@@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - มื้อค่ำพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ (5/1/64)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: @@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - มื้อค่ำพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ (5/1/64)  (อ่าน 115109 ครั้ง)

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- One Fine Day (ต่อ) ----




"ผมชอบพระกระโดดกำแพงเวอร์ชั่นของคุณนะ กินกี่ทีก็ชอบ"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เมนูหนึ่งซึ่งเป็น signature ของเชฟผู้นี้คือการนำเอาอาหารคลาสสิคอย่างพระกระโดดกำแพงอันเลื่องชื่อมาเปลี่ยนโฉมใหม่ อาเหลียงแยกน้ำซุปที่ได้จากการตุ๋นสุดยอดวัตถุดิบจีนกว่าสิบชนิดเป็นเวลากว่า 12 ชั่วโมงออกมาแล้วนำมันใส่ลงในเปลือกเจลาตินใสทรงหยดน้ำ ส่วนเนื้อสัตว์และเครื่องทั้งหลายที่ถูกตุ๋นจนนิ่มและสารอาหารได้ละลายออกไปอยู่ในน้ำเกือบหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกังป๋วย กระเพาะปลาสด หอยเป๋าฮื้อ ไก่ดำ ปลิงทะเลและเห็ดหอม เชฟเฉินก็ได้จับมาสับเป็นชิ้นเล็กละเอียดและยัดไว้ในเยื่อไผ่สองสามชิ้นและปิดหัวท้ายไว้ ส่วนวัตถุดิบบางอย่างที่น่าจะนำมาทอดหรืออบกรอบได้อย่างเช่นโสม เม็ดเก๋ากี้ เขากวางอ่อนตุ๋นหั่นบาง แฮมยูนนานและถังเช่า อาเหลียงก็จัดการทำให้กรอบและจัดวางไว้ให้หยิบเคี้ยวเล่นได้

"ผมก็ชอบนะฆาบี้ มันได้รสสัมผัสที่หลากหลายดี ส่วนเยื่อไผ่ยัดไส้นั้นก็อร๊อย อร่อย ตอนแรกผมนึกว่ารสจะตีกัน แต่ก็ไม่เพราะว่ากลิ่นรสของเครื่องยาจีนมันช่วยผสานให้เข้ากันได้หมด แถมพอสับวัตถุดิบพวกนั้นจนละเอียดแบบนี้ก็กินง่ายดีด้วย น้ำซุปก็เลิศ กินแล้วรู้สึกเหมือนจะแข็งแรงขึ้นเลยครับ ส่วนไอ้ที่อยู่ในหม้อนั่นก็สุดยอดจะอร่อย ผมพูดไม่ออกจริงๆ "

เจพูดอย่างจริงใจ นอกเหนือจากอาหารซึ่งรังสรรค์ขึ้นมาใหม่ในจานแล้ว อาเหลียงยังได้นำพระกระโดดกำแพงเวอร์ชั่นดั้งเดิมใส่หม้อดินเผาใบน้อยมาวางให้แต่ละคนอีกด้วย เจถึงกับอึ้งเมื่อเห็นส่วนผสมเลอค่าในหม้อน้อยๆ นั้นที่มีครบทุกอย่างที่ควรจะมีนอกเหนือจากหูฉลามซึ่งเชฟเฉินไม่ได้ใส่ลงไปเพราะรู้ว่าคริสและฆาเบียร์เลี่ยงที่จะกินมัน



"อาปาชอบหมี่ฮกเกี้ยนผัดเนื้อนะ ตอนแรกเห็นสีออกเหลืองๆ ก็นึกว่าเป็นผัดใส่ซอสสะเต๊ะแบบที่เชฟฮ่องกงชอบทำกัน แต่ที่ไหนได้ กลายเป็นซอสมัสมั่นแบบไทย อร่อยจริงๆ "

คริสหัวเราะเบาๆ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างซึ่งเชฟผู้นี้รังสรรค์ขึ้นโดยสอดแทรกรสชาติของอาหารไทยเข้าไปอย่างลงตัว ส่วนอาหารจานอื่นที่มีทั้งอาหารดั้งเดิมที่เสิร์ฟเหมือนอาหารฝรั่งเศสได้อย่างกระเพาะปลาสดและผักกาดขาวน้ำแดง เชฟคัดผักกาดขาวปลีหัวน้อยขนาดพอดีสำหรับกินสองคน นำมาตุ๋นจนนิ่มทั้งหัว จากนั้นหั่นครึ่งตามยาว จัดวางมันลงในจานเคียงข้างกับกระเพาะปลาสดตุ๋นและราดน้ำแดงลงไปพอขลุกขลิก เขานำแฮมยูนนานที่สไลซ์จนบางไปทอดกรอบ จากนั้นนำมาบี้โรยหน้าเหมือนกับเบคอนกรอบ เจซดน้ำในจานนี้จนเกลี้ยงไม่เหลือสักหยด หรือจานที่นำเอาวัตถุดิบที่มักใช้ในอาหารตะวันตกอย่างเนื้อสันในของกวางไปหมักกับเครื่องเทศแบบจีน จากนั้นนำมาปรุงต่อหน้าพวกเขาโดยการย่างกะทะพอสะดุ้ง เมื่อเนื้อกวางเกือบได้ที่แล้ว เชฟก็ราดเหล้าเหมาไถลงไปเพื่อ flambe มันจนผิวด้านนอกเกรียมสวย เขาหั่นเนื้อกวางชิ้นโตนั้นเสิร์ฟพร้อมกับรากบัวและผักต่างๆ ผัดซอสน้ำส้มสายชูดำ

"วันนี้ผมอิ่มแบบโคตรอิ่มเลยครับ ตอนแรกว่าจะขอข้ามไม่กินของหวานแล้ว แต่พอเห็นแล้วก็อดกินไม่ได้"

เจนยุทธค่อยๆ ขยับกายขึ้นนั่งตัวตรง อาการแน่นท้องของเขาดีขึ้นมากหลังจากดื่มเหล้าช่วยย่อย แต่เขาก็ยังรู้สึกอิ่มมากอยู่ดี สาเหตุที่ทำให้เจต้องนั่งนิ่งๆ เหมือนงูหลามหลังกลืนเหยื่อตัวใหญ่ลงไปนั้นก็เพราะเชฟเสิร์ฟอาหารให้เขามากกว่าคนอื่นถึงเท่าตัว ติ่มซำที่มา 6 ชิ้นนั้น เชฟได้เพิ่มให้เขาเป็น 12 ชิ้น ส่วนหมี่ผัด เนื้อกวาง หรือจานอื่นๆ เชฟก็ตักให้เจมากกว่าผู้ร่วมโต๊ะ ยกเว้นพระกระโดดกำแพงที่เขาได้ปริมาณเท่ากับคนอื่น หลังจากจบของคาวทั้ง 9 คอร์สแล้ว เจก็แทบฟุบนอนลงกับโต๊ะ หากเมื่อเขาเห็นของหวานในถ้วยที่เชฟเฉินยกออกมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะกินมันเข้าไปอีก



"ถ้าจะบอกว่าผมตกใจกับพายต้มยำแล้ว ไอ้เจ้าของหวานนี่ก็ยิ่งทำให้ผมประหลาดใจมากเลยครับ"

เจนยุทธพูดด้วยตาเป็นประกาย ความประหลาดใจแรกของเขาคือเมื่อเห็นของหวานในถ้วย แป้งปั้นลูกกลมๆ สี่ลูกในถ้วยนั้นเหมือนกับบัวลอยไส้งาดำแบบจีนไม่มีผิด หากแทนที่จะลอยมาในน้ำขิง มันกลับลอยมาในน้ำกะทิซึ่งหอมกลิ่นควันเทียนน้อยๆ แบบไทยซึ่งแฝงความเป็นอาหารจีนไว้โดยการใส่รังนกตุ๋นลงไปด้วย

"ตอนแรกผมก็งงๆ ว่าทำไมมันถึงผสมกันมาแบบนั้นได้ แต่พอกัดตัวบัวลอยเข้าไปเท่านั้นแหละ โอ้โห! ..."

เชฟเฉินยิ้มแป้นเมื่อเห็นแววตาตื่นเต้นของเจนยุทธ มันไม่เสียแรงที่เขาตั้งใจรังสรรค์ขนมชนิดนี้มาเพื่อหนุ่มไทยคนนี้โดยเฉพาะ

"...ใครจะไปนึกว่าข้างในบัวลอยมันจะกลายเป็นข้าวเหนียวมะม่วงไปได้ ผมเซอไพรส์จริงๆ "

เจพูดอย่างตื่นเต้นพร้อมกับยกมือถือขึ้นมาดูรูปที่ตัวเองถ่ายไว้เมื่อครู่อีกครั้ง บัวลอยลูกโตในน้ำกะทินั้นอัดแน่นไปด้วยรสชาติของข้าวเหนียวมะม่วง แป้งด้านนอกของทั้ง 4 ลูกในถ้วยนั้นทำจากข้าวเหนียวพันธุ์ญี่ปุ่นที่นำมามูนกับน้ำกะทิ จากนั้นนำไปตำละเอียดจนกลายเป็นเหมือนแป้งโมจิ ขั้นตอนต่อไปคือทำไส้บัวลอยโดยแบ่งออกเป็นสองไส้ ไส้แรกนั้นเป็นมูสมะม่วงเนื้อเนียนที่บีบใส่พิมพ์ทรงกลมเล็กไว้ ตรงกลางก้อนมูสนั้นคือเยลลี่มะม่วงรสชาติเข้มข้น อีกไส้หนึ่งนั้นเป็นมูสรสกะทิผสมเม็ดข้าวเหนียวมูนและถั่วทองทอดกรอบ จากนั้นก็นำแป้งโมจิที่ทำไว้มาห่อไส้ทั้งสองจนเป็นเหมือนไดฟุกุและนำมาลอยในน้ำกะทิตอนเสิร์ฟ



"อาปาก็งงไปเหมือนกันตอนกัดเจอมูสกะทิกับเม็ดข้าวเหนียว..."

คริสพูดยิ้มๆ และหันไปคุยกับเชฟคู่ใจ

"...แต่ฉันว่านายคงไม่ใช่คนทำขนมถ้วยนี้ใช่ไหม? "

เชฟเฉินหัวเราะเบาๆ และค้อมหัวรับ

"ครับ อองเดรเขาเป็นคนจัดการทำขนมรวมถึง petit fours ที่เสิร์ฟหลังอาหารให้ครับ"

"เหรอ? แล้วนี่ลูกนายไปไหนแล้วล่ะ? ไม่เรียกเขามาแนะนำให้เจได้รู้จักหน่อยเหรอ? "

คริสถามพร้อมกับหันไปอธิบายให้เจนยุทธฟังว่าอองเดรคือลูกชายคนเดียวของเชฟ เขาทำงานเป็นเชฟขนมของโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งในฮ่องกงและยังทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของพ่อยามที่เชฟเฉินเปิด chef's table ของเขา

"ลูกผมแวะมาเตรียมขนมนี้ให้ตั้งแต่ตอนบ่ายแล้วครับ เขาก็อยากอยู่เจอคุณชายเหมือนกันแต่พอดีว่าซาบีนเขามา อองเดรเลยต้องไปกินข้าวเย็นด้วย"

"อ้อ แล้วเมียเก่านายเขาสบายดีเหรอ? ยังทำงานอยู่ที่ภูเก็ตอยู่หรือเปล่า? "

"ย้ายแล้วครับ ตอนนี้เขากลับไปอยู่ปารีสแล้ว ก็เลยไม่ได้มาหาบ่อยนัก แต่มาทีก็มายาวเลย นี่เขาก็ชวนผมให้ไปกินข้าวด้วยกันอยู่ แต่ผมก็บอกว่าต้องรอให้ว่างจากทางนี้ก่อน"

เชฟเฉินยิ้มน้อยๆ เมื่อพูดถึงอดีตภรรยาซึ่งแยกทางกันด้วยดีตั้งแต่ตอนที่ลูกชายของเขายังเล็ก



"พวกนายนี่ก็แปลกดีนะ ซาบีนเขามาทีนายก็ยังเทคแคร์เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่ แล้วนี่ไม่คิดที่จะกลับไปใช้ชีวิตด้วยกันอีกสักครั้งเหรอ? "

คริสถามด้วยความสงสัย หากเชฟวัยเกือบเจ็ดสิบผู้นี้ส่ายหน้า

"ผมกับเขาในตอนนี้เหมือนเป็นเพื่อนกันมากกว่าครับ อีกอย่างเขาก็มีคนรักใหม่นานแล้ว ถึงจะไม่ได้แต่งงานแต่งการกันเป็นเรื่องเป็นราวแต่ก็อยู่กินกันมาหลายปีแล้ว"

เชฟเฉินยิ้มบางๆ

"แล้วคุณไม่คิดจะแต่งงานใหม่มั่งเหรอครับ ผมเห็นคุณออกจะเนื้อหอมมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว"

ฆาเบียร์แซวเชฟซึ่งเขารู้จักและรู้สึกถูกชะตาด้วยมาตั้งแต่ครั้งแรกที่อาปาพาเขาและครอบครัวมาเที่ยวฮ่องกงเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว

"โอ๊ย ไม่แล้วครับ ผมอยู่คนเดียวแบบนี้จนชิน สาวๆ พวกนั้นเข้ามาแล้วก็ไป ไม่มีใครที่คบกันแล้วคลิกจนรู้สึกว่าอยากใช้ชีวิตด้วยกันเลยครับ"

เชฟเฉินอี้เหลียงหัวเราะเบาๆ ตัวเขาซึ่งเป็นอดีตเชฟดังของห้องอาหารมีดาวนั้นไม่เคยขาดผู้หญิง หากหลังจากหย่าขาดกับภรรยาไปเมื่อเกือบสามสิบปีที่แล้วเขาก็ไม่เคยคิดต้องการที่จะสานสัมพันธ์แบบจริงจังกับสาวไหนอีก



"ก็นายมันบ้างานเกิน สุดท้ายสาวๆ เขาก็ทนไม่ได้หรอก พักผ่อนแล้วไปใช้ชีวิตบ้างเถอะ อย่างวันนี้ที่จริงถ้านายบอกมาก่อนว่าเมียเก่านายมา ฉันก็คงไม่ให้นายขึ้นมาทำอาหารให้หรอก"

คริสบ่นเชฟของเขาเบาๆ แม้จะมีตำแหน่งเป็นเชฟใหญ่ประจำบ้านตระกูลหว่อง หากคริสก็เคยบอกกับเชฟอาวุโสคนนี้แล้วว่าเขาไม่จำเป็นต้องขึ้นมาทำอาหารให้เขาที่บ้านนี้ทุกมื้อ แต่เชฟซึ่งเคยเป็นเด็กในบ้านนี้ก็ไม่เคยทำตามและมักจะขึ้นมาประจำอยู่บนบ้านนี้ตลอดเวลาที่คริสมาฮ่องกง

"ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับคุณชาย ซาบีนเขาอยู่อีกหลายวัน อีกอย่างเขาก็เข้าใจดีอยู่แล้วว่าผมต้องให้ความสำคัญคุณชาย เอ้อ บ้านของคุณชายก่อน"

"เฮ้อ นายมันก็เป็นซะแบบนี้มาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว เอาเถอะๆ อยากทำอะไรก็ทำไป แต่ก็อย่าฝืนตัวเองมากไปแล้วกัน"

คริสโคลงหัวน้อยๆ อย่างระอา จากนั้นเรียกบัทเลอร์ส่วนตัวของเขามากระซิบสั่งอะไรบางอย่าง



"เดี๋ยวฉันมีอะไรให้ชิม รอหน่อยนะ"

คริสหันกลับมาพูดกับทุกคน เควินเดินหายไปครู่หนึ่งและเดินกลับมาพร้อมถาดที่มีขวดคริสตัลและแก้ว 4 ใบ

"อย่าพึ่งไปไหน อาเหลียง ดื่มด้วยกันหน่อย"

คริสหันไปพยักเพยิดกับเชฟเฉินที่ทำท่าจะขอตัวลุกไป เขาเปิดขวดคริสตัลที่เขาแบ่งซิงเกิลมอลท์วิสกี้แบรนด์ดังมาใส่ไว้ จากนั้นเทมันลงในแก้วคริสตัลใบเตี้ยและส่งให้ทุกคน

"หอมดีนะครับ อาปา วันนี้เอาของแปลกอะไรมาให้พวกผมชิมอีกล่ะ? "

ฆาเบียร์ดมเหล้าในแก้วแล้วทักขึ้น เขาเดาได้จากกลิ่นหอมจรุงว่ามันไม่ใช่เหล้าพื้นๆ แน่นอน อีกข้อหนึ่งที่ทำให้เขาเดาได้คือการที่อาปาของเขาให้เควินแบ่งเหล้านั้นใส่ขวดคริสตัลมา เมื่อครั้งยังที่เขายังอาศัยอยู่กับอาปาที่พาโล อัลโต ยามครึ้มอกครึ้มใจ คริสมักจะเปิดเหล้าหายากที่เขาสะสมไว้และแบ่งมันใส่ขวดคริสตัลมา จากนั้นก็จะรินให้เขาชิมและทายว่ามันคืออะไร วันนี้อาปาของเขาก็คงทำเช่นเดียวกัน



"ดื่มสิแล้วลองดูว่าจะทายได้ไหม"

คริสพูดยิ้มๆ และยกแก้วในมือขึ้นจิบ อีกสามคนที่เหลือทำตาม

"เอ้า ว่าไง เจ ทายได้ไหม? "

คริสหันไปถามคนรักของลูกชาย เจหัวเราะแหะๆ แล้วตอบเสียงอ่อยๆ

"เอ่อ วิสกี้ครับ"

ผู้เฒ่าชาวฮ่องกงทั้งสองอดหัวเราะคำตอบซื่อๆ ของเจนยุทธไม่ได้ ฆาเบียร์เองก็ยิ้มกว้าง เขาโอบไหล่และหอมเรือนผมของคนซึ่งนั่งหน้าแดงด้วยความเขินอายอย่างเอ็นดู

"ตอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอกเจ เหล้าแต่ละขวดของอาปาน่ะของหาชิมยากทั้งนั้น ไม่รู้ก็ไม่แปลกหรอก"

"ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกันครับ คุณเจ"

เชฟเฉินหันไปบอกชายหนุ่มที่เขาถูกชะตาด้วยมากคนนี้

"ใช่ ตอบไม่ได้ อาปาก็ไม่ว่าหรอกเจ แต่สำหรับเราน่ะฆาบี้ ถ้าตอบไม่ได้อาปาจะให้เราซื้อมาคืนทั้งขวดนะ"

คริสพูดกลั้วหัวเราะ ฆาเบียร์ทำตาเหลือก

"โอ๊ย อาปาครับ เล่นงี้ผมก็แย่สิ เหล้าแต่ล่ะขวดของอาปานี่หลายหมื่นทั้งนั้น เอ่อ หมื่นยูเอสดอลลาร์นะ"

ฆาเบียร์หันไปบ่นกับคนรักทำให้เจทำตาโตด้วยความตกใจไปอีกคน



"ว่าไง ตอบได้ไหม? ใบ้ให้ว่าเราเคยชิมมาแล้วนะ ขวดนี้"

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วทำท่าเอนกายพิงพนักโซฟาอย่างหมดแรง เขาหันไปส่ายหัวกับเจเบาๆ

"ไม่ไหวล่ะ เจ ฉันคงต้องจนลงอีกเป็นหมื่นแน่ๆ นายคงต้องเลี้ยงฉันจริงๆ แล้วล่ะ"

คนตัวโตทำท่าออดอ้อนคนรักหากเจย่นจมูกให้ทันควัน

"ไม่ต้องเลยครับคุณ แค่นี้ขนหน้าแข้งคุณไม่ร่วงหรอก เอ้า รีบๆ ทายได้แล้ว เตรียมสมุดเช็คไว้ด้วยนะครับ"

"ชิ ไม่คิดว่าฉันจะตอบถูกมั่งเหรอ? "

ฆาเบียร์จิ๊ปากอย่างขัดใจและทำหน้ามุ่ยเมื่อเห็นคนรักส่ายหัวระรัว เขาหันไปหยิบแก้วใบสวยที่ยังเหลือน้ำสีอำพันเข้มอยู่ขึ้นมาจิบและกลั้วในปากเล็กน้อย



"เอ้า ว่าไง พร้อมจ่ายเงินให้อาปาหรือยัง? "

คริสถามยิ้มๆ ฆาเบียร์ก้มหน้าครุ่นคิดนิดหนึ่งแล้วจึงตอบออกมา

"ผมไม่แน่ใจนักหรอกนะครับว่าจะตอบถูกเป๊ะไหม แต่ที่แน่ใจอย่างหนึ่งคือน่าจะเป็นยี่ห้อ Mccallan..."

เมียตัวโตของเจหยุดนิดหนึ่งเพื่อดูปฏิกิริยาของคริส หากก็ต้องเซ็งเพราะอาปาของเขายังคงหน้านิ่งสมกับเป็นเซียนโป๊กเกอร์เช่นเคย

"โอเคๆ ใช่แล้ว เป็นแมคคัลแลน ว่าแต่ปีไหน รุ่นไหนล่ะ? ทายได้หรือเปล่า? "

คริสหัวเราะเบาๆ แล้วเฉลยกึ่งหนึ่งเมื่อเห็นฆาเบียร์ทำท่าจะไม่ยอมทายต่อ

"...เฮ้อ จะหยวนๆ ให้เพราะผมทายยี่ห้อถูกแล้วก็ไม่ได้ งั้นผมขอตอบเลยแล้วกัน จากกลิ่นของเหล้า sherry ที่อวลอยู่ในช่วงแรกและกลิ่นควันไฟ ทำให้รู้ว่ามันเป็นรุ่นที่ถูกหมักอยู่ในถังไม้ที่เคยใช้ทำเหล้า sherry ส่วนความหนักแน่นของรสชาติและตะกอนที่มีลอยอยู่เล็กน้อยทำให้รู้ว่าถูกหมักอยู่นาน ผมขอเดาว่าเป็น Mccallan 30 ปี รุ่น sherry oak ถูกไหมครับ? "

ฆาเบียร์ตอบด้วยรอยยิ้มมั่นใจ หากเขาก็ต้องหุบยิ้มเมื่อเห็นคริสโคลงหัวน้อยๆ

"ให้ตายสิ นึกว่าจะได้กินเงินเราแล้วเชียว..."

คนตัวโตระบายลมหายใจออกอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินอาปาของเขาบ่นเบาๆ เจเองก็อดโล่งใจไม่ได้ ถึงปากเขาจะพูดปาวๆ ว่าอยากให้ฆาเบียร์ทายผิด แต่เขาก็แอบลุ้นจนตัวโก่งเช่นกัน



"คุณชายครับ ผมพอแล้วดีกว่า เหล้าดีๆ แบบนี้ คุณชายเก็บเอาไว้ดื่มในครอบครัวเถอะครับ"

อาเหลียงซึ่งยังคงเรียกคริสว่าคุณชายตามความเคยชินรีบเอามือปิดปากแก้วไว้เมื่อคริสทำท่าจะรินเหล้าลงในแก้วของเขาเพิ่ม

"เฮ้ ไม่ต้องเกรงใจไปน่า ฉันมีอีกหลายขวด อีกอย่างนายก็อยู่กับบ้านฉันมานานจนเป็นเหมือนคนในครอบครัวฉันอยู่แล้ว ไม่ต้องคิดมากหรอก"

คริสดึงแก้วออกมาจากใต้มือของเชฟเฉินและเทเหล้าลงในแก้วและส่งคืนให้ เฉินอี้เหลียงเอ่ยคำขอบคุณเบาๆ แล้วรับมาพร้อมทั้งน้ำตาที่เอ่อคลอเบ้า

"เอ้าๆ มาเล่นบทเจ้าน้ำตาอะไรกัน วันนี้เป็นวันดี ต้องยิ้มแย้มแจ่มใสกันหน่อยสิ มาๆ ชนแก้วกันหน่อย"

อาปาของฆาเบียร์หัวเราะร่วนและยกแก้วในมือขึ้นชู ฆาเบียร์และเจมองหน้ากันอย่างงงๆ

"เอ่อ อาปาครับ ที่อาปาบอกว่าวันดีนี่...? "

เจนยุทธถามอย่างสงสัย

"อ้าว นี่เจลืมแล้วเหรอ? วันนี้เป็นวันครบรอบปีที่พวกลูกสองคนพบกันครั้งแรกใช่ไหมล่ะ? หรือว่าอาปาจำผิด? "

ฆาเบียร์อุทานเบาๆ แล้วก็ต้องอดหน้าแดงซ่านขึ้นมาไม่ได้เมื่อนึกถึงว่านอกจากจะเป็นการเจอกันครั้งแรกแล้ว มันยังเป็นครั้งแรกที่เขาและเจมีสัมพันธ์กัน แม้มันจะไม่ได้เกิดขึ้นอย่างที่เขาต้องการก็ตาม



"จะยิ้มอะไรนักหนา ฮึ? "

ฆาเบียร์บ่นออกมาเบาๆ เมื่อหันไปเจอรอยยิ้มอันแสนยียวนของคนรัก เจหัวเราะคิกแล้วหอมแก้มเมียตัวโตของเขาฟอดใหญ่เมื่อเห็นว่าคริสไม่ได้มองมาเพราะกำลังคุยกับเชฟเฉิน

"งั้นคืนนี้เราจะมารำลึกอดีตกันใช่ไหมครับ ฆาบี้ ยันเช้าเลยดีมะ? "

เจนยุทธกระซิบเบาๆ หากก็ต้องทำหน้านิ่วเมื่อรู้สึกเสียดท้องขึ้นมาอีก

"หึ ทำเป็นปากดีนะเจ พอถึงเวลาอย่ามาบ่นแล้วกันว่าอิ่มเกิน ไม่ไหว"

คนตัวโตหัวเราะหึๆ ดูจากปริมาณอาหารที่เจกินเข้าไปแล้ว เขาไม่แน่ใจว่าคืนนี้เจจะทำอะไรเขาตามที่อวดอ้างไว้ไหว

"น่าๆ จิ๊บๆ เดี๋ยวจิบ fernet-blanca อีกซักช็อตสองช็อตก็สบายๆ แล้ว ว่าแต่คุณเหอะ ฆาบี้ ไหวไหม? "

เจพูดพลางใช้มือแตะบั้นเอวและสะโพกคนรักเป็นเชิงถาม ฆาเบียร์แยกเขี้ยวให้คนรักที่ทำท่าเป็นห่วงเป็นใยสังขารของเขา

"ไหวน่า เดี๋ยวขอฉันจิบเหล้าอาปาอีกซักสองสามแก้วก่อนแล้วฉันจะสอนให้นายได้รู้ฤทธิ์คนแก่นะ เจนยุทธ"

"หึๆ ก็มาดิคร้าบ กลัวที่ไหน"

เจนยุทธหัวเราะเบาๆ พลางยักคิ้วด้วยทีท่าที่ฆาเบียร์คิดว่าน่าหมั่นไส้ที่สุดจนเขาอดไม่ได้ต้องใช้นิ้วเคาะหน้าผากเจ้าตัวดีของเขาหนึ่งโป๊ก



"เจ็บอ่า..."

เจทำหน้ายู่ยี่พลางลูบหน้าผากนวลเนียนของเขา ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ แล้วโอบไหล่คนรักและดึงเข้าหากาย

"คุณอ่ะ ทำอะไรประเจิดประเจ้อ อายอาปากับเชฟเฉินมั่ง"

เจบ่นอุบอิบเมื่อถูกคนรักจูบหนักๆ เข้าที่หน้าผาก เขาดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงที่โอบเขาแน่น คริสหัวเราะร่าเมื่อเห็นเด็กๆ ของเขาแสดงความรักกัน

"ไม่ต้องเขินอาปาหรอก ตามสบายเลย เอ้า อาเหลียง เรามานั่งดื่มกันสองคนตามประสาคนแก่ดีกว่า ปล่อยหนุ่มๆ เขาพลอดรักกันไป"

คริสโน้มกายยกขวดคริสตัลซึ่งบรรจุเหล้าราคากว่าสองแสนบาทขึ้นแล้วเทมันใส่แก้วของเชฟซึ่งเป็นเหมือนเพื่อนเล่นของเขาในวัยเด็ก อาเหลียงรีบยกแก้วของตนขึ้นรับพร้อมกับกล่าวขอบคุณเบาๆ ในลำคอ คริสยิ้มบางๆ และค้อมหัวรับ เขาหันไปเทเหล้าใส่แก้วให้เด็กๆ ของเขาที่ยังทำท่าโอ้โลมปฏิโลมกันอยู่

"แด่มิตรภาพ..."

อาปาของฆาเบียร์ยกแก้วของเขาขึ้นชนกับแก้วของอาเหลียง เชฟผู้เฒ่าลอบปาดน้ำตาที่รื้นขึ้นมาน้อยๆ อีกครั้งก่อนที่จะยกแก้วของเขาขึ้นจิบ ฆาเบียร์เองก็ชนแก้วกับคนรักของเขาเบาๆ พวกเขาทั้งสี่คนนั่งพูดคุยกันต่ออย่างสนุกสนานจนวันอันแสนรื่นรมย์นี้ล่วงเลยเข้ายามดึกจึงได้แยกย้ายกันเพื่อไปพักผ่อนตามอัธยาศัย




--------------------------------------------


ต้องขออภัยจริงๆ ที่ตอนนี้ทิ้งช่วงไปนาน ช่วงที่แล้วติดภารกิจในที่ทำงานบางประการ บวกกับอากาศร้อนผ่าวๆ ทำให้หัวไม่ค่อยแล่นเลยเขียนออกมาได้ช้าค่ะ แต่ว่าตอนนี้กลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้วและจะพยายามปั่นงานออกมาให้ได้เร็วกว่านี้ค่ะ


ตอนนี้เน้นเม้ากับกิน แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าอาหารของเชฟเฉินนี่อิฉันมั่วขึ้นล้วนๆ นะคะ ทำได้จริงกินได้จริงหรือเปล่าไม่รู้ พยายามไปหาอาหารจีนแบบล้ำๆ ในเน็ตดูก็ยากเหลือเกิน ฮือออออ โดยส่วนตัวแล้วเคยกินอาหารจีนเป็นคอร์สสวยๆ แบบนี้ครั้งเดียวคือเป็นเชฟแดเนียล เชฟมีดาวจากแชงกรีล่า ฮ่องกงมาจัดอีเวนท์ที่รร. แชงกรีล่า เชียงใหม่ค่ะ แต่ก็ยังไม่ใช่เป็นแบบล้ำสมัยแบบร้านที่พูดถึงในเรื่องนะคะ






ส่วนร้านอาหารที่พูดถึงในเรื่องได้แก่ Bo Innovation นั้นเป็นหนึ่งในร้านอาหารสามดาวที่มีอยู่ 7 แห่งในฮ่องกง แนวอาหารก็เป็นตามที่บอกในเรื่องค่ะ ตอนแรกเคยคิดว่าอยากกิน แต่นึกไปนึกมา ไปลองของไทยก่อนดีกว่า

เว็บไซต์ของร้านค่ะ http://bit.ly/2WtdN41

รีวิวในพันทิป http://bit.ly/2VsyZeo


ส่วนอีกร้านที่พูดถึงคือ Gaggan ร้านอาหารอินเดียแนวล้ำสมัยที่ว่ากันว่าดีที่สุดในเอเชียร้านหนึ่ง แต่น่าเสียดายว่าในเดือนมิถุนายนหน้า ร้านนี้ก็จะปิดตัวลงแล้วและย้ายไปเปิดที่ญี่ปุ่นแทนค่ะ

Gaggan http://bit.ly/2LunAG0

อีกรีวิวค่ะ http://bit.ly/2H6UF6W


อีกอย่างที่ได้พูดถึงในตอนนี้คือเพลง Twinkle Little Star หรือ Ah, Vous Dijai-je, Maman ค่ะ ก็ตามที่เขียนไว้ค่ะ เป็นเพลงที่เกิดจากการเอาทำนองและเนื้อร้องจากคนละแหล่งมาผสมกันตามนี้ค่ะ

ว่าด้วย Twinkle Little Star http://bit.ly/2Lu0Kyv


เพลง Ah, Vous Dijai-Je, Maman เวอร์ชั่นโมสาร์ทจากเรื่อง Nodame Cantabile ค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=jt7W9TU7OS8



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- ไม่อาจหลับตา ----




"อย่าเพิ่งซนครับ ที่รัก ขอผมเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เรียบร้อยก่อน"

เจรีบดันคนรักที่เข้ามานัวเนียกับเขาทันทีที่ออกจากห้องน้ำให้ออกห่าง หากฆาเบียร์ยังคงไม่ยอมปล่อยเจไปง่ายๆ เขาโอบเอวคนรักพลางฝังใบหน้าลงกับซอกคอ

"หอม..."

คนตัวโตสูดลมหายใจเอากลิ่นสดชื่นที่ติดผิวกายคนรักเข้าจนเต็มปอด เจหัวเราะคิกเมื่อตอหนวดของคนรักสะกิดผิวบริเวณลำคอของเขาจนรู้สึกจั๊กจี้

"โอ๊ย จั๊กจี้ครับ ฆาบี้ ปล่อยผมก่อน..."

เจบ่นพลางขยับตัวหนีฆาเบียร์ คนตัวโตหัวเราะเบาๆ แล้วยอมปล่อยคนรักให้เป็นอิสระ

"ดูสิ ตัวเปียกหมดแล้ว มะ เดี๋ยวผมเช็ดให้"

เจโคลงหัวแล้วคลี่ผ้าเช็ดตัวผืนโตที่เขาใช้พันร่างออกมาจัดการเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ฆาเบียร์ คนตัวโตซึ่งเปลือยท่อนบนอยู่นั้นยืนนิ่งๆ ให้คนรักลูบไล้กายอย่างสบายอารมณ์

"อ๊ะ เดี๋ยวสิครับ จะใจร้อนไปไหน"

เจอุทานเมื่อร่างเปลือยเปล่าของเขาถูกโอบรั้งเข้าแนบชิดกับร่างกึ่งเปลือยของฆาเบียร์ หากเมียตัวโตของเจก็ไม่ได้รุกรานคนรักของมากไปกว่านั้น เขาเพียงแค่อยากกอดร่างอุ่นๆ ของเจนยุทธไว้แนบอกเท่านั้น

"ฉันคิดถึงเจนะ"

ฆาเบียร์พูดงึมงำที่ข้างหูของคนรัก

"ผมก็คิดถึงคุณครับ ฆาบี้ คิดถึงมาก"

เจซึ่งก็กอดร่างกำยำไว้แน่นเช่นกันซบหน้าลงกับแผงอกของเมียตัวโตของเขาอย่างรักใคร่ แม้พวกเขาจะได้อยู่ด้วยกันเกือบ 24 ชั่วโมงมาเกือบสามวันแล้ว มันก็ไม่อาจลบเลือนความรู้สึกคนึงหาที่พวกเขามีต่อกันได้



"วันนี้ทำงานเหนื่อยๆ มา ฉันกะจะกลับออฟฟิศมากอดเจให้ชื่นใจซักหน่อย ที่ไหนได้ โดนอาปาตัดหน้าฉกตัวนายไปจนได้"

ฆาเบียร์ตัดพ้อ เจหัวเราะพลางลูบผมสีน้ำตาลเงางามของคนที่นอนหนุนตักเขาเบาๆ

"น่าๆ พวกเรายังได้เจอกันเดือนละครั้ง แต่กับอาปานี่ผมแทบไม่ค่อยได้เจอเลยนะครับ อีกอย่าง ผมว่าอาปาคงเหงา ก็คุณเล่นหนีมาอยู่ฮ่องกงแบบนี้ พอมาหาที่ฮ่องกง คุณก็งานยุ่ง ฉะนั้นผมก็เลยว่าจะไปเป็นเพื่อนคุยกับอาปาให้แทน ถ้าคุณไม่ว่าอะไรอ่ะนะ"

เจนยุทธพูดเสียงอ่อยๆ ส่วนหนึ่งเขาก็ยังแอบกังวลว่านอกจากฆาเบียร์จะน้อยใจเรื่องที่เขาใช้เวลาไปกับคริสมากกว่าตนแล้ว เขายังกลัวว่าคนตัวโตอาจจะไม่พอใจที่คริสดูจะโปรดปรานเขาออกหน้าออกหน้าจนอาจจะไปเบียดบังตำแหน่ง "ลูกรัก" ของฆาเบียร์ไปจนได้ หากคนรักของเขากลับยิ้มกว้างเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกมา

"โธ่ เจ ฉันไม่ว่าอะไรหรอก ฉันก็บ่นไปอย่างนั้นแหละ ดีซะอีกที่ได้นายมาช่วยทำให้อาปาหายเหงา..."

ฆาเบียร์ดึงมือคนรักมาจูบเบาๆ เขาเคยคัดค้านอย่างหนักเมื่อคริสวางตัวเขาให้มาเป็นผู้ดูแลสาขาเอเชีย-แปซิฟิคที่จะเปิดขึ้นใหม่แห่งนี้ ในตอนแรกเขาต้องการให้คริสส่งผู้บริหารคนอื่นมาเพราะไม่ต้องการที่จะอยู่ห่างจากอาปาของเขา หากคริสยืนยันว่าต้องเป็นเขาเท่านั้น ฆาเบียร์จึงต้องจำใจมาอยู่ที่ฮ่องกงโดยมีกรอบเวลาไม่เกิน 5 ปี มันเป็นการอยู่ห่างจากพ่อบุญธรรมของเขาเป็นเวลานานเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เขาเรียนจบมา



"...ตอนอยู่ที่นู่น ถึงฉันจะไม่ได้นอนบ้านทุกวัน แต่ก็ยังได้เจออาปาบ้าง พอมาอยู่ไกลแบบนี้ฉันก็อดห่วงอาปาไม่ได้"

เมียตัวโตของเจบ่นเบาๆ ในอดีต แม้เขาจะทั้งทำงานหนักและทั้งออกเที่ยวเตร่เสเพลไปบ้างจนทำให้ไม่ได้อยู่ดูแลคริสตลอดเวลา หากในหนึ่งสัปดาห์ เขาก็ยังกลับไปนอนบ้านหรือหาเวลาร่วมโต๊ะอาหารกับพ่อบุญธรรมของเขาอย่างน้อยสามสี่วัน หากในตอนนี้ แม้ที่บ้านคริสที่สหรัฐฯ จะมีคนรับใช้และพ่อบ้านอยู่ด้วยเต็มบ้าน แต่มันก็ไม่เหมือนกับการที่ได้อยู่ดูแลเอง

"ตอนนี้อาปาก็มีริคกี้ไปอยู่ด้วยแล้วนี่ครับ ผมว่าคุณน่าจะสบายใจได้"

เจพูดยิ้มๆ พลางใช้มือบีบนวดต้นคอให้คนรักที่หลับตาพริ้มอย่างสบายอารมณ์ ฆาเบียร์ยิ้มบางๆ ออกมา

"นั่นสินะ...ตอนแรกฉันก็กลัวอยู่ว่าเขาจะเลือกเรียนแถวฝั่งตะวันออกแทนหรือเปล่า แต่พอเขามาเลือกเรียนใกล้อาปาฉันก็ค่อยสบายใจขึ้นหน่อย"

"ดีแล้วครับ เผลอๆ ริคกี้จะดูแลอาปาดีกว่าคุณอีกมั้ง อย่างน้อยเขาก็ไม่หนีไปกกหนุ่มที่ไหนตอนกลางคืน"

คนตัวเล็กหัวเราะคิกคัก ฆาเบียร์จิ๊ปากเบาๆ และทำท่าจะพูดโต้ตอบ หากริมฝีปากแดงระเรื่อที่ทาบลงฉับพลันมาทำให้เขาต้องเผยอปากเพื่อรับเรียวลิ้นนิ่มที่สอดเข้ามาเกาะเกี่ยวกับลิ้นของเขา เจชอบจู่โจมเขาโดยไม่ให้ตั้งตัวแบบนี้เสมอ



"เจจ๊ะ...หยุด ปล่อยฉันก่อน"

คนตัวโตที่หอบกระเส่าอยู่ภายใต้ร่างเพรียวที่ทาบทับอยู่ประท้วงเบาๆ คนตัวเล็กที่กำลังเพลิดเพลินกับการตีตราด้วยรอยจูบตรงนู้นทีตรงนี้ทีบนร่างกำยำของคนรักเงยหน้าขึ้นสบตาสีน้ำตาลที่ตอนนี้ฉ่ำเยิ้มไปด้วยความปรารถนา ฆาเบียร์กัดริมฝีปากน้อยๆ แววตายั่วเย้าและรอยยิ้มแบบมีชัยของเจ้าตัวดีช่างดูน่าหมั่นไส้นัก

"คุณอยากให้ผมหยุดจริงๆ เหรอ Mi amor? "

เจคำรามเบาๆ ฆาเบียร์สะดุ้งเฮือกเมื่อมือร้อนผ่าวที่กำลังคลึงเคล้นบั้นท้ายหนั่นแน่นของเขาเลื่อนไปป้วนเปี้ยนอยู่แถวปากช่องทางด้านหลังของเขาแทน

"เจ อย่า..."

ฆาเบียร์ตะครุบข้อมือของคนที่พยายามจะส่งนิ้วเข้าไปสำรวจช่องทางของเขา เขาดันร่างเพรียวออกและขยับตัวลุกขึ้นจากฟูกหนานุ่มบนเตียงแต่งงานแบบจีนโบราณของพ่อแม่ของอาปาคริส

"...ฉัน เอ่อ ฉันยังไม่พร้อม ขอเวลาฉันจัดการตัวเองก่อนได้ไหม? "

คนตัวโตเอนกายพิงซบไหล่คนรักทีนั่งทำหน้ามุ่ยอยู่ข้างๆ

“...ไม่นานหรอกนะ แป๊บเดียวเอง”

เจถอนหายใจเฮือกเมื่อได้ยินน้ำเสียงออดอ้อนของคนรัก เขาหันมาหอมแก้มเมียตัวโตของเขาฟอดใหญ่

“ไม่ต้องทำหน้าจ๋อยครับ ฆาบี้ ไปๆ รีบๆ ด่วนๆ เลย”

เจนยุทธดันหลังคนตัวโตให้ลุกขึ้น ฆาเบียร์อุทานเบาๆ เมื่อเจ้าตัวดีของเขาตบบั้นท้ายเขาหนักๆ เป็นการแถมท้าย

“ยิ่งผมรอนาน คุณยิ่งโดนหนักนะครับ ถ้ายังอยากลุกไหวก็อย่าโอ้เอ้ เครมะ?”

เจพูดยิ้มๆ พร้อมขยิบตาน้อยๆ ให้ฆาเบียร์ที่ได้แต่โคลงหัวในความห่ามของคนรัก



“โอเค ฉันมาแล้ว”

ฆาเบียร์เปิดประตูห้องน้ำออกมาพร้อมกับส่งเสียงเรียกเจนยุทธ เขาขมวดคิ้วเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับ ฆาเบียร์เดินผ่านส่วนแต่งตัวออกมาหยุดที่หน้าเตียง เขาต้องโคลงหัวน้อยๆ เมื่อเห็นเจนยุทธนอนตะแคงกอดหมอนข้างแน่น เสียงกรนน้อยๆ ของเจทำให้เขารู้ว่าเจ้าตัวดีของเขานอนหลับสนิทไปแล้ว

“เจ ตื่นสิ ฉันมาแล้วนะ”

"อือ ยุ่งน่า คนจะนอน"

ฆาเบียร์เขย่าตัวคนรักเบาๆ หากเจยกมือปัดอย่างรำคาญพร้อมกับส่งเสียงงึมงำเป็นภาษาไทย คนตัวโตถอนหายใจเบาๆ

“บอกว่าจะไม่ยอมให้ฉันนอนแท้ๆ ไหงตัวเองชิงหลับไปก่อนล่ะ”

คนตัวโตบ่นพึมพำกับตัวเอง เขาถอนหายใจอีกครั้งแล้วดึงผ้าห่มขึ้นขึ้นมาคลุมกายคนรัก เขาก้มลงจุ๊บหน้าผากเจเบาๆ จากนั้นจึงถอดเสื้อคลุมอาบน้ำที่ห่มกายออกทิ้งไว้บนพื้น ก่อนที่จะกดสวิตช์ที่แผงควบคุมข้างเตียงเพื่อปิดไฟห้อง



"นายนี่มันตัวยุ่งจริงๆ นะ"

ฆาเบียร์กระซิบเบาๆ ที่ข้างหูคนที่ดูเหมือนจะหลับสนิทไม่รู้เรื่องแล้ว เขากระชับวงแขนกอดจนแผ่นหลังเปลือยของเจแนบชิดกับแผงอกของเขา กลิ่นหอมอ่อนๆ ของแชมพูทำให้เขาอดใจไม่ไหวและซุกหน้าลงบนผมทรงสกินเฮ้ดที่เริ่มยาวแล้วของคนรัก

"ฉันก็อุตส่าห์รอนายนะ รู้ไหม? เห็นนายพูดนักพูดหนาว่าจะกอดฉันให้ลุกไม่ขึ้นตั้งแต่เมื่อคืน แล้วไหนล่ะ เจนยุทธ พอถึงเวลาจริงๆ นายก็หนีฉันไปนอนซะได้"

คนตัวโตบ่นเบาๆ อย่างอัดอั้นตันใจ เขาซบหน้าลงกับบ่าของคนในอ้อมอกและจูบเบาๆ ที่ต้นคอ

"นายมาคราวนี้ กลายเป็นว่าเรามีเวลาให้กันน้อยกว่าทุกทีด้วยซ้ำ ฉันน้อยใจนะรู้ไหม? "

ฆาเบียร์บ่นนั่นนี่ไปตามอารมณ์ขัดเคืองที่พลุ่งพล่านขึ้นมา

"...รู้งี้ฉันไม่ปล่อยให้นายหนีไปนอนเมื่อคืนก็ดี ยอมให้นายจัดหนักจนลุกไม่ขึ้นไปตั้งแต่เมื่อคืนดีกว่าต้องมาเสียอารมณ์แบบนี้..."

หนุ่มละตินชะงักเมื่อคนในอ้อมอกขยับกายและส่งเสียงอืออาอย่างไม่สบอารมณ์ เจซึ่งหลับไปแล้วคงจะรำคาญเสียงบ่นของเขา

"ร้อน! "

เสียงงึมงำอย่างไร้สติเป็นภาษาไทยที่ฆาเบียร์พอจะรู้ความหมายทำให้เขาคลายอ้อมแขนออกและปล่อยให้คนตัวเล็กเป็นอิสระ เขาพลิกกายนอนหงายเคียงข้างคนขี้รำคาญ

"เฮ้อ! "

คนตัวโตถอนหายใจเบาๆ และยกมือก่ายหน้าผาก เขายังข่มตานอนไม่ลงเลยสักนิดเนื่องจากอารมณ์ที่ยังคั่งค้าง



"เจ! อื้อ! "

ฆาเบียร์อุทานลั่นเมื่ออยู่ๆ คนที่นอนเคียงข้างก็พลิกกายขึ้นมาคร่อมเขาไว้อย่างไม่ทันได้รู้เนื้อรู้ตัว คำพูดของเขาถูกหยุดด้วยริมฝีปากร้อนผะผ่าวที่ประกบแน่นลงมาบนริมฝีปากบาง

"นี่คุณรอให้ผมกอดอยู่จริงๆ เหรอ ฆาบี้? ..."

เสียงใสๆ เจือเสียงหัวเราะที่ไม่มีวี่แววของความง่วงเหงาเมื่อสักครู่เลยทำให้ฆาเบียร์อดหน้าร้อนผ่าวไม่ได้ คนตัวเล็กคงแกล้งหลับและได้ยินทุกคำที่เขาพร่ำบ่นออกไป เขาหลับตาลงแว่บหนึ่งเมื่อเจเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟที่ข้างเตียง เมื่อลืมตาขึ้นมาก็ต้องหน้าแดงก่ำเมื่อเห็นแววตาแพรวพรายของคนรักที่มองสบมา

"...ผมนึกว่าคุณจะแอบลักหลับผมซะอีก แต่ที่ไหนได้..."

เจนยุทธพูดยิ้มๆ เขาลองแกล้งทำเป็นหลับเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของคนรัก ในทีแรกเขาเข้าใจว่าฆาเบียร์คงจะพยายามกระตุ้นและเป็นฝ่ายรุกเร้าเขาที่หลับไปแล้วเหมือนที่เคยทำ

"ก็ฉันติดค้างนายมาตั้งแต่เมื่อคืน ก็ต้องให้เป็นคิวของนายสิ"

ฆาเบียร์เบือนหน้าหนีรอยยิ้มพรายอย่างรู้ทันของเจนยุทธ

"หึ เป็นแบบนั้นจริงเหรอ ฆาบี้? ไม่ใช่เพราะคุณอยากโดนผมกอดจริงๆ เหรอครับ? ตอบผมหน่อยสิ ที่รัก? "

เจกระซิบที่ข้างหูคนที่บ่นให้เขาได้ยินจนเต็มสองรูหูเมื่อครู่นี้

"ใครกันน้าที่บ่นว่ารู้งี้เมื่อคืนไม่ปล่อยให้ผมไปนอนและจะยอมให้ผมจัดหนักทั้งคืน หืมม์? ว่าไงครับ? "

เจนยุทธใช้ฝ่ามือดันใบหน้าคมเข้มที่เบือนหลบไปให้หันกลับมาสบตาเขาตรงๆ ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เจ้าตัวดีใช้อุบายทำให้เขาพูดความในใจออกมาอีกจนได้



"เมียผมน่ารักจริงๆ ..."

เจซบหน้าลงบนอกของคนรักด้วยใบหน้าเปี่ยมสุขเมื่อฆาเบียร์พยักหน้าน้อยๆ เป็นการตอบรับ เขาทำเป็นหลับเพราะอยากให้พ่อเจ้าประคุณของเขากระวนกระวายเล่นเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้คาดว่าจะได้ยินคำตัดพ้อที่เขาคิดว่าแสนจะน่ารักจากเมียตัวโตของเขาคนนี้

"จริงๆ คืนนี้ถ้าคุณจะเป็นฝ่ายทำอีกผมก็ไม่ว่าหรอกนะ แต่ในเมื่อคุณออกปากมาแบบนี้ ผมก็ต้องสนองให้ถึงใจสินะ..."

"ชิ นายพูดแบบนี้ ฉันก็ชักไม่อยากจะให้นายกอดแล้ว เอ๊ะ เจนยุทธ อย่า! "

ฆาเบียร์อุทานพลางรีบปัดมือคนมือไวที่ใช้นิ้วเขี่ยตุ่มไตบนหน้าอกเขาเล่น เจหัวเราะคิกแล้วขโมยจูบคนรักจ้วบใหญ่ ฆาเบียร์ทำตาโตเมื่อถูกมืออุ่นๆ ตะปบเข้าที่ส่วนสงวน เขาปัดป้องตรงนั้นตรงนี้พร้อมกับส่งเสียงห้ามคนรักที่หัวเราะร่วนอย่างสนุกสนาน พวกเขาทั้งสองกอดปล้ำกันอยู่พักใหญ่ ในที่สุดคนตัวเล็กก็ถูกคนที่ตัวโตกว่าจับกดแขนตรึงไว้กับที่นอน

"อื้อ ไม่เอา! ฆาบี้! คุณจะผิดคำพูดเหรอ? "

เจพยายามหันหน้าหลบริมฝีปากที่ประทับลงมา เขาเม้มปากแน่น หากฆาเบียร์ก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาพรมจูบไปทั่วใบหน้าน้อยๆ ที่อยู่เบื้องใต้ เจพยายามหลับตา หากสัมผัสอันอ่อนโยนของฆาเบียร์ทำให้เขาใจอ่อน เขารู้สึกได้ถึงริมฝีปากที่ปัดเบาๆ บริเวณริมฝีปากที่ปิดสนิทของเขา เขารู้สึกถึงความอุ่นและชื้นของเรียวลิ้นที่เขี่ยไล้ สุดท้ายเจก็เผยอปากให้คนรักได้ล่วงล้ำเข้ามา ฆาเบียร์ขบเม้มริมฝีปากของคนรักแผ่วๆ เจจูบตอบอย่างโหยหา เขาไม่เคยเบื่อจูบอันอ่อนหวานของฆาเบียร์เลย และยิ่งต้องการมันมากขึ้นๆ เรื่อยๆ



"ฆาบี้ครับ หยุดทำไมล่ะ? "

เจถามเมื่อคนรักหยุดมือที่เปะป่ายคลึงเคล้นเนื้อตัวเขา ฆาเบียร์ไม่ตอบหากพลิกกายนอนหงายแล้วดึงคนรักให้ขึ้นมาทาบบนกายตน

"ฉันพูดคำไหนคำนั้นนะ เจนยุทธ"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ แล้วใช้ขาแข็งแรงทั้งสองข้างเกี่ยวกระหวัดเข้าที่รอบสะโพกของคนตัวเล็ก เจซี้ดปากเมื่อรู้สึกถึงความแข็งขืนที่บดเบียดเข้ากับกลางกายตน

"ยั่วกันขนาดนี้ ระวังจะไม่ได้นอนนะครับ Mi amor"

เจพูดเสียงสั่น หากคนตัวโตยิ้มพรายและโน้มคอคนรักลงมาจูบอย่างหนักหน่วง เจจูบตอบอย่างเสน่หา ฆาเบียร์ครางต่ำๆ ในลำคอด้วยความเคลิบเคลิ้ม เจไม่ปล่อยให้มือของตนว่าง เขากอบกุมส่วนสงวนของคนรักและปลุกเร้าจนมันผงาดง้ำ

"ดีจ้ะ อ๊ะ..."

ฆาเบียร์ผวากายขึ้นเมื่อคนรักงับเบาๆ ที่ยอดอก ลิ้นร้อนๆ ที่กวาดไล้และเขี่ยดุนที่ตุ่มไตที่ชูชัน เจรู้ดีว่าแม้เขาจะเป็นฝ่ายรุกเร้ามาตลอด หากยอดอกสีแทนของเขาก็เคยผ่านการกระตุ้นเร้าจากคู่ขาคนอื่นๆ มาบ้างซึ่งทำให้มันไวต่อสัมผัสโดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายคือเจนยุทธที่ผ่านผู้หญิงมานับไม่ถ้วน เจ้าตัวดีของเขารู้ดีว่าต้องสัมผัสแบบไหนจึงจะกระตุ้นเร้าเขาได้มากที่สุด ฆาเบียร์พริ้มตาลงและปล่อยใจไปกับสัมผัสอันเร่าร้อนของเจนยุทธ



"เจจ๊ะ ช้าๆ หน่อย..."

คนตัวโตหอบกระเส่าและตบหลังคนรักที่ตั้งหน้าตั้งตาเล้าโลมเขาเบาๆ เจนยุทธเงยหน้าขึ้นจากกลางกายของคนรัก

"ทำไมเหรอครับ คนดีของผม? คุณไม่รู้สึกดีเหรอ? "

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่และลูบหัวคนรักที่ทำตาแป๋วจนดูใสซื่อเหมือนลูกแมวน้อยเบาๆ

"ดีสิจ๊ะ ดีจนจะเสร็จแล้วถึงต้องบอกให้ช้าๆ หน่อยไง นี่ฉันชักไม่เชื่อแล้วนะ ว่านายไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนเจอฉัน ทำไมถึงได้เก่งนัก หืมม์? "

คนตัวโตหยิกปากน้อยๆ รูปกระจับที่ยิ้มพราย เจหัวเราะคิกและจัดการบริการคนรักของเขาต่ออย่างแข็งขัน ฆาเบียร์เม้มปากแน่นด้วยความเสียวซ่าน เขานั่งเอนกายพิงหัวเตียงอย่างหมดแรงและปล่อยให้ปากและลิ้นของเจพาเขาขึ้นสู่สวรรค์วิมาน



"เจ พอ! พอเถอะ! ฉันจะตายแล้ว! "

คนตัวโตร้องครางลั่นอย่างลืมอาย เขาบิดกายเร่าๆ ทุกครั้งที่เจนยุทธควงคว้านไวเบรเตอร์อันน้อยเข้าไปในช่องทางของเขา หากที่ทำให้เขารู้สึกดีจนแทบทนไม่ได้คือเรียวลิ้นของเจที่กวาดไล้ปากช่องทางและถุงเนื้อแฝด

"ดีไหมครับ ที่รัก? "

เจนยุทธถามยิ้มๆ เมื่อเขาดึงของเล่นชิ้นน้อยออกและแทนที่ด้วยเรียวนิ้วของเขาที่กระแทกย้ำๆ เข้าไปยังจุดเสียวภายใน ฆาเบียร์ซี้ดปากลั่นและพยักหน้ารัวๆ

"เดี่ยวครับคุณ อย่าพึ่งถึง รอผมก่อน"

เจถอนนิ้วออก การตอดรัดแน่นภายในทำให้เจรู้ได้ว่าเมียตัวโตของเขาจวนถึงจุดแล้ว ฆาเบียร์นอนระทวยหายใจหอบถี่ หัวของเขาโล่งไปหมดเพราะความรู้สึกดี หากเขาก็ต้องผวากายเฮือกและส่งเสียงครางกระหึ่มเมื่อเจกระแทกแก่นกายที่ชะโลมเจลจนมันปลาบเข้าแทนที่

"โว้ว ผมยังไม่ทันทำอะไรเลยนะ"

คนตัวเล็กแซวคนรัก ฆาเบียร์หลั่งออกมาทันทีที่เขาชำแรกกายเข้าในช่องทางแคบเล็กที่แสนอุ่น ฆาเบียร์ทำตาเขียวให้เจ้าตัวดีที่ส่งสายตากรุ้มกริ่มมาให้ เขาดันกายขึ้นนั่งทั้งที่ยังเชื่อมต่อกับเจนยุทธอยู่และพยายามดันคนรักให้นอนลงเพื่อที่จะเป็นฝ่ายคุมเกมบ้าง

"อยากทำเองเหรอครับ เมีย? "

เจถามยิ้มๆ แล้วขยับกายนอนเอนอิงหมอนที่หัวเตียง

"C'mon, baby. Ride me like a horse! "

ฆาเบียร์โคลงหัวน้อยๆ เมื่อเจ้าตัวดีกระดิกนิ้วเชิญชวนด้วยท่าทียียวน

"ได้ ท้ากันแบบนี้ ฉันจะทำให้นายร้องไม่ออกเลย เจนยุทธ"

"กลัวที่ไหน จัดมาเลยครับ คนดี"

เจยักคิ้วให้เมียตัวโตของเขา ฆาเบียร์หัวเราะกระหึ่มแล้วค่อยๆ กดสะโพกลงจนสุด เจซี้ดปากเบาๆ เมื่อคนรักควงสะโพกน้อยๆ และเริ่มขยับกาย



"โอ๊ย แบบนั้นแหละครับ ฆาบี้ อูย มันชิบ! "

เจนยุทธร้องครางลั่นเมื่อฆาเบียร์เด้งกายถี่อยู่บนตักของเขา คนตัวโตซี้ดปากลั่นและจิกนิ้วลงบนหน้าแข้งของคนรักด้วยความเสียวซ่าน เจคลึงเคล้นบั้นท้ายหนั่นแน่นที่อยู่ตรงหน้า ภาพแก่นกายของตนที่ขยับเข้าออกช่องทางของคนรักกระตุ้นอารมณ์ของเขาจนถึงขีดสุด

"ฆาบี้ครับ เปลี่ยนท่าก่อน ผมจะไม่ไหวแล้ว"

เจครางลั่นและดันคนรักออก ฆาเบียร์ทิ้งกายลงนอนหอบกระเส่า เขาเองก็เสียวจนแทบจะขยับเองไม่ไหวแล้ว เจหันไปคุ้ยถุงกระดาษที่ข้างเตียงและหยิบเอาของชิ้นหนึ่งออกมา

"ผมว่าจะลองใช้นี่ก็ลืมไปเลย"

เจนยุทธชูห่วงสีดำสนิทที่เขาซื้อมาจากร้านเซ็กส์ช็อปขึ้นมาให้คนรักดู

"เจ แค่นี้นายยังอึดไม่พออีกเหรอ? "

คนตัวโตอดประท้วงเบาๆ ออกมาไม่ได้ จากตอนที่เริ่มขึ้นควบขี่คนรักและเปลี่ยนท่าทางไปมาสองสามรอบ เขาเองได้ถึงจุดแบบไม่หลั่งไปแล้วครั้งหนึ่ง หากคนตัวเล็กก็ยังไม่ถึงฝั่ง

"คืนนี้ยังอีกยาวครับ เอ้า มะ ใส่ให้ผมหน่อย"

เจส่งของเล่นใหม่ของเขาให้คนรัก ฆาเบียร์พยายามรูดมันลงจนสุดโคนแก่นกายแข็งเกร็งของคนรัก เจซี้ดปากเบาๆ เมื่อคนตัวโตดันตุ้มที่ส่วนปลายเข้าในช่องทางของเขา



"อูย คุณครับ สุดๆ เลย"

เจครางระงม เขาไสสะโพกส่งส่วนสงวนของตนเข้าสู่ช่องทางของคนรักที่นอนคว่ำหน้าทำตัวเกร็งอยู่ใต้ร่าง ฆาเบียร์จิกผ้าปูเตียงแน่น

"เจ มันแน่น..."

ฆาเบียร์ร้องเสียงสั่น เจเม้มปากแน่น เจ้าห่วงรัดเพื่อเสริมความอึดที่เขาซื้อมาในราคากว่าพันห้าร้อยบาทนี้กำลังทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดี เขารู้สึกเสียวซ่านมากกว่าทุกครั้งเนื่องจากตุ้มส่วนปลายที่เสียบใส่ในช่องทางของเขามันกระแทกเข้ากับ p-spot หรือต่อมลูกหมากที่เป็นเสมือน g-spot ของผู้ชายทุกครั้งที่เขาเสือกแก่นกายเข้าร่างของคนรัก การถูกกระตุ้นเร้าทั้งสองทางทำให้เจแทบจะทนไม่ได้

"ดีไหมครับที่รัก? "

เจถามซ้ำๆ ที่ข้างหูของฆาเบียร์ คนตัวโตไม่ตอบหากหันหน้ามาดูดปากคนรักอย่างหนักหน่วง เจจูบตอบด้วยความรุนแรงไม่แพ้กัน อารมณ์ของเขาทั้งสองพลุ่งพล่านจนฉุดไม่อยู่แล้ว



"โอว เจนยุทธ ดีมาก..."

คนตัวโตครางระงม เจพลิกกายเขาให้นอนตะแคงและดันขาเขาให้ชี้สูงขึ้นข้างหนึ่งโดยมีเจ้าตัวนอนประกบอยู่ด้านหลัง เจไม่พูดไม่จาและตั้งหน้าตั้งตาซอยสะโพกถี่ยิบ เขาจูบไล่ตามไหล่และต้นคอที่ชุ่มเหงื่อของฆาเบียร์อย่างหลงใหล คนตัวโตสะบัดหน้าเริดด้วยความเสียวซ่าน

"ผมรักคุณ ฆาบี้ รักคุณ"

เจพร่ำเรียกชื่อเมียตัวโตของเขาพร้อมเอ่ยคำรักไม่ขาดปาก ฆาเบียร์ดึงมือที่ประคองใบหน้าของเขามาจูบพรมไล่ไปตามหลังมือและนิ้วเรียว เจหัวเราะคิกเมื่อคนรักดูดนิ้วเลียนิ้วเขาทีละนิ้ว

"ยั่วผมจริงๆ นะครับ mi amor"

เจพูดยิ้มๆ พร้อมกับกระแทกกายเข้าหนักๆ จนฆาเบียร์คำรามลั่น คนตัวโตหันหน้ามาประกบปากกับคนรักแน่นอีกครั้ง ก่อนที่จะทำตัวเกร็งเมื่อเจใช้มือสาวส่วนสงวนอันแข็งเกร็งของเขา

"เจ อย่า...จะออก"

คนตัวโตหอบหายใจถี่ เจหัวเราะเบาๆ และถอนแก่นกายออก เขาจัดการถอดห่วงที่รัดแน่นออกและดึงคนรักขึ้นคร่อมกาย

"ถึงพร้อมๆ กันนะครับ คนดีของเจ"

เจนยุทธกระซิบเสียงกระเส่า ฆาเบียร์พยักหน้าน้อยๆ เขาโหย่งกายขึ้นสูงแล้วค่อยๆ กดสะโพกลง เจโยกกายรับ เขากอดรัดร่างใหญ่กำยำไว้ในอ้อมอก ทั้งสองขยับร่างเป็นจังหวะเดียวกัน ริมฝีปากของพวกเขาล็อคติดกันแน่น ไม่นานทั้งคู่ก็คำรามยาวและถึงฝั่งฝันไปพร้อมๆ กัน



"คุณเยี่ยมที่สุดเลย ฆาบี้"

เจครางแผ่วๆ พลางใช้นิ้วเสยผมยาวรุ่ยร่ายที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อของคนรัก เขาจูบแก้มคนรักที่นอนหอบหายใจถี่อยู่บนอกอย่างหนักหน่วง ฆาเบียร์นอนหอบอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็นึกได้ว่าเขานอนทับร่างคนรักซึ่งตัวเล็กกว่าอยู่จึงขยับกายลงนอนเคียงข้าง เจพลิกกายก่ายกอดร่างใหญ่กำยำของเมียตัวโตของเขาไว้แล้วซบหน้าลงกับแผงอกกว้าง

"มีความสุขไหมครับ คนดี? ผมไม่ได้ทำคุณเจ็บใช่ไหม? "

เจถามเบาๆ ด้วยความไม่มั่นใจ คืนนี้เขาเผลอไผลใส่แรงไม่ยั้งไปชั่วขณะหนึ่ง หากมารู้ตัวเอาเมื่อเห็นใบหน้าเหยเกของฆาเบียร์ซึ่งจิกเล็บลงบนหลังเขาแน่น

"ยังไหวจ้ะ..."

ฆาเบียร์ลูบแผ่นหลังเนียนของคนรักที่นอนซบอกเขาอย่างออดอ้อน

"...และฉันมีความสุขมาก สุขที่สุดเลย"

คนตัวโตหอมเรือนผมเปียกชื้นของเจนยุทธและโอบร่างเพรียวในอ้อมอกแน่น สิ่งที่ทำให้เจต่างไปจากคู่นอนคนอื่นๆ ของเขาคือเจให้ความสุขสุดยอดแก่เขาทั้งทางร่างกายและจิตใจ ความหฤหรรษ์จากเซ็กส์เมื่อสักครู่นั้นทำให้เขาเหมือนลอยขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์ แต่สิ่งที่เติมเต็มเขายิ่งกว่านั้นคือความรู้สึกปิติยินดีที่ได้ร่วมรักกับคนที่เขารักจนสุดหัวใจ

"ได้เห็นคุณมีความสุขแบบนี้ ผมดีใจนะ ฆาบี้"

เจยิ้มกว้างและรัดร่างใหญ่ในอกแน่น เขามีความสุขไม่ใช่เพียงเพราะความเสียวซ่านที่ได้รับ แต่สุขล้นเมื่อรู้ว่าตนสามารถตอบสนองและทำให้คนรักรู้สึกเต็มอิ่มได้



"อ๊ะ คุณ จะทำอะไรอ่ะ? ..."

เจอุทานเบาๆ เมื่อจู่ๆ คนรักก็พลิกตัวขึ้นคร่อมกายเขาอีกครา

"นายอยากทำให้ฉันมีความสุขมากขึ้นอีกไหม เจนยุทธ? "

คนตัวโตถามยิ้มๆ พร้อมกับส่งสายตาวิบวาวให้เจ

"...ให้ฉันได้กอดนายสิ รับรองว่าฉันจะสุขขึ้นกว่านี้อีก"

"เฮ้ย ไม่เอาแล้วครับ..."

เจร้องลั่นพลางพยายามดิ้นหนีออกจากใต้ร่างของคนรัก ฆาเบียร์หัวเราะกระหึ่มและไล่กอดปล้ำคนรัก

"ทำไมล่ะ ฉันยอมให้นายแล้ว คราวนี้ก็ถึงตานายบ้างสิ"

"คุณครับ ผม เอ่อ ผมไม่ไหวจริงๆ อ่ะ ขอเป็นวันอื่นได้ไหมอ่ะ? "

เจนยุทธทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ หากฆาเบียร์ไม่ยอมตอบรับ เขาใช้กำลังตรึงแขนทั้งสองข้างของคนรักไว้บนหัวและใช้น้ำหนักตัวกดทับคนที่ตัวเล็กกว่าไว้จนดิ้นไม่หลุด หากแทนที่เขาจะทำการโลมเล้าอย่างที่เคย ฆาเบียร์กลับค่อยๆ ก้มหน้าลงจูบหน้าผากเนียนอย่างอ่อนโยน

"ฉันล้อเล่นน่า คืนนี้ฉันไม่ไหวแล้วล่ะ..."

ฆาเบียร์ปล่อยมือและส่งยิ้มให้คนที่นอนทำหน้ามุ่ยอยู่

"หึ ร้ายนักนะครับ เมีย แกล้งผมนี่สนุกมากเลยใช่มะ? "

เจกระแทกเสียง ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ

"ก็เอาคืนที่เจแกล้งหลับเมื่อกี้ไง..."

คนตัวโตใช้นิ้วไล้แก้มพองๆ ของคนที่ทำท่างอนตุ๊บป่องอย่างอ่อนโยน

"...อย่างอนเลยน่า นะ ป่ะ เราไปอาบน้ำกันดีกว่า ฉันเหนียวเนื้อเหนียวตัวไปหมดแล้ว"

"หึ...ไปอาบเองเลยครับ ผมไม่อาบด้วยละ"

เจพูดพลางพลิกกายหันหลังให้คนรัก ฆาเบียร์ถอนหายใจเบาๆ

"ตามใจแล้วกัน งั้นฉันไปล้างตัวก่อนนะ"

คนตัวโตขยับกายลุกขึ้นนั่งที่ขอบเตียง



"เดี๋ยวครับ ฆาบี้"

"ว่าไงจ๊ะ? "

ฆาเบียร์หันหน้าไปหาคนรักที่เข้าโผมากอดซบเขาจากด้านหลัง

"ผมรักคุณนะ"

เจกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูคนรัก ฆาเบียร์ยิ้มกว้าง เขาหันกายกลับไปหาคนรักและดึงเจเข้ามากอดประทับอก

"ฉันก็รักเจจ้ะ"

ฆาเบียร์จูบแผ่วๆ ที่หน้าผากของเจ้าตัวดีที่ทำให้เขาหัวใจพองโตได้ตลอดเวลา ก่อนที่จะประทับจูบลงบนริมฝีปากแดงระเรื่อที่เผยอรออยู่แล้ว พวกเขาแลกจูบอันอ่อนโยนกันอีกครู่หนึ่ง

"ไปๆ อาบน้ำกันเถอะครับ ไม่งั้นไม่ได้นอนแน่"

เจพูดยิ้มๆ พลางพยายามดันตัวคนรักที่ดูเหมือนจะเริ่มเครื่องติดอีกครั้งออก ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เขาใช้ปลายจมูกปัดปลายจมูกคนรักเบาๆ อย่างยั่วเย้า หากเจพยายามงับปลายจมูกเขาแทนจนคนตัวโตต้องรีบลุกหนี เจหัวเราะเบาๆ เขาหยิบเศษทิชชู่กับถุงยางที่ตนถอดทิ้งไว้แล้วลุกขึ้นเดินตามเมียตัวโตของเขาเข้าห้องน้ำไป



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)





ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- ไม่อาจหลับตา (ต่อ) ----




"งั้นพรุ่งนี้นายจะไปมาเก๊ากับอาปาใช่ไหม? "

ฆาเบียร์ถามคนที่นอนอิงแอบแผงอกกว้างของเขา

"ครับ ก็พรุ่งนี้คุณติดงานทั้งวันเลยใช่ไหมล่ะ? "

"ใช่จ้ะ อย่างน้อยก็ตลอดทั้งเช้าจนถึงหลังเที่ยง..."

คนตัวโตพยักหน้าตอบรับ เขามีประชุมตลอดช่วงเช้าและต้องออกไปร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับคู่ค้าในช่วงเที่ยง และอาจลามไปเป็นการพูดคุยเรื่องงานกันต่อในช่วงบ่าย

"...นายไปกับอาปาก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องมานั่งแกร่วรอที่ออฟฟิศ ถ้าฉันเสร็จธุระเร็วก็อาจจะตามไปช่วงบ่ายเลย แต่ถ้าเสร็จช้าหน่อย ก็เจอกันเย็นๆ "

เจผงกหัว คริสชวนทั้งเขาและฆาเบียร์ไปนอนค้างที่มาเก๊าคืนหนึ่ง หากคนตัวโตติดธุระและอาจต้องตามไปทีหลัง

"ไปกันเองกับนายนี่ สงสัยอาปาจะนั่งฮ. ไปแน่ๆ ใช่ไหม? "

"ครับ เพื่อนอาปาที่มาเก๊าบอกว่าจะส่งฮ. ส่วนตัวมารับพวกผม เห็นว่าอยากจะแก้มืออะไรสักอย่าง"

เจพูด คริสบอกกับเขาว่าสาเหตุที่เขาจะไปมาเก๊าก็เพราะเพื่อนๆ เขาที่อาศัยอยู่ที่นั่นชวนไปเล่นโป๊กเกอร์กัน



"ให้ตายสิ...ฉันล่ะไม่อยากให้นั่งเลยจริงๆ เฮลิคอปตง คอปเตอร์เนี่ย"

คนตัวโตบ่นเบาๆ อย่างขัดใจ ลึกๆ ในใจเขาก็ยังรู้สึกไม่ไว้ใจอากาศยานขนาดเล็กเหล่านี้

"น่าๆ อาปาก็บอกว่าถ้าดูอากาศไม่ดีก็จะไม่ยอมขึ้น คงไม่มีอะไรหรอกครับ บิน 15 นาที แป๊บเดียวเอง"

"หึ ตอนพ่อกับแม่ฉันก็บอกว่าบินแป๊บเดียว ห้าชั่วโมงเอง แล้วเป็นไงล่ะ..."

ฆาเบียร์กระแทกเสียง เขายังนึกถึงใบหน้าอันยิ้มแย้มของพ่อแม่ที่โบกมือลาเขาซึ่งเป็นคนมาส่งที่สนามบิน




"เจอกันพรุ่งนี้เย็นจ้ะ แล้วแม่จะซื้อเบเกิลของร้าน Absolute Bagels กับ cannoli ของร้าน Veniero's ที่ลูกชอบมาฝากนะ"

คาตาลิน่าพูดพลางดึงลูกชายมากอดแล้วจูบแก้มซ้ายขวา ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ

"โธ่ แม่ครับ ผมกำลังคุมอาหารอยู่แท้ๆ "

"ถ้าเราไม่เอา แม่ไม่ซื้อมาก็ได้นะ"

"เอาครับ เอา แคนโนลีนี่ขอโหลนึงเลยนะครับ"

ทั้งคาตาลิน่าและอันเดรสหัวเราะเมื่อเห็นลูกชายยิ้มอายๆ

"พวกพ่อน่าจะมาถึงพรุ่งนี้ค่ำๆ ส่วนคริส อีกสองสามวันก็น่าจะกลับมาจากฮ่องกงละ ทีนี้เราก็จะได้อยู่พร้อมหน้ากันซักที"

ฆาเบียร์ยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็นพ่อ

"ดีเลยครับ ผมก็คิดถึงอาปาเต็มทีแล้ว คราวนี้ไปเสียนานเลย"

"นั่นสิ พ่อก็คิดถึงเหมือนกัน คราวนี้มันไปซะนานเลย..."

อันเดรสถอนหายใจเบาๆ เมื่อนึกถึงเพื่อนสนิทซึ่งในตอนนี้ต้องกลับไปยังฮ่องกงเพื่อดูแลกิจการของครอบครัวบ่อยขึ้น

"โอเค งั้นพวกเราไปก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกัน"

อันเดรสตบไหล่ของลูกชายเบาๆ ก่อนที่จะจูงมือพาผู้เป็นภรรยาซึ่งอยู่ในชุดราตรียาวเดินขึ้นบันไดเครื่องเจ็ทส่วนตัวแบบเช่าเหมาลำ

"พ่อครับ แม่ครับ ถ้าถึงแล้วก็โทรบอกผมด้วยแล้วกันนะครับ"

ฆาเบียร์ตะโกนบอกพ่อแม่

"จ้ะ ไฟลท์น่าจะประมาณ 5 ชั่วโมง แป๊บเดียวเอง แล้วแม่จะโทรหานะ"

แม่ของเขาตอบกลับพร้อมหันมาโบกมือให้เป็นครั้งสุดท้าย





"เฮอะ แป๊บเดียวที่ไหนกัน ชั่วกัปชั่วกัลป์ล่ะสิไม่ว่า"

คนตัวโตพึมพำออกมา เจใจหายวาบเมื่อรู้สึกถึงลมหายใจที่หอบถี่ขึ้นและเนื้อตัวที่เริ่มสั่นเทาของคนรัก เหงื่อกาฬของฆาเบียร์ไหลหลั่งออกมาจนเต็มหน้า

"โธ่ ฆาบี้ คุณครับ..."

เจขยับกายลุกขึ้นนั่งแล้วเป็นฝ่ายดึงร่างใหญ่กำยำของคนรักที่นอนกลั้นสะอื้นขึ้นมากอดแนบอก

"ไอ้เครื่องเวรนั่นน่ะ มันทำพ่อแม่ฉันตายเลยนะเจ ตายทั้งสองคนเลย แค่นั้นฉันก็ไม่ไหวแล้ว แล้วถ้านายกับอาปาเป็นอะไรไปอีก ฉันจะอยู่ยังไง? "

คนตัวโตพูดเสียงสั่นเครือ เจนยุทธลูบหลังคนที่เริ่มจะมีน้ำหูน้ำตาพร้อมกับพูดปลอบโยนอยู่ครู่ใหญ่จนคนรักของเขาเริ่มสงบลง เจจึงได้ปล่อยร่างใหญ่กำยำออกจากอ้อมอก

"เดี๋ยวผมลองขออาปาดูว่าจะไปทางเรือแทนได้ไหม แบบนี้คุณจะสบายใจขึ้นไหมครับ? "

เจจับไหล่ทั้งสองข้างของคนรักไว้และถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง ฆาเบียร์ปาดน้ำตาแล้วพยักหน้าน้อยๆ แต่ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

"นาย เอ่อ ไม่ต้องไปขออาปาหรอก ฉันไม่อยากให้อาปาไม่สบายใจ เมื่อกี้ฉันแค่แพนิคไปเท่านั้น พวกนายไปทางฮ.เถอะ นายเองก็เมาเรือไม่ใช่เหรอ? แถมฮ.มันก็เร็วกว่าจริงๆ "

คนตัวโตพูดเสียงอ่อยๆ แล้วยกมือขึ้นลูบหน้าแรงๆ เจขยับเข้ากอดคนรักของเขาพร้อมกับพูดปลอบประโลมอีกครั้ง



"ฉันไม่เป็นไรแล้วล่ะ ขอบใจนะ"

ฆาเบียร์ซึ่งไปล้างหน้าล้างตามาแล้วดึงมือเจนยุทธมาจูบพร้อมส่งยิ้มให้คนที่ขยับกายมานอนร่วมหมอน

"แน่นะครับ? "

เจนยุทธถามสำทับ ฆาเบียร์พยักหน้าแล้วเหยียดแขนออก เจขยับขึ้นมานอนหนุนไหล่กว้าง

"ดีแล้วครับ คุณนอนเถอะ ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้มีประชุมไม่ใช่เหรอ? "

คนตัวโตพยักหน้าตอบรับ เจจุ๊บเบาๆ ที่ปลายคางของเมียตัวโตของเขาแล้วหลับตาซุกหน้าลงกับอกกว้าง



"เจจ๊ะ หลับหรือยัง? ..."

คนตัวโตถามเบาๆ หลังเวลาผ่านไปครู่ใหญ่

"ยังไม่นอนอีก? ไม่ง่วงเหรอครับ? "

เจนยุทธถามกลับด้วยน้ำเสียงง่วงงุน ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่

"ฉัน เอ่อ ฉันนอนไม่หลับ"

คนตัวโตพูดเสียงอ่อยๆ เจนยุทธย้ายจากการนอนหนุนแผ่นอกของอีกฝ่ายลงมานอนเคียงข้างแทน เขาตะแคงร่างมาเผชิญหน้ากับคนรักที่พลิกกายนอนตะแคงเช่นกัน

"งั้น เรามานอนคุยกันจนกว่าจะหลับแล้วกันนะครับ ดีไหม? "

เจถามพร้อมกับจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่ยังมีแววเศร้าน้อยๆ ของคนรัก ฆาเบียร์พยักหน้า

"ได้จ้ะ มาคุยกัน มาคราวนี้เราได้คุยกันน้อยกว่าทุกทีจริงๆ "

"ครับ แต่ก่อนที่จะคุยกัน ผมอยากให้คุณเล่าเรื่องที่คุณอยากเล่าออกมาก่อน..."

ฆาเบียร์นิ่งไป

"...เมื่อกี้คุณเรียกผม ไม่ใช่ว่าคุณมีเรื่องอยากพูดกับผมเหรอครับ? "

คนตัวโตถอนหายใจเฮือกใหญ่ คนรักของเขาสัมผัสไวเสมอ

"จ้ะ เฮ้อ มันก็ไม่มีอะไรมากหรอก ฉันก็แค่อยากพูดให้เจฟัง..."

ฆาเบียร์หลบสายตาที่จ้องเป๋งมาของเจนยุทธ



"นายรู้ไหมว่าช่วงแรกๆ ที่พ่อแม่ฉันตาย ฉันเคยพยายามจะฆ่าตัวตายหลายครั้ง"

"โธ่ ฆาบี้! "

เจอุทานออกมา เขาดึงมือคนรักมากุมไว้แน่น ฆาเบียร์บีบมือเรียวตอบเบาๆ

"...แค่พยายามน่ะ ไม่เคยได้ลงมือจริงจังอะไร ก็อาปาให้คนมาเฝ้าฉันตลอด 24 ชั่วโมงเลย"

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ อย่างขมขื่นเมื่อนึกถึงเวลานั้น

"คุณครับ เราไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้แล้วดีกว่านะ ผมไม่อยากให้คุณต้องคิดถึงมันอีกอ่ะ"

เจยกมือปิดปากคนรัก หากฆาเบียร์ดึงมือนิ่มออกแล้วจูบเบาๆ ที่ฝ่ามือ

"ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันอยากเล่าให้นายฟังจริงๆ ฉันอยากให้นายรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวฉัน"

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่และรับฟังต่อ



"ในตอนนั้น ฉันคิดแค่ว่าชีวิตฉันไม่เหลืออะไรแล้ว ฉันเสียคนที่ฉันรักที่สุดทั้งสองคนไปแล้ว..."

ฆาเบียร์เล่าให้คนรักฟัง หลังจากได้รับข่าวว่าเครื่องตกและพ่อแม่ของเขาเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ฆาเบียร์ถึงกับล้มทั้งยืน เมื่อได้สติฟื้นขึ้นมา เขาก็ได้แต่ร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด และนั่นเป็นช่วงเดียวกับที่คริสโทรมาหาเขาจากฮ่องกง หลังจากวางสาย เขาได้พยายามใช้เข็มขัดแขวนคอตนเอง หากคนในบ้านที่แอบเฝ้าดูเขาอยู่รีบเข้ามาช่วยได้ทัน หลังจากนั้น เขาก็ไม่มีโอกาสได้อยู่คนเดียวอีกเลยจนกระทั่งคริสกลับมา

"...ฉันคิดวนไปวนมาว่าทำไมฉันถึงไม่ตายๆ ไปซะ นายรู้ไหมว่าที่จริงพ่อแม่ชวนฉันไปงานกาล่านั้นด้วย แต่ช่วงนั้นที่บริษัทมีการอัพเกรดระบบครั้งใหญ่ ฉันเลยต้องอยู่คุม พอเกิดเหตุนั้นขึ้น ฉันก็ได้แต่คิดว่าทำไมฉันไม่ไปด้วยซะ ทำไมฉันต้องถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว"

ฆาเบียร์ยิ้มหยันตัวเอง ในตอนนั้นเขาจมอยู่กับความขมขื่นและความปรารถนาที่จะไปให้พ้นจากความโศกเศร้าและความทุกข์ทนที่ตนได้รับ

"หลังงานศพพ่อแม่ ฉันก็ถูกคุมเข้ม อาปาเก็บข้าวของทุกอย่างที่จะทำให้ฉันคิดถึงพ่อแม่ไปจนหมด แถมยังบังคับให้ฉันย้ายออกไปอยู่ที่บ้านที่บริษัทเช่าไว้รับรองแขกและให้คนเฝ้าฉันไว้ตลอด..."

ใจของฆาเบียร์ในตอนนั้นเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองอาปาของเขา ทุกครั้งที่คริสมาห้ามเขาที่กำลังอาละวาด เขาต้องพุ่งเข้าไปหาเพื่อพยายามทำร้ายหรือด่าทออาปาของเขา

"ฉันพูดและทำอะไรแย่ๆ กับอาปาไว้เยอะในตอนนั้น แย่ขนาดที่ฉันไม่อยากให้อภัยตัวเองเลย…"

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่




"ทำไม ทำไมต้องเป็นพ่อแม่ผม?! มันควรเป็นคุณแท้ๆ ที่ต้องอยู่บนเครื่องนั่น! "

ฆาเบียร์ซึ่งอยู่ในอาการเมามายตะโกนด่าทอพ่อทูนหัวของเขา คริสซึ่งกำลังโอบรัดร่างลูกบุญธรรมที่ปรี่เข้ามาหาเมื่อพบว่าอัลบั้มรูปถ่ายของพ่อแม่ถูกเขาเก็บซ่อนไว้จนหมดปล่อยร่างใหญ่กำยำนั้นทันทีที่ได้ยินคำพูดที่เชือดเฉือนใจเขาเหล่านั้น ฆาเบียร์ทรุดฮวบลงกับพื้น เขาร้องไห้โฮออกมาอย่างไร้สติ

"ทำไมคุณต้องไปฮ่องกง ทำไมถึงไม่อยู่ที่นี่ ทำไมพ่อผมต้องไปงานแทนคุณด้วย ทำไม?! "

ฆาเบียร์พูดพลางสะอื้นฮั่กๆ คริสขบกรามแน่นเมื่อได้ยินคำพูดแสลงหูที่ฟังดูแสนห่างเหินจากคนที่เขารักเหมือนลูก

"ทำไมพ่อต้องมาตายแทนคุณด้วย แล้วคุณน่ะ เพื่อนรักตายไปตั้งสองคน ทำไมยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน? รูปพ่อแม่ผม คุณก็ให้คนปลดลงหมด คุณทำแบบนี้เพื่ออะไร?! ..."

"คิดเหรอว่าฉันอยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้?! "

คริสตวาดสวนคำพูดของฆาเบียร์ทันที หนุ่มละตินสะดุ้งเฮือก ตั้งแต่เล็กจนโตเขาไม่เคยได้ยินน้ำเสียงเกรี้ยวกราดขนาดนี้จากปากอาปาของเขาเลยสักครั้ง คริสถอนหายใจเมื่อเห็นใบหน้าตื่นตระหนกของฆาเบียร์ เขาพยายามกดเสียงลงจนราบเรียบ

"คิดเหรอว่าอาปาไม่เสียใจ? รู้อะไรไหม? อาปาหวังเหลือเกิน หวังว่าคนที่อยู่บนเครื่องนั้นในวันนั้นคืออาปา ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อาปาก็จะไปแทนที่พ่อแม่ของลูก"

คริสยิ้มเศร้าๆ เขาทรุดกายลงนั่งตรงหน้าลูกชายของเพื่อนรักที่นั่งตะลึงงัน เขาก้มหน้านิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมา ฆาเบียร์แทบหยุดหายใจเมื่อเห็นน้ำตาที่เอ่อคลอดวงตาที่แดงก่ำคู่นั้น เขาเพิ่งสังเกตเห็นรอยดำคล้ำที่ใต้ตาและใบหน้าที่ทรุดโทรมหมองคล้ำอันเกิดจากการอดหลับอดนอนของอาปาของเขา คริสถอนหายใจเฮือกใหญ่และยื่นมือไปลูบหัวคนที่เขารักเหมือนลูกของตัวเองเบาๆ พร้อมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือน้อยๆ

“อาปาคิดอยู่ทุกวันนะว่าถ้าคนที่ตายไปเป็นอาปาก็คงดี เพราะถ้าเป็นแบบนั้นลูกก็คงไม่ต้องเสียใจขนาดนี้"




"เจรู้ไหม พอได้ยินอาปาพูดแบบนั้น ฉันเหมือนโดนตบหน้าแรงๆ เลย นี่ฉันทำให้คนที่รักและดูแลฉันเหมือนลูกมาต้องมาคิดแบบนี้ได้ยังไง? "

ฆาเบียร์ยกฝ่ามือขึ้นปิดหน้าด้วยความเสียใจเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น

"โธ่ คุณ..."

เจนยุทธลูบหลังคนรักที่เขาดึงเข้ามากอดในอ้อมอกเบาๆ

"ผมว่าอาปาเองก็คงเข้าใจความรู้สึกของคุณนะ คงรู้แหละว่าคำพูดของคุณมันเกิดจากความเสียใจบวกกับเหล้า"

"จ้ะ ก็คงเป็นอย่างงั้น"

ฆาเบียร์ยิ้มอย่างขมขื่น เขาเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นต่อให้เจฟัง




"อาปาครับ ผม..."

ฆาเบียร์ซึ่งเริ่มได้สติแล้วพูดตะกุกตะกักด้วยความรู้สึกผิด หากเขาชะงักกึกเมือคริสยกมือขึ้นห้าม

"อาปาเองก็อาจจะไม่ได้แสดงออกให้ลูกเห็นชัดพอว่าอาปาก็เสียใจไม่ต่างกับลูก แต่ฆาบี้...ในสถานการณ์ที่เปราะบางแบบนี้ อาปาจะมาอ่อนแอไม่ได้ ในเมื่อพ่อของลูกไม่อยู่แล้วแบบนี้ มันก็ต้องมีคนจัดการเรื่องงานแทน ถ้าอาปามัวแต่ฟูมฟายเสียใจ งานจะเดินได้ยังไง? บริษัทของเรากำลังอยู่ในช่วงเติบโต อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ อาปาจะปล่อยให้สิ่งที่พ่อของของลูกสร้างมากับมือต้องสะดุดลงไม่ได้..."

ฆาเบียร์ก้มหน้าลงต่ำด้วยความละอายเมื่อได้ยินเสียงที่เริ่มแหบเครือนั้น จริงอย่างที่คริสว่า บริษัทของพ่อเขากำลังเริ่มขยายตัว ช่วงก่อนหน้าที่อันเดรสจะเสียชีวิต พวกเขาก็เพิ่งลงทุนครั้งใหญ่ไปกับการอัพเกรดเซิร์ฟเวอร์และระบบ อีกทั้งยังมีการเจรจาที่ยังค้างคากับเหล่าทัวร์เอเจนซี่ทั้งหลาย เมื่ออันเดรสผู้เป็นมันสมองเบื้องหลังฝ่ายไอทีมาเสียชีวิตไป งานทุกอย่างจึงตกอยู่ที่ฝ่ายบริหารอย่างคริส ฆาเบียร์ก่นด่าตัวเองอยู่ในใจ ตัวเขาเองในฐานะมือขวาของพ่อในด้านงานระบบควรจะก้าวขึ้นมาทำงานแทน แต่ตัวเขาในตอนนี้ไม่อยู่ในสภาพที่จะทำงานได้ไหวจริงๆ



"ผม ผมเสียใจครับอาปา ผมรู้ว่าผมต้องพยายามเข้มแข็ง แต่...แต่ผมไม่ไหวแล้วจริงๆ ..."

ฆาเบียร์ปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง คริสดึงลูกชายตัวโตของเขาเข้ามากอดเพื่อปลอบใจ

"อย่าฝืนตัวเองเลย ฆาบี้ ในตอนนี้ลูกเศร้าเสียให้พอ ใช้เวลาช่วงนี้ร้องไห้ให้เต็มที่ ลูกอยากพักนานเท่าไหร่ พักไปเลย อาปาไม่ว่า แต่อาปาจะขอแค่สองอย่าง..."

คริสถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วใช้สายตาจริงจังจ้องมองลูกชายของเขา

"ข้อแรก อาปาขอให้ลูกอย่าได้ทำร้ายตัวเองอีกเลย..."

ชายฮ่องกงวัยกลางคนกลั้นก้อนสะอื้น

"...ถ้าลูกเป็นอะไรไป พ่อแม่ของลูกบนสวรรค์ก็คงจะต้องเสียใจแน่ๆ จงอยู่ เพื่อรักษาความทรงจำของคนที่ไปตายแล้วเอาไว้ ลูกรับปากกับอาปาได้ไหม? "

ฆาเบียร์พยักหน้ารับปากทันควัน คริสยิ้มให้ลูกชาย แต่ฆาเบียร์รู้สึกได้ว่ามันช่างเป็นรอยยิ้มที่แสนเศร้าเสียเหลือเกิน

"ดีมาก ทีนี้ อีกอย่างหนึ่งที่อาปาจะขอเราก็คือ..."

คริสพยายามข่มความรู้สึกของตน แต่ความเศร้าเสียใจที่พลุ่งพล่านขึ้นทำให้เขากลั้นสะอื้นไว้ไม่อยู่



"อาปาขอลูกอย่าได้พูดให้อาปาได้ยินอีกว่าอาปาไม่เสียใจที่อันเดรสกับแคทตาย ขอล่ะ ฆาบี้ อาปาขอจริงๆ "

ฆาเบียร์ผวาเข้ากอดร่างพ่อทูนหัวของเขาที่สั่นสะท้านไปด้วยแรงสะอื้นไว้แน่น เขาพร่ำขอโทษที่ตนได้พลั้งเผลอใช้คำพูดทำร้ายจิตใจอาปาของเขาไป

"อาปาอยากให้รู้ว่าอาปารักพ่อของลูกมากกว่าสิ่งอื่นใด เอ่อ รักแม่ของลูกแล้วก็ลูกด้วย..."

คริสกลั้นสะอื้นแล้วรีบพูดเสริมเมื่อเขารู้ตัวว่าตัวเองพลั้งเผลอพูดสิ่งที่อยู่ในใจมากว่าสามสิบปีออกไป เขารีบยกนิ้วปาดน้ำตาแล้วข่มใจให้สงบ

"ผมรู้ครับว่าอาปารักผมและครอบครัวมากขนาดไหน รู้ดีว่าอาปาทำอะไรเพื่อพวกผมมาบ้าง และผมต้องขอโทษจริงๆ ที่ผมได้พูดแบบนั้นออกไป ผมขอโทษ ยกโทษให้ผมด้วย..."

ฆาเบียร์ปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าคริสได้เสียสละหรือได้ทำอะไรบ้างเพื่อครอบครัวของเขา อีกทั้งยังรู้ความรู้สึกของคริสที่มีต่อพ่อของเขา แม้เจ้าตัวจะพยายามเก็บงำมันไว้ แต่คนที่หูตาไวอย่างเขาก็สังเกตเห็นมันได้มาตั้งแต่ตอนเป็นวัยรุ่น แต่แทนที่เขาจะรังเกียจหรือกลัว เขากลับยิ่งรู้สึกรักและเคารพในตัวพ่อทูนหัวของเขาคนนี้มากขึ้น หากความเศร้าเสียใจที่ท่วมท้นในใจของเขาในช่วงนี้นั้นทำให้เขาขาดสติ เมื่อเห็นคริสไม่ได้แสดงท่าทีเสียใจมากมายนอกจากตอนที่กอดกันร้องไห้กับเขาในวันแรกที่กลับมาถึงสหรัฐฯ เท่านั้น มันทำให้เขาเผลอไผลคิดน้อยใจไปว่าคริสไม่ได้รักพวกเขาเหมือนเดิมอีกแล้ว



"ฆาบี้ ทั้งสองข้อนี้ เราจะรับปากกับอาปาได้ใช่ไหม? "

คริสสงบจิตใจและดันร่างใหญ่ของลูกชายของเพื่อนรักออก เขาถามสำทับด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"ผมรับปากครับ อาปา ทั้งสองอย่างนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นอีกแน่นอน"

ฆาเบียร์รับปากอย่างหนักแน่น คริสยิ้มเศร้าๆ

"ดีมาก เพราะอาปาคงทนจัดงานศพงานที่สามของเดือนนี้ไม่ไหวแล้ว ถ้าลูกเป็นอะไรไปอีกคน ชีวิตของอาปาก็คงต้องจบลงด้วย"

ฆาเบียร์รู้สึกเหมือนมีสายฟ้าฟาดลงกลางใจ เขาเหม่อมองใบหน้าอันเศร้าหมองของคริส เขามัวแต่เศร้าโศกอยู่กับการตายของพ่อแม่จนลืมนึกไปว่าคนที่อยู่ตรงหน้าก็เพิ่งผ่านการสูญเสียมาเช่นกัน ก่อนที่พ่อแม่ของเขาจะเสียชีวิตไม่ถึงสองสัปดาห์ คริสเองก็เพิ่งจัดงานศพของแอนดี้ผู้เคยใช้ชีวิตอยู่ในบ้านของเขาเป็นเวลา 14 ปีในฐานะน้องชาย แม้คริสจะเกลียดชังแม่เลี้ยงของเขาแค่ไหน หากเขาก็รักคนที่เขาเคยคิดว่าเป็นน้องชายต่างแม่คนนี้เสมือนเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน เมื่อนึกถึงสิ่งที่คริสต้องเผชิญขึ้นมาได้ ฆาเบียร์ก็นึกเกลียดตัวเองขึ้นมาจับใจ



"อาปาครับ แล้วอาปาไหวไหมครับ? ..."

หนุ่มละตินพูดเสียงแผ่วเบา เขาเอื้อมมือไปกุมมือเพื่อนรักของพ่อแล้วกระชับมั่น คริสยิ้มให้คนที่เขารักเหมือนลูก

"อาปายังไหว ไม่ต้องห่วงนะ ขอแค่มีเราช่วยเป็นกำลังใจให้ อาปาก็ยังอยู่ได้"

ฆาเบียร์กลั้นสะอื้นเมื่อเห็นรอยยิ้มอันอบอุ่นที่คริสมีให้เขาตลอดมา คริสยกมือขึ้นลูบผมที่กระเซอะกระเซิงไม่เป็นทรงของลูกชายเบาๆ

"เอ้า พอแล้ว เลิกร้องไห้กันได้แล้ว ไปอาบน้ำอาบท่าล้างหน้าล้างตาให้เรียบร้อย นี่เราตัวเหม็นมากเลยรู้ไหม? ไม่ได้อาบน้ำมากี่วันแล้วล่ะ? "

คริสกระเซ้าลูกชายที่หมกตัวอยู่ในห้องมาหลายวันแล้ว ฆาเบียร์ยิ้มเจื่อนๆ ก่อนที่จะชูสามนิ้วให้พ่อทูนหัวของเขา

"ไม่ไหวเลยเรา ไป ไปได้แล้ว อาบน้ำอาบท่าให้สดชื่น จากนั้น เราก็มาสู้ด้วยกันต่อ โอเคไหม? "

คริสยื่นกำปั้นของเขาไปตรงหน้าของฆาเบียร์ หนุ่มละตินยิ้มกว้างและยกกำปั้นตัวเองชนกับเพื่อนสนิทของพ่อเหมือนอย่างที่เขาเคยทำกันเมื่อตอนเป็นเด็ก

"ครับ เราจะสู้ไปด้วยกัน"




"เอ้า ร้องไห้ทำไม? "

ฆาเบียร์หัวเราะเมื่อเห็นคนรักสะอื้นฮักๆ หลังจากฟังเรื่องราวของเขากับพ่อบุญธรรม ฆาเบียร์เล่าทุกอย่างให้เจฟังยกเว้นส่วนที่เขารู้ว่าคริสนั้นรักพ่อของเขามากกว่าแค่ฉันท์เพื่อน หากส่วนที่เหลือนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้คนเจ้าน้ำตาอย่างเจต้องปล่อยโฮออกมาได้

"คุณแย่มากเลยอ่ะ ฆาบี้ คุณพูดแบบนั้นกับอาปาได้ยังไง ถ้าผมเป็นอาปานะ ผมจะเลิกสนใจคุณแล้ว อยากทำอะไรก็ทำเลย"

เจนยุทธสะอื้นพลางทุบอกคนรักดังบึ้ก

"โอ๊ย เจ อย่าทำร้ายร่างกายกันสิ เรื่องมันตั้งนานแล้ว ฉันก็สำนึกผิดแล้วไง"

คนตัวโตร้องลั่นแล้วตามด้วยคำบ่นพึมพำ

"หึ ไม่รู้แหละ ผมโกรธคุณแทนอาปาจริงๆ ด้วย"

เจแลบลิ้นให้คนรัก แต่ก็ต้องอุทานลั่นเมื่อคนตัวโตขโมยจูบเขาไปจ้วบใหญ่ คนตัวโตยิ้มกริ่ม ลิ้นสีชมพูของเจทำให้เขาอดอยากจูบเจ้าตัวดีของเขาไม่ได้จริงๆ

"แล้วไงต่อครับ มันต้องมีต่อสิ"

เจนยุทธทำตาแป๋วให้คนรักของเขา ฆาเบียร์โคลงหัวน้อยๆ แล้วเล่าต่อ



"คืนนั้นอาปาก็มานอนเฝ้าฉันที่ห้อง เราก็นอนคุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้ คุยเรื่องพ่อแม่ คุยเรื่องสมัยก่อนตอนที่พวกเรายังอยู่กันพร้อมหน้าทั้งสี่คน จนสุดท้ายพวกเราก็หลับสนิทไปจนถึงเที่ยงเลยมั้ง"

มันเป็นการนอนหลับอย่างเต็มตื่นของคนทั้งคู่นับตั้งแต่อันเดรสกับคาตาลิน่าจากไป หลังจากคืนนั้น พวกเขาก็นอนคุยกันแบบนี้ทุกคืนจนกระทั่งฆาเบียร์ต้องไปเข้ารับการบำบัด

"พอวันรุ่งขึ้น ฉันก็บอกอาปาว่าฉันจะไปจัดการหาหมอแล้วเข้ารับการบำบัดอาการซึมเศร้าและภาวะช็อคจากเหตุการณ์รุนแรงนี่ อาปาเองก็ไปรับการปรึกษาเหมือนกัน แต่อาการฉันน่ะหนักกว่า ก็รักษากันอยู่พักใหญ่อย่างที่เจรู้นั่นแหละ"

ฆาเบียร์ยิ้มให้คนรัก

"แล้วนายรู้อะไรไหม ตั้งแต่คืนนั้น ฉันก็ปฏิญาณกับตัวเองว่าในชั่วชีวิตนี้ ฉันจะไม่ทำอะไรให้อาปาได้เสียใจอีกแล้ว ฉันจะดูแลอาปาให้ดีที่สุดให้สมกับความรักที่ฉันได้รับ จะไม่ทำให้อาปาต้องเสียน้ำตาอีก"

เจย่นจมูกให้คนรัก

"เหรอ ผมเห็นคุณหนีเที่ยวอยู่นั่นแหละ..."

"โหย นี่ถือว่าโอเคมากแล้วนะสำหรับคนอเมริกันอย่างฉันน่ะ นายอย่าเอามาตรฐานคนตะวันออกมาเทียบสิ"

คนตัวโตบ่นพึมพำ เจหัวเราะคิกคัก จริงอย่างที่ฆาเบียร์ว่า สำหรับชาวอเมริกันที่ลูกหลายครอบครัวออกจากบ้านไปใช้ชีวิตของตนเองตั้งแต่พ้นช่วงวัยรุ่นแล้ว การที่ฆาเบียร์ยังอยู่ร่วมบ้านเพื่อดูแลคริสซึ่งเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่คนเดียวของเขานั้นถือเป็นสิ่งที่แสดงความกตัญญูถึงขั้นสุดแล้ว แม้เขาจะออกเที่ยวกลางคืนหรือไปนอนคอนโดตัวเองบ้าง แต่เขาก็ยังใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่รอบตัวอาปาของเขา



"ผมก็แซวไปงั้นแหละน่า อย่าคิดมากเลยนะครับ..."

เจนยุทธจุ๊บปลายคางของคนที่ทำหน้ามุ่ย

"...ผมก็เห็นคุณดูแลอาปาดีมากๆ แล้วถ้าเทียบกับฝรั่งคนอื่นอ่ะนะ"

เจกอดแขนคนที่ทำหน้าที่เป็นหมอนข้างให้เขาก่ายกอด

"แต่ทั้งที่ฉันสัญญากับตัวเองไปแบบนั้น ฉันก็ยังทำให้อาปาต้องเสียใจอีกจนได้นะ..."

ฆาเบียร์ทำหน้าเครียด

"เอ๊า! คุณไปก่อเรื่องอะไรขึ้นอีกล่ะ? ไปทำใครท้องหรือไง? "

เจหลุดปากถามแล้วก็ต้องร้องอุทานลั่นเมื่อโดนคนตัวโตหยิกแก้มแรงๆ

"นี่แน่ะ พูดอะไรของนายน่ะ ฉันจะไปทำใครท้องได้ยังไง? "

ฆาเบียร์พยายามทำหน้าบึ้ง แต่ก็อดขำในความทะเล้นของคนรักไม่ได้

"ขอโทษครับฆาบี้ แหะๆ มันเคยตัวอ่ะ"

เจหัวเราะแหะๆ เขาลืมตัวพูดในสิ่งที่เขาคิดว่าจะทำให้แม่ของตัวเองเสียใจออกมา



"แล้วตกลงมันเรื่องอะไรอ่ะครับ? "

เจทำตาแป๋วใส่คนรักด้วยความอยากรู้อยากเห็นอีกครั้ง

"อาปาต้องน้ำตาตกกับฉันอีกครั้งก็เมื่อปีที่แล้วไง เจนยุทธ ตอนที่ฉันเศร้าเจียนตายเพราะใครสักคนนั่นแหละ ใครกันน้า? "

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ พลางหอมแก้มของคนรักฟอดใหญ่ เจนยุทธหน้าร้อนผ่าว เขายังนึกถึงช่วงเวลาอันแสนวุ่นวายนั้นได้

"แต่ในที่สุด ฉันก็ว่าฉันทำให้อาปามีความสุขสุดๆ ได้แล้วนะ"

คนตัวโตยิ้มกว้าง เขาจุมพิตริมฝีปากแดงระเรื่อของคนรักเบาๆ

"นั่นก็เพราะนายอีกเช่นกันนะ เจนยุทธ ขอบใจนะที่นายเข้ามาเป็นสีสันให้กับชีวิตของอาปา"

เจยิ้มและกอดร่างกำยำของคนรัก

"เรื่องแค่นี้เอง ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับ ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ผมก็อยากจะช่วยคุณดูแลอาปาแบบนี้ไปตลอด อยากให้ผมทำอะไร บอกมาได้เลยนะ"

ฆาเบียร์หัวใจเต้นแรง คำพูดของเจทำให้หัวใจของเขาพองโตขึ้นหลายเท่า

"ฉันไม่ว่าอะไรหรอก เจ ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากให้นายช่วยมาเป็นเพื่อนคุยกับอาปาแบบนี้ไปตลอดชีวิตของอาปาเลยจะได้ไหม? "

เจนยุทธหน้าแดงก่ำ เขาส่งเสียงตอบรับเบาๆ แล้วซุกหน้าลงกับแผงอกกว้าง ฆาเบียร์จูบเรือนผมดำขลับของคนรักแผ่วๆ อย่างสุขใจ



"นายจะนอนแล้วก็ได้นะ"

ฆาเบียร์ส่งเสียงบอกคนที่สัปหงกน้อยๆ คาอกเขา เจขยี้ตาอย่างง่วงงุน

"แล้วคุณจะยังไม่นอนเหรอครับ? ยังไม่ง่วงอีกเหรอ? "

เจนยุทธหาวน้อยๆ ฆาเบียร์ส่งยิ้มละไมกลับมา

"เริ่มง่วงแล้วจ้ะ อีกสักพักก็คงหลับได้แล้ว"

"เอายาไหมครับ? "

เจทำท่าจะลุกขึ้นไปหยิบยากล่อมประสาทที่หมอให้ไว้เพื่อระงับอาการแพนิคแบบฉุกเฉินนอกเหนือจากยาต้านซึมเศร้าที่คนรักของเขากินเป็นประจำอยู่แล้ว หากฆาเบียร์ยกมือห้ามไว้

"ไม่เป็นไรจ้ะ มันไม่ได้หนักถึงขั้นต้องกินยา นี่ก็ดีขึ้นมากแล้ว นอนคิดอะไรเพลินๆ หรืออ่านนั่นนี่สักพักก็คงหลับแล้วจ้ะ"

คนตัวโตหยิบไอแพดของเขาขึ้นมาเปิด หากเจฉวยมันออกจากมือของคนรัก

"ไม่ได้ๆ ก่อนนอนอย่าเล่นหรือทำอะไรให้สมองตื่นอีกเลยครับ มะ เดี๋ยวผมคุยเป็นเพื่อนคุณต่อเอง"

เจยิ้มกว้างให้คนรัก ฆาเบียร์โคลงหัวน้อยๆ

"เอ้า ตามใจนายแล้วกัน มะ เราคุยกันต่อ มีเรื่องอะไรจะเม้าให้ฉันฟัง ว่ามา"

"โอ๊ย มีเยอะเลยครับ เริ่มจากเรื่องนี้..."




---------------------------------------------------------


ต้องขออภัยที่ตอนนี้มาช้าอีกแล้วค่ะ ช่วงนี้สมองมันไม่แล่นจริงๆ ฮือ ก็หวังว่าตอนนี้จะยังสนุกอยู่บ้าง ตอนนี้ก็ไปเรื่อยๆ ค่ะ ย้อนอดีตนิดหน่อย เขียนไปก็น้ำตาร่วงเอง เสียน้ำตาให้กับอาปาไปหลายหยด คือภาพที่อยู่ในหัวมันเศร้า แต่ไม่รู้ว่าจะสามารถถ่ายทอดอารมณ์ให้คนอ่านรู้สึกได้เหมือนกับที่ตัวเองรู้สึกได้หรือเปล่านะคะ ยากจังเนาะ แต่ยังไงก็ขอคนอ่านก็อย่าเกลียดฆาบี้เลยนะคะ สถานการณ์มันพาไปค่ะ :-(


ไว้เจอกันตอนหน้า จะพาไปกินนั่นกินนี่เหมือนเดิมค่ะ ถ้าว่างๆ แวะเมาท์และอ่านรีวิวอาหารแบบเบาๆ นิดๆ หน่อยๆ กันได้ที่

เพจ fb ค่ะ https://www.facebook.com/LaVidaSinTuAmor/

หรือทวิตเตอร์ https://twitter.com/VidaSinTuAmorTH (เน้นชมบ่าวค่ะ แหะๆ)





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-05-2019 05:06:19 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- Cheese and Ham ----




"ฆาบี้..."

เจนยุทธลุกขึ้นนั่งแล้วเขย่าตัวคนรักเบาๆ

"หืมม์ ว่าไงจ๊ะ? มีอะไร? "

ฆาเบียร์ถามด้วยน้ำเสียงง่วงงุนทั้งที่ยังหลับตา

"เอ่อ เมื่อกี้คุณลูบหัวผมหรือเปล่า?"

เจถามด้วยน้ำเสียงหวาดๆ คนตัวโตค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขาเบือนหน้าหลบแสงจากโคมไฟข้างเตียงที่คนตัวเล็กเปิดไว้จนสว่างโร่

"ไม่นี่ ฉันเพิ่งตื่นเอาตอนที่เจปลุกนี่แหละ"

"คุณ อย่าแกล้งผมสิ ผมรู้สึกเลยอ่ะว่ามีมือคนลูบหัวอ่ะ"

เจนยุทธทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เมื่อเห็นใบหน้าที่ฉายแววงุนงงของคนรัก ฆาเบียร์กัดริมฝีปากเบาๆ และขยับตัวลุกขึ้นนั่ง

"โอเคๆ ฉันลูบหัวนายเองแหละ ก็ตอนหลับเจดูน่ารักขนาดนั้น ฉันก็อดไม่ได้น่ะสิ"

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ แล้วโอบไหล่คนรักและเขย่าเบาๆ ด้วยความเอ็นดู

"คุณอ่ะ นิสัยไม่ดี รู้ว่าผมกลัวยังแกล้งอีก"

เจผลักอกคนรักเบาๆ ฆาเบียร์หัวเราะน้อยๆ แต่ก็ไม่ได้โต้เถียงอันใดอีก เขายืดแขนบิดขี้เกียจพลางเหลียวมองไปรอบๆ ห้อง

"ตอนนี้กี่โมงแล้ว? ยังมืดอยู่เลยนี่?"

คนตัวโตยกดูเวลาจากโทรศัพท์มือถือที่ชาร์จไว้ข้างเตียง

"...ตีสี่ครึ่งเอง กลับมานอนต่อเถอะจ้ะ"

"เดี๋ยวครับ..."

เจดึงคนรักที่ทำท่าจะล้มตัวลงนอนต่อ

"ผมปวดฉี่อ่ะ คุณไปส่งผมเข้าห้องน้ำหน่อยสิ"

เจนยุทธพูดเสียงอ่อยๆ ฆาเบียร์อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ถึงเจจะขึ้นมานอนที่บ้านบนพีคของอาปาของเขาสองสามครั้งแล้ว เจ้าตัวดีก็ยังอดกลัวที่ต้องตื่นมาเข้าห้องน้ำเองตอนกลางคืนไม่ได้



"นี่ยังไม่ชินอีกเหรอ หืมม์?"

ฆาเบียร์หันไปถามคนรักที่เดินตามหลังเขาออกมาจากห้องน้ำ เจส่ายหน้าระรัว

"ผมไม่ถูกโรคกับบ้านเก่าแบบนี้อ่ะครับ บ้านหลังนี้ของอาปาอายุตั้งกี่ปีนะ? 150?"

เจถามพลางปีนกลับขึ้นเตียงแบบจีนโบราณที่วางฟูกหนานุ่มไว้แล้วซุกกายเข้าในอ้อมอกของคนรัก

"น่าจะประมาณนั้นหรือใหม่กว่านั้นหน่อยจ้ะ เดิมทีมันเป็นบ้านของไม่พ่อค้าก็เจ้าหน้าที่รัฐชาวอังกฤษนี่แหละ ฉันก็จำไม่ได้แล้ว พ่อของอาปาได้มันมาในราคาไม่แพงมั้ง ตอนหลังก็มีการรีโนเวทกับต่อเติมใหม่บ้าง..."

เจยิ้มแล้วพยักหน้าหงึกหงักตามคำบรรยายของคนรัก

"...แต่ปีกที่เรานอนอยู่นี่เป็นตัวอาคารดั้งเดิมเลยนะ"

"แล้วจะต้องบอกทำไม ผมอุตส่าห์ดีใจนึกว่าตึกนี้เป็นตึกใหม่..."

เจนยุทธหุบยิ้มพร้อมกับบ่นอุบอิบ ฆาเบียร์หัวเราะน้อยๆ และขยี้ผมดำขลับของคนรัก

"จะคิดมากอะไรนักหนา หืมม์? ก็บอกแล้วว่าไม่มีอะไร ฉันมานอนที่นี่ตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้วก็ยังไม่เคยเจออะไร เอ้า หลับได้แล้ว"

ฆาเบียร์ขยับให้เจลงนอนบนหมอนแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้ถึงคอ หากเจ้าตัวดีของเขาก็ยังอดบ่นออกมาไม่ได้

"ก็ผมยังอดกลัวไม่ได้อ่ะ ก็คุณเคยเล่าว่าปู่ย่าของอาปาไม่ชอบฝรั่ง พวกท่านก็เลยอาจจะไม่มาให้คุณเห็นไง แต่พอเห็นเด็กไทยน่ารักๆ แบบผม พวกท่านอาจจะถูกใจอยากเซย์ เฮลโหลขึ้นมาก็ได้อ่ะ"

"โอ๊ย ฮ่าๆๆ นายคิดได้ยังไง เจนยุทธ? พอๆ เลิกคิดฟุ้งซ่านได้แล้ว ถามหามากๆ เดี๋ยวก็เจอจริงๆ หรอก"

ฆาเบียร์อดหัวเราะก๊ากออกมาไม่ได้ เขาใช้ข้อนิ้วเคาะหน้าผากคนรักเบาๆ เจยกมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเองเบาๆ พร้อมกับทำหน้ามุ่ย เขาบ่นอุบอิบแล้วก็หลับตาลง

"นายนี่ก็ช่างคิดจริงๆ น้า"

ฆาเบียร์ยิ้มพลางโคลงหัวน้อยๆ แต่เขาก็พอจะเข้าใจได้ที่คนรักผู้กลัวสิ่งที่มองไม่เห็นของเขาจะมีท่าทีหวาดหวั่น แม้เตียงแต่งงานของพ่อแม่ของคริสที่เขานอนอยู่นี้จะมีอายุไม่ถึง 70 ปี หากอาคารฝั่งที่พวกเขานอนอยู่ในตอนนี้นั้นเป็นตัวอาคารดั้งเดิมที่สร้างขึ้นในช่วงกลางหรือปลายศตวรรษที่ 19 ฆาเบียร์นอนลืมตาดูลวดลายมงคลอันงดงามที่สลักเสลาบนแผ่นไม้ที่ล้อมเตียงทั้งสามด้านซึ่งมองเห็นได้รางๆ จากแสงเงินแสงทองที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาพลางคิดถึงเรื่องครอบครัวที่อาปาเล่าให้เขาฟัง



หลังจากที่เริ่มสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้จากธุรกิจสีเทา ปู่ของคริสซึ่งไม่ชอบชาวตะวันตกก็ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะยืนอยู่เหนือพวกฝรั่งดั้งขอ เขาใช้สารพัดวิธีจนได้บ้านหลังนี้มาในราคาที่ไม่แพงนัก การที่ได้อาศัยอยู่บนยอดสุดของเมืองซึ่งในอดีตเคยมีแต่พวกชาวตะวันตกอยู่อาศัยนั้นเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของเขา หากภายหลังเขากลับต้องขมขื่นใจที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่เขาอุตส่าห์ส่งไปเรียนถึงอังกฤษคว้าคนรักชาวตะวันตกกลับมา และเขายิ่งเจ็บใจยิ่งกว่าเมื่อได้รู้ว่าลูกชายของเขานั้นรู้จักกับสาวเจ้าที่เป็นลูกครึ่งอังกฤษ-ฮ่องกงคนนี้ตั้งแต่ตอนที่พวกเขาย้ายมาอยู่บนเดอะพีคใหม่ๆ แม้หลังจากนั้นไม่นานพ่อของว่าที่สะใภ้ของเขาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐของฝ่ายอังกฤษได้ย้ายกลับประเทศไปทั้งครอบครัว แต่ทั้งสองก็ได้มาเจอกันโดยบังเอิญและเริ่มสานสัมพันธ์กันอีกครั้งเมื่อลูกชายของเขาไปเรียนต่อที่อังกฤษ

แม้จะไม่เห็นด้วยกับหญิงที่ลูกชายเลือก เขาและภรรยาก็ไม่อาจขัดความต้องการของลูกชายคนเดียวผู้เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจคนนี้ได้ ยิ่งลูกชายคนนี้คือความหวังที่จะกอบกู้ธุรกิจครอบครัวที่กำลังเริ่มดิ่งลงเหวหลังสงครามมหาเอเชียบูรพาด้วยแล้ว อีกทั้งพ่อของสาวเจ้าก็ยังคงมีคอนเนคชั่นกับเหล่าข้าราชการและพ่อค้าชาวอังกฤษในฮ่องกง ทั้งสองจึงต้องฝืนใจรับว่าที่สะใภ้คนนี้ไว้ ภายหลังแม้สะใภ้คนนี้ของพวกเขาจะอาภัพและเสียชีวิตลงหลังจากเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังนี้ได้ไม่ถึงสิบปี ร่องรอยของเธอยังคงหลงเหลืออยู่ทั่วคฤหาสน์หลังงามที่ลูกชายของเขาได้ตกแต่งและปรับปรุงเสียใหม่เพื่อรับภรรยาสุดที่รัก ไม่ว่าจะเป็นห้องนั่งเล่นแบบตะวันตกที่ล้อมรอบไปด้วยผนังและเพดานกระจกคล้ายกรีนเฮาส์ไปครึ่งห้องซึ่งทำให้ห้องนั้นดูเปิดโล่งและเห็นทิวทัศน์ของเมืองเบื้องล่างได้ อีกทั้งเปียโนแพงระยับที่ลูกของเขาสั่งนำเข้ามาจากออสเตรียเพื่อเป็นของกำนัลให้เมียรักหลังจากคลอดลูกชายให้เขา

หลังจากที่เกรซ ภรรยาของลูกชายเขาเสียชีวิตไปเจ็ดปี แม้จะแต่งงานใหม่กับหญิงที่เขาบังคับเลือกให้ ลูกชายของเขาก็ยังคงปฏิเสธที่จะลบตัวตนและภาพเงาของอดีตลูกสะใภ้ของเขาออกไปจากบ้านนี้ ภาพวาดทุกภาพ ของประดับทุกชิ้นที่ลูกสะใภ้ของเขาเป็นคนเลือกมา ลูกชายของเขาล้วนเก็บทุกอย่างไว้ในสภาพเดิมเหมือนวันที่เมียรักของเขายังอยู่ มีเพียงเตียงแต่งงานหลังงามซึ่งเป็นที่นอนของเกรซจนถึงวาระสุดท้ายที่ลูกชายของเขาทำใจเก็บไว้ไม่ได้ เขาไม่สามารถทนนอนอยู่บนเตียงแต่งงานคนเดียวโดยที่ไม่มีร่างของภรรยาเคียงข้าง อีกทั้งยังไม่ต้องการให้มีใครอื่นมานอนแทนที่ภรรยาของเขาจึงนำมันไปเก็บไว้ในห้องเก็บของและไม่เคยเปิดเข้าไปดูอีกเลย



"ยังไม่นอนอีก..."

เสียงบ่นเบาๆ หลุดรอดออกมาจากริมฝีปากของคนที่เขานึกว่าหลับไปแล้วหลังจากที่เขาขยับกายเพื่อเปลี่ยนท่านอน

"...รีบๆ นอนเถอะครับ แล้วอย่าแกล้งลูบหัวผมอีกล่ะ"

คนตัวเล็กกำชับอย่างขึงขัง

"จ้ะๆ ไม่แกล้งแล้ว เจนอนเถอะ ฉันก็จะหลับแล้วเหมือนกัน"

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ และจุมพิตบนเรือนผมอันอ่อนนุ่มของคนรัก เขาไม่กล้าเล่าความจริงให้เจฟังว่า อันที่จริงหลังจากนอนคุยกันจนผลอยหลับไปเมื่อกลางดึก เขาก็หลับสนิทจนกระทั่งเจนยุทธมาเขย่าปลุก หากเขาไม่ต้องการให้คนที่กลัวสิ่งที่มองไม่เห็นต้องรู้สึกตื่นตระหนกไปมากกว่านี้จึงยอมรับเสียเองว่าเป็นฝ่ายลูบหัวคนรัก

"คุณคงคอยดูแลพวกเราอยู่สินะ"

ฆาเบียร์รอจนแน่ใจว่าเจนยุทธหลับสนิทไปแล้วจึงได้พูดเบาๆ ออกมา เขาใช้นิ้วลูบลายสลักรูปเป็ดแมนดารินซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคงในความรักของคนจีนบนแผ่นไม้แกะสลักที่ข้างเตียงเบาๆ เขานอนลืมตาคิดนั่นนี่อยู่ครู่ใหญ่จนเริ่มง่วงเหงาจึงได้หลับตาลง

"ผมก็ขอสัญญาว่าจะดูแลอาปาให้ดีที่สุดครับ"

ฆาเบียร์พึมพำออกมาเมื่อนึกถึงอดีตนายหญิงของบ้านผู้เคยเป็นเจ้าของเตียงที่เขาและเจใช้หลับนอนหลังนี้

"ขอบใจจ้ะ"

ไม่ว่าจะเป็นความฝันหรืออะไรก็ตาม เสียงกระซิบอย่างอ่อนหวานของหญิงสาวที่ข้างหูคือสิ่งสุดท้ายที่ฆาเบียร์ได้ยินก่อนที่จะเคลิ้มหลับไป



"ผมลงไปก่อนนะ ไว้คุณค่อยตามลงมานะครับ"

เจนยุทธจุ๊บแก้มคนรักที่ยังนอนหมดสภาพบนเตียง ฆาเบียร์ส่งเสียงตอบรับอืออออยู่ในลำคอ เขานอนต่ออีกพักใหญ่จนกระทั่งนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ดังขึ้น ฆาเบียร์ลุกขึ้นอย่างงัวเงียแล้วเดินสะโหลสะเหลเข้าห้องน้ำไป เขากลับออกมาด้วยใบหน้าที่แช่มชื่นหลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว

'กำลังจะลงไปจ้ะ'


ฆาเบียร์หยิบมือถือขึ้นมาพิมพ์ตอบเมื่อได้ยินเสียงไลน์ดัง จากนั้นจึงออกห้องเพื่อลงไปกินอาหารเช้า

"อรุณสวัสดิ์ครับ อาปา"

"ไง มาซะทีนะ"

คริสเงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์ที่เขากำลังอ่านอยู่เมื่อได้ยินเสียงลูกของเขาทักทาย ฆาเบียร์ส่งยิ้มกว้างให้พ่อบุญธรรมและทรุดตัวลงนั่งที่ชุดโต๊ะรับประทานอาหารเช้าซึ่งจัดไว้ที่มุมหนึ่งของห้องพักผ่อนกึ่งเรือนกระจกของบ้าน เขาทอดสายตาดูทิวทัศน์ที่สามารถมองเห็นได้จนถึงอ่าววิคตอเรียแล้วจึงหันกลับมาหาคริส

"เจล่ะครับ?"

ฆาเบียร์ถามหาคนรักเมื่อมองไปรอบข้างแล้วไม่เห็นเจ้าตัวยุ่งของเขา

"อยู่ในครัวน่ะ เห็นว่าจะไปทำอะไรให้อาปากิน ลูกกินก่อนเลยก็ได้นะ หรือจะให้เขาทอดไข่ให้ไหม?"

คริสผายมือไปทางโหลใส่เหล่าคอร์นเฟลคและมูสลีย์อีกทั้งผลไม้สดที่คนของเขาจัดเตรียมไว้ให้บนโต๊ะ หากฆาเบียร์ส่ายหัว เขาอยากดูว่าเจจะจัดการทำอะไรให้เขาและคริสกินอีก



"อ้าว คุณ มาแล้วเหรอ?"

เจนยุทธเดินยิ้มเผล่เข้ามาพร้อมกับจานใบใหญ่ในมือ

"ไงจ๊ะ เห็นอาปาบอกว่าเจลงครัวเองอีกแล้ว ทำอะไรให้อาปากินอีกล่ะวันนี้? แซนวิชเหรอ?"

ฆาเบียร์มองตามจานที่อยู่ในมือคนรัก

"ครับ Croque Monsieur ผมเห็นจากไอจีเพื่อนที่เขาไปเที่ยวปารีสก็เลยอยากกินขึ้นมา"

เจนยุทธหัวเราะแหะๆ เมื่อสะดุ้งตื่นขึ้นมาในยามเช้า เขาก็ทำในสิ่งที่ทำจนติดเป็นนิสัยคือเปิดมือถือขึ้นเช็คสารพัดโซเชียลมีเดียเพื่อดูความเป็นไปของเพื่อนๆ เขาอดน้ำลายไหลไม่ได้เมื่อเข้าไปดูไอจีของเพื่อนซึ่งกำลังท่องเที่ยวอยู่ในฝรั่งเศส

"มีแต่ของน่ากินอ่ะคุณ ทั้งสเต๊ก อาหารฝรั่งเศส ขนม ผมก็เลยตัดสินใจทำของที่ทำง่ายที่สุดมากิน"

เจเปิดไอจีของเพื่อนเขาส่งให้ฆาเบียร์ดู

"เนี่ยๆ เพื่อนผมมันไปคาเฟ่ที่ถ่ายหนังเรื่อง The Tourist ที่เรานั่งดูที่ห้องกันวันนั้นอ่ะ..."

เจบรรยายภาพแล้วหันไปอธิบายให้คริสที่ทำท่าสนใจฟังด้วย เขาชี้ๆ ภาพแซนวิชอบชีสหน้าตาน่ากินให้ทั้งสองคนดู

"...ผมก็เลยว่าจะทำไอ้นี่กินหน่อย แต่ก็อาจจะหนักไปนิดสำหรับมื้อเช้านะครับ"

เจหัวเราะแหะๆ เขาลองเอารูปแซนวิชที่มีต้นกำเนิดจากฝรั่งเศสช่วงปี 1910 นี้ไปให้พ่อครัวผู้ช่วยของเชฟเฉินซึ่งเป็นคนรับผิดชอบอาหารมื้อเช้าดู เมื่อพ่อครัวบอกว่าเขามีสูตรและในครัวก็มีวัตถุดิบครบ เจจึงได้ขอให้พ่อครัวคนนั้นสอนเขาทำแซนวิชอบชีสอย่างหรูจานนี้ แม้จะเตรียมของไว้สำหรับสามชิ้น สุดท้ายเจก็ตัดสินใจทำแซนวิชนี้มาแค่สองชิ้นก่อนเนื่องจากไม่แน่ใจว่าฆาเบียร์และคริสจะอยากกินอะไรหนักๆ ขนาดนี้ตั้งแต่เช้าหรือไม่



เขาเริ่มจากการทำซอส Bechamel หรือที่เรียกกันว่า "ซอสขาว" เขาละลายเนยจำนวนหนึ่งในกะทะก้นหนาและทิ้งไว้จนเริ่มขึ้นฟอง จากนั้นจึงเทแป้งสาลีจำนวนตามสูตรลงไปผัดกับเนยจนข้นและเริ่มเดือดเป็นฟอง เขาเทนมลงไปโดยไม่ลืมคำของเชฟว่าต้องอุ่นนมก่อนเพื่อกันไม่ให้แป้งจับตัวกันเป็นก้อน เขาใช้ตะกร้อมือตีต่อจนซอสข้นได้ที่แล้วจึงยกลงจากเตา จากนั้นปรุงรสด้วยผงจันทน์เทศ พริกไทยและเกลือเล็กน้อย

"ต้องใส่นี้ด้วยเหรอครับ อาโจว?"

เจนยุทธทำหน้างงๆ เมื่อเชฟโจว พ่อครัวผู้ช่วยซึ่งเป็นคนรับผิดชอบอาหารมื้อเช้าแทนตัวเชฟเฉินส่งถ้วยใบน้อยใส่มัสตาร์ดแบบ Dijon มาให้เขา

"ครับ เราจะเติมมัสตาร์ดลงไปหน่อยเพื่อให้รสแหลมขึ้นอีกนิด แต่ถ้าคุณเจจะไม่ใส่ก็ได้นะครับ"

เชฟโจวตอบอย่างสุภาพ แม้เจจะเรียกเขาว่า Uncle Chow อีกทั้งยังบอกเขาว่าไม่ต้องเกรงใจและให้ปฏิบัติกับเขาเหมือนเป็นเด็กที่อายุน้อยกว่าตามปกติ แต่เชฟวัย 50 ปีคนนี้ก็ไม่ยอมทำตามคนที่นายท่านของเขาเอ็นดูเหมือนเป็นลูกอีกคนๆ นี้ เจก็ได้แต่ปล่อยถอนใจและปล่อยให้เชฟโจวทำตามใจชอบไป

"โอเคครับ ตีพวกเครื่องปรุงใส่ในซอสแล้ว ทีนี้เติมชีสเลยนะ?"

เจหันไปถาม เชฟโจวพยักหน้ารับคำแล้วบอกว่าโดยปกติแล้วไม่จำเป็นต้องใส่ชีสลงในซอสเบชาเมลก็ได้ แต่เชฟเฉินซึ่งเป็นคนสอนสูตรนี้ให้กับเขาบอกว่ามันจะช่วยเพิ่มความหอมมันใหักับแซนวิชนี้ เจรับคำแล้วเติมชีสกรูแยร์และชีสพาเมซานขูดจำนวนหนึ่งลงไปในหม้อซอสและจัดการคนจนละลายและได้ความหนืดตามที่ต้องการ เขาพักซอสไว้แล้วเริ่มไปจัดการประกอบร่างแซนวิช



"ขนมปังนี่ต้องเป็นขนมปังขาวตัดขอบเท่านั้นเหรอครับ?"

เจนยุทธถามเชฟ

"อืมม์ ถ้าตามสูตรดั้งเดิมก็ใช่ครับ แต่สมัยนี้ คุณเจจะใช้ขนมปังอะไรก็ได้ตามที่มีครับ จะเป็นขนมปังขอบหนาแบบที่เรียกว่า country bread ก็ได้ หรือผมเคยเห็นที่เป็นขนมปังแบบบริออชก็ยังมี ขอให้ตัดออกมาเป็นแผ่นได้เป็นพอ"

เชฟโจวพูดพลางขยับกายหลบจากเคาเตอร์เพื่อให้เจจัดการเรียงแซนวิชเอง

"ทาซอสลงไปบนขนมปังเลยครับ ใช่ๆ ไม่ต้องเยอะมากครับ"

เชฟวัยกลางคนเรียงขนมปังทั้ง 6 แผ่นที่เจทาซอสเบชาเมลไว้บางๆ ลงในถาดที่กรุด้วยกระดาษไขโดยหันด้านที่มีซอสขึ้น

"จริงๆ มันมีวิธีทำสองแบบครับ แบบแรกคือเอาขนมปังไปปิ้งก่อนซักห้านาทีจนเหลืองสวยก่อนแล้วถึงเอามาทำเป็นแซนวิช ถ้าทำวิธีนั้น เราไม่ต้องทาซอสเบชาเมล แต่สำหรับเราที่ทำซอสไว้เยอะ จะทาเพิ่มลงไปบนขนมปังอีกหน่อยก็ได้ แต่วิธีนี้ต้องเป็นขนมปังที่ยังไม่ได้ปิ้งเพื่อที่ซอสจะได้ซึมซาบเข้าในเนื้อขนมปังได้ครับ"

"หูย อาโจวครับ แค่ฟังผมก็น้ำลายหกแล้วอ่ะ"

เชฟผู้ช่วยซึ่งจบการครัวแบบตะวันตกมาเช่นเดียวกับเชฟเฉินหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นเจทำท่าปาดน้ำลาย จากนั้นก็เริ่มเล่าเรื่องแซนวิชที่มีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 ชนิดนี้ให้เจฟัง



"จริงๆ Croque Monsieur นี่มันก็คือเวอร์ชั่นหรูของแซนวิชแฮมชีสนั่นแหละครับ สำหรับคนฝรั่งเศสบางบ้าน มันก็คือการเอาแซนวิชไส้แฮมกับชีสไปอบหรือทอดให้กรอบ โดยอาจทามัสตาร์ดแบบดิฌงลงไปเพื่อปรุงรสโดยไม่ได้มีการใส่ซอสเบชาเมลลงไปบนหน้าแต่อย่างใด แต่แบบที่เราทำกันอยู่นี้เป็นแบบที่นิยมเสิร์ฟกันในคาเฟ่ครับ นิยมกินเป็นของว่างหรือมื้อเที่ยงเบาๆ ผมถึงถามคุณเจในตอนแรกว่ามันจะหนักไปสำหรับมื้อเช้าหรือเปล่า"

"แหะๆ สำหรับผมมันก็ไม่หนักไปหรอกครับ แต่พอมานึกๆ ดูในตอนนี้ มันอาจจะหนักไปสำหรับอาปาหรือฆาบี้จริงๆ แต่เราทำมันมาครึ่งทางแล้ว จะมาหยุดตอนนี้ก็คงไม่ได้"

เจนยุทธถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาเริ่มคิดว่าแซนวิชที่เขาเคยกินแค่จากร้านสตาร์บัคส์แถวบ้านนี้มันหนักเกินไปก็เมื่อตอนที่เขาเห็นปริมาณชีสและเนยที่เชฟโจวเตรียมไว้ให้เขา

"ที่จริงเราหยุดแค่นี้ก็ได้นะครับ ซอสเบชาเมลนี่เราเก็บใส่ตู้เย็นไว้ได้ ส่วนแซนวิช เราก็ทำมันทิ้งไว้ก่อนแต่ยังไม่ต้องอบ เอาห่อฟิล์มใสเก็บใส่ตู้เย็นไว้ พอจะกินอีกทีก็เอามาราดซอสขาวบนหน้ากับโรยชีสเพิ่มแล้วเข้าอบ ดีไหมครับ?"

เจครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วส่ายหน้า

"เดี๋ยววันนี้พวกผมก็ไปมาเก๊ากันแล้ว กลับมาก็ไม่แน่ใจว่าจะมีโอกาสได้กินกันอีกหรือเปล่า เดี๋ยวเราทำมาแค่สองชิ้นก่อนก็ได้ครับ ถ้าอาปากับฆาบี้กินไม่ไหวกัน ผมค่อยเหมาที่เหลือ ขนมปังอีกคู่ที่ทาซอสไปแล้ว เราก็ใส่ไส้แล้วเก็บใส่ตู้เย็นอย่างที่เชฟว่าก็ได้"

เชฟผู้ช่วยของเชฟเฉินรับคำ เขาปล่อยให้เจเรียงแฮมต้มสุกลงไปบนขนมปังที่ทาซอสไว้แล้ว จากนั้นโรยชีสกรูแยร์ขูดลงไปอย่างจุใจ จากนั้นปิดทับด้วยขนมปังที่ทาซอสแล้วอีกแผ่นหนึ่งโดยหงายด้านที่มีซอสขึ้น



"นี่ครับ ชิ้นนี้เก็บเข้าตู้เย็นได้เลย..."

เจส่งแซนวิชที่ประกอบร่างแล้วชิ้นหนึ่งให้เชฟโจว เขากลับด้านขนมปังให้ด้านที่ทาซอสแล้วอยู่ด้านในเพื่อไม่ให้เลอะแผ่นฟิล์มใสโดยเหลืออีก 2 ชิ้นไว้ในถาด จากนั้นโรยชีสกรูแยร์และพาร์มีซานขูดลงทับบนชั้นซอสอีกที

"...เอ สำหรับชีสเนี่ย ถ้าที่บ้านผมมีแค่ processed cheese แผ่นสี่เหลี่ยมธรรมดาๆ นี่ใช้ได้ไหมครับ?"

เจนยุทธพูดถึงชีสแผ่นห่อสีเหลืองที่เขามีติดบ้านไว้กินเล่นหรือเอาไว้ทำแซนวิชง่ายๆ เชฟโจวพยักหน้า

"ได้ครับ อย่างที่ผมบอกเมื่อสักครู่ Croque Monsieur แบบบ้านๆ มันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าแซนวิชแฮมชีสทั่วไปนั่นแหละครับ คุณเจใช้แฮมหรือชีสเท่าที่มีในบ้านก็ได้ อย่างแฮมนี่ ใช้แฮมต้มแผ่นสี่เหลี่ยมธรรมดาๆ ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นปารีสแฮมแบบที่เราใช้ตอนนี้ ส่วนชีส ถ้ามีชีสแผ่นก็ใช้ชีสแผ่น ถ้าไม่ได้ทำซอสเบชาเมล ก็เอามัสตาร์ดดิฌงกับเนยทาที่ขนมปังก่อน จากนั้น ก่อนเอาเข้าอบ คุณเจก็เอาชีสแผ่นวางข้างบนก่อนเข้าอบก็ใช้ได้แล้ว แต่ความอร่อยมันก็จะสู้แบบที่เรากำลังทำแบบนี้ไม่ได้หรอกครับ"

เชฟโจวพูดพลางรับถาดแซนวิชที่รวมร่างเสร็จแล้วมาจากเจ เขานำมันเข้าอบในเตาอบโดยใช้อุณหภูมิ 425 ํF หรือประมาณ 220 ํC

"อบไฟบนล่างประมาณ 5-6 นาทีจนชีสเริ่มละลายครับ จากนั้นเราก็เปลี่ยนเป็นไฟบนอย่างเดียว อบต่ออีกซัก 2-4 นาทีจนชีสละลายหมดและเป็นสีเหลืองทองครับ"

ระหว่างที่รอ เจและเชฟก็พูดคุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้อย่างสนุกสนาน



"นอกจาก Croque Monsieur แล้ว คนฝรั่งเศสยังเอาแซนวิชแฮมชีสมาแต่งตัวใหม่อีกหลายแบบเลยนะครับ คุณเจรู้จัก Croque Madame หรือเปล่า?"

"เอ มันคือ Croque Monsieur ที่มีไข่ดาวโปะด้านบนหรือเปล่าครับ?"

เจนยุทธถามอย่างไม่แน่ใจ เมื่อสักครู่เขาได้ค้นข้อมูลเรื่องแซนวิชชนิดนี้มาคร่าวๆ แต่ยังไม่ทันได้อ่านละเอียดดี เชฟโจวผู้รอบรู้เรื่องอาหารพยักหน้าทันควัน

"ถูกต้องครับ แต่คุณเจรู้ไหมว่าทำไมเราถึงเรียกมันว่า Croque Madame?"

เจขมวดคิ้วและครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนที่จะตอบออกมา

"ใช้ชื่อ 'มาดาม' เพื่อให้มันเข้ากับคำว่า 'มงซิเยอร์' หรือคุณผู้ชายหรือเปล่าครับ?"

เจหัวเราะแหะๆ เชฟวัยกลางคนยิ้มอย่างเอ็นดู

"ใช่ส่วนหนึ่งครับ อีกส่วนหนึ่งก็เพราะไข่ดาวเวลาที่ทอดออกมาแล้วรูปทรงมันเหมือนหมวกปีกกว้างของพวกผู้หญิงในยุคนั้น เลยตั้งชื่อมันโดยให้มีคำว่าคุณผู้หญิงอยู่ด้วย ส่วนคำว่า Croque นั้นแปลว่า กรุบกรอบครับ"

"ตลกจัง ตั้งชื่อแซนวิชว่าคุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงกรอบเนี่ยนะ?"

เจอดหัวเราะคิกคักออกมาไม่ได้



"นอกจากคุณชาย คุณหญิงกรอบแล้ว ยังมีการทำแซนวิชแฮมชีสในรูปแบบอื่นอีกนะครับ มันมีแซนวิชที่เรียกว่า Monte Cristo อยู่ แต่นั่นเป็นสูตรอเมริกันสำหรับแซนวิชแบบ 'French Toast' คุณเจพอจะเดาได้ไหมว่าเขาทำยังไง?"

"ผมว่าผมรู้นะ..."

เจยิ้มกริ่มเมื่อเขาคิดว่าเขารู้คำตอบ

"...เอาไปชุบไข่ก่อนแล้วค่อยทอดหรืออบใช่ไหมครับ?"

"ถูกต้องครับ สำหรับเจ้ามอนเต คริสโตเนี่ย เราไม่ต้องใส่ซอสเบชาเมล ก่อนอื่นก็ทามายองเนสกับมัสตาร์ดลงบนขนมปังขาว ใส่แฮม ชีสเหมือนเดิม ปิดทับด้วยขนมปังอีกแผ่นที่ทามายองเนสกับมัสตาร์ดไว้เหมือนกัน จากนั้นเอาแซนวิชลงไปชุบไข่จนโชกทั้งชิ้นแล้วก็เอาลงทอดครับ จะแค่จี่กับเนยในกะทะหรือว่าทอดแบบน้ำมันท่วมก็ได้จนไข่สุก จะอบก็ได้ แต่ผมว่าทอดเหมาะกว่า"

เชฟโจวพูดพลางเดินไปเช็คเตาอบ เขาเปลี่ยนจากไฟบนล่างไปใช้ไฟบนอย่างเดียวแล้วเดินกลับมานั่งที่โต๊ะกลางครัวและเริ่มเล่าต่อ

"...เจ้ามอนเต คริสโตนี่ บางร้านก็เสิร์ฟแบบเฟรนช์โทสต์เลยนะครับ คือใส่น้ำตาลไอซิ่งกับราดน้ำเชื่อมเมเปิลมาด้วยครับ"

"ฮ้า! แล้วมันจะเข้ากับแฮมชีสเหรอครับ?"

เจนยุทธทำตาโต เขาจินตนาการถึงรสของมันไม่ออกเลยทีเดียว เชฟโจวหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นใบหน้าที่ฉายแววสับสนของคนที่นั่งทำตาแป๋วอยู่เบื้องหน้า

"มันก็คงเหมือนเบคอนเคลือบเมเปิลไซรัปที่ฮิตๆ กันช่วงนี้แหละครับ ถ้าบาลานซ์ดีๆ ของคาวกับของหวานก็กินด้วยกันได้นะ"

"เออ มันก็จริงอย่างที่อาว่าครับ ผมก็ลืมนึกไป...อูย หอมๆๆ"

เจทำจมูกฟุดฟิดแล้วละความสนใจจากเรื่องที่คุยกันอยู่และหันไปให้ความสนใจกับแซนวิชในถาดที่เชฟยกออกมาจากเตาอบ



"ว้าว น่ากินสุดๆ เลยครับ เยิ้มมากๆ"

เจนยุทธปาดน้ำลายเมื่อเห็นชีสและซอสขาวที่ยังเดือดปุดๆ และไหลเยิ้มคลุมชิ้นแซนวิช ส่วนขอบที่กรอบเกรียมยิ่งทำให้ Croque Monsieur สองชิ้นนี้ดูน่าลิ้มลองมากขึ้น

"ให้ผมหั่นครึ่งให้เลยไหมครับ?"

เชฟโจวถามหลังจากย้ายแซนวิชทั้งสองชิ้นลงในจานเสิร์ฟถามเจนยุทธ

"ไม่เป็นไรครับ แค่นี้ก็โอเคแล้ว...อูย อาครับ ซอสสูตรนี้มันอร่อยจริงๆ..."

เจอุทานออกมาหลังจากแอบใช้นิ้วปาดและแซะชีสกับซอสขาวที่หลงเหลืออยู่ในถาดอบมาชิม เขารับช้อนจากเชฟโจวมาเพื่อปาดเศษซอสและชีสกินจนหมด จากนั้นจึงยกจานแซนวิชออกไปให้อาปาของเขา



"อาปาจะรับสลัดด้วยไหมครับ?"

เจถามพร้อมกับเลื่อนชามสลัดที่อยู่ตรงหน้าไปให้คริส

"เอาสิ เช้าๆ แบบนี้กินผักก็ดีเหมือนกัน ลูกเอาด้วยไหม?"

คริสตักสลัดผักสดใส่จานแล้วส่งชามต่อให้ฆาเบียร์

"เจจ๊ะ นี่มันไม่ใช่มื้อเช้าแล้วมั้ง"

ฆาเบียร์มองในจานของตนที่มีทั้งสลัดและแซนวิชอบชีส เจยิ้มเจื่อนๆ

"ผมอยากกินอ่ะครับ แต่จะทำแค่ชิ้นเดียวผมก็คิดว่าไหนๆ เชฟโจวเค้าก็เสียเวลาสอนแล้ว ก็เลยทำเผื่อคุณกับอาปาด้วย แต่ก็ลืมนึกไปว่ามันอาจจะหนักเกินไปหน่อย"

เจนยุทธพูดเสียงอ่อยๆ พร้อมกับดูแซนวิชชิ้นโตที่มีชีสไหลเยิ้มอาบไปทั่วชิ้น สำหรับคนไทยอย่างเขาที่สามารถกินข้าวมันไก่ ข้าวราดแกงหรือกระทั่งข้าวขาหมูเป็นมื้อเช้าได้ แซนวิสชีสชิ้นแค่นี้ไม่ใช่ปัญหาอะไร หากฆาเบียร์และคริสที่คุ้นชินกับของเบาๆ อย่างมูสลี่และซีเรียลกับนม โยเกิร์ตและผลไม้สดหรือพวกสารพัดไข่กับเบคอนหรือแฮมอาจจะมองว่ามันหนักเกินไปสำหรับมื้อเช้า

"ฆาบี้เขาก็แซวไปงั้นแหละ ไม่หนักเกินไปหรอก ยิ่งอาปาแบ่งครึ่งกับฆาบี้เขาแล้วด้วย...เรานี่ก็อย่าไปแกล้งเจสิ เจเขาอุตส่าห์ตื่นแต่เช้ามาทำให้เรากินนะ"

คริสรีบปลอบใจคนโปรดของเขาและหันมาตำหนิลูกชายเบาๆ ฆาเบียร์หัวเราะแล้วหันไปหอมแก้มจ้าตัวดีที่นั่งทำหน้าจ๋อยอยู่ข้างๆ ฟอดใหญ่

"ขอบใจสำหรับมื้อเช้าจ้ะ น่ากินมากเลย"

คริสยิ้มกริ่มเมื่อเห็นลูกชายแสดงความรักกับคนรักต่อหน้าเขา



"เอ่อ กินกันเถอะครับ เดี๋ยวมันจะเย็นเสียหมด"

เจนยุทธพูดด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ เขาก้มหน้าก้มตาใช้มีดกับส้อมตัดแซนวิชออกมาเป็นชิ้นพอดีคำแล้วส่งเข้าปาก

"อูย อร่อยๆ หอมซอสเบชาเมล หอมชีสมากเลย"

เจพูดพึมพำกับตัวเอง

"อร่อยจริงๆ ด้วย ฉันชอบนะ"

ฆาเบียร์กล่าวชม

"อาปาก็ชอบนะ ขนมปังออกมากรอบดี แต่อาจจะเค็มไปนิดสำหรับอาปา"

คริสพูดยิ้มๆ

"แหะๆ ผมคงใส่ชีสหนักมือไปหน่อย เดี๋ยวผมทำให้ใหม่อีกชิ้นดีไหมครับ เอาแบบใส่ชีสกับแฮมน้อยลงหน่อย"

เจทำท่าจะลุกขึ้นจากโต๊ะ หากคริสยกมือห้ามไว้

"ไม่เป็นไรๆ อาปากินได้ หมดชิ้นนี้ก็คงพอดีอิ่มแล้ว ถ้าเอามาอีกชิ้นคงกินไม่ไหวแล้วล่ะ"




(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Cheese and Ham (ต่อ) ----





"แล้วคุณล่ะครับ พอกินได้ไหม? อ้าว!"

เจหันไปถามคนตัวโตซึ่งก้มหน้าก้มตากินเงียบๆ เขาอุทานออกมาเบาๆ แล้วก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นว่าแซนวิชครึ่งชิ้นในจานของฆาเบียร์ได้หมดไปเรียบร้อยแล้ว

"เอาอีกชิ้นไหมครับ? ผมทำเผื่อไว้แล้วแต่ยังไม่ได้อบ"

เจหัวเราะคิกและถามเมียตัวโตของเขา ฆาเบียร์อดหน้าร้อนไม่ได้เมื่อเห็นแววตายั่วเย้าของเจ้าตัวดีของเขา เจไม่รอคำตอบ เขาทำท่าจะลุกขึ้นจากโต๊ะเพื่อไปจัดการอบแซนวิชมาให้คนรักของเขาอีกชิ้นหนึ่ง

"เดี๋ยวจ้ะ..."

ฆาเบียร์ฉุดมือเจนยุทธไว้ เขาหันไปพูดกับเควิน บัทเลอร์ประจำตัวของคริสเบาๆ พ่อบ้านวัยกลางคนพยักหน้ารับคำและหันกายเดินออกไปยังครัว

"นายกินส่วนของนายไปก่อนเถอะ ฉันให้คุณเควินเขาไปบอกในครัวให้แล้ว"

เจยิ้มหวานให้คนรักของเขาแล้วก้มหน้าก้มตากินแซนวิชแสนอร่อยของเขาต่อ เขาเอ่ยปากชมฝีมือตัวเองไม่หยุดปากจนฆาเบียร์อดหมั่นไส้ไม่ได้



"โอ๊ย อะไรอ่ะ ดึงแก้มผมอีกแล้ว!"

เจว๊ากลั่นเมื่อถูกคนรักดึงแก้มเล่นด้วยความเอ็นดูอีกครั้ง คริสอมยิ้มนั่งดูลูกชายของเขาหยอกล้อกับเจนยุทธ เขานึกขอบคุณฟ้าดินที่นำพาให้เจเข้ามาในชีวิตของลูกบุญธรรมของเขา ตลอดเวลาที่ผ่านมา ถึงฆาเบียร์จะผ่อนคลายและแสดงใบหน้าที่แท้จริงของตนออกมายามที่อยู่กับอาปาของเขา หากมันก็ทำให้คริสได้เห็นถึงความทุกข์ระทมที่ซ่อนอยู่ในใจของลูกบุญธรรมผู้เคยผ่านการสูญเสียครั้งใหญ่คนนี้เช่นกัน แม้เขาจะยิ้มและหัวเราะให้เห็น หากบ่อยครั้งที่คริสสังเกตเห็นได้ถึงความเปลี่ยวเหงาในใจของลูกชาย นอกเหนือจากความเจ็บปวดจากการสูญเสียพ่อแม่ไปแล้ว ความเจ็บปวดจากการผิดหวังในความรักก็ทำให้ฆาเบียร์เฝ้าบอกตัวเองว่าเขาไม่ต้องการความรักอีกแล้วและไม่ยอมเปิดใจรับใครอีก แม้คริสจะพยายามกระตุ้นให้ฆาเบียร์มีคนรักเป็นตัวเป็นตน หรือกระทั่งพยายามจับคู่เขากับคนที่คริสเห็นว่าคู่ควร แต่ฆาเบียร์ก็เอาแต่ปฏิเสธทุกครั้งไป



"ผมอยู่แบบนี้ก็สบายดีแล้วครับ ไม่ต้องมาผูกมัดอะไรให้วุ่นวาย อีกอย่าง ถ้าผมมีแฟนไปแล้วใครจะอยู่กับอาปาล่ะครับ?"



นี่คือคำปฏิเสธที่ฆาเบียร์พูดกับเขาเป็นประจำ ถึงคริสจะคอยบอกเสมอว่าฆาเบียร์ไม่จำเป็นต้องมาดูแลเขา แต่ตัวฆาเบียร์เองก็ไม่เคยฟังและยังคงแบ่งชีวิตยามว่างของเขาให้กับทั้งเหล่าคู่นอนและอาปาคริส แม้เจ้าตัวจะดูมีความสุขดีกับการใช้ชีวิตแบบนี้ แต่คริสเองก็รู้สึกได้ว่าวิถีชีวิตแบบนี้ของฆาเบียร์ไม่สามารถเติมเต็มโพรงในหัวใจของลูกชายของเขาได้ แม้เขาจะให้ความรักแก่ลูกชายจนเต็มเปี่ยมจนแทบจะสามารถทดแทนการขาดพ่อแม่ของฆาเบียร์ไปได้ แต่เขาก็ไม่อาจเติมเต็มจิตใจส่วนที่โหยหาใครสักคนซึ่งจะมาเดินเคียงข้างไปตลอดชีวิตในฐานะคู่ครอง เขาได้แต่คอยเฝ้ามองฆาเบียร์ใช้เวลาไปกับการหาความสุขทางกายด้วยความรู้สึกเจ็บปวดใจ เขาได้แต่กลัวว่าสุดท้ายแล้วฆาเบียร์ก็จะกลายเป็นคนที่รักใครไม่เป็น

หากเมื่อเจนยุทธก้าวเข้ามาในชีวิตของลูกชายของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เมื่อเขาเห็นท่าทีเปี่ยมสุขของฆาเบียร์เมื่อเจ้าตัวกลับมาจากเชียงใหม่ครั้งแรก คริสถึงกับอยากโห่ร้องออกมาดังๆ เพราะเขารู้แล้วว่าหัวใจของฆาเบียร์นั้นยังไม่ได้ตายด้านไป ผู้เฒ่าชาวฮ่องกงคนนี้ดีใจที่ได้เห็นว่าลูกของเขาได้เจอคนที่ถูกใจ หากเขาก็ยังไม่แน่ใจมันจะเป็นแค่ความรู้สึกผูกพันเพียงชั่วขณะหรือเป็นความรักจริงๆ แต่เมื่อลูกชายล้มป่วยลงเนื่องจากต้องพลัดพรากจากหนุ่มไทยคนนี้ คริสก็จึงได้รู้แน่ชัดว่าความรู้สึกของฆาเบียร์นั้นลึกซึ้งแค่ไหน หลังจากเจมาช่วยคลี่คลายสถานการณ์ที่ฮ่องกงคราวนั้นและกลับไทยไป ฆาเบียร์ได้มาขอกับเขาว่าจะอยู่ที่สาขาเอเชียนี้เป็นเวลา 5 ปีแทนที่จะกลับสหรัฐฯ ทันทีที่สาขานี้มีเสถียรภาพตามที่เคยได้ต่อรองกับคริสไว้ในคราวแรก เมื่อคริสถามถึงสาเหตุ ฆาเบียร์ก็อ้อมแอ้มตอบมาว่าเขาอยากอยู่เพื่อสานสัมพันธ์กับเจนยุทธต่อ


"ผมขอโทษจริงๆ ครับ อาปา ผมเองก็ไม่อยากทิ้งอาปามาอยู่ไกลๆ นานๆ แบบนี้ แต่ผมรู้ตัวแล้วว่าผมคงต้องสำนึกเสียใจแน่ๆ ถ้าปล่อยให้เจหลุดมือไปอีกครั้ง"

ฆาเบียร์พูดกับพ่อบุญธรรมของเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ หากคริสกุมมือลูกชายที่กำหมัดแน่นไว้

"อาปาเองก็ยังไม่ได้แก่จนทำงานไม่ไหวหรือดูแลตัวเองไม่ไหวขนาดนั้น ฉะนั้นไม่ต้องห่วงอาปาและงานทางนี้นะ ฆาบี้ ใช้เวลาให้นานตามที่ต้องการเลย ลูกเอ๋ย จะนานกว่าห้าปีก็ได้ แต่อาปาขอแค่อย่างเดียว..."

ฆาเบียร์เลิกคิ้วและสบตากับพ่อบุญธรรมชาวฮ่องกงของเขา

"...อาปาขอให้เรามีเขยติดไม้ติดมือกลับมาให้อาปาได้ชื่นใจด้วย โอเคไหม?"

ฆาเบียร์หน้าแดงและอ้อมแอ้มตอบว่าเขาจะพยายาม คริสเองก็ได้แต่ยิ้มร่าด้วยความยินดี




เมื่อเวลาผ่านไปอีกไม่กี่เดือน ที่สมุย คริสก็ต้องลิงโลดเมื่อเขาเห็นต่างหูเพชรสีน้ำเงินของคาตาลิน่าบนหูซ้ายของเจนยุทธ เมื่อปีใหม่มาถึงเขาก็ได้มีโอกาสได้ไปพบปะเยี่ยมเยียนกับครอบครัวของเจ เขาอดปลื้มใจไม่ได้เมื่อเห็นว่าครอบครัวของฝ่ายนั้นได้เปิดรับและให้ความรักกับลูกชายของเขาประหนึ่งเป็นคนในครอบครัว ฆาเบียร์เองก็ดูมีความสุขยามที่ได้อยู่กับแม่ของเจ ยิ่งนานวันเข้า เขาก็ยิ่งเห็นประกายของความสุขที่ล้อมรอบตัวลูกชายของเขา แม้ฆาเบียร์อาจจะไม่รู้สึกตัว แต่ไอ้เจ้าความสุขนี้มันส่งผลไปจนถึงการปฏิบัติตัวในชีวิตประจำวันหรือกระทั่งในที่ทำงานของเขา โดยเฉพาะยามที่มีเจมาอยู่เคียงข้าง ตัวคริสเองก็ได้ภาวนาทุกวันให้ความสุขนี้ของลูกชายคงอยู่ตลอดไป



"อาปาครับ รับแซนวิชเพิ่มไหมครับ"

คริสตื่นจากห้วงคำนึงเมื่อเจเรียกเขาซ้ำอีกครั้ง เขาหันไปยิ้มให้คนรักของลูกชายและปฏิเสธอย่างนิ่มนวล เจดันจานแซนวิชที่เพิ่งอบใหม่ๆ กลับไปให้ฆาเบียร์

"เอ้า นี่ครับ คุณ แซนวิชของคุณ แต่ เอ ทำไมคราวนี้ทั้งชีสทั้งซอสมันถึงได้เยิ้มขนาดนี้ล่ะ?"

เจนยุทธถามอย่างงุนงง มันเหมือนกับว่าตัวเชฟใส่ชีสเพิ่มลงไปอีกจำนวนหนึ่งเลยทีเดียว

"อ๋อ เมื่อกี้อาปาได้ยินฆาบี้แอบสั่ง extra cheese ใช่ไหมลูก?"

คริสยิ้มแล้วหันไปถามลูกชาย เจหัวเราะคิกออกมาเมื่อเห็นใบหน้าแดงระเรื่อของคนรัก

"ผมก็ลืมไปเนาะว่าคุณชอบกินชีส สั่งชีสเพิ่มแบบนี้แสดงว่าเมื่อกี้ผมใส่ชีสน้อยไปล่ะสิท่า ว่าแต่มันจะไม่เยอะไปสำหรับมื้อเช้าเหรอครับ?"

คนตัวเล็กกระเซ้าคนรักของเขาเบาๆ ฆาเบียร์ทำหูทวนลมแล้วจัดการตัดแบ่งแซนวิชชีสเยิ้มชิ้นนั้นออกเป็นสองส่วน



"ฉันไม่ได้กะจะกินคนเดียวทั้งชิ้นสักหน่อย..."

ฆาเบียร์ยกแซนวิชครึ่งหนึ่งวางลงในจานของเจนยุทธ

"เอ้า นี่ ฉันรู้ว่าแซนวิชแค่ชิ้นเดียวไม่ทำให้นายอิ่มหรอก"

เจยิ้มร่า เขาฮัมเพลงแล้วจัดการกินแซนวิชในจาน ทั้งคริสและฆาเบียร์อดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางมีความสุขของเจ สำหรับฆาเบียร์แล้ว เจทำให้เขาเห็นว่าเขาสามารถหาความสุขได้เสมอจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต สำหรับเจแล้ว เขาหาความสุขได้จากการกิน ส่วนสำหรับฆาเบียร์ สุขของเขาในตอนนี้คือการได้เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากไอ้เจ้ากระรอกปลอมของเขาคนนี้

"เอ้า ไม่กินเหรอครับ? ช้านักผมแย่งนะ!"

ฆาเบียร์รีบยกจานของเขาหนีส้อมของเจนยุทธ เจย่นจมูกให้คนรักที่แกล้งถลึงตาใส่เขา คริสมองคนนั้นทีคนนี้ทีแล้วก็ยิ้มกว้างออกมาอย่างมีความสุข



"อาหารอร่อยก็เพราะมีคนกินด้วยใช่ไหม ลูก?"

คริสถามฆาเบียร์เบาๆ หนุ่มละตินหันมายิ้มกว้างและพยักหน้าให้พ่อบุญธรรมของเขา

"ครับ อาปา แม่ผมพูดไว้ไม่ผิดจริงๆ"

ฆาเบียร์ยิ้มเมื่อนึกถึงแม่ของเขาซึ่งเป็นเจ้าของประโยคนี้

"งุบงิบคุยกันสองคนแบบนี้ เม้าผมหรือเปล่าเนี่ย?"

เจนยุทธซึ่งเดินออกจากครัวส่งเสียงมาแต่ไกลเมื่อได้ยินชายต่างวัยทั้งสองคุยกันเป็นภาษากวางตุ้ง

"ไม่ได้เม้าจ้ะ ไม่ได้เม้า..."

ฆาเบียร์หันหน้าขึ้นไปยิ้มให้คนรักที่มายืนเท้าพนักเก้าอี้แล้วทำตาแป๋วจ้องหน้าเขา

"ไงจ๊ะ ได้สูตรมาหรือยัง?"

เขาถามคนที่เดินไปหาเชฟโจวในครัวเพื่อขอจดสูตร Croque Monsieur

"ได้ครับ ไว้คราวหน้าถ้าคุณกลับบ้าน ผมจะทำให้กินอีกนะ แต่อาจจะไม่ได้ใส่ชีสแฮมอลังการเหมือนของที่นี่ แล้วคราวนี้จะทำเป็นมื้อเที่ยงหรือมื้อเย็นแทนละ กินแต่เช้ามันหนักไปจริงๆ"

เจหัวเราะแหะๆ หลังจากกินแซนวิชชีสย่างนี้เข้าไปชิ้นครึ่ง เขาก็เริ่มรู้สึกเลี่ยนขึ้นมาบ้างแล้ว



"งั้น เดี๋ยวผมขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะครับ เหม็นตัวเองเต็มทีละ"

เจซึ่งลงมาทำอาหารแต่เช้าโดยที่ยังไม่ได้อาบน้ำอาบท่าให้เป็นเรื่องเป็นราวพูด ฆาเบียร์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วลุกขึ้นตาม

"ผมก็จะไปแต่งเนื้อแต่งตัวแล้วเหมือนกันครับ เดี๋ยวผมคงต้องขอรถของอาปาไปส่งผมที่ไอซีซีหน่อย เมื่อคืนผมให้คนรถขึ้นมาส่งผมที่นี่แล้วให้กลับลงไปเลย"

"ได้สิ วันนี้อาปาก็คงลงไปหลังเที่ยง เพื่อนอาปาว่าจะให้ฮ. มารับช่วงบ่ายๆ"

คริสพูดด้วยท่าทีสบายๆ โดยไม่ได้สังเกตใบหน้าที่ซีดลงเล็กน้อยของลูกชาย

"คุณครับ ไปแต่งตัวเถอะ เดี๋ยวสายนะ"

เจบีบมือคนรักเบาๆ เมื่อเห็นท่าไม่ดี เขาค้อมหัวให้คริสแล้วรีบดันหลังฆาเบียร์กลับขึ้นห้องไป



"...แล้วคุณโอเคไหมอ่ะ?"

เจนยุทธเงยหน้าขึ้นถามคนรักเสียงอ่อยๆ ฆาเบียร์ซึ่งกำลังเป่าผมให้คนรักพยักหน้าน้อยๆ เจถามเขาย้ำอีกครั้งเรื่องการเดินทางไปยังมาเก๊าของเขาและอาปา

"แน่นะ? ถ้าคุณไม่อยากให้พวกผมนั่งฮ. จริงๆ ก็บอกได้นะ ผมจะไปขออาปาไปทางเรือแทน"

"ไม่เป็นไรหรอกเจ นายไปฮ.น่ะดีแล้ว ไม่เคยนั่งไม่ใช่เหรอ? เอ้า เสร็จละ"

ฆาเบียร์ยิ้มละไมแล้วก้มลงจูบผมหอมนิ่มของเจนยุทธ เจเม้มปากน้อยๆ ไอ้เจ้า "ยิ้มละไม" บนใบหน้าของคนรักในตอนนี้ช่างดูขัดตานัก หากเขาก็ตัดสินใจไม่ทักท้วงอะไรออกไปอีก

"เห็นอาปาบอกว่าจะไปเล่นโป๊กเกอร์ แล้วผมต้องไปเล่นด้วยไหมอ่ะ? ผมเล่นไม่เป็นเลยนะ"

เจเปลี่ยนเรื่องคุย ฆาเบียร์หัวเราะน้อยๆ แล้วดึงคนรักให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้

"คงไม่ต้องเล่นด้วยหรอกจ้ะ วงไพ่ของอาปานี่เป็นแบบเดิมพันสูง ที่ว่าสูงนี่ ฉันหมายถึง สูงมาก..."

ฆาเบียร์หัวเราะหึๆ เมื่อนึกถึงลุงๆ ขาไพ่ในก๊วนของอาปาของเขาซึ่งล้วนแต่เป็นนักธุรกิจใหญ่

"เอ่อ สูงมากนี่มันขนาดไหนอ่ะคุณ? ผมเคยแว่บเข้าไปดูในห้องพนันแบบ high roller สูงสุดที่เคยเห็นนี่น่าจะตาละเป็นพันเหรียญฮ่องกงมั้ง สำหรับโต๊ะ baccarat นะ แต่ของอาปาผมว่าน่าจะสูงกว่านั้นเยอะ"

เจนยุทธพยายามนึกภาพห้องพนันอันหรูหราแห่งนั้น แต่แม้มันจะเขียนบอกว่าเป็นโซน high roller มันก็เป็นบริเวณสำหรับนักพนันธรรมดา สำหรับบรรดาวีไอพีนั้นมักจะแยกห้องหรือชั้นไปต่างหาก บางห้องนั้นมีไว้สำหรับผู้ที่ได้รับเชิญเท่านั้นและนั่นคงเป็นห้องเดิมพันสูงแบบที่ฆาเบียร์พูดถึง



"อืมม์ สูงสุดเท่าที่ฉันเคยเห็นพวกก๊วนอาปาวางเดิมพันกันนะ..."

ฆาเบียร์ยิ้มมุมปากแล้วยกนิ้วชูขึ้นสองนิ้ว เจนยุทธทำตาเหลือก

"สะ...สองหมื่นเลยเหรอครับ? ต่อตาเนี่ยนะ?"

คนตัวโตส่ายหัว

"ไม่ใช่จ้ะ เอ่อ เวลาพวกอาปาเล่นโป๊กเกอร์กันนี่ ไม่ได้คิดเป็นตาหรอก ที่ฉันว่ามันคือวงเงินที่จะลงกันในวันนั้น"

"งั้นก็สองแสน?"

เจพูดออกมาเบาๆ หากในใจเขาคิดว่าตัวเลขมันคงไม่หยุดอยู่แค่นั้น

"เติมศูนย์ไปอีกตัวแล้วกันนะ"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เขาหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นคนรักทำหน้าเหมือนจะร้องไห้



"มันมีจริงเหรอคุณ? พนันกันทีละสองล้านเหรียญนี่อ่ะ?"

"ฮ่าๆ นี่ยังถือว่าเบาะๆ เล่นเพื่อมิตรภาพนะเจ ฉันเคยเห็นที่เวกัสเขาเล่นกันแบบไม่จำกัดวงเงินมาแล้ว เล่นกันจนหมดตัวไปข้าง ไม่ก็เล่นกันรอบละเป็นล้าน ของพวกอาปานี่ยังสองล้านสำหรับทั้งวัน แลกชิพมากองๆ ทิ้งไว้ แล้วก็แบ่งลงเป็นรอบๆ ไป บางครั้งคนชนะอารมณ์ดีก็เอาเงินแจกคืนเพื่อนบ้าง จ่ายค่าต๋งให้คาสิโนแทนเพื่อนบ้าง ไม่ก็แบ่งเอาเงินไปซื้อไวน์แพงๆ เหล้าแพงๆ มานั่งก๊งกันต่อก็มี"

"แบบนี้แล้วต้องลงเงินจริงกันทำไม๊? ซื้อชิพเปล่าๆ มาเล่นก็ได้อ่ะ"

เจนยุทธบ่นอุบอิบพลางเดินไปหยิบเสื้อนอกที่แขวนไว้หน้าตู้มาส่งให้คนรัก

"แหม แบบนั้นก็ไม่ตื่นเต้นสิจ๊ะ มันต้องลงเงินจริงถึงจะได้อะดรีนาลีนเวลาได้หรือเสีย จะได้ตั้งใจเล่นอย่างจริงจังด้วย"

"เป็นผมคงหัวใจวายตายก่อน"

คนตัวเล็กที่ไม่ค่อยลงทุนอะไรที่มีความเสี่ยงนักโคลงหัว สำหรับเขาการหยอดสล็อตตาละ 1 ดอลลาร์ฮ่องกงก็ถือเป็นความเสี่ยงแล้ว

"แล้วจะต้องมาเปิดห้องเล่นกันทำไมให้เปลืองครับ? นั่งเล่นกันที่บ้านเฉยๆ ไม่ได้เหรอ? เปิดห้องเล่นแบบนี้ก็ต้องเสียค่าเซอร์วิสให้โรงแรมด้วยนี่นา"

เจนยุทธถามต่ออย่างสงสัย

"ก็ใช่จ้ะ แต่ฉันคิดว่าพวกลุงๆ พวกนี้คงอยากได้บรรยากาศแบบนักพนันด้วย อีกอย่าง สำหรับคาสิโนใหญ่พวกนี้ ห้องวีไอพีแบบนี้เขาจะจัดคนมาอำนวนความสะดวกให้ทุกอย่าง มีทั้งอาหารเครื่องดื่มเสิร์ฟตลอด เรียกว่าเล่นได้ยาวๆ แทบไม่ต้องลุกจากโต๊ะเลยล่ะ แต่ก็ต้องแลกกับค่าต๋งหรือค่าโต๊ะ ฉันไม่แน่ใจว่าอย่างต่ำ 5% ของเงินกองกลางหรือเปล่านะ"

ฆาเบียร์ส่องกระจกดูความเรียบร้อยของตัวเองแล้วหันหน้ากลับมาหาคนรัก



"อืมม์ ผมสงสัยอีกอย่าง เท่าที่ผมเห็นในคาสิโนที่มาเก๊า ไม่เห็นมันจะมีโต๊ะโป๊กเกอร์เลยอ่ะคุณ เห็นแต่โต๊ะบัคคาร่า แล้วพวกคนเล่นโป๊กเกอร์ทั่วๆ ไปแบบที่ไม่ได้เหมาห้องเล่นนี่เค้าไปเล่นกันแถวไหนเหรอครับ?"

"ที่มาเก๊าคนไม่ค่อยนิยมเล่นโป๊กเกอร์จ้ะ ทางคาสิโนเองก็ไม่อยากสนับสนุนให้คนเล่นโป๊กเกอร์ด้วย"

"อ้าว ทำไมล่ะครับ? ผมว่ามันก็น่าจะทำเงินดีออก"

เจถามอย่างสงสัย หากฆาเบียร์ส่ายหน้า

"ไม่เลยจ้ะ ทางคาสิโนมองว่าโป๊กเกอร์เป็นเกมที่กินที่และไม่ได้เงินกลับคืนมาคุ้มค่าเท่ากับ เอ่อ เทียบกับบัคคาร่าแล้วกัน โป๊กเกอร์ สมมติว่าโต๊ะนึงเจนั่งเล่น 5-6 คน คาสิโนก็ได้เงินแค่จากเปอร์เซ็นต์จากเงินกองกลางเท่านั้น แถมแต่ละเกมก็ยังกินเวลานาน แต่ในโต๊ะขนาดเดียวกันถ้าเปลี่ยนเป็นโต๊ะบัคคาร่า คาสิโนก็เป็นเจ้ามือเอง คนลงเงินมาแทงฝั่ง Banker หรือ Player คนแจกไพ่ก็แจกไพ่สี่ใบ ก็ฝั่งละ 2 ใบ หงายไพ่ดูว่าฝั่งไหนชนะ แค่นี้ก็จบตานึงแล้ว ใครแทงถูกฝั่งก็ได้เงินไป ถ้าเสียเจ้ามือก็เก็บชิพไป ถ้าแทงฝั่ง banker แล้วได้ คาสิโนยังเก็บค่าต๋งเป็นเปอร์เซ็นต์อีก แล้วแต่ว่าจะตั้งราคาที่เท่าไหร่"

เจนึกภาพตามแล้วพยักหน้าหงึกหงัก เขาบอกฆาเบียร์ว่าเขาเคยไปเมียงๆ มองๆ ดูโต๊ะบัคคาราแล้วแต่ก็ใจไม่ถึงพอที่จะลงเงินไปกับมันจึงกลับไปเล่นสล็อตแมชีนเหมือนเดิมเพราะดูท่าทางแล้วมันสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ติดและเสียเงินทองไปมากๆ แน่ๆ ฆาเบียร์พยักหน้า

"ก็ตามนั้นแหละจ้ะ การพนันแบบนี้เวลาได้เงิน มันก็ได้มาง่ายๆ เวลาเสียก็เสียง่ายๆ เพราะไพ่มันอยู่ในมือเจ้ามือ ต่อให้เขาให้คนเล่นได้จั่วไพ่เอง แต่เราก็ไม่มีทางรู้หรอกว่ามันมีการล็อคผลหรือเปล่า ไม่ต้องเล่นเลยนั่นแหละดีแล้ว"



"แต่คุณกับอาปาก็เล่นโป๊กเกอร์กันแบบโหดๆ อยู่ดี..."

เจพูดออกมาเบาๆ ฆาเบียร์โอบไหล่คนรักแล้วหอมเบาๆ อย่างเอ็นดู

"ฉันกับอาปานานๆ เล่นทีน่ะ แล้วที่เล่นก็เพราะอยากได้ความตื่นเต้นจากเกม ไม่ใช่เล่นเพราะหาเงิน ฉะนั้นเราจะมีลิมิตสำหรับตัวเองไว้ว่าลงแค่นี้ๆ หมดก็คือกลับ แต่สำหรับอาปาน่ะ เพื่อลงทุนด้วย..."

ฆาเบียร์หัวเราะหึๆ แล้วกระซิบกับคนรักเบาๆ เหมือนกลัวใครจะมาแอบฟัง

"อาปาลงทุนทีละล้านสองล้านก็จริง แต่การเจรจาธุรกิจหรืออะไรต่างๆ นานาที่พ่วงมากับการไปเล่นคราวนี้น่ะมันมูลค่ามากกว่านั้นอีกโขเลย"

เจนยุทธทำตาโต

"อ้าว ผมนึกว่าอาปาไปเล่นไพ่กับเพื่อนซะอีก"

"ก็ใช่ เพื่อนๆ กันทั้งนั้นแหละ แต่อย่างที่ฉันบอก เพื่อนๆ ของอาปาก็คือนักธุรกิจเหมือนกัน การไปพบปะสังสรรค์กันแบบนี้ บางทีก็มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลวงในอะไรหลายๆ อย่าง หรือมีการคุยเรื่องการลงทุนอะไรกันด้วย แล้วก็ยังมีบางอย่างที่พวกเราไม่ควรจะรู้ด้วย..."



"เอ่อ งั้นผมไม่ไปกับอาปาแล้วจะได้ไหมอ่ะ?"

เจนยุทธพูดอย่างหวาดๆ จากคำพูดของคนรัก เขาชักรู้สึกแล้วว่ากลุ่มเพื่อนๆ ของคริสนี้น่าจะ "ไม่ธรรมดา"

"โอ๊ย ไม่ต้องกลัวหรอกน่า ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็ขู่นายเล่นไปงั้นแหละ พวกนั้นก็เป็นคุณลุงใจดีกันทั้งนั้น"

"แล้วถ้าอาปาพาผมเข้าไปในห้องเล่นด้วยผมต้องทำตัวไงอ่ะคุณ? ต้องสำรวมแค่ไหน อะไรยังไง?"

เจนยุทธทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เขาเริ่มเครียดหนักขึ้นมาแล้ว

"ก็ทำตัวตามปกตินี่แหละ อาปาเขาแนะนำนายกับใคร นายก็ทักทายตามปกติ อ๋อ ลุงลีก็น่าจะไปด้วยนะ นายเคยคุยกับลุงลีแบบไหน ก็คุยกับคนอื่นแบบนั้นแหละ"

เจยิ้มออกมาได้เมื่อได้ยินชื่อของคนที่คุ้นเคยอย่างวิคเตอร์ ลี ผู้เป็นซีอีโอของบริษัทของคริสในฮ่องกงและเป็นพ่อสามีของทิฟฟานี เลขาฯ คนหนึ่งของฆาเบียร์



"เรื่องการแต่งตัว ผมควรแต่งตัวแบบไหนครับ ตอนแรกผมกะไปเที่ยวเล่นหลั่นล้า ใส่แค่กางเกงยีนส์ เสื้อยืดง่ายๆ แต่ดูทรงแล้วอาปาคงลากผมเข้าห้องไปด้วยแหงๆ"

เจบ่นอุบอิบในตอนท้าย เขาเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อหาเสื้อผ้าที่จะใส่เดินทาง

"ใส่เชิร์ตลำลองกับกางเกงผ้าหรือยีนส์แบบสุภาพก็พอแล้วจ้ะ เล่นกันในห้องส่วนตัว ไม่ต้องพิธีรีตรองอะไรมากนักหรอก ขออย่าใส่ขาสั้นลากแตะก็พอ ไม่ต้องถึงขั้นใส่สูทหรอก"

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นเจดึงชุดสูทที่เขาเคยเอามาทิ้งไว้บนบ้านของอาปาออกมา

"ก็ผมนึกไม่ออกนี่นาว่าจะใส่อะไรดี บนนี้เสื้อผ้าผมก็มีไม่เยอะด้วย"

เจนยุทธค้นๆ เสื้อผ้าแล้วก็ได้เสื้อเชิร์ตสีฟ้าที่มีลายในเนื้อผ้าน้อยๆ กับกางเกงยีนส์ทรงสุภาพ ฆาเบียร์พยักหน้า

"นายใส่ชุดนี้ไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวฉันกลับไปที่ห้องแล้วจะหาเพิ่มให้อีกชุด โอ๊ะ ฉันต้องไปแล้วจ้ะ"

คนตัวโตยกนาฬิกาที่ข้อมือดู เจซึ่งยังอยู่ในชุดเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นที่เขาใส่ยามอยู่บ้านแขวนเสื้อผ้าของเขาไว้ที่หน้าตู้เสื้อผ้าแล้วเดินเคียงคู่คนรักออกจากห้องนอน



"แล้วเนคไทล่ะครับ ต้องใส่ไหม?"

เจนยุทธยังสงสัยไม่เลิก เขาถามฆาเบียร์อีกครั้งเมื่อเดินลงบันไดหินอ่อนของบ้านมา

"...ผมผูกเนคไทไม่เก่งอ่ะ ผูกเป็นแต่ปมเบสิคแบบปมใหญ่ๆ ผมอยากผูกแบบเก๋ๆ เหมือนของคุณบ้าง"

เจหยุดเท้าลงเมื่อก้าวลงมายืนบนชานพักบันไดขนาดใหญ่ของบ้าน เขาหันไปหาคนรักแล้วเอื้อมมือไปจับดูเนคไทที่ฆาเบียร์ผูกด้วยปมที่เหมือนกับการเอาเนคไทมาสานกันน้อยๆ

"อ๋อ แบบนี้เหรอ? นี่เรียกว่า Eldredge knot จ้ะ ผูกยากนิดหน่อย ไว้ว่างๆ ฉันจะสอนนะ แต่ เอ..."

ฆาเบียร์ครุ่นคิดนิดหนึ่ง

"ที่จริงนายไปให้อาปาสอนก็ได้นะ ที่ฉันผูกเนคไทเป็นหลายๆ แบบนี่ก็ได้อาปาสอนมาทั้งนั้น"

คนตัวโตนึกย้อนไปยามที่เขายังเป็นเด็ก

"อันที่จริง เรื่องการแต่งตัวอะไรพวกนี้ก็เป็นอาปาสอนฉันทั้งนั้น"

หนุ่มละตินอดพึมพำออกมาเบาๆ ไม่ได้เมื่อนึกถึงชีวิตในวัยเยาว์ แม้อันเดรสผู้เป็นพ่อของเขาจะเป็นคนสอนสิ่งต่างๆ ให้ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ด้านคอมพิวเตอร์และเป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิตของเขาในหลายๆ ด้าน หากเมื่อมาถึงด้านมารยาทและการวางตัวในสังคม นอกจากแม่ของเขาแล้ว อาปาคริสก็เป็นคนที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างตัวตนของเขาในฐานะนักธุรกิจแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ คริสสอนเขาตั้งแต่เรื่องการแต่งตัวไปจนถึงเล่ห์เหลี่ยมและกลยุทธในการทำธุรกิจ เรียกได้ว่าหากไม่มีคริสแล้ว เขาคงไม่สามารถขึ้นมาเป็นนักธุรกิจแถวหน้าในวงการแบบทุกวันนี้ได้



"คุณครับ มีอะไรหรือเปล่า?"

เจนยุทธบีบมือคนรักเมื่อเห็นฆาเบียร์ยืนนิ่งอย่างเซื่องซึม คนตัวโตหันไปฝืนยิ้มให้คนรัก

"ไม่มีอะไรจ้ะ ฉันแค่คิดว่าที่ผ่านมาอาปาได้สอนและได้ให้อะไรฉันมามากเหลือเกิน..."

ฆาเบียร์พูดด้วยเสียงแผ่วเบา เขาอดนึกถึงสิ่งที่ตนได้เล่าให้เจนยุทธฟังเมื่อคืนที่ผ่านมาไม่ได้ ยิ่งคิดถึงสิ่งเลวร้ายที่เขาเคยพูดและทำกับอาปาไปยามที่ไร้สติเพราะความโศกเศร้า เขายิ่งรู้สึกอดสูใจ

"โธ่ คุณ..."

เจดึงมือคนรักที่เริ่มทำตาแดงๆ มาแนบแก้ม

"เจจ๊ะ ฉัน ฉันห่วงนายกับอาปาจริงๆ นะ ฉัน ฉันไม่อยาก..."

ฆาเบียร์พูดเร็วปรื๋อ หากก็ชะงักและก็พยายามสูดลมหายใจเข้าปอดจนกระทั่งคุมสติของตนได้อยู่

"ฆาบี้ครับ..."

"ฉันไม่เป็นไรแล้วจ้ะ เราลงไปกันเถอะ ยืนตรงนี้เกะกะ"

คนตัวโตตัดบทและดึงมือคนรักให้ลงบันไดไปด้วยกัน



"อ้าว ลงมาแล้วเหรอ? อาปากำลังจะให้เด็กขึ้นไปบอกว่ารถมาแล้วนะ"

คริสเงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่กำลังอ่านอยู่และส่งยิ้มให้ลูกบุญธรรมของเขา ฆาเบียร์ใจละลายทันทีที่เห็นรอยยิ้มอันอบอุ่นนั้น เขาปล่อยมือเจนยุทธแล้วก้าวพรวดเข้าไปกอดอาปาของเขาไว้แน่น

"อาปาครับ ผมรักอาปานะครับ"

คนตัวโตกระซิบข้างหูพ่อบุญธรรมของเขา

"เอ้าๆ อารมณ์ไหนล่ะเนี่ย?..."

คริสหัวเราะเบาๆ ด้วยความประหลาดใจ แม้พวกเขาจะกอดกันเพื่อเป็นการทักทายและบอกลายามที่ต้องเดินทางหรือเพื่อแสดงความยินดีตามธรรมเนียมตะวันตกเป็นปกติแล้ว ในยามอื่นฆาเบียร์ก็เป็นเหมือนผู้ชายทั่วไปที่ไม่ได้กอดและแสดงความรักต่อญาติผู้ใหญ่อย่างจริงจังมาตั้งแต่พ้นวัยรุ่น

"...โอเคๆ อาปาก็รักเรานะ"

คริสตบแผ่นหลังกว้างของลูกชายเบาๆ พร้อมส่งสายตาเป็นเชิงถามไปยังเจนยุทธ เจทำปากพะงาบๆ บอกคริสว่าเขาจะเล่าให้ฟังทีหลัง



"ฆาบี้ มีอะไรหรือเปล่าลูก? ว่าไง? บอกอาปามาซิ"

ฆาเบียร์พยายามดึงสติของตนเมื่อได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนของคริสถามมา เขาปล่อยแขนที่รัดร่างอาปาของเขาแน่นออก

"ไม่มีอะไรครับ ผม เอ่อ ผมไปทำงานก่อนนะครับ"

คนตัวโตรีบลุกขึ้นจากโซฟา คริสลุกขึ้นตาม

"เดี๋ยวอาปาเดินไปส่งนะ"

"ครับ"

ฆาเบียร์หันไปยิ้มให้ชายผู้ซึ่งเขารักและเคารพเทียบเท่ากับบุพการี ทั้งสามคนเดินออกไปยังชานบันไดหินอ่อนที่หน้าบ้านซึ่งมีรถเบนท์ลีย์คันงามของคริสจอดเทียบอยู่

"ฉันไปก่อนนะเจ...ไปก่อนนะครับ อาปา"

ฆาเบียร์จุ๊บแก้มคนรักเบาๆ และหันไปค้อมหัวให้อาปาของเขา

"ถ้าถึงมาเก๊าแล้วอาปาจะโทรหานะ"

คริสส่งเสียงตอบกลับไป ฆาเบียร์ชะงักและหุบยิ้มทันทีเมื่อได้ยินประโยคที่คุ้นหู หากเขาก็หันกลับมาส่งยิ้มให้กับอาปาของเขาและเจนยุทธอีกครั้งก่อนที่จะขึ้นรถไป




--------------------------------------------------------


จบไว้ตรงนี้ก่อนนะคะ ตอนหน้าไปมาเก๊ากันอีกซักรอบ

ในตอนนี้มีของอร่อยมานำเสนออีกอย่าง เขียนถึง Croque Monsieur นี้ด้วยความอยากกินล้วนๆ ค่ะ ก็เหมือนเจในเรื่องค่ะ เห็นรูปจากในเฟซบุ๊คก็เลยอยากกิน เลยไปหาสูตรดู แล้วก็สรุปกับตัวเองว่า ซื้อกินต่อไปเถอะ ฮ่าๆ ค้นๆ ดูก็เจอหลายสูตรเหมือนกัน มีทั้งแบบใส่มัสตาร์ดในซอส แบบใส่ชีสในซอส แบบปิ้งขนมปังก่อน กับแบบไม่ปิ้งขนมปัง ก็เอามายำรวมกันซะเลยค่ะ ใครลองเอาไปทำแล้วอร่อยไม่อร่อยมาบอกกันด้วยนะคะ


Croque Monsieur

สูตรใส่ชีสในซอส ไม่ใส่มัสตาร์ดและปิ้งขนมปังก่อน http://bit.ly/2IndKB2

สูตรใส่มัสตาร์ดแต่ไม่ใส่ชีสในซอส ไม่ปิ้งขนมปังก่อน http://bit.ly/2wE6ATM

คล้ายๆ สูตรข้างบนค่ะ http://bit.ly/2JX79k2

แซนวิช Monte Cristo (ชุบไข่ทอด) http://bit.ly/2wCJxsw



แถมเรื่องการผูกเนคไทหลายๆ แบบค่ะ http://bit.ly/2Wn8RlB





ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- ก๊วนคุณลุง ----





'กำลังใจสำหรับการทำงานในวันนี้'

เจยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อเห็นแค็ปชั่นของภาพล่าสุดที่ฆาเบียร์โพสต์ลงใน Instagram ในภาพนั้นเป็นแจกันแก้วทรงกลมใสขนาดเล็กซึ่งปักดอกพีโอนีสีชมพูเข้มและกุหลาบขาวอมชมพูก้านสั้นอย่างละดอก แซมด้วยดอกไม้ขนาดเล็กสีขาวและใบไม้ทรงแปลกตา

'ชอบไหมครับ?'

เจพิมพ์ลงในช่องคอมเมนท์ใต้ภาพแล้วกดส่ง ไม่นานเสียง Line video call ของเขาก็ดังขึ้น เจกดรับและยิ้มให้คนที่ส่งยิ้มกว้างกลับมา

"ไงครับ? ชอบไหม?"

เจนยุทธถามย้ำอีกครั้ง

"ชอบสิจ๊ะ ขอบใจนะ"

ฆาเบียร์เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ทำงานของเขา เขาขยับหมุนแจกันที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานให้เจนยุทธดูรอบด้าน

"มันดูเล็กเหมือนกันเนาะ ตอนแรกผมอยากจะสั่งขนาดใหญ่กว่านี้ให้ แต่ก็สู้ราคาไม่ไหว"

เจนยุทธหัวเราะแหะ ๆ ตอนที่เขากดสั่งเขาคิดว่าแจกันใบน้อยสูงไม่ถึงคืบที่ใส่ดอกเดี่ยวขนาดประมาณดอกกุหลาบได้เพียง 2 ดอกนี้จะใบใหญ่กว่านี้

"ใบขนาดนี้กำลังดีจ้ะ ฉันวางไว้บนโต๊ะทำงานได้ ไม่เกะกะ ขอบใจนะ"

ฆาเบียร์ก้มลงดมกลิ่นหอมจรุงจากดอกกุหลาบ เขาชอบดอกไม้ หากไม่เคยชินกับการเป็นผู้รับจนกระทั่งมาเจอเจนยุทธ ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเหล่าคู่ขาโดยเฉพาะคนที่มีใจให้เขาอย่างเฟลิเป้จึงได้ปลื้มปริ่มนักหนาเมื่อได้กุหลาบช่อโตจากเขา สำหรับตัวเขาในตอนนี้ ต่อให้เป็นดอกหญ้าข้างทาง หากเมื่อมันมาจากมือเจ มันก็ทำให้เขายิ้มได้ทั้งวันแล้ว



"เอ้า ๆ ๆ ดมจนช้ำแล้วครับคุณ"

เจนยุทธหัวเราะคิกเมื่อเห็นท่าทีพออกพอใจนักหนาของคนรัก

"เดี๋ยวก่อนไปมาเก๊าคุณก็เอาดอกขึ้นไปไว้ในห้องนอนด้วยล่ะ ทิ้งมันไว้ที่นี่เสียดาย แล้ววันจันทร์เอาแจกันลงมาไว้ที่ออฟฟิศด้วยนะครับ"

"อ้าว ทำไมล่ะ? ฉันเอาไปไว้ในห้องเลยไม่ได้เหรอ?"

ฆาเบียร์เลิกคิ้ว

"ไม่ได้ครับ..."

เจนยุทธส่ายหัว

"เดี๋ยววันจันทร์ร้านเขาจะเอาแจกันใหม่มาเปลี่ยนให้.."

"อ้อ..."

คนตัวโตอุทานออกมาเบา ๆ พร้อมกับมีสีหน้าเคร่งขรึมลง



"เจ ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ต้องมาสิ้นเปลืองเงินทองกับฉันมาก ไอ้เจ้า flower subscription แบบที่ให้ส่งดอกรายสัปดาห์แบบนี้มันไม่ได้ถูกเลยนะ นายยกเลิกมันเถอะ"

ฆาเบียร์ทำเสียงแข็งเมื่อรู้ว่าเจ้าตัวเล็กที่ชอบให้ดอกไม้เขานั้นได้สั่งแจกันดอกไม้เพื่อให้จัดส่งมาให้เขาทุกสัปดาห์

"ไม่ครับ!..."

เจรีบปฏิเสธกลับมาทันควัน

"ที่ผมสั่งมานี่ไม่ได้แพงมากหรอกครับฆาบี้ เดือนละไม่ถึงห้าร้อยดอลฮ่องกง ผมถึงบอกไงว่ามีปัญญาให้คุณได้แค่นี้"

เจนยุทธลดเสียงลงในตอนท้ายจนเหลือแค่เสียงพึมพำ เมื่อบ่ายวานนี้ เขาไล่ดูสารพัดเว็บไซต์ของร้านดอกไม้ในฮ่องกงที่มีบริการจัดส่งดอกไม้รายสัปดาห์แล้วก็ต้องเหงื่อแตกเมื่อเห็นราคา โดยมากนั้นจะเริ่มต้นที่หลักพันเหรียญต่อเดือน แต่ในที่สุด ด้วยคำแนะนำของทิฟฟานีผู้เป็นเลขาฯ ของฆาเบียร์ เขาก็เจอร้านราคาเยาว์ที่เริ่มต้นด้วยราคาหลักร้อย แต่ก็ได้แจกันขนาดเล็กและปริมาณดอกไม้ที่น้อยกว่าร้านอื่น เขาลองสั่งให้มาส่งวันนี้ก่อนเพื่อเป็นตัวอย่างและจะเริ่มให้ส่งเป็นรายสัปดาห์ในวันจันทร์หน้า

"แต่เจจ๊ะ..."

"ไม่ต้องมีแต่แล้วครับ ฆาบี้ เงินค่าดอกนี่ผมก็ใช้เงินเดือนที่คุณให้ผมนั่นแหละจ่าย ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลย"

เจยกโทรศัพท์เข้ามาจ่อใกล้หน้าให้เห็นตากลมโตของเขา

"...ว่าไงครับ ฆาบี้ คุณจะใจร้ายแล้วไม่ยอมรับดอกไม้จากผมจริง ๆ เหรอ?"

คนตัวโตอดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นคนรักงัดลูกอ้อนโดยทำหน้าซื่อตาใสแบ๊วอันเป็นไม้ตายออกมาใช้

"โอเค ๆ ถ้านายยืนยันว่าไม่เดือดร้อนก็ตามใจ แต่ถ้านายต้องใช้เงินไปทำอย่างอื่นเมื่อไหร่ก็ยกเลิกซะนะ โอเคไหม?"

"Ay, ay! Sir!"

ฆาเบียร์โคลงหัวเมื่อเจทำท่าตะเบ๊ะเพื่อตอบรับคำและยิ้มกว้างกลับมาให้ เขาทนยิ้มสวย ๆ และแววตาเว้าวอนของเจไม่เคยได้เลยสักครั้ง



"...แล้วอย่าลืมนะครับ ถ้าได้ดอกมาก็ถ่ายรูปอัพลงไอจีให้ผมด้วย จะได้มีอะไรลงบ้าง"

เจนยุทธกำชับ หลังจากที่เมียตัวโตของเขาใช้เพียงเฟซบุ๊คและเว็บไซต์เป็นสื่อกลางในการเชื่อมต่อกับผู้ติดตามของเขา ในที่สุดบล็อกเกอร์ 'Valentin de la Rosa' ก็มีไอจีเป็นของตัวเองหลังจากโดนเจนยุทธคะยั้นคะยออยู่นาน หากเนื่องด้วยภาระงาน ทำให้ฆาเบียร์ไม่ค่อยได้โพสต์รูปอะไรลงในไอจีของเขานัก นาน ๆ ทีเมื่อได้ไปทำงานต่างเมือง เขาจึงจะโพสต์รูปจากเมืองที่ไปเยี่ยมเยือนบ้าง มีโพสต์รูปอาหารเพื่อให้เจดูและเพื่อแนะนำร้านบ้างเพื่อให้เข้ากับภาพลักษณ์บล็อกเกอร์สายกินเที่ยวของเขา แม้ช่วงหลังคนที่โพสต์ในเฟซบุ๊คจะเป็นเจและทีมงานเสียส่วนใหญ่ เช่นเดียวกันกับในยูทูบและเว็บเพจของเขา หากฆาเบียร์ก็พยายามอัพภาพลงไอจีของเขาด้วยตนเอง

"จ้ะ ๆ ฉันไม่ลืมแน่"

คนตัวโตพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขายกแจกันดอกไม้ขึ้นมาดูอีกด้วยความพึงใจ

"แล้วนี่เสร็จงานช่วงเช้าแล้วเหรอครับ? แล้วไหนว่ามีไปกินข้าวเที่ยงกับลูกค้าไม่ใช่เหรอ?"

เจนยุทธยกนาฬิกาขึ้นดู

"จะเที่ยงแล้วนะครับ ยังไม่ไปอีก"

"อ๋อ พอดีว่าทางนั้นติดธุระอื่นน่ะ พอคุยงานช่วงเช้าเสร็จก็ขอตัวกลับก่อนเลย ช่วงเที่ยงเลยยังว่าง แต่เดี๋ยวก็มีบรีฟงานกับฝ่าย Product ช่วงบ่ายอีก"

"ฝ่าย Product ก็คือฝ่ายที่ดูแลเรื่องเว็บโดยตรงใช่ไหมครับ?"

เจนยุทธถามอย่างไม่แน่ใจ แม้เขาจะเข้ามาคลุกคลีกับบริษัทของฆาเบียร์พักใหญ่แล้ว เขาก็ยังงง ๆ กับบทบาทต่าง ๆ และขอบข่ายงานของแต่ละฝ่ายอยู่ดี

"ใช่จ้ะ ถ้าเทียบก็คือเป็นฝ่ายผลิตสินค้าของเรานั่นแหละ สินค้าของเราในที่นี้ก็คือตัวเว็บและระบบจองโรงแรมกับพวกเกี่ยวกับการท่องเที่ยวอื่น ๆ แผนกนี้จะเป็นคนดูแลเกี่ยวกับด้านการวิเคราะห์และพัฒนาไอ้เจ้าของขายของเรานี่แหละ ก็จะมีเจ้าหน้าที่ที่เป็นฝ่ายบริหารทำงานร่วมกับฝ่ายซอฟท์แวร์ในการดูแลไม่ว่าจะเป็นหน้าเว็บหรือแอพ เพื่อให้คนใช้ใช้งานได้อย่างลื่นไหลไม่มีปัญหา..."

ฆาเบียร์อธิบายสายการทำงานของบริษัทของเขาให้เจฟัง



"ฝ่าย Product ก็ต้องทำงานร่วมกับฝ่ายอื่นอย่างเช่นฝ่าย Content ที่เจเคยร่วมงานด้วยซึ่งเน้นการผลิต content และแปลสิ่งต่าง ๆ ที่จะเอาลงในเว็บ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจซึ่งเป็นฝ่ายดูแลและประสานงานกับพวกโรงแรม ที่พักและคู่ค้าด้านการท่องเที่ยวอื่น ๆ ของเราในการออกโปรโมชั่นต่าง ๆ สอนเรื่องการใช้งานเว็บของเรานั่นนี่นู่น แล้วก็วิเคราะห์พวกข้อมูลที่ได้รับจากทั้งลูกค้าและทางที่พักเพื่อออกนโยบายและโปรเจ็คท์ต่าง ๆ ในส่วนนี้เราทำในออฟฟิศสาขาย่อย บางส่วนเราก็ร่วมมือกับเอเจนซี่ท้องถิ่นจ้ะ"

คนตัวโตหยุดยิ้มให้คนที่นั่งทำตาแป๋วฟัง เขาอธิบายต่อคร่าว ๆ ถึงบทบาทของแผนกอื่น ๆ อย่างแผนกมาร์เก็ตติ้งและแผนกดูแลลูกค้าและต่อไปยังเรื่องการทำงานโดยรวมของบริษัท

"นอกจากสำนักงานใหญ่ที่พาโล อัลโตกับที่ฮ่องกงแล้ว เรายังมีออฟฟิศเล็ก ๆ ที่กระจายอยู่ทั่วโลก ก็จะมีคนจากแผนกที่ต้องเกี่ยวข้องกับการทำงานของเว็บกับประสานงานกับคู่ค้าอย่างพวกโรงแรมหรือทัวร์เอเจนซี่ มีพวกฝ่ายเทคโนโลยีบ้าง แต่จะเน้นไปที่แผนกพัฒนาธุรกิจกับแผนกรับเละอย่างแผนกดูแลลูกค้าจ้ะ"

เจอดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อได้ยินคนรักเรียกแผนกดูแลลูกค้าว่าเป็นแผนกรับเละ

"เรามีเจ้าหน้าที่รับเรื่องจากหลายชาติหลายภาษาประจำอยู่ตามเมืองหลัก ๆ ที่เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมทั่วโลก พวกนี้จะคอยดูแลเวลาที่ลูกค้ามีปัญหา ณ ตอนเข้าพักและคอยติดตามดูพวกคอมเมนท์หรือรีวิวเพื่อเก็บข้อมูลและแก้ไขไม่ให้เกิดปัญหานั้นอีกในอนาคต อีกทางก็คือคอยประสานงานกับทางที่พักด้วย..."

ฆาเบียร์อธิบายให้คนรักของเขาฟังต่ออีกยืดยาวและเจเองก็นั่งฟังอย่างเพลิดเพลิน



"เอ ผมเข้าใจว่าสำนักงานที่ฮ่องกงนี้เป็นสาขารองซะอีกครับ แต่เท่าที่ฟังคุณเล่ามา มันสำคัญแทบจะเท่ากับที่สหรัฐฯ เลยนี่นา?"

เจนยุทธถาม คนตัวโตพยักหน้า

"ใช่จ้ะ จากการดูแนวโน้มหลาย ๆ ปีที่ผ่านมาแล้ว ฉันกับอาปาและพวกผู้บริหารคนอื่นของบริษัทก็เห็นพ้องต้องกันว่าเราจะเริ่มย้ายศูนย์กลางด้านการจัดการและการให้บริการของเว็บมาที่เอเชีย ส่วนหนึ่งก็เพราะตลาดจีนที่กำลังเติบโตด้วย ก็ไม่ใช่ว่าเราจะทิ้งสาขาที่สหรัฐฯ นะ ที่นั่นก็ยังจะเป็นศูนย์กลางของงานระบบกับออฟฟิศส่วนที่เป็นด้านนโยบายแล้วเน้นทำงานร่วมกันออนไลน์"

เจพยักหน้ารับคำ เขาเห็นจากการทำงานที่ผ่าน ๆ มาของฆาเบียร์แล้วว่าเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ทำให้บริษัทที่มีหลายสาขาสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างลื่นไหล

"ว่าแต่ฮ่องกงนี่มันไม่แพงไปสำหรับการเป็นสำนักงานใหญ่อีกที่เหรอครับ?"

เจนยุทธถามอย่างสงสัย ค่าครองชีพที่สูงมากของฮ่องกงน่าจะทำให้ค่าใช้จ่ายของบริษัทของฆาเบียร์สูงขึ้นเกินความจำเป็น

"เอาจริง ๆ นะ ส่วนหนึ่งที่เราเลือกฮ่องกงเป็นสำนักงานใหญ่ฝั่งเอเชียก็เพราะอาปาด้วยแหละ"

ฆาเบียร์ยิ้มน้อย ๆ ถึงจะจากฮ่องกงไปนานและอาศัยอยู่ที่สหรัฐฯ จนกลายเป็นบ้านหลังที่สอง หากอาปาของเขาก็เคยเปรย ๆ ไว้ว่าอยากจะกลับมาใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่บ้านเกิดเมืองนอนของตน ความตั้งใจของคริสก็คือเมื่อเขาพร้อมที่จะส่งไม้ต่อให้ฆาเบียร์แล้ว ตนเองก็จะกลับมาช่วยดูแลสาขาทางเอเชียให้กับลูกชายของเขาแทนพร้อม ๆ กับเข้ามาควบคุมงานที่เครือบริษัทของพ่อของเขา

"อ้าว งั้นแบบนี้อาปาก็ไม่ได้เกษียณสิครับ สรุปว่าก็แค่แลกตำแหน่งกันกับคุณแค่นั้นเอง สงสารอ่ะ ไม่ได้พักซักที"

เจบ่นอุบอิบจนคนตัวโตอดหัวเราะไม่ได้

"โธ่ เจ อย่างอาปาน่ะพักเป็นซะที่ไหน ฉันเคยบังคับให้อาปาพักร้อน ไปพักผ่อน ไปทะเล ไปไหนก็ได้ให้ไกลจากออฟฟิศเดือนนึง ห้ามเอาคอมไปทำงานด้วย ที่ไหนได้ ไปได้ซักห้าวัน ทีนี้ล่ะเริ่มโทรกลับมารัว ๆ บอกว่าห่วงงานนั่นนี่ พอฉันบอกว่าให้เลิกโทร ให้พัก ทีนี้ล่ะก็ใช้เลขาฯ โทรมาแทน ไม่โทรหาฉันนะ นู่น โทรหาเมลิน่า จนสุดท้ายฉันก็ต้องยอมให้คนบินเอาคอมไปให้นั่งทำงานถึงที่รีสอร์ทในคาริบเบียน"

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อนึกถึงอาปาผู้ดื้อเงียบของเขา



"...แต่นอกจากที่ฮ่องกงแล้ว เรายังมีแพลนจะขยายออฟฟิศย่อยที่เมืองอื่นในเอเชียให้ใหญ่ขึ้นด้วย คือแทนที่จะมีสำนักงานใหญ่ที่เดียว เราก็จะแบ่งเป็นภูมิภาค อย่างที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฉันก็เล็งที่กรุงเทพฯ ไว้ เพราะค่าครองชีพยังไม่ได้สูงนักแต่ก็มีสาธารณูปโภคทุกอย่างที่ทางสำนักงานต้องการ..."

คนตัวโตพูด เขาเตรียมแผนงานในส่วนนี้ไว้หมดแล้ว รวมถึงการหาทาง recruit คนที่เคยทำงานให้กับบริษัทท่องเที่ยวและจองที่พักบริษัทดังระดับโลกอย่าง Agoda ซึ่งแม้จะมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สิงคโปร์ หากสำนักงานที่มีคนทำงานอยู่มากที่สุดกลับเป็นสาขากรุงเทพฯ

"...ในอนาคต ฉันอาจจะต้องบินไปบินมาบ่อยขึ้นกว่านี้อีกนะ อย่างตอนนี้ ฝ่าย Corporate หรือส่วนบริหารองค์กรนั้นขึ้นกับอาปาโดยตรง ส่วนด้านเทคโนโลยีนั้นฉันเป็นคนดูแล ซึ่งก็ยัง monitor จากที่ฮ่องกงได้ แต่ถ้าต่อไปฉันขึ้นไปทำหน้าที่แทนอาปา ฉันก็ต้องเอาตัวไปให้ทางสำนักงานใหญ่เจอบ่อยขึ้น จะมานั่งประชุมทางไกลอย่างเดียวก็คงไม่ได้"

ฆาเบียร์ลอบถอนหายใจเมื่อเห็นสีหน้าที่สลดลงวูบหนึ่งของคนรัก หากเจก็รีบยิ้มกว้างกลับคืนมาให้คนรักของเขาแทบจะทันควัน

"น่า ๆ อีกตั้งสามสี่ปีไม่ใช่เหรอครับ ตอนนี้คุณก็ใช้เวลาหลั่นล้า ชิล ๆ ไปก่อนเนาะ"

"จ้ะ ก็คงจะเป็นแบบนั้น"

หนุ่มละตินตอบรับคำคนรัก ในใจเขากำลังคิดคำนวณถึงเวลาที่ยังเหลือและหวังว่าเขาจะสามารถโน้มน้าวใจคนรักให้ตกล่องปล่องชิ้นกับเขาได้ภายในระยะเวลานั้น



"ผมสงสัยอีกอย่าง..."

เจนยุทธถามถึงสิ่งที่ยังสะกิดใจเขา

"คุณบอกว่าออฟฟิศคุณแบ่งออกเป็นหลาย ๆ แผนก แต่ผมเห็นบางอย่างมันก็ทับซ้อนกันอยู่นะครับ อย่างเมลิน่ากับทิฟฟานี เขาเป็นเลขาคุณ แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็เห็นพวกสาว ๆ เขาก็ทำบล็อกของคุณซึ่งน่าจะให้ฝ่าย Content ทำ ทำไมเป็นงั้นอ่ะครับ?"

"อ๋อ ฮ่า ๆ สำหรับแบรนด์ 'Valentin de la Rosa' นี่เป็นข้อยกเว้นจ้ะ..."

ฆาเบียร์ยิ้ม เจนยุทธช่างสังเกตจริง ๆ

"ถ้าเป็นส่วนคอนเทนท์ด้านบล็อกการท่องเที่ยวของคนอื่นๆ นั้นทางฝ่าย Content จะเป็นคนดูแล แต่ในส่วนบล็อกของฉันนั้น มันเป็นต้นแบบที่เริ่มทำมาตั้งแต่ฉันกับอาปาเริ่มขยายเว็บจองโรงแรมของพ่อและทำให้กลายเป็นแหล่งข้อมูลในด้านการท่องเที่ยวด้วย ในตอนแรกเริ่ม ฉันเริ่มทำมันในฐานะส่วนหนึ่งของงานประชาสัมพันธ์ซึ่งสังกัดแผนกมาร์เก็ตติ้ง แต่พอโลกมันเปลี่ยนไป เรามีบล็อกเกอร์สายกิน เที่ยว ไลฟ์สไตล์ในมือมากขึ้น มีคนหมุนเวียนมาช่วยเขียนมากขึ้น แถมในส่วนของเว็บจองโรงแรม เราก็ต้องทำให้มันสวยงามและน่าสนใจมากขึ้น เราก็เลยต้องเพิ่มส่วนของ content ขึ้นมาเพื่อดูแลเรื่องเนื้อหาต่างๆ ให้ดูสวยงาม ทันสมัย และโอนงานด้านจัดการบล็อกพวกนี้ไปให้ฝ่าย content ซะ..."

คนตัวโตหยุดครู่หนึ่งและพูดต่อ

"...แต่ตัวฉันน่ะยังทำงานในฐานะประชาสัมพันธ์มาจนถึงกลางปีที่แล้ว ก็เลยยังไม่ได้โอนย้ายส่วนนี้ไปให้ทางนั้นเขาทำถึงแม้ว่าช่วงหลัง ๆ ฉันจะไม่ค่อยได้ออกไปที่นั่นที่นี่เท่ากับสมัยแรกเริ่มแล้วก็เถอะ..."

ฆาเบียร์อมยิ้มเมื่อนึกถึงตอนช่วงแรก ๆ ที่เขาลงมือลุยงานด้านนี้เอง ในตอนนั้นเขาจะตระเวนไปตามสถานที่เที่ยวหรือโรงแรมที่เขาเห็นว่าน่าสนใจเพื่อเก็บข้อมูลมาเขียนรีวิวด้วยตนเองโดยอาศัยความช่วยเหลือจากเมลิน่าบ้าง หากเมื่อเว็บของเขาพัฒนาและเติบโตขึ้น ภาระงานด้านบริหารของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว เขาจึงจ้างทีมมาเพื่อดูแลบล็อกและเพจของเขาแทน เขารีวิวน้อยชิ้นลงโดยมีทีมงานช่วยคัดเลือกสถานที่ๆ ต้องการจะรีวิวให้ จากนั้นเขาจะส่งทีมไปก่อนเพื่อเข้าพักและเก็บข้อมูล ถ่ายคลิปวีดีโอและรูปภาพ ส่วนตัวเขานั้นตามไปทีหลังโดยใช้เวลาอยู่ที่นั่นอาจจะแค่เพียงวันหรือสองวันเพื่อถ่ายรูปและคลิปแบบมีหน้าตัวเองอยู่ในนั้น จากนั้นทางทีมงานก็จะจัดการเขียนบทความขึ้นมาโดยให้เขาปรับแก้เป็นสำนวนของตนภายหลัง



"ช่วงหลัง ๆ มานี่ฉันก็รู้สึกเหมือนกันว่าเพจของฉันมันไม่น่าดึงดูดเท่าไหร่แล้ว ถึงข้อมูลจะละเอียดขึ้น ภาพสวยขึ้น แต่มันขาดรสชาติ ขาดชีวิตชีวาแบบที่เคยมีตอนที่ฉันยังเขียนเอง ตอนแรกก็คิดอยู่เหมือนกันว่าพอเปิดตัวและเปลี่ยนไปทำงานบริหารเต็มตัวแล้ว ฉันอาจจะปิดเพจเลยก็ได้ แต่พอมีเจเข้ามาช่วย ฉันก็รู้สึกได้ว่าพลังที่เคยมีในช่วงแรก ๆ มันเริ่มกลับมาแล้ว"

เจนยุทธหน้าแดงน้อย ๆ ด้วยความเขินอายเมื่อคนรักพูดชมเชย เขาได้แต่พูดถ่อมตัวไปตามประสา ฆาเบียร์ยิ้มบาง ๆ และชวนคนรักพูดคุยต่อ

"...ส่วนทิฟฟานีน่ะ เดิมทีสังกัดฝ่าย Content เต็มตัว..."

ฆาเบียร์พูดถึงผู้ช่วยของเมลิน่าซึ่งเรียนมาทั้งด้านบริหารธุรกิจและการจัดการสื่อสังคมออนไลน์

"ตอนอยู่สหรัฐฯ ทิฟเขาเป็นกำลังสำคัญในด้านเขียนคอนเทนท์คนหนึ่งของเราเลยและเป็นคนแรก ๆ ที่ฉันดึงมาช่วยงานเพจบาเลนติน"

"อ้าว แล้วทำไมพอมาอยู่ฮ่องกง เขาถึงมาเป็นเลขาฯ คุณ มาเป็นผู้ช่วยของเมลิน่าซะล่ะครับ เสียดายฝีมือออก"

เจนยุทธถามอย่างสงสัย ฆาเบียร์หัวเราะหึ ๆ

"นั่นก็เพราะอังเคิลลีนั่นแหละ..."

ฆาเบียร์ยิ้มน้อย ๆ เมื่อนึกถึงเพื่อนสนิทของอาปาผู้เป็นพ่อสามีของทิฟฟานี



"ลุงวิคเตอร์เขาเคยขออาปาว่าถ้าจะตั้งสาขาที่ฮ่องกง เขาก็อยากให้ทิฟฟานีซึ่งตอนนั้นหมั้นกับลูกของลุงแล้วย้ายมาอยู่นี่ด้วย แล้วถ้าทิฟแต่งงานแล้วก็ขอตำแหน่งงานที่มีเวลาว่างบ้าง รู้ไหมว่าเพราะอะไร?"

เจนยุทธส่ายหัว

"ลุงลีแกบอกว่าแกอยากอุ้มหลานแล้ว แกบอกว่าขืนให้ยัยเด็กบ้างานนี่ทำงานตำแหน่งเดิม สงสัยชาตินี้แกก็คงไม่ได้เห็นหน้าหลาน"

ฆาเบียร์อดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อนึกถึงท่าทีจนปัญญาของซีอีโอคนเก่งของบริษัทของอาปา

"แหม เรื่องนี้นี่เอง มิน่าช่วงนี้ทิฟฟานีเขาดูมีน้ำมีนวลขึ้น คุณลุงลีคงบำรุงเต็มที่เลยใช่ไหมครับ?"

เจหัวเราะคิกคัก เขาสังเกตได้ว่าเลขาฯ สาวของฆาเบียร์คนนี้ผิวพรรณเปล่งปลั่งและดูอิ่มเอิบขึ้นกว่าตอนที่เจอกันช่วงงานแต่งงาน

"เอ้า ๆ ทำหน้าแบบนี้ คิดอะไรลามก ๆ อยู่ใช่ไหม?"

คนตัวโตอดแซวไม่ได้เมื่อเห็นแววตากรุ้มกริ่มของคนรัก

"เปล๊า ผมไม่ได้คิดอะไรเลย"

เจรีบปฏิเสธลั่นอย่างร้อนตัวเพราะในหัวของเขานั้นคิดเตลิดไปถึงเรื่องการทำลูกของคนทั้งสองแล้ว

"นายนี่มันทะลึ่งจริง ๆ นะ หืมม์?"

ฆาเบียร์โคลงหัว แต่ก็ต้องหัวเราะเบา ๆ ออกมาด้วยความเอ็นดูเมื่อคนรักย่นจมูกและแลบลิ้นน้อย ๆ ให้



"อ๊ะ คุณครับ ผมคงต้องไปแล้วล่ะ..."

เจนยุทธหันไปมองที่ประตูเมื่อได้ยินเสียงคนเคาะเรียก

"...อาปาให้คนมาตามแล้วครับ งั้น ผมไปก่อนนะ ถ้าก่อนออกจากฮ่องกงผมจะโทรมาหาคุณอีกที"

ฆาเบียร์เม้มปากน้อย ๆ ด้วยความรู้สึกกังวลใจเมื่อนึกถึงว่าคนที่เขารักทั้งสองกำลังจะออกเดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์ หากเขาก็ฝืนพยักหน้ารับคำ

"เดี๋ยวคุณก็อย่าลืมหาอะไรกินด้วยล่ะ กินข้าวเช้าหนัก ๆ ไปแล้วก็ใช่ว่าจะข้ามมื้อเที่ยงไปได้นะครับ"

"เอ่อ แต่ฉันก็ยังไม่หิวนะ..."

"ไม่ได้ครับ ไม่ได้ คุณก็เป็นซะแบบนี้ กินข้าวให้เป็นเวลาสิครับ"

เจอดบ่นคนรักเบาๆ ไม่ได้ ถ้าเขาไม่กำชับ วันนี้ฆาเบียร์ก็คงข้ามมื้อเที่ยงไปเป็นแน่แท้ คนตัวโตทำท่าอิดออดเล็กน้อย แต่ก็ยอมตกลงในที่สุด เจยิ้มกว้าง

"ดีมากครับ อย่าทำให้ผมต้องห่วงมากนักล่ะ งั้น ไปก่อนนะครับ mi cariño"

เจนยุทธพูดแล้วจรดจูบลงบนนิ้วและประทับลงที่หน้าเลนส์กล้องโทรศัพท์ของเขา ฆาเบียร์ทำตามและจบการสนทนาลง



"ขออนุญาตค่ะ เฆเฟ่"

เมลิน่าเคาะประตูเข้ามาพร้อมกับถาดในมือ

"คุณเจฝากให้ฉันสั่งมาให้ค่ะ..."

ฆาเบียร์มองอาหารในถาดอย่างจนใจ เจสั่งทั้งปอเปี๊ยะสดไส้เป็ดย่างและก๋วยเตี๋ยวหลอดไส้ปลากะพงกับสมุนไพรต่าง ๆ มาให้เขา ทั้งสองอย่างมาจากร้านอาหารเวียดนามในห้างฯ เอเลเมนท์ที่อยู่ใต้อาคาร ICC แม้ปริมาณของมันจะไม่ได้มากนักหนา แต่ก็คงพอให้เขาซึ่งยังรู้สึกตื้อจากอาหารมื้อเช้าอิ่มท้องได้

"คุณเจกำชับมาด้วยว่า 'ไม่ใช่ของทอด มีแค่ผัก ปลา แป้งนิดหน่อย ฉะนั้นกินให้หมดนะครับ' ตามนี้ค่ะ"

เมลิน่าจัดวางอาหารไว้ที่โต๊ะกาแฟจากนั้นจึงยกมือถือของเธอขึ้นอ่านข้อความที่เจนยุทธส่งมาให้

"ให้ตายสิ พวกเธอนี่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะ"

ฆาเบียร์บ่นออกมาเบา ๆ ทีมเลขาฯ ของเขาทั้งทีมดูจะถือหางเจอยู่ไม่น้อย แม้กระทั่งคุณเหลียง เลขาฯ วัยกลางคนซึ่งเคยทำงานกับอาปาคริสมาก่อนก็ยังดูถูกอกถูกใจเจนยุทธเป็นอย่างมาก

"โอเค ๆ ฉันจะกินไม่ให้เหลือผักซักใบเลย"

ฆาเบียร์พึมพำเบา ๆ เขาเดินมานั่งที่ชุดรับแขกแล้วจัดการหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปอาหารบนโต๊ะและกดส่งไปให้คนรัก จากนั้นหันไปถามเมลิน่า

"เรามีนัดอีกที่กี่โมงนะ?”

“บ่ายสองค่ะ ไปสถานกงสุลใหญ่สหรัฐฯ ประจำฮ่องกงและมาเก๊าเพื่อพบท่านกงสุลใหญ่คนใหม่ค่ะ...”

“ไม่ได้เป็นการพูดคุยแบบเป็นทางการอะไรใช่ไหม?”

คนตัวโตถามพร้อมกับใช้ตะเกียบคีบปอเปี๊ยะสดเข้าปาก เมลิน่ายกโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูตารางนัดหมายและตอบนายของเธอ

“ไม่ค่ะ ไปแค่พบปะแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่งแค่นั้น น่าจะใช้เวลาไม่นาน”

ฆาเบียร์พยักหน้ารับคำพร้อมกับยกนาฬิกาขึ้นดู

“งั้นเดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมงให้รถมารอเลยก็ได้ แล้วนอกจากงานนี้แล้ว บ่ายนี้ฉันมีอะไรต้องทำอีกไหม? ตอนแรกว่าต้องบรีฟงานกับฝ่าย Product ด้วยไม่ใช่เหรอ?”

“ไม่ต้องแล้วค่ะ บ่ายนี้งานที่ต้องอยู่ที่สำนักงานหรือต้องเจอคนก็มีแค่นี้ค่ะ เรื่องบรีฟกับทาง Product ฉันโยกเอาไปรวมกับประชุมทางไกลเพื่อฟังสรุปงานช่วงค่ำ ทำที่ไหนก็ได้ค่ะ จะให้ฉันจองตั๋วเรือเลยไหมคะ?”

เมลิน่าพูดยิ้ม ๆ ด้วยรู้ใจนายของเธอ

“เธอนี่มันรู้มากจริงนะ...”

ฆาเบียร์หัวเราะน้อย ๆ

“...ไว้รอให้งานเสร็จค่อยจองก็ได้ แต่เดี๋ยวถ้ารถมาก็ให้คนรถขึ้นมาเอากระเป๋าของฉันที่ห้องนี้ไปได้เลย แล้วเธอเตรียมกระเป๋าหรือยัง? จะกลับไปเอาของก่อนไหม?”

คนตัวโตถามเลขาฯ ซึ่งต้องติดตามเขาไปที่มาเก๊าด้วย

“เรียบร้อยแล้วค่ะ งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ”

เมลิน่าค้อมหัวให้นายของเธอแล้วจึงออกจากห้องไป



“สวัสดีครับอาปา ถึงมาเก๊าแล้วเหรอครับ?”

ฆาเบียร์ซึ่งนั่งอยู่บนเบาะหลังของรถโรลสรอยซ์โกสต์คันงามถามพ่อบุญธรรมของเขา

“ยังจ้ะ อาปาโทรมาบอกว่าพวกเราถึงตึก Shun Tak แล้วและกำลังจะออกเดินทางข้ามฟากกัน”

คนตัวโตขมวดคิ้ว

"อ้าว ผมนึกว่าเพื่อนอาปาจะส่งฮ. มารับที่ตึกของอาปาซะอีกครับ นี่มาขึ้นเครื่องที่ Shun Tak Heliport แทนเหรอครับ?"

ฆาเบียร์ถามอย่างงงๆ อาคาร Shun Tak นั้นนอกจากจะเป็นที่ตั้งของท่าเรือเฟอรี่ข้ามไปมาเก๊าแล้ว ยังเป็นที่ตั้งของ Heliport หรือท่าจอดเฮลิคอปเตอร์ ท่าจอดแห่งนี้นอกจากจะเป็นศูนย์ของบริษัท Sky Shuttle ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเฮลิคอปเตอร์ข้ามฝั่งไปยังมาเก๊าทุก ๆ 30 นาทีโดยมีสนนราคาคนละ 4,300 เหรียญฮ่องกงต่อขาแล้ว ท่าจอดแห่งนี้ยังรองรับเฮลิคอปเตอร์จากผู้ให้บริการรายอื่นซึ่งผ่านเกณฑ์และทำการขออนุญาตล่วงหน้าแล้วโดยมีการเก็บค่าธรรมเนียม

"อ๋อ ผมลืมไป ข้ามไปฝั่งมาเก๊ามันต้องผ่านการตรวจคนเข้าเมืองด้วย ขึ้นที่นี่ก็สะดวกกว่าจริง ๆ ครับ"

หนุ่มละตินทำท่านึกขึ้นได้ แม้ว่าที่ยอดตึกสำนักงานของคริสนั้นจะมีลานจอดเฮลิคอปเตอร์อยู่ แต่มันก็เอาไว้รองรับการใช้งานของเครื่องที่บินไปมาในฮ่องกงเท่านั้น หากเมื่อต้องมีการเดินทางผ่านพรมแดน อาปาของเขาก็ต้องมาขึ้นเครื่องที่ท่าจอดเฮลิคอปเตอร์ของอาคาร Shun Tak ที่มีด่านตรวจคนเข้าเมืองตั้งอยู่ จริงอยู่ว่าสำหรับนักธุรกิจพันหมื่นล้านทั้งหลายนั้นอาจจะประหยัดเวลาก่อนเดินทางด้วยการให้บริษัทผู้ให้บริการจัดการเดินเรื่องเข้าออกเมืองไว้ล่วงหน้าและขึ้นเครื่องจากยอดตึกของตนได้เลย หากอาปาของเขาซึ่งต้องการแค่ข้ามไปใช้เวลาสุดสัปดาห์ที่มาเก๊านั้นคงไม่ลงทุนทำถึงขนาดนั้น หากเมื่อได้ยินคำพูดของฆาเบียร์ คริสที่ปลายสายก็หัวเราะเบา ๆ แล้วตอบกลับมา

"เปล่าจ้ะ พวกเราไม่ได้มาขึ้นเฮลิคอปเตอร์หรอก อาปาเปลี่ยนใจแล้ว นั่งเรือไปก็สบายดีเหมือนกัน ใช่ไหมลูก?"

ฆาเบียร์ได้ยินทางปลายสายหันไปถามคนที่นั่งอยู่ข้างๆ จากเสียงหัวเราะคิกคักของเจที่ดังลอดเข้ามาทางลำโพง ฆาเบียร์รู้ได้ทันทีว่าเจ้าตัวดีของเขาคงเป็นคนเปลี่ยนใจคริสให้เลือกเดินทางทางเรือแทนที่จะไปทางเฮลิคอปเตอร์อย่างที่ตั้งใจไว้



"เจบอกอะไรอาปาเหรอครับ?"

ฆาเบียร์ถามพ่อบุญธรรมของเขาซึ่งตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

"โอ้โห เสียงเข้มมาเชียว คุยกันเองแล้วกันนะ"

คริสตอบกลับพร้อมกับส่งโทรศัพท์ให้คนรักของลูกชายที่โบกไม้โบกมือปฏิเสธไม่ยอมรับสาย

"โธ่ อาปาครับ เอ่อ...แหะ ๆ หวัดดีครับคุณ"

ฆาเบียร์อดยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้เมื่อได้ยินน้ำเสียงหวาด ๆ ของคนรัก เขาดัดเสียงเข้มและตอบกลับไป

"เจนยุทธ ฉันบอกนายแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้บอกอาปา"

"ก็...ก็พอคุณออกบ้านไป อาปาก็ถามผมว่าคุณเป็นอะไร ผมก็เลยต้องเล่าให้ฟัง คุณจะให้ผมโกหกเหรอ?"

เจตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ฆาเบียร์ใจอ่อนยวบ เขานึกภาพใบหน้าเจื่อนจ๋อยของเจ้าตัวดีของเขาออก



"เฮ้ ๆ ไม่ต้องไปว่าเจเขาหรอกน่า อาปาบังคับให้เจเขาบอกเองแหละ เราเองก็เหลือเกินนะ มีอะไรทำไมไม่พูดไม่บอกกับอาปาตรง ๆ"

ฆาเบียร์พยายามกลั้นหัวเราะเมื่อได้ยินอาปาของเขาออกโรงปกป้องเจนยุทธเต็มที่ เจ้าตัวแสบของเขาคงเปิดสปีคเกอร์โฟนไว้เพื่อให้พ่อบุญธรรมของเขาได้ยินการสนทนาของพวกเขาทั้งคู่

"ผมไม่อยากให้อาปาเป็นกังวลครับ ผมก็วิตกจริตไปเองด้วย อีกอย่างผมเห็นรายนั้นเขายังไม่เคยนั่งนั่งฮ. ก็เลยอยากให้เขาได้ลองนั่งดู"

หนุ่มละตินตอบพ่อบุญธรรมของเขาเป็นภาษากวางตุ้งโดยพยายามเลี่ยงพูดชื่อของเจออกมา แต่คริสก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับเขาเท่าไหร่ ฆาเบียร์เกาหัวแกรก ๆ เมื่อได้ยินพ่อบุญธรรมหันไปแปลประโยคที่เขาเพิ่งพูดไปให้เจฟัง เจนยุทธอุทานเบา ๆ และตอบกลับมา

"โอ๊ย คุณ ไม่ต้องห่วงผมหรอกครับ ผมไม่ได้อยากนั่งเท่าไหร่หรอก ฮ.น่ะ ฟังคุณพูดผมก็ชักกลัว วันนี้ยิ่งดูลมแรง ๆ อยู่"

เจนยุทธหัวเราะแหะ ๆ พอฟังฆาเบียร์พูดกรอกหูมาก ๆ เข้า เขาเองก็ชักหวาด ๆ อากาศยานขนาดเล็กพวกนี้ขึ้นมาเหมือนกัน แต่ประเด็นสำคัญที่สุดที่ทำให้ทั้งเขาและคริสตัดสินใจไม่เลือกเดินทางโดยทางเฮลิคอปเตอร์ก็เพราะไม่อยากให้คนที่พวกเขารักสุดใจคนนี้ต้องมาเป็นกังวล




(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- ก๊วนคุณลุง (ต่อ) ----




"ขอบใจนะ"

ฆาเบียร์กระซิบเบา ๆ กับคนปลายสายที่ยอมเมาเรือเพื่อทำให้เขาสบายใจ

"แค่นี้เอง ไม่ต้องขอบจงขอบใจอะไรหรอกครับ นู่น ไปขอบคุณอาปาเหอะที่ยอมมานั่งเรือนาน ๆ กับผม"

เจพูดด้วยน้ำเสียงสดใส คริสหัวเราะแล้วบอกลูกชายของเขาว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่หรือเสียเวล่ำเวลาอะไรนักหนา

"...จำไว้ วันหลังถ้ารู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาก็มาบอกอาปาตรง ๆ ไม่ต้องเก็บเอาไว้ เข้าใจไหม?"

คริสกำชับเสียงแข็ง ฆาเบียร์ได้แต่ทำหน้าเจื่อน ๆ แม้พ่อบุญธรรมของเขาจะไม่เห็นก็ตาม เขารีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่จะโดนบ่นหนักกว่านี้

"แล้วนี่ซื้อตั๋วเรืออะไรกันเรียบร้อยแล้วเหรอครับ? จองรอบไหนไว้ครับนี่?"

"เรียบร้อยหมดแล้ว ผ่านตม. อะไรมาเรียบร้อย กำลังรอเวลาเขาเรียกขึ้นเรือนั่นแหละ"

คริสพูดอย่างสบายอารมณ์ เจจัดการยกมือถือของตนขึ้นมาถ่ายรูปเขาและอาปา จากนั้นส่งรูปต่อให้คนรัก ฆาเบียร์ก้มลงมองโทรศัพท์ซึ่งเขาเอาวางไว้ที่เท้าแขน เขายิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังนั่งรออยู่ในเลาจ์ของบริษัทเรือ TurboJet

‘มาขึ้นเรือจริง ๆ นะ ไม่ได้โม้’


เจ้าตัวดีของเขาส่งข้อความแนบมาด้วยเพื่อให้เขาแน่ใจ



“เดี๋ยวคุณจะตามมาสักกี่โมงครับ? เย็นๆ เลยหรือเปล่า?"

"ยังไม่แน่ใจจ้ะ เดี๋ยวฉันเสร็จงานนอกสถานที่ช่วงบ่ายแล้วจะไปต่อเลย ไม่กลับเข้าไปที่ออฟฟิศแล้ว แต่ก็ไม่แน่ใจว่างานจะยืดเยื้อไหม"

ฆาเบียร์ตอบคำถามของเจนยุทธ แม้จะไปเพียงเพื่อแสดงความยินดีในการเข้ารับตำแหน่งของท่านกงสุลใหญ่ แต่มันก็เลี่ยงไม่ได้ที่อาจจะต้องมีการพูดคุยกันในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเขา

"ไม่ต้องรีบมากก็ได้นะ แล้วก็ไม่ต้องห่วงเจ เดี๋ยวอาปากับเพื่อน ๆ จะดูแลให้เอง"

ฆาเบียร์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ทันควัน

"เฮ้อ บอกไม่ต้องห่วงนี่ผมห่วงขึ้นมาเลยครับ เพื่อน ๆ อาปาแต่ละคนนี่ร้าย ๆ ทั้งนั้น"

คนตัวโตบ่นอุบอิบเมื่อนึกถึงเหล่านักธุรกิจใหญ่และผู้มีอิทธิพลซึ่งล้วนเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของอาปาของเขา

"ไม่มีอะไรหรอก ฆาบี้เขาเคยโดนเพื่อนอาปาเล่นงานเอาน่ะ นี่เรายังจำฝังใจอยู่อีกรึ?"

คริสพูดกลั้วหัวเราะเมื่อเจนยุทธหันมาถามถึงสิ่งที่ลูกชายของเขาบ่นออกมา ฆาเบียร์ได้แต่โคลงหัว ครั้งแรกที่คริสพาเขาไปแนะนำตัวอย่างเป็นทางการกับลุง ๆ เหล่านั้น เขาโดนเหล่าลุงที่ดูเหมือนจะว่างงานจัดพวกนั้นปั่นหัวเอาไม่ใช่น้อย

"จำสิครับ แค่เล่นไพ่ชนะในครั้งแรกที่เจอ พวกลุงแกก็เล่นผมซะขนาดนั้น...อ๊ะ อาปาครับ ผมถึงที่กงสุลแล้วครับ"

ฆาเบียร์ตัดบทเมื่อรถของเขาเข้าจอดที่หน้าสถานกงสุลใหญ่สหรัฐฯ ในย่าน Central

"ไปทำงานเถอะ ทางนี้เรียกขึ้นเรือแล้วเหมือนกัน"

คริสลุกขึ้นยืนเมื่อริคกี้เดินมาบอกเขาและเจว่าทางเจ้าหน้าที่เริ่มเรียกคนขึ้นเรือแล้ว ฆาเบียร์กล่าวลาทั้งสองคนก่อนที่จะกดปุ่มวางสายไป



"ไง อาการดีขึ้นหรือยัง?"

คริสถามคนรักของลูกชายซึ่งยังมีสีหน้าซีดเผือดอยู่บ้าง แม้จะกินยาแก้เมาคลื่นดักไว้ก่อนแล้ว หากท้องทะเลในวันนี้มีคลื่นลมแรงอยู่บ้าง มันทำให้เจนยุทธซึ่งเมาเรือง่ายอยู่แล้วมีอาการพิพักพิพ่วนในท้องพอสมควร

"ดีขึ้นแล้วครับ แต่เมื่อกี้ไม่ไหวจริง ๆ"

เจนยุทธดมยาดมในมืออีกครั้งและถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แม้จะไม่ถึงขั้นอาเจียนออกมา แต่เจก็ไม่สามารถกินอาหารอย่างดีที่มีเสิร์ฟบนเรือชั้น Premier Grand Class ได้ เขาได้แต่ขอน้ำอัดลมมาดื่มเพื่อทำให้รู้สึกดีขึ้นเท่านั้น

"...อุตส่าห์สั่งสเต๊กเนื้อนกกระจอกเทศทั้งทีก็กินไม่ลงซะงั้นอ่ะครับ เสียดาย อร่อยด้วย"

เจบ่นเบา ๆ เขาจิ้มสเต๊กเนื้อนกยักษ์เข้าปากได้เพียงคำสองคำก่อนที่จะเริ่มรู้สึกขยักขย้อนขึ้นมา เขาจึงต้องหยุดกินและรีบข่มตาหลับให้เร็วที่สุด ฤทธิ์ยาแก้เมาที่กินเข้าไปล่วงหน้าออกเดินทาง 30 นาทีทำให้เจหลับไปตลอดทางจนกระทั่งถึงมาเก๊า แต่แม้ว่าจะได้นอนพักผ่อนไปบ้างแล้ว เจยังรู้สึกพะอืดพะอมอยู่เล็กน้อยหลังจากลงเรือและผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองแล้ว



"เพื่อนฉันจะส่งคนมารับ ไม่ต้องเรียกแท็กซี่หรอก"

คริสหันไปตอบคำถามของริคกี้ที่เพิ่งเดินกลับมาจากการรับกระเป๋าจากสายพาน

"คราวที่แล้วที่ผมมากับฆาบี้ นั่ง VIP cabin เขามีรถส่งถึงโรงแรมให้ฟรีด้วย แต่ต้องจองล่วงหน้า คลาสนี้ก็คงเหมือนกัน"

เจเปรยกับคริสและริคกี้

"ใช่ครับ คุณเจ ชั้นนี้ก็เหมือนวีไอพีเคบินที่คุณนั่งคราวที่แล้ว พวกสิทธิพิเศษและบริการอะไรก็เหมือนกันหมด ยกเว้นแต่ไม่มีแชมเปญให้ครับ แต่คราวนี้เราซื้อตั๋วกระชั้นก็เลยจองรถและอาหารพิเศษไม่ทัน"

ริคกี้ตอบ ทั้งสองบริการนั้นต้องมีการจองล่วงหน้าประมาณ 1 วันก่อนเดินทาง

"อืมม์ ก็น่าเสียดายเหมือนกันเนาะ แต่ก็ไม่เป็นไร รถที่มารับผมกับฆาบี้คราวที่แล้วก็เป็นรถตู้ อาปาน่าจะนั่งไม่ค่อยสบายหรอกครับ อ๊ะ นั่นคนของเพื่อนอาปาหรือเปล่าครับ?"

เจนยุทธชี้ไปที่ชายหนุ่มชุดดำซึ่งยืนคุยโทรศัพท์อยู่บริเวณใกล้ประตูทางออก ในมือของเขามีแผ่นกระดาษเขียนชื่อของคริสไว้ ทั้งสามคนเดินเข้าไปหาชายหนุ่มคนนั้นซึ่งรีบกดวางสายแล้วกุลีกุจอมาช่วยรับกระเป๋าไป เขาเดินนำทั้งสามคนออกไปยืนรอบริเวณหน้าอาคารผู้โดยสาร จากนั้นก็มีรถเมอร์ซีเดส เบนซ์เอสคลาสรุ่นใหม่ล่าสุดสีดำมันปลาบเข้ามาจอดเทียบ ชายหนุ่มชุดดำเปิดประตูให้เจและคริสขึ้นรถแล้วจึงไปช่วยริคกี้ยกกระเป๋าใส่ท้ายรถ

"เอ๊ะ แล้วเขาไม่มาด้วยกันเหรอครับ?"

เจนยุทธส่งเสียงถามริคกี้ซึ่งเปิดประตูขึ้นมานั่งหน้ารถเคียงคู่กับคนขับ

"เดี๋ยวเขาต้องรอรับแขกต่ออีกครับ"

คนขับรถหันมาตอบแทนริคกี้อย่างสุภาพ

"อ้าว คุณนี่เอง!"

เจอุทานออกมาเบา ๆ แล้วหันไปบอกคริสว่าเขาจำได้ว่าชายหนุ่มคนนี้คือคนที่เคยมาขับรถให้เขากับฆาเบียร์เมื่อคราวที่พวกเขามาเที่ยวมาเก๊าเมื่อตอนต้นปี คนขับรถหนุ่มค้อมหัวรับและกล่าวทักทายคริสด้วยน้ำเสียงนอบน้อม จากนั้นจึงได้พาผู้มาเยือนทั้งสามออกจากท่าเรือ Outer Harbour Ferry Terminal



“เดี๋ยวอาปาจะไปหาเพื่อน ๆ เลย เจจะนอนพักผ่อนก่อนไหม? หรือว่าจะขึ้นไปนั่งบนเลาจ์ก่อนก็ได้นะ"

คริสถามเจนยุทธซึ่งยังมีอาการง่วงงุนเนื่องจากฤทธิ์ของยาแก้เมาเรือ

"เดี๋ยวผมลงไปกับอาปาเลยก็ได้ครับ ผมล้างหน้าล้างตาแล้ว ไม่ได้ง่วงหรือว่าพะอืดพะอมอะไรแล้วครับ"

เจยิ้มเขิน ๆ ตอนนั่งรถมายังโรงแรมเมื่อสักครู่เขายังรู้สึกมึนหัวจนต้องนั่งหลับตาและดมยาดมมาตลอดทาง เมื่อรถพาพวกเขามาถึงยังโรงแรมริทซ์ คาร์ลตันอันเป็นที่พักของพวกเขาในคืนนี้ คนรถก็ได้แจ้งให้ทราบว่านายของเขาได้เปิดห้อง suite ไว้ห้องหนึ่งและให้ทางคาสิโนขึ้นมาจัดเป็นห้องเล่นโป๊กเกอร์ ส่วนห้องพักของคริสนั้น ทางนายของเขาได้จองห้อง Suite แบบสองห้องนอนไว้ให้บนชั้นเดียวกันกับห้องโป๊กเกอร์ หลังจากเช็คอินแล้วเสร็จ พวกเขาก็ขึ้นไปยังห้องพักบนชั้น 52 จากนั้นเจก็ได้จัดการล้างหน้าล้างตาจนรู้สึกสดชื่นขึ้นมากแล้ว

"...แต่อาปาครับ เอ่อ อาปาจะไม่นอนที่ห้องนอนใหญ่จริง ๆ เหรอครับ? ผมกับฆาบี้ไปนอนห้องนู้นก็ได้นะครับ"

เจนยุทธถามพ่อบุญธรรมของคนรัก ห้องพักแบบ 2 Bedroom Carlton Suite นี้เป็นเหมือนการเอาห้อง Suite หนึ่งห้องนอนแบบที่เขาและฆาเบียร์เข้าพักในคราวก่อนมาเพิ่มห้องนอนขึ้นอีกห้อง แม้ขนาดของห้องนอนทั้งสองห้องจะไม่ต่างกันมาก แต่ห้องนอนใหญ่ที่คริสยกให้เขากับฆาเบียร์นอนนั้นเป็นห้องเตียงเดี่ยวแบบคิงไซส์ ส่วนห้องที่คริสจะนอนนั้นเป็นแบบเตียงคู่

"โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอก เตียงห้องนั้นมันเป็นแบบดับเบิล กว้างสี่ฟุตไม่ก็สี่ฟุตครึ่ง อาปานอนคนเดียวเหลือ ๆ อยู่แล้ว พวกลูกเอาเตียงใหญ่ไปเถอะจะได้นอนกอดกันสบาย ๆ"

เจนยุทธหน้าร้อนวาบขึ้นมาทันที คริสหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นใบหน้าแดงก่ำของคนรักของลูกชาย



"นี่จริง ๆ อาปายังคิดว่าจะเรียกริคกี้เขาขึ้นมานอนที่ห้องด้วย เพราะไหน ๆ ก็มีเตียงเหลืออยู่แล้ว แต่คิดไปคิดมา เจ้าเด็กนั่นคงไม่ยอมขึ้นมานอนอยู่ดี"

คริสโคลงหัวเมื่อนึกถึงลูกชายผู้ถ่อมตนของแอนดี้ซึ่งในตอนนี้ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยส่วนตัวของเขา ริคกี้ได้จองห้องพักของตนไว้ที่โรงแรมมาริออทที่อยู่ในตึกเดียวกันแต่มีราคาถูกกว่า

"ผมก็ว่าริคกี้คงไม่ขึ้นมานอนกับพวกเราหรอกครับ ก็เมลิน่ามาด้วยนี่นา"

เจนยุทธพูดยิ้ม ๆ ด้วยแววตากรุ้มกริ่ม

"เออ นั่นสินะ อาปาก็ลืมไปเสียสนิท งั้นเราก็ควรจะปล่อยให้หนุ่มสาวเขาได้มีเวลาส่วนตัวบ้าง ใช่ไหม?"

คริสหัวเราะอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับหันไปพยักเพยิดกับผู้ติดตามหนุ่มที่เพิ่งเปิดประตูห้องน้ำออกมา ริคกี้ทำหน้างง ๆ ด้วยไม่ทันได้ยินว่านายของเขาคุยอะไรกับเจนยุทธเมื่อก่อนหน้านี้

"งั้น เราไปกันเลยไหม?"

ชายสูงวัยชาวฮ่องกงลุกขึ้นจากโซฟาและพาชายหนุ่มทั้งสองเดินออกจากห้องพักไป









"โอเค ห้องนี้แหละ"

คริสซึ่งเดินนำหน้าเจนยุทธหันไปบอกคนรักของลูกชายเมื่อเห็นชายในชุดดำที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูของห้อง suite สองห้องนอนที่ถูกดัดแปลงเป็นห้องเล่นไพ่ ชายคนนั้นค้อมหัวให้คริสพร้อมกับใช้กุญแจเปิดประตูให้ทั้งสองทันที เมื่อก้าวเท้าเข้าไปในห้อง พนักงานสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่งก็รีบเดินเข้ามาทักทาย จากนั้นก็พาทั้งสองคนเดินผ่านส่วนห้องรับแขกที่ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นบาร์และส่วนเตรียมอาหารย่อม ๆ และเข้าไปสู่ห้องนอนเล็กที่มีการยกเตียงออกและวางโต๊ะโป๊กเกอร์ไว้แทน ที่โต๊ะมีชายวัยเดียวกับคริสนั่งเล่นไพ่อยู่ 3 คนพร้อมกับคนแจกไพ่ที่เป็นคนของคาสิโน

เจนยุทธลอบกวาดตาสำรวจดูคนในวงไพ่ หนึ่งในนั้นคือวิคเตอร์ ลี ซีอีโอคนเก่งของบริษัทของอาปาของเขา อีกสองคนนั้นเป็นชายสูงวัยที่มีบุคลิกขัดกันโดยสิ้นเชิง คนหนึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่กำยำและดูแข็งแรงแม้จะอยู่ในวัยกว่า 60 ปีแล้ว ผิวที่คล้ำแดดทำให้รู้ว่าชายชุดดำร่างใหญ่ที่มีแผลเป็นเด่นชัดที่ข้างแก้มคนนี้น่าจะชอบใช้ชีวิตกลางแจ้งพอสมควร ส่วนชายสูงวัยอีกคนหนึี่งนั้นมีร่างเล็กเพรียว เมื่อกะด้วยสายตาแล้ว เจคิดว่าเขาอาจจะตัวเล็กกว่าอาปาคริสเสียอีก ผิวกายของเขานั้นขาวเสียจนเหมือนกับว่าแทบไม่เคยสัมผัสกับแดด ใบหน้าท่ี่ยิ้มละไมนั้นฉายแววใจดีคล้ายกับอาปาของเขาไม่มีผิด เจรีบก้มหน้าหลบเมื่อเป้าสายตาของเขาเหมือนจะรู้ตัวและหันหน้ามองมาทางเขา



"ไงๆ กว่าจะมาได้นะ พวกฉันรอตั้งนานแล้ว"

วิคเตอร์ซึ่งเงยหน้าขึ้นมองตามเพื่อนยิ้มกว้างให้ผู้มาใหม่ทั้งสอง เขาใช้ภาษาอังกฤษในการสนทนากับเพื่อนเมื่อเห็นว่ามีเจนยุทธมาด้วย

“อะไร นี่เริ่มกันไปก่อนแล้วเหรอ? ฉันมาช้าแค่นิดเดียวเอง”

คริสยิ้มน้อยๆ

“นิดเดียวกะผีอะไร? นัดบ่ายโมง มาซะบ่ายสาม ตอนแรกก็บอกแล้วว่าจะให้ฮ.ไปรับ ก็ยังจะอุตส่าห์นั่งเรือมา”

ชายร่างใหญ่ส่งเสียงห้าว ๆ มาเป็นภาษากวางตุ้ง

“เอาน่า มันไม่สะดวกนิดหน่อย มาช้ายังดีกว่าไม่มาแล้วกัน”

คริสตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษเพื่อบอกเพื่อนเขาเป็นนัย ๆ ว่ามีคนอื่นที่ไม่ได้ใช้ภาษากวางตุ้งอยู่ในห้องด้วย

“แล้วนี่ไอ้เด็กเวรนั่นมันไม่มาด้วยเหรอ? คราวที่แล้วมันเล่นฉันไว้แสบ คราวนี้ต้องเอาคืนซักหน่อย”

"ฮ่า ๆ คิดถึงฆาบี้ขนาดนั้นเลยเหรอ อาหลง? เดี๋ยวเย็น ๆ ก็ตามมาแล้วล่ะน่า"

คริสตอบเพื่อนซึ่งเปลี่ยนมาใช้ภาษาอังกฤษถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ชายที่คริสเรียกว่าอาหลงพ่นลมหายใจออกจากจมูกดังพรืดแล้วบ่นพึมพำยืดยาวต่อเป็นภาษากวางตุ้ง



"แล้วนี่นายจะไม่แนะนำแขกของนายให้พวกเรารู้จักหน่อยเหรอ?"

ชายร่างเล็กถามเสียงเนิบ ๆ คริสยิ้มกว้างแล้วรีบดึงเจนยุทธซึ่งยืนสงบเสงี่ยมอยู่ด้านหลังให้มาพบกับเพื่อน ๆ ของเขา

"นี่คือเจนยุทธ พวกนายเรียกเขาว่าเจก็ได้ เจมาจากเมืองไทยและเขาเป็นคนพิเศษของฆาบี้"

คริสพูดยิ้ม ๆ เจอดหน้าแดงไม่ได้เมื่อรู้สึกถึงสายตาพินิจพิเคราะห์ของเพื่อนทั้งสองของอาปาที่ดูจะสนใจตัวเขาทันทีเมื่อได้ยินคำว่า "คนพิเศษ"

"เจ สองคนนี้คือเพื่อนเก่าแก่ของอาปา อู่ทินหลง กับ จิวจี๋โหล่ว ทั้งคู่ทำธุรกิจอยู่ทั้งที่มาเก๊าและฮ่องกง"

เจนยุทธรีบก้าวเท้าเข้าไปจับมือทักทายกับคนทั้งสองด้วยท่าทีที่นอบน้อมตามแบบที่เคยได้เรียนมา

"คราวที่แล้วที่เจมาที่นี่ก็ได้อาหลงส่งรถกับคนขับมาให้ ส่วนเรื่องของขวัญวันเกิดจากอาปาน่ะ ก็ได้อาโหล่วช่วยจัดการให้"

คริสพูดเสริม เจทำตาโตแล้วรีบค้อมหัวให้ชายสูงวัยทั้งสอง



"ผมต้องขอบคุณคุณอู่กับคุณจิวมากเลยครับ ผมรู้สึกซาบซึ้งใจจริง ๆ"

ชายแซ่จิวหัวเราะเบา ๆ

"ไม่ต้องพิธีรีตรองอะไรมากนักหรอก เรียกฉันว่าลุงจิวหรือลุงเดวิดก็ได้ ส่วนไอ้เจ้านั่นน่ะ จะเรียกลุงอู่หรือลุงหลงก็ตามสะดวกแล้วกัน"

จิวจี๋โหล่วซึ่งมีชื่อภาษาอังกฤษว่าเดวิด จิว พูดพลางตบไหล่ใหญ่หนาของเพื่อนป้าบใหญ่ อาหลงหันมาแยกเขี้ยวให้เพื่อนแล้วจึงหันกลับไปให้ความสนใจชายหนุ่มตรงหน้า

"เรียกฉันลุงหลงก็ได้ แต่ เอ...ฉันว่าฉันคุ้น ๆ หน้าเธออยู่นะ..."

อู่ทินหลงจ้องหน้าเจนยุทธพร้อมทำท่าครุ่นคิด เจนยุทธอ้ำอึ้ง เขานึกไม่ออกเลยว่าเคยเจอชายสูงอายุร่างใหญ่คนนี้ที่ไหน

"นายน่าจะเคยเห็นเจจากงานแต่งงานลูกชายฉัน เจนั่งกับคริสที่โต๊ะของฉัน แต่นายอาจจะจำไม่ได้หรอก ก็มัวแต่เมาเละอยู่กับพวกไอ้เหยามันนี่"

วิคเตอร์ ลีส่งเสียงกลั้วหัวเราะมา ในวันงานนั้นเขาจัดโต๊ะไว้ให้เพื่อนสนิทหลายโต๊ะ อาหลงนั้นเลือกที่นั่งกับพวกเพื่อนสายเฮฮามากกว่าที่จะมานั่งปั้นหน้าเคร่งขรึมร่วมโต๊ะกับพ่อแม่เจ้าบ่าว ส่วนเดวิดนั้นไม่ได้มาร่วมงานเนื่องจากไม่สะดวกบางประการ

“อืมม์ ก็คงจะอย่างนั้น...”

อู่ทินหลงพยักหน้ารับคำ



“...โอเค ทักทายกันพอละ มะ เราจะเริ่มเล่นกันจริง ๆ จัง ๆ ได้หรือยัง? ฉันคันไม้คันมือเต็มแก่แล้ว”

ชายสูงวัยร่างใหญ่ตบมือฉาดแล้วถูมือไปมา เขาชี้ให้คริสลงนั่งที่โต๊ะโป๊กเกอร์

“ทำใจร้อนเป็นหนุ่ม ๆ ไปได้น่า เมื่อกี้พวกนายก็เริ่มเล่นกันไปแล้วไม่ใช่หรือไง?”

"โอ๊ย ไม่ได้เล่นจริงจังอะไรเลย แค่เล่นแบล็คแจ็คฆ่าเวลากันไปก่อนแค่นั้น มา ๆ นั่ง ๆ ฉันอยากได้เงินนายเต็มทีแล้ว"

อู่ทินหลงทำหน้าเหม็นเบื่อ คริสหัวเราะเบา ๆ เขาทรุดตัวลงนั่งข้างเดวิดแล้วหันไปบอกเจนยุทธที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ด้านหลังเขาให้ไปนั่งบนโซฟาที่จัดไว้ข้างหน้าต่างห้อง

“อ้าว แล้วพ่อหนุ่มนั่นจะไม่เล่นกับเราด้วยรึ?”

เดวิดถามเพื่อนสนิทของเขาเบา ๆ คริสส่ายหัวจากนั้นกวักมือเรียกริคกี้ซึ่งยืนสงบเสงี่ยมอยู่ด้านข้างให้เข้ามาใกล้ ๆ

“วันนี้เท่าไหร่นะ?”

คริสหันไปถามเพื่อนๆ ของเขา เจแทบหัวใจหยุดเต้นเมื่อเห็นวิคเตอร์ชูสามนิ้วขึ้นมา จากที่เขาเคยได้ยินมาจากฆาเบียร์ หน่วยของมันนั้นไม่ใช่หลักแสนแน่นอน คริสหันไปพูดกับริคกี้เบา ๆ เป็นภาษากวางตุ้ง ผู้ติดตามหนุ่มของคริสค้อมหัวรับคำและเดินหายออกไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่ของคาสิโน ไม่นานเขาก็กลับเข้ามาพร้อมกับชิปทั้งแบบแผ่นกลมและแผ่นสี่เหลี่ยมหลากสีถาดใหญ่ คริสรับถาดชิปมาและบรรจงเรียงชิปไว้ด้านหน้าของเขา ไม่นานนักเกมโป๊กเกอร์ก็เริ่มขึ้น



‘ถึงแล้วจ้ะ กำลังไปที่โรงแรม’

เจนยุทธอ่านข้อความของฆาเบียร์ซึ่งส่งมาครู่หนึ่งแล้ว เขาพิมพ์ตอบกลับไปรวมทั้งส่งเบอร์ห้องที่ใช้เล่นโป๊กเกอร์ให้เสร็จสรรพแม้จะรู้ว่าทางอู่ทินหลงซึ่งเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้จะเตรียมคนรอรับฆาเบียร์ไว้แล้วก็ตาม

“เฮ้ย ไอ้หนุ่ม...”

เจนยุทธที่นั่งก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์อยู่สะดุ้งเฮือกเมื่อมือใหญ่ของอาหลงตบป้าบเข้าที่ไหล่ของเขา

“คะ ครับ ลุงหลง เอ่อ เล่นเกมนี้จบแล้วเหรอครับ?”

เจเงยหน้าขึ้นยิ้มแหย ๆ ให้กับชายสูงวัยร่างใหญ่ซึ่งยืนตระหง่านค้ำหัวเขา เมื่อครู่เขาเผลองีบหลับไปชั่วขณะเนื่องจากยังคงง่วงจากฤทธิ์ของยาแก้เมาเรือ

“เออ จบแล้ว แต่เดี๋ยวกำลังจะขึ้นเกมใหม่ เธออยากจะเล่นด้วยไหม?”

“โอย ไม่ไหวหรอกครับ ผมเล่นโป๊กเกอร์ไม่เป็น อีกอย่างผม เอ่อ ผมไม่มีทุนจะไปลงขนาดนั้นด้วยหรอกครับ”

เจรีบยกไม้ยกมือปฏิเสธ

“เฮ้ย ไม่เป็นไร ๆ เดี๋ยวพวกลุงสอนให้ ส่วนเรื่องเงินเรื่องทองน่ะ ใช้กองเดียวกับคริสมันก็ได้ มาช่วยเปลี่ยนมันออกไปทีเถอะ”

วิคเตอร์ซึ่งนั่งทำหน้าเซ็งอยู่ที่โต๊ะรีบส่งเสียงสนับสนุนเพื่อนของเขามาทันที ส่วนคริสนั้นหัวเราะร่วน ตั้งแต่เริ่มเล่นมาสองเกม เขากับเดวิดผลัดกันชนะคนละเกมโดยเชือดเฉือนกันอย่างสูสี



“น่า มาเล่นแทนมันหน่อยเถอะ ลงทีละร้อยก็ได้เอ้า"

อู่ทินหลงถือวิสาสะดึงแขนคนของเพื่อนสนิทของเขาให้ลุกขึ้นจากโซฟา เจขมวดคิ้วแน่น เขาอยากจะสะบัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุมของชายร่างใหญ่ที่สายตาคมวาวคนนี้ แต่มีบางอย่างในตัวชายสูงวัยคนนี้ที่ทำให้เจรู้สึกหวาดหวั่น จากที่ฆาเบียร์เคยเล่าให้เขาฟังเรื่องเพื่อน ๆ ของอาปาคริส เขาสรุปได้ว่าในกลุ่มคุณลุงพวกนี้ต้องมีสักคนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจมืด และเจก็ค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะเป็นอู่ทินหลงคนนี้

"ผม เอ่อ ผมไม่สะดวกเล่นจริง ๆ ครับคุณลุงหลง ผมขอเป็นฝ่ายนั่งดูอย่างเดียวดีกว่า"

เจพยายามปฏิเสธด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมอีกครั้ง หากเขาใจหายวาบเมื่อเห็นแววตาที่ลุกโชนของชายสูงวัย

"เอ็งคิดว่าเอ็งเป็นใครถึงได้กล้าปฏิเสธคำชวนของอู่ทินหลงคนนี้?!"

ชายร่างใหญ่ตวาดดังลั่น เขาปล่อยมือและผลักร่างของเจลงบนโซฟา

"ข้าอุตส่าห์เห็นว่าเอ็งเป็นคนของอาซิงเลยจะให้ความสนิทสนมด้วย แต่มาปฏิเสธกันแบบนี้มันหักหน้ากันชัด ๆ"

อู่ทินหลงยกมือขึ้นชี้หน้าคนของเพื่อนของเขา เจหน้าซีดเผือดทันที แม้จะใช้คำในภาษาอังกฤษ แต่น้ำเสียงกระโชกโฮกฮากที่ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความกราดเกรี้ยวทำให้เขาอดตัวสั่นสะท้านไม่ได้

"ถ้าเอ็งไม่อยากเล่นนัก ก็ไม่มีเหตุให้ต้องอยู่ที่นี่! เด็ก ๆ!..."

อู่ทินหลงตะโกนเรียกคนของเขาให้เข้ามา

"...ลากตัวมันออกไป!"

เจนยุทธนั่งตัวแข็งทื่อและได้แต่ปล่อยให้ชายชุดดำหิ้วปีกเขาลุกขึ้นจากโซฟา



"พอเถอะครับ ลุงหลง"

ร่างสูงใหญ่ของฆาเบียร์ก้าวพรวดเข้ามากั้นกลางระหว่างร่างที่สั่นเทาของเจนยุทธกับอู่ทินหลง เจแทบจะน้ำตาร่วงออกมาเมื่อได้ยินเสียงทุ้มแหบที่เขาคุ้นเคย

"เหอะ กล้าขวางฉันเรอะ ไอ้เด็กเวร!"

ผู้สูงวัยกว่าเขม้นมองลูกบุญธรรมของเพื่อนด้วยแววตาที่วาวโรจน์ ฆาเบียร์ไม่ตอบ หากขยับกายยืนบังเจนยุทธจนมิดแทนคำตอบ เขาหันไปพูดเป็นภาษากวางตุ้งห้วน ๆ กับลูกน้องของอาหลงซึ่งยอมปล่อยมือจากเจแต่โดยดี

"ฆะ...ฆาบี้ ไม่เป็นไรครับ เอ่อ คุณลุงเขาพูดถูกแล้ว ผมอยู่นี่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ผมกลับไปอยู่ที่ห้องดีกว่า"

เจซึ่งหลุดออกจากการยึดจับของชายชุดดำทั้งสองคนแล้วยื่นมือไปแตะหลังคนรักเบา ๆ เขาอ้อนวอนคนรักด้วยน้ำเสียงสั่นเครือน้อย ๆ ถึงจะดีใจที่ฆาเบียร์เข้ามาช่วยเขา แต่เขาก็ไม่อยากให้คนรักต้องมีปัญหากับใครเพราะเขา

"ได้ยินมันพูดแล้วนี่ หลบไปสิ!"

อู่ทินหลงตะคอกใส่หน้าหนุ่มละตินทันทีที่เจพูดจบ

"ไม่ครับ"

ฆาเบียร์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แล้วสืบเท้าไปข้างหน้าจนกายเขาแทบชิดติดกับร่างใหญ่กำยำของเพื่อนของอาปา เจใจหายวาบทันที เขาพยายามฉุดร่างของคนรักไว้แต่ไม่เป็นผล




(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)





CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- ก๊วนคุณลุง (ต่อ) ----




"เอ็งอยากจะมีปัญหากับข้าจริงๆ เหรอวะ ไอ้เด็กเวร!"

อู่ทินหลงตวาดเสียงดังลั่นห้อง คนตัวโตถอนหายใจเฮือกใหญ่

"ลุงหลงครับ เลิกแกล้งเจได้แล้วครับ ผมก็มาหาลุงแล้วไง"

ฆาเบียร์พูดด้วยน้ำเสียงระอาและจ้องหน้าเพื่อนสนิทของอาปาของเขานิ่ง ใบหน้าที่บึ้งตึงของอู่ทินหลงค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นยิ้มแย้ม

"ฮ่า ๆ ๆ ให้ตายสิ มานี่ ไอ้เด็กเวร มาให้ลุงกอดทีซิ"

ชายสูงวัยระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นแล้วดึงร่างกำยำของฆาเบียร์เข้าไปกอดแน่น เจนยุทธกระพริบตาปริบ ๆ เขามองไปที่อาปาและเพื่อน ๆ ที่โต๊ะไพ่แล้วก็เห็นแต่รอยยิ้มอย่างขบขัน ฆาเบียร์กอดเพื่อนของอาปาของเขาตอบก่อนที่จะดันร่างที่สูงใหญ่เกือบเท่าเขาออก

"ลุงครับ ไอ้มุก 'ลากมันออกไป' นี่มันเก่ามากแล้วครับ เลิกใช้เหอะ"

คนตัวโตซึ่งเมื่อหลายปีที่แล้วเคยตกเป็นเหยื่อการถูกลากตัวออกห้องไปแบบนี้พูดพลางโคลงหัวน้อยๆ เขาดึงร่างคนรักเข้ามาข้างกายแล้วยกมือโอบไหล่ไว้แน่น

"...แล้วแกล้งเจทำไมครับเนี่ย? ตอนผมก็ยังพอเข้าใจว่าตอนนั้นลุงแพ้แล้วพาล"

"ลุงไม่ได้จะแกล้งไอ้หนุ่มนี่มันหรอก ลุงจะแกล้งเอ็งนั่นแหละ"

ผู้เฒ่าตบป้าบเข้าที่ไหล่ของฆาเบียร์จนเจที่อยู่ในวงแขนของคนรักสะดุ้งเฮือก คนตัวโตนิ่วหน้า อู่ทินหลงยิ้มละไม เขาไม่ได้รู้สึกเคืองสักนิดที่เจปฏิเสธไม่ยอมเล่นโป๊กเกอร์กับเขา หากเขาเริ่มส่งเสียงเอ็ดตะโรใส่เจเมื่อลูกน้องของเขาส่งสัญญาณบอกว่าฆาเบียร์ได้เข้ามาในห้องนี้แล้ว



"เฮ้ ๆ เลิกแกล้งเด็ก ๆ มันแล้วกลับมาเล่นไพ่ต่อได้แล้ว"

วิคเตอร์ส่งเสียงพร้อมกับกวักมือเรียกเพื่อนของเขาให้กลับมาประจำตำแหน่ง อู่ทินหลงหันไปแยกเขี้ยวให้เพื่อนแล้วหันกลับมาบ่นหลานคนโปรดของเขาต่อ

"ก็เอ็งน่ะ มาอยู่ฮ่องกงกว่าปีแล้ว ไม่เคยโผล่หน้ามาให้ลุงเห็นเลยซักครั้ง มัวแต่ยุ่งทำงานอยู่นั่นแหละ ไม่รู้เหรอว่าลุงอยากเจอ"

ผู้เฒ่าซึ่งแม้จะมีรูปลักษณ์ที่ดูดุดันแต่มักใจอ่อนกับลูก ๆ หลาน ๆ ของเพื่อนพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้ออย่างน่าสงสาร แม้ต้องเจ็บใจที่เล่นไพ่แพ้ฆาเบียร์อยู่เนือง ๆ หากตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกับฆาเบียร์เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เขาก็รู้สึกถูกชะตากับลูกบุญธรรมต่างเชื้อชาติของคริสคนนี้เป็นอย่างมาก แม้ตัวเขาจะงานยุ่งและต้องเดินทางตลอดเวลา แต่เมื่อใดที่ทราบข่าวว่าคริสจะมาที่ฮ่องกงโดยมีฆาเบียร์ติดสอยห้อยตามมาด้วย เขาก็มักจะหาเวลามาเจอเพื่อนพร้อมหลานคนโปรดของเขา เขาจึงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากเมื่อรู้ว่าฆาเบียร์จะต้องมาประจำที่สำนักงานที่ฮ่องกง และหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องได้เจอหน้ากันบ่อยครั้งขึ้น

"ลุงก็นึกว่าเอ็งมาอยู่ที่นี่แล้วจะได้เจอกันบ่อยขึ้น ที่ไหนได้..."

ผู้เฒ่าร่างใหญ่บ่นอุบอิบเป็นภาษากวางตุ้งจนคนอื่นในห้องอดหัวเราะออกมาไม่ได้

"...ก็เห็นว่าเดือน ๆ นึงเอ็งจะมีวันว่างยาว ๆ สามสี่วัน ก็กะจะชวนมามาเก๊าบ้าง ไม่ก็ไปลงเรือบ้าง ที่ไหนได้ ถามไปทีไรก็บอกว่าไม่ว่าง ๆ นู่น ไปอยู่เชียงใหม่นู่น"

ฆาเบียร์แอบอมยิ้ม ตอนนี้เขารู้แล้วว่าทำไมคนรักของเขาถึงโดนตาลุงขี้งอแงคนนี้เล่นงาน เจได้แต่มองหน้าคนนั้นทีคนนี้ทีด้วยความที่ฟังไม่เข้าใจ



"เฮ้ย แก่จนหัวขาวทั้งหัวแล้วยังไปวอแวกับเด็กมันอีก เลิกบ่นแล้วกลับมาเสียตังค์ซะทีสิวะ"

วิคเตอร์ซึ่งมีนิสัยใจคอเปิดเผยและเฮฮาเช่นเดียวกับอู่ทินหลงตะโกนมาอีกครั้ง

"เออ ๆ ไปเดี๋ยวนี้แล้ว"

ผู้เฒ่าร่างใหญ่แยกเขี้ยวให้เพื่อนแล้วหันกายเดินกลับไปนั่งยังที่ของตน เขากวักมือเรียกเจนยุทธให้เข้ามาหา เจเดินเข้าไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แล้วก็ถูกอู่ทินหลงยัดบางอย่างใส่มือมาให้อย่างรวดเร็ว

"เอ้า ลุงให้เอาไปกินขนม ถือว่าแทนคำขอโทษที่แกล้งเล่นเมื่อกี้แล้วกันนะ"

เจตะลึงมองชิปกลมสองอันในมือ แต่ละอันติดตัวเลข 10,000 เอาไว้หรา

"เอ่อ คุณลุงครับ มันมากเกินไปครับ ผมรับไว้ไม่ได้"

เจพูดตะกุกตะกักพร้อมส่งชิปในมือคืนให้อู่ทินหลง

"เฮ้ย ผู้ใหญ่ให้ของก็รับไปเซ่ หรือว่ารังเกียจเงินลุงวะ?!"

ชายสูงวัยชักสีหน้าและขึ้นเสียงอีกครั้ง



"ลุงหลงครับ..."

ฆาเบียร์ขัดมาด้วยน้ำเสียงเอือมระอา เขาหันไปบอกเจนยุทธเบา ๆ

"เจ รับไปเถอะ ไม่งั้นโดนลุงแกแกล้งไม่เลิกแน่"

"ชิ ดูไอ้เด็กเวรนี่นะ ทีกับแฟนล่ะทำเสียงอ่อนเสียงหวาน"

คนแก่ขี้งอนหันไปบ่นกับเพื่อน ๆ ก่อนจะหันมาหาเจ

"เอ้า ว่าไง จะรับหรือไม่รับ?"

"เอ่อ ครับ รับครับ ขอบคุณมากครับ ลุงหลง"

เจยกมือไหว้ตามความเคยชิน อู่ทินหลงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เจสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อโดนตบบ่าเบา ๆ อย่างอ่อนโยน

"แกล้งเด็กพอแล้วใช่ไหม? มาเล่นกันต่อได้แล้ว"

เดวิด จิวส่งเสียงเรียบ ๆ มา เขาส่งจานของว่างคืนให้บริกรแล้วพยักหน้าบอกคนแจกไพ่ให้เริ่มแจกได้



"เฮ้ย ไอ้เด็กเวร มาเล่นด้วยกันซักเกมไหม?"

อู่ทินหลงหันไปถามฆาเบียร์

"ยังก่อนดีกว่าครับลุง ผมเพิ่งมาถึง ขอนั่งพักก่อน เดี๋ยวคืนนี้ถ้ายังเล่นกันอยู่ ผมจะมากวาดตังค์ลุงแน่ ๆ ไม่ต้องห่วงครับ"

เมียตัวโตของเจพูดยิ้ม ๆ

"หนอย!..."

"อาหลง"

คนแก่ตัวโตทำท่าจะเถียงกับเด็กปากดีต่อหากก็โดนเดวิดเรียกซ้ำด้วยน้ำเสียงราบเรียบ อาหลงยักไหล่แล้วกลับมาสนใจกับไพ่ในมือต่อ เขาโบกมือไล่คนหนุ่มทั้งสองทันที

"ไป ๆ ๆ ถ้าไม่เล่นไพ่จะไปไหนก็ไป มายืนค้ำหัวลุงแบบนี้มันขัดดวงโว้ย"

ฆาเบียร์กลั้นหัวเราะ เขาเดินไปหาคริสแล้วกระซิบบอกว่าเขาจะพาเจขึ้นไปที่คลับเลาจ์ก่อนจะดึงคนรักที่ยังยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ให้ออกมาจากห้องนอนเล็กที่ดัดแปลงเป็นที่วางโต๊ะไพ่



"เอ่อ คุณ ๆ ผมจะทำไงกับอิชิปสองอันนี้ดีอ่ะ"

เจนยุทธดึงแขนเสื้อคนรักให้หยุดพร้อมกับชูชิปอันละหมื่นเหรียญฮ่องกงในมือให้ฆาเบียร์ดู

“ก็เอาไปขึ้นเงินสิจ๊ะ เดี๋ยวฉันจัดการให้เอาไหม?”

เจทำท่าครุ่นคิดนิดหนึ่งแล้วจึงส่งชิปมูลค่า 80,000 บาทให้ฆาเบียร์ คนตัวโตรับชิปมาจากมือของคนรักและหมุนกายกลับไปยังประตูห้องที่พวกเขาเพิ่งเดินออกมา

“เดี๋ยว ๆ ๆ ผมไม่ได้จะให้คุณเอาไปขึ้นตังค์...”

เจนยุทธดึงคนรักไว้อีกครั้ง คนตัวโตหันกลับมาเพื่อที่จะพบกับรอยยิ้มใสซื่อและดวงตาแวววาวของเจ

“มีแผนอะไรอีกล่ะ ไอ้ตัวยุ่ง”

ฆาเบียร์ใช้มือขยี้ผมนิ่มของเจ้าตัวดีของเขา

“เอ๊ ผมยุ่งหมด ชิ ไม่ได้มีแผนอะไรซักหน่อย ผมก็แค่จะยกชิปผมให้คุณอ่ะ..."

"หึ แล้วจะให้ฉันเอาไปทำอะไรให้อีกล่ะ?"

ฆาเบียร์หัวเราะหึ ๆ เขาพอจะเดาได้ว่าคนรักคิดอะไรอยู่ เขาโอบไหล่เจนยุทธและพาเดินไปตามโถงทางเดินเพื่อไปที่ลิฟท์



"ก็ เอ่อ ผมจะให้คุณเอาไปทำทุนคืนนี้อ่ะ ไหวไหมครับ?"

เจนยุทธยิ้มหวานให้คนรักของเขา

"หมายถึงในวงโป๊กเกอร์คุณลุงน่ะเหรอ?"

เจพยักหน้า

"ใช่ ไหวไหมครับ?"

คนตัวโตโคลงหัวน้อย ๆ

"ถ้ามีอาปาด้วยนี่ฉันไม่ค่อยแน่ใจว่าจะเอาชนะได้นะ แต่ถ้าอีกสามคนน่ะ พอไหว"

"งั้นคุณไม่ต้องห่วงเรื่องอาปา เดี๋ยวผมจะไปชวนอาปาคุยเอง คุณเล่นไพ่ไปนะ ทำกำไรให้ผมหน่อยแล้วกันนะ"

เจตบหลังคนรักป้าบ ๆ จนฆาเบียร์ครางอู้ออกมา

"...อย่างน้อยก็เอาชนะลุงหลงให้ได้นะคุณ"

เจนยุทธส่งยิ้มใสซื่อบริสุทธิ์ให้คนรักอีกครั้ง

"เจ นายนี่มันร้ายเหมือนกันนะ"

ฆาเบียร์อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ดูท่าเจ้าตัวดีของเขาคงอยากเอาคืนที่โดนแกล้งเมื่อครู่



"คิดจะเอาคืนลุงหลงโดยให้ฉันไปเป็นเหยื่อสังเวยแทนเนี่ยนะ? ถ้าชนะลุงแกอีก เดี๋ยวคราวหน้าลุงแกจะหาอะไรมาแกล้งฉันอีกก็ไม่รู้"

คนตัวโตแกล้งบ่นเบา ๆ

"น่า คุณ ถ้าคุณทำได้ ผมจะมีรางวัลพิเศษให้คุณเลยเอ้า"

เจกระซิบข้างหูคนตัวโตเบา ๆ ฆาเบียร์หันมาทำตาโตใส่คนรัก

"ห้ามผิดสัญญานะ เจนยุทธ พูดคำไหนคำนั้นนะ"

"ไม่ผิดสัญญาครับ ถ้าคุณทำได้ คืนนี้ผมจะปรนนิบัติคุณให้ถึงใจเลย Deal?"

เจหยุดยืนที่หน้าลิฟท์ เขาหันไปส่งมือให้คนรัก ฆาเบียร์ยื่นมือมาจับมือของเจเขย่าเบา ๆ

"ดีลจ้ะ งั้นให้ฉันกลับไปเล่นตอนนี้เลยไหม?"

คนตัวโตทำท่าจะเดินกลับไปยังห้องเล่นไพ่ หากเจดึงรั้งไว้

"เดี๋ยวสิครับคุณ ใจร้อนไปไหน กลางคืนก่อนก็ได้ ตอนนี้ผมหิวแล้วอ่ะ ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลย ขึ้นไปหาอะไรกินบนเลาจ์ก่อนนะ"

เจนยุทธโอดครวญต่อว่าตอนนี้ท้องน้อย ๆ ของเขามันแสบจนทนไม่ไหวแล้ว

"ฉันก็บอกแล้วว่าไม่ต้องนั่งเรือมาก็ได้ แล้วเป็นไงล่ะ เมาเรือจนกินข้าวเที่ยงไม่ลง"

คนตัวโตโคลงหัวน้อย ๆ เจนยุทธไลน์หาเขาตั้งแต่ออกจากท่าเรือเพื่อบ่นเสียดายเรื่องที่กินสเต๊กเนื้อนกกระจอกเทศไม่ได้

"แหะ ๆ ผมก็บ่นไปงั้นแหละคุณ ป่ะ ลิฟท์มาแล้ว เรารีบไปหาของฟรีกับแชมเปญกินกันดีกว่า"

เจนยุทธทำตาเป็นประกายเมื่อนึกถึงของกินรสเลิศและแชมเปญที่เสิร์ฟในคลับเลาจ์ของโรงแรมริทซ์ คาร์ลตัน มาเก๊า เขารีบดึงมือคนรักเข้าลิฟท์และกดปุ่มทันที





----------------------------------------------


ใช้เวลานานนิดนึงนะคะกว่าตอนนี้จะคลอดได้ ช่วงนี้คนเขียนกำลังอยู่ในโหมดขี้เกียจและสมองโล่ง ในหัวคิดภาพอะไรไม่ค่อยออกเลย สงสัยต้องพยายามหาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ตอนหน้าจะพยายามให้มาเร็วกว่านี้ค่ะ ในตอนนี้ก็ยังคงท่องทะเลสนุกสนานเหมือนเดิมค่ะ ออกฝั่งไปไกลเลย แหะ ๆ สุดท้ายก็ได้ก๊วนคุณลุงมาหนึ่งก๊วนกับหาเรื่องตื่นเต้น ๆ มาให้เจมันบ้าง ชิลเหลือเกิ๊น



ในตอนนี้เราพูดถึงห้องพักแบบ 2-bedroom Carlton Suite ของโรงแรมริทซ์คาร์ลตัน มาเก๊า แต่คนเขียนมีปัญญาไปพักได้แค่ห้อง Premier Suite ค่ะ ก็เลยเอารูปมาให้ดูแก้ขัดไปก่อน ห้องแบบนี้จะคล้ายกับห้องที่เขียนให้เจและฆาเบียร์นอนตอนที่มามาเก๊ารอบก่อน (Carlton Suite ตอนนั้นเขียนโดยดูรูปจากในเน็ตเอาค่ะ) ต่างกันที่ขนาดและราคา ซึ่งพอถามพนักงานแล้ว พนักงานบอกว่าต่างกันไม่มาก แทบไม่รู้สึกค่ะ ส่วนไอ้แบบสองห้องนอนนั่นถ้าให้เดาก็น่าจะเหมือนเอา Suite หนึ่งห้องนอนไปเพิ่มห้องนอนอีกห้องค่ะ

จากที่ได้เข้าพัก เรียกได้ว่าเป็นห้องพักที่ถูกใจที่สุดห้องหนึ่งเลยก็ว่าได้ การตกแต่งมันสวยงามเนียนตาไปหมด ห้องน้ำที่นี่ถือว่าเลิศเลอมาก ไอ้เจ้าอ่างหินอ่อนกลม ๆ นั้นเป็นจากุซซี่ด้วยนะคะ ตอนแรกเห็นจากในรูปก็กังวลว่าจะสูงปีนยากไหม แต่ก็ไม่ค่ะ ปีนเข้าออกค่อนข้างง่ายทีเดียว ส่วนส้วมนั้นเป็นแบบออโต้ ไฮเทคขนาดที่ว่ามันเปิดฝาให้เมื่อเดินเข้าไปใกล้ด้วยนะคะ ชอบจริง ๆ ค่ะ ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ อย่างของใช้ในห้อง อะไรพวกนี้ เดี๋ยวจะมีการพูดถึงเพิ่มในตอนถัด ๆ ไปค่ะ



ในเรื่องมีการพูดถึงบริการ flower subscription คือการส่งดอกไม้มาให้ทุกๆ สัปดาห์หรือทุกๆ เดือน ตามแต่จะสั่งไว้ ไม่รู้ว่าที่บ้านเรามีหรือเปล่าเนาะ ในเรื่องคนเขียนอ้างอิงแบบและราคาจากเว็บของร้านนี้ค่ะ เค้าจัดน่ารักมาก (แต่ราคาไม่น่ารักเลย -_-" ถึงจะนับว่าถูกกว่าร้านอื่นมากก็ตาม)

Floristry at M&L http://bit.ly/2x8iBRq



ส่วนเรื่องการทำงานของบริษัทของฆาเบียร์นี่ไม่ใช่อะไรค่ะ คนเขียนฟุ้งซ่านคิดนู่นนี่แล้วเกิดอยากรู้มาว่าบริษัทที่ลักษณะคล้ายๆ กับบริษัทของฆาเบียร์อย่าง Agoda นี่เขาทำงานกันยังไง กลัวจะเขียนเรื่องของตาลุงเราไม่เนียนว่างั้นเหอะ ก็เลยไปหาอ่านดู ไปดูจากเพจรับสมัครงานของเขาก็ถึงบางอ้อว่า อ๋อ มันซับซ้อนกว่าที่เราคิดเลยเนอะ ก็เลยเขียนออกมา (แบบงงๆ) แบบนี้ อาจจะมีเพี้ยนไปบ้างเพราะอ่านแปลมาจากภาษาอังกฤษอีกที คนเขียนเองก็ไม่คุ้นกับสายการทำงานที่ซับซ้อนแบบนี้ ก็เลยอาจจะอธิบายออกมาได้ไม่ตรงตามความเป็นจริงนักค่ะ แต่จะว่าไปเว็บของตาลุงเรามันออกจะคล้ายกับ TripAdvisor ด้วย แต่ขี้เกียจไปค้นใหม่แล้ว ก็เลยได้ออกมาตามนี้ค่ะ

เผื่อใครสนใจทำงานกับ Agoda นะคะ https://careersatagoda.com/



แล้วในที่สุดสองหนุ่มก็ข้ามฝั่งไปได้ซะที ตามที่เคยเกริ่น ๆ ไว้ คนเขียนก็ขอรีวิวการเดินทางในชั้น Premier Grand Class ของเรือ TurboJET โดยคร่าว ๆ นะคะ คราวที่แล้วคนเขียนเคยเขียนถึงเรือชั้นนี้ไปแล้วเมื่อตอน Macau, Here We Come! แต่ในตอนนั้นเป็นการเขียนโดยใช้ข้อมูลจากในอินเตอร์เน็ต ในการไปมาเก๊าครั้งที่ผ่านมานั้น คนเขียนได้ลองนั่งจริงๆ แล้วค่ะ เลยเอารูปมาลงให้เพิ่ม หลัก ๆ ก็เหมือนกับที่เคยเขียนไปแล้ว เราสามารถจองตั๋วได้ออนไลน์ผ่านเว็บ TurboJET แต่อย่าลืมเลือกว่าเป็นคลาส Premier นะคะ คลาสพรีเมียร์นี้จะมีทั้งแบบที่เป็นเรือธรรมดากับเรือที่บอกว่าเป็นเรือพรีเมียร์ซึ่งจะมีที่นั่งแบบพรีเมียร์มากกว่าเรือธรรมดา โดยเรือที่เป็นเรือพรีเมียร์นั้นจะออกทุก ๆ 30 นาที เมื่อซื้อตั๋วแล้วก็สามารถขึ้นเรือลำไหนก็ได้ค่ะเว้นแต่ว่าจะจองรถและอาหารไว้

อย่างที่บอกไว้ด้านบน เมื่อจองตั๋วแล้ว เราก็สามารถจองรถและอาหารได้ค่ะ หลังจากจองตั๋วแล้วจะมีพนักงานจากทางเทอร์โบเจ็ทส่งเมล์มาหาเพื่อคอนเฟิร์มการเดินทางและถามข้อมูลเพิ่มเติม ฉะนั้นอย่าลืมเช็คเมล์นะคะ โดยเขาจะถามข้อมูลอย่างชื่อผู้โดยสาร เบอร์ติดต่อ จำนวนกระเป๋า และจุดหมายปลายทางที่ต้องการให้รถไปส่ง (ในที่นี้ หมายถึงขาจากฮ่องกงไปมาเก๊านะคะ) โดยเราต้องแจ้งกลับไปหนึ่งวันก่อนวันเดินทางค่ะ ส่วนอาหาร เขาก็จะให้ลิงค์เราเข้าไปเลือกจองอาหารโดยจองได้ 12 ชั่วโมงก่อนเดินทาง มีให้เลือกหลายอย่างค่ะ จริง ๆ แล้วสเต๊กนกกระจอกเทศที่เจมันกินนั้นเป็นของที่ต้องจองค่ะ ถ้าไม่ได้จองก็จะได้กินของที่เขามีมาให้อยู่แล้ว ซึ่งก็แล้วแต่ว่าในเที่ยวนั้นจะเสิร์ฟอะไร อาจจะเป็นพาสตา ไก่อบ หมูอบ หรือแซลมอนก็ได้

ต้องของย้ำก่อนว่าทั้งสองบริการนี้มีให้สำหรับคนที่กำหนดเที่ยวเรือแน่นอนแล้วนะคะ ถ้าคนที่ซื้อตั๋วไว้แล้วเลือกขึ้นเรือลำไหนก็ได้ จะใช้สิทธิ์นี้ไม่ได้ค่ะ

เมื่อมีตั๋วแล้ว เราก็แค่ปรินท์หน้าจองตั๋วมาหรือโหลดแอพของเทอร์โบเจ็ทไว้ก็ได้ พอถึงวันเดินทางเราก็ไปถึงที่ท่าเรือเฟอรี่ฮ่องกง มาเก๊าที่ Shun Tak Center (บริการพรีเมียร์ในตอนนี้มีแค่เรือที่ไปจากท่าเรือนี้ถึงท่าเรือ Outer Harbour ที่ฝั่งมาเก๊าเท่านั้นนะคะ ขึ้นจากจิมซาจุ่ยไปลงไทปาไม่ได้) จากนั้นก็ขึ้นไปที่ชั้น 2 เพื่อเอาใบที่ปรินท์มาไปแลกเป็นตั๋วเรือ ที่จริงแล้วถ้าจองแบบพรีเมียร์มาก็จะมีช่องแลกตั๋วแยกต่างหากให้ แต่ตอนที่ไปถึงนั้นน่าจะเป็นช่วงเที่ยง เจ้าหน้าที่ไปกินข้าวก็เลยต้องไปเข้าแถวแลกตั๋วที่ช่องธรรมดาค่ะ อ้อ ต้องไปล่วงหน้าก่อนเรือออกอย่างน้อย 30 นาทีนะคะ เพราะต้องผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองด้วย แต่สำหรับคนเขียนนั้นเราไปก่อนเป็นชั่วโมงเลยค่ะ เพราะอยากจะไปใช้เลาจ์ของ TurboJET

เมื่อแลกตั๋วเสร็จแล้ว เราก็ลงไปที่เลาจ์กัน ข้อเสียในจุดนี้คือเราต้องลงลิฟท์กลับลงไปข้างล่างค่ะ เพราะว่าเลาจ์ที่นั่งสบาย ๆ มีของกินเสิร์ฟนั้นอยู่ที่ชั้น 1 ห้อง 103 เลาจ์ก็หน้าตาแบบในรูปด้านล่างนะคะ มีที่นั่งสบาย มีของกินให้แบบบริการตัวเองเป็นพวกเพสตรี้ น้ำผลไม้ ซอฟท์ดริงค์ กาแฟแบบแค็ปซูลและอื่น ๆ และยังมีบริการรับฝากกระเป๋าเผื่อเราจะไปกินข้าวหรือช้อปปิ้งในตึกต่อ แต่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมนะคะ

เมื่อเข้าไปถึงเลาจ์เราก็เอาตั๋วให้เจ้าหน้าที่ดู จากนั้นก็นั่งรอไป พอซักครึ่งชั่วโมงก่อนเรือออกก็จะมีพนักงานพร้อมรถเข็นมาเอากระเป๋าและพาเรากลับขึ้นไปชั้นบน จากนั้นเขาก็จะพาเราเอากระเป๋าไปเช็คอิน (ได้กระเป๋า 20 กิโลคนละใบ และแครี่ออนหนึ่งใบ) พร้อมกับ แล้วก็จะพาตัวเราและกระเป๋าไปที่ศุลกากรเพื่อซักถามเล็ก ๆ น้อย ๆ พอเป็นพิธี จากนั้นก็เอากระเป๋ากลับไปส่งที่สายพานและพาเราเดินต่อไปที่ต.ม.

หลังจากผ่านกระบวนการออกเมืองแล้ว เราก็เดินต่อไปยังเกทที่แจ้งในตั๋ว พอถึงที่โถงหน้าเกท เราก็จะเจอเลาจ์นั่งรออีกจุดหนึ่งซึ่งเป็นห้องแยกจากประชาชนคนอื่น วันที่ไปคนข้างนอกไม่เยอะนัก แต่นึกถึงว่าถ้าเป็นวันหรือเวลาที่มีคนแห่ขึ้นเรือเยอะ ๆ ข้างนอกก็คงวุ่นวายน่าดู การมีเลาจ์นั่งจึงเป็นเรื่องที่น่าอภิรมย์พอสมควรค่ะ เลาจ์ตรงนี้เป็นแค่ที่นั่งรอจึงมีแค่น้ำเปล่าให้บริการค่ะ ที่หน้าเลาจ์จะมีพนักงานอยู่คนหนึ่ง คนนี้สำคัญค่ะเพราะจะเป็นคนแจกเบอร์ที่นั่งให้กับเรา ฉะนั้นอย่าลืมแวะหาก่อนนะคะ การเลือกที่นั่งเป็นแบบ first come first served ค่ะ ฉะนั้นอย่ามากระชั้นนัก เพราะอาจจะได้ที่นั่งไม่ดีนัก (แต่เที่ยวที่คนเขียนไป ชั้นพรีเมียร์ค่อนข้างโล่ง ก็เลยได้ที่นั่งดีคือหน้าสุดติดหน้าต่างค่ะ)

พอถึงเวลาขึ้นเรือ ก็จะมีพนักงานมาพาเราไปขึ้นเรืออีก ซึ่งเราจะได้เดินขึ้นก่อนคนอื่น ส่วนที่นั่งก็เป็นแบบในรูปค่ะ ค่อนข้างกว้างขวางทีเดียวและยังปรับเอนนอนได้คล้าย ๆ ที่นั่งชั้นบิสสิเนสคลาสบนเครื่องบิน

ก่อนเรือออกก็จะมีพนักงานมาเสิร์ฟน้ำท่า มาเช็คว่าเราสั่งอะไรไว้หรือเปล่านั่นนี่นู่นและเอามาเสิร์ฟตอนเรือออก คนเขียนสั่งสเต๊กนกกระจอกเทศราดเกรวี่ รสชาติดีทีเดียวค่ะ ส่วนเพื่อนที่ไปด้วยสั่งเนื้อแองกัสอบ เห็นบ่นว่าไม่อร่อย นอกจากอาหารที่สั่งไปแล้วเหมือนว่าจะสั่งอย่างอื่นมากินได้ด้วย เช่นฮอทดอกอันเลื่องชื่อ เครื่องดื่มก็สั่งไม่อั้นรวมถึงเบียร์และไวน์ด้วย (ถ้าวีไอพีเคบินจะได้แชมเปญเพิ่มมา) แต่คนเขียนเป็นเหมือนอิเจคือขี้เมาเรือ ก็เลยรีบกินรีบหลับ

เมื่อถึงฝั่งมาเก๊า ชั้นพรีเมียร์ก็จะได้ลงเรือก่อนซึ่งถือว่าดีมากเพราะเราจะเป็นคนแรก ๆ ที่มาถึงต.ม. และไม่ต้องรอคิวมาก ตั้งแต่ลงเรือถึงต.ม. ก็จะมีพนักงานมาพาเราไปถึงที่ หลังจากผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองเสร็จ ก็จะมีคนมาพาไปที่สายพานรับกระเป๋า ตรงนี้ตลกมากค่ะ พวกเรายืนรอกันอยู่ที่ปลายสายพาน พอถึงเวลา สายพานเดิน กระเป๋าก็ไหลออกมา แต่เพราะเที่ยวนี้คนโหลดกระเป๋าน้อยเลยมีกระเป๋าบนสายพานแค่สามสี่ใบ พอใบสุดท้ายพ้นช่องออกมาได้หน่อยนึง พี่แกก็กดหยุดสายพาน พวกเราก็เลยต้องเดินไปหยิบกระเป๋าเพราะมันเลื่อนมาไม่ถึง พอได้กระเป๋าแล้ว คนที่มารับก็จะพาเราออกนอกประตูไปขึ้นรถที่จอดรออยู่หน้าประตูเลย ก็เป็นแวนสีแดงตามในรูปค่ะ ไม่แน่ใจว่าปกติต้องแชร์กันไหม แต่วันที่ไปนั้นมีเราแค่สองคนนั่งรถคันนี้ซึ่งพาเราไปส่งโรงแรมโดยสวัสดิภาพค่ะ

ไอ้เจ้ารถฟรีนี้ นอกจากพาเราจากท่าเรือ Outer Harbour ไปโรงแรมแล้ว เรายังสามารถจองให้รับเราที่โรงแรมไปส่งท่าเรือได้ด้วย แล้วแต่ว่าเราเดินทางขาไหน ส่วนสำหรับฝั่งฮ่องกง ไม่ได้มีบริการรับส่งจากโรงแรม แต่มีบริการรับส่งจากสนามบินฮ่องกงมายังท่าเรือหรือว่าย้อนทางกันก็ได้ค่ะ ฉะนั้นสำหรับคนเขียนแล้ว การเดินทางไปมาเก๊าโดยชั้น Premier Grand Class ของเทอร์โบเจ็ทนี่ถือว่าคุ้มค่าราคา 461 ดอลลาร์ฮ่องกงค่ะ

เขียนมาเสียยืดยาว ขอจบตอนนี้ด้วยภาพจากการเดินทางชั้น Premier Grand Class ไปมาเก๊านะคะ สะพานในรูปนั้นคือสะพานใหม่ที่ข้ามจากฮ่องกงไปฝั่งจูไห่และมาเก๊าค่ะ อยากลองนั่งรถข้ามดูสักครั้ง แต่ยังดูยุ่งยากไปสักนิด เอาไว้ทีหลังแล้วกันเนาะ









ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- "Don't Judge..." ----





“หูย คุณ ตับบดนี่อร่อยสุด ๆ ไปเลยอ่ะ”

เจนยุทธอุทานด้วยความประทับใจหลังส่งของว่างชิ้นน้อยเข้าปาก มันคือตับบดชิ้นน้อยบนแคร็กเกอร์กรอบกรุบซึ่งมีแผ่นเยลลี่รสมะม่วงและเนื้อมะม่วงสุกเล็กน้อยโปะหน้าเพื่อตัดคาว เขาหันไปให้ความสนใจกับของว่างเค็มอีกชิ้นซึ่งเป็นครีมชีสรสละมุนห่อด้วยแผ่นปาร์มาแฮมจนเป็นแท่งเหมือนขอนไม้ ทั้งสองอย่างเป็นส่วนหนึ่งของชุดน้ำชายามบ่ายในคลับเลาจ์ซึ่งพนักงานจัดมาให้เขาและฆาเบียร์

"นี่ผมก็ชอบ ชอบกว่าของที่อื่น ๆ ที่กินมาเลยครับ เขาใช้ของคุณภาพดีเหมือนของขายเลย"

ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ

"แหม ก็เขาชาร์จไปในค่าใช้คลับอยู่แล้วนี่จ๊ะ มันก็ของขายนั่นแหละ"

เจย่นจมูกให้คนรักแล้วหันมาสนใจกับของกินตรงหน้า บนถาดวางขนมขนาดสองชั้นที่อยู่ตรงหน้านั้น ชั้นหนึ่งคือของคาวซึ่งประกอบด้วยของว่างชิ้นเล็กพอดีคำ 4 ชนิด นอกเหนือจากตับบดและครีมชีสห่อแฮมที่เจกินไปแล้ว อีกสองชิ้นคือชีสนมแพะบนขนมปัง และพัฟฟ์ไส้มูสเบค่อน ส่วนอีกชั้นหนึ่งนั้นเป็นของหวานชิ้นเล็กอีกสี่ชิ้นซึ่งมีทั้งเค้กเร้ด เวลเวท ทาร์ตกะทิและมะม่วง มูสรสนม และบราวนี่คลุกผงสตรอเบอรี่

"อืมม์ ผมเฉย ๆ กับขนมแฮะ ถ้าให้กินอีก ผมขอแต่ของคาวดีกว่า"

เจนยุทธพูดหลังจากจัดการขนมและของคาวในจานทั้งสองชั้นอีกทั้งสโกนรสชาติดีอีกหนึ่งจานจนหมด

"จ้ะ ฉันเชื่อว่านายชอบพวกของคาวของที่นี่จริง ๆ"

ฆาเบียร์หัวเราะหึ ๆ เมื่อเจ้าตัวกินจุขอเติมเฉพาะตับบดและครีมชีสห่อแฮมมาอีกอย่างละสี่ชิ้น

"ก็มันเข้ากับเจ้านี่มากกว่านี่ครับ"

เจยิ้มเขิน ๆ พร้อมชูแก้วแชมเปญในมือขึ้น คลับเลาจ์ที่โรงแรมริทซ์ คาร์ลตันมาเก๊าแห่งนี้เสิร์ฟแชมเปญพร้อมกับอาหารมื้อต่าง ๆ เช่นเดียวกับที่ฮ่องกง



"รับแชมเปญเพิ่มไหมครับ?"

พนักงานหนุ่มชาวฟิลิปปินส์คนหนึ่งปราดเข้ามาหาพร้อมขวดแชมเปญในมือเมื่อเห็นเจยกแก้วที่เหลือแชมเปญน้อยกว่าครึ่งขึ้น คนตัวเล็กยิ้มน้อย ๆ แล้วพยักหน้าแล้วส่งแก้วให้พนักงานรับมาเติม

"ผมขอดูขวดแชมเปญหน่อยได้ไหมครับ?"

เจนยุทธถามและรับขวดหน้าตาแปลกนั้นมาดูอย่างสนใจ ที่คลับเลาจ์ของริทซ์ฮ่องกงนั้นเสิร์ฟแชมเปญแบรนด์ดังอย่าง Veuve Clicquot หากในเลาจ์ของริทซ์มาเก๊านั้นใช้แบรนด์ที่เจไม่คุ้นตาเลย

"ที่นี่ใช้แบรนด์ของโรงแรมเองเลยจ้ะ แต่ก็ไม่ธรรมดานะ ให้เจ้านี้ผลิตให้"

ฆาเบียร์ชี้ให้เจนยุทธดูชื่อ Baron de Rothschild ที่ติดหราอยู่หน้าขวด เจทำตาโต แม้เขาจะไม่ถนัดดื่มไวน์ เขาก็เคยได้ยินชื่อ Rothschild นี้ดี

"ใช่บริษัทที่เป็นเจ้าของไร่ Lafite Rothschild กับ Mouton Rothschild หรือเปล่าครับ?"

เจนยุทธเอ่ยชื่อไวน์สองในห้าอรหันต์ไวน์บอร์โดซ์ที่เขารู้จักแค่ชื่อออกมา

"ถูกและผิดจ้ะ..."

คนตัวโตพูดยิ้ม ๆ

"แชมเปญแบรนด์นี้เกิดจากการร่วมทุนของผู้ผลิตไวน์สามแห่งที่มีต้นกำเนิดมาจากตระกูล Rothschild น่ะ รสชาติใช้ได้เหมือนกันนะ"

เจพยักหน้าพร้อมกับยกแก้วในมือขึ้นจิบเครื่องดื่มพรายฟองสีทองแม้รสชาติของมันจะไม่ได้เลิศล้ำเท่ากับแชมเปญราคาแพงระยับอย่าง คริสตาล หรือดอม เปริญง แต่มันก็ถือว่ารสดีและดื่มง่ายทีเดียว









"พูดถึงพวก Rothschild เจรู้ใช่ไหมว่าตระกูลของ Baron de Rothschild อภิมหาเศรษฐีชาวยิวที่มาจับด้านไวน์น่ะแตกออกเป็นหลายสาย..."

เจนยุทธส่ายหน้า เขาไม่ได้ให้ความสนใจกับไวน์ขนาดที่จะหาข้อมูลเบื้องลึกถึงขนาดนั้น

"...เท่าที่เห็นก็แบ่งเป็นสามสาย สามบริษัทจ้ะ"

ฆาเบียร์ให้ข้อมูลแก่คนรักต่อ เขาเล่าว่าช่วงศตวรรษที่ 18 ตระกูล Rothschild ซึ่งเป็นตระกูลนายธนาคารผู้ร่ำรวยจากเยอรมนีได้สยายปีกเข้าในวงธุรกิจทั่วทั้งยุโรป เช่นเดียวกับฝรั่งเศส ลูกหลานของตระกูลหลายคนเริ่มเข้ามาทำธุรกิจธนาคารและโรงเหล็กในปารีส ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 Nathaniel de Rothschild จากตระกูล Rothschild สายอังกฤษเข้าซื้อกิจการไร่ Chateau Brane Mouton ในเขต Medoc และเปลี่ยนชื่อเป็น Chateau Mouton Rothschild ส่วนพ่อตาของเขา Baron James Mayor de Rothschild ซึ่งมาจากสายเยอรมันก็ไม่ยอมน้อยหน้า เขาได้เข้าซื้อไร่ไวน์ที่มีชื่อเสียงในระดับ Grand Cru ชั้นหนึี่งอยู่แล้วอย่าง Chateau Lafite

"สองไร่นี้ก็ถือว่าเป็นคู่แข่งกันกลาย ๆ จ้ะ แต่ก็เหมือนแข่งกันพัฒนาจนรุ่งทั้งคู่น่ะ"

ทั้งสองไร่นี้ยังคงยืนหยัดผ่านร้อนผ่านหนาวมานับร้อยปี แม้จะเจอมรสุมที่โหมกระหน่ำอย่างเช่นช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และยังคงเป็นที่รู้จักในฐานะสุดยอดผู้ผลิตไวน์จากแคว้นบอร์โดซ์



"แล้วอีกบริษัทที่คุณบอกว่าเป็นของตระกูล Rothschild นี่เค้าทำไวน์ยี่ห้ออะไรอ่ะครับ?"

"ไร่ Chateau Clarke จ้ะ เจเคยได้ยินไหม?"

เจนยุทธทำท่าครุ่นคิดแล้วส่ายหัว

"ไวน์ของสายนี้เขาจะไม่ได้เด่นดังมากเท่ากับสองสายแรกจ้ะ แต่ก็ยังมีที่ดังหน่อยอย่าง Chateau Clerc Milon..."

คนตัวโตที่ทำท่าจะติดลมเมื่อพูดถึงของโปรดอย่างไวน์หยุดพูดเมื่อเห็นว่าเจนยุทธทำท่าจะตามเขาไม่ทัน

"...เอ่อ ต้องบอกไว้ก่อนว่าที่ฉันบอกว่ามีสามผู้ผลิตคือ มูตอง รอธชิลด์ ลาฟิท แล้วก็ชาโต คลาร์คน่ะ ฉันหมายถึงไร่เด่น ๆ ที่ใช้เป็นชื่อออกหน้าของบริษัทผู้ผลิตทั้งสามแห่งนี้นะ แต่ละบริษัทก็ยังมีอีกหลายไร่และหลายแบรนด์อยู่ในมือ"

เจพยักหน้าหงึกหงักแล้วบอกว่าเขาก็พอจะรู้เรื่องนี้มาอยู่บ้าง ฆาเบียร์เปิดมือถือหาข้อมูลแล้วส่งลิสต์รายชื่อไร่ไวน์และแบรนด์เด่น ๆ ภายใต้การดูแลของทั้งสามตระกูลให้เจนยุทธดู



"เฮ้ย มันเยอะขนาดนี้เลยเหรอคุณ?"

เจอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ

"ไอ้ Mouton Cadet เนี่ย ผมรู้ว่ามันเป็นไวน์รองของ Chateau Mouton Rothschild แต่ Opus One นี่ก็เป็นของกลุ่มนี้เหรอ?"

เจพูดถึงไวน์ที่คนไทยรู้จักดีสองแบรนด์ แบรนด์แรกนั้นเป็นไวน์ราคาประหยัดคุณภาพใช้ได้ที่คนไทยนิยมดื่มอย่างแพร่หลาย ส่วนแบรนด์หลังนั้นเป็นสุดยอดไวน์จาก Napa Valley รัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งก้าวขึ้นมาเทียบชั้นกับเหล่าไวน์ดังจากฝรั่งเศสได้ ในไทยนั้น ราคาของมันแพงระยับไม่แพ้ Mouton และ Lafite Rothschild เลย

"Opus One นี่เกิดจากการร่วมทุนของ Mouton Rothschild กับเจ้าพ่อไวน์แคลิฟอร์เนียอย่าง Mondavi จ้ะ ฉันไม่ลงรายละเอียดแล้วกันนะ"

"ครับ ๆ ไว้ค่อยเล่าทีหลังก็ได้"

ฆาเบียร์ยิ้มบาง ๆ เมื่อเห็นเจเริ่มทำท่าจะไม่ค่อยสนใจในสิ่งที่เขาพูดแล้ว



"เอ้า ๆ นี่ หันจนคอแทบหลุดแล้ว นายเดินไปดูเลยก็ได้นะ"

คนตัวโตหัวเราะเบา ๆ เมื่อเจหันไปทำคอยืดคอยาวดูพนักงานในคลับเลาจ์ที่กำลังจัดเตรียมไลน์อาหารมื้อเย็น

"แหะ ๆ ก็มันน่าสนใจนี่ครับ นี่ผมยังหิวอยู่เลยนะ ไอ้เจ้าของว่างในเซ็ตชาเมื่อกี้มันคำนิดเดียว ไม่พอยาไส้อ่ะ"

เจหันมาหัวเราะแหะ ๆ เขาบ่นน้อย ๆ พร้อมกับลุกขึ้นจากเก้าอี้นวมที่นั่งอยู่แล้วย้ายไปนั่งที่โซฟาข้างคนรักเพื่อดูเหล่าพนักงานจัดวางอาหาร อันที่จริงพวกเขาขึ้นมาหลังเวลาเสิร์ฟชายามบ่ายแล้วเล็กน้อย แต่พนักงานก็ได้เตรียมของว่างให้เป็นกรณีพิเศษระหว่างรอมื้อถัดไปที่จะเริ่มเสิร์ฟในเวลาห้าโมง

"นายหิวขนาดนั้น ทำไมไม่ขอแซนวิชก่อนล่ะ หืมม์?"

คนตัวโตถาม ในชุดน้ำชายามบ่ายนั้นสามารถสั่งแซนวิชหลาย ๆ ชนิดมาได้ หากเจก็เลือกที่จะกินเฉพาะของว่างชิ้นน้อยและสโกน

"ก็ถ้ากินแซนวิช มันก็จะอิ่มก่อนมื้อเย็นสิครับ"

เจนยุทธส่งยิ้มหวานให้คนรัก ฆาเบียร์โคลงหัวน้อย ๆ แล้วยกมือขึ้นเคาะหน้าผากคนรักเบา ๆ โดยไม่พูดอะไรต่อ เขาอดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นเจ้าตัวยุ่งของเขาทำหน้ามุ่ยพร้อมทำท่าเหมือนเจ็บเสียเต็มประดา



"นายนี่มันสำออยจริง ๆ เลยนะ"

คนตัวโตโอบไหล่คนรักเขย่าเบา ๆ อย่างมันเขี้ยว

"เฮ้ย คุณ ไม่เอา คนเริ่มเยอะแล้วอ่ะ"

เจอุทานเมื่อเมียตัวโตของเขาเริ่มลวนลามด้วยการหอมแก้มเขาต่อหน้าพนักงานที่เดินไปมา เขาพยายามดันตัวออกจากอ้อมแขนที่รัดแน่นของคนรัก แต่ทำให้คนตัวโตยิ่งแกล้งเขาหนักขึ้น

"อยากให้ปล่อยก็ได้ แต่ต้องมีของแลกเปลี่ยนนะ"

ฆาเบียร์กระซิบเบา ๆ เจนยุทธถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วหันหน้าไปจุ๊บริมฝีปากของคนรักเร็ว ๆ คนตัวโตยิ้มแป้นแล้วคลายวงแขนที่รัดแน่นออก เจรีบเผ่นพรวดออกจากโซฟาไปนั่งที่เดิมของเขาทันที

"นี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"

คนตัวโตแกล้งตัดพ้อเบา ๆ

"ไม่ต้องมาแกล้งงอนครับ mi amor คุณก็รู้ว่าผมไม่เคยรังเกียจคุณ แค่ตอนนี้มันยังไม่สะดวก รอขึ้นห้องก่อนเถอะครับ ถึงตอนนั้นอย่าบ่นแล้วกัน"

ฆาเบียร์ได้แต่ทำตาปริบ ๆ และทำท่ายอมแพ้เมื่อเจนยุทธพูดขู่ด้วยน้ำเสียงจริงจัง เจย่นจมูกให้คนรักแล้วหันไปทำท่าสนใจพนักงานที่กำลังจัดเตรียมของกินมื้อค่ำต่อ คนตัวโตอมยิ้ม ถึงจะแซวคนรักว่าเห็นแก่กิน แต่เขาก็รู้ดีว่าที่เจคอยจ้องมองเหล่าพนักงานนั้น ไม่ใช่เพียงเพราะสนใจอาหารที่พวกเขากำลังจัดเตรียม แม้จะไม่ได้ทำงานในสายงานโรงแรมที่ตนร่ำเรียนมาแล้ว หากเมื่อมีโอกาสได้มาใช้บริการในโรงแรมห้าดาวหรือร้านอาหารชั้นนำ เจนยุทธก็มักให้ความสนใจกับการทำงานของพนักงานและระบบต่าง ๆ เขามักคอยสังเกตดูสิ่งที่เป็นจุดเด่นและทำให้ที่แห่งนั้นพิเศษกว่าที่อื่น ๆ และมักหาโอกาสพูดคุยกับเหล่าพนักงานเพื่อสอบถามเรื่องที่เขาอยากรู้

"ถ้าสนใจขนาดนั้น ไม่เดินไปดูใกล้ ๆ เลยล่ะจ๊ะ? สงสัยอะไรจะได้ถามเขาได้"

คนตัวโตพูด เจหันมายิ้มหวานให้คนรักที่รู้ใจเขาเป็นอย่างดี

"ไม่เป็นไรอ่ะครับ ดูอยู่ห่าง ๆ งี้ดีละ ไม่ต้องไปเกะกะเขา ว่าแต่เย็นนี้จะมีอะไรกินมั่งไม่รู้เนาะ"

คนตัวเล็กเปรยเบา ๆ ฆาเบียร์หัวเราะ นี่คงเป็นเจในโหมดเห็นแก่กินของแท้แล้ว

"นี่ก็จะห้าโมงแล้ว อีกเดี๋ยวเขาคงให้เราลุกไปตักได้แล้วล่ะ อ้อ นั่นไง มาแล้ว"



"มื้อเย็นพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ คุณเจ คุณมาร์ติเนซ สักพักผมจะมารับออเดอร์อาหารจานหลักนะครับ"

พนักงานหนุ่มชาวฟิลิปปินส์ส่งรายการอาหารและเครื่องดื่มมื้อค่ำให้ทั้งสองคน เจแอบยิ้มบาง ๆ ในฐานะเด็กการโรงแรม เขารู้สึกทึ่งกับการบริการของที่นี่เสมอ เมื่อครู่เมื่อเขากับฆาเบียร์เดินเข้ามาในคลับเลาจ์แห่งนี้ พนักงานซึ่งเข้ามาต้อนรับพวกเขาสามารถเรียกชื่อพวกเขาได้อย่างถูกต้องโดยที่ไม่ต้องมีการแนะนำตัวมาก่อน มันอาจจะไม่แปลกนักสำหรับโรงแรมที่มีคลับเลาจ์ซึ่งพนักงานมักได้รับการแจ้งล่วงหน้ามาก่อนว่าแขกคนไหนชื่ออะไร แต่สำหรับตัวของเจนยุทธแล้ว แทนที่พนักงานจะเรียกเขาว่าคุณเจนยุทธ หรือคุณภัทรปรีดา พนักงานกลับเรียกเขาว่า "คุณเจ" เหมือนกับที่เขาเคยบอกให้เรียกเมื่อครั้งที่แล้วที่มาเยือนโรงแรมริทซ์ คาร์ลตันแห่งนี้

"เขาอาจจะเก็บข้อมูลของเจไว้ตั้งแต่คราวที่แล้วจ้ะ หรือไม่ก็เป็นทางฮ่องกงแจ้งมา"

ฆาเบียร์กระซิบตอบเมื่อเจเอ่ยชมเรื่องนี้ให้เขาฟัง เจพยักหน้ารับคำ สำหรับตัวเขาแล้ว ความเอาใจใส่เล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้คือสิ่งที่เขารู้สึกประทับใจที่สุดในการเข้าพักโรงแรมห้าดาวเหล่านี้ เขานึกย้อนไปถึงตอนที่ตัวเองทำงานในโรงแรม เขาอดละอายไม่ได้เมื่อเทียบความตั้งใจทำงานของตนในตอนนั้นกับพนักงานบนคลับเลาจ์เหล่านี้

"ว่าไงจ๊ะ เลือกได้หรือยังว่าจะกินอะไรมั่ง?"

เจพยักหน้าทั้งที่ยังก้มหน้าก้มตาดูเมนู

"ผมว่าจะสั่งทั้งเปนเน่กุ้งกับสเต๊กมาลองอย่างละจานก่อนอ่ะครับ"

"นั่นสินะ จริง ๆ ฉันไม่ควรต้องถามนายเลยใช่ไหม?"

คนตัวโตโคลงหัว ในใบเมนูที่พนักงานนำมาให้นั้นเขียนบอกว่ามีเมนคอร์สให้เลือกเป็นซีฟู้ดหรือเนื้อซึ่งในวันนี้คือพาสตากุ้งซึ่งใช้เส้น Penne และสเต๊กเนื้อแองกัส ถึงจะบอกว่าให้เลือก แต่ในทางปฏิบัติแล้วสามารถสั่งทั้งสองอย่างกี่จานก็ได้ตามที่ต้องการ

"ฉันคงกินแค่เนื้อ งั้น สั่งเลยนะ"

ฆาเบียร์ยกมือเรียกพนักงานมาเพื่อสั่งอาหารและเติมเครื่องดื่มเพิ่ม



"ไง ตักอะไรมามั่ง ขอฉันดูหน่อยซิ? อื้อหือ เยอะเชียว เดี๋ยวก็กินเนื้อไม่ไหวหรอก"

ฆาเบียร์ชะโงกหน้าดูอาหารในจานของคนรัก เจยิ้มเขิน ๆ เขาลุกไปตักอาหารจำพวกสลัดและของเรียกน้ำย่อยที่จัดวางในไลน์บุฟเฟต์มาเสียเยอะ

"กินไหวสิครับ ผมไม่ได้กินมื้อเที่ยง ก็ต้องมากินตอนนี้ทดแทนไง"

เจหันไปทำหน้าเป็นให้เมียตัวโตของเขาก่อนจะหันกลับมาตักนั่นนี่เข้าปากอย่างมีความสุข

"ซุปเห็ดนี่อร๊อย อร่อยอ่ะคุณ ใส่ทรัฟเฟิลด้วย ชิมหน่อยไหมครับ?"

เจนยุทธเลื่อนชามซุปของเขาให้คนรักชิม ฆาเบียร์ตักอาหารมาเพียงเล็กน้อยและเป็นพวกสลัดเสียส่วนใหญ่ ส่วนเจนั้นตักมาทั้งอุด้งผัดเนื้อ สลัดผักและสลัดคูสคูสซึ่งเป็นอาหารประเภทแป้งของตะวันออกกลาง อีกทั้งแครอทกับเซอเลอรีตัดเป็นแท่งจิ้มกับซอสบลูชีส

"อืมม์ ใช้ได้นะ แต่จากกลิ่นก็คงใส่ทรัฟเฟิลออยล์ ไม่ก็ทรัฟเฟิลเพสต์"

คนตัวโตพูด เจย่นจมูกให้คนรัก

"แหม ก็ของบนคลับเลาจ์น่า จะให้สไลซ์ทรัฟเฟิลใส่เป็นชิ้น ๆ หรือไงคุณ"

คนตัวเล็กบ่นอุบอิบพลางดึงชามซุปเห็ดกลับคืน ส่วนใหญ่แล้ว ซุปเห็ดที่เรียกว่าเป็นซุปเห็ดทรัฟเฟิลตามไลน์บุฟเฟต์นั้นมักจะเป็นซุปครีมเห็ดพื้น ๆ โดยเฉพาะเห็ดสีเข้มอย่าง Portobello และเติมน้ำมันเห็ดทรัฟเฟิลหรือทรัฟเฟิลบดลงไปเล็กน้อยเพื่อให้กลิ่น

"จ้ะ ๆ แค่นี้ก็หรูแล้ว"

ฆาเบียร์พูดพลางยกช้อนซุปที่เจหยิบมาเผื่อเขาจ้วงตักซุปตรงหน้าคนรักไปกินอีกคำ เจว๊ากลั่นพร้อมกับยกชามหนี เขาบ่นพึมพำเบา ๆ แต่สุดท้ายก็ยอมเลื่อนชามซุปที่เหลือน้อยแล้วส่งให้เมียตัวโตขี้แกล้งของเขา แต่ฆาเบียร์ก็ส่งคืนให้คนตัวเล็กกินต่อจนหมด เขาเพียงอยากจะ "kuan teen" เจ้าตัวดีของเขาเล่นแค่นั้นเอง



"นี่น้ำแตงโมของคุณนะครับ"

เจซึ่งเพิ่งกลับจากการทัวร์ไลน์อาหารอีกครั้งยกขวดน้ำแตงโมคั้นสดขึ้นเทแบ่งใส่แก้วให้คนรัก

"ขอบใจจ้ะ นายจำได้ด้วยเหรอว่าฉันชอบน้ำแตงโม?"

ฆาเบียร์ส่งยิ้มให้คนรู้ใจของเขา

"เปล๊า ผมแค่อยากกินเลยหยิบมาเผื่อคุณด้วย"

เจปฏิเสธหน้าตาเฉย แต่ตัวเขากลับหยิบขวดน้ำมะม่วงเทใส่แก้วแทน ฆาเบียร์ได้แต่หัวเราะหึ ๆ แล้วยกน้ำแตงโมขึ้นดื่ม

"ฮ้า น้ำมะม่วงสด ๆ นี่อร่อยจริงน้อ"

เจนยุทธชมเปาะ น้ำมะม่วงและน้ำผลไม้ชนิดอื่นที่ใส่ขวดตั้งเรียงรายอยู่ในตู้แช่เย็นนั้นล้วนแล้วแต่เป็นของคั้นใหม่ทั้งนั้น ยกเว้นแต่น้ำแอปเปิลที่น่าจะมาจากกล่องหรือกระป๋อง นอกจากน้ำผลไม้แล้ว ในตู้แช่ยังมีน้ำอัดลมและน้ำมะนาวแบรนด์ดังจากอิตาลี อีกทั้งน้ำแร่ทั้งแบบเติมแก๊สและแบบธรรมดายี่ห้อ Badoit และ Acqua Panna ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้ผลิตน้ำแร่ชื่อดัง เจดื่มน้ำมะม่วงของเขาจนหมดและลงมือจัดการอาหารเรียกน้ำย่อยที่ตักมาอีกรอบจนเกลี้ยง แต่ก่อนที่เขาจะได้ลุกไปตักรอบใหม่ อาหารจานหลักที่พวกเขาสั่งไว้ก็มา







"ว้าว ดูดีมากเลยครับ"

เจทำตาโตเมื่อเห็นสเต๊กเนื้อชิ้นขนาดพอเหมาะในจาน เนื้อความสุกขนาดมีเดียมแรร์หนัก 150 กรัมชิ้นนี้เสิร์ฟมาพร้อมกับเห็ดผัดเนยและแครอทบด เจนยุทธเดาเอาว่าน้ำซอสสีน้ำตาลค่อนข้างใสที่ราดมาบนชิ้นเนื้อนั้นคงจะเป็นน้ำที่ได้จากการทอดเนื้อนั้นเอง

"เนื้อนิ่มดีจังครับ ปรุงรสออกมาได้ดีด้วย"

เจนยุทธชมเปาะ เขาทำหน้าฟินเมื่อจิ้มเนื้อชิ้นโตเข้าปากไปอีกชิ้น ท่าทางมีความสุขของเจทำให้ฆาเบียร์อดยิ้มตามไม่ได้

"ชิมพาสตาของผมไหมครับ?"

เจเลื่อนจานเปนเน่ผัดกุ้งของเขาส่งให้คนรัก ฆาเบียร์ตักมันมาเล็กน้อยใส่ในจานเนื้อที่หมดไปแล้วของเขา จากนั้นลองชิมรสดู

"อืมม์ ก็ใช้ได้นะ แต่พอมากินหลังสเต๊กก็เลยอาจจะรู้สึกธรรมดาไปหน่อย"

คนตัวโตวิจารณ์ เขาแวะเวียนมาใช้บริการที่คลับเลาจ์แห่งนี้หลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ชิมพาสตาจานนี้

"ผมก็ว่างั้น เสียดาย น่าจะกินมันก่อนเนื้อเนาะ"

เจบ่นด้วยความเซ็งตัวเอง เขาจิ้มเปนเน่กุ้งในจานเข้าปากจนหมดแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนรักตาแป๋ว

"อยากสั่งเพิ่มก็สั่งสิ จะมามองหน้าฉันทำไม?"

คนตัวโตหัวเราะน้อย ๆ เขาเข้าใจความหมายในแววตาของเจดีโดยที่ไม่ต้องรอให้เจ้าตัวเอ่ยปาก เจยิ้มกว้างแล้วรีบยกมือเรียกพนักงานเสิร์ฟ เขาจัดการสั่งสเต๊กมาเพิ่มอีกสองชิ้นแม้คนตัวโตจะทัดทานว่าไม่ต้องสั่งเผื่อเขาก็ตาม



"คุณสั่งค็อกเทลไปหรือยังครับ?"

เจนยุทธถาม หลังจากจัดการสเต๊กของตัวเองหมดไปอีกหนึ่งชิ้นกับช่วยฆาเบียร์กินอีกครึ่งชิ้น เขาก็เดินไปตักผลไม้และของหวานมากินล้างปากก่อนที่จะเริ่มดื่มต่อ

"ยังไม่ได้สั่งเลยจ้ะ ฉันกะว่าจะรอให้เจมาก่อนถึงค่อยสั่ง แต่ฉันก็ดื่มมากไม่ได้อยู่แล้วล่ะนะ"

คนตัวโตถอนหายใจเบา ๆ แม้เขาจะเริ่มปรับลดยาที่ต้องกินไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังต้องจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์เช่นเดิม

"ไหน ดูซิ มีอะไรให้ดื่มมั่ง?"

 เจยกเมนูคอกเทลขึ้นดู สำหรับมื้อเย็นในคลับเลาจ์ของโรงแรมริทซ์ คาร์ลตัน มาเก๊าแห่งนี้ นอกจากจะเสิร์ฟอาหารและแชมเปญแล้ว ยังมีค็อกเทลและม็อกเทลให้เลือกดื่มรวมกันอีกเกือบสิบชนิด

"อืมม์ ไม่เอามาการิตา กินบ่อยแล้ว ทอม คอลลินส์กับอเมริกาโนก็ใส่ Gin ไม่เอา ขม..."

ฆาเบียร์กลั้นหัวเราะเมื่อเห็นคนรักงึมงำอ่านเมนูไปพร้อมกับทำหน้าเบ้เมื่อนึกถึงรสชาติของขมเฝื่อนของเหล้าข้าวบาร์เลย์ที่ผสมผลจูนิเปอร์และสมุนไพรหลากหลายอย่าง

"งั้นผมสั่งเจ้า Citrus Daiquiri นี่แล้วกัน คุณดื่มอะไรดีครับ?"

"ฉันเอา Mimosa แล้วกัน สั่งเลยนะ?"

ฆาเบียร์เรียกพนักงานเข้ามาหาเพื่อสั่งเครื่องดื่ม เขาสั่ง Citrus Daiquiri ซึ่งประกอบด้วยรัม น้ำมะนาวและน้ำเชื่อมให้เจนยุทธ ส่วนตัวเขาสั่งมิโมซาซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่มีแชมเปญเป็นตัวยืนและผสมด้วยน้ำส้มคั้นสด ไม่นานเครื่องดื่มทั้งสองแก้วก็ถูกนำมาวางไว้ตรงหน้าพวกเขา

"อืมม์ ก็ใช้ได้เนาะ อย่างน้อยดีกว่าที่ริทซ์ฮ่องกง มิโมซาของคุณเป็นไงมั่งครับ?"

เจนยุทธจิบค็อกเทลรสเปรี้ยวนำของเขาแล้วพยักหน้าหงึกหงัก แม้จะไม่ได้อร่อยเลิศ แต่ก็นับว่าใช้ได้ถ้าเทียบว่าเป็นของที่เสิร์ฟให้ดื่มไม่อั้นในคลับเลาจ์

"ก็ใช้ได้จ้ะ รสชาติไม่ผิดมาตรฐานอะไร"

คนตัวโตส่งแก้วแชมเปญที่ใส่ค็อกเทลสีส้มสดของเขาให้เจลองชิม เจชิมแล้วก็ตัดสินใจสั่ง Kir Royal หรือแชมเปญผสมเหล้าหวาน Creme de Cassis ซึ่งให้รสชาติของผลแบล็คเคอเรนท์ ส่วนฆาเบียร์นั้นตัดสินไม่สั่งต่อและสั่งกาแฟร้อนมาดื่มแทน








"ชีสและปาร์มาแฮมที่สั่งไว้ครับ"

บริกรหนุ่มวางจานปาร์มาแฮมพร้อมกับแตงดองลูกน้อยกับจานชีสที่เสิร์ฟมาพร้อมกับแคร็กเกอร์ลงตรงหน้าชายหนุ่มทั้งสอง เนื่องจากมื้อค่ำนี้มีเครื่องดื่มจำพวกคอกเทลเสิร์ฟ ฉะนั้นนอกจากอาหารเรียกน้ำย่อยในไลน์บุฟเฟต์และจานหลักแล้ว ยังมีอาหารจำพวกกับแกล้มแบบฝรั่งอย่างเช่นแฮม ชีส และแซนวิชต่าง ๆ ไว้บริการอีกด้วย

"สามตัวนี้คือชีสตามในใบเมนูเลยเหรอครับ?"

เจนยุทธถามคนตัวโตอย่างสงสัย ในใบรายการนั้นมีชื่อชีสฝรั่งเศสที่เขาไม่คุ้นเคยสามชนิด

"อืมม์ ไม่จ้ะ สีส้ม ๆ นี่คือ Mimolette เป็นชีสฝรั่งเศสที่มีวิธีทำคล้ายกับ Edams ของเนเธอแลนด์ รสออกแหลมนิดหนึ่ง..."

เจหยิบชีสสีส้มที่ตอนแรกเขานึกว่าเป็นชิ้นแครอทขึ้นกัดเล็กน้อยเพื่อชิมรสแล้วก็กินที่เหลือต่อจนหมดชิ้นอย่างติดใจ

"ส่วนนี่ก็ชีสบรี แต่ไม่แน่ใจว่าเป็น Brie de Meaux แบบที่เขียนบอกไว้ในเมนูหรือเปล่า..."

ฆาเบียร์ชี้ไปที่ชีสเนื้อนิ่มที่ทำจากนมวัวที่อยู่ในจาน เขาอธิบายต่อว่า Brie de Meaux นั้นเป็นชีส Brie ที่ได้รับการรับรองแหล่งผลิตหรือที่เรียกว่าตราสัญลักษณ์ AOC



"ชีสก็มีการติดตรา AOC เหมือนกันเหรอครับ? ผมนึกว่ามีเฉพาะในไวน์เสียอีก"

เจนยุทธถามอย่างงง ๆ สำหรับเขาแล้วจะคุ้นกับคำว่า AOC ในไวน์มากกว่า

"ถ้าว่ากันตามจริงแล้ว AOC คือสัญลักษณ์ที่กระทรวงเกษตรฯ ของฝรั่งเศสให้กับผู้ผลิตสินค้าทางการเกษตรจ้ะ ถ้าแปลตามตัวอักษรก็คือการรับรองว่าเป็นของที่ผลิตในท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงในด้านสินค้านั้นจริง อย่างชีส Brie de Meaux เนี่ยก็คือชีสบรีที่ผลิตในเมือง Meaux คืออาจจะมีหลายยี่ห้อ หลายผู้ผลิต แต่ต้องได้คุณภาพตามที่กำหนด ถึงจะมีสิทธิ์เรียกตัวเองว่าเป็นชีสชนิดนี้ได้"

"เออ เนาะ ผมก็ไปเข้าใจว่ามันหมายถึงการควบคุมคุณภาพเสียอีก"

เจซึ่งเคยเรียนภาษาฝรั่งเศสมาบ้างอุทานเมื่อมานึกถึงคำแปลของอักษรย่อสามตัวนั้นซึ่งก็คือ Appellation d'Origine Controlee

"มันก็ส่วนหนึ่งจ้ะ การที่จะได้ AOC มานั้นก็ต้องมีการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพให้ผ่านมาตรฐานจากแหล่งที่ผลิตนั้น แต่ละแหล่งก็มีความโหดหินต่างกันไป บางครั้งคนก็พูดกันว่ายิ่งเป็นแหล่งเล็ก ยิ่งโหดมาก..."

ฆาเบียร์พูดโดยยกตัวอย่างการผลิตไวน์ขึ้นมา

"อย่างไวน์เนี่ย เจจะเห็นว่าไวน์จาก Bordeaux น่ะมีตั้งแต่ขวดราคาหลักร้อยไปจนถึงหลักหมื่น แต่ในแคว้น Bordeaux นั้นก็ยังมีซอยย่อยออกเป็นอีกหลายแหล่งผลิต ทีนี้ไอ้เจ้าราคาของไวน์บอร์โดซ์เนี่ยก็จะมาวัดกันที่ตัวเขตนี่แหละว่ามาจากเขตไหน แล้วในแต่ละเขตนี่ก็ยังมีซอยย่อย ๆ ลงไปอีก บางที่ยิ่งแหล่งเล็กยิ่งได้ AOC ยาก ฉะนั้นโดยทั่วไป ไอ้ที่ราคาไม่แพงนัก ก็มักจะเห็นติดแค่ AOC Bordeaux...เฮ้ ๆๆ เดี๋ยวก่อน เหลือให้ฉันบ้างสิ"

คนตัวโตหยุดเพื่อรีบหยิบชีสมิโมแลตรสแหลมเข้าปากก่อนที่เจ้าตัวดีของเขาจะเนียนกินหมดก่อน เขาโคลงหัวน้อย ๆ และดึงจานชีสเข้ามาใกล้ตัวอีกนิดแล้วจึงเล่าต่อ



"...ยกตัวอย่าง Chateau Lafite Rothschild แล้วกัน ไร่นี้อยู่ในแคว้นบอร์โดซ์ ในแถบที่เรียกว่า Haut-Medoc ซึ่งปกติไวน์ที่ติด AOC Medoc เนี่ยก็นับว่าเป็นไวน์คุณภาพสูงอยู่แล้ว เพราะเป็นแหล่งผลิตที่มีชื่อเสียงและมีการควบคุมคุณภาพที่เข้มงวด แต่สำหรับลาฟิทแล้ว ไวน์ของเขาคุณภาพดียิ่งไปกว่านั้นและได้รับ AOC จากหมู่บ้าน Pauillac ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีพื้นที่แค่ซักยี่สิบกว่าตารางกิโลเมตรเองมั้ง"

"เป็นไร่เดียวในหมู่บ้านอะไรงี้ป่าวคุณ?"

เจนยุทธแซวพร้อมกับเคี้ยวปาร์มาแฮมในปากหยับ ๆ ฆาเบียร์หัวเราะหึ ๆ

"บ้าสิ ถ้าเป็นไร่เดียว AOC ของที่นี่ก็ไม่มีความหมายสิ หมู่บ้านนี้มีพื้นที่ปลูกไวน์ไม่ถึง 15 ตารางกิโลเมตร แต่มีไวน์ที่อยู่ในระดับ Grand Cru ปี 1855 ถึง 18 ตัวเลยนะ และมี 3 ตัวที่เป็นชั้นหนึ่งคือ Chateau Latour แล้วก็ Mouton กับ Lafite Rothschild"

"เฮ้ย! อย่างเจ๋ง! ผมก็ไปเข้าใจว่าไอ้พวก Pauillac Saint-Estephe Pomerol อะไรพวกนี้มันคืออีกแหล่งหนึ่งที่ไม่ใช่บอร์โดซ์ อะไรงิ เวลาซื้อผมก็เลยดูแต่ AOC Bordeaux ที่ไหนได้..."

เจบ่นอุบอิบ ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่

"นี่ แล้วตอนที่นายเรียนวิชาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์น่ะ อาจารย์เขาไม่ได้สอนเรื่องไวน์อะไรพวกนี้เหรอ?"

คนตัวเล็กหัวเราะแหะ ๆ แล้วบอกว่าด้วยความที่เขาสนใจไวน์แค่ผิวเผินจึงได้ปล่อยให้มันผ่านหูไปเพื่อสอบแล้วลืมจนหมดสิ้น

"ในห้องอาจารย์ก็ไม่ได้ลงรายละเอียดมากด้วยครับ เพราะต้องเรียนเกี่ยวกับแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มอื่น ๆ ทุกชนิด เรื่องไวน์นี่แค่แตะ ๆ ผมจำแค่ว่าแบ่งไวน์เป็นโลกใหม่ โลกเก่า มีที่ไหนบ้าง ของผรั่งเศสแบ่งเป็นสี่ประเภท Table Wine Vin de Pays VQ อะไรสักอย่าง แล้วก็ AOC ผมก็จำเอาว่า AOC ดัง ๆ มันมีอะไรบ้าง มี Bordeaux Burgundy อิเมด็อคนี่ผมก็เคยได้ยิน แต่ถ้าให้เลือกก็คงไม่เลือกเพราะนึกว่ามันเป็นตัวรอง"

ฆาเบียร์อดโคลงหัวไม่ได้และช่วยเติมสิ่งที่เจจำไม่ได้



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- "Don't Judge..." (ต่อ) ----




"V อะไรที่เจว่านั่นคือ VDQS จ้ะ Vin Delimite de Qualite Superieure ตัวนี้ก็คุมเข้ม แต่ไม่เท่า AOC คอไวน์หลายคนบอกว่าบางทีไวน์ VDQS หรือกระทั่ง Vin de Pays จากแหล่งเล็ก ๆ ที่คุมเข้มบางขวดยังดีกว่าไวน์กล่องหรือไวน์ฝาเกลียวที่ได้ AOC บอร์โดซ์อีกนะ"

"อืมม์ งั้นคราวหน้าเวลาเลือกไวน์ คุณก็สอนผมหน่อยแล้วกันว่าแหล่งไหนดีไม่ดี โอเค๊?"

"หึ คราวที่แล้วฉันก็เคยบอกแล้ว นายก็มัวแต่ไปสนใจอะไรก็ไม่รู้"

คนตัวโตตัดพ้อเบา ๆ

"น่า ๆ คราวหน้าผมจะสนใจที่คุณเล่ามากกว่านี้แล้วกัน เอ้า นี่ครับ ชีสของคุณ"

เจยิ้มอย่างน่ารักให้คนรักพร้อมกับส่งชีสบรีที่วางบนขนมปังกรอบให้ถึงปากของคนรัก ฆาเบียร์กัดกินเข้าไปแล้วทำหน้าพึงใจ

"อืมม์ อร่อยเลยนะ เนื้อชีสอะไรก็กำลังดี ไม่งอมจนเกินไป"

"เออ พูดถึงเรื่องความ ripe ของชีสบรีเนี่ย ทำผมงงเหมือนกันนะเนี่ย สรุปว่าเนื้อชีสบรีต้องไม่แฉะ ไม่เหลวเกินไปเหรอครับถึงจะดี? ผมเข้าใจมาตลอดว่าชีสบรีที่ไม่เยิ้มคือมันเก่าจนแข็งเสียอีกอ่ะ"

คนตัวเล็กถาม ในอดีตเขาเคยกินแต่ชีสบรีที่ซื้อในซุเปอร์มาเก็ตซึ่งอาจจะเก็บไม่ค่อยดีนักจึงทำให้เนื้อชีสเหลวและเยิ้ม ภายหลังเมื่อเขาได้เจอกับร้านขายชีสและแฮมดี ๆ อย่าง Enoteca เขาจึงได้รู้ว่าชีสบรีและกามองแบต์ที่ดีนั้นจะต้องเนื้อแน่นกว่าที่เคยกินมา



"เนี่ย อย่างของที่นี่ แบบนี้ถือว่าดีใช่ไหมครับ?"

เจยกชิ้นชีสบรีในจานขึ้นมาพิจารณา เนื้อชีสสีฟางอ่อนนั้นแม้ตรงกลางจะเริ่มนิ่มแต่ก็ไม่เหลวเยิ้มจนไหลออกมาจากตัวเปลือกที่มีราชนิดกินได้สีขาวปกคลุมอยู่บาง ๆ เขาไม่รอคำตอบจากคนตัวโตและส่งชีสชิ้นนั้นเข้าปากทันที

"ผมชอบแฮะ มันอร่อยกว่าที่เยิ้ม ๆ จริง ๆ แหละ"

"แน่นอนสิจ๊ะ ชีสที่ ripe เกินไปนั้นจะสร้างแอมโมเนียออกมา เวลากินจึงรู้สึกว่ากลิ่นแรงและมีรสผิดเพี้ยนไป แต่ถ้าเป็นแบบที่ใหม่เกินไป คือเนื้อแน่นหนัก นั่นก็จะแทบไม่ได้รสอะไรเลยเหมือนกัน"

"เข้าใจแล้วครับ คราวหน้าผมจะได้เลือกถูก"

เจตัดชิ้นชีสเนื้อนิ่มและวางมันลงบนแคร็กเกอร์พร้อมลูกแอปริคอทแห้งและเฮเซลนัท เขาส่งมันเข้าปากแล้วทำหน้าฟิน

"อร่อยจริง ๆ น้อ คุณว่ามันคืออะไรนะครับ? Brie de Meaux ใช่ไหม? ผมจะหาซื้อมันที่เชียงใหม่ได้ไหมเนี่ย?"

"อืมม์ เวลาซื้อ นายก็ลองขอดูกล่องหรือดูแพคเกจจิ้งเขานะว่ามันติดคำว่า Brie de Meaux หรือเปล่า อย่าไปสับสนกับ Fromage de Meaux นะ นั่นก็เป็นชีสอ่อนจากเมือง Meaux เหมือนกัน แต่ว่าไม่ได้ใช้นมจากเมืองหรือแคว้นนั้น ใช้ของแหล่งอื่น"

"หา? แค่นั้นก็ไม่ได้ตราแล้วเหรอครับ?"

เจนยุทธทำตาโต

"ใช่จ้ะ ฉันถึงบอกไง ว่าเขาคุมเข้มจริง ๆ จะว่าไป เขาบอกว่าในโลกตอนนี้ มี Brie แค่สองชนิดที่สามารถเรียกตัวเองได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็นชีสบรีแท้ที่ผลิตจากนมและโรงงานที่อยู่ในแคว้นบรี คือ ไอ้เจ้า Brie de Meaux นี่ และ Brie de Melun แต่ถ้าเจออยากให้ชัวร์ ก็ต้องดูด้วยว่าบนแพคเกจจิ้งมันมีตรา AOC ติดอยู่ด้วยหรือเปล่า..."

ฆาเบียร์ยกโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดรูปกล่องไม้กลมขนาดใหญ่ที่ใช้ใส่ชีสบรี เจรับมาดูแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว



"แต่คุณครับ บนนี้มันเขียนว่า AOP อ่ะ ไม่ใช่ AOC"

"อ้าว ตายล่ะ ใช่สิ ฉันลืมไปซะสนิท..."

คนตัวโตหัวเราะเขิน ๆ เพื่อแก้เก้อที่ตนเผลอปล่อยไก่ตัวโตไปต่อหน้าคนรัก

"น่าจะซักห้าหกปีก่อน ฝรั่งเศสเขาเปลี่ยนระบบรับรองแหล่งผลิตจ้ะ เปลี่ยนจาก AOC เป็น AOP น่าจะมาจากคำว่า Appellation D'Origine เอ่อ P นี่... Protegee มั้ง? แถมยังเปลี่ยนการจัดระดับไวน์จากสี่หมวดเป็นสามหมวด ฉันก็ไม่ได้มาสนใจจำเท่าไหร่ว่ามีอะไรบ้าง ก็ยังเรียกแบบเดิมอยู่ ก็เอาเป็นว่านายก็จำเอาไว้แล้วกันว่าถ้าอยากกินของดี ให้มองหาคำว่า AOC หรือ AOP แล้วกัน"

ฆาเบียร์พูดด้วยใบหน้าแดงระเรื่อเพราะความอาย เจอดขำท่าทางขัดเขินของคนรักไม่ได้ เขาหัวเราะคิกพร้อมทำท่าเจ้าเล่ห์

"โถ คุณ ไม่ต้องซีเรียสครับ ไม่ต้องซีเรียส จำผิดนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมไปหาอ่านต่อในเน็ตก็ได้ เข้าใจหรอกว่าพออายุเยอะแล้ว..."

"เจ! นายนี่มัน!..."

คนตัวโตว๊ากออกมาเบา ๆ เมื่อเจ้าตัวแสบพยายามจะยัดเยียดความชราให้เขาจนได้ เจส่งยิ้มหวานให้คนรักพร้อมกับใช้ส้อมจิ้มชิ้นเมลอนชิ้นไม่ใหญ่นักที่เขาใช้ปาร์มาแฮมพันไว้แล้ววางมันลงในจานของฆาเบียร์



"อย่างอนนะครับ คนดี"

"ฉันไม่ใช่นายนะ เจนยุทธ จะได้เอาของกินมาล่อได้น่ะ"

ฆาเบียร์แกล้งบ่นเบา ๆ และเบือนหน้าหนีเมื่อเจส่งมันป้อนมาถึงปากของเขา

"ไม่กินจริง ๆ เหรอครับ?"

เจนยุทธเกาะแขนล่ำสันของคนตัวโตไว้และใช้ยุทธการหมาน้อยของเขาอีกครั้ง ฆาเบียร์กัดริมฝีปากเบาๆ เมื่อเห็นสายตาเว้าวอนที่ส่งมา

"นี่โกรธผมจริง ๆ เหรอ?"

คนตัวเล็กเริ่มใจคอไม่ค่อยดีเมื่อเห็นคนรักยังทำนิ่งเฉย เขาเอื้อมมือไปกุมมือใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะ

"อย่าเคืองเลยนะครับ ที่หยอกเล่นนี่เพราะรักนะครับ ฆาบี้..."

ใบหน้าที่พยายามปั้นจนนิ่งเฉยของฆาเบียร์เริ่มขึ้นสีน้อย ๆ ด้วยความเขิน เมื่อเจนยุทธพูดบอกรักเขากลางคลับเลาจ์ด้วยเสียงที่ไม่ค่อยเบานัก เขาลอบมองใบหน้าที่เริ่มมีแววสลดลงแล้วก็ต้องใจอ่อน



"โอเค ๆ ฉันยอมนายแล้ว เจนยุทธ เอ้า มา จะให้ฉันกินอะไร ป้อนมาเลย"

ฆาเบียร์โคลงหัวน้อย ๆ แล้วเอนกายเข้ามาหาคนรักโดยหวังจะให้เจใช้ส้อมจิ้มป้อนให้เขา หากคนตัวโตก็ต้องตะลึงจนตัวแข็งเมื่อเจหยิบชิ้นเมลอนไปคาบไว้ในปากแล้วส่งมันถึงปากเขา แม้จะเป็นการกระทำแบบเร็ว ๆ ในตอนที่ไม่มีใครเห็น มันก็สร้างความตื่นเต้นให้กับเขาได้พอดู

"อืมม์ เมลอนหวานมาก"

คนตัวโตชมเบา ๆ แม้ในความเป็นจริงเขาจะแทบไม่รู้รสของเมลอนแล้ว ใจเขาคิดแต่อยากจะสัมผัสริมฝีปากนิ่มที่ปัดผ่านริมฝีปากเขาแผ่ว ๆ เมื่อสักครู่ ไหนจะเรียวลิ้นที่ไม่เพียงจะดันดุนชิ้นเมลอนเข้าปากเขาแต่ยังซุกซนเขี่ยไล้เพดานปากช่วงหลังฟันของเขาให้ได้รู้สึกสยิวน้อย ๆ เจ้าตัวยุ่งของเขาช่างรู้ดีนักว่าจะจุดไฟในกายเขาได้อย่างไร

"นายนี่มันร้ายนักนะ เจนยุทธ..."

ฆาเบียร์กัดฟันพูดเบา ๆ กับคนที่ยิ้มแป้นอยู่เบื้องหน้า

"...ยั่วกันแบบนี้ เราไปที่ห้องกันเลยดีกว่า ไม่ต้องไปเล่นไพ่กับพวกลุง ๆ แล้ว"

"เฮ้ย! ไม่ได้ครับ ไหนว่าจะเอาคืนลุงหลงให้ผมไง จะผิดคำพูดเหรอ?"

เจเผลอตัวร้องลั่น คนตัวโตหัวเราะแล้วใช้ดึงแก้มที่เจ้าตัวดีเป่าจนพองเบา ๆ

"จ้ะ ๆๆ ไม่ผิดคำพูดหรอก ฉันจะจัดการตาลุงตัวแสบนั่นให้นายเอง ว่าแต่อย่าลืมสัญญาของเราซะล่ะ"

ฆาเบียร์กำชับ เจพยักหน้าอย่างหนักแน่น

"ครับ ไม่ลืมแน่ รับรองคืนนี้คุณได้ร้องจนหมดเสียงแน่ ๆ"

เจพูดพลางไล้มือไปตามต้นขาแข็งแรงของคนรัก คนตัวโตอ้าปากค้างเมื่อฟังไปฟังมา คนที่จะโดนจัดการน่าจะเป็นตัวเขาเองมากกว่าเจ้าตัวดีของเขา



"เฮ้ เดี๋ยว ๆ นายบอกว่าจะปรนนิบัติฉันเต็มที่ไม่ใช่เหรอ?"

ฆาเบียร์ประท้วงลั่น

"ก็ใช่ไงครับ ผมจะปรนนิบัติคุณให้สบายตัวทั้งคืนเลย คุณแค่นอนเฉย ๆ ปล่อยให้ผมพาขึ้นสวรรค์เอง เครมะ?"

เจนยุทธกระซิบพร้อมส่งยิ้มหวานและแววตาเป็นประกายวิบวับให้คนรัก หนุ่มละตินได้แต่เกาหัวแกร่ก ๆ อย่างจนใจ

"งั้น ฉันไม่รับหน้าที่ไปจัดการลุงหลงให้นายแล้วดีกว่า ดูแล้วน่าจะได้ไม่คุ้มเสียแฮะ"

คนตัวโตทำบ่นเบา ๆ เจหุบยิ้มทันที

"ก็แล้วแต่คุณแล้วกันครับ ถ้าคุณคิดว่าสิ่งที่ผมจะทำให้คุณมันไม่คุ้มค่า ก็ตามใจคุณครับ..."

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่และขยับกายออกห่างคนตัวโต

"ผมก็แค่จำได้ว่าคุณเคยบอกไว้ว่าตอนอยู่กับผม ไม่ว่าจะเป็นบทบาทไหน คุณก็มีความสุขทั้งนั้น แต่ในความเป็นจริง มันคงไม่ใช่แบบนั้นใช่ไหมครับ?"

เจนยุทธทอดเสียงจนกลายเป็นการพึมพำ เขาก้มหน้าลงต่ำแต่ก็แอบเหลือบตาดูเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของคนตัวโตไปด้วย ฆาเบียร์โคลงหัวน้อย ๆ ท่าทีของเจนยุทธเองก็ไม่ได้หลุดรอดไปจากสายตาของเขา



"ฆาบี้ครับ..."

เจใจหายเมื่อคนตัวโตลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะ เขาพึมพำเรียกชื่อคนรักออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา ใจเขาคิดไปแล้วว่าฆาเบียร์อาจจะเคืองเขาเข้าจริง ๆ หากคนตัวโตก็หันกลับมาเรียกเขา

"เอ้า รออะไรอยู่ เร็ว ๆ สิ อยากให้ฉันจัดการลุงหลงให้ไม่ใช่เหรอ? เดี๋ยวฉันมีประชุมตอนสามทุ่มครึ่ง ถ้าชักช้ากว่านี้ เราจะกวาดเงินตาลุงตัวแสบนั่นได้น้อยนะ"

ฆาเบียร์ยิ้มกว้างพร้อมกับส่งมือใหญ่ของเขาให้เจนยุทธเกาะกุม เจระบายลมหายใจออกอย่างโล่งอกแล้วดึงกายลุกขึ้นจากเก้าอี้ เขาหันไปหยิบแชมเปญที่เหลืออยู่ครึ่งแก้วขึ้นกระดกจนหมดแล้วเดินกุมมือคนรักเพื่อออกไปจากคลับเลาจ์

"ยังไม่ได้กินขนมในไลน์เลยอ่ะ"

เจบ่นอย่างเสียดายเมื่อเดินผ่านเค้กชิ้นน้อยและพวกมูสในแก้วขนาดเล็กที่ตั้งเรียงรายอยู่ในไลน์บุฟเฟต์

"คราวที่แล้วที่มาที่นี่ผมก็ไม่ได้ชิมขนมของมื้อเย็นเหมือนกัน วันนั้นเรารีบไปโรบุชงกันด้วยเนาะ เลยได้กินแค่เค้กวันเกิด"

เจพูดพลางอมยิ้มเมื่อนึกถึงเซอร์ไพรส์ครั้งแล้วครั้งเล่าที่คนรักของเขามอบให้ในวันเกิดของเขาเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เจใช้ไหล่กระแทกไหล่คนรักเบา ๆ แล้วเอนหัวอิงแอบกับไหล่ของฆาเบียร์ คนตัวโตยิ้มน้อย ๆ แล้วยกมือขึ้นโอบไหล่สุดที่รักของเขา เขารู้สึกไดัถึงความรู้สึกของเจนยุทธที่ส่งผ่านมาทางการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้



"เออ เมลิน่าไปไหนแล้วอ่ะครับ? มากับคุณด้วยไม่ใช่เหรอ?”

เจนยุทธถามฆาเบียร์ด้วยความสงสัยระหว่างที่พวกเขาเดินทอดน่องไปตามโถงทางเดินที่นำไปสู่ห้องเล่นไพ่ของพวกก๊วนคุณลุง

“อ๋อ ฉันปล่อยให้เขาไปพักจ้ะ ไปช้อปปิ้ง กินข้าวให้เรียบร้อยก่อนที่จะมาเตรียมประชุมจ้ะ"

เจพยักหน้ารับคำ

"เอ่อ คุณประชุมสามทุ่มครึ่งใช่ไหมครับ นี่ก็เกือบทุ่มแล้ว ที่จริงคุณไปพักผ่อนก่อนก็ได้นะ วันนี้คุณทำงานมาเหนื่อย ๆ แล้วยังต้องลงเรือมามาเก๊าอีก เรื่องลุงหลงผมก็ว่าไปงั้นแหละ คุณไม่ต้องไปเอาคืนอะไรให้ผมหรอกอ่ะ"

เจนยุทธพูดเสียงอ่อย ๆ แล้วทำท่าจะดึงคนรักให้เดินย้อนกลับไปยังห้องของพวกเขา หากฆาเบียร์ขืนกายไว้

"ไม่เป็นไรจ้ะ สำหรับฉัน การเล่นโป๊กเกอร์นี่ก็ช่วยกระตุ้นสมองแล้วก็ทำให้ตื่นเต้นได้ดี ไม่ได้ทำให้เหนื่อยอะไรหรอก..."

คนตัวโตหัวเราะหึ ๆ ในลำคอ

"...อีกอย่าง ถ้าฉันไม่ไปเล่นเสียให้จบ ๆ ลุงเขาก็จะมาวอแวกับฉันต่อไม่จบไม่สิ้นอยู่ดี ก็เล่นมันตอนนี้โดยมีกรอบเวลาให้ซักสองชั่วโมงก็พอ ถ้ามาหลังประชุมนะ รับรอง ยาว!"

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อนึกถึงครั้งล่าสุดที่เขาต้องมาเป็นเพื่อนเล่นโป๊กเกอร์กับก๊วนคุณลุงพวกนี้ ในคราวนั้นอู่ทินหลงซึ่งแพ้ทั้งเขาและอาปาติด ๆ กันหลายตาไม่ยอมเลิกราและต้องการจะแก้มือจนสุดท้ายเขาต้องแกล้งยอมให้ หากตาลุงตัวแสบคนนี้ก็เหมือนจะยังไม่สมใจและร่ำร้องอยากเล่นไพ่กับเขาอีก เขาก็ได้แต่ผัดวันประกันพรุ่งมาเรื่อย ๆ



"ลุงแกนี่ก็ตลกดีเนาะ ทำไมถึงติดอกติดใจคุณขนาดนั้น"

"อ๋อ ฮ่ะ ๆๆ จะว่ายังไงดีล่ะ? คือลุงหลงเขาถึงภายนอกจะดูดุ ดูเข้าถึงยาก แต่จริง ๆ แกเป็นคนใจดีนะ โดยเฉพาะกับลูกหลานของเพื่อน ๆ แกดูแลทุกคนเหมือนเป็นลูกหลานของแกเองเลย..."

"เหรอครับ? ดูไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นเลยเนาะ"

เจนยุทธหัวเราะคิกเมื่อนึกถึงคุณลุงผู้แสนโผงผางคนนั้น

"แต่สำหรับฉัน มันเป็นกรณีพิเศษด้วยแหละ..."

ฆาเบียร์หยุดยืนตรงหน้าห้องเล่นไพ่ของก๊วนคุณลุง เขายกมือบอกชายหนุ่มชุดดำที่ยืนเฝ้าหน้าห้องว่ายังไม่ต้องเปิดประตู แล้วหันไปคุยกับคนรักต่อ

"ก็อย่างที่เห็น ฉันเป็นอเมริกัน เป็นละติโน ในตอนแรกที่อาปาพาฉันมาพบพวกลุง ๆ ถึงจะแนะนำฉันว่าเป็นลูกบุญธรรม แต่ลุงเขาก็ยังมองฉันเป็นคนนอกอยู่ดี..."



"เฮ้ย อาซิง คิดไงไปคว้าฝรั่งมาเป็นลูกบุญธรรมวะ? เด็กฮ่องกงเก่ง ๆ ดี ๆ น่ารัก ๆ มีถมถืด ไอ้ฝรั่งล่ำนี่ดูยังไงก็ไม่เข้าท่า"

อู่ทินหลงเบะปากพร้อมวิจารณ์ลูกบุญธรรมของ "อาซิง" หรือหว่องซีซิงผู้เป็นเพื่อนวัยเด็กของเขาอย่างไม่เกรงใจเพราะคิดว่าอย่างไรเสีย "ไอ้ฝรั่ง" คนนี้ก็คงไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด เขากวาดตามองฆาเบียร์ในวัย 32 ปี ซึ่งยืนทำหน้ามึนงงอยู่ตั้งแต่หัวจรดเท้าแว่บหนึ่งแล้วจึงหันไปคุยกับเพื่อน ๆ ต่อโดยไม่ให้ความสนใจกับหนุ่มละตินอีก ฆาเบียร์กำหมัดแน่นหากก็เลือกที่จะไม่ตอบโต้ใด ๆ จนกระทั่งสบโอกาส

"อาปาครับ ผมขอจัดการเพื่อนอาปาในวงไพ่นะครับ"

ฆาเบียร์แอบกระซิบกับคริสยามที่ชายวัยกลางคนร่างใหญ่ลุกไปเข้าห้องน้ำ คริสไม่ตอบหากตบบ่าลูกชายของเพื่อนสนิทเบา ๆ เป็นเชิงอนุญาต เมื่อเกมโป๊กเกอร์เริ่มขึ้น ฆาเบียร์เล่นโดยคอยดูสถานการณ์และรอจังหวะเหมาะ หลังจากผ่านไปสองสามเกมที่คริสและเพื่อนอีกสองสามคนผลัดกันชนะ ในที่สุดเขาก็มีโอกาสเมื่อเกมล่าสุดที่พวกเขาเล่นเหลือเขาและอู่ทินหลงเพียงแค่สองคน

"ไง ไอ้เด็กเวร ยอมแพ้เถอะน่า จะได้ไม่เจ็บตัวมากนัก"

อู่ทินหลงกล่าวเย้ยลูกบุญธรรมชาวต่างชาติของคริสเป็นภาษาอังกฤษ ฆาเบียร์ดูไพ่ในมือแล้วขบกรามน้อย ๆ

"ไม่ครับ ผมขอเกหมดหน้าตัก"

หนุ่มละตินปฏิเสธอย่างเด็ดเดี่ยว พร้อมกับดันกองชิปที่อยู่ตรงหน้าไปที่กลางโต๊ะ

"ได้ หมดก็หมด วัดกันไปเลย"

อู่ทินหลงหัวเราะเสียงกระหึ่มและกวาดชิปของตนลงไปบ้าง เขามั่นใจกับไพ่โฟร์การ์ดในมือซึ่งมีไพ่คิงถึงสี่ใบและเอซโพธิ์ดำอีกใบหนึ่ง เขายิ้มร่าอย่างสมใจเมื่อเห็นใบหน้าคมเข้มของฆาเบียร์เผือดสีลงไปเมื่อเขาหงายไพ่ทั้งหมดของตน หากชายวัยกลางคนร่างใหญ่ก็ต้องหุบยิ้มทันทีเมื่อฆาเบียร์ค่อย ๆ หงายไพ่ของตนทีละใบโดยเริ่มตั้งแต่ไพ่ 5 6 7 8

"และ 9 หัวใจ รวมเป็นสเตรทฟลัชครับ คุณลุง"

ฆาเบียร์พูดด้วยภาษากวางตุ้งชัดเปรี๊ยะ เขารู้มาโดยตลอดว่าในมือของอู่ทินหลงนั้นมีไพ่อะไร ด้วยความที่มองว่าเขาเป็นชาวต่างชาติไม่รู้ภาษา เพื่อนผู้โผงผางของอาปาเขาคนนี้ไม่ได้ระวังตัวเลยสักนิดและพูดอวดไพ่ในมือของตนไม่หยุดปากกับเพื่อน ๆ ที่หมอบไปก่อนหน้านี้แล้ว



"หลังจากนั้น ฉันก็โดนแบบที่เจโดนนั่นแหละ ลุงแกว๊ากลั่นว่าฉันโกงแล้วก็ให้เด็ก ๆ มาลากฉันโยนออกไปนอกห้อง ทำเอาฉันกลัวแทบตายเหมือนกัน"

คนตัวโตหัวเราะหึ ๆ เขาเองก็ใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อถูกคนมาลากตัวไป หากเมื่อหันไปเห็นใบหน้ายิ้ม ๆ ของอาปาคริส ฆาเบียร์จึงได้รู้ว่าถูกคุณลุงที่มีภาพลักษณ์ดุดันคนนี้เอาคืนให้เสียแล้ว

"พอเห็นอาปาขยิบตาให้ ฉันก็เลยทำใจดีสู้เสือแล้วทำท่าไม่กลัวน่ะ"



"ผมออกไปเองได้ครับ"

ฆาเบียร์ปัดมือชายหนุ่มชุดดำเหล่านั้นแล้วประกาศก้องเป็นภาษากวางตุ้งว่าจะเดินออกไปเอง หากเมื่อเขากำลังจะออกไปพ้นประตูห้อง อู่ทินหลงก็หัวเราะออกมา

"แน่เหมือนกันนี่หว่า ไอ้เด็กเวร ข้าชักถูกใจเอ็งแล้วสิ! สอนลูกมาดีเหมือนกันนี่ อาซิง"


ชายกลางคนร่างใหญ่ตบไหล่ลูกบุญธรรมของเพื่อนป้าบใหญ่จนฆาเบียร์เซไปน้อย ๆ แล้วจึงหันไปชมคริสเสียใหญ่โต

"ไหนตอนแรกว่าเด็กมันเป็นฝรั่งอั้งม้อ ไม่เข้าท่าไม่ใช่รึไง?"

วิคเตอร์ ลี ซึ่งเป็นอีกคนในวงไพ่ของคริสในวันนั้นถามยิ้ม ๆ

"เฮ้ย มันพูดกวางตุ้งได้ ก็นับว่าเป็นพวกเดียวกันกับเราแล้ว"



"เดี๋ยว ๆ ลุงแกพูดงั้นจริง ๆ เหรอครับ? แถสุด ๆ เลยอ่ะ ฮ่า ๆๆ"

เจนยุทธหัวเราะลั่นออกมาทันทีที่ได้ยินประโยคเด็ดในอดีตของอู่ทินหลง

"ใช่ แถสุด ๆ เลยจ้ะ แล้วหลังจากวันนั้น ลุงแกก็เหมือนจะติดอกติดใจฉันมาก ยิ่งพอรู้ว่าคุยภาษาเดียวกันก็ยิ่งชวนฉันคุย"

ฆาเบียร์อดยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงวันวาน ยิ่งคุย อู่ทินหลงก็ยิ่งถูกใจหนุ่มละตินที่ถูกเพื่อนของเขาสอนสั่งมาตั้งแต่เด็กคนนี้ พวกเขาคุยกันถูกคอในหลาย ๆ เรื่องและทำให้ฆาเบียร์ขึ้นแท่นกลายเป็นหลานคนโปรดของผู้เฒ่าคนนี้ไปโดยปริยาย

"จากนั้นก็อย่างที่เห็น ลุงแกรู้ว่าฉันมาฮ่องกงเมื่อไหร่ก็ต้องเรียกหาตลอด ส่วนหนึ่งก็เรื่องอยากเล่นไพ่ด้วยนั่นแหละ ก็แพ้ทุกครั้ง แต่ก็ไม่เข็ดล่ะนะ วันนี้ก็คงเหมือนเดิม"

"ขอให้เป็นแบบนั้นเถอะครับคุณ ห้ามแพ้นะ จำไว้!"

เจกำชับด้วยใบหน้าจริงจัง

"จ้ะ ๆ ไม่แพ้แน่นอน งั้น เราไปหาเงินกันเถอะ"

คนตัวโตหัวเราะเบา ๆ พร้อมกับหันไปบอกคนที่เฝ้าหน้าห้องให้เปิดประตูให้เขาและเจนยุทธเข้าไปในห้อง พวกเขาทักทายคริสและก๊วนคุณลุงที่กำลังนั่งสนทนากันอยู่ที่โต๊ะกินข้าวซึ่งทางคาสิโนจัดไว้ให้



"มาก็ดีแล้วแล้ว ไอ้เด็กเปรต ลุงเริ่มเบื่อหน้าอาซิงแล้ว เปลี่ยนมาเล่นแทนมันทีเถอะ"

อู่ทินหลงกวักมือเรียกฆาเบียร์ให้เข้ามาใกล้ ๆ เจนยุทธแอบอมยิ้ม เขาไม่แน่ใจว่าผู้เฒ่าผู้โผงผางคนนี้เรียกฆาเบียร์ว่าอะไรในภาษากวางตุ้ง หากเมื่อต้องใช้ภาษาอังกฤษ เมียตัวโตของเขาก็ถูกเรียกเป็น little brat ซึ่งมีความหมายในภาษาไทยเทียบเท่ากับคำว่าเด็กเวรหรือเด็กเปรต

"โอเค ๆ ผมมาแล้วครับ เล่นก็เล่น แต่ผมมีเวลาถึงแค่สามทุ่มนะครับ เดี๋ยวมีประชุมทางไกลต่อ"

ฆาเบียร์แกล้งทำท่าจนใจและเดินเข้าไปหาก๊วนคุณลุง คริสซึ่งกินอาหารที่ทางคาสิโนจัดให้เสร็จแล้วลุกขึ้นเดินไปนั่งที่โซฟาพร้อมกับกวักมือเรียกเจให้เข้าไปนั่งด้วย

"เดี๋ยวอาปาว่าจะไปซื้อของข้างนอกสักหน่อย เจจะไปด้วยกันไหม?"

เจนยุทธยิ้มร่าแล้วพยักหน้ารับคำ การกันคริสออกจากวงโป๊กเกอร์นั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่เขาบอกฆาเบียร์ไว้ว่าจะทำ

"เออ ดี ไปเลย ไปนาน ๆ เลยก็ได้นะ"

วิคเตอร์ ลีซึ่งเสียไพ่ให้กับทั้งเดวิดและคริสมาตลอดแทบทุกเกมรีบส่งเสียงไล่เพื่อน คริสหัวเราะเบา ๆ แล้วหันไปพูดกับลูกชายที่ถูกเพื่อนร่างใหญ่ของเขาลากไปนั่งประจำที่ที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว



"ถ้าอย่างนั้น อาปาฝากเราเล่นแทนหน่อยนะ ฆาบี้ ใช้ชิปของอาปาเลยก็ได้"

"ไม่เป็นไรครับ อาปา ผมขอเล่นโดยใช้เงินของตัวเองดีกว่า"

ฆาเบียร์พูดยิ้ม ๆ พร้อมกับล้วงมือเข้าไปหยิบชิปสองอันซึ่งเจนยุทธให้เขาไว้ออกมาจากอกเสื้อ

"ผมขอเล่นด้วยงบแค่นี้ ได้ไหมครับลุง?"

เมียตัวโตของเจหันไปค้อมหัวให้กับอู่ทินหลงซึ่งทำตาปริบ ๆ เมื่อเห็นชิปอันละหมื่นเหรียญสองอันนั้น

"ฮ่า ๆๆ ให้ตายสิ เด็ก ๆ ของนายนี่มันแสบไม่ใช่เล่นเลยนะ อาซิง..."

เดวิด จิวซึ่งมีท่าทีนิ่งเฉยมาตลอดหัวเราะออกมาดัง ๆ แล้วหันไปพูดกับคริส เขาพอเดาได้ว่าชิปเหล่านั้นคืออันที่เพื่อนร่างใหญ่ของเขามอบให้เจนยุทธไปก่อนหน้านั้น

"...ได้สิ เราจะเล่นด้วยงบแค่นั้นกันก็ได้ งั้น ลงกองกลางมาหมื่นนึง ที่เหลือเอาไปแลกเป็นชิปเล็กกว่านั้นมา"

เดวิดกระดิกนิ้วเรียกคนของคาสิโนซึ่งยืนคอยบริการอยู่ให้เข้ามารับชิปจากฆาเบียร์ไป แล้วหันไปดุอู่ทินหลงที่บ่นกะปอดกะแปดเป็นภาษากวางตุ้งไม่หยุดปากให้เลิกบ่น ส่วนฆาเบียร์นั้นอมยิ้มเมื่อได้ยินสิ่งที่ตาลุงท่าทางดุดันบ่นออกมา เขาคิดในใจว่าถ้าเจฟังกวางตุ้งรู้เรื่อง เจ้าตัวแสบต้องเถียงลั่นแน่ ๆ เมื่อได้ยินอู่ทินหลงบ่นว่าฆาเบียร์นั้นไม่ได้เรื่องที่กลัว "เมีย" จนยอมเล่นด้วยงบเท่าที่เมียให้มา



"งั้น เดี๋ยวผมมานะครับ จำไว้ ห้ามแพ้ล่ะ"

เจพูดกับฆาเบียร์โดยกระซิบประโยคท้ายเบา ๆ ที่ข้างหูของคนรัก เขาหน้าร้อนวาบเมื่อคนตัวโตตอบรับคำแล้วหันหน้ามาจุ๊บปากเขาเร็ว ๆ ต่อหน้าทุกคนในวงไพ่

"For good luck"

คนตัวโตพูดยิ้ม ๆ และหัวเราะออกมาน้อย ๆ เมื่อเห็นคนรักรีบเด้งกายหนีพร้อมใบหน้าแดงก่ำ

"เฮ้ย เลิกสวีทกันได้แล้ว ถึงตาเอ็งจั่วไพ่แล้ว ไอ้เด็กเวร"

อู่ทินหลงพูดพร้อมโบกมือไล่เจให้รีบ ๆ ไป เจค้อมหัวลาทุกคนแล้วรีบเดินตามคริสออกนอกห้องไป



"ถนนอาหารเหรอครับ?"

เจนยุทธถามเมื่อรถตู้อัลพาร์ดที่พาเขาและคริสออกจากโรงแรมริทซ์ คาร์ลตันมาจอดเทียบที่หน้าทางเข้าถนนอาหารหรือ Rua do Cunha ที่หมู่บ้านไทปา คริสพยักหน้าแล้วชวนเจลงจากรถโดยมีคนรถของอาหลงเข้ามาช่วยประคอง

"ที่นี่มีร้านขนมร้านโปรดของอาปาอยู่ ต้องมาซื้อทุกครั้งที่มามาเก๊าเลยนะ คราวนี้ก็ว่าจะมาซื้อกลับไปกินที่สหรัฐฯ ด้วย"

คริสหันไปบอกเจนยุทธพร้อมกับเดินนำหนุ่มไทยเข้าไปในย่านถนนอาหารที่คนเริ่มซาลงจากตอนกลางวันบ้างแล้ว เขาพาเจเดินผ่านร้านโจ๊กปูที่เจนยุทธเคยมากินเมื่อครั้งก่อนที่มามาเก๊า ก่อนที่จะมาหยุดหน้าร้านขนมแห่งหนึ่งซึ่งมีคนเข้าคิวรอซื้อของอยู่จำนวนหนึ่ง

"ร้านนี้เหรอครับ?..."

เจดูป้ายชื่อหน้าร้านขนาดหนึ่งคูหาซึ่งดูไม่ใคร่จะสวยงามนัก

"Pastelaria Fong Kei"

เขาอ่านชื่อจากป้ายหน้าร้าน ภายในร้านไม่ได้มีการตกแต่งสวยงามอะไร ด้านหน้าร้านที่เปิดโล่งไม่ได้มีประตูกั้นนั้นเป็นตู้กระจกซึ่งอัดแน่นไปด้วยขนมแบบจีนมาเก๊าสารพัดชนิด ตั้งแต่คุกกี้อัลมอนด์ ขนมทองพับแบบจีน คุกกี้วอลนัทและขนมไส้ฟักเชื่อมและมันหมูแบบที่เรียกว่า Wife's Cake ซึ่งเจรู้สึกว่ามันคล้ายกับขนมเปี๊ยะแต่ห่อด้วยแป้งที่กรอบร่วนกว่า ลึกเข้าไปในร้านนั้นเป็นส่วนทำและแพ็คขนม มันเต็มไปด้วยชั้นวางกระด้งที่ใช้ผึ่งขนมที่เพิ่งออกจากเตาใหม่ ๆ ให้เย็น กลิ่นหอม ๆ ของขนมที่เพิ่งอบสุกทำให้เจอดน้ำลายสอไม่ได้



"ร้านนี้เปิดมานานแล้วเหรอครับ?"

เจถามคริส บรรยากาศของร้านนี้ชวนให้เขานึกถึงร้านวิกุลพานิชซึ่งเป็นร้านขายซาลาเปาและขนมแบบจีนในเชียงใหม่ ร้านซาลาเปาชื่อดังแห่งนั้นเปิดให้บริการมากว่า 70 ปีแล้วและร้าน Fong Kei แห่งนี้ก็น่าจะเก่าแก่ไม่แพ้กัน

"ใช่จ้ะ ร้านขนมร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 1902 แล้ว แต่อาปามาเคยกินเอาเมื่อตอนโตแล้ว ช่วงที่เริ่มกลับมาทำงานที่ฮ่องกงน่ะ"

คริสเล่าว่าเดิมทีร้านนี้เปิดเป็นร้านขายชาโดยมีขนมแบบจีนเป็นของกินคู่กัน หากเมื่อสะพานข้ามจากฝั่งมาเก๊ามายังเกาะไทปาแห่งนี้เปิดใช้งานในปี 1974 คนมาเก๊าก็หลั่งไหลมายังเกาะแห่งนี้มากขึ้น เจ้าของร้านจึงตัดสินใจเปิดมันเป็นร้านขนมเต็มตัว

"ว่ากันว่า Wife's cake กับขนมไส้มันหมูของที่นี่ยังใช้สูตรเดิมตั้งแต่เปิดร้านมาเลยนะ แต่ของที่อาปาชอบที่สุดคือคุกกี้อัลมอนด์ กับนี่ เจ้านี่"

คริสชี้ให้เจดูขนมชนิดหนึ่งในตู้กระจกแล้วก็เงยหน้าขึ้นทักทายชายสูงวัยที่ยืนอยู่หลังตู้อย่างสนิทสนม จากนั้นเขาก็ชี้ ๆ เลือกขนมมาหลายชนิดเป็นจำนวนหลายสิบถุงจนเจตกใจ



"โห อาปาครับ เยอะขนาดนี้กินทันเหรอครับ?"

เจแอบกระซิบถาม คริสหัวเราะเบา ๆ

"ฉันซื้อไปเผื่อพวกเพื่อน ๆ ด้วยน่ะ พวกนั้นก็เป็นแฟนของขนมร้านนี้เหมือนกัน เจรู้ไหมว่าร้านเล็ก ๆ โทรม ๆ ร้านนี้ติดอยู่ใน Michelin Guide ด้วยนะ อยู่ในส่วนของ Street Food แล้วก็ The Plate"

เจทำตาโตเมื่อได้ยินแบบนั้น

"โห เจ๋งมากเลยครับ มิน่าล่ะ คนถึงเข้าคิวกันเต็มเลย วัดจากหน้าร้านไม่ได้เลยจริงๆ น้อ"

เจนยุทธเปรยเบา ๆ กับตัวเองและถามต่อ

"...แล้วของเด่นของร้านนี้ที่ไกด์แนะนำคืออะไรครับ?"

 "คุกกี้อัลมอนด์กับทองม้วนจ้ะ ลองเอาไปชิมดูสิ"

คริสพูดพลางหยิบธนบัตรใบละ 500 ดอลลาร์ฮ่องกงสามใบมาจ่ายค่าขนม ขนมของร้านนี้ไม่ถูกนัก แต่ก็คุ้มทุกครั้งที่ได้กิน เจเมียง ๆ มอง ๆ ในตู้ สุดท้ายเขาก็สั่งคุกกี้อัลมอนด์ไซส์มินิซึ่งใส่อยู่ในกล่องพลาสติกกลมทรงสูงมาหนึ่งกล่อง คุกกี้หมูหนึ่งถุง ขนมไส้มันหมูอีกหนึ่งถุงและขนมที่คริสบอกว่าเป็นของโปรดของเขาอีกสองถุง

"มา คิดเงินรวมกับของอาปาเลยแล้วกัน"

ผู้อาวุโสกว่าทำท่าจะดึงเอาขนมที่เจเลือกไว้เข้ามารวมกับกองขนมของเขา หากเจรีบยกมือกันไว้

"อาปาครับ ขอเถอะครับ ขอผมจ่ายของผมเองดีกว่า"

เจพูดเสียงอ่อย ๆ คริสทำท่าจะปฏิเสธแต่ก็เปลี่ยนใจ ฆาเบียร์เคยบอกเขาแล้วว่าเจนยุทธนั้นไม่ชอบที่จะให้เขาจ่ายนั่นนี่ให้โดยเฉพาะส่วนที่เป็นของส่วนตัว เจรีบหยิบเงินส่งให้คนขายก่อนที่คริสจะเปลี่ยนใจ

"เรานี่มันเหลือเกินจริง ๆ นะ อาปาจะเลี้ยงขนมแค่นี้ไม่ได้เลยเหรอ?"

คริสยกมือขึ้นโอบไหล่คนรักของลูกชายแล้วเขย่าเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู

"โธ่ อาปาครับ แค่อาปาจ่ายค่าเรือกับค่าที่พักที่มาเก๊าให้นี่ก็เยอะแล้วครับ ไหนจะเลี้ยงข้าวที่ฮ่องกงอีก แค่นี้ก็มากเกินพอแล้วครับ"

เจยิ้มกว้างให้พ่อบุญธรรมของคนรัก เขายื่นมือไปรับถุงขนมขนาดใหญ่หลายถุงจากคนขายและหิ้วมันเดินนำคริสออกมาจากร้าน Fong Kei






(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)




ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- "Don't Judge..." (ต่อ) ----




"เฮ้ย อะไรวะ?"

เจนยุทธผงะถอยหลังและสะบัดมืออย่างแรงเมื่อมีคนพยายามคว้าถุงในมือของเขา

"เจ เดี๋ยว..."

คริสรีบจับไหล่และส่งเสียงห้ามเจนยุทธที่ทำท่าจะโวยวายลั่นถนน

"นี่คนของเพื่อนอาปาเอง ปล่อยให้เขาช่วยเถอะ"

เจมองหน้าคริสอย่างงง ๆ จนคริสต้องพูดสำทับอีกครั้งเขาจึงยอมยื่นถุงขนมในมือให้ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่คนหนึ่งซึ่งรีบรับมันไปด้วยท่าทีนอบน้อม

"ผม เอ่อ ผมไม่เข้าใจ"

"อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกลูก เขาถูกส่งมาช่วยอำนวยความสะดวกให้เราน่ะ ป่ะ เราไปเดินดูอย่างอื่นต่อดีกว่า"

คริสโอบไหล่คนรักของลูกชายแล้วพาเดินออกจากร้านขนมเก่าแก่แห่งนั้น เจแอบเหลือบมองชายหนุ่มร่างสูงที่แต่งกายด้วยเสื้อเชิร์ตและกางเกงชิโน่ท่าทางเรียบร้อยคนนั้นซึ่งเดินตามคริสและเขาอยู่ไม่ห่าง เจนยุทธเดาว่าเขาคงไม่แคล้วเป็นเลขาฯ หรือผู้ติดตามของเพื่อนสักคนของคริส



"กินไอศกรีมไหม? ไอศกรีมทุเรียนของร้านนี้อร่อยนะ"

เจนยุทธซึ่งคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่หยุดเท้าเมื่อคริสตบไหล่เขาเบา ๆ และเอ่ยถาม เขาเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็พบว่าพวกเขายืนอยู่หน้าร้าน Gelatina Mok Yi Kei ร้านขนมอายุเก่าแก่กว่า 80 ปีซึ่งอวดว่าเป็นร้านแรกในมาเก๊าที่นำเอาทุเรียน Musang King ของมาเลเซียมาทำเป็นไอศกรีม

"เอ่อ กินก็ได้ครับ"

เจนยุทธตอบรับอย่างว่าง่าย คริสบอกคนขายที่ยืนอยู่หลังตู้ไอศกรีมว่าเขาต้องการไอศกรีมทุเรียนสองถ้วย แต่ก็ต้องทำคิ้วขมวดเมื่อได้ยินคำตอบจากคนขาย

"เขาว่ายังไงเหรอครับ?"

เจซึ่งฟังกวางตุ้งไม่ออกถามเมื่อเห็นคริสแสดงท่าทีผิดหวัง

"เขาบอกว่าไอศกรีมทุเรียนเหลือแค่ถ้วยเดียว งั้น..."

"อาปาครับ อาปากินเถอะครับ ไม่ต้องเอาให้ผม เดี๋ยวผมกินอย่างอื่นได้"

เจนยุทธรีบดักคอผู้อาวุโสทันที เขารีบหันไปชี้ไอศกรีมรสอื่นจากในตู้มาถ้วยหนึ่งแล้วหันกลับมายิ้มหวานให้คริส

"ตามใจเราแล้วกัน"

คริสโคลงหัวน้อย ๆ และจัดการจ่ายเงิน เขาพาเจนยุทธเดินไปยังลานกว้างด้านหน้าร้าน Mok Yi Kei อันเป็นที่ตั้งของศาลาซึ่งเคยเป็นตลาดเก่าแก่ของหมู่บ้านไทปา เขาลงนั่งบนเก้าอี้ไม้และเรียกเจให้นั่งลงข้าง ๆ

 

"ชิมไหม?"

คริสเปิดฝาถ้วยไอศกรีมของเขาแล้วส่งให้เจนยุทธ แต่เจปฏิเสธ คริสจึงตักไอศกรีมกินก่อนหนึ่งคำแล้วจึงส่งให้เจนยุทธอีกครั้ง คราวนี้เจรับมาและใช้ช้อนใหม่ตักไอศกรีมสีเหลืองนวลนั้นเพียงเล็กน้อย

"อืมม์ กลิ่นแรงเอาเรื่องเหมือนกันนะครับ"

คริสพยักหน้า เขาบอกเจว่าทุเรียนมูซางคิงซึ่งชาวมาเลเซียภูมิใจว่าเป็นทุเรียนที่อร่อยที่สุดในโลกนั้นอาจจะกลิ่นแรงไปสำหรับเจที่คุ้นชินกับทุเรียนสายพันธุ์ไทยอย่างหมอนทอง หากทุเรียนเนื้อสีเหลืองเข้มชนิดนี้กลับถูกจริตของคนจีนซึ่งชอบทุเรียนที่มีกลิ่นรสเข้มข้น

"อร่อยดีครับ อันที่จริงคราวที่แล้วที่ผมมามาเก๊าก็ว่าจะชิมซะหน่อย แต่ว่าโดนเบรคซะก่อน"

เจพูดยิ้ม ๆ พลางเปิดฝาถ้วยไอศกรีมของเขา เจยกฝาขึ้นเลียผงบิสกิตป่นสีน้ำตาลที่ติดอยู่ใต้ฝาอย่างลืมตัว เมื่อนึกได้เขาก็หันไปหัวเราะแก้เขินกับคริสซึ่งมองมาอย่างเอ็นดู



"ไหน เราสั่งไอศกรีมอะไรมา ขออาปาดูหน่อยซิ"

คริสชะโงกหน้าไปดูไอศกรีมในมือของเจแล้วร้องอ๋อออกมา

"Sawdust icecream สินะ"

"ใช่ครับ"

เจนยุทธตอบรับ ไอศกรีมชนิดนี้เป็นการเลียนแบบขนมชื่อดังของมาเก๊าอย่าง Serradura Pudding ขนมที่ได้รับอิทธิพลจากโปรตุเกสชนิดนี้ประกอบด้วยชั้นวิปครีมหนาสลับกับชั้นบิสกิตป่นบาง ๆ และไอ้เจ้าบิสกิตป่นสีน้ำตาลที่โรยหน้าขนมนี่เองที่ดูเหมือนขี้เลื่อย จึงเป็นที่มาของชื่อ Serradura ซึ่งแปลว่า sawdust หรือขี้เลื่อย ในภาษาโปรตุเกส

"ผมมามาเก๊าหลายหนแล้ว แต่เคยกิน Serradura แค่ครั้งหรือสองครั้งเองมั้งครับ"

เจพยายามนึกถึงรสชาติของขนมชนิดนี้ที่เขาเคยได้ลิ้มลองในร้าน Platão ซึ่งปิดตัวลงไปแล้ว

"ผมจำได้ว่าของร้านนั้นเขาจะโรยฝอยทองไว้ชั้นบนสุดอีกที"

เจพูดพลางตักไอศกรีมที่มีชั้นผงบิสกิตบาง ๆ โรยหน้าสมชื่อเข้าปาก

"ก็ใช้ได้ครับ แต่ผมชอบแบบเป็นขนมเลยมากกว่า"

คริสใช้ช้อนตักไอศกรีมจากถ้วยที่เจยื่นส่งให้และชิมรสดูบ้าง เขาหันไปพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับเจนยุทธ

"แบ่งไอศกรีมทุเรียนของอาปาไปอีกหน่อยไหม?"

คริสยื่นถ้วยพลาสติกในมือตนให้เจนยุทธบ้าง หากเจปฏิเสธพร้อมยิ้มอาย ๆ

"ไม่เป็นไรครับ ขืนผมกินอีกต้องมีคนบ่นแน่ ๆ"

คริสร้องอ๋อและหัวเราะเบา ๆ เมื่อนึกได้ว่าฆาเบียร์นั้นไม่ชอบกลิ่นทุเรียนแค่ไหน








"เอ่อ เดี๋ยวอาปาจะกลับแล้วหรือยังครับ?"

"อืมม์ ตอนนี้กี่โมงแล้วนะ?..."

คริสยกนาฬิกา Breitling Chronomat สายหนังรุ่นปี 1984 ซึ่งอันเดรส เพื่อนรักของเขาซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดอายุครบ 30 ปีขึ้นดู ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว แต่ถนนสายอาหารในคืนวันเสาร์ก็ยังคงคึกคัก

"เพิ่งสองทุ่มกว่า เราอยากกลับแล้วเหรอ?"

คริสย้อนถามคนรักของลูกชาย เจยิ้มเขิน ๆ

"แหะ ๆ คือ ถ้าอาปายังไม่กลับ ผมว่าจะเดินไปซื้อทาร์ตไข่มากินซักชิ้นน่ะครับ"

เจนยุทธหัวเราะแหะ ๆ เมื่อครู่เขามัวแต่สนใจกับร้าน Fong Kei จนลืมไปเสียสนิทว่าเยื้อง ๆ กันนั้นมีร้านทาร์ตไข่ชื่อดังอย่าง Lord Stow's เปิดอยู่

"งั้นไปเถอะ อาปาจะนั่งเล่นที่นี่อีกสักพัก วันนี้อุดอู้อยู่ในห้องมาหลายชั่วโมงแล้ว รับอากาศบ้างก็ดี"

คริสโบกมือบอกให้เจนยุทธไปเดินเล่นตามอัธยาศัย เจลุกขึ้นแต่ก็หันกลับมาถามคริสอีกครั้งว่าคริสต้องการเครื่องดื่มหรือกาแฟไหม หากอาปาของเขาก็ปฏิเสธ เจค้อมหัวรับคำและเดินลงจากลานไป



"เอ๊ะ!..."

เจอุทานเบา ๆ กับตนเองเมื่อซื้อขนมเสร็จแล้วหันไปเจอกับชายแปลกหน้าคนหนึ่งซึ่งพยายามเดินหลบแว่บเข้าไปในร้านข้าง ๆ เขาแอบเหลือบมองอย่างไม่ไว้วางใจเพราะจำได้ว่าเมื่อเขาผละจากอาปาออกมา เขาเห็นชายคนนี้ยืนอยู่แถวๆ หน้าร้านสตาร์บัคส์ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากที่ที่พวกเขานั่งอยู่เมื่อสักครู่ เจรีบเร่งฝีเท้าเดินกลับไปหาคริสด้วยความเป็นห่วง

"อาปาครับ ผมว่าเรารีบกลับกันดีกว่า"

เจนยุทธซึ่งหอบน้อย ๆ พูดกับพ่อบุญธรรมของคนรักด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

"ทำไม เจ มีอะไร? ทำไมหอบแบบนั้นล่ะ?"

คริสทำท่าตกใจเมื่อเห็นทีท่าของคนรักของลูกชาย เจรีบเล่าสิ่งที่เขาเจอให้คริสฟังและแอบโบ้ยปากไปยังชายคนนั้นที่กลับมายืนมองพวกเขาอยู่ที่หน้าร้านสตาร์บัคส์เหมือนเดิม เขายิ่งเป็นกังวลหนักเมื่อเห็นว่าชายคนนั้นไม่ได้อยู่คนเดียว

"อ๋อ ฮ่ะ ๆๆ พวกนั้นนั่นเอง..."

ผู้อาวุโสหัวเราะออกมาลั่น เขาหันไปหาผู้ติดตามที่เพื่อนของเขาส่งมาและพูดด้วยเบา ๆ เป็นภาษากวางตุ้ง ชายหนุ่มท่าทางสุภาพคนนั้นค้อมหัวรับคำและลุกขึ้นส่งสัญญาณให้ชายฉกรรจ์เหล่านั้น



"พวกนี้ก็คนของเพื่อนอาปาทั้งนั้นแหละ พวกเขาแค่มาคอยรักษาความปลอดภัยให้ตามปกตินั่นแหละ"

คริสพูดพลางผายมือบอกเจให้นั่งลง เจนยุทธซึ่งยังงง ๆ กับสถานการณ์ก็ยืนหันรีหันขวางดูกลุ่มชายฉกรรจ์อีก 6 คนที่ขึ้นมากระจายตัวกันนั่งบนม้านั่งยาวใกล้ ๆ ที่ที่เขาและอาปานั่งอยู่

"เอ่อ มาเก๊ามันอันตรายขนาดนั้นเลยเหรอครับอาปา ลุงหลงเขาถึงต้องส่งคนมาเฝ้าเยอะขนาดนี้?"

เจนยุทธลงนั่งและถามเสียงอ่อย ๆ สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเขา มาเก๊าเป็นเมืองที่ค่อนข้างปลอดภัย แต่สำหรับคนทำธุรกิจ โดยเฉพาะลุงหลงที่เจคาดว่าน่าจะอยู่ในวงธุรกิจสีเทาหรือธุรกิจมืดแน่ ๆ อาจจะต้องถือคติปลอดภัยไว้ก่อน

"ทำไมเจถึงคิดว่าหนุ่ม ๆ พวกนี้เป็นคนของอาหลงล่ะ?"

คริสย้อนถามแทนที่จะตอบคำถามของเจนยุทธ เจอึกอักแล้วก็กระซิบตอบออกมาเบา ๆ

"ก็...ก็ฆาบี้บอกอ่ะครับ ว่าลุงเขาเป็น เอ่อ เป็นผู้มีอิทธิพลแถวนี้ ผมก็เลยคิดว่าพวกนี้น่าจะเป็นคนของลุงหลง"

"เหรอ? ฆาบี้เขาบอกออกมาตรง ๆ เลยเหรอว่าอาหลงเป็นเจ้าพ่อหรืออะไรแบบนั้น?"

คริสถามด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่เจก็อดสังเกตเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของอาปาของเขาไม่ได้ เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองคงเข้าใจอะไรผิดไปถนัด

"เอ่อ ฆาบี้เขาก็ไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ หรอกครับว่าเป็นลุงหลง เขาบอกแค่ว่าในกลุ่มเพื่อนอาปานั้นมีแต่คนที่ไม่ธรรมดา มีทั้งนักธุรกิจใหญ่แล้วก็ผู้มีอิทธิพลอะไรเทือกนั้นด้วยน่ะครับ..."

เจพูดเสียงอ่อย ๆ แล้วเล่าสิ่งที่คนรักเคยบอกให้เขาฟัง



"...ผมก็เลยเดาเอาจากบุคลิกท่าทางว่าคนที่ฆาบี้พูดถึงน่าจะเป็นลุงหลงนี่แหละครับ"

เจนยุทธพูดด้วยเสียงแผ่วเบา ท่าทางกลั้นยิ้มของอาปาคริสทำให้เขาชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่าคิดถูก

"หึ ๆ ฆาบี้นี่ก็ไม่ไหวเลยที่ไปขู่ลูกซะแบบนั้น เล่นพูดเกินจริงไปซะเยอะเลยนะ แบบนี้เจไม่มองเพื่อนอาปาเป็นเจ้าพ่อแบบอัลคาโปนหรือพวกอั้งยี่ไปแล้วเหรอ?"

เจทำหน้าจ๋อยแล้วพยักหน้าน้อย ๆ ในตอนแรกเขาก็ไม่ได้คิดไปถึงขนาดนั้นจึงได้กล้าขอให้ฆาเบียร์ไปเอาคืนคุณลุงตัวแสบให้เขาในวงไพ่ แต่หลังจากได้เจอกับเหล่า "ผู้ติดตาม" ที่ถนนอาหารแห่งนี้แล้ว เจก็ชักเริ่มรู้สึกเป็นห่วงฆาเบียร์ขึ้นมาตะหงิด ๆ คริสโคลงหัวเมื่อเจอ้อมแอ้มเล่าถึงสิ่งที่เขากังวลออกมา

"เอาเถอะ ๆ ถ้าเจรู้สึกไม่สบายใจ เรากลับโรงแรมกันแล้วก็ได้"

คริสหัวเราะน้อย ๆ แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ เจลุกขึ้นตามแล้วก็ต้องแอบสะดุ้งเฮือกเมื่อเหล่าผู้ติดตามก็ลุกพรวดขึ้นเช่นกัน ชายร่างสูงท่าทางสุภาพที่เข้ามาช่วยเขาถือของในคราแรกเดินตรงเข้ามาหาพร้อมกับขอถุงทาร์ตไข่ในมือที่เขาไม่มีอารมณ์จะกินแล้วและเอาไปถือไว้ให้อีกครา เจอดกลั้นหายใจไม่ได้เมื่อสังเกตเห็นซองปืนพกที่เหน็บอยู่ที่หลังเอวของชายคนนั้น แม้เขาจะเหลือบตามองเพียงแว่บเดียวและรีบเบือนหน้าหนี หากชายคนนั้นก็เหมือนจะรู้ตัวและรีบดึงชายเสื้อเชิร์ตที่ตลบขึ้นของตนลงคลุมซองปืนนั้นเช่นเดิมก่อนที่จะส่งยิ้มอันแสนสุภาพมาให้เขา



"เอ้า ๆ เราไปกันเถอะ"

อาปาของฆาเบียร์ตบไหล่คนรักของลูกชายที่ดูมีท่าทีลนลานขึ้นมาอีกเบา ๆ และพาเจเดินย้อนไปตามทางเดิมโดยมีกลุ่มชายฉกรรจ์เดินล้อมรอบพวกเขาอยู่ห่าง ๆ จนกระทั่งถึงปากทางเข้าถนนอาหาร ที่นั่น รถอัลพาร์ดสีดำสนิทพร้อมกับคนขับในชุดดำซึ่งเจรู้แน่ชัดว่าเป็นคนของอู่ทินหลงก็ได้มารอพวกเขาอยู่แล้ว

"เอ้า เอาไปแจกพวกเด็ก ๆ ซะ ขอบใจนะที่มาช่วยดูแล"


คริสยัดธนบัตรฮ่องกงจำนวนหนึ่งเข้ามือของชายร่างสูงซึ่งทำท่าทางลำบากใจ แต่ในที่สุดเขาก็ปฏิเสธผู้เฒ่าคนนี้ไม่ได้และต้องยอมรับเงินจำนวนนั้นไป คริสก้าวขึ้นรถไปนั่งเคียงข้างเจที่นั่งรออยู่แล้ว เมื่อประตูปิด เจมองไปนอกหน้าต่างก็เห็นชายกลุ่มนั้นยืนก้มหัวแสดงความเคารพให้คริสจนกระทั่งรถลับสายตา

"ยังคาใจอยู่ใช่ไหม?"

คริสส่งยิ้มละไมให้คนรักของลูกชายที่ยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เจพยักหน้าน้อย ๆ ต่อให้คริสพูดทำนองว่าอู่ทินหลงไม่ได้เป็นเจ้าพ่อหรือผู้มีอิทธิพลอย่างที่เขาเข้าใจ แต่กลุ่มชายฉกรรจ์เมื่อสักครู่ก็ทำให้เขารู้สึกติดค้างอยู๋ใจอยู่ไม่ใช่น้อย

"ผมก็แค่สงสัยนิดหน่อยครับ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องที่เล่าไม่ได้ หรือว่าไม่ควรรู้ อาปาก็ไม่ต้องบอกผมหรอกนะครับ"

เจพูดต่อหลังจากที่บอกข้อสงสัยของเขาให้คริสฟัง ตัวเขาเองก็ไม่ได้อยากจะเกี่ยวข้องหรือรับรู้เกี่ยวกับโลกใต้ดินแบบนี้มากนัก คริสหัวเราะน้อย ๆ แล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้นวมแสนสบายของรถตู้อันหรูหรา

"มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เล่าไม่ได้อะไรหรอกนะ เจนยุทธ แต่อาปาอยากให้เราจำไว้อย่างหนึ่งก่อน..."

คริสระบายยิ้มบาง ๆ บนใบหน้าและหันไปจ้องหน้าคนรักของลูกชาย

"...Don't judge the book by its cover"




----------------------------------------------------


ตอนนี้มันกระพร่องกระแพร่งยังไงไม่รู้น้อ เกือบสิบวันเขียนไปได้ห้าหน้า มาอัดเอาช่วงสามสี่วันนี่แหละค่ะ หัวแล่นเป็นพัก ๆ จริง ๆ เลย เริ่มต้นตอนว่าจะเขียนเรื่องร้านขนม Fong Kei ก็กลายเป็นว่ามีเรื่องอื่นมาแทรกแทนเสียนี่ เรื่องร้านขนมขอเก็บไปรีวิวตอนหน้านะคะ

จริง ๆ ชื่อตอนอยากใช้ Don't judge the book by its cover เลย แต่คิดว่ายาวไป เลยใส่แค่ Don't Judge ก็พอเนาะ



เปิดตอนมาก็ขออวย Club Lounge ที่โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าดีที่สุดเท่าที่เคยเจอมาแล้วนะคะ (ด้านอาหารและบริการ) เรียกได้ว่าบริการสมชื่อ Ritz-Carlton จริง ๆ ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะคลับเลาจ์ที่นี่คนใช้บริการน้อย (ตอนที่ไป) เพราะว่าแขกส่วนใหญ่จะใช้เวลาอยู่ในคาสิโน ไม่ค่อยมีใครมานั่งแช่เท่าพวกเรา มาก็กิน ๆๆ แล้วก็ไป ส่วนคนเขียนกับคนไปด้วยนั้นก็นั่งละเลียด นั่งคุยกับพนักงานไปเรื่อย ๆ

ในตอนนี้ก็นำเสนอส่วนที่เป็นเซ็ตน้ำชายามบ่ายกับอาหารมื้อเย็นก่อนนะคะ ทั้งสองมื้อนี้ไม่ใช่แบบขอไปทีแน่นอน แม้จะมีของกินให้เลือกไม่มากนัก แต่คุณภาพนี่ถือว่าดีมากโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับของฮ่องกงที่คนเขียนคิดว่าน่าผิดหวังค่ะ (ขอกระซิบว่าที่นี่ราคาถูกกว่าด้วย) อย่างชุดน้ำชายามบ่ายนี่ ก็เติมได้เรื่อย ๆ ค่ะ ของที่เสิร์ฟดีกว่าชุดน้ำชาที่ขายตามโรงแรมในเชียงใหม่ส่วนมากเสียอีก แต่ก็อย่างที่ฆาเบียร์ว่าในตอนต้นตอนนั่นแหละค่ะ เขาบวกไปในค่าห้องเรียบร้อยแล้ว ส่วนชานั้น ไม่ได้ดื่มเลยค่ะเพราะว่ามีแชมเปญให้บริการทั้งวัน เรียกได้ว่าไปคราวนี้ได้ใช้ชีวิตแบบดื่มแชมเปญแทนน้ำจริง ๆ ถึงจะไม่ใช่เป็นแชมเปญราคาขวดละสี่พันกว่า (ราคาบ้านเรา) อย่าง Veuve Clicquot ที่ริทซ์ ฮ่องกง แต่แชมเปญ Baron de Rothschild ที่ทำมาให้โรงแรมริทซ์โดยเฉพาะนี้ก็ไม่ได้แย่ค่ะ บ้านเราหากินยากด้วย

ส่วนมื้อเย็นและค็อกเทลนั้น จัดว่าดีค่ะ ตอนแรกนึกว่าจะมีแค่ไลน์บุฟเฟต์และมีอาหารจานร้อนวางให้ตักเหมือนที่ฮ่องกง แต่กลับเป็นว่าเขามีจานร้อนให้สั่งถึงสองอย่าง คือซีฟู้ดและจานเนื้อ จานซีฟู้ดอย่าง penne กุ้งนั้น รสชาติใช้ได้ แต่ก็ไม่ได้เด่นมากนัก แต่ที่ทำให้คนเขียนสั่งเพิ่มไปสามรอบคือสเต๊กเนื้อแองกัสนี่แหละค่ะ (ถ้าจำไม่ผิดนะคะ จำไม่ได้ว่าแองกัสหรือวากิว) ถ้าจำได้ คนเขียนเคยเขียนถึงโรงแรมอินเตอร์คอนกรุงเทพฯ ว่ามีสเต๊กเนื้อเสิร์ฟตอนเช้าและคนเขียนชอบนักหนา แต่ของที่นี่ยังอร่อยกว่าอีกค่ะ อาจจะเพราะไม่ได้มีแค่เนื้อมาดาด ๆ แบบนั้น แต่ว่ายังมีเครื่องเคียงและซอสมาเต็มเหมือนของเสิร์ฟตามร้านอาหาร กินเพลินมากค่ะ

ส่วนอาหารในไลน์บุฟเฟต์นั้นก็ถือว่ามาตรฐาน สลัดของเขาที่มีให้คลุกเองนั้นมีเครื่องให้เลือกเติมเยอะมาก แต่ก็ไม่ได้กินเพราะมัวแต่จะกินเนื้อค่ะ ส่วนพวกสลัดที่คลุกมาแล้วก็มาตรฐาน แต่ก็พอรู้ได้ว่าใช้ของดี เช่นเดียวกับขนมและอื่น ๆ ที่ถูกใจมากคือมีบลูเบอรี่สดให้ในไลน์ผลไม้ด้วยค่ะ บ้านเราอย่างแพง แหะ ๆ

ส่วนค็อกเทลของที่นี่ก็ทำอร่อยกว่าที่ริทซ์ฮ่องกงค่ะ อาจจะเพราะครึ่งหนึ่งเป็นแชมเปญค็อกเทล ซึ่งถ้าแชมเปญรสชาติไม่แย่เกินไปก็ออกมาอร่อยอยู่แล้ว ส่วนของแกล้มก็มีพวกแซนวิช (ไม่ได้สั่ง) ชีสและแฮมค่ะ ชีสที่มานี่ไม่แน่ใจว่าเป็น brie de meaux ตามที่เขียนไว้ในเมนูหรือเปล่า แต่สีส้ม ๆ นั่นใช่ Mimolette แน่ค่ะ พูดถึงชีสบรี ก็ตามในเรื่องค่ะ คนเขียนกินแบบเนื้อชีสเหลว ๆ มาตลอดเพราะแถวนี่ไม่ได้มีดี ๆ ให้เลือกมากนัก เพิ่งมารู้เอาตอนหลังนี่แหละว่า ของดีมันต้องไม่เหลวเยิ้มมากนะ ก็ว่าเมื่อก่อนทำไมกินแล้วมันถึงเหม็นแอมโมเนียจัง

ส่วนมื้ออื่น ๆ ของคลับเลาจ์ที่ริทซ์ มาเก๊านี่คนเขียนจะรีวิวในตอนถัดไปนะคะ ส่วนเรื่องไวน์บอร์โดซ์ การจัดอันดับและเรื่องชีสบรีนี่ ไม่ขอลงรายละเอียดเพิ่มแล้วนะคะ ตอนหน้าจะพยายามมาเร็วกว่านี้ค่ะ แหะ ๆ


ลืมลงรูป Serradura ค่ะ จากร้าน Platao ที่ปิดไปแล้ว






เพจแชมเปญ Baron de Rothschild ค่ะ http://bit.ly/32bFwcL

How to Eat Brie http://bit.ly/2Xq9BBV


ร้าน Fong Kei ค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=kXK6gTY6AFk





ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
แสดงว่าเด็กๆไม่ได้สังกัดลุงหลง

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1
แสดงว่าเด็กๆไม่ได้สังกัดลุงหลง

คิดว่าน่าจะเป็นเด็กใครคะ?

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 o13 :pig4: :pig4: :pig4:  o13

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- ค่ำคืนของเขากับเหล่าคุณลุง ----




"Don't judge the book by its cover"

'อย่ามองคนแค่เพียงภายนอก'



คำพูดของคริสดังก้องอยู่ในหัวของเจนยุทธหลังจากที่เขาได้ยินสิ่งที่อาปาของฆาเบียร์เล่าให้เขาฟัง สิ่งที่เขาได้ยินมานั้นช่างเกินความคาดหมายของเขายิ่งนัก

"เจ..."

"ครับ อาปา"

เจนยุทธตื่นจากภวังค์

"ถึงโรงแรมแล้วล่ะ"

คริสยิ้มบาง ๆ ให้คนรักของลูกชาย เจรีบขยับกายออกจากที่นั่งเพื่อลงจากรถ เขาช่วยประคองคริสลงรถและหิ้วถุงขนมจำนวนมากให้

"นี่ ๆ ไม่ต้องเกร็งหรอกน่า..."

ผู้เฒ่าชาวฮ่องกงตบบ่าคนรักของลูกชายเบา ๆ เขาพอเข้าใจความรู้สึกของเจนยุทธดี

"มันอดไม่ได้ครับ อาปา"

เจหันมาพูดเสียงอ่อย ๆ

"เอาน่า อย่าคิดมาก อาปาอยากให้เจจำไว้แค่ว่าไม่ว่ากับคนอื่นเขาจะเป็นยังไง แต่กับอาปา เขาก็คือเพื่อนรัก คือเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ และเขาก็พร้อมที่จะรักและดูแลคนที่อาปารักเหมือนกับเป็นตัวอาปาเอง..."

คริสถอนหายใจเบา ๆ เมื่อนึกถึงเพื่อนผู้ครั้งหนึ่งเคยปลีกตัวออกจากกลุ่มเพื่อนไป

"...รายนั้นเขาก็พยายามเต็มที่นะที่จะไม่ให้โลกของเขาเข้ามาข้องเกี่ยวกับของพวกเรา ฉะนั้น เจก็ให้โอกาสลุงเขาหน่อยแล้วกันนะ"

เจกัดริมฝีปากน้อย ๆ แล้วพยักหน้ารับคำในที่สุด คริสเล่าเรื่องเพื่อน ๆ ของเขาให้เจฟังคร่าว ๆ ระหว่างที่นั่งรถกลับมา คริสรู้ดีว่าสิ่งที่เล่าไปอาจทำให้เจตกใจ และเขาสามารถเลือกที่จะปกปิดเรื่องด้านมืดของเพื่อนของเขาก็ได้ หากเขาอยากให้คนรักของลูกชายคนนี้ได้รับรู้ถึงทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเขาและคนรอบกาย

"...อาปาก็เล่าคร่าว ๆ แค่นี้แล้วกัน ส่วนที่เหลือ เจไปถามจากฆาบี้เอาเองนะ"

คริสหันมาบอกเจนยุทธก่อนจะยกมือทักทายชายชุดดำที่ยืนเฝ้าประตูห้องเล่นไพ่ของพวกเขา



"ไง มากันซะทีนะ?"

วิคเตอร์ ลี ซึ่งนั่งดื่มและดูโทรทัศน์อยู่ที่บริเวณส่วนนั่งเล่นของห้องหันมาทักทายเพื่อนของเขาและเจนยุทธ

"อ้าว ทำไมมานั่งตรงนี้ล่ะ? วงแตกแล้วรึ?"

คริสถามพร้อมพยักเพยิดให้ชายชุดดำที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่แถวนั้นให้รับถุงขนมที่แสนหนักอึ้งจากเจไป

"ยังไม่จบเกมหรอก แต่จบสำหรับฉัน ปล่อยเล่นกันไปเองแล้วกัน"

วิคเตอร์ ลี พูดอย่างเซ็ง ๆ พร้อมบ่นกะปอดกะแปดว่ามารอบนี้เขาไม่มีดวงเลยสักนิด

"ฮ่า ๆ ฉันก็เห็นนายบ่นแบบนี้ทุกรอบ มันไม่น่าใช่เรื่องดวงแล้วมั้ง?"

คริสหัวเราะพร้อมกับลงนั่งข้างเพื่อนและกวักมือเรียกเจให้นั่งลงที่เก้าอี้นวมด้านข้าง

"แล้วนี่เหลือเล่นกันต่อสามคน?"

วิคเตอร์ส่ายหัว

"ไม่ เหลือแค่อาหลงกับลูกนาย อาโหล่วเขามีธุระเลยขอออกวงกลางคัน"

เพื่อนผู้ทำหน้าที่เป็นซีอีโอของบริษัทของคริสพูด จิวจี๋โหล่วหรือเดวิดได้รับโทรศัพท์เรื่องงานระหว่างที่เล่นเกมหลังสุดจึงต้องทิ้งไพ่ในมือและออกจากวงไปคุยเรื่องงานในห้องนอนใหญ่ของห้อง suite สองห้องนอนห้องนี้

"เหรอ ไอ้เจ้านั่นก็ยังงานยุ่งเหมือนเดิมนะ ฉันนึกว่าพอลูกชายมาสืบทอดงานต่อแล้วอาโหล่วจะวางมือได้เสียอีก"


คริสเปลี่ยนมาใช้ภาษากวางตุ้งคุยกับเพื่อน วิคเตอร์ถอนหายใจเบา ๆ แล้วตอบกลับมาด้วยภาษาเดียวกัน

"ผมขอตัวเข้าไปดูฆาบี้เล่นก่อนนะครับ"

เจนยุทธขอตัวลุกจากวงเมื่อผู้สูงวัยทั้งสองเปลี่ยนภาษาที่ใช้คุย เขารู้ได้ว่าทั้งคู่คงคุยในเรื่องที่เขาไม่พึงฟัง

"ไปเถอะ ไปดูฆาบี้เอาคืนอาหลงให้เจซะสิ"

คริสพูดยิ้ม ๆ เจยิ้มหวานให้พ่อบุญธรรมของคนรักแล้วค่อย ๆ เปิดประตูเข้าไปยังห้องนอนเล็กซึ่งจัดไว้เป็นห้องเล่นไพ่



"ขอโทษครับ"

เจนยุทธทำปากพะงาบ ๆ พูดแบบไม่มีเสียงเมื่อฆาเบียร์ซึ่งกำลังจดจ่ออยู่กับไพ่ที่กำลังจะจั่วเงยหน้าขึ้นมามองแว่บหนึ่ง คนตัวเล็กค่อย ๆ ย่องไปนั่งบนโซฟาที่อยู่ริมหน้าต่างแล้วดูเกมไพ่ของคนทั้งสอง

"ว่าไงครับ ลุง เมื่อไหร่จะวางเดิมพันรอบนี้สักที ผมรอนานแล้วนะ"

ฆาเบียร์พูดเย้ยชายอาวุโสร่างใหญ่พร้อมรอยยิ้มมั่นใจที่ประดับบนริมฝีปาก เขาเปลี่ยนมาพูดเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้คนรักที่เพิ่งกลับเข้ามาได้เข้าใจ

"หนวกหูน่า ไม่ต้องมาทำเร่งเลยไอ้เด็กเวร พูดมากแบบนี้ไพ่ในมือห่วยแหงเลยว่ะ"

อู่ทินหลงแยกเขี้ยวให้ลูกชายของเพื่อนรัก เขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดและเคร่งเครียดอยู่กับการพิจารณาไพ่ในมือพร้อมกับพยายามคาดเดาไพ่ในมือของฆาเบียร์ไปด้วย

"ลุงครับ เกมที่แล้วลุงก็พูดแบบนี้ แล้วมันห่วยเหมือนที่ลุงคิดหรือเปล่าล่ะครับ?"

ฆาเบียร์พูดยิ้ม ๆ พร้อมหันไปขยิบตาให้เจนยุทธที่นั่งทำตาแป๋วมองเขา อู่ทินหลงขบกราม สองสามเกมที่ผ่านมา ฆาเบียร์กวาดเงินจากพวกเขาทั้งสามคนไปมากโขแล้ว เขาเหลือบตามองหนุ่มละตินร่างใหญ่อีกครั้งและพยายามอ่านสัญญาณกายแต่ไม่เป็นผล จากที่เคยเล่นไพ่กับฆาเบียร์มาหลายต่อหลายครั้ง ฆาเบียร์มักเอาชนะพวกเขาด้วยสีหน้าท่าทางที่หลอกให้พวกเขาไขว้เขวและเดาไพ่ในมือของเจ้าตัวไม่ถูก เขาพยายามที่จะหา tell หรือท่าทางส่อพิรุธที่จะบอกถึงการหลอกเหล่านั้นแต่ก็ไม่เคยหาได้สักครั้ง คนเดียวที่มักสังเกตได้และเอาชนะฆาเบียร์ไปได้ง่าย ๆ คือคริส หากเมื่อเขาพยายามตะล่อมถาม คริสก็มักจะหัวเราะน้อย ๆ และรูดซิปปากจนสนิท



"ไม่รู้ล่ะ ข้าว่าเอ็งบลัฟฟ์!"

อาหลงคำรามลั่น เขากวาดตาดูไพ่ในมือ แทนที่จะเล่นโป๊กเกอร์ยอดนิยมแบบ Texas Hold'em ซึ่งนับคะแนนโดยดูไพ่ในมือที่ถือไว้คนละสองใบบวกกับไพ่อีก 3 ใบจากกองกลางซึ่งมี 5 ใบ พวกเขากลับเลือกที่จะเล่นโป๊กเกอร์แบบคลาสสิคซึ่งถือไพ่ในมือคนละ 5 ใบและใช้วิธีแลกไพ่จากคนแจกจนได้ไพ่ที่คิดว่าดีที่สุด ในตอนนี้เขามีไพ่ฟูลเฮาส์ซึ่งประกอบด้วยไพ่เลขเดียวกัน 3 ใบและไพ่คู่อีก 2 ใบ โดย 3 ใบของเขานั้นเป็นไพ่แจ็ค และจากการที่เขาแอบเห็นแจ็คอีกตัวอยู่ในมือของเดวิดตอนที่รีบลุกไปคุยโทรศัพท์ ทำให้เขามั่นใจว่าฆาเบียร์ไม่มีไพ่ใหญ่สุดซึ่งก็คือรอยัล ฟลัช อันประกอบด้วยไพ่เอซ คิง ควีน แจ็คและ 10 ดอกเดียวกันอย่างแน่นอน หากมันก็ยังมีไพ่อีกสองแบบที่จะเอาชนะเขาได้ซึ่งก็คือ โฟร์การ์ด หรือไพ่เลขเดียวกัน 4 ใบบวกไพ่อื่นอีกหนึ่งใบ หรือสเตรท ฟลัชซึ่งประกอบด้วยไพ่ดอกเดียวกัน เรียงเลขกัน 5 ใบ หรืออย่างเลวสุดที่ฆาเบียร์จะชนะเขาได้ก็คือเขามีไพ่เอซ คิง หรือควีนสามใบ และคู่อีกหนึ่งคู่ในมือ เมื่อนึกถึงโอกาสยุบยับเหล่านี้ อู่ทินหลงก็นึกปวดหัวจีิ๊ดขึ้นมาทันที

"แล้วลุงกล้าเสี่ยงไหมล่ะครับว่าผมบลัฟฟ์? ว่าแต่เจจ๊ะ คืนนี้นายอยากดื่มอะไร? La Tache ดีไหม? บอกลุงหลงเขาไว้นะ คืนนี้ลุงเขาจะเลี้ยง"

ฆาเบียร์ยิ้มละไมพร้อมกับหันไปขยิบตาให้กับเจนยุทธ เจยิ้มแห้ง ๆ กลับมาให้เมื่อถูกคนรักใช้เป็นเครื่องมือในการปั่นหัวตาลุงตัวแสบ อู่ทินหลงเม้มปากแน่น ในใจเขาคิดว่าฆาเบียร์น่าจะแค่บลัฟฟ์ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าฆาเบียร์ไม่น่าจะยอมเสียหน้าต่อหน้าเจ



"คุณอู่ครับ เวลาเหลือน้อยแล้วครับ"

พนักงานแจกไพ่ส่งเสียงเตือนอู่ทินหลง พวกเขาเล่นแบบมีกรอบเวลาจำกัดเนื่องจากฆาเบียร์อยากจะจบเกมให้ได้ภายในสามทุ่ม

"เออ รู้แล้ว ๆ รอแป๊บนึงน่า"

อู่ทินหลงตวาดเบา ๆ พร้อมเคาะไพ่ในมือลงกับโต๊ะเบา ๆ

"เอางี้ครับลุง ผมจะทำให้ลุงตัดสินใจง่ายขึ้นนะ"

ฆาเบียร์ยิ้มละไมให้เพื่อนรักของอาปาอีกครั้ง เขาพูดกับคนจั่วไพ่เบา ๆ และเลื่อนชิปกองโตที่อยู่ตรงหน้าไปไว้ตรงกลางวง

"ผมลงหมดหน้าตักเลย ลุงจะวัดกับผมด้วยไหม?"

"ไอ้เด็กโอหังเอ๊ย!"

อู่ทินหลงคำรามลั่นอีกครั้ง เสียงของเขาทำให้คริสและวิคเตอร์ต้องเดินเข้ามาดูด้วยความสนใจ

"อะไรนี่ยังไม่จบเกมกันอีกเหรอ?"

วิคเตอร์พูดยิ้ม ๆ พร้อมกลับมานั่งประจำที่ของตน ส่วนคริสนั้นเดินไปนั่งข้างเจนยุทธ



"โอ๊ย โอเค ๆ หมอบโว้ย! หมอบ! บ้าฉิบ!"

ผู้อาวุโสกว่าร้องลั่นแล้วตบไพ่ในมือลงกับโต๊ะฉาดใหญ่ ฆาเบียร์หัวเราะร่า มันทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นคนเดียวที่เหลืออยู่และได้เงินเดิมพันทั้งหมดในกองกลางไปครอง

"เฮ้ย เดี๋ยว ไอ้เด็กเปรต ขอลุงดูไพ่เอ็งหน่อยซิ"

อู่ทินหลงตะครุบมือของฆาเบียร์ไว้ก่อนที่เขาจะวางไพ่กลับลงในกอง ฆาเบียร์ยิ้มน้อย ๆ เขาค่อย ๆ หงายไพ่ทีละใบ อู่ทินหลงถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความเซ็งเมื่อเห็นไพ่โพธิ์ดำ 5 6 7 8 เรียงกัน ฆาเบียร์คงไม่แคล้วมี Straight Flush เหมือนครั้งแรกที่พวกเขาเล่นไพ่กัน

"และ 9 โพธิ์แดง ขอโทษนะครับลุง"

ฆาเบียร์พูดกลั้วหัวเราะพร้อมกับหงายไพ่ใบสุดท้ายในมือ อู่ทินหลงทำตาโตเท่าไข่ห่านเมื่อรู้ว่าเจ้าลูกบุญธรรมตัวแสบของคริสบลัฟฟ์เขาสำเร็จอีกครั้งทั้ง ๆ ที่มีไพ่ไร้ค่าในมือ

"กูว่าแล้ว! โอย ไอ้เด็กเวรเอ๊ย!"

ทั้งห้องฮาครืนเมื่อเห็นท่าตีอกชกหัวด้วยความเจ็บใจของอาหลง

"เอาน่า ๆ ถือว่าให้เงินรับขวัญว่าที่เขยของอาซิง"

วิคเตอร์ซึ่งเสียไปไม่น้อยเช่นกันตบไหล่ผู้ร่วมชะตากรรมแปะ ๆ เจนยุทธหน้าแดงซ่านเมื่อถูกเรียกว่าเป็น future in-law ของอาปาคริส ส่วนฆาเบียร์นั้นยิ้มจนหน้าบานเมื่อคนรักไม่ได้พูดปฏิเสธสถานะ "ว่าที่เขย" ที่วิคเตอร์ตั้งให้



"นี่จ้ะ ฉันหาเงินมาให้ตามที่สัญญาแล้วนะ"

ฆาเบียร์เรียกเจเข้ามาหาแล้วดันกองชิปที่อยู่ตรงหน้าส่งให้เจนยุทธ

"มีเวลาเล่นน้อย เลยได้เพิ่มมาไม่เยอะ เดี๋ยวหักค่าต๋งแล้วก็น่าจะเหลือประมาณแสน แสนกว่า ๆ หวังว่าเจจะพอใจนะ"

เจนยุทธเบิกตากว้างเมื่อได้ยินว่าฆาเบียร์ทำให้ชิปมูลค่า 20,000 เหรียญที่เขาได้รับมาจากอู่ทินหลงออกดอกออกผลมากถึงขนาดนี้

"คุณ นี่มันเยอะไป ผมรับไว้ไม่ได้หรอก"

เจเสียงสั่นพร้อมผลักกองชิปมูลค่ากว่าห้าแสนบาทไทยคืนให้คนรัก หากฆาเบียร์ไม่ยอมรับคืน เขากลับเรียกคนของคาสิโนเข้ามาหาและส่งชิปกองนั้นไปขึ้นเงิน เจถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วลงนั่งเคียงข้างคนรักที่โต๊ะโป๊กเกอร์

"คุณอ่ะ โหดเกิน สงสารลุง ๆ เค้า"

เจบ่นเบา ๆ ให้เมียตัวโตของเขาได้ยินเพียงคนเดียว

"ไม่โหดหรอกน่า แค่นี้เศษเงินของลุง ๆ พวกนั้น"

ฆาเบียร์พูดด้วยท่าทีผ่อนคลาย เขายกมือโอบไหล่คนตัวเล็ก

"ทีนี้ ฉันขอรางวัลของฉันได้แล้วหรือยังจ๊ะ?"

คนตัวโตกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูคนรัก เจหน้าแดงก่ำแล้วรีบผลักหัวของคนที่ทั้งมือและริมฝีปากเริ่มซุกซนให้ออกไปพ้นตัว



"Hey! You two! Get a room!"

ฆาเบียร์หัวเราะออกมาเมื่อตาลุงแสนพาลที่หนีไปนั่งบ่นกับอาปาคริสตะโกนไล่ให้พวกเขาไปสวีทกันห่าง ๆ เขาหันไปพูดโต้ตอบกับอู่ทินหลงด้วยภาษากวางตุ้งก่อนจะหันกลับมายักคิ้วให้เจนยุทธ แต่ก่อนที่เขาจะได้ทันทวงของรางวัลของเขาอีก พนักงานของคาสิโนก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับเงินหลายปึกบนถาดใบใหญ่ เขาบอกจำนวนเงินกับฆาเบียร์เป็นภาษากวางตุ้งก่อนที่จะให้เขานับเงิน ฆาเบียร์กรีดปึกธนบัตรดูคร่าว ๆ แล้วเรียงมันลงในถุงที่ทางคาสิโนจัดเตรียมไว้ให้ เขาหันไปขอบใจพนักงานที่ไปแลกเงินมาให้แล้วหยิบธนบัตรที่อยู่นอกปึกจำนวนหนึ่งให้ไปเป็นสินน้ำใจ จากนั้นส่งถุงให้เจนยุทธ

"เอ้า นี่จ้ะ จะเอาไปใช้ทำอะไร ตามใจนายเลย"

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาเปิดถุงและนับดูคร่าว ๆ ในนั้นมีธนบัตรใบละ 100 ดอลลาร์ฮ่องกงอยู่ทั้งหมด 15 ปึกและมีอีกส่วนหนึ่งซึ่งเป็นเศษปลีกย่อย เขาปิดถุงและถือมันลุกขึ้นเดินไปหาอู่ทินหลงซึ่งนั่งคุยกับคริสและวิคเตอร์อยู่ที่โซฟา

"ลุงหลง ลุงวิคเตอร์ครับ ผมเอาเงินมาคืนครับ"

เจนยุทธพูดอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แล้วยื่นเงินทั้งถุงส่งให้เพื่อนทั้งสองคนของคริส เขาไม่แน่ใจว่าการทำแบบนี้จะเป็นการดูถูกหรือหยามศักดิ์ศรีของอีกฝ่ายหรือไม่ แต่เขาก็ไม่อยากได้เงินจำนวนมากขนาดนี้จากคนที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่ถึงวัน

"ไอ้หนู! ทำแบบนี้มันหยามกันนี่หว่า!"

อู่ทินหลงลุกพรวดขึ้นพร้อมทำสีหน้าถมึงทึง เจผงะถอยหลังไปนิดหนึ่งหากก็หยุดกายไว้

"เอ่อ ผมไม่ได้คิดจะหยามเกียรติคุณลุง หรือว่าอะไรครับ แต่ผมรับเงินจำนวนมากขนาดนี้ไว้ไม่ได้จริง ๆ"

เจพูดเสียงอ่อย ๆ พร้อมกับยื่นถุงนั้นให้กับชายสูงวัยที่ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้า

"เฮอะ! พูดไม่รู้เรื่องหรือไง! เด็ก ๆ!"

อาหลงตวาดลั่นพร้อมเรียกคนของเขาให้เข้ามาอีกครั้ง หากคริสรีบยกมือห้ามเหล่าชายชุดดำที่กรูเข้ามาตามเสียงเรียก



"อาหลง พอเถอะ ความแตกแล้วน่า"

อาปาของฆาเบียร์โคลงหัวแล้วหันไปพูดกับเพื่อนด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ อู่ทินหลงกระพริบตาปริบ ๆ แล้วเปลี่ยนท่าทีทันที

"อ้าว เล่าให้เด็กมันฟังแล้วเรอะ? โธ่เอ๊ย แล้วก็ไม่บอก ปล่อยฉันเก๊กหน้าอยู่ได้ตั้งนาน"

ใบหน้าเคร่งเครียดเมื่อสักครู่ของผู้เฒ่าร่างใหญ่เปลี่ยนไปเป็นยิ้มแย้ม เขาหัวเราะเบา ๆ แล้วตบไหล่เจที่ยืนละล้าละลังอยู่เบื้องหน้า

"นี่ เราไม่ต้องคิดมากเรื่องเงินนี่หรอกน่า ลุงให้แล้ว เอาไปเถอะ มันไม่ได้มากมายอะไรหรอก"

เจอ้ำอึ้งแล้วก็หันไปยื่นถุงนั้นให้วิคเตอร์ซึ่งเป็นเจ้าของเงินในนั้นส่วนหนึ่งเช่นกัน แต่พ่อสามีของทิฟฟานีก็ส่ายหัวแล้วส่งมันคืน

"เงินนี้เป็นฆาบี้เล่นมาได้อย่างแฟร์ ๆ เที่ยวเอามายกคืนให้พวกลุงแบบนี้ เดี๋ยวรายนั้นเขาก็เสียใจหรอก"

คนตัวเล็กหันไปหาคนรักอย่างจนใจ ฆาเบียร์เบือนหน้าหนีแล้วทำท่าไม่รู้ไม่ชี้

"เอางี้ เดี๋ยวอาปาจัดการให้เอง"

คริสซึ่งนั่งดูทั้งสามคนส่งถุงเงินให้กันไปมาอยู่ครู่หนึ่งแล้วยื่นมือมาฉวยถุงนั้นมาจากมือของเจ เขาหยิบเงินออกมาสองปึกแล้วส่งคืนให้อู่ทินหลง



"เอ้า เอาเงินสองหมื่นที่ให้เจคืนไป เด็กมันจะได้สบายใจ ส่วนที่ฆาบี้เล่นได้นี่ เจก็เก็บไปซะ โอเคไหม?"

อู่ทินหลงทำหน้าไม่สบอารมณ์แต่ก็รับเงินคืนไปพร้อมกับบ่นกะปอดกะแปด เจถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วรับถุงเงินมาจากอาปาคริส เขานำมันมาส่งคืนให้ฆาเบียร์ที่โต๊ะโป๊กเกอร์

"งั้น คุณเอาไปเก็บไว้ก่อนแล้วกัน ไว้เราค่อยไปช้อปปิ้งด้วยกัน"

เจนยุทธพูดกับคนรักอย่างจนปัญญา ฆาเบียร์ยิ้มกว้าง

"ได้สิจ๊ะ? จะซื้ออะไรดีล่ะ พรุ่งนี้ก่อนกลับเราไปแวะดูร้านแบรนด์เนมแถวนี้ก็ได้ ราคาไม่ต่างกับที่ฮ่องกงหรอก เจมีแหวนที่อยากได้ไม่ใช่เหรอ? หรือว่าจะซื้อสูทสำหรับไปงานแต่งไอ้ฌองมันดี เอาของอะไร? โดลเช่ อาร์มานี่ หรือทอม ฟอร์ดก็เนี้ยบดีนะ"

ฆาเบียร์จาระไนร้านรวงที่อยู่ในช็อปปิ้งเซ็นเตอร์ใต้โรงแรมให้เจฟัง หากเจนยุทธส่ายหัว

"คุณเอาเงินนี่โอนเข้าบัญชีที่ไทยแล้วกันครับ พอคุณกลับไปคราวหน้า เราค่อยไปซื้อเฟอร์นิเจอร์ด้วยกัน"

"อ๋อ ได้สิ จะเอาเตียงหรือโซฟาใหม่ล่ะ? เอาของแบรนด์เลยไหม?"

คนตัวโตพูดยิ้ม ๆ เขาคิดสะระตะดูแล้ว เงินจำนวนนี้น่าจะแต่งห้องคอนโดของเจใหม่ได้เกือบทั้งห้องเลยทีเดียว



"ไม่ใช่ห้องผมหรอก ฆาบี้ เดี๋ยวกลับไป ถ้าจัดการเรื่องซื้อห้องข้าง ๆ เรียบร้อยแล้ว ผมว่าจะแต่งห้องนั้นใหม่น่ะ..."

เจยิ้มหวานให้คนรักของเขาซึ่งนั่งอึ้งอยู่

"คือ เฟอร์นิเจอร์ในห้องนั้นตอนนี้ก็คงไม่ใช่ของดีเด่อะไร เพราะเป็นห้องที่แต่งไว้ให้คนเช่า ทีนี้ ถ้าคุณจะเอาห้องนี้ไว้ให้อาปานอนจริง เราก็ควรจะหาของที่ดีกว่านี้มาใส่อ่ะ ใช้นี่ซะ คุณก็จะได้เซฟเงินไปอีกเยอะเลย"

 เจตบถุงเงินพร้อมกับลดเสียงลงจนเกือบเป็นเสียงกระซิบ เขาไม่อยากให้คริสได้ยินว่าเขาจะเอาเงินจำนวนนี้ไปทำอะไร เพราะคิดว่าอาปาคงไม่ยอมแน่ ๆ

"นายนี่มันน่ารักจริง ๆ เลยนะ"

ฆาเบียร์รวบร่างเพรียวเข้ามากอดไว้ในอ้อมอก เจดิ้นขลุกขลักเพื่อให้หลุดออกจากอ้อมแขนที่รัดแน่น

"คุณอ่ะ อายผู้ใหญ่มั่งสิ"

เจบ่นคนรักเบา ๆ และเหลือบมองก๊วนคุณลุงที่ยังคุยกันอย่างสนุกสนาน ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ แล้วแอบหอมแก้มคนรักอีกฟอดใหญ่ เจหน้าแดงก่ำแล้วรีบขยับเก้าอี้ออกห่างคนช่างลวนลาม



"คุณมีประชุมสามทุ่มครึ่งไม่ใช่เหรอ นี่มันใกล้ถึงเวลาแล้วนะครับ"

เจยกนาฬิกาขึ้นดูแล้วเตือนพ่อเจ้าประคุณของเขา ฆาเบียร์อุทานเบา ๆ แล้วยกโทรศัพท์ขึ้นดู

"แย่ละ ฉันปิดเสียงมือถือไว้ สองคนนั้นส่งข้อความมาสักพักแล้วว่าทางนู้นพร้อมกันแล้ว"

เขาบ่นตัวเองเบา ๆ แล้วรีบลุกขึ้น

"อาปาครับ เดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะครับ"

ฆาเบียร์เดินไปบอกพ่อบุญธรรมของเขาและค้อมหัวลาลุง ๆ ทั้งสองคน

"อืมม์ ไปเถอะ ๆ อาปาคงอยู่คุย อยู่เล่นไพ่กันต่ออีกหน่อย นาน ๆ ได้เจออาหลงกับอาโหล่วทีก็ต้องคุยกันให้หนำใจสักหน่อย"

คริสยิ้มพลางตบไหล่เพื่อนตัวโตของเขา

"อ้าว แล้วฉันล่ะ ไม่คุยกับฉันมั่งเรอะ?"

วิคเตอร์ ลีส่งเสียงถามเพื่อนของเขา

"นายน่ะฉันเบื่อหน้าจะแย่แล้ว เจอหน้ากันทีไรก็มีแต่เรื่องงานให้ปวดหัวทุกที"

คริสท่าเหม็นเบื่อพร้อมกับบ่นเพื่อนผู้เป็นซีอีโอของบริษัทเขาขรม ท่าทีของเขาเรียกเสียงหัวเราะได้จากทุกคนที่อยู่ในห้อง



"เอ้า สนุกกันใหญ่ นี่ฉันพลาดอะไรไปหรือเปล่า?"

เดวิด จิวหรือจิวจี๋โหล่วเดินเข้าห้องมาพร้อมกับรอยยิ้มละไม เจสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อรู้สึกถึงฝ่ามือที่ตบเบา ๆ เข้าที่ไหล่ของเขา

"เอ่อ แหะ ๆ สวัสดีครับ ลุงเดวิด"

เจยิ้มแหย ๆ ให้กับเพื่อนของอาปาของฆาเบียร์ เดวิดยิ้มน้อย ๆ ให้กับชายหนุ่มที่เพื่อนรักของเขาถูกใจนักหนา

"ไปถนนอาหารกับอาซิงมาเป็นยังไงมั่ง? ลุงต้องขอโทษจริง ๆ นะที่พวกเด็ก ๆ ของลุงทำให้เจตกใจ ไอ้เด็กชุดนี้มันไม่ค่อยได้ทำงานกับชาวต่างชาติ พูดอังกฤษกันไม่ค่อยได้ด้วยเลยไม่รู้ว่าจะต้องสื่อสารกันยังไง"

จิวจี๋โหล่วพูดยิ้ม ๆ “ผู้ติดตาม” ที่เขาส่งไปดูแลเจและคริสอย่างเงียบ ๆ โทรมารายงานสถานการณ์ทั้งหมดให้เขาฟังพร้อมกับขอรับโทษที่ทำให้แขกของเขาได้ตกใจ

"เอ่อ ไม่เป็นไรหรอกครับลุง ผมก็วิตกจริตไปเองด้วย ลุงไม่ต้องไปตำหนิพวกเขาหรอกนะครับ ผมต้องขอบคุณเสียอีกที่พวกเขามาช่วยอำนวยความสะดวกให้"

เจก้มหน้าก้มตาพูดด้วยเสียงแผ่วเบา เขายังไม่ค่อยกล้าสบตาคนที่ทำให้เขารู้ซึ้งถึงคำว่า "อย่ามองคนแค่เพียงภายนอก"



"เฮ้ ๆ นี่พูดเรื่องอะไรกัน เล่าให้ฉันฟังด้วยสิ"

อู่ทินหลงส่งเสียงห้าว ๆ มาเมื่อได้ยินบทสนทนาของเดวิดกับเจนยุทธ หากเป็นคริสที่หัวเราะเบา ๆ แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดที่ถนนอาหารให้เพื่อนของเขาฟังเป็นภาษากวางตุ้ง

"ฮ่า ๆๆ นี่แสดงว่าฉันสวมบทบาทได้เนียนมากสินะ"

ตาลุงตัวร้ายของเจหัวเราะลั่นออกมาทันทีที่ได้รู้ว่าเจคิดว่าชายเหล่านั้นเป็นคนของเขา ฆาเบียร์โคลงหัวน้อย ๆ แล้วยกมือขึ้นโอบไหล่คนรักที่ยืนทำหน้าเจื่อน ๆ อยู่

"โธ่ ลุงครับ ก็ลุงดูน่ากลัวซะขนาดนั้น เจเขาไม่เข้าใจผิดก็แปลกแล้วล่ะ"

คนตัวโตบ่นเบา ๆ แล้วหันไปทำท่าปลอบประโลมคนรักที่ยืนหน้าจ๋อยอยู่ข้าง ๆ

"โถ ไม่ต้องกลัวไปหรอก ลุงมันก็แค่ชาวประมงแก่ ๆ น่ะ ไม่ได้เป็นเจ้าพ่งเจ้าพ่ออะไรเหมือน..."

อู่ทินหลงรีบกลืนคำพูดของเขาลงท้องเมื่อเดวิดส่งสายตาปรามมา เขาหัวเราะเพื่อแก้เกี้ยวแล้วหันไปคุยเรื่องอื่นกับฆาเบียร์แทน



"ลุงเดวิดครับ เอ่อ งั้น เดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะครับ..."

เจลอบสูดลมหายใจเข้าเพื่อเรียกความกล้า จากนั้นหันไปบอกลาคนที่เขานึกเกรงขามและไม่กล้าคุยด้วยเมื่อได้รู้ตัวตนจริง หากรอยยิ้มเหงา ๆ และดวงตาแฝงแววเศร้าที่เจนยุทธเห็นแว่บหนึ่งเมื่อเขาแสดงทีท่ากลัวออกมาส่งให้เขาตัดสินใจทำใจกล้าพูดคุยกับชายร่างเล็กผู้ทรงอิทธิพลคนนี้

"...ไว้คืนนี้ถ้าฆาบี้ประชุมเสร็จแล้ว พวกผมจะมาคุยกับลุงอีกนะครับ เห็นอาปาบอกว่าลุงรู้ที่กินดี ๆ ที่มาเก๊าเยอะแยะ ไว้ผมจะมาขอจดโพยนะครับ"

เจส่งยิ้มกว้างให้จิวจี๋โหล่ว ชายร่างเล็กหัวเราะเบา ๆ พร้อมพยักหน้าตอบรับด้วยความยินดี

"ได้สิ ไว้ฉันจะรอนะ"

เดวิดยกมือขึ้นตบไหล่เจนยุทธเบา ๆ พร้อมกับหันไปส่งยิ้มให้ลูกบุญธรรมของเพื่อนรักของเขา

"แฟนเราคนนี้ดีนะ ลุงชอบ รักษาไว้ดี ๆ ล่ะ"


ชายสูงวัยร่างเล็กพูดกับฆาเบียร์เบา ๆ เป็นภาษากวางตุ้งก่อนที่จะเดินไปสมทบกับเพื่อน ๆ ฆาเบียร์ยิ้มน้อย ๆ ให้กับเจนยุทธแล้วจับมือพาคนรักเดินออกจากห้องไป



"มือเย็นเชียว กลัวเหรอ?"

ฆาเบียร์ยกมือที่เย็นและชื้นไปด้วยเหงื่อของเจขึ้นจูบเบา ๆ ก่อนที่จะปล่อยเพื่อหยิบกุญแจขึ้นมาแตะที่ประตู

"กลัวสิครับ ฟังอาปาเล่าคร่าว ๆ มาผมก็สั่นแล้ว แต่อาปาเขาบอกว่าให้ผมมาฟังรายละเอียดจากคุณอีกทีอ่ะ"

คนตัวโตหัวเราะหึ ๆ ปฏิกิริยาแรกของเจที่ได้รับรู้เบื้องลึกเบื้องหลังชีวิตของเดวิด จิวนั้นไม่ได้ต่างจากเขามากนัก

"งั้น ไว้ประชุมเสร็จแล้วฉันจะเล่าให้เจฟังนะ แต่รับรองว่าฟังแล้วเจจะเลิกกลัวลุงเขาแน่นอน"

ฆาเบียร์ปิดประตูแล้วหันไปทักทายเลขาฯ ของเขาทั้งสองที่มารอเตรียมเอกสารและสถานที่ในการประชุมไว้ก่อนแล้ว เจเองก็ยกมือทักทายเมลิน่าและริคกี้อย่างสนิทสนม

"เฮ้ ริคกี้ ลิปสติกติดปากน่ะ"

เจหัวเราะฮิฮะและกระเซ้าผู้ติดตามของคริสเบา ๆ ริคกี้สะดุ้งโหยงแล้วรีบยกหลังมือขึ้นเช็ดปากแรง ๆ ฆาเบียร์ซึ่งสังเกตเห็นเช่นกันโคลงหัวน้อย ๆ แล้วหันไปบ่นเลขาฯ สาวของเขาเบา ๆ เป็นภาษาสเปน เมลิน่าหน้าแดงก่ำแล้วรีบก้มหน้าก้มตาจัดการเซ็ตการติดต่อกับทางสหรัฐฯ และทางฮ่องกง

"งั้นเดี๋ยวผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ แล้วก็อาจจะนั่งเล่นนอนเล่นอยู่ในห้องรอ เสร็จแล้วคุณก็มาเรียกผมนะ"

เจพูดกับฆาเบียร์ซึ่งกำลังจัดผมเผ้าและเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อย เขาจุ๊บคนรักเบา ๆ ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องนอนใหญ่



"เฮ้! คุณ! ผมคุยกับแม่อยู่"

เจที่นอนพังพาบอยู่บนเตียงหันไปดุคนรักที่เข้ามากอด ๆ หอม ๆ เขาโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ ฆาเบียร์สะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นภาพของฟองนวลบนหน้าจอมือถือที่เจจับตั้งไว้กับหัวเตียง เขารีบพลิกกายลงจากร่างที่เขาคร่อมอยู่ทันที

"ขอโทษครับ แม่"

คนตัวโตพูดด้วยใบหน้าแดงก่ำ เขาไม่ทันได้สังเกตให้ดีและนึกว่าเจนยุทธดูทีวีออนไลน์อยู่จึงได้พรวดเข้ามาทำรุ่มร่ามใส่แบบนั้น เขายิ่งรู้สึกเขินอายอย่างหนักเมื่อได้ยินเสียงใส ๆ ของอิ่มที่แซวน้องชายลอดออกมาจากลำโพง

"อะไรเล่า อิป้านี่! ไปไกล ๆ เลย ชิ้ว ๆ"


เจนยุทธซึ่งหน้าแดงก่ำไม่แพ้กันแว๊ดใส่พี่สาวพร้อมกับโบกมือไล่ เขาหันกลับไปชักศอกใส่คนตัวโตที่นั่งสงบเสงี่ยมอยู่ข้าง ๆ ฆาเบียร์ทำหน้านิ่วแต่ก็ไม่กล้าบ่นอะไรออกมา เขายิ้มแหย ๆ ให้กับแม่ของคนรักที่ส่งยิ้มละไมมาให้เขา

"สวัสดีครับแม่"

ฆาเบียร์ยกมือขึ้นไหว้ เจอดยิ้มให้กับภาพนั้นไม่ได้ มันกลายเป็นความเคยชินไปแล้วที่ฆาเบียร์จะต้องยกมือไหว้แม่ของเขาทุกครั้งที่เจอหน้า

"เห็นเจว่าคุณมีประชุม ดึกขนาดนี้แล้วยังต้องทำงานอีกเหรอคะ?"

ฟองนวลทักทายคนรักของลูกชายที่นั่งทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมอยู่แล้วจึงถามออกมา แม้เวลาจะล่วงเลยไปกว่าสี่ทุ่มครึ่งที่เมืองไทยแล้ว ฆาเบียร์ยังคงอยู่ในชุดสูททำงานในขณะที่ลูกชายของเธออยู่ในชุดเตรียมนอนแล้ว

"ครับ มีประชุมทางไกลกับทางสหรัฐฯ ก็เลยต้องคุยกันดึกหน่อย แต่ว่าเสร็จแล้วครับ ไม่มีอะไรแล้ว"

ฆาเบียร์ส่งยิ้มให้แม่ของคนรักและพูดคุยต่ออีกสองสามประโยค

"เจจ๊ะ ฉันขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ เจคุยกับแม่ไปเถอะ"

คนตัวโตกระซิบบอกเจและขอตัวลุกไปเข้าห้องน้ำ




(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- ค่ำคืนของเขากับเหล่าคุณลุง (ต่อ) ----




"มามาเก๊าเตื้อนี้เจอฮ้านขนมดี ๆ โตยคับ สีท่าจะลำ ไว้เดียวเจลองจิมดูก่อน ถ้าลำเจจะซื้อไปฝากแม่เน่อ"

"มามาเก๊าคราวนี้เจอร้านขนมดี ๆ ด้วยครับ ท่าทางจะอร่อย ไว้เดี๋ยวเจลองชิมดูก่อน ถ้าอร่อยเจจะซื้อไปฝากแม่นะ"


ฆาเบียร์ยืนอมยิ้มอยู่ที่หน้าประตูห้องน้ำพลางดูคนรักของเขาพูดคุยกับแม่ด้วยน้ำเสียงออดอ้อน แม้เขาจะไม่ได้เข้าใจในเนื้อความที่เจนยุทธพูดทั้งหมด หากเขาพอจะจับคำอย่าง มาเก๊า และคำไทยกับคำเหนือง่าย ๆ อย่าง "ขนม" และ "ลำ" ที่แปลว่าอร่อยได้

"อั้น เดียวผมไปก่อนเน่อคับ ดึกแล้วแม่ไปนอนเต๊อะ ไว้วันพูกผมโทรหาใหม่"

"งั้น เดี๋ยวผมไปก่อนนะครับ ดึกแล้วแม่ไปนอนเถอะ ไว้พรุ่งนี้ผมโทรไปหาใหม่"


เจโบกมือและกล่าวลาแม่ของเขา ฆาเบียร์รีบก้าวพรวดเข้ามาและโผล่หน้าเข้าไปให้ฟองนวลเห็นพร้อมกับบอกลาด้วย

“Ratree sawas krab”

คนตัวโตบอกลาแม่ของคนรักเป็นภาษาไทยค่อนข้างชัดก่อนที่ฟองนวลจะตัดสายไป เจนยุทธหันไปมองคนรักด้วยความแปลกใจ

"นี่คุณเริ่มพูดกับฟังไทยได้แล้วเหรอ?"

เจถามอย่างงง ๆ คนตัวโตยิ้มน้อย ๆ

"ยังหรอกจ้ะ ฉันพอจำได้นิด ๆ หน่อย ๆ แค่นั้น ได้คนนั้นสอนคนนี้สอนไปทีละนิดละหน่อย แต่ก็ได้แค่ฟังกับพูดนะ เรื่องเขียนนี่ฉันคงยังไม่ไหวจริง ๆ"

ฆาเบียร์ทำหน้าเบ้เมื่อนึกถึงการต้องมาเรียนตัวอักษรใหม่

"อืมม์ นี่ผมคงต้องระวังแล้วใช่ไหมเนี่ย?"

เจบ่นเบา ๆ อีกไม่นานเขาคงจะแอบเม้าตาลุงคนนี้ต่อหน้าไม่ได้แล้ว ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ

"มันก็เหมือนกับตอนที่เจแอบไปเรียนภาษาสเปนมานั่นแหละ ตอนนี้นายฟังกับพูดคล่องแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ ฉันสิที่ต้องเป็นฝ่ายระวัง"

"ชิ ผมไม่ได้เรียนมาสักพักแล้วต่างหาก อาจารย์เขาไม่ค่อยสบาย งานผมยุ่งด้วยเลยไม่ได้เรียนต่อ ว่าแต่คุณเถอะ ความลับเยอะจนไม่อยากให้ผมเรียนหรือไง?"

เจนยุทธบ่นพร้อมกับแลบลิ้นน้อย ๆ ให้กับคนรัก หากเขาก็ต้องอุทานออกมาเมื่อถูกคนตัวโตขโมยจูบเข้าจ้วบใหญ่



"โอเค ๆ ไม่แกล้งแล้วจ้ะ..."

ฆาเบียร์ยิ้มกริ่มพร้อมกับยื่นมือไปฉุดร่างคนรักที่โดนเขาปล้ำจูบจนตัวอ่อนระทวยให้ลุกจากเตียง

"มะ ออกมาข้างนอกกับฉันหน่อย สองคนนั้นรอลานายอยู่น่ะ"

คนตัวโตพูดพลางจูงมือเจนยุทธและเปิดประตูออกไปที่ห้องรับแขก

"เอ๊า สองคนนั่นรออยู่ก็ไม่บอก! ผมก็นึกว่าคุณทำนั่นนี่เสร็จหมดแล้ว"

เจบ่นเบา ๆ ก่อนที่จะโบกไม้โบกมือทักทายเลขาฯ ทั้งสองที่กำลังง่วนกับการจดโน้ตเพิ่มและจัดเก็บเอกสาร

"ก็ส่วนของฉันน่ะเสร็จแล้วก็เลยไปเข้าห้องน้ำห้องท่าหน่อย พอดีเจอนายคุยกับแม่ก็เลยแวะทักทายไง"

คนตัวโตพูดหน้าตาเฉย

"ไม่ต้องเลยครับ จะไปเข้าห้องน้ำแล้วทำไมต้องมาแวะปล้ำผมด้วย หืมม์?"

เจนยุทธโคลงหัวให้คนที่แถได้ไปเรื่อย ๆ

"ไม่ได้ปล้ำซักหน่อย ฉันแค่จะแวะกอดนายนิดหน่อยให้หายเครียดแค่นั้นเอง"

คนตัวโตบ่นอุบอิบว่าเขาแค่อยากจะแวะกอด ๆ หอม ๆ เจนิด ๆ หน่อย ๆ ก่อนที่จะแว่บไปเข้าห้องน้ำเท่านั้นจริง ๆ เจย่นจมูกให้แล้วก็หันไปพูดคุยกับเลขาฯ ทั้งสองของฆาเบียร์ซึ่งจัดการเคลียร์ข้าวของและจัดโต๊ะกลับที่เดิมให้แล้ว พวกเขาคุยกันไม่นาน เมลิน่าและริคกี้ก็ขอตัวไปพักผ่อน

"พรุ่งนี้ช่วงเช้าคิดว่าไม่น่ามีอะไร พวกเธอสองคนพักผ่อนเถอะนะ แต่ช่วงเที่ยง ๆ ริคกี้ก็สแตนด์บายไว้หน่อยเผื่ออาปาจะเรียกตัว โอเคไหม? แต่ถ้าไม่มีอะไร เราก็เจอกันอีกทีตอนก่อนไปขึ้นเรือตอนเย็นเลยแล้วกัน"

ฆาเบียร์สั่งการคนของเขาก่อนที่จะปล่อยให้ทั้งคู่กลับไปใช้เวลาส่วนตัวตามอัธยาศัย



"เฮ้อ เช้าว่างแบบนี้ สงสัยจะมีคนไม่ได้พักผ่อนเต็มที่แน่ ๆ"

เจเปรยออกมาแล้วก็ต้องร้องลั่นเมื่อฆาเบียร์ยกนิ้วขึ้นดีดหน้าผากเขาเบา ๆ

"ทะลึ่งนักนะเรา..."

คนตัวโตพูดกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นคนรักทำท่าเจ็บเหมือนจะเป็นจะตาย เจทำหน้านิ่ว

"ทะลึ่งอะไร ผมออกจะเรียบร้อย"

เจนยุทธพูด เขาลงนั่งบนโซฟาด้วยท่าทีสงบเสงี่ยมเรียบร้อย

"อืมม์ ถ้านายเรียบร้อยก็คงไม่มีใครซนแล้วล่ะ"

คนตัวโตลงนั่งข้าง ๆ พร้อมกับเอนกายพิงซบไหล่คนรัก เจกางแขนรับร่างกำยำของคนรักไว้ในอ้อมอก เขายกมือขึ้นลูบผมสลวยที่มัดรวบเป็นจุกหลวม ๆ ไว้กลางหัว

"เหนื่อยไหมครับคนดี? วันนี้คุณได้พักบ้างไหม?"

เจถามเบา ๆ คนตัวโตออกไปทำงานตั้งแต่เช้า แถมยังต้องไปพบปะกับท่านทูตสหรัฐฯ ในตอนบ่าย จากนั้นแทนที่จะได้กลับไปพักผ่อน เขากลับต้องขึ้นเรือมามาเก๊าแล้วไปเล่นโป๊กเกอร์ต่อโดยได้พักกินข้าวกับเขาแค่สองชั่วโมง พอเล่นไพ่เสร็จ พ่อเจ้าประคุณของเขาก็ยังมีประชุมทางไกลต่ออีก

"ยังพอไหวอยู่จ้ะ ประชุมวันนี้ก็ไม่ได้มีอะไรมาก แค่เป็นการฟังสรุปสิ่งที่ฝ่ายทางฮ่องกงกับสหรัฐฯ ประชุมกันมาก่อนหน้านี้แล้ว"

ฆาเบียร์เล่าเรื่องงานของเขาในค่ำคืนนี้ให้คนรักฟังต่อคร่าว ๆ ฝ่าย Product ของสำนักงานทั้งสองแห่งได้ทำการคุยงานกันมาก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อได้ประชุมอะไรกันเสร็จสรรพจึงได้เชิญฆาเบียร์มาฟังการสรุปเพื่อขอคำชี้แนะและตัดสินใจในบางประเด็น คนตัวโตจึงใช้เวลาแค่เพียงเกือบ ๆ สองชั่วโมงเท่านั้นในการประชุมทางไกลรอบดึกในคืนนี้



"คุณหิวไหมครับ เดี๋ยวผมแกะขนมที่ซื้อที่ถนนอาหารมาให้กิน"

เจดันคนตัวโตที่ซบหน้ากับอกเพื่ออ้อนเขามาครู่หนึ่งแล้วให้ออกห่างตัว ฆาเบียร์ทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วจึงให้คำตอบ

"อืมม์ สักนิดก็ได้จ้ะ เริ่มหิวนิดหน่อยแล้วเหมือนกัน"

เจนยุทธรับคำแล้วลุกจากโซฟาไป เขาหยิบกล่องขนมที่เขาเอาวางซ้อนกันไว้ในตู้มินิบาร์มาเปิด จากนั้นแกะซองพลาสติกน้อยที่ใส่บรรดาขนมที่คริสแนะนำแล้วจัดบางส่วนลงจาน

"กาแฟ ชา หรือว่าอย่างอื่นครับ?"

เจหันไปถามคนรัก ฆาเบียร์ยิ้มกริ่มแล้วลุกเดินเข้ามากอดเอวเจ้าตัวดีของเขาไว้

"อย่างอื่นจ้ะ"

ฆาเบียร์เอาคางเกยไหล่และกระซิบที่ข้างหูของเจนยุทธ ริมฝีปากของเขาเริ่มซุกซนไปตามพวงแก้มและใบหูของคนรัก

"เอ๊ คุณ 'อย่างอื่น' แบบนี้รอไว้ทีหลังเลยครับ ผมหมายถึงเหล้าหรือไวน์อ่ะ"

เจบ่นพร้อมกับใช้มือดันหน้าคนรักให้ออกห่าง ๆ ก่อนที่เขาจะทำขนมตกหล่นเสียหมด



"อืมม์..."

ฆาเบียร์กวาดตาดูเหล้าขวดน้อยที่วางเรียงอยู่บนชั้น แม้มินิบาร์ของที่ริทซ์ คาร์ลตันมาเก๊านี้จะไม่ได้น่าสนใจมากเท่ากับที่ฮ่องกงซึ่งมีทั้ง JW Blue Label และเหล้าเหมาไถเกรดพรีเมียมอย่าง Xijiu 1988 แต่มันก็มีบรั่นดีที่น่าสนใจอย่าง Martell Noblige รวมถึงเหล้าซิงเกิลมอลท์ที่เขามักมีติดห้องไว้อย่าง Glenlivet 15 ปี หากขวดที่ฆาเบียร์เลือกหยิบมาก็คือคอนยัคอย่าง Hennessy XO

"แหม คุณนี่รู้ใจผมจริง ๆ"

เจยิ้มหวานให้คนรัก ฆาเบียร์หัวเราะน้อย ๆ แล้วส่งขวดคอนยัคให้คนรัก

"ขวดเล็กนิดเดียว แบ่งกันคนละหน่อยแล้วกันนะ"

"ไม่เป็นไรครับ กินนิดเดียวพอละ มันแพง..."

เจตอบรับ แม้คอนยัคขวดน้อยนี้มีปริมาณเพียง 50 มิลลิลิตรซึ่งคงพอให้เขาและฆาเบียร์กระดกกันได้คนละอึกสองอึกเท่านั้น แต่ราคาของมันก็ยังสูงตามประสาเครื่องดื่มในมินิบาร์ของโรงแรมห้าดาวซึ่งมักถูกบวกราคาเพิ่มขึ้นไปเกินกว่าครึ่งอยู่แล้ว

"...อีกอย่าง มันคงไม่เข้ากับขนมแบบจีนที่ผมเอามาด้วยอ่ะครับ"

เจนยุทธพูดพลางส่งจานขนมให้ฆาเบียร์เอาไปวางที่โต๊ะกาแฟ



"เฮ้ ๆ กินไม่รอผมเลยนะครับ"

เจซึ่งถือแก้วและขวดคอนยัคไว้ในมือโวยเบา ๆ เมื่อเห็นฆาเบียร์แอบหยิบขนมเข้าปากไปก่อนแล้วสองสามชิ้น คนตัวโตหน้าแดงน้อย ๆ เมื่อถูกคนรักจับได้คาหนังคาเขา

"ชอบเหรอครับ?"

เจนยุทธถามยิ้ม ๆ พร้อมกับทรุดตัวลงนั่งข้างเมียตัวโตของเขา

"จ้ะ ลองชิมดูสิ อร่อยนะ"

ฆาเบียร์พยักหน้าน้อย ๆ แล้วส่งขนมที่เขาชอบนักหนาเข้าปากคนรัก เจเคี้ยวขนมชิ้นน้อยนั้นแล้วทำตาโต

"เฮ้ย อร่อยมากเลยคุณ ไส้มันเป็นอะไรน่ะ? กุ้งแห้งเหรอ?"

เจยกขนมที่เขาซื้อมาสองถุงขึ้นพิจารณา รูปร่างของมันเหมือนปอเปี๊ยะชิ้นน้อยขนาดยาวประมาณครึ่งนิ้วก้อย สัมผัสภายนอกของมันก็คล้ายกับแป้งกรุบกรอบของปอเปี๊ยะ หากไส้ในนั้นเต็มไปด้วยรสชาติของกุ้งแห้งป่น เจหยิบขนมชิ้นน้อยนั้นขึ้นกินอีกสามชิ้นรวด ฆาเบียร์โคลงหัวน้อย ๆ

"เอ้า นี่ เทมาทั้งถุงเลยดีกว่านะ ยังไงก็หมด"

คนตัวโตลุกไปหยิบถุงขนมที่วางทิ้งไว้ตรงมินิบาร์มายื่นให้เจนยุทธ เจส่งยิ้มหวานจ๋อยให้คนรักแล้วจัดการเทมันลงบนจานจนหมด

"ผมชอบมากเลยอ่ะ ฆาบี้ กินเพลินสุด ๆ เลย มิน่าล่ะอาปาถึงได้ชอบมันมาก"

 เจหยิบปอเปี๊ยะน้อยเข้าปากอีกหนึ่งชิ้นพร้อมทำหน้าปลื้มปริ่ม ฆาเบียร์รีบหยิบเข้าปากบ้าง

"ฉันก็ชอบนะ อาปาเคยซื้อกลับไปฝากฉันเหมือนกัน แต่ฉันก็ไม่เคยมาซื้อเองซักทีเพราะมามาเก๊าทีไรก็ไม่เคยได้ว่างออกไปตามหามัน ร้านมันอยู่ที่ถนนอาหารเหรอจ๊ะ?"

คนตัวโตยกถุงพลาสติกใสที่มีชื่อ ที่อยู่และเบอร์ติดต่อของร้านติดไว้ขึ้นดู ที่ผ่าน ๆ มาเขาแค่กินมันจนหมดและโยนถุงทิ้งไปโดยไม่ได้สนใจว่าขนมชนิดนี้มาจากร้านใด



"...Pastelaria Fong Kei เหรอ? อืมม์ มันคือร้านที่คิวยาว ๆ นั่นใช่ไหม?"

ฆาเบียร์ถามคนรัก เขาคุ้น ๆ เหมือนกับว่าเมื่อครั้งที่มามาเก๊ากับเจคราวที่แล้ว พวกเขาเคยเดินผ่านร้านขนมคิวยาวแห่งนี้ หากเขาก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะแวะดูเพราะอิ่มจากร้าน Fernando's และร้านโจ๊กปู Seng Cheong มาแล้ว

"ครับ อาปาบอกว่าร้านนี้เป็นร้านดังแล้วก็เป็นร้านแนะนำระดับ The Plate ในมิเชแลงไกด์ด้วย แถมยังเก่าแก่เป็นร้อยปีอีก เจ๋งจริง ๆ"

"มิน่าล่ะถึงอร่อยนัก ฉันเดาว่าคงเพราะขนมของเขาไม่ได้ใช้เครื่องจักรทำด้วยมั้ง..."

"เหรอ? คุณรู้ได้ไงอ่ะครับ?"

เจนยุทธกระพริบตาปริบ ๆ แล้วยกขนมที่อยู่ในจานขึ้นดู ฆาเบียร์หัวเราะน้อย ๆ แล้วยกคุกกี้อัลมอนด์สีขาวนวลขึ้นมาให้เจดู

"เอ้า ลองดูซะ เจ้านี่คือตัวอย่างที่ดีเลยล่ะ เจเคยกินคุกกี้อัลมอนด์ของร้านแบรนด์ใหญ่ ๆ ที่มีสาขาเยอะ ๆ อย่าง Koi Kei หรือ Choi Heong Yuen ใช่ไหม?..."

"ครับ เคยกิน มันก็จะเนื้อแน่น ๆ แห้ง ๆ คล้ายบิสกิตอ่ะนะ"

เจพูดพลางหยิบคุกกี้อัลมอนด์ซึ่งเขาซื้อแบบชิ้นเล็กมาขึ้นดู แล้วส่งเข้าปาก เขาอุทานออกมาเมื่อสัมผัสได้ถึงความแตกต่าง



"เออ ใช่ คุณ มันต่างกันหน่อยแฮะ ผมว่าเนื้อมันร่วนกว่า ไม่ได้แน่นหนักเท่ากับของพวกร้านดัง"

เจเคี้ยวคุกกี้ในปากหยับ ๆ ฆาเบียร์บอกว่าการที่เนื้อคุกกี้ร่วนกว่านั้นน่าจะเป็นเพราะที่ร้านยังใช้แรงคนในการอัดคุกกี้ลงพิมพ์แทนที่จะใช้เครื่องจักรเหมือนร้านใหญ่ที่มีสาขามากมาย เจพยักหน้าหงึกหงักแล้วกระมิดกระเมี้ยนหยิบอีกชิ้นเข้าปาก

"อืมม์ แล้วมันก็ไม่หวานมากเท่าของร้านใหญ่ด้วยอ่ะครับ รสจะอ่อน ๆ และไม่ได้มีกลิ่นอัลมอนด์แรงเท่า คงเพราะเขาไม่ได้แต่งกลิ่นสังเคราะห์ด้วยใช่ไหม?"

ฆาเบียร์พยักหน้า

"ใช่จ้ะ ถ้าคนที่ชินกับการกินของร้านใหญ่มาก่อนอาจจะไม่ชอบเพราะว่ากลิ่นรสมันอ่อนไป แต่สำหรับฉันแล้ว ฉันว่ามันกำลังดีนะ"

คนตัวโตที่พยายามเลี่ยงน้ำตาลหยิบคุกกี้ชิ้นเท่าเหรียญสิบบาทเข้าปากบ้าง เจหัวเราะแหะ ๆ แล้วบอกว่ามันรสอ่อนไปสำหรับเขาจริง

"ผมคงติดรสร้านใหญ่อย่างคุณว่าจริง ๆ แหละ แต่แบบนี้กินไปกินมาก็เพลินดีเหมือนกันเนาะ อืมม์ กินอะไรต่อดีน้า?..."

เจจด ๆ จ้อง ๆ มองขนมอีกสองชนิดที่เขาซื้อมาลองชิม เขาหยิบคุกกี้แผ่นบางที่มีแถบสีน้ำตาลเข้มแทรกอยู่ในเนื้อคุกกี้มาลองกินดู

"อ๋อ คุกกี้หมู แปลกดี ๆ!"

เจนยุทธอุทานออกมาเบา ๆ เมื่อสัมผัสถึงรสชาติของเนื้อหมูที่แทรกอยู่ในคุกกี้กรอบ ๆ ชิ้นนั้น มันยังมีกลิ่นอ่อน ๆ ของเครื่องพะโล้อยู่ด้วย

"ก็ใช้ได้แหละ แต่ฉันว่ากลิ่นเบ้คกิ้งโซดามันแรงไปหน่อยนะ มันทำให้มีรสเฝื่อนน้อย ๆ ด้วย"

คนตัวโตบ่นเบา ๆ เขาชิมเข้าไปชิ้นหนึ่งแล้วก็ไม่แตะอีก เจหยิบขึ้นมากินอีกชิ้นแล้วก็ต้องพยักหน้าเห็นด้วย แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขาหยุดหยิบชิ้นต่อไป



"แล้วไอ้นี่อะไรล่ะเนี่ย?"

หลังจากจัดการคุกกี้หมูไปสามชิ้น เจก็หยิบขนมก้อนกลมที่อบจนแป้งด้านนอกเป็นสีน้ำตาลทองสวยงามขึ้นดู

"อันนี้ฉันรู้จัก มันเรียกว่า Chicken cake จ้ะ"

ฆาเบียร์พูดยิ้ม ๆ เจพยักหน้าแล้วโยนมันเข้าปากทันที

"เอ๋? คุณว่าไส้มันเป็นไก่เหรออ่ะ? ผมว่ามันเป็นหมูนะ"

เจนยุทธขมวดคิ้ว เขาได้รสชาติของหมูและมันหมูอย่างชัดเจนพร้อมทั้งกลิ่นเครื่องเทศและงาคั่ว ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ เขาก็เคยสับสนแบบนี้เช่นกัน

"ฮ่ะ ๆ ชื่อของมันคือ chicken cake ก็จริงแต่มันไม่มีส่วนผสมของไก่เลยนะ ถ้าจำไม่ผิด อาปาเคยบอกว่ามันใส่หมู เต้าหูยี้แล้วก็พวกเครื่องเทศจ้ะ อร่อยไหม?"

เจพยักหน้าทันที เขาหยิบขึ้นมาอีกชิ้นหนึ่ง คราวนี้เขาลองกัดครึ่งเพื่อดูไส้ของมันให้แน่ใจว่าเป็นหมูแน่ ๆ





(พิมพ์ชื่อร้านผิดค่ะ Pastelaria Fong Kei ในรูปมีปอเปี๊ยะกุ้ง คุกกี้อัลมอนด์และขนมไก่)




"ทั้งหมดทั้งมวลนี่ ผมชอบไอ้เจ้าปอเปี๊ยะน้อยไส้กุ้งนี่ที่สุดแล้วครับ อร่อยสุด ๆ เลย ให้ผมกินคนเดียวทีละถุงเลยก็ยังไหว"

เจพูดพลางหยิบปอเปี๊ยะน้อยชิ้นสุดท้ายขึ้นมา เขาเกือบจะส่งมันเข้าปากแต่ก็ชะงักแล้วเปลี่ยนใจส่งมันเข้าปากของฆาเบียร์แทน

"ผมรู้ว่าคุณชอบ"

เจนยุทธพูดยิ้ม ๆ ฆาเบียร์อ้าปากรับขนมกรุบกรอบชิ้นนั้นเข้าไปแล้วจูบปลายนิ้วที่ส่งมันมาถึงที่เบา ๆ

"จ้ะ ชอบมาก"

คนตัวโตส่งสายตาแพรวพรายให้เจ้าของมือนุ่มที่เขาเกาะกุมเอาไว้ เจหน้าแดงน้อย ๆ เมื่อคนรักของเขาทำหวานใส่โดยไม่ทันได้ตั้งตัว

"จะมาสวีทอะไรกันตอนนี้ล่ะครับ เอ้า ปล่อยมือก่อน ผมจะเอาจานกับแก้วไปเก็บ"

เจพูดพลางพยายามดึงมือออกจากมือใหญ่ที่เกาะกุม หากฆาเบียร์ไม่ยอมปล่อย เขาประทับจูบที่ฝ่ามือของเจนยุทธแล้วดึงมันมาแนบแก้ม



"อีกสองวันครึ่งเองนะ"

คนตัวโตเปรยออกมาเบา ๆ แม้คราวนี้เจจะมาอยู่กับเขาเกือบสัปดาห์ แต่วันเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขายังไม่รู้สึกว่าได้รับความรักจากเจเต็มอิ่มด้วยซ้ำ

"โธ่ คุณครับ"

เจอุทานออกมาเมื่อได้ยินน้ำเสียงแสนเศร้าของคนรัก เขาขยับกายเข้าอิงแอบกับแผงอกกำยำ ฆาเบียร์เชยคางคนรักขึ้นแล้วประทับจูบแผ่ว ๆ ที่ริมฝีปากรูปกระจับสีแดงระเรื่อ เจจูบตอบแล้วก็ต้องหัวเราะคิกออกมา

"จูบคุณมีรสกุ้งแห้งด้วยอ่ะ"

คนตัวโตอดโคลงหัวให้กับความทะเล้นของคนรักไม่ได้

"แล้วอร่อยไหมล่ะจ๊ะ?"

"อืมม์ อร่อยครับ อร่อยจนผมอยากกินทั้งคืนเลย"

เจพูดแล้วก็ปิดริมฝีปากแสนหวานของคนรักด้วยริมฝีปากของเขาอีกครั้ง เขาดันร่างกำยำให้เอนลงบนโซฟานุ่มแล้วตามไปขึ้นคร่อมกาย ฆาเบียร์ใช้มือประคองใบหน้าน้อย ๆ ที่ตอนนี้ร้อนผ่าวและแดงระเรื่อด้วยอารมณ์พิศวาส จูบอันอ่อนโยนของเจในตอนแรกเริ่มเปลี่ยนเป็นร้อนแรงขึ้น ลิ้นของพวกเขาเข้าเกาะเกี่ยวพันพัวกันจนแนบแน่น เจครางเบา ๆ ในลำคอด้วยความเสียวซ่าน มือของเขาเริ่มเปะป่ายซุกซน

"ใจเย็น ๆ ช้า ๆ สิจ๊ะ"

ฆาเบียร์หอบเบา ๆ พลางตะครุบมือที่ซุกเข้าใต้เสื้อเขา เสือที่ผ่านผู้หญิงมาอย่างโชกโชนอย่างเจนยุทธมักเริ่มโจมตีเขาที่ยอดอกก่อนตามความเคยชิน หากเจนยุทธก็ยังไม่หยุด



"เจจ๊ะ เดี๋ยวก่อน..."

คนตัวโตดันใบหน้าที่ซุกไซ้อยู่ที่แผงอกของเขาออก

"เจอยากทำเหรอ? หืมม์?"

ฆาเบียร์ถาม เจยิ้มอาย ๆ แล้วพยักหน้าน้อย ๆ

"ได้ไหมครับ? หรือว่าเราควรรอให้อาปาเข้านอนก่อนดี"

เจนยุทธถามเบา ๆ ฆาเบียร์กัดริมฝีปากน้อย ๆ พร้อมกับยกนาฬิกาขึ้นดู

"อืมม์ เที่ยงคืนแล้ว แต่ทุกทีถ้ามาเล่นไพ่แบบนี้กว่าอาปาจะกลับมาก็ตีหนึ่งตีสองนู่นล่ะนะ..."

คนตัวโตตอบโดยทิ้งส่วนที่เหลือไว้ให้เจนยุทธคิดเอง เจยิ้มกว้างแล้วประทับจูบลงบนริมฝีปากบางที่เผยอรับอย่างเต็มใจ



"เจ ดีจ้ะ อืมม์"

ฆาเบียร์ผวากายขึ้นเมื่อเรียวลิ้นของคนรักหยอกล้อกับยอดอกของเขา แรงดูดเบา ๆ ทำเอาเขาขนลุกไปทั้งร่าง

"เดี๋ยวผมจัดการให้ครับ..."

เจพูดพลางช่วยคนรักปลดเข็มขัดออก

"ผมถอดออกเลยนะ เดี๋ยวเลอะ"

เจพูดยิ้ม ๆ แม้จะถอดเสื้อนอกออกแขวนไว้แล้ว คนรักของเขาก็ยังอยู่ในชุดเสื้อเชิร์ตและกางเกงทำงานซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นของมีแบรนด์ ฆาเบียร์พยักหน้าแล้วยกสะโพกขึ้นเพื่อให้เจนยุทธดึงกางเกงให้พ้นเรียวขา

"อย่าแกล้งฉันสิ!"

คนตัวโตโอดครวญ เจประทับรอยจูบไปจนทั่วร่างเขาหากเว้นไว้แค่เพียงส่วนสำคัญ เจยิ้มกริ่มก่อนที่จะจูบแผ่ว ๆ ที่หน้าท้องซึ่งมีกล้ามเนื้อเป็นลอน ฆาเบียร์ผวากายเมื่อริมฝีปากร้อนผ่าวขบเม้มต่ำลงเรื่อย ๆ หากเจก็ยังเว้นส่วนแข็งเกร็งของเขาไว้แล้วไปทิ้งรอยจูบไว้ที่ต้นขาด้านในของเขาแทน

"ไหนบอกให้ผมใจเย็นไงครับ ทนไม่ได้ขนาดนั้นเลยเหรอ?"

เจนยุทธกระเซ้าคนรักที่เขินอายจนหน้าแดงก่ำ ฆาเบียร์ทนการยั่วเย้าของเขาไม่ได้จนต้องเอื้อมมือมาเกาะกุมและรูดไล้แก่นกายที่แข็งจนแทบระเบิดด้วยตนเอง

"ร้ายนักนะ!"

ฆาเบียร์คำรามเบา ๆ ไม่เคยมีใครปล่อยให้เขาทนไม่ได้จนต้องระบายอารมณ์ตนเองแบบนี้เหมือนกับที่เจนยุทธทำ เจหัวเราะน้อย ๆ แต่ก็ยังคงแกล้งคนรักของเขาต่อด้วยการจูบนั่น จับนี่ไปทั่วตามใจชอบ

"ถ้าอยากให้ผมทำให้ ก็สั่งมาสิครับ ขอดุ ๆ เข้ม ๆ นะ"

คนตัวโตตาวาว เขาลุกขึ้นนั่งแล้วดึงร่างคนรักให้ขึ้นมาเผชิญหน้ากับตน



"Lick it!"

ฆาเบียร์พูดเสียงห้วน ๆ หากเจย่นจมูกให้พร้อมกับส่ายหัว

"ไม่ไหว ๆ คุณทำได้ดีกว่านี้นะครับ...My Master"

เจพูดพลางขยิบตาให้ฆาเบียร์ คนตัวโตจิ๊ปากเมื่อคนรักเกิดจะอยากมาเล่นบทบาทเจ้านายกับคนรับใช้เอาตอนนี้ เขาปั้นหน้าจนเคร่งเครียดจากนั้นกระชากคอเสื้อเจนยุทธเข้ามาหาจนหน้าของพวกเขาแทบจะติดกัน

"Suck it now!"

คนตัวโตตวาดคนรักด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ

"Your wish is my command, Master"

เจนยุทธยิ้มกว้างพร้อมกับค้อมหัวให้ "เจ้านาย" ของเขา จากนั้นทรุดตัวนั่งลงเบื้องหน้าคนรัก ฆาเบียร์ขยับอ้าขาออกเพื่อให้เจปฏิบัติการได้ง่ายขึ้น

"อา แบบนั้นแหละ เจ ดีมาก"

ฆาเบียร์ครางเสียงกระเส่า เขาเอนกายพิงพนักโซฟาอย่างหมดแรง

"เสียวขนาดนั้นเลยเหรอครับ?"

เจหัวเราะคิก พลางเงยหน้าขึ้นถามคนที่กำไหล่เขาแน่นจนเจ็บ

"เฮ้ อย่าหยุดสิ!"

คนตัวโตดุเจ้าจอมซนที่เล่นกับของรักของเขาเหมือนกับเป็นของเล่นชิ้นหนึ่ง แต่ก็ต้องหลุดปากครางออกมาเมื่อลิ้นของเจเข้าพันพัวกันส่วนอ่อนไหวของเขาอีกครั้ง

"อา ดี ลึก ๆ หนัก ๆ เลย"

ฆาเบียร์เสียวจนตัวเกร็งเมื่อรู้สึกถึงแรงดูดหนัก ๆ เจนยุทธก้มหน้าก้มตาบริการคนรักของเขาด้วยปากและมืออย่างแข็งขัน เขารู้สึกได้ว่าอีกไม่นานฆาเบียร์ก็คงจะถึงฝั่งฝันแล้ว



"เชี่ย!"

"Shit!"

ทั้งสองคนที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับกิจกรรมหรรษาอุทานออกมาพร้อมกันเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นของอู่ทินหลงและเสียงพูดของคริสที่นอกประตูห้อง ฆาเบียร์รีบดันร่างเจนยุทธออกแล้วลนลานหยิบเสื้อผ้าของตนขึ้นจากพื้น เจรีบเด้งกายลุกขึ้นตาม พวกเขาทั้งสองเผ่นพรวดเข้าไปในห้องนอนใหญ่แล้วปิดประตูพร้อม ๆ กับที่ประตูหน้าห้องเปิดออก

"วู้ หนุ่ม ๆ นอนหรือยัง? ลุงหลงมาหาแล้ว มีเหล้ามาฝากด้วยนา"

อู่ทินหลงพูดด้วยเสียงอ้อแอ้น้อย ๆ เขาได้ร่ำสุรากับเพื่อน ๆ มาบ้างแล้วก่อนที่จะตัดสินใจมาต่อกันที่ห้องของคริส

"เอ๊ะ ไปไหนกันหว่า?"

อาหลงขมวดคิ้วแล้วหันไปมองหน้าเพื่อน ๆ เขาคิดว่าได้ยินเสียงเหมือนมีคนอยู่ในห้องนี้ก่อนหน้าที่เขาจะเปิดประตูเข้ามา

"นั่นสิ ไปไหนกันนะ?"

คริสพูดเบา ๆ พร้อมกวาดตาดูรอบ ๆ โต๊ะ เขาเห็นจานเปล่าและถุงขนมพร้อมกับบรั่นดีขวดน้อยอยู่บนโต๊ะ หากเขาก็ต้องสะดุ้งและเกือบหลุดปากอุทานออกมาเมื่อเห็นกางเกงในสีขาวตัวหนึ่งตกอยู่ที่ข้างโซฟา

"ฉัน เอ่อ ฉันว่าพวกนั้นคงเข้านอนกันแล้วหรือไม่ก็อาจจะลงไปที่คาสิโนล่ะมั้ง..."

คริสพูดตะกุกตะกักพลางขยับกายไปยืนบังผ้าผืนน้อยนั้น

"ฉันว่าเราก็ปล่อยพวกเด็ก ๆ ไปแล้วกัน เอ่อ มา ๆ นั่งลง ๆ เรามาคุยกันต่อดีกว่า"

อาปาของฆาเบียร์หันซ้ายหันขวาแล้วจึงผายมือเชิญเพื่อน ๆ ให้นั่ง ตัวเขานั่งลงพร้อมกับแอบใช้เท้าเขี่ยกางเกงในสีขาวตัวนั้นให้เข้าลึกไปใต้โซฟา เขาอดโคลงหัวน้อย ๆ ให้กับความหื่นไม่เลือกที่ของเด็ก ๆ ของเขา



"โอย เวร ๆๆ ทำไมอาปาถึงกลับมาเร็วนักนะคืนนี้"

ฆาเบียร์บ่นเบา ๆ จากนั้นเอาหูแนบประตูเพื่อฟังเสียงจากนอกห้องอีก เขาหันไปหาคนรักแต่ก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นดวงตาที่ฉายแววซุกซน

"ฆาบี้ครับ..."

เจดันคนรักติดประตูห้องแล้วเบียดกายเข้าอิงแอบในอ้อมอกกว้าง เขาไล้นิ้วไปตามแผงอกเปลือยเปล่าที่โผล่มาจากรอยแยกของเสื้อเชิร์ตที่ยังไม่ได้ติดกระดุม

"...เมื่อกี้คุณยังไม่เสร็จเลยนะ"

ฆาเบียร์ขบกรามเบา ๆ เมื่อเจลากนิ้วลงไปเขี่ยวนที่บริเวณกลางกายของเขา แม้มันจะสงบเสงี่ยมลงไปทันทีที่ได้ยินเสียงของก๊วนคุณลุง หากเมื่อถูกเจสัมผัสอีกครั้ง ไอ้เจ้าลูกชายที่ไม่รักดีของเขาก็เริ่มชูคอปึ๋งปั๋งขึ้นมาทันที

"เจ อย่าซนสิ!"

คนตัวโตเอ็ดเบา ๆ หากเจซึ่งเกิดอารมณ์สนุกขึ้นมาแล้วก็ไม่หยุดมือ เขานวดคลึงแก่นกายของคนรักเบา ๆ จนมันผงาดง้ำล้นมือ



"อื๊อ..."

ฆาเบียร์กัดหลังมือตัวเองเพื่อกลั้นเสียงยามเมื่อเจดูดกลืนแก่นกายเขาเข้าลึกไปในลำคอ เขาหอบหายใจหนัก เจ้าตัวดีของเขาเก่งขึ้นทุกวัน เจรู้ดีว่าต้องทำอย่างไรถึงจะทำให้เขามีความสุขที่สุด

"เอา ๆ อ่อยอั๊บ"

เจพึมพำบอกคนรักให้นุ่มนวลขึ้นอีกนิด คนตัวโตที่เผลอไผลโยกสะโพกใส่คนตัวเล็กจนแทบสำลักยั้งกาย เขาไล้นิ้วไปตามพวงแก้มกลมใสอย่างอ่อนโยนพลางเอนกายพิงประตูห้องและปล่อยให้เจจัดการเขาตามใจชอบ

"เจ เจจ๊ะ ดีมาก"

คนตัวโตทำปากพะงาบ ๆ พูดโดยไม่มีเสียง เจนยุทธช้อนตาขึ้นมองใบหน้าคมเข้มที่เหยเกด้วยความเสียว เขายิ้มในใจเมื่อรู้สึกได้ว่าคนตัวโตเองก็รู้สึกตื่นเต้นไปไม่น้อยกว่าเขาที่ได้ลักลอบทำเรื่องเสียวกันทั้ง ๆ ที่มีก๊วนคุณลุงนั่งคุยกันอยู่ที่อีกฟากหนึ่งของประตู

"..."

ฆาเบียร์ใช้มือปิดปากตัวเองแน่นพร้อมกับเผลอขยุ้มผมคนรักเมื่ออารมณ์ของเขาพุ่งขึ้นถึงขีดสุด เจห่อปากดูดหนัก ๆ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่คนรักจะปลดปล่อยออกมา เขากลืนกินน้ำขุ่นข้นเข้าไปทุกหยดหยาดก่อนที่จะยันกายลุกขึ้น



"ดีไหมครับ?"

เจนยุทธกระซิบข้างหูคนรักที่ดึงร่างเขาไปกอดไว้แน่น ฆาเบียร์ซึ่งยังหอบน้อย ๆ พยักหน้าอย่างอ่อนแรง

"งั้น ขอผมได้ออกมั่งนะ..."

ฆาเบียร์ทำตาโตเมื่อเจ้าตัวดีดึงมือเขาไปเกาะกุมส่วนสงวนของตนที่โป่งพองจนแทบจะทะลุกางเกงออกมาแล้วกระซิบบอกความต้องการของเขาเบา ๆ

"แต่พวกลุง ๆ เขายังอยู่ข้างนอกกันอยู่นะ"

คนตัวโตกระซิบตอบด้วยความลังเล หากดวงตาที่เว้าวอนของเจนยุทธทำให้เขาไม่สามารถปฏิเสธได้

"โอเค ๆ แต่ขอเป็นในห้องน้ำนะ"

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เจยิ้มกว้างแล้วพยักหน้าระรัว ดวงตาเป็นประกายของคนรักทำให้ฆาเบียร์อดหมั่นไส้ไม่ได้จนต้องดึงแก้มแดงระเรื่อเบา ๆ คนตัวเล็กทำหน้ามุ่ยและย่นจมูกให้ทันที ฆาเบียร์หัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วหอมแก้มคนรักอีกฟอดใหญ่

"เราต่อกันเถอะ"

คนตัวโตกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูของเจนยุทธ แม้จะบ่นในทีแรก แต่เขาก็ห้ามใจไม่ให้ทำอย่างที่เจนยุทธต้องการไม่ได้ เขารู้ดีว่าเซ็กส์ในที่สาธารณะแบบที่ต้องแอบซ่อนและคอยระวังไม่ให้คนอื่นรู้นั้นมันกระตุ้นเร้าแค่ไหน

"อย่าเผลอครางออกมาแล้วกันครับ"

เจพูดยิ้ม ๆ ฆาเบียร์ยิ้มมุมปากแล้วดึงมือคนรักเพื่อพาเข้าไปในห้องอาบน้ำ




(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- ค่ำคืนของเขากับเหล่าคุณลุง (ต่อ) ----




"อ้าว ก็อยู่กันนี่นา"

เดวิด จิวพูดเบา ๆ เมื่อได้ยินเสียงน้ำจากฝักบัวดังออกมาจากห้องน้ำของห้องนอนใหญ่ซึ่งมีประตูเปิดออกมายังที่โถงทางเข้าห้องด้วย

"อืมม์ สงสัยเมื่อกี้อาจจะงีบกันมั้ง"

คริสพูดแก้เกี้ยวให้ลูกชาย เดวิดพยักหน้ารับแล้วหันไปคุยกับเพื่อน ๆ เรื่องอื่นต่ออย่างสนุกสนานอีกครู่ใหญ่

"อ้าว วงไพ่เลิกแล้วเหรอครับ?"

คริสหันไปตามเสียง เขาอดโคลงหัวน้อย ๆ ไม่ได้เมื่อเห็นเจนยุทธในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเปิดประตูห้องนอนออกมาแล้วทำท่าแปลกใจเมื่อเห็นพวกเขานั่งอยู่ที่ห้องรับแขก

"ใช่ พวกลุงมานั่งคุยกันที่นี่ได้ซักครึ่งชั่วโมงแล้วล่ะ เมื่อกี้เรียกหาพวกเราแล้วไม่เห็นตอบ นึกว่าไม่อยู่ในห้องกันเสียอีก"

อู่ทินหลงตอบแทนเพื่อนของเขา

"เอ่อ พวกผมงีบหลับไปนิดหน่อยครับ พอดีฆาบี้เขาประชุมเสร็จไวก็เลยเอนหลังนิดหน่อยแล้วก็เผลอหลับ ผมก็เลยพลอยนอนไปด้วย"

เจพูดพลางลงนั่งลงบนเก้าอี้นวมซึ่งอยู่ใกล้คริสพร้อมส่งยิ้มอย่างเอาใจให้อาปาของเขา

"แล้วฆาบี้ล่ะ? เหนื่อยมากจนลุกไม่ขึ้นแล้วเหรอ?"

คริสกระเซ้าคนรักของลูกชายเบา ๆ อย่างรู้ทัน

"เอ่อ อ่า ไม่ครับ ฆาบี้ เอ่อ..."

เจทำท่าเลิ่กลั่กตามประสาวัวสันหลังหวะ เขาไม่รู้ว่าคริสเพียงถามไถ่ตามปกติหรือรับรู้ได้ถึงสิ่งที่พวกเขาทำหลังประตูกั้นห้องบานนั้น



"อ้าว ทำไมมาอยู่นี่กันหมดเลยล่ะครับ?"

เจนยุทธหันไปยิ้มหวานให้กับคนที่ส่งเสียงมาช่วยเขาไว้ทัน ฆาเบียร์เปิดประตูห้องออกมาแล้วปั้นหน้าราวกับไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เขาทักทายบรรดาลุง ๆ อีกครั้ง ก่อนจะลากเก้าอี้จากโต๊ะทำงานมานั่งข้างเจนยุทธ

"ก็ไอ้วิคเตอร์น่ะสิ บอกแล้วว่าไม่ให้พาเมียมาด้วย ก็ยังจะต้องพามา พอเที่ยงคืนปุ๊บแม่ก็ตามมาลากคอมันกลับปั๊บ!"

อู่ทินหลงบ่นด้วยความเซ็ง แม้ภายนอกอดีตดาราสาวชื่อดังคนนี้จะดูใจดีและสงบเสงี่ยมเรียบร้อย หากเพื่อน ๆ ของวิคเตอร์ ลีต่างรู้กันดีว่าแท้ที่จริงเธอเป็นแม่เสือที่คุมสามีไว้อยู่หมัด เมื่อเห็นใบหน้าหน้ายิ้มแย้มของเมียรักที่กำลังเดินเข้าห้องมาเท่านั้น วิคเตอร์ก็รีบเด้งกายลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินคอตกเข้าไปหาเมียทันที

"ปรากฎว่ามันขอเมียไว้ว่าจะเล่นถึงก่อนเที่ยงคืน แล้วมันดันลืมดูเวลา เมียโทรมาตามก็ไม่รับสายเพราะปิดเสียงไว้ ทีนี้แม่เลยมาตามเองถึงห้องเลย"

คริสพูดยิ้ม ๆ ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ เขาเคยเห็นเหตุการณ์ทำนองนี้มาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าที่ฮ่องกงหรือเมื่อมาคุยงานกับอาปาของเขาที่สหรัฐฯ ซีอีโอซึ่งถูกคนขนานนามว่าเป็นพยัคฆ์ร้ายแห่งวงการธุรกิจก็จะกลายเป็นเพียงลูกแมวน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าเมีย

"พอขาขาดเราก็เลยขี้เกียจเล่นกันต่อแล้ว ก็เลยว่าจะขึ้นมานั่งดื่มกันต่อที่ห้องอาซิงน่ะ ห้องนู้นก็ปล่อยให้พนักงานเค้าเคลียร์ของไป"

เดวิด จิวพูดพลางชูแก้วเหล้าเปล่าในมือให้คนของเขาซึ่งยืนรออย่างสงบเสงี่ยมอยู่บริเวณโถงประตูห้อง ชายคนนั้นรีบปราดเข้ามารับและนำมันไปเติมให้ เจหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคน ๆ นั้นคือชายที่เคยช่วยเขาถือของที่ถนนอาหารเมื่อตอนหัวค่ำ เขายังอดเหล่มองชายเสื้อด้านหลังที่โป่งขึ้นเล็กน้อยเพราะซองปืนไม่ได้ หากคนตัวเล็กก็รีบปั้นหน้ายิ้มแย้มเหมือนเดิมเมื่อเห็นเพื่อนของอาปาหันกลับมายิ้มให้



"ลุงเอาเหล้ามาด้วยสองขวด เจดื่มด้วยกันไหม? เอ๊ะ เราดื่มเหล้าเป็นใช่ไหม?"

เดวิดถามชายหนุ่มที่เขาดูท่าทางแล้วคิดว่าน่าจะยังอ่อนต่อโลก หากคำถามนั้นกลับเรียกเสียงหัวเราะจากทั้งคริสและฆาเบียร์ เจยิ้มแหย ๆ แล้วพยักหน้าตอบรับว่าเขาดื่มเป็น

"ลุงเดวิดครับ ห้ามทิ้งเจไว้กับเหล้านะครับ ไม่งั้นเจ้าตัวดีนี่ได้ดื่มเหล้าแพง ๆ ของลุงหมดขวดแน่"

ฆาเบียร์พูดกลั้วหัวเราะ เขาป้องปากสาธยาย "ความร้ายกาจ" ของเจนยุทธให้ก๊วนคุณลุงฟังคร่าว ๆ เป็นภาษากวางตุ้ง

"เฮ้ย! เม้ากันต่อหน้าแบบนี้เลยเหรอ คุณ?"

เจนยุทธทำหน้าง้ำ เขาพอเดาได้จากเสียงหัวเราะและสายตาของลุง ๆ ว่าพ่อเจ้าประคุณของเขากำลังขายเขาอย่างสนุกปากแค่ไหน

"ฮ่ะ ๆ โอเค ๆ ลุงรู้แล้วล่ะว่าเราดื่มเป็น งั้นมาดื่มเป็นเพื่อนลุงหน่อย เกมสุดท้ายเมื่อกี้ลุงได้ก็เลยให้เด็กมันไปหาเหล้าดี ๆ มาให้ดื่มกัน เดี๋ยวลุงให้เด็กมันรินมาให้นะ จะเอาคอนยัคหรือซิงเกิลมอลต์ดีล่ะ?"

จิวจี๋โหล่วถามเจนยุทธอย่างอารมณ์ดี

"เอ่อ เดี๋ยวผมไปเอามาเองก็ได้ครับ ผมอยากดูขวดมันด้วย"

เจส่งยิ้มให้เพื่อนผู้มีอิทธิพลของคริส เดวิดพยักหน้าแล้วบอกให้เจจัดการตามใจชอบ คนตัวเล็กลุกเดินไปยังตู้มินิบาร์ เขาเมียง ๆ มอง ๆ ดูเหล้าทั้งสองขวดที่วางคู่กันอยู่บนชั้นแล้วก็ไม่กล้าแตะเพราะรู้สึกถึงออร่าความแพงที่พุ่งออกมาจากทั้งสองขวดนั้น

 

"จะดื่มอะไรดีล่ะ?"

เจนยุทธสะดุ้งโหยงเมื่อฆาเบียร์ย่องเข้ามากระซิบถามเขาเบา ๆ

"ตกใจหมดเลยคุณ เล่นบ้า ๆ แบบนี้ได้ไง? เกิดผมตกใจปัดขวดเหล้าตกนี่ ซวยเลยอ่ะ"

เจบ่นพึมพำ

"ขวัญอ่อนจริงนะเรา"

คนตัวโตหัวเราะเบา ๆ พลางโอบเอวคนรักก่อนจะหอมแก้มฟอดใหญ่ด้วยความเอ็นดู แต่ก็ต้องโดนคนที่มักเขินอายในการแสดงความรักต่อหน้าผู้ใหญ่ดุเข้ายกใหญ่

"แล้วนี่โอเคแล้วใช่ไหม?"

ฆาเบียร์กระซิบถามคนตัวเล็กเบา ๆ เจพยักหน้าน้อย ๆ เมื่อครู่คนตัวโตคงสังเกตท่าทางกระอักกระอ่วนและตื่นเต้นจนตัวเกร็งของเขาได้จึงได้เปลี่ยนบรรยากาศด้วยการเผาเขาให้เดวิดและอู่ทินหลงฟัง

"ครับ แค่ยังไม่ชินน่ะ แต่ไม่ได้กลัวแล้ว"

เจยิ้มให้คนรัก เมื่อได้พูดคุยและเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของชายสูงวัยร่างเล็กคนนั้น เขาก็คลายความหวั่นเกรงในใจลงบ้าง เช่นเดียวกันกับเมื่อเขาหันไปมองชายร่างสูงซึ่งยืนคอยบริการจิวจี๋โหล่วอยู่ไม่ห่างแล้วเห็นว่าคนคนนั้นพยายามกลั้นยิ้มไว้อย่างสุดกำลังเมื่อได้ยินวีรกรรมของเขาที่ฆาเบียร์เล่าให้บรรดาลุง ๆ ฟัง



"สักพักก็ชินจ้ะ..."

ฆาเบียร์ก้มลงหอมผมนิ่มกรุ่นกลิ่นแชมพูเบา ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นพิจารณาเหล้าทั้งสองขวดตรงหน้า เขาทำตาโตเมื่อเห็นขวดทรงสวยซึ่งมีฝาจุกขวดเป็นแผ่นคริสตัลรูปเสี้ยวจันทร์คว่ำแผ่นใหญ่ ในแผ่นคริสตัลสีเขียวใสแผ่นนั้นสลักเสลาเป็นรูปต้นองุ่นซึ่งกำลังออกดอกแผ่กิ่งก้านจนทั่วแผ่น

"อื้อหือ ลุงเดวิดครับ เอาขวดนี้มาให้ลุงหลงดื่มจะดีเหรอครับ เสียดายของ..."

คนตัวโตกระเซ้าเพื่อนผู้โผงผางของอาปาซึ่งมักดื่มแบบซดโฮกแทนที่จะค่อย ๆ ละเลียดจิบเพื่อลิ้มรส อู่ทินหลงแยกเขี้ยวให้ไอ้เด็กเวรของเขาแล้วด่าโขมงโฉงเฉงกลับมาเป็นภาษากวางตุ้ง ฆาเบียร์หัวเราะลั่นแล้วหันกลับมาหาเจนยุทธที่ยืนพลิกขวดไป ๆ มา ๆ

"ไอ้เจ้า Hardy ขวดนี้มันแพงขนาดนั้นเลยเหรอคุณ?"

เจถามเบา ๆ แม้เหล้าอีกขวดที่จิวจี๋โหล่วเอามาเป็นซิงเกิลมอลต์ราคาแพงอย่าง Balvenie 30 ปีซึ่งราคาขายในไทยอยู่ที่เกือบ 50,000 บาท แต่เขาก็ไม่คิดว่าเหล้าซึ่งสามารถหาซื้อได้ในต่างประเทศด้วยราคาถูกลงไปกว่าครึ่งขวดนี้จะทำให้ฆาเบียร์ตื่นเต้นได้ และมันก็เป็นตามที่เขาคาดจริง ๆ

"ใช่เจ แพง แพงมาก ๆ ด้วย"

คนตัวโตพูดยิ้ม ๆ และบอกราคาขายของคอนยัคที่กระทั่งเขาก็ยังไม่กล้าซื้อมาลองชิม เขาอดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นคนรักทำตาเหลือกแล้วรีบวางขวดคริสตัลใบสวยที่ผลิตโดยบริษัทชื่อก้องโลกอย่าง Lalique ลงบนเคาเตอร์อย่างเบามือ



"บ้าไปแล้ว! 16,000 ยูเอสดอลลาร์เนี่ยนะ?! ห้าแสนกว่าบาท? ผมจะเป็นลม"

ฆาเบียร์กลั้นหัวเราะอีกครั้งเมื่อเห็นเจนยุทธโวยแบบไม่มีเสียงด้วยการทำปากพะงาบ ๆ

"นั่นราคาขายที่ฉันเคยเห็นในสหรัฐฯ แต่ถ้าแถวนี้อาจจะถูกหรือแพงกว่านั้น ไม่รู้เหมือนกัน ให้ฉันถามให้ไหม?"

"เฮ้ย ไม่ต้องคุณ ไม่ต้องถาม"

เจรีบตะครุบร่างคนรักที่ทำท่าจะเดินกลับไปหาเดวิด จิว แต่ก็สายไป เพื่อนของอาปาได้สังเกตเห็นท่าทีของทั้งสองแล้วลุกเดินเข้ามาหาทันที

"ไม่ต้องไปคิดถึงราคามันหรอกน่า ดื่ม ๆ ไปเถอะ"

เดวิดตบไหล่เจนยุทธเบา ๆ เมื่อเจอ้อมแอ้มบอกว่าเขาไม่กล้าดื่มคอนยัคราคาแพงขวดนั้น เขาหยิบแก้วบรั่นดีที่ขอทางโรงแรมเอามาเพิ่มให้เมื่อสักครู่มาสองใบแล้วเทเหล้าสีอำพันเข้มลงไป

"เอ้า ยอมดื่มเป็นเพื่อนลุงหน่อยนะ"

เจรีบยกมือขึ้นรับแก้วบรั่นดีที่ถูกยื่นมาตรงหน้า เขายิ้มหวานให้กับเพื่อนผู้ทรงอิทธิพลของคริสแล้วจึงยกแก้วบรั่นดีขึ้นมาสูดดม

"หอมมากเลยครับลุง"

เจพูด เดวิดยิ้มน้อย ๆ เขาเดินเกาะบ่าชายหนุ่มที่เขารู้สึกถูกชะตาด้วยคนนี้กลับมาที่ชุดรับแขก

"มะ นั่งลงตรงนี้"

จิวจี๋โหล่วตบเบาะของโซฟาซึ่งกว้างพอให้นั่งสามคนได้ คริสขยับกายเพื่อเปิดทางให้เจนยุทธลงนั่งตรงกลางระหว่างเขาและเดวิด เจนั่งลงพร้อมกับทำตัวลีบ



"ดื่ม...ดื่มให้อะไรดี อาซิง?"

"ดื่มให้มิตรภาพและผู้คนดี ๆ ที่เข้ามาในชีวิตของพวกเรา"

คริสชูแก้วในมือขึ้นแล้วส่งยิ้มละไมให้เพื่อน ๆ และเด็ก ๆ ของเขาซึ่งก็ล้วนยิ้มกว้างตอบมา เจยกแก้วในมือขึ้นชูให้กับคนรอบข้างแล้วยกขึ้นจิบอย่างถนอม

"ฆาบี้ครับ ผมไม่กินไอ้เจ้า Louis XIII ของคุณแล้วนะ ไม่อร่อย!"

เจนยุทธหันไปพูดใส่หน้าคนรักแล้วทำท่าเคลิบเคลิ้มกับรสชาติละมุนของคอนยัคชั้นเยี่ยมที่เขาไม่เคยได้ยินแม้กระทั่งชื่อแบรนด์ ฆาเบียร์โคลงหัวน้อย ๆ แล้วยกเหล้าที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้ชิมขึ้นจิบน้อย ๆ

"เฮ้อ ฉันก็ไม่อยากเห็นด้วยหรอกนะ แต่ใช่ นายพูดถูก ไอ้เจ้านี่อร่อยกว่าจริง ๆ นี่สงสัยฉันต้องได้เสียเงินอีกแล้ว"

คนตัวโตถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพูดอย่างจนใจ เขาเกิดอยากได้คอนยัคราคาเกือบสองหมื่นยูเอสดอลลาร์นี้มาเก็บไว้ในคอลเล็คชั่นสักขวดเสียแล้ว

"หึ ๆ ระวังนะฆาบี้ เดี๋ยวจะถอนตัวไม่ขึ้นเหมือนกับเดวิดมัน"

อู่ทินหลงหัวเราะหึ ๆ พร้อมกับร้องเตือนมา

"เฮ้ย อย่าพูดให้ฉันได้ช้ำใจสิ!"

จิวจี๋โหล่วเอ็ดเพื่อนแล้วก็หันกลับมาอธิบายให้เจและฆาเบียร์ฟัง

"ลุงสะสมขวดรุ่นหายากของคอนยัคยี่ห้อนี้น่ะ"

ฆาเบียร์ร้องอ๋อ ขวดรุ่นลิมิเต็ดของ Hardy นั้นล้วนสวยงามหรูหราสมกับที่เรียกตัวเองว่าเป็น Haute Couture ของวงการคอนยัค ขวดแสนสวยเหล่านั้นเกิดจากการร่วมงานกับบริษัทเครื่องแก้วและคริสตัลชื่อดังอย่าง Daum Cristalleries de Vosges และ Lalique



"ลุงได้ขวดแรกมาช่วงปี 1980 ชื่อรุ่น Casino แล้วจากนั้นก็สะสมเรื่อยมาเลย"

เดวิด จิวยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อได้พูดถึงงานอดิเรกของเขา เหล้า Hardy Casino ขวดนั้นเป็นคอนยัคราคาแพงขวดแรกที่เขาซื้อเป็นของขวัญให้กับตัวเองดัวยเงินที่ได้จากการทำงานใหญ่ชิ้นแรกสำเร็จ

"ส่วนขวดนี้น่ะ ออกมาตั้งแต่ปี 2015 แล้ว ชื่อว่า Printemps หรือว่าฤดูใบไม้ผลิ เป็นขวดแรกในซีรีส์ฤดูกาลที่จะออกมาทุก ๆ สองปี ผลิตมาแค่ 400 ขวด ที่จริงลุงก็มีแล้วขวดหนึ่งนะ แต่เพิ่งจะทำแตกไป ว่าจะหาซื้อใหม่อยู่ ก็พอดีมาเจอขวดนี้"

เดวิดถอนหายใจด้วยความเสียดายคอนยัคขวดงามซึ่งระเบิดเป็นจุณไปพร้อมกับเรือยอทช์ของเขาเมื่อปลายปีที่แล้ว เขาเล่าต่อว่าขวดที่สองในซีรีส์นี้คือ L'Été ซึ่งแปลว่าฤดูร้อน

"ขวดนี้ออกมาเมื่อปี 2017 มันมีจุกคริสตัลรูปทรงเดียวกับขวดฤดูใบไม้ผลิ แต่ลายในนั้นเป็นรูปต้นองุ่นในฤดูร้อนที่มีลูกเป็นพวงแล้ว ส่วนสีก็เป็นสีเหลืองส้ม สวยมากเลยเช่นกัน"

"ลุงได้ซื้อไว้อีกหรือเปล่าครับ แล้วมันอร่อยเหมือนกับขวดนี้หรือเปล่า"

เจนยุทธถามอย่างสนใจตามประสาคนที่ชอบเรื่องอาหารการกิน เดวิดพยักหน้า

"ซื้อสิ คราวนี้ลุงซื้อไว้สามขวดเลย ขวดหนึ่งเก็บไว้ในเซลลาร์ ขวดหนี่งเอาไว้ดื่มที่บ้าน ส่วนอีกขวดใส่เซฟไว้ ส่วนรสชาติก็ดีเยี่ยม แต่ก็ไม่ใช่รสเดียวกับขวดนี้นะ เพราะใช้ Eaux de vie คนละตัวกัน"

จิวจี๋โหล่วเล่าอีกว่า L'Automne หรือฤดูใบไม้ร่วงซึ่งเป็นขวดที่สามของซีรีส์ฤดูกาลนั้น มีกำหนดวางจำหน่ายในปี 2019

"ฉันก็ว่าจะซื้อไว้อีกสามขวด...เฮ้! ไม่ได้พารานอยด์โว้ย! มันก็ต้องเผื่อเอาไว้มั่งสิ ตอนนี้พวกขวดเก่า ๆ ฉันก็ใส่เซฟไว้หมดแล้วด้วยเหมือนกัน"

เดวิดเอ็ดเบา ๆ เมื่ออู่ทินหลงแซวมาว่าเขาวิตกจริตเกินไป เจอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นเดวิดที่เก็บอาการและมีทีท่าสุขุมและสงบนิ่งมาตลอดแม้กระทั่งตอนเล่นไพ่แสดงอารมณ์หลากหลายออกมาเมื่อได้พูดถึงสิ่งที่ตนรัก

"ผมเข้าใจครับลุง เวลามีของรัก เราก็ต้องอยากถนอมไว้ให้ดี..."

ฆาเบียร์พยักหน้าพร้อมกับทำท่าเห็นด้วยกับเพื่อนของคริส เจนยุทธหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเมื่อเมียตัวโตของเขาส่งยิ้มมาให้พร้อมกับสายตาอันแพรวพราย

"...ผมเองก็อยากจะเก็บเจไว้ข้างตัว ไม่อยากให้ห่างสายตาไปไหนเลย อยากเอามาล็อคเก็บไว้เหมือนลุงเก็บขวดเหล้าเลยครับ"

"พอ ๆ ฆาบี้! เวอร์!"

เจพูดด้วยใบหน้าแดงก่ำ เขาหยิบขนมที่ลุง ๆ เอามากินเป็นกับแกล้มขว้างใส่คนรักเพื่อแก้เขิน หากคนตัวโตหลบทันพร้อมกับหัวเราะร่า เดวิดกับคริสเองก็อดขำไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางของคนหนุ่มทั้งสอง จะมีก็แต่อู่ทินหลงที่ทำหน้าเหม็นเบื่อ



"ชิ เหม็นความรักโว้ย!"

อาหลงพูดพลางซดเหล้าซิงเกิลมอลต์อายุ 30 ปีที่เติมน้ำลงไปเล็กน้อยเพื่อทำให้รสชาตินุ่มนวลขึ้นเข้าไปอึกใหญ่

"ทะเลาะกับเมียมาอีกแล้วล่ะสิ"

คริสซึ่งนั่งเงียบฟังเพื่อนคุยกันส่งเสียงถามมาอย่างรู้ทัน

“เฮ้ย ทะล่งทะเลาะอะไร ไม่มี๊!”

อู่ทินหลงซึ่งเริ่มลิ้นไก่สั้นแล้วโบกไม้โบกมือปฏิเสธ แต่เมื่อถูกเพื่อนทั้งสองกดดันถามเข้า เขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วพยักหน้าอย่างเซ็ง ๆ

“ก็ ไม่มีอะไรมากหรอก เมียฉันปุบปับอยากจะไปช้อปที่มิลานวันพรุ่งนี้ แล้วแม่คุณก็อยากจะให้ฉันไปด้วย แต่ฉันก็บอกไปแล้วว่าไปพร้อมกันไม่ได้ เพราะว่าติดนัดกับพวกนายไว้ก่อนแล้ว เขาก็เลยงอน แต่เดี๋ยวก็หาย ไม่มีอะไรหรอก“

ตาลุงตัวร้ายของฆาเบียร์ยกมือขึ้นลูบหน้าแรง ๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาโดนเมียโกรธเพราะมาใช้เวลาอยู่กับเพื่อน

“อาหลง ฉันเคยบอกแล้วไงว่าถ้ามีเรื่องแบบนี้ ให้นายเลือกเมียก่อน ไม่ต้องมากังวลเรื่องที่ต้องมาเจอฉัน เอ่อ ฉันกับอาซิงหรอก”

จิวจี๋โหล่วพูดเสียงแผ่วเบา

“นั่นสิ แค่นัดเล่นไพ่กันแบบนี้ นัดอีกเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่คุ้มให้โดนเมียด่าหรอกนะ อาหลง”

คริสเสริมมาด้วยท่าทีไม่สบายใจ เขาไม่อยากเป็นชนวนให้อู่ทินหลงต้องผิดใจกับภรรยา

“ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า ฉันกับเมียก็ทะเลาะกันทุกเรื่องนั่นแหละ ทะเลาะกันมันทุกวัน แต่ก็ยังอยู่ด้วยกันดี พวกนายก็เห็นนี่...”

อู่ทินหลงซึ่งเริ่มตาเยิ้มเพราะฤทธิ์เหล้ายิ้มให้เพื่อน ๆ



“...อีกอย่าง พวกนายพูดเหมือนเราจะได้เจอกันง่าย ๆ อย่างนั้น อาซิงน่ะอาจจะใช่ ถ้าเจอกันที่ฮ่องกงไม่ได้ ตอนฉันไปทำงานที่แคนาดา ฉันก็ค่อยบินลงไปหาก็ได้ แวนคูเวอร์กับพาโล อัลโตไม่ได้ไกลกันมาก เครื่องส่วนตัวฉันบินแค่สองชั่วโมงเอง แต่นายน่ะ อาโหล่ว...”

อาหลงยกมือขึ้นจะลูบหัวเพื่อนตามความเคยชินแต่ก็ชะงักและเปลี่ยนเป็นตบเข่าเบา ๆ แทนเมื่อนึกได้ว่ามีลูกน้องของจิวจี๋โหล่วอยู่ในห้องด้วย

“...นายน่ะ หาตัวได้ง่าย ๆ ที่ไหน ถ้านายหาคิวให้ได้ ฉันก็ไม่พลาดที่จะมาแก้มือกับนายสักตาหรอก”

“แต่...”

จิวจี๋โหล่วอ้าปากจะพูดแย้งเพื่อน หากก็โดนเพื่อนรักซึ่งในอดีตเป็นเหมือนหัวโจกที่คอยปกป้องพวกเขายกมือห้าม

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เมียฉันน่ะง้อไม่ยากหรอก ยอมให้ด่าหน่อยแล้วหลังจากนี้ก็ยอมตามใจแม่เจ้าประคุณไปอีกสักพัก แค่นี้ก็หายโกรธแล้ว”

อู่ทินหลงหัวเราะเบา ๆ แม้จะยังเซ็งที่ถูกเมียด่า แต่เขาก็รู้ดีว่าแม่เสือของเขาซึ่งอยู่กินกันมาเกือบ 40 ปีนั้นโกรธง่ายหายเร็วแค่ไหน

“แล้วถ้าจะให้ดี พวกนายก็ส่งของกำนัลให้ซักนิดซักหน่อยเหมือนทุกทีด้วยแล้วกัน แม่จะได้อารมณ์ดีเร็ว ๆ”

“เฮ้! นี่มันแผนยืมมือเพื่อนซื้อของขวัญให้เมียหรือเปล่า?”

คริสถามสวนทันควัน อู่ทินหลงทำหน้าเบ้แล้วเอ็ดเสียงดังลั่นซึ่งเรียกเสียงฮาจากเพื่อน ๆ และฆาเบียร์ได้



“ลุงหลงพูดว่าอะไรเหรอครับ?”

เจหันไปถามคนรักซึ่งกลั้นหัวเราะจนหน้าแดงอยู่ข้าง ๆ เพื่ออรรถรสในการเม้าเมีย ก๊วนคุณลุงก็เปลี่ยนไปคุยกันเป็นภาษากวางตุ้งแทน ฆาเบียร์จึงคอยกระซิบแปลสิ่งที่อาปาและเพื่อน ๆ คุยกันให้เจซึ่งย้ายมานั่งที่เก้าอี้ทำงานซึ่งอยู่ด้านหลังเขาฟัง

“ลุงหลงบอกว่าเกลียดคนรู้ทันจ้ะ”

เจหัวเราะคิกออกมาแล้วหันไปกระซิบตอบ

“ผมว่าลุงเขาแกล้งทำตลกเพื่อให้ลุงเดวิดเขาสบายใจหรือเปล่า?”

ฆาเบียร์ยิ้มน้อย ๆ แล้วพยักหน้า แม้จะไม่ได้เจอเดวิด จิวบ่อยมากนัก แต่อาปาก็มักเล่าให้เขาฟังว่าเพื่อนของเขาคนนี้มักกังวลว่าเขาจะทำให้เพื่อน ๆ ลำบากหรือมีปัญหาถ้าต้องมาติดต่อหรือข้องเกี่ยวกับตน เพื่อน ๆ จึงพยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายและสบายใจที่สุดยามที่มาพบปะกัน

“เออ อาปาบอกให้ผมมาถามเรื่องลุงเขากับคุณอ่ะ คืนนี้อย่าลืมเล่าให้ผมฟังนะ”

เจกระซิบเบา ๆ เขายังอยากรู้เรื่องของบรรดาลุง ๆ เหล่านี้

“งั้นถ้าเข้าห้องนอนปุ๊บฉันจะรีบเล่าให้ฟังเลยแล้วกันนะ เพราะถ้ารอช้าไปนายก็คงสลบไสลไม่ทันได้ฟัง”

เจอุทานออกมาแล้วยกศอกถองอกคนที่ไม่เพียงแค่กระซิบ แต่ยังฉวยโอกาสจูบแก้มเขาต่อหน้าก๊วนคุณลุง ที่สำคัญพ่อเจ้าประคุณยังมือไวลูบหลังเขาแล้วลากเรื่อยลงมาจนเกือบถึงบั้นท้ายอีกต่างหาก

“เฮ้ ๆ สองคนนั่นน่ะ เข้าห้องไปซะไป๊!”

อู่ทินหลงพูดดัง ๆ ด้วยความหมั่นไส้คู่รักหนุ่มรุ่นลูกที่หยอกเอินกันเหมือนจะลืมไปแล้วว่าพวกเขานั่งอยู่ตรงหน้า

“ไม่เอา ๆ อย่าอิจฉาพวกผมสิครับลุง”

ฆาเบียร์ส่งยิ้มกวน ๆ ไปให้ตาลุงตัวดีของเจ แล้วยกแขนขึ้นโอบเอวคนรัก เจพยายามฝืนตัวออกแต่ฆาเบียร์ก็ไม่ยอมปล่อย ท่าทีที่เขินอายของเจนยุทธเรียกเสียงหัวเราะได้จากเดวิดและคริส

“Thanks”

อาหลงขยับปากพูดขอบใจแบบไม่มีเสียงกับฆาเบียร์เมื่อเพื่อน ๆ ซึ่งมัวแต่คุยกับเจนยุทธไม่ได้ทันได้มองมา ฆาเบียร์ค้อมหัวน้อย ๆ ให้กับตาลุงผู้โผงผาง เขาตั้งใจทำรุ่มร่ามเมื่อสักครู่ก็เพื่อดึงความสนใจของเดวิดให้ออกจากเรื่องของอู่ทินหลง



“เอ่อ คุณอู่ครับ...”

คนของเดวิดซึ่งยืนอยู่ตรงโถงประตูเดินเข้ามากระซิบเบา ๆ กับอู่ทินหลง

“เวรละ มานานแล้วเหรอ?”

ชายสูงวัยร่างใหญ่ลุกพรวดขึ้นทันที คนของเดวิดพยักหน้าน้อย ๆ อู่ทินหลงหันไปพูดคุยโต้ตอบกับการ์ดหนุ่มร่างสูงเบา ๆ อีกสองสามประโยกแล้วจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาหันมาคุยกับเพื่อน ๆ ซึ่งทั้งสองก็รีบโบกไม้โบกมือไล่เขาให้ไป

“เมียลุงเขามาหาน่ะ”

เจทำตาโตเมื่อได้ยินสิ่งที่คนรักกระซิบบอก ภรรยาของอู่ทินหลงบุกมารอสามีถึงห้องเล่นไพ่ซึ่งจัดไว้เป็นห้องนอนของเขาด้วยเช่นกัน เมื่อรู้ว่าสามีมาดื่มเหล้าที่ห้องเพื่อน เธอก็ทำท่าจะตามมาหา หากบรรดาผู้ติดตามของอาหลงก็ได้ขอให้เธอนั่งรออยู่ที่ห้องนั้นก่อนแล้วรีบแจ้นมารายงานที่ห้องนี้ทันที

“งั้น ฉันคงต้องขอตัวไปง้อเมียก่อนนะ”

อู่ทินหลงพูดอย่างปลง ๆ เขาลุกขึ้นยืนแล้วกวักมือเรียกเจนยุทธและฆาเบียร์เข้ามาหา เขาสวมกอดชายหนุ่มทั้งสองเพื่อลา



“ถ้าคืนนี้ลุงโดนเมียลากกลับบ้านแล้วไม่ได้มาเจอพวกเราอีก ลุงอยากบอกว่าลุงดีใจมากที่ได้เจอเรานะฆาบี้ แล้วก็ยินดีที่ได้รู้จักนะเจ ไว้มาหาลุงอีกนะ"

อาหลงยกมือโอบหนุ่มรุ่นลูกทั้งสองไว้ทั้งซ้ายขวา ฆาเบียร์กลั้นยิ้มเมื่อได้ยินน้ำเสียงอ้อแอ้ที่สั่นเครือของคุณลุงจอมดราม่า เขาลูบหลังเพื่อนของอาปาเบา ๆ

"ครับลุง ไว้คราวหน้าเจอกันครับ"

อู่ทินหลังถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วดันกายออกจากคนหนุ่มทั้งสอง

"ไป ๆ รีบ ๆ ไปง้อเมียซะ เผื่อเขาอารมณ์ดีขึ้นแล้วจะได้ยอมปล่อยนายมาอยู่กับพวกเราต่อพรุ่งนี้"

เดวิดโบกมือไล่เพื่อนให้กลับห้องไป อาหลงเดินไปสองสามก้าวแล้วก็หันกลับมาหาเพื่อนของเขา

"เดี๋ยวนะอาโหล่ว แล้วคืนนี้นายจะนอนไหน? หรือว่าจะกลับบ้านเลย?"

อู่ทินหลงขมวดคิ้ว เดิมทีเขาชวนจิวจี๋โหล่วนอนค้างห้องเดียวกันเพื่อที่จะได้พูดคุยกันให้หนำใจ แต่ในตอนนี้เหมือนกับว่าจะทำไม่ได้เสียแล้ว

"ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันนอนห้องอาซิงก็ได้ นายมีเตียงว่างใช่ไหม?"

เดวิดหันไปถามคริสซึ่งพยักหน้าตอบกลับมา

"ให้ตายสิ ฉันอยากอยู่คุยกับพวกนายจริง ๆ เลย"

เพื่อนร่างใหญ่ของคริสบ่นเบา ๆ เขายืนเซน้อย ๆ แล้วทำท่าจะนั่งลงต่อ คริสรีบเดินไปรุนหลังเพื่อนให้ออกจากห้องไป เขากำชับลูกน้องของอู่ทินหลงที่มายืนรอหน้าห้องให้จัดการพานายของพวกเขากลับไปห้องให้เรียบร้อยแล้วจึงเดินกลับเข้ามาหาเพื่อนและเด็ก ๆ ของเขา

"ขอบใจนะ คืนนี้กลับไปนอนกันให้หมดเลยก็ได้ ไม่น่าจะมีอะไรหรอก"

เดวิดพูดพลางรับกระเป๋าใบน้อยของเขาที่ลูกน้องไปหยิบมาให้จากที่ห้องพักของอู่ทินหลง เขาสั่งการอีกสองสามอย่างแล้วจึงเดินกลับมาหาอีกสามคนที่นั่งรออยู่ที่ชุดรับแขก



"แก้วว่างแล้ว ดื่มอีกหน่อยสิเจ"

เดวิดยิ้มพลางรินคอนยัคจากขวดแสนสวยใส่แก้วให้เจอีก ตอนนี้เหลือแค่เขากับเจนยุทธดื่มกันเพียงสองคน ฆาเบียร์นั้นดื่มคอนยัคไปเพียงแค่แก้วเดียวเนื่องจากยังต้องกินยา ส่วนคริสนั้นหยุดเพราะเริ่มรู้สึกเมาแล้ว เจหัวเราะแหะ ๆ เขายกแก้วขึ้นชนกับเดวิดเบา ๆ แล้วดื่มน้ำสีอำพันเข้าไปอีกอึกหนึ่ง

"คอแข็งเหมือนกันนี่เรา"

เดวิด จิวเอ่ยปากชมคนรักของลูกชายเพื่อนซึ่งในตอนแรกเขามองว่าน่าจะเป็นเด็กเรียบร้อยและไม่ประสาอะไร

"ลุงเองก็ใช่ย่อยนะครับ"

เจส่งยิ้มให้กับคนที่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าไม่ได้อ่อนแอบอบบางเหมือนกับรูปร่างภายนอกเลย

"สายงานของฉันถ้าโดนมอมเหล้าได้ง่าย ๆ ก็อาจถึงตายน่ะ..."

จิวจี๋โหล่วถอนหายใจและพูดพึมพำออกมาเบา ๆ หากก็ต้องชะงักเมื่อรู้ตัวว่าอาจจะพูดอะไรที่ทำให้อีกฝ่ายตกใจออกไป เขาแอบเหลือบมองดูชายหนุ่มที่ก่อนหน้านี้ดูจะเกรงและเกร็งเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา แต่ก็ต้องระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อพบว่าเจนยุทธมีท่าทางเหมือนไม่ทันได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกไป

"ลุงครับ ไอ้เจ้า Le Printemps นี่มันเยี่ยมจริง ๆ นะครับ..."

เจซึ่งที่จริงแล้วได้ยินน้ำเสียงอันแสนเศร้าของเดวิด จิวเข้าเต็มสองรูหูตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องพูด เขายกแก้วในมือขึ้นสูดดมกลิ่นหอมของเหล้าองุ่นจากเขต Grande Champagne ในเมือง Cognac มีเพียงบรั่นดีจากเมืองนี้เท่านั้นที่สามารถใช้ชื่อคอนยัคติดหน้าขวดแทนคำว่าบรั่นดีได้ เขายกขึ้นจิบน้อย ๆ แล้วระบายลมหายใจออกมาอย่างพึงใจ



"...นี่ถ้าได้ซิการ์ดี ๆ ซักมวนคงฟินน่าดูเลย"

เจเปรยออกมาเบา ๆ ด้วยความเสียดาย ซิการ์ดี ๆ กับบรั่นดีรสเลิศนั้นเรียกได้ว่าเป็นคู่ที่สวรรค์สร้างมาเลยก็ได้

"อ้าว นี่เราสูบซิการ์เป็นด้วยเหรอ? งั้นก็เหมาะเลยสิ มา ๆ ลุงมีติดมาด้วยนะ"

จิวจี๋โหล่วอุทานออกมาอย่างถูกใจ หนุ่มไทยคนนี้ดูจะมีรสนิยมต้องกันกับเขาหลายอย่างทีเดียว

"เดี๋ยว ๆ อาโหล่ว ห้องนี้ห้ามสูบบุหรี่นะ"

คริสที่นั่งเอนหลังอยู่รีบคว้ามือเพื่อนที่กำลังจะหยิบซิการ์ในซองออกมาตัดสูบ เดวิดจิ๊ปากเบา ๆ อย่างเสียดาย เช่นเดียวกับเจที่ทำตาละห้อยดูในซองหนังที่เปิดไว้ มันเผยให้เห็นซิการ์ราคาแพงหลายมวนที่เขาเคยเห็นเพียงแค่รูปเท่านั้น

"นี่ ๆ กลับไปฮ่องกงเราค่อยไปสูบกันที่บ้านอาปาก็ได้"

ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นท่าทีเปรี้ยวปากของคนรักพร้อมกับยกมือลูบหัวอย่างเอ็นดู เจหันมายิ้มจนตาหยีให้กับคนรัก ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้เขาเอนกายอิงแอบคนตัวโตต่อหน้าผู้ใหญ่อย่างลืมตัว



"อาโหล่ว นี่ตีสองกว่าแล้วนะ คนแก่อย่างเราไปนอนกันเถอะ พวกหนุ่ม ๆ เขาจะได้มีเวลาส่วนตัวกันบ้าง"

คริสดูนาฬิกาแล้วตบบ่าเพื่อนของเขาเบา ๆ จิวจี๋โหล่วพยักหน้าพร้อมกับหาวน้อย ๆ

"ก็ดีเหมือนกัน ฉันก็เริ่มง่วงเหลือทนแล้ว"

ผู้เฒ่าร่างเพรียวบางยกมือขึ้นบิดขี้เกียจแล้วจึงลุกขึ้นยืน คริสลุกขึ้นตาม เดวิดเรียกคนของเขาเข้ามาสั่งการแล้วหันมาพูดกับคนหนุ่มทั้งสอง

"คืนนี้คนของลุงสองคนจะมานอนเฝ้าที่ห้องรับแขกนี่นะ ถ้าเปิดประตูมาเจอก็อย่าตกใจแล้วกัน แต่ลุงรับรองว่าพวกเขาจะอยู่กันเงียบ ๆ ไม่รบกวนแน่นอน"

เดวิด จิวพูดอย่างเกรงใจ

"ไม่เป็นไรครับลุง ตามสบายเลยครับ"

ฆาเบียร์ตอบพร้อมกับค้อมหัวให้เพื่อนรักของอาปาของเขา

"งั้น ราตรีสวัสดิ์นะ ลุงไม่กวนพวกเราแล้ว"

เดวิดส่งยิ้มให้คนหนุ่มทั้งสองแล้วหันไปพยักเพยิดกับคริสว่าเขาจะเข้าไปอาบน้ำก่อนเพื่อเตรียมนอน

"อาปาไปนอนแล้วนะ อ๋อ ใช่ ฆาบี้!"

คริสพูดก่อนที่จะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาดึงตัวลูกบุญธรรมเข้ามากระซิบเบา ๆ เป็นภาษาสเปนเมื่อเห็นเดวิดเดินคล้อยหลังไป


------------------------------

(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- ค่ำคืนของเขากับเหล่าคุณลุง (ต่อ) ----




"Tu slip"

"กางเกงในเราน่ะ"


ฆาเบียร์ทำหน้าแตกตื่นพลางมองตามสายตาคริสไปยังใต้โซฟา คริสหัวเราะแล้วตบไหล่หนาของลูกชายเบา ๆ ก่อนที่จะเดินกลับเข้าห้องไป ทิ้งให้ฆาเบียร์ยืนทำหน้าพิพักพิพ่วนอยู่

"หือ? คุณ ทำอะไรน่ะ?"

เจนยุทธถามคนรักที่จู่ ๆ ก็ทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาแล้วดึงตัวเขามายืนบังสายตาคนของเดวิดทั้งซึ่งยืนรอส่งพวกเขาเข้าห้องนอน ฆาเบียร์จุ๊ปากเบา ๆ แล้วก้มกายไปควานหาของใต้โซฟา เมื่อได้มาเขาก็รีบกำมันไว้ในมือทันที

"เจ เราเข้าห้องกันเถอะ"

เจทำหน้างง ๆ เมื่อคนตัวโตลุกพรวดขึ้นแล้วดึงแขนเขาเพื่อพาเข้าห้องนอน ฆาเบียร์ค้อมหัวน้อย ๆ ให้คนของเดวิดซึ่งกล่าวราตรีสวัสดิ์กับเขาและเจจากนั้นก็รีบปิดประตูห้อง

"เป็นอะไรครับฆาบี้? ลุกลี้ลุกลนอะไรกัน?"

เจนยุทธบ่นคนรักของเขาเบา ๆ ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วคลี่สิ่งที่อยู่ในมือให้เจดู



"เฮ้ย!"

เจอุทานออกมาดังลั่นแล้วก็รีบตะครุบปากตัวเอง เขาทำตาโตมองกางเกงในแบรนด์ดังของคนรักที่เผลอทำตกไว้ข้างโซฟาเมื่อตอนที่พวกเขาลนลานหนีบรรดาก๊วนคุณลุง

"โอ๊ย คุณ! ฮ่า ๆๆ"

เจทิ้งกายนอนตัวงอบนเตียง เขาพยายามกลั้นเสียงหัวเราะอย่างสุดกำลัง เขาจินตนาการถึงท่าทางกระอักกระอ่วนของอาปาเมื่อเห็นกางเกงผ้ายืดตัวจ้อยนั้นแล้วก็อดทำเสียงพรืด ๆ ด้วยความขำขันออกมาไม่ได้

"ให้ตายสิ สงสารอาปาชะมัดเลย ต้องมาคอยเก็บกวาดให้คุณเนี่ย"

เจลุกขึ้นนั่งพร้อมกับเช็ดน้ำตาป้อย ๆ ส่วนฆาเบียร์นั้นก็ได้แต่ยืนเท้าเอวแล้วโคลงหัวให้กับความซุ่มซ่ามของตัวเอง

"เมื่อกี้ฉันก็มัวแต่รีบ ไม่ได้เช็คว่าเก็บมาครบหรือเปล่า"

คนตัวโตถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วโยนกางเกงผ้าในมือลงที่ม้านั่งปลายเตียง จากนั้นปีนขึ้นเตียงไปนอนซบตักคนรักอย่างออดอ้อน

"ยังดีที่เป็นอาปาเป็นคนเจอนะครับ ถ้าเป็นคนอื่น ผมว่าคุณคงต้องเอาหัวมุดดินเป็นนกกระจอกเทศแล้วอ่ะ"

เจหัวเราะคิกพลางใช้นิ้วสางผมสีน้ำตาลสลวยของคนรักที่เขายีเล่นจนยุ่งเหยิง ฆาเบียร์ร้องอืมม์เบา ๆ ในลำคอ เขาคว้ามือนิ่มมาจูบเบา ๆ แก้เก้อก่อนจะโน้มคอคนตัวเล็กลงมาประทับจูบอันอ่อนหวานให้



"เดี๋ยวครับ ฆาบี้ อย่าเพิ่งซน ไหนว่ามีอะไรจะเล่าให้ผมฟังไม่ใช่เหรอ?"

เจนยุทธรีบดันกายคนรักที่ทำท่าจะเครื่องติดแล้วออก

"โธ่ เจ ไว้เล่าทีหลังก็ได้น่า"

ฆาเบียร์ทำหน้าไม่สบอารมณ์แล้วรั้งกายคนรักให้แนบกายตนอีกครั้ง หากเจก็ดิ้นจนหลุดออกจากอ้อมแขนที่โอบรัด

"ไม่เอาครับ เล่าตอนนี้เถอะ"

เจนยุทธทำใจแข็งเพราะกลัวว่าหากรอทีหลังอย่างที่ฆาเบียร์ว่า ตนอาจจะสลบไสลไปก่อนจนอดฟังเรื่องราวชีวิตของเดวิด จิวเลยก็ได้ ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วดึงร่างคนรักขึ้นมานอนซบอก

"โอเค ๆ ฉันเล่าให้ฟังก็ได้ เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้..."




----------------------------------------

แฮ่ ตอนนี้ยาวหน่อยนะคะ ช่วงนี้คนเขียนความคิดกระจัดกระจาย ฟุ้งไปฟุ้งมา หาสาระไม่ค่อยเจอ แต่ก็ให้เห็นก๊วนลุง ๆ มากขึ้นอีกหน่อย กับมีรีวิวขนมร้าน Fong Kei เท่าที่เคยกินมาอีกนิดค่ะ ทีนี้ พอเขียนชื่อตอนแล้ว เอ๊...มันฟังเหมือนชื่อการ์ตูนวายไปหน่อยเนาะ อ่านแล้วอย่าคิดมากนะคะ ฮ่า ๆๆ

เริ่มจากร้านขนม Pastelaria Fong Kei ก่อน ได้เขียนถึงตัวร้านไปเมื่อตอนที่แล้ว คราวนี้มาพูดถึงขนมบ้าง คนเขียนซื้อกลับมา 5 อย่าง เขียนถึง 4 อย่าง มีรูปแค่ 3 อย่างนะคะ ลืมถ่ายไว้ซะงั้น ที่ชอบสุด ๆ ขนาดที่ว่าไปคราวหน้าจะต้องซื้อกลับมาอีกเยอะ ๆ ก็คือเจ้าปอเปี๊ยะกุ้งน้อยนั่นแหละค่ะ อร่อยแบบกินหมดได้ทีละถุงเลยจริง ๆ แต่น่าจะไม่ใช่ของเด่นเพราะไม่เห็นรีวิวไหนพูดถึงเลย รสนิยมคนเขียนคงแปลกกว่าคนอื่นจริง ๆ หรือไม่ก็อาจจะเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เพิ่งออกมาก็ได้ก็เลยไม่ค่อยมีใครพูดถึง แต่วัดจากการที่เขามีขนมชนิดนี้เตรียมไว้เต็มตู้ (ณ วันที่ไปซื้อ) ก็แสดงว่าน่าจะเป็นของดังเหมือนกัน

อีกอย่างที่ชอบก็คือ "ขนมไก่" ที่ว่านั่นแหละค่ะ ตัวไส้หมูของเขาอร่อยดี แต่กินมาก ๆ ก็จะเลี่ยนหน่อยเพราะว่ามีมันหมูด้วย ส่วนคุกกี้หมูก็รสคล้ายขนมหมู แต่จะแห้ง ๆ กว่า จะติงก็ตรงมีรสเบ้คกิ้งโซดาแรงนิดแค่นั้น ส่วนขนมขึ้นชื่อของร้านนี้นั้นคือคุกกี้อัลมอนด์และคุกกี้วอลนัท (ไม่ได้พูดถึงในเรื่อง แต่รสชาติมันคล้ายขนมหน้าแตกของบ้านเราเลย) จัดว่าดีค่ะ แต่ถ้าคนที่ติดรสของร้านอย่าง Koi Kei แล้ว ร้านนี้จะรสอ่อนกว่าเจ้านั้นเยอะ อาจจะไม่รู้สึกว่าหอมมันเท่า

สรุป ถ้าอยากชิมรสชาติขนมท้องถิ่นที่ติดในไกด์ของมิเชแลง ก็ไปลองดูก็ได้ค่ะ แต่ควรไปช่วงค่ำ ๆ ไม่ก็เช้า ๆ เลย เพราะคิวจะสั้น ร้านน่าจะปิดสามทุ่มค่ะ แต่ไม่ชัวร์ว่าถ้าค่ำ ๆ แล้วของจะหมดหรือเปล่า

ที่จริงคนเขียนยังได้ซื้อขนมมาจากอีกร้านหนึ่งด้วย แต่ดันจำชื่อร้านไม่ได้ จำไม่ได้ด้วยว่าอยู่ตรงไหน รู้แค่ว่าอยู่คนละฝั่งกับร้าน Fong Kei ขนมของร้านนี้เป็นแบบชั่งกิโลขายค่ะ อย่างแรกที่ซื้อมาเป็นขนมเปี๊ยะที่ไส้เป็นมันหมูเลยค่ะ แต่เป็นมันที่น่าจะมาจากหมูที่เอาไปทำเป็นแฮมแล้ว อร่อยเลยค่ะ แต่กินมากไม่ได้เพราะเลี่ยนมาก กับอีกอย่างที่ซื้อมาเป็นขนมนิ่ม ๆ ขาว ๆ ที่ตัดเป็นท่อน คนขายโฆษณามากว่าใช้แป้งข้าว(จ้าว?)ทำ แต่กระบวนการหมักต่าง ๆ ทำให้รสชาติออกมาคล้ายกล้วย พอกินแล้ว เอ๊ะ รสชาติคุ้น ๆ มาก อ๋อ! เหมือนขนมโก๋อ่อนบ้านเรานี่เอง แต่ว่ามันได้กลิ่นเหมือนกล้วยอ่อน ๆ จริง ๆ เสียดายว่าพอมาถึงบ้านเราแล้ว กินไปได้ไม่กี่ชิ้นก็โดนมดเจาะถุง อดไป คราวหน้าค่อยไปลองหาดูใหม่

รีวิวร้าน Pastelaria Fong Kei

จากบล็อกเกอร์ชาวมาเลย์ค่ะ http://bit.ly/2LWJ8db

รีวิวภาษาไทยค่ะ จาก Tamago Resto, Bar & Cafe Hopping Guide http://bit.ly/2O3eRfz



นอกจากเรื่องขนมแล้ว ในตอนนี้ยังมีเรื่องเหล้าต่ออีกนิด ความสนุกอย่างหนึ่งของการเขียนเรื่องนี้คือได้เปิดโลกทัศน์อะไรหลาย ๆ อย่าง จากที่รู้จักคอนยัคอยู่แค่ 6 ยี่ห้อ (Hennessy, Courvoisier, Martell, Otard, Camus และ Remy Martin) พอหาข้อมูลมาเขียน ก็ได้เห็นคอนยัคแบรนด์อื่นที่ราคาโหดไม่แพ้กันหรืออาจจะแพงกว่าอย่าง Hine และที่จับมาเขียนในเรื่องอย่าง Hardy ค่ะ

Hardy และขวดสวย ๆ http://bit.ly/2M2UbBx

ตอนเลือกว่าจะเขียนเรื่อง cognac ตัวไหนนั้น ขอสารภาพเลยว่า เลือกจากขวดแท้ ๆ เลยค่ะ นี่คือลิสต์ของคอนยัคที่มีขวดสวย ๆ ค่ะ  http://bit.ly/2JNCFP9



ตอนหน้านี่ยังหนักใจว่าจะเขียนยังไงดีหนอ จะเล่าเรื่องลุง ๆ ตอนหนุ่ม ๆ หรือว่าไง รอดูกันนะคะ ถ้าคนอ่านว่าง ๆ ก็แวะเมาท์กันได้ที่ เพจ fb https://www.facebook.com/LaVidaSinTuAmor/ และทวิตเตอร์ https://twitter.com/VidaSinTuAmorTH ค่ะ




ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
แต่ละคนเมียดุทั้งนั้น

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- "I Want to Forget..." ----




“เป็นอย่างนี้ แล้วมันอย่างไหนล่ะครับ?”

เจนยุทธถามเร่งเมื่อคนรักทิ้งช่วงไปนาน คนตัวโตสบตากลมใสที่จ้องเป๋งมาที่เขา ลมหายใจอุ่น ๆ เจือกลิ่นแอลกอฮอล์ที่เป่ารดซอกคอเขาทำให้ฆาเบียร์รู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมา

"ก่อนเล่า ขอฉันจูบนายอีกทีก่อนได้ไหม?..."

ฆาเบียร์ถามเสียงแหบพร่า เจซึ่งนอนพังพาบทำตาแป๋วรอฟังอยู่บนอกกว้างอุทานลั่นพร้อมกับขยับตัวหนีอ้อมแขนแข็งแกร่งที่รัดหมับเข้าที่เอว

"ขี้โกงอ่ะ! ไหนว่าจะเล่าก่อนไง ฆาบี้!"

เจว๊ากลั่นแล้วพยายามหลบริมฝีปากของคนที่พลิกตัวกดเขาลงกับเตียง หากคนตัวโตจุ๊ปากเบา ๆ

"ชู่ว์...เบา ๆ สิจ๊ะ อยากให้สองคนที่นอกห้องได้ยินหมดเหรอ?"

เจหยุดโวยทันที หากเขาก็เม้มปากแน่นเมื่อยามที่คนรักทาบริมฝีปากลงมา

"เจจ๋า จะไม่ยอมใจอ่อนสักนิดเลยเหรอ?"

ฆาเบียร์ตัดพ้อเบา ๆ แต่เจนยุทธส่ายหัวดิกและพยายามเบือนหน้าหลบ คนตัวโตถอนหายใจเฮือกใหญ่และปล่อยคนรักให้เป็นอิสระ

"ตามใจนายก็แล้วกัน"

คนตัวโตซึ่งดูจะหมดอารมณ์แล้วสะบัดเสียง เขาเอื้อมมือไปปิดไฟที่หัวเตียงจากนั้นพลิกกายนอนหันหลังให้เจนยุทธ



"อ้าว คุณครับ ไม่เล่าเรื่องลุง ๆ ให้ผมฟังแล้วเหรอ"

เจลุกขึ้นนั่งแล้วเขย่าร่างกำยำที่นอนหันหลังให้เขาเบา ๆ ฆาเบียร์เบี่ยงแขนเพื่อหลบเลี่ยงมือที่พยายามเกาะกุม เจนยุทธหน้าเสียไปทันที

"คุณ อย่างอนสิครับ"

เจถอนหายใจเฮือกแล้วลงนอนกอดร่างหนั่นแน่นของคนรักไว้จากข้างหลัง หากฆาเบียร์แกะมือของเขาออกแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาพันกายจนเหมือนดักแด้ คนตัวเล็กหน้าจ๋อย เขาปีนข้ามร่างที่นอนตะแคงหันหลังให้แล้วไปนั่งจ๋องอยู่ขอบเตียงฝั่งที่ฆาเบียร์นอน

"ฆาบี้ คุณโกรธผมจริง ๆ เหรอ?"

เจถามเสียงแผ่วเบาพลางเขย่าร่างคนรักอีกครั้ง แต่คนตัวโตก็หลับตาแน่นและไม่มีทีท่าจะสนใจ

"คุณครับ..."

คนตัวเล็กพยายามแทรกกายลงนอนบนพื้นที่อันมีน้อยนิดระหว่างร่างคนรักและขอบเตียง

"ไม่อยากจูบผมแล้วเหรอ?"

เจนยุทธถามด้วยน้ำเสียงเว้าวอนหลังจากดันร่างคนรักที่นอนตะแคงลงนอนหงายจนได้ เขากระชากผ้าห่มออกแล้วขึ้นไปคร่อมร่างใหญ่กำยำไว้ จากนั้นก้มหน้าลงไปหาคนที่หลับตาอยู่แล้วพยายามจุมพิตแผ่วเบา หากคนตัวโตซึ่งทำหน้าเรียบเฉยก็พยายามหลบเลี่ยง เจพรมจูบไปทั่วใบหน้าคนรัก ไล่ตั้งแต่หน้าผาก ปลายจมูก โหนกแก้มสูงเด่น ปลายคางและจบท้ายที่ริมฝีปากบาง แม้ฆาเบียร์จะเม้มปากแน่นเช่นเดียวกับที่เจทำเมื่อสักครู่ เจนยุทธก็พยายามขบเม้มและดูดดึงเท่าที่ทำได้

"ยอมผมเถอะนะ คนดี"

เจกระซิบเบา ๆ แล้วพยายามง้างปากคนรักด้วยลิ้นต่อ ฆาเบียร์พยายามกลั้นยิ้มเมื่อเรียวลิ้นของคนรักที่เมื่อครู่เล่นตัวเหลือเกินพยายามแทรกผ่านริมฝีปากที่ปิดสนิทของเขา สุดท้ายคนที่แกล้งทำใจแข็งก็อดรนทนไม่ไหวและเผยอปากเพื่อเปิดทางให้ลิ้นของเจแทรกเข้ามาเคล้าคลึงกับลิ้นของเขา



"อืมม์..."

หนุ่มละตินครางเบา ๆ ในลำคอเมื่อคนตัวเล็กที่อิดออดไม่ยอมให้จูบเมื่อสักครู่กลับตั้งหน้าตั้งตาบดจูบลงบนริมฝีปากของเขา ลมหายใจร้อนผ่าวของเจกระตุ้นเร้าอารมณ์ของเขาอย่างสุดแสน เขายกมือขึ้นโอบรัดร่างคนรักในอ้อมอกไว้แล้วพลิกร่างเพรียวลงติดเตียงแทน เจหลับตาพริ้มแล้วพยายามป้อนจูบที่ดีที่สุดให้กับคนรัก เขาขยับลิ้นรับลิ้นที่พลิกพริ้วคลึงเคล้า สัมผัสนั้นชวนวาบหวามจนเขารู้สึกได้ถึงแก่นกายตนที่ขยายจนเบียดกับส่วนแข็งขืนของฆาเบียร์ซึ่งก็นูนโป่งจนดันกางเกงนอน

"ยังอยากฟังอยู่ไหม?"

คนตัวเล็กส่ายหัวดิกเมื่อคนรักกระซิบเสียงกระเส่าถามที่ข้างหู ฆาเบียร์ยิ้มอย่างมีชัย เขายันกายขึ้นนั่งคร่อมร่างเพรียวไว้แล้วถอดเสื้อยืดเนื้อบางของตนออก เจลนลานถอดเสื้อของตนบ้าง เขายกสะโพกขึ้นเพื่อให้คนรักดึงกางเกงขาสั้นออกจนพ้นปลายเท้า ฆาเบียร์ดึงร่างเพรียวแต่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นมานั่งคร่อมตัก เจผวากายขึ้นเมื่อริมฝีปากร้อน ๆ ของฆาเบียร์ประกบเข้ากับยอดอกที่ตอนนี้แดงก่ำและชูชันเพราะอารมณ์ใคร่

"เบา ๆ สิจ๊ะ เดี๋ยวเขาได้ยินกันหมดนะ"

ฆาเบียร์กระซิบเมื่อคนรักหลุดครางเสียงหวานออกมา เจเม้มปากแน่นแล้วปล่อยให้คนรักเล่นกับเม็ดทับทิมที่ไวต่อสัมผัสของเขาไป ฆาเบียร์ใช้มือกอบกุมแก่นกายร้อนผ่าวของเจนยุทธไว้และนำมาเบียดคลึงกับส่วนแข็งขืนของตน เจหายใจหอบถี่เมื่อมือใหญ่รูดไล้หนัก เขาไกวตัวน้อย ๆ เพื่อโยกสะโพกส่งแก่นกายเข้ากับอุ้งมือร้อน ฆาเบียร์สัมผัสกายคนรักอีกชั่วครู่ก่อนจะดันกายเจให้นั่งพิงหัวเตียงแล้วขยับกายตนลงต่ำ

"คุณ...ผมเสียว"

"ชู่ว์..."

คนตัวโตจุ๊ปากเบา ๆ เพื่อเตือนคนรักที่หลุดปากครางกระเส่าออกมา เขาก้มกลับลงไปเพื่อดูดกลืนแท่งลำขนาดเกินตัวของเจนยุทธเข้าลึกในลำคอ เจดิ้นเร่า ๆ ด้วยความเสียวซ่าน ริมฝีปากนิ่มของฆาเบียร์ทำให้เขาเจียนตายได้ทุกครั้ง ไม่นานเจก็ต้องอุดปากตัวเองแล้วปลดปล่อยออกมา

"เปื้อนหมดเลย"

เจบ่นเบา ๆ พร้อมกับรีบหยิบทิชชู่ที่ข้างเตียงมาเช็ดบริเวณริมฝีปากและแก้มของเมียตัวโตของเขา ฆาเบียร์ยิ้มกริ่มแล้วก้มลงจูบท้องน้อยของคนรักเบา ๆ เขาใช้ลิ้นลากเลียคราบน้ำที่เปรอะอยู่จนหมด เจใช้นิ้วเสยผมยาวรุ่ยร่ายที่หลุดออกจากยางรัดลงมาระข้างแก้มของคนตัวโตให้พ้นทาง ฆาเบียร์ระบายลมหายใจออกมาเบา ๆ เมื่อเจใช้นิ้วคลึงติ่งหูของเขา สัมผัสเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ของเจสร้างอารมณ์ปรารถนาให้กับเขาได้ทุกครั้ง



"เดี๋ยวผมมานะครับ ฆาบี้"

เจดันร่างกำยำของคนรักออก เขาเดินหายเข้าห้องน้ำไปครู่ใหญ่แล้วกลับออกมาพร้อมกับถุงอุปกรณ์ในมือ ฆาเบียร์ยิ้มกริ่มทันที

"ไม่ต้องมาทำหน้าบานเลย ก็บอกแล้วว่าผมไม่เบี้ยวคุณหรอกน่า"

เจผลักหน้าคนรักที่ทำท่าจะก้มลงสำรวจ "ความพร้อม" ของเขา

"ไหนบอกว่าจะจัดการฉันไงจ๊ะ?"

ฆาเบียร์ถามยิ้ม ๆ พลางไล้นิ้วไปบนหน้าท้องแบนราบของคนรัก เจย่นจมูกให้พ่อเจ้าประคุณของเขา ถึงเขาจะพูดปาว ๆ ว่าจะเป็นฝ่ายกดคนรักในคืนนี้ แต่ที่จริงเขาตั้งใจไว้แล้วว่าจะมอบกายและเป็นฝ่ายปรนนิบัติคนรักให้ถึงใจสมกับที่อุตส่าห์เอาคืนคุณลุงตัวแสบให้

"มัวแต่เล่นอะไรครับคุณ..."

เจหน้าแดงซ่านแล้วปัดมือคนรักที่เอาแต่เขี่ย ๆ กด ๆ ที่ปากช่องทางของเขา

"เจจ๊ะ...ฉันขออะไรหน่อยได้ไหม?..."

คนตัวโตซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่กลางหว่างขาที่อ้ากว้างของเจนยุทธถามพร้อมส่งสายตาเว้าวอน

"...ทำให้ฉันดูหน่อยได้ไหมจ๊ะ?"

"หืมม์ ทำอะไรครับ? เนี่ยเหรอ?"

เจขมวดคิ้ว เขาวางมือเกาะกุมกลางกายตนแล้วมองหน้าคนรักเป็นเชิงถาม หากฆาเบียร์ส่ายหน้าแล้วดึงมือเจต่ำลงมา

"ทำให้ฉันดูหน่อยสิว่าเมื่อกี้เจเตรียมตัวยังไง"

เจนยุทธหน้าร้อนวาบ แม้พวกเขาจะมีเซ็กส์ผ่านจอกันบ่อยครั้ง หากที่เขาทำคือการใช้มือจัดการกับแก่นกายตามปกติเท่านั้นโดยที่ไม่เคยล่วงล้ำช่องทางด้านหลังของตนให้อีกฝ่ายเห็น ส่วนยามที่ร่วมรักกันแล้วเขาเป็นฝ่ายรองรับนั้น เจมักจะไปจัดการเตรียมความพร้อมด้วยตนเองในห้องน้ำก่อนหรือไม่ก็ให้อีกฝ่ายซึ่งชำนาญกว่าเป็นคนทำให้

“ไม่เอาอ่ะ ผมอาย”

คนตัวเล็กหน้าแดงก่ำและพยายามดึงมือออก หากไม่อาจฝืนแรงของฝ่ามือใหญ่ที่วางซ้อนทับอยู่บนหลังมือของเขาได้



"นะ...เจนยุทธ ทำเพื่อฉันหน่อย ฉันยังเคยทำให้นายดูเลยนะ"

คนตัวโตโน้มกายเข้าใกล้และอ้อนวอนคนรัก เสียงทุ้มแหบที่กระซิบกระเส่าอยู่ข้างหูทำให้เจใจอ่อนยวบ เขานิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะจุ๊บริมฝีปากบางที่ยิ้มพรายอยู่เบื้องหน้าแผ่ว ๆ แทนคำตอบแล้วดันร่างใหญ่ออก คนตัวโตรีบเปิดโคมไฟที่ข้างเตียงทันทีแล้วขยับกลับไปนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหน้าคนรัก

"เปิดไฟด้วย? จะกลัวเห็นไม่ชัดอะไรขนาดนั้น"

เจบ่นกระปอดกระแปดก่อนที่จะหยิบหลอดเจลจากในถุงออกมา เขาชะโลมมันบนนิ้วแล้วนวดคลึงตรงปากช่องทางด้านหลังซึ่งเขาจัดการจนอ่อนนุ่มลงแล้วก่อนหน้านี้ เมื่อรู้สึกว่ามันลื่นพอ เขาก็ค่อย ๆ สอดนิ้วกลางเข้าไปตื้น ๆ แล้วควงคว้างเบา ๆ เพื่อเบิกทาง

"เฮ้ย! ไหนว่าจะดูผมทำไง?"

เจซึ่งหลับตาพริ้มอยู่เบิกตาขึ้นทันทีเมื่อคนรักของเขาอดรนทนไม่ไหวกับภาพอันแสนยั่วยวนเบื้องหน้าและตะปบมือลงบนมือของเขา

“ก็ดูอยู่ไงจ๊ะ...”

ฆาเบียร์พูดยิ้ม ๆ พร้อมกับเพิ่มน้ำหนักมือขึ้น

“อื๊อ คุณ ไม่เอา ไหนว่าจะให้ผมทำเองไง”

เจร้องเสียงสั่นเมื่อคนรักเป็นฝ่ายควบคุมการขยับมือของเขา ความตั้งใจเดิมของเจคือเพียงแค่นวดเฟ้นขยายปากช่องทางเร็ว ๆ เพื่อรับแก่นกายของคนรัก หากในตอนนี้ฆาเบียร์กลับบังคับนิ้วของเขาให้ชำแรกลึกและคว้านหมุนจนเจตัวอ่อนระทวย เขาผวากายเฮือกขึ้นเมื่อนิ้วของตัวเองกระแทกเข้ากับจุดหฤหรรษ์

“ตรงนี้สินะ”

คนตัวโตพูดยิ้ม ๆ เมื่อเห็นท่าทีของคนรัก เจซี้ดปากเมื่อฆาเบียร์ส่งนิ้วใหญ่แข็งเข้ามาในกายทั้งที่ฝ่ามือยังกุมทับมือของเขาอยู่

"ฆาบี้ มันแน่น อ๊ะ..."

เจครางเสียงกระเส่าแล้วกระตุกกายขึ้นอีกเมื่อคนรักกดมือย้ำ ๆ เข้าจนทั้งนิ้วของเขาและฆาเบียร์นวดคลึงเข้าที่ต่อมลูกหมากอันเป็นเหมือนจีสปอตของผู้ชาย



"รัดใหญ่เลยนะ เสียวเหรอจ๊ะ?"

ฆาเบียร์ยิ้มกริ่มและเอนกายไปกระซิบข้างหูเจนยุทธ เจพยักหน้าและเม้มปากแน่นเพื่อสะกดกลั้นเสียงคราง คนตัวโตขยับกายเข้าจนแทบชิดกายคนรัก เขาจุมพิตพวงแก้มกลมใสและลากลิ้นล้อกับใบหู เจหายใจหนักเมื่อฆาเบียร์เพิ่มนิ้วเข้าไปอีก เขาพยายามจะดึงมือตนออก แต่คนรักก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ

"อย่าดื้อสิ เด็กดีของฉัน ไหน ขอฉันดูหน่อยซิ"

คนตัวโตกระซิบแล้วก้มลงมองนิ้วของเขาและเจขยับเข้าออกช่องทางสีแดงก่ำ

"จวนแล้วเหรอจ๊ะ?"

ฆาเบียร์ส่งยิ้มละไมให้คนที่ถูกเขานวดจุดอ่อนไหวจนตัวเกร็ง เจดิ้นพล่านแล้วดึงร่างใหญ่กำยำเข้ามากอดแน่น

"คุณครับ เข้ามาเถอะ ผมขอ"

เจนยุทธกระซิบเสียงสั่น เขาทนความเสียวนี้ไม่ไหวแล้วและต้องการมากกว่าแค่นิ้วของอีกฝ่าย คนตัวโตยิ้มกว้างพร้อมถอนนิ้วออกและปล่อยมือจากการเกาะกุม เจระบายลมหายใจออกแรง ๆ

"อ๊ะ ๆ อย่าหยุดมือสิ"

ฆาเบียร์ซึ่งหันไปหยิบเครื่องป้องกันมาใส่ดุคนรักที่ทำท่าจะหมดแรงและหยุดมือลง เจทำตาดุๆ ใส่เมียตัวโตที่กำลังจะเล่นบทบาทอื่นของเขาแต่ก็ยอมทำตามโดยดี



"Just a quick one, please"

เจนยุทธส่งสายตาเว้าวอนให้คนที่เตรียมจะรุกล้ำเข้ามาในกาย

"รับปากไม่ได้จ้ะ แต่จะพยายามนะ"

คนตัวโตตอบแล้วยกสะโพกคนรักขึ้น เจจิกหมอนแน่นเมื่อคนตัวโตค่อย ๆ ล่วงล้ำเข้ามา เขาพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อไม่ให้หลุดปากครางออกไป แต่กลับเป็นฆาเบียร์ซึ่งเผลอส่งเสียงคำรามออกมาอย่างสมใจ

"คุณ เบา ๆ สิ"

เจดุคนรักเบา ๆ แบบไม่มีเสียง หากก็ต้องร้องออกมาเมื่อคนที่แข็งแรงกว่ายกร่างเขาให้ขึ้นไปนั่งคร่อมตัก ฆาเบียร์บดปากเข้ากับริมฝีปากรูปกระจับของคนรักหนัก ๆ ส่วนเจก็กอดร่างคนที่นั่งคุกเข่าบนเตียงนุ่มไว้แน่น ฆาเบียร์เริ่มขยับกายช้า ๆ

"Baby, it's so damn tight!"

คนตัวโตเผลอส่งเสียงออกมาอีกด้วยความสะใจจนเจต้องจุ๊ปากเตือน ฆาเบียร์เม้มปากแน่นและใช้มือประคองบั้นท้ายคนรักให้ลอยขึ้นแล้วกระทุ้งสะโพกขึ้นย้ำ ๆ เข้าช่องทางที่รัดแน่น เจเองก็บดกายลงหนัก ๆ อย่างไม่ยอมแพ้ เสียงหอบหนัก ๆ และเสียงกระซิบคำหยาบโลนของคนตัวโตที่ข้างหูกระตุ้นเร้าอารมณ์ของเขาให้พลุ่งพล่านกว่าทุกครั้ง เจนยุทธรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัว อาจเป็นเพราะต้องพยายามกลั้นเสียงไม่ให้ลอดออกไปนอกห้อง หรืออาจเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ราคาแพงระยับที่เขาดื่มไปก่อนหน้านี้



"แรงอีก ฆาบี้"

เจหอบกระเส่า เขากอดคอฆาเบียร์ไว้แน่นแล้วกระแทกกายลงอย่างไม่กลัวเจ็บ คนตัวโตขบกรามเมื่อช่องทางของคนรักโอบรับส่วนแข็งขืนเข้าไปลึกกว่าทุกครั้ง เขาบดจูบลงบนริมฝีปากที่บวมน้อย ๆ เพราะถูกเขาดูดดึงอย่างหนักอีกครั้งเพื่อสะกดเสียงครางที่เริ่มดังขึ้นของเจ

"เจจ๊ะ ฉันจะไม่ไหวแล้วนะ"

ฆาเบียร์กัดฟันพูด ความร้อนในกายของคนรักทำให้เขารู้สึกมากกว่าทุกที แถมวันนี้เจยังร้อนแรงและเร่งเร้าจนเขาแทบจะทนไม่ไหว ถ้าปล่อยให้เจ้าตัวดีทำตามใจ เขาก็คงต้องเสียเชิงชายและปล่อยคนรักให้ค้างเติ่งเป็นแน่แท้

"อีกนิดครับ ฆาบี้ อีกนิด รอหน่อย"

เจหอบหนัก ๆ ที่ข้างหูคนตัวโต เขาใช้มือข้างหนึ่งกอดคอคนรัก อีกข้างรูดไล้แก่นกายตนไปพร้อม ๆ กับควบขี่คนรักอย่างเต็มกำลัง

"ไม่รอแล้วจ้ะ"

ฆาเบียร์กระแทกเสียงแล้วยกร่างเพรียวขึ้นจนตัวลอย เจอุทานแล้วใช้ท่อนขาเกี่ยวเอวคนรักไว้แน่น ฆาเบียร์ขยับลงไปยืนตั้งหลักมั่นที่ข้างเตียงแล้ววางคนรักที่กายยังเชื่อมต่อกันลงบนเตียง จากนั้นก็เริ่มเป็นฝ่ายคุมเกมเอง



"คุณ ไม่ ไม่ไหวแล้วครับ จะออก!"

เจเผลอร้องลั่นออกมา ฆาเบียร์ซึ่งเหงื่อไหลโทรมหน้าก้มลงจูบนิ้วของเท้าทั้งสองที่ยันอยู่กับแผ่นอกของเขาอย่างไม่รังเกียจ เขากดฝ่ามือลงที่ต้นขาด้านหลังของเจนยุทธเพื่อดันเข่าทั้งสองของคนรักที่ทำท่าจะเหยียดเกร็งออกเพราะความเสียวให้กลับไปชิดอกเหมือนเดิมแล้วกระหน่ำบดสะโพกลงหนัก ๆ อีกสองสามทีจนรู้สึกถึงการตอดรัดแน่น

"เฮ้ ๆ นี่กะจะน็อคฉันเลยเหรอ?"

คนตัวโตร้องออกมาพร้อมกับเอียงหัวหลบปลายเท้าของคนที่ผวากายเยือกขึ้น เขาดึงรั้งร่างของคนที่หอบจนตัวโยนเข้ามากอดแนบอกไว้โดยไม่รังเกียจน้ำขุ่นข้นที่เลอะเปรอะหน้าท้อง

"ดีไหมจ๊ะ?"

ฆาเบียร์ถาม เจพยักหน้าน้อย ๆ อย่างเหนื่อยอ่อน

"เยี่ยมไปเลยครับ แล้วคุณล่ะ? เสร็จไหม?"

เจถามอย่างเป็นห่วง ฆาเบียร์พยักหน้าน้อย ๆ และบอกว่าเขาถึงจุดหลังจากเจเพียงนิดเดียวเท่านั้น เจยิ้มออกมาแล้วจูบปากคนรักจ้วบใหญ่

"งั้นหายงอนผมแล้วใช่ไหม?"

เจซบหน้าลงกับบ่าของคนรักอย่างออดอ้อน ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ แล้วจูบผมนิ่มที่ตอนนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อแทนคำตอบ

"ดีครับ งั้น เล่าเรื่องลุง ๆ ให้ผมฟังหน่อย"

เจนยุทธทำตาแป๋วแล้วจ้องหน้าคนรัก คนตัวโตกระพริบตาปริบ ๆ แล้วก้มลงมองต่ำ

"เอ่อ เล่าทั้งท่านี้เนี่ยนะ? จะดีเหรอจ๊ะ?"

หนุ่มละตินถามอย่างยั่วเย้า

"บ้าดิคุณ ไป ๆ ไปล้างตัวเลย"

เจหน้าแดงแล้วผลักร่างคนที่ยังมีบางส่วนคาอยู่ในกายของเขาออก ฆาเบียร์หัวเราะแล้วดึงคนรักให้ลุกขึ้นตาม



"ไหวไหม?"

ฆาเบียร์ถามอย่างเป็นห่วงพร้อมเข้าไปประคองคนรักที่ทรุดนั่งกลับลงไปบนเตียง เจทำหน้าเหยเกเมื่อรู้สึกถึงความปวดแปลบ เขาก่นด่าตัวเองในใจที่เผลอไผลปล่อยให้อารมณ์รุนแรงเข้าครอบงำจนลืมเจ็บ เขาชกเบา ๆ ใส่คนตัวโตที่ยืนทำท่าเป็นห่วงอยู่ข้าง ๆ ด้วยอารมณ์พาล ฆาเบียร์ทำหน้านิ่วแล้วลูบท้องเบา ๆ แล้วดึงเจให้ลุกขึ้นอีกครั้ง

“คุณอ่ะ วันหลังนุ่มนวลกับผมหน่อยสิครับ ของตัวเองใช่จะเล็ก ๆ ที่ไหน”

เจนยุทธบ่นกระปอดกระแปด ฆาเบียร์หัวเราะแล้วเข้าไปประคองคนที่เดินโขยกเขยกช้า ๆ ให้เข้าไปในห้องน้ำ

“เฮ้อ บอกให้นุ่มนวล แล้วใครกันที่ขย่มฉันจนแทบจะหักอยู่แล้ว หืมม์? ทำซะขนาดนี้ แถมร้องให้ 'Fxxx me! Fxxx me harder!' ซะขนาดนั้น จะให้ฉันทนทำเบา ๆ ได้อยู่เหรอ?”

คนตัวโตซึ่งโดยเนื้อแท้เป็นคนทะลึ่งตึงตังตามประสาหนุ่มละติโน่แสร้งถอนหายใจแล้วหันไปยักคิ้วให้เจนยุทธ เจหน้าร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงท่าทางอันแสนเร่าร้อนของตนเมื่อครู่

"ไม่รู้ล่ะ คราวหน้าคุณต้องเบรคผมด้วยไม่งั้นแย่แน่ ๆ อ่ะ อย่างคราวนี้คงต้องระบมไปทั้งวันแหงเลย"

เจบ่นเบา ๆ แล้วเปิดน้ำจากฝักบัวให้สาดรดต้องกาย คนตัวโตเข้าไปช่วยลูบไล้ฟองสบู่ให้เจจนทั่วกาย



"อย่ามือซนครับ"

เจนยุทธเอ็ดเสียงเขียวเมื่อมือใหญ่วนเวียนอยู่แค่แถวบั้นท้ายของเขา แถมนิ้วยาว ๆ ของเจ้าตัวก็ทำท่าจะรุกล้ำเข้ามาในช่องทางของเขาอีก

"ก็ฉันจะช่วยจัดการล้างข้างในให้ไง"

คนตัวโตแถข้าง ๆ คู ๆ เจจิ๊ปากทันที

"ชิ ไม่ต้องมาอ้างครับ เมื่อกี้คุณใส่ถุง ไม่ได้ปล่อยใน อย่าเนียนครับ"

เจนยุทธดึงมือของคนรักออกทันที ฆาเบียร์หัวเราะเจื่อน ๆ แล้วเปลี่ยนเป็นบีบคลึงเบา ๆ ที่บั้นท้ายของคนตัวเล็กแทน

"แล้วเมื่อกี้เจ็บมากไหม? "

ฆาเบียร์ถามอย่างเป็นห่วง

"ก็นิดหน่อยอ่ะครับ ผมเพลินไปหน่อย"

เจนยุทธพูดเสียงอ่อย ๆ แม้จะมีสารหล่อลื่นจำนวนมากช่วย การรับแท่งลำอวบขนาด 10 นิ้วของคนรักเข้าไปจนมิดลำนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรทำนัก

"ขอโทษจริง ๆ จ้ะ ฉันน่าจะยั้ง ๆ หน่อย"

คนตัวโตทำหน้าจ๋อย ในอดีต เขามักเล่นเซ็กส์กับคู่ขาอย่างดุดันเพื่อตอบสนองความปรารถนาของตน โชคดีที่คู่ขาส่วนใหญ่ของเขาล้วนช่ำชองและชอบแบบเดียวกัน จึงไม่มีปัญหาแม้ว่าอาจจะทำให้อีกฝ่ายลุกไม่ขึ้นหลังจากนั้นก็ตาม แต่กับเจนยุทธ ภาพของเจที่จับไข้นอนตัวสั่นที่สมุยยังคงหลอกหลอนเขา ถ้าเป็นไปได้ เขาจึงอยากนุ่มนวลและทะนุถนอมคนรักซึ่งยังใหม่ในทางนี้ของเขาคนนี้ หากเจ้าตัวดีของเขามักไม่ค่อยให้ความร่วมมือจนทำให้เขาเผลอตัวแสดงอารมณ์ดิบเถื่อนออกมาบ่อยครั้ง

"แต่อย่างน้อยเลือดก็ไม่ออกนะคราวนี้"

ฆาเบียร์พึมพำเบา ๆ พลางประคองร่างคนรักลงนั่งในอ่างน้ำทรงกลมขนาดใหญ่ที่เขาเปิดน้ำร้อนใส่ไว้เมื่อครู่ เจพยักหน้าน้อย ๆ เขาระบายลมหายใจออกมาด้วยความสบายตัวเมื่อมีน้ำร้อนโอบอุ้มกาย



"คุณไม่ลงมาแช่ด้วยเหรอครับ?"

คนตัวเล็กถามคนที่ดึงเอาผ้าเช็ดตัวมาพันกาย

"เดี๋ยวฉันจะไปเอาโค้กเย็น ๆ มาดื่มหน่อยน่ะ เจเอาอะไรไหม? วิสกี้หรือคอนยัคของลุงเดวิดไหม?"

คนตัวโตถามหากเจนยุทธส่ายหน้า เขาคงดื่มแอลกอฮอล์ไม่ไหวอีกแล้วในคืนนี้

"เอาโค้กแบบคุณก็ได้ครับ ว่าแต่ ฆาบี้ครับ..."

เจนยุทธกวาดตามองคนรักหัวจรดเท้าพร้อมกับส่งเสียงเข้ม

"...ใส่กางเกงออกไปครับ ไม่ใช่ผ้าเช็ดตัว"

ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ แล้วเดินไปหยิบกางเกงลายช้างจากเชียงใหม่ซึ่งเขาใส่ตอนออกไปนั่งคุยกับเหล่าลุง ๆ เมื่อสักครู่มาใส่แทนผ้าเช็ดตัว

"ไม่ใส่เสื้อด้วยล่ะครับ?"

เจบ่นกะปอดกะแปดแต่ก็โบกมือไล่คนตัวโตที่โอดครวญว่าเดี๋ยวเขาก็กลับเข้ามาแช่น้ำต่อแล้วให้รีบออกไป

"อย่าเผลอหลับนะ"

คนตัวโตหันมาบอกด้วยความเป็นห่วงคนที่เคยมีประวัติหลับคาอ่างจนเกือบจมน้ำมาแล้วหนหนึ่ง

"คุณก็รีบไปรีบมาสิครับ แค่หยิบโค้กเอง ผมไม่ทันหลับหรอก"

เจโผเกาะขอบอ่างแล้วเตะเท้าเบา ๆ ให้น้ำกระเซ็นใส่คนรัก เขาอุทานออกมาแล้วก็บ่นเป็นหมีกินผึ้งเมื่อถูกฆาเบียร์ตบหนัก ๆ เข้าที่ก้นกลม ๆ ซึ่งโผล่พ้นน้ำขึ้นมา คนตัวโตยักคิ้วให้คนรักแล้วจึงเดินผ่านห้องแต่งตัวออกไปยังห้องนั่งเล่น



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- "I Want to Forget..." (ต่อ) ----



"ตามสบายเถอะครับ ผมแค่ออกมาเอาเครื่องดื่ม"

ฆาเบียร์พูดภาษากวางตุ้งและยกมือขึ้นห้ามคนของจิวจี๋โหล่วซึ่งรีบเด้งกายขึ้นจากโซฟาทันทีที่เขาเดินออกห้องมา หากบอดี้การ์ดทั้งสองก็ไม่ได้ทรุดตัวกลับลงไปบนโซฟาที่พวกเขาเอนหลังอยู่เมื่อสักครู่ แต่กลับยืนนิ่งสงบอยู่ประหนึ่งจะคอยรับคำสั่ง

"คุณฆาเบียร์อยากได้อะไรเพิ่มไหมครับ? ถ้าจะเอาน้ำแข็งเดี๋ยวผมจะไปเอามาให้"

ชายหนุ่มร่างสูงซึ่งถูกส่งไปดูแลเจและคริสที่ถนนอาหารรีบปราดเข้ามาหยิบกระติกน้ำแข็งใบน้อยซึ่งภายในเกลี้ยงฉาดแล้วขึ้น

"ไม่เป็นไรครับคุณชาน แค่ที่แช่ตู้เย็นไว้ก็เย็นพอแล้ว"

ฆาเบียร์หันไปยิ้มให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นหนึ่งในคนสนิทของเดวิด จิว เขาได้เห็นหน้าค่าตาชายหนุ่มแซ่ชานคนนี้มาหลายครั้งแล้ว

"โธ่ คุณฆาเบียร์ครับ ผมบอกแล้วว่าให้เรียกผมอาซันหรือว่าไหว่ซันก็ได้"

ชานไหว่ซันบ่นเบา ๆ พลางวางกระติกน้ำแข็งกลับลงไปที่เก่า ฆาเบียร์เปิดตู้เย็นเล็กที่อยู่ในตู้แล้วหยิบน้ำอัดลมขวดเล็กออกมาขวดหนึ่ง เขามองหาแก้วน้ำหากก็เจอแต่ใบที่ใช้แล้ว

"เดี๋ยวผมเอาไปล้างให้ครับ"

ชานไหว่ซันปราดเข้ามาหาหนุ่มใหญ่เชื้อสายละตินซึ่งเป็นลูกบุญธรรมเพื่อนสนิทของนาย

"ไม่เป็นไร ๆ เดี๋ยวพวกผมดื่มจากขวดก็ได้"

ฆาเบียร์ชูโค้กขวดเล็กในมือให้บอดี้การ์ดหนุ่มดู อาซันรับคำแล้วก้มหน้าขยับถอยหลังออกห่าง เขายังไม่ค่อยกล้าสบตาเจ้าของเสียงคำรามที่เขาและลูกน้องได้ยินกันเต็มสองรูหูเมื่อครู่ใหญ่ที่ผ่านมา แม้คนภายในห้องจะพยายามกลั้นเสียง แต่เสียงครางและเสียงคำรามยามลืมตัวของทั้งสองก็ยังคงดังก้องออกมาให้พวกเขาได้ทรมานจิตใจ โดยเฉพาะชายหนุ่มแซ่ชานซึ่งเคยได้รู้จักเพศรสของเพศเดียวกันตั้งแต่สมัยยังเป็นหน่วยรบพิเศษของจีน เขาพอจะเดาได้ว่ากิจกรรมในห้องนั้นดุเดือดเพียงไหน

"...ผมไม่กวนพวกคุณแล้ว พักผ่อนตามสบายนะครับ"

บอดี้การ์ดหนุ่มหลุดจากห้วงความคิดแล้วรีบค้อมหัวรับคำของฆาเบียร์

"เอ่อ คุณฆาเบียร์ครับ..."

ฆาเบียร์หยุดเท้าแล้วหันกลับมาหาหนุ่มแซ่ชาน

"ฝากขอโทษคนรักของคุณด้วยนะครับที่พวกผมทำให้ตกใจเมื่อตอนค่ำ พวกผมพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้เลยไม่รู้ว่าต้องพูดกับคุณเขายังไง"


"อ๋อ เรื่องนั้นไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ รายนั้นเขาเข้าใจแล้วว่าพวกคุณต้องทำหน้าที่"

ฆาเบียร์ส่งยิ้มละไมให้หัวหน้าบอดี้การ์ดของเดวิด จิว ก่อนที่จะขอตัวกลับเข้าไปหาคนรัก



“เจ!”

คนตัวโตอุทานออกมาด้วยความตกใจเมื่อก้าวเท้าเข้าห้องน้ำแล้วเห็นใบหน้าของคนรักจมลงไปในน้ำกว่าครึ่ง หากเขาก็ชะงักแล้วหัวเราะหึ ๆ ออกมาเมื่อเห็นดวงตาสุกใสที่กลอกกลิ้งไปมาภายใต้เปลือกตาที่หรี่หลุบลงครึ่งหนึ่ง คนตัวโตถอดกางเกงของเขาออกแล้วทรุดกายลงนั่งบนขอบอ่างหินอ่อนและจ้องมองดูคนตัวเล็กที่แกล้งทำเป็นจมน้ำ เจพยายามกลั้นหายใจใต้น้ำอีกครู่หนึ่งแต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหวและต้องยอมแพ้

“อ้าว ไม่มุดน้ำเล่นต่อแล้วเหรอจ๊ะ?”

ฆาเบียร์กระเซ้าคนที่โผล่พรวดพ้นน้ำขึ้นมา

“คุณนี่ ไม่รับมุกผมหน่อยเลย”

เจแยกเขี้ยวใส่คนรัก เขาอยากจะแกล้งให้คนรักที่หายหน้าไปนานกว่าที่คิดให้ได้ตกใจเล่น แต่พ่อเจ้าประคุณก็รู้ทันก่อนเสียจนได้ ที่น่าเจ็บใจคือนอกจากจะไม่ช่วยแล้ว เมียตัวโตของเขายังวักน้ำสาดใส่หน้าของเขาอีกต่างหาก ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ แล้วโน้มกายไปจูบคนตัวเล็กที่แช่อยู่ในน้ำแทบทั้งตัวตัว เจรับจูบอันดูดดื่มนั้นและยกมือขึ้นโอบคอคนรัก



“เฮ้ย!”

หนุ่มละตินร้องลั่นเมื่อคนรักใช้แรงดึงกายเขาจนตกลงมาในอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ทั้งตัว

“โธ่ เจ ฉันกะว่าจะไม่ต้องเป่าผมแล้วเชียว”

คนตัวโตซึ่งจมลงไปในน้ำทั้งตัวบ่นลั่น เขาจัดการรวบผมยาวสลวยเป็นมวยไว้บนหัวเพื่อที่จะไม่ต้องเปียกน้ำยามที่ลงแช่กับเจ แต่ในตอนนี้มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรแล้ว เจนยุทธหัวเราะคิกคักแล้วพุ่งเข้าไปกอดปล้ำคนรักอย่างสนุกสนาน ฆาเบียร์เองก็ไม่ยอมแพ้ เขาวักน้ำสาดใส่คนตัวเล็กและพยายามคว้าร่างเพรียวเอาไว้ สุดท้ายเจนยุทธก็เป็นฝ่ายถูกตรึงไว้กับขอบอ่างและรับจูบอันอ่อนโยนของฆาเบียร์

“มัวแต่แวะเม้าอะไรครับ ไหนบอกว่าแค่ไปหยิบน้ำ”

เจนยุทธถามหลังจากคนตัวโตถอนริมฝีปากออกจากปากแดงก่ำของเขา ฆาเบียร์ไม่ตอบแต่บรรจงจูบคนรักของเขาต่ออย่างรักใคร่ เจยกมือขึ้นโอบคอคนรักและตอบสนองอย่างนุ่มนวล

"อ้ายฮักเจนะ"

ฆาเบียร์กระซิบแผ่ว ๆ ด้วยคำที่พ่อแม่ของเจนยุทธเคยบอกรักกัน เจยิ้มกว้าง หลัง ๆ มาเขาไม่ค่อยได้ยินฆาเบียร์บอกรักเขาด้วยคำเมืองจนเขานึกว่าอีกฝ่ายลืมไปเสียแล้ว

"Yo tambien te quiero"

คนตัวเล็กกระซิบตอบด้วยภาษาพ่อแม่ของคนรัก คนตัวโตยิ้มกว้างแล้วจุ๊บเบา ๆ ที่หน้าผากของคนรัก เขาขยับกายแล้วก็อุทานออกมาเบา ๆ เมื่อนั่งทับใส่อะไรบางอย่าง



"ตายล่ะ กลายเป็นโค้กอุ่นไปแล้ว"

ฆาเบียร์บ่นแล้วหยิบขวดโค้กที่ตกลงน้ำร้อนพร้อมตัวเขาขึ้นมา เจหัวเราะแหะ ๆ

"เดี๋ยวผมเอาไปเปลี่ยนเป็นขวดใหม่มาให้ก็ได้อ่ะ ขวดนี้เปิดปุ๊บคงพุ่งเป็นน้ำพุแน่"

เจนยุทธคว้าขวดพลาสติกในมือคนตัวโตไปวางแอบไว้ข้างอ่าง ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ แล้วดึงร่างของคนรักที่ทำท่าจะลุกขึ้นจากอ่างให้เข้ามาแนบกาย

"ไม่ต้องแล้วจ้ะ เดี๋ยวขึ้นจากน้ำแล้วค่อยไปเอามาก็ได้ มา มานั่งนี่เถอะ"

คนตัวโตขยับให้เจมานั่งซ้อนด้านหน้าและใช้มือโอบเอวไว้ เจเอนหลังพิงอกกว้างอย่างสบายอารมณ์

"ตัวคุณนี่อุ่นดีจัง"

เจนยุทธเปรยเบา ๆ อ้อมกอดของคนรักนั้นอบอุ่นเสมอ ฆาเบียร์ยิ้มบาง ๆ แล้วจูบแผ่ว ๆ ที่ต้นคอของคนตัวเล็ก พวกเขานั่งหลับตาเงียบ ๆ และแช่น้ำอย่างผ่อนคลายอยู่ครู่ใหญ่



"เจ เฮ้ อย่าหลับสิ"

ฆาเบียร์ตบแก้มคนตัวเล็กที่หลับคาอกเขาไปแล้วเบา ๆ

"อืมม์ ของีบหน่อยน่า อยู่แบบนี้ สบ๊าย สบาย"

เจส่งเสียงงึมงำพลางเบียดกายเข้ากับแผงอกกว้าง ฆาเบียร์โคลงหัวน้อย ๆ

"ไม่ได้ ๆ ถ้าจะนอนก็ไปนอนดี ๆ ซะ เอ้า งั้นเราขึ้นจากน้ำกันเถอะ น้ำเย็นหมดแล้ว"

คนตัวโตซึ่งเผลองีบหลับไปครู่หนึ่งเช่นกันถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขากับเจน่าจะแช่น้ำมานานกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว

"บ้าเอ๊ย ตีสี่แล้ว"

ฆาเบียร์บ่นเบา ๆ เมื่อขึ้นจากน้ำแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา เขาจัดแจงใช้ผ้าเช็ดตัวคลุมร่างคนที่ยืนหาวหวอด ๆ อยู่ข้าง ๆ

"ระวังลื่นล่ะ น้ำเต็มพื้นเลย"

คนตัวโตเตือนพร้อมกับประคองร่างของคนที่ทำท่าจะแข้งขาอ่อนให้เดินบนพื้นหินอ่อนที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำที่กระฉอกออกมาตอนที่พวกเขาเล่นกอดปล้ำกัน

"เปียกหมดเลย"

เจนยุทธบ่นเบา ๆ พร้อมกับหยิบกางเกงช้างของฆาเบียร์ที่กองบนพื้นขึ้นมาบิดไล่น้ำออก คนตัวโตโคลงหัวน้อย ๆ เมื่อเห็นสภาพกางเกงของเขา เขาดึงมันมาจากมือเจแล้วจัดการแขวนมันไว้กับราวตากผ้าเช็ดตัว จากนั้นจัดการเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้คนรักเสร็จแล้วจึงเช็ดให้ตัวเอง

"นายไปนอนเถอะ เดี๋ยวฉันจะเป่าผมให้แห้งก่อน"

ฆาเบียร์พูดพร้อมกับดันหลังคนรักให้ออกจากห้องน้ำ เจหันมาทำตาเขียวให้คนที่ตบก้นของเขาอีกป้าบใหญ่

"เดี๋ยวไปนอนพร้อมกันนั่นแหละ คุณยังติดต้องเล่าเรื่องลุง ๆ ให้ผมฟังอยู่นะ"

เจพูด เขาดึงร่างใหญ่กำยำให้ลงนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งในห้องแต่งตัว เขาจัดการแกะยางรัดมวยผมที่ยุ่งเหยิงไปแล้วออก จากนั้นใช้นิ้วสางผมสีน้ำตาลเป็นเงางามของคนรักเบา ๆ แล้วเปิดสวิตช์ไดร์เป่าผม ฆาเบียร์หลับตาพริ้มรับลมอุ่น ๆ นิ้วมือของเจที่แทรกผ่านผมยาวประบ่าของเขาเข้ามาแตะคลึงหนังหัวของเขาเบา ๆ ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างสุดแสน



"ฉันอยากให้เจเป่าผมให้ฉันแบบนี้ตลอดไปเลยนะ"

ฆาเบียร์พึมพำออกมาเบา ๆ

"คงเป็นไปไม่ได้หรอกครับฆาบี้"

คำตอบของเจนยุทธทำให้ฆาเบียร์เบิกตากว้างทันที เขาหันขวับไปมองหน้าคนที่เพิ่งพูดคำที่เขาไม่อยากได้ยินออกมา แต่สิ่งที่เห็นคือรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ประดับอยู่ที่ริมฝีปากรูปกระจับ

"อีกไม่กี่ปีคุณก็จะแก่หัวล้านแล้ว ถึงตอนนั้นผมก็คงจะเป่าผมให้คุณไม่ได้แล้วล่ะ"

"เจ นายนี่มัน!"

ฆาเบียร์คำรามลั่นพร้อมกับคว้าร่างคนรักเข้ามากอดปล้ำ เจหัวเราะก๊ากเมื่อถูกคนรักจั๊กจี้เข้าที่เอวและรักแร้ ฆาเบียร์ซุกไซร้ใบหน้าเข้าที่ซอกคอของคนรักแล้วสูดดมกลิ่นหอมสดชื่นของสบู่

"ฆาบี้ ไม่เอาแล้วครับ"

เจห้ามคนที่ทำท่าจะเครื่องติดอีกแล้วเบา ๆ เขาดันคนที่เริ่มพรมจูบและขบเม้มตามร่างกายของเขาออกทันที ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วซบหน้ากับอกเปลือยของคนรักที่ยืนค้ำหัวเขาอยู่



"นายอย่าพูดล้อเล่นแบบนี้อีกนะ ฉันไม่ชอบ"

"ล้อเล่นเรื่องหัวล้านเหรอครับ?"

เจนยุทธถามยิ้ม ๆ พลางใช้มือลูบผมสลวยของคนรักเบา ๆ

"นั่นก็ด้วย...เอ๊ย! ไม่ใช่สิ! ฉันหมายถึงเรื่องที่บอกว่าจะไม่อยู่กับฉันแล้วน่ะ ฉันไม่อยากได้ยินเลย"

คนตัวโตตัดพ้อเบา ๆ เจนยุทธหัวเราะแล้วดันกายเมียตัวโตของเขาออก

“ครับ ๆ ไม่พูดเรื่องนั้นแล้วก็ได้ แต่เรื่องหัวล้านนี่พูดได้ใช่ไหม?”

“เฮ้!”

ฆาเบียร์เอ็ดแล้วรีบก้มหัวและหันซ้ายหันขวาดูในกระจกเพื่อให้แน่ใจว่าผมของเขาไม่ได้ดูบางลงอย่างที่ถูกกล่าวหา เจหัวเราะคิกแล้วดึงคนรักให้ลุกขึ้น

“ป่ะ ขึ้นเตียงกันดีกว่า”

เจดึงร่างเปลือยอันสมส่วนของคนรักขึ้นจากเก้าอี้ หากก็ชะงักไปนิดหนึ่ง



"เอ คุณ ผมว่าคืนนี้เราใส่เสื้อผ้านอนกันหน่อยก็ดีนะ"

เจนยุทธพูดเสียงอ่อย ๆ โดยปกติแล้วเขาทั้งสองมักเข้านอนโดยใช้เพียงร่างของอีกฝ่ายเป็นเครื่องห่อหุ้มกาย ถ้าอากาศหนาว เจอาจจะใส่เพียงกางเกงในและเสื้อยืด ส่วนฆาเบียร์นั้นแทบไม่เคยใส่เสื้อนอนเลยและจะใส่อย่างมากก็คือกางเกงผ้าเนื้อบางเท่านั้น

"ทำไมล่ะ? เจหนาวเหรอ? เดี๋ยวเราลดแอร์ก็ได้นี่?"

คนที่เปลือยกายนอนเป็นเรื่องปกติเลิกคิ้วถาม หากเจส่ายหัวทันที

"ไม่ใช่ครับ ก็ เอ่อ คืนนี้เราไม่ได้อยู่กันแค่สองคนในห้อง เกิดพรุ่งนี้อาปามาปลุก หรือเกิดลืมตัวเดินออกไปเอาของที่ห้องนั่งเล่นจะได้ไม่โป๊ไง"

เจพูดเบา ๆ คนตัวโตทำตาปริบ ๆ

"ก็ได้ ว่าไงก็ว่ากัน เอ้า นี่ นายใส่นี่นอนซะ"

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วหันไปหยิบเสื้อตัวหนึ่งส่งให้เจนยุทธ เจคลี่ออกดูแล้วก็ต้องทำตาเขียวและโยนมันคืนให้คนรัก

"ไม่ใส่ครับ คุณใส่มาทั้งวันแล้ว เหม็นเหงื่อ!"

เจเอ็ดเบา ๆ เมื่อเห็นว่าเสื้อที่คนรักต้องการให้ตนใส่นั้นคือเสื้อเชิร์ตสีขาวที่ฆาเบียร์ใส่มาจากที่ทำงาน ฆาเบียร์จิ๊ปากเบา ๆ เขาชอบนักยามที่เจนยุทธใส่เสื้อเชิร์ตตัวโคร่งของเขา มันทำให้เขาเกิดอารมณ์อยากย่ำยีเจ้าตัวดีเสียเหลือเกิน เจย่นจมูกให้คนที่มีแผนในใจแล้วจัดการหยิบเอาเสื้อยืดเนื้อบางแล้วกางเกงขาสั้นมาใส่ ส่วนฆาเบียร์ก็หยิบกางเกงในตัวใหม่มาใส่เช่นกัน

"พอใจหรือยังจ๊ะ?"

คนตัวโตถาม เจขมวดคิ้ว กางเกงในสีขาวของคนรักนั้นไม่ได้ช่วยปิดบังสัดส่วนที่นูนเด่นเห็นชัดขึ้นมาเท่าไหร่นัก ฆาเบียร์ยิ้มกริ่มเมื่อเห็นสายตาของคนตัวเล็ก

"น่า เดี๋ยวฉันจะหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำไปไว้ข้างเตียงด้วย เอาไว้ใส่ตอนลุกจากเตียง โอเคไหม?"

เจพยักหน้ารับคำอธิบายของคนรัก เมื่อสำรวจความเรียบร้อยทุกอย่างแล้ว ทั้งสองจึงพากันกลับเข้าไปยังห้องนอน



"ไอ้ที่อยากทำก็ทำไปแล้ว ทีนี้คุณจะเล่าเรื่องเพื่อน ๆ ของอาปาให้ผมฟังได้หรือยังครับ?"

เจใช้นิ้วเขี่ยไล้ไปตามไรขนบาง ๆ ที่หน้าอกของคนรัก คนตัวโตตะปบมือที่ทำท่าจะเลื้อยไปเขี่ยอย่างอื่นเล่นแทน

"เฮ้ ถ้าอยากให้ฉันเล่าก็อย่ามือซน โอเค๊?"

เจรีบยกมือออกพร้อมทำหน้าบ๊องแบ๊ว ฆาเบียร์โคลงหัวน้อย ๆ แล้วเริ่มเล่าเรื่อง

"อันที่จริงก๊วนเพื่อนของอาปานี่ก็ยังมีคนอื่นอีกสองสามคนที่ฉันเคยเห็นหน้า แต่ว่าที่สนิทกันที่สุดก็มีสามคนนี่แหละ คือลุงวิคเตอร์ ลุงหลงแล้วก็ลุงเดวิด ลุง ๆ ก๊วนนี้เป็นเพื่อนกันกับอาปามาตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ น่ะ ยกเว้นลุงวิคเตอร์ที่น่าจะมารู้จักกันเอาตอนม. ต้น แต่ด้วยนิสัยร่าเริงเข้ากับคนง่ายของลุงแกก็เลยทำให้สนิทและเข้ากับพวกอาปาได้..."

เจยิ้มและนึกถึงลุงวิคเตอร์ที่ดูสบาย ๆ และเป็นกันเองกับทุกคนแม้ว่าตัวเองจะมาจากตระกูลใหญ่ของฮ่องกงก็ตาม ฆาเบียร์เล่าต่อว่าเหตุที่สนิทกันมากนั้นเพราะครอบครัวของทั้งอู่ทินหลงและจิวจี๋โหล่วนั้นสนิทสนมกับครอบครัวของคริสอยู่แล้วตั้งแต่รุ่นทวด



"ถ้าจำไม่ผิด ทวดของทั้งสามคนนี้มาจากจีนแผ่นดินใหญ่พร้อม ๆ กัน ช่วงปลายราชวงค์ชิง อาปาบอกว่าอาปาก็ไม่รู้แน่ชัดว่าสามคนนั้นเป็นใครมาจากไหน แต่คนเขาว่ากันว่าทั้งสามคนนี้น่าจะเป็นสมาชิกของพวกสมาคมลับของจีนหรือที่ตอนหลังกลายมาเป็นพวกอั้งยี่นั่นแหละ..."

เจทำตาโตด้วยความตื่นเต้นเมื่อได้ยินคำว่า triads หรืออั้งยี่จากปากของคนรัก

"อั้งยี่เหรอครับ? แล้วเขาเข้ามาฮ่องกงเพื่อขยายสาขาของแก๊งหรือว่าอะไรอ่ะ?"

เจนยุทธถาม หากฆาเบียร์ส่ายหน้า

"ไม่เชิงจ้ะ พวกทวดของอาปามาฮ่องกงก็เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ตอนแรก ๆ ก็อาจจะอาศัยคอนเน็คชั่นกับโลกใต้ดินในการทำธุรกิจอยู่บ้าง ฉันไม่แน่ใจว่ามีความเกี่ยวพันกับเรื่องการลักลอบค้าฝิ่นไหม อาปาก็ไม่ได้เล่าตรงส่วนนี้ให้ฉันฟัง แต่เมื่อเริ่มตั้งตัวได้แล้ว บ้านอาปากับบ้านลุงหลงเขาก็เบนเข็มไปทำธุรกิจถูกกฎหมายอย่างเต็มตัว..."

 ฆาเบียร์ขยายความต่อว่า หลังจากสร้างฐานะขึ้นมาได้ระดับหนึ่งแล้ว ครอบครัวของคริสเริ่มปล่อยเงินกู้ นั่นอาจเป็นเหตุให้ปู่ของคริสสามารถซื้อบ้านบนพีคในราคาถูกได้ จากนั้นเมื่อพ่อของคริสจบการศึกษากลับมาจากอังกฤษแล้ว เขาก็ได้ขยับขยายโดยการไปลงทุนกับบริษัทนั้นบริษัทนี้ และลงเงินไปในตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์จนกิจการเจริญเติบโตมาจนถึงปัจจุบัน



"แล้วลุงเดวิดล่ะครับ"

เจถามถึงคนที่ทำตัวลึกลับที่สุดในสายตาของเขาด้วยความอยากรู้ ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ แล้วยีผมของคนรักจนยุ่ง

"เดี๋ยวสิจ๊ะ แล้วไม่อยากรู้เหรอว่าตาลุงจอมยุ่งของเจนั่นจริง ๆ แล้วทำงานเป็นอะไร"

เจทำหน้ายุ่งแล้วจัดผมของเขา

"อ่ะ เล่าเรื่องลุงหลงมาก่อนก็ได้ครับ เห็นลุงแกบอกว่าเป็นชาวประมง ใช่ไหมครับ?"

"หึ ๆ จะว่างั้นก็ได้นะ รุ่นทวดของลุงเขาน่าจะทำงานคล้าย ๆ กับทวดของอาปา แต่หลังจากนั้น ปู่ของลุงเขาก็แต่งงานกับสาวฮ่องกงที่บ้านทำประมงแล้วก็เลยไปสืบทอดกิจการของบ้านฝ่ายหญิง ทีนี้ พอพ่อของลุงแต่งงาน ก็แต่งงานในหมู่ครอบครัวที่ทำประมงเหมือนกันอีก แต่คราวนี้เป็นครอบครัวประมงชาวมาเก๊าซึ่งมีฐานะดีอยู่แล้ว ก็เลยประมาณว่ามาควบรวมกิจการกัน ตัวลุงเขามาเรียนที่ฮ่องกง แต่ก็เป็นเด็กกินนอนเหมือนกับลุงเดวิด คู่นี้เลยสนิทกันที่สุด"

เจร้องอ๋อ ดูจากท่าทางของทั้งสองก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ

"พอโตขึ้น ลุงหลงก็สืบทอดกิจการประมงของที่บ้านซึ่งตอนนั้นก็ตั้งเป็นบริษัทแล้ว มีเรือหลายลำแล้วนะ ลุงแกก็เอาไปต่อยอดจนกลายเป็นการทำประมงในทะเลหลวง พวกจับทูน่าอะไรงี้น่ะจ้ะ"

"หูย ผมคงต้องตีซี้กับลุงแกไว้แล้วสินะ"

เจทำตาลอยเมื่อนึกถึงเนื้อส่วนท้องหรือโอโทโร่ของปลาทูน่า ฆาเบียร์ยิ้มกริ่ม

"เดี๋ยว ๆ นั่นยังไม่ใช่ที่สุดของลุงหลง ถ้าเจได้ฟังจนจบ เจต้องรักลุงสุด ๆ เลยล่ะ"

"ก็เล่ามาซะสิครับ จะกั๊กไว้ทำไม"

เจนยุทธบ่นอุบอิบ ฆาเบียร์หัวเราะหึ ๆ แล้วจึงเล่าต่อ



"พอช่วงที่อังกฤษและโปรตุเกสคืนฮ่องกงกับมาเก๊าให้กับจีนในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ตอนนั้นคนฮ่องกงย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่แคนาดากันเยอะมาก ลุงหลงก็ถือโอกาสไปดูลู่ทางทำกินที่นู่นด้วย ลุงส่งน้องชายกับลูก ๆ ของลุงไปอยู่ที่นั่น อยู่ที่แวนคูเวอร์มั้ง ส่วนตัวเองก็ไป ๆ มา ๆ ในที่สุดครอบครัวลุงก็ไปเทคโอเวอร์บริษัทประมงที่นั่น ตอนหลังก็ขยายขอบข่ายของกิจการไปถึงการนำเข้าและส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารระหว่างแคนาดากับฮ่องกง-มาเก๊าน่ะ"

"แคนาดา!...ก็ทั้งแซลมอนแล้วก็ปูยักษ์เลยอ่ะสิคุณ!"

เจนยุทธแกล้งทำเสียงตื่นเต้นจนคนตัวโตอดหัวเราะไม่ได้

"นายนี่มันทะเล้นจริงนะ ใช่ ทั้งปู แซลมอน ทูน่า แล้วก็อีกสารพัดอย่างนั่นแหละ อ้อ อย่าลืมล็อบสเตอร์ด้วยล่ะ แล้วไหนจะพวกอาหารทะเลแห้งอย่างเป๋าฮื้อ กังป๋วย อะไรพวกนี้อีกด้วยนะ"

"โหย ผมรักลุงหลงอ่ะ! ลุงแกมีลูกสาวไหมอ่ะ? ถ้ามี ผมจะขอจีบเลย ดีไหมอ่ะ? "

เจร้องออกมาพร้อมกับหัวเราะคิก

"เฮ้! ไม่โอเค เจนยุทธ ไม่โอเค"

ฆาเบียร์แกล้งทำท่าเกรี้ยวกราดแล้วถือโอกาสตบก้นคนรักป้าบใหญ่ เจอุทานลั่น เขาลูบก้นตัวเองเบา ๆ แล้วบ่นอุบอิบ ฆาเบียร์หอมแก้มคนรักอีกฟอดหนึ่งด้วยความเอ็นดู เขากระชับวงแขนกอดร่างอุ่น ๆ ในอกให้เข้ามาใกล้อีกนิด



"เอ้า จบเรื่องลุงหลงกับอาปาไป ต่อเรื่องลุงวิคเตอร์ไหม? "

"ลุงวิคเตอร์นี่ผมรู้ แม่ลุงเป็นทายาทหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ เมียลุงเป็นดารา ใช่มะ?"

เจพูดเร็ว ๆ เขาอยากฟังเรื่องของเดวิด จิวมากกว่า

"ใช่ ประมาณนั้นแหละ ครอบครัวแม่ของลุงเขาสืบเชื้อสายมาจากชาวตะวันตกที่มาตั้งรกรากและทำธุรกิจในฮ่องกงตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 19 ตัวต้นตระกูลแม่ของลุงเป็นชาวยูเรเซียคือลูกครึ่งตะวันตกกับจีน..."

ด้วยความที่มีทรัพย์สินติดตัวมาจากประเทศบ้านเกิดจำนวนมากและยังมีคอนเน็คชั่นกับชาวอังกฤษที่ปกครองฮ่องกงในขณะนั้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตระกูลนี้จึงขยายกิจการและสั่งสมความรุ่มรวยขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว

"...ครอบครัวนี้แตกสาขาออกเป็นหลายสาย ล้วนแต่รวยทั้งนั้นเพราะว่าแต่งงานกันกับพวกนักธุรกิจด้วยกันเอง ส่วนครอบครัวพ่อของลุงเขาก็เป็นครอบครัวที่มีฐานะอยู่แล้ว ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นเศรษฐีจีนจากเซี่ยงไฮ้ที่ย้ายมาฮ่องกงเพื่อหนีคอมมิวนิสต์ช่วงก่อนปี 1949 น่ะ แต่สองครอบครัวนี้น่าจะรู้จักและทำธุรกิจกันอยู่แล้ว ตายายของลุงเขาเลยไม่มีปัญหาที่ลูกสาวจะแต่งกับผู้อพยพจ้ะ"

ฆาเบียร์เล่าต่อว่าหลังญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามโลกในปี 1945 ปู่และพ่อของวิคเตอร์ที่เซี่ยงไฮ้เล็งเห็นแล้วว่าพรรคคอมมิวนิสต์ของจีนเริ่มทวีอำนาจขึ้นเรื่อย ๆ และกำลังจะมีชัยเหนือพรรคก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็ค พวกเขาจึงได้ทยอยโอนถ่ายทรัพย์สินไปยังเกาะฮ่องกงโดยความช่วยเหลือของเพื่อนนักธุรกิจที่นั่น จนในที่สุดสามารถหลบหนีและย้ายมาตั้งถิ่นฐานที่ฮ่องกงได้ก่อนที่พรรคคอมมิวนิสต์จะประกาศชัยชนะเหนือแผ่นดินจีน

"โห แบบนี้ภาษาไทยเค้าเรียก 'เรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน' ครับ?"

เจนยุทธพูดและต้องเสียเวลาอธิบายสุภาษิตไทยนั้นให้คนรักฟังอีกครู่หนึ่ง

"ฮ่ะ ๆ ใช่จ้ะ ตอนนี้ all the gold ก็เลยกองอยู่ใน small pond ให้ครอบครัวของลุงเขากับพี่ ๆ กินไม่หมดไม่สิ้นเลย"

ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ วิคเตอร์ ลีเป็นตัวอย่างของเด็กที่คาบช้อนเงินช้อนทองฝังโคตรเพชรมาเกิดอย่างแท้จริง



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- "I Want to Forget..." (ต่อ) ----




"แล้วทำไมลุงเขาถึงมาทำงานกับอาปาแล้วไม่ไปทำงานกับครอบครัวล่ะครับ?"

"จะว่าไงดีล่ะ? ลุงวิคเตอร์น่ะแกเป็นลูกคนเล็กของครอบครัวที่รวยมาก ๆ อย่างที่เห็น ครอบครัวนี้เลี้ยงลูกค่อนข้างปล่อยเพราะทรัพย์สมบัติเขามหาศาล แถมธุรกิจของครอบครัวนั้นก็ยังไปจ้าง CEO เก่ง ๆ จากที่อื่นมาบริหารหมดแล้ว ลูกหลานก็แค่นั่ง ๆ นอน ๆ รอกิน passive income อย่างปันผลกับดอกเบี้ยเงินฝาก รวมถึงค่าเช่าต่าง ๆ ไป จะมีก็แค่พี่ชายคนโตที่เข้าไปสืบทอดธุรกิจอย่างจริงจังน่ะ ส่วนลุงวิคเตอร์ก็เป็นเพลย์บอยตัวพ่อ วัน ๆ เฮฮากินเหล้า ไม่ทำงานทำการจนกระทั่งลุงรับอาสาอาปาเข้าไปช่วยดูแลธุรกิจให้..."

ฆาเบียร์เล่าต่อว่าเมื่อพ่อของคริสเสียชีวิตลง คริสซึ่งในตอนนั้นอายุเพียง 28 ปีก็ได้กลับมาจัดการเรื่องงานศพ หลังจากเจดหอบแอนดี้ผู้เป็นลูกชายหนีหายไป คริสก็ได้พยายามจัดการเรื่องกิจการครอบครัวของเขา แม้พ่อของเขาจะเขียนในพินัยกรรมแล้วว่าเขาได้จัดการเตรียมคนทำงานไว้โดยที่คริสไม่จำเป็นต้องกลับมาดูแลเอง แต่คริสซึ่งยังติดภาระงานทางสหรัฐฯ ก็ต้องการหาคนที่เขาไว้ใจได้เข้าไปนั่งเป็นหูเป็นตาในบริษัท เมื่อนำเรื่องราวไปปรึกษากับเหล่าเพื่อน ๆ วิคเตอร์ซึ่งยังว่างอยู่ก็ได้เสนอตัวเข้าไปทำหน้าที่นี้ให้ โดยคริสจัดการแบ่งหุ้นให้วิคเตอร์ 1% และแต่งตั้งเขาเป็นกรรมการคนหนึ่งของบริษัท

"ตอนแรกลุงเขาก็กะเข้าไปดู ๆ ให้แค่นั้น ทำหน้าที่เป็นหูเป็นตา คอยรายงานสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ปรากฎว่าพอเข้าไปแล้วเกิดติดใจและมาค้นพบว่าตัวเองมีหัวด้านบริหารและการคาดการณ์ด้านการลงทุนซะงั้น ยิ่งทำก็ยิ่งสนุก พออาปาฉันเห็นแบบนั้น ก็เลยเสนองานให้ลุงเขาซะเลย เริ่มจากตำแหน่งไม่ใหญ่ก่อนจนขึ้นไปเป็น CEO ในที่สุด"



"เอ่อ แล้วอาปาเขาไม่กลัวเหรอครับ แบบ ผมเคยดูพวกหนังฮ่องกง พวกหักเหลี่ยมธุรกิจแล้ว..."

เจนยุทธละไว้ในฐานที่เข้าใจ หากฆาเบียร์ส่ายหน้า

"เรื่องนี้ฉันก็เคยถามอาปาแล้วเหมือนกันว่าไม่กลัวโดนเพื่อนหักหลังฮุบบริษัทไปเหรอ? แต่อาปาบอกว่าอาปาเชื่อใจเพื่อน อีกอย่าง ทุกวันนี้ลุงวิคเตอร์เขายังทำงานนี้ให้อาปาก็เพราะว่ามันสนุกสำหรับแก อาปาเคยเสนอขายหุ้นส่วนของอาปาให้ครึ่งหนึ่งเลย แต่ลุงแกก็ไม่เอา บอกว่าแกมีความสุขกับการเอาเงินคนอื่นไปลงทุนนั่นนี่แล้วดูมันผลิดอกออกผลมากกว่า ใช้เงินตัวเองแล้วมันเครียดไป"

"เออ แบบนี้ก็ได้เหรอ?"

เจหัวเราะออกมาแล้วนึกถึงคุณลุงซึ่งดูร่าเริงอยู่เป็นนิจคนนั้น

"แล้วตอนนั้นครอบครัวลุงเค้าไม่ว่าเหรอครับที่กิจการของตัวไม่ยอมทำแต่มาทำงานให้กับคนอื่นแทนน่ะ?"

เจนยุทธถาม ฆาเบียร์ส่ายหัวอีกครั้ง

"ที่บ้านลุงเค้ากลับดีใจที่ลุงทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันซักที ก่อนหน้านั้นลุงเค้าก็ลอยชายไปมา ไม่ทำงานทำการ จีบดารา ควงนางแบบ ปาร์ตี้ไปเรื่อยเปื่อยทั้ง ๆ ที่มีครอบครัวแล้ว เมียแกหอบลูกหนีไปก็หลายหน แต่พอมาเริ่มทำงานให้อาปา มันเหมือนแกเจอความเร้าใจใหม่ในชีวิตน่ะ กลายเป็นว่าแกเลิกเที่ยวแล้วมาคร่ำเคร่งกับงานนี้แทน ทุกคนเขาก็เลยขอบอกขอบใจอาปากันยกใหญ่"

ฆาเบียร์พูดกลั้วหัวเราะ ทุกวันนี้อดีตดาราใหญ่คนนั้นยังคงส่งของขวัญมากำนัลให้อาปาของเขาทุก ๆ เทศกาลเพื่อแสดงความขอบคุณที่ช่วยรักษาชีวิตสมรสของเธอไว้

"ขนาดนั้นเชียว?"

เจถามอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก ฆาเบียร์ผงกหัว

"ใช่ ก็เหมือนที่อาปารู้สึกขอบใจนายไงล่ะ เจนยุทธ"

คนตัวโตพูดแล้วก้มลงหอมเรือนผมสีดำสนิทของคนรัก

"นายคือเป้าหมายใหม่ในชีวิตของฉันนะ"

"เว่อร์ ๆๆ"

คนที่หน้าร้อนผ่าวเพราะคำพูดหวานหูรีบขัดลั่น หากริมฝีปากที่กดคลึงบริเวณขมับและพวงแก้มทำให้เขาใจสั่น คนตัวโตพร่ำบอกคำรักกับคนที่เขารักดั่งดวงใจ เจนยุทธยันกายขึ้นจากอกกว้างแล้วก้มหน้าลงป้อนจุมพิตอันอ่อนโยนให้เมียตัวโตของเขา



"ซนอีกแล้วนะ อยากเจ็บตัวอีกรอบเหรอ? หืมม์?"

คนตัวโตทำเสียงดุพลางคว้ามือนุ่มที่เปะป่ายป้วนเปี้ยนอยู่แถวหน้าขาของเขา

"แหะ ๆ ขอโทษครับ มันเคยตัวอ่ะ"

เจนยุทธหัวเราะแหะ ๆ แล้วรีบหดมือกลับ ฆาเบียร์โคลงหัวน้อย ๆ แล้วใช้แขนโอบรัดเพื่อตรึงร่างคนรักไว้ไม่ให้มือไม้ซุกซนอีก

"ไหนว่าอยากฟังเรื่องลุงเดวิดไง? แต่ถ้านายอยากทำอย่างอื่นมากกว่าฉันก็ไม่ขัดนะ"

ฆาเบียร์พูดยิ้ม ๆ พลางเลื่อนมือลงเกาะกุมบั้นท้ายหนั่นแน่นของคนรัก เจทำตาโตแล้วขยับกายดุ๊กดิ๊กเพื่อหนีมือแสนซนของคนตัวโต

"ครับ ๆ ฟังครับ เล่าต่ออย่างไวเลยคุณ ผมตาจะปิดแล้ว"

เจพูดพลางหาวน้อย ๆ ฆาเบียร์ขยับร่างคนรักให้ลงนอนเคียงหมอน เขาพลิกกายตะแคงเข้าหาเจนยุทธที่มีสีหน้าง่วงงุน



"ก็อย่างที่บอก ทวดของลุงเดวิดนั้นมาจากเมืองจีนพร้อม ๆ กันกับทวดของอาปากับลุงหลง แต่ในขณะที่ทวดของอาปากับลุงหลงนั้นเขาหันไปเริ่มธุรกิจของตนเอง ทวดของลุงเดวิดกลับยังทำงานที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอิทธิพล..."

ฆาเบียร์เล่าว่างานแรก ๆ ของหนุ่มแซ่จิวในฮ่องกงนั้นคือการเป็นนักเลงให้กับเหล่านายเก่าที่หนีมาตั้งตัวในฮ่องกง เขาทำงานตั้งแต่เป็นคนคุมบ่อน ซ่องและสถานบันเทิง ไปจนถึงเป็นคนคุมขบวนการลักลอบนำเข้าของเถื่อนจากเมืองจีน แม้เพื่อนรักทั้งสองซึ่งยังติดต่อพบปะกันอยู่เนือง ๆ จะเตือนให้เขาออกจากวังวนของแก๊งอิทธิพล และกระทั่งเสนองานให้เขาทำ แต่หนุ่มแซ่จิวก็ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล

"...อาปาบอกว่าทวดของลุงเดวิดปฏิเสธแล้วบอกว่าที่ยังทำงานนี้อยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อหาคอนเน็คชั่นและศึกษาช่องทาง และเมื่อเขาพร้อม เขาก็จะแยกตัวออกมาเอง ตอนแรกทวดของอาปากับลุงหลงก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งและคิดว่าทวดของลุงเดวิดคงพูดเพื่อให้สบายใจแค่นั้น แต่เจรู้ไหม? คุณทวดเขาทำได้จริง ๆ"

เมื่อสั่งสมความรู้และศึกษาลู่ทางได้พร้อมแล้ว ทวดของเดวิดก็ขอแยกตัวออกจากกลุ่มอิทธิพลที่เขาทำงานอยู่โดยจ่ายเงินก้อนใหญ่ไถ่ตัวเองออกมาจากกลุ่มนั้น

"คุณทวดเขาแยกตัวออกมาตั้งแก๊งเองเหรอครับ?"

เจนยุทธถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ฆาเบียร์ยิ้มน้อย ๆ แล้วส่ายหน้า

"ตอนแรกที่อาปาเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟัง ฉันก็เดาเหมือนเจนั่นแหละ แต่ไม่จ้ะ นายเก่าของคุณทวดเขาคงไม่ยอมปล่อยหรอกถ้าท่านบอกว่าจะออกมาตั้งแก๊งใหม่..."

"อ้าว แล้วท่านออกมาทำอะไรล่ะครับ?"

"บริษัทรักษาความปลอดภัยจ้ะ แต่ไม่ใช่บริษัทรปภ. แบบสมัยใหม่นี้นะ แต่เป็นเหมือนเปิดค่ายเทรนคนที่จะส่งไปรักษาความปลอดภัยให้คนจ้าง น่าจะสอนพวกศิลปะป้องกันตัว กังฟู หมัดมวย แล้วก็การใช้อาวุธ ช่วงแรก ๆ ก็คงเป็นพวกมีด ดาบ พลองอะไรแบบนั้น และยังสอนกลยุทธและวิธีปฏิบัติต่าง ๆ ยามเกิดเหตุคับขัน บริษัทของลุงเขารับงานทั้งเฝ้าสถานประกอบการ อย่างร้านค้าไปจนถึงที่อโคจรอย่างบ่อน และยังรับงานรักษาความปลอดภัยเป็นบุคคล รวมไปถึงคุ้มกันการขนย้ายสินค้า สิ่งของหรือคนสำคัญอี่กด้วย"



ฆาเบียร์เล่าต่อว่ากิจการของชายแซ่จิวนั้นเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว กระทั่งเหล่าผู้มีอิทธิพลในฮ่องกงในขณะนั้นก็ยังแอบใช้บริการอยู่เนือง ๆ ในงานสำคัญเนื่องจากคนของเขามีความสามารถมากกว่าบรรดานักเลงหัวไม้ทั่วไป

"พอเริ่มงานแบบนี้ สิ่งที่ได้ตามมาคือคอนเน็คชั่นจ้ะ เมื่อรู้จักคนมากขึ้นบ้านลุงเดวิดก็มีลู่ทางทำมาหากินมากขึ้น พอถึงรุ่นปู่ของลุงเดวิด ท่านก็เริ่มทำงานเสริมอย่างเป็นคนกลางในการจัดหานั่นนี่ให้กับลูกค้า..."

"เอ่อ นั่นนี่ที่คุณว่านั่นน่ะ ผิดกฎหมายใช่ไหมครับ?"

เจถามเสียงอ่อย ๆ คนตัวโตหัวเราะหึ ๆ เจ้าตัวดีของเขาหัวไวเสมอ

"ใช่จ้ะ สมัยนั้นใครอยากได้ของเถื่อน อยากได้เงินกู้ อยากได้นางโลม กระทั่งเส้นทางหลบหนีหรือมือปืน ปู่ของลุงเดวิดก็จัดหาให้ได้หมด ส่วนธุรกิจที่เป็นธุรกิจหลักอย่างรักษาความปลอดภัยนั้นก็ยังไปได้ดีด้วย ถือว่าเป็นยุคทองจริง ๆ "

คนตัวโตบอกเจนยุทธว่าในช่วงยุค 1920 เรียกได้ว่าตระกูลจิวนั้นผงาดขึ้นในวงธุรกิจฮ่องกงไม่แพ้ตระกูลของเพื่อนสนิทอย่างตระกูลหว่องและตระกูลอู่ กว่าเป็นยุครุ่งเรืองของตระกูลจิวเลยก็ว่าได้ ตระกูลจิวได้สั่งสมฐานะและอำนาจขึ้นและยังคงเป็นอย่างนั้นต่อไปจนกระทั่งถึงช่วงปี 1940 เมื่อญี่ปุ่นเข้ายึดครองฮ่องกงในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา



"เอ๋ ญี่ปุ่นเคยยึดฮ่องกงด้วยเหรอครับ?"

เจนยุทธซึ่งไม่ค่อยรู้เรื่องประวัติศาสตร์ของชาติอื่น ๆ นอกเหนือจากที่เคยเห็นจากในทีวีถามขึ้นอย่างสงสัย

"ใช่จ้ะ ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นเข้ายึดฮ่องกงในปี 1941 ไล่ ๆ กับที่โจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์เลย ผลคือทางอังกฤษตั้งตัวไม่ทันแล้วก็ต้องแตกพ่ายไป ฮ่องกงถูกทหารญี่ปุ่นเข้ายึดครองอยู่จนกระทั่งญี่ปุ่นแพ้สงครามในปี 1945 เลยนะ..."

ผลของการถูกยึดครองในครั้งนั้นทำให้ฮ่องกงตกอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก ประชาชนชาวฮ่องกงต่างอยู่อาศัยด้วยความหวาดกลัว สภาพความเป็นอยู่นั้นก็แร้นแค้น เศรษฐกิจที่เคยรุ่งเรืองฟู่ฟ่าในช่วงปี 1920 - 1930 ล่มสลายลงในพริบตา

"ในตอนนั้นก็ลำบากกันไปหมดนะ บ้านอาปาโดนหนักสุดเพราะว่าทำธุรกิจเกี่ยวกับการเงิน อย่างที่ฉันบอกว่าทั้งปล่อยกู้ แล้วก็ลงทุนในตลาดหุ้นซึ่งก็ปิดชั่วคราวในช่วงที่ญี่ปุ่นยึดครอง ส่วนบ้านของลุงหลงก็แย่ เพราะว่าโดนคุมเรื่องทำประมง แต่คนที่ได้ประโยชน์จากการเข้ายึดครองของญี่ปุ่นก็คือปู่ของลุงเดวิด..."

ปู่และทวดของเดวิดได้ใช้เส้นสายของเขาในการจัดหาสารพัดในช่วงที่ญี่ปุ่นยึดครองรวมถึงเส้นทางอพยพออกนอกเกาะให้กับชาวฮ่องกงผู้มีฐานะดี ส่วนหนึ่งคือโดยการใช้เรือประมงของตระกูลอู่ขนย้ายคนไปสู่มาเก๊าซึ่งไม่ถูกญี่ปุ่นเข้ายึดครอง

"อ้าว ทำไมญี่ปุ่นถึงไม่ยึดมาเก๊าด้วยล่ะครับ?"

เจนยุทธถาม

"ส่วนหนึ่งก็คงเพราะญี่ปุ่นมองมาเก๊าเป็นแค่เกาะเล็ก ๆ มั้ง อีกอย่างในตอนนั้นมาเก๊ายังเป็นอาณาเขตของโปรตุเกสซึ่งวางตัวเป็นกลางในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ฉะนั้นญี่ปุ่นจึงไม่เข้าไปยุ่มย่ามด้วย มีแค่มาตั้งศูนย์กำกับดูแลความเรียบร้อยซึ่งไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตคนที่นั่นมากนักน่ะ"

"อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ผมก็เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าโปรตุเกสเป็นกลางช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง"

เจหัวเราะแหะ ๆ และพยายามจำความรู้ใหม่อีกเรื่องซึ่งเขาได้จากการสนทนากับฆาเบียร์ คนตัวโตยิ้มให้คนรักแล้วเล่าต่อ



"...ในตอนนั้นครอบครัวของลุงเดวิดและลุงหลงก็อพยพไปอยู่มาเก๊ากันหมด ส่วนครอบครัวของอาปานั้น ปู่ของอาปาส่งแค่ย่าและพ่อของอาปาไปที่มาเก๊า ส่วนตัวเองนั้นอยู่คอยดูแลบ้านและธุรกิจซึ่งก็ได้คนของครอบครัวลุงเดวิดช่วยมาดูแลรักษาความปลอดภัยให้ด้วย..."

ทั้งสามครอบครัวต่างช่วยดูแลกันและกันในยามสงคราม ครอบครัวของคริสซึ่งมีเงินสดและของมีค่าสำรองในมือมากที่สุดเป็นผู้ช่วยเหลือด้านค่าใช้จ่าย ครอบครัวจิวนั้นใช้คอนเน็คชั่นของเขาในหลาย ๆ ทางเพื่ออำนวยความสะดวกให้เพื่อน ๆ ส่วนครอบครัวอู่ซึ่งทำธุรกิจประมงกับทางมาเก๊าด้วยก็ได้หาที่อยู่อาศัยให้กับทั้งสามครอบครัวบนเกาะโคโลอานอันเงียบสงบโดยที่ไม่ต้องไปแออัดยัดเยียดอยู่กับผู้อพยพคนอื่นจากฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่

"พวกพ่อ ๆ ของลุงสามคนนี้ถึงได้ยังสนิทกันเพราะว่าได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในช่วงเป็นวัยรุ่นน่ะ อยู่ด้วยกันที่มาเก๊าอยู่ปีสองปีจนพวกผู้ใหญ่เขาหาลู่ทางส่งพวกเด็กผู้ชายไปอยู่อังกฤษ เพราะได้ยินมาว่ามหาวิทยาลัยที่นั่นยังเปิดทำการแม้ว่าจะอยู่ในระหว่างสงครามก็ตาม อีกอย่างสามบ้านนี้ก็มีคอนเน็คชั่นกับพวกคนอังกฤษที่เคยมาทำงานที่ฮ่องกงอยู่แล้ว เลยเลือกส่งลูก ๆ ไประหว่างสงครามเพราะไม่รู้ว่าสถานการณ์ในเอเชียมันจะรุนแรงอีกแค่ไหน"

นับเป็นโชคดีของเด็ก ๆ ทั้งสามตระกูลที่สงครามสิ้นสุดลง 2 ปีหลังจากที่พวกเขาย้ายไปอยู่ที่อังกฤษ พวกเด็ก ๆ ของทั้งสามบ้านต่างก็ได้รับการศึกษาตามสมควรและกลับมายังบ้านเกิดเมืองนอนในช่วงต้นยุค 1950 หากชีวิตหลังสงครามที่บ้านเกิดก็ไม่ได้ง่ายนัก ครอบครัวจิวและครอบครัวอู่ตัดสินใจย้ายมาตั้งรกรากอยู่ที่มาเก๊าแทน ส่วนพ่อของคริสนั้นกลับไปฮ่องกงพร้อมกับว่าที่เจ้าสาวของเขา แต่สายสัมพันธ์ของทั้งสามตระกูลนั้นก็ยังคงเหนียวแน่น



"ช่วงหลังสงครามโลกนั้นอะไร ๆ ก็ยากไปหมดน่ะ แต่ทั้งสามบ้านก็ช่วย ๆ ประคองกันไป บ้านลุงหลงดูจะมั่นคงสุดเพราะทำประมง ยังไง ๆ ในน้ำก็มีปลา แล้วคนก็ต้องกิน ส่วนบ้านอาปาก็หนักอยู่บ้าง เพราะทำเกี่ยวกับการเงิน ธุรกิจก็ซบเซาไปเพราะตลาดหุ้นล้ม แต่ก็ยังดีที่มีเงินสดและทองอยู่มาก แต่ที่หนักหนาสาหัสจริง ๆ ก็คือครอบครัวของลุงเดวิดนี่แหละ"

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตั้งแต่ช่วงสงครามโลก นอกจากจะมีคนที่หนีภัยสงครามกับญี่ปุ่นลงมาจากจีนแผ่นดินใหญ่แล้ว ภายหลังยังมีประชาชนชาวจีนที่อพยพหนีการเข้ายึดครองประเทศของรัฐบาลคอมมิวนิสต์เข้ามาเสริมอีก

"พวกที่มาใหม่นั้นน่ะ รวมถึงบรรดาพวกผู้มีอิทธิพลและตามหัวเมืองใหญ่ในจีนและพวกลิ่วล้อซึ่งหนีการกวาดล้างของรัฐบาลจีนลงมาที่ฮ่องกง ทำให้ฮ่องกงเป็นแหล่งรวมสมาชิกแก๊งอั้งยี่ทั้งเก่าและใหม่เลยทีเดียว ว่ากันว่าในช่วงยุค 1950 กว่า ๆ นั้นน่ะ มีสมาชิกแก๊งอั้งยี่อยู่ในฮ่องกงถึงสามแสนคนเลยนะ"

"สามแสนคน?! แบบนี้ไม่ตีกันตายเหรอครับ?"

เจนยุทธถามด้วยความตกใจ ฆาเบียร์พยักหน้า

"ตายสิจ๊ะ ทีนี้ก็แย่งอำนาจกันระหว่างแก๊งเก่าแก๊งใหม่กันชุลมุนล่ะ ถึงรัฐบาลอังกฤษจะพยายามออกกฎมาควบคุมเหล่าแก๊งอั้งยี่พวกนี้ แต่ก็ได้ผลแค่เพียงผิวเผินเท่านั้น เจเคยดูหนังประเภทมาเฟียฮ่องกงไหมล่ะ? ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องราวต่อจากยุคนั้นทั้งนั้น"

เจพยักหน้า ตั้งแต่ไหนแต่ไร พ่อของเขาชื่นชอบการดูภาพยนตร์ฮ่องกงเป็นอย่างมากทั้งแบบกำลังภายในและแบบสากล แม้ในช่วงที่ภาพยนตร์ฮ่องกงเป็นที่นิยมถึงขีดสุดในไทยเขาจะยังเด็กเกินที่จะเข้าใจมัน หากเมื่อโตขึ้นอีกนิด เมื่อหาซื้อภาพยนตร์เหล่านั้นในรูปแบบซีดีมาได้ พ่อก็มักจะลากเขาให้มานั่งดูด้วยกันจนเจพลอยรู้จักภาพยนตร์แนวแก๊งเจ้าพ่ออย่าง โหด เลว ดี และ กูหว่าไจ๋ ซึ่งเป็นเรื่องราวของเหล่ามาเฟียฮ่องกงในช่วงปี 80 ไปด้วย



"แล้วการที่มีพวกแก๊งมาใหม่เยอะ ๆ นี่ส่งผลต่อบ้านของลุงเดวิดยังไงเหรอครับ?"

เจนยุทธถาม เรื่องราวที่ตื่นเต้นทำให้เขารู้สึกหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง

"ก็ พอรัฐบาลออกกฎควบคุมอย่างเข้มงวดขึ้นมา อะไร ๆ ที่เคยทำได้มันก็ไม่ง่ายเหมือนเดิมแล้ว แถมเมื่อสงครามระหว่างแก๊งเริ่มระอุขึ้น ปู่ของลุงซึ่งไม่ได้สังกัดแก๊งไหนอย่างจริงจังก็ไม่สามารถที่จะไปขอให้คนนั้นช่วยที คนนี้ช่วยทีได้เหมือนเดิมแล้ว เพราะไม่งั้นก็จะกลายเป็นการเลือกข้างไป หลังจากปรึกษากับพ่อของลุงที่เรียนจบกลับมาจากอังกฤษแล้ว ปู่ของลุงเดวิดก็ตัดสินใจเลิกเป็นนายหน้าคอยอำนวยความสะดวกเรื่องผิดกฎหมายไป แล้วมาเน้นทำบริษัทรักษาความปลอดภัยเพียงอย่างเดียว"

ด้วยความช่วยเหลือของลูกชายที่ได้ไปรับการศึกษาจากต่างประเทศมา บริษัทรักษาความปลอดภัยของตระกูลจิวก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อมาเก๊าเริ่มกลายเป็นศูนย์กลางของการพนันในภูมิภาคนี้ กว่าครึ่งของลูกค้าบริษัทนั้นคือเหล่าบ่อนและสถานที่อโคจรจากมาเก๊า ส่วนที่เหลือก็คือนักธุรกิจที่หวาดกลัวการคุกคามจากเหล่าอั้งยี่ ทำให้พ่อของคริสตัดสินใจย้ายไปพำนักอาศัยอยู่ที่มาเก๊าแทนเพื่อดูแลกิจการ

"เออ นั่นผมเคยได้ยิน ยุคนั้นมีพวกจับตัวเศรษฐีเรียกค่าไถ่อะไรพวกนั้นเยอะใช่ไหมครับ? ไม่ก็พวกเก็บค่าคุ้มครองนั่นนี่"

"ใช่จ้ะ บริษัทของบ้านลุงจิวนั้นถือว่ามีชื่อเสียงอันดีและมีอัตราการทำงานสำเร็จสูงเพราะรู้แกวพวกแก๊งดี แต่มันก็เลยกลายเป็นว่าบ้านของลุงเขามีศัตรูเพิ่มอีกเยอะด้วย"



ปัญหาระหว่างครอบครัวจิวและเหล่าแก๊งอั้งยี่นั้นสั่งสมมาจนถึงจุดแตกหักในช่วงยุค 1980 รถโรลส์รอยซ์ของผู้นำตระกูลจิวในขณะนั้นถูกซุ่มโจมตี เมื่อทุกอย่างจบลง ผู้นำตระกูลจิวถูกยิงนอนจมกองเลือดและถูกทิ้งไว้ให้ตายอยู่บนถนน ส่วนหญิงสาวที่นั่งมาในรถด้วยก็ถูกอุ้มหายไป

"เดี๋ยว ๆ ผมเริ่มตามไม่ทันละ นี่คือยุค 80 แล้วใช่ไหม? งั้นคนที่โดนยิงก็น่าจะเป็นพ่อของลุงเดวิดใช่ไหมครับ? เอ่อ แล้วรอดไหมอ่ะ? แล้วผู้หญิงที่โดนฉุดเป็นใคร? พี่หรือน้องของลุงเขาเหรอ? แล้วจับคนทำได้ไหมอ่ะ?"

เจนยุทธถามเสียงสั่น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นต้องมีผลกระทบต่อเดวิด จิวอย่างรุนแรงเป็นแน่แท้

"ใจเย็น ๆ ยิงคำถามเป็นชุดเลยนะ เอ่อ เหตุการณ์ในช่วงนี้อาปาไม่ได้เล่าให้ฉันฟังละเอียดนัก เพราะมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงที่อาปาย้ายไปอยู่สหรัฐฯ แล้ว ฉันอาศัยแอบตะล่อมถามจากลุงหลงกับลุงวิคเตอร์เอาน่ะ แต่เท่าที่รู้ พ่อของลุงเดวิดไม่ตาย แต่ก็โคม่าอยู่นาน เมื่อฟื้นขึ้นมาก็เป็นอัมพาต เพราะกระสุนนัดหนึ่งเจาะเข้าที่กระดูกสันหลังพอดี ส่วนผู้หญิงที่ถูกฉุดไปน่ะ อีกไม่กี่วันถัดมาก็มีคนเอาศพเธอมาโยนทิ้งไว้ที่หน้าคฤหาสน์ตระกูลจิวในมาเก๊าด้วยสภาพสยดสยอง ผลชันสูตรบอกว่าก่อนตาย เธอโดนทั้งข่มขืนและทั้งทรมานอย่างโหดเหี้ยม..."

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อเขาได้ฟังเรื่องนี้จากปากของอู่ทินหลง เขาจึงเข้าใจว่าทำไมจิวจี๋โหล่วถึงได้ทำในสิ่งที่เขาทำลงไป

 

"...ผู้หญิงคนนั้นคือสะใภ้ใหญ่ของบ้านจิว คือเมียของลุงเดวิดซึ่งทำหน้าที่เป็นเลขาฯ ของพ่อลุงเขาด้วยจ้ะ"

เจนยุทธถึงกับตัวชาเมื่อคนตัวโตบอกเขาว่าหญิงสาวผู้โชคร้ายคนนั้นเป็นใคร

"เมียลุงโดนฆ่าตายเหรอครับ? โอย ผมสงสารลุง แล้ว...แล้วเกิดอะไรขึ้นต่อครับ?"

"เท่าที่ได้ยินมา ลุงเขาแทบจะเสียสติไปเลยล่ะ หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น ลุงก็ปิดกิจการบริษัทรักษาความปลอดภัยของพ่อ จากนั้นฝากฝังลูกชายของลุงสองคนซึ่งยังเล็กอยู่กับพ่อที่ป่วยไว้กับน้องสาวซึ่งแต่งงานไปกับนายตำรวจใหญ่ จากนั้นก็หนีหายออกจากมาเก๊าไปเลย"

ไม่มีใครรู้ว่าจิวจี๋โหล่วหายไปที่ใดและไปทำอะไร แม้กระทั่งเพื่อนสนิทของเขาซึ่งยังอยู่แถบฮ่องกงอย่างอู่ทินหลงและวิคเตอร์ ลีก็ยังไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน สุดท้ายก็มีข่าวลือแพร่สะพัดมาว่า อันที่จริงแล้วเป้าหมายของการโจมตีนั้นคือตัวภรรยาสาวของเดวิด จิวเอง สาเหตุก็เพื่อเป็นการข่มขู่เดวิดที่ในตอนนั้นเริ่มเปิดธุรกิจลับในการหาข่าวเบื้องลึกเบื้องหลังของการคอรัปชั่นในวงราชการและข่าววงในเกี่ยวกับบริษัทใหญ่ต่าง ๆ ในฮ่องกงและมาเก๊า

"...คนพูดกันว่าลุงหนีไปทำงานใต้ดินให้กับกลุ่มมาเฟียบ้าง ยากูซ่าบ้าง แต่อาปาก็เคยเล่าให้ฉันฟังว่าอาปาเคยเจอลุงเดวิด หรืออย่างน้อยก็คนที่คิดว่าคือลุงเดวิดอยู่ในไชน่าทาวน์ที่ซานฟราน อาปาพยายามส่งเสียงทักแล้ว แต่คนคนนั้นก็ไม่ตอบรับแล้วรีบหนีหายไปอย่างรวดเร็ว..."



"แล้วไงต่อครับ ให้ไวเลย"

เจนยุทธเร่งคนรักที่หยุดเล่าแล้วลุกขึ้นเปิดขวดน้ำแร่บนโต๊ะข้างเตียงเทลงใส่แก้ว

"เดี๋ยวสิจ๊ะ ขอกินน้ำก่อน ฉันเล่าจนคอแห้งแล้ว..."

คนตัวโตพูดยิ้ม ๆ พลางค่อย ๆ จิบน้ำในแก้ว เจทำตาแป๋วใส่คนรักอีกครั้ง แต่ฆาเบียร์ก็ทำมองเมิน

"โอเค ๆ เล่าต่อแล้ว ๆ ใจร้อนจริงนะเรา"

ฆาเบียร์หัวเราะ เมื่อเจนยุทธรีบดึงแก้วที่หมดแล้วออกจากมือเขาแล้วขึ้นมานอนทำตาเยิ้มรอฟังอยู่แทบตักของเขา

"หลังจากผ่านไปเกือบสิบปี ลุงเดวิดก็กลับมาฮ่องกง ภายนอกลุงยังดูเหมือนเดิม แต่มันเหมือนมีออร่าอะไรบางอย่างที่บอกว่าคนคนนี้แตะต้องไม่ได้..."

เมื่อกลับมาถึงถิ่นเกิด จิวจี๋โหล่วไม่กลับไปยังคฤหาสน์ตระกูลจิวที่มาเก๊า หากมาอาศัยอยู่ในบ้านเก่าของเขาที่ฝั่งฮ่องกงแทน ไม่นานหลังจากการกลับมาของจิวจี๋โหล่ว ข้าราชการระดับสูงของฮ่องกงหลายคนถูกสังหารหรือหายตัวไปอย่างหาศพไม่เจอ เช่นเดียวกับหัวหน้าสาขาของแก๊งอั้งยี่ชื่อดังซึ่งว่ากันว่าคอยรับงานสกปรกจากข้าราชการเหล่านั้นและเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสังหารภรรยาของจิวจี๋โหล่ว



"อ้าว แล้วพวกนั้นไม่มาแก้แค้นกลับหรือว่าอะไรเหรอครับ? แล้วพวกตำรวจสาวเรื่องนี้ไม่ถึงตัวลุงเหรอ?"

เจนยุทธถามอย่างงุนงง หากฆาเบียร์ส่ายหน้า

"ไม่เลยจ้ะ เหมือนกับว่าในช่วงที่ลุงหายไปนั้นลุงก็ได้ไปสร้างคอนเน็คชั่นกับพวกองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติอะไรพวกนี้ไว้ ตอนแรกพวกลูกน้องแก๊งนั้นก็เหมือนอยากแก้แค้น แต่มีคำสั่งมาจากตัวหัวหน้าใหญ่ของแก๊งที่คุมแก๊งนั้นอีกทีว่าให้วางมือซะ ส่วนเรื่องตำรวจนั้นก็ไม่รู้ไปเคลียร์กันแบบไหน สุดท้ายก็หาความเชื่อมโยงระหว่างลุงกับคดีพวกนั้นไม่ได้ ก็จับแพะไปบ้าง กลายเป็น cold case ไปบ้าง"

ฆาเบียร์เล่าว่าคำสั่งห้ามแตะต้องจิวจี๋โหล่วนั้นออกมาจากแก๊งอั้งยี่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งมีสาขาอยู่ในไชน่าทาวน์แถบรัฐแคลิฟอร์เนียด้วย หลังจากเคลียร์เรื่องคดีความต่าง ๆ ได้ เดวิด จิวก็กลายเป็นคนที่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง เขากลับมาเปิดบริษัทรักษาความปลอดภัยของพ่อของเขาอีกครั้ง แต่คราวนี้มันกลายเป็นหน้าฉากของธุรกิจมืดที่ครอบครัวของเขาเคยทำมาก่อนเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว เขาย้ายฐานการทำงานของเขาไปอยู่มาเก๊าอย่างเต็มตัว ส่วนหนึ่งก็เพื่อ รองรับลูกค้าคาสิโนซึ่งกำลังอยู่ในช่วงขยายตัวอย่างรวดเร็ว อีกส่วนหนึ่งก็เพื่อให้ทำงานหลังฉากได้สะดวกกว่าที่ฮ่องกงซึ่งมีการควบคุมหนาแน่นกว่า

"เอ่อ งานหลังฉากที่คุณว่านั่นคือ?..."

เจนยุทธถามเสียงอ่อย ๆ อย่างไม่แน่ใจ ฆาเบียร์ซึ่งนั่งเอนหลังกับหัวเตียงยกมือขึ้นลูบผมคนรักเบา ๆ แล้วจึงตอบคำถาม

"ก็งานคล้าย ๆ กับที่ปู่ของเขาเคยทำช่วงก่อนสงครามโลกน่ะ งานนายหน้าจัดหาสารพัด ไม่ว่าจะแหล่งเงินทุน ลู่ทางฟอกเงิน อาวุธ คนที่จะทำงานสกปรกต่าง ๆ หรือกระทั่งหาเส้นทางหลบหนีให้ อีกทั้งยังทำงานเดิมที่ลุงเคยเริ่มทำไว้อย่างเช่นการจัดหาข่าวกรองและข้อมูลลับต่าง ๆ แต่คราวนี้ลุงเขาทำในสเกลที่ใหญ่ขึ้น คือรับงานจากทั่วโลก โดยมีข้อแม้ว่าจะไม่ทำงานที่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดและการค้ามนุษย์ แถมยังไม่รับงานจากพวกอาชญากรสงครามอีกด้วย"

แม้จะดูเหมือนเป็นมือใหม่ในวงการใต้ดินฮ่องกง แต่ในวงการอาชญากรรมระดับโลก "Mr. J" ซึ่งเป็นชื่อที่ย่อมาจากแซ่ Jiu ได้สร้างชื่อให้กับตนเองในฐานะนักจัดหาชั้นเลิศมาเกือบ 10 ปีแล้ว



"โหย ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าลุงเขาจะทำงานแบบนั้น ตอนแรกผมนึกว่าลุงจะเป็นหัวหน้าแก๊งอะไรแบบนี้ซะอีก แล้วทำไมลุงเขาถึงต้องกลับมาทำงานพวกนี้อีกล่ะครับ ก็แก้แค้นเสร็จไปแล้ว แค่กลับมาเปิดธุรกิจรักษาความปลอดภัยเหมือนเดิมไม่ได้เหรอ?"

เจนยุทธถามอย่างสงสัย ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่

"เพื่อความอยู่รอดไงล่ะเจ ลุงเขาแก้แค้นเสร็จแล้วก็จริง แต่ความช่วยเหลือที่ได้รับมาเพื่อที่จะได้แก้แค้นสำเร็จน่ะมันไม่ได้มาฟรี ๆ หรอกนะ มันแลกมากับการที่ลุงเขาต้องทำงานให้กับพวกองค์กรลับหรือกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่เคยไปขอความช่วยเหลือไว้ ทีนี้ลุงเขาเล็งเห็นแล้วว่าถ้าแค่ทำงานให้พวกนี้ สุดท้ายก็คงต้องกลายเป็นม้าใช้ให้ตลอด ก็เลยใช้วิธีเปิดรับงานจากทุกฝ่ายมันไปเลยเพื่อเป็นการคานอำนาจ"

เจร้องอ๋อ สถานการณ์ของเดวิด จิวก็คงเหมือนคนขึ้นหลังเสือแล้วลงไม่ได้ สิ่งที่ทำได้ก็คือไปต่อให้จนสุดทาง

"ทีนี้สิ่งหนึ่งที่ลุงเขาทำหลังจากกลับมาเปิดธุรกิจใหม่คือตัดการติดต่อกับเพื่อนและคนสนิททุกคน กระทั่งครอบครัว ลุงก็ยังนาน ๆ ไปเจอที เหตุผลของลุงก็เพื่อกันคนเหล่านั้นออกจากปัญหาน่ะ"

การตายของภรรยาคือสิ่งที่หลอกหลอนเดวิด จิวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เขาเลี่ยงที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่เขารักและห่วงใยในทุกทาง แม้จะรู้ว่าเหล่าเพื่อนของเขานั้นเป็นห่วงและอยากเจอเขาแค่ไหน เขาก็ตัดใจไม่ยอมให้พบเลยสักครา

"คนเดียวที่ยังสามารถติดต่อลุงเดวิดได้แม้จะนาน ๆ ครั้งก็ตามก็คือลุงหลงซึ่งคอยแอบให้ความช่วยเหลือครอบครัวของลุงเดวิดตลอดเวลาที่ลุงออกจากฮ่องกงไป กับอาปาและลุงวิคเตอร์นี่ไม่มีการติดต่ออะไรเลย จดหมายสักฉบับลุงเดวิดก็ไม่กล้าส่งหาอาปา แต่สุดท้าย อาปาก็ได้รับโทรศัพท์จากลุงเดวิด"


 

(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- "I Want to Forget..." (ต่อ) ----



'ฉันหาน้องชายของนายเจอแล้ว'

นั่นคือสิ่งที่จิวจี๋โหล่วบอกกับเพื่อนของเขาในปี 2006

'แต่นายต้องรีบมาหน่อยนะ เขาเหลือเวลาอีกไม่นานนัก'

แม้จะรู้ว่าเจดผู้เป็นแม่เลี้ยงได้หอบลูกชายซึ่งไม่ได้มีสายเลือดของสามีเลยออกจากบ้านไปหลังจากพ่อของคริสเสียชีวิตในปี 1982 เดวิดซึ่งต้องหลบหนีออกจากฮ่องกงไปในปี 1984 ก็ไม่ได้รับรู้ว่าคริสนั้นได้พยายามตามหาน้องชายนอกไส้ซึ่งหนีจากแม่ผู้โลภมากไปมาโดยตลอด เขามาทราบเรื่องเอาเมื่ออู่ทินหลงได้บ่นให้เขาฟังในการพบปะกันลับ ๆ ว่าคริสยังคงออกตามหาน้องชายในช่วงที่เขามาทำงานที่ฮ่องกงเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

"งานนั้นลุงหลงโดนลุงเดวิดด่าจนเอากระบุงโกยไม่ไหวเลยว่ามาเล่าให้ลุงเขาฟังช้าไป พอรู้เรื่องปุ๊บ ลุงเขาก็ให้คนหาข่าวทันที ใช้เวลาแค่ไม่กี่วันก็เจอตัว แต่มันก็สายไปแล้ว"

ฆาเบียร์ใช้นิ้วปาดหางตาของคนรักที่นอนทำตาแดงอยู่บนตัก เจสูดน้ำมูกฟืดฟาดแล้วถามคนรัก

"แล้วอาปาได้เจอกับลุงเดวิดไหมครับ หรือว่าได้มาแค่ข่าว"

"ในตอนแรกลุงหลงเป็นคนมารับอาปาและพาไปหาที่โรงพยาบาลเอกชนที่ดีที่สุดซึ่งพวกลุง ๆ เขาย้ายอาแอนดี้มาตามที่อาปาร้องขอ แต่พอเสร็จงานศพของอา คืนนั้นลุงเดวิดก็มาหาอาปาถึงที่บ้านเลย"



เดวิด จิวมาเพื่อขอโทษเพื่อนรักของเขาด้วยตัวเองที่ตนได้หลบหน้าเพื่อนจนทำให้พลาดโอกาสในการช่วยตามหาแอนดี้ หากคริสก็ได้ปรี่เข้ากอดเพื่อนรักที่ไม่ได้เจอหน้ากันกว่า 20 ปีทันที

"ขอโทษ..."

ชายแซ่จิวกลั้นก้อนสะอื้นและทำได้เพียงพึมพำออกมาเบา ๆ หากคริสยิ่งกอดเขาแน่นขึ้น อ้อมกอดของเพื่อนทำให้จิวจี๋โหล่วผู้ทรงอิทธิพลต้องหลั่งน้ำตาออกมาในทันที

"นายไม่ต้องมาขอโทษอะไรทั้งนั้น ฉันต่างหากที่ต้องขอบใจที่นายให้โอกาสฉันได้บอกลาแอนดี้เป็นครั้งสุดท้าย"

คริสดันร่างเล็กบางของเพื่อนผู้มีอดีตอันแสนขมขื่นออกแล้วส่งยิ้มกว้างให้ พร้อมกับกวาดสายตาพิเคราะห์รอบกายเพื่อน


"แก่ขึ้นมาเยอะเหมือนกันนี่ อาโหล่ว ผมขาวจะหมดหัวแล้ว"

คริสกระเซ้าเพื่อนซึี่งปล่อยให้ผมกลายเป็นสีดอกเลาโดยไม่คิดย้อมสักนิด

"เหอะ ว่าแต่ฉัน นายเองก็แก่ไปเหมือนกันล่ะน่า อาซิง"

เดวิด จิวปาดน้ำตาแล้วแยกเขี้ยวให้เพื่อน คริสหัวเราะร่า

"ก็ขึ้นเลขห้ากันแล้วนี่ จะให้ยังเหมือนหนุ่ม ๆ ได้ยังไง แต่อาโหล่ว ไหน ๆ นายก็มาแล้ว คืนนี้มากินเหล้าเป็นเพื่อนฉันหน่อยเถอะ เราจะได้คุยกันให้สมกับที่ไม่ได้เจอกันมาตั้งยี่สิบกว่าปี"

คริสร้องขอเพื่อนของเขา เดวิดหันไปปรึกษากับผู้ติดตามของเขาซึ่งยืนรออยู่ด้านข้างแล้วจึงหันมาตอบตกลง คืนนั้นเขาอยู่ค้างนอกบ้านซึ่งเป็นเหมือนป้อมปราการของตนเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีเพื่อพูดคุยและไต่ถามสารทุกข์สุขดิบจากเพื่อนรักที่ห่างเหินกันไปนาน จนกระทั่งใกล้รุ่งเขาจึงได้ย่องออกจากห้องของเพื่อนอย่างเงียบ ๆ เพื่อกลับออกไปก่อนสว่าง



"เดี๋ยว นายจะไปทั้งที่ยังไม่ได้ลาฉันอย่างนั้นเหรอ?"

คริสลุกขึ้นจากเตียงพร้อมกับทำหน้ายุ่ง เดวิดเดินเข้าไปกอดลาเพื่อนรักเนิ่นนาน

"นายยังอยู่ฮ่องกงอีกพักใหญ่ใช่ไหม? ฉันจะต้องไปทำงานที่ต่างประเทศสักพัก ไว้ฉันกลับมา เราค่อยนัดอาหลงกับวิคเตอร์กินข้าวกันที่มาเก๊า ดีไหม?"

เดวิดถาม คริสหัวเราะร่าและตบไหล่เพื่อนของเขาเบา ๆ พร้อมกับตอบตกลง

"คราวนี้นายห้ามเบี้ยวฉันแล้วนะ และหลังจากนี้ อย่าได้หนีหายจากพวกฉันไปอีก ฉันรู้ว่านายห่วงพวกเราถึงได้พยายามตีตนออกห่างไป แต่พวกเราก็ไม่ใช่เด็กน้อยที่ปกป้องตัวเองไม่ได้แล้ว ถึงจะเจอกันบ่อยเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ แต่ปี ๆ หนึ่งขอให้เราได้มาเจอหน้าเจอตากันบ้างสักหนสองหนก็ยังดี ไม่ใช่เจอกันในงานศพแบบนี้"

คริสพูดทิ้งท้ายด้วยเสียงแผ่วเบา เขาอดยกนิ้วขึ้นปาดน้ำตาที่เอ่อท้นออกมาไม่ได้ เดวิดดึงเพื่อนเข้าไปกอดปลอบอีกครั้งพร้อมกับสัญญาว่าเขาจะทำตามนั้น ทั้งคู่บอกลากันก่อนที่เดวิดจะขึ้นรถกันกระสุนของเขาออกไปจากบ้านตระกูลหว่อง


"แต่สุดท้ายอาปาก็เป็นฝ่ายต้องเบี้ยวนัดลุงเดวิด..."

ฆาเบียร์พูดเบา ๆ ออกมา เจรีบยันกายขึ้นนั่งเคียงข้างคนรักที่มีท่าทีเหม่อลอยขึ้นมา เขาดึงร่างใหญ่กำยำให้เข้ามาอิงแอบแนบกาย

"คุณครับ อย่าไปคิดถึงมันอีกเลยนะครับ เราข้าม ๆ ตอนนี้ไปก็ได้"

เจรีบพูด เขาจำได้แม่นว่าหลังจากนั้นคริสต้องกลับสหรัฐฯ อย่างกะทันหันเนื่องจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับพ่อแม่ของฆาเบียร์

"ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันแค่อดนึกสงสารอาปาขึ้นมาไม่ได้"

ฆาเบียร์ยิ้มบาง ๆ ให้คนรักแล้วเล่าต่อ

"ตอนงานศพของพ่อแม่ฉัน ฉันว่าฉันเห็นลุงเดวิดที่งานด้วยนะ แต่ตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าลุงเป็นใครจนกระทั่งได้มาเจอหน้ากันอีกครั้งที่ฮ่องกงตอนที่อาปาแนะนำเพื่อน ๆ ให้ฉันรู้จัก"

คนตัวโตบอกเจว่าเมื่อรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของเดวิดแล้ว เขาก็รู้สึกซึ้งใจในมิตรภาพที่เดวิดมอบให้อาปาของเขาเป็นอย่างมาก

"ทำไมน่ะเหรอ? ก็เพราะในตอนนั้นลุงเขาถูกพวกอินเตอร์โปลหมายหัวอยู่น่ะสิ ถ้าคนคนนั้นที่ฉันเจอคือลุงเดวิดจริง การที่ลุงเขาเดินทางเข้ามาในสหรัฐฯ แม้ว่าจะลักลอบเข้ามาแบบไหนก็ช่าง มันก็มีความเสี่ยงถูกจับได้ทั้งนั้น แต่ลุงเขาก็ยอมมาเพื่อมาปลอบอาปา"

ฆาเบียร์บอกว่าเขามั่นใจว่าคนคนนั้นใช่เดวิดแน่นอน แต่เมื่อลองถามคริสดู อาปาของเขาก็ปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่ใช่ แม้จะรู้สึกว่ามันแปลก หากฆาเบียร์ก็เคารพสิ่งที่อาปาของเขาพูดและคิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เดวิดต้องการปิดเรื่องการเดินทางของเขาเข้าสู่สหรัฐฯ ให้เป็นความลับ



"อาโหล่ว นาย นายมาได้ยังไง?"

คริสซึ่งเดินก้มหน้าออกมาหลังจากจูบลาอันเดรสผู้เป็นที่รักของเขาเป็นครั้งสุดท้ายอุทานออกมาเมื่อเห็นร่างเล็กบางของจิวจี๋โหล่วยืนคอยเขาที่สุดทางเดิน

"ฉันมีทางมาแล้วกันน่า ว่าแต่ไอ้หนุ่มผมยาวคนนั้นคือฆาบี้เหรอ?"

จิวจี๋โหล่วถามถึงคนที่เดินสวนกับเขาที่หน้าโบสถ์ เขาเคยเห็นภาพของฆาเบียร์ในวัยเด็กที่แนบมากับจดหมายที่เพื่อนเพียรส่งหาเขาตลอดแต่ตัวเขาไม่เคยตอบ คริสพยักหน้ารับคำพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขากำลังจะกล่าวขอบคุณเพื่อนรักที่เสี่ยงแวะมาหาแต่ก็ต้องรู้สึกหน้ามืดวูบและหมดสติไป

"อาซิง!"

จิวจี๋โหล่วตะโกนลั่นแล้วรีบรับร่างของเพื่อนไว้ เขาโบกมือเรียกคนของเขาให้มาช่วยกันประคองคริสไปที่รถของเขาที่จอดรออยู่ไม่ห่าง

"นี่ฉันเป็นอะไรไป?"

คริสลืมตาขึ้นแล้วพยายามลุกขึ้นจากตักของเพื่อนที่ตนนอนหนุนอยู่ หากเดวิด จิวกดไหล่ของเพื่อนไว้

"นายเป็นลมไป นี่ไม่ได้นอนมากี่คืนแล้ว? ได้กินข้าวกินปลาบ้างหรือเปล่า? นี่นายตั้งใจจะตายตามเขาไปขนาดนั้นเลยเหรอ?"

คริสน้ำตาร่วงทันทีเมื่อได้ยินน้ำเสียงโกรธจัดของเพื่อนในแบบที่เขาไม่เคยได้ยินมานาน เขาปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น



"ใช่! ฉันอยากตายจริง ๆ อาโหล่ว อยากตายตามเขาไปจะได้พ้นทุกข์เสียที แต่ฉันทำไม่ได้ ถ้าฉันตายอีกคน ฆาบี้ ไอ้ลูกชายของฉันมันจะอยู่ยังไง"

พ่อบุญธรรมของฆาเบียร์ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนเดวิดต้องดึงตัวเพื่อนขึ้นมากอดปลอบใจ คริสซบหน้ากับอกเพื่อนและร้องไห้จนกระทั่งหมดแรง เดวิด จิวคอยลูบหลังเพื่อนจนรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายสงบลงแล้วจึงค่อยปล่อย

"นายรักเขาขนาดนั้นเลยเหรอ?"

จิวจี๋โหล่วถามเบา ๆ เขาพอสัมผัสถึงความรู้สึกของเพื่อนได้จากจดหมายที่คริสส่งมาหาพวกเขาในช่วงแรก ๆ ที่เขามาเรียนต่อที่สหรัฐฯ ไม่มีฉบับไหนที่คริสจะไม่พูดถึงเพื่อนหนุ่มชาวปูเอร์โต ริโกที่แทบจะใช้ชีวิตแบบตัวติดกันกับเขา เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้สึกของคริสยิ่งแสดงออกอย่างเด่นชัดผ่านตัวอักษร แม้อีกฝ่ายจะแต่งงานมีครอบครัวไป คริสก็ยังเต็มใจที่จะอยู่เพื่อดูแลครอบครัวของคนที่เขารักสุดหัวใจคนนั้น หากคริสในวันนี้ก็ไม่ตอบคำถามของเพื่อนแต่กลับเป็นฝ่ายตั้งคำถามขึ้นเองแทน

"อาโหล่ว ฉันขอถามอะไรหน่อยสิ"

คริสพึมพำด้วยดวงตาอันเหม่อลอย น้ำตาค่อย ๆ หยดหยาดจากหางตาของเขาและไหลลงบนกางเกงผ้าของจิวจี๋โหล่ว

"ถามมาสิ อาซิง"

เดวิดลูบผมสีน้ำตาลอ่อนซึ่งเพื่อนได้รับมาจากแม่ชาวอังกฤษ

"ตอนเมียนายตาย นายทำยังไงถึงลืมมันได้ อาโหล่ว ทำยังไงความเจ็บปวดนี้ถึงจะหายไป"

คริสถามเสียงเครือแล้วจึงปล่อยโฮออกมา เดวิดขบกรามแน่น เขาดึงร่างของเพื่อนที่ปิดหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นจนกายสั่นไหวขึ้นมากอดไว้แน่น เขาไม่สามารถตอบเพื่อนได้และได้แต่กอดร่างของเพื่อนรักไว้อยู่อย่างนั้น



"อาโหล่ว ฉันทนไม่ไหวแล้ว ฉันทนรับความรู้สึกนี้ไม่ได้แล้วจริง ๆ..."

คริสดันร่างเล็กบางแต่แข็งแรงตามประสาคนที่ฝึกศิลปะป้องกันตัวของจิวจี๋โหล่วออก เขาบีบไหล่ของอีกฝ่ายแน่นจนรู้สึกเจ็บ คนแซ่จิวใจสั่นเมื่อเห็นแววตาว่างเปล่าประหนึ่งไร้วิญญาณของคนขาดสติตรงหน้า ใบหน้าคมคายของเพื่อนที่ตราตรีงใจเขามาตลอดเวลาหลายสิบปีบิดเบี้ยวไปด้วยความทุกข์อย่างสุดแสน

"ช่วยฉันที อาโหล่ว ทำยังไงก็ได้ ทำให้ฉันลืมที! ลืมมันให้หมด! ลืมอันเดรส! ลืมแคท! ลืมความเจ็บและลืมไอ้ ไอ้ความสูญเสียนี้! ช่วยฉันด้วย ฉันไม่อยากรู้สึกมันอีกแล้ว..."

อาปาของฆาเบียร์กระชากคอเสื้อของเพื่อนเข้ามาใกล้จนใบหน้าของเขาแทบจะแนบกัน จิวจี๋โหล่วตาเบิกโพลงเมื่อริมฝีปากแตกระแหงของคริสประกบเข้ากับริมฝีปากของเขา เขาพยายามดันร่างของเพื่อนที่เหมือนจะเสียสติไปชั่วคราวออก แต่ความรู้สึกที่เขาเก็บซ่อนไว้ในห้วงลึกของใจตั้งแต่ครั้งที่พวกเขายังเป็นนักเรียนในโรงเรียนชายล้วนกลับพลุ่งพล่านขึ้นมาจนระงับไว้ไม่ไหว เดวิด จิวเริ่มตอบสนองสัมผัสของเพื่อนอย่างดุดัน แต่ก่อนที่อะไรจะเกิดเลยเถิดไป เสียงโทรศัพท์มือถือจากในกระเป๋ากางเกงของคริสก็ดังขึ้น คริสสะดุ้งเฮือกและรีบดันร่างของอีกฝ่ายออกทันที

"ฉัน ฉันขอโทษ อาโหล่ว ขอโทษจริง ๆ"

คริสพร่ำพูดขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาก้มหัวต่ำด้วยความละอายเมื่อนึกถึงว่าเขาเกือบทำในสิ่งที่จะทำให้ตัวเองเสียใจภายหลังไป

"อาซิง โทรศัพท์ นายจะไม่รับเหรอ?"

จิวจี๋โหล่วพยายามกดน้ำเสียงให้เรียบแล้วยันกายขึ้นนั่งตัวตรง คริสรีบลนลานรับโทรศัพท์ที่ดังขึ้นเป็นรอบที่สอง เดวิด จิวเหม่อมองภาพคนที่เขาเกือบล้ำเส้นความเป็นเพื่อนไปเมื่อครู่ คริสหน้าซีดเมื่อได้ยินสิ่งที่คนปลายสายรายงานมาและพูดตอบไปเร็วปรื๋อ

"อาโหล่ว นาย เอ่อ นายไปส่งฉันกลับหน่อยได้ไหม?"

คริสซึ่งตั้งสติได้แล้วระล่ำระลักถามเพื่อนซึ่งยังนั่งครุ่นคิดอะไรอยู่ เดวิดตื่นจากภวังค์แล้วหันไปพยักหน้าให้เพื่อน

"ได้สิ มีอะไรหรือเปล่า?"

"ฆาบี้น่ะ ฆาบี้พยายามทำมันอีกแล้ว คนของฉันต้องรีบจับเขามัดไว้แล้วเอายาให้กิน ฉันต้องรีบกลับไปดูลูกแล้ว"

คริสทำท่าเหมือนจะร้องไห้ออกมาอีก จิวจี๋โหล่วเอื้อมมือไปเพื่อจะดึงรั้งตัวเพื่อนเข้ามากอดแนบอกอีกครา แต่ก็ชะงักแล้วเปลี่ยนเป็นตบเบา ๆ ที่บ่าแทน

"นายใจเย็น ๆ ไว้ก่อนนะ อาซิง เดี๋ยวฉันจะพานายไปส่งเอง"

เดวิดเปิดกระจกที่ติดฟิล์มจนดำมืดและเรียกลูกน้องของเขาซึ่งยืนเฝ้าอยู่รอบด้านเข้ามาสั่งการ ไม่นานรถคาดิลแล็คคันโตก็ขับเคลื่อนออกไปจากหน้าโบสถ์



"อาซิง..."

คริสซึ่งกำลังจะเดินออกจากตัวรถไปชะงัก เขาหันกายกลับมาหาเพื่อนวัยเด็กของเขา เขาก้มหน้าลงต่ำเมื่อเห็นแววตาสั่นไหวของคนในรถ จิวจี๋โหล่วเม้มปากน้อย ๆ และตัดสินใจล้วงมือเข้าไปหยิบคีย์การ์ดใบหนึ่งออกมายื่นให้เพื่อนรัก

"ถ้านายยังอยากลืม พรุ่งนี้หลังเสร็จงาน มาหาฉันตามที่อยู่หลังคีย์การ์ดนี้"

คริสลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอื้อมมือไปรับการ์ดใบนั้นมา มันเป็นคีย์การ์ดของโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งในย่านไชน่าทาวน์ของซาน ฟรานซิสโกซึ่งมีข่าวลือว่ามันบริหารโดยแก๊งอั้งยี่แห่งไชน่าทาวน์

"ฉันจะรอนายถึงเที่ยงคืน ถ้าหลังจากนั้นแล้วนายยังไม่มา ฉันก็จะถือว่าเรื่องวันนี้เป็นแค่ฝันไป"

จิวจี๋โหล่วค้อมหัวให้เพื่อนแล้วจึงกดปิดกระจก รถสีดำสนิทเคลื่อนที่ออกไปจากหน้าบ้านของครอบครัวมาร์ติเนซ ทิ้งให้คริสยืนนิ่งอยู่พร้อมกับคีย์การ์ดในมือ



"อาโหล่ว..."

จิวจี๋โหล่วกลั้นหายใจเมื่อได้ยินเสียงแผ่วเบาของคริสดังลอดออกมาจากลำโพง เขาระบายลมหายออกเฮือกใหญ่ก่อนจะตอบรับคนที่ปลายสาย

"ฉัน...ฉันขอโทษ"

คริสกระซิบแผ่วเบากับคนที่ปลายสาย พิธีฝังศพของอันเดรสและคาตาลิน่าเสร็จสิ้นลงแล้ว ขณะนี้เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว หากเขาก็ยังคงอยู่ที่บ้านมาร์ติเนซ

"ไม่ต้องขอโทษฉันหรอก อาซิง"

"ฉันอยากไปจริง ๆ นะ อาโหล่ว อยากไปหานายจริง ๆ..."

จิวจี๋โหล่วพูด แต่อาซิงของเขาก็ชิงพูดแทรกขึ้นมา

"แต่ฉัน ฉันทิ้งฆาบี้ไปไม่ได้จริง ๆ ลูกต้องการฉัน..."

คริสพูดพลางหันไปลูบหัวคนที่หลับไปเพราะฤทธิ์ยาอย่างอ่อนโยน

"นายไม่ต้องอธิบายหรอก อาซิง ฉันรู้อยู่แล้วล่ะว่านายต้องไม่มา"

เดวิด จิวหัวเราะให้กับตัวเองเบา ๆ เขาหันไปยกมือบอกลูกน้องที่เดินมาบอกว่าพร้อมเดินทางแล้วให้รอก่อน แม้จะซุ่มดูอยู่ห่าง ๆ เขาพอเดาได้จากท่าทางของเพื่อนที่คอยประคองลูกชายร่างใหญ่ของอันเดรสและคาตาลิน่าไว้ตลอดพิธีฝังศพของคนทั้งสอง เขารู้นิสัยของหว่องซีซิงดีกว่าเพื่อนของเขาคนนี้คงไม่มีทางทิ้งคนที่เขารักเหมือนลูกไว้เพื่อมาหาเขาและทำในสิ่งที่จะทำให้ลืมทุกข์ได้แค่ชั่วคราวอย่างแน่นอน



"อาซิง..."

เสียงอันอ่อนโยนของจิวจี๋โหล่วทำให้คริสอดน้ำตาไหลออกมาไม่ได้

"...นายถามฉันว่าตอนที่เมียฉันตาย ฉันทำใจได้ยังไง ฉันลืมความเจ็บปวดนั้นได้ยังไง..."

คริสพยักหน้าน้อย ๆ ให้คนปลายสายอย่างลืมตัว

"ฉันขอตอบนายว่า ฉันไม่เคยลืมได้ ไม่เคยสักครั้ง แต่ฉันเปลี่ยนมันเป็นพลังที่ขับให้ฉันเดินหน้ามีชีวิตต่อไป ฉันไม่กล้าที่จะลืมความเจ็บปวดนั้นหรอก เพราะถ้าลืมมันไปก็แปลว่าฉันจะลืมเมียฉันไปด้วย นายเองก็คงไม่อยากลืมความรู้สึกดี ๆ หรือความรักที่นายมีให้กับสองผัวเมียคู่นั้นจริง ๆ หรอกใช่ไหม?"

คริสสะอื้นไห้ออกมาทันทีแล้วส่ายหน้าระรัวทั้งที่คนปลายสายไม่เห็น

"ฉะนั้น อย่าลืมมัน แต่ให้หาสิ่งบรรเทาความเจ็บปวดจากรอบกาย สำหรับฉัน ฉันยังมีลูก ๆ กับน้องสาวที่คอยเป็นกำลังใจให้ ได้อาหลงมันคอยช่วยทำตลกให้ได้หัวเราะ มีงาน แล้วก็มี..."

จิวจี๋โหล่วชะงักไปนิดหนึ่งและตัดสินใจไม่พูดต่อ หากคริสก็พูดในสิ่งที่เขาต้องการพูดออกมาแทน

"นายยังมีฉันคอยเป็นกำลังใจให้อยู่ด้วยนะ อย่าลืมสิ แล้วไหนจะวิคเตอร์มันด้วย แล้วก็ไอ้พวกคนอื่น ๆ ในก๊วนอีก พวกเราทุกคนล้วนแต่ห่วงนายทั้งนั้น อย่าทำเหมือนเราเป็นคนอื่นคนไกลไปเลย"

คริสปาดน้ำตาแล้วอบรมเพื่อนผู้มีอิทธิพลของเขา

"ถ้านายห่วงว่าชีวิตในด้านนั้นของนายจะทำให้พวกเราโดนหางเลขไปด้วย ก็ทำตามที่นายสบายใจไป แต่ถ้าพวกฉันว่าง ๆ เกิดอยากเล่นไพ่ขึ้นมาแล้วรวมตัวกันไปเล่นที่มาเก๊ากันปีละครั้งสองครั้ง นายคงพอหาทางปลีกตัวมาเล่นกับพวกฉันได้ใช่ไหม? มันถิ่นนายอยู่แล้วนี่ ว่าไง?"

จิวจี๋โหล่วยิ้มกว้างออกมาและตอบรับคำของเพื่อน

"ดี ฉันจะถือว่านายสัญญาแล้วนะ ห้ามเบี้ยว! เตรียมเสียตังค์ไว้เลย!"

เดวิดยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเสียงพูดกลั้วหัวเราะของคนที่ปลายสาย



"Mr. J, we're ready to take off. "

แอร์โฮสเตสสาวประจำเครื่องส่วนตัวของจิวจี๋โหล่วเดินเข้ามาแจ้งว่าเครื่องพร้อมออกเดินทางแล้ว จิวจี๋โหล่วพยักหน้าน้อย ๆ แล้วหันไปพูดกับคริส

"ฉันต้องไปแล้วล่ะ เครื่องจะออกแล้ว"

"นี่นายอยู่สนามบินแล้วเหรอ?"

คริสถามเบา ๆ

"ก็ฉันรู้อยู่แล้วว่านายจะไม่มา จะนั่งรออยู่โรงแรมให้เสียเวลาทำไมล่ะ"

เดวิด จิวพูดพลางหัวเราะน้อย ๆ เขายกนาฬิกาขึ้นดูแล้วตัดสินใจบางอย่าง

"อาซิง..."

"หืมม์? ว่าไง อาโหล่ว?"

"เมื่อวานฉันบอกนายใช่ไหม ว่าฉันจะรอถึงแค่เที่ยงคืน ถ้านายไม่มาเรื่องเมื่อวาน เรื่องที่ฉันมาหานายคราวนี้ ก็ขอให้เป็นเหมือนแค่ความฝัน..."

คริสถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนที่จะตอบรับคำ

"ฉันอยากให้นายคิดแบบเดียวกันด้วย พอพ้นเที่ยงคืนไป ขอให้นายอย่าจำคำของฉัน..."

คริสตอบรับ พลางยกนาฬิกาขึ้นดู อีกสามสิบวินาทีจะเป็นเวลาเที่ยงคืน

"ฉันรักนายนะ อาซิง"

คำพูดแผ่วเบาจากปากจิวจี๋โหล่วทำให้คริสปวดใจ เขาอยากจะตอบสนองความรู้สึกของเพื่อนได้ แต่ยังไม่ใช่ในวันนี้

"อืมม์ ฉันรู้ รักษาสุขภาพ รักษาเนื้อรักษาตัวดี ๆ ด้วยนะ อาโหล่ว ฉันยังรอเจอนายอยู่นะ"

นี่คือสิ่งสุดท้ายที่คริสตอบเพื่อนของเขาก่อนที่จะตัดสายไป




"อาปาครับ ผมคุ้น ๆ หน้าลุงเดวิดมากเลย ตอนงานศพพ่อกับแม่ ลุงเขามาด้วยหรือเปล่า?"

คริสเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ขึ้นมองหน้าลูกชาย วันนี้เขาพาฆาเบียร์ไปร่วมวงเล่นโป๊กเกอร์ที่เขาเล่นเป็นประจำกับเหล่าเพื่อน ๆ ของเขาเป็นครั้งแรกและได้แนะนำทุกคนให้รู้จักกับหนุ่มละตินตัวโตคนนี้

"ไม่นี่ ในช่วงนั้นพวกเพื่อน ๆ อาปาเขาติดงานไม่ได้มากันสักคน มีแค่วิคเตอร์เท่านั้นที่มาร่วมงาน ทำไมเหรอ?"

ฆาเบียร์เกาหัวแกรก ๆ

"ผมเข้าใจว่าผมเดินสวนกับลุงเขาที่หน้าโบสถ์เย็นวันก่อนที่จะมีพิธีฝัง แต่ผมคงจำคนผิดไป ไม่มีอะไรแล้วครับ อาปา"

คริสพยักหน้าน้อย ๆ ให้ลูกชาย เขามองตามร่างสูงที่เดินห่างออกไปแล้วก็อดหวนคิดถึงวันที่เป็นเหมือนความฝันวันนั้นไม่ได้ คริสยกมือขึ้นแตะริมฝีปากเบา ๆ โดยไม่รู้ตัว แต่ก็ต้องสะดุ้งและส่ายหน้าน้อย ๆ แล้วก้มลงอ่านหนังสือพิมพ์ต่อไป




"เจ เจจ๊ะ หลับแล้วเหรอ?"

"หือ ครับ ถึงไหนแล้วนะคุณ?"

เจพยายามลืมตาขึ้นแล้วส่งยิ้มหวานให้คนที่ตบแก้มเขาเบา ๆ

"นายนี่มันจริง ๆ เลย ปล่อยให้ฉันเล่าไปตั้งยืดยาว ตัวเองก็ดันหลับซะได้"

คนตัวโตบ่นเบา ๆ

"น่า ๆ อย่างอนดิครับ มะ ๆ เล่าต่อ"

เจขยับตัวขึ้นไปนอนกอดก่ายร่างเมียตัวโตของเขาพลางซุกหน้าเข้ากับอกเพื่อหาไออุ่น

"หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรจ้ะ พอ เอ่อ พอพ่อแม่ฉันตาย ฉันก็เข้ามาทำงานเต็มตัว รวมทั้งงานที่ต้องเกี่ยวข้องกับบริษัทของอาปาด้วย พอได้เริ่มเดินทางไปฮ่องกง อาปาก็พาฉันไปแนะนำกับพวกลุง ๆ ฉันก็เลยพลอยได้รู้จักลุงเดวิดเขาด้วย ตอนแรกฉันก็ดูว่าแกเป็นคนแก่ใจดีนิสัยน่าคบ แต่พออาปาเล่าให้ฟังว่าลุงเขาทำงานอะไรเท่านั้นแหละ ฉันงี้สั่นเลย"

ฆาเบียร์สารภาพเบา ๆ ด้วยความที่ทำงานในวงธุรกิจ เขาเคยได้ยินเรื่องของคนที่ทำงานในโลกมืดแบบนี้ผ่านหูมาบ้าง แต่ไม่นึกว่าจะได้มาเจอตัวจริงสักครั้ง

"แต่พออาปาเล่าถึงเหตุผลที่ลุงเขาต้องผันตัวมาทำงานแบบนี้ แล้วเรื่องที่ลุงเขาพยายามหลีกหนีจากทุกคนเพื่อไม่ให้ใครเดือดร้อน ฉันกลับรู้สึกเคารพและสงสารลุงขึ้นมาจับใจเลย"

เจนยุทธพยักหน้าระรัว ฆาเบียร์พูดถูกเมื่อบอกเขาว่าเขาจะไม่รู้สึกกลัวเดวิดอีกเมื่อได้ฟังเรื่องชีวิตของเขาแล้ว



"เจรู้ไหมว่า ทุกวันนี้แม้ลุงเขาจะเกี่ยวพันกับการฟอกเงินอะไรเหล่านี้ ลุงเขาไม่เคยดึงบริษัทของเพื่อน ๆ เข้ามายุ่งเกี่ยวเลยแม้แต่น้อย หรือเวลาที่มีงานอะไร ลุงเขาก็จะไม่เคยไปร่วมเพราะไม่อยากให้เป็นจุดสนใจของนักข่าวจนเกินควร มีแค่ส่งดอกไม้หรือของขวัญมาอวยพรเท่านั้น"

 ฆาเบียร์ยกตัวอย่างงานเปิดตัวบริษัทของเขาที่ฮ่องกงหรืองานแต่งงานของลูกชายของวิคเตอร์ ในความเป็นจริงแล้วเดวิดสามารถมาร่วมงานทั้งสองได้ในฐานะเพื่อนของเจ้าของงานเนื่องจากเขาเองก็ไม่เคยมีประวัติอาชญากรหรือว่ามีหมายจับอะไร แต่เขาเลือกที่จะไม่มาเนื่องจากไม่อยากเบนความสนใจของสื่อออกจากงานนั้นไป

"อ้าว แล้วทำไมนักข่าวต้องไปรุมลุงเขาด้วยล่ะครับ เขารู้เหรอ?"

"ลุงเขาก็ยังมีฉากหน้าเป็นนักธุรกิจเจ้าของบริษัทรักษาความปลอดภัยอยู่น่ะ แต่ก็เหมือนจะเป็นที่รู้และลือกันว่าลุงเป็นคนที่ทำงานด้านมืด ฉะนั้นพวกนักข่าวก็จะให้ความสนใจเป็นพิเศษจ้ะ"

"ชิ เบื่อพวกนักข่าวจริง"

เจบ่นกะปอดกะแปด



"เอ ว่าแต่ลุงเขาไม่เคยโดนคดีอะไรเลยจริงอ่ะครับ?"

เจนยุทธถามด้วยความทึ่ง ฆาเบียร์ส่ายหน้า

"พวกตำรวจ หรือกระทั่ง FBI หรือ INTERPOL ก็ได้แค่คาดเดาว่าลุงเขาเกี่ยวข้องกับคดีนั้นนี้เท่านั้น แต่ไม่เคยหาหลักฐานเอาผิดได้สักครั้ง ลุงเขาโดนเชิญตัวไปสอบปากคำหลายต่อหลายครั้งแล้วแต่ก็แห้วทุกที หรือแม้กระทั่งบริษัทฉันกับบริษัทอาปาก็เคยโดนเข้ามาสอบหลายครั้ง แต่พวกนั้นไม่มีทางเจออะไรหรอก เพราะอย่างที่บอก ลุงเขาไม่ยุ่งกับบริษัทของเพื่อน"

"หูย ลุงเดวิดเจ๋งโคตร"

เจชมเปาะ แต่ฆาเบียร์กลับถอนหายใจยาว

"ก็เก่งแหละจ้ะ แต่ความสำเร็จของลุงก็แลกมากับชีวิตส่วนตัวนะ ทุกวันนี้ นอกเหนือจากเวลาที่ต้องไปทำงานต่างประเทศแล้ว ลุงเขาจะเก็บตัวอยู่ที่บ้านที่มาเก๊าที่มีการป้องกันแน่นหนาเหมือนกับป้อมปราการเลย และแทบไม่ออกไปไหนถ้าไม่จำเป็น พวกอาปาเลยต้องเป็นฝ่ายมาหาลุงเขาแทนเพื่อที่จะมาทำให้ลุงเขาได้ผ่อนคลายบ้าง"

เจอุทานออกมาเบา ๆ แล้วอดยิ้มให้กับความรักของเพื่อนกลุ่มนี้ไม่ได้ ฆาเบียร์บอกว่าพวกก๊วนคุณลุงจะรอให้จิวจี๋โหล่วเป็นฝ่ายแจ้งมาเองว่าว่างจากงานวันไหน โดยเดวิดมักจะเลือกวันแบบสุ่ม จากนั้นเขาก็จะเป็นคนนัดแนะกับทุกคนเองโดยแจ้งล่วงหน้าไม่กี่วันผ่านช่องทางที่ปลอดภัย สถานที่นัดเจอก็มักจะเป็นตามโรงแรมคาสิโนที่มีความปลอดภัยสูงและมีคนของเดวิดเข้ามากำกับควบคุมความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง สมาชิกที่มาร่วมเล่นไพ่ก็มักจะแปรผันไปตามแต่ว่าเพื่อน ๆ คนไหนว่างบ้าง แต่คนที่มาไม่เคยขาดเลยคือคริส อู่ทินหลง และวิคเตอร์ พวกเขาพร้อมที่จะสละเวลาให้เพื่อนผู้เก็บตัวคนนี้ของพวกเขาเสมอ

"คราวหน้าถ้าลุงเค้านัดมาอีกบอกผมด้วยนะ ถ้าว่างผมจะมาด้วย"

เจพูดอย่างหมายมั่น ฆาเบียร์หัวเราะแล้วลูบหัวคนรักเบา ๆ

"จ้ะ ถ้าลุงเดวิดรู้คงต้องดีใจแน่ ๆ ขอบใจนะ เจนยุทธ"

ฆาเบียร์ก้มลงจูบหน้าผากคนรักด้วยความรักใคร่



"อ้อ เจจ๊ะ คุณชาน เอ่อ คนของลุงเดวิดที่เขาไปอารักขาเจกับอาปาที่ถนนอาหารเขาฝากขอโทษที่ทำให้ตกใจมานะ"

"โอ๊ย คุณ ผมไม่ได้ตกใจอะไรมากร้อก พรุ่งนี้คุณบอกเขาด้วยนะ ว่าผมขอบคุณที่เขามาดูแลพวกเรา เอ ไว้ผมบอกเองดีกว่า ไว้จะมาถามนะว่าคำว่าขอบคุณภาษากวางตุ้งว่าไง"

"อ๋อ พูดว่า..."

"อ๊ะ ๆ อย่าพึ่งสอนผมตอนนี้ครับ ผมง่วงแล้ว อยากหลับมากเลย พรุ่งนี้ค่อยมาสอนนะ"

เจพูดพลางหาวหวอด ๆ ฆาเบียร์ยกนาฬิกาขึ้นดูแล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อพบว่าเป็นเวลาล่วงเลยไปถึงตีห้ากว่า ๆ แล้ว"

"ตายล่ะ เรานอนกันได้แล้ว นี่มันจะเช้าแล้วนะเจ เดี๋ยวพรุ่งนี้นายก็ตื่นไปกินข้าวเช้าไม่ทันกันพอดี"

คนตัวโตกระเซ้า เจนยุทธย่นจมูกให้คนรักแล้วบอกว่าเขาไม่พลาดแน่ ๆ

"เออ คุณ แต่ก่อนนอนเนี่ย ผมขอถามอีกคำถามสิ"

"หึ ๆ อีกคำถามของนายนี่ได้เล่ายาวทุกที เอ้า มะ ถามมาซิ อยากรู้อะไรอีก"

เจนยุทธหัวเราะแหะ ๆ

"ผมสงสัยอ่ะว่าทำไมลุงหลงแกต้องแอ๊บเป็นเจ้าพ่อด้วยอ่ะ?"



-----------------------------------------------

โอย นี่เป็นตอนที่ยาวที่สุดเท่าที่เคยเขียนมาแล้วค่ะ 63,000 กว่าตัวอักษรที่เป็นเนื้อเรื่องล้วน ๆ เรียกได้ว่ามาช้าหน่อยแต่ก็ให้ได้จุใจเนาะ แต่รู้งี้แตกออกเป็นสองตอนดีกว่า ฮือออ

ในตอนนี้ไม่มีอะไรมากค่ะ เน้นเล่าเรื่องอดีตของก๊วนคุณลุง และแม้จะไม่ได้ตั้งใจจะให้ไปในทางนั้น แต่ในที่สุดก็เขียนออกไปแล้ว เราควรลุ้นอาปากับลุงเดวิดกันดีไหมคะ???? แต่ก็อาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างคุณลุงคู่นี้มากมายนักค่ะ เพราะเป็นสว. กันแล้ว แถมลุงเดวิดแกงานเยอะ คงหาคิวให้ยาก ไว้ลองดูว่าจะไปในทิศทางไหนอีกดีนะคะ

ช่วงเขียนเรื่องสามครอบครัวนี่หนุกหนานมาก ไปหาประวัติเรื่องอั้งยี่กับแก๊งฮ่องกงอ่าน โอ้โห มันอลังการกว่าที่เราคิดมาก แต่ไม่ได้มีลิงค์มาแปะให้นะคะ เพราะอ่านจากหลายที่จัด

ในช่วงท้าย ๆ เร่งนิดนึงนะคะ เพราะไม่งั้นมันจะยาวเกิน แต่ก็ถือว่าสรุปประวัติลุงเดวิดได้เท่ากับอยากที่อยากเขียนแล้ว

ส่วนฉาก NC ตอนนี้มันจะดิบ ๆ นิดนึงนะคะ คนเขียนมาดูวันที่แล้ว นี่ไม่ได้เขียนฉากแบบนี้มาสองเดือนแล้ว!!!! อัดอั้นตันใจมากค่ะ!!!! นี่ยังคันมือ อยากเชียนอีกเลย แหะๆๆ


ตอนหน้าก็คงยังไม่มีอะไรมาก น่าจะเน้นอาหารรัว ๆ ไว้รอกินกันได้นะคะ
 

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- ความสุขที่คู่ควร ----




“อ้าว ยังไม่หลับไม่นอนกันอีก...”

เดวิดทักลูกน้องคนสนิทของเขาซึ่งนั่งตัวตรงอยู่บนโซฟา เขาซึ่งอาบน้ำอาบท่าจนสบายตัวแล้วออกห้องมาเช็คความเรียบร้อยอีกครั้งหนึ่งก่อนนอน

“...พวกแกเอนหลังพักผ่อนกันได้ตามสบายนะ ที่นี่ไม่ค่อยน่าห่วงเท่าไหร่”

“เอ่อ พวกผมก็ว่าจะนอนแล้วเหมือนกันครับ แต่ เอ่อ นอนไม่หลับ โอ๊ย...”

“ชู่ว์ จะพูดทำไม?”

ชานไหว่ซันใช้ศอกกระทุ้งสีข้างลูกน้องซึ่งปากสว่างรายงานนายไปหมดทุกอย่าง

“อ้าว ทำไมนอนไม่หลับล่ะ? ทุกทีที่นอนแย่กว่านี้ก็ยังนอนกันได้ อยากได้หมอนหรืออะไรเพิ่มกันไหม?”

เดวิดขมวดคิ้ว เขาใส่ใจเรื่องความเป็นอยู่ของเหล่าลูกน้องทุกคนเสมอ เขากำลังจะอ้าปากถามอีกครั้งเมื่อเสียงคำรามทุ้มแหบจากอีกห้องหนึ่งดังลอดออกมากระทบโสต จิวจี๋โหล่วหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที เขาหันไปหาลูกน้องพร้อมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ทั้งสองพยักหน้าพร้อมทำหน้าพิพักพิพ่วน

“สักพักแล้วครับ พวกผมนอนไว พอเจอเสียงแบบนี้เลยนอนไม่หลับ”

ชานไหว่ซันกระซิบเบา ๆ พวกเขาถูกฝึกมาให้ตอบสนองต่อเสียงแม้จะเบาเหมือนแมวย่องก็ตาม ฉะนั้นแม้คนทั้งสองในห้องข้าง ๆ จะพยายามกลั้นเสียงแล้วก็ตาม สำหรับพวกเขา มันชัดเจนพอที่จะทำให้ประสาททั้งตัวตื่นขึ้นได้



"Oh! Yes! Harder! "

เสียงครางกระเส่าอย่างลืมตัวดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นเสียงใสของเจซึ่งตามมาด้วยเสียงอึกอักเหมือนปากของเจ้าตัวถูกบางอย่างปิดไว้ จากนั้นจึงเป็นเสียงกระซิบฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ก็พอที่จะทำให้เดวิดรู้ว่ากิจกรรมภายในห้องนั้นร้อนแรงขนาดไหน

"เฮ้อ ทนหน่อยแล้วกันนะ แต่ถ้าไม่ไหว กลับไปหยิบ earplug ที่ห้องมาก็ได้ ฉันไม่ว่าหรอก"

เดวิด จิวตบไหล่ลูกน้องเบา ๆ โดยปกติคนของเขามักจะพกที่อุดหูไว้เพื่อเวลาที่ต้องการนอนพักอย่างเต็มตื่น

"ไม่เป็นไรครับ พวกผมทนไหว นายไปนอนเถอะครับ ดึกแล้ว"

"อืมม์ พักผ่อนกันไว้ให้พอซะ ถ้าคู่นั้นเข้านอนแล้ว พวกแกก็นอนเอาแรงกันซะให้พอ อยู่บนนี้ปลอดภัยพอสมควรแล้ว ไม่ต้องยืนยามทั้งคืนก็ได้"

คนของจิวจี๋โหล่วทั้งสองคนตกปากรับคำและลุกขึ้นยืนก้มหัวส่งนายของเขาเข้าห้องนอนไป



"อ้าว ยังอ่านหนังสืออยู่อีก เมื่อกี้ได้ยินนายบอกว่าเมา ฉันนึกว่าอาบน้ำแล้วนายจะนอนเลย"

เดวิดทักเพื่อนของเขาที่นั่งพิงหัวเตียงอ่านหนังสืออยู่

"อาบน้ำแล้วก็พอสร่างบ้าง ฉันก็เลยอ่านหนังสือต่อหน่อย กำลังติดเลย"

คริสมองเพื่อนลอดแว่นแล้วส่งยิ้มละไมให้ เขายกหนังสือนิยายอาชญากรรมภาษาอังกฤษเล่มใหม่ที่เพิ่งได้มาให้เดวิดดู

"นายนี่ยังชอบอ่านแนวนี้ไม่เปลี่ยนเลยนะ"

จิวจี๋โหล่วส่งหนังสือคืนให้คริสซึ่งรับกลับมาคั่นไว้และปิดลง

"เฮ้ นายจะอ่านต่อก็ได้นะ ไม่ต้องเกรงใจฉัน เดี๋ยวฉันว่าจะทำงานต่ออีกหน่อย"

เดวิดพูดพลางหยิบกระเป๋าโน้ตบุ๊คของเขาขึ้นมา หากคำพูดของคริสทำให้เขาชะงักและหันไปมองหน้าเพื่อนที่คบหากันมาตั้งแต่ยังเล็กทันที

"ไม่อ่านต่อแล้วล่ะ..."

คริสยิ้มบาง ๆ แล้วถอดแว่นตาอ่านหนังสือวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง

"...นาน ๆ ได้เจอกันแบบนี้ ฉันก็อยากนอนคุยกับนายให้หนำใจซักที"

ไม่พูดเปล่า คริสยังยกมือขึ้นตบที่นอนด้านข้างตัว การกระทำนี้ทำให้เดวิด จิวถึงกับพูดตะกุกตะกัก

"เอ่อ เอิ่ม ฉันว่าฉันนอนที่เตียงนี้ดีกว่า นายจะได้นอนสบาย ๆ "

จิวจี๋โหล่วรีบลงนั่งบนเตียงขนาด full size อีกเตียงที่อยู่เคียงข้างกัน

"เฮ้ย ไม่เป็นไร คราวก่อน ๆ ที่มาเล่นไพ่แบบนี้เรายังนอนคุยบนเตียงเดียวกันแบบนี้บ่อย ๆ เลยไม่ใช่เหรอ จะมาเกรงใจอะไรกันตอนนี้ล่ะ? "

คริสขมวดคิ้ว พวกเขานัดเจอกันเพื่อเล่นไพ่แบบนี้มานานเกิน 10 ปีแล้วและมีบ่อยครั้งที่เดวิดอยู่ค้างอ้างแรมกับพวกเขา แม้เขาจะไปนอนห้องเดียวกับอู่ทินหลงเสียเป็นส่วนใหญ่เพราะคริสมักจะมากับฆาเบียร์ แต่ก็มีบางครั้งที่คริสมาคนเดียวหรือฆาเบียร์นั้นไม่อยู่ค้างด้วยเพราะหิ้วหนุ่มได้และอู่ทินหลงเองต้องกลับไปนอนที่บ้าน พวกเขาทั้งสองก็จะมานอนร่วมเตียงกันเพื่อคุยกันจนหลับไป หากคราวนี้สถานการณ์มันไม่เหมือนกับทุกครั้ง



"ทุกทีห้องที่เรานอนมันเป็นห้องเตียงคิง เตียงมันกว้าง ไม่ต้องนอนเบียดกัน แต่คราวนี้มันเป็นเตียงเล็ก ฉันไม่อยากให้นายนอนไม่สบาย"

จิวจี๋โหล่วอ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาไม่อยากนอนเบียดเสียดเคียงข้างคนที่ทำให้เขาหวั่นไหวด้วยกลัวว่าตนจะอดแสดงอาการออกมาไม่ได้ ทุกครั้งที่นอนร่วมเตียงกัน เขามักไปนอนชิดริมข้างหนึ่งและพยายามไม่สัมผัสตัวอีกฝ่าย ซึ่งได้ผลทุกครั้งด้วยขนาดของเตียงที่กว้างถึง 6 ฟุต แต่กับเตียงฟูลไซส์ขนาด 4 ฟุตนี้ ถึงพวกเขาทั้งสองจะมีรูปร่างเล็กบางขนาดไหน มันก็คงหลีกเลี่ยงการสัมผัสกายกันไม่ได้ หากคริสเองก็ไม่ได้คล้อยตามเขาเลยสักนิด

"ไม่เห็นเป็นไรเลย ฉันชินกับการนอนเตียงเล็ก ๆ แบบนี้กับคนอื่นแล้วเหมือนกัน..."

จิวจี๋โหล่วตาเบิกโพลง เขาเงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อนแล้วก็ต้องเห็นแววขบขัน

"...ก็ฆาบี้ไง ตอนที่พ่อแม่เขาตายใหม่ ๆ ช่วงนั้นฉันต้องไปนอนค้างที่บ้านเขาเพื่อคอยดูแล ช่วงที่เขามีปัญหาหนัก ๆ ฉันก็ต้องไปนอนค้างด้วยเพื่อไม่ให้เขารู้สึกว่าตัวคนเดียว..."

คริสยิ้มบาง ๆ เมื่อนึกถึงลูกชายตัวโตที่เคยต้องให้เขานอนคุยและลูบหัวไปด้วยจนกระทั่งหลับไป

"...เตียงที่บ้านเก่าของเจ้านั่นก็ไซส์ประมาณนี้นั่นแหละ ฉะนั้นถ้าฉันนอนเตียงเดียวกับคนตัวโตขนาดนั้นได้ นายก็ไม่ทำให้ฉันอึดอัดหรอก อีกอย่าง ตอนฉันแอบไปนอนที่หอกับพวกนายสมัยเราเป็นนักเรียน เตียงนายมันยังแคบกว่านี้อีกนะ"

เดวิดแอบยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อนึกถึงเมื่อพวกเขายังเยาว์วัย คริสซึ่งเป็นเด็กไปกลับมักแอบมานอนค้างกับพวกเขาซึ่งเป็นเด็กกินนอนที่หอเพื่อหลบเลี่ยงการเผชิญหน้ากับแม่เลี้ยงและปู่ย่า

"...ฉะนั้น ไม่ต้องเล่นตัวนัก มานอนได้แล้ว"

คริสทำเสียงเข้มพร้อมกับตบที่นอนที่ข้างตัวอีกครั้ง จิวจี๋โหล่วลังเลพักหนึ่งแล้วจึงหอบหมอนของตนพร้อมของส่วนตัวที่วางอยู่ใต้หมอนไปยังเตียงของคริส



“งั้น ฉัน...ฉันขอตัวไปอาบน้ำอีกรอบก่อน”

จิวจี๋โหล่วพูดเสียงแผ่วเบา หากคริสชักสีหน้าทันทีและพูดด้วยความไม่พอใจ

“เฮ้อ อาโหล่ว ฉันพูดกี่ครั้งกี่หนแล้ว พวกฉันไม่เคยคิดเลยสักนิดว่านายสกปรกหรืออะไรเลย นายไม่ต้องคิดดูถูกตัวเองขนาดนั้นได้ไหม?”

คริสถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทุกครั้งที่จิวจี๋โหล่วต้องนอนร่วมเตียงกับเขาหรือกระทั่งอู่ทินหลง เขามักใช้เวลาชำระล้างร่างกายนานจนเพื่อน ๆ แทบจะหลับไปก่อน ชายแซ่จิวผู้อมทุกข์ผู้นี้มักพูดเสมอว่าตัวเขานั้นเปรอะเปื้อนสิ่งโสมมต่าง ๆ ที่เขาเคยทำหรือสัมผัสในโลกใต้ดินนั้น และไม่อยากให้เพื่อนต้องมาแปดเปื้อนด้วย

"แต่ อาซิง..."

"อาโหล่ว พอ! ไม่ต้องต่งต้องแต่แล้ว..."

คริสยกมือห้าม เขาเข้าใจดีว่าการพยายามอาบน้ำให้สะอาดที่สุดนั้นคือการกระทำเชิงสัญลักษณ์เพื่อให้ตัวอาโหล่วเองรู้สึกสบายใจ แต่สำหรับตัวคริสแล้ว มันไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต้องทำเลย

"...ไม่ต้องอาบให้เปลืองน้ำหรอก นายไม่ได้ตัวเหม็นหรือสกปรกอะไรสักนิด มานี่ นอนได้แล้ว ฉันง่วง"

หว่องซีซิงฉุดมือเพื่อนของเขาให้นั่งลงบนเตียง จิวจี๋โหล่วถอนหายใจเฮือกแล้วจึงเอนหลังลงนอน เขากลั้นหายใจเมื่อเพื่อนพลิกกายตะแคงเข้ามาคุยด้วยและเรียกเขาให้ทำตาม

"เห็นไหม ก็โอเคนะ นอนตะแคงแบบนี้ก็ไม่ได้เบียดไปสักหน่อย"

พ่อบุญธรรมของฆาเบียร์พูดยิ้ม ๆ หากคนที่ใจกำลังเต้นเป็นรัวกลองนั้นกลับรู้สึกว่าระยะห่างประมาณหนึ่งฟุตยามนอนตะแคงเข้าหากันนั้นมันใกล้เกินไปมาก หากเมื่อคริสเริ่มชวนเขาคุย จิวจี๋โหล่วก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้น



"แล้วเมื่อกี้นายออกไปบอกคนของนายแล้วใช่ไหมว่าให้พักผ่อนตามสบายได้? "

คริสถามเพื่อนของเขา

"อ๋อ ไปบอกแล้วล่ะ แต่ไอ้เจ้าสองคนนั่นบอกว่านอนไม่หลับ"

เดวิด จิวพูดกลั้วหัวเราะ คริสทำหน้างง ๆ

"เออ แปลก ปกติเห็นพวกนี้หลับง่ายกันออก เขาอยากได้ผ้าห่มหรือหมอนอะไรไหม? บอกมาได้นะ ฉันจะได้โทรให้แม่บ้านของโรงแรมเอามาเพิ่มให้"

"ฮ่ะ ๆ ไม่ใช่เรื่องที่นอนหรอก...."

จิวจี๋โหล่วยิ้มกริ่มและชี้แจงให้เพื่อนของเขาฟัง

"...ที่ทำให้เด็ก ๆ ของฉันมันนอนไม่หลับก็คือเด็ก ๆ ของนายนั่นแหละ"

คริสกระพริบตาถี่ ๆ ด้วยความงุนงงก่อนจะอุทานเบา ๆ ออกมาพร้อมใบหน้าที่แดงซ่านขึ้น เดวิด จิวอดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อเห็นใบหน้าพิพักพิพ่วนของเพื่อน

"เอ่อ เสียงดังกันขนาดนั้นเลยเหรอ? "

คริสถามเสียงอ่อย ๆ แม้จะรู้คำตอบดีก็ตาม เขาเองก็เคยได้ยินเสียงที่สองหนุ่มผู้ร้อนแรงเปล่งออกมาอย่างลืมตัวยามที่พวกเขาทำกิจกรรมสุดหฤหรรษ์กัน จิวจี๋โหล่วยิ้มบาง ๆ

"ก็ไม่ได้ดังมากหรอก ฟังดูรู้ว่าพยายามกลั้นเสียงกันอยู่ แต่พวกเด็ก ๆ ของฉันมันหูดีก็เลยได้ยินหมดเลย"

"นายก็ได้ยินด้วยเหรอ? โอย ไอ้เด็กพวกนี้มันก็ไม่ระวังตัวเอาซะเลย พรุ่งนี้ฉันคงต้องอบรมสักหน่อยแล้ว"

คริสบ่นเบา ๆ อย่างเกรงใจ เดวิดมองใบหน้าของเพื่อน แม้ในห้องจะมีเพียงแสงสลัวจากไฟ night light ใต้โต๊ะข้างเตียง เขาก็เห็นได้ว่าใบหน้าของคริสนั้นแดงระเรื่อด้วยความอาย

"ไม่ต้องไปบ่นเด็ก ๆ มันหรอก คู่นี้เขาไม่ค่อยได้เจอกันใช่ไหมล่ะ? ก็ปล่อยเขาไปเถอะ พรุ่งนี้ฉันค่อยไปแซวพวกนั้นเล่นต่อหน้าอาหลงแล้วกัน"

คนแซ่จิวพูดยิ้ม ๆ คริสหัวเราะออกมาเมื่อนึกถึงว่าถ้าอาโหล่วนำเรื่องนี้ไปเล่าให้อู่ทินหลงฟังจริง เพื่อนผู้โผงผางของเขาคงได้ทีกระเซ้าทั้งฆาเบียร์และเจยกใหญ่แน่

"เอาสิ ตามสบายเลย สองคนนั้นจะได้เข็ดกันมั่ง"

คริสโคลงหัวเมื่อนึกถึงเด็ก ๆ ที่พร้อมแสดงความรักกันอย่างเผ็ดร้อนได้ทุกที่ทุกเวลาของเขา จิวจี๋โหล่วยิ้มบาง ๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องคุย พวกเขาทั้งสองคุยเรื่องสัพเพเหระกันอีกพักใหญ่จนกระทั่งผลอยหลับไปในที่สุด



"ไม่! ..."

คริสสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงละเมอของจิวจี๋โหล่ว เขาขยี้ตาด้วยความง่วงแล้วจึงหันไปหาเพื่อน เขาต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อเห็นร่างเล็กบางนอนขดอยู่อย่างหมิ่นเหม่ที่ขอบเตียง

"Don't! ...Stop it! "

เดวิดละเมอเสียงดังออกมาอีกครั้ง คราวนี้เขาพึมพำออกมาเป็นภาษาอังกฤษ คริสขมวดคิ้ว เขาเคยได้ยินเพื่อนละเมอออกมาบ่อยครั้งยามที่ต้องค้างอ้างแรมด้วยกัน และเข้าใจว่ามันคงเกี่ยวกับเรื่องที่จิวจี๋โหล่วได้ประสบมาในอดีต

"อาโหล่ว ห่มผ้าเถอะ"

คริสดึงผ้าห่มที่ถูกเพื่อนนำมาห่มให้เขาจนหมดไปเพื่อที่จะคลุมร่างให้เพื่อนบ้าง เขาแตะไหล่เพื่อนอย่างแผ่วเบาเพื่อให้ตื่นจากฝันร้าย หากจิวจี๋โหล่วก็สะดุ้งเฮือกขึ้น กว่าคริสจะทันรู้ตัว ร่างเล็กบางก็ขึ้นคร่อมร่างเขาพร้อมกับสัมผัสเย็นเยียบของใบมีดที่จ่อหมับเข้าที่คอ

"อะ อาซิง! "

จิวจี๋โหล่วร้องขึ้นอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าคนที่เขานึกว่าเป็นผู้บุกรุกนั้นที่แท้ก็คือเพื่อนรักของเขา เขารีบปามีดในมือทิ้งไปพร้อมกับลนลานถอดเสื้อนอนออกเพื่อซับเลือดที่คอของเพื่อน

"ฉันขอโทษ ขอโทษจริง ๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจ"

อาโหล่วระล่ำระลักแล้วดึงร่างเพื่อนที่ตะลึงจนตัวแข็งเข้ามากอดไว้แน่น เขาก่นด่าตัวเองเมื่อเห็นแผลที่คอของคริส แม้มันจะเป็นเพียงรอยถูกคมมีดสะกิดเล็ก ๆ พอให้เลือดซึม แต่มันก็ทำให้ใจของเขาเจ็บปวดเหมือนถูกมีดเฉือนออกไปทั้งดวง

"เจ็บไหม? ฉันเกือบฆ่านายไปแล้วนะ อาซิง เกือบไปแล้ว ฉันบอกแล้วว่าอย่ามาเข้าใกล้ฉันมาก ฉันมันตัวอันตราย..."

“จิวจี๋โหล่ว! หยุด! "

คริสตวาดกร้าวในที่สุดเมื่อเขาพยายามเรียกชื่อเพื่อนเบา ๆ สองสามครั้งแต่คนที่ดูจะตกใจมากเสียยิ่งกว่าเขานั้นไม่ยอมฟัง เสียงตวาดนั้นทำให้จิวจี๋โหล่วชะงักไป คนที่เคยชินแล้วกับการปลอบคนสติแตกถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วลูบหลังเพื่อนที่ยังกอดเขาไว้แน่นเบา ๆ

"เลิกโทษตัวเองได้แล้วน่า ฉันก็ไม่เป็นอะไรแล้วไง ฉันสิต้องขอโทษที่ไปปลุกนายแบบนั้น ฉันน่าจะรู้ว่านายนอนละเมอแบบนี้เป็นปกติอยู่แล้ว"

คริสปลอบเพื่อนและดึงมือที่ยังคงกดแผลที่คอของเขาออก เขาลืมไปเสียสนิทว่าเพื่อนของเขานั้นระวังตัวตอนนอนแค่ไหน คนที่นอนร่วมเตียงกับจิวจี๋โหล่วบ่อยที่สุดอย่างอู่ทินหลงยังเคยถูกเพื่อนคนนี้ทุ่มตกเตียงไปจนหลังแทบเดาะเพราะเผลอไปกอดเจ้าตัวในตอนนอน จนในตอนหลังเพื่อนร่างใหญ่ของเขาจึงต้องขอหมอนข้างหรือหมอนอีกใบมาเสริมทุกครั้งเพื่อกันไม่ให้ตนเองเผลอไปกอดอาโหล่วอีก



"นายครับ! ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือเปล่า อ๊ะ...ขอโทษครับ! "

ชานไหว่ซันพรวดเข้ามาในห้องหลังได้ยินเสียงร้องของจิวจี๋โหล่วและเสียงตวาดของคริส เขารีบซ่อนปืนของเขาไว้ด้านหลังและก้มหัวลงต่ำทันทีอย่างรู้งานเมื่อเห็นสองร่างที่กอดกันกลมอยู่บนเตียง เดวิดรีบปล่อยมือออกจากกายเพื่อนแล้วหันไปสั่งการลูกน้อง บอดี้การ์ดแซ่ชานรีบรับคำและหายออกไปพักหนึ่งก่อนจะกลับเข้ามาพร้อมชุดปฐมพยาบาลเล็ก ๆ

"เดี๋ยวฉันจัดการเอง แกออกไปเถอะ"

เดวิดพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ชานไหว่ซันตอบรับและรีบถอยกายออกจากห้องไป ชายผู้มีอิทธิพลถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วหันกลับมาหาเพื่อนซึ่งนั่งกลั้นหัวเราะอยู่ข้าง ๆ

"ขำอะไร อาซิง มันไม่ตลกสักนิดเลยนะ"

เดวิดบ่นพึมพำพร้อมก้มหน้าก้มตาทำแผลให้คนที่เกือบไปสวรรค์โดยไม่รู้ตัวเมื่อสักครู่ ถ้าเป็นยามปกติเขาคงจัดการเชือดคอผู้บุกรุกโดยไม่ลังเล หากกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากสบู่บนกายเพื่อนซึ่งทำให้เขาใจเต้นตั้งแต่ก่อนเข้านอนและเสียงอุทานสั้น ๆ ของคริสทำให้เขายั้งมือได้ทัน

"ไม่ขำได้ไงล่ะ โอ๊ย..."

คริสร้องและซี้ดปากเบา ๆ เมื่อจิวจี๋โหล่วแตะสำลีชุบแอลกอฮอล์ลงบนแผลตื้น ๆ ซึ่งยาวไม่ถึงหนึ่งนิ้วที่ข้างลำคอ คนแซ่จิวเม้มปากแน่น ในอกเขานั้นปวดไปหมดเมื่อเห็นแผลที่เลือดยังซึมออกมาน้อย ๆ นั้น เขาบรรจงแปะพลาสเตอร์ยาอันใหญ่ทับลงไปแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่



"เรียบร้อย แผลตื้นและไม่ต้องเย็บ สักพักเลือดคงหยุด..."

จิวจี๋โหล่วก้มหน้าลงและพึมพำด่าตัวเองเบา ๆ เป็นภาษาที่คริสฟังไม่เข้าใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อน เขาฝืนยิ้มให้เมื่อเห็นดวงตาแฝงแววกังวลที่มองสบมา

"...แล้วเมื่อกี้นายขำอะไรนักหนา? ฉันไม่เห็นว่ามันจะตลกตรงไหนเลย ตกใจจนเพี้ยนไปแล้วรึไง? "

คนที่เกือบทำเรื่องที่ต้องเสียใจที่สุดในชีวิตตีหน้าขรึมและแกล้งดุเพื่อนเบา ๆ คริสพยายามกลั้นยิ้ม แต่ก็อดยิ้มกว้างออกมาไม่ได้

"ฉันตลกหน้าลูกน้องของนายน่ะ เขาดูตกใจมากตอนเปิดประตูมาเจอพวกเราเมื่อกี้"

"เออ จะว่าไปมันก็ใช่ พวกนั้นมันทำท่าตกใจแบบแปลก ๆ จริง แล้วทำไมมันถึงตลกล่ะ? "

จิวจี๋โหล่วขมวดคิ้ว เขาก็ยังไม่เห็นว่าเรื่องนี้จะมีจุดไหนที่ตลกขบขันไปได้

"เอ่อ ก็มัน เอ่อ..."

คริสอึกอักทันทีเมื่อเพื่อนของเขาทำท่าจะตามสิ่งที่เขาพูดไม่ทัน



"เฮ้อ นายนี่มันไม่เก็ตอะไรเลยนะ..."

คริสเกาหัวแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่หลังจากอ้ำอึ้งอยู่นาน เขาอธิบายต่อด้วยใบหน้าที่ร้อนผ่าว

"ก็เด็กของนายทำท่าตกใจมากที่เปิดเข้ามาเจอฉันกับนาย เอ่อ กอดกันอยู่..."

คริสลดเสียงลงจนเกือบเป็นเสียงกระซิบ เดวิดอุทานออกมาเบา ๆ เมื่อนึกได้ถึงท่าทางกระอักกระอ่วนของลูกน้อง

"...แถมนายยังถอดเสื้ออีก เขาคงคิดว่าเราเสียงดังแบบ เอ่อ แบบ..."

"แบบไอ้เด็กหื่นพวกนั้นใช่ไหม? ฮ่า ๆ ๆ ให้ตายสิอาซิง นายนี่ก็ช่างคิดนะ"

เดวิด จิวหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่ได้ ลูกน้องของเขาก้มหน้าลงต่ำและแทบไม่กล้าสบตาเขาหลังจากพรวดเข้ามาเห็นภาพที่ชวนเข้าใจผิดนั้นจนกระทั่งเดวิดเรียกหาอุปกรณ์ปฐมพยาบาล

“ให้ตายสิ อาซันนี่ก็ไม่ไหวเลยนะ ฉันกับนายก็แก่ปูนนี้กันแล้ว ยังมาคิดว่าพวกเราจะ เอ่อ จะมีอะไรกันได้”

คริสบ่นคนสนิทของเพื่อนซึ่งเขาคุ้นเคยดีเบา ๆ ในทีแรกเขาก็คิดว่ามันเป็นเรื่องขบขัน หากเมื่อต้องมาพูดอธิบายให้จิวจี๋โหล่วฟัง มันกลับทำให้เขารู้สึกขวยเขินขึ้นมาจนรู้สึกได้ว่าใบหน้าที่ร้อนผ่าวของตนคงขึ้นสีจนอีกฝ่ายเห็นได้ชัดเป็นแน่แท้

"อืมม์..."

เดวิด จิวรับคำอย่างใจลอยเมื่อได้ยินคำพูดของเพื่อน ในทีแรกเขาถึงกับสะอึกไปเมื่อได้ยินคำพูดเชิงปฏิเสธของคริส แต่เมื่อได้ทบทวนดี ๆ แล้วเขากลับรู้สึกวาบหวามในใจ เพื่อนของพูดว่าพวกเขานั้น 'แก่เกินไป' ที่จะดูว่ากำลังมีอะไรกัน แต่ไม่ได้บอกว่าเพราะ 'เป็นเพศเดียวกัน' หรือ 'เป็นเพื่อนกัน'



'ไม่ จิวจี๋โหล่ว อย่าคิดเข้าข้างตัวเองเกินไป อาซิงอาจจะหมายความแค่นั้นจริง ๆ ก็ได้'

จิวจี๋โหล่วพยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากหัวด้วยการพูดกระเซ้าเพื่อนแทน

"ชิ นายก็ดูถูกฉันเกินไปนะอาซิง เด็ก ๆ ของฉันมันรู้ดีว่าต่อให้ฉันขึ้นเลขหกแล้วก็ยังเตะปี๊บดังอยู่น่า แล้วนายล่ะ หมดไฟแล้วรึยัง? "

"ฟงไฟอะไร นายก็พูดน่าเกลียด ก็เห็นอยู่ว่าฉันงานยุ่ง ไม่ได้มีเวลาไปทำอะไรแบบนั้นหรอก"

คนซึ่งไม่เคยชินกับเรื่องกามารมณ์ก้มหน้างุด เขาเสหยิบขวดน้ำแร่ที่หัวเตียงมาเปิดดื่มแก้ขวย เดวิดกระพริบตาปริบ ๆ

"เฮ้ อย่าบอกนะว่าตลอดเวลานี่นายไม่เคยมีสาวหรือ เอ่อ หนุ่มที่ไหนอีกเลย? "

คำถามตรง ๆ อย่างประหลาดใจของเดวิดทำให้คริสยิ่งหน้าแดงก่ำ หากคำตอบที่เขามีให้นั้นทำให้เดวิดนึกสำนึกเสียใจที่ถามออกไปขึ้นมาทันที

"จะไปมีใครที่ไหนได้ล่ะ อาโหล่ว นายก็รู้ว่าในใจฉันมีแค่ แค่...

คริสกระชากเสียงน้อย ๆ เขายั้งปากไม่พูดชื่อที่ติดอยู่ในใจเนิ่นนานออกมา เดวิดเม้มปากแน่น เขาจับไหล่ทั้งสองข้างของเพื่อนไว้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง



"อาซิง คน ๆ นั้นของนายเขาจากไปนานแล้วนะ นายควรเลิกยึดติดและเปิดใจ..."

"อย่า อาโหล่ว นายไม่ต้องมาสอนฉันเรื่องนี้! นายเองก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ทุกวันนี้นายเองก็ยังรักและคิดถึงเมียอยู่ไม่ใช่เหรอ? "

คริสย้อนสวนใส่คนที่เคยผ่านการสูญเสียคนรักมาเช่นกัน จิวจี๋โหล่วคอแข็งและนิ่งไปพักหนึ่งจากนั้นจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่

"ใช่ ฉันยังรักและคิดถึงเขาอยู่ แต่อาซิง การเปิดใจรับคนใหม่เข้ามาในชีวิตก็ไม่ได้ทำให้ฉันรักเมียฉันน้อยลง ฉันยังคงคิดถึงเขาทุกวัน ยังคงจำทุกเรื่องราวที่ทำด้วยกันได้ แต่ตัวฉันเองก็ควรได้รับความสุขบ้าง ไม่ใช่มานั่งจ่อมจมอยู่กับทุกข์..."

เดวิด จิวกลืนก้อนสะอื้นที่จุกขึ้นมาที่คอลงไป คริสใจหายวาบเมื่อคิดว่าสิ่งที่ตนพูดคงไปสะกิดแผลที่บาดลึกในใจของเพื่อนเข้าเสียแล้ว

"อาโหล่ว พอเถอะ ฉันเข้าใจแล้ว..."

คริสเอื้อมมือไปโอบไหล่เพื่อนที่นั่งห้อยขาที่ขอบเตียงเคียงข้างเขาให้เข้ามาชิดกาย จิวจี๋โหล่วสูดลมหายใจลึก ๆ เข้าปอดแล้วจึงหันไปยิ้มให้เพื่อน

"อาซิง คนที่จากไปแล้วนั้นจะยังอยู่ในใจเราตลอดไป แต่ชีวิตเราก็ต้องก้าวไปข้างหน้า จะมาติดอยู่แต่กับอดีตไม่ได้ แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดหรอกที่เรายังอยากจะมีความสุขบ้าง แม้บางครั้งมันจะเป็นเพียงแค่ความสุขชั่วคราวก็เถอะ..."

เดวิดพูดด้วยเสียงแผ่วเบา ในสายงานของเขาซึ่งบางครั้งต้องเผชิญกับอันตราย หากเขาไม่หาทางระบายความตึงเครียดด้วยการหาความสุขทางกายชั่วครั้งคราวใส่ตัวบ้าง เขาก็คงต้องเสียสติไปเป็นแน่แท้ และในด้านการงาน มีบางครั้งที่กว่าจะได้สิ่งที่ต้องการ เขาก็ต้องแลกมาด้วยร่างกาย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาลืมหรือรักภรรยาที่จากไปแล้วน้อยลงเลย

"...ฉะนั้น อาซิง นายเองก็สมควรที่จะได้รับความสุขบ้าง ฉันเชื่อว่าแฟนนายบนสวรรค์ก็คงเข้าใจและอยากให้นายมีความสุขด้วยเช่นกัน"

จิวจี๋โหล่วตบหลังมือของเพื่อนเบา ๆ และส่งยิ้มอย่างจริงใจให้ หากคริสนั้นเบิกตากว้างเมื่อได้ยินสิ่งที่เพื่อนพูดออกมา



"เฮ้ ๆ ๆ เดี๋ยวก่อน อาโหล่ว..."

คริสรีบเบรคเพื่อนของเขาไว้ทันที

"ฟงแฟนอะไรกัน ฉันกับอันเดรส เรา เอ่อ เราไม่เคยเป็นอะไรแบบนั้นกันนะ"

พ่อบุญธรรมของฆาเบียร์หน้าแดงก่ำ จิวจี๋โหล่วทำหน้างง ๆ

"อ้าว ฉัน ฉันเข้าใจมาตลอดว่านายสองคนมีสัมพันธ์กันแบบนั้น แล้วนายกับพ่อแม่ของฆาบี้อยู่ด้วยกันแบบ เอ่อ แบบสามคนผัวเมีย"

เดวิดพูดเสียงอ่อย ๆ ในทีแรกเขาก็ยังนึกกระอักกระอ่วนใจกับความสัมพันธ์ของชายหญิงสามคนนั้น แต่ก็คิดว่าอาจจะเป็นเรื่องปกติของชาวอเมริกันซึ่งใช้ชีวิตอย่างเสรี

"บ้า! ไม่ใช่โว้ย! "

คริสลืมตัวเอ็ดลั่นจนอีกฝ่ายต้องจุ๊ปากให้เขาเบาเสียงลง

"ใช่ ฉันรักอันเดรสตามที่เคยเขียนจดหมายไปเล่าให้นายฟัง แต่มันก็แค่รักข้างเดียว ฝ่ายนู้นเขาไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยเลย มีแค่แคทที่รู้และเธอก็ใจกว้างพอที่จะให้ฉันได้อยู่เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวมาจนถึงทุกวันนี้..."

คริสเสียงเครือเมื่อนึกถึงเพื่อนสาวคนสนิทของเขา สิ่งที่ทำให้เขาเสียใจจนแทบเป็นบ้าเป็นหลังไปในวันนั้นไม่ใช่เพียงแต่เรื่องที่เขาสูญเสียรักเดียวในชีวิตอย่างอันเดรสไป แต่ยังเป็นเพราะเขาได้เสียเพื่อนสนิทที่รู้ใจอย่างคาตาลิน่าไปอีกด้วย

"นายไม่เคยมีอะไรกับเขาเลยเหรอ? ไม่เคยแม้แต่จะบอกรักหรือแสดงออกอะไรเลย? แล้วทางนั้นเขาก็ไม่เคยรับรู้ด้วยว่านายรักงั้นเหรอ? "

จิวจี๋โหล่วถามรัวอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก คริสยิ้มบาง ๆ และส่ายหน้าปฏิเสธทุกคำถาม

"งั้นนายก็คงรักเขามากสินะ ถึงได้ยึดมั่นในตัวเขาและครองตัวเป็นโสดมาตลอดจนทุกวันนี้"

คริสพยักหน้ารับคำโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกไป จิวจี๋โหล่วก้มหน้าลงมองพื้น เขานึกไม่ถึงว่าเพื่อนของเขาจะมีความรักลึกซึ้งให้กับอีกฝ่ายถึงขนาดที่ว่ายอมครองตัวเป็นโสดทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เคยคบหาฉันท์คู่รักหรือมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับฝ่ายนั้นเลย



'แล้วนายจะทรมานตัวเองกับความรักที่ไม่สมหวังนี้อยู่ทำไม? ' 

จิวจี๋โหล่วอยากจะตะโกนถามสิ่งนี้ออกมา แต่เขาก็ต้องหยุดเมื่อนึกถึงว่าสถานการณ์ของตนนั้นก็ไม่ได้ต่างจากคริสเลย

"สำหรับฉัน ความสุขคือการที่ได้รักเขาและได้เห็นเขากับคนที่เขารักมีความสุข มันไม่เกี่ยวหรอกว่าเขาจะตอบสนองฉันไหม หรือจะต้องได้มีสัมพันธ์ทางกายกับเขาไหม ในเรื่องนี้...ฉันว่านายก็คงเข้าใจ"

คริสถอนหายใจและพูดออกมาเหมือนเดาความคิดของคนที่อยู่ข้าง ๆ ได้ เขาหันไปจ้องลึกเข้าไปในตาของเพื่อน เดวิด จิวหน้าซีดลงทันที เขาเกือบจะแน่ใจว่าคริสสามารถมองทะลุเข้าไปจนถึงความรู้สึกที่เขาซ่อนไว้ในใจ ความเงียบเข้ามาปกคลุมห้องนอนน้อยแห่งนี้

"เฮ้อ จะว่าไป ทุกวันนี้ฉันก็มีความสุขดีแล้วกับการที่ได้สานต่องานของอันเดรส กับการที่ได้ช่วยเลี้ยงดูฆาเบียร์ให้เติบโตมาเป็นคนดีมีความสามารถแบบนี้ ฉันพูดได้เลยว่าฉันมีพร้อมทุกอย่างแล้วในตอนนี้"

พ่อบุญธรรมของฆาเบียร์ยืดแขนขึ้นบิดขี้เกียจ เขาตัดสินใจจบการสนทนานี้ลง

"ฉะนั้น นายไม่ต้องห่วงฉันหรอกนะ ฉันมีความสุขตามอัตภาพแล้วน่ะ อาจจะมีเหงาบ้าง แต่ก็สบายดี เอ้า นอนได้แล้ว ตื่นเต้นกันพอแล้วนะคืนนี้"

คริสขยับตัวกลับขึ้นไปบนเตียงและเอนตัวลงนอนหนุนหมอนของตน เดวิดลุกขึ้นยืนและขยับกายเดินออกห่างเตียง



"เดี๋ยว นายจะไปไหน? ที่ของนายอยู่นี่"

คริสยันกายขึ้นและตบที่ว่างข้างกายเขาเบา ๆ

"อาซิง ฉัน เอ่อ กลับไปนอนเตียงนู้นดีกว่า"

คนที่กลัวตนจะทำพลาดอีกครั้งพูดด้วยเสียงแผ่วเบา

"ไม่ต้องเลย มานี่"

คริสยันกายขึ้นนั่งแล้วยื่นมือไปฉุดรั้งเพื่อนให้ลงนั่งบนเตียง

"ไม่ต้องคิดมากแล้ว เข้านอนเถอะ..."

“แต่...”

"ไม่ต้องแต่ อาโหล่ว ถ้ากลัวจะเป็นแบบเมื่อกี้อีก ก็เอาของที่นายซุกไว้ใต้หมอนไปไว้ที่อื่นซะ เอ้า จัดการสิ เร็ว ๆ ฉันจะนอนแล้ว"

จิวจี๋โหล่วถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาล้วงมือไปใต้หมอนแล้วหยิบปืนพกขนาด .22 ที่เขามักซ่อนไว้ใต้เสื้อออกมาวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง จากนั้นก้มลงหยิบมีดที่เขาปาทิ้งไว้ข้างเตียงขึ้นมา ใจของเขาปวดแปลบขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นคราบเลือดที่แห้งติดบนใบมีด แม้จะมีเพียงไม่กี่หยด แต่มันก็ทำให้เขานึกโทษตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- ความสุขที่คู่ควร (ต่อ) ----




"นี่ จะเหม่ออีกนานไหม ตีห้าแล้วนะครับ คุณจิวจี๋โหล่ว ผมง่วงมาก ๆ แล้วนะ"

จิวจี๋โหล่วโคลงหัวน้อย ๆ และรีบทำตาม แม้ปกติแล้วอาซิงจะเป็นคนใจเย็นและดูสุภาพเรียบร้อย แต่บทจะดื้อและเอาแต่ใจขึ้นมา หว่องซีซิงก็มักมีวิธีทำให้เพื่อนขัดเขาไม่ได้ ยิ่งเมื่อเขาใช้คำสุภาพพูดแทนตัวเขาและเพื่อนแล้ว นั่นเป็นสัญญาณบอกว่าเจ้าตัวเริ่มที่จะไม่พอใจแล้ว

"รู้แล้ว ๆ ทำใจร้อนเป็นเด็กไปได้น่า"

คนแซ่จิวบ่นเบา ๆ แล้วสอดมีดเจ้าปัญหาใส่ซองและวางไว้ที่ข้างเตียงเคียงคู่กับปืนกระบอกน้อย จากนั้นเอนกายลงนอนหนุนหมอนเคียงข้างเพื่อนรัก

"นี่ นอนเสียชิดขอบเตียงแบบนั้นจะนอนสบายไหม? แล้วผ้าห่มน่ะ ไม่ต้องเอามาห่มให้ฉันหมดหรอก แบ่ง ๆ กันห่มนี่แหละ"

คริสซึ่งเอื้อมมือไปปิดไฟจากสวิตช์ข้างเตียงแล้วบ่นเบา ๆ ท่ามกลางความมืด

"ไม่เป็นไร ผ้าห่มมันไม่พอสำหรับสองคนหรอก นายห่มเถอะ ฉันนอนหนาว ๆ ได้"

"ดื้อ! "

คริสดุเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงที่ทำให้จิวจี๋โหล่วคันยุบยิบในหัวใจ

"เอ้า นี่ ห่มซะ"

จิวจี๋โหล่วแทบหยุดหายใจเมื่อคริสโน้มกายมาเพื่อห่มผ้าให้เขา

"แล้วเขยิบเข้ามาอีกนิดด้วยนะครับ เวลาหลับไปแล้วจะได้ไม่ดิ้นจนหลุดออกจากผ้าห่มไปอีก"

เดวิดจนใจและต้องทำตามเสียงแกมบังคับนั้น เขาขยับกายเข้ามาจนไหล่ชิดกับไหล่ของเพื่อนสนิทแล้วจึงข่มตานอน



“นี่ อาโหล่ว...”

จิวจี๋โหล่วลืมตาขึ้นเมื่อคนที่เขานึกว่าหลับไปแล้วกระซิบเรียกชื่อที่ข้างหู เขาหันหน้าไปตามเสียงเรียกแล้วก็ต้องใจสั่นอีกครั้งกับลมหายใจอุ่น ๆ ที่เป่ารดมา ใบหน้าของหว่องซีซิงซึ่งพลิกกายตะแคงเข้ามาหานั้นห่างเขาเพียงแค่ไม่ถึงสองคืบ

“ยังไม่นอนอีก ไหนบอกว่าง่วงไง อาซิง? "

จิวจี๋โหล่วกลั้นใจทำเสียงดุใส่เพื่อนของเขา ในหูเขาได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ อย่างยั่วเย้า

"ดุจังน้า..."

คริสพูดยิ้ม ๆ

"เดี๋ยวจะนอนจริง ๆ แล้ว แค่ว่าฉันลืมบอกอะไรนายไปอีกอย่าง...”

พ่อบุญธรรมของฆาเบียร์ขยับเข้าใกล้คนที่นอนตัวแข็งอยู่ข้าง ๆ อีกนิดหนึ่ง

“ที่ฉันบอกว่าชีวิตฉันมีความสุข และมีทุกอย่างที่ต้องการครบแล้วน่ะ นายก็เป็นส่วนหนึ่งของมันนะ จิวจี๋โหล่ว..."

เดวิดใจพองโตขึ้นมาทันที หากมันก็ต้องเหี่ยวแฟบลงเมื่อคริสพูดต่อ

"...ทั้งนาย อาหลง วิคเตอร์แล้วก็พวกเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ ที่ฮ่องกงอีก เพื่อนดี ๆ อย่างพวกนายทำให้ฉันยังอยู่เป็นผู้เป็นคนได้ถึงทุกวันนี้"

คริสพูดด้วยความรู้สึกซาบซึ้งในใจ เมื่อได้ทราบว่าคริสได้สูญเสียคนที่เป็นเหมือนครอบครัวทั้งสองไป เพื่อน ๆ ของเขาที่ฮ่องกงและมาเก๊าก็ทั้งส่งข้อความและโทรศัพท์มาแสดงความเสียใจและปลอบประโลมใจเขาอยู่ไม่ขาด บ้างก็ได้แวะเวียนมาหาถึงที่ อย่างเช่นวิคเตอร์ ซึ่งมาอยู่กับเขาที่สหรัฐฯ ครั้งละหลาย ๆ วัน พร้อมกับแวะเยี่ยมลูกสาวคนโตที่ศึกษาต่ออยู่ที่ม. S และภายหลังก็คือมาเยี่ยมลูกชาย ส่วนอู่ทินหลงนั้น ถึงตัวเขาจะไม่ค่อยนิยมประเทศสหรัฐฯ และคนอเมริกันนัก เขาก็มักจะหาเวลาว่างนั่งเครื่องส่วนตัวลงมาหาจากแวนคูเวอร์เพื่อมาชวนเพื่อนสนิทคนนี้กินอาหารมื้อเที่ยงหรือมื้อเย็นและบินกลับแคนาดาไปในวันเดียวกัน คริสจึงไม่มีโอกาสได้แนะนำฆาเบียร์ให้เพื่อนคนนี้ได้รู้จักจนกระทั่งในอีก 3 ปีถัดมา

"โดยเฉพาะนาย อาโหล่ว ทุก ๆ สิ่งที่นายทำให้ฉัน ฉันต้องขอบใจนายจริง ๆ "

คริสใช้หน้าผากแตะที่ไหล่ของเพื่อนเบา ๆ หลังจากเหตุการณ์ร้ายนั้น จิวจี๋โหล่วมาพบคริสที่สหรัฐฯ แค่เพียงครั้งเดียวคือคืนก่อนวันฝังศพของสองสามีภรรยามาร์ติเนซ หากหลังจากนั้น เขาซึ่งเคยปลีกตัวออกห่างจากเพื่อน ๆ ไปก็คอยส่งข้อความให้กำลังใจและช่วยสนับสนุนคริสด้านธุรกิจในหลาย ๆ ทาง โดยเฉพาะด้านการให้ข้อมูลวงในหลาย ๆ อย่างซึ่งทำให้บริษัทของคริสโดยเฉพาะบริษัทที่ฮ่องกงได้เปรียบคู่แข่งและเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว



"เรื่องแค่นี้ ไม่ต้องขอบใจหรอก เราเพื่อนกันนะ อาซิง"

เดวิด จิวหันไปยิ้มให้คนที่นอนอยู่เคียงข้าง

"ใช่ เราเป็นเพื่อนกัน อาโหล่ว..."

คริสเอื้อมมือไปเกาะกุมมือของเพื่อนไว้

"...ฉะนั้น นายเองก็ปล่อยให้พวกเราได้อยู่เคียงข้างนายบ้างเถอะ อย่าได้พยายามผลักไสหรือปลีกตัวออกห่างจากพวกเราอีกเลย..."

ชายผู้โดดเดี่ยวอึ้งไปกับคำพูดของเพื่อน

"...ให้พวกเราได้เป็นกำลังใจให้กับนายเหมือนกับที่นายคอยช่วยเหลือพวกเราด้วยเถอะ..."

คริสขอร้องเพื่อนของเขาพร้อมกับบีบมือเล็กเรียวแต่แข็งแรงของเพื่อน

"...อย่าได้หนีพวกเราไปอีกเลย ฉันขอได้ไหม? อาโหล่ว"

เดวิดนิ่งไปพักหนึ่งก่อนที่จะถอนหายใจยาว



"เฮ้อ อันที่จริงฉันก็กำลังคิดที่จะวางมือจากสิ่งที่ทำอยู่เหมือนกัน ถ้าทำแบบนั้นได้ ฉันก็จะสบายขึ้นและไม่ต้องคอยระวังตัวแจเหมือนทุกวันนี้..."

เขายกมือข้างที่ว่างขึ้นลูบหัวคนที่เป็นน้องน้อยที่สุดของกลุ่มเหมือนกับที่เคยทำเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว

"...พอถึงตอนนั้นฉันก็อาจจะมีโอกาสได้ไปเยี่ยมบ้านใหม่นายที่พาโล อัลโตบ้าง เห็นวิคเตอร์มันอวดนักอวดหนาว่าบ้านนายสวย ฉันเองก็อยากเห็นสักครั้ง"

"ได้สิ มาเลย อาโหล่ว บ้านฉันพร้อมต้อนรับนายเสมอ นายจะมาอยู่นานเท่าไหร่ก็ได้ ตามสบายเลย"

คริสพูดอย่างลิงโลด จิวจี๋โหล่วหัวเราะเบา ๆ

"ไม่แน่นะ พอเอาเข้าจริง ๆ นายอาจจะบ่นว่าเบื่อขี้หน้าฉันและอยากไล่ฉันออกบ้านเลยก็ได้"

"เออ ๆ ขอให้มาได้ก่อนเถอะ เรื่องอื่นว่ากันทีหลัง"

คริสตอบด้วยรอยยิ้มเปื้อนหน้า ทั้งสองหันมาหัวเราะให้กันส

"งั้น ถือว่านายสัญญากับฉันแล้วนะ"

"อืมม์ ฉันสัญญา"

จิวจี๋โหล่วบีบมือที่เกาะกุมมือของเขาเพื่อเป็นการให้คำมั่นสัญญา

"ดี งั้นคืนนี้ฉันก็นอนหลับฝันดีได้แล้ว"

คริสพูดพลางพลิกกายนอนหงายเคียงข้างเพื่อนของเขา

"อืมม์ ราตรีสวัสดิ์นะ อาซิง"

"นายก็เหมือนกัน ฝันดีนะ อาโหล่ว"

คริสพูดตอบเพื่อนของเขาและหลับตาลง ไม่นานทั้งสองก็เข้าสู่ห้วงนิทรา



"เอ๊ะ..."

จิวจี๋โหล่วอุทานเบา ๆ เมื่อรู้สึกตัวตื่นมาแล้วรู้สึกถึงน้ำหนักที่กดทับบนอก เขาตัวแข็งเมื่อลืมตามาแล้วพบว่าน้ำหนักนั้นเป็นของคนที่ใช้อกเขาต่างหมอนแถมยังซุกกายเบียดเข้าแนบชิดกับกายเขาเหมือนจะหาไออุ่น

"อาซิง..."

เดวิดเรียกเพื่อนเบา ๆ พร้อมกับยื่นมือออกไปหมายจะเขย่าปลุกคนที่ทำให้เขาเลือดลมพลุ่งพล่านแต่เช้าให้ตื่น หากเขาก็ยั้งมือตนไว้และเปลี่ยนเป็นสัมผัสเบา ๆ บนเรือนผมสีน้ำตาลซีดจนดูเป็นสีทองแทน เรือนผมที่เคยเป็นสีน้ำตาลอ่อนเช่นเดียวกับมารดาที่เป็นลูกครึ่งอังกฤษนั้นยังคงนุ่มนิ่มเหมือนกับที่เขาเคยแอบสัมผัสครั้งแรกเมื่อกว่า 50 ปีที่แล้ว

"ฉันขอโทษจริง ๆ นะ อาซิง ที่ฉันทำตามคำพูดของตัวเองไม่ได้..."

จิวจี๋โหล่วพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พร้อมกับจ้องมองใบหน้าของคนที่เป็นรักแรกของเขา แม้ในตอนนี้ใบหน้านั้นจะมีริ้วรอยตามประสาของคนวัย 60 เศษ หากในสายตาของเขา ใบหน้านั้นยังคงซ้อนทับกับใบหน้าอ่อนเยาว์ที่เคยขโมยหัวใจเขาไปเมื่อพวกเขาทั้งคู่ยังเป็นวัยรุ่น

"ฉันบอกนายว่าฉันจะลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น บอกนายว่าฉันจะคิดว่ามันคือฝันไป แต่นายรู้ไหม อาซิง..."

ชายร่างเล็กผู้ทรงอิทธิพลหยุดพูดทันทีเมื่อคริสพูดงึมงำออกมาและขยับตัวเล็กน้อย เขาลอบระบายลมหายใจออกอย่างโล่งอกเมื่อคริสนิ่งไปอีกครั้ง เขาก้มหน้าลงและจรดริมฝีปากลงบนเรือนผมสีอ่อนตามวัยของเพื่อนเบา ๆ และระบายความในใจออกมาต่อ

"...รู้ไหมว่าที่จริงแล้ว ฉันทำมันไม่ได้เลยสักนิด ฉันไม่เคยลืมมันได้เลย อาซิง ฉันไม่เคยลืมสัมผัสของนายในวันนั้น ทั้งไออุ่นและทั้งจูบนั้น..."

เดวิดไล้นิ้วไปที่ข้างแก้มของใบหน้าซึ่งมีเครื่องหน้าแบบตะวันตก หากดวงตาดำขลับในกรอบตาทรงเม็ดอัลมอนด์ที่มีปลายชี้เชิดขึ้นเล็กน้อยนั้นทำให้คริสและดูเป็นคน "จีน" แท้ ๆ

"...และที่สำคัญ ฉันลืมไม่ได้หรอกว่าฉันรักนาย หว่องซีซิง รักมาตลอดและจะรักตลอดไป"

จิวจี๋โหล่วระบายลมหายใจออกเฮือกใหญ่อย่างสบายใจเมื่อได้พูดในสิ่งที่คั่งค้างในอกออกมา เขาจ้องมองใบหน้าซบซุกอยู่ที่อกอีกครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจก้มหน้าลงจุมพิตแผ่ว ๆ ที่หน้าผากของคนที่นอนหลับอย่างไม่รู้เรื่องในอ้อมอกแล้วค่อย ๆ ขยับหัวของคริสให้นอนหนุนบนหมอน จากนั้นก็ลุกขึ้นจากเตียงไปเข้าห้องน้ำโดยที่ไม่ทันได้สังเกตเลยว่าใบหน้าของคนที่เขานึกว่าหลับมาโดยตลอดนั้นได้เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำพร้อมกับมีรอยยิ้มที่กลั้นไม่ได้ผุดขึ้นมาบนริมฝีปาก



"อาโหล่ว..."

คริสกระซิบแผ่วเบาเรียกชื่อเพื่อนที่ซุกกายกลับเข้ามาในผ้าห่มหลังจากทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำเสร็จ

"อ้าว ตื่นแล้วเหรอ อาซิง? ฉันกวนนายหรือเปล่า"

จิวจี๋โหล่วถาม คริสส่ายหัวแล้วขยับกายเพื่อให้พื้นที่แก่เพื่อน

"กี่โมงแล้วน่ะ? "

"เกือบเก้าโมงแล้ว นายจะนอนต่อหรือว่าจะลุกไปกินข้าวกันล่ะ? "

จิวจี๋โหล่วถามเพื่อน คริสหาวน้อย ๆ อย่างง่วงงุน

"นอนต่อก็ได้ เผื่อฉันจะได้ฝันต่อจากเมื่อกี้"

คริสพูดเสียงแผ่วเบา ใจเขาคิดไปถึงสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่

"ฝันดีเหรอ นายถึงอยากฝันต่อ"

จิวจี๋โหล่วถามยิ้ม ๆ เขาแอบเหลือบมองใบหน้าของคนที่หลับตาพริ้มลงและนึกอยากรวบร่างอุ่นที่อยู่ข้างกายให้เข้ามาอยู่ในอ้อมอกเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่กล้าทำ จึงได้แค่ขยับกายเข้าใกล้ให้ไหล่เบียดไหล่ของอีกฝ่ายแค่นั้น

"อืมม์ ฉันฝัน ฝันเห็นตอนเรายังเป็นเด็ก ตอนนั้นเราสนุกกันมากเลยนะ"

คริสยิ้มเมื่อนึกถึงวันเวลาที่พวกเขาทั้งสามตัวติดกันราวกับเป็นเงาของกันและกัน เด็ก ๆ ทุกคนจากทั้งสามตระกูลที่รู้จักกันมาตั้งแต่รุ่นทวดนั้นได้คบหากันอย่างสนิทสนม โดยเฉพาะพวกเขาทั้งสามซึ่งเกิดในปีเดียวกันแต่ต่างเดือน พวกเขาอยู่ด้วยกันตั้งแต่ยังแบเบาะและเติบโตมาอย่างแข็งแรงด้วยกัน แม้คริสจะอาศัยอยู่ที่ฮ่องกงและอีกสองคนอยู่ที่มาเก๊า แต่ครอบครัวของพวกเขาก็ไปมาหาสู่กันมาโดยตลอด เมื่อเด็กทั้งสามถึงวัยเข้าโรงเรียน ทางตระกูลอู่และตระกูลจิวก็ส่งลูกมาอยู่ที่บ้านในฮ่องกงเพื่อให้ได้รับการศึกษาแบบอังกฤษ พวกเขาล้วนเข้าเรียนในโรงเรียนคริสเตียนชายล้วนที่เปิดมากว่าร้อยปีในย่านหม่งก๊กอันเป็นที่เดียวกับที่พวกพ่อของเขาเคยเรียนก่อนที่ญี่ปุ่นจะเข้ายึดฮ่องกง พวกเขาทั้งเรียนและเล่นด้วยกันอย่างมีความสุขจนกระทั่งความทุกข์ได้มาเยือนบ้านตระกูลหว่อง



"ตอนแม่ฉันตาย ถ้าไม่ได้นายกับอาหลงฉันก็คงแย่แน่ ๆ ..."

คริสถอนหายใจเบา ๆ แม่ของเขาล้มป่วยและเสียชีวิตลงเมื่อเขาอายุได้เพียง 7 ปี หลังจากนั้น พ่อของเขาซึ่งทนเห็นใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงมารดาของเขาไม่ได้ก็เลี่ยงการเจอหน้าเขาด้วยการโหมทำงานหนักและทิ้งเขาไว้กับปู่ย่าและบรรดาพี่เลี้ยง เด็กน้อยวัย 7 ขวบที่เดียวดายจึงต้องหันไปหาเพื่อนที่เขาสนิทด้วยที่สุดทั้งสอง เขาใช้เวลาอยู่กับเพื่อนจนแทบไม่อยากกลับบ้านเสียด้วยซ้ำ เมื่อพวกเขาขึ้นชั้นป. 5 เด็กมาเก๊าทั้งสองคนก็รบเร้าขอให้พ่อแม่ส่งมาเป็นนักเรียนประจำซึ่งผู้ปกครองของทั้งสองบ้าน โดยเฉพาะของบ้านตระกูลจิวก็ไม่ขัด ส่วนคริสเองก็ได้ขอพ่อมาอยู่เป็นนักเรียนประจำด้วยเช่นกัน หากบิดาผู้เข้มงวดของเขาก็ปฏิเสธ คริสจึงได้พบกับเพื่อน ๆ เพียงแค่ตอนกลางวันเท่านั้น

"...แล้วไหนจะเรื่องแม่เลี้ยงของฉันอีก ถ้าพวกนายไม่คอยช่วยปลอบ ฉันคงได้หนีออกจากบ้านจริง ๆ แน่"

จิวจี๋โหล่วยกมือขึ้นลูบหัวคนที่นอนบ่นอยู่ข้างกายเบา ๆ สำหรับพวกเขารวมถึงวิคเตอร์แล้ว คริสเป็นน้องน้อยที่สุดของกลุ่มและได้รับความเอ็นดูเป็นพิเศษจากทุกคนเพราะเขากำพร้าแม่ หลังจากพ่อของคริสแต่งงานใหม่กับดารางิ้วคนโปรดของปู่ย่า พวกเขายิ่งเห็นใจคริสมากขึ้นเมื่อได้เห็นว่าชีวิตของคริสในบ้านตระกูลหว่องนั้นเหมือนตกนรกทั้งเป็น เพียงสัปดาห์แรกที่ย้ายเข้าบ้านมา แม่เลี้ยงซึ่งภายนอกเป็นหญิงผู้อ่อนโยนและสง่างามกลับกลายเป็นนางยักษ์เมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กหนุ่มวัย 13 ปีคนนี้ สถานการณ์ในบ้านของอาซิงน้อยยิ่งเลวร้ายลงเมื่อเธอให้กำเนิดลูกชาย เมื่อขึ้นมัธยมปลาย คริสเคยพยายามขอพ่อไปเป็นนักเรียนประจำเหมือนเพื่อนทั้งสองของเขา แต่ก็ถูกปฏิเสธอีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงมักใช้วิธีแอบไปค้างกับเพื่อน ๆ โดยอ้างว่าการบ้านไม่เสร็จหรือมีกิจกรรมของโรงเรียน

"เฮ้อ ที่บ้านนายตอนนั้นก็แย่จริง ๆ ยัยแม่เลี้ยงนายนั่นก็เหลือเกิน ถ้าเป็นฉันก็คงจะได้ฉะกันไปหลายรอบแล้ว"

จิวจี๋โหล่วบ่นเบา ๆ ภายนอกผู้เฒ่าร่างเล็กหน้าตาใจดีคนนี้อาจดูอ่อนโยนและนุ่มนวล แต่ภายในนั้นเขามีสายเลือดนักเลงที่สืบทอดกันมาในตระกูลจิวอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ดังนั้นเขาจึงมักออกอาการฮึดฮัดทุกครั้งที่ไปบ้านคริส ทั้งเขาและอู่ทินหลงมักจะโมโหทุกครั้งที่แอบเห็นเจดพูดจากระทบกระเทียบหรือแดกดันเพื่อนของเขายามที่คิดว่าพวกเขาไม่เห็น



"น่า ๆ เรื่องมันก็แล้วไปแล้ว คนก็ตายไปนานแล้ว อย่าได้เก็บมาเป็นอารมณ์เลย"

คริสหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นเพื่อนแสดงอาการแค้นเคืองแทนเขาแม้เรื่องราวจะผ่านมาเกือบ 50 ปีแล้วก็ตาม

"อย่างน้อยฉันก็ได้มีข้ออ้างหนีออกไปหาพวกนายล่ะน่า..."

"อืมม์ มาแย่งที่นอนกับแย่งขนมฉันกินประจำล่ะ นายน่ะ มาหาทีไรขนมของฉันกับอาหลงหายไปเยอะเลยโดยเฉพาะพวกลูกอม..."

คริสหัวเราะเมื่อได้ยินเพื่อนบ่นอุบอิบ ความสนุกอย่างหนึ่งของการแอบมาสิงหอเพื่อนอยู่นั้นคือการที่ได้แอบกินขนมหวานซึ่งที่บ้านไม่ค่อยปล่อยให้กินนัก

"ฉันยังนึกถึงตอนที่พวกเรานอนคลุมโปงเล่าเรื่องผีกันได้อยู่เลย ไหนจะตอนแอบออกไปเดินสำรวจโรงเรียนตอนกลางคืนอีก ฉันงี้กลัวแทบตาย พวกนายก็ยังอุตส่าห์ให้วิคเตอร์แกล้งหลอกผีฉันอีก"

คริสแยกเขี้ยวให้เพื่อนซึ่งคอยรวมหัวกันแกล้งเขาโดยให้วิคเตอร์ซึ่งมาสนิทกันตอนม. ปลายแอบซ่อนอยู่ในพงหญ้าและกระโดดออกมาเพื่อทำให้คริสตกใจ แต่ผลที่ได้คือ เพื่อนขวัญอ่อนของเขาคนนี้เกิดตกใจจนหมดสติไปจนพวกเขาต้องรีบเรียกครูมาช่วย

"...อือ โดนทำโทษกันหมดเลย เข็ดจริง ๆ "

จิวจี๋โหล่วพูดเสียงอ่อย ๆ นอกจากจะโดนตีแล้ว พวกเขายังโดนกักบริเวณและถูกจับตาดูพฤติกรรมอีกพักใหญ่ มันทำให้คริสไม่สามารถแอบเข้ามาค้างกับพวกเขาได้อีกหลายเดือน

"เรื่องตอนเป็นเด็กนี่คุยกันกี่ทีก็สนุกนะ น่าแปลกว่าพวกเรายังจำอะไรพวกนี้กันได้แม่นอยู่ ถึงจะผ่านไป...เอ่อ กี่ปีแล้วนะ? "

คริสขมวดคิ้วและพยายามนับนิ้ว

"อย่านับเลย นับแล้วฉันรู้สึกแก่"

จิวจี๋โหล่วส่ายหน้าเมื่อนึกถึงจำนวนปีที่ผันผ่านไป แม้เขาในวันนี้จะไม่ใช่เด็กหนุ่มคนที่สดใสร่าเริงในวันนั้นอีกแล้ว หากความทรงจำอันงดงามและสนุกสนานยังคงเด่นชัด โดยเฉพาะความทรงจำเรื่องของคนที่นอนเคียงข้างเขาอยู่ในตอนนี้



"ฉันยังจำได้นะ อาโหล่ว เรื่องต่าง ๆ ที่เคยทำกับนาย ฉันจำมันได้ทั้งหมดนั่นแหละ..."

คริสพูดขึ้นทำลายความเงียบหลังจากที่พวกเขาทั้งคู่ต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตน จิวจี๋โหล่วนอนตัวเกร็งเมื่อเพื่อนของเขาขยับพลิกกายนอนตะแคงหันหน้าเข้าหา หากคราวนี้คริสเบียดกายเข้าชิดมากขึ้นกว่าที่จะแค่หันหน้ามานอนคุยแบบทุกครั้ง

"...ฉันไม่ได้หมายถึงแค่สมัยเรายังเป็นนักเรียนนะ อาโหล่ว ฉันหมายถึงทั้งหมด ฉันจำได้หมดทุกอย่าง ไม่เคยลืม"

พ่อบุญธรรมของฆาเบียร์พูดเสียงแผ่วเบา ตั้งแต่สมัยเรียน เขารู้สึกได้ถึงความห่วงหาอาทรของเพื่อนคนนี้ที่มีให้เขามากเป็นพิเศษ เขาเองก็เคยหวั่นไหวไปกับความปรารถนาดีนี้ แต่สุดท้ายก็ปล่อยผ่านไปเพราะคิดว่าคงเป็นเพียงเพราะฮอร์โมนพลุ่งพล่านของหนุ่มวัยรุ่นซึ่งไม่มีสาว ๆ มาล้อมรอบ ตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาได้คิดเช่นนั้นคืออู่ทินหลง เมื่อเริ่มแตกเนื้อหนุ่ม หัวโจกของกลุ่มคนนี้เคยแสดงท่าทางพิศวาสเพื่อนสนิทที่อยู่ด้วยกันมาตลอดตั้งแต่ที่มาเก๊าอย่างจิวจี๋โหล่วซึ่งมีร่างเล็กบางและหน้าตาจิ้มลิ้มอย่างออกหน้าออกตา แต่เมื่ออาหลงได้ขึ้นครูกับหญิงบริการที่พ่อจัดไว้ให้ เขาจึงได้รู้ตัวว่าความรู้สึกที่ผ่านมาของเขามันเป็นเพียงเพราะความอัดอั้นทางเพศของหนุ่มวัยกลัดมันและเลิกล้มความคิดที่จะเกี้ยวพาราสีเพื่อนของตนในทันที คริสจึงคิดว่าเพื่อนรักของเขาคนนี้ก็คงรู้สึกกับเขาแค่แบบนั้นเช่นกัน

"อาซิง...นาย นายหมายถึงอะไร? "

จิวจี๋โหล่วพูดเสียงสั่น สำหรับเขาแล้วความรู้สึกที่มีให้กับอาซิงของเขานั้นไม่เคยหยุดอยู่เพียงแค่ตอนเป็นวัยรุ่น แม้จะได้ลิ้มรสความหฤหรรษ์ทางเพศกับสาวรอบจัดที่ครอบครัวส่งมาให้ตั้งแต่ตอนอายุ 14 เขาก็ไม่เคยรู้สึกพิศวาสในตัวหญิงใดมากไปกว่าเพื่อนรักของเขาคนนี้ ภายหลังแม้คริสจะหนีครอบครัวไปเรียนไกลถึงสหรัฐฯ และแทบไม่ได้พบหน้ากันอีก หรือแม้เขารู้ว่าคริสได้มีชายในดวงใจแล้ว เขาก็ไม่เคยหยุดคิดถึงเพื่อนคนนี้

หากในที่สุดจิวจี๋โหล่วก็ต้องตัดใจและฝังความรู้สึกที่มีให้กับหว่องซีซิงลงไปในส่วนที่ลึกที่สุดของใจเพราะพ่อของเขาต้องการทายาทสืบตระกูล หลังจากแต่งงาน ถึงแม้จะไม่สามารถให้ใจแก่ภรรยาไปจนหมดทั้งดวงได้ แต่เขาก็พยายามมอบความรักและทุ่มเทชีวิตให้กับเธอให้มากที่สุดเท่าที่จะให้กับหญิงคนหนึ่งได้และยังคงทำเช่นนั้นแม้เธอตายจากไปแล้ว



หากความรู้สึกเก่า ๆ ที่เคยมีให้กับเพื่อนสนิทคนนี้ก็ได้หวนกลับคืนมาในวันนั้นเมื่อ 13 ปีก่อน จูบอย่างคนสิ้นหวังของหว่องซีซิงทำให้เขาอดหวังลึก ๆ ในใจไม่ได้ หากมันเป็นความหวังที่ต่างจากเมื่อตอนเป็นวัยรุ่น มันไม่ใช่ความหวังที่จะได้ครอบครองกายเพื่อน หากเป็นความหวังที่จะได้อยู่เคียงข้าง คอยสนับสนุนให้เพื่อนรักของเขาคนนี้มีความสุขอีกครั้ง นั่นทำให้เขายอมเสี่ยงทุกอย่างเพื่อที่จะได้พบหรือติดต่อกับคริสจนถึงทุกวันนี้แม้จะทำได้นาน ๆ ครั้งโดยทำใจว่าจะขออยู่ในฐานะเพื่อนสนิทไปตลอดกาล แต่ในตอนนี้คริสกลับมาบอกว่าตัวเขานั้นจดจำได้ทุกอย่างแม้สิ่งที่เขาบอกว่าให้ลืมก็ตาม

"ฉันอยากจะบอกว่าฉันขอบใจทุกสิ่งทุกอย่างที่นายทำให้ฉัน ขอบใจทุกความรู้สึกที่นายมีให้..."

คริสไล้นิ้วเบา ๆ ที่ข้างแก้มของเพื่อนที่พลิกกายหันมานอนเผชิญหน้ากับเขา แสงตะวันที่ส่องลอดผ่านรอยแยกของผ้าม่านทำให้เขาเห็นใบหน้าอันอ่อนโยนของเพื่อนชัดขึ้น หว่องซีซิงหลับตาลงแล้วนึกถึงใบหน้าคมเข้มของอันเดรสที่อยู่ในใจของเขาทุกเมื่อเชื่อวัน เขาลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ และระบายมันออกมาเป็นถ้อยคำ

"...ฉันไม่เคยลืมจูบนั้นของเราเมื่อ 13 ปีที่แล้ว และฉันก็ไม่เคยลืมที่นายบอกว่านายรักฉัน"

หว่องซีซิงพูดสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจเขามาถึง 13 ปี จิวจี๋โหล่วหน้าแดงก่ำ เขาขยับจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ถูกเพื่อนยกมือห้ามไว้

"...และที่ฉันต้องขอบใจนายที่สุดก็คือคำพูดที่นายพูดกับฉันเมื่อคืนนี้"

คริสพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแจ่มชัด เขาเคยจ่อมจมอยู่ในความทุกข์ที่ต้องสูญเสียผู้เป็นที่รักไปและคิดว่าจะฝังหัวใจของตนไปพร้อมกับร่างของคนที่จากไปแล้ว หากคำพูดของเดวิด จิวเมื่อก่อนที่พวกเขาจะหลับไปนั้นเป็นเหมือนค้อนที่ฟาดเข้ามากลางใจและทำให้เขาได้คิดทบทวนอะไรหลาย ๆ อย่าง



"...ใช่ ฉันยังรักอันเดรสอยู่และจะไม่มีวันลืมเขาไปจากใจได้..."

ใจของจิวจี๋โหล่วเหมือนถูกมีดกรีดเฉือนเมื่อได้ยินเพื่อนของเขาพูดออกมาชัดถ้อยชัดคำ หากรอยยิ้มละไมที่ส่งมาทำให้เขาต้องกลั้นใจรอฟังสิ่งที่จะตามมา

"แต่ถูกของนายนะ อาโหล่ว ฉันเองก็สมควรที่จะได้มีความสุขกับเขาซักที ความสุขที่ไม่ใช่แค่เรื่องงานและเรื่องของฆาบี้..."

หว่องซีซิงช้อนตามองคนที่เขาตัดสินใจว่าจะให้โอกาสดูสักครั้ง หากคนตรงหน้าดูเหมือนจะตัวแข็งด้วยความตะลึงไปเสียแล้ว

"นะ นายหมายความว่ายังไง อะ อาซิง หมายความว่านาย นาย..."

ผู้ทรงอิทธิพลในโลกใต้ดินซึ่งไม่หวาดเกรงใครหน้าไหนอย่างจิวจี๋โหล่วกลับปากคอสั่นพูดอะไรไม่ออกเมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่เขาปักใจมาตลอด 50 ปี เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าสิ่งที่เขาได้ยินอยู่นั้นเป็นความจริง

"มัวตะลึงอยู่ทำไมล่ะ? จูบฉันสิ เจ้าบี้อ"

คริสพูดกลั้วหัวเราะและส่งยิ้มให้คนที่เขาตั้งใจจะมอบอนาคตให้ตรงหน้า จิวจี๋โหล่วน้ำตาคลอเบ้า เขายกมืออันสั่นเทาขึ้นประคองใบหน้าของอาซิงของเขาและค่อย ๆ ขยับเข้าหาริมฝีปากที่เผยอรอ



"เฮ้ย ไอ้เจ้าพวกขี้เซาทั้งหลาย ตื่นกันได้แล้ว เก้าโมงแล้วโว้ย สายโด่งแล้ว"

เสียงห้าว ๆ ของอู่ทินหลงที่เปิดประตูพรวดเข้ามาในห้องนอนทำให้คนทั้งสองรีบผละออกจากกันทันที

"เพิ่งจะเก้าโมงต่างหาก นายสิที่ตื่นเร็วเกินไป"

จิวจี๋โหล่วรีบผุดขึ้นนั่งและกดเสียงของตนลงให้ราบเรียบ เขานึกเสียใจขึ้นมาทันทีที่ไม่ได้ล็อคประตูห้องนอนให้เรียบร้อยก่อนนอน

"นั่นสิ นี่มันวันหยุดนะ อาหลง นายจะรีบตื่นทำไมกัน? "

คริสซึ่งซุกหน้าไปกับหมอนเพื่อซ่อนใบหน้าแดงระเรื่อของตนส่งเสียงประท้วงมาเบา ๆ เขาค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและชูแขนขึ้นบิดขี้เกียจ อู่ทินหลงระบายลมหายใจออกดังพรืดแล้วทรุดตัวลงนั่งที่ปลายเตียง

"ฉันก็ไม่ได้อยากตื่นนักหรอก แต่ต้องไปส่งแม่คุณขึ้นเครื่องไปมิลานแต่เช้าน่ะสิ"

อู่ทินหลงบ่นกะปอดกะแปดอีกยกใหญ่ คริสและอาโหล่วสบตากันแล้วแอบยิ้มออกมาเมื่อเห็นทีท่าเหนื่อยหน่ายของเพื่อน

"ก็เลยมาหาเรื่องปลุกพวกฉันด้วยงั้นสิ? "

คริสหัวเราะเบา ๆ แล้วแอบยื่นมือไปเกาะกุมมือของจิวจี๋โหล่วที่อยู่ใต้ผ้าห่ม หากก็ต้องรีบหดมือหนีเมื่ออีกฝ่ายใช้นิ้วเขี่ยไล้กลางฝ่ามือของเขาเบา ๆ อย่างแฝงความนัย



"อ้าว อาซิง ไม่สบายหรือเปล่า ทำไมหน้าแดง ๆ? "

อู่ทินหลงทักเพื่อนของเขาที่มีใบหน้าแดงก่ำกว่าทุกครั้ง

"เอ่อ ไม่ ไม่ได้เป็นอะไรหรอก แค่รู้สึกว่าในห้องมันร้อน ๆ แค่นั้น แอร์เสียหรือเปล่านะ? "

คริสเสทำเป็นหยิบแผ่นการ์ดยินดีต้อนรับของทางโรงแรมที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงขึ้นมาพัดวี

"เอ ไม่นะ ฉันก็ว่าแอร์เย็นปกติดี นายแน่ใจนะว่าไม่ได้ไม่สบาย? "

ตาลุงตัวแสบของฆาเบียร์ขมวดคิ้วแล้วยกมือขึ้นอังหน้าผากของเพื่อน หว่องซีซิงทำท่าจนปัญญาแล้วหันไปส่งสายตากำราบคนข้างกายที่ทำท่าจะหัวเราะอยู่มะรอมมะร่อ

"อืมม์ ตัวก็ไม่ได้ร้อนจริง ๆ เอาเถอะ ไม่มีไข้ก็ดีแล้ว..."

อดีตหัวโจกซึ่งยังคงให้ความเอ็นดูแก่น้องน้อยของกลุ่มเหมือนครั้งที่พวกเขายังเยาว์พูดขึ้นอย่างสบายใจ

"...งั้นพวกนายไปอาบน้ำอาบท่าซะ จะได้รีบกินข้าวแล้วมาเล่นไพ่กันต่ออีกสักยก"

อาหลงลุกขึ้นจากปลายเตียงแล้วปรบมือเร่งเพื่อนให้ลุกตาม จิวจี๋โหล่วบ่นพึมพำเป็นภาษาอิตาเลียนเบา ๆ แล้วลุกเดินเข้าห้องน้ำไป อู่ทินหลงหัวเราะเบา ๆ แม้เขาจะฟังไม่รู้เรื่องแต่ก็เข้าใจว่าเพื่อนรักคงกำลังด่าเขาอยู่

"นายก็ลุกได้แล้วนะ อาซิง เดี๋ยวฉันจะไปลากไอ้เด็กเปรตทั้งสองตัวนั่นให้ลุกเหมือนกัน โอเค๊? "

อู่ทินหลงหันมาพูดกับเพื่อนที่ยังนั่งอยู่บนเตียง

"เดี๋ยวอาหลง..."

คริสรีบร้องเรียกเพื่อนที่ทำท่าจะเดินออกห้องไป

"ห้องนู้นน่ะ นายเคาะประตูก่อนเข้าไปหน่อยก็ดีนะ"

คนที่รู้ดีว่าลูกชายมักเปลือยกายนอนเตือนเพื่อนด้วยความหวังดี อู่ทินหลงชะงักไปนิดหนึ่งแล้วจึงพยักหน้ารับคำ จากนั้นเดินออกห้องไปพร้อมปิดประตูตามอย่างเบามือ



"อ้าว นี่ตื่นกันแล้วเรอะ? ลุงนึกว่าพวกเรายังหลับกันอยู่ซะอีก"

อู่ทินหลงพูดด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นว่าฆาเบียร์ซึ่งมาเปิดประตูรับเขานั้นได้อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว

"ก็เจน่ะสิครับ ปลุกผมขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่แปดโมง ไม่รู้จะตื่นเช้าอะไรนักหนา"

คนตัวโตซึ่งใส่เสื้อเชิร์ตและกางเกงยีนส์ทรงสุภาพหัวเราะหึ ๆ ด้วยความเซ็ง กว่าเขาและเจจะได้นอนก็ปาเข้าไปหลังตีห้าครึ่งแล้ว หากเจ้าตัวดีของเขาก็รีบตื่นขึ้นมาด้วยเหตุผลที่เขาเองยังต้องอ้าปากค้าง

"ก็ผมหิวนี่คุณ ทนนอนต่อไม่ไหวแล้วอ่ะ ท้องผมร้องดังขนาดนี้คุณไม่ได้ยินเหรอ? "

คนตัวเล็กที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำบ่นดัง ๆ เขาหันไปค้อมหัวทักทายอู่ทินหลงด้วยใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

"อรุณสวัสดิ์ครับ ลุงหลง วันนี้แต่งตัวหล่อเหมือนเดิมนะครับ..."

เจยิ้มพลางแอบกวาดตามองร่างเพื่อนสนิทของอาปาของเขา อู่ทินหลงยังคงอยู่ในชุดดำสนิทโดยใส่เสื้อเชิร์ตดำ เน็คไทดำและชุดสูทสามชิ้นของเขาก็เป็นสีดำเช่นกัน

"...ตกลงว่าคุณลุงคอสเพลย์เป็นใครครับคราวนี้? "

เจนยุทธถามพร้อมส่งตาแป๋วและรอยยิ้มซื่อใสให้กับอู่ทินหลง

"เฮ้ย นี่เล่าเรื่องนี้ให้แฟนฟังด้วยเรอะ ไอ้เด็กเวร?! "

เพื่อนผู้โผงผางของคริสหันไปโวยเจ้า little brat ของเขาลั่น เจหัวเราะคิกออกมาแล้วนึกไปถึงสิ่งที่ฆาเบียร์เล่าให้เขาฟังเมื่อยามใกล้รุ่ง



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)




 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด