[END] Oh! God ผมโดนท่านเจ้าที่ตามรังควานครับ!:: จบแล้ว [22-08-2018]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END] Oh! God ผมโดนท่านเจ้าที่ตามรังควานครับ!:: จบแล้ว [22-08-2018]  (อ่าน 97854 ครั้ง)

ออฟไลน์ Hazel_nut

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-3

Extra 1

ทุกอย่าง...เพื่อเรา

 

นายแบบลึกลับเปิดตัวครั้งแรก จูบปากกับมือกลองหนุ่มจากวงเหล้า ศิลปินหน้าใหม่ที่กำลังมาแรงในขณะนี้!!!

นายแบบดัง PAIN ประกบปากดูดดื่มกับศิลปินหน้าใหม่ค่าย PN Music กลางงานแถลงข่าวโปรเจ็กต์พิเศษ!

ตะลึงทั้งงาน! PAIN+แทงค์...นายแบบดังกับนักดนตรีหนุ่ม จูบกันท่ามกลางสื่อมวลชนและแฟนๆ มากมาย!!

หรือนี่คือการโปรโมตโปรเจ็คพิเศษของ PN Music และ YT Modelling!?

ร้อนแรงกลางงานแถลงข่าว PAIN แนบปากกับแทงค์ออกสื่อ!!

 

หนังสือพิมพ์และนิตยสารมากมาย ประโคมข่าวด้วยเรื่องเดียวกันมาตลอดสามวันหลังงานแถลงข่าวเปิดตัวโปรเจ็กต์พิเศษของค่ายเพลง PN และโมเดลลิ่ง YT จบลง

ผมนั่งจ้องกองนิตยสารและหนังสือพิมพ์สารพัดค่ายบนโต๊ะโดยไม่สบตาใครอยู่กลางโซฟาตัวใหญ่ โดยมีเพื่อนร่วมวงนั่งอยู่ข้างกัน ฝั่งขวามือของผมเป็นไอ้เนสกับไอ้คลาร์กที่กำลังยิ้มกว้าง ส่วนโซฟาเดี่ยวทางซ้ายมือของผมเป็นไอ้ฮัทนั่งคนเดียว...พวกมันยิ้มแล้วส่งสายตาล้อเลียนมาให้ผมเป็นระยะๆ

กูเครียดอยู่มึงไม่เครียดกันเลยหรือไงวะ!? ยังมีหน้ามายิ้มล้อกูอี๊ก!!

ด้านตรงข้ามของพวกเราคือโต๊ะทำงานของประธานค่ายที่กำลังมองมาที่ผมด้วยสายตาเข้มขึง โดยมีผู้ช่วยคนสนิทยืนอยู่ไม่ห่าง ขณะที่พี่ว่านผู้จัดการวงของพวกผมนั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยวทางขวามือตรงข้ามไอ้ฮัท สีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกัน

ผมถอนหายใจ เอนหลังพิงพนักโซฟา เงยหน้ามองท่านประธานแล้วเอ่ยออกไปได้แค่ว่า “ขอโทษครับที่ทำให้วุ่นวาย”

ทุกคนในห้องหันมามองผมเป็นตาเดียว พี่ว่านถอนหายใจก่อนจะเปิดปากถามผมด้วยคำถามที่ผมรู้ดีอยู่แล้วว่ายังไงไม่ช้าก็เร็วต้องโดนถามแบบนี้

“นายรู้จักกับ PAIN งั้นเหรอแทงค์?”

ผมนิ่งไปนิด แต่สุดท้ายก็ตอบ “ถ้าหมายถึงนายแบบดังจากฝรั่งเศสที่ชื่อ PAIN ผมคงไม่รู้จักหรอกครับ แต่ถ้าหมายถึงพี่ภูล่ะก็...ใช่ครับ ผมรู้จักเขา”

“แล้วนายเป็นอะไรกับเขา” เสียงของท่านประธานดังขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่พวกเราเข้ามาในห้องทำงานของเขา

ผมเงยหน้าสบตาอีกฝ่าย ไม่คิดหลบหลีกสายตาแต่อย่างใด...ไม่มีอะไรที่ผมต้องปิดบังหรือหวาดกลัว หากปัญหาทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะผม ผมก็พร้อมจะเผชิญหน้ากับมันและหาทางแก้ไข แต่กระนั้นคำถามของท่านประธานก็ทำให้ผมไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกันแฮะ

แน่นอน...ผมกับพี่ภู ต่อให้เวลาจะผ่านไปนานถึงสามปี แต่ความรู้สึกรักที่ผมมีต่อเขาก็ไม่เคยหายไป ผมยังคงคิดถึงเขาอยู่เสมอ และคำรักที่เขากระซิบบอกผมในงานแถลงข่าววันนั้น ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเรารักกัน

เรายังรักกันไม่เคยเปลี่ยน

ถึงจะมั่นใจ แต่จะให้ผมตอบไปว่าเป็นแฟนกันมันก็จะดูแปลกๆ ในสายตาของพวกเขาหรือเปล่า ผมไม่แน่ใจเลยจริงๆ เพราะถึงทุกคนในที่นี้จะรู้ว่าผมเป็นเกย์ แต่คนอื่นๆ ไม่ว่าจะสื่อมวลชนหรือแฟนคลับ...พวกเขาไม่รู้

ก๊อกๆ

เสียงเคาะประตูทำให้ผมหยุดชะงักในทุกๆ ความคิดที่วิ่งวนอยู่ในหัว วินาทีต่อมาเลขาฯ ของท่านประธานก็เข้ามาในห้องพร้อมกับแขกที่นัดกันไว้ในวันนี้

ผู้ชายที่ผมเฝ้าคิดถึงย่างเท้าตรงมาหาผม ก่อนจะนั่งลงบนที่วางแขนแล้วโน้มหน้าลงจูบที่หน้าผากของผมโดยไม่สนใจว่าใครจะมองอยู่บ้าง...ผละออกไปได้ก็ส่งยิ้มละมุนมาให้อีกหนึ่งดอก เล่นเอาผมอดยิ้มตามไม่ได้

ผมสบตาเขาเพียงเล็กน้อย จากนั้นจึงหันไปตอบคำถามท่านประธาน “เราเป็นแฟนกันครับ”

“แฟน!?!” นอกจากเพื่อนของผมกับผู้จัดการส่วนตัวของพี่ภูแล้ว ทุกคนในห้องล้วนอุทานออกมาดังลั่นด้วยประโยคเดียวกันประหนึ่งนัดกันไว้

“ทำไมนายไม่เคยบอกพี่ว่ามีแฟนล่ะ!?” พี่ว่านเบิกตาโตร้องถาม

“คบกันตั้งแต่เมื่อไหร่” แต่ท่านประธานกลับคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีแล้วกลับมาถามด้วยเสียงสุขุมเรียบนิ่งเช่นเดิม

เป็นอีกครั้งที่ผมถอนหายใจ ไม่รู้จะตอบยังไงออกไปดี...จะให้บอกว่าผมกับพี่ภูรักกันตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน ตอนที่พี่ภูยังเป็นพระภูมิเจ้าที่ในศาลที่บ้านของผมงั้นเหรอ? นั่นก็ไม่ใช่คำตอบที่ตอบไปแล้วใครจะเชื่อได้นะครับ เหอๆ

แล้วในตอนที่ผมกำลังจนตรอกหาทางออกไม่ได้ คนที่โอบไหล่ผมเอาไว้หลวมๆ ก็เป็นฝ่ายตอบแทนผม

“เรารู้จักกันตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน ผมเคยย้ายไปอยู่ข้างบ้านของแทงค์ พอคบกันได้พักหนึ่งผมก็ต้องย้ายไปอยู่ต่างประเทศเพื่อไปเป็นนายแบบ” ร่างสูงหยุดพูดเล็กน้อยเพื่อดูท่าทีของทุกคน ก่อนจะว่าต่อ “เราไม่เคยพูดออกมาว่าเลิกกัน เพราะแน่นอนอยู่แล้ว ทั้งผมและแทงค์ไม่คิดจะเลิกกัน แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่ได้บอกใครว่ายังคงคบกันอยู่”

“แต่ผมไม่เคยเห็นแทงค์ติดต่อกับคุณเลยนะ พวกเพื่อนๆ ของเขาก็ไม่เคยพูดถึงคุณเลยสักครั้งด้วย” พี่ว่านยังคงถามอย่างไม่เข้าใจ

พี่ภูก้มลงสบตาผม ขยิบตาให้แบบที่ผมมองว่ามันโคตรเท่เลย ก่อนจะหันกลับไปตอบคำถามอีกครั้ง “เพราะเราไม่ได้ติดต่อกันเลยน่ะสิครับ”

“หา?”

“พวกเราตกลงกันไว้น่ะครับ ว่าถ้าไม่ประสบความสำเร็จในการเดินทางตามความฝันของตัวเอง เราจะไม่ติดต่อกันหรือกลับมาเจอกันเด็ดขาด”

ผมนิ่งอึ้ง...โอ้โห! โกหกได้เป็นเรื่องเป็นราวยิ่งใหญ่มาก นี่มันอดีตพระภูมิเจ้าที่จริงเปล่าวะเนี่ย! ทำไมพูดเรื่องไม่จริงได้ลื่นไหลขนาดนี้วะ ไม่กลัวแต้มบาปจะพุ่งเลยเหรอเฮ้ย!!

“ผมไปทำงานที่ฝรั่งเศสจนได้เป็นนายแบบดัง แต่ไม่เคยเปิดเผยหน้าตาจริงๆ ของตัวเองเพราะไม่อยากให้ใครจำได้ จะว่าขายแต่ร่างกายมากกว่าหน้าตาก็ไม่ผิดนักหรอกครับ การเป็นนายแบบดังแสนลึกลับก็น่าตื่นเต้นดีไม่หยอกนะ หึๆ” พี่ภูพูดติดตลก ขยิบตาให้ทุกคน “พอผมเห็นข่าวว่าแทงค์ได้เป็นศิลปินแล้ว ผมก็เลยเดินทางกลับไทยทันที่ที่หมดสัญญากับทางเอเจนซี่ที่นั่น มาเซ็นสัญญากับทาง YT Modelling ก่อนจะยื่นข้อเสนอกับต้นสังกัดว่าผมอยากจะถ่ายแบบเปิดตัวครั้งแรกในไทยด้วยคอนเซ็ปอะไรก็ได้ แต่ต้องได้ร่วมงานกับ...วงเหล้า”

แปะๆๆๆ

พวกเพื่อนของผมพากันปรบมือแปะๆ สีหน้าพวกมันมีความทึ่งและชื่นชมอย่างมาก...อะไรของพวกมันวะ?

“พี่แม่งโคตรเท่เลยว่ะ! ไม่เจอกันสามปีแต่ยังเท่ไม่เปลี่ยนเลย”

“โคตรเจ๋ง ไอ้แทงค์ก็ไม่เคยบอกว่ายังคบกับพี่อยู่ เห็นมันบอกว่าพี่ไปแล้วผมก็คิดว่าเลิกกัน ไอ้ห่า มึงหลอกกูเนียนเลยนะไอ้แทงค์!”

“กูหลอกอะไร ก็เขาไปแล้วกูก็พูดความจริงป่ะวะ?” ผมเถียงไอ้เนสกับไอ้คลาร์ก ผมไม่เคยโกหกอะไรเลยนะครับ ไปแล้วก็คือไปแล้ว ท่านเจ้าที่ก็ไปจริงๆ นี่...แต่ที่ผมรู้คือไปเกิดใหม่นะ ไม่รู้ทำไมกลับมาอีกทีถึงกลายเป็นนายแบบดังไปได้

“แต่มึงไม่เคยเล่าไงว่าเขาไปไหน มึงตกลงอะไรกับเขาเอาไว้บ้างก็ไม่เคยพูด ไอ้เพื่อนใจบาป! ไม่ยอมขยายให้พวกกูเสือกเลย!” ไอ้เนสชี้หน้าด่าผมเป็นจริงเป็นจังมาก ขณะที่ไอ้คลาร์กก็เสริมแฟนมันอีกว่า

“เออ เงียบกริบเลยสัด ตอนนั้นเห็นเศร้าๆ พวกกูเลยคิดว่าเลิกกัน ที่ไหนได้”

ผมกลอกตาใส่พวกมัน...คือกูจะบอกได้ไงอ่ะ ก็เรื่องที่พวกมึงเพิ่งได้ฟังเนี่ยมันเรื่องโกหกด้นสดของไอ้พี่ภูเว้ย! กู-ไม่-รู้-เรื่อง-!

ไอ้ฮัทหัวเราะเบาๆ ผมหันไปมองมัน “ดีใจด้วยที่ในที่สุดก็ได้กลับมาเจอกัน”

อ่า...แค่ประโยคเดียวของมันทำให้ผมตื้นตันไปหมดเลยว่ะครับ

“ขอบใจมึง”

“สรุปว่านายสองคนเป็นคนรักกันมาสามปีแล้วสินะ” ท่านประธานพูดขึ้น หลังจากมองความวุ่นวายของพวกเราอยู่พักหนึ่ง ผมสบตาอีกฝ่ายแล้วตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคงเพียงคำเดียวว่า...

“ครับ”

ผมใจเต้นแรงขึ้นมาในทันที รู้สึกกดดันอย่างน่าประหลาดทั้งๆ ที่ท่านประธานก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ สมองคิดสะระตะไปแล้วว่าอาจจะโดนสั่งให้เลิกกันบ้างล่ะ อาจจะโดนจับแยกไม่ให้เจอกันบ้างล่ะ และอีกสารพัดเหตุการณ์หลายๆ แบบที่อาจทำให้ผมกับพี่ภูไม่สามารถอยู่ด้วยกันหรือรักกันได้อีกบ้างล่ะ ซึ่งไม่ว่าวิธีไหน ผมก็ทนไม่ได้ทั้งนั้น แค่คิดผมก็ใจหายแล้วครับ

ผมเฝ้าคิดถึงเขามาตลอดสามปี คิดถึงทุกห้วงคำนึง คิดถึงทุกลมหายใจ แม้ไม่รู้ว่าเขากลับมาได้ยังไง ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ตรงนี้ข้างๆ ผมได้ แต่ผมก็ไม่อยากจะแยกจากเขาอีกแล้วครับ...ผมไม่อยากต้องพรากจากคนที่รักอีกแล้ว

ดูเหมือนเขาก็คิดเหมือนผม เพราะร่างสูงดึงผมเข้าไปใกล้มากกว่าเดิมเพื่อโอบผมไว้จนใบหน้าด้านข้างของผมแนบกับแผ่นอกแกร่ง เสียงหัวใจของเขาเต้นแรง มันดังจนสัมผัสได้ และนั่นทำให้ผมรู้ว่าไม่ได้มีแค่ผมที่กังวล...

“ถ้าฉันขอให้พวกนายเลิกกันล่ะ?”

คนที่เหลือร้องเฮ้ยด้วยความตกใจ แต่ผมกับพี่ภูยังคงนิ่ง เราสองคนสบตากัน ยิ้มให้กัน แล้วหันไปตอบคำถามนั้น

“งั้นผมก็คงต้องขอปฏิเสธ ต่อให้ประธานยกเลิกสัญญาการเป็นศิลปินของผม ผมก็พร้อมรับการตัดสินใจของท่าน แต่ผมจะไม่ยอมทิ้งคนที่ผมรักแน่นอนครับ”

“อืม ผมก็เหมือนกัน ต่อให้ต้องทิ้งทุกอย่าง ผมก็จะไม่ยอมแยกห่างจากแทงค์อีกแล้ว” พี่ภูเองก็ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นดุจเดียวกัน

พอได้ยินคำตอบของเราสองคน ท่านประธานก็เหมือนจะเครียดขึ้นกว่าเดิม หากแต่สุดท้ายเขากลับกล่าวสิ่งที่ทำให้ทั้งผมและพี่ภู...ไม่สิ ทำให้ทุกคนในห้องนี้เลยต่างหาก ตกตะลึงไปตามๆ กัน

“เฮ้อ ฉันคงห้ามพวกนายไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็จัดงานแถลงข่าวชี้แจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสามวันก่อนให้เรียบร้อยแล้วกัน ฝากด้วยนะ” เขาหันไปบอกกับผู้ช่วยและเลขาฯ ก่อนจะหันมาพูดกับผู้จัดการส่วนตัวของพี่ภู “ทางโมเดลลิ่งของคุณจะว่าอะไรไหมครับ กับการตัดสินใจของทางเรา”

“ไม่ค่ะ ทางเราได้มีการคุยกันก่อนหน้านี้แล้ว และเราให้อิสระกับ PAIN มากพอที่จะไม่ขัดขวางความรักของเขาค่ะ” ผู้จัดการของพี่ภูยิ้มให้ผม “ยินดีด้วยนะที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง”

“ขอบคุณครับ” ผมตอบเสียงเบา รู้สึกหน้าร้อนๆ ขึ้นมาได้ยังไงก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่มันก็ไม่มีอะไรให้น่าเขินอายเลยสักนิด

“ส่วนเรื่องงานแถลงข่าว ดิฉันจะแจ้งให้ทางโมเดลลิ่งทราบ และจะประสานงานกับทางคุณนะคะ”

“ครับ รบกวนด้วยนะครับ”

__________

งานแถลงข่าวจัดขึ้นหลังจากนั้นหนึ่งวัน เป็นงานด่วนที่เล่นเอาทีมงานหัวหมุนกันไปหมด ส่วนนักข่าวก็แทบฝีเท้าลุกเป็นไฟ เดาว่าพวกเขาต้องปรับตารางงานกันให้วุ่นวายเป็นแน่ เพราะข่าวของผมก็ดังไม่ใช่เล่นนี่นะ

ไม่ได้ดังเพราะผมหรอกนะผมว่า แต่มันดังเพราะคนที่เป็นข่าวกับผมคือท่านเจ้าที่ เอ๊ย พี่ภูมากกว่า ก็อีกฝ่ายเป็นถึงนายแบบระดับโลกเลยนี่หว่า...อ่า ให้ตายสิ จะว่าไปทำไมผมยังติดเรียกเขาว่าท่านเจ้าที่อีกล่ะเนี่ย ผ่านมาก็สามปีแล้ว หรือมันเป็นเพราะความเคยชินยังตกค้างอยู่?

หมับ

แรงกอดจากด้านหลังพร้อมกับวงแขนแกร่งที่โอบกระชับรอบเอวทำให้ผมต้องหยุดคิดแล้วหันไปมองคนกอด...ใบหน้าของเราใกล้ชิดกันจนปลายจมูกแตะกันเบาๆ

“ตื่นเต้นไหม?” พี่ภูถามผม เรียวปากบางยิ้มให้ผม ใบหน้าคมคร้ามยังคงมีไรหนวดขึ้นรำไรเหมือนเช่นครั้งสุดท้ายที่เราอยู่ด้วยกัน เขายังเหมือนเดิมแทบทุกอย่าง...แทบทุกอย่างเลยจริงๆ

“นิดหน่อย พี่ล่ะ”

“ไม่ตื่นเต้นสักนิด ฮ่าๆ”

“แหงสิ ก็พี่เป็นถึงนายแบบดังของฝรั่งเศสนี่ แค่งานแถลงข่าวคงเป็นเรื่องกล้วยๆ ใช่ไหมล่ะ” ผมแกล้งเย้าแหย่ ปัดป่ายปลายจมูกของผมกับปลายจมูกของเขาเป็นเชิงหยอกล้อ

เขาจุ๊บเบาๆ ที่ปากของผม แล้วเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง “ไม่อยากรู้เหรอว่าทำไมพี่ถึงมาอยู่ตรงนี้ได้”

...แถมยังเป็นการเปลี่ยนเรื่องที่ทำให้ผมชะงักงันเสียด้วย

ผมพยักหน้ารับว่าเป็นเชิงบอกว่าอยากรู้สิ ก่อนจะรัวคำถามใส่ไม่ยั้ง เพราะนับตั้งแต่งานแถลงข่าว วันนี้เป็นวันแรกที่เราได้มาเจอกัน...สามวันที่ผ่านมาเราต่างฝ่ายต่างโดนต้นสังกัดสั่งให้อยู่กับที่ห้ามไปไหน แถมยังไม่ให้ติดต่อกันอีกต่างหาก

“พี่บอกว่าไปเกิดใหม่ ผมเข้าใจมาตลอดว่าพี่ต้องไปเกิดเป็นเบบี๋ร้องอ้อแอ้ และคงจำอะไรเกี่ยวกับเรื่องของเราไม่ได้เลยสักอย่าง ยิ่งไปกว่านั้นผมปลงแล้วด้วยซ้ำว่าเราคงไม่มีทางได้เจอกันอีก แล้วทำไมพี่ถึงยังจำเรื่องระหว่างเราได้ล่ะ? ทำไมถึงกลายเป็นนายแบบดัง? พี่ไม่ได้ไปเกิดใหม่เหรอ? แล้วตอนนี้พี่เป็นอะไร? มนุษย์ธรรมดาหรือยังเป็นเทวดาอารักษ์อยู่? มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? สามปีที่ผ่านมาพี่หายไปไหน?”

“ว้าว!!” พี่ภูแสร้งทำตาโตมองหน้าผม ร้องว้าวด้วยสีหน้ากวนส้นซะไม่มีจนผมต้องต่อยเข้าที่แขนเขาเต็มแรง แถมด้วยการงับปลายจมูกของเขาอีกทีด้วย เล่นเอาร่างสูงร้องเสียงหลงเพราะความเจ็บ “โอ๊ย! กัดพี่ทำไมเนี่ย”

“ก็พี่อยากมากวนตีนผมทำไมเล่า” ผมมองเขาที่ผละใบหน้าถอยออกไปเพื่อลูบปลายจมูกตัวเอง ก่อนสุดท้ายจะเป็นผมนี่แหล่ะที่หมุนตัวไปหาเขาแล้วปัดมือหนาออก เป็นฝ่ายลูบรอยฟันเล็กๆ ที่เกิดจากที่ผมทำแทนเขาเพื่อปลอบโยน

พี่ภูมองผมด้วยสายตาเป็นประกายสดใส เล่นเอาผมหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเสียเฉยๆ แต่ผมก็แกล้งทำเป็นนิ่ง ถามย้ำ “ตกลงจะตอบไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

“ฮะๆ ตอบสิ” เขาสวมกอดผมอีกครั้ง แนบหน้าผากตัวเองลงบนหน้าผากของผม...เราสบตากันในระยะประชิด “รู้ไหมว่าคนที่ตกหลุมรักก่อนก็คือพี่”

“หือ?!”

“พี่รักนายก่อนที่นายจะรักพี่เสียอีก ตอนนั้นก็ไม่แน่ใจนักหรอกว่ารักนายเข้าตอนไหน รู้ตัวอีกทีพี่ก็ลงทุนลงแรงทำทุกทางเพื่อให้ได้กลับมาหานายอีกครั้ง และพี่ก็ทำสำเร็จ”

“ทะ ทำยังไง” ผมถามเสียงสั่นด้วยความตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน

“ตอนนั้นพี่ใกล้จะไปเกิดใช่ไหมล่ะ ปกติแล้วเทวดาที่ไปเกิดใหม่ก็จะได้เกิดเป็นทารกน้อยๆ และโดนลบความทรงจำทุกคนนั่นล่ะ แต่พี่ไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น พี่ไม่อยากลืมนาย ระหว่างที่กำลังคิดว่าจะทำยังไงดี ก็เกิดเรื่องขึ้นบนสวรรค์พอดี”

“...”

“เคยเล่าใช่ไหมว่าบนสวรรค์ คนที่มีตำแหน่งมหาเทพกับรองมหาเทพเท่านั้นที่จะมีอายุขัยการเป็นเทวดาแบบไร้ขีดจำกัด และเพราะอยู่มานาน บางครั้งพวกเขาก็มักจะแก้เบื่อด้วยการเล่นสนุกไปเรื่อย แต่การเล่นสนุกครั้งล่าสุดของพวกเขาก่อให้เกิดความผิดพลาด”

“อ่า...ฮะ” ผมตอบรับว่าเข้าใจ สมองก็คิดตามไปด้วย

“นายยังติดต่อกับเพื่อนของนายที่ชื่อไวท์กับธีร์บ้างหรือเปล่า?”

“ก็ยังติดต่อกันอยู่ เมื่อไม่นานมานี้ก็ไปกินเหล้าด้วยกันมา พี่ถามทำไมเหรอ?” ผมนึกไปถึงเมื่อประมาณสองอาทิตย์ก่อนได้มั้งที่ผมเจอกับสองคนนั้น

พี่ภูจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผม ริมฝีปากเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เพราะพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการได้มาเกิดเป็นมนุษย์โดนไม่โดนลบความทรงจำ และสามารถเลือกชีวิตใหม่ในแบบที่อยากจะเป็นของพี่ได้น่ะสิ”

“!!!” ผมเบิกตากว้าง เผลอหยุดหายใจกับสิ่งที่ได้ยิน เดี๋ยวนะ...เมื่อกี้พี่ภูพูดว่าอะไรนะ? ไวท์กับธีร์น่ะเหรอ? สองคนนั้นเกี่ยวอะไรด้วย “ผมไม่เข้าใจ พวกเขาเกี่ยวอะไรกับการเกิดใหม่ของพี่ แล้วที่ว่าเลือกชีวิตใหม่ได้นั่นอีก มันหมายถึงอะไรครับ?”

“เทวดาที่ได้ไปเกิดใหม่ จะได้รับแต้มบุญที่สะสมเอาไว้ในตอนที่เป็นเทวดาติดตัวไปด้วย แต่พี่ยอมเอาแต้มบุญทั้งหมดของพี่ยกให้คนอื่น แลกกับการได้ไปเกิดใหม่ในร่างเดิมพร้อมความทรงจำเดิม” นายแบบหนุ่มสุดหล่อของผมหยุดพูดเล็กน้อยเพื่อรอให้ผมประมวลสิ่งที่ได้ยินให้ทัน พอเห็นผมรับคำในลำคอทั้งๆ ที่ยังงงๆ อยู่ เขาก็อธิบายต่ออีกว่า “แถมยังมีสิทธิ์เลือกได้ด้วยว่าจะเป็นมนุษย์แบบไหนบนโลกนี้ พี่ก็เลยเลือกเกิดเป็นนายแบบหนุ่มไทยแท้ที่หล่อโคตรๆ หึๆๆ”

“หะ...หา?” ผมเหวอ เบิกตาโตมองคนพูดด้วยไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน “เดี๋ยว แล้วทำไมต้องนายแบบ?”

พอได้ยินคำถามนี้ พี่ภูของผมก็เหมือนจะอดหัวเราะไม่ได้ เสียงทุ้มขลุกขลักกลั้วหัวเราะอยู่ในลำคอ ขณะตอบว่า “ไม่รู้สิ ก็แค่รู้สึกว่าควรเป็นนายแบบ ก็นะ...นายก็เห็นไม่ใช่เหรอว่าพี่หุ่นดีขนาดไหน แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้เป็นถึงนายแบบระดับโลกหรอกนะ ต้องขอบคุณองค์มหาเทพที่ส่งพี่ไปลืมตาตื่นกลางคอนโดฯ หรูของกรุงปารีส พร้อมกับตัวตนที่ทุกคนรู้จักพี่ในชื่อว่าภูตลา เศวตสวัสดิ์ หรือ PAIN”

“นี่มันอเมซิ่งโคตรๆ เลยว่ะ” ผมพูดอะไรไม่ออกนอกจากประโยคนี้แล้วครับ อ๊ะ แต่ผมก็ยังมีอีกเรื่องที่สงสัยนะ “แล้วตกลงเรื่องที่ไวท์กับธีร์มีความเกี่ยวข้องกับการเลือกมาเกิดใหม่ของพี่น่ะ มันหมายความว่ายังไง บอกมานะ!”

“จะว่าเกี่ยวกับพวกเขาสองคนโดยตรงก็ไม่เชิงหรอก มันเกี่ยวกับเพื่อนของทั้งสองคนนั้นมากกว่า อ้อ ตอนนี้ไม่ใช่เพื่อนกันไปแล้วนี่”

“ใคร?” ผมขมวดคิ้วถาม แต่ก็นึกขึ้นได้เสียก่อนจึงโพล่งออกไป “อัศกับเอลเลียตเหรอ?”

“ใช่” พี่ภูพยักหน้ารับ “มีหลายอย่างเกิดขึ้น เป็นเรื่องของพวกเขาและพี่แค่เข้าไปช่วยเพื่อแลกกับสิ่งที่พี่ปรารถนา แต่อย่าถามเลยนะ เพราะพี่ตอบนายไม่ได้ มันเป็นข้อตกลงของพี่กับมหาเทพน่ะ ว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนอกเหนือจากนี้ให้ใครรู้ คนที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังทั้งหมดนอกจากเทพทั้งสวรรค์แล้ว ก็มีแค่ไวท์ อัศ ธีร์ และเอลเลียตเท่านั้น”

“แล้วถ้าผมไปถามพวกมันเอาเองล่ะ?” ผมหยั่งเชิงถาม...ถึงจะบอกว่าตัวเขาเองตอบไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเจ้าพวกนั้นที่เป็นคนเล่าล่ะ? มันจะเป็นไปได้หรือเปล่า

ผมไม่ยอมหรอกนะ! อุตส่าห์รู้มาถึงขนาดนี้แล้ว ผมก็ต้องได้รู้ทั้งหมดสิ! จะว่าผมขี้เสือกก็ได้ ยอมรับเหอะ!

“อืม กรณีนั้น...” ร่างสูงทำหน้าคิด ก่อนจะยิ้มกว้าง พูดกลั้วหัวเราะแล้วยกมือขยี้เส้นผมของผมอย่างรักใคร่ “ก็คงได้มั้ง เพราะมหาเทพไม่ได้ห้ามสี่คนนั้นนี่นะ...อ่า เขาพลาดเสียแล้ว ฮะๆๆ”

“โอเค งั้นเจอกันครั้งหน้าผมจะเค้นพวกมันให้หมดเปลือกเลย” ผมหมายมาด

“ฮ่าๆๆๆ จะอยากรู้อะไรขนาดนั้น”

“ต้องอยากรู้สิ เออ ยอมรับก็ได้ว่าส่วนหนึ่งก็อยากเสือก แต่อีกส่วนหนึ่ง...” ผมยกยิ้มที่คิดว่าหวานที่สุดให้กับคนที่ผมรักสุดหัวใจ “ผมอยากจะขอบคุณพวกเขาต่างหากที่ทำให้พี่ได้กลับมาหาผม”

“...”

“และผมอยากขอบคุณพี่ด้วย ที่ยอมเสียสละทิ้งแต้มบุญอะไรนั่นจนหมดเพื่อเลือกผม...คนธรรมดาที่ไม่ได้มีค่ามากมายอะไรคนนี้”

“ใครบอก นายมีค่าสำหรับพี่มากที่สุดต่างหากล่ะ” ร่างสูงเถียงผมกลับมา “นายทำให้พี่มีความสุข ทำให้พี่ได้รู้จักการรักใครคนหนึ่ง และต่อให้ต้องแลกอะไรอีกพี่ก็ยอม ขอแค่ได้ทำเพื่ออนาคตที่เราจะได้ก้าวเดินไปด้วยกันนับจากวันนี้เป็นต้นไปก็พอ”

“อื้ม ผมเองก็จะทำทุกอย่างเพื่ออนาคตหลังจากนี้ของเราสองคนเหมือนกัน”

เราแนบจุมพิตเข้าหากัน มอบจูบที่เป็นเหมือนคำสาบานกลางโบสถ์ของคู่แต่งงานชาวคริสต์ก็ไม่ปานให้แก่กัน...ผมโหยหาริมฝีปากนี้ ลมหายใจนี้ สัมผัสของปลายนิ้วที่ลูบแก้มผมอยู่นี้ ผมโหยหาทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นผู้ชายคนนี้ คนที่ผมผูกพันทางใจยิ่งกว่าใครก็ตามบนโลกใบนี้...พี่ภูของผม

แชะ!

เราผละจูบออกจากกันพร้อมกับเสียงชัตเตอร์ที่ดังขึ้น...ผมหันไปมองต้นเสียง ก่อนจะเจอเข้ากับเพื่อนร่วมวงทั้งสามคน ในมือไอ้คลาร์กมีโทรศัพท์ที่เป็นเจ้าของเสียงแชะเมื่อครู่ ส่วนในมือไอ้เนสมีสมาร์ทโฟนอีกเครื่องที่ยังคงจ่อมาที่ผมกับพี่ภู เดาว่ามันคงอัดวิดีโอเอาไว้

ไอ้ฉิบหาย แล้วมันอัดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะเนี่ย!

สีหน้าตื่นตระหนกของผมคงเป็นคำถามได้อย่างดี เพราะไอ้ฮัทที่ยืนดูอยู่เงียบๆ หัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบผม ทั้งที่ผมยังไม่ทันได้ถามด้วยซ้ำ

“มันเริ่มอัดคลิปตั้งแต่ตอนที่พี่ภูบอกว่ามึงมีค่าที่สุดสำหรับพี่เขาน่ะ หึๆๆๆ”

อะ ไอ้เหี้ย! ตอนนั้นมีแต่คำพูดน่าอายนะเว้ย!

“ถ่ายคลิปทำพ่อมึงเหรอไอ้สัดเนส! แล้วเมื่อกี้มึงถ่ายรูปอะไรไปไอ้เชี่ยคลาร์ก!!” ผมหันไปขึงตาถามไอ้ฝรั่งกับเมียมัน คนโดนด่าหัวเราะร่า มันหันหน้าจอโทรศัพท์ที่กำลังขึ้นหน้าอินสตาแกรมเอาไว้มาให้ผมดู และผมคงจะไม่ว่าอะไรหรอกครับ หากไม่ใช่เพราะรูปที่มันอัปโหลดลงไปเมื่อครู่...

คือรูปที่ผมกับพี่ภูเพิ่งถอนจูบออกจากกัน!!

หน้าผมกับร่างสูงนี่ยังแนบหน้าผากแตะปลายจมูกกันอยู่เลย ไอ้ฟ๊าคคค!!! ลงรูปแบบนั้นลงไปได้ยังง๊ายยย!! เดี๋ยวนักข่าวกับแฟนคลับก็ถล่มกันตายห่าหรอกไอ้คลาร์กกก!!!

ผมได้แต่ด่ามันในใจเพราะพูดไม่ออกครับ อ้าปากค้างอยู่เนี่ย! เวรๆๆ เดี๋ยวโดนพี่ว่านกับท่านประธานด่าอีกจะทำยังไงเล่า!?

“ฮ่าๆๆๆ เอาน่ามึง จะกลัวอะไรก็แค่เป็นข่าว แล้วก็แค่โดนด่า ทำอย่างกับพวกเราแคร์นักนี่” ไอ้เนสว่าพลางหัวเราะ แม้แต่ไอ้ฮัทเองยังพยักหน้าเห็นด้วย

“มึงบอกเองไม่ใช่เหรอไอ้แทงค์ ว่าการเป็นตัวของตัวเองและเปิดเผยคือการแสดงความจริงใจต่อแฟนคลับ การที่มึงมีแฟนแล้วพร้อมประกาศออกไป ก็ถือเป็นการแสดงความจริงใจอย่างนึงนะ ไม่คิดงั้นเหรอ?”

“แต่ก็ไม่ต้องเปิดเผยขนาดนี้ไหมเล่าไอ้พวกเวรรร!!” ผมโวยวาย แทบจะเข้าไปทึ้งหัวพวกมันทีละตัว หากยังไม่ทันได้ทำอย่างใจคิด แขนของผมก็โดนดึงรั้งเอาไว้ก่อนด้วยมือแกร่งของพี่ภู

อีกฝ่ายเอ่ยบอกเสียงละมุนทั้งๆ ที่ยังยิ้มขำ “ไปกันเถอะ จวนจะได้เวลาแถลงข่าวแล้ว”

ชิ! ฝากไว้ก่อนก็ได้ ให้เสร็จงานก่อนเถอะ ผมจะไล่เตะพวกมันเรียงตัวจริงๆ ด้วย!!!

ส่วนตอนนี้...ขอผมไปเปิดตัวแฟนให้สาธารณะชนได้รับรู้ก่อนนะครับ อิอิ

“นี่แทงค์” ผมเลิกคิ้วเมื่อพี่ภูเรียกผม อีกฝ่ายระบายยิ้มบางแล้วว่าต่อ “ขอบคุณที่ยังรักกันนะ”

...ผมยิ้มกว้าง ตอบกลับไปด้วยคำพูดที่แทนทุกความรู้สึกในใจของผม

“ขอบคุณที่รักผมเหมือนกันครับ”

 


[FIN]





__________

ตอนพิเศษแรกมาอย่างไวซะงั้น หลังจากอ่านคอมเมนต์หลายๆ คนก็พบว่าทุกคนคาใจเนอะว่าทำไมท่านเจ้าที่กลับมาอีกทีก็กลายเป็นนายแบบไปซะงั้น ถึงกับงงกันเลยทีเดียว แต่ก็มีบางคนโอเคกับตอนจบ คือจริงๆ เราตั้งใจให้จบแบบนี้ เพราะมันคือการจบเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับเราค่ะ และเราก็ตั้งใจจะอธิบายถึงเหตุการณ์ที่ต่อจากตอนจบด้วยตอนพิเศษอยู่แล้วด้วย ก็เลยไม่ได้ใส่มันลงไปในตอนจบของเรื่อง ถ้าทำให้งงต้องขอโทษด้วยค่ะ แต่วันนี้เอาตอนพิเศษมาเสิร์ฟแล้วเน้อ หวังว่าจะหายคาใจกันนะคะ

สำหรับตอนพิเศษอีกสองตอน คงอีกหลายวันนะคะ เพราะเรายังเขียนไม่ถึงไหนเลย 555 ดองเอาไว้ตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้ว ปและใครที่ขอ nc ของพี่ภูกับน้องแทงค์มา ไม่มีลงเว็บแล้วจ้าา ถ้าจะมีก็คงลงในเล่มนู่นแหล่ะ (หากไม่มีอะไรผิดพลาดล่ะก็นะ...) ขอโทษด้วยค่ะที่ทำให้ผิดหวัง 55555 เธอจะหื่นเกินไปแล้ว ฉากแบบนั้นมันเขียนยากนะเฟ้ย นิดๆ หน่อยๆ ก็พอม้างงง ให้เขาไปรักกันลับๆ แล้วเราจิ้นกันเอาเองก็พอ ผ่าง! 555 เจอกันกับตอนพิเศษที่สองนะคะ จุ๊บๆ


ออฟไลน์ tiew93

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ฟินที่สุด พี่ภูโคตรหล่อเลยยย  :katai2-1:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ MSeraph

  • This too shall pass
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1751
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
พี่ภูคือละมุนนมากกก
ดีต่อใจจสุดดดอะ
หล่อจนอิจฉาแทงค์เลย555

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
หรอ เรื่องมันเป็นอย่างนี้นี่เอง เข้าใจล่ะ  :m4:

ออฟไลน์ kittvara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
 :o8: :-[ :o8:  :-[
 :mew1: :mew1:
ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ
อ่านไปลุ้นไป จะสมหวังกันไหมน้อ
สุดท้ายก็แฮปปี้กันถ้วนหน้า
มีร้องไห้ มีหัวเราะ ไปกับการอ่านเรื่องนี้
ขอให้มีผลงานดีๆ แบบนี้ต่อไปนะค่ะ สู้ๆ

ออฟไลน์ xหยกน้อยx

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ชอบเรืองนี้มากเป็นเรื่องที่อ่านแล้วน่ารักมากคะ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
 :-[ :-[ :-[ :-[
พี่ภูเท่ห์อ่ะ ตอนแทงก์กำลังคุยกับประธานค่ายแล้วพี่ภูเข้ามานี่จิกหมอนเลยทีเดียว

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ numay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1

ออฟไลน์ Pe_no

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 375
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ no.fourth

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
พอได้อ่านตอนพิเศษนี้จบแล้วถึงจะรู้สึกสมบูรณ์ ดีต่อใจจริงๆ   :pig4:

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
กรี๊ดดดดดดด ออกสื่อหนักมากอ่ะ >\\\\\<

ออฟไลน์ แม้วธวัลหทัย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
วะวะวะว้าวววววววววววววววววว

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
งื้อท่านภูตลา ดีใจแทนแทงค์เลย  :mew1:
ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษนะคะ กระจ่างเลยค่ะ 55 ท่านเจ้าที่ละมุนมากก

ออฟไลน์ Hazel_nut

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-3
Extra 2

รอยร้าวเล็กๆ ของความสัมพันธ์

[Hut’s Part]


ไม่มีใครหรอกที่ไม่เคยทะเลาะกับเพื่อน...ใช่ ผมคิดอย่างนั้น จะยกเว้นก็แต่คนที่ไม่มีเพื่อนนั่นล่ะนะ

มีเหตุผลร้อยแปดพันเก้าที่ทำให้คนเราทะเลาะกันได้ ยิ่งกับเพื่อนที่แม้จะสนิทกันมากแค่ไหน แต่ก็ไม่ใช่คนในครอบครัวที่เมื่อทะเลาะกันแล้วจะหายโกรธกันได้ง่ายๆ

ผมเคยโกรธกับเพื่อนสมัยเรียนมัธยมต้น เหตุเพราะมันดันไปจีบผู้หญิงคนเดียวกันกับผม ทั้งๆ ที่มันก็รู้ว่าผมชอบเธอคนนั้นมากแค่ไหน หรือน้องสาวของผมเองก็เคยโกรธกับเพื่อนของตัวเองเพียงเพราะโดนเพื่อนเปิดกระโปรงในห้องเรียนสมัยประถม...เรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือเรื่องใหญ่โตมโหฬารอะไรก็แล้วแต่ ล้วนทำให้คนที่เป็นเพื่อนกันทะเลาะกันจนไม่คุยกันได้เสมอ หรือมองหน้ากันไม่ติดไปเลยก็มีด้วยซ้ำไป

และไม่ว่าจะเราจะอายุเท่าไหร่ การทะเลาะกับเพื่อนก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ตลอด เหมือนกับตอนนี้...ผมที่อยู่ตรงกลางระหว่างเพื่อนสองฝั่งที่กำลังทะเลาะกัน บอกตรงๆ นะครับว่าผมไม่รู้จะทำยังไงกับสถานการณ์ตอนนี้ดี เฮ้อ!

ผมเป็นคนพูดน้อย แต่เหตุการณ์ทะเลาะกันครั้งใหญ่ของไอ้แทงค์กับไอ้คลาร์กและไอ้เนส มันทำให้ผมหนักใจฉิบหายจนกลายเป็นคนพูดมากเลยล่ะครับ

ผมเพิ่งวางสายจากไอ้แทงค์ ก่อนหน้านี้ผมได้เจอกับไอ้เนส ไอ้คลาร์กมา พวกมันบอกว่าจะไม่ขึ้นเล่นดนตรีที่ร้านพี่เฟิ่งจนกว่าจะหามือกลองคนใหม่ได้ และไม่ว่าผมจะโน้มน้าวพวกมันยังไง แต่แม่งก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจ

เดิมทีผมก็คิดว่าพวกมันคงแค่โกรธแป๊บๆ ก็หาย กระนั้นจนถึงตอนนี้พวกมันก็ยังหน้าบึ้งตึงทุกครั้งที่ผมพยายามพูดถึงไอ้แทงค์และเรื่องที่มันได้รับความสนใจจากเอเจนซี่ค่ายเพลง...ความสำเร็จของเพื่อนย่อมน่ายินดีไม่ใช่หรือครับ แล้วทำไมพวกมันถึงได้โกรธล่ะ ทั้งๆ ที่ไอ้แทงค์ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด

ผมไม่เข้าใจเลย และจนปัญญาจะแก้ไขเรื่องนี้ให้ผ่านไปได้จริงๆ ครับ

วันจันทร์ผมมาเรียนด้วยความรู้สึกหนักใจ ตอนเห็นไอ้แทงค์เดินเข้าห้องเรียนมาด้วยหน้าตาโทรมๆ ผมก็อดจะเป็นห่วงไม่ได้ และมันคงไม่กล้ามานั่งกับผมเหมือนทุกทีด้วย เพราะผมนั่งอยู่กับพวกไอ้เนส มันก็เลยเลือกนั่งที่อีกมุมหนึ่งของห้อง...พอมันเหลือบๆ มามองทางพวกเรา ผมก็ได้แต่ยิ้มแหยให้มัน ส่วนไอ้เนสไอ้คลาร์กนี่ไม่ต้องพูดถึงเลยครับ แม่งไม่สนใจจะมองเลยแม้แต่นิดเดียว

พวกเหี้ย ทำไมใจร้ายกับเพื่อนกันจังวะ ไอ้แทงค์มันไม่ได้ทำอะไรผิดนะเว้ย โกรธมันทำไมกันวะ!?

จนเวลาเลิกเรียนมาถึง ผมเดินตามหลังสองผัวเมียเพื่อออกจากห้องไปหาข้าวกลางวันกิน และครั้งนี้ผมตั้งใจว่าจะไปกับไอ้แทงค์...ผมไม่อยากปล่อยมันไว้คนเดียว เดี๋ยวมันจะคิดว่าไม่มีใครเข้าใจมัน เพราะในความเป็นจริงผมคนหนึ่งล่ะที่เข้าใจมัน

พอไอ้สองตัวนั้นออกจากห้องไปแล้ว ผมก็ตบปุลงไปที่ไหล่ไอ้แทงค์ ทำเอามันสะดุ้งโหยง พอมันหันมาสบตากัน ผมก็ออกปากชวน “ไปกินข้าวกัน”

ไอ้แทงค์ทำหน้าลังเลขณะพูดออกมาว่า “ถ้าไปกับพวกมึงกูไม่ไปหรอก เดี๋ยวพวกมันจะโกรธยิ่งกว่าเดิม”

“ไม่ แค่มึงกับกู” ผมส่ายหน้าปฏิเสธคำพูดของมัน และเพราะคำพูดของผมทำให้ไอ้แทงค์พยักหน้าให้

เราสองคนเลือกร้านอาหารตามสั่งหน้ามอ. สั่งของที่อยากกินเรียบร้อยผมก็ลอบมองสีหน้าของไอ้แทงค์ไปด้วย สุดท้ายก็อดใจไม่ไหวต้องเอ่ยปากถามออกไป

“มึงโอเคป่ะ?”

“มึงถามก็แบบนี้เป็นครั้งที่สองแล้วนะ ฮะๆ” ไอ้แทงค์ชะงัก สบตากับผมพลางยิ้มนิดๆ แล้วยอมรับตามตรง “ก็ไม่ แต่ก็ไม่ได้แย่มากมายอะไร”

“กูรู้ว่าพวกมันดูงี่เง่านะเว้ยที่โกรธมึงในเรื่องแบบนี้ พวกมันเหมือน...” ผมชั่งใจ คิดว่าควรจะพูดดีไหม แต่เพราะความอึดอัดใจในความคิดตัวเอง สุดท้ายผมก็เผลอพูดออกไป ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ควรพูด เพราะมันดูไม่ดีเลยสักนิด “เหมือยคนที่เห็นเพื่อนได้ดีกว่าไม่ได้ แต่กูรู้นะเว้ยว่าพวกมันไม่ใช่คนแบบนั้น พวกมันก็คงแค่...”

ไอ้แทงค์เอ่ยแทรกผม “มึงอย่ากังวลเลย กูไม่คิดงั้นหรอก นี่มันเรื่องงี่เง่า และตอนนี้พวกมันกำลังไม่มีเหตุผล กูก็แค่ได้แต่รอว่าพวกมันจะมีเหตุผลเมื่อไหร่ก็เท่านั้น”

“เฮ้อ ทำไมพวกเราต้องมาทะเลาะกันด้วยเรื่องแบบนี้ด้วยวะ” ผมถอนหายใจหนักๆ ไอ้แทงค์แค่หัวเราะแล้วบอกแค่ว่านั่นสิ...เสียงหัวเราะของมันแห้งแล้งมากๆ ก็นะ เป็นใครจะหัวเราะออกวะครับ โดยเพื่อนโกรธแถมยังพูดจาทำร้ายจิตใจกันอีกอ่ะ

คาบบ่ายผมเลือกนั่งกับไอ้แทงค์ จนหมดคาบก็ตั้งใจว่าจะรอให้คนออกไปจนหมดก่อนแล้วค่อยกลับ ไม่อยากออกไปแย่งลิฟท์กับคนเยอะๆ แต่ขณะที่กำลังนั่งกดโทรศัพท์เช็คเฟสบุ๊คเรื่อยเปื่อย ไอ้เนสกับไอ้คลาร์กก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเรา

หลังจากนั้นไอ้เหี้ยเนสก็พ่นคำพูดไม่เข้าหูออกมาให้ได้ยิน จนผมต้องเอ่ยปรามอย่าทนฟังไม่ได้...เวรเอ๊ย! เพื่อกันเขาพูดกันแบบนี้เหรอวะ!? ผมทั้งด่าพวกมันว่างี่เง่า โตแล้วควรมีเหตุผลแต่กลับไม่มี ซ้ำยังถามมันอีกว่ามีสมองมั้ยถึงได้คิดไม่เป็น และคิดว่าคงด่ามากกว่านั้นถ้าไม่ใช่เพราะไอ้แทงค์ห้ามผมไว้

ผมที่เป็นคนใจเย็น มาตอนนี้ใจร้อนดั่งไฟ รู้สึกโกรธฉิบหายที่ไอ้พวกเหี้ยสองตัวนี้มันไม่ได้เข้าใจอะไรเลย ซ้ำยังมาพูดจาทำร้ายจิตใจกันอีก...แต่เหมือนว่าไอ้แทงค์จะกลายเป็นคนที่ใจเย็นกว่าผมเสียแล้ว เพราะมันตอกกลับไอ้เนสกับไอ้คลาร์กจนพวกมันเดือดจัด ก่อนจะเดินหนีไป

หากแต่ประโยคสุดท้ายที่ไอ้คลาร์กตะโกนไล่หลังไอ้แทงค์ไปก็ทำให้ผมเลือดขึ้นหน้าจนคว้าขอเสื้อไอ้ฝรั่งเต็มแรง เกือบได้ต่อยมันแล้วด้วยถ้าไม่ใช่เพราะไอ้เนสเข้ามาจับพวกเราแยกออกจากกัน

“กูไม่น่ามาเป็นเพื่อนมึงเลยว่ะ!!”

“ไอ้คลาร์ก!! ทำไมพูดจาหมาไม่แดกงี้วะ!? นั่นเพื่อนนะเว้ย! มันทำอะไรผิดมึงถึงต้องด่ามันขนาดนี้! มันได้รับโอกาสที่ดีแล้วมันผิดตรงไหนวะ!? มึงอิจฉามันใช่มั้ยถึงได้ทำตัวไม่มีเหตุผลแบบนี้!” ผมตะคอกใส่มัน และเพราะผมไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน ก็เลยทำให้พวกมันสองคนมองผมตาค้าง “กูไม่คิดเลยว่าจะมีเพื่อนเห็นแก่ตัวอย่างพวกมึง แทนทีเพื่อนเราได้ดีจะยินดีกับมัน แต่นี่กลับมาอิจฉา กลับโกรธที่เขาได้ดีกว่า แม่งเอ๊ย! กูก็ไม่น่ามาเป็นเพื่อนกับพวกมึงเหมือนกันว่ะ!!”

หลังจากนั้นผมก็จำไม่ได้หรอกว่าไอ้เนสกับไอ้คลาร์กทำหน้ายังไง ผมรู้แต่ว่าผมเดินหนีออกมาด้วยความโกรธที่อัดแน่นในอก ถ้าผมไม่รีบออกมาล่ะก็ คงได้ซัดหน้าพวกมันระบายความโกรธไปแล้ว

หลังจากนั้นผมพยายามโทรหาไอ้แทงค์แต่มันก็ไม่รับสาย วันต่อมามันก็ไม่ได้มาเรียน จนผมอดเป็นห่วงไม่ได้ ตั้งใจว่าหลังเลิกเรียนจะไปหามันที่บ้าน ไม่รู้มันจะเป็นยังไงบ้าง...แต่แน่นอนผมคิดว่ามันต้องเสียใจมากแน่ๆ เพราะขนาดผมเองยังเสียใจเลยกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวาน

ขณะที่กำลังจะก้าวขึ้นตึกเรียน สายตาของผมก็ดันหันไปเจอคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาเข้าพอดี เพ่งมองไปๆ มาๆ ผมก็นึกออกว่าเขาคนนี้เป็นใคร...ผุ้ชายที่มารับไอ้แทงค์กลับบ้านเมื่อคราวก่อนนู้นที่มันเมาหนัก คนที่บอกว่าเป็นเพื่อนบ้าน

“คุณ...” ผมไม่รู้ชื่อของเขา แต่เพียงแค่เอ่ยออกไปเท่านั้น อีกฝ่ายก็หันมามองผม เลิกคิ้วถามว่าผมคือเพื่อนของแทงค์ใช่ไหม ผมตอบรับ “เอ่อ ครับ แล้วคุณมาที่นี่มีอะไรหรือเปล่าครับ หรือมาหาไอ้แทงค์ แต่ว่าวันนี้มันไม่ได้มาเรียนนะครับ ผมโทรไปมันก็ไม่รับ”

“อืม ฉันรู้แล้ว”

อีกฝ่ายตอบรับ แรกสุดผมค่อนข้างงงกับปฏิกิริยาของเขา แต่พอคิดว่าไอ้แทงค์เป็นอะไรหรือเปล่าพี่คนนี้ถึงได้มาหามันที่มหาลัย หรือว่ามันหายออกจากบ้าน หนีไปไหนแล้วหรือเปล่า...ด้วยความตระหนกผมก็เผลอสาดคำถามใส่เขา หากแต่ยังไม่ทันที่ผู้ชายตัวสูงหน้าเข้มตรงหน้าผมจะได้เอ่ยตอบ เสียงของไอ้เพื่อนเฮงซวยที่ผมเมินพวกแม่งตั้งแต่เช้าก็ดังขึ้นที่ด้านหลัง

“ใครเป็นอะไรวะฮัท?”

ผมไม่ตอบ แต่คนที่พูดออกมาก่อนก็คือพี่ผู้ชายที่เพื่อนบ้านของไอ้แทงค์ เขาเลิกคิ้วมองไอ้เนสกับไอ้คลาร์ก “นายสองคน ใครเนส? ใครคลาร์ก”

มันออกจะเป็นคำถามที่แปลกในสายตาของผม เพราะฟังจากชื่อแล้วมองหน้าก็น่าจะรู้แล้วไหมครับว่าใครชื่ออะไร แต่คิดดูอีกทีชื่อไอ้เนสมันก็เหมือนชื่ฝรั่งนี่นะ พี่คนนี้อาจจะแยกไม่ออกก็ได้

หากแต่สิ่งที่ผมได้ยินหลังจากนั้นทำให้ผมนิ่งอึ้งไปทั้งใจ...

“พวกนายก็รู้กันดีไม่ใช่หรือไงว่าโอกาสแบบนี้ไม่ใช่ทุกคนจะได้รับ ทุกคนทุ่มเทเพื่ออนาคตของตัวเอง และแทงค์ก็แค่เลือกสิ่งที่คิดว่าดีกับอนาคตของตัวเอง เป็นพวกนายถ้าได้รับโอกาสแบบนี้จะไม่เลือกตอบรับงั้นหรือ?” เพื่อนบ้านไอ้แทงค์พูดไปก็ทำหน้าถมึงทึงใส่พวกเราไปด้วย ผมคิดว่าเขากำลังโกรธ...โกรธมากๆ แต่พยายามเก็บงำความรู้สึกเอาไว้ “เด็กคนนั้นไม่เหลือใครที่เขาจะพึ่งพาได้อย่างเต็มหัวใจ หลังจากนี้เขาต้องดิ้นรนมีชีวิตด้วยตัวเอง ต้องทำเพื่อชีวิตที่ดีในอนาคตด้วยตัวเอง สร้างตัว สร้างอาชีพด้วยตัวเอง แล้วมันผิดมากเลยหรือไงที่เขาได้รับโอกาสและยินดีรับมัน พวกนายไม่รู้หรอกว่าคำพูดของพวกนายเองทำร้ายเขามากแค่ไหน ตั้งแต่พ่อแม่เสียเขาแทบไม่เคยร้องไห้ด้วยความเสียใจเลยสักครั้ง แต่เพราะพวกนาย เขาถึงต้องเสียน้ำตาและเอาแต่ถามว่าเขาผิดมากเลยหรือ”

ผมนิ่งงัน...ร่างทั้งร่างเหมือนโดนแช่แข็งทันทีที่ได้ยินว่าไอ้แทงค์ร้องไห้...ผมรู้ว่ามันเป็นคนเข้มแข็ง มันไม่เคยร้องไห้สักครั้งตั้งแต่ที่ผมรู้จักมันมา ชีวิตมันอาจจะไม่ได้ลำบากต้องดิ้นรนอะไรมากมายเพราะมีเงินมรดกจากพ่อแม่ทิ้งไว้ให้ แต่ผมรู้ว่ามันเหงาและเดียวดายจับใจที่ต้องอยู่คนเดียวในบ้านหลังนั้น

คำพูดมากมายหลังจากนั้นของคนตรงหน้าทำให้ผมหนักอึ้งไปทั้งหัวใจ ถึงจะไม่ได้เป็นคนที่ทำร้ายจิตใจไอ้แทงค์ แต่สิ่งที่ได้ยินก็ทำให้ผมรู้สึกเสียใจ...เสียใจที่ปกป้องความรู้สึกของเพื่อนคนหนึ่งไม่ได้

“...ตื่นขึ้นมาในวันนี้เขาก็ยังต้องเจ็บปวดอยู่ดี...เจ็บปวดเพราะพวกนาย”

หลังจากเพื่อนบ้านไอ้แทงค์กลับไป ผมกับไอ้เนสไอ้คลาร์กกลับยังยืนอยู่ที่เดิม...ผมแค่นหัวเราะ เงยหน้ามองพวกมันสองผัวเมียที่กำลังทำหน้าสับสนจนเห็นได้ชัด

“ได้ยินขนาดนี้ พวกมึงยังคิดว่าไอ้แทงค์ผิดอยู่อีกหรือเปล่าล่ะ” ผมต่อว่าพวกมัน “พวกมึงที่มีพร้อมทุกอย่าง ชีวิตไม่ได้โดดเดี่ยวและต้องดิ้นรนเหมือนไอ้แทงค์ ยังคิดว่ามันเห็นแก่ตัวอยู่อีกหรือเปล่าที่ตอบรับโอกาสดีๆ ที่เข้ามาในชีวิต หรือได้ยินคนนอกพูดขนาดนั้นแล้ว แต่พวกมึงก็ยังคิดว่าตัวเองไม่ผิดอยู่ดีหรือเปล่าที่พูดคำว่าไม่น่าเป็นเพื่อนกันใส่หน้าไอ้แทงค์น่ะ หะ!? พวกมึงรู้สึกผิดขึ้นมาบ้างหรือยัง!?”

มันสองคนไม่ตอบผม...และผมก็ได้แต่หวังว่าพวกมันจะคิดได้

ขอล่ะ คิดได้สักนิดหนึ่งเถอะ

ในวันต่อมาผมก็ต้องทั้งยินดีและแปลกใจที่ไอ้เนสกับไอ้คลาร์กมันเดินเข้ามาหาผม และเอ่ยปากบอกว่าจะขอโทษไอ้แทงค์...แสดงว่าคำพูดของผู้ชายคนนั้นคงทำให้พวกมันคิดได้ขึ้นมาบ้าง ว่าที่ทำไปทั้งหมดพวกมันทำไม่ถูกต้อง

ดีจริงๆ ที่อย่างน้อยพวกมันก็คิดได้ ผมนึกว่าพวกเราคงกลับมาเป็นเพื่อนกันอีกไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ...ดีจริงๆ นะที่มันไม่เป็นแบบนั้น

ทันทีที่เจอหน้าไอ้แทงค์ ผมก็ได้แต่ยืนดูอยู่ไม่ไกล ดูสิว่าไอ้สองผัวเมียคู่นี้มันจะขอโทษไอ้แทงค์ยังไง แล้วไอ้แทงค์จะให้อภัยหรือเปล่า...แต่ผมมั่นใจว่าไอ้เหี้ยแทงค์แม่งต้องให้อภัยชัวร์ๆ เพราะมันเป็นคนใจดี ต่อให้โกรธมากแค่ไหน แต่มันเป็นคนให้ความสำคัญกับเพื่อนและคนรอบข้างที่มันรักหรือเชื่อใจมาก

และก็เป็นไปตามคาดเมื่อมันพูดขึ้นมาว่า...

“เพราะกูไม่เคยคิดว่าพวกมึงไม่ใช่เพื่อน เพราะงั้นเรายังเป็นเพื่อนกันเสมอว่ะ”

“ไอ้เหี้ยแทงค์ มึงแม่งทำกูใจแป้ว นึกว่าจะไม่ให้อภัยกันแล้วไอ้สัด”

“เออไอ้เหี้ย มึงนี่นะ”

“ฮ่าๆๆๆ”

ผมเดินเข้าไปหาพวกมัน หลังจากนั้นพวกเราสี่คนก็ล้อมวงกอดคอกัน ผมไม่ค่อยแสดงสีหน้า แต่ตอนนี้ผมรู้ตัวเองดีเลยว่ากำลังยิ้มกว้างมากแค่ไหน

พวกมันอาจจะคืนดีกันง่ายเกินไปหน่อย แต่ในสายตาผม...การที่เพื่อนให้อภัยเราคือสิ่งที่มีค่าที่สุดแล้วล่ะครับ

ไอ้แทงค์ถามถึงที่มาที่ทำให้ไอ้เนสกับไอ้คลาร์กมาขอโทษมัน พอรู้ว่าใครที่ทำให้พวกแม่งคิดได้ ไอ้แทงค์ก็ยิ้มกว้าง จนผมอดถามไม่ได้ว่า “ถามจริงๆ เหอะไอ้แทงค์ มึงกับเขาเป็นแค่เพื่อนบ้านกันจริงดิ?”

“ใช่” มันตอบพลางยิ้มกว้างสุดๆ แล้วว่าต่อ “แต่กูไม่อยากให้เขาเป็นแค่เพื่อนบ้านแล้วว่ะ กูว่า...กูชอบเขา”

วันนั้นผมกลับบ้านมาด้วยความรู้สึกดีโคตรๆ ก็นะ...เพื่อนที่ทะเลาะกันมันกลับมาคืนดีกัน ใครไม่ดีใจบ้างล่ะครับ

ผมนั่งฮัมเพลงอยู่หน้าบ้านอย่างอารมณ์ดี น้องสาววัยมัธยมปลายของผมเดินเข้ามานั่งข้างกันแล้วเลิกคิ้วถามอย่างฉงนใจ...คงแปลกใจที่พี่ชายจอมเงียบขรึมเกิดอารมณ์สุนทรีย์มานั่งฮัมเพลงชมดอกไม้ล่ะมั้ง หึๆ

“เป็นอะไรของพี่ วันนี้ดูมีความสุขแปลกๆ”

“เรื่องของพี่น่า ก็แค่มีความสุขนิดหน่อย ไม่ได้หรือไง?”

“ก็ไม่ใช่ไม่ได้ แค่แปลกใจเฉยๆ” ผมยีหัวน้องเบาๆ อย่างเอ็นดู เจ้าน้องสาวตัวน้อยของผมย่นจมูกใส่ ก่อนจะเอ่ยถามไปอีกเรื่อง “เออ ว่าแต่พวกพี่ยังเล่นดนตรีกันอยู่หรือเปล่าอ่ะ เดี๋ยวนี้ไม่เห็นมาที่บ้านเราบ้างเลย ปกติต้องนัดกันมาแต่งเพลงอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ”

“ก็ยังเล่นอยู่ แต่ช่วงนี้ไม่ได้แต่งเพลงใหม่เลยก็เลยไม่ได้มาน่ะ ทำไม? คิดถึงไอ้แทงค์หรือไง หึๆ” น้องสาวของผมมันปลื้มไอ้แทงค์ครับ...ไม่ได้ปลื้มเพราะหล่อเท่านั้นหรอกนะ แต่น้องผมมันเป็นสาววาย พอมันรู้ว่าพี่แทงค์เป็นเกย์นี่ดี๊ด๊าใหญ่ ชอบคุยกับไอ้แทงค์เรื่องเกี่ยวกับวายๆ ของมันน่ะแหล่ะ

นี่ถ้ามันรู้ว่าไอ้เนสกับไอ้คลาร์กได้กันแล้วมันจะทำหน้ายังไงวะ ฮะๆ บอกเลยดีกว่า

“ก็นิดหนึ่ง อยากรู้ว่าตอนนี้พี่เขามีแฟนยังอ่า”

“หึ มีแล้วมั้ง”

“เห?! หมายความว่าไงพี่ฮัท! บอกฮาร์ทมาเดี๋ยวนี้เลยน้าาา” น้องสาวของผมเขย่าแขนผมใหญ่

“ก็...ดูเหมือนมันจะชอบผู้ชายหล่อสัดที่มีหุ่นเหมือนนายแบบต่างประเทศ และเป็นเพื่อนบ้านของมันเองน่ะนะ และถ้าพี่เดาไม่ผิด...ดูเหมือนผู้ชายคนนั้นก็ชอบมันเหมือนกันอ่ะแหล่ะ”

“อ๊ายยย จริงป่ะเนี่ย กรี๊ดๆๆๆ ฮาร์ทอยากเห็นหน้าอ่ะ ตายแล้ววว พี่แทงค์กำลังจะมีผัวววว”

“ฮะๆๆ อ้อ อีกเรื่องหนึ่ง” ผมเกริ่นให้น้องอยากรู้ เจ้าเด็กตัวน้อยมองผมตาโตอย่างลุ้นระทึก แต่พอผมบอกไปเท่านั้นแหล่ะ... “ไอ้คลาร์กกับไอ้เนสที่แกจิ้นหนักหนา ตอนนี้มันคบกันแล้วนะ หึๆ”

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!!!!”

นั่นไง...ผมว่าแล้วว่ามันต้องกรี๊ดลั่นบ้าน

ผมตอบคำถามที่น้องถามมาไม่ยั้งไปเรื่อยเปื่อย จนไม่รู้ว่ามาจบที่เรื่องฝึกงานของผมได้ยังไง...พอน้องถามว่าไม่อยากไปฝึกงานที่ค่ายเพลงแบบไอ้แทงค์มันบ้างเหรอ (ผมเล่าให้น้องฟังน่ะว่าไอ้แทงค์มันโชคดีที่มีเอเจนซี่ค่ายเพลงมาสนใจจีบไปเป็นเด็กฝึกงานและเด็กฝึกหัดในค่าย) ผมก็อดคิดตามไม่ได้

“นั่นสินะ” ผมเหม่อมองไปที่ศาลพระภูมิตรงข้างรั้วบ้าน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ผมก็ทอดสายตาตรงไปที่ตรงนั้น แล้วเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “อันที่จริง ถ้าพวกเราทั้งวงได้เป็นนักร้องด้วยกัน เดบิวต์พร้อมกัน ออกเพลงด้วยกัน ได้เดินสายร้องเพลงเล่นดนตรีด้วยกันทั้งวงก็คงดี”

คำพูดที่ผมก็แค่คิดเลยพูดออกมา แต่ใครจะไปรู้ว่ามันจะเป็นจริง

...เพราะหลายวันต่อมาพวกผมก็ได้รับข่าวดีว่าทางค่ายเพลงเปลี่ยนใจอยากให้พวกเราทั้งวงไปเป็นเด็กฝึกในค่ายของเขา ไม่ใช่แค่ไอ้แทงค์คนเดียวเหมือนก่อนหน้านี้

อ่า...ผมมีความสุขชะมัดเลยล่ะครับ

__________

หลังจากเหตุการณ์ที่พวกเราทะเลาะกันครั้งใหญ่ (แม้ผมจะไม่ได้ไปร่วมทะเลาะด้วยก็เถอะ) ดูเหมือนจะมีหลายอย่างเปลี่ยนไปกับกลุ่มของพวกเราครับ...ผมรู้สึกมาสักพักแล้ว แต่ไม่คิดจะพูดออกมา

นับจากวันที่เคลียร์กันได้จนมาถึงวันที่วงของเราได้เป็นเด็กฝึกในค่ายเพลงชื่อดังด้วยกัน ผมก็รู้สึกว่าหลายครั้งไอ้แทงค์ ไอ้เนส และไอ้คลาร์กที่มักจะพูดคุยกันอย่างสบายใจ หลังๆ มานี้พวกมันมักจะพูดแล้วชะงักซะบ่อยยครั้ง ราวกับว่าพวกมันไม่แน่ใจว่าควรจะพูดสิ่งที่คิดออกมาดีไหม ต้องมีการไตร่ตรองก่อนพูดเสมอ ซึ่งในสายตาของผมนั่นมันก็ดี แต่บางทีมันก็ชวนให้อึดอัดใจยังไงพิกล

หากให้ผมเดา ผมคิดว่าพวกมันคงต่างฝ่ายต่างกลัวว่าคำพูดของตัวเองจะไปทำให้ฝ่ายตรงข้ามเก็บเอาไปคิดมากล่ะมั้ง ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็ดูจะกังวลไปหมดเวลาที่ต้องพูดออกมา...ไอ้ตัวผมที่เป็นคนพูดน้อยน่ะไม่ค่อยมีปัญหาหรอก แต่กับพวกมันคงแย่ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะจากที่พูดไปเรื่อยไม่ต้องคิดมากอะไร มาตอนนี้จะพูดอะไรก็ดูไม่ค่อยกล้าพูดออกมาตรงๆ สักเท่าไหร่

วันหนึ่งผมมีโอกาสได้อยู่กับไอ้สองผัวเมียตามลำพัง เพราะไอ้แทงค์มันรีบไปทำงานพิเศษ ผมก็เลยลองแย็บๆ ถามพวกมันสองคนดูว่ารู้สึกยังไง หรือคิดอะไรอยู่...คำตอบที่ได้ก็ไม่เกินที่ผมคาดเดาเอาไว้นัก

“ไม่รู้ดิมึง กูก็แค่รู้สึกว่าไม่กล้าพูดอะไรแรงๆ กับไอ้แทงค์มันว่ะ” ไอ้เนสเอ่ยขึ้นมาก่อน “เมื่อก่อนพวกเราอาจจะพุดจาแรงๆ ใส่กันเพราะรู้ว่าเป็นการหยอกกันเล่น แต่พอผ่านเหตุการณ์ที่กูทำให้ไอ้แทงค์มันเสียใจเพราะคำพูดของกูเอง กูก็รู้สึกว่าไม่กล้าพุดอะไรรุนแรงใส่มันอีก”

“อือ เหมือนกัน” ไอ้คลาร์กพยักหน้าเห็นด้วย “กูกลัวว่ามันจะเก็บเอาไปตีความว่ากูด่ามันจริงจัง มึงก็รู้ ไอ้แทงค์มันเป็นคนจำลึกฝังใจ ถึงท่าทีมันจะสบายๆ แต่ใครจะไปรู้ว่าลึกๆ มันคิดอะไร ไม่แน่ตอนนี้มันอาจจะยังเก็ยเรื่องที่กูเคยพูดทำร้ายจิตใจมันไปคิดอยู่บ่อยๆ ก็ได้นี่หว่า”

ผมพยักหน้ารับ “เออ กูเข้าใจ เพราะถึงแม้กูจะไม่ได้ด่ามัน แต่กูก็รู้สึกแย่เหมือนกันที่ปกป้องความรู้สึกของมันไม่ได้ เหมือนว่ากูเองก็ไม่ได้เป็นเพื่อนที่ดีของมันสักเท่าไหร่ เฮ้อ” ผมถอนหายใจ พาให้ไอ้สองตัวผัวเมียถอนหายใจตามบ้าง

“บางทีกูก็อึดอัดนะที่ต้องมาคอยคิดว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด แต่มาคิดดูแล้ว...ถ้าเพื่อไม่ให้พวกเราทะเลาะกันอีก การคิดให้ดีก่อนพูดคือสิ่งสำคัญในการรักษาความสัมพันธ์ฉันเพื่อนของพวกเราเอาไว้ว่ะ” ไอ้เนสว่า และคำพูดของมันก็ทำให้ผมเห็นด้วยอย่างไม่มีเงื่อนไขเลยล่ะ

“การทะเลาะกันครั้งนั้นเหมือนเป็นรอยร้าวเล็กๆ ในความสัมพันธ์ของพวกเรา...กูคิดว่างั้นนะ” ผมเอ่ยขึ้นอีกครั้งหลังจากพวกเราเงียบกันไปอยู่หลายนาที เพื่อนทั้งสองคนหันมามองหน้าผม ผมก็เลยยักไหล่ให้มันแล้วว่าขึ้นอีก “หรือมึงไม่คิดอย่างนั้น?”

“เออ กูเข้าใจที่มึงพูด และก็คิดเหมือนกันด้วย” ไอ้ฝรั่งห่อไหล่ลง “ทีนี้ก็อยู่ที่พวกเราแล้วว่าจะพยายามรักษารอยร้าวนี้ไว้ไม่ให้มันร้าวมากไปกว่านี้ ระมัดระวังไม่ทำให้รอยร้าวของพวกเรามันเพิ่มขึ้นมากไปกว่านี้”

อ่า...นั่นสินะ คงมีแต่การดูแลเอาใจใส่เท่านั้นที่จะทำให้พวกเรารักษาความเป็นเพื่อนระหว่างกันเอาไว้ได้

__________


ออฟไลน์ Hazel_nut

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-3

เวลาผ่านไปพร้อมๆ กับความเป็นเพื่อนของพวกเราที่ยังคงมั่นคงและรักษารอยร้าวเดิมเอาไว้ไม่ให้มันร้าวไปมากกว่านี้ได้ แต่กลับมีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้เกิดรอยร้าวขึ้นมาอีก หากแต่ครั้งนี้มันไม่ใช่รอยร้าวในความสัมพันธ์ฉันเพื่อนของพวกเรา...แต่เป็นรอยร้าวของหัวใจไอ้แทงค์

จู่ๆ มันก็ไม่มาเรียนถึงสองวันติด โทรไปหาแม่งก็ไม่รับ จนพวกผมเป็นห่วงมันฉิบหาย สุดท้ายในเย็นวันที่สามพวกเราทั้งหมดก็ตรงไปหามันที่บ้าน ก่อนจะพบว่าสภาพของมันดูแทบไม่ได้

หน้ามันโทรมเหมือนคนไม่ได้นอน ร่างกายก็ดูอ่อนแรง และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือดวงตาของมัน...ตาแดงช้ำที่มองมายังพวกผมทำให้อดตกใจไม่ได้ มันร้องไห้มาอย่างหนัก นั่นคือสิ่งที่ผมอ่านได้จากดวงตาของมัน

“มึงเป็นอะไรวะแทงค์” ไอ้เนสถามอย่างเป็นห่วง มันคงเห็นท่าไม่ดีด้วยมั้งเพราะเข้าไปพยุงไหล่ไอ้แทงค์ที่จะล้มไม่ล้มแหล่เอาไว้ ผมเห็นอย่างนั้นก็เลยเข้าไปช่วยพยุงอีกข้าง ขณะที่ไอ้คลาร์กปัดผมที่ปรกหน้าไอ้แทงค์ออกแล้วสำรวจหน้าตาของเพื่อน

“มึงร้องไห้นี่ เป็นอะไรวะ บอกพวกกูเถอะ อย่าร้องไห้คนเดียวดิ”

คำพูดของมันดูอ่อนโยนจนเหมือนไม่ใช่มันพูด ปกติไอ้ฝรั่งจะโผงผางมากกว่า...แต่กระนั้นสิ่งที่มันพูดก็ทำให้ไอ้แทงค์ปล่อยน้ำตาไหลพราก สะอื้นออกมาจนตัวโยนในแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนตั้งแต่รู้จักมันมา

“ไอ้แทงค์...”

พวกผมพยุงพามันเข้าบ้าน สภาพมันอ่อนแรงมากจริงๆ นะครับ มากจนผมยังอดคิดไม่ได้ว่าแม่งเดินออกไปเปิดประตูบ้านให้พวกผมเข้ามาได้ยังไงโดยไม่ล้มพับไปเสียก่อน

เรานั่งอยู่เคียงข้างมัน ปลอบมันทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเสียใจเรื่องอะไร...ไอ้แทงค์มันเป็นคนเข้มแข็งมาก อันนี้ผมรู้ดี แต่คนเข้มแข็งใช่ว่าจะไม่เก็บซ่อนความอ่อนแอเอาไว้ และตอนนี้มันกำลังแสดงความอ่อนแอออกมา

เนิ่นนานเป็นขั่วโมงกว่าที่มันจะเอ่ยปากพูดออกมาได้ “เขาไปแล้ว”

“หา? ใครไปไหน?” ไอ้เนสทำหน้างง ย้อนถามอย่างไม่เข้าใจ

“พี่ภู...” เสียงไอ้แทงค์สั่นเครือและแหบเบาจนแทบไม่ได้ยิน

เราอีกสามคนหันมาสบตากัน ก่อนจะเป็นผมที่เอ่ยปากถาม “พี่ภูไปไหนเหรอ”

มันส่ายหน้า “ไม่รู้ แต่เขาไปแล้ว”

“มึงกับเขาเลิกกันเหรอ?”

“เปล่า ไม่...แต่เขาไม่อยู่ เขาไปแล้ว อึก...เขาจำเป็นต้องไป” มันพูดไปก็เหมือนจะร้องไห้ออกมาอีกได้ทุกเมื่อ จนพวกผมต้องเลิกซักถาม

ก็ไม่รู้หรอกว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ทั้งผม ไอ้เนส และไอ้คลาร์กคิดเหมือนกันหลังจากนั้นก็คือ...พวกเราจะอยู่เคียงข้างมัน ให้กำลังใจและฝ่าฟันทุกอย่างไปด้วยกัน ไม่ว่าไอ้แทงค์ หรือเพื่อนคนอื่นๆ ในกลุ่มเราจะต้องเจอกับความเสียใจอะไรก็ตาม แต่พวกเราก็จะอยู่เคียงข้างกันเสมอ

และพวกผมก็ทำแบบนั้นมาตลอดสามปี...สามปีต่อมาที่พวกเราไม่ใช่นักศึกษาอีกแล้ว แต่เป็นนักร้องวงน้องใหม่ของค่ายเพลง PN Music ที่เปิดตัวด้วยซิงเกิ้ลเพลงช้าฟังสบาย เป็นเพลงที่ไอ้แทงค์แต่ง เกี่ยวกับความคิดถึงของผู้ชายคนหนึ่งที่คิดถึงคนที่รัก แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหน

มันแต่งเพลงนี้ให้พี่ภู และพวกผมก็คิดเห็นเหมือนกันว่าควรเอาเพลงนี้เป็นเพลงเดบิวต์...ไม่ใช่แค่เพราะมันเป็นเพลงที่กินใจหรือเมโลดี้ดีเท่านั้น แต่พวกเราอยากให้เพลงนี้ส่งไปถึงผู้ชายคนนั้น คนที่ไอ้แทงค์เฝ้าคิดถึงมาตลอดสามปี

และสิ่งที่พวกเราเลือกก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะคนรักของเพื่อนปรากฏตัวอีกครั้งในฐานะนายแบบหนุ่มดังจากฝรั่งเศส...เขากลับมาหามันแล้ว และแน่นอนว่าพวกผมที่เหลือรู้สึกยินดีกับมันมาก

ตลอดสามปีที่ผ่านมาเราได้รู้ซึ่งถึงความหมายมากมายของคำว่าเพื่อน รอยร้าวครั้งนั้นยังคงอยู่ แม้มันยังไม่สมานกันดี แต่ผมก็รู้ว่าลึกๆ แล้วรอยร้าวในความสัมพันธ์ของพวกเรามันไม่ขยายเพิ่มขึ้น และได้รับการซ่อมแซมจนกลายเป็นแผลเป็นจางๆ เท่านั้น

การรักษาน้ำใจกัน ไม่พูดทำร้ายจิตใจกัน เมื่อไหร่ที่ทะเลาะกันก็คิดให้ดีเสมอก่อนพูดอะไรออกมาเพื่อจะได้ไม่เป็นการพูดจาร้ายกาจใส่กัน ผมคิดว่านั่นล่ะที่ทำให้รอยร้าวของพวกเรามันคงที่จนเกือบหายไป

การที่เราโตขึ้นก็ยิ่งทำให้เราคิดไตร่ตรองทุกอย่างให้ถี่ถ้วนได้ดีขึ้น...สามปีที่ผ่านมาใช่ว่าพวกเราไม่เคยทะเลาะกัน แต่เราก็มักจะเคลียร์กันโดยไว เปิดใจคุยกันแมนๆ ฉันเพื่อนโดยไม่ปล่อยให้ความรู้สึกขุ่นเคืองในใจตกเป็นตะกอนให้เผลอพูดจาไม่ดีใส่กันอีก

เพื่อนคือคนที่เข้าใจกัน พูดคุยกันได้แทบทุกเรื่อง เคารพซึ่งกันและกัน รับฟังกันและกัน และการรักษาความเป็นเพื่อนเอาไว้ก็ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเรามีค่าอย่างหาอะไรมาเทียบไม่ได้

หลังจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็ได้แต่หวังว่าพวกเราจะยังก้าวเดินไปในเส้นทางของการเป็นศิลปินด้วยกัน ก้าวเดินไปในเส้นทางของความเป็นเพื่อนที่แน่นแฟ้นกันแบบนี้เรื่อยๆ จนกว่าจะก้าวต่อไม่ไหว

ก็เพื่อนน่ะ...ควรจะเป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอครับ? :)


[FIN]



__________

ตอนพิเศษที่สองมาแล้วค่ะ งามสุมแล้วเครียดเน้อ เลยเอามาลงด้วยการพิมพ์ๆๆๆ กดแป้นพิมพ์อย่างเมามัน ไม่รู้คนอื่นแก้เครียดยังไง แต่การแต่งนิยายคือหนึ่งในทางแก้เครียดของเราค่ะ ฮือออ จะตายแล้ว เป็นแทบทุกอย่างให้เธอแล้ว ยังจะเอาอะไรกับเราอี๊กกก เหนื่อยแล้วนะ ว๊ากกกกก!!! //อาละวาดเงียบๆ ในใจ

ตอนนี้เน้นพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนผ่านทางหนุ่มพูดน้อยหน้านิ่งอย่างฮัทค่ะ ในความคิดเรา คนเงียบนิ่งจริงๆ แล้วคิดอะไรมากมายอยู่ในหัวอ่ะแหล่ะ แค่เขาไม่แสดงออกมา ฮัทเองก็เป็นประเภทนั้น ขาจะแสดงออกมากหน่อยก็ตอนที่อะไรๆ รอบตัวมันหลุดออกไปจากสถานการณ์ปกติ เขียนไปก็คิดว่าอยากได้ผู้ชายแบบนี้เป็นแหนจังน้าา ในเมื่อฮัทไม่มีคู่พอดี งั้นน้องฮัทควรเป็นของเราค่ะ ฮ่าาาา

ไปละ เจอกันกับตอนพิเศษตอนสุดท้าย (คิดว่านะคะ 555) ตอนหน้าเป็นเรื่องราวของคลาร์กกับเนสค่ะ มุมมองของสองคนนั้นอาจจะทำให้ทุกคนไม่เกลียดพวกเขาก็ได้นะ ฮือออ สงสารพวกนางจัง นี่เราทำให้พวกนางโดนเกลียดไปแล้วหรือยังเนี่ย แหงะ



ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Kitsune_Mizu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ฮัทเป็นคนที่หนักแน่นมากที่สุด เสียดายไม่มีคู่ แต่คนแก่ก็ชอบฮัทนะ  :กอด1:

ออฟไลน์ MSeraph

  • This too shall pass
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1751
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
ดีใจที่ได้เห็นพัฒนาการของความสัมพันธ์ของเพื่อนๆนะ
มันแปลว่าที่ทะเลาะกันไปไม่ได้ไม่มีความหมายอะไรเลย

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
ชอบฮัท ฟีลกู๊ดอะ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ตอนนี้ ชอบน้องสาวขอฮัทมากกว่า บทน้อย แต่กรี๊ดดดดดดดดด ลั่นบ้าน
 :laugh:

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ชอบเรื่องนี้มากมีทั้งแฟนตาซี ฮา แล้วก็ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน สนุกมาก ขอบคุณค่ะ :pig4: :กอด1:

ออฟไลน์ Amploveakame

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
จบแล้วหรอๆๆๆยังไม่อยากให้จบเลยสนุกมากมายคะมีครบทุกรสเลยคะ
 :mew1: :mew2:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด