(ขออภัยที่มาต่อช้าค่ะ เมื่อกี้อยู่นอกบ้านแล้วลืมเอาโน้ตบุ้คออกไปด้วยเลยลองอัพผ่านไอแพด แต่มันรวนมาก ต้องมานั่งจัดบรรทัดใหม่หมด ทนรบกับมันได้แค่พาร์ทเดียว สุดท้ายเลยตัดสินใจเลิกและกลับมาอัพต่อที่บ้านแทน ตอนนี้มาต่อให้จบตอนแล้วค่ะ)
---- Chit-Chat (ต่อ) ----
"เอ๊ะ แต่นายบอกฉันว่าจะกลับวันอาทิตย์นี่? เครื่องมันออกสามโมงยี่สิบไม่ใช่เหรอ? กินไม่ทันหรอกเจ"
คนตัวโตท้วงลั่น หากเจนยุทธหัวเราะแหะๆ และไขข้อข้องใจให้คนรัก
"ผมถือวิสาสะขอคนของคุณเลื่อนไฟลท์กลับเป็นวันจันทร์ให้แล้วครับ"
"นายนี่มันเหลือเกินจริงๆ นะเจนยุทธ ทีฉันขอให้อยู่หลายๆ วันหน่อย ก็ไม่ยอมอยู่ แต่พอมีของกินน่าสนใจนี่อยู่ต่อเลยนะ"
ฆาเบียร์กระเซ้าคนรักที่นั่งหน้าแดงอยู่ตรงหน้า เขาอดไม่ได้ที่จะต้องดึงแก้มป่องๆ ที่แดงระเรื่อนั้น เจว๊ากลั่นและบ่นกระปอดกระแปดตามประสาเหมือนทุกครั้ง ฆาเบียร์ยิ้มกริ่มและดึงมือคนรักขึ้นมาจูบเบาๆ
"เอาเถอะ จะเพราะอะไรก็ช่าง อย่างน้อยนายก็ยอมอยู่ต่ออีกคืน ไฟลท์ออกเวลาเดิมใช่ไหม?"
"ใช่ครับ เวลาเดียวกับวันอาทิตย์"
เจพยักหน้าและตอบรับคำ
"เออ ฆาบี้ พูดถึงไฟลท์ ค่ำนี้ไฟลท์ของอาปาลงกี่โมงครับ? ผมอยากไปรับด้วยอ่ะ"
"ประมาณสามทุ่มครึ่งจ้ะ กว่าจะผ่านตม. อะไรออกมาก็น่าจะสี่ทุ่มหน่อยๆ เราออกจากที่นี่สามทุ่มนิดๆ ก็ยังทัน"
"โอเค แต่ เอ คุณว่าผมต้องทำเป็นไม่รู้ว่าอาปามานี่ครับ"
ฆาเบียร์ยิ้มน้อยๆ เขาบอกเจว่าอาปาน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเขาคงอดพูดเรื่องนี้ออกไปไม่ได้
"อาปารู้ดีน่ะว่าฉันหลอกนายไม่เคยได้เลย"
"คุณนี่ก็เวอร์เกิ๊น"
เจพูดกลั้วหัวเราะ คนตัวโตอดไม่ได้ต้องชะโงกหน้าไปจุ๊บริมฝีปากที่ยิ้มพรายของเจนยุทธ เจจูบตอบเบาๆ พวกเขาแลกจูบอย่างอ่อนโยนกันครู่หนึ่งก่อนจะผละออกจากกัน
"ผมไม่กวนคุณแล้วดีกว่า มีเอกสารที่ต้องอ่านไม่ใช่เหรอครับ?"
"จ้ะ แต่ก็ไม่มีอะไรมากหรอก พวกงานค้างแล้วก็รายงานจากทางสหรัฐฯ น่ะ ที่จริงยังไม่ต้องทำก็ได้เพราะวันนี้เป็น day off ของฉัน"
ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เขาถามเจนยุทธว่าอยากไปไหนเป็นพิเศษหรือไม่ หากเจโบกไม้โบกมือปฏิเสธ
"ไม่เป็นไรครับ ฆาบี้ คุณทำงานของคุณไปเหอะ ผมนอนเล่นเกมรอคุณที่โซฟาก็ได้"
เจบอกพลางลุกขึ้นยืนและฉุดคนรักให้ลุกขึ้นยืนตาม เขาดันหลังฆาเบียร์กลับไปนั่งที่เก้าอี้ทำงาน และตัวเองผละมานอนเอนหลังที่โซฟา
"คับ แม่ อ้ายเปิ้นสบายดี"
ฆาเบียร์แอบหันไปมองเมื่อได้ยินเจพูดเสียงอ่อนเสียงหวานกับคนที่ปลายสายเป็นภาษาที่เขาเดาว่าน่าจะเป็นภาษาถิ่นของทางภาคเหนือของไทย มันทำให้เขาเดาได้ไม่ยากว่าคนที่ปลายสายคือใคร
"อ้ายเปิ้นฝากตั๊กตายแม่มาโตยคับ"
เจหันกลับไปยิ้มให้ฆาเบียร์เมื่อคนตัวโตส่งเสียงบอกให้ทักทายแม่ให้เขาด้วย
"แม่ฝากบอกคุณว่าอย่าทำงานหนักมากนัก ให้พักผ่อนบ้าง"
เจส่งเสียงบอกคนรักของเขามาอีก คนตัวโตกำลังจะอ้าปากตอบกลับไป แต่เจก็ลุกขึ้นเดินมาหาและยื่นมือถือให้เขา
"เอ้า นี่ ฝากไปฝากมากันทำไม คุยกันเองเลยครับ"
เจพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์ยิ้มละไมให้กับแม่ของคนรักซึ่งส่งยิ้มอันอ่อนโยนกลับมาให้เขาเช่นกัน เจนั่งเท้าคางมองแม่และเมียตัวโตของเขาคุยกันอย่างอิ่มอกอิ่มใจ ฆาเบียร์ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเขาอย่างไม่ขัดเขิน และที่บ้านของเขาก็ยอมรับหนุ่มละตินตัวโตคนนี้เป็นสมาชิกอย่างเต็มใจเช่นกัน
"แม่ยังไออยู่เหรอครับ? ไปหาหมอหรือยัง?"
คนตัวโตส่งเสียงถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อได้ยินฟองนวลไอเบาๆ เจนยุทธบอกเขาก่อนหน้านี้ว่าแม่ของเขามีอาการไอติดต่อกันมาสองสามสัปดาห์แล้ว เขาจึงอดเป็นห่วงไม่ได้เพราะรู้ดีว่าช่วงที่ผ่านมาสถานการณ์หมอกควันของเชียงใหม่นั้นร้ายแรงแค่ไหน
"ไปหามาแล้วจ้ะ หมอบอกว่า เอ่อ..."
ฟองนวลบอกลูกชายให้ช่วยแปลคำพูดของเธอเป็นภาษาอังกฤษ เจหันมาเล่าอาการของแม่ให้คนรักฟัง
"ไปเอ๊กซเรย์ปอดอะไรมาแล้วครับ หมอบอกว่ายังไม่ถึงขั้นปอดอักเสบ แต่ก็ระคายเคืองเพราะไอ้เจ้าฝุ่นควันนี่แหละครับ"
เจถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขากำชับแม่ของเขาให้อยู่แต่ในบ้านและให้เปิดเครื่องฟอกอากาศตลอดเวลา
"เวลาไปกาด กาว่าออกไปตางนอก แม่ก่อบ่ดีลืมใส่มาสก์โตยเน่อ อึดอัดน่อย แต่ว่าปลอดภัย ปี๋นี้มันแย่แต๊ๆ เน่อ"
เจย้ำกับแม่ของเขาอีกครั้ง พวกเขาสามคนพี่น้องต่างสรรหาสารพัดสิ่งที่จะช่วยบรรเทาฝุ่นควันในบ้านมาให้แม่ของเขา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องฟอกอากาศราคาแพงระยับหลายตัว หน้ากากแบบ N95 ที่กรองฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอนได้ หรือกระทั่งพวกสเปรย์หรือเจลทาจมูกจากญี่ปุ่นที่อ้างสรรพคุณว่ากันฝุ่นละอองขนาดเล็กได้ เจก็จัดการสั่งซื้อออนไลน์มาให้แม่ของเขา ฟองนวลเองก็รับปากกับลูกชายเป็นมั่นเหมาะแล้วว่าเธอจะระวังตัวให้มาก
"แล้วบ่ดีลืมเก็บโรซ่าไว้ในบ้านโตยเน่อคับ"
เจทำคิ้วขมวดเมื่อพูดถึงสาวน้อยคนโปรดของเขา ฟองนวลหัวเราะเบาๆ แล้วเรียกเจ้าลาบราดอร์ดำให้เข้ามาหากล้อง มันกระโดดขึ้นมาบนตั่งที่เธอนั่งอยู่แล้วล้มตัวลงนอนเอาคางเกยตักนายของมันอย่างสบายอารมณ์ เจหัวเราะหึๆ ดูเจ้าหมาที่มีความสุขเพราะได้อยู่ห้องแอร์แทบทั้งวัน เขาพยายามเรียกมันให้เงยหน้ามาคุยกับเขา แต่มันก็ไม่ใส่ใจ
"คุณดูมันสิฆาบี้ พอได้แอร์เย็นๆ ได้หนุนตักแม่ มันก็ไม่สนอะไรแล้วอ่ะ"
เจนยุทธหันไปฟ้องคนรักที่นั่งอมยิ้มดูเขากับแม่คุยกัน
"Rosa, come here, girl"
เจ้าหมาดำหูผึ่งเมื่อได้ยินเสียงทุ้มแหบของฆาเบียร์จากลำโพงโทรศัพท์ มันลุกพรวดพราดขึ้นนั่งและทำท่าจะเลียจอไอแพดจนฟองนวลต้องรีบชักมือหนี
"เฮ้ย ไอ้หมูทรยศ! ทีอ้ายเรียกทำไมไม่หือไม่อือฟระ"
ฟองนวลและฆาเบียร์หัวเราะออกมาเมื่อเจตีหน้ายักษ์และโวยเจ้าหมาอ้วนลั่น สำหรับฆาเบียร์ ถึงเขาจะฟังไม่ออกว่าเจพูดว่าอะไร แต่เขาก็คิดว่าเขาพอจะเดาออก
"ก็นายเจอหน้าโรซ่าตลอดมันก็เลยไม่ตื่นเต้นไง ส่วนฉันนานๆ ถึงเจอที มันก็เลยดีใจ"
ฆาเบียร์ลูบหัวคนรักที่ยังทำท่างอนและบ่นเจ้าหมาอ้วนอยู่แม้ว่าจะวางสายจากแม่ของเขาไปแล้ว
"หึ ไม่หรอกครับ มันอ่ะ ลำเอียงชอบคนหน้าตาดี เมื่อก่อนมันติดผมเพราะผมหล่อสุดในบ้าน ตอนนี้มาทิ้งกันเฉยเลยนะ"
เจนยุทธบ่นกระปอดกระแปด ฆาเบียร์พยายามกลั้นยิ้มเมื่อได้ยินคนรักอวยตัวเองว่าเคยหล่อที่สุดในบ้าน
"เจพูดแบบนี้ แสดงว่านายยอมรับว่าฉันหน้าตาดีกว่าสินะ"
คนตัวเล็กจิ๊ปาก เขาเผลอพูดทำร้ายตัวเองเข้าไปเสียแล้ว
"เฮ้ย ผมแค่จะบอกว่าคุณหน้าตาดี ไม่สิ หน้าตาแปลกสำหรับโรซ่า มันถึงชอบคุณมากกว่า ไม่ได้แปลว่าคุณหน้าตาดีกว่าผมเฟ้ย"
เจพูดพลางใช้มือตบๆ แก้มคนตัวโตเบาๆ ฆาเบียร์คว้ามือนุ่มไว้แล้วดึงมาจูบแผ่วๆ เจอมยิ้ม เขาชอบสัมผัสเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ของพ่อเจ้าประคุณของเขาจริงๆ
"แล้วช่วงนี้อากาศที่เชียงใหม่มันเลวร้ายมากเลยเหรอจ๊ะ? ไหนช่วงที่แล้วนายบอกว่าเขารณรงค์ให้งดเผานี่ ไม่ดีขึ้นสักนิดเลยเหรอ?"
หนุ่มละตินถาม เจบ่นกับเขาตั้งแต่หลังตรุษจีนเรื่องความเลวร้ายของอากาศในเมืองเชียงใหม่ หากโชคดีว่าช่วงที่เขากลับไปเชียงใหม่ช่วงหลังเทศกาลสงกรานต์นั้นได้มีฝนตกลงมาบ้างแล้วจึงพอจะบรรเทาความขมุกขมัวไปได้บ้าง แต่เขาก็ยังรู้สึกได้เมื่อตอนที่พวกเขาออกไปเตะฟุตบอลกัน ตัวเขารู้สึกอึดอัดในอกและมีอาการระคายเคืองในโพรงจมูกอยู่พักใหญ่หลังจากกลับจากเชียงใหม่รอบนั้นแล้ว
“เฮ้อ มันก็ดีกว่าช่วงสองเดือนที่แล้วเยอะครับ อากาศมันเริ่มร้อนชื้นขึ้นเลยทำให้มีการไหลเวียนของอากาศมากกว่าช่วงหน้าแล้งทำให้ควันหายไปเยอะแล้ว แต่แม่ก็ยังมีอาการไอเรื้อรังครับ ก็เล่นไม่ยอมเปิดเครื่องกรองอากาศอ่ะ…”
เจนยุทธถอนหายใจเบาๆ ช่วงที่แล้วฟองนวลเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มใสขึ้นมาบ้างแล้ว เธอจึงชะล่าใจไม่ใส่หน้ากากกันฝุ่นยามออกไปนอกบ้าน อีกทั้งลดการเปิดเครื่องฟอกอากาศและแอร์ลงด้วยเกรงว่าจะเปลืองไฟ แต่มันกลับทำให้เธอเริ่มมีอาการไอเรื้อรัง ในตอนนี้ถึงอาการของแม่จะทุเลาลงมากแล้ว แต่ด้วยอายุอานามที่มากขึ้นทุกปีของแม่ เขาก็ไม่รู้ว่าแม่ของเขาจะทนกับสภาพแวดล้อมแบบนี้ไปได้นานเท่าไหร่
“ช่วงหลังจากที่คุณกลับจากเชียงใหม่ไปนี่เรียกว่าวิกฤติเลยนะครับ ตอนคุณมามันยังอยู่ในช่วงงดเผา คือมันก็ควันเยอะแหละ แต่พอคุณกลับไปได้สองสามวัน โอ้โห ช่วงเช้ากับตอนดึกนี่เหมือนในหนังเรื่อง Silent Hill เลยอ่ะ…”
“หา? ทำไมมันถึงแย่ขนาดนั้นล่ะ?”
คนตัวโตทำท่าตกใจ เจนยุทธหัวเราะหึๆ
“ก็มันครบกำหนดห้ามเผาไงครับ ทีนี้แหละเผากันทั้งจังหวัดเลย เหมือนอัดอั้นตันใจกันมานาน ผลมันก็ตามนั้น”
เจบอกว่าช่วงนั้นที่บ้านเขาห้ามแม่และเจ้าหมาหมูลงบ้านโดยเด็ดขาดและให้ใส่มาสก์แม้กระทั่งเวลาอยู่ในบ้าน
“แถวบ้านแม่ผมนี่ก็แหล่งเผาป่าเผาไร่เลยเหอะ แต่มันก็หนักแค่ช่วงนั้นอ่ะนะ พอเข้าเดือนนี้มาก็เบาบางไปเยอะละ คงเผากันจนพอใจแล้วเริ่มปลูกพืชรอบใหม่กันแล้วมั้ง”
เจนยุทธยิ้มหยัน เมื่อเข้าเดือนพฤษภาคม ท้องฟ้าที่เริ่มขุ่นมัวเพราะฝุ่นควันก็สดใสขึ้นมาก หากยังหลงเหลือบ้างให้พอรู้สึกระคายเคืองในปอด พวกเขาพี่น้องจึงยังขอให้แม่ระวังตัวจนกว่าเชียงใหม่จะเข้าฤดูฝนเต็มตัว
“อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อะไรๆ มันแย่ก็เพราะมันเป็นควันจากประเทศเพื่อนบ้านด้วยครับ ถึงบ้านเรางดเผา แต่รอบข้างไม่เลิกเผา เราก็โดนหางเลขไปด้วย”
เจถอนหายใจ เขายกตัวอย่างจังหวัดเชียงรายซึ่งสามารถควบคุมการเผาป่าและพื้นที่ทางการเกษตรในจังหวัดของตนได้อย่างดีเยี่ยม หากค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศของเชียงรายก็ยังจัดว่าสูงเนื่องจากอยู่ติดกับทั้งพม่าและลาวซึ่งมีการเผาอย่างหนัก
“อย่างอำเภอแม่แตงนี่ก็นับว่าใกล้กับชายแดนพม่าครับ มีแค่อำเภอเชียงดาวกั้น ก็รับควันไปเต็มๆ แถมแถวนั้นก็มีพวกดื้อแอบเผาเยอะด้วย”
เจนยุทธโคลงหัว
"มนุษย์เรานี่ก็ช่างหาเรื่องมาทำร้ายโลกจริงๆ นะ นี่ก็ไม่รู้ว่าธรรมชาติจะเอาคืนพวกเราเมื่อไหร่"
ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เจพยักหน้าเห็นด้วย
"รุ่นลูกรุ่นหลานพวกเราก็คงต้องเผชิญปัญหาที่พวกเราก่ออีกหลายอย่างเลยครับ ไม่ต้องที่ไหนไกล ดูไอ้เจ้าอันปังกับเอแคลร์นะ ช่วงที่แล้วก็ต้องใส่หน้ากากทุกวัน อึดอัดแย่"
ฆาเบียร์แอบอมยิ้ม ถึงเจจะไม่รักเด็กและบ่นรำคาญหลานๆ บางครั้ง แต่สุดท้ายแล้วเจ้าตัวดีของเขาก็ยังอดห่วงเด็กๆ พวกนั้นไม่ได้
"ช่วงปิดเทอมหน้าร้อนสองสามปีที่ผ่านมา แม่ไล่ให้พี่หวานพาเด็กๆ กลับไปอยู่บ้านที่เชียงรายเลยครับ เพราะที่นั่นคุมเรื่องควันได้ดีกว่า แต่ปีนี้ไม่ไปเพราะสุดท้ายแล้วทางเชียงรายก็โดนควันจากประเทศเพื่อนบ้านอยู่ดี ก็ให้เด็กๆ อยู่พร้อมหน้ากับพ่อแม่ที่เชียงใหม่ดีกว่า"
"เฮ้อ ก็หวังว่าจะแก้ปัญหากันได้เร็วๆ ไม่งั้นคงแย่เหมือนปักกิ่งช่วงหลายปีที่แล้วแน่ๆ"
คนตัวโตบ่นเบาๆ ตัวเขาเคยสัมผัสความเลวร้ายของมลพิษที่ปกคลุมเมืองหลวงของจีนมาหลายครั้งที่ต้องเดินทางไปทำงานแถวนั้น
"เออ เห็นว่าปีนี้อากาศที่นั่นดีขึ้นมากเลยนี่ครับ ค่าฝุ่นควันลดลงเยอะมาก เขาทำได้ยังไงอ่ะ? ทำไมบ้านเราทำแบบเขาไม่ได้มั่งนะ?"
"อืมม์ ฉันไม่แน่ใจนะ แต่ที่ได้ยินมา ฉันว่าต้นตอปัญหาของที่ปักกิ่งมันต่างจากที่เชียงใหม่เลยทำให้คุมได้ง่ายกว่า"
ฆาเบียร์อธิบายต่อเมื่อเห็นคนรักทำท่างุนงง
"มลพิษที่เกิดที่ปักกิ่งมาจากพวกควันรถยนต์ การเผาถ่านหินช่วงฤดูหนาว และควันจากโรงงานอุตสาหกรรมที่มีอยู่รอบเมืองจ้ะ"
เจนยุทธร้องอ๋อ เขาพอเข้าใจสิ่งที่ฆาเบียร์ต้องการจะสื่อแล้ว
"ต้องเรียกว่ารัฐบาลจีนใช้กำลังภายในจัดการกับปัญหาพวกนี้ไปมากพอสมควรนะ แต่อย่างว่า รัฐบาลของจีนมีครบทั้งแรงงานคนและอำนาจล้นฟ้า และด้วยความที่ยังเป็นคอมมิวนิสต์อยู่ทำให้เขาสั่งนั่นสั่งนี่ได้หมด เท่าที่ฉันได้ยินมา เขาว่าทางรัฐได้จัดการควบคุมจัดการกับรถที่ปล่อยไอเสียเกินกว่ากำหนด รณรงค์ให้คนใช้ก๊าซธรรมชาติแทนถ่านหินในการให้ความร้อน และที่สำคัญที่สุดคือ ย้ายโรงงานอุตสาหกรรมหนักออกจาก 26 เมืองรอบๆ ปักกิ่ง..."
ฆาเบียร์เล่าต่ออีกว่าอีกหนึ่งความพยายามคือลดการจุดประทัดและธูปในช่วงตรุษจีนอีกด้วย
"แต่ไอ้เจ้ามาตรการลดการใช้ถ่านหินนี่เหมือนไม่ค่อยได้ผล สุดท้ายคนก็อดใช้ไม่ได้อยู่ดีเพราะมันถูกและหาง่ายกว่าพวกก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน ในที่สุดก็ต้องหยวนๆ ไปเพราะไม่อย่างนั้นคงได้มีคนหนาวตายแน่ๆ"
"ผมเข้าใจแล้วล่ะว่ามันต่างกับที่เชียงใหม่ยังไง ที่เชียงใหม่เราปัญหามันมาจากการเผาป่าและไร่นา มันคุมยากกว่าเพราะไม่รู้ว่าจะเผาตรงไหนที่ไหน สุดท้ายก็ต้องพึ่งจิตสำนึกของคนในท้องที่เอง"
เจถอนหายใจเฮือกใหญ่ มันคือสิ่งที่ทำให้เกิดได้ยากที่สุด ถ้าคนยังคงมองเห็นแต่ผลประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม ปัญหานี้ก็จะไม่มีทางหมดไป
"เอ ว่าแต่ที่ปักกิ่งเนี่ย เขาย้ายโรงงานอุตสาหกรรมหนักออกไปจากเมืองบริวาร แล้วย้ายไปไหนอ่ะ? แล้วมันก็เป็นการเอาปัญหาตัวเองไปทิ้งให้ที่อื่นอ่ะดิ"
เจนยุทธเกาหัวแกรกๆ ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ ออกมาอย่างถูกใจ
"ใช่แล้ว ในตอนนี้ปักกิ่งอากาศดีขึ้นมาก แต่มณฑลอื่นที่โรงงานพวกนี้ย้ายไปตั้งก็กำลังเกิดปัญหามลพิษขึ้นบ้าง แต่เป็นเมืองรองที่ไม่มีคนสนใจก็เลยไม่เป็นข่าว"
"แบบนี้มันก็ขายผ้าเอาหน้ารอดชัดๆ นี่หว่า"
คนตัวเล็กบ่นอุบอิบ
"แต่ก็ นะ ที่เชียงใหม่เราใช้วิธีระดมฉีดน้ำขึ้นฟ้า โดยเน้นฉีดที่หน้าเครื่องวัดครับ"
เจหัวเราะหึๆ การทำแบบนั้นทำให้ค่าที่ได้ออกมาต่ำลงกว่าที่ควรจะเป็น
"ก็หวังว่าคนจะเริ่มตื่นตัวแล้วหันมาช่วยกันแก้ไขปัญหานี้ครับ รอพึ่งรัฐทางเดียวคงได้ปอดพังตายก่อน"
"ไม่ใช่แค่ปอดนะเจ ไอ้เจ้าฝุ่นละอองที่เล็กกว่า 2.5 ไมครอน หรือที่เขาเรียกว่า PM 2.5 นี่มันมีผลต่อร่างกายมากกว่านั้น..."
เจนยุทธทำตาโตด้วยความตกใจเมื่อฆาเบียร์จาระไนโทษของฝุ่นละอองขนาดเล็กนั้นให้เขาฟัง
"เดี๋ยวนะ แปลว่ามันทำให้เกิดโรคหัวใจด้วยงั้นเหรอครับ?"
เจร้องเสียงหลง ฆาเบียร์พยักหน้า
"ใช่จ้ะ ก็อย่างที่บอก ไอ้เจ้าฝุ่นละอองเล็กพวกนี้มันเล็กมากเข้าสู่ร่างกายผ่านทางรูขุมขนได้ ส่วนนี้จะทำให้เกิดพวกผื่นคันและโรคผิวหนัง แต่ถ้ามันเข้าไปในปอดแล้วก็จะสามารถหลุดรอดเข้าไปยังกระแสเลือดได้ และอาจเกิดการสะสมในหลอดเลือดจนทำให้เกิดเส้นเลือดหัวใจหรือเส้นเลือดในสมองตีบตันได้ แล้วไหนจะยังมีสถิติที่บอกว่าคนซึ่งอาศัยในบริเวณที่มีปัญหามลพิษจะเป็นมะเร็งมากกว่าคนที่อาศัยในแถบอื่นอีก..."
เจหน้าซีด สิ่งที่ได้ยินยิ่งทำให้เขาห่วงแม่ของตนยิ่งขึ้น
"ผมพาแม่ย้ายไปอยู่ที่อื่นดีไหมเนี่ย"
คนตัวเล็กเปรยเบาๆ ฆาเบียร์ยิ้มกว้าง
“มาอยู่ฮ่องกงกับฉันไหม หรือว่าจะอยู่ที่สหรัฐฯ ก็ได้นะ บ้านฉันยินดีต้อนรับครอบครัวของเจเสมอ เดี๋ยวฉันเดินเรื่องพวกเอกสารอะไรให้”
คนตัวโตพูดด้วยความลิงโลดใจ หากเจนยุทธส่ายหัวทันที
“โอ๊ย ผมก็พูดไปงั้นแหละคุณ ไปอยู่ที่ไหนมันก็ไม่เหมือนบ้านอ่ะ อ่า...”
เจชะงักเมื่อเห็นใบหน้าที่สลดลงของฆาเบียร์
“เอ่อ คือ ผมหมายถึงสำหรับแม่ครับ แม่ผมอายุเยอะแล้ว จะให้ย้ายไปจากที่ๆ เคยอยู่นานๆ ก็คงไม่ไหว”
เจพูดเสียงอ่อยๆ เขาบอกว่าเมื่อปีกลาย เขาซึ่งว่างงานเคยพาแม่ลงไปเที่ยวทะเลเพื่อหนีหมอกควันที่เชียงใหม่ แผนเดิมคือเที่ยวและพักผ่อนแถวทะเลสองสัปดาห์ จากนั้นพวกเขาก็จะไปค้างบ้านญาติที่กรุงเทพฯ อีกระยะหนึ่ง แต่แม่ของเขาขอจบทริปแค่ที่ทะเล ฟองนวลบอกว่าเธอคิดถึงบ้านและยอมกลับไปเผชิญหมอกควันพิษที่เชียงใหม่ดีกว่าต้องอยู่ห่างบ้าน
“แม่บอกว่าคิดถึงสังคม คิดถึงเพื่อนๆ อาหารที่แถวทะเลก็รสชาติไม่ถูกปาก อากาศก็ร้อนชื้น ไม่สบายตัว อะไรประมาณนี้ครับ”
คนตัวโตพยักหน้าและบอกว่าเขาเข้าใจ เจนยุทธถอนหายใจเฮือกใหญ่
"แม่อายุมากแล้วให้มาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตใหม่ก็คงยากครับ พวกผมก็คงต้องช่วยกันประคองไม่ให้สุขภาพแม่แย่ลงไปกว่านี้ในไอ้ช่วงเผานี่"
เจพูดอย่างเซ็งๆ หากคนตัวโตจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของคนรักและถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"แล้วเจล่ะ คิดว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่นได้ไหม?"
"โอ๊ย ผมมันไงก็ได้อ่ะคุณ อยู่ง่ายกินง่าย แต่ถ้าเลือกได้ผมก็ยังอยากอยู่เชียงใหม่อ่ะ ไม่ว่าที่อื่นจะดีกว่าแค่ไหน แต่ก็ไม่มีที่ไหนเหมือนอยู่ที่บ้านหรอกครับ คุณว่ามะ?"
เจนยุทธพูดโดยไม่ทันได้สังเกตน้ำเสียงและท่าทางของคนรัก คนตัวโตหยุดคำพูดของตนและตอบรับอย่างเซื่องซึม
"คุณ มีอะไรครับ?"
คนตัวเล็กถามทันที เขาสัมผัสได้ถึงความผิดหวังในน้ำเสียงของคนรัก ฆาเบียร์ถอนหายใจเบาๆ
"เฮ้อ ไม่มีอะไรจ้ะ ฉันแค่เผลอคิดนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อยน่ะ"
"มันจะไม่มีอะไรได้ไงครับ? ผม เอ่อ ผมพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า?"
เจถามขึ้นอย่างร้อนใจ เขาพยายามคิดว่าตนได้พูดอะไรที่กระทบใจคนรักเข้าหรือไม่ หากคนตัวโตก็พยายามปฏิเสธว่ามันไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เจพูด เจขมวดคิ้วและนึกย้อนไปอีกครั้ง เขาอุทานเบาๆ เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนเองพูดขึ้นได้
"โธ่ ฆาบี้...มานี่ครับ มาให้ผมกอดที"
เจเรียกคนรักที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขาให้เข้ามาหา เขากอดรัดร่างกำยำที่มายืนอยู่ตรงหน้าไว้แน่น
"ผมไม่ได้หมายความว่าผมไม่อยากอยู่กับคุณนะ ฆาบี้"
เจพูดเสียงอ่อยๆ ฆาเบียร์พยักหน้ารับคำ
"แต่ เอ่อ แต่...เฮ้อ"
พ่อปลาไหลที่เคยใช้คารมกล่อมสาวๆ อย่างเจกลับสรรหาคำพูดหวานๆ มาปลอบใจคนรักตัวจริงของเขาไม่ได้ เขาได้แต่กอดร่างใหญ่ของฆาเบียร์ไว้อย่างนั้น คนตัวโตลูบหลังเจนยุทธเบาๆ
"ฉันเข้าใจจ้ะ ฉันก็ไม่ได้จะให้นายย้ายมาอยู่กับฉันถาวรหรอก ก็แค่อยากให้นายกับแม่มาหลบฝุ่นควันจากเชียงใหม่แค่นั้นเอง"
"ผมก็อยากมานะ แต่มันก็ไม่ใช่ง่ายๆ อ่ะ"
เจพูดงึมงำกับอกกว้าง
"จ้ะ ฉันรู้"
ฆาเบียร์ตอบสั้นๆ พร้อมลอบถอนหายใจ แม้พวกเขาจะรู้จักกันมากว่าปีและตกลงคบหากันมากว่าครึ่งปี หากการจะก้าวไปอีกขั้นหนึ่งดูเหมือนยังเป็นหนทางอันยาวไกลสำหรับเจนยุทธ
"แต่ฉันอยากให้นายรู้ว่าบ้านของฉันทุกที่ก็คือบ้านของนายด้วย เข้าใจไหม?"
คนตัวโตดันกายคนรักออกและจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมสดใส เจพยักหน้าเบาๆ
"และบ้านของผมก็คือบ้านของคุณเช่นกันนะครับ ฆาบี้"
เจนยุทธจุ๊บริมฝีปากคนรักแผ่วๆ ฆาเบียร์ยิ้มกว้างและทำท่านึกอะไรขึ้นมาได้
"เออ พูดถึงบ้านของนาย ฉันเพิ่งนึกได้ว่ามีเอกสารที่ต้องให้นายดูหน่อย"
คนตัวโตลุกพรวดขึ้น เขาเดินไปกดโทรศัพท์โทรหาเลขาของเขาและสั่งงานเป็นภาษากวางตุ้ง ผ่านไปครู่หนึ่งคุณเหลียงก็เดินมาเคาะประตูเพื่อนำส่งแฟ้มเอกสารให้ฆาเบียร์
"นี่อะไรครับ?"
เจนยุทธขมวดคิ้วและมองแฟ้มเล่มโตที่ฆาเบียร์นำมาวางไว้ตรงหน้า
"เปิดดูสิ"
คนตัวโตพยักเพยิดให้เจนยุทธดูเอกสารในแฟ้มนั้น เจเปิดดูเอกสารปึกใหญ่ในนั้น
"เฮ้ย อะไรครับคุณ นี่มัน..."
เจร้องลั่นเมื่อเห็นสำเนาโฉนดในแฟ้มนั้น
"ใช่จ้ะ ห้องข้างๆ ห้องเจ ฉันถามซื้อมาจากเจ้าของเดิมแล้ว คอนโดในไทยถูกอย่างที่เจว่าจริงๆ นะ นี่ห้องหนึ่งห้องนอนขนาด 50 กว่าตารางเมตร ยังแค่สี่ล้านกว่าบาทเอง"
"บ้าไปแล้ว คุณจะซื้อคอนโดที่เดียวกับผมทำไมวะ? ถ้าจะซื้อลงทุนทำไมไม่ไปเลือกคอนโดใหม่กว่านี้ครับ? ที่นี่มันก็หลายปีแล้วนะ"
เจนยุทธเอ็ดลั่น
"…มิน่าล่ะ ผมถึงว่าช่วงนี้ข้างห้องมันเงียบพิกล ที่แท้คุณซื้อห้องไปแล้วนี่เอง แล้วนี่ไปไล่ที่เขาปุบปับได้ไงอ่ะ?"
คนตัวโตส่ายหน้า
"ฉันไม่ได้ไล่ที่เขาปุบปับนะ ฉันให้ตัวแทนไปเจรจาให้เขาย้ายลงไปอีกห้องที่อยู่ต่ำลงไปชั้นนึง จ่ายค่าเช่าเท่าเดิมแต่ว่าได้ห้องใหญ่ขึ้น"
เจทำตาโตอีกครั้ง เขารีบพลิกๆ เอกสารในแฟ้มดูแล้วก็ต้องโวยอีกครั้งเมื่อเห็นสำเนาโฉนดของอีกห้องหนึ่งซึ่งมีขนาดเกือบ 80 ตารางเมตร
"เดี๋ยวนะ อย่าบอกนะว่าคุณซื้อห้องชั้นล่างไว้อีกห้องด้วย?"
"ใช่จ้ะ ห้องข้างล่างจะมีไว้ให้คนอื่นเช่า ก็ถือว่าซื้อไว้ลงทุนแล้วกัน"
"ให้เขาเช่าในราคาหมื่นเก้าแทนที่จะได้สองหมื่นห้านี่มันเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าตรงไหนครับ?"
เจนยุทธบ่นลั่น
“หรือเจจะให้ฉันขึ้นค่าเช่าครอบครัวนั้น?”
คนตัวโตถามยิ้มๆ เจแยกเขี้ยวใส่คนรักที่ทำท่าจะกวนประสาทเขาเล่น
“ไม่ใช่ครับ! ผมแค่บ่นเฉยๆ ห้ามขึ้นค่าเช่าเขานะ เอาไว้ถ้าเขาย้ายออกค่อยว่ากันอีกที”
เจโคลงหัว
"แล้วนี่ไปทันซื้อเมื่อไหร่ครับ? ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย"
"ก็ ยังไม่เรียบร้อยหรอกจ้ะ รอโอน เดือนนี้ฉันเป็นคนจัดการเรื่องค่าเช่าของห้องชั้นล่างไปก่อน"
"เออ เจริญล่ะ เงินค่าเช่าได้น้อยยังไม่พอ ต้องไปจ่ายให้เขาอีกเดือนอีก"
เจบ่นเบาๆ เป็นภาษาไทย ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ แม้เขาจะฟังที่คนรักบ่นไม่เข้าใจก็ตาม
"นายนี่ขี้บ่นจริงนะ เจนยุทธ บ่นเป็นคนแก่ไปได้"
"ชิ ใครกันแน่ที่แก่...โอ๊ยๆๆ"
เจพูดเบาๆ แต่ต้องร้องลั่นเมื่อโดนคนแก่หยิกแก้มด้วยความเอ็นดูเข้าอีกครั้ง
"แก้มผมจะย้วยหมดแล้วนะเฟ้ย ดึงกันอยู่ได้..."
คนตัวเล็กโวยลั่น ฆาเบียร์ยิ้มอย่างอารมณ์ดีและปล่อยให้เจอ่านเอกสารในแฟ้มต่อ
"แล้วนี่คุณต้องไปโอนห้องเมื่อไหร่ ตอนกลับเชียงใหม่เดือนหน้าเหรอ?"
"ไว้เจพร้อมเมื่อไหร่ก็โอนได้เลย"
คนตัวโตตอบด้วยท่าทีผ่อนคลาย เจขมวดคิ้วและเงยหน้าขึ้นจากเอกสารที่เขาพลิกดูผ่านๆ
"ทำไมต้องรอผมด้วยอ่ะ? ให้ผมไปช่วยแปลด้วยเหรอ?"
ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ
"นายนี่ไม่ไหวเลยนะ เจนยุทธ อ่านสัญญาไม่ละเอียดเลย"
คนตัวโตดึงเอกสารในมือเจมาแล้วเปิดให้ดูร่างสัญญาซื้อขายห้องที่พิมพ์มาเป็นเป็นทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
"เอ้า ไหน อ่านดูอีกทีซิ อ่านละเอียดๆ ล่ะ"
เจทำหน้างงๆ แต่ก็อ่านใหม่อีกครั้งตั้งแต่ต้น
"เฮ้ย! อะไรกัน ฆาบี้! ทำไมเป็นชื่อผมล่ะ?..."
เจนยุทธรีบดึงสัญญาอีกชุดมาดู
"...ทั้งสองห้องเลยเหรอ? บ้าไปแล้ว ฆาบี้ ผม...ผมรับไว้ไม่ได้หรอกครับ"
คนตัวเล็กเสียงสั่น มูลค่าของคอนโดทั้งสองห้องเมื่อรวมกันแล้วเกินสิบล้านบาท
"นายไม่ต้องคิดมากได้ไหม เจนยุทธ เฮ้อ..."
ฆาเบียร์ถอนหายใจ เจคงไม่ยอมรับของขวัญชิ้นใหญ่สองชิ้นนี้ของเขาไว้ง่ายๆ แน่ๆ
"เอางี้ คิดซะว่าฉันฝากนายถือไว้ในฐานะนอมินีของฉัน เวลาทำธุรกรรมหรือต้องเดินเรื่องอะไรจะได้ง่าย อย่างตอนซื้อก็ไม่ต้องมารอเช็คเรื่องสัดส่วนชาวต่างชาติในคอนโดด้วย"
เจพยักหน้าตอบรับด้วยสีหน้าที่ดีขึ้นกว่าเมื่อครู่ เขาพอรู้มาบ้างว่าในอาคารชุดแห่งหนึ่งนั้นจะอนุญาตให้มีผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ห้องเป็นชาวต่างชาติได้ไม่เกิน 49% ของจำนวนห้องทั้งหมด ฉะนั้นก่อนที่ชาวต่างชาติจะซื้อคอนโด จึงต้องทำการตรวจสอบและขอให้ทางคอนโดออกใบรับรองสิทธิ์ให้ก่อนจึงจะทำการโอนได้ เจคิดว่าคนรักของเขาคงไม่อยากจะต้องยุ่งยากกับเรื่องเหล่านี้
"อ๋อ ถ้าเป็นแบบนี้ก็ได้ครับ แต่ถ้าถึงเวลาคุณจะขายทิ้งอะไร เงินก็ต้องกลับเข้ากระเป๋าคุณนะ พวกค่าเช่าอะไรด้วย ผมจะไม่ยุ่ง คุณให้บริษัทนายหน้าที่เชียงใหม่จัดการไปแล้วกัน ถ้าไม่ตกลงตามนี้ ผมก็ไม่เซ็นสัญญาให้"
เจนยุทธพูดเสียงแข็ง ฆาเบียร์พูดไม่ออกและได้แต่ตกลง เขานั่งทำหน้าเซ็งรอคนตัวเล็กที่มีใบหน้าแช่มชื่นขึ้นอ่านเอกสารสัญญาซื้อขายจนเสร็จ
"งั้น กลับไปผมจะไปจัดเตรียมเอกสารตามใบที่ขอมานี่แล้วรีบไปโอนคอนโดให้คุณนะ เสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะบอก"
"จ้ะ ถ้านายไม่สะดวกไปโอนเองก็ทำเรื่องมอบฉันทะอะไรให้เรียบร้อยแล้วกัน นามบัตรนายหน้าอยู่ในแฟ้มเรียบร้อยแล้ว ส่วนเรื่องค่าโอนและค่าคอนโด ฉันจะโอนเข้าไปที่บัญชีของเรานะ..."
คนตัวโตพูดถึงบัญชีที่เขาเปิดไว้ในชื่อของเจที่เชียงใหม่ มันเป็นบัญชีที่เขาเอาไว้ใช้โอนเงินจากต่างประเทศเข้าไปเก็บไว้ ในตอนแรกเขาตั้งใจเอาเงินใส่ไว้เพื่อให้เจเบิกเป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน แต่คนตัวเล็กปฏิเสธอย่างนิ่มนวลและไม่เคยแตะต้องเงินก้อนนี้เลยเว้นแต่ไปเบิกเป็นเงินสดให้ฆาเบียร์นานๆ ทีเมื่อคนตัวโตต้องการเงินไทยติดกระเป๋าไว้
"ครับ ส่วนค่าเช่าห้องของผู้เช่าคุณ ก็ให้นายหน้าเขาโอนเข้าบัญชีนี้ด้วยเลยแล้วกัน ไม่ต้องเอามาเข้าที่ผม โอเคนะ?"
เจนยุทธยื่นคำขาดและฆาเบียร์ก็ทำได้แค่ยอมรับโดยดุษณี หากเจก็ยังดูมีทีท่าขัดอกขัดใจอยู่เล็กน้อย
(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)