผมจัดคุณตรงนี้จริง ๆ เหรอครับ หืมม์?”

เจนยุทธถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน หากการเคลื่อนไหวของมือเขาไม่อ่อนโยนตามไปด้วย คนตัวโตผวากายเยือกเมื่อปลายนิ้วของเจค่อย ๆ เขี่ยวนเข้าที่ปากทางด้านหลังของเขา

“เฮ้ ๆ ใจเย็นก่อน”

คนตัวโตชักเสียงสั่น ดูเหมือนคืนนี้เขาคงจะเสียท่าให้กับเจเข้าอีกแล้ว เจยิ้มกริ่ม เขาหันซ้ายหันขวาจนแน่ใจแล้วว่าบริเวณที่พวกเขาอยู่นั้นปลอดคนพอ จากนั้นก็ค่อย ๆ ดึงขอบกางเกงยืดของคนรักลง ฆาเบียร์ขบกรามเมื่อเห็นเจ้าตัวดีของเขาเลื่อนกายลงต่ำ แต่แทนที่จะรีบใช้ปากจัดการเขาเหมือนทุกครั้ง เจกลับค่อย ๆ ยั่วเย้าส่วนสงวนที่แข็งขืนจนเต็มที่ของฆาเบียร์ด้วยปลายจมูกบ้าง ริมฝีปากที่หุบสนิทบ้าง หรือกระทั่งนำมันมาเขี่ยไล้เล่นกับยอดอกของตัวเอง คนตัวโตได้แต่มองมันด้วยความรู้สึกหมั่นไส้เล็ก ๆ



“เล่นอะไรของนาย ฮึ?”

คนที่รอนานจนเริ่มปวดหนึบแล้วแยกเขี้ยวถาม เจหัวเราะคิกแล้วจึงจัดการช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดให้กับเมียตัวโตของเขาอย่างแข็งขัน หากเริ่มต้นไปได้ไม่นาน คนตัวโตก็ใช้แรงพลิกกายคนรักให้ลงนอนราบกับพื้นแทน

“ฆาบี้! ทำอะไรครับ?”

เจถามเสียงสั่น คืนนี้เขาหมายมั่นปั้นมือแล้วว่าจะเป็นฝ่ายกดเมียตัวโตของเขา แต่ดูเหมือนอะไร ๆ จะไม่ง่ายอย่างที่คิดเสียแล้ว

“จุ๊ ๆ ๆ เบา ๆ หน่อยสิ เจนยุทธ เดี่ยวใครก็ได้ยินหรอก”

คนตัวโตพูดด้วยใบหน้าที่แสดงความกระหยิ่มยิ้มย่องออกมา เจหยุดพูดแต่ก็พยายามดันร่างใหญ่ที่ทาบทับตัวเขาออก

“เมีย เอ่อ ฆาบี้ครับ ปล่อยผมก่อนนะ”

เจพยายามดึงมือของตนออกจากอุ้งมือใหญ่ที่กุมข้อมือเขาไว้แน่น เขาเป็นฝ่ายผวากายขึ้นบ้างเมื่อคนตัวโตเริ่มซุกซน ริมฝีปากและมือของเขาเปะป่ายไปทั่วร่างของเจนยุทธ สุดท้ายเจก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้แล้วปล่อยให้คนตัวโตทำไปตามใจ แต่ที่เขาคาดไม่ถึงคือแทนที่ฆาเบียร์จะรุกเร้าเพื่อจัดการเขาเสียกลางแจ้งอย่างที่คนตัวโตพูดมาตลอด เขาเพียงแค่ดึงรั้งกางเกงของเจนยุทธลงเล็กน้อยเพื่อจัดการปรนนิบัติคนรักด้วยริมฝีปากคู่บางของเขา เจเม้มปากแน่นด้วยความเสียวซ่าน แม้จะมีเพียงแสงสลัวจากดวงจันทร์และแสงไฟจากที่ไกล ๆ มันก็เพียงพอที่ทำให้เขาเห็นใบหน้าของคนที่กำลังกลืนกินแก่นกายของเขาอย่างเอร็ดอร่อย เสียงดูดเลียจ้วบจ้าบที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดของสวนรอบข้างทำให้เจกายร้อนผ่าว

“คุณครับ ขอผมทำให้คุณด้วยสิ”

เจจับไหล่เมียตัวโตของเขาและพยายามดึงร่างใหญ่กำยำนั้นขึ้นเมื่อเขาเห็นว่าคนรักกำลังใช้มือช่วยปลดปลดให้ตัวเองไปพร้อม ๆ กับที่ปรนนิบัติเขา ฆาเบียร์พยักหน้าแล้วจัดการเปลี่ยนท่าทาง พวกเขาลงนอนตะแคงเคียงข้างกันโดยหันหัวไปคนละทาง ไม่นานเสียงจ้วบจ้าบผสานกับเสียงครางอึกอักในคอก็ดังขึ้นอีกครั้ง



“เจ อย่าแกล้งฉันสิ”

คนตัวโตยั้งปากและบ่นอุบเมื่อเจ้าตัวดีแกล้งกระทุ้งสะโพกแรง ๆ จนเขาแทบสำลัก

“ก็อยากขยำก้นผมทำไมล่ะ ผมก็นึกว่าคุณอยากให้ผมจัดหนัก ๆ”

เจนยุทธหัวเราะคิกคักแล้วค่อย ๆ จูบไล่ลงตามแท่งลำของคนรักก่อนจะตวัดลิ้นหยอกล้อกับส่วนปลายอันอ่อนไหว ฆาเบียร์ขบกรามน้อย ๆ แล้วตัดสินใจทำเลียนแบบการกระทำของคนรัก ไม่นานคนที่ชำนาญกว่าก็จัดการจนเจนยุทธตัวเกร็งและปลดปล่อยออกมา

“ฆาบี้!”

เจซึ่งยังหอบน้อย ๆ จากความสุขสุดยอดเมื่อสักครู่อุทานลั่นเมื่อถูกคนรักพลิกกายให้นอนคว่ำลง

“เจจ๊ะ หุบขาหน่อยสิ”

คนตัวโตกระซิบเสียงกระเส่า เสียงทุ้มแหบนั้นทำให้เจซึ่งในตอนแรกคิดจะขัดขืนต้องยอมแพ้โอนอ่อนให้กับคนรัก เสียงหอบหายใจกระชั้นของฆาเบียร์ที่ข้างหูทำให้เขารู้สึกร้อนขึ้นมาอีกครั้ง ฆาเบียร์พรมจูบลงบนต้นคอด้านหลังของเจอย่างบ้าคลั่ง ความตื่นเต้นของการสัมผัสกายกันกลางแจ้งทำให้เขาอยากทำอะไรมากกว่าแค่นัวเนียกัน

“อืมม์...”

เจหันหน้ามารับจูบอันเร่าร้อนจากคนรัก เขาเชิดสะโพกขึ้นและหุบขาทั้งสองเข้าด้วยกันจนแน่น ฆาเบียร์มองบั้นท้ายขาวผ่องท้าแสงจันทร์เบื้องหน้าแล้วก็อดที่จะเอื้อมมือไปขยำขยี้ไม่ได้ หากก็ต้องรีบปล่อยทันทีที่สายตาดุ ๆ ของเจ้าของก้อนเนื้อทั้งสองตวัดวาบมา เจโคลงหัวน้อย ๆ แล้วซบหน้าลงกับผ้าผวยอีกผืนที่คนตัวโตนำมาพับไว้เป็นหมอนให้เขาหนุนและปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามครรลองของมัน



“เจ เจจ๊ะ ฉัน ฉันจวนแล้วนะ”

คนตัวโตส่งเสียงครางออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เขาขยับสะโพกถี่ยิบเพื่อเสือกส่งแก่นกายเข้าในซอกหว่างขาที่หุบแน่นของคนรัก เสียงเนื้อกระทบกันและเสียงครางอย่างหฤหรรษ์ที่กลั้นไม่อยู่นั้นสามารถทำให้คนที่อาจเดินผ่านมารู้ได้โดยที่ไม่ต้องเดินเข้ามาดูว่าที่หลังศาลาหินนั้นมีกิจกามที่กำลังดำเนินไปอย่างเผ็ดร้อน

“คุณ! อย่า!”

เจสะดุ้งเฮือกเมื่อคนที่อารมณ์พลุ่งพล่านถึงขีดสุดใช้มือแหวกก้อนเนื้อหนั่นแน่นทั้งสองของเขาให้แยกออก ที่ปากทางซึ่งยังปิดแน่นของเขาสัมผัสได้ถึงความแข็งเกร็งของส่วนปลายท่อนลำที่พยายามเสือกสอดเข้ามา เจรีบกระถดกายหนีตามสัญชาตญาณ หากไม่มีตัวช่วยแล้ว เขาไม่คิดว่าตนจะสามารถรองรับคนรักได้โดยไม่เจ็บตัว

“ขอโทษจ้ะ”

คนตัวโตพึมพำออกมาทันทีที่รู้ตัว หากเป็นคู่ขาคนอื่น เขาคงเลือกที่จะเมินเฉยกับเสียงห้ามด้วยรู้ว่าตนสามารถเปลี่ยนเสียงนั้นให้กลายเป็นเสียงครางได้ไม่ยาก แต่กับคนรักของเขาคนนี้ ฆาเบียร์เลือกที่จะหักห้ามความต้องการอันดิบเถื่อนในใจและถอยออกมา และถูไถแก่นกายไประหว่างก้อนเนื้อหนั่นแน่นทั้งสองของเจแทน



“Oh, yes! Baby! I’ m cumming!”

คนตัวโตคำรามลั่นและฟุบกายลงไปบนแผ่นหลังของคนรักหลังจากเติมเต็มความต้องการของตนแล้ว เขานอนหอบหายใจทาบทับอยู่บนร่างเพรียวจนคนที่อยู่เบื้องใต้บ่นออกมาดัง ๆ จึงได้พลิกกายลงนอนหงายบนพื้นหญ้าเพราะผ้าผวยที่ปูรองนั้นได้ยับย่นไปเสียหมดแล้ว

“ดีไหมครับ ฆาบี้?”

เจนยุทธที่ยังนอนคว่ำหน้าอยู่บนผ้าผวยที่ยับย่นหันมาถามด้วยใบหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง ฆาเบียร์พยักหน้าแล้วดันกายขึ้นนั่ง เขาจัดการค้นเอากระดาษเปียกที่เจซื้อมาเมื่อสักครู่ออกมาและดึงแผ่นหนึ่งมาเช็ดทำความสะอาดคราบความปรารถนาของเขาที่เปรอะอยู่บริเวณบั้นเอวของคนรัก

“ขอผมแผ่นสิครับ”

เจยื่นมือไปขอกระดาษเปียกจากมือของคนรัก ฆาเบียร์ขมวดคิ้วแต่ก็ส่งให้แต่โดยดี

“แหะ ๆ ผ้าผืนนี้ของคุณ กลับไปก็ต้องเอาไปซักด้วยนะครับ”

คนตัวเล็กหัวเราะแหะ ๆ พร้อมกับส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้คนที่นั่งงงอยู่ข้าง ๆ

“เอ๊ะ เมื่อกี้นาย? ...”

คนตัวโตอุทานเบา ๆ เขาไม่นึกว่าเจนยุทธที่ถึงสวรรค์ไปก่อนรอบหนึ่งแล้วจะถึงจุดอีกครั้งเพียงเพราะการสัมผัสภายนอกของเขา

“ก็ทำซะขนาดนั้นใครจะไปทนไหวอ่ะ”

เจหน้าแดงก่ำแล้วบ่นอุบอิบกับตัวเองเบา ๆ เขาเพริดไปกับความตื่นเต้นของเซ็กส์กลางแจ้งอีกทั้งสัมผัสอันเร่าร้อนของคนรัก ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะต้องเอื้อมมือไปสัมผัสกายตนจนกระทั่งถึงจุดไปพร้อม ๆ กับคนรัก ฆาเบียร์ยิ้มบาง ๆ แล้วจัดการดึงผ้าอีกผืนที่พับไว้ให้เจหนุนเมื่อสักครู่มากางปูพื้นแทน ก่อนที่จะบอกให้เจย้ายร่างมานั่งที่ผ้าผืนใหม่และจัดการรวบผืนเก่าโยนทิ้งไว้อย่างไม่ใยดี



“บนนี้เงียบสงบดีจริง ๆ นะครับ”

เจนยุทธซึ่งนั่งเอนกายซบไหล่เมียตัวโตของเขาเปรยขึ้นมาเบา ๆ หลังจากแต่งเนื้อแต่งตัวแล้ว พวกเขาก็นั่งคุยกันต่อพร้อมกับชมวิวเมืองที่เริ่มหลับใหลแล้วเบื้องล่าง ฆาเบียร์ใช้แขนรั้งไหล่คนรักให้เข้ามาใกล้ตัวอีกสักนิดแล้วหันหน้าไปหอมแก้มกลม ๆ ของเจนยุทธฟอดใหญ่

“ง่วงหรือยัง?”

คนตัวโตถามสั้น ๆ หลังจากดูนาฬิกาแล้วพบว่าเวลาล่วงเลยไปจนถึงตีสองกว่าแล้ว

“นิดหน่อยครับ แต่ว่าผม เอ่อ อยากเข้าห้องแล้วอ่ะ”

เจหันไปทำตาเยิ้มให้คนรัก ฆาเบียร์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นแววยั่วเย้าในตาเจ้าตัวดีของเขา เจหัวเราะคิก

“ก็พรุ่งนี้เราต้องตื่นเร็วกันนี่ครับ ผมจองแชมเปญ บรันช์ไว้ ลืมไปแล้วเหรอ? ถ้าเราไปช้าก็ขาดทุนกันพอดีอ่ะ”

เจพูดด้วยสายตาเป็นประกาย คนตัวโตหัวเราะหึ ๆ แล้วโคลงหัวให้กับความเห็นแก่กินของคนรัก

“นายนี่ เรื่องกินเรื่องใหญ่จริง ๆ นะ”

ฆาเบียร์หยิกแก้มกลม ๆ ของคนที่ยิ้มแป้นให้เขาและหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นเจนยุทธบ่นพึมพำตามเคย

“งั้นเราไปกันเถอะ จะได้รีบอาบน้ำอาบท่านอนกันซะ”

คนตัวโตลุกขึ้นยืนและยื่นมือมาช่วยฉุดเจนยุทธให้ลุกขึ้น พวกเขาจัดการเก็บขยะลงถุงและรวบผ้าผวยทั้งสองผืนไว้ด้วยกันแล้วพากันเดินออกจากลานที่พวกเขาใช้เป็นสถานที่ให้ความสุขกัน



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Let's...Outdoor (ต่อ) ----





“ให้ตายสิ ฆาบี้ ตอนที่คุณบอกว่าอยากนัวเนียกันกลางแจ้งผมไม่นึกเลยนะว่าคุณจะพาผมขึ้นมาบนนี้”

เจพูดพลางหยุดแล้วกวาดตามองไปรอบกายแล้วหยุดสายตาลงที่อาคารหลังใหญ่ทรงโคโลเนียลที่ดูคุ้นตา

“...ที่อื่นในฮ่องกงมีตั้งเยอะตั้งแยะ สวนสาธารณะอะไรพวกนั้นก็มี แล้วทำไมต้องขึ้นมาที่บ้านอาปาด้วยครับ? หืมม์?”

เจนยุทธพูดยิ้ม ๆ แล้วหันไปเผชิญหน้ากับคนรัก ฆาเบียร์หน้าแดงซ่าน หลังจากอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยอมเปิดปาก

“ฉันไม่อยากพานายไปที่ ๆ ฉันเคยพาคนอื่นไปมาแล้วน่ะสิ”

คนตัวโตพูดเสียงอ่อย ๆ ถึงเขาจะไม่ได้มาฮ่องกงบ่อยนักก่อนหน้าที่เขาจะต้องมาประจำอยู่ที่นี่ แต่เขาก็รู้จักสถานที่ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่คนที่รักความตื่นเต้นแบบนี้อยู่สองสามแห่ง และเคยพาคู่ขาที่ชอบมีเซ็กส์นอกสถานที่อย่างนิคกี้หรือคนอื่น ๆ ไปใช้สถานที่เหล่านั้นอยู่บ้าง แต่เมื่อถึงคราวของเจนยุทธ ฆาเบียร์กลับไม่อยากจะพาคนพิเศษของเขาคนนี้ไปในที่ที่เขาเคยพาคนอื่นไปมาแล้ว



“อีกอย่าง ฉันก็ไม่อยากให้มีใครเดินเข้ามาเห็นนายแบบนั้นด้วย”

คนตัวโตก้มหน้าพูดเบา ๆ แม้ปากจะพูดว่าอยากนัวเนียกับคนรักแบบเอาท์ดอร์ แต่เขาก็หวงแหนและไม่อยากเสี่ยงให้คนแปลกหน้าเดินมาเจอคนรักของเขาในสภาพกึ่งเปลือยแบบเมื่อสักครู่

“เอ๊า แล้วคุณไม่กลัวคนในบ้านอาปาเดินมาเจอหรือไง?”

เจพูดกลั้วหัวเราะ แม้จะดึกแล้วแต่ในบ้านของคริสก็ยังมีคนอยู่ อย่างเช่นเควินซึ่งเป็นหัวหน้าพ่อบ้านอีกทั้งเหล่าแม่บ้านและยามอีกรวม 5-6 คน ถึงส่วนลานชมวิวของบ้านบนวิคตอเรีย พีคของคริสแห่งนี้จะอยู่ห่างจากตัวบ้านพอสมควร อีกทั้งยังอยู่บนลาดเนินส่วนที่ลงบันไดไปอีกเล็กน้อย แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีใครเดินเข้ามาเจอพวกเขาทั้งสองระหว่างประกอบกิจเข้า

“ฉัน เอ่อ ฉันโทรมาบอกเควินไว้แล้ว...”

หลังจากอึกอักอยู่พักใหญ่ คนตัวโตก็สารภาพเสียงอ่อย ๆ ออกมา เจอ้าปากค้าง

“เฮ้ย ไอ้ที่บอกนี่บอกอะไรครับ คุณมาร์ติเนซ? บอกว่า  ‘ห้ามใครเข้าใกล้แถวนั้น เพราะเดี๋ยวผมจะพาเจขึ้นมาอะไร ๆ’ งี้เหรอ?”

เจนยุทธชักสีหน้าและยกมือขึ้นกอดอกทันที ใบหน้าที่มึนตึงนั้นทำให้ฆาเบียร์รู้สึกหนาวขึ้นมา เขารีบระล่ำระลักปฏิเสธทันที

“ไม่ใช่จ้ะ ไม่ใช่ ฉันแค่บอกมาว่าจะขึ้นมาปิคนิกแล้วก็ดูดาวกับเจ และขอความเป็นส่วนตัวไม่ให้ใครเดินเข้ามากวน แล้วก็ขอให้ปิดไฟสนามช่วงนั้นไว้ แค่นั้นเอง”

“คุณพูดแบบนั้นคนเขาก็รู้แกวหมดแล้วครับ คุณมาร์ติเนซ”

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาหยุดพูดแล้วหันไปค้อมหัวให้ เควิน พ่อบ้านวัยกลางคนที่เปิดประตูให้เขาและฆาเบียร์เข้าในตัวบ้าน จากนั้นเมื่อเดินขึ้นถึงบนชั้นสองเจนยุทธก็จึงบ่นต่อ

“...พูดไปแบบนั้นก็เหมือนบอกกลาย ๆ ล่ะวะว่าจะพาผมขึ้นมา มา เอ่อ…เหอะ! ผมไม่พูดดีกว่า”

เจเปิดประตูเข้าห้องพักของเขาและฆาเบียร์ เขาหยุดถอนหายใจเฮือกใหญ่และทิ้งประโยคไว้แค่ตรงนั้น จากนั้นรีบสาวเท้าเดินเข้าห้อง



“เจ เดี๋ยว...!”

ฆาเบียร์ปิดประตูแล้วรีบเดินตามเข้าไป เขาพรวดเข้าไปฉุดข้อมือคนที่กำลังจะเดินหายเข้าห้องน้ำไป เขารีบปล่อยทันทีที่เห็นสายตาที่แสดงความตระหนกเมื่อได้ยินน้ำเสียงแข็งกร้าวของเขา

“เอ่อ เจจ๊ะ เรื่องที่บอกเควินไว้ว่าจะขึ้นมาปิกนิกกับดูดาวน่ะ ทีแรกฉันตั้งใจจะทำแค่นั้นจริง ๆ คิดว่าอย่างมากก็แค่นัวเนียกันนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่ได้คาดหวังอะไรมากไปกว่านี้ เชื่อฉันเถอะนะ mi amor”

เจซ่อนยิ้มเมื่อเห็นท่าทีร้อนรนของคนตัวโต อันที่จริงเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากเรื่องที่ฆาเบียร์จัดแจงบอกพ่อบ้านของอาปาคริสเสียเรียบร้อยว่าจะพาเขาขึ้นมาจู๋จี๋กันบนนี้ ที่บ่นไปนั้นก็เพียงแต่บ่นไปเรื่อยเปื่อยตามอารมณ์ ส่วนเมื่อสักครู่ที่เขาตัดบทไปนั้นก็เพราะคิดว่าตัวเองบ่นมากไปแล้วจึงตัดสินใจที่จะหยุดพูด แต่เมื่อเห็นคนรักเสียอาการไปถึงขนาดนี้เขาก็จึงอยากแกล้งต่ออีกสักหน่อย

“ฆาบี้ครับ ผม ผมว่าเราไม่ต้องพูดถึงมันแล้วดีกว่านะ”

เจค่อย ๆ แกะมือคนรักที่กุมต้นแขนเขาไว้ออก แล้วหันไปยิ้มบาง ๆ ให้เมียตัวโตของเขา หากเขาพยายามเกร็งมุมปากไว้ให้ดูเหมือนเป็นการฝืนยิ้ม คนตัวโตใจหายวูบ

“โธ่ เจนยุทธ ฉันขอโทษจริง ๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้ฟังออกมาดูแย่แบบนั้น ยกโทษให้ฉันเถอะนะ”

ฆาเบียร์รวบร่างเพรียวเข้ามาไว้แนบอก เจซบหน้าลงกับบ่าของคนรักแล้วถอนหายใจเบา ๆ ให้ลมหายใตของเขาเป่ารดหูอีกฝ่ายแผ่ว ๆ



“ลืม ๆ มันไปเถอะครับ ฆาบี้ ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อน ดึกแล้ว”

เจดันกายออกแล้วทำท่าจะถอดเสื้อผ้า แต่คนตัวโตไม่ยอมปล่อยเขาไปง่าย ๆ มือใหญ่ของฆาเบียร์กำรอบข้อมือเขาไว้จนรู้สึกเจ็บ

“เจ อย่าทำแบบนี้เลย นายจะทำโทษฉันหรือว่าฉันยังไงก็ได้ แต่อย่าทำแบบนี้”

ตาของเจสว่างวาบด้วยความสมใจ ในที่สุดเขาก็ได้ยินสิ่งที่เขารอคอย

“คุณจะให้ผมทำโทษคุณจริง ๆ เหรอ ฆาบี้?”

“เจ...”

คนตัวโตอึ้งไปเมื่อเห็นสายตาของคนรัก เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองได้เสียท่าให้กับเจ้าตัวดีอีกครั้งแล้ว

“ถ้าผมทำโทษไป คุณจะไม่ขัดขืนจริง ๆ ใช่ไหม?”

เจนยุทธถามซ้ำอีกครั้งพร้อมกับจ้องลึกเข้าไปในตาของอีกฝ่าย ฆาเบียร์เริ่มเข้าใจสถานการณ์แล้ว หากแทนที่เขาจะเคืองที่ถูกอีกฝ่ายหยอกเล่น เขากลับรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง เจค่อย ๆ ย่างสามขุมเข้าหาคนรัก



“ใช่ เจ ฉันยอมให้นายทำโทษฉัน  ‘ทุกอย่าง’

เจยิ้มมุมปากเมื่อได้ยินคนตัวโตเน้นคำว่า “ทุกอย่าง” คนรักของเขาช่างทันความคิดของเขาจริง ๆ เขาไล่ต้อนคนรักที่เดินถอยกรูดหนีเขาไปจนติดกำแพง เขากระชากคอเสื้อของคนรักให้เอนเข้ามาหาแล้วบดจูบอย่างหนักหน่วงลงไปบนริมฝีปากอีกฝ่ายจนเขาเองรู้สึกเจ็บ

“งั้นรอรับโทษจากผมได้เลยครับ คุณมาร์ติเนซ”

เจพูดด้วยน้ำเสียงกร้าว เขาเตะขาคนรักให้อ้าออก ฆาเบียร์สะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสของเข่าอีกฝ่ายที่หว่างขาของตน เจนยุทธยิ้มกริ่มเมื่อรู้สึกถึงส่วนสงวนของคนรักที่พองตัวขึ้นน้อย ๆ

“คุณนี่โรคจิตเหมือนกันนะ ฆาบี้ แค่ผมบอกว่าจะทำโทษแค่นี้ก็แข็งแล้วเหรอครับ? “

คนตัวโตหน้าร้อนผ่าวเมื่อถูกคนรักพูดจี้ใจดำ

“ฉันไม่ได้ชอบซักหน่อย”

หนุ่มละตินบ่นออกมาเบา ๆ แต่ก็ต้องผวากายขึ้นเมื่ออุ้งมือของคนรักตะปบหมับเข้าที่กลางกาย

“เป็นขนาดนี้แล้วยังจะปากแข็งอีกเหรอครับ?”

เสียงหัวเราะอันสดใสที่ข้างหูกับสัมผัสที่หนักหน่วงกว่าทุกครั้งที่เบื้องล่างทำให้ขาแข้งของคนตัวโตเริ่มอ่อนแรง



“เจ เบา ๆ หน่อย”

ฆาเบียร์ซี้ดปากเมื่อเจนยุทธขบหนัก ๆ เข้าที่ยอดอกของเขา หลังจากนวดคลึงเขาจนเป็นที่พอใจที่หน้าห้องน้ำแล้ว คนตัวเล็กที่แรงเยอะกว่าที่คิดก็ลากกายเขามาเหวี่ยงขึ้นเตียงโดยไม่ลืมฉวยถุงกระดาษบรรจุของเล่นที่พวกเขาซื้อมาจากร้านเซ็กซ์ช็อปเมื่อวันก่อนมาด้วย เจเททุกอย่างลงบนเตียงแล้วค่อย ๆ เลือกอย่างเย็นใจ สุดท้ายฆาเบียร์ก็ถูกจับมัดกึ่งขึงพืดบนเตียงโดยมีกุญแจมือล็อคข้อมือข้างหนึ่งส่วนอีกข้างเจใช้เนคไทของคนรักที่เขาหยิบมาจากในตู้เสื้อผ้า

“อย่าดิ้นนะครับ คนดี เตียงนี้มันเก่าแล้วเดี๋ยวลายสวย ๆ พวกนี้จะพังเสียหมด”

เจพูดอย่างยั่วเย้า ฆาเบียร์หันไปมองอย่างจนปัญญา เตียงจีนโบราณของเขาหลังนี้ไม่มีเสา แต่เจก็ยังอุตส่าห์หาทางล็อคข้อมือของเขาไว้กับลายฉลุอันงดงามของเตียงจนได้ หลังจากมัดเขาไว้แน่นแล้ว เจก็จัดการเอาที่ปิดตาที่เขาได้รับแจกบนเครื่องบินมาปิดตาเขา จากนั้นถลกเสื้อยืดของเขาขึ้นจนพ้นอกแล้วลงลิ้นจนเขาอดดิ้นพราดไม่ได้

“อ๊ะ ผมขอเตือนอีกทีว่าอย่าดิ้นแรงครับ”

เจพูดยิ้ม ๆ ก่อนที่จะจัดการจูบคนรักไปทั้งตัวอีกครั้ง ฆาเบียร์พยายามข่มกลั้นไว้แต่ก็อดครางเบา ๆ ออกมาไม่ได้เมื่อถูกเจทั้งดูดทั้งเลียที่ยอดอกซึ่งตอนนี้แดงก่ำและมีรอยฟันจาง ๆ ปรากฏขึ้น

“อ๊ะ อย่า...”

ฆาเบียร์แอ่นอกขึ้นอย่างอดไม่ได้เมื่อเจใช้ตัวหนีบหน้าอกแบบสั่นได้หนีบหมับเข้าที่ตุ่มไตสีน้ำตาลอ่อนที่ชูชันของเขา ยามเมื่อดวงตาถูกปิด ร่างกายของเขากลับไวต่อสัมผัสกว่าเดิมหลายเท่านัก เจปล่อยให้ตัวหนีบสั่นได้ทำหน้าที่ของมันไป ส่วนเขานั้นจูบไล่เรื่อยลงมาตามแผงอกและหน้าท้องเป็นลอน ก่อนที่จะจัดการแก้เชือกกางเกงจ็อกเกอร์ของคนรัก แต่แทนที่จะดึงมันออกทันที เจกลับสัมผัสร่างคนรักผ่านผืนผ้าอย่างใจเย็น คนรักขึ้ยั่วของเขาจงใจไม่ใส่กางเกงใน ดังนั้นในตอนนี้ ส่วนสงวนของฆาเบียร์จึงได้ชูคออยู่ภายใต้กางเกงยืดเนื้อนิ่ม

“แฉะขนาดนี้แล้วนะครับ”

เจหัวเราะเบา ๆ แล้วยกนิ้วที่เปื้อนน้ำเมือกใสซี่งซึมออกมาจนเป็นวงบนกางเกงผ้ายืดขึ้นแตะริมฝีปากคนที่ยังปิดตาอยู่ เขาขยับขึ้นนั่งคร่อมร่างกำยำและเกลี่ยนิ้วไปบนริมฝีปากบางเพื่อให้คนรักได้รับรู้ถึงรสชาติของตน หากฆาเบียร์ไม่ปล่อยให้คนรักหยอกเย้าเขาได้เพียงฝ่ายเดียว ทันทีที่นิ้วของเจสัมผัสริมฝีปาก เขาก็ใช้ปลายลิ้นเขี่ยมันเบา ๆ และพยายามตวัดลิ้นม้วนพันรอบนิ้ว เจนยุทธจุ๊ปากเบา ๆ เพื่อห้าม แต่คนรักของเขากลับไม่ยอมหยุด เจถอนนิ้วออกและแทนที่มันด้วยสิ่งอื่น



“อร่อยไหมครับ คนดี?”

เจฝืนใจถาม เขาพยายามบังคับเสียงตัวเองไม่ให้สั่น คนตัวโตไม่ตอบ หากพยายามกลืนกินแก่นกายของคนรักที่ส่งเข้ามายั่วเย้ากับริมฝีปากเขาเมื่อครู่ แม้จะมองไม่เห็นและใช้มือสัมผัสไม่ได้ ฆาเบียร์ก็พยายามใช้ทุกส่วนที่อ่อนนุ่มในปากสัมผัสกับส่วนบอบบางของเจนยุทธ เขาพยายามปรนนิบัติคนรักอย่างสุดฝีมือ แต่ไม่นานเจก็รีบถอนแก่นกายออกและปิดปากเขาด้วยริมฝีปากอันอ่อนนุ่มแทน ลิ้นที่พลิกพลิ้วอย่างชำนาญทำให้ประสาทสัมผัสที่ตื่นตัวอยู่แล้วของเขาเขม็งตึง ท่อนขาของเขาเหยียดเกร็งและอดขยับสะโพกไปมาไม่ได้

“เจ เตียงของแม่อาปา...”

คนตัวโตรีบพูดด้วยเสียงหอบกระเส่าเมื่อคนรักยอมถอนปากออก เมื่อครู่เขาเผลอตัวกระชากข้อมือตัวเองแรง ๆ ไปครั้งหนึ่งเพราะอยากจะยกมือขึ้นโอบร่างคนรัก เจใจหายวาบและรีบหันไปดูที่ลายแกะสลักอันอ่อนช้อยที่หัวเตียง เขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อสำรวจดูคร่าว ๆ แล้วพบว่ามันไม่ได้เสียหายอะไร

“ครับ ๆ รอแป๊บนึง”

เจกุลีกุจอปลดกุญแจมือที่ล่ามมือข้างหนึ่งของฆาเบียร์ติดไว้กับลายแกะสลักหัวเตียง คนตัวโตยิ้มบาง ๆ ในหัวเขานึกภาพตัวเองใช้จังหวะที่เจยังไม่ระวังตัวผลักเจ้าตัวดีลงกับเตียง หากเขาก็ต้องยิ้มค้างเมื่อเจดึงมือข้างที่ยังติดกับกุญแจมือหุ้มนวมไปหามืออีกข้างที่เขาใช้เนคไทมัดไว้กับหัวเตียง

“ปลอดภัยไว้ก่อน”

เจพึมพำออกมาเบา ๆ และล็อคข้อมือทั้งสองของคนตัวโตไว้ด้วยกันก่อนที่จะปลดเนคไทออกจากข้อมือคนรัก

“เจนยุทธ!”

คนตัวโตคำรามลั่น เจหัวเราะคิก อิหรอบนี้แสดงว่าเขาได้ทำลายแผนการของเมียตัวโตของเขาลงเสียแล้ว

“คิดจะกดผมเหรอครับ ฆาบี้? ...”

เจนยุทธหอมแก้มคนรักฟอดใหญ่ เขาจับคนรักซึ่งขยับกายขึ้นนั่งทำหน้าง้ำแบบที่เขารู้สึกว่าน่ารักเหลือเกินให้นอนลงหนุนหมอนโดยจัดวางแขนทั้งสองที่ล็อคติดกันไว้เหนือหัว จากนั้นจัดการปลุกอารมณ์ฆาเบียร์ต่ออีกครั้ง เขาเก็บตัวหนีบสั่นได้ทั้งสองที่เขาโยนทิ้งไปเมื่อสักครู่ใส่ถุงและจัดการหยิบของอย่างอื่นออกมาแทน เสียงหึ่ง ๆ ของมันทำให้ฆาเบียร์รู้ว่ามันเป็นอุปกรณ์ประเภทสั่นได้อีกอย่าง



“อืมม์...”

ฆาเบียร์เผยอปากน้อย ๆ เมื่อเจใช้ไวเบรเตอร์รูปไข่ตัวน้อยเขี่ยคลึงที่ริมฝีปากของเขา แรงสั่นของมันบวกกับการดูดดึงและลิ้นเรียวที่คนรักส่งเข้ามาในปากทำให้ฆาเบียร์อดครางเบา ๆ ในลำคอไม่ได้ เขารู้สึกได้ถึงร่างเปลือยเปล่าของเจที่นอนทาบทับอยู่บนกาย แก่นกายแข็งเกร็งของคนตัวเล็กบดเบียดกับหน้าท้องของเขา ฆาเบียร์อดไม่ได้ต้องแยกขาทั้งสองออกเพื่อให้ส่วนที่ชูชันจนปวดแล้วของเขาขยับถูกับของอีกฝ่ายได้สะดวก เจขบกราม เขาลุกขึ้นนั่งคุกเข่าที่กลางหว่างขาของฆาเบียร์แล้วโยกสะโพกเพื่อให้แก่นกายตนถูไถกับคนรัก เขาโน้มกายลงบดปากกับคนที่ตอบสนองอย่างเร่าร้อน

“อื๊อ ฆาบี้!”

เจอุทานเบา ๆ เมื่อคนรักที่อารมณ์เตลิดไปไกลแล้วกัดริมฝีปากเขาเข้าเต็มแรงจนเขารู้สึกถึงรสเค็มของเลือดที่ไหลซึมออกมาน้อย ๆ ฆาเบียร์รีบขอโทษขอโพยแต่ก็ต้องอุทานออกมาเบา ๆ เมื่อถูกกัดคืน

“ชอบความรุนแรงเหรอครับ?”

คนตัวเล็กกระซิบเสียงแหบพร่า เขาขยุ้มผมสลวยของคนรักแล้วบดริมฝีปากลงอีกครั้ง ฆาเบียร์ส่งเสียงครางในลำคอออกมาอย่างกลั้นไม่ได้ และยิ่งแอ่นกายขึ้นเมื่อเจใช้นิ้วดึงตุ่มไตที่แข็งชูชันของเขา เจนยุทธใช้นิ้วบดบี้มันอย่างไม่ปราณีปราศรัยแถมยังเปลี่ยนมาใช้ฟันขบอีกข้างหนึ่งเบา ๆ



“เจ ดี แรงอีก”

คนตัวโตที่เตลิดไปแล้วเพราะสัมผัสอันรุนแรงร้องขอให้คนรักปู้ยี่ปู้ยำเขาหนักขึ้น เจดูดยอดอกของคนรักจนแดงก่ำพร้อมกับถูไถแก่นกายของเขาเข้ากับแก่นกายของฆาเบียร์ ฆาเบียร์ขยับสะโพกตามจังหวะของคนรัก เขาอดไม่ได้ต้องยกสะโพกขึ้นสูงเพื่อให้ส่วนแข็งเกร็งของเจเสียดสีกับปากทางด้านหลังของเขา

“เจจ๊ะ เข้ามาเถอะ อย่าทรมานฉันอีกเลย”

ฆาเบียร์ร้องขอ ในตอนนี้การสัมผัสแค่เพียงภายนอกไม่อาจดับไฟในกายเขาได้อีกแล้ว

“ยังก่อนครับ ฆาบี้ ยังก่อน”

เจหัวเราะเบา ๆ แม้ใจเขาจะอยากเข้าไปสัมผัสกับความอบอุ่นในกายคนรักเสียบัดนี้ แต่เขายังอยากทรมานคนตัวโตเล่นอีกสักหน่อย

“เจ!”

ฆาเบียร์โวยลั่นด้วยความหงุดหงิดอีกครั้งเมื่อคนรักขยับกายออกห่าง แต่ก็พลันต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกถึงสิ่งที่กำลังจะล่วงล้ำเข้ามา เขาโยกสะโพกรับนิ้วเรียวชุ่มเจลของเจที่ส่งเข้ามาด้วยความยินดี เมื่อรู้สึกว่าช่องทางของคนรักอ่อนนุ่มพอแล้ว เจก็ดึงเมียตัวโตของเขาให้ลุกขึ้นนั่งคร่อมกายเขา จากนั้นปลดล็อคกุญแจมือออกด้วยรู้ดีว่าคนตัวโตคงไม่พยายามจับเขากดอีกแล้ว



“อ๊ะ ๆ ห้ามเอาออกครับ”

เจตะปบมือคนที่เตรียมจะดึงผ้าปิดตาออก ฆาเบียร์ยักไหล่แต่ก็ทำตามแต่โดยดี

“อยากได้นี่ไหมครับ”

เจซึ่งลงนอนบนเตียงแล้วดึงมือคนรักมาสัมผัสแก่นกายที่ตั้งตรงของเขา ฆาเบียร์พยักหน้าน้อย ๆ ในตอนนี้เขาไม่อายที่จะบอกออกมาแล้วว่าเขาต้องการให้คนรักฝังกายเข้าในตัวของเขาลึก ๆ

“ถ้าอยากได้ก็จัดการเองเลยครับ ฆาบี้...”

เจดึงร่างคนรักเข้ามากระซิบเบา ๆ ที่ข้างหู

“Esta noche, soy totalmente tuyo.”

‘คืนนี้ผมเป็นของคุณหมดทั้งตัว’


ฆาเบียร์ยิ้มกว้าง เขาลูบไล้ใบหน้าที่อยู่เบื้องล่างก่อนที่จะประทับจูบแผ่ว ๆ ที่ริมฝีปาก รสเลือดจาง ๆ ที่ยังคงอยู่บนริมฝีปากของเจและของเขาทำให้ใจของฆาเบียร์เต้นระรัว เขาขยับกายขึ้นคร่อมในตำแหน่งที่เคยชิน เจซี้ดปากเมื่อฆาเบียร์ค่อย ๆ กดช่องทางที่เขาจัดการเบิกทางจนชุ่มฉ่ำแล้วลงมา

“เมียผมดีที่สุดในโลกเลย”

เจครางออกมาเหมือนละเมอเมื่อคนรักค่อย ๆ โหย่งกายขึ้นลงช้า ๆ ฆาเบียร์แอ่นกายและใช้มือค้ำยันขาของเจไว้เพื่อช่วยทรงตัว เขาหอบเบา ๆ ด้วยความเสียวซ่าน เจรู้ดีว่าเขาชอบเป็นฝ่ายอยู่ด้านบนเพราะว่าสามารถควบคุมจังหวะได้และมักปล่อยให้เขาได้ทำตามใจ หากในวันนี้เจมีแผนอื่นสำหรับเมียตัวโตของเขา เขาเอื้อมมือไปหยิบสิ่งของบางอย่างที่เตรียมไว้มาจากกองอุปกรณ์ข้างกาย



“เจ อะไรน่ะ?”

ฆาเบียร์ซึ่งยังถูกปิดตาไว้อุทานออกมาเมื่อรู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอม เขาหยุดขยับเพื่อสัมผัสมันแล้วก็ต้องหน้าร้อนวูบ เจนยุทธผู้ชอบใช้อุปกรณ์จัดการเอากระป๋องช่วยตัวเองที่เจ้าตัวขอให้เขาเลือกให้มาครอบฉับเข้าให้ที่แก่นกายของเขา

“น่า ๆ ทำต่อเถอะครับ”

เจพูดพลางตบสะโพกคนรักที่ทำท่าจะหยุดให้ขยับต่ออีกครั้ง ฆาเบียร์ขมวดคิ้วแล้วจึงเริ่มควบคุมเกมต่อ ไม่นานเขาก็เข้าใจจุดประสงค์ของเจ ระหว่างที่เขาเด้งกายอยู่บนตักของเจ แทนที่ส่วนแข็งเกร็งของเขาจะแกว่งไกวไปมาแบบเสียเปล่าเหมือนทุกครั้ง คราวนี้มันกลับถูกความอ่อนนุ่มของซิลิโคนที่อยู่ภายในกระป๋องนั้นโอบอุ้มไว้ สัมผัสของมันช่างเหมือนในกายคนโดยเฉพาะเมื่อเจลที่เจใส่ไว้นั้นเป็นเจลอุ่นด้วยแล้ว มันเหมือนกับว่าเขากำลังถูกร่วมรักจากทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ยิ่งเมื่อเขาถูกปิดตา สัมผัสทั้งหลายก็ยิ่งเด่นชัด ฆาเบียร์สบถหนัก ๆ ออกมาหลายคำด้วยความรู้สึกเมามันในอารมณ์

“เจจ๊ะ แรงอีกจ้ะ”

คนตัวโตร้องบอกคนที่ช่วยขยับความนุ่มหยุ่นที่ด้านหน้าให้เขา เจเม้มปากแน่น แต่ละครั้งที่ฆาเบียร์บดกายลงมา มันช่างลึกจนเขารู้สึกได้ถึงหน้าขาของเขาที่กระแทกกับสะโพกที่มีกล้ามเนื้อหนั่นแน่นของคนรัก

“โอว เจจ๊ะ mi alma จูบ จูบฉันหน่อย...”

คนตัวโตที่สำลักความสุขจนเหมือนจะตัวลอยแล้วรีบควานหาเจนยุทธ เจจับมือของคนรักแล้วยันกายขึ้นนั่ง เขาดึงกระป๋องให้ความสุขที่เริ่มเป็นตัวเกะกะแล้วและรั้งร่างของคนรักเข้ามา เขากอดร่างใหญ่กำยำที่หอบจนตัวโยนไว้ในอ้อมแขนแล้วบรรจงจูบตามคำบัญชา ฆาเบียร์รีบถอดผ้าที่ปิดตาออกแล้วใช้ฝ่ามือประคองใบหน้าของคนรักไว้ เขาถอนจูบแล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตาแวววาวซึ่งฉายแววรักใคร่ของเจนยุทธ จากนั้นริมฝีปากของพวกเขาก็เชื่อมเข้าด้วยกันจนสนิทอีกครั้งเช่นเดียวกับที่เบื้องล่าง เจดันร่างคนรักให้ลงนอนกับเตียงและเปลี่ยนเป็นฝ่ายขยับเอง ไม่นานเขาก็ส่งเสียงคำรามหนัก ๆ ออกมาและฟุบกายลงอกของฆาเบียร์



“คุณ เอ่อ คุณเสร็จหรือยังครับ?”

เจถามเบา ๆ ด้วยความกังวลหลังจากนอนนิ่งอยู่บนกายคนรักครู่หนึ่งแล้ว ฆาเบียร์พยักหน้าตอบรับอย่างเหนื่อยอ่อน เขาถึงฝั่งฝันไปตั้งแต่ก่อนที่เจจูบเขาแล้ว

“เดี๋ยวนายคงต้องทำความสะอาดไอ้เจ้ากระป๋องนั่นหน่อยนะ”

คนตัวโตยิ้มอาย ๆ นี่เป็นครั้งที่สองในชีวิตที่เขาถึงจุดสุดยอดเพราะใช้ตัวช่วยแบบนี้

“ติดใจแล้วล่ะสิ?”

เจถามยิ้ม ๆ

“ไม่ได้ติดใจซักหน่อย”

คนตัวโตบ่นอุบอิบพร้อมกับผลักร่างเพรียวบนอกให้กลิ้งลงไปนอนข้าง ๆ ด้วยความเขินอาย เจหัวเราะคิกคักพลางถอดเครื่องป้องกันออกมามัดปลายแล้วโยนทิ้งลงถังขยะที่ข้างเตียง จากนั้นพลิกกายไปกอดร่างอุ่น ๆ ของคนรักอีกครั้ง

“ผมอยากนอนกอดคุณแบบนี้ทุกคืนจัง”

เจพูดงึมงำอยู่กับแผงอกกว้าง ได้ยินแบบนั้น ฆาเบียร์ก็รู้สึกว่าหัวใจของเขาพองโตขึ้นมาทันที

“ฉันก็อยากเข้านอนโดยมีเจอยู่ด้วยแบบนี้ทุกคืนเหมือนกันนะ”

คนตัวโตกระซิบแผ่ว ๆ เจนยุทธยิ้มบาง ๆ เขาเอาหูแนบกับอกซ้ายของคนรัก หัวใจของคนตัวโตเต้นแรงขึ้นจนเขาสัมผัสได้ เขาจูบแผ่ว ๆ ลงที่ตำแหน่งของหัวใจโดยที่ไม่ต้องพูดอะไร ฆาเบียร์ยกมือขึ้นลูบผมนิ่มของเจเบา ๆ ทั้งสองนอนนิ่งอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง ใจที่พองฟูเมื่อสักครู่ของคนทั้งสองกลับเหี่ยวแฟบลงเมื่อนึกถึงว่าในอีกไม่ถึง 2 วันพวกเขาก็ต้องลาจากกันอีกครั้งแล้ว

“เรา เอ่อ อาบน้ำกันเถอะครับ เกือบตีสี่แล้ว...”

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วลุกขึ้นนั่ง เขาดึงร่างชุ่มเหงื่อของคนรักให้ลุกขึ้นก่อนที่จะพากันเข้าไปชำระล้างร่างกาย



“ฆาบี้ครับ”

“หืมม์? ว่าไงจ๊ะ?”

คนตัวโตซึ่งนอนหลับตานิ่งไปแล้วตอบรับเบา ๆ

“เมื่อกี้ เอ่อ...”

เจนยุทธอึกอัก คนตัวโตลืมตาขึ้น เขาสบตากับดวงตากลมวาวของคนรักที่ยังเห็นได้เด่นชัดภายใต้แสงสลัวของดวงจันทร์ที่ส่องผ่านเข้ามาจากรอยแยกของผ้าม่าน

“มีอะไร เจนยุทธ?”

เจลอบถอนหายใจเบา ๆ

“ผมแค่จะถามว่า เมื่อกี้ผมทำคุณเจ็บหรือเปล่า? ผม เอ่อ เผลอตัวไปหน่อย...”

“อ๋อ โธ่เอ๊ย เรื่องนี้เองเหรอ? เห็นนายอึกอักฉันก็นึกว่ามีเรื่องคอขาดบาดตายอะไร...”

คนตัวโตหัวเราะเบา ๆ

“ก็มีแปล๊บ ๆ นิดหน่อยจ้ะ...”

ฆาเบียร์ยกมือลูบยอดอกที่ยังบวมน้อย ๆ และมีรอยห้อเลือดเป็นจ้ำ ๆ

“แต่ก็...ดีมาก ๆ เลยนะ เมื่อกี้ฉันแทบลอยเลยล่ะ นายเยี่ยมมากเลยนะ เจ”

คนตัวโตจุ๊บหน้าผากคนรัก เจยิ้มกว้างแล้วซุกหน้าลงกับแผงอกของคนรัก

“คุณมีความสุขผมก็ดีใจครับ ฆาบี้ ตอนแรกผมยังกลัวว่าจะทำเกินไปหน่อย ว่าแต่ขอโทษเรื่องเตียงด้วยนะครับ ถ้าต้องซ่อมก็บอกนะ ผมจะออกตังค์ซ่อมให้”

เจพูดเสียงอ่อย ๆ หลังจากสำรวจโดยละเอียดแล้วแล้ว ผลของการเล่นพิเรนทร์ของเขาเมื่อสักครู่คือรอยบิ่นเล็กน้อยจุดหนี่งบนลายฉลุอันบอบบาง

“ไม่ต้องคิดมากหรอกจ้ะ รอยนิดเดียว เผลอ ๆ อาจจะไม่ใช่รอยของวันนี้ก็ได้...”

คนตัวโตหันมายิ้มด้วยสายตาแพรวพราย

“...จะว่าไป ฉันก็ชักติดใจแบบนี้แล้วสิ ไว้คราวหน้าที่นายมา ฉันจะให้คนติดเสาเหล็กหรือคานเหล็กไว้เหนือเตียงด้วย ดีไหม? ไว้เผื่อฉันจะได้เป็นคนล่ามนายบ้าง”

“เฮ้ย ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้คุณ!”

เจอ้าปากค้างแล้วโบกไม้โบกมือปฏิเสธลั่น เขาต้องโคลงหัวเมื่อเห็นสายตาที่แฝงแววขบขันของคนรัก

“คุณนี่นะ สมกับเป็นเซียนโป๊กเกอร์ พูดจริงหรือพูดเล่นนี่ไม่รู้เลยนะ”

เจบ่นเบา ๆ พร้อมกับซัดผัวะเข้าที่ต้นแขนใหญ่หนาของคนรัก ฆาเบียร์แกล้งร้องโอดโอย แต่ก็โดนคนรักชักศอกใส่ไปอีกที พวกเขาทั้งสองกอดปล้ำกันอีกครู่หนึ่งแล้วจึงชวนกันเข้านอน



‘เฮ้อ...’

คนตัวเล็กซึ่งภายนอกเหมือนจะหลับแล้วถอนหายใจเฮือก ๆ อยู่ในใจ

‘ทำไมมึงไม่บอก ๆ เขาไปให้หมดเรื่องวะ ไอ้เจเอ๊ย ไอ้ป๊อด’

เจนยุทธก่นด่าตัวเองอยู่ในใจ สิ่งที่เขาต้องการจะพูดกับคนรักเมื่อสักครู่ ไม่ใช่การถามไถ่ว่าเขาทำรุนแรงไปหรือไม่อย่างที่ถามออกไป แต่มันเป็นสิ่งที่เพิ่งสว่างวาบขึ้นมาในหัวเขาหลังจากที่ร่วมรักกันเสร็จเมื่อครู่

‘ไม่เป็นไร ไว้บอกฆาบี้เขาคราวหน้าก็ได้ ยังไง ๆ พวกเราก็ยังมีเวลาด้วยกันอีกเยอะ’

เจพยักหน้าน้อย ๆ ให้กับตัวเอง ก่อนที่จะหลับตาลงพร้อมกับรอยยิ้มบาง ๆ บนริมฝีปาก



------------------------------------------------

ช่วงนี้ติดผู้ชายหนักมาก ขออภัยจริง ๆ ค่ะที่มาช้า เขียนได้แค่ทีละไม่กี่บรรทัดก็โดนดึงความสนใจไปแล้ว ฮือ จริง ๆ ตอนนี้จะต้องต่อด้วยของกิน แต่เห็นว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเกินไปแล้ว พอดีว่ามันตัดจบตอนได้ ก็จบตรงนี้ก่อน สาด NC ล้วน ๆ ให้อ่านหนึ่งตอนเต็มไปก่อนนะคะ ส่วนของกินไว้มาตอนหน้าค่ะ





ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 o13 :haun4: o13



 :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :L1:

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- เมามาย ----




“อือ แสบตา”

แสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามากระทบตาจากรอยแยกของม่านที่กว้างประมาณสองคืบทำให้ฆาเบียร์ซึ่งยังนอนหลับตาอยู่บ่นออกมาด้วยความรำคาญ เมื่อคืนเจได้แง้มม่านไว้เพราะอยากมองเห็นร่างเปลือยของเขาภายใต้แสงจันทร์ยามที่พวกเขาร่วมรักกัน แต่เมื่อเสร็จกิจเจ้าตัวก็คงลืมรูดมันปิดจนกระทั่งแสงตะวันสาดส่องในยามสายแบบนี้

“เฮ้อ ลุกก็ได้วะ”

คนตัวโตถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วชะเง้อดูเวลาจากนาฬิกาปลุกดิจิตอลที่โต๊ะหัวเตียง

‘เพิ่งจะแปดโมงครึ่ง จะรีบตื่นมาทำบ้าอะไรกัน ฮึ?’

หนุ่มละตินนึกก่นด่าตัวเองอย่างสุดเซ็ง เขานอนมองเพดานไม้ของเตียงแต่งงานหลังงามของพ่อแม่อาปาพักหนึ่งแล้วจีงพลิกตัวนอนตะแคง เขายิ้มบาง ๆ เมื่อเห็นร่างขาวผ่องตรงหน้าซึ่งนอนขดอยู่เพราะความหนาวเย็นจากแอร์ที่เจ้าตัวเองปรับไว้ที่ 18 องศา เจ้าตัวดีของเขาซึ่งบ่นว่าร้อนเมื่อตอนก่อนนอนได้ถีบผ้าห่มออกไปหมดเหลือแต่ร่างเกือบเปลือยที่ใส่เพียงกางเกงในตัวเดียว

“เจ เจจ๊ะ ห่มผ้าเถอะ เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”

คนตัวโตเขย่าร่างเพรียวตรงหน้าเบา ๆ เจปัดมือเขาแล้วบ่นงึมงำเป็นภาษาไทย ฆาเบียร์โคลงหัว อีหรอบนี้เจคงไม่ตื่นง่าย ๆ เขาจัดการห่มผ้าให้คนรักเสร็จสรรพ จากนั้นก็กลับลงไปนอนอีกครั้ง เขาตะแคงกายหันหน้าเข้าหาเจนยุทธแล้วตะกองกอดร่างเพรียวไว้

“ให้ตายสิ!”

เขาสบถออกมาเบา ๆ เมื่อสังเกตเห็นหลังคอขาวที่บัดนี้เต็มไปด้วยจ้ำและปื้นสีแดงช้ำอันเกิดจากตัวเขาตอนที่ยังนัวเนียกันกลางแจ้ง อารมณ์ที่เตลิดไปทำให้เขาทั้งจูบทั้งดูดต้นคอที่อยู่ตรงหน้าอย่างบ้าคลั่ง รอยนั้นกระจายมาจนถึงลาดไหล่และแผ่นหลังตอนบน เขาถอนหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่เมื่อก้มดูแผงอกตัวเองแล้วก็พบว่ามันก็ไม่ต่างกัน



“เฮ้อ สงสัยคงต้องได้เพลา ๆ มือกันบ้างแล้ว”

คนตัวโตเปรยออกมาเบา ๆ

“เพลา ๆ มืออะไรเหรอครับ?”

เจนยุทธซึ่งตื่นขึ้นมาเพราะถูกคนรักรั้งกายไปกอดถามขึ้นเบา ๆ เขายกมือไม้ขึ้นบิดขี้เกียจแล้วพยายามจะพลิกกายกลับมานอนเผชิญหน้ากับคนรัก แต่คนตัวโตก็ไม่ยอมปล่อยเขาออกจากอ้อมอก

“เฮ้ ๆ อย่ามาคึกแต่เช้านะครับ”

เจร้องออกมาเบา ๆ เมื่อริมฝีปากของคนรักประทับลงบนต้นคอของเขา ฆาเบียร์ไม่ตอบคำหากก้มหน้าก้มตาประทับจูบอย่างแผ่วเบาซ้ำลงไปบนเหล่ารอยรักที่เขาทำไว้เมื่อคืน เจหลับตาลงแล้วปล่อยใจไปกับสัมผัสอันนุ่มนวลนั้น


“เอ่อ วันนี้เจใส่เสื้อโปโลซะนะ ตั้งปกขึ้นด้วยล่ะ”

คนตัวโตพูดอ้อมแอ้มออกมาเบา ๆ หลังจากกอด ๆ หอม ๆ คนรักจนชื่นใจแล้ว เจใจหายวาบแล้วยกมือขึ้นปิดต้นคอทันที

“เฮ้ย รอยมันชัดขนาดนั้นเลยเหรอคุณ?”

เจนยุทธโวย เขารู้ตัวตั้งแต่ตอนที่คนรักทั้งจูบทั้งดูดหลังคอเขาเมื่อคืนแล้วว่าคอของเขาไม่พ้นต้องมีสักรอยสองรอยแน่ ๆ หากไม่ได้นึกว่ามันจะเยอะขนาดที่ทำให้คนซึ่งปกติไม่ได้หน้าบางเรื่องนี้นักอย่างฆาเบียร์ถึงขั้นต้องออกปากว่าให้เขาปิดมันไว้

“คุณนี่มันร้ายจริง ๆ นะครับ ฆาบี้”

เจหันหน้ากลับมาเผชิญหน้ากับคนที่นอนยิ้มเผล่พร้อมกับส่งสายตาปิ๊งปั๊งให้เขา คนตัวโตยักไหล่เบา ๆ

“นายก็ทำรุนแรงกับฉันเมื่อคืนเหมือนกันน่า”

ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ แล้วชี้ให้เจดูยอดอกที่ยังบวมแดงน้อย ๆ แถมยังมีรอยช้ำจากการขบและรอยสีกุหลาบจากจูบของเจเปรอะไปทั้งอก

“อ๋อ แหะ ๆ ก็ทำไงได้ล่ะครับ เมียของผมทั้งยั่วทั้งเซ็กซี่ขนาดนั้น ใครจะอดใจไหว”

เจนยุทธหัวเราะแหะ ๆ แล้วยกมือขึ้นลูบแก้มที่เริ่มมีตอหนวดเคราขึ้นสากเบา ๆ คนตัวโตโคลงหัวน้อย ๆ แล้วยื่นหน้าไปจุ๊บริมฝีปากรูปกระจับของเจ เขาผงะออกด้วยความตกใจเมื่อคนรักซี้ดปากออกมาเบา ๆ อย่างลืมตัว

 


“เจ เป็นอะไร?”

คนตัวโตรีบเปิดไฟที่หัวเตียงแล้วหันกลับมาดูคนรักทันที เขาใช้ฝ่ามือประคองใบหน้าคนที่พยายามหันหน้าหลบให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา ฆาเบียร์ใจแป้วลงทันทีเมื่อเห็นรอยเลือดจาง ๆ บนริมฝีปากล่างของคนรัก

“โธ่ เจ...”

ฆาเบียร์ครางออกมาเบา ๆ เขายกมือขึ้นเกลี่ยริมฝีปากที่เขารู้สึกเอาเองว่ามันแดงช้ำและบวมเจ่อกว่าทุกครั้งด้วยความรู้สึกผิด อารมณ์ที่พลุ่งพล่านเพราะการเล่นแบบตื่นเต้นและรุนแรงนิด ๆ เมื่อคืนทำให้เขากัดปากของคนรักเข้าเต็มรักจนได้เลือด

“ฉันทำนายเจ็บอีกแล้ว”

คนที่มักคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ก้มหน้าลงต่ำ เจรีบเชยคางคนรักขึ้นทันที

“ไม่เจ็บครับ ไม่เจ็บ แค่นี้เอง จิ๊บ ๆ น่า เอ๊ะ...”

เจลูบริมฝีปากคนรักของตนบ้าง และตามคาด คนตัวโตสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาเช่นกัน

“เห็นมะ คุณไม่ได้ทำผมเจ็บฝ่ายเดียวหรอกน่า แบบนี้วิน วิน เจ็บทั้งคู่ เสียวทั้งคู่”

เจนยุทธยิ้มกริ่ม เขาสัมผัสริมฝีปากของคนรักอย่างแผ่วเบาอีกครั้ง หากครั้งนี้ เขาใช้ลิ้นเรียวค่อย ๆ เลียไล้รอยปริแตกซึ่งเกิดจากคมเขี้ยวของตัวเอง ฆาเบียร์พริ้มตาลง และส่งปลายลิ้นมารอรับการเกลี่ยไล้จากปลายลิ้นของคนรัก เขาไม่มองหากใช้ประสาทสัมผัสอันฉับไวบนลิ้นไล่เลาะหารอยปริแตกบนริมฝีปากของคนรักบ้าง เมื่อพบ เขาใช้ริมฝีปากแตะมันเบา ๆ และค่อย ๆ ขบเม้มช้า ๆ เจหายใจกระชั้นขึ้น ปากซึ่งยังช้ำอยู่บ้างของเขาเจ็บแปลบน้อย ๆ ยามถูกคนรักจูบ หากเขาก็ปล่อยให้ฆาเบียร์ทำตามใจ

 


“ชื่นใจ”

ฆาเบียร์ยิ้มกว้างเมื่อรับความหวานจากริมฝีปากคนรักจนพอใจแล้ว เขาขยับไปจุมพิตเบา ๆ ที่หน้าผากของเจนยุทธด้วยความเอ็นดู ก่อนจะปล่อยร่างอุ่น ๆ ในอ้อมอกให้เป็นอิสระ

“ไป อาบน้ำกันเถอะ เก้าโมงแล้ว นายจองบรันช์ไว้กี่โมง?”

คนตัวโตลุกขึ้นนั่งที่ข้างเตียง เจลุกพรวดขึ้นตาม

“ตาย ๆๆ จองไว้เที่ยงครับ แต่ผมกะว่าจะกินมื้อเช้าเบา ๆ ก่อนเวลาไปถึงจะได้ดื่มแล้วเมาไม่ง่ายนัก”

“แชมเปญบรันช์ของห้อง Ozone ใช่ไหม?”

คนตัวโตถามคนรักที่เผ่นพรวดลงไปเตรียมอาบน้ำอย่างกระฉับกระเฉง

“ครับ มีทุกวันอาทิตย์ เที่ยงถึงบ่ายสาม ตอนแรกผมก็ลังเลว่าจะเลือกบรันช์ของห้องไหนดีระหว่างบรันช์เน้นดื่มของห้อง Ozone หรือที่เน้นกินของห้อง Tosca ดี”

เจพูดอย่างลังเล ห้องโอโซนคือบาร์บนชั้น 118 ที่เขาและบูมเคยขึ้นไปนั่งดื่มกันในวันแรกที่มาถึงฮ่องกง ส่วนทอสกาคือห้องอาหารอิตาเลียนดีกรี 1 ดาวมิเชแลงซึ่งมีซันเดย์บรันช์พร้อมฟรีโฟลว์แชมเปญเช่นกัน

“ของโอโซนเป็นแชมเปญดอม เปริญง ส่วนที่ทอสกาเป็นคริสตาล แต่นึกไปนึกมา ถ้ากินที่ทอสกาผมก็ต้องพะวงอยากกินอาหารด้วย ก็จะดื่มได้น้อย สู้เน้นดื่มอย่างเดียว อาหารมีแค่รองท้องแบบของโอโซนดีกว่า”

ฆาเบียร์อมยิ้มเมื่อเห็นท่าทีเป็นจริงเป็นจังกับเรื่องกินของคนรัก เจย่นจมูกให้คนรักเมื่อเห็นท่าทางยิ้มกริ่มนั้น

“นั่งยิ้มอยู่ได้ มา ๆ ๆ อย่ารีรอครับ มาอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวจะยิ่งช้าไปเรื่อย ๆ”

เจยื่นมือไปฉุดเมียตัวโตของเขาให้ลุกจากเตียง ฆาเบียร์ทำท่าอิดออดเหมือนยังอยากจะนอนกลิ้งและนัวเนียกับเจต่อ แต่ก็จำใจต้องลุกขึ้นเมื่อคนตัวเล็กทำท่าดุใส่


 

 “เล็บคุณเริ่มยาวอีกแล้วนะ ฆาบี้”

เจบ่นเบา ๆ พร้อมกับหันไปดูเงาสะท้อนของตนในกระจกบานใหญ่ เขามารู้ตัวว่าโดนข่วนเอาเมื่อตอนอาบน้ำแล้วรู้สึกแสบที่หลัง เขาขมวดคิ้วเมื่อเห็นรอยข่วนยาวอีกทั้งรอยเล็บจิกหลายรอยบนแผ่นหลังของตน ฆาเบียร์หัวเราะหึ ๆ แล้วยกมือขึ้นให้คนรักดูเล็บของตน เจถอนหายใจเฮือกใหญ่

“งั้นเดี๋ยวคืนนี้ผมตัดให้นะ ที่นี่ไม่มีกรรไกรตัดเล็บใช่ไหมล่ะ?”

เจถาม ฆาเบียร์พยักหน้าตอบรับ เขาขึ้นมานอนบนบ้านหลังนี้ไม่บ่อยนักและไม่ค่อยจะเก็บของที่นาน ๆ ได้ใช้ทีอย่างกรรไกรตัดเล็บไว้

“คุณนี่ชักจะเสียนิสัยแล้วนะครับ แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจัดการให้เอง”

เจกุมมือคนที่อยู่เบื้องหน้าแล้วยกขึ้นจูบแผ่ว ๆ ฆาเบียร์อดไม่ได้ต้องรวบร่างเพรียวมากอดไว้อีกครั้งและหอมเบา ๆ บนเรือนผมที่เริ่มยาวขึ้นแล้ว

“นอนต่ออีกหน่อยไม่ได้เหรอ?”

คนที่ยังอยากใช้เวลาพลอดรักกับคนรักต่อบนเตียงอีกสักนิดอ้อนวอนเบา ๆ หากคนใจแข็งก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจ คำว่าอีกหน่อยของฆาเบียร์นั้นมักจะลุกลามกลายเป็นการโรมรันพันตูกันอย่างเผ็ดร้อนบนเตียงซี่งกินเวลายาวนาน

“ไม่นอนต่อแล้วครับ เดี๋ยวยาว ไป ๆ แต่งตัวเถอะครับ จะได้ลงไปหาอะไรรองท้องกัน”

เจนยุทธรีบเลือกเสื้อจากในตู้แล้วโยนส่งให้คนรักทันที ฆาเบียร์รับเสื้อโปโลสีฟ้าอ่อนตัวนั้นมาแล้วก็ต้องยิ้มบาง ๆ วันนี้คนรักของเขาจับเขาใส่เสื้อคู่กับตัวเอง อาจจะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ได้



“เอ้า ยืนยิ้มอีก แต่งตัวสิครับ”

เจหันไปดุคนรักแล้วหันกลับมามองกระจกอีกครั้ง เขายัดชายเสื้อโปโลสีฟ้าอ่อนขนาดพอดีตัวของตนใส่ลงในกางเกงยีนส์ จากนั้นก็เปลี่ยนใจแล้วดึงชายเสื้อออกมานอกกางเกงอีกครั้ง เขาทำแบบนี้อยู่สองสามรอบจึงได้ตัดสินใจใส่แบบปล่อยชาย

“ชิ หมั่นไส้คนหุ่นดี”

เจบ่นพึมพำกับตัวเองหลังจากหันไปเจอคนรักที่แต่งตัวเสร็จแล้ว เขามองแผงอกผึ่งผายสมชายที่นูนเด่นภายใต้เสื้อโปโลสีฟ้าอ่อนขนาดพอดีตัวด้วยความหมั่นไส้เล็ก ๆ แม้ฆาเบียร์ใส่เสื้อที่มีแบบและสีใกล้เคียงกับคนรักหากแทนที่จะใส่กางเกงยีนส์เขากลับใส่กางเกงชิโน่สีทรายแทน

“ไม่ชอบใส่เสื้อคู่กับฉันเหรอ เจนยุทธ? กลัวใครจะรู้ว่าเราเป็นแฟนกันรึไง?”

คนตัวโตแกล้งทำหน้าสลดเมื่อได้ยินเจบ่นกะปอดกะแปดเรื่องที่ตัวเองดันเลือกเสื้อคล้ายกันให้คนรักใส่

“คิดอะไรของคุณครับ คุณมาร์ติเนซ!”

คนตัวเล็กขึ้นเสียงทันที

“ผมไม่เคยอายที่จะบอกใครว่าคุณเป็นคนรักของผมนะ...!”

เจนยุทธลดเสียงลง

“ผมแค่เซ็งที่แต่งตัวเหมือนกันแล้วคุณดูดีกว่าผมแค่นั้นเอง”

เจบ่นอุบอิบอีกครั้ง เขาลากคนรักมายืนเคียงข้างกันที่หน้ากระจกทรงโบราณบานใหญ่ ฆาเบียร์กลั้นยิ้มเมื่อเห็นเจหมุนซ้ายหมุนขวาพลางถอนหายใจเฮือก ๆ


“ดูดิ ยืนข้างคุณแล้วผมดูเป็นไอ้ขี้ก้างไปเลย แถมยังดูเตี้ยเป็นลูกหมาอีก”

คนที่ตัวเตี้ยกว่าอีกฝ่ายถึงเกือบ 10 เซนติเมตรแถมยังตัวเพรียวบางกว่ามากบ่นกะปอดกะแปด ถึงเขาจะไม่ได้รูปร่างบางจนเรียกว่าอรชรอ้อนแอ้น แต่สมส่วนและมีกล้ามเนื้อแต่พองามอันเกิดจากการออกกำลังกายเป็นประจำ หากเมื่อยืนเทียบกับฆาเบียร์แล้วก็ยังดูด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด ตัวเขาที่ออกปากเรียกอีกฝ่ายว่า “เมีย” อยู่ตลอดเวลานั้นก็อยากที่จะมีรูปร่างดีและผี่งผายพอที่จะยืนเคียงข้างอีกฝ่ายได้อย่างเหมาะสมกัน

“ไม่เห็นเป็นไรเลย นายก็ดูดีในแบบของนายแล้วนี่ เจนยุทธ ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า”

ฆาเบียร์ดึงคนรักมายืนซ้อนตรงหน้า เขาโอบเอวเจไว้หลวม ๆ ด้วยความสูง 170 นิด ๆ ของเจนยุทธทำให้ริมฝีปากของเขาอยู่ตรงกับพวงแก้มกลมของคนรักพอดี

“ชื่นใจ”

ฆาเบียร์พึมพำหลังจากหอมแก้มคนรักฟอดใหญ่ เจหันไปแลบลิ้นให้ เขาอุทานเบา ๆ แล้วรีบเบือนหน้าหลบริมฝีปากอุ่น ๆ ที่เตรียมประทับลงมา คนตัวโตหัวเราะแล้วกระชับวงแขนแน่นเข้า เจดิ้นขลุกขลักและพยายามหนีออกจากคนที่ตั้งหน้าตั้งตาจะขโมยจูบจากเขาให้ได้ สุดท้ายเขาก็ต้องยอมให้เมียตัวโตจุ๊บแผ่ว ๆ เข้าที่ริมฝีปากอีกครั้ง

 

“พอใจยังครับ?”

เจถามยิ้ม ๆ หลังจากจูบคืนกลับไปเป็นรอบที่ 3 ฆาเบียร์ส่ายหน้าแล้วกอดร่างเพรียวไว้แนบอกแน่น เจซบหน้าลงกับบ่ากว้างในขณะที่ฆาเบียร์ประทับจูบอีกรอบบนเรือนผมนิ่ม

“เดี๋ยวแป๊บ ๆ ก็ได้เจอกันแล้วครับคุณ...”

เจนยุทธพูดลอย ๆ ขึ้น เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่เอ่อท้นขึ้นมาของคนรัก ฆาเบียร์ยังคงนิ่งเงียบ เจยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังที่เกร็งขึ้นเบา ๆ เมียตัวโตของเขามักอ่อนไหวเสมอเมื่อใกล้ถึงเวลาที่ต้องจากกัน

“คุณครับ...”

เจฝืนใจดันร่างคนรักออก

“...เราต้องคุยกันหน่อยไหม?”

คนตัวเล็กถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ฆาเบียร์กัดริมฝีปากน้อย ๆ แล้วส่ายหน้า

“ไม่ต้องหรอกจ้ะ ฉันโอเคแล้ว”

คนตัวโตเผยอยิ้มให้คนตรงหน้า เจถอนหายใจเบา ๆ แล้วยกมือขึ้นปาดหยาดน้ำตาหยดน้อยที่เกาะอยู่ที่หางตาคู่คม

“อย่าลืมนะครับ ว่าคุณสัญญากับผมแล้วว่าเราจะไม่ปล่อยผ่านความรู้สึกอะไรไป ถ้ามีอะไรก็ต้องคุยกัน อย่าเก็บไว้นะครับ”

เจบ่นเบา ๆ ไม่นานก่อนหน้านี้ พวกเขาทั้งสองเคยทำข้อตกลงกันไว้ว่าถ้าพวกเขาเกิดรู้สึกอ่อนไหวหรือมีสิ่งติดค้างในใจอะไร พวกเขาจะต้องเปิดอกคุยกันและไม่ปล่อยให้เกิดตะกอนใด ๆ ที่ทับถมในใจหรือในความรู้สึกของแต่ละฝ่าย

“จ้ะ ฉันรู้ แต่คราวนี้ฉันโอเคแล้วจริง ๆ นะ”

ฆาเบียร์ส่งยิ้มกว้างให้คนรักแล้วบอกว่าเขาแค่รู้สึกอ่อนไหวขึ้นมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ถึงขั้นที่ต้องมานั่งปรับทุกข์หรือออดอ้อนอ้อนวอนคนรักไม่ให้จากไปอย่างที่เจเป็นห่วง

“หึ ขอให้จริงเถอะครับ เอ้า งั้น เราไปกันเถอะ นี่มันก็สิบโมงแล้ว ผมขอหาอะไรรองท้องหน่อยจะได้ไม่เมาง่าย”

คนตัวโตพยักหน้ารับคำและปล่อยให้เจเดินนำเขาลงไปยังห้องรับประทานอาหาร

 


“เดี๋ยวผมแวะขึ้นไปเอาของบนห้องหน่อยนะ ฆาบี้”

เจนยุทธหันไปบอกฆาเบียร์ หลังจากกินมื้อเช้าเบา ๆ ที่บ้านของอาปาแล้ว ฆาเบียร์ก็พาเจนยุทธกลับลงมายังโรงแรมริทซ์ คาร์ลตัน ฮ่องกง แทนที่จะขึ้นไปยังห้องอาหารเลย เจกลับขอขึ้นไปที่ห้องพักก่อน เมื่อกลับขึ้นไปถึงห้อง เจก็เปิดหีบเก็บซิการ์ใบใหญ่ของฆาเบียร์แล้วหยิบเอาซิการ์ขนาด panetela ยี่ห้อ Davidoff ที่มีขนาดประมาณรอบนิ้วก้อยของเขาแต่เรียวยาวประมาณคืบหนึ่งออกมา 2 ตัว

“ได้ดื่มแชมเปญดี ๆ ที ก็ต้องขอจุดซักตัวครับ”

เจหันมายิ้มหวานให้คนรัก ฆาเบียร์พยักหน้าแล้วส่งยิ้มกลับคืน เขาขยับกายเข้ามาใกล้แล้วยื่นมือหยิบซิการ์ตัวที่ใหญ่กว่าส่งให้

“ไหน ๆ จะจุดแล้ว ไม่เอาตัวใหญ่เลยล่ะจ๊ะ? ไซส์นี้สูบแป๊บ ๆ ก็หมดแล้ว”

คนตัวโตถาม หากเจส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่ดีกว่าครับ ตอนสูบผมเดาว่าตัวเองคงเมาพอสมควรแล้วแน่ ๆ สูบตัวใหญ่ไป อาจจะไม่ไหว แถมอาจจะยังไม่รู้รสมากมายด้วย เอาแค่ตัวนี้พอละ คุณหยิบของคุณไปเองแล้วกัน”

เจทำท่าจะหยิบซิการ์อีกตัวที่เอาใส่ซองไว้แล้ววางกลับคืนลงไปในกล่อง หากฆาเบียร์จับข้อมือคนรักไว้ก่อน

“ไม่เป็นไรจ้ะ ไซส์นี้ก็ได้ แต่เอาพวกนี้ขึ้นไปเผื่อด้วยแล้วกัน”

คนตัวโตหยิบกล่อง cigarillos ไซส์ Club หรือซิการ์น้อยที่มีขนาดใหญ่กว่าบุหรี่เล็กน้อยยี่ห้อ Davidoff เช่นกันออกมายัดใส่กระเป๋าเสื้อตัวเอง จากนั้นพยักเพยิดกับเจนยุทธ

“เรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”

เจพยักหน้าให้แทนคำตอบแล้วจึงพากันเดินออกห้องไป พวกเขาลงลิฟท์กลับมายังล็อบบี้จากนั้นเดินไปยังลิฟท์อีกฝั่งหนึ่งซึ่งนำพวกเขาขึ้นไปสู่ Ozone Bar บนชั้น 118 ซึ่งเป็นบาร์ที่ตั้งอยู่สูงที่สุดในโลก ด้วยความสูง 484 เมตรเหนือพื้นดินทำให้มันชนะคู่แข่งอย่างบาร์ At.mosphere ในอาคาร Burj Khalifa นครดูไบไปได้อย่างงดงาม ที่หลังนั้นถึงจะตั้งอยู่บนชั้น 122 แต่ด้วยความที่แต่ละชั้นของตึก Burj Khalifa เตี้ยกว่าอาคาร ICC จึงทำให้มันมีความสูงจริงเพียง 442 เมตรเท่านั้น

 

“สวัสดีค่ะ คุณเจ คุณมาร์ติเนซ”

พนักงานสาวซึ่งยืนอยู่ที่เคาเตอร์ต้อนรับหน้าลิฟท์กล่าวทักทายพร้อมเรียกชื่อชายหนุ่มทั้งสองได้อย่างถูกต้องเพราะพนักงานซึ่งคอยตรวจสอบรายชื่อแขกที่หน้าลิฟท์ได้จัดการว. ขึ้นมาบอกเธอเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งฆาเบียร์เองก็เป็นแขกประจำของบาร์แห่งนี้จึงไม่แปลกที่พนักงานจะจำเขาได้ หลังจากทักทายเสร็จสรรพแล้ว พนักงานอีกคนหนึ่งก็เข้ามาเชิญทั้งสองคนไปยังโต๊ะที่จัดเตรียมไว้ให้แล้ว

“Buenos Dias! Senor Martinez!”

ทันทีที่ฆาเบียร์และเจนั่งลง พนักงานหนุ่มที่มีหน้าตาบ่งบอกเชื้อชาติว่าเป็นชาวละติโน่ก็รีบปรี่เข้ามาทักทายฆาเบียร์เป็นภาษาสแปนิช คนตัวโตยิ้มละไมให้แล้วบอกว่าวันนี้เขาขอคุยด้วยเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้คนรักของเขาได้เข้าใจด้วย พนักงานหนุ่มคนนั้นก็ค้อมหัวรับและเปลี่ยนไปใช้ภาษาอังกฤษอย่างแคล่วคล่อง

“วันนี้ไม่ทราบว่าสนใจจะรับเป็นแพคเกจไหนดีครับ?”

พนักงานหนุ่มซึ่งฆาเบียร์กระซิบบอกเจภายหลังว่าเขาเป็นชาวเม็กซิกันได้แจกแจงว่า Champagne Brunch ของห้อง Ozone นี้มีทั้งหมด 3 แบบด้วยกัน โดยเริ่มต้นที่ราคา 1,388 1,988 และ 2,368 ดอลลาร์ฮ่องกงบวกค่าบริการอีก 10%

“ทั้งสามแบบนี้ต่างกันที่แชมเปญที่เสิร์ฟครับ สำหรับแบบแรกเราจะเสิร์ฟแชมเปญ Ruinart มีทั้งแบบ Blanc-de-Blanc และแบบโรเซ่ ส่วนแพคเกจที่สอง ราคา 1,988 นั้นจะเสิร์ฟ Dom Perignon ปี 2008 ส่วนราคา 2,368 นั้น เราจะเสิร์ฟแชมเปญ Dom Perignon Rose ครับ”

พนักงานหนุ่มยังแจกแจงอีกว่าอาหารที่มีให้เลือกตักมากหลายแบบกินไม่อั้นนั้นจะเน้นเป็นอาหารเบา ๆ และอาหารทะเลสด ๆ

“ทางฝั่งนู้นจะมีล็อบสเตอร์ย่างกับเนื้อแองกัสอบให้นะครับ เผื่อต้องการอะไรที่หนักขึ้นมาหน่อย ส่วนทางนั้นเป็นแฮมอิเบริโกแบบหมัก 36 เดือน ส่วนทางนู้นเป็นซูชิกับซาชิมิบาร์...”

พนักงานหนุ่มจาระไนอาหารที่มีมากหลายให้ทั้งสองคนฟัง ฆาเบียร์อดโคลงหัวให้กับคนรักที่ทำตาแป๋วฟังพร้อมกับกลืนน้ำลายลงคอเอื้อก ๆ ไป

 

“เอ้า ไม่ต้องลังเล ฉันตัดสินใจเลือกให้เลยแล้วกัน เอาแพคเกจดอม โรเซ่ 2 ทั้งสองคนเลยครับ”

ฆาเบียร์ตัดบทและรีบบอกพนักงานถึงสิ่งที่ต้องการเมื่อเห็นว่าคนรักมัวแต่ลังเลอยู่

“เฮ้ย คุณ จริง ๆ ไม่ต้องเอาแพ็คแพงหรอกอ่ะ กินแบบไหนก็เมาเหมือนกัน เอาแค่ดอมธรรมดาก็ได้ ที่จริง เอาแค่ Ruinart ก็พอครับ”

เจนยุทธร้องออกมา ถึงเขาจะเคยพูดกับฆาเบียร์ไว้ดิบดีว่าตัวเขานั้นคิดว่าแพคเกจที่มีแชมเปญราคาแพงระยับอย่าง ดอมเปริญง โรเซ่ที่เมืองไทยขายขวดละเกือบสองหมื่นบาทนั้นคุ้มกว่าแพคแชมเปญดอม เปริญงธรรมดา ที่มีราคาขายอยู่ที่ประมาณ 12,000 บาทต่อขวดเป็นไหน ๆ แต่เมื่อถึงเวลาต้องเลือกจริง ๆ เขาก็ไม่สามารถตัดใจเลือกแพคเกจบุฟเฟต์ที่ราคาเกือบ 11,000 บาทได้

“ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า ก็คุยกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะให้ฉันจ่าย สำหรับฉัน ฉันคิดว่าราคามันสมเหตุสมผลแล้ว เจก็พูดเองไม่ใช่เหรอ? ว่าที่ไทย ดอม โรเซ่มันขวดตั้งสองหมื่นบาท เจก็ดื่มให้ได้ซักครึ่งขวดก็คุ้มแล้วน่า”

คนตัวโตพูดพลางยิ้มอย่างอารมณ์ดี เจทำหน้ามุ่ยแล้วบ่นอุบอิบ

“คุ้มอะไรล่ะครับ คุณเองก็ดื่มเยอะไม่ใช่ได้แล้วนะ แถมอาหารก็ยังกินน้อยอีก...โอ๊ย!”

เจอุทานออกมาเมื่อถูกมะเหงกของคนรักเคาะเบา ๆ เข้าที่หน้าผากด้วยความหมั่นไส้

“พอแล้ว เลิกบ่น นาน ๆ จะปล่อยให้ฉันเลี้ยงทีก็ขอให้ได้เลี้ยงดี ๆ ทีเถอะน่า เอ้า ไปตักอาหารได้แล้ว ชักช้าเดี๋ยวหมดเวลานะ”

คนตัวโตขู่ เจแลบลิ้นให้แล้วรีบเผ่นแผลวไปสำรวจไลน์อาหารโดยทิ้งให้คนรักหัวเราะและโคลงหัวตามหลังในความทะเล้นของเขา

 

“นี่กินข้าวตั้งแต่แรกนี่ไม่กลัวอิ่มเร็วเหรอจ๊ะ?”

คนตัวโตที่เดินถือจานแฮมสเปนกับชีสมาที่โต๊ะทักเจนยุทธซึ่งถือจานใส่ซูชิและมากิสองสามอย่างมา ในจานของเจยังมีปลาดิบและข้าวหน้าปลาดิบถ้วยน้อยอีกด้วย

“แค่นี้ ไม่อิ่มหรอกครับ ผมแค่จะถมท้องอีกซักหน่อยก่อนที่จะเริ่มดื่ม”

เจนยุทธลงนั่งแล้วเริ่มจัดการอินาริซูชิหรือซูชิหน้าเต้าหู้หวาน เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่จะกินซูชิต่ออีกสองสามอย่าง

“เฮ้อ ยังไม่ค่อยโดนแฮะ”

เจบ่นเบา ๆ ซูชิของที่นี่รสชาติธรรมดาเกินคาด ถึงปลาจะสดใช้ได้แต่รสชาติของข้าวและความเข้ากันกับวัตถุดิบก็ยังไม่ค่อยโดนใจ เขาจัดการกินทุกอย่างในจานจนหมดแล้วไม่กลับไปแตะไลน์ซูชิอีกเลย เขากลับมุ่งเป้าไปที่อาหารทะเลสดแทน


“โอ๊ย อยากได้น้ำจิ้มซีฟู้ด!”

เจนยุทธบ่นลั่น ฆาเบียร์ซึ่งเคยได้ยินประโยคนี้จากเจมาหลายหนแล้วยิ้มบาง ๆ หลังจากปลุกปล้ำกับการแงะเนื้อขาปูสึไวหรือปูหิมะที่มีหน้าตาเหมือนกับปูอัดออกมาจากเปลือกได้ เจก็จิ้มมันลงในซอส mignonette หรือน้ำจิ้มซีฟู้ดแบบฝรั่งเศส หากสำหรับเจแล้วรสชาติที่ออกเปรี้ยวแหลมอย่างเดียวของซอสที่ได้มาจากการนำเอาหอมแดงสับและพริกไทยผสมลงไปในน้ำส้มสายชูไวน์แดงนั้นไม่ได้จัดจ้านทัดเทียมกับน้ำจิ้มซีฟู้ดของไทยได้เลย

“อยากให้มันเผ็ดกว่านี้อีกหน่อยน้อ”

เจบ่นเบา ๆ หลังจากกินหอยนางรมสดใส่ซอสเปรี้ยวเข้าไปอีกตัวหนึ่ง

“หึ ๆ ซอสพวกนี้สำหรับชาวตะวันตกมีไว้แค่ดับคาวเท่านั้นจ้ะ ไม่ได้เน้นให้รสชาติแบบซอสซีฟู้ดของไทย”

เจครุ่นคิดนิดหนึ่งแล้วจึงพยักหน้ารับคำ

“คุณพูดก็ถูกครับ พวกปูหรือหอยนางรมแบบนี้ ถ้าใส่น้ำจิ้มซีฟู้ดลงไป มันก็เรียกว่าแทบจะกลบรสชาติสดหวานตามธรรมชาติของซีฟู้ดไปเรียบเหมือนกัน แต่ถ้าแค่บีบมะนาวหรือใส่ไอ้เจ้าน้ำส้มนี่ มันก็ไม่ค่อยไปกลบรสเท่าไหร่เนาะ”

เจนยุทธพูดแล้วก็ยกหอยนางรมอีกตัวที่คราวนี้เขาใส่เพียงแค่บีบน้ำเลมอนกับเติมเกลือเล็กน้อยขึ้นมาดูดเอาเนื้อหอยอันแสนสดเข้าปาก จากนั้นก็กระดกแชมเปญที่เหลืออีกไม่ถึงครึ่งแก้วเข้าปาก



“เฮ้อ มีความสุข”

ฆาเบียร์ยิ้มละไมมองดูเจ้าตัวดีของเขาครางหงุงหงิง เขายกแก้วที่มีเครื่องดื่มพรายฟองสีชมพูเข้มอมส้มขึ้นจิบน้อย ๆ

“เติมอีกไหมครับ?”

พนักงานหนุ่มผู้ดูแลโต๊ะปรี่เข้ามาถามเมื่อเห็นแก้วของทั้งสองว่างเปล่าแล้ว ฆาเบียร์ยกมือบอกว่าเขาพอแล้ว ส่วนเจนยุทธนั้นส่งแก้วของเขาให้อย่างยินดี

“ขอผมดูขวดหน่อยนะครับ”

เจขอยืมขวดแชมเปญในมือพนักงานหนุ่มมาดู เครื่องดื่มของพวกเขาในวันนี้คือ Dom Perignon Rose วินเทจปี 2005 ขวดของมันไม่ได้แตกต่างจากแชมเปญดอม เปริญงทั่วไป หากฉลากของมันนั้นเป็นสีดำและใช้สีชมพูพิมพ์ตัวหนังสือและลวดลายลงแทน เจนยุทธใช้มือถือของเขาถ่ายรูปแชมเปญขวดนั้นไว้และส่งขวดคืนให้พนักงาน

“เฮ้อ อร่อย”

เจจิบแชมเปญแก้วที่สี่ของวันแล้วร้องออกมาอย่างมีความสุข เขายกแก้วที่มีเครื่องดื่มสีชมพูใสขึ้นดูแล้วหันหน้าไปถามคนรัก

“เอ ฆาบี้ครับ ทำไมดอม โรเซ่มันถึงสีเข้มนักล่ะครับ? ปกติพวกโรเซ่ที่เป็นสปาร์คลิ่งมันมักจะเป็นสีทองอมชมพูไม่ก็ชมพูอมทองจาง ๆ แต่นี่สีเข้มยังกะทำไวน์แดงหกใส่ยังงั้น”

“ฮ่า ๆ ไวน์แดงหกใส่เลยเหรอ? นายนี่ก็ช่างเปรียบเปรยนะ”

ฆาเบียร์อดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อได้ยินคำเปรียบเปรยของคนรัก



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)




ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- เมามาย (ต่อ) ----





“แต่ที่เจพูดก็มีส่วนถูกนะ...”

คนตัวโตพูดยิ้ม ๆ พลางแอบฉวยแก้วแชมเปญของคนรักขึ้นมาจิบน้อย ๆ

“เจรู้ใช่ไหมว่าพวกสปาร์คลิ่งไวน์นี่ทำยังไง?”

เจนยุทธพยักหน้า

“ครับ ก็คือเอาน้ำองุ่นมาหมักสองครั้งให้เกิดฟองใช่ไหม?”

“ใช่จ้ะ แล้วเจก็รู้ใช่ไหมว่าองุ่นที่ใช้น่ะ มีทั้งองุ่นดำและองุ่นเขียว”

เจพยักหน้า คำว่าองุ่นเขียวของฆาเบียร์นั้นก็คือองุ่นที่เอามาใช้ทำไวน์ขาวนั่นเอง

“ครับ ตอนเรียนผมก็เคยถามอาจารย์นะว่าทำไมใช้องุ่นดำแล้วน้ำมันไม่ออกมาเป็นสีไวน์แดง อาจารย์ผมบอกว่าเพราะเมื่อเราคั้นน้ำออกมาแล้ว ไม่ว่าจะองุ่นแดงหรือเขียว มันก็ให้น้ำองุ่นสีใสเหมือนกัน แต่สิ่งที่ทำให้ไวน์แดงเป็นสีแดงก็เพราะตอนหมักบ่มมันได้ใส่เปลือกและเม็ดมันลงไปด้วย”

“ถูกต้องจ้ะ ส่วนแชมเปญและพวกสปาร์คลิงไวน์นั้นก็คือการนำเอาเฉพาะส่วนน้ำสีใสของทั้งองุ่นแดงและองุ่นเขียวมาเบลนด์กันตามอัตราส่วนของแต่ละแบรนด์ หลังจากผ่านการหมักบ่มสองครั้งเพื่อให้เกิดแก๊ส ก็จะได้เป็นแชมเปญสีออกทองแบบที่เราดื่ม ๆ กัน...”

ฆาเบียร์หยุดพักนิดหนึ่งเพื่อกัดกินขนมปังกรอบพร้อมแฮมอิเบริโกจากสเปน จากนั้นจึงพูดต่อ



“แต่สำหรับพวกตระกูลโรเซ่แล้ว กรรมวิธีการทำของมันต่างออกไปจากไวน์ฟู่ ๆ ธรรมดาตรงไหน เจรู้ไหม?”

“อืมม์...”

เจนยุทธขมวดคิ้วพร้อมกับพยายามนึกถึงสิ่งที่อาจารย์ของเขาเคยสอน

“ก็คือใส่เปลือกขององุ่นแดงลงไปหมักด้วยแป๊บ ๆ หรือเปล่าครับ?”

“ถูกต้องจ้ะ!...”

ฆาเบียร์ปรบมือเบา ๆ เจยืดอกและยิ้มกว้างด้วยความภูมิใจ แต่เขาก็ต้องหุบยิ้มเมื่อเห็นรอยยิ้มกริ่มไม่น่าไว้วางใจบนริมฝีปากของคนรัก

“แต่สำหรับแชมเปญซึ่งก็คือสปาร์คลิ่งไวน์เหมือนกัน กลับใช้วิธีที่ต่างออกไป...”

หนุ่มละตินยิ้มและจ้องตากลมโตที่เบิกกว้างดูเขาด้วยความอยากรู้

“นายคงรู้แล้วว่าสำหรับแชมเปญแล้ว หลัก ๆ จะใช้องุ่นเพียงสามพันธุ์เท่านั้น…”

ฆาเบียร์แกล้งหยุดเล็กน้อย แต่แล้วก็ต้องรีบเล่าต่อเมื่อเจนยุทธซึ่งแกะปูไปด้วยนั่งฟังไปด้วยเตะเบา ๆ เข้าที่หน้าแข้งของเขา

“…สามพันธุ์นั้นก็คือ Chardonnay ซึ่งเป็นองุ่นเขียว และองุ่นดำอีกสองพันธุ์คือ Pinot Noir และ Pinot Meunier อ๊ะ ขอบใจจ้ะ…”

คนตัวโตอ้าปากรับเนื้อจากขาปูยักษ์ที่คนรักแกะส่งมาให้

“ถึงไหนแล้วนะ? อ๋อ องุ่นสามพันธุ์นี้ ผู้ผลิตแต่ละรายก็มีสูตรเบลนด์เป็นของตัวเอง และอาจต่างกันไปตามปีที่ผลิต”

“ขึ้นอยู่กับคุณภาพขององุ่นในปีนั้น ๆ ด้วยใช่ไหมครับ?”

เจนยุทธถาม ฆาเบียร์พยักหน้าตอบรับคำ เจดื่มแชมเปญในแก้วของเขาจนหมดก่อนที่จะหันไปส่งแก้วให้พนักงานเสิร์ฟเติมเครื่องดื่มสีหวานให้อีกครั้ง



“ดื่มช้า ๆ ก็ได้จ้ะ เหลือเวลาอีกตั้งเยอะ…”

ฆาเบียร์บ่นคนรักที่ตั้งหน้าตั้งตาดื่มเหมือนกลัวจะดื่มไม่คุ้มค่า เจวางแก้วแล้วทำหน้าจ๋อย

“ขอโทษครับ ผมเสียมารยาทไปหน่อย”

คนตัวเล็กหลบตาด้วยเกรงว่าตัวเองอาจจะทำเสียกิริยาให้คนรักของเขาได้อาย

“ฉันไม่ได้บอกว่านายเสียมารยาท แต่ฉันห่วงว่าเจจะเมาไปซะก่อน รู้ไหมว่าแชมเปญนี่ทำให้เมาเร็วกว่าพวกไวน์แบบอื่นนะ”

“หืมม์? ทำไมมันถึงเป็นแบบนั้นล่ะครับ?”

“ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่เท่าที่เคยอ่านเจอและจากประสบการณ์ตรง เขาบอกว่าเครื่องดื่มประเภทไวน์ที่มีฟองจะส่งผลต่อสมองทำให้เมาเร็วกว่าแบบอื่นจ้ะ นี่รวมถึงการเอาไวน์ไปผสมกับพวกโซดาด้วย อย่างเช่นซังเกรีย”

เจนยุทธพยักหน้าหงึกหงัก

“มิน่าล่ะ คราวที่แล้วที่กินบรันช์แชมเปญที่ริทซ์ มาเก๊า ผมถึงเมาหัวทิ่มเลย ผมก็ว่าผมเคยกินไวน์คนเดียวเกือบสองขวดชิล ๆ แต่กับแชมเปญ ไหงแค่ขวดครึ่งก็จะพับแล้ว”

คนตัวเล็กหัวเราะแหะ ๆ ฆาเบียร์ยกมือขึ้นลูบแก้มใสที่เริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อน้อย ๆ อย่างเอ็นดู

“นั่นแหละ ฉะนั้นวันนี้ดื่มระวังหน่อย ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องคิดไปถึงว่าต้องคุ้ม หรือว่าต้องดื่มแทนส่วนของฉัน ค่อย ๆ ดื่มด่ำไปกับรสชาติของมัน ถ้าซดโฮก ๆ แบบไม่สนรสชาติ มันก็ไม่ถือว่าคุ้มค่าที่ได้ดื่มหรอกนะ”

เจพยักหน้ารับคำ เขาหยิบแก้วแชมเปญที่ถูกเติมเป็นรอบที่ 5 แล้วขึ้นดมแล้วดื่มมันเข้าไปอึกน้อย ๆ ก่อนจะกลั้วให้มันสัมผัสทั่วทั้งโพรงปาก



“อืมม์ มันแปลกกว่าโรเซ่ยี่ห้ออื่นนิดหน่อยจริง ๆ ครับ แต่ผมก็บอกอะไรมากไม่ได้เพราะไม่ค่อยได้ดื่มโรเซ่ที่เป็นแชมเปญเท่าไหร่ ปกติดื่มแต่ที่เป็นสปาร์คลิ่ง หรืออย่างพวก Prosecco”

เจนยุทธพูดถึงไวน์ที่มีพรายฟองสัญชาติอิตาเลียน เขาบอกฆาเบียร์ว่าสำหรับตระกูลแชมเปญแล้ว เขาเคยดื่มเพียงของแบรนด์ moet เท่านั้นเนื่องจากราคาที่ไม่โหดร้ายนักของมัน

“เจว่ามันต่างออกไปยังไง?”

“อืมม์ อย่างหนึ่งคือมันหอม หอมมาก ผมก็เรียกไม่ถูกว่ากลิ่นเป็นแบบไหน แต่มันหอมอวลกว่าแบรนด์อื่น อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้มันแปลกคือ ปกติแล้วโรเซ่มันจะรสเบา ๆ ดื่มง่าย แต่ของดอมนี่ รสหนัก จัดจ้าน แล้วก็ติดฝาดมากกว่าเปรี้ยวครับ”

คนตัวโตยิ้มอย่างพึงใจ

“ดีมากจ้ะ นายจับความต่างของดอม โรเซ่กับแบรนด์อื่นที่เคยดื่มได้แล้วใช่ไหม?”

“ครับ แต่ เดี๋ยว ๆๆ อย่าพึ่งพูด ผมขอไปเอาของกินมาเพิ่มก่อน”

เจหัวเราะแหะ ๆ แล้วรีบลุกเดินหายไปหยิบของกินเพิ่ม ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ ให้กับความช่างกินของเจ้าตัวดีของเขา เขาหันไปหาพนักงานเสิร์ฟที่ยืนรอให้บริการอยู่แล้วขอแชมเปญมาเติมอีกครึ่งแก้ว

“แน่ะ! ไหนว่าจะดื่มน้อยลงไงครับ?”

เจนยุทธซึ่งเดินกลับมาพร้อมสองจานในมือแซวคนรักเบา ๆ

“อดไม่ได้หรอกจ้ะ นี่ก็เป็นของโปรดฉันเหมือนกันนะ”

คนตัวโตจิบแชมเปญทีละน้อยอย่างถนอม พร้อมกับแอบใช้ส้อมตักเนื้อทาทาร์ หรือเนื้อดิบบดปรุงรสในถ้วยน้อยขึ้นมาชิม

“อืมม์ ทาทาร์เนื้อนี่อร่อยแฮะ กินกับขนมปังกรอบที่เขาให้มานี่กำลังดีเลย”

ฆาเบียร์ชมเปาะ เจพยักหน้า เนื้อดิบสับละเอียดถ้วยนี้คลุกเคล้ากับเหล่าเครื่องปรุงอย่างหอมและแตงดองสับละเอียดมาจนได้ที่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เสียรสชาติของเนื้อสดไป เจชอบเมนูนี้มากจนถึงขั้นเดินไปหยิบมาเพิ่มอีก 3-4 ถ้วย

 

“เฮ้อ ล็อบสเตอร์เค้าดี๊ดี ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นของที่โฟรเซ่นไว้จนเก่าเหมือนบุฟเฟต์แถวบ้านผมเลยครับ”

เจฮัมเพลงเบา ๆ หลังจากกินล็อบสเตอร์ครึ่งตัวแรกเข้าไป เขาใช้ส้อมจิ้มและดึงเอาเนื้อล็อบสเตอร์อีกครึ่งตัวออกมาจากเปลือก เขาเอามันใส่ปากทั้งชิ้นในคราเดียวแล้วทำหน้ามีความสุข ฆาเบียร์ยิ้มบาง ๆ เขาชอบดูปากน้อย ๆ ของเจ้าตัวดีที่ขยับไปมายามที่ได้กินของอร่อย ไหนจะสายตาเป็นประกายที่จ้องมองอาหารรสเลิศในจาน มันทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวาทุกครั้งยามที่ได้ร่วมโต๊ะกับเจนยุทธ

“เอาเนื้ออบหน่อยไหมครับ?”

เจตัดส่วนหนึ่งของเนื้อวัวแองกัสอบชิ้นโตที่เขาสอยมาถึงสามชิ้นแล้วจิ้มวางในจานให้คนรัก หากฆาเบียร์ส่ายหน้าแล้วยกมือขึ้นชี้ที่ปากของตน เจหัวเราะเบา ๆ เขาเข้าใจทันทีว่าคนตัวโตต้องการอะไร เขาจิ้มเนื้อชิ้นใหญ่กลับคืนมายังจานของตนแล้วตัดออกเป็นชิ้นน้อย เขาจิ้มชิ้นหนึ่งส่งให้ยังริมฝีปากบางที่ยิ้มพราย แต่แทนที่จะส่งให้ถึงที่ เขากลับใช้เนื้อชิ้นนั้นเกลี่ยเบา ๆ ที่ริมฝีปากของคนรัก คนตัวโตกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่ สัมผัสของเนื้อชิ้นนั้นทำให้เขานึกถึงมื้อเช้าหลังจากที่เขาและเจได้มีสัมพันธ์กันครั้งแรก

“ซนจริง ๆ เลยน้า เมียผม”

เจยิ้มยั่วเมื่อคนรักส่งลิ้นมาหยอกเย้ากับชิ้นเนื้อที่เขาประเคนให้ถึงปาก แม้จะงับเนื้อและปลายส้อมเข้าไปในปากแล้ว เจยังรู้สึกได้ถึงแรงดุนที่ปลายส้อมภายในปากที่ปิดสนิท

“พอครับ พอ เดี๋ยวก็ได้เจ็บตัวหรอก”

เจบ่นเบา ๆ พร้อมกับดึงส้อมออกจากปากคนรัก เขาจิ้มเนื้อที่หันเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วส่งให้คนรักอีก คราวนี้ฆาเบียร์รับส้อมมาแล้วจัดการกินเอง เจโคลงหัวน้อย ๆ พร้อมรอยยิ้มก่อนที่จะก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารในจาน

 

“เออ เมื่อกี้คุณยังเล่าค้างไว้อยู่เลย เรื่องแชมเปญอ่ะ...”

เจยกแชมเปญแก้วที่ถูกเติมจนเต็มอีกครั้งขึ้นจิบน้อย ๆ เขาชูแก้วเครื่องดื่มสีชมพูอมส้มขึ้นส่องกับแสงไฟ พรายฟองเล็กละเอียดที่ผุดไล่ขึ้นจากก้นแก้วเป็นสายนั้นน่ามองนัก

“...โรเซ่ของแชมเปญกับสปาร์คลิงชนิดอื่นมันต่างกันตรงไหนครับ?”

“อืมม์ พูดง่าย ๆ เลยนะ โรเซ่ของแคว้นชองปาญเป็นโรเซ่ชนิดเดียวในโลกที่สามารถเอาไวน์แดงผสมลงไปในน้ำแชมเปญได้เลยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย”

“ห๊ะ? ยังไงนะ? ผสมไวน์แดงลงไปเลย? ไม่ใช่ว่าเอาเปลือกองุ่นหมักลงไปด้วยจนออกสีเหรอครับ?”

“ใช่ ผสมไวน์แดงลงไปเลย แต่ต้องเป็นองุ่นพันธุ์ Pinot Noir หรือ Pinot Meunier เท่านั้น และต้องเป็นไวน์ที่ผลิตในแคว้นเพื่อเติมในแชมเปญเท่านั้นด้วย”

“เดี๋ยวนะคุณ พูดมาซะสวยหรูเนี่ย มันก็แค่มักง่ายไม่ใช่เหรออ่ะ? ของ region อื่นเค้าต้องมาแช่เปลือกไว้ กรอง นั่นนี่ แต่ของแคว้นชองปาญนี่ เอาไวน์แดงเติมโป๊ะลงไป มันได้เหรออ่ะ?”

เจนยุทธโวยเบา ๆ ฆาเบียร์อดหัวเราะให้กับความคิดของคนรักไม่ได้

“พอนายพูดออกมาแบบนี้ฉันก็เริ่มรู้สึกเหมือนกันว่ามันฟังดูมักง่ายจริง ๆ”

คนตัวโตพูดกลั้วหัวเราะ

“แต่เจจ๊ะ วิธีนี้มันทำให้โรเซ่ แชมเปญมีรสชาติที่พิเศษไปกว่าโรเซ่ของสปาร์คลิงจากแถบอื่น ๆ นะ นายไม่รู้สึกแบบนั้นเหรอ?”

เจเม้มปาก เขายกแก้วในมือขึ้นจิบอีกครั้ง

 





“มันก็จริงของคุณแหละ...”

คนตัวเล็กพูดเสียงอ่อย ๆ เมื่อสัมผัสถึงความแตกต่างที่เขารู้สึกได้ตั้งแต่แรกดื่มอีกครั้ง

“เพราะเติมไวน์ลงไปตรง ๆ เลย รสของมันก็เลยหนักกว่าสปาร์คลิงโรเซ่จ้ะ ที่เจบอกว่าติดฝาดนั่นแหละ แถมยังได้สีที่สวยกว่าโรเซ่ที่ได้จากการหมักเปลือกด้วย”

เจนยุทธยกแก้วขึ้นส่องดูอีกครั้ง สีของแชมเปญโรเซ่นั้น แทนที่จะมีสีชมพูจาง ๆ มันกลับมีสีชมพูอมส้มแบบที่เรียกกันว่าสี “แซลมอน” อันเกิดจากการผสมสีแดงก่ำของไวน์แดงเข้ากับสีทองของแชมเปญ

“ส่วนที่ฉันบอกว่าโรเซ่ของดอม เปริญงต่างกว่าของแบรนด์อื่นนั้นก็เพราะโดยทั่วไปอัตราส่วนของไวน์แดงที่ผสมลงไปจะอยู่ที่ประมาณ 15% แต่ของดอมมันพิเศษกว่านั้น เดี๋ยวนะ...”

ฆาเบียร์หันไปถามบริกรซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างเป็นภาษากวางตุ้ง พนักงานหนุ่มคนนั้นเดินหายไปครู่หนึ่งแล้วจึงกลับมาพร้อมคำตอบ คนตัวโตฟังแล้วจึงกลับมาถ่ายทอดให้คนรักฟังต่อ



“อย่างที่ฉันบอกกับเจตอนแรก อัตราส่วนการผสมแชมเปญระหว่างองุ่นขาวกับองุ่นแดงนั้นจะขึ้นอยู่กับผู้ผลิตแต่ละราย และขึ้นอยู่กับผลผลิตองุ่นของปีนั้น ๆ ด้วย...”

ฆาเบียร์หยุดพักชั่วครู่ เจซึ่งฟังไปพลางเคี้ยวเนื้อขาปูไปพลางก็เร่งให้คนรักเล่าต่อ

“ผู้ผลิตแชมเปญดอม เปริญงได้ประกาศไว้เนิ่นนานแล้วว่าโรเซ่ของเขานั้นผลิตมาโดยให้องุ่น Pinot Noir เป็นตัวชูโรง ฉะนั้นเขาจึงผลิตแชมเปญมาโดยให้มีอัตราส่วนของน้ำองุ่นชนิดนี้อยู่ที่ 40% – 60% แล้วแต่ปีจ้ะ”

“ที่เหลือเป็น Chardonnay กับ Pinot Meunier ใช่ไหมครับ?”

เจถามพลางส่งปูที่แกะแล้วใส่จานให้คนรัก ฆาเบียร์จิ้มเข้าปากแล้วส่ายหน้าน้อย ๆ

“ไม่ใช่จ้ะ...”

“อ้าว ก็ไหนว่าเบลนด์ของแชมเปญคือองุ่นสามพันธุ์นี้แค่นั้นไม่ใช่เหรอครับ?”

เจนยุทธเกาหัวแกรก ๆ คนตัวโตยิ้มแล้วอธิบายต่อ

“สำหรับแบรนด์อื่นน่ะ ใช่ ต้องใช้องุ่นสามสายพันธุ์ แต่ผู้ผลิตอย่าง Dom Perignon ที่ใช้ชื่อตามนักบวช ดอม เปริญง ซึ่งถือเป็นคนแรกที่หมักแชมเปญขึ้นมานั้นยืนยันว่าจะต้องใช้องุ่นแค่สองพันธุ์ คือ Pinot Noir และ Chardonnay เท่านั้น”

“ทำไมล่ะครับ?”

คนตัวเล็กที่เริ่มสนใจบทสนทนามากกว่าเรื่องกินแล้วนั่งฟังคนรักผู้รอบรู้ของเขาอย่างตั้งใจ

“ทางนั้นอ้างว่า ตามบันทึกของนักบวชท่านนั้น ท่านยืนยันว่าแชมเปญจะต้องมาจากองุ่นสองพันธุ์นี้เท่านั้นจ้ะ”

“อ๋อ ขายสตอรี่ว่างั้นเหอะ”

เจนยุทธพยักหน้าหงึกหงัก คำพูดตรงไปตรงมาของเขาทำให้คนตัวโตอดหัวเราะออกมาอีกครั้งไม่ได้



“นายนี่มันปากร้ายจริง ๆ นะ รู้ไหม?”

ฆาเบียร์ยื่นมือไปบีบปากน้อย ๆ ที่กำลังเริ่มเคี้ยวอาหารอีกครั้ง เจถลึงตาใส่คนรักที่ไม่ยอมปล่อยปากของเขาเสียที

“คุณอ่ะ เลิกหยิกแก้มมาหยิกปากผมแทนแล้วเหรอ?”

เจใช้นิ้วถูริมฝีปากของเขาเบา ๆ เขาย่นจมูกให้ฆาเบียร์ที่ส่งยิ้มพร้อมกับสายตาแพรวพรายกลับมา

“เพราะฉันทำอย่างอื่นที่อยากทำกับปากเจที่นี่ไม่ได้น่ะสิ ถึงต้องหยิกแทน”

เจนยุทธหน้าขึ้นสีทันทีที่ได้ยินคำพูดของคนรัก สายตาแฝงเลศนัยที่จ้องเป๋งมาที่ปากของเขานั้นมันชัดเสียยิ่งกว่าชัด

“พอครับ พอ เดี๋ยวผมไปเอาพาสต้าที่สั่งเอาไว้ก่อนนะ”

เจลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะ เขาโคลงหัวเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ไล่หลังมา เขาเดินไปที่สเตชั่นพาสต้า จากนั้นเดินกลับมาพร้อมจานพาสต้าและอีกจานที่ใส่แฮมสเปนกับชีสหลากชนิดไว้จนเต็ม

 

“เอ้า ไหน มาคุยเรื่องแชมเปญต่อครับ เมื่อกี้ถึงไหนแล้วนะ? อัตราส่วนของ Pinot Noir คือ 40 – 60% ใช่ไหมครับ?”

“ใช่ นี่คือหมายถึงอัตราส่วนรวมของน้ำองุ่นทั้งหมดที่มาจาก Pinot Noir นะ ไม่นับว่าเป็นไวน์แดงหรือน้ำองุ่นสีใส...”

ฆาเบียร์อธิบายต่อ เมื่อดูทีท่าว่าเจนยุทธจะงง เขาจึงยกตัวอย่างสิ่งที่เขาได้คำตอบจากพนักงานมาเมื่อครู่นี้

“อย่างดอม เปริญง โรเซ่ ขวดที่เราดื่มอยู่นี้เป็นวินเทจปี 2005 ปี อัตราส่วนการผสมระหว่างองุ่นปิโนต์ นัวร์ กับ ชาร์ดอนเนย์อยู่ที่ 55:45 แล้วไอ้เจ้า 55% นั่นน่ะ เป็นไวน์แดง 27% ส่วนอีก 28% เป็นไวน์องุ่นสีใสหรือจะเรียกว่าไวน์ขาวที่ทำจากองุ่นแดงก็ได้น่ะ”

เจร้องอ๋อออกมา เขาพยักหน้าเมื่อคนตัวโตถามเขาว่าเข้าใจแล้วใช่ไหม

“ก็ตามนั้นแหละจ้ะ แต่ก็ขอบอกไว้ก่อนนะว่าอัตราส่วนต่าง ๆ นานาที่ยกมานี้ ฉันรู้มาจากการอ่านพวกนิตยสารหรือเว็บไซต์รีวิวไวน์ทั้งหลาย ส่วนเขาจะรู้ได้ยังไงนั้น จะเพราะคาดการณ์เอง หรือว่าเพราะได้ข้อมูลวงในมานี่ฉันก็ไม่รู้ได้ เพราะทางผู้ผลิตเองเขาก็ไม่เคยบอกอัตราส่วนพวกนี้ออกสื่อจริงจังหรอกจ้ะ”

“โหย คุณครับ ถึงมันจะไม่เป๊ะตรงขนาดนั้น ผมก็แยกไม่ออกหรอก”

เจนยุทธผู้พูดย้ำตลอดเวลาว่าตัวเองลิ้นจระเข้เมื่อมาถึงเรื่องไวน์หรือแชมเปญแล้วหัวเราะแหะ ๆ ออกมาพร้อมกับหันไปขอบคุณพนักงานที่เดินมาเติมแชมเปญให้อีกแก้วหนึ่ง

“ตอนแรกผมรู้แค่ว่าดอม โรเซ่ รสชาติมันหนักแน่นและติดฝาดกว่าโรเซ่ที่เคยกินแค่นั้นครับ ตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่าเป็นเพราะอัตราส่วนไวน์แดงที่ผสมลงไปนั้นค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับสูตรมาตรฐานที่คุณบอกว่าเท่าไหร่นะ? 15% งั้นเหรอ?”

ฆาเบียร์พยักหน้า เขาค่อนข้างโล่งใจที่เจยังคงจำอะไรที่เขาเล่าไปได้แม่นยำ มันแสดงให้เห็นว่าคนรักของเขานั้นยังไม่ถึงขั้นมึนเมา

“อีกส่วนหนึ่งก็เพราะว่าไม่ได้ใช้องุ่น Pinot Meunier ด้วยจ้ะ อ๊ะ เจ หันมานี่หน่อย...”

คนตัวโตเรียกคนรักให้หันหน้ามาหาแล้วใช้ผ้าเช็ดปากเช็ดคราบซอสพาสต้าที่ติดปากออกให้อย่างแผ่วเบา

“องุ่นพันธุ์นี้จะมีระดับของความเป็นกรดสูงกว่าปิโนต์ นัวร์ ทำให้แชมเปญมีรสอมเปรี้ยวสดชื่นของผลไม้ แต่ในเมื่อดอมใช้แค่สองพันธุ์ เจถึงรู้สึกได้ว่ามันไม่ค่อยเปรี้ยวแหลมนักและออกฝาด แต่สิ่งที่ได้เพิ่มมาคือความหอมซึ่งเป็นลักษณะเด่นของปิโนต์ นัวร์”

“อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง แกก็หอมจริง ๆ ด้วยล่ะน้า”

เจหันไปคุยกับแก้วแชมเปญในมือก่อนที่จะยกขึ้นลิ้มรสอันหนักแน่นและดื่มด่ำกับกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของแชมเปญ Dom Perignon ที่อบอวลอยู่ในปาก



“เห้อ มันเข้ากั๊น เข้ากันกับแฮมเลยครับ แต่ก็ยังสู้พวกซีฟู้ดไม่ได้”

เจเปรยออกมาเบา ๆ หลังจากจัดการพาสต้าที่เขาบอกว่าไม่อร่อยแต่ก็กินจนหมดจานไปเรียบร้อย เขาก็หันมาสนใจกับแฮมอิเบริโกและชีสต่อ เขากินไป คุยไป ป้อนคนรักไปจนอาหารในจานหมด

“งั้น เดี๋ยวผมขอไปสำรวจรอบสุดท้ายนะครับ หมดรอบนี้ผมก็จะเข้าเฟสของหวานละ”

เจนยุทธพูดพลางลูบท้องที่เริ่มป่องน้อย ๆ ของเขา ฆาเบียร์พยักหน้า เขามองตามคนรักที่เดินไปอย่างเป็นห่วงเล็กน้อย เจเริ่มมีเซบ้างเล็กน้อยหลังจากดื่มแชมเปญแก้วที่ 11 เข้าไป แม้เสียงของเจจะยังสดใส แต่คนตัวโตก็รู้ดีว่าเจ้าตัวยุ่งของเขานั้นเริ่มเมาแล้ว

“มา ให้ฉันช่วยถือนะ”

ฆาเบียร์รีบสาวเท้าเข้าไปหาคนตัวเล็กที่ค่อย ๆ เดินประคองจานสองใบในมือซ้ายขวาไม่ให้เอียง เจส่งจานใส่ขาปูยักษ์และหอยนางรมในมือให้ฆาเบียร์พร้อมกับส่งยิ้มหวานฉ่ำให้

“คุณน่ารักจัง ฆาบี้ มาช่วยผมด้วย”

คนตัวเล็กพูดด้วยเสียงอ่อนหวาน ทันทีที่ลงนั่ง เขาก็ยกนิ้วชี้ขึ้นมาจูบแล้วส่งมันไปประทับที่ริมฝีปากของคนรัก



‘นั่นปะไร...’

คนตัวโตคิดในใจ เจ้าตัวดีของเขาคงกรึ่มได้ที่แล้ว

“เจ พอก่อนนะ”

ฆาเบียร์พูดสั้น ๆ พร้อมกับดึงแก้วแชมเปญที่ถูกเติมเต็มอีกครั้งออกจากมือคนรัก เจทำท่าไม่อยากปล่อย แต่สุดท้ายก็ต้องปล่อยด้วยความเสียดาย

“ขอโทษครับ...”

เจนยุทธค้อมหัวให้คนรักแล้วจึงก้มหน้าก้มตากินอาหารที่เขาตักมาอย่างเงียบ ๆ หากเขากินเข้าไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็ดูท่าทางเบื่ออาหารและหยุดกินขึ้นมาเสียดื้อ ๆ เขาเอนกายพิงเก้าอี้แล้วก้มหัวลงน้อย ๆ อย่างเศร้าซึม

“เจนยุทธ...”

คนตัวโตถอนหายใจเบา ๆ เมื่อเห็นทีท่าของเจ้าตัวยุ่งของเขา

“เจ...”

ฆาเบียร์ส่งเสียงเรียกอีกครั้งเมื่อไม่มีการตอบรับใด ๆ จากฝั่งที่ยังก้มหน้านิ่งอยู่



“เจ เฮ้!”

เสียงทุ้มแหบเรียกคนตัวเล็กดังขึ้น หากเจก็ยังไม่ตอบรับ ฆาเบียร์รีบเขยิบกายเข้าหาเจนยุทธอย่างร้อนใจเมื่อสังเกตเห็นท่าทีผิดปกติ เขาตบแก้มใสของคนที่ดูเหมือนจะสัปหงกหลับไปแล้วเบา ๆ ฆาเบียร์ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นคนรักสะดุ้งเฮือกขึ้น

“เอ๊ะ ผมเผลอหลับไปเหรอครับ?”

คนตัวเล็กหันซ้ายหันขวาอย่างงง ๆ แล้วก็ต้องรีบหดคอหลบเมื่อถูกมะเหงกโป๊กใหญ่จากฆาเบียร์เคาะเข้าที่หน้าผาก

“ฉันเตือนแล้วนะ เจนยุทธ นี่ถ้าไปล้มพับในห้องน้ำหรือตอนเดินไปตักอาหารจะทำยังไง? ระวังตัวหน่อยได้ไหม?”

คนตัวโตดุคนรักเบา ๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เจมีสีหน้าสลดลงทันที

“ผม เอ่อ ผมขอโทษจริง ๆ ครับ ฆาบี้ ที่ทำให้คุณขายหน้า”

คนตัวเล็กพึมพำออกมาเบา ๆ หากก็ถูกเคาะกะโหลกเข้าอีกครั้ง

“นี่แน่ะ! ฉันพูดกี่ครั้งกี่หนแล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องของการขายหน้าหรืออะไร แต่มันก็เพื่อตัวนายเองทั้งนั้นนะ เจนยุทธ...”

ฆาเบียร์กลืนสิ่งที่จุกอยู่ในลำคอลงไป แล้วพูดต่อ


“...ถ้านายเป็นลมล้มพับหัวฟาดไป เจ็บตัวไป หรือว่าเกิดแอลกอฮอล์เป็นพิษแบบฉันเมื่อคราวนู้นขึ้นมาแล้วฉันจะทำยังไงหา เจ? นายจะให้ฉันทำยังไง?”

เจปวดใจวูบเมื่อได้ยินเสียงที่สั่นเครือของคนรักในตอนท้ายประโยค เขายื่นมือไปเกาะกุมมือใหญ่ที่กำแน่น

“คุณครับ ผมขอโทษ ขอโทษจริง ๆ ครับ ผมสัญญาว่าจะระวังตัวให้มากกว่านี้ คุณไม่ต้องกังวลนะครับ...”

เจลูบหลังมือของคนรักเบา ๆ ท่าทีของเมียตัวโตของเขาทำให้เขาแทบสร่างเมาเลยทีเดียว

“...ผม เอ่อ ผมไม่ดื่มแล้วครับ คุณให้เขาเก็บแก้วผมไปเลยก็ได้”

เจทำท่าจะยกมือเรียกพนักงานเสิร์ฟให้เข้ามาหา แต่ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วจับข้อมือคนรักไว้

“เอาเถอะ นี่ก็จวนหมดเวลาแล้ว ก็ดื่มแก้วนี้ให้หมดแล้วไม่ต้องเติมอีกก็พอ”

เจนยุทธรับคำคนรักอย่างแข็งขัน จากนั้นจัดการกับบรรดาอาหารทะเลที่เขาตักมาเพิ่มจนหมด

 

“นี่นายกินปูกับล็อบสเตอร์หมดทะเลแล้วมั้ง?”

คนตัวโตที่อารมณ์ดีขึ้นแล้วกระเซ้าเจ้าตัวยุ่งของเขาแล้วชี้ไปที่จานใส่เศษอาหารที่มีเปลือกปูและล็อบสเตอร์กองสุมอยู่

“แหะ ๆ ไม่เยอะซะหน่อยคุณ ล็อบสเตอร์แค่ 5 ตัว กับขาปู เอ่อ กี่ซีกหว่า?...”

เจยกนิ้วขึ้นนับสารพัดสิ่งที่เขากินไป นอกเหนือจากล็อบสเตอร์ย่างแล้ว เขายังได้กินเนื้อแองกัสอบ ซี่โครงแกะและไส้กรอกย่างจากสเตชั่นปิ้งย่างไปอย่างละหลายชิ้น กินซุปล็อบสเตอร์ไปหนึ่งด้วย เขายังตักพวกโคลด์คัทอย่างแฮมอิเบริโก ชอริโซ่หรือไส้กรอกสเปน ซาลามี่ อีกทั้งปลาดองและแซลมอนรมควันมาอีกสองสามจาน แม้จะแบ่งกินกับฆาเบียร์ เจก็เป็นคนที่จัดการเหมาหมดเสียส่วนใหญ่

"อ๋อ แหะ ๆ 10 ชิ้นเองครับ จิ๊บ ๆ เอ๊ะ ไม่สิ ผมแกะให้คุณไปตั้งเยอะนี่”

เจพูดพลางส่งเนื้อขาปูชิ้นสุดท้ายในมือให้คนตัวโต ฆาเบียร์ส่ายหน้าแล้วบอกว่าเขากินต่อไม่ไหวแล้ว



“อยู่กับนาย ฉันกินเยอะทุกที”

ฆาเบียร์บ่นเบา ๆ พลางยกมือลูบท้อง เจย่นจมูกให้คนที่เขาดูเท่าไหร่ก็ไม่เห็นว่าจะอ้วนขึ้นตามที่เจ้าตัวบ่นตลอด

“พอผมไม่อยู่ คุณก็กลับไปไม่กินข้าวกินปลาอีก เจอหน้ากันผมก็ต้องขุนคุณหน่อยสิครับ”

เจยิ้มให้คนรัก ก่อนจะกลับไปสนใจกับอาหารที่เหลือในจานต่อ คนตัวโตมองตามมือที่หยิบเอาหอยนางรมสดในเปลือกขึ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย

“นี่ยังต้องโด๊ปอีกเหรอ? ถ้าอย่างเมื่อคืนอีกนี่ฉันไม่ไหวแล้วนะ”

ฆาเบียร์พูดเบา ๆ ออกมาอย่างลืมตัว เจนยุทธหันขวับมายิ้มหวานให้คนรักทันที

“หืมม์? แปลว่าถ้าคืนนี้ผมอ่อนโยนกว่าเมื่อคืนก็โอเคเหรอครับ?”

เจขยิบตาให้คนรัก ฆาเบียร์หน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเมื่อรู้สึกถึงปลายเท้าของคนรักที่สะกิดเบา ๆ เข้าที่หลังเท้า

“ฉัน ฉันไม่ได้หมายถึงแบบนั้น”

เจแอบขำคนรักที่จู่ ๆ ก็พูดตะกุกตะกักขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“นายนั่งรออยู่นี่แหละ เดี๋ยวฉันไปเอาขนมมาให้”

เจหัวเราะคิกคักไล่หลังเมียตัวโตของเขาเมื่อพ่อเจ้าประคุณรีบลุกพรวดขึ้นและเดินหนีการยั่วเย้าของเขาไปทันที เขาเอนหลังแล้วหลับตาลงเพื่อไล่อาการมึนที่เริ่มกลับมาอีกครั้ง



“เจ!”

เจนยุทธรีบลืมตาทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงแตกตื่นของฆาเบียร์

“หืมม์? ครับ?”

เจตอบรับด้วยความตกใจ เขายันกายขึ้นนั่งตัวตรงและต้องใจอ่อนยวบทันทีเมื่อหันไปเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของคนรัก

“โธ่ ฆาบี้ มา ๆ นั่งก่อนครับ”

คนตัวเล็กดึงมือฆาเบียร์ให้นั่งลงพลางรับจานขนมมาจากมืออันสั่นเทา

“ผมมึนนิดหน่อยเลยแค่พักสายตาครับ ฆาบี้ ไม่ได้เป็นอะไร ไม่ต้องห่วงนะ”

เจบีบมือคนรักเบา ๆ แล้วหาทางเปลี่ยนเรื่องคุย

“ไหนครับ? เอาอะไรมาให้ผมกินบ้างเอ่ย?”

คนตัวเล็กซึ่งเริ่มรู้สึกอิ่มไปจนถึงหูแล้วกัดฟันถาม เมื่อได้พักท้อง เขาก็รู้สึกตื้อขึ้นมาจนไม่รู้สึกอยากกินบรรดาขนมหวานที่ฆาเบียร์อุตส่าห์ไปหยิบมาให้แล้ว เขาพยายามยิ้มและพยักหน้าตามเมื่อคนตัวโตอธิบายให้ฟังว่าเขาหยิบอะไรมาให้บ้าง หากในสมองเจนยุทธนั้นแทบจะไม่ประมวลผลอะไรแล้ว เขารู้แค่เพียงว่ามันมีมาการองและชูครีมจิ๋ว ส่วนในถ้วยเล็ก ๆ นั้นน่าจะเป็นพวกปันนา คอตตา และมีพวกเค้กจิ๋วอีกสองสามชิ้น



“เจดื่มนี่ก่อนนะ”

ฆาเบียร์ส่งเครื่องดื่มสีออกแดงข้นให้เขาแก้วหนึ่ง เจหยิบมาดม ๆ แล้วก็อุทานออกมาเบา ๆ

“เอ๊ะ น้ำมะเขือเทศ? บลัดดี้ แมรี่เหรอครับ?”

คนตัวโตพยักหน้า ที่บาร์แห่งนี้ได้เตรียมเครื่องดื่มชนิดนี้ไว้ให้บรรดาคอทองแดงได้ดื่มแก้แฮงค์

“ผมไม่ยักรู้ว่าเค้ามีค้อกเทลชนิดอื่นด้วย”

คนตัวเล็กบ่นอุบอิบและชะเง้อคอดูบาร์ที่พนักงานกำลังเริ่มเก็บข้าวของเตรียมปิดไลน์

“พอเลยจ้ะ ไม่ต้องคิดดื่มเพิ่มแล้ว”

ฆาเบียร์ยกมือขึ้นปิดตาคนรัก เจหัวเราะแหะ ๆ แล้วดึงมือใหญ่อันอบอุ่นออก

“ครับ ๆ พอแล้วก็ได้ ว่าแต่...”

เจชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนคำพูด



“...ไลน์อาหารปิดสองโมงครึ่งใช่ไหมครับ? แล้วเรายังนั่งต่อได้ไหม? หรือว่าต้องรีบกิน?”

คนตัวเล็กถาม ในใจเขาร้องโหยหวนด้วยความหนักใจ ถ้าจะให้เขากินอะไรให้หมดในบัดเดี๋ยวนี้เขาคงยังทำไม่ได้

“นั่งต่อได้นะ หรือว่าเจจะออกไปนั่งรับลมข้างนอกก็ได้”

ฆาเบียร์ชี้ไปที่ส่วนชมวิวกลางแจ้ง เจร้องอ๋อ มันคือบริเวณที่เขาและพี่ชายมานั่งเมื่อไม่กี่วันที่แล้ว

“งั้น เราย้ายไปข้างนอกหน่อยไหมครับ ผมว่าจะสูบซิการ์ซักหน่อย แหะ ๆ”

เจหัวเราะแหะ ๆ พลางเหลือบตามองแชมเปญแก้วสุดท้ายของเขาที่ยังเหลืออยู่กว่าครึ่งแก้ว คนตัวโตโคลงหัวน้อย ๆ

“เอาเถอะ ๆ ก็ยกมันไปข้างนอกทั้งหมดนี่แหละ ค่อย ๆ จิบล่ะ แล้วก็เก็บบลัดดี้ แมรี่ไว้ตบท้ายซะนะ”

ฆาเบียร์พูดแล้วหันไปเรียกพนักงานที่คอยดูแลโต๊ะของเขามาเพื่อคุย แล้วจึงชักชวนเจให้ออกไปนั่งที่ระเบียงด้านนอกซึ่งมีผนังกระจกสูงกั้นอยู่




(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


 

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- เมามาย (ต่อ) ----




“นั่งโซฟาแล้วกันนะ”

คนตัวโตประคองเจนยุทธลงนั่งบนโซฟาตัวโต แม้เจจะงอแงบอกว่าอยากนั่งที่บาร์ยาวริมผนังกระจก แต่คนตัวโตก็บังคับเจ้าตัวมานั่งที่โซฟาจนได้ โชคดีของพวกเขาทั้งสองที่วันนี้ไม่มีสายฝนโปรยปรายลงมาและไม่ได้มีลมกรรโชกแรง พวกเขาจึงสามารถนั่งที่ส่วนระเบียงของชั้น 118 นี้ได้

“เดี๋ยวฉันไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึง นายอยู่คนเดียวได้แน่นะ?”

ฆาเบียร์ถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นคนรักยิ้มแป้นแบบไม่ค่อยมีสติให้ เขาจำที่เจพูดได้ว่าเจ้าตัวมักไม่ค่อยแสดงอาการเมาออกมาให้เห็นนัก แต่เขาจะฟุบหลับไปเลยเมื่อดื่มเกินลิมิต และในวันนี้เจ้าตัวก็เริ่มมีอาการแบบนั้นให้เห็นแล้ว

“ไหวคร้าบ ไหว คุณไปเถอะ ไม่ต้องห่วงผม”

เจยกมือขึ้นโบก คนตัวโตถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วยกมือขึ้นขยี้ผมเจแรง ๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปภายในห้องอาหาร

 





“โอย ไม่ไหว เมาชิบ เข็ดแล้วโว้ย!”

เจนยุทธซึ่งรู้สึกเหมือนทุกอย่างหมุนรอบตัวเขาบ่นออกมาเบา ๆ พร้อมกับทิ้งกายเอนซบกับหมอนอิงแสนนุ่ม เขายกทาร์ตชิ้นน้อยจากในจานที่หยิบมาวางไว้บนเบาะข้างตัวขึ้นกัดกิน

“โอย เปรี้ยว ๆๆ”

เจหลับตาปี๋เมื่อรู้สึกถึงความเปรี้ยวของทาร์ตมะนาวชิ้นน้อย เขาบ่นกับตัวเองเบา ๆ ว่าคนตัวโตน่าจะหยิบมาให้เขาอีกสักสองสามชิ้นเพื่อกินให้สร่างเมา

“อร่อยใช้ได้เหมือนกันน้อ”

เจเปรยกับตัวเองหลังจากกินมาการองกับชูครีมเข้าไปอีกสองสามชิ้น ขนมของห้องอาหารแห่งนี้รสชาติดีพอสมควร ถ้าไม่ติดว่าเขาอิ่มจนเกินขีดแล้ว เขาคงเดินกลับเข้าไปหยิบมาเพิ่มอีกสักหน่อยเป็นแน่แท้



“คุณ เอ่อ เจใช่ไหมคะ?”

เจนยุทธซึ่งกำลังหลับตาคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่สะดุ้งเฮือกเมื่อมีเสียงหวาน ๆ เรียกชื่อเขาอยู่ข้างตัว เขาลืมตาแล้วก็ต้องร้องโหยหวนอยู่ในใจ ข้างโซฟาของเขามีหญิงสาวผมบ็อบหน้าตาสะสวยคนหนึ่งยืนอยู่ เธอคือสาวคนที่เขาพบและได้บล็อคไลน์ทิ้งไปเมื่อตอนที่ขึ้นมาดื่มกับบูมและอลันในคืนแรกที่มาถึงฮ่องกง

“ไหนบอกว่าจะกลับไทยแล้วไงคะ?”

หญิงสาวคนนั้นกระเซ้าเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เธอถือวิสาสะนั่งลงข้าง ๆ คนตัวเล็ก ใบหน้าที่แดงระเรื่อแสดงให้เห็นว่าเธอเองก็ดื่มมาไม่ใช่น้อยเช่นกัน

“เอ่อ ผมตัดสินใจอยู่ต่อครับ”

เจพูดตะกุกตะกัก ความเมาทำให้เขาไม่สามารถใช้วิชาปลาไหลใส่สเก็ตในการพูดคุยได้เหมือนเช่นเคย

“แหม ได้เจอกันอีกครั้งในที่เดิมนี่ก็ถือว่าเรามีวาสนาต่อกันเหมือนกันนะคะ”

หญิงสาวที่เจจำชื่อไม่ได้ด้วยซ้ำหัวเราะคิก เธอชะม้ายตามองหนุ่มไทยที่เธอรู้สึกต้องตาต้องใจมาตั้งแต่ตอนที่พบกันเมื่อไม่กี่คืนก่อน ยิ่งเห็นอาการเลิ่กลั่กของเจ เธอยิ่งรู้สึกสนุกที่จะได้ไล่ต้อนชายหนุ่มที่มีท่าทีว่าจะคอยหลบเลี่ยงเธอคนนี้

 

“เรียบร้อยครับ คุณมาร์ติเนซ”

“ขอบคุณครับ”

ฆาเบียร์รับบัตรเครดิตของเขาคืนมาแล้วเดินกลับออกมาหาเจนยุทธ เขาชะงักเมื่อเห็นร่างระหงที่นั่งเบียดเสียดอยู่กับคนตัวเล็กทั้ง ๆ ที่โซฟานั้นก็แสนกว้าง ยิ่งเขาเดินเข้าไปใกล้ ใจของหนุ่มละตินยิ่งเต้นแรงเหมือนแทบจะทะลุออกมาจากอก สิ่งที่ทำให้เขาแทบคลั่งไม่ใช่ปากแดง ๆ ที่ส่งเสียงหัวเราะร่วนอยู่ข้างหูของเจ ไม่ใช่ใบหน้าของคนรักที่เปื้อนรอยยิ้มปลอม ๆ เหมือนกับที่เขาเคยเห็นเวลาเจออกเที่ยว แต่เป็นเพราะมือนิ่มที่เขาเคยเกาะกุมซึ่งตอนนี้วางแปะอยู่บนเรียวขาขาวราวงาช้างของเจ้าหล่อน

“เจ”

“กลับมาแล้วเหรอครับ”

เจหันหน้าขึ้นไปส่งยิ้มกว้างให้คนรัก ฆาเบียร์เม้มปากแน่นและเขม้นมองดูรอยยิ้มที่ดูเหมือนคนไม่มีสติของคนรัก เจหุบยิ้มเมื่อเห็นสายตาเย็นเยียบเหมือนจะแช่แข็งคนได้ของคนตัวโต ในสมองเขากำลังพยายามประมวลผลว่าตนได้ทำอะไรผิดลงไปหรือเปล่า

 

“ชิxหาย!”

คนตัวเล็กหลุดปากอุทานออกมาดัง ๆ เป็นภาษาแม่เมื่อมองตามสายตาของคนรักไป เขารีบดึงมือกลับจากความขาวที่เขาเผลอไผลลูบไล้ไปตามสันดานเก่า

“นายจะไม่แนะนำให้ฉันรู้จักกับเพื่อนใหม่หน่อยเหรอ?”

ฆาเบียร์พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแล้วหันไปส่งยิ้มละไมให้กับหญิงสาวข้างกายของคนรัก เจนยุทธเหงื่อแตกพลั่ก รอยยิ้มบนใบหน้าคนรักของเขานั้นเป็นรอยยิ้มธุรกิจเต็มขั้นแบบที่เขาไม่อยากจะเห็น

“เจมม่าค่ะ แล้วคุณคือ?”

สาวในชุดจัมพ์สูทสั้นโชว์เรียวขาขาวรีบยกมือขึ้นจับทักทายกับมือใหญ่ที่ส่งมา ใบหน้าคมเข้มและสายตาแพรวพรายของหนุ่มละตินรูปร่างงามคนนี้ทำให้เธอใจเต้น

‘เหอะ หมวยซะขนาดนี้ยังอุตส่าห์ชื่อเจมม่า’

คนตัวโตแอบกระแนะกระแหนอยู่ในใจ หากภายนอกนั้นเขายังคงรักษารอยยิ้มละไมบนริมฝีปากไว้

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผม บาเลนติน”

คราวนี้ถึงตาเจทำตาโตเป็นไข่ห่านบ้างเมื่อคนรักที่ยังยืนตระหง่านค้ำหัวเขาอยู่ดึงมือของแม่สาวคนนั้นขึ้นไปจูบ ฆาเบียร์ลอบยิ้มเมื่อได้ยินเสียงพ่นลมหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ดังออกมาจากคนรัก เขาทำเป็นไม่สนใจคนตัวเล็กแล้วหันไปชวนเจมม่าคุยด้วยท่าทีผ่อนคลาย เจหันซ้ายหันขวาแล้วทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้

 

“ฆา...เอ่อ บาเล่ครับ ผมขอซองซิการ์หน่อยได้ไหม?”

เจเรียกชื่อที่คนรักมักใช้เวลาอยากทำตัวเป็นคนอื่น เขายื่นมือไปรับซองหนังใส่ซิการ์มาจากมือคนตัวโต เขาหยิบซิการ์ดาวิดอฟแท่งเรียวยาวที่เตรียมไว้ออกมาจากซองหนังนั้นก่อนที่จะใช้มีดตัดซิการ์ที่ขอมาตัดก้นซิการ์ออก เขาหันซ้ายหันขวาเพื่อหาไม้ขีดไฟหรือไม่ก็ไฟแช็กสำหรับจุดซิการ์

“ขอโทษนะครับ คุณมีไฟแช็กไหม?”

เจหันไปถามหญิงสาวข้างกายที่ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจเขาเท่าไหร่แล้ว เจมม่าพยักหน้าแล้วหยิบไฟแช็กอันน้อยออกมาจากกระเป๋าคลัช เธอจัดการจุดมันให้เจนยุทธอย่างแคล่วคล่อง เจค้อมหัวน้อย ๆ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขาแอบเหลือบตามองคนตัวโตที่ตอนนี้ลงนั่งบนขอบพนักพิงของโซฟา เจดูดเอาควันที่มีรสหนักแน่นของใบยาสูบเข้าไป แล้วค่อย ๆ พ่นมันออกมา

“สักนิดไหมครับ”

เจนยุทธเงยหน้าถามคนตัวโตที่นั่งคอแข็งค้ำหัวเขา ฆาเบียร์ปรายตามองคนรักแล้วกำลังจะเปิดปากปฏิเสธ หากเขาก็ต้องตกใจเมื่อถูกดึงคอเสื้อลงมา กว่าเขาจะทันรู้ตัว ริมฝีปากรูปกระจับที่เพิ่งดูดเอาควันซิการ์เข้าไปก็ประกบเข้ากับปากของเขา กลิ่นรสของควันหนักแน่นถูกส่งผ่านเข้ามาในโพรงปากของเขา

“รสดีไหมครับ?”

เจถามยิ้ม ๆ ฆาเบียร์อึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหัวช้า ๆ

“ยังไม่รู้รส ฉันคงต้องขอชิมอีกที”

คนตัวโตพูดพลางก้มหน้าลงต่ำโดยไม่สนใจสายตาสับสนของเจมม่าซึ่งตอนนี้เหมือนเป็นอากาศธาตุไปแล้ว เจยกมือขึ้นโอบคอคนรักพร้อมกับรับความหวานชื่นจากจูบร้อน ๆ นั้น

 

“อ้าว ไปซะละ”

เจหัวเราะหลังจากแลกจุมพิตกันช่วงสั้น ๆ เมื่อเขาหันกลับมาดูก็พบว่าสาวที่ข้างกายได้ลุกหนีหายไปแล้ว

“ขี้หึงเหมือนกันนะเราน่ะ”

 คนตัวโตที่ย้ายกายลงมานั่งข้างคนรักของเขากระเซ้าขึ้นพร้อมกับยกมือขยี้ผมดำขลับอย่างเอ็นดู

“เหอะ ว่าแต่เขา คุณเองก็ใช่ย่อยน้า คุณมาร์ติเนซ ที่จูบมือนั่นมันอะไรกานค้าบ?”

เจที่เริ่มพูดยานคางแล้วย่นจมูกให้เมียขี้หึงของเขา ฆาเบียร์หัวเราะหึ ๆ แต่ก็ไม่ได้ตอบโต้อันใดอีก เขายกมือขึ้นโอบไหล่คนรักแล้วดึงให้เอนซบอก เจสูบซิการ์น้อยในมืออีกคำหนึ่งแล้วส่งมันให้คนรัก

“ฆาบี้ครับ ฮึก เมื่อกี้โผมไม่ได้ตั้งจายจริง ๆ นะ”

เจนยุทธสะอึกไปพลางพูดเสียงอ่อย ๆ หลังจากพวกเขานั่งเงียบกันไปครู่หนึ่ง

“อืมม์...”

ฆาเบียร์ตอบรับเบา ๆ ในคอแล้วถอนหายใจเบา ๆ เขาแทบลืมไปแล้วว่าคนตัวเล็กที่ข้างกายที่แท้ก็เป็นเสือในคราบกระรอกน้อย สิ่งที่เจแสดงออกไปก็คงเป็นเพียงฤทธิ์แอลกอฮอล์บวกกับปฏิกิริยาตอบสนองกับสิ่งเร้าตรงหน้าตามความเคยชิน

“อย่าทำอีกแล้วกัน”

คนขี้หึงตอบสั้น ๆ

“ไม่มีอีกแน่นอนค้าบ ผมสัญญา!”

เจรีบยันกายขึ้นนั่งตัวตรงพร้อมชูนิ้วสามนิ้วสัญญาอย่างแข็งขัน ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ ด้วยความเอ็นดูก่อนจะดึงกายคนรักให้ซบกับอกอีกครั้ง

 

“ว่าไง เดินไหวไหม?”

ฆาเบียร์ถามคนตัวเล็กในอ้อมแขนที่เดินเซวูบไป หลังจากเหตุการณ์ตื่นเต้นเล็ก ๆ เมื่อสักครู่ เขาก็ปล่อยให้เจได้นั่งพักให้ลมบนชั้น 118 พัดโกรกจนกระทั่งสร่างเมาไปบ้างแล้วจึงกลับลงมายังห้องพักของตัวเอง

“ไหวครับ ไหว ได้กาแฟดำแก้วเมื่อกี้ไปก็พอจะโอเคบ้าง”

เจยิ้มหวานให้เมียตัวโตของเขา แม้จะยังรู้สึกมึนอยู่บ้าง แต่อาการของเขาก็ดีขึ้นกว่าเมื่อสักครู่มากนัก

“เอ้า นอนซะ เดี๋ยวฉันจะเช็ดหน้าเช็ดตาให้”

คนตัวโตจับคนรักเอนหลังลงบนเตียงทันทีที่พวกเขากลับถึงห้อง

“เอนพิงหัวเตียงไปก่อนนะ กินอิ่ม ๆ แบบนี้ถ้านอนราบเลยจะท้องอืด”

ฆาเบียร์พูดแล้วทำท่าจะลุกไปเอาผ้าขนหนูในห้องน้ำ หากคนตัวเล็กก็ดึงแขนของเขาไว้

 

“ฆาบี้ครับ...”

คนตัวโตลงนั่งบนขอบเตียง เขายกมือขึ้นลูบหัวเจ้าของเสียงเครือเบา ๆ

“เจ มีอะไร? หืมม์? ไม่สบายตัวตรงไหนหรือเปล่า?”

หนุ่มละตินถามอย่างเป็นห่วง สีหน้าของคนรักของเขาเริ่มบิดเบี้ยวน้อย ๆ หลังจากอ้ำอึ้งอยู่นานเจก็ปล่อยโฮออกมา

“ผมมันไม่ได้เรื่องเลย ทำให้คุณต้องได้กังวล ฮึก...”

เจนยุทธซบหน้าลงกับตักของคนรัก เขาพร่ำด่าตัวเองที่ดื่มมากเกินไปจนทำให้คนรักต้องขายหน้า

“ผมทำให้คุณเสียใจหรือเปล่า ฆาบี้? ผมขอโทษจริง ๆ เรื่องยัย ยัยอะไรซักอย่างนั่นอ่ะ”

คนตัวเล็กพูดตะกุกตะกัก แม้เขาจะเป็นฝ่ายถูกเจ้าหล่อนดึงมือไปวางแปะไว้บนเข่า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเพราะความเมาทำให้เขาไม่ชักมือหนีและกลับกุมค้างอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งคนรักมาเห็นเข้า

“เจ ไม่ต้องขอโทษหรอกน่า ฉันไม่ได้คิดมากอะไรแล้ว ไม่ต้องร้องไห้แล้ว”

ฆาเบียร์ใช้มือปาดน้ำตาออกจากแก้มใส จริงอยู่ที่เมื่อครั้งแรกที่เห็นภาพบาดตานั้นเขาแทบอยากปรี่เข้าไปกระชากคนรักให้ลุกขึ้นแล้วลากกลับห้อง แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มหวานจ๋อยอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรของคนรัก เขาก็โล่งใจขึ้นอย่างน่าประหลาด ยิ่งเมื่อเจแสดงออกว่าหึงเขาอย่างน่ารัก เขาก็ยิ่งรู้สึกลิงโลดใจ



“ฮึก...ฆาบี้ คุณใจกว้างมากเลย โผม โผมมันเฮงซวย ฮือออออ”

คนตัวโตเกาหัวแกร่ก ๆ คนรักของเขายิ่งฟูมฟายหนักขึ้นเมื่อได้ยินว่าเขาไม่ติดใจเคืองโกรธ

“เจ เวลาเมาแล้วนายขี้งอแงจริง ๆ ด้วยนะ”

ฆาเบียร์โคลงหัวน้อย ๆ เมื่อนึกถึงคำพูดของเจและของเพื่อนสนิทอย่างปรินซ์กับซันซันที่ว่าเมื่อเจเมาหนัก ๆ แล้ว ก่อนที่จะถึงขั้นหลับพับไป บางครั้งเขาก็จะกลายเป็นคนเจ้าน้ำตาที่ร้องไห้ได้กับทุกเรื่อง

“ไม่ได้งอแงซักหน่อย”

คนตัวเล็กที่พยายามกลั้นน้ำตาอย่างหนักทำปากบึนน้อย ๆ และทำแก้มพองเมื่อถูกกล่าวหาว่าขี้งอแง

“ไม่ช่ายเด็กสามขวบนะค้าบ จะได้งอแง”

คนตัวโตหัวเราะเบา ๆ มองเด็กน้อยที่นอนตาแป๋วอยู่บนตัก เขาก้มลงไปจุ๊บริมฝีปากแดงระเรื่อด้วยความรักใคร่

“นายเป็นแบบนี้แล้วฉันจะโกรธลงได้ยังไง เจ้าตัวยุ่ง”

เจอุทานเบา ๆ เมื่อคนตัวเอาเอานิ้วจิ้มที่หว่างคิ้ว เขาทำหน้ายุ่งแล้วลูบจุดที่โดนจิ้มเบา ๆ

“เจ็บอ่า กลับไปผมจะฟ้องแม่ว่ามีตาลุงใจร้ายรังแกผม”

“เจจะกล้าเล่าจริง ๆ เหรอว่าโดน old man คนนี้รังแกอะไร?”

‘ตาลุง’ ที่จำได้แม่นว่าคำไทยคำนี้มีความหมายว่าอะไรพูดยิ้ม ๆ ก่อนที่จะลงมือรังแกคนที่นอนหนุนตักจนอ่อนระทวยไปทั้งตัว

 

“นายหลับไปก่อนเถอะ ฉันจะนั่งทำนั่นทำนี่อีกสักหน่อย”

คนตัวโตหันไปบอกเจนยุทธที่กึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหัวเตียงอยู่ หลังจากนัวเนียกับคนตัวเล็กอยู่ครู่หนึ่ง ฆาเบียร์ก็จับคนเมาลอกคราบแล้วเช็ดเนื้อเช็ดตัวจนเจรู้สึกสบายตัวขึ้น

“ขอบคุณครับฆาบี้ ที่ดูแลผมดีขนาดนี้”

เจส่งสายตาหวานฉ่ำมาให้คนรัก ฆาเบียร์ละสายตาจากแท็บเล็ตที่เขาเปิดมาเพื่อเช็คดูเมล์ที่คั่งค้างเพื่อมาให้ความสนใจกับคนเมา เจยกมือขึ้นถอดแว่นสายตาของคนรักและโน้มคอของฆาเบียร์เข้ามาหา เขาประทับจูบอันอ่อนโยนลงบนริมฝีปากบางที่ตอบสนองเขาอย่างเต็มใจ

“Dulces sueños, mi rey”

“ฝันดีนะ ราชาของฉัน”

หนุ่มละตินหอมเรือนผมของคนเมาในอ้อมอกของเขา เขาโอบร่างนั้นไว้จนแน่ใจว่าเจหลับสนิทแล้ว เขาจึงค่อย ๆ ย้ายกายคนรักให้เอนกายพิงหัวเตียง ส่วนตัวเองนั้นลงไปหยิบเอาแล็ปท็อปขึ้นมานั่งสะสางงานต่อบนเตียง

 

“อูย ปวดหัวชิบ”


เจนยุทธบ่นเบา ๆ กับตัวเองเมื่อลืมตาตื่นมาพร้อมกับอาการปวดหนึบที่ขมับทั้งสอง เขาซี่งยังอยู่ในท่าเอนพิงหัวเตียงค่อย ๆ ใช้มือคลึงบริเวณเบ้าตาและขมับ เขาไม่ได้แฮงก์โอเวอร์หนัก ๆ แบบนี้มานานแล้ว

“โอย เข็ดแล้ว แชมเปญจ๋า”

เจพึมพำต่อ โดยปกติแล้วเขาเป็นคนคอแข็งและไม่เมาจนหมดสภาพง่าย ๆ แม้จะดื่มแอลกอฮอล์ที่มีดีกรีสูงอย่างวอดก้าหรือวิสกี้ แต่แชมเปญซึ่งมีแอลกอฮอล์เพียง 12.5% นั้นทำเจเสียอาการมาถึงสองครั้งแล้ว เจถอนหายใจหนัก ๆ และเอามือที่ปิดตาของตัวเองออก เขาค่อย ๆ ลืมตาช้า ๆ แม้ในห้องจะมีเพียงแสงสลัวจากโคมไฟอ่านหนังสือที่ข้างตัวของฆาเบียร์ แต่มันก็ทำให้เขาปวดหัวอยู่ดี

“ฆาบี้ครับ”

เจหยีตามองคนรักที่นั่งอยู่ข้างกาย เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นภาพเมียตัวโตของเขาก้มหน้าคางแทบชิดอก แว่นตาอ่านหนังสือกรอบดำของเจ้าตัวตกลงมาค้างอยู่ที่ปลายจมูกโด่งเป็นสัน เมื่อมองต่ำลง เจก็ต้องรีบลุกไปหยิบเอาแล็ปท็อปเครื่องบางเบาของคนตัวโตที่วางเอียงกะเท่เร่อยู่บนตักของเขาและย้ายมันไปไว้ที่โต๊ะข้างเตียง หน้าจอของมันติดขึ้นเมื่อนิ้วของเขาไปสัมผัสกับเซ็นเซอร์สแกนนิ้วบนตัวเครื่อง เจถอนหายใจและมองดูกราฟและแผนภูมิต่าง ๆ ที่อยู่บนหน้าจอ กระทั่งในวันหยุดแบบนี้ ฆาเบียร์ก็ยังคงต้องทำงาน

“ผมมากวนเวลาของคุณหรือเปล่านะ?”

เจพูดเบา ๆ กับตัวเอง เขาลงนั่งที่ข้างเตียงแล้วใช้นิ้วเสยปอยผมที่ตกลงมาปรกหน้าคนรัก เขาเอียงคอมองใบหน้าคมเข้มแบบหนุ่มละติโน่ด้วยความหลงใหล เขาหัวเราะคิกเมื่อคนตัวโตขมวดคิ้วน้อย ๆ แล้วยกมือใหญ่ขึ้นมาปัดปลายนิ้วของเขาที่เขี่ยปลายจมูกของเจ้าตัวเบา ๆ ด้วยความรำคาญ

 

“ฆาบี้ครับ ตื่นครับ”

คนตัวโตซึ่งเคลิ้มหลับไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้สะดุ้งตื่นขึ้นเพราะเสียงกระซิบที่ข้างหูและน้ำหนักตัวของคนที่กดทับอยู่บนตัก เขาย่นจมูกโดยไม่รู้ตัวเมื่อได้กลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งออกมาจากร่างอุ่น ๆ นั้น

“เหม็นเหล้าน่าดูเลยนะ เจ”

ฆาเบียร์หลับตาพูดพลางหาวออกมา เจรีบยกแขนของตัวเองขึ้นดม

“ไม่เห็นเหม็นเลย หอมจะตาย”

คนตัวเล็กโมเมพูด ฆาเบียร์โคลงหัวน้อย ๆ แล้วดึงร่างเจ้าตัวแสบของเขาเข้ามากอดไว้

“ไหนบอกว่าเหม็นไงครับ?”

เจหัวเราะคิกเมื่อตอหนวดที่เริ่มยาวแล้วของฆาเบียร์ถูไถไปกับซอกคอของเขา

“ไม่เหม็นแล้วจ้ะ”

เจซบหน้าลงกับบ่ากว้างแล้วบ่นเบา ๆ



“ปวดหัวชะมัดเลยอ่ะคุณ โผมจะไม่ดื่มแบบนี้อีกแล้วอ่ะ”

เจพูดยานคาง เขาดึงมือคนรักมาโอบเอวเขาหลวม ๆ แล้วทิ้งน้ำหนักตัวลงกับแผงอกกว้าง ฆาเบียร์ลูบหลังคนช่างออเซาะเบา ๆ

“แค่ปวดหัว ไม่ได้มีอยากอ้วกอะไรใช่ไหม?”

คนตัวโตถามอย่างเป็นห่วง เจเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้อย่างน่ารัก

“แหะ ๆ มีผะอืดผะอมนิดหน่อย แต่ผมกลืนลงไปหมดแล้วล่ะ”

คนอย่างเจ เจนยุทธไม่ได้เมาจนอ้วกมาหลายปีแล้ว ครั้งนี้เขาก็ไม่ยอมให้เสียประวัติตัวเอง

“อี๋ งั้นนายไม่ต้องมาจูบฉันเลยนะ เจนยุทธ”

เจจิ๊ปากเบา ๆ เขาย่นจมูกและแลบลิ้นให้คนตัวโตที่แกล้งทำหน้ารังเกียจ แต่ปลายลิ้นของคนที่ปากไม่ตรงกับใจก็กลับเลียไล้และหยอกล้อเข้ากับปลายลิ้นของเขาโดยฉับพลัน

 

“คุณนี่มารยาอันดับหนึ่งเลยจริง ๆ เฮ้ย!”

เจบ่นคนรักหลังจากที่โดนขโมยจูบอย่างดื่มด่ำไปหนึ่งจ้วบใหญ่ เขาอุทานและหันไปตีมือร้อนผ่าวที่คลึงเคล้นบั้นท้ายของเขายามเผลอ

“ตื่นมาปุ๊บก็หื่นเลยนะคุณ”

เจบ่นคนที่บางส่วนเริ่มตื่นตัวดุนกายของเขา

“เจก็อย่ายุกยิกสิ”

คนตัวโตพูดเสียงอ่อย ๆ เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะทำทะลึ่ง หากบั้นท้ายหนั่นแน่นที่เบียดไปมาอยู่กับกลางกายของเขาทำให้ไอ้ลูกชายของเขาอดเกิดปฏิกิริยาไม่ได้ หากยิ่งพูด เจ้าตัวดีของเขาก็ยิ่งแกล้ง เจค่อย ๆ จัดท่าทางให้รอยแยกที่ด้านหลังของตนประกบเข้ากับแก่นกายที่แข็งเกร็งขึ้นมาจนอัดแน่นเต็มกางเกงใน

“เจ...นี่จะยั่วฉันเหรอ?”

ฆาเบียร์คำรามออกมาเมื่อเจค่อย ๆ โยกคลึงช้า ๆ เขายังรู้สึกถึงยอดอกอันชูชันของคนตัวเล็กที่บดเบียดอยู่กับแผงอกของเขา เสียงหายใจที่เริ่มกระชั้นขึ้นดังอยู่ที่ข้างหู ความอดทนของเขากำลังจะหมดลง


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1

 

---- เมามาย (ต่อ) ----





“เจ เดี๋ยว หยุดก่อน ฉันขอรับโทรศัพท์ก่อน”

คนตัวโตรีบดันร่างเพรียวออกเมื่อได้ยินเสียงเรียกเข้าของอาปา เจรีบหยุดสิ่งที่ทำอยู่แล้วพลิกกายลงจากร่างของคนรัก

“ครับ อาปา ครับ สามทุ่มนะครับ? โอเคครับ เดี๋ยวผมจะไปรับเอง...”

“อาปากลับมาคืนนี้เหรอครับ?”

เจนยุทธซึ่งนอนเท้าคางฟังคนรักคุยกับอาปาคริสอยู่เงียบ ๆ ถามขึ้นหลังจากฆาเบียร์กดวางสาย

“ใช่จ้ะ อาปาบอกว่าอยากจะมาเจอเจก่อนกลับเชียงใหม่น่ะ”

ฆาเบียร์พูดออกมาแล้วก็ต้องเม้มปากแน่น พรุ่งนี้แล้วสินะที่เขาต้องพรากห่างจากดวงใจของเขาอีกครั้ง

“คุณครับ...”

เจซึ่งสังเกตเห็นท่าทีของคนรักขยับกายขึ้นนั่งและกุมมือใหญ่ไว้

“อีกไม่กี่วันคุณก็จะมาหาผมแล้วไม่ใช่เหรอครับ?”

เจถามแล้วจึงยกมือของฆาเบียร์ขึ้นจูบเบา ๆ คนตัวโตหันมาพยักหน้าและยิ้มบาง ๆ ให้เจนยุทธ

“จ้ะ เจอกันอีกทีกลางเดือนหน้า”

ฆาเบียร์พูดและพยายามฉีกยิ้ม หากใจเขารู้ดีว่าถึงจะพยายามปลอบใจตัวเองว่าแม้จะมีระยะทางหลายพันกิโลเมตรขวางกั้น พวกเขายังคงสามารถเจอกันได้บ่อยเท่าที่ต้องการ และยังได้ติดต่อกันตลอดเวลาโดยใช้เทคโนโลยี แต่ในความเป็นจริงแล้ว ยิ่งเขาคบหาเจนยุทธนานขึ้นเท่าไหร่ เขายิ่งไม่พอใจอยู่กับแค่การได้พบหน้ากันเดือนละครั้ง หรือได้คุยกันออนไลน์ทุกวัน สิ่งที่เขาต้องการ ณ ตอนนี้คือการได้เข้านอนและตื่นขึ้นมาโดยมีร่างอุ่น ๆ ของเจอยู่เคียงข้าง เขาอยากใช้เวลาร่วมกับเจทั้งยามตื่นและยามหลับ อยากมีส่วนร่วมอยู่กับทุกเหตุการณ์ในชีวิตของอีกฝ่าย และความต้องการนี้กำลังกัดกินเขามากขึ้นทุกที



“คุณ ฆาบี้ เฮ้!”

คนตัวโตสะดุ้งเมื่อเจดีดนิ้วเป๊าะที่เบื้องหน้าเขา เขาขานรับเสียงแผ่วเบาจนคนตัวเล็กต้องเกาหัวด้วยความสงสัย

“คุณเป็นอะไรครับ ฆาบี้ ผมเรียกตั้งนาน คุณก็ไม่สนใจ ไม่สบายหรือเปล่า?”

เจใช้หลังมืออังที่หน้าผากและซอกคอของคนรักด้วยตวามเป็นห่วง

“ฉันไม่เป็นไรจ้ะ แค่คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้นิดหน่อย...”

ฆาเบียร์ยิ้มให้คนที่สบตาเขานิ่ง สายตาของเจนยุทธส่อแววกังวล

“แล้วว่าไง? เรียกฉันนี่ จะถามอะไรฉันเหรอ?”

“อ๋อ ไม่มีอะไรครับ ผมจะถามว่าอาปาจะมาถึงกี่โมง”

“ประมาณสามทุ่ม สามทุ่มสิบห้าจ้ะ อาปาบอกว่าถ้าซื้อตั๋วแล้วก็จะส่งข้อความมาบอกอีกที”

คนตัวโตถ่ายทอดข้อความของอาปาของเขาให้เจฟังโดยละเอียดอีกครั้ง เจยกมือถือของเขาขึ้นมาดูเวลา

“เกือบทุ่มแล้ว...”

เจรำพึง เมื่อสักครู่พวกเขากลับมานอนเอาเมื่อตอนสี่โมงกว่า ๆ หลังจากหลับแบบดับเครื่องไปกว่าสองชั่วโมงครึ่ง เจก็ตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นแม้จะมีอาการปวดหัวตกค้างอยู่บ้างก็ตาม

 

“แหะ ๆ เสียงท้องผมร้องเองครับ”

เจนยุทธหัวเราะแหะ ๆ เมื่อคนตัวโตหันมาด้วยความตกใจที่ได้ยินเสียงน้ำย่อยในกระเพาะของเขาร่ำร้องอีกเช่นเคย

“หึ ๆ เมื่อกี้กินไปขนาดนั้น ยังไม่อิ่มอีกเหรอ เจนยุทธ”

ฆาเบียร์อดไม่ได้ต้องบีบปากน้อย ๆ ช่างจำนรรจาเข้าอีกหน เจทำหน้ามุ่ยทันที

“เมื่อกี้ผมไม่ได้อิ่มอาหารมากมายนะครับ กินไม่ได้เยอะเท่าไหร่ อิ่มแชมเปญมากกว่า”

คนตัวโตทำตาปริบ ๆ กินไม่เยอะของเจนั้นหมายถึงล็อบสเตอร์ 5 ขาปู 10 ซีก หอยนางรมครึ่งโหล ไหนจะเนื้ออบ ซี่โครงแกะย่าง พวกโคลด์คัทและชีสจำนวนนับไม่ทัน ของกินเล่นเรียกน้ำย่อยอีกหลายอย่างรวมถึงซูชิที่เจ้าตัวบ่นว่าไม่อร่อย แล้วไหนจะขนมหวานที่เขาจัดการตักมาให้จนเต็มจาน

“ถ้าเจกินไม่เยอะ ฉันก็ไม่รู้จะเรียกใครว่ากินเยอะแล้ว”

ฆาเบียร์โคลงหัวเมื่อเห็นใบหน้าที่ยิ้มร่าแสดงความภูมิใจในตัวของตัวเองของเจ

“เอาเถอะ ๆ หิวก็หิว งั้นเดี๋ยวเรารีบออกไปกันดีกว่า อย่างน้อยจะได้มีเวลาหาอะไรใส่ท้องนายก่อนไปรับอาปา”

หนุ่มละตินลุกขึ้นจากเตียงแล้วยื่นมือไปฉุดคนรักให้ลุกขึ้น เจลุกขึ้นแล้วก็ต้องนั่งแปะลงไปบนเตียงอีกครั้ง



“แฮงค์อ่ะ”

คนตัวเล็กบ่นเบา ๆ แม้อาการปวดหัวจะบรรเทาลงไปมากแล้ว แต่ก็ยังมีอาการมึนหลงเหลืออยู่บ้าง ฆาเบียร์รีบเดินไปหยิบขวดน้ำเย็นมาจากในตู้เย็นพร้อมกับน้ำอัดลมกระป๋องหนึ่ง

“เอ้า ดื่มนี่ไปก่อนนะ จากนั้นค่อยดื่มน้ำตามมาก ๆ ”

ฆาเบียร์เปิดน้ำอัดลมกระป๋องแดงส่งให้เจนยุทธ เจยิ้มหวานให้คนรักของเขา ทั้งเขาและฆาเบียร์ต่างก็เป็นนักท่องราตรีเหมือนกัน จึงไม่แปลกที่เมียตัวโตของเขาจะรู้ดีว่าน้ำอัดลมตระกูลโคล่านั้นจะมีฤทธิ์ช่วยบรรเทาอาการปวดและมึนหัวจากการดื่มแอลกอฮอล์อยู่บ้าง ส่วนการดื่มน้ำมาก ๆ นั้นจะช่วยให้แอลกอฮอล์ระบายออกจากร่างกายเร็วขึ้น

“ขอโทษนะครับ ที่ทำให้ต้องเป็นห่วง ลำบากคุณเลย”

เจใช้หน้าผากชนแผ่นหลังกว้างตรงหน้าเบา ๆ คนตัวโตขยับให้เจนยุทธมานั่งเคียงข้างแล้วลูบหัวคนรักจอมยุ่งของเขาเบา ๆ

“ไม่ได้ลำบากอะไรหรอกน่า แต่คราวหน้าก็ระวังหน่อยแล้วกัน”

“ผมก็ว่าผมไม่ได้ดื่มเข้าไปเยอะอะไรนักหนาเลยนะ ทำไมมันเมาขนาดนี้ก็ไม่รู้”

คนตัวเล็กพูดอ้อมแอ้ม ฆาเบียร์เบิกตากว้าง

“อื้อหือ เจ นายรู้ไหมว่าวันนี้นายดื่มเข้าไปเท่าไหร่?...”

เจส่ายหัวและบอกว่าน่าจะเท่า ๆ กับคราวที่แล้วคือ 8-9 แก้ว ฆาเบียร์หัวเราะหึ ๆ



“11 – 12 แก้วเลยนะ เจ ประมาณสองขวดเลยนะ”

“ไม่ถึงซักหน่อย บางแก้วยังไม่ทันหมดเขาก็เติมแล้ว”

เจนยุทธอดประท้วงเบา ๆ ไม่ได้ แต่ก็ต้องทำคอย่นเมื่อถูกเมียตัวโตของเขาเคาะเบา ๆ เข้าที่หน้าผาก

“โอเค ๆ ถึงก็ได้ครับ แหม แค่สองขวดเอง...”

เจบ่นกะปอดกะแปดกับลมกับฟ้าว่าเขาคงร้างการดื่มหนัก ๆ ไปนานถึงได้เมาง่ายแบบนี้

“หึ ๆ ก็บอกแล้วไงว่าพวกเครื่องดื่มมีฟองพวกนี้จะทำให้เมาง่ายกว่าเหล้าแบบอื่น คราวที่แล้วก็บอกว่าเข็ดแล้ว ๆ ไม่ใช่เหรอ?”

ฆาเบียร์พูดยิ้ม ๆ เมื่อนึกถึงคราวที่เจ้าตัวดีของเขาเมาเพราะบุฟเฟต์แชมเปญที่ริทซ์ มาเก๊า

“คราวนี้เข็ดจริง ๆ แล้วครับ”

คนที่ยังมึนอยู่บ้างพูดเสียงอ่อย ๆ พลางเอนกายอิงซบร่างกำยำอย่างเอาใจ ฆาเบียร์โคลงหัวแล้วพลันลุกขึ้นยืน

“เอา ไป อาบน้ำได้แล้ว เจนยุทธ เหม็นเหล้ามาก รีบ ๆ อาบแล้วเราจะได้ไปหาอะไรใส่ท้องให้นายกัน”

“Ay!, ay!, Captain!”

“ได้ครับ กัปตัน!”

เจนยุทธทำหน้าทะเล้นแล้วยกมือขึ้นตะเบ๊ะให้ฆาเบียร์แบบที่เขาชอบทำแล้วรีบเผ่นแผลวเข้าห้องน้ำไป

 

“มะ คุณ มานี่ ๆ มาให้ผมจัดการกับเล็บคุณซะดี ๆ”

หลังจากจัดการเป่าผมคนรักจนแห้งและจัดการรวบเป็นมวยให้แล้ว เจก็ดึงมือไม้คนรักมาจัดการตัดเล็บมือและใช้ตะไบเจียรจนเข้ารูปดี ตอนนี้เขาก็กำลังจัดการตัดเล็บเท้าให้คนที่นั่งเอาขาพาดตักเขาอยู่อย่างสบายอารมณ์

“ไม่เจ็บใช่ไหมครับ?”

คนที่มักถูกพี่สาวใช้ให้ช่วยจัดการเรื่องเล็บมือเท้าให้ตั้งแต่เด็กถามคนรัก ฆาเบียร์ส่ายหน้า

“เจมือเบากว่าตามร้านทำอีกนะ”

 คนตัวโตซึ่งเคยเข้าร้านทำเล็บนาน ๆ ทีพูดพร้อมกับมองคนที่ง่วนอยู่กับเท้าของเขาด้วยสายตาอ่อนโยน นอกเหนือจากตัดแต่งเล็บให้ เจยังใช้ครีมทาตามจมูกเล็บและรอบ ๆ เล็บให้เหมือนกับที่ตามร้านทำ

‘...ถ้าได้นายมาช่วยดูแลให้ตลอดแบบนี้ก็คงดี’


ฆาเบียร์คิดอยู่ในใจ หากสิ่งที่เขาคิดคงฟ้องออกมาทางสายตาอ่อนโยนที่จับจ้องใบหน้าจิ้มลิ้มของเจนยุทธ เพราะเจ้าตัวดีของเขานั้นเริ่มก้มหน้างุดและมีใบหูที่แดงก่ำขึ้นมา

“จะจ้องอะไรนักหนาครับ ฆาบี้? ทำเป็นไม่เคยเห็นไปได้”

เจบ่นเบา ๆ สายตาเปี่ยมรักของเมียตัวโตของเขาทำให้เขารู้สึกเขินขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“ฉันแค่คิดว่าวันนี้เจน่ารักจัง”

“อารมณ์ไหนครับเนี่ย? พอ ๆ ไม่ต้องมายอกันแล้ว”

เจหัวเราะเบา ๆ แล้วผลักขาคนรักลงจากตัก เขาใช้ตัวดันฆาเบียร์ให้ลุกออกจากโซฟาก่อนที่จะจัดการเก็บเศษเล็บบนกระดาษรองไปทิ้ง



“ไม่ได้ยอซักหน่อย”

คนตัวโตเดินตามมากอดและจุ๊บแก้มคนรักเบา ๆ

“ครับ ๆ ไม่ยอก็ไม่ยอ คุณก็น่ารักเหมือนกันนะ ฆาบี้ ฮ่ะ ๆ พอแล้วครับ ที่รัก!”

เจพูดกลั้วหัวเราะด้วยความจั๊กจี้เมื่อถูกตอหนวดบนคางของคนรักถูบริเวณซอกคอ เขาพยายามหดคอแล้วดันเมียตัวโตของเขาออก

“เลิกเล่นครับ เลิกเล่น นี่เกือบสองทุ่มแล้ว สงสัยผมไม่ทันกินหมูแดงแน่เลย”

เจบ่นเบา ๆ เขาบอกฆาเบียร์ว่าเขาอยากกินหมูแดงของร้าน Joy Hing ซึ่งเป็นร้านขายของย่างราคาประหยัด มันตั้งอยู่ไม่ห่างจากร้าน Kam’s Roast Goose ที่พวกเขาไปกินห่านย่างเมื่อวันก่อน

“ยังทันนะ ไม่งั้นเราก็ซื้อกลับไปกินที่บ้านอาปาก็ได้”

“งั้นก็ได้ครับ ขอให้ได้กิน ยังไงก็ได้”

เจยิ้มแป้นเมื่อนึกถึงรสชาติของหมูแดงที่เขาคิดว่าอร่อยที่สุดร้านหนึ่งเท่าที่เคยกินมา เขารีบจัดการแต่งเนื้อแต่งตัวจนเรียบร้อย แล้วจึงรีบดึงคนรักออกห้องไป

 

*************************************************

“เฮ้ย!!! ได้ไงอ่ะ?!!!”

เจอุทานลั่น ถ้าทำได้เขาคงทรุดฮวบลงตรงนั้นแล้ว

***************************************************


-------------------------------------------------------------

ขออภัยที่ใช้เวลากับตอนนี้นานมาก ๆ นะคะ ช่วงนี้ไม่ค่อยมีสมาธิเขียนกับยังวุ่น ๆ กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง อย่างเช่น...แพลนทริปที่อยู่ ๆ จากทริปมาเก๊า ฮ่องกงสั้น ๆ 5 คืน กลายเป็นต้องงอกเข้าเมืองจีนไปอีก 3 คืน แต่ก็อาจจะมีรีวิวสั้น ๆ ของเมืองนานกิงมาฝากคนอ่านในอนาคต แต่ก็อาจจะไม่ได้เห็นอะไรมาก เพราะไปทำภารกิจตามหาหัวใจ (อิอิ) ไว้จะมาเล่าให้ฟังทีหลังค่ะ

ตอนนี้ไม่มีอะไรมาก ให้อิเจมันเมารั่วให้ดูค่ะ ก็โดนแชมเปญเตะซะทรุดเลย ก็หวังว่ามันจะเข็ดเลิกกินเหล้าหนัก ๆ ซะที

 

เรื่องอ่านเล่นนะคะ

ว่าด้วยเรื่องของไวน์ฟองต่าง ๆ http://bit.ly/2Jc4tgE

วิธีทำแชมเปญโรเซ่ http://bit.ly/2qEf4up

แชมเปญที่เสิร์ฟกับบุฟเฟต์ที่เจกินนะคะ ดอม เปริญง โรเซ่ ปี 2005

http://bit.ly/31B1EvF


แพคเกจบุฟเฟต์ Dom Perignon Ultimate Brunch เลื่อนลงมาล่าง ๆ หน่อยนะคะ

http://bit.ly/2W9iYai

รวม Free-flow Brunch http://bit.ly/2qCBOuF

6 วิธีแก้แฮงค์อย่างง่าย http://bit.ly/2qD6iN5


ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
สงสารฆาบี้ เหงาแย่เลย

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
รอมื้อถัดไปของเจ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




คนเขียนอู้ไปนาน ชักเขียนไม่ค่อยออก ขออนุญาตส่งการบ้านครึ่งตอนก่อนนะคะ แล้วจะรีบมาต่อให้จบตอนค่ะ



---- Away Again - ครึ่งแรก ----



 

“เอ๋ วันนี้ใช้รถบริษัทเหรอครับ?”

เจนยุทธถามเมื่อเห็นคนตัวโตเปิดประตูรถโรลส์รอยซ์ โกสต์ซึ่งเป็นรถประจำตำแหน่งของเขาแทนที่จะใช้รถแอสตัน มาร์ตินที่จอดอยู่ข้าง ๆ

“จ้ะ คันนั้นมันนั่งได้แค่สองคนเองนี่ เดี๋ยวเราต้องไปรับอาปาด้วย อย่าลืมสิ”

“เออ ใช่แฮะ”

เจนยุทธหัวเราะแหะ ๆ แล้วหันซ้ายหันขวาเหมือนจะมองหาใครสักคน

“เอ่อ แล้วลุงโจวล่ะครับ?”

เจถามหาคนขับรถประจำตัวของฆาเบียร์

“วันนี้ฉันจะขับเองจ้ะ...”

คนตัวโตพูดยิ้ม ๆ

“...ต้องเผื่อที่ไว้ก่อนเพราะไม่แน่ใจว่าจะมีผู้โดยสารเพิ่มอีกคนหรือเปล่า”

เจนยุทธร้องอ๋อพร้อมพยักหน้าหงึกหงัก

“นี่ ๆ ทำหน้าแบบนี้หมายความว่ายังไง หืมม์?”

ฆาเบียร์เอื้อมมือไปขยี้ผมเจ้าตัวดีของเขาที่ทำหน้ากรุ้มกริ่มเบา ๆ เจหัวเราะคิกคักแต่ก็ไม่ยอมเปิดปากพูด คนตัวโตหัวเราะหึ ๆ พลางโคลงหัวน้อย ๆ เขาเปิดประตูรถให้คนรักแล้วเดินอ้อมไปขึ้นนั่งประจำที่คนขับ ไม่นาน รถสีดำมันปลาบก็เคลื่อนที่ออกจากลานจอดและมุ่งหน้าไปยังฝั่งฮ่องกง

 

“ผมว่าจะถามคุณหลายรอบแล้ว ไอ้เจ้าอุโมงค์ข้ามฟากนี่ เสียตังค์ด้วยเหรอครับ?”

เจนยุทธถามเมื่อฆาเบียร์ขับรถของเขาลงอุโมงค์ยาวขนาดสามเลนซึ่งลอดผ่านใต้อ่าววิคตอเรีย เขาบอกฆาเบียร์ว่าจำได้ลาง ๆ จากการมาฮ่องกงพร้อมกับนพว่าพวกเขาต้องกัดฟันจ่ายค่าลอดอุโมงค์ให้กับแท็กซี่ไปแพงโข

“ใช่จ้ะ ต้องจ่าย อย่างรถบริษัทคันนี้เราใช้ผ่านอุโมงค์บ่อยก็ใช้เป็นพาสเพราะเร็วดีไม่ต้องเสียเวลาทอนเงิน หรือจะไปจ่ายเงินที่ตู้หรือจ่ายเป็นคูปองที่ซื้อล่วงหน้าไว้ก็ได้”

“แล้วมันแพงไหมครับ? ตอนนั้นนั่งแท็กซี่ผมจำได้ว่าบวกไปอีกเกือบร้อยเลยอ่ะ”

“แสดงว่าเจน่าจะลงอุโมงค์เดียวกับที่เราใช้อยู่ตอนนี้ เพราะค่า toll มันคือ 75 เหรียญ แล้วแท็กซี่เขาจะบวกค่าขับกลับอีก 15 เหรียญจ้ะ”

ฆาเบียร์พูด เจนยุทธทำหน้างงทันที

“เอ๊า ทำไมต้องมาชาร์จค่าขับกลับผมด้วยล่ะครับ? ถ้าหารับคนทางฝั่งนู้นได้ก็ได้ค่าผ่านทางจากทางนู้นด้วยไม่ใช่เหรอ?”

“ก็คงเผื่อกรณีที่หาลูกค้าไม่ได้จ้ะ ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ว่ามันกำหนดมาเป็นกฎของทางขนส่งฮ่องกงเลยว่าต้องจ่ายเพิ่ม

คนตัวโตหัวเราะหึ ๆ เจบวกเลขดูแล้วก็ต้องทำหน้าเซ็ง

“ไม่ไหวแฮะ เจอค่าลอดอุโมงค์ขาละ 3-400 บาท ไปกลับก็ 600 สมมติใช้ทุกวันทำงาน ก็เจอสัปดาห์ละ 3,000 เดือนละ 12,000 ตายพอดีสิคุณ!”

เจร้องลั่นเมื่อคิดสะระตะทุกอย่างออกมาแล้ว



“เจรู้ไหมว่าไอ้เจ้าค่าผ่านทางนี้มันยังไม่ใช่ค่าผ่านทางจริงที่ควรเก็บด้วยนะ ราคาจริงที่ทางบริษัทที่บริหารอุโมงค์เขาคิดออกมามันแพงไปกว่านั้น”

เจนยุทธทำตาเหลือกเมื่อรู้ว่าราคาจริงที่ควรต้องจ่ายนั้นอยู่ที่เกือบ 300 เหรียญต่อขา หากทางรัฐบาลฮ่องกงได้ทำการตรึงราคาไว้ให้อยู่ที่ 75 เหรียญสำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล

“มันก็มีการปรับขึ้นมาเรื่อย ๆ แต่ก็ยังห่างจากราคาประเมินของทางบริษัทอีกโขจ้ะ”

“แล้วแต่ละอุโมงค์ก็ต้องจ่ายราคานี้เหรอครับ?”

เจนยุทธถาม เขาจำได้ว่ามีอุโมงค์ข้ามอ่าววิคตอเรียนี้รวมทั้งหมด 3 แห่ง

“ไม่จ้ะ อุโมงค์ที่เราใช้อยู่นี้มีค่าผ่านทางแพงที่สุดเพราะเป็นอุโมงค์ที่ใหม่และดีที่สุด...”

ฆาเบียร์ส่ายหัวปฏิเสธ อุโมงค์ Western Tunnel Crossing ซึ่งเชื่อมต่อเกาะเกาลูนฝั่งตะวันตกกับย่าน Sai Ying Pun ของฝั่งฮ่องกงนั้นเปิดใช้งานในปี 1997 โดยมีความยาว 1.975 กิโลเมตร มันเป็นอุโมงค์แห่งเดียวซึ่งมีความกว้างขนาดข้างละ 3 เลน ทำให้สามารถระบายรถได้มากกว่าอีกสองอุโมงค์ที่เหลือ

“ส่วนอุโมงค์แรกที่เรียกว่า Cross Harbour Tunnel นั้นมีค่าผ่านทาง 20 เหรียญ และอุโมงค์ Eastern Harbour Crossing นั้นก็ราคาอยู่ที่ 25 เหรียญจ้ะ”

“โหย ถูกกว่ากันจมเลย”

เจร้องออกมา ฆาเบียร์พยักหน้า เขาเล่าต่อว่าอุโมงค์ทั้งสองนั้นต่างถูกสร้างมานานกว่าอุโมงค์ Western Tunnel อย่างอุโมงค์ Eastern Harbour ยาว 2.2 กิโลเมตรซึ่งเชื่อมต่อ Cha Kwo Ling ทางฝั่งตะวันออกของเกาลูนกับย่าน Quarry Bay ของทางฮ่องกงนั้นเปิดใช้งานในปี 1989 ซึ่งก็คือเกือบ 30 ปีที่แล้ว ส่วนอุโมงค์ Cross Harbour ซึ่งเชื่อมต่อย่าน Hung Hom ของฝั่งเกาลูนกับย่าน Causeway Bay ของฝั่งฮ่องกงยิ่งเก่าแก่เข้าไปใหญ่ เนื่องจากเปิดใช้ครั้งแรกในปี 1972

“โห! แก่กว่าคุณอีกนะครับ ฆาบี้!”

“เฮ้!”

คนตัวโตเอ็ดลั่นเมื่อคนรักร้องออกมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ แถมยังใช้คำแสลงใจอย่างคำว่า old อีกด้วย เจหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นคนรักทำหน้าง้ำ เขาเอนกายและยื่นแก้มไปถูไถแขนคนรักที่กำลังขับรถอยู่เบา ๆ อย่างเอาใจ ฆาเบียร์ได้แต่โคลงหัวให้กับการตบหัวแล้วลูบหลังของเจ้ากระรอกน้อยที่พยายามออดอ้อนเขาอยู่

“อ่ะ ดึงแก้มผมอีกแล้วอ่ะ ย้วยหมดแล้ว”

เจนยุทธบ่นดัง ๆ เมื่อคนรักอดไม่ได้และเอื้อมมือมาดึงแก้มป่อง ๆ ของเขาอย่างมันเขี้ยว ฆาเบียร์ยิ้มบาง ๆ หากไม่ใช่ว่ากำลังขับรถอยู่ เขาคงอดหันไปหอมแก้มป่อง ๆ ที่เข้ามาถูไถที่แขนของเขาไม่ได้ หากเมื่อไม่ได้สามารถทำได้เขาจึงเลือกหยิกซาลาเปาน้อยบนใบหน้าของเจแทน เจหันไปย่นจมูกให้เมียตัวโตของเขา แล้วหันกลับไปให้ความสนใจกับการเดินทางแทน



“พูดถึงค่าผ่านอุโมงค์ ตอนผมกับพี่นพมา พอเจอค่าผ่านทางโหดหินแบบนั้นไปครั้งนึง พวกเราก็เลยเข็ดครับ คราวหลัง ๆ เลยยอมเสียเวลาหน่อย ใช้วิธีนั่งแท็กซี่ไปลงที่รถใต้ดินที่ใกล้อ่าวที่สุดแล้วก็นั่งรถข้ามไปขึ้นอีกฝั่งแล้วเรียกรถทางนั้นแทน ถูกลงมาเยอะครับ”

 “จริง ๆ ถ้านายไม่รีบหรือว่าไม่มีสัมภาระรุงรัง นั่งเรือสตาร์เฟอรี่ข้ามฟากเป็นทางเลือกที่ถูกที่สุดนะ”

ฆาเบียร์พูด การนั่ง MTR หนึ่งสถานีระหว่างฝั่งเกาลูนและฮ่องกงนั้นมีราคาประมาณ 10 เหรียญ แต่ถ้าการนั่งเฟอรี่ข้ามฟากจากท่าเรือ Tsim Sha Shui ของฝั่งเกาลูนไปยังท่าเรือ Central หรือ Wanchai ของฝั่งฮ่องกงนั้นมีราคาเพียง 2.2 – 2.7 เหรียญในวันธรรมดาและ 3.4 เหรียญในวันหยุดสุดสัปดาห์

“โอย ไม่ไหวครับ คุณ ผมเคยนั่งครั้งนึง แทบตาย”

เจนยุทธทำหน้าเบ้ แม้จะเป็นการนั่งเรือระยะเวลาสั้น ๆ เพียง 5 นาทีจากท่าเรือที่ Tsim Sha Shui ไปยังท่าเรือ Central ที่ฝั่งตรงข้าม แต่สำหรับเขาซึ่งเมาเรือแล้ว มันนานชั่วกัปกัลป์

“ผมนี่นั่งดมยาดมตลอดทาง แล้วอิพี่นพยังมีหน้าจะมาชวนผมไปนั่งเรือเฟอรี่ล่องอ่าววิคตอเรียตอนกลางคืนอีกนะ หัวเด็ดตีนขาดผมก็ไม่ยอม!”

เจบ่นอุบอิบ ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ พร้อมกับยื่นมือมาลูบหัวคนรักเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู เขาเองก็เคยนึกอยากชวนเจนยุทธไปล่องเรือชมแสงสีของอ่าววิคตอเรีย หรือกระทั่งไปชมการแสดงซิมโฟนี ออฟ ไลท์ แต่ก็ต้องพับแผนไปเมื่อรู้ว่าเจนั้นขี้เมาเรืออย่างหนัก



“งั้นเจคงอดไปลงเรือยอชท์ของลุงหลงแน่ ๆ”

คนตัวโตพูดยิ้ม ๆ เจนยุทธทำหูผึ่งทันที

“หืมม์? ลุงเขามีเรือยอชท์ด้วยเหรอครับ?”

เจถามอย่างตื่นเต้น ในใจเขานึกถึงเรือยอชท์ที่เคยเห็นในหนังหรือใน MV ฆาเบียร์ยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นท่าทีกระตือรือร้นของคนที่พูดปาว ๆ ว่าไม่ชอบนั่งเรือ

“จ้ะ ที่จอดอยู่ที่มาเก๊านี่มีสองลำมั้ง ลำนึงเอาไว้ล่องใกล้ ๆ ไปตกปลาหรือข้ามฟากไปมา ก็ขนาดซัก 20 เมตรมั้ง ส่วนอีกลำเอาไว้เดินทางไกลหน่อย กับใช้เวลามีแขกมาหลาย ๆ คน ลำนั้นฉันจำไม่ได้ว่าใหญ่แค่ไหน แต่น่าจะประมาณ 70 เมตร แล้วก็มี 3 หรือ 4 ชั้นนี่แหละ”

เจทำตาโตทันที

“โหย มันเรือยอชท์หรือเรือสำราญครับนั่น!”

“ฮ่ะ ๆ มันไม่ได้ใหญ่โตอะไรขนาดนั้นหรอก แต่ลุงเขาก็เอาไว้ใช้เป็นที่รับรองแขกด้วย ฉันเคยขึ้นมาแล้วทั้งสองลำน่ะ”

ฆาเบียร์พูดยิ้ม ๆ เขาเคยติดสอยห้อยตามคริสขึ้นไปล่องเรือลำน้อยเล่นกับลุงหลง และเคยไปงานสังสรรค์แบบแบล็คไทของบ้านลุงลีซึ่งเช่าเรือลำใหญ่ของอู่ทินหลงจัดงาน เขาเล่าให้เจฟังถึงเรือทั้งสองลำของลุงหลงซึ่งเจ้าตัวดีของเขาก็นั่งทำตาแป๋วฟังอย่างสนใจ



“ผมอยากไปเห็นเรือยอชท์ของลุงหลงมั่งจัง...”

เจพูดเสียงอ่อย ๆ เมื่อคนตัวโตเล่าจบ

“ไหนบอกว่าเมาเรือ แล้วจะไม่ขึ้นเรือถ้าไม่จำเป็นไง?”

“ก็เมาแหละครับ แต่ผมก็อยากเห็นเรือยอชท์มั่งนี่”

เจนยุทธหัวเราะแหะ ๆ ถ้าเป็นเรือหรูแบบนั้นเขาก็จะยอมทนเมาเรืออีกสักครั้ง ฆาบี้โคลงหัวน้อย ๆ ให้กับความโลเลของเจ

“ว่าแต่ เรือยอชท์นี่มันมีใหญ่ 70 เมตรด้วยเหรอครับ ผมนึกว่ามันหมายถึงเรือเล็กที่พวกเศรษฐีเค้าเอาไว้ปาร์ตี้แบบมีสาว ๆ นมตู้มใส่บิกินี่มาเต้น ๆ ที่ดาดฟ้า”

เจพูดพลางทำท่าเต้นแอ่นอกดุ๊ก ๆ ดิ๊ก ๆ จนฆาเบียร์หัวเราะก๊ากออกมาอย่างอดไม่ได้

“โอย เจ ฉันขับรถอยู่ อย่าทำให้หัวเราะได้ไหม”

คนตัวโตที่ขำหนักจนต้องตบรถเข้าจอดข้างทางพูด เจย่นจมูกให้คนที่ทำท่าขำจนเวอร์

“และ ใช่จ้ะ เรือยอทช์น่ะ มีหลายขนาด แบบที่เจว่านั่นก็น่าจะเป็นไซส์ประมาณ 20 - 30 ฟุต เอาไว้ใช้เดินทางสั้น ๆ มีห้องนอนซัก 2- 3 ห้อง ลูกเรือไม่เกิน 2-3 คน…”

ฆาเบียร์เล่าพลางออกรถและมุ่งหน้าต่อไปยังจุดหมายปลายทาง



“…ส่วนพวกเรือใหญ่ ๆ แบบที่เรียกว่า Super Yacht นั้นก็มีตั้งแต่เกิน 40 เมตรไปจนถึงเกือบ 200 เมตรเลยจ้ะ”

“200 เมตร! นั่นมันเรือสำราญแล้วมั้งครับ!”

เจนยุทธอุทานลั่นรถ เขานึกไม่ออกเลยว่าคนแบบไหนที่ต้องการเรือยอชท์ขนาดเกือบ 200 เมตรไว้ใช้ส่วนตัว

“เรามาพูดถึงประเภทของเรือยอชท์กันก่อนดีกว่า…”

ฆาเบียร์พูดพลางจ้องมองท้องถนนที่เริ่มมีการจราจรหนาแน่น

“คำว่าเรือยอชท์ สมัยก่อนนั้นจะหมายถึงเรือใบนะ รากศัพท์ของมันมาจากภาษาดัทช์ หมายถึงเรือใบรูปทรงเพรียวที่แล่นได้เร็ว กองทัพเรือดัทช์ใช้มันตามจับพวกโจรสลัดในเขตน้ำตื้น ตอนหลังมาก็เป็นที่นิยมกันในหมู่เศรษฐี เอาไว้ล่องเที่ยวเล่นใกล้ ๆ จ้ะ”

“อ๋อ พอบอกว่าเป็นเรือใบผมก็นึกออกแล้วเหมือนกันครับ พี่พลอยเคยชวนผมไปเที่ยวภูเก็ต พี่เค้าว่าจะไปเช่าเรือยอชท์ล่องกัน แต่ผมมันไม่ถูกโรคกับเรือแล้วก็ไม่ว่างด้วยก็เลยไม่ได้ไป...”

เจหยุดพักครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ

“...พอเห็นรูปที่พี่เขาโพสต์ในไอจีผมก็งงเลย เพราะเรือยอชท์ที่ผมนึกถึงคือแบบสปีดโบ้ทแต่ลำใหญ่ ๆ  แต่ในรูปมันเป็นเรือใบ ผมยังนึกเสียดายเลยว่าน่าจะไปด้วยเพราะว่าถ่ายรูปออกมาแล้วดูเจ๋งมาก”

“แน่ใจนะว่าไม่ได้เสียดายสาว ๆ ใส่บิกินี่ที่นอนอาบแดดบนดาดฟ้าเรือน่ะ?”

เจนยุทธยิ้มกริ่มเมื่อได้ยินคำพูดของคนรัก เขาทำท่าครุ่นคิดนิดหนึ่งก่อนจะตอบออกมา

“อืมม์...ก็แอบเสียดายเหมือนกันครับ สาว ๆ เพื่อนพี่พลอยนี่แซ่บ ๆ ทั้งนั้น”

“เฮ้!”

คนตัวโตที่หลุดปากแซวแล้วก็ต้องเจ็บใจเองแว๊ดขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคักของคนขี้แกล้ง

“โอเค ๆ ผมไม่แกล้งแล้ว เล่าเรื่องเรือยอชท์ต่อสิครับ”

เจเกาะแขนคนที่นำรถเข้าจอดในอาคารจอดรถใกล้ ๆ ร้าน Joy Hing



“หึ ถึงไหนแล้วนะ? อ๋อ เรือใบ...ในทีแรกก็คงเป็นเรือใบธรรมดา ไม่มีเครื่อง แต่ตอนหลังมาก็มีการเพิ่มเครื่องยนต์เข้าไปเพื่อช่วยขับเคลื่อนยามลมสงบเหมือนอย่างที่เห็นทุกวันนี้แหละจ้ะ”

“ผมก็เข้าใจว่ามันคือเรือแบบที่ใช้เครื่องอย่างเดียวซะอีก”

“แบบนั้นเรียกว่า motor yacht จ้ะ ส่วนแบบมีทั้งเครื่องและใบเรือเรียกว่า sailing yacht…”

คนตัวโตขยายความต่อว่าในปัจจุบัน กว่า 90% ของเรือที่ต่อใหม่นั้นเป็นเรือแบบ motor yacht

“แล้วของลุงหลงเป็นเรือแบบไหนครับ?”

เจอิงแอบคนรักของเขาและค่อย ๆ พากันเดินไปตามทางเดิน

“ของลุงหลงเป็นแบบใช้เครื่องอย่างเดียวทั้งสองลำจ้ะ...”

เรือลำแรกของอู่ทินหลงเป็นเรือยอชท์ขนาดประมาณ 26 เมตร ใช้สำหรับเดินทางส่วนตัวหรือพาเพื่อนฝูงไม่กี่คนไปล่องเรือเล่นใกล้ ๆ ส่วนอีกลำนั้นมีขนาด 70 เมตรและมีทั้งหมด 4 ชั้น เขามีไว้ใช้จัดงานหรือเพื่อใช้เดินทางในระยะที่ไกลกว่า อีกทั้งมีไว้ให้เช่าอีกด้วย

“พวกเรือใหญ่ ๆ ที่มีขนาดกว่า 40 เมตรนี่เขาจะมีศัพท์เรียกแบบไม่เป็นทางการว่าเป็น superyacht หรือ megayacht จ้ะ หลัง ๆ มานี่ยังมีคำว่า gigayacht อีกนะ”

“โห มันต้องใหญ่ขนาดไหนครับ คุณ?”

“เอาเป็นว่าลำใหญ่ ๆ น่ะ หลักร้อยเมตรทั้งนั้น ที่ใหญ่ที่สุดในโลกตอนนี้น่าจะยาว 180 เมตรจ้ะ”

เจหลับตานึกภาพเรือที่ยาวเกือบเท่าสนามฟุตบอลต่อกัน 2 สนามแล้วก็ต้องโคลงหัวน้อย ๆ ด้วยความไม่เข้าใจว่าคนเราจะต้องการเรือใหญ่ขนาดนี้ไปทำอะไร 



“เรือใหญ่ขนาดนี้แพงตายเลยอ่ะคุณ”

คนตัวเล็กเปรยออกมาเบา ๆ ฆาเบียร์พยักหน้าอย่างไม่ลังเล

“เรือลำใหญ่ที่สุดในโลกที่ฉันว่านั้นเป็นของท่านเชคจากอาบูดาบี ลำนั้นราคาประมาณ 600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จ้ะ”

เจนยุทธหันมาทำตาโตทันที

“หะ หกร้อยล้านเหรียญ? พะ พันแปดร้อยกว่าล้านบาทเหรอครับ? เรือบ้าอะไรแพงขนาดนั้นอ่ะคุณ? แพงกว่าเครื่องบินอีกมั้งนั่น?”

“เจจ๊ะ...ตกศูนย์ไปตัวนึงหรือเปล่า?”

คนตัวโตถามยิ้ม ๆ คนรักของเขาตกใจจนคูณเลขผิดแล้ว

“มะ หมื่นแปดพันล้านเหรอ? คนเรามันต้องมีของแพงขนาดนั้นไปทำไมครับ?”

เจทำตาเหลือก เขาเคยคิดว่าเรือยอชท์เป็นสิ่งหรูหรา แต่ไม่นึกว่ามันจะแพงมากมายถึงขนาดนั้น ถ้าเขาจำไม่ผิด เงินหมื่นกว่าล้านนั้นสามารถสั่งซื้อเครื่องบินพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอย่างแอร์บัส A380 ได้ถึงลำครึ่งเลยทีเดียว ฆาเบียร์กลั้นยิ้ม

“เขาก็ว่ากันว่าเรือยอชท์นี่มันเป็นเรื่องของคนเงินเหลือจริง ๆ จ้ะ เจจำที่ฉันเคยพูดเรื่องเครื่องบินส่วนตัวได้ไหม?”

เจนยุทธพยักหน้า

“ครับ ผมจำได้ว่านอกจากค่าเครื่องบินที่แพงแล้ว มันยังมีค่าใช้จ่ายนั่นนี่อีกยิบย่อย”

“ใช่จ้ะ ไอ้เจ้าเรือยอชท์นี่ก็ไม่ต่างกัน มันมีค่าจอด ค่าน้ำมัน ค่าซ่อมบำรุง ค่าลูกเรือนั่นนี่อีกเยอะแยะ รู้ไหมว่าไอ้เจ้าเรือที่ลากเรือยอชท์ออกจากท่าไปเขตน้ำลึกพอนี่ยังต้องคิดเลย เขาให้ประมาณค่าใช้จ่ายต่อปีส่วนนี้ไว้ประมาณ 10% ของค่าเรือ”

“โหดชะมัดเลย จ่ายเยอะยิบย่อยขนาดนี้ คนที่ซื้อต้องรวยและชอบเรือมาก ๆ เลยใช่ไหมครับ?”

เจนยุทธถามและให้ความเห็นต่อทันที

“...เพราะอย่างเครื่องบินส่วนตัว ผมยังพอเข้าใจนะ ว่ามีเพื่อเดินทางไปนั่นมานี่ได้ตามใจตัวเอง ใช้เวลาทำธุรกิจได้ แต่สำหรับเรือนี่ ผมมองยังไงมันก็แค่ของเล่นเศรษฐีน่ะ”

“จ้ะ ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน เรือยอชท์นี่คือของที่มีไว้ใช้ยามว่างแท้ ๆ น้อยคนที่จะอยู่อาศัยบนเรือแบบจริงจัง ยิ่งพวกเรือขนาดใหญ่ด้วยแล้ว ถ้าไม่ชอบ ไม่มีแพชชั่นกับมันจริง ๆ ก็คงสู้ค่าใช้จ่ายมันไม่ไหว”

ฆาเบียร์ยิ้มบาง ๆ เมื่อนึกถึงประโยคหนึ่งขึ้นมาได้ เขาถ่ายทอดมันต่อให้คนรักทันที



“คนเขาว่ากันว่าการมีเรือยอชท์เป็นของตัวเองซักลำนั้น ตัวเจ้าของเรือจะมีความสุขที่สุดแค่ 2 วัน เดาซิว่าวันไหนมั่ง?”

“อืมม์ วันแรกคือวันซื้อแน่ ๆ อยู่แล้ว แต่อีกวันนี่ผมนึกไม่ออกแฮะ”

เจพูดพลางก้าวเท้าเดินไปเรื่อย ๆ

“วันขายจ้ะ”

คนตัวโตพูดกลั้วหัวเราะแล้วหันไปขยายความต่อ

“วันซื้อ มีความสุขเพราะในที่สุดความฝันที่จะมีเรือสักลำก็เป็นความจริง แต่หลังจากนั้นก็จะพบว่าการมีเรือนั้นไม่ได้มีความสุขเหมือนอย่างที่ฝันไว้ สุดท้ายเมื่อตัดสินใจขายเรือ วันที่ขายได้ก็จะมีความสุขเพราะหมดภาระกับมันแล้วสักที”

“มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”

เจนยุทธทำหน้าเบ้ ฆาเบียร์ส่ายหัวน้อย ๆ

“ไม่เสมอไปหรอกจ้ะ มันก็แค่เป็นคำพูดเล่น ๆ ขำ ๆ แบบใส่ไข่ระบายสีหน่อย ๆ นั่นแหละ ฉันมีเพื่อนหลายคนที่มีความสุขกับการมีเรือยอชท์ ช่วงหน้าร้อน พอมีเวลาว่างทีก็รีบเอาเรือออก ไปว่ายน้ำเล่น ดำน้ำ หรือไม่ก็ตกปลาแล้วก็เอาปลามาให้เชฟทำให้กินบนเรือ อะไรแบบนั้น”

“หึ เพื่อนคุณก็มหาเศรษฐีทั้งนั้นน่ะสิครับ”

เจพูดพลางย่นจมูกให้คนรัก ฆาเบียร์ยิ้มน้อย ๆ แล้วผงกหัวรับคำ

“ไม่ปฏิเสธจ้ะ คนนึงก็โดเมนิโก เอ่อ คุณเพเทรลลี่นั่นแหละ รายนั้นมีเรือหลายลำ จอดไว้ตามท่านั้นท่านี้แถบเมดิเตอเรเนียน ฉันก็เคยไป เอ่อ อ่า ไปล่องเรือด้วยหลายครั้งอยู่”

คนตัวโตพูดตะกุกตะกักขึ้นมาทันที การ “ล่องเรือ” ของเขากับโดเมนิโกนั้น บ่อยครั้งที่จบลงด้วยการขลุกอยู่แต่ในห้องมากกว่าจะลงเล่นน้ำอย่างที่บอกกับเจไว้ เขารีบหลบสายตารู้ทันจากคนตัวเล็กที่จ้องมองมา เจโคลงหัวน้อย ๆ เมื่อเห็นทีท่าอึดอัดของเมียตัวโตของเขา ตัวเขานั้นไม่ได้คิดอะไรมากมายเพราะรู้ดีว่ามันคือเรื่องในอดีต หากฆาเบียร์ดูท่าจะเกรงใจเขามากทีเดียว

 

“พูดถึงเรือหลายลำ...”

เจนยุทธพูดโพล่งขึ้นเพื่อเปลี่ยนเรื่องคุย

“...แล้วคนที่มีเรือสองลำอย่างลุงหลงไม่เจอค่าใช้จ่ายอ่วมเลยเหรอ?”

เจนยุทธถามเรื่องที่เขาสงสัย ตาลุงตัวแสบมีนั้นไม่ได้มีเรือเพียงแค่ลำเดียว แต่มีถึงสองลำ

“อืมม์...”

คนตัวโตครุ่นคิดพลางพาดแขนของเขาลงบนลาดไหล่ของคนรัก คนทั้งสองพากันเดินทอดน่องไปตามริมถนนที่ยังมีทั้งคนและรถพลุกพล่าน

“ลุงเขามีท่าเรือเป็นของตัวเอง เลยไม่ต้องมาเสียค่าจอด มีคนคอยดูแลเรื่องความสะอาด ซ่อมรอยนั่นนี่เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ เลยประหยัดไปบ้าง ถ้าลุงเอาเรือออกไปส่วนตัว ก็เอาเด็กที่บ้านนั่นแหละขึ้นไปคอยรับใช้ แต่ถ้ามีแขก ก็อาจจะไปจ้างพวกมืออาชีพมา...”

ฆาเบียร์บอกว่าเรือลำใหญ่ขนาด 70 เมตรของอู่ทินหลงนั้นน่าจะมีสนนราคากว่า 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนลำเล็กนั้นราคาย่อมเยาลงมาอีกมาก อยู่ที่ประมาณ 2 – 3 ล้านเหรียญเท่านั้น

“ทั้งนี้ทั้งนั้น ราคาเรือมันจะขึ้นอยู่กับว่าเป็นเรือแบบไหน จากบริษัทอะไร ตกแต่งหรูหราแค่ไหนด้วย อย่างของลุงหลงนี่ จัดเต็ม ด้านในใช้บริษัทตกแต่งเรือเจ้าดังจากอิตาลีแต่งให้...”

คนตัวโตยกยิ้ม เขามั่นใจว่าประโยคถัดไปต้องทำให้เจอยากโดดขึ้นเรือของลุงหลงขึ้นมาเป็นแน่แท้

“...บนเรือของลุงมี hot tub ด้วยนะ”

เจนยุทธอ้าปากค้างอีกครา การนอนแช่น้ำร้อนดูดาวบนดาดฟ้าเรือที่ลอยลำอยู่กลางทะเลนั้นฟังดูเข้าท่ากระทั่งกับคนที่ไม่ชอบเรือแบบเจ

“ผมชักอยากไปเที่ยวเรือลุงแล้วแฮะ คราวหน้าถ้าลุงเขาชวนอีกก็บอกผมด้วยนะ ผมจะไปด้วย”

คนตัวเล็กพูดพร้อมตาเป็นประกาย ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ แล้วกระชับอ้อมแขนเพื่อดึงคนรักให้เข้ามาชิดกายมากขึ้น

“จ้ะ ชวนแน่ ๆ เตรียมยาแก้เมามาให้พร้อมแล้วกัน”

เจย่นจมูกให้คนช่างแซวพร้อมกับบ่นอุบอิบในลำคอ พวกเขาทั้งคู่พากันเดินผ่านโรงแรมโนโวเทล เซนจูรีซึ่งอยู่ใกล้กับร้านหมูแดงร้านโปรดของเจ หลังจากข้ามถนน พวกเขาก็เดินมาถึงร้าน Joy Hing



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-11-2019 19:48:17 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- Away Again - ครึ่งแรก (ต่อ) ----




“เฮ้ย ได้ไงอ่ะ!”

เจนยุทธอุทานลั่นเมื่อเห็นประตูหน้าร้านที่ปิดสนิท ถ้าทำได้เขาคงทรุดฮวบลงตรงนั้นแล้ว เขารีบยกมือถือขึ้นมาเปิดหาข้อมูลทันที

“ร้านปิดวันอาทิตย์! ปัดโธ่โว้ย!”

เจสบถออกมาเบา ๆ กับตัวเองด้วยความหงุดหงิด แผนที่จะซื้อหมูแดงเจ้าอร่อยกลับไปให้แม่พังลงไปต่อหน้า

“เซ็งเลยครับ ผมน่าจะเช็คเวลามาก่อน”

เจนยุทธบ่นอย่างหัวเสียพร้อมกับเปิดดูเวลาปิดเปิดของร้านจากในมือถือ เขาหันไปถามคนตัวโตที่เดินเคียงข้างเขาเงียบ ๆ

“ร้านเปิดเก้าโมงครึ่ง พรุ่งนี้เช้าเราจะมีเวลาแวะที่นี่ก่อนไปสนามบินไหมครับ?”

“อืมม์ ไฟลท์เจออกบ่ายใช่ไหม? น่าจะทันนะ”

“ครับ ไฟลท์ 15:20 น. ไปถึงสนามบินซักบ่ายครึ่งน่าจะโอเค”

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาคิดว่าจะได้นอนตื่นสายสบาย ๆ อีกสักวัน กลายเป็นว่าเขาคงต้องตื่นเช้าเสียแล้ว



“...งั้นพรุ่งนี้ผมคงต้องขอลุงโจวมาส่งซื้อหมูแดงที่นี่เร็ว ๆ แล้วค่อยไปสนามบิน”

เจนยุทธเปรยกับตัวเองเบา ๆ พร้อมกับคิดแผนการเดินทางใหม่เสร็จสรรพ

“เราก็ออกออฟฟิศเร็วหน่อย แล้วก็มากินมื้อเที่ยงกันที่นี่ก็ได้นี่จ๊ะ...”

คนตัวโตปล่อยมือที่เกาะกุมออกแล้วยกขึ้นมาโอบไหล่คนที่หยุดเดิน

“คุณต้องทำงานไม่ใช่เหรอครับ? ไม่ต้องมาส่งผมก็ได้”

เจนยุทธพูดด้วยความเกรงใจ เขาโอบเอวเมียตัวโตของแล้วพาออกเดินต่อ

“ไปส่งได้สิ ไม่งั้นเราก็ลงจากบ้านอาปามากินมื้อเช้าที่นี่แล้วฉันค่อยเข้าไปออฟฟิศ โอเคไหม?”

เจครุ่นคิดนิดหนึ่งแล้วก็พยักหน้า ถ้ามาที่นี่ตั้งแต่ร้านเปิดก็คงจะพอเลี่ยงคิวได้

“เพื่อหมูแดง ได้ครับ!”

ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ พร้อมกับยีหัวคนรักที่ทำท่าฮึดสู้เพื่อหมูแดงขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“เห็นของกินแล้วสู้ตายตลอดเลยนะ หืมม์?”

เจทำหน้ามุ่ยทันทีเมื่อถูกคนรักแซว หากก็ต้องแว๊ดขึ้นมาอีกหนเมื่อถูกคนตัวโตบีบปากด้วยความเอ็นดู พวกเขาทั้งสองเดินคุยไปพลาง หยอกล้อกันไปพลางจนเดินมาถึงที่จอดรถ

“จะสามทุ่มแล้ว เดี๋ยวเราไปที่ท่าเรือเลยก็ได้ครับ”

เจก้มลงดูนาฬิกาเรือนงามที่เขาใส่เป็นคู่กับของฆาเบียร์แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ฉันก็ว่างั้นแหละ ไว้รับอาปาแล้วค่อยขึ้นไปหาอะไรกินที่บ้านบนพีคแล้วกันนะ”

เจพยักหน้ารับคำอย่างเซ็ง ๆ ก่อนจะหันหน้าออกไปดูทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่เลื่อนผ่านไปตามความเร็วของรถ

 

“สวัสดีครับ อาปา”

เจนยุทธยิ้มกว้างแล้วยกมือขึ้นไหว้พ่อบุญธรรมของคนรักตามความเคยชิน คริสยิ้มร่าแล้วตอบรับการทักทายของลูกคนโปรดของเขาด้วยการกอด จากนั้นจึงหันไปตบไหล่ฆาเบียร์ที่ยืนอยู่ด้านข้างเบา ๆ

“โห อาปาครับ เลือกปฏิบัติมากเลย”

คนตัวโตแกล้งบ่นเบา ๆ คริสหัวเราะร่าแล้วดึงร่างใหญ่กำยำของคนที่เขาเลี้ยงมาเหมือนเป็นลูกของตนเองเข้ามากอดไว้แล้วตบหลังหนัก ๆ สองสามทีจนฆาเบียร์ทำหน้านิ่ว เขาหันไปบ่นอุบอิบกับพ่อบุญธรรมเป็นภาษากวางตุ้งจนคริสอดหัวเราะออกมาอีกไม่ได้ ฆาเบียร์โคลงหัวน้อย ๆ ก่อนจะเดินนำทุกคนไปรอที่หน้าลิฟท์ซึ่งจะนำพวกเขาไปยังลานจอดรถ

“คนแก่ขี้ใจน้อย”

 ‘คนแก่’ สะดุ้งโหยงเมื่อถูกศอกแหลม ๆ กระทุ้งเข้า เขาหันไปทำตาเขียวใส่เจ้าของเสียงกระซิบทิ่มแทงจิตใจที่ยืนยิ้มเผล่อยู่ข้าง ๆ

“ว่าฉันแก่นัก คืนนี้อยากพิสูจน์ด้วยตัวเองไหม?”

คนตัวโตกระซิบกลับพลางแอบเอื้อมมือไปตบสะโพกหนั่นแน่นของคนรักป้าบใหญ่ เจหลุดปากอุทานออกมาจนคริสที่หันไปคุยกับริคกี้และเมลิน่าที่ยืนอยู่ไม่ห่างหันมามอง เจหัวเราะแหะ ๆ ให้คนทั้งสามก่อนจะหันไปแลบลิ้นให้ฆาเบียร์ หนุ่มละตินหัวเราะหึ ๆ ให้กับความทะเล้นของเจนยุทธ

“งั้น เดี๋ยวพวกเราขอตัวก่อนนะคะ”

เมลิน่าและริคกี้ค้อมหัวให้นาย ๆ ของพวกเขาหลังจากที่พากันเดินมาส่งถึงรถ คริสพยักหน้าให้เลขาฯ ทั้งสองของฆาเบียร์ก่อนจะขึ้นรถไป ทั้งคู่ยืนส่งรถสีดำมันปลาบที่เคลื่อนที่ออกจากลานจอดแล้วจึงเดินจับมือกันไปเพื่อหารถกลับไปยังคอนโดของเมลิน่า



“นั่งเรือมาเหนื่อยไหมครับ อาปา วันนี้คลื่นแรงหรือเปล่า?”

เจนยุทธหันไปถามคริส ฆาเบียร์ไล่เขามานั่งหลังรถเพื่อให้เป็นเพื่อนคุยกับผู้อาวุโสกว่า ฆาเบียร์เหลือบมองกระจกมองหลังเพื่อดูคนที่เขารักทั้งสอง เขาแอบยิ้มเมื่อได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของเจที่ชวนอาปาของเขาคุยเรื่องสัพเพเหระไปจนตลอดทาง

“ผมนึกว่าลุงเดวิดจะมากับอาปาด้วยซะอีกครับ”

ฆาเบียร์พูดแทรกขื้นเมื่อได้ยินชื่อของเดวิด จิวในบทสนทนาของคนทั้งสอง

“อาโหล่วติดธุระน่ะ...”

คริสพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเมื่อนึกถึงคนที่เพิ่งเปลี่ยนสถานะในใจเขาไปหมาด ๆ มือของเขาอดลูบคลำสิ่งแทนใจที่เพิ่งได้รับมาไม่ได้ ส่วนใจของเขาก็ประหวัดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสอง มันทำให้เขาหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันใด


“...ปา...อาปาครับ”

“หืมม์? ว่าไงลูก?”

คริสรับคำอย่างใจลอยหลังจากฆาเบียร์ส่งเสียงเรียกเขาที่เงียบไปอยู่สองสามครั้ง หนุ่มละตินแอบยิ้มบาง ๆ เมื่อเห็นใบหน้าแดงซ่านของพ่อบุญธรรม เขาไม่ได้เห็นใบหน้าที่แสดงอาการขวยเขินออกมาอย่างไม่รู้ตัวของคริสมาเกือบสิบปีแล้วนับแต่พ่อของเขาจากไป

“ฆาบี้เขาถามว่าพรุ่งนี้อาปาจะกลับไฟลท์เดิมหรือเปล่าครับ?”

เจนยุทธซึ่งนั่งใกล้คริสกว่าถามแทนคนรักที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาขับรถ คริสพยักหน้า

“ไฟลท์เดิม คาเธย์ แปซิฟิคไปซานฟรานไฟลท์ห้าทุ่มกว่า แล้วเจล่ะ เรากลับพรุ่งนี้เหมือนกันใช่ไหม?”

“ครับ ของผมไฟลท์บ่ายสามกว่า”

เจรับคำ คริสลอบถอนหายใจเมื่อเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของหนุ่มไทยสลดลงเล็กน้อย เขาตบไหล่คนรักของลูกชายเบา ๆ

“เอาน่ะ เดี๋ยวอีกไม่กี่วันฆาบี้ก็จะไปหาเราที่เชียงใหม่แล้ว”

ผู้สูงวัยกว่าพยายามปลอบชายหนุ่มที่จู่ ๆ ก็เงียบเสียงไป หากเจนยุทธส่ายหน้า



“ไม่ใช่เรื่องรายนั้นหรอกครับ...”

คริสรู้สึกหัวตาร้อนผ่าวขึ้นเมื่อได้ยินประโยคถัดไปของเจนยุทธ

“...ผมแค่รู้สึกว่ารอบนี้ได้มีเวลาอยู่กับอาปาแป๊บเดียวเอง”

เจพูดเสียงอ่อย ๆ แล้วหันไปแอบมองคนรักที่ขับรถอยู่ด้วยความเกรงใจ เมื่อครู่หลังจากพูดออกไปแล้ว เจก็เกิดไม่แน่ใจขึ้นมาว่าคนตัวโตจะมองว่าเขาตั้งใจประจบอาปาคริสจนเกินงามไปหรือไม่

“นายนี่มันขี้อ้อนจริง ๆ เลยนะ เจนยุทธ แบบนี้จะไม่ให้อาปาหลงได้ไง”

คนตัวโตที่รู้สึกได้ว่าถูกแอบมองส่งเสียงกลั้วหัวเราะมาจากที่นั่งคนขับ เจนยุทธหน้าเจื่อนลงไปทันที หากเมื่อเห็นรอยยิ้มอันอ่อนโยนที่ประดับอยู่บนริมฝีปากของคนรักผ่านทางกระจกมองหลังแล้ว เจก็รู้สึกเบาใจ สำหรับตัวเขาแล้วสิ่งที่พูดออกไปไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยแม้แต่น้อย เขาที่สูญเสียพ่อไปอย่างกระทันหันเมื่อกว่า 5 ปีที่แล้ว การได้มีคนที่เปรียบเสมือนพ่ออีกคนเข้ามาในชีวิตนั้นเป็นสิ่งที่ล้ำค่านัก การอยู่ใกล้คริสทำให้เขาระลึกได้ว่าเขาคิดถึงพ่อของเขาเพียงไหน แม้คริสจะไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาหรือนิสัยใจคอคล้ายกับพ่อของเขา แต่ความรักและเอ็นดูที่มีให้กับฆาเบียร์แล้วยังเผื่อแผ่มาถึงตัวเขาด้วยนั้น ไม่ได้ต่างจากสิ่งที่เขาได้รับจากพ่อของเขาเลย

“เรามันฟอร์มจัดนัก หัดทำตัวน่ารัก ๆ เหมือนเจบ้างอาปาก็ไม่ว่าหรอกนะ”

คริสพูดยิ้ม ๆ แล้วยกมือขึ้นลูบหัวคนที่นั่งข้าง ๆ อย่างอ่อนโยน เจซึ่งอยู่ในอาการเหม่อลอยสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อรู้สึกถึงฝ่ามืออันอบอุ่นของคริส ฆาเบียร์หัวเราะหึ ๆ แล้วทำท่าจะเถียงอาปาของเขากลับ แต่ก็ต้องอุทานเรียกชื่อเจออกมาเบา ๆ เมื่อเห็นใบหน้าของคนรักผ่านทางกระจกมองหลัง

“เจ ร้องไห้ทำไม ลูก?”

คริสซึ่งมองตามเสียงอุทานของลูกชายรีบจับหนุ่มไทยที่รีบยกมือขึ้นเช็ดหน้าเช็ดตาตัวเองให้หันมาหา เจรีบปาดน้ำตาที่เอ่อออกมาแล้วหันมาฉีกยิ้มให้คนทั้งสอง

“ไม่มีอะไรครับ เอ่อ ลมแอร์มันเป่าเข้าหน้าผมก็เลยแสบตาหน่อย พอขยี้ตาแล้วน้ำตามันเลยไหล”

เจรีบตอบไปทางอื่น เขาพยายามข่มเสียงตัวเองให้ไม่สั่นเครือ คริสมองดวงตากลมใสที่แดงระเรื่อแล้วตัดสินใจไม่ซักถามต่อและเปลี่ยนเรื่องคุย ฆาเบียร์เองก็ไม่พูดอะไรออกมาและขับรถต่อไปเงียบ ๆ โดยปล่อยให้ผู้โดยสารของเขาทั้งสองพูดคุยกันไปจนถึงจุดหมายปลายทาง




-------------------------------------------------

กว่าจะเข็นตอนนี้ออกมาได้ ใช้เวลาไปหนึ่งเดือนแถมยังไม่จบตอนอีกต่างหาก คนเขียนต้องขออภัยเป็นอย่างสูงจริง ๆ ค่ะ ช่วงนี้หาสมาธิเขียนไม่ได้เลยจริง ๆ มัวแต่ไปใช้เวลากับอย่างอื่นเสียเยอะ ยิ่งช่วงนี้อ่านฟิคของคนอื่นหนัก ๆ (ฟิคคู่ชิปปรมจ.) ก็ยิ่งทำให้เขียนเรื่องของตัวเองได้ยากยิ่งขึ้น มันเหมือนกับพอไปอ่านงานดี ๆ ของคนอื่นแล้วมันทำให้รู้สึกว่าที่เราเขียนไปมันยังด้อยนัก พาลทำให้หมดไฟไปเสียดื้อ ๆ ซะงั้น แล้วพอหยุดเขียนนาน ๆ ภาพในหัวก็หาย พอเริ่มเขียนมันก็ไม่ต่อเนื่อง เขียนไม่ออกไปซะอีก ฮืออออ ก็จะพยายามค่ะ ยังไงก็ต้องเขียนให้จบให้ได้ แต่ก็คงไม่ทันปลายปีตามที่เคยคิดไว้ อยู่ด้วยกันต่ออีกนิดนะคะ

ตอนนี้เหมือนจะจบแต่ยังไม่จบนะคะ จริง ๆ ตัดเป็นตอนนึงเลยก็ได้ แต่มันยังไม่จบตามที่วางภาพไว้ในหัว ยังเหลือกินหมูแดงกับเรื่องอาปาต่ออีกนิด ไว้จะรีบปั่นมาลงค่ะ เพราะว่าเดือนหน้า แหะ ๆ จะหนีเที่ยวอีกสิบวันอีกแล้ว จะรีบให้จบตอนก่อนไปค่ะ

เอาเรื่องค่าเดินทางผ่านอุโมงค์และสะพานของฮ่องกงไปอ่านเล่น ๆ ก่อนนะคะ

ค่าผ่านทาง http://bit.ly/2KKOres

รายละเอียดคร่าว ๆ เกี่ยวกับอุโมงค์และสะพาน http://bit.ly/2pLetXF

การเดินทางในฮ่องกง http://bit.ly/33ewbQI


ว่าด้วยเรื่องเรือยอชท์ เขียนถึงเพราะนั่งคุย ๆ กับเพื่อนเรื่องเรือ แล้วเพื่อนบอกว่าคนซื้อเรือจะมีความสุขที่สุดแค่สองวัน คือวันซื้อกับวันขายทิ้ง ก็เลยเอามาเขียนถึงซะเลย

นิยามของเรือยอชท์จาก Wikipedia ค่ะ - http://bit.ly/2QFKr2y

Azzam เรือยอชท์ที่ยาวที่สุดในโลกตาม timeline ในเรื่องนะคะ ปัจจุบันถูกทำลายสถิติแล้ว - http://bit.ly/2rhx5yM

ต้นแบบเรือของลุงหลง Beethoven ของราฟาเอล นาดาล (ขายแล้ว) - http://bit.ly/35qdlb0

ต้นแบบเรือของลุงหลงอีกลำหนึ่ง Aurora Borealis สวยมากกกก - http://bit.ly/2rmRKBK

ค่าใช้จ่ายในการมีเรือซักลำ (อ้างอิงจากสหรัฐฯ) - http://bit.ly/34oKFiJ

ส่วนพวกราคาเรือนี่อ้างอิงคร่าว ๆ มาจากเว็บขายเรือมือสองนะคะ

หวังว่าตอนนี้จะพออ่านได้บ้าง ไว้จะรีบกลับมาต่อให้จบตอนค่ะ



 

ออฟไลน์ primrose1

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อ้าว จะจบแล้วเหรอคะ ไม่นะ...ม่ายยยยยยย  :ling1:

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



อ้าว จะจบแล้วเหรอคะ ไม่นะ...ม่ายยยยยยย  :ling1:

ยังค่ะ ยัง จบตอนช่วงฮ่องกง เดี๋ยวกลับไทยก่อน ยังเหลือเรื่องอีกส่วนนึงค่า

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ primrose1

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0



อ้าว จะจบแล้วเหรอคะ ไม่นะ...ม่ายยยยยยย  :ling1:

ยังค่ะ ยัง จบตอนช่วงฮ่องกง เดี๋ยวกลับไทยก่อน ยังเหลือเรื่องอีกส่วนนึงค่า

ไม่ๆ หมายถึงเรื่องเหลืออีกเยอะๆก็ได้ค่ะ นี่อ่านวนไปวนมาหลายรอบละ ชอบๆๆ ไม่อยากให้จบเลยอ่า  :call:

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- Away Again - ตอนกลาง ----



 

“เป็นไง สบายท้องแล้วล่ะสิ”

ฆาเบียร์กระเซ้าคนรักที่ทำหน้าอิ่มเอมกับอาหารตรงหน้า เจหันไปยิ้มกว้างให้คนตัวโต เมื่อขึ้นมาถึงที่บ้านของคริส ฆาเบียร์ก็ได้ขอให้เควิน บัตเลอร์ส่วนตัวของคริสจัดการหาอาหารง่าย ๆ ให้เจนยุทธ

“อิ่มแล้วครับ ขอบคุณนะครับ คุณเควิน อร่อยมากเลย”

เจหันไปค้อมหัวให้พ่อบ้านของคริส แทนที่จะเรียกคนครัวมาทำให้ เควินกลับเป็นฝ่ายเข้าครัวผัดข้าวผัดไข่ใส่แฮมหอมกรุ่นรสชาติเยี่ยมมาให้เจจานหนึ่ง แถมยังได้อุ่นซุปใสซึ่งมีติดตู้เย็นไว้ให้เจอีกด้วยอีกด้วย

“เควินเขาทำอาหารได้หลายอย่าง บางทีถ้าอาปาทำงานดึก ๆ หรือว่าลงเครื่องมาดึก ๆ แล้วหิว ก็ได้เขาช่วยทำให้ ไม่ต้องไปรบกวนพวกคนครัว”

คริสพูดยิ้ม ๆ เหล่าเชฟของบ้านเขานั้นถ้าลงได้เข้าครัวก็มักจะเล่นใหญ่ทำอาหารแบบจัดเต็ม บางครั้งเขาก็ต้องการเพียงแค่อาหารง่าย ๆ อย่างแซนวิชหรืออาหารจานเดียวเท่านั้น

“ผมทำได้แค่ของง่าย ๆ รสชาติพอกินได้แค่นั้นครับ ไม่ได้เยี่ยมอะไรขนาดนั้น”

พ่อบ้านวัยกลางคนพูดอย่างถ่อมตัว

“นายก็ถ่อมตัวเกินไป ที่โรงเรียนบัตเลอร์เขาสอนมาหมดทุกอย่างเลยไม่ใช่เหรอ?”

คริสพูดกระเซ้ามาพร้อมยกแก้วขึ้นจิบวิสกี้อึกสุดท้าย เควินรีบปราดเข้ามารับแก้วในมือนายทันที คริสส่งแก้วในมือให้แล้วยกมือบอกว่าเขาไม่ดื่มเพิ่มแล้ว



“โห คุณเควินจบสถาบันสอนบัตเลอร์มาเหรอครับ?”

คนตัวเล็กซึ่งเรียนจบสายงานบริการมาทำตาโต เขาเคยได้ยินเรื่องสถาบันฝึกอบรมพ่อบ้านชั้นสูงแบบนี้มาก่อน แต่ก็ไม่นึกไม่ฝันว่าตัวเองจะได้เจอคนที่เรียนจบจากที่แบบนั้นมาจริง ๆ

“ใช่ครับ”

พ่อบ้านของคริสค้อมหัวรับด้วยกิริยาอันนุ่มนวล

“เควินจบจากสถาบันที่ลอนดอนน่ะ British Butler Institute ใช่ไหม?”

คริสสาธยายแล้วหันไปถามบัตเลอร์ส่วนตัวของเขาอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เจนยุทธทำตาโตเมื่อได้ยินชื่อสถาบันสอนบัตเลอร์ที่จัดว่ามีชื่อเสียงมากแห่งหนี่ง

“ผมไปแค่คอร์สสั้น ๆ ครับ...”

เควินตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เขาบอกเจนยุทธว่าแรกเริ่มเดิมทีแล้ว เขาเรียนจบด้านการโรงแรมจาก Hong Kong Polytechnic ซึ่งในปัจจุบันมีสถานะเป็นมหาวิทยาลัยไปแล้ว

“ว้าว PolyU ใช่ไหมครับ? ถ้าผมจำไม่ผิด School of Hotel and Tourism Management ของที่นี่ติดอันดับไม่ 2 ก็ 3 ของโลกด้านสถาบันที่สอนการโรงแรมเลยนะครับ”

อดีตเด็กการโรงแรมตาเป็นประกาย เมื่อเข้าเรียนใหม่ ๆ เขาเคยเล็ง ๆ ที่เรียนต่อไว้ โดยสถาบันนี้ก็เป็นหนึ่งทางเลือกของเขาเนื่องจากอยู่ใกล้บ้าน แต่เมื่อฝึกงานและเข้าทำงานไประยะหนึ่ง เขาก็ได้พบว่าตัวเองไม่ได้ชอบสายงานนี้อย่างที่คิด โครงการเรียนต่อของเขาจึงถูกพับไป

“ครับ สถาบันนี้มีชื่อเสียงด้านการโรงแรม แต่ตอนที่ผมเข้าเรียน มันยังเป็นแค่ภาควิชา Institutional Management and Catering Studies ไม่ได้เป็นสถาบันด้านโรงแรมและการท่องเที่ยวเหมือนทุกวันนี้...”

แม้จะไม่ได้เปิดสอนด้านการโรงแรมอย่างเต็มตัว แต่มันก็เพียงพอให้หนุ่มน้อยเควินได้งานในโรงแรมห้าดาว เขาเริ่มงานด้วยตำแหน่งฟรอนท์แล้วขยับมาเป็น Concierge



“ในตอนนั้นผมก็ได้รู้จักกับลุงที่เป็น butler ของทางโรงแรมครับและรู้สึกว่างานของลุงมันน่าสนใจมาก”

คำว่าบัตเลอร์ในวงการโรงแรมนั้นหมายถึงผู้ให้บริการส่วนบุคคลซึ่งมีหน้าที่ดูแลแขกตลอด 24 ชั่วโมง การดูแลนั้นรวมถึงการช่วย unpack กระเป๋าและจัดเสื้อผ้าใส่ตู้ให้ นำผ้าไปรีดหรือกระทั่งขัดรองเท้า รวมไปถึงการนำชา กาแฟไปเสิร์ฟในห้องพักตลอด 24 ชั่วโมงและการให้คำแนะนำตลอดจนถึงการจัดหาสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการแนะนำและจองร้านอาหาร แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว และอื่น ๆ

“มันก็คล้ายกับเป็นพ่อบ้านบวกกับเลขาฯ ส่วนตัวกลาย ๆ ครับ”

พ่อบ้านวัย 50 ปีของคริสสรุปเรื่องงานที่เขาต้องทำระหว่างที่ยังทำงานอยู่กับโรงแรมห้าดาว เขาเล่าต่อว่าหลังจากเล็งเห็นแล้วว่าตนต้องการจะเดินสายนี้ เขาได้ใช้เงินที่หยิบยืมมาจากพ่อแม่บวกกับเงินที่ตนได้เก็บหอมรอมริบมาเพื่อลงคอร์สเรียนในสถาบันสอนบัตเลอร์ชื่อดังในประเทศอังกฤษอย่าง British Butler Institute

“ผมลงคอร์สแบบ 4 สัปดาห์ครับ...”

เจนยุทธฟังเควินเล่าสิ่งที่เขาได้เรียนรู้มาภายในช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่อังกฤษด้วยความเพลิดเพลินใจ

“โห ต้องเรียนกระทั่งจัดดอกไม้ ทำอาหารแล้วก็เรื่องไวน์ด้วยเหรอครับ?...”

เจนยุทธทำตาโตเมื่อได้ฟังสิ่งที่ผู้เป็นบัตเลอร์ต้องเรียนรู้ มันรวมไปถึงเทคนิคการพูดคุยกับแขก การจัดการจองร้านอาหาร การแสดงต่าง ๆ รวมไปถึงตั๋วเครื่องบินและการเดินทางต่าง ๆ อีกทั้งเทคนิคการรับมือกับสิ่งที่ไม่คาดฝันและเหตุฉุกเฉิน ทั้งหมดนี้สำหรับเจแล้ว มันคล้ายกับหน้าที่ของ concierge แต่มีสิ่งหนึ่งซึ่งเจไม่นึกเลยว่าจะเป็นหน้าที่สำคัญของบัตเลอร์ และเขาก็ไม่รีรอที่จะถามไถ่



“...แล้วไหนจะเรื่องขัดรองเท้าอีก ต้องเรียนด้วยเหรอครับ? สำคัญขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”

เจถามด้วยความประหลาดใจ เควินบอกเขาว่า shoe valet หรือศิลปะการดูแลรองเท้าแบบดั้งเดิมนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเรียน ที่สถาบันที่เขาเรียนนั้นมีห้องเรียนที่เต็มไปด้วยรองเท้าสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีหลากแบบหลายสไตล์ให้ได้ลองทำความสะอาด

“ครับ เป็นเรื่องสำคัญและเป็นงานหนึ่งที่บัตเลอร์ต้องทำให้ดี ถ้าให้ผมเดา ผมคิดว่าในอดีต สุภาพบุรุษทุกคนต้องใส่รองเท้าหนัง ฉะนั้นการที่มีรองเท้าสะอาดเงางามตลอดเวลาก็ช่วยชูบุคลิกของคน ๆ นั้น...”

เควินยิ้มบาง ๆ นอกเหนือจากการขัดรองเท้าแล้วสิ่งที่เขาต้องเรียนรวมไปถึงการดูแลวัสดุทำรองเท้าชนิดอื่น ๆ ที่ไม่ต้องขัดมันด้วย เช่นการทาน้ำมัน

“หรือจะมองอีกทาง ก็มองได้ว่าคน ๆ นั้นมีฐานะดีพอที่จะจ้างคนมาคอยดูแลกระทั่งเรื่องการขัดรองเท้าให้ก็ได้นะครับ”

เจนยุทธร้องอ๋อแล้วพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

“ก็จริงเนาะ ว่าแต่รองเท้าหนังนี่มันวุ่นวายจริงครับ ตอนยังเป็นนักศึกษาแล้วต้องใส่รองเท้าหนัง ผมงี้ขี้เกียจขัดมาก เลยปล่อยให้มันหมอง ๆ งั้นแหละ พอขัดทีก็จะรู้สึกหล่อทีนึง”

เจนยุทธพูดพลางอมยิ้มจนตาหยี พ่อบ้านวัยกลางคนเองก็อดยิ้มให้กับประโยคสุดท้ายของคนรักของนายน้อยของเขาไม่ได้ เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมช่วงหลังมานี้ลูกบุญธรรมของนายท่านจึงได้มีรอยยิ้มประดับบนริมฝีปากบ่อยขึ้น สาเหตุก็คงเป็นเพราะหนุ่มไทยอารมณ์ดีคนนี้นี่เอง

“อีกสาเหตุหนึ่งที่ต้องเรียนรู้เรื่องการดูแลรองเท้าแบบนี้ก็เพราะรองเท้าสมัยใหม่นี้ทำจากวัสดุหลากหลายด้วยครับ ทั้งหนังกลับ หนังแก้ว หนังวัว หนังแกะหรือหนังพวกสัตว์ exotic อย่างจระเข้หรืองู รวมถึงพวกรองเท้าผ้าใบ แต่ละชนิดก็ต้องการการดูแลต่างกันไปครับ”

เจนยุทธทำตาแป๋วฟังพร้อมกับนึกภาพตาม เขานึกถึงรองเท้าสารพัดสีสารพัดแบบของคนรักผู้นิยมแฟชั่นของเขา แต่ละคู่นั้นก็คงต้องการการดูแลที่ต่างกันไปอย่างที่เควินเล่าจริง ๆ



“ถ้าเป็นผมคงซื้อแบบเดียวสีเดียวกันทุกคู่ แหะ ๆ ไม่ได้ใส่ไปออกงานไหนอยู่แล้ว”

คนที่ยังต้องขัดรองเท้าเองอยู่ยิ้มแหย ๆ ถ้าไม่นับรองเท้าแบรนด์ดังที่ฆาเบียร์ประโคมซื้อให้เขาแล้ว รองเท้าหนังของเขานั้นมีนับคู่ได้ โดยมากเจจะนิยมใส่รองเท้าผ้าใบตามแฟชั่นมากกว่า เขาไม่เห็นความสำคัญว่าจะต้องหมดเงินซื้อรองเท้าหนังคู่ละหลายพันไปจนถึงหลายหมื่นทำไม และมองว่ามันมีไว้เพียงแค่เดินพรมแดงหรือออกงานสังคมเท่านั้น หากคำพูดถัดไปของคริสทำให้เจต้องคิดใหม่

“เรื่องรองเท้านี่ อาปาเคยได้ยินคนพูดเหมือนกันว่ารองเท้าก็ใช้เป็นสิ่งบ่งชี้ถึงตัวเจ้าของเหมือนกัน...”

คริสยิ้มละไมพลางยกแก้วน้ำที่เควินรินเติมให้ขึ้นจิบ

“อาปาไม่ได้หมายถึงว่าต้องใส่แต่รองเท้าแพง ๆ นะ แต่หมายถึงการสวมใส่รองเท้าให้เหมาะกับกาละและเทศะ อีกทั้งคอยดูแลรองเท้ารวมไปถึงเท้าของเราให้ดูดี ดูสะอาดอยู่เสมอ แค่นั้นก็ทำให้บุคลิกของเราดีขึ้นได้แล้ว”

“ผมจะจำไว้ครับอาปา”

เจค้อมหัวให้พ่อบุญธรรมของคนรัก เขาตั้งใจไว้ว่าสักวันจะต้องมาขอเรียนเทคนิคการขัดรองเท้าหนังให้เงางามจากเควินให้จงได้

 

“แล้วคุณเควินมาทำงานกับอาปาได้ยังไงครับ?”

เจนยุทธถามคริสหลังจากที่หัวหน้าพ่อบ้านขอตัวเข้าไปจัดการเรื่องอื่นต่อ

“อืมม์ ช่วงห้าหกปีที่แล้วพ่อบ้านคนเก่าของที่นี่เกษียณอายุไป อาปาก็เลยว่าจะจ้างพ่อบ้านใหม่ที่สามารถช่วยดูแลจัดการบ้านให้ได้ช่วงที่อาปาไม่อยู่ แต่ก็หายากเหลือเกิน ตอนแรกอาปาก็คิดว่าจะตัดใจแล้ว ก็จะปล่อยให้เด็ก ๆ คนอื่นดูแลกันเอง...”

คริสเล่าต่อว่ามีวันหนึ่งที่เขากับอู่ทินหลงไปรับประทานอาหารด้วยกันที่โรงแรมเพนินซูลา พอเขาเปรยเรื่องนี้ขึ้นมา อาหลงก็ตบเข่าฉาดแล้วขอพนักงานให้ไปเรียกเควินมาหาทันที อู่ทินหลงซึ่งเป็นแขกประจำของโรงแรมแห่งนี้ยามที่ขี้เกียจกลับไปนอนที่บ้านบอกกับคริสว่าเควินเป็นบัตเลอร์ที่เขาเรียกใช้เป็นประจำยามที่มาพักที่นี่ หากช่วงนี้เขารู้มาว่าบัตเลอร์หนุ่มใหญ่คนนี้กำลังเริ่มเบื่องานโรงแรมและต้องการหางานใหม่

“ในทีแรกอาปาก็ไม่มั่นใจว่าคนที่เคยเป็นบัตเลอร์ตามโรงแรมจะสามารถมาทำงานเป็นพ่อบ้านแบบที่มาจัดการดูแลบ้านและคนงานต่าง ๆ ได้ แต่พอนั่งคุยกันแล้ว อาปาก็ถูกชะตาและเห็นความตั้งใจของเขาก็เลยลองจ้างดู”

เควินขอเวลาในการเคลียร์งานต่าง ๆ และจัดการตัวเองเป็นเวลาหกเดือนซึ่งคริสเองก็ไม่ได้มีปัญหาในเรื่องนี้

“พอเริ่มทำงาน อาปาก็ทึ่งกับเขามาก พ่อบ้านคนเก่าของอาปานั้นอยู่มาตั้งแต่สมัยอาปายังเป็นเด็ก ไต่เต้าขึ้นมาจากเป็นคนงานในบ้าน ฉะนั้นการจัดการบริหารต่าง ๆ ในบ้านก็จะเป็นแบบสมัยเก่า แต่กับเควินนี่เป็นคนละเรื่องเลย เขาใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยในการทำงาน มีการทำตารางงานชัดเจน แถมยังจัดการเรื่องการจัดซื้อของเข้าบ้าน การจัดการด้านคนได้เนี้ยบเหมือนกับระบบโรงแรม เรียกว่าเป็นพ่อบ้านยุคใหม่จริง ๆ”



หลังจากที่เข้ามาทำงานได้พักหนึ่ง คริสก็ได้นั่งคุยกับพ่อบ้านคนใหม่ของเขาและได้รู้ว่านอกเหนือจากการทำงานในโรงแรมห้าดาวที่เด่นดังเรื่องบริการส่วนตัวจากบัตเลอร์แล้ว ช่วงหกเดือนก่อนที่จะมาทำงานกับเขา เขาใช้เวลาเคลียร์งานเก่าสองเดือน ส่วนอีกสี่เดือนนั้น เควินได้ไปลงเรียนที่โรงเรียนบัตเลอร์ในเนเธอร์แลนด์อีกเป็นเวลา 10 สัปดาห์ด้วยทุนส่วนตัวเพื่อเตรียมพร้อมในการมาทำงานกับเจ้านายคนใหม่ของเขา

“งั้นตามที่คุณเควินเล่ามา แสดงว่าโรงเรียนนี้เค้าสอนเรื่อง house and staff management ด้วยเหรอครับ?”

เจนยุทธถามด้วยความทึ่ง เขาเคยได้ยินมาว่าบัตเลอร์ชั้นสูงที่ทำงานตามบ้านเศรษฐีนั้นต้องดูแลบ้านแทนเจ้านายได้ทุกอย่างรวมถึงการควบคุมกำกับด้านงบประมาณ บุคลากรและความปลอดภัยของบ้านด้วย

“ใช่จ้ะ ที่จริงเขาก็ได้เรียนรู้มาจากสถาบันแรกแล้ว และจากการทำงานโรงแรมมาหลายปีก็ทำให้รู้เห็นระบบการจัดการและการทำงานด้วย หลาย ๆ อย่างที่เขาทำก็คือเป็นสแตนดาร์ดของโรงแรมเพนินซูลาด้วย แต่ก็มาได้ฝึกฝนจริงจังเอาก็ตอนไปเรียนที่เนเธอร์แลนด้ ก็ถือว่าเป็นโชคดีของอาปาที่ได้เขามาทำงานด้วย”

“เป็นโชคดีของผมมากกว่าครับที่ได้มาทำงานกับคุณท่าน”

เควินซึ่งเดินกลับมาจากในครัวพร้อมกาน้ำชาในมือค้อมหัวให้กับนายของเขา เขาจัดการรินชาดอกคาโมมายล์ซึ่งคริสมักดื่มก่อนนอนลงในแก้วแล้วเลื่อนส่งให้ทุกคน เจนยุทธรับแก้วชาของเขามาแล้วจัดการถามต่อเรื่องสถาบันสอนบัตเลอร์ที่เนเธอร์แลนด์



“สถาบันนี้ชื่อ The International Butler Academy ครับ ตอนผมไปเรียนนั้น มันเพิ่งเปิดได้ไม่นาน แต่ผมก็เลือกไปที่นี่เพราะตัวหลักสูตรมันน่าสนใจ และมีการเน้นเรื่องการจัดการอสังหาฯ ด้วย...”

เควินพูดยิ้ม ๆ เขาพยายามนึกย้อนถึงสิ่งที่ตนได้เรียนรู้และถ่ายทอดมันให้กับเจนยุทธ เจนั่งฟังด้วยความสนใจ

“สอนไปจนถึงเรื่องการดูแลข้าวของโบราณด้วยเหรอครับ?”

เจนยุทธถามด้วยความทึ่งเมื่อรู้ว่าประโยชน์อย่างหนึ่งของการเรียนในสถาบันที่ตั้งอยู่ในอารามเก่าอายุหลายร้อยปีนั้นคือมีโบราณวัตถุและภาพวาดเก่าแก่ไว้เป็นตัวอย่างให้นักเรียนได้ศึกษา

“ใช่ครับ หลาย ๆ บ้านในยุโรปที่ใช้บริการบัตเลอร์ก็เป็นตระกูลเก่าแก่ที่มีของโบราณพวกนี้อยู่ในบ้านเช่นกัน พวกเราก็ต้องเรียนรู้ถึงวิธีดูแลรักษาของพวกนี้ด้วย รวมไปถึงพวกถ้วยชามพอร์ซเลนหรือเครื่องแก้วคริสตัลราคาแพงที่ใช้ในชีวิตประจำวัน พวกนี้บัตเลอร์ก็ต้องเรียนรู้ที่จะดูแลมันด้วย”

เจนยุทธยกถ้วยชาลายดอกไม้แสนสวยในมือขึ้นดูทันที เขาสัมผัสได้ว่ามันไม่ใช่เป็นเซรามิคธรรมดาแต่เป็นพอร์ซเลนเนื้อบางเบาหวิว เขาค่อย ๆ วางมันลงอย่างเบามือหลังจากพลิกดูที่ก้นถ้วยแล้วเห็นตราประทับยี่ห้อพร้อมกับตัวหนังสือ Made in England และตัวเลข 1935 อันบ่งถึงปีที่ผลิตติดอยู่

“แหะ ๆ วันหลังใส่แก้วเซรามิคธรรมดามาให้ผมก็ได้นะครับ”

เจรีบส่งถ้วยชาสัญชาติอังกฤษใบสวยคืนให้เควิน

“นายไม่ต้องห่วงอะไรมากหรอกน่า ใช้ ๆ ไปเถอะ”

ฆาเบียร์ยกมือขึ้นยีหัวคนรักด้วยความเอ็นดู เจหันไปยิ้มเจื่อน ๆ ให้แล้วบอกว่าเขากลัวจะทำถ้วยชาอายุแปดสิบปีใบนั้นบิ่นเสียหายไป

“อาปายังมีอีกหลายชุด ใช้ไปเถอะ มันไม่ได้แตกง่าย ๆ ขนาดนั้นหรอก”

เจยิ้มแห้ง ๆ แล้วรับถ้วยชาใบน้อยกลับคืนมาเมื่อคริสพูดสำทับมาอีกคน



“So, I’ll be gentle with you, grandma”

ขณะที่คำว่า grandma ที่เจใช้เรียกถ้วยชาอายุเกือบศตวรรษเรียกรอยยิ้มน้อย ๆ จากคริส คนที่หัวคิดไปไกลกับคำว่า “จะนุ่มนวลด้วย” ที่เขาเคยได้ยินเจใช้หยอกเย้าบนเตียงมาหลายครั้งนั้นกลับหน้าร้อนผ่าว

“เอ๊ะ คุณนี่!”

คริสเลิกคิ้วมองเจที่อุทานลั่นและลูกชายที่ร้องอย่างสำออยเมื่อโดนคนรักเอาศอกถองสีข้างไปอึ้กใหญ่ เขาไม่รู้ว่าฆาเบียร์กระซิบแซวเจออกไปว่าอย่างไร แต่มันคงไม่แคล้วเป็นเรื่องในมุ้งของสองหนุ่มไฟแรงสูงคู่นี้

“อาปา ดูเจสิครับ รังแกผมอีกแล้ว”

“เฮ้ย รังแกตรงไหน? คุณเริ่มก่อนนะ”

เจอ้าปากหวอพร้อมกับรีบส่งเสียงประท้วงเมื่อคนรักที่ถูกเขาจั๊กจี้จนตัวงอไปงอมางัดไม้ตายแบบเด็กน้อยมาใช้ซึ่งก็คือการหันไปฟ้องอาปาคริสหน้าตาเฉย หากคนตัวโตที่เป็นฝ่ายแพ้ในสงครามจั๊กจี้ก็ไม่ใส่ใจแล้วหันไปส่งสายตาเรียกร้องความเห็นใจจากอาปาของเขา แต่คนขี้ฟ้องก็ต้องทำหน้ามุ่ยเมื่อได้ยินคำพูดพร้อมรอยยิ้มของคริส

“เจพูดถูก เราเริ่มก่อนนะ ฆาบี้”

“โธ่ อาปาครับ ไม่เข้าข้างผมเลย”

ฆาเบียร์โอดครวญพร้อมกับจิ๊ปากเบา ๆ อย่างขัดใจ คริสหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นปากเบะ ๆ และท่าทางงอนน้อย ๆ ของคนตัวโตกว่า แม้ฆาเบียร์จะเติบใหญ่ไปแค่ไหนหรือมีตำแหน่งสูงเพียงใด ต่อหน้าเขาที่เป็นคนเลี้ยงเจ้าตัวมาเหมือนเป็นลูก นาน ๆ ครั้งหนุ่มละตินร่างใหญ่คนนี้ก็จะหลุดทำตัวเหมือนตอนที่ยังเป็นหนุ่มน้อยออกมาให้เห็น

“เห็นไหม ๆ อาปายังบอกเลยว่าคุณแกล้งผมก่อน นิสัยไม่ดี...”

เจนยุทธได้ทีขี่แพะไล่แล้วทำท่าจะหันไปฟ้องคริสต่อ


“เอ๊ะ อาปาครับ นั่นของใหม่เหรอครับ? ผมไม่เคยเห็นเลย”

คนตัวโตที่ไม่อยากถูกเจค่อนแคะให้เปลืองตัวอีกรีบรีบส่งเสียงทักเรื่องเครื่องประดับใหม่ของคริสซึ่งเขาสังเกตเห็นมันมาตั้งแต่ตอนที่เจอคริสที่ท่าเรือ ในตอนนั้นเขาก็ไม่ได้ถามไถ่อะไรออกไป แต่เมื่อไม่ต้องการต่อความยาวสาวความยืดกับคนรักอีก เขาจึงต้องทักออกไปเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของทั้งสองคน

“เอ่อ กำไลนี้เหรอ? ใช่ อาปาเพิ่งได้มา...”

พ่อบุญธรรมของหนุ่มละตินชะงักเล็กน้อย ก่อนที่จะพยักหน้าและส่งรอยยิ้มที่ชายหนุ่มทั้งสองรู้สึกได้ว่าเจือด้วยความเขินอายมาให้

“...อาโหล่วเขา เอ่อ ให้มาน่ะ”

คริสพูดด้วยใบหน้าร้อนผ่าว เขาเลิกปลายแขนเสื้อเชิร์ตที่ยาวคลุมข้อมือขึ้นเพื่อให้ลูกชายที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ดู เจนยุทธเองก็ชะโงกหน้าเข้ามาดูด้วยความสนใจ



“โอ้โห กำไลหยกม่วงวงนี้สวยมากเลยครับ อาปา”

เจพูดด้วยความตื่นเต้น กำไลหยกทรงกลมมันวาวสีม่วงแบบที่เรียกว่าสีลาเวนเดอร์บนข้อมือของคริสนั้นจับตาของเขาไม่น้อย คริสทำท่าจะถอดมันส่งให้เจดูชัด ๆ แต่หนุ่มไทยรีบปฏิเสธเพราะเกรงว่าตนจะซุ่มซ่ามทำมันตกหล่นเสียหาย ตัวเขานั้นจำได้ว่าในบรรดาหยกทั้งปวง นอกเหนือจากหยกเขียวชั้นดีโดยเฉพาะแบบที่เรียกว่าหยกเขียวจักรพรรดิแล้ว หยกม่วงนั้นก็นับเป็นสีที่หายากและมีราคาแพงรองลงมา

“ผมไม่เคยเห็นหยกม่วงสีเข้มสวยแบบนี้เลยครับ”

เจนยุทธชมเปาะ กำไลของคริสนั้นมีสีม่วงละมุนตาตามชื่อ “ลาเวนเดอร์” โดยแท้จริง

“สมัยก่อนผมก็นึกว่าหยกที่มีค่านั้นมีแต่สีเขียวอย่างเดียว เพราะพวกหยกสีที่ผมเคยเห็นตามไนท์บาซาร์ที่เชียงใหม่นั้นมักวางขายถูก ๆ ในกะบะอะไรพวกนั้น แต่พอมาเห็นที่ฮ่องกงถึงรู้ว่าหยกสีอื่นก็มีค่าเหมือนกัน...”

เจนยุทธเล่าถึงคราวที่เขามาฮ่องกงครั้งแรก ๆ กับนพ



“อันที่จริง ผมก็ไม่นึกด้วยซ้ำครับว่าหยกจะเป็นของแพงถึงขนาดนั้น”

คนตัวเล็กหัวเราะแหะ ๆ เขาซึ่งไปยืนเมียงมองดูเครื่องประดับหยกที่วางโชว์ตามหน้าร้านขายอัญมณีถึงกับตัวชาเมื่อเห็นกำไลหยกที่มีราคาสูงถึง 7 หลักดอลลาร์ฮ่องกง

“ขนาดจี้หยกเขียวชิ้นเล็ก ๆ ยังราคาเป็นหมื่น ตอนแรกที่มาฮ่องกงผมกะว่าจะหาเครื่องประดับหยกดี ๆ เอาไปฝากแม่ซักชิ้น เจอราคาในร้านแบบนี้เข้าไปก็ถอยกรูดล่ะครับ จะได้ไปซื้อที่ตลาดหยก ก็ดูของไม่เป็น กลัวโดนต้มหมู ก็เลยล้มเลิกความคิด”

สำหรับเจแล้ว การมาเห็นเครื่องประดับหยกราคาสูงลิ่วที่ฮ่องกงนั้นเป็นการล้มล้างความคิดที่ว่าหยกเป็นแค่หินไปโดยสิ้นเชิง

“พอมาเห็นหยกเกรดที่ขายที่ฮ่องกงแล้ว ผมรู้เลยว่าไอ้หินสีตุ่น ๆ ที่ผมเคยเห็นนั่นมันเกรดล่างแค่ไหน ที่ต่างกันชัดเจนคือความโปร่งใสของเนื้อหยกครับ”

ฆาเบียร์ซึ่งนั่งสังเกตอยู่ห่าง ๆ พร้อมกับฟังคนรักพูดเจื้อยแจ้วเรื่องหยกยิ้มบาง ๆ ออกมา ข้อสังเกตของเจถือว่าถูกต้อง มูลค่าของหยกนั้น นอกจากขึ้นอยู่กับสีสันที่สดใสชัดเจนแล้ว ความโปร่งใสของเนื้อหยกนั้นถือเป็นหัวใจหลักของหินที่มีค่าเทียมเมืองชนิดนี้

“ถูกต้อง หยกดี เนื้อต้องโปร่งแสงและโปร่งใสมองทะลุผ่านได้ บางคนบอกว่าต้องส่องผ่านเห็นตัวหนังสือได้ แต่เพราะคนมองหาความใสแบบนั้น ก็ถึงถูกย้อมแมวขายโดยคนขายเอาหินชนิดอื่นมาขายให้บ้าง อย่างเลวที่สุดก็คือเจอเรซินไปเลย”



 “เอ แล้วเราจะดูได้ยังไงครับว่าหยกนั้นจริงหรือปลอม?”

เจนยุทธเกาหัวแกร่ก ๆ เมื่อได้ยินคำพูดของอาปาคริส แล้วถามขึ้นอย่างสงสัย

“อืมม์ เรื่องดูหยกนี่พูดสามวันเจ็ดวันก็ไม่จบนะ เอาง่าย ๆ เลยว่าอะไรที่ดีเกินจริง ให้สงสัยไว้ก่อนว่าปลอม”

คริสพูดยิ้ม ๆ แล้วพยักเพยิดให้ลูกชายตอบแทน คนที่พอจะดูหยกเป็นบ้างถอนหายใจเฮือกแล้วขยายความต่อ

“ยกตัวอย่างนะ ถ้าเจเจอกำไลหยกสีเขียวสดใส เนื้อโปร่งใสกิ๊งแบบที่คนเรียกว่าเนื้อแก้ว แต่มาด้วยราคาหลักพัน หมื่น ก็ให้เดาไว้ก่อนว่าไม่น่าจะใช่ของแท้ เพราะถ้าเกรดนั้นบางทีหลักแสนก็ยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”

ฆาเบียร์พูดพลางเปิดหาภาพจากในอินเตอร์เน็ตส่งให้คนรักดู

“นี่คือกำไลหยกเขียวที่มีราคาประเมินแพงที่สุดในโลก ณ ตอนนี้ สถาบันประมูล Sotheby’s เพิ่งเปิดตัวเพื่อให้คนประมูลไปเมื่อเดือนเมษาฯ ราคาประเมินอยู่ที่ 80 – 100 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง”

เจอ้าปากค้างเหม่อมองดูกำไลหยกสีเขียวเข้มที่มีเนื้อใสจนมองทะลุเห็นสิ่งที่อยู่ด้านหลังได้ หากเนื้อสีเขียวใสราวกระจกนั้นก็ใช่จะไม่มีตำหนิ

“เห็นไหมว่าราคาขนาดนี้ ถึงจะไม่มีเนื้อขุ่นหรือที่เรียกว่าเนื้อตันปน แต่ก็ยังมีริ้วสีที่ไม่เสมอกันแทรกบ้าง เห็นเป็นริ้วสีเข้มกว่าชัดเจน ฉะนั้นถ้าเจอกำไลสีเขียวสด เนื้อใส สีเสมอกันหมดทั้งชิ้น ให้คิดเลยว่า ปลอม”

ฆาเบียร์ฟันธงชัดเจน

“อ่า แต่ถ้าผมไม่มีปัญญาจะซื้อหยกเนื้อแก้วใสขนาดนั้น ผมจะต้องเลือกซื้อแบบไหนถึงจะเรียกว่ามีคุณภาพใช้ได้ล่ะครับ?”

เจถามพร้อมกับหันไปมองคนนั้นทีคนนี้ที



“งั้นมาเริ่มตั้งแต่ชนิดของหยกเลยแล้วกันนะ...”

คราวนี้เป็นคริสที่เป็นฝ่ายตอบ

“ในวงการหยกแล้ว จะแบ่งหยกออกเป็นสองชนิดกว้าง ๆ อย่างแรกคือหยก Jadeite หรือหยกเนื้อแข็งจากพม่า ส่วนอีกแบบหนึ่งคือหยกเนื้ออ่อน Nephrite ที่เรียกกันว่าหยกจีน เจคิดว่าแบบไหนแพงกว่า?”

เจนยุทธยิ้มกริ่ม เพราะอย่างน้อยเขาคิดว่าเขารู้คำตอบที่ถูกต้อง

“หยกพม่าแพงกว่าครับ”

“ถูกต้อง เก่งมากจ้ะ...”

คริสยิ้มอย่างพึงใจ

“...หลาย ๆ คนตอบว่าหยกจีนแพงกว่า เพราะเห็นว่าจีนใช้หยกกันเยอะ แต่จริง ๆ แล้วหยกที่นำมาใช้เป็นเครื่องประดับสำหรับชนชั้นสูงนั้นถูกนำเข้ามาจากพม่า เพราะมีความโปร่งและความแวววาวสูงกว่า ส่วนหยกจีนที่มีความทึบตันกว่านั้นจะนำมาใช้ทำเครื่องใช้มากกว่า เพราะมีเนื้ออ่อนสามารถแกะสลักเป็นรูปทรงต่าง ๆ ได้ง่าย และมีความเหนียว แตกร้าวได้ยากกว่า”

เจพยักหน้ารับคำแล้วนั่งเท้าคางฟังต่ออย่างสนใจ คริสเล่าต่อว่าคนจีนเพิ่งจะมารู้จักหยกพม่าเอาเมื่อศตวรรษที่ 17 ซึ่งอยู่ในสมัยราชวงศ์ชิง

“...ฉะนั้นถ้ามีคนเอาเครื่องประดับแบบจีนโบราณที่ทำจากหยกพม่ามาขายแล้วบอกว่ามาจากสมัยราชวงศ์หมิง ซ่งหรือฮั่นที่เก่าแก่ไปกว่าราชวงศ์ชิง ให้คิดเลยว่าปลอมเช่นกัน”



คริสพูดยิ้ม ๆ เจยิ้มแห้ง ๆ สำหรับเขาซึ่งกลัวสิ่งที่มองไม่เห็นแล้ว ความคิดที่จะซื้อหาเครื่องประดับหรือสิ่งของที่เป็นของเก่านั้นเท่ากับศูนย์ กระทั่งต่างหูเพชรสีน้ำเงินของแม่ของฆาเบียร์นั้น แม้จะใส่ติดตัวอยู่เป็นประจำเขาก็ยังอดที่จะกลัวมันอยู่บ้างไม่ได้ เจนยุทธโคลงหัวน้อย ๆ เมื่อนึกถึงต่างหูที่เขาลืมใส่ไปเสียสนิทข้างนั้นแล้วนึกว่าพรุ่งนี้เขาต้องไม่ลืมใส่มันกลับไทยไปด้วย

“ส่วนเรื่องเนื้อหยกนี่ ถ้าจะให้ลงลึกก็คงจะยาว ไว้อาปาจะเล่าให้ฟังทีหลังแล้วกันนะ เอาเป็นว่า ให้พยายามเลือกชิ้นที่มีความโปร่งแสง โปร่งใสและมีความมันวาวให้มากที่สุดเท่าที่งบจะอำนวยได้แล้วกัน...”

คริสส่งยิ้มละไมให้เจนยุทธ

“...แต่ก็อย่าลืมที่บอกว่า อะไรที่ดูดีเกินจริง มักจะไม่จริงไว้ และทางที่ดี ควรซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ สามารถตรวจสอบได้ อย่างที่ฮ่องกง ถ้าคิดว่าตัวเองดูหยกไม่เป็นก็อย่าไปซื้อที่ตลาดหยก ให้ไปซื้อที่ร้านขายอัญมณีที่มีใบรับรองเลยจะดีกว่า”




(ต่อความเห็นถัดไปค่ะ)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-01-2020 07:13:49 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Away Again - ตอนกลาง (ต่อ) ----




“พูดถึงเรื่องใบรับรอง ตอนที่ผมไปดูหยกในร้านเพชรคราวที่มากับพี่นพ พี่เขาก็ขอดูใบรับรองเหมือนกัน เหมือนตอนนั้นแกจะพยายามอธิบายให้ผมฟังเรื่องการแบ่งเกรดหยกเป็น A B C อะไรสักอย่าง ผมก็จำไม่ได้แล้ว...”

เจนยุทธพูดเสียงอ่อย ๆ เมื่อพูดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา 5 – 6 ปีแล้ว

“อ๋อ ใช่ ในการประเมินหยก จะมีการแบ่งเกรดหยกออกตามการปรุงแต่งมันด้วย ในที่นี้เราหมายถึงการปรับปรุงคุณภาพ ไม่ได้หมายถึงการเจียระไนหรือตกแต่งรูปทรงนะ...”

คราวนี้คนที่ตอบข้อสงสัยของเจก็คือคนตัวโต

“เอ๋ หยกนี่มีการปรับแต่งเพิ่มด้วยเหรอครับ? เหมือนอย่างพลอยที่มีการเอาไปผ่านความร้อนเพื่อเร่งสีแบบนั้นเหรอ?”

เจถาม เมื่อพูดถึงการปรับแต่งเขาก็นึกถึงพลอยที่คนไทยเรียกว่าพลอยหุงขึ้นมาทันที ฆาเบียร์พยักหน้า

“คล้าย ๆ กันจ้ะ สำหรับหยกแล้ว ถ้าเกรด A คือหยกธรรมชาติที่ไม่ได้ผ่านการปรับปรุงคุณภาพใด ๆ สีสัน ความใส ความมันวาวทุกอย่างมาจากตัวมันเองล้วน ๆ...”

เจพยักหน้ารับคำ



“...ส่วนเกรด B นั้น คือหยกธรรมชาติที่ผ่านการปรับปรุงให้มีเนื้อ สีและความมันวาวเพิ่มเติม...”

คนตัวโตอธิบายวิธีการปรับแต่งหยกที่คนไทยเรียกว่า ‘หยกอาบน้ำ’ ว่ามีหลากหลายวิธี ทั้งการฟอกสีไปจนถึงเคลือบผิวหน้าด้วยพอลิเมอร์เพื่อเพิ่มความมันวาว

“ส่วนหยกเกรด C คือหยกที่มีการย้อมสีไปเลย...”

“โห ย้อมกันหน้าด้าน ๆ แบบนี้ก็ได้เหรอครับ? งั้นเกรด C นี่ก็ถือว่าแย่สุดแล้วเหรอครับ?”

เจนยุทธถาม หากฆาเบียร์ส่ายหน้า

“ไม่จ้ะ มันยังมี B+C อีกนะ คือทั้งย้อมสีแล้วก็ตกแต่งผิว พูดถึงเรื่องการตกแต่งหยกนี่ บางเจ้าที่ทำเนียน ๆ นี่ถ้าไม่เอาไปให้แล็ปดูก็ยังดูไม่ออกเลยก็มี”

“อืมม์ งั้นถ้างบผมน้อย แต่อยากใส่หยกหน้าตาดีหน่อย ก็ซื้อแค่เกรดบีก็พอเนาะ”

เจหัวเราะแหะ ๆ

“จะว่างั้นก็ได้ แต่ก็ขอเตือนไว้ก่อนว่าหยกที่ผ่านการปรับแต่งมา ไม่ว่าจะเป็น B C หรือ B+C นานวันไป มันจะเสื่อมสภาพนะ อาจจะสีซีด หรือเนื้อเปราะลง ฉะนั้น ถ้างบถึง ฉันแนะนำว่าให้เจซื้อเกรด A เลยดีกว่า”

“มันจะไม่ถึงอ่ะสิ งบผมอ่ะ”

เจนยุทธพูดกลั้วหัวเราะ ตัวเขาไม่ได้อินกับหยกมากพอที่จะเอาเงินไปลงกับมันถึงขนาดนั้น ในตอนแรกที่คิดจะซื้อหยกให้แม่ก็เพียงเพราะคิดว่าตัวเองมาถึงฮ่องกงที่มีชื่อเสียงเรื่องเป็นแหล่งขายหยกคุณภาพดีอยู่แล้วเท่านั้น



“งั้น ก็สรุปได้ว่าการดูหยกนี่ต้องดูหลาย ๆ อย่างประกอบกันใช่ไหมครับ?”

“ใช่จ้ะ หลัก ๆ ก็ดูรูปลักษณ์ภายนอกอย่าง สี ความใส ความมันวาว เนื้อหยก ตำหนิต่าง ๆ รูปทรง แล้วก็มาดูว่าผ่านการปรุงแต่งมาไหม ถ้าดูเองแล้วไม่ชัวร์ ก็ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบให้โดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ”

“ถึงขั้นต้องส่งตรวจก็คงต้องเป็นของแพง ผมก็ไม่ซื้ออยู่ดี ฮ่า ๆ”

เจหัวเราะเบา ๆ พร้อมทำหน้าทะเล้น ฆาเบียร์โคลงหัวน้อย ๆ ให้กับความกวนของคนรัก

“ถ้านายอยากได้จริง ๆ คราวหน้าฉันหรืออาปาไปช่วยดูให้ได้นะ”

คนตัวโตยกมือขึ้นลูบหัวคนรักเบา ๆ อย่างเอ็นดู หากเจปฏิเสธทันควัน เขารู้ดีว่าหากไปเดินดูหยกกับสองคนนี้แล้วไปเผลอแสดงท่าทีติดใจชิ้นไหนขึ้นมา สุดท้ายหยกชิ้นนั้นก็คงถูกไม่ใครก็ใครซื้อและยัดเยียดให้เขาอย่างแน่นอน

“ผมแค่อยากรู้อยากเห็นครับ ไม่ได้อยากได้อะไรแล้ว”

เจพูดยิ้ม ๆ พลางเอนตัวซบกับแขนแข็งแรงของอีกฝ่าย สายตาเขาจับจ้องไปยังกำไลข้อมือของคริสพร้อมกับพยายามประเมินในหัว



“แต่ช่วงก่อน ผมก็เคยอ่านเรื่องหยกมานิดหน่อย แบบกำไลของอาปานี่ เขาเรียกว่าเนื้อน้ำแข็งหรือเปล่าครับ?”

เจนยุทธถาม กำไลหยกสีม่วงหวานของคริสนั้น แม้จะมีเนื้อโปร่งสวยงาม หากสีของมันนั้นไม่ได้เป็นสีม่วงเสมอกันทั้งวง ภายใต้สีม่วงใสนั้นมีผลึกสีอ่อนกว่ากระจายให้เห็นทั่วทั้งวงจนดูเหมือนพยับหมอกหรือเกล็ดน้ำแข็ง เจบอกทั้งสองคนว่าเขาคิดว่ามันคล้ายกับเอาน้ำผลไม้สีหวานไปใส่พิมพ์รูปกำไลแล้วแช่แข็งจนขึ้นเกล็ด

“หึ ๆ ดูคล้ายแบบนั้นใช่ไหมล่ะ?”

ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ แล้วถาม เจนยุทธพยักหน้า

“ผมว่ามันสวยดีครับ ถึงจะไม่ใสกิ๊งเป็นแก้วแบบหยกเนื้อแก้ว แต่ก็ดูน่ารักไปอีกแบบ”

เจพูดพลางขออนุญาตคริสเพื่อยกข้อมือขึ้นมาส่องดูใกล้ ๆ



“แต่ เอ ดู ๆ ไปเนื้อมันก็ใสเหมือนกันเนาะ ยิ่งดูยิ่งสวย”

เจนยุทธพึมพำกับตัวเอง ฆาเบียร์ชะโงกหน้ามาดูใกล้ ๆ บ้าง

“สวยจริง ๆ แหละ เจ สีม่วงสดใส เสมอกันทั้งวง ตัวกำไลวงหนา แต่ก็ยังใสมองทะลุได้ เอ อาปาครับ กำไลหยกม่วงดี ๆ แบบนี้ผมว่าผมคุ้น ๆ ว่าเคยเห็นมาก่อนน้า...”

เมียตัวโตของเจทอดเสียงพร้อมกับเหลือบตามองอาปาของเขาและกระซิบถามบางอย่างเบา ๆ เป็นภาษากวางตุ้ง คำถามนั้นทำให้คริสหน้าแดงซ่านขึ้นมาทันที เจนยุทธทำตาปริบ ๆ พร้อมกับมองหน้าคนนู้นคนนี้ทีด้วยความสงสัย

“มีความลับอะไรกับผมอีกแล้วเนี่ย?”

“เปล๊า ไม่มีอะไรหรอก”

ฆาเบียร์ยักไหล่และเบือนหน้าหลบสายตาแป๋วแหววที่จ้องมองมา เขาจะยังไม่บอกสิ่งที่เขาแซวคริสไปถ้าเจ้าตัวยังไม่อนุญาต เจนยุทธค่อย ๆ หันไปสบตาอาปาของพวกเขาแทน คริสหัวเราะหึ ๆ พร้อมกับโคลงหัวน้อย ๆ เจ้าลูกชายตัวดีของเขานั้นวางระเบิดเอาไว้เสียลูกใหญ่



“ไม่มีอะไรเป็นความลับหรอกเจ ฆาบี้เขาแค่สงสัยว่ากำไลวงนี้ของอาปามันคล้ายกับวงที่อาโหล่ว เอ่อ เดวิดเขาใส่ติดตัวตลอด แค่นั้นเอง”

เจนยุทธร้องอ๋อออกมาทันที ในหัวเขาประมวลผลได้ว่าเมียตัวโตของเขาคงแซวอาปาของตนยกใหญ่เรื่องที่ได้รับของแทนใจจากคนผู้นั้น ตัวเจนั้นไม่รู้หรอกว่ามันใช่วงเดียวกันไหม แต่ถึงเขาจะอยากรู้แค่ไหน เขาก็ยังมีมารยาทพอที่จะไม่ถามออกไป และทำได้เพียงตอบรับคำของคริสเท่านั้น หากสุดท้าย อาปาของเขาก็เป็นฝ่ายเปิดปากพูดเอง

“...ฆาบี้ก็จำไม่ผิดหรอก กำไลวงนี้ อาโหล่วเป็นคนให้อาปามาจริง ๆ นั่นแหละ จำแม่นนักนะเรา”

คริสยกฝ่ามือขึ้นตบแปะ ๆ อย่างแผ่วเบาที่แก้มของคนที่ยังคาใจ หนุ่มละตินที่ยอมเสียกิริยาและก้มลงมาส่องดูกำไลวงสวยวงนั้นอีกครั้งพูดออกมาด้วยท่าทีมั่นใจ

“โธ่ อาปาครับ กำไลสวยแบบนี้ใครเห็นก็ต้องจำได้ อีกอย่าง จะมีใครอีกล่ะที่มีชื่อแปลได้ว่า ‘หยกม่วง’”

ฆาเบียร์ยกยิ้มบาง ๆ แล้วหันไปยักคิ้วให้เจนยุทธ เจอดขำท่าทีทะเล้นอย่างปิดไม่มิดของคนรักของเขาไม่ได้ ต่อหน้าคริส ฆาเบียร์มักทำตัวผ่อนคลายและหลายครั้งที่แสดงท่าทีแบบหนุ่มน้อยจอมแก่นแบบที่เขาเคยเป็นเมื่อครั้งยังเด็กออกมา

“เรานี่มันเหลือเกินจริง ๆ นะ”

คนที่คุ้นเคยกับท่าทีนี้ดีอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ฆาเบียร์ในโหมดทะเล้นนั้นทำให้เขานึกถึงเพื่อนผู้ล่วงลับของตนขึ้นมา ริมฝีปากบางที่ได้จากแม่มานั้น เมื่อประดับด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มมันกลับคล้ายกับรอยยิ้มของอันเดรสเสียเหลือเกิน



‘เอ๊ะ...’

คริสอุทานเบา ๆ ในใจ เมื่อรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของตน ในอดีต รอยยิ้มแบบนั้นของฆาเบียร์มักทำให้เขาปวดแปลบน้อย ๆ ในใจขึ้นมาทุกครั้งที่ได้เห็น แต่ในวันนี้ ในใจเขากลับไม่รู้สึกเจ็บอีกแล้ว แม้ความรู้สึกคะนึงหาผู้วายชนม์จะยังคงอยู่ แต่ในใจเขากลับสงบและรู้สึกปล่อยวางกว่าที่เคยเป็น

‘เป็นเพราะนายอีกแล้วสินะ...’


คริสไล้นิ้วไปบนกำไลข้อมือวงงาม แม้สัมผัสที่ปลายนิ้วนั้นจะเย็นเยือกตามเนื้อของหยกแต่ในใจเขากลับมีความอบอุ่นแผ่ซ่านขึ้นมา ในหัวของเขาก็คิดย้อนกลับไปถึงภาพเหตุการณ์ในคืนที่ผ่านมา

“อาปา...อาปาครับ!”

“หืมม์ ว่าไงลูก?”

ผู้เฒ่าชาวฮ่องกงตอบรับคำของลูกชายอย่างใจลอย ฆาเบียร์ขมวดคิ้วทันที

“อาปาเป็นอะไรหรือเปล่าครับ? ผมว่าวันนี้อาปาดูซึม ๆ...”

เมียตัวโตของเจนยุทธถามพ่อบุญธรรมของเขาด้วยน้ำเสียงร้อนรนทันที

“หืมม์? ไม่นี่ อาปาไม่เป็นอะไร”

“แน่ใจนะครับ ไม่มีไข้หรือว่าปวดเมื่อยเนื้อตัวอะไรแน่นะครับ?”

ฆาเบียร์พูดพร้อมใช้มืออังหน้าผากอาปาของเขาเพื่อวัดอุณหภูมิ เจนยุทธขมวดคิ้วเมื่อเห็นท่าทีแปลก ๆ ของคนรัก

“ไม่เป็นไรจริง ๆ ทำไมเราถึงคิดว่าอาปาจะป่วยล่ะ?”

คริสถามด้วยความงุนงง

“ก็ เอ่อ ก็...”

ฆาเบียร์อึกอักเล็กน้อยก่อนที่จะพูดสิ่งที่เขากังวลออกไปในที่สุด

“ก็เมื่อคืนอาปาค้างกับลุงเดวิดใช่ไหมครับ? ผมก็กลัวว่าครั้งแรก เอ่อ อาปาอาจจะ เอ่อ อาจจะยังไม่ชิน...”



“หา?”

“เฮ้ย!”

คริสและเจนยุทธประสานเสียงกันออกมาก่อนที่ทั้งห้องจะเงียบสนิท คริสรู้สึกเหมือนเลือดทั้งตัวของเขาได้ไหลย้อนขึ้นมาบนหน้า

“มัน มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไงล่ะ!”

ผู้เฒ่าชาวฮ่องกงละล่ำละลักปฏิเสธเสียงสั่น ส่วนคนที่แทบไม่เคยปล่อยให้คนที่ร่วมเตียงเดียวด้วยหลุดมือไปทำหน้างุนงงทันที

“อ้าว ผมก็นึกว่า...ลุงเดวิดเค้า เอ่อ...”

ฆาเบียร์เกาหัวแกร่ก ๆ อย่างกระอักกระอ่วน เขาหันไปหาเจนยุทธเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ก็พบว่าเจนั้นได้ฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะและพยายามกลั้นหัวเราะอย่างสุดกำลัง ส่วนคริสนั้นทำหน้าพิพักพิพ่วน ไอ้เจ้าลูกชายไวไฟของเขานั้นน่าจะมั่นใจแน่นอนว่าเขากับเดวิดคงพุ่งเข้าหากันทันทีที่กลับถึงบ้าน

“พวกอาปาแค่นอนคุยกันจนหลับไปแค่นั้น โอเค๊? พวกเราไม่ใช่หนุ่ม ๆ แล้ว จะให้ทำอะไรแบบนั้นมันก็ ก็...เฮ้อ”

คริสจนด้วยคำพูด เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วมองหน้าไอ้ลูกชายตัวดีด้วยความจนใจ ฆาเบียร์เองก็หน้าแดงฉาน เขารู้สึกละอายใจอย่างสุดแสนที่ได้โพล่งถามแบบนั้นออกไป

“ขอโทษครับ”

หนุ่มละตินพึมพำออกมาเบา ๆ คริสโคลงหัวน้อย ๆ แล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ในที่สุด



“เรานี่น้า...”

คริสยกมือขึ้นโยกหัวที่ก้มต่ำของฆาเบียร์เบา ๆ ด้วยความเอ็นดู คนตัวโตเงยหน้าขึ้นมองพร้อมส่งเสียงถามอ่อย ๆ

“ไม่โกรธผมนะครับ”

“ไม่หรอก อาปารู้ว่าเราถามเพราะเป็นห่วง”

คริสพูดแล้วหัวเราะหึ ๆ เขารู้สึกตกใจและเขินอายมากกว่าที่จะโกรธลูกชายของเขา

“ผมก็ปากไวไปหน่อย ขอโทษจริง ๆ ครับ”

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาเผลอเอานิสัยส่วนตัวของตนและแนวคิดแบบคนตะวันตกไปตัดสินความสัมพันธ์ของคริสและเดวิด

“ไม่เป็นไรหรอก อาปาเองก็ เอ่อ ก็เพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้...”

คริสกัดริมฝีปากน้อย ๆ อย่างชั่งใจ

“อาปายังไม่ได้คุยกับเราเรื่องนี้ให้เป็นกิจจะลักษณะเลยสินะ”

ฆาเบียร์ขยับตัวขึ้นนั่งตัวตรงทันที เจนยุทธเองก็หูผึ่ง หากเมื่อนึกได้เขาก็ยันกายลุกขึ้นทันที



“งั้น ผมขอตัวขึ้นไปนอนก่อนนะครับ เชิญอาปากับฆาบี้คุยกันตามสบายเลยครับ”

“เดี๋ยว เราก็อยู่ฟังด้วยก่อน”

คริสยื่นมือไปรั้งเจนยุทธไว้

“แต่ เอ่อ ผมเป็นคนนอก...”

คนที่ยังคิดว่าตัวเองเป็นคนนอกพูดอ้อมแอ้ม เรื่องนี้ควรเป็นเรื่องที่สมาชิกภายในครอบครัวน้อย ๆ นี้จะคุยกันเอง

“อาปาไม่เคยมองว่าเราเป็นคนนอกนะ ใช่ไหม ฆาบี้?”

คริสหันไปพยักเพยิดกับลูกชายซึ่งผงกหัวรับด้วยความยินดี

“สำหรับอาปา เจก็เหมือนคนในครอบครัว ฉะนั้น นั่งลงซะ!”

เจนยุทธทรุดตัวลงนั่งโดยดีเมื่อได้ยินน้ำเสียงแกมสั่ง เขาหน้าแดงน้อย ๆ เมื่อหันไปเจอสายตาแพรวพรายและรอยยิ้มที่เปื้อนหน้าคนรัก คริสกระแอมเบา ๆ แล้วยกชาคาร์โมมายล์ที่เหลือในถ้วยขึ้นจิบเพื่อไล่ความประหม่า



“อาปาเดาว่าพวกลูกคงพอจะรู้แล้วเรื่อง เอ่อ...เรื่องลุงเดวิด”

คริสชะงักเล็กน้อยก่อนที่จะเอ่ยชื่อคนที่เพิ่งเปลี่ยนสถานะในใจเขาออกมาด้วยใบหน้าแดงซ่าน เจกับฆาเบียร์หันไปสบตากันเล็กน้อยก่อนที่จะพยักหน้า พวกเขาทั้งสองได้คุยเรื่องนี้กันเรียบร้อยแล้วระหว่างนั่งเรือกลับมายังฮ่องกง

“ถ้าอย่างนั้น อาปาก็จะพูดออกมาตรง ๆ เลยแล้วกันนะ...”

ผู้อาวุโสกว่าลอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยความประหม่าก่อนจะพูดต่อ

“อาปากับเขาตัดสินใจว่าจะลองคบหากันดู”

“ยินดีด้วยครับ!”

“ใช่ ๆ ยินดีด้วยครับ อาปา”

คริสที่ไม่กล้าสบตาเด็ก ๆ ของเขาเงยหน้าขึ้นทันทีที่ได้ยินคำพูดที่เปี่ยมด้วยความยินดีของฆาเบียร์และเจนยุทธ



“พวกเราสองคนไม่รังเกียจใช่ไหมที่ เอ่อ…”

“โธ่ อาปาครับ ผมก็คบหาผู้ชายมาตลอดชีวิต จะไปรังเกียจเรื่องนี้ได้ยังไงกัน?”

ฆาเบียร์รีบพูดขัดขึ้นเมื่อได้ยินน้ำเสียงไม่มั่นใจจากคริส หากผู้ที่อาวุโสกว่าสั่นศีรษะ

“อาปาไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น แต่ เอ่อ อาปาแค่กังวลว่าเราจะรังเกียจไหมที่อาปา เอ่อ อายุตั้ง 60 กว่าแล้ว แก่ปูนนี้แล้ว ยังจะมาคิดถึงเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ อีก”

“โธ่ อาปาครับ พวกผมไม่คิดแบบนั้นหรอกครับ”

คราวนี้เป็นเจที่ส่งเสียงปฏิเสธอย่างแข็งขันออกมาโดยมีฆาเบียร์ส่งเสียงสนับสนุน

“เรื่องนี้ไม่ต้องคิดมากเลยครับ ผมกับเจไม่เคยคิดรังเกียจเรื่องนี้เลย ความรักมันเป็นเรื่องของคนทุกวัยนะครับอาปา...”

ฆาเบียร์พูดแล้วหันมาพยักเพยิดกับเจ

“อันที่จริง พวกผมก็รอลุ้นอยู่ด้วยซ้ำว่าอาปาจะยอมบอกพวกผมไหม พวกผมจะได้แสดงความยินดีด้วยอย่างจริง ๆ จัง ๆ สักที...”

คนตัวโตขยับเข้าใกล้พ่อบุญธรรมของเขาและกุมมืออันอบอุ่นซึ่งคอยอุ้มชูเขามาตั้งแต่เล็กไว้

“พวกผมอยากให้อาปารู้ว่าอะไรที่อาปาทำแล้วมีความสุข พวกผมจะไม่ขัดเลยครับ ขอให้บอกมา พวกผมก็พร้อมจะสนับสนุน”

“ใช่ครับ ฉะนั้นอาปาไม่ต้องห่วงนะครับ ผมกับฆาบี้เชียร์อาปาสุดตัวเลย”

เจนยุทธกระโดดพรวดเข้ามาร่วมวงและวางมือของเขาไว้บนมือของคนทั้งสอง คริสยิ้มทั้งที่มีน้ำตาคลอเบ้า เขาบีบมือใหญ่ของลูกชายแน่นและใช้มือข้างที่ว่างโอบร่างเจนยุทธเข้าหาตัว

“ขอบใจทั้งสองคนมากนะ”

คริสขอบใจเด็ก ๆ ของเขาสั้น ๆ ความรู้สึกอึดอัดในอกของเขาสลายไปแล้ว แต่ดูเหมือนฆาเบียร์จะยังมีเรื่องที่อยากพูดออกมา



“เอ่อ อาปาครับ ไหน ๆ เราก็คุยเรื่องนี้กันแล้ว...”

คนตัวโตอึกอักเล็กน้อย เขาไม่มีปัญหาที่อาปาของเขาจะคบหากับใคร แต่ก็ยังมีบางสิ่งที่เขากังวล

“ผมไม่มีปัญหาที่อาปาจะคบหาลุงเดวิด และผมรู้ว่าลุงเขาก็พร้อมที่จะดูแลอาปา แต่มันมีอยู่เรื่องนึง เอ่อ จริง ๆ ก็สองเรื่องที่ผมต้องถาม แต่ผมขอบอกไว้ก่อนว่าคำตอบของอาปาจะไม่มีผลกับเรื่องที่ว่าผมกับเจยินดีที่อาปาคบกับลุงเดวิด...โอเคนะครับ?”

ฆาเบียร์หยุดพูดพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ คริสพยักหน้าน้อย ๆ อย่างเข้าใจ เขายืดกายนั่งตรงแล้วพยักหน้าน้อย ๆ

“เอ้า ถามมา”

หนุ่มละตินหันไปสบตากับเจแว่บหนึ่งแล้วจึงส่งเสียงถามออกไป

“เรื่องที่อาปาจะคบกับลุงเดวิด พวกผมสองคนไม่มีปัญหาก็จริง แต่ทางลุงเดวิดล่ะครับ? เจ้าแฝดนั่นรู้เรื่องแล้วหรือยัง? แล้วพวกเขาว่ายังไงบ้าง?”

ฆาเบียร์ถามถึงสิ่งที่เขากังวลใจ เจเองก็ลอบถอนหายใจเบา ๆ ฆาเบียร์ได้คุยให้เจฟังคร่าว ๆ แล้วว่าลุงเดวิดมีลูกชายฝาแฝดที่เกิดกับภรรยาผู้ล่วงลับ ฆาเบียร์เคยได้พบชายหนุ่มซึ่งอายุน้อยกว่าเขาสี่ปีทั้งสองคนอยู่สองสามครั้ง แม้ทั้งคู่จะดูมีทีท่านอบน้อมและแสดงออกถึงความเคารพอาปาของเขา แต่นั่นก็เพราะอาปาของเขาอยู่ในสถานะ “เพื่อน” ของพ่อ แต่จะเป็นอย่างไรถ้าทั้งสองรู้ว่าอาปาของเขาจะมาอยู่แทนที่แม่ของตน เขาไม่ไว้ใจนักว่าอาปาของเขาจะยังปลอดภัยถ้าเกิดสองหนุ่มที่เป็นทายาทสืบทอดงานของเดวิดเกิดไม่พอใจขึ้นมา



“เรื่องสองคนนั้น ไม่ต้องห่วง เดวิดเขาเรียกอาเสียนกับอาฟางมาคุยกับอาปาแล้ว”

คริสยิ้มละไมเมื่อนึกถึงการพบกันในฐานะใหม่ของเขากับเด็ก ๆ ทั้งสอง เขาเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ลูกชายฟังจนฆาเบียร์คลายสีหน้ากังวลลงบ้าง

“ส่วนอีกเรื่องที่ลูกกังวล ก็คงเป็นเรื่องที่ลูกขอลุงเดวิดไว้ใช่ไหม?”

ฆาเบียร์ที่ทำท่าจะอ้าปากพูดพยักหน้ารับคำ เดวิดคงรายงานให้คริสทราบถึงเรื่องที่เขาขอให้เจ้าตัวดูแลคริสไม่ให้ได้เจอกับอันตรายที่มาจากโลกใต้ดิน

“อาปาก็ได้คุยกับเขาเรื่องนี้แล้วเหมือนกัน...”

คริสยิ้มน้อย ๆ ให้ลูกชาย หากเขาไม่ได้ออกออกไปว่าสิ่งที่เขาได้คุยกับจิวจี๋โหล่วนั้น ไม่ใช่เพียงเรื่องผลกระทบที่อาจจะเกิดกับตัวเขา หากเขายังได้ขอให้เดวิดดูแลเผื่อแผ่ไปจนถึงเด็ก ๆ ของเขาอีกด้วย




(ต่อความเห็นถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- Away Again - ตอนกลาง (ต่อ) ----





“ผมก็ยังอดห่วงไม่ได้”

ฆาเบียร์พูดเสียงอ่อย ๆ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ไว้ใจในอำนาจและความสามารถของเดวิด แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ

“อืมม์ อาปารู้...”

คริสยกมือขึ้นลูบศีรษะลูกชายเบา ๆ

“แต่อาปาก็เตรียมใจและพร้อมที่จะเสี่ยงแล้ว”

พ่อบุญธรรมของฆาเบียร์ยิ้มละไม หลังจากได้พูดคุยและผ่านค่ำคืนอันแสนหวานกับเดวิดมาแล้ว เขาก็ได้คิดว่าเขาจะไม่มีวันแลกความสัมพันธ์นี้กับสิ่งอื่นใดอีก

“...อีกอย่าง เดวิดเขาก็บอกกับอาปาแล้วว่าเขากำลังหาทางวางมือจากเรื่องที่ทำตอนนี้ และอีกไม่นานเราก็คงจะไม่ต้องมาห่วงเรื่องพวกนี้อีก”

“ถ้าเป็นแบบนั้น ผมก็ค่อยเบาใจหน่อย”

ฆาเบียร์ถอนหายใจออกมาเบา ๆ

“สบายใจได้แล้วนะ คุณ”

เจพูดพลางตบไหล่กว้างเบา ๆ ฆาเบียร์หันไปพยักหน้าน้อย ๆ ให้คนรักจากนั้นก็ยันกายลุกขึ้น



“งั้น ผมไม่กวนอาปาแล้วดีกว่าครับ นี่ก็เที่ยงคืนแล้ว”

“อืมม์ ไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้ากันด้วยใช่ไหม?”

คริสส่งยิ้มให้เด็ก ๆ ของเขา

“ครับ ไฟลท์ผมบ่ายก็จริง แต่เรากะจะไปซื้อหมูแดงที่ร้าน Joy Hing ก่อน จะไปรอตั้งแต่ตอนร้านเปิดเลย”

เจนยุทธตอบแทนฆาเบียร์

“อ๋อ ร้านนั้นอร่อยนะ อาปาก็ชอบเหมือนกัน”

“งั้นเดี๋ยวผมจะซื้อฝากฆาบี้มาให้อาปาด้วยนะครับ”

“ก็ได้ แต่ไม่ต้องเยอะนะ เพราะอาปากลับคืนพรุ่งนี้เหมือนกัน”

เจพยักหน้ารับคำแล้วจัดการถามเสร็จสรรพว่าคริสต้องการอะไรเท่าไหร่บ้าง คริสยิ้มน้อย ๆ น้ำใจของเจเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาประทับใจในตัวเด็กคนนี้

“ราตรีสวัสดิ์ครับ อาปา”

เจนยุทธพูดพลางดึงคนรักให้เดินไปกับตน ฆาเบียร์เดินไปก้าวสองก้าวก็ชะงักเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาหันหลังกลับมาและก้าวพรวดเขาไปหาอาปาของเขา



“อาปาครับ…”


เขากระซิบเบา ๆ เป็นภาษากวางตุ้ง

“เอ่อ ถ้าอาปาต้องการคำปรึกษา ‘เรื่องนั้น’ อาปาถามผมได้ตลอดเลยนะครับ”

คริสอึ้งไปครู่ใหญ่ก่อนจะถามกลับอย่างไม่มั่นใจนัก

“เรื่องนั้น คือ?…”

“ครับ เรื่องอย่างต้องเตรียมตัวยังไง ต้องทำอะไรบ้าง เทคนิคอะไรที่จะใช้มัดใจลุงเดวิด หรืออุปกรณ์นั่นนี่ ขาดเหลืออะไรบอกได้นะครับ ผมกับเจจะเตรียมให้อาปาเอง”


ฆาเบียร์ส่งยิ้มหวานและสายตาปรารถนาดีให้กับอาปาของเขาที่นั่งทำหน้าแดงฉาน

“ไปเลย เรา ไปนอนเลย!”

คริสเอ็ดลั่นแล้วโบกมือไล่ลูกชายตัวดี จากนั้นหยิบชิ้นผลไม้ในจานขว้างไล่หลังเมื่อเห็นฆาเบียร์หันกลับมาและทำท่าจะมาวอแวกับเขาอีก เขาโคลงหัวน้อย ๆ เมื่อเห็นลูกชายเผ่นพรวดไปยืนหัวเราะคิกคักกับเจ ฆาเบียร์คงไม่แคล้วไปรายงานให้คนรักรู้ถึงเรื่องที่ได้แกล้งให้เขาประหม่าอีกครั้ง คริสนั่งมองคนหนุ่มทั้งสองเดินจับมือและพูดคุยกันกระหนุงกระหนิงออกจากห้องนั่งเล่นของบ้านไป ท่าทางเปี่ยมด้วยความสุขของฆาเบียร์ทำให้เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ เป็นเวลากว่าสิบปีที่เขาต้องทนเห็นฆาเบียร์ใช้ชีวิตอย่างทุกข์ระทม มันทำให้เขาที่เป็นพ่อปลอม ๆ ปวดใจจนแทบทนไม่ได้ แต่ในเมื่อทุกวันนี้ ลูกชายของเขาได้รอยยิ้มอย่างจริงใจกลับคืนมาแล้ว เขาก็รู้สึกเบาใจและดีใจแทนที่ในที่สุดฆาเบียร์ก็ได้พบกับรักที่ปรารถนามานาน

“เราเองก็คงยอมแพ้สองคนนั้นไม่ได้สินะ”

คริสพึมพำกับตัวเองเบา ๆ นิ้วของเขาไล้กำไลหยกม่วงที่ข้อมือพลางคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวาน

 

“เชิญทางนี้ครับ คุณหว่อง”

ชายร่างใหญ่ในชุดลำลองซึ่งเป็นหนึ่งในทีมอารักขาแบบลับ ๆ ของจิวจี๋โหล่วผายมือเชิญให้คริสเดินเข้าลิฟท์ซึ่งพาพวกเขาลงไปยังชั้นจอดรถใต้ดิน จากนั้นจึงพาคริสเดินไปยังประตูทางออกสู่ลานจอด ที่นั่น รถตู้อัลพาร์ดสีดำหนึ่งจอดติดเครื่องรออยู่ บอดี้การ์ดหนุ่มเปิดประตูให้คริสขึ้นนั่งในห้องโดยสารส่วนตนขึ้นไปนั่งคู่คนขับ

“เดี๋ยวถึงด้านหน้าโรงแรมแล้ว ก้มหลบนิดนึงนะครับ”

คริสพยักหน้ารับคำ รถตู้คันใหญ่แล่นขึ้นมายังประตูทางเข้าด้านหน้าโรงแรมและจอดรอครู่หนึ่ง ไม่นานประตูรถก็ถูกเปิดออก คริสซึ่งนั่งอยู่ที่เบาะหลังสุดก็รีบก้มตัวหลบจากสายตาผู้คน เขาได้ยินเสียงเดวิดกล่าวลากับผู้บริหารโรงแรมคาสิโนแห่งนี้ซึ่งเดินตามมาส่งด้วย

“ขอบคุณนะครับ ไว้โอกาสหน้าผมจะมารบกวนใหม่ ส่วนเรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมจัดการให้”

ร่างเล็กบางของเดวิดก้าวขึ้นนั่งบนเก้าอี้แถวหน้าของห้องโดยสาร เขาแอบสบตาและยิ้มให้คนที่พยายามทำตัวลีบอยู่ที่เบาะหลัง ทันทีที่ประตูรถที่ติดฟิล์มดำสนิทปิดลงและรถเคลื่อนออกจากโรงแรม ผู้เฒ่าร่างเล็กผู้ทรงอิทธิพลก็รีบกุลีกุจอดึง “เพื่อน” ของเขาให้ขึ้นมานั่งเคียงคู่กันทันที

“ขอโทษนะที่ต้องทำแบบนี้ ฉันไม่อยากให้คนเห็นนายนั่งรถออกไปกับฉัน”

เดวิดกล่าวขอโทษขอโพยทันที

“ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ”

คริสยิ้มตอบพลางยกมือขึ้นเกาะกุมมือของอีกฝ่ายไว้ จิวจี๋โหล่วหน้าแดงระเรื่อแต่ก็ไม่ยอมปล่อยมือที่ทำท่าจะชักกลับแต่กับยกมือเรียวของคริสขึ้นแตะกับริมฝีปากตนแล้วพึมพำขึ้นเบา ๆ

“มาถึงตรงนี้แล้ว นายหนีฉันไปไม่ได้แล้วนะ อาซิง”

คราวนี้กลับเป็นพ่อบุญธรรมของฆาเบียร์ที่ต้องหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเองบ้างเพราะไม่แน่ใจว่าคำว่าหนีไม่พ้นของจิวจี๋โหล่วนั้นหมายถึงแค่ไหน

“ไม่ต้องห่วง อาโหล่ว ฉันจะไม่หนีอีกแล้วล่ะ”

คริสส่งยิ้มละไมให้คนตรงหน้าก่อนจะดึงมืออีกฝ่ายกลับมาจรดถึงริมฝีปากตนบ้าง เขาเคยหนีมือคู่นี้ไปเมื่อสิบสองปีก่อน แต่ในวันนี้เขาจะไม่หนีมันไปอีกแล้ว

 

“เอ่อ เข้ามาสิ”

เดวิด จิวส่งเสียงเรียกคริสที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ที่ประตู คริสกัดปากน้อย ๆ ก่อนจะค้อมหัวลงเล็กน้อยเหมือนจะทำความเคารพอะไรบางอย่าง จากนั้นเขาจึงก้าวเข้ามายังในตัวบ้าน

“นายทำอะไรของนายน่ะ?”

เดวิดถามกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นท่าทีน่าขันของ “เพื่อนรัก” ของเขา คริสยิ้มเจื่อน ๆ ก่อนจะตอบออกไป

“ฉันต้องขอเมียนายก่อนเข้าบ้านน่ะ”

คำตอบของคริสทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของจิวจี๋โหล่วจางหายไป เขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะดึงมือของคนในดวงใจมาเกาะกุมไว้

“คิดมากอะไรของนาย? มา เข้ามาเถอะ”

คริสก้าวเท้าเข้าในบ้านที่เขาไม่ได้เข้ามานานถึง 40 ปี แม้จะมาพบหน้าเพื่อน ๆ บ่อยครั้งขึ้นในช่วง10 ปีหลังนี้ หากจิวจี๋โหล่วก็ไม่ปล่อยให้ใครนอกเหนือจากอู่ทินหลงเข้ามายังบ้านอันเปรียบเหมือนป้อมปราการของเขา ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะไม่อยากให้ใครเห็นว่าเพื่อน ๆ เหล่านั้นสนิทกับเขาถึงขั้นเข้านอกออกในบ้านได้ มันเป็นวิธีหนึ่งที่เดวิดใช้ปกป้องเพื่อน ๆ จากภยันอันตรายที่มากับสายงานของเขา ในทีแรกที่คริสออกปากว่าต้องการมานอนค้างที่บ้านหลังนี้ จิวจี๋โหลวก็ยังมีท่าทีลังเล แต่ก็ยอมในที่สุดเมื่อคริสยืนยันหนักแน่นว่าต้องการมา



“นาย เอ่อ อยากจะดื่มอะไรหน่อยไหม? กาแฟ ชา เหล้า?”

เดวิดยืนหันรีหันขวางอยู่กลางบ้าน หลังจากพาคริสเข้ามาในบ้านแล้ว เขาก็นึกไม่ออกว่าควรจะพาเจ้าตัวไปที่ใด บ้านของเขาไม่ได้เปิดต้อนรับใครนอกจากอาหลงและคนที่ทำงานร่วมกันมานานมากแล้ว

“ขอฉันไปไหว้พ่อแม่กับเมียนายก่อนนะ”

คริสหันไปบอกคนข้างกายที่ยังมีทีท่าทำอะไรไม่ถูก เดวิดอึ้งไปแต่ก็พยักหน้าน้อย ๆ แล้วพาคริสเดินผ่านลานกลางบ้านไปยังส่วนหลังของบ้าน คริสลอบกวาดตาสำรวจรอบ ๆ บ้านที่เขาไม่ได้เหยียบย่างเข้ามานาน ในความทรงจำของเขา บ้านตระกูลจิวนั้นมีพื้นที่กว้างขวางโดยแบ่งออกเป็นหลายส่วน ตัวบ้านหลักซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัวจิวเป็นอาคารแบบจีนสูงสองชั้นซึ่งสร้างล้อมลานกลางบ้านขนาดใหญ่ รอบตัวบ้านนั้นมีสวนจีนอันร่มรื่น ถัดออกไปนั้นเป็นกำแพงเตี้ย ๆ ซึ่งกั้นระหว่างเขตที่อยู่อาศัยของเจ้าของบ้านกับเรือนนอนของเหล่าลูกจ้างและโรงฝึก ในอดีต โรงฝึกแห่งนี้เคยเป็นที่เล่นของพวกเขายามที่แวะมาเที่ยวที่บ้านของจิวจี๋โหล่ว เหล่าเด็กชายอันมีอู่ทินหลงผู้ชอบเรื่องบู๊ ๆ มักคะยั้นคะยอให้พ่อของอาโหล่วช่วยฝึกวิชาการต่อสู้ให้ หากคริสซึ่งมีรูปร่างบอบบางกว่าคนอื่นและไม่ค่อยนิยมเรื่องต่อยตีก็มักจะขอเป็นฝ่ายนั่งเชียร์อยู่ข้าง ๆ มากกว่า



“มีอะไรเหรอ? อาซิง”

จิวจี๋โหล่วถามเมื่อเห็นคริสหยุดเดิน

“โรงฝึก...ไม่อยู่แล้วเหรอ?”

คริสหันมาถามคนข้างกาย กำแพงเตี้ย ๆ ที่กั้นระหว่างสวนกับโรงนอนและโรงฝึกถูกแทนที่ด้วยกำแพงสูงตระหง่านซึ่งเต็มไปด้วยกล้องรักษาความปลอดภัยเช่นเดียวกับทางหน้าบ้าน

“เอ่อ ยังอยู่ แต่ เฮ้อ...”

ชายผู้ใช้ชีวิตอยู่ในด้านมืดอึกอัก ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“เอาเป็นว่า มันไม่เหมือนเดิมแล้วก็แล้วกัน”

เขาพึมพำออกมาเบา ๆ โรงฝึกดั้งเดิมของตระกูลกลายเป็นฐานปฏิบัติการของเขาไปแล้ว คริสพยักหน้าน้อย ๆ และไม่ซักถามเพิ่มอีก เขาตั้งใจว่าจะไม่ก้าวล่วงเข้าไปในโลก “ด้านนั้น” ของจิวจี๋โหล่วและจะรอให้ทางนั้นเป็นฝ่ายเปิดปากเล่าเองเมื่อพร้อม เขาสาวเท้าเดินตามอาโหล่วไปในสวนจนถึงสระน้ำขนาดย่อมที่มีต้นหลิวปลูกเรียงรายโดยรอบ กลางสระน้ำมีเรือนไม้ทรงจีนขนาดไม่ใหญ่นักอยู่โดยมีสะพานไม้เชื่อมกับบนฝั่ง แสงสีส้มจากโคมไฟที่ประดับอยู่ในที่เรือนไม้และบนสะพานสะท้อนกับน้ำที่มีระลอกคลื่นน้อย ๆ เพราะแรงลมทำให้เกิดเป็นแสงระยิบระยับ คริสยืนชมภาพความงามนั้นอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเดินตามหลังเจ้าของสถานที่ไป



“เข้ามาสิ”

จิวจี๋โหล่วเปิดประตูเรือนไม้นั้นแล้วกวักมือเรียกคนที่ยืนทำใจอยู่ด้านนอกให้เข้า คริสสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วระบายออกก่อนที่จะก้าวเข้าไปในเรือนไม้น้อย เขาทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าบนเบาะกลมเคียงข้างกับอาโหล่วก่อนที่จะยกมือขึ้นพนม

“อาจิว อาหญิง อาซิงมาหาแล้วครับ”

คริสหรือหว่องซีซิงพูดพึมพำออกมาเบา ๆ ต่อหน้าแท่นบูชาซึ่งมีป้ายไม้สลักชื่อเหล่าบรรพบุรุษและญาติผู้วายชนม์ของจิวจี๋โหล่ว ในบรรดาเพื่อนสนิทของอาโหล่ว เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ได้มาร่วมงานศพของเจ้าบ้านตระกูลจิวซึ่งเสียชีวิตลงระหว่างที่ลูกชายยังหนีหายออกไปจากฮ่องกง ตระกูลจิวจัดงานศพอย่างเรียบง่ายและรวดเร็วโดยที่จิวจี๋โหล่วผู้เป็นลูกนั้นก็ไม่ได้มาร่วมงาน สำหรับคริสแล้ว กว่าที่เขาซึ่งอยู่ที่สหรัฐฯ และกำลังยุ่งอยู่กับบริษัทที่เพิ่งก่อตั้งใหม่จะรู้ งานศพก็ได้ผ่านพ้นไปแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้มีโอกาสเข้ามาที่บ้านตระกูลจิวอีกเลย

“ขอธูปให้ฉันด้วยสิ”

เดวิดซึ่งกำลังจุดธูปส่วนของตัวเองเงยหน้าขึ้นมองอาซิงของเขาแว่บหนึ่ง เขาไม่ได้จุดธูปเผื่ออีกฝ่ายเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นคริสเตียนและไม่ว่าอะไรที่คริสจะทำความเคารพเพียงแค่ค้อมศีรษะให้หรือยกมือไหว้พอเป็นพิธี แต่คริสซึ่งมีปู่ย่าเป็นพุทธนั้นก็ไม่มีปัญหาที่จะทำตามธรรมเนียมของอีกฝ่าย

“ถึงฉันกับพ่อจะเป็นคริสเตียนตามแม่ แต่พวกเราก็ยังไหว้ปู่ย่าแล้วก็บรรพบุรุษคนอื่นตามธรรมเนียมจีนอยู่น่า ฉะนั้นจุดธูปมาให้ฉันด้วย”

คริสพูดยิ้ม ๆ ถึงปู่กับย่าจะไม่สามารถขัดศรัทธาของลูกชายคนเดียวที่พวกท่านเอาใจเหมือนเป็นฮ่องเต้องค์น้อย ๆ ได้ พวกท่านก็ได้ขอคำมั่นสัญญาจากลูกชายไว้ว่าในอนาคตหากพวกท่านจากไปแล้วก็ขอให้มีการจัดพิธีศพและมีการเซ่นไหว้ตามธรรมเนียมพุทธแบบจีนเหมือนเดิม และนั่นคือสิ่งที่คริสสืบทอดจากพ่อและปฏิบัติต่ออย่างไม่มีขาด ไม่ว่าจะอยู่ที่สหรัฐฯ หรือฮ่องกง เขาก็ยังคงทำพิธีเซ่นไหว้ญาติผู้ใหญ่ หรือกระทั่งกลับมาทำความสะอาดฮวงซุ้ยเท่าที่ทำได้



“เอ้า นี่ สามดอกใช่ไหม?”

จิวจี๋โหล่วส่งธูปให้คนข้างกาย คริสรับมาถือไว้ในมือ เขาหลับตาตั้งจิตอธิษฐานถึงผู้วายชนม์สามคนก่อนที่จะอ้าปากพูดออกมาดัง ๆ

“อาจิว อาหญิง ซิงเหมย...”

อาโหล่วหันขวับมามองหน้าคริสเมื่อได้ยินชื่อภรรยาที่ล่วงลับไปแล้วพร้อมทำปากขมุบขมิบถามว่าเขาจะทำอะไร แต่คริสก็ไม่สนใจและพูดต่อ

“ผมมาที่นี่วันนี้ก็เพราะมีเรื่องที่ต้องขออนุญาตพวกคุณ...”

คริสหันมาสบตาคนข้างกายที่ทำหน้าฉงนแล้วจึงหันกลับไปหาแท่นบูชาซึ่งมีป้ายวิญญาณของคนทั้งสามตั้งอยู่



“ผม หว่องซีซิง อยากจะขออนุญาตคบหากับจิวจี๋โหล่ว...”

คนที่ถูกเอ่ยนามเบิกตากว้าง แม้คริสจะมีท่าทียอมรับการสานสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งสอง แต่เขาก็ไม่เคยคิดเลยว่า “เพื่อนรัก” ของเขาคนนี้จะพร้อมเดินหน้าอย่างเต็มตัวขนาดนี้ คริสหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นท่าเหมือนปลาสำลักน้ำของคนข้าง ๆ เขาเปลี่ยนมาถือธูปด้วยมือข้างเดียวและใช้มืออีกข้างที่ว่างทาบทับไปบนหลังมือของคนที่เขาหวังจะฝากหัวใจไว้

“ผมขอสัญญาว่าผมจะให้ความสุขและความรักกับอาโหล่วแบบที่เขาควรได้รับมานานแล้ว”

มือที่เย็นเฉียบและชื้นเหงื่อเพราะความตื่นเต้นภายใต้ฝ่ามือของคริสสั่นเทา หัวใจของชายวัยหกสิบเศษผู้ไม่เคยหวั่นไหวกับภยันอันตรายใดกลับเต้นระรัว

“นาย นาย...”

จิวจี๋โหล่วรู้สึกเหมือนคนเป็นใบ้ ปากของเขาอยากจะเอ่ยคำนับล้านออกไป แต่สมองของเขาเหมือนไม่สามารถคิดหาคำพูดได้ สุดท้ายสิ่งที่เขาทำได้คือทำตามหัวใจ

“อ๊ะ...”

หว่องซีซิงที่เพิ่งปักธูปลงไปในกระถางทองเหลืองอุทานออกมาเมื่อถูกอาโหล่วรวบร่างเข้าไปกอดไว้แน่น

“อาซิง ๆๆ”

คริสยิ้มกว้างออกมาเมื่อได้ยินคนที่ปกติมักควบคุมตัวเองได้ในทุกสถานการณ์พร่ำเรียกชื่อเขาออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขายกมือขึ้นลูบหลังจิวจี๋โหล่วเบา ๆ พร้อมกับปลอบให้เขาใจเย็น ๆ



“เฮ้ ๆ นายทำอะไรของนาย”

คริสร้องลั่นเมื่อคนตรงหน้ายอมปล่อยมือจากเขา แต่กลับยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองฉาดใหญ่ คริสรีบคว้าข้อมือของอาโหล่วไว้เมื่อเขาทำท่าจะตบซ้ำอีกครั้ง เขาโคลงหัวน้อย ๆ แล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีเข้มของเพื่อนอย่างรู้ทัน

“นายไม่ได้ฝันไป จิวจี๋โหล่ว ฉันก็บอกนายตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วไงว่าฉันพร้อมแล้ว...”

นายใหญ่บ้านตระกูลหว่องคว้ามือทั้งสองข้างของคนที่เขาพร้อมฝากกายและใจไว้ขึ้นมาแล้วดึงมาแนบอก เดวิดแทบหยุดหายใจเมื่อฝ่ามือของเขาสัมผัสกับแผงอกของคนด้านหน้า ภายใต้เสื้อเชิร์ตเนื้อบางวง เขารู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงไม่แพ้กับใจของเขา คริสหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นท่าทางไปไม่เป็นของอาโหล่ว

“ให้ตายสิ เมื่อกี้ตอนอยู่ในรถ ใครกันที่ปากเก่งบอกฉันว่าจะไม่ให้ฉันหนีไปไหนอีก หืมม์?”

คริสกระเซ้าคนที่ยังได้แต่นั่งตะลึง เขาหัวเราะเบา ๆ แล้วใช้มือลูบแก้มที่ขึ้นสีเพราะแรงตบของเพื่อนอย่างแผ่วเบา ก่อนที่จะลุกขึ้นยืน

“โอเค ฉันได้พูดเรื่องที่ฉันอยากพูดแล้ว เราไปกันเถอะ”

คริสส่งมือให้จิวจี๋โหล่วแล้วดึงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นยืน ทั้งสองพากันเดินออกจากเรือนบูชาและกลับเข้าไปในตัวบ้านโดยจิวจี๋โหล่วไม่ได้ปล่อยมือของอีกฝ่ายเลย



-------------------------------------------------------------

หายไปนาย แหะ ๆๆ กลับมาแล้วค่า แต่ก็ยังจบตอนไม่ลง เลยตัดสินใจตัดออกเป็นสามท่อนแล้วกัน เพราะตอนนี้เขียนไอ้เจ้าครึ่งหลังนี่ไปได้ประมาณ 2 ใน 3 ก็ทะลุเข้าไปเกือบ 60,000 ตัวอักษรแล้ว ถ้าเขียนจนจบคงอ่านกันตาเหล่ ก็พักไว้ก่อนแล้วกันเนาะ ตอนนี้ไม่มีอะไรมากค่ะ เน้นคนแก่รักกัน แล้วจะไปหวานน้ำตาลขึ้นกันเอาตอนหน้า รอชมนะคะ

สาระวันนี้ ว่าด้วยเรื่องของบัตเลอร์นะคะ ก็ตามที่เขียนไว้ในเรื่อง นับว่าเป็นอาชีพที่คนกำลังให้ความสนใจกันพอสมควรค่ะ

สถาบันสอนบัตเลอร์  International Butler Academy ที่เนเธอแลนด์  http://bit.ly/37Ube0r

สถาบันสอนบัตเลอร์ British Butler Instutute   http://bit.ly/35GJI4V

บทสัมภาษณ์คนที่ทำงานในสายงานนี้ http://bit.ly/30cFcdc

คุณเทรนท์ บัตเลอร์คนดังแห่ง This Is Me, VATANIKA http://bit.ly/2FD2IXA


ว่าด้วยเรื่องของหยก ช่วงนี้คนเขียน follow IG ของร้านหยกร้านหนึ่งอยู่ ก็เลยจะอินหน่อย ๆ เวอร์ไปขออภัยนะคะ

เคล็ดลับการเลือกหยก http://bit.ly/2uH4moP

การเลือกหยก เว็บนี้ก็ละเอียดค่ะ http://bit.ly/2NhOdMR

เรื่องของหยก http://bit.ly/2QLvI5I

Circle of Heaven กำไลหยกที่แพงที่สุดในโลก สวยจริงค่ะ http://bit.ly/2tMrmlP

ส่วนกำไลของอาปา ได้วงนี้เป็น reference ค่ะ http://bit.ly/2RlGMpt

10 อันดับกำไลหยกที่แพงที่สุดในโลก สวยทุกชิ้นค่ะ http://bit.ly/30kwLfX


ตอนหน้าไม่ต้องรอนานขนาดนี้แล้วค่ะเพราะเขียนไปได้ส่วนหนึ่งแล้ว จะรีบมาให้เร็วที่สุดค่ะ ไว้เจอกันค่ะ




ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
อาปามีความสุขแล้ว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด