แข่งครั้งที่ 30
เสียงเปิดหน้ากระดาษดังสลับกับเสียงถอนหายใจมาร่วมสองชั่วโมง ผมเหลือบมองสิ่งมีชีวิตที่ได้ชื่อว่าฝาแฝดแนบหน้าลงกับโต๊ะอย่างหมดแรง เราต่างคนต่างตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือเตรียมสอบปลายภาค อีกแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้นนรกจะมาเยือนแล้ว
ด้านนอกคอนโดวันนี้อากาศเลวร้ายมากถึงมากที่สุด สายฝนกระหน่ำตกจนมองไม่เห็นทัศนวิสัยใดๆ ทั้งฟ้าแลบฟ้าร้องมากันครบ ผมเคาะปากกาไฮไลท์ลงบนหนังสือเมื่อสิ่งที่อ่านอยู่ไม่เข้าหัวเลยสักนิด อยากจะนอนพักแต่ภาระมันค้ำคอ ที่สำคัญคือคิดถึงว่าที่คุณหมอสุดใจ ทุกวันนี้คุยกันแทบนับคำได้จริงๆ
“เจ๊กอย่าเคาะปากกาดิวะ กูไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ”
เสียงฉุนๆ มาพร้อมกับดวงตาคมที่ตวัดมองอย่างเอาเรื่อง ผมไหวไหล่ใส่มันอย่างไม่ใส่ใจ ทำเป็นขยันไปได้ มึงถอนหายใจทุกครั้งที่พลิกหน้ากระดาษคืออะไรวะ แล้วดูมันเรื่องชื่อ เตะให้เดี้ยงซะดีไหมเนี่ย
“เดี๋ยวกูเตะก้านคอดับ เรียกให้มันดีๆ หน่อย”
ผมชี้หน้าคาดโทษมันแล้วยอมวางปากกาไฮไลท์ลงกับโต๊ะก่อนยืดแขนขึ้นบิดไปมาเพื่อไล่ความเมื่อยขบ จิณณ์บุ้ยปากใส่แล้วฟุบหน้าลงกับหนังสือ ดูท่าทางคงอ่านต่อไม่ไหวแล้วมั้ง ควรเรียกให้ไธขึ้นมาให้กำลังใจหรือเปล่า
“มึงกวนตีนก่อน”
มันว่าเสียงอู้อี้เพราะยังนอนซบท่อนแขนตัวเอง ผมไม่เถียงแต่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อเดินไปหาอะไรกินในครัวเพราะนาฬิกาบนผนังบอกเวลาเกือบบ่ายโมงแล้ว อิ่มเมื่อไหร่จะแอบงีบสักนิด ตื่นค่อยโทรไปกวนพี่ทาวน์
“จะกินอะไรไหม เดี๋ยวทำให้”
ผมหันไปถามเมื่อคิดได้ว่าอีกคนก็ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยง จิณณ์ผงกหัวขึ้นมามองก่อนจะส่ายหน้ารัวๆ แล้วชี้นิ้วลงด้านล่าง คืออะไรของมันวะ กูงงจนต้องยกมือเกาท้ายทอยแล้วเนี่ย
“เดี๋ยวไธซื้อมาฝาก”
มันยิ้มหน้าระรื่นเหมือนไม่เคยทำท่าซังกะตายมาก่อน ผมยืนบดฟันด้วยความหมั่นไส้ อย่าให้กูอยู่ใกล้กับแฟนบ้างนะมึง จะเย้ยให้กระอักเลือดกันไปข้างหนึ่งเลย แต่ตอนนี้กลายเป็นคนขี้อิจฉาตาร้อนว่ะ
“ผัวดูแลดีเนอะมึงเนี่ย”
ผมเหน็บแนมพร้อมกรอกตา จิณณ์ลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะแล้วชี้มือสั่นๆ มาทางนี้ ทำหน้าอย่างกับโดนบังคับให้กินนมบูด กูพูดอะไรผิดอีกล่ะ
“อะไร ใครเป็นผัว ยังไม่ได้กันสักหน่อย”
มันบ่นเสียงงุ้งงิ้งแต่ด้วยความที่ห้องเงียบมาเลยได้ยินอย่างชัดเจน ผมถึงกับเบ้ปากแล้วยกนิ้วกลางให้ นึกว่ากูโง่หรือไง ไอ้รอยต่างๆ นานาบนตัวพวกมึงเนี่ยหมาตัวไหนทำหื้ม อยากจะถ่ายรูปเก็บหลักฐานเอามาประจานเหลือเกิน
“โห ยังมีหน้ามาตอแหล รอยดูดรอยข่วนที่คอนี่มึงอย่าบอกว่าเล่นกันนะ”
“ไม่ได้เล่นเว้ย เอาจริง แต่ยังไม่ได้กัน”
“ห๊ะ คือยังไง”
ผมนี่แทบปล่อยลูกตาให้กลิ้งลงพื้น เอาจริง แต่ไม่ได้กันหมายความว่าไงวะ งงในงงฉิบหาย
“จากที่ดูๆ ไอ้ไธรุกใช่ปะ กูก็อยากรับให้นะ แต่ใจไม่กล้า พอมันจะถอดกางเกง ขากูมันก็ไปเองอะ...”
เดาได้เลยว่าเหตุการณ์ต่อจากนั้นคืออะไร จุกจนหน้าเขียวแน่ๆ ไม่ก็หลังหักไปเลย สงสารเพื่อนว่ะ
“มึง... ถีบไอ้ไธเหรอ”
ผมถามย้ำเพื่อความแน่ใจในความคิดตัวเอง จิณณ์พยักหน้าหงึกหงักรับแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ หน้าตาไม่สู้ดีนักจนไม่กล้าหัวเราะใส่เลย ดราม่าไปอีกชีวิต
“เออ กลิ้งตกเตียงจนสะโพกช้ำอะ”
มันบอกเสียงอ่อย สีหน้าสำนึกผิดจนผมอยากเดินเข้าไปปลอบ แต่ช่างมันเถอะ เรื่องแบบนี้ปกติจะตาย
“โหดฉิบหาย”
แต่ไม่วายสงสารเพื่อน กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มแต่โดนถีบตกเตียงหนักกว่ากูโดนขัดจังหวะอีกครับ
“กูกลัวนี่ มันต้องเจ็บมากแน่ๆ”
มันคงหมายถึงครั้งแรกกับผู้ชายใช่ไหมวะ ผมคิดว่าตัวเองน่าจะเดาถูก
“ก็คงเจ็บล่ะมั้ง”
ผมขยับตัวไปพิงกรอบประตูครัวแล้วมองหน้าจิณณ์ สมองคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย วันนี้พี่ทาวน์จะปวดหัวกับหนังสือเล่มหนาๆ ของเขาหรือเปล่านะ
“มึงกับพี่ทาวน์ล่ะ ได้กันยัง”
คำถามอยากรู้อยากเห็นมาพร้อมกับร่างสูงที่พุ่งเข้ามาหา ผมผงะตัวถอยหลังหลบอย่างรวดเร็วก่อนยกขาขึ้นขู่ ขยับอีกนิดกูถีบมึงแน่
“ถามเหมือนพวกกูไวไฟ”
ผมมองมันด้วยหางตาแล้วลดขาลงเมื่ออีกคนยกมือยอมแพ้ มุมปากจิณณ์ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนที่คำสบประมาทจะหลุดออกมา จี๊ดเลย จี๊ดมาก!
“เออ ลืมไป พวกมึงน่ะเต่าค่อยๆ คลาน กว่าจะได้กันคงไม่มีแรงขย่มแล้ว”
เสียงกลั้วหัวเราะดังสนั่นจนผมต้องยกมือฟาดกะโหลกมันไปเต็มๆ ด้วยความหมั่นไส้ เรื่องล้อเลียนคนอื่นล่ะเก่งที่หนึ่ง ทำอย่างกับตัวเองสำเร็จวรยุทธขั้นอรหันต์ไปแล้ว มึงก็เต่าเหมือนกันเถอะ กว่าจะพร้อมคงถือไม้เท้า!
จิณณ์แยกเขี้ยวใส่ผมแต่ไม่กล้าเอาคืน มันถอยห่างออกไปก่อนจะชูนิ้วกลางแทน โธ่ คนป๊อด
“ดูถูกกูนะมึง”
“เออดิ ถูกแล้ว ไม่ผิดแน่ๆ”
มันย้ำคำอีกรอบทำให้ผมขยับเท้าเข้าไปหาเพราะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาจริงๆ จิณณ์รีบถอยออกจากบริเวณครัวจนถึงโซฟาแล้วยกหมอนใบโตขึ้นเป็นเกราะกำบัง
“อยากโดนก้านคอใช่ไหม”
ผมขู่อีกรอบ จริงๆ อยากเตะจิณณ์ให้สลบไปสักครึ่งวันแต่กลัวว่าที่สามีมันมาเอาคืน กูต้องตายคาตีนไอ้ไธแน่ๆ
“ใครจะไปอยากวะ”
มันทำท่าสยองได้น่าหมั่นไส้ผมเลยก้าวขาเข้าไปหาเพื่อแกล้ง แต่ต้องชะงักกึกเมื่อประตูห้องเปิดออก ร่างที่ปรากฏตรงนั้นทำให้ดวงตาคมเบิกกว้าง
“ทะเลาะอะไรกันพวกมึง”
เสียงทุ้มคุ้นหูเอ่ยถามพร้อมกับมองผมสลับกันจิณณ์ ในมือทั้งสองข้างของมันหอบถุงอาหารกลิ่นหอมฉุยเต็มไปหมด เกือบเคลิ้มปล่อยตัวไปแล้วเชียว แม่ง เปิดประตูเข้ามาได้ยังไงวะ หรือแอบเอาคีย์การ์ดไปก๊อปปี้
“เข้ามาได้ไงวะ กูลืมล็อคประตูเหรอ”
ผมถามเผื่อเพราะกลัวหน้าแตก แต่จำได้ว่าเมื่อเช้าหลังกลับมาจากส่งผ้าซักก็ล็อคประตูแล้วนี่หว่า คีย์การ์ดก็อยู่ครบ หรือจะมีหนอนบ่อนไส้...
“กูมีคีย์การ์ด”
มันตอบเสียงเรียบก่อนจะปิดประตูตามหลังแถมด้วยการโชว์พวงกุญแจที่มีตุ๊กตาหมาชิบะอย่างที่จิณณ์ชอบให้ผมดู โอ้โห อยากจะแหมใส่หน้าให้ถึงเชียงใหม่เหลือเกิน ทำไมกูไม่มีของพี่ทาวน์บ้างวะ
“เอามาจากไหน”
คราวนี้ผมหันไปคั้นคำตอบจากจิณณ์ เพราะมีมันอยู่คนเดียวที่จะทำเรื่องแบบนี้ พวกมึงไม่เกรงใจคนอยู่ไกลแฟนแบบกูบ้างเหรอไง!
“แฮ่ กูให้ไอ้ไธเอง”
จิณณ์ส่งยิ้มแหยๆ มาให้ก่อนจะรีบวิ่งไปหลบหลังไอ้ไธ ผมถึงกับกรอกตามองบนให้กับเรื่องนี้ พี่กูหลงเขาวงกตเข้าจริงๆ ก็งานนี้ล่ะวะ ยอมเอาความเป็นส่วนตัวให้คนอื่นแบบนี้ รักจริงหวังถูกฟันชัวร์
“โอ้โห เพิ่งรู้ว่าพี่กูอ่อยแรงขนาดนี้”
ผมหยอกเอินคนที่เอาแต่หลบอยู่ด้านหลังไอ้ไธด้วยความหมั่นไส้ ตอนแรกใครกันที่แสดงออกว่าเกลียดเขาอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วดูปัจจุบันสิ แทบจะห่างกันไม่ได้เลยเว้ย หวานจนน้ำอ้อยยังแพ้ แต่เห็นเพื่อนกับพี่ชายมีความสุขก็สบายใจไปด้วย เรื่องบาดหมางในอดีตจบลงสักที
“บ้า ไม่ได้อ่อยเว้ย ให้ไว้เพื่อความสะดวก”
คนหน้าแดงปฏิเสธเสียงตะกุกตะกักแล้วแย่งถุงอาหารในมือไอ้ไธไปถือเพื่อแก้อาการเขิน ผมกับเพื่อนส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กันอย่างรู้ทัน แกล้งจิณณ์ดีกว่า รับรองสนุกแน่นอน
“สะดวกยังไง อธิบายสิ”
ผมบอกเสียงนิ่งก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟาแล้วมองไปที่จิณณ์อย่างกดดัน ไอ้ไธแอบยิ้มที่เห็นแฟนตัวเองอ้าปากพะงาบๆ เพราะหาคำตอบไม่เจอ ตอนมันโก๊ะๆ ก็น่ารักดี ไม่แปลกที่ใครก็ชอบมัน พ่อเดือนวิศวะ แต่สุดท้ายโดนเดือนสถาปัตย์คาบไปแดกว่ะ
“ก็... มึงกับกูไม่ต้องเสียเวลาเปิดประตูให้ไอ้ไธไง”
เหตุผลโคตรส้นตีน แค่เสียเวลาไปเปิดประตูไม่ถึงนาทีมันจะตายหรือไง แล้วอีกอย่างผมไม่เคยเปิดปากบ่นเรื่องนี้สักครั้ง มึงสอบตกเรื่องการโกหกนะจิณณ์ ไปศึกษามาใหม่เถอะ อายคนอื่นเขา
“ไม่ย้ายไปอยู่ด้วยกันซะเลยล่ะ กูจะได้ยึดห้อง”
ผมพูดขึ้นลอยๆ เป็นการประชดแต่สีหน้าของจิณณ์ที่มีแววกังวลในตอนแรกกลับดูมีประกายแห่งความดีใจผุดขึ้นมา จากหน้ามือเป็นหลังเท้าเชียว หรือนี่คือแผนขออนุญาตย้ายไปอยู่กับผัว เอ้ย แฟนของมันวะ ร้ายนักนายโภคิน เดี๋ยวช่วงปิดเทอมกูจะแฉมึงให้พี่แจมฟังจนหมดเปลือกเลย คอยดูเถอะ
“อย่าท้านะ กูไปจริง”
แหนะ อยากไปก็พูดดีๆ จะเป็นไรวะ ถึงมันย้ายไปอยู่กับไอ้ไธจริงก็แค่เปลี่ยนชั้นหรือเปล่า ไม่ได้เปลี่ยนคอนโดสักหน่อย ผมไม่ห้ามหรอกถ้าสิ่งไหนที่จิณณ์ทำแล้วมีความสุข พร้อมสนับสนุนเสมอ และเชื่อว่าคนอย่างนายธามไธคงไม่ทำให้แฟนเสียใจแน่ๆ
“ไปเหอะ กูเลิกห่วงมึงแล้ว อยากไปมีผัวเป็นตัวเป็นตนก็เชิญเลย”
ผมโบกมือไล่อย่างไม่จริงจังนักก่อนลุกขึ้นบิดขี้เกียจหวังจะได้ยินเสียงโวยวายจากจิณณ์ แต่เปล่าเลย สิ่งมีชีวิตอีกสองคนกลับส่งยิ้มหวานให้กันแถมโผเข้ากอดแบบไม่คิดชีวิต อยากถามจริงๆ ว่าพวกมึงหาโอกาสให้กูไล่มานานแล้วใช่ไหม เห็นแบบนี้แล้วก็ได้แต่เบ้ปากใส่ หมาหัวเน่าเลยสินะไอ้เจ็ท พี่ไม่รัก แฟนไม่มีเวลาให้ ชีวิตน่าสงสารจัง
“งั้นย้ายวันนี้เลยดีไหม”
จ้า ถามกันแบบนี้เอามีดมาปาดคอหอยก้างอย่างกูเถอะ ช่วยเกรงใจว่ามีมนุษย์อีกคนยืนทำหน้าเบี้ยวหน้าบูดอยู่ตรงนี้บ้างสิวะ ไอ้ไธมึงแม่งร้าย คิดจะปล้ำพี่กูแบบไม่ต้องกังวลสินะ
“ไอ้นี่ มึงจะไม่ขัดหน่อยเหรอไง”
ผมท้วงเมื่อทั้งสองคนยืนตกลงกันอย่างจริงจังว่าจะเอายังไงกับชีวิตรักที่กำลังบานสะพรั่งดี ถ้าจิณณ์ท้องได้คิดว่าอนาคตคงมีลูกจนเกินโหลแน่ๆ ไวไฟกันเหลือเกินพ่อคุณทูนหัวของบ่าว
“ไม่ เพราะกูอยากอยู่กับจิณณ์”
คำตอบที่มาพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นนั้นทำให้ผมยกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่ายอมแพ้ พวกมึงจะพากันขึ้นสวรรค์หรือลงนรกก็ตามสบายเลย ขอไม่ยุ่งเกี่ยวใดๆ ทั้งสิ้น
“เชิญๆ ใครจะไปไหนก็ไปเถอะ กูชิวๆ”
ผมว่าอย่างปลงๆ ก่อนจะเดินหนีฉากรักโรแมนติกท่ามกลางกลิ่นอาหารหอมฉุยที่ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้แกะกินกันสักที หยิบขวดน้ำจากตู้เย็นขึ้นกระดกลงคอเพื่อดับกระหายความรุ่มร้อนในอก เรียกง่ายๆ คือ ‘อิจฉา’ นั่นล่ะ
“กินข้าวเสร็จช่วยกูขนของด้วยนะน้องรัก”
น้ำแทบพุ่งออกทางจมูกเมื่อได้ยินคำขอร้องแกมบังคับ ผมเผลอบีบขวดในมือจนมันยับ พี่กูทำไมใจง่ายแบบนี้เนี่ย ปากบอกไม่อ่อยแล้วมึงรีบย้ายไปอยู่กับมันขนาดนี้ โอย จะบ้าตาย!
“นี่มึงจะย้ายเดี๋ยวนี้เลยเหรอ!”
“ใช่จ้า”
ยิ้มหน้าระรื่นเชียว
“จ้าพ่อง!”
ไอ้ไธจัดการแกะอาหารที่ซื้อมาใส่จานให้เรียบร้อย มีทั้งข้าวขาหมูเจ้าเด็ดของโปรดจิณณ์ ก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นต้มยำพิเศษเส้นเล็กของผม ส่วนข้าวผัดปลากระป๋องก็ของมัน ช่างเป็นเพื่อนที่รู้ใจแฟนซะจริงๆ ควรมอบโล่สามีดีเด่นให้ว่ะ
ผมนั่งมองผลของความรักที่กำลังงอกเงยจากการช่วยกันทะนุถนอมของจิณณ์กับไอ้ไธด้วยรอยยิ้ม บางมุมอาจจะดูหวานเลี่ยนจนต้องยี้ใส่ บางมุมอาจจะฮาร์ดคอร์ขึ้นกูมึงจนแทบสะดุ้ง แต่เขาทั้งสองคนก็มีความสุขดี ขอให้เป็นแบบนี้ไปอีกนาน ตายกันไปข้างเลยยิ่งดี
แขกของห้องลงมือเก็บเศษอาหารพร้อมกับล้างจานให้เสร็จสรรพไม่วายคั่นน้ำผลไม้ให้ดื่มล้างปากอีกคนละแก้ว จิณณ์ผู้ตั้งตัวเป็นคุณนายได้แต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่บนโซฟา คงมีความสุขมากที่แฟนมาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ คนมีความรักก็แบบนี้อยากเห็นเขาอยู่ในสายตาตลอดเวลา ส่วนผมคงต้องปล่อยให้พี่ทาวน์มีเวลาส่วนตัวอย่างที่ควรเป็น อย่างเช่นทุกวันนี้ที่ต่างคนต่างอ่านหนังสือมากกว่าคุยกัน ตอนนี้คงติวอยู่ล่ะมั้ง คิดถึงจัง
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดโปรแกรมไลน์แล้วจัดการส่งความคิดถึงที่อัดแน่นลงไปในรูปแบบสติ๊กเกอร์ หวังว่าคนรับคงรู้สึกถึงมันได้โดยง่าย อยากจะพิมพ์ข้อความต่อท้ายสักหน่อยแต่กลับคิดไม่ออก ตอนนี้มีแต่คำถามสิ้นคิดอยู่ในหัว ‘กินข้าวหรือยัง’ หรือ ‘อ่านหนังสือเหนื่อยไหมครับ’ หรือ ‘คิดถึงผมไหม’ ไม่มีอะไรเข้าท่าเลย เฮ้อ
“เจ็ท”
ไอ้ไธเรียกชื่อในขณะที่ผมกำลังนั่งเล่นเกมอยู่บนโซฟา หน้ามันนิ่งแสดงให้เห็นว่ามีเรื่องกลุ้มใจ
“ว่าไง”
ผมวางเครื่องเล่นเกมในมือลงเปลี่ยนมาตั้งใจฟังเพื่อนสนิทแทน
“ออกไปคุยกับกูที่ระเบียงหน่อย”
มันบอกแล้วพยักพเยิดหน้าไปทางระเบียงด้านนอก ผมขมวดคิ้วมองตามอย่างไม่เข้าใจ ฝนยังเทกระหน่ำแบบไม่ลืมหูลืมตาปะวะ แค่เปิดประตูก็เปียกแล้วมึงเอ๊ย
“มึงจะออกไปตากฝนเพื่ออะไรวะ”
ผมถามกลับ มันทำหน้าเหมือนเพิ่งคิดได้ก่อนจะเปลี่ยนสถานที่ใหม่ ชวนคิดลึกมากเพื่อนเอ๋ย
“เออ ลืม ในห้องนอนก็ได้”
ครับเพื่อน เอาซะจิณณ์ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ถึงกับมองตาเขียว กูไม่ได้พิศวาสมันเถอะ แต่ก่อนระแวงไอ้ไธ เดี๋ยวนี้ระแวงน้องตัวเอง เจริญจ้าๆ
“มีอะไร”
ผมถามเมื่อทิ้งตัวลงบนเตียงเรียบร้อยแล้ว ส่วนไอ้ไธยืนพิงผนังอยู่ฝั่งตรงข้าม ดวงตาคมกวาดมองรอบห้องคล้ายกำลังชั่งใจกับสิ่งที่จะพูด คงเหมือนการยื้อเวลาเพื่อไตร่ตรองประโยคให้ดี
“ช่วงนี้มึงได้คุยกับพี่ทาวน์บ้างไหม”
คำถามแรกทำให้ผมแปลกใจ ไอ้ไธไม่ใช่คนที่สนใจเรื่องยิบย่อยแบบนี้
“ก็คุยทุกวันนะ ถามทำไมวะ”
ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่ลอบมองปฏิกิริยาของเพื่อนไปด้วย มันทำหน้ากระอักกระอ่วนก่อนเบนสายตาหนีไปทางอื่น มีอะไรเกิดขึ้นกันแน่
“ไม่ได้ทะเลาะกันใช่ไหม”
ผมเผลอสะดุดลมหายใจเมื่อได้ยินคำถาม เพราะอะไรเพื่อนถึงคิดแบบนั้น อย่าว่าแต่ทะเลาะเลย ผิดใจกันนิดๆ หน่อยๆ ยังไม่เคยมีตั้งแต่เลื่อนสถานะใหม่
“เออดิ ก็แค่ต่างคนต่างเตรียมตัวสอบ เลยคุยกันน้อย”
ตอบไปอย่างที่สมองคิด แต่ในใจกลับรู้ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น ผมรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงระหว่างเราแต่ไม่พูดมันออกมาให้ใครรับรู้ หวังว่าพี่ทาวน์จะไม่ปิดบังหรือมีความลับ
“ถ้ากูบอกอะไรสักอย่างมึงสัญญาได้ไหมว่าจะไม่โวยวาย”
มาแนวนี้จะให้ตอบยังไงวะ พี่ทาวน์มีความลับกับผมจริงๆ สินะ
“จะพยายาม”
ผมตอบเสียงนิ่ง พยายามเตรียมใจกับสิ่งที่กำลังจะได้ยิน ไอ้ไธไม่เคยเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นแน่ๆ
“ตอนกูไปซื้อข้าว... กูเจอพี่ทาวน์กับผู้หญิงคนหนึ่งที่ร้านว่ะ”
หัวใจเหมือนหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม สิ่งที่ผมกลัวมากคือพี่ทาวน์จะเปลี่ยนใจกลับไปชอบผู้หญิง ความเชื่อใจมี แต่อะไรมันก็ไม่แน่นอน อนาคตไม่อาจคาดเดาได้จริงๆ
“แล้วยังไงต่อ”
ผมไม่ด่วนสรุปว่าพี่ทาวน์กำลังนอกใจ เพราะเขายังยกหูโทรมาหาทุกวันไม่ขาดถึงแม้เวลาคุยจะน้อยลงไปทุกที กี่อาทิตย์แล้วที่เป็นแบบนี้กันวะ
“เหมือนเธอจะติดพี่ทาวน์มาก เดินตามทุกฝีก้าว”
“.....”
อืม คิดอะไรไม่ออกเลยว่ะ ควรรู้สึกยังไงดีที่มีผู้หญิงตามเจ๊าะแจ๊ะแฟนตัวเองโดยที่ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“เจ็ท... กูขอโทษ มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้”
ไอ้ไธรีบเดินเข้ามาปลอบกันด้วยการตบบ่า ผมส่ายหัวเพราะกำลังสับสน จับต้นชนปลายไม่ถูกกับเรื่องที่ได้ยิน
“กูไม่รู้ว่ะ ช่วงนี้คุยกันไม่ถึงสิบนาทีพี่ทาวน์ก็ขอวางสาย มีเสียงผู้หญิงแทรกเป็นครั้งคราวแต่ก็ช่างแม่งทุกที”
นั่นคือสิ่งที่ผมพยายามมองข้ามตลอดแล้วคิดว่าเขาคงไปติวกับเพื่อนๆ ในคลาสล่ะมั้ง พยายามโลกสวยแต่สุดท้ายแม่งไม่ช่วยอะไรเลย เกิดปัญหาจนได้
“พี่ทาวน์อาจจะกำลังมีปัญหา”
“กูก็ไม่อยากคิดว่าเขานอกใจหรอก แต่มีอะไรก็ควรบอกกันบ้างดิ แบบนี้จะให้คิดยังไงวะ”
ผมก้มหน้า มือหนาขยำกางเกงขาสั้นจนยับเยิน หัวใจเริ่มปวดหนึบเพราะความคิดร้ายๆ ที่กำลังแทรกเข้ามา อยากเข้มแข็งให้มากกว่านี้ แต่ทำไมทำไม่ได้วะ
“ใจเย็นๆ เว้ย ลองถามพี่ฟาไม่ก็พี่แฮมดูไหม”
ไอ้ไธยื่นทางออกให้ แต่ผมกลับปัดมันทิ้งเนื่องจากเป็นเรื่องของคนสองคน ไม่อยากดึงใครเข้ามาเกี่ยวมากกว่านี้
“กูไม่อยากกวนเวลาอ่านหนังสือของเขาด้วยเรื่องส่วนตัว”
“แต่มึงจะแย่เอานะ กว่าจะสอบเสร็จอีกตั้งสองอาทิตย์”
“ไม่เป็นไร กูไหว”
ผมเงยหน้าขึ้นแล้วส่งยิ้มฝืนไปให้เพื่อนเพื่อความสบายใจ มันพยักหน้ารับไม่เซ้าซี้ต่อ
“เจ็ท... ถ้าไม่ไหวก็บอก กูจะไปคุยกับพี่ทาวน์เอง”
ผมส่ายหัวเพื่อปฏิเสธความหวังดีนั่นก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สูดลมหายใจเข้าปอดหนักๆ เพื่อมันช่วยให้สมองผ่อนคลายได้บ้าง พี่ทาวน์นะพี่ทาวน์ กลายเป็นเด็กดื้อแล้วหรือไง อยากจับตีก้นนัก แต่ตอนนี้ไม่มีแรงเลยว่ะ
“ช่างแม่งเถอะ ไปอ่านหนังสือต่อกัน”
ผมยอมแพ้ตัวหนังสือนับร้อยเพราะอ่านต่อไม่ไหว สมองไม่รับรู้ ไม่สั่งการให้เข้าใจอะไรทั้งนั้น เรื่องของพี่ทาวน์ยังคงวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า อยากรู้ความจริงจากปากของเขาแต่ก็ไม่กล้าพอที่จะฟัง คำว่ากลัวช่างมีอิทธิพลยิ่งใหญ่เหลือเกิน
นายภาคินแม่งแย่เนอะ แค่มีผู้หญิงคนหนึ่งมาตามแฟนตัวเองต้อยๆ ก็คิดมาก ควรแก้นิสัยแบบนี้ยังไงดีวะ
“ไปล้างหน้าล้างตาไป วันนี้ไม่ต้องอ่านต่อแล้วมึง”
เสียงแฝดดังขึ้นเหนือหัวพร้อมกับหนังสือที่ถูกปิดลงโดยไม่ถามความเห็นผู้อ่านเลยสักนิด ผมเงยหน้าขึ้นมองพลางขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ อีกสองสามวันก็จะสอบแล้ว พักได้ด้วยเหรอ มีแต่วิชาหินๆ ทั้งนั้น
“กูโอเค”
ผมบอกอย่างรู้ทัน จิณณ์คงเป็นห่วงเรื่องที่ไอ้ไธเล่าให้ฟังเมื่อครู่
“กูเป็นพี่มึงนะ อย่าเถียง”
จิณณ์ว่าเสียงดุก่อนจะดึงผมให้ลุกขึ้นด้วยแรงมหาศาลโดยไม่ทันตั้งตัวเลยเซเกือบชนเข้ากับขอบโต๊ะ
“เออๆ ยอมแพ้”
ผมยอมเดินไปล้างหน้าล้างตาตามที่จิณณ์สั่งแกมขอร้อง มองตัวเองให้กระจกถึงกับหลุดหัวเราะเยาะ นี่เหรอสภาพของคนที่ใครต่างชมว่าดูดี เหมาะแก่การเป็นเดือนคณะอีกคนหนึ่ง อย่างกับซากศพ
Rrrrr
เสียงโทรศัพท์ที่ดังอยู่ในกระเป๋ากางเกงทำให้ผมชะงักมือที่กำลังรองน้ำในอ่าง ผ้าขนหนูถูกหยิบมาเช็ดก่อนจะล้วงหยิบมันขึ้นมาดู ชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอทำให้หัวใจกระตุก ต้นเหตุของความคิดมากทั้งหมดมาเยือนแล้ว ทำยังไงดี
สุดท้ายผมก็ปล่อยให้เสียงริงโทนเงียบไปแล้วยัดมันลงกระเป๋ากางเกงอย่างไม่ใยดีเพราะยังไม่พร้อมจะรับรู้อะไรทั้งสิ้น และกว่าจะจัดการล้างหน้าเรียกสติคืนได้ก็ปาเข้าไปเกือบสิบนาทีจนไอ้ไธต้องเคาะประตูเรียก
เสื้อยืดที่ใส่อยู่เปียกเป็นวงกว้างจนต้องจัดการถอดมันทิ้งแล้วโยนลงตะกร้าอย่างแม่นยำ อุณหภูมิตอนนี้ทำให้ผิวหนังเย็นเฉียบอย่างรวดเร็ว ผมยกแขนขึ้นกอดตัวเองไว้ แต่เผลอคิดถึงพี่ทาวน์ ความอบอุ่นที่เคยได้รับ ต่อจากนี้จะเป็นเหมือนเดิมอยู่ไหมนะ
Rrrrr
อีกครั้งที่เสียงริงโทนดังขึ้นแต่ผมเลือกจะเฉยกับมันแล้วเดินดุ่มๆ ไปหยิบเสื้อในห้องนอนมาเปลี่ยน ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาแล้วหยิบรีโมทมาเปิดทีวีดูคลายเครียดเพราะหนังสือโดนฝาแฝดยึดไปจนหมดเกลี้ยง เหลือไว้ให้แค่ปากกาไฮไลท์
จูราสสิคเวิลด์ภาคล่าสุดกำลังฉายรีรันอยู่ตอนนี้ ผมชอบตอนที่พระเอกฝึกพวกแรพเตอร์จำได้ว่ามีคนเอาฉากนี้ไปล้อเลียนถ่ายภาพกับสัตว์หลายชนิด หมู หมา กา ไก่ ช้าง ฮิปโป หรือแม้แต่โลมา ดูเรื่องนี้แล้วรู้สึกลุ้นระทึกอยู่ตลอดเวลาเพราะกลัวไดโนเสาร์มันใช้สัญชาตญาณของตัวเองมากกว่าจะเชื่อฟังคนสอน
ผมชันเข่าขึ้นเมื่อถึงฉากที่อินโนไมนัส เร็กซ์ต่อสู้กับแรพเตอร์ ลุ้นจนแทบนั่งไม่ติดโซฟา แม่ง หวาดเสียวฉิบหาย ขนาดตัวต่างกันลิบลับแล้วจะเอาชนะได้ยังไงวะนั่น โอย พระเอกหาที่หลบดีๆ สิวะ เดี๋ยวก็ตายหรอก
Rrrrr
เสียงริงโทนดังขึ้นอีกครั้งทำให้กระตุก อารมณ์ที่จะดูหนังหมดลงเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาใกล้พร้อมด้วยคำถามที่ไม่อยากตอบในตอนนี้
“ใครโทรมาวะ ทำไมไม่รับสาย”
จิณณ์ยืนค้ำหัวมองด้วยสายตาไม่เข้าใจว่าทำไมปล่อยให้โทรศัพท์ดังโดยไม่รับมาหลายรอบ ผมอึกอักเอาแต่เงียบ ไม่กล้าสบตา พยายามสนใจแรพเตอร์ตัวน้อยที่กำลังสู้เพื่อช่วยพระเอกอย่างสุดชีวิต มันชื่ออะไรนะ บูลเหรอ ตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่นั่น
“เจ็ท”
เสียงเย็นๆ ของจิณณ์ทำให้ผมต้องยอมแพ้ เพราะรู้ว่าถ้ายังปากแข็งต่อไปอาจจะมีระเบิดลงกลางหัว เวลาเขาโมโหอะไรก็ฉุดไม่อยู่ เคยเจอตอนมันทะเลาะกับพ่อเรื่องสูบบุหรี่ บ้านแทบแตก สมัยมัธยมต้นนายโภคินน่ะร้ายสุดๆ
“พี่ทาวน์”
ผมตอบกลับเสียงเรียบโดยไม่ละสายตาจากทีวี ตอนนี้ยอมรับว่าดูไปก็ไม่รู้เรื่องเพราะสมาธิดันไปจดจ่ออยู่ที่โทรศัพท์ในมือของจิณณ์ มันล่วงไปกองอยู่บนโซฟาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ
“รับๆ ไป แล้วคุยกันให้รู้เรื่อง”
เครื่องสื่อสารถูกยื่นมาแทบกระแทกสันจมูก ผมผงะถอยหลังมองมันเหมือนยาพิษที่หากเข้าใกล้อาจจะตายได้ ถ้าบอกว่ายังไม่พร้อมรับสายคงโดนด่าเปิงแน่ๆ เป็นคนขี้ขลาดก็ลำบากแบบนี้ล่ะ
“กู...”
Rrrrr
โธ่เว้ย ทำไมวันนี้พี่ทาวน์ขยันโทรจังวะ
“รับ กูรำคาญ”
จบคำสั่งของจิณณ์ผมก็รับโทรศัพท์จนได้ ก็เล่นยืนกดดันด้วยหน้าบึ้งตึงขนาดนั้น ขืนขัดใจอาจจะโดนตัดเงินค่าขนมก็ได้
แม่นะแม่ บอกให้โอนแยกบัญชีไง ทำแบบนี้มันหายนะชัดๆ มีครั้งไหนที่สามารถหือกับพี่ชายได้บ้างล่ะ อยากร้องไห้!
“ครับ”
ผมกรอกเสียงนิ่งๆ ลงไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่พอคิดถึงเรื่องที่ไอ้ไธเล่าให้ฟังก็ได้แต่เลยตามเลย
‘โทรไปตั้งหลายสาย ทำไมไม่รับ’
พี่ทาวน์ดูจะเป็นกังวลเรื่องที่ผมไม่ยอมรับสายสักทีเพราะฟังจากน้ำเสียงแล้วมันสั่นแปลกๆ ยอมรับว่าดีใจแต่มันไม่สุด
“อ่านหนังสือครับ”
ผมไม่สามารถควบคุมอารมณ์ให้ปกติได้จริงๆ พยายามแล้วที่จะร่าเริง พยายามปล่อยผ่านไป แต่... ไม่ไหว ทำไมพี่ถึงต้องปิดบังเรื่องผู้หญิงคนนั้นวะ
‘อืม... เป็นอะไรหรือเปล่า’
“เปล่านี่ครับ สบายดีทุกอย่าง”
‘มึงเสียงแข็ง’
“เหรอครับ ผมไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย”
ยอมรับว่าตั้งใจกวนตีน แต่ตอนนี้อะไรก็ตามที่ทำให้เขารีบวางสายได้ก่อนที่ผมจะควบคุมตัวเองไม่ได้ไปมากกว่านี้ ผมอยากถามเรื่องนั้น แต่เพราะอยู่ในช่วงเตรียมตัวสอบเลยอยากปล่อยให้มันผ่านไปก่อน
‘อย่ากวนตีน เป็นอะไรบอกมา’
ปลายสายไม่ยอมแพ้ถึงกับถามเสียงแข็ง ผมสติหลุดจริงๆ แล้วตอนนี้เพราะคิดว่าพี่ทาวน์ไม่รู้จริงๆ เหรอว่าที่เป็นอยู่คืออะไร ว่าที่หมอโง่เหรอ หรือแค่อยากเก็บไว้เป็นความลับ
“เป็นคนโง่มั้งครับ”
ปากพาซวยแต่ผมเลิกสนใจผลลัพธ์มันแล้ว ความน้อยใจ ความเสียใจ ความกลัว ผสมปนเปจนกลั่นตัวเป็นคำพูดประชดประชัน ผมนิสัยแย่รู้ตัวดี
‘ภาคิน’
พี่ทาวน์คงโกรธกันแล้วเลยเรียกชื่อจริงแบบนั้น เอาเถอะ ผมไม่มีอะไรจะเสียแล้ว
“ครับ ถ้าไม่มีอะไรก็แค่นี้นะครับ จะอ่านหนังสือต่อ”
‘เดี๋ยวสิ’
เสียงรั้งของพี่ทาวน์ทำให้ผมใจอ่อนยวบ มันทั้งสั่นทั้งอ้อนวอนราวกับจะขาดใจ ตอนนี้ควรรู้สึกยังไง ดีใจหรือเสียใจ โคตรสับสนเลยว่ะ
“ครับ”
‘กูคิด... ทาวน์คะ อยากกินน้ำปั่นจังเลย’
เสียงหวานๆ ดังแทรกขึ้น ผมแทบขว้างโทรศัพท์ทิ้งเพราะระยะที่ได้ยินแทบเหมือนเธอแนบหน้าคุยแทนอีกคน ใกล้จนเนื้อแนบเนื้อหรือเปล่า พี่ทาวน์ยอมให้คนอื่นตัวติดขนาดนี้เมื่อไหร่กัน
“หึ เสียงอะไรเหรอครับ”
ผมหน้ามืดตามัวละทิ้งคำว่าช่วงสอบไปจนหมดสิ้น หาเรื่องทะเลาะกันตอนนี้มีมันแย่ แต่เสียงนั่นเป็นหลักฐานชั้นดีว่าพี่ทาวน์มีเรื่องปิดบังกันจริงๆ และมันช่วยยืนยันว่าสิ่งที่ไอ้ไธเห็นมาไม่ผิด
‘เสียง... ทีวีน่ะ’
พี่ทาวน์ตอบเสียงเบา คำโกหกนั่นทำให้ผมจุกในอก อยากจะหัวเราะออกมาดังๆ อยากจะแหกปากร้องไห้แบบไม่อายใครแต่ทำไม่ได้เลย สมองมันตื้อไปหมด เขานอกใจเหรอ ทำไมล่ะ ผู้ชายอย่างนายภาคินเป็นแฟนที่ไม่ดีสินะ
“อ้อ ผมเพิ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้พี่เล่นละครด้วยเนอะ เรียกชื่อกันซะชัดเลย”
ผมควรวางสายแล้วจริงๆ
‘เจ็ท...’
“ตอนนี้ผมยังเป็นแฟนพี่อยู่หรือเปล่า”
ความงี่เง่ามันไม่เข้าใครออกใครจริงๆ นะ
‘เป็นสิ ทำไมถามแบบนั้น’
“ถ้าไม่อยากเป็นเมื่อไหร่ก็บอกกันนะครับ”
จบบทสนทนาด้วยประโยคที่ทำให้ผมถึงกับน้ำตาหยด ไม่ได้อยากพูดแบบนั้นแต่อารมณ์มันพาไปล้วนๆ ปิดเครื่องหนีปัญหาเหมือนพวกผู้หญิงอ่อนแอ ยอมรับว่าทำใจไม่ได้ที่โดนโกหกซึ่งๆ หน้าแบบนั้น ทำไมวะ ทำไม มีแต่คำถามอยู่เต็มหัวไปหมด
“เจ็ท มึงเป็นบ้าอะไรเนี่ย ชวนพี่ทาวน์เลิกทำไม!”
เสียงโวยดังมาจากจิณณ์ที่นั่งอยู่ไม่ไกลออกไป ขายาวก้าวเข้ามาด้วยความแตกตื่น ผมฟุบหน้าลงกับเข่าปล่อยให้น้ำตาหยดใสซึมไปกับเนื้อผ้า พี่ทาวน์คงรู้สึกแย่ไม่แพ้กันในตอนนี้
“กูผิดมากเหรอวะที่พูดแบบนั้น เขาโกหกกูนะจิณณ์ ถ้ามันไม่มีอะไรก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น”
ผมไม่รู้ว่าเขาทำอะไร คิดอะไร หรือแม้แต่รู้สึกยังไง พี่ทาวน์เป็นคนเงียบโดยพื้นฐาน ไม่ค่อยปรึกษาปัญหากับใคร ไม่เล่าเรื่องส่วนตัว แล้วยิ่งเป็นแบบนี่จะให้เข้าใจว่ายังไง
“พี่ทาวน์อาจจะอยากแก้ปัญหาด้วยตัวเอง”
ไอ้ไธทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ก่อนลาดไหล่จะโดนบีบเพื่อให้กำลังใจ ผมรู้ว่าทุกคนกำลังเป็นห่วง แต่มันไม่ไหวแล้วจริงๆ ถ้าเมื่อครู่เขาบอกกันตรงๆ คงรู้สึกดีกว่านี้
“กูเป็นคนที่ดูไม่น่าพึ่งพาได้ขนาดนั้นเลยเหรอ เขาถึงต้องรับปัญหาไปแก้คนเดียว”
ผมเป็นแฟนที่พร้อมจะเป็นทุกอย่างให้เขา แต่ทำไมตอนนี้รู้สึกว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันเลย คล้ายๆ ว่าเป็นคนไร้ค่าไม่ดีพอให้พึ่งพา
“เจ็ท...”
จิณณ์เรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ ผมโผเข้ากอดมันหนึ่งครั้งแล้วบอกด้วยน้ำเสียงสั่น
ต่อด้านล่างน้า