[ต่อจ้า]
ครับ จะเป็นใครไปได้ถ้าไม่ใช่เสี่ย
แถมเสี่ยคนนั้นยังเล่นตัว ไม่ยอมคุยโทรศัพท์กับผม แต่ให้คุณสันมารับถึงหน้าโรงพยาบาล ต้องกล่อมน้องชายอยู่นานกว่ามันจะยอมปล่อยผมขึ้นรถไปที่ทำงานของเสี่ย
จะว่าไป...ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสี่ยทำไมถึงถูกเรียกว่าเสี่ย
แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว...ชัดเจนแจ่มแจ้งเลยด้วย! เพราะทันทีที่เดินเข้ามาในบริษัท ‘เอ็มเอซเอ็น เอนเตอร์เมนท์’ ผมก็ตัวสั่นเมื่อถูกทุกสายตาจับจ้องเหมือนเป็นอาหารแสนโอชะ เพราะที่นี่คือสถานีโทรทัศน์ขนาดใหญ่ เป็นต้นสังกัดจัดหาดารา ผลิตหนังและละคร แล้วยังทำรายการประจำช่องขายเองอีกต่างหาก
เห็นคนหน้าตาดีหลายคนเดินผ่านไปมาผมก็ตื่นเต้น เพราะสมัยทำอาชีพสตั้นท์แมน ก็เคยเดินเข้ามาติดต่อกับที่นี่เหมือนกันเพื่อคัดตัวว่าใครจะได้เป็นตัวแทนนักแสดงคนไหน แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเสี่ยเป็นเจ้าของ
...ที่แท้เราก็เป็นคนคุ้นเคยที่ไม่รู้จักหน้ากันหรอกเหรอเนี่ย
ไม่สิ มีแต่ผมต่างหากที่รู้จักเขา
เสี่ยกิจภัทร ชาติบดินทร์
มีข่าวลือซุบซิบถึงเสี่ยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการได้มรดกจากพ่อผู้ก่อตั้งบริษัทแล้วประสบความสำเร็จ หรือแม่ผู้เป็นถึงดาราดาวค้างฟ้าที่จนตอนนี้ก็ยังมีผลงานให้เห็น ทั้งสองคนหย่าขาดกัน โดยที่ฝ่ายพ่อแต่งงานใหม่แล้วทิ้งบริษัทให้เสี่ย เห็นว่านั่นเป็นคำขอเดียวจากผู้เป็นภรรยาโดยไม่ต้องการทรัพย์สินอื่นๆ อีก เพราะตัวเธอเองก็แต่งงานใหม่กับฝรั่งต่างชาติ แยกย้ายกันไปมีครอบครัวของตัวเอง
จึงไม่แปลกที่เสี่ยจะมีทักษะมโนสูง เพราะคลุกคลีกับเหล่าดารานักแสดงมานาน ถ้าอยากได้งานขอแค่ประจบเขาสักหน่อยรับรองว่าได้เล่นละครแน่นอน บริษัทของเสี่ยคุมงานหลายอย่าง เพราะมีสถานที่สำหรับการถ่ายทำหลากหลายรายการ เน้นพวกนักแสดง นักข่าว พิธีกร เรียกได้ว่าเป็นเหยื่อแสนโอชะของเหล่าคนหน้าตาดีที่อยากเด่นดังในวงการ
แต่ถึงอย่างนั้นเสี่ยก็ไม่ค่อยออกงาน ถ้าจะควงก็ควงกินเงียบๆ ไม่มีใครรู้เรื่องมากนักและไม่มีนักข่าวกล้าทำข่าวเพราะเสี่ยมีคอนเนคชั่นเยอะ แน่ล่ะ ใครจะทำอะไรก็ต้องมาติดต่อเสี่ยก่อน โฆษณาขายของ นิตยสารหรือรายการทุกอย่างก็ต้องพึ่งพาเสี่ย เป็นศัตรูกับคนแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดีเลย ถ้าจะมีหลุดก็มักพูดถึงแบบไม่ระบุชื่อ จนทุกคนเรียกติดปากว่า ‘เสี่ย’
“อุ๊ยตาย น้องจิระ ลมอะไรพัดมากันเนี่ย ไหนบอกให้ตายก็ไม่ยอมทำงานจะเกาะเสี่ยกินไม่ใช่เหรอ หรือว่าเปลี่ยนใจอยากเป็นดาราแล้ว” พี่ผู้ชายคนหนึ่งพูดอย่างมีจริตจก้าน เขาสวมชุดสูทสีม่วงและผ้าพันคอหลากสี ขณะพูดยกมือปิดปากเหมือนกล่าวกระซิบ น่าจะเป็นคนรู้จักจิระดีประมาณหนึ่งไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าเหน็บต่อหน้าคุณสัน
ผมกะพริบตาปริบๆ น่าสงสัยอยู่หรอกว่าด้วยหน้าตาระดับจิระ หากเข้าวงการบันเทิงคงดังระเบิด ยิ่งมีเสี่ยดันด้วยยิ่งสบายเฮ แต่คาดไม่ถึงว่า...เขาจะใช้ข้ออ้างไม่ยอมทำงานเพราะเกาะเสี่ยกิน...
“เสี่ยเป็นคนเรียกคุณจิระมาครับ” คุณสันช่วยตอบแทนผมที่ยืนเซ่อ ก่อนจะรีบเดินนำไปที่ลิฟต์แล้วกดปุ่มชั้นบนสุดทันที
คาดว่านี่คงจะเป็นลิฟต์ส่วนของเสี่ยโดยเฉพาะ เพราะไม่มีพนักงานคนไหนใช้สักคนแถมยังอยู่ส่วนลึกด้านในติดกับลานจอดรถชนิดที่ตรงเข้ามาได้เลยโดยไม่ต้องเดินผ่านหน้าเคาน์เตอร์ต้อนรับผจญสายตาคนอื่นๆ
“เอ่อ...” ผมลังเลว่าควรจะถามคุณสันดีรึเปล่า
“มีอะไรหรือครับ”
“เสี่ยเรียกผมมา ไม่ใช่ว่าเสี่ยพาร่างผมมาไว้ที่นี่หรอกนะครับ”
ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าร่างของนายจิตรินในสภาพนอนเป็นผักจะถูกเข็นมายังไงโดยไม่ให้เอิกเกริก
“ไม่ใช่หรอกครับ”
“แล้วเสี่ย...”
“เสี่ยไม่คิดจะคืนร่างของคุณให้หรอกครับ”
“อ้าว” ผมรู้สึกเหมือนโดนหลอก งงใจเสี่ยเหลือเกิน
“ลองคุยกับเสี่ยดูนะครับคุณจิ เสี่ยเป็นคนใจดี เป็นคนดีกว่าที่เห็นนะ”
...ไม่เชื่อถือ ไม่น่าเชื่อถือสักนิด!และแล้วประตูลิฟต์ก็เปิดออก ห้องชั้นบนสุดเป็นกระจกใสรอบด้านทำให้เห็นสำนักงานโดยรอบในมุมสูง ถ้าเป็นตอนกลางคืนต้องสวยมากแน่ๆ จะว่าไปฉากนี้มันคุ้นๆ เหมือนอยู่ในหนังรักโรแมนติกแห่งปีที่เพิ่งทำยอดถล่มทลายร้อยล้าน ฉากจบที่พระเอกเซอร์ไพรส์คุกเข่าขอนางเอกแต่งงานท่ามกลางแสงไฟของเมืองหลวง ฉากนั้นเป็นที่พูดถึงในโซเชี่ยลมาก สาวๆ หลายคนถึงกับยอมทำทุกอย่างเพื่อขอสัมผัสบรรยากาศแบบนั้นบ้าง แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครรู้ว่าสถานที่ถ่ายทำคือที่ไหน
บริเวณโดยรอบนั้นเป็นจุดรับแขกค่อนข้างโล่งโปร่งสบาย ให้ความรู้สึกมาพักผ่อนมากกว่าการทำงาน คุณสันเดินนำผมเข้าไปจนถึงห้องส่วนตัวซึ่งมีเลขาเฝ้าด้านหน้า ผมถึงกับตะลึงค้าง เพราะเคยเห็นแต่เลขาสาวสวยในละคร เลยออกจะอึ้งไปบ้างเมื่อเจอกับเลขาถึกทึนหน้าบาก ไม่ใช่ใครที่ไหนญาติของพี่เบิ้มนี่เอง
เจ้าของบริษัทจะมีเลขาหลายคนย่อมไม่แปลก คุณสัน...น่าจะเป็นเลขาสำหรับติดต่อประสานงานกับผู้อื่น ส่วนคุณเลขาร่างถึกเบื้องหน้าผมนี้ ก็น่าจะคอยคุ้มกันพ่วงคัดคนเข้าห้อง อารมณ์เหมือนยักษ์เฝ้าประตู เพราะพี่แกถึงกับตบตามตัวว่าผมพกอาวุธมารึเปล่า...เฮ้ๆ นี่มันบริษัทเอนเตอร์เทนเมนต์หรือบริษัทค้าอาวุธกันแน่ถึงห่วงว่าจะมีคนมาฆ่าเสี่ย!
“คุณจิขอเข้าพบครับท่าน” คุณสันเคาะประตูห้องเบาๆ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปแล้วผายมือเชิญให้ผมเดินเข้าปากเสือ ผมมองอีกฝ่ายด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ กลัวว่าพออยู่สองต่อสองแล้วจะเกิดเหตุการณ์พิลึกพิลั่นเข้า ร่างกายของจิระวางใจไม่ได้เลย
สุดท้ายคุณพี่บอดี้การ์ดเลขา...เอ่อ...เลขาบอดี้การ์ดก็ผลักผมเข้าไปแล้วปิดประตูเป็นอันปิดกั้นความช่วยเหลือจากโลกภายนอก ผมปาดเหงื่ออย่างนึกหวาด หันมาเผชิญหน้ากับเสี่ยที่ก้มหน้าก้มหน้าทำงาน ไม่คิดเงยมองคู่สนทนา
“มาทำไม”
“เอ้า ก็เสี่ยให้ผมมาพบที่นี่เองอ่ะ” ผมอึ้ง ประโยคแรกที่ถามคือมาทำไมเนี่ยนะ ไอ้จิอยากเป็นลม
วูบหนึ่งผมคล้ายจะเห็นเสี่ยทำหน้างง แต่ด้วยความขี้เก๊ก ทำให้เขาเก็บสีหน้าได้รวดเร็วสมกับเป็นลูกชายนักแสดงหญิงระดับประเทศ
เดี๋ยวนะ ถ้าไม่ใช่เสี่ยให้ผมมา งั้นก็เป็น...คุณสัน?จะว่าไปท่าทางของเขาก็ส่อพิรุธไม่เบา เพราะผมไม่มีเบอร์เสี่ยเลยต้องติดต่อผ่านคุณสัน แต่คุณสันตอบกลับทันทีว่าเสี่ยไม่ต้องการคุยผ่านโทรศัพท์ หากต้องการเจรจาจะต้องมาหาด้วยตัวเองเท่านั้น
“ช่างเถอะครับ” ผมทำใจเย็น คุณสันทำไปเพื่ออะไรผมไม่รู้เจตนา แต่ยังไงซะผมก็ต้องคุยกับเสี่ยอยู่ดี “ผมอยากขอร่างของผมคืน แม่ผมยินดีดูแลร่างกายของจิตริน เสี่ยจะได้ไม่ต้องลำบาก ต้องมาเสียค่าพยาบาลคอยพลิกตัวเช็ดตัวให้ผมระหว่างรอจิระกลับร่าง”
“ร่าง? อ้อ สันคงจัดการล่ะสิ” เสี่ยเอ่ยพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง ก่อนจะทำทีเป็นเซ็นเอกสาร เอ่ยกับอากาศทั้งที่ตอบผมอยู่ “ฉันไม่ลำบาก”
“ครับ เสี่ยไม่ลำบากหรอก แต่...”
“ฉันไม่ลำบาก แต่ถ้าเธอเอาร่างคืนไป ฉันจะลำบาก”
ผมเลิกคิ้วฉงน
“ในเมื่อฉันจ่ายค่ารักษาให้เธอ ฉันก็ต้องมีหลักประกัน ไม่ใช่ว่าจ่ายเงินให้ไปดูแลที่บ้านของเธอ แล้วฉันไม่มีอะไรในมือสักอย่าง ไม่คิดว่าเอาเปรียบกันไปหน่อยหรือ ร่างจิระเธอก็เอาไป กระทั่งวิญญาณของจิระที่อยู่ในร่างไร้ประโยชน์ เธอก็จะเอาอีกรึไง”
ไอ้เราเองก็ไม่ใช่คนคิดอะไรซับซ้อน พอเสี่ยพูดมาตรงๆ ผมก็เริ่มใจอ่อน
เพราะนั่นคือความจริง ผมอยู่ในร่างจิระ ร่างกายที่ทำประโยชน์ได้มหาศาล แม้เสี่ยจะให้คนตามติด แต่ผมก็ใช้ชีวิตอย่างอิสระในร่างของจิระ เขาต้องยอมทนเห็นเด็กเลี้ยงคนโปรดโบยบินไปไกลแสนไกลโดยต้องคอยจ่ายเงินดูแลใครก็ไม่รู้ ถ้าเกิดต้องยอมยกร่างคืนให้บ้านผมไปอีก เขาก็แทบไม่เหลืออะไรในกำมือสักอย่าง นอกจากทำหน้าที่จ่ายเงินอย่างเดียว
“เอ่อ...เสี่ยอย่าโมโหสิ ผมแค่มาถามเฉยๆ ไม่ได้จะมาหาเรื่องสักหน่อย เสี่ยมีเหตุผลผมก็เข้าใจ ขอแค่เสี่ยรับปากว่าจะดูแลร่างผมดีๆ คอยตัดเล็บเช็ดตัวทำความสะอาดของสงวนให้ผมด้วย”
“ไอ้ก้อนเล็กๆ หนึ่งนิ้วน่ะหรือ”
“เสี่ย!!” ผมร้องเสียงหลง อึ้งเพราะเสี่ยดันทายขนาดถูก ถ้าไม่แอบเปิดดูจะรู้ได้ยังไง “เสี่ยพิศวาสตัวผมเหรอ”
เสี่ยขมวดคิ้ว
“คิดว่าฉันไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่านั้นรึไง”
โอเค ผมยอม เขาเป็นเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการบันเทิง ตัวเลือกมีมากมายนับไม่หวาดไม่ไหว หน้าตาระดับสุดยอดทั้งนั้น
“จริงสิ ผมมีอะไรจะเล่าให้เสี่ยฟัง” พอปรับความเข้าใจกันแล้วก็เริ่มคึก นึกอยากเล่าเรื่องวันนี้ เขาจะได้วางใจว่ายังพอมีทางได้เด็กเลี้ยงของตัวเองคืน “วันนี้ผมกับแม่ ไอ้เจ แล้วก็พี่โสภีไปวัดมา ตั้งใจไปถามพระเรื่องที่สลับตัวกันเนี่ยแหละ แม่ผมทำปูผัดผงกะหรี่ไปด้วย อร่อยมากๆ ฝีมือแม่ผมเนี่ยระดับเปิดร้านอาหารได้เลยนะไม่อยากจะโม้ แต่แม่ผมไม่ชอบทำกับข้าวเยอะๆ ท่านบอกว่าทำให้ครอบครัวนั่นแหละถึงได้อร่อย เพราะใส่ความรักความเอาใจใส่ลงไป เอ่อ แล้วก็...พี่โสภีแอบติดใจร่างจิระด้วย! แต่เสี่ยไม่ต้องห่วงหรอกนะ นอกจากคนของเสี่ยจะช่วยกันแล้ว น้องชายของผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน น้องผมมันเด็กดี มันสอบได้ที่หนึ่งของชั้นด้วยนะเสี่ย! ฉลาดได้ใครมาก็ไม่รู้ เพราะผมเนี่ยหวิดจะสอบตกตลอด”
“ถามพระแล้วท่านว่ายังไง”
เสี่ยที่หันไปก้มหน้าก้มตาเปิดแฟ้มอ่านอย่างตั้งใจเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงคล้ายจะหงุดหงิดน้อยๆ
“อ้อ เกือบลืมไปเลย ท่านบอกว่านี่เป็นผลกรรมจากการกระทำของจิระ เขาขับรถชน แต่ตัวเขากลับเป็นคนนอนโรงพยาบาลแทน ส่วนผมทั้งที่ประสบอุบัติเหตุกลับไม่ได้เป็นอะไรเลย ว่าแต่เสี่ยเชื่อเรื่องเวรกรรมด้วยเหรอ แสดงว่าเสี่ยนับถือศาสนาพุทธใช่มั้ย แล้วเสี่ยเคยเจอผีรึเปล่า เมื่อก่อนนะ ตอนออกกองที่ต่างจังหวัดผมเคยเจอผีด้วย เจอคู่กับพี่โสภี เล่นเอานอนไม่หลับทั้งคืน ดีนะที่สตั้นท์แมนไม่ต้องเอาหน้าออกกล้องเยอะ ก็เลยถ่ายทำราบรื่นดี เอ้อ แล้วเสี่ยรู้รึเปล่าว่าหนังเรื่องล่าสุดที่ผมแสดงเป็นของบริษัทเสี่ย ผมเท่สุดยอดไปเลยใช่มั้ยละ ถ้ากลับร่างเดิมแล้ว เสี่ยอย่าลืมเรียกใช้ผมอีกนะ ผมจะตั้งใจทำงานให้ดี...”
นานแล้วที่ไม่มีใครฟังผมพูดจ้อไม่หยุดขนาดนี้ยกเว้นแม่กับพ่อ เพราะขนาดไอ้เจมันยังรำคาญเลย แม้เสี่ยจะเอาแต่ก้มหน้าทำงาน จนไม่แน่ใจว่ากำลังฟังอยู่รึเปล่าก็เถอะ
“ได้เวลาแล้ว...”
“ครับ?” ผมที่กำลังพล่ามเพลินจนน้ำลายท่วมชะงักทันควันเมื่อจู่ๆ เสี่ยก็พึมพำออกมา
ทันใดนั้นประตูพลันถูกเคาะ ก่อนที่คุณสันจะเปิดเข้ามาพร้อมก้มตัวน้อยๆ ให้เสี่ย
“เสี่ยครับ ที่สตูดิโอชั้นสี่มีปัญหา นักแสดงไม่เพียงพอ ถ้ายังไง...”
“วางแผนไว้ไม่ใช่รึไงสัน” เสี่ยเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจโดยไม่ละสายตาจากแฟ้มในมือ “ถูกใจหมอนี่มากนักก็ดันไปให้สุดแล้วกัน ฉันรู้ว่านายเสียดายหน้าตาของจิระมานานแล้ว เจอวิญญาณหัวอ่อนแบบนี้คงเข้าทางเลยล่ะสิ”
คุณสันไม่ตอบ แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้ทักษะการมโนของเสี่ยจะมาถูกทาง
เพราะผมสังหรณ์ใจไม่ดีเอามากๆ
“ถ้าเสี่ยอนุญาต งั้นผมขอตัวคุณจิไปสตูดิโอชั้นสี่นะครับ”
เสี่ยโบกมือปัดเป็นคำตอบอย่างไม่คิดจะชายตามองสักนิด ผมทำอะไรไม่ถูก ยอมโดนคุณสันจับมือลากออกมานอกห้อง
“คุณสันครับ...นี่มัน...”
“เสี่ยเจอคนในวงการบันเทิงมาเยอะ มีอะไรมักมองในแง่ร้ายและเข้าข้างตัวเองก่อนเสมอ บางครั้งก็ถูก บางครั้งก็ผิด แต่ก็ไม่มีใครกล้าท้วงหรอกครับ”
“แล้วครั้งนี้ถูกหรือผิดละครับ”
“ถูกครับ” คุณสันฉีกยิ้ม วูบหนึ่ง ความสุภาพอ่อนน้อมใจดีของคุณสันคล้ายจะหายไป แทนที่ด้วยเลาขาหน้าเงินผู้เห็นผลประโยชน์บริษัทสำคัญที่สุด และเห็นร่างกายจิระเป็นลาภลอยแสนโอชะ “เลิกทำงานที่ร้านโอบีวายเถอะครับ ค่าจ้างก่อนหน้านี้ทางเราจะจ่ายชดเชยให้ทั้งหมด ขอเพียงคุณจิเซ็นสัญญากับทางเอ็มเอซเอ็น เอนเตอร์เทนเมนต์ ทางเราจะช่วยจัดการทั้งหมดเป็นอย่างดี”
“คุณสันครับ...ผมไม่ใช่จิระนะ”
“เพราะไม่ใช่จิระน่ะสิครับผมถึงได้เสนอ คนอย่างจิระ ไม่มีทางตอบตกลงหรอกครับ คุณจิก็ได้ยิน วิญญาณเดิมของร่างนี้มีความสุขกับการเกาะเสี่ยกิน เขาไม่มีความคิดที่จะทำงาน แถมยังมองพวกดาราในสังกัดว่าด้อยกว่าตัวเองด้วยซ้ำไป”
“...”
“คุณจิเป็นคนมีแววนะครับ แถมคุณยังเคยเป็นสตั้นท์แมน ต้องมีฝีมือการแสดงเป็นพื้นฐานและรู้มุมกล้องแล้วแน่นอน ปรับตัวสักเล็กน้อย ใช้รูปร่างหน้าตาให้เป็นประโยชน์ คุณก็จะทำเงินได้ไม่ยาก น้องชายของคุณจิใกล้จะเข้ามหาลัยนี่ครับ การเข้ามหาลัยต้องมีค่าใช้จ่ายสูง ลำพังแค่งานในร้านเหล้าคงไม่เพียงพอ แต่จะให้ทำงานสตั้นท์แมนก็คงไม่เหมาะกับร่างกายจิระ แถมเสี่ยเองก็ไม่ยินยอม”
คุณสันร่ายยาวไม่เว้นช่วงให้พูดแทรก
“แต่ถ้าเป็นดาราในสังกัดของเอ็มเอซเอ็น เอนเตอร์เทนเมนต์ เสี่ยต้องยอมแน่ครับ เมื่อก่อนเสี่ยยอมตามใจคุณจิระเพราะเห็นว่าถ้าเด็กเลี้ยงคนโปรดเป็นดารา จะมีเวลาไม่พอและไม่สามารถพาไปไหนมาไหนได้ แต่ในตอนนี้...”
“สักวันผมก็ต้องกลับร่างเดิมนะครับ”
“งั้นระหว่างนี้ก็ฉวยโอกาสที่ทำได้ทำดีไว้ก่อนไม่ดีกว่าเหรอครับ”
คุณสัน...คุณสันจะกล่อมเก่งไปแล้ว
ผมรู้สึกเหมือนโดนล้างสมอง ทั้งคิดถึงบรรยากาศในกองถ่ายเก่าๆ หาเงินให้น้องชาย ช่วยงานพ่อแม่ ไม่ต้องทนโดนลวนลามที่ร้านเหล้า
“...ผมตกลงครับ!”
-------
เริ่มเข้าเส้นทางสายหลักตามชื่อเรื่องค่ะ อยากลองแต่งพวกดารามานานแล้ว รู้สึกเท่ดี แต่หนูจิจะเท่มั้ย อันนี้...ต้องติดตาม!
#ฝอยตกเสี่ย
นักเขียนปลาบปลื้มนักยามทุกคนเอ็นดูหนูจิ ทั้งหน้าใหม่หน้าเก่าที่มาชุมนุมกัน ประชุมใจรัก สมัครสมาน