= MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งสุดท้าย - P.6 /จบแล้ว/ (12/02/61)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งสุดท้าย - P.6 /จบแล้ว/ (12/02/61)  (อ่าน 65788 ครั้ง)

ออฟไลน์ buathongfin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1244
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
ทำไมต้องชวนเลิกตลอด ไม่เคยอยู่ฟังเหตุผล ไม่เคยไตร่ตรอง ถ้าเห็นชะนีติดจำเป็นต้องหลีกป่ะ เดินไปถามดิเอาไง ตบไหมงี้ อุปสรรคมีไว้ฝ่า นี่เอ่ะอ่ะเลิกอย่างเดียว ที่ผ่านมาพี่หมอแกไม่แสดงออกเหรอว่ารักแกน่ะ อยากตบเจ็ทแทนละ งี่เง่าเอ้ยยยย  :katai1:
อินต่อไป

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
แข่งครั้งที่ 31



ช่วงเวลาปิดเทอมเป็นสวรรค์ของเด็กมหา’ลัยแทบทุกคน แต่ดูเหมือนว่าพี่ทาวน์ยังทำตัวปกติเหมือนเดิมด้วยการอ่านหนังสือ Text Book ภาษาอังกฤษเล่มหนาๆ ผมเคยถามตัวเองหลายรอบว่ามันสนุกเท่ากับเกมหรือเปล่า สุดท้ายก็เลิกหาคำตอบเพราะรู้ดีว่าไลฟ์สไตล์ของเราต่างกัน

ผมนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟาโดยปราศจากสิ่งมีชีวิตที่ชื่อว่าจิณณ์ มันย้ายสำมโนครัวเข้าห้องไอ้ไธอย่างเป็นทางการตั้งแต่สอบเสร็จ ส่วนพี่ทาวน์ที่ยอมรับบทลงโทษนั้นแบกกระเป๋าเป้เข้ามาอยู่แทนจนกว่าจะถึงวันเปิดเทอม เจ๋งใช่ไหมล่ะ หึหึ ไม่ต้องห่วงว่าเบาไป นี่เพียงข้อแรกเท่านั้น คนเจ้าเล่ห์อย่างนายภาคินต้องหากำไรให้ชีวิตได้มากกว่านี้แน่นอน

เครื่องเล่นเกมในมือถูกลดต่ำลงเมื่อได้ยินเสียงขยับตัวจากคนที่นั่งบนโซฟาเดี่ยวใกล้ๆ พี่ทาวน์ขมวดคิ้วคล้ายไม่เข้าใจเนื้อหาในหนังสือ ผมมองเขานิ่งก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา แค่อยู่ด้วยกันไม่ต้องพูดคุยก็รู้สึกดี โคตรมีความสุข

“ยิ้มอะไร”
พี่ทาวน์ถามขึ้นทั้งที่ตายังจ้องหนังสือ ผมสะดุ้งเฮือกแต่ก็ยิ้มรับหน้าบาน ถามมาก็ดีจะได้หาเรื่องหยอดให้หายเครียด ไม่ชอบให้เขาขมวดคิ้ว

“มีความสุขครับ”
ผมตอบก่อนจะลุกขึ้นนั่งแล้วขยับหน้าเข้าไปใกล้จนเขาละสายตาจากหนังสือ เมื่อเราสบตากันคล้ายกับโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ เหมือนตกอยู่ในมนตร์สะกด

“ขยับไปห่างๆ ร้อน”
พี่ทาวน์ปิดหนังสือลงแล้วใช้สันหนาๆ ดันหน้าผมออกห่างจนเกือบหงายหลัง รักความรุนแรงที่หนึ่ง นานๆ ทีจะหวานให้ชื่นใจนะแฟน โธ่

“ร้อนตรงไหนกันครับ นี่หนาวอย่างกับขั้วโลกเหนือแล้ว”
ผมหยิบรีโมทแอร์ขึ้นมาโบกเพื่อให้คนที่บ่นว่าร้อนดูจอแสดงอุณหภูมิ พี่ทาวน์เหลือบสายตามองก่อนจะทำเป็นไม่สนใจแล้วก้มลงอ่านหนังสือต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ไอ้ที่บ่นร้อนคงไม่ใช่อากาศแต่เป็นหน้ามากกว่า เขินแน่ๆ

“เขินเหรอหืม ~”
ผมแกล้งลากเสียงยาวถาม พี่ทาวน์ชะงักมือที่กำลังเปิดหนังสือแล้วตวัดหางตามองกันอย่างไม่พอใจ แก้มขาวๆ เริ่มกลายเป็นสีแดงเพราะ... น่าจะโกรธ แม่ง ปากพาซวยอีกแล้วกู

ผมขยับหนีเมื่ออีกคนโน้มตัวมาใกล้ ใบหน้าหล่อนั้นยังคงเรียบเฉยไม่แสดงอาการใดๆ ลมหายใจอุ่นเอารดเฉียดใบหูให้รู้สึกวูบวาบไปทั้งร่างกาย ถ้าพี่ทาวน์โหดใส่ก็ไม่แปลกเพราะชินแล้ว แต่มาแนวคุกคามแบบนี้รับมือไม่ไหวจริงๆ สติจะแตกเว้ย

“มึงต่างหากที่เขินกู”
เขาพูดจบก็โฉบตัวลงมาใกล้ ผมหลับตาปี๋เพราะไม่รู้ว่าจะโดนทำอะไร แต่ไม่นานนักก็มีสัมผัสอุ่นนุ่มทาบทับบนปลายจมูกอย่างแผ่วเบา แต่ทำให้หัวใจสั่นขนาดสิบริกเตอร์ แม่ง แพ้อีกจนได้ ตกลงใครเจ้าเล่ห์กว่ากันแน่

“.....”
เออ ผมเขิน เขินจนพูดไม่ออกทำอะไรไม่ถูกนอกจากทิ้งตัวนอนแผ่ลงบนโซฟาอย่างหมดแรง ลืมตาขึ้นก็เจอกับพี่ทาวน์ที่กลั้นขำจนไหล่สั่น สนุกเขาล่ะ มันน่าจับตีก้นจริงๆ เลยเว้ย

“หึหึ ไปทำอาหารเที่ยงไป หิวแล้ว”
พี่ทาวน์ออกปากไล่เสียงสั่นเนื่องจากกลั้นหัวเราะไม่ไหว ผมเดาะลิ้นแล้วคิดว่าวิธีเอาคืนในเหนือกว่า จูบปากเลยดีไหม เอาให้สตั๊นไปเลย แต่ถ้าพลาดคงโดนสันหนังสือฟาดกบาลแน่ๆ จะชนะเขายังเร็วไปสิบปี ก็รายนี้เคยตกใจอะไรกับใครที่ไหน

“ได้ครับ แต่ก่อนไปขอ...”
ผมทิ้งช่วงเพื่อให้เกิดความตื่นเต้น ยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยจนเขานึกระแวงรีบขยับตัวหนีคล้ายรู้ทัน แต่อย่าคิดว่าจะรอดเลย ที่ลงโทษให้อยู่ด้วยกันก็เพื่อการตอดเล็กตอกน้อย และสักวันอาจจะกลายเป็นการตอดใหญ่ บันเทิงแน่ๆ รับรอง

“อะไร”
พี่ทาวน์ถามเสียงแข็ง ดวงตาจ้องเขม็งอย่างเอาเรื่อง มือเรียวจับหนังสือไว้มั่นเตรียมฟาดอย่างเต็มที่ ผมชั่งใจเมื่อเห็นท่าทางเหล่านั้น ถ้าเจ็บตัวก็คงคุ้มล่ะมั้ง เอาว่ะ เป็นไงเป็นกัน อย่างมากคงหัวปูดไปสักอาทิตย์

ผมลุกพรวดขึ้นจากโซฟาแล้วกระทำการอุกอาจโน้มตัวโฉบริมฝีปากเรียวอย่างรวดเร็ว จุ๊บเบาๆ จนเกิดเสียงก่อนจะผละตัวออกแล้ววิ่งเข้าครัวทันที กลัวพี่ทาวน์ตั้งสติได้ฉิบหาย ถ้าตามมากระทืบคงตายชัวร์

ฟุบ!

หมอนลอยมากระแทกหัวจนเกือบถลาชนวงกบประตูครัว พี่ทาวน์ขว้างเต็มแรงแบบไม่ปรานี ผมชะงักเท้าก่อนจะลูบหัวป้อยๆ รู้สึกกระดูกคอเคลื่อน แต่พอหันไปสบตาด้วยต้องกลับคำพูดทันที ก็ไอ้หน้าแดงๆ กับปาที่กลั้นยิ้มนั้น ดูยังไงก็เขิน โว๊ย ทำไมต้องน่าฟัดขนาดนี้วะ

อาหารเที่ยงเราควรขึ้นเตียงมากกว่าขึ้นโต๊ะว่าไหม

ผมรื้อตู้เย็นหาวัตถุดิบทำสปาเก็ตตี้คาโบนาร่าที่จิณณ์เพิ่งสอนไปเมื่อหลายวันก่อนเพื่อเอาใจพี่ทาวน์ ไข่ไก่ เส้น แฮม เกลือ พริกไทย หอมใหญ่ เนย น้ำมันมะกอก พาเมซานครบแต่ขาดครีม เอานมสดแทนก็ได้วะ

หยิบนั่นโยนนี่ลงกระทะเท่าที่จำได้ลางๆ สปาเก็ตตี้หน้าตาน่ากินก็เสร็จโดยสมบูรณ์แบบ กลิ่นหอมฟุ้งจนสามารถเรียกพี่ทาวน์ให้เดินเข้ามาในครัวได้ แต่เรื่องรสชาติผมไม่มั่นใจว่าถูกปากเขาหรือเปล่า เพราะนานๆ ครั้งจะลงมือทำอาหารจานหลักให้ชิม

“จะกินได้เหรอ”
เสียงทุ้มเอ่ยถามจากด้านหลังสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่เป่ารดแถวใบหู ใกล้ไปไหมครับ สปาเก็ตตี้ไม่ต้องกินแล้วมั้งหื้ม ~

“กินได้สิครับ อย่าดูถูกฝีมือผมนะ”
ผมหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับพี่ทาวน์ ปลายจมูกของเราชนกันแต่ไม่มีใครแตกตื่นเพราะตั้งใจทั้งสองฝ่าย ขยับอีกติดก็สามารถกดจูบลงบนริมฝีปากสีชมพูนั่นได้แล้ว มันเขี้ยวฉิบหาย

“ถ้ามันไม่อร่อยจะทำไง”
พี่ทาวน์ถามย้ำก่อนจะผละตัวออกเพื่อสบตากันได้สะดวกขึ้น ผมไหวไหล่แล้วพิงสะโพกลงกับขอบโต๊ะพลางครุ่นคิดถึงวิธีแก้ปัญหา ทำไงดีวะ

“คิดไม่ออก”
ผมตอบไปตามจริง ถ้าจะให้ทำใหม่คงออกไปกินที่ร้านสะดวกกว่ามั้ง แต่พี่ทาวน์กลับยกยิ้มมุมปาก ขยับใบหน้าหล่อๆ ที่ชวนหลงใหลใกล้เข้ามา นี่เขากำลังอ่อยหรือแกล้งวะ ไม่แน่ใจจริงๆ

“กินมึงแทน”

“แบบนั้นไม่ต้องชิมสปาเก็ตตี้แล้วครับ ขึ้นเตียงเลยดีกว่า”
ความหื่นบังตาทำให้ผมคว้าข้อมือขาวของคนตรงหน้าไว้พร้อมออกแรงกระตุกเป็นสัญญาณให้เดินไปที่ห้อง แต่พี่ทาวน์กลับหัวเราะออกมาแล้วดึงแก้มกันซะยืด เจ็บจนเผลอร้องโอ๊ย นี่ไม่ได้สำออยจริงๆ

“หื่นตลอดเวลาเลยนะมึง”
พี่ทาวน์ว่าเสียงกลั้วหัวเราะ มองผมด้วยแววตาขำๆ ตลกหรือไงเล่า คนมันหื่นไง ธรรมดาของผู้ชายน่า

“พี่อ่อยผมขนาดนี้ไม่หื่นก็แปลกแล้ว”
ผมบุ้ยปากใส่แล้วเอื้อมมือไปดึงแก้มพี่ทาวน์ด้วยความมันเขี้ยว เอาคืนบ้างจะเป็นไรไป

“หึ นู่น ห้องน้ำ ไปจัดการตัวเองซะ กูจะกินสปาเก็ตตี้”
พี่ทาวน์ปัดมือผมทิ้งแล้วชี้นิ้วไปทางห้องน้ำ สีหน้าดูมีความสุขที่ได้แกล้งให้คนอื่นสติแตก ฝากไว้ก่อนเถอะ เห็นว่าตอนนี้ยังเที่ยงอยู่นะ ตกดึกเมื่อไหร่จะไม่ปล่อยให้ลอยนวลแน่

“โห ร้ายกาจ แกล้งผมอีกแล้วว่ะ”
ผมแกล้งว่าเสียงงอนๆ แต่ในใจวางแผนไว้เรียบร้อย ก่อนเปิดเทอมจะเผด็จศึกพี่ทาวน์แบบสมยอมให้ได้

“ทำตัวน่าแกล้งเอง ช่วยไม่ได้”
พี่ทาวน์ไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจแถมยังเดินชนไหล่ผมให้เจ็บใจเล่นๆ เดี๋ยวเถอะนายเมืองเหนือ อย่าเผลอเชียวนะ

มื้อเที่ยงผ่านไปอย่างราบรื่น พี่ทาวน์ชมว่าอร่อยดีทำให้ผมยิ้มแก้มแตกตลอดการกิน ช่วงเย็นตกลงกันว่าจะออกไปนั่งร้านบรรยากาศชิวๆ ริมน้ำ ดูแสงสียามค่ำคืน นั่งรถเปิดประทุนชมเมือง คิดแล้วก็โรแมนติกดี

ผมเอื้อมหยิบรีโมททีวีเพื่อเปลี่ยนช่องไปดูหนังแทนสารคดีสัตว์โลกที่เปิดทิ้งไว้ พี่ทาวน์ยังคงจดจ่ออยู่กับหนังสือเล่มเดิม เห็นใกล้ๆ เลยรู้ว่าเนื้อหามันคือ Anatomy เส้นเลือด กล้ามเนื้อ กระดูกมาเต็ม บวกกับศัพท์เฉพาะทางทำให้คนไม่เคยสัมผัสอะไรแบบนี้ถึงกับเบลอ คนจะเป็นหมอนี่เก่งอย่างเดียวไม่ได้ต้องขยันด้วย

หนังที่กำลังฉายนั้นคือเรื่อง ‘ทรานส์ฟอร์เมอร์ส’ บับเบิ้ลบีเป็นตัวละครที่ผมชอบ รองลงมาคงออฟติมัสไพม์ จำได้ว่าโจชัวร์เครซี่สองตัวนี้มากจนต้องอ้อนขอพี่แจมให้ซื้อหุ่นยนต์ ไม่รู้ป่านนี้ได้ไปหรือยัง

“จ้องขนาดนั้น ชอบเหรอ”
พี่ทาวน์เอ่ยทักขึ้นในขณะที่ผมกำลังสนใจฉากแปลงร่างของบับเบิ้ลบี ยอมรับว่ากราฟิกสมจริง ภาพสวย เนื้อเรื่องของไม่พูดถึงเพราะความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

“ครับ หมายถึงทรานส์ฟอร์เมอร์สเหรอ”

“อืม”
เขาครางรับโดยที่ยังไม่ละสายตาจากหนังสือ เมื่อไหร่ตะวางมันลงสักที ปิดเทอมก็ควรพักบ้าง ไม่อยากให้เครียดมากเกินไป

“ก็ชอบครับ แต่ชอบพี่ทาวน์มากกว่า”
ผมตั้งใจหยอดเล็กหยอดน้อยให้คลายเครียดซึ่งมันได้ผลเมื่อพี่ทาวน์หรี่ตามอง นิ้วเรียวคั่นหน้าหนังสือเอาไว้ โธ่ เลิกอ่านมันสักทีเถอะครับ พักบ้างสักชั่วโมงสองชั่วโมงคงไม่เป็นไร

“เกี่ยวกันตรงไหน”
พี่ทาวน์มองสบตาแล้วถามเสียงนิ่ง ผมเห็นโอกาสเล็กๆ เลยขยับหน้าเข้าไปใกล้หมายจะทำให้เขาเขิน แต่ดันรู้สึกแพ้ริมฝีปากบางๆ นั่นเข้าให้ อยากกดจูบ ดูดแรงๆ ให้เจ่อเลย

“แค่อยากหยอดนะครับ”
ผมกระซิบเสียงแผ่วก่อนจะโน้มตัวจนปลายจมูกแตะกัน ออกแรงถูเบาๆ ให้หัวใจสูบฉีดเลือด พี่ทาวน์แก้มแดงแต่ไม่แสดงอาการเขิน เขาใช้หนังสือในมือโบกหัวเข้าเต็มๆ จนต้องย่นคอหนี มึนเลยว่ะ

“ไร้สาระจริงๆ”
เขาส่ายหน้าปลงๆ แต่ก็หัวเราะออกมาแล้วทำท่าจะกางหนังสืออ่านต่อ ผมเลยต้องส่งมือไปรั้งเอาไว้พร้อมกับทำปากยื่นปากยาว ตอนแรกก็มีความสุขกับการนั่งเงียบๆ ข้างกัน แต่ตอนนี้ชักรู้สึกไม่พอ เฮ้อ นิสัยแย่เนอะ

“โธ่ ก็พี่เอาแต่อ่านหนังสือมาหลายวันแล้วนะครับ ไม่เห็นจะสนใจผมเลย”
ผมว่าเสียงงอนๆ ก่อนถือวิสาสะแย่งหนังสือมาซ่อนไว้ด้านหลัง ถ้าไม่กลัวว่าจะโดนกระทืบคงเอามันไปเผาทิ้งแล้ว พี่ทาวน์อึ้งนิดหน่อยแต่สุดท้ายก็คลี่ยิ้มแล้วส่งมืออุ่นๆ มายีหัวกัน ชอบให้ทำแบบนี้ เหมือนเขาเอ็นดูเรามากกว่าใคร

“ขี้น้อยใจ”
ไม่ว่าเปล่ายังจับหัวผมโยกซ้ายทีขวาทีจนภาพตรงหน้าเบลอ แต่ไม่เป็นไร พี่ทาวน์มีความสุขไอ้เจ็ทก็ยอม พอดีรักแฟนมาก

“อยากให้แฟนสนใจผิดเหรอครับ”
ผมคว้ามือซนๆ มาจับไว้แล้วใช้สายตาหมาน้อยมองเจ้าของอย่างออดอ้อน พี่ทาวน์คงหมั่นไส้เลยพุ่งเอาหน้าผากโขกกับไหปาร้าเต็มๆ โอย ทำไมรุนแรงแบบนี้เนี่ย กะจะทำให้ช้ำทั้งตัวเลยหรือไง หมอหรือนักมวยปล้ำครับ บอกที

“ที่ให้นอนกอดทุกคืนยังไม่พอหรือไง”
พี่ทาวน์ว่าเสียงฉุนก่อนจ้องตาอย่างเอาเรื่อง ผมเบิกตาโตแล้วรีบผละออกด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าเขาจะรู่ตัวเรื่องโดนแอบกอดทุกคืน แม่ง กูมันโง่จริงๆ เลยเว้ย ทำอะไรโดนจับได้ตลอด ถ้าคิดนอกใจคงไม่รอดแน่...

“.....”
ใบ้แดกไปเป็นนาทีก่อนจะหัวเราะแห้งๆ เพราะไม่รู้จะเถียงอะไรดี อย่าถือสาคนงี่เง่าปัญญาอ่อนอย่างผมเลย คิดมากคนเดียวอยู่เรื่อย แย่จริงๆ

พี่ทาวน์กระตุกยิ้มก่อนจะเอื้อมมือมาตบแก้มอย่างเยาะเย้ย ผมแพ้ทุกอย่างที่เป็นเขาจริงๆ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ไม่มีวันชนะได้เลย

“หึ กูง่วง ยืมตักหน่อย”
อยู่ๆ หัวทุยของว่าที่คุณหมอก็ทิ้งตัวลงบนตักของผมท่ามกลางความงุนงง เสียงร้องประหลาดใจดังขึ้นตามมาด้วยสีหน้าของคนตกใจ

“หา”
ผมหาสติตัวเองไม่เจอแล้วว่ะ ทำไงดี

“ขี้เกียจหยิบหมอน”
หือ... หมอนที่อยู่ด้านหลังเขาเมื่อครู่อะนะ พี่ทาวน์มันร้ายจริงๆ มาเงียบๆ แต่น็อคผมอยู่หมัดเลยเว้ย นับถือ

“อ้อ ครับ ชอบตักผมล่ะสิ”
ผมว่าเสียงเย้าก่อนลงมือลูบหัวคนบนตักเพื่อเป็นการกล่อมก่อนที่รอยยิ้มเล็กๆ จะผุดขึ้นที่มุมปากของพี่ทาวน์ ไม่แปลกที่เขาจะง่วง ก็เมื่อคืนเล่นอ่านหนังสือนั่นเกือบตีสอง ตัวติดกันยิ่งกว่าอะไร ขนาดเข้าห้องน้ำยังพามันไปด้วย น่าอิจฉาไหมล่ะ...

“เพ้อเจ้อ สี่โมงปลุกด้วย”
พี่ทาวน์บ่นก่อนจะซุกหน้าลงกับขาอ่อน ลมหายใจอุ่นๆ ทำให้ผมเผลอเกร็งตัวเพราะเผลอคิดอกุศล แม่ง เลิกหื่นไม่ได้ว่ะ คงต้องวิ่งเข้าห้องน้ำไปจัดการตัวเองสักรอบอย่างที่โดนแนะนำจริงๆ นั่นล่ะ

“ครับๆ ฝันดีนะ”
ผมหลับบ้างดีกว่าจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน

ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมงแต่ผ้าห่มอุ่นๆ ที่คลุมอยู่บนตัวบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าพี่ทาวน์ตื่นก่อนแล้ว ผมขยับกายเพื่อบิดขี้เกียจ อ้าปากหาวหนึ่งครั้งก่อนจะมองหาแฟนแต่กลับไม่พบ หายไปไหนของเขา นาฬิกาที่ผนังบอกเวลาห้าโมงเย็นแล้ว ฉิบหาย!

ผมรีบดีดตัวขึ้นจากโซฟาแต่ดันหน้ามืดจนเซไปชนโต๊ะตรงหน้าดังปึงส่งผลให้คนที่ตามหารีบสาวเท้าเข้ามาพยุงด้วยความเป็นห่วง กลิ่นสบู่อ่อนๆ ทำให้รู้ว่าแท้จริงแล้วพี่ทาวน์แค่หายไปอาบน้ำ ไม่ได้หนีออกไปกินข้าวคนเดียวอย่างที่กังวล

“ไหวไหม”
เสียงทุ้มถามด้วยความเป็นห่วง มือเรียวสอดรอบเอวเพื่อพยุง ผมใช้โอกาสนี้ในการสำออยซบหัวลงกับซอกคอขาวแล้วแอบสูดกลิ่นหอมละมุนคล้ายแป้งเด็กเข้าเต็มปอด สดชื่นเหมือนยืนอยู่บนยอดดอย อยากอยู่แบบนี้นานๆ โลกเอียงเนอะ

“หน้ามืดครับ”
ผมตอบเสียงแผ่วเพื่อให้ดูน่าสงสารจะได้ซบตรงนี้นานๆ พี่ทาวน์ไม่ว่าอะไรแต่กลับเอื้อมมือมาลูบแก้มเหมือนช่วยให้อาการทุเลา ขืนทำแบบนี้บ่อยๆ หัวใจกลายเป็นของเหลวพอดี อ่อนโยนจนกลัวว่าต่อไปคนไข้ที่มาหาหมออาจจะติดใจ

“ไม่สบายหรือไง แต่ตัวก็ไม่ร้อนนะ”
พี่ทาวน์ดันหัวผมขึ้นเพื่อใช้หลังมือวัดอุณหภูมิร่างกายจากหน้าผาก คิ้วสวยขมวดเข้าหากันแทบเป็นปมเมื่อพบว่าตัวไม่ร้อน ตายแน่ๆ ไอ้ภาคิน หลอกใครไม่หลอกดันหลอกว่าที่หมอ

“ผม... ลุกเร็วเกินไปน่ะครับ”
บอกเสียงอ่อยแล้วแอบเนียนถอยหลังไปหลายก้าว พี่ทาวน์ไม่ได้แสดงอาการอยากกระทืบผมขึ้นมาแต่สายตากลับทิ่มแทงจนรู้สึกเจ็บไปทั้งตัว

“โง่”
จ้า คำเดียวรู้เรื่องเลย เจ็บไปถึงขั้วหัวใจจริงๆ

“ไปอาบน้ำไป ชักช้าเดี๋ยวจะเปลี่ยนใจ”
ที่ทาวน์โบกมือไล่แล้วเดินผ่านไปทิ้งตัวลงบนโซฟา ผมอ้าปากพะงาบๆ เพราะคิดไม่ถึงว่าเขาจะเอาเรื่องนี้มาขู่ ใครไม่อยากไปบ้างวะ แฟนชวนเดทริมแม่น้ำบรรยากาศโคตรโรแมนติกเนี่ย

ผมจัดการอาบน้ำรวมแต่งตัวภายในสิบนาที ออกมาในสภาพที่พร้อมจะไปเดินแบบบนแคทวอล์คจนโดนคนที่นั่งเล่นเกมอยู่เอ่ยแซว โธ่ จะไปเดททั้งทีขอหล่อหน่อยเถอะครับ

“จะหล่อไปเพื่อใครหืม”
หืมซะผมอยากเข้าไปฟัดเพราะมันเขี้ยวเลย โอย หัวใจจะวายวันละหลายรอบ พี่ทาวน์แม่งร้าย ยิ้มทีไรสามารถฆ่าคนได้ทุกที แล้วไอ้ท่าทางกวนๆ อีก โคตรมีเสน่ห์

“เดททั้งที ต้องหล่อเพื่อแฟนสิครับ”
หยอดกลับซะเลย ไม่ยอมแพ้หรอก

“ไม่ต้อง หวง”
พี่ทาวน์พึมพำอะไรวะ หรือว่าอยากกินหอย

“พี่ว่าไงนะครับ ฟังไม่ถนัด”
ผมแคะขี้หูรอเพราะเมื่อครู่ไม่ได้ยินจริงๆ แต่พี่ทาวน์กลับโบกมือให้แล้วเฉไฉพูดเรื่องอื่น

“จะไปหรือยัง”
เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วคว้ากุญแจรถเปิดประทุน กระเป๋าเงิน โทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งไปถอยมาราคาเหยียบครึ่งแสน ผมก็อยากได้นะ แต่ต้องคร่ำครวญเงียบๆ ในใจเพราะพ่อออกปากว่าจะซื้อรถให้แลกด้วยการรับงานที่บริษัทพี่เขยมาทำ เอาวะ คุ้มเกินคุ้ม

“ครับๆ พร้อมแล้ว”
ผมตอบด้วยเสียงร่าเริงแล้วคลี่ยิ้มให้บุคคลที่พยักหน้ารับ กุญแจในมือถูกโยนมาทางนี้เป็นสัญญาณว่าหน้าที่สารถีคือใคร

“วันนี้มึงขับ”

“ได้เลยครับเจ้านาย ~”
เปลี่ยนจากขับรถเป็นขี่พี่ทาวน์แทนได้ไหม... ต้องขอโทษด้วยถ้าความคิดของผมติดเรท ฉ

ช่วงตอนเย็นการจราจรติดขัดบวกกับฝนตกกว่ารถจะขยับแต่ละทีก็ลุ้นกันฉี่แทบราดพี่ทาวน์เลยหยิบหนังสือคู่ใจเล่มเดิมขึ้นมาอ่าน บอกแล้วว่าตัวติดกันจนน่าอิจฉา ส่วนผมทำได้แค่เคาะนิ้วลงบนพวงมาลัยตามจังหวะเพลงที่เปิดคลอเบาๆ เพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบเกินไป แต่เสียงฟ้าร้องโคตรน่ารำคาญเลยว่ะ

คนที่อ่านหนังสือสะดุ้งเฮือกเมื่อท้องฟ้าสีดำส่งแสงแปลบปลาบ ผมมองเขาอย่างพิจารณาว่าแค่ตกใจหรือกลัว แต่อาการที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาจนแทบสิงหนังสือนั้นก็ได้ข้อสรุปง่ายๆ

“กลัวเหรอครับ”
ผมหันไปถามคนข้างตัวด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่มีแววขำหรืออย่างใดเพราะรู้ว่าคนเรากลัวสิ่งต่างๆ ไม่เหมือนกัน และไม่ควรเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่น

“อะไร”
พี่ทาวน์ถามเสียงแข็ง ตวัดสายตามองผมอย่างประเมิน สงสัยกลัวจะถูกล้อเรื่องนี้

“ก็ฟ้าแลบไง”
ผมขยายความแล้วชี้ไปบนท้องฟ้าที่ตอนนี้มีแต่สายฝนกับเสียงครืนๆ รถยังอยู่ที่เดิม กว่าจะถึงร้านอาหารคงเกือบสองทุ่ม

“อืม”
เขาครางรับแล้วกอดหนังสือไว้แนบอก ดวงตารีจ้องมองท้องฟ้าด้านบนอย่างหวาดระแวง

“แล้วฟ้าร้องล่ะครับ”

“ไม่กลัว”

“อืม... งั้นซบไหล่ผมไหมเผื่อหายกลัว”
ผมส่งยิ้มกรุ้มกริ่มไปให้ พี่ทาวน์ถึงขนาดหันขวับมามองตาขวาง หนังสือในมือถูกง้างสูงจนต้องย่นคอหนี ถ้ามันฟาดลงมาคงมึนตึ๊บ

“เดี๋ยวจะโดน”

“โธ่ ล้อเล่นครับ หลับตาไหมอาจจะช่วยได้บ้าง”
ผมบอกอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วแนะนำวิธีที่น่าจะช่วยเขาได้ แต่พี่ทาวน์กลับส่ายหน้าแล้วระบายยิ้มบาง

“แค่ชวนคุยก็พอ”

“คุยเรื่องของเราเหรอครับ”
ผมแกล้งแหย่เขาด้วยใบหน้าซื่อๆ จนโดนแยกเขี้ยวใส่

“กูเปลี่ยนใจ หลับตาดีกว่า”
พี่ทาวน์บ่นงึมงำก่อนจะหลับตาหนีไปจริงๆ ผมได้แต่มองภาพนั้นด้วยรอยยิ้ม ตอนเขาเขินเป็นอะไรที่ดีต่อใจเหลือเกิน

ท้องฟ้าเกิดแสงแปลบปลาบอีกครั้งพร้อมด้วยเสียงครืนๆ ติดต่อกัน พี่ทาวน์สะดุ้งเฮือกพยายามเบียดตัวจนจมลงกับเบาะ ถึงจะกลัวแต่ยังรักษาความสุขุมไว้ได้ตลอดเวลา ไม่มีการหลุดเหวอใดๆ

ผมถือวิสาสะกุมมือเรียวแล้วบีบเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบ เมื่อเห็นว่าเขาสงบลงจึงโน้มตัวฝังปลายจมูกลงบนแก้มขาวอย่างเอาใจ มันเป็นวิธีลดอาการกลัวตามแบบฉบับของนายภาคิน ตอนแรกคิดว่าจะโดนต่อยกลับแต่สุดท้ายพี่ทาวน์แค่ผงะไปเล็กน้อยแล้วคลี่ยิ้มบางออกมา คงอุ่นใจล่ะมั้ง

สองทุ่มกว่าๆ พวกเราก็มาถึงที่หมาย บรรยากาศร้านอาหารริมน้ำกับเพลงบรรเลงหวานๆ ทำให้ทุกอย่างรอบตัวเหมือนอบอวลไปด้วยความรัก ไวน์รสนุ่มถูกสั่งเพื่อฉลองวันครบรอบที่ผมแอบลืมไปแล้วเพราะมัวแต่งอแงเรื่องพี่ทาวน์ไม่สนใจ เพิ่งสำนึกได้ว่าตัวเองโคตรงี่เง่า แม่ง อยากต่อยตัวเองสักร้อยหมัดจริงๆ อาจทำให้เลิกคิดมากได้บ้าง

อาหารทะเลตามใจพี่ทาวน์ทั้ง ปลาหมึกนึ่งมะนาว ปลากะพงสามรส กุ้งเผา ส่วนผมสั่งเป็นกุ้งแช่น้ำปลากับหอยนางรมสดบ่งบอกถึงความขี้เมาได้เป็นอย่างดี ที่จริงอยากสั่งเบียร์เพิ่มแต่กลัวมันจะตีกับไวน์จนพาลทำให้อ้วกแตก

“ชอบไหม”
พี่ทาวน์ถามในขณะที่เขามองไปรอบๆ ร้านอาหาร สายฝนยังคงโปรยปรายลงมาเล็กน้อยแต่ก็ทำให้อากาศคืนนี้ไม่ร้อนอบอ้าว

“ชอบครับ”
ผมตอบกลับก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างแล้วตักปลาหมึกนึ่งมะนาวใส่จานให้ เขาพยักหน้ารับแล้วส่งมันเข้าปากเคี้ยวจนแก้มตุ่ย น่ารักจนอยากเก็บไว้มองคนเดียว ไม่ว่าไปที่ไหนก็ไม่วายมีสายตาของสาวๆ จ้องมองอยู่เสมอ

“ถ้าฝนไม่ตกคงได้นั่งติดริมน้ำ”

“แค่นี้ก็ดีแล้วครับ มีพี่ทาวน์อยู่ด้วยซะอย่าง”
ผมคลี่ยิ้มประกอบคำพูด ดวงตาคมจ้องมองอีกฝ่ายอย่างสื่อความหมายทั้งความรัก ความห่วงใยที่มีให้เขา พี่ทาวน์ทำเพียงแค่ไหวไหล่แบบไม่ใส่ใจ แต่สีแก้มจางๆ นั่นทำให้รู้ว่าคงเขินไม่น้อย

“หึ ปากดี”
พี่ทาวน์กระตุกยิ้มก่อนจะแกะกุ้งเผาใส่ปาก ผมมุ่ยหน้าเพราะไม่พอใจที่โดนกล่าวหาแบบนั้น

“แบบนี้เขาเรียกปากหวานครับ จะลองชิมไหม”
ผมแก้คำใหม่ก่อนจะรั้งมือเรียวที่กำลังจะส่งกุ้งเผาอีกชิ้นเข้าปาก พี่ทาวน์เหลือบมองกันครู่หนึ่งแล้วตอบเสียงนิ่งแต่ดวงตากลับเป็นประกาย

“ค่อยชิมที่ห้อง”
เสียงแผ่วชวนให้หัวใจเต้นรัว ไหนจะเจอการขยิบตาใส่แบบเชิญชวนนั่นอีก ผมควรทำยังไงกับพี่ทาวน์ดีวะ ตามไม่ทันจริงๆ อยากขย้ำให้เข็ด ช่างยั่วดีนัก

“อ่อยปะเนี่ย”
ผมแกล้งถามเสียงทะเล้นเพื่อกลบเกลื่อนอาการหูตั้งหางกระดิกของตัวเอง กลัวว่าถ้าแสดงออกชัดเจนจะโดนพี่ทาวน์เตะความหวังปลิวกระเด็นไปนอกโลก

“แล้วแต่จะคิด”
พี่ทาวน์ยักคิ้วกวนก่อนจะส่งกุ้งเผาในมือยัดใส่ปากผมแทน นิ้วเรียวที่เผลอแตะลงมาทำให้หัวใจเต้นระรัว อยากจะงับมันแล้วแกล้งดูดจริงๆ เลย

“ถ้าผมหน้ามืดขึ้นมาจะโทษกันไม่ได้นะเว้ย”
ผมออกตัวเสียงอู้อี้เพราะยังเคี้ยวกุ้งไม่หมด ทำหน้าตาขึงขังให้รู้ว่าพูดจริง ถ้าเกิดอารมณ์ครั้งนี้จะไม่ยอมหยุดกลางครันแน่ๆ

“ก็ลองดู”
ไอ้เจ็ทตายแน่ๆ พี่ทาวน์อ่อยฉิบหาย!

กว่าเราจะย้ายก้นออกจากร้านอาหารนาฬิกาก็บอกเวลาสี่ทุ่ม ตอนนี้ฝนหยุดตกแล้วทำให้การนั่งรถเปิดประทุนเล่นรอบเมืองนั้นกลายเป็นความจริง แต่ปัญหาอยู่ตรงที่อากาศเย็นเกินไป ตัวช่วยที่มีคือแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปก่อนหน้านี้กับเสื้อกันหนาวที่ติดรถมาด้วย

พี่ทาวน์พิงหัวกับเบาะก่อนจะหลับตาลงเพื่อรับลมที่ปะทะเข้ามา รอยยิ้มตรงมุมปากทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้เขาคงมีความสุข แต่สีระเรื่อตรงข้างแก้มทำให้คิดถึงเรื่องปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ของเขา ไวน์หนึ่งขวดคนเดียว มีสติเดินกลับรถเองได้ถือว่าเก่งมาก

“ไม่คิดว่าพี่จะดื่มหนักขนาดนี้”
ผมเปรยออกไปแล้วลอบมองคนที่ยังหลับตานิ่งดื่มด่ำบรรยากาศยามค่ำคืนผ่านผิวกาย คิ้วสวยขมวดเข้าหากันก่อนที่มือเรียวจะยกโยกไป

“นานๆ ที แค่กรึ่มๆ”
เสียงทุ้มยังอยู่ในเกณฑ์ปกติไม่อ้อแอ้เหมือนคนเมา จะมีก็แค่กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนๆ กับใบหน้าและลำคอที่ขึ้นสีระเรื่อเท่านั้น ให้ความรู้สึกเซ็กซ์ซี่ยั่วยวนยามที่ริมฝีปากเผยอขึ้น แม่ง ความคิดชั่วร้ายมาอีกแล้ว

“อยากจูบว่ะ”
ปากไปไวกว่าสมองด้วย จะโดนถีบตกรถไหมเนี่ยกู

“หื่นอะไรตอนนี้”
พี่ทาวน์ลืมตามองกันอย่างขำๆ แต่ที่ทำให้ผมเกือบสติแตกเหยียบเบรกกลางถนนคือลิ้นชื้นๆ ที่แลบเลียรอมฝีปากบางนั่น ตั้งใจจะยั่วกันใช่ไหม นี่คนไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะครับ ช่วยปรานีกันหน่อยเถอะทูนหัว

“ก็ปากพี่มันน่าจูบ”
ผมบ่นเสียงงุ้งงิ้งโต้ลม พยายามเลิกสนใจริมฝีปากเจ้าปัญหานั่น แต่เสียงหัวเราะเบาๆ จากคนด้านข้างยิ่งทำให้สติเตลิด ตลกอะไรของเขาวะ

“จอดข้างทางเลยไหม”
คำพูดของพี่ทาวน์ทำให้หัวใจของผมกระตุกวูบ มือทั้งสองข้างกำพวงมาลัยแน่น นี่เขาจะจอมให้ผมจูบตอนนี้จริงๆ เหรอวะ ขอปิดหลังคาแล้วจับปล้ำในรถเลยได้ไหม!

“เอาจริงดิ!”
ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นบวกกับอาการที่เหลียวมองพี่ทาวน์สลับกับถนนด้านหน้าที่มุ่งสู่คอนโด อยากจะเยียบให้มิดไมล์จริงๆ

“กูประชด ตั้งใจขับรถไป”
พี่ทาวน์มองตาขวางก่อนจะใช้สันมือเคาะลงกลางหัวในขณะที่ผมชะลอรถเพื่อหยุดไฟแดง โอย เจ็บฉิบหาย

“โหย ยั่วให้อยากแล้วจากไปชัดๆ”
ผมบ่นก่อนจะยกมือลูบหัวป้อยๆ เหลือบมองพี่ทาวน์ด้วยหางตาแล้วพบว่าอีกคนยิ้มกริ่มอย่างสบายใจ เอาอีกแล้ว แกล้งกันตลอดเลยเว้ย เดี๋ยวถึงคอนโดเมื่อไหร่จะเอาคืนให้เข็ด!

ร่างสูงประคับประคองตัวเองจนมาถึงหน้าห้อง ผมล้วงมือควานหาคีย์การ์ดครู่หนึ่งก่อนจะใช้มันแตะลงกับประตูแล้วเปิดเข้าไป พี่ทาวน์เดินตามมาติดๆ แถมยังเบียดกันแทบจะสิง จนใจยั่วกันชัวร์ ที่ตั้งกว้าง!

“พี่ทาวน์...”
ผมเรียกเสียงสั่นเพราะแรงอารมณ์ที่กำลังปะทุขึ้นทีละนิด ถือวิสาสะคว้าข้อมือขาวเอาไว้แล้วดันเจ้าของมันจนหลังแนบชิดกับผนังห้อง ยังไม่ทันได้ถอดรองเท้าให้เรียบร้อยด้วยซ้ำ ถึงจะเรียกหาสติตอนนี้ก็คงไม่กลับมาแล้วในเมื่อพี่ทาวน์ยอมยืนนิ่งๆ ให้ตกอยู่ในกับดักอ้อมแขน

“อะไร”
พี่ทาวน์ถามเสียงเรียบแต่ดวงตากลับฉ่ำน้ำเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ ดูยั่วยวนมากยิ่งขึ้นทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิดแค่ช้อนตามอง ผมก็จอมสิโรราบให้เขาหมดตัวหมดใจ

“ขอจูบนะครับ”
ผมเอ่ยขอเสียงพร่า ตอนนี้อารมณ์มีมากกว่าการทำอะไรพื้นๆ จูบก็เริ่มต้น คืนนี้คงไม่จบแค่แลกน้ำลาย

“ไม่ให้”
พี่ทาวน์ตอบเสียงแข็ง มือเรียวดันอกผมให้ออกห่าง ลมหายใจผสมกลิ่นแอลกอฮอล์ของเราต่างตกกระทบบนใบหน้าอีกฝ่ายชวนให้หัวใจเต้นรัว ถ้าเขาปฏิเสธด้วยท่าทางเกรี้ยวกราดมากกว่านี้คงไม่หวังขนาดนี้

“แต่นี่วันครบรอบนะครับ”
ผมดันตัวเข้าใกล้ไม่สนใจว่าเขาจะต่อยหน้าหรือไม่ ดวงตาคมอ้อนขอเหมือนลูกหมาชวนเล่น ตอนนี้มันอยากเลียปากเจ้านายเหลือเกิน

“แล้วไง”
คิ้วสวยเลิกขึ้นพร้อมกับแขนที่กอดอกไว้ ท่าทางดูกวนประสาทมากกว่าจริงจัง แบบนี้ยิ่งน่ามันเขี้ยวเข้าไปใหญ่

“ของขวัญไงครับ”
เป็นคนลืมวันครบรอบเองแต่ยังหน้าด้านพูดเรื่องของขวัญ ไม่มีใครน่าเกลียดเหมือนผมแล้ว... ให้ตายๆ






ต่อด้านล่างจ้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
“กูชวนมึงไปเดทแล้ว”
พี่ทาวน์เสียงแข็งแต่เขาคลายอ้อมกอดแล้วส่งมือเย็นๆ ตบลงข้างแก้มผมเป็นการหยอกล้อ ใบหน้าหล่อเปื้อนยิ้มละมุนที่นานๆ จะได้เห็นครั้งหนึ่ง

“ผมให้จูบเป็นของขวัญ”
นายภาคินจะเป็นคนให้ต่างหากเล่า อย่าเข้าใจผิดว่าผมทวงสิครับ หึหึ

“อือ อะ... อืม”
พี่ทาวน์ไม่ทันได้ปฏิเสธผมก็ทาบทับรอมฝีปากบางนั่นด้วยอย่างอ่อนโยน ค่อยๆ บดเบียดละเลียดชิมความหวานที่โหยหามานาน ลิ้นเรียวดุนดันสอดแทรกเข้าไปเกี่ยวกวัดหยอกล้อด้านใน เราแลกเปลี่ยนรสจูบแบบไม่มีใครยอมใครจนแทบจะขาดหายใจ

ต่างคนต่างปรับองศาใบหน้าเพื่อให้แนบชิดกันมากขึ้น มือหนาเลื่อนประคองส่วนท้ายทอยและเอวสอบของคนตรงหน้าพลางลูบไล้ปลุกเร้าอารมณ์ความต้องการที่อยู่ภายใน กอปรกับเสียงเฉอะแฉะของน้ำลายทำให้สติหลุดไปไกล ควบคุมไม่อยู่แล้วจริงๆ

“ผม... หยุดไม่ได้แล้วว่ะ”
เราต่างหอบหายใจใส่กันเมื่อผละออก ใบหน้าของพี่ทาวน์สีแดงระเรื่อจนอยากขย้ำให้ช้ำไปทั้งตัว ทั้งฤทธิ์แอลกอฮอล์ ความเขิน แรงอารมณ์แสดงชัดอยู่บนนั้น คราวนี้ผมหวังว่าภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้จะเสร็จโดยไม่ถูกขัดขวาง

“ก็ไม่ต้อง... หยุด”
พี่ทาวน์บอกเสียงพร่าก่อนจะโอบแขนรอบแผ่นหลังของผมตอบ ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดข้างใบหูนั้นทำให้ต้องกัดฟันกรอด ต้องค่อยเป็นค่อยไป เพราะนี้คือครั้งแรก อยากให้มันอ่อนโยนและเป็นความทรงจำที่ดีของเราทั้งสองคน

“พี่แม่ง... จะทำให้ผมคลั่งตาย”

“หึ”

ผมประกบจูบอีกครั้งและเพิ่มความวาบหวามด้วยการไล้นิ้วไปตามซอกคอขาวเนียน พี่ทาวน์กระตุกเล็กน้อยก่อนจะจิกมือลงบนบั้นเอวเพื่อระบายความรู้สึก เจ็บแต่ทนได้ โคตรตื่นเต้นเลยว่ะ

“อะ อา... อึก”
เสียงครางไม่เป็นภาษาหลุดออกมาจากริมฝีปากบางยามเมื่อจมูกโด่งของผมไซร้ไปตามซอกคอขาวก่อนจะกดจูบและตามด้วยการดูดดุนจดเกิดเสียงน่าอาย ร่องรอยสีกุหลาบที่ปรากฏทำให้เกิดรอยยิ้มพึงพอใจ เครื่องหมายของการมีเจ้าของ...

พี่ทาวน์เชิดหน้าขึ้นตามแรงอารมณ์ที่พุ่งสูง เขาเริ่มใช้มือสอดเข้ามาลูบไล้หน้าท้องแกร่งของผมเพื่อปลุกอารมณ์บ้าง เสื้อเชิ้ตถูกปลดกระดุมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจทราบได้ รู้ตัวก็เมื่อผิวโดนลมจากเครื่องปรับอากาศ แม่ง ยังไม่ถึงโซฟาเลย

“ตัวหอมฉิบหาย”
ผมพึมพำแล้วกดจูบลงบนต้นคอขาวอีกครั้งก่อนจะใช่ลิ้นลากไล้ลงต่ำจนถึงหน้าอกที่เสื้อถูกปลดกระดุมแล้ว ตุ่มไตที่หวานเชิญชวนให้ครอบครองและดูดดุนเล่น หัวใจเต้นแรงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

“เว่อร์ เหม็น อะ อืม ไวน์ อา...”
พี่ทาวน์พยายามกลั้นเสียงหน้าอายด้วยการทำแบบเดียวกัน เขาผลักผมไปที่โซฟาแล้วขึ้นคร่อมไว้ ใบหน้าหล่อโน้มลงไล่เลียตุ่มไตสีเข้มอย่างหยอกล้อ มือเรียวลูบไล้บีบเค้นหน้าท้องแกร่งจนแทบทนไม่ไหว ไอ้เจ็ทจะบ้าตายแล้วเว้ย

“อยากกลืนพี่เข้าไปทั้งตัวเลยว่ะ อึก”
ผมว่าก่อนจะเป็นฝ่ายพลิกตัวขึ้นด้านบนแล้วจัดการเขากลับ ปลายลิ้นลากไล้จนถึงขอบกางเกงยีนส์ตัวเก่ง มือหนาปลดเข็มขัดออกก่อนดึงมันลงจนถึงขาอ่อน แม่ง... ได้เห็นพี่ทาวน์น้อยครั้งแรก หัวใจจะวาย

ออด ~

โอ้โห ใครมากดออดหน้าห้องเช่นตอนนี้วะเฮ้ย จ้างล้านนึงก็ไม่เปิดประตู!

“อะ อา... อึก มีคนมา”
พี่ทาวน์ผลักผมออกแล้วพยักพเยิดหน้าที่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์เป็นสัญญาณให้เปิดประตู ผมส่ายหัวแทบหลุด ใครจะไปยอมวะ ถ้าพลาดโอกาสครั้งนี้คงรอกันอีกยาวแน่ๆ โธ่ คนรักกันอยากมีอะไรกันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ได้หื่นเล๊ย จริงๆ

“ช่างมันเถอะ”
ผมบอกปัดแล้วจัดการดึงกางเกงยีนส์ของพี่ทาวน์ลงอีก แต่เจ้าตัวกลับใช้มือรั้งไว้ทั้งที่ตัวเองมีอารมณ์ขั้นสุดเหมือนกัน โธ่ ทนไหวจริงๆ เหรอวะ ขอกัดไหล่หน่อยเถอะ

“อา... ปะ ไปเปิดประตูเถอะ อึก อาจจะมีธุระด่วน”
พี่ทาวน์ใช้เท้ายันขาอ่อนของผมเป็นการบอกอีกครั้ง คราวนี้ถ้าไม่ยอมเปิดประตูคงโดนกระทืบแน่ๆ

ผมพยักหน้ารับแล้วระบายลมหายใจหนักๆ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินตึงตังไปที่ประตูพร้อมขยี้หัวจนยุ่งเหยิง เสื้อผ้าอย่าไปถามถึง ถอดทิ้งไว้ตรงไหนยังไม่รู้เลย

“โธ่เว้ย ใครมาขัดจังหวะเนี่ย”
บ่นพึมพำระหว่างทางแต่ก็ยอมกดอินเตอร์โฟนเพื่อคุยกับคนด้านนอกประตู ถ้าแม่งกดออดผิดห้องพ่อจะด่าให้ลืมชื่อตัวเองเลย โว๊ย!

“ใครครับ”
ผมกรอกเสียงติดหงุดหงิดลงไป รออยู่ครู่หนึ่งแต่อีกฝั่งไม่ตอบอะไรกลับมา ในตอนที่กำลังจะโวยวายนั้นก็ต้องขมวดคิ้ว...

‘พี่สาวไง จำได้ได้เหรอ’
ผู้หญิงที่ไหนมาตอนนี้วะ พี่สาวที่ไหนอีก จำห้องผิดหรือเปล่า

“.....”
ผมเงียบเพราะกำลังคิดทบทวน ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว หรือว่าผีหลอก... แม่ง อยากจะบ้าตาย เตรียมอ้าปากถามเธอว่าเป็นใครนั่นเอง เสียงใสๆ ของเด็กผู้ชายก็ดังสวนขึ้นมา

‘น้าเจ็ท สไปรท์ ~ ไอมิสยู!’
ชัดเลย ชัดมาก โอย แม่งเซอร์ไพร์สจนอยากทึ้งหัวตัวเองให้หลุดจากบ่า ทำไมไม่ยอมโทรบอกกันก่อนว่าจะมาวันนี้ คนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเนี่ย อ๊าก ก้างจากอังกฤษ เกลียด!



---------------------------

พญานกตัวโตเนอะ 555555555

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
ค้างแทน 5555    :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
อนุญาตเกลียดด้วยยย ฮืออออออ :sad4: :sad4:

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
ขัดจังหวะความสุข

ออฟไลน์ numay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1
ก้างจากแดนไกล 55+

ออฟไลน์ Jadd

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 231
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
 :pig4: อ่านกันยาวๆ เลยค่ะ   ขอบคุณนะคะ

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ของขวัญวันครบรอบ ให้นกเจ็ทไปเต็มๆจ้า55555 คนอะไรโชคร้ายมาก

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
แข่งครั้งที่ 32



พายุที่ชื่อว่า ‘พี่แจม’ จากไปแล้ว แต่เธอยังเหลือร่องรอยความเสียหายเอาไว้เป็นเด็กน้อยลูกครึ่งหน้าตาน่ารักซึ่งตอนนี้นั่งแปะอยู่บนตักของแฟนผมอย่างสนิทสนมแถมด้วยการเอาแขนป้อมๆ คล้องลำคอขาวไว้ ไหนบอกว่าคิดถึงน้าเจ็ทไง... เดี๋ยวจับฟัดให้จมเขี้ยวเลยนี่ เจ้าเล่ห์ดีนัก

พี่ทาวน์ที่มักจะทำหน้านิ่งเสมอ ในตอนนี้กลับยิ้มอบอุ่นหยอกล้อโจชัวร์ด้วยการหยิกแก้มกลมๆ นั่นเล่น สีหน้าดูมีความสุขจนผมนึกอิจฉาหลาน น้ามันพยายามจีบตั้งนานกว่าจะได้นายเมืองเหนือเวอร์ชั่นอ่อนโยน แล้วนี่อะไร แค่ไม่ถึงหนึ่งช่วงโมงตัวติดกันอย่างกับตังเม

“น้าทาวน์ๆ คอแดง ~”
เด็กน้อยบอกน้าคนใหม่เสียงใสพร้อมกับใช้นิ้วเล็กๆ จิ้มลงไปตรงตำแหน่งที่เป็นรอยแดง พี่ทาวน์สะดุ้งก่อนจะหันมามองค้อนผมจนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ นี่ขนาดนั่งโซฟาคนละคนตัวนะเว้ย

“ยุงกัดครับ”
เขาตอบพร้อมส่งรอยยิ้มให้โจชัวร์ เด็กน้อยขมวดคิ้วฉับทำใบหน้าขึงขังเอาเรื่อง คงโกรธยุงตัวนั้นที่ทำให้น้าทาวน์มีรอยแดงเป็นจ้ำที่คอแน่ๆ ผมได้แต่มองโน่นมองนี่ทำเฉไฉไปเรื่อย กลัวความผิดมันจะพันคอจนขาดอากาศหายใจตาย แล้วที่สำคัญคือทำไมหลานตาดีแบบนี้ครับ

“ยุงเหรอ โจชัวร์จะตีๆ ให้ตายเลย ฮึบ”
โจชัวร์ลุกขึ้นยืนบนตักพี่ทาวน์จนเกือบหน้าคะมำแต่ดีที่เขารวบกอดเอวเล็กไว้ได้ ตากลมๆ มองหายุงตัวดีพร้อมกับกวาดมือไปกลางอากาศ พยายามอย่างยิ่งที่จะฆ่ามันให้ตาย ผมนั่งกลืนน้ำลายลงคอไม่กล้าพูดอะไรสักคำ นั่นก็เด็กไร้เดียงสา คนหล่อๆ นั่นก็แฟนผู้เคร่งขรึม ขืนพลาดขึ้นมาน้าเจ็ทเป็นหมาแน่นอน

“นั่งลงเถอะครับ น้าทาวน์เจ็บขา”
พี่ทาวน์ว่าเสียงเรียบไม่เชิงว่าจะดุ โจชัวร์ชะงักกึกก่อนรีบนั่งลงตามคำขอนั่นทันที แถมยังโอ๋ๆ ผู้ใหญ่ด้วยการใช้มือป้อมลูบขาอ่อนที่เป็นรอยแดงจากการกดทับ โวย หลานครับ น้ายังไม่เคยลูบตรงนั้นเลยเว้ย อิจฉาตาร้อนฉิบหาย

“ฟู่ๆ แอมซอรี่ หายเจ็บน้า โอ๋ๆ”
เด็กน้อยพยายามก้มหน้าลงแล้วอมลมเต็มแก้มเพื่อเป่ารอยแดงเป็นการปลอบ ความน่ารักนั้นทำให้พี่ทาวน์หลุดหัวเราะแล้วเอื้อมมือลูบหัวทุยด้วยความเอ็นดู ถ้าวันหนึ่งเขาอยากมีลูกผมคงทำได้แค่พยักหน้ารับเท่านั้นเพราะทำอะไรไม่ได้

“หึ โจชัวร์ง่วงไหม”
พี่ทาวน์หัวเราะแล้วกอบกุมแก้มกลมทั้งสองข้างไว้บังคับให้สบตา โจชัวร์ส่ายหน้าพรืดเป็นคำตอบก่อนที่หัวทุยจะแนบลงกับอกอุ่นภายใต้เสื้อเชิ้ตที่ผมเพิ่งถอดทิ้งไปเมื่อไม่นาน ฮึ่ม แค่คิดก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา พี่แจมมันมีตาทิพย์หรือเปล่าวะ มาขัดจังหวะตรงเวลาเหลือเกิน

ผมเท้าคางมองเด็กขี้อ้อนถูไถแฟนตัวเองด้วยความรู้สึกหลากหลาย น่ารักดีแต่ก็น่าอิจฉาไปพร้อมๆ กัน แย่งพี่ทาวน์ไปหน้าตาเฉยแถมยังเมินน้าอีกนะโจชัวร์ ร้ายจริงๆ ดึกดื่นป่านนี้แล้วยังไม่ง่วงคงเพราะเวลาทางอังกฤษกับไทยแตกต่างกันมาก แล้วจะได้นอนกันกี่โมงล่ะ เฮ้อ

“แต่น้าเจ็ทคงง่วงแล้วมั้ง”
พี่ทาวน์ชี้นิ้วเรียวมาทางผมเป็นสัญญาณให้เจ้าแสบสนใจ ตรงไหนที่บ่งบอกว่าง่วง ตาก็ยังใสเพราะอารมณ์ค้าง... งงว่ะ

“น้าเจ็ท ~”
เสียงใสเรียกชื่อผมอย่างเอาใจก่อนที่ร่างป้อมๆ จะลงจากตักของพี่ทาวน์แล้วเดินอุ้ยอ้ายเข้ามาใกล้ กางแขนออกเป็นสัญญาณให้กอดหรืออุ้ม

“ครับผม”
ผมรับคำแล้วเอียงคอมองว่าเขาจะทำยังไงต่อ โจชัวร์เขย่งปลายเท้าแล้วกางแขนยืดมากขึ้นกว่าเดิม หน้ากลมๆ เชิ่ดขึ้น ปากแหลมขมุบขมิบเป็นคำสั่นง่ายได้ใจความ

“ฮักมีพลีส”
อ้อ... ภาษากายของการขอให้กอดนี่เอง เข้าใจแล้ว

“ไม่อ้อนน้าทาวน์เหรอหืม”
ผมถามก่อนจะโน้มตัวลงกอดเด็กน้อยแล้วอุ้มขึ้นนั่งตัก พี่ทาวน์ที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวยักคิ้วกวนมาให้ ท่าทางแบบนั้นทำให้มันเขี้ยวจนอยากทิ้งหลานแล้วฟัดเขาแทน กวนกันดีนักนะ อารมณ์ยังค้างพร้อมต่อยอดเสมอ

“เดี๋ยวน้าเจ็ทน้อยใจ”
เด็กน้อยกระพริบตาปริบๆ อย่างออดอ้อนก่อนจะโผเข้ากอดคอแล้วแนบหน้าลงบนไหล่ ผมหลุดหัวเราะให้กับความขี้อ้อนนั่นแล้วขยี้หัวทุยด้วยความมันเขี้ยว หลานเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าน้าอีกมั้ง ยอมแพ้จริงๆ ขโมยหัวใจพี่ทาวน์ได้ในเวลาอันสั้น โคตรเก่ง

“คิ้วท์บอย ~”
ผมหอมหัวหอมแก้มหลานจนหนำใจแล้วปล่อยให้โจชัวร์ได้โผหัวขึ้นจากไหล่ ใบหน้าจิ้มลิ้มงอง้ำ คงโกรธที่โดนฟัดแรงๆ ก็ใครมันใช้ให้เกิดมาน่ารัก พี่ทาวน์ที่นั่งยิ้มกริ่มอยู่ก็ระวังตัวไว้เถอะ ยั่วกันดีนักนะ

“เอ๊ะ น้าเจ็ท ยุงกัดหยอ”
เด็กหน้างอเมื่อครู่กลายเป็นเจ้าหนูจำไมอีกครั้ง นิ้วเล็กจิ้มลงกลางอกซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีรอยแดงเป็นจ้ำ ผมชะงักกึกมองมันอย่างตกใจ พอจะรู้สาเหตุแล้วว่าก่อนพี่แจมออกจากห้องทำไมถึงบอกว่า ‘เบาๆ มือกันหน่อย โจชัวร์ยังเด็ก’ แฟนร้ายกาจ เอาคืนกันใช่ไหมเนี่ย

ผมส่งสายตาล้อเลียนพี่ทาวน์แต่เขากลับเบือนหน้าหนีแล้วลุกขึ้นยืนเพื่อเดินหายเข้าไปในครัว สงสัยจะแก้เขินด้วยการหาอะไรกินแน่ แต่นี่มันตีหนึ่งแล้วนะเว้ย ไม่อาบน้ำนอนกันจริงๆ เหรอ

“อ้อ ยุงตัวนี้ดุ กัดแรงมากๆ เลย”
ผมบอกหลานแล้วแอบมองไปทางครัว คนถูกกล่าวหาชะงักกึกอยู่ไม่ไกล เขาส่งสายตาเคืองๆ มาให้ก่อนจะเดินต่อ ในมือมีแก้วนมช็อกโกแลตคงเป็นของโจชัวร์

“ยุงยังไม่ตายเหรอ”
เด็กขี้สงสัยเอียงคอถามแล้วมองไปรอบห้องเพื่อหายุงตัวนั้นแต่ทุกอย่างกลับหยุดลงเมื่อพี่ทาวน์ส่งแก้วนมมาให้พร้อมหลอดดูด โจชัวร์ตาวาวก่อนจะพุ่งลงจากตักไปหาของกิน ล่อลวงง่ายจริงๆ เลยว่ะ

“คนละตัวครับ ที่กัดน้าทาวน์ดุกว่า”
ผมว่าต่อทั้งที่หลานคงลืมเรื่องยุงไปแล้ว เด็กน้อยพยักหน้าหงึกหงักเหมือนเข้าใจ แต่ความจริงคงเป็นปฏิกิริยาของโจชัวร์เวลามีความสุขกับอะไรสักอย่าง ชอบส่ายหัวดุ๊กดิ๊ก น่ารักน่าฟัดที่หนึ่ง

“หึ หื่นมากกว่ามั้ง”
พี่ทาวน์ว่าลอยๆ ด้วยน้ำเสียงล้อเลียนแล้วลุกขึ้นอีกครั้งแต่คราวนี้คงไปอาบน้ำเพราะหยิบผ้าขนหนูพาดบ่า ผมหาวหวอดแล้วทำหน้าที่ป้อนนมหลานต่อจนหมดแก้วก่อนจะพาไปแปรงฟัน พี่แจมเตรียมทุกอย่างพร้อมแม้กระทั่งแป้งเด็กทาตัว สงสัยกลัวลูกแพ้ยี่ห้ออื่น

ผมหนีบโจชัวร์เข้าเอวแล้วจัดการปิดไฟปิดแอร์ด้านนอกแล้วพาไปห้องนอน ระหว่างที่รอพี่ทาวน์อาบน้ำก็จัดแจงเตรียมเสื้อผ้าให้หลาน

“มัมไปฮันนีมูนกับแด๊ดที่ไหนครับ”
ผมถามในขณะหย่อนก้นลงข้างๆ โจชัวร์ที่กำลังรื้อหานิทานภาษาอังกฤษในกระเป๋าเป้ เด็กน้อยชะงักมือแล้วส่ายหัวรัวเป็นการปฏิเสธ พี่แจมโกหกเหรอวะ ก็ก่อนไปบอกว่า ‘ฮันนีมูนรอบที่ห้า’ ไม่ใช่เหรอ

“โนๆ มัมกับแด๊ดไปทำน้อง”
โจชัวร์ฉีกยิ้มกว้าง ท่าทางภูมิใจที่พ่อกับแม่จะทำน้องให้ แต่ผมนี่สิ สติหลุดไปแล้ว

“ห๊ะ...”
ใครบอกหลานแบบนั้นวะเนี่ย กลับมาเมื่อไหร่พ่อจะด่าให้หูชาเลย!

ผมพาโจชัวร์ไปอาบน้ำจนตัวหอมฉุยแล้วฝากพี่ทาวน์ช่วนอ่านนิทานภาษาอังกฤษให้หลานฟังไปพลางๆ เพราะจะไปจัดการตัวเองต่อ ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักแทรกผ่านเสียงสายน้ำแล้วก็เผลอคลี่ยิ้มออกมา มีเด็กอยู่ด้วยสักคนก็มีสีสันดี แต่นานๆ ครั้งนะ ทุกวันคงไม่ไหว เวลาจู๋จี๋หายกันพอดี

เดินเช็ดหัวออกมาจากห้องน้ำแล้วต้องหยุดกึกอยู่แถวๆ ตู้เสื้อผ้า เพราะภาพตรงหน้าทำให้ตะลึงอยู่ไม่น้อย พี่ทาวน์โน้มตัวลงจุมพิตหน้าผากเด็กน้อยอย่างแผ่วเบาตบท้ายด้วยรอยยิ้มละมุนที่ผมเฝ้าใฝ่ฝันวันละหลายรอบ นานๆ ครั้งจะได้เห็นมัน

“โจชัวร์หลับแล้ว”
พี่ทาวน์บอกทั้งที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้น นับว่าประสาทสัมผัสของเขาดีเป็นเลิศ ผมครางรับแล้วเดินไปจนถึงปลายเตียง กำลังจะหย่อนตัวลงนั่งแต่เสียงทุ้มดังขัดขึ้นซะก่อน

“ครับ หลับง่ายดีเนอะ แค่อ่านนิทานให้ฟัง”
ผมมองเจ้าแสบที่นอนขดเป็นกุ้งแล้วระบายยิ้มบาง ได้เจอกันปีละครั้งสองครั้งเลยเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ตัวสูงขึ้น หน้าตาคมขึ้น หล่อได้พ่อจริงๆ โตมาคงมีสาวติดตรึม

“เปล่า เล่นมวยปล้ำน่ะ”
พี่ทาวน์เฉลยวิธีทำให้เด็กหลับแล้วยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่หน้าผาก ดูท่าทางแล้วคงต้องอาบน้ำใหม่ ผมพยักหน้ารับว่าเข้าก่อนจะเริ่มเช็ดหัวต่อ ง่วงเต็มที่แล้ว

“ออกไปคุยกันที่ระเบียง”
พี่ทาวน์พูดก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินนำออกไปปล่อยให้ผมนั่งอ้าปากพะงาบๆ เพราะเดาได้ว่าเขาต้องการคุยเรื่องอะไร ไม่ตายวันนี้คงแปลกแล้วไอ้เจ็ท เพราะพี่แจมคนเดียวขายความลับซะเกลี้ยง

ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่งไม่ยอมลุกจากเตียงจนโดนสายตาอาฆาตทำให้ต้องรีบกระเด้งตัวแล้วเดินไปหาพี่ทาวน์อย่างเลี่ยงไม่ได้ ประตูกระจกถูกเลื่อนออกอย่างแผ่วเบาเพราะกลัวว่าเสียงจะรบกวนการนอนของเด็กน้อย สิ่งแรกที่สัมผัสได้เมื่อเท้าเหยียบด้านนอกพบว่าลมเย็นมาก ดีหน่อยที่ฝนหยุดตกสนิท

“ชักช้า”
คำแรกกระแทกหูจนผมชะงักมือที่กำลังปิดประตูไปหนึ่งจังหวะ ได้แต่หันไปยิ้มแหยๆ ให้เพราะไม่มีข้อแก้ตัว

“มีอะไรจะคุยเหรอครับ”
ผมยืนเกาะระเบียงแล้วรวบรวมความกล้าถามขึ้นก่อน พี่ทาวน์แหงนหน้ามองผืนฟ้าสีดำสนิทคล้ายต้องการซึมซับบรรยากาศเงียบสงบยามตีสอง ถ้าให้ออกมาคนเดียวคงไม่กล้า วังเวงฉิบหาย

“พี่แจมรู้เรื่องของเราได้ยังไง”
น้ำเสียงเรียบๆ ไม่แสดงอารมณ์เอ่ยถามขึ้น พี่ทาวน์ไม่ได้คาดคั้นเพียงแค่รอคำตอบอย่างใจเย็น เขาหลับตาลงสูดหายใจเข้าลึกๆ ผ่อนออกช้าๆ ผมควรอธิบายเรื่องนี่ยังไงดีวะ พี่แจมก็ไม่แสดงท่าทีตกใจตอนเห็นเราอยู่ด้วยกันสองคนโดยปราศจากสิ่งมีชีวิตที่ชื่อว่าจิณณ์ แถมยิ้มร่าแล้วถามว่า ‘นี่แฟนใช่ไหม หล่อกว่าในรูปอีก’ ฉิบหายเลย

“คือ... ผมกับครอบครัวไม่มีเรื่องปิดบังกัน”
ผมตอบเสียงแผ่วเพราะกลัวว่าพี่ทาวน์จะไม่ชอบใจเรื่องที่คบกันไปบอกคนอื่น ไม่ว่าด้วยสาเหตุอะไรก็ช่าง แต่ผิดคาดที่เขาพยักหน้ารับแล้วหันมามองกันด้วยสายตาอ่อนโยน

“ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ก็... ตั้งแต่รู้ตัวว่าชอบพี่”

“ไม่กลัวพ่อแม่เสียใจหรือไง ชอบผู้ชายน่ะ”
พี่ทาวน์เบือนหน้าหนีกลับไปมองท้องฟ้าเช่นเดิม ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่เขาอารมณ์ปกติดี ก่อนจะตอบคำถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“กลัวสิครับ แต่ผมมั่นใจว่าชอบพี่จริงๆ เลยกล้าที่จะบอกพวกเขาไปตามตรง ไม่อยากปิดบัง”
ผมคลี่ยิ้มปิดท้ายในขณะที่เขาหันกลับมาสบตากันอีกครั้ง มันเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ สัมผัสที่แตะลงข้างแก้มทำให้สะดุ้งเล็กน้อยแต่มันช่างอ่อนโยนเหลือเกิน

“ขอบคุณ”
ถ้อยคำที่ไม่คาดคิดมาพร้อมกับรอยยิ้มละมุน หัวใจของผมเต้น อุณหภูมิร่างกายเพิ่มสูงทั้งที่อากาศเย็นเมื่อลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดลงบนใบหน้า ระยะห่างแค่นี้ชวนให้สติเตลิดไปไกล

“ขอบคุณผมทำไม”
ผมโน้มหน้าลงไปใกล้จนริมฝีปากแตะกัน พี่ทาวน์ไม่ได้ผละถอยแต่ก็ไม่ได้กดจูบ โอย โคตรลุ้นระทึก ถ้าไม่อยากรู้คำตอบคงเรียบร้อยโรงเรียนเจ็ทไปแล้ว

“ขอบคุณที่ชัดเจนมาตลอด”
เขาบอกก่อนจะกดจูบลงมาอย่างที่ผมหวังมันเป็นเวลาเพียงแค่เสี้ยวหนึ่ง ยังไม่พอใจ ยังไม่อิ่ม แต่รอยยิ้มหวานๆ นั่นทำให้ต้องเอ่ยคำตอบแทน

“เพราะผมรักพี่ไง”
พูดจบก็คว้าเขาเข้ามากอดเต็มรัก พี่ทาวน์ดิ้นขลุกขลักครู่เดียวก่อนจะนิ่งไปแล้วโอบคืน ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปถึงหัวใจ สัมผัสที่ซุกลงแถวซอกคอยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกวูบวาบในช่องท้อง ผมยังอารมณ์ค้างอยู่นะพี่ แต่จะพยายามซึ้งให้จบก่อน

“อือ รู้แล้ว ขยันบอกจริง”
เสียงครางอู้อี้ทำให้ผมหลุดยิ้ม เราผละออกจากกันเพื่อประสานสายตา

“กลัวพี่จะลืมว่าผมอยู่ตรงนี้”
ผมจิ้มนิ้วลงบนหน้าอกข้างซ้ายของเขา พี่ทาวน์หัวเราะเสียงใสแล้วใช้มือขยี้หัวกันแรงๆ เอาเถอะ จะนอนแล้วไม่ห่วงหล่อหรอก

“ใครจะไปลืม ตัวใหญ่กว่าควายอีกมั้ง”
โอ้โห อยากร้องไห้วันละสิบรอบ แฟนใครช่างเปรียบเทียบได้น่ารักเหลือเกิน หลงจะแย่ ฮือ

“โหย แรงว่ะ”
ผมมุ่ยหน้าใส่คนปากร้ายก่อนจะโดนเขาดึงแก้มด้วยความมันเขี้ยว

“หึ กลับเข้าข้างในเถอะ กูจะไปอาบน้ำอีกรอบ”
เขาผละออกแล้วเปิดประตูกระจกออก เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมเท้าแขนกักตัวพี่ทาวน์ไว้ก่อนก้มลงกระซิบข้างหูด้วยเสียงหยอกล้อ ขอเอาคืนบ้างเถอะ

“ให้ผมช่วยปะ”

“อืม”
ห๊ะ นี่ผมฝันไปหรือเปล่าเนี่ย ตาวาวเลยกู

“เฮ้ย เอาจริงเหรอ”
ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ไอ้ที่เก๊กๆ ไว้หลุดหมด กลายเป็นหมาตัวโตหูตั้งหางกระดิกเพราะเจ้านายเล่นด้วย

“ช่วยนอนเงียบๆ ไป อย่าวุ่นวาย เข้าใจนะ”
ความฝันแตกสลายจนไม่เหลือชิ้นดี ผมแทบทรุดลงไปกองกับพื้น พี่ทาวน์ขี้แกล้งฉิบหาย จิตใจทำด้วยอะไรวะ

“อยากต่อ...”
ผมว่าเสียงอ่อยก่อนขยับเข้าไปกอดอ้อน แต่พี่ทาวน์กลับเขกหัวแล้วผลักกันออก

“โจชัวร์อยู่”
เสียงดุเลย หงอยสิครับรออะไร

“แต่...”

“ถ้าหลานกลับเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน”
แทบกระโดดกอดพี่ทาวน์ให้ล้มลงไปกับพื้นเลย เยส!

ตอนนี้ช่วงเลยเข้าสู่เวลาตีสามแล้วแต่ผมยังนอนไม่หลับ โซฟามันคับแคบจะตาย อยากร้องไห้สักสามวันติดต่อกัน สาเหตุมันมาจากโจชัวร์แย่งที่บนเตียงไปจนหมด โธ่ พี่แจมเอาก้างมาให้จริงๆ ก็คิดอยู่ทำไมเธอต้องเอาลูกมาฝาก... ร้ายนัก!

ผมนั่งเกาหัวแกรกๆ มองสองชีวิตบนเตียงผ่านแสงสลัวจากโคมไฟดวงน้อย โจชัวร์อยู่ในอ้อมกอดของพี่ทาวน์ ดูไปก็น่ารักดี แต่ความอิจฉาทำให้หมั่นไส้หลานนิดๆ ตื่นเมื่อไหร่น้าจะจับฟัดให้น่วมเลยคอยดูเถอะ

กว่าจะข่มตาหลับได้ก็เกือบตีห้าเพราะเล่นเกมเพลิน

แสงอาทิตย์ลอดส่องรอยแยกของผ้าม่านเข้ามาทำให้ผมดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวเพื่อหนี ได้ยินเสียงเท้าของใครบางคนเดินไปมาก็ได้แต่อมยิ้ม ว่าที่คุณหมอตื่นเช้าเหมือนเดิมเพื่อออกกำลังกาย โจชัวร์คงเกิดอาการเจ็ทเลคเลยยังไม่ตื่น

ในเวลาที่ห้องนิทรากำลังจะมาเยือนอีกครั้ง โสตประสาทการรับฟังก็ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มดังใกล้ๆ ต่อด้วยสัมผัสอุ่นที่ข้างแก้ม ผมสะลึมสะลือลืมตาก็พบกับพี่ทาวน์ในชุดลำลองกับโจชัวร์ในชุดเสือสีส้มยืนฉีกยิ้มกว้าง อุตส่าห์ดีใจว่าโดนแฟนหอมแก้ม ที่ไหนได้เป็นหลานตัวน้อยนี่เอง

“น้าทาวน์ น้าเจ็ทตื่นแล้ว เย้ๆ”
เด็กตัวน้อยกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจเมื่อเห็นผมลุกขึ้นขยี้หัว พี่ทาวน์คลี่ยิ้มบางแล้วพยักหน้ารับกับหลาน สถานการณ์ตอนนี้ใกล้เคียงคำว่าครอบครัว มีพ่อ แม่ และลูก พร้อมหน้าพร้อมตา

“ครับ จะได้ไปเที่ยวกันแล้วเนอะ”
พี่ทาวน์ลูบหัวหลานด้วยความเอ็นดูแล้วอุ้มขึ้นหนีบเอว แขนป้อมๆ ยกคล้องคอทันทีเพราะกลัวตกลงมา จะตัวติดกันไปถึงไหนครับ สงสารน้าเจ็ทบ้างเถอะ หมาหัวเน่าแล้วเนี่ย

“อควาเรียม ~ ฟิช ชาร์ค”
โจชัวร์กวาดมือแล้วยิ้มกว้างจนตาหยี ผมที่เบลอๆ ก็พลอยไหลตามน้ำ เผลอตกลงไปเที่ยวอควาเรียมตอนไหนวะ หรือเมื่อคืนละเมอตอบ โอย งง

“เอ่อ... ตอนนี้กี่โมงครับ”
ผมก่อนใช้สันมือเคาะขมับเพื่อไล่ความมึน พี่ทาวน์ล้วงโทรศัพท์ให้ดูเวลา แปดโมงแล้ว กว่าจะอาบน้ำแต่งตัวกินข้าวเช้าเสร็จคงเกือบสิบโมง รีบหน่อยดีกว่า เดี๋ยวรถติดคงแย่

“งั้นผมไปอาบน้ำก่อนเนอะ เดี๋ยวน้าจิณณ์คงมาหาโจชัวร์”
ผมลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วขโมยหอมแก้มพี่ทาวน์ไปหนึ่งฟอดเพราะเขาไม่สามารถโต้ตอบได้เนื่องจากอุ้มเจ้าตัวแสบอยู่ แต่มือเล็กๆ ของโจชัวร์กลับตีเปี๊ยะลงมาบนจมูก เฮ้ย... ทำไมกบฏขนาดนี้เนี่ย ตกลงใครเป็นน้ากันแน่วะ

“อย่ารังแกน้าทาวน์!”
หลานตวาดลั่นแถมกอดอกพองแก้มด้วยความไม่พอใจ พี่ทาวน์ถึงกับหัวเราะก๊าก ชอบใจที่ผมโดนตีสินะ

“ไม่เอาครับ ไม่เสียงดังใส่น้าเจ็ทนะ เราไปนั่งรอน้าจิณณ์กันดีกว่า”
พี่ทาวน์ปลอบหลานด้วยเสียงกลั้วหัวเราะแล้วพากันเดินออกไปจากห้องปล่อยให้ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ สามสี่วันนี่คงไม่ต้องหวังมีเวลากุ๊กกิ๊กกันสองคนหรอก ถ้าพี่แจมกลับมาแล้วไม่มีของตอบแทนที่ดีจะอาละวาดให้บ้านแตกเลยคอยดู

ผมจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วเดินตรงไปที่ห้องครัว แต่ต้องชะงักกึกอยู่หลังโซฟาหน้าทีวี สองชีวิตนั่งดูการ์ตูนยามเช้าโดยปราศจากคนชื่อจิณณ์ ตาคมเหลือบมองนาฬิกาติดผนังแล้วขมวดคิ้วแน่น

“จิณณ์ยังไม่มาเหรอครับ”
หลังจากจิณณ์ย้ายไปอยู่กับไอ้ไธจะเอาอาหารมาส่งให้ทุกเช้า แต่วันนี้แปลก ไม่มีแม้แต่ไลน์หรือโทรมาบอกว่าไม่ว่าง คงต้องไปหาถึงห้องแล้วมั้ง

“อืม เอานมให้โจชัวร์กินรองท้องแล้ว”

“ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมจัดการอาหารเช้าเอง”

“อืม ขอข้าวต้มหมูแล้วกัน”

หลังจากที่เราฟาดข้าวต้มหมูกันเสร็จก็พากันลงมาด้านล่างเพื่อไปหาจิณณ์ก่อนจะออกไปอควาเรียมตามที่โจชัวร์เรียกร้อง ผมเคาะประตูห้องไอ้ไธ ไม่นานนักเจ้าของก็เปิดมันออกด้วยสีหน้าตื่นตกใจ ไม่ใช่ว่ากูมาขัดจังหวะเข้าด้ายเข้าเข็มนะ...

“น้าไธ ไอมิสยู ~”
เด็กตัวน้อยในอ้อมแขนของผมโผเข้ากอดน้าไธเต็มรัก ไอ้คนที่กำลังเบลอๆ ถึงกับเบิกตาโตด้วยความตกใจแต่ก็รับตัวโจชัวร์เอาไว้ ท่าทางมึงตอนนี้เหมือนกับกูเมื่อคืนไม่มีผิด สไปร์ทพอกันเลยเพื่อน

“นะ น้าไธก็คิดถึงโจชัวร์”
ถึงกับติดอ่างจนผมได้แต่กระตุกยิ้มเยาะ ส่วนพี่ทาวน์ก็นิ่งขรึมตามสไตล์ของเขา

“น้าไธๆ น้าจิณณ์อยู่ที่นี่ไหม”
เสียงเล็กถามเจื้อยแจ้ว ดวงตากลมสอดส่องไปหลังบานประตูเพื่อหาน้าชายอีกคนที่ยังไม่เจอหน้า ปกติแล้วโจชัวร์จำไม่ได้ว่าใครเป็นใครหรอก แต่ตอนนี้เขาอยู่กับผมที่บอกว่าคือน้าเจ็ทไงเลยถามหาน้าจิณณ์

“อยู่ อยู่ครับ น้าจิณณ์นอนอยู่”
ไอ้ไธตอบหลานแต่กลับเหลือบมองผมกับพี่ทาวน์คล้ายกำลังหวาดระแวง มันไม่ยอมขยับตัวออจากประตูเลยสักนิด มีพิรุธเกินไปแล้วว่ะ

“สลีปอิน ~”
อยู่ๆ น้าจิณณ์ก็โดนเด็กหาว่าตื่นสายว่ะ สมน้ำหน้า นอนกินบ้านกินเมืองอะไรขนาดนั้น ทั้งที่ปกติก็ตื่นแข่งกับไก่ขันได้ หรือไม่สบาย

“จิณณ์ไม่สบายเหรอ”
เป็นว่าที่คุณหมอถามขึ้น ผมพยักหน้าเห็นด้วยแล้วรอคำตอบ ไอ้ไธอึกอักกรอกตาไปมาเหมือนคนทำความผิด มึงมีอะไรในกอไผ่ใช่ไหม จะบอกดีๆ หรือต้องคาดคั้น!

“ก็นิดหน่อยครับพี่”
มันตอบเสียงอ่อยแล้วแสร้งทำเป็นสนใจเด็กในอ้อมแขน หอมแก้มบ้าง ชวนคุยบ้างคนผมชักเริ่มรำคาญจนต้องเอื้อมมือไปผลักไหล่มัน จะเข้าไปดูจิณณ์เว้ย อยากรู้ว่าป่วยเพราะอะไร

“ขอเข้าไปหน่อยดิวะ”
ผมบอกก่อนพยายามเบียดตัวเข้าไปแต่โดนไอ้ไธเอาเกราะกำบังชื่อโจชัวร์ดันกลับมา แม่ง มันต้องมีสาเหตุอะไรลามกที่ทำให้จิณณ์ป่วยแน่ๆ พี่กูเสียตัวให้มึงแล้วใช่ไหม

“ให้จิณณ์พักผ่อนเถอะมึง”
น้ำเสียงอ้อนวอนทำให้ผมยิ่งขมวดคิ้วสงสัย หันไปขอความช่วยเหลือจากพี่ทาวน์ก็ได้รับการพยักหน้ากลับ คราวนี้มึงไม่รอดแน่ๆ ไอ้ไธ

“แต่โจชัวร์อยากเจอน้าจิณณ์ ใช่ไหมครับ”
พี่ทาวน์ถามเด็กในอ้อมแขนของไอ้ไธแล้วจิ้มแก้มกลมนั่นเล่น โจชัวร์รีบพยักหน้าอย่างแข็งขันเหมือนกลัวจะไม่ได้เจอน้าของตัวเอง

“อื้อ จะชวนน้าจิณณ์ไปอควาเรียม ~”
ความมุ่งมั่นหนึ่งเดียวที่อยากเจอน้าจิณณ์ เด็กหนอเด็ก

“อ่า... ครับ”
สุดท้ายไอ้ไธก็แพ้ลูกอ้อนของโจชัวร์จนหมดสิ้น

ผมรุดเข้าไปหาจิณณ์คนแรกเพราะโจชัวร์ร้องอยากกินขนมพี่ทาวน์เลยอาสาดูแลให้ ในขณะที่ประตูห้องนอนเปิดออก สิ่งที่เห็นคือสภาพพี่ชายนอนหน้าซีดอยู่บนเตียง ในมือถือยาดมยัดจมูกสูดแรงจนได้ยินเสียง ใกล้ตายหรือยังวะนั่น

“จิณณ์... ทำไมสภาพมึงเป็นแบบนั้นวะ ฟัดกับหมามาหรือไง”
ผมหย่อนตัวนั่งลงบนเตียงแล้วชะโงกหน้าไปดูสภาพพี่ชายตัวเองใกล้ๆ จิณณ์สะดุ้งแล้วลืมตาขึ้นเพราะตกใจ แต่ไม่นานก็เบะปากใส่ อย่าเพิ่งร้องไห้ครับ กูยังซักมึงไม่จบ

“หมาชื่อไอ้ไธไง แม่ง จัดซะกูเดินไม่ไหว”
เสียงแหบพยายามเค้นออกมา ใบหน้าบูดเบี้ยวเมื่อมันพยายามขยับตัว ผมได้แต่อ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้ยิน นี่ตกลงว่าพวกมึงได้กันแล้วเหรอ ไหนปากบอกว่าไม่พร้อมไง ทำแบบนี่ได้ยังไงวะ!

“เดี๋ยวๆ อย่าบอกนะว่ามึงกับไอ้ไธ...”
ผมจ้องแทบตาถลน มันพยักหน้าหงึกหงักแล้วสูดยาดมเข้าเต็มปอด ริมฝีปากบวมเจ่อ ตามซอกคอมีรอยแดงเป็นจ้ำลามไปจนถึงช่วงอกที่โผล่ออกมาจากสายเสื้อ โอ้โห จัดหนักจริงตามคำบอกเล่าเลยวะ

“เออ... เป็น โอย ผัวเมียกันอย่างสมบูรณ์”
ช่วยเขินหน้าแดงตอนพูดเรื่องนี้ไม่ได้หรือไง... กูเพลียใจแทนผัวมึง

“เหี้ย”
แต่ผมอาการหนักกว่าถึงขั้นอุทานคำหยาบ เพราะเรื่องเมื่อคืนก็เกือบจะลงเอยแบบจิณณ์ไง แค่เกือบ!

“ด่ากูทำไม”
ไอ้นี่ก็ร้อนตัว ทำตาโตอย่างกับไข่ห่าน ยาดมยัดอยู่ในรูจมูก ดูทุเรศฉิบหาย

“แม่ง มึงรู้ไหมว่ากูกับพี่ทาวน์ก็กำลังจะได้กัน”
ผมพูดอย่างไม่อายแล้วทุบกำปั้นลงบนเตียงอย่างแรง เจ็บใจนัก

“แล้วไงวะ”
จิณณ์พยายามแสดงความตื่นเต้น แต่มันดูเหมือนคนกำลังช็อคมากกว่า มึงควรบอกให้ไอ้ไธเบาๆ มือหน่อยนะ

“พี่แจมบินมาจากอังกฤษ...”
ผมพูดเสียงเครียดก่อนจะทิ้งตัวลงข้างจิณณ์

“ไอ้เจ๊ก มึงกลับมาเรื่องเดิมก่อนสิวะ อย่าเพิ่งเปลี่ยน กูงง”
มันฟาดมือเขากลางจมูกผมจนรู้สึกเหมือนเลือดกำเดาจะไหล โอย ถ้าไม่ติดว่ามึงเจ็บก้นจะยันแรงๆ สักที

“เรื่องเดียวกัน พี่แจมมาหากูเมื่อคืน ฝากเลี้ยงโจชัวร์ด้วย!”
ผมกัดฟันกรอดพูดเสียงรอดไรฟัน ยกมือขึ้นขยี้หัวแรงๆ โดยไม่สนว่ามันจะยุ่งเหยิงแค่ไหน โอย แค่คิดก็หงุดหงิดแล้ว

“อะไรนะ แล้วพี่มันไปไหนวะ”
จิณณ์ขมวดคิ้วแน่น คงรู้สึกแปลกที่พี่สาวมาไวไปไวขนาดนั้น แต่ผมรู้แล้ว ชัดเจนมากจนอยากผูกคอตายใต้ต้นถั่วงอก

“ทำน้อง”
ผมตอบเสียงสะบัดก่อนจะซุกหน้าลงกับหมอนแล้วว้ากอัดเพื่อระบายอารมณ์ ไม่ไหวแล้วเว้ย พี่แจมไปทำน้องผมก็อยากทำเหมือนกัน ทำไมไม่เข้าใจ ฮือ

“ห๊ะ โอย กูอยากจะขำให้คอแตก มึงนี่พญานกจริงๆ”
จิณณ์นอนเม้มปากกลั้นขำจนหน้าแดงเพราะกลัวจะกระทบกระเทือนช่วงล่าง ผมบึนปากใส่มันแล้วทำท่าง้างเท้า

“เดี๋ยวกูถีบตกเตียงแน่”

“อย่าๆ แค่นี้กูก็จะตายแล้ว”
มันโบกมือเป็นพัลวัน ดวงตาเบิกโตเท่าไข่ห่าน ครั้งแรกคงเจ็บจริงๆ อย่างที่มีคนบอก...

“เออ แล้วนี่มึงกินข้าวกินยาหรือยัง”
ผมเลิกเซ้าซี้เรื่องนั้นแล้วถามถึงสุขภาพช่วงล่างของฝาแฝด มันพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะนิ่วหน้าเพราะเผลอขยับตัว ถ้ามันลำบากขนาดนี้ต้องทำยังไงพี่ทาวน์ถึงไม่เจ็บ

“เรียบร้อย แล้วโจชัวร์อยู่...”

“น้าจิณณ์ ~ ตึก”
จิณณ์ยังพูดไม่ทันจบร่างป้อมๆ ก็พุ่งเข้าใส่แบบไม่ทันตั้งตัว ผมชะงักค้างมองภาพนั้นแล้วรู้สึกเจ็บแทน

“โอ๊ะ อึก อะ ไอ้เจ็ท ฮือ กูเจ็บ โอย”
เสียงร้องแหบๆ ดังขึ้นอย่างน่าสงสาร แต่ผมไม่สามารถทำอะไรได้เพราะเจ้าแสบกอดน้าจิณณ์ซะเต็มรัก นอนเกยบนตัวอย่างมีความสุข คงต้องพูดกันดีๆ

“โจชัวร์ครับ อย่าทับน้าจิณณ์แบบนั้น มานั่งตักน้าเจ็ทเร็ว”
ผมล่อลวงเด็กน้อยที่เอียงคอมองตาแป๋ว นานนับนาทีที่มีแต่ความเงียบเข้าปลกคลุม แต่สุดท้ายโจชัวร์ก็พยักหน้ารับแล้วยอมลุกออกมา แต่ไม่วายเซทับลงบนขาอ่อนทิ้งท้าย จิณณ์ถึงกับน้ำตาเล็ด

“น้าจิณณ์ร้องไห้...”
โจชัวร์พูดเสียงอ่อยแล้วยื่นมือป้อมๆ ไปเกลี่ยน้ำตา แต่จิณณ์กลับผงะถอยเพราะตกใจ เจ็บคูณสองไปอีกเว้ย

“น้าจิณณ์เจ็บครับ โจชัวร์ทับ”
ผมกระซิบบอกหลานแล้วเหลือบมองจิณณ์ที่หน้าบูดเบี้ยวเกินบรรยาย มือหนาคลำลูบช่วงล่างเพื่อบรรเทาความเจ็บ สงสารแต่ไม่รู้จะช่วยยังไง ให้อาสาทายายิ่งแล้วใหญ่ ผัวมันคงเตะติดประตู

“แอมซอรี่”
โจชัวร์พูดเสียงอ้อมแอ้มก้มหน้าสำนึกผิด ไอ้ท่าทีหมาหงอยแบบนี้ใครจะไปโกรธลง ขนาดจิณณ์ที่เจ็บเจียนตายยังเผลอยิ้มให้กับความน่ารักของหลาน

“มะ ไม่เป็นไร ซี๊ด”
โอ้โห อาการหนักสุดๆ ไอ้ไธไม่ได้ใช้เจลหล่อลื่นเหรอ เปิดซิงพี่กูจนเลือดอาบหรือเปล่าเนี่ย ต้องเรียกสินสอดให้หมดตัว!





ต่อด้านล่างน้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
ผมนั่งคุยกับจิณณ์เรื่อยเปื่อยอยู่พักใหญ่ มีโจชัวร์แทรกบ้างเป็นระยะเพราะอยากมีส่วนร่วม ไอ้ไธขอตัวไปจัดการอาหารเที่ยง ส่วนพี่ทาวน์นั่งกดโทรศัพท์ฆ่าเวลา เขาไม่ได้เล่นเกมแต่อ่านอีบุ๊คตำราแพทย์ต่างหาก เรียนหมอไม่มีวันหยุดพักจริงๆ สินะ สถาปัตย์กลายเป็นวิชาสบายไปเลย แต่ตอนทำโปรเจ็คคงสภาพเละไม่ต่างกันสักเท่าไหร่

“น้าจิณณ์ ไปอควาเรียมกัน!”
อยู่ๆ เจ้าเด็กที่ขอดูการ์ตูนในโทรศัพท์ก็โผงขึ้นมาเมื่อคิดถึงจุดประสงค์หลักของวันนี้ ผมจะทำลืมแล้วเชียวเพราะขี้เกียจขับรถ สยามไม่ใกล้เลย ฮือ นั่งรถไฟฟ้าไปได้ปะวะ

“น้าจิณณ์ไม่สบายครับ ไปกับเราไม่ได้”
เสียงพี่ทาวน์ที่นั่งอยู่ไม่ใกล้เอ่ยบอกแทน ไม่รู้ว่าเลิกอ่านหนังสือไปตอนไหนเหมือนกัน

“งือ ป่วยเหรอ ต้องวัดไข้”
เด็กน้อยอนาคตคงอยากเป็นคุณหมอขยับลงจากตักของผมแล้วโน้มตัวลงแนบหน้าผากกับจิณณ์ แก้มกลมๆ ย้อนลงจนคนเป็นน้านึกหมั่นไส้จับบีบจนหลานยู่ปาก

“น่ารักจริงๆ เลยเจ้าลูกหมูของน้า”
จิณณ์บอกเสียงกลั้วหัวเราะแล้วจับหลานหอมแก้มซ้ายแก้มขวาย้ำหลายครั้ง โจชัวร์ปัดป่ายมือไปในอากาศราวกับไม่พอใจ

“โจชัวร์ผอมๆ ไม่หมู”
เมื่อหลุดออกมาจากอ้อมแขนของจิณณ์ได้ เจ้าตัวแสบก็กอดอกพองแก้มใส่เรียกเสียงหัวเราะจากคนในห้อง ไม่หมูเลย แก้มย้อน พุงกลมขนาดนี้

“ครับๆ ไม่หมู แต่ตอนนี้เราให้น้าจิณณ์พักผ่อนเนอะ”
ผมอุ้มโจชัวร์แนบอกแล้วลุกขึ้นยืนก่อนจะบอกลาจิณณ์ที่นอนเป็นผักเหี่ยว พี่ทาวน์ขยับเข้าไปคุยอะไรเล็กน้อย สงสัยคงแนะนำยาทาแผลล่ะมั้ง

“อื้อๆ เก็ทเวลซูน ~”
เด็กน้อยบอกน้าชายด้วยรอยยิ้มก่อนที่เราจะพากันไปยังจุดหมายที่อควาเรียม บอกลาเงินในกระเป๋าเพื่อจ่ายค่าเข้าชมได้เลย แพงหูฉีกแน่ๆ

พี่ทาวน์รับอาสาอุ้มเจ้าแสบแล้วให้ผมเดินไปซื้อบัตรเข้าชมที่หน้าเค้าน์เตอร์ เสียเงินสำหรับสามคนราวๆ สองพันห้าร้อยบาท ได้แผนที่ทางเดินมาสามแผ่น โธ่ ต้องเอาบิลไปเบิกกับพี่แจม รีดไถให้หมดตัวเลยแม่ง

ผมเดินไปสมทบกับพี่ทาวน์แล้วคุยกันเรื่องค่าบัตร เขาจะจ่ายในส่วนของตัวเองจนต้องเบรกว่าพี่แจมสนับสนุนการเที่ยวในครั้งนี้เพราะเป็นคนฝากพวกเราเลี้ยงลูกเอง เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ทำให้มีผู้คนเข้าชมอควาเรียมไม่น้อย ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่และวัยรุ่น ถ้าหากสังเกตสักนิดจะพบว่ามีหลายครั้งที่ตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่น

“เข้าไปกันเถอะ”
พี่ทาวน์ชักชวนก่อนจะเดินนำแต่ผมรั้งเขาไว้แล้วขออุ้มโจชัวร์แทนเพราะหลานตัวหนักไม่น้อย กลัวว่าจะเมื่อยแขนซะก่อน

เราเดินไปตามแผนที่ เริ่มต้นด้วยปลาขนาดเล็กแล้วเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โจชัวร์ดูตื่นเต้น สนุกสนานกับการชมสัตว์น้ำนานาชนิด พี่ทาวน์ช่วยคุยเป็นครั้งคราวเพื่อลดความกระอักกระอวนจากสายตาคนรอบข้าง จะมองอะไรกันนักหนา แค่พาหลานมาเที่ยวเว้ย

อุโมงค์ปลาฉลามเป็นจุดที่ผมอ้อยอิ่งนานที่สุดเพราะทุนเดิมชอบความเกรี้ยวกราดและรูปร่างปราดเปรียวของมันอยู่แล้ว บวกกับโจชัวร์อีกหนึ่งคนที่เป็นพวกเดียวกัน เจ้าหน้าที่อนุญาตให้ถ่ายรูปได้แต่ห้ามใช่แฟลตก็เลยจัดกันไปอย่าให้เสียเที่ยว ดูไปดูมาก็เหมือนครอบครัวพาลูกมาเที่ยวว่ะ

“น้าทาวน์ ชาร์คแวรี่บิ๊ก!”
เสียงตื่นเต้นของโจชัวร์ดังขึ้นเมื่อปลาฉลามตัวโตว่ายน้ำผ่านศีรษะของเรา ผมเงยหน้าขึ้นมองแล้วได้แต่ยกยิ้ม ไม่เสียเที่ยวที่มาอควาเรียม สนุกดีเหมือนกัน อีกอย่างคือได้เห็นมุมพี่ทาวน์มีความสุขกับการเดินเล่นที่นี่

“ครับ ตัวใหญ่กว่าโจชัวร์เยอะเลย”
พี่ทาวน์บอกก่อนจะจับแก้มกลมให้ยืดออกด้วยสีหน้านิ่งๆ แต่ดวงตากลับเป็นประกาย เขาชอบเด็กและมีความสุขเป็นสิ่งที่ผมประมวลผลได้ในเวลานี้

“โจชัวร์จะกินเยอะๆ แล้วโตเท่าชาร์คเยย”
เจ้าตัวแสบอ้าแขนกว้างประกอบคำพูด เชิ่ดขึ้นอย่างมั่นอกมันใจว่าตัวเองจะโตเท่าฉลามจริงๆ

“จะโตเท่าหมูมากกว่ามั้ง เนี่ย พุงกลมแล้ว”
ผมหยอกก่อนจะจิ้มนิ้วลงบนพุงกลมที่อัดแน่นไปด้วยขนม โจชัวร์บุ้ยปากใส่ทันทีเมื่อได้ยินคำว่าหมู โอย เด็กอะไรน่าฟัดจริงๆ เลย ขี้อ้อนมากแต่กลับขี้งอนมากกว่า

“งือ น้าเจ็ทโซแบด!”
กลายเป็นคนไม่ดีเฉยเลย แค่พูดความจริงเอง โธ่

“โอ๋ๆ น้าเจ็ทล้อเล่น เราไปซื้อตุ๊กตาดีไหม”
แต่สุดท้ายผมก็โอ๋หลานเพราะกลัวว่าถ้าขัดใจมากๆ จะร้องหามัมกับแด๊ดที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ไปโผล่ที่ไหนกันแล้ว โทรไปก็ไม่รับ หึ

เด็กน้อยที่ทำหน้าบึ้งในตอนแรกเปลี่ยนเป็นเบิกตาโตด้วยความตื้นเต้น รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นทันที โลกสดใสอย่างกับพระอาทิตย์ในวันที่ฟ้าปลอดโปร่ง เยี่ยม... เอาของเล่นล้อยังได้ผลดีเสมอ

“ไป เอาชาร์คนะ ชาร์ค ~”
ผมพยักหน้ารับแล้วหลุดหัวเราะให้กับความคลั่งฉลามของเด็กแสบ พี่ทาวน์ส่ายหัวช้าๆ คงปลงกับความกากของแฟนตัวเอง ใช้มุกเดิมๆ หลอกเด็ก แต่ถ้ามันได้ผลไอ้เจ็ทก็ยอมล่ะวะ

“ครับๆ น้าทาวน์สายเปย์ ฮึบ”
ให้กำลังใจตัวเองสักหน่อยก่อนที่ต้องควักแบงค์สีเทาอีกหลายใบ ฮือ แม่จ๋า ส่งพ็อกเก็ตมันนี่ให้ผมที หลานถลุงใช้หมดแล้ว

กว่าจะถึงคอนโดก็ปาเข้าไปสองทุ่ม โจชัวร์หลับคาอกพี่ทาวน์และไม่มีใครกล้าปลุกเลยปล่อยให้นอนไปก่อน ตื่นเมื่อไหร่ค่อยจัดการอาบน้ำแต่งตัวซะใหม่ ส่วนผมกับพี่ทาวน์ทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างหมดแรง เที่ยวกับเด็กน้อยเป็นอะไรที่ทรหดจริงๆ

“ปวดเท้าฉิบ”
พี่ทาวน์บ่นพึมพำแล้วยกฝ่าเท้าขึ้นมากดไล่ความปวด ผมที่มองอยู่ถึงกับลุกพรวดขึ้นจากโซฟาเมื่อคิดอะไรได้

“พี่ทาวน์รอแป๊ปนึงนะครับ เดี๋ยวผมมา”
ผมบอกแล้วรีบเดินไปรื้อหากะละมังซักผ้าในห้องน้ำ เอามาใช้ทดแทนคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง

ผมรองน้ำอุ่นในภาชนะจนเกือบเต็มแล้วยกมันออกมาจากห้องน้ำ พี่ทาวน์ขมวดคิ้วมองอย่างสงสัย

“นี่ครับ”
ผมวางกะละมังลงตรงหน้าพี่ทาวน์แล้วคลี่ยิ้มกว้าง ในมือมีน้ำมันหอมละเลยกลิ่นยูคาลิปตัสติดมาด้วย ถ้าหยดลงไปคงผ่อนคลายน่าดู

“เอามาทำไม”

“แช่เท้าไงครับ น้ำอุ่นจะช่วยลดความเมื่อยล้า ใช่ไหม”
คำบอกเล่าเชิงถามย้ำเพื่อความแน่ใจดังขึ้น ผมรอคำตอบด้วยใจจดจ่อในขณะที่พี่ทาวน์เบนหลบสายตา

“อืม”

“แช่เลยครับ เดี๋ยวผมหยดน้ำมันหอมเพิ่มเนอะ”
ผมบอกเขาแล้วหมุนฝาขวดน้ำมันหอมระเหยพร้อมหยด แต่พี่ทาน์กลับรั้งมือไว้ก่อนจะส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ ไม่อยากแช่เท้าเหรอ

“เดี๋ยวทำเอง ของต่ำ”
ที่แท้ก็เกรงใจ น่ารักชะมัด

“ผมเต็มใจ”
ผมคลี่ยิ้มแถมด้วยการจับข้อเท้าของพี่ทาวน์ให้จุ่มลงในอ่างน้ำอุ่นแบบไม่นึกรังเกียจ ให้จะถือเรื่องของต่ำของสูงก็ถือไป แต่นายภาคินชิวๆ ไม่เคร่งครัดอะไรมาก อยากทำอะไรก็ทำ

“เจ็ทครับ”
เสียงทุ้มเอ่ยเรียกด้วยคำที่แปลกไปทำให้ผมต้องช้อนตามองอย่างช่วยไม่ได้ ในตอนนี้เองที่เพิ่งได้รู้ว่าระยะห่างของเราใกล้เคียงเลขศูนย์เข้าไปเต็มทน

“ขอบคุณ”
ถ้อยคำแผ่วเบาผ่านหูไปก่อนที่สัมผัสนุ่มหยุ่นจะแตะลงบนกลีบปาก อ้อยอิ่งเชื่องช้าเพื่อแสดงความขอบคุณจากใจจนไม่อยากผละออกจากกันเลย

บอกแล้วว่า ‘พี่ทาวน์’ น่ารักที่สุดในโลก





------------------------------------------------

มันก้จะครอบครัวหน่อยๆ ละมุนละไม คึคึ

ออฟไลน์ minneemint

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1632
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0

ออฟไลน์ Ouizzz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 640
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
สงสารเจ็ท :m20:

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ถึงเจ็ทจะนก แต่โจชัวร์น่ารักเราให้อภัย ขอฟัดแก้มหมูน้อยที  :กอด1:

ออฟไลน์ numay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
พญานกจริงๆสินะเจ็ทเอ้ยยยยยย

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
พญานก มาก เว่อร์ :m20:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
แข่งครั้งที่ 33



การเลี้ยงเด็กผ่านพ้นไปได้ด้วยดี และขอสาบานว่าในอนาคตหากพี่ทาวน์อยากมีลูกผมจะค้านหัวชนฝา เหนื่อยสายตัวแทบขาด ตอนที่โจชัวร์งอแงไม่เอาใครมันสาหัสจริงๆ แต่ของตอบแทนค่าเหนื่อยถือว่าคุ้มเพราะได้โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่มาครอบครอง ส่วนพี่ทาวน์ได้น้ำหอมแบรนด์ Tomford ขวดละเป็นหมื่น (ความจริงแล้วคือครอบครัวรวมหัวกันซื้อให้เป็นของขวัญรับแฟนลูกชายคนเล็ก)

สัปดาห์สุดท้ายของการปิดเทอมได้เริ่มขึ้นแล้ว ผมกับพี่ทาวน์ตกลงกันว่าจะขับรถลงใต้ไปเที่ยวภูเก็ตพร้อมด้วยบรรดาเพื่อนๆ อีกหลายชีวิต กระเป๋าใบโตที่บรรจุเสื้อผ้าสำหรับสองคนถูกจัดเตรียมเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อคืน ไอ้เอยเป็นคนจัดการเรื่องวิลล่า พี่แฮมวางแผนเรื่องร้านอาหาร ไอ้ฟาร์มหาสถานที่ท่องเที่ยว ส่วนที่เหลือช่วยกันออกความคิดเห็น

ยามเช้าที่มีฝนตกปรอยๆ ทำให้ผมคุดคู้อยู่บนที่นอนอย่างเกียจคร้าน มันหนาวจนต้องควานมือหาความอบอุ่นแต่ข้างตัวว่างเปล่าไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต พี่ทาวน์คงตื่นไปออกกำลังกายแล้ว

ผมยันกายลุกขึ้นจากเตียงแล้วบิดขี้เกียจสองสามทีก่อนเดินออกไปนอกห้องนอน สิ่งที่เจอต่างไปจากสิ่งที่คิดอยู่มาก เพราะพี่ทาวน์กำลังเตรียมอาหารเช้าด้วยการยกข้าวต้มแช่แข็งของเซเว่นเข้าตู้ไมโครเวฟ ทุกทีเขาไม่เคยทำ แต่วันนี้สงสัยฝนจะตก พายุจะเข้า...

“พี่ทาวน์ครับ”
ผมเรียกเขาเสียงเครือเพราะเพิ่งตื่นนอน อีกฝ่ายทำเพียงแค่เหลือบมองแล้วกลับไปสนใจตู้ไมโครเวฟต่อ อยากถามว่ามันหน้าตาดีนักหรือไงถึงสนใจมากกว่าแฟนแบบนี้

“ไปอาบน้ำ”
คำสั่งเรียบๆ แต่ทำให้ผมถึงกับเบะปาก จะเข้ามาอ้อนกอดสักหน่อยกลับโดนไล่ซะอย่างนั้น เกิดเป็นไอ้ภาคินช่างน่าสงสาร

“โธ่ เพิ่งหกโมงเองครับ ไม่ต้องรีบอาบหรอก”
ผมขัดคำสั่งแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ดวงตาคมมองคนที่ยืนพิงสะโพกกับเค้าน์เตอร์ครัวด้วยความรู้สึกหลากหลาย แต่อย่าหวังว่าพี่ทาวน์จะเขินง่ายๆ เพราะตอนนี้เริ่มทำเสียงหึให้ขนลุกแล้ว

“นัดแปดโมง”
นัดออกเดินทางไปภูเก็ต ซึ่งผมเป็นคนขับรถครึ่งแรกจ้า ส่วนครึ่งหลังเป็นไอ้ไธ ต้องเพิ่ง GPRS ทั้งคู่ แล้วคนที่รู้เส้นทางก็เสือกรวมตัวกันที่รถอีกคัน แม่ง อยากจะฆ่าพวกมันทิ้งจริงๆ

“ชิวๆ อาบน้ำสิบนาทีก็เสร็จ แต่ตอนนี้หนาวจังเลยครับ ขอกอดได้ไหม”
ผมบอกด้วยเสียงอ้อนๆ แล้วกางแขนเพื่อรอรับอีกคนเข้าสู่อ้อมกอด แต่พี่ทาวน์ทำเพียงย่นคิ้วแล้วบุ้ยปากไปทางตะกร้าใส่เสื้อผ้าที่เพิ่งซักมาใหม่

“ใส่เสื้อสิ ไม่ใช่ล่อนจ้อนโชว์รอยสักแบบนี้”
พี่ทาวน์หรี่ตามองคล้ายไม่พอใจที่ผมถอดเสื้อนอนเมื่อคืนนี้ ก็เมื่อคืนอากาศมันร้อนใครจะคิดว่าตอนรุ่งสางฝนจะตก แต่นายภาคินไม่ยอมรับความพ่ายแพ้หรอก ยังไงเช้านี้ก็ต้องได้รับกอดอุ่นๆ จากแฟน

“ใจสั่นก็บอก”
ผมเอ่ยล้อก่อนจะลุกขึ้นแล้วยืดอกเพื่อตั้งใจโชว์รอยสักรูปเข็มทิศ จำได้ว่าเมื่อครั้งที่ยังไม่ได้เป็นแฟนกัน พี่ทาวน์เคยหงุดหงิดเพราะมันมาแล้ว

“หึ อยากรู้ก็เข้ามาพิสูจน์ใกล้ๆ”
พี่ทาวน์ไม่ได้ตอบคำถามกลับมาตรงๆ แต่ออกปากเชิญชวนด้วยท่วงท่าที่ทำให้ผมต้องขบกรามแน่นเพราะเขาหงายมือแล้วกระดิกนิ้วชี้ ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แม่ง โคตรจะยั่ว แบบนี่เขาเรียกพูดน้อยแต่ต่อยหนักหรือเปล่า ปล่อยหมัดทีก็ชนะน็อคตลอด

“เชิญชวนเหรอครับ”
ผมรู้ว่านั่นเป็นกับดักทรงพลังแต่ก็เต็มใจยื่นเท้าเข้าไปแหย่หรือบางทีก็กระโจนทั้งตัว

“อืม”
พี่ทาวน์พยักหน้ายืนยันทำให้ผมคลี่ยิ้มกว้างแล้วรีบสาวเท้าเข้าไปหา แต่เมื่อระยะทางลดลงกลับต้องชะงักกึก เบิกตาโพลงมองสิ่งที่ถูกส่งมาเป็นปราการป้องกัน ฉิบหายแน่ๆ คราวนี้

“เฮ้ย ยกเท้าทำไมพี่”
นี่ถ้าเขายกยันหน้าอกผมได้คงทำไปแล้ว แต่ตอนนี้ก็อันตรายเหมือนกันเพราะมันอยู่กลางเป้า

“ก็กูเท้าสั่นอยากถีบมึงไง”
คำเฉลยเสียงกลั้วหัวเราะทำให้ผมถึงกับบุ้ยปากแล้วยอมถอยกลับไปนั่งที่เดิม ขืนทำรุ่มร่ามมากกว่านี้คงโดนถีบแน่ๆ จะกอดแต่ละทีอุปสรรคเยอะเหลือเกิน นี่แฟนหรือข้าทาสครับ ทำร้ายกันจังเลย ฮือ

“โห ร้ายกาจ!”

หลังจากงอแงพอเป็นพิธีก็ได้เลิกกลับเข้าห้องเพื่อไปอาบน้ำแต่งตัว ชุดที่จะใส่วันนี้เป็นเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายสีฟ้าอ่อนกับกางเกงขาสามส่วนแบบสบายๆ เหมาะแก่การไปทะเลแต่ให้กูใส่ตั้งแต่ออกจากคอนโดกว่าจะถึงที่หมายก็ดึกแล้ว ไอ้เวรจิณณ์เอ้ย มึงจะรีบทำไมเนี่ย!

คิดว่าผมจะใส่ชุดที่ฝาแฝดเตรียมให้ไหม คำตอบคือใส่เพราะขี้เกียจเถียงกับมัน ส่วนพี่ทาวน์อยู่ในชุดลำลองง่ายๆ อย่างเสื้อยืดสีเข้มกับกางเกงขาสามส่วนกำลังง่วนอยู่กับการยกข้าวต้มออกจากไมโครเวฟเทใส่ถ้วยกระเบื้อง กลิ่นหอมเชิญชวนให้น้ำย่อยเริ่มทำงาน ถึงจะไม่ใช่อาหารที่อร่อยที่สุด แต่เขาเป็นคนเตรียมให้เชียวนะ

“หูย ข้าวต้มน่ากินจังครับ”
ผมพุ่งเข้าไปนั่งที่โต๊ะด้วยท่าทางตื่นเต้นพร้อมฉีกยิ้มกว้าง พี่ทาวน์ไม่ได้ตอบกลับแต่ส่งช้อนมาให้ ใบหน้าช่างเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ซะจริงๆ

ผมจ้วงข้าวต้มเซเว่นขึ้นมาเป่าเพื่อระบายความร้อนแต่สายตากลับจับจ้องคนที่กำลังละเลียดลาเต้ลงคอ ฟองนมที่ติดอยู่บนริมฝีปากทำให้ต้องกลืนน้ำลายฝืดๆ อยากพุ่งเข้าไปทำความสะอาดให้เหลือเกิน

“ข้าวต้มอร่อยมากเลย”
ผมลองพูดเพื่อดูปฏิกิริยาตอบกลับ แต่พี่ทาวน์ก็ยังคงสนใจลาเต้ร้อนเหมือนเดิม ทำไมเขาทำกับแฟนแบบนี้ล่ะวะ

“.....”

“ฟินสุดๆ”
ผมพูดต่อ แต่คราวนี้พี่ทาวน์ถลึงตาแล้วหยิบหัวหอมในแซนวิชปาใส่ สงสัยหมดความอดทนหรืออีกอย่างคือทำไม่รู้ไม่ชี้เพราะเขินที่มาเตรียมอาหารให้ครั้งแรก... หูย ใช่แน่ๆ

“เดี๋ยวสลบไม่รู้ตัว”
เสียงเย็นๆ ที่เปล่งออกมาทำให้ผมกลายเป็นหมาหงอย เคี้ยวข้างในปากอย่างซึมๆ แหย่เขามากไปจนได้เรื่องอีกแล้วกู

“ก็แค่อยากชม...”
ผมพึมพำเสียงอ่อย ช้อนตามองคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“ประสาท แค่จับใส่ไมโครเวฟจะชมเพื่ออะไร”
พี่ทาวน์หูดีอย่างเหลือเชื่อ ถึงปากจะบ่นแต่มือยังหยิบของกินประเคนให้ไม่หยุด นม น้ำผลไม้ แถมตามด้วยอมยิ้มกลิ่นแอปเปิ้ล ซึนไม่มีใครเกินจริงๆ เลย

“ก็แฟนน่ารักนี่หว่า”
ผมเลิกหงอก่อนท้าวคางมองพี่ทาวน์ด้วยรอยยิ้ม วางมือจากช้อนแล้วเอื้อมไปจับแก้มนุ่มเล่น เขาถลึงตาใส่แต่ไม่ได้ปัดป้องแต่อ้าปากจะงับมือกันต่างหาก โคตรโหด

“พูดมาก รีบๆกิน จะแปดโมงแล้ว”

มื้อนี้อาจจะไม่อิ่มท้อง แต่อิ่มอกอิ่มใจแน่นอน

ผมแบกกระเป๋าใบโตขึ้นหลังแล้วให้พี่ทาวน์หิ้วพวกเสบียงตามมาเพื่อเอาไว้กินระหว่างออกเดินทาง ส่วนคนที่เหลือก็ยืนรออยู่ตรงล็อบบี้ ข้าวของท่วมท้นอย่างกับไปต่างประเทศ พวกมึงจะนั่งกันตรงไหนหื้ม ได้ข่าวว่าเอารถไปแค่สองคันนะเว้ย

“พวกมึงจะย้ายบ้านไปอยู่ภูเก็ตหรือไง”
ผมเอ่ยทักเมื่อเดินมารวมตัวกับกลุ่มเพื่อนเรียบร้อยก่อนจะหันไปยิ้มทักทายพี่ฟาและพี่แฮมที่ยืนถัดไป ไอ้ฟาร์มเจ้าของกระเป๋าใบโตฉีกยิ้มกว้างไม่รู้สึกรู้สากับคำประชด หน้าด้านจริงๆ เลยว่ะ

“เออ จะขอพ่อแม่ไปสร้างเรือนหอที่นั่น”
มันบอกเสียงใส ท่าทางร่าเริงเกินเหตุจนผมต้องหรี่ตามองอย่างคาดคั้น มีอะไรเกิดขึ้นวะ หรือมันกับพี่ฟาลงเอยกันเรียบร้อยแล้ว

“จีบพี่ฟาติดแล้วหรือไง”
จิณณ์ที่ยืนป้อนขนมไอ้ไธอยู่ถึงขนาดสอดปากเข้ามาถามคนขี้มโน ผมพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วยจนทำให้ไอ้ฟาร์มหน้ามุ่ยไปเลย พวกเราไม่ได้พูดอะไรผิดสักหน่อย

“อย่าทำลายความฝันกูสิวะจิณณ์ แต่อีกไม่นานกูจะคว้าดาวให้ได้ ที่ภูเก็ตนั่นล่ะ”
มันบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่กับแผ่วเบาเหมือนกลัวใครแถวนี้ได้ยิน ซึ่งคงไม่พ้นพี่ฟาที่คุยกับแฟนผมอย่างออกรส (พี่เขาคนเดียวน่ะนะ ส่วนพี่ทาวน์แค่พยักหน้า)

“สาธุนะมึง ขอให้ได้ ขอให้โดน”
อันนี้ไอ้ไธมันอวยพรพร้อมทั้งตบบ่าให้กำลังใจ ผมก็ได้แต่ยิ้มเท่านั้น เพราะขี้เกียจจะยุ่งเรื่องนี้ ยืดเยื้อจนบางทีเผลอคิดว่าถ้าพี่ฟาไม่ได้ชอบไอ้ฟาร์มเป็นทุนเดิม เขาอาจมีแฟนไปแล้วมั้ง

“ถ้าคุณฟาร์มทำได้ ผมยอมเลี้ยงบิงซูในสเวนเซ่นเลยครับ”
ขนาดไอ้ตังค์ที่ยืนสงบเสงี่ยมในตอนแรกยังกล้าออกปากท้า มันคงเห็นไอ้ฟาร์มเป็นคนกากแห่งปี ไม่สิ ข้ามปีแล้วต่างหาก

“เตรียมเงินไว้เลยไอ้แว่น!”
ไอ้ฟาร์มรับคำท้าอย่างหนักแน่นแล้วเอื้อมมือไปจิ้มหน้าผากไอ้เนิร์ดจนเกือบหงายหลัง เป็นจังหวะเดียวกันที่สามีสุดเถื่อนของมันกลับมาจากห้องน้ำ ผมได้แต่ร้องบอกเพื่อนในใจว่า ‘โชคดีนะมึง อย่าเพิ่งตายทั้งที่ยังไม่ได้พี่ฟาเป็นแฟน’

“ตวาดอะไรแฟนกู เดี๋ยวตบหัวทิ่ม”
ไอ้เอยขู่เสียงเขียวก่อนจะรวบเอวคนร่างเล็กเข้าไปกอดไว้อย่างหวงแหน ไม่มีคำว่าอายหรือกลัวสายตาคนอื่นจะมองแปลกๆ เลยด้วยซ้ำ ผมว่าผมชอบความเป็นไอ้เอยนะ ตรงๆ ไม่อ้อมค้อมดี ที่สำคัญคือไอ้ตังค์ไม่ขัดขืน นี่ก็อ้อนผัวน่าดู หมั่นไส้เว้ย

“ถามจริง มึงหลงอะไรไอ้แว่นนักหนาเนี่ย”
ไอ้ฟาร์มทำเนียนด้วยการค่อยๆ ถอยหลังหนีแล้วเอาผมเป็นเกราะป้องกันส่วนตัวเนื่องจากคำถามวอนโดนตีน แล้วกูเกี่ยวอะไรกับมึงเนี่ย อยากจะบ้าตาย เฮ้อ

“มันน่ารัก”
แต่ไอ้เอยกลับตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแถมหลุบสายตามองไอ้ตังค์ด้วยรอยยิ้มชวนหลงใหล นี่สินะ เขาเรียกว่าความรักที่แท้จริง คนเถื่อนกับเด็กเนิร์ดคนละแนวเลยไหมล่ะมึง

“ตรงไหน”
ไอ้ฟาร์มถามอีกครั้งก่อนคว้าชายเสื้อของผมไว้แน่เพื่อป้องกันการหนี ถ้ามันไม่กระซิบบอกว่าจะซื้ออมยิ้มเซ่นทั้งเดือนคงไม่ยอมหรอก นี่ไม่ได้เห็นแก่กินจริงๆ นะ

“สำหรับกู พอใจยัง”
คำตอบของไอ้เอยทำให้พวกเราเบะปากโดยพร้อมเพรียงกัน แต่ไอ้คนที่ยืนหน้าแดงเป็นมะเขือเทศสุกโคตรน่าหมั่นไส้กว่าร้อยเท่า ตั้งแต่มันมีผัวเป็นตัวเป็นตนนี่หน้าบางสุดๆ ผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปลงและยอมรับว่าเพื่อนกลายเป็นสาวน้อยบอบบางไปแล้ว

“จ้า กูล่ะอิจฉาคนมีความรักเหลือเกิน ชิ”
ไอ้คนปากหมาก็ยังไม่วายแขวะเพื่อนจนผมต้องหันไปส่งสายตาเป็นเชิงปราม จากที่แค่จะเล่นสนุกถ้าเกิดโกรธกันจริงขึ้นมาทริปจะล่มแล้วกูอดเผด็จศึกพี่ทาวน์ แค่กๆ ทำไมอยู่ๆ ก็คันคอจัง

“ถ้ากูเป็นพี่ฟาจะไม่เอามึงทำผัวแน่ๆ ปัญญาอ่อน”
ไอ้เอยส่ายหัวด้วยท่าทางกวนตีนสุดๆ แถมยังเย้ยไอ้ฟาร์มด้วยการส่งสายตาไปมองพี่ฟาที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากตัวเอง

“ไอ้เอย!”
ไอ้ฟาร์มทิ้งเกราะป้องกันตัวแล้วทำท่าจะเดินไปเอาเรื่องคนเถื่อนแต่ดีที่ผมคว้าคอเสื้อด้านหลังไว้ได้ทัน และนั่นส่งผลให้มันไอ้โขลกออกมา กูขอโทษ

“เฮ้ยๆ พอเหอะน่าเอย มึงอย่าไปแกล้งมันดิวะ”
จิณณ์ละจากการปรนนิบัติไอ้ไธแล้วมาห้ามสงครามโดยการที่ส่งมือไปตีแขนเพื่อน

“สนุกดี อารมณ์ขึ้นง่ายฉิบหาย”
มันกระตุกยิ้มยั่วจนทำให้คนที่เพิ่งไอโขลกกลับมาหน้าตึงอีกครั้ง คราวนี้ผมยึดไหล่ไอ้ฟาร์มไว้แน่น ลองขยับตัวสิ พ่อจะกัดให้หูขาดเลย ทะเลาะกันเป็นเด็กๆ ไปได้

“นิสัยไม่ดีเลยครับคุณเอย คืนนี้งดนะ”
คำพูดนิ่งๆ ของไอ้ตังค์ทำให้ผมถึงกับอ้าปากค้างตาถลน ไม่เว้นแม้แต่ไอ้เอยที่มุ่ยหน้าทันทีราวกับโดนขัดใจ อย่า... พวกมึงอย่าทำให้กูคิดอกุศล

“ไม่ได้สิวะ กูอดอยากมาเป็นเดือนๆ แล้ว”
ชัดเจนจนเบี่ยงไปเรื่องอื่นไม่ได้เลย ให้ตาย พวกมึงอย่ามาโชว์ความเป็นผัวเมียแถวนี้นะเว้ย พญานกรู้สึกเจ็บจี๊ดยังไงก็ไม่รู้

“เดี๋ยวๆ พวกมึงคุยเรื่องอะไรกัน เกรงใจคนอื่นหน่อย”
ผมเอ่ยปรามพวกมันแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ถ้าไม่เกรงใจกูก็เกรงใจไอ้ฟาร์มที่ยังไม่ได้แฟนมาควงเถอะ ช้ำกว่านี้ก็คงกระอักเลือดตาย

“จำเป็นเหรอ เรื่องของผัวเมีย มึงไม่มีอย่าเสือก”
โอ้โห จุกถึงลิ้นปี่เลย

“ไอ้...”
แถมด่าไม่ออกด้วย เจ็บเว้ย!

ผมได้แต่ยืนอ้าปากพะงาบๆ ชี้หน้าไอ้เอยอยู่แบบนั้น มันยิ้มเยาะแล้วกอดคอแฟนหนีออกไปขึ้นรถอีกคัน แม่ง... ทำไมเป็นคนที่เอาเรื่องจริงมาพูดเล่นแบบนี้วะ มึงต้องการอะไรกับคนกากอย่างกู

“เจ็ท ไปกันเหอะ สายแล้ว”
เสียงเรียบที่ดังมาจากมุมหนึ่งของล็อบบี้ทำให้ผมหันขวับไปมอง ลืมไปแล้วว่าพวกพี่ทาวน์ก็ยืนอยู่ไม่ไกล จะได้ยินที่พวกเราคุยกันไหมวะ โอย อยากเอาหัวโขกกำแพงแล้วก็ตายไปอย่างเงียบๆ

“ครับๆ ไปเดี๋ยวนี้เลย”
แต่ผมทำได้แค่วิ่งแบกกระเป๋าตรงไปหาเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะเวลาต่อจากนี้ไปแผนเผด็จศึกพี่ทาวน์กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว หึหึ คราวนี้ไม่พลาดแน่ รับรอง

การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นเพราะไม่ใช่ช่วงเทศกาลพิเศษ โดยเลือกใช้เส้นทางพระรามสองตามที่คนในพันทิปแนะนำ ผ่านประจวบฯ เลยแวะกินข้าวเที่ยงกันก่อนจะเดินทางต่อ ภายในรถเงียบกริบเพราะต่างคนต่างจมเข้าโลกส่วนตัว ไอ้ไธหลับ ส่วนจิณณ์นั่งเล่นเกม พี่ทาวน์อ่านตำราเรียน ผมล่ะอยากขว้างหนังสือเล่มนั้นทิ้งจริงๆ เลย ดึงความสนใจดีนักนะ ครั้นจะชวนคุยก็เกรงใจเลยได้แต่ทำหน้าบูดเป็นตูดอยู่แบบนี้

“เอาอมยิ้มไหม”
อยู่ๆ คนที่ก้มหน้าอ่านหนังสือก็ถามขึ้นทำให้ผมเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ไม่ใช่ว่าลืมกันไปแล้วหรือ

“ไม่เอาครับ”
ผมปฏิเสธเพราะรู้สึกกระหายน้ำมากกว่า แต่ดูเหมือนพี่ทาวน์จะเข้าใจผิดว่าโดนงอนเพราะเขาเงยหน้าขึ้นจากหนังสือพลางขมวดคิ้วแน่น

“เป็นอะไร”
เสียงปิดหนังสือตามมาทำให้ผมหายใจติดขัด เมื่อครู่เกือบเหยียบเบรกกะทันหันซะแล้ว ทำไมบรรยากาศมันอึมครึมขนาดนี้ หรือเมื่อครู่เผลอแสดงสีหน้าแย่ๆ ออกไปวะ

“เปล่าครับๆ แค่หิวน้ำน่ะ”
ผมปฏิเสธก่อนจะส่ายหน้ารัวๆ เป็นการยืนยัน พี่ทาวน์ครางรับแล้วเอื้อมมือไปหยิบขวดน้ำออกมาเป็นขณะเดียวกันกับที่รถติดไฟแดงพอดี

“กินซะ”
ขวดน้ำที่ถูกเปิดอย่างเรียบร้อยพร้อมกับหลอดที่ปักลงไปพร้อมดูด ผมทำท่าจะเอื้อมมือไปรับแล้วกล่าวขอบคุณแต่พี่ทาวน์กลับขยับหนีแถมด้วยการถลึงตาใส่ ไอ้ภาคินทำอะไรผิดครับ... งงในงงมาก

“ป้อน”
คำพูดสั้นๆ ทำให้ผมสตั้นก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างที่สุดในรอบวัน รีบก้มลงดูดน้ำเปล่าไปเกือบครึ่งขวด โคตรสดชื่น

“ขอบคุณนะครับที่รัก”
ผมหยอดคำหวานด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มเลยโดนสายตาอาฆาตจ้องเขม็งก่อนที่ขวดน้ำจะปิดมากระแทกหน้าผากเข้าเต็มๆ ซี๊ดเลยครับ แถมได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วจากคนเป็นพี่ชาย โคตรอาย!

“เลี่ยน”
พี่ทาวน์เบนหน้าหนีไปทางอื่นแต่ก็แอบยิ้มเล็กๆ โอย โคตรน่ารักเลยเว้ย รีบขับรถให้ถึงสุราษฎร์ฯ ดีกว่าจะได้เปลี่ยนไปนั่งจู๋จี๋กับเขาที่เบาะหลังสักที

กว่าจะถึงที่หมายในการเปลี่ยนมือคนขับผมก็แทบจะคลานลงจากรถเพราะไม่ค่อยเดินทางไกลมากนัก ขาขวาปวดร้าวจนไม่อยากขยับ นี่คือผลของการอู้ออกกำลังกายมาหลายเดือนหรือเปล่าวะ

“หมดสภาพเลยเหรอวะ”
ไอ้เอยที่เดินลงมาเซเว่นด้วยกันทักขึ้นเมื่อเห็นผมเดินลากขา หันไปตวัดสายตามองแรงใส่มันเพราะยังไม่หายเคืองเรื่องเมื่อเช้า

“ยุ่ง”
ผมบอกปัดๆ ก่อนจะเดินไปหยิบไส้กรอกสองถุงแล้วตรงไปจ่ายเงินที่เค้าน์เตอร์ มันก็ไม่วายตามมายืนอยู่ด้านหลังแถมหยิบกล่องถุงยางขึ้นมายั่วอีก เดี๋ยวกูถีบออกไปนอกร้านเลยไอ้เพื่อนเหี้ย

“ไม่ซื้อบ้างเหรอ อ้อ ลืมไปว่าคงไม่มีโอกาสใช้”
ปากหมากว่าไอ้ฟาร์มก็วิศวะหน้าเหี้ย... ม อย่างมันนี่ล่ะ โอย ใครก็ได้เอามันออกไปไกลๆ ที

“มึงไม่ได้ฉีดยาหรือไง กัดกูจังนะวันนี้”
ผมถามเสียงรอดไรฟันแต่ฉีกยิ้มให้พนักงานหน้าเค้าน์เตอร์แล้วล้วงเงินออกไปจ่ายและรอไส้กรอกที่ส่งเข้าไมโครเวฟ ไอ้เอยขยับเข้าไปแทนที่เพื่อจัดการธุระของตัวเองแต่ไม่วายหันมาตอบคำถาม

“แค่อยากกระตุ้นให้มึงเลิกนกสักที นี่กูหวังดีนะ”

“อย่างมึงเขาเรียกกวนตีน ไอ้เหี้ย”

“อ้าวเหรอ เพิ่งรู้ตัว”
มันเลิกคิ้วขึ้นทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้จนผมอยากจะยกขาถีบก้น แต่ด้วยความที่คนในเซเว่นเยอะเลยทำได้แค่แจกเขี้ยวใส่ คำด่าก็คิดไม่ออก

“ไส้กรอกได้แล้วค่ะคุณลูกค้า”
เสียงระฆังจากพนักงานสาวทำให้ผมต้องปรับสีหน้าทันควันเมื่อยื่นมือรับไส้กรอก เธอยิ้มเขินๆ มาให้แล้วกลับไปคิดเงินลูกค้าคนอื่นต่อ ทีไอ้เอยซื้อถุงยางทำไมหน้านิ่งจังวะ กูแค่ซื้อไส้... กรอก โอย ขอร้องอย่าจับคู่จิ้น!

“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง”
ผมทำได้แค่กำถุงไส้กรอกแน่นแล้วชี้หน้าคู่กรณีเป็นการคาดโทษก่อนจะเดินออกจากร้านแบบลืมว่าปวดขากันเลยทีเดียว

ผมส่งของกินในมือให้พี่ทาวน์แล้วจัดการของตัวเองไปเงียบๆ เพราะอารมณ์ยังบูด ก็รู้ว่าเพื่อนมันแกล้งเล่นแต่ลึกๆ มันกลับคล้ายการดูถูกมากกว่า คนที่ยังไม่มีอะไรกับแฟนมันผิดนักหรือไงวะ รู้จักคำว่ายินยอมพร้อมใจทั้งสองฝ่ายหรือเปล่า ไม่ใช่อยากได้ก็ปล้ำเอาแบบมัน กว่าจะจีบพี่ทาวน์ติดมันยาก ถ้าพังเพราะความหื่นก็คงน่าสมเพช

“ช่วยกินหน่อย”
อยู่ๆ พี่ทาวน์ก็ส่งตับไก่ย่างที่ไม่รู้ว่าเดินไปซื้อมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมกำลังจะส่ายหัวปฏิเสธแต่เขาขยับมาจ่อที่ปาก กินก็กอนวะ แฟนอุตส่าต์ป้อนทั้งที

ผมงับตับไก่แล้วเคี้ยวจนแก้มตุ่ย จังหวะที่กำลังจะคลี่ยิ้มเป็นการขอบคุณคนป้อนกลับโดนมือเรียวปาดเข้าที่มุมปากอย่างแผ่วเบา การกระทำไม่มีสะดุดคล้ายกับว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่หัวใจเต้นโครมครามอย่างน่ากลัว น่ารัก น่ารักเกินไปแล้ว

“กินอย่างกับเด็ก”
คนทำตัวแก่บ่นกระปอดกระแปดก่อนจะเช็ดนิ้วเปื้อนลงบนกระดาษทิชชู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ผมมองท่าทางนั้นแล้วคลี่ยิ้มละมุน อยากจับเขาฟัดให้น่วมจริงๆ เดี๋ยวนี้แสดงออกถึงสถานะระหว่างเราชัดเจนขึ้น ถึงแม้ไม่ได้ป่าวประกาศให้คนทั้งโลกรู้ก็เถอะ

“ทำไมวันนี้ทำตัวน่ารักจังครับ”
ผมรวบถุงไส้กรอกไว้ในมือก่อนจะมองคนข้างตัวด้วยแววตาสงสัย ไอ้ทำตัวน่ารักมันก็ดี หัวใจทำงานหนักนืดหน่อย แต่ยังไงก็ดูแปลก... ต้องมีเหตุผลสิ

พี่ทาวน์ชะงักมือที่ง่วนอยู่กับการแกะพลาสติกหุ้มฝาขวดน้ำ ดวงตารีเหลือบมองผมครู่หนึ่งก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามเย็น

“ก็มึง... หงุดหงิดอยู่ไม่ใช่หรือไง”

“พี่รู้เหรอ”
ผมถามด้วยความประหลาดใจเพราะไม่คิดว่าพี่ทาวน์จะรับรู้เรื่องในวันนี้

“อืม กูถามไธเมื่อกี้”
เขาพยักหน้ารับก่อนจะยกขวดน้ำขึ้นกระดก ผมยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองเพราะเพิ่งคิดได้ว่าทำตัวให้คนอื่นเป็นห่วงมาตลอดทั้งวัน

“อ่า... ผมคงงี่เง่ามากไป ไอ้เอยก็แค่แกล้ง”
ผมพูดเสียงเบาก้มหน้ามองพื้น รู้ทั้งรู้ว่าไอ้เอยขี้แกล้งแต่ก็เผลออารมณ์เสียไปกับมันจนได้ ไม่มีความเป็นผู้ใหญ่เอาซะเลย แล้วแบบนี้จะปกป้องพี่ทาวน์ได้ยังไง

“ไม่หรอก ใครจะว่ายังไงก็ช่าง ไม่ต้องใส่ใจ กูกับมึงเป็นยังไงเรารู้ดีกันแค่สองคน”
พี่ทาวน์เอื้อมมือมาบีบไหล่กันจนผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง รอยยิ้มละมุนเป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่าเขาคิดอย่างที่พูดจริงๆ แววตาไม่มีแววตำหนิอะไรทั้งนั้น

“โคตรรักพี่เลยว่ะ”
ผมโน้มตัวลงไปกระซิบข้างใบหูแล้วกดปลายจมูกลงบนแก้มนุ่มนั่น ดีหน่อยที่ตรงนี้เป็นมุมอับสายตาและมีรถเอสยูวีบังอยู่ ถ้าไม่เกรงใจจริงๆ คงจับฟัดไปแล้ว

“หึ ให้มันจริง”
พี่ทาวน์ว่าเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะใช้ฝ่ามือตบแก้มกันเบาๆ เป็นการหยอกล้อแล้วขึ้นรถไปในขณะที่คนอื่นๆ กลับมาจากทำธุระส่วนตัว

พวกเราออกเดินทางกันต่อโดยที่รอบนี้มีไอ้ไธเป็นคนขับ บรรยากาศในรถคึกครื้นขึ้นเพราะจิณณ์เปิดเพลงคลอ เพื่อกระตุ้นไม่ให้ง่วง ผมสอดหมอนรองคอแล้วเอนหลังพิงเบาะ ความเมื่อยล้าที่สะสมตลอดทั้งวันพาลให้ร่างกายอยากพัก ขอนอนหน่อยนะ ไม่ไหวแล้วจริงๆ ถึงจะถ่างตาไปพี่ทาวน์ก็เอาแต่อ่านหนังสืออยู่ดี

จำได้ว่าก่อนจะหลับยังนั่งพิงเบาะอยู่เลย แต่ทำไมตอนลืมตาตื่นเพราะเสียงเฮลั่นของจิณณ์ว่าถึงวิลล่าที่จองเอาไว้กลับกลายเป็นว่านอนหนุนตักพี่ทาวน์อยู่ แถมเขายังเก็บหนังสือไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และที่น่าตกใจสุดๆ คือมือเรียววางทับอยู่บนเอวสอบ แม่ง... พลาดโมเม้นท์ดีๆ จนได้เลยกู

ผมเดินตัวปลิวเข้าที่พักอย่างงัวเงียเต็มที่โดยที่พี่ทาวน์ยึดกระเป๋าเสื้อผ้าไปถือไว้เอง แถมยังทำหน้าดุใส่ตอนที่จะไปแย่งคืน โอเคครับ เข้าใจแล้วว่าเป็นห่วงแต่ปากแข็ง

แต่ละคนมีสภาพไม่ค่อยต่างกันสักเท่าไหร่เพราะตาปรือพร้อมที่จะทิ้งตัวลงบนเตียงทุกคน ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วได้แต่พยักหน้าด้วยความเข้าใจ ดึกจนล่วงเลยเข้าวันให่ขนาดนี้ใครไม่ง่วงคงแปลก

วิลล่าหลังใหญ่แบ่งห้องนอนเป็นสี่ ห้องนั่งเล่นตรงกลาง มีห้องครัวสำหรับทำอาหารอย่างง่าย โต๊ะกินข้าวขนาดสิบที่นั่ง สระว่ายน้ำส่วนตัว ก่อนมาที่นี่เราตกลงกันไว้แล้วว่าใครจะนอนกับใคร ก็... จับคู่แฟนตัวเองนั่นล่ะ ส่วนคนโสดไปกระจุกอยู่ด้วยกัน ได้แก่ พี่แฮม พี่ฟา และไอ้ฟาร์ม

จิณณ์กับไอ้ไธขอตัวเข้าห้องก่อนใครเพื่อนแล้วตามมาด้วยคู่รักต่างขั้วและพี่ทาวน์ที่หนีไปจัดเสื้อผ้า เหลือทิ้งไว้ก็แต่ผมที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่บนโซฟา กับหนุ่มโสดสามหน่อที่กำลังยืนลับฝีปากคอเป็นเอ็น

“โอย กูขอไม่อาบน้ำนะ โคตรอยากนอนเลย”
เสียงงอแงของพี่แฮมดังขึ้น ผมที่นั่งหลับตาพิงพนักโซฟาถึงกับขมวดคิ้วแน่น แปลกใจที่คนโอดครวญคือบุคคลซึ่งนั่งกินขนมสบายๆ อยู่เบาะหลัง

“อี๋ สกปรกอะมึง ไปไกลๆ เลย ไม่ต้องมานอนกับกู”
น้ำเสียงแสดงความรังเกียจนั่นทำให้ผมปรือตามองสถานการณ์ที่มุมห้องรับแขกอย่างสนใจ ไอ้ฟาร์มที่เป็นคนกลางค่อยๆ ปลีกตัวออกจากวงแล้วหย่อนตัวลงบนโซฟาข้างกัน ท่าทางอยากนอนเต็มแก่แต่เข้าห้องไม่ได้เพราะอีกสองคนยังเถียงกันไม่จบ

“อยากนอนกับไอ้ฟาร์มสองคนก็สารภาพมา ไม่ต้องทำรังเกียจเพื่อนฝูงขนาดนี้ก็ได้”
พี่แฮมยืนพิงผนังแล้วกอดอกมองเพื่อนด้วยท่าทางเบื่อหน่าย คนโดนกล่าวหาถึงกับแยกเขี้ยวขู่แง่งๆ แต่หน้ากลับแดงเหมือนลูกตำลึง เขินหรือโกรธนะ

“กูไม่ใจง่ายขนาดนั้นนะ”
คำตอบถูกส่งให้พี่ฟาแต่สายตากลับมองไอ้ฟาร์ม เพื่อนคนกากของผมถึงกับสะดุ้งเฮือก มึงจะตกใจอะไรนักหนาหือ

“งั้นคืนนี้ให้ไอ้ฟาร์มนอนโซฟาแล้วกัน ขี้เกียจเบียด”

“ไม่ได้!”
พี่ฟาปฏิเสธเสียงดังจนผมเกือบกลิ้งตกโซฟา

“ทำไมวะ”
พี่แฮมเลิกคิ้วถาม

“กะ ก็มึงไม่อาบน้ำ ส่วนไอ้ฟาไม่สกปรกเหมือนมึง”
ตอบเสียงอ้อมแอ้มจนผมอจากจะล้อว่าห่วงไอ้ฟาร์มเหรอแต่สถานการณ์ตอนนี้ควรปิดปากเงียบแล้วรอดูดีกว่า

“กูอาบให้ก็ได้ แต่ไอ้ฟาร์มนอนโซฟาเหมือนเดิม”
พี่แฮมแม่งขี้แกล้ง ไอ้ฟาร์มนี่หน้าซีดไปหมดแล้วเว้ย

“มึงอย่าใจร้ายกับน้อง”
พี่ฟาเริ่มเสียงอ่อนลง สีหน้าไม่สู้ดี

“ก็มันนอนลำบาก”
เดี๋ยวกูจะติดแท็กให้พี่แฮมเป็นคนขี้แกล้งแห่งปี




ต่อด้านล่างน้า


ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
“แฮม...”
เขาเรียกเพื่อนเสียงเข้มก่อนจะง้างมือขึ้นสูง คงทนไม่ไหวแล้วจริงๆ นั่นล่ะ

“เออๆ กูไม่แกล้งมึงแล้ว เดี๋ยววีนแตกอีก”

ละครจบก็ต้องแยกย้าย กะว่าจะนั่งคุยกับไอ้ฟาร์มสักพักแต่พี่ทาวน์โผล่หน้าออกมาเรียกเข้าห้อง คงรู้สึกนะว่าเลือกทางไหน ยังไงแฟนก็มาก่อนเพื่อนกากๆ แน่นอน หึหึ อย่าหาว่าเลวเลย ช่วงนี้ต้องรีบทำคะแนน

“อยากเสนอตัวไปนอนโซฟาบ้างไหม”
คำถามแรกหลังจากผมทิ้งตัวลงบนที่นอนนุ่ม ดวงตาคมเบิกกว้างรีบส่ายหัวจนคอแทบหลุด เรื่องอะไรจะทำแบบนั้นเล่า

“เฮ้ย ไม่เอาหรอกพี่ นอนตรงนี้ดีกว่าเยอะ นุ่มสบาย”
ผมตบที่นอนปุๆ เป็นการยืนยันก่อนจะไถหน้ากับหมอนอย่างมีความสุข

“นึกว่าอยากนอนกอดกูซะอีก”
พี่ทาวน์ว่าเสียงกลั้วหัวเราะแล้วหยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นพาดบ่า ผมชะงึกไปเรียบร้อยแล้วที่โดนจับได้ ไม่เกี่ยวกับความนุ่มของที่นอนเลย แค่ได้กอดพี่ทาวน์ก็เป็นอะไรที่สบายสุดๆ ในชีวิต

“โห... พี่ไม่รู้ทันสักเรื่องได้ปะวะเนี่ย ผมเขินจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”
ผมบ่นกระปอดกระแปดแล้วเด้งตัวขึ้นนั่งจัดสมาธิ มือหนาลูบไล้ตามใบหน้าเพื่อลดความร้อน จริงๆ อายมากกว่าที่คิดเรื่องแบบนั้นกับพี่ทาวน์

“เด็กน้อยจริงๆ”
มือเรียวเอื้อมมาขยี้หัวกันด้วยความมันเขี้ยว ผมเลยคว้าเอวสอบมากอดแล้วแนบหน้าลงบนท้อง อืม... ตัวหอมจนอยากมุดเข้าไปในเสื้อเลยว่ะ จำได้ว่ามันเป็นกลิ่นน้ำหอมยอดฮิตอย่าง Bleu De Chanel

“โธ่พี่ ผมมันคนหน้าบาง”
บางที่ก็หื่นอะนะ

“หึ กูจะไปอาบน้ำแล้ว ง่วง”
พี่ทาวน์ผลักหัวทุยๆ ของผมออกห่างแล้วแกะมือปลาหมึกออกจากรอบเอว ก่อนจะหันหลังมุ่งตรงไปที่ห้องน้ำ

“ให้ผมช่วยปะ”
ผมรั้งเขาด้วยน้ำเสียงทะเล้น ยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ พี่ทาวน์เหลือบมองแค่หางตาก่อนจะพูดคำที่ทำให้โลกกลายเป็นสีเทาตุ่นๆ ไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเลยกู

“นั่งรอไปเงียบๆ ถ้ายังอยากหายใจ”
แฟนโหดโปรดทำตัวเป็นเด็กดีครับ

ผมเปิดกระเป๋าเสื้อผ้าเพื่อเตรียมชุดที่จะใส่หลังอาบน้ำ แต่พบว่ากางเกงในของตัวเองไม่มีสักตัว Calvin Klein ที่เห็นอยู่ก็เป็นของพี่ทาวน์ไม่ผิดแน่ๆ แล้วต้องทำยังไงวะ ไม่ชินที่ต้องห้อยโตงเตงนะเว้ย ฮือ ลืมหยิบมาจริงๆ เหรอวะ

เริ่มค้นกระเป๋าอีกครั้ง แทบจะมุดหัวเข้าไปทุกซอกทุกมุมแต่ไม่เจอ Diesel ของพี่อยู่ไหนวะ แม่ง ปัญหาระดับชาติเลยนะ ไม่มีกางเกงในใส่เนี่ย

“หาอะไร”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นทำให้ผมชะงักกึกแล้วเงยหน้าที่กำลังเบะเตรียมร้องไห้ขึ้นไปมองเขา

“กางเกงในของผม...”

“อ๋อ สีขาวนั่นไง”
พี่ทาวน์ตอบก่อนจะชี้กางเกงในสีขาวยี่ห้อเดียวกันกับของเขาให้ดู ผมเลิกคิ้วด้วยความสงสัย มันใช่เหรอ

“ห๊ะ ของพี่ไม่ใช่เหรอครับ”

“กูซื้อใหม่ให้”
ห๊า... อะไรนะ

“เอ่อ...”
ควรรู้สึกดีใจหรือเขินก่อนวะ ทำตัวไม่ถูกเว้ย แฟนซื้อกางเกงในให้เนี่ย!

“ก็ตัวเก่ามันเน่า กูเก็บทิ้งหมดแล้ว”
อ๋อ ทำไมเป็นแฟนที่น่ารักขนาดนี้วะ อยากให้ย้ายมาอยู่ด้วยกันเลยได้ไหม

“แอบวัดขนาดผมตอนไหนเนี่ย”
ผมถามเสียงทะเล้นแก้เขินก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อโน้มตัวเข้าไปใกล้ พี่ทาวน์ไม่ขยับหนีแต่ง้างเท้าเตรียมเตะ ใครไม่กลัวก็บ้า

“เดี๋ยวก็เตะเดี้ยง”

“โหย ล้อเล่นครับ ขอบคุณนะ”
ผมยิ้มกว้างแล้วขโมยหอมแก้มคนใจดีหนึ่งฟอด พี่ทาวน์พยักหน้ารับก่อนจะโบกมือไล่ให้ไปอาบน้ำ

“พี่ทาวน์ครับ หลับหรือยัง”
เมื่อหลังสัมผัสเตียงก็ออกปากถามพี่ทาวน์ที่นอนตะแคงหันหลังให้ แบบว่าแอร์มันหนาว กอดกันหน่อยได้ไหม...

“กำลัง”
คำตอบห้วนสั้นทำให้ผมลังเลที่จะขอ คือเอาจริงๆ อยากทำมากกว่ากอดเว้ย เสียงเครือไปหมดเพราะกำลังระงับอารมณ์ ก็ใครใช้ให้พี่ทาวน์ใส่บ๊อกเซอร์สั้นๆ กับเสื้อกล้ามสีขาวนอนล่ะ ไม่ใช่พระอิฐพระปูนสักหน่อย

“ผม...”

“ปล่อยให้กูเที่ยวสบายๆ สักสองสามวัน หลังจากนั้นจะทำอะไรค่อยว่ากัน”
พี่ทาวน์พลิกตัวกลับมาสบตากันแล้วใช้นิ้วดีดลงบนหน้าผากของผมอย่างหยอกล้อ ถึงแม้ว่าภายในห้องพักจะมืดสลัวแต่ก็พอมองเห็นว่าเขากำลังยิ้ม อยากจับมาขยี้จูบให้ปากเจ่อจริงๆ แต่เดี๋ยวนะ... เมื่อครู่พูดว่าอะไร

“เฮ้ย คือเปล่า ไม่ได้คิดเรื่อง...”
ผมรีบปฏิเสธเสียงรัว ส่ายหัวแทบหลุด แต่พี่ทาวน์กลับใช้นิ้วชี้แตะลงบนริมฝีปากกันแล้วออกแรงคลึงเบาๆ ให้รู้สึกวูบวาบ

“คิดว่ากูโง่เหรอ”
พี่ทาวน์กดจูบลงมาทั้งๆ ที่มีนิ้วชี้ขั้นกลางก่อนจะหัวเราะเสียงต่ำ ผมได้แต่เบิกตาโตเพราะโดนแกล้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่เอาคืนไม่ได้ ทำไมเป็นคนช่างยั่วได้ขนาดนี้วะ โอย

“ทำแบบนี้ผมแย่นะพี่”
ผมบอกเสียงอ่อยก่อนจะถูขาไปมาเพราะเริ่มมีอารมณ์ พี่ทาวน์เลิกคิ้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แต่กลับมองตรงไปยังห้องน้ำ เป็นอันรู้กันว่าอยากทำอะไรก็เข้าไปทำในนั้นแล้วกัน โคตรใจร้ายอะ

“ฝันดี... ครับ”
โธ่ ถ้าเล่นพูดเพราะขนาดนี้ผมยอมนอนข่มตาหลับก็ได้วะ




----------------------------------------------------

รับรองว่าทริปนี้ไม่นกแน่ๆ แต่ใครจะรุกใครนั่นอีกเรื่องเนอะ 5555555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ about

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
งู้ยยยยยยย ใจบางไปอีกกกก งื้ออออ :heaven :heaven

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
พี่ทาวน์ไม่ยอมเป็นรับหรอก...มั้ง555

ออฟไลน์ netich

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ netich

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 :ling1: :ling1: :ling1:รอๆ

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
แข่งครั้งที่ 34



อย่าถามว่าเมื่อคืนผมหลับไปเมื่อไหร่เพราะตอนที่แสงอาทิตย์แรกของวันโผล่พ้นขอบฟ้าตายังสว่างอยู่เลย ก็พี่ทาวน์เล่นขยับหน้าเข้ามาซุกตรงซอกคอแล้วปล่อยลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดตลอดเวลา แทบจะพุ่งเข้าห้องน้ำตั้งหลายครั้งแต่ก็ไม่ทำ นานๆ จะโดนคลอเคลียแบบนี้ ฮึ่ม!

เป็นโชคดีที่ผมเลือกห้องติดริมระเบียงที่สามารถมองเห็นหาดทรายได้อย่างชัดเจน เสียงคลื่นกระทบฝั่งคล้ายเสียงดนตรีขับกล่อมในยามเช้า อากาศสดชื่นจนอยากจะย้ายสำมะโนครัวมาอยู่ที่นี่

ดวงตาคมปิดลงก่อนแหงนใบหน้าขึ้นสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ถึงแม้ไม่ได้นอนทั้งคืนแต่ยังรู้สึกว่ามีพลังในการเที่ยวเหลือล้น แต่ไม่แน่ว่าช่วงเที่ยงอาจจะน็อค

“ตื่นเช้านะ”
เสียงเลื่อนประตูกระจกดังขึ้นพร้อมเสียงทักทายจากคนเพิ่งตื่นนอน ผมเผลอสะดุ้งแต่ก็หันไปยิ้มหวานให้เขา อยากบอกเหลือเกินว่าไม่ได้นอนทั้งคืนแต่ปากกลับขยับตอบไปว่า...

“ครับ อยากสูดกลิ่นทะเลยามเช้าน่ะ”
อยากจะตบปากตัวเองที่ตอแหลไม่เนียนเลย แถมยังหาวใส่พี่ทาวน์อีก เวรกรรมอะไรของกูนักหนาเนี่ย

“หึ ตาดำเหมือนหมีแพนด้าเนี่ยนะ”
พี่ทาวน์ยิ้มเยาะก่อนจะละสายตาไปมองทะเลยามเช้าที่มีแสงแดดตรงกระทบ มันระยิบระยับราวกับเพชรพลอย สวยจนอยากถ่ายรูปแต่บังเอิญไม่ได้หยิบโทรศัพท์ออกมา

“ก็... มันแปลกที่น่ะครับ”
ผมตอบเสียงอ่อย เหลือบมองใบหน้าด้านข้างของคนรู้ทันแล้วได้แต่ลอบถอนหายใจ ถ้าเขารู้ถึงเหตุผลที่แท้จริงอาจขอย้ายห้องนอนก็เป็นได้ ใครจะไปกล้าเสียงกับคนที่จ้องกินตัวเองตลอดเวลา

“อ๋อเหรอ ไม่ใช่ว่าหะ...”
หะ หอย เห็บ ห่าน เหา หัว หรือ หื่นวะ โอย ใครมาขัดจังหวะเนี่ย

“ไอ้ทาวน์กับไอ้เจ็ทตื่นยังวะ!”
เสียงทุ้มๆ แหบๆ แบบนี้เป็นของพี่แฮมไม่ผิดแน่ พี่ทาวน์ชักสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อยก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้เพื่อนสนิท ทิ้งให้ผมเดินตาม หย่อนตัวลงนั่งบนเตียงอย่างเกียจคร้าน ขอนอนสักงีบได้ไหม เพิ่งหกโมงอยู่เลย หาว ~

“ตะโกนอะไรแต่เช้าไอ้หมู”
พี่ทาวน์ทักทายเพื่อนพร้อมกับเปิดประตูให้ คนมาเยือนถึงกับเบ้ปากเมื่อได้ยินสรรพนามเรียกตัวเอง แต่ผมว่ามันปกติจะตาย ก็แฮมทำมาจากหมูนี่ คล้ายๆ กันนั่นล่ะน่า

“โห เรียกกูซะเสื่อมเสีย จะมาบอกว่ารีบๆ อาบน้ำ เดี๋ยวเข้าเมืองไปกินโรตีแถวน้ำกัน”
พี่แฮมดูร่าเริงเมื่อได้พูดประโยคสุดท้ายออกมา ใบหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเพราะ ‘โรตีแถวน้ำ’ ที่เขาพูดถึงคือร้านแนะนำของจังหวัดภูเก็ต ความอร่อยติดอันดับที่คนรีวิวกันอย่างล้นหลาม แต่ผมกลับดีดดิ้นบนเตียงเพราะง่วงเกินกว่าจะหิว ฮือ แดกอะไรเช้าขนาดนี้วะ นี่มันเวลานอนเว้ย สลีปไทม์อะ รู้จักไหม!

“เออๆ ขอหนึ่งชั่วโมง”
ไอ้คนตื่นเช้าก็พยักหน้ารับง่ายๆ โกรธซะดีไหมเนี่ย ช่วยหันมาดูแฟนคุณหน่อยสิครับ หนังตาจะย้อยถึงพื้นอยู่แล้ว ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแล้วม้วนเป็นซูชิประท้วง แต่เชื่อว่าไม่มีใครสังเกตเห็นหรอก เขาสนใจเราซะที่ไหนเล่า

“นานจังวะ เผื่อเวลาแหย่รูกันเหรอ”
คำถามกลั้วหัวเราะนั่นทำให้ลมหายใจของผมสะดุดกึก ดวงตาคมเบิกโพลงก่อนจะรีบมุดหัวออกจากผ้าห่มเพื่อดูว่าพี่ทาวน์ทำท่าทางแบบไหนตอบกลับไป จะเขินหรือเปล่า หน้าแดงไหม หรือโมโหจนถีบเพื่อนล้มหงาย แม่ง ลุ้นยิ่งกว่าเชียร์บอลซะอีก

“อยากตายเหรอมึง”
พี่ทาวน์ปล่อยหมัดใส่ต้นแขนของเพื่อนแบบไม่ออมแรงทำให้พี่แฮมสะดุ้งโหยงก่อนจะร้องเสียงหลง เบะปากทำหน้างอนเต็มที่ ผมควรสงสารหรือขำก่อนดีที่ผู้ชายสองคนกำลังทำตัวเหมือนเด็กน้อย

“โอย ล้อเล่นเอ๊ง อย่ารุนแรงสิวะ”
เสียงสูงๆ นั่นทำให้พี่แฮมโดนโบกหัวไปอีกหนึ่งทีโทษฐานไม่สำนึกผิด คราวนี้ผมคิดว่าควรสมน้ำหน้ามากกว่า เพราะชอบเอาเรื่องไม่จริงมาพูดเล่น แหย่รูบ้าอะไรเล่า แค่ถอดเสื้อผ้าบนตัวให้หมดทุกชิ้นยังไม่เคยทำสำเร็จมาก่อนเลย เศร้ากว่านี้มีอีกไหม...

“ไปไกลๆ ตีน น่ารำคาญ”
พี่ทาวน์โบกมือไล่เพื่อนสนิทแล้วปิดประตูใส่หน้าก่อนจะเดินดุ่มๆ กลับเข้ามาแต่ต้องชะงักเมื่อเห็นผมที่พยายามม้วนตัวออกจากผ้าห่ม สีหน้าของเขาดูสงสัยมาก ประมาณว่า ‘มึงทำบ้าอะไร ว่างนักเหรอ’

“เอ่อ...”

“เล่นอยู่ได้ ไปอาบน้ำ!”
เขาตวาดด้วยใบหน้าแดงก่ำแล้วพุ่งเข้าห้องน้ำซะเฉยๆ ก็ไหนว่าให้กูไป...

ผมนั่งนิ่งอยู่บนเตียงเพื่อประมวลผลเหตุการณ์เมื่อครู่ ตกลงว่าที่ออกคำสั่งนั้นแค่แก้เขินใช่ไหม โดนเพื่อนพูดเรื่องสัปดนด้วยแล้วรับไม่ได้สินะ โธ่ๆ น่ารักอะไรอย่างนี้ อย่าเผลอนะ พ่อจะจับฟัดให้น่วมเลยคอยดู มันเขี้ยวๆ!

เจ็ดโมงล้อหมุนอย่างรวดเร็ว ผมแทบกราบตักจิณณ์ที่ปรานีเป็นสารถีขับรถให้โดยไม่มีข้อแม้ แต่แปลกที่ไอ้ไธดูเพลียๆ ชอบกล นอนไม่หลับเหมือนกันเหรอวะ อยากถามมากแต่ติดตรงที่พี่ทาวน์กำลังยื่นกล่องนมจืดมาจ่อปาก บริการดีขนาดนี้ต้องยกให้เป็นแม่ศรีเรือน แค่กๆ อยู่ๆ ก็คันคอเฉย

ผมงับหลอดดูดแล้วช้อนตามองพี่ทาวน์ด้วยดวงตาหวานเยิ้มคล้ายเชิญชวนให้ทำเรื่องอย่างว่ากันตรงนี้ แต่ที่หวังให้เขาเคลิ้มตามคงเป็นไปได้ยาก เพราะกล่องนมถูกปล่อยทิ้งให้ลอยกลางอากาศ แม่ง คว้าแทบไม่ทัน ถ้าหกเลอะรถซวยกูอีก ค่าทำความสะอาดไม่ใช่ถูกๆ นะ

“ห้ามเลอะ”
ผมเดาว่าประโยคต่อไปคง ‘ถ้าเลอะมึงตาย’ อะไรประมาณนี้ เลยได้แต่นั่งดูดนมแบบสงบเสงี่ยมไม่กล้าส่งสายตายั่วอีกเลย กลัวจะโดนจิ้มตาบอดซะก่อนได้เห็นพี่ทาวน์เปลือย แค่กๆๆ คราวนี้ส้นตีนแฟนติดคอแน่ๆ ฮือ จะร้อง

“พี่ทาวน์ครับ ขอจับนมหน่อย”
เสียงเพลียๆ ของไอ้ไธดังขึ้นพร้อมกับแขนยาวที่ยืนมาจากเบาะหน้า เจ้าของชื่อพยักหน้ารับแต่ผมกลับถลึงตามองเพื่อนอย่างอาฆาต มันจะมากเกินไปแล้ว ขอกันง่ายๆ ได้ไงวะ!

“อยู่ๆ มาขอจับนมแฟนคนอื่นได้ไงวะ!”
ผมโวยวายเสียงดังจนลืมว่าตัวเองกำลังดูดนมอยู่ ปลายหลอดดีดน้ำสีขาวขุ่นจนเลอะเป็นดวงๆ บนเบาะคนขับ โธ่เว้ย สติไม่ค่อยมีแถมยังหาเรื่องซวยให้ตัวเองอีก

เงินกำลังจะหมุนไป กำลังจะหมุนไป ให้รถยนต์ ~

“เชี่ยมึง กูขอนมกล่องเว้ย จับห่าอะไร เบลอนะมึง แอบพี้กัญชาเหรอ!”
ป้าบ โดนไอ้ไธกับพี่ทาวน์ประเคนฝ่ามือใส่หัวคนละครั้ง ผมได้แต่อ้าปากงงๆ เมื่อครู่มันขอนมกล่องเหรอ ไม่ได้ขอจับนมใช่ปะ เอ้อ สงสัยกูคงต้องนอนแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นวันนี้คงเบลอตลอดทริปแน่

“ง่วงก็นอน อย่าสร้างความวุ่นวาย”
คำพูดเรียบๆ แต่อานุภาพทำลายล้างช่างรุนแรงจนผมได้แต่ซุกหน้าลงกับหมอนอิงสกรีนลายน้องหมาไซบีเรียนที่คาดว่าคงติดรถมาตั้งแต่พี่ทาวน์คบกับพรีม ตอนเห็นครั้งแรกก็แอบนอยด์ หลังๆ เริ่มช่างมันและคิดได้ว่าไม่ควรเอาอดีตมาบั่นทอนปัจจุบันและอนาคต

ผมวางหมอนลงบนเบาะแล้วเอนศีรษะทับเอียงหน้ามองภาพวิวทิวทัศน์ที่เคลื่อนไปเรื่อยๆ ผ่านกระจกที่ติดฟิล์มหนา การจราจรบนท้องถนนคล้ายกับเมืองหลวงแต่เบาบางกว่านิดหน่อย จังหวัดภูเก็ตถือเป็นเมืองท่องเที่ยวจึงไม่แปลกใจที่รถติดแบบนี้เลย ตอนแรกตั้งใจว่าจะนอนเอาแรงกลับกลายเป็นว่าข่มตาหลับไม่ได้ซะอย่างนั้นเพราะหูดันได้ยินเสียงคนที่เหลืออยู่คุยกัน

“พี่ทาวน์แยกผมกับไอ้เจ็ทออกด้วยเหรอ ใครๆ ก็บอกว่าเราหน้าเหมือนกัน”
จิณณ์เป็นคนตั้งคำถามขณะที่รถกำลังผ่านวงเวียนอนุสาวรีย์ท้ายเทพกระษัตรีท้าวศรีสุนทร ผมหลับตาลงเพื่อในเนียนกับการแอบฟังเนื่องจากเป็นเรื่องที่อยากรู้มานานแล้ว ได้โอกาสก็ขอหน่อยเถอะ เพราะคนส่วนใหญ่ชอบเรียกเราสลับกันประจำ

“ออกสิ เจ็ทสักแต่จิณณ์ไม่...”
ผมแทบสำลักอากาศเพราะไม่คิดว่าพี่ทาวน์จะตอบคำถามได้กวนขนาดนี้ ถ้าใครไม่สนิทคงคิดว่าเขาตอบจริงจังเพราะสีหน้าก็เรียบเฉย แต่ด้วยความที่คลุกคลีกันบ่อยเลยรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

“เฮ้ย ไม่เอารอยสักดิ”
ไอ้คนไม่รู้เรื่องก็โวยวายไปตามประสาจนได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากพี่ทาวน์ ผมล่ะอยากลืมตาแล้วร่วมวงสนทนาเหลือเกิน แต่อีกใจก็กลัวว่าเขาจะไม่ตอบคำถามทำนองนี้ ก็รู้ๆ อยู่ว่าปากแข็งยิ่งกว่าหิน

“ความรู้สึกมันบอก อธิบายไม่ถูก”

“โห คำตอบโคตรกว้าง”
เออ อันนี้กูเห็นด้วยอย่างแรงเลยว่ะจิณณ์ คำตอบกว้างกว่าจักรวาลอีกมั้งเนี่ย

“หึหึ แล้วไธแยกแฝดสองคนนี้ได้ยังไง”
ทำไมอยู่ๆ พี่ทาวน์ก็ไปถามไอ้ไธล่ะเว้ย นี่มันเลี่ยงตอบคำถามเรื่องตัวเองชัดๆ ไม่ใช่เหรอ ผมหงุดหงิดจนเผลอพ่นลมหายใจแรง ได้แต่ภาวนาให้ทุกคนไม่ได้ยินด้วยเถอะ

“ผมขอสารภาพตามตรงเลยนะครับ ช่วงแรกๆ ผมคิดว่าตัวเองชอบไอ้เจ็ทด้วยซ้ำ แต่อยู่ไปนานๆ เพิ่งสำนึกได้ว่าชอบจิณณ์”
ไอ้ไธตอบด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแต่ทำให้คนฟังอย่างผมถึงกับลอบเบะปาก ขนลุกซู่ ถ้ามันชอบกันจริงๆ ป่านนี้ฟ้าคงผ่าตายไปแล้ว...

“เพราะอะไร”
ผมพยายามขยับตัวเบาๆ เพราะกลัวว่าพี่ทาวน์จะจับได้ ก็แอบฟังแล้วเกร็งจนเมื่อย... ชีวิตช่างรันทดเหลือเกิน

“ทั้งนิสัย ท่าทาง น้ำเสียง รอยยิ้ม วิธีการพูด สองคนนี้ให้ความรู้สึกต่างกันเวลาอยู่ด้วย แล้วก็อีกหลายๆ อย่าง ให้พูดวันนี้คงไม่จบครับ”
ผมแอบหรี่ตามองเพื่อนสนิทด้วยความหมั่นไส้ ไม่เถียงว่าเป็นเรื่องโกหกเพราะถึงจะเป็นแฝดกันแต่บรรยากาศรอบตัวแตกต่างจริงๆ แต่รู้สึกว่ามีออร่าสีชมพูฟุ้งกระจายยังไงชอบกล

“อืม คงคล้ายๆ กัน”
พี่ทาวน์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนผมอยากจะเปิดตาแล้วมองเขาตรงๆ ยิ้มบางไหม เขินบ้างไหมนะ

“พี่ทาวน์ ผมขอเสียมารยาทถามอะไรหน่อยได้ไหม”
จิณณ์เป็นคนช่างซักไปตั้งแต่เมื่อไหร่วะ แต่ผมก็เป็นคนช่างเสือกพอๆ กับมันนั่นล่ะตอนนี้

“ถ้าตอบได้ก็จะตอบ”
แฟนผมก็นิ่งเหมือนเดิม

“จิณณ์...”
ไอ้ไธเหมือนจะเรียกชื่อปรามแฟนตัวเอง เรื่องที่ถามมันเสี่ยงตายขนาดไหนกันวะ ชักสงสัย

“เออน่า ให้กูถามเหอะ”
โอย อยากรู้จะตายแล้ว พวกมึงอย่าเพิ่งเถียงกันตอนนี้ ผมเกร็งจนแทบขมิบก้นเลยเนี่ย แม่งๆๆ

“ตามใจ”
เออ พูดง่ายๆ จะได้โล่ผัวดีเด่นนะเพื่อน จำไว้!

“คือ... พี่ทาวน์รักไอ้เจ็ทจริงๆ ใช่ไหมครับ ผมแค่อยากรู้ ไม่อยากให้มันเสียใจ”
น้ำเสียงของจิณณ์แสดงออกว่าเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด หลายครั้งที่ผมอยากจะกอดมันให้จมอกเพราะความรักและความหวังดีมากมายที่ถูกมอบให้ แต่ถ้าคำตอบจากพี่ทาวน์ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดคงแย่ แต่ไม่หรอก เขายอมคบด้วยต้องรู้สึกรักอย่างที่เคยบอกแน่นอน มั่นใจเกินร้อย

“ถ้าไม่รักจะคบกันทำไม มีแฟนเป็นผู้ชายไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับกูเลย”
นั่นปะไร เรื่องนี้ผมรู้ใจแฟนดี กว่าจะจีบพี่ทาวน์ได้ร้องไห้ไปตั้งกี่รอบ เขาคงไม่คบด้วยเพราะความสงสารหรอก แล้วการที่ผู้ชายคนหนึ่งเปลี่ยนรสนิยมความชอบก็เป็นอะไรที่ต้องใช้ความรู้สึกนำทางมากกว่าสมองอีกด้วย

ผมแอบลอบยิ้มแล้วกระชับอ้อมแขนกอดตัวเองแน่นขึ้น จริงๆ อยากฟัดพี่ทาวน์เพราะตอบคำถามได้ซึ้งกินใจ แต่เวลานี้คงไม่เหมาะ คนเยอะ แถมยังดูเป็นคนขี้เสือกแอบฟังชาวบ้านคุยกันอีก... นิสัยไม่ดีเลยว่ะไอ้ภาคิน

“ขะ ขอโทษที่ถามครับ ผมแค่เป็นห่วงน้อง เพราะช่วงก่อนเห็นมีผู้หญิงมาตามพี่ต้อยๆ”
ถึงจิณณ์จะพูดขอโทษพี่ทาวน์แต่ไม่วายถามถึงเรื่องพี่ไอซ์ที่เคยตามมารังควาญพวกเราถึงที่ ครั้งนั้นผมแทบเอาตัวไม่รอดเพราะคิดมาก ปัจจุบันก็ยังระวังตัวว่าพ่อตาจะเริ่มเปิดศึกอีกเมื่อไหร่ เขาว่ากันว่าคลื่นลมสงบก่อนพายุเข้าเสมอ ก็ได้แต่ภาวนาอย่าให้ร้ายแรงเกินรับมือเลย

“อืม ช่วงนี้ก็มีเหมือนเดิม แต่ไม่ถึงเนื้อถึงตัวเหมือนครั้งก่อน”
ก็ตามนั้น... แต่เพราะเป็นช่วงปิดเทอมที่พี่ทาวน์ย้ายมาอยู่กับผมพวกเธอเลยได้แต่ตามรังควาญในโซเชี่ยลก็เท่านั้น

“เฮ้ย... แล้วทำยังไงครับ”
จิณณ์ดูจะตกใจมากจนผมเผลอหลุดหัวเราะ รีบเม้มปากแทบตายเพราะกลัวพี่ทาวน์จับได้ว่าแกล้งหลับ เดี๋ยวเขาไม่พูดต่อแล้วจะแย่ ก็อยากรู้ว่าครั้งนี้มีแผนการจัดการแบบไหนอีก ถ้าคิดทำอะไรคนเดี๋ยวโดนดีแน่ครับแฟน

“กลับจากทริปนี้กูจะเคลียร์กับพ่อให้จบ”
น้ำเสียงหนักแน่นทำให้ผมที่แกล้งแอบหลับถึงกับคลี่ยิ้มกว้างแล้วพุ่งเข้ากอดอย่างไม่ลืมหูลืมตา พี่ทาวน์สะดุ้งก่อนที่ฝ่ามือจะตีลงมาบนลาดไหล่

“ขอบคุณนะครับพี่ทาวน์”
ผมเอ่ยขอบคุณก่อนขโมยหอมแก้มไปหนึ่งครั้งโดยไม่สนใจสายตาของผู้ร่วมเหตุการณ์ พี่ทาวน์ถึงกับเบิกตาโตเพราะตกใจ หลังจากนั้นก็กลายเป็นเสียงหัวเราะต่ำจนน่ากลัว ผวาสิครับพี่น้อง ผงะถอยหลังแทบไม่ทันเลย

“สายเสือกเหรอมึง นิสัยเสียแอบฟังคนอื่นคุยกัน”
เสียงโทนต่ำที่ใช้ดุหลุดออกจากริมฝีปากสวยได้รูป ผมยิ้มแหยส่งให้เขาพลางยกมือขึ้นเกาท้ายทอยเพราะไม่สามารถหาอะไรมาแถต่อได้ ถ้าเมื่อครู่ไม่ดีใจเกินเหตุคงรอดตัวแล้วแท้ๆ

“แหม... ก็มันได้ยินพอดี”
ผมตอบเสียงอ้อมแอ้มไม่กล้าสบตาทุกคน แอบงอแงอยู่ในใจว่าทำไมรถต้องติดไฟแดงตอนนี้ด้วยวะ โดนรุมด่าแน่ๆ

“ตอแหล!”
จ้า... พร้อมใจกันประสานเสียงด่ากูเหลือเกิน ฮือ

หลังจากโดนด่าจนหนำใจ เพียงไม่ถึงห้านาทีเราก็ถึงจุดหมายที่ร้านโรตีแถวน้ำเลยไปจอดรถแถวๆ ลานมังกรแล้วเดินเท้าย้อนกลับมา กลิ่นหอมของอาหารชวนให้ทุกคนรีบหาโต๊ะและลงมือสั่งทันที

“ผมเอาโรตีใส่ไข่กับโรตีเพิ่มไข่ดาวแกงเนื้อ แล้วก็ชาดำเย็นครับ”
รายแรกคือพี่แฮมที่ทำการบ้านเรื่องเมนูอาหารประจำร้านเป็นอย่างดี ก้นหย่อนถึงเก้าอี้ปุ๊บออกปากสั่งปั๊บ ต่างกับพวกผมที่มองรายการอยู่ครู่ใหญ่

“แดกไม่หมดกูไม่ช่วยนะ”
พี่ฟามองเพื่อนสนิทด้วยหางตา บ่งบอกให้รู้ว่าตัวเองเคยเป็นคนช่วยเก็บกวาดอาหารส่วนที่เหลือของพี่แฮมบ่อยแค่ไหน

“ระดับนี้ จิ๊บๆ”
คนรักการกินยักไหล่พลางยิ้มกว้างประกอบคำ แต่พี่ฟาเลิกสนใจแล้วทำการสั่งของตัวเองบ้าง

“ผมเอาโรตีใส่ไข่กับกาแฟร้อนครับ”

คนอื่นจัดการสั่งอาหารเรียบร้อยจนตอนนี้เหลือผมกับพี่ทาวน์ที่ยังเลือกไม่ได้ อันนั้นก็น่ากิน อันนี้ก็น่าลอง สารภาพว่าทั้งชีวิตเคยกินโรตีไม่เกินสิบครั้ง แล้วส่วนใหญ่จะเป็นแบบธรรมดา ใส่ไข่หรือกล้วยเท่านั้น แบบน้ำแกงหาเจ้าอร่อยๆ ยาก

“ผมเอาโรตีน้ำแกงไก่เพิ่มไข่ดาวกับชาเย็นครับ พี่ทาวน์กินอะไรดีครับ”
ผมหันไปสั่งกับเด็กเสิร์ฟแล้วถามพี่ทาวน์ต่อ ดูท่าทางรายนี้จะไม่ชอบกินอาหารเช้าสักเท่าไหร่ บางทีกาแฟแก้วเดียวก็อยู่หมัดแล้ว ทำไมคนเรียนหมอไม่รู้จักดูแลสุขภาพบ้างนะ

“กาแฟร้อนกับโรตีใส่ไข่ใส่กล้วย เดี๋ยวเอามาแบ่งกันกิน”
พี่ทาวน์สั่งเมนูหวานๆ ก็น่าแปลกใจแล้ว เจอคำว่า ‘แบ่งกันกิน’ ผมนี่ยิ้มปากจะฉีก พยักหน้ารับคอแทบหัก ทำไมแฟนน่ารักแบบนี้วะ โอย หัวใจจะวาย

พวกเราแบ่งกันนั่งสองโต๊ะ ที่อยู่กับผมมีพี่ทาวน์ พี่ฟาและพี่แฮม ส่วนข้างๆ มีจิณณ์ ไอ้ไธ ไอ้ฟาร์ม ไอ้ตังค์และไอ้เอย พวกเด็กสถาปัตย์กับวิศวะโยธาก็คุยกันเรื่องรูปทรงตึกชิโนฯ ที่ยุคนี้หาดูได้ยาก ส่วนว่าที่คุณหมอทั้งหลายคุยเรื่องงานรับเสื้อกาวน์ของรุ่นพี่ปีสี่

เนื่องจากลูกค้าเยอะทำให้ระยะเวลาในการรอนานไปหน่อย กว่าจะได้ทุกคนก็คุยกันจนน้ำลายแห้ง พออาหารมาเสิร์ฟตรงหน้าต่างคนต่างจ้วงกินแบบลืมตาย สีหน้าดูพอใจกับรสชาติเป็นอย่างมากโดยเฉพาะสายแดกอย่างพี่แฮมที่ทำท่าจะสั่งเพิ่ม โอย พ่อคุณ ผมกับพี่ทาวน์ยังจิบเครื่องดื่มอยู่เลยครับ

ผมเริ่มลงมือกินอาหารของตัวเองที่เขาเรียกกันว่า ‘โรตีมะตะบะ’ น้ำแกงรสชาติเข้มข้นไม่เผ็ดไป ส่วนตัวแป้งโรตีก็กรอบนอกนุ่มใน ยิ่งเพิ่มอรรถรสด้วยไข่ดาวด้วยแล้วโคตรฟินละมุนลิ้นจนอยากสั่งกลับไปกินที่วิลล่าต่อ

พี่ทาวน์ทำอย่างที่พูดไว้ในตอนแรกจริงๆ คือการแบ่งกันกิน เขาจิ้มจานผมบ้างจานตัวเองบ้างสลับกันไปเพื่อความไม่เลี่ยน เวลาที่ปากสีอ่อนเริ่มเคี้ยว แก้มใสๆ จะขยับจนน่ามันเขี้ยว อยากกดจูบสักฟอดสองฟอด ฮึ่ย

“แหม... ไม่ป้อนกันไปเลยล่ะครับคุณทาวน์ มีจิ้มโรตีไว้ให้ด้วย หมั่นไส้”
ผมสะดุ้งเฮือกกับเสียงกระแนะกระแหนของพี่ฟาเพราะมัวแต่จ้องปากบางขณะอ้างับโรตี ลิ้นเล็กๆ ชอบเลียเก็บคราบนมข้นที่เลอะรอบๆ สารภาพอย่างหมดเปลือกเลยว่าคิดดีไม่ได้จริงๆ ไม่กินโรตีแล้วได้ไหมวะ แฟนน่ากินกว่าเยอะ

พี่ฟาเบะปากมองพวกเราสลับกับจานอาหารตรงหน้า ผมเพิ่งสังเกตในตอนนี้เองว่าพี่ทาวน์มักจะจิ้มชิ้นโรตีทิ้งไว้ให้เสมอ นิสัยคล้ายกับแม่ผมเลยว่ะ ชอบ... ไม่สิ รักเลย

“อย่าท้า แค่ป้อนกูทำได้”
แฟนผมมาดแมนน่าซั่ม เอ้ย แฮนด์ซั่มสุดๆ เลยใช่ไหมล่ะ พี่ทาวน์ไม่พูดเปล่าแต่จับส้อมมาจ่อปากกันจริงๆ คือกูเคี้ยวกล้วยอยู่ครับ ใจเย็นเนอะ ยังไม่อยากเอาไก่เข้าปากตอนนี้...

เนื่องจากผมผงะหนีไก่พี่ทาวน์เลยส่งเข้าปากตัวเองเคี้ยวหงุบหงับแทน สีหน้าดูมีความสุขเมื่อได้กินโรตีเจ้าอร่อยที่นานๆทจะได้เจอ

“ไม่กลัวคนอื่นรู้หรือไงว่าเปลี่ยนรสนิยม”
คำถามของพี่ฟาไม่ได้จริงจัง แต่ผมอดหน้าชาไม่ได้ที่อยู่ๆ ก็ดึงอดีตเดือนมหา’ ลัยมาเป็นเกย์ แต่เชื่อเถอะว่าคำตอบของพี่ทาวน์เป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายแน่นอน

“ไม่จำเป็นต้องกลัวใคร ชีวิตเป็นของกู”
คำพูดเท่ๆ ยิ่งทำให้พี่ทาวน์ดูหล่อขึ้นเป็นกอง ผมฉีกยิ้มกว้างทั้งที่ดูดน้ำ เดือดร้อนต้องรีบคว้าทิชชู่มาซับก่อนที่ใครจะเห็น ดีใจจนลืมตัวเป็นแบบนี้นี่เอง

“จ้าๆ คุณเมืองเหนือผู้แข็งแกร่ง”
พี่ฟากรอกตามองบนด้วยความหมั่นไส้แล้วกลับไปจัดการโรตีใส่ไข่ของตัวเองต่อ ส่วนพี่แฮมไม่สนใจใครเอาแต่จ้วงกินๆ อยากเตือนเขาว่าระวังอ้วนแต่เสื้อรัดรูปที่เน้นหน้าท้องแกร่งก็ทำให้ต้องกลืนคำพูดลงคอ หุ่นดีกว่ากูอีกมั้งเนี่ย

“ปากเลอะ กินอย่างกับเด็ก”
นิ้วเรียวของพี่ทาวน์ส่งมาป้ายคราบเลอะที่มุมปากของผมอย่างไม่ทันตั้งตัว ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ถึงกับผิวปากล้อเลียน อย่าถามว่ากูรู้สึกยังไงตอนนี้ ทั้งตกใจ ทั้งตะลึง ไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำแบบนี้ในที่สาธารณะ โอย บ้าบอ

“เฮ้ย ผมเช็ดเองก็ได้ครับพี่”
ผมผงะถอยหลังแล้วใช้มือปาดตรงตำแหน่งเดิมด้วยท่าทีตื่นๆ ดวงตาคมมองไปรอบๆ ร้านด้วยความระแวง

“กูเช็ดให้ อย่าเรื่องเยอะ”
พี่ทาวน์ส่งเสียงดุแล้วหยิบทิชชู่มาเช็ดปากให้ผมอีกรอบอย่างเบามือ ตอนนี้รู้สึกว่าหน้าร้อนๆ ชอบกล สงสัยจะเขิน

“ผมแค่กลัวว่าคนอื่นจะเอาพี่ไปนินทาเสียๆ หายๆ”

“เวลาทุกนาทีสำคัญ อยากทำอะไรก็ทำ”
สั้นง่ายได้ใจความตามแบบฉบับของพี่ทาวน์ ผมคลี่ยิ้มพยักหน้ารับก่อนจะกวาดตามองบุคคลร้านที่ให้ความสนใจพวกเราจนผิดปกติ คนที่ได้ชื่อว่าแฟนไหวไหล่เป็นเชิงไม่สนใจ เอาเถอะ คิดมากไปก็ไม่ทำให้มีความสุข เขาว่าไงไอ้ภาคินก็ว่างั้นเพราะไม่ได้ไปรักกันบนหัวใครสักหน่อย

“เข้าใจแล้วครับ”
ตอบเสียงดังฉะฉานแล้วเอื้อมมือไปจับต้นขาของพี่ทาวน์เพื่อส่งต่อความรู้สึกข้างใน แต่ลึกๆ แล้วแค่อยากแต๊ะอั๋งแฟนที่บังอาจใส่ขาสั้นออกมาข้างนอก แต่อย่าเอาอะไรมากเลย เพราะผมก็ใส่เสื้อกล้ามเหมือนกัน

“แดกช้ากันจริงพวกมึง เดี๋ยวกูช่วยนะ”
เสียงของพี่แฮมทำให้บรรยากาศหวานๆ แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ผมกับพี่ทาวน์หันขวับมองส้อมที่กำลังจะจิ้มลงมาบนโรตีเขม็ง ของกินข้าใครอย่าแตะ!

“ไม่ต้อง!”
เป็นอันรู้กันว่าพี่แฮมหดหัวกลับไปที่เดิมอย่างรวดเร็วแล้วออกปากสั่งโรตีเพิ่มกับเด็กเสิร์ฟ

หลังจากฟาดมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยพวกเราก็ข้ามฝั่งไปยัง ‘ถนนถลาง’ ซึ่งรวมอาคารสไตล์ชิโนโปรตุกีสที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ห้าเอาไว้ มีทั้งร้านขายผ้าปาเต๊ะ โรตีมะตะบะ อาหารคาวหวานให้เลือกชมกันหลายแบบ ส่วนมากคนจะนิยมถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก

คนเป็นตากล้องอย่างผมแทบไม่ได้สนใจอาคารสวยๆ ตรงหน้าเพราะมัวแต่จ้องท่อนขาขาวของแฟนที่เดินนำหน้า พยายามแล้วที่จะละความสนใจแต่มันทำไม่ได้จริงๆ แม่ง ถ้ารู้ว่าออกมาข้างนอกแล้วพี่ทาวน์ So Damn hot ขนาดนี้คงขังไว้ในห้อง

“ไอ้เจ็ท ถ่ายรูปตึกหน่อยดิ”
เสียงไอ้ฟาร์มที่เดินอยู่ข้างๆ ดังขึ้น แต่ผมไม่รู้เลยว่ามันพูดอะไร เพราะสมาธิเพ่งไปด้านหน้าจนหมดเกลี้ยงถึงขนาดพลาดเหยียบหมากฝรั่งติดรองเท้ามาแล้ว ซื่อบื้ออะไรนักหนาวะกู (ฝีมือไอ้เอยเลย คายหมากฝรั่งแกล้งกันชัดๆ โธ่เว้ย)

“เจ็ทเว้ย เป็นห่าอะไรเนี่ย!”
ไอ้ฟาร์มกระแทกเสียงใส่หูผมเต็มๆ จนสะดุ้งโหยงเกือบสะดุดขาตัวเองล้ม คนอื่นในทริปหันมามองด้วยความสงสัยไม่เว้นแม้แต่เจ้าของขาขาว... ฉิบหายแล้ว ตายังจ้องอยู่ที่โฟกัสเดิมทั้งที่ตกใจแทบตาย

“กะ กูมองวิวเพลินไปหน่อย”
ผมรีบละสายตาจากจุดโฟกัสเดิมแล้วตอบเพื่อนเสียงตะกุกตะกัก มือหนายกขึ้นถูท้ายทอยเพราะกำลังกังวลว่าพี่ทาวน์จะจับได้หรือเปล่าที่แอบจ้องวิวหว่างขา ขาวๆ เนียนๆ น่าเลีย เอ้ย น่าลูบสุดๆ ใจบางไปหมดแล้วครับคุณ อยากกลับวิลล่าเดี๋ยวนี้เลย

“วิวเชี่ยอะไร มองส้นตีนพี่ทาวน์มากกว่ามั้ง”
ไอ้ฟาร์มหรี่ตามองผมอย่างจับผิด แต่จะไม่อะไรเลยถ้ามันพูดเสียงเบา ได้ยินไปถึงท้ายถนนแล้วไอ้สัด!

“อย่างไอ้เจ็ทน่าจะมองขาพี่ทาวน์มากกว่า จริงไหม”
ไอ้ไธพูดขึ้นด้วยใบหน้ากรุ้มกริ่มและนั่นทำให้คนทั้งกลุ่มหยุดชะงักเท้าแล้วหันมามองผมเป็นตาเดียวกัน จะเฉไฉไปเรื่องอื่นก็ทำไม่ได้ เพราะดูเหมือนทุกคนพร้อมรุมกระทืบคนโกหก ถ้ากูรอดไปได้เมื่อไหร่พวกมึงตายแน่ เพื่อนทรยศ!

“เงียบๆ ก็ได้มั้ง กูไม่คิดว่ามึงเป็นใบ้หรอกนะพี่เขย”
ผมขยับเข้าไปกระซิบข้างหูไอ้ไธแต่คลี่ยิ้มให้คนอื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่ใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะเพราะกลัวพี่ทาวน์จะหนี ส่วนตัวต้นเหตุอย่างไอ้ฟาร์มเสือกยืนส่งสายตาหวานๆ ให้พี่ฟาเฉย ช่วยห่าอะไรไม่ได้จริงๆ

“แสดงว่ามึงจ้องขากูจริงๆ”
ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงที่ควรจะเป็นของไอ้ไธกลับกลายเป็นเจ้าของท่อนขาขาวๆ นั่น ไม่ทันสังเกตว่าเขาประชิดตัวเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ด้วยซ้ำ สีหน้ายังคงเรียบเฉยเหมือนสิ่งที่เกิดเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป

ไอ้ไธเฟดตัวออกไปอย่างรวดเร็วทำเป็นชี้นกชี้ไม้ให้จิณณ์ดูอย่างมีความสุขจนผมอยากกระโดดถีบมันให้กระเด็น ช่วยแก้สถานการณ์ให้เพื่อนก่อนไม่ได้หรือไงวะ ก็รู้ว่ากูโกหกไม่เก่ง แม่ง อย่าให้นกซ้ำนกซ้อนเลย เบื่อตัวเองจะแย่แล้วจ้า

“ก็... มะ มันขาวๆ ผมหวงนะเว้ย”
ผมอ้ำอึ้งตอบความจริงออกไปเสียงแผ่ว ก้มหน้ามองปลายเท้าขาวๆ ของคนตรงหน้าเพราะไม่กล้าสบตา กลัวจะเผยความหื่นให้เขาได้เห็น แต่อยากจะบอกว่าแค่เห็นข้อเท้าก็อยากกัด ดูด เลีย... เชี่ยมาก ภูเก็ตอากาศร้อนเกินไปหรือเปล่าวะ ทำไมกูหื่นแตกได้ขนาดนี้



ต่อด้านล่าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-01-2018 08:52:17 โดย Ch0cmint »

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
“หวงหรือหื่น เอาดีๆ นะเพื่อน”
เดี๋ยวกูถอดรองเท้าฟาดปากแม่งเลย กลับไปชี้นกให้จิณณ์ดูเถอะไป๊

“นั่นสิครับคุณเจ็ท”
ไอ้เนิร์ดก็เอากับเขาด้วยจนผมต้องแยกเขี้ยวใส่เป็นเชิงขู่ ขนาดว่ามันกำลังเป็นแบบให้ไอ้เอยถ่ายรูปน่ะนะ ยังคิดจะล้อคนอื่นอีก มึงกล้ามาก อย่าคิดว่ามีผัวหนุนหลังแล้วกูไม่กล้าเขกกบาลนะ เผลอเมื่อไหร่ตายแน่ไอ้แว่น

พี่ทาวน์ยืนฟังคนนั้นทีคนนี้ทีด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่ตากลับเป็นประกายที่บ่งบอกว่ากำลังสนุก แต่ที่มากไปกว่านั้นคือเขาขยับเข้ามาใกล้จนเนื้อบริเวณท่อนขาของเราทั้งคู่เสียดสีกัน นี่จงใจใช่ไหม ผมอยากจะร้องไห้จริงๆ จะไม่อดทนแล้วนะเว้ย

“โอย ไม่ต้องมาซักกูเลย นู่นๆ ดูตึกไป๊”
ผมบอกเสียงขุ่นกลบเกลื่อนอารมณ์บางอย่างที่กำลังเกิดขึ้นแล้วผละตัวออกมายืนหอบหายใจ โบกไม้โบกมือไล่เพื่อนอย่างกับคนบ้า เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นเต็มหน้าผากจนต้องเสยผมเพื่อนะบายความร้อน ชีวิตของนายภาคินที่สั่งสมความคูลมาตลอด จบสิ้นในทริปเที่ยวภูเก็ตนี้แล ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วไหมล่ะกู หื่นไม่เลือกเวล่ำเวลาเนี่ย

“แหม ทำเป็นอาย”
พ่อวิศวะหน้าเหี้ยมลดกล้องในมือลงแล้วพูดด้วยเสียงล้อเลียน ใบหน้าแสดงออกว่าหมั่นไส้กันสุดๆ มึงห้ามพูดอะไรต่อนะไอ้เอย ไม่อย่างนั้นกูยึดไอ้แว่นคืนแน่ๆ พาลเว้ยพาล!

“หยุดเลยไอ้เอย”
ผมยกมือขึ้นชี้หน้ามันด้วยความหงุดหงิด ทำไมทุกคนต้องรุมแกล้งกูแบบนี้ด้วยวะ แล้วดูพี่ทาวน์เถอะ ยืนอมยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ได้ โธ่ ถ้าด่าหรือโกรธกันเลยจะรู้สึกดีกว่านี้

“อุ้ย น่ากลัวจัง ที่รักช่วยเค้าด้วย”
ไอ้เอยบีบเสียงทำตัวสะดิ้งเข้าไปเกาะไหล่ไอ้ตังค์ด้วยท่าทางออดอ้อน ผมเบะปากแล้วชูนิ้วกลางให้มันทันที คนอะไรกวนตีนที่หนึ่ง ส่วนคนอื่นหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเพราะตลก ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่ามันนิสัยแบบนี้จะไม่ให้จิณณ์คบด้วยเด็ดขาด กาก เกรียนไม่มีใครเทียบจริงๆ

ตลอดเส้นทางถนนถลางตั้งแต่ต้นไปจนสุด พวกเราแทบจะเก็บภาพทุกตัวตึกเพราะรูปทรงและสีสันแตกต่างกันออกไป ส่วนมากผมจะแอบถ่ายภาพพี่ทาวน์ทีเผลอมากกว่า ด้านข้างบ้าง ด้านหลังบ้างดูเป็นศิลปะดี อาคารหลังไหนขายของก็จะแวะชมแวะซื้อจนกระเป๋าเบา แวะชิมของหวานไปก็หลายที่จนถึงเวลาเที่ยงวันทยอยกลับมาที่รถเพื่อตะเวนหามื้อกลางวันใส่ท้อง

ไม่ไกลกันนักมีร้านศูนย์อาหารพื้นเมืองภูเก็ตที่ชื่อว่า ‘ลกเที้ยน’ ตั้งอยู่บริเวณแยกถนนเยาวราชตัดกับถนนดีบุก เมนูที่พวกผมเล็งไว้จะเป็น ‘โลบะ’ (อาหารพื้นเมืองของภูเก็ต คือ หัวหมูและเครื่องในหมูต้มพะโล้แล้วเอาไปทอดอีกครั้ง) ‘เกี้ยนทอด’ (คือหมูสับผสมปูหรือกุ้งปรุงรสด้วยผงพะโล้แล้วปั้นเป็นแท่งห่อด้วยฟองเต้าหู้ นำไปนึ่งแล้วทอด) ‘ป๋อเปี๊ยะสด’ ตามมาด้วย ‘หมี่ผัดฮกเกี้ยน’ (เส้นหมี่เหลืองกลมผัดใส่เนื้อสัตว์และผัก) ‘หมี่หุ้นกระดูกหมู’ (หมี่หุ้นเส้นขาวผัดโรยหน้าด้วยหอมเจียวกินคู่กับน้ำซุปกระดูกหมู) ปิดท้ายด้วยเมนูของหวานขึ้นชื่ออย่าง ‘โอ้เอ๋ว’ (วุ้นที่ทำจากสมุนไพรจีนตัดพอดีคำ ใส่ถั่วแดงโปะหน้าด้วยน้ำแข็งไสราดน้ำแดงและนมข้นหวาน)

ทุกอย่างที่ลิสต์ไว้ทยอยมาเสิร์ฟหลังจากที่สั่งไปสักระยะเพราะคนแน่นร้าน พี่แฮมเป็นคนล้วงโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปก่อนที่พวกหิวโซจะจ้วงกินแบบไม่คิดชีวิต ไร้ซึ่งการพูดคุยเพราะสงครามแย่งชิงตรงหน้าสำคัญกว่าเป็นไหนๆ คำแรกที่โลบะส่วนหูหมูเข้าปากสัมผัสได้ถึงความกรอบของกระดูกอ่อน นุ่มลิ้นด้วยส่วนของหนัง กลิ่นเครื่องพะโล้อบอวลบวกกับน้ำจิ้มรสเด็ดทำให้รู้ซึ้งถึงความอร่อยขั้นสุด ฟินจนอยากสั่งใส่ห่อส่งไปให้ครอบครัวที่อังกฤษได้ชิม

เมนูอื่นๆ ก็อร่อยไม่แพ้กันจนต้องมีการสั่งเพิ่มโดยเฉพาะพี่แฮมที่เป็นคนแนะนำร้านก็กินแบบลืมหายใจจนพวกผมละสายตาจากอาหารไม่ได้ ตบท้ายด้วยของหวานขึ้นชื่อ ลืมบิงซูแบบเกาหลีไปได้เลยเมื่อเจอน้ำแข็งไสเครื่องแน่น หวานฉ่ำ ดับกระหายได้เป็นอย่างดี

หลังจากเติมพลังเสร็จพวกเราก็มุ่งหน้าสู่การเป็นคนดีคือไหว้พระที่ ‘วัดไชยธาราราม’ หรือเรียกง่ายๆ ว่า ‘วัดฉลอง’ ซึ่งเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของชาวภูเก็ตแล้วต่อด้วยการขึ้นเขานาคเกิดเพื่อชมความงามของวิวมุมสูงและพระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคคีรีองค์ใหญ่ สูงประมาณสี่สิบหน้าเมตรประดับด้วยผิวหินอ่อนหยกขาวจากพม่า

เกือบห้าโมงเย็นเป็นเวลาที่สภาพของทุกคนคล้ายผ่านสนามรบ แข้งขาแทบไม่มีแรงเดินแต่ด้วยความคึกทำให้ใครบางคนเสนอไปต่อแหลมพรหมเทพเพื่อดูพระอาทิตย์ตกยามเย็น ผมออกตัวปฏิเสธคนแรกเพราะอยากนอนเต็มแก่ ต่อมาด้วยพี่ทาวน์และคนอื่นๆ อีกเกินครึ่งกลุ่ม ทำให้ทริปนี้ต้องยกยอดสู่วันถัดไป

ขากลับผมรับหน้าที่เป็นสารถีขับรถกลับเพราะจิณณ์บอกว่าคืนนี้จะไปผับกันต่อเลยต้องเก็บแรงไว้ดิ้นคืนนี้ ส่วนไอ้ไธกับพี่ทาวน์หมดแรงหลับคอพับคออ่อนเหมือนเด็กน้อยจนอยากถ่ายรูปเก็บไว้ดูเล่น

“ขับรถก็มองทางดิวะ”
จิณณ์ว่าเสียงดุเมื่อหันมาเห็นผมที่กำลังชะเง้อคอมองกระจกเพื่อส่องคนด้านหลัง

“ก็มองอยู่นี่ไง”
ผมบอกก่อนจะปล่อยพวงมาลัยมือหนึ่งแล้วชี้ถนนด้านหน้าเป็นการยืนยัน กูมองจริงๆ นะ แต่ไม่ตลอดเวลา โธ่ ก็ตอนนี้รถมันติด ขับช้าอย่างกับเต่า ไม่เกิดอุบัติเหตุหรอกน่า

“เออๆ ขี้เกียจเถียงกับมึง ว่าแต่คืนนี้จะไปผับด้วยกันปะ”
มันบอกด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายเพราะรู้ว่าผมโกหกใส่แต่ไม่วายถามถึงเรื่องชวนเที่ยวผับคืนนี้ ไอ้อยากไปมันก็อยากน่ะนะ แต่สภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่เพราะรู้สึกปวดเท้า อยากแช่น้ำอุ่น อยากนอนบนเตียงนุ่มๆ เปิดแอร์ฉ่ำๆ สรุปคือกูขี้เกียจ

“ไม่ล่ะ กูอยากนอนมากกว่า”
ผมบอกด้วยความสัตย์จริง ใครจะไปไหนก็ไปเถอะ ขอนอนเอาแรงเพื่อทริปพรุ่งนี้ดีกว่า ขับรถรอบเกาะไม่ใช่เรื่องขี้ๆ นะเว้ย เห็นใจสารถีอย่างกูบ้างเหอะ

“ถ้าพี่ทาวน์ไปล่ะ สาวๆ เข้ามาจีบไม่รู้ด้วยนะเว้ย”
จิณณ์ยักคิ้วกวนอารมณ์ส้นเท้าจนผมแทบเหยียบเบรกแล้วพุ่งเข้าไปเขย่าคอมันโทษฐานพูดเรื่องสะกิดใจ แค่พี่ทาวน์ใส่กางเกงขาสั้นออกมาเดินเที่ยวก็หวงจนหื่นขึ้นตาขนาดนั้น ถ้าคืนนี้ปล่อยเขาไปผับคงแย่แน่ๆ แต่คนเรามันต้องวางตัวดีให้สมกับอายุ

“มันก็ต้องมีบ้างเป็นธรรมดา แฟนกูหล่อนี่”
พูดให้ตัวเองดูใจกว้างทั้งที่ความจริงแทบจะพ่นไฟใส่หน้าจิณณ์อยู่แล้ว ชอบเอาจุดอ่อนคนอื่นมาล้อเล่นอยู่เรื่อย แม่ง กูเป็นคนขี้หึงขี้หวงไง ไอ้สัด!

“พูดดูดีเนอะ ไอ้เด็กขี้หวง อย่ามาทำเก๊ก”
จิณณ์ผลักหัวกันเบาๆ แล้วหัวเราะเสียงดังจนผมต้องจุ๊ปากเพราะกลัวว่าสองคนด้านหลังจะตื่น ไม่มีการโต้แย้งคำกล่าวหาพวกนั้นเพราะมันคือเรื่องจริง

“กูต้องเว้นระยะให้แฟนมีพื้นที่ส่วนตัวบ้างดิวะจิณณ์ ถ้าทำตัวเป็นเด็กตลอดเดี๋ยวจะโดนรำคาญ”
ผมควรโตเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถปกป้องคนรักได้สักที ไม่ใช่เด็กที่เอาแต่คิดมากและใช้น้ำตาระบายความรู้สึกเพียงเท่านั้น ต้องมีความเชื่อใจ เชื่อมั่นให้มากกว่านี้ จะเป็นแฟนที่ดีให้จงได้ ขอสัญญา

“โตขึ้นอีกขั้นแล้วนะมึง ทำให้ได้อย่างที่พูดแล้วกัน”

“แน่นอนอยู่แล้ว”

ตอนนี้ทุกคนถึงวิลล่าโดยสวัสดิภาพแล้วแยกย้ายกันไปอาบน้ำอาบท่าเพื่อเตรียมตัวไปผับกันต่อในเวลาสองทุ่ม พี่แฮมสละเรือเป็นคนแรกเพราะจะอยู่กินบุฟเฟ่ต์ของทางโรงแรม ส่วนผมก็เป็นอีกรายที่ขอตัวพักผ่อนโดยที่พี่ทาวน์ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธคำชวนของจิณณ์ เล่นเอารู้สึกว้าวุ่นจนเล่นเกมแพ้หลายรอบ อยากถามก็กลัวคำตอบ โอย ช่างแม่งเถอะ ท่องเอาไว้ว่าต้องเป็นผู้ใหญ่และมีเหตุผล

ตอนนี้ในที่พักเหลือแค่ผม พี่ทาวน์ ไอ้ไธและจิณณ์เท่านั้น ส่วนพี่แฮมออกไปกินบุฟเฟ่ต์ที่ห้องอาหารริมหาด พวกที่เหลือทยอยไปรอในรถ อีกไม่กี่นาทีข้างหน้าคงต้องอยู่คนเดียวเพราะความพยายามเป็นผู้ใหญ่ของตัวเอง ได้แต่คิดทบทวนว่าแบบนี้ดีแล้วหรือ เฮ้อ

ไอ้ไธกำลังทำหน้ายุ่งอยู่ตรงระเบียงที่พักเพราะคุยธุระกับพี่แทนไม่ลงตัว คงทะเลาะกันตามประสาพี่น้องอีกตามเคย ส่วนจิณณ์ก็เป็นแฟนที่ดีนั่งรออย่างใจเย็นเพื่อเดินออกไปพร้อมกัน ผมได้แต่เบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะเอื้อมมือหยิบรีโมททีวีกดเลือกรายการสารคดีสัตว์ใต้ท้องทะเลดูฆ่าเวลาก่อนเข้านอนคนเดียวในขณะที่พี่ทาวน์กำลังอาบน้ำเตรียมออกไปเที่ยวผับ สงสารตัวเองก็วันนี้ล่ะ

“เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะมึง”
คำพูดลอยๆ ของคนที่นั่งก้มหน้าก้มตาเล่นเกมทำให้ลมหายใจของผมสะดุดกึก เดี๋ยวกูถีบตกโซฟาเลยไอ้นี่ ชอบทำให้คนอื่นไขว่เขวตลอด

“ไม่ กูจะนอน เมื่อยขาจะตายห่า”
ผมแกล้งบ่นแล้วทุบขาตัวเองประกอบเพื่อความสมจริง เราต้องยึดมั่นกับคำพูดและการกระทำของตัวเองสิวะ แต่ไอ้ดวงตาคมที่หรี่มองอย่างเจ้าเล่ห์นั่นทำให้ความรู้สึกสั่นคลอนชอบกล

“กูไม่อาสาเป็นไม้กันหมานะ แค่ตัวเองกับไอ้ไธไม่รู้จะรอดหรือเปล่า”
จ้า อยากจะแหมให้ไกลถึงเชียงราย ไอ้พวกมั่นหน้ามั่นโหนกว่าหล่อฉิบหายเนี่ย เบะปากใส่รัวๆ เลยแม่ง

ในตอนที่ผมกำลังจะอ้าปากเหน็บแนมฝาแฝดด้วยความหมั่นไส้ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องนอนดังขึ้นพร้อมกับร่างสมส่วนที่อยู่ในชุดนอนแขนสั้นขาสั้นสีกรมท่า หัวคิ้วย่นเข้าหากันทันทีเมื่อเห็น ไม่ไปผับแล้วเหรอวะ... หรือยังไง

“ยังไม่ไปกันอีกเหรอ”
พี่ทาวน์ถามจิณณ์แล้วเดินมานั่งลงข้างผมจนตัวแทบสัมผัสกัน กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสบู่ทำให้อยากซุกหน้าลงกับซอกคอเหลือเกิน โอย คิดดีไม่ได้เลย

“รอไอ้ไธคุยโทรศัพท์ครับ แล้วพี่ทาวน์ไม่ไปเหรอ”
จิณณ์ละใบหน้าจากโทรศัพท์แล้วจ้องมองบุคคลในชุดน้อยด้วยใบหน้าสงสัยซึ่งไม่ได้ต่างจากผมที่กำลังขมวดคิ้วและขบคิดอยู่เช่นกัน พี่ทาวน์ไม่มีทีท่าว่าจะปฏิเสธการเที่ยวกลางคืนแต่ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้วะ

“ไม่ไป ปวดเท้าน่ะ”
น้ำเสียงราบเรียบทำให้ผมต้องรีบก้มลงไปดูเท้าขาวๆ ของพี่ทาวน์ทันที ปวดตรงไหนบ้างวะ อยากนวดให้เดี๋ยวนี้เลยแต่ตืดที่ว่าจิณณ์ยังนั่งอยู่ด้วยกัน

“อ๋อ... งั้นพวกผมขอไปเที่ยวกันก่อนเนอะ”
จิณณ์พยักหน้ารับแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะส่งยิ้มลาพวกเราทั้งสองคน เห็นมันรีบเดินไปลากไอ้ไธแล้วได้แต่หัวเราะ คู่รักประสาอะไร รุนแรงใส่กันทุกวัน แต่แบบนี่เขาว่าลูกดกปะ...

ผมละความสนใจจากเรื่องคนอื่นแล้วกลับมาโฟกัสอาการปวดเท้าของแฟน สังเกตว่าเท้าของเขามีสีแดงก่ำผิดปกติ สงสัยจะปวดเท้ามากจริงๆ ถึงขนาดยอมพลาดโอกาสเข้าผับกินเหล้าปลดปล่อยความเครียดเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่การเรียนปีสามอย่างเป็นทางการ

“พี่ปวดเท้ามากเหรอ เดี๋ยวผมหาน้ำอุ่นมาให้แช่เนอะ”
ผมผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วโดนไม่รอฟังความเห็นจากอีกคน กำลังจะก้าวเท้าออกไปหากะละมังแต่กลับถูกรั้งข้อมือเอาไว้

“เดี๋ยว”

“ครับ จะเอาอะไรเพิ่มหรือเปล่า”
ผมก้มหน้าประสานกับพี่ทาวน์แล้วพบว่ามันมีบางอย่างแปลกไป ทั้งบรรยากาศรอบตัว ความละมุนในน้ำเสียง หรือแม้กระทั่งสีเลือดฝาดบนแก้มขาว เขาต้องการสื่ออะไร

“นั่งลง”
เชื่อไหมว่ามันเป็นคำสั่งที่อ่อนโยนมากจนผมยอมนั่งลงโดยไม่มีข้อแม้ราวกับโดนมนตร์สะกด พี่ทาวน์ไม่ได้พูดอะไรออกมาหลังจากนั้นนานนับนาที มือที่เกาะกุมกันอยู่ก็ไม่ได้ผละออกไปไหน แปลกมากจริงๆ

“โกหกน่ะ แค่อยากใช้เวลากับมึง”
คำบอกเล่าแผ่วๆ กับแรงบีบที่ข้อมือทำให้ผมแทบสิ้นลมหายใจ ไม่คิดเลยว่าคนอย่างพี่ทาวน์จะทำอะไรแบบนี้เพื่อได้อยู่กับแฟน น่ารักจนไม่รู้ต้องชมยังไงแล้วจริงๆ

“พี่ทาวน์...”
ผมเรียกชื่อเขาได้แค่เท่านั้นเพราะยังอึ้ง ทึ่ง มองคนข้างๆ ด้วยดวงตาสื่อความหมายแต่กลับโดนผลักหัวซะอย่างนั้น โธ่ เขินก็บอกว่าเขินสิ ไม่ใช่รุนแรงใส่แบบนี้

“หึ อึ้งอะไรขนาดนั้น”

“น่ารักว่ะ”
ผมพึมพำเสียงเบาแล้วขยับเข้าไปใกล้แล้วโน้มหน้าขโมยหอมแก้มฟอดใหญ่ มันชื่นใจจนเผลอแลบลิ้นเลียนอมฝีปาก ถ้าต้องการทำมากกว่านี้จะได้ไหมนะ ก็ไม่ได้เป็นระยะเวลาตามที่ตกลงกันไว้ซะหน่อย

“อยากทำอะไรก็ทำ ทางสะดวกแล้ว”
เดี๋ยวนะ เมื่อครู่ผมหูฝาดหรือเปล่าวะ

“อะ อะไรนะครับ”
ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ แต่หัวสมองกลับคิดเรื่องอกุศลจนไม่เหลือที่ว่างให้คิดเรื่องอื่น ‘หื่นให้สุดแล้วจบที่พี่ทาวน์’ สโลแกนประจำตัวอันใหม่

“ตามนั้น”
เปรียบเสมือนคำอนุญาตให้ผมทำอะไรกับร่างกายขาวๆ ตรงหน้าก็ได้ พี่ทาวน์เบนหน้าหนีไปทางอื่นแต่สังเกตได้ว่าเขาแก้มแดงมากแค่ไหน โอย ไอ้ภาคินไม่นกแล้วเว้ย!

“เดี๋ยวผมออกไปเซเว่นแป๊ป!”

“ไปทำไม”

“ก็ซื้อถะ ถุงยางกับเจล...”
ผมกลืนคำพูดลงคอเมื่อเห็นสิ่งที่พี่ทาวน์ขยับไปหยิบเมื่อครู่นี้ กล่องถุงยางอนามัยยี่ห้อ Okamoto ยอดฮิต สูตรเย็นผิวไม่เรียบกับเจลหล่อลื่นสูตรน้ำของ Durex ให้ตายเถอะ ใครกันแน่ที่หื่นกว่ากันเนี่ย

“มีแล้ว”
อยากถามสุดๆ ว่า แอบไปซื้อมาตอนไหนวะ! แต่ทำได้แค่เบิกตาอ้าปากพะงาบๆ อึ้ง ทึ่ง เสียวเลยคราวนี้

“พี่...”
ผมครางเรียกชื่อเขาได้สั้นๆ อีกแล้ว แม่งๆๆๆ ถ้าไม่ทะนุถนอมจะได้ต่อยปะวะ ทำไมเป็นคนขี้ยั่วแบบนี้ ไหนพูด!

“หุบปากแล้วเริ่มสักที”
พี่ทาวน์ออกคำสั่งจบแล้วเอื้อมมือมารั้งท้ายทอยของผมเข้าไปประกบปากจูบทันทีเพื่อส่งสัญญาณให้เริ่มกิจกรรมเข้าจังหวะครั้งแรกในค่ำคืนนี้

ริมฝีปากค่อยๆ บดเบียดเค้าคลึง ขบเม้ม ดูดดุนกระตุ้นแรงอารมณ์ให้กระพือเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เสียงเฉอะแฉะยามลิ้นร้อนตวัดเกี่ยวพันกันยิ่งทำให้สติสัมปชัญญะแตกกระเจิงจนไม่เหลือชิ้นดี และที่สำคัญคือตอนนี้พวกเราลืมไปแล้วว่ากำลังนั่งอยู่บนโซฟากลางห้องนั่งเล่นของวิลล่าที่ยังไม่ได้ปิดผ้าม่าน... ตื่นเต้นดีไหมล่ะ




-------------------------------------------

เราบอกแล้วว่าเจ็ทไม่นกจริงๆ นะ 
ตอนหน้าพี่ทาวน์ยึดมาพร้อมกับ NC ตัดเข้าโคมไฟ...

ล้อเล่น!!! NC สักครึ่งตอนดีไหม? 55555555

ออฟไลน์ numay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1
รอตอนต่อไป  :oo1:

ออฟไลน์ Jadd

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 231
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
 :mc4:  เจ็ทจะไม่นกแล้ว

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
รอตอนต่อไปแทบไม่ไหวแล้ว เจ็ทจะไม่นก?

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด