---- ปี๋ใหม่เมือง ----
"ฮัลโหล เครื่องลงแล้วเหรอครับ? ผมรอคุณอยู่ที่สตาร์บัคส์นะ ได้กระเป๋าแล้วก็ออกมาได้เลย"
เจตอบรับเสียงทุ้มแหบที่ทักทายเขาอย่างอารมณ์ดี เขามานั่งรอฆาเบียร์ที่ร้านสตาร์บัคส์หน้าประตูฝั่งขาเข้าภายในประเทศของสนามบินเชียงใหม่
"เจ เอ่อ ฉันอยู่ที่ฝั่งอินเตอร์ฯ นะ"
เจนยุทธแทบสำลักกาแฟที่เขาจิบอยู่
"อ้าว เฮ้ย! ก็ไหนคุณขึ้นเครื่องมาจากกรุงเทพฯ ไม่ใช่เหรอ? ก็ตอนจะขึ้นเครื่องคุณบอกว่าคุณผ่านตม. จากกรุงเทพฯ มาแล้ว"
"ใช่ แต่กระเป๋าฉันต้องมาผ่านศุลกากรที่เชียงใหม่ไงจ๊ะ เลยต้องไปรับกระเป๋าที่ฝั่งอินเตอร์ฯ "
คนตัวโตพูดอย่างอารมณ์ดี เจบ่นอุบอิบไปตามเรื่อง
"งั้นเดี๋ยวผมไปวนรถมารับคุณที่ฝั่งอินเตอร์แล้วกัน จวนได้กระเป๋าหรือยังครับ?"
"ไม่ต้องรีบก็ได้ เดี๋ยวถ้ากระเป๋าฉันออกมาแล้ว ฉันมายืนรอเจที่หน้าตึกก็ได้ Take your time, mi amor"
เจโคลงหัว นานๆ ทีฆาเบียร์จะทรานสิทที่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อมาลงที่เชียงใหม่ที โดยปกติแล้ว ถ้าเขามาจากฮ่องกง เขามักบินตรงมาลงเชียงใหม่เลย แต่ช่วงนี้เป็นช่วงสงกรานต์ ตั๋วเครื่องบินหาได้ยาก ตัวฆาเบียร์เองก็ซื้อตั๋วค่อนข้างกระชั้นเพราะเขาไม่แน่ใจว่าจะเคลียร์งานที่ฮ่องกงเสร็จวันไหน ทำให้หาตั๋วบินตรงมาเชียงใหม่ไม่ได้ คนรักของเขาจึงใช้วิธีบินลงที่กรุงเทพฯ และต่อเครื่องขึ้นมาที่เชียงใหม่แทน เขาจึงมาถึงเชียงใหม่เอาตอนเกือบห้าทุ่มแทนที่จะเป็นช่วงหัวค่ำเหมือนทุกครั้ง
เจนยุทธรีบเดินไปที่รถของเขาและขับวนไปยังอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ที่นั่นเมียตัวโตของเขายืนรออยู่แล้วพร้อมกระเป๋าเดินทางใบน้อย
"ทำไมทำหน้าบูดแบบนั้นล่ะจ๊ะ?"
ฆาเบียร์พูดกลั้วหัวเราะเมื่อเปิดประตูรถมาเจอคนตัวเล็กทำหน้าบอกบุญไม่รับใส่ เจย่นจมูกใส่คนรักที่ไม่ได้นัดแนะกับเขาให้ดีก่อนว่าให้รับที่ไหน เขากะจะกอดเมียตัวโตของเขาแน่นๆ ให้สมใจตั้งแต่ตอนที่พ่อเจ้าประคุณเดินออกมาจากประตูทางออก แต่ตอนนี้ที่ทำได้ก็แค่จุ๊บเร็วๆ ก่อนที่ยามจะเดินมาไล่รถของเขาที่จอดอยู่หน้าจุดรับส่งเท่านั้น
"ชื่นใจ"
ฆาเบียร์พูดหลังจากแอบหอมแก้มคนรักฟอดใหญ่เมื่อเจจอดรถที่ลานจอดของคอนโด เจนยุทธหันไปหาคนรักและดึงตัวเข้ามาป้อนจูบอย่างดูดดื่มให้ทันที ฆาเบียร์จูบตอบคนรักอย่างไม่ยอมแพ้กัน เวลาสองเดือนที่ต้องอยู่ห่างกันทำให้พวกเขาต้องการกันและกันมากเหลือเกิน
"ขึ้นห้องกันเถอะ เจ"
คนตัวโตกระซิบเสียงกระเส่า เจนยุทธพยักหน้า ริมฝีปากอันร้อนผ่าวของฆาเบียร์ทำให้เขารู้สึกเร่าร้อนขึ้นมา เขาดับเครื่องและรีบยกกระเป๋าของฆาเบียร์ลงจากรถ ฆาบี้ยื่นมือให้คนรักเกาะกุมและพากันเดินเข้าลิฟท์
"ผมคิดถึงคุณจัง"
เจพูดเบาๆ และเบียดกายเข้ากับกายอุ่นของคนรัก ฆาเบียร์ยกแขนขึ้นโอบกระชับไหล่ของเจนยุทธและก้มลงหอมเรือนผมนิ่มเบาๆ
"ฉันก็คิดถึงเจนะ คิดถึงมากๆ "
เจหันไปจ้องมองแววตาแพรวพรายของคนรัก ฆาเบียร์ยิ้มกริ่มและกระซิบข้างๆ หูคนตัวเล็กของเขาเบาๆ
"คืนนี้ฉันขอกอดเจทั้งคืนให้หายคิดถึงได้ไหม?"
หากฆาเบียร์ก็ต้องแปลกใจเมื่อเจส่งเสียงเบาๆ ในลำคอเป็นการตอบรับ เขาคิดไว้ว่าเจน่าจะโวยวายแล้วบอกว่าตัวเองต่างหากที่จะเป็นฝ่ายกอด แต่คนรักของเขากลับมีท่าทียินยอมพร้อมใจ
"ผมเตรียมตัวไว้แล้วครับ ฆาบี้ คืนนี้ผมจะปรนนิบัติคุณเอง"
เจนยุทธหันมาบอกคนรักเมื่อพวกเขาออกจากลิฟท์ เจต้องการจะเอาใจคนตัวโตที่ต้องตรากตรำทำงานหนักตลอดช่วงเวลาสองเดือนที่ผ่านมา ฆาเบียร์แทบรอให้เจเปิดประตูไม่ไหว ทันใดที่ประตูห้องปิดลง คนตัวโตก็ทิ้งของและปรี่เข้าหาคนรัก เขาบดจูบลงบนริมฝีปากรูปกระจับที่เผยอรออยู่แล้ว เจยกมือโอบคอของฆาเบียร์ไว้และสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากของคนตัวโต เรียวลิ้นของทั้งสองพันไล้เกี่ยวเกาะกัน มือของทั้งคู่ช่วยกันถอดดึงเสื้อผ้าของอีกฝ่ายออกจากตัว
"ฆาบี้!"
เจอุทานออกมาเบาๆ เมื่อคนตัวโตอุ้มร่างที่เกือบเปลือยของเขาขึ้นและพาเดินเข้าในห้องนอน ฆาเบียร์ค่อยๆ วางร่างของคนรักลงบนเตียงและลงนอนทาบทับ เจโอบรับร่างคนรักไว้ด้วยความยินดี ริมฝีปากของทั้งคู่ล็อคติดกันอีกครั้ง คนตัวโตจูบพรมไปทั้งร่างของคนรักให้สมกับความคะนึงหา เขาทิ้งรอยรักไว้เป็นทาง เจสะท้านกายเมื่อริมฝีปากร้อนผ่าวของเมียตัวโตของเขาดูดดุนที่เม็ดทับทิมที่แดงก่ำเพราะแรงอารมณ์ของเขา ฆาเบียร์ใช้ลิ้นสะกิดเขี่ยตุ่มไตที่ชูชันขึ้นมา เขากำลังพยายามข่มใจไม่ให้ทำรุนแรงลงไป แต่ก็เหมือนจะอดไม่ได้ เจซี้ดปากออกมาเมื่อคนรักขบเบาๆ ที่ยอดอกของเขา
"คุณครับ ใจเย็นๆ นะ ผมไม่หนีไปไหนหรอก"
เจพูดกลัวหัวเราะและลูบผมสีน้ำตาลเข้มที่ดูเหมือนจะยาวขึ้นจนเกือบประบ่าแล้ว คนตัวโตคงโหมทำงานจนไม่ค่อยได้ดูแลตัวเอง
"คืนนี้ฉันไม่ให้นายได้นอนแน่ เจนยุทธ"
คนตัวโตขู่เบาๆ พร้อมกับพรมจูบไล่ลงมาตามแผงอก ท้องและลงไปสู่ท้องน้อย เจครางออกมาเบาๆ เมื่อฝ่ามือของคนรักสัมผัสกับส่วนอ่อนไหวที่แข็งตัวขึ้นจนเขาเริ่มปวดแล้ว
"ฆาเบียร์ นั่นแหละครับ ตรงนั้น"
เจส่งเสียงดังออกมาพร้อมกับยกสะโพกขึ้นอย่างลืมตัว นอกจากจะใช้ปากให้ความสุขเขาแล้ว ฆาเบียร์ยังใช้นิ้วที่ชุ่มเจลชำแรกเข้าไปกดย้ำๆ ที่จุดเสียวภายในช่องทางด้านหลังของเจ
"ตอดนิ้วฉันใหญ่เลยนะ เจ เสียวมากเลยเหรอ?"
คนตัวโตผละออกจากแท่งลำขนาดเกินตัวของคนรักและเงยหน้าขึ้นถามคนที่บิดกายเร่าๆ อยู่
"เสียวสิครับ ทำต่อสิ ฆาบี้ ผมจวนแล้ว"
เจนยุทธโอดครวญพร้อมดันหัวเมียตัวโตลง ฆาเบียร์ยิ้มกริ่มและบริการคนรักของเขาต่อ เจสูดปากลั่น โพรงปากของฆาเบียร์ในวันนี้ร้อนกว่าที่เคย มันทำให้เขารู้สึกมากเหลือเกิน ไม่นานนักเจก็คำรามหนักๆ ออกมา ฆาเบียร์กลืนกินทุกหยดหยาดของคนรักและขยับตัวขึ้นนั่ง เขาดันขาทั้งสองของเจให้อ้ากว้างออก แต่ก่อนที่จะทันทำอะไรต่อ ฆาเบียร์กลับรู้สึกมึนหัววูบขึ้นมา
"ฆาบี้ เป็นอะไรหรือเปล่า?"
เจรู้สึกได้ถึงความผิดปกตินี้เช่นกัน เขายันกายขึ้นนั่งและถามคนตัวโตที่หลับตานิ่ง
"เจ ฉัน ฉันขอโทษ คืนนี้ฉันคงไม่ไหวแล้ว"
ฆาเบียร์พูดด้วยเสียงแผ่วเบาก่อนจะล้มตัวลงนอนเคียงข้างคนรัก เจใจหายวาบเมื่อเห็นใบหน้าที่แดงก่ำของคนรัก เขารีบลุกมาดูอาการของฆาเบียร์ คนตัวโตนอนหลับตานิ่งและก่นด่าตัวเองเบาๆ เป็นภาษาแม่ ไอ้ยาเจ้ากรรมที่เขากินก่อนขึ้นเครื่องเมื่อประมาณสิบกว่าชั่วโมงที่แล้วดันหมดฤทธิ์เสียได้
"ตัวร้อนจี๋เลย ฆาบี้ คุณมีไข้นี่?"
เจเอามืออังหน้าผากและซอกคอของฆาเบียร์แล้วร้องลั่นออกมา เมื่อสักครู่ที่เขารู้สึกว่าตัวคนรักร้อนกว่าปกตินั้นเป็นเพราะพิษไข้ ไม่ใช่เพราะอารมณ์ใคร่แต่อย่างใด เจนยุทธรีบลุกขึ้นเปิดไฟและถามไถ่อาการคนรัก และได้ความว่าพ่อเจ้าประคุณเริ่มมีไข้มาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่เขาก็ยังฝืนไปทำงานเพื่อเคลียร์ทุกอย่างให้เสร็จก่อนขึ้นเครื่อง
“คุณนอนพักไปก่อน เดี๋ยวผมจะไปหายาลดไข้มาให้”
เจจับคนตัวโตนอนห่มผ้าและรีบลุกไปค้นยาจากกระเป๋ายามาให้ ฆาเบียร์รับมันมากินแล้วเอนกายลงนอนอีกครั้ง เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ฉันขอโทษจริงๆ นะเจ ฉันนี่มันไม่ได้เรื่องจริงๆ”
คนตัวโตบ่นตัวเองอีกยกใหญ่ เจนยุทธอุตส่าห์เตรียมตัวไว้ให้เขา แต่เขากลับตอบสนองมันไม่ได้
“โอ๊ย ไม่ต้องคิดมากหรอกคุณ รักษาตัวให้หายก่อนดีกว่าน่า คุณนอนไปก่อนเถอะ เดี๋ยวผมจะเอาผ้ามาเช็ดตัวให้ หลับไปก่อนเถอะนะ โอเค๊?”
ฆาเบียร์พยักหน้าแล้วหลับตาลงอย่างว่าง่าย เขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อรู้สึกถึงความชื้นของผ้าที่ลูบไล้ไปทั่วกายเขา
“คุณนี่นะ ไม่สบายก็ยังอุตส่าห์…”
เจบ่นเบาๆ เมื่อเช็ดไปจนถึงบริเวณขาหนีบของคนรักแล้วพบว่าส่วนสำคัญของฆาเบียร์ยังคงตื่นตัวเต็มที่
“ก็โดนเจลูบไปลูบมาแบบนี้ ใครจะไปทนไหวล่ะ”
ฆาเบียร์พูดเสียงอ่อยๆ
“เจจ๋า…”
เมียตัวโตของเจนยุทธเรียกชื่อเขาด้วยเสียงอ่อนหวาน พร้อมกับดึงมือของคนรักให้ไปเกาะกุมส่วนสงวนของตัวเอง
“ช่วยฉันทีเถอะนะ ไม่งั้นฉันคงนอนไม่หลับแน่ๆ”
คนตัวเล็กตอบรับด้วยการกระทำ เขาขยับมือช้าๆ ก่อนที่จะค่อยๆ ใช้ปากนิ่มครอบลง ฆาเบียร์แอ่นกายขึ้นเพราะความเสียวซ่าน เขาอดครางเบาๆ ออกมาไม่ได้ เจใช้เวลาไม่นานก็จัดการคนป่วยจอมหื่นของเขาจนครางลั่นออกมา
“ไหวไหมครับคุณ?”
เจนยุทธถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นคนตัวโตทำท่าหมดเรี่ยวแรง ฆาเบียร์พยักหน้าเนือยๆ ในหัวเขาว่างเปล่าไปหมดซึ่งไม่รู้ว่าเพราะพิษไข้หรือเพราะรู้สึกดีเกินไปก็ไม่รู้ได้ เจประคองคนรักให้ลุกไปเข้าห้องน้ำห้องท่าให้เรียบร้อย จากนั้นจับฆาเบียร์ใส่เสื้อยืดและกางเกงนอนซึ่งโดยปกติไม่ค่อยได้ใส่เท่าไหร่นักและพากลับมานอนบนเตียง ไม่นานนักคนป่วยก็ผลอยหลับไป
“อย่าฝืนตัวเองเกินไปสิครับ คุณมาร์ติเนซ”
เจกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของคนรัก เขาลูบผมสีน้ำตาลเข้มที่แผ่สยายบนหมอนและจ้องมองใบหน้าคมเข้มแบบหนุ่มละตินของฆาเบียร์อย่างหลงใหล คนรักของเขากลับมาหาเขาแล้ว
“ฝันดีนะครับ คนดีของผม”
เจนยุทธจูบแผ่วๆ ที่หน้าผากของฆาเบียร์และและลงนอนเคียงข้างร่างใหญ่กำยำนั้นและเข้าสู่ห้วงนิทรา
ฆาเบียร์ตื่นขึ้นมาโดยยังรู้สึกหนักหัวและหน้าตาอยู่เล็กน้อย เขาพลิกตัวไปควานหาคนข้างกาย แต่ก็พบว่าเจนยุทธได้ลุกไปแล้ว เขาหยิบนาฬิกามาดูแล้วเห็นว่ามันสายโด่งแล้ว คนตัวโตขยับกายขึ้นนั่งและตะโกนเรียกคนรักเบาๆ เขาได้ยินเสียงตอบรับจากนอกห้องนอน ไม่นานเจนยุทธก็เปิดประตูเข้ามา
"คุณยังไม่ต้องรีบลุกก็ได้ครับ ฆาบี้ นอนต่อเถอะ"
เจดันร่างคนรักที่ทำท่าจะลุกขึ้นจากเตียงให้นอนลงเหมือนเก่า
"จะสิบเอ็ดโมงแล้วนะเจ ไหนว่าวันนี้เราจะไปบ้านแม่กันไง? ต้องไป happy Thai new year แม่ไม่ใช่เหรอ?"
ฆาเบียร์ถาม เจบอกเขาตั้งแต่ก่อนมาถึงแล้วว่าจะพาเขากลับไปบ้านที่แม่แตง
"ไปน่ะไปแน่ครับ แต่ถ้าคุณยังไม่ไหวก็นอนพักก่อนเถอะ เราไปบ่ายๆ เย็นๆ ก็ได้"
เจดึงผ้าห่มขึ้นคลุมกายฆาเบียร์ หากคนตัวโตไม่ยอมนอนง่ายๆ เขาฉุดข้อมือคนรักไว้และดึงจนเจเสียหลักเซล้มลงบนเตียง
"เฮ้ๆ เดี๋ยวก็ไข้ขึ้นอีกหรอกคุณ"
เจย่นจมูกใส่เมียตัวโตที่พลิกกายขึ้นคร่อมร่างของเขา ฆาเบียร์ไม่ตอบแต่บรรจงจูบแผ่วๆ ที่ริมฝีปากของสุดที่รักของเขา เจจูบตอบ ทั้งคู่แลกเปลี่ยนความรู้สึกกันอย่างอ่อนโยนอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ฆาเบียร์จะทิ้งกายลงนอนเคียงข้างคนรัก เขารู้ตัวดีว่าถึงไข้จะลดแล้ว แต่เขาคงยังจะให้ความสุขเจนยุทธได้ไม่เต็มที่ในตอนนี้และตัดสินใจจะรออีกหน่อย เจพลิกกายมานอนซบอกคนรักและจูบเบาๆ ที่อกซ้ายของฆาเบียร์ เขาเอาหูแนบเพื่อฟังเสียงหัวใจของคนรัก คนตัวโตโอบร่างของเจนยุทธไว้และจูบหน้าผากเนียนอย่างอ่อนโยน
"ผมรักคุณนะ ฆาบี้"
เจพูดงึมงำกับแผงอกกว้างของคนตัวโต
"ฉันก็รักเจจ้ะ"
ฆาเบียร์จูบเรือนผมนิ่มและกระชับวงแขนเข้าอีก เขาคิดถึงร่างอุ่นๆ นี้เหลือเกิน ความรู้สึกที่เอ่อท้นขึ้นมาทำให้เขารัดร่างเจแน่นจนอีกฝ่ายทำหน้านิ่ว
"ฆาเบียร์ครับ..."
เจกระซิบเบาๆ ฆาบี้รีบคลายวงแขนของเขาออกเมื่อรู้ตัว
"ขอโทษจ้ะ ฉัน เอ่อ ฉันเผลอไปหน่อย"
"ไม่เป็นไรครับ ฆาบี้ ว่าแต่คุณโอเคนะ?"
เจลูบแผงอกคนรักเบาๆ เขาเข้าใจความรู้สึกของพ่อคนอ่อนไหวคนนี้ดี คนตัวเล็กขยับยันกายขึ้นแล้วจุ๊บเบาๆ ที่ปลายคางของคนรัก
"ป่ะ ไหนๆ คุณก็ตื่นแล้ว เราอาบน้ำอาบท่าแล้วกินข้าวกันดีกว่า ผมหิวแล้ว"
เจนยุทธโดดลงเตียงแล้วดึงคนตัวโตให้ลุกขึ้นและรุนหลังให้เข้าไปในห้องน้ำ
"อาบน้ำเองไหวใช่ไหมครับ หรือว่าต้องให้ผมไปช่วยอาบให้?"
ฆาเบียร์ลากคนรักเข้าไปในห้องน้ำแทนคำตอบ เสียงน้ำดังขึ้นพร้อมกับเสียงอุทานของเจและเสียงหัวเราะกระหึ่มของฆาเบียร์
"นายจะไม่ใจอ่อนจริงเหรอ? mi vida"
คนตัวโตทำเสียงออดอ้อน เขาเปลี่ยนใจและพยายามทวงสัญญาที่เจให้ไว้เมื่อวานนี้ แต่คนตัวเล็กก็ไม่ยอมใจอ่อน
"ไม่ต้องเลย เดี๋ยวสักพักจะไปบ้านแม่แล้ว ไว้คืนนี้แล้วกันนะครับ ฆาบี้ ถ้าคุณจะไม่ไข้ขึ้นอีกรอบนะ เอ้า นี่ กินโจ๊กก่อน"
เจตอบยิ้มๆ แล้วส่งถ้วยโจ๊กให้ฆาเบียร์ เขาออกไปซื้อโจ๊กจากร้านโจ๊กศรีพิงค์ที่ตลาดต้นพยอมมาไว้ตั้งแต่ก่อนฆาเบียร์จะตื่น และตอนนี้เขาอุ่นมันร้อนๆ ให้คนรัก ฆาเบียร์รับถ้วยโจ๊กมา โจ๊กของไทยรสชาติแตกต่างจากโจ๊กฮ่องกง แต่เขาก็ชอบกินมัน โดยเฉพาะเจ้าหมี่กรอบที่โรยหน้านั้นเป็นของโปรดของเขาทีเดียว ฆาเบียร์ตักเนื้อโจ๊กที่ข้าวจะยังเป็นเม็ดกว่าโจ๊กฮ่องกงขึ้นกิน โดยปกติเจมักจะซื้อโจ๊กหมูใส่ไข่ให้เขา ส่วนตัวเจนั้นจะกินโจ๊กหมูใส่ตับและมักจะพ่วงมาด้วยต้มเลือดหมูอีกถ้วยหนึ่ง เจเคยพยายามชวนเขาให้ชิมเจ้าซุปที่ใส่ทั้งเลือดและเครื่องใน แต่เขาก็ปฏิเสธทุกครั้งจนเจ้าตัวเลิกถาม
"ปาท่องโก๋ไหมครับ? แต่มันไม่ร้อนแล้วนะ"
เจส่งถุงกระดาษใส่ปาท่องโก๋ให้เขา ฆาเบียร์รับเอาเจ้าแป้งทอดที่เขารู้จักในชื่อภาษากวางตุ้งว่า 'โหย่วจาไกว๋' นี้มาชิ้นหนึ่ง เขาเคยถามเจเรื่องชื่อของขนมชนิดนี้ แต่เจก็บอกว่ามันน่าจะเป็นเรื่องความเข้าใจผิดหรือความสับสนระหว่างชื่อขนมทำให้คนไทยเรียกมันว่าปาท่องโก๋แทนที่จะเรียกชื่อจริงๆ ของมัน เจบอกว่าเขาเคยอ่านเจอว่า 'ปาท่องโก๋' ที่แท้จริงนั้นทำจากแป้งข้าวเจ้าผสมน้ำตาลแล้วนำไปนึ่ง โดยจะได้ออกมาเป็นขนมสีขาวเนื้อพรุนเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันกลายมาเป็นชื่อเรียกของไอ้เจ้าแป้งทอดชนิดนี้ไปได้อย่างไร
"ผมเดาว่าเมื่อก่อนมันอาจจะเคยขายคู่กัน แล้วคนซื้อก็สับสนและพาลเรียกชื่อเดียวกันไปหมด"
เจนยุทธเคยคาดเดาไว้เช่นนั้น และฆาเบียร์ก็เห็นว่ามันน่าจะเป็นสมมุติฐานที่เป็นไปได้
“นี่ mi amor เดี๋ยวพอถึงบ้านแม่แล้วฉันต้องทำอะไรบ้าง?”
ฆาเบียร์ถามขึ้นด้วยความสงสัย เขาไม่รู้ธรรมเนียมปฏิบัติในวันปีใหม่ของชาวไทยเลยแม้แต่นิดเดียว อันที่จริงเขาเคยเข้าใจว่าวันสงกรานต์นั้นเป็นเพียงเทศกาลชาวไทยออกมาสาดน้ำเล่นเพื่อคลายร้อนกันเสียด้วยซ้ำ
“อืมม์ ว่าไงดี…”
เจซึ่งกำลังขับรถพาคนรักออกจากเมืองครุ่นคิดก่อนจะตอบไป
“เทศกาลสงกรานต์ก็อย่างที่ผมบอก มันคือปีใหม่ของคนแถบเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครับ โดยยึดการคำนวนทางดาราศาสตร์ ผมก็จำไม่ได้แล้วว่าคำนวนตามอะไร แต่มันคือการที่พระอาทิตย์ย้ายออกจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ อันที่จริงมันก็มีเคลื่อนบ้างเป็นปีๆ ไป แต่ทางการไทยกำหนดวันชัดเจนว่าเป็นวันที่ 13-15 เมษายน…”
เจอธิบายต่อไปว่าสำหรับชาวล้านนา เทศกาลสงกรานต์เริ่มต้นด้วยวันสังขานต์ล่องซึ่งถือเป็นวันสิ้นสุดศักราชเก่า
“ในวันนี้ คนล้านนาเชื่อกันว่าเป็นวันที่ตัวสังขานต์ซึ่งมีรูปร่างเป็นตาแก่ยายแก่จะล่องแพมาเก็บเอาความสกปรก ความโชคร้าย ความไม่ดีของปีเก่าไปทิ้งมหาสมุทร ในวันนี้คนล้านนาเราก็จะตื่นแต่เช้าแล้วทำการยิงปืน จุดพลุ จุดประทัดให้ความเสนียดจัญไรต่างๆ มันหลบหนีออกไปจากบ้านพร้อมกับปู่ย่าสังขานต์…”
แต่เจว่าปัญหาที่ตามมาในช่วงหลังนี้คือปัญหาเรื่องกระสุนปืนที่ตกใส่บ้านเรือนคนอื่น
“ฉะนั้น ถ้าจะทำตามธรรมเนียมนี้ ก็ควรใช้ประทัดดีกว่าครับ”
เจพูดยิ้มๆ เขาอยากจะอธิบายเพิ่มเติมว่าธรรมเนียมเรื่องปีใหม่เมืองของคนทางเหนือนั้นต่างจากชาวภาคกลาง คนเหนือนั้นไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องนางสงกรานต์หรือท้าวกบิลพรหมเลย แต่เน้นไปเรื่องของตัวสังขานต์มากกว่า ส่วนการที่มีนางสงกรานต์นั่งรถแห่นั้นเป็นการทำตามแบบของภาคกลางที่แพร่เข้ามาภายหลัง แต่ว่าเรื่องเหล่านี้มันก็อาจจะดูเข้าใจยากสำหรับชาวต่างชาติอย่างฆาเบียร์ไปสักหน่อย เขาจึงไม่ได้เล่าไป
“วันนี้จะเป็นวันที่ผู้คนช่วยกันทำความสะอาดบ้านเรือน ซักผ้าห่มที่นอนหมอนมุ้งเพื่อรับการมาของปีใหม่ ผมก็ซักผ้าไปหมดแล้วล่ะ คุณได้สังเกตหรือเปล่า”
ฆาเบียร์พยักหน้า ต่อให้ไม่สบาย เขาก็ยังได้กลิ่นหอมของผ้าซักใหม่ เจบอกว่าในวันที่ 13 เขาตื่นมาทำความสะอาดห้องแต่เช้า จากนั้นหอบบรรดาผ้าห่มและอื่นๆ ไปที่บ้านแม่เพื่อเอาไปซักตากที่นั่นหลังจากช่วยแม่ทำความสะอาดบ้านแล้ว
“ในวันที่ 13 ในเมืองก็จะมีการแห่พระพุทธสิหิงค์องค์จำลองซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ไปตามถนนท่าแพ ไปสู่วัดพระสิงห์ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานครับ ระหว่างทางคนก็จะมาทำการสรงน้ำพระกัน เอ่อ ก็คือการเอาน้ำมารดองค์พระครับ ถ้าไม่ทันขบวน ก็ไปสรงต่อที่วัดได้ เขาจะเปิดให้คนได้สรงน้ำพระในช่วงสามสี่วันนี้”
ฆาเบียร์บ่นเสียดายที่เขาพลาดไม่ได้เห็นขบวนแห่พระพุทธรูปที่เจว่า ถึงตัวเขาจะเป็นแคธอลิค แต่เขาก็มีความสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับธรรมเนียมปฏิบัติของศาสนาอื่น
“วันที่สองของสงกรานต์ซึ่งก็คือเมื่อวาน เรียกว่าวันเนาว์ หรือที่บางคนเรียกวันเน่าครับ ถือเป็นวันคาบเกี่ยวระหว่างปีเก่ากับปีใหม่ ในทางโหราศาสตร์แล้วถือเป็นวันไม่ดี ในวันนี้จะห้ามด่าทอหรือพูดจาไม่ดีใส่กัน เพราะเชื่อว่าจะทำให้ปากเน่า”
“มันก็มีส่วนคล้ายกับตรุษจีนเหมือนกันนะเจ แต่ตรุษจีน วันที่ห้ามพูดจาไม่ดีคือวันตรุษเลย”
เจพยักหน้า
“ใช่ครับ อีกส่วนหนึ่งที่คล้ายคือ วันนี้จะเป็น 'วันดา' หรือวันที่คนเหนือไปจับจ่ายใช้สอยของที่ตลาดเพื่อมาเตรียมใช้ในวันปีใหม่ และมีการเตรียมทำอาหารไว้เลี้ยงอีกด้วย เทียบได้กับวันจ่ายของคนจีนครับ แล้วของทางตะวันตกเหมือนแบบนี้หรือเปล่าครับ?"
เจนยุทธถามคนรักผู้ใช้ชีวิตอยู่ในหลายวัฒนธรรม
"เออ นั่นสิ ฉันก็ไม่ได้สังเกตเสียด้วยสิ ทางตะวันตกไม่น่าจะมีธรรมเนียมอะไรแบบนี้เหมือนทางเอเชียนะ ถ้ามีก็น่าจะเป็นช่วงคริสตมาสเลยมากกว่าที่คนมารวมตัวกันเพื่อเตรียมอาหาร อะไรพวกนี้ ส่วนปีใหม่ก็เหมือนจะเป็นแค่วันสังสรรค์เท่านั้น..."
ฆาเบียร์บอกว่าโดยปกติแล้ว พ่อแม่เขาและอาปาก็มักจะฉลองกันเงียบๆ ที่บ้าน ไม่ก็ไปตามงานเลี้ยงที่บริษัทนั้นนี้เชิญมา แต่เขานั้นมักจะไปฉลองและเมาอยู่ตามสถานบันเทิงไม่ก็บ้านเพื่อนมากกว่า
"อ๋อ มีธรรมเนียมอย่างหนึ่งที่ฉันเคยทำตอนเด็กๆ คือ พอนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืนปุ๊บ พวกเราก็จะต้องกินองุ่น 12 ลูกจนหมดก่อนนาฬิกาจะหยุดตี มันเป็นธรรมเนียมที่ทางละตินอเมริกาได้มาจากประเทศสเปนจ้ะ"
"โหย ไม่ติดคอกันแย่เหรอครับ?"
เจหัวเราะคิกเมื่อนึกภาพคนรีบเคี้ยวองุ่น 12 ลูกให้หมดในเวลา 12 วินาที
"ตอนเด็กๆ นี่ฉันต้องซ้อมกินก่อนด้วยนะ เพราะผู้ใหญ่เขาขู่ไว้ว่าถ้าทำไม่ทันปีนั้นจะซวยไปทั้งปี"
ฆาเบียร์ทำเสียงจริงจัง เจยิ่งหัวเราะเมื่อนึกถึงภาพหนุ่มน้อยฆาบี้ฝึกฝนกินองุ่น
"ตอนเลี้ยงปีใหม่ปีหน้าเราก็ชวนทุกคนทำแบบนี้มั่งดีไหมคุณ? จะได้มีกิจกรรมทำเพิ่มขึ้นอีก"
"ก็ได้จ้ะ เตรียมองุ่นลูกเล็กๆ หน่อยแล้วกัน จะได้กินทัน"
"อ้าว เฮ้ย แบบนี้มันขี้โกงแล้วคุณ!"
เจโวยขึ้น ฆาเบียร์หัวเราะเมื่อเห็นท่าทีจริงจังของคนรัก
"เอ้า ไหน เล่าเรื่องวันสิ้นปีของไทยต่อซิ เจนยุทธ นอกจากเตรียมอาหารแล้วต้องทำอะไรอีกมั่ง?"
"กิจกรรมอีกอย่างที่คนนิยมทำในวันเนาว์คือการขนทรายเข้าวัดครับ"
"หือ? ขนไปทำไมล่ะ?"
เจครุ่นคิดและพยายามเรียบเรียงคำอธิบายเป็นภาษาอังกฤษ การพยายามอธิบายเรื่องราวเหล่านี้ให้ชาวต่างชาติฟังไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
"สมัยก่อน วัดถือเป็นศูนย์กลางของชุมชน แล้วในวัดของภาคเหนือ รอบอุโบสถมักจะเป็นลานที่ปูด้วยทราย สาเหตุส่วนหนึ่งคือเพื่อเอาไว้ใช้เวลาต้องก่อสร้างอะไรเพิ่มเติม อีกส่วนหนึ่งก็เพื่อความสะอาดครับ คือสมัยก่อนคนจะเดินเท้าเปล่าใช่ไหม? ก็อาจจะติดฝุ่นหรือขี้โคลนอะไรมา แล้วพอมาเดินบนทราย ทรายจะช่วยขัดเอาสิ่งสกปรกออกก่อนที่ขึ้นไปบนตัวอุโบสถ"
"ว้าว นี่เรียกว่าเป็นภูมิปัญญาของคนโบราณเลยนะ เจ นายนี่รู้มากจริงๆ"
เจยิ้มอายๆ และบอกว่าเขาไปหาอ่านมาเพื่อมาอธิบายให้ฆาเบียร์ฟังโดยเฉพาะ
"แล้วทำไมต้องขนทรายมาในช่วงสงกรานต์ล่ะ? ทำไมไม่ขนมาในช่วงอื่น"
คนตัวโตถามอย่างสงสัย
"มันก็เป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งครับ คือช่วงเดือนเมษายนเนี่ยมันเป็นช่วงหน้าแล้ง น้ำในแม่น้ำลำคลองก็จะตื้นเขิน ทำให้คนไปขุดลอกเอาทรายจากในแม่น้ำขึ้นมาได้โดยง่าย อีกทั้งช่วงนี้เป็นช่วงที่ว่างเว้นจากการทำงานอยู่แล้ว ก็ถือว่าได้อาศัยแรงจากคนหนุ่มสาวไปเอาทรายมาให้ที่วัด คนก็เต็มใจขนมาให้เพราะถือว่าเป็นการนำทรายที่อาจจะเหยียบติดเท้าออกวัดไปในช่วงปีที่ผ่านมามาคืนวัด"
เจนยุทธบอกว่าสำหรับคนรุ่นใหม่ การขนทรายเข้าวัดนั้นเหลือแค่เป็นกิจกรรมหนึ่งในช่วงสงกรานต์เท่านั้นและคงไม่ได้นึกไปถึงที่มาที่ไปของมัน เพียงแต่รู้ว่ามันได้บุญ ได้อานิสงส์มากแค่นั้น
"พอเราขนทรายเข้าไปในวัดแล้วก็จะเอาไปก่อเป็นเจดีย์ทรายครับ นี่มันก็มีที่มาเหมือนกันว่าทำไมต้องทำเป็นรูปเจดีย์ แต่ผมจำไม่ได้แล้ว"
เจหัวเราะแหะๆ เขาอ่านมาเยอะจนตีกันไปหมดแล้ว
"พอก่อเสร็จ ในวันพญาวันหรือวันขึ้นปีใหม่ซึ่งก็คือวันนี้ เราก็จะเอาตุงหรือธงที่ทำจากกระดาษสาไปปักครับ สมัยก่อนตุงพวกนี้คนเฒ่าคนแก่และหนุ่มสาวจะนั่งทำเอง ตัดเองที่บ้านในวันก่อนหน้า แต่สมัยนี้เหรอครับ นู่นครับ ซื้อกาดหลวง"
เจพูดยิ้มๆ เขาบอกว่าในกาดวโรรสเหลือร้านขายตุงอยู่เพียงร้านเดียวเท่านั้น ตอนเขาเด็กๆ เขาชอบไปนั่งดูยายเจ้าของร้านตัดตุงไส้หมูและยังขอให้สอนเขาด้วย แต่พอโตขึ้นเขาก็ลืมวิธีทำไปหมดแล้ว
"พูดถึงขนทราย ผมก็ไม่ได้ทำมาหลายปีดีดักแล้ว ปีนี้ก็ไม่ได้ทำ"
สำหรับเด็กรุ่นใหม่อย่างเจ เทศกาลสงกรานต์ก็คงเป็นแค่วันที่ไปสาดน้ำเล่นอย่างสนุกสนานเท่านั้น
"ปีหน้าถ้าทำได้ คุณมาให้ตรงช่วงเริ่มเทศกาลสงกรานต์สิฆาบี้ ผมจะพาคุณไปทำให้ครบเลย ทั้งสาดน้ำ สรงน้ำพระแล้วก็ขนทรายเข้าวัดด้วย"
เจบอกว่านอกจากขนทรายเข้าวัดแล้ว สิ่งที่คนล้านนายังนิยมเอาไปถวายวัดคือตุงหลากหลายแบบ ทั้งตุงเทวดา ตุงสิบสองนักษัตร และตุงไส้หมู อีกทั้งยังมีการนำไม้ค้ำโพธิ์ หรือที่คนล้านนาเรียกว่าไม้ก๊ำสะหลีไปถวายวัดอีกด้วย
"ผมก็เดาว่าของพวกนี้ก็คงเป็นของที่วัดจะเอาไปใช้งานได้ภายหลังทั้งนั้นแหละครับ"
เจพูดยิ้มๆ เขาเชื่อว่าทุกธรรมเนียมนั้นมีเหตุผลของมันเสมอ
"แล้วทำไมต้องสาดน้ำกันวันสงกรานต์ด้วยล่ะ? เพื่อให้คลายร้อนงั้นเหรอ?"
คนตัวโตถามอีก
"อืมม์ ก็คงงั้นแหละ คือช่วงปีใหม่เมืองนี้ เรามีอีกธรรมเนียมสำคัญอย่างการรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ มันถือเป็นการอวยพรปีใหม่ ทางเหนือจะถือว่าการดำหัวเป็นการชำระล้างสิ่งไม่ดีออกจากตัว โดยทั่วไปจะเป็นเรื่องที่ทำกันในครอบครัว อย่างวันนี้ ผมก็จะพาคุณไปดำหัวแม่..."
เจเดาว่าการสาดน้ำสงกรานต์นั้นก็คงเป็นการปรับเอาแนวความคิดการดำหัวนี้ให้เป็นการรดน้ำผู้อื่นเพื่อเป็นการอวยพรปีใหม่
"ผมเคยถามแม่ว่าสมัยแม่สาวๆ เค้าเล่นน้ำสงกรานต์กันแบบนี้ไหม แม่บอกว่าเขาก็เล่นกันนะ แต่มันไม่ได้สาดกันโครมๆ เป็น water war เหมือนสมัยนี้หรอกนะ โอเค ก็มีการออกไปเล่นน้ำกันตามถนนเพื่อคลายร้อนแหละ แต่ก็ใช้วิธีถือขันน้ำกันคนละใบ แล้วก็มีขันเล็กเอาไว้ตักน้ำในขันรดบ่า รดหลังคนอื่น เวลาจะรดก็ต้องขอก่อนโดยเฉพาะเพศตรงข้าม จะมีพวกห่ามๆ ที่สาดน้ำกันบ้าง แต่ก็ไม่ใช่เหมือนทุกวันนี้ แต่ผมน่ะ โตมากับยุคที่สงกรานต์เป็นแบบตอนนี้แล้ว ไม่เคยเห็นภาพแบบที่แม่ว่าเลย"
เจพูดกลั้วหัวเราะ ตาเขายังคงจ้องมองถนน ช่วงนี้เขาต้องขับรถด้วยความระมัดระวังเนื่องจากมีคนต่างถิ่นขับรถเข้ามาในเชียงใหม่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังต้องระวังคนที่เมาตั้งแต่หัววันอีกด้วย
(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)