█ ▌รักเต็มใจ ➽ HEART IS FULL ▌█
┠ 4 ┨
ไม่เคยโกรธใครเท่านี้มาก่อนในชีวิต..
ย้อนกลับไปเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อนที่ร้านบะหมี่ หลังจากที่อีกฝ่ายตอบมาหน้าตาเฉยว่าตัวเองเป็นเกย์ ผมก็โกรธจนควันออกหูและอยากจะลุกขึ้นตั๊นหน้าหล่อๆ นั่นไปสักหมัดสองหมัด แต่ก็ได้แค่ความคิดครับ เพราะคนฉลาดเขาไม่ใช้อารมณ์และกำลัง
ผมไม่เคยดูถูกหรือเหยียดเพศที่สามหรือรักร่วมเพศแต่อย่างใด และผมก็รู้ว่ามีผู้ชายมากมายที่คิดกับผมไปในทางชู้สาวแต่คนพวกนั้นก็ได้แต่คิดและจินตนาการอยู่ฝ่ายเดียว ไม่เคยมีใครกล้าพูดตรงๆ แบบนี้มาก่อน ที่ผมโกรธไม่ใช่เพราะถูกมองว่าเป็นเกย์ แต่โกรธที่ผมอายุมากกว่าถึง 2 ปี แถมยังมีสถานะเป็น ‘
อา’ ของอดีตแฟนของตัวเอง ซึ่งผมก็มั่นใจว่าทั้งคู่ยังมีเยื่อใยให้กันอยู่ แล้วมันบ้าอะไรที่เด็กเมื่อวานซืนคนนั้นถึงได้มาพูดจาแบบนี้กับผม และนับว่าโชคดีแค่ไหนที่พระโพธิสัตว์ซันเข้ามาได้จังหวะพอดิบพอดีเสียก่อน เรื่องมันเลยจบแบบไม่ต้องมีใครเสียเลือดเสียเนื้อ และจากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว อีกฝ่ายทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นต่อในอกยังมีอารมณ์คุกรุ่นอยู่ในใจสักแค่ไหนผมเองก็จะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นกัน
ใกล้จะเที่ยงคืน ผมยังคงนั่งทบทวนเลคเชอร์ที่เรียนมาทั้งหมดของวันนี้ ในแต่ละวิชาผมจะมีสมุดเลคเชอร์ 2 เล่ม โดยเล่มแรกจะใช้เลคเชอร์ตามคำบรรยายในวิชาเรียน ส่วนอีกเล่มคือการถอดรหัสสิ่งสำคัญนำมาเรียบเรียงใหม่ให้เป็นระเบียบมากขึ้นเพื่อให้ง่ายต่อการทบทวนและจดจำ
“อ้าว หมึกหมดซะงั้น”
กำลังเขียนเพลินเลยครับแต่จู่ๆ น้ำหมึกปากกาคู่ใจก็ดันหมด แถมไม่มีสำรองเสียด้วย ผมเป็นคนติดปากกาลูกลื่นยี่ห้อที่นำเข้าจากเยอรมนี ใช้มาตั้งแต่เด็กเพราะมันเขียนลื่นมือดี ตัวด้ามก็ออกแบบมาให้พอเหมาะพอเจาะกับการจับอย่างถูกต้อง ต่อให้มีปากกาอื่นวางอยู่ตรงหน้าผมก็ไม่อยากจะหยิบมาใช้งานสักเท่าไหร่ แต่ไม่เป็นไรครับ ปากกาหมึกน้ำเงินหมดก็ยังมีสีดำ สีแดง สีม่วง สีเขียว และส้ม ไหนๆ อีกนิดเดียวก็ใกล้จะเสร็จแล้วก็ใช้แทนไปก่อนละกัน ส่วนพรุ่งนี้เป็นภาคปฏิบัติหากต้องการจะเลคเชอร์ก็ใช้ดินสอจดไปก่อนแล้วกันตอนเย็นก่อนกลับบ้านค่อยไปซื้อมาเก็บไว้สักโหล
เมื่อทบทวนเสร็จผมก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจคลายกล้ามเนื้อพร้อมกับเหลือบไปมองแผ่นหลังกว้างของรุ่นน้อง เจ้าตัวกำลังก้มหน้าก้มตาทำอะไรสักอย่าง ผมจึงลองแอบมองนิดนึงแล้วก็ได้รู้ว่าที่แท้ก็กำลังทบทวนวิชาพื้นฐานเกี่ยวกับทฤษฎีศิลปะ ปี 1 ก็เป็นเหมือนกันทุกคณะและทุกภาควิชานั่นคือต้องเริ่มจากพื้นฐานก่อน แล้วปี 2 จึงค่อยแยกสาขาไปตามความถนัด เท่าที่ออมเคยบอกไว้เมื่อขึ้นปีสองเจ้าตัวตั้งใจจะเรียนสาขากราฟฟิคดีไซด์เพราะต้องการจะช่วยงานครอบครัว คิดๆ ดูแล้วเด็กคนนี้ก็มีความคิดความอ่านที่ดีและก็ขยันใช้ได้ เพราะตั้งแต่อยู่กันมาจะครบ 1 อาทิตย์ ก็คงจะมีแค่วันแรกเท่านั้นที่ดูเป็นคุณชายเสเพล
ผมเดินเข้าไปในครัวชงช็อคโกแลตร้อน 1 แก้วแล้วเดินมาวางบนโต๊ะให้รุ่นน้อง จริงอยู่ว่าเราอาจจะต้องอยู่ด้วยกันไปอีกนาน อีกอย่างวันนี้ผมกลับก่อนเวลาหอพักปิดแค่ไม่กี่นาทีแล้วพอเปิดตู้เย็นก็เจอน้ำแร่และนมเปรี้ยววางไว้ให้เรียบร้อย นั่นแสดงว่าอีกฝ่ายยังจำได้ว่าผมเคยขอให้ช่วยเรื่องอะไรไว้ แต่ถึงอย่างนั้นเหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือจะให้ออมรู้ไม่ได้ว่าเราทะเลาะกัน ถ้าออมรู้คงจะผิดหวังในตัวของผมน่าดู
“ชงมาให้ผมเหรอ?”
ใบหน้าคมดูจะเหวอเล็กน้อย แต่แค่แว่บเดียวก็เปลี่ยนเป็นความดีใจเหมือนเด็กได้ของเล่นที่ถูกใจ ผมไม่ได้ตอบคำถาม ทำเพียงหันหลังเดินเข้าห้องน้ำไปแล้วก็กลับออกมานอน
“ขอบคุณนะครับ”
อืม.. ผมตอบรับคำขอบคุณในใจ
ตั้งแต่เดินเข้าห้องน้ำแล้วออกมาล้มตัวนอนบนเตียงตลอดจนดึงผ้าห่มขึ้นคลุม ผมรู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้องผมอยู่ทุกอิริยาบถ แต่ผมก็ยังทำเฉย นอนตะแคงหันหลังให้อีกฝ่ายแล้วปิดเปลือกตาลง
“ผมชอบแมว”
ผ่านไปหลายนาที จู่ๆ เสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้น แม้จะหลับตาแต่คิ้วของผมก็ยังขมวดเล็กน้อยพร้อมกับตั้งคำถามในใจว่า
‘ใครถาม?’
“ก็แค่อยากจะบอก”
อ่าว.. นี่อีกฝ่ายฝึกวิชาอ่านจิตคนมารึไง?
“ผมชอบแมว... และก็ชอบคุณด้วย”
อืม.. ตอบรับอยู่ในใจครับ มีคนพูดว่า ‘
ชอบ’ ผมปีๆ นึงหลายพันคน เพราะฉะนั้นผมจึงไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย และอย่างน้อยมีคนชอบก็ดีกว่ามีคนเกลียดนะครับ
รอบนี้เงียบไปนาน คงจะกลับไปตั้งใจกับหนังสือหนังหาแล้วสิท่า ว่าแต่ทำไมผมถึงยังไม่นอน นี่ผมมัวแต่รออะไรอยู่กันนะ? ชักสับสนในตัวเองแล้วสิ ผมพยายามสะบัดความคิดในหัวทิ้งทั้งหมดแล้วปล่อยใจให้ว่าง แค่ไม่นานความง่วงก็เข้ามาทักทาย
“เต็มใจ”
หืม? เสียงทุ้มของใครบางคนเรียกชื่อผม
“ผมชอบชื่อ ‘
เทมป์’ นะ”
อืม ก็แล้วทำไมล่ะ? แม้เปลือกตาจะหนักสักแค่ไหนแต่ผมก็ยังพยายามจะโต้ตอบกับอีกฝ่ายในใจ
“และผมก็อยากจะเรียกคุณว่า ‘
เต็ม’ ด้วย”
แล้วผมเคยห้ามไม่ให้เรียกผมด้วยชื่อเหรอ? เท่าที่จำได้ก็ไม่เคยห้ามสักหน่อยนะ
“ฝันดีนะเต็ม”
ราวกับว่าคำกระซิบนั้นดังอยู่ข้างหู ‘
อืม.. ฝันดี’ ผมทิ้งท้ายไว้ในห้วงของสุดท้ายของความคิด แล้วหลังจากนั้นผมก็หลับลึกยาวจนถึงเช้าเลยครับ
.
.
.
.
เมื่อคืนได้หลับเต็มอิ่ม ตื่นมาตอนเช้ารูมเมทของผมก็ไม่อยู่แล้วครับ ไม่รู้หายไปตอนไหน และก็ไม่รู้ว่าทำไมผมต้องไปสนใจด้วยนะ
“อีจี!”
คนที่เรียกผมแบบนี้มีแค่คนเดียวเท่านั้นแหละครับเพราะฉะนั้นไม่ต้องขานรับและหันไปมองหรอก กับผมโบว์เรียกอีจีๆๆ แต่พอกับซัน เรียก เสี่ยซัน เฮียซัน ฟังแล้ว 2 มาตรฐานอย่างเห็นได้ชัด โบว์ให้เหตุผลว่าซันเป็นผู้ชายแสนดี แค่ยิ้มก็ไม่กล้าพูดคำหยาบใส่แล้ว ถ้าอย่างนั้นแบบผมเนี่ยเรียกว่าผู้ชายเลวสินะ? อืม..
“อีจี! คุณมึงฟังที่ฉันเพิ่งพล่ามจบไปมั๊ย?”
ส่ายหน้าตอบ เอาจริงๆ เมื่อกี้ผมมัวแต่คิดถึงหัวข้องานที่อาจารย์สั่งเลยไม่ทันได้ฟังว่าโบว์พูดว่าอะไร ผมมองหน้าโบว์แบบงงๆ ทำให้คนถามโยนฆ้อนใส่มาวงใหญ่
“อีเพื่อนเลว”
นั่นไง ผมเลวจริงๆ ด้วย ว่าแต่ทำไมผมถึงขำแทนที่จะโกรธก็ไม่รู้
“โบว์ถามว่าต้นเดือนหน้าจะไปออกค่ายอาสาฉีดวัคซีนมั๊ย?”
ซันช่วยพูดแทนเพื่อนสาวพร้อมกับยิ้มขำจนดวงตาคู่รีหยักโค้ง
“ไปสิ”
ตอบโดยไม่ลังเล
“แล้ววันนี้กลับบ้านรึเปล่า?”
“อืม”
เพื่อนสาวอารมณ์ดีขึ้นแล้วครับ ไม่ได้โกรธจริงจังอะไร
“เออ ว่าแต่น้องกองทัพของฉันเป็นยังไงบ้าง แกอย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะเรื่องแอบไปกินบะหมี่รอบดึกกันหน่ะ”
“ก็ถ้าเพื่อนโบรัมไม่รู้นี่สิแปลก”
ผมกับซันหัวเราะออกมา ทำเอาเพื่อนสาวคนเดียวในกลุ่มค้อนปะหลับปะเหลือก
“เออ ฉันชอบกินเผือกเรื่องพวกแก มีปัญหาปะ?”
“ก็ถ้าเป็นคนอื่นหน่ะมีปัญหาไปนานแล้ว”
พูดแบบนี้โบว์ก็ยิ้มออก ที่จริงผมกับซันไม่ได้รำคาญอะไรหรอกครับ โบว์เป็นเพื่อนที่ดีถึงดีมากแถมยังคอยแก้ข่าวแง่ลบให้พวกผมเสมอ แม้เธอจะชอบจิ้นผมคู่กับซันหรือตอนนี้จะเปลี่ยนมาเป็นผมคู่กับเทมป์แต่ผมก็โอเคนะเพราะความไวต่อข่าวของโบว์ทำให้ผมได้รู้ว่าคนรอบข้างกำลังคิดกันยังไง อีกอย่างมันก็เป็นความสุขเล็กๆ ของเพื่อนเท่านั้นซึ่งผมและซันก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร
“น้องเขาบอกชอบแกเหรออีจี?”
“อืม”
“แล้วแกตอบว่าไง?”
“ไม่ทันได้ตอบหรอก”
ตอบเสร็จซันก็หัวเราะขึ้นเบาๆ แล้วโบว์ก็ตบโต๊ะดังฉาด
“ไม่ทันตอบเพราะเสี่ยซันของฉันเข้ามาพอดี แต่บอกไว้ก่อนว่าเรื่องนี้เสี่ยซันไม่ผิดเพราะเสี่ยซันของฉันดีงามดั่งเป็นพระโพธิสัตว์”
รอบนี้หัวเราะครืนกันทั้งโต๊ะ ซันเอาสมุดเลคเชอร์เคาะหัวโบว์ไปหนึ่งที แต่โบว์มันไม่สะดุ้งสะเทือนหรอกครับ แล้วหัวข้อสนทนาเรื่องนี้ก็จบลงแค่นั้น เรานั่งคุยกันต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะถึงเวลาเรียน ซึ่งวันนี้เป็นวิชาภาคปฏิบัติ อ่อ สัตวแพทย์ก็มีอาจารย์ใหญ่นะครับ ซึ่งอาจารย์ใหญ่ของเราก็คือสุนัขที่ได้รับบริจาคมาจากเจ้าของสัตว์ ส่วนการให้ยากระตุ้นหรือสัตว์ทดลองก็จะเป็นสัตว์จำพวก กระต่าย หนู บางครั้งก็ในไก่ และปลา แต่ถ้าหากมีการฆ่าสัตว์เพื่อนำมาศึกษาจะต้องทำให้สัตว์เหล่านั้นเสียชีวิตโดยปราศจากความทรมานตามหลักสากล
ถึงเวลาเรียน อาจารย์เดินเข้าห้องเรียนตรงเวลาเป๊ะ แต่ทำไมผมรู้สึกเหมือนดวงตาใต้กรอบแว่นของบุคคลที่อยู่หน้าห้องกำลังมองลอดแว่นมองมาที่ผม คงไม่ใช่แต่ผมหรอกครับที่รู้สึกเพื่อนทั้งห้องต่างมองมาที่ผมเป็นจุดเดียว อาจารย์ท่านนี้ขึ้นชื่อเรื่องเข้มงวดที่สุดของคณะ แต่ผมเองก็เรียนดีและประพฤติดีมาตลอด ยกเว้นแค่สีของเส้นผมเท่านั้นแหละที่ออกจะจัดจ้านเกินไปแต่เรื่องนี้มันคงไม่ใช่ประเด็นเพราะผมก็ทำผมสีนี้มาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วนี่นา
“นักศึกษาเต็มใจ”
“ครับ”
ท่านไม่พูดอะไรต่อ แต่เคาะลงบนโต๊ะ 2-3 ครั้ง ผมจึงมองไปที่โต๊ะแล้วก็ได้แต่เลิกคิ้วพร้อมร้อง
‘หืม’ ในใจ ก่อนจะเดินออกไปแล้วหยิบของที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นกลับมาโดยไม่ลืมที่จะขอบคุณอาจารย์ ผมเดินเอาของไปเก็บไว้ในกระเป๋าเป้ก่อนจะกลับมายืนที่เดิมพร้อมที่จะเรียน
ช่วงเวลาเรียนผ่านไปตั้งแต่เช้ายันเย็น ตอนอยู่ในห้องแลปก็เพลินและสนุกดีครับ แต่หลังจากออกมาเจอท้องฟ้าหม่นแสงพระอาทิตย์เท่านั้นแหละถึงเพิ่งได้รู้สึกเหนื่อย ถ้าอยากรู้ว่าเหนื่อยแค่ไหนก็ดูได้จากการที่โบว์ไม่ถามเรื่องของปริศนาในกระเป๋าเป้ของผมเลยสักคำ เราเรียนกันจนไม่รู้ว่าตะวันจะลับฟ้าขนาดนี้จนเริ่มจะเคยชิน และเพราะต่างคนต่างก็เพลียจึงแยกย้ายกันกลับซึ่งวันนี้ผมจะกลับบ้าน แต่เพราะว่าเป็นเย็นวันศุกร์ที่รถติดหนักมากผมจึงนัดน้าปองให้มารับที่สถานีรถไฟฟ้าหมอชิตตอน 2 ทุ่มครึ่งแทน ระหว่างนั้นก็เดินเล่นในห้างสรรพสินค้าฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ เพราะยังไงก็ต้องรอหลานสาวดูหนังกับเพื่อนให้เสร็จก่อนอยู่ดี
เดินเข้าร้านหนังสือเป็นอันดับแรก ซึ่งทุกครั้งผมมักจะใช้เวลานานพอดูกับการเลือกหนังสือเกี่ยวกับสัตว์โลก ปกติหนังสือที่ใช้เรียนก็จะเป็นภาษาอังกฤษแทบทั้งหมด อาจารย์เองก็มักจะสอนเป็นภาษาอังกฤษ บอกไว้เลยครับว่าใครคิดจะเรียนคณะเดียวกับผมต้องมีความรู้ทางด้านภาษาที่ดีพอสมควรไม่งั้นไม่รอดแน่นอน และขณะที่กำลังเลือกหนังสืออยู่นั้น ผมก็สะดุ้งจนตัวโยนเมื่อจู่ๆ ก็มีใครก็ไม่รู้ใส่หน้ากากแมวมาจะเอ๋ตรงหน้า
“เหี้ย!”
เกือบได้เอาสันหนังสือฟาดกลางหน้าผากแล้วครับ ดีนะที่ฝ่ายนั้นดึงหน้ากากออกก่อน
“เหี้ยที่ไหน นี่แมวต่างหาก”
คนพูดโชว์หน้ากากให้ผมดูชัดๆ พร้อมกับหัวเราะร่วน อยากจะอ้าปากด่านะครับแต่เสียงหัวเราะทุ้มต่ำก็ทำให้ผมนึกคำด่าไม่ออกไปซะเฉยๆ
“ไม่ไปดูหนังกับออมรึไง?”
“ออมดูกับดักแด้ เพื่อนกลุ่มเดียวกัน”
น่าแปลกนะครับที่ผมเคยได้ยินออมพูดถึงเพื่อนที่ชื่อดักแด้ แต่ไม่เคยได้ยินชื่อเทมป์หรือกองทัพสักครั้ง และพอได้ยืนใกล้กันแบบนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองเตี้ยเอามากๆ ผมเลือกที่จะหยุดสนใจอีกฝ่ายแล้วเปิดดูเนื้อหาในหนังสือต่อ เราทั้งคู่เงียบกันไปนานพอดู จนกระทั่งเจ้าของเสียงทุ้มเป็นคนทำลายบรรยากาศอันสงบสุขนั้น
“รู้มั๊ยครับว่าแมวเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าอัศจรรย์มาก”
สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่เนื้อหาในหนังสือก็จริง แต่ก็อดที่จะเลิกคิ้วกับประโยคที่เพิ่งจบไปไม่ได้ไม่ใช่เพราะผมไม่รู้ว่าแมวเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าอัศจรรย์หรอกนะครับ แต่เพราะไม่คิดว่าผู้ชายตัวโตๆ จะชอบแมวขนาดนี้ต่างหาก
“ย้อนกลับไปเมื่อห้าร้อยยี่สิบห้าปีก่อนคริสกาล ก่อนการสู้รบที่เมืองพลูเซียม ซึ่งเป็นเมืองสำคัญของอียิปต์ในสมัยนั้น กษัตรย์แห่งเปอร์เซียได้สั่งให้วาดรูปแมวลงบนโล่ของทหารและให้มีการแห่แมวนำหน้าทัพ ซึ่งเมื่อชาวอียิปต์ที่ยกย่งแมวเหนือสิ่งอื่นใดได้เห็นก็ไม่กล้าสู้ด้วยเพราะกลัวจะทำให้เทพเจ้าโกรธ สุดท้ายจึงต้องยอมแพ้ถอยทัพกลับไป”
หนังสือในมือของผมถูกปิดลงแล้ววางมันกลับในชั้นที่เดิมพร้อมกับตวัดหางตามองคนข้างๆ เล็กน้อย เรื่องที่เพิ่งจบไปเป็นเรื่องจริงครับ และมันก็ถูกจัดไว้ในความน่าอัศจรรย์ของแมวจริงๆ ซึ่งเรื่องพวกนี้ต่อให้คนที่ไม่เรียนสัตว์แพทย์แต่รักแมวก็รู้ได้ ผมหันไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายตรงๆ พร้อมกับถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้วพูดขึ้นบ้าง
“การเลี้ยงแมวทำให้คนเลี้ยงมีความสุขมากขึ้นเพราะแมวช่วยกระตุ้นการผลิตสารออกซิโทซินหรือโฮโมนแห่งความรัก ดังนั้นคนที่เลี้ยงแมวก็เหมือนเป็นการสร้างความสุขให้ตัวเอง”
ความอัศจรรย์ของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า
‘แมว’ มีเยอะครับ ถ้าใครอยากรู้มากกว่านี้ลองไปหาในอากู๋ดูก็ได้ แต่ท่าทางผมจะพลาดไปแล้วครับที่ดันยกความอัศจรรย์ข้อนี้ขึ้นมา ดูได้จากดวงตาคู่คมที่หรี่ลงอย่างเจ้าเล่ห์
“อา.. ถ้าอย่างนั้นก็แย่แล้วล่ะสิ”
ขอเวลาแกล้งทำเป็นหูดับไม่ได้ยินอะไรสัก 5 วินาทีนะครับ
“โฮโมนแห่งความรักของผมฟุ้งเต็มไปหมดเลย”
พูดจบก็ยังจะส่งวิ๊งให้อีก เชื่อเขาเลยครับ เราต่างก็เพศเดียวกันแต่ยังทำได้หน้าตาเฉยไม่มีกระดากอายเลยสักนิด
“นี่กะจะจีบ?”
ถามออกไปตรงๆ แบบไม่ต้องอ้อมโลกหรือชักแม่น้ำทั้งห้า
“จริงจังมาก”
“คิดว่าง่าย?”
“รู้ไงว่าไม่ง่าย แต่ต้องได้แน่นอน”
ไม่ต้องทำมาเป็นมายักคิ้ว นี่ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในที่สาธารณะผมคงได้ประเคนหมัดให้สักรอบ แต่เพราะทำแบบใจคิดไม่ได้ผมจึงได้แต่สงบสติอารมณ์แล้วพูดกับคนตรงหน้าแบบจริงจัง
“ฉันมีแฟนแล้ว”
“รู้ครับ สวยและน่ารักมากด้วย”
นับว่าหาข้อมูลมาดี แต่ทำไมถึงได้ดูไม่แคร์เลยสักนิด
“ออมรู้เรื่องนี้มั๊ย?”
“เราไม่เคยมีอะไรปิดบังกัน”
คำตอบนี่แหละที่ควรจะแคร์ เพราะออมเป็นหลานสาวของผมแล้วคนตรงหน้าก็เป็นอดีตแฟนที่ปัจจุบันก็ยังมีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน เมื่อคิดถึงตรงนี้ผมก็เพิ่งนึกได้ว่าเหตุผลที่ทั้งคู่เลิกกันอาจจะเพราะออมจับได้ว่าหมอนี่เป็นเกย์ ดูจากความหน้าด้านและช่ำชองท่าทางจะไม่เบาเลยทีเดียว
“มีแฟนผู้ชายมาแล้วกี่คน?”
“เพิ่งจีบคนแรกในชีวิตเลยนี่แหละ”
คิ้วเข้มยักขึ้นบอกให้รู้ว่าผมนี่แหละคือคนแรก ตอแหลมั๊ยละครับ?
“คิดว่าจะเชื่อ?”
“ผมไม่เคยโกหก และก็ไม่เคยบังคับให้ใครมาเชื่อผม”
ดูจากนัยน์ตาคู่คมแล้วไม่มีพิรุธใดๆ ทั้งสิ้น เอาเป็นว่าผมจะลองเชื่อดูละกัน
“รู้ตัวว่าเป็นเกย์มานานรึยัง?”
“วันนี้วันที่หก”
“หืม?”
วันที่ 6 .. คิ้วของผมขมวดทันที อย่าบอกนะว่าเจอผมปุ๊ปก็เป็นเกย์ปั๊ป ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็บ้าไปแล้ว
“เป็นผู้ชายดีๆ ไม่ชอบรึไง? มีแฟนสวยๆ มีลูกมีหลาน มีครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อม”
“แล้วตอนนี้ผมไม่ใช่ผู้ชายรึไง?”
“ก็ใช่ แต่...”
จู่ๆ ทำไมผมถึงพูดไม่ออกขึ้นมาเสียล่ะ คำพูดติดอยู่ที่ลำคอเฉยเลย ดวงตาคู่คมจ้องมองผมเพื่อรอฟังคำตอบอยู่อย่างนั้น จนแล้วจนรอดผมก็ตัดบทด้วยการหยิบหนังสือที่จะซื้อมาหนึ่งเล่มแล้วหันหลังกลับพร้อมกับพูดขึ้นเบาๆ ว่า
‘ช่างมันเถอะ’ ดูเวลาแล้วอีกตั้งชั่วโมงกว่าออมจะดูหนังเสร็จ ผมจึงเลือกร้านอาหารง่ายๆ ทาน ขนาดว่าห้างนี้มีร้านอาหารเยอะมากแล้วนะครับแต่คนที่ใช้บริการยังเยอะกว่าแน่นเกือบทุกร้าน สุดท้ายผมจึงเลือกทานที่ฟู้ดคอร์ท สั่งเกาเหลาร้อนๆ มาทานตอนที่เดินถือถาดอาหารมาหาโต๊ะนั่งผมก็ไม่รู้ว่าคนที่คอยเดินตามมานานสองนานหายไปไหนและหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ก็ช่างเขาเถอะครับ
ค่อยๆ ตักอาหารกินพร้อมกับนั่งอ่านหนังสือที่เพิ่งซื้อมา มันเป็นหนังสือภาษาอังกฤษ ‘workforce needs in veterinary medicine’ ซึ่งเพิ่งตีพิมพ์เมื่อไม่นานมานี้อธิบายง่ายๆ ก็คือเนื้อหาเกี่ยวกับการรักษาสัตว์ ระหว่างนั้นโทรศัพท์ของผมก็ส่งเสียง ออมโทรมาครับ แต่เพิ่งจะเข้าไปดูหนังได้ไม่ถึง 2 ชั่วโมงเลยนี่นา
[ตอนนี้อาเต็มอยู่ไหนคะ?]
“ฟู้ดคอร์ท แล้วออมอยู่ไหนเนี่ย?”
[ออมอยู่ชั้นโรงหนังนี่แหละค่ะ แต่สงสัยออมจะกลับบ้านพร้อมอาเต็มไม่ได้แล้วล่ะ]
“ทำไม?”
[ดักแด้มันปวดท้อง มันขับรถกลับบ้านไม่ไหว ออมเลยจะขับรถไปส่งมันที่บ้านก่อน]
“อ้าว แล...”
ยังพูดไม่ทันจะจบออมก็แทรกขึ้นมาด้วยความรีบร้อน
[อาเต็มไม่ต้องห่วงออมนะคะ ออมโทรบอกคุณปู่คุณย่าเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวท่านจะส่งรถไปรับออมที่บ้านดักแด้เองค่ะ แค่นี้ก่อนนะคะอาเต็ม รักอาเต็มน๊า]
พูดรัวซะจนผมแทบจะฟังไม่ทัน แต่สรุปได้สั้นๆ ว่าผมต้องกลับบ้านเอง ซึ่งมันก็ไม่ได้ยากหรือลำบากอะไรเลยสักนิด
“ทำไมทำหน้าแบบนั้น?”
สะดุ้งเป็นรอบที่สองของวันแล้วครับ และสาเหตุเกิดจากคนๆ เดียวกันด้วย เป็นผีรึเปล่าเนี่ย? คิดจะหายก็หายคิดจะโผล่ก็โผล่
เจ้าตัววางขวดน้ำแร่ที่ผมดื่มเป็นประจำลงบนโต๊ะ 2 ขวด ขวดนึงให้ผม อีกขวดดื่มเอง อย่าบอกนะว่าหายไปเพราะไปหาซื้อน้ำให้ผมอยู่???
“ว่าไง เป็นอะไร?”
หืม? ว่าไงอะไรนะ? อ๋อ.. คำถามก่อนหน้านี้นะเหรอ? แล้วทำไมจะต้องทำหน้าดุแบบนั้นด้วยเล่า ผมกำลังตั้งท่าจะอธิบายครับ แต่คงจะไม่ทันใจอีกฝ่าย
“ไม่อร่อยเหรอ?”
ดวงตาคู่คมมองไปที่ถ้วยเกาเหลาสลับกับหน้าผม ท่าทางจะเข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้วล่ะครับ
“อ่อ.. นี่หน่ะ..”
เฮ้ย! ไปใจร้อนมาจากไหนฟร๊ะเนี่ย!?? กำลังจะบอกว่ามันก็อร่อยดี แต่ดูสิครับหยิบช้อนของผมตักเกาเหลาใส่ปากตัวเองเฉยเลย
“รสชาติก็โอเคนี่”
อึ้งอยู่ครับ.. และดูท่าว่าหากผมมัวแต่นั่งเฉยไม่กินต่อคงจะได้มีคนป้อนถึงปากแน่ๆ ผมจึงต้องรีบยึดช้อนคืนแล้วตักเข้าปากไปสองสามคำ นี่มันบ้าอะไรครับเนี่ย?! ทำไมผมถึงได้ร้อนรนขนาดนี้ด้วย?!
ฝ่ายตรงข้ามที่ดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับสิ่งใดหยิบไอโฟนของตัวเองขึ้นมาอ่านอะไรบางอย่างแล้วคิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย
“ออมกับดักแด้กลับไปแล้ว?”
“อืม”
พยักหน้าก็จริงแต่ผมก็แอบจับพิรุธอยู่นะครับ
“ให้รถที่บ้านมารับรึเปล่า?”
“สถานีหมอชิต สองทุ่ม?”
ร่างสูงดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือ
“งั้น.. ไม่ต้องรีบหรอก”
สุดท้ายแล้วก็ไม่มีพิรุธใดๆ ให้ผมจับได้เลยแม้แต่นิดเดียว
กินเสร็จก็เดินย่อยต่อนิดหน่อยจากนั้นจึงค่อยเดินไปสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งแน่นอนครับระหว่างต่อแถวรอขบวนรถไฟฟ้าด้านหลังของผมก็มีร่างสูงยืนอยู่ด้วย และเป็นครั้งแรกที่ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าจากปกติที่ผมมักจะตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนรอบข้างบัดนี้มีคนมาแย่งตำแหน่งไปซะแล้ว ดีเหมือนกันนะครับผมชอบความรู้สึกแบบนี้จัง
ยืนเบียดกันบนรถไฟฟ้าสักพักก็ถึงสถานีอนุสาวรีย์ชัยฯ ผู้โดยสารลงไปเกือบครึ่งขบวนจึงมีที่ว่างให้นั่ง ถ้ามาคนเดียวผมก็ไม่นั่งหรอกเอาไว้ให้สุภาพสตรี เด็ก และคนชรานั่งจะดีกว่า แต่เพราะมากับคนที่ตัวโตกว่าเมื่อเห็นที่ว่างก็ดันหลังผมให้ล้มลงไปนั่งหน้าตาเฉยส่วนตัวเองก็ยืนคร่อมผมไว้ ด้วยความหมั่นไส้ผมจึงเตะหน้าขาไปหนึ่งที คิ้วเข้มขมวดแล้วมองผมด้วยสายตาดุแต่ก็ไม่ได้ร้องโวยวายอะไร และตลอดทางเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลย
ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงก็สุดปลายทาง ร่างสูงเดินมาส่งผมจนถึงบันไดทางลง มองจากตรงนี้ก็เห็นรถของที่บ้านจอดรออยู่แล้วครับ ผมจึงก้าวขาลงบันได
“เต็ม”
เสียงเรียกทำให้ผมต้องหยุดเดินแล้วหันไปมอง พร้อมเลิกคิ้วถามว่า ‘มีอะไร?’ แต่อีกฝ่ายก็ยืนมองผมนิ่งๆ มีเพียงสิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปคือสีของใบหูที่ขึ้นสีแดงจัด
“ไม่มีอะไรหรอก”
ยืนรออยู่ครู่หนึ่งเสียงทุ้มก็ตอบพร้อมส่ายหน้า ผมจึงพยักหน้าแล้วเดินลงบันไดต่อจนถึงขั้นสุดท้าย แต่.. ผมลืมอะไรไปรึเปล่า? ผมหันไปมองคนที่ยืนอยู่ขั้นบนสุดของบันได แล้วรีบหยิบของที่อยู่ในกระเป๋าเป้ออกมา
“เทมป์!”
ใบหน้าคมขยับเล็กน้อย ผมจึงชูของที่อยู่ในมือให้อีกฝ่ายได้เห็น
“ขอบคุณนะ”
แม้จะยืนอยู่ไกลพอสมควรแต่ก็ไม่ได้ไกลเกินระยะสายตา ริมฝีปากยกยิ้มแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน เป็นรอยยิ้มที่ทั้งอบอุ่นและจริงใจ ฝ่ายนั้นยกมือเกาท้ายทอยแก้เก้อก่อนจะโบกมือส่งกลับมาให้ผม
อยากรู้มั๊ยครับว่าของที่ผมรับมาจากอาจารย์เมื่อเช้าหรือก็คือของที่อยู่ในมือผมตอนนี้คืออะไร.. มันคือปากกายี่ห้อที่ผมใช้อยู่เป็นประจำ จำนวน 15 ด้าม เป็นสีน้ำเงิน 12 ด้าม มันถูกจัดเรียงและมัดไว้เป็นรูปหัวใจโดยมีด้ามสีชมพู 3 ด้าม แทรกเป็นหัวใจดวงเล็กอยู่ตรงกลางอีกดวง คุณคิดเหมือนผมมั๊ยว่ามันตลกดีนะครับ
.
.
.
.
.
.
TBC
ตอนที่ 4 มาแล้วค่ะ ตอนนี้แต่งไปเขินไป แต่ไม่รู้ว่าคนอ่านจะเขินตามมั๊ย
สำคัญที่สุด ขอบคุณทุกความคิดเห็นนะคะ รินดีใจมากค่ะที่ได้อ่านความคิดเห็นของคนอ่านเพราะนอกจากจะเป็นกำลังใจให้นักเขียนแล้วมันจะทำให้รินรู้ว่าคนอ่านคิดยังไงกับนิยายของเรา ถ้าเกิดแต่งนิยายแล้วไม่มีใครตอบสนองหรือบอกให้เรารู้เลยว่ารู้สึกยังไง มันก็เหมือนกับการที่เราชอบใครสักคนแล้วเขาไม่เคยสนใจสักนิด
ขอบคุณจากใจค่ะ และก็ขอ + เป็ด ให้ทุกความคิดเห็นค่ะ
ริน