CHAPTER 6
ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศตกกระทบแขนเรียวที่โผล่พ้นผ้าห่มผืนบางออกมาจนส่งผลให้เจ้าของร่างโปร่งที่นอนตะแคงอยู่รู้สึกตัว ใบหน้าที่มีรอยแผลข้างๆ มุมปากเล็กน้อยนิ่วหน้าลงทันทีเมื่อสติที่ก่อตัวขึ้นทำให้เขารับรู้ถึงความเจ็บมากมายที่ประเดประดังเข้ามาจนภีมที่พยายามพลิกตัวเพื่อนอนหงายส่งเสียงร้องครางในลำคออย่างยากที่จะฝืน
ร่างโปร่งกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากก่อนจะลืมตาขึ้นช้าๆ พร้อมกับกวาดสายตามองไปยังสิ่งของรอบๆ กายภายในห้องที่เขานอนอยู่
ภีมมองไปตามเพดานขาวสะอาดพลางเคลื่อนสายตานี้ไปยังทีวีจอแบนขนาดยี่สิบห้านิ้วบริเวณปลายเตียงก่อนจะชะงักเมื่อเห็นเงาที่สะท้อนออกมาจากหน้าจอทีวีที่ยังไม่ได้เปิด…
มันเป็นเงาของผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนเตียงทางซ้ายมือของภีมและมองมายังเขาที่นอนอยู่บนโซฟาด้วยท่าทีที่ไม่ไหวติง
ร่างโปร่งตัดสินใจหันไปหาอีกคนที่มีสถานะเป็นเจ้าของห้องห้องนี้ด้วยใบหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก แววตาที่อีกฝ่ายใช้มันเพื่อมองมาช่างเรียบเฉยเสียจนคนถูกมองต้องตัดสินใจค่อยๆ ยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบากก่อนจะรีบละล่ำละลักคำพูดออกไปทันที
“ขอโทษที่ผมมาที่นี่” ภีมว่าแต่จอมใจยังคงนิ่ง
ร่างโปร่งถอนหายใจพลางหลบสายตาที่แม้ว่ามันจะดูราบเรียบหากแต่ภีมกลับรู้สึกถึงความไม่เป็นมิตรเช่นเดียวกับคนเป็นพี่ชายของเธออย่างบอกไม่ถูกจนต้องหันมาสำรวจตัวเองแทน
กางเกงตัวเดิมที่ถูกสวมใส่อย่างลวกๆ กับเสื้อเชิ้ตผืนใหม่ที่ยังไม่ได้ตัดป้ายราคาออกช่างบ่งบอกนิสัยของคนที่ทำเรื่องทั้งหมดพวกนี้กับเขาได้เป็นอย่างดี ร่างโปร่งรวบมือที่กำผ้าห่มเอาไว้แน่นพลันน้ำตาก็เอ่อขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อภาพเหตุการณ์ในห้องน้ำเมื่อค่ำวานยังคงวนเวียนหลอกหลอนเขาไม่หาย
ไม่ใช่แค่เจ็บกายเพียงอย่างเดียว! แต่สิ่งที่จอมพลทำเอาไว้มันช่างโหดร้ายจนเจ็บเข้าไปถึงกระดองใจจนสุดจะหาใดเปรียบ
“คือผม…”
“เอ๊ะ! ตื่นแล้วเหรอคะ”
ภีมที่กำลังจะเอ่ยกับจอมใจต่อชะงักลงทันทีเมื่อพยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับเก้าอี้วีลแชร์ตัวหนึ่งที่เธอจูงเข้ามาด้วย
“เอ่อ…ครับ” ร่างโปร่งตอบไม่เต็มเสียงพลางทำท่าว่าจะลุกขึ้นยืน ทว่าเมื่อเขาออกแรงเหยียบลงบนพื้นเท่าไหร่ความปวดร้าวมากมายก็ถาโถมเข้ามามากเท่านั้น
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” พยาบาลคนนี้ถามราวกับเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรครับพอดีก่อนหน้านี้ผมหกล้มนิดหน่อยเลยยังเจ็บเท้า” ภีมแก้ตัวน้ำขุ่น ความจริงแล้วเป็นเพราะขาของเขาแทบจะไม่มีแรงที่จะยืนต่างหากล่ะ ไหนจะเจ็บจากการเสียดสีของช่องทางด้านหลังอีกทำเอาร่างโปร่งถึงกับต้องนิ่วหน้าห้ามอาการเหล่านี้ทุกครั้งที่ขยับตัว
“ไม่ทราบว่าตอนนี้กี่โมงแล้วครับ” ร่างโปร่งตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องถามขึ้นเมื่อภายในห้องนี้ไม่มีนาฬิกาอยู่เลยสักเรือนเดียว
“บ่ายครึ่งแล้วล่ะค่ะ เห็นคุณจอมพลบอกว่าคุณเป็นเพื่อนที่จะมาเฝ้าน้องสาวแทนแต่ทำไมถึงกลายเป็นว่าน้องจอมใจต้องเป็นฝ่ายนั่งเฝ้าคุณล่ะคะ” หญิงสาวแซว
“เพื่อน?” ภีมถามเมื่อสิ่งที่อีกคนพูดดูจะขัดใจเขาไม่น้อย
“ค่ะ คุณจอมพลบอกเอาไว้เมื่อตอนเช้าที่เข้ามาดูน้องจอมใจ”
“ผมไม่ใช่เพื่อนของเขา” ร่างโปร่งปฏิเสธ
“เอ๊ะ!? แต่คุณจอมพลบอกอย่างนั้นจริงๆ นะคะ”
“ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ครับ” ภีมย้ำ
แค่สถานะ คนรู้จัก คนแบบนั้นยังไม่คู่ควรจะได้รับคำนี้จากเขาเสียด้วยซ้ำ!
“ค่ะๆ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่” พยาบาลสาวยอมแพ้ก่อนจะหันไปหาหญิงสาวอีกคนที่นั่งเงียบมองชายหนุ่มบนโซฟาไม่วางตา
“น้องจอมใจคะถึงเวลาทำกายภาพแล้วค่ะ”
จอมใจเคลื่อนสายตาที่แต่เดิมใช้มองร่างโปร่งที่นั่งอยู่ไม่ปล่อยนั้นมาก่อนจะตวัดมองไปยังพยาบาลสาวอย่างไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่นัก
หญิงสาวคว้าเอาไวท์บอร์ดสีขาวที่วางอยู่ข้างๆ เตียงขึ้นมาพลางเขียนอะไรบางอย่างลงไปด้วยปากกาหมึกสีน้ำเงินก่อนจะเงยหน้าพร้อมกับพลิกไวท์บอร์ดดังกล่าวไปทางพยาบาลคนนี้ทันที
ไม่ไป
คำสั้นๆ แต่แสดงถึงความเอาแต่ใจอย่างไม่สิ้นสุดทำเอาหญิงสาวผู้เป็นพยาบาลถึงกับเอ่ยขอร้องออกมาน้ำเสียงอ่อน
“ไปเถอะนะคะน้องจอมต้องฝึกสวมขาเทียมและเดินเยอะๆ จะได้ชิน ใครๆ ก็อยากเห็นน้องจอมเดินได้อีกครั้งโดยเฉพาะคุณจอมพลพี่ชายของน้องจอมเองนะคะ”
ร่างโปร่งหันไปหาคนถูกอ้อนวอนก่อนจอมใจจะเขียนอะไรอีกสักพักแล้วพลิกไวท์บอร์ดกลับมา
บอกว่าไม่ก็คือไม่!
“โธ่…แบบนี้พี่อิงก็ลำบากอีกแล้วน่ะสิคะ คุณหมอบดินทร์ท่านยิ่งกำชับมาอย่างหนักให้น้องจอมทำกายภาพทุกวันด้วย ไปเถอะนะคะๆ” คนร้องขอเอ่ยขึ้นอีกอย่างยอมแพ้ก่อนหญิงสาวผู้เป็นคนไข้จะเขียนคำพูดกลับมาอีกครั้ง
บอกคุณอาบดินทร์ว่ามีอะไรให้มาหาฉัน
บรรยากาศภายในห้องเงียบลงถนัดตาเมื่อเจ้าของห้องเริ่มมีน้ำโห ภีมที่นั่งฟังทั้งคู่คุยกันอยู่สักพักรู้สึกถึงการเป็นคนนอกอย่างบอกไม่ถูกก่อนจะพยายามกลั้นใจลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงและเดินไปยังโต๊ะเล็กใต้ทีวีเพื่อหยิบเอากระเป๋าสะพายของตัวเองมาถือไว้พลางหันกลับไปหาคนทั้งคู่อีกครั้ง
“ผมขอโทษที่มารบกวนเวลาของคุณนะครับ ขอตัวก่อน” ภีมพูดกับจอมใจที่เอาแต่มองเขานิ่งก่อนร่างโปร่งจะค่อยๆ เดินออกจากห้องไปท่ามกลางการเสียดสีของช่องทางด้านหลังที่ทำให้เขาแทบจะน้ำตาเล็ดทุกครั้งที่ก้าวเดิน
ภีมเดินพ้นจากหน้าห้องของจอมใจมาได้สักพักก็ได้ยินเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายดังขึ้นร่างโปร่งจึงหยุดเดินและควานหา
(“ครับ”) ภีมเอ่ยกลับไปยังปลายสายที่โทรเข้ามา
(“ตื่นแล้ว?”)
(“นั่นใคร?”) ร่างโปร่งเลิกคิ้วถามกลับ
(“จำผัวตัวเองไม่ได้? เพิ่งสนุกกันไปเมื่อคืนนี้เองนะเมีย”)
(“!!”) คำพูดที่ถูกปลายสายเอ่ยกลับทำเอาภีมที่ถือโทรศัพท์อยู่ชะงักงันพลันลงแรงบีบเครื่องมือสื่อสารนี้เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเยอะของอีกฝ่ายที่ดังลอดเข้ามา
(“ตื่นแล้วก็ดีรีบมาทำงานของมึงซะเพราะกูไม่ได้จ้างให้มึงมาอู้งานแบบนี้!”) จอมพลพ่นคำพูดว่าร้ายออกมาเป็นพรวนหากทว่าร่างโปร่งกทางนี้กลับเลือกที่จะข่มอารมณ์และคำด่าทอมากมายที่อยากจะสาดใส่อีกฝ่ายเอาไว้แทน
(“…”)
(“ไม่ได้ยินหรือไง!? กูบอกให้มาทำงาน!!”) ร่างสูงย้ำน้ำเสียงไม่พอใจ
(“…”)
(“ไอ้ภีม!! ภะ...!”)
ตัดสายไปแล้ว…
ภีมมองโทรศัพท์เครื่องหรูที่หน้าจอมืดสนิทด้วยความคับแค้น เจ้าของเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ไม่รู้เลยว่าคำพูดและการกระทำของเมื่อวานของเขาได้สร้างบาดแผลมากมายให้ทำให้จิตใจของคนทางนี้แค่ไหน ก็คงเหมือนภีมเองที่ไม่รู้เช่นกันว่าการตัดสายเมื่อครู่จะทำให้ร่างสูงทางโน้นโมโหจนเลือดขึ้นหน้า
ภีมเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินออกจากตึกจิตเวชมาและมุ่งหน้าไปยังจุดรอรถของทางโรงพยาบาลทันที
ติ๊ดๆๆๆ ติ๊ดๆๆๆ ติ๊ดๆๆๆ
เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงดังขึ้นมาอีกครั้ง ร่างโปร่งมองอย่างชั่งใจอยู่สักพักก่อนจะล้วงมันออกมารับโดยที่ไม่ดูหมายเลขที่โทรเข้ามาพร้อมกับระเบิดอารมณ์กลับไปจนสุดเมื่อคิดว่าปลายสายยังคงเป็นจอมพลที่โทรมาระรานตัวเองเหมือนเมื่อครู่
(“หยุดบังคับผมสักที!”) ภีมตะโกนลั่น
(“ภีมนี่กูเอง”)
(“ใคร?”)
(“แดเนียล”) สิ้นเสียงจากอีกฝั่งร่างโปร่งที่เต็มไปด้วยโทสะก็ปลดปล่อยอารมณ์ที่มีอยู่ก่อนหน้าออกไปจนหมดพลางเอ่ยกลับด้วยน้ำเสียงปกติ
(“มึงเองหรอกเหรอ”)
(“มึงเป็นอะไรหรือเปล่า ตะโกนอย่างกับโกรธใครมา”) แดเนียลถาม
(“เปล่า”) ร่างโปร่งปฏิเสธก่อนปลายสายจะถามต่อ
(“เย็นนี้หลังเลิกงานมึงว่างมั้ย”)
(“วันนี้กูไม่ได้ไปทำงาน”)
(“งั้นเหรอ แล้วตอนนี้มึงอยู่ไหน”)
(“กูอยู่…”)
ภีมชะงักชื่อสถานที่ที่เกือบจะหลุดปากออกไปก่อนจะโกหกอีกฝ่ายด้วยชื่อสถานที่ที่อยู่แถวนี้เช่นกันแทนเพราะไม่อยากให้แดเนียลต้องคิดมากหากรู้ว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ในโรงพยาบาล
(“กูอยู่แถวๆ ถนน xxx”) ภีมเอ่ยออกไปไม่เต็มเสียงนัก
(“มึงมาทำอะไรแถวนี้”)
(“กูมาหาซื้อของอะไรนิดหน่อย”)
(“งั้นดีเลยกูอยู่แถวนี้พอดีบอกพิกัดมึงมาเดี๋ยวกูไปรับ”) แดเนียลพูด
(“ไปไหน”)
(“ไหนๆ มึงก็ไม่ได้ไปทำงานแล้ววันนี้ไปหาอะไรกินกัน”) ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงดีใจจนภีมรู้สึกได้ หากทว่าตอนนี้ร่างโปร่งกลับรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวจนไม่อยากไปไหนเสียมากกว่า
(“เอ่อ…คือกู”)
(“มึงจะปฏิเสธ?”) แดเนียลถามสวนกลับทันทีอย่างรู้ทัน
(“ไปด้วยกันเถอะไม่นานหรอกแค่ไปกินข้าวก็ได้เสร็จแล้วกูก็ส่งมึงกลับ”) ปลายสายอ้อนวอนจนภีมที่ฟังอยู่ถึงกับลำบากใจขึ้นมาทันที
(“กูไม่ได้เจอมึงหลายเดือนเลยนะภีม ขอร้องเถอะ…กูก็แค่อยากอยู่กับมึงเหมือนเมื่อก่อนเท่านั้นเอง”) เสียงทุ้มเอ่ยออกมาอีกด้วยน้ำเสียงเศร้าก่อนร่างโปร่งทางนี้จะตัดสินใจออกไปในที่สุด
(“กูจะรอมึงที่หน้าตึก K แล้วกัน”) ภีมเอ่ยอย่างยอมแพ้
(“โอเคแปปเดียวกูก็ถึงรอหน่อยนะ”)
(“อืม”)
:
[Peam’s Part]
ผมนั่งมองแดเนียลทานอาหารตรงหน้าจนกระทั่งอีกคนรวบช้อนวางเอาไว้พลางยกน้ำขึ้นดื่มหลังจากที่ตัวผมเองกินมันเข้าไปได้เพียงแค่สามคำก็ต้องยอมแพ้เมื่อจู่ๆ ก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“มึงเป็นอะไรหรือเปล่าทำไมทานน้อยอย่างนี้” แดเนียลถามกลับหลังจากวางแก้วน้ำที่เพิ่งจะดื่มลงบนโต๊ะ
“วันนี้กูไม่อยากอาหารเท่าไหร่” ผมปดกลับ
“ไม่สบายเหรอ”
“เปล่า มึงล่ะอิ่มมั้ย”
“ก็โอเค แต่เห็นมึงเป็นแบบนี้กูก็อดเป็นห่วงไม่ได้” คนตรงหน้าพูดด้วยน้ำเสียงเดิมที่มันเคยพูดกับผมเพียงแต่ตอนนี้ทุกอย่างมัน…ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
“มึงไม่ต้องเป็นห่วงกูหรอก…ห่วงคนของมึงจะดีกว่า” ผมว่าพลางมองมันนิ่ง
“ภีมเรื่องนั้นกะ!...”
“ขอโทษนะคะ ทั้งหมดหนึ่งพันสองร้อยแปดสิบบาทค่ะ” พนักงานสาวเดินเข้ามาขัดจังหวะในขณะที่อีกคนกำลังจะบอกบางอย่างกับผมพอดี
ผมมองหัวคิ้วที่ขดกันเป็นปมของแดเนียลอย่างรู้สึกหนักใจไม่ต่าง ใช่ว่าผมจะยังโกรธเรื่องนั้นอยู่เพราะมันก็ผ่านไปตั้งหลายเดือนแล้ว…หลายเดือนที่ผมต้องเสียผู้ชายที่เป็นทั้งเพื่อนและคนรักในตอนนั้นอย่างเขาไปเพียงเพราะเขาดันทำผู้หญิงท้องไว้อีกคน
“เดี๋ยวกูจ่ายเอง” แดเนียลบอกเมื่อเห็นว่าผมล้วงเอากระเป๋าสตางค์ออกมา
“แชร์กันดีกว่า”
“ได้ที่ไหน! กูเป็นผู้ชายกูเลี้ยงเอง”
“แล้วกูไม่ใช่ผู้ชาย? แชร์กันนั่นแหละดีแล้ว” ผมเอ็ดกลับ
“งั้นเอาเป็นว่าเพราะกูเป็นคนชวนมึงมาแล้วกันฉะนั้นกูเลี้ยงเอง” ว่าเสร็จมันก็ยื่นเงินให้บริกรหญิงไปพันห้าพร้อมกับบอกอีกฝ่ายว่าไม่ต้องทอนทันที
“แดน…”
“เถอะน่าภีม ปล่อยให้กูได้ทำอะไรเพื่อมึงบ้างเถอะ” คนตรงห้าขัดขึ้นเมื่อรู้ว่าผมไม่ชอบให้มันทำแบบนี้นักก่อนที่พวกเราทั้งสองคนจะเดินออกจากร้านมาและตรงไปยังรถของมันที่จอดห่างจากร้านอยู่ไม่มากนัก
“มึงจะไปไหนต่อมั้ย” แดนถาม
“ไม่ล่ะกูอยากกลับคอนโดเลย” ผมว่าเมื่อไม่อยากเดินมากไปกว่านี้อีกแล้วเพราะมัน…แม่งเจ็บ! จนตอนนี้อยากจะนอนเสียมากกว่า
“งั้นเดี๋ยวกูไปส่ง” มันเสนอ
“ความจริงกูกลับเองได้” แต่ผมไม่อยากสนอง
“แค่ขับรถไปส่งมันไม่ได้ทำให้กูคิดบุญคุณกับมึงหรอกนะ” แดเนียลว่าก่อนผมจะหันไปหามันเพื่อหวังจะเถียงกลับแต่แล้วภาพตรงหน้ากลับมืดไปชั่วขณะบวกกลับขาที่อ่อนแรงลงเสียดื้อๆ จนผมต้องรีบฉวยไหล่หนาของมันเอาไว้เป็นหลักค้ำ
“เป็นอะไร!?” คนข้างๆ เอ่ยถามเมื่อแดเนียลเองก็รีบพยุงตัวผมเอาไว้เช่นกัน
“กูปวดหัวนิดหน่อย” ผมว่าพลางส่ายหน้าไปมาก่อนแดเนียลจะทาบมือของมันลงบนหน้าผากของผม
“ดูเหมือนมึงจะมีไข้” มันว่าหลังจากยกมือออกไป
“กูไม่เป็นไร”
“ไปหาหมอกัน”
“กูไม่ไปมึงไปส่งกูที่คอนโดพอ” ผมบอกก่อนจะผละมือออกจากไหล่กว้าง
“แต่หน้ามึงซีดมากเลยนะภีม” คนข้างๆ ตีสีหน้าเป็นห่วงผมขึ้นมาจนผมเองอดที่จะคิดถึงใบหน้านี้ไม่ได้
“กูไม่เป็นไรจริงๆ” ผมชิงตัดบทเมื่อความคิดเริ่มจะฟุ้งซ่านก่อนจะเดินไปข้างหน้าทันที แต่แปลกเพราะทุกก้าวที่ผมเหยียบลงไปกลับเบาหวิวและรู้สึกโหว่งๆ จนมันกลายเป็นว่าผมกำลังเดินเซไปมา
“ภีม! กูว่ามึงไม่ไหวกูจะพามึงไปหาหมอ!” คนด้านหลังรีบเข้ามาคว้าตัวผมเอาไว้แต่ผมก็ยังพยายามฝืนและปฏิเสธกลับ
“มึงไป…กูโกรธ”
“อย่าเพิ่งพูดอะไรมากเลย มาเดี๋ยวกูอุ้ม” ว่าเสร็จมันก็สอดแขนเข้าใต้ขาของผม
“ไม่ต้องกูเดินเองได้!” ผมรีบขัดขืนทันทีก่อนจะผละออกและเดินไปอีก
“ภีมมึงอย่าอวดเก่งจะได้มั้ย!”
เสียงของแดเนียลที่ดังไล่หลังมาฉุดให้ผมต้องทำทีว่าไม่เป็นอะไร แต่จู่ๆ เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีก็เหือดหายไปทันทีเมื่ออีกเพียงไม่กี่ก้าวก็จะถึงรถของมันแล้วแต่ผมกลับทรุดลงตรงนั้นเสียดื้อๆ
“ภีม!!!”
ทุกอย่างมืดไปหมดก่อนผมจะได้ยินเพียงชื่อของตัวเองที่แดเนียลตะโกนออกมา…ผมได้ยินเท่านี้แค่เท่านี้จริงๆ
[End of Peam’s Part]
:
ร่างสูงของลูกครึ่งหนุ่มแบกร่างโปร่งที่หมดสติวิ่งเข้ามาในคลีนิคแห่งหนึ่งด้วยความร้อนรน แดเนียลหอบหายใจถี่รัวร่างสูงไม่มีทางเลือกอื่นเนื่องจากร้านอาหารที่เขาพาภีมไปทานเมื่อครู่อยู่ห่างจากตัวเมืองพอสมควรจึงไม่สามารถหาโรงพยาบาลในละแวกนี้ได้จนต้องพึ่งคลีนิคแห่งนี้แทน
ผู้ช่วยพยาบาลและหมอสาวต่างพากันแตกตื่นใหญ่ที่เห็นการมาของเขาแต่สุดท้ายพวกเธอก็ให้ความร่วมมือกับแดเนียลเป็นอย่างดี ผู้ช่วยพากันหาห้องชั้นบนของคลีนิคให้ร่างโปร่งนอนก่อนแดเนียลจะออกมานั่งรอข้างนอกเมื่อผู้เป็นหมอเดินเข้าไปตรวจอาการของภีมวิทธิ์ในห้อง
“ขอโทษนะคะคุณหมอต้องการคุยกับคุณค่ะ” ผู้ช่วยสาวหน้าตาน่ารักเดินเข้ามาบอกแดเนียลที่ตีสีหน้าเครียดก่อนร่างสูงจะพยักหน้ารับและเดินเข้าไปในห้อง
“ไม่ทราบว่าคุณเป็นอะไรกับคนไข้เหรอคะ” หมอถามขึ้นทันทีที่แดเนียลนั่ง
“ผม เอ่อ…เป็นเพื่อนครับ” ร่างสูงงุนงงกับคำถามนี้
“เมื่อวานนี้คุณได้อยู่กับเขาหรือเปล่าคะ”
“เปล่าครับเราไม่ได้เจอกันมาหลายเดือนแล้ว นี่ก็เพิ่งเจอกันครั้งที่สองหลังจากหลายเดือนที่ผ่านมานั้นเอง” แดเนียลตอบด้วยความสัตย์จริงก่อนร่างสูงที่ไม่เข้าใจกับคำถามของคุณหมอสาวจะถามอีกฝ่ายกลับ
“คุณหมอมีอะไรหรือเปล่าครับ”
หญิงสาวตรงหน้ามีอาการลำบากใจที่จะพูดอย่างเห็นได้ชัด เธอพยายามมองไปยังคนบนเตียงที่กำลังถูกให้น้ำเกลืออย่างชั่งใจก่อนจะถอนหายใจออกมาและตัดสินใจบอกอีกฝ่ายไปในที่สุด
“คือหมอจะไม่อ้อมค้อมแล้วกันนะคะ”
“…”
“คนไข้ถูกล่วงละเมิดทางเพศมาค่ะ”
“อะไรนะครับหมอ!!?” ร่างสูงตะโกนออกมาอย่างไม่เชื่อหู
“พูดง่ายๆ ก็คือคนไข้ถูกข่มขืนมาค่ะ”
“!!”
สิ้นเสียงของหมอสาวแดเนียลถึงกับตัวชาวาบขึ้นมาทันที ชายหนุ่มรวบมือกำเอาไว้แน่นก่อนจะมองไปยังภีมวิทธิ์ที่นอนหมดสติอยู่บนเตียงด้วยแววตาสลดกับเรื่องที่เพิ่งจะรู้จากปากของคนตรงหน้า
“คนไข้มีร่องรอยของการถูกทำร้ายร่างกายอยู่หลายแห่งบวกกับอาการอ่อนเพลียและมีไข้หมอจึงให้น้ำเกลือเขาไปก่อนเพื่อรอดูอาการตอนฟื้นอีกที”
“ครับ”
“เดี๋ยวหมอจะจัดยาให้หากเขาฟื้นเมื่อไหร่ช่วยเรียกหมอด้วยนะคะเพราะหมอจะมาตรวจอาการทั่วไปให้”
“ครับ ขอบคุณมากเลยนะครับ”
“ยินดีค่ะ” หญิงสาวยิ้มรับคำขอบคุณของร่างสูงก่อนจะเดินลงชั้นล่างไปเพื่อตรวจอาการคนไข้คนอื่นๆ อีกครั้ง ในขณะที่แดเนียลเองก็ได้แต่นั่งมองไปยังใบหน้าเรียวของคนบนเตียงท่ามกลางความรู้สึกผิดมากมายที่ประเดประดังเข้ามาหาตัวเขาไม่หยุด
:
“มึงอยู่คอนโดนี้เหรอ” ร่างสูงถามหลังจากที่ทั้งคู่แวะซื้อของกินข้างทางจนกระทั่งจอดรถเทียบท่าภายในบริเวณคอนโดสูงตระง่านตรงหน้าในที่สุด
“ใช่”
“ที่เดียวกับลูกพี่ลูกน้องกูเลย” แดเนียลบอกก่อนคนที่พยายามเปิดประตูลงจากรถจะถามกลับ
“ใครเหรอ”
“ก็คนที่กูไปรอที่บริษัทมึงวันนั้นไง” ภีมพยักหน้าเข้าใจพลางเดินตามอีกคนที่เข้ามาพยุงเขาไว้ด้วยการโอบไหล่และพาเดินเข้าไปยังชั้นล่างทันที
“มึงอยู่ชั้นไหน” แดนถามด้วยความอยากรู้
“ชั้นแปด”
“จริงดิ!?”
“อืม ทำไม?” ภีมเลิกคิ้วถามกลับ
“อยู่ชั้นเดียวกับลูกพี่ลูกน้องกูเลยว่ะ” แดนว่าก่อนอีกฝ่ายจะแกะมือของคนข้างๆ ออกจากไหล่เมื่อคนที่เดินผ่านไปมาเริ่มจะมองเขาสองคนเยอะเข้าไปทุกที
“ลูกพี่ลูกน้องมึงชื่ออะไร” ภีมถาม
“เดนิส” ร่างสูงตอบเสียงเรียบหากแต่ชื่อนี้กลับทำให้ร่างโปร่งตกใจไม่น้อย
“บังเอิญจังเลยนะเพราะกูอยู่ห้องตรงข้ามกับเขา” ภีมบอกก่อนจะยิ้มขำเมื่อใบหน้าของแดนดูจะอึ้งมันยิ่งกว่าเขาเอามากๆ
“จริง!!?”
“อืม”
“งั้นกูขอขึ้นไปส่งมึงนะ ไหนๆ ก็ห้องตรงข้ามกันแล้วจะได้ถือโอกาสไปหามันด้วยเลย” ร่างสูงว่าก่อนจะโอบไหล่ร่างโปร่งเอาไว้อีก
“แต่กูไม่อยากรบกวนมึง” ภีมพยายามแกะมือหนาออกแต่แดเนียลกลับไม่ยอม ร่างสูงกระชับมือหนาแน่นกว่าเดิมและเหยียดยิ้มขึ้น
“รบกวนอะไร กูก็บอกมึงแล้วไงว่าจะแวะไปหาไอ้เดนมันด้วย มึงไม่ต้องคิดมากไปหรอกไหนๆ กูก็พามึงไปหาหมอมาแล้วขอส่งมึงถึงห้องเลยละกัน”
“แต่แดนคือกู…”
“ขึ้นไปคุยกันต่อที่ห้องของมึงเถอะมึงคงไม่อยากยืนอยู่แบบนี้นานๆ หรอกใช่มั้ย” แดเนียลตัดบทก่อนจะลากภีมที่เดินด้วยท่าทีขัดๆ ไปหน้าลิฟต์และกดเพื่อขึ้นไปยังชั้นแปดทันที
ภีมเปิดประตูและเดินเข้าห้องโดยมีแดเนียลเดินตามหลังเข้ามาติดๆ ร่างสูงวางของที่ซื้อมาลงบนโต๊ะเล็กหน้าโซฟาก่อนจะเดินดูห้องของร่างโปร่งไปจนทั่ว
“มึงจะกินข้าวต้มเลยมั้ยเดี๋ยวกูแกะให้” แดเนียลว่าเมื่อหยิบของที่ซื้อมาเข้าครัวเล็กไปหลังจากเดินดูห้องนี้ทุกซอกทุกมุมแล้ว
“ยังกูขออาบน้ำก่อน” ภีมว่าก่อนร่างสูงจะท้วงขึ้น
“แค่เช็ดตัวก็พอมั้งภีมมึงมีไข้อยู่นะ”
“ไม่พอหรอก…กูอยากอาบมากๆ เลยตอนนี้” ร่างโปร่งตอบเสียงสั่นจนคนได้ยินถึงกับชะงัก
แดเนียลไม่ต่อความยาวสาวความยืดอีก ร่างสูงเข้าใจความหมายของคำพูดนี้ดีเขาเลยเลือกที่จะเบี่ยงเบนประเด็นออกไปแทน
“โอเคงั้นกูจะจัดโต๊ะรอมึงนะ” ว่าเสร็จภีมก็พยักหน้าก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องนอนของตัวเองทันที
:
“ยังอาบน้ำนานเหมือนเดิมเลยนะมึง” ร่างสูงแซวเมื่อภีมเดินออกจากห้องนอนของตัวเองมาหลังจากผ่านไปร่วมชั่วโมง
ร่างโปร่งไม่เถียงกลับหากทว่ามือเรียวยังคงถือผ้าเช็ดตัวและขยี้หัวตัวเองไปมาก่อนแดเนียลจะลุกจากโซฟาและเดินไปที่โต๊ะอาหารพลางขยับเก้าอี้ออกให้เพื่อเป็นการบอกโดยนัยว่าต้องการให้อีกฝ่ายนั่งลง
“มากินกัน” แดเนียลพูดน้ำเสียงสดใสก่อนภีมจะเดินเข้ามานั่งแต่โดยดี
ร่างโปร่งมองไปยังบรรดาอาหารมากมายบนโต๊ะก่อนจะเคลื่อนสายตามาหยุดอยู่ที่ชามข้าวต้มตรงหน้าตัวเองพลางเอ่ยเสียงอ่อน
“ขอโทษที่กูทำให้มึงต้องพลอยเหนื่อยไปด้วยนะ”
“อย่าคิดมากน่ากูเต็มใจทำให้มึงเหอะ!” แดเนียลว่าก่อนจะนั่งลงยังตำแหน่งตรงข้ามกับภีม
“แต่กูไม่อยากให้มึงทำแบบนี้กับกูแดน ตอนนี้มึงเองก็มีคนของมะ…”
“ลูกในท้องของอลิสไม่ใช่ลูกกู”
“!!” ภีมชะงักทันทีที่ได้ยิน
ร่างโปร่งมองหน้าคนตรงข้ามไม่วาง เรื่องราวที่ผ่านไปสำหรับความรักของพวกเขาหวนกลับเข้ามาในความคิดของภีมอีกครั้ง เพราะในความเป็นจริงแล้วหากไม่มีเรื่องยุ่งๆ พวกนั้นเกิดขึ้นไม่แน่ว่าตอนนี้พวกเขาอาจจะคบกันอยู่ก็เป็นได้
“เมื่อตอนกลางวันกูอยากจะบอกมึงเรื่องนี้แต่ติดตรงที่บริกรดันเดินมาขัดจังหวะซะก่อน” แดเนียลพูดพลางมองอีกฝ่ายนิ่งเช่นเดียวกัน
“มึงหมายความว่าไง?” ร่างโปร่งถามเมื่อยังไม่เข้าใจ
“อลิสท้องกับไอ้จอร์จ มึงจำได้ใช่มั้ยไอ้คนกร่างๆ ที่เที่ยวมีเรื่องกับเขาไปทั่วคนนั้นน่ะ” อีกคนว่าก่อนภีมจะพยักหน้าตอบ
“หึ! กูมันก็แค่แพะเท่านั้น” ร่างสูงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยสมเพชตัวเองที่กลายเป็นหมากให้ผู้หญิงคนหนึ่งปั่นหัวเสียจนต้องจำใจเลิกรากับคนที่เขารักมากตรงหน้าไปเพียงเพราะคืนนั้นเขาเมา
“แล้วมึงรู้ได้ไง” ภีมถามต่อ
“พ่อกับแม่กูท่านไม่เชื่อเลยขอให้ทางนั้นเขาตรวจดีเอ็นเอ”
“แต่กูว่าเรื่องนี้อลิสไม่น่าจะยอม”
“ก็ไม่ยอมน่ะสิ กูเลยต้องขโมยผมเด็กมาเองสุดท้ายพอผลตรวจออกมายัยนั่นก็ยอมสารภาพความจริงทั้งหมด แม่ง! ชีวิตกูอย่างกับในหนังไม่มีผิด!” ร่างสูงสบถออกมาอย่างอารมณ์เสียเมื่อนึกไปถึงใบหน้าของหญิงสาวอีกคนที่ทำให้ความรักของเขาต้องพังลงอย่างไม่มีชิ้นดี
“แต่มึงแต่งงานกับเขาไปแล้วนะแดน”
“แต่งได้กูก็เลิกได้ เด็กนั่นไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับกูอีกอย่างตอนที่กูรู้ความจริงไอ้จอร์จมันก็ระแคะระคายอยู่ก่อนแล้วจนตอนนี้มันเข้าบ้านอลิสเพื่อขอรับผิดชอบแล้วว่ะ” ร่างสูงแสยะยิ้ม
“โครตไม่น่าเชื่อ” ภีมเอ่ยอย่างไม่เชื่อหูเพราะจอร์จที่เขารู้จักคืออันธพาลที่ไม่เคยยอมให้ใครมาก่อนแต่แปลกที่สุดท้ายก็ตกหลุมพรางของอลิสคาสโนวี่ประจำมหา'ลัยจนได้
“กูเองก็ไม่เชื่อเหมือนกันว่าคนอย่างมันจะกล้าทำกล้ารับถึงขนาดนี้” เดเนียลเสริมพลางมองภีมที่ตักข้าวต้มเข้าปากก่อนร่างสูงจะตัดสินใจพูดอีกเรื่องหนึ่งขึ้น
“ภีม”
“หืม?”
“ตอนนี้กูไม่มีพันธะอะไรอีกแล้ว”
“…”
“กูขอเป็นคนดูแลมึงเหมือนเดิมจะได้มั้ย”
ร่างโปร่งมองหน้าแดเนียลด้วยแววตาเรียบเฉยก่อนภีมจะถอนหายใจและตัดสินใจตอบกลับไปว่า…
“ตอนนี้ความรู้สึกของกูมันเปลี่ยนไปแล้ว”
“แต่เราทำให้มันกลับมาได้นี่นา” แดนพยายามหาทางให้อีกฝ่ายยอมรับ
“สำหรับมึงกูให้ได้แค่เพื่อนว่ะแดน”
“ทำไมวะภีม! เรื่องพวกนั้นก็คลี่คลายไปหมดแล้วมึงเข้าใจหรือเปล่า!?”
“กูเข้าใจ…แต่มึงจะปฏิเสธมั้ยว่าคืนนั้นมึงกับอลิสไม่ได้มีอะไรกัน” สิ้นเสียงคำถามของภีมแดเนียลถึงกับชะงักงัน
ร่างสูงรู้ดีว่าคืนนั้นเขากับอลิสทำอะไรกันลงไปเพียงแต่นั่นก็เพราะเขาเมาและขาดสติยั้งคิดไม่ได้ทำเพราะความรักหรืออะไรทั้งนั้น
“หยุดไว้แค่นี้ก็พอ มึงกับกูสมควรเป็นเพื่อนกันมากกว่า” ภีมว่าก่อนแดเนียลจะตื้อไม่เลิก
“แต่กูอยากดูแลมึงจริงๆ นะ”
“กูดูแลตัวเองได้น่าแดน”
“แน่ใจว่าได้?”
“!!”
ร่างสูงสวนกลับทันควันจนอีกฝ่ายชะงัก ภีมหน้าเจื่อนลงทันทีก่อนแดเนียลที่พลั้งปากออกไปจะแก้ไขสถานการณ์ด้วยการเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น
“ช่างเถอะเอาล่ะกินข้าวกันดีกว่ากินเสร็จแล้วมึงจะได้กินยายิ่งไม่สบายอยู่” ว่าเสร็จร่างสูงก็ทำทีเป็นตักแกงใส่จานของตัวเองแต่คนตรงข้ามกลับยังคงนิ่ง
“แดน…” ภีมเรียกก่อนเจ้าของชื่อจะหยุดการกระทำและรอฟังคำพูดต่อจากนี้ของอีกฝ่าย
“หมอบอกอะไรกับมึงบ้าง”
“…”
“เขาพูดอะไรกับมึง”
ร่างสูงเงียบไม่ยอมตอบอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจพูดกลับไปราวกับไม่อยากให้อีกคนคิดมาก
“ก็ไม่ได้พูดอะไรแค่บอกว่ามึงไม่สบายและก็จัดยาให้เฉยๆ” แดเนียลพยายามเลี่ยงประเด็น
“มึงโกหก”
“…”
“กูรู้ว่ามึงรู้มากกว่านี้และมึงเองก็มีอะไรอยากถามกูด้วยเหมือนกัน” ร่างโปร่งถามเสียงเรียบ
“…”
“กูสังเกตตั้งแต่มึงขับรถออกจากคลีนิคมาแล้วแดนอย่าพยายามปิดบังกูเสียให้ยากเลย” คำพูดพื้นๆ หากทว่ามันกลับทำให้ร่างสูงลำบากใจที่จะบอกออกไป แดเนียลเงยหน้าขึ้นสบตากับภีมนิ่งก่อนที่เขาจะถอนหายใจและยอมแพ้ให้กับสายตาของอีกคนไปในที่สุด
“ใช่เขาเล่าให้กูฟัง” ร่างสูงเอ่ยเสียงเรียบ
“…”
“ใช่เขาบอกกูหมดทุกอย่าง และก็ใช่ที่กูมีเรื่องอยากจะถามมึง”
“…”
“กูแค่อยากรู้…” แดเนียลเว้นช่องว่างเอาไว้ก่อนคำถามต่อมาจะยิ่งทำให้ภีมอึ้ง
“ว่าไอ้ที่มันข่มขืนมึงนั่นมันเป็นใคร!?”
“!!”
TBC....------------------------------------------------
สำหรับบทนี้แดเนียลเอาใจเราไปเต็มๆ #ฮีรักน้องภีม #ฮีเป็นห่วงนายเอกของเรา ครุๆ
แต่น้องภีมสิ! → กันท่าอย่างเดียวเลย สงสารแดนนะว่ามั้ย T^T
