█ ▌รักเต็มใจ ➽ Heart Is Full ▌█
┠ 3 ┨
แค่วันแรกผมทำเรื่องน่าอายซะแล้ว..
“เฮ้อ..”
ถอนหายใจให้กับความผิดพลาดที่น่าขายหน้าของตัวเอง เพราะนอนผิดที่จึงทำให้ไม่ค่อยหลับกว่าจะปิดตาลงได้ก็ใกล้จะเช้าทำให้เปิดเรียนวันแรกกลายเป็นตื่นสาย แถมยังทำอะไรดูเก้ๆ กังๆ เหมือนไม่เป็นตัวของตัวเองอีก ดูแล้วเหมือนตัวตลกฉิบหาย
วันที่ย้ายเข้ามาในหอพักผมสำรวจทั่วห้องก็พอจะเดาได้ว่ารูมเมทของผมเป็นคนค่อนข้างเจ้าระเบียบ ในตู้เย็นขนาดเล็กมีขวดน้ำแร่แค่เพียงยี่ห้อเดียววางเรียงกันเต็มพื้นที่ บนโต๊ะก็จัดหนังสือและปากกาไว้เรียบร้อย ถ้าสังเกตดีๆ จะรู้ว่าแม้แต่ปากกาก็ยังเป็นยี่ห้อเดียวกันหมด ท่าทางเจ้าของจะเป็นคนรักเดียวใจเดียวน่าดู และผมก็ยังได้ข้อมูลจากคุณป้าดูแลหอพักอีกว่า ‘คุณเต็ม’ หล่อและน่ารักมาก ทุกครั้งที่ป้าแกเอ่ยชื่อนี้ดวงตาจะวิบวับและใบหน้าจะเบ่งบานราวกับกำลังเอ่ยถึงชายในฝัน ถูกต้องแล้วล่ะครับ ผมรู้จักชื่อของอีกฝ่ายก่อนจะได้เจอหน้าด้วยซ้ำ
ความเงียบปกคลุมทั่วห้องจนได้ยินเสียงเข็มนาฬิกาเป็นจังหวะมั่นคง แสงอาทิตย์ที่สาดส่องมาจากนอกระเบียงค่อยๆ ห่างหายไปจากท้องฟ้าช้าๆ ใกล้จะหนึ่งทุ่มแล้วทำไมยังไม่กลับ ว่าแต่ทำไมผมต้องกระวนกระวายแบบนี้ด้วยนะ
คนที่ผมกำลังรอคอยด้วยความว้าวุ่นใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนนี้คือรูมเมทของผมเองครับ เขาเป็นรุ่นพี่คณะสัตวแพทย์ชั้นปีที่ 3 ผมไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่ครั้งแรกที่ได้เห็นหน้าความรู้สึกบางอย่างก็อุ่นวาบขึ้นในใจ ดวงตาเรียวเล็ก จมูกเชิดรั้น ริมฝีปากสีอ่อน และเรือนผมสีส้มที่ขับเน้นให้ผิวขาวเนียนดูสดใส ถ้าไม่ติดว่าเป็นผู้ชายหากมองจากไกลๆ หรือมองแค่แว่บผ่านผมยังแอบคิดว่าเป็นผู้หญิง ทว่าบุคลิกท่าทางและการพูดจาไม่ได้ดูตุ้งติ้งหรือมีการแอ๊บแมนแต่อย่างใด ถ้าถามว่าหล่อมั๊ย? ตอบได้เลยว่าหล่อมาก แต่ผมกลับคิดว่าเครื่องหน้าดูรวมๆ แล้วออกจะน่ารักมากกว่าหล่อ เอาเป็นว่าเป็นคนที่มีเสน่ห์ชนิดที่ถ้าใครได้พบเจอก็ไม่อาจจะละสายตาไปได้แม้แต่วินาทีเดียว
เมื่อตอนเที่ยงออมชวนผมไปทานข้าวที่คณะแพทย์ ทำให้ผมรู้ว่าอาเต็มที่ออมพูดให้ฟังบ่อยๆ นั้นเป็นคนเดียวกับคุณเต็ม รุ่นพี่และรูมเมทของผม แม้จะเคยเห็นรูปถ่ายแฟชั่นที่ออมชอบเอามาอวดแต่บอกได้คำเดียวครับว่าให้ลุคในรูปภาพแตกต่างจากตัวตนแท้จริงอย่างสิ้นเชิง
อ่อ.. จริงๆ แล้วเหตุการณ์หนึ่งที่ยังกรุ่นอยู่ในความคิด น่าแปลกที่นึกถึงแล้วทำให้เผลอยิ้มออกมา รุ่นพี่ระบายยิ้มถามว่าชื่อเล่นของผมคืออะไร? ซึ่งเป็นจังหวะที่ผมตอบนั้นโทรศัพท์มือถือของรุ่นพี่ดังขึ้นขัดจังหวะแบบพอดิบพอดี ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผมได้ชื่อเล่นใหม่ เจ้าตัวถามผมว่าชื่อ
‘ท็อป หรือ เทมป์?’ ทั้งๆ ที่ผมอยากจะปฏิเสธว่า
‘ผมไม่มีชื่อเล่นครับ’ แต่ด้วยผมสังเกตเห็นว่าในแววตาดื้อรั้นนิดๆ นั้นมีความกังวลแอบซ่อนอยู่ อีกฝ่ายคงจะรู้สึกผิดที่ไม่ได้ฟังในสิ่งที่ผมพูด เลยสุ่มถามกลับเพราะไม่อยากให้ผมรู้สึกแย่ที่ตัวเองไม่ได้ตั้งใจฟัง
‘เทมป์?’ คนตรงหน้าถามขึ้นอีกครั้ง ไม่รู้ทำไมวินาทีนั้นผมถึงได้รู้สึกว่าน้ำเสียงที่เอ่ยชื่อนี้ออกมาช่างอ่อนโยนและกังวานเหลือเกิน สุดท้ายแล้วผมก็เลือกที่จะไม่ปฏิเสธใดๆ
ผมหยิบตุ๊กตาแมวจี้ขึ้นมาแล้วจ้องดวงตากลมโต
“ทีทูเดอะจี มึงว่ากูเหมือนคนบ้ารึเปล่าวะ?”
เจ้าทีทูเดอะจีไม่ตอบ ก็ถ้าหากตอบผมคงเผ่นป่าราบแล้วครับ
เมื่อไม่นานมานี้เพื่อนผู้หญิงที่สนิทที่สุดได้มอบมันให้กับผม
‘ออม’ เธอเป็นหญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งในตากลมโต เราเรียนด้วยกันมาตั้งแต่ชั้นมันธยมต้นแต่ที่ทำให้สนิทกันมากยิ่งขึ้นก็เพราะว่าคุณปู่ของเธอกับคุณปู่ของผมเป็นเพื่อนรักกัน
ถ้าจะให้พูดความสัมพันธ์ระหว่างผมกับออม ความจริงแล้วก่อนหน้านี้เราเป็นแฟนกันครับ เราไม่เคยทะเลาะกันเลยสักครั้ง คุยกันได้ทุกเรื่อง ปรึกษากันได้ทุกอย่าง และความผูกพันของเราก็ก้าวผ่านความลึกซึ้งตามธรรมชาติของชายหญิงมาได้ปีกว่า แต่แล้ววันหนึ่งหลังจากผลการสอบแอดมิชชั่นออกมาออมก็บอกผมว่าเราเป็นแค่
‘เพื่อน’ กันดีกว่า เธอให้ตุ๊กตาแมวจี้เป็นของขวัญกับผมพร้อมกับบอกว่าให้ตั้งชื่อมันว่า ‘ทีทูเดอะจี’ ซึ่งเป็นชื่อในความทรงจำของผม ตอนนั้นผมอายุแค่ 5 ขวบ จำได้ว่ามีงานอะไรสักอย่างและมีการแสดงบนเวที ผมยืนมองใครคนหนึ่งที่เหมือนแมวน้อยกำลังฮัมฮำอะไรสักอย่างอยู่บนนั้น ทุกคนในงานต่างอมยิ้มและมองไปที่เด็กคนนั้นเป็นจุดเดียว และน่าแปลกนะครับที่เสียงแง้วๆ น่ารำคาญที่ร้องว่า
‘ทีทูเดอะจี...’ นั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัวใจจวบจนถึงตอนนี้ เล่าให้ออมฟังทีไร ออมก็ได้แต่นั่งขำทุกทีแล้วก็ชอบล้อว่าทีทูเดอะจีคือรักแรกของผม
สัญญาณปลดล็อคด้วยคีย์การ์ดดัง
‘กริ๊ก’ ทำให้หัวใจของผมเต้นระรัว ผมรีบวางตุ๊กตาลงบนเตียงแล้วกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง แต่ให้ตายเถอะใจเต้นแรงยิ่งกว่าตอนมีอะไรกับออมครั้งแรกซะอีก บานประตูเปิดออกอีกฝ่ายยิ้มให้ผมก่อนจะก้มลงถอดรองเท้าเก็บไว้ในตู้ข้างประตู
“ทานข้าวรึยัง?”
ร่างบางเอ่ยถามขณะที่เดินผ่านผมไปเพื่อเอากระเป๋าเป้มาวางไว้บนเก้าอี้
“ยังครับ”
มันคือคำโกหก เพราะผมทานมื้อเย็นกับออมไปแล้วเมื่อตอน 4 โมงเย็นก่อนจะกลับหอพัก ทำไมต้องโกหก ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
คนฟังเลิกคิ้วแล้วเอียงคอนิดๆ คงเป็นท่าทางที่แสดงออกเวลาใช้ความคิด ดูแล้วก็เหมือนลูกแมวดีครับ
“ด้านล่างมีร้านบะหมี่นะ หรือถ้าขี้เกียจลงไปก็หยิบกับข้าวในตู้เย็นเอาออกมาอุ่นไมโครเวฟสิ”
ผมหันไปมองตู้เย็นแว่บนึง
“คุณแม่พี่ทำเอง อร่อยนะ”
ยิ้มมารยาทอีกแล้ว หงุดหงิดชะมัด แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังจะตอบรับแบบซื่อๆ ออกไป
“อ่อ ครับ”
แม้จะรู้สึกขัดใจกับสรรพนาม
‘พี่’ และ
‘นาย’ แต่ผมก็ไม่ได้พูดหรือแสดงท่าทีอะไรออกไป ทำเพียงเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิบกล่องกับข้าวออกมาอุ่นเท่านั้น ระหว่างที่ผมเตรียมจานช้อน รุ่นพี่ก็ปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาเสร็จเรียบร้อยจากนั้นก็เดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำมาหนึ่งขวด เปิดฝาแล้วดื่มหมดไปซะครึ่ง แล้วจึงเดินมานั่งที่โต๊ะทานข้าวอีกฝั่ง
“พี่กินมาแล้ว นายกินเถอะ”
อ้าว.. คิ้วของผมขมวดแทบจะทันที แต่ก็แค่แว่บเดียวและอีกฝ่ายก็คงจะไม่ได้สังเกตเห็นเพราะมัวแต่ยกขวดน้ำขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด ช่วงจังหวะนั้นผมเผลอมองลูกกระเดือกที่กลืนของเหลวลงคออย่างลืมตัว
“กินเยอะๆ นะ”
เจ้าตัวหันมาบอกพร้อมยักคิ้ว ผมจึงลงมือกินข้าวมื้อที่ 4 ของวัน ดีนะที่อาหารอร่อยจริงตามคำที่บอกไม่งั้นผมคงไม่สามารถยัดลงท้องได้เป็นแน่
“ตรงปีกซ้ายมีเครื่องซักผ้ากับตู้น้ำหยอดเหรียญ แต่ถ้าขี้เกียจซักผ้าก็จ้างป้าสมนึกได้ แกรับซักรีดด้วย”
คนพูดลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เย็นอีกรอบ สาบเสื้อที่พริ้วตามจังหวะการเดินทำให้เห็นแผ่นอกเรียบเนียน มันเป็นปกติที่ผู้ชายจะถอดเสื้อเดินไปมา วันแรกที่เจอกันเจ้าตัวก็ถอดเสื้อก่อนจะอาบน้ำ แต่ทำไมผมถึงได้รู้สึกเหมือนลมหายใจติดขัดยังไงชอบกล
“ของในตู้เย็นกินได้หมดทุกอย่าง กินหมดพี่ก็ไม่ว่าและไม่ต้องซื้อมาเติมให้ด้วย แค่ทุกวันจันทร์กับวันพฤหัสบดีถ้านายกลับมาถึง
หอพักก่อนก็ช่วยรับน้ำกับนมเปรี้ยวที่เคาท์เตอร์ด้านล่างให้พี่ด้วย ที่ป้าสมนึกนั่นแหละ”
“ได้ครับ”
มือบางวางขวดน้ำให้ผม จากนั้นก็กลับลงไปนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้ามอีกครั้ง
“เรียนวันแรกเป็นไงบ้าง?”
“ก็โอเค ครับ”
“ตอบเหมือนออมเลย”
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้รับรอยยิ้มเย้าแหย่
“เป็นแฟนกันเหรอ?”
หืม? ผมเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย แล้วคำถามถูกเปลี่ยน
“ไม่ใช่สิ.. เคยเป็นแฟนกันเหรอ?”
“ครับ”
ไม่มีอะไรต้องปิดบัง อีกอย่างออมกับคนตรงหน้าก็เป็นอากับหลานกัน ออมสนิทกับอาเต็มของเธอมากแค่ไหนผมรู้ดีเพราะฉะนั้นปิดยังไงก็ไม่มิดหรอกครับ
“จากแฟนแล้วมาเป็นเพื่อนสนิทเนี่ยนะ?”
“ครับ”
“แล้วตอนนี้คิดกับออมยังไง? แค่เพื่อน?”
“ครับ.. แค่เพื่อน”
ความรู้สึกปัจจุบันของเราทั้งคู่ไม่มีอะไรเกินคำว่าเพื่อนเลยสักนิดเดียว คนตั้งคำถามเงียบไปครู่ใหญ่หลังจากได้ยินคำตอบที่ชัดเจนจากผม เจ้าตัวเอียงคอและเม้มปากเล็กน้อย
“เทมป์”
“ครับ”
“ออมยังไม่เคยพาเทมป์ไปทานข้าวที่บ้านพี่ใช่มั๊ย?”
“ครับ ผมแค่เคยไปรับไปส่งออมที่หน้าบ้านเฉยๆ”
เจ้าของคำถามพยักหน้าขึ้นลงช้าๆ
“ไว้วันหลังไปทานข้าวที่บ้านพี่สิ”
รอยยิ้มที่เป็นไปด้วยมารยาทมาตลอดดูเบาบางลงราวกับว่าเส้นด้ายบางๆ ที่เจ้าตัวขีดแบ่งไว้ได้หย่อนลงแล้ว ผมจึงส่งยิ้มกลับพร้อมกับพยักหน้า คำตอบของผมดูจะถูกใจเจ้าตัวไม่น้อย
ร่างบางลุกขึ้น ถอดเสื้อนักศึกษาใส่ลงในตะกร้า และก่อนที่จะก้าวเข้าห้องน้ำ เหมือนว่าฝ่ายนั้นจะนึกอะไรขึ้นได้จึงหันมามองผม
“ออมทำอาหารเก่งนะ”
ขยิบตาให้ด้วย
“อ่อ...”
ทั้งที่คิดว่าคำตอบของผมก็ออกจะชัดเจน แล้วผมก็คิดว่าออมเองก็คงจะไม่ได้คิดต่างจากผม แล้วทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ แต่ก็เอาเถอะ ถือว่าคุ้มทีเดียวที่ได้เห็นท่าทาง
‘น่ารัก’ ของอีกฝ่าย ผมหันไปมองเจ้าทีทูเดอะจีที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียง
“สงสัยกูจะบ้าไปแล้วจริงๆ นั่นแหละ”
.
.
.
.
วันนี้มีเรียนตอนสิบโมงเช้าผมจึงเดินมาเรียนเอง นักศึกษาหลายคนก็เดินบ้างปั่นจักรยานบ้าง หรือมีรถขับก็เยอะ ปกติผมเป็นคนที่มีเหงื่อเยอะเดินไม่เท่าไหร่เสื้อก็เปียกชุ่มแล้วครับ ผมแวะเข้าห้องน้ำเมื่อถึงคณะ ล้างหน้าล้างตาเรียกความสดชื่น แล้วจึงไปนั่งรับลมรอเวลาเรียนที่ม้านั่งใต้ร่มไม้
ผมเป็นลูกชายคนเล็กของครอบครัว
‘เกียรติไพศาลกิจ’ ต้นตระกูลของผมใช้
‘แซ่ยาง’ เป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่โล้สำเภาเสื่อผืนหมอนใบมาตั้งรกรากในแผ่นดินสยาม จากนั้นก็ปากกัดตีนถีบค้าขายจนร่ำรวยระดับเจ้าสัว คุณปู่ทวดของผมแต่งงานกับคุณย่าทวดซึ่งเป็นชาวโปรตุเกสซึ่งแน่นอนว่าทางครอบครัวของคุณปู่ทวดไม่ยอมรับลูกสะใภ้ แต่ด้วยความรักคุณปู่ทวดจึงยอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแล้วมาสร้างครอบครัวใหม่อันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนทั้งประเทศได้รู้จัก
‘โฆษณา’ จากสื่อสิ่งพิมพ์เป็นครั้งแรก
คุณปู่ทวดและคุณย่าทวดมีลูกชายคนเดียวจึงตั้งชื่อตามแซ่เก่าว่า
‘ยาง’ ซึ่งเจ้าสัวยางนี่แหละครับคือคุณปู่ของผม ท่านได้รับการถ่ายทอดความรู้และต่อยอดความคิดจากคุณปู่ทวดจนเกิดเป็นบริษัทออกแบบโฆษณาและสื่อสิ่งพิมพ์บริษัทแรกของประเทศ และยังบุกเบิกฝ่าฟันจนทำให้บริษัทกลายเป็นที่ยอมรับในระดับสากลได้ภายใน 10 ปี ปัจจุบันคุณปู่อายุใกล้จะ 70 ปีนั้นได้วางมือจากงานธุรกิจมาหลายสิบปีแล้วล่ะครับ ท่านได้ส่งมอบงานต่อให้คุณพ่อของผมเป็นคนบริหารจัดการแทนทุกอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าคุณพ่อไม่ได้ทำให้คุณปู่ผิดหวังแม้แต่น้อย บริษัทของเราสามารถไต่ขึ้นสู่อันดับหนึ่งของภูมิภาคและกำลังขยายไปไกลถึงยุโรปในอีกไม่ช้า
คุณปู่ของผมชื่อยางส่วนคุณย่าของผมชื่อจู ท่านมีคุณพ่อเป็นลูกชายแค่คนเดียวดังนั้นท่านจึงค่อนข้างจะเข้มงวดไม่เว้นแม้แต่เรื่องลูกสะใภ้ คุณแม่ของผมเป็นหญิงสาวธรรมดามาจากครอบครัวที่ยากจนเสียด้วยซ้ำ ซึ่งแน่นอนว่าคุณแม่ไม่ใช่ลูกสะใภ้ที่พ่อแม่สามีปลื้มสักเท่าไหร่ คุณย่าบอกว่าที่คุณแม่ยังเชิดหน้าชูตาเป็นคุณนายอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะเห็นแก่หลาน ซึ่งนั่นก็คือ ผมและพี่ชาย
ผมมีพี่ชาย 1 คน ชื่อ
‘พี่นาย’ หรือ
‘นายพล เกียรติไพศาลกิจ’ เรา 2 คนพี่น้องมีความสูงที่ใกล้เคียงกัน แต่ทว่าองค์ประกอบทางหน้าตาและผิวพรรณ ตลอดจนนิสัยของเราก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง พี่นายเป็นหนุ่มตี๋ผิวขาวเหลืองสไตล์เอเชีย ในขณะที่ผมได้รับตกทอดพันธุกรรมจากคุณย่าทวดมาแทบทั้งหมด จนเคยมีคนตั้งคำถามว่าเราทั้งคู่ใช่พี่น้องท้องเดียวกันรึเปล่า? แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะเราสองคนพี่น้องรักกันดีครับ
“กองทัพ!”
“เหี้ย!”
กำลังนั่งคิดอะไรเพลินๆ จู่ๆ ออมก็โผล่มาตะโกนจากด้านหลังทำเอาผมตกใจจนสะดุ้ง
“ใจลอยไปถึงไหนจ๊ะพ่อหนุ่ม?”
ขอเลือกที่จะไม่ตอบละกันครับเพราะผมรู้ว่าออมไม่ได้ถามจริงจังอะไร ออมนั่งลงข้างๆ ผมพร้อมกับส่งน้ำเย็นๆ ให้ผมหนึ่งขวด ซึ่งแม้จะเป็นน้ำดื่มธรรมดาไม่ใช่น้ำแร่บริสุทธิ์จากธรรมชาติแต่มันก็ทำให้ผมอดจะคิดถึงใครบางคนไม่ได้
“เออ.. ศุกร์นี้ดักแด้ชวนไปดูหนังอะ”
ดักแด้คือเพื่อนสนิทของผมกับออม เราเรียนด้วยกันมาตั้งแต่มัธยมต้น ดักแด้เป็นหนุ่มตาตี่อารมณ์ดีผู้คลั่งไคล้โดเรมอนเป็นชีวิตจิตใจและเป็นลูกชายเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตอนนี้ดักแด้ก็เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับผมและออมนี่แหละครับแต่คนละคณะ รายนั้นเขาอยากเป็นวิศวกรเลยเลือกเรียนวิศวกรรมศาสตร์
“อืม ไปสิ”
ไม่ได้ดูหนังมานานแล้วเหมือนกันครับ
“แล้วนี่มีรุ่นพี่มาคุยเรื่องเดือนคณะบ้างรึเปล่า?”
“มี”
“สนใจมั๊ย?”
“ก็ต้องดูว่าดาวคณะเป็นใคร”
“ฉันไง”
หญิงสาวยืดตัวขึ้นด้วยท่าทางภูมิอกภูมิใจ ทำเอาผมต้องหัวเราะเบาๆ
“ก็ถ้าเพื่อนเป็นเดือน ออมคนสวยคนนี้ก็จะเป็นดาวประดับให้ โอเคปะ?”
“ฟ้าคงหม่นน่าดู”
ออมหัวเราะชอบใจเสียงดัง ท่าทางคงจะถูกใจคำตอบของผมน่าดู หลังจากหัวเราะจนพอใจ ออมก็มองหน้าผมนิ่งๆ
“ว่าแต่เป็นไรรึเปล่าเนี่ย?”
ข้อเสียของความสนิทที่เรามีให้กันก็คือเราไม่สามารถปิดบังอะไรกันได้เลย ผมมองหน้าออมนิ่งๆ ครู่หนึ่ง
“กำลังคิดว่าตัวเองเป็นเกย์รึเปล่า?”
“ไม่หรอก”
เพื่อนสาวตอบไว้โดยแทบไม่ต้องคิด ผมหรี่ตามองหน้าอีกฝ่ายอย่างจับผิด
“นายไม่ได้เป็นเกย์ แต่เป็นไบต่างหาก”
นั่นไง เดาไว้ไม่มีผิดว่าคำตอบของออมไม่เคยจะธรรมดา ผมเคาะหน้าผากอีกฝ่ายเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยว เจ้าของหน้าผากโวยวายเล็กน้อย
“ทำไม? หลงรักอาเต็มของฉันเหรอ?”
บอกแล้วไงครับว่าแม้ไม่พูดเราก็สามารถรู้ทันความคิดของกันและกันได้ และผมก็เลือกที่จะไม่ตอบอะไรอีกเช่นเคย ทำเพียงแค่มองหน้าอีกฝ่ายอย่างตั้งใจเพราะรู้ว่าออมต้องมีอะไรที่จะพูดต่อแน่ๆ
“กองทัพเพื่อนรักจ๋า ฟังนะ.. ถ้านายหลงรักอาเต็มจริงๆ ฉันขอบอกไว้เลยว่านอกจากนายจะมีคู่แข่งเป็นค่างป่าชะนีแล้วนายยังมีคู่แข่งเป็นผู้ชายเกือบครึ่งโลก”
“ขนาดนั้น?”
“แน่นอน.. อาเต็มสุดที่รักของฉันไม่ได้ธรรมดานะยะ”
ต่อให้ไม่ต้องบอกผมก็พอจะรู้ เพราะออมเล่าให้ฟังบ่อยๆ
“และที่สำคัญ.. อาเต็มก็ไม่ได้เป็นเกย์”
เรื่องนี้ผมเองก็พอจะดูออกอยู่บ้าง แต่ที่เพิ่งรู้ก็คือรูปจากในไอโฟนที่ออมยื่นมาให้ดู เป็นรูปของผู้ชายคนหนึ่งยืนกอดคอผู้หญิงคนหนึ่ง ทั้งคู่ยิ้มกว้างสดใส และผู้หญิงในรูปก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ต่อให้ผมไม่ใช่แฟนคลับหรือสนใจสักเท่าไหร่แต่ก็พอจะรู้ว่าเธอคือดารานักแสดงชื่อดังจากแดนอาทิตย์อุทัย
“แฟนน้าเต็มคนปัจจุบัน คบกันมาสองสามปีแระ รู้จักกันตอนที่อีกฝ่ายมาเป็นนางแบบพรีเซ็นเตอร์ให้อาขวัญ”
อธิบายแค่คร่าวๆ จากนั้นออมก็นั่งจ้องหน้าผมอยู่พักใหญ่ แหน่ะ.. แบบนี้ต้องมีแผนการอะไรอยู่ในหัวแน่นอน
“กองทัพ”
“หืม?”
“ถ้านายทำให้แม่นี่หลุดจากอาเต็มได้ ฉันก็จะสนับสนุนนายเต็มที่”
นั่นไง เดาไว้ไม่เคยจะผิดสักนิด ผมหัวเราะเบาๆ
“นี่กะจะใช้เพื่อนเป็นเครื่องมือ?”
“ก็ไม่เชิง.. เอาเป็นว่าเราได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายละกัน”
ทำไมเพื่อนผมดูเป็นนางร้ายจังเลยแฮะ
“แต่มีข้อแม้นะ”
“ว่า?”
“ถ้านายทำอาเต็มของฉันเจ็บ นายต้องเจ็บกว่าหลายสิบเท่า”
“ไม่มีวันนั้นหรอก.. ฉันสัญญา”
ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้ตอบไปแบบไม่ต้องคิดสักนิดเดียว
.
.
.
.
ดูเหมือนว่าคณะสัตวแพทย์จะเรียนหนักน่าดู นับวันรูมเมทของผมก็กลับดึกขึ้นเรื่อยๆ วันนี้ก็ปาเข้าไปจะ 3 ทุ่ม ว่าแต่ทำไมผมต้องนั่งรอด้วยความกังวลแบบนี้ทุกวันนะ? และทุกวันที่กลับมาอีกฝ่ายก็จะถามผมด้วยประโยคเดิมๆ
“ทานข้าวรึยัง?”
เมื่อวานกับวันก่อนผมตอบว่าทานแล้วเพราะดูเหมือนว่าอีกฝ่ายดูเหนื่อยและเพลีย แต่วันนี้ดูจากสีหน้าแล้วผมจึงขอโกหกอีกครั้ง
“ยังครับ”
เจ้าตัวเอียงคอเล็กน้อย ก่อนจะระบายยิ้มออกมา
“บะหมี่ใต้หอมั๊ย?”
“ก็ดี ครับ”
เป็นความคิดที่ดีเลย ซึ่งแม้จะเป็นเวลา 3 ทุ่มแต่ร้านบะหมี่ใต้หอพักก็ยังมีลูกค้าเต็มเกือบทุกโต๊ะ เราเลือกนั่งโต๊ะที่ว่างซึ่งอยู่ริมสุด ผมรู้ได้เลยว่าทุกสายตากำลังจับจ้องอยู่ที่เราสองคน ผมหยิบกระดาษมาเขียนเมนูก่อนจะมองหน้าอีกฝ่าย
“ไม่สั่งเหรอครับ?”
“พี่กินมาเรียบร้อยแล้ว นายกินเถอะ”
ได้แต่ร้อง
‘อ่อ’ อยู่ในใจ จากนั้นก็เดินไปส่งแผ่นกระดาษให้พ่อค้า แล้วเดินกลับมาผมก็นั่งมองคนตรงหน้าที่เอาแต่ก้มหน้ายิ้มกับหน้าจอไอโฟน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ากำลังคุยไลน์อยู่กับใคร
“มากินบะหมี่เป็นเพื่อนผมเพราะออมบอกให้ดูแลผมรึเปล่าครับ?”
คนถูกถามละใบหน้าจากหน้าจอ เลิกคิ้วมองหน้าผมครู่หนึ่ง
“ไม่ต้องคิดมากหรอก อายินดี”
สรรพนามจาก
‘พี่’ เปลี่ยนเป็น
‘อา’ ในทันที และผมก็ไม่บ้าพอที่จะยินดีรับความปรารถนาดีนี้ได้ ผมจึงเลือกที่จะเงียบ สงบสติอารมณ์ด้วยการฟังสรรพเสียงรอบตัวจึงได้รู้ว่า
‘อาเต็ม’ ของออมไม่ธรรมดาจริงๆ เพราะเท่าที่ฟังบทสนทนาของทุกโต๊ะจะมุ่งประเด็นมาที่เจ้าตัว
‘โคตรน่ารักอะ’ ‘อย่างเท่ห์’ ‘แม่ง อยากเป็นโทรศัพท์ในมือฉิบหาย’ และอีกสารพัด จนผมรู้ตัววันนี้แหละว่าความหล่อของผมที่มีมาทั้งชีวิตช่างไร้ค่าเสียจริง
“เออ เทมป์”
จู่ๆ คนตรงหน้าก็เอ่ยชื่อที่ผมชอบที่สุด
“ขอไอโฟนหน่อย ปลดพาสให้ด้วย”
มือบางยื่นมาตรงหน้า ผมส่งไอโฟนของตัวเองให้โดยไม่ปลดพาส รอจนดวงตาคู่เรียวจ้องมองหน้าพร้อมกับเลิกคิ้วถามว่า ‘
พาสล่ะ?’“ศูนย์สี่หนึ่งหนึ่ง วันและเดือนเกิดผม”
คนฟังยิ้มเบะเหมือนจะหมั่นไส้เล็กน้อยก่อนจะจิ้มหมายเลขตามที่ผมบอก
“พี่มีเรียนเต็มวันแทบทุกวัน แล้วกิจกรรมก็เยอะด้วย ต่อไปพี่อาจจะไม่ได้กลับหอบ่อย พี่จะเมมเบอร์กับแอดไลน์ไว้ให้นะ ถ้ามีธุระด่วนอะไรก็โทรหรือไลน์หาพี่ได้นะ”
“ถ้าไม่มีธุระก็โทรไม่ได้เหรอครับ?”
“หืม?”
หลังเสียงครางหืม ก็ตามด้วยเสียงหัวเราะ
‘หึ’ พร้อมกับกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“ได้สิ”
“แล้วไม่เรียก
‘พี่’ ด้วยได้มั๊ยล่ะ?”
“ทำไม? ขอเหตุผล”
“แค่ไม่อยากเรียก”
“ดูไม่น่านับถือขนาดนั้นเลย?”
“อยากเป็น..
‘เพื่อน’ กันมากกว่า”
ดวงตาคู่เรียวหรี่ลงเล็กน้อยราวกับกำลังอ่านใจและค้นหาความหมายของคำว่า ‘เพื่อน’ ซึ่งผมเองก็ไม่ได้คิดจะปิดบังอะไร เปิดเผยขนาดนี้แน่นอนว่าคนฉลาดอย่างคนตรงหน้าเข้าใจได้โดยไม่ต้องอธิบาย ผ่านไปครู่ใหญ่ใบหน้าเนียนใสที่ก็ยกยิ้มมุมปาก ให้ความรู้สึกเป็นแบดบอยเสียจนเสียงเจ๊าะแจ๊ะรอบข้างเงียบสนิท ราวกับว่า ณ ตรงนี้มีผมกับคนตรงหน้าแค่สองคน
“นี่.. ฉันไม่ได้เป็นเกย์นะ”
น้ำเสียงแข็งกระด้างกว่าที่เคยเป็น แต่กลับทำให้ผมยิ้มกว้างกว่าทุกครั้ง โลกทั้งใบของผมในตอนนี้มีแค่คนตรงหน้า แม้แต่เสียงสำลักน้ำหรือเสียงกรี๊ดกร๊าดของคนรอบกายก็ไม่สามารถดึงดูดความสนใจของผมไปได้แม้แต่นิดเดียว
“แต่ผมเป็น”
ยักคิ้วให้ด้วยครับ
.
.
.
.
.
.
TBC..
ท่าทางคนอ่านจะเบื่อนิยายเรื่องนี้กัน
แต่ไม่เป็นไรค่ะ รินจะลงต่อไปจนกว่าจะเหลือคนอ่านแค่คนเดียวแล้วค่อยหยุดค่ะ
และก็ขอขอบคุณทุกความคิดเห็นด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆค่ะ