= MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งสุดท้าย - P.6 /จบแล้ว/ (12/02/61)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งสุดท้าย - P.6 /จบแล้ว/ (12/02/61)  (อ่าน 65792 ครั้ง)

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม









'ต้องใช้วิธีไหนถึงเอาชนะใจหมอที่โคตรแข็งและนิสัยที่โคตรแมนได้วะ'



"ทำไมเดือนคณะอย่างกูต้องอกหักด้วยวะ ไม่เข้าใจจริงๆ"
-จิณณ์-

"รูปไม่หล่อ พ่อไม่รวย แถมมีรอยสัก สนใจรับรักผมไหมครับ"
-เจ็ท-

"การแอบรักต้องกดให้ลึกแค่ไหนว่ะ เขาถึงจะไม่รู้ตัว"
-ไธ-

"พี่สายเปย์ น้องสนใจขึ้นห้องด้วยกันไหมครับ"
-ฟาร์ม-

"สาว 2D ของผมน่ารักที่สุดในโลกเลย"
-ตังค์-


"อย่ามายุ่งกับกู ขอความสงบ"
-ทาวน์-

"รักไม่ยุ่ง มุ่งแต่กิน"
-แฮม-

"โอ้ย หงุดหงิด อะไรก็ไม่ได้ดั่งใจเลยเว้ย"
-ฟา-

"ผมมีสเป็คที่แปลกแหวกแนวไม่เหมือนใคร สนใจเป็นตัวเลือกของผมไหมครับ"
-เอย-



-----------------------------------------------------------------






เริ่มแข่งขัน
แข่งครั้งที่ 1
แข่งครั้งที่ 2
แข่งครั้งที่ 3
แข่งครั้งที่ 4
แข่งครั้งที่ 5
แข่งครั้งที่ 6
แข่งครั้งที่ 7
แข่งครั้งที่ 8
แข่งครั้งที่ 9
แข่งครั้งที่ 10
แข่งครั้งที่ 11
แข่งครั้งที่ 12
แข่งครั้งที่ 13
แข่งครั้งที่ 14
แข่งครั้งที่ 15
แข่งครั้งที่ 16
แข่งครั้งที่ 17
แข่งครั้งที่ 18
แข่งครั้งที่ 19
แข่งครั้งที่ 20
แข่งครั้งที่ 21
แข่งช่วงเทศกาล : ฮาโลวีน
แข่งครั้งที่ 22
แข่งครั้งที่ 23
แข่งครั้งที่ 24
แข่งครั้งที่ 25
แข่งครั้งที่ 26
แข่งครั้งที่ 27
แข่งครั้งที่ 28
แข่งครั้งที่ 29
แข่งครั้งที่ 30
แข่งครั้งที่ 31
แข่งครั้งที่ 32
แข่งครั้งที่ 33
แข่งครั้งที่ 34
แข่งครั้งที่ 35
แข่งครั้งที่ 36
แข่งครั้งที่ 37
แข่งครั้งที่ 38
แข่งครั้งที่ 39
แข่งครั้งสุดท้าย





ฝากเพจด้วยน้า https://www.facebook.com/Ch0cmint
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-02-2018 09:57:50 โดย Ch0cmint »

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5




บรรยากาศยามเช้าในวันที่ฝนตกเป็นเหมือนสวรรค์ของการนอนซุกตัวอยู่ในผ้านวมอุ่นๆ ร่างกายสูงใหญ่ของใครบางคนไม่ยอมขยับไปไหน ทั้งๆ ที่ด้านนอกมีเสียงเคาะประตูดังสนั่น มันน่ารำคาญ เพราะเดาได้ไม่ยากว่าใครเป็นคนทำ มีไม่กี่คนที่กล้าปลุกเขาในเวลาแบบนี้ อยากตะโกนด่าแต่ขี้เกียจอ้าปาก

"ไอ้เจ๊กเว้ย!"
คราวนี้ตะโกนเรียกชื่อกันชัดเจนจนผมต้องเด้งตัวขึ้นมานั่งทึ้งหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิด 'เจ๊ก' บ้านพ่องมึงสิ กูชื่อ 'เจ็ท' เว้ย ไอ้ฉิบหาย เดี๋ยวออกไปตบกะโหลกสักที สอนไม่รู้จักจำ พี่เหี้ย!

"ตะโกนหาพ่อมึงเหรอไอ้จิณณ์ หนวกหูเว้ย!"
ผมตะโกนอย่างหงุดหงิดแล้วยังนั่งอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับไปไหนเพราะขี้เกียจจะเจอคนหน้าตาเหมือนกันที่อยู่ด้านนอก ดวงตาคมเหลือบมองนาฬิกาบนผนังก่อนจะถอนหายใจเฮือกออกมา วันหยุดแสนสบายที่ถูกปลุกตั้งแต่แปดโมงมันโคตรน่าเบื่อ ไอ้พี่ชายตัวดีไม่สงสารคนที่เพิ่งได้นอนตอนตีสามหรือไงวะ พอดีเมื่อคืนผมบ้าเล่นเกมไปหน่อย

"พ่อมึงก็พ่อกูไหมล่ะ สัด! เปิดประตู"
เสียงตะโกนด่ากลับมาดังลั่น ไม่ได้มีความเกรงใจคนข้างห้องแต่อย่างใด ถ้าวันไหนมันจะโดนคนอื่นฟาดหัวแตกก็ไม่ต้องสงสัยนะ จากที่ผมประเมินสถานการณ์แล้วไอ้พี่ชายตัวดีคงมีเรื่องสำคัญอยากให้ช่วย แต่ดูปากสิ... ใครเขาอยากจะช่วยมันวะ

"เหี้ยอะไรของมึงแต่เช้าเนี่ย ไม่เปิดเว้ย จะนอน!"
ผมยังคงไม่ยอมเปิดประตูให้มันอยู่ดี แต่คราวนี้ไม่ใช่เพราะขี้เกียจแต่อยากแกล้งมากกว่า มารบกวนคนอื่นเขาแต่พูดจาหยาบคายแบบนี้ก็อย่าหวังว่าจะได้รับการตอบกลับอย่างเต็มใจเลย

"เจ๊ก กูต้องการความช่วยเหลือ"
พอถึงตาจนไอ้พี่ชายตัวดีก็เสียงอ่อนลงจนผมต้องลุกขึ้นไปยืนใกล้ๆ ประตูแล้วเอาหูแนบเพื่อฟัง ดูท่าทางคงเป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติแน่ๆ เพราะโดยปกติแล้วถ้าได้ด่ากันก็ยาวยืดไม่มีใครยอมใคร เป็นคู่แฝดที่เหี้ยดีเนอะ รักกันมากปานจะฆ่ากันตายวันละหลายรอบ แต่ไอ้ที่เรียกเจ๊กๆ เนี่ย ทำให้อารมณ์เสียชะมัด

"เรียกชื่อกูให้ถูกก่อนได้ปะจิณณ์ ไม่งั้นมึงก็แหกปากต่อไปแล้วกัน"
ผมบอกมันด้วยน้ำเสียงฉุนๆ มาปลุกกันก็หงุดหงิดมากพออยู่แล้วยังเรียกชื่อผิดอีก ถ้าเป็นตอนอารมณ์ดีจะไม่ว่าอะไรสักคำเลยจริงๆ พ่อแม่ตั้งชื่อให้ดิบดีขนาดนี้ แต่เสือกเรียกเจ๊ก ทีกับมันผมเรียก 'จิณณ์' ตลอดไม่เคยตั้งฉายาให้ ดูเอานะว่าใครกวนตีน

"โอ๋ๆ เจ็ทครับ พี่มึงมีเรื่องอยากให้ช่วย ~"
น้ำเสียงอ้อนๆ ที่มักจะได้ยินมันใช้กับแฟนดังขึ้นที่นอกประตูชวนให้ผมหลุดหัวเราะได้ไม่ยากเมื่อคิดว่าใบหน้าของมันคงบูดเบี้ยวไม่สบอารมณ์ที่ต้องมาพูดอะไรหวานๆ กับน้องที่หน้าตาเหมือนกันและอายุเท่ากันแบบนี้ แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะยอมเปิดประตูให้จิณณ์ ไม่อยากเล่นตัวมากนักหรอก เดี๋ยวจะโดนหาว่าเป็นคนไร้น้ำใจอีก

"เออ ก็แค่นั้น มึงชอบกวนตีน"
ผมพูดจบก็หมุดลูกบิดประตูให้เปิดออก พบว่าใบหน้าที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วกำลังยิ้มแย้มอยู่ แถมในมือยังถือโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดเอาไว้อีก หึ ไปอ้อนแม่ให้ซื้อแน่ๆ อย่าให้ถึงตาผมบ้างนะเออ จะจัดหนักจัดเต็มกว่าไอ้จิณณ์เลยคอยดู (ได้ข่าวว่าเจ็ทเพิ่งได้เครื่องเล่นเกม Nintendo Switch มาจากพ่อนะ)

"เพราะรักหรอก"
คำบอกรักหวานๆ ทำให้ผมเบ้ปากอย่างหนัก ทฤษฎีที่บอกว่าผู้ชายชอบกวนตีนใครแปลว่ารักคนนั้นมันไม่สามารถใช้กับพี่น้องร่วมสายเลือดได้หรอก เพราะยังไงซะการกวนตีนก็คือกวนตีนนั่นล่ะ ไม่มีความหมายแฝงให้วุ่นวาย

"หุบปากไป กูจะอ้วก"
ผมห้ามมันพูดอะไรต่อด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายก่อนจะเอนตัวพิงเข้ากับขอบประตู ช่วงบนที่เปลือยเปล่าเผยให้เห็นรอยสักตรงกลางอกขนาดใหญ่เป็นลวดลายเข็มทิศสละสลวย ซึ่งมีความหมายว่าโอกาส ทิศทาง แรงบันดาลใจที่แรงกล้า สู่เป้าหมายที่ตั้งไว้

"ใจร้ายอะ"
จิณณ์เบะปากใส่เหมือนกับเด็กๆ เห็นแล้วก็หมั่นไส้จริงๆ เสแสร้งอะไรช่วยทำให้เหมือนคนปกติหน่อยก็ได้ ตอนนี้เหมือนยืนคุยกับคนปัญญาอ่อนยังไงไม่รู้ แล้วอีกอย่างประเด็นมันอยู่ที่หน้าตาของมันไง เหมือนผมทุกกระเบียดนิ้วจนแยกไม่ออก แต่ถ้าคนช่างสังเกตกน่อยจะรู้ว่าไอ้พี่ชายตัวดีมันมีไฝเล็กๆ ที่หางตาด้านซ้าย

"เออ จะทำไม"
ผมยอมรับว่าตัวเองเป็นคนแบบนั้นตามที่โดนกล่าวหา รู้สึกว่าตอนนี้ใบหน้าของตัวเองคงกำลังบูดบึ้ง

"เปล่าจ้าๆ"
ไอ้พี่ชายรีบเปลี่ยนท่าทีทันทีเพราะคงจับอารมณ์ของผมได้เลยเลิกกวนตีน แถมยังฉีกยิ้มสดใสให้กันอีก มันใช่เวลาไหมล่ะ เห็นแล้วรู้สึกรำคาญลูกตาชะมัด

"มีอะไรรีบว่ามา กูง่วง"
ผมบอกมันก่อนจะยกมือขึ้นขยี้หัวตัวเองหวังว่าจะทำให้หายง่วงขึ้นมาบ้าง แต่อยากบอกว่าไม่ได้ช่วยอะไรในเมื่อปากหยักอ้าออกเพื่อหาวอีกครั้ง ถ้าจิณณ์จะชักช้าแบบนี้ขอไปนอนก่อนได้ไหมล่ะ

"มึงช่วยไปเอาช่อดอกไม้จากร้านให้หน่อยดิวะ จะเอาไปง้อเค้ก"
น้ำเสียงอ้อนๆ ของจิณณ์ดังขึ้นพร้อมด้วยสายตาขอร้องที่ส่งมาให้กัน จากที่ผมกำลังครึ่งหลับครึ่งตื่นกลับต้องเบิกตาโตคล้ายๆ กำลังถลึงใส่คนตรงหน้า นี่มันอะไรวะ คือจะขอช่วยเรื่องนี้น่ะเหรอ โคตรบ้า

"แล้วทำไมต้องใช้กู ไปเอาเองดิ ร้านดอกไม้ก็อยู่แค่เนี่ย"
ปลายประโยคจบลงผมก็ขมวดคิ้วยุ่งบวกกับการชี้ออกไปด้านตรงข้ามของคอนโด แค่ข้ามถนนแล้วเดินไปอีกบล็อกสองบล็อกก็จะเจอร้านดอกไม้ที่จิณณ์พูดถึง ใช้เวลาไม่เกินสิบนาทีหรอก

"น่าๆ กูต้องปั่นงานก่อนไง ช่วยหน่อย"
จิณณ์เข้ามาเกาะแขนตามด้วยการเอาหน้าใสๆ ของมันมาถูกับลาดไหล่ของผม คิดว่าขนลุกไหมล่ะ ไม่ได้ใส่เสื้อนะเว้ย สยอง

"เรื่องเยอะว่ะ ให้กูไปง้อพี่เค้กแทนเลยปะ แล้วไหนค่าจ้าง"
ผมบ่นแล้วผลักหัวมันไปไกลๆ ด้วยใบหน้าเบื่อหน่าย จริงๆ ถ้าให้ไปง้อพี่เค้กแทนก็ทำได้นะ เพราะคนๆ นั้นไม่เคยแยกแยะอะไรได้เลย แฟนตัวเองคนไหนก็จำไม่ได้ ไม่รู้ว่ารักกันไหม หรือที่จริงแล้วแค่เกาะกระแสเดือนคณะวิศวะเพิ่มความดังของตัวเอง

"ไอ้บ้า ไม่ต้องเว้ย กูง้อเอง ส่วนค่าจ้างเป็นบอนชอน"
ไอ้จิณณ์โวยวายก่อนจะยกมือขึ้นตบหัวผมไม่แรงมากนัก อยากจะเอาคืนด้วยการถีบอยู่หรอกแต่ค่าจ้างมันดีพอรับได้เลยฉีกยิ้มแทน

"เออๆ งั้นกูไปอาบน้ำก่อน หาข้าวเช้าไว้ให้ด้วย เดี๋ยวกลับมากิน"
ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าห้องเพื่ออาบน้ำก็ออกคำสั่งกับพี่ชายไว้ เพราะคนจัดการเรื่องอาหารคือมัน อย่าถามว่าอร่อยหรือไม่อร่อยเพราะกินมาตั้งแต่เด็กๆ ชินแล้ว บ่นมากก็ไม่ได้เดี๋ยวไม่มีแดก อดตายกันพอดี

"รับทราบครับเจ๊ก"
จิณณ์ตะเบะพร้อมกับยิ้มร่าให้กันโดยที่ไม่รู้เลยว่ากำลังจะโดนถีบ ผมสงสัยจริงๆ ว่าจะแกล้งเรียกชื่อกันผิดไปถึงเมื่อไหร่ ไม่ใช่ไม่ชอบแต่พอบ่อยครั้งไปมันก็น่ารำคาญ

"จิณณ์"
ผมกดเสียงต่ำพร้อมกับจ้องหน้าฝาแฝดเขม็ง บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าตอนนี้เริ่มมีอารมณ์ไม่พอใจขึ้นมาอีกแล้ว รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไบโพล่ายังไงก็ไม่รู้ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เผลออาจจะเป็นบ้ามากกว่า

"โอ๋ๆ น้องเจ็ทสกีของพี่จิณณ์"
จิณณ์รีบเปลี่ยนสีหน้าและน้ำเสียงทันทีที่เริ่มสังเกตเห็นว่าเหตุการณ์ตรงหน้าไม่ปกติ แถมยังสามารถเรียกชื่อเล่นเต็มยศได้ซะขนาดนั้น สงสัยจะกลัวผมเบี้ยวไม่ยอมไปเอาดอกไม้ให้แน่ๆ ง้อแฟนทีลงทุนเป็นพันๆ มันคุ้มแล้วเหรอวะ พี่เค้กก็แม่งจะขี้งอนอะไรนักหนาก็ไม่รู้ ครั้งนี้แค่เรื่องที่ไม่รับโทรศัพท์ล่ะมั้ง ก็ตอนนั้นกำลังข้ามถนนหน้ามหา'ลัยนี่หว่า ถ้ามัวแต่วุ่นวายกับเธอคาดว่ารถน่าจะชนตายซะก่อน

"ไปไกลๆ เลยมึง น่ารำคาญ"
ผมออกปากไล่ก่อนจะโบกมือเป็นสัญญาณให้มันออกไปพ้นๆ จากหน้าห้องสักที ที่บอกว่ารำคาญส่วนหนึ่งคือตัวไอ้จิณณ์อีกส่วนคือตัวพี่เค้ก อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย ยอมรับว่าไม่ค่อยถูกชะตากับเธอเท่าไหร่หรอก เพราะเคยสงสัยว่าคนที่เขาอยากได้จริงๆ น่าจะเป็นตัวผม เพราะเจอกันทีไรก็เห็นดวงตากลมโตนั้นฉายแววยั่วยวนมาเสมอ ขี้เกียจจะเสวนาด้วย นานๆ ครั้งผมจะปริปากคุยกับผู้หญิงคนนั้นสักที

"จ้า ไปแล้วๆ รักนะ จุ๊บๆ"
ไอ้จิณณ์ส่งจูบด้วยท่าทางทะเล้นแล้ววิ่งกลับไปทิศทางห้องของตัวเองด้วยท่าทางร่าเริงราวกับคนบ้าเพิ่งหลุดออกมาจากโรงพยาลบาล

"จุ๊บพ่อง!"
ผมตะโกนด่ามันไล่หลังไปแล้วพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ เมื่อไหร่มันจะเลิกกวนตีนกันสักทีนะ นิสัยอย่างกับเด็กตัวเล็กๆ ควรเกิดหลังผมมากกว่าไหมน่ะ อายุสมองเท่าไหร่กันแน่ คิดแล้วก็เครียดแทนพ่อแม่และพี่สาวที่อยู่ต่างประเทศจัง

"อย่าลืมเอาร่มไปด้วยนะเว้ย ฝนตก!"
จิณณ์ตะโกนกลับมาแบบนั้นทำให้ความคิดที่จะโกรธเขามลายหายสิ้นไปหมด ถึงจะกวนตีนเป็นกิจวัตรประจำวัน แต่มันก็เป็นห่วงน้องอย่างผมด้วยความจริงใจล่ะนะ

สายน้ำที่ไหลออกจากฝักบัวทำให้ดวงตาปรือๆ คล้ายจะหลับตื่นเต็มที่ เนื่องจากอุณหภูมิที่ต่ำจนน่าใจหายคล้ายๆ ผ่านการแช่ตู้เย็นมา อาจเป็นเพราะว่าฝนกำลังตก อากาศเลยไม่ปรานีกันขนาดนี้ ถ้าได้กลับไปนอนซุกผ้านวมอุ่นๆ คงจะดีไม่น้อย แต่คิดแล้วก็พาลหงุดหงิดเปล่าๆ เพราะยังไงก็ต้องไปเอาช่อดอกไม้จากร้านให้พี่ชายอยู่ดี ไม่ใช่เรื่องอะไรของตัวเองเลย

กว่าผมจะได้ฤกษ์ออกจากห้องก็ปาเข้าไปเกือบเก้าโมงครึ่ง เห็นจิณณ์ขมักเขม้นปั่นการบ้านอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องโถงก็อดแกล้งไม่ได้ ดวงตาเรียวกวาดมองหาอะไรพอเหมาะกับมือแล้วก็เจอเข้ากับกล่องใส่ขนม รอยยิ้มร้ายผุดขึ้นที่มุมปากก่อนจะออกแรงขว้างมันใส่พี่ชายคนดี นี่ล่ะคือการเอาคืนที่มันบังอาจมาปลุกกันในวันฝนตกอากาศเย็นสบายแบบนี้

"อะไรวะแม่ง"
มันบ่นเสียงดังพอตัวก่อนจะยกมือขึ้นลูบท้ายทอยตัวเองแล้วเบนหน้ามาทางด้านหลัง ผมไม่ได้หลีกหนีไปไหนแต่ยืนยักคิ้วกวนๆ ให้ ได้แกล้งไอ้จิณณ์แล้วรู้สึกมีความสุขขึ้นมานิดหน่อยว่ะ ยิ่งเห็นมันทำหน้าหงิกยิ่งสะใจ

"ไอ้เจ็ท เอากล่องขนมมาปาหัวพี่มึงเพื่ออะไรวะ"
จิณณ์ถามด้วยน้ำเสียงสงสัยปนหงุดหงิด ทำท่าเหมือนจะเดินเข้ามาเอาคืนแต่ก็เปลี่ยนใจนั่งลงที่เดิม สงสัยกลัวว่าผมจะเบี้ยวไม่ยอมไปเอาดอกไม้ให้แน่ๆ เพราะมันน่ะ ดูรักแฟนคนนี้จะตาย งอนต้องรีบง้ออะไรประมาณนั้น

"ความสุขกู อย่าลืมทำอาหารเช้าไว้ด้วย ไปล่ะ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงก่อนจะโบกมือให้พี่ชายที่ยังไม่เลือกทำหน้าตาบึ้งตึง มันพยักหน้ารับคำแล้วหยิบอะไรบางอย่างเดินตรงมาทางนี้ ไม่ใช่ว่าจะมาเอาคืนกันนะเว้ย พ่อถีบล้มทั้งยืนจริงๆ ด้วย

"ร่ม อย่าลืม"
จิณณ์ยื่นร่มขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กมาให้กัน ผมมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรับมาถือไว้ จริงๆ แล้วไม่ค่อยชอบใช้มันสักเท่าไหร่ เพราะเกะกะ วิ่งตอนกางก็ไม่ได้เพราะโต้ลมฉิบหาย แต่พึงระลึกได้ว่าตัวเองป่วยง่ายเมื่อโดนฝนเลยเลิกปฏิเสธความหวังดีของพี่ชาย

"อ้อ เออ ขอบใจ"
ผมบอกก่อนจะหมุนตัวไปใส่รองเท้าและเอื้อมมือไปเปิดประตู ไอ้จิณณ์ก็ยังไม่วายเอ่ยเตือนเรื่องให้กางร่มด้วย เพราะรู้นิสัยกันดีเลยต้องดักคอแบบนี้ทุกทีไป

ผมเลือกใช้บันไดเพราะไม่อยากไปเบียดเสียดกับเพื่อนร่วมคอนโดในเวลานี้สักเท่าไหร่ แค่ลงจากชั้นสามไม่ได้ทำให้ข้อเข่าเสื่อมหรอก อีกอย่างหนึ่งคือยังไม่อยากเอาตัวเองไปเผชิญกับสภาวะฝนกระหน่ำเหมือนฟ้ารั่ว ถึงจะมีร่มอยู่ในมือให้ใช้งานก็เปียกอยู่ดี ขี้เกียจจะนอนซม ถ้ามีแฟนเป็นหมอคงไม่คิดมากแบบนี้หรอก ตอนป่วยแล้วไม่มีคนดูแลมันรู้สึกแย่ชะมัด

ตอนนี้ผมยืนพิงผนังอยู่ใกล้ๆ ประตูทางออกคอนโด ดวงตาเรียวมองสายฝนที่ตกกระทบลงมาบนพื้นถนนแล้วได้แต่ถอนหายใจออกมาหนักๆ เมื่อไหร่มันจะหยุดสักทีวะ คนอื่นๆ ที่ไม่สามารถออกไปทำธุระได้อย่างต้องการก็ออกันอยู่บริเวณนี้เยอะแยะ และหนึ่งในนั้นรวมถึงเพื่อนสนิทของผมด้วย

"ไอ้ไธ!"
ผมตะโกนเรียกมันที่กำลังจะออกไปเผชิญสภาพอากาศเลวร้ายข้างนอกแล้วเดินดุ่มๆ เข้าไปหา ไอ้ไธตกใจเล็กน้อยก่อนจะชะงักแล้วหันซ้ายหันขวามองหาต้นเสียง แต่เมื่อสายตาของเราสบกันก็พลันเกิดรอยยิ้มขึ้น

"ว่าไงมึง จะไปไหน"
มันถามก่อนจะก้มลงมองวัตถุที่อยู่ในมือของผม ร่มหนึ่งอันกับชุดเสื้อบอลกางเกงบอลสีขาว คีบรองเท้าแตะสีฟ้าสดใส อย่าคิดว่ากูจะออกไปไหนไกลเลยมึงแค่เดินเล่นแถวคอนโดก็หรูแล้ว

"ไปเอาดอกไม้ที่ร้านให้ไอ้จิณณ์"
ผมตอบออกไปแล้วเหวี่ยงร่มในมือเล่นเพื่อฆ่าเวลา เห็นใบหน้างงๆ ของไอ้ไธแล้วได้แต่ขำในใจ มันหล่อนะ แต่พอเก๊กแตกนี่โคตรฮา ลักษณะคล้ายๆ หมาตอนทำหน้าสงสัยไม่เข้าใจโลกอะไรประมาณนั้น

"ห๊ะ... ทำไมวะ"

"มันจะเอาไปง้อพี่เค้ก"
ผมตอบไปตามความจริงแล้วเบนสายตาออกไปมองสายฝนด้านนอกที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกสักที แอร์จะหนาวไปไหนวะเนี่ย อยากเดินไปบอกพี่คนสวยที่หน้าเค้าน์เตอร์เหลือเกินว่าช่วยปรับอุณหภูมิสักนิดเพราะไข่จะหดหมดแล้วครับ หนาวเหี้ยๆ นึกว่ายืนอยู่กลางธารน้ำแข็งขั้วโลกเหนือ แล้วตัวเองเป็นหมีขาวเริงระบำ สัด!

"อ๋อ... แล้วมึงจะไปกับร่มเนี่ยนะ เปียกตายห่าพอดี"
ไอ้ไธมองผมหัวจรดเท้าแล้ววกมาที่ร่มในมือด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าตายแน่ๆ เปียกยันกางเกงในเลยนะมึง อะไรประมาณนั้น

"เออดิ ฝนตกขนาดนี้ หวัดคงแดกกูอีกตามเคย"
ผมกรอกตาด้วยความเบื่อหน่ายแล้วเหวี่ยงร่มขึ้นพาดบ่า ดูท่าทางเช้านี้ฝนคงไม่หยุดตกง่ายๆ หรอก ขอกลับขึ้นห้องไปนอนต่อได้ไหมวะ แล้วเรื่องที่จิณณ์จะไปง้อแฟนค่อยทำวันพรุ่งนี้... ถ้าเป็นแบบนั้นมีหวังเลิกรากันแน่ๆ

"งั้นกูไปส่ง ขากลับมึงกลับเองนะ"
ไอ้ไธพาดแขนวางบนลาดไหล่ของผมแล้วออกแรงกระชับเล็กน้อย ส่วนสูงและขนาดตัวของเราไม่ได้ต่างกันมากนัก และมันเป็นคนติดสกินชิพ จนพวกสาวๆ ในคณะต่างเอาไปจิ้น รู้ไหมว่าพวกผมต้องนั่งปั้นหน้ายิ้มรับฟังเรื่องพวกนี้อย่างทรมานแค่ไหน มองหน้ากันไปขนลุกกันไปตลอด

"เฮ้ย จริงดิ ดีๆ งั้นไปเลยมึง"
ผมตอบกลับไปด้วยท่าทางร่าเริง ดีซะอีกที่ได้นั่งรถหรูราคาหลายล้าน แถมยังสบายแบบไม่ต้องเปียกม่อล่อกม่อแล่กเป็นลูกหมาตกน้ำด้วย เรื่องสบายๆ ไอ้เจ็ทคนนี้ไม่เคยปฏิเสธ

"เออๆ"
ไอ้ไธรับคำแล้วออกแรงดันตัวผมให้เดินไปที่ลานจอดรถพร้อมๆ กัน ทั้งๆ ที่มันไม่ได้ละแขนออกจากไหล่ผมเลยสักนิด ชินแล้วล่ะที่จะโดนถูกเนื้อต้องตัวโดยเพื่อนสนิทแบบนี้ ผู้ชายด้วยกันเขาไม่คิดเล็กคิดน้อยจนต้องระแวดระวัง ไม่เหมือนสาวๆ พวกนั้นที่ทำอะไรนิดอะไรหน่อยก็กรี๊ดกร๊าดหาว่าพวกเรามีซัมติง กูว่าเป็นไส้ติ่งยังมีความเป็นไปได้สูงกว่าอีก

"ว่าแต่... มึงจะไปไหนวะไธ ฝนตกขนาดนี้"
เดินมาได้ครึ่งทางผมก็เกิดอาการสงสัยจนต้องตะโกนถามแข่งกับเสียงฝนกระหน่ำ มันหันมามองหน้ากันก่อนจะเบ้ปากเหมือนคนไม่ค่อยเต็มใจออกไปไหนสักเท่าไหร่ เพราะจากที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัธยมไอ้ไธเกลียดฤดูนี้จะตาย เพราะมันเฉอะแฉะ เดินทางลำบาก

"ไปห้างว่ะ มีนัดกับพี่แทน"
มันเฉลยสิ่งที่ผมอยากรู้ก่อนจะผละตัวออกไปเปิดประตูรถยุโรปที่อยู่ตรงหน้าแล้วสอดตัวเข้าไปด้านใน ส่วนผมก็ไม่รอช้าที่จะรีบขึ้นไปนั่งข้างคนขับอย่างรวดเร็วพอๆ กัน กลัวโดนทิ้ง ไอ้นี่มันขี้แกล้งจะตายไป

"อ้อ... กลับมาจากญี่ปุ่นแล้วเหรอ"
ผมต่อประโยคสนทนาหลังจากที่คว้าเข็มขัดมารัดและวางร่มไว้บนตักเรียบร้อยแล้ว ไอ้ไธที่กำลังจะออกรถเหลือบมองกันเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ (พี่แทนของมันหอบผ้าหอบผ่อนไปเรียนที่ญี่ปุ่นน่ะ)

"เออ"
มันตอบก่อนจะเหยียบคันเร่งนำรถออกจากอาคาร เสียงสายฝนกระทบลงบนกระจกทำให้กลบเพลงที่กำลังเปิดอยู่จนหมด ผมไม่ได้ชวนมันคุยอะไรเพราะไอ้ไธเป็นคนที่มีสามาธิจดจ่อกับการขับรถสูง ไม่เคยว้อกแว้กเลยสักครั้ง ปลอดภัยหายห่วง

"นี่... ร่มมึงน่ะกางด้วย อย่าเอามาถือเล่นๆ"
อยู่ๆ ไอ้ไธก็พูดขึ้นเมื่อเบื้องหน้าอีกประมาณยี่สิบเมตรปรากฎร้านขายดอกไม้ขนาดกลาง ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วก้มมองร่มบนตักนิ่ง แค่ลงจากรถไม่ถึงห้าก้าวเพื่อเข้าร้านต้องกางมันด้วยเหรอวะ แต่คิดได้ว่าตัวเองป่วยง่ายเลยไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกไปให้เพื่อนด่าสวนกลับ

"เออๆ สั่งกันจังวะเรื่องกางร่มเนี่ย"
ผมบ่นกระปอดกระแปดแล้วแกะกระดุมที่เก็บร่มออกเตรียมตัวจะลงจากรถ

"ก็เพราะมึงป่วยง่ายแล้วเสือกกระแดะไม่ชอบกางร่มไง"
ไอ้ไธพูดอย่างรู้ทันแล้วใช้มือข้างหนึ่งผลักหัวกันหลังจากที่รถจอดสนิทที่หน้าร้าน ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่มันแล้วใช้ร่มในมือเคาะหัวกลับ ไม่ยอมแพ้หรอกเว้ย

"มึงเป็นเพื่อนหรือพ่อครับ"
ผมถามมันด้วยน้ำเสียงฉุนๆ ให้ขณะที่ไอ้ไธลูบหัวตัวเองป้อยๆ อยากขอโทษอยู่หรอกที่เผลอมือหนักไปหน่อยแต่สมน้ำหน้ามากกว่า ใครใช้ให้มันทำร้ายร่างกายผมก่อนล่ะวะ

"กูเป็นได้ทุกอย่าง"
คำพูดมันช่างหวานเลี่ยนแต่หน้าตากวนตีนจนอยากประทับรอยเท้าลงไปจังๆ ไม่รู้ว่าหลงไปเป็นเพื่อนสนิทกับไอ้ไธได้ยังไงก็ไม่รู้ แม่ง...

"กวนตีนเหมือนไอ้จิณณ์ไม่มีผิดเลยนะมึง"
ผมบ่นอีกรอบเมื่อคิดถึงพี่ชายที่กวนตีนเหมือนๆ กับเพื่อนสนิท รายนั้นชอบแกล้งกันเป็นชีวิตจิตใจ แล้วมันก็ไม่เคยหลาบจำตอนที่โดนเอาคืนหนักๆ ด้วยนะ แม่ง โรคจิตชัดๆ เลยไอ้จิณณ์

"เหรอวะ"
ไอ้ไธถามกลับมาด้วยน้ำเสียงแผ่วๆ ดวงตามันระยิบระยับแปลกๆ นี่มึงแอบคิดอะไรกับพี่ชายกูหรือเปล่าวะ สังเกตหลายรอบแล้วว่าพอผมพูดถึงไอ้จิณณ์ทีไร เพื่อนสนิทมักมีปฏิกิริยาแปลกๆ ทุกครั้ง แต่คงไม่มีซัมติงกันหรอก เพราะต่างคนต่างชอบผู้หญิง อาจจะมองว่าเป็นไอดอลด้านความเจ้าชู้ก็ได้ และเวลาเจอหน้ากันคุยแทบนับคำได้ ไม่รู้ว่ากลัวดอกพิกุลร่วงหรือยังไง

"เออ ขับรถดีๆ นะมึง กูไปล่ะ ขอบใจมาก"
ผมบอกมันก่อนจะตบบ่าปุๆ แล้วแง้มประตูออกเพื่อกางร่มและรีบลงจากรถตรงเข้าร้ายขายดอกไม้ทันที แต่ด้วยความไม่ระวังเลยทำให้เดินชนประตูกระจกที่มีใครสักคนเปิดออกมาแบบพอดิบพอดี โอ้ย ไอ้สัด หัวโนเป็นลูกมะนาวแน่ๆ เลยกู

"สัด โคตรเจ็บ"
ผมสบถออกมาก่อนจะยกมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเองที่ปูดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ร่มในมือถูกโยนทิ้งไปตั้งแต่ประตูเปิดออกมาชน ในจังหวะที่กำลังเงยหน้าจะอ้าปากด่าคนลอบประทุษร้ายตัวเองนั้นก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อใครตรงหน้าทำให้โลกแทบหยุดหมุน

โครงหน้ารูปไข่ คิ้วเข้มเรียงตัวสวย ปากบางเป็นรูปกระจับ จมูกโด่งทรงหยดน้ำ ดวงตาชั้นเดียวแต่กลับคมคล้ายเหยี่ยว ผิวขาวอมชมพู ส่วนสูงพอๆ กัน ทรงผมอันเดอร์คัต... โคตรหล่อ ถึงใบหน้าจะดูไร้อารมณ์และติดเย็นชา แต่มีอะไรบางอย่างที่น่าสนใจแฝงอยู่

เขามองหน้าผมนิ่งๆ ในมือถือช่อดอกลิลลี่สีขาวส่งกลิ่นหอม ประเมินจากสถานะการตรงหน้าแล้ว ผู้ชายหล่อกับดอกไม้งามในมือ คงซื้อไปให้แฟนแน่ๆ เลยว่ะ และเธอคงสวยราวนางฟ้านางสวรรค์แน่ๆ

"ขอโทษครับ"
เขาเอ่ยคำขอโทษออกมาเรียบๆ โดยสีหน้ายังไม่เปลี่ยนไปไหนแล้วเบี่ยงตัวเปิดทางให้ผมเข้าไปในร้านดอกไม้แทน ดูท่าทางจะเป็นคนพูดน้อยต่อยหนักล่ะมั้ง ถ้าคนๆ นี้ยิ้มสักหน่อยคงหล่อกว่านี้เป็นกอง

"เอ่อ ไม่เป็นไรครับ ผมเดินไม่ดูทางเอง"
จากที่จะด่าเขากลายเป็นว่ายอมรับผิดเองซะอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ปกติแล้วไม่เคยยอมใครขนาดนี้มาก่อน สงสัยจะอิจฉาในความหล่อของคนตรงหน้ามากไปหน่อย สมองเลยทำงานผิดเพี้ยนไปจากเดิม

"อืม กลับบ้านไปก็หาน้ำแข็งประคบด้วย มันจะช่วยลดอาการบวม"
เขาบอกแค่นั้นก่อนจะหมุนตัวเดินไปหยิบร่มคันใหญ่ที่พิงอยู่กับกระจกหน้าร้านแล้วกางมัมออกไปท่ามกลางสายฝนกระหน่ำ ทิ้งให้ผมยืนนิ่งๆ มองตามแผ่นหลังของคนที่ใส่ชุดนักศึกษามหา'ลัยเดียวกันจากไป

ความรู้สึกตอนนี้มันอุ่นๆ ในหัวใจ ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักอะไรกันแต่แสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อเพื่อนมนุษย์แบบนี้ ถ้าเขาจะกลายเป็นคนที่น่าสนใจขึ้นมาสำหรับผมคงไม่แปลกสักเท่าไหร่ ถึงจะเย็นชาแต่ดูๆ แล้วคงใจดี ส่วนมากแล้วพวกเสือยิ้มยาก พอได้ยิ้มให้ใครสักทีเหมือนโลกใบนี้สวยงามขึ้นมาทันตาเห็น ผมอยากลองเข้าไปทำความรู้จักเขา ผลตอบรับจะเป็นยังไงก็น่าลุ้นไม่ใช่เหรอ

และผมเชื่อว่าสักวันเราคงได้พบกันอีกครั้ง ในเมื่อโลกใบนี้น่ะ กลมจะตายไป



--------------------------------------

เราแวะมาแปะอินโทรให้อ่านก่อนเนอะ ตอนที่ 1 บอกไม่ได้ว่าจะมาเมื่อไหร่

แต่ไม่นานเกินรอฮับ ฝากติดตามด้วยน้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-07-2017 09:09:05 โดย Ch0cmint »

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5



แสงแดดยามเช้าปลุกให้คนขี้เกียจอย่างผมลืมตาตื่นขึ้นด้วยความงัวเงีย ผ้าม่านสีเทาถูกแง้มไว้เล็กน้อยด้วยฝีมือคนที่ยืนยิ้มร่าอยู่ตรงนั้น เขาหน้าตาเหมือนผมทุกกระเบียดนิ้วเนื่องจากเป็นฝาแฝดกัน ส่วนใหญ่คนที่สนิทถึงจะแยกออกว่าใครเป็นใคร แต่ในตอนนี้ควรทิ้งเรื่องประวัติความเป็นมาแล้วด่ามันมากกว่า กวนตีนฉิบหาย


"จิณณ์ ทำห่าอะไรของมึงเนี่ย คนจะกลับจะนอน"
ผมหรี่ตาลงเพราะสู้แสงแดดไม่ไหวเมื่อจิณณ์เปิดผ้าม่านกว้างขึ้น มันไม่ได้สะทกสะท้านกับคำด่าแต่ยืนฉีกยิ้มกว้างเหมือนคนบ้า คงสบายใจที่ได้แกล้งน้องสินะ เดี๋ยวพ่อกระโดดถีบขาคู่!


"จะนอนอะไรนักหนาวะ นี่มันเจ็ดโมงแล้ว"
มันบุ้ยปากไปทางนาฬิกาแขวนผนัง แต่ผมไม่สนใจจะมองตาม เพราะวันนี้มีเรียนตั้งสิบโมงพร้อมๆ มัน ที่จิณณ์ทำอยู่คือความกวนตีนล้วนๆ ไม่ได้มีความหวังดีกลัวน้องจะไปมหา'ลัยสายเลยสักนิด


"แล้วมึงอะ จะรีบตื่นอะไรนักหนาครับ เพิ่งเจ็ดโมง ได้ข่าวว่าเรียนสิบโมงไม่ใช่หรือไง"
ผมถามกลับไปพร้อมกับหมอนในมือที่พุ่งเข้าไปหาไอ้คนกวนตีน มันขยับตัวหลบด้วยท่วงท่าที่นักยิมนาสติกยังอายก่อนจะหันมายักคิ้วอวดความเก่งของตัวเองอยู่ตรงนั้น มึงเข้ามาใกล้เตียงอีกสิ กูจะลุกไปถีบจริงๆ ด้วย

"ตื่นเช้าจะได้สดชื่นไงมึง รับวิตามินจากแสงแดดบ้าง"
จิณณ์พูดด้วยเสียงร่าเริงก่อนจะแหงนหน้ารับแสงอาทิตย์ที่ตกกระทบบานประตูกระจก ผมมองภาพนั้นแล้วได้แต่ถอนหายใจ ขืนมันมาวุ่ยวายตั้งแต่เช้าแบบนี้ต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ แต่ขี้เกียจถามว่ะ

"วิตามินพ่อง แดดประเทศไทยจะทำมึงเป็นมะเร็งซะก่อน"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายแล้วถีบผ้านวมออกไปจากร่างกายก่อนจะลุกขึ้นนั่งแล้วขยี้หัวจนยุ่งเหยิง วิตามินจากแสงแดดเมื่อหลายปีก่อนอาจจะรับได้ แต่ตอนนี้คงกลายเป็นสารก่อมะเร็งล้วนๆ

"ขัดกูตลอดนะมึง"
จิณณหันมามองกันด้วยใบหน้าบึ้งตึง มันเลิกทำท่ารับแสงแดดไปแล้วก่อนจะสาวเท้าเข้ามาแต่ไม่ถึงเตียงนอน

"ทำไม มีปัญหาอะไรกับกูนักหนา"
ผมถามแล้วมองหน้ามันด้วยความหงุดหงิด ไม่รู้ทำไมจิณณ์ต้องชอบแกล้งกันตลอด ตั้งแต่เล็กจนโตไม่รู้จักเบื่อบ้างหรือไง

"ทำไมต้องโหดกับพี่มึงแบบนี้ด้วย"
น้ำเสียงตัดพ้อดังขึ้นตามด้วยใบหน้าบึ้งตึง ผมมองจิณณ์นิ่งๆ ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียด ไม่รู้กรรมการเลือกมันเป็นเดือนคณะได้ยังไง ปัญญาอ่อนฉิบหาย ดราม่าก็ที่หนึ่ง ปวดหัวเว้ย

"เพราะมึงชอบกวนตีนกูไงจิณณ์"
ผมพูดเป็นครั้งที่ร้อยแล้วกับประโยคนี้ แต่จิณณ์ไม่เคยจำมันลงในสมองเลยสักครั้ง คล้ายกับทำหูทวนลมไม่รับฟังความผิดใดๆ เพราะแบบนี้การแสดงออกระหว่างเราเลยดูแข็งกระด้างมากกว่ารักใคร่

"มึงไม่รักกู"
คำพูดแสนจะดราม่า หน้าตาแสนจะร่าเริง กูควรสงสารมึงไหมครับพี่ชาย ดีนะที่ผมขี้เกียจลุก ไม่อย่างนั้นจิณณ์คงเละคาตีนไปแล้ว คนอะไรตอแหลไม่เนียนเลยจริงๆ

"เชิญดราม่าไปคนเดียวนะ กูรำคาญ"
ผมทิ้งตัวลงนอนอีกครั้งเพราะคุยกับมันไปก็หาสาระอะไรไม่ได้ สู้เอาเวลามาพักผ่อนจะดีกว่าเป็นร้อยเท่า แถมวันนี้ยังมีเรียนการเขียนแบบและแสดงแบบสถาปัตยกรรมอีกด้วย ถ้าตาเบลอวาดรูปเบี้ยวมีหวังโดนอาจารย์ด่าหูชาแน่ๆ

"เจ็ท ~ มึงจะทำแบบนี้กับพี่ชายสุดที่รักไม่ได้นะเว้ย"
คราวนี้มันเดินลิ่วๆ เข้ามาทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างแรงจนมันส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ถ้าเป็นในหนังเอวีคงได้อารมณ์ แต่นี่ไม่ใช่เลย การคุกคามความสงบสุขชัดๆ แทนที่จิณณ์จะบ่นบ้าบอเฉยๆ กลับเอื้อมมือมาเขย่าตัวผมจนเครื่องในแทบรวมกัน

"ไอ้สัด เขย่าหาพ่อมึงเหรอ กูเวียนหัว!"
ผมตวาดลั่นแล้วสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของมันด้วยแรงทั้งหมดที่มี จิณณ์ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะกลับมาทำหน้างอเป็นปลาทูคอหักอีกรอบ เห็นแล้วอยากกระทืบจริงๆ ทำไมชอบทำหน้าตาทุเรศจังวะ

"ไม่หา พ่ออยู่เมืองนอก"
มันบ่นพึมพำด้วยใบหน้าเศร้าสร้อยแต่ใช้คำกวนตีนจนผมเผลอคิ้วกระตุก นี่มึงอยากตายก่อนวัยอันควรใช่ไหม กูด่าไม่ใช่ไล่ไปหาพ่อจริงๆ วอนซะแล้วนะพี่มึง

"จิณณ์... มึงจะไปไหนก็ไป ก่อนที่กูจะหมดความอดทน"
ผมกดเสียงต่ำแล้วมองมันด้วยสายตาดุๆ ก่อนกระชากผ้านวมที่มันนั่งทับขึ้นมาคลุมตัว จังหวะนั้นจิณณ์เกือบจะหงายหลังตกเตียงแต่ดีที่มันทรงตัวได้ ไม่อย่างนั้นอาจจะเดือดร้อนต้องหามไปส่งโรงพยาบาลเนื่องจากช้ำใน เอ้ย หัวแตก...

"เจ็ทครับ..."
หลังจากความตกใจผ่านไปมันก็กลับมาใช้น้ำเสียงอ่อยๆ อีกครั้ง แววตาคมที่มองมากำลังสื่อความหมายอะไรบางอย่าง ซึ่งผมพอจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องไม่ดีแน่ๆ

"....."
ผมเงียบเพราะขี้เกียจจะถามออกไปเลยนอนจ้องมันเพื่อรออย่างเดียว

"ไม่เงียบดิน้องรัก"
จิณณ์เอามือมาจิ้มแก้มของผมคล้ายกับกำลังง้อ แต่ขอโทษที่ผมไม่ได้งอนเลยปัดทิ้งอย่างไม่ไยดี เมื่อไหร่จะเข้าเรื่องสักที ง่วงจะตายห่าอยู่แล้ว

"เรื่องกู"
ผมบอกมันเสียงแข็งแล้วกลับตาลงเพราะเบื่อขี้หน้าจิณณ์เต็มทน ชอบทำเหมือนหมาหงอยทั้งๆ ที่ข้างในนั้นกลับร่าเริงยิ่งกว่าคนบ้า

"มึงอย่าใจร้ายกับกูมากนักเลย บอบช้ำหมดแล้วเนี่ย"
ตัดพ้อกันอีกรอบแล้วทิ้งตัวลงนอนข้างๆ แถมยังเอาขาเอาเท้ามาก่ายคนอื่น ผมลืมตาขึ้นด้วยความรำคาญแล้วถามจิณณ์ด้วยน้ำเสียงเย็นๆ คุยกันทีไรต้องโมโหทุกทีสิน่า รำคาญแม่งจริงๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่ารักเหมือนกัน ก็พี่ชายฝาแฝดทั้งคน

"มึงต้องการอะไรจากกู"
ผมถามออกไปตรงๆ เพราะเบื่อที่จะต่อความยาวสาวความยืด เวลาจิณณ์มีเรื่องอยากให้ช่วยหรือมีปัญหา มันจะกวนกันมากเป็นพิเศษอย่างตอนนี้ เวลาปกติเราก็พูดคุยกันแบบธรรมดาได้

"แหม... โดนจับได้ซะแล้ว"
พอโดนจับได้มันก็ยิ้มเผล่แถมยังยกมือขึ้นเกาหัวอย่างคนอาย ผมมองภาพนั้นด้วยความเบื่อหน่ายแล้วตะโกนใส่อย่างเหลืออด มาถึงขั้นนี้ยังชักช้าอีก กูจะฝืนแรงโน้มถ่วงหนังตาไม่ไหวแล้วเว้ย

"ฟาย ลีลาเยอะ!"

"โอ๋ๆ ไม่โกรธเค้านะตัวเอง คือแบบว่า... วันนี้เค้กให้เค้าไปรับที่หอตอนแปดโมงครึ่งอะ"
คำพูดหวานๆ หลุดออกมาจากปากของจิณณ์ มันไม่ยอมสบตาด้วยเลยเพราะปกติแล้วผมต้องไปเรียนพร้อมกับมัน แต่จู่ๆ พี่เค้กก็ให้ไปรับแบบนี้ คงรู้สึกผิด

"แล้วไง"
ผมถามออกไป ทั้งๆ ที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่มันนับครั้งไม่ถ้วนแล้วต่างหาก

"แบบว่า คือ..."
จิณณ์ก้มหน้าก้มตาแถมเอานิ้วชี้จิ้มกันจึ๋งๆ ไม่กล้าพูดอะไรต่อ ผมถอนหายใจออกมาเมื่อรู้ดีว่าวันนี้ก็ถูกทิ้งอีกแล้ว ไม่เคยคิดน้อยใจแต่เซ็งมากกว่า ถ้าพี่เค้กจะนัดล่วงหน้าสักนิด ไม่ใช่ปุบปับแบบนี้ซะทุกครั้ง

"พอ ตกลงว่ากูต้องขี่มอ'ไซต์ไปเองสินะ"
ผมตอบแทนจิณณ์เสร็จสรรพแล้วมองคนที่เอาแต่ก้มหน้า แต่ไม่นานนักมันก็คลี่ยิ้มบางแล้วเอื้อมมือมาลูบหัวกันคล้ายปลอบประโลม

"อื้อ... ไม่โกรธใช่ไหม"
จิณณ์ถามกลับมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แววตาเต็มไปด้วยคำขอโทษที่มันไม่ได้เป็นคนทำผิด ผมรู้ดีว่าพี่เค้กนิสัยเอาแต่ใจแค่ไหนและสงสารพี่ชายตัวเองที่ต้องทำตามเสมอ เพราะรักคำเดียวที่ทำให้คนๆ นึงยอมทำทุกอย่างเพื่อคนๆ นึง ถึงแม้จะต้องทำลายความรู้สึกของใครอีกหลายคนก็ตาม

"เออ เอาที่สบายใจเหอะ กูยังไงก็ได้อยู่แล้ว"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ แล้วยกมือขึ้นแตะไหล่พี่ชาย ถ้าสิ่งที่จิณณ์กำลังจะทำนั้นมีผลตอบแทนเป็นความสุขก็ดี ไม่อยากเห็นมันเป็นทุกข์เวลาทะเลาะกับผู้หญิงคนนั้น เธอเก่งนะที่จัดการคนเจ้าชู้อย่างมันได้อยู่หมัด

"ขอบใจมากนะมึงที่เข้าใจกู"
มันเอ่ยขอบคุณทุกครั้งที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ผมไม่ได้ติดใจอะไรสักครั้งเดียว เพราะรู้ว่าจิณณ์พยายามประคับประคองความสัมพันธ์กับพี่เค้กมากขนาดไหน สองคนนี้หวิดจะเลิกกันหลายรอบแล้ว...

"อืมๆ ออกไปได้แล้วกูจะนอนต่อ"
ผมโบกมือไล่มันก่อนจะปิดเปลือกตาลง ไม่อยากเห็นสีหน้าซาบซึ้งสักเท่าไหร่ รำคาญลูกตา ชอบความเฮฮาบ้าบิ่นของจิณณ์คนร่าเริงมากกว่า

"โอเค เดี๋ยวกูทำข้าวต้มทิ้งไว้ให้นะ"

"เออ ใส่ไข่ด้วย"

"รับทราบครับ"
หลังจบคำพูดผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินจากไปและตามมาด้วยเสียงปิดประตู ผมลืมตาขึ้นมองเพดานก่อนที่รอยยิ้มเล็กๆ จะผุดขึ้นที่มุมปาก ภาวนาเป็นร้อยครั้งให้ความรักครั้งนี้ของพี่ชายราบรื่น ไม่อยากให้มันต้องอกหักอีกแล้ว สภาพจิณณ์เวลานั้นน่าสงสารจับใจ แทบจะกลายเป็นคนปิดกั้นความรู้สึก ไม่หือไม่อือ ไม่กินไม่นอน...

เวลาเก้าโมงครึ่ง ผมพาตัวเองมายืนอยู่หน้าห้องของเพื่อนสนิท กำลังเตรียมตัวจะเคาะประตู แต่มันกลับเปิดออกซะก่อน

"เฮ้ย มายืนทำอะไรตรงนี้วะเจ็ท"
ไธมีสีหน้าตกใจเล็กน้อยแต่ก็ถามกันด้วยน้ำเสียงปกติ มันเป็นเพื่อนคนแรกที่สามารถแยกผมกับจิณณ์ได้อย่างแม่นยำ แต่ในปัจจุบันนี้สังเกตง่ายกว่าเมื่อก่อน ตรงที่ 'นายภาคิน' (ผม) เจาะหูและสัก ส่วน 'นายโภคิน' (จิณณ์) ไม่ทำอะไรแบบนั้นเลย

"วันนี้กูไปกับมึงได้ปะวะ"
ผมถามออกไปก่อนจะหลบให้ไอ้ไธออกมาจากห้องแล้วล็อกประตู สภาพมันดูเซอร์ๆ เอนเอียงไปทางซกมกคล้ายๆ กัน อย่าถามหาความเรียบร้อยดูดีจากเด็กถา'ปัตย์เลยครับ เสื้อนักศึกษากับกางเกงยีนส์ขาดๆ รองเท้าผ้าใบเน่าๆ แถมหนีบกระดานวาดรูป รุงรังไม่มีคณะไหนเกินจริงๆ

"เออ ได้ดิ แต่ปกติวันนี้มึงไปกับจิณณ์ไม่ใช่เหรอ"
มันตอบรับก่อนที่เราจะเดินไปที่หน้าประตูคอนโดเพื่อตรงไปยังลานจอดรถที่อยู่ด้านข้างตึก ผมถอนหายใจเบาๆ เมื่อคิดย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า

"อืม แต่วันนี้จิณณ์ต้องไปรับพี่เค้กว่ะ"
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเบื่อๆ อุตส่าห์วางแผนจะไถเงินมันซื้ออมยิ้มที่มินิมาร์ทสักหน่อย เป็นไงล่ะ อดแดกไปตามระเบียบ เพราะพี่เค้กคนเดียว... ผมยอมรับอย่างลูกผู้ชายเลยว่าไม่ค่อยชอบนิสัยเธอ

"อะ อ๋อ... แล้วทำไมมึงไม่ขี่มอ'ไซต์ไปวะ"
ไอ้ไธตอบรับด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักจนผมต้องหันไปมองหน้ามัน แต่กลับไม่พบอะไรผิดปกติ สงสัยคงคิดมากไปเองหรือหูคงเพี้ยนล่ะมั้ง

"กูขี้เกียจ"
ผมตอบตามความจริงก่อนจะยัดตัวเองเข้ารถยุโรปคันสวย อ่า... สวรรค์จริงๆ เบาะโคตรนุ่มสบายตูด

"ตัวขึ้นขนแล้วมั้ง"
ไอ้ไธว่าเสียงกลั้วหัวเราะขณะที่รถเคลื่อนตัวออกจากอาคาร ผมถึงกับหน้าตึงเมื่อโดนกล่าวหา กูไม่ใช่หนอนเว้ย ห้ามเอาไปเปรียบเทียบ

"พ่อง"

ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมผมถึงไม่ไปเรียนพร้อมกับเพื่อนทั้งๆ ที่อยู่คอนโดเดียวกัน เพราะหนึ่งคือจิณณ์ยึดติดหน้าที่ที่ได้รับจากพ่อแม่นั่นคือดูแลน้อง วันไหนเรียนพร้อมกันก็ไปพร้อมกัน สองคือมันมีท่าทางตึงๆ กับไอ้ไธมาตั้งแต่สมัยมัธยมสงสัยจะไม่ชอบขี้หน้ากัน ผมก็เลยไม่อยากขัดใจยอมขี่มอ'ไซต์ไปเรียนเอง ซึ่งพวกเรารู้ถึงเหตุผลทั้งหมดนั่นดี

รถยุโรปเคลื่อนตัวไปอย่างเชื่องช้าเมื่อเข้าใกล้เขตมหา'ลัย ระยะทางจากคอนโดใช้เวลาประมาณยี่สิบนาที มันไม่ใกล้และไม่ไกลสักเท่าไหร่ เสียงเพลงสากลจังหวะหนักๆ ทำให้บรรยากาศภายในรถไม่เงียบเหงา แต่ข้อเสียคือแทบจะลุกมาเต้นและแหกปากตามอยู่แล้ว

"ไธ"
ผมเอ่ยเรียกคนที่ฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ มันชะงักแล้วหันมาเลิกคิ้วใส่กันเป็นเชิงถามว่ามีอะไร

"มึงว่าเมื่อไหร่ไอ้ตังค์มันจะเลิกติดการ์ตูนสักทีวะ"
ผมถามเพื่อนด้วยความสงสัย อันที่จริงไอ้ตังค์จะติดการ์ตูนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตหรอก แต่มันมีประเด็นน่ะสิ...

"ทำไมอยู่ๆ มึงถามเรื่องนี้"
ไธเลิกคิ้วขึ้นขณะรถเคลื่อนตัวไปช้าๆ อีกไม่กี่เมตรก็จะเลี้ยวเข้าประตูมหา'ลัย ผมขมวดคิ้วยุ่งแล้วคิดไปถึงเรื่องเมื่อคืน สดๆ ร้อนๆ เจอไปมึนแทบตาย

"ก็... กูไลน์ไปถามไอ้ตังค์ว่าอยากได้อะไรจากญี่ปุ่นไหม พอดีพี่แจมไป"
ผมเล่าเหตุการณ์เริ่มต้นเรื่องให้ไอ้ไธฟังด้วยสีหน้าบูดเบี้ยว อยู่ๆ ก็ขนลุกขึ้นมาเมื่อคิดถึงคำตอบของไอ้ตังค์... แม่ง

"แล้วไงวะ"

"ตังค์มันตอบมาว่า 'ขอปลอกหมอนข้างลาย...' ไอ้สัด ชื่อสาว 2D มาเป็นขบวน กูนี่นั่งกุมขมับ"
ผมเล่าต่อด้วยน้ำเสียงหวาดๆ เพราะไอ้ตังค์มันเป็นโอตาคุที่เมื่อไหร่มีเวลาว่างจะเอาแต่นั่งดูสาวๆ 2D แบบไม่ขยับไปไหน คนในโลกความเป็นจริงแทบไม่มีความหมายเลยด้วยซ้ำ กลัวว่าสักวันเพื่อนคนนี้จะใช้ชีวิตในสังคมลำบาก ยิ่งใครเข้ามาจีบนี่เหมือนอากาศธาตุ ไม่มีตน ไม่สนใจ เชี่ยนี่อาการหนัก

"มึงแค่สงสัยว่ามันจะเลิกคลั่งสาว 2D ได้เมื่อไหร่ใช่ไหม แต่กูเคยถามเว้ย"
ไอ้ไธพูดด้วยน้ำเสียงพอตัวแต่ไม่ได้เพื่อจะอวดแต่กำลังบอกเล่าความสยอง ผมสัมผัสได้

"จริงดิ แล้วมันตอบว่าไง"
ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงอยากรู้ ดวงตาคมจ้องมองใบหน้าด้านข้างของไอ้ไธที่บัดนี้มู่ทู่ยิ่งกว่าพรมเช็ดเท้า คือคำตอบไอ้ตังค์เครียดขนาดนั้นเลยเหรอวะ หรือมันตั้งใจจะแต่งงานกับสาว 2D คราวนี้บรรลัยแน่ๆ

"มันตอบว่า 'ถึงสาว 2D จะสัมผัสไม่ได้แต่ทำให้ผมมีอารมณ์นะ' กูนี่อึ้งแดก สัดเอ้ย ไม่นึกว่าไอ้เนิร์ดจะมีมุมหื่นแบบนั้น"
ไอ้ไธพ่นลมหายใจแรงๆ ออกมาแล้วหักพวงมาลัยเข้ามหา'ลัย ในขณะที่ผมได้แต่นั่งเบิกตาโตอยู่ข้างๆ มันคือความรู้ใหม่ว่าไอ้ตังค์คนเนิร์ดมีมุมมหาหื่นแบบนี้ด้วย ขนาดกับการ์ตูนยังไม่เว้น แต่แม่ง...  สาวๆ พวกนั้นก็อกสะบึมใช้ไงอยู่นะ แต่ผมไม่วิปริตไง ขอคนเป็นๆ ดีกว่า

"โอ้โห กูเพิ่งรู้ว่าไอ้ตังค์เข้าขั้นวิปริต"
ผมเผลอย่นจมูกเมื่อพูดจบ คิดแล้วยังขนลุกไม่หาย สงสัยว่าๆ ต้องรวมหัวกับคนอื่นเอามันไปบำบัดเลิกคลั่งสาว 2D สักที รู้สึกจะหมกวุ่นเกินไป

"เออ หนักมากด้วยว่ะ"
แล้วพวกเราก็หัวเราะกันเสียงดังกับการวิเคราะห์อาการไอ้ตังค์ ถ้าวันไหนมีคนที่ทำให้มันเลิกสนใจการ์ตูนได้ คงจะซูฮกคนๆ นั้นเป็นวีรบุรุษเลยล่ะ

ผมกับไอ้ไธมาถึงห้องเรียนตอนนาฬิกาบอกเวลาเก้าโมงห้าสิบนาที ผมหย่อนตัวนั่งตรงที่ว่างข้างๆ โต๊ะไอ้ตังค์ เหลือบไปเห็นมันแทบจะเอาหัวมุดลงในกระเป๋าเป้ สงสัยหาของอยู่ล่ะมั้ง

"ตังค์... หาอะไรวะ"
ผมเอ่ยถามขณะที่หยิบอุปกรณ์เขียนแบบออกมาตั้งกองเพื่อพร้อมใช้งาน ฉากสามเหลี่ยม ดินสอ ยางลบ วงเวียน ครึ่งวงกลม แผ่นเพลท บรรทัดโค้ง ปากกาเขียนแบบ และไม้ที เหมือนพวกช่างจะไปตีกันเลยว่ะ แล้วเพิ่งรู้เมื่อครู่นี่ล่ะว่าหยิบของไอ้จิณณ์มาใช้ เพราะของตัวเองไม่รู้ไปลืมไว้ที่ไหน

"ผมน่าจะลืมเอาฉากสามเหลี่ยมมาครับคุณเจ็ท"
ผมพยักหน้ารับคำแล้วยื่นฉากสามเหลี่ยมที่ติดกระเป๋ามาสองอันให้มัน ฝ่ายนั้นยิ้มกว้างเมื่อได้ของที่ต้องการแล้วผงกหัวขอบคุณจนแว่นเกือบตก ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมไอ้ตังค์ถึงเรียกคนอื่นด้วยคำนำหน้าว่าคุณ เพราะเป็นเรื่องปกติ

"เฮ้ย คู่ผัวเมียมาพร้อมกันเหรอวันนี้"
ไอ้ฟาร์มที่นั่งถัดไปจากไอ้ตังค์เอ่ยทักขึ้นหลังจากที่ก้มหน้าก้มตาแชทกับใครสักคน เดาง่ายๆ คงเป็นสาวๆ ในสต็อก ไอ้นี่อัธยาศัยดี สายเปย์ ใครๆ ก็อยากควง

ผมเหลือกตาใส่มันเพราะเบื่อคำแซวทำนองผัวเมีย มึงจะให้พวกกูฟันดาบกันหรือไง ช่วยดูขนาดตัวและหน้าตา แค่ไอ้ไธชอบสกินชิพมันถึงขนาดต้องจับไปเป็นคู่จิ้นเลยเหรอวะ สังคมสมัยนี่โคตรแปลก อะไรนิดอะไรหน่อยมโนกันไปใหญ่

"เออ เมื่อคืนกูไปนอนกกกับมันมา"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงเอือมๆ แล้วขว้างยางลบที่เหลืออยู่นิดเดียวใส่มัน ไอ้ฟาร์มทำท่าหลบวุ่นวายอย่างกับโดนห่ากระสุนสาดใส่ เดือดร้อนไอ้ตังค์เป็นที่กำบัง

"คะ คุณฟาร์มครับ ฮินะจังของผมเวียนหัว"
เสียงสั่นๆ ของไอ้ตังค์ดังขึ้นทำให้ไอ้ฟาร์มชะงักกึก ส่วนผมขมวดคิ้วแน่น ฮินะจังที่มันว่าคงเป็นสาว 2D อีกตามเคย แล้วเธอจะเวียนหัวได้ยังไงวะ กูไม่เข้าใจโอตาคุเว้ย

"มึงว่าอะไรนะตังค์ ฮินะจังไหน"
ไอ้ฟาร์มละมือออกจากไหล่ของไอ้ตังค์แล้วขมวดคิ้วตามผม ใบหน้าของมันบ่งบอกว่าสงสัยเต็มที่ อยากจะบอกว่าใครๆ ก็คิดเหมือนมัน งงเป็นไก่ตาแตกถ้วนหน้า

"นี่ไงครับ ก็คุณฟาร์มเล่นเขย่าตัวผมนี่นา ฮินะจังเวียนหัวแย่"
ไอ้ตังค์ชูโทรศัพท์ในมือที่กำลังโชว์รูปฮินะจังที่มันพูดถึง เธอเป็นสาวชั้นประถม ผมยาวสีชมพู ตากลม หน้าแบ๊วตามแบบฉบับการ์ตูนตาหวาน ไอ้ฟาร์มถึงกับอ้าปากค้าง ส่วนผมได้แต่ถอนหายใจหนักๆ เพื่อนกูเป็นเอามากจริงๆ

"เลิกดูรูปฮินะจังอะไรของมึงก่อนเรียนได้แล้วไอ้ตังค์ หมกมุ่นฉิบหาย"
เสียงเนือยๆ ของไอ้ไธดังขึ้นแต่ไอ้ตังค์กลับทำหูทวนลมไม่ได้ยินอะไร อย่าหาว่ามันเนิร์ดนะ จริงๆ โคตรกวนตีนเลยล่ะ เจออะไรขัดใจจะแสดงอารมณ์ทันที

"มันงอนมึงละไธ"
ผมพูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแล้วตบไหล่ไอ้ไธเป็นการปลอบใจ มันเหล่สายตามองข้ามหัวไปหาไอ้ตังค์แล้วแอบชูนิ้วกลางให้

"ถ้าเป็นน้อง กูกระทืบมันจมดินไปแล้ว"

หลังจากนั้นเราก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนตามที่อาจารย์สอน ผมแทบร้องไห้เมื่อกดมือหนักจนไส้ดินสอหัก กว่าจะเหลามันเสร็จก็ตามไม่ทันชาวบ้านเขาแล้ว แถมท้ายคาบส่งงานเจอแบบเบี้ยวอีก ชีวิตกู อะไรมันจะซวยแบบนี้

"เพราะมึงเลยไอ้ไธ ไม่ยอมให้กูยืมดินสอ"
ผมหันไปด่าไอ้ไธที่เดินหนีบกระดานเขียนแบบไว้สองอัน สาบานได้ว่ามันเอาไปถือเอง แถมเอาแขนมาพาดบ่ากันตามนิสัยชอบสกินชิพ ส่วนไอ้ตังค์ก้มหน้าก้มตาดูการ์ตูน ส่วนไอ้ฟาร์มส่งสายตาหวานเชื่อมให้สาวๆ ที่ผ่านไปผ่านมา

"อะไรวะ แบบมึงเบี้ยวไม่เกี่ยวกับการที่กูไม่ให้ยืมดินสอเลยนะ"
ไอ้ไธบ่นเสียงฮุนก่อนจะยกมือข้างที่พาดไหล่กันอยู่ตบเข้าที่ขมับเบาๆ เป็นการสั่งสอน แต่ผมไม่ยอมรับหรอกว่างานได้บีเพราะลนลานซะเองเลยแยกเขี้ยวใส่มันไป

"เพราะมึงเลย ยอมรับเดี๋ยวนี้"
ผมใช้เสียงขู่บังคับให้มันยอมแล้วสะบัดตัวออกไกลๆ มันขมวดคิ้วและเบิกตาโตเพราะโดนโยนความผิดใส่

"เอ้า ไอ้สัดนี่ยัดเยียดความผิดให้กูอีก"

"เออ ยอมๆ กูหน่อย สะเทือนใจอยู่"
ผมมองหน้ามันกึ่งบังคับกึ่งขอร้อง ความจริงแค่อยากแกล้งมันเพื่อคลายเครียด เพราะปกติแล้วงานเขียนแบบไม่เคยได้ต่ำกว่าบีบวก โคตรเสียเซลฟ์ เบี้ยวไปสามมิลลิเมตรเอง... อาจารย์แม่งโหดร้าย แต่จะไปกล่าวหาก็ไม่ได้ เพราะถ้าสร้างบ้านจริงๆ อาจจะทำให้โครงสร้างผิดเพี้ยน

"บ้าเหรอ อยู่ๆ ก็บอกให้ยอม กูไม่ได้ใจง่ายนะ"
ไอ้ไธบอกด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ก่อนจะทำท่าทางเหมือนสาวน้อยเขินอายกำลังจะเสียตัว ผมกรอกตาแล้วเบ้ปากใส่ด้วยความหมั่นไส้ หวังจะแกล้งมันแต่โดนมันกวนตีนกลับ แย่ๆ ทำไมนิสัยเหมือนจิณณ์ขนาดนี้วะ ถ้าให้ไปอยู่ด้วยกันคงเข้ากันได้ดี...

"ไอ้ห่า ขนลุก!"
ผมด่ามันแล้วทำท่าขยะแขยงก่อนจะเปลี่ยนไปเดินข้างๆ ไอ้ฟาร์มแทนโดยผลักไอ้ตังค์ไปแทนที่ รายนั้นหันมาตาขวางใส่กันนิดหน่อยเพราะมันกำลังดูฮินะจังที่รักอยู่ โคตรอยากแช่งให้มันสะดุดหัวทิ่มฉิบหาย สัดนี่ มองแต่หน้าจอโทรศัพท์อยู่ได้

"มึงสองคนแอบมีซัมติงกันปะเนี่ย"
ไอ้ฟาร์มเหลือบมองผมสลับกับไอ้ไธแล้วยิ้มกรุ้มกริ่มให้ ขนาดเพื่อนในกลุ่มยังขี้มโนขนาดนี้อย่าถามถึงเพื่อนในคณะเลย แทบจะจับแต่งงานอยู่แล้ว

"หุบปากไปเลยไอ้ฟาร์ม ขืนกูมีซัมติงกับไอ้เจ็ทขึ้นมาจริงๆ โลกคงแตก"
เสียงไอ้ไธลอยข้ามหัวไอ้ตังค์มาปฏิเสธแบบไร้เยื่อไย ซึ่งผมรีบพยักหน้าเห็นด้วย  ถึงมันจะหล่อ ดีกรีเดือนคณะก็เถอะแต่เพื่อนกันแถมเป็นผู้ชาย ขนลุกว่ะ ปล่อยให้สาวๆ เขากรี๊ดกร๊าดไปเถอะ ไม่อยากแย่ง

"ก็ไม่แน่น้ามึง อาจจะเข้ากันได้ดี"
ไอ้ฟาร์มพูดเสียงทะเล้นแถมยังใช้ไหล่กระแซะผมไม่เลิก ด้วยความรำคาญเลยโบกหัวมันไปหนึ่งทีก่อนจะเดินไปยืนข้างไอ้ไธอีกครั้ง เพราะจะเอาคืนคนปากหมาสักหน่อย

"พ่อง มึงกับกูร่วมมือกันเสียบไอ้ฟาร์มดีกว่าไหม เอาให้แม่งฟ้าเหลือง"

"เฮ้ยๆ มึงอย่ามาพรากเวอร์จิ้นประตูหลังกูนะเว้ย วันเวย์รู้จักปะ เอาไว้ขี้อย่างเดียว ไม่รับของเข้า!"

"คุณฟาร์ม คุณเจ็ท คุณไธ ช่วยเงียบกันหน่อยครับ ผมฟังฮินะจังพูดไม่รู้เรื่องเลย"

"ครับคุณตังค์ พวกกระผมผิดไปแล้ว ได้โปรดอภัยด้วย ~

หลังจากเรียนคาบบ่ายจบพวกเราก็มายืนอยู่ที่ลานคณะเพื่อตกลงกันว่าวันนี้ใครจะไปวิ่งที่สนามกีฬามหา'ลัยบ้าง เพราะปกติแล้วตามอารมณ์ว่าคนไหนอยากไปหรือไม่อยากไป ไม่มีอะไรแน่นอนสักอย่าง

"วันนี้ใครไปวิ่งกับกูบ้างวะ"
ผมเอ่ยถามขณะที่สะบัดเสื้อนักศึกษาเนื่องด้วยอากาศร้อนแล้วกวาดมองเพื่อนในกลุ่มทีละคนเริ่มจากไอ้ฟาร์มที่ก้มหน้าก้มตามองโทรศัพท์ลูกเดียว

"ไอ้สัดฟาร์ม ตอบกูมา"
ผมเอื้อมมือไปตบหัวมันด้วยความหมั่นไส้ เหลือบเห็นหน้าจอมีแชทสาวๆ เด้งรัว ไอ้ฟาร์มเงยหน้าขึ้นมาถลึงตาใส่กัน ดูตลกมากกว่าน่ากลัวอีก

"ไม่ไปเว้ย มีนัดกับสาวนิเทศฯ"
มันยักคิ้วกวนๆ ให้ก่อนจะกลับไปสนใจโทรศัพท์ในมือต่อ ผมถอนหายใจออกมาแรงๆ แล้วเลิกสนใจไอ้ฟาร์ม รายต่อไปนี่โอตาคุประจำกลุ่ม ทั้งๆ ที่พอจะเดาคำตอบได้แต่ก็อยากแกล้ง

"ตังค์ วันนี้ว่าไง จะไปวิ่งไหม"
ผมถามแล้วจ้องคนที่สูงห่างกันเป็นฝ่ามือ มันกำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เพราะยืนดูการ์ตูนอยู่ คือจะไม่เว้นช่วงให้เพื่อนได้เสวนาด้วยเลยหรือไง ว่างเป็นวิ่งเข้าใส่สาว 2D ตลอด ไอ้ไธที่ยืนอยู่ข้างๆ เอื้อมมือมาตบบ่ากันเบาๆ คล้ายให้กำลังใจ

"เหมือนเดิมครับคุณเจ็ท ขอตัวก่อนนะ"
ไอ้แว่นหันมาฉีกยิ้มกว้างให้กันแล้วโค้งตัวลาแบบญี่ปุ่น ก่อนจะเดินลิ่วๆ ไปคว้าจักรยานแล้วปั่นกลับหอในที่มันอยู่ ตังค์ไม่เคยออกกำลังกาย ตัวเล็กแถมกินน้อย หุ่นคล้ายๆ กับเด็กผู้หญิง ถ้าจับมันใส่วิกคงสวยดี

"กูกลัวมันจะหักโหมดูการ์ตูนจนตายว่ะ"
ไอ้ไธบ่นพึมพำแล้วมองตามไอ้แว่นไปจนลับตา ส่วนไอ้ฟาร์มเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าเรียบร้อยก่อนจะเอากุญแจรถมาควงเล่น เตรียมออกไปรับสาวตามที่บอกไว้ สรุปว่าวันนี้ผมต้องไปวิ่งกับเดือนคณะแค่สองคนสินะ

"ถ้าแม่งลงข่าวหน้าหนึ่งแบบนั้น กูจะทำเป็นไม่รู้จักมัน"
ผมพูดเสียงเนือยๆ ทำให้ไอ้ฟาร์มถึงกับหัวเราะแล้วพยักหน้าเห็นด้วยก่อนมันจะขอตัวกลับบ้านแถมยังบอกว่าพรุ่งนี้จะหิ้วขนมมาฝาก

"มึงโทรไปบอกจิณณ์หรือยังว่าจะไปวิ่ง"
ไอ้ไธถามขึ้นขณะที่กำลังเดินไปยังลานจอดรถ ผมเบิกตาโตเพราะลืมพี่ชายบังเกิดเกล้าไปแล้ว

"ยังว่ะ ขอบใจที่เตือน ถ้ากูไม่ยอกมันต้องด่าหูชาแน่ๆ"
ผมเอ่ยขอบใจเพื่อนก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ไลน์หามัน แต่ต้องเบ้ปากเมื่อเห็นรูปโปรไฟล์ ไม่รู้มันจะโชว์หน้าท้องแบนราบไปถึงไหน ไม่เกรงใจแฟนบ้างหรือไงวะ



ต่อด้านล่างน้า

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-07-2017 09:11:10 โดย Ch0cmint »

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Phakin : จิณณ์ วันนี้กูไปวิ่งที่สนามมหา'ลัยนะ

ผมพิมพ์ข้อความส่งไปก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอนที่กำลังเดินผ่านสนามบาสฯ มีผู้ชายสามสี่คนกำลังวิ่งเลี้ยงลูกไปมา ดูท่าทางกำลังสนุก เพราะมีเสียงโหวกเหวกและเสียงหัวเราะปะปนมาด้วย ไอ้ไธกำลังล้วงโทรศัพท์ออกมารับสาย เดาว่าพี่แทนคงชวนมันไปกินเหล้าตามเคย คือใครๆ ก็จะแย่งเพื่อนไปหมดหรือไงวะ ปล่อยๆ ให้ไปออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีบ้างเหอะ

"วันนี้งดกินเหล้า ผมจะไปวิ่งกับไอ้เจ็ท"
ไอ้ไธขึ้นเสียงเล็กน้อย คิ้วขมวดจนแทบผูกโบว์ สงสัยโดนพี่แทนตื้อแน่ๆ รายนั้นชอบแอลกอฮอล์ยิ่งกว่าอะไรดี แต่คออ่อนเลยต้องลากน้องไปด้วย

ผมมองอะไรไปเรื่อยๆ จนสะดุดตาเข้ากับใครบางคนที่กำลังยืนเช็ดเหงื่ออยู่กลางสนามบาสฯ ใบหน้าของเขายังอยู่ในความทรงจำส่วนลึก ผู้ชายที่เจอกันหน้าร้านดอกไม้ แม่ง โลกโคตรกลมเลยว่ะ แล้วทำไมต้องรู้สึกตื่นเต้นเหมือนเจอดาราด้วย...

"เจ็ท"

"....."

"ไอ้เจ็ท"

"....."

"ไอ้สัดเจ๊ก มองห่าอะไรของมึง!"
เสียงไอ้ไธตะโกนใส่หูจนผมสะดุ้งเฮือก คนในสนามบาสฯ ก็ต่างมองมาทางนี้เป็นตาเดียวกัน แต่โชคดีหน่อยที่พวกเขาไม่ได้สนใจอะไรมาก

"ห๊ะ อะไรของมึง"
ผมถามไอ้ไธกลับไปด้วยหน้าตาตื่นๆ ใจหายใจคว่ำหมดเลยแม่ง ดีนะที่เป้าหมายยังคงยืนซับเหงื่อด้วยผ้าขนหนูเหมือนเดิม ดูท่าทางเป็นคนไม่ค่อยสนใจโลกสักเท่าไหร่ ถ้าเดินเข้าไปแนะนำตัวทำความรู้จักจะโดนเตะโด่งออกมาหรือเปล่าวะ ชักสงสัย

"กูเรียกมึงหลายรอบแล้ว หยุดมองอะไรอยู่"
ไอ้ไธเดินกลับมาหากันทั้งๆ ที่เดินนำไปก่อนเกือบห้าก้าวแล้ว ผมเพิ่งรู้ตัวเดี๋ยวนี้เองว่าเผลอหยุดมองเขา ท่าจะเป็นเอามากว่ะ

"อ๋อ... พอดีว่ากูเจอคนหน้าคุ้นๆ ว่ะ"
ผมตอบไปตามความจริงโดยไม่ละสายตาออกจากคนๆ นั้น เขาเหมือนจะมีออร่าอยู่รอบตัว ดูโดดเด่นจนสาวๆ แถวนั้นต้องเหลียวหลัง หล่อจนน่าอิจฉาคงใช้คำนี้ได้

"ใคร"
ไอ้ไธเดินเข้ามากอดคอแล้วพยายามมองตามสายตาผมไปยังสนามบาสฯ แต่เชื่อดิว่ามันไม่รู้หรอกว่าคนไหนที่เป็นจุดโฟกัสของนายภาคิน ก็พวกนั้นเล่นยืนรวมกันเป็นกระจุก แถมกระซิบกระซาบอะไรอยู่ก็ไม่รู้

"คนขาวๆ ที่ยืนเช็ดเหงื่ออยู่"
ผมตอบไปสั้นๆ หวังว่าไอ้ไธรู้และไม่ต้องถามอีก แต่คงคิดผิดเมื่อมันหันมากดดันกันด้วยสายตาสงสัย

"ไหนวะ ก็ขาวทั้งนั้น"
ผมเหล่มองมันเล็กน้อยก่อนจะยอมอธิบายลักษณะของเขาคนนั้นต่ออีกหน่อย ไอ้ไธนี่เป็นมารขัดความสุขที่แท้จริง แล้วความที่เราทั้งสองคนสนิทและตัวติดกันแบบนี้ทำให้สาวๆ ไม่กล้าเข้ามาแจกขนมจีบแต่กลับหยิบไปจิ้นแทน เจริญล่ะแม่คุณ ผู้หญิงสมัยนี้เขาไม่ต้องการพ่อพันธุ์กันแล้วหรือยังไง

"ขาวสุด ตัวสูงๆ หน้าหล่อๆ"

"คนนั้นเหรอ"
ไอ้ไธชี้มือไปที่เขาคนนั้น เพราะทั้งสามสี่คนนั่นมีคนที่สูงพอๆ กับพวกผมอยู่คนเดียว นอกนั้นจะลดลงมาและมีคนหนึ่งที่ตัวเล็กพอๆ กับไอ้ตังค์

"เออๆ นั่นล่ะ กูเคยเจอเขาที่ร้านดอกไม้แถวคอนโด"
ผมเล่าเรื่องในความทรงจำของตัวเองให้เพื่อนฟังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แต่พยายามเก็บอาการสุดๆ เพราะไม่อยากให้มันรู้ว่าตัวเองดีใจแค่ไหนที่โลกมันกลมแบบนี้

"อ๋อ กูรู้จัก"
ไอ้ไธเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ แถมคลี่ยิ้มหล่อๆ ตบท้ายจนสาวๆ แถวนั้นเขินอายกันเป็นแถว อยากจะบอกพวกเธอเหลือเกินว่ามันไม่ได้ยิ้มให้เลย อย่ามโนไปเองสิวะ แต่ไอ้คำที่บอกว่ารู้จักทำให้ผมหันขวับไปมองเพื่อนข้างตัวทันที เฮ้ย... โชคเข้าข้างนายภาคินสุดๆ!

"เฮ้ย จริงดิ!"
โทษที ลืมเก็บท่าทางและน้ำเสียง ปล่อยไก่วิ่งเต็มเลยกู...

"เออ มึงจะตื่นเต้นอะไรวะเนี่ย"
ไอ้ไธขมวดคิ้วมองกันจนผมต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วมองไปทางอื่น แต่มันคงไม่ถามอะไรมากเพราะด้วยนิสัยไม่เซ้าซี้ใครเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

"ก็เปล่า แล้วเขาคือใคร"

"พี่หมอทาวน์ เดือนมหา'ลัยปีที่แล้ว"
ไอ้ไธตอบด้วยน้ำเสียงรายเรียบไม่มีเล่นตัว สายตามันจับจ้องมาที่ผมเหมือนคอยดูปฏิกิริยา

"หมอทาวน์... เดี๋ยวๆ เขาเรียนแพทย์เหรอวะ"
ผมทวนชื่อของเขาเบาๆ แล้วพบว่ามีอะไรบางอย่างแปลกๆ เลยถามกลับไปทันทีว่าไอ้ที่เรียกหมอเนี่ย เรียนแพทย์หรือเปล่า

"เออดิ แพทย์ปีสองแล้ว ไปๆ มึง เดี๋ยวต้องกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมาวิ่งอีก"
มันตอบก่อนจะออกแรงดันตัวให้ผมเดินไปที่ลานจอดรถสักทีเพราะหยุดเดินมาราวๆ ห้านาทีแล้ว ถ้าตรงนี้ไม่มีร่มเงาต้นไม้ ไอ้ไธคงด่าตั้งแรกวินาทีแรก

"อ่า... เออๆ ไปกัน"
ผมจำใจต้องละสายตาแล้วเดินไปที่ลานจอดรถพร้อมๆ มัน แล้วทิ้งเรื่องของพี่หมอทาวน์ไว้ข้างหลัง หวังว่าสักวันหนึ่งจะได้มีโอกาสทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการนะครับ

ห้าโมงเย็นผมกับไอ้ไธมายืนยืดเส้นยืดสายอยู่ข้างสนามเพื่อเตรียมตัววิ่ง และในขณะที่กำลังหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงก็เจอข้อความจากจิณณ์ส่งมาพอดี

Phokin : ไปวิ่งกับใคร

Phakin : กับไอ้ไธ ตอนนี้อยู่สนามแล้ว

Phokin : ไปกันสองคน?

Phakin : เออ วันนี้ไอ้ฟาร์มมันนัดสาว ส่วนไอ้ตังค์ติดการ์ตูนเหมือนเดิม

Phokin : งั้นรอกูก่อน จะไปวิ่งด้วย


ผมกดล็อกหน้าจอแล้วหย่อนโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงตามเดิม แอบสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมทุกครั้งที่มาวิ่งกับไอ้ไธแค่สองคนจิณณ์ต้องตามมา ถ้ามีพวกไอ้ฟาร์มกับไอ้ตังค์จะไปรอที่คอนโดแท้ๆ แปลกว่ะ แต่ขี้เกียจถาม ดีซะอีกที่มีเพื่อนออกกำลังกายอีกคน




------------------------------------------------

 ตอนที่ 1 มาแล้วนะ บังเอิญ โลกกลม หรือพรหมลิขิตน้อ
ได้เจอคนที่อยากเจออีกครั้ง

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5



บรรยากาศของสนามกีฬามหา'ลัยในตอนเย็นคลาคล่ำไปด้วยนักศึกษาจำนวนมากที่มาออกกำลังกาย บางส่วนมาส่องหนุ่มบ้างสาวบ้างตามอัธยาศัย ผมกับไอ้ไธนั่งอยู่บนอัฒจรรย์เพื่อรอจิณณ์มาวิ่งด้วยกัน แต่จนแล้วจนรอดผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมงมันก็ยังไม่โผล่หัวมา จะหายไปไหนหรือติดธุระอะไรทำไมไม่บอกกันก่อนวะ น่าหงุดหงิดชะมัด

"ไอ้ไธไปวิ่งเหอะ กูขี้เกียจรอจิณณ์แล้ว"
ผมบอกเพื่อนสนิทที่เปลี่ยนจากนั่งเป็นนอนเล่นโทรศัพท์แล้วใช้หัวหนุนตักกัน ถ้าใครที่ผ่านไปผ่านมาเป็นสาววายคงจิ้นกระจายแน่ๆ เมื่อครู่ก็เห็นพวกเธอยืนกรี๊ดอยู่ด้านล่าง ไอ้ไธละสายตาจากจอสี่เหลี่ยมก่อนจะช้อนตามอง คิ้วเรียวขมวดเข้ากันเล็กน้อย

"แต่จิณณ์บอกให้รอไม่ใช่หรือไง เดี๋ยวก็อาละวาดอีก"
ไอ้ไธพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ใบหน้าแสดงความหวาดหวั่นเล็กๆ เพราะตอนจิณณ์โดนขัดใจเขาจะเหวี่ยงแบบไม่สนว่าใครเป็นใคร แต่ผมชินการกระทำแบบนั้นแล้ว มันไม่มีอะไรหรอก คล้ายๆ อารมณ์ชั่ววูบ

"กูกับมึงรอมันมาเป็นชั่วโมงแล้ว จากฟ้าสว่างกลายเป็นมืดแล้วเนี่ย"
ผมชี้ชวนให้มันดูไฟสปอร์ตไลท์ที่ถูกเปิดขึ้นรอบสนามด้วยสีหน้าบึ้งตึง พวกเรานั่งรอจิณณ์โดยไม่ได้ขยับไปไหน แต่รายนั้นหายเข้ากลีบเมฆไปซะเฉยๆ ไม่มีการบอกกล่าว

"ลองโทรไปหาจิณณ์ดูไหม?"
ไอ้ไธกลับไปเล่นโทรศัพท์ต่อแล้ว ผมอยากจะสะบัดหัวมันให้โขกกับปูนเหลือเกินเพราะหมั่นไส้ความสบาย แต่ทำได้เพียงถอนหายใจเมื่อคิดถึงประโยคคำถามของมัน ให้โทรหาจิณณ์น่ะเหรอ

"กูโทรเป็นสิบสายแล้ว"
ผมตอบแล้วผลักหัวไอ้ไธเพราะอดหมั่นไส้ไม่ได้ที่มันนอนกดโทรศัพท์สบายใจ ถ้ารู้ว่าจิณณ์จะเบี้ยวกันแบบนี้ นายภาคินคงบึ่งมอ'ไซต์กลับคอนโดไปเล่นเกมตั้งนานแล้ว ไม่มานั่งใจบุญเลี้ยงอาหารยุงแบบนี้หรอก

"แม่ง งั้นไปหาที่คณะ"
มันสบถออกมาเบาๆ ก่อนที่จะเสนอให้ไปหาจิณณ์ถึงคณะก่อนจะลุกขึ้นและเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า ผมขมวดคิ้วแน่นเพราะไม่พอใจที่ไอ้ไธบอก เรื่องอะไรต้องวนรถตั้งไกลเพื่อไปหาคนผิดนัดวะ

"ทำไมกูต้องลงทุนขี่มอ'ไซต์ไปหามันด้วยวะ"
ผมถามหาเหตุผล เพราะระยะทางจากสนามกีฬาไปคณะวิศกรรมศาสตร์ไม่ใช่ใกล้ๆ ขี้เกียจก็ขี้เกียจ หงุดหงิดที่จิณณ์ผิดนัดอีก

"เผื่อเกิดเรื่องอะไรไม่ดีขึ้นไง"
ไอ้ไธเอื้อมมือมาตบบ่ากันคล้ายจะส่งสัญญาณให้ผมคิดในแง่ร้ายบ้าง ก็จริงอยู่ที่บางครั้งจิณณ์อาจจะโดนหมั่นไส้เพราะเป็นเดือนคณะ แต่มันเอาตัวรอดได้แน่ๆ ก็จบยูโดสายดำมาด้วยกัน แต่ที่น่าแปลกดูเหมือนคนที่ร้อนใจกลับเป็นไอ้ตัวข้างๆ

"ดูมึงจะเป็นห่วงจิณณ์จังนะ"
ผมพูดแซวออกไปเพราะตอนนี้ไอ้ไธลุกขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถึงดูท่าทางสองคนนี้จะเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน แต่การแสดงความห่วงใยออกมาก็ทำให้รู้สึกว่าสถานการณ์ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด จิณณ์คงมีเรื่องบางอย่างที่กำลังเข้าใจผิดในตัวมันก็ได้ ค่อยๆ แก้ปัญหาเพื่อนสนิทกับพี่ชายต่อไป

"เปล่าเว้ย ตกลงจะเอายังไง"
มันหันมาขมวดคิ้วมองด้วยสายตาดุๆ เพื่อกดดัน ผมไหวไหล่ก่อนจะลุกขึ้นเต็มคงามสูงแล้วพาดแขนกอดคอไอ้ไธไว้

"เออๆ ไปก็ไป"
อยากรู้เหมือนกันว่าจิณณ์มันหายหัวไปไหนกันแน่

ผมขี่ฟีโน่สีแดงคันเก่งโดยมีไอ้ไธซ้อนท้ายมาจนถึงหน้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ บรนยากาศในลานเกียร์เงียบสงบอย่างกับป่าช้า ดีหน่อยที่ตัวตึกเปิดไฟไว้สว่างจ้า

"มึง... คนไปไหนหมดวะ ปกตินักศึกษาเพียบ"
ไอ้ไธทักขึ้นหลังจากที่มันลงไปยืนบนฟุตบาท ผมมองไปรอบๆ ก่อนจะส่ายหัวรัวเพราะไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมวันนี้ลานเกียร์เงียบผิดปกติ ดูๆ ไปเหมือนนักศึกษาไปรวมกันอยู่สักที่หนึ่ง อาจจะเป็นห้องเชียร์

"หรือปีหนึ่งเข้าห้องเชียร์อีกวะ"
ผมถามถึงความเป็นไปได้แล้วลงจากรถมายืนข้างๆ ไอ้ไธ ได้แต่หวังว่าพี่ยามจะไม่เดินมาล็อกล้อ ถ้าเป็นแบบนั้นก็โคตรซวย ควรไปทำบุญล้างบาปด่วนๆ

"เออว่ะ จิณณ์ยังไม่ได้เสื้อช็อปกับเกียร์ใช่ปะ"
ไอ้ไธถามแล้วหันมามองหน้ากัน ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะต้องคิดย้อนว่าจิณณ์เคยพูดเรื่องนี้หรือเปล่า แต่สุดท้ายก็นึกไม่ออกเลยสรุปได้ว่ามันคงยังไม่ได้เป็นเด็กวิศวะโยธาเต็มตัว

"อืม ยังไม่เห็นมันเอามาอวดเลย"
ผมบอกก่อนจะยกมือขึ้นตบยุงที่กัดแขนตัวเอง เหลือบมองไอ้ไธก็ยังยืนหันซ้ายหันขวาสบายดีอยู่ ไม่มีอาการคันคะเยอเลยสักนิด อย่าจ้องกินเลือดกูคนเดียวสิวะ

"อาจจะเป็นอย่างที่มึงคิด อยู่ๆ ก็เงียบหายไป ติดต่อไม่ได้"
ไอ้ไธออกความคิดเห็นต่อก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา พบว่าตอนนี้เกือบสองทุ่มแล้ว ปกติถ้าจิณณ์ประชุมเชียร์ไม่ต่ำกว่าสามทุ่ม... มันจะได้กินข้าวหรือยังวะ อดห่วงไม่ได้เพราะพี่ชายเป็นโรคกระเพาะ สงสารตอนที่ปวดท้องแล้วนอนร้องโอดโอยฉิบหาย

"เออ แม่ง กลับไปรอที่คอนโดดีกว่า กูขี้เกียจนั่งเลี้ยงยุง"
ผมบอกไอ้ไธด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเพราะเริ่มโดนยุงกัดไปทุกๆ ส่วนที่โผล่พ้นเสื้อผ้า แม้แต่นิ้วเท้ามันยังไม่เว้น ถ้ามันหามผมได้คงหามไปดูดเลือดทั้งตัวแล้วแน่ๆ

"เดี๋ยวๆ ไปดูให้แน่ใจก่อนไหมว่าจิณณ์อยู่ห้องเชียร์จริงๆ"
ไอ้ไธหันมามองหน้ากันด่วยท่าทางตื่นๆ เมื่อผมก้าวขาคร่อมฟีโน่ จิณณ์ขาดการติดต่อมันเป็นเรื่องปกติที่พบเจอได้บ่อย ไม่เห็นต้องทำอะไรใหญ่โตขนาดนั้น แต่คนอย่างนายภาคินอะไรก็ได้ เอาที่เพื่อนสบายใจ เพราะไม่อยากเถียง มันเหนื่อย

"เออๆ ไปก็ไป แต่มึงรู้เหรอว่าห้องเชียร์เด็กวิศวะอยู่ไหน"
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงอึนๆ เพราะคิดว่าคำตอบคงเป็นคำว่าไม่รู้ แต่ไอ้ไธกลับทำให้แปลกใจด้วยการจับข้อมือกันแล้วพยายามลากผมลงจากรถ เหมือนกับว่ารู้สถานที่...

"เออน่า ตามกูมา"
สรุปว่ามันรู้ทางจริงๆ ตอนที่ผมเผลอมันแอบมาส่องสาวคณะนี้หรือไง ทำอย่างกับเป็นตึกของตัวเอง ได้ข่าวว่าตอนนี้ไอ้ไธยังไปห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์สถา'ปัตย์ยังไม่ถูกเลย

ไอ้ไธลากผมผ่านลานเกียร์เข้าไปในตึกวิศวะ เดินไปเรื่อยๆ จนสุดทางจะเจอห้องขนาดใหญ่ที่มืดสนิทแต่มีแสงสงสีส้มพริ้วไหวตามลมเล็ดลอดออกมา เดาได้ว่าเขาคงจุดเทียน

"เชี่ย อยู่ห้องเชียร์จริงๆ ด้วย กำลังจะบายศรีแล้ว"
ผมที่เอาหน้าแนบกับช่องกระจกเพื่อส่งผู้คนได้ในหันมาบอกไอ้ไธที่ยืนอยู่ด้านหลัง มันพยักหน้ารับรู้แล้วเอื้อมมือมาดึงแขนกันให้ขนัยออกห่างจากห้องเชียร์

"แบบนี้จิณณ์ก็ได้ช็อปกับเกียร์แล้วสินะ"
ไอ้ไธพูดขึ้นลอยๆ ขณะที่เราเดินกลับไปที่รถมอ'ไซต์ ผมก็ไม่แน่ใจว่ามันจะได้ทั้งสองอย่างพร้อมกันไหมแต่ก็พยักหน้าตอบกลับไป ยังไงก็ต้องมีโอกาสนั้นสักวัน และสิ่งที่จิณณ์จะทำต่อไปคือ

"ก็คงงั้น เดี๋ยวมันก็รีบแจ้นเอาไปให้พี่เค้ก น่าหมั่นไส้"
ผมเบ้ปากเมื่อคิดไปถึงท่าทางร่าเริงของมันตอนพูดเรื่องเกียร์ จิณณ์เคยหมายมั่นปั้นมือว่าจะเอาให้พี่เค้กเก็บไว้ ถึงจะเป็นคนเจ้าชู้โปรยเสน่ห์ไปเรื่อย แต่ก็รักใครรักจริง

"อืม จิณณ์รักพี่เค้กขนาดนั้นเลยเหรอวะ"
ไอ้ไธถามออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ใบหน้าไม่ได้แสดงอารมณ์ยินดียินร้ายในขณะที่มันก้าวขาขึ้นมานั่งซ้อนท้าย ผมเลิกคิ้วขึ้นและขมวดในเวลาต่อมา เอาจริงๆ ถึงจิณณ์จะรักใครรักจริง แต่นิสัยเจ้าชู้นั้นใครจะหยุดได้ พี่เค้กคนเอาแต่ใจน่ะเหรอ ผมฟันธงเลยว่าไม่เกินหกเดือนคงเลิก

"ก็... ไม่รู้ว่ะ รักมั้ง เห็นมันเอาใจเขาจะตายไป"
ผมตอบไปตามที่คิดก่อนจะสตาร์ทรถแล้วบิดคันเร่งออกตัวไปช้าๆ สายลมยามค่ำพัดปะทะผิวหน้าให้รู้สึกเย็นสบาย  แต่สักพักกลับรู้สึกได้ว่าไอ้ไธขยับหัวมาซบลงบนบ่า ชินแล้วที่เพื่อนเป็นคนชอบสกินชิพแบบนี้ พวกเราไม่มีอะไรในกอไผ่แน่นอน เชื่อใจได้

"อ๋อ เออ รีบๆ กลับเหอะ กูหิวแล้ว"
เสียงไอ้ไธแทบฟังไม่รู้เรื่องแต่ผมจับใจความได้ว่ามันหิวข้าวแล้ว จะว่าไปนี่ก็เลยเวลากินไปเป็นชั่วโมง น่าจะกินช้างได้เป็นตัว

"เออๆ ร้านข้าวใต้คอนโดนะ"

ผมเดินเข้าร้านอาหารใต้คอนโดก่อนจะสั่งข้าวผัดรวมมิตรกับเกาเหลาลูกชิ้น ส่วนไอ้ไธสั่งผัดไทยกุ้งสดกับหมูทอด อยากจะบอกว่าโคตรเข้ากันเหลือเกิน กินรวมกันยังไงวะนั่น

"ช่วงนี้มึงยังติดเกมอยู่ปะ"
ไอ้ไธถามขึ้นหลังจากที่มันเดินไปเอาน้ำอัดลมมากิน ผมเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์แล้วครางรับในลำคอ ช่วงนี้กำลังเห่อเครื่องเล่นเกมพกพา Nintendo Switch

"กูก็ติดเกมปกตินั่นล่ะ"
ผมเอื้อมมือไปขโมยขวดน้ำอัดลมมาเทใส่แก้วตัวเองแล้วยกขึ้นดื่มอย่างไม่รีบร้อนจนไอ้ไธได้แต่แยกเขี้ยว เพราะในตอนแรกมันถามแล้วว่าจะเอาด้วยหรือเปล่าแต่ผมปฏิเสธ ก็แย่งกินมันสนุกกว่า

"เกมอะไรวะ กูเล่นด้วยดิ ช่วงนี้เบื่อๆ"
ไอ้ไธขยับหลอดในมือวนในแก้วด้วยใบหน้าแสดงอาการเบื่ออย่างเห็นได้ชัด ผมสังเกตมาสักระยะแล้วว่าเพื่อนมีท่าทีแปลกไป แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ปกติมันเป็นคนร่าเริง ขี้แกล้งดีออก

"เออ ไปที่ห้องดิ กูหาเพื่อนเล่นเกมต่อยมวยอยู่พอดี"
ผมบอกแล้วลอบมองปฏิกิริยาของมัน เพราะไอ้ไธไม่เคยไปเหยียบที่ห้องเลย เหมือนจะไม่ถูกกับจิณณ์ แต่ไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัด พอถามไปก็ได้คำตอบประมาณว่า 'กูไม่รู้หรอก' พอหันไปถามพี่ชายตัวเองบ้างมันก็ไม่ตอบ สุดท้ายเลยสรุปได้ว่า ช่างแม่งเถอะ

"เปลี่ยนมาเล่นห้องกูได้ไหม"
ไอ้ไธถามออกมาโดยที่ไม่ยอมสบตากัน มันเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาดูดน้ำอัดลมในแก้วเพื่อซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้ แต่ผมรู้ดีว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องจิณณ์ อะไรยังไงกันแน่วะ นับวันยิ่งมีบรรยากาศแปลกๆ เพิ่มขึ้น

"ถามจริงเหอะ ทำไมมึงกับจิณณ์ไม่ถูกกันวะ คุยกันแทบนับคำได้ เอาเวลาไหนไปเกลียดกัน"
ผมขมวดคิ้วมองเพื่อนและใช้มือเท้าคางเพื่อรอคำตอบ ไอ้ไธไหวไหล่เล็กน้อยแล้วกระตุกยิ้มมุมปากคล้ายกำลังเยาะเย้ยตัวเองอยู่

"กูไม่ได้เกลียดจิณณ์ แต่ฝ่ายนั้นอาจจะใช่"
มันพูดด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ ปากยังคงนิ้มอยู่เหมือนเดิมจนผมไม่กล้าซักไซร้อะไรมาก พอเข้าใจอยู่ว่าถ้าโดนคนใกล้ตัวเกลียดมันจะรู้สึกแย่เป็นธรรมดา

"เออ กูไม่เข้าใจว่ะ ถามมันกี่สิบรอบก็ไม่ยอมตอบ ประสาท"
ผมเคยถามจิณณ์ไปหลายครั้งแล้วว่าทำไมถึงได้ดูไม่ถูกชะตากับไอ้ไธนักหนา แต่ไม่เคยได้คำตอบกลับมาสักครั้งนอกจากการทำหน้าบึ้งตึง มองกันด้วยสายตาดุๆ คือถ้าจะสื่อความหมายกันโดยใช้ความเงียบ บอกเลยว่าผมไม่รับรู้ เพราะไม่ใช่หมอดูที่ทายใจใครออก

"มึงก็อย่าไปว่าจิณณ์เลย กูไม่ได้ซีเรียสอะไร"
ไอ้ไธพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ แล้วเอื้อมมือมาตบบ่ากันยืนยันคำพูด แต่รอยยิ้มกระด้างนั่นคืออะไรวะ มองแล้วขัดลูกตาฉิบหาย แต่ขี้เกียจเซ้าซี้เพราะหิวเกินกว่าจะสนใจเรื่องจุกจิก

"มึงไม่ซีเรียสแต่ไม่ยอมเหยียบห้องกูเลยเนี่ยนะ"
ผมเหน็บมันไปกะจะแกล้งเล่น แต่กลับได้ใบหน้าตึงๆ ของเพื่อนตอบกลับมา

"เดี๋ยวก็เจอจิณณ์ ไม่อยากให้มันอารมณ์เสีย"
น้ำเสียงจริงจังของไอ้ไธมาพร้อมกับดวงตาเศร้าๆ ผมได้แต่ถอนหายใจเมื่อเพื่อนกลับแคร์พี่ชายตัวเองขนาดนั้น ไม่รู้จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ยังไงดี ตอนมัธยมไม่เห็นจะออกอาการอะไรเลยนี่หว่า ตอนนี้ทำไม อย่างกับเกลียดขี้หน้ามาแรมปี หรือแม่งเมาทั้งคู่แล้วเผลอได้เสียกัน จนมองหน้าไม่ติดหรือเปล่า... กูก็ฟุ้งซ่านไปเรื่อยวะ ไอ้สัด!

"มึงจะแคร์อะไรมันนักหนา"
ผมเอื้อมมือไปผลักหน้าผากมันด้วยความหมั่นไส้แล้วก้มลงดูดน้ำในแก้ว ดวงตาคมก็จ้องมองท่าทางของเพื่อนสนิทที่เบนหน้าไปทางอื่น ไม่รู้ไอ้ไธจะแคร์จิณณ์ไปทำไม ในเมื่อฝ่ายนั้นตั้งท่าเกลียดกันขนาดนั้น เป็นผมคงช่างแม่งนานแล้ว คบน้องไม่ได้คบพี่สักหน่อย วันๆ ทั้งคู่แทบไม่เจอหน้ากันด้วยซ้ำ

"เออน่า กินข้าวเหอะมึง เดี๋ยวเย็นแล้วไม่อร่อย"
มันบอกปัดๆ แล้วตักหมูทอดใส่จานของผมโดยไม่ต้องขอ ท่าทางแบบนี้คงไม่อยากให้ถามอะไรต่อ ขนาดเป็นเพื่อนสนิทกันยังมีเรื่องปิดบัง แต่เอาเถอะ ไอ้ไธคงมีเหตุผลส่วนตัว

"เออๆ"
ผมตอบมันกลับไปแล้วลงมือกินข้าวทันที  ตอนนี้เก็บเรื่องชวนปวดหัวลงไหให้หมด แล้วเพลิดเพลินกับอาหารตรงหน้าดีกว่า

หลังจากกินข้าวเสร็จไอ้ไธก็เดินนำเข้าตัวคอนโดเพื่อกลับห้องโดยมีผมเดินตามไปติดๆ เพราะจะขึ้นลิฟท์ตัวริมทางเดิน แต่แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับคนที่เดินผ่านประตูกระจกเข้ามาหมาดๆ อะไรมันจะบังเอิญ โลกกลม พรหมลิขิตขนาดนี้วะ

"ไธๆ"
ผมสะกิดเพื่อนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเปิดประตูห้องอยู่ โดยสายตาจับจ้องไปที่หมอทาวน์ซึ่งกำลังเดินเข้ามาทางนี้ พอเห็นเขาในระยะใกล้ๆ แล้วรู้สึกว่าหน้าตาดีกว่าตอนที่เจอในร้านดอกไม้อีก หรือเพราะเขาใส่ชุดไปรเวทวะ

"อะไรของมึงเนี่ย สะกิดอยู่ได้"
ไอ้ไธถามด้วยเสียงฉุนๆ แล้วหันมาทำตาดุใส่กัน ผมเลยได้ที่ชี้มือไปทางหมอทาวน์ ถึงจะมั่นใจว่าเป็นเขาแต่ก็ไม่แน่ใจ อาจมีคนหน้าคล้ายๆ ก็ได้

"นั่นหมอปะวะ"

"ห๊ะ หมออะไร หมอผีเหรอ"
ด้วยความที่มันไม่ได้มองตามมือผมไปเลยตั้งคำถามกวนตีนใส่กัน ผมเลยโบกหัวมันไปด้วยความหมั่นไส้แล้วบังคับใบหน้าหล่อๆ ของไอ้ไธให้มองตามทิศทางนั้น

"พ่อง ไม่ใช่ นั่นไงๆ หมอทาวน์ปะ"
ผมถามย้ำเมื่อไอ้ไธทำท่าเหมือนจะเห็นเป้าหมาย มันเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะพยักหน้าตอบและปัดมือกันทิ้ง ชอบสกินชิพแต่ปฏิเสธกูเนี่ยนะ งอนได้ปะวะเพื่อน

"อ๋อ ใช่ พี่ทาวน์"

"เขาอยู่ที่นี่เหรอ"
ผมถามต่ออย่างใคร่รู้แล้วหยุดความคิดที่จะงอนมัน เพราะคนที่อยู่ตรงนั้นน่าสนใจกว่า

"หึ เปล่า แฟนพี่ทาวน์อยู่ที่นี่ ห้องถัดๆ จากกูเนี่ยล่ะ เคยเห็นผ่านๆ ตา"
มันตอบคำถามผมอย่างชัดเจนแถมบอกละเอียดถึงขนาดว่าหมอทาวน์มาหาแฟน ก็คิดไว้แล้วว่าหน้าตาแบบนี้คงไม่โสด

"อ๋อ..."
ผมตอบกลับไปสั้นๆ เพราะมัวแต่คิดว่าแฟนหมอจะหน้าตาสวยขนาดไหน ในเมื่อเขาหล่อขนาดนี้ น่าอิจฉาว่ะ แต่อย่าถามนะว่าอิจฉาใคร ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน

"ทำไม มึงมีอะไรกับพี่ทาวน์หรือเปล่า เห็นทำท่าทางดีใจอย่างกับเจอคนที่ชอบตั้งแต่เมื่อเย็นแล้ว"
ไอ้ไธถามแล้วขมวดคิ้วมองกัน แต่เมื่อผมทบทวนสิ่งที่ได้ฟังอีกรอบกลับต้องถลึงตาใส่มันทันที พูดอะไรออกมาวะนั่น หมอทาวน์เป็นผู้ชายนะเว้ย

"พ่อง ไม่ได้ชอบเว้ย แต่แบบ... หมอหล่อดี หล่อสัดๆ"

"อิจฉาเขาว่างั้น"
ไอ้ไธกอดคอผมแล้วถามด้วยน้ำเสียงทะเล้น ถ้าถามว่าอิจฉาหน้าตาหมอทาวน์ไหม ก็คงตอบได้ว่า...

"เออ"
ตอบกลับไปสั้นๆ ตามที่คิด แต่กลับโดนไอ้ไธโบกหัวจนผมต้องแยกเขี้ยวใส่มัน นี่กูผิดอะไร ไม่เข้าใจเลย แม่ง

"ไอ้ฟาย มึงหล่อกว่าพี่เขาอีกมั้ง"
มันว่าด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายแล้วส่ายหัวปลงๆ ผมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ เพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองหน้าตาดี

"เฮ้ย กูหล่อตรงไหน"
ผมจับๆ คลำๆ ใบหน้าตัวเอง ทุกวันที่ส่องกระจกก็เห็นคนผิวขาวไม่จัดมาก ตาคม คิ้วเข้ม จมูกโด่ง สันกรามชัด ปากกระจับ โคตรธรรมดาที่พบเห็นได้ทั่วไป... แถมมีคนหน้าเหมือนทุกกระเบียดนิ้วอีก หล่อตรงไหนวะ

เฮ้ยๆ หมอทาวน์แม่งผลุบเข้าห้องไหนไปแล้วเนี่ย เพราะมึงคนเดียวเลยไอ้หมาไธ ชวนคุยเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่ได้... แต่มาคิดๆ ดูแล้วกูจะสนใจทุกย่างก้าวของเขาไปเพื่ออะไรเนี่ย อย่างกับคนโรคจิตติดตามไอดอลของตัวเอง

"เบ้าหน้าขนาดนี้ยังคิดว่าตัวเองไม่หล่ออีกเหรอวะ เผลอๆ ถ้าวันนั้นมึงท้องไม่เสียอาจจะได้เป็นเดือนคณะแทนกูไปแล้ว"
ไอ้ไธมาด้วยเสียงฉุนๆ แล้วกำหมัดต่อยมาที่ท้องของผมอย่างล้อๆ วันที่เขามีคัดเลือกเดือนคณะมันเกิดเหตุสุดวิสัยปลอมๆ เพราะขี้เกียจประกวดให้วุ่นวายเลยผลักภาระให้คุณเขาไป อย่าเอาไปบอกมันนะว่าผมวางแผน... ก็ไม่ชอบเรื่องยุ่งยากต่อชีวิต จะให้ทำยังไงได้ ดูอย่างจิณณ์ดิ เดินไปไหนมาไหนก็มีแต่คนทักทายแถมยังขอถ่ายรูปอีก (ความจริงเจ็ทก็โดนอะไรทำนองนั้นด้วยไม่ใช่หรือไง ขนาดไม่ใช่เดือนคณะ)

"เหรอวะ หน้าตากูออกจะธรรมดา"

"ไอ้เหี้ย หน้าอย่างเนี่ยเขาเรียกหล่อเว้ย แล้วอีกอย่างนะ รอยสักยิ่งทำให้ดูแบดบอย เผลอๆ มึงจะฮอตว่าจิณณ์ด้วยซ้ำ"
ไอ้ไธจิ้มหน้าผากผมจึกๆ อย่างกับกำลังว่ากล่าวตักเตือนเด็กตัวเล็กๆ ผมปัดมือมันทิ้งเพราะเริ่มเจ็บและในใจลึกๆ ยังต่อต้านว่าตัวเองหล่อ

"เออๆ เรื่องนี้ช่างแม่งเถอะ กูไม่สนใจอยู่แล้ว ขี้เกียจวุ่นวาย"
ผมบอกปัดๆ แล้วสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนของมันเมื่อรู้สึกว่าอากาศร้อนขึ้นมา ไม่ได้รังเกียจเพื่อนแต่เกิดอาการเหนียวตัวอยากอาบน้ำ

"อืม แล้วมึงจะขึ้นห้องยัง หรือจะไปนอนเล่นห้องกูก่อน"
ไอ้ไธเข้าไปในห้องแล้วแต่กลับโผล่หน้าออกมาชักชวนกัน ผมรีบส่ายหัวปฏิเสธทันทีเพราะตอนนี้อยากกลับไปเล่นเกมต่อยมวยเต็มทน ก็ตรงนี้ไม่มีหมอทาวน์แล้วนี่หว่า ผุบหายเข้าไปในห้องแฟนตอนไหนก็ไม่รู้... คงกำลังจู๋จี๋กันแน่ๆ อิจฉาคนมีคู่ชะมัด

"เดี๋ยวกูขึ้นห้องเลยดีกว่า อยากเล่นเกม"

"เออๆ พรุ่งนี้เจอกัน"
ไอ้ไธโบกมือไล่กัน ซึ่งผมก็พยักหน้ารับแล้วหันไปบอกฝันดีกับเพื่อน

"โอเคมึง ฝันดี"

ผมกลับขึ้นห้องทางบันไดเพราะขี้เกียจไปเบียดเสียดกับคนในลิฟท์ อยู่ๆ ไม่รู้โผล่หัวมาจากที่ไหนเป็นหมู่คณะ แม่ง หน้าไม่คุ้นทั้งนั้น สงสัยจะมาปาร์ตี้กัน

หลังจากที่อาบน้ำเสร็จผมก็พาตัวเองมานั่งหน้าคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ในตอนแรกกะว่าจะเล่นเกมแต่มีสิ่งหนึ่งที่อยากได้ในตอนนี้คือโซเชี่ยลของหมอทาวน์ อยู่ๆ ก็อยากติดตามชีวิตเขา วันๆ หนึ่งคนเรียนหมอจะมีกิจกรรมอะไรให้ทำบ้าง หรือ คนเงียบๆ ขรึมๆ เวลาโพสต์ข้อความและรูปภาพจะเป็นแนวไหน

มันน่าจะเป็นเรื่องปกติที่เด็กเรียนศิลป์จะมีความคิดไม่เหมือนชาวบ้านเขา แต่ตอนนี้... จิณณ์ยังไม่กลับอีกเหรอวะ ตั้งสี่ทุ่มแล้ว ใครแอบดักตีหัวลากไปฆ่าแล้วหรือเปล่า

ผมเหลือบมองนาฬิกามุมขวาของหน้าจอคอมฯ ในขณะที่ได้ยินเสียงเปิดประตูห้อง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันโดนอัตโนมัติ นี่จิณณ์เลิกบานศรีตอนห้าทุ่มเนี่ยนะ แถมได้กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ อีก สัดเอ้ย ที่แท้ก็ไปแดกเหล้าต่อแล้วไม่ยอมรับโทรศัพท์แถมไม่ติดต่อกลับอีก ต่อยแม่งสักทีดีไหม

"ไงมึง โทรศัพท์มีไว้ทับกระดาษเหรอ กูโทรไปไม่รับเลย ไอ้สัด"
ผมถามด้วยน้ำเสียงฉุนๆ แล้วหันไปมองคนที่เดินโซซัดโซเซเข้ามาหากันด้วยใบหน้าตึงๆ แทนที่จะยิ้มอย่างมีความสุขเพราะจบการรับน้องมหาโหดของวิศวะสักที

"อ้าวเหรอ โทษทีว่ะ ปิดเสียงตั้งแต่เข้าห้องเชียร์"
มันคลำๆ หาโทรศัพท์แล้วเอ่ยของโทษออกมาก่อนจะทิ้งตัวลวนั่งที่โซฟากลางห้องอย่างคนหมดสภาพ ตกลงว่าไปรับน้องหรือทำก่อสร้าง อะไรจะหนักหนาสาหัสขนาดนั้น

"จะทำอะไรโทรมาบอกก่อนได้ไหม ปล่อยให้กูกับไอ้ไธรอจนเหงือดแห้ง"
ผมเดินเข้าไปมองหน้ามันที่พิงหัวลงบนพนักโซฟา จิณณเหลือบมองเล็กน้อยก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา ดูท่าทางไม่สบอารมณ์ที่ได้ยินชื่อไอ้ไธยังไงไม่รู้

"โดนเรียกเข้าห้องเชียร์กะทันหันไง"
มันตอบด้วยน้ำเสียงตึงๆ แล้วหลับตาลง ดูแล้วสภาพไม่ปกติเท่าไหร่ หรือมีอะไรเกิดขึ้นโดยที่ผมไม่รู้วะ

"เออๆ แล้วจบบายศรีไปแดกเหล้าต่อก็ไม่บอกกูเนอะ ห่า นึกว่าใครลากไปฆ่าซะแล้ว"
ผมผลักหัวมันเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้แล้วเดินอ้อมโซฟาไปทิ้งตัวลงข้างๆ จิณณ์เอนหัวมาซบไหล่กันก่อนจะถูไถหน้าเบาๆ บนต้นแขน โคตรสยองแต่ปล่อยไปก่อน เดี๋ยวโดนเปลี่ยนเรื่องกลางอากาศ

"เป็นห่วงพี่เหรอครับน้อง"
น้ำเสียงกวนๆ ถูกส่งมาให้พร้อมด้วยรอยยิ้มที่หน้าหมั่นไส้ที่สุดในโลก ถึงจะหน้าเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วแต่ก็รู้สึกเกลียดได้ไม่ยาก ทำไมเวลามีปัญหาถึงชอบฝืนตัวเองด้วยการทำตัวร่าเริงวะ นึกว่ากูโง่นักหรือไงจิณณ์ แค่ไม่ถามก็เท่านั้นเอง

"กูน้องมึงจะให้ห่วงหมาที่ไหน"
ผมพ่นลมหายใจออกมาแล้วมองคนที่ก้มหน้าและซบไหล่ผมนิ่งๆ คล้ายกับกำลังใช้ความคิดอยู่ แต่ไม่นานเสียงปัญญาอ่อนของมันก็ดังขึ้น

"บู้ว ~ ห่วงหมาจิณณ์ไง"
น้ำเสียงแบ๊วๆ พร้อมทั้งทำปากจู๋แล้วขยับเข้ามาจุ๊บแก้มกันทำให้ผมต้องหดคอหนี ก่อนจะผลักจิณณ์ลงไปนอนยาวอยู่บนโซฟา  มันเมาแล้วเรื้อนตลอด ชอบนัวเนียคนอื่นไปทั่ว แม่ง... คราวหน้าจะไม่ปล่อยให้ไปแดกเหล้าคนเดียวแล้ว ไว้ใจไม่ได้จริงๆ

"ไปไกลๆ เมาแล้วเป็นงี้ตลอดเลยนะมึง"

"นิดหน่อยเองน่า กูไปอาบน้ำก่อนนะ"
มันบอกด้วยน้ำเสียงงัวเงียแล้วลุกขึ้นยืน ดีหน่อยที่ไม่ได้เซจนล้มลง ไม่อย่างนั้นอาจจะต้องพยุงมันไปห้องน้ำ

"เออดี จะได้สร่างๆ"
ผมบอกไล่หลังคนที่เดินเอียงซ้ายเอียงขวา ได้แต่นั่งมองแล้วส่ายหัวปลงๆ ถึงเราจะเป็นแฝดกันแต่การใช้ชีวิตโคตรต่าง ผมคอแข็งส่วนมันคออ่อน ไปกินเหล้าด้วยกันทีไรต้องคอยแบกกลับทุกที คราวนี้ไอ้เอยคงเอามาหย่อนไว้หน้าคอนโดแล้วปล่อยให้ขึ้นมาเองแน่ๆ

"เจ็ท... ทำไรวะ"
เสียงจิณณ์ดังขึ้นจากด้านหลังแต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะกำลังตั้งหน้าตั้งตาส่องเพจหนึ่งอยู่

"เล่นคอมฯ ไง มึงจะใช้เหรอ"
ถามกลับไปอย่างคนมีมารยาท เพราะปกติมันจะใช้คอมฯ ตั้งโต๊ะ ส่วนผมใช้โน้ตบุค แต่ต่อไปอาจจะต้องสลับเครื่องกันใช้

"เปล่า กูเห็นมึงเพ่งหน้าจออย่างกับคนสายตาสั้น ตั้งใจอะไรขนาดนั้นวะ"
จิณณ์ลากเก้าอี้จากโต๊ะทำงานมาหย่อนก้นข้างๆ กัน ผมเหลือบมองมันเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไป จริงๆ ระหว่างเราไม่ค่อยมีเรื่องอะไรต้องปิดบัง

"กูส่องเฟซบุคอยู่"

"เพจเซ็กซี่บอยมหา'ลัยเราเนี่ยนะ มึงกินยาผิดปะเนี่ย"
จิณณ์พูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแล้วเอื้อมมือมากอดไหล่กัน ส่วนอีกข้างก็ใช้ผ้าเช็ดเส้นผมเปียกๆ ไปด้วย ไอ้นี่ก็ชอบสกินชิพจัง น่าจะเนรเทศให้ไปอยู่กับไอ้ไธจริงๆ เผื่อมันจะญาติดีกันขึ้นมาบ้าง

"มึงเพ้ออะไรเนี่ย กูแค่จะหาคนๆ นึงเฉยๆ"
ผมบอกด้วยเสียงฉุนๆ ก่อนจะเลื่อนเม้าส์หาเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ต่อไป อยากจะบอกว่าเจอรูปตัวเองโดนแอบถ่ายลงเพจด้วย ส้นตีนสุดๆ กำลังนั่งแทะไก่ในโรงอาหารคณะ... หล่อเกินคำบรรยาย แม่ง ทุเรสฉิบหาย แคปชั่นยิ่งชวนขนลุก 'อยากเป็นไก่ให้เธอแทะจัง' โอย ถ้ากูแทะคนเป็นๆ ได้ คงน่ากลัวพิลึก



ต่อด้านล่างนะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-07-2017 14:18:55 โดย Ch0cmint »

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
"ใคร ถามกูดิ เผื่อรู้"
มันเสนอผมก็ต้องสนอง ใช่ไหมล่ะ และมีแนวโน้มว่าจิณณ์จะรู้จักด้วย

"เออว่ะ มึงน่าจะรู้จักเดือนมหา'ลัยปีที่แล้ว"
ผมเกริ่นแล้วหันไปมองฝาแฝดที่ชะงักมือแล้วเลิกคิ้วขึ้นเหมือนกำลังทบทวนความจำของตัวเอง หรือมันจะไม่รู้จักวะ ไอ้นี่ยิ่งความจำปลาทองอยู่ด้วย

"เดือนมหา'ลัยปีที่แล้ว... อ๋อ พี่เมืองเหนืออะนะ"
คราวนี้ผมต้องขมวดคิ้วบ้างแล้วล่ะ เมืองเหนืออะไรวะ ไม่ใช่หมอทาวน์เหรอ หรือไอ้ไธหลอกกูเนี่ย

"ห๊ะ ใครวะเมืองเหนือ ไม่ใช่หมอทาวน์เหรอ"
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงสงสัยสุดๆ จิณณ์ถึงกับทำหน้าเหวอก่อนจะค่อยๆ คลี่ยิ้มกวนตีนออกมา

"เออ พี่ทาวน์ชื่อจริงชื่อ 'เมืองเหนือ' ไง"

"อ๋อ"
ชื่อแปลกว่ะ ผมว่าผมชอบนะ 'เมืองเหนือ' ไม่มีใครเหมือนดี

"แล้วมึงจะหาพี่เขาไปทำไม"
คำถามคล้ายๆ กับไอ้ไธดังขึ้น ดูท่าทางใครๆ ก็แปลกใจที่ผมถามถึงเขา แค่อยากรู้จักมันมีปัญหาอะไรขนาดนั้นวะเนี่ย ไม่ได้อยากจีบหรืออะไรสักหน่อย ทุกวันนี้ยังชอบสาวๆ นมตู้มๆ อยู่ครับ

"กูอยากรู้จักพี่เขาว่ะ"

"เพราะอะไร"
จิณณ์ถามต่อด้วยน้ำเสียงสงสัยไม่แพ้กัน

"ดูเป็นคนน่าสนใจดี"
ผมก็ใจดีตอบกลับไป เพราะไม่มีอะไรต้องปิดบัง

"มึงชอบเขาเหรอ"
จิณณ์ถามทีเล่นทีจริง แต่ผมถึงกับตกใจ หัวสมองมันคิดอะไรอยู่ ถ้าหมอเป็นสาวน้อยวัยใสก็ว่าไปอย่าง

"ห๊ะ บ้าอะไรของมึง ถ้าหมายถึงชอบทำนองชู้สาวนี่ไม่ใช่แน่ๆ"

"กูล้อเล่นๆ แต่มึงเล่นของสูงไปหน่อยนะไอ้เจ็ท พี่เมืองเหนือเนี่ย นิ่งๆ เงียบๆ เป็นคนเข้าถึงยาก ตอนกูประกวดเดือนพูดกับเขานับประโยคได้เลย"
คราวนี้จิณณ์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมเชื่อนะว่าหมอทาวน์เป็นคนแบบนั้นจริงๆ เพราะดูท่าทางจะเป็นเสือยิ้มยาก

"อัธยาศัยติดลบเหรอวะ"
ผมถามต่อเพราะอยากรู้เรื่องของเขาให้มากกว่านี้ ความรู้สึกคือหมอทาวน์คล้ายๆ กับไอดอลคนหนึ่ง

"ประมาณนั้นมั้ง แต่เพื่อนๆ เขาเคยบอกว่าถ้าได้สนิทแล้วจะรู้ว่าพี่เมืองเหนือน่ะ ปากร้ายแต่ใจดี ไม่ได้หยิ่งอะไร"
ข้อนี้ผมยืนยันได้จากตัวเองเลย เพราะวันนั้นก่อนแยกย้ายกันเขายังแนะนำให้เอาน้ำแข็งประคบหัวลดอาการบวมของหน้าผากที่โขกเข้ากับประตูกระจกร้านดอกไม้ เป็นคนใจดีจริงๆ นั่นล่ะ ถึงภายนอกจะดูดุๆ ก็เถอะ

"อืม..."

"กูถามจริงๆ เหอะ ทำไมอยากรู้จักเขาวะ คนละชนชั้นกับเราเลยนะ ไม่เอาคำตอบเดิมว่าน่าสนใจอะไรนั่น"
จิณณ์เอื้อมมือมาประคองใบหน้าของผมให้สบตากัน ไอ้นี่ก็สงสัยไม่เลิกเลยจริงๆ มันต้องการคำตอบแบบไหนวะ ประมาณ 'เออ กูชอบหมอ' หรือ 'เออ กูจะจีบเขา' แบบนี้เหรอวะ งงจริงๆ

"อ้าว แล้วจะให้กูตอบอะไร ไอ้ห่านี่ อยากรู้จักคนเรียนหมอบ้างไม่ได้หรือไงวะ"
ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่มันด้วยความหงุดหงิด ทำไมเป็นคนชอบเซ้าซี้ขนาดนี้วะ อยากจะบอกว่ามันขี้เสือกก็ไม่ใช่ เพราะส่วนมากจิณณ์ตั้งใจจะแกล้งกันมากกว่า สังเกตได้จากแววตาสนุกสนานนั่น พ่ออยากจิ้มให้ทะลุ

"ดูทำหน้า... กูไม่แกล้งแล้วก็ได้ อย่าหงุดหงิดใส่ดิ"
จิณณ์ว่าเสียงหงอยๆ แล้วเอื้อมมือมาดึงแก้มกันด้วยความเอ็นดู ถึงมันจะชอบแกล้งแต่ก็ชอบโอ๋ในเวลาเดี๋ยวกัน มีศักดิ์เป็นน้องก็ดีแบบนี้ล่ะ

"ก็มึงชอบกวนตีน"
ผมปัดมือมันทิ้งแล้วเลิกสนใจใบหน้าหมาหงอยของมัน นี่ยังไม่ได้ถามเลยนะว่ารับเกียร์รับช็อปแล้วทำไมหน้าตาดูเหมือนคนอกหักแบบนั้น ทั้งๆ ที่ควรดีใจที่ผ่านมรสุมรับน้องมาได้ โคตรย้อนแย้ง

"โอ๋ๆ นะพ่อเจ็ทสกีน้องพี่"
ยังไม่วายเข็ดหลาบยังเข้ามากอดคลอเคลียกันอีก แถมใช้คำพูดน่าขนลุกจนต้องแจกมะเหงกให้หนึ่งที นอกจากผมจะโดนจับจิ้นกับไอ้ไธแล้วก็ยังมีจิณณ์นี่ล่ะ... พวกเธอจะผิดบาปกันไปถึงไหน ขนาดฝาแฝดยังไม่เว้น

"เดี๋ยวกูถีบ"
ผมบอกน้ำเสียงนิ่งๆ แต่ไม่ได้ผลักมันออก เพราะรู้ดีว่าเดี๋ยวมันก็เข้ามาคลอเคลียใหม่ตามเดิม เวลาจิณณ์มีเรื่องไม่สบายใจซ่อนไว้ชอบทำตัวแบบนี้เสมอ

"ร้ายใส่พี่มึงอีกแล้ว เดี๋ยวไม่ให้ไอจีพี่เมืองเหนือนะเว้ย"
มันพูดเสียงอู้อี้ แต่ผมกลับได้ยินชัดเจน รู้สึกว่าหัวใจเต้นรัวขึ้นนิดๆ จะได้ไอจีของหมอทาวน์แล้วเหรอวะ อยากรู้จริงๆ คนหล่อๆ เท่ๆ ขรึมๆ เรียนเก่ง ชีวิตประจำวันของเขามีอะไรน่าสนใจบ้าง

"เฮ้ย มึงมีเหรอจิณณ์"
ผมถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแล้วผละมันออกจากอ้อมกอดเพื่อจะได้มองหน้ากัน จิณณ์พยักหน้าแล้วยักคิ้วกวนมาให้กันอย่างคนเหนือกว่า

"ก็เออสิวะ ตั้งไพเวทด้วย"

"เชี่ย เซเลปสุดๆ"
แอบใจแป้วเลยว่ะ หมอจะกดรับให้ผมฟอลโล่ปะวะ

"พี่แกไม่ชอบความวุ่นวายเหมือนมึงนั่นล่ะ"
จิณณ์ไขข้อข้องใจให้ เออว่ะ ผมก็ตั้งไอจีเป็นไพเวทเหมือนกัน แรกๆ ก็เปิดสาธารณะแต่มีคนฟอลเยอะเกิน ไม่ไหวจริงๆ

"อ๋อ ไหนอะ เอามาดิ"
ผมแบมือขอมันทันทีเพราะกลัวพี่ชายที่แสนดีจะเปลี่ยนใจปุปปับ ไอ้นี่เป็นคนโลเลจะตาย

"เออๆ ปล้นกูจังนะ"
มันบ่นแต่ก็ยอมยื่นโทรศัพท์มือถือที่หน้าจอปรากฎหน้าไอจีของหมอทาวน์มาให้กัน ว่าแต่ว่าเขายังไม่รับของจิณณ์เลยเถอะ แล้วของผมล่ะ... แม่ง ความหวังโคตรลิบหรี่

Muangneua_t
เดี๋ยว Phakin_Jet จะขอฟอลโล่ไปนะครับ กรุณารับผมด้วยเถอะ สาธุ!

ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วยคาถา... เล่นของไปอีกนายภาคิน




--------------------------------------------

ตอนที่ 2 มาแล้วนะ ฝากติชมด้วยนะฮับ ~

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5




ท้องฟ้าวันนี้ปราศจากปุยเมฆจนน่ากลัว อากาศแจ่มใสและร้อนระอุราวกับจะทำให้มนุษย์เดินดินและสิ่งมีชีวิตทั้งหลายแห้งตายได้ ผมพาบรรดาเพื่อนสนิทเข้ามาในหอสมุดกลางของมหา'ลัย ไม่ใช่ว่าขยันอ่านหนังสือแต่ทำเพื่อรับแอร์เย็นๆ

ไอ้ไธเดินไปหยิบหนังสือมาสองสามเล่มเพื่อตบตาบรรณารักษ์ที่ยืนคุมเชิงอยู่ไม่ไกล ส่วนไอ้ฟาร์มยกโทรศัพท์ขึ้นมากดแชทกับสาวๆ อย่างโจ่งแจ้ง เพราะมันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนน่าหมั่นไส้ และอีกคนไม่แพ้กัน ไอ้เนิร์ดประจำกลุ่มกำลังควักเอาแท็บเล็ตขึ้นมาตั้งบนโต๊ะพร้อมกับหูฟัง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามันต้องดูการ์ตูนตาหวานอีกแน่ๆ ส่วนผมน่ะเหรอ งานอดิเรกช่วงนี้คงหนีไม่พ้นไอจีหมอทาวน์ ก็ไม่รู้จะส่องห่าเหวอะไรนักหนา เพราะคนๆ นั้นไม่ได้อัพเดทอะไรมาสักระยะหนึ่งแล้ว ครั้งสุดท้ายคงเป็นที่เขาไปหาแฟนที่คอนโด

"เอาหนังสืออะไรมาอ่านวะ"
ผมถามคนที่เริ่มเปิดหนังสือก่อนจะเลื้อยลงไปนอนทับแขนของตัวเอง อีกมือหนึ่งก็สไลด์หน้าจอโทรศัพท์ที่อยู่ในมือไปเรื่อย ส่วนใหญ่หมอทาวน์จะชอบอัพรูปสถานที่ ของกิน สิ่งของมากกว่าที่จะเป็นรูปของตัวเอง บางทีก็ท่าทางหลุดๆ ของเพื่อนนักศึกษาแพทย์ด้วยกัน

"รามเกียรติ์"
ไอ้ไธตอบโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นจากหนังสือ ผมละสายตาจากหน้าจอแล้วเหลือบมองหนังสือในมือของมันก่อนจะขมวดคิ้วแน่น อารมณ์ไหนมานั่งอ่านวรรณคดีไทยวะ แถมยังเป็นฉบับการ์ตูนสามเล่มจบอีกด้วย

"แดกยาลืมเขย่าขวดเหรอ เห็นตอนมัธยมมึงเกลียดภาษาไทยจะตาย"
ผมเหน็บมันด้วยความจริง เพราะตอนมัธยมไอ้ไธจะบ่นตลอดเมื่อต้องเรียนวรรณคดีแล้วโดยท่องบทร้อยกรอง ใครๆ ก็ออกจะขยาดกับมัน ยิ่งให้แปลความหมายยิ่งเหมือนตกนรกทั้งเป็น ยากสัดๆ

"กูเกลียดเรื่องอื่น แต่กูชอบรามเกียรติ์นะ  อิจฉาหนุมานว่ะ มีเมียตั้งสี่พันกว่าคน"
มันพูดด้วยน้ำเสียงแสดงความอิจฉาอย่างจริงจัง ผมถึงกับเลิกคิ้วขึ้นเพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่าไอ้ไธอยากมีเมียเป็นโขยงแบบนั้น สี่พันคน... ไอ้สัด ชาตินี้มึงจะใช้ครบไหมอะ คล้ายๆ ฮ่องเต้มีสนมสามพันคนไรงี้ปะวะ

"มึงอยากมีบ้างหรือไง"
ผมถามสวนกลับไปแล้วกดล็อกหน้าจอโทรศัพท์ ไอ้ไธเหลือบมองก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธมีความย้อนแย้งในตัวเองวะ ถ้ามันไม่อยากมีเมียเยอะเหมือนหนุมานแล้วจะไปอิจฉาทำพระแสงของง้าวอะไร

"โอย ไม่ไหวมั้งมึง มีเมียมากขนาดนั้นไข่กูถลอกพอดี"
ไอ้ไธพูดติดตลกก่อนจะปิดหนังสือลง มือขวาเอื้อมมาผลักหัวกันเบาๆ อย่างหยอกล้อ ผมได้แต่ถลึงตาใส่ไม่ตอบโต้กลับไปเพราะเริ่มสะดุดสายตากับคนรอบด้าน ผู้หญิงพวกนี้แม่ง จะถ่ายรูปไปจิ้นอะไรนักหนา ชอบแมนๆ ฟันดาบทั้งคู่หรือไง แบบอรชรอ้อนแอ้นแบบไอ้ตังค์ทำไมไม่จับจิ้นบ้างวะ

"แล้วจะอิจฉาหนุมานทำเชี่ยไร"

"เสน่ห์แรงไง กูไม่เห็นจะมีใครสักคน"

"กล้าพูดเนอะ สาวๆ อ่อยมึงตั้งเยอะ ทำเล่นตัว เลือกมากเอง โสดให้ไข่เหี่ยวตายไปเหอะ"
อันนี้ไม่ใช่เสียงผมนะเว้ย ไอ้ฟาร์มเลย ผงกหัวขึ้นมามองไอ้ไธแล้วทำหน้าเหยียดๆ แต่เห็นด้วยนะ พ่อเดือนคณะเขาหล่อเลือกได้ แต่แม่งไม่เลือกสักคน เหมือนมีใครอยู่ในใจตลอดเวลา

"ไข่กูไม่ใช่มะเขือยาว เอะอะๆ เหี่ยว ไอ้สัด"
ไอ้ไธจะข้ามโต๊ะไปต่อยไอ้ฟาร์มที่แสยะยิ้มอยู่ฝั่งตรงข้าม ผมรีบคว้าตัวมันด้วยการกอดเอวเอาไว้ เพราะไม่อย่างนั้นความวุ่นวายคงเกิดขึ้นต่อจากนี้แน่ๆ

"เผลอๆ ไข่มึงจะเหี่ยวก่อนมะเขือยาวอีก"
ไอ้ฟาร์มมันไม่เคยกลัวส้นตีนใครเลยจริงๆ ทำให้ผมต้องหันไปแยกเขี้ยวใส่มันแล้วลูบหลังไอ้ไธให้ใจเย็นๆ แต่ดวงตาคมเสือกมองเห็นสาวๆ ยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปพาลทำให้หงุดหงิด คือกูกำลังห้ามทัพสงครามแต่พวกเธอคิดว่าเรากำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน โอ้ย มโนเกินไปแล้วแม่คุณ

"ไอ้เหี้ยฟาร์ม มึงหุบปากเลยนะ ไม่งั้นก็ไปหาสาวๆ ได้แล้ว น่ารำคาญ"
ไอ้ไธกัดฟันกรอดแล้วชี้หน้าไอ้ฟาร์มคล้ายคนกำลังอดกลั้นอารมณ์อย่างเต็มที่ จริงๆ แล้วมันเป็นคนใจเย็น ไม่อย่างนั้นอีกคนคงโดนต่อยไปตั้งแต่กวนตีนประโยคแรกแล้ว ถ้าเป็นผมคงเสยหน้าแข้งใต้โต๊ะอันดับแรก

"สู้ไม่ได้แล้วไล่ ไอ้กากเอ้ย"
ไอ้ฟาร์มยังคงความปากหมาเอาไว้เหมือนเดิม พอจะรู้สาเหตุที่มันชอบกวนตีนไอ้ไธ เพราะแกล้งแล้วสนุก และอีกอย่างคือความหมั่นไส้ที่สาวๆ มาติดเดือนคณะทั้งๆ ที่อยู่เฉยๆ ไม่ต้องลุกมาโฆษณาตัวเองว่าเป็นสายเปย์

"พอๆ พวกมึงหยุดกัดกันได้แล้ว เดี๋ยวป้าบรรณารักษ์จะมาแดกหัวพวกมึง เสียงดังอยู่ได้"
สุดท้ายผมก็ต้องห้ามทัพไว้ก่อนเพราะป้าบรรณารักษ์แกหันมามองตาเขียวตั้งแต่เมื่อนาทีก่อน ไอ้ไธถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วทิ้งตัวพิงพนักเป็นฝ่ายสงบศึกก่อนใคร ส่วนไอ้ฟาร์มไหวไหล่แบบคนไม่เดือดร้อน

"เออๆ กูจะไปซื้อน้ำ ใครจะเอาอะไรไหม"
มันลุกขึ้นเต็มความสูงแล้วจัดแจงเสื้อนักศึกษาให้เรียบร้อย ผมเหล่สายตามองไอ้ฟาร์มอย่างจับผิด ถ้าเมื่อไหร่มันอาสาไปซื้อน้ำหรือขอตัวไปไหน อย่าหวังว่าจะกลับมาอีก ไปแล้วไปลับอะไรทำนองนั้น เพื่อนในกลุ่มตะหนักดี มีแต่เจ้าตัวนั่นล่ะไม่เคยจำว่าโดนด่าเรื่องนี้ไปแล้วกี่รอบ ทำเป็นมีน้ำใจ สุดท้ายแม่งเลว ปล่อยให้คนอื่นรอ ถ้าอยู่กลางทะเลทรายคงตายห่าไปแล้ว

"จะไปซื้อน้ำหรือไปรีดน้ำ กูเห็นหายไปทีเป็นชั่วโมง"
ไอ้ไธเหน็บด้วยน้ำเสียงรู้ทัน ซึ่งผมเห็นด้วยเรื่องนี้ เพราะไอ้ฟาร์มมีสิทธิ์ไปรีดน้ำมากกว่า สาวๆ ตรึมขนาดนั้น ไม่รู้จะอิจฉาเรื่องผู้หญิงของคนอื่นทำไม ทั้งๆ ที่ตัวเองไข่จะถลอกอยู่แล้ว แม่ง วันไหนเป็นโรคขึ้นมากูจะสมน้ำหน้าให้

"ไธ... พูดงี้กูเสียหายนะเว้ย รีดน้ำอะไร ไม่เค๊ย ไม่เคย"
ไอ้ฟาร์มกระพริบตาปริบๆ ทำท่าทางแบ๊วไร้เดียงสาจนไอ้เนิร์ดที่นั่งดูการ์ตูนอยู่ข้างๆ ถึงกับเบะปาก เสียงสูงจะทะลุเพดานแล้วคุณ โกหกอะไรให้มันเนียนๆ หน่อย

"สันดานตอแหลจริงๆ"
ไอ้ไธด่าด้วยท่าทางหมั่นไส้

"ขอบคุณที่ชม"
ไอ้ฟาร์มรีบคำชมด้วยกน้าตาระรื่น เขกกบาลสักทีได้ไหมล่ะ ทำตัวน่าหมั่นไส้ฉิบหาย

"ไอ้...!"
นายธามไธแทบจะกระโดดไปงับหัวไอ้ฟาร์มที่เผลอสะดุ้งถอยหลัง

"พอเลยพวกมึง หยุดๆ ฟาร์มจะไปไหนก็ไป ฝากมึงซื้อน้ำที่ไรไม่ได้แดกทุกที ช้าฉิบหาย"
ผมกระตุกข้อมือของไอ้ไธให้นั่งลงที่เดิม มันยอมทำตาม ส่วนไอ้ฟาร์มยกมือขึ้นลูบกน้าอกตัวเองด้วยความโล่งใจ

"โหย ก็แบบมันไกลไง"
ทุกคนเลิกคิ้วพร้อมกันเมื่อได้ฟังคำพูดไอ้ฟาร์ม คือแม่งลงบันไดไปสองชั้นก็มีน้ำขาย ไกลตรงไหนวะ ผมกำลังจะอ้าปากด่าแต่โดนไอ้ตังค์ขัดซะก่อน สงสัยนั่งฟังมานานแล้วทนไม่ได้

"ไกลเหรอครับคุณฟาร์ม แค่ชั้นล่างของหอสมุดเองนะ"

"กูต้องกินน้ำเซเว่นหน้ามอเว้ยตังค์"
มึงจะไปแดกน้ำหรือแดกพนักงานสาวเซเว่น เอาดีๆ

"ผมไม่เข้าใจ"
ตังค์ขมวดคิ้วแน่น มันถึงกับเสียสละกดปุ่มหยุดการ์ตูนแล้วมองไอ้ฟาร์มอย่างคนขี้สงสัย ผมหลุดหัวเราะเพราะดูท่าทางไอ้เนิร์ดอยากได้คำตอบจริงๆ ถ้าบอกว่าเพื่อนจะไปเอาหญิงจะมีสีหน้ายังไงวะ

"มึงไม่ต้องเข้าใจ กลับไปดูการ์ตูนหื่นกามต่อเถอะ กูไปละนะ"
ไอ้ฟาร์มโบกมือไล่แล้วหันหลังเตรียมตัวจะเดินออกไป ไอ้ตังค์ได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เมื่อตัวเองโดนโจมตีกลับ เห็นเงียบๆ หื่นจัดนะครับ...

"เออๆ ถ้าจะไม่กลับมาก็โทรบอกกูด้วย"
ผมพูดทิ้งท้ายก่อนไอ้ฟาร์มจะเดินหายไปจากชั้นนี้ พวกเรากลับมาจมอยู่ในงานอดิเรกของตัวเองต่อไปจนล่วงเลยมาเกือบชั่วโมง ตอนแรกกะว่าจะกลับคอนโด แต่ช่วงเย็นมีนัดประชุมเรื่องกีฬาภายในคณะเลยขี้เกียจไปๆ มาๆ ก็เลยจะนั่งรับแอร์ยาวๆ จนถึงเวลานั้น

"มึง กูปวดฉี่ เดี๋ยวมา"
ผมบอกไอ้ไธที่กำลังตั้งใจอ่านรามเกียรติ์ มันพยักหน้ารับแล้วปิดหนังสือลงก่อนจะเอื้อมมือมารั้งไหล่กันเอาไว้

"เดี๋ยวๆ กูไปด้วย"

"เออๆ เฮ้ยตังค์ เดี๋ยวเรากับไอ้ไธไปฉี่ก่อนนะ"
ผมหันไปบอกไอ้ตังค์ไว้ก่อน เดี๋ยวแม่งเงยหน้าขึ้นมาไม่เจอใครจะวุ่นวายอีก

"ได้ครับคุณเจ็ท"
ตังค์เงยหน้าขึ้นมายิ้มเพียงเสียววินาทีแล้วกลับไปจดจ่อกับสิ่งที่มันสนใจต่อ ผมกับไอ้ไธได้แต่มองหน้ากันแล้วส่ายหัวปลงๆ สุดท้ายก็ต้องช่างแม่งเรื่องโอตาคุ ในเมื่อเป็นงานอดิเรกที่เพื่อนชอบทำแล้วมีความสุขก็ปล่อยไป

ผมเดินลงบันไดนำหน้าไอ้ไธ แต่กลับต้องชะงักเมื่อคนบางคนสวนทางผ่านไป นี่มันโลกกลมอีกแล้วเหรอวะ ทำไมเจอกันบ่อยขนาดนี้

"เชี่ยเจ็ท หยุดเดินทำห่าอะไรเนี่ย"
ไอ้ไธชนเข้ากับแผ่นหลังของผม ดีหน่อยที่ไม่ได้แรงจนพากันกลิ้งตกบันได แต่ได้รับมะเหงกจากมันไปหนึ่งที

"มึง... นั่นหมอทาวน์ปะวะ"
ผมชี้กลับขึ้นไปด้านบนเพราะยังเห็นหลังหมอทาวน์ไวๆ ไอ้ไธมองตาก่อนพยักหน้ารับ

"เออใช่ มึงนี่ตาไวเนอะ"

"เขาเดินสวนขึ้นมาพอดีไง"
ผมตอบก่อนจะละสายตากลับมาที่เดิม หมอทาวน์ยังคงดูดีไม่เปลี่ยน ถึงวันนี้จะมีแว่นสายตามาด้วยก็เถอะ คล้ายๆ ไอ้เนิร์ดแต่บุคลิกต่างกันราวฟ้ากับเหว

"กูก็ยังไม่ได้ว่าอะไร แล้วตกลงมึงจะเข้าไปทักพี่ทาวน์ปะ เห็นบอกว่าอยากรู้จักไม่ใช่เหรอ"
ไอ้ไธถามออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วยกมือขึ้นจับไหล่ของผมคล้ายๆ กำลังเล่นรถไฟ จะให้เข้าไปทักทายทำความรู้จักซึ่งๆ หน้าอย่างนั้นเหรอ ก็คงดีกว่าพยายามหาทางทักทายเขาในโซเชี่ยลล่ะมั้ง

"เออว่ะ ขอไปฉี่ก่อนเหอะมึง ไข่จะแตกแล้ว"
ผมตอบไปส่งๆ แล้วรีบวิ่งลงบันไดเพื่อไปห้องน้ำทันที ตอนนี้ขอปลดปล่อยก่อนเถอะ อั้นฉี่ไว้ตั้งนานแล้ว

หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อยก็เดินกลับขึ้นไปที่ชั้นเดิม เห็นหมอทาวน์กับเพื่อนกำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่มุมหนึ่ง ผมรู้สึกตื่นเต้นอย่างกับเจอดาราที่ชอบ ใจหนึ่งอยากเข้าไปทักอีกใจกลับกลัวว่าจะโดนไล่ออกมา เพราะเผลอไปกดติดตามเขาทุกโซเชี่ยล เหมือนพวกโรคจิตเลยว่ะ

"หมอทาวน์จะคุยกับกูปะวะ"
ผมถามลอยๆ ออกไปไม่ได้หวังคำตอบ จากที่ได้ยินคนอื่นพูดกันว่าหมอทาวน์อัธยาศัยติดลบ ใจก็เริ่มหวั่นๆ หรือว่าจะถอดใจแล้วติดตามเขาไปเงียบๆ เหมือนแฟนคลับดีไหม แต่ไม่ได้อยากอยู่ในมุมมืดแบบนั้นนี่หว่า

"นั่นสุดแล้วแต่พี่เขาว่ะ กูก็ไม่ได้สนิทอะไร"
ขอบคุณที่มันช่วยตอบคำถามให้ผมเครียดหนักกว่าเดิม...

"ช่วยอะไรไม่ได้พอๆ กับจิณณ์เลย"
ผมบ่นพึมพำแล้วยืนมองหมอทาวน์อยู่อย่างนั้น เข้าไปทักดีปะวะ จะเริ่มต้นยังไง รู้สึกตัวเองเป็นสาวน้อยแรกแย้มที่กำลังหัดมีความรักเลย แค่อยากรู้จักหมอ ทำไมมันดูออร่าสีม่วงกระจายแบบนี้ หรือผมชอบเขา... บ้าน่า

Rrrrr

"ใครโทรมาตอนนี้วะ ขัดฉิบหาย"
ผมบ่นอุบอิบเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงสั่นในกระเป๋ากางเกง ดวงตาคมยังจับจ้องอยู่ที่เป้าหมาย มือขวาก็ล้วงหาโทรศัพท์ อย่าให้รู้นะว่าใครขัดจังหวะตอนนี้ พ่อจะด่าให้

"รับซะ พี่ทาวน์ไม่หนีมึงไปไหนหรอก"
ไอ้ไธว่าด้วยเสียงกลั้วหัวเราะแล้วพยักพเยิดหน้าไปทางหมอทาวน์ที่ตั้งใจทำงานอยู่ตรงนั้น เออ เขาน่ะไม่หนีไปไหนหรอก แต่กูเนี่ยจะไม่กล้า หวั่นๆ ใจยังไงไม่รู้

'จิณณ์'
ชื่อสายเรียกเข้าปรากฏบนหน้าจอทำให้ผมต้องขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วมองนาฬิกาข้อมือ นี่มันเวลาเรียนของจิณณ์ไม่ใช่หรือไงวะ โดดเรียนเหรอ

"ว่าไงจิณณ์ ตอนนี้มึงเรียนอยู่ไม่ใช่เหรอ"
ผมรับสายแล้วถามกลับไปด้วยความสงสัยทันที เพราะปกติแล้วจิณณ์ไม่เคยติดต่อมาเวลาแบบนี้ มันตั้งใจเรียนจะตาย ขยันจะเอาเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง

'มาหา...หน่อย'
น้ำเสียงที่ตอบกลับมาสั่นเครือจนผมเผลอคิ้วกระตุก อะไรทำให้พี่ชายแสนร่าเริงต้องเป็นแบบนี้

"ทำไมเสียงสั่น มึงเป็นอะไร จะให้กูไปหาที่ไหน"
ผมถามด้วยความรีบร้อน บางคำแทบฟังไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ มือที่จับโทรศัพท์สั่นน้อยๆ เพราะกลัวว่าปลายสายกำลังอยู่ในสถานการณ์อันตรายหรือเปล่า ไอ้ไธก็ดูท่าทางร้อนรนตามไปด้วย

'ใต้ตึก... วิศวะ มาหากู อึก ที'
ผมสรุปเลยว่ามันร้องไห้ คงมีเรื่องสะเทือนใจเกิดขึ้นมากกว่าอยู่ในสถานการณ์อันตราย ใครกล้าทำร้ายพี่กูวะ!

"เชี่ย เออๆ อีกห้านาทีกูถึง ใจเย็นๆ นะจิณณ์"
ผมบอกก่อนจะรีบกดวางแล้วยัดโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงตามเดิม ดวงตาคมจ้องมองไปที่หมอทาวน์อีกครั้งก่อนจะตัดใจ เรื่องทำความรู้จักอะไรนั่นเดี๋ยวค่อยพยายามใหม่ เพราะดูเหมือนระหว่างเราโลกจะกลมจนน่ากลัว ตอนนี่ไม่มีอะไรสำคัญกว่าจิณณ์ที่รออยู่

"มีอะไรวะเจ็ท จิณณ์เป็นอะไร"
ไอ้ไธถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน แต่ผมไม่ได้เอะใจอะไร เลยตอบกลับไป

"ไม่รู้แม่ง เสียงเหมือนคนร้องไห้อะ"

"....."

"กูต้องไปหาจิณณ์ที่คณะ มึงกลับไปหาตังค์ก่อนก็ได้"
ผมตบบ่าไอ้ไธก่อนจะหมุนตัวหันหลังเพื่อวิ่งลงบันไดอีกครั้ง ดีหน่อยที่ไม่ต้องย้อนกลับไปเอากุญแจฟีโน่เพราะมันอยู่ในกระเป๋ากางเกงอีกข้าง แต่ไม่ทันได้ก้าวขาเพื่อนสนิทก็คว้าไหล่ไว้ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

"กูอยาก... เออๆ ได้เรื่องยังไงหรือมีอะไรให้ช่วยก็โทรมา"
มันดูเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ก็เปลี่ยนใจเป็นอีกอย่างแล้วปล่อยมือออกจากไหล่ ผมพยักหน้ารับถึงจะงงๆ กับท่าทีแปลกประหลาดนั้น

"โอเคๆ กูไปล่ะ"
แล้วผมก็รีบวิ่งไปหาฟีโน่ที่รักทันที

ผมจอดรถไว้ที่ลานแล้วรีบจ้ำอ้าวไปที่ใต้อาคาร มองซ้ายมองขวาอยู่นานกลับไม่เห็นคนที่บอกให้รีบมาหา แต่ในจังหวะที่กำลังจะล้วงโทรศัพท์ออกมานั้นกลับเห็นจิณณ์เดิรออกมาจากทางใดทางหนึ่ง

"จิณณ์! มึงเป็นห่าอะไรเนี่ย กูถามก็ไม่..."
ผมตะโกนเรียกพี่ชายเสียงดังแล้วเดินเข้าไปหาด้วยความร้อนใจ แต่ประโยคนั้นยังพูดไม่ทันจบจิณณ์ก็กันกลับมาด้วยสภาพในตาแดงก่ำ ที่บ่งบอกได้ว่าเพิ่งผ่านการร้องไห้มา ทุกอย่างเหมือนหยุดชะงักเมื่อเราสบตากัน ทำไม...

"เจ็ท... กูเจ็บ"
จิณณ์เดินเข้ามาซบหน้าลงบนไหล่ของผม น้ำเสียงที่บอกเล่าสั่นเครือจนน่ากลัว สภาพแบบนี้ไม่คุ้นชินเลยจริงๆ พี่ชายที่ร่าเริงขี้แกล้งหายไปไหน

"ทำไมวะ ใครทำให้มึงเจ็บ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม มือหนายกขึ้นลูบหัวพี่ชายเพื่อปลอบประโลม ไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้ ไม่ชอบน้ำตาของจิณณ์ อาจจะเพราะเราเป็นฝาแฝดกันเลยรู้สึกเจ็บไปด้วย

"เค้ก อึก เชี่ยเอ้ย ทิ้งกูอีกแล้ว!"
จิณณ์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงทั้งโกรธทั้งเสียใจ รู้สึกได้ถึงน้ำตาที่ค่อยๆ ซึมลงบนเสื้อนักศึกษาของตัวเอง ในยามนี้ถึงจะมีผู้คนรอบด้านผมก็ไม่สนแล้ว ใครจะว่ายังไงก็ช่างที่มีผู้ชายตัวโตๆ กอดกันกลางลานเกียร์

"เหตุผลล่ะ"
ผมไม่ได้พูดปลอบอะไร แต่ถามหาเหตุผลที่พี่เค้กเลิกกับจิณณ์ มือหนาเลือนไปโอบกอดพี่ชายเอาไว้แน่น นี่คงเป็นวิธีแสดงความห่วงใยที่ดีที่สุดสำหรับนายภาคินต่อนายโภคิน

"ชอบมึง"
เหตุผลสั้นๆ ที่ทำให้ผมถึงกับเม้มปากแน่น ก่อนหน้านี้ก็รู้สึกตะหงิดๆ กับสายตาที่เค้ก ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริง ผู้หญิงคนนี้คิดอะไรอยู่ ชอบอีกคนแต่เป็นแฟนกับอีกคน... ตลกว่ะ

"....."
ผมนิ่งเงียบเพื่อรอฟังต่อ ไม่อยากพูดอะไรสักอย่างเพราะมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน

"แต่มึง... เข้าถึงยาก เลยจีบกูแทน"
จิณณ์พูดต่อแล้วกดหน้าลงบนไหล่ผมมากขึ้น เหตุผลที่ได้ฟังทำให้สุดท้ายแล้วก็ต้องหลุดปากพูดอะไรบางอย่างออกไปจนได้

"สัดเอ้ย ผู้หญิงบ้าอะไรวะ ความคิดน่าขยะแขยง"
ผมพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ เพราะหัวเสียกับพี่เค้กมาก ทั้งๆ ที่จิณณ์ทุ่มเทให้เธอทุกอย่างแบบที่ไม่เคยทำให้ใคร ทำไมไม่เห็นค่าความพยายามของคนๆ หนึ่งบ้าง ถ้าไม่ชอบเขาจะมาจีบเขา ทำร้ายเขาไปเพื่ออะไร นั่นคือสิ่งที่ผมอยากถามผู้หญิงคนนั้นเหลือเกิน

"กูจุกว่ะ"
จิณณ์ผละตัวออกไปเช็ดน้ำตาลวกๆ ดูท่าทางจะเสียใจหนักอยู่พอตัว

"ไม่เป็นไรนะมึง ผู้หญิงมีอีกเยอะแยะ ไม่ตายก็หาใหม่ได้"
ผมบอกพี่ชายไปแบบนั้นก่อนจะเอื้อมมือไปตบบ่าให้กำลังใจ หน้าตาแบบมันจะหาแฟนใหม่ก็คงไม่ยากหรอก ตำแหน่งเดือนคณะเรียกสาวดีจะตายไปเหมือนไอ้ไธไง นั่งอยู่เฉยๆ ก็มีคนรายล้อม

"อืม... กูอุตส่าห์จะหยุดเจ้าชู้ แล้วดูผลมันสิวะ แม่ง ฮึก"
จิณณ์เริ่มร้องไห้อีกครั้งเมื่อพูดถึงความพยายามของตัวเองเพื่อพี่เค้ก ผมจับมือมันเอาไว้ก่อนจะล้วงเอาทิชชู่ที่ดึงมาเกินจากห้องน้ำซับน้ำตาให้ ถึงจะดูเหี้ยไปหน่อยก็เถอะน่า ใครอย่าเอาไปบอกนะเว้ย ไม่อย่างนั้นผมโดนกระทืบตายแน่ๆ

"มึงจะหยุดน่ะคิดถูกแล้วเว้ย แต่พี่เค้กไม่ใช่สำหรับมึง"
ผมพูดต่อแล้วผละมือออกจากใบหน้าของมัน จิณณ์ช้อนตามองก่อนจะถอนหายใจออกมายาวๆ แต่ไอ้เสียงฟืดฟาดเนี่ย น้ำมูกใช่ไหมวะ เหี้ย นั่นๆ เริ่มย้อยแล้ว สกปรกฉิบหายพี่กู

"คงงั้น..."
มันตอบกลับเสียงเบาก่อนจะใช้หลังมือปาดน้ำมูก ผมได้แต่มองมันปลงๆ กระดาษทิชชู่ในมือก็มีทำไมไม่เช็ด จะยึดไปจากมือกูทำซากอะไรครับพี่มึง โอย กูล่ะเพลียใจกับมันจริงๆ เลย

"เอาน่า เดี๋ยวกูประชุมกีฬาเสร็จจะพาไปแดกเหล้า"
ผมเอื้อมมือไปกอดไหล่มันแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ถึงเหล้าจะไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น แต่อย่างน้อยคงทำให้คืนนี้มันหลับสบายโดยไม่ต้องคิดมาก

"ได้... สัญญาแล้วนะมึง"
จิณณ์ฝืนยิ้มก่อนจะชูนิ้วก้อยขึ้นมาอย่างกับเด็กๆ ผมหลุดหัวเราะแต่ก็ยอมเกี่ยวมันไว้เป็นการสัญญา ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ความรักของคนในครอบครัวก็มีค่าที่สุด

กว่าจะประชุมเรื่องงานกีฬาภายในจบก็ปาไปเกือบสองทุ่ม ผมปฏิเสธหัวชนฝาเมื่อโดนทาบทามให้เป็นหลีดฯ ใครแม่งต้องแอบแกล้งเสนอชื่อแน่ๆ ไม่ใช่ว่าอายแต่ไม่มีความสามารถทางด้านนั้นเลยด้วยซ้ำ ตอนม.ปลายเคยสอบเต้นลีลาศเหยียบเท้าผู้หญิงมาก็หลายรอบ ไม่รุ่งจริงๆ ขอบาย

ส่วนเรื่องกีฬาผมขอเอาไปนอนคิดสักอาทิตย์ เพราะไม่ถนัดเหมือนกันแต่ก็พอเล่นได้บ้าง ขืนไม่ทำอะไรเพื่อสาขาและคณะเลยอาจโดนเขม่นเอาได้ ส่วนไอ้ไธหนีไม่พ้นโดนลากไปเป็นหลีดฯ และแข่งบาสฯ เพื่อเรียกเสียงเชียร์ เพราะตำแหน่งเดือนมันค้ำคอ หลีกเลี่ยงไปไหนไม่ได้จริงๆ สมน้ำหน้า... คนฮอตก็งี้ล่ะ ภารกิจเยอะ

ตอนนี้ผมกับจิณณ์นั่งอยู่ที่ร้านเหล้าไม่ไกลจากคอนโดสักเท่าไหร่ แต่เราไม่ได้มากันสองคนเพราะพ่วงไอ้ไธมาด้วยเลยทำให้คนอกหักทำหน้าหงิกไม่เลิก

"ทำไมมึงต้องพาไอ้ไธมา"
จิณณ์ถามขึ้นในขณะที่วางแก้วเหล้าลงบนโต๊ะดังตึง ผมเลิกคิ้วขึ้นและหยุดเคี้ยวถั่วในปาก ส่วนไอ้ไธขอตัวไปเข้าห้องน้ำเมื่อนาทีก่อน

"ไม่พามันมาจะกลับคอนโดยังไง กูขับรถไม่เป็นมึงอย่าลืมนะจิณณ์"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วมองปฏิกิริยาของมัน จิณณ์ทำเสียงฮึดฮัดก่อนจะยกแก้วขึ้นกระดกอีกครั้ง ดูท่าทางไม่สบอารมณ์สุดๆ

ในตอนที่ผมลากไอ้ไธขึ้นรถมาด้วยนั้นจิณณ์มองพวกเราตาเขียวปั๊ดแต่ไม่ได้บ่นอะไรออกมา คงเพราะอารมณ์ไม่ดีพอจะตอบโต้ เลยเป็นโอกาสเหมาะที่จะหาตัวช่วยลากคนเมากลับคอนโด

"สัด เรียกไอ้เอยก็ได้"
จิณณ์บ่นเสียงงุ้งงิ้งแล้วหยิบถั่วในจานปาใส่ผมที่นั่งอยู่ข้างๆ มัน จะให้เรียกเอยเพื่ออะไรวะ ปล่อยเขาไปเดทกับแฟนเถอะ

"ทำไมมึงต้องตั้งแง่กับไอ้ไธจังวะ นี่กูถามจริงๆ เหอะ ซีเรียสละ"
ผมถามมันเสียงเครียด จากที่จะไม่อะไรแต่ตอนนี้ชักทนไม่ไหว ขืนปล่อยให้มันตั้งแง่อยู่แบบนี้ ชีวิตการเรียนมหา'ลัยคงไม่มีความสุขแน่ๆ

"มึงไม่รู้เรื่องห่าอะไรเลยเหรอ อยู่กับมันทุกวัน"
จิณณ์เอื้อมมือมาจิ้มหน้าผากของผมรัวๆ คล้ายตำหนิ มันรู้สึกเจ็บแต่ไม่ได้ปัดป้องอะไรเพราะกำลังสงสัยสิ่งที่เขาพูดมากกว่าว่าหมายถึงอะไร จะให้รู้อะไรวะ

"อะไรวะ กูไม่เข้าใจ"
ผมถามก่อนคว้ามือจิณณ์มาจับเพราะเริ่มรู้สึกว่ามันเลื่อนต่ำจนจะทิ่มตาอยู่ร่อมร่อ เขาปรายตามองอย่างโมโห คือเมาแล้วอารมณ์เสียหรือไงวะ

"ไอ้ไธชอบมึงไงเจ็ท สายตามันฟ้อง"
จิณณ์สะบัดมือออกจากการเกาะกุมแล้วเทเหล้าเพียวๆ กรอกปาก ผมได้แต่เบิกตาโตแล้วประมวลผลคำพูดเมื่อครู่กลับไปมา อะไรนะ ไอ้ไธชอบผมอย่างนั้นเหรอ บ้าไปแล้ว

"ห๊ะ... จิณณ์ มึงพูดเรื่องบ้าอะไรวะ ไอ้ไธเนี่ยนะชอบกู ตลก"
ผมหัวเราะออกมาแบบไม่เกรงใจใครเพราะมันเป็นเรื่องตลกที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา ไอ้ไธไม่มีทางชอบผมแน่ๆ ค้านหัวชนฝา เอาเครื่องเล่นเกมเป็นประกันเลย

"มึงมันโง่ไง คนนอกเขาดูออกทั้งนั้น"
จิณณ์ยังคงยืนยันคำพูดของตัวเอง ดวงตาคมมองผมอย่างสื่อความหมายว่าโง่เหลือเกิน

"ไหนใครดูออก มีแต่มึงอะที่พูดเรื่องนี้กับกู"
ผมพูดสวนไปตามความจริง เพราะเพื่อนในกลุ่มยังไม่เคยมีใครทักเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่ไอ้ฟาร์มเป็นคนอ่านใจเก่งยังไม่บอกอะไรสักอย่าง หรือรู้แต่ปิดเป็นความลับวะ เริ่มระแวง

"ช่างแม่งเหอะ ที่กูไม่ชอบมันก็เพราะแบบนี้ล่ะ"
จิณณ์โบกมือไปมาแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางเหนื่อยล้า ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่ามันเมามากกว่า เพราะเริ่มจะเลื้อยมาซบไหล่กันแล้ว ถ้าไม่ติดว่าเราหน้าเหมือนกันคนอื่นๆ คงหาว่าเราเป็นแฟนกัน นัวเนียฉิบหาย

"เพราะมันชอบกูเนี่ยนะ มึงรังเกียจเหรอ"
ผมถามขึ้นอีกครั้งเพราะยังไม่เข้าใจว่าจิณณ์จะเกลียดไอ้ไธไปทำไม ในเมื่อมันอาจจะชอบผม ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนสักอย่าง แถมยังไม่ได้ออกตัวแรงอีก

"เปล่า กูไม่ชอบเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อเฉยๆ"
มันบอกเสียงอู้อี้เพราะกำลังซบหน้าลงบนไหล่แล้วถูไถจมูกไปมา ผมฟังด่อนจะถอนหายใจหนัก สาบานว่าจิณณ์มันโตเป็นผู้ใหญ่ ทำไมคิดอะไรอย่างดับเด็กๆ

"เหตุผลส้นตีนอีกละพี่กู"

กว่าจะได้กลับคอนโดก็ปาเข้าไปตีหนึ่งกว่าๆ เพราะจิณณ์งอแงไม่ยอมกลับ เลยนั่งกินเหล้าคนสลบคาโต๊ะ เดือดร้อนผมกับไอ้ไธต้องแบกมันขึ้นห้องอย่างช่วยไม่ได้

"สรุปว่าจิณณ์เป็นอะไรวะ เมาขนาดนี้"
ไอ้ไธถามขึ้นหลังจากที่เราทั้งคู่โยนจิณณ์ลงบรเตียงได้สำเร็จแล้วพากันออกมานั่งที่โซฟาเพื่อพักเหนื่อย

"อกหัก"
ผมตอบกลับไปสั้นๆ ก่อนจะเริ่มนวดแขนตัวเองไปด้วย แบกจิณณ์ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย ตัวโคตรหนัก

"เลิก... กับพี่เค้กแล้วเหรอ"
ไอ้ไธถาทด้วยน้ำเสียงเบาหวิว ดวงตามองตรงไปด้านหน้าแบบไร้โฟกัส ผมพยักหน้าก่อนจะถอนหายใจเมื่อคืดถึงเหตุผลที่โคตรบ้านั่น

"อืม พี่เค้กสารภาพกับมันว่าชอบกู"
ผมหลับตาลง พยายามขับไล่ความรู้สึกแย่ออกไป ทั้งเรื่องของจิณณ์และเรื่องของไอ้ไธ ไม่รู้ว่าควรจะโพกัสอย่างไหนก่อนดี ทำไมอะไรๆ ชอบเข้ามาพร้อมกันแบบนี้วะ

"เหี้ย..."
ไอ้ไธอุทานออกมาแค่นั้นก่อนจะเงียบไป ผมไม่เแปลกใจหรอกที่ใครๆ จะตกใจกับเหตุผลแบบนี้ มันเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายจริงๆ ถึงพี่เค้กจะผิดคนเดียว แต่ผมรู้สึกเหมือนเป็นสาเหตุยังไงไม่รู้...

"แล้วมึงล่ะ"
อยู่ๆ ผมก็ถามขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องที่จิณณ์ได้ทิ้งระเบิดเอาไว้ในร้านเหล้า ดวงตาคมมองใบหน้าด้านข้างของเพื่อนสนิทอย่างต้องการคำตอบ

"ห๊ะ อะไร"
มันหันมาเลิกคิ้วใส่กันด้วยความมึนงง ผมเม้มปากเข้าหากันก่อนจะผ่อนออกเมืาอตัดสินใจไปแล้ว ถามก็ถามวะ

"ชอบกูด้วยหรือเปล่า"
ผมถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วเบนสายตาไปทางอื่น ไม่ได้กลัวคำตอบ แต่รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง จิตใต้สำนึกกำลังร้องบอกว่าไอ้ไธไม่ได้ชอบผม... แต่อาจจะเป็นจิณณ์

"ทำไม... ถามแบบนั้นวะ"
น้ำเสียงของมันสั่นเล็กน้อยแต่ไม่ได้แสดงความตกใจออกมา เหมือนรู้ตัวว่าสักวันเรื่องนี้ต้องมีคนรู้ นี่อาจจะเป็นความลับของไอ้ไธที่ผมสงสัยมาตลอดก็ได้ ปิดบังความรู้สึกจริงๆ ของตัวเอง

"จิณณ์บอกว่ามึงมองกูด้วยสายตาแบบนั้น"

"ไม่ใช่..."

"ถ้าไม่ใช่ มึงควรอธิบายนะไธ"
ผมหันไปบอกมันด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงก่อนจะเอื้อมมือไปโคลงหัวทุยๆ นั่นด้วยความเอ็นดู ไม่ว่าเมื่อไหร่ไอ้ไธก็มีปัญหากับเรื่องความรักเสมอ

"ถ้ากูบอกไป มึงสัญญาได้ไหมว่าจะไม่โกรธ"
มันบอกด้วยเสียงสั่นๆ ไม่ยอมมองสบตากันแม้แต่นิดเดียว ผมหลุดยิ้มออกมากับคำขอเหมือนเด็กๆ แต่ก็ยอมตอบรับไปง่ายๆ ใครจะไปโกรธมันลงวะ ทำตัวน่ารักขนาดนี้

"มึงเพื่อนกูนะ จะโกรธได้ยังไง"
ผมเอื้อมมือไปกอดไหล่มันอย่างสนิทสนม ถึงเรื่องราวมันจะยุ่งเหยิงแค่ไหนก็พร้อมจะรับฟังและอยู่เคียงข้างเสมอ ก็เพื่อนกันนี่หว่า






ต่อด้านล่างน้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-07-2017 09:13:21 โดย Ch0cmint »

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
"อืม... ขอบใจ"

"....."
ผมเงียบเพื่อรอฟังมันพูดต่ออย่างลุ้นระทึก จะเป็นอย่างที่เคยสงสัยไว้หรือเปล่าวะ

"กูชอบจิณณ์ ที่ชอบมึงด้วยสายตาแบบนั้นเพราะกูคิดถึงมัน"
คำสารภาพหลุดออกมาจากปากของไอ้ไธอย่างง่ายดาย ดวงตาคมสั่นไหวเต็มไปด้วยความสับสนและหวาดกลัว ผมยอมรับว่าตกใจแต่ก็พยายามทำตัวให้นิ่งที่สุดเพราะไม่อยากให้เพื่อนหยุดเล่าเรื่องนี้

"นานแค่ไหนแล้ว"

"ตั้งแต่มัธยม..."
โคตรนาน สามปีได้แล้วมั้ง

"สัดเอ้ย ทำไมซื้อหวยไม่ถูกแบบนี้บ้างวะกู ก็คิดว่าทะแม่งๆ นานแล้ว"
สุดท้ายผมก็ควบคุมความนิ่งของตัวเองไม่ได้อีกต่อไปเมื่อสิ่งที่คิดไว้เป็นจริง ควรเลิกเรียนถา'ปัตย์แล้วไปเป็นหมอดูปะ ไอ้ควายจิณณ์เอ้ย ไอ้ไธชอบมึง สัด! โง่ๆๆ อยากปลุกแม่งมาด่าให้เข็ด

"คืออะไรวะ"
ไอ้ไธถามด้วยน้ำเสียงตื่นๆ แล้วมองหน้าผมอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ ไม่แปลกที่มันจะตกใจ เพราะโดนรวมแล้วนายธามไธเป็นคนที่เก็บอาการเก่งมาก แต่สายตามันปิดกันไม่ได้เว้ย น้ำเสียง ความห่วงใยที่แสดงออกกับใครๆ มันต่างกัน

"มึงดูจะแคร์จิณณ์ เป็นห่วงจิณณ์มากกว่าปกติ ทั้งๆ ที่มันตั้งแง่เกลียดมึงเข้าไส้"
มันเป็นเรื่องขัดแย้งมากๆ ที่คนๆ หนึ่งจะดูแคร์คนที่เกลียดตัวเองมากขนาดนั้น ถ้าไม่ได้คิดอะไรด้วย ผมเป็นคนที่ไม่ชอบเดาหรือกะเกณฑ์ความรู้สึกใคร แต่กับเพื่อนสนิทตัวเองไม่ต้องสังเกตมากก็ดูออก อย่าลืมว่าใช้ชีวิตด้วยกันเกือบทุกวันมานานแล้ว

"ดูออกเหรอวะ"
ไอ้ไธถามเสียงเบาหวิวก่อนจะยกมือขึ้นลูบหน้าตาตัวเอง ส่วนหนึ่งอาจจะเขินอีกส่วนอาจจะกลัว ผมเดาว่ามันไม่อยากให้จิณณ์รู้ความลับนี้ เพราะกลัวจะโดนเกลียดมากดว่าเดิม หัวใจคนเราเปราะบางยิ่งกว่าแก้วอีกมั้งในบางครั้ง

"หึ แค่แปลกๆ วันนี้ชัดละมึง ชัดมาก"
ผมเน้นคำสุดท้ายด้วยความตื่นเต้น แม่งเอ้ย ถ้าซื้อหวยแล้วถูกแบบนี้คงรวยไปแล้วว่ะ

"มึงไม่รังเกียจกูเหรอ"

"คิดมากน่ามึง แต่จิณณ์มันผู้ชายแท้ๆ นะ"
นี่คือเรื่องที่ทำให้อะไรๆ ยากขึ้นไปอีก

"กูรู้ เลยต้องแอบชอบไง"
เออ ก็จริงของมัน ขืนบอกไปอาจจะโดนต่อยหรือไม่ก็โดนกระทืบ

"แต่ลองดู กูเชื่อว่าสักวันมึงต้องชนะใจมันได้"
ผมให้กำลังใจมันไปทั้งๆ ที่ไม่แน่ใจว่าจิณณ์จะรู้สึกยังไงในเรื่องนี้ แต่ไม่ว่ายังไงไอ้ไธมันต้องทำได้แน่ๆ รักเดียวใจเดียวแบบนี้ต้องสนับสนุนสิวะ ถึงจะเสี่ยงโดนตีนพี่ชายก็เหอะ

"อืม... ขอบใจเว้ย"

เรื่องไอ้ไธกับจิณณ์ก็กระจ่างแล้ว สรุปว่าคนที่โง่และเข้าใจคนอื่นผิดคือพี่ชายของผมเอง ส่วนเพื่อนสนิทแค่อยู่เฉยๆ ก็โดนเกลียด แล้วนายภาคินล่ะ รู้สึกยังไงกับหมอทาวน์กันแน่ ชอบเขาหรือมองเป็นแค่ไอดอลวะ โคตรสับสนเลย

วันเสาร์ที่ควรจะได้นอนพักผ่อนให้เต็มอิ่มแต่กลับโดนฝาแฝดตัวดีลากลงมาวิ่งออกกำลังกายตั้งแต่เช้าตรู่ ด้วยเหตุผลที่ว่าอยากมาส่องสาว ผมถึงกับถอนหายใจหนักๆ แล้วส่ายหัวปลงกับมัน เพิ่งอกหักมาได้ยังไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ก็หยิบเอานิสัยเจ้าชู้ออกมาใช้ซะแล้ว เบื่อจริงๆ เลย อยากจะบอกให้ไอ้ไธตัดใจก็ไม่กล้า เพราะเห็นว่าแอบชอบมาเป็นเวลานาน ช่วยเพื่อนหน่อยแล้วกัน

“จิณณ์ มึงไม่เฮิร์ทเรื่องพี่เค้กแล้วเหรอวะ”
ผมถามในขณะที่เรานั่งพักอยู่ในสวนหน้าคอนโด จิณณ์ชะงักมือที่เช็ดเหงื่อก่อนจะส่ายหน้าแทนคำตอบ ดูท่าทางไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรจริงๆ นั่นล่ะ เพราะหลังจากวันนั้นก็เห็นมันใช้ชีวิตปกติมาตลอด

“ผู้หญิงแบบนั้นไม่มีค่าพอให้กูเสียใจหรอกน่า”
มันบอกต่อโดยที่ผมยังไม่ได้ถามอะไรออกมา ก็จริงอย่างที่จิณณ์ว่า พี่เค้กไม่ได้มีค่าพอจะให้เสียใจขนาดนั้น ผมกำลังชั่งใจว่าจะบอกเรื่องไอ้ไธดีไหม แต่คิดไปคิดมาแล้วควรจะเงียบดีกว่า เพราะเจ้าตัวยังไม่มีความกล้า

“มึงก็เลยมานั่งส่องหญิงเพื่อดามใจว่างั้น”
ผมเหน็บแนมมันต่อก่อนจะหยิบขวดน้ำที่ตั้งอยู่ด้านข้างมาดื่มแล้วสอดส่ายสายตามองอะไรไปเรื่อยจนชะงักกึกเมื่อเห็นใครบางคนที่แสนคุ้นเคย หมอทาวน์มาหาแฟนที่นี่อีกแล้วเหรอวะ

“ตามนั้น คอนโดเรานี่สาวๆ เยอะว่ะ”
ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจิณณ์มันพูดอะไร แต่ก็ตอบไปส่งๆ เพราะสายตายังคงจ้องมองงหมอทาวน์ที่กำลังพูดคุยกับนิติบุคคลอย่างเป็นกันเอง

“อือ”

“มองไรวะ”
ผมคงตอบคำถามสั้นไป จิณณ์เลยถามต่อเมื่อเห็นว่าสายตาของน้องชายโฟกัสไปทางไหน

“นั่นหมอทาวน์ปะ”
ผมได้ทีเลยถามยืนยันเพื่อความแน่ใจ เพราะช่วงนี้รู้สึกเหมือนจะเจอหมอทาวน์โคตรบ่อยถึงจะเป็นเพียงเวลาสั้นๆ พอให้กระชุ่มกระชวยหัวใจก็เถอะ ยิ่งนานวันความรู้สึกที่มีก็ชัดเจนขึ้นจนแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน เพราะทั้งชีวิตไม่เคยคิดพิศวาสผู้ชายคนไหน แต่ปัจจุบันนี้...

“ใช่ คงมาหาแฟนอีกล่ะมั้ง ดูท่าทางรักกันจะตาย น่าอิจฉา”
จิณณ์ขยายความจนผมเผลอใจกระตุก รักกับแฟนมากอย่างนั้นเหรอ ก็คงจะจริงล่ะมั้ง ถ่อมาหากันแทบทุกวันขนาดนี้ แถมยังมีพวกขนมหรือดอกไม้ติดมือมาตลอด... น่าอิจฉาอย่างที่พี่ชายพูดจริงๆ ด้วย

“มึงรู้ปะว่าแฟนเขาเป็นใคร”
ผมถามออกไปด้วยความอยากรู้ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนคิดว่ามันไม่มีความจำเป็นต้องรู้จักแฟนเขาเลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว หลังจากที่กลับไปทบมวนตัวเองหนึ่งอาทิตย์ก็ค้นพบเรื่องราวที่น่าตกใจว่า ผมไม่สามารถละสายตาจากคนๆ นี้ได้เลย แค่ติดตามโซเชี่ยลของเขาใจยังสั่นขนาดนี้ ถ้าได้พูดคุยจะรู้สึกรุนแรงมากขนาดไหนวะ

“ทำไม มึงจะแย่งแฟนเขาเหรอ”
จิณณ์ถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแล้วขยับมากระแซะไหล่กันอย่างหยอกล้อ ผมได้แต่ถอนหายใจใส่มัน นี่คิดว่าน้องเป็นคนยังไงวะ ไม่ได้เลวขนาดจะเข้าไปเป็นมือที่สามสักหน่อย แต่ถ้าเขาเอนเอียงมาเองก็ช่วยไม่ได้

“หึ เปล่า”

“ก็เคยเห็นผ่านๆ นะ ชื่อพรีมเรียนหมอเหมือนกัน”

“อ๋อ...”

“สวยนะ เป็นดาวคณะปีนี้ล่ะ เห็นว่าคบกันมาสามสี่ปีแล้วมั้ง”
เป็นระยะเวลาที่ยาวนานจนน่าตกใจ เพราะผมกับจิณณ์ไม่เคยคบใครเกินสองปีหรอก อาจจะเจอคนที่ไม่ใช่ล่ะมั้งเลยทำให้เบื่อเร็ว

“อืม... น่าอิจฉา”
ผมพูดออกไปลอยๆ ไม่ได้ตั้งใจจะบอกใคร ดาวคณะกับเดือนมหา’ลัยก็ดูเข้ากันดี น่าอิจฉาสุดๆ

“อิจฉาพี่เมืองเหนือเหรอมึง”
จิณณ์ถามก่อนจะถอดสายตามองไปที่หนุ่มสาวคู่หนึ่งที่เดินจับมือกันออกไปจากคอนโด  หัวใจชองผมกระตุกอย่างช่วยไม่ได้ ชอบคนที่มีเจ้าของแล้วมันรู้สึกแย่แบบนี้นี่เอง เริ่มเข้าใจความรู้สึกของไอ้ไธแล้วว่ะ

“เปล่า อิจฉาพรีม”
ผมพึมพำกับตัวเอง หลังจากรู้แล้วว่าตัวเองนั้นไม่ได้สนใจหมอทาวน์ในแบบธรรมดา แต่เป็นการชอบใครสักคนในเชิงชู้สาวต่างหาก



---------------------------------------

ตอนที่สามมาพร้อมความลับของไธและเจ็ท อู้ว ช่วยเชียร์หนุ่มๆ หน่อยน้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5



บรรยากาศตอนนี้อึมครึมจนน่าอึดอัด ไม่ใช่เพราะสภาพอากาศแต่เป็นอารมณ์ของใครบางคนที่เอาแต่นอนซมอยู่บนเตียง ไม่ยอมกินข้าว ไม่ยอมอาบน้ำ ไม่ยอมขยับตัวไปไหนถ้าไม่หายใจจะนึกว่าเป็นศพ รอบดวงตาดำคล้ำยิ่งกว่าหมีแพนด้า ลูกตาแดงก่ำเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก สภาพไม่เหลือเค้าเดือนคณะวิศวะเลยด้วยซ้ำ

ผมได้แต่นั่งมองฝาแฝดตัวเองด้วยอารมณ์เหนื่อยหน่าย เมื่ออาทิตย์ก่อนยังประกาศเสียงดังฟังชัดว่าผู้หญิงอย่างพี่เค้กไม่มีค่าพอให้เสียใจ แต่ทำไมสภาพตอนนี้มันหนักหนาสาหัสเหลือเกิน ที่เขาว่ากันว่าเพศชายความรู้สึกช้าคงจริง

"ตายยัง"
ผมถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วเหลือบหางตาดูจิณณ์ที่นอนมองเพดานอย่างเหม่อลอย อกหักครั้งนี้น่าจะหนักกว่าครั้งไหนๆ ที่ผ่านมา ก็มันถึงขนาดลงทุนเลิกเจ้าชู้ เอาอกเอาใจขนาดนั้น อยู่ๆ ก็โดนทิ้งด้วยเหตุผลเห็นแก่ตัว อาการไม่หนักคงแปลก

ดีแค่ไหนแล้วที่มันไม่ได้จิตตกเอาจนคิดเส้นขนมจีนผูกคอตายใต้ต้นมะเขือ ถ้าเป็นแบบนั้นวงศ์ตระกูลคงอับอายแน่ๆ พ่อแม่คงสาปแช่งให้จิณณ์ไม่ได้ผุดได้เกิด เนื่องจากโง่ ไม่รักชีวิตตัวเอง

"ใกล้แล้ว"
จิณณ์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งก่อนตวัดหางตามาคาดโทษกันที่บังอาจเล่นถึงความเป็นความตาย แต่ผมไหวไหล่ไม่สนใจเพราะรู้ดีว่ามันไม่มีทางลุกขึ้นมาโต้ตอบหรอกเพราะไร้เรี่ยวแรง นี่สินะอาการของคนอกหักจริงๆ

"ไหนบอกว่าผู้หญิงแบบนั้นไม่มีค่าพอให้เสียใจไง แล้วสภาพตอนนี้คืออะไร"
ผมเหล่สายตามองซากศพบนเตียงแล้วถอนหายใจเฮือก ไม่ชอบมันในสภาพนี้เลยจริงๆ ยอมให้กวนตีนหรือแกล้งยังจะดีกว่า เห็นแล้วหดหู่พลอยกินข้าวไม่ลงไปด้วย

"อย่าซ้ำเติม..."
มันพูดเสียงเอื่อยๆ ดวงตายังคงเหม่อลอยมองเพดานอยู่แบบนั้น แต่ที่แปลกออกไปคือหัวคิ้วกำลังขมวดเข้าหากัน ปากที่เม้มแน่นเหมือนต้องการจะกลั้นอะไรบางอย่าง ดูๆ ไปแล้วอาการอยากร้องไห้คงกำลังจุกอก

"ใครซ้ำ กูแค่ถาม"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนลงก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหัวจิณณ์อย่างอ่อนโยน สงสารมันก็สงสารแต่หงุดหงิดมากกว่าที่มันชอบทำตัวเองให้โทรมแบบนี้ สุขภาพร่างกายแย่ไปซะหมด นานๆ ไปคงเดือดร้อนคนอื่นหามส่งโรงพยาบาลอีก

แต่ตอนนี้สิ่งที่รบกวนความคิดมากๆ คือ... ครั้งสุดท้ายไอ้ซากศพนี่สระผมเมื่อไหร่วะ ทำไมทั้งมันทั้งเหนียวขนาดนี้ โอย สกปรกฉิบหาย ผมต้องลอบผละมือแล้วเช็ดกับผ้าปูเตียงอย่างเนียนๆ ถ้ากระโตกกระตากเดี๋ยวขัดอารมณ์คนอกหักอีก

"อือ"
จิณณ์ครางรับก่อนที่หยดน้ำใสๆ จะไหลออกจากดวงตา ผมมองภาพนั้นก่อนจะเบ้ปากด้วยอารมณ์ที่หลากหลายก่อนจะเอื้อมมือไปดึงทิชชู่มาซับให้ เชื่อไหมว่าอีกไม่นานมันคงขาดน้ำตาย... แม่งเอ้ย ควรโทรไปหาพี่แจมให้เปิดเทศน์ใส่สักชั่วโมงไหม หูตาจะได้สว่างไม่ต้องจมปรักเป็นควายแบบนี้

"จิณณ์ มึงลุกไปอาบน้ำแล้วออกไปหาอะไรกินเถอะ"
ผมผละมือออกจากใบหน้าโทรมๆ ก่อนจะบอกให้พี่ชายเลิกทำตัวซังกะตายสักที เห็นมันไม่กินข้าวกินปลาเลยตลอดสองวันมานี้ก็อดห่วงไม่ได้ ไม่ใช่ปล่อยปะละเลย แต่พยายามยัดพยายามป้อนแล้วมันก็ปัดทิ้งหมด เหนื่อยใจว่ะ

"ไม่เอา"
คำตอบยังคงชัดเจนเหมือนเดิม จนผมต้องยกมือตบหน้าผากเพราะไม่รู้จะทำยังไง จากที่เป็นคนไม่ชอบสรรหาคำสวยหรูมาปลอบ ก็ต้องงัดนั่นงัดนี่มาพูด แบกหน้าไปพึ่งเพื่อนอีกคนที่อยู่คนละมหา'ลัยด้วยซ้ำ เพราะไม่อยากเอาเรื่องนี้ไปคุยกับไอ้ไธสักเท่าไหร่ รายนั้นเจ็บช้ำกับการโดนเกลียดและแอบรักมากพออยู่แล้ว สงสารมัน

"มึงจะทำตัวแบบนี้ให้ได้อะไรครับ กูขี้เกียจแบกมึงไปส่งโรงพยาบาลนะ"

"กูอกหักอยู่ เฮิร์ทอะ เข้าใจปะ"
พูดจบก็ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปงทันที ปล่อยให้ผมนั่งเบะปากใส่ความดราม่าของมัน รู้ว่าอกหัก รู้ว่าเจ็บ แต่ช่วยทำตัวให้คนอื่นเขาสบายใจไม่ได้หรือไง จะไปไหนจะทำอะไรต้องคอยพะวงว่าจิณณ์จะช็อกตายหรือเปล่า มันไม่ดีไง

"กูเข้าใจ แต่มึงทำตัวแบบนี้ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น"

"ฮือ กูเสียใจ"
มันเริ่มโวยวายแล้วร้องไห้แบบมีเสียง ตอนนี้ผมอยากเดินไปหาค้อนหรืออะไรก็ได้มาทุบมันสักทีสองทีจะได้เงียบ ชักรำคาญแล้วนะเว้ย

"ไอ้เชี่ย หยุดร้องไห้เลยนะมึง"
ผมสบถก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่ด้านนอกเพราะห้องของนี้ไม่มีนาฬิกาติดผนัง แถมเครื่องมือสื่อสารของมันก็ปล่อยทิ้งให้แบตฯ หมด เชื่อไหม ไอ้เอยต้องโทรมาถามกันว่าจิณณ์ตายหรือยังเพราะติดต่อไม่ได้ ผมเลยตอบไปว่าอีกสองวันจะจองศาลาแล้ว ช่วยมางานศพด้วย... เหอะๆ

"ฮึก กูจะลืมยังไงดี"
ยิ่งบอกให้หยุดร้องจิณณ์ยิ่งสะอื้นหนักจนผมต้องกุมขมับ ถ้าเวลาแบบนี้พี่แจมอยู่ใกล้ๆ ก็คงดีว่ะ จะได้ช่วยกันทำให้มันหุบปาก

"ลืมห่าเหวอะไร มนุษย์ทุกคนทำไม่ได้หรอกจิณณ์ แค่เลิกสนใจก็พอ หรือมึงอยากเป็นคนความจำเสื่อม เดี๋ยวกูสงเคราะห์เอาไม้หน้าสามตีหัวให้"
ด้วยความรำคาญปนหงุดหงิดเลยทำให้ผมตั้งใจพูดออกไปแบบนั้น ปลอบแบบละมุนละม่อมจิณณ์ไม่เคยฟังหรอก ต้องด่าต้องว่ามันถึงสะกิดใจ แต่ด้วยความที่มีศักดิ์เป็นน้องเลยทำให้อะไรๆ ยากขึ้น ประมาณว่า 'มึงจะไปรู้อะไร อกหักมาแค่ครั้งสองครั้ง เทียบไม่ได้กับกูหรอก' เอ้อ ก็นะ เอาที่สบายใจเลยครับ

"ฮือ แฟนทิ้ง น้องก็ไม่รัก ฮึก มีแต่คนใจร้าย"
ความดราม่าไม่จบไม่สิ้น คราวนี้มันแหกปากร้องดังลั่นแถมดิ้นไปมาเหมือนเด็กโดนขัดใจจนผ้านวมกระเด็นตกเตียง เหลือแต่ศพสภาพยับเยินเสื้อผ้าหลุดลุ่ย ผมอยากเอื้อมมือไปบีบไข่มันฉิบหาย คนบ้าอะไรโทงเทงไม่อายใคร คือกางเกงนอนมันหลุดจนเห็นหัวเหน่าแล้ว... อุจาดตาว่ะ ถึงจะเป็นผู้ชายด้วยกันก็ยังไม่อยากเล่นจ๊ะเอ๋กับของสงวนคนอื่น

"โอย รำคาญมึงแล้วนะ ตกลงจะโดดเรียนรวมใช่ไหม นอนตายซากอยู่แบบนี้เนี่ย"
ผมว่าด้วยเสียงหงุดหงิดแล้วหยิบหมอนปาใส่หน้ามัน จิณณ์ชะงักการดิ้นแล้วหันมามองกันตาขวางก่อนกระแทกเสียงใส่ น้ำหูน้ำตานี่ไหลเป็นทาง ใครมาเห็นสภาพนี้คงร้องยี้ไปหลายวันแน่ๆ

"อึก เออ ไม่มีกะจิตกะใจจะเรียน!"
จิณณ์ต้องเสียใจจนเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ ร้อยวันพันปีไม่เคยโดด มันรักเรียนจะตายไป แล้วนี่อะไร...


"แล้วเกียรตินิยมมึงล่ะ ไม่เอาแล้วเหรอ"
ผมลองถามดูเผื่อมันจะใช้อารมณ์ในการพูดโดยไม่ไตร่ตรองให้ดี

"เอา"
มันตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่ไม่ยอมขยับลุกขึ้น ทั้งๆ ที่ใกล้เวลาเรียนวิชารวมของปีหนึ่งเข้าไปทุกที ถึงจะไปอาบน้ำตอนนี้ก็คงสายสักครึ่งชั่วโมง ตกลงมันบ้าหรือผมเบลอกันแน่ ไม่เข้าใจตรรกะคนอกหักเลย

"แต่เสือกโดดเนี่ยนะ คงได้หรอก"
ผมเหน็บมันไปด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน มันหันขวับมามองกันตาเขียวก่อนจะแยกเขี้ยวใส่ คิดว่าขู่แล้วจะกลัวเหรอ สภาพอย่างกับหมาแก่ใกล้ตาย ลุกจากเตียงให้ได้ก่อนเถอะแล้วค่อยมาเปิดศึกกัน ตอนนี้ผมแค่เอามือจิ้มหน้าผากมันก็หงายหลังแล้วมั้ง

"ปากเสีย"
บ่นงุบงิบในลำคอแต่ผมกลับได้ยินชัดเจน นี่กูพูดความจริง ผิดตรงไหน โดดเรียนแต่หวังเกียรตินิยมเขาคงให้มึงหรอก ถ้าเทพขนาดเรียนตามทันจะไม่ว่าเลย ขาดครั้งหนึ่งเหมือนตกนรกจริงๆ

"ด่ากูอีก สัด"

"ฮึก... สะเทือนใจ"
จิณณ์มองผมด้วยดวงตาตัดพ้อ ปากหยักเบะลงเหมือนเด็กตัวน้อยๆ ผมได้แต่กรอกตาด้วยความเหนื่อยหน่าย สะเทือนใจพ่อง กูเนี่ยเหนื่อยใจจะตายห่าแล้ว อย่างกับมีลูกอ่อน ต้องคอยเป็นห่วงทุกๆ สิบนาที พอออกไปเรียนก็อดพะวงไม่ได้ว่ามันจะเป็นอะไรหรือเปล่า

"พอๆ กูไม่สงสารมึงหรอกนะจิณณ์ แค่อกหักทำเหมือนใครตาย ถ้าคิดได้เมื่อไหร่ก็ลุกไปอาบน้ำกินข้าวซะ"
ผมทิ้งท้ายไว้แค่นั้นเพราะเวลากระชั้นชิดจะเข้าห้องสาย อีกอย่างไอ้ไธส่งไลน์มาตามยิกๆ แล้ว ถ้าเปิดอ่านคงเจอคำด่าเป็นสิบแน่ๆ

"....."
จิณณ์เงียบไม่ยอมตอบโต้อะไร คงสะอึกกับคำพูดของผม

"กูจะไปเรียนแล้ว"
ผมบอกก่อนจะหมุนตัวเพื่อเดินออกจากห้อง แต่ขายังไม่ได้ก้าวจิณณ์ก็ออกปากเรียกไว้ก่อนเหมือนเพิ่งคิดอะไรได้

"เดี๋ยว จะไปยังไง ฟีโน่เอาไปซ่อมไม่ใช่เหรอ"
จิณณ์ถึงขนาดยอมยันตัวลุกขึ้นจากเตียงมานั่งเอียงคอมองด้วยความสงสัย เพราะเมื่อวานผมเพิ่งเข็นเจ้าฟีโน่คันเก่งไปซ่อมเพราะสตาร์ทไม่ติด

"ไปกับไอ้ไธ"
ผมตอบกลับไปสั้นๆ ก่อนจะเสยผมที่ปรกหน้าขึ้น วันนี้ไม่มีอารมณ์ใส่จงใส่เจลเซ็ตอะไรทั้งนั้นล่ะ เช้ามาก็วุ่นวายกับการงัดจิณณ์ขึ้นจากเตียงเพราะกลัวมันจมน้ำตาตายซะก่อน

"ห๊ะ ไม่ได้ๆ มึงยังจะไปไหนมาไหนกับมันอีกเหรอวะ"
จิณณ์พุ่งตัวคลานมาจนถึงปลายเตียงเพื่อจะคว้าข้อมือผมเอาไว้ แต่การที่มันไม่ได้กินอะไรมาสองวันทำให้ร่างกายเซล้มลง ดีแค่ไหนที่ไม่พลาดตกลงไปนอนบนพื้น อยากจะหัวเราะอยู่หรอกแต่ต้องกลั้นไว้เพราะเดี๋ยวจะโดนมันตัดพ้ออีก

"จิณณ์ ไธเป็นเพื่อนกู และมันไม่ได้ชอบกู บอกไปครั้งที่ร้อยแล้วนะ เปลืองน้ำลาย"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ ก่อนจะกรอกตามองบน ตั้งแต่ถามไอ้ไธวันนั้นก็บอกความจริงเพียงครึ่งเดียวให้จิณณ์ฟังไม่รู้กี่รอบ แต่เขาก็ไม่ยอมเชื่อกันสักที ดื้อเพ่งเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ผมหงุดหงิดจนเกือบเผลอบอกความจริงอีกครึ่ง แต่ดีที่มีสติยั้งคิด ไม่อย่างนั้นคงโดนเพื่อนสนิทฆ่าหมกป่าไปแล้ว

"แต่กูเชื่อสายตาตัวเองมากกว่า"
เถียงคำไม่ตกฟาก ถีบแม่งสักทีดีไหมว่ะ

"มีงสายตาสั้น อาจจะมองอะไรผิดพลาดก็ได้"

"เจ็ท... ให้ไอ้เอยมารับมึงก็ได้"
คราวนี้จิณณ์เปลี่ยนบทสนทนาไปทิศทางอื่นแต่ยังคงใช้ปัญหาเดิมเป็นที่ตั้ง ผมขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ จริงๆ แล้วให้เอยมารับก็ได้ แต่บ้านมันอยู่อีกทาง ลำบากไหมล่ะคุณ เปลืองน้ำมันรถด้วย

"มึงจะไปลำบากเอยทำไม"

"งั้นมึงต้องหัดขับรถได้แล้ว" มีสั่งด้วย นี่พี่หรือพ่อครับคุณ

"กูขี้เกียจ"

"มึงแม่ง..."
จิณณ์สบถแล้วมองผมตาเขียวปั๊ด ถ้ามันมีแรงคงพุ่งเข้ามาถีบกันแล้ว ถามว่าอยากหัดขับรถไหม ก็อยากหัดนะ แต่ความขี้เกียจมันมีมากกว่า

"กูอยากหัดขับเมื่อไหร่จะบอกเอง แต่ตอนนี้กูกำลังจะสายแล้ว ไปล่ะ"
ผมโบกมือลาจิณณ์แล้วหมุนตัวกลับอีกรอบ แต่ยังไม่วายที่มันจะรั้งอีก ตอนนี้เหลือเวลาให้ไอ้ไธซิ่งรถแค่ครึ่งชั่วโมงแล้ว

"เจ็ท..."

"อะไรอีก หรือเปลี่ยนใจจะไปเรียน"
ผมกระแทกเสียงเล็กน้อยแต่ไม่ได้หันไปมองพี่ชายบังเกิดเกล้าแล้ว กลัวตีนจะลั่นถีบมันเข้าจริงๆ สักที มีเรียนวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะกับอาจารย์โหดนะเว้ย ดีไม่ดีแกจะล็อกห้องแล้วหักคะแนนกูซ้ำอีก

"หึ... ไม่เอา"

"สัด งั้นนอนตายให้หนอนแดกไปเถอะ"
ด่ามันด้วยอารมณ์หงุดหงิดแล้วปิดประตูดังปังใส่ นั่นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่เอา คนบ้าอะไรโคตรเอาแต่ใจตัวเอง

"แง!"
ได้ยินเสียงแหกปากของจิณณ์ดังลอดออกมา ทำให้ผมถึงกับถอนหายใจด้วยความปลงแล้วสาวเท้าออกจากห้องด้วยความรีบเร่งเพราะไอ้ไธโทรตามจนสายจะไหม้อยู่แล้ว อีกยี่สิบห้านาทีกับแปดโมงสามสิบห้านาที มึงเอ้ย รถติดสัดๆ เข้าห้องสายแน่ๆ

กว่าจะได้ลงจากห้อง กว่าจะเจอไอ้ไธก็สายโด่จนเวลาเหยียบคันเร่งเหลือแค่ยี่สิบนาที โดนเพื่อนสนิทเทศน์ระหว่างเดินไปลานจอดรถจนหูชา แต่ดีหน่อยที่วันนี้ไลน์กลุ่มที่เรียนเซคเดียวกันบอกว่าอาจารย์จะเข้าสายครึ่งชั่วโมงเลยรอดตัวไป ไม่อย่างนั้นผมจะกลับไปฆ่าจิณณ์ด้วยน้ำมือตัวเองนี่ล่ะ

"วันนี้จิณณ์ไม่มีเรียนเหรอวะ ทำไมมากับกูได้"
ไอ้ไธถามขึ้นมาหลังจากที่เราสงบศึกกันได้สักพัก ผมที่กำลังเล่นโทรศัพท์เลยต้องละสายตาไปมองหน้าเพื่อนแทน

"มี แต่โดด"
ตอบกลับไปสั้นๆ ก่อนจะเผลอย่นจมูกเมื่อคิดถึงสภาพของจิณณ์เมื่อเช้านี้ ไม่รู้จะลุกขึ้นมากินอะไรหรือยัง ผมอุตส่าห์ตื่นเร็วทำแซนวิชไส้กรอกทิ้งไว้ให้ ลงทุนเข้าครัวด้วยตัวเองเลยนะเว้ย ดูสิว่ารักมันแค่ไหน

"ห๊ะ เอาจริง จิณณ์เป็นอะไรหรือเปล่า"
มันถามกลับมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ เพราะอย่างที่รู้กันว่าจิณณ์เป็นคนรักเรียนขนาดไหน ถึงหน้าตาจะไม่ให้ก็เถอะ

"เฮิร์ทหนัก ทำอย่างกับใครตาย"
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เผลอกรอกตามองบนเพราะหมั่นไส้พี่ชาย มือข้างหนึ่งยกขึ้นจับต่างหูเล่นเพราะไม่มีอะไรทำ ตอนนี้เองที่เพิ่งสังเกตว่าตัวเองลืมใส่นาฬิกา รอยสักตรงข้อมือซ้ายด้านในที่เป็นรูปสัญลักษณ์สามเหลี่ยมและมีเส้นตรงแนวนอนตัดผ่านใกล้ๆ ส่วนปลายแหลม เรียกง่ายๆ ว่า 'Transcend' มีความหมายคือการเอาชนะหรือการอยู่เหนือกว่าโผล่ออกมา คงต้องติดกระดุมแขนเสื้อแล้วล่ะ ขี้เกียจฟังอาจารย์บ่น

"อ่า..."
ไอ้ไธฟังเหตุผลแล้วถึงกับพูดไม่ออก ได้แต่นั่งเม้มปากไว้ ถ้ามันจะรู้สึกแย่ก็คงไม่แปลกอะไร ก็คนที่รักดันอยู่ในสภาวะอกหักอย่างรุนแรง

"มึงเข้าไปดามใจมันหน่อยดิ กูเห็นสภาพแล้วโคตรรำคาญลูกตา"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงติดรำคาญแต่ในใจคือลุ้นว่าเพื่อนสนิทจะมีปฏิกิริยาตอบกลับแบบไหน เพราะหลังจากวันนั้นที่มันรู้ว่าจิณณ์อกหักยังไม่แสดงท่าทีอะไรเลยสักอย่าง จะเดินหน้าก็ไม่จะถอยหลังก็ไม่ จมปรักควายไม่ขยับสักที

"เฮ้ย... ถ้าขืนกูทำแบบนั้น คนถูกดามอาจจะเป็นกู"
ไอ้ไธร้องเสียงหลงแล้วหันมาขมวดคิ้วใส่กัน ดีนะที่รถกำลังติดไฟแดง ไม่อย่างนั้นมันอาจจะเสยท้ายใครไปแล้วก็ได้

"ยังไง"

"ดามเหล็กอะมึง โดนจิณณ์กระทืบ"
มันพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแต่ดวงตาไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย มันมีร่องรอยความเศร้าแฝงอยู่แบบไม่ปิดบัง ผมไม่รู้จะช่วยเพื่อนยังไงจริงๆ ในตอนนี้ เพราะสถานการณ์ของจิณณ์ไม่สู้ดีเลย กว่าจะเลิกเฮิร์ทคงใช้เวลาเป็นเดือนๆ

"ไอ้สัด มุกเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย"
ผมบ่นกระปอดกระแปดก่อนจะผลักหัวไอ้ไธแล้วหัวเราะออกมาเพื่อให้บรรยากาศไม่อึมครึมจนเกินไป ฝ่ายนั้นแยกเขี้ยวใส่แต่ไม่ตอบโต้กลับมา

"ความหวังกูเป็นศูนย์ ขอดูอยู่ห่างๆ แล้วกัน"
ไอ้ไธพูดเสียงอ่อยก่อนที่มันจะแตะคันเร่งเพื่อออกตัวรถ ผมได้แต่เหลือบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของมันแล้วถอนหายใจออกมา คนหนึ่งอกหักใกล้ตาย คนหนึ่งปอดแหกกลัวโดนเกลียดเพิ่ม ชาตินี้คงสมหวังกัน

"มึงชอบอยู่ในมุมหรือไง แสดงตัวบ้างก็ได้ว่าแอบรักน่ะ"

"มันก็ขึ้นชื่อว่าแอบ จะแสดงตัวยังไง"
ก็จริงของไอ้ไธ แต่มันไม่ใช่ปะวะ ต้องแอบรักไปนานแค่ไหน ต้องเจ็บอีกเท่าไหร่ถึงจะชินชา สู้บอกความรู้สึกแล้วรอรับผลเลยไม่ดีกว่าเหรอ จะได้รู้ว่าต่อไปควรทำยังไงกับชีวิตดี

"มึงอยากเห็นมันมีแฟนใหม่อีกเหรอไง"
ตอกย้ำมันเข้าไปเอาให้เพื่อนกระอักเลยแล้วถีบผมลงจากรถ ก็แค่กระตุ้นความกล้าให้เฉยๆ บ่งบอกให้รู้ว่ากูเชียร์มึงกับจิณณ์อยู่นะ เพราะเบื่อพวกหลอกลวงแล้ว สงสารพี่ชายตัวเอง

"ไม่อยาก แต่กูจะไปทำอะไรได้"
มันพูดเสียงอ่อยก่อนจะหักพวงมาลัยเข้ามอ ตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงตรงเป๊ะ เชื่อเถอะว่าลานจอดรถขนาดแน่นเอี๊ยด มีหวังได้เดินไกลอีกตามเคย

"ทำได้แต่มึงไม่ทำเองหรือเปล่า ถ้าเป็นกูนะ คงหาทางเสียบแน่ๆ ไม่ปล่อยโอกาสให้มันโสดแล้วไปจีบคนอื่นหรอก"
ผมเสนอแนะวิธีให้ไอ้ไธทำกับพี่ชายตัวเอง ด้วยความหวังดีล้วนๆ อยากให้ทั้งคู่ลงเอยกันถึงแม้อนาคตจะไร้ลูกหลานก็เถอะ เพราะยังๆ พี่แจมก็มีเจ้าตัวยุ่งแล้ว พ่อแม่คงไม่คาดหวังสักเท่าไหร่

"พูดง่ายแต่ทำยากว่ะ กูเป็นผู้ชายนะเว้ย"
ไอ้ไธพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ แสดงความไม่มั่นใจออกมาอย่างชัดเจน ผมทำแค่เพียงไหวไหล่ให้กับเรื่องนี้ ผู้ชายแล้วไง ใครเป็นคนจำกัดขอบเขตการรักกัน ตัวเรากำหนดไม่ใช่หรือ สังคมก็แค่ส่วนประกอบ

"แล้วไง เพศเดียวกันรักกันไม่ได้เหรอครับคุณไธ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงกวนๆ ก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัยออกแล้วยืนมือไปต่อยแขนเพื่อนอย่างหยอกล้อ มันหันมาทำหน้ามู่ทู่ใส่กันก่อนจะบ่นพึมพำออกมา

"ถามจิณณ์นู่น กูรักมันขนาดนี้ยังจะถามอีกเหรอว่าได้หรือเปล่า"
มันทำปากขมุบขมิบต่อเหมือนแอบด่ากันในขณะที่ถอยรถจอดและดับเครื่องในเวลาต่อมา ต้องรีบเดินไปคณะแล้วสินะ อีกสิบนาทีอาจารย์จะเข้าสอนแล้ว

"เออ ไว้กูจะหาคำตอบมาให้"
ผมตอบรับมันไปแล้วลงจากรถทันทีโดยไม่ฟังเสียงร้องห้าม ถ้ามัวแต่ยักแย่ยักยันเมื่อไหร่จะคืบหน้าสักทีล่ะ หึหึ กามเทพอย่างนายภาคินจะปฏิบัติงานแล้ว

หลังจากเลิกเรียนวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ พวกเราทั้งสี่คนก็หิ้วท้องไปฝากไว้ที่ร้านข้าวหลังมหา'ลัย เนื่องจากโรงอาหารในตอนเที่ยงของคณะคนล้นจนน่ากลัว เหตุผลอีกอย่างคือรำคาญพวกสาวๆ ที่เข้ามาเกาะแกะ ไอ้ชอบมันก็ชอบนั่นล่ะ แต่ถ้ามากไปก็ไม่ดี ไม่มีความเป็นส่วนตัว ขนาดว่าผมทำตัวไม่สนใจแล้วนะ... ยังโดนบังคับให้ถ่ายรูปไปสามสี่ครั้ง แต่กับไอ้ไธไม่ต้องพูดถึงนะ รายนั้นแทบจะโดนลากไปปู้ยี่ปู้ยำอยู่รอมร่อ ก็เล่นแจกยิ้มหวานตลอด

ตอนนี้เรากลับมานั่งล้อมวงกันอยู่ที่หน้าคณะเพื่อรอเวลาเรียนวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐานต่อ ต่างคนต่างหางานอดิเรกทำเพราะไม่มีอะไรจะคุย เจอหน้ากันทุกวันก็มีเบื่อบ้างเป็นธรรมดา ไอ้ไธวาดรูป ไอ้ตังค์ดูการ์ตูน ส่วนไอ้ฟาร์ม... วันนี้แปลกที่เอาแต่นั่งจ้องกระดาษในมือ มีอะไรพิเศษปะวะ อย่างนี้ต้องเสือกหน่อย

"ฟาร์ม... มึงนั่งจ้องกระดาษนั่นมาจะสองชั่วโมงแล้วนะ"
ผมถามขึ้นแล้วจ้องมองกระดาษในมือมันอย่างใคร่รู้ ไอ้ฟาร์มผงกหัวขึ้นก่อนจะคลี่ยิ้มกรุ้มกริ่ม จดหมายสารภาพรักจากสาวๆ หรือเปล่าวะ

"อ๋อ... ของดีน่ะ"

"ของดีอะไรวะ"
ผมถามต่อและพยายามสอดส่ายสายตา แต่เพราะไอ้ฟาร์มนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเลยมองไม่ถนัด รู้แค่ว่าเป็นช่องๆ คล้ายตารางเรียน

"ตารางเรียนเด็กคณะแพทย์เว้ย"
ไอ้ฟาร์มเฉลยด้วยน้ำเสียงภูมิใจ ใบหน้ากวนๆ ของมันฉีกยิ้มกว้าง ผมได้แต่ขมวดคิ้วเพราะไม่เข้าใจว่ามันจะเอามาทำอะไร บูชาหรือ...

"ห๊ะ เอามาทำอะไรวะ"

"จะจีบเด็กแพทย์ก็ต้องมีตารางเรียนเขาสิ"
ไอ้ฟาร์มยักคิ้วกวนๆ แล้วบรรจงจูบลงบนกระดาษแผ่นนั้นด้วยท่าทีรักใคร่ ผม ไอ้ไธ และไอ้ตังค์ถึงขนาดถลึงตาใส่มันด้วยความแปลกใจ เพลย์บอยจะจีบสาวว่ะ อัศจรรย์มาก พิลึกพิศดารสุดๆ

"เดี๋ยวก่อน มึงจะจีบเขาเหรอ"
ผมยกมือห้ามความเพ้อฝันของมันแล้วถามต่อด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ คนอย่างมันไม่เคยลงทุนจีบใครก่อนเลยนะ มีแต่คนเข้าหาตลอด แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น ผีเข้าหรือเปล่า

"เออดิ"
ไอ้ฟาร์มขมวดคิ้วตอบดูท่าทางจริงจัง แต่จะให้เชื่อมันยากนะ

"โคตรเซอร์ไพร์ส ปกติป๋าฟาร์มมีแต่หญิงเข้าหาไม่ใช่เหรอ"

"คนนี้กูชอบเขาก่อนเว้ย ต้องจีบ"
ไอ้ฟาร์มทำหน้าเพ้อฝันจนพวกผมที่เหลือหันมองหน้ากันเลิ่กลั่กคล้ายกับได้ยินว่ามันกำลังจะทดลองกินผักที่เกลียดแสนเกลียด เอาจริงดิ รู้จักคำว่าชอบคนอื่นแล้วเหรอ มีความรู้สึก มีหัวใจงอกขึ้นมาแล้วจริงดิ

"จริงจังขนาดนั้นเลยเหรอครับคุณฟาร์ม"
ถึงขนาดไอ้ตังค์ต้องเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย เรื่องนี้ไม่ธรรมดา และคนๆ นั้นต้องโคตรน่ารักแน่ๆ

"เออ จะเลิกเป็นป๋าฟาร์มเลี้ยงอีหนูละ"
ไอ้ฟาร์มคนเก่าหายไปไหนเอาคืนพวกกูมาเดี๋ยวนี้นะเว้ย มันบอกว่าจะเลิกเปย์สาวๆ เนี่ยนะ เป็นไปไม่ได้สุดๆ ผมกับไอ้ไธนี่ถึงกับเบ้ปากใส่กันเลย ส่วนไอ้ตังค์จัดการเอาคิ้วผูกโบว์เรียบร้อยแล้ว

"ใครวะ ทำให้มึงดูเป็นคนดีขนาดนี้"
คราวนี้ไอ้ไธเป็นคนถามขึ้นมาบ้าง มันใช้ดินสอเคาะลงบนสมุดเพื่อรอคำตอบ อยากบอกว่าเสียงดังน่ารำคาญมาก แก๊กๆ ตลอด

"แต่ก่อนกูดูเลวมากเหรอ"
ไอ้ฟาร์มถามด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ ใบหน้าดูสลดลงมากคล้ายกับตัดพ้อ

"เปล่าๆ แค่สำส่อนเฉยๆ"
ไอ้ไธตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบแค่ความหมายทำลายล้างสูงจนคนฟังถึงกับสะอึกหน้าบูดหน้าเบี้ยวไปหมด

"โอ้ยแรง!"
ไอ้ฟาร์มคร่ำครวญแล้วเบะปากลงคล้ายจะร้องไห้ ไอ้นี่ก็ตอแหลที่หนึ่งตลอด

"ทำมาเป็นกระแดะ บอกได้ยังว่าใคร"
ผมถามออกไปตรงๆ แล้วจ้องเขม็งเพื่อคาดคั้นเอาคำตอบ ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครอยากรู้เลยว่ามันควงสาวคนไหนบ้าง แต่กับคนที่มันจะจีบนี่โคตรน่าสนใจ

"เขาเรียนปีสองอะ"
น้ำเสียงโคตรแอ๊บแบ๊ว ใบหน้ามีความเขินอาย แก้มแดง หูแดง อย่างกับสาวน้อยแรกแย้มริอาจมีความรัก น่าหมั่นไส้สุดๆ

"แล้วไงต่อ"

"ชื่อฟา"

"อืม..."

"คุ้นๆ ปะไอ้ไธ"
แล้วมันก็หันไปถามไอ้เดือนคณะที่ขมวดคิ้วรออยู่แล้ว

"ฟา... กูรู้จักอยู่คนเดียวนะ แต่เป็นผู้ชาย"
มันทวนชื่อก่อนจะบอกออกมาแบบนั้น ฟาปีสองเรียนคณะแพทย์... อย่าถามผมนะ ชีวิตนี้รู้จักแต่หมอทาวน์คนเดียวอะ

"อือ... เป็นผู้ชาย"
เดี๋ยวนะ หูฝาดหรือเปล่าวะ!

"เฮ้ย! เปลี่ยนรสนิยมเหรอเหรอครับ"
เสียงอุทานของไอ้ตังค์ช่วยยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าผมไม่ได้หูฝาด กอปรกับใบหน้าตื่นตะลึงของไอ้ไธด้วยแล้ว ไม่ผิดแน่ๆ ไอ้ฟาร์มชอบผู้ชาย!

"ถูกใจใช่เลยนี่หว่า ทำไงได้"
มันพูดเสียงงุ้งงิ้งแล้วทำท่าทางเขินอาย สภาพแบบนี้มึงจะไปรุกหรือไปรับให้เขาวะ เดาไม่ออกจริงๆ ไอ้ห่า แต่ขนาดตัวไม่ควรจะนอนอ้าขาให้ใครนะ ขนลุก

"โอ้โห เจ๋งจริงๆ"
ไอ้ตังค์พูดด้วยน้ำเสียงชื่นชมแล้วยกนิ้วโป้งให้ สรุปว่ามึงสนับสนุนให้เพื่อนเป็นเกย์ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นโอตาคุชอบสาวๆ 2D เนี่ยนะ ทำไมมึงมีความย้อนแย้งในตัวสูงจังเฮ้ย กูเริ่มคิดหนักแล้วว่าที่ผ่านมารู้จักมึงจริงๆ หรือเปล่า

"เดี๋ยว... อย่าบอกนะว่าเป็นพี่ฟาเพื่อนพี่ทาวน์น่ะ"
ไอ้ไธถามด้วยน้ำเสียงหวาดๆ แต่ผมถึงกับกันขวับไปมองหน้ามันด้วยความตื่นเต้น อะไรเกี่ยวกับหมอทาวน์จะหูผึ่งตลอด

"ถูกต้องนะครับ!"
ไอ้ฟาร์มตอบเสียงดังฟังชัดด้วยใบหน้าสดใส ผมถึงกับใจเต้นแรงขึ้นมาทันที เพื่อนหมอทาวน์ ตารางเรียนเด็กแพทย์ อะไรมันจะเป็นใจขนาดนี้ โอย ไอ้เจ็ทอยากจะแหกปากตะโกนระบายความอัดอั้นเหลือเกิน โลกกลม พรหมลิขิต!

"ขอให้มึงโชคดีนะฟาร์ม พี่ฟานี่โคตรของโคตรขี้เหวี่ยง"
ไอ้ไธทำหน้าแหยงๆ เมื่อพูดถึงพี่ฟา แต่ไอ้คนที่ตั้งหน้าตั้งตาจีบคนอื่นกลับยิ้มหน้าระรื่นไม่สะทกสะท้าน

"กูชอบ เดี๋ยวสยบเอง"
มั่นหน้า มั่นใจเหลือเกินเว้ย พี่เขาจะชอบผู้ชายหรือเปล่ายังไม่รู้เลย แถมขี้เหวี่ยงแบบนั้นมีหวังเจอตีนก่อนไหมล่ะ... ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย

"จะคอยดู"
ไอ้ไธทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงท้าทายก่อนจะกลับไปสนใจวาดรูปต่อ แต่สิ่งที่ผมทำคือลุกจากที่นั่งตัวเองแล้วไปหย่อนตัวเบียดไอ้ฟาร์ม มันมองมาด้วยสายตาระแวงแต่ก็ยอมขยับที่ให้

"ฟาร์ม... ขอหน่อย"
ผมไม่พูดพร่ำทำเพลงแต่ตรงเข้าประเด็นอย่างรวดเร็ว ไอ้ฟาร์มถึงกับขมวดคิ้วก่อนจะเอียงคอมองด้วยความสงสัย อย่ามาทำหน้าหมางงตอนนี้สิเพื่อน

"ขออะไรของมึงไอ้เจ๊ก"

"ตารางเรียนนั่น"
ผมชี้ไปที่ตารางเรียนด้วยแววตาเป็นแระกาย ไอ้ฟาร์มเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะมองสลับไปมาระหว่างเพื่อนกับกระดาษแผ่นนั้น

ไอ้ไธที่คงได้ยินบทสนทนาผงกหัวขึ้นมามองกันด้วยใบหน้าสงสัยและคาดคั้นผมจะเอาคำตอบ แต่อย่าหวังเลย ยังไม่พร้อมเปิดเผยจุดประสงค์ให้เพื่อนตกใจกันตอนนี้หรอก กลัวมันจะเอาไปด่าสิบชาติก็ไม่ยอมจบ

"จะเอาไปทำไม"

"เหอะน่า ถ่ายเอกสารให้หน่อย"
ผมเกาะแขนมันแล้วเขย่าเบาๆ คล้ายเด็กกำลังอ้อนแม่ให้ซื้อของเล่น อยากได้อะ

"จะจีบเด็กแพทย์เหมือนกูเหรอ"
ไอ้ฟาร์มถามด้วยน้ำเสียงทะเล้น ดวงตามีแววล้อเลียนอย่างเห็นได้ชัด ถ้ามันสังเกตกันสักนิดว่าทำไมผมต้องขอตารางเรียนพี่ฟา คงจะเข้าใจได้ทันที ยิ่งเป็นไอ้ไธด้วยแล้วคงคิดออกว่าช่วงนี้ผมเพ้ออะไรอยู่...

"ยังเว้ย แค่เตรียมตัวไว้ก่อน มีโอกาสเมื่อไหร่กูจะเสียบทันที"
เพราะยังทำอะไรไม่ได้ตอนนี้ เอาตารางเรียนมานอนดูไปก่อนคงไม่เสียหาย

"อู้ว ~ เออๆ เดี๋ยวจัดการให้"
สุดท้ายไอ้ฟาร์มก็น้ำใจงามยอมทำตามคำขอ แต่มีข้อแลกเปลี่ยนคือให้ซื้อช็อกโกแลตมาเซ่นด้วย สำหรับผมไม่มีปัญหาแค่ไมโลบาร์คงได้...





ต่อด้านล่างน้า


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-07-2017 09:14:21 โดย Ch0cmint »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
หลังจากจบการเรียนวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐานก็แทบเป็นซากศพเพราะโดนทำควิซไปร้อยข้อจนตาลาย แถมอาจารย์ปล่อยเลทจวนจะห้าโมงครึ่งอยู่แล้ว เย็นย่ำขนาดนี้คนที่ห้องตายไปหรือยังวะ ไม่เห็นติดต่ออะไรมาเลย สงสัยต้องรีบกลับไปดูใจกันหน่อย

"มึงจะจีบใคร"
ออกจากห้องเรียนปุ๊ปก็โดนไอ้ไธยิงคำถามใส่ปั๊ปแบบไม่ตั้งตัว มันทำให้ผมที่กำลังพิมพ์ข้อความถามไถ่ชีวิตจิณณ์ถึงกับสะดุ้ง ใครจะจีบใคร ไม่มีเว้ย

"ห๊ะ จีบอะไร ไม่มี"
ผมตอบกลับไปแล้วก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความต่อ ไม่ได้สนใจว่าไอ้ไธจะทำหน้าแบบไหน ตอนนี้รู้อย่างเดียวคือโรคสกินชิพของมันกำเริบอีกแล้ว กอดคอกันอยู่ได้ เฮ้อ

Phakin : ตายไปหรือยังมึง 
ผมกดส่งข้อความไปด้วยความเป็นห่วงอย่างสุดซึ้งแล้วรอจิณณ์ตอบกลับมา มันคงตื้นตันที่น้องชายถามไถ่ด้วยถ้อยคำอ่อนโยน... กับผีน่ะสิ!

"ก็เรื่องตารางเรียนนั่น"
ไอ้ไธขยายความต่อ คงคิดว่าผมไม่เข้าใจคำถามของมัน 

"อ๋อ ยังหรอก สถานการณ์ตอนนี้กูจีบเขาไม่ได้"
ผมตอบกลับไปด้วยความสัตย์จริง เพราะไม่คิดจะเป็นมือที่สามของใคร ถึงจะทำแล้วได้เขามาครอบครองมันก็ไม่ภูมิใจหรอก แถมยังโดนด่าตีหน้าว่าเลวอีก

Phokin : รักกูจังนะไอ้น้องเหี้ย ทำไมยังไม่กลับอีก กูหิวแล้ว แซนวิชมึงทำให้มดแดกเหรอ น้อยสัด
จิณณ์ส่งข้อความกลับมายาวยืด อ่านแล้วแทบอยากพุ่งทะลุจอไปต่อยปากหมาๆ ของมัน แต่ไม่ทำดีกว่า เพราะถ้าต่อล้อต่อเถียงได้แบบนี้คงคิดอะไรได้แล้ว ไม่อย่างนั้นคงโดนพี่แจมเทศน์ พอพูดถึงเรื่องแซนวิชก็คิดขึ้นมาได้... น้อยเหี้ยอะไรล่ะ กูทำไว้ห้าคู่นะไอ้สัด ไข่ห้าฟอง ขนมปังสิบแผ่น ไหนจะนมจืดเป็นแกลลอน มึงยังจะบ่นอีก!

Phakin : มดอะเมซอนมั้งไอ้สัด แดกเยอะขนาดนั้น!
Phakin : เพิ่งเลิกเรียนเว้ย อาจารย์ปล่อยเลท อยากแดกอะไรก็บอกมาเดี๋ยวซื้อเข้าไปให้

"ทำไมวะ"
ไอ้ไธถามต่อ เกือบลืมไปแล้วว่าเดินอยู่ข้างๆ มัน เถียงกับจิณณ์เพลินไปหน่อย

"เขามีแฟนน่ะ"
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงไม่ทุกข์ร้อน ตอนนี้ก็แค่ชอบ ยังไม่ได้ถลำลึกเลยไม่รู้สึกเจ็บอะไร ต่างจากไอ้ไธที่รู้สึกต่อจิณณ์ลิบลับ

"เฮ้ย ชอบคนมีแฟนเหรอมึง"
ไอ้ไธถามด้วยน้ำเสียงตะลึง ผมเหลือบมองมันก่อนจะไหวไหล่ไม่แคร์ ความชอบห้ามกันไม่ได้ กรณีเดียวกันกับมึงนั่นล่ะครับคุณเพื่อน

"เออดิ"

"ชาติไหนมึงจะได้จีบเขาวะ"
มันถามก่อนจะผละแขนที่กอดคอกันออก ผมได้แต่เหล่สายตามองมันด้วยความเซ็ง ป๊อดอย่างมีงมีสิทธิ์ใช้คำถามแบบนี้กับคนอื่นด้วยเหรอหืม ไอ้จิณณ์โสดมาจะคบเดือนยังไม่กล้าจีบอีก

"ไม่รู้ กูก็รอไปเรื่อยๆ นี่ล่ะ เลิกกันเมื่อไหร่กูจะรีบไปดามใจ"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ เพราะไม่รีบร้อนกับเรื่องความรัก เขาเลิกกันเมื่อไหร่ค่อยเสียบยังไม่สาย แต่ไม่ปล่อยให้เขาโสดนานแน่ๆ กลัวหมาคาบไปแดกซะก่อน

"แหม... ที่จริงเป็นแผนของมึงนี่เอง จะให้กูเอาไปใช้กับจิณณ์"
น้ำเสียงเหน็บแนมดังขึ้นพร้อมกับแรงผลักหัวกันเบาๆ ผมหันไปมองมันตาเขียว ชอบประทุษร้ายกันจังวะคนกำลังอ่านข้อความพี่ชายเนี่ย ไอ้ห่านี่ก็สั่งอะไรเยอะแยะ จะเอาไปถมที่หรือไง

Phokin : ไส้กรอก ซาลาเปา นมจืด ชาเขียว น้ำเต้าหู้ คะน้าหมูกรอบ ต้มยำกุ้ง ไข่เจียว โตเกียว ไอติม โรตี เค้ก เหล้า โซดา ถั่วทอด เอ็นไก่ทอด แหนม เสือร้องไห้ ไก่ย่าง ส้มตำ พิซซ่า สปาเก็ตตี้ เลย์ ทาโร่... แค่นี้ล่ะ 
มึงยังมีหน้าลงท้ายว่าแค่นี้เนี่ยนะ ไอ้สัดหมาเอ้ย ไม่รู้จะสรรหาคำด่าอะไรดี โอ้ย ไม่น่าเลยกู

"อยากเห็นผลลัพธ์"
ผมบอกไอ้ไธไปแบบนั้นก่อนจะพิมพ์ข้อความด่าจิณณ์ต่อ นับถือตัวเองที่สามารถแยกประสาทได้ขนาดนี้

Phakin : สัด ไปซื้อเองเลยไป! 

"รอกูเตรียมตัวเตรียมใจก่อนนะมึง..."

"เออ กูเอาใจช่วย ว่าแต่เมื่อยขาว่ะ เดินไกลฉิบหาย"
ผมเริ่มบ่นเมื่อระยะทางที่เดินไกลเกินไป เมื่อเช้าเพราะรีบเลยไม่ได้สนใจ แต่ตอนนี้ขาแทบลาก อาจจะเพราะสะดุดขั้นบันไดลมเมื่อหลายวันก่อนด้วย 

"ก็มึงออกจากห้องสายเอง เลยต้องจอดรถที่ข้างสนามบาสฯ เนี่ย"
ลานจอดรถคณะตัวเองเต็มครับ เลยต้องพึ่งลานจอดรถส่วนรวมข้างสนามบาสฯ 

"กูอบรมสั่งสอนจิณณ์อยู่ไง"
ผมบอกเหตุผลอีกครั้งเพราะไม่อยากรับผิด ก็จิณณ์นั่นล่ะรั้งกันอยู่ได้ 

"จ้าๆ"

พวกเราเดินต่อไปเรื่อยๆ จนผ่านสนามบาสฯ ผมหันไปมองด้านในก็เจอนักศึกษาสองสามคนกำลังยืนมองมาทางด้านนอก และไม่นานนักเสียงใสๆ ก็ร้องขึ้น

"อ้าวไธ เก็บลูกบาสฯ ให้พี่หน่อย"
คนตัวเล็กที่สุดในกลุ่มวิ่งมาจากขอบสนามอีกฝั่ง แล้วชี้มือไปทางลูกบาสฯ สีส้ม มันกำลังกลิ้งลุนๆ จะเข้าพุ่มต้นไม้ข้างสนาม

"อ้าวพี่ฟา เดี๋ยวผมเก็บให้"
ไอ้ไธร้องทักอีกคนไปอย่างสนิทสนมแล้วทำท่าจะเดินไปเก็บลูกบาสฯ ให้ แต่ผมกลับรั้งไหล่มันไว้ก่อนเพราะชื่อเมื่อครู่นั้น เพื่อนหมอทาวน์นี่หว่า ถ้าอย่างนั้นไอ้คนที่ยืนหันหลังก็เป็น...

"มึง เดี๋ยวกูเก็บเอง"
ผมบอกไอ้ไธที่หันมามองกัน มันลังเลนิดหน่อยแต่ก็พยักหน้ารับโดยง่ายดาย นี่ล่ะคือโอกาสทำความรู้จักกับหมอทาวน์ ไม่เอาลูกบาสฯ คืนให้พี่ฟาหรอกน่า เพราะมีแผนที่ดีกว่านั้น

"เออๆ"
มันตอบรับแล้วตบบ่าผมสองสามทีก่อนจะหันไปถามสารทุกข์สุขดิบของพี่ฟา เชื่อว่าไอ้ฟาร์มมีเปอร์เซ็นเข้าถึงคนๆ นี้ มากกว่าที่ผมจะเข้าถึงหมอทาวน์ เพราะไอ้ไธดูสนิทกับเขาดี อย่างที่คิดไว้ว่าคนที่โดนเพื่อนสนใจต้องน่ารัก แต่ความจริงคือน่ารักมาก ตัวเล็ก ขาว หน้าตาจิ้มลิ้ม เหมือนทอมบอย...

"โยนเข้ามาเลยๆ"
พี่ฟาร้องบอกเมื่อเห็นผมได้ลูกบาสฯ มาไว้ในครอบครองแล้ว แต่การส่งถึงมือน่าจะดีกว่ามั้ง

"ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวผมเอาไปให้ดีกว่า"
ผมเงยหน้าขึ้นบอกแล้วคลี่ยิ้มจริงใจไปให้เขา เห็นพี่ฟายืนหอบหน้าแดงแล้วอยากถ่ายรูปไปฝากไอ้ฟาร์มชะมัด รายนั้นคงนั่งเพ้อทั้งวันแน่ๆ หึหึ

"ตามใจน้องเลยครับ จะมาเล่นด้วยกันก็ได้นะถ้าว่าง"
พี่ฟาตะโกนมาเพราะตัวเองยืนรออยู่กลางสนาม ใบหน้าหวานคลี่ยิ้มเล็กน้อย

"ว่าไงไธ"
ผมหันไปถามไอ้ไธเพราะยังไงๆ ก็ต้องตัวติดกันอยู่แล้ววันนี้ ถึงใจจะตอบรับแทนเพื่อนไปแล้วก็เถอะ หมอทาวน์เดินไปหย่อนตัวนั่งพักที่พื้นข้างสนามแล้ว อยากเดินเข้าไปคุยด้วยจังเว้ย

"แล้วแต่ มึงจะได้ทำความรู้จักพี่ทาวน์ด้วย"
ไอ้ไธโอบไหล่กันก่อนที่เราตะเดินไปข้างหน้า อยากหันไปหอมแก้มมันสักฟอดใหญ่ๆ เพื่อขอบคุณความรู้ใจ คราวนี้ผมได้ทำความรู้จักกับหมอทาวน์แน่ๆ




----------------------------------------------

ใครอยากกระทืบ เอ้ย ดามใจจิณณ์บ้าง สมัครได้น้า เพราะไธชักช้าไม่ทันใจเลย 5555
ตอนหน้านี่ขอสปอยว่าเจ็ทกวนตีน...

ออฟไลน์ Piima

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 660
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
น่าติดตามจังค่ะ

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5



ผมเดินผ่ากลางสนามบาสฯ ไปหาคนที่นั่งพักเหนื่อยอยู่ใต้ร่มไม้ เขาเอาแต่ก้มลงมองหน้าจอโทรศัพท์พลางขมวดคิ้วเหมือนกำลังเครียดอะไรบางอย่างโดยไม่รู้เลยว่ามีคนเข้าไปใกล้ขนาดไหน หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นเมื่อหมอทาวน์ขยับตัว

"นี่ครับ"
ผมส่งลูกบาสฯ ให้หมอทาวน์ที่กำลังลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขาชะงักมองกันเล็กน้อยก่อนพยักพเยิดหน้าไปทางพี่ฟา

"ให้มัน"

"ให้พี่ไม่ได้เหรอ"
ผมถามด้วยรอยยิ้มจริงใจ แต่หมอทาวน์ก็ยังทำหน้านิ่งแถมขมวดคิ้ว ส่วนพี่ฟากับไอ้ไธน่ะเหรอ คุยอะไรกันเฮฮาไม่สนใจทางนี้แล้ว เพื่อนเขาอีกคนก็เอาแต่นั่งกินขนมขบเคี้ยว ดูท่าทางเมามันเหลือเกิน

"จะไปซื้อน้ำ"

"งั้นผมไปด้วยคน"
ผมยังคงตื้อก่อนจะวางลูกบาสฯ ลงบนพื้น ไม่ว่ายังไงวันนี้จะทำความรู้จักกับหมอทาวน์ให้ได้ ถึงแม้จะเสี่ยงโดนถีบก็ตาม รู้สึกว่าเขาจะเริ่มคิ้วกระตุกแล้ว หงุดหงิดอะไรเนี่ย

"อะไร"
น้ำเสียงนิ่งๆ ถามกลับมา ดวงตารีเริ่มมีแววไม่สบอารมณ์ แต่อย่าหวังว่าผมจะถอยเลย เพราะยิ่งได้อยู่ใกล้ก็รู้ว่าเขาหน้าตาดีแค่ไหน น้ำเสียงเย็นชาแต่มันก็เป็นโทนที่น่าฟัง นี่คืออาการที่เรียกว่าหลงหรือเปล่า

"หิวน้ำขึ้นมาพอดีครับ"
ผมตอบเสียงนิ่งๆ พยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด ไม่อยากให้เขามองเป็นตัวประหลาดที่ไม่น่าคบหา ตอนนี้หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำแล้ว หมอทาวน์ตรงหน้าดีต่อใจเหลือเกิน

"บอกทำไม"
เขามองกันนิ่งก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่น ไม่ใช่ท่าทางเขินอายแต่กำลังเก็บอารมณ์ต่างหาก นี่ผมกวนเขามากไปเหรอ แต่มันหยุดไม่ได้

"จะได้ไปด้วไง เดี๋ยวผมก็กลับมาเล่นบาสฯ กับพวกพี่"
ผมคลี่ยิ้มแล้วมองไปที่ลูกบาสฯ หมอทาวน์เลิกคิ้วขึ้นก่อนริมฝีปากจะยกคล้ายแสยะยิ้มแล้วหันไปขอคำยืนยันเรื่องที่เพิ่งได้ยินเมื่อครู่

"เออ กูชวนน้องมาเล่นเองล่ะทาวน์ ไอ้ไธที่เป็นเดือนถา'ปัตย์ไงกับเพื่อนมัน"
พี่ฟาตอบเร็วปรื๋อเหมือนกลัวว่าเพื่อนจะโมโหใส่ก่อนจะคลี่ยิ้มสดใสเผื่อแผ่มาทางผม อยากจะอวดไอ้ฟาร์มใส่จะขาดว่าคนที่มันชอบน่ารักแค่ไหน

"อ๋อ อืม"
หมอทาวน์พยักหน้ารับก่อนจะเดินออกไปจากบริเวณนั้นโดยไม่บอกไม่กล่าวใคร ทำให้ผมต้องรีบตามทันที ก็บอกแล้วไงว่าจะไปด้วย ทำไมดื้อจังนะ

"เดี๋ยวดิพี่ ผมไปด้วย"
ผมถือวิสาสะใช้มือรั้งลาดไหล่กว้างจากทางด้านหลัง หมอทาวน์หยุดเดินก่อนจะเหลียวมามองด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์แต่ไม่ได้ปัดป้องอะไร เขาคงรักษามารยาทกับคนที่เจอกันครั้งแรกได้เป็นอย่างดี (ผมเชื่อว่าหมอทาวน์จำกันไม่ได้หรอกในตอนนั้น)

"ไม่ต้อง เดี๋ยวซื้อมาให้"
เขาพูดจบก็ทำท่าจะออกเดินอีกครั้ง แต่ด้วยความที่ผมไม่ยอมปล่อยมือจากไหล่เลยทำให้หมอทาวน์หันมาขมวดคิ้วใส่กันเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันก็ไม่รู้ แล้วดูเขาสิ ทำตัวมีน้ำใจแบบนั้นจะให้ผมไม่หลงยังไงไหว แทบกระโดดแหกปากแล้ว ฟินเว้ย

"ผมอยากไปด้วย"
ผมบอกย้ำความต้องการด้วยน้ำเสียงชัดเจน หมอทาวน์ถลึงตาใส่แล้วทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอก่อนจะปัดมือออก ดูท่าทางความอดทนคงใกล้หมดเต็มที รักษามารยาทอะไรลืมซะเถอะ เขาน่าจะเข้าโหมดพร้อมฆ่าแล้ว

"มึงนี่... เซ้าซี้"
น้ำเสียงที่กดต่ำคล้ายกับกำลังดุทำให้ผมยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแล้วหัวเราะแห้งๆ โดนหมอทาวน์โกรธแล้วแน่ๆ เพราะคำพ่อขุนรามฯ ก็มา แต่ฟังดูสนิทกันดีนะ ผมปลื้ม (โรคจิตชัดๆ)

"ผมชื่อเจ็ทครับ"
ผมบอกเขาเสียงเข้มพราะยังไม่ละความพยายามในการทำความรู้จัก หมอทาวน์ถึงกับชะงักเท้าที่เดินออกไปสองก้าวทันที ต้องหันมาด่าแน่ๆ เลยว่ะ กูต้องโดนเกลียดเหมือนที่จิณณ์รู้สึกกับไอ้ไธชัวร์เลย ก็มันหาวิธีเข้าใกล้ง่ายๆ ไม่ได้นี่หว่า โอกาสดีๆ แบบนี้จะมีสักกี่หนกันเชียว ต้องรีบคว้าไว้

"ใครถาม"
หมอทาวน์เริ่มกระแทกเสียง ถึงจะไม่เห็นหน้าก็รู้ว่าเขาหงุดหงิด ที่ยอมหยุดเดินแล้วคุยกันอาจจะสะดวกต่อการหันมาถีบก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นผมก็ยอม ถ้าจะทำให้เขาจำเหตุการณ์นี้ได้อย่างแม่นยำ

"ผมอยากบอกอะ"
สาบานว่าไม่ได้กวนตีนจริงๆ แค่อยากให้เขารู้จักผม อยากให้เขาจำชื่อผม ถึงรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมาะ แต่ความรู้สึกมันห้ามกันยากจริงๆ

"ไม่อยากรู้"
หมอทาวน์ยืนยันเสียงหนักแน่น ถ้าลองฟังให้ดีๆ ท้ายคำจะมีเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่

"ผมอยากรู้จักพี่นะครับ"
ผมยืนยันความต้องการเดิมอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่แล้วต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อหมอทาวน์หันมาจ้องเขม็งและเริ่มสาวเท้าเข้ามายืนตรงหน้า ตามองตาในสถานการณ์นี้ไม่ได้ทำให้ใจเต้นแรงเลย กลัวฉี่จะราดมากกว่า เหี้ยเอ้ย ทำไมเป็นคนน่ากลัวแบบนี้

"จะเอายังไง กูอารมณ์ไม่ดี"
หมอทาวน์คว้าคอเสื้อผมแล้วกระตุกเข้าไปใกล้จนปลายจมูกของเราแทบจะชนกัน ระยะห่างแค่นี้ทำให้ใจเต้นแรงแบบควบคุมไม่ได้ ถึงจะมีกลิ่นเหงื่อจากตัวเขาแต่รู้สึกว่ามันหอมละมุนแปลกๆ ใบหน้าขาวๆ เนียนละเอียดจนอยากจับมาหอมสักฟอด โอย ฟินฉิบหาย แต่ก็กลัวฉิบหายเช่นกัน

"ยะ ยินดีที่ได้รู้จักครับหมอทาวน์"
ผมพูดเสียงตะกุกตะกักเพราะคอเสื้อรั้ง รอยยิ้มที่พยายามทำให้มันดูไม่กวนตีนคลี่ออกน้อยๆ หมอทาวน์มองกันนิ่งก่อนจะยอมปล่อยมือออกแล้วถอยห่าง

"กูเป็นนักศึกษาแพทย์"
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย ก็พอรู้มาบ้างว่าปกติแล้วไม่ค่อยมีใครเรียกนักศึกษาแพทย์ว่าหมอหรอก แต่ผมอยากเป็นคนพิเศษให้เขาจำแม่นๆ ไง

"เรียกเผื่อไว้ไงครับ อีกไม่กี่ปีพี่ก็ได้เป็นหมอแล้ว"

"ไปไกลๆ รำคาญ"
หมอทาวน์ถอนหายใจหนักๆ แล้วเดินหนีอย่างเร็ว แต่ผมยังไม่ยอมแพ้เลยตามไปติดๆ คราวนี้ไม่มีใครหยุดอยู่กับที่

"แต่ผมอยากอยู่ใกล้ๆ"

"อย่ามากวนตีนตอนนี้"
หมอทาวน์หันมาทำตาเขียวใส่กันก่อนจะออกแรงผลักไหล่ผม ดูเขาอารมณ์หงุดหงิดตั้งแต่ก่อนหน้าที่จะโดนกวนตีนซะอีก คงมีเรื่องเครียดล่ะมั้ง ผมอยากจอโทษนะ แต่ตอนนี้คงไม่ทันแล้ว

"ผมไม่ได้กวนนะ แค่อยากทำความรู้จักเอง"
หยุดกวนตีนเขาไม่ได้ว่ะ อยากตบปากตัวเองชะมัด โอย ทำยังไงดี ผมชอบเขา แต่เขากำลังจะเกลียดผม อยากร้องไห้

"แต่กูไม่อยากรู้จัก!"
หมอทาวน์เดินหนีไปแล้วหลังจากตะโกนลั่นด้วยท่าทางโมโห ผมได้แต่ยืนนิ่งเพราะไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี ได้แต่มองตาแผ่นหลังกว้างไปอย่างหงอยๆ คงโดนเกลียดแล้วจริงๆนั่นล่ะ แห้วลอยมาแต่ไกลเลยกู

สุดท้ายหมอทาวน์ก็กลับมาเล่นบาสฯ ด้วยท่าทางสงบลงเหมือนไม่เคยโมโหใส่กันก่อนแยกย้ายยังแนะนำวิธีรักษาแผลช้ำที่ผมเสียหลักวิ่งชนกับไอ้ไธให้อีกด้วย เออว่ะ คนเดี๋ยวนี้เป็นไบโพล่าเหรอไง เดาอารมณ์ไม่ถูกจริงๆ

กลับมาถึงห้องผมก็จัดการอาบน้ำกินข้าวแล้วมานอนแผ่ในห้องนอน แต่ก่อนหน้านั้นโดนจิณณ์บ่นซะยาวที่กลับคอนโดช้า หูชาเลยแม่ง เป็นห่วงยิ่งกว่าพ่อซะอีก ยอมใจเลยจริงๆ

โทรศัพท์เครื่องเก่งถูกหยิบมากดเล่นเพื่อเปิดดูรูปที่แอบถ่ายมาวันนี้ พยายามทำเนียนอยู่ตั้งนานกว่าจะได้มันมาไว้ในครอบครอง และได้รู้อะไรเพิ่มเติมมาจากการเล่นบาสฯ ด้วยกันคือ หมอทาวน์เป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอล ส่วนเพื่อนอีกคนของเขาชื่อแฮม ซึ่งรักการกินเป็นชีวิตจิตใจ แต่ไม่อ้วน

ผมกดเข้าแอพพลิเคชั่นเพื่อที่จะอัพรูปที่ถ่ายมาวันนี้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ในนั้นประกอบไปด้วยนักศึกษาแพทย์สามคนกำลังยืนคุยกันเห็นใบหน้าด้านข้างชัดเจน และระบุได้ว่าใครเป็นใครและพิมพ์แคปชั่นกำกวมตบท้ายแล้วกดโพสต์

Phakin_Jet การเล่นบาสฯ ก็เป็นแค่ข้ออ้าง ของการคลุกวงใน

ผมปิดแอพพลิเคชั่นลงก่อนจะสลับไปตอบไลน์ของไอ้ตังค์เรื่องการบ้านภาษาอังกฤษแล้วกลับมาเปิดไอจีอีกครั้ง เพียงไม่กี่นาทีคนเข้ามาคอมเม้นท์เพียบ เป็นเพราะรูปอดีตเดือนด้วยล่ะมั้ง

Farmer_xx มึง นั่นพี่ฟา กรี๊ด ไปเจอตอนไหน ทำไมไม่บอกกู!!!!!!
Thamthai.t มึงจะคลุกวงในใคร? หึหึ
Phokin_Jinn กูเฮิร์ท ฮึก ~
Hn.Satang ไปเล่นบาสฯ มาหรือครับคุณเจ็ท สนุกไหม
Ploysai_cute ว้าย ~ น้องเจ็ทอยากคลุกวงในนศพ.คนไหนคะเนี่ย >< #ทีมถาปัตย์หมอ #ทีมหมอถาปัตย์
RU.Sexyboys อุ้ย น้องเจ็ทกำลังจะล่มเรือผีแล้วเหรอ #เจ็ทไธ #เจ็ทจิณณ์
Jammy.D What??? Tell me now Mr.Phakin!

เดี๋ยวสิ ไม่มีใครตกใจเลยเหรอว่าคนในรูปเป็นผู้ชาย แล้วแคปชั่นส่อแปลกๆ มีแต่ถามไถ่และแซวอย่างเป็นธรรมชาติ โคตรแปลกแต่ก็รู้สึกดีจนเผลออมยิ้ม แต่เดี๋ยวนะ ไอ้คอมเม้นท์ล่าสุดนั่น... โอ้ย เอามีดมาเชือดกูเถอะพี่แจม ผมต้องตายแน่ๆ ถ้าเกิดโดนเธอคาดคั้น!

ผ่านมาหนึ่งคืน สถานการณ์ทุกอย่างปกติจนน่ากลัวว่าจะมีคลื่นใต้น้ำระลอกใหญ่ ผมไม่เคยวางใจเลยสักครั้งเมื่อพี่สาวที่อยู่ห่างไกลต้องการรู้เรื่องที่ตัวเองอยากรู้ เธอไม่มีทางปล่อยผ่านๆ ไม่เกินอาทิตย์นี้คงได้คุยกันชัวร์ เอาหัวเป็นประกัน

ตอนนี้ผมกำลังรื้อตู้เย็นเพื่อหาของสดมาทำอาหารมื้อเช้าควบเที่ยง มีไข่ไก่ นมสด ไส้กรอก และแฮมเหลืออยู่ ทำให้เมนูวันนี้กลายเป็น 'ข้าวไข่ข้น' ถ้าจืดเกินไปแนะนำให้หั่นพริกใส่ด้วย

อย่าตกใจที่ผมลุกมาทำอาหารเอง ทั้งๆ ทีเคยเกือบทำครัวไหม้ ก็ตั้งแต่จิณณ์เข้าสภาวะอกหักมันก็ไม่ทำห่าอะไรเลยสักอย่าง คนอย่างนายภาคินเลยต้องลุกมาพยายามด้วยตัวเองจนสามารถทำข้าวไข่ข้นแดกเองได้ แถมอร่อยด้วย นี่ไม่ได้โฆษณาเลยจริงๆ

"จิณณ์เว้ย ลุกขึ้นมาหุงข้าว อย่ามัวแต่นั่งเป็นคนอกหักเดี๋ยวจะอดแดก"
ผมตะโกนเรียกฝาแฝดที่เอาแต่นั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟา หูแว่วได้ยินเสียงเพลงเศร้าจากรายการทีวีแล้วได้แต่เบ้ปาก ไม่เข้าใจว่ามันจะเปิดบิ้วอารมณ์ตัวเองทำไม ถึงสภาพจะดูดีกว่าเมื่อวานแต่ไม่ได้ใกล้เคียงสภาพคนเลย ยังเหมือนซากศพจนคนพบเห็นละเหี่ยใจ

"ก็อกหักไง"
มันเดินโซเซตรงเข้ามาคว้าหม้อไปใส่ข้าวสารสองกระป๋องก่อนจะถือมันไปล้างน้ำด้วยท่าทางใกล้ตาย นี่ถ้ามันทำหลุดมือผมจะด่าให้

"เลิกทำตัวแบบนี้สักที เห็นแล้วเหนื่อย"
ผมบอกก่อนจะปาเปลือกไข่ใส่ จิณณ์หันมาทำตาขวางทำท่าจะหยิบข้าวสารออกมาปาบ้าง แต่โดนผมยกมือชี้หน้าซะก่อนมันเลยยั้งมือแล้วทำเสียงฟึดฟัดใส่

"ไม่ได้อยากทำ มันเป็นเอง ไม่เข้าใจคนอกหักเหรอวะ"
มันพูดด้วยใบหน้าเหมือนจะร้องไห้ มือก็ซาวข้าวไปเรื่อย ดูไปดูมาก็ตลกดีแต่ขำไม่ออก เป็นห่วงจิณณ์มากกว่า กลัวจะซึมเศร้า

"กูเข้าใจคนอกหัก แต่ไม่เข้าใจมึง"
ผมตอบอย่างไม่แยแสแล้วเทนมจืดลงในชามผสมก่อนจะใส่น้ำมันหอยและซอสปรุงรสตาม ดวงตาคมเหลือบเห็นจิณณ์บ่นขมุบขมิบแต่เพราะเราอยู่ใกล้กันเลยได้ยินอย่างชัดเจน

"น้องเลว"

"ด่าเหรอ เดี๋ยวกูให้แดกข้าวคลุกน้ำปลา"
ผมชะงักมือที่กำลังเอื้อมไปหยิบแส้ตีไข่แล้วมองมันด้วยสายตาดุๆ ยังมีหน้ามาด่าคนอื่นแล้วโดยไม่มองสภาพตัวเองว่าแย่แค่ไหน ปล่อยให้คนอื่นเป็นห่วงอยู่ได้ ยิ่งไอ้ไธนะ ไลน์มาถามแทบทุกชั่วโมงว่าจิณณ์เป็นยังไงบ้าง อยากจะบอกมันว่าขึ้นมาดูแลเองไหม กูเบื่อพี่ชายตัวเองแล้ว

"กูจะฟ้องพี่แจมว่ามึงใจร้าย"
ยกพี่สาวบังเกิดเกล้ามาขู่โดยที่ทำหน้าตาอย่างกับคนถือไพ่เหนือกว่า หน้าเชิดๆ ปากจู๋ๆ โอย น่ารักตายห่าล่ะมึง อยากถีบให้เอวหักสักที หมั่นไส้

"เชิญตามสบาย ถ้ามึงไม่กลัวพี่แจมจะด่าเรื่องมึงทำตัวเป็นซากศพ"
ผมไหวไหล่แล้วใช้แส้ตีส่วนผสมไข่ข้นให้เข้ากัน ไม่กลัวคำขู่นั้นสักนิดเดียว เพราะพี่แจมไม่ชอบคนที่ทำตัวจมปรักกับความรัก เกิดเรื่องทำนองนี้ทีไร รายนั้นสวดยาวจนคนฟังจะหลับ หูชาไปหลายชั่วโมง

"ฮึก อะไรๆ กูก็แพ้ เมื่อไหร่จะชนะใครเขาสักที"
จิณณ์ทำเสียงสะอึกสะอื้น ดวงตาแดงก่ำจนผมต้องหยุดมือที่เริ่มหยิบถุงใส่กรอกขึ้นมาตัดปาก ไม่ต้องกินแล้วไหมข้าวเนี่ย ไล่ไปนอนแดกน้ำตาซะให้เข็ด

"ฮึบเลยนะ ไม่ต้องมายืนเบะปากเหมือนเด็ก มันน่าเกลียด"
ผมด่ามันแล้วถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะเทไส้กรอกลงบนเขียงแล้วเริ่มหั่นเป็นชิ้นบางๆ พอดีคำ หูได้ยินเสียงกระแทกหม้อลงกับเค้าน์เตอร์จนต้องช้อนสายตามองด้วยความสงสัย จิณณ์เป็นบ้าอะไรอีกเนี่ย เริ่มชักทนไม่ไหวแล้วนะ เดี๋ยวกูหอบผ้าหอบผ่อนไปนอนห้องไอไธซะนี่

"กูไม่หุงข้าวแล้ว!"
มันตะโกนลั่น ใบหน้าขึ้นสีแดงก่ำอย่างกับโกรธผมมาเป็นร้อยชาติ ถ้าจิณณ์ไม่ยอมทำหน้าที่ตัวเอง อย่างนั้นผมก็ขอไม่ทำด้วยเหมือนกันจะได้แฟร์ๆ

"งั้นกูก็ไม่ทำแม่งแล้วไอ้ไข่ข้นเนี่ย"
ผมโยนมีดทิ้งแล้วใช้มือทั้งสองข้างเท้ากับเค้าน์เตอร์แล้วมองท่าทางตกใจของจิณณ์ด้วยใบหน้าเรียบเฉย ทั้งๆ ที่อยากหัวเราะก๊ากดังๆ เพราะหน้ามันโคตรเหวอ สงสัยผวาที่ของมีคมร่อนไปเกือบปักท้องตัวเอง

"อะ... ขะ ไข่ข้นเหรอ ทำสิๆ"
เมื่อมันเรียกสติตัวเองคืนกลับมาได้สำเร็จก็รีบหยิบมีดคืนให้ผมด้วยท่าทางยินดีสุดๆ ก็ไข่ข้นน่ะ เมนูโปรดของมัน ถ้าเมื่อไหร่ได้กินจะอารมณ์ดีทันที แต่หลังจากหมดจานก็กลับมาหงอยเหมือนเดิมล่ะนะ มนุษย์หนอมนุษย์

"ผีออกเลยนะมึง"
ผมเหน็บมันไปด้วยความหมั่นไส้แล้วยอมนับมีดมาหั่นไส้กรอกและแฮมต่อ หางตาเหลือบเห็นมันเดินอุ้มหม้อไปจัดการต่อจนเรียบร้อย สุดท้ายดราม่าก็แพ้ของกิน จริงๆ เลย ไอ้ฝาแฝดไบโพล่า

"อิอิ เดี๋ยวไปนั่งรอที่โซฟาน้า"
มันบอกด้วยน้ำเสียงร่าเริง ใบหน้าโทรมๆ เปื้อนยิ้มเล็กน้อย

"เออ เปลี่ยนช่องทีวีด้วย"
ผมตอบรับโดยไม่เงยหน้าแล้วบอกสิ่งที่ตัวเองต้องการแถมท้ายไปด้วย เพราะรายการนี้เปิดแต่เพลงเศร้า คร้านจะเห็นพี่ชายนั่งเหม่อเป็นพระเอกเอ็มวี

"ทำไมวะ"

"รำคาญมึงดราม่า"

"ฮึก..."
พอพูดคำสะเทือนใจใส่นิดหน่อยก็เบอะปากจะร้องไห้ใส่ ผมเลยเอามีดชี้หน้ามันเป็นเชิงบอกให้รู้ว่าคราวนี้รำคาญจริงๆ และถ้ายังไม่หยุดมีเรื่องแน่

"หยุด"
น้ำเสียงเย็นๆ ถูกส่งให้ฝาแฝดพร้อมด้วยสายตาหงุดหงิดเต็มขั้น

"ครับๆ จิณณ์ฮึบแล้ว"
จิณณ์ผงะถอยหลังก่อนจะก้มหน้างุดๆ แล้วพึมพำเสียงสั่น คล้ายกับเด็กน้อยๆ ตอนโดนดุ ก็ดูน่าสงสารดีแต่อย่างหวังว่าผมจะโอ๋

"เออ ไปนั่งรอไป"
ผมบอกทันก่อนจะลดวางมีดลงแล้วโกยแฮมกับไส้กรอกใส่ชามผสม มันพยักหน้าหงึกหงักรับคำแล้วเดินออหไปจากห้องครัว ไม่นานนักเสียงเพลงเศร้าๆ จากทีวี ก็กลายเป็นรายการสารคดีสัตว์โลกน่ารัก

หลังจากจัดการอาหารมื้อเช้าควบเที่ยงเสร็จผมก็หยิบเอาเกมมาเล่นโดยปล่อยจิณณ์ให้นั่งดูรายการทีวีไปเงียบๆ ดวงตาคมเหลือบมองคนข้างกายเป็นระยะว่ามีสีหน้าอย่างไรบ้าง แต่สิ่งที่พบคือเขาเอาแต่นั่งจ้องโทรศัพท์เหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง

"รอใครโทรมาหรือไง"
ผมถามออกไปทั้งๆ ที่ตายังคงอยู่ที่จอสี่เหลี่ยมในมือ ไม่สามารถมองใครได้เพราะเกมกำลังเข้าสู่ช่วงสุดท้าย แข่งรถกำลังจะชนะแล้วเว้ย หลังจากดริฟโค้งซ้ายโค้งขวามาเป็นเวลานาน

"หือ... เปล่านี่ ทำไมมึงถามแบบนั้น"
เสียงราบเรียบของจิณณ์ถามกลับมาในขณะที่ผมเข้าเส้นชัยเรียบร้อยแล้ว แม่ง เกมก็อยากเล่น เป็นห่วงท่าทางของพี่ชายอีก วุ่นวายจริงๆ เลยเว้ย

"ก็เห็นเอาแต่จ้องโทรศัพท์"
ผมมองมันสลับกับโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะกระจกด้านหน้า จิณณ์เลิกคิ้วมองอย่างมึนๆ ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ ดูมีลับลมคมในว่ะ

"ไม่มีอะไร"
มันย้ำอีกครั้งก่อนจะทำเป็นสนใจรายการทีวีซะเต็มประดา ผมมองจิณณ์อย่างประเมินสถานการณ์แล้วได้แต่ลอบถอนหายใจ มีอะไรชอบปิดบัง จนกว่าปัญหาจะใหญ่โตค่อยมาปรึกษา เจริญเถอะครับคุณฝาแฝด

"เออๆ จะเชื่อก็ได้"
ผมพูดตัดปัญหาแล้วไถลตัวลงนอนบนตักมันเพื่อเล่นเกมต่อ จิณณ์ก้มลงมองเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ทั้งๆ ที่ปกติจะต้องเอ่ยแซวว่า 'ทำไมวันนี้มึงอ้อนจัง' หรือ 'น้องชายกูน่ารักเว้ย' วันนี้แปลกมาก แปลกเกินไปจริงๆ

ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงที่ทุกอย่างเงียบสงบ จนเสียงโทรศัพท์ของจิณณ์ดังขึ้นผมเลยได้เวลาลุกจากตัก เพราะมันชอบหนีไปรับสายไกลๆ เป็นโรคมีความลับจริงๆ เลย แม่ง พี่น้องกันแท้ๆ

"กูไปรับโทรศัพท์แป๊ป ไอ้เอยโทรมา"
มันบอกก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกไปตรงระเบียงห้อง ผมได้แต่มองตามแล้วเก็บเอามาคิดๆ ดู จิณณ์คงไม่อยากทำเสียงรบกวนคนอื่นเท่าไหร่ เลยหาที่เงียบๆ คุยมากกว่า เพราะไม่ว่าจะอยู่กับใคร เขาก็ทำแบบนี้จนติดเป็นนิสัยเสมอ

ผมกลับมานั่งจดจ่อเล่นเกมต่อเพราะไม่รู้จะเอาเวลาว่างๆ ของวันหยุดไปทำอะไร จะออกไปเที่ยวก็ขี้เกียจ แดดก็ร้อน ส่วนไอ้ไธนี่ไลน์มาบ่นใส่ตั้งแต่หกโมงเช้าว่าวันนี้พี่แทนลากไปพัทยาทั้งๆ ที่มันไม่ชอบทะเล กรรมของใครของมันนะเพื่อน

เสียงปิดประตูกระจกดังปังทำให้ผมสะดุ้งแล้วหยุดเล่นเกมทันที จิณณ์เดินกระทืบเท้ากลับมากระแทกตัวลงบนโซฟาด้วยอารมณ์หงุดหงิด หน้าตาบึ้งตึง ปากยื่นจนแทบติดปลายจมูก ไม่รู้โดนไอ้เอยทำอะไรมาอีก

"เป็นอะไร"
ผมถามก่อนจะตัดสินใจปิดเครื่องเกมลงเพราะตาเริ่มล้า จิณณ์หันมาทำท่าทางฮึดฮัดใส่กันจนต้องกลั้นหัวเราะ สภาพเหมือนเด็กโดนขัดใจเลยว่ะ

"ไอ้เอยอะดิ บอกให้ไปรับที่สยามหน่อย รถมันเสีย"
จิณณ์บอกด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดแล้ววางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะดังปึงโดยไม่สนใจว่ามันจะพังหรือเปล่า ผมสะดุ้งเพราะไม่คิดว่าแค่เอยให้ไปรับที่สยามจะอารมณ์เสียขนาดนี้ แต่นั่นไอโฟนสีแดงรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นนะเว้ย ถนอมๆ มันบ้างสิครับคุณพี่ชาย

"แล้วไง มึงก็ไปรับเอยสิ"
ผมทำใจดีสู้เสือพูดแบบนั้นออกไปทั้งๆ ที่ตัวเองเนียนขยับออกห่างจากระยะแขนของจิณณ์เรียบร้อยแล้ว ถ้ามันเกิดอยากฟาดหรือต่อยจะได้ลุกวิ่งทัน แผนเด็ดไหมล่ะ

"ไกล ไม่อยากไป ร้อน รถติด ขี้เกียจ"
แต่ละคำเน้นเสียงกระแทกจนเห็นน้ำลายเป็นฝอยๆ จิณณ์ทิ้งตัวลงพิงโซฟาแรงๆ แล้วดิ้นไปมาเหมือนเด็กตัวเล็กๆ ถ้าให้เดาก่อนหน้านี้คงมีอะไรบางอย่างทำให้อารมณ์เสียมาก่อนแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ออกอาการฟาดงวงฟาดงาขนาดนี้ เอยก็แม่งโทรมาขอช่วยจังหวะดีสุดๆ ซวยไปนะ

"อ้าว งั้นให้เอยขึ้นรถไฟฟ้ากลับเอง"
ผมเสนอทางออกให้กับทั้งสองฝ่าย จะได้ไม่ต้องมีใครลำบาก แต่จิณณ์กลับลุกพรวดขึ้นมาแล้วจ้องตาเขม็งมาทางนี้ให้รู้สึกเสียวสันหลังวาบ กูพูดอะไรผิด!

"มันขึ้นรถไฟฟ้าเป็นที่ไหนเล่า!"
อ๋อ... กูขอโทษ กูไม่รู้ กูผิดเอง แต่ไม่ยอมแพ้หรอกเว้ย หยิ่งในศักดิ์ศรี

"ถ้ารู้แบบนั้นมึงยังจะไม่ไปรับมันอีกหรือไง"
ผมถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงแล้วเหลือบมองพี่ชายที่กำลังนั่งเบะปากอยูาไม่ไกล สีหน้าหวุดหงิดกลายเป็นงอแงตามลำดับ ถ้าแหกปากร้องจะถอดสลิปเปอร์ยัดปากจริงด้วย

"ก็กูไม่อยากไปอะ มึงไปรับแทนหน่อย"
จิณณ์ขยับมาชิดกับผมแล้วคว้าแขนไปก่อนไว้แน่นก่อนซบลงมาคล้ายกับกำลังอ้อนวอนกัน แต่อย่าหวังว่าจะยอมใจอ่อน ผมขับรถเป็นที่ไหน ให้เข็นไปหรือ

"พ่อง ให้กูขี่มอ'ไซต์ไปรับหรือไง"
ผมด่าก่อนจะใช้มือผลักหัวทุยๆ นั่นด้วยความหมั่นไส้ ทั้งๆ ที่เอยรออยู่มันยังพิรี้พิไรอยู่ได้ ทางก็ไกล รถก็ติด

"....."
จิณณ์เงียบไม่ยอมโต้ตอบ นั่นหมายความว่ากำลังดื้อสุดๆ ถ้าผมตอบรับมันก็ตกลงทันที ใจไม้ไส้ระกำกับน้องก็ไอ้นี่ล่ะ ไม่ห่วงว่าแดดจะเผากันตายบ้างหรือไง

"หรือจะให้ขึ้นรถเมล์ไปรับ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงประชดแล้วสะบัดแขนออกจากการเกาะกุม จิณณ์ถึงกับผงะถอยออกไปแล้วส่งสายตาหงอยๆ มาให้ คิดว่าน่าสงสารตายล่ะ น่ากระทืบมากกว่าร้อยเท่า

"งะ..."

"ตกลงจะเอายังไง"

"ฮือ ไปเองก็ได้ แต่มึงต้องไปด้วย"
สุดท้ายมันก็ยอมไปรับเอยสักที แต่ดันมีข้อแม้ เอาเถอะ ครั้งนี้ผมคงขัดใจไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคนที่รอจะตายเอาซะก่อน

"เออๆ แค่นี้ก็จบเรื่องใช่ไหม"

"จ้า ~"




ต่อด้านล่างน้า

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-07-2017 09:15:30 โดย Ch0cmint »

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
กว่าจะฝ่ารถติดมาถึงสยามก็ใช้เวลาไปเกือบสองชั่วโมง ปรากฏว่าเอยชวนกินข้าวเที่ยงที่บอนชอนพวกเราเลยยอมลงจากรถ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ตกลงกันว่าแค่จะมารับแล้วกลับเลย นี่ล่ะอานุภาพของฟรี ความแน่นอนอะไรๆ ก็เปลี่ยนได้

"จิณณ์ เบาๆ หน่อยมึง ซอสกระเด็นติดผมแล้วแม่ง"
ไอ้เอยส่งเสียงเตือนก่อนจะทำหน้าแหย่ๆ เมื่อเห็นจินแทะปีกบนอย่างเมามัน มือข้างหนึ่งเลอะซอสไปหมด แถมข้างปากก็เปื้อนจนเดือดร้อนผมที่นั่งข้างๆ ต้องเช็ดให้ ทนดูไม่ไหวจริงๆ

"อย่อย"
เสียงพูดไม่ชัดดังขึ้นทำให้พวกผมที่เหลือชะงักการกระทำแล้วหลุดหัวเราะก๊ากออกมาแบบไม่เกรงใจชาวบ้าน สุดท้ายเลยต้องก้มหัวขอโทษขอโพยเขาเป็นการใหญ่ที่เผลอเสียงดัง เพราะจิณณ์คนเดียวเลยแม่ง

"ตายอดตายอยากมาจากไหน มึงไม่ทำกับข้าวให้มันกินเหรอเจ็ท"
ประโยคแรกเหมือนจะพูดลอยๆ แต่ประโยคหลังไอ้เอยหันมาถามทางนี้พลางขมวดคิ้วยุ่ง ผมรีบดื่มน้ำแล้วส่ายหน้าปฏิเสธทันที ก่อนมาจิณณ์กินข้าวไข่ข้นไปตั้งสองจาน แล้วอีกอย่างลามมาแย่งของนายภาคินคนนี้อีกด้วย

"มันแดกข้าวไข่ข้นมาตั้งสองจานแล้วมึง สงสัยแดกคลายเครียดมั้ง"
ผมบอกไปตามที่คิดแล้วเหลือบมองคนข้างๆ ที่ไม่ได้ร่วมวงสนทนาด้วย ไอ้เอยนิ่งอยู่สักพักเหมือนกำลังคิดอะไรก่อนจะไหวไหล่ คงขี้เกียจเดาหรือไม่ก็เห็นเป็นเรื่องไร้สาระรกสมอง

"ช่างแม่งเหอะ ชอบทำตัวมีลับลมคมใน ถ้าวันไหนจะถูกยิงตายขึ้นมาไม่ต้องขอร้องให้ใครช่วยมึงนะจิณณ์"
ไอ้เอยพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ความหมายมันช่างร้ายกาจจนจิณณ์ถึงกับทำกระดูกไก่ในมือร่วง ถ้าสภาพจิตใจมันปกติจะกวนตีนกลับ แต่ตอนนี้น่ะเหรอ ทำได้แค่เบะปากจะร้องไห้ใส่เท่านั้น

"ทำไมมึงกับเจ็ทต้องใจร้ายแบบนี้ด้วย กูแค่เครียดนิดเดียว เดี๋ยวก็หายเองล่ะน่า"
มันหันมาแจกค้อนให้ผมกับเอยแบบเต็มๆ คำพูดที่ดูเหมือนคนไม่คิดมากนั่นแท้จริงแล้วโกหกทั้งเพ ใครๆ ก็รู้ว่าจิณณ์จัดการอารมณ์ตัวเองได้แย่แค่ไหน แย่จนบางครั้งไม่สามารถปล่อยให้อยู่คนเดียวได้

"กูก็เพื่อนสนิทมึงตั้งแต่ประถม ไอ้เจ็ทก็ฝาแฝด ยังจะมีอะไรไว้ใจไม่ได้อีกหรือไง มีปัญหาแทนที่จะรีบบอก แต่นี่เก็บไว้จนเรื่องราวใหญ่โตแล้วค่อยมาปรึกษา ใครมันจะช่วยมึงได้ครับจิณณ์"
น้ำเสียงและท่าทางของเอยจริงจังจนผมยังต้องหยุดกินแล้วร่วมฟังพร้อมๆ อีกคนที่เอาแต่จิ้มต๊อกโปกี้เข้าปาก ท่าทางแบบนั้นคงอยากทำเป็นไม่สนใจแต่ความจริงแล้วรับรู้ทุกอย่าง

"....."

"เก็บคำพูดกูเอาไปคิดบ้าง ไม่ใช่วันๆ เอาแต่สนใจคนที่เขาไม่ได้รักมึง"
ท้ายประโยคทำให้จิณณ์หยุดชะงักการกระทำทั้งหมดเหมือนมีใครมากดปิดสวิตซ์ มือที่ถือตะเกียบเริ่มสั่นจนมันต้องวางตะเกียบลงในที่สุด ท่าทางไม่ดีแล้วสิ อีกไม่นานคงมีการปล่อยระเบิดเกิดขึ้นแน่ๆ

"....."
จิณณ์เม้มปากเข้าหากันแน่น หมัดก็กำจนนิ้วขึ้นข้อขาว ผมต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้สถานการณ์ตึงเครียดนี่

"ไอ้เอย... พอเหอะ มันซึ้งจนแดกอะไรไม่ลงแล้ว ถ้ามึงพูดต่ออีกนิดจิณณ์คงแหกปากร้องไห้กลางร้าน กูอายคน"
ผมพูดหวังจะให้ตลกแต่กลับได้สายตาดุๆ ของจิณณ์กลับมา ส่วนไอ้เอยเอาแต่พยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะพูดเสริมอย่างออกรสเมื่อเหลียวไปมองใบหน้าของเพื่อนสนิทที่ตอนนี้ปากคว่ำเหลือเกิน

"เออว่ะ แค่นี้ก็อายสัดๆ ละ หน้าอย่างเข้ม มานั่งเบะปากอย่างกับเด็กอุบาล เนี่ยนะเดือนคณะวิศวะ ดูไม่ได้เลยว่ะ"
มันแกล้งบ่นก่อนจะถอนหายใจแสดงความเหนื่อยหน่าย ผมกะว่าจังหวะนี้คงได้คว้าตัวจิณณ์เอาไว้แน่ๆ แต่ผิดคาดตรงที่มันก้มหน้าจนคางแทบชิดอกแล้วพูดเสียงอู้อี้

"ฮึก รุมกู ไม่รักกู กูจะ..."

"ฮึบ ถ้าแหกปากหรือบีบน้ำตากูจะยึดมือถือมึงแน่ๆ ทำผิดไว้หลายอย่างนะจิณณ์ คิดจะหือเหรอ"
ผมพูดแทรกขึ้นทันทีเมื่อเห็นสายตาของคนอื่นที่มองมา ถึงเจ้าตัวจะไม่อายแต่พวกผมที่ยังมีสติครบถ้วนไม่ได้เมากระดูกไก่เหมือนมันโคตรจะอาย งอแงที่ลับตาจะไม่ว่าเลย แต่นี่กลางร้าน โอ้โห บอกเลยว่าดับ ชีวิตดับอนาถแน่ๆ ถ้าใครจำหน้าพวกเราแล้วถ่ายรูปไปฝากแอดมินเพจมหา'ลัยลง

"นี่น้องหรือพ่อ โหด..."
มันบ่นอุบอิบก่อนจะยกหมัดขึ้นต่อยแขนผม ไม่ได้ออมแรงจนส่งเสียงเนื้อกระทบเนื้อดังลั่น โคตรเจ็บแต่ทำได้แค่ซี๊ดปากเบาๆ กับส่งสายตาดุไปให้

"เชี่ย เจ็บ! หรือมึงอยากให้กูรายงานสภาพมึงกับพี่แจม"
ผมยังขู่มันอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่ว่ายังไงมันก็แพ้เห็นๆ คนอ่อนแอมักจะเป็นเหยื่อของคนแข็งแกร่งเสมอ

"กูไหว้ล่ะเจ็ท ให้กูทำอะไรก็ยอม แต่อย่าบอกพี่แจมนะ กูขี้เกียจฟังเทศน์"
มันเปลี่ยนท่าทางเข้ามาเกาะแขนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเว้าวอนอย่างจริงจัง ถ้าเป็นผมโดนขู่แบบนี้บ้างคงมีสภาพไม่ต่างจากจิณณ์เท่าไหร่ เพราะใครๆ ก็กลัวการสั่งสอนจากพี่แจม ขนาดพ่อแม่ยังเลี่ยงที่จะดื้อกับเธอเลย

"ถ้าไม่อยากฟังเทศน์ก็ทำตัวให้สดใสได้แล้ว เลิกสนใจพี่เค้กสักที เคยสัญญาว่าจะเลิกติดตามเขาไม่ใช่เหรอ ทุกวันนี้เห็นกูโง่หรือไง หลอกกันอยู่ได้"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ ยอมรับว่ารู้สึกเสียใจที่พี่ชายไม่ยอมทำตามคำสัญญาว่าจะเลิกติดตามพี่เค้ก จะไม่ทำให้ตัวเองเจ็บซ้ำซากอีกแล้ว แต่เข้าใจว่าของแบบนี้มันหักดิบกันยาก ก็แค่เป็นห่วง

"กูไม่ได้ตั้งใจจะหลอกมึงนะเจ็ท แต่มันอดส่องโซเชี่ยลเขาไม่ได้จริงๆ"
มันยอมรับสารภาพด้วยน้ำเสียงหงอยๆ ไม่ยอมสบตาใครสักคน ผมกับเอยมองหน้ากันก่อนจะลอบถอนหายใจหนักๆ เหมือนมีลูกชายที่ต้องคอยดูแลเลยว่ะ

"มึงจะส่องเขาให้ตัวเองเจ็บทำไม อย่าโง่ซ้ำซ้อนดิวะ"
ผมพูดต่อแล้วยกแขนพาดบ่าพี่ชายแล้วกอดกระชับเข้ามาเพราะอยากให้กำลังใจ

"อืม... จะพยายาม"

"เออ ฉลาดให้มันเหมือนเรื่องเรียนบ้างนะเพื่อน"
ไอ้เอยเสริมพร้อมกับเอื้อมมือมาขยี้หัวจิณณ์ด้วยความเอ็นดู แต่กลับได้สายตาดุๆ กลับไป ไอ้นี่ก็ไบโพล่าตลอด เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ตามไม่ทันเว้ย

"ซ้ำเติมตลอด"
ยังจะมีหน้าไปเบ้ปากใส่แล้วว่าคนอื่นอีก ทำตัวเองทั้งนั้นน่ะจิณณ์

"ก็คนอย่างมึงปลอบไปก็เสียเวลา สู้พูดตรงๆ ดีกว่า"
ไอ้เอยพูดจบก็ยังคิ้วกวนๆ มาให้กัน ทำใจจิณณ์ถึงกับส่งหมัดไปชนกับแก้มของเพื่อนแต่ไม่แรงมานักก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ ออกมา

"เออๆ เข้าใจแล้ว ขอบใจพวกมึงมากที่อยู่ข้างกันตลอด"

"เออ/อืม"
ผมกับเอยตอบพร้อมกันก่อนที่เราจะลงมือจัดการอาหารตรงหน้าให้หมด

หลังจากที่ปล่อยให้ไอ้เอยขับรถด้วยตัวเองนานกว่าหนึ่งชั่วโมง มันหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าหมู่บ้านหนึ่งที่ผมคุ้นเคยว่าเคยมาอยู่สองสามครั้ง... แม่ง โลกกลมอีกแล้ว

"มึงอยู่หมู่บ้านนี้เหรอเอย"
ผมหันไปถามคนที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน มันเหลือบมองเล็กน้อยก่อนพยักหน้ารับ

"เออดิ มีอะไรหรือเปล่า"

"เพื่อนกูก็อยู่ที่นี่"
ผมบอกก่อนจะมองไปในทิศทางบ้านของเพื่อน ซึ่งอยู่คนละฝั่งของบ้านไอ้เอย

"ไอ้ก๊วนมึงอะนะ"

"เออ"

"ชื่อไรวะ"

"ไอ้ตังค์ รู้จักหรือเปล่า"
ผมหันกลับไปสนใจไอ้เอยต่อเพราะลุ้นว่าโลกจะกลมอีกหรือเปล่า แต่ดูจากใบหน้ามึนๆ คิ้วที่ขมวดเข้าหากันแล้วคงไม่เป็นไปตามที่หวัง

"อืม... ไม่รู้ว่ะ ไม่คุ้น"
สุดท้ายมันก็ไม่รู้จักไอ้เนิร์ดโอตาคุจริงๆ ด้วย

"เออๆ ถ้ามีโอกาสจะแนะนำให้รู้จัก"
ผมบอกก่อนที่มันจะจอดรถหน้าบ้านหลังหนึ่ง เห็นแวบๆ ที่ประตูรั้วว่ามีหมาขนฟูยืนรอเจ้านายมันอยู่ ถ้ามองไม่ผิดน่าจะเป็นพันธุ์อัลเซเชียน โหดสัด

"โอเค กูเข้าบ้านก่อนนะ ขอบคุณพวกมึงมาก"
ไอ้เอยลงจากรถแล้วกล่าวขอบคุณกัน

"เออ ไว้เจอกัน"
ผมบอกก่อนจะโบกมือลาเป็นพิธีในจังหวะที่มันกำลังปิดประตูแล้วเดินไปที่ด้านหลัง สงสัยจะคุยกับจิณณ์

"ไอ้จิณณ์ วันจันทร์อย่าลืมมารับกู"
เอยเปิดประตูแล้วโน้มตัวชะโงกหน้ามาคุยกับจิณณ์ด้วยน้ำเสียงเข้มๆ มันสะดุ้งก่อนจะทำเสียงฮึดฮัด ไอ้นี่ออกอาการรำคาญตลอด เดี๋ยวพ่อถีบกระเด็น

"ครับๆ เจ้านาย โทรมาปลุกกูด้วยแล้วกัน"

ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มที่เราเพิ่งฟาดมื้อเย็นเป็นก๋วยเตี๋ยวต้มยำหมูตุ๋นจากร้านแถวๆ คอนโดเสร็จแล้วมานั่งกองกันที่โซฟาเพื่อรออาหารย่อยและอาบน้ำในรายการต่อไป ผมรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ว่าอีกไม่นานจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ เพราะตาขวากระตุกถี่ยิบจนน่ารำคาญ

"มึง... กูจะไปนอนแล้วนะ รู้สึกเพลียๆ"
จิณณ์บอกแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วบิดตัวไปมาเพื่อไล่ความเมื่อยขบ ได้ยินเสียงโอดโอยเบาๆ สงสัยจะครั่นเนื้อครั่นตัวด้วยล่ะมั้ง ถ้ามันเป็นไข้ขึ้นมาผมเจอศึกหนักเลยนะ

"เออๆ อาบน้ำแล้วนอนซะ"
ผมบอกก่อนจะหันไปสนใจหนังที่ฉายในทีวีต่อ กำลังดูทรานส์ฟอร์เมอร์สภาคเก่าอยู่เชียว

"อืม เจ็ท พรุ่งนี้..."
จิณณ์เรียกชื่อกันและพูดค้างไว้แค่นั้นทำให้ผมประหลาดใจจนต้องละสายตาจากหน้าจอ

"พรุ่งนี้ทำไม"
ผมถามออกไปเพราะอยากรู้ว่าจิณณ์กำลังจะบอกอะไร มันคงมีความสำคัญมากแน่ๆ ถ้าไม่อย่างนั้นคงไม่ยืนทำหน้าจริงจังแบบนี่หรอก

"กูจะกลับมากวนตีนมึงเหมือนเดิม"
จิณณ์พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นก่อนจะฝืนยิ้มออกมา ผมได้แต่ชะงักเพราะเบื่อที่จะโดนแกล้ง แต่คิดไปคิดมาได้พี่ชายคนเดิมกลับคงดีกว่าอะไรทั้งหมด ยอมก็ได้วะ

"เออ กูรอมานานแล้ว ทำให้ได้นะมึง"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วลุกขึ้นยืนก่อนจะออกแรงดันหลังให้ฝาแฝดตัวดีเข้าไปพักผ่อนสักที ถึงจะเห็นเราพูดจาแรงๆ ใส่กัน แต่ความจริงก็รักกันมาก

หนังเรื่องโปรดจบลงไปแล้ว ผมจัดการปิดทีวี ปิดไฟแล้วลากสังขารของตัวเองเข้าห้องนอนก่อนจะพุ่งตัวเข้าห้องน้ำชำระร่างกายเพื่อเรียกคืนความสดชื่นให้แก่ชีวิต ใช้เวลาอยู่ประมาณยี่สิบนาทีก่อนจะออกมานั่งเช็ดผมแล้วไถไอจีดูอะไรไปเรื่อย

วันนี้หมอทาวน์ไม่อัพเดทอะไรสักอย่าง คล้ายกับว่าเขาหายไปจากโลกของผม อยากเจอ แต่ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง นี่ล่ะน้า สภาพของคนแอบชอบ จะสุขก็ไม่สุขจะทุกข์ก็ไม่ทุกข์ โคตรก่ำกึ่ง

เออะ...

ผมเผลอสะดุ้งเมื่อหน้าจอปรากฏสายเรียกเข้าวีดีโอคอลมาจากอีกฝั่งหนึ่งของโลก วันนี้มาแปลกที่เธอเลือกใช้แอพพลิเคชั่นไลน์ แล้วไอ้เรื่องที่เป็นลางสังหรณ์เมื่อหลายชั่วโมงที่แล้วก็เกิดขึ้นจริง อยากแกล้งตายจริงๆ เว้ย แต่ทำไม่ได้ เพราะเมื่อครู่ผมเพิ่งกดหัวใจในไอจีให้พี่แจมไปเอง ฮึก... อยากเบะปากร้องไห้ตามจิณณ์จัง

'คุงอา ~ ฮาวอาร์ยูตูเดย์'
เสียงใสๆ จากปลายทางและใบหน้าจิ้มลิ่มกลมๆ โผล่ออกมาจนเต็มหน้าจอทำให้ผมเผลอถอนหายใจด้วยความโล่งอก ที่แท้ก็หลานชายตัวแสบคิดถึงคุณอานี่เอง

"แอมไฟน์ครับ แล้วโจชัวล่ะ"
ผมคลี่ยิ้มส่งให้ 'โจชัว' ที่นอนคว่ำอยู่ เจ้าแสบกลิ้งไปมาทำให้หน้าจอโคลงเคลง คุณอาเวียนหัวแทบจะอ้วกแล้วครับลูก อยู่นิ่งๆ สักทีเถอะ

"แอมน็อตโอเค มัมไม่ยอมฉื้อทอยให้ งื้อ"
ไอ้ตัวแสบทำหน้าบึ้งก่อนจะร้องครางในท้ายประโยคอย่างขัดใจ ผมอยากเอื้อมมือเข้าไปหยิกแก้มกลมๆ นั่นด้วยความหมั่นไส้ เด็กอะไรงอแงยังน่ารัก ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลนั่นสวยจริงๆ

"อ้าว โจชัวอยากได้อะไรเหรอครับ"
ผมแสร้งทำหน้าประหลาดใจแล้วถามหลายชายคนเก่งกลับ โจชัวเบะปากลงก่อนจะพึมพำบางอย่างที่คุณอาได้คาดการณ์เอาไว้แล้ว

"ไอว้อนท์บับเบิ้ลบี ~ ฮื่อ คุงอา ป๋มอยากได้"
เจ้าแสบดิ้นขลุกขลักแต่มือยังจับโทรศัพท์ไว้มั่น ผมหัวเราะให้กับความงอแงนั่นก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู โจชัวชอบทรานส์ฟอร์เมอร์เหมือนผม

"ทรานส์ฟอร์เมอร์สเหรอ"

"เยส ~ คุงอาฮับ ฉื้อให้โจชัวหน่อย"
เด็กน้อยตอบเสียงดังฉะฉานก่อนจะหยุดดิ้นแล้วเปลี่ยนมากระพริบตาปริบๆ เพื่ออ้อนผมแทน อยากจะบอกว่าอาก็อยากได้เหมือนกันครับโจชัว แต่ไม่มีปัญญาซื้อ ไปร้องไห้ขอมัมไม่ก็แด๊ดเถอะ

"อะ..."
กำลังจะอ้าปากโอ๋หลาน แต่คุณแม่คนสวยก็เข้ามาแย่งโทรศัพท์ไปซะก่อน พร้อมกับโชว์การดุลูกให้ผมฟัง ทำให้นะโจชัว คุณอาเคยประสบพบเจอเหตุการณ์แบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่โดนทีไรก็ไม่ชินสักที สะเทือนใจ

"ไอ้หมูโจชัวอ้อนอะไรคุณอาอีกแล้วหื้ม"
น้ำเสียงดุแต่มือเรียวๆ ก็ประคองหน้าเจ้าแสบไว้อย่างอ่อนโยน นี่ล่ะน้า คุณแม่ รักลูกยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดในโลกนี้

"มัม ~ ไอว้อนท์บับเบิ้ลบี"
เด็กน้อยส่งเสียงเจื้อยแจ้วก่อนจะปีนขึ้นไปนั่งบนตักของพี่แจมแล้วเอาหัวซบอกถูไถอย่างอ้อนๆ แต่ถ้าคิดว่าเธอจะใจอ่อน บอกเลยว่าคิดผิด เพราะคนๆ นี้ไม่เคยเอาใจลูกเกินความจำเป็น เพราะกลัวโตมาจะเสียคน

"โนๆ ไปอยู่กับคุณยายก่อน มัมจะคุยธุระกับอาเจ็ท"
เธอบอกเจ้าแสบก่อนจะกวักมือเรียกพี่เลี้ยงที่รออยู่ด้านหลังแล้วส่งโจชัวให้ไป

"ฮึก มัมใจย้าย แง ~"
ได้ยินเสียงงอแงแว่วเข้ามาทำให้ผมอดสงสารไม่ได้ แต่เชื่อว่าพี่สาวคนสวยมีเหตุผลเสมอ

"ทำไมไม่ซื้อให้โจชัวล่ะพี่"

"โอ้ยแก อาทิตย์ที่แล้วเพิ่งซื้อออฟติมัสไพร์มไปเอง"
นั่นไง เจ้าแสบนี่มันร้ายจริงๆ วันหลังเอามาแบ่งคุณอาบ้างเนอะ อยากได้เหมือนกัน

"อ๋อ... เข้าใจแล้ว"
ผมตอบกลับไปแล้วพยักหน้าหงึกหงัก แต่แปลกที่เธอเอาแต่จ้องหน้ากันหรือว่ากำลังจะถามเรื่องรูปในไอจีวันนั้น แย่แล้วไหมล่ะ ไม่ได้คิดคำโกหกเผื่อไว้ด้วยสิ...

"เออ นั่นล่ะ ตอนนี้มาเข้าเรื่องของแกดีกว่านะเจ็ท อยากคลุกวงในใคร เล่าให้ละเอียด"

ฉิบหายแล้วไหมล่ะกู เรื่องหลานคิดถึงมันแค่มโนของจริงคือพี่สาวคนสวยต่างหากที่จะกลายเป็นฝ่ายสอบสวน ชีวิตกู โดนเทศน์ยาวแน่ๆ ชอบใครไม่ชอบดันชอบหมอ เอ้ย ไม่ใช่ ดันชอบผู้ชายต่างหาก




--------------------------------------

เจ็ทได้คุยกับพี่หมอทาวน์ละเน้อ ต้องลุ้นกันต่อไปว่าหมอจะเกลียดขี้หน้าน้องหรือเปล่า 55555

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5



'เขาเป็นผู้ชายนะเจ็ท'
"ผมขอโทษ..."
'จะขอโทษทำไม แกไม่ได้ทำอะไรผิด'
"อ้าว..."
'แค่อยากจะเตือนว่าเขาเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่มีแฟนเป็นผู้หญิง'
"อื้อ ผมรู้"
'แกจะไม่เป็นมือที่สามและจะไม่ทำอะไรวู่วามใช่ไหมเจ็ท'
"แน่นอนว่าไม่ครับพี่แจม"
'ก็ดีแล้ว การแอบชอบของแกต้องมีขอบเขตด้วยนะ เข้าใจไหม'
"ครับ เข้าใจแล้ว"
'นี่... พ่อแม่ได้ยินเรื่องที่เราคุยกันหมดแล้วนะ'
"ห๊ะ! เฮ้ย ละ แล้ว พ่อกับแม่ว่าไงบ้าง"
'ก็นั่งบ่นว่าตกใจที่แกชอบผู้ชาย แต่เห็นว่าหมอหล่อดีเลยยอม'
"อย่ามาอำ"
'แกเคยเห็นพ่อแม่เครียดเรื่องแฟนของพวกเราหรือไง แกจะรักใครชอบใครก็ตามใจ ขอแค่มีความสุขและไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็พอ'
"ฝากขอบคุณทั้งสองคนด้วยที่เข้าใจ"
'จ้า แล้วจะบอกให้นะแก'
"ง่วงแล้ว แค่นี้ก่อนนะพี่แจม"
'เออๆ ดูแลจิณณ์ดีๆ ด้วยล่ะ'
"ครับๆ บ๊ายบาย"
เฮ้อ โล่ง!

ผมนอนคิดทบทวนเหตุการณ์เมื่อคืนแล้วได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นึกว่าจะโดนพ่อกับแม่ด่าที่ลูกชายชอบเพศเดียวกัน และผิดคาดที่พี่แจมไม่ได้อาละวาดอะไรเลย แต่กลับเข้าอกเข้าใจดีว่าความรักไม่สามารถบังคับได้ นี่ล่ะนะครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ไม่บังคับ ให้ลองผิดลองถูกเอง เมื่อทำผิดจะคอยตักเตือน

ครืด ~
เสียงโทรศัพท์สั่นทำให้ผมหลุดจากภวังค์ความคิดแล้วเอื้อมมือไปหยิบมันมาเปิดดู เป็นข้อความไลน์ที่ถูกส่งมาจากไอ้ไธตั้งแต่เช้า

Thamthai : มึง... กูมีอะไรจะบอกว่ะ
Thamthai : ตื่นมาฟังกูหน่อย เร็วๆ
ผมอ่านจบก็ได้แต่ขมวดคิ้ว ทำไมมันดูเร่งร้อนแปลกๆ หรือมีธุระด่วนแบบคอขาดบาดตาย แต่ถ้าหนักขนาดนั้นไอ้ไธต้องโทรมาสิ จะเสียเวลาพิมพ์ไลน์เพื่ออะไร

Phakin : ตื่นแล้ว มึงมีอะไรวะ
ผมพิมพ์ตอบกลับไปแล้วมันขึ้นว่าอ่านทันที คงมีเรื่องด่วนจริงๆ นั่นล่ะ ตั้งแต่เก้าโมงเนี่ยนะ

Thamthai : พี่ทาวน์ลงแข่งบาสฯ มหา'ลัยเว้ย มึงจะไม่ลงไปคลุกวงในกับเขาบ้างเหรอ
Phakin : ห๊ะ...
ผมช็อกไปแล้วเพราะตั้งแต่วันนั้นที่ลงรูปอยากคลุกวงในในไอจี ไอ้ไธก็ไม่ได้พูดอะไรสักอย่าง แต่มาวันนี้ทำเหมือนรู้เรื่องดี... งงแล้วนะเว้ย ตกลงว่าที่ทำเนียนถามนั่นถามนี่ก็พังหมดน่ะสิ ความลับถูกเปิดเผยไวฉิบหาย

Thamtai : มึงจะตกใจห่าอะไรอีก กูรู้หรอกน่าว่ามึงชอบพี่ทาวน์ อุตส่าห์ไปสืบมาจากพี่ฟา
Phakin : ทำไมรู้วะ กูยังไม่ได้บอกมึงเลย
Thamthai : กูฉลาด กินแบรนด์เยอะ 5555
Phakin : ไม่เล่นดิ ขอความจริง แล้วมึงบอกพี่ฟาไปหรือเปล่า
มันตลกแต่ผมไม่ขำนะ ถ้าไอ้ไธรู้ จิณณ์ก็มีสิทธิ์จะรู้เหมือนกัน แต่รายนั้นคงมัวแต่เฮิร์ทเลยไม่ได้สังเกตอะไร ไม่อย่างนั้นคงหยิบมาล้อนานแล้ว

Thamthai : ก็มึงดูสนใจพี่ทาวน์เป็นพิเศษ พอลงรูปนั้นกูก็มั่นใจว่าชอบแน่ๆ
ดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอวะ ซวยแล้ว แต่ตอนที่ถามถึงหมอทาวน์ยังไม่ได้ชอบในเชิงชู้สาวจริงๆ นะเว้ย...

Thamthai : กูไม่ได้บอกอะไรพี่ฟานะ เดี๋ยวมันเอาไปบอกพี่ทาวน์จะเรื่องใหญ่
Phakin : เออๆ แม่ง ความลับกู...
Thamthai : ตกลงจะแข่งบาสฯ ปะ กูจะได้บอกรุ่นพี่ให้
Phakin : ไม่ล่ะ ขอเป็นกองเชียร์ก็พอแล้ว
Thamthai : เออ
ผมวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมแล้วถอนหายใจออกมาหนักๆ มีอีกหนึ่งคนที่รู้เรื่องนี้แล้วสินะ หลังจากนี้ถึงใครจะรู้อีกกี่สิบกี่ร้อยคนมันก็คือความจริงที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ถ้าวันหนึ่งหมอทาวน์จะสะกิดใจคงไม่แปลก แต่ผลตอบรับจะเป็นไปในทิศทางไหน อันนี้ก็แล้วแต่แต้มบุญที่ยังมีอยู่ หรือไม่มีเลยวะ เฮ้อ

ความคิดที่จะนอนต่อเป็นอันต้องล้มเลิกเมื่อเสียงเคาะประตูห้องนอนดังขึ้นตามมาด้วยใบหน้าที่ของฝาแฝดโผล่เข้ามา สงสัยจะหิวแล้วขี้เกียจทำอาหารแน่ๆ ปลุกกันตั้งแต่เช้าตลอด ไม่สงสารคนติดเกมบ้างเลย

"ตื่นยัง"
จิณณ์ถามด้วยน้ำเสียงที่ดูสดใสกว่าเมื่อวานแต่ใบหน้ายังคงแสดงความอิดโรย ท่าทางกวนตีนอะไรก็ไม่มีสักนิดเดียว แต่ดีแล้วที่มันสามารถแงะตัวเองออกจากเตียงในเวลาประจำได้ ถือว่าอาการอกหักทุเลาลงบ้าง

"เออ ตื่นแล้ว หิวเหรอ"
ผมผงกหัวมองพี่ชายที่เดินมานั่งลงบนเตียง ท่าทางนิ่งๆ แบบนี้โคตรขัดหูขัดตา ปกติต้องระริกระรี้ไปเปิดผ้าม่านแกล้งกันสิวะ

"นิดหน่อย แต่จริงๆ แล้วจะมากวนตีนมึง"
จิณณ์พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วแสร้งยักคิ้วกวนมาให้กัน ผมได้แต่แอบหายหายใจและคิดอยู่เงียบๆ ว่า แม่งเหมือนหน้าแค่กระตุกเฉยๆ ไม่ใช่ตั้งใจจะกวนตีน

"ห๊ะ... อ๋อ ตลกละมึง วันนี้พลาดนะ กูตื่นก่อน"
ผมก็ตามน้ำไปเรื่อยเพื่อให้มันสบายใจ ดูจากท่าทางคงยังตัดเรื่องของพี่เค้กไม่ได้แต่ก็พยายามสุดความสามารถให้ผมวางใจ

"เออ เสียเซลฟ์เลยเนี่ย แม่ง..."
มันทำเป็นบ่นกระปอดกระแปดก่อนจะตีมือลงบนฟูกด้วยท่าทางหงุดหงิด ผมเห็นแบบนั้นแล้วอยากถีบให้กระเด็น ฝืนตัวเองจนดูเหมือนหุ่นยนต์ ไหนบอกสิใครตั้งโปรแกรมจำกัดขอบเขต ผมจะด่ายันโคตรเง่าเลย

"มึงเพิ่งตื่นเหรอ"
ผมถามด้วยความสงสัย เพราะปกติแล้วฝาแฝดจะตื่นเช้ากว่ากันเสมอ แล้ววันนี้ที่เขาตั้งใจจะมากวนตีนทำไมถึงได้ตื่นสายล่ะ แปลก

"เออดิ นอนเพลินฉิบหายเลยวันนี้"
ตอบกลับด้วยน้ำเสียงฉุนเล็กน้อยก่อนจะทิ้งตัวลงนอนข้างๆ กัน ดีนะที่ผมไม่ได้ยึดกลางเตียง ไม่อย่างนั้นจิณณ์คงทับลงมาเต็มๆ

"ไม่สบายหรือเปล่า"
ผมถามในสิ่งที่อาจจะเป็นไปได้ เพราะตั้งแต่มันเข้ามาในห้องนี้ก็เอาแต่สูดจมูกฟึดฟัด การอกหักทำให้ร่างกายอ่อนแอจนเป็นหวัดสินะ... ทฤษฎีนี้ใช้ได้ไหม เอาไปถามหมอทาวน์ได้ปะ ข้ออ้างของการอยากคุยชัดๆ เขินจัง

"คงงั้น"

"อืม ไปอาบน้ำไป เดี๋ยวกูออกไปเตรียมอาหารเช้าให้"

"ขอข้าวต้มกุ้ง"
มันพูดด้วยน้ำเสียงสดชื่นขึ้นมานิดหน่อยก่อนจะเด้งตัวขึ้นจากเตียงตามมาติดๆ ผมหันขวับไปมองแล้วแยกเขี้ยวใส่ ข้าวต้มกุ้งทำยังไงวะ ชีวิตนี้ทำเป็นแค่ข้าวไข่ข้นกับมาม่าเหอะ อะๆ แถมทอดของกินเล็กๆ น้อยๆ ได้

"ไอ้สัด ยากไปปะ อยากแดกก็ไปทำเองเลย"
ผมด่าฝาแฝดก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วกระชากผ้านวมที่ยังไม่ได้พับให้คลุมหัวจิณณ์ด้วยความหมั่นไส้ ทำอย่างกับน้องชายตัวเองเป็นเชฟ กูก็แค่นักชิมดีๆ นี่เอง

"โห ฝึกดิๆ ทำอย่างอื่นด้วย แดกแต่ข้าวไข่ข้นแม่ง... ไม่ไหว"
จิณณ์บ่นเสียงอู้อี้แล้วพยายามหาทางออกจากผ้านวมผืนยักษ์ สภาพของมันตอนหลุดพ้นนั้นแทบดูไม่ได้ ผมเผ้ายุ่งเหยิง สีหน้าบูดบึ้ง เห็นแล้วแทนที่จะสงสารกลับอยากแกล้งอีกสักรอบสองรอบ

"ใครบอกว่ากูจะทำเมนูนั้น เช้านี้จะทอดไส้กรอก ไข่ดาว เบคอนต่างหาก เบรคฟาสต์น่ะ รู้จักไหม"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ การทอดเบคอนไม่ใช่เรื่องง่ายนะเว้ย ต้องคอยขยับตัวซ้ายขวาหลบน้ำมันที่กระเด็น ทำยากสุดๆ

"นี่เรียกพัฒนาลงปะวะ"
จิณณ์เหลือบสายตามองอย่างเหยียดๆ คนทำอาหารเก่งอย่างมันคงเห็นว่าของแค่นี้ทำง่าย แต่สำหรับผมแล้วมันโคตรยาก ไม่เข้าใจวิถีคนรอกินเป็นอย่างเดียวเลย

"จะแดกไม่แดก พูดมาก"
ผมพูดเสียงสะบัดก่อนจะจัดการพับผ้านวมให้เรียบร้อย จิณณ์ลงจากเตียงแล้วเข้ามาเอาหน้าถูไถแผ่นอกกว้างจนรู้สึกขนลุก ไอ้นี่แกล้งกันอีกแล้ว กูไม่ได้ใส่เสื้อ ไอ้สัด!

"แดกจ้าๆ อย่ามีอารมณ์ตั้งแต่เช้าสิ"
ผมขยับตัวถอยหลังแล้วด่ามันไปแบบลิ้นรัว แต่จิณณ์กลับตอบมาด้วยใบหน้าระรื่นเต็มที่ แล้วดูสิ่งที่พูดออกมา มันใช่เหรอวะ

"พูดเหี้ยอะไรของมึง"

"อุ้ย เก๊าพูดผิด ไปอาบน้ำดีกว่า"
มันทำเสียงแบ๊วก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ เพราะผมยังไม่ทันได้ขยับไปขย้ำคอจิณณ์ เจ้าตัวก็ไปถึงประตูห้องซะแล้ว

"มึงแม่ง!"

ผมจัดการอาหารเช้าเรียบร้อยแล้วนั่งกินกับจิณณ์จนหมดก่อนจะค่อยพาตัวเองมานั่งพักท้องที่โซฟา รอย่อยแล้วค่อยไปอาบน้ำ มือหนาเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหวังจะเล่นเกม แต่สายตาสะดุดเข้ากับข้อความของไอ้ไธซะก่อน วันนี้มันคึกอะไรวะ ส่งไลน์หาทั้งวัน

Thamthai : มึงๆ ตอนบ่ายว่างปะวะ
Phakin : ว่างทั้งวัน จะชวนกูไปเดทเหรอ
ผมตอบมันด้วยประโยคกวนตีน ไหนๆ ก็หน้าเหมือนจิณณ์ มันอาจจะชวนไปซ้อมเดทก็ได้

Thamthai : ใช่ก็เหี้ยละ ว่าจะชวนไปเดินห้าง อยากกินไอติมว่ะ
Phakin : ตอแหล อยากคุยเรื่องจิณณ์ก็บอก
Thamthai : สัดนี่ รู้ทันอีก
มีไม่กี่เรื่องหรอกที่เราคุยกันช่วงนี้ เหมือนกำลังแลกเปลี่ยนข้อมูลเป้าหมายซึ่งกันและกัน ผมบอกเรื่องจิณณ์ ส่วนไอ้ไธบอกเรื่องหมอทาวน์ แฟร์ๆ โลกสีชมพูอมม่วง

Phakin : แน่นอน กูเก่ง
Thamthai : ไม่เถียงกับมึงแล้ว แต่จิณณ์จะปล่อยให้มึงไปกับกูปะเนี่ย
Phakin : เดี๋ยวมันก็ออกไปคณะแล้ว มีประชุมห่าเหวอะไรไม่รู้ กลับเย็นๆ นู่นล่ะ
ผมตอบแล้วเหลือบสายตาไปมองคนที่กำลังใส่ชุดนักศึกษาเต็มยศ ทำเป็นมาควงกุญแจ ถ้ามันหลุดมือแล้วฟาดหน้า จะหัวเราะให้ฟันหัก เท่ตายห่าล่ะมึง

Thamthai : เออดี งั้นเจอกันชั้นล่างตอนบ่ายโมง
Phakin : โอเค
ผมวางโทรศัพท์ลงในขณะที่จิณณ์เดินตรงมาหาแล้วยื่นเนคไทมาให้ เดือดร้อนกูอีกแล้วพ่อเดือนมหา'ลัย มีปัญหากับไอ้ผ้าเส้นยาวๆ นี่ตลอด

"ทำไมไม่เลือกเนคไทแบบสำเร็จวะ"
ผมถามแต่มือก็รับเนคไทมาผูกให้

"ก็... แหะๆ ตอนนั้นคิดว่าถ้ามีแฟนแล้วอ้อนให้แฟนผูกคงน่ารักดี"
มันตอบด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ ก่อนจะยกมือขึ้นถูท้ายทอยด้วยความเขินอาย ผมถึงกับเหลือกตา เหตุผลส้นตีนอะไรเนี่ย ปัญญาอ่อนโคตร

"แล้วไง สุดท้ายก็อ้อนกู น่ารักไหมล่ะ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ แล้วส่งเนคไทพร้อมใส่ให้มัน จิณณ์เอ่ยขอบคุณแล้วจัดการแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋ากับโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนชั้นวางทีวี

"น่ารักที่สุดในโลก ~"
ชมกันด้วยน้ำเสียงตอแหลจนผมอดไม่ได้ที่จะขวางกระดาษทิชชู่ใช้แล้วใส่มันด้วยความหมั่นไส้ มีพี่ชายคนหนึ่งก็โคตรปวดหัว ใครสนใจเอาไปดูแลแทนไหม จะขายให้ราคาถูกๆ

ตามที่ได้นัดไอ้ไธไว้ ผมมานั่งรอที่ชั้นล่างได้ประมาณสิบนาทีแล้ว แต่ยังไม่เห็นมันโผล่หัวมา อาจจะมีธุระติดพันก็ได้ แต่ตอนที่กำลังจะเข้าเล่นเกมในโทรศัพท์กลับได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคย

"เจ็ท ขอโทษที่ช้า"

"เออๆ ไม่เป็นไร"
ผมบอกก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วบิดขี้เกียจไปมา ช้าแค่สิบนาทีจะซีเรียสอะไรนักหนา ทำหน้าอยากกับบุกไปปล้ำจิณณ์แล้วมาสารภาพบาปทีหลัง

"งั้นไปกัน กูเริ่มหิวละ"
มันบอกด้วยน้ำเสียงสดใสก่อนจะเริ่มออกเดินไปที่ลานจอดรถพร้อมๆ กัน

"หิวเหมือนกันว่ะ แดกอะไรดี"
ถามออกไปเพราะคิดของที่อยากกินไม่ออก เพราะปกติชอบเข้าร้านซ้ำๆ กลัวเพื่อนจะเบื่อ

"โออิชิบุฟเฟ่ต์"
ไอ้ไธตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริงจนผิดสังเกต ก็พอเข้าใจว่าไอ้โออิชิบุฟเฟ่ต์เนี่ยโคตรดี โคตรอร่อย แต่ค่าหัวก็แพงหูฉีกไง สิ้นเดือดจะได้แดกมาม่ากันเป็นแถวเนื่องจากเงินในบัญชีหมดก่อนกำหนด

"ห๊ะ กูไม่มีตังค์นะเว้ย"
ผมโวยทันทีเพราะทั้งเนื้อทั้งตัวพกมาแค่ธนบัตรสีม่วงหนึ่งใบและสีแดงอีกสามใบ เสือกแดกของแพงก็กระเป๋าปลิ้นดิวะ

"มึงคิดว่ากูมีเหรอ พี่แทนจะเลี้ยง"
ไอ้ไธยักคิ้วจึกๆ อย่างเจ้าเล่ห์ตอนพวกเราสอดตัวเข้ารถ ผมยอมรับว่าโคตรดีใจ แดกข้างฟรีโคตรหรู แต่มันติดปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง

"แล้วจะคุยเรื่องจิณณ์ยังไง"
ผมหันไปถามคนที่กำลังคาดเข็มขัดนิรภัยด้วยความสงสัย ถ้ามีพี่แทนอยู่ด้วยน่าจะไม่สะดวก

"กินมื้อเที่ยงเสร็จมันก็กลับบ้านแล้ว"

"อ๋อ โอ้ย ลาภปากพี่เจ็ทจัง"
ในที่สุดผมก็ยิ้มเต็มแก้มกับอาหารฟรีของวันนี้ โชคดีจริงๆ ที่มีพี่(ของเพื่อน)รวย

พวกเรามาถึงห้างเกือบบ่ายสองครึ่ง ลงจากรถได้ก็รีบจ้ำอ้าวไปยังสถานที่นัดหมายทันทีเพราะกลัวว่าเจ้ามือเลี้ยงข้าวจะรอนานแล้วเปลี่ยนใจ

พอเลี้ยวเข้าร้านอาหารก็เห็นพี่แทนกวักมือไวๆ อยู่มุมหนึ่ง ซึ่งมันไกลจากที่วางบุฟเฟ่ต์แต่มีความเป็นส่วนตัว ช่างเหอะ จะนั่งไหนไม่สำคัญ ตามใจเจ้ามือเสมอครับ น้องเจ็ทเป็นคนง่ายๆ อะไรก็ได้

"พี่แทน สวัสดีครับ"
ผมยกมือไหว้คนที่ไม่ได้เจอกันนานก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งข้างไอ้ไธที่ไม่พูดไม่จา ไม่คิดจะทักทายพี่ชายตัวเองหน่อยเหรอวะ

"เออๆ หวัดดี มึงหล่อขึ้นปะวะเจ็ท"
ผมชะงักกึกก้นยังไม่ได้แตะเก้าอี้ก็โดนทักแบบนี้ ทำให้ไปไม่เป็นอยู่เหมือนกัน นี่ตกลงว่าผมหล่อจริงๆ ใช่ไหม ยอมรับก็ได้วะ ขี้เกียจเถียงแล้ว

"ไม่หรอกพี่ เหมือนเดิมทุกอย่าง"
ผมตอบแล้วนั่งลงก่อนจะส่งยิ้มเป็นมิตรให้พี่แทน เขาดูขาวขึ้น ผิวใสขึ้น หน้าตาดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนเป็นเท่าตัว ได้ข่าวว่ามีแฟนเป็นคนญี่ปุ่นด้วยนี่หว่า คงจะน่ารักมากแน่ๆ

"ถ่อมตัวตลอดนะมึง"
พี่แทนไม่วายแอบเหน็บผมก่อนจะหัวเราะออกมา แต่ไอ้ไธนั่งทำหน้าบูดเหมือนตูดนั้นกำลังไม่พอใจแน่ๆ

"กินกันเถอะ อย่ามัวคุย"
เพราะความหิวแท้ๆ

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ที่ซัดอาหารเข้าปากแบบไม่มีใครพูดจา ตอนนี้ทุกคนเริ่มอืดเลยนั่งพักแล้วชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ จนมาถึงคำถามยอดฮิต

"เออนี่ มึงมีแฟนหรือยังเจ็ท"
พี่แทนเอ่ยปากถามในขณะที่เพิ่งวางโทรศัพท์ลงหลังจากวีดีโอกับแฟน

"ยังครับ"
ผมตอบกลับไปตามความจริงแต่ในหัวกลับคิดถึงหมอทาวน์ นั่นคืออนาคตแฟนที่เลือนลางเหลือเกิน ชาตินี้ไม่รู้จะมีโอกาสขนาดนั้นไหม

"เลือกเยอะสินะ"
พี่แทนพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า คืออย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย ความจริงไม่ได้เลือกเยอะแต่ยังไม่สนใจใครต่างหาก

"โห พูดซะผมดูแย่"

"หรือไม่จริง"

"ก็... ยังไม่เจอคนที่ถูกใจ"
ผมว่าเสียงอ่อยแล้วคีบแซลมอนใส่ปาก ไม่ได้กินซาซิมินานแล้ว ตอนนี้เลยโคตรฟิน ทั้งอร่อยทั้งฟรี

"นี่มึงสองคนก็อปปี้คำพูดกันมาเหรอ ตอบเหมือนกันเด๊ะ"
พี่แทนมองผมกับไอ้ไธสลับกันด้วยสีหน้าจับผิด มันน่าจะเป็นเรื่องปกติที่เพื่อนกันจะคิดเหมือนกันได้ แปลกตรงไหนวะ

"เพื่อนกันครับ"
ไอ้ไธบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วเลื่อนจานกุ้งเทมปุระมาให้ผมเพราะเอื้อมไปคีบไม่ถึง แต่พี่แทนจะยิ้มกรุ้มกริ่มทำไมวะ อย่าบอกนะว่า...

"ถ้าบอกเป็นแฟนกันกูก็เชื่อ"
ซื้อหวยไม่ถูกแบบนี้บ้างวะ ขนาดแค่เลื่อนจานอาหารให้กันยังเป็นประเด็นได้ ถ้าเห็นพวกเราตอนอยู่มหา'ลัยจะไม่บอกว่าเป็นผัวเมียกันเลยเหรอ

"เอิ่ม เดี๋ยวฟ้าผ่า ขนลุกครับ"
ผมบอกก่อนจะมองไอ้ไธด้วยใบหน้าขยะแขยง แต่เหมือนมันจะอยากแกล้งผมเลยส่งยิ้มหวานมาให้จนรู้สึกขนลุก กูไม่ใช้ไอ้จิณณ์ไม่ต้องทำแบบนี้ใส่เลย แม่ง...

"กูล้อเล่นน่า กินต่อๆ เอาให้คุ้ม"
พี่แทนบอกด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแล้วชวนพวกเรากินต่อเพราะเหลือเวลาอีกเกือบครึ่งชั่วโมง มันต้องยัดลงกระเพาะให้คุ้มกับค่าหัวที่เสียไป ลุย!

หลังจากที่เดินลูบท้องป่องๆ ออกมาจากร้านพวกเราก็แยกกับพี่แทน ก่อนโบกมือลายังโดนนัดไปกินเหล้าฟรีปลายอาทิตย์อีก ผมจะปฏิเสธได้ยังไง เดี๋ยวเสียมารยาทเพราะผู้ใหญ่ชวน ต้องตอบตกลงลูกเดียว มีคนเปย์ให้ก็สบายแบบนี้ล่ะ

"มึง ไปร้านหนังสือกัน"
ระหว่างที่เดินทอดน่องแบบไร้จุดหมายปลายทาง คนข้างๆ ตัวผมก็เอ่ยปากชวน

"อ้าว แล้วไอติมล่ะ"
ผมขมวดคิ้วเพราะนึกว่าเพื่อนจะตรงไปร้านไอติมเลย ผิดคาดแต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะตอนนี้อิ่มจนจะอ้วกอยู่แล้ว ไม่สามารถยัดอะไรได้อีก

"เดินย่อยปลาแซลมอนของมึงก่อนไหม จะออกมาทางปากแล้วมั้ง"
ไอ้ไธพูดติดตลกแล้วเอื้อมมือมาจิ้มท้องตึงๆ ของผม อย่าถามหาซิกแพคอะไรตอนนี้ เพราะมันหายไปหมดแล้ว รอย่อยก่อนเถอะ จะกลับมาน่าขย้ำเหมือนเดิม

"เออว่ะ ก็ดีเหมือนกัน"
ผมตอบกลับก่อนจะตีพุงเบาๆ แล้วยิ้มเผล่ เดินย่อยก่อนจะได้กินไอติมเยอะๆ ออกมากับไอ้ไธวันนี้มีแต่คำว่าคุ้มกับคุ้มจริงๆ

ผมกับไอ้ไธเดินกันจนมาถึงร้านหนังสือชั้นนำขนาดใหญ่ นานๆ ครั้งจะได้มาเหยียบที่นี่เพราะไม่ค่อยชอบ เห็นตัวหนังสือเยอะๆ แล้วพาลง่วงทุกที  ช่วงสอบเลยกลายเป็นปัญหาใหญ่ ต้องหาอะไรกินไปด้วยระหว่างอ่าน ไม่อย่างนั้นจะหลับ

"มึงจะมาซื้ออะไร"
ผมถามเมื่อตัวเองไม่มีจุดหมาย ถ้าเป็นร้านขายเกมพอว่าไปอย่าง อันนั้นอาจจะช็อปจนหมดตัวได้

"หนังสือการ์ตูนออกใหม่"
มันบอกก่อนจะหันมามองกันเป็นเชิงถามว่าจะตามไปด้วยหรือเปล่า ซึ่งผมพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว อย่าทิ้งกูในร้านหนังสือเลย ไปไม่เป็นว่ะ

"เออๆ"
ผมตอบก่อนจะโดนไอ้ไธกอดคอแล้วออกเดินไปพร้อมกัน ระหว่างทางก็มองซ้ายมองขวาเพื่อมีอะไรน่าสนใจ แล้วเท้ากลับหยุดชะงักเมื่อสายตาปะทะกับร่างใครคนหนึ่ง เสี้ยวหน้าที่คุ้นเคย

"เฮ้ย"
ไอ้ไธร้องเสียงหลงเพราะผมหยุดเดินโดยไม่บอกกล่าว มันยกมือขึ้นโบกหัวกันไม่แรงมากนัก เจ็บแต่ไม่สน เพราะคนที่อยู่ในสายตาตรงนั้นน่าสนใจมากกว่าเป็นล้านเท่า

"มึง..."
ผมเรียกเพื่อนด้วยน้ำเสียงล่องลอย ดวงตามองเป้าหมายด้วยความคิดถึง ไม่ได้เจอกันเลยตั้งแต่วันนั้น กี่วันแล้วนะ ครบอาทิตย์หรือยัง จะลืมหน้ากันไหม

"อะไรวะ หยุดเดินทำไม"
น้ำเสียงฉุนๆ มาพร้อมกับการบีบไหล่เป็นเชิงกระตุ้นให้ผมตอบคำถาม

"คนนั้นคุ้นๆ ปะ"
ผมชี้มือไปที่เป้าหมายแล้วกระตุกยิ้มมุมปากเพราะแน่ใจว่าเป็นเขา แต่อยากได้รับการยืนยันจากเพื่อนว่าเห็นเหมือนกันไหม ไม่ใช่มโนภาพของตัวเอง

"อ้อ... พรหมลิขิตมึงละเจ็ท เข้าไปทักดิ"
ไอ้ไธกระแทกไหล่ผมอย่างแซวๆ แล้วยอมผละแขนออกแถมยังดันหลังให้เดินไปทางนั้นอีก แต่ด้วยความกลัวเลยต้องต่อต้านแรงของเพื่อน ขอเตรียมตัวเตรียมใจสักพักสิวะ

"กลัวหมอทำหน้ายักษ์ใส่อีกว่ะ วันนั้นไม่รู้เกลียดกูไปหรือยัง"
เสียงอ่อยๆ กับใบหน้าหงอยๆ ถูกแสดงออกมาอย่างตั้งใจ พอคิดย้อนไปถึงวันนั้นจิตใจก็พาลห่อเหี่ยว ผมคงจะกวนตีนเขามากไปจริงๆ นั่นล่ะ เลยทำให้อารมณ์เสียขนาดนั้น

"ใจกล้าหน่อยเพื่อน พี่ทาวน์มีเหตุผลมากพอน่า"
ไอ้ไธตบบ่าเพื่อให้กำลังใจจบก็ออกแรงผลักหลังกันอีกรอบ ผมได้แต่หันไปมองค้อนใส่แล้วเบะปากลงเมื่อประโยคเมื่อครู่น่าหมั่นไส้

"แหมะ บอกให้กูใจกล้า ทีมึงล่ะ ป๊อดเรื่องจิณณ์ตลอด"
ผมเหน็บมันไปก่อนจะโยกตัวหลบผ่ามือที่จะตีลงมาบนต้นแขน ทำให้ไอ้ไธเสียหลักเล็กน้อย แต่ทำเป็นเก๊กเพราะกลัวเสียภาพลักษณ์ จ้าๆ พ่อเดือนมหา'ลัย โคตรน่าหมั่นไส้

"เออน่า กำลังตั้งหลัก มึงก็รีบๆ เหอะ เดี๋ยวพี่ทาวน์ไปที่อื่นจะอด"

"เออๆ"
พอเห็นไอ้ไธแยกตัวออกไปแล้วใจมันเขวๆ ยังไงก็ไม่รู้ว่ะ ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อเรียกขวัญกำลังใจก่อนจะมองเป้าหมายอย่างแน่วแน่ เอาวะ วันนี้เป็นไงเป็นกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่างหนึ่งที่ต้องได้ทำคือขอโทษหมอทาวน์

ผมเดินเข้าไปหาหมอทาวน์ด้วยหัวใจที่เต้นแรงจนเผลอยกมือขึ้นกุมหน้าอก ไม่เคยตื่นเต้นขนาดนี้มาก่อน รู้สึกว่าตัวเองกลับไปเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบห้าที่เพิ่งมีความรัก

เขากำลังสนใจหนังสือในมือโดยไม่สังเกตเลยว่าผมเข้าไปยืนข้างๆ รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าหล่อนั้นยิ่งทำให้ใจผมสั่นแรงขึ้น เพิ่งได้รู้วันนี้เองว่าหมอทาวน์มีลักยิ้ม โคตรน่ารักเลยว่ะ

"สวัสดีครับพี่หมอทาวน์"
ผมทักทายด้วยน้ำเสียงร่าเริง หมอสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะละสายตาจากหนังสือในมือแล้วกันมามองหน้ากัน เขานิ่งอยู่สักพักคล้ายกำลังประมวลผล คงคิดอยู่แน่ๆ ว่าไอ้นี่เป็นใคร

"หือ มึง..."

"ครับ บังเอิญจัง มาซื้อหนังสือเหรอ"
ผมไม่อยากให้บทสนทนาชะงักกลางอากาศเลยพูดแทรกขึ้นมาทันที ไม่สนใจแล้วว่าเขาจำได้หรือจำไม่ได้ก็ช่าง ตอนนี้มีโอกาสคุยก็ต้องชวนคุยไว้ก่อน

"อืม"
เขาตอบกลับมาสั้นๆ ก่อนจะทำท่ากลับไปสนใจหนังสือต่อ แต่ผมไม่ยอมแพ่หรอกนะ นานๆ ทีจะเจอกัน ขอตักตวงความสุขหน่อยเถอะ

"มากับใครครับ"

"คนเดียว"

"อ๋อ แฟนไม่มาด้วยเหรอครับ"

"ไม่..."
เขาตอบว่าไม่อะไรสักอย่าง แต่ผมฟังไม่ค่อยถนัด ขอสรุปเอาเองแล้วกันว่าไม่มา คงไม่ใช่ไม่มีหรอก

"คือวันนั้น..."
ผมอึกอักก่อนจะเหลือบมองปฏิกิริยาของคนข้างตัว กลัวจะไปสะกิดต่อมโมโหเขาเข้าว่ะ

"อะไร"
หมอหันมาขมวดคิ้วใส่กันเพียงครู่เดียวก่อนจะกลับไปสนใจหนังสือในมือต่อ ท่าทางแบบนี้ถือว่าเขาอารมณ์ปกติได้ไหม

"ขอโทษนะครับที่กวนตีนไปหน่อย เลยทำให้พี่หงุดหงิด"
ผมก้มหัวเป็นการขอโทษเขาก่อนจะลอบมองอย่างกล้าๆ กลัวๆ หน้าของหมอนิ่งจนไม่สามารถเดาอารมณ์ได้

"ขอโทษเหมือนกัน"
น้ำเสียงราบเรียบหลุดออกจากริมฝีปากหยัก แต่นั่นทำให้ผมเบิกตาโตด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าจะโดนขอโทษกลับแบบนี้

"หือ ขอโทษทำไมครับ"
ผมถามด้วยความสงสัยแล้วมองใบหน้าด้านข้างของเขาเพื่อลอบดูปฏิกิริยา แต่มันนิ่งเฉยจนคาดเดาไม่ได้เหมือนเดิม สงสัยต้องไปเรียนพลังจิตแล้วมั้ง อยากอ่านใจออกจัง

"ที่หงุดหงิดใส่ ไม่ได้ตั้งใจ"
สงสัยก่อนหน้านั้นที่จะเจอผมตื้ออยากรู้จัก เขาคงอารมณ์เสียอยู่ก่อนแล้ว

"อ๋อ ไม่เป็นไรครับ"
ผมตอบกลับด้วยหัวใจที่ฟูฟ่อง สุดท้ายก็ไม่โดนหมอทาวน์เกลียด วันนี้มันเป็นวันดีจริงๆ เลยเชียว

"อืม ไปนะ"
อยู่ๆ เขาก็ปิดหนังสือแล้วถือมันไว้เตรียมตัวเดินไปที่แคชเชียร์ แต่ผมยังอยากคุยต่อเลยหาวิธีรั้ง ซึ่งไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรได้มากน้อยแค่ไหน เอาก็เอาวะ ชวนไปกินไอติมนี่ล่ะ

"เดี๋ยวครับๆ คือ... ไปกินไอติมด้วยกันไหม"
ผมชวนด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักจนคนที่หันหลังให้กันต้องหันกลับมาเลิกคิ้วใส่ ดูเขาจะงงๆ ว่าไอ้นี่ชวนไปกินไอติมได้ยังไง สนิทขนาดนั้นแล้วเหรอ

"....."

"เอ่อ... พอดีผมกับไอ้ไธจะไปกินไอติมกันน่ะ พี่หมอสนใจไหมครับ"
ผมขยายความแล้วดึงตัวละครที่สามยัดลงไปด้วย เพราะอย่างน้อยก็ดูเขาจะคุยกับไอ้ไธอยู่บ้าง ไม่ถึงขั้นสนิทแต่ถือว่ารู้จัก
หมอทาวน์นิ่งคิดไปสักพักก่อนจะพยักหน้าตอบรับ และนั่นทำให้ผมต้องเม้มปากกลั้นยิ้มอย่างหนัก เพราะไอ้เจ็ทคนนี้ไม่นกแล้วเว้ย อยากอวดไอ้ไธจริงๆ!

"อืม ได้ อยากกินอะไรหวานๆ พอดี"
เขาตอบตกลงแล้วเดินไปที่แคชเชียร์เพื่อจ่ายเงินค่าหนังสือ ผมเลือกที่จะโทรตามไอ้ไธแทนแล้วยืนเฝ้าหมอทาวน์ กลัวเขาหายอะ...

"มึง..."
ขณะที่เดินออกจากร้านหนังสือโดยมีหมอทาวน์นำอยู่ด้านหน้า ไอ้ไธก็หันมาสะกิดไหล่ยิกๆ แล้วขมวดคิ้วใส่ เครียดอะไรนักหนาวะมึง แต่ชวนหมอทาวน์ไปกินไอติมด้วยกันเอง

"อะไร"

"ไปลากพี่ทาวน์มาได้ไงวะ"
ผมถามด้วยเสียงกระซิบแล้วพาดแขนลงบนไหล่ผมเหมือนทุกครั้ง อยากสะบัดตัวออกเพราะกลัวคนด้านหน้าเข้าใจผิด แต่ลองสังเกตดูแล้วเขาไม่ได้สนใจอะไรเลย

"ความสามารถพิเศษเว้ย"
ผมตอบด้วยความภาคภูมิใจแล้วมองแผ่นหลังคนด้านหน้าอย่างมีความสุข ถึงแม้เขาจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตนไปแล้ว แต่การได้อยู่ใกล้ๆ ได้พูดคุยก็ทำให้คนแอบชอบยิ้มได้เหมือนกัน

"อย่ามาตอแหล"
ไอ้ไธมองกันด้วยหางตาแล้วกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น พยายามบีบบังคับให้คายความจริงออกมา ผมได้แต่กรอกตาด้วยความเซ็ง เบื่อจริงๆ โกหกมันทีไรโดนจับได้ทุกที

"โห เซ็งคนรู้ทัน"

"ตกลงอะไร ยังไง"
มันว่าเสียงเข้มแล้วมองแผ่นหลังของคนด้านหน้าด้วยแววตาสงสัย ถ้าไม่ติดว่าไอ้ไธชอบจิณณ์ ป่านนี้ผมคงเอามือจิ้มตาไปแล้ว ถึงจะไม่ได้เป็นเจ้าของหมอทาวน์ แต่ก็แอบหวงนะ ในตอนนี้ก็ทำได้แค่นี้เพราไม่มีสิทธิ์อะไร สนิทก็ไม่สนิท คงต้องพยายามต่อไป

"เขาบอกอยากกินของหวานๆ พอดีก็เลยยอมมาด้วย"
ผมคายความลับก่อนจะเดินเลี้ยวเข้าร้านไอติมราคาพอรับได้

หมอทาวน์เป็นคนเชือกที่นั่งมุมหนึ่งของร้านที่คนไม่ค่อยพลุกพล่านตามแบบฉบับผู้รักความสงบเหมือนกับผม พนักงานสาวนำเมนูมาให้กับพวกเราแล้วส่งยิ้มหวานเยิ้ม และด้วยความมารยาทดีของนายภาคินเลยก้มมองเมนูลูกเดียว ไม่ชอบโดนมองด้วยสายตาแบบนั้น โดยรุกไม่ใช่เรื่องตลก

"สองคนจะกินอะไร กูสั่งแล้ว"
บทสนทนาเริ่มต้นขึ้นเป็นการถามไถ่เรื่องสั่งไอติม ผมเงยหน้ามองหมอก่อนจะเบนสายตาไปที่พนักงานสาว เธอหุบยิ้มไปแล้วว่ะ สงสัยโดนท่าทางนิ่งๆ ของเขาไปเลยไม่กล้าทำอะไรเกินงามอีก

"อ้อ ผมขอมะนาวเชอร์เบทครับ"
ไอ้ไธสั่งก่อน มันชอบกินรสชาติเปรี้ยวๆ ไอ้ติมไม่ผสมนม บางครั้งก็เห็นหาสูตรโฮมเมดมานั่งทำเองที่คนโด ผมเคยแอบจิณณ์ไปชิมอยู่หลายรอบ ก็อร่อยดีนะ

"บลูเบอร์รี่โยเกิร์ตครับ"
ผมสั่งบ้างก่อนจะส่งเมนูคืนให้กับพนักงาน เธอมองพวกเราตาละห้อย ทำเหมือนอาลัยอาวรณ์ซะเต็มประดา คือ... นี่ลูกค้าครับ ไม่ใช่แฟนที่กำลังจะไปเรียนต่อต่างประเทศ อย่าทำหน้าเศร้าขนาดนั้นเลย ส่วนหมอทาวน์ไม่ได้สนใจใครตั้งแต่ตั้งคำถามนั้นจบ เอาแต่นั่งกดโทรศัพท์ หัวคิ้วขมวด สงสัยมีเรื่องเครียดอยู่ล่ะมั้ง



ต่อด้านล่างเนอะ


ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
ผมไม่รู้ว่าต้องทำอะไรต่อหรือพูดอะไรดี ในเมื่อต่างคนต่างอยู่ในโลกส่วนตัวแบบนี้ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากยึดโทรศัพท์มาตั้งเป็นกองกลาง แต่ขืนทำแบบนั้นอาจจะโดนตีหัวแบะ หมอกับไอ้ไธไม่สนใจเพื่อนร่วมโต๊ะอย่างนายภาคินเลย น้อยใจได้ไหม

เพราะบรรยากาศมันอึมครึมเกินไปผมเลยทนไม่ได้กับความเงียบนี้ ต้องหาตัวช่วยด่วนๆ เลยครับ ป่าช้าเรียกพ่อแบบนี้ไม่ดีแน่

ตัวช่วยหันขวับมามองผมทันทีเมื่อโทรศัพท์ของมันสั่น ก็จะให้พูดต่อหน้าหมอทาวน์ได้ยังไง มันคือความลับระดับชาติ หาเรื่องคุยกับเขาเนี่ย โคตรยาก จะถามเรื่องเรียนแล้วก็มึนกันตายพอดี

"สัด จะส่งไลน์มาทำไม"
มันด่าพลางขมวดคิ้วยุ่ง ผมเหลือบสายตามองหน้าจอมันเล็กน้อยก็พบว่าไอ้ไธกำลังเล่น ROV อยู่ ขอโทษทีนะเพื่อน กูไม่ด้ตั้งใจให้มึงนอนตายโชว์คนในทีมเลย

"เออน่า ตอบหน่อย"
ผมบอกมันด้วยเสียงกระซิบแล้วส่งสายตาเว้าวอนไปให้ จะด่าแค่ไหนก็ตามใจเลย ตอนนี้กูยอมมึงทุกอย่างเลยไธ

Phakin : สถานการณ์ตึงเครียดจังวะ
Thamthai : เพราะมึงไง ลากเขามาแต่ไม่รู้จะคุยอะไรด้วย
Phakin : มึงก็ช่วยๆ หน่อยดิวะ เดี๋ยวพูดอะไรผิดไปกูจะโดนเกลียด
ผมพิมพ์ตอบกลับไปแล้วเหลือบสายตามองคนตรงข้ามทีคนด้านข้างที สถานการณ์โคตรอึมครึม ต่างคนต่างอยู่ในสังคมก้มหน้า พีคสัดๆ นี่มาด้วยกันหรือเปล่าวะ ไอ้ไธหันมาแยกเขี้ยวใส่ก่อนจะหันไปกดหน้าจอจึกๆ สงสัยจะมีไอเดียดีๆ นำเสนอ

Thanmthai : ถามเรื่องดินฟ้าอากาศ ไม่โดนเกลียดแน่
Phakin : พ่อง มึงจะบ้าเหรอ ก็รู้ๆ อยู่ว่าฝนตก
ด้วยความรนและตื่นเต้นเลยแปลความหมายคำตอบของไอ้ไธอย่างตรงตัว ร้านไอติมเป็นกระจกใสแถมยังอยู่นอกอาคาร จะเห็นฝนตกไม่ใช่เรื่องแปลกบรรยากาศตอนนี้ให้อารมณ์เหงาและเศร้า เพราะเพลงที่เปิดอยู่มันแนวอกหัก บิ้วเหลือเกิน...

Thamthai : ไอ้ควาย กูหมายถึงถามเรื่องทั่วไป มึงอย่ามาซื่อตอนนี้
ได้ยินเสียงเพื่อนถอนหายใจอยู่ข้างๆ ตอนกดส่งข้อความเรียบร้อย ผมได้แต่ยิ้มแหยหลังอ่านจบ เออว่ะ ทำไมกูโง่แบบนี้ ขอสติคืนสู่นายภาคินเถอะ จะตื่นเต้นทำห่าอะไรนักหนา

Phakin : อ้าวเหรอ กูตื่นเต้นไปหน่อย โทษที

หลังจากส่งข้อความกลับไป ไอ้ไธก็ไม่ยอมตอบมาอีกแถมยังยัดโทรศัพท์เก็บใส่กระเป๋ากางเกงอีกด้วย อยากจะขอบคุณเพื่อนด้วยฝ่าเท้าจริงๆ ไอ้เรื่องดินฟ้าอากาศเนี่ยล่ะ ที่มันมีขอบเขตกว้างเกินไป จะอ้าปากถามอะไรดี...

ในขณะที่กำลังประมวลผลว่าควรจะคุยเรื่องอะไรดี พนักงานสาวคนเดิมก็ยกไอติมที่พวกเราสั่งมาเสิร์ฟ มีช็อกโกแลต มะนาวเชอร์เบทและบลูเบอร์รี่โยเกิร์ต เธอกองรวมไว้กลางโต๊ะก่อนจะเดินจากไปด้วยรอยยิ้ม ผมได้แต่ขมวดคิ้ว สรุปว่าตอนรับออเดอร์ไปไม่ได้จำเลยล่ะสิ ว่ารสชาติไหนของใคร... เหอะๆ

"ใครสั่ง"
ผมสะดุ้งเมื่อเสียงถามของหมอทาวน์ดังขึ้น สายตาของเขาจ้องไปที่ไอติมรสบลูเบอร์รี่โยเกิร์ต หรือจะอยากกิน

"ผมเองครับ พี่หมออยากกินเหรอ"
ผมตอบกลับไปแล้วเลื่อนถ้วยไอติมไปหาอีกคน หมอทาวน์ส่ายหน้าปฏิเสธ ท่าทางขรึมลงกว่าเดิม หรือมีประเด็นกับรสชาตินี่วะ บางคนก็ชอบ บางคนก็ไม่ชอบ

"ชอบกินเหมือนแฟน... ไม่สิ แฟนเก่ากูเลย"
หมอพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง แต่มันดังพอให้ผมกับไอ้ไธมองหน้ากัน ชอบกินเหมือนแฟน... เก่าอย่างนั้นเหรอ คนไหนล่ะ

"อ่า... มันอร่อยดีน่ะครับ พี่หมอชอบกินช็อกโกแลตเหรอ"
ผมเปลี่ยนไปถามเขากลับแทน หมอพยักหน้ารับแล้วตักไอติมรสยอดนิยมเข้าปาก

"อืม หวานอมขมดี"
ใบหน้าของเขายามนี้ทำไมดูเศร้าสร้อยจังวะ พอลอบสังเกตก็เห็นขอบตาแดงๆ คล้ายกับคนกำลังร้องไห้ หรือไอ้แฟนเก่าที่โดนหมอทาวน์พูดถึงจะเป็นพรีม... อย่าบอกนะว่าเลิกกันแล้ว

หลังจากเคลียร์ค่าเสียหายเสร็จ หมอทาวน์ก็เป็นคนเดินนำออกจากร้านโดยที่ในมือกำโทรศัพท์ไว้แน่นจนสั่น ผมอยากถามว่ามีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า แต่ก็ไม่กล้า เพราะไม่ได้สนิทกันพอที่จะละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวได้

"กลับล่ะ"
เขาหันมาบอกพวกเราด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ถึงหมอทาวน์จะเป็นคนหน้านิ่งแค่ไหนแต่สามารถรับรู้อารมณ์ได้ผ่านทางสายตา มันกำลังบอกผมว่าเขาเศร้า... หรือเลิกกับพรีมแล้วจริงๆ

"พี่ทาวน์เดี๋ยวไปลานจอดรถพร้อมกันก็ได้ครับ พวกผมก็จะกลับแล้ว"
ไอไธเป็นคนเอ่ยปากชวนแทน เพราะผมเอาแต่ยืนนิ่ง กำลังคิดสะระตะว่าควรทำยังไงดี เป็นห่วงว่ะ ท่าทางแบบนี้จะปล่อยให้อยู่คนเดียวได้ยังไง

"กูไม่ได้เอารถมา"

"อ้าว แล้วจะกลับยังไงครับ"
ผมถามขึ้นบ้างเพราะรู้สึกแปลกใจที่หมอไม่ได้ขับรถมาเอง ปกติเขาไปมหา'ลัยยังขับ เอสยูวีบีเอ็มฯ อยู่เลย

"รถไฟฟ้า"

"เดี๋ยวผมไปส่งไหม ฝนมันตก"
ไอ้ไธเสนอขึ้นอีกครั้งก่อนจะมองสายฝนที่กระหน่ำลงมาไม่หยุดหย่อน ขนาดยืนหลบใต้กันสาดยังเปียกขนาดนี้ ขืนวิ่งไปขึ้นรถไฟมีหวังกางเกงในชุ่มแน่ แถมไข้แดกอีก ไม่คุ้มจริงๆ

"กลับเองได้"
หมอย้ำคำเดิมด้วยใบหน้าเรียบเฉย โทรศัพท์ในมือของเขาสั่นอย่างกับเจ้าเข้า ด้วยความอยากรู้ผมเลยเหลือบสายตาไปมองหน้าจอ อืม... Preem เต็มๆ

"ไม่ต้องเกรงใจครับ ไปด้วยกันเถอะ"
ไอ้ไธยังคงไม่ยอมแพ้ ไม่รู้ว่ามันคิดอะไรถึงจะไปส่งหมอทาวน์ให้ได้ เสร็จเรื่องผมคงต้องจับมาสอบปากคำซักฟอกให้ขาว

"อืม เอางั้นก็ได้"
สุดท้ายหมอก็ยอมแพ้และตอบตกลงแต่โดยดี

รถยุโรปเคลื่อนที่ไปบนถนนอย่างเชื่องช้าเพราะสภาพอากาศย่ำแย่ง สายฝนเทกระหน่ำแบบไม่มีทีท่าว่าจะหยุด อุณหภูมิก็ต่ำจนน่าใจหาย ผมที่นั่งอยู่เบาะหลังเลยต้องหยิบหมอนมากอดไว้คลายความหนาว

เมื่อไม่มีอะไรทำผมเลยลอบสังเกตหมอทาวน์ที่เอาแต่นั่งเงียบมาตลอดทาง โทรศัพท์มือถือเลิกสั่นไปแล้วเพราะเจ้าตัวกดปิดเครื่อง เหตุการณ์มาถึงขั้นนี้แล้วคงเป็นเรื่องใหญ่โตน่าดู ไม่อย่างนั้นคนรักแฟนอย่างเขาจะทำแบบนี้หรือ

"ไอ้ไธ... เปิดเพลงหน่อยดิ มันเงียบ"
ผมขยับตัวไปด้านหน้าแล้วบอกไอ้ไธที่กำลังตั้งใจขับรถ มันหันมาถลึงตาอย่างกับโกรธใครมาเป็นชาติ นี่นายภาคินเผลอทำอะไรไม่ถูกใจอีก

"ไม่ฟังก็ได้วะ"
ผมบ่นอุบอิบแล้วขยับกลับมานั่งที่เดิมก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาเล่นฆ่าเวลา จะชวนหมอคุยก็ดูไม่เหมาะ เพราะเขาหลับตาหนีโลกความจริงไปแล้ว

แอพฯ ไอจีถูกเปิดขึ้น ผมไล่สายตาดูรูปที่เพื่อนๆ อัพไปเรื่อยจนมาสะดุดตากับชื่อแอคเค้าท์ที่คุ้นเคยในระยะเวลานี้ รูปมือของผู้หญิงและผู้ชายที่จับกันไว้แน่นโทนสีเทาเมื่อห้าชั่วโมงที่แล้ว เดาได้ว่าคงเป็นหมอทาวน์กับพรีมเมื่อห้าชั่วโมง แต่แคปชั่นนั้น... ที่ไอ้ไธคะยั้นคะยอไปส่งเขาให้ได้คงเพราะรู้อยู่แล้วล่ะมั้ง

Maungneua_t Game Over

เลิกกันแล้วจริงดิ... แผลโคตรสดเลยว่ะ




--------------------------------------------

หมอเลิกกับแฟนแล้วเนอะ... มาลุ้นกันว่าเจ็ทจะทำยังไงต่อไป
ช่วยคอมเม้นท์ติชมหน่อยน้า อยากรู้ว่าทุกคนคิดเห็นยังไงบ้าง

ดีไม่ดียังไง บอกได้เลย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-07-2017 11:41:56 โดย Ch0cmint »

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5



ผ้าม่านปลิวตามแรงลมเมื่อผมเปิดประตูกระจกแล้วพาตัวเองออกมายืนรับอากาศบริสุทธิ์ด้านนอก สายตาเหม่อมองท้องฟ้าสีครามไร้เมฆ มันช่างสดใสแต่ทำให้อุณหภูมิร้อนระอุ หัวคิ้วขมวดเป็นปมเมื่อคิดถึงเรื่องราวที่ได้รับรู้มาเมื่อหลายวันก่อน 'ทาวน์เลิกกับพรีมแล้ว' เป็นคำยืนยันจากเพื่อนสนิทของเขา เหตุผลเพราะ 'ยัยคุณหนูนั่นนอกใจ'

วันนี้ผมมีเรียนตอนบ่ายและคิดว่าจะรีบไปมหา'ลัยเพราะไอ้ฟาร์มชวนกินข้าวที่คณะแพทย์ เพราะมันจะไปส่องพี่ฟา ไอ้เราก็แอบทำเนียนไปส่องหมอทาวน์ อยากรู้ว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นเขาเป็นยังไงบ้าง มีอาการอกหักอย่างจิณณ์หรือเปล่า เป็นห่วง...

"เจ็ท"
เสียงเรียกที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหลังพร้อมด้วยมืออุ่นๆ ที่เอื้อมมาแตะบ่ากัน คงมาเรียกไปกินมื้อเช้าล่ะมั้ง

"ว่าไงมึง"
ผมถามโดยไม่หันไปมองหน้า ความคิดยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องของหมอทาวน์ แทนที่จะดีใจที่อีกคนโสดกลับกังวลชีวิตความเป็นอยู่ของเขาขึ้นมา เจ็บปวดมากหรือเปล่า ร้องไห้ไหม

"ไปกินมื้อเช้ากัน มีติ่มซำ ปาท่องโก๋แล้วก็น้ำเต้าหู้"
จิณณ์ร่ายเมนูอาหารให้ผมฟังเพื่อเชิญชวนกินอาหารเช้า แต่ละอย่างดูน่าอร่อยแต่ร้านขายของพวกนี้มันอยู่ไกลจากคอนโดมาก ไม่มีทางที่มันจะถ่อสังขารไปซื้อเองแน่ หรือว่ามีใครเอามาฝาก

"ไปซื้อมาเองเหรอ"
ผมพลิกตัวพิงกับระเบียงแล้วมองหน้าจิณณ์ที่ทำตัวอึกอัก ดวงตาคมกรอกซ้ายขวาท่าทางมีพิรุธ มันต้องมีเบื้องลึกแน่ๆ

"เปล่า... มีคนเอามาฝาก"
จิณณ์บอกก่อนจะย่นจมูกแต่ไม่ยอมสบตากัน ผมได้แต่ขมวดคิ้วเพราะคิดไม่ออกว่าใครคนไหนจะเอามาฝาก

"ใคร"
ผมถามกลับไปแล้วแอบสังเกตปฏิกิริยาตอบรับของจิณณ์ มันลุกลี้ลุกลนแปลกๆ เหมือนกำลังพยายามปกปิดอะไรบางอย่าง ท่าทางแบบนี้มันยิ่งกระตุ้นความอยากรู้ให้ทวีคูณ

"กินๆ ไปเหอะน่า อย่าถามมาก"
มันบอกปัดก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินหนีเข้าห้อง ผมรีบตามไปคว้าไหล่เพราะจิณณ์กำลังปิดบังอย่างแน่นอน ปกติแล้วถ้าถามเขาก็จะตอบทันที แค่เรื่องใครเอาของกินมาฝาก ทำไมต้องทำเหมือนลักลอบคบชู้ลับหลังผัวแบบนี้

"มึงปิดบังอะไรอยู่วะจิณณ์"
ผมถามด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ จิณณ์สะบัดตัวให้ไหล่หลุดออกจากการเกาะกุม ใบหน้าหล่อหันมาเบะปากใส่กันก่อนจะตอบด้วยท่าทางหงุดหงิด

"ไอ้ไธเอามาฝาก"
มันตอบเสียงแข็งแล้วทำหน้าตาเหมือนไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ที่โดนซักถาม ผมถึงกับขมวดคิ้วแน่นเนื่องจากเหตุการณ์นี้แปลก ทำไมอยู่ๆ จิณณ์ถึงใจดีรับของฝาก และทำไมไอ้ไธถึงกล้าเอาของมาฝาก ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนไม่ยอมขึ้นมาเหยียบชั้นสามเลย

"หื้อ ญาติดีกันแล้วเหรอ"
ด้วยความสงสัยเลยถามออกไปตรงๆ ก่อนจะเหล่สายตามองพี่ชายอย่างจับผิด หรือว่าไอ้ไธเริ่มดำเนินแผนการจีบแล้วแต่ไม่ได้บอกผม จิณณ์ก็ดูเหมือนจะอ่อนลง

"เปล่า"

"อ้าว แล้วรับของมาจากมันแบบนี้ได้ไง"
ผมงงกับคำตอบของจิณณ์ ไม่ได้ญาติดีแต่หน้าด้านรับของฝากอย่างนั้นเหรอ นี่มันตลกเกินไปแล้ว จิณณ์ต้องมีอะไรปิดบังแน่ๆ ไอ้ไธร้ายกาจ ขอถอนคำพูดว่ามันป๊อด

"กูเห็นแก่กิน พอใจยัง!"
มันตะโกนจบก็เดินตึงตังออกไปจากห้อง ทำให้ผมได้แต่มองตามด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย คั้นความจริงจากจิณณ์ไม่ได้ รายต่อไปก็ไอ้ไธล่ะวะ เตรียมตัวไว้เลยมึง!

"หึหึ"

ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ออกมานั่งกินอาหารเช้าด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข อีกไม่กี่ชั่วโมงจะได้เจอหมอทาวน์แล้ว หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น... ไอ้ฟาร์มคงไม่พลาด มันเป็นมืออาชีพในการต้อนสาวๆ มาติดกับ ไม่มีทางจะไปนั่งจ๋องแบบไม่มีจุดหมายแน่ๆ

"ยิ้มอะไรนักหนาน้องกู"
จิณณ์ถามขึ้นในขณะที่เอื้อมมือมาดีดหน้าผากกัน ผมผงะถอนหลังแล้วตีสีหน้าบึ้งใส่ อยู่ๆ ก็ทำร้ายคนอื่น อะไรของมันวะ

"มีความสุขก็ต้องยิ้มปะวะ ยุ่งจริง"
ผมบ่นแล้วจิ้มติ่มซำใส่ปากอีกลูก ในจังหวะที่เคี้ยวหงุบหงับจิณณ์ก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดแล้ววางลงที่เดิม คุยกับใครตั้งแต่เช้า ต่อมเผือดเริ่มทำงานอย่างช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะปกติจิณณ์จะไม่ตอบไลน์ใครระหว่างกินข้าว คนๆ นี้ต้องมีความสำคัญระดับหนึ่ง

"เออ แดกไวๆ กูจะได้ล้างจาน"
เหลือบตามาสั่งแล้วจิ้มติ่มซำใส่จานผมหลายลูก จะขุ่นให้อ้วนเป็นหมูเพราะอิจฉาซิกแพคคนอื่นแน่ๆ ร้ายนักนะจิณณ์

"สั่งจริงแม่"

"กูเป็นผู้ชาย"
จิณณ์ว่าเสียงเขียวก่อนจะเอื้อมมือมาดีดหน้าผากกันอีกรอบแต่คราวนี้ผมหลบได้ ใครจะโง่ให้โดนซ้ำสอง ไม่มีทาง

"ก็นิสัยมึงเหมือนแม่"
จิณณ์หน้าง้ำลงทำเสียงฮึดฮัดเพราะโดนขัดใจ ต้องบอกว่านิสัยมันถอดแบบแม่มา แล้วอีกอย่างในอนาคตอาจจะมีสามีเป็นตัวเป็นตน... ไอ้ไธไม่มีทางเป็นรับแน่ๆ เชื่อเถอะ

"เออ ไม่เถียงกับมึงแล้ว"
สุดท้ายคุณพี่ชายก็ยอมโบกธงขาวยอมแพ้ เพราะมันคือเรื่องจริงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้นั่นเอง

ผมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือแล้วลุกขึ้นบิดซ้ายบิดขวาไล่ความเมื่อยขบ ใกล้ถึงเวลานัดกับไอ้ฟาร์มแล้ว ตอนแรกว่าจะลากไอ้ไธไปด้วยกันแต่ติดที่พี่แทนหอบผ้าหอบผ่อนมาค้างด้วย ก็เลยปล่อยมันให้เป็นทาสไป ค่อยเจอกันที่มหา'ลัยทีหลัง

"กูจะไปมหา'ลัยแล้วนะ"
ผมบอกก่อนจะหยิบโทรศัพท์ กุญแจมอ'ไซต์และกระเป๋าสตางค์มาถือไว้แล้วเหลือบมองจิณณ์ที่กำลังนั่งดูรายการทีวีด้วยความเพลิดเพลิน เห็นแบบนี้เลยแอบเบะปากใส่ สบายเหลือเกินพ่อคุณ น้ำท่าก็ไม่ยอมอาบ

"มึงมีเรียนตอนบ่ายไม่ใช่เหรอ นี่เพิ่งจะสิบโมง"
จิณณ์เหลือบมองนาฬิกาติดพนังแล้วจ้องอย่างจับผิด ปากมันยังเคี้ยวขนมหงุบหงับ ผมไหวไหล่ไม่ใส่ใจ จะไปมหา'ลัยเร็วสักวันน้ำคงไม่ท่วมหรอกน่า

"นัดไอ้ฟาร์มเอาไว้"

"อ๋อ แล้วตอนเย็นไปดูแข่งบาสฯ ปะวะ"

"ไปมั้ง ถามทำไม"
ผมตอบแล้วเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย ปกติจิณณ์ไม่ถามอะไรซอกแซกเท่าไหร่ว่าเรียนเสร็จจะไปไหนต่อหรือเปล่า วันนี้มาแปลก ตั้งแต่ทำท่าจะญาติดีกับไอ้ไธแล้ว

"ได้ข่าวว่าคณะมึงตกรอบไปแล้ว"
จิณณ์เหล่สายตามองแล้วลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินวนรอบๆ ตัวผม ไม่รู้ทำไปเพื่ออะไร แต่แบบนี้มันน่ารำคาญ เวียนหัวเว้ย

"เออดิ เดินจงกลมหรือไง"
ผมแอบเหน็บมันแล้วเลิกมองตามเพราะรู้สึกมึนหัวเข้าแล้วจริงๆ กลัวอาหารเช้าจะออกมากองข้างนอก เสียดายของ

"แล้วจะไปเชียร์ใครวะ"
มันหยุดเดินแล้วจ้องหน้ากันอย่างคาดคั้น สายตาเต็มไปด้วยความสงสัยและแอบคาดหวังอะไรบางอย่าง ซึ่งผมไม่รู้เลยว่าจิณณ์ต้องการอะไร หรือไปรู้อะไรมา

"ไอ้นี่ ถามซอกแซกจริง กูจะเชียร์ใครก็เรื่องของกูน่า"
ผมบอกปัดเพื่อตัวเองแล้วก้าวขาไปใส่รองเท้าที่หน้าประตู หูได้ยินเสียงจิณณ์เดินตามมาติดๆ แถมยังมีกลิ่นตุๆ ด้วย สงสัยไม่ได้สระผมแน่ๆ

"ไปเชียร์เด็กคณะแพทย์เหรอวะ"
จิณณ์ถามด้วยน้ำเสียงสดใสแถมยังกระแซะไหล่กันจนน่ารำคาญ ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่แล้วแถมด้วยตบหัวไปหนึ่งที บ้าอะไรของมึง ทำกูตกใจรู้บ้างไหม!

"ทำไมคิดงั้น"
ผมแสร้งถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วตั้งใจใส่รองเท้าผ้าใบคู่เก่ง แกล้งนั่งลงผู้เชือกรองเท้าใหม่ทั้งๆ ที่แบบเก่าก็ยังแน่นหนาดี จิณณ์ทำเสียงจิ๊จ๊ะเหมือนเด็กโดนขัดใจแล้วใช้ปลายเท้าแตะก้นเบาๆ เพื่อเรียกร้องความสนใจ เดี๋ยวพ่อจะตดให้หนีไม่ทันเลยแม่ง กวนกันจริงๆ

"เจ็ทชอบพี่เมืองเหนือเหรอ"
มันถามพร้อมด้วยเอื้อมมือมาดึงแก้มกันเพื่อหยอกล้อ ผมปัดมือจิณณ์ทิ้งด้วยความรำคาญแกมตกใจแต่พยายามไม่แสดงออก ทำไมถึงรู้ได้วะ จำได้ว่าบอกแค่พี่แจมกับไอ้ไธ...

"ไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน"

"ตอบมาก่อน"
วิญญาณความเป็นแม่เข้าสิงเพราะมันใช้แววตาคาดคั้นคำตอบ ผมได้แต่ลอบถอนหายใจแล้วตอบไป จะได้จบเรื่อง ขี้เกียจโดนเซ้าซี้

"เออ กูชอบหมอทาวน์"

"แม่งเอ้ย ทำไมตอนทำข้อสอบไม่แม่นแบบนี้วะ"
มันถอยหลังออกไปในขณะที่ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ใบหน้าแสดงความเสียดายอย่างสุดซึ้ง

"มึงจะไม่ตกใจหน่อยเหรอที่น้องมึงชอบผู้ชาย"
ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงเพลียๆ ไม่รู้ว่าตรรกะความคิดของจิณณ์คืออะไร ทำไมเลือกตกใจที่น้องชอบหมอทาวน์แต่กลับทิ้งประเด็นเรื่องเขาเป็นผู้ชายไป

"จะให้กูร้องว๊ายแสดงอาการตกใจด้วยปะ"
มันพูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นแล้วกรีดมือไปมาอย่างน่าถีบ เห็นแล้วอยากจะถ่ายรูปประจานลงเฟซบุคฉิบหาย ให้แฟนคลับเลิกคลั่งไคล้คนปัญญาอ่อนสักที

"สัด กวนตีน"

"ไม่อารมณ์เสียดิ"
จิณณ์บอกเสียงอ่อยแล้วดึงแขนผมไปกอดเอาไว้แน่นเป็นการอ้อน อยากโมโหแต่ทำไม่ลงเพราะมันตลก

"เออ ถามจริงเหอะ ไม่ตกใจเหรอที่กูชอบผู้ชาย"

"ตกใจดิ ตอนแรกที่รู้มือสั่นไปหมด อยากจะถามว่ามึงบ้าไปแล้วเหรอ สติมีหรือเปล่า แต่สุดท้ายกูก็คิดได้ว่าจะเพศไหนมันไม่สำคัญ ขอแค่รักกันก็พอ ไม่ใช่ว่ามีแฟนเป็นผู้หญิงจะอยู่ด้วยกันยืนยาวซะหน่อย"
ระหว่างที่เล่ามันทั้งขมวดคิ้วทั้งเบะปากสารพัดท่าทาง แต่จบลงด้วยรอยยิ้มจริงใจที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาในช่วงนี้ จิณณ์ยืนยันแล้วว่ามันไม่รังเกียจและยอมรับจากหัวใจไม่ใช่เสแสร้งเพื่อผม

"โห ดูดีมากพี่กู ขอบคุณที่เข้าใจ"
ผมดึงมันเข้ามากอดแล้วหอมขมับไปหนึ่งที จิณณ์ทำหน้าขยะแขยงแต่สุดท้ายก็หยุดยิ้มออกมา

"เออ ขอให้มึงจีบพี่เขาติด กูเอาใจช่วย"
ผมว่ากำลังใจจากคนในครอบครัวมีค่าที่สุดในโลกเลยล่ะ

ผมซิ่งมอ'ไซต์มาถึงมหา'ลัยตอนสิบโมงครึ่ง ใช้เวลาหาตัวไอ้ฟาร์มอยู่ประมาณห้านาทีเพราะมันมัวแต่สลัดสาวๆ สี่คนอยู่ที่ลานคณะ สงสัยจะจริงจังกับพี่ฟามาก ขนาดยอมทิ้งภาพลักษณ์ป๋าสายเปย์ไปเลย ก็ยินดีกับเพื่อนที่เจอคนในฝันและเลิกนิสัยพ่อปลาไหลได้สักที

"ฟาร์ม รอนานไหมมึง"
ผมถามมันด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแล้วเหลือบตามองไปทางอดีตผู้หญิงในสต็อกของมันที่นั่งหน้าง้ำหน้างออยู่ไม่ไกล ไอ้ฟาร์มหันมาถลึงตาใส่กันทันที เมื่อครู่โดนดึงทึ้งยิ่งกว่าสิ่งของ ดีนะไม่แขนขาดขาขาดแบบตุ๊กตา

"รอไม่นาน แต่แม่งเหนื่อย ไปกันเลยปะ"
ไอ้ฟาร์มต้นประโยคพูดด้วยสีหน้าหงุดหงิด แต่ท้ายประโยคกับร่าเริงเหมือนคนเป็นไบโพล่า อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ไม่มีใครตามทัน แต่เป็นผมคงไม่ต่างกัน เพราะเป้าหมายต่อไปมันชุ่มชื่นหัวใจเหลือเกิน

"รีบจังวะ เพิ่งสิบเอ็ดโมง"
แต่ผมก็ยังไว้ลายทำเป็นไม่รีบร้อน ท่าออกอาการอยากเจอเข้ามากก็ขี้เกียจจะโดนเพื่อนล้อ อีกอย่างคือไม่รู้ว่าหมอพักเที่ยงตอนกี่โมงด้วย ให้ไปนั่งแกร่วรอกลางโรงอาหารคณะแพทย์คงกลายเป็นแกะดำ ที่นั่นเข้าใส่กางเกงยีนส์ซะเมื่อไหร่

"ไม่รีบได้ไง พี่ฟาพักครึ่งชั่วโมง"
ไอ้ฟาร์มบอกด้วยน้ำเสียงรีบร้อน ขาทั้งสองข้างก้าวไปยังลานจอดรถโดยไม่รีรอทำให้ผมต้องตามไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตกใจก็ตกใจ แปลกใจก็แปลกใจ เด็กแพทย์นี่ตายเพราะข้าวติดคอบ้างปะวะ พักครึ่งชั่วโมง แค่เดินหาที่นั่งก็หมดเวลาแล้ว

"สัด จริงดิ กูไม่ได้ดูตารางเรียน"
ในระหว่างที่เดินไปลานจอดรถผมก็ดึงกระเป๋าเป้มาล้วงหาตารางเรียนของหมอทาวน์ที่พกไว้ตลอด กระดาษแผ่นนั้นยืนยันว่าเด็กคณะนี้พักครึ่งชั่วโมงวันนี้จริงๆ

"โว๊ะ จะจีบเด็กแพทย์แต่ไม่เตรียมพร้อมห่าอะไรเลย คงสมหวังหรอก"
ไอ้ฟาร์มหันมาบ่นด้วยใบหน้ามูทู่ก่อนจะเปิดประตูรถเข้าไปนั่งประจำที่คนขับ ส่วนผมก็ตามไปติดๆ เพราะเกรงว่าจะโดนทิ้งไว้ตรงนี้ คณะแพทย์ออกจะไกล ไม่อยากถ่อสังขารไปเอง

"เออๆ บ่นจริง"
ผมบ่นอุบอิบก่อนที่รถจะพุ่งตัวออกจากลานอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่ทันตั้งตัวอาจหัวโนเป็นลูกมะนาวไปแล้วก็ได้

โรงอาหารคณะแพทย์เต็มไปด้วยนักศึกษาที่แต่งตัวเรียบร้อยถูกระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมมองคนข้างกายสลับกับตัวเองอย่างปลงชีวิต แกะดำสุดๆ นี่ต้องตกเป็นเป้าสายตาจริงๆ ใช่ไหม แต่เพื่อรักอันสวยงามจะทำหน้าด้านหน้าทนไม่สนใจใครทั้งนั้น

"เจ็ท..."
ไอ้ฟาร์มเรียกก่อนจะเงียบไปเพราะเรากำลังมองหาที่นั่ง คนเยอะก็จริง แต่มันไม่ได้แน่นขนัดเหมือนคณะสถาปัตย์สักเท่าไหร่

"อะไร"
ผมถามกลับไปก่อนจะก้าวเท้าเร็วๆ ไปที่โต๊ะว่าง ไอ้ฟาร์มไม่รอช้าที่จะตามมาติดๆ ยิ่งกว่าคนเจอสมบัติล้ำค่า

"ตกลงมึงจะจีบใคร ยังไม่ได้บอกกูเลยนะ"
คำถามของมันทำให้ผมชะงักกึก แทนที่ไอ้เสือผู้หญิงจะรู้เป็นคนแรกๆ เพราะช่างสังเกตสิ่งรอบตัว กลายเป็นว่าไม่รับรู้อะไรเลย

"อ้าว กูนึกว่ามึงรู้แล้วซะอีก"
ผมร้องเสียงหลงด้วยความแปลกใจ แต่ไอ้ฟาร์มดันยกมือตบหัวกันเพราะผมหยุดเดินแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยจนมันเดินชน

"กูจะไปรู้ได้ไง มึงไม่เคยบอก"
แล้วมันก็เดินผ่านไปทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะว่าง ปล่อยให้ผมยืนมึนงงกับสถานการณ์เมื่อครู่ แม่ง โดนตบหัวในขณะที่เบลอๆ ทำให้ไม่มีสติจะเอาคืนจริงๆ ด้วย เสียเปรียบชะมัด

"อ๋อเหรอ นึกว่าดูรูปในไอจีกูก็รู้เลยซะอีก"
ผมบ่นพึมพำก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้าม ไอ้ฟาร์มชะงักไปครู่หนึ่งแล้วจ้องหน้ากันตาวาว คงคิดออกแล้วมั้งว่ารูปไหน...

"เดี๋ยว... หมายถึงรูปคลุกวงในอะไรนั่นน่ะเหรอ"
น้ำเสียงที่ถามกลับมาให้ความรู้สึกประหลาดใจปนตกใจ หัวคิ้วของมันขมวดจนหน้าผากย่น หน้าตาตลกจนผมต้องกลั้นขำ

"เออ"

"เฮ้ย... อย่าบอกนะว่ามึงจะจีบพี่ฟา ของกูนะ!"
มันร้องตะโกนเสียงดังลั่นจนผมต้องเอื้อมมือไปปิดปากด้วยความตกใจ นึกศึกษารอบๆ หันมามองด้วยแววตาตำหนิ หาเรื่องตายแล้วไหมล่ะ

"จะเสียงดังหาเตี๋ยมึงเหรอ ไม่ใช่เว้ย"
ผมด่าเสียงรอดไรฟันก่อนจะปล่อยมือออก เพราะไอ้ฟาร์มเริ่มทำท่าคล้ายกำลังขาดอากาศหายใจ ขอโทษเถอะที่ตั้งใจปิดทั้งปากทั้งจมูก พอดีหมั่นไส้ไปหน่อย

"พี่แฮมเหรอ"
มันถามต่อเมื่อปากเป็นอิสระ ผมได้ยินแบบนั้นเลยเบิกตาโต ไอ้ฟาร์มเอาสมองส่วนไหนคิดว่าเป็นพี่แฮมวะ รายนั้นสนใจใครนอกจากของกินบ้าง วันๆ เห็นชีวิตมีแต่ขนม เคยเจอแคปชั่นในไอจีของเขาประมาณว่า 'รักไม่ยุ่ง มุ่งแต่กิน' ด้วย ชาตินี้คงแต่งงานกับสารพัดอาหารบนโลก

"โอ้ย จีบพี่แฮมกูคงจนอะ แดกเยอะขนาดนั้น ไม่ไหวๆ"
ผมปฏิเสธก่อนจะโบกมือรัวๆ ถึงพี่แฮมจะหน้าตาดี หุ่นดี แต่คิดถึงตอนเขามีความสุขกับขนมแล้วไม่อยากเข้าไปแทรกกลางว่ะ

"หึ งั้นพี่ทาวน์สินะ เล่นของสูงฉิบหาย เป็นเดือนมหา'ลัย แถมเพิ่งเลิกกับแฟน อูย ศัตรูเป็นล้าน!"
ไอ้ฟาร์มทำตาโตใส่กันด้วยความกวนตีน จะล้อเลียนอะไรช่วยดูหน้าเพื่อนบ้างได้ไหม หัวใจผมฝ่อจนแทบเหลือเท่าเมล็ดถั่วเขียว ศัตรูเป็นล้านแถมเพศสภาพต่างกันลิบลิ่ว แววแดกแห้วมาแต่ไกลเลยว่ะ

"ห่านี่! ให้กำลังใจกูบ้าง"
ผมเอื้อมมือไปตบหัวเพื่อนเพื่อกลบเกลื่อนความสั่นไหวของจิตใจ ถึงจะได้กำลังใจมาจากใครมากเท่าไหร่ แต่เจ้าตัวเขาไม่ให้ความหวังทุกอย่างก็ดูเหมือนไร้ประโยชน์ ตอนนี้เพิ่งรู้สึกว่าเกิดเป็นผู้หญิงก็ดีเหมือนกัน เพราะมีแนวโน้มชนะใจหมอทาวน์ได้ไม่ยาก

"เรื่องกูยังเอาตัวเองไม่รอดเลย จะให้กำลังใจใครได้"
ไอ้ฟาร์มเปลี่ยนสีหน้าจากร่าเริงเป็นอมทุกข์ เพราะการเริ่มต้นจีบผู้ชายแมนๆ คนหนึ่งทำได้ยากนัก เกิดไม่ดูตาม้าตาเรือให้ดีอาจจะโดนต่อย ไม่ก็โดนกระทืบกลับมา ทุกอย่างต้องดำเนิน ใช้วิธีการแทรกซึมไปเรื่อยๆ ไม่ผลีผลามเด็ดขาด

"สู้นะ"
ผมให้กำลังใจตัวเองพร้อมๆ กับให้กำลังใจเพื่อน ความรักครั้งนี้ผลจะออกมายังไงก็สุดแล้วแต่หัวใจอีกฝ่าย ถ้าเกิดสำเร็จคงดี แต่ถ้าไม่สำเร็จก็คงเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำที่ดี ว่าครั้งหนึ่งเคยพยายามเพื่อใครบางคนจนสุดความสามารถแล้ว

ไอ้ฟาร์มอาสาเดินไปซื้อข้าวให้ ส่วนผมนั่งเฝ้าโต๊ะพร้อมกับเล่นโทรศัพท์ฆ่าเวลา ไอจีพี่ฟาอัพเดทเป็นรูปชีทเรียนตั้งใหญ่เกี่ยวกับระบบร่างกายต่างๆ แคปชั่นด้านล่างทำให้มุมปากยกยิ้ม 'ต้มกินได้ไหมวะ เยอะสัด' พร้อมกับแท็กเพื่อนสนิทอีกสองคน ขนาดเป็นว่าที่หมอยังบ่น คนทั่วไปไม่บ่นคงแปลก (พวกเขาไม่ได้ฟอลไอจีผมกลับหรอก)

"ไอ้เจ็ท ข้าวมาแล้ว ~"
เสียงไอ้ฟาร์มส่งเสียงร่าเริงก่อนจะยื่นจานข้าวมันไก่มาให้ ผมรับแล้วมองหน้าเพื่อนด้วยความฉงน ไปอารมณ์ดีมากจากไหน ยิ้มอย่างกับเจอคนที่ชอบ

เดี๋ยวนะ... หรือมันเห็นพี่ฟาแล้ววะ หมอทาวน์ล่ะ มาด้วยไหม อยู่ๆ ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา

"หน้าบานเชียวนะมึง"

"แน่นอนเหอะ พี่ฟาโผล่มากินข้าวแล้ว เมื่อกี้เห็นสั่งก๋วยเตี๋ยวอยู่ ฮึ่ย น่ารักฉิบหาย"
มันทำท่ามันเขี้ยวแล้วทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้ามีความสุข ผมหลุดหัวเราะกับท่าทางเพ้อฝันนั่น นานๆ ครั้งจะเห็นไอ้ฟาร์มเป็นแบบนี้ ความรักทำให้คนเปลี่ยนไปได้จริงๆ

"น้องครับ พี่ขอนั่งด้วยได้ปะ พอดีที่มันเต็มอะ"
ไม่ทันจะได้โต้ตอบเพื่อนกลับไปก็มีเสียงใครคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น ผมเงยหน้าขึ้นมองก็พบกับพี่ฟาและเพื่อนอีกสองคนยืนถือชามก๋วยเตี๋ยวอยู่ด้านหลังไอ้ฟาร์ม ดวงตาคมเบิกค้างเพราะไม่คิดไม่ฝันว่าพวกเขาจะเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาแบบนี้ โอย หัวใจเต้นแรงฉิบหาย

"ได้ครับ นั่งเลยๆ"
ผมตอบรับด้วยน้ำเสียงรัวๆ ก่อนจะส่งยิ้มหวานเจาะจงไปให้หมอทาวน์ เขาพยักหน้าแล้วเดินอ้อมมาทิ้งตัวลงข้างๆ ปล่อยให้พี่ฟากับพี่แฮมนั่งเบียดกับไอ้ฟาร์ม

เพื่อนผมเอาแต่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา คงช็อกจนกู่ไม่กลับ เห็นปากดีเพ้อถึงเขาอย่างนั้นอย่างนี้แต่สุดท้ายก็ป๊อดไม่แพ้ไอ้ไธ แค่อ้าปากทักทายยังไม่ทำ

"อ้าวมึง ทำไมมากินข้าวถึงนี่วะ"
พี่ฟาเหมือนจะเพิ่งสังเกตว่าเป็นผมเลยถามขึ้น ใบหน้าหวานขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

"อ๋อ... พะ พอดีแวะมาหาเพื่อนครับ"
ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักแล้วจ้วงข้าวมันไก่ใส่ปากแก้เขิน ตอนแรกว่าจะแอ๊บนิ่งแล้วเชียว โดนถามแบบนั้นถึงหับไปไม่เป็นเลยทีเดียว

"อ๋อ เออๆ ไว้ไปเล่นบาสฯ กันอีกนะ"
คำเชิญชวนของเขาทำให้ผมพยักหน้ารับด้วยความยินดี ได้ไปคลุกวงใน เอ้ย เล่นบาสฯ กับพวกเขาก็สนุกดี นานๆ ครั้งจะมีโอกาสเจอหมอทาวน์ต้องรีบคว้าไว้ก่อน

ไอ้ฟาร์มกลายเป็นคนเงียบเรียบร้อยขึ้นมาทันตาเห็น พอพี่ฟาเอ่ยทักมันก็เอาแต่ยิ้มและจ้วงข้าวใส่ปากโดยไม่พูดอะไรออกมา นิสัยอย่างหนึ่งที่ผมเพิ่งรู้จากมันคืออยู่ใกล้คนที่ชอบแล้วเขินหนักมาก เสียภาพพจน์อดีตป๋าฟาร์มสายเปย์ฉิบหาย

ผมสลัดความคิดฟุ้งซ่านแล้วปล่อยเพื่อนไปตามเวรกรรมก่อนจะเริ่มคิดหาวิธีชวนคนข้างๆ คุย เริ่มจากอะไรดีวะ ทักทายก่อนแล้วกัน ถึงจะดูช้าไปหน่อยก็เถอะ

"สวัสดีครับพี่หมอทาวน์"
ผมทักทายเขาด้วยเสียงที่พอจะได้ยินกันแค่สองคน ดวงตาคมเหลือบมองคนข้างกายที่เอาแต่จ้วงเส้นบะหมี่เข้าปาก สงสัยจะรีบไปเรียนต่อ

"อืม"

"ชอบกินเส้นเล็กเหรอครับ"
ผมยังไม่ละความพยายามในการถามต่อ ไม่อยากได้คำตอบ แต่อยากคุยกับเขานานๆ โดยที่พยายามควบคุมสติไม่ให้หลุด หรือเผลอทำอะไรให้เจ้าตัวระแวง จังหวะนี้ต้องดำเนินการอย่างช้าๆ ไม่วู่วาม

"ได้หมด"
หมอยังคงตอบสั้นตามแบบฉบับคนพูดน้อย แต่ผมกลับกลั้นยิ้มจนปวดแก้มเพราะรู้สึกดีที่เขาไม่แสดงอาการหงุดหงิดหรือทำสีหน้าไม่พอใจ วันนี้คงอารมณ์ปกติ

"ผมชอบกินเส้นใหญ่ล่ะ แต่โคตรคีบยากเลย"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ แล้วตักข้าวใส่ปากอีกครั้ง เวลานี้คงเป็นเวลาที่อาหารลดอย่างเชื่องช้า เนื่องจากว่าดวงตาคอยเหลือบมองคนข้างกายไม่หยุดหย่อน สมาธิจะกินไม่มีเลย

"ต้องใช้ช้อนส้อม"
หมอทาวน์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเคย แต่มันเหนือความคาดหมาย ผมไม่คิดว่าเขาจะยอมคุยเรื่องไร้สาระด้วย ตอนนี้การกลั้นยิ้มเลยเป็นไปได้ยาก ปวดแก้มหมดแล้ว

"เออใช่ ผมนี่โง่เนอะ"
น้ำเสียงกลั้วหัวเราะดังขึ้น มีความสุขยามได้พูดคุย มีความสุขยามได้เห็นหน้า ต่อไปผมคงเป็นคนโลภมากที่อยากมีเขาอยู่ข้างๆ

หลังจากบทสนทนาของพวกเราจบลงก็ได้ยินพี่ฟากับพี่แฮมบ่นเรื่องวิชาเรียนเมื่อครู่โดยมีไอ้ฟาร์มทำหน้าตาสนอกสนใจอยู่เงียบๆ เพื่อนผมกลายเป็นคนเรียบร้อยจนน่าขำ พฤติกรรมเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้า โธ่ น่าสงสาร เจอเขาแล้วป๊อด เมื่อไหร่จะคืบหน้าล่ะ

ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงตรงแล้วแต่พวกนักศึกษาแพทย์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเคลื่อนย้ายออกจากโต๊ะ ผมไม่กล้าถามละลาบละล้วงเพราะเดี๋ยวไก่อย่างหมอทาวน์ตื่น หรือว่าคลาสบ่ายยกเลิกนะ

"ทาวน์"
อยู่ๆ พี่ฟาที่มองซ้ายมองขวาชมนกชมไม้ไปเรื่อยก็เรียกคนที่นั่งไถโทรศัพท์อยู่ข้างๆ ผมด้วยน้ำเสียงที่ไม่สู้ดีนัก หน้าตาเปลี่ยนไปเป็นเคร่งเครียดจนผมมีลางสังหรณ์ว่าต่อไปคงเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น

"ว่า..."
หมอทาวน์เงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์พร้อมเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไร

"พรีมกำลังเดินมาทางนี้"
พี่ฟาบุ้ยปากไปในทิศทางที่มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมา เธอผิวขาว หน้าตาจิ้มลิ้ม ใส่กระโปรงพีทเหนือเข่า ผมยาวสีดำสลวย ดูๆ ไปโคตรเหมาะกับหมอทาวน์จนนายภาคินได้แต่นั่งเม้มปากแน่น จะมีทางไหนที่สามารถเอาชนะใจเขาได้บ้างนะ

"ช่างเขา"
คำตอบแบบไร้เยื่อใยและไร้อารมณ์ความรู้สึกทำให้ผมได้แต่กังวลว่าจริงๆ แล้วข้างในหมอทาวน์เป็นแบบไหนกันแน่ ด้วยนิสัยที่นิ่งขรึม มันไม่สามารถคาดเดาได้เลย

"ไม่เป็นไรแน่นะมึง"
พี่ฟาถามย้ำเพื่อความแน่ใจก่อนจะยื่นมือมาตบบ่าเพื่อนคล้ายให้กำลังใจ ส่วนพี่แฮมมองด้วยสายตาเป็นห่วงทั้งๆ ที่ตัวเองกำลังเคี้ยวขนมอยู่ในปาก ผมกับไอ้ฟาร์มได้แต่สบตากันเงียบๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนสองคน สถานการณ์ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น ก็สุดแล้วแต่โชคชะตา

"อืม"
เขาครางรับในลำคอก่อนจะกลับไปสนใจโทรศัพท์เหมือนเดิม ไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนอะไร ผมลอบถอนหายใจแต่ต้องชะงักเมื่อเงาของใครบางคนทาบทับลงมาที่เราทั้งสองคน หางตาเห็นผู้หญิงคนเมื่อครู่ยืนอยู่ด้านหลัง งานเข้าแล้วว่ะ...

"พี่ทาวน์กำลังเข้าใจพรีมผิดนะคะ เราต้องคุยกัน"
เธอเข้าประเด็นทันทีแบบไม่อ้อมค้อม ทุกคนในโต๊ะหันมองรวมทั้งคนอื่นๆ ยกเว้นหมอทาวน์ที่ยังนิ่งและไม่สนใจพรีม เหมือนไร้ตัวตนเป็นอากาศธาตุสำหรับเขา

"....."

"พี่ทาวน์อย่าเงียบใส่พรีมแบบนี้นะ หันมาคุยกันสิคะ"
เธอเริ่มกระชากเสียงแล้วจับไหล่ของหมอทาวน์เพื่อบังคับให้เขาหันมาสนใจ และมันสำเร็จ ดวงตารีเหลือบมองก่อนที่มือเรียวจะปัดการสัมผัสของพรีมทิ้งอย่างไม่ใยดี

"รำคาญ"
น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นแบบไม่คาดคิดจนทุกคนถึงกับชะงักแล้วเบิกตาโตเพราะไม่คิดว่าหมอทาวน์จะแสดงท่าทางแบบนั้นกับผู้หญิง

"ว่ายังไงนะคะ ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ เราเป็นแฟนกันนะ"
พรีมเองก็ตกใจไม่แพ้กัน เธอกำมือแน่นอย่างอดกลั้นอารมณ์ น้ำเสียงที่ใช้สั่นเครือไม่ใช่เพราะกำลังจะร้องไห้แต่เพราะกำลังโกรธต่างหาก

"แฟน เก่า"
หมอทาวน์ย้ำชัดทุกคำแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อเผชิญหน้ากับคู่กรณี โต๊ะอื่นๆ เริ่มหันมาสนใจอีกครั้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าคนที่กำลังมีปัญหากันคือใคร คนดังมักเป็นจุดสนใจได้ไม่ยาก เรื่องส่วนตัวก็เหมือนเรื่องส่วนรวม ทำอะไรก็โดนจับตามอง

"พี่ทาวน์! พรีมยังไม่ได้ตกลงจะเลิกกับพี่นะ พี่กำลังเข้าใจผิดเรื่องพรีมกับธี"
เธอตะโกนลั่นโดนไม่เกรงใจคนอื่น สีหน้าของหมอทาวน์ยังนิ่งเรียบเช่นเคย แถมยังส่งสายตาปรามพี่ฟากับพี่แฮมที่ทำท่าจะข้ามโต๊ะมาห้าม ผมได้แต่นั่งมองสถานการณ์ตรงหน้าด้วยความกังวล ไม่กล้าสอดมือเข้าไป เพราะเรื่องความรัก เรื่องหัวใจเป็นเรื่องของคนสองคน แต่นี่มันกลางโรงอาหาร พรีมไม่รู้เลยหรือว่าอีกแค่เดี๋ยวเดียวจะดังไปทั้งมหา'ลัย

"อย่าโกหก พอเถอะ"
หมอทาวน์มองหน้าพรีมเขม็ง ลมหายใจถูกพ่นออกมาแรงๆ ด้วยความหงุดหงิด ถ้าเขาเป็นคนใจร้อน ป่านนี้เรื่องคงแย่กว่าที่เป็นอยู่ ผมอยากขัดจังหวะแต่ทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อเขาห้าม เราก็ควรเงียบ

"ทำไมพี่ไม่เชื่อพรีมคะ"
เธอถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแล้วขยำเสื้อนักศึกษาของหมอทาวน์จนเป็นรอยยับ สายตาที่เขาใช้มองพรีมช่างว่างเปล่าและเย็นชาอย่างน่ากลัว มือเรียวปัดการเกาะกุมนั่นทิ้งโดยไม่สนใจใครจะมองแบบไหน ผมเชื่อว่าความอดทนคงเดินมาสุดทางแล้ว

"พรีมอ้าขาให้มันไปกี่รอบ จำไม่ได้เหรอ"
เสียงกระซิบช่างแผ่วเบานั้น เชื่อว่าคนอื่นไม่ได้ยินแต่ผมกลับได้ยินอย่างชัดเจนจนเผลอเบิกตาโต พรีมไม่ได้แค่นอกใจแต่นอกกายด้วย ผู้หญิงคนนี้ไม่คู่ควรกับหมอทาวน์เลยสักนิด

เพี๊ยะ!

"เฮ้ยคุณ! มันจะมากไปหรือเปล่าครับ"
ผมลุกพรวดขึ้นทันทีเมื่อเสียงเนื้อกระทบเนื้อดังขึ้น ไม่รู้อะไรดลใจให้จับข้อมือของพรีมไว้แน่น ถึงเธอจะโมโหแค่ไหนก็ไม่ควรทำแบบนี้





ต่อด้านล่างน้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
ผมยอมรับว่าคำพูดของหมอทาวน์รุนแรงจนสามารถบันดาลโทสะได้ แต่ถ้ามันไม่ใช่เรื่องจริง ใครที่ไหนจะกล้าพูดแบบนั้นกับคนที่เคยเป็นแฟน เธอก็แค่กลบเกลื่อนความผิดด้วยการโมโหใส่ น่าขยะแขยงจริงๆ

"แกเป็นใคร มายุ่งอะไรด้วย คนเป็นแฟนจะคุยกัน!"
เธอตวาดและสะบัดแขนอย่างแรงแล้วมองหน้ากันอย่างเอาเรื่อง ผมปล่อยพรีมให้เป็นอิสระ ไม่ถือโทษโกรธอะไรที่โดยทำพฤติกรรมแบบนี้ใส่ เข้าใจดีว่าเมื่อมีคนอื่นเข้ามาวุ่นวายคงโมโหเป็นธรรมดา

"ผมว่าผมหูดีนะครับ พี่ทาวน์บอกว่าคุณเป็นแฟนเก่า"
ผมพูดออกไปตามที่ได้ยินหมอทาวน์บอก ตอนนี้ถึงจะโดนเขาโกรธที่เข้ามายุ่มย่ามก็ไม่สนแล้ว เพราะสังเกตจากท่าทางที่นิ่งไปและเอาแต่ก้มหน้า คงไม่ไหวจริงๆ

"แล้วยังไง แกเป็นใครมาจากไหน ถอยออกไปนะ ฉันจะคุยกับพี่ทาวน์!"
เธอออกแรงผลักอกผมจนเซถอยหลัง โทสะทำให้คนมีแรงกายเยอะขึ้นกว่าปกติหลายเท่าตัว ทุกคนออกอาการตกใจยกเว้นหมอทาวน์ที่ยังรักษาระดับความนิ่งเหมือนเดิม

เขาเงยหน้าขึ้นแววตาที่สบมองมาที่ผมนั้นเต็มไปด้วยความเสียใจและทรมาน คล้ายกับวอนขอให้พาออกไปจากที่นี่สักที

"ผมไม่ให้คุยครับ พี่ไปกับผมเถอะ"
ผมบอกพรีมไปแบบนั้นแล้วเดินไปหาหมอทาวน์ก่อนจะถือวิสาสะจับข้อมือนั้นแล้วลากเขาออกมาจากสถานการณ์น่าอึดอัด ไม่มีการขัดขืน ไม่มีเสียงประท้วงใดๆ ถ้ากอดปลอบได้นายภาคินคงทำไปแล้ว

ผมเดินอย่างไร้จุดหมายจนมาถึงสวนหย่อมด้านหลังตึกแพทย์ ที่นี่เงียบสงบ ผู้คนไม่ค่อยพลุกพล่านแถมอากาศเย็นสบายเพราะมีต้นไม้เยอะ หมอทาวน์ที่เงียบมาตลอดทางกระตุกข้อมือเบาๆ จนผมต้องผงะแล้วปล่อยเขาให้เป็นอิสระ เผลอจับมาได้ตั้งนาน อายฉิบหาย ดีนะที่ไม่โดนต่อย

"ขอโทษทีครับพี่หมอทาวน์"
ผมเอ่ยขอโทษแล้วหัวเราะเสียงแห้งตบท้าย หมอทาวน์ส่ายหัวช้าๆ เหมือนไม่ถือโทษโกรธอะไร เขาหย่อนตัวลงนั่งบนพื้นหญ้าแล้วกอดเข่าเหม่อมองไปด้านหน้า

"ทีหลัง..."
เขาพูดขึ้นในขณะที่ผมกำลังหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ ทำให้ชะงักไปเล็กน้อยและเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

"หือ ว่าไงนะครับ"
ผมถามแล้วนั่งลงข้างๆ เขา หญ้าที่นี่แข็งจนทิ่มกางเกงสแล็คได้แต่หมอทาวน์ไม่ยักจะมีปฏิกิริยาอะไร

"เรียกแค่ทาวน์หรือเมืองเหนือก็พอ"
เขาบอกแล้วเหลือบมองกันก่อนจะหันไปมองเบื้องหน้าเช่นเดิม ผมได้แต่ขมวดคิ้วเพราะไม่ได้คาดคิดว่าหมอทาวน์จะพูดเรื่องนี้ แค่เรียกชื่อก็มีปัญหาเหรอ เผลอทำอะไรไม่ถูกใจไปบ้างล่ะ ไม่รู้ตัวเลย

"เรียกหมอก็ดีนา ไม่ชอบเหรอครับ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงหงอยๆ แล้วเหลือบมองคนด้านข้างแบบกล้าๆ กลัวๆ ถ้าเขาเกิดโมโหเหมือนวันนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเราคงพัฒนาได้ยาก

"ยังไม่ได้เป็น"
หมอทาวน์เฉลยด้วยน้ำเสียงไม่แสดงอารมณ์ แต่ผมกลับเบาใจเพราะอาการแบบนี้คงไม่ได้โกรธที่โดนเรียกแบบนั้น หรือบางทีอาจเสียใจจนขี้เกียจตอบโต้เรื่องอื่น

"โอเคๆ พี่ทาวน์ก็พี่ทาวน์ครับ"
ผมตอบกลับแล้วคลี่ยิ้มบางให้ เขาหันมาพยักหน้าเป็นเชิงรับทราบก่อนกระชับอ้อมแขนกอดเข่า ถึงสีหน้าจะเรียบเฉย แต่แววตาบ่งบอกว่าเสียใจ

"อืม"

ไม่มีใครเริ่มบทสนทนาใหม่ แค่ปล่อยให้เวลาผ่านไปช้าๆ และรับสายลมเอื่อยๆ ที่พัดเข้ามาปะทะร่างกาย บางครั้งแค่การมีใครนั่งอยู่ข้างๆ ไม่ต้องมีคำปลอบโยน มันก็รู้สึกดีได้เหมือนกัน ผมคิดว่าพี่ทาวน์น่าจะชอบแบบนี้

รู้ว่ามันไม่ควรเท่าไหร่ที่ทำตัวเหมือนสนิท ถามนู่นถามนี่ แต่ด้วยความเป็นห่วงเสริมความอยากรู้ก็ทำให้หลุดปากพูดออกไปจนได้

"นี่... เมื่อกี้น่ะ เจ็บมากไหมครับ"

"โดนตบเหรอ... ไม่เจ็บหรอก"

"เปล่าครับ ผมถามถึงหัวใจน่ะ เจ็บมากไหม"

"....."
พี่ทาวน์เงียบไป ดวงตาสั่นไหวจนผมต้องเม้มปากแน่น ไม่น่าถามแบบนั้นออกไปเลย แผลสดขนาดนี้ไม่เจ็บก็แปลกแล้ว

"อยู่กับผมจะร้องไห้ก็ได้นะ ไม่เอาไปบอกใคร สาบานด้วยเกียรติของลูกเสือ"
ผมพูดต่อเพราะไม่อยากให้บรรยากาศมันอึมครึมเกินไป พี่ทาวน์หันมาเลิกคิ้วมองกันก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาแล้วพยักหน้ารับคำ

"อืม ขอบใจ"

พี่ทาวน์เอนตัวนอนราบไปกับพื้นหญ้าโดนไม่สนว่าชุดนักศึกษาจะเปื้อนหรือไม่ ผมเหลือบมองเขาแล้วพบว่ากำลังหลับตาอยู่ คงเหนื่อยล้าจนอยากพัก

ดวงตาคมมองนาฬิกาข้อมืออย่างชั่งใจ เพราะตอนนี้ใกล้ถึงเวลาบ่ายโมงเข้าไปทุกที ผมมีเรียนต่อและสรุปเอาเองว่าอีกคนคงโดนยกเลิกคลาส ไม่อยากปล่อยเขาเอาไว้ตรงนี้คนเดียว

"ดีขึ้นหรือยังครับ"
ผมถามออกไป ไม่ได้หวังจะเอาคำตอบว่าดีหรือไม่ดี เพราะไม่คิดว่าตัวเองมีความสามารถพอจะทำให้คนอกหักสบายใจขึ้น ขนาดจิณณ์ยังเอาแต่อมทุกข์เป็นเดือนๆ แย่เนอะ ปลอบใครไม่เป็นจริงๆ

"อืม นิดหน่อย มึงจะไปไหนต่อ"
เขาตอบกลับก่อนจะยันตัวลุกขึ้นแล้วปัดเศษหญ้าเศษใบไม้ออกจากตัว ผมมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกตื้อในอก มันดูเป็นธรรมชาติ ไร้ความเย็นชาแตกต่างจากพี่ทาวน์ในช่วงเวลาที่พบเห็นแบบปกติ

"ผมเหรอ มีเรียนตอนบ่ายครับ"
ผมตอบกลับไปแล้วยืดตัวบิดขี้เกียจ แต่จังหวะนั้นสายตาดันเผลอไปเห็นเศษใบไม้ติดหัวพี่ทาวน์ และด้วยความมือไวเลยเอื้อมไปหยิบมันออกโดยลืมขออนุญาต ทำให้เขาชะงักไปครู่หนึ่ง แต่หลังจากนั้นก็กลับมาปกติ

"งั้นเดี๋ยวไปส่ง เรียนคณะไหน"
เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วปัดกางเกงอีกครั้ง ผมอ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ นี่พี่ทาวน์จะไปส่งอย่างนั้นเหรอ โอย แต้มบุญเยอะขนาดนั้นเลยวะนายภาคิน แต่เกรงใจ...

"เฮ้ย ไม่ต้องครับ เดี๋ยวผมไปกับเพื่อน"
ผมรีบลุกขึ้นจนเซไปด้านข้างแต่สามารถทรงตัวได้ทัน เหน็บชาจะมาแดกขาอะไรตอนนี้วะ คนยิ่งตื่นเต้นอยู่

"คณะอะไร"
พี่ทาวน์ไม่ได้สนใจคำตอบเลยแม้แต่นิดเดียว เขายังคงถามในสิ่งที่อยากรู้แล้วล้วงกุญแจรถออกมาจากกระเป๋ากางเกง

"พี่ทาวน์ครับ..."
ผมเรียกเสียงอ่อนด้วยความเกรงใจ ไม่อยากให้เขาลำบากไปส่งที่คณะ เพราะระยะทางมันไกลหลายกิโลฯ

"ตอบ"
น้ำเสียงเย็นๆ มาพร้อมกับดวงตาดุทำให้ผมเผลอสะดุ้งยืนหลังตรงแล้วตอบกลับไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตอนนี้ตามใจเขาไปแล้วกัน

"สถาปัตย์ครับ"

"อืม ตามมา"
แล้วเขาก็เดินนำไปยังลานจอดรถคณะแพทย์โดยไม่หันหลังมาสนใจผมอีกเลย แต่ด้วยความเงียบเลยทำให้ตัดสินใจพูดอะไรบางอย่างออกไป

"ขอโทษที่รบกวนนะครับ"

"ไม่เป็นไร"

รถเอสยูวีทะยานสู่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ภายในเวลาแค่ห้านาทีด้วยความตีนผีของพี่ทาวน์ล้วนๆ ระหว่างทางผมไม่ได้ปริปากพูดอะไรเลยเพราะโทรศัพท์ของเขาเอาแต่ร้องดังลั่นไม่หยุด ไม่ต้องเดาให้เหนื่อยว่าใครจิกนอกจากพรีม เพราะไอ้ฟาร์มไลน์มาบอกว่าพี่ฟากับพี่แฮมไปรอเพื่อนที่หาสมุด

"หมอ เอ้ย พี่ทาวน์ไม่เป็นอะไรแน่นะครับ"
ผมถามเมื่อรถจอดสนิทที่หน้าคณะ คนแถวๆ นั้นหันมามองด้วยความสนใจ เพราะนานๆ ครั้งจะมีรถยุโรปมาเยือนสักที และบางคนคงจำได้ว่าเป็นรถของอดีตเดือนมหา'ลัยปีที่แล้ว

"กูสบายดี"

"แต่... ผมเป็นห่วง"
ท้ายประโยคผมแทบจะพูดไร้เสียง แต่เหมือนคนข้างๆ จะได้ยินอย่างชัดเจนเพราะเห็นเขากระตุกรอยยิ้มเพียงเสี้ยวนาที

"หึ ลงไปได้แล้ว"
เขาเอ่ยปากไล่ด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ซึ่งมันทำให้ผมแทบจะกลั้นยิ้มไม่อยู่ พี่ทาวน์เวอร์ชั่นแสดงอารมณ์น่ารักเป็นบ้า

"ครับๆ เอ้อ เย็นนี้พี่แข่งบาสฯ ใช่ไหม"
ผมถามกลับไปเมื่อนึกขึ้นได้ เย็นนี้คณะแพทย์มีแข่งบาสฯ รอบชิงชนะเลิศกับคณะวิทยาศาสตร์

"อืม"
เขาตอบรับในลำคอแล้วเลิกคิ้วขึ้นคล้ายสงสัยว่ารู้เรื่องนี้ได้ยังไง แต่ผมเลือกที่จะไม่ตอบแล้วเปิดประตูลงจากรถแทน

"เดี๋ยวผมไปเชียร์นะ บ๊ายบาย"
ผมบอกเขาด้วยน้ำเสียงร่าเริงแล้วโบกมือลาพี่ทาวน์ก่อนจะเดินเข้าคณะด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข โดยไม่รู้เลยว่าคนที่นั่งอยู่ในรถก็ส่งยิ้มบางตามมา




----------------------------------------------


น้องเจ็ทมีความคืบหน้านะเออ... ค่อยเป็นค่อยไปจะไม่นก (มั้ง) 555555
เรื่องนี้วางพล็อตไว้ 40 ตอนล่ะ จะงอกเงยมากกว่าหรือลดลงต้องลุ้นต่อไป

ปล. ไม่มีใครคอมเม้นท์เลย มันไม่สนุกเหรอ T^T จะติอะไรก็ได้นะ จะได้เอาไปปรับปรุง

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5




"ให้ไวเลยพวกมึง บาสฯ จะเริ่มแข่งแล้ว"
ผมออกปากเร่งเพื่อนอีกสามคนที่ตกลงว่าจะไปดูแข่งบาสฯ ด้วยกัน แต่มันน่าขัดใจตรงที่ไอ้ฟาร์มเอาแต่ส่องกระจกเช็กความหล่อของตัวเอง ไอ้ตังค์มัวแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับหน้าจอแท็บเล็ต ส่วนไอ้ไธกดโทรศัพท์ยิกๆ พวกคุณช่วยรีบกันหน่อยไม่ได้หรือไง กว่าจะขับรถไปโรงยิมใช้เวลาหลายนาทีนะเว้ย เผลอๆ ชวดที่จอด นกไหมล่ะคราวนี้


"ขอเช็กหน้าตัวเองก่อนดิวะ เดี๋ยวเจอพี่ฟาแล้วเขาจะไม่ประทับใจ"
ไอ้ฟาร์มมุ่ยหน้าใส่แล้วบ่นกระปอดกระแปด ผมได้แต่ถอนหายใจกับความบ้าของมัน ตอนพี่ฟานั่งอยู่ข้างๆ เห็นเอาแต่เงียบ พอตอนนี้ทำพูดดี ไอ้กากเอ้ย น่าหมั่นไส้


"เขาไม่ประทับใจมึงหรอก เอาแต่นั่งอมดอกพิกุลอยู่ได้"
ผมตบหัวมันด้วยความหมั่นไส้แล้วลุกขึ้นจากโต๊ะเลคเชอร์เพราะขี้เกียจรอ ขืนพิรี้พิไรอยู่อาจจะได้กลับไปนอนบ้านใครบ้านมัน


"โอ้ย ก็คนมันเขินนี่หว่า ให้ทำไง"
เสียงไอ้ฟาร์มโวยวายดังมาจากด้านหลังและเสียงฝีเท้าของคนสามคนที่ตามมาติดๆ ผมได้แต่กรอกตาอย่างเบื่อหน่ายเนื่องจากความเอื่อยเฉื่อยของเพื่อน ถ้ากูไม่ลุกพวกมึงก็จะไม่เคลื่อนย้ายใช่ไหม หอกหัก!


"เก่งแต่ปากนะมึง หัดทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันบ้าง บอกจะจีบพี่ฟา พอถึงเวลาจริงๆ ทำเป็นเด็กไร้เดียงสา เห็นแล้วรำคาญลูกตา"
ผมไม่ได้ตั้งใจจะเหน็บเพื่อนแต่อยากทำให้มันมีความกล้ามากกว่านี้ ถ้าขืนยังเขินอายไม่เข้าท่า บางทีสิ่งที่มุ่งหวังไว้คงพังเอาง่ายๆ พี่ฟาเป็นคนน่ารักถึงจะขี้เหวี่ยงยังไงก็มีคนตามจีบเยอะ หล่อกว่า ดีกว่าไอ้ฟาร์มก็มีถมถืดไป (พี่ฟาเขาเป็นเกย์โดยสมบูรณ์)

"เจ็บอะ ทำไมต้องดุกูด้วย"
ไอ้ฟาร์มเบะปากลงแล้วหันมาส่งสายตาแสดงอาการงอนให้ ผมมองมันอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัวด้วยความปลง ทำตัวอย่างกับเด็กแบบนี้ใครมันจะสนใจ ไอ้ไธที่เดินมากอดคอกันถึงกับตัวสั่นเพราะกลั้นหัวเราะ มีอะไรน่าขำนักหนาวะ เรื่องซีเรียสนะมึง

"ไม่ต้องมาเบะปากเลย รีบๆ ไปเอารถมาได้แล้ว กูรอหน้าคณะ"
ผมโบกมือไล่เพื่อนอย่างไม่ใยดีเลยได้ค้อนวงใหญ่จากไอ้ฟาร์มมาอีกรอบ ขยันทำตัวง้องแง้งจังวะ จะไปเป็นผัวเขายังไงไหว เห็นๆ ว่าเป็นเมียคงเหมาะกว่า

"เออๆ สั่งจังพ่อ ไอ้ตังค์ไปกับกูเลย เลิกดูการ์ตูนด้วย เดี๋ยวเดินตกหลุมอีกมึงน่ะ"
มันบ่นกระปอดกระแปดก่อนจะหันไปลากคอไอ้ตังค์ที่กำลังเพลิดเพลินกับการ์ตูนในแท็บเล็ต สารภาพตรงๆ ว่าพวกผมเลิกกีดกันเพื่อนกับฮินะจังแล้ว อาการหนักจนกู่ไม่กลับจริงๆ ก็ได้แต่ห่วงอยู่ห่างๆ และเตรียมตัวเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวแต่งงานกับสแตนดี้สักวัน

"โธ่ คุณฟาร์ม"
มันโอดครวญด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์หลังจากที่โดนไอ้ตังค์คว้าแท็บเล็ตไปปิดซะเอง แถมยังเอาไปหนีบใต้รักแร้ไม่ให้คืน

"ไม่ต้องมาโธ่ใส่กู ไปๆ"
ไอ้ฟาร์มผลักหัวไอ้ตังค์ก่อนจะออกเดินไปลิ่วๆ คนโดนทิ้งได้แต่ทำหน้าเหวอแล้ววิ่งตามอย่างไม่คิดชีวิต เสือกสะดุดขาตัวเองเกือบล้มอีก... ซุ่มซ่ามไม่มีใครเกินจริงๆ

"วันนี้กินอมยิ้มเยอะเหรอมึง"
ไอ้ไธถามขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริงผิดวิสัย ผมได้แต่ขมวดคิ้วแน่นเนื่องจากวันนี้ยังไม่ได้กินอมยิ้มสักอัน คิดถึงแล้วก็อยาก... รสโคล่าก็ดี ส้มก็เวิร์ค แอปเปิ้ลก็ใช่ เฮ้อ

"เยอะบ้าอะไร ยังไม่ได้แตะสักอัน"
ผมบอกก่อนจะปัดแขนมันทิ้ง ไม่ได้รังเกียจแต่ตอนนี้อากาศมันร้อนจนเสื้อนักศึกษาด้านหลังเปียกแนบเนื้อ ไอ้ไธคงเข้าใจดีเลยไม่มีปฏิกิริยาอะไรนอกจากยิ้มล้อเลียน อะไรของมันอีก

"ก็เห็นมึงดุ"
โห... ชัดเลย ไอ้เพื่อนเลว หลอกด่ากูเต็มๆ

"ไอ้ไธ... กูไม่ใช่หมา"
ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่มันก็จะคิดได้ว่าทำแบบนี้ยิ่งเหมือนหมา แต่ช่างมันเถอะ แก้ไข้อะไรไม่ทันแล้ว ไอ้ไธก็หัวเราะแทบจะขาดใจตาย หึ!

"อ้าวเหรอ นึกว่าใช่ซะอีก แล้ววันนี้ไปแดกข้าวคณะแพทย์เป็นไงบ้าง"
มันเปลี่ยนเรื่องแล้วมองผมด้วยสายตาแวววาว คงอยากถามความคืบหน้า แต่พอคิดไปถึงเรื่องเมื่อเที่ยงก็พาลรู้สึกโหวงๆ ในอก ไม่รู้ป่านนี้หมอทาวน์จะเป็นยังไงบ้าง มีสมาธิกับการแข่งหรือเปล่านะ

"แจ็กพอตแตกครับคุณ แฟนเก่าพี่ทาวน์มาโวยวายกลางโรงอาหารแถมตบหน้าเขาด้วย"
ผมเล่าด้วยอารมณ์โมโหกึ่งอึดอัด ในช่วงเวลาตอนนั้นมีความรู้สึกหลากหลายไปหมด มันเป็นสถานการณ์ชวนทำตัวลำบาก คนรอบข้างเยอะ และตอนนี้เรื่องคงกระจายในโซเชี่ยลแล้ว

"เฮ้ย จริงดิ แล้วมีใครเข้าไปห้ามปะวะ คนเยอะขนาดนั้น"
ไอ้ไธถามด้วยน้ำเสียงตกใจ ดวงตาคมเบิกกว้างขึ้น ผมได้แต่ถอนหายใจแล้วพยักหน้าเนือยๆ

"กูเนี่ยล่ะห้าม พอดีนั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกัน แม่งเอ้ย ตอนนั้นมือสั่นไปหมด ตกใจฉิบหาย"
ผมเผลอใส่อารมณ์ในประโยคสุดท้ายและไม่รู้ว่าตัวเองแสดงสีหน้าออกไปยังไง ไอ้ไธถึงเอื้อมมือมาลูบไหล่กันคล้ายปลอบโยน ตอนนั้นถ้าโดนพรีมตบไปด้วยอีกคนคงสติหลุดด่าเธอกลับไปแน่ๆ

"แล้วพี่ทาวน์เป็นไงบ้างวะ"

"กูลากเขาไปหลังตึกน่ะ แล้วก็นั่งเป็นเพื่อนเงียบๆ อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย มึงก็รู้ว่ากูปลอบใครไม่เป็น มีแต่พูดตรงๆ"
ผมพูดเสียงอ่อยเพราะรู้สึกว่ายังช่วยพี่ทาวน์ได้ไม่ดีพอ บางทีสิ่งที่คิดว่าดีสำหรับเราแล้วอาจจะไม่ดีสำหรับคนอื่น ยอมรับว่าประเมินคนด้วยลักษณะภายนอก แต่ภายในใครจะรู้ได้ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร คงต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ

"เออ ดีแล้วมึง บางทีพูดอะไรไปอาจจะสะกิดแผลเขาอีก"
ไอ้ไธยกมือขึ้นขยี้หัวกันเบาๆ ผมเลยพนักหน้ารับคำปลอบของมันโดยไม่ด่าเรื่องหัวยุ่ง เฮ้อ ขอให้ทุกอย่างไม่เลวร้ายไปกว่านี้ด้วยเถอะ

"อืม"

พวกเรามาถึงโรงยิมในเวลาฉิวเฉียด อีกห้านาทีการแข่งขันจะเริ่มขึ้น ผู้คนดูหนาตาแถมส่วนมากเป็นผู้หญิง นี่พวกเธอชอบบาสฯ หรือนักบาสฯ กันแน่วะ แต่จากเสียงกรี๊ดกร๊าดตอนโฆษกขานชื่อคนในทีมก็ได้คำตอบแล้ว... อย่างหลังชัวร์

"แม่ง คนเยอะโคตร นี่เขามาดูแข่งบาสฯ หรือคอนเสิร์ตนักร้องเกาหลีวะ"
ไอ้ฟาร์มถามในขณะที่ผมกำลังมองหาที่ว่าง อัฒจรรย์ด้านนั้นก็เต็มด้านนี้ก็เต็ม จะให้ไปนั่งตรงไหนกันล่ะทีนี้

"ทำใจเหอะ อดีตเดือนมหา'ลัยลงแข่งทั้งที แฟนคลับมาเชียร์ไปธรรมดา"
ไอ้ไธตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่มันทำให้ผมขมวดคิ้วฉับ แฟนคลับหรือศัตรูของกูกันแน่ จีบคนโสดนี่ลำบากจริงๆ ผู้แย่งชิงตำแหน่งแฟนเยอะสัด คิดแล้วจะร้องไห้

"ไม่คิดว่าพี่ทาวน์จะฮอตขนาดนี้"
ผมพึมพำแต่ไอ้ไธกลับได้ยิน หูหมาเหลือเกินนะเพื่อน แล้วมึงเป็นอะไรเนี่ย ต้องกอดคอกันอยู่เรื่อย อากาศร้อนเข้าใจไหมวะ

"ผู้หญิงชอบผู้ชายขรึมๆ มันดูน่าค้นหา"
ยังไม่วายพูดให้ผมหน้ามุ่ยยิ่งกว่าเดิม หนทางริบหรี่ฉิบหาย ไปเกิดใหม่เป็นผู้หญิงตอนนี้ทันไหม

"กูก็ชอบนะ อยากค้นทุกซอกทุกมุมเลยว่ะ"
ผมบอกย้ำความชอบของตัวเองให้ไอ้ไธรับรู้แล้วมองไปที่พี่ทาวน์ เขากำลังยืดเส้นยืดสายและหันไปคุยกับคนในทีม เสื้อบาสฯ แขนกุดที่สวมใส่ทำให้เห็นท่อนแขนขาวเนียน สารภาพอย่างแมนๆ ว่าอยากเข้าไปลูบฉิบหาย คงจะนุ่มน่ากัด ฮึย มันเขี้ยวว่ะ

"อย่างมึงเขาเรียกหื่น"
อูย เจ้าพ่อมาเองหรือไง รู้ใจกูจริง

"ใช่เหรอ กูใสๆ มึงอย่าปรักปรำ"
ทำหน้าตาใสซื่อเข้าสู้ทั้งๆ ที่รู้ว่าเพื่อนไม่เชื่อ ไอ้ไธอ้าปากด่าแบบไรเสียงว่า 'ตอแหล' แต่ผมไม่ถือสา เพราะมันคือเรื่องจริง ภาคินรับได้

"เฮ้ยๆ พี่ฟาโบกมือให้กูอะ ฮือ เขิน"
อยู่ๆ ไอ้ฟาร์มก็ร้องโวยวายขึ้นมาก่อนจะยกมือขึ้นกุมแก้มตัวเองด้วยท่าทางเขินอายสุดชีวิต ผมขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจแล้วมองหาพี่ฟา เจอเขานั่งอยู่ด้านล่างอัฒจรรย์ ใกล้ๆ นักกีฬา

เมื่อสังเกตดีๆ จะเห็นว่าเขาไม่โฟกัสมาที่ไอ้ฟาร์มเลยสักนิด น่าจะเป็นผมหรือไอ้ไธมากกว่า แต่พอหางตาเหลือบเห็นคู่จิ้นโบกมือตอบกลับไปก็บรรลุ

"เดี๋ยวๆ มึงตั้งสติหน่อยไอ้ฟาร์ม เขาโบกมือให้ไอ้ไธนู่น เลิกมโนสักที"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายแล้วเอื้อมมือไปดีดหน้าผากให้เลิกมโน ไอ้ฟาร์มถึงกับร้องอูยออกมาแล้วบึนปากใส่กัน สีหน้าบ่งบอกว่าไม่พอใจสุดขีด ก็หวังดีไม่อยากให้เพื่อนคิดไปเองคนเดียว

"ไม่ช่วยก็อย่าซ้ำเติม!"
ตะโกนใส่หน้าผมจบมันก็หันไประรานดึงโทรศัพท์ออกจากมือไอ้ตังค์แล้วกอดล็อกหน้าจอ เด็กเนิร์ดทำอะไรไม่ได้นอกจากทำท่าอึกอัก ในใจคงเรียกร้องหาฮินะจังจะเป็นจะตาย ไหนวะไอ้ฟาร์มเสือผู้หญิง สายเปย์ มาแพ้ทางพี่ฟาตัวเล็กน่าปล้ำขี้เหวี่ยงเนี่ยน่ะเหรอ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น

"ไปนั่งกับพี่ฟากัน"
ไอ้ไธบอกก่อนจะดึงแขนผมให้ออกเดิน ไม่วายต้องยกเท้าขึ้นสะกิดไอ้คนขี้งอนข้างๆ มันหันมาทำท่าฮึดฮัดใส่แต่สุดท้ายก็ยอมตามมา เพราะพวกเราจะไปนั่งกับพี่ฟา ขืนทำเล่นตัวมากคงพลาดโอกาสใกล้ชิด

ในจังหวะที่กำลังเดินก้าวยาวๆ เพื่อให้ถึงจุดหมายกลับต้องชะงักเท้ากึกกลางคันเมื่อได้ยินเสียงโฆษกผ่านไมค์ดังไปทั่วทั้งโรงยิม ทั้งผู้ชม นักกีฬาและกรรมการต่างหันมาทางนี้เป็นตาเดียว ไอ้ฉิบหาย!

"นั่นใครครับ มาดูแข่งบาสฯ รอบชิงด้วย น้องจิณณ์หรือน้องเจ็ทเอ่ย แต่ดูภาพรวมและผองเพื่อนแล้วหนุ่มคณะ'ถาปัตย์แน่นอน! ~"

"เจ็ทๆๆ กรี๊ด!!"
เสียงเรียกชื่อซ้ำๆ จนผมได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วยกมือขึ้นมาปิดหูเมื่อเสียงกรี๊ดดังตามมา อยากจะบ้าตาย จะมาดูบาสฯ แบบสงบแท้ๆ ทำไมกลายเป็นเปิดตัวกลางสนามแบบนี้ว่ะ ผู้ชายคนอื่นไม่เขม่นกูตายหรือยังไง แย่งซีนโดยไม่ต้องการสัดๆ

"ห่า... โฆษกนี่ใครวะ กูจะลากมันไปฆ่าหลังแข่งจบ ประกาศออกไมค์หาสวรรค์วิมารอะไรมา แม่ง"
ผมหันไปบ่นกับเพื่อนก่อนจะออกเดินโดยไม่สนใจเสียงต่างๆ รอบตัว ไอ้ไธถึงกับยิ้มล้อเลียนความโด่งดังที่ไม่ต้องการ ไอ้ตังค์ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ส่วนไอ้ฟาร์มเข้ามากระแซะไหล่

"แอจมินเพจเซ็กซี่บอยไงมึง โคตรเครซี่ยูเลยฮะ กูเอาหัวเป็นประกัน ถึงขนาดมองข้ามไอ้ไธเดือนคณะอะคิดดู"
มันเฉลยสิ่งที่คาใจ แต่ผมไม่อยากฟังอีกแล้ว อุตส่าห์อยู่เงียบๆ ไม่สุงสิงกับใคร เพจมาขอสัมภาษณ์หรือถ่ายรูปก็โยนไปให้จิณณ์แล้วอ้างว่าก็เหมือนๆ กัน ฝาแฝดกัน

"เงียบไปไอ้กาก"

"เชอะ ใจร้าย"
มันสะบัดคอแทบหลุดแล้วเดินดุ่มๆ ไปหาพี่ฟาด้วยใบหน้าระรื่นทันที แต่พอจะหย่อนตัวลงข้างๆ กลับกลายเป็นนายเจี๋ยมเจี้ยมสุภาพเรียบร้อย ไม่กล้าสบตา แบบนี้คนที่ออกปากจะจีบเขาก่อนใครเพื่อนคงนกซ้ำนกซ้อน กูขอแซงหน้ามึงไปก่อนแล้วกันนะ อ้อ ไอ้ไธด้วย บายนะเพื่อนบาย ~

"ว่าไงไอ้น้อง ดังเชียวนะมึง"
พี่ฟาทักเมื่อผมกับไอ้ไธยกมือไหว้ กะว่าจะยิ้มทักทายสักหน่อยกลับต้องหุบลงเมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ แม่งเอ้ย คนยังมองมาทางนี้อยู่เลย ทั้งๆ ที่นักกีฬาเริ่มลงสนามแล้ว ไม่ชอบการเป็นจุดสนใจ มันอึดอัด

"ขออยู่สงบๆ เถอะพี่ฟา ไม่ชอบความวุ่นวาย"
ผมทิ้งตัวลงนั่งบนอัฒจรรย์ด้านหน้าพร้อมกับไอ้ไธซึ่งติดกับที่พักนักกีฬาพอดี นี่มันที่วีไอพีโคตรๆ ทั้งใกล้ชิดและเสี่ยงโดนลูกบาสฯ อัดหน้า ไม่ได้เป็นคนลงแข่งเองมันก็มีกลัวบ้างเป็นธรรมดา

"ประเภทเดียวกับไอ้ทาวน์สินะ รักความสงบ"
เหมือนพี่ฟาพึมพำกับตัวเอง แต่ผมได้ยินชัดเจนแล้วได้แต่ลอบยิ้ม นิสัยเหมือนกันขนาดนี้จะเหมาะสมเป็นแฟนกันในสายตาคนอื่นไหมนะ

การแข่งขันเริ่มต้นไปเรื่อยๆ ฝ่ายคณะแพทย์นำอยู่สองแต้ม ผมดูไม่ค่อยรู้เรื่องว่าใครเล่นดีหรือไม่ดี เพราะสายตาเอาแต่คอยจับจ้องพี่ทาวน์ที่อยู่ในสนาม บางจังหวะที่เขาเลย์อัพแล้วเสื้อมันเปิดขึ้น ตอนนั้นตาแทบค้าง กำเดาแทบไหล อะไรมันจะขาวและอุดมไปด้วยกล้ามเนื้อลอนสวยขนาดนั้น ถึงของตัวเองจะมีมากกว่า แต่ชอบของเขา... คงหื่นอย่างไอ้ไธกล่าวหาจริงๆ

"นี่... กูถามไรอย่างดิ"
อยู่ๆ พี่ฟาก็แตะมือเข้าที่ไหล่จนผมสะดุ้งเฮือกและหันไปมองคนด้านบนด้วยใบหน้าตื่นๆ โดนจับได้ที่มองเพื่อนเขาหรือเปล่า แต่ไม่น่าจะใช่เพราะอยู่ๆ คนตัวเล็กก็ขำออกมา

"หือ มีอะไรครับ"

"ตกใจขนาดนั้น แค่จะถามว่าเมื่อตอนเที่ยงมึงลากทาวน์ไปไหนมาวะ"
ถึงจะไม่โดนจบได้เรื่องมองพี่ทาวน์ไม่วางตา แต่คำถามก็ไม่พ้นเรื่องของเขาอยู่ดี เอาเถอะ ผมยินดีพัวพันกับคนๆ นี้ไปนานๆ

"อ๋อ หลังตึกคณะแพทย์ไง"

"เหรอ แล้วมึงพูดอะไรกับมันบ้าง"

"ก็เปล่าครับ นั่งเป็นเพื่อนเงียบๆ น่ะ"

"เหรอวะ... แปลก"
คำท้ายมันเบาจนผมต้องขมวดคิ้ว ฟังไม่รู้เรื่อง เหมือนพี่ฟาพึมพำกับตัวเอง

"หา พี่ฟาว่าอะไรนะ"
ผมถามย้ำอีกครั้ง เผื่อที่ตัวเองคิดจะไม่ใช่ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธกลับมา

"เปล่าๆ"

การแข่งบาสฯ เริ่มดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคะแนนของทั้งสองฝ่ายตีเสมอกัน และตอนนี้เป็นช่วงพักครึ่งสิบห้านาที ซึ่งยาวนานพอให้นักกีฬาดื่มน้ำ แต่ยังไม่เห็นฝ่ายสวัสดิการโผล่หัวมาเลย พี่ทาวน์กับคนในทีมก็เดินเหงื่อตกกันมานู่นแล้ว ขัดใจชะมัด แล้วนี่จะไปหงุดหงิดแทนชาวบ้านทำไมวะ เป็นเอามากแล้วกู

"มึงๆ วานเอาน้ำไปให้ไอ้ทาวน์หน่อยดิ"
อยู่ๆ พี่ฟาก็ก้มตัวลงมาขอความช่วยเหลือพร้อมกับยื่นขวดน้ำผ่านไหล่มาให้กัน ผมรับมาถืออย่างมึนๆ ไม่ต้องรอสวัสดิการเหรอแล้วทำไมเขาไม่เอาไปให้เอง

"ผมเหรอ"
ถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ แต่ลึกๆ แล้วแอบหวั่นว่าพี่ฟาจะรู้เรื่องที่ผมชอบเพื่อนเขาหรือเปล่า

"เออ มึงนั่นล่ะ เอาน้ำไปให้มันหน่อย เหน็บชาแดกขากู ส่วนไอ้แฮมก็หนีกลับบ้านไปละ เสือกหิวข้าว"
พี่ฟาเฉลยด้วยน้ำเสียงฉุนๆ และเป็นจังหวะที่สายตาของผมเลื่อนไปมองที่ที่พี่แฮมเคยนั่งกินขนม ตอนนี้มันว่างเปล่าเป็นการยืนยันได้เป็นอย่างดี เฮ้อ โล่งใจ นึกว่าเขาจะระแคะระคายอะไร

"อ่า... ได้ครับ"
ผมตอบรับแล้วลุกขึ้นยืน เหลือบไปเห็นไอ้ฟาร์มแล้วได้แต่หลุดขำ มันนั่งก้มหน้าก้มตาเหลือบมองพี่ฟาไม่หยุดหย่อน เจ้าตัวเขาก็ร่าเริงเฮฮากับเพื่อนร่วมคณะไปเรื่อย จากนกคงกลายเป็นพญานกก็คราวนี้ล่ะ

"เอ่อ พี่ทาวน์ครับ"
ผมหยุดยืนอยู่ตรงหน้าคนที่กำลังก้มลงผูกเชือกรองเท้าอยู่ แผ่นหลังของเขาชื้นเหงื่อเป็นวงกว้าง เสื้อบางจนเห็นสีเนื้อด้านในให้ชวนหงุดหงิดใจ แต่แสดงอาการอะไรไม่ได้ เพราะตอนนี้สถานะแค่คนรู้จักก็หรูแล้ว

"มึง..."
เขาชะงักมือแล้วเงยมองหน้ากัน ดูท่าทางจะตกใจอยู่ไม่น้อยที่เป็นผมยื่นขวดน้ำให้แทนที่จะเป็นเพื่อนตัวเล็กของเขา

"พี่ฟาฝากน้ำมาให้ครับ"
ผมบอกก่อนจะคลี่ยิ้มให้ พี่ทาวน์คลายหัวคิ้วที่ขมวดออกแล้วพยักหน้ารับคำแล้วคว้าขวดน้ำไปเปิดดื่มด้วยความกระหาย

นักกีฬาคนอื่นมองผมด้วยความสนใจแต่ไม่นานก็ละสายตาไป สายน้ำที่ไหลจากขวดผ่านลำคอขาวๆ ทำให้ทุกอย่างรอบตัวเหมือนหยุดหมุน ทำไมรู้สึกว่าคนตรงหน้าเซ็กซี่แบบนี้ หัวใจเต้นแรงฉิบหาย

"ขอบใจ"
พี่ทาวน์เอ่ยขอบคุณหลังจากวางขวดน้ำลงที่พื้น ผมเลยได้สติกลับมาแล้วยกมือขึ้นเกาท้ายทอยก่อนจะส่ายหัวเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร โคตรเต็มใจบริการ เพิ่งฉุกคิดได้ว่าเผลอมองเขานานไปหน่อยจะรู้ตัวหรือเปล่านะ...

โค้ชกวักมือเรียกให้รวมทีมอยู่ไม่ไกล พี่ทาวน์ลุกขึ้นยืนแล้วทำท่าจะก้าวขา แต่ผมก็เผลอออกปากรั้งเขาจนได้ อยากตบปากตัวเองฉิบหาย แต่ไม่ทันแล้ว

"เอ่อ... พี่ทาวน์ครับ"

"ว่าไง"
เขาเหลียวมองแถมยังเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แก้มแดงๆ ที่เกิดจากการเล่นกีฬาทำให้ผมมองว่าเขาน่ารักจนต้องหลบสายตา

"สะ สู้ๆ นะครับ ผมเชียร์อยู่"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก อยากฟาดตัวเองให้ตายฉิบหาย ทำไมควบคุมตัวเองไม่ได้เลย แถมทำตัวมีพิรุธอีก ถ้าหมอทาวน์จะสงสัยความรู้สึกที่นายภาคินมีให้คงไม่แปลก ว่าแต่ไอ้ฟาร์มกากกูก็กากไม่แพ้มึงแล้วตอนนี้

"อืม รู้แล้ว"
หลังจากจบประโยคเขาก็เดินไปรวมกลุ่มกับคนในทีม ปล่อยให้ผมยืนค้างอยู่แบบนั้นเพราะเมื่อครู่พี่ทาวน์ยิ้ม ยิ้มจนแก้มบุ๋มลงไป ยิ้มกว้างจนทำให้ใจสั่น! ตายแน่ๆ ผมคงต้องไปโรงพยาบาลให้หมอตรวจสักหน่อยแล้ว ท่าทางอาการจะหนัก

ผมดึงสติกลับมาได้ในไม่ช้าแล้วล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นมาแอบถ่ายรูปด้านหลังของพี่ทาวน์ไว้เป็นที่ระลึก เสื้อกีฬาไม่ได้สกรีนชื่อผู้ใส่ แต่เป็นอักษรย่อคณะกับหมายเลข 'MED 09' แค่นี้ก็ฟินแล้ว เพราะหัวใจจดจำทุกอย่างเกี่ยวกับเขาได้เป็นอย่างดี

"ฟินไหม"
คำถามจากไอ้ไธดังขึ้นเมื่อผมหย่อนตัวนั่งที่เดิม คิ้วเรียวเลิกขึ้นด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจว่าเพื่อนถามถึงเรื่องอะไร พอมองเลยไปชั้นบนก็เห็นพี่ฟาย้ายไปนั่งกับเพื่อนอีกขั้นอัจรรย์ ปล่อยให้ไอ้ฟาร์มนั่งซบไหล่ไอ้ตังค์แบบหมดอาลัยตายอยาก น่าสงสารจริงๆ

"ฟินอะไรของมึง"
ผมละสายตาจากด้านบนมามองคนข้างๆ ที่เอาแต่ยักคิ้วหลิ่วตาไปทางสนาม ตอนนี้นักกีฬากำลังลงแข่งอีกครั้ง ต้องลุ้นสักหน่อยว่าคณะแพทย์จะชนะหรือเปล่า

"ก็เอาน้ำไปให้เขาไม่ใช่หรือไง"
ไอ้ไธถามเสียงไม่เบาจนผมได้แต่กรอกตาเลิ่กลั่กเพราะกลัวพี่ฟาจะได้ยิน เผลอยกมือขึ้นแตะริมฝีปากไอ้ไธไปด้วย นิ่มดีแต่ไม่น่าจูบ ยกให้จิณณ์แล้วกัน

"โคตรฟิน พี่เขายิ้มให้กูด้วย!"
ผมกระซิบกระซาบด้วยสีหน้าเต็มเปี่ยมความสุข พอคิดถึงรอยยิ้มนั่นหัวใจก็พาลเต้นแรง ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน

"ความฝันอยู่แค่เอื้อมแล้วมั้งเพื่อน"
ไอ้ไธบอกด้วยเสียงกลั้วหัวเราะแล้วพาดแขนบนไหล่อย่างสนิทสนม ผมไม่ได้ปัดออกเพราะตอนนี้กำลังมีความสุขกับเรื่องขอฃพี่ทาวน์จนเลิกกังวลสภาพอากาศและสายตาคนอื่น ไม่ได้แคร์ แต่รำคาญที่โดนแอบนินทาและถ่ายรูป

"กูว่าอีกไกล"
ผมคิดแบบนั้นจริงๆ เพราะการเอาชนะใจคนๆ หนึ่งก็ว่ายากแล้ว แถมยังเป็นผู้ชายแมนๆ อีก ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ถึงแม้อุปสรรคข้างหน้าจะเยอะขนาดไหน นายภาคินคนนี้สู้ไม่ถอยแน่นอน

"พยายามเข้า"
ไอ้ไธให้กำลังใจกันก่อนจะผละแขนออกไป มันกลับไปสนใจการแข่งขันในสนามต่อแต่ผมเพิ่งคิดอะไรขึ้นมาได้

"เออมึง... ทำไมอยู่ๆ เมื่อเช้าถึงกล้าเอาของกินไปฝากไอ้จิณณ์ถึงห้องวะ"
เรื่องนี้คาใจมาตั้งแต่เมื่อเช้า พอโดนขัดจังหวะด้วยเรื่องพี่ทาวน์เลยลืมไป ไอ้ไธกินยาผิดหรือจิณณ์งก

"ก็... กูตัดสินใจจะเดินหน้าเรื่องจิณณ์แล้ว"
ไอ้ไธพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่แววตาเต็มไปด้วยความแน่วแน่ ผมยิ้มให้กับความกล้าของเพื่อนแล้วเอื้อมมือไปขยี้หัวด้วยความเอ็นดู ในที่สุดมันก็ชนะความกลัวได้สักที

"เลิกป๊อดสักทีไอ้ไธ แต่ไอ้ฟาร์มกากแทน แล้วทำยังไงให้มันรับของวะ"
ไอ้ไธไม่ได้ปัดป้องอะไรที่ผมขยี้หัวจนยุ่งเหยิง มันทำแค่ช้อนตามองแล้วเบนหนีไปทางอื่น

"ไม่รู้ เมาขี้ตามั้ง กูยื่นให้แล้วบอกเอามาฝาก จิณณ์ก็รับไปง่ายๆ แถมยังขอบใจกูด้วย"
ไอ้ไธคงไม่มั่นใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไรเพราะดูจากสีหน้าก็รู้ว่าสับสน จะดีใจก็ไม่สุดจะเศร้าก็ไม่ใช่ เพราะสองคนนี้ไม่เคยคุยกันเป็นเรื่องเป็นราว ไม่มีความสนิทสนมถึงขั้นจะเดาท่าทางของอีกฝ่ายได้ มีแต่ผมที่เป็นแฝดเท่านั้นถึงที่รู้ว่าพี่ชายคิดยังไงกันแน่

"สงสัยเลิกคิดว่ามึงชอบกูแล้วมั้ง"
ผมเดาไปตามสิ่งที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ ไม่อย่างนั้นคนนิสัยแบบจิณณ์จะไม่อ่อนข้อให้กับไอ้ไธเด็ดขาด ไม่ชอบใครมันจะไม่คุยด้วย จะไม่ยุ่งด้วยเลย ดูท่าทางจะมีหวังเล็กๆ แสงที่ปลายอุโมงค์ ถึงแม้จะริบรี่ แต่เชื่อว่าสักวันมันจะชัดเจน

"งั้นเหรอ..."

"สู้นะ สักวันจิณณ์ต้องเป็นของมึง"
นี่ผมเต็มใจยกพี่ชายให้มันจริงๆ นะ ถ้าเป็นคนอื่นอย่างหวังเลย เพราะรู้จักนิสัยไอ้ไธดี ถึงมันจะชอบเซอร์วิสแฟนคลับแต่ไม่เคยให้ความหวังใคร รักเดียวใจเดียวแน่นอน รับประกัน

"ขอบใจเว้ย"

หลังจากการแข่งขันในสนามจบลงด้วยคะแนนที่ฝ่ายคณะแพทย์คว้าชัยชนะอย่างเฉียดฉิว พี่ทาวน์โบกมือลาเพื่อนในทีมก่อนจะเดินมารวมกลุ่มกับพวกผมที่ยืนรออยู่ เขาเก่งมาก แต่ขอโทษเถอะที่ผมไม่ได้ตั้งใจดูเลย...

"เก่งนะมึงไอ้ทาวน์ ไปๆ แดกหมูกระทะกัน"
พี่ฟาต่อยหมัดเล็กๆ ลงบนอกพี่ทาวน์เป็นการหยอกล้อ ถ้าไม่ติดว่าเขาเป็นเพื่อนสนิทกันผมคงคิดว่าเป็นแฟน คนหนึ่งหล่อเหล่า ตัวสูงใหญ่ คนหนึ่งน่ารักจิ้มลิ้ม ตัวเล็กน่าทะนุถนอม ดูแล้วก็เหมาะสมกัน... พอย้อนมองตัวเองแล้ว เกรงว่าเป็นกระสอบทรายให้น่าจะเหมาะกว่าแฟน

"มึงเลี้ยงเหรอ"
พี่ทาวน์ถามทีเล่นทีจริงด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่พี่ฟากลับมุ่ยหน้าใส่ ท่าทางแบบนี้ไม่เลี้ยงชัวร์

"อเมริกันแชร์ครับเพื่อน"

"จะไปสองคนหรือไง"

"แดกสองคนจะสนุกอะไร พวกนี้ไปด้วย"
แล้วพวกเราก็มีบทบาทในสายตาของพี่ทาวน์หลังจากที่ยืนคุยนั่นคุยนี่เรื่อยเปื่อยกับไอ้ตังค์ มันได้โทรศัพท์คืนจากไอ้ฟาร์มก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เปิดดูฮินะจังทันที นี่มึงติดการ์ตูนยิ่งกว่าติดกัญชาอีกมั้ง เพลียใจ

"อ๋อ ได้ แล้วจะไปรถใคร"

"รถมึง เพราะไอ้ฟาร์มต้องไปส่งไอ้ตัวเล็กกลับบ้านก่อน แม่มันโทรตามละ"
พี่ฟาหันมองไอ้ตังค์ก่อนจะยิ้มด้วยความเอ็นดู เด็กอนามัยก็แบบนี้ล่ะ แม่โทรตามไปกินนมนอนตอนสองทุ่ม แถมยังต้องเดือดร้อนไอ้ฟาร์มไปส่งอีก เพราะไอ้แว่นมันน่าฉุดน้อยซะเมื่อไหร่ ตัวเล็กๆ ขาวๆ ท่าทางไม่สู้คน เหยื่อของโจรนักแล

"โอเค งั้นตามมา"
พี่ทาวน์บอกก่อนจะเดินนำออกไปจากโรงยิม พวกผมหันไปโบกมือให้ไอ้ฟาร์มกับไอ้ตังค์แล้วตามพี่ทาวน์ไป

"เจอกันที่ร้านหมูกระทะหลังมอนะมึง"
พี่ฟาที่รั้งท้ายตะโกนย้ำกับไอ้ฟาร์มอีกรอบเพื่อไม่ได้ไปที่ผิด ก็ร้านหมูกระทะผุดเป็นดอกเห็ดแทบรอบมหา'ลัย

"ครับพี่ฟา!"
ฟังน้ำเสียงที่ไอ้ฟาร์มตอบกลับมาแล้วได้แต่หันไปมองคนข้างๆ อย่างรู้ทันก่อนจะพากันหัวเราะอย่างสนุกสนาน มันคงดีใจจนเนื้อเต้นเชียวล่ะ คนที่ตัวเองชอบพูดด้วย

"จิณณ์ เอ้ย มึงชื่อเจ็ทใช่ปะ มีฝาแฝดแล้วกูสับสน"
พี่ฟาถึงกับเกาหัวแกรกๆ เมื่อเรียกชื่อผมผิด ดูท่าทางเขาจะจำผมเป็นจิณณ์ เพราะมันเคยลงประกวดเดือนมหา'ลัย คงคุ้นๆ กันอยู่

"ครับ เจ็ทครับ"
ผมหันไปตอบด้วยรอยยิ้ม จะว่าไปพี่ทาวน์เดินเร็วฉิบหาย พวกเราก้าวเท่าไหร่ก็ยังไม่ทันสักที

"เออๆ มึงนั่งข้างหน้านะ กูขี้เกียจคาดเข็มขัด"

"ไปแค่นี้เอง ต้องรัดด้วยเหรอพี่"
ผมขมวดคิ้วถามด้วยความฉงน ออกไปหลังมอไม่ถึงยี่สิบนาที ไม่ต้องคาดเข็มขัดก็ได้มั้ง แต่คิดๆ ดูแล้วด้วยความตีนผีของพี่ทาวน์อาจจะต้องปลอดภัยไว้ก่อน

"ไอ้ทาวน์มันเคร่ง"

"อ๋อ..."
ผมร้องตอบได้แค่นั้นพี่ฟาก็วิ่งนำหน้าไปตบหลังคนเดินเร็ว ได้ยินเสียงดังอักลอยมาตามลม แค่คิดก็จุกแทนแล้ว เห็นตัวเล็กๆ แบบนั้นมือหนักฉิบหา คงต้องเตือนไอ้ฟาร์มไว้บ้าง

"โอกาสมึงละได้เป็นตุ๊กตาหน้ารถพี่ทาวน์"
ไอ้ไธพูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแล้วขยับตัวออกห่างเหมือนกำลังรู้ว่าผมจะเตะมัน ไหวตัวเร็วนักนะ แต่ถ้ามีคราวหน้าอีกไม่รอดแน่มึง

"สัด พูดมาก เดี๋ยวกูไม่ยกจิณณ์ให้เลยนี่"
ผมขู่มันแบบไม่จริงจังเพราะต้องการกลบเกลือนความลิงโลดของตัวเอง ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมนั่งรถเขาสักหน่อย แต่ก็ตื่นเต้นไม่หายสักที

"ร้ายว่ะ"
ไอ้ไธทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจก่อนจะเปิดประตูรถด้านหลังแล้วสอดตัวเข้าไปนั่งคู่กับพี่ฟา ผมได้แต่สูดหายใจเข้าลึกๆ เรียกความกล้าให้ตัวเอง

"เอ่อ พี่ฟาบอกว่าขี้เกียจคาดเข็มขัดเลยให้ผมมานั่งแทน"
ผมเปิดประตูแล้วรีบบอกพี่ทาวน์ที่นั่งประจำที่คนขับเรียบร้อยแล้ว เขาชะงักไปเล็กน้อยก่อนพยักหน้ารับ

"อืม รัดด้วย เมื่อเที่ยงลืมบอก"
เขาบอกแล้วชี้ไปที่สายเข็มขัด ผมรีบดึงมันมาอย่างรวดเร็ว ผมเป็นเด็กดีครับจะเชื่อฟังคำสั่งพี่ทุกอย่าง ถึงแม้ความจริงแล้วไม่เคยทำแบบนี้เลยสักครั้ง นั่งรถมามหา'ลัยกับจิณณ์ก็ไม่เคยรัด

"แหะๆ ครับๆ รัดเดี๋ยวนี้ล่ะ"

ยอมรับว่าการกินหมูกระทะวันนี้สนุกมาก ทั้งๆ ที่ผมเอาแต่คีบเนื้อสัตว์ย่างให้คนอื่น แทบจะไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยก็ว่าได้ แต่มันอิ่มอกอิ่มใจตรงที่ได้นั่งมองหน้าพี่ทาวน์เวลาเขาเผลอ มีควันโขมงบดบังเป็นระยะ โรแมนติกฉิบหาย... ประชดนะประชด อย่าเข้าใจว่านายภาคินแปลกแหวกแนวคนอื่น

"กินบ้าง"
พี่ทาวน์คีบสามชั้นย่างหอมฉุยมาให้ตรงหน้า ผมสะดุ้งแล้วอ้าปากหวอเพราะไม่เข้าใจสถานการณ์ อยู่ๆ ก็โดนจู่โจมไม่ทันตั้งตัว เมื่อครู่ยังเป็นฝ่ายแอบมองเขาอยู่เลย

"หา..."

"มัวแต่มองหน้ากู ไม่อิ่มหรอก"
พี่ทาวน์มองผมก่อนจะส่ายหน้าแล้ววางสามชั้นย่างไว้บนจาน สรุปว่าที่แอบมองไปนั้นโดนจับได้สินะ แบบนี้ควรแก้ตัวใช่ไหม รับสารภาพตรงๆ เวลานี้คงไม่ดี

"เอ่อ... ขะ ขอโทษครับ ผมคงเหม่อไปหน่อย ไม่ได้ตั้งใจจะมอง"
ผมหัวเราะแห้งๆ แล้วก้มหน้าก้มตาคีบสามชั้นเข้าปาก ถึงแม้จะไม่ได้จิ้มน้ำจิ้มแต่มันก็อร่อยคงเพราะได้นั่งกินกับคนที่ชอบ ไอ้คนที่เหลืออย่าไปสนใจมันเลย เสียงบรรยากาศเปล่าๆ




ต่อด้านล่างจ้า

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-11-2017 16:32:21 โดย Ch0cmint »

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
"อืม กินเนื้อไหม"

"ครับ ผมกินได้หมด"

"งั้นเอาไป ขี้เกียจเคี้ยว"

"ครับ"

"กินข้าวโพดอ่อนไหม"

"กินครับ"

"กินแทนหน่อย กูไม่ชอบ"

"ได้ครับ ~"
มีความสุขกว่าการได้มองหน้าก็ตอนที่เขาคุยด้วยและคีบอาหารให้กินนี่ล่ะวะ ฟินไปถึงสวรรค์ชั้นเจ็ดเลยเว้ย ทำไมพี่ทาวน์ต้องทำตัวน่ารักภายใต้ความขรึมด้วย มันยิ่งทำให้ผมอยากแทรกตัวไปอยู่ในใจเขาเร็วๆ ขอโอกาสให้นายภาคินได้เรียนรู้นายเมืองเหนือเถอะนะ

หลังจากท้องอิ่มพวกเราก็เคลียร์ค่าเสียหายโดยหารห้า แต่ไอ้ฟาหนีกลับคนแรกเพราะที่บ้านโทรตาม รายนี้ก็ใช่ย่อย พี่สาวกลัวจะไปเที่ยวเตร่ล่าแต้มและเปย์ผู้หญิงอีก

"พวกมึงจะกลับกันยังไง ไอ้ฟาร์มก็ชิ่งแล้ว"
พี่ฟาหันมองผมกับไอ้ไธสลับกันก่อนจะเลยไปที่พี่ทาวน์ เขายืนนิ่งสายตาจับจ้องอยู่บนท้องฟ้าไร้ดาว คืนนี้อากาศไม่ค่อยร้อน คงกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย

"เดี๋ยวพี่ชายมารับครับ มันกินเหล้าอยู่แถวนี้"
ไอ้ไธชิ่งตอบด้วยรอยยิ้ม แต่มันทำให้ผมต้องละสายตาจากคนที่ชอบมามองเพื่อนสนิทด้วยความตกใจ ถ้าพี่แทนมารับมันก็แสดงว่าไม่ได้กลับไปนอนคอนโดอะดิ แล้วกูจะกลับยังไง

"อ้าว มึงไม่นอนคอนโดเหรอวะ"

"ไม่ พรุ่งนี้วันเกิดแม่ เมื่อเช้าพี่แทนก็ไปส่งกูที่คณะ"
คำขยายความที่แสนชัดเจนทำให้ผมต้องยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ ก็ลืมไปว่าพี่แทนมาค้างกับมันเมื่อคืนเพราะมีเรื่องจะคุย คงมาปรึกษาเรื่องเซอร์ไพร์สงานวันเกิดแม่

"ฉิบหาย แล้วกูจะกลับยังไง ป่านนี้จิณณ์คงนอนแล้ว"
ผมพึมพำกับตัวเองโดยไม่ได้สังเกตว่าใครจะได้ยินบ้าง ตอนนี้ก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว จิณณ์เป็นคนหลับลึก โทรปลุกเป็นร้อยสายก็ไม่ตื่น... กลับไงดีวะ

"ติดรถกู..."
เหมือนจะได้ยินไอ้ไธพูดอะไรบางอย่างแต่โดนคนที่เลิกเหม่อมองท้องฟ้าพูดแทรกขึ้น

"มึงอยู่คอนโดไหน"

"หือ ผมอยู่คอนโด xxx ครับ"

"งั้นไปกับกู ทางผ่าน"
พี่ทาวน์ชวนกลับบ้านด้วยเว้ย เป็นเด็กเป็นเล็กไม่ควรปฏิเสธความหวังดีของผู้ใหญ่ แต่ต้องกลั้นยิ้มและเก็บอาการดีใจเอาไว้ ฮึบ!

"เอ่อ ขะ ขอบคุณครับ!"
ผมแทบจะตบปากตัวเองเมื่อควบคุมเสียบไม่ได้ แต่ดูท่าทางของพี่ทาวน์แล้วไม่ได้สนใจอะไร กลับเป็นไอ้ไธที่ยิ้มล้อเลียนกัน เดี๋ยวเถอะมึง อย่าพูดอะไรออกมาเชียวนะ

"ไม่เป็นไร"
พี่ทาวน์ตอบกลับก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู เขาถอนหายใจแล้วกดปิดเครื่อง คงเป็นพรีมอีกเหมือนเคย

"โอเค ดิวนะ พวกมึงกลับดีๆ กูเข้าบ้านล่ะ"
พี่ฟาพูดจบก็ก้าวยาวๆ เลี้ยวไปที่บ้านหลังข้างๆ ร้านหมูกระทะ เป็นอันรู้กันว่าเขาอยู่ใกล้ๆ ที่นี่ เรื่องนี้ต้องเอาไปขายไอ้ฟาร์ม คงได้ราคาดี หึหึ

"ไว้เจอกันนะมึง"
ผมบอกลาไอ้ไธก่อนจะเดินตามพี่ทาวน์ไปเงียบๆ บรรยากาศมาคุกลับมาอีกแล้วสินะ ควรทำยังไงดี

รถเอสยูวีเคลื่อนไปตามถนนยามค่ำอย่างเชื่องช้า ต่างกับคนตีนผีเมื่อตอนเที่ยงกับเย็นอย่างลิบลับ ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ผมทำได้แค่นั่งเงียบๆ ข้างเขาเท่านั้น บางครั้งเรื่องความรักก็ไม่ควรมีคนอื่นก้าวก่าย

"อยู่คนเดียวเหรอ"
ผมสะดุ้งเพราะไม่คิดว่าอยู่ๆ คนที่เงียบไปนานจะชวนคุย สีหน้าพี่ทาวน์ยังนิ่งเรียบเหมือนยามปกติ เดาอารมณ์ไม่ออกจริงๆ แถมในรถยังมืดไม่สามารถจับความรู้สึกจากดวงตาได้

"ผมเหรอ อยู่กับพี่ชายฝาแฝดครับ"

"อ๋อ อืม"
เขาตอบรับเพียงแค่นั้น และผมรู้ว่าบทสนทนาคงจบลงด้วย ไม่อยากให้ความเงียบพาพี่ทาวน์ไปคิดถึงเรื่องพรีมอีก ขอโทษที่ต้องกลายเป็นคนพูดมากนะครับ

"พี่ทาวน์คงเคยเห็นผ่านๆ ตา เพราะมันเป็นเดือนวิศวะปีนี้"
ผมชวนคุยเรื่องที่ไม่ได้สำคัญอะไรเลย เรื่องที่เขามีโอกาสจะจำจิณณ์ไม่ได้สูงมาก

"กูจำไม่ได้ โทษที"
แต่เขาก็ยังเอ่ยขอโทษทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ผิด มุมนี้ล่ะที่ทำให้ผมปลื้มเขาจนกลายเป็นชอบอย่างทุกวันนี้ ถึงภายนอกจะดูเย็นชา แต่ความจริงแล้วก็อ่อนโยนและแคร์ความรู้สึกคนอื่น

"อ่า... ไม่เป็นไรครับ"
ผมไปต่อไม่ถูกเลยได้แต่มองออกไปนอกกระจก เพื่อหวังจะหาเรื่องอะไรก็ได้มาคุยกับเขา แต่ผิดคาดที่อยู่ๆ พี่ทาวน์กลับตั้งคำถามขึ้นมา

"มึงชื่ออะไร"
น้ำเสียงราบเรียบปกติแต่เขากลับหันมามองกันครู่หนึ่ง ผมถึงกับจุกขึ้นมา ทั้งๆ ที่เตรียมใจไว้แล้วว่าพี่ทาวน์คงจำชื่อกันไม่ได้ แต่พอรู้จากปากเขาถึงกับเซ

"ห๊ะ... เอ่อ เจ็ทครับ"
สักวันผมจะทำให้พี่จำชื่อนี้ได้ไปตลอดชีวิต

"โทษที ตอนนั้นไม่ได้สนใจจำชื่อ"
เขาขอโทษอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ผมขอรับมันไว้แล้วกัน ก็อุตส่าห์ตื้อทำความรู้จักจนโดนตวาดใส่นี่น่า

"แอบน้อยใจนะเนี่ย"
ผมพูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ จริงๆ ก็น้อยใจ แต่มันไม่ได้สำคัญอะไรที่ต้องทำให้พี่ทาวน์เครียด แค่อยากหยอกกลับให้อารมณ์ดีก็เท่านั้น

"ให้กูเลี้ยงข้าวไถ่โทษแล้วกัน"
เขาหันมาพูดเมื่อรถจอดสนิทหน้าคอนโด xxx ถ้าผมมองไม่ผิดเมื่อครู่เขายกยิ้มมุมปากด้วย ไอ้เจ็ทหัวใจจะวายแล้ว ทำไมน่ารักแบบนี้

"เฮ้ย ผมล้อเล่นนะพี่ ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก"
ผมโบกมือเป็นพัลวัน อยู่ๆ ก็จะโดนเขาพาไปเลี้ยงข้าวด้วยเรื่องขี้ปะติ๋วเนี่ยนะ ไม่ดีมั้ง กลัวพี่ทาวน์มองว่านายภาคินเป็นเด็กไม่รู้ตักโต

"พรุ่งนี้เรียนกี่โมง"
เขาไม่ได้สนใจคำปฏิเสธแต่ถามกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ จนผมยอมแพ้ เอาวะ พี่ทาวน์เสนอก็ขอสนองตอบแล้วกัน อย่าหาว่าผมงกเรื่องกินนะ

"เอ่อ... ไม่มีเรียนครับ"

"งั้นหกโมงเย็นลงมารอหน้าคอนโด"

"เดี๋ยวๆ เอาจริงเหรอพี่"
ผมถามย้ำตาโต สรุปว่าเขาเอาจริงใช่ไหมเนี่ย

"อืม จะไปไหม"
เขาถามย้ำกลับแถมยังยักคิ้วให้ด้วย เฮ้ย อัศจรรย์โคตร แบบนี้ต้องไป ต้องไป!

"ไปๆๆ ไปครับ! เดี๋ยวหกโมงจะลงมารอเลย"
ผมเก็บอาการดีใจไม่อยู่เลยโผล่งออกไปรัวๆ จนลิ้นแทบพันกัน พี่ทาวน์ถึงกับหลุดหัวเราะหึออกมาเบาๆ ก่อนจะยืนโทรศัพท์ที่เพิ่งเปิดเครื่องมาให้

"เอาไลน์มา เผื่อกูเลท"
โอย สวรรค์ชั้นดาวดึงส์อยู่แค่เอื้อมแล้วดอกฟ้ากำลังโน้มมาหาหมาวัด แม่ครับผมจะจีบพี่ทาวน์ติดใช่ไหม!

"คะ ครับ"
แม่งเอ้ย แต้มบุญกูดีจริงๆ เขาคุยด้วย เขาให้นั่งรถ เขาไปส่ง เขายิ้มให้ เขาถามชื่อ เขาจะเลี้ยงข้าว เขาจะมารับ สุดท้ายคือเขาขอไลน์ โอ้ย ดีใจจนตัวจะแตกอยู่แล้ว ถึงมันจะเป็นเรื่องปกติสำหรับคนทั่วไปและสำหรับพี่ทาวน์ แต่ขอฟินหน่อยแล้วกัน ก็ผมมันคิดไม่ซื่อนี่!




-----------------------------------------------

แบบนี้เขาเรียกเหยื่อหลงเข้าถ้ำเสือเองหรือเปล่าน้อ
น้องเจ็ทฟินจนลอยออกไปดาวอังคารแล้วแน่ๆ เราเชื่อแบบนั้น

ช่วยคอมเม้นท์ให้กำลังใจเราหน่อยน้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-07-2017 14:22:41 โดย Ch0cmint »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ saccarrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อ่านไปอ่านมาทำไมรู้สึกว่าไธชอบเจ็ท แรกๆก็คิดแหละว่าชอบจิณณ์ แต่ตอนหลังๆมาเอนเอียงไปทางเจ็ทละ อย่าว่างั้นงี๊เลยนะเราแอบชอบไธเจ็ทอ่ะ  :ling1:

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
แข่งครั้งที่ 9



วันนี้ถึงแม้สภาพอากาศภายนอกจะเลวร้ายเนื่องจากมีฝนตกอย่างหนัก อุณหภูมิในห้องลดฮวบจนต้องหาอะไรมากอดบรรเทาความหนาว จะลุกไปปิดแอร์ก็ร้อน จะเปิดพัดลมก็จาม ปัญหาโคตรเยอะ แต่ผมยังยิ้มได้เพราะกำลังจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นในชีวิต

"เป็นบ้าเหรอมึง"
จิณณ์ถามขึ้นในขณะที่เรากำลังดูรายการทีวีด้วยกัน วันนี้ผมไม่มีเรียน ส่วนมันเพิ่งกลับมาจากมหา'ลัย แล้วทำไมอยู่ๆ ถึงกวนตีนวะ

"อะไรของมึง"
ผมหันไปถามคนที่นั่งข้างกันด้วยน้ำเสียงสงสัย มันขมวดคิ้วจ้องหน้าเขม็งเหมือนกำลังพิจารณาอะไรสักอย่าง มีอะไรติดหรือสิวขึ้นกันแน่

"ก็มึงยิ้มไม่หุบมาตั้งนานแล้ว ขาดยาเหรอ"
มันเอื้อมมือมาผลักหัวแล้วหรี่ตามองอย่างจับผิด จิณณ์กำลังสงสัยบางอย่าง ส่วนผมก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองนั่งยิ้มเพราะเผลอคิดถึงเรื่องพี่ทาวน์ คงเป็นบ้าอย่างที่โดนกล่าหาจริงๆ

"พ่อง กูมีความสุขก็ต้องยิ้มดิ"
ผมบอกไปตามตรงและแอบด่ามันด้วย ไม่อยากโทษตัวเองที่เอาแต่ยิ้มได้ทุกเวลาแต่โทษจิณณ์ที่วันนี้ช่างสังเกตแล้วกัน

"สุขเรื่องอะไรวะ บอกหน่อย"
พอได้ยินคำว่าความสุข จิณณ์ก็ขยับเข้ามากระแซะไหล่ด้วยหน้าตาอยากรู้อยากเห็นจนผมได้แต่เบ้ปาก ที่หนักกว่านั้นคือมันลงทุนปิดทีวีแล้วนั่งจ้องกัน ถ้าเป็นปลากัดคงท้องไปหลายรอบแล้ว

"กูเพิ่งรู้นะว่ามึงขี้เผือก"

"ว่ากูเสือกเลยก็ได้ ยอมรับ บอกมาไวๆ"
มันเซ้าซี้แถมยังเขย่าแขนกันด้วยความอยากรู้ ผมถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะคิดอะไรพิสดารได้ คราวนี้ไอ้คนขี้เผือกต้องหัวร้อนแน่

"ก็..."
ผมพูดแค่นั้นก่อนจะปิดปากเงียบเพราะต้องการแกล้งจิณณ์ในขณะที่นั่งรอเวลาไปอาบน้ำ คงได้เห็นใบหน้างอง้ำของเดือนวิศวะบ้างล่ะคราวนี้

"....."
จิณณ์ทำท่าตั้งใจฟังจนผมต้องพยายามกลั้นขำไว้ ตาโตๆ แวววาวไปด้วยความอยากรู้ โคตรตลก ไหนจะมือที่บีบแขนกันจนแน่น นี่มันคนขี้เผือกขนานแท้เลย

"คือแบบว่า..."
ผมสนุกกับการทำอ้ำอึ้งเพราะเห็นสีหน้าของจิณณ์ที่เริ่มเข้าโหมดตึงเครียดแล้วตลก อะไรมันจะอยากรู้ขนาดนั้น

"ไอ้เจ็ท อย่าลีลา!"
จิณณ์โวยแล้วทุบเข้าที่ไหล่เต็มๆ ผมเบ้ปากก่อนจะยกมือขึ้นปิดหูทันที ไม่กลัวคนข้างห้องเคาะประตูด่าหรือไง ดีนะผนังไม่บางเหมือนหอของเพื่อนสมัยมัธยม ตอนนั้นได้ยินแม้กระทั่งกิจกรรมเข้าจังหวะ ทั้งเสียงเตียง เสียงคราง โคตรจัดเต็ม คิดแล้วยังขนลุกไม่หาย

"กูมีนัดกับพี่ทาวน์เย็นนี้"
ผมตอบกลับด้วยอารมณ์เปี่ยมสุข ตอนนี้ปากคลี่ยิ้มกว้างที่สุดเท่าที่เคยยิ้มมา แค่คิดว่าจะได้นั่งกินข้าวแล้วมองหน้าพี่ทาวน์ไปด้เท่านี้ก็ฟินตัวจะแตก โอกาสมันลอยมาหาโดยไม่ต้องพยายามเลย

"เฮ้ย! ก้าวหน้าโคตร ใช้วิธีไหนวะ บอกหน่อยๆ จะเอาไปจีบสาวบ้าง"
จิณณ์เขย่าแขนกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ฟังจากน้ำเสียงมันคงตื่นเต้นมากที่ผมสามารถก้าวหน้าได้ขนาดนี้ ทั้งๆ ที่จริงแล้วพี่ทาวน์แค่เลี้ยงข้าวขอโทษเพราะจำชื่อไม่ได้ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น เหอะๆ ยังไม่ได้เริ่มจีบเขาเลยสักนิด

"ไม่บอกเว้ย แล้วอีกอย่าง มึงไม่ต้องไปจีบใครหรอก เดี๋ยวก็มีคนมาจีบเอง"
ผมผลักจิณณ์ออกไปด้วยความรำคาญแล้วมองหน้ามันอย่างจริงจัง รู้กันดีว่าตอนนายโภคินโสดจะเจ้าชู้มาก คุยเล่นไปทั่ว ถ้าไม่ห้ามหรือรั้งตั้งแต่เนิ่นๆ เกรงว่าไอ้ไธคงต้องแอบรักไปอีกนาน

"เฮ้ย มึงพูดอะไร ใครจะมาจีบกู"
จิณณ์ทำท่าตกใจก่อนจะพุ่งตัวเข้ามาจับไหล่กัน ผมได้แต่ปัดป้องแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อเลี่ยงการตอบคำถาม ขืนบอกไปตรงๆ มันอาจจะเกลียดไอ้ไธไปเลยก็ได้

"คอยดูเอาเอง กูไปอาบน้ำดีกว่า"
ผมยักคิ้วกวนให้มันก่อนจะรีบวิ่งเข้าห้องนอน ได้ยินเสียงโวยวายตามหลังมาไม่หยุดก็ได้แต่หัวเราะกับความงุ่นง่านของจิณณ์ ร้อยวันพันปีไม่เคยสนใจเรื่องใครจะมาจีบ แต่คราวนี้ทำไมเกิดอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาก็ไม่รู้

ผมส่ายหน้าให้กับความคิดไร้สาระแล้วตรงเข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกาย เสื้อผ้าถูกถอดออกอย่างลวกๆ ก่อนที่จะก้าวขาไปยืนรับสายน้ำใต้ฝักบัว กลิ่นของสบู่ทำให้สมองโล่งและสร้างรอยยิ้มบนใบหน้าเมื่อรู้สึกผ่อนคลาย

เรื่องของพี่ทาวน์วนเวียนอยู่ในสมองเกือบทุกเวลาจนผมคิดว่าตัวเองยังสติดีอยู่หรือเปล่า แต่พอได้คิดทบทวนดีๆ แล้ว กลับพบว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นเรียกว่าอาการหลงขั้นรุนแรง ไม่ว่าอะไรที่เกี่ยวกับเขามักจะสร้างรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าได้เสมอ

ตั้งแต่เล็กจนโตเคยสัมผัสความรักมาหลายรูปแบบ แต่ไม่มีครั้งไหนที่ทำให้ใจเต้นแรงได้แบบนี้เลย แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง แต่ผมก็พร้อมทำทุกอย่างเพื่อได้ยืนอยู่ข้างๆ พี่ทาวน์

เริ่มต้นจากปลื้มรูปร่างหน้าตา
ต่อมาคือรู้สึกประทับใจในความห่วงใย
จนวันหนึ่งกลายเป็นความอยากรู้ อยากเห็น
และพัฒนาเป็นความชอบ อยากได้เขามาครอบครอง
และในไม่ช้าเชื่อว่ามันจะกลายเป็นความรักที่ซื่อสัตย์และมั่นคง

ผมเลือกใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีดำกับกางเกงผ้าสีน้ำตาลขาเต่อและฉีดน้ำหอมเล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากห้องนอนไปเจอเข้ากับพี่ชายที่เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์

"จิณณ์ ทำไรวะ"
ผมถามก่อนจะทิ้งตัวลงข้างๆ ดวงตาคมลอบสังเกตความผิดปกติของจิณณ์ครู่หนึ่งก่อนที่เจ้าตัวจะตอบกลับมาหน้าซื่อเหมือนไม่ได้ทำอะไรแปลกประหลาดอย่างเช่นการยิ้มกับโทรศัพท์

"ห๊ะ ตอบไลน์ไง ถามแปลกๆ"
มันหันมาขมวดคิ้วแล้วส่ายหัวปลงๆ ให้กันก่อนจะกลับไปสนใจโทรศัพท์ต่อ ปล่อยให้ผมมองใบหน้าด้านข้างที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วอย่างสงสัย ปกติจิณณ์เคยยิ้มแบบนี้ซะที่ไหน คล้ายๆ ว่าเจอของถูกใจ หรือว่า... ไอ้ไธจะแดกแห้วอีกงานนี้

"เห็นมึงนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่"
ผมแสร้งถามแล้วทำเป็นไม่สนใจคำตอบโดยการหยิบเครื่องเล่นเกมมาเปิด จริงๆ แค่เอามาบังหน้าเพื่อไม่ให้จิณณ์สงสัยในความอยากรู้นี้

"ก็... คุยกับสาวๆ ในสต็อกไง"
จังหวะเว้นคำทำให้ผมต้องเลิกคิ้วขึ้นเพราะท่าทางแบบนี้ของจิณณ์คือกำลังโกหก แต่ผมไม่บอกให้เขารู้ว่าจับจุดนี่ได้นานแล้ว ถ้าไหวตัวทันเมื่อไหร่คงหาทางเนียนได้มากกว่านี้

"แน่ใจ๊"

"เออ จะดูไหมล่ะ"
มันกล้าส่งโทรศัพท์มาตรงหน้าเพราะรู้ว่าผมจะไม่เช็คเนื่องจากติดพันเล่นเกมอยู่ แต่จิณณ์คงไม่เอะใจ หางตาเหลือบเห็นหน้าจอแชทที่เต็มไปด้วยสาวๆ แต่มีอยู่คนหนึ่งที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีแล้วคือมันเป็นผู้ชาย หึ แอบไปมีไลน์กันตอนไหนทำไมกูตกข่าวแบบนี้!

"ไม่ล่ะ มึงนี่จะโสดบ้างไม่ได้หรือไง"

"ก็โสดไง แค่คุยแก้เบื่อเฉยๆ มึงนี่เยอะนะ เอาเวลาไปจีบพี่เมืองเหนือเถอะ"
มันมองหน้าผมกลับแล้ววางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ มือเย็นๆ ถูกยกขึ้นมาตะปบเข้าที่แก้มทั้งสองข้างของผมแล้วยืดออกด้วยความมันเขี้ยว เจ็บสัดๆ

"กูแบ่งเวลาเป็นครับพี่ชาย มึงเลิกทำตัวเจ๊าะแจ๊ะกับสาวๆ ได้แล้ว เดี๋ยวเขาก็หาว่าให้ความหวัง"
ผมปัดมือมันทิ้งด้วยความรำคาญแล้วพูดเรื่องที่อยากพูดมานาน ซึ่งความจริงถ้าไม่มีเรื่องไอ้ไธเข้ามาเกี่ยวคงปล่อยเลยตามเลย แต่ครั้งนี้เพื่อนจะลงมือจีบก็ต้องช่วยอย่างเต็มที่ ถ้าบทสรุปจบลงด้วยจิณณ์ไม่รู้สึกอะไร ก็ยังรู้สึกดีที่ได้พยายามทำทุกอย่างแล้ว

"อะไรของมึงเนี่ย ปกติไม่เจ้ากี้เจ้าการขนาดนี้นะ มีอะไรปิดบังปะ"
จิณณ์ขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัยแล้วขยับเข้ามาใกล้จนคล้ายกำลังคร่อมกันอยู่ ด้วยความที่ผมไม่ได้คิดว่าจะเจอสถานการณ์แบบนี่เลยไปไม่เป็น ได้แต่ผลักพี่ชายออกแล้วเบนหน้าหนี ถึงมั่นใจว่าตัวเองสามารถโกหกได้ก็กลัวไม่เนียน เพราะใจจริงอยากบอกมันให้รู้ตัวสักทีว่ากำลังโดนไอ้ไธจีบ อยากรู้ผลลัพธ์ของเรื่องนี้ พอๆ กับเรื่องของตัวเอง

"เปล่าๆ แล้วเย็นนี้จะออกไปกินข้าวข้างนอกหรือทำเอง"
ผมลุกขึ้นยืนแล้วบิดขี้เกียจนิดหน่อย ไม่อยากอยู่ตรงนี้นานๆ กลัวว่าจะหลุดพูดอะไรที่ไม่ควรแก่เวลาออกไป

"ไอ้เอยมารับไปกินเหล้า"
น้ำเสียงที่ตอบกลับมาราบเรียบแต่แฝงไว้ด้วยความยินดีที่ผมรับรู้ได้ แอลกอฮอล์อีกแล้วเหรอ หวังว่าไอ้เอยจะแบกมันมาส่งจนถึงห้อง ไม่ใช่ว่าคลานเป็นหมาอยู่ตามทางอีก อายคนในคอนโด

"เออๆ อย่ากินจนคลานเป็นหมาแล้วกัน"
ผมพูดดักคอเอาไว้ แต่มันไม่เคยได้ผลหรอก จิณณ์ไปร้านเหล้าทีไรกลับมาสภาพเหมือนคนอกหักทุกที

"ครับคุณพ่อ สั่งจัง"
ประชดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแถมเอื้อมมือมาตีก้นกัน ผมหันไปชี้หน้าคาดโทษมันเอาไว้ ทำตัวกวนตีนแบบนี้ ระวังสักวันจะยิ้มไม่ออกเพราะโดนไอ้ไธจับทำเมีย แต่คิดก็ขนลุกแล้ว

"กูไปแล้วนะ บอกไอ้เอยขับรถดีๆ ด้วย"
ผมโบกมือลาแล้วเดินออกจากห้องด้วยใบหน้านิ่งขรึม พรุ่งนี้ต้องลากไอ้ไธมาคุยให้รู้เรื่องว่ามันไปแลกไลน์กันตอนไหน หรือความจริงแล้วทั้งสองคนแอบคุยกันมาก่อนวะ ไม่ได้เสือกแต่งงจริงๆ เพราะจิณณ์เป็นประเภทไม่แจกไอดีมั่วซั่ว กับสาวๆ ก็ให้เฉพาะคนที่ถูกใจ ใครนอกเหนือจากนั้นเแอดมามันบล็อกนะเว้ย

ผมนั่งรอพี่ทาวน์ที่โซฟาด้านหน้าเค้าน์เตอร์ของคอนโดด้วยใจจดจ่อ เพียงไม่กี่วินาทีก็สามารถสลัดเรื่องของจิณณ์ออกไปจากสมองได้จนเกลี้ยง ตอนนี้เลยตื่นเต้นกับเรื่องของตัวเองแทน เจอหน้ากันควรทำยังไงดีนะ ยิ้มก่อนหรือทักทายก่อนดี

ทำไมรู้สึกว่ากลายเป็นหนุ่มน้อยวัยกระเตาะหัดมีความรักแบบนี้ ทำไมอะไรๆ ก็ดูยากไปซะหมด เพราะเขาเป็นผู้ชายและผมก็เป็นผู้ชายอย่างนั้นหรือ

โทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อสั่นเป็นจังหวะสองครั้งทำให้ผมต้องรีบหยิบมันออกมาดูเนื่องจากนาฬิกาข้อมือบอกเวลาหกโมงสิบนาทีแล้ว พี่ทาวน์คงไลน์มาเลื่อนนัดแน่ๆ แต่ขออย่าให้ยกเลิกเลยนะ ไม่อยากฝันสลายแถมโดนจิณณ์ล้ออีก

ผมกดรหัสผ่านปลดล็อกโทรศัพท์แล้วเจอกับข้อความจากพี่ทาวน์จริง ปากหยักคลี่ออกเป็นรอยยิ้มในทันที ไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นกับอะไรขนาดนี้มาก่อน เหมือนเขากำลังให้ความหวังกันทั้งๆ ที่ไม่รู้ตัวเลยว่าโดนนายภาคินเนียนจีบ

Maungneua
กูเพิ่งทำควิซเสร็จ อีกสิบนาทีน่าจะถึง

Phakin
ได้ครับ ขับรถดีๆ นะ ^^

Maungneua
อืม

ผมจูบโทรศัพท์ด้วยความมันเขี้ยวก่อนจะอ่านข้อความนั้นซ้ำไปซ้ำมา แค่หนึ่งประโยคกับหนึ่งคำของพี่ทาวน์ก็สามารถทำให้รอยยิ้มกว้างขึ้น ได้แต่คิดแล้วก็สงสัยว่าทำไมถึงรู้สึกว่าเขาน่ารักทั้งที่ตอบแค่อืมกลับมา หลงหนักขนาดนี้คงหาทางออกไม่เจอไปชั่วชีวิตแน่ๆ

ถนนหน้าคอนโดปรากฏรถเอสยูวีคุ้นตา ทำให้ผมรีบก้าวขายาวๆ ตรงไปทางนั้นทันที ตอนนี้หัวใจเต้นแรงมากจนรู้สึกอึดอัดในอก ปากมันพาลจะยิ้มลูกเดียวเลยต้องเม้มกลั้นเอาไว้ สภาพคงคล้ายๆ คนกำลังจะอ้วก สมเพชตัวเองเหลือเกิน

"สะ สวัสดีครับพี่ทาวน์"
ผมเปิดประตูรถแล้วสอดตัวเข้าไปทันที จากที่เตรียมการอะไรมาหลายๆ อย่างกลับลืมไปสนิท เลยกลายเป็นทักทายด้วยประโยคติดขัด ไม่ใช่เพราะเหนื่อยแต่เป็นเพราะตื่นเต้นและต้องควบคุมอารมณ์เท่านั้นเอง

"อืม คาดเข็มขัดด้วย"
พี่ทาวน์ชี้ไปที่เข็มขัดนิรภัยแล้วเหยียบคันเร่งออกรถไปช้าๆ ผมพยักหน้ารับทันทีเพราะรู้ว่าเขาเคร่งเรื่องนี้ ข้อมูลแน่นไหมล่ะ หึหึ

"ครับๆ"

ผมไม่รู้ว่าพี่ทาวน์จะพาไปเลี้ยงข้าวที่ไหนและไม่รู้ว่าจะชวนคุยอะไรดี สังเกตจากสีหน้าตอนนี้คงเหนื่อยมาจากการเรียนและทำควิซมาทั้งวัน ถ้าถามเกี่ยวกับวิชาการคงเครียดน่าดู

ไอ้สถานีวิทยุที่เปิดฟังทำไมมีแต่เพลงอกหัก ขอเปลี่ยนได้ไหม ไม่อยากเขาให้คิดถึงพรีมอีก ผมรู้ว่าตัวเองอาจจะหวังมากไปว่าพี่ทาวน์คงเลิกรักผู้หญิงที่นอกกายนอกใจได้ง่ายๆ แต่บางทีคงลืมไปว่ามันเป็นเรื่องซับซ้อนและละเอียดอ่อนของมนุษย์ทุกคน

"ทำไมพี่ทาวน์ถึงซื้อรถเอสยูวีครับ"
ในที่สุดผมก็หาหัวข้อสนทนาเจอ ดูภาพรวมแล้วพี่ทาวน์น่าเหมาะกับรถซูเปอร์คาร์มากกว่า นี่ไม่ได้กำหนดกะเกณฑ์อะไรให้เขาจากรูปร่างหน้าตา ก็แค่สงสัยเพราะคนวัยนี้ไม่น่าจะชอบรถเอสยูวีสักเท่าไหร่

"เมื่อก่อนเคยเลี้ยงหมา"
เมื่อก่อนนี่มันนานแค่ไหน จากที่ดูรุ่นของรถแล้วไม่เกินหกปีแน่ๆ หมาพันธุ์อะไรวะ มีบุญได้นั่งบีเอ็มฯ เนี่ย

"อ๋อ ตัวใหญ่สินะครับ"

"อืม"

"แล้วตอนนี้... มัน เอ่อ ตายแล้วเหรอ"
ผมคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะถามต่อยังไง เพราะพี่ทาวน์บอกว่าเคย แสดงว่าปัจจุบันคงไม่ได้เลี้ยงแล้ว ถ้าพูดผิดไปคงโดนถีบตกรถแน่ แต่ผิดคาดที่เขาทำแค่เพียงเหลือบสายตามองกัน

"เปล่า กูเลิกกับแฟน"

"อ่า... ขอโทษครับ"
คำตอบชัดจนผมต้องออกปากขอโทษทันที แฟนที่เขาหมายถึงคงหนีไม่พ้นดาวคณะแพทย์ปีนี้ ดูเธอเป็นที่รักของครอบครัวพี่ทาวน์ด้วยนะ แล้วคนอย่างนายภาคินจะเอาอะไรไปสู้ ผู้ชายเป็นแท่ง เอ้ย ทั้งแท่งขนาดนี้ คิดแล้วเศร้าใจ

"ไม่เป็นไร มันผ่านไปแล้ว"
พี่ทาวน์ไหวไหล่เหมือนไม่ใส่ใจกับเรื่องนั้นจริงๆ ผมเลยทำใจกล้าที่จะชวนเขาคุยต่อเรื่องเดิม เสี่ยงโดนถีบตกรถหรือโดนเกลียดขี้หน้ามาก รู้แต่ก็ยังทำ ศัพท์เทคนิคคงเรียกว่ากวนตีน

"น่าอิจฉาเนอะ"
ผมเปรยออกไปแบบลอยๆ แต่คนหัวไวอย่างพี่ทาวน์คงรู้ว่าหมายถึงเรื่องไหน ก็แฟนเก่าเขาน่าอิจฉาจริงๆ นี่หว่า ขนาดลงทุนซื้อรถเพื่อหมาของเธอ พรีมคงเป็นผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้เขามีความสุขมาก แล้วคนอย่างนายภาคินจะเอาอะไรมาสู้

"อะไร"

"พี่ทาวน์คงรักแฟนเก่ามาก"
ผมพูดเสียงแผ่วและแอบมองใบหน้าด้านข้างของเขาว่ามีปฏิกิริยาตอบกลับหรือไม่ แต่นานนับนาทีที่พี่ทาวน์เงียบไปก่อนจะหัวเราะหึออกมาให้ผวาเล่น ถ้าโดนถีบตกรถขึ้นมาอย่าได้โทษใคร ตัวเองปากเสียล้วนๆ

"หึ กูเคยรักมากก็เกลียดมากเหมือนกัน"
พี่ทาวน์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ใบหน้าไม่ได้แสดงอารมณ์เหมือนทุกที ผมเลยลอบถอนหายใจเมื่อไม่มีวี่แววว่าเขาจะโกรธ

"สายโหดนะเนี่ย"
ผมว่าเสียงกลั้วหัวเราะเพราะไม่อยากให้บรรยากาศอึมครึมเกินไป พี่ทาวน์กระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะตอบกลับมา

"คงงั้น เดือนหน้าจะเปลี่ยนรถ"
ประโยคหลังทำให้ผมตกเบิกตาโตเพราะไม่คาดคิดว่าอยู่ๆ เขาจะบอกเรื่องส่วนตัวให้ฟัง สาเหตุที่เปลี่ยนรถคงไมาต้องถามให้มากความ เพราะมันไม่ใช่อะไรที่ควรสอดหรือเซ้าซี้เลยสักนิดเดียว

"หา... จริงเหรอ เล็งอะไรไว้ครับ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแล้วมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย อยากรู้รสนิยมของพี่ทาวน์ใจจะขาดว่าจริงๆ แล้วเจ้าตัวชอบรถแบบไหน จะเป็นสปอร์ตซีดาน ซูเปอร์คาร์ สปอร์ตคูเป้ ฟูลไซต์ หรือแบบอื่นๆ

"Audi TTS"
ชื่อยี่ห้อรถพร้อมทั้งรุ่นหลุดออกจากปากพี่ทาวน์อย่างง่ายดาย ทำให้ผมได้แต่ตกตะลึงในคำตอบนั้น... ซื้อรถจิณณ์ได้เกือบห้าคัน! ไม่คิดว่าเขาจะรวยขนาดนั้น ดอกฟ้ากับหมาวัดชัดๆ

"สะ สี่ล้านกว่าอะนะพี่!"
ผมร้องเสียงหลงแล้วเบิกตาโตใส่อีกคนที่หันมามองด้วยใบหน้าเรียบเฉยยามรถติดไฟแดง

"อืม เอาเกรดสี่ไปแลก"
พี่ทาวน์ยักคิ้วข้างเดียวให้กันก่อนจะหันกลับไปมองด้ายหน้า ผมได้แต่ขยี้ตาแล้วคิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ เขาทำแบบนั้นใส่กันจริงๆ เหรอวะ นี่ไม่ได้ฝันไปใช่ไหม

"โห... คะ โคตรโหด"
ผมพึมพำแต่ดวงตาเหม่อมองใบหน้าด้านข้างของพี่ทาวน์ด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ยิ่งนานวันก็ได้รู้จักคนๆ นี้มากขึ้นเรื่อยๆ มันน่าค้นหาและน่าครอบครอง ชอบ ชอบมากจริงๆ

หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกจนลงจากรถเพื่อเข้าร้านอาหารสไตล์เวียดนาม ผมแอบแปลกใจเล็กน้อยเพราะนึกไม่ถึงว่าพี่ทาวน์จะชอบแนวนี้ ไม่ใช่ญี่ปุ่น เกาหลี จีน หรืออิตาลีที่นิยม

ผมเดินตามพี่ทาวน์เข้าร้านไปเงียบๆ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงฝั่งตรงข้าม จากนั้นพนักงานก็นำเมนูมาให้เราทั้งสองคนได้เลือก ยอมรับว่าในชีวิตเคยกินอาหารเวียดนามแท้ๆ ไม่เกินห้าครั้ง บ่อยสุดคงเป็นแหนมเนือง

"พี่ทาวน์ชอบอาหารเวียดนามเหรอ"
ผมถามทั้งๆ ที่ยังก้มอ่านเมนูในมืออย่างสนใจ อันนั้นก็น่ากิน อันนี้ก็ชื่อแปลก ไม่รู้ว่ามันจะอร่อยหรือเปล่า เลือกยากฉิบหาย

"ไม่เคยกิน"
คำตอบนั้นทำให้ผมต้องรีบเงยหน้าขึ้นมองเขาทันที ถ้าไม่เคยกินแล้วพามาที่นี่ทำไม หรือว่าพี่ทาวน์อยากลอง

"อ่าว งั้นอยากลองกินดูเหรอครับ"
ผมเสี่ยงถามออกไปแล้วจ้องหน้าเขาเพื่อนอคำตอบ พี่ทาวน์เหลือบตามองกันก่อนพยักหน้ารับ

"อือ"
เขาก้มลงเลือกเมนูต่อโดยไม่สนใจสายตาของผมอีก ทำไมรู้สึกว่าพี่ทาวน์น่ารักนะ ถ้าอยากลองกินอะไรใหม่ๆ ชวนเพื่อนก็ได้มั้ง ไม่เห็นต้องหาข้ออ้างชวนนายภาคินมาเลี้ยงข้าวแบบนี้เลย เรียกว่าเขาอ่อยเราได้ไหมนะ... โคตรเข้าข้างตัวเองเลย

"ไม่เคยชวนพวกพี่ฟากับพี่แฮมมากินด้วยเหรอครับ"
ผมถามซอกแซกด้วยความอยากรู้ เพราะไอ้การเข้าข้างตัวเองแบบนี้มันไม่เกิดผลดียังไงล่ะ ถามให้แน่ใจไปเลยดีกว่าว่าเหตุผลที่แท้จริงของเขาคืออะไร จะได้ไม่ต้องมานั่งเจ็บใจทีหลัง

"เคย แต่พวกมันไม่ชอบ"
ผมถึงบางอ้อ การมโนเป็นอันโดนสลายไปในพริบตา เพราะเพื่อนเขาไม่กินเลยมาชวนคนอื่น ซึ่งพอดีว่าผมเป็นจังหวะเหมาะของเขา หนีไปร้องไห้ใต้กอกล้วยตอนนี้ทันไหม ไม่อยากกินอาหารเวียดนามแล้วแม่ง แทงใจอะ

"อ๋อ... แล้วทำไมถึงมาชวนผมล่ะครับ"
ผมยังทำใจแข็งถามต่อเผื่อพี่ทาวน์จะช่วยอุดรูรั่วให้เรือที่กำลังจะจมสู่ก้นทะเล แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับความจริงว่านายภาคินเนียนเกินไป เขาเลยไม่รู้ตัวสักนิดว่ากำลังโดนจีบอยู่ทุกครั้งที่เจอกัน หรือแท้จริงแล้วสกิลกูเลเวลไม่สูงพอวะ

"เพราะกูเลี้ยง มึงต้องกิน"
พี่ทาวน์ตอบกลับก่อนจะกระตุกยิ้มทั้งๆ ที่ยังก้มหน้าอ่านเมนู ผมได้แต่มุ่ยหน้าลงเพราะโดนเหยียบย่ำหัวใจครั้งแล้วครั้งเล่า บางทีคงต้องตัดสินใจรุกหนักแทนการเนียนจีบแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นเหยื่ออาจจะโดนหมาตัวอื่นคาบไปแดกซะก่อน

"ครับๆ ของฟรีผมกินได้หมดล่ะ"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะทั้งๆ ที่ในใจขมขื่น ถ้าพี่ทาวน์มีความสุขกับการได้ลองชิมอาหารเวียดนามก็ถือว่าคุ้มล่ะวะ

"น้องเจ็ท ~"
เสียงหวานๆ ของใครคนหนึ่งดังมาแต่ไกลทำให้ผมต้องชะงักมือที่กำลังจะเปิดเมนูแผ่นถัดไป มันคุ้นเคยทว่าเลือนลาง เมื่อสายตามองประสานกับคนที่เดินตรงเขามากก็ได้คำตอบ... พี่เค้ก!

"ฉิบหาย"
ผมสบถเสียงเบาแล้วยกเมนูขึ้นบังหน้า ถึงจะรู้ว่ามันแก้ไขอะไรไม่ทันแล้วแต่ไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ ให้เดินหนีก็คงทำไม่ได้ในเมื่อพี่ทาวน์ยังนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ ทิ้งเขาไม่ได้หรอก

"แฟนเหรอ"
เสียงทุ้มถามกลับมา มันไม่ได้เจือความอยากรู้แต่เหมือนกำลังชวนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ ผมบอกเลยวันนี้มีลมกรรโชก ฝนตกหนักแน่นอน โอย ไม่คิดว่าต้องโคจรมาพบแฟนเก่าของจิณณ์แบบนี้เลย อุตส่าห์บล็อกไลน์เธอไปแล้วนะ

"เฮ้ย เปล่าๆ ผมโสด นั่นแฟนเก่าพี่ชายครับ"
ผมละล่ำละลักบอกแล้ววางเมนูลงเพื่อโบกมือปฏิเสธย้ำ พี่ทาวน์ถึงกับขมวดคิ้วแต่ก็คลายออกอย่างรวดเร็ว สงสัยจะงงกับพฤติกรรมที่แสดงออกไปให้เห็น

"อืม"

"มากินข้าวเหรอน้องเจ็ท"
พี่เค้กหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ กันอย่างไร้มารยาทและที่หนักกว่าคือเธอคล้องแขนผมเอาไว้อย่างสนิทสนม เรียกว่าเต้าแนบเนื้อเลยก็ได้ ไม่ปฏิเสธว่าชอบ แต่ต้องไม่ใช่พี่เค้ก และตอนนี้พี่ทาวน์สำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นใครหน้าไหนก็ดึงความสนใจของผมไม่ได้หรอก

"ครับพี่เค้ก มากินข้าว"
ผมตอบก่อนจะเนียนดึงแขนออกจากการเกาะกุมอย่างเชื่องช้าเพื่อไม่ให้พี่เค้กหน้าแตก ถ้ามีแค่พวกเราคงไม่แคร์เธอแบบนี้ แต่ตอนนี้คนแน่นร้านต้องไว้หน้ากันก่อน

"กับ... โอ๊ะ เพื่อนเหรอ"
เหมือนเธอจะเพิ่งสังเกตเห็นพี่ทาวน์และดูเหมือนว่าจะจำไม่ได้ว่าคนตรงหน้าคืออดีตเดือนมหา'ลัยปีที่แล้ว

"เอ่อ..."
ผมหาคำตอบไม่เจอเพราะไม่รู้ว่าสถานะระหว่างตัวเองกับพี่ทาวน์ต้องใช้คำไหน คนรู้จัก รุ่นน้อง หรือเพื่อน แต่เป้าหมายชัดเจนว่าอยากเป็นแฟนนะครับ ตอนนี้ได้แค่กระซิบเบาๆ ไว้ในใจไม่กล้าบอก กลัวโดนกระทืบ

"ครับ เพื่อน"
พี่ทาวน์ตอบแทนให้หลังจากที่เงียบไปนาน และไม่รู้ว่าเขาทำยังไงพี่เค้กถึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

"งั้นไม่กวนแล้วดีกว่า ไว้พี่จะไลน์หานะคะ"
แล้วเธอก็หันมาขยิบตาให้กันก่อนจะเดินหายไปกับกลุ่มเพื่อนที่รออยู่ ผมได้แต่นั่งกระพริบตาปริบๆ พูดอะไรไม่ออก โดนจู่โจมแบบนี้ใครตั้งหลักทันก็บ้าแล้ว ส่วนเรื่องจะไลน์หาก็ฝันไปเถอะ บล็อกและลบทิ้งไปแล้วเพราะไม่อยากมีปัญหากับจิณณ์

"ดูเหมือนจะชอบมึงนะ"

"ห๊ะ อะไรนะครับ"
ผมร้องถามเมื่อพี่ทาวน์ถามถึงสิ่งที่ผมรู้ตัวดีมาตลอดตั้งแต่วันที่จิณณ์เลิกกับพี่เค้ก แต่ไม่คิดว่าพี่ทาวน์จะดูสถานการณ์เมื่อครู่ออก

"ผู้หญิงคนนั้น"

"อ๋อ คงใช่ แต่ๆ ผมไม่ได้ชอบเขานะ"
ผมปฏิเสธลิ้นรัวอีกครั้งพร้อมกับส่ายหัวแรงๆ จนรู้สึกมึนไปหมด อะไรก็ตามที่จะทำให้พี่ทาวน์เข้าใจผิดต้องรีบพูดความจริงออกไป

"หึ สั่งอาหารเถอะ หิว"
เขาหัวเราะก่อนจะกวักมือเรียกพนักงานเพื่อสั่งอาหารแล้วปล่อยให้ผมได้แต่ทำตัวไม่ถูก เมื่อครู่เผลอแสดงอาการแปลกๆ ออกไปหรือเปล่าวะ กังวลจนหัวจะแตกแล้วเว้ย

เมนูที่ได้ยินผ่านหูด้วยน้ำเสียงของพี่ทาวน์มี เฝอเนื้อ หมูย่างใบชะพูล กุ้งพันอ้อย ก๋วยจั๊บญวณ ขนมเบื้องญวณ และที่ขาดไม่ได้คือแหนมเนือง ผมถึงกับกระพริบตาปริบๆ มองคนตรงหน้า สาบานว่าสั่งมากินไม่ใช่ถมที่ อะไรจะเยอะขนาดนั้น

อาหารถูกทยอยยกมาเสิร์ฟเรื่อยๆ จนเต็มโต๊ะและผมขอถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกเพราะมากินข้าวครั้งแรกกับพี่ทาวน์สองต่อสอง ตอนแรกเจ้าตัวก็มองด้วยความสงสัยแต่สุดท้ายก็พยักหน้ารับ

เราลงมือตักนั่นนิดตักนี่หน่อยเพื่อชิมรสชาติ พบว่ามันแปลกและอร่อยดี พี่ทาวน์ก็มีรอยยิ้มบนใบหน้าจนผมอยากหยิบโทรศัพท์ออกมาเก็บรูปเขาเอาไว้ แต่ทำไม่ดีกว่า เดี๋ยวโดนจับได้เรื่องคงยาว ตอนนี้ยังไม่พร้อมเปิดเผยความรู้สึก

อยู่ๆ พี่ทาวน์ก็ชะงักมือที่กำลังจะตักกุ้งพันอ้อยชิ้นสุดท้าย ดวงตารีมองไปยังด้านหลังของผมนิ่ง ไม่รู้ว่าเขาเจออะไรเพราะเสียงที่พึมพำออกมาช่างเบาเหลือเกิน

"พ..."

"ว่าไงนะครับ"
ผมถามออกไปด้วยความอยากรู้ทั้งที่กำลังจะงับหมูย่างใบชะพูล พี่ทาวน์ส่ายหน้าก่อนจะวางช้อนส้อมในมือลงราวกับว่าอิ่มแล้ว อย่าเพิ่งดิ นี่ยังไม่ถึงครึ่งของอาหารที่สั่งมาเลยนะ เสียดายของ

"อิ่มหรือยัง"
น้ำเสียงที่ใช้ถามสั่นเล็กน้อย เขามองมาที่ผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอ้อนวอน ถึงจะไม่ชัดเจนแต่รู้สึกได้ จะว่าไป เมื่อครู่พี่ทาวน์ต้องเห็นอะไรแน่ๆ

"หา... เอ่อ อิ่มก็ได้ครับ"
ผมมองหมูย่างใบชะพูลในมืออย่างอาลัยอาวรณ์แล้วตัดสินใจวางมันลงในจานเหมือนเดิม พี่ทาวน์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและคว้าบิลเพื่อจะเอาไปคิดเงินแล้ว ทำไมเขาถึงได้รีบร้อนขนาดนี้วะ

"อืม งั้นไปหาของหวานกินร้านอื่น"
พี่ทาวน์ทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินไปจ่ายเงินที่เค้าน์เตอร์ ผมได้แต่ยืนหันซ้ายหันขวาหาสาเหตุของเหตุการณ์นี้ ไม่เจอว่ะ คนๆ นั้นเป็นใครกันแน่

พี่ทาวน์ยังคงก้าวขายาวๆ ไปที่ลานจอดรถ ผมที่เดินตามได้แต่ขมวดคิ้วสงสัยแต่ไม่กล้าออกปากถาม ดูเหมือนอารมณ์ของเขาในตอนนี้ไม่ปกติเอาซะเลย

ในขณะที่พวกเรากำลังจะเดินข้ามไปอีกฝั่งกลับมีรถคันหนึ่งขับตรงมาทางนี้ แต่พี่ทาวน์เหมือนจะไม่สนใจผมเลยต้องรีบตะโกนเสียงดังด้วยความตกใจพร้อมกับพาตัวเองไปดึงเขากลบออกมา

"เฮ้ย พี่ทาวน์ระวัง!"
ตุบ ผมเซล้มลงไปกับพื้นโดยมีพี่ทาวน์ทับลงมา ยอมรับว่าเจ็บจนจุกเพราะขนาดตัวเราไม่ได้ต่างกันมากนัก แต่ด้วยความที่เป็นห่วงมากกว่าเลยลืมเรื่องนั้นไป

"เป็นอะไรไหมครับ!"
ผมถามพี่ทาวน์ที่ค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วมองสำรวจไปทั่วร่างกายของเขาว่าบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ใบหน้าหล่อนั่นยังคงเรียบเฉย แต่แววตาเปลี่ยนไป

"มึง... เลือด"
เขาพึมพำออกมาแล้วจ้องผมนิ่ง

"พี่เจ็บตรงไหน บอกผม ไปโรงพยาบาลกัน"
ผมพูดอย่างรีบร้อนแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เผลอเบ้ปากเพราะรู้สึกยอกไปทั้งตัว ไม่ต้องเห็นก็รู้ว่าตัวเองน่าจะมีรอยช้ำหลายจุด




ต่อด้านล่างน้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
"ข้อศอกมึง... เลือดไหล"
พี่ทาวน์ชี้มาทางข้อศอกด้านขวาของผม ถึงว่าทำไมมันรู้สึกตึงๆ และอุ่นแปลกๆ ที่แท้ก็ได้แผลนี่เอง แม่งเอ้ย มัวแต่ห่วงเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย

"เจ็บไหม ขอโทษ"

"ไม่เป็นไรครับ"
ผมยิ้ม ไม่เป็นอะไรจริงๆ นะ เมื่อครู่ผมเต็มใจช่วย

"อืม งั้นไปกัน"

เขาส่งขวดน้ำดื่มมาให้ผมลางเศษดินเศษผงออกจากแผลแล้วเราก็ขับรถออกจากร้านนั้นด้วยความเร็วที่ช้าผิดปกติ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันแน่นะ สีหน้าของพี่ทาวน์ถึงจะไม่เปลี่ยนแปลงแต่การกระทำทั้งหมดเมื่อครู่เป็นตัวบ่งบอกได้อย่างดี

"พี่ทาวน์... เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมเหม่อจนไม่ระวังแบบนั้น"
ผมถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงแล้วลอบมองใบหน้าด้านข้างของเขาเป็นระยะ ตอนนี้วิทยุไม่ได้เปิดเลยทำให้บรรยากาศอึมครึมอย่างน่ากลัว

"ขอโทษ"
เขาพูดคำเดิมซ้ำจนผมได้แต่ยิ้มอย่างอ่อนใจ ไม่ได้ต้องการคำขอโทษเพราะไม่ได้รู้สึกแย่อะไร แค่อยากได้เหตุผลเท่านั้น เป็นห่วง

"ไม่ต้องขอโทษแล้วครับ มือพี่สั่นนะ ขับรถไหวไหม"
ผมถามต่อเมื่อสังเกตเห็นมือที่จับพวงมาลัยของเขาสั่น ไม่อยากให้เขาฝืน ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไรมาก็ตาม นายภาคินก็จะอยู่ข้างๆ เสมอ เหมือนตอนนี้

"อืม เมื่อกี้"
เขาเริ่มพูดผมเลยตั้งใจฟัง ไม่ใช่เพราะเสือกแต่เป็นห่วง ถ้าบอกเหตุผลของการกระทำเมื่อครู่ได้ บางทีอาจเป็นการระบายให้รู้สึกโล่งใจ

"....."


"เห็นพรีม... กับไอ้ธี"
เสียงพูดขาดห้วงจนผมเผลอกลั้นหายใจ ถ้าเป็นตัวเองเห็นเต็มตาขนาดนั้นคงทำไม่ต่างจากพี่ทาวน์ บางทีอาจจะเข้าไปหัวเราะใส่หน้าทั้งสองคนเลยก็ได้

"เจ็บเหรอครับ"
ผมถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ซ้ำเติมแต่อย่างใด พี่ทาวน์ส่ายหน้าช้าๆ ปฏิเสธคำกล่าวหานั่น

"เกลียดมากกว่า"
น้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำดังขึ้น มันไม่ได้มีความลังเลที่จะพูดเลยสักนิดเดียว พี่ทาวน์คงรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ผมสัมผัสได้ แต่เกลียดไม่ได้หมายความว่าจะเลิกรักใช่ไหม

"ยังรักเขาอยู่ไหม"
ผมถามด้วยเสียงแผ่วเบาเพราะกลัวว่าพี่ทาวน์จะโกรธ แต่มันยังความอยากรู้ไม่ได้เลย ถ้าขืนเขารักพรีมแล้วที่พยายามจีบไปมันจะมีความหมายอะไรอีก

"แค่ผูกพัน ไม่ได้รัก"
คำตอบของเขาทำให้ผมมีกำลังใจเดินหน้าต่อ ถึงแม้ความผูกพันจะขึ้นชื่อว่าตัดยากที่สุด แต่ในเมื่อไม่มีความรักให้กันแล้ว มันก็ง่ายที่จะจีบอยู่ดี

"ถ้า... พี่ทาวน์ไม่ไหวก็จอดรถก่อนนะครับ อย่าฝืน แต่ให้ผมขับแทนไม่ได้หรอกนะ ขับไม่เป็นอะ แหะๆ"
ผมหัวเราะแห้งๆ เมื่อพูดถึงการขับรถ เพราะแต่ก่อนไม่คิดว่ามันจำเป็นเลย ขี่มอ'ไซต์ก็สะดวกอยู่แล้ว แต่หลังจากนี้คงวานให้จิณณ์สอนอย่างจริงจังซะแล้ว

"หึ เด็กจริงๆ เลยมึง"
พี่ทาวน์หัวเราะในลำคอทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายขึ้น ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ เพราะโดนตอกย้ำความเป็นเด็ก ถึงแม้อายุจะห่างกีบเขาแค่ปีเดียว แต่วุฒิภาวะดูเหมือนต่างเหลือเกิน

จากนี้ไปนายภาคินจะปรับปรุงตัวใหม่ให้สมฐานะที่เป็นคน(แอบ)จีบพี่ทาวน์!

ไม่รู้ว่าพี่ทาวน์จะพาไปไหน แต่ดูจากเส้นทางแล้วคงไม่พ้นกลับคอนโด เพราะตอนนี้กำลังจะถึงที่หมายของผมแล้ว แต่ๆ เขาไม่จอดเว้ย อะไรยังไง ลืมหรือเปล่า

"พี่ๆ ขับเลยคอนโดผมแล้ว"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงตื่นๆ แล้วเหลียวหลังมองคอนโดด้วยความฉงน ไม่ได้มีความอยากกลับไปเหยียบที่นั่นเลยในเวลานี้ แต่ด้วยสัญชาตญาณเลยพูดออกไป

"อืม"

"จะไปไหนครับเนี่ย"
ผมถามซ้ำแล้วหันกลับมามองพี่ทาวน์ที่ไม่แสดงสีหน้าอะไร ดวงตารีมองไปข้างหน้าไม่วอกแวก หรือจะพาไปฆ่าหมดป่าวะ โทษฐานทำตัวอยากรู้อยากเห็นเกินไป

"คอนโดกู"
คำตอบที่ได้กลับมาทำให้ผมเบิกตาโต เมื่อครู่พี่ทาวน์บอกว่าพาไปคอนโดของเขาอย่างนั้นเหรอ นี่ผมไม่ได้ฝันหรือมโนไปเองใช่ไหม

"หา! ปะ ไปทำไมครับ"
ถามเสียงตะกุกตะกักจนแทบนั่งไม่ติดเบาะ ตอนนี้ผมมีทั้งความตื่นเต้นทั้งความแปลกใจผสมปนเปกันไปหมด และอีกอย่างคือไม่เข้าใจว่าทำไมต้องพาไปที่คอนโดด้วย... มีเหตุผลอะไรกันนะ

"ทำแผล"
คำตอบสั้นๆ ทำให้ผมหายใจติดขัด นี่เขาห่วงแผลขนาดนั้นเลยเหรอ แค่เลือดออกถลอกนิดหน่อยแค่นั้นเอง

"เอ่อ... ผมทำเองก็ได้นะ"
ผมลองหยั่งเชิงเขาไปแบบนั้น เผื่อจะได้คำตอบแนวอื่นอย่างเช่น 'กูไม่อยากอยู่คนเดียว' หรือ 'กูเหงา' อะไรทำนองนั้น เพราะการทำแผลไม่จำเป็นต้องให้คนไม่สนิทเข้าไปในอาณาเขตของตัวเองแบบนี้ หรือพี่ทาวน์ไม่ได้คิดอะไรมาก... แม่ง เหมือนกำลังทอดสะพานทั้งๆ ที่ไม่รู้ตัว

"ไม่ไว้ใจกูเหรอ"
คำถามนั้นทำให้ผมต้องชะงักมือที่กำลังขยี้หัวตัวเองอยู่ พี่ทาวน์เหลือบมองกันครู่เดียวก่อนจะกลับไปสนใจถนนตรงหน้าต่อ ใครจะไม่ไว้ใจพี่เล่า ก็แค่แปลกใจ!


"เปล่าๆ แต่พี่ทาวน์ต้องขับรถย้อนไปย้อนมามันเสียเวลาไง"
ผมปฏิเสธรัวๆ แล้วบอกความคิดของตัวเองที่เพิ่งผัดขี้นมาเมื่อครู่ ใจจริงอยากสงบปากสงบคำจะตาย แต่มันสงสัย สงสัยจริงๆ นะ

"น้ำมันรถกู"

"แต่ว่า..."

"เรื่องของกู จบนะ"
สรุปง่ายๆ คือพี่ทาวน์โคตรกวนตีนและเอาแต่ใจเป็นที่สุด แต่ผมก็พร้อมจะทำตามที่เขาต้องการนะ ก็คนที่ได้กำไรสำหรับเรื่องนี้คือนายภาคินนั่นเอง หึหึ

"นั่งรอตรงนี้"
เมื่อมาถึงคอนโด เขาก็บอกให้ผมนั่งรอที่โซฟาสีครีมกลางห้องรับแขกขนาดใหญ่ การตกแต่งดูเรียบง่ายและหรูหรา มีชั้นหนังสือที่เต็มไปด้วยหนังสือทางการแพทย์เป็นภาษาอังกฤษ สมแล้วที่เป็นว่าที่หมอ

ผมนั่งลงแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ พี่ทาวน์น่าจะหายไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลมาทำแผลให้ ยอมรับว่าตื่นเต้นไม่หายที่ได้เหยียบพื้นที่ส่วนตัวของเขาแบบนี้ ถ้าเจ้าตัวรู้ว่าถูกคิดไม่ซื่อด้วยคงเตะโด่งนายภาคินออกไปแน่ๆ

พี่ทาวน์หิ้วกล่องปฐมพยาบาลกลับมาพร้อมด้วยน้ำเปล่าหนึ่งแก้ว เขาทิ้งตัวลงนั่งและจัดการเตรียมอุปกรณ์ทำแผลก่อนพยักพเยิดหน้าเป็นสัญญาณให้ผมดื่มน้ำ

"ขอบคุณครับ"
ผมคลี่ยิ้มก่อนจะยกแก้วขึ้นกระดกด้วยความกระหาย น้ำเย็นชื่นใจแต่คงไม่เท่าพี่ทาวน์ที่กำลังเทแอลกอฮอล์ใส่ลำสีเพื่อเตรียมล้างแผลให้หรอก อันนี้ชื่นใจกว่ากันเยอะเลย

"ยื่นข้อศอกมา"
พี่ทาวน์ออกคำสั่งแล้วจ้องมาที่ข้อศอกของผม ตอนนี้วิญญาณหมอคงเข้าสิงอยู่แน่ๆ แต่ผมไม่ยอมขยับแขนเลยสักนิดเพราะมีเหตุผลส่วนตัว

"มันแสบไหม..."
ผมถามเสียงเบา ไม่ถูกโฉลกกับน้ำยาล้างแผล ยาใส่แผลทุกชนิด เจ็บตัวได้ แต่ขยาดกับความแสบมาก... มันซ่าๆ ซี๊ดๆ แค่คิดก็ขนลุกแล้ว

"แสบ"
คำตอบตรงไปตรงมาสุดๆ จนผมได้แต่เบะปาก

"โห... ไม่มีหลอกล่อเหมือนเด็กๆ หน่อยเหรอ"

"มึงโตแล้ว"
เหมือนเขากำลังจะหลุดหัวเราะแต่ยังเก๊กขรึมเอาไว้

"แต่ผมก็กลัวเจ็บเหมือนกันนะ"
ผมพูดเสียงอ่อยแล้วส่งสายตาน่าสงสารไปให้คนตรงหน้า พี่ทาวน์ถึงกับกระตุกยิ้มมุมปากแล้ววางสำลีในมือลง คงเลิกคิดจะทำแผลให้กันแล้วหรือเปล่า โอย ขอโทษที่ทำตัวเป็นเด็ก

"งั้นให้อมยิ้ม"
ผิดคาดที่เขาพูดออกมาแบบนั้นแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง นี่คนอย่างพี่ทาวน์ชอบกินอมยิ้มด้วยเหรอ

"มีด้วยเหรอ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น จะว่าไปก็ไม่ได้กินอมยิ้มมาหลายวันแล้วเพราะช่วงนี้เรียนหนัก ไม่มีเวลาแวะมินิมาร์ทซื้อขนมเลย

"อืม ได้มาจากแฟนคลับ"

"อิจฉา... ผมชอบกินอมยิ้มมาก"

"ระวังฟันผุ"
พี่ทาวน์พูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วหันหลังให้กัน คงเตรียมไปเอาอมยิ้มมาให้แน่ๆ

"เป็นห่วงเหรอ"
ถามด้วยความอยากรู้ แต่ไม่ได้หวังคำตอบอะไร เพราะคนเรียนหมอคงมีความเป็นห่วงคนอื่นมากว่าคนปกติทั่วไปแน่ๆ

"หึ เดี๋ยวไปเอามาให้"
สุดท้ายผมก็ได้แต่นั่งทำหน้าหงอยเพราะงานมโนล่มไม่เป็นท่า แต่ต้องกลับมาตื่นเต้นอีกครั้งเมื่อเห็นพี่ทาวน์กอดกระปุกอมยิ้มขนาดใหญ่มา

"เฮ้ย มาเป็นกระปุกเลยเหรอ"
ผมร้องเสียงหลงแล้วมองของในมือพี่ทาวน์ด้วยดวงตาเป็นประกาย เยอะขนาดนั้นคงกินได้เป็นเดือนแน่ๆ อยากได้อะ

"อืม เอาไปหมดนี่ล่ะ"
พี่ทาวน์ยื่นกระปุกอมยิ้มมาให้ผมแล้วนั่งลงด้านข้างเหมือนเดิม เขาเริ่มหยิบสำลีชิ้นใหม่ขึ้นมาเทน้ำเกลือใส่ ครั้งนี้คงหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว

"พี่ไม่กินเหรอ"

"เจ็บเพดานปาก"
เขาตอบก่อนจะดึงแขนของผมข้างที่ข้อศอกเป็นแผลไปพลิกดู อยากดึงกลับแต่ใจไม่กล้าพอเลยหาเรื่องชวนคุยดีกว่า

"อ๋อ ผมก็เจ็บนะ แต่ชอบ... โอ๊ย แสบๆๆ"
ผมร้องเสียงหลงเมื่ออยู่ๆ เขาก็จิ้มสำลีชุบน้ำเกลือลงบนแผล ไม่ให้สัญญาณกันเลยเว้ย แสบอะ แสบจนเผลอดึงแขนกลับแล้วเบะปากลง

"อยู่นิ่งๆ"
พี่ทาวน์เหลือบตามองกันแล้วสั่งเสียงดุ ทำให้ผมต้องหยุดยื้อแขนตัวเองแล้วทำท่าสงบเสงี่ยม

"คะ ครับ"

หลังจากทำแผลเสร็จพี่ทาวน์ก็มาส่งผมที่คอนโคเกือบสามทุ่มซึ่งเป็นเวลาเดียวกันที่จิณณ์ลงมาชั้นล่างของคอนโด ไอ้เอยคงมารับไปกินเหล้าแล้วล่ะ หรือผมจะติดสอยห้อยตามไปด้วยดี

"น้องรัก ~"
จิณณ์เดินเข้ามาทักทายกันด้วยรอยยิ้ม ส่วนผมแค่รับคำด้วยการยักคิ้วให้

"ไอ้เอยมารับแล้วเหรอ"

"เออ จะไปด้วยกันปะ"
มันถามด้วยใบหน้าที่ยังคงเปื้อนยิ้มอยู่ ผมมองจิณณ์ตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว กางเกงยีนส์ขาดๆ ขาเดฟ เสื้อเชิ้ตแขนยาวเข้ารูปพับแขน ทรงผมเซ็ตจนดูหล่อมากกว่าปกติ สร้อยเงินรูปไม้กางเขน ลายเพ้นท์ที่ข้อมือ... แม่ง นี่กะจะไปหาเหยื่อหรือเปล่า จัดเต็มขนาดนี้

"ไม่ล่ะ จะขึ้นไปเล่นเกม"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ ขี้เกียจจะถามให้มากความแล้ว ปล่อยไอ้ไธจัดการเรื่องจิณณ์ด้วยตัวเองบ้าง

"จ้าๆ งั้นกูไปก่อนนะเว้ย"

"เออ อย่าแดกเยอะ"
ผมทิ้งท้ายก่อนจะเดินขึ้นห้องด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้มเมื่อคิดถึงพี่ทาวน์ โคตรมีความสุขเลยว่ะ

ต่อจากนี้ไปนายเมืองเหนือเตรียมรับการรุกจีบอย่างหนักจากนายภาคินเอาไว้เลย!




--------------------------------------------------

ใครจะฟินไปกว่าเจ็ทคงไม่มีอีกแล้ว โคตรน่าอิจฉาเลยจ้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
แข่งครั้งที่ 10

:: ทาวน์ ::



ช่วงเวลาใกล้สอบทำให้นักศึกษาแพทย์เกือบทุกคนต้องใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือ หอสมุดคณะเวลานี้เลยอัดแน่นไปด้วยว่าที่หมอไม่ต่ำกว่าสามร้อยชีวิต ได้ยินเสียงพลิกหน้ากระดาษเป็นระยะแต่กลับไม่มีเสียงพูดคุย เงียบสงบดีจริงๆ

"โอย ง่วง"
เสียงโวยวายของเพื่อนร่วมโต๊ะทำให้ผมชะงักมือที่กำลังจะพลิกกระดาษหน้าถัดไป ดวงตารีเหลือบมองไอ้ฟา มันหาวออกมาหวอดใหญ่ก่อนจะซบหน้าลงกับท่อนแขน อ่านหนังสือทีไรเป็นแบบนี้ประจำ

"บ่น"
ผมบอกก่อนจะก้มอ่านหนังสือต่อ อย่าไปสนใจอะไรมากเพราะมันแค่เรียกร้องความสนใจจากคนอื่นเป็นระยะ ส่วนไอ้แฮมหลับไปตั้งแต่เจอแอร์เย็นๆ ว่าที่หมอในอนาคตก็ไม่ได้ตั้งใจเรียนทุกคนเสมอไป และไม่ได้เป็นเด็กเนิร์ดอย่างที่ใครเข้าใจ

"ลงไปหากาแฟกินกันเถอะ"
ไอ้ฟาเด้งตัวขึ้นจากโต๊ะแล้วยืดแขนบิดขี้เกียจ ผมเหลือบมองก่อนจะครางรับในลำคอแล้วไม่สนใจมันอีก กำลังตั้งใจอ่านหนังสือจะขัดจังหวะอะไรนักหนา

"อืม"

"ลุกดิ"
มันลุกขึ้นแล้วสะกิดแขนผมยิกๆ จนต้องเงยหน้าขึ้นมองพลางขมวดคิ้ว จะไปซื้อกาแฟแล้วจะยุ่งวุ่นวายคนอื่นทำไม ตัวก็ไม่ได้ติดกัน ต่างคนต่างอยู่สิ

"อะไร"
ผมแสร้งถามทั้งที่รู้เจตนาของเพื่อนดี หนังสือก็ยังอ่านไม่ได้ถึงครึ่ง พรุ่งนี้จะมีสอบแล็ปกริ๊งอีกแล้ว คิดว่าเป็นอัจฉริยะกันหรือไง ทำตัวเอ้อระเหยแบบนี้

"กูชวนมึงเนี่ย"
มันบุ้ยปากใส่ น้ำเสียงบ่งบอกว่ากำลังโดนขัดใจ ผมได้แต่เลิกคิ้วทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวเพราะอยากแกล้งแหย่เพื่อน ไม่รู้เมื่อไหร่มันจะเลิกขี้เหวี่ยงขี้วีนสักที นิสัยแบบนี้ไงเลยไม่มีใครกล้าเข้ามาจีบ สักวันขึ้นคานจะหัวเราะให้

"เหรอ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ไอ้ฟาที่เป็นเพื่อนกันมานานก็รู้ว่ากำลังโดนกวนตีน เพราะสายตาที่ใช้มองกันไม่สามารถโกหกได้

"เออ ลุกได้แล้ว เร็วๆ"
มันบอกเสียงฉุนแล้วดึงแขนผมให้ลุกขึ้นตาม แต่ด้วยความที่ไอ้ฟาตัวเล็กเลยทำไมสำเร็จ ชอบทำอะไรเกินตัวอยู่เรื่อย แถมยังชอบข่มชาวบ้านอีก ถ้าโดนรุมกระทืบคงไม่ต้องหาสาเหตุให้วุ่นวายจริงๆ

"แล้วไอ้แฮมล่ะ"
ผมทอดสายตามองเพื่อนสนิทอีกคนทีเอาแต่หลับและเคี้ยวน้ำลายแจ๊บๆ สภาพดูไม่ได้สุดๆ หมดกันคราบนักศึกษาแพทย์ที่สั่งสมมาสองปี ทุเรศลูกตาว่ะ

"ปล่อยมันนอนน้ำลายยืดไปเหอะ"
ไอ้ฟาย่นจมูกแล้วกระตุกแขนผมอีกครั้งอย่างแรง คราวนี้ช่วยไม่ได้จริงๆ เลยต้องยอมไปซื้อกาแฟเป็นเพื่อนมัน เพราะถ้ากวนตีนอีกครั้งเดียวหอสมุดแตกแน่ ยังไม่อยากโดนบรรณารักษ์ด่า

ไอ้ฟาเดินไปสั่งไอซ์อเมริกาโน่ของโปรด เห็นมันหน้าหวานๆ ตัวเล็กๆ แต่ก็ชอบกินรสเข้ม ส่วนผมฝากซื้อไอซ์ลาเต้ ดูขัดกับบุคลิกโดยสิ้นเชิง ก็ไม่ค่อยชอบรสขมสักเท่าไหร่ คนเราไม่สามารถตัดสินกันที่ภาพลักษณ์ภายนอกไม่ได้หรอก

รอไม่นานไอ้ตัวเล็กก็ถือกาแฟมายื่นให้ก่อนจะทิ้งตัวลงข้างๆ เราไม่ได้พูดคุยอะไรกันเพราะต่างคนต่างใช้เวลานี้เป็นการพักก่อนจะกลับไปคร่ำเคร่งอ่านหนังสือต่อ แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว สอบแล็ปกริ๊งมากี่ครั้งก็ยังไม่ชินสักที เครียดว่ะ

ผมทอดมองสวนด้านหน้าหอสมุดแล้วคิดอะไรเรื่อยเปื่อย จะว่าไปวันนั้นก็เสียดายอาหารเวียดนามที่เหลืออยู่เต็มโต๊ะ สงสารเจ็ทที่ทำท่ายังไม่อิ่มนั่นด้วย ถ้าไม่ติดว่าเห็นพรีมกับไอ้ธีซะก่อนคงกินหมด

ตอนนั้นรู้สึกอยากเข้าไปด่าพรีมสักครั้ง นี่เหรอที่บอกว่ากับธีไม่มีอะไรกัน โกหกมาไม่รู้เท่าไหร่แต่ผมก็ทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เพราะครอบครัวชอบเธอมาก ถึงขั้นเคยวางแผนให้หมั้นกัน แต่สุดท้ายความอดทนก็หมดลงจนต้องบอกเลิก

ผมคงเข็ดกับความรักไปอีกนาน เพราะคบกันมากี่ปีก็สามารถเลิกกันได้ ไม่มีอะไรที่มั่นคง จิตใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง มันสามารถเปลี่ยนได้ทุกๆ วินาที ไม่มีใครคาดเดาอะไรได้เลย แม้แต่ตัวเองก็เถอะ

"คนแท็กรูปมึงในไอจีเยอะจังวะ"
ไอ้ฟาที่นั่งเงียบไปนานพูดขึ้นทำให้ผมต้องละสายตาจากสิ่งตรงหน้ามามองมัน ชอบก้มเล่นโทรศัพท์จนจมูกจะติดจออยู่แล้ว ไม่ปวดตาบ้างหรือไง

"อืม"
ผมครางรับในลำคอแล้วกระตุกคอเสื้อด้านหลังให้มันขยับหน้าออกจากจอสักที ทำแบบนั้นบ่อยๆ เดี๋ยวก็เดือดร้อนต้องไปวัดสายตาตัดแว่น

"รู้อะไรกับเขาบ้างปะเนี่ย"
มันหันมาถามด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ หัวไหล่กระแซะกันจนน่ารำคาญ ผมผละตัวออกแล้วไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ เรื่องแบบนั้นจำเป็นต้องรู้ให้รกสมองด้วยเหรอ

"ไม่ได้สนใจ"
ไอ้ฟาถึงกับเบะปากให้กับคำตอบนั้นแล้วเลิกสนใจกัน ผมมองเพื่อนแล้วได้แต่ส่ายหัวให้กับความขี้งอนนั่น พูดอะไรขัดใจคุณเขาไม่ได้เลย

"เฮ้ย... มึงไปกินอาหารเวียดนามมาเหรอ"
อยู่ๆ มันก็ร้องเสียงดังแล้วหันมามองกันด้วยแววตาแปลกใจ ผมถึงกับขมวดคิ้วแน่น จำได้ว่าไม่เคยบอกใครเรื่องนี้ แล้วทำไมไอ้ฟาถึงรู้

"เออ"
ถึงจะงงแต่ก็ตอบรับ เพราะไม่มีอะไรต้องโกหก แค่ไปกินอาหารเวียดนามที่พวกมันปฏิเสธหัวชนฝาว่าไม่ไปด้วยเท่านั้นเอง

"กับไอ้เจ็ทอะนะ"
คราวนี้ไอ้ฟาเจาะจงบุคคลที่ผมชวนไปกินด้วยในวันนั้น นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว มันรู้ได้ยังไงละเอียดยิบขนาดนั้น หรือจะเปลี่ยนอาชีพจากหมอไปเป็นหมอดู

"อืม รู้ได้ไง"
ผมยังคงความนิ่งแต่สายตาดันเหลือบไปมองหน้าจอโทรศัพท์ของเพื่อน ต้องมีอะไรสักอย่างในโซเชี่ยลบอกมันแน่ๆ หรือว่าจะเป็นรูปอาหารที่เจ็ทขอถ่ายในวันนั้น

"ก็มันแท็กรูปมาหามึงอะ"
ไอ้ฟายื่นโทรศัพท์มาตรงหน้า ผมก้มมองแล้วก็ได้คำตอบ ที่แท้เจ็ทก็ลงรูปในไอจีแล้วแท็กผมเท่านั้นเอง

"อ๋อ"

"ทำไมไปกับน้องมันได้วะ สนิทกันเหรอ"
คำถามต่อมาทำให้ผมผละโทรศัพท์ของมันกลับไปแล้วดูดลาเต้เย็นในแก้วต่อ ทำไมมีเพื่อนขี้เสือกแบบนี้ ถามอะไรวุ่นวาย ถ้าให้เล่าคงอายฉิบหาย ก็เล่นจำชื่อเจ็ทไม่ได้ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นเจอกันตั้งหลายครั้ง

"ถามมาก ขี้เกียจตอบ"

"อ้าว ไอ้นี่ ก็มันแปลกๆ อะ ปกติมึงสุงสิงกับใครที่ไหนนอกจากพวกกูล่ะ"
ไอ้ฟาทำเสียงกระเง้ากระงอด คงงอนที่ผมไม่ยอมตอบคำถามของมัน แต่เรื่องอะไรจะเอาเรื่องน่าอายของตัวเองมาประจานให้คนอื่นฟัง ฝันไปเถอะ

"ขึ้นไปอ่านหนังสือต่อเหอะ"
ผมบอกก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินกลับเข้าหอสมุดอีกครั้งโดยไม่รอไอ้ฟาที่ตะโกนไล่หลังมา ขืนพิรี้พิไรอยู่ตรงนี้คงอ่านหนังสือไม่จบกันพอดี อีกอย่างต้องไปปลุกไอ้แฮมแล้ว ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้มีคนสอบตกแน่ๆ

เวลาหกโมง ผมแยกย้ายกับเพื่อนสนิททั้งสองคนแล้วกลับมาที่คอนโดโดยแวะซื้อบะหมี่เกี๊ยวเป็นมื้อเย็นและยังมีเสบี่ยงอีกเล็กน้อยเผื่อหิวยามดึก ระหว่างทางสายตาก็เจอเข้ากับคนที่คุ้นตา แต่วันนี้แปลกที่เขาใส่เสื้อช็อป หรือว่านั่นคือจิณณ์ฝาแฝดของเจ็ท แต่อยู่กับไอ้ไธเหรอ คงสนิทกันหมดล่ะมั้ง

ผมจัดการอาบน้ำแล้วหยิบชุดนอนมาใส่ก่อนจะแกะบะหมี่เกี๊ยวลงในชามเพื่อกินโดยไม่ปรุงรส ไม่ใช่เพราะอร่อยแต่ขี้เกียจเป็นทุนเดิม แล้วอีกอย่างหนังสือรอให้อ่านอีกเป็นกอง ไม่รู้จะสอบบ่อยอะไรนักหนา

กำลังจะคีบลูกชิ้นใส่ปากแต่ต้องชะงักมือเมื่อโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะสั่น ดวงตารีเหลือบมองหน้าจอที่แสดงชื่อ 'ฟา' แล้วต้องขมวดคิ้ว เพิ่งแยกจากกัน มีอะไรอีก

"ว่าไง"
ผมกรอกเสียงลงไปแล้วคีบเส้นบะหมี่เข้าปากเพราะถ้าปล่อยไว้นานมันจะอืดไม่น่ากิน

'กินข้าวอยู่เหรอวะ'
ปลายสายถามกลับด้วยน้ำเสียงตื่นๆ คล้ายกำลังมีเรื่องร้อนใจ ผมเคี้ยวบะหมี่ไปเรื่อยไม่เร่งรีบ ก็ไม่ได้อยากรู้อะไร ตอนนี้จะกิน หิว

"เออ"

'หยุดกินแล้วมาคุยกับกูก่อน'
มันสั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดจนผมต้องลอบถอนหายใจ เมื่อไหร่จะเลิกเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลกสักที

"คุยไปกินไปก็ได้"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนใจแล้วคีบหมูแดงใส่ปากอีกชิ้น อย่าไปเอาใจมันมากเดี๋ยวจะเหลิงไปใหญ่ แค่นี้ก็ข่มกันจนไอ้แฮมไม่กล้าหือแล้ว มีปากเสียงเมื่อไหร่ไอ้ฟาเป็นชนะทุกที

'ไม่ได้ๆ นี่เรื่องสำคัญ มึงต้องตั้งใจตอบกู'
เสียงปลายสายดังขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่ขอร้องแต่เป็นบังคับให้ทำตาม แต่เรื่องอะไรที่คนอย่างผมต้องยอม ไอ้ฟาไม่ได้เห็นสักหน่อยว่ากำลังกินหรือหยุดกิน

"เรื่องเยอะ"

'คอขาดบาดตายเลยนะไอ้ทาวน์!'
มันตะโกนใส่จนผมต้องผละโทรศัพท์ออกแล้วขมวดคิ้วใส่ ไม่เข้าใจว่ามีเรื่องสำคัญอะไรนักหนา แค่จะกินข้าวก็ขัด ไม่ตั้งใจฟังก็หงุดหงิดใส่ อ่านหนังสือจนประสาทแดกหรือไง

"เสียงดัง หนวกหู"
ผมแนบโทรศัพท์ลงกับหูอีกครั้งแล้วบอกมันด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ตะโกนไม่เกรงใจใครบ้างเลยหรือไง

'เลิกกินหรือยัง กูยังได้ยินเสียงมึงเคี้ยวนะ!'
มันไม่ได้ฟังที่ผมพูดเลยสักนิด แต่เสือกได้ยินเสียงเคี้ยว แดกกากหมูก็ไม่ได้อีก แม่ง

"เออๆ จะถามอะไรว่ามา"
สุดท้ายผมก็ยอมวางตะเกียบลงแล้วเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำมาดื่ม ได้ยินเสียงไอ้ฟาหัวเราะชอบใจแล้วนึกอยากเตะมันสักทีสองที ชนะด้วยความเอาแต่ใจนี่มันน่ายินดีตรงไหน

'ช่วงนี้มึงได้เข้าไอจีบ้างปะ'
ไอ้ฟาถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแต่ผมกลับรู้สึกเบื่อหน่าย ถามเรื่องไอจีอีกแล้ว มีอะไรกับมันนักหนา

"ไม่"
ปฏิเสธพร้อมกับใช้ตะเกียบเขี่ยบะหมี่ในชาม

'เฟซบุค'

"ไม่"
ผมเริ่มขมวดคิ้วแต่มือยังไม่หยุดเขี่ยบะหมี่ หิวไส้จะขาดแต่แดกไม่ได้ทั้งที่ของกินตั้งอยู่ตรงหน้า โคตรบัดซบ

'ทวิตเตอร์ล่ะ'

"ไม่"
ผมตอบก่อนจะพ่นลมหายใจแรงๆ ใส่โทรศัพท์ ทำไมไอ้ฟาถึงเซ้าซี้แบบนี้ น่ารำคาญคูณสอง

'โอย มึงนี่นะ จะสร้างแอคเค้าท์ไว้ทำซากอะไรเนี่ย'
มันโวยวายเสียงดังอีกครั้ง คิดถึงใบหน้าหวานนั่นคงกำลังมู่ทู่อยู่แน่ๆ แต่ทำไมต้องมาหงุดหงิดเรื่องนี้ด้วย ผมจะเล่นโซเชี่ยลหรือไม่เล่นก็ไม่ได้หนักหัวใครนี่ ปวดหัวกับไอ้ฟาจริงๆ

"เรื่องของกู"

'ครับๆ ไม่เถียงกับมึงแล้ว แพ้ตลอด'
มันยอมแพ้ง่าย ส่วนผมไม่ได้ดีใจเลยสักนิด ถ้ารู้ว่าจะโทรมาถามแบบนี้คงไม่รับสายตั้งแต่แรก หาสาระไม่เจอเลย

"ดี ถ้าไม่มีอะไรแล้วกูจะวาง"
ผมตัดสินใจจะวางสายเพราะเส้นบะหมี่เริ่มอืด อีกอย่างคือไม่เห็นว่าคุยกับไอ้ฟาแล้วได้สาระหรือประโยชน์ตรงไหน ปวดหัวเปล่าๆ

'เดี๋ยวๆ กูยังไม่เข้าเรื่องเลยไอ้ทาวน์'

"เร็วๆ หิวข้าว"
แม่ง... กดวางไม่ทัน โดยมันรั้งซะก่อน

'มึงกำลังโดนจีบเหรอวะ'
น้ำเสียงขณะถามเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ผมที่เป็นคนฟังถึงกับขมวดคิ้ว ไอ้ฟาไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน ทุกวันก็อยู่กับเพื่อนยังไม่ได้คุยกับใครที่ไหนเป็นพิเศษ เพ้อเจออะไรของมันอีก

"พูดอะไรของมึง ใครจีบ"

'ก็ไอ้น้องเจ็ทไง มันจีบมึงอะ!'
มันว่าอะไรนะ เจ็ทน่ะเหรอจีบผม ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน น้องก็แค่เข้ามาคุยด้วยเหมือนคนปกติธรรมดาทั่วไป มโนเก่งตลอดไอ้ฟา แล้วอีกอย่างนายเมืองเหนือมีอะไรให้ผู้ชายด้วยกันพิศวาสวะ ตอบได้เลยว่าไม่

"หึ ตลก มึงมันเพ้อเจ้อ"
ผมหัวเราะในลำคอแล้วเริ่มกินบะหมี่อีกครั้ง ไม่สนใจแล้วว่าจะโดนไอ้ฟาด่าอะไรอีก เรื่องของมันไม่เห็นสำคัญอย่างที่อ้างไว้ตอนแรกสักนิด เพ้อเจ้อไปเรื่อย

'เฮ้ย กูพูดเรื่องจริง ไม่เชื่อมึงไปดูไอจีมันดิ'
น้ำเสียงเร่งเร้าพร้อมทั้งเชิญชวนทำให้ผมกระตุกมุมปากเป็นรอยยิ้มเย้าะ ไอ้ฟาเป็นคนขี้เสือกขนานแท้จริงๆ ถึงขนาดให้ส่องไอจีคนอื่นแบบนี้

"เพื่ออะไร กูวางล่ะ หิว"
ผมตัดสินใจกดวางสายโดยไม่ฟังเสียงโวยวายของเพื่อนแล้วกลับมาดื่มด่ำกับอาหารค่ำแล้วต่อด้วยแซนวิชทูน่าอีกหนึ่งชิ้น สุขใดเล่าจะเทียบเท่าการกิน (ยืมสโลแกนประจำตัวไอ้แฮมมาใช้)

หลังจากที่อิ่มท้องผมก็เริ่มควานหาชีทและหนังสือที่จะใช้สอบพรุ่งนี้เพื่ออ่านทวนอีกรอบ แต่แล้วไม่รู้อะไรดลใจให้เอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดแทน ข้อความแจ้งเตือนเต็มไปด้วยชื่อไอ้ฟา มีนจะกวนสมาธิคนอื่นไปถึงไหน

Fa
มึงต้องดูนี่! อยากตัดสายกูดีนัก
*รูปผู้ชายหันหลังใส่เสื้อบาสฯ สีขาวสกรีนอักษร MED 09 ยืนอยู่ข้างสนามพร้อมแคปชั่น เรียนแพทย์จะได้เป็นหมอ
เรียนอะไรหนอจะได้หมอเป็นแฟน*

ผมมองภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะจำได้ว่ามันคือเสื้อที่ใส่แข่งบาสฯ ในช่วงกีฬาคณะที่ผ่านมาของตัวเอง พออ่านแคปชั่นจบก็ได้แต่หลุดหัวเราะออกมา คนอะไรโคตรเสี่ยว

อยากได้หมอเป็นแฟนเรียนอะไรก็ได้ แค่นิสัยเข้ากันก็พอ

Muangneua
แล้วไง

พิมพ์ตอบไอ้คนเจ้ากี้เจ้าการไปอย่างไม่ใส่ใจ รูปที่เจ็ทเอาไปลงถึงจะดูเหมือนจีบเจ้าของเสื้อก็จริง แต่ด้วยความที่เราเป็นเพศเดียวกัน ผมเลยไม่คิดอะไรแบบนั้น อีกอย่างเขาคงสื่อความหมายไปทางอื่น ไม่ใช่เจาะจงนายเมืองเหนือคนนี่หรอก

Fa
เอ้า ชัดขนาดนี้ยังจะถามกูอีกเหรอ นี่ผู้ชายกำลังจีบมึงนะทาวน์ ตกใจหน่อยดิ รู้ตัวบ้าง!
*สติ๊กเกอร์กระต่ายโกรธ*

ควรเป็นกระต่ายตื่นตูมตกใจในเรื่องที่ไม่รู้มูลความจริงจากเจ้าตัวเขาอย่างนั้นน่ะเหรอ ประสาท ผมไม่คิดให้รกสมองหรอก การเดาสุ่มไม่ใช่นิสัยเลย

Muangneua
เจ็ทบอกมึงหรือไง
น้องอาจจะอัพสนุกๆ

ผมตอบกลับอย่างที่คิดแล้วกะว่าจะวางโทรศัพท์ลงเพื่อหนีไปอ่านหนังสือสักที แต่ไอ้ฟาตอบกลับไวเกินไป เลยต้องจำใจอ่านข้อความของมัน

Fa
สนุกบ้าอะไรวะ เจาะจงเป็นรูปเสื้อมึงขนาดนี้ จีบแน่ๆ ฟันธง!

ผมส่ายหัวให้กับความขี้มโนของมันก่อนจะจิ้มๆ หน้าจอครู่หนึ่งแล้วปิดเครื่องโทรศัพท์ คราวนี้ก็มีสมาธิอ่านหนังสือแล้ว

Muangneua
เอาที่มึงสบายใจ
กูไปอ่านหนังสือล่ะ

ผมอ่านหนังสือไปได้เกือบหนึ่งชั่วโมงแล้วต้องหยุดพักเพราะในหัวมีเรื่องของเจ็ทผุดขึ้นมา อะไรหลายๆ อย่างที่ไอ้ฟาพยายามบอกกล่าว ยัดเยียดมานั้นทำให้ต้องหลุดหัวเราะอีกครั้ง จะเป็นไปได้ยังไง คนอย่างนายเมืองเหนือไม่ทำให้ผู้ชายหวั่นไหวหรอก ถ้าเป็นแบบไอ้ตัวเล็กจะไม่ว่าเลย

มันก็แค่เรื่องตลกที่ไม่ได้เก็บเอามาคิดมาก บางทีน้องคงอยากจีบสาวเรียนหมอเลยเอารูปเสื้อที่สกรีนอักษรย่อคณะไปอัพ ไม่ได้เจาะจงอะไรว่าเป็นผม

ถ้าเกิดเป็นเรื่องจริงคงแปลกพิลึก ผู้ชายแมนๆ อย่างเจ็ทไม่มีทางชอบเพศเดียวกันแน่ ไม่ได้ประเมินและตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอก แต่เป็นท่าทางการแสดงออกต่างหาก ดวงตาคมคู่นั้นยังคงมองผู้หญิงเป็นประกายเช่นเดิม ไอ้ฟาน่ะขี้มโนไปเอง เชื่อเถอะ ไม่มีอะไรในกอไผ่หรอก ถึงจะมีก็เฉยๆ รู้สึกขำมากกว่า คงเป็นอารมณ์ชั่ววูบ

เสียงกริ่งสุดท้ายสำหรับการสอบแล็บกริ๊งดังขึ้นทำให้ผมต้องรีบย้ายที่อย่างรวดเร็ว ดวงตารีไล่อ่านคำถามตรงหน้าก่อนจะก้มลงมองชิ้นส่วนของกล้ามเนื้อมนุษย์อย่างละเอียด พอได้คำตอบแล้วก็ลงมือเขียนลงไปในกระดาษพอดีกับสัญญาณบอกหมดเวลา

"หมดเวลา นักศึกษาทุกคนออกจากห้องสอบได้"
สิ้นเสียงของอาจารย์ประจำวิชาจบลง นักศึกษาก็ทยอยออกจากห้องแล้วจับกลุ่มคุยกันถึงข้อสอบที่เพิ่งผ่านไปเมื่อครู่ จะว่ายากก็ยากจะว่าง่ายก็ง่าย แล้วแต่ว่าใครเตรียมตัวมาเท่าไหร่ ส่วนผมกับไอ้ฟาทำได้อยู่แล้ว ห่วงก็แต่ไอ้แฮมที่ทำหน้าซังกะตาย ไหวหรือเปล่าก็ไม่รู้

"แฮม... ทำได้ไหมมึง"
ไอ้ฟาถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ส่วนผมทำเพียงแค่รอคำตอบ มันเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะส่ายหน้าแล้วเดินออกไปจากตรงนี้โดยไม่พูดอะไร คงหนีไปหาอะไรกินคลายเครียดตามเคย

"ต้องตามไปปลอบปะเนี่ย"
ไอ้ฟาเกาหัวแกรกๆ แล้วมองตามเพื่อนสนิทที่เดินหายไปทางโรงอาหาร ผมไหวไหล่ไม่ใส่ใจ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเห็นไอ้แฮมบอกใครๆ ว่าทำข้อสอบไม่ได้ แต่พอผลออกมาก็เกินมีนทุกครั้ง ไม่มีอะไรต้องห่วงหรอก

"ไปหาอะไรกินเถอะ"

"โอเค"

พวกเราเดินทอดน่องอย่างไม่รีบร้อนเพราะรู้ว่าตอนนี้โรงอาหารคนแน่นจนแทบไม่เหลือที่นั่ง บางครั้งต้องซื้อข้าวใส่กล่องไปนั่งกินที่ลานคณะหรือสวนด้านหลังตึก ร่มไม้ตามทางเดินบดบังแสงแดดยามเที่ยงวันได้เป็นอย่างดีเลยทำให้ผมกับไอ้ฟาไม่บ่นเรื่องอากาศสักคำ

"ทาวน์..."
เสียงเรียกชื่อทำให้ผมต้องหันไปมองคนที่เดินข้างๆ กัน ไอ้ฟาทอดสายตาไปด้านหน้าพร้อมเม้มปากแน่น ท่าทางแบบนี้คงอยากถามอะไรแต่ก็ยังชั่งใจอยู่ ถึงมันจะขี้เหวี่ยงแต่เป็นบุคคลที่ดูออกง่าย นิสัยไม่ซับซ้อน

"ว่าไง"
ผมถามกลับไปแล้วละความสนใจจากไอ้ฟา พอใกล้ถึงโรงอาหารเสียงพูดคุยก็ดังขึ้นเรื่อยๆ อย่าหาว่าเด็กเรียนแพทย์เรียบร้อยกว่าใครเลย มันก็คนเหมือนๆ กัน หลากหลายนิสัย มีทั้งดีทั้งเลวปะปนกันไป

"เรื่องเมื่อวาน มึงไม่เชื่อจริงๆ เหรอวะ"
ผมชะงักเท้าเมื่อได้ยินคำถาม ไอ้ฟาหยุดตามกันแล้วมองมาอย่างไม่ลดละ สายตากดดันว่าให้ตอบคำถามเดี๋ยวนี้ แต่เห็นท่าทางน่าแกล้งนั่นแล้ว ขอทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้สักหน่อยดีกว่า

"เรื่องอะไร"
ถามย้อนกลับไปแล้วรอดูปฏิกิริยาของมัน เป็นไปดังคาดที่ไอ้ฟาจะเบะปากก่อนจะยกมือขึ้นขยี้หัวแรงๆ โดนขัดใจแต่ลงไม้ลงมือกับผมไม่ได้ โคตรตลก อยากหัวเราะใส่แต่ต้องกลั้นไว้เพราะเดี๋ยวความแตกอาจโดนงอนยาว ขี้เกียจง้อ

"ก็เรื่องไอ้น้องเจ็ทไง อย่าทำเป็นลืมดิ"

"เฉยๆ ไม่ได้คิดอะไร"

"มึง... แต่กูว่าน้องมันจีบมึงจริงๆ นะ"
มันยังเซ้าซี้ด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอดแถมเข้ามากอดแขนกันอย่างกับเด็กกำลังอ้อนขอขนม เห็นแบบนี้ก็ได้แต่อ่อนใจ ยัดเยียดให้เชื่อเหลือเกิน อยากได้น้องมันเป็นเพื่อนสะใภ้หรือไง

"มั่นใจอะไรขนาดนั้น"
ผมออกเดินอีกครั้งโดยมีไอ้ฟาเกาะเป็นลูกลิงไม่ยอมปล่อย ถึงจะมีใครมองมันก็ไม่สนใจ เดี๋ยวอีกสักพักเพจเซ็กซี่บอยคงเอารูปไปลงพร้อมแคปชั่นชวนขนลุก เอาที่สบายใจเถอะ

"เซ้นส์กูมันบอก! ไม่ใช่เรื่องตลกอย่างที่มึงคิดแน่ๆ"
ไอ้ฟานี่ก็ตื้อไม่หยุดจนเริ่มน่ารำคาญแล้ว ผมดึงแขนออกจากการเกาะกุมก่อนจะมองหน้าเพื่อนนิ่งๆ ตกลงจะเอายังไง

"แล้วไง"

"เอ้า ถามกูเพื่ออะไร ต้องถามตัวมึงดิว่าจะเอายังไงกับน้องมัน"
มันว่าเสียงฉุนแล้วเอานิ้วจิ้มอกกันยิกๆ คล้ายกับเร่งให้ตอบคำถามและย้ำเรื่องที่ตัวเองเชื่อ ผมทำแค่กรอกตาแล้วปัดมือเล็กนั่นทิ้ง

"เพ้อเจ้อน่า"
ผมเดินหนีเพราะขี้เกียจคุยเรื่องนี้อีก เสียเวลาให้การหาข้าวกินฉิบหาย ง่วงก็ง่วง อยากกลับคอนโดไปนอนจะตายแล้ว

"กูไม่ได้เพ้อเจ้อนะ ไม่เชื่อมึงลองไปถามน้องมันดูเลย"
ยัง ยังไม่หยุดพูดอีก

"เออ ถ้าเจอตัวจะถามให้แล้วกัน"
ผมพูดปัดความรำคาญแล้วเดินตรงไปหาไอ้แฮมที่ก้มหน้าก้มตากินทั้งข้าวทั้งก๋วยเตี๋ยวอยู่ที่โต๊ะริมสุด

"ดี!"
ได้ยินเสียงร่าเริงตะโกนรับแล้วอยากเดินกลับไปเตะให้น่วม เรื่องเสือกไว้ใจไอ้ฟาได้เลย ถึงไหนถึงกันตลอด

หลังจากกินมื้อเที่ยงจบไอ้แฮมก็ชวนไปกินบิงซูต่อ แต่ด้วยความง่วงผมเลยปฏิเสธ อยากกลับไปนอนเปิดแอร์ช่ำๆ แล้วซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม ระหว่างที่กำลังเดินผ่านหน้าตึกก็ได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนเรียกและวิ่งเข้ามาหา

"พี่ทาวน์!"
เขายืนหอบหายใจอยู่ตรงหน้าของผม สภาพเหงื่อซกขนาดนี้ไปยืนอาบแดดมาหรือไง เสื้อนักศึกษาเปียกทั้งตัวขนาดนี้

"หืม... มาทำอะไรที่นี่"
ผมถามด้วยความสงสัยแล้วขมวดคิ้วมอง จำได้ว่าเด็กนี่เรียนอยู่สถาปัตย์ไม่ใช่เหรอวะ แล้วคณะแพทย์ห่างกันตั้งไกลหรือมาหาแฟน

"อ๋อ... คือว่า มา เอ่อ มาเดินเล่นครับ"
เสียงตะกุกตะกักตอบมาทำให้ผมหลุดยิ้มครู่เดียวก่อนจะกลับไปทำหน้าเฉยเมย ถ้าพูดแบบธรรมดาจะไม่มีพิรุธเลย แต่นี่กรอกตาไปมาแถมหน้าแดง... หึ

"มาไกลนะ ส่องสาวล่ะสิ"
หยอกกลับไปด้วยเสียงเรียบแล้วมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า การแต่งกายของเราช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ผมเรียบร้อยถูกกฏระเบียบ ส่วนเจ็ทกางเกงยีนส์รองเท้าผ้าใบแถมไม่ใส่เนคไทอีกด้วย ดูแล้วก็เซอร์ๆ สบายๆ น่าอิจฉาดี

"แหะๆ ก็ทำนองนั้น ว่าแต่พี่กำลังจะไปไหนครับ"
เจ็ทตอบกลับด้วยรอยยิ้มแห้งๆ มือที่ลูบท้ายทอยไปมาทำให้รู้สึกว่าเขาเป็นคนขี้อาย ผู้ชายแบบนี้คงมีสาวๆ ติดไม่มากก็น้อย คงน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาพวกเธอ

"กลับคอนโด ง่วง"

"อ๋อ... ผมก็กำลังจะกลับเหมือนกัน ไม่มีเรียนบ่ายแล้ว"
เจ็ทยิ้มกว้างแล้วยืนตัวตรงหลังจากหยุดหอบแล้ว ผมพยักหน้าตอบรับ เห็นเดินตัวปลิวมาที่นี่ แล้วจะกลับคอนโดยังไง

"อืม กลับยังไงล่ะ"
ถ้าน้องมันไม่มีรถกลับก็ไปด้วยกัน ประหยัดน้ำมันดี เพราะยังไงผมก็ต้องขับผ่านคอนโดนั้นอยู่แล้ว

"คงนั่งรถเมล์กลับครับ วันนี้ไม่ได้เอามอ'ไซต์มา"
น้ำเสียงอ่อยๆ ตอบกลับมา ดูจากสีหน้าแล้วคงไม่อยากกลับรถเมล์เท่าไหร่ เพราะช่วงบ่ายมันทั้งร้อนและอึดอัด

"งั้นไปกับกูไหม"
ผมชวนแล้วมองหน้าเจ็ท เขาเบิกตาโตเหมือนกับตกใจอะไรมากมาย แค่ชวนกลับด้วยกัน ไม่ได้ชวนไปทำเรื่องไม่ดี ตลกเกินไปแล้ว

"ได้เหรอ!"
เจ็ทถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แววตาที่มองกลับมามีประกายวิบวับจนผมได้แต่ขมวดคิ้ว ทำไมต้องแสดงออกว่าดีใจขนาดนั้น

"อืม จะเสียงดังทำไม"

"ขอโทษครับ ดีใจไปหน่อย"
ปลายประโยคเหมือนเขาพึมพำกับตัวเองมากกว่า แต่ผมก็อยากรู้ว่าพูดอะไร

"ว่าอะไรนะ"

"เปล่าๆ ถ้างั้นขอรบกวนด้วยนะครับ"
สุดท้ายก็ได้คำตอบมาแบบนั้นก่อนที่เราจะเดินไปที่ลานจอดรถ แล้วไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลย ผมคุยไม่เก่ง ส่วนเจ็ทคงหาเรื่องมาคุยด้วยไม่ได้ ก็เพิ่งรู้จักกันไม่นานนี่นะ

ระยะทางจากมหา'ลัยถึงคอนโดใช้เวลาแค่ยี่สิบนาที แต่เพราะสังเกตเห็นคนข้างตัวนั่งเงียบผิดปกติผมเลยอดไม่ได้ที่จะชวนคุย บรรยากาศมันแปลกๆ ไม่เหมือนทุกครั้ง

"เจ็ท"
ผมเรียกชื่อเขาด้วยเสียงที่ไม่ได้ดังแต่เจ็ทกลับสะดุ้งโหยง ใบหน้าหล่อนั่นตื่นตกใจจนผมอยากหัวเราะเพราะมันตลก แต่สุดท้ายก็เลือกเงียบเหมือนทุกทีดีกว่า

"คะ ครับ!"
เจ็ทตอบรับเสียงตะกุกตะกักก่อนจะทำหน้าเลิ่กลั่กมองมาทางผม วันนี้เขามีอาการแปลกๆ จริงนั่นล่ะ ดูเหม่อเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา

"เป็นอะไร"

"หา..."
หน้าเหลอหลาจริงๆ เลยเชียว

"ก็เห็นนั่งตัวแข็งทื่อตั้งแต่ขึ้นรถ"
ผมเหลือบมองเล็กน้อยก่อนจะกลับไปสนใจถนนตรงหน้าต่อ

"อ้อ เปล่าหรอกครับ"
เขาปฏิเสธพร้อมกับโบกมือรัวๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบไป ปล่อยให้เสียงเพลงบรรเทาบรรยากาศอึมครึม




ต่อด้านล่างน้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
ในช่วงที่กำลังติดไฟแดงผมก็คิดถึงเรื่องราวเมื่อวานที่โดนไอ้ฟากรอกหูแถมยังหาหลักฐานมายืนยันความเชื่อของตัวเอง ตอนนี้เจ็ทก็นั่งอยู่ข้างๆ ผมก็ควรถามสินะ เพื่อนจะได้เลิกเพ้อเจ้อสักที

"แอบถ่ายรูปกูตอนแข่งบาสฯ เหรอ"
ผมถามขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยแล้วลอบมองปฏิกิริยาของคนข้างๆ เขาสะดุ้งนั่งหลังตรงแถมยังสำลักอากาศจนไอออกมาสองสามครั้ง แค่ถามว่าแอบถ่ายรูปเหรอ ทำไมต้องแสดงอาการตกใจด้วย ไม่ได้จะด่าว่าอะไรเลย

"ห๊ะ... พะ พี่ทาวน์เห็นแล้วเหรอ!"
เขาถามกลับด้วยน้ำเสียงตื่นๆ แถมยังดังจนผมต้องเอามือปิดหูด้านหนึ่ง หน้าตาเหวอๆ นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าเจ็ทแปลกไป หรือจะจีบกันจริงๆ อย่างไอ้ฟาบอก

"อืม ไอ้ฟาเอาไอจีมึงให้ดูเมื่อวาน"

"อ่า คือว่า..."
น้องพูดแค่นั้นก็หุบปากเงียบจนผมต้องพูดต่อเพิ่งลองเชิง ดูสิว่าไอ้ฟาเซ้นส์แรงจริงหรือเปล่า ถ้าใช่คงต้องซื้อน้ำแดงเฮลบูลบอยไปเซ่นสักขวด

"มันบอกว่ามึงตั้งใจจะจีบกู"

"....."
เจ็ทเงียบแล้วเบนสายตาออกไปมองด้านนอก คงไม่ชอบที่โดนคิดแบบนั้นล่ะมั้ง

"อย่าถือสา มันขี้มโนไปหน่อย"
กลัวน้องจะโกรธไอ้ฟาเลยพูดแก้ต่างให้มัน

"มะ ไม่หรอกครับ เอ่อ... พี่ทาวน์"
เจ็ทหันกลับมามองหน้าผม ดวงตาคมสั่นไหวเล็กน้อย ไม่สบายใจเหรอวะ ไม่น่าพูดเรื่องไร้สาระให้ฟังเลย

"หืม"
ผมครางรีบเมื่อเข้าเรียกชื่อก่อนจะเหยียบคันเร่งเพื่อออกรถเมื่อสัญญาณไฟจราจรเป็นสีเขียว อีกไม่เกินร้อยเมตรจะถึงคอนโดของเจ็ทแล้ว

"ถ้าสมมติว่าผม... เอ่อ จีบพี่ทาวน์จริงๆ จะว่ายังไงครับ"
หืม เมื่อครู่เจ็ทถามว่าถ้าจีบผมจริงๆ อย่างนั้นเหรอ

"หึ ถ้าจีบติดจะให้ฟันดาบกันหรือไง"
ผมพูดติดตลกแล้วเหลือบมองเจ็ทที่เอาแต่เม้มปากแถมหน้ายังแดงเป็นลูกมะเขือเทศ นี่คิดจะจีบกันจริงเหรอวะ อารมณ์ชั่ววูบแน่ๆ เชื่อเถอะ

ชอบคนอย่างนายเมืองเหนืออาจเป็นทุกข์ก็ได้ เพราะผมไม่มีอารมณ์ขัน อัธยาศัยไม่ดี ยิ้มยาก เงียบขรึม บ้าเรียน ไม่ชอบเรื่องไร้สาระ ไม่ค่อยสนโลกโซเชี่ยล ไม่เล่นเกม ความคิดไม่สร้างสรรค์ รวมๆ คือน่าเบื่อ

"แหะๆ นั่นสิ ผู้ชายกับผู้ชายนี่เนอะ"
เจ็ทหัวเราะแห้งๆ แล้วยกมือขึ้นเกาหัวแก้เก้อ ท่าทางแบบนี้คงถามเอาสนุกล่ะมั้ง ถ้าจะจีบจริงๆ ควรกล้าพูดกล้ายืนยันสิ่งที่จะทำ

"อืม ถึงแล้ว"
ผมบอกเขาเมื่อรถจอดสนิทที่หน้าคอนโด เจ็ทยกมือไหว้กันแล้วเปิดประตูก้าวลงไปก่อนจะหันมากล่าวขอบคุณอีกครั้งด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

"ขอบคุณครับที่มาส่ง"

"อืม ไว้เจอกันใหม่"
เขายิ้มให้ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าคอนโดไป ปล่อยให้ผมออกรถด้วยความคิดวุ่นวายในสมอง สีหน้าแบบนั้น แววตาแบบนั้นก่อนจากมันให้ความรู้สึกเหมือนคนอกหักเลยว่ะ

หรือเรื่องที่ไอ้ฟาพร่ำบอกเป็นความจริง แล้วคำถามจากเจ็ทเมื่อครู่คือการหยั่งเชิงเพื่อให้ตัวเองแน่ใจว่าจะลงมือจีบกัน... คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ตกสักที แต่สุดท้ายผมกลับช่างมันเพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มันเป็นเรื่องของอนาคต ณ ตอนนี้ เวลานี้ ขอกลับไปนอนเอาแรงก่อนเถอะ ง่วงจริงๆ

ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้า กะว่าจะหลับสักตื่นแต่กลับเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นแทนหลังจากที่ไม่ได้เข้าโซเชี่ยลมาระยะหนึ่ง ไอจีเป็นสิ่งแรกที่เลือกเปิดเพราะมันมีประเด็นเมื่อวานนี้ ขอดูของจริงด้วยตาตัวเองหน่อยเถอะ

หน้าแอคเค้าท์ไอจีของเจ็ทปรากฏสู่สายตาของผม แต่น้องมันตั้งไพรเวทเอาไว้เลยต้องกดร้องขอก่อนเป็นอันดับแรก แต่รอไม่ถึงสิบนาทีแจ้งเตือนก็เด้งว่าเจ้าของมันอนุญาตให้ติดตามแล้ว นี่เขาเฝ้าโทรศัพท์ยี่สิบสี่ชั่วโมงหรือเปล่าวะ

ผมเลื่อนดูรูปที่เจ็ทลงเอาไว้แบบผ่านๆ ตาก่อนที่จะสะดุดเข้ากับสิ่งที่คุ้นตา เสื้อบาสฯ สกรีนตัวอักษร MED 09 ของตัวเอง แถมด้านล่างยังมีคอมเม้นท์นับร้อย ด้วยความข้องใจปนอยากรู้เลยอ่านมันแบบคร่าวๆ

Phakin_Jet เรียนแพทย์จะได้เป็นหมอ เรียนอะไรหนอจะได้หมอเป็นแฟน
Phokin_Jinn น้องกูออกตัวแรงจัง!
Thamthai.t จะทิ้งคู่จิ้นอย่างกูได้ลงคอเหรอวะ
Farmer_xx มึง! รอกูด้วยสิวะ รีบไปไหนเนี่ย ฮึก
RU.Sexyboys ว้าย นั่นเสื้อน้องหมอทาวน์นี่! คนนี้ชัดแล้วใช่ไหมคะน้องเจ็ท ~ #เจ็ททาวน์ #ทาวน์เจ็ท
Jammy.D I hope to receive a good news from you. My Bro ♥
Mr.Fafar ไอ้น้องเจ็ท จีบเพื่อนพี่เหรอวะ! ตอบๆๆๆๆ

อ่านมาถึงคอมเม้นท์ของให้ฟาแล้วได้แต่ถอนหายใจเฮือก จากทั้งหมดมันเป็นคนตรงและหาเรื่องที่สุดแล้ว ถ้าน้องจะจีบกันจริง ผมจะถือซะว่าเป็นเรื่องตลกของชีวิต เชื่อเถอะคงใช้เวลาไม่นานเขาก็เบื่อ ผู้ชายกับผู้ชายอาจจะแค่อารมณ์ชั่ววูบ พอรู้ตัวว่าไม่ใช่อย่างที่ต้องการคงห่างออกไปเอง




---------------------------------------------

น้องทาวน์คนดีไม่เชื่อฟาล่ะ ทำไงดี 55555
ส่วนเจ็ทก็ไม่มีความกล้าพอจะบอกเขา หูยยย กากนะเนี่ย

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
เจ็ทเนียนๆต่อไปลูกกกกกกกกก :hao6:

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
แข่งครั้งที่ 11

ประตูห้องพักถูกกระชากออกแล้วปิดลงด้วยเสียงดังลั่น เรียวแรงเดินต่อแทบไม่มีเหลือเพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์ชอกช้ำหัวใจมา ผมได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงชั้นวางรองเท้า ขอบตาร้อนผ่าวจนรู้สึกเกลียดความอ่อนแอของตัวเอง แค่นี้น้ำตาก็จะไหล ต่อไปจะทำยังไงกับชีวิตวะ

"จิณณ์ ~"
ผมส่งเสียงระโหยโรยแรงเรียกฝาแฝดที่น่าจะกลับมาได้สักพักหลังหนีไปทำธุระแล้วปล่อยให้น้องชายบังเกิดเกล้าต้องกลับบ้านเองและต้องพบเจอกับพี่ทาวน์แสนใจร้าย หักอกคนอื่นอย่างไม่เหลือชิ้นดีด้วยคำพูดติดตลกที่ว่า 'ถ้าจีบติดจะให้ฟันดาบกันหรือไง'

ผมยังไม่ได้คิดไปถึงเรื่องบนเตียงสักหน่อย ปิดโอกาสกันทั้งที่ไม่ได้เริ่มทำอะไรแบบนี้ก็แย่สิ แต่ก็ไม่โทษใคร เพราะตัวเองไม่มีความกล้าพอที่จะยืนยันจีบเขาจริงๆ ไม่ได้ล้อเล่น

โง่จริงๆ เลยไอ้ภาคิน!

"จิณณ์ อยู่ไหนวะ..."
ผมถอดรองเท้าทิ้งไว้ตรงนั้นโดยไม่คิดจะเก็บขึ้นชั้นแล้วส่งเสียงเรียกจิณณ์อีกครั้งพร้อมคำถาม มองซ้ายมองขวาเหมือนไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต ทำไมห้องเงียบแบบนี้วะ หายไปไหนของมันเนี่ย น้องชายต้องการคนปลอบใจอย่างด่วนไม่รู้เลยหรือไง

"ไอ้จิณณ์!"
ตะโกนเสียงดังลั่นจนรู้สึกระคายคอแล้วไอ้โขลกไปหลายครั้ง แต่มันได้ผลเพราะจิณณ์เดินหน้ามุ่ยออกมาจากในครัวแถมด้วยการขมวดคิ้วใส่ บ่งบอกชัดเจนว่ากำลังรำคาญ

"อะไรของมึง แหกปากอยู่ได้"
จิณณ์ยกตะหลิวในมือชี้หน้าอย่างเอาเรื่อง ผมถลาเข้าไปหาโดยไม่สนว่าจะโดนตีหรือเปล่า ตอนนี้อยากได้อ้อมกอดอุ่นๆ ของใครสักคนช่วยปลอบประโลมหัวใจดวงน้อยๆ ที่เพิ่งผ่านการปฏิเสธมา พี่ทาวน์ไม่รู้ แกล้งโง่ หรือเป็นตัวเองที่เนียนเกินไป

"กูอกหัก ฮือ"
ผมแหกปากแล้วรวบกอดจิณณ์ไว้แน่น ได้ยินเสียงตะหลิวตกลงพื้นตามมาด้วยเสียงร้องด้วยความตกใจ

"หา/ห๊ะ!"
ตกใจไม่ว่าแต่ทำไมมันมีสองเสียงวะ!

ผมหันขวับไปทางห้องครัวแล้วต้องเบิกตากว้างและผละจิณณ์ออกไปไกลๆ ก่อนจะชี้หน้าคนที่โผล่หัวมาตรงกรอบประตู ทำไม

"ไอ้ไธ มึงอยู่ที่นี่ได้ไง!"
ผมเหลือกตามองด้วยความเหลือเชื่อ ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่เพื่อนสนิทของตัวเองมาเหยียบที่นี่ แถมยังอยู่กับจิณณ์สองต่อสองได้ ก็ตอนแยกกันมันบอกว่าขอตัวไปทำธุระไม่ใช่หรือไง... เกิดอะไรขึ้นระหว่างสองคนนี้วะ!

"เอ่อ... ใจเย็นๆ นะมึง สงบสติอารมณ์หน่อย"
ไอ้ไธเดินออกมาหมายจะตรงเข้ามาตบบ่ากัน แต่ผมเบี่ยงตัวหลบแล้วมองด้วยสายตาหวาดระแวง นี่มันเรื่องอะไร ใครช่วยอธิบายที

"ไม่... พวกมึงอธิบายมาเดี๋ยวนี้นะว่าทำไมถึงอยู่ด้วยกันสองต่อสอง แล้วไหนไอ้ไธบอกว่าจะไปทำธุระ โกหกกูเหรอ!"
ทั้งเสียใจเรื่องพี่ทาวน์แล้วยังมาตกใจเรื่องไอ้สองคนนี้อีก ผมทรุดตัวลงบนโซฟาแล้วซุกหน้าลงกับหมอน ทำไมวันนี้มีเรื่องกวนใจเยอะจังวะ

"เชี่ยอะไรของมันเนี่ย... มาถึงก็บอกอกหัก แล้วด่าคนนั้นคนนี้ ประสาท กูไปทำกับข้าวต่อดีกว่า"
ไอ้จิณณ์บ่นงุ้งงิ้งแล้วเดินกลับเข้าไปในครัว ผมได้แต่เงยหน้าส่งสายตาดุๆ ตามหลังไป ไม่ปลอบแถมยังแสดงท่าทางรำคาญอีก เป็นพี่ประสาอะไรวะ งอนแม่ง

คนที่ยังเหลืออยู่มองตรงมาที่ผมด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก มันทิ้งตัวลงข้างๆ แล้วยกแขนขึ้นพาดบ่ากันก่อนจะผลักหัวให้เอนซบ จากที่โกรธอยากด่าเลยได้แต่เงียบปาก ชอบการปลอบใจแบบนี้จริงๆ

"กูไปทำธุระจริง แต่กลับมาเจอจิณณ์กำลังขนของขึ้นห้องเลยเข้าไปช่วย"
ไอ้ไธพูดด้วยเสียงเนิบนาบก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวกันอย่างอ่อนโยน ผมไม่ได้โกรธหรอกที่อยู่ๆ เห็นเพื่อนโผล่มาที่นี่ แต่อดแปลกใจที่มันไม่เล่าอะไรให้ฟังเลยต่างหาก

นั่นก็พี่นี่ก็เพื่อน ความลับเยอะจริงๆ

"....."

"จิณณ์เลยจะตอบแทนเป็นมื้อเที่ยงก็แค่นั้น"
ผมผละตัวออกมองปฏิกิริยาของเพื่อนสนิท ไม่มีแววตื่นเต้นดีใจอะไรอย่างที่คาดคิดไว้ ทั้งที่เรื่องนี้มันไม่ปกติเลย จิณณ์เคยอ่อนข้อให้ใครซะที่ไหน แปลกจนต้องตั้งข้อสังเกตขึ้นมา

"หึ เริ่มจีบมันแล้วสินะ"
ผมหัวเราะแล้วจ้องเขม็ง ไอ้ไธตาลีตาเหลือกนกนิ้วขึ้นแตกริมฝีปากของตัวเองเป็นสัญญาณให้เบาเสียงลง คงกลัวว่าคนในครัวจะได้ยิน

"ชู่ อย่าเสียงดังดิมึง กูกำลังเนียนๆ อยู่ ขืนกระโตกกระตากมีหวังโดนเกลียดแน่"
ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความกังวล สายตาพาลจะสอดส่ายดูคนในครัวอยู่เป็นระยะด้วยความหวาดระแวงที่ฉายชัด ผมได้แต่ถอนหายใจก่อนจะหลับตาลงเมื่อได้ยินทฤษฎีอันคุ้นเคยที่ตัวเองเคยทำพังมาแล้ว

"มึงอย่ามัวแต่เนียน เดี๋ยวจะเป็นเหมือนกู"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อนก่อนจะเอนตัวนอนลงบนโซฟาโดยยกขาขึ้นพาดตักของไอ้ไธอย่างถือวิสาสะ ในตอนแรกมันทำท่าจะด่าแต่ก็เปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วฉับเหมือนเพิ่งสะกิดใจในประโยคเมื่อครู่

"หมายความว่าไง"
ดวงตาของเพื่อนสนิทเต็มไปด้วยความใคร่รู้ มือที่เคยว่างนิ่งสนิทบนโซฟากลับเลื่อนมาลูบแก้มกันคล้ายกำลังปลอบประโลม ผมชอบนะ มันอุ่นดี แต่ถ้าใครมาเห็นสภาพนี้คงคิดว่าเราเป็นมากกว่าเพื่อน แต่ความจริงแค่สนิทกันมากเท่านั่นเอง

"เนียนจนเขาไม่รู้ตัว พอบอกว่าถ้าสมมติกูจีบจริงๆ จะว่ายังไง รู้ปะ พี่ทาวน์ถามกูว่า 'ถ้าจีบติดจะฟันดาบกันหรือไง' กูนี่จุกจนพูดไม่ออก เหมือนกำลังจมน้ำ"
ผมพรั่งพรูเหตุการณ์เมื่อชั่วโมงที่แล้วให้เพื่อนฟังอย่างหมดเปลือกแล้วหลับตาลงเพื่อข่มความรู้สึกปวดหนึบในใจ ถ้าคิดในแง่โลกสวย พี่ทาวน์คงไม่ได้ใส่ใจคำพูดนั่นสักเท่าไหร่ แต่ก็เหมือนโดนปฏิเสธอ้อมๆ เจ็บชะมัด

"พี่ทาวน์ก็แกล้งแหย่มึงปะ ผู้ชายแท้ๆ โดนถามแบบนั้นก็คิดเป็นเรื่องตลกอยู่แล้ว"
ที่ไอ้ไธพูดก็มีเหตุผล ผู้ชายแท้ๆ ที่ไหนจะมาจริงจังกับการขอจีบจากเพศเดียวกัน มันต้องกลายเป็นเรื่องตลกเชิงหยอกล้ออยู่แล้ว ผมพลาดเอง ยอมรับว่าตัวเองอ่อนหัดในเรื่องเข้าหาคนที่ตัวเองชอบจริงๆ

"จะให้กูทำไงวะ ขืนบอกว่าผมไม่ได้สมมติแต่พูดจริงๆ กูไม่โดนถีบตกรถเหรอ"
ผมขบกรามแน่นเก็บกดความรู้สึกอยากร้องไห้เอาไว้สุดความสามารถ น้ำตาไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ตอนนี้คลี่คลาย กลิ่นอาหารที่โชยมาแตะจมูกยังให้ความรู้สึกดีกว่าหลายเท่าตัว

ผมมันก็แค่คนขี้คลาด กังวลในสิ่งที่ยังไม่เกิด กลัวการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์จริง ใจไม่กล้าพอที่จะรอคอยคำตอบจากเขา ถ้าผิดหวังหรือโดนผลักไสออกมาคงทนไม่ได้

"ลองพูดหรือยัง อย่าคิดไปเองสิวะ"
ไอ้ไธเอื้อมมือมาดีดหน้าผากกันทำให้ผมลืมตาโพลงแล้วกระเด้งตัวขึ้นจากโซฟาทันที ทำเป็นพูดดี ดูตัวเองบ้างหรือเปล่าเพื่อน รู้สึกว่าจะอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหมือนกัน

"ทีเรื่องคนอื่นทำเก่ง เรื่องตัวเองเอาไม่รอดนะมึง"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยคนฟังและตัวเอง จะมีอะไรเหี้ยกว่านี้อีกไหม ใจกล้าหน้าด้านอวดเพื่อนว่าสามารถทำแบบนั้นได้ ทำแบบนี้ได้ แต่สุดท้ายล้มเหลวจนแทบยืนไม่ไหว

"เออน่า ยอมรับว่าป๊อดเพราะจิณณ์เคยเกลียดกูมาก่อน แต่ของมึงไม่ใช่ไง"
ไอ้ไธมีสีหน้าไม่ดีนักเมื่อพูดถึงเรื่องอดีต ไม่อยากตอกย้ำว่าจิณณ์เคยรู้สึกยังไงกับมัน เพราะผมรู้ดีว่าโดนเกลียดรู้สึกแย่ขนาดไหน

"แต่หลังจากที่บอกเขาอาจจะรังเกียจกู"
ผมโอดครวญก่อนจะเคาะหน้าผากลงกับบ่ากว้างของไอ้ไธอย่างไม่ปรานี ได้ยินเสียงมันโวยวายเพราะเจ็บไหล่ แต่นายภาคินเจ็บใจนี่อย่าขัดขืนเลย ขอระบายความช้ำนี้หน่อยเถอะ

"จะซบกันอีกนานไหมพวกมึง แดกข้าว!"
เสียงไม่สบอารมณ์ดังมาจากห้องครัวทำให้ผมสะดุ้งยืดตัวตรง ไม่ต่างจากไอ้ไธที่หันขวับไปมองจิณณ์ด้วยสีหน้าพะว้าพะวง กลัวเขาเข้าใจผิดแน่ๆ

"ครับๆ ไปเดี๋ยวนี้ล่ะจิณณ์"
พอมันตั้งสติได้ก็รีบวิ่งแจ้นไปหาจิณณ์โดยไม่สนใจคนอย่างผมอีกเลย

"ไอ้เพื่อนเฮงซวย!"

มื้อเที่ยงที่ได้กินตอนบ่ายสองนั้นคือข้าวผัดน้ำพริกลงเรือรสจัดจ้าน ยอมรับว่าอร่อยมากแต่ไม่เจริญอาหารเลย ผมเขี่ยมันไปมาจนโดยจิณณ์ตีมือครั้งแล้วครั้งเล่า ไอ้ไธขโมยไข่เค็มกับกุนเชียงทอดไปก็ไม่แหกปากสักคำ ในหัวมีแต่เรื่องของพี่ทาวน์

หลังจากนั้นผมก็กลับมานั่งซึมอยู่บนโซฟาแล้วจงใจหยิบเกมมาเล่นเพื่อลดความฟุ้งซ่านในสมอง ได้ยินเสียงไอ้ไธบอกลาแว่วเขาหูแต่ไม่ได้ตอบรับจนจิณณ์เดินมาผลักหัวในที่สุดก่อนจะหย่อนตัวลงข้างๆ แล้วไม่มีบทสนทนาอะไรระหว่างกัน ไม่มีคำถามกวนใจ ไม่มีความใคร่รู้ คงรอเวลาที่เหมาะสมอย่างใจเย็น สมแล้วที่เป็นฝาแฝดกันมาสิบแปดปี

เสียงริงโทนดังขึ้นหลายครั้งแต่ผมกำลังติดพันเล่นเกมอยู่เลยไม่สามารถกดรับได้ ที่จริงแล้วไม่ใยดีด้วยซ้ำว่าใครจะโทรมา เพราะไม่อยากคุยอะไรกับคนไหนเลย สภาพจิตใจไม่เข้าที่อย่างรุนแรง บางทีก็รู้ว่าดราม่ามากเกินไป แต่มันอดไม่ได้จริงๆ

"เจ็ท รับโทรศัพท์สักที หนวกหู"
จิณณ์เอ่ยขึ้นในที่สุดหลังจากส่งเสียงจิ๊จ๊ะอยู่ครู่หนึ่งแถมยังยื่นโทรศัพท์มาให้จนจะทิ่มหน้า ไม่รู้หรือไงว่ามันบังจอเกมแล้วหงุดหงิดน่ะ

"กูเล่นเกมอยู่ ไม่ว่าง"
ผมใช้มือปัดโทรศัพท์ออกไปก่อนจะหันหลังให้จิณณ์เพื่อยื่นยันว่าไม่ยอมรับจริงๆ แต่แรงจิ้มลงมาที่หลังคอตรงรอยสักเล็กๆ รูปสมอเรือทำให้ต้องหันไปมองค้อนใส่ เวรเอ้ย น่ารำคาญจริงๆ

"แต่เขาโทรมาหลายสายแล้วนะมึง"

"รับให้ดิ"
ผมบอกอย่างไม่ใส่ใจแล้วกันกลับไปเล่นเกมต่อ จิณณ์ก็คงไม่ยอมแพ้เหมือนกันเพราะเสียงริงโทนดังขึ้นอีกครั้ง ใครแม่งจิกอย่างกับไก่ขนาดนี้ ปิดเครื่องทิ้งเลยดีไหม!

"ไม่รับ ใครก็ไม่รู้"
น้ำเสียงเริ่มบ่งบอกถึงความไม่พอใจ

"งั้นปล่อยไว้"
ผมบอกอย่างไร้ความรับผิดชอบ

"สัด มันน่ารำคาญ"
จิณณ์ดึงเครื่องเล่นเกมออกจากมือแล้วยัดโทรศัพท์ให้แทน ผมหันขวับไปถลึงตาใส่มันอย่างเดือดดาน เมื่อครู่กำลังจะเป็นฝ่ายชนะอยู่แล้วเชียว!

"ไอ้จิณณ์เอาเกมกูคืนมา!"
ผมตะครุบจิณณ์จนเสียหลักล้มทับมันบนโซฟา ดวงตาคมจ้องเขม็งกดดันให้มันคืนเครื่องเล่นเกมมาสักที แม่ง นอนทับไว้แบบนั้น ได้เสียเงินซื้อใหม่แน่ๆ คิดว่าตัวเองเบาราวกับนุ่นหรือไง

"รับ โทร ศัพท์ เดี๋ยว นี้"
จิณณ์พูดช้าๆ ชัดๆ เน้นทีละคำบ่งบอกว่าถ้าไม่ยอมรับโทรศัพท์อีกครั้งเดียวต้องเห็นดีกันแน่ ผมเลยยอมผละออกแล้วพ่นลมหายใจออกมา หงุดหงิดฉิบหาย

"จิ๊ เออๆ รับก็รับ"
ผมตอบก่อนจะเดินหนีไปที่ระเบียงเพื่อรับโทรศัพท์ ถ้าเป็นเวลาปกติคงนั่งคุยข้างจิณณ์แบบไม่มีปัญหา แต่ตอนนี้มันทำงานอยู่ ดังนั้นควรอยู่ห่างไว้

"ฮัลโหล ใครครับ"
ผมกรอกเสียงที่พยายามควบคุมให้ปกติ คนปลายสายเป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้ เบอร์โทรไม่คุ้นเลยสักนิด ดวงตาคมจับจ้องท้องฟ้าสีทึมแล้วรู้สึกใจห่อเหี่ยวชอบกล พี่ทาวน์มีอิทธิพลมากเกินไปแล้ว

'มึง ~'
เสียงใสๆ ตอบกลับมาทำให้ผมคิ้วกระตุก ใครมันกล้าใช่คำหยาบแบบนี้วะ รู้จักกันหรือก็เปล่า

"ใครวะ เพื่อนเล่นเหรอ"
ผมเปลี่ยนน้ำเสียงทันที ตอนนี้ไม่มีอารมณ์หยอกล้อกับใครจริงๆ ถ้าปลายสายนึกจะโทรมากวนกันจะด่าให้ยับจนลืมทางกลับบ้านเลย

'กูเอง ฟาไง จำเสียงไม่ได้เหรอวะ'

"ฟาไหน กูไม่รู้จัก"
ผมสวนแบบไม่ทันคิด ชื่อใครวะ โคตรไม่คุ้นหู อยากวางสายจะแย่ แต่ต้องเคลียร์ให้จบ ไม่อย่างนั้นคงโทรมาอีกแน่ๆ

'อ้าว ไอ้น้องเจ็ท กูเพื่อนไอ้ทาวน์ไง แดกใบแป๊ะก๊วยบ้างนะมึง ความจำจะได้ดี'
เสียงกลั้วหัวเราะแกมด่าดังขึ้นทำให้ผมต้องชะงักมือที่กำลังยื่นไปรองน้ำฝนตรงหน้า สมองรีบประมวลผลประโยคที่ได้ยินอีกครั้ง ฉิบหาย พี่ฟา!

"เฮ้ย ทะ โทษทีครับ พี่เอาเบอร์ผมมาจากไหนเนี่ย"
ผมเอ่ยขอโทษด้วยความตกใจ น้ำเสียงตะกุกตะกักเพราะกลัวพี่ฟาจะโกรธเจ้าให้ ก็ใครๆ ต่างบอกว่าคนนี้ขี้เหวี่ยงที่หนึ่ง

'เอาน่า ได้เบอร์มาจากไหนไม่สำคัญ แต่ที่สำคัญคือมึงจะจีบเพื่อนกูเหรอ'
คำถามตรงไปตรงมาทำให้ดวงตาคมเบืกค้าง ไม่คิดว่าเขาจะถามเรื่องนี้ ตอบยังไงดีวะ เจตนาของพี่ฟาคืออะไรกันแน่ หยั่งเชิง ขัดขวาง บอกให้ตัดใจ หรือสนับสนุน แต่อย่างหลังนี่ไม่ควรหวังเลย

"คือผม..."
อ้ำอึงจนอีกคนหัวเราะเสียงต่ำ มันจะน่ากลัวเกินไปแล้วพี่ฟา

'หึหึ บอกมาตรงๆ น่า'
น้ำเสียงสบายๆ นี่มันอะไรกัน ผมบอกความจริงได้ใช่ไหม...

"ก็... ครับ"
ตัดสินใจบอกไปแล้วก็ได้แต่เม้มปากรออีกฝ่ายตอบกลับ หัวใจเต้นรัวราวกับกลองชุดในจังหวะร็อก

'โอ๊ย จริงๆ ด้วย ไอ้ทาวน์แม่งไม่เชื่อกู!'
พี่ฟาสบถเสียงดังลั่นจนผมต้องผละโทรศัพท์ออกจากใบหู ฝนนี่ก็ตกหนักจัง ไม่ปรานีคนอกหักบ้างเลยเว้ย

'มึงบอกไอ้ทาวน์ไปหรือยังว่าจะจีบมัน'
เมื่อผมแนบโทรศัพท์ลงกับหูอีกครั้งก็โดนตั้งคำถามนี้ขึ้นมา ดวงตาคมกรอกซ้ายขวาเพราะไม่สามารถหาคำตอบได้ เรื่องที่สมมติไปตอนนั้น ถือว่าบอกพี่ทาวน์ได้หรือ ก็ไม่น่าจะใช่นะ

"คือ..."

'อ้ำอึ้งนะมึง ไอ้ทาวน์เล่าเรื่องเมื่อเที่ยงให้กูฟังแล้ว ถ้าจะจีบจริงๆ มึงต้องกล้าบอกมัน ไม่ใช่ทำหน้าเจือนแล้วตามน้ำ'
ผมได้แต่อ้าปากพะงาบ เพราะพูดไม่ออก คิดไม่ถึงว่าคนเงียบอย่างพี่ทาวน์จะเล่าเรื่องแบบนี้ให้เพื่อนฟังด้วย

"กลัวโดนถีบน่ะสิพี่ อยู่ๆ จะไปบอกเขาแบบนั้นได้ไง"

'มันไม่ทำแบบนั้นหรอก กูเอาหัวเป็นประกัน ทาวน์มีเหตุผลมากพอ แต่เรื่องจะชนะใจไอ้ทาวน์ยังไงกูช่วยไม่ได้จริงๆ มึงต้องพยายามเอง'
น้ำเสียงหนักแน่นของพี่ฟาทำให้ผมมีกำลังใจขึ้นมานิดหน่อย เพื่อนเขาไฟเขียวให้แล้วก็ควรทำอะไรสักอย่างสินะ

"ผมจะลองดู..."
ปลายประโยคแผ่วจนแทบกลายเป็นเสียงกระซิบ อยู่ๆ ก็กลัวขึ้นมา พี่ทาวน์จะไม่ฉุนเฉียวหรือโกรธเกลียดผมจริงๆ ใช่ไหม ถามตัวเองเป็นร้อยครั้งก็ไม่ได้คำตอบ นอกจากลองดู มันต้องลอง!

'ดีมาก กูเอาใจช่วย แต่ถ้าวันไหนมึงบอกว่าเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบนะ กูจะเอาคนมากระทืบให้ไส้แตก!'
คำขู่รอดไรฟันฟังดูน่ากลัว แต่ผมคิดถึงใบหน้าจิ้มลิ้มนั่นเลยหลุดยิ้มออกมา สภาพพี่ฟาใกล้เคียงกับหมาปอมขี้หงุดหงิดเลย น่ารัก ถ้าไม่คิดว่าชอบพี่ทาวน์นะ... นายภาคินคงลงมือจีบตัดหน้าไอ้ฟาร์มไปแล้ว

"โหย พี่ฟา ผมจริงจังนะเว้ย ไม่เคยชอบใครขนาดอยากจีบ อยากได้มาครอบครองขนาดนี้"
พูดเองก็เขินเอง ขนาดฝนสาดใส่เสื้อนักศึกษาจนเปียกลู่ยังไม่คิดบ่นสักคำ กำลังใจค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นเมื่อรู้สึกโล่งอก คนเรานี่เปลี่ยนอารมณ์ได้ทึกวินาทีจริงๆ

'เอาไปพูดกับไอ้ทาวน์นู่น กูจะอ้วก แม่ง โคตรเลี่ยนอะ!'
พี่ฟาบ่นงุ้งงิ้งแต่ก็หัวเราะปิดท้ายประโยค ในตอนนั้นผมคลี่ยิ้มกว้างแล้วเงยหน้ารับน้ำฝนที่ตกลงมา สดชื่นกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว แต่ไข้คงแดกอีกไม่นาน... ฉิบหายเถอะชีวิต

"ขอบคุณมากนะครับพี่ฟา"
ก่อนจะวางสายไปด้วยเสียงหัวเราะผมก็เอ่ยขอบคุณพี่ฟาจากใจจริง ที่ไม่ตั้งท่ารังเกียจรุ่นน้องคนนี้แถมยังให้การสนับสนุนจีบเพื่อนตัวเองอีก

"ยิ้มหน้าบานมาเชียวมึง ไบโพล่าแดกเหรอ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย"
พอเดินกลับเข้ามาในห้องก็โดนจิณณ์ถามด้วยประโยคกึ่งด่ากึ่งจับผิด คนมีความสุขจะยิ้มไม่ได้หรือไง

"เรื่องของกูน่า"
ผมตอบพลางไหวไหล่ไม่สนใจอาการอยากรู้อยากเห็นของจิณณ์ที่แสดงออกทางแววตาอย่างชัดเจน แต่เหมือนมันเพิ่งสังเกตเห็นเลยตวาดกันเสียงดังลั่น

"ไอ้เหี้ย! เสื้อมึงเปียก รีบๆ เปลี่ยนเลย เดี๋ยวหวัดแดกลำบากกูอีก"
ผมสะดุ้งแล้วรีบถอดเสื้อเปียกของตัวเองออก รู้สึกหนาวจับใจเมื่อลมจากเครื่องปรับอากาศตกกระทบผิว ไม่คืนนี้ก็พรุ่งนี้เป็นหวัดแน่ๆ

"เออ จะไปเปลี่ยนแล้ว"
ผมบอกแล้วโยนเสื้อลงในตะกร้าผ้าที่ยังไม่ได้เก็บเข้าห้อง แขนทั้งสองข้างยกขึ้นกอดตัวเองเพื่อบรรเทาความหนาว แต่ในตอนที่กำลังจะก้าวขาเดินกลับโดนจิณณ์รั้งไว้ ก็ไหนบอกว่ากลัวเป็นภาระไง จะคุยอะไรอีก

"อย่าเพิ่งไป กูมีอะไรจะถามนิดนึง"

"หือ อะไร"
ผมขยับตัวหลบแอร์แล้วมองจิณณ์พลางขมวดคิ้ว มือก็พาลจะลูบตรงนั้นตรงนี้เพื่อให้ความอบอุ่นกับผิวหนังเปลือยเปล่า ปล่อยให้กูไปเปลี่ยนชุดก่อนดีไหมครับพี่ชาย รู้สึกไข่มันชื้นๆ ชอบกล คันแล้วเนี่ย

"ทำไมช่วงนี้ไอ้ไธแปลกๆ วะ"
คำถามมาพร้อมดวงตาที่หรี่ลงคล้ายกำลังจับผิดแล้วมองตรงมาทางนี้ ผมรีบทำเป็นก้มลงกดโทรศัพท์ทั้งๆ ที่หน้าจอยังล็อกอยู่ นึกยังไงถึงสงสัยขึ้นมาวะ ต้องทำเนียนไปก่อน

"ยังไง"
ผมไม่ยอมเงยหน้าแต่ก็แอบเหลือบตามองปฏิกิริยาของคนถาม มันใช้นิ้วเคาะลงบนโต๊ะเป็นจังหวะ คงกำลังค้นหาคำพูดอยู่ หนีตอนนี้ทันไหม กลัวทำตัวมีพิรุธว่ะ

"ก็... ปกติมันเคยพูดกับกูซะที่ไหน"
แล้วปกติมึงทำท่าทางให้เขาอยากชวนคุยนักหรือไงไอ้แฝด ผมก็ได้แต่บ่นในใจแล้วตอบไปอีกอย่างที่แรงกว่า... โทษทีนะ

"เพราะมึงตั้งท่าเกลียดมันไง ใครจะกล้าคุยด้วย"
ผมเลิกแสดงละครแล้วเอาสันโทรศัพท์เคาะหัวจิณณ์เป็นการย้ำคำพูดของตัวเองให้มันคิดตามพฤติกรรมที่เคยแสดงออกมาก่อนหน้านี้ มือเรียวปัดป่ายความรำคาญออกแล้วยู่หน้าใส่กัน คิดว่าน่ารักตายล่ะมึง

"เหรอ... เออ คืนนี้ไอ้เอยชวนมึงไปแดกเหล้าด้วยกัน"
อยู่ๆ มันก็เปลี่ยนแรงทำให้ผมถึงกับเอ๋อไปชั่วขณะ นี่มึงเลิกสงสัยง่ายขนาดนั้นเลยเหรอวะ แต่ก็ดีเพราะถ้าเกิดโดยถามอะไรมากกว่านี้ ก็ไม่แน่ใจว่าจะตอบได้

พอได้สติกลับมาผมก็พยักหน้ารับคำเชิญชวนของไอ้เอยหลังจากที่ไม่ได้ไปเหยียบร้านเหล้ามาหลายเดือนเพราะติดเกม คืนนี้จะไปฉลองเอาฤกษ์เอาชัยกับการจะเริ่มจีบพี่ทาวน์อย่างเป็นทางการสักที สู้โว้ย!

ร้านเหล้าที่ไปเหยียบคลาคล้ำด้วยนักศึกษามหา'ลัยเดียวมากพอสมควร ผมในชุดกางเกงขาสั้นกับเสื้อกล้ามสีดำคอคว้านลึกจนสามารถเห็นเศษเสี้ยวของรอยสักรูปเข็มทิศบนหน้าอก สายตาหลายคู่จับจ้องมาด้วยความสนใจ แต่นายภาคินไม่ได้จงใจจะโชว์ อากาศหลังฝนตกโคตรร้อนต่างหาก

"เฮ้ย ทางนี้ๆ"
ไอ้เอยส่งเสียงเรียกแบบไม่อายใครแต่ผมกับจิณณ์ได้แต่ก้มหน้าหลบสายตาชาวบ้าน จะเสียงดังหาพ่อมึงเหรอวะ คนเต็มร้านขนาดนี้ เกรงใจเขาบ้างเถอะ

"หวัดดีมึง"
ผมทักมันเมื่อเดินมาถึงโต๊ะแล้วทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม จิณณ์ทำแค่ยักคิ้วให้ไอ้เอยสองที โคตรขี้เกียจเลยนะพี่กู

"เออ ไม่ชวนเพื่อนมึงมาด้วยเหรอเจ็ท"

"ขี้เกียจชวน"
ผมตอบกลับแล้วมองไปรอบๆ วันนี้ดูบรรยากาศการตกแต่งร้านคงมีใครมาจัดงานวันเกิดที่นี่แน่ๆ ลูกโป่งเพียบ

"สั่งไรยังไอ้เอย"
จิณณ์ถามก่อนจะหยิบเมนูที่ตั้งอยู่มาเปิดดูทำให้ผมต้องละสายตาจากบรรยากาศที่ห่างหายไปนานแล้วสนใจของกินแทน จะว่าไปก็เริ่มหิวแล้วสิ

"สั่งเหล้า โซดา กับแกล้มไปแล้ว พวกมึงแดกข้าวมาหรือยัง"
คำถามเชิงเป็นห่วงเป็นใยทำให้ผมหลุดยิ้มออกมา ถึงไอ้เอยจะดูห่ามๆ เถื่อนๆ แต่ก็เอาใจใส่เพื่อนดี เป็นผู้ชายในฝันของสาวหลายคน แต่น่าเสียดายที่พวกเธอต้องอกหัก เพราะมันมีเจ้าของแล้ว แถมสวยระดับเดือนคณะด้วย

"ยังๆ กูรอถล่มมึงอยู่เนี่ย"
จิณณ์ตอบด้วยน้ำเสียงทะเล้น เป็นอันว่าอยากให้เพื่อนเลี้ยง แต่ไอ้เอยถลึงตาใส่ก่อนตะโกนเสียงรอดไรฟันออกมา

"สัด อเมริกันแชร์เว้ย!"
เสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากดังจากผมกับจิณณ์เพราะสามารถแกล้งยั่วโมโหไอ้เอยได้สำเร็จ หลังจากนั้นฝาแฝดก็สั่งข้าวผัดซีฟู้ดกับต้มยำหัวปลามายัดใส่ท้อง ถ้าไม่กินมีหวังเมาหัวทิ่มพื้นแน่ๆ

อาหารและเครื่องดื่มมาเสิร์ฟในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน ผมเป็นคนชงเหล้าที่มือหนักพอตัวเพราะชอบกินเข้มๆ แต่ก็ไม่มีใครประท้วงก็เลยได้รับหน้าที่ไปโดยปริยาย ไอ้เอยชวนคุยเรื่อยเปื่อย ตั้งแต่เรื่องผู้หญิง แข่งรถ ท่องเที่ยว เรียน หรือนินทาอาจารย์ในคณะ ไม่กลังบาปจะกินหัวเลยนะพวกมึง แต่ยอมรับว่ามันสนุกและเรียกเสียงหัวเราะได้เสมอ

หลังจากที่ผ่านไปราวๆ หนึ่งชั่วโมง ต่างคนต่างดื่มด่ำกับบรรยากาศและดนตรีสด จิณณ์ก็เป็นคนทำลายมันลงโดยการสะกิดแขนผมยิกๆ อุตส่าห์นั่งเล็งสาวอกอึ๋มโต๊ะนั่นอยู่ เสียโฟกัสหมดเลยแม่ง ถึงจะชอบพี่ทาวน์แต่ยังไม่ละทิ้งสัญชาตญาณความเป็นผู้ชาย

"เจ็ท... กูว่าผู้ชายโต๊ะนั้นหน้าคุ้นๆ"
มันกระซิบข้างหูผมด้วยประโยคที่ชวนให้ขมวดคิ้ว ไม่ใช่ว่าคนเกือบทั้งร้านพวกเราก็คุ้นหน้าอยู่แล้วหรือเปล่า ก็เรียนมหา'ลัยเดียวกันทั้งนั้น

"หือ ไหนวะ"
ผมถามกลับก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นจรดริมฝีปาก ไม่ได้สนใจว่าจิณณ์กำลังตื่นเต้นกับอะไร ตอนนี้ขอจินตนาการเรื่องพี่ทาวน์เงียบๆ ได้ไหม เมื่อครู่กำลังไปได้สวยเชียว เดินจับมือกันในทุ่งลาเวนเดอร์ โคตรฟิน

"โต๊ะนั้นๆ"
ไอ้จิณณ์พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแล้วคว้าแก้วเหล้าของผมออก แล้วชี้โบ้ชี้เบ้ไปทางโต๊ะริมติดกับต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ บาร์เครื่องดื่ม ในตอนที่ดวงตารับภาพคนสามคน มโนในทุ่งลาเวนเดอร์ก็หายวับกลับสู่โลกความจริง

"เชี่ย นั่นพวกพี่ทาวน์นี่หว่า"
ผมพึมพำด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อแล้วจ้องคนที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีเทาเข้มไม่วางตา จากระยะตรงนี้ยังรับรู้ได้ว่าพี่ทาวน์หล่อขนาดไหน แล้วคนที่อยู่ใกล้ไม่ตายระนาวกับเสน่ห์เหลือร้ายนั่นเหรอวะ

"พรหมลิขิตจังฝาแฝดกู"
จิณณ์กระแซะไหล่อย่างหยอกล้อแต่ผมกลับหน้าบึ้งเมื่อเห็นสายตาของสาวๆ จับจ้องเขา ถ้าจับกินได้พวกเธอคงทำไปนานแล้ว มันขัดใจฉิบหาย ถ้าอยู่ห้องเล่นเกมคงไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้

"พรมเช็ดเท้ามากกว่า พี่ทาวน์แม่งโคตรฮอต"
ได้แต่ถอนหายใจแล้วยกแก้วขึ้นกระดกอีกครั้ง เห็นจำนวนคนที่สนใจเขาแล้วรู้สึกหวั่น จะยอมแพ้ก็ขัดใจ ครั้นจะเดินหน้าก็กลัวผิดหวัง เอายังไงดีวะชีวิต อยากจีบพี่ทาวน์ฉิบหาย อยากเป็นเจ้าของ อยากดูแล... ต้องสู้สินะ อย่าให้คนที่สนับสนุนเบื้องหลังเสียแรงเปล่า

"เรื่องปกติ มึงจะเข้าไปทักพี่เข้าปะ"
จิณณ์ยกมือขึ้นขยี้หัวกันราวกับให้กำลังใจไม่ใช่กลั่นแกล้ง ผมไม่ได้ปัดป้องแต่มองไปทางพี่ทาวน์แทน เอาไงเอากันวะ!

"เออ ไปแน่"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกความกล้าห่อนจะซดเหล้าจนเกลี้ยง ร่างกายพร้อม ใจพร้อม เราทำได้... เหมือนโฆษณาอะไรสักอย่างว่าไหม ตอนเครียดๆ นี่โคตรฟุ้งซ่านเลยวะ

"หูยๆ ใจเด็ดเว้ย ไม่ร้องแหกปากว่าอกหักแล้วเหรอ"
จะล้อให้ได้อะไรขึ้นมา เดี๋ยวถีบคว่ำ!

"แดกเหล้าไปเงียบๆ เลยมึง เดี๋ยวกูมา"
ผมชี้หน้าคาดโทษไว้แล้วเดินออกมาจากโต๊ะ พอถึงกลางทางแล้วรู้สึกอยากหันหลังกลับ แต่ไม่ทันเมื่อพี่ฟาหันมายิ้มแฉ่งจนเห็นฟันครบสามสิบสองซี่

"สวัสดีครับพี่ๆ"
ผมส่งเสียงทักทายทุกคนรอบโต๊ะแล้วฉีกยิ้มกว้างในพี่ทาวน์เพียงคนเดียว อย่าหาว่าลำเอียงเลย เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองกันด้วยซ้ำ โทรศัพท์มีดีอะไรนักหนาหืม

"ไอ้น้องเจ็ท มาได้ไงวะ นั่งก่อนๆ"
พี่ฟาลุกขึ้นแล้วดึงแขนให้ผมเข้าไปนั่งแทนที่ แต่ยังไม่ทันได้หย่อนก้น ดวงตารีของพี่ทาวน์ก็จ้องเพื่อนอย่างคาดคั้น ประมาณว่ามึงจะลุกทำห่าอะไร ที่ว่างเยอะแยะ

"มึงจะลุกไปไหน"
น้ำเสียงเย็นๆ ทำให้ผมต้องก้าวออกมา แต่คนสร้างเรื่องกลับยึดข้อมือกันไว้แน่นไม่ยอมให้ขยับไปไหน เหมือนยืนกลางสมรภูมิรบโดยมีพี่แฮมนั่งแดกขนมตรงหน้า เฮ้ ช่วยสนใจชาวบ้านบ้างสิครับ เขาจะฆ่ากันตายอยู่แล้ว!

"เอ้า ก็ให้น้องมันนั่งไง มึงนี่ถามแปลกๆ"
พี่ฟามึงอะแปลกแถมยังเลิกคิ้วกวนตีนอีก ลุกให้ผมนั่งข้างพี่ทาวน์เฉยๆ แล้วตัวเองย้ายไปหาพี่แฮม ไม่โดนถามก็บ้าแล้ว โคตรจงใจ ถ้าโดนกระทืบไม่ต้องโทษใครนะ

พี่ทาวน์มองผมสลับกับพี่ฟาแล้วพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจแล้วหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาจิบ ผมมองภาพนั้นอยู่เสี้ยววินาทีก่อนจะหย่อนตัวลงข้างๆ ทำไมดูเฉยเมยจังวะ หรือจะเกลียดกันไปแล้ว ไหนว่าพี่ฟาเอาหัวเป็นประกันไง!

"มานานหรือยังครับพี่ทาวน์"
ผมกลั้นใจถามแล้วลอบมองปฏิกิริยาของคนข้างๆ เขากำลังทอดสายตามองบรรยากาศตรงหน้าโดยไม่มีนานภาคินอยู่ในสายตาสักนิด อุตส่าห์ใส่เสื้อกล้ามคอลึกเชียวนะ... อ้าว ผิดประเด็นเหรอ โทษที

"สักพัก"
ตอบกลับโดยไม่มองกันจนรู้สึกว่าผมอยู่ผิดที่ผิดทางและควรจะกลับโต๊ะตัวเองสักที ไม่รู้เลยว่าพี่ทาวน์คิดอะไรอยู่ในหัว ต้องศึกษานิสัยกันแค่ไหนถึงจะเข้าใกล้หัวใจของเขาได้มากกว่านี้





ต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
"ไอ้สัดแฮม แบ่งกับแกล้มให้คนอื่นกินบ้าง!"
เสียงสบถด่าของพี่ฟาทำให้บรรยากาศตึงเครียดจางลง สองคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกำลังยื้อยุดฉุดกระชากจานเอ็นไก่ทอดอยู่ เหมือนเด็กน้อยแย่งขนมกันเลยว่ะ น่ารักดี ถ้าพี่ทาวน์ทำแบบนั้นบ้างจะเป็นยังไงนะ

"สั่งใหม่ดิ จานนี้ของกู"
พี่แฮมยื่นจานหนีสุดแขน แต่พี่ฟากลับใช้ตัวเล็กๆ กระแทกจนเอ็นไก่กระเด็นออกจากจานไปมากกว่าครึ่ง ดูท่าทางแล้วสะใจอยู่ไม่น้อยที่ทำให้เพื่อนหน้าง้ำได้

"แดกเยอะ!"
พี่ฟากระแทกเสียงแล้วผลักหัวพี่แฮม รายนี้ไม่โต้ตอบหรอกเพราะมีประคองจานของกินอยู่ ปกป้องกันด้วยชีวิตเลยเชียว...

"กูอยู่ในวัยกำลังโต อย่าขัด"
พี่แฮมบึนปากใส่คนข้างกาย น้ำเสียงบ่งบอกว่าหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ผมแทบสำลักอากาศเพราะมันตลก เขาตัวใหญ่แถมยังสูง ใบหน้าคมเข้ม ไม่เหมาะเลยที่จะทำตัวงอแงแบบนี้

"พ่อง!"
พี่ฟาแทบกระโดดกัดหัวอีกคน แต่โดนพี่ทาวน์ยกมือห้ามทัพไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นคงมีศึกนองเลือดกลางร้านอาหารแน่ อยากผลัดกันใช้วิชาที่เรียนมาปฐมพยาบาลเพื่อนก็บอกดีๆ ไม่ต้องหาเรื่องทะเลาะกันแบบนี้เลย

"อายน้องมันบ้าง"
นึกว่าจะเห็นผมเป็นอากาศธาตุซะแล้ว ขอบคุณครับที่พี่ยังเห็นหัวกัน หัวใจเต้นแรงเลยว่ะ

"โทษทีนะเจ็ท"
พี่ฟาพูดเสียงอ่อยแล้วเอื้อมมือเล็กๆ มาตบที่หลังมือเป็นการแสดงความขอโทษ

"ไม่เป็นไรครับ"
ผมส่ายหัวแล้วคลี่ยิ้มบางให้คนตรงหน้า มีพี่ฟาอยู่ตรงนี้ด้วยก็ดีเหมือนกัน คลายความตึงเครียดในสมองลงไปได้เยอะ

"แล้วมึงมากับใครเนี่ย"
พี่ฟาถามแล้วเหลียวซ้ายแลขวาเหมือนมองหาใครบางคน หรือจะเป็นไอ้ฟาร์ม บ้าน่า มันคงไม่ก้าวหน้าขนาดนั้น ก็เมื่อตอนเย็นยังส่งข้อความมาโอดครวญเรื่องความฮอตของคนตัวเล็กอยู่เลย

"มากับจิณณ์แล้วก็ไอ้เอยครับ"
ผมตอบไปตามความจริง ถึงแม้ว่าพี่ฟาไม่รู้จักไอ้เอยก็ตามที แต่เขาก็พยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม ตอนนี้ชักอิจฉาคนที่เอาแต่สนเรื่องกินแล้วสิ ไม่พูดไม่จากับใครแต่ดูมีความสุขเหลือเกิน ในอนาคตพี่แฮมจะแต่งงานกับอาหารหรือเปล่าวะ ชักสงสัย

"อ๋อ เฮ้ย กูขอเข้าห้องน้ำก่อนนะ ปวดฉี่ฉิบหาย ไอ้แฮมไปเป็นเพื่อนกันหน่อย ลุก!"
อยู่ๆ พี่ฟาก็ลุกพรวดขึ้นจากม้านั่งตัวยาวแล้วดึงแขนอีกคนให้ทำตาม แต่พี่แฮมตวัดสายตาดุมอง ท่าทางจะเกิดเรื่องแล้วล่ะ

"กูจะกิน"

"มึงยกจานไปแดกหน้าห้องน้ำไป"
พี่ฟาประชด

"ได้ด้วยเหรอ กูเอาไปจริงๆ นะ"
แต่พี่แฮมเอาจริง ใบหน้าดูตื่นเต้นสุดๆ ผมอยากถามว่าถ้าเอาอาหารไปยืนกินหน้าห้องน้ำมันอร่อยเหรอ แต่ดูกวนตีนไปเลยเลือกที่จะเงียบปากดีกว่า กูปวดหัว กูจะบ้าตาย

"เอาที่มึงสบายใจครับเพื่อน"
พูดเสียงสะบัดใส่เพื่อนแต่หันมาขยิบตาใส่ผม เป็นอันให้สัญญาณว่ารีบๆ จัดการเรื่องที่ได้คุยกันตอนบ่ายให้เรียบร้อยซะ คือพี่ฟาอยากให้เพื่อนโดนจีบขนาดนั้นเลยเหรอ กลัวพี่ทาวน์ขึ้นคานหรือไง ขอบอกว่าไม่มีทาง เพราะคนถือบัตรคิวรอจีบเขาเป็นร้อย แต่นายภาคินจะคว้าบัตรวีไอพีแซงคิวให้จงได้ คอยดูเถอะ

"เอ่อ... พี่ทาวน์"
ผมเรียกชื่อเขาหลังจากที่เรานั่งเงียบนานนับนาที จากที่เตรียมคำพูดไว้เยอะแยะกลับหายไปตามลม ทำไมบรรยากาศมันน่าอึดอัดแบบนี้ หรือเพราะกดดันตัวเองและตื่นเต้นมากไป

"ว่าไง"
พี่ทาวน์ถามเสียงเรียบก่อนจะเหลือบตามอง ถ้าไม่เกิดเรื่องเมื่อเที่ยงผมคงคิดว่าตอนนี้สถานการณ์ปกติ

"วันนี้อากาศร้อนเนอะ"
ผมแทบจะกัดลิ้นตัวเองตาย ประโยคเมื่อครู่ช่างสิ้นคิดอะไรแบบนี้ แต่พี่ทาวน์ยังใจดีที่ตอบกลับมา

"อืม ฝนกำลังจะตกอีกรอบมั้ง"
หลังจากนั้นก็เกิดเดตแอร์กันอีกรอบ ผมบีบมือบนตักจนรู้สึกเจ็บ สมองกำลังสิเคราะห์และทำการตัดสินใจอย่างหนัก ถ้าไม่เคลียร์ตอนนี้คงคาใจไปอีกนาน เอาให้ชัดเจนไปเลยแล้วกัน จะได้ไม่ต้องกลับไปนั่งถอนหายใจทิ้งคนเดียว

"พี่ทาวน์..."

"อืม"

"คือว่าเรื่องเมื่อตอนเที่ยง..."
ผมพูดได้แค่นั้นก็รู้สึกว่ามีก้อนอะไรมาจุกอยู่ที่ริมฝีปากเพราะโดนดวงตารีจ้องมอง  หัวใจเต้นถี่รัวจนกลัวว่าพี่ทาวน์จะได้ยิน

"....."

"ที่ผมสมมติไป พี่... จำได้ไหม"
ถามเสียงเบาจนกลัวว่าเขาไม่ได้ยิน แต่พี่ทาวน์ก็เลิกคิ้วขึ้นก่อนจะกระตุกยิ้ม

"เรื่องจีบกูน่ะเหรอ"
เออวะ คนเรียนหมอเขาตรงไปตรงมาและความจำดีแบบนี้ทุกคนหรือเปล่า

"ใช่ครับ"

"กูไม่ได้ใส่ใจ มึงไม่ต้องคิดมาก"
พี่ทาวน์โบกมือไปมาย้ำประโยคของตัวเองว่าไม่ได้คิดอะไรจริงๆ แต่ผมแทบร้องไห้เพราะอยากให้เขาใส่ใจมากกว่า แบบนี้แห้วลอยมาแต่ไกลเลยนะเว้ย

"คือว่า... จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องสมมติหรอก"
ผมรวบรวมความกล้าพูดออกไปแล้วเม้มปากแน่น กลัวจะโดนถีบ แต่พี่ทาวน์แค่ชะงักมือที่กำลังจะคว้าแก้วเหล้าแล้วหันมาหรี่ตามองเขม็ง น่ากลัว... แม่ง หัวใจจะวาย เหมือนแอบคบชู้แล้วโดนจับได้เลยว่ะ

"ยังไง"

"ผมจะจีบพี่จริงๆ"
ยืนยันเสียงจริงจัง

"อะไรนะ"
ถามกลับมาด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ

"ผมจะจีบพี่ครับ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นยิ่งกว่าครั้งที่แล้ว ใบหน้าจริงจังแววตามุ่งมั่น แต่...

"หึหึ ล้อเล่นอะไรของมึง"
พี่ทาวน์กลับหัวเราะจนผมใจเสีย เห็นเป็นเรื่องตลกอีกแล้วเหรอ

"ผมจริงจังนะ"
คราวนี้ผมถือวิสาสะแตะหลังมือของเขาเพื่อให้รู้ว่าที่พูดไปจริงจังแค่ไหนและความรู้สึกที่อยากให้รับรู้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น นายภาคินชอบนายเมืองเหนือจริงๆ

"งั้นเหรอ"
พี่ทาวน์เลิกหัวเราะเสียงต่ำ ทำหน้าขรึมแล้วจ้องตาเหมือนกำลังค้นหาความจริง ผมไม่หลบและพยายามทำใจแข็งสู้ คราวนี้เขาต้องเชื่อสิ

"ครับ"

"ก็แค่อารมณ์ชั่ววูบ"

"ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ"

"มั่นใจขนาดนั้น"

"แน่นอนที่สุดครับ ยอมให้ผมจีบไหม"

"เอาที่มึงสบายใจเถอะ แต่ใช่ว่ากูจะยอม"
เขาเลื่อนมือออกจากการเกาะกุมแล้วคว้าแก้วเหล้าขึ้นมากระดกก่อนที่มุมปากจะยกยิ้ม เดาไม่ออกเลยว่าอารมณ์ตอนนี้ของพี่ทาวน์อยู่ในทิศทางไหน กำลังสับสนหรือกำลังโกรธกันแน่ แต่ผมเนี่ยมึน เพราะคำตอบกำกวมเหลือเกิน

"อ้าว..."
ร้องได้แค่นั้นก็ต้องหุบปากลงเมื่อเห็นพี่ฟากับพี่แฮมเดินควงกันมา ขัดจังหวะจริงๆ เลยเว้ย น้องยังจัดการปัญหาหัวใจไม่จบเลย! แทนที่จะไปฉี่ไปขี้ด้วยก็ได้นะ

"กูกลับมาแล้ว พวกมึงคิดถึงปะ"
พี่ฟาขยับใบหน้าเข้ามาใกล้แล้วถามด้วยน้ำเสียงทะเล้น กลิ่นหอมจางๆ ของอาฟเตอร์เชฟทำให้ผมถึงกับอมยิ้มแล้วนึกถึงไอ้ฟาร์ม ระยะห่างแค่นี้มันต้องอิจฉาแน่ๆ

"ประสาท"
เสียงพี่ทาวน์ดังขึ้นก่อนจะเห็นไวๆ ว่าเขาใช้มือผลักไหล่ของเพื่อนให้ถอยออกไป ผมรีบหุบยิ้มทันทีเพราะกลัวว่าจะโดนมองด้วยสายตาแปลกๆ

"เอ้า ด่ากูซะงั้นไอ้หล่อ"
พี่ฟามุ่ยหน้าแต่ก็ยอมนั่งลงที่เดิมแล้วหันไปเปิดวอกับพี่แฮมที่กำลังตักยำรวมมิตรใส่ปาก

"เฮ้ย นั่นเด็กในสต็อกมึงนี่หว่าไอ้ทาวน์ เดินตรงมาทางนี้แล้ว"
พี่แฮมทั้งปัดป้องทั้งดันหน้าพี่ฟาออกไปไกลๆ แต่ดวงตาจับจ้องตรงไปด้านหน้า ตรงที่ตำแหน่งที่ใครบางคนกำลังเดินมา ผมหันขวับไปมองแล้วเจอเข้ากับใบหน้าหวานจิ้มลิ้มของสาวน้อยคนหนึ่ง น่าจะเป็นดาวคณะอะไรสักอย่างเพราะรู้สึกคุ้น แม่ง เด็กในสต็อกพี่ทาวน์เหรอ... ทำไมรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ แบบนี้

"อืม"
พี่ทาวน์ตอบรับในลำคอ ไม่มีท่าทีจะปฏิเสธอะไร นี่เขากำลังบอกอะไรผมทางอ้อมหรือเปล่า ผู้ชายทั้งแท่งยังไงก็แพ้ผู้หญิงสินะ... หมายความว่าแบบนั้นหรือเปล่านะ

"สัดแฮม แดกๆ ไปอย่าพูดมาก!"
อยู่ๆ พี่ฟาก็ตะโกนเสียงดังแล้วตักยำจ่อปากพี่แฮมด้วยท่าทางเดือดดานอย่างกับจะฆ่า คงไม่อยากให้ผมได้ยินอะไรแบบนั้นล่ะมั้ง แต่ถ้ามันเป็นความจริง สักวันก็ต้องรู้อยู่ดี ตอนนี้ชาไปทั้งตัวเลยว่ะ

"อะไรของมึงวะ แดกก็ได้"
พี่แฮมขมวดคิ้วแต่ก็ยอมงับยำเข้าปากเคี้ยวแก้มตุ่ย แดกๆ ไปเหอะพี่ อย่าพูดอะไรตอกย้ำผมอีกเลย แค่นี้ก็จะกระอักเลือดแล้ว

"พี่ทาวน์ สวัสดีค่ะ"
เธอเดินมาหยุดข้างๆ โต๊ะฝั่งพี่ทาวน์แล้วจงใจคลี่ยิ้มหวานทักทายเขาแค่คนเดียว เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายและคำพูดของพี่แฮมเป็นความจริง เด็กในสต็อกโคตรแจ่ม นายภาคินไม่อยากกินแห้วว่ะ ต้องไปตัดใจแล้วเสริมนมสู้หรือเปล่า

"ครับไอ"
พี่ทาวน์ยิ้มให้เธอ... ผมถึงกับสะดุดลมหายใจตัวเอง ทำไมล่ะ ทำไมถึงเป็นแบบนี้

"นั่งด้วยได้ไหมคะ"
น้ำเสียงหวานๆ เอ่ยออดอ้อน ถ้าเป็นผมก็คงยอม ก็เล่นน่ารักน่าทะนุถนอม แถมชุดที่ใส่ยังเซ็กซี่จนหนุ่มๆ แถวนี้น้ำลายไหล... แม่ง กูอยากวิ่งไปซบอกจิณณ์ร้องไห้ฉิบหายเลยตอนนี้ รู้สึกคัดจมูกแล้วสิ

"แล้วเพื่อนล่ะ"

"นั่งโต๊ะโน่นค่ะ แต่ไออยากนั่งกับพี่ทาวน์"
เธอบอกตรงๆ ไม่มีอ้อมค้อม ดวงตากลมเปี่ยมไปด้วยแววยั่วยวน พี่ทาวน์เองก็ไม่ต่างกันที่เอาแต่จ้องไอราวกับจะกินแบบนั้น ผมไม่ควรอยู่เป็นก้างสินะ หึ ผู้หญิงกับผู้ชายเป็นของคู่กันอยู่แล้วนี่

"นั่งสิ"
พี่ทาวน์ทำท่าจะขยับที่ว่างให้กับไอ แต่ผมกลับลุกขึ้นยืนเต็มความสูง นั่งไปก็ไร้ค่า สู้กลับไปกระดกเหล้าให้เมาไปดีกว่า จะได้ลืมๆ เหตุการณ์ในคืนนี้ไปบ้าง

"ไม่ต้องขยับครับ ผมจะกลับโต๊ะแล้ว"
ผมบอกก่อนจะเดินออกมาโดยไม่ได้มองว่าทุกคนในโต๊ะจะมองยังไง แต่มีเสียงเล็กๆ รั้งเอาไว้ สุดท้ายคนที่เป็นห่วงความรู้สึกกันก็มีแต่พี่ฟา

"เฮ้ย เจ็ท รอกูด้วย"

"ครับ พี่ฟา"
ผมหยุดเดิน ส่วนพี่ฟาหอบตัวโยนแล้วเกาะแขนผมไว้เพื่อทรงตัว ไม่กล้าหันหลังกลับไปมอง กลัวจะเจอภาพบาดตาบาดใจของหญิงชายคู่นั้น หลังจากกินเหล้าเสร็จคงไปต่อกันถึงไหนต่อไหน...

"มึง... ไม่ได้คิดมากใช่ปะ"
พี่ฟาหอบหายใจแล้วถามด้วยน้ำเสียงแสดงความเป็นห่วง ดวงตากลมล้อมรอบด้วยแพขนตายาวจ้องมองกันทำให้ผมหลบสายตานั่น แล้วเบี่ยงประเด็น ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

"เรื่องอะไรครับ"

"ก็เรื่องไอกับไอ้ทาวน์ไง..."
แต่สุดท้ายผมก็หนีไม่พ้นเพราะพี่ฟาไม่เคยอ้อมค้อม

"ตอนนี้... คิดอะไรไม่ออกเลยครับ หน้ามันชาๆ ใจมันหน่วงๆ ขอตัวนะพี่ จะไปกินเหล้าย้อมใจสักหน่อย"
ผมหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วแกะมือพี่ฟาออกก่อนจะเดินกลับโต๊ะด้วยสภาพไม่ต่างจากลอย

หลังจากที่นั่งลงได้ก็เอาแต่เทเหล้าเพียวๆ ใส่แก้วแล้วกระดกอย่างเอาเป็นเอาตาย ถึงจะรู้สึกแสบคอและร้อนวูบในท้องก็ไม่อยากหยุด เมาๆ ซะจะได้ไม่ต้องคอยห้ามสายตาตัวเองที่เอาแต่มองไปทางโต๊ะนั้น

"เฮ้ย เบาๆ หน่อยน้อง มึงจะออนเดอะร็อคทุกแก้วไม่ได้นะเว้ย"
จิณณ์จับข้อมือผมแน่นแล้วแย่งแก้วไปถือไว้เอง สีหน้าแสดงความฉงนมีแต่คำถามเต็มไปหมดว่าทำไมฝาแฝดสุดที่รักถึงกระดกเหล้าอย่างกับน้ำเปล่าแบบนี้

"เรื่องของกู เอาแก้วคืนมา"
ผมบอกเสียงต่ำแล้วสะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุม ถึงรู้แก่ใจว่ากว่าจะเมาคงหมดเหล้าไปหลายขวดแน่ๆ เพราะเป็นคนคอแข็ง แต่จะให้หนีกลับทั้งๆ ที่คนอื่นยังสนุกมันก็น่าเกลียด

"ไอ้เจ็ท... มึงอย่าทำตัวเหมือนคนอกหัก"
คำของจิณณ์ทำให้ผมกำหมัดแน่นแล้วหันไปจ้องใบหน้าพิมพ์เดียวกันตาขวาง แทงใจดำฉิบหาย

"ก็กูอกหักไง จะให้กูแดกได้หรือยังครับ!"
ยอมรับแบบไม่อายด้วย รู้สึกร้อนๆ ที่กระบอกตาฉิบหาย คงอิจฉาผู้หญิงคนนั้นที่ได้ใกล้ชิดกับพี่ทาวน์ แถมยังได้รับรอยยิ้มนั่น

"อ่า..."
จิณณ์ครางเสียงเบาและเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมคว้าแก้วเหล้ากลับมากระดกลงคออีกครั้ง และอีกครั้ง รู้ว่าทั้งคู่เป็นห่วง แต่จะให้หยุดตอนนี้ทำไม่ได้จริงๆ

"ปล่อยมันเถอะจิณณ์ เดี๋ยวกูช่วยแบกไอ้เจ็ทขึ้นห้องเอง"

ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง และขอบคุณพี่ทาวน์ที่ทำให้รู้ว่าความรักไม่ได้สวยงามเสมอไป สักวันผมจะเข้มแข็งและกลับไปพยายามอีกครั้งหนึ่ง ไม่นานหรอก




-------------------------------------------------

เจ็ทนี่มันเจ็ทจริงๆ เลย โดนพี่ทาวน์ทำร้ายซ้ำซาก โอ๋ๆ นะลูกนะ
ซบอกไธไปก่อนเนอะ เห็นมีคนแอบจิ้น 55555

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
แข่งครั้งที่ 12



ปวดหัวจนลุกไม่ไหว ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีอาการแฮงค์ก็แค่กรึ่มๆ ฝ่ามือที่กำลังแตะลงมาบนหน้าผากแล้วผละออกไปบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าผมกำลังมีไข้เนื่องจากตากฝนเมื่อวานนี้ จิณณ์ต้องด่าผมแน่ๆ แต่เมื่อลืมตาขึ้นกลับพบว่าคนข้างกายคือไอ้ไธ... มาได้ยังไงวะ

"มึง..."
ผมเรียกเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงแหบแห้งและพยายามลุกขึ้นจากเตียง แต่หัวหนักเกินไปเลยได้แต่ถูไถหน้ากับหมอน สภาพแบบนี้หนักกว่าอกหักซะอีก ปวดเมื่อยทั้งตัวเลยแม่ง

"นอนพักไป เดี๋ยวกูเอาข้าวต้มมาให้"
ไอ้ไธตบแก้มกันเบาๆ แล้วลุกขึ้นยืน แต่ผมเอื้อมมือไปรั้งไว้จนมันหันมาเลิกคิ้วใส่เป็นเชิงถามว่ามีอะไร

"จิณณ์ล่ะ..."
ผมปล่อยชายเสื้อของไอ้ไธแล้วเลื่อนมาปิดปากเพราะไอ้โขลกอย่างหนัก เดือดร้อนคนเฝ้าต้องเตรียมน้ำมาให้ดื่ม

"มีควิซเช้า เลยฝากกูดูแลมึง"
ผมพยักหน้าแล้วรับน้ำมาดื่มแก้ระคายคอ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนจิณณ์บอกว่ามีควิซ คงเป็นเพราะพิษไข้และแอลกอฮอล์ทำให้สมองเบลอ แทบจะจำอะไรไม่ได้

"ปวดหัวว่ะ"
มือขวายกขึ้นนวดขมับเมื่อรู้สึกปวดหัวจี๊ด ใบหน้ายู่ลงตามอาการที่ไม่สู้ดีนัก เบ้าตาร้อนๆ ทรมานเหลือเกิน

"ใครใช้ให้แดกเหล้าตอนเป็นไข้"
น้ำเสียงฉุนๆ ดังขึ้นพร้อมกับแรงขยี้หัว ทำให้ผมต้องเหลือบตามองไอ้ไธแล้วปัดมือมันออกเพราะรำคาญ คนยิ่งไม่สบายอย่าแกล้งกันได้ไหม ตอนนี้ใครบีบใครจับส่วนไหนของร่างกายก็ปวดทั้งนั้น

"กูไม่ได้ตรัสรู้ล่วงหน้าว่าตัวเองจะเป็นไข้สักหน่อย..."
ผมบ่นกระปอดกระแปดแล้วซุกหน้าลงกับหมอน ไม่อยากสบตา ไม่อยากมองหน้า เพราะรู้ว่าอีกครู่เดียวไอ้ไธจะดุกันแน่ๆ ขี้เกียจฟัง ช่วยหาอะไรมาปิดปากมันหน่อยได้ไหม กางเกงในจิณณ์ก็ได้

"สมควรคิดได้ตั้งแต่ไปตากฝนแล้วปะวะ"
นั่นสินะ ตากฝนทีไรไม่สบายทุกที

"โทษที..."
ผมได้แต่เอ่ยขอโทษเสียงเบาแล้วเหล่สายตามองคนที่ยืนค้ำหัวอยู่ มันถอนหายใจ โบกมือเป็นเชิงว่าช่างมันก่อนจะดึงผ้านวมมาคลุมตัวให้ มีเพื่อนน่ารักก็ดีแบบนี้ ถ้าไม่ติดว่าสนิทกันมาตั้งแต่เด็กคงเผลอใจชอบไปแล้ว... ก็แค่เรื่องสมมติล่ะเนอะ

"นอนพักไป เดี๋ยวกูมา"

ไอ้ไธออกไปจากห้องแล้วปล่อยให้ผมนอนซุกตัวอยู่ในผ้านวมผืนหนา พอจะข่มตานอนก็กลัวพลาดอาหารเช้ากับยาเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่น จำได้ว่าเมื่อคืนโยนมันทิ้งที่โซฟาด้านนอก สงสัยจิณณ์เป็นคนเก็บมาตั้งไว้ให้

ผมเลือกเข้าไลน์เป็นอย่างแรกเพราะคับคล้ายคับคลาว่าก่อนหลับไปจะคุยกับใครคนหนึ่งค้างไว้ ดวงตาไล่อ่านข้อความที่ถูกส่งมาเรื่อยๆ จนสะดุดกึก นิ้วเรียวรีบจิ้มตรงนั้นทันที

Phakin
ทำไมพี่ไม่ยิ้มให้ผมบ้างครับ
ผมน่ารังเกียจเหรอ
ผมไม่น่ารักเหมือนไอใช่ไหม
ไปต่อกับเขาหรือเปล่าครับ
ผมเจ็บจัง...
ผมชอบพี่จริงๆ นะ เชื่อกันเถอะ

Maungneua
เหงาเหรอมึง รัวขนาดนี้
กูยิ้มตามมารยาท
กูไม่ได้ไปต่อกับไอ
เชื่อไม่เชื่อก็เรื่องของกู

ผมอ่านข้อความทั้งที่ตัวเองส่งไปและพี่ทาวน์ตอบกลับมาจนครบก็ได้แต่เม้มปากเข้าหากันแน่น ดวงตาคมปิดลงเมื่อทบทวนทุกอย่างดีแล้วว่ามันไม่สมควรเกิดเรื่องนี้ หัวใจปวดหนึบราวกับใครเอาเข็มมาจิ้มมันซ้ำๆ ถี่ๆ มือที่จับโทรศัพท์สั่นจนยากควบคุม

นายภาคินมันโง่ ทำอะไรไม่รู้จักไตร่ตรองให้ดี ทุกอย่างคงจบลงตรงนี้ แม้แต่จะขอโอกาสจีบเขาคงไม่มีอีกแล้ว ผมกลั้นใจพิมพ์ข้อความหนึ่งส่งให้พี่ทาวน์ทั้งที่น้ำตาคลอหน่วยจนเห็นภาพเบลอ กว่าจะกดส่งได้ก็ใช้เวลาเกือบห้านาที ทำใจรับความเจ็บปวด

Phakin
พี่ทาวน์... ขอโทษครับ ที่ก้าวก่ายเรื่องนี้
ขอโทษจริงๆ อย่าเกลียดผมเลยนะ

นิ้วกดส่งข้อความไปแล้ว มันขึ้นว่าอีกฝ่ายอ่านทันที แต่รอแล้วรอเล่ากลับไม่มีอะไรตอบกลับมาทำให้ผมทิ้งโทรศัพท์ลงข้างตัวและปล่อยให้น้ำตาแห่งความเลินเล่อไหลออกมา มันคงเป็นบทเรียนราคาแพงที่ไม่มีใครอยากได้

ต้องยอมแพ้เรื่องพี่ทาวน์แล้วจริงๆ เหรอ มันยังไม่เริ่มต้นเลยด้วยซ้ำ

"ข้าวต้มมาแล้ว ลุกขึ้น... เฮ้ย มึงร้องไห้ทำไม"
เสียงไอ้ไธร้อนรนให้ท้ายประโยคมาพร้อมกับร่างกายสูงใหญ่ที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างกัน ชามข้าวต้มถูกวางไว้ที่หัวเตียงก่อนที่มืออุ่นจะไล่เช็ดน้ำตาให้อย่างไม่รังเกียจ

"พี่ทาวน์คงเกลียด... กูไปแล้ว"
น้ำเสียงขาดหายเพราะหัวใจบีบรัดตัว ตอนนี้เจ็บจนแทบไม่อยากขยับเขยือน จากที่เคยหิวกลับตื้อไปหมด อยากจะลบเรื่องราวที่ผ่านมาออกไปจากหัว ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากพูดคุย

ผมว่าตัวเองคงเป็นโรคไบโพล่าเพราะพี่ทาวน์เข้าให้แล้ว อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย ทำไมเขาต้องมีอิทธิพลกับความรู้สึกถึงขนาดนี้ ความชอบคงเอนเอียงไปทางรักซะแล้ว

"เดี๋ยวๆ เกิดอะไรขึ้น กูงง"
น้ำเสียงไอ้ไธเต็มไปด้วยความสงสัย แววตาที่มองมาแสดงความเป็นห่วงแบบไม่ปิดบัง แต่ผมไม่มีแรงจะอธิบายอะไรเลยส่งโทรศัพท์ให้มันได้อ่านเองแล้วหลับตาลงซุกหน้ากับผ้านวมคล้ายกับเด็กขาดความอบอุ่น

"ฉิบหาย มึงส่งอะไรไปเนี่ยเจ็ท"
ไม่นานนักไอ้ไธก็ครางออกมาเสียงสูงแล้วยกมือขึ้นลูบหัวอย่างต้องการปลอบประโลมหัวใจที่แตกเป็นเสี่ยงๆ

"ตอนนั้นกูกรึ่มๆ เสียใจ ไม่มีสติเลย"
ผมสารภาพผิดแล้วขยับหัวไปหนุนตักของมันเพราะต้องการไออุ่นมากกว่าเดิม ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะไม่ส่งข้อความตัดพ้อบ้าๆ นั่นให้พี่ทาวน์เด็ดขาด

"มึงอย่าคิดมาก ลุกขึ้นมากินข้าวกินยาซะก่อน"
ไอ้ไธพยุงตัวผมให้นั่งพิงกับหัวเตียงแล้วหันไปคว้าชามข้าวต้ม มันทั้งเป่าทั้งตักมาป้อน แต่ผมกลับส่ายหัวก่อนจะใช้หลังมือปาดน้ำตาอีกครั้ง ที่ผ่านมาไม่เคยอ่อยแอขนาดนี้เลยสักครั้ง แล้วทำไมกับคนๆ นี้ถึงได้...

"กูกินไม่ลง"

"ไม่แดกเดี๋ยวก็ตาย พี่ทาวน์เขาไม่ได้มานั่งเสียใจกับมึงหรอกนะ"
คำพูดของไอ้ไธทำให้ผมแทบลืมวิธีหายใจ จากที่พยายามเม้มปากกลั้นเสียงสะอื้นกลับทำไม่ได้อีกแล้ว บ้าจริง แค่คิดว่าเขาไม่สนใจเรื่องนี้ก็แทบจะขาดใจอยู่แล้ว

"สัด อึก..."

"ขอโทษๆ กูไม่ได้ตั้งใจ"
ไอ้ไธบอกด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดก่อนจะดึงผมเข้าไปกอดแน่น มืออุ่นที่คอยลูบหลังกันทำให้น้ำตาค่อยๆ ไหลลงมาอีกครั้ง เสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไป ปวดใจที่คำขอโทษคงไม่ได้ทำให้พี่ทาวน์รู้สึกดีขึ้น

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนที่ทำตัวน่าสมเพชแบบนี้ ไม่รู้ว่าหลับคาไหล่เพื่อนเมื่อไหร่ ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เห็นไอ้ไธนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่ข้างๆ บนเตียง ผมพลาดอาหารและยามื้อเช้าไปจริงๆ เมื่อไหร่จะหายล่ะแบบนี้

ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว ไอ้ไธยังคงทำหน้าที่เพื่อนที่ดีโดยการหาน้ำพร้อมข้าวและยามาประเคนถึงเตียง แถมด้วยการป้อนแบบไม่ต้องร้องขอ ผมยิ้มให้กับความเอาใจใส่นี้ รู้มาเสมอว่านายธามไธน่ารักแค่ไหน

ยอมรับแบบไม่อ้อมค้อมว่าอยากให้จิณณ์ลงเอยกับคนๆ นี้ เพราะรู้ว่ามันจะดูแลคนรักได้เป็นอย่างดี

ผมกำลังจะหลับอีกครั้งเพราะยาที่กินเข้าไปกำลังออกฤทธิ์ แต่เสียงกริ่งที่ดังขึ้นทำให้ดวงตาปรือเปิดขึ้นอีกครั้ง หงุดหงิดคงเป็นอารมณ์ที่ชัดเจนที่สุดในตอนนี้

"ใครมาวะ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงห้วนๆ แล้วโผล่หน้าออกมาจากผ้านวม หัวคิ้วขมวดเข้าหากันจนรู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีกครั้ง อยากเดินออกไปเปิดประตูแล้วด่าคนที่มาไม่เป็นเวล่ำเวลาสักที แต่ตอนนี้ขยับตัวลงจากเตียงให้ได้ก่อนเถอะ

"คงเป็นจิณณ์กลับมาจากมอมั้ง"
ไอ้ไธสันนิษฐานก่อนจะปิดหนังสือในมือลงแล้วบิดขี้เกียจสองสามทีก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง คงเตรียมตัวไปเปิดประตู แต่ผมรั้งมันไว้ด้วยคำพูด

"ไม่ วันนี้มันเรียน... ทั้งวัน"
ปลายประโยคเสียงแผ่วลงเพราะผมไม่สามารถฝืนหนังตาได้อีกแล้ว ประสาทการรับรู้กำลังจมสู่ห้วงนิทราทีละนิดๆ จนได้ยินไอ้ไธบ่นอะไรสักอย่างก่อนที่จะได้ยินเสียงประตูห้องนอนเปิดออกและปิดลง

ผมรู้สึกตัวอีกครั้งตอนที่ได้ยินเสียงกุกกักใกล้ๆ ดวงตาคมปรือขึ้นมองไปรอบๆ แล้วเจอเข้ากับร่างสูงของใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่ปลายเตียง ทำไมไอ้ไธใส่ชุดนักศึกษา แถมแผ่นหลังดูไม่คุ้นเอาซะเลย แต่อาจจะเป็นเพราะสติที่ยังไม่ครบถ้วนของตัวเองล่ะมั้ง

"ไอ้ไธ..."
ผมส่งเสียงเรียกเพื่อนสนิทแล้วไอ้โขลกออกมาอย่างหนักก่อนจะลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ลำคอแห้งผากและรู้สึกแสบไปหมด คงเพราะนอนในห้องแอร์ แต่อุณหภูมิก็ไม่ได้ต่ำ

"ไง"
เสียงที่ตอบกลับมาฟังดูแปลกๆ ผมไม่มีจังหวะจะมองเพราะเอาแต่หลับหูหลับตาไอ แต่เมื่อมือเรียวส่งแก้วน้ำมาให้กลับต้องชะงักกึก ทำไมไอ้ไธขาวอมชมพูแบบนี้

"เฮ้ย พี่ทาวน์ มะ มาอยู่ที่นี่ แค่ก ได้ไงครับ!"
ผมสบตากับเจ้าของมือแล้วร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ ทำไมพี่ทาวน์ถึงมาโผล่อยู่ตรงนี้ หรือว่านายภาคินกำลังฝัน อดสงสัยไม่ได้จนต้องหยิกแก้มตัวเอง ปรากฏว่ามันเจ็บ

"ขับรถมา"
พี่ทาวน์ตอบแล้วยัดแก้วน้ำใส่มือให้ก่อนจะมองด้วยแววตาขำขันเมื่อเห็นอาการตกใจของผม ตอนนี้สติกระเจิงยิ่งกว่าเดิม ร่างกายร้อนวูบวาบอย่างไม่ทราบสาเหตุ เขารู้ห้องได้ยังไง มาที่นี่เพราะเป็นห่วงอย่างนั้นเหรอ คิดเข้าข้างตัวเองได้ไหม

นายเมืองเหนือยังอยู่ในชุดนักศึกษาแต่ไม่ถูกระเบียบ เพราะชายเสื้อถูกปล่อยออกด้านกางเกง โดยรวมแล้วดูเป็นนักศึกษาแพทย์ที่น่าขย้ำให้จมเขี้ยวจริงๆ หล่อฉิบหาย

"ไม่... ไม่ใช่สิ แค่ก หมายถึงว่าทำไมพี่ถึงมาที่นี่"
ผมรวบรวมคำพูดได้เพียงเท่านั้นแล้วกลับมาไอโขลกอีกครั้ง เดือดร้อนพี่ทาวน์ตกคอยลูบหลังให้ ใบหน้าของเขายังคงเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ

"ไอ้ฟาฝากมาเยี่ยม"

"ห๊ะ..."
ผมร้องเมื่อได้ยินคำตอบที่โคตรไม่มีเหตุผล ดวงตาคมมองคนที่หยุดลูบหลังด้วยความคลางแคลงใจ พี่ฟาสั่งอะไรก็ต้องทำตามตลอดเลยเหรอ หรือจริงๆ แล้วพี่ทาวน์แอบชอบเพื่อนตัวเอง... ฟุ้งซ่านอีกแล้วนายภาคิน มันเป็นไปไม่ได้หรอก

"ป่วยไม่ใช่เหรอ"
พี่ทาวน์ขยับไปนั่งที่เดิมแล้วมองสบตากัน ผมเบนหน้าหลบก่อนซุกหน้าลงกับเข่าปิดบังความกลัวทั้งหมดที่มี สมองกำลังจะเจ๊งเพราะประมวลผลไม่ทัน พี่ฟาไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน ไอ้ไธบอกอย่างนั้นเหรอ

"เอ่อ แล้วรู้ได้ยังไงครับ"

"ไปถามมันเอาเอง"
คำตอบเป็นไปตามที่ผมคิดไว้ไม่มีผิดจริงๆ

"อ่า..."
ผมพูดไม่ออกเพราะรู้สึกเจ็บจี๊ดในใจเมื่อนึกได้ว่าถ้าพี่ฟาไม่คะยั้นคะยอให้เขามาก็คงไม่มา แต่พี่ทาวน์มานั่งรอตั้งแต่เมื่อไหร่ ก่อนหน้านี้จำได้ว่าตัวเองเผลอหลับนี่ ถามได้ไหม จะได้คำตอบหรือเปล่า คิดจนเริ่มปวดหัวขึ้นมาอีกครั้ง แย่แน่ๆ

"กินเหล้าตอนป่วยไม่กลัวตายหรือไง"
น้ำเสียงดุดังขึ้นทำให้ผมงอตัวกอดเข่ามากกว่าเดิม ไม่กล้าสบตา ไม่กล้าขยับไปไหน เพราะกลัวว่าจะเผลอไปกระตุ้นให้เขาพูดถึงเรื่องข้อความในไลน์ ถ้าครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่พี่ทาวน์จะยอมเข้าใกล้กันก็ขอใช้เวลาให้คุ้ม

"....."
ผมไม่ได้พูดอะไร เพราะสรรหาคำตอบไม่ได้ ก็ใครจะไปรู้ว่าหลังจากกินเหล้ามันจะป่วยล่ะ เถียงออกไปแบบนี้มีหวังโดนเกลียดมากกว่าเดิมแน่ๆ สู้เงียบไว้แล้วรอปฏิกิริยาตอบรับดีกว่า ด้านนอกฝนตกอีกแล้ว หนาวไปทั้งกายและใจ

"เฮิร์ทเหรอมึง"
น้ำเสียงของเขายังคงราบเรียบ ไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้เช่นเดิม แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้ผมเกร็งไปทั้งร่างกาย ไม่ว่าพยายามปิดบังแค่ไหนก็ไม่เคยรอดสายตาเหยี่ยวของว่าที่คุณหมอได้สักที

"....."
ผมปล่อยให้เสียงเครื่องปรับอากาศแทรกกลางระหว่างเรา หัวใจเริ่มปวดหนึบเมื่อถูกกระทบด้วยคำพูดต้องห้าม คนที่เป็นสาเหตุกำลังขยี้แผลเดิมจนช้ำเป็นวงกว้าง ต้องใช้อะไรรักษาเหรอครับว่าที่คุณหมอ บอกหน่อยได้ไหม

"ว่าไง"
เขาถามย้ำพร้อมกับมือเรียวที่วางลงมาบนหัวก่อนจะออกแรงขยี้มันเบาๆ ผมไม่สามารถคิดว่าพี่ทาวน์เอ็นดูกันได้เลย บาฃทีมันก็แค่ความสงสารที่มีให้กับมนุษย์ร่วมโลกคนหนึ่ง อยากจะปัดความอบอุ่นที่ทำให้หัวใจเจ็บปวดนี่ทิ้งจัง แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าลึกๆ กำลังรู้สึกดี

"เพราะ... พี่ไงครับ"
น้ำเสียงขาดหายบอกกล่าวโทษของคนตรงหน้า มือเรียวชะงักการกระทำแล้วผละออกไป ได้ยินเสียงลมหายใจหนักๆ ของเขาก็พลอยทำให้ผมขยำกางเกงนอนแน่นกว่าเดิม

ไม่ควรพูดแบบนั้นออกไป ไม่ใช่ความผิดของพี่ทาวน์ นายภาคินปากเปราะ สมควรแล้วที่จะโดยเกลียดชัง เมินเฉย และเป็นอากาศธาตุในชีวิตของเขา

"หืม กูทำอะไรให้"

"ก็พี่... ปฏิเสธผม"
ทั้งที่รู้ว่ากำลังทำนิสัยแย่ๆ อย่างการโยนความผิดให้กับคนอื่น แต่ปากไม่ยอมหยุดพูดเลย ผมไม่สามารถควบคุมความเสียใจจากการคิดมากของตัวเองได้ ตอนนี้หัวเข่าคงเป็นแหล่งหลบภัยที่ดีที่สุด หลบสายตา หลบการเผชิญหน้า นายภาคินก็เป็นแค่ไอ้ขี้ขลาดไม่ยอมรับความจริง

"สิทธิ์ของกู"
พี่ทาวน์บอกสิ่งที่เป็นความจริงข้อหนึ่งให้ผมได้รับรู้จนจุก สิทธิส่วนบุคคลไม่ใช่เรื่องที่สามารถก้าวก่ายได้ ไม่มีใครบังคับได้ ก็เหมือนเรื่องความรู้สึก ไม่รู้ว่าตอนนี้สรหน้าของเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง บึ้งตึง โกรธขึง หรือกำลังยิ้มเยาะให้กับเด็กเมื่อวานซืนที่โง่เขลา

"นั่นสินะ ขอโทษครับ"
ผมเอ่ยขอโทษด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ น้ำตาที่คลอด้วยตอกย้ำว่าตัวเองน่าสมเพชแค่ไหน ทำไมต้องอ่อนแอต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ด้วย แต่ก่อนไม่เคยมีอาการเสียใจกับเรื่องความรักด้วยซ้ำ หรือกรรมจะตามสนองที่ไปหักอกชาวบ้านไว้เยอะกันนะ

"ชอบกูขนาดนั้นเลยหรือไง"
คำถามต่อทำให้ผมสะดุดลมหายใจตัวเองก่อนที่มุมปากจะกระตุกเป็นรอยยิ้ม ใบหน้าค่อยๆ ละออกจากหัวเข่า พี่ทาวน์กำลังจ้องมาทางนี้ ตำแหน่งที่มีนายภาคินนั่งอยู่ นี่สังเกตุพฤกรรมกันมาตลอดเลยหรือเปล่านะ ควรดีใจหรือเสียใจดี

"ชอบ... ชอบมากครับ"
ผมคลี่ยิ้มให้เขา มันเป็นยิ้มที่จริงใจแต่ต้องใช้ความฝืนอย่างสุดกำลัง ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป น้ำตาอาจจะไหลต่อหน้าพี่ทาวน์เหมือนสายฝนที่ไม่ยอมหยุดตกด้านนอกก็ได้ อ่อนแอจนอยากไลาเขาออกไปให้พ้นๆ ไม่อยากให้เห็นตัวเองในสภาพนี้เลย

"แต่กูเป็นผู้ชาย"
ข้อนี้ผมรู้ดี พี่เป็นผู้ชาย เป็นเดือนคณะ เป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ เป็นว่าที่หมอ และสุดท้ายคือเป็นคนที่นายภาคินชอบ... มาก

"ผมไม่ได้สนเรื่องนั้น"
ผมซบหน้าลงกับเข่าอีกครั้งเมื่อตอบโต้กลับไป รู้สึกได้ถึงความกดดันที่เริ่มทวีคูณ บรรยากาศมาคุท่ามกลางเสียงกระหน่ำของพายุด้านนอก ท้องฟ้าสีทึม อารมณ์ขุ่นมัว

"กูชอบผู้หญิง"
พี่ทาวน์แค่พูดความจริงด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่ผมกลับรู้สึกว่าเขาถือมีดมาจ้วงแทงกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเลือดซิบ แต่นายภาคินยังคงยืนโงนเงนและพยายามเปล่งเสียงเพื่อยืนยันความรู้สึกที่มี แม้ว่าจะใกล้ตายเต็มที

"ผมจะทำให้พี่ชอบผมแค่คนเดียว"
ไม่มั่นใจหรอกว่าจะทำได้ แต่ขอพยายามจนสุดความสามารถ ถึงเจ็บแต่ก็ไม่ยอมถอย ในเมื่อพี่ทาวน์ไม่ได้ออกบอกปฏิเสธอย่างจริงจังสักครั้ง ผมมันก็เป็นซะอย่างนี้ บทจะคิดมากก็หัวแทบระเบิด บทจะไม่คิดอะไรเลยก็บ้าบิ่นเกินใครรับไหว เหมือนคนเป็นไบโพล่าจริงๆ

"มึงอาจจะผิดหวัง"

"ถ้าผมพยายามอย่างเต็มที่แล้วสุดท้ายจะผิดหวัง ก็ไม่เสียใจหรอก"

"พูดดี"
ผมไม่รู้ความหมายของเขา แต่ความรู้สึกกดดันที่มีก่อนหน้านี้เริ่มจางลง อาจจะแค่คิดไปเองฝ่ายเดียวก็ได้

"พี่ทาวน์ ผมอยากขอโอกาส..."
ผมเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เป็นจังหวะที่ดวงตาสองคู่ประสานกันอย่างพอดิบพอดี พี่ทาวน์ดูลึกลับ น่าค้นหา แต่อีมุมก็เย็นชาจนน่ากลัว

"เอาที่สบายใจ"
เขาบอกก่อนจะเบนสายตาหนีไปทางอื่น ได้ยินเสียงถอนหายใจคล้ายคนกำลังหงุดหงิด ผมไม่สนใจท่าทางแบบนั้นเพราะมีเรื่องที่ต้องคิด เอาที่สบายใจคืออะไร ให้โอกาสหรือไม่ให้ ขอความชัดเจนให้กันด้วยเถอะ

"หมายความว่ายังไงครับ"

"จะจีบก็จีบ ไม่ต้องขอ"
ผมฟังอะไรผิดไปหรือเปล่า!

"เฮ้ย ผมจีบพี่ได้แล้วเหรอ!"
ผมตะโกนเสียงดังโดยไม่แคร์เลยว่าจะเจ็บคอมากแค่ไหน ดวงตาคมเบิกโตเป็นประกาย หัวใจเต้นแรงจนรู้สึกแน่นหน้าอก ตอนนี้ความรู้สึกพุ่งพล่านจนน่ากลัว

"เออ รำคาญ"
พี่ทาวน์บอกด้วยเสียงฉุนๆ แต่ผมเห็นว่าเขายิ้มนะ ถึงจะแค่วินาทีเดียวก็เถอะ ทำไมถึงได้น่ารักแบบนี้นะ กอดสักทีได้ไหม

"ดีใจที่สุดเลยครับ"
ผมโผเข้าไปกอดเขาไว้แน่น ถึงแม้ว่าอาจจะเสี่ยงโดนต่อยหรือโดนด่าก็ไม่สนแล้ว มันดีใจจริงๆ ดีใจยิ่งกว่าตอนสอบติดมหา'ลัยอีก

"หึ เด็กน้อย"
พี่ทาวน์หัวเราะก่อนจะตบหัวกันเบาๆ ไม่มีการด่า ไม่มีการผลักใสซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีและทำให้ผมกล้าที่จะกอดเขาแน่นขึ้น ตอนนี้นายภาคินคงเหมือนคนบ้าที่ยอมละทิ้งความเจ็บปวดเพื่อรับความสุขที่ถูกหยิบยื่นให้

"ยอมเป็นเด็กน้อยของพี่ทาวน์ครับ"
เขาอนุญาตให้จีบผมก็หยอดซะเลย ไม่อยากให้เวลาทุกวินาทีผ่านไปอย่างไร้ค่า เพราะคนอย่างพี่ทาวน์ทั้งแมนและใจแข็ง มันต้องขยันทำคะแนนหนักๆ ก่อนที่คนอื่นจะชิงตัดหน้าคว้าหัวใจเขาไป

"เพิ่งรู้ว่าขี้อ่อย"
เขาตบหลังเป็นสัญญาณให้คลายกอดแต่ผมไม่สนแล้วทำเนียนต่อไป แต่คนอย่างพี่ทาวน์ไม่ยอมใครง่ายๆ เพราะมือเรียวเลื่อนมาดึงหูกันจนเจ็บ โหดร้ายฉิบหาย

"โอย... ผมอ่อยเฉพาะกับคนที่ชอบนะครับ"
ถึงจะเจ็บจนต้องเอามือลูบใบหูและจำใจคลายอ้อมกอด แต่ก็ยังไม่วายรีบทำคะแนนจีบ ดวงตาคมมองพี่ทาวน์ด้วยความสเหน่หา สื่อให้เขารับรู้ความรู้สึกทั้งหมดที่ผมมีให้ เชื่อว่าอีกไม่นานมันจะเปลี่ยนไป เปลี่ยนเป็นรักที่มั่นคง

"นอนพักไป กูต้องไปรับไอ"
ดีใจไม่ได้ถึงสองนาที พี่ทาวน์ก็ยกไม่หน้าสามฟาดกันเต็มๆ เขาลุกขึ้นยืนจัดแจงเสื้อผ้าก่อนจะหยิบกุญแจรถเตรียมจะออกไปอย่างที่บอก

ตกลงว่านายเมืองเหนือต้องการอะไรจากนายภาคินกันแน่ ให้ความหวัง กำลังสนุกกับการปั่นหัว หรือแท้จริงแล้วแค่ตัดความรำคาญ ผมต้องพบจิตแพทย์เร็วๆ นี้แล้วล่ะ...

"ทำไม..."
น้ำเสียงที่เปล่งออกไปแผ่วเบาเหลือเกิน มือเรียวยกขึ้นขยำอกจนเสื้อยับย่น หัวใจปวดแปลบจนอยากควักทิ้งต่อหน้าต่อตา พี่ทาวน์กำลังเล่นตลกอะไรอยู่เหรอ บอกให้รู้ทีได้ไหม

"มึงจีบกู กูก็มีสิทธิ์จีบคนอื่น"
เขาบอกแล้วจ้องผมด้วยแววตาว่างเปล่าไร้ความรู้สึก สิ่งที่พี่ทาวน์พูดมาคือความจริงข้อที่สองของเรื่องสิทธิ ใครจะจีบใครไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย

นายภาคินควรทำใจเรื่องนี้สิ ทำไมถึงโง่จนคิดไม่ได้นะว่าคำอนุญาตนั่นก็แค่การเปิดโอกาสให้ แต่ไม่ได้ปิดโอกาสที่นายเมืองเหนือจะจีบคนอื่นเช่นกัน คนเรียนหมอนี่หัวหมอจัง

"นั่นสินะ... ไปเถอะครับ เดี๋ยวเธอรอนาน"
ผมคลี่ยิ้มให้กับเขา ไม่ใช่เพราะความยินยอม แต่กำลังเยาะเย้ยตัวเอง หลงมโนเพ้อเจ้อไปคนเดียวทั้งนั้น ทั้งที่พี่ทาวน์ก็เตือนแล้วว่าอาจจะผิดหวัง

"ทำหน้าอย่างกับหมาโดนเจ้าของทิ้ง"
คำพูดทีเล่นทีจริงทำให้ผมต้องเม้มปากเป็นเส้นตรง เขาคิดอะไรตอนพ่นประโยคนี้ออกมากันนะ ตลกเหรอ สนุกหรือเปล่า

"แค่รู้สึกปวดหัว..."
หัวใจ ผมแอบเติมคำอยู่เงียบๆ แล้วทิ้งตัวลงนอน หลับตาลงหลีกหนีใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาของเขา ไม่อยากรับรู้แล้ว พี่ทาวน์อยากไปไหนก็ไปเถอะ ไม่ต้องแคร์ไม่ต้องสนกันหรอก ยิ่งทำแบบนี้ก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งหวัง

"ปวดหัวหรือปวดใจ"
สมแล้วที่เป็นนายเมืองเหนือ ผมยอมแพ้อย่างสิโรราบจนครางชื่อเขาออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง ดวงตาคมลืมขึ้นเพื่อมองพี่ทาวน์อีกครั้ง ให้มันฝังลึกจนยากลืมเลือน คนน่ารักมักใจร้าย...

"พี่ทาวน์..."

"หึ อย่าลืมกินข้าวกินยา กูไปล่ะ"
แล้วเขาก็จากไปพร้อมกับถ้อยคำแสดงความห่วงใย ตบหัวแล้วลูบหลัง สนุกมากไหม ผมคงเป็นมาโซคิสที่เขามอบความความสุขสมให้เพียงเสี้ยวนาทรก่อนจะดึงสู่ความเจ็บปวดแสนสาหัส ส่วนพี่ทาวน์เป็นซาดิสผู้กระทำที่อยู่เหนือกว่า ก็เหมาะสมกันดี


"ไอ้เจ็ท ตื่น! ทำไมตัวร้อนแบบนี้วะ"
ได้ยินเสียงโวยวายของใครบางคนดังขึ้นพร้อมกับแรงตบหน้าเบาๆ ผมปัดป่ายมือนั่นทิ้งก่อนจะลืมตาขึ้นช้าๆ ทำไมรู้สึกปวดหัวมากกว่าเมื่อวาน ตอนนี้เช้าแล้วเหรอ จิณณ์กลับห้องมาตอนไหนไม่รู้เรื่องเลย

"อือ... จิณณ์เหรอ"
เสียงที่เปล่งออกไปแทบฟังไม่รู้เรื่อง มันทั้งแหบแห้งและไร้กำลัง ตาร้อนฉิบหาย อยากนอนต่อจะแย่แล้ว

"เออ กูเอง ไข้ขึ้นอีกแล้วนะมีง ไปโรงพยาบาลเหอะ"
จิณณ์ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงแล้วใช้มืออังหน้าผาก ผมขยับตัวเข้าหาก่อนจะวาดมือกอดเอวมันไว้ ไม่อยากลุกไปไหนเลย เจ็บทั้งกายทั้งใจ

"เดี๋ยวก็หาย..."
แต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เหมือนกัน

"อย่าดื้อ ลุกเร็วๆ"
จิณณ์ตีแขนกันแรงๆ แล้วผละผมออกจากตัว ดวงตาคมจ้องกดดันอย่างไม่ลดละ ตอนนี้ไม่อยากเคลื่อนไหวเลย ร่างกายมันจมเตียง ไม่มีกำลังใจ

"ไม่เอา..."

"เจ็ท อย่าให้กูต้องโทรไปฟ้องพี่แจมนะ"
จิณณ์ขู่และมันได้ผล ผมรู้ว่าถ้าเรื่องถึงหูพี่แจมเมื่อไหร่ทุกอย่างจะแย่ลงกว่าเดิม ทำให้คนที่บ้านเป็นห่วงมันบาปมหันต์จริงๆ เผลอๆ อาจยกโขยงมาที่นี่

"ทำไมมีแต่คน แค่ก ใจร้าย"
ผมพยายามยันตัวลุกขึ้นโดยมีความช่วยเหลือจากพี่ชาย ปากก็บ่นกระปอดกระแปดทั้งที่เจ็บคอ ช่วงนี้ดวงตกหรือไงทำไมเจอแต่คนใจร้าย บอบช้ำไปหมดแล้ว

"เพ้ออะไรของมึง"
มันขมวดคิ้วมองกันด้วยความสงสัยก่อนจะหยิบแก้วน้ำมาให้ดื่ม เมื่อทุกอย่างเงียบลงเลยทำให้หูได้ยินเสียงฝนกระหน่ำด้านนอก ตั้งแต่เมื่อวานยังไม่หยุดตกอีกเหรอ อยากชวนผมร้องไห้หรือยังไงกัน แต่เสียใจที่จุกจนไม่มีน้ำตา

"เมื่อวานพี่ทาวน์... มาเยี่ยม แค่กๆ"
ผมพยายามเล่าให้จิณณ์ฟัง แต่ดันไอโขลก ทำให้มีช่วงเว้นวรรคที่ทำให้มันเข้าใจผิด

"เฮ้ย แบบนั้นควรจะดีใจแล้วหายป่วยไม่ใช่เหรอวะ แล้วทำไมถึงทรุดจนต้องหามส่งโรงพยาบาลแบบนี้"
จิณณ์บีบจมูกผมด้วยความมันเขี้ยวแล้วช่วยพยุงขึ้นจากเตียง เมื่อมือสอดโอบรอบเอวจึงได้รู้ว่าพี่ชายผอมลงไปเยอะ

"เขาบะ บอกว่า... 'มึงจีบกู กูก็จีบคนอื่นได้' อึก"
ผมพูดได้แค่นั้นก่อนที่ทุกอย่างจะมือลง เป็นไข้ในตอนหัวใจอ่อนแอมันแย่ขนาดนี้เลยเหรอ

"เฮ้ย ไอ้เชี่ยเจ็ท!"

สิ่งแรกเมื่อประสาทรับรู้เริ่มทำงานอีกครั้งคือกลิ่นเฉพาะตัวของโรงพยาบาล ต่อมาคือเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วที่คุ้นหู ผมพยายามลืมตาแต่มันช่างยากเย็น หัวยังคงปวดตุบๆ เนื้อตัวร้อนเหมือนยืนอยู่กลางแดด มือด้านซ้ายถูกเจาะสายให้น้ำเกลือ

"สัดตังค์ เลิกดูการ์ตูนสักที"
ทะเลาะกันอีกแล้วคู่นี้ ถ้าเป็นผัวเมียกันลูกคงดกน่าดู

"คุณฟาร์มอย่าทำแบบนี้สิครับ เอาโทรศัพท์ผมคืนมานะ"
ไอ้นี่ก็ติดการ์ตูนเกินเยียวยา ดีหน่อยที่เป็นเด็กเรียนคะแนนท็อป ไม่อย่างนั้นคงได้ดร็อประนาว

"โดนพวกเด็กวิศวะล้อมึงยังไม่อายอีกเหรอไง"
เด็กวิศวะที่ไหนมาล้อไอ้ตังค์เรื่องติดการ์ตูนเนี่ย ทำไมผมไม่รู้เรื่องเลยวะ แต่ตอนนี้พยายามลืมตาให้ได้ก่อนเถอะ ลำบากฉิบหาย เหมือนคนนิสัยเสียแอบฟังเพื่อนคุยกันเลย

"นั่นมันเรื่องของพวกเขาครับ"

"ตังค์... มึงหมกมุ่นเกินไปแล้ว นี่เรามาเยี่ยมไอ้เจ็ทนะ"
เออใช่ พวกมึงมาเยี่ยมกูควรเกรงใจสภาพคนป่วยบ้าง แม่ง นี่มันสถานที่พักผ่อนนะ เสียงดังฉิบหาย

"ขะ ขอโทษครับคุณไธ"

"อือ หนวกหู"
ในที่สุดผมก็ส่งเสียงออกไปได้หลังจากที่อมน้ำลายอยู่นาน ดวงตาคมลืมขึ้นได้แต่ยังคงหรี่จนเห็นภาพรวมไม่ชัด

"ตื่นแล้วเหรอวะ หิวน้ำปะ เดี๋ยวกูเอาให้"
ไอ้ไธถามขึ้นแล้วเดินมายืนข้างเตียง ผมพยักหน้าลงก่อนจะยกมือลูบหน้าเพื่อคลายอาการเบลอที่ยังไม่หายดี ดวงตาคมกวดมองรอบห้องแต่ไม่เจอคนที่ต้องการ สงสัยจิณณ์จะธุระ วันนี้วัน... เสาร์สินะ

"อือ ปวดหัวฉิบหาย"

"เป็นไงบ้าง ได้ข่าวว่าพี่ทาวน์ทำมึงไข้ขึ้น"
ไอ้ฟาร์มทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงแล้วเอื้อมมือมาแตะๆ ที่ข้างแก้มคล้ายกับหยอกล้อ แต่สีหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วง

"กูอ่อนแอเองล่ะ"
ผมเบนหน้าหนีแล้วตวัดผ้าห่มคลุมตัวจนเหลือโผล่แค่ตา ไม่โทษพี่ทาวน์หรอก เพราะที่เขาพูดมาทั้งหมดมันคือเรื่องจริง สิทธิ์ของเขา หัวใจของเขา จะรักจะชอบใครมันก็เรื่องของเขา

"โอย มึงเก่งมากแล้วไอ้เจ็ท ถ้าพี่ฟาพูดแบบนั้นใส่กูบ้างคงบ่อน้ำตาแตกอะ ใครมันจะไปสู้คนที่เขาลงมือจีบได้วะ"
ผมอยากขอบคุณที่มันช่วยปลอบนะ แต่ท้ายประโยคกลับซ้ำเติมกันเต็มๆ จุกจนรู้สึกอยากร้องไห้ แต่น้ำตามันไม่ไหล ไอ้ไธถึงกับขว้างขวดน้ำในมือใส่คนปากหมาพร้อมถลึงตาอย่างเกรี้ยวกราด

"สัดฟาร์ม ไม่พูดไม่มีใครหาว่าเป็นใบ้หรอกมึง"
แก้วน้ำถูกยื่นมาให้ ผมส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะขดตัวเป็นกุ้ง อยู่ๆ ก็หนาวขึ้นมา อยากโดนใครสักคนปลอบ หัวใจมันหน่วงๆ ขึ้นมาอีกแล้ว

"กูขอโทษอะ กูมันปากไม่ดี ฮือ"
ไอ้ฟาร์มคร่ำครวญเสียงหงอย มันพยายามเอื้อมมือมาลูบไหล่ปลอบแต่โดนไอ้ไธปัดออกอย่างไม่ใยดีแล้วออกปากไล่เสียงดัง

"ไปนั่งเงียบๆ กับไอ้ตังค์เลยไป ไร้ประโยชน์ฉิบหาย"

"แง เค้าโดนไล่อะตังค์"

"นั่งเงียบๆ เถอะครับคุณฟาร์ม"
ขนาดไอ้ตังค์ยังทำหน้าเหนื่อยใจ สงสารพี่ฟาที่โดนคนแบบนี้ชอบจัง




ต่อด้านล่างน้า



ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
"เจ็ท... มึงอย่าไปใส่ใจคำพูดไอ้ฟาร์มเลยนะ"
ไอ้ไธนั่งลงแล้วเอื้อมมือมาลูบหัวกัน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและเป็นห่วง ผมส่ายหน้า ที่ฟาร์มพูดคือเรื่องจริง ใครจะไปสู้คนที่เขารู้สึกด้วยได้ พยายามแค่ไหนก็เหนื่อยเปล่า

"ที่มันพูด แค่ก ก็จริงนี่ กูจะเอาอะไรไปสู้วะ"
เค้นเสียงหัวเราะเยาะตัวเอง ถ้าเป็นเวลาปกติคงไม่อ่อนแอและงอแงอย่างกับคนใกล้ตายแบบนี้หรอก แต่ป่วยอะไรๆ ก็ดูแย่ไปหมด เกลียดสภาพแบบนี้ของตัวเองจริงๆ

"ใจมึงไง"
ไอ้ไธจิ้มจึกๆ ลงบนอกของผม ตำแหน่งหัวใจที่เต้นต่อวินาทีเป็นปกติ

"ฮะๆ ใจกูเหรอ พะ พังหมดแล้วมั้ง"

"เชื่อกู เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น"

"เอาอะไรเป็นหลักประกัน"

"พี่ทาวน์ไง... อีกสักพักจะมาเยี่ยมมึงที่นี่"
เดี๋ยวนะ เมื่อครู่ไอ้ไธบอกว่าอะไร

"มึง... ว่าอะไรนะ"
ผมถามมันด้วยเสียงฉงน ดวงตาคมจ้องเพื่อนอย่างต้องการคำตอบ ที่มันพูดออมาคืออะไร

"กูบอกพี่ฟาไปเองล่ะ รายนั้นเลยคะยั้นคะยอเพื่อนให้มาที่นี่"
แบบนี้นี่เอง ฝีมือของไอ้ไธจริงๆ ด้วย

"หึ มาเพราะคำขอของเพื่อนอีกแล้วสินะ"
ผมหัวเราะหึในลำคอ ไม่ได้ดีใจหรอกนะที่เขามาเพราะเพื่อนขอร้อง แบบนั้นยิ่งทำให้คนที่หวังเจ็บกว่าเดิมไม่ใช่เหรอ

"เขายอมมาก็ดีแค่ไหนแล้ว คนแบบพี่ทาวน์ถ้าไม่ทำเองใครจะบังคับได้"
ไอ้ไธมองมุมต่างกับผมเสมอ และนั่นก็เป็นสิ่งที่ดี หัวใจที่เคยแห้งเหี่ยวเหมือนได้รับการรดน้ำต่อชีวิต

"กูมีหวัง... ใช่ไหม"

"เออ แต่อย่าหวังสูง ตอนตกลงมามันจะเจ็บ"
หวังได้แต่อย่าสูง... นั่นสินะ ถ้าไม่คิดอะไรเลยคงดีกว่านี้

ผมหลับไปอีกครั้งหนึ่งจนถึงเวลาเที่ยงวัน  ไอ้ฟาร์มกำลังขันอาสาไปซื้อข้าวให้คนอื่นๆ เพราะอยากไปม่อพี่พยาบาลสวยๆ ถึงมันจะชอบพี่ฟาแค่ไหนก็ยังไม่ละทิ้งมาดป๋าสายเปย์อยู่ดี ช่างเถอะ อยากทำอะไรก็ทำ คนมันโสดไม่มีพันธะ ไม่ต้องคิดมาก

ไอ้ฟาร์มกำลังจะเปิดประตู แต่กลับมีเสียงเคาะตามมาด้วยใบหน้าที่ทำให้ทุกคนถึงกับชะงัก พี่ทาวน์ยืนอยู่ตรงนั้น ในมือมีถุงพลาสติก ดูท่าทางหนักๆ สงสัยจะซื้อของมาเยี่ยมคนป่วยอย่างผม

"อ้าว สวัสดีครับพี่ทาวน์"
ไอ้ฟาร์มรีบยกมือไหว้ตามด้วยคนอื่นๆ เขาพยักหน้ารับแล้วเหลือบสายตามองมาทางนี้ ผมแกล้งทำเป็นหลับตาไม่รู้เรื่องรู้ราว ดีใจที่เห็น แต่ก็ปวดใจเมื่อคิดถึงเรื่องเมื่อวาน

"อืม กำลังจะไปไหน"

"เอ่อ... ไปหาอะไรกินครับ ฝากไอ้เจ็ทด้วยนะ พวกมึงไวๆ เลย"
อยู่ๆ ไอ้ฟาร์มก็ชวนเพื่อนอีกสองคนให้ออกไปพร้อมกัน ทั้งที่ตอนแรกไม่ได้ตกลงกันไว้แบบนั้น ผมที่แกล้งหลับถึงกับเบิกตาโต นี่มันอะไร ไม่ได้บอกสักคำว่าอยากอยู่กับพี่ทาวน์สองคน บ้าฉิบหาย

"หา เอ้อ ไปๆ"
ไอ้ไธก็เออออห่อหมกไปกับมันได้ไง พากันออกไปจากห้องแล้วปล่อยให้ผมกับพี่ทาวน์เผชิญหน้ากัน ความอึดอัดแล้วแผ่ขยายตัวออก แต่ไม่นานคนที่เพิ่งมาก็เปิดปากขึ้นก่อน

"เป็นไง"
เขาถามสั้นๆ แล้ววางถุงพลาสติกลงบนโต๊ะปลายเตียง ผมมองพี่ทาวน์หยิบตราหมีออกมาใส่ตู้เย็นแล้วเบือนหน้าหนี ทำไมต้องเลือกซื้อของที่นายภาคินชอบมาด้วยวะ แบบนี้จะไม่ให้คิดเข้าข้างตัวเองได้ยังไง

"อย่างที่เห็นครับ"
ผมตอบกลับคำถามของเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบทั้งที่หัวใจเริ่มเต้นแรง หลังจากนั้นก็เกิดเดตแอร์กันไปชั่วขณะ ต่างคนต่างจ้องตากันอย่างไม่ลดละ

"มึงมันใจเซาะ"
พี่ทาวน์เป็นคนเริ่มประโยคสนทนาก่อนจะเดินมาทิ้งตัวลงที่เก้าอี้ข้างเตียง อยู่ๆ มาบอกว่าผมใจเซาะหมายความว่ายังไง ที่อาการทรุดหนักจนต้องเขาโรงพยาบาลน่ะเหรอ ใครจะไปรู้ล่ะว่าตัวเองจะเป็นไข้หวัดใหญ่แบบนี้

"อะไรครับ"

"กูแค่ล้อเล่น"
พี่ทาวน์พูดอะไร ผมไม่เข้าใจจนต้องขมวดคิ้วแน่น เขาล้อเล่นเรื่องอะไร

"เรื่องอะไรครับ"

"เรื่องไอ"

"....."

"ไม่ได้ไปรับไอ"

"ทำไม... ถึงหลอกผมล่ะ"
ผมถามเสียงอ่อยแต่หัวใจกลับเริ่มเต้นแรงทุกขณะ เมื่อวานพี่ทาวน์ต้องการอะไรกันแน่ แต่เขาไม่ได้ไปรับไอจริงๆ ใช่ไหม

"เห็นหมาหงอยแล้วตลกดี"
เสียงกลั้วหัวเราะดังขึ้นจนผมได้แต่มุ่ยหน้าใส่ พี่ทาวน์มองตรงมาก่อนจะเอื้อมมือเรียวมาขยี้หัวกัน ไม่ว่าเมื่อไหร่คนๆ นี้ก็อ่านยากเสมอ

"ขี้แกล้งว่ะ นิสัยไม่ดีเลย"
ผมบ่นงุ้งงิ้งแล้วซ่อนรอยยิ้มแห่งความสบายใจไว้ใต้ผ้าห่ม ถึงจะรู้สึกโมโหที่เขาเห็นความรู้สึกเป็นเรื่องตลก แต่มันโล่งใจมากกว่าที่พี่ทาวน์ไม่ได้สานสัมพันธ์กับไอ

"หึ มึงมันน่าแกล้ง ชอบดราม่า"

"โธ่... ก็คนมันคิดมากนี่ครับ แล้วเรื่องที่พี่จีบไอล่ะ ล้อเล่นด้วยหรือเปล่า"
ผมกลั้นใจถามออกไปแล้วเม้มปากแน่น กลัวคำตอบที่จะได้รับกลับมาเหลือเกิน เมื่อครู่เผลอก้าวกายความเป็นส่วนตัวของเขาอีกแล้ว

"เรื่องส่วนตัว ไม่จำเป็นต้องบอก"
นั่นไง โดนเข้าให้แล้ว

"อึก..."

"มึงพยายามในส่วนของมึงก็พอ"
พี่ทาวน์มองผมด้วยสายตาอ่อนโยนแล้วตบเข้าที่แก้มเบาๆ รอยยิ้มจางนั่นขอโมเมเอาเองได้ไหมว่าเขากำลังให้กำลังใจกัน พยายามในส่วนของตัวเองคือการจีบสินะ... แล้วพี่จะรับรักผมไหมครับ

"แต่ถ้าพี่ชอบเขา ผมจะทำอะไรได้"
เสียงอ่อยๆ มาพร้อมกับดวงตาเศร้าที่ทอดมองคนข้างตัว พี่ทาวน์ชะงักมือและผละออกไปก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขาจะกลับแล้วเหรอ อยู่ต่ออีกสักพักไม่ได้หรือไง

"เชื่อมั่นในตัวเองก็พอ"
เขาบอกในขณะที่หันหลังให้กัน ขายาวๆ ก้าวออกห่างจากเตียงไปแล้ว แต่ผมเพิ่งหาเสียงตัวเองเจอเลยตะโกนออกไป ถ้าพยาบาลมาด่าค่อยว่ากันทีหลังเนอะ

"สักวันพี่จะเป็นคนของผมทั้งตัวและหัวใจ!"

"หึ จะคอยดู"

คลาสเรียนช่วงเช้าจบลงในเวลาเที่ยงวัน ผมกับเพื่อนอีกสามคนกำลังเดินไปที่ลานจอดรถเพื่อออกไปดูหนังที่ห้างในตอนบ่ายที่อาจารย์ไม่ว่างสอน

"เป็นไงมึง จะเลิกทำตัวเป็นพระเอกเอ็มวีตากฝนได้หรือยัง คราวนี้นอนโรงพยาบาลตั้งสี่วัน"
ไอ้ฟาร์มพ่นคำเหน็บแนมออกมาด้วยท่าทางกวนตีนจนผมต้องเตะก้นมันให้ทีหนึ่ง คนโดนทำร้ายหันมาเบะปากใส่กัน คิดว่าน่ารักตายล่ะมึง ถีบซ้ำดีไหม หมั่นไส้

"จะกัดกูไปถึงไหนไอ้หมาฟาร์ม"

"แค่หมั่นไส้ที่พี่ทาวน์ไปเยี่ยมมึงเกือบทุกวัน"
มันเหล่สายตามองมาที่ผมซึ่งทำพยายามทำหน้าอึนอยู่ ตลอดเวลาสี่วันที่นอนโรงพยาบาล พี่ทาวน์มาเยี่ยมกันสามวัน... หัวใจโคตรพองโต แต่จะไม่แสดงออกให้เพื่อนล้อ น่าอายจะตาย พอเขาทำดีด้วยเสือกลืมที่เจ็บช้ำทั้งหมดง่ายๆ

"เขาไปหาลูกพี่ลูกน้องที่นั่นเหอะ ไอ้เยี่ยมกูน่ะ ผลพลอยได้เฉยๆ"

"แหม แต่มึงก็หน้าบานทุกวันไม่ใช่เหรอ"
ไม่พูดเปล่ายังเอาไหล่มากระแซะกันอีก ถ้าไม่ติดว่าคุยไลน์อยู่ พ่อจะง้างมือตบให้หัวทิ่มเลย น่ารำคาญ

"อย่าอิจฉา"

"เหอะ แล้วไอ้ที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับโทรศัพท์คืออะไร เป็นบ้าเหรอ"
ยังไม่วายกัดผมต่อ ผีบ้าเข้าสิงหรือไง เห็นคนอื่นมีความสุขแล้วอิจฉาริษยาแบบนี่ แต่ก็ดีไอ้ฟาร์มถาม ตอบให้มันดิ้นตายไปเลย หึหึ

"กำลังชวนพี่ทาวน์ไปกินข้าวเย็น"

"โอ๊ย เกลียดมึงอะ!"
น้ำเสียงสะบัด ใบหน้างอง้ำจนผมต้องกลั้นหัวเราะ แหย่ไอ้ฟาร์มนี่สนุกจริงๆ เลย

"พี่ฟาไปด้วย"

"อุ๊ย กูไปด้วยได้ปะ"
เปลี่ยนท่าทางทันที ไอ้กิ้งก่า!

"ไม่เกลียดกูแล้วเหรอ"

"ไม่เคยพูดแบบนั้นเลย กูรักมึงจะตาย ~"
เสแสร้งไม่พอยังเอาแขนผมไปกอดอีก เฮ้อ

"ตอแหล"
ไอ้ไธด่าพร้อมกับส่ายหน้า คงปลงตกกับเพื่อนปัญญาอ่อน ไม่รู้พวกสาวๆ ชอบมันไปได้ยังไง

"ยอมรับอะ"

"คุณฟาร์มหน้าด้านมากครับ"
ขนาดไอ้ตังค์ยังทนไม่ได้จนต้องออกปากด่า

"จุกเลยกู.... ใครด่าก็ไม่เจ็บเท่าโดนไอ้ตังค์ด่า ฮือ"

"เฮ้อ น่ารำคาญจริงๆ"
ผม ไอ้ไธ และไอ้ตังค์พูดพร้อมๆ กัน

กว่าจะดูหนังจบก็ห้าโมงกว่าซึ่งเป็นเวลาที่จิณณ์ใกล้เลิกเรียน วันนี้มันไม่ได้ขับรถไปเองเพราะต้องส่งเข้าศูนย์เช็คระยะ เมื่อเช้าก็เลยติดสอยห้อยตามคุณธามไธเอา ถือว่าเป็นโอกาสทองของเพื่อนแล้วกัน เย็นนี้เลยวานให้รอรับกลับด้วยเลย ส่วนจะไปต่อที่ไหนก็ช่างแม่ง ผู้ชายด้วยกันไม่เสียหายหรอก... มั้ง

"ไอ้ไธ กูฝากมึงรอรับจิณณ์ด้วยนะ"

"เออๆ ไม่มีปัญหา จะดูแลให้อย่างดี"
มันพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงแล้วเข้ามากอดไหล่กันจนแทบจะสิง แนบชิดจนรับรู้สึกอุณหภูมิร่างกายของอีกฝ่าย ถ้าเปลี่ยนผมเป็นจิณณ์เชื่อว่าไอ้ไธคงทำมากกว่านี้

"ดูแลนะ ไม่ใช่เอาพี่กูไปแดก"
ผมพูดดักคอด้วยน้ำเสียงทะเล้น โดนไอ้ไธถลึงตาใส่ถือว่ามิชชั่นคอมพลีทมาก อารมณ์ดีจนแกล้งชาวบ้านไปเรื่อย อีกสักพักจะร้องไห้กลับมาหรือเปล่าวะ

"วางใจเถอะที่รัก กูไม่ได้ตะกละแบบนั้น"
ขนลุกเลยกู เรียกที่รงที่รัก เก็บไว้ให้จิณณ์เถอะคำพูดนี้

"เออๆ กูไปนะ"

"อิอิ ไปน้า ~"
เสียงแรดซะไม่มี ไอ้ฟาร์ม!



------------------------------------------

พี่ทาวน์เขาใจอ่อนแล้วนะเออ จีบให้ดีนะน้องเจ็ท หึหึ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด