= MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งสุดท้าย - P.6 /จบแล้ว/ (12/02/61)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งสุดท้าย - P.6 /จบแล้ว/ (12/02/61)  (อ่าน 65790 ครั้ง)

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
แข่งครั้งที่ 13



คาบเรียนประวัติศาสตร์ศิลปะโคตรน่าเบื่อ เสียงอาจารย์ผู้สอนคล้ายเสียงกล่อมให้เข้าสู่นิทราจนอดหาวหวอดไม่ได้ ดวงตาคมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือเป็นระยะ อีกหนึ่งชั่วโมงถึงจะเลิกเรียน ข้าวก็หิว แต่หัวใจบินไปโรงอาหารคณะแพทย์แล้ว

"โอย ง่วงสัด"
เสียงบ่นของคนที่นั่งด้านซ้ายมือดังขึ้น ผมเหลือบตามองก่อนจะถอนหายใจ ตั้งใจเรียนก็ไม่แถมยังกดโทรศัพท์เล่นอีก เจริญล่ะครับคุณฟาร์ม ขยันให้ได้ครึ่งของไอ้ไธบ้างเถอะ สงสารพ่อแม่มันที่ส่งควายเรียน

"ยังมีหน้ามาบ่น ไม่จดอะไรสักตัว"
ผมว่าก่อนจะเคาะปากกาลงบนหัวเพื่อน ไอ้ฟาร์มเบะปากแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะโดยไม่สนใจว่าอาจารย์จะเดินมาแหกอกเมื่อไหร่ ดวงตาดำขลับปรือลงเป็นเครื่องยืนยันว่ามันง่วงจริงๆ เมื่อคืนมัวแต่เล่นกีฬาบนเตียงกับสาวหรือไง สภาพถึงได้เหมือนคนอดหลับอดนอนแบบนี้

"ก็กูเขียนช้าไง พยายามไปก็เท่านั้น สู้เอาของมึงไปลอกดีกว่า"
พูดด้วยใบหน้าง่วงๆ แล้วหาวใส่หนึ่งที ผมหมั่นไส้เลยผลักหัวมัน หน้าอย่างไอ้ฟาร์มเขียนช้าคนอื่นก็คงเต่าล่ะวะ ตอแหลจริงๆ

"เดี๋ยวกูเขียนลายมือหมอ ให้มึงนั่งแกะสักอาทิตย์"

"อย่าแกล้งกู ~"
เสียงบ่นงุ้งงิ้งมาพร้อมกับหัวทุยๆ ที่เลื้อยมาถูไถท่อนแขน ผมสะบัดมันออกเพราะรู้สึกขนลุก ทำตัวอย่างกับลูกหมาลูกแมวแต่ไม่ได้ดูน่ารักเลยสักนิด อยากถีบมากกว่า

"ตั้งใจเรียนสิวะ"
ผมดุแล้วจิ้มปากกาลงไปบนชีทที่ว่างเปล่า ไอ้ฟาร์มส่ายหน้าพรืดปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย บทจะขี้เกียจก็ไม่เอาอะไรเลย ต่างจากไอ้เนิร์ดที่เอาแต่หูพึ่งฟังอาจารย์ วันนี้มันมาแปลกที่ไม่แอบดูการ์ตูนในคลาส

"ก็มันเบื่ออะ"

"เลิกเรียนมึงก็กลับไปนอนให้เต็มอิ่มไป รำคาญ"
ผมออกปากไล่แล้วกลับไปสนใจสไลด์อีกครั้ง ยอมรับว่าเรียนต่อไม่รู้เรื่อง แต่ว่าดีกว่านั่งเสวนากับไอ้ฟาร์มแน่ๆ หาสาระไม่ได้เลย

"เฮ้ย ได้ไงอะ ต้องไปกินข้าวก่อนดิ"
อยู่ๆ มันก็ร้องเสียงหลงแล้วเอื้อมมือทั้งสองข้างมาจับใบหน้าของผมเอาไว้ ดวงตาดำจ้องกันอย่างไม่ลดละ ทั้งดุดันและตัดพ้อ

"เพื่อ"
ผมถามกลับไปสั้นๆ แล้วปัดมือทิ้ง รู้อยู่แก่ใจว่าเหตุผลที่ทำให้เพื่อนโวยวายคืออะไร แต่ก็อยากแกล้งให้มันตื่นตัว ไม่ง่วงซึมแบบเมื่อครู่

"ไปส่องพี่ฟาที่โรงอาหารคณะแพทย์ก่อนไง จะได้หลับฝันหวาน"
มันทำหน้าเคลิ้มแล้วยกยิ้มหวาน ผมมองภาพนั้นแล้วได้แต่ส่ายหน้าปลงๆ ขืนยังเอาแต่เพ้อหาพี่ฟาโดยไม่กล้าจีบเขา เชื่อว่าสักวันมันต้องมานั่งร้องไห้โยเย เพราะโดนหมาคาบไปแดกแน่ๆ ป๋าฟาร์มสายเปย์ในตำนานทำไมปัจจุบันถึงได้กากแบบนี้วะ

"หวานกับผีสิมึง เจอเขาก็เอาแต่มองปลายตีน ชาตินี้คงได้แดก"
ผมว่ามันด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่เต็มไปด้วยคำเจ็บแสบ ไอ้ฟาร์มถึงกับถลึงตาใส่ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเบะปากคล้ายจะร้องไห้

"หยาบคาย ฮึก!"
ด่าจบก็แกล้งบีบน้ำตาใส่ ปัญญาอ่อนแบบนี้เหนื่อยใจแทนพี่ฟาเลยว่ะ

"หุบปาก"
ผมสั่งก่อนจะเลิกสนใจ ปลายสายตาเห็นมันนั่งเม้มปากกลั้นอารมณ์จนหน้าดำหน้าแดงไปหมด สนุกที่ได้แกล้งมันแต่ก็สงสารที่ความรักไม่คืบหน้าสักที อย่าให้ช่วยเลย เรื่องตัวเองยังเอาไม่รอด ก็พี่ทาวน์น่ะ ใจแข็งชะมัด

"เถียงกันเป็นเด็กๆ"
ไอ้ไธที่นั่งอยู่อีกด้านเอ่ยขึ้นมาลอยๆ ดวงตาคมยังคงจ้องมองสไลด์ มือยังคงจดเล็คเชอร์ตามที่อาจารย์พูด ผมเหล่สายตามองเพื่อนสนิทก่อนจะเบ้ปากใส่ คนอะไรน่าหมั่นไส้ สมาธิดีจริงๆ

"พูดเหมือนตัวเองแก่จังเลยเนอะ"

"กูโตกว่าพวกมึงแล้วกัน"
ทับถมกันจบก็หันมายักคิ้วให้ ใช่สิ ไอ้สมองผู้ใหญ่ เก่งทุกอย่างยกเว้นเรื่องนายโภคิน ไม่เห็นจะคืบหน้าสักที หรือว่ามันแอบอุบอิบลงมือจีบไปแล้วแต่ไม่ยอมเล่าวะ

"ครับๆ ไม่เถียง แล้วเที่ยงนี้มึงจะไปกินข้าวที่คณะแพทย์กับกูปะ"
ผมตัดใจจากการเรียนแล้วเพราะยิ่งฟังก็ยิ่งง่วง ปากในมือถูกควงไปมาระหว่างรอคำตอบจากไอ้ไธ ที่ต้องถามเพราะมันเอาแต่บ่นว่าอาหารที่นั่นโภชนาการสูงแต่ไม่อร่อย อีกอย่างคือโดนเด็กแพทย์มองเหมือนตัวประหลาด เพราะแต่งตัวไม่เรียบร้อย

"จะไปแดกกับข้าวจืดๆ อีกแล้วเหรอ รักสุขภาพกันจังนะพวกมึง"
ปากแดกดันแต่หน้าโคตรเจ้าเล่ห์ จากที่มันตั้งใจเรียนเป็นบ้าเป็นหลังกลับยอมวางปากกาแล้วจ้องหน้ากันอย่างล่อเลียน เออ ทีใครทีมันนะมึง แต่อย่าคิดว่าคนอย่างนายภาคินจะหน้าบาง ระดับนี้ปูนซีเมนต์ยังอายครับ

"ถึงกับข้าวคณะแพทย์จะจืด แต่เด็กเขาแซ่บนะเว้ย"
ผมพูดอย่างมั่นอกมั่นใจแล้วคลี่ยิ้มกรุ้มกริ่มเมื่อคิดถึงใบหน้าของ 'เด็กคณะแพทย์' นิ่งๆ ขรึมๆ ข้างในต้องแซ่บแน่นอน ถ้าจีบติดเมื่อไหร่พ่อจะชิมให้หมดทุกส่วนเลย มันเขี้ยวเว้ย!

"ไม่ต้องใช้คำว่า 'เด็ก' หรอก หมายถึง 'พี่ทาวน์' ก็พูดตรงๆ"
ไอ้ไธเบ้ปากใส่หลังพูดจบ คงจะปลงที่ผมชอบเบี่ยงไปเบี่ยงมา ก็แหม... จะให้พูดชื่อตรงๆ มันก็เขินนี่หว่า อีกอย่าง เดี๋ยวคนอื่นได้ยินเข้าพี่ทาวน์จะเสียหาย โดนนินทาว่าเป็นเกย์ขึ้นมากูก็ซวยนะสิ คราวนี้ถูกเกลียดแน่ๆ

"รู้ทันกูตลอด"
ผมว่าเสียงอ้อมแอ้มแล้วงับปลายปากกาแก้เขิน ช่วงนี้ไม่ได้กินอมยิ้มเลยว่ะ เพราะมัวแต่คิดวิธีจีบพี่ทาวน์

"สัด ลากกูไปแดกข้าวคณะแพทย์มาเป็นอาทิตย์แล้ว ใครไม่รู้ก็โคตรควาย"
ไอ้ไธด่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง สีหน้าเหมือนกำลังหงุดหงิดอะไรสักอย่าง ผมหมดมู้ดที่จะเขินเลยดึงปากกาออกจากปากแล้วเอามาเคาะที่ขมับทำท่าคิดแทน หรือไปผิดสัญญาอะไรกับมันไว้วะ

"ด่ากูแบบนี้..."
ผมลากลากเสียงยาวแล้วเงียบไปเพราะกำลังคิดทบทวนตัวเอง รู้สึกเหมือนเคยตบปากรับคำอะไรมันไปสักอย่าง โอย ไอ้ฉิบหาย น้ำลายติดหัว

"....."
มันจ้องเขม็งคล้ายกับกดดัน และแล้วผมก็คิดออก แม่งเอ้ย วิศวะไง!

"อยากไปกินข้าวที่วิศวะบ้างล่ะสิ ~"
จำได้แล้วว่าเมื่อสองสามวันก่อนเคยพลั้งปากว่าจะพามันไปกินข้าวที่คณะวิศวะบ้างแต่ยังไม่มีโอกาสไปสักที เพราะผมกับไอ้ฟาติดลมไปส่องเด็กคณะแพทย์ โธ่ๆ ที่แท้ไอ้ไธก็งอนนี่เอง

"แดกหัวมึงนี่ล่ะ"
พอโดนจับได้ก็ก้าวร้าวใส่โดยการจะอ้าปากงับมือ แต่ผมไวกว่าเพราะหลบได้ ไม่อย่างนั้นคงนิ้วช้ำเลือดไปแล้ว

"อ้าว นึกว่าอยากแดกจิณณ์"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงรายเรียบแต่ดวงตาเต็มไปด้วยอารมณ์หยอกล้อ ลอบสังเกตปฏิกิริยาของไอ้ไธแล้วพบว่าหน้าของมันแดงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต้องมีคำอธิบายก็รู้ว่าคิดอะไรอยู่ จะแดกจิณณ์น่ะไม่ยากหรอก แค่เป็นคนสม่ำเสมอก็พอ แต่เรื่องอะไรจะบอกความลับนี้ เดี๋ยวจะสมหวังกันเร็วเกินไป หึหึ

"ไอ้เจ็ท!"
เสียงเขียว แต่หน้าแดง นี่สัญญาณไฟจราจรหรือเปล่านะเพื่อนรัก

"โอ๋ๆ หน้าแดงใหญ่เลย ไม่แกล้งแล้วๆ พรุ่งนี้สัญญาว่าจะพาไปกินข้าวที่วิศวะนะครับพี่ธามไธคนหล่อ"
ผมบอกอย่างเอาใจก่อนจะเอื้อมมือไปหยิกแก้มคนขี้งอนหนึ่งที ไอ้ไธสะบัดหน้าหนีแล้วมองกันตาขวาง บ่งบอกให้รู้ว่าไม่เชื่อใจอย่างรุนแรง

แว่วเสียงกรี๊ดของเพื่อนผู้หญิงร่วมคลาสแล้วได้แต่ถอนหายใจ พวกเธอจะจิ้นคู่เรากันไปถึงไหน อีกเดี๋ยวคงมีรูปในเพจเซ็กซี่บอยตามเคย แต่ช่างแม่งเถอะ ไหนๆ อนาคตไอ้ไธก็จะมีแฟนหน้าเหมือนผมอยู่แล้ว

"พูดแบบนี้มาสามชาติแล้ว เบี้ยวกูตลอด ไอ้ห่า"
งอนขั้นกว่าแล้วไอ้ไธ ประชดข้ามชาติกันเลยทีเดียว ไหนบอกว่าเป็นผู้ใหญ่กว่ากูไงวะ ทำไมงอแงแบบนี้

"โธ่ ก็กูกับไอ้ฟาร์มจีบเด็กแพทย์จะให้ทำไง"
ผมบอกเสียงอ่อยเพราะรู้ว่าตัวเองผิดคำพูด แล้วอีกอย่างคือต้องพึ่งเล็คเชอร์ของไอ้ไธด้วย ไม่อย่างนั้นสอบปลายภาคคงตกระนาว เอาจริงๆ เพราะไอ้ฟาร์มคนเดียวเลยที่ชอบชวนไปกินข้าวที่นั่นในวันที่นายภาคินตั้งใจจะไปคณะวิศวะ (สีข้างถลอกแล้วมั้ง แถไปเรื่อย)

"เออ ใช่สิ สองต่อหนึ่งกูก็แพ้"

"งอนเป็นตุ๊ดไปได้"
ผมบ่นเสียงเบาแต่ดูเหมือนไอ้ไธจะได้ยินเพราะมันขมวดคิ้วยุ่ง หูดีจริงๆ เลยนะมึง

"งอนเป็นผัวมึงได้ไหมล่ะ"
มันเหล่สายตามองกันแล้วขยับเข้ามาใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ผมผละตัวออกด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าเพื่อนจะกล้าเล่นใหญ่ขนาดนี้ ขนลุกไปหมดทั้งตัวเลยแม่งเอ้ย เก็บไปพูดกับจิณณ์เถอะ!

"อย่ามายุ่งกับตูดกู!"
แล้วเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากของไอ้ไธก็ดังระงมจนหมดคาบ แช่งให้ขาดอากาศหายใจตายไปตั้งหลายรอบแต่ไม่ได้ผล แม่ง หนังเหนียวจริงๆ เลย

"จะเดินหรือขึ้นรถรางไปกันครับ"
คำถามพาซื่อดังมาจากไอ้ตังค์ที่ยืนขยับแว่นอยู่ข้างๆ ผมมองมันด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามออกไป ทำไมไม่ติดการ์ตูนแล้ววะ หรือว่าลืมเอาโทรศัพท์มา

"โห ไอ้ตังค์ มึงจะเดินไปคณะแพทย์เหรอ เชิญคนเดียวเถอะครับ ไกลโคตร"
ไอ้ฟาร์มโวยเสียงดังแล้วผลักหัวเด็กเนิร์ดประจำกลุ่ม ถ้าให้เดินไปคณะแพทย์มีหวังล้มตายกันก่อนแน่ๆ แดดเปรี้ยงจนเห็นสภาวะเรือนกระจกต่อหน้าขนาดนี้ ถึงจะมีร่มไม้ให้หลบร้อนแต่ระยะทางก็ไกลหลายกิโล ไม่ไหวจริงๆ

"นึกว่าคุณฟาร์มรักสุขภาพ อยากออกกำลังกายซะอีก"
ไอ้ตังค์มุ่ยหน้าใส่แล้วขยับไปยืนข้างไอ้ไธ ผมเข้าใจคำถามแรกของมันแล้วตั้งใจประชดชัดๆ เหมือนคู่ผัวเมียทะเลาะกันเลยว่ะ มีใครจิ้นคู่นี้บ้างไหม

"เดี๋ยวนี้หัดประชดประชันนะมึง"
ไอ้ฟาร์มทำท่าจะเดินไปเอาเรื่องเด็กแว่นที่ยืนอยู่อีกฝั่ง แต่ผมคว้าคอเสื้อมันไว้ได้ทันจนเจ้าตัวไอค่อกแค่กประท้วง โทษที รั้งแรงไปหน่อย แหะๆ

"เอาน่าๆ มันเลิกดูการ์ตูนแล้วยอมไปกินข้าวด้วยกันก็ดีแค่ไหนแล้ว"
ผมไกล่เกลี่ยแต่ยังไม่วายกัดไอ้ตังค์ที่อยู่ๆ ก็ทำตัวเกร็งขึ้นมา ท่าทางแปลกประหลาดที่มันกำลังแสดงออกต้องเกี่ยวเนื่องกับไอ้พวกเด็กวิศวะที่แซวเรื่องมันติดการ์ตูนแน่ๆ ต้องสืบให้ได้ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น

"ชิ เซ็งโว้ย"
บ่นเป็นหมีกินผึ้งตลอดเลยไอ้ฟาร์มเมอร์

"ตีกันอีกแล้วพวกมึง โน่น รถรางมาแล้ว"
ไอ้ไธส่ายหัวด้วยความระอาก่อนจะชี้ชวนให้พวกเราเดินไปรอรถรางที่จุดจอด ได้ออกเดินทางกันสักที พี่ทาวน์... ผมกำลังจะไปหาแล้วนะครับ

"โอ้โห คนหรือหนอน เยอะฉิบหาย"
เสียงบ่นของไอ้ฟาร์มทำให้ผมพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย เพราะไม่ว่าจะชะเง้อคอมองไปทางไหนก็มีแต่คนทั้งนั้น ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่านักศึกษาแพทย์จะมีจำนวนมากขนาดนี้ ถ้าไม่ติดว่าชอบใช้จินตนาการจะมาสอบคณะนี้ด้วย

"บ่นจังวะไอ้ฟาร์ม"
ไอ้ไธพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ ก็สมควรจะเป็นแบบนี้ เพราะตั้งแต่ขึ้นรถรางจนถึงที่นี่ ไอ้ฟาร์มยังไม่หยุดบ่นสักที เดี๋ยวอากาศบ้างล่ะ ตารางเรียนบ้างล่ะ การบ้านบ้างล่ะ น่ารำคาญทุกช่วงเวลาจริงๆ

"โธ่ กูบ่นนิดบ่นหน่อยเองไธ"
มันกระพริบตาปริบๆ ให้เพื่อนสงสาร แต่คนอย่างไอ้ไธมันรู้ดีว่าใครตอแหลก็เลยไม่สนใจอีก ผมชะเง้อคอมองหาที่ว่าง ยังไงๆ ก็ต้องได้กินข้าวที่นี่ อุตส่าห์มีเวลาพักตรงกับพี่ทาวน์ตั้งหนึ่งชั่วโมง

"นั่น คุณทาวน์หรือเปล่าครับ"
คำสุภาพที่ไอ้ตังค์เอ่ยถามทำให้ผมต้องชะงักกึกแล้วหันไปมองตามสายตาของมัน ตรงนั้นที่มุมเสามีร่างของคนที่คุ้นเคยกับสาวสวยน่ารักคนหนึ่งที่น่าจะเป็นเด็กในคณะแพทย์ พี่ทาวน์กำลังคลี่ยิ้มเป็นธรรมชาติให้เธอ ดูมีความสุขไม่ใช้การเสแสร้งตามมารยาท

"อ่า..."
ผมครางเสียงแผ่วแล้วเบนสายตาหนี ไม่อยากเห็นภาพบาดตาบาดใจอีกแล้ว ไอ้ไธก็เหมือนจะจับสังเกตอาการได้เลยยกมือขึ้นพาดบ่าก่อนกระชับแน่น

"ไปๆ หาที่นั่งเหอะ กูหิวข้าวแล้ว"

ผมได้หน้าที่นั่งจองโต๊ะกับไอ้ตังค์ รายนั้นไม่มีแม้แต่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นเหมือนทุกที ดวงตากลมใต้กรอบแว่นดูระแวงกับอะไรบางอย่างตลอดเวลา จะเกี่ยวกับเรื่องการ์ตูนหรือเปล่าไม่แน่ใจ แล้วไอ้เด็กวิศวะที่แซวมันคือใคร ทำให้คนที่เป็นโอตาคุถึงกับเปลี่ยนขนาดนี้ ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ

ไอ้ไธกับไอ้ฟาร์มกลับมาพร้อมข้าวแกงสี่จานและขวดน้ำดื่มในถุงพลาสติก พวกมันหย่อนก้นลงนั่งประจำที่แล้วลงมือจัดการอาหารตรงหน้า แต่ผมทำเพียงแค่ใช้ช้อนเขี่ย

"เจ็ท... อย่าเอาแต่เขี่ยข้าว กินสิวะ"
น้ำเสียงดุดังมาจากคนข้างตัว ผมชะงักมือแล้วหันไปมองหน้าไอ้ไธ รู้ว่ามันเป็นห่วง แต่เพราะคิดมากเลยทำให้ความอยากอาหารลดลง ถ้าได้กินอมยิ้มตอนนี้คงจะรู้สึกดีขึ้น ใครๆ ก็เคยบอกว่ารสหวานช่วยคลายเครียดได้

"ไม่หิว"
โกหกสิ้นดี ปวดท้องจะตายอยู่แล้ว

"แค่พี่ทาวน์ยิ้มให้คนอื่นมึงจะดราม่าทำไม"
คำพูดแทงใจมาพร้อมกับแรงเคาะหัวที่ไม่แรงมากนัก ผมยู่ปากแล้ววางช้อนลงก่อนจะเอาหน้าผากดันกับไหล่ของเพื่อนสนิทด้วยอารมณ์งุ่นง่าน ทำยังไงถึงจะเลิกคิดเป็นตุเป็นตะคนเดียวสักที

"มันปวดใจนี่หว่า กับกูนี่แค่ยกมุมปากยังยากเลย"

"เขาบอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่ายิ้มตามมารยาท"
เถียงไม่ออกเลยได้แต่ถอนหายใจแล้วยอมรับ

"เออๆ กูผิดเองที่ชอบคิดมาก"
ผมผละตัวออกแล้วจำใจหยิบช้อนขึ้นมาตักข้าวใส่ปาก โดยมีไอ้ไธส่ายหัวอย่างอ่อนใจ อาหารจืดจริง ที่กินได้เพราะเด็กคณะนี้ล้วนๆ แอบคิดถึงก๋วยเตี๋ยวต้มยำที่ศิลปกรรมจัง ว่างๆ จะชวนพี่ทาวน์ไปชิม

"น้องๆ นั่งด้วยสิ โต๊ะเต็มว่ะ"
เสียงใสของใครบางคนทำให้ผมชะงักมือแล้วเงยหน้าขึ้นมองฝั่งตรงข้ามแล้วเจอกับพี่ฟาและพี่แฮม ถ้าอย่างนั้นคนที่ยืนอยู่ด้านหลังล่ะ...

"อ้าว นั่งเลยครับ"
เป็นไอ้ไธที่ตั้งสติได้ก่อนแล้วเชิญชวนให้รุ่นพี่ทั้งสามนั่งร่วมโต๊ะ ผมเบนสายตาไปมองด้านหลังด้วยหัวใจที่เต้นรัว พี่ทาวน์ตั้งใจเดินมานั่งข้างกันไหมหรืออาจจะแค่บังเอิญ

"ขยับสิ"
พี่ทาวน์สั่งเสียงเรียบแล้วพยักพเยิดให้ขยับไปชิดกับไอ้ไธ ผมมองหน้าเขาอย่างชั่งใจ ตอนนี้ควรดีใจหรือเปล่านะ

"จะนั่งข้างผมเหรอ"
คำถามโง่ๆ หลุดจากปากของผม ทำให้พี่ทาวน์ชะงักไปก่อนที่มุมปากจะกระตุกยิ้ม ทำไมรู้สึกว่าเขาเจ้าเล่ห์ขึ้นทุกวันวะ นี่นายภาคินกำลังโดนหลอกให้ติดกับดักใช่ไหม แล้วสุดท้ายก็โดนทิ้งขว้าง... เกลียดตัวเองที่ชอบมโนจัง

"หรือจะให้นั่งตัก"
พี่ทาวน์เล่นแบบนี้จะให้ผมหนีไปทางไหนล่ะวะ หลงอยู่ในเขาวงกตชื่อว่านายเมืองเหนือนี่ล่ะ พูดอย่างกับว่ามีใจแต่ดวงตากลับฉายแววสนุก น่ากลัวเกินไปแล้ว

"เอาสิครับ กับพี่ผมยอมทุกอย่าง"
เล่นมาเล่นกลับไม่โกง ผมคลี่ยิ้มหวานแต่พี่ทาวน์ถลึงตาใส่

"กูประชด ขยับ"
เสียงแข็งมาเชียว ไม่เล่นแล้วก็ได้

"ครับๆ"
ผมรีบตอบแล้วขยับที่ให้เขานั่งทันที โต๊ะมันก็จะเบียดๆ กันหน่อยเพราะมีแต่ผู้ชายตัวโตนั่งรวมกัน บางครั้งที่ขยับก็มีไหล่ชนบ้าง โคตรฟินครับ แต่ไอ้ฟาร์มนั่งเกร็งเชียว แบบนั้นจะรอดไหมวะ

"ตอนบ่ายมีเรียนไหมครับ"
ผมทำลายความเงียบระหว่างเราด้วยการตั้งคำถาม ส่วนคนอื่นที่ร่วมโต๊ะก็ชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ ดินฟ้าอากาศไปเรื่อย

"มี"

"วิชาอะไรเหรอ"

"ผ่าอาจารย์ใหญ่ บล็อกระบบหายใจ"

"อ๋อ... พี่ไม่กลัวเหรอ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เคยดูคลิปผ่าอาจารย์ใหญ่แล้วรู้สึกกลัว อยากรู้ว่าคนเรียนหมอจะคิดยังไงบ้าง

"ไม่"
พี่ทาวน์ตอบกลับโดยไร้ความลังเล ดวงตารีไม่สั่นไหวแม้แต่นิดเดียว โคตรกล้าหาญเลยว่ะ ผมดูเหมือนไอ้พวกขี้ขลาดไปเลย จริงๆ ก็แอบกลัวผีนะ...

"เก่งจัง"
ผมชมก่อนจะยิ้มให้คนที่กำลังลุกขึ้นยืนพร้อมกับจานข้าวในมือ นั่งด้วยกันไม่ถึงยี่สิบนาทีก็จะไปซะแล้ว โธ่ ขอซื้อเวลาเพิ่มได้ไหมเนี่ย

"อืม ไปล่ะ"
ขายาวกำลังจะก้าวตามเพื่อนไปแต่ผมรั้งไว้ก่อน ก็จีบอยู่ ไม่อยากพลาดโอกาสได้ใกล้ชิดนี่นา

"เดี๋ยวๆ เย็นนี้เลิกเรียนกี่โมงครับ"
ผมถามด้วยเสียงดังพอควรจนพี่ฟาชะงักเท่าแล้วหยุดรอ แต่พี่ทาวน์กลับโบกมือไล่ให้เพื่อนไปก่อน คงรู้ว่าจะโดนชวนคุยอีกสักพัก น่ารักจังวะคนเรา

"ห้าโมง มีไร"

"จะชวนไปวิ่งที่สนามกีฬา"
ที่กล้าออกปากชวนเพราะพี่ทาวน์เคยบ่นๆ ว่าช่วงนี้ไม่ได้ออกกำลังกายเลย เพราะเรียนหนักและสอบบ่อย ไม่รู้ว่าวันนี้จะไปด้วยกันได้อีกหรือเปล่า

ไอ้ไธแอบเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ล้วนๆ ไอ้ฟาร์มทำหน้าลุ้นเพราะพี่ทาวน์อาจจะหนีบเพื่อนไปด้วย ส่วนไอ้ตังค์เอาแต่หยิบขนมกินไม่สนใจชาวใคร ก็ไม่แปลกที่จะเป็นแบบนั้น เนื่องจากเมื่อครู่โดนพี่ปีสามแซวเรื่องหน้าตาจิ้มลิ้ม เด็กแพทย์สายรุกนี่มันเผ็ดจริงๆ ถึงขั้นเดินเข้ามาขอเบอร์

"กูไปหอสมุดต่อ"
แห้วอีกแล้ว แต่ก็ฉีกยิ้มไปเพราะสมองสุดบรรเจิดขึ้นอะไรขึ้นมาได้

"งั้นผมไปหอสมุดด้วย"
วิธีไหนก็ได้ที่สามารถใช้เวลาร่วมกับพี่ทาวน์ ผมยอมทุกอย่าง แม้กระทั่งเข้าไปนั่งอุดอู้อยู่ในหอสมุดที่ต้องเงียบเสียงก็เถอะ

"ไปทำไม"
พี่ทาวน์ถามพร้อมขมวดคิ้วมอง ดูเหมือนเขาสงสัยมากที่ผมขอตามไปแบบนั้น หอสมุดคณะแพทย์ เด็ก'ถาปัตย์จะอ่านอะไรได้ มึนแน่ๆ

"อยากอยู่ใกล้ๆ"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้มเพราะกลัวจะโดนหาว่าไร้สาระ แต่ผลที่ออกมากลับตรงกันข้ามเพราะพี่ทาวน์หัวเราะแล้วยังใช้มือข้างที่ว่างผลักหัวกันเบาๆ

"หึ เอาที่สบายใจ"
จบประโยคกำกวมนั้นเขาก็เดินไปเก็บจานและออกไปจากโรงอาหารพร้อมกับเพื่อนที่รออยู่ ผมแทบจะลงไปกลิ้งกับพื้นด้วยความดีใจ ถึงไม่ได้รับยิ้มหวานๆ เหมือนคนอื่น แต่ก็ไม่โดนปฏิเสธคำขอ ถือว่าการจีบเป็นไปด้วยดี

เวลาห้าโมงเย็นที่ผมตรงดิ่งไปหอสมุดคณะแพทย์โดยไม่สนเสียงโห่แซวของเพื่อนที่ดังไล่หลังมา ฟีโน่คันเก่งเคลื่อนไปตามทางอย่างไม่รีบร้อน รอยยิ้มแห่งความสุขผุดขึ้นบนใบหน้าเมื่อนึกถึงคนที่กำลังจะเจอกัน ควรซื้อขนมไปฝากดีไหมนะ

ตอนนี้ผมกำลังนั่งมองพี่ทาวน์ที่เอาแต่ตั้งใจอ่านหนังสือมาสักระยะ เขาสมาธิดีไม่มีวอกแวกเลยสักครั้ง ดวงตารีภายใต้กรอบแว่นทรงเหลี่ยมเต็มไปด้วยความมุ่งมันและจดจ่อ สถานการณ์แบบนี่ไม่อยากมีใครรบกวนหรอก แต่นายภาคินขอถือวิสาสะหน่อยแล้วกัน

"ขยันจังครับ"
ผมพูดลอยๆ แต่ความหมายเจาะจงคนตรงหน้า พี่ทาวน์ไม่ตอบสนองในทันทีเพราะยังอ่านหนังสือค้างอยู่ แค่ครู่เดียวเขาก็เงยหน้ามองสบตากัน ใส่แว่นก็ดูหล่อไปอีกแบบ ชอบจัง

"ธรรมดา จะนั่งมองกูอีกนานไหม"
พี่ทาวน์ถอดแว่นออกแล้วเอนหลังพิงเก้าอี้ ผมชะงักไปกับคำถามนั้นก่อนจะยิ้มแหยสงให้ ตลอดเวลานึกว่าเขาไม่รู้ตัวว่าโดนมองซะอีก

"มองไม่ได้เหรอครับ"
ผมถามเสียงอ่อย ไม่ยอมละสายตาจากใบหน้าขาวที่ดูอ่อนล้าเต็มที อยากจะชวนออกไปยืดเส้นยืดสายพักสมอง แต่ดูจากกองหนังสือแล้วคงทำแบบนั้นไม่ได้

พี่ทาวน์ขมวดคิ้วแน่นเมื่อฟังคำถามจบ เขาโน้มตัวมาใกล้ก่อนจะใช้นิ้วเรียวจิ้มลงที่หน้าผากของผมไม่แรงมากนัก การกระทำทั้งหมดทำให้หัวใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่ได้ อีกคนรู้ตัวหรือเปล่าว่าให้ความหวังกันมากเหลือเกิน ถ้าบอกว่าล้อเล่นตอนนี้นายภาคินถอนตัวไม่ทันแล้วนะ

"โรคจิต"
คำสั้นๆ แต่สะเทือนไปทั้งร่าง สมแล้วที่เป็นพี่ทาวน์ พูดน้อยต่อยหนัก

"ยอมรับครับ"
ผมฉีกยิ้มกว้าง ถ้าหากการนั่งมองคนที่ตัวเองชอบคือโรคจิตก็ยอมรับสถานะด้วยความเต็มใจ

"ไปซื้อกาแฟให้หน่อยสิ"
พี่ทาวน์เปลี่ยนเรื่องกะทันหันแถมยังอ้าปากหาวต่อหน้า ท่าทางตอนนี้อย่างกับเด็กง่วงนอน ทั้งน่ารักทั้งน่าฟัดในเวลาเดี๋ยวกัน ผมอยากจะเป็นคนเดียวที่ได้เห็นเขาในมุมนี้ โคตรดีต่อใจ

"ได้ครับๆ เอาอะไรดี"
ผมตอบรับเสียงใสแล้วลุกขึ้นยืนด้วยท่วงท่ากระฉับกระเฉง นี่เป็นครั้งแรกที่พี่ทาวน์ออกปากขอร้องกัน จะว่าไปตอนนี้ก็เกือบหนึ่งทุ่มแล้ว ต้องถ่อสังขารไปซื้อกาแฟที่ร้านหน้ามหา'ลัยสินะ

"มอคค่าปั่น"

"รับทราบครับผม"

ผมรีบสตาร์ทฟีโน่คันเก่งตรงไปยังร้านกาแฟหน้ามหา'ลัยทันที ระหว่างทางโดนคนรู้จักทักทายตลอดแต่ผมก็ฉีกยิ้มให้กับทุกคนเพราะกำลังมีความสุข ต่างจากเวลาปกติที่จะทำหน้านิ่งมากกว่า

ผมยืนรอเกือบยี่สิบนาทีก็ได้สิ่งที่ต้องการ มอคค่าปั่นหนึ่ง ชาเขียวปั่นหนึ่ง จากนั้นก็รีบบึ่งรถกลับหอสมุด ทางเดินที่ทอดตัวยาวสู่ชั้นสี่เงียบสงบเพราะเวลานี้นักศึกษาทยอยกลับที่พักแล้ว แต่ก็มีบางส่วนที่ยังคร่ำเคร่งกับการอ่านหนังสือ บรรยากาศช่วงใกล้สอบเป็นอะไรที่ดูน่าอึดอัดจริงๆ

ผมขมวดคิ้วเมื่อระยะสายตาไม่เจอคนที่ต้องการ พี่ทาวน์หายไปจากโต๊ะ หนังสือเล่มเดิมยังคงเปิดค้างเอาไว้ ไม่มีการเปลี่ยนหน้าคล้ายกับว่าเขาเดินออกไปทำอะไรสักอย่าง มือเรียววางแก้วน้ำลงก่อนจะเริ่มมองหาไปตามซอกตามมุม ไม่นานนักก็เจอเข้ากับร่างคุ้นตา

"พี่ทะ..."
ผมยั้งปากไว้ทันเมื่อเห็นอีกร่างที่ยืนอยู่ไม่ไกลกัน ผู้หญิงท่าทางคุ้นๆ ในความทรงจำกำลังวางมือลงบนหน้าอกของพี่ทาวน์อย่างอ้อยอิ่ง ใบหน้าหวานประดับด้วยรอยยิ้มกำลังมองอีกคนอย่างยั่วยวน  มุมอับของชั้นหนังสือเหรอ... โลเคชั่นดีนี่ เร้าใจสุดๆ

ผมหันหลังให้คนทั้งสองแล้วกลับมานั่งรอพี่ทาวน์ที่โต๊ะอย่างใจเย็น ปล่อยให้น้ำปั่นละลายไปช้าๆ โดยไม่แตะต้อง ภาพเมื่อครู่ถูกจินตนาการต่อยอดไปถึงไหนต่อไหน พยายามแล้วที่จะไม่คิด เพราะคนอย่างพี่ทาวน์คงไม่ทำอะไรประเจิดประเจ้อในที่สาธารณะ ส่วนไอ... ไม่รู้ว่าเธอนิสัยเป็นยังไง ไม่กล้าเอาความรู้สึกของตัวเองตัดสินหรอก

"มานานหรือยัง"
เสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมกับแรงกดลงมาบนรอยสักที่ท้ายทอย ผมสะดุ้งเฮือกก่อนจะยืดหลังตรง คุยกันเสร็จแล้วเหรอ ทำอะไรกันไปบ้างหรือเปล่านะ

"ห๊ะ ครับ สักพักแล้ว"
ผมตอบเสียงตะกุกตะกักเพราะสมองยังคงสับสน ดวงตาคมเอาแต่มองมือของตัวเองที่ตั้งอยู่บนตัก ต้องทำตัวยังไงต่อหน้าเขาดี

"เป็นอะไร"
พี่ทาวน์หย่อนตัวลงนั่งที่เดิมแต่ไม่ได้เริ่มอ่านหนังสือต่อ เขาปิดมันแล้วเก็บใส่กระเป๋า ผมหลับตาลงก่อนจะผ่อนหายใจออก โกหกกลับไปคงดีกว่าถามสิ่งที่อยากรู้ เพราะนั่นคือเรื่องส่วนตัว

"เปล่าครับ"

"อย่าโกหก อยากรู้อะไรก็ถามมา
ทำไมต้องโดนต้อนจนมุมทุกที

"คือ... เมื่อกี้คุยกับไอเหรอ"
ผมถามเสียงแผ่วแล้วกลั้นใจเงยหน้ามองพี่ทาวน์ เขาพยักหน้ารับอย่างง่ายดาย

"อืม เขาชวนไปกินข้าวเย็น"
ชวนไปกินข้าวเย็นต้องถึงเนื้อถึงตัวขนาดนั้นเลยเหรอ นึกว่าชวนไปกินตับซะอีก

"....."

"ปฏิเสธไปแล้ว"
เป็นคำตอบที่ทำให้ผมต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ มีสาวมาชวนกินข้าวแถมยังออกอาการอ่อยขนาดนั้น ปฏิเสธจริงๆ น่ะเหรอ

"ทำไมล่ะครับ"
ผมถามก่อนจะคว้าแก้วชาเขียวปั่นมาดูดตามพี่ทาวน์ รสชาติจืดชืด น้ำแข็งเริ่มละลาย ไม่อร่อยเลยว่ะ

"หมารออยู่"
พี่ทาวน์ตอบเสียงเรียบก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากเพียงเสียววินาทีแล้วกลับไปดูดมอคค่าปั่นแสนจืดจางนั่นต่อ

"ห๊ะ พี่กลับไปเลี้ยงหมาเหรอ"
ดวงตาคมเบิกกว้างเพราะไม่เคยคิดว่าพี่ทาวน์จะซื้อหมามาเลี้ยงหลังเลิกกับแฟน แบบนั้นมันเป็นการระลึกความหลังไม่ใช่หรือไง

"มึงไง"
เดี๋ยวนะ

"หา! หมายถึงผมเหรอ..."
ร้องด้วยความตกใจจนต้องรีบตะครุบปากตัวเองเมื่อโดนสายตานักศึกษาคนอื่นมองมา หัวใจเต้นรัวจนกลัวว่ามันจะล้มเหลวเอาตอนนี้ หมาของพี่ทาวน์เหรอ ยอมเป็นให้เลย!

"อืม"

"พี่ทาวน์แม่ง น่ารักว่ะ"
ผมสบถเสียงเบาแล้วเอาแต่มองใบหน้าขาวที่ตอนนี้มีรอยยิ้มประดับอยู่ ถึงจะไม่กว้างนักแต่เต็มไปด้วยความจริงใจ

นายภาคินได้มันมาแล้ว รอยยิ้มจริงๆ ของนายเมืองเหนือ โคตรรักเลย

"หึ ลุกขึ้นสิ หิวข้าวแล้ว"

"หมายความว่า..."

"หิวข้าว"

"ครับๆ ลุกเดี๋ยวนี้เลย"
ผมชอบวิธีชวนกินข้าวของพี่ทาวน์ว่ะ ถึงจะมึนแต่โคตรน่ารัก!

อยากสารภาพว่ากินก๋วยเตี๋ยวไปไม่รู้รสชาติอะไรเลย เพราะในตอนนั้นพี่ทาวน์ดูน่าอร่อยกว่าเยอะ แก้มแดงๆ ปากเจ่อๆ เพราะเผ็ด เหงื่อเม็ดโตที่ผุดขึ้นตามไรผมจนต้องเดือดร้อนมือเรียวคอยใช้ทิชชู่ซับออก บอกตามตรงว่าตกหลุมรักท่าทางเป็นธรรมชาตินั่นจนถอนตัวไม่ขึ้น

"ยิ้มหน้าบานเชียวนะมึง"
เสียงล้อเลียนดังจากคนที่เอาแต่ก้มกดโทรศัพท์อยู่ข้างๆ เห็นจิณณ์จดจ่ออยู่แบบนั้นตั้งแต่ผมกลับเข้าห้องจนอาบน้ำเสร็จ ผ่านไปเป็นชั่วโมงๆ คุยกับใครนักหนา สาวในสต็อกอีกเหรอ

"แน่นอน คนมีความสุข"
ผมตอบก่อนจะพยายามเหล่สายตามองหน้าจอโทรศัพท์ ทำไมชอบปรับตัวอักษรเป็นขนาดเล็กวะ เสือกไม่ถนัดเลย เซ็ง

"ได้พี่ทาวน์เป็นเมียแล้วหรือไง"
จิณณ์เงยหน้าขึ้นมามองด้วยแววตาล้อเลียน ผมผงะถอยหลังเพราะไม่ทันตั้งตัว กำลังส่องได้ที่เลยแม่ง ตกใจหมด



ต่อด้านล่าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-08-2017 09:29:23 โดย Ch0cmint »

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
"แค่เขาชวนไปกินข้าวด้วยก็บุญหัวแล้วไหม ถามมาได้"
ผมแสร้งทำน้ำเสียงหงุดหงิดเพื่อกลบอาการลนลานของตัวเองแล้วเบนสายตาไปดูรายการทีวีที่ถูกเปิดทิ้งไว้ เหลือบมองนาฬิกาติดผนังก่อนจะพบว่าเกือบสี่ทุ่มแล้ว ทำไมจิณณ์ยังไม่อาบน้ำ

"ฮ่า ล้อเล่นน่า"
มันหัวเราะแล้วละความสนใจไปจากผม มือเรียวเรียวพิมพ์ข้อความตอบกลับอีกครั้ง ลอบสังเกตจากใบหน้าของจิณณ์แล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว ยิ้มอะไรของมัน...

"เล่นเกมอยู่หรือไง"
ถามลองเชิงก่อนจะเอนหัวซบไหล่มันอย่างเนียนๆ องศานี้เห็นชัดกว่ายืดคอเสือกเยอะ คุยกันนาทีต่อนาทีแบบนี้ กิ๊กชัวร์เลยว่ะ เพื่อนกูจะแดกแห้วอีกแล้วเหรอ

"เปล่า คุยกับไอ้ไธอะ"
คำตอบของจิณณ์ทำให้ผมสะดุดลมหายใจไปหนึ่งจังหวะ เมื่อครู่หูเพี้ยนหรือเปล่านะ ได้ยินอะไรไทยๆ

"ใครนะ"
ผมถามย้ำเพื่อความแน่ใจแล้วก้มลงมองหน้าจอแชทของจิณณ์ สัด... หูไม่ได้ฝาดจริงๆ ด้วย

"ไอ้ไธไง เพื่อนมึงอะ"
ย้ำชัดเจนมากครับ เดี๋ยวนี้มันพัฒนาถึงขนาดคุยไลน์กันถี่ขนาดนี้เลยเหรอ ซุ่มเงียบสุดๆ ไอ้เพื่อนรัก!

"เดี๋ยวนี้มีคุยไลน์"
ผมเหล่มองพี่ชายแล้วผละตัวออกจากไหล่ของมัน แซวไปแบบนี้จะรู้ตัวบ้างไหมว่าผมต้องการบอกอะไรทางอ้อม

"เอ้า มันทักมากูก็ตอบ แปลกตรงไหน"
น้ำเสียงฉงนดังขึ้นทำให้ผมสรุปเอาเองว่าจิณณ์คงไม่รู้ตัวว่าโดนจีบ มันไม่คิดมากหรือไอ้ไธเนียนเกินไปวะ

"เหรอ แล้วคุยเรื่องอะไรกัน"

"สัพเพเหระว่ะ ไม่ได้เจาะจง"

"เดี๋ยวนี้ยังคุยกับสาวๆ ไหม"
อันนี้ผมถามเจาะจงว่ะ ขอโทษทีนะพี่ชาย

"โน เบื่อๆ ว่ะ สงสัยจะอิ่มตัว"
คำตอบมันชักทะแม่งๆ นะ คนเจ้าชู้บอกว่าเบื่อผู้หญิงเนี่ยนะ

"พูดอย่างกับตาแก่อายุแปดสิบ"

"มึงนี่ ปากหมาตลอด"
กูปากหมาก็ดีกว่าไอ้พวกไม่ระวังตัวเองนี่ล่ะ เขาจ้องจะกินมึงยังไม่รู้ตัวอีก ผมว่าไอ้ไธไม่ได้เนียนหรอก เพราะตามหลักความจริงแล้วคนที่เคยโดนเกลียดจะหาเรื่องมาคุยกับคนที่เคยตั้งแง่เกลียดตัวเองได้มากขนาดนี้เลยเหรอ ไม่มีทาง แสดงออกว่าอยากเข้ามาอยู่ในชีวิตแจ่มแจ้งขนาดนี้ ก็มีแต่คนอย่างจิณณ์นี่ล่ะที่ไม่รู้เรื่องอะไร

ผมปล่อยเรื่องของจิณณ์ให้จางหายไปจากความคิดเมื่อทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม มือเรียวควานหาโทรศัพท์เพราะคิดถึงใครบางคนที่เพิ่งแยกจากกันเพียงไม่กี่ชั่วโมง ตอนนี้จะทำอะไรอยู่นะ อาบน้ำ อ่านหนังสือ คุยไลน์ หรือเข้านอนไปแล้ว

Phakin
นอนหรือยังครับ

ข้อความไลน์ถูกส่งไปในเวลาเกือบๆ เที่ยงคืน ความรู้สึกผิดเริ่มก่อตัวเมื่ออีกฝ่ายไม่อ่านสักที สงสัยนอนไปแล้วแน่ๆ ดึกขนาดนี้ ก็มีแต่ผมนี่ล่ะที่ยังตาสว่างคิดถึงเขา เพ้อเจ้ออยู่คนเดียว

ผมกำลังจะกดล็อกหน้าจอโทรศัพท์แต่ข้อความแจ้งเตือนจากคนที่เผลอคืดว่านอนไปแล้วกลับเด้งขึ้นมาให้หัวใจทำงานหนัก พี่ทาวน์ตอบกลับมาเว้ย!

Muangneua
ยัง กำลังอ่านหนังสือ

Phakin
อ๋อ พรุ่งนี้มีเรียนกี่โมงครับ

ผมรีบลนลานพิมพ์กลับไป มือไม้สั่นจนกดผิดกดถูกไปหลายรอบ ไม่เข้าใจว่าจะตื่นเต้นเพื่ออะไร... แต่รู้ว่าตัวเองดีใจมากเพราะยิ้มจนปากตึงหมดแล้ว

Muangneua
แปดโมง

พี่ทาวน์ตอบเร็วจนแทบคล้ายว่าเราคุยกันนาทีต่อนาที คงกำลังพักสมองก่อนจะกลับไปอ่านหนังสือต่อล่ะมั้ง ถือว่าผมเป็นคนพิเศษหรือเปล่าถึงยอมเสียเวลาคุยด้วยแบบนี้

Phakin
อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมครับ เดี๋ยวผมเอาไปฝากที่คณะ

เนื่องจากคิดอะไรไม่ออกเลยหาเรื่องชวนคุย อีกอย่างคืออยากเจอหน้าพี่ทาวน์ แต่น่าจะพลาดเพราะลืมไปว่าตัวเองทำอาหารไม่เก่ง โธ่เว้ย สมองมีไว้คั่นหูจริงๆ ไอ้เจ็ท!

Muangneua
ไม่เป็นไร หากินเองได้

เขาปฏิเสธมาอย่างชัดเจน แต่ผมมีความมุ่งมั่นนี่นา

Phakin
แต่ผมอยากทำให้กินนี่ครับ

Muangneua
ว่างนักหรือไง

Phakin
ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับพี่ทาวน์ ผมว่างเสมอนะ

ขอหยอดหน่อยแล้วกัน ถึงจะไม่รู้ว่าพี่ทาวน์จะมีปฏิกิริยาอะไรก็เถอะ

Muangneua
ข้าวต้มปลา

Phakin
โอเค พรุ่งนี้เจอกันครับ ตั้งใจอ่านหนังสือนะ

เหี้ย ต้องรีบไปหาคนช่วยสอนทำข้าวต้มปลาแล้วเว้ย!

"จิณณ์ ~"
ผมเปิดประตูห้องนอนแล้วเรียกหาจิณณ์ด้วยเสียงหวานๆ คนที่ยังนั่งตาสว่างดูหนังรอบดึกสะดุ้งเฮือกแล้วหันขวับมามองเขม็ง

"อะไร ทำเสียงน่าขนลุกฉิบหาย"
ปากว่าพร้อมด้วยท่าลูบแขนประกอบ ผมไม่สนท่าทางรังเกียจนั่นแล้วเดินไปกอดคอพี่ชายจากด้านหลังแล้วเอาหัวซุกไซร้แถวซอกคอ

"พรุ่งนี้ตื่นเช้าๆ หน่อยได้ปะ"

"กูเรียนบ่าย จะให้ตื่นเช้าทำไม"
จิณณ์ถามก่อนจะใช้มือผลักหัวผมออก ใบหน้าที่เหมือนกันบึ้งตึง บ่งบอกให้รู้ว่ากำลังรำคาญและถูกรบกวนการดูซีรี่ย์แนวฆาตกรรมเรื่องโปรด แม่ง โรคจิตว่ะ

"สอนทำข้าวต้มปลาหน่อย"
ผมบอกเสียงอ้อนแล้วยอมผละตัวออกห่าง จิณณ์ขมวดคิ้วแล้วเอื้อมมือมาดึงแก้มผมซะยืด เจ็บแต่ก็ยอม ถ้าได้ในสิ่งที่ต้องการ

"คึกอะไรของมึง"
หน้าตาจิณณ์ตอนนี้บ่งบอกว่าหมั่นไส้และสงสัยในความขยันของผมเหลือเกิน จริงๆ ช่วงนี้ก็ไม่กระตือรือร้นทำอาหารมาสักพักแล้ว... ก็มันขี้เกียจ แต่ตอนนี้ขยันนะ

"พี่ทาวน์อยากกิน"
ผมตอบพร้อมกับฉีกยิ้มกว่า จิณณ์เบ้ปากใส่แล้วผละมือออกจากแก้มก่อนจะเอาหัวทุยๆ มาชนหน้าอกกัน ทำตัวอย่างกับกระทิง!

"โอย น้องกู โคตรลงทุน"
จิณณ์หมุนตัวมาล็อกคอกันแล้วดึงผมปักหัวลงบนโซฟาก่อนจะใช้มือขยำตามลำตัวด้วยความมันเขี้ยว ทำบ้าอะไรของมันเนี่ย มึนเว้ย!

ผมตะเกียกตะกายลุกขึ้นด้วยอาการห้องหมุน รู้สึกพะอืดพะอมจนต้องทิ้งร่างแผ่ลงบนโซฟาแล้วเอาหัวหนุนตักจิณณ์ อ้วกจะแตก ถ้าก๋วยเตี๋ยวขย้อนออกมานะ เห็นดีกันแน่

"ก็คนมันรัก จะให้ทำไง"
ผมพูดเสียงอ่อยแล้วใช้หมัดต่อยเสยคางจิณณ์ไม่แรงมากนักเป็นการเอาคืน แต่มันไม่ได้ว่าอะไรกลับยิ้มให้อีกต่างหาก

"เออๆ จะตื่นมาสอนก็ได้ นี่เพราะรักมึงนะ อยากให้น้องมีเมียไวๆ"

"รักมึงเหมือนกัน" อยากให้พี่มีผัวไวๆ เช่นกัน หึหึ


------------------------------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-11-2017 16:34:56 โดย Ch0cmint »

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
เจ็ทลงทุนมากกกก  :z1: :z1: :z1:

ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เราไม่ชอบคนที่ให้ความหวังคนอื่นเลย อย่างที่ทาวทำ เหมือนเล่นสนุกกับความรู้สึกเจ็ทมากกว่า ในเมื่อเป็นไปไม่ได้ก็ทำให้มันจบๆ ซะสิ จะยื้อเพื่อ? เหอๆ อินไปหน่อยโทษที ถ้าจะขอตัวกระตุ้นบ้างได้ไหม เอาดีๆ ไม่แพ้ทาวเลย เราสงสารเจ็ทอ่ะ // ขอบคุณค้าบบบ สนุกมากติดตามน้าาา

ออฟไลน์ Ouizzz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 640
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
ชอบอ่ะ :katai2-1:

ออฟไลน์ numay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
แข่งครั้งที่ 14




ตีห้าครึ่งไม่ใช่เวลาปกติที่ผมจะตื่นนอนเลยแม้แต่นิดเดียว แต่วันนี้มีภารกิจสำคัญต้องทำอย่างเช่น 'ข้าวต้มปลา' จิณณ์กำลังพูดถึงวิธีทำพร้อมกลับส่งทัพพีให้คนข้าวในหม้อไปด้วย เพราะกลัวจะติดก้น

"จะกินได้ปะวะ"
ผมถามอย่างกังวลแล้วมองควันสีขาวฟุ้งในอากาศ กลิ่นหอมชวนน้ำลายหก รสชาติก็ถือว่าดี เนื้อปลาไร้กลิ่นคาว แต่ไม่มั่นใจเลยว่ะ

"กินได้ดิ อร่อยแล้ว กังวลเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย"
จิณณ์ที่กำลังซอยขิง ต้นหอมและผักชีชะงักมือแล้วมองด้วยความฉงน ผมได้แต่ถอนหายใจแล้วปิดเตาแก๊สลงเมื่อคิดว่ามันคงได้ที่แล้ว

"กลัวไม่ถูกปากพี่ทาวน์"
เสียงอ่อยๆ ดังขึ้น ดวงตาคมก้มลงมองหม้อข้าวต้มฝีมือตัวเองอีกครั้ง ถึงมันจะอร่อยในความคิดของเรา แต่กับอีกคนอาจจะแย่ก็ได้ จริงไหม แล้วทำไมต้องคิดมากขนาดนี้ด้วยวะ

"แคร์เขาม๊าก"
จิณณ์เบ้ปากใส่แล้วเอามือที่ติดกลิ่นฉุนของผักมาป้ายใต้จมูก ผมผงะถอยหลังแล้วถลึงตาใส่อย่างโกรธๆ เหม็นฉิบหาย

"เออสิ"
ผมกระแทกเสียงแล้วเมินฝาแฝดตัวเองก่อนจะเปิดตู้บิวท์อินบนหัวเพื่อหากล่องทัปเปอร์แวร์ใส่ข้าวต้มปลา ต้องเอาไปฝากพี่แฮมกับพี่ฟาด้วย จะได้ไม่น่าเกลียด

"จริงจังเหี้ยๆ"
จิณณ์ยังไม่วายจิกกัดและไม่ยอมซอยผักต่อ มึงก็จริงจังกับเรื่องชาวบ้านเหมือนกันล่ะวะ พี่ใครเนี่ยโคตรขี้เสือกเลย

"รักจริงหวังแต่ง"
ผมตอบกลับไปด้วยความหมั่นไส้ จิณณ์ถึงกำสำลักอากาศอย่างหนัก ไม่เข้าใจว่าตัวเองพูดอะไรผิดตรงไหน ก็เดี๋ยวนี้เพศเดียวกะนสามารถแต่งงานจดทะเบียนได้นี่หว่า แค่มีลูกไม่ได้เท่านั้นเอง

"โอย เลี่ยน ไม่คุยกับมึงแล้ว ตักใส่กล่องเหอะ เดี๋ยวไปสาย"
มันโบกมือไล่ให้ผมทำหน้าที่ตัวเองก่อนจะโกยผักซอยบนเขียงใส่ถุงเรียบร้อย ให้ความร่วมมือดีทั้งที่บ่นตั้งแต่ตื่นนอน แบบนี้เขาเรียกซึนเดเระหรือเปล่าวะ เห็นไอ้ตังค์ใช้คำนี้บ่อยเมื่อเจอคนปากอย่างใจอย่าง

ผมแขวนถุงใส่ทัปเปอร์แวร์แล้วรีบออกรถทันทีเมื่อนาฬิกาข้อมือบอกเวลาหกโมงครึ่ง บนถนนสายหลักจราจรเริ่มติดขัด กว่าจะถึงคณะแพทย์ก็ต้องวิ่งกระหืดกระหอบหาคนที่ต้องการพบ จนสายตาปะทะเข้ากับแผ่นหลังที่คุ้นเคยเลยตะโกนเรียกแบบไม่อายใคร

"พี่ทาวน์!"
ทุกชีวิตที่อยู่ใต้ตึกคณะหันมามองผมเป็นตาเดียว ยกเว้นเจ้าของชื่อที่ทำเพียงแค่ชะงักเท้าเท่านั้น เป็นพี่ฟาที่ทักทายขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงแปลกใจ

"เฮ้ย ไอ้น้องเจ็ท หอบอะไรมาเยอะแยะวะ มาๆ เดี๋ยวช่วยถือ"
พี่ฟาเดินเข้ามาใกล้ในขณะที่ผมส่ายหน้าเป็นพัลวัน ของแค่นี้ไม่หนักหนาหรอก จะให้คนตัวเล็กมาช่วยถือมันก็ดูแปลกๆ

"ข้าวต้มปลาครับ เอามาฝากพี่ทาวน์แล้วก็พี่ฟากับพี่แฮมด้วย"
ผมแจกแจงรายละเอียดก่อนที่จะเห็นมือพี่ทาวน์ยื่นมารับของฝากไป ใบหน้าของเขาช่างเฉยเมยและเย็นชาเหลือเกิน ไม่อยากกินหรือเปล่าวะ

"หูย ลงทุนว่ะๆ ใจอ่อนกับน้องมันหรือยัง"
พี่ฟาพูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นแล้วกระแซะไหล่ใส่คนข้างตัว ผมเห็นปฏิกิริยาตอบกลับของเขาแล้วแทบหยุดหายใจ ทำไมดวงตารีถึงได้มองดุแบบนั้น เพราะโดนแซวเหรอ

"ยาก"
คำตอบสั้นๆ มาพร้อมกับตาที่เหลือบมองเพียงแค่ครู่เดียวนั้นทำให้ผมถึงกับต้องกลั้นใจ ที่ผ่านมายังพยายามไม่พอสินะ พี่ทาวน์ถึงไม่มีอาการหวั่นไหวใดๆ เลย

"โหย ใจร้ายว่ะ น้องออกจะน่ารัก"
พี่ฟาบ่นเสียงกระเง้ากระงอดก่อนจะเปลี่ยนมายืนข้างผมแล้วเอื้อมมือแตะบ่ากันเบาๆ ราวปลอบใจ ส่วนพี่แฮมเคี้ยวแซนวิชเต็มปากไม่สนใครหน้าไหนทั้งสิ้น

"น่ารักมึงก็ชอบน้องเองสิ"
คำพูดต่อมายิ่งทำให้ผมสะเทือนใจ ริมฝีปากหยักเม้มเจ้าหากันจนแน่น หัวใจเริ่มปวดหน่วงจนอยากจะร้องไห้ บอกว่าไม่ชอบกันยังดีกว่าผลักไสให้คนอื่นต่อหน้าต่อตาแบบนี้ ไม่รู้แค่แหย่เล่นหรือจริงจัง คนอย่างพี่ทาวน์นี่เดายากจริงๆ

"น้องจีบมึง ไม่ได้จีบกูสักหน่อย"
พี่ฟาบ่นเสียงเบาแล้วโดนสายตาดุๆ ของพี่ทาวน์มองมาเลยไม่พูดต่อและกลับไปที่เดิมปล่อยให้ผมยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก ควรเดินออกไปหรือชวนคุยต่อดี ทำเป็นลืมสิ่งที่ได้ยินมื่อครู่ไปซะ

"ขอบใจที่เอามาให้"
เสียงเนิบนาบดังขึ้นขัดความคิดของผมจนหมดสิ้น ดวงตาคมจ้องมองใบหน้าขาวใสที่มีรอยยิ้มบางส่งมาให้ก็พลันลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ยินก่อนหน้านี้ไปจริงๆ

"ครับ กินแล้วก็ช่วยติชมกันด้วยนะครับ ครั้งหน้าจะได้พัฒนาฝีมือ"
ผมคลี่ยิ้มหลังจบประโยคหวังให้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้ารู้ถึงจุดประสงค์แอบแฝง ดูเหมือนเขาจะเข้าใจในทันทีเพราะได้ยินเสียงหัวเราะหึในลำคอ

"หึ จะจีบกูด้วยของกินหรือไง"
คำถามมาพร้อมการยักคิ้วกวนก่อนที่เขาจะยกถุงทัปเปอร์แวร์ขึ้นมองในระดับสายตา สงสัยกำลังประเมินว่าข้าวต้มปลาจะกินได้หรือเปล่า ถ้ามองเลยพี่ทาวน์ไปสักนิดจะเห็นคนรักการกินอย่างนายหมูแฮมพยักหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย พี่คงหมายถึงอาหารที่จะถูกเอามาฝากในอนาคตใช่ไหม...

"ไม่ได้เหรอ"
ผมถามเสียงอ้อน ไม่รู้หรอกว่าจะได้ผลหรือเปล่าแต่ยอมเสี่ยงเพื่อเอาตัวเองไปอยู่ในสายตาเขาทุกวัน เคยอ่านเจอทฤษฎีหนึ่งที่ว่าความใกล้ชิดทำให้เกิดความชอบพอ ต้องขยันทำคะแนนแข่งกับพวกสาวๆ แล้ว ไม่อย่างนั้นคงได้แดกแห้วทั้งสวนแน่

"ตามใจ กูไปล่ะ"
พี่ทาวน์ตอบก่อนจะลากเพื่อนสนิททั้งสองคนเดินขึ้นบันไดไป คำตอบของเขายังคงไม่ชัดเจนเหมือนเดิม เดาไม่ได้เลยว่าเขาเต็มใจหรือเปล่าที่จะได้รับความหวังดีจากผม

วิชาเรียนผ่านไปอย่างเชื่องช้า วันนี้ไอ้ฟาร์มลาป่วยเลยกะว่าตอนเที่ยงจะไปเยี่ยมมันที่บ้าน ถ้าได้ลากพี่ฟาไปด้วยมันคงหายเป็นปลิดทิ้งหรือไม่แน่คงออกอาการหนักกว่าเดิมเพื่ออ้อน แต่ผมจะเอาอะไรไปอ้างพาเขาไป ก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น

ช่วงพักสิบห้านาทีก่อนผจญภัยงานเขียนแบบต่อนั้น ต่างคนต่างหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น หน้าจอสี่เหลี่ยมปรากฏแจ้งเตือนจากไอจีเลยกดเข้าไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก็พี่ทาวน์เป็นคนแท็กรูปมา

Muangneua_t มีเด็กเอามาฝาก อร่อยดี

รูปกล่องทัปเปอร์แวร์เปิดฝาโชว์ข้าวต้มปลาที่โรยผักเรียบร้อยดูหน้าตาน่ากินโผล่ขึ้นมาต่อสายตา ผมอ่านแคปชั่นแล้วได้แต่ยิ้มกริ่ม รสชาติถูกปากพี่ทาวน์ทำให้มีแรงฮึดสู้จะทำเมนูต่อไป คงต้องลุกขึ้นมาเรียนการทำอาหารอย่างจริงจังเพื่อเอาเสน่ห์ปลายจวักมัดใจเขา (นี่คือวิธีการสู้กับผู้หญิงพวกนั้นเหรอ)

ผมเลื่อนสายตาเพื่ออ่านคอมเม้นท์มากมายด้านล่างด้วยหัวใจที่เต้นแรง อยากรู้ว่าคนรอบตัวของเขามีความคิดเห็นอะไรกับเรื่องนี้บ้าง ออกตัวจีบแรงขนาดนี้จะมีคนรู้เรื่องหรือเปล่านะ

Catty.s เด็กคณะไหนเอ่ย ~ อยากรู้จัง

สถาปัตย์ครับ

Mr.Fafar มีลงไอจี ฮิ้ววว

อย่าแซวดิพี่

Ham_master เออ อร่อยจริง เสน่ห์ปลายจวักให้ผ่าน

โอย ขอบคุณมากครับพี่แฮม

RU.Sexyboys อุ๊ย เด็ก'ถาปัตย์หรือเปล่า เมื่อเช้าเห็นเดินออกมาจากคณะแพทย์

ผมเองล่ะครับแอดมิน จำแม่นจัง

Thamthai.t พี่ทาวน์... กล่องข้าวหน้าตาคุ้นๆ ว่ะ ของเพื่อนผมปะ

ไอ้นี่ก็เกินไป กล่องทัปเปอร์แวร์นั่นก็หน้าตาเหมือนๆ กันเป็นล้าน


Minta_Ai อยากให้พี่ทาวน์ป้อนจัง

ออกตัวแรงจังว่ะ พอกดเข้าไปดูไอจีของเธอก็พบว่าเป็นไอที่ชอบมาอ่อยพี่ทาวน์ แม่ง คิ้วกระตุกเลยกู ผมต้องเอาคืนบ้าง

Phakin_jet ถ้าอร่อย ก็ใช้บริการบ่อยๆ นะครับ ยินดี ^^

ผมกดส่งไปแล้วกดล็อกหน้าจอเพื่อเก็บโทรศัพท์เพราะนักศึกษาเริ่มทยอยกลับเข้ามาในห้องและอาจารย์กำลังฉายสไลด์ต่อ แต่ต้องชะงักเมื่อโทรศัพท์มีแรงสั่นเกิดขึ้น

Muangneua_t @Phakin_jet อืม พรุ่งนี้ขอไข่กวนกับขนมปังปิ้งแล้วกัน

มิชชั่นคอมพลีส!

"ยิ้มหน้าบานเกินไปแล้วมึง"
เสียงแซวดังมาจากคนข้างตัวที่กำลังนั่งจ้องมาที่ผมด้วยสายตาล้อเลียน ในมือของมันมีดินสอที่หมุนไปมา ทำตัวเท่จนน่าหมั่นไส้เนอะคนเรา

"อย่าอิจฉาครับคุณไธ"
ผมพูดเสียงร่าเริงก่อนจะยักคิ้วกวน รู้อยู่แก่ใจว่าโดนไอ้ไธล้อเรื่องอะไร เพราะเมื่อครู่มันก็เข้าไอจีเหมือนๆ กัน สงสัยคงตั้งใจส่องจิณณ์ รายนั้นชอบอัพเดทเรื่องราวชีวิตของตัวเองผ่านรูปภาพจะตายไป

"กูไม่ได้อิจฉา แต่มึงดูเหมือนคนบ้า"
ไอ้ไธเอาดินสอจิ้มลงบนแขนกันด้วยความเบื่อหน่าย สายตาที่ส่งมาบ่งบอกว่าไม่ได้อิจฉาอย่างที่ปากบอกจริงๆ

"ปล่อยๆ กูบ้างเหอะน่า"

"เออๆ"

"แล้วมึงกับจิณณ์เป็นยังไงบ้าง เห็นมีคุยลงคุยไลน์"
ได้ทีก็หยิบเรื่องจิณณ์มาพูดเพราะสงสัยในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ในปัจจุบัน ดูจะเข้ากันในฐานะเพื่อนใหม่ได้ดี แต่ไม่ก้าวหน้าในเรื่องของความรักเลยจนน่าเป็นห่วง

"ก็คุยเรื่องทั่วไป"
มันตอบแบบไม่ใส่ใจแล้วหันไปสนใจสไลด์เนื้อหาที่อาจารย์กำลังอธิบาย ผมสังเกตท่าทางของเพื่อนแล้วได้แต่หงุดหงิด คุยเรื่องทั่วไปทุกวี่ทุกวันก็เท่ากับเนียนปะวะ

"เนียนนะมึง"
ผมแซวพี้อมกับเหล่มอง แต่ผลลัพธ์ที่ได้เกินคาดไปเพราะไอ้ไธหันมาถลึงตาใส่กัน มือที่จับดินสอขีดเขียนแทนปากกาหยุดชะงัก

"เปล่าเลย กูไม่ได้เนียนเชี่ยไรทั้งนั้นล่ะ"
น้ำเสียงที่ตอบกลับมาฟังแล้วให้ความรู้สึกหน่วงๆ ในหัวใจ ถึงมันจะหยาบแต่แฝงไปด้วยความเศร้า

"อ้าว มึงไม่ได้กำลังเนียนจีบจิณณ์เหรอวะ"
ผมขมวดคิ้วมอง ตอนนี้เหมือนเราทั้งสองคนไม่เคยรู้จักนิสัยใจคอของกันและกันเลย ไม่รู้ว่าไอ้ไธคนเก่าที่กล้าหาญสำหรับทุกเรื่องหายไปไหน เพราะอีกฝ่ายเป็นจิณณ์ที่แอบชอบมานานอย่างนั้นเหรอ

"จะให้จีบยังไงวะ อยู่ๆ บอกจิณณ์ว่าชอบงี้เหรอ กูไม่โดนถีบหรือไง"
ไอ้ไธถอนหายใจปิดท้ายประโยคแล้วเลื่อนมือไปนวดขมับตัวเองคล้ายกับคนหาทางออกให้ชีวิตไม่ได้ ผมมองเพื่อนอย่างเข้าใจ ใครๆ ก็กลัวความเปลี่ยนแปลงทั้งนั้น

"ก็บอกแล้วว่าต้องลองเสี่ยงดู ถ้าช้ามึงอาจจะแดกแห้วอีกรอบนะ"
ผมบอกไอ้ไธไปแบบนั้นเพราะอยากให้ลองเสี่ยง ถ้าพลาดโอกาสครั้งนี้ไปอาจจะแย่ เพราะไม่มีครั้งไหนที่จิณณ์ออกปากว่าเบื่อความรักและพวกผู้หญิงเลย มันเป็นนาทีทองที่ควรไขว่คว้าไว้

"อย่าไซโคดิวะ กูยิ่งเครียดๆ อยู่"

"เปล่าเลย กูพูดความจริงทั้งนั้น"

"เออๆ เย็นนี้กูจะคุยกับจิณณ์"
สุดท้ายมันก็แพ้แรงยุยงของผมเข้าจนได้ แต่ไม่คิดเลยว่าจะรีบร้อนขนาดนี้!

"เยี่ยมยอด ต้องแบบนี้สิวะเพื่อน"

เที่ยงวันที่ต้องลงกันอย่างดิบดีว่าจะไปเยี่ยมไอ้ฟาร์มกลับต้องล้มเลิกเมื่อคนอย่างเด็กเนิร์ดประจำกลุ่มโดนแซว

"ไอ้เด็กโอตาคุนี่หว่า"
คนหนึ่งในกลุ่มเด็กวิศวะที่พากันมากินข้าวเที่ยงที่โรงอาหารศิลปกรรมเอ่ยขึ้น ผมหันขวับไปมองทางนั้นแล้วได้เจอกับใบหน้าที่คุ้นเคยของคนรู้จัก ไอ้เอยนี่หว่า  ทำไมวันนี้มันทิ้งจิณณ์มาที่นี่วะ

"เออ วันนี้มากับใครวะ หน้าคล้ายๆ ไอ้จิณณ์เลย"
อีกคนหนึ่งพูดสันนิษฐานคล้ายกับว่ากำลังนินทาอยู่ไกลๆ แต่เปล่าเลย ผมยืนอยู่ตรงหน้ามันเนี่ย สัด

"อ้าว ไอ้เจ็ท มึงเป็นเพื่อนไอ้เนิร์ดนี่เหรอ"
ไอ้เอยเงยหน้าขึ้นทักทายด้วยน้ำเสียงสดใสแต่ขมวดคิ้วมองคนข้างๆ ตัวของผม ไอ้ตังค์เบียดจนแทบจะสิงร่างกันอยู่แล้ว กลัวอะไรขนาดนั้นวะ

"เออ มีอะไรกับไอ้ตังค์หรือเปล่า"
ถามกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วกวาดตามองบรรดาเด็กวิศวะสายเถื่อนตรงหน้า ดูพวกมันจะแปลกใจเรื่องหน้าตาของผมมากกว่าจะสนใจไอ้ตังค์อย่างก่อนหน้านี้ สงสัยจิณณ์ไม่เคยเล่าว่าตัวเองมีฝาแฝดชัวร์ๆ ตลกดี แต่ละคนทำหน้าอย่างกับเจอผี

"ดูๆ เพื่อนมึงหน่อยนะ ติดการ์ตูนเข้าขั้นโคม่าจนเดินชนคนอื่นไปทั่ว"
ไอ้เอยพูดพร้อมกับเหล่มองคนที่เอาผมเป็นเกาะกำบัง สายตาไม่ได้ต่อว่าแต่มันกรุ้มกริ่มแปลกๆ ถ้าไม่เคยรู้จักมันมาก่อนจะคิดว่าแอบพิศวาสไอ้ตังค์

"หืม เดินชนมึงเหรอ"
ผมถามก่อนจะมองไอ้เอยสลับกับเพื่อนตัวเองที่เอาแต่มุดแผ่นหลังราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นสัตว์ร้ายที่จ้องทำร้าย เกิดอะไรขึ้นมากกว่านี้แน่ๆ ค่อยไปซักฟอกมันทีหลังแล้วกัน

"ชนกูก็ดีสิ นี่แม่งไปเดินชนพี่ปีสามที่คณะ ไม่โดยกระทืบตายก็บุญหัวแล้ว"

"ไม่คิดจะพูดอะไรบ้างเหรอตังค์"
ผมหันไปพูดกับเด็กที่ตอนนี้ถือว่าอยู่ในปกครอง เจ้าตัวไม่มีเถียงสักแอะซึ่งผิดวิสัยของไอ้ตังค์มาก โดยปกติแล้วมันไม่ชอบให้ใครมาว่าเรื่องที่ติดการ์ตูนงอมแงมแบบนี้ เพื่อนสนิทอย่างเราๆ ยังโดนตอกกลับด้วยคำพูดเจ็บแสบ แล้วไอ้เอยมันดีเด่มาจากไหนวะ หรือเพราะหน้าเถื่อน อาจจะใช่

"ไม่มีครับคุณเจ็ท"
ไม่เถียงก็ว่าแปลกแล้ว แต่ทำเสียงอ่อยกับท่าทางหวาดกลัวคืออะไร ผมอยากถามซะตรงนี้ว่าระหว่างสองคนเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเจอสายตาอ้อนวอนของตังค์เลยทำให้เปลี่ยนใจแล้วเก็บงำความอยากรู้เอาไว้ ถ้าเค้นจากมันแล้วไม่ตอบก็มีไอ้ฟาร์มที่นอนเป็นผักเปื่อยอยู่ในเหตุการณ์อีกคน

"เออ ไว้กูจะเตือนมันเอง แล้วนี่จิณณ์ไปไหน"
ผมเปลี่ยนเรื่องที่คุยอย่างแนบเนียนแล้วยืนรอคำตอบจากไอ้เอยนิ่งๆ เด็กวิศวะคนอื่นยังนินทาในระยะเผาขนว่า 'ไอนี่เป็นพี่น้องกับจิณณ์หรือเปล่าวะ' หรือ 'มันเป็นแค่คนหน้าเหมือน ที่เหมือนเหี้ยๆ' เกือบจะตอบไปแล้วว่าเนื้อคู่มั่งด้วยความหมั่นไส้ อยากรู้ทำไมไม่ถามตรงๆ วะ เห็นกูเป็นอากาศธาตุเหรอ น่ารำคาญฉิบหาย

"อ้อ ไอ้จิณณ์ไปกับเด็กในสต็อกมันนั่นล่ะ"
เอยตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ พลางยักคิ้วหลิ่วตาให้ตังค์ ผมว่าชักทะแม่งๆ แล้วนะ สองคนนี้มีซัมติงชัวร์ โอยแม่ง คันปากเว้ย เดินออกไปจากตรงนี้ได้เมื่อไหร่จะถามทุกอย่างที่อยากรู้เลย

แต่เมื่อครู่ไอ้เอยบอกว่าอะไรนะ... จิณณ์ไปกับเด็กในสต็อกอย่างนี้นเหรอ ก็ไหนง่าเลิกคุยกับผู้หญิงพวกนั้นแล้วไง ผมขมวดคิ้วด้วยความฉงนกะจะถามเจาะลึกกว่านั้นว่าเป็นใครแต่หางตาเห็นใบหน้าของไอ้ไธไม่สู้ดีเลยคิดว่าจบแค่นี้จะดีกว่า

"เหรอ เออๆ ไว้ค่อยคุยกัน กูไปเรียนต่อแล้ว"
ผมโบกมือลาไอ้เอยก่อนจะลากเพื่อนสนิทออกมาจากสถานการณ์น่าอึดอัด ไอ้ไธเดินจ้ำอ้าวน้ำทุกคนไปที่อาคารเรียนรวมเพื่อเจอมรสุมวิชาภาคบ่าย ส่วนไอ้ตังค์เป็นมนุษย์ที่ไม่ชอบความเร่งรีบเลยเดินเคียงข้างกันไปเรื่อยๆ

อากาศตอนนี้อึมครึมคล้ายฝนจะตกคงเหมือนจิตใจของใครบางคนที่ไม่สดใจ

"ตังค์"
ผมเรียกชื่อคนที่เดินข้างกันเมื่อรู้สึกว่าระหว่างเราความเงียบมีอิทธิพลมากเกินไป ตังค์สะดุ้งแล้วปรายสายตามองเป็นเชิงถามว่ามีอะไร เชื่อว่าในใจลึกๆ มันคงภาวนาไม่ให้ถามเกี่ยวกับเรื่องไอ้เอย แต่ขอโทษเถอะเพราะกูอยากรู้

"มึงกลัวไอ้เอยเหรอ"
ผมถามตรงประเด็นโดยที่ลอบสังเกตปฏิกิริยาตอบกลับของตังค์ด้วยหางตา คนโดนถามถึงกลับชะงักเท้าไปหนึ่งจังหวะก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบ

"เปล่าครับคุณเจ็ท"

"กูไม่เชื่อ ท่าทางเมื่อกี้มันฟ้อง"

"คุณเจ็ท... อย่าถามอะไรผมเรื่องนี้เลยนะ"
ตังค์หลบสายตาก่อนจะเร่งความเร็วของฝีเท้าเพื่อหนีกัน แต่อย่าหวังว่าคนอย่างผมจะยอม สงสัยจนหัวแทบระเบิดอยู่แล้ว นิสัยมันเปลี่ยนไปจนน่ากลัว จากที่เคยติดการ์ตูนทุกช่วงเวลากลับหยุดดูเหมือนมีใครมาปิดสวิซต์ความคลั่งไคล้

"ทำไมวะ ไอ้เอยทำร้ายมึงเหรอ"
ผมก้าวยาวๆ ไปคว้าข้อมือของมันเอาไว้ให้หยุดเดิน ตังค์สะดุ้งและสะบัดตัวทันทีเมื่อโดนสัมผัส ไหล่บางกำลังสั่นเหมือนคนกำลังจะร้องไห้

"ปะ เปล่าครับ"
น้ำเสียงขาดห้วงของคนที่ยืนหันหลังให้ทำให้ผมถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะงัดท่าไม้ตายออกมาใช้

"ตังค์... จะเล่าเองหรือจะให้กูไปถามเอาจากไอ้ฟาร์ม"
ผมพูดเสียงนิ่งแล้วเอื้อมมือไปบีบไหล่ตังค์เป็นการกดดัน ถ้าไม่เป็นห่วงจะไม่ถามหรือคาดคั้นสักคำ แต่เพราะเป็นเพื่อนเลยอยากช่วยแก้ปัญหา อยากเป็นที่ปรึกษาให้

"คุณเจ็ท..."
ตังค์หันมามองด้วยแววตาสั่นไหว ปากบางเม้มเข้าหากันเหมือนไม่อยากเล่าอะไรออกมา แต่เชื่อเถอะว่าสุดท้ายแล้วมันก็แพ้

"เล่ามา"

ตังค์บอกว่าวันนั้นเดินไปที่ลานจอดรถอาคารเรียนรวมพร้อมกับไอ้ฟาร์ม ด้วยความที่ไม่ได้สนใจทางเพราะมันแต่ก้มดูการ์ตูนเลยทำให้เดินชนกับรุ่นพี่ปีสามคณะวิศวะ ฝ่ายนั้นดูโกรธมากเพราะโทรศัพท์มือถือหล่นพื้น

เขากระชากคอเสื้อไอ้เนิร์ดแล้วง้างหมัดต่อยโดยไม่พูดจา แต่ไอ้ฟาร์มกลับขัดขวาง เรื่องราวเลยเริ่มบานปลายเมื่อฝ่ายรุ่นพี่หาว่าพวกมันลามปาม ก่อนที่จะโดนกระทืบไอ้เอยก็เข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยให้ จนรอดปลอดภัยออกมาทั้งสามคน

เหตุการณ์ระทึกกว่าเกิดขึ้นตอนที่ไอ้ตังค์โดนเอยขอให้ไปส่งที่คณะเป็นการตอบแทน มันเสือกไปสะดุดก้อนหินในลานเกียร์เข้าให้เดือดร้อนคนตัวโตกว่าต้องรีบถลาเข้าไปประคอง แต่ไม่รู้ทำอีท่าไหนปากถึงประกบกัน...

จูบแรกของไอ้เด็กเนิร์ดเสียไปด้วยความไม่ตั้งใจกับผู้ชายที่มีพันธะแล้ว ควรสงสารหรือสมน้ำหน้าในความซุ่มซ่ามดีเนี่ย แล้วไอ้นิสัยที่ติดการ์ตูนหายไปเพราะโดนเอยขู่ว่าถ้าเจอกันแล้วเอาแต่ก้มหน้าดูอะไรแบบนั้นอีก จะจับจูบให้ปากเปื่อย... มันโคตรร้ายครับหัวหน้า!

จบเรื่องของไอ้ตังค์ผมก็ต้องกุมขมับเรื่องไอ้ไธต่อ ตั้งแต่เข้าเรียนจนมาถึงตอนนี้ ราวๆ สองชั่วโมงได้ มันไม่หือไม่อือ ไม่ทำแม้แต่หยิบปากกาออกมาจดเล็คเชอร์ตามแบบฉบับคนขยัน เอาแต่นั่งเหม่อมองไปด้านหน้า โบกมือก็แล้ว แลบลิ้นปลิ้นตาใส่ก็แล้ว ไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับมาเลย หรือวิญญาณหลุดออกจากร่างเพราะตรอมใจเรื่องจิณณ์... บ้าน่า

"ไธ... มึงเป็นส้วมหรือไง"
ผมตัดสินใจชวนมันคุยด้วยประโยคคำถามแปลกๆ ซึ่งมันก็ได้ผลดีเพราะเจ้าของชื่อหันขวับมามองกันด้วยดวงตาขวาง เปรียบเทียบกับส้วมแค่นี้จำเป็นต้องเกรี้ยวกราดใส่ด้วยเหรอวะ

"ส้วมเชี่ยอะไรของมึง"
ดีกรีของการด่ามีความแรงไม่มาก มาแค่เชี่ยไม่ใช่เหี้ย...

"ก็มึงนั่งซึมมาเป็นชั่วโมงแล้ว"

"จะให้กูยิ้มหน้าบานเหรอวะ"
ถ้ามึงยิ้มได้กูคงโทรให้รถพยาบาลมารับไปตรวจแล้วล่ะ เพราะพอจะรู้ว่าไอ้ไธหมายถึงเรื่องอะไร

"ไอ้เอยอาจจะพูดเล่นก็ได้ มึงอย่าคิดมาก"
ผมแค่ตั้งขอสันนิษฐานเพื่อให้เพื่อนสบายใจ เพราะไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วไอ้เอยพูดจริงหรือพูดเล่นกันแน่ ไม่ได้สนิทกันถึงขั้นรู้นิสัย

"นั่นเพื่อนสนิทของจิณณ์ไม่ใช่หรือไง"
มันถามด้วยน้ำเสียงตึง ดวงตาฉายแววปวดร้าวจนผมต้องเอื้อมมือไปวางบนหัวทุยแล้วออกแรงลูบช้าๆ เป็นการปลอบประโลม รู้สึกจิตใจพวกเรานี่สามวันดีสี่วันไข้จริงๆ เลยว่ะ

"ก็ใช่ แต่มึงจะฟังความข้างเดียวเหรอ"

"กู... ไม่อยากหวังอะไรเลยว่ะเจ็ท"

"งั้นมึงอยู่เฉยๆ กูจะถามจิณณ์เรื่องนี้เอง"
ผมตัดบทแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากเข้าไลน์แล้วพิมพ์ข้อความรัวๆ ส่งไปให้จิณณ์ โดยมีสายตาของไอ้ไธจับจ้องอยู่ตลอดเวลา

Phakin : กูเจอไอ้เอยที่โรงอาหารคณะ แต่ไม่เจอมึง แอบหนีไปไหนวะ

ผมเปิดหน้าแชทค้างไว้เพราะเดาได้ส่าอีกไม่เกินห้านาทีคนอย่างจิณณ์คงตอบกลับมา ก็ช่วงนี้เห็นติดโทรศัพท์อย่างกับอะไรดี แต่สาเหตุนั้นไม่ทราบแน่ชัด

Phokin : เมื่อเที่ยงอะเหรอ กูออกไปกินข้าวกับพี่ญี่ปุ่นมา

ผ่านไปแค่หนึ่งนาทีก็มีข้อความตอบกลับเด้งขึ้นมาให้ผมได้อ่านและเริ่มพิมพ์ถามต่อด้วยความสงสัย พี่ญี่ปุ่นนี่ใครวะ ไม่คุ้นชื่อ เพราะโดยปกติแล้วจิณณ์จะบอกชื่อเด็กในสต็อกให้ฟังทุกคน ไม่เคยถามความสมัครใจกูเลยว่าอยากรู้หรือเปล่า เพลีย

Phakin : ใครอีก กูไม่รู้จัก เด็กใหม่เหรอ

Phokin : เด็กใหม่ห่าอะไรเล่า พี่ยุ่นไง พี่รหัสกูน่ะ

ผมกรอกตาแล้วคิดถึงพี่รหัสของจิณณ์ที่นานๆ ครั้งจะได้ยินมันพูดถึง จำได้ลางๆ ว่าแกเป็นคนคัดเลือกประกวดดาวเดือนและเป็นสาวประเภทสองที่ยังเลี้ยงงูอยู่...

Phakin : แต่ไอ้เอยบอกว่ามึงไปกับเด็กในสต็อก

ผมถามกลับไปเพราะไม่เชื่อร้อยเปอร์เซ็น ก็ทั้งหน้าตาและน้ำเสียงของไอ้เอยตอนนั้นไม่มีแววล้อเล่นเลยนี่หว่า

Phokin : ไอ้บ้านั่นเครื่องรวน เอยเพิ่งเลิกกับแฟนมาเว้ย อย่าไปฟังมันมาก

ผมอ่านข้อความจบแล้วพยักหน้าเข้าใจ แต่ต้องชะงักแล้วไล่สายตาจับใครความอีกรอบ ไอ้เอยเลิกกับแฟน สายตาที่มันมองตังค์ เชี่ย อย่าบอกนะว่าจะเปลี่ยนรสนิยมมาเคลมผู้ชาย เอาแล้วไง กลุ่มกูจะไม่มีใครผลิตทายาทให้ครอบครัวแล้วใช่ไหม

"เอาไปอ่านซะ ไอ้คนคิดมาก"
ผมส่งโทรศัพท์ให้ไอ้ไธอ่านข้อความที่โต้ตอบกับจิณณ์เมื่อครู่ มันขมวดคิ้วใส่แต่ก็ยอมรับไป สังเกตจากสีหน้าแล้วคงมีความรู้สึกหลากหลายผสมอยู่หลังจากได้รับรู้ความจริง

"พี่ยุ่น... ที่เป็นกระเทยน่ะเหรอ"
ไอ้ไธรู้จักพี่ยุ่นเพราะมันใส่ใจทุกเรื่องเกี่ยวกับจิณณ์ บางครั้งจำรายละเอียดในชีวิตของอีกคนได้ดีกว่าผมที่เป็นคนในครอบครัวซะอีก แบบนี้เขาเรียกรักจริง แต่หวังแต่งหรือเปล่าอันนี้ไม่รู้ ต้องลองถามเจ้าตัวดู

"เออ มีผัวเป็นตัวเป็นตนแล้วด้วย"
เรื่องนี้ไม่อยากจะพูดว่าผัวพี่ยุ่นเนี่ย ระดับเดือนคณะเภสัชฯ เลยนะเว้ย มาดแมนแฮนซั่ม ปล้ำเก่ง ของชอบเขาล่ะ

"จริงดิ"
ถามทั้งๆ ที่ยิ้มจนปากจะฉีก อยากจะร้องแหมให้ยาวถึงดาวอังคารจังเลยเพื่อนรัก

"ล้อเล่นมั้งสัด ยิ้มออกแล้วดิ"

"เออ ขอบใจ"
ไอ้ไธยื่นโทรศัพท์กลับมาให้พร้อมคำขอบคุณและรอยยิ้มเปี่ยมสุข ผมส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าเรื่องแค่นี้จิ๊บๆ ก่อนจะถามต่อในสิ่งที่คาใจ

"แล้วเย็นนี้ยังจะสารภาพรักกับไอ้จิณณ์เหมือนเดิมไหม"
ผมถามเสียงเรียบไม่มีแววหยอกล้อ แต่ไอ้ไธกลับแก้มแดงเถือกอย่างไม่ทราบสาเหตุ หรือว่าอากาศร้อน... ก็ไม่นะ อุณหภูมิอย่างกับขั้วโลกเหนือจนต้องดึงแขนเสื้อที่พับไว้ลง

"ดูมึงใช้คำพูด..."
เสียงด่าที่ฟังแล้วรู้สึกมุ้งมิ้งแปลกๆ ทำให้ผมสรุปได้ว่า

"มีเขินเว้ย ตกลงยังไง ถ้าจะคุยกับจิณณ์กูจะได้กลับคอนโดช้าๆ"
นี่เปิดทางให้สุดๆ แล้ว แต่ขออย่างเดียวว่าอย่าขืนใจจิณณ์เลย บางทีก็แอบขนลุกเมื่อคิดว่าพี่ชายต้องเป็นฝ่ายรับ ก็หน้าตามันเหมือนกับผมนี่หว่า!

"แล้วมึงจะไปอยู่ไหน"
ไอ้ไธถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเพราะวันนี้ผมขี่มอ'ไซต์มาเรียน ไม่ควรกลับดึกๆ ดื่นๆ แต่คนอย่างนายภาคินไม่เสียเวลาเปล่าหรอกเพราะมีเป้าหมายในชีวิตโคตรชัดเจน

"หึหึ คณะแพทย์"

หลังากเลิกเรียนต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน โดยปกติแล้วตังค์จะกลับบ้านกับไอ้ฟาร์มเพราะไปทางเดียวกัน แต่วันนี้เหตุสุดวิสัยเลยทำให้ผมต้องขี่มอ'ไซต์ไปส่งมันที่หน้ามหา'ลัยเพื่อขึ้นรถเมล์

สิ่งแรกที่ถึงจุดหมายก็สัมผัสได้ว่าคนเยอะ เบียดเสียดกันอย่างกับปลากระป๋อง นี่แค่ป้ายถ้าขึ้นรถเมล์ไปมันจะขนาดไหน ดูสภาพไอ้ตังค์สิ ตัวก็เล็กแถมยังแบกกระดานวาดรูปรุงรัง ถ้ามีคนอาสาไปส่งมันที่บ้านก็...

ปี๊นๆ

เสียงแตรรถเอสยูวีสีชานมสัญชาติญี่ปุ่นดังขึ้นพร้อมกับเข้าเทียบจอดริมฟุตบาท ถ้าจำเลขทะเบียนไม่ผิดล่ะก็... เจ้าของมันเพิ่งเจอกันไปเมื่อเที่ยงนี่เอง

"จะไปไหนกันวะ"
เสียงทุ้มดังขึ้นหลังจากที่กระจกติดฟิล์มดำลดลงจนเห็นใบหน้าหล่อเถื่อนของไอ้เอย

"กูมาส่งไอ้ตังค์ขึ้นรถเมล์"
ผมตอบก่อนจะชี้ไปที่คนข้างตัว ไอ้ตังค์ยืนหันซ้ายหันขวาเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง ถ้าปล่อยให้ขึ้นรถเองมีหวังผิดสายแน่ๆ ขี้เกียจไปตามกลับที่ปลายทาง

"ไปไหนวะ"
ไอ้เอยตะโกนถามมาอีกครั้งและมันไปกระตุ้นกล่องความทรงจำของผมให้เปิดออก บ้านตังค์อย่างนั้นเหรอ... อืม

"เอย กูฝากไอ้ตังค์ด้วยได้ปะ มันอยู่หมู่บ้านเดียวกับมีงเลย"
ผมพูดจบก็โดนไอ้ตังค์กระตุกชายเสื้อยิกแล้วยืดตัวมากระซิบเสียงรอดไรฟัน

"คุณเจ็ท ไม่เอาครับ"
น้ำเสียงฟังดูทั้งหวาดกลัวและไม่พอใจ แต่ผมไม่สนแล้วหันกลับไปพูดกับมันด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม แค่อยากพิสูจน์อะไรบางอย่าง ช่วยอดทนสักหน่อยเหอะคุณตังค์เพื่อนรัก

"เฉยๆ น่าตังค์ ไม่เคยขึ้นรถเมล์ไม่ใช่หรือไง"
หลังจากจบประโยคคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบนั้น ไอ้ตังค์ก็ทำหน้าจ๋อยก่อนจะปล่อยชายเสื้อของผม ท่าทางเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากในชีวิตเหลือเกิน แค่ให้ไอ้เอยไปส่งไม่ใช่ลากไปฆ่า

"เออ มาดิ ขึ้นเลยๆ"
ไอ้เอยตอบตกลงแล้วปลดล็อกประตูให้ ผมเอื้อมมือไปเปิดก่อนจะดันหลัง 'ลูกแมว' ประเคนเข้าถ้ำเสือ

"ขอบคุณมาก"
ผมเอ่ยขอบคุณแทนไอ้ตังค์ที่เอาแต่ตั้งสมาธขัดขืนโดยที่ไม่รู้เลยว่าแรงเท่ามดจะสู้อะไรแรงช้างได้ สุดท้ายมันก็หย่อนก้นลงบนเบาะหนังจนได้ แต่ไม่ยอมเก็บขาเข้ารถ ปิดประตูทับเลยดีไหมเนี่ย แล้วจะน้ำตาคลอเพื่อ...

"คะ คุณเจ็ท..."
เสียงสั่นๆ เรียกชื่อผมทำให้ต้องถอนหายใจออกมาแล้วเอื้อมมือไปวางแปะลงบนหัวมันแล้วออกแรงขยี้

"ไปเหอะน่า ไม่ต้องกลัว"
ผมใช้น้ำเสียงและแววตาอ่อนโยนในการบีบบังคับไอ้ตังค์ให้ยอม ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะเป็นห่วงและเพื่อพิสูจน์การกระทำของไอ้เอยในทางอ้อม เพราะประเมินภาพรวมแล้วมันน่าจะสนใจลูกแมวของนายภาคินเข้าซะแล้ว

"ก็ได้ครับ"
ผมปิดประตูให้ไอ้ตังค์แล้วโบกมือลาทั้งสองคน รถสีชานมแล่นออกไปแล้วมันก็ถึงเวลาที่จะต้องกลับไปหาจุดหมายของตัวเองสักที




ต่อด้านล่างน้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
ตึกคณะแพทย์

"วันนี้ไม่ได้เอารถมาเหรอครับ"
ผมถามคนที่เดินอยู่ข้างกันด้วยความสงสัย เพราะทิศทางที่กำลังไปคือหน้ามหา'ลัย พี่ทาวน์ดูเร่งรีบแปลกๆ

"อืม เอารถไปเข้าศูนย์"
เขาตอบกลับโดยไม่หยุดฝีเท้า ตอนนี้เป็นเวลาประมาณเกือบห้าโมงเย็นแล้ว คงจะรีบไปที่ศูนย์

"งั้น... ผมไปส่งเอารถไหม แต่มอ'ไซต์นะ"
ผมเอ่ยปากบอกแล้วเผลอยื่นมือไปรั้งไหล่เขาเอาไว้ พี่ทาวน์หนุดชะงักแล้วเหลือบมองกัน ไม่มีการปัดป้องหรือแสดงความรำคาญให้เห็น

"นั่งแท็กซี่ไปเองได้"
น้ำเสียงรายเรียบตอบกลับมาทำให้ผมได้แต่ทำหน้าหงอย ทำไมชอบปฏิเสธความหวังดีของคนที่กำลังจีบตัวเองแบบนี้วะ บางทีก็เหมือนให้ความหวัง บางทีก็ผลักไส ไม่เข้าใจความคิดของเขาจริงๆ

"ผมอยากไปส่ง นะครับพี่ทาวน์"
ผมลองใช้ลูกอ้อนที่นานๆ ที่จะทำให้ใครเห็น ทั้งน้ำเสียงทั้งดวงตา และดูเหมือนมันได้ผลชะงัดเมื่อพี่ทาวน์พยักหน้าเบาๆ

"อืม ตามใจ"

ผมเดินนำพี่ทาวน์กลับไปที่ลานจอดรถคณะแพทย์เพื่อไปเอาฟีโน่คู่ใจ บรรยากาศร่มรื่น สายลมเอื่อยๆ ยามเย็นทำให้อมยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ อยากหยุดเวลาที่มีแต่เราสองคนเคียงกันไว้ แต่ความจริงกับสิ่งที่มโนต่างกันลิบลับ เมื่อทางด้านหน้าปรากฏร่างของใครบางคนที่คุ้นตาแต่ไม่ได้เจอมาสักระยะหนึ่ง

"เฮ้ย พี่เดย์ มายืนทำอะไรตรงนี้วะ"
ผมเอ่ยทักพี่รหัสที่ยืนพิงรถยุโรปของตัวเอง ใบหน้าหล่อติดหวานหันพรึบมาก่อนที่รอยยิ้มจะคลี่ออก ผมยาวระต้นคอทำให้คนๆ นี้ดูเซอร์และเซ็กซี่ ผิวขาวราวน้ำนม มองๆ ไปก็ให้ความรู้สึกสูสีกับพี่ทาวน์

"รถเสียอะดิ แต่เรียกช่างแล้ว"
เขาตอบกลับแล้วผละตัวออกจากรถ ดวงตาหวานเหลือบมองพี่ทาวน์แต่ไม่ได้ถามอะไร

"อ๋อๆ มีคนมารับยังเนี่ย ระวังโดนฉุดนะ"
ผมเอ่ยแซวพี่รหัสตัวเองก่อนจะได้รับรังสีอำมหิตคืนกลับมา ถึงเขาจะดูน่าทะนุถนอมในสายตาหลายๆ คน แต่ขนาดความสูงกับรูปร่างไม่ได้ด้อยไปกว่าใครเลย ถ้าเล่นมวยปล้ำกันนายภาคินอาจมีโอกาสแพ้

"มีก็แปลกละ ถ้ามึงฉุดกูยอมนะ"
สายตากรุ้มกริ่มมาพร้อมกับคำหยอกเย้าชวนขนลุกทำให้ผมถึงกับเกิดอาการอึกอัก คนข้างกายขมวดคิ้วเพียงครู่เดียวก่อนจะกลับไปทำสีหน้าเรียบเฉย

"พี่แม่ง..."
ผมพึมพำแล้วเสมองไปทางอื่น ความรู้สึกลึกๆ สัมผัสได้ว่าพี่เดย์พูดเรื่องจริง จากข่าววงในของพี่ปีสองนั้นคือ 'เขาชอบน้องรหัสตัวเอง' ไม่เคยออกตัวแรง อยากมากก็แค่หยอกล้อเล็กๆ น้อยๆ

"ไปส่งหน่อยดิ ได้ปะ"
เขาร้องขอความช่วยเหลือด้วยน้ำเสียงทุ้มหวาน แววตาเว้าวอนและจริงจัง แต่ผมจำเป็นต้องปฏิเสธเพราะคนข้างกายที่เริ่มขมวดคิ้วอีกครั้งแล้วมองพวกเราสลับกันไปมา ฝนกำลังลงเม็ดซะแล้ว...

"เอ่อ คือผมต้อง..."

"กูไปแท็กซี่เอง"
พี่ทาวน์ขัดขึ้นมาแล้วเดินลิ่วๆ กลับไปทางเดิม ผมได้แต่ยืนอ้าปากพะงาบๆ พอได้สติกลับมาก็รั้งอีกคนไม่ทันซะแล้วเมื่อเขาขึ้นรถรางของมหา'ลัย... แล้วที่ยอมเดินไปด้วยกันเมื่อครู่หมายความว่ายังไง

"มีอะไรกันหรือเปล่า"
พี่เดย์ถามอย่างพาซื่อคงเพราะเห็นผมทำสีหน้ากระอักกระอวน จะก้าวตามก็รั้งรอ จะอยู่ก็กับวล สุดท้ายเลยแสดงออกครึ่งๆ กลางๆ

"อ่า... เปล่าๆ ปะ กลับกัน"
สุดท้ายผมก็ต้องยอมไปส่งพี่เดย์แทนเพราะอยากตัดปัญหาการโดนซักถามเรื่องพี่ทาวน์

"เออ เดี๋ยวแวะกินข้าวก่อนแล้วกัน จะเลี้ยงที่มึงยอมไปส่งกู"
พี่เดย์ว่าด้วยเสียงร่าเริงแล้วถือวิสาสะวาดแขนลงบนลาดไหล่ของผมก่อนจะกระชับกอดไว้แน่น ดูเขามีความสุขดี

"ได้เลยครับ ของฟรีผมไม่ปฏิเสธ"
ผมตอบกลับพี่รหัสด้วยรอยยิ้มแต่ในใจกังวลเรื่องพี่ทาวน์จะแย่ ขอภาวนาให้เขาไม่โกรธกันด้วยเรื่องแค่นี้เลยนะ แค่ปัจจุบันยังทำคะแนนไม่ได้เลย ถ้าเกิดติดลบขึ้นมามีหวังได้แดกแห้วชัวร์


------------------------------------------

มีตัวละครใหม่โผล่มาอีกแล้ว หนุ่มเซอร์ขาวๆ หล่อๆ -..-

ออฟไลน์ Ouizzz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 640
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
หมองอนแล้ววว :hao3:

ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ตัวละครใหม่ดีงามอ่ะ ขอให้เป็นตัวกระตุ้นชั้นดีนะคับ ในเมื่อทาวน์บอกว่า เจ็ทจีบทาวน์ได้ ทาวน์ก็จีบคนอื่นได้ งั้นคนอื่นก็จีบเจ็ทได้เหมือนกัน แฟร์ๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
โอ้ยดี๊ดี มีตัวกระตุ้นพี่ทาวน์มาเพิ่มม o13

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
แข่งครั้งที่ 15



"กำลังกินข้าว ใครใช้ให้จับโทรศัพท์วะ"
เสียงทุ้มของพี่รหัสดังขึ้นทำให้ผมต้องเงยหน้ามองด้วยความฉงน ปกติแล้วพี่เดย์ไม่เคยซีเรียสเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหาร แต่ทำไมวันนี้ถึงได้เคร่งนัก

ร้านอาหารที่เราทั้งสองกำลังปักหลักกันตอนนี้มันอยู่ใกล้คอนโดของพี่ทาวน์มาก ชนิดที่ว่าเดินมาเพียงห้านาทีก็ถึง ผมเพิ่งเอะใจเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วนี้เองว่าพี่เดย์ก็อยู่ที่นั่นเหมือนกัน โลกกลมฉิบหาย จนบางทีก็อยากให้มันแบนหรือเบี้ยวบ้าง

"โห นี่พี่รหัสหรือพ่อครับ ดุจัง"
ผมพูดเสียงล้อเลียนก่อนจะก้มลงไปสนใจหน้าจอสี่เหลี่ยมต่อ ไม่ได้คิดกวนตีนแต่กำลังสองจิตสองใจว่าควรส่งข้อความไปขอโทษพี่ทาวน์เรื่องที่ไม่ได้ไปส่งหรือเปล่า เขาจะโกรธไหม ยิ่งจีบยากๆ อยู่ ไม่อยากเป็นพญานก

"เวลาอยู่กับกูก็สนใจกูสิครับ"
พี่เดย์เอื้อมมือมาดึงโทรศัพท์ไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่สนว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายเสียมารยาทซะเอง ผมได้แต่ตะลึงกับการกระทำนั้นไม่ได้ตอบโต้หรือแสดงอาการไม่พอใจ เพราะอะไรบางอย่างในประโยคเมื่อครู่มันชวนให้อยากแซว

"พูดอย่างกับพี่เดย์อยากอยู่กับผมนักล่ะ หนีไปต่างประเทศบ่อยจะตาย ดร็อปเรียนไปกี่วิชาแล้วเนี่ย"
ผมเท้าแขนกับโต๊ะแล้วแบมือรองรับน้ำหนักแก้ม ดวงตาคมจ้องมองคนตรงหน้าด้วยดวงตาเปี่ยมความสนุก พี่เดย์ทำเพียงแค่ไหวไหล่แล้ววางโทรศัพท์ที่เข้าโหมดล็อกหน้าจอแล้วคืนให้ ถ้าคิดเล่นๆ  อาการเมื่อครู่เหมือนคนเป็นแฟนกันแล้วน้อยใจที่อีกคนไม่สนใจเลย ตลกดี

"ที่พูดก็เพราะอยากอยู่ด้วย ทำไมเข้าใจอะไรยากจังวะ"
พี่เดย์ก็ยังคงเป็นพี่เดย์ ที่อยากพูดอะไรก็พูด อยากแสดงสีหน้ายังไงก็ทำ แต่ทั้งหมดนั้นก็แค่ส่วนน้อย คนๆ นี้ความลับเยอะจะตาย

"คิดถึงผมล่ะสิ"
ผมแกล้งแหย่แล้วตักข้าวผัดรวมมิตรใส่ปาก รสชาติที่ได้สัมผัสมันออกจะจืดๆ ไปสักหน่อย เลยทำให้คิดถึงฝีมือของจิณณ์ ถ้าลองหัดทำไปให้เด็กคณะแพทย์ลองชิมคงจะดีไม่น้อย

"เออ คิดถึง แต่ไม่มีของฝากนะ"
คำว่าคิดถึงของพี่เดย์ทำให้ผมยิ้มได้ ส่วนของฝากน่ะ ได้รับมาจนเกินพอแล้ว สงสารกระเป๋าเงินเขาจะตาย ซื้ออะไรมาทีหนึ่งราคาไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันบาททุกที สายเปย์เหมือนไอ้ฟาร์มไม่มีผิด ดีหน่อยที่นายภาคินเป็นแค่น้องรหัสไม่ใช่เด็กเสี่ย

"ผมไม่ซีเรียสหรอกน่า"

"ก็ดีแล้ว ทำไมมึงกินเหมือนเด็กแบบนี้"
พี่เดย์มองตรงมาด้วยสายตาอ่อนโยนทำให้ผมต้องหยุดชะงักมือที่กำลังจะตักข้าวใส่ปากอีกครั้ง ตั้งแต่อาหารมาเสิร์ฟไม่เห็นว่าเขาจะแตะมันสักนิด อิ่มทิพย์หรือไงคนเรา

"ทำไมอะ"
ผมถามก่อนจะเอียงคอเล็กน้อย ไม่ได้ทำตัวแบ๊ว แต่สายตาของพี่เดย์มันมองต่ำกว่าปกติ ปาก คอ หรือหน้าอกกันนะที่เป็นจุดโฟกัสของเขา แล้วเรื่องกินน่ะเหมือนเด็กตรงไหน มูมมามก็คงไม่ใช่ ที่บ้านสอนมารยาทมาดีจะตาย ไม่เชื่อถามจิณณ์ได้เลย

"มุมปากเลอะ เดี๋ยวกูเช็ดให้"
เขาพูดพร้อมกับเอื้อมมือมาตรงหน้า ผมผงะถอยหลังด้วยความตกใจ แต่ดูเหมือนคนมีความพยายามจะไม่แคร์อะไรแม้แต่สายตาคนในร้าน ขออย่าให้มีใครเอารูปตอนนี้ไปลงเพจมหา'ลัยเลย แท็กประจำตัวปัจจุบันก็เยอะอย่างกับดอกเห็ดหน้าฝน ดูเป็นคนสำส่อนอีกต่างหาก #เจ็ทจิณณ์ #เจ็ทไธ #เจ็ททาวน์ อย่าให้มี #เจ็ทเดย์อีกเลย

"ดะ เดี๋ยว ไม่ต้อง..."
ผมเอ่ยห้ามเสียงตะกุกตะกักแต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นนิ้วเรียวที่บรรจงเช็ดมุมปากให้อย่างที่บอกไว้ แต่ไม่หยุดเพียงแค่นั้นเมื่อมันไล้ไปเรื่อยอย่างเชื่องช้า เล่นเอาขนในกายลุกชัน หัวใจเต้นรัว ไม่รู้ว่าตื่นเต้นหรือกลัวมากกว่ากัน

"ปากมึงนุ่มจัง น่าจูบ"
เสียงกระซิบของพี่รหัสทำให้ผมสติกระเจิงไปไกล ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าปลายนิ้วอุ่นผละออกจากริมฝีปากตอนไหน ที่ผ่านๆ มาไม่เคยมีความคิดในเชิงลบกับพี่เดย์เลยถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเกย์ แต่ตอนนี้ความเชื่อมั่นกลับสั่นคลอดอย่างน่ากลัว

"อะ..."
ผมพูดอะไรไม่ออก ได้แต่กระพริบตาปริบๆ มองคนตรงหน้า ความคิดในหัวกำลังตีกันอย่างหนัก ตกลงว่าเมื่อครู่เขาพูดเล่นหรือจริงจัง ไม่ชอบสถานการณ์ต่างคนต่างมองแบบนี้เลย พูดอะไรบ้างสิวะพี่เดย์

และเหมือนเขาจับความรู้สึกของผมได้เลยคลี่ยิ้มบางแล้วเอื้อมมือมาขยี้หัวกันสองสามครั้ง เสียงหัวเราะใสๆ ดังขึ้นคล้ายกับมีความสุขเต็มประดา สรุปว่านายภาคินโดนแกล้งสินะ

"กูล้อเล่นน่า กินๆ เดี๋ยวจะเย็นซะหมด"
เขาบอกก่อนจะตักกุ้งในต้มยำใส่จานของผมอย่างเอาใจ คำพูดสวนทางกับการกระทำเหลือเกิน แต่ถ้าพี่เดย์ไม่บอกอะไร จะถือว่านี่คงเป็นการดูแลของพี่รหัสที่ควรปฏิบัติต่อน้องรหัสคนหนึ่งเท่านั้น

หลังจากกินข้าวเสร็จเขาก็งอแงจะกินไอติมต่อแต่ไม่มีรสชาติที่ต้องการขายเลยชวนให้ผมไปอีกร้าน แต่ด้วยความกังวลเรื่องของใครอีกคนเลยทำให้ตอบปฏิเสธไป สุดท้ายกลายเป็นว่าบิงซูถูกสั่งมายื้อเวลาอยู่ด้วยกันแทน

ผมไม่ถนัดกินของหวานแต่ยกเว้นอมยิ้มเลยนั่งมองพี่รหัสตักเกล็ดน้ำแข็งสีนมเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย รอยยิ้มหวานปรากฎขึ้นทำให้รู้ว่าเขามีความสุขในช่วงเวลานี้

ดวงตาคมมองไปรอบร้านอย่างไรจุดหมายเพราะเริ่มเบื่อและไม่มีอะไรทำจนไปสะดุดกับร่างที่คุ้นเคย ใบหน้าด้านข้างที่ผมจำได้ดี เขากำลังยืนสั่งกาแฟอยู่ตรงเค้าน์เตอร์บาร์ คงเป็นมอคค่าเย็นหรือแบบปั่นแน่ๆ

"พี่ทาวน์..."
ผมเรียกชื่อเขาเบาๆ แล้วจ้องอย่างไม่วางตา พี่เดย์คงรับรู้ได้ถึงความผิดปกติเลยเงยหน้าขึ้นมาถาม ยอมหยุดมือที่กำลังจะส่งบิงซูเข้าปาก

"หืม มีอะไรหรือเปล่า"

"ผมขอตัวแป๊ปนะ เดี๋ยวกลับมา"
ผมบอกอย่างรีบร้อนแล้วลุกขึ้นโดยไม่สนท่าทางมึนงงของเขา พี่ทาวน์กำลังเดินออกจากร้านไปแล้ว อะไรบางอย่างร้องเตือนว่าครั้งนี้อาจจะมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นระหว่างเรา ดีหรือร้ายค่อยมากันอีกที

"พี่ทาวน์ครับ รอก่อน!"
ผมตัดสินใจเรียกชื่อเขาเมื่อประตูรถสัญชาติยุโรปป้ายแดงเปิดออก ถ้าช้ากว่านี้คงพลาดโอกาสพูดคุยกัน พี่ทาวน์หยุดชะงักแล้วเอี้ยวคอมอง ใบหน้าเรียบเฉยนั้นไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกเหมือนอย่างเคย จะว่าชินก็ชิน แต่ตอนนี้กลับไม่ชอบมันเลย

"มีอะไร"
น้ำเสียงช่างเย็นชาจนคนฟังอยากร้องไห้

"คือเรื่องที่ไม่ได้ไปส่ง..."
ผมเอ่ยปากยังไม่ทันจบประโยค พี่ทาวน์กลับพูดแทรกขึ้นมาราวกับไม่อยากฟัง ดวงตารีคู่สวยเสมองไปทางอื่น มันไม่ปกติจริงๆ เหตุการณ์ตอนนี้ เหมือนทุกอย่างกำลังจะพังและไม่สามารถสานต่อได้

"กูไม่ได้สนใจ กลับไปกินข้าวเถอะ เดี๋ยวพี่มึงจะรอนาน"

"ผมอยากขอโทษ"
ถึงเขาจะไม่สนใจตามที่ปากว่าจริงๆ แต่ผมยังรู้สึกผิด ก็เป็นฝ่ายตื้อไปส่งเอง แล้วก็เบี้ยวเอง... มันใช้ได้ที่ไหน ผิดคำพูดกับคนที่กำลังจีบอยู่แบบนี้

"ช่างมัน มึงจะไปไหน ทำอะไรก็ไม่เกี่ยวกับกู ขอตัว"
พี่ทาวน์สอดตัวเข้ารถแล้วทำท่าจะปิดประตู ใบหน้าของเขายามพ่นคำเหล่านั้นออกมาทำให้ผมรู้สึกว่ามันคือการประชดประชัน โมโหเพราะผมไม่ได้ไปส่งเหรอ

"เดี๋ยวสิครับ พี่โกรธผมใช่ไหม"
ผมใช้มือยั้งประตูรถเอาไว้จนพี่ทาวน์หันมาถลึงตาใส่ คงเริ่มหงุดหงิดที่โดนเซ้าซี่แน่ๆ

"กลับไปหารุ่นพี่เถอะ อย่ามาเสียเวลากับคนอย่างกู"
น้ำเสียงที่ใช้บอกช่างเย็นชาจนผมแทบหยุดหายใจ ดวงตาไร้ซึ่งความรู้สึกที่จ้องมาทำให้หัวใจเริ่มเต้นช้าลง ทุกอย่างบ่งบอกว่าความพยายามของนายภาคินควรจบลงสักที

"พี่ทาวน์หมายความว่า..."

"กูไม่ได้ชอบผู้ชาย"
ชัดเจนยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ถึงพี่ทาวน์จะพูดเสียงเบาแค่ไหน แต่ผมกลับได้ยินมันจนก้องไปทั้งโสตประสาทการรับรู้ ต้องปล่อยมือจริงๆ แล้วใช่ไหม พยายามไปก็ไม่ได้อะไรกลับมา บางทีการแอบรักเหมือนไอ้ไธคงมีความสุขมากกว่าโดนปฏิเสธแบบนี้ เจ็บว่ะ คราวนี้คงไปต่อไม่ไหวแล้ว

"เข้าใจแล้วครับ ขอโทษที่ทำให้รำคาญ"
ผมก้มหัวให้พี่ทาวน์อย่างจำนนต่อคำพูด ฝืนคลี่ยิ้มเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเดินหันหลังกลับไปหาคนที่รออยู่ พี่รหัสคนดี น้องรหัสโดนเหยียบย่ำหัวใจแล้วล่ะ ช่วยอะไรได้บ้างไหม

"กลับมาสักที บิงซูละลายหมดแล้ว"
น้ำเสียงติดงอนดังขึ้นพร้อมด้วยใบหน้าหวานบึ้งตึง แต่ผมทำเพียงแค่ก้มหัวลงเพื่อเป็นการขอโทษแล้วนั่งลงที่เดิม จะไม่พยายามฝืนยิ้มให้กับพี่เดย์หรอกนะ มันเหนื่อยเกินไป

"ขอโทษที่ให้รอครับ"

"ไม่เป็นไร แต่มึงน่ะทำหน้าอย่างกับหมาอกหัก"
ไม่ทันไรคนพูดตรงก็ทักกันอย่างเจ็บแสบ ผมได้แต่นั่งเงียบปล่อยให้ความคิดต่างๆ ไหลไปตามเวลา จนสุดท้ายก็หลุดเสียงหัวเราะเยาะความผิดพลาดของตัวเอง ก็พี่ทาวน์เป็นผู้ชาย ที่ไม่พิศวาสเพศเดียวกันมันก็ถูกแล้ว หวังอะไรอยู่กันแน่นายภาคิน คำตอบออกจะชัดเจนขนาดนั้น

"ฮะๆ ก็คงอย่างที่พี่เดย์พูดนั่นล่ะ ผมอกหัก"
พูดโดยไม่เงยหน้ามองใครทั้งนั้น ขอบจตามันร้อนผ่าว ปากเม้มเข้าหากันแน่นเพื่อเก็บกักความรู้สึกเสียใจเอาไว้อย่างสุดความสามารถ จะไม่ร้องไห้แสดงความอ่อนแอให้ใครต้องหนักใจอีก

"ไอ้เดือนมหา'ลัยปีที่แล้วน่ะเหรอ"
คำถามที่มาด้วยน้ำเสียงราบเรียบทำให้ผมสะดุ้งแล้วเงยหน้ามองพี่เดย์ คนที่ไม่ค่อยสนใจอะไร กลับรู้ว่าน้องรหัสจีบใคร... ควรดีใจใช่ไหม

"พี่รู้ได้ยังไง..."

"กูไม่รู้ก็แปลกแล้วเจ็ท มึงประกาศตัวว่าจีบเขาลงโซเชี่ยลขนาดนั้น ไม่เห็นใจกูเลยเนอะ"
ท้ายประโยคมีรอยยิ้มบางประดับอยู่บนใบหน้าหวาน ดวงตากลมฉายแววเสียใจอย่างไม่ปิดบัง มันแสดงให้เห็นว่าคนๆ นี้รู้สึกกับผมอย่างไรโดยไม่จำเป็นต้องถาม มันไม่ใช่ข่าวลือแต่เป็นความจริง

"พี่เดย์..."
ผมคราวชื่อเขาเสียงแผ่ว มือกำเข้าหากันแน่น เพราะเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้พี่ทาวน์ไล่ผมกลับมาอยู่ในที่ของตัวเอง ซึ่งมีใครปักหลักรอตรงนี้ไม่เคยหนีไปไหน

"ถึงกูไม่เคยบอกมึงตรงๆ แต่ก็รู้อยู่แก่ใจใช่ไหมว่าอะไรเป็นอะไร"
เขาพูดโดยไม่ได้มองหน้าผม มือเรียวจับช้อนคนบิงซูในถ้วยไปเรื่อยคงไม่อยากให้เกิดความกดดันระหว่างเรา ถ้าหากสบตากันอาจมีความรู้สึกอึดอัด

"ก็... ครับ"
ผมรับด้วยเสียงแผ่วเบาและไม่ยอมละสายตาจากคนตรงหน้า พี่เดย์เป็นคนน่ารัก นิสัยดี พูดตรง แสดงออกชัดเจน ไม่เคยมีเรื่องเจ้าชู้สาวให้ใครจับผิด ถึงจะหล่อแถมสวยเขาก็ออกปากปฏิเสธคนที่เข้ามาจีบอย่างเด็ดขาด ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ต่างจากใครบางคนเหลือเกิน ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันความเสี่ยงสักอย่าง

"ถ้าหมอมันไม่รักก็กลับมาหาเด็กสถาปัตย์เซอร์ๆ แทนได้ไหม"
คำขอร้องของพี่เดย์กระตุกใจผมอย่างแรง ดวงตากลมฉายแววอ้อนวอนและเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก แต่...

"ผมไม่ได้ชอบ... ผู้ชาย"
ซึ่งมันเป็นเรื่องจริงที่ผมเฝ้าบอกตัวเองมาเป็นร้อยครั้ง ถ้าชอบผู้ชายคงหวั่นไหวกับไอ้ไธไปนานแล้ว ดูแลดียิ่งกว่าเพื่อนสนิทคนอื่นเป็นไหนๆ แทบจะเหมือนคู่ผัวตัวเมียเข้าไปทุกวัน

"แล้วไอ้เดือนนั่นเป็นผู้หญิงหรือไงเจ็ท"
พี่เดย์เริ่มเสียงแข็ง มือที่กำช้อนอยู่ถึงกับขึ้นข้อขาว ผมเข้าใจความเจ็บปวดที่โดนปฏิเสธแบบนี้นะ แต่จะให้รับความรู้สึกของเขาไว้โดนที่ไม่มีวันเป็นไปได้มันก็เลวเกินไป

"เขาเป็นผู้ชายคนเดียวที่ผมชอบ"
ผมย้ำชัดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ถึงแม้หัวใจจะเจ็บปวดแต่ความชอบยังอบอวลอยู่ไม่เปลี่ยน โดยทำร้ายมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ยังตัดใจไม่ได้ และไม่รู้ว่าสิ่งที่เพียรพยายามมาตลอดนั้นมีผลต่อพี่ทาวน์บ้างหรือเปล่า หวั่นไหวบ้างไหม

พี่เดย์สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้คล้ายคนหมดแรง ดวงตาที่มองตรงมากำลังตัดพ้อทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกโดยมีตัวผมเป็นคนก่อเหตุ ไม่แปลกใจที่จะได้เห็นอาการนี้จากเขา รู้สึกผิดที่หักอกเขา แล้วพี่ทาวน์ล่ะ ตอนพูดประโยคร้ายๆ ออกมาคิดอะไรอยู่

"ฮะๆ เจ็บดีว่ะ โดนคนอกหักมาหักอกตัวเองต่อแบบนี้"
น้ำเสียงสั่นเครือบ่งบอกความรู้สึกของคนตรงหน้าได้ดี ฝ่ามือเรียวบางตีลงบนอกซ้ำๆ คล้ายกับตอกย้ำความเจ็บที่เกิดขึ้นด้านใน ปวดใจใช่ไหมครับพี่เดย์ ผมก็ไม่ต่างกันหรอก

"ขอโทษครับ"
ผมเอ่ยขอโทษด้วยแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเมื่อตัดสินใจว่าตัวเองไม่ควรอยู่ตรงนี้ต่อ จะด้วยเหตุผลอะไรก็ช่าง

"กูไม่ยอมแพ้หรอกนะเจ็ท"
ในขณะที่ผมหันหลังเตรียมจะเดินออกจากร้าน ประโยคที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นของพี่เดย์ทำให้ต้องชะงักเท้าและเม้มปากเข้าหากัน อยากบอกเขาเหลือเกินว่าให้ตัดใจสักที แต่ในเมื่อตัวเองยังทำแบบนั้นไม่ได้ก็ควรเงียบดีกว่า 'ความรักไม่สามารถบังคับได้' มันคือคำนิยามที่ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัยจริงๆ

"....."
ผมตัดสินใจก้าวต่อไปเพราะไม่อยากรับรู้เรื่องราววุ่นวายอีกแล้ว แต่ใครจะคิดว่าพี่เดย์ไม่สนใจคนอื่นจนตะโกนไล่หลังกันมาแบบนี้ ถ้าวันรุ่งขึ้นมีข่าวแปลกๆ ตามเพจมหา'ลัยจะไม่ตกใจเลย

"บางทีกูอาจชนะใจมึง ก่อนที่มึงจะชนะใจหมอซะอีก"
และนั่นคือประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยินจากปากพี่รหัส

ผมขี่ฟีโน่กลับคอนโดด้วยสติที่มีไม่เต็มร้อย หลายครั้งที่ต้องเบรกกะทันหันเมื่อจะชนท้ายรถคันหน้า สมองเอาแต่คิดวกไปวนมาเรื่องคำพูดของพี่ทาวน์ ที่ผ่านมาคนให้ความหวังก็คือเขา แต่สุดท้ายก็ดับฝันด้วยมือของเขาอีกครั้ง ตกลงว่าเห็นนายภาคินเป็นแค่ของเล่นชั่วคราวใช่ไหม พอมันน่าเบื่อก็ทิ้งขว้างไม่ใยดี

แต่แววตากรุ่นไปด้วยความไม่พอใจที่ผมสังเกตได้ครู่หนึ่งจากพี่ทาวน์คืออะไรกันนะ หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลยจริงๆ

ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างหมดแรงเอนหัวพิงกับพนักแล้วลืมตามองเพดาน ปล่อยความคิดให้ไหลไปเรื่อยๆ ไม่อยากขยับ ไม่อยากพูด ไม่อยากคุยกับใครทั้งนั้น แต่มันเป็นไปไม่ได้เมื่อจิณณ์กำลังเดินเข้ามา

"เจ็ท... ทำไมตาแดงแบบนั้นวะ ใครทำอะไรมึงหรือเปล่า"
คำถามแรกจากปากฝาแฝดมันช่างตรงจนผมเผลอหัวเราะเยาะตัวเองเป็นรอบที่สิบของวัน ดวงตาคมปิดลงอย่างอ่อนล้าแล้วทบทวนสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ ตาแดงเพราะกลั้นความรู้สึกทุกอย่างเอาไว้ ไม่ได้ร้องไห้เพราะกลัวว่ามันจะไม่หยุดไหล

"วันนี้เจอพี่เดย์"
ผมเอ่ยปากเมื่อจิณณ์ทิ้งตัวลงนั่งข้างกัน จานผลไม้ในมือถูกส่งมาตรงหน้าแต่มันโดนผลักกลับไปเพราะไม่มีอารมณ์จะกิน รู้สึกตึงเครียดจนอยากอ้วกเอาของเก่าออกมามากกว่า

"พี่รหัสมึงอะนะ กลับมาจากออสเตรเลียแล้วเหรอ"
จิณณ์ถามก่อนจะเลิกคิ้วด้วยความฉงน มือเรียวหยิบฝรั่งชิ้นพอดีคำใส่ปากแล้วเคี้ยวหงุบหงับ ดูมีความสุขดีทุกประการ สงสัยไอ้ไธยังไม่ได้พูดเรื่องนั้นแน่ๆ

"อืม"

"ไม่ดีใจหรือไง"

"ตอนแรกก็ดีใจ แต่ตอนนี้โคตรรู้สึกแย่"

"เกิดอะไรขึ้น"
จิณณ์ถามแล้วชะงักมือที่กำลังหยิบเชอร์รี่ ผมเหล่สายตามองเพียงครู่เดียวก่อนจะถไลตัวไปตามโซฟา

"พี่ทาวน์... เขาไล่ให้กูกลับไปอยู่ในที่ของตัวเอง อกหักนี่เจ็บเนอะจิณณ์"
พูดออกไปก็คิดถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น อยู่ๆ หัวใจก็บีบรัดจนรู้สึกเจ็บจนต้องยกมือขึ้นกุมหน้าอกไว้ ขอบตาเริ่มร้อนผ่าวขึ้นอีกครั้ง ถ้าพี่ทาวน์เป็นฝ่ายโดนปฏิเสธบ้าง เขาจะอ่อนแอเหมือนนายภาคินตอนนี้หรือเปล่านะ

"เดี๋ยว กูงง เมื่อเช้ายังดีๆ อยู่เลยไม่ใช่เหรอวะ"
จิณณ์เกาหัวแกรกแล้ววางจานผลไม้ลงบนโต๊ะ สีหน้าบ่งบอกว่างงจริงๆ ไม่ได้พูดเล่น ผมก็รู้สึกไม่ต่างจากมันในตอนแรก แต่เวลานี้เหมือนจะพอเข้าใจอะไรมากขึ้นแล้ว สาเหตุที่โดนไล่ออกมาในจุดที่กำลังก้าวออกไป

"เขาเจอพี่เดย์พร้อมกู คงดูออกว่าอะไรเป็นอะไร... อึก"
ถ้าผมคิดเข้าข้างตัวเองแล้วถูกคงเป็นข่าวดีที่ว่า พี่ทาวน์ประชดเพราะเริ่มรู้สึกดีๆ ด้วย แต่นั่นก็แค่เรื่องมโน ความจริงคงเป็นแบบที่เจ้าตัวบอกมา

ผมก็ไม่ได้ชอบผู้ชายนะ แต่ในหัวใจมันมีพี่ แปลกตรงไหนครับ

"พี่เดย์เป็นฝ่ายที่ชอบมึงนะ กูงงเว้ย ไม่เข้าใจคนหัวสมองดีว่าเขาคิดอะไรอยู่"
ขนาดจิณณ์ยังรู้ว่าพี่เดย์คิดยังไง ผมมันบ้าเองที่เอาแต่ปัดให้มันเป็นแค่ข่าวลือ โง่จริงๆ เลยนะนายภาคิน

"ช่างแม่งเถอะ พรุ่งนี้สอนทำไข่กวนหน่อยดิ"
ผมบอกแล้วลุกขึ้นยืนบิดซ้ายบิดขวาเพื่อไล่ความเมื่อยขบ ผิดสัญญากับพี่ทาวน์ไปเรื่องหนึ่งแล้ว จะให้มีอีกเรื่องคงไม่ดีนักถึงแม้ว่าโดนเขาไล่ออกมาจากชีวิตแล้วก็เถอะ ครั้งสุดท้ายที่เจอกันอยากให้มีแต่ความทรงจำดีๆ

"ยังจะทำอาหารให้พี่เมืองเหนือกินอีกเหรอวะ เขาไล่ขนาดนี้แล้ว"
จิณณ์พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด มือเรียวกระตุกชายเสื้อให้ผมหันไปสบตาด้วย เข้าใจว่าเป็นห่วง แต่ขอเถอะ ขอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวแล้วสัญญาว่าจะกลับมาอยู่ในที่เดิม

"คงเป็นครั้งสุดท้ายที่กูจะเอาตัวเองไปยุ่งวุ่นวายกับเขา..."

"เออ เจ็บก็ถอยออกมารักษาตัว แต่ถ้ายังตัดใจไม่ได้ค่อยใส่เกราะเดินเข้าไปสู้ใหม่"
จิณณ์เป็นพี่ชายที่เก่งเรื่องแบ่งรับแบ่งสู้ที่สุด และรู้ว่านิสัยของผมเป็นยังไง ความชอบไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ และมันไม่สามารถปิดฉากได้ภายในชั่วโมงเดียวเช่นกัน

"ขอบคุณนะจิณณ์ที่เข้าใจกู"

เช้าวันใหม่ท้องฟ้าช่างสดใสต่างจากอารมณ์และความรู้สึกของผม ในกล่องทัปเปอร์แวร์บรรจุไข่กวนร้อนๆ จากเตาพร้อมขนมปังปิ้งหอมกรุ่น มือเรียวเริ่มสั่นเมื่อขาก้าวเข้าสู่คณะแพทย์

"สวัสดีครับพี่ๆ วันนี้ผมเอาไข่กวนกับขนมปังปิ้งมาฝาก"
ผมเอ่ยทักทายทุกคนด้วยน้ำเสียงที่พยายามปั้นให้เป็นปกติ คู่กรณีทำเพียงแค่ปลายตามองแล้วเริ่มเก็บของลงกระเป๋า คิดหนีกันสินะ เอาเถอะ วันนี้นายภาคินแค่จะมาเจอหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย ไม่รู้ว่าในอนาคตสามารถตัดใจได้ไหม หรือแค่กลับไปตั้งหลักเตรียมความพร้อมเพื่อจีบอีกครั้ง

"โห ขอบใจๆ กำลังหิวอยู่พอดีเลย"
พี่ฟาเดินมาคว้าทั้งถุงของกินและข้อมือของผมให้ไปนั่งด้วยกัน แต่คนหน้านิ่งก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับหอบสัมภาระไว้ในอ้อมแขน

"กูขอขึ้นห้องก่อนแล้วกัน"
เขาพูดจบก็หันหลังเดินออกไปท่ามกลางเพื่อนสนิทที่ยังมึนกับการกระทำนั่น พี่ฟาถึงกับอ้าปากค้าง พี่แฮมถึงกับเบิกตาโต ส่วนผมได้แต่ถอนหายใจและคลี่ยิ้มเยาะตัวเองซ้ำ

"เฮ้ย ไอ้ทาวน์ อะไรของมึงเนี่ย สั่งน้องมันทำแล้วไม่กินเหรอ!"
คนตัวเล็กตะโกนไล่หลังแล้วมองตามพี่ทาวน์จนลับสายตา ดูท่าทางจะโกรธ

"ไม่เป็นไรครับ พี่ๆ ช่วยกินส่วนที่เหลือด้วยนะ ผมคงไม่เอากลับแล้ว"

"เออๆ โอเค เดี๋ยวกูจัดการให้เอง"
พี่แฮมตอบกลับแล้วรีบหยิบกล่องไปเปิดดู กลิ่นหอมๆ ของไข่กวนทำให้รอยยิ้มปรากฎบนใบหน้า ดีใจที่มีคนชอบสิ่งที่ผมทำ แต่ก็เสียใจเมื่อโดนพี่ทาวน์เมิน

"เจ็ท... มึงกับไอ้ทาวน์ทะเลาะกันเหรอ"
พี่ฟาที่ละสายตาจากเพื่อนสนิทหันกลับมาถามกันด้วยสีหน้าจริงจัง ผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะตอบเสียงอ้อมแอ้ม ก็เราไม่ได้ทะเลาะกัน แค่ตัดความสัมพันธ์เอง

"เปล่าครับ..."

"มึงแค่โดนหักอกสินะ"
พี่ฟาพูดในสิ่งที่ทำให้ผมต้องชะงักทุกการกระทำและความคิด ดวงตาคมเบิกค้างจ้องมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ สงสัย คนอย่างพี่ทาวน์ไม่มีทางเอาเรื่องเมื่อวานไปบอกใครแน่ๆ

"ทำไมพี่ฟา... ถึงรู้"
ถามออกไปด้วยความรู้สึกวูบโหวงในอก  แม้แต่พี่แฮมที่รักการกินยิ่งกว่าชีวิตยังหยุดฟังไปพร้อมๆ กัน ผมควรทำยังไงดี ตอนนี้รู้สึกว่าทำนพน้ำตามันกลั้นยากเหลือเกิน

"มึงอย่าโกรธจิณณ์เลยนะ ที่มันเล่าเรื่องนี้ให้กูฟัง"
คำสารภาพผิดไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกโกรธเลย อยากขอบคุณพวกเขาด้วยซ้ำที่ใส่ใจเรื่องนี้

"เจ็ทอย่าเพิ่งถอดใจได้ไหม ปกติไอ้ทาวน์ไม่เคยแสดงอาการว่าไม่อยากเจอหน้าใครขนาดนี้"
พี่ฟาขอร้องด้วยน้ำเสียงเว้าวอน ผมทำได้แค่เพียงคลี่ยิ้มบาง ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ก็เจ้าตัวเขาออกปากไล่ขนาดนั้น จะให้เข้าไปยุ่งวุ่นวายในชีวิตอีกทำไม แค่นี้ก็เจ็บปวดมากพออยู่แล้ว

"ผมคงเป็นคนแรกที่ทำให้เขาเกลียด"
ทำนพกลั้นน้ำตาไม่สำเร็จ ผมใช้หลังมือปาดมันออกลวกๆ แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อกลับไปที่คณะของตัวเอง เพราะอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา คนที่อยากลาเป็นครั้งสุดท้ายก็หอบข้าวของหนีไปแล้ว แถมยังไม่ใยดีอาหารที่อุตส่าห์ทำมาฝากตามสัญญาด้วย




ต่อด้านล่างจ้า


ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
"ไม่ใช่ ไอ้ทาวน์กำลังไม่พอใจต่างหาก แต่เหตุผลที่ทำให้เป็นแบบนั้นกูเดาไม่ได้จริงๆ ว่าเพราะอะไร หวงก้าง สับสน หรือเริ่มชอบมึงแต่ไม่ยอมรับความจริงกันแน่"
พี่ฟาคาดเด่ในสิ่งที่ไม่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร แต่มันสามารถทำให้คนที่เจ็บปวดอย่างผมมีแรงฮึดขึ้นมาอีกครั้งแม้เพียงน้อยนิด หรือควรเจียมตัวดีกว่านะ สับสนฉิบหาย

"ผมไม่ควรหวังอะไรแล้วไม่ใช่เหรอ"

"กูขอร้องให้ลองตื๊อมันอีกครั้งได้ไหม ไอ้ทาวน์เป็นคนปากแข็งใจแข็ง ถ้าอยู่ๆ มึงปล่อยมือทั้งที่เรื่องยังคลุมเครือ สุดท้ายอาจจะเสียใจทั้งสองฝ่าย"
พี่ฟายังไม่ละความพยายามในการขอร้องผม แต่คราวนี้พี่แฮมก็ร่วมด้วยช่วยกันพยักหน้าทั้งที่เคี้ยวขนมปังปิ้งอยู่ในปาก ตกลงว่านายภาคินยังหวังเรื่องความรักกับพี่ทาวน์ได้อีกใช่ไหม คงไม่กลายเป็นคนน่ารำคาญและโง่หรอกนะ

"ผมจะเริ่มยังไงดี... ตอนนี้แม่งจุกไปหมดแล้ว"
ผมถามด้วยความสับสนแล้วทิ้งตัวลงนั่งที่เดิมอีกครั้งเพื่อรับคำปรึกษาจากเพื่อนสนิทของเขา พี่แฮมถึงกับผายมือไปทางพี่ฟาเพื่อหลีกหนีการตอบคำถามนี้ หยุดกินเพื่อคุยกันสักสิบนาทีไม่ได้หรือไงครับ

"ง่ายนิดเดียว ก็หยิบถุงไข่กวนกับขนมปังปิ้งเอาขึ้นไปให้มันที่ห้องเรียน พร้อมกับยืนยันเรื่องความสัมพันธ์ของมึงกับพี่รหัสให้ชัดเจน"
มันจะง่ายขนาดนั้นเลยเหรอวะ เมื่อวานผมปวดใจแทบตาย มันนี้ต้องรวบรวมความกล้าเพื่อไปตื๊อเขาเนี่ยนะ บางทีก็งงว่าตัวเองเป็นคนหรือควายถึงได้อดทนและโง่จีบอยู่แบบนี้ แต่ในเมื่อเพื่อนสนิทของเขาสนับสนุนก็จะยอมลองดูอีกสักตั้ง คราวนี้พุ่งชนจังๆ ให้ล้มทับจนลุกไม่ขึ้นไปเลย

"ถ้าพี่ทาวน์ไม่ฟังผมล่ะ จะทำยังไงต่อ"
ผมถามต่อเพื่อหาทางหนีทีไล่เพราะตอนนี้หัวสมองไม่สามารถคิดอะไรได้เองอีกแล้ว พี่ฟาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วลุกขึ้นเดินมาหาผมเพื่อที่จะทำการบีบไหล่ให้กำลังใจ เขาน่ารักนะ ไม่ค่อยอยากให้เสียคนเพราะโดนไอ้ฟาร์มจีบเลยให้ตายเถอะ

"คนอย่างไอ้ทาวน์น่ะ ฟังคนอื่นเสมอ อยากให้มันรู้อะไรก็พูดออกไปให้หมด ผลลัพธ์คงไม่แย่กว่าที่เป็นอยู่หรอก"
ผมจะถือเป็นคำปลอบโยนและให้กำลังใจก็แล้วกันนะ ถึงมันจะฟังดูทะแม่งๆ ก็เถอะ

ผมหยิบกล่องใส่ไข่กวนพร้อมกับขนมปังปิ้งติดมือขึ้นมาบนห้องเรียนอย่างที่พี่ฟาแนะนำ ยิ่งปลายเท้าเข้าใกล้จุดหมายมากเท่าไหร่ ความรู้สึกอย่างหันหลังกลับแล้ววิ่งหนีก็มีมากยิ่งขึ้น เหมือนคนกำลังจะเป็นบ้า เดี๋ยวกล้าเดี๋ยวกลัว มีบางจังหวะที่หยุดชะงักการเดินแล้วยืนนิ่งอยู่กับที่จนกลายเป็นเป้าสายตาของคนอื่น ถูกมองอย่างกับตัวประหลาด ไม่แปลกใจเลยเพราะกางเกงยีนส์ขาดๆ มันไม่เข้ากับตึกคณะแพทย์

กว่าสายตาจะมองเห็นหมายเลขห้องเรียนที่ถูกบอกกล่าวมาก็ใช้เวลาร่วมสิบนาที ผมสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกความกล้าก่อนที่มือเรียวจะเอื้อมไปจับลูกบิดประตู ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศแผ่ออกมาด้านนอกพร้อมกับสายตานักศึกษาแพทย์สองสามคู่ที่มองมาอย่างสงสัย ควรจะเริ่มด้วยการยิ้มให้พวกเขาหรือเดินไปหาคนที่ต้องการเจอดีนะ ถ้าถุงในมือคือลูกไก่คงแหลกไปแล้วแน่ๆ

"พี่ทาวน์ครับ"
สุดท้ายผมก็ตัดสินใจที่จะไม่สนสายตาที่มองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแล้วตรงเข้าไปหาคนที่ก้มหน้าก้มตาอ่าน Text Book เล่มหนา พี่ทาวน์เงยหน้าขึ้นจากหนังสือแล้วขมวดคิ้วยุ่งมองกัน

"ตามมาทำไม"
น้ำเสียงที่ถามกลับมาช่างกระตุกหัวใจคนฟังเหลือเกิน เขาจะออกปากไล่ผมอีกไหมนะ ตาขวางเชียว

"เอาไข่กวนกับขนมปังปิ้งมาให้ครับ"
ผมส่งของในมือให้ด้วยรอยยิ้มที่ปั้นแต่งมาอย่างดิบดี พี่ทาวน์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะก้มหน้าลงเพื่ออ่านหนังสือต่อ นายภาคินโดนเมินเข้าแล้วสินะ แต่ต้องสู้เพราะได้กำลังใจจากพี่ฟามาตั้งเยอะ

"ไม่กิน ไม่หิว"

"เก็บไว้กินเถอะครับ ผมเต็มใจทำมาให้เลยนะ"

"น่ารำคาญ"
คำสบถเบาๆ ทำให้ผมถึงกับสะดุดลมหายใจ แต่โดนเยียวยาด้วยมือเรียวที่กระชากถุงไข่กวนไปต่อหน้าต่อตา ถึงจะโดนรำคาญแต่สามารถทำให้พี่ทาวน์รับของไปได้ก็ถือว่าคุ้มมากแล้ว แต่จุดประสงค์หลักยังไม่จบเท่านี้

"พี่ทาวน์ครับ"
ผมเรียกชื่อคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงหนักแน่น มือเริ่มชื้นเหงื่อเพราะความตื่นเต้นและหวาดกลัว แต่เตรียมตัวเตรียมใจรับผลที่กำลังจะตามมาเรียบร้อยแล้ว มันจะต้องไม่แย่กว่าที่เป็นอยู่ 

"อะไร"
เขาถามขึ้นโดยไม่มองหน้ากัน แต่ผมกลับจ้องไม่วางตา แค่ได้เห็นสันจมูกกับหน้าตาแสดงความตั้งใจของพี่ทาวน์แล้ว สมองกับหัวใจก็พร้อมกันร้องเตือนว่า ‘ไม่ควรตัดใจเด็ดขาด’ นายภาคินคงตกหลุมรักคนใจร้ายอย่างนายเมืองเหนือไปแล้วล่ะ

"เรื่องผมกับพี่เดย์ไม่มีอะไรในกอไผ่จริงๆ นะครับ"

"บอกทำไม"
เขาละสายตาจากหนังสืออีกครั้ง คราวนี้ดวงตารีจ้องผมอย่างเอาเรื่อง

"พี่เดย์ชอบผม แต่ผมชอบพี่ทาวน์ ไม่ว่ายังไงก็จะจีบต่อ"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงมั่นคง ดวงตาคมมองสบกับคนตรงหน้าแสดงความจริงใจทั้งหมดที่มีให้เขาเห็น พี่ทาวน์ทำเพียงแค่ถอนหายใจออกมาแล้วยกมือขึ้นขยี้หัว ดูเงอะงะงุ่นง่านแปลกๆ ว่ะ

"มีคนที่ชอบมึงขนาดนั้น คุ้มแล้วเหรอที่จะเสียเวลากับคนที่เอาแน่เอานอนอย่างกูไม่ได้เลย"
สิ่งที่พี่ทาวน์พูดทำให้ผมคลี่ยิ้มโดยไม่ฝืนออกมาครั้งแรกในรอบสองวันนี้ ไม่ว่าจะมีคนมาชอบอีกสักเป็นร้อย หัวใจของนายภาคินก็ยังร้องบอกว่าใครสำคัญที่สุด และการที่ต้องเอาตัวเองมาเสี่ยงเจ็บปวดแบบนี้มันก็เกินคุ้มด้วยซ้ำ

"สำหรับผม เรื่องพี่ทาวน์ มันคุ้มค่าในการเสี่ยงเสมอ"

"หึ ถ้าผลออกมาแย่ อย่าโทษกูแล้วกัน"
มันคือคำอนุญาตให้ผมจีบต่อได้ใช่ไหม ตอนนี้แทบอยากจะดึงคนปากแข็งเข้ามากอดเสียให้จมอก ไม่ยอมมองหน้ากันแบบนี้กำลังเขินอยู่หรือเปล่านะ

"ครับ ผมจะยอมรับผลของมันโดยไม่โทษใคร"
ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่สดใสผิดกับหลายนาทีที่ผ่านมา รู้สึกว่าตัวเองเป็นโรคไพโบล่าเข้าจริงๆ แล้วล่ะ คนรับผิดชอบก็เป็นว่าที่คุณหมอตรงหน้านี้ไง จะเอาคืนแบบทบต้นทบดอกรักษาตลอดชีวิตอะไรอย่างนั้น

"อืม ไปเรียนได้แล้ว"
พี่ทาวน์แสร้งพูดด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ แต่ผมแอบเห็นว่าก่อนหน้านั้นที่มุมปากของเขามีรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏอยู่ เพราะแบบนี้ไงนายภาคินเลยคิดเข้าข้างตัวเองอยู่ตลอดเวลา ตัดใจจากคนๆ นี้ไม่ได้สักที ดูเหมือนมีใจแต่ปาดแข็งเกินกว่าจะเอื้อนเอ่ย

"ไล่ผมเหรอ"
แกล้งทำเสียงหงอยแล้วใช้ดวงตาคมมองเขาด้วยความออดอ้อน พี่ทาวน์ถอนหายใจออกมาแล้วใช้มือผลักหัวกันก่อนจะถามออกมาด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย มันน่าจะรู้สึกใจเสีย แต่เปล่าเลยผมกำลังยิ้มปากจะฉีกถึงรูหูต่างหาก

"หรือมึงอยากขาดเรียน"
คำถามเกินคาดหมายทำให้ผมต้องยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูทันที อีกสิบนาทีจะเข้าเรียนวิชาแรกแล้วแต่ผมยังอยู่ที่คณะแพทย์อยู่เลย ตายแน่ สายชัวร์เลยครับ แต่ไม่เป็นไร ขอกอบโกยความสุขชั่วครั้งชั่วคราวอีกสักนิดก็แล้วกัน

"ไม่ครับๆ คือตอนพรุ่งนี้ตอนเย็นว่างไปกินข้าวด้วยกันไหม"
ถามเสียงรัวจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง พี่ทาวน์หลุดหัวเราะก่อนจะแกล้งจับชายเสื้อของผมยัดเข้ามาในกางเกง แก้มร้อนเฉย อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย มันคิดดีไม่ได้เลยจริงๆ

"อืม... ได้"
โอย อยากย้ายมาเรียนคณะแพทย์จริงๆ เลยเว้ย!




-------------------------------------------------------

เจ็ทคงไม่ใช่คนแต่เป็นคว..... อุย ทนได้ทนดี แม้แต่สีทาบ้านยังอาย
ใครสนใจดามอกให้พี่เดย์บ้าง หนุ่มผมยาวเขาแซ่บไม่แพ้หมอนะเออ

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
พี่ทาวน์หายงอนแล้ววว :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เฮ้อ ยอมเขาไปซะหมด เหมือนจะดีนะแต่ไม่ฟิน

ออฟไลน์ Ouizzz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 640
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
สู้ๆๆนะเดี๋ยวหมอก็ใจอ่อน o13

ออฟไลน์ numay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1

ออฟไลน์ tang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
อย่างอนน้องเจ็ทเลยพี่ทาวน์ สงสารน้อง T^T

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
แข่งครั้งที่ 16
:: ทาวน์ ::




วันนี้เป็นวันที่อากาศไม่สดใสเพราะท้องฟ้ามืดครึ้มราวกับฝนจะตก ระเบียงห้องเป็นสถานที่ที่ตัวผมอยู่ตอนนี้ กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับเรื่องที่ผ่านมา

รุ่นน้องตัวสูง หน้าตาคมเข้มหล่อเหลา คิ้วหนา จมูกโด่งรับกับใบหน้ารูปไข่ ทรงผมอันเดอร์คัต ผิวเนื้อมีรอยสักนอกร่มผ้าสองจุดที่ข้อมือและท้ายทอย ไม่รู้ว่าด้านในมีอีกกี่แห่ง ดูยังไงท่าทางแบดบอยและแมนขนาดนั้นก็เป็นผู้ชายที่ป๊อปในหมู่สาวๆ แน่นอน ก็หุ่นอย่างกับนายแบบ คงมีใครหลายคนอยากครอบครอง  เขาจะหันมาชอบผู้ชายด้วยกันอย่างผม เป็นเรื่องแปลกประหลาด แต่สุดท้ายเจ็ทก็พิสูจน์ตัวเองให้เห็นว่าที่พูดที่บอกว่าจะจีบนั้น เจ้าตัวทำจริง

แต่คนเย็นชาอย่างนายเมืองเหนือก็สร้างเรื่องได้ตลอดเวลา

เด็กคนนั้นที่เอาแต่ทำหน้าเจ็บปวดใส่ตอนโดนปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่ายังตราตรึงในความทรงจำ ที่พูดออกไปแรงๆ ไม่ใช่ว่ารังเกียจเพศเดียวกัน แต่เพราะผมไม่แน่ใจว่าตัวเองจะตอบรับความรู้สึกมากมายจากเขาได้

ผมที่เป็นผู้ชายมาตลอดยี่สิบปี
ผมที่เป็นคนเย็นชาไม่สนใจโลก
ผมที่เป็นพวกเห็นแก่ตัว หวงก้าง
ผมที่เป็นคนรักแรงเกลียดแรง
ผมที่เป็นมนุษย์ปากแข็งและใจแข็ง

นิสัยแย่ๆ แบบนี้ใครที่ไหนจะรับได้กัน แฟนแต่ละคนที่เคยคบกันมา ไม่น้อยใจก็นอกใจไปด้วยข้ออ้างเรื่องนิสัยทั้งนั้น ผมควรอยู่ตัวคนเดียวใช่ไหม เลือกเรียนหมอก็ไม่ค่อยมีเวลาให้ใคร เหมาะแล้วล่ะมั้ง วิถีชีวิตของนายเมืองเหนือ

วันนั้นที่ผมเห็นเดย์แสดงท่าทางว่าชอบพอเจ็ททำให้ความรู้สึกหงุดหงิดก่อตัวขึ้น เพราะอะไรผมก็ไม่รู้สาเหตุเหมือนกัน และไม่รู้อะไรดลใจให้ใจอ่อนกับไอ้เด็กสถาปัตย์คนนั้น ทั้งที่ไม่ชอบให้ความหวังใคร ยอมตอบตกลงให้จีบ ยอมไปกินข้าวด้วย แถมยังรู้สึกดีที่มันบอกว่า 'ระหว่างมันกับพี่รหัสไม่มีอะไรกัน' จะบอกว่าเริ่มหวั่นไหวอย่างนั้นเหรอ ไม่รู้สิ ไม่เคยมีความคิดแบบนี้มาก่อน

นาฬิกาข้อมือบอกเวลาหกโมงเย็นซึ่งเลยเวลาเลิกเรียนของเจ็ทมาได้ครึ่งชั่วโมงแล้ว ผมเลยตัดสินใจที่จะขับรถออกไปหาเขาที่คณะแทน เพราะอยู่คอนโดไปก็ไม่มีอะไรทำ อ่านหนังสือมาตลอดทั้งวันจนจำได้หมดทุกตัวอักษรแล้ว ก็มีนัดกันนี่นะ แอบคิดว่าคงโดนชวนเดตแบบเนียนๆ มากกว่า แต่ช่างเถอะ แค่กินข้าว ไม่เสียหายอะไรหรอก

ผมก้าวลงจากรถแล้วเดินไปนั่งรอเจ้าเด็กนั่นที่ลานคณะ มันบอกว่าเลิกเรียนเมื่อไหร่จะไลน์มาบอก แต่นี่จะหกโมงครึ่งก็ยังเงียบ ตกลงว่าลืมนัดหรือโดนใครสักคนลากไปแล้วหรือเปล่า แค่คิดก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา แปลกใจตัวเองจริงๆ ที่ช่วงนี้เจ็ทเข้ามามีอิทธิพลกับอารมณ์เหลือเกิน

ตอนที่กำลังจะหยิบโทรศัพท์ออกมากดพิมพ์ข้อความเรื่องที่ผมนั่งรอมันอยู่ลานคณะกลับต้องพับเก็บเมื่อดวงตารีเห็นร่างของใครบางคนที่คุ้นเคยกำลังยืนคุยกับพี่รหัสของตัวเองอยู่ มันใกล้จนได้ยินทุกคำอย่างชัดเจน

"สวัสดีครับพี่"
เด็กนั่นเอ่ยทักทายเดย์ด้วยใบหน้าเรียบเฉย ไม่มีแววอึดอัดหรือดีใจ แอบคิดว่าติดนิสัยเย็นชาไปจากผมบ้างหรือเปล่านะ

ผมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าเสื้อตามเดิม แล้วลอบมองคนทั้งคู่คุยกันต่อ ไม่ปฏิเสธว่าอยากรู้อยากเห็น เดย์ในความทรงจำคือคนที่เคยลงประกวดดาวเดือนปีเดียวกัน เป็นตัวเกร็ง เรียกเสียงกรี๊ดของสาวๆ ได้เยอะพอตัว เล่นกีตาร์เก่งร้องเพลงเพราะ ใบหน้าหล่อติดหวานนั่นมีเสน่ห์อย่างลำลึก เขาควรชนะ แต่ชื่อนายเมืองเหนือกลับถูกประกาศที่หนึ่ง เราทั้งคู่รู้จักกันแค่ผิวเผิน ไม่เคยทักทายเป็นกิจลักษณะ อย่างมากก็แค่ยิ้มให้ ไม่เคยพูดคุย

"อืม เลิกเรียนแล้วอะดิวันนี้"
เดย์ยังคงความสดใจด้วยคำถามเปื้อนรอยยิ้ม เคยได้ยินมาว่าเขาเป็นคนตรงๆ อยากพูดก็พูด อยากทำก็ทำ ไม่มีหมกเม็ดหรือปกปิด นิสัยช่างต่างกับผมราวฟ้ากับเหว ดูๆ ไปก็เหมาะกับเจ็ทดี

"ครับ"
เด็กนั่นตอบรับสั้นๆ แถมยังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหน้าตาเฉย ไม่ต้องเดาหรอกว่ามันส่งข้อความหาใคร ในเมื่อโทรศัพท์ของผมสั่นครืดอยู่ในกระเป๋า หยิบออกมาอ่านสักหน่อยก็ได้วะ

Phokin
วันนี้อาจารย์ปล่อยเลทครับ ขอโทษที่ช้านะครับ อีกสักครึ่งชั่วโมงผมน่าจะถึงร้าน

โดยนั่งวินมอ'ไซต์ไปน่ะเหรอ ไม่ต้องลำบากก็ได้ กูมารับถึงที่แล้ว

"ไปกินข้าวเย็นเป็นเพื่อนหน่อยดิ"
คำชวนนั้นทำให้ผมต้องเหลือบตามองเดย์ เขายังคงยิ้มหวานเหมือนเดิม ถ้าผมเป็นผู้หญิงคงหลง แต่เห็นสีหน้าอึดอัดของเจ็ทแล้วถึงกับเม้มปากแน่น มันจะตอบกลับไปยังไงนะ แล้วทำไมต้องมารู้สึกลุ้นอะไรแบบนี้ด้วย

"ผม... มีนัดแล้วครับ"
เจ็ทตอบไม่เต็มเสียงคล้ายกับว่าไม่มั่นใจที่ต้องปฏิเสธคนตรงหน้า ก็นั่นพี่รหัสควรรักษาความสัมพันธ์ไว้ก็ไม่แปลกที่จะรู้สึกกระอักกระอวน

"กับไอ้เมืองเหนือน่ะเหรอ"
น้ำเสียงเยาะเย้ยแต่สายตากลับสั่นไหวเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ผมสงสารเดย์ที่แสดงออกชัดเจนแต่ถูกปฏิเสธ แต่ก็สงสารเจ็ทที่เอาแต่ชอบคนเย็นชาอย่างนายเมืองเหนือ ไม่กล้าบังคับความรู้สึกใครอีกแล้ว ในอนาคตจะเกิดอะไรก็ปล่อยให้มันเป็นไป

"ครับ"
ตอบกลับแบบไม่ลังเลในน้ำเสียง นั่นทำให้ผมยกยิ้มที่มุมปาก ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรู้สึกโล่งใจแบบนี้ด้วย กลัวโดนเบี้ยวนัดล่ะมั้ง

"ไม่เหนื่อยเหรอ เมื่อวานเสียใจ วันนี้มีความสุข พรุ่งนี้ไม่รู้จะเป็นแบบไหน มะรืนอีกล่ะ ชีวิตไม่มีความมั่นคงเลย"
คำถามนั้นทำให้ผมใจกระตุก เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองทำผิดมหันต์กับเด็กนั่นมากแค่ไหน เดี๋ยวก็ให้ความหวัง เดี๋ยวก็ตัดกำลัง คนประเภทนี้ควรมีคนดีๆ อยู่ข้างกายเหรอ

"ไม่ครับ"

"มันมีอะไรดีกว่ากูเหรอเจ็ท ช่วยบอกหน่อยสิ"

"ไม่รู้หรอกครับ แต่ความชอบมันบังคับกันไม่ได้ พี่เดย์น่าจะเข้าใจดี"

"เจ็ท... กูชอบมึงมากนะ ช่วยให้โอกาสกูได้ไหม ขอร้องล่ะ"
เดย์กำลังอ้อนวอนด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย ความรู้สึกส่งผ่านดวงตาแดงก่ำโดยไม่ปิดบัง ทั้งรัก ทั้งเสียใจ ทั้งเจ็บปวด จะมีคนบ้าที่ไหนยอมทิ้งศักดิ์ศรีตัวเองเพื่อนร้องขอแบบนั้นบ้าง

ผมไม่อยากฟังอะไรอีกเลยตัดสินใจเลยออกมาจากตรงนั้นแล้วตรงไปที่รถ ตอนนี้อารมณ์และความรู้สึกไม่ปกติจริงๆ สมองกำลังทำงานอย่างหนักหน่วง แต่ไม่สามารถประเมินสภาพจิตใจของตัวเองได้ ใครว่านักศึกษาแพทย์เก่งไปซะทุกอย่าง แต่ดันโง่เรื่องอีคิว สมเพชตัวเองชะมัด

ปี๊นๆ

"เฮ้ย ทำไมพี่..."
สีหน้าของเจ็ทดูจะตกใจมากเมื่อเห็นผมขับรถมาเทียบฟุตบาทแล้วลดกระจกลง เดย์กำลังยื้อยุดฉุดกระชากรั้งเด็กคนนี้อยู่

"มึงชักช้า กูเลยมารับ"
ผมตอบเสียงเรียบโดยไม่สนใจท่าทีของเดย์เลยสักนิดว่าเขามองมาด้วยสายตาแบบไหน จะคิดยังไงก็ช่าง ตอนนี้แค่อยากดึงเจ็ทออกมา

"อ๋อ ขอโทษครับที่ปล่อยให้รอ"
เจ็ทแกะมือของพี่รหัสออกอย่างนิ่มนวลแล้วคลี่ยิ้มหวานให้ ผมส่ายหน้าเป็นเชิงไม่ถือสาแล้วรอให้เขาก้าวขึ้นรถ ไม่เร่ง ไม่ท้วงติง อยากรู้ว่าทั้งสองคนจะทำยังไง

"อย่าไป..."
เดย์ครางด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา พยายามเอื้อมมือแตะแขนของเจ็ท แต่เด็กนั่นแค่เบี่ยงตัวเล็กน้อยแล้วโค้งตัวให้ ผมทำถูกหรือเปล่าที่เขามาเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาแบบนี้ ผมมันเลวมากใช่ไหมที่กลายเป็นหมาหวงก้าง ขับรถออกไปเลยดีไหม ตอนนี้สับสนจนหัวจะระเบิดอยู่แล้ว

"ขอโทษครับพี่เดย์ แต่ผมต้องไป"
เจ็ทตัดบทแล้วขึ้นรถและลงมือปิดกระจกด้วยตัวเองก่อนจะหันมาคลี่ยิ้มแล้วพยักพเยิดให้ผมออกรถ ตอนนี้ในหัวมีคำถามที่ว่าใครใจร้ายกว่ากัน นายเมืองเหนือหรือนายภาคิน

ผมขับรถไปตามเส้นทางมุ่งสู่ร้านอาหารสไตล์อิตาเลี่ยนที่ไม่ไกลจากมหา'ลัยมากนัก บรรยากาศภายในรถช่างน่าอึดอัดเพราะมันเงียบจนได้ยินเสียงเครื่องยนต์ ไม่มีใครปริปากพูดเรื่องที่เพิ่งเกิดไปเมื่อครู่ เจ็ทอาจจะยังตกใจที่อยู่ๆ ก็มีคนมารับถึงคณะ

หางตาคอยเหลือบมองคนด้านข้างอยู่เป็นระยะ เหมือนเจ็ทอยากพูดอะไรเพราะทำปากขมุบขมิบแต่สักพักก็หยุดแล้วเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง แม้กระทั่งตอนติดไฟแดงก็ยังคงโฟกัสตำแหน่งเดิม ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไร ทำไมต้องเผลอเกลียดขี้หน้าเดย์ทั้งที่เขาไม่ได้มายุ่งด้วยสักนิด

"พี่ทาวน์..."
ความคิดสะดุดกึกเมื่อได้ยินเสียงแหบแห้งของคนข้างตัว สงสัยจะหิวน้ำด้วยล่ะมั้ง ผมเลยหยิบขวดน้ำที่อยู่ข้างประตูรถแล้วส่งให้ไป ดูเด็กนั่นจะงงๆ แต่ก็พึมพำขอบคุณแล้วรับไปดื่ม

"รุ่นพี่มึงหล่อดีนะ"
ผมเอ่ยชมเดย์จากใจจริง แต่คิดว่ามันโคตรงี่เง่า ทำไมต้องชวนเจ็ทคุยเรื่องนี้วะ ตอนนี้ควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองไม่ได้เลย อยากหักพวงมาลัยจอดข้างทางแล้ววิ่งหนีไปไกลๆ ทำไมสับสนแบบนี้

"คะ ครับ"
เจ็ทยังใจดีที่ตอบรับ เขาเอาแต่มองมือที่ตั้งอยู่บนตักเหมือนมันจะมีนิ้วงอกออกมาเพิ่ม ทำตัวคล้ายคนสำนึกผิด ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ทำแบบนั้นเลย เด็กคนนี้คิดว่าผมแคร์เรื่องเมื่อครู่แค่ไหนกัน

"ไม่ชอบเหรอ"
ผมไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถามออกไปแบบนั้น เพราะอยากรู้หรือแค่อยากชวนคุยคลายความอึดอัดกันแน่

"ไม่ครับ ผมชอบพี่ทาวน์คนเดียว"
น้ำเสียงที่ตอบกลับถึงมันจะแผ่วเบาแต่ก็หนักแน่นในความรู้สึก เป็นคนดีและมั่นคงจนน่าอิจฉาจริงๆ

"ย้ำบ่อยจริง รู้แล้ว"
ผมว่าเสียงกลั้วหัวเราะเพราะไม่อยากให้เกิดความสภาวะตึงเครียด เจ็ทก็ดูจะผ่อนคลายลงแล้วเงยหน้าขึ้นมองถนนด้านหน้า จริงๆ ก็ใกล้ถึงร้านอาหารแล้วล่ะ แต่ขอเวลาคุยกับเจ้าเด็กนี่สักหน่อยแล้วกัน

"ก็จะพูดจนกว่าพี่จะชอบผมบ้าง"
น้ำเสียงของเจ็ทสั่นแต่พยายามทำให้ฟังดูเป็นเรื่องสบาย รู้ดีแก่ใจว่าเขาจริงจังมากแค่ไหน แล้วผมล่ะ จะเล่นบทหมาหยอกไก่เพื่ออะไร เฝ้าถามตัวเองมานานแต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ ปฏิเสธไม่เคยเด็ดขาด พอเห็นหน้าเศร้าๆ ก็เผลอใจอ่อน ตกลงว่ามันยังไงก็แน่นะหัวใจ

"งั้นพูดไปตลอดชีวิตเลยดีไหม"
เพราะผมไม่มั่นใจในความรู้สึกตัวเองว่าสุดท้ายแล้วจะไปทิศทางไหน รักหรือไม่รัก

"โหย ไม่ดีแน่ๆ ครับ"
น้ำเสียงกระเง้ากระงอดทำให้ผมต้องเหลือบไปมองใบหน้าของเจ็ทอย่างอดไม่ได้ ไอ้เด็กนี่ทำหน้ายุ่งยังหล่อ ใกล้เคียงกับคำว่าเพอร์เฟ็คเข้าไปทุกที ไม่อยากมีแฟนเป็นผู้หญิง มีครอบครัว มีลูกบ้างหรือไง

"งอแงไปได้"
พูดจบก็เลี้ยวเข้าจอดหน้าร้านอาหารที่เจ็ทอยากมากิน บอกตามตรงมาเอียนอาหารอิตาเลี่ยนมากแต่ก็ยอมตามใจคนนัด นี่มันผิดวิสัยมากๆ ปกติเคยยอมใครซะที่ไหน หรือว่าผมจะหวั่นไหวกับมัน...

"ก็พี่ใจแข็งเกินไปนี่ครับ"
รู้จักผมดีเลยมีความพยายามมากกว่าปกติหรือเปล่านะ

"พยายามเข้า"
ผมพูดจบแล้วดับเครื่องยนต์ก่อนจะชักเมื่อทบทวนได้ว่าเมื่อครู่ตัวเองพูดอะไรออกไป เจ็ทถึงกับเบิกตากว้างแล้วมองมาแบบไม่วางตาราวกับตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน ริมฝีปากหยักสีส้มเริ่มขยับเอื้อนเอ่ยถ้อยคำออกมา

"พี่กำลัง... ให้ความหวังผมโคตรๆ เลยนะ"
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสับสนและตื่นเต้นทำให้ผมได้แต่เม้มปากแน่น ที่พูดไปดีแล้วหรือ ขอถอนคำตอนนี้ทันไหม หรือควรบอกอะไรเพิ่มเติมสากกว่านั้น ให้เจ็ทได้เตรียมตัวเตรียมใจกับสิ่งที่กำลังจะดำเนินต่อ

ความเงียบเข้าปกคลุมพวกเราอีกครั้ง และในรถเริ่มอากาศร้อนอบอ้าว คิดแล้วก็ได้แต่กนด่าตัวเองในใจว่าจะรีบดับเครื่องเพื่ออะไร คนฉลาดก็มีสิทธิ์เป็นคนโง่ในเรื่องง่ายๆ ได้เหมือนกันสินะ ผมเปิดประตูแล้วลุกออกไปยืนพิง มองดูท้องฟ้าที่ความมืดกำลังโรยตัว

"อืม มึงควรรู้เอาไว้ว่ากูนิสัยเสีย"
ผมเริ่มพูดอีกครั้งเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงขยับในรถ เจ็ทคงก้าวตามลงมาและพร้อมฟังสิ่งที่ตัดสินใจจะบอก มันคือความเห็นแก่ตัว ความเลวบริสุทธิ์ของนายเมืองเหนือคนนี้

"คือ..."

"กูเห็นแก่ตัว ไม่ชอบให้คนที่จีบตัวเองไปยุ่งกับคนอื่น"
ผมก็แค่หวงทุกอย่างที่อยู่รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ หรือสิ่งของ ถ้าลองเข้ามาในอาณาเขตแล้วก็ยากที่จะออกไป ยกเว้นแต่ว่ามันสร้างความอึดอัดและน่ารำคาญให้ เมื่อนั้นก็เลิกสนใจใยดีได้เหมือนกัน

"อะ..."
เจ็ทเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่ก็ปิดปากเงียบ ผมไม่รู้หรอกว่าเขากำลังแสดงสีหน้าแบบไหน คิดยังไงกับประโยคเมื่อครู่ ความรู้สึกชอบเปลี่ยนเป็นรังเกียจหรือยังนะ ถ้าคำตอบคืออย่างหลังคงต้องหัวเราะเยาะกับสันดานเสียๆ นี่สักที

"ถ้าทำไม่ได้ก็เลิกจีบกูซะ เพราะมันน่าหงุดหงิด"
รู้ว่างี่เง่าแต่ห้ามปากตัวเองไม่ได้จนต้องปิดประตูกระแทกเสียงดัง อีกฝ่ายที่มองการกระทำอยู่เงียบๆ ด้านหลังถึงกับรีบเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าแล้วละล่ำละลักพูดสิ่งที่คิด เขานึกว่าผมโกรธเหรอ เปล่าเลย แค่เกลียดตัวเองตอนนี้มาก เหมือนคนกำลังหึงหวงทุกอย่างที่ประกอบเป็นนายภาคิน

"ทำได้สิ ทำได้ แค่ผมมีตัวตนในสายตาพี่บ้างก็ดีใจแล้ว"
เขาพูดทั้งรอยยิ้มมันทำให้ผมรู้สึกผิดมหันต์ที่ลงมือทำลายหัวใจดวงนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า อยากขอโทษที่เคยพูดจาร้ายกาจ แต่ปากแข็งๆ ก็ยังคงไม่กล้าเอื้อนเอ่ย กลัวว่าความรู้สึกบางอย่างจะหลุดรอดออกมาจากก้นบึง มันกำลังก่อตัวอย่างเงียบเชียบ จนเจ้าของอย่างผมไม่ทันรู้ตัว ไม่กล้ายืนยัน แต่สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลง

"หลงตัวเองว่ะ"
ผมผลักอกมันแล้วบ่นกระปอดกระแปดก่อนจะจ้ำอ้าวเข้าร้านอาหารโดยไม่ลืมหันไปล็อกประตูรถ ได้ยินเสียงหัวเราะร่าเริงแว่วมาก็รู้สึกว่าหัวร้อนอยากต่อยหน้าใครสักคน มีความสุขอะไรนักหนากับแค่การให้ความหวังลมๆ แล้งๆ ไม่เข้าใจจริงๆ

"ถ้าเปลี่ยนเป็นพี่หลงผมจะดีกว่านี้นะ"
ไม่รู้ว่าเจ็ทเดินมาประชิดตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ เสียงพูดเลยใกล้หูขนาดนั้นแถมรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นที่รดลงมาข้างแก้ม ผมหันไปจ้องเขม็งแล้วพูดเสียงรอดไรฟัน

"ฝัน"
นอนฝันไปเถอะนายภาคิน ถ้าอยากมีความสุขมากนักก็ไม่ต้องตื่น เด็กอะไรน่ารำคาญชอบเอามือมาเขย่าหัวใจคนอื่นเขาแบบนี้

หลังจากวันนั้นความสัมพันธ์ของเราก็ไม่ได้พัฒนาไปไกลสักเท่าไหร่เพราะต่างยุ่งกับการเคลียร์งานและอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบปลายภาค มีบ้างที่เจ็ทจะส่งข้อความทางไลน์มาหา หรือเอาอาหารเช้าไปส่งให้ที่คณะ บริการดีประทับใจจนโดนไอ้ฟาล้อ ช่วงแรกๆ ยังรับได้ ช่วงหลังเริ่มน่ารำคาญเลยเผลอประเคนฝ่ามือลงบนหัวตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ส่วนไอ้แฮมดูมีความสุขที่ได้กินของฟรี แถมยังออกตัวว่าสนับสนุนให้ฝ่ายนั้นรีบจีบเพื่อนตัวเองให้ติดสักที ประสาทกลับกันไปหมดแล้วพวกนี้ เชียร์เพื่อนให้มีแฟนเป็นผู้ชายแล้วมีความสุขจังเนอะ

ไอ้ฟานี่ก็ควายเรียกพ่อ โดนไอ้น้องฟาร์มชอบยังไม่รู้ตัวอีก แต่ก็นะ... รายนั้นเขาก็ปอดแหกไม่กล้าทำอะไรสักที เพื่อนผมไม่ระแคะระคายอะไรก็คงไม่แปลก ถึงมันจะเป็นเกย์แท้ๆ แต่ไม่เคยใฝ่หาแฟนเป็นตัวเป็นตน คงไม่พร้อมผูกมัดกับใครเหมือนไอ้แฮม เชี่ยนั่นควรแต่งงานกับของกิน

ผมกำลังพลิกหน้ากระดาษเพื่ออ่านหนังสือซ้ำอีกรอบ ความจริงอยากใช้เวลาว่างไปกับการดูรายการทีวีหรือเล่นเกมบ้างแต่ทำไม่ได้ เพราะกลัวติดลม ถ้าสอบได้คะแนนน้อยขึ้นมาพ่อคงผิดหวัง ถ้าแหวกแนวไปเรียนสายศิลป์ได้คงซิ่วไปนานแล้ว แต่ติดตรงที่บ้านทำกิจการโรงพยาบาลเอกชน เลยไม่มีทางเลือก

ผ่านมาเกือบสองชั่วโมงหลังจากพักกินข้าวเที่ยงไป เสียงสั่นครืดของโทรศัพท์ทำให้ผมต้องละสายตาจากตัวหนังสือภาษาอังกฤษ รายชื่อบนหน้าจอทำให้ต้องขมวดคิ้วยุ่ง ก็ไหนเจ้าตัวบอกว่าวันนี้ต้องเคลียร์งานเขียนแบบไง

"ว่าไง"
ผมกดรับและกรอกเสียงเรียบลงไปตามสายเหมือนทุกที ไม่แสดงอาการยินดียินร้ายที่อีกฝ่ายโทรมาหา

'สะ สวัสดีครับ พี่ว่างคุยไหม'
น้ำเสียงตะกุกตะกักทำให้ผมต้องเลิกคิ้วแล้วก้มมองหนังสืออีกครั้ง ถามว่าว่างไหม ก็ไม่ แต่พักสายตาสักครู่ก็ดีเหมือนกัน จะเดินไปหาอะไรดื่มให้สดชื่นด้วย

"ก็... อืม มีอะไร"
ผมถามกลับไปแล้วพาตัวเองไปหยุดอยู่หน้าตู้เย็นก่อนจะบิดตัวไล่ความเมื่อยขบที่สะสมมาตลอดวัน มือเรียวกำลังยืนไปด้านหน้าแต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเสียงของเจ็ทลอดออกมา ว่ายังไงนะ

'คือ เย็นนี้จะชวนไปกินเหล้า...'
คึกอะไรชวนไปกินเหล้าทั้งๆ ที่อยู่ในช่วงใกล้สอบแบบนี้วะ จะมอมแล้วรวบหัวรวบหางเหรอ ผมก็เป็นคนเย็นชาที่ชอบเพ้อเจ้อเหมือนกัน หลังๆ เริ่มรู้สึกว่าตัวเองคีพลุคไม่ค่อยอยู่ ปากมันพาลจะยิ้มให้เจ็ทอยู่ร่ำไป

"หึ คิดยังไงชวนนักศึกษาแพทย์กินเหล้า"
ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงดุ ไม่ได้ซีเรียสเรื่องดื่มหรอก นักศึกษาแพทย์ก็ใช่ว่าเป็นศัตรูกับแอลกอฮอล์สักหน่อย แค่แตะพอเป็นพิธีบางโอกาสเท่านั้น ขืนเมาหัวราน้ำก็แย่กันพอดี เรียนไม่ทันเพื่อน

'เอ่อ... ขอโทษครับ แค่อยากเจอน่ะ'
ปลายสายเสียงแผ่วเหมือนสำนึกผิดว่าไม่ควรชวนเด็กสายสุขภาพไปเสียสุขภาพ แต่ไอ้ประโยคหลังน่ะคือเหตุผลจริงๆ ของการโทรมาใช่ไหม แล้วทำไมผมต้องใจสั่นด้วยวะ โดนหยอดแค่นี้ถึงกับไปไม่เป็นเลยหรือไง อยากได้ความไม่สนไม่แคร์โลกกลับมาฉิบหาย

"ล้อเล่น กูก็คน กินเหล้าเป็นเหมือนกัน"

'งั้นตกลงว่าไปไหมครับ'

"ได้ แต่ต้องรอกูอ่านหนังสือจบก่อนนะ"
อ่านหนังสือรอบที่ร้อยน่ะนะ

'โอเคเลยครับ พี่อ่านจบเมื่อไหร่โทรหาผมนะ จะได้ออกไปรอที่ร้าน'
น้ำเสียงระรื่นทำให้ผมจินตนาการถึงใบหน้ายิ้มแย้มของเจ็ทได้อย่างชัดเจนจนน่าหมั่นไส้ แต่เวลามันแสดงออกว่ามีความสุขก็น่ารักดี

"ไม่ต้อง เดี๋ยวไปรับที่คอนโด"
ผมบอกก่อนจะคว้าน้ำเปล่าออกมาดื่ม ยังไงตอนไปร้านเหล้าก็ต้องขับผ่านหน้าคอนโดของเจ็ทอยู่แล้ว แวะรับก็คงไม่เสียหาย อีกอย่างขี่มอ'ไซต์ดึกดื่นอันตราย

'หา... จะมารับจริงๆ เหรอ'
ปลายสายร้องเสียงหลงเหมือนไม่เชื่อสิ่งที่ได้ฟังไป ผมเผลอหลุดหัวเราะแต่คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้ยิน

"หรือมึงจะมารับกูแทน"
ผมไม่ได้ตอบแต่ถามเขากลับ ทางเดียวกันไปด้วยกันประหยัดน้ำมันรถดีออก ไม่มีเหตุผลอื่นแอบแฝง เออ... เอาจริงๆ อาจจะมีนิดหน่อย อย่างเช่นนายเมืองเหนือกินเหล้าจนไม่มีความสามารถในการกลับ จะได้ให้เจ็ทไปส่ง เพราะได้ข่าวว่าแอบไปเรียนขับรถมาแล้ว แถมยังตีนผีสูสีกันอีกด้วย

'ถ้าพี่ยอมซ้อนมอ'ไซต์ผมก็ยินดีนะ'
เจ็ทนี่มันเจ็ทจริงๆ สิน่า เปิดช่องว่างให้ทีไรเป็นหยอดตลอด ที่บ้านเคยสอนทำขนมครกหรือยังไง คิดแล้วก็ได้แต่แปลกใจจริงๆ

บรรยากาศร้านนั่งชิวเป็นอะไรที่ผมชอบมากกว่าผับบาร์ มันโปร่งสบายไม่อึกทึกคึกโครม จังหวะดนตรีไม่ได้เร่งเร้าจนน่ารำคาญ เพลงหวานบ้างเศร้าบ้างสลับกันไป ไม่ได้มานั่งผ่อนคลายแบบนี้ตั้งแต่เริ่มขึ้นปีสอง ด้วยเหตุที่ต้องเรียนหนักขึ้นเลยห่างๆ จากแอลกอฮอล์จะดีกว่า

"พี่จะสั่งเหล้า เบียร์ หรือค็อกเทลดีครับ"
คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามพลิกเมนูในมือไปมา มีทั้งเครื่องดื่มและอาหาร ผมว่าทางที่ดีควรหาข้าวกินก่อนไหม เดี๋ยวก็เมาหัวทิ่มกันพอดี ใครสั่งใครสอนให้กระดกแอลกอฮอล์ตอนท้องว่างวะ

"มึงอยากดื่มอะไรก็สั่ง กูได้ทั้งนั้น"
ผมบอกปัดเพราะขี้เกียจคิดแล้วหันไปเรียกพนักงานเสิร์ฟมารับออเดอร์อาหาร ข้าวผัดทะเลจานใหญ่กับต้มยำกุ้งก็น่าจะพอ เหลือพื้นที่ให้ของมึนเมาบ้าง

"ตามใจผมเหรอ"
น้ำเสียงทะเล้นกับสายตาแวววาวที่ส่งมาให้แบบไม่เกรงใจพนักงานเสิร์ฟทำให้ผมลอบถอนหายใจ ถ้าคิดแบบนั้นแล้วมีความสุขก็เอาเถอะ ขี้เกียจจะขัด เดี๋ยวก็เสียใจทำหน้าหงอยอีก น่าเบื่อ

"เอาที่สบายใจเถอะ"

ผมเพิ่งตระหนักเดี๋ยวนี้เองว่าเจ็ทกินข้าวมื้อเย็นน้อยเพราะปกติจะออกกำลังกายโดยการไปวิ่งที่สนามมหา'ลัยหรือเข้าฟิตเนส แต่พักหลังๆ กลับยุ่งเรื่องเรียนจนหุ่นเริ่มไม่เฟิร์ม จะให้รองท้องด้วยผลไม้ก่อนดื่มเหล้าก็ยังไงอยู่ ช่างแม่งเถอะ เรื่องของเขา

"พี่ทาวน์"
อยู่ๆ ไอ้คนที่นั่งมองโน่นมองนี่มาสักพักใหญ่ก็พูดขึ้น ผมที่กำลังหยิบกับแกล้มเข้าปากถึงกับเลิกคิ้ว สงสัยว่ามันมีอะไรถึงได้ใช้เสียงแผ่วๆ เรียกแบบนั้น

"ว่า"
ผมถามกลับไปสั้นๆ แล้วโยนกับแก้มเข้าปากเคี้ยวตุ่ยๆ ดวงตาคมของเจ็ทมองตรงมาทางนี่อย่างไม่ลดละ เขาเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่ามันสั่นไหวความรู้สึกคนอื่นได้ เกลียดที่มันคอยเอาแต่สื่อว่าชอบว่ารักโดยไม่ปิดบังจนสุดท้ายทนไม่ได้ต้องเบนหน้าหนี

"นักศึกษาแพทย์นี่เขามีงานรับเสื้อกาวน์ก่อนขึ้นปีสี่เหรอครับ"
คำถามของเด็กนี่ช่างแปลกประหลาด อยู่ๆ ทำไมวกเข้าเรื่องรับกาวน์วะ หรือชวนคุยตามประสาเพราะเงียบใส่กันมานาน

"เออ ถามทำไม"
ผมถามอย่างไม่ใส่ใจแต่ก็แอบสังเกตปฏิกิริยาตอบกลับจากคนตรงหน้า มีหลายครั้งที่สายตาเหลือบเห็นสาวๆ โต๊ะใกล้ๆ ส่งยิ้มมา ไม่รู้ว่าเป้าหมายของพวกเธอคือเด็กแพทย์หรือสถาปัตย์ ถ้าเป็นอย่างแรกก็ยินดีแต่ถ้าอย่างหลังมันก็น่าหงุดหงิดนิดๆ ล่ะมั้ง

"วันนั้นผมจะไปแสดงความยินดีด้วยนะ หอบดอกไม้ช่อโตๆ เลย"
ผมถึงกับหลุดหัวเราะ ทำไมถึงฝันเฟื่องอย่างกับสาวๆ ทั้งที่ตัวอย่างกับควายแต่มีมุมโรแมนติกมุ้งมิ้ง มันดีหรือแย่วะแบบนี้

"ให้กูผ่านปีสองกับสามให้ได้ก่อนเถอะ"
ผมยกความจริงมาพูดเพราะกว่าจะไปยืนตรงจุดนั้นได้ก็มีนักศึกษาโบกมือลาคณะนี้มานัดต่อนัดแล้ว ถ้าทุกคนสามารถยืนหยัดจนจบหกปี จำนวนหมอในประเทศคงไม่ขาดแคลนขนาดนี้

"นั่นสินะ สู้ๆ ครับ พี่ทาวน์เก่งอยู่แล้ว"
เก่งนักเรื่องออกปากชมและให้กำลังใจด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ผมไม่ยินดียินร้ายกับประโยคเมื่อครู่เลยสักนิด เพราะรู้ว่าตัวเองเป็นคนยังไง แต่ไม่อยากยอมรับว่าปากมันชอบกระตุกอยู่เรื่อย จะยิ้มเพื่ออะไรวะ เดี๋ยวมันก็ได้ใจกันพอดี

"ไม่ต้องมาชม ชงเหล้าเพิ่มที"
ผมแก้อาหารกระอักกระอวนของตัวเองโดยส่งแก้วที่ปราศจากสีอำพันให้กับเจ็ท มันรับไปแล้วคลี่ยิ้มกว้างก่อนพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้

"ครับๆ เดี๋ยวจะชงเข้มๆ เลย"
มันพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วจัดการเทเหล้าใส่แก้วสี่ฝาเต็มๆ นี่กะชงเข้มจริงเหรอ ออนเดอะร็อคส์เลยไหมถ้าจะขนาดนี้ ไม่ต้องกลับบ้านกลับช่องแม่ง

"คิดจะมอมหรือไง"
ผมถามด้วยเสียงดุๆ จ้องมองใบหน้าหล่อเหลาที่ยังคงเปื้อนยิ้มแห่งความสุข เจ็ททำท่าครุ่นคิดก่อนจะเคาะที่คีบน้ำแข็งลงบนปากแก้ว ท่าทางดูระริกระรี้ขึ้นมากกว่าเก่า

"ถ้าได้ก็ดีนะ ผมอาจจะรวบหัวรวบหางตอนพี่เมา"
เสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากราวกับถูกใจนักหนาทำให้ผมลอบเบ้ปากใส่ กล้าล้อเล่นกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ พออ่อนข้อให้หน่อยแล้วปีนเกลียวเหรอ แต่ช่างมันเถอะ อายุห่างกันแค่ปีเดียวจะซีเรียสไปทำไม

"ตื่นขึ้นมากูคงเอามีดไล่แทงมึง"
ผมบอกเสียงเรียบแล้วยักคิ้วจึกๆ ให้ ยังไงไอ้เด็กนี่ก็ต้องแพ้อยู่ดี มันเบิกตาโตใส่ก่อนจะทำหน้าหวาดกลัว

"โหดอะ"

"หึ มึงเริ่มคิดแผนชั่วๆ ก่อนเอง"
ผมเอื้อมมือไปรับแก้วเหล้าชงเข้มมาดื่ม ไม่กลัวเมาแล้วโดนรวบหัวรวบหางหรอก เพราะรู้ดีว่าเจ็ทไม่ใช่คนแบบนั้น

"ผมแค่ล้อเล่นน่า แล้วนั่นพี่จะไปไหนครับ"
เจ็ทออกปากถามเมื่อผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง นั่งอั้นฉี่มาได้นานสองนานจนทนไม่ไหวแล้ว

"ห้องน้ำ"
ผมตอบแล้วทำท่าจะหันหลังออกเดิน แต่มือหนากลับรั้งชายเสื้อไว้ และมันสร้างความประหลาดใส่จนต้องเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไร หรือจะไปด้วยกัน




ต่อด้านล่างน้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-08-2017 10:30:28 โดย Ch0cmint »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
"อย่าเพิ่งไปเลย นั่งลงก่อนเถอะนะ"
เจ็ทดูลุกลี้ลุกลนมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้วแต่ผมมองข้ามเพราะคิดว่าคงไม่ชอบสายตาของสาวๆ ที่จ้องมา แล้วตอนนี้เหตุผลคืออะไรกันแน่

"กูปวดฉี่ ไข่จะแตกอยู่แล้ว"
ผมมองชายเสื้อสลับกับใบหน้ากระอักกระอวนของเจ็ท จะด้วยเหตุผลอะไรก็ช่างแต่ปวดฉี่ไม่ไหวแล้วจริงๆ

"แต่ว่า..."
มันรั้งแต่ก็ยอมปล่อยชายเสื้อเพราะผมส่งสายตาดุๆ ไปให้ จังหวะที่หันหลังกำลังจะก้าวเดินกลับต้องหยุดชะงักกับภาพตรงหน้า

"พรีม"
ผมครางชื่อเธอสั้นๆ มองหญิงชายคู่หนึ่งกำลังนัวเนียกันไม่แคร์สายตาใคร หัวใจไม่ได้เจ็บปวดแต่รู้สึกเกลียดมากกว่า ไม่รักนวลสงวนตัวบ้างหรือไงนะ

"พี่ครับ..."
เสียงเรียกจากเจ็ททำให้ผมละสายตาจากคนทั้งคู่แล้วหมุนตัวกลับมาเลิกคิ้วใส่ ทำไมไม่พูดต่อ แล้วใบหน้ากังวลแบบนั้นน่ะ คืออะไรกัน

"หืม มีอะไร"
จะยอมอั้นฉี่ฟังมันพล่ามหน่อยก็แล้วกัน ทำหน้าเป็นหมาหงอยซะขนาดนั้น

"คือผม..."
มันก้มหน้าแถมทำท่าทีอึกอัก ผมพอจะเดาเรื่องราวได้เลยเดินไปขยี้หัว เด็กอะไร คิดมากฉิบหาย

"ถ้าจะพูดเรื่องพรีมก็ล้มเลิกความคิดซะ กูไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว มึงไม่ต้องกังวลหรอก"
ผมไม่ชอบอธิบายอะไร ใครจะคิดยังไงก็ช่าง แต่กับเจ็ทไม่รู้ทำไมบางอย่างร้องเตือนว่าไม่สามารถปล่อยผ่านได้ กลัวว่าต้องเสียใจซ้ำอีกครั้งล่ะมั้ง ก็รอยยิ้มเจ้าเล่ห์เหมาะกว่าใบหน้าเศร้าๆ

"พี่ทาวน์เข้มแข็งจังนะครับ"
รอยยิ้มบางพร้อมกับคำชมทำให้ผมชะงักฝ่ามือที่กำลังขยี้หัวมัน

"ใครจะไปงอแงเหมือนมึงล่ะ"
ผมบอกเสียงกลั้วหัวเราะแต่อีกคนกลับนิ่งแล้วก้มหน้าแทบชิดอก แถมยังขยับตัวออกจากการสัมผัสอีกด้วย คงโดนสะกิดแผลใจเข้าแล้วล่ะ... ทำไงดี

"....."

"ขอโทษที่ทำให้เจ็บ"
ผมเอ่ยเสียงเบา รู้สึกผิดจริงๆ แต่ปากมันแข็งเกินไปและเชื่อว่าเขาคงได้ยินเพราะสีหน้าตื่นๆ แม่ง หักอกคนอื่นไม่เห็นจะเคยรู้สึกแย่แบบนี้สักครั้ง แล้วทำไม... คิดแล้วปวดหัว

"พี่... ว่าไงนะครับ"
ถามย้ำด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มแบบนี้ ผมควรยกแก้วเหล้าเทราดหัวมันไหม กวนตีนเหี้ยๆ

"สัด ไม่พูดแล้ว"
ด่ามันบ้างคงสำนึก แต่เปล่าเลย ผมคิดผิดถนัด เล่นกับหมาโดนหมาเลียปากจริงๆ

"แม่ง น่ารักว่ะ"
ใครสั่งใครสอนให้ชมผู้ชายแบบนี้ ถ้าเป็นคนอื่นผมต่อยปากแตกไปแล้ว

กว่าจะได้กลับมานอนเอนหลังบนที่นอนนุ่มๆ ก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน และเพิ่งได้เห็นว่าไอ้ฟากระหน่ำโทรหาตั้งเกือบสิบสายแถมส่งสติ๊กเกอร์แสดงอารมณ์หงุดหงิดมาในไลน์จนเครื่องแทบค้าง คงมีธุระด่วนอะไรจริงๆ

‘ไอ้สัด ฮัลโหล ไปตายที่ไหนมาวะ!’
แทนที่จะทักทายกันดีๆ แต่กลับด่ามาเป็นชุดแบบไม่ยั้ง ผมได้แต่ลอบถอนหายใจแล้วพลิกตัวไปกอดหมอนข้าง ง่วงจนตาจะปิดอยู่แล้ว อีกคนจะนอนไปหรือยังนะ แล้วจะไปคิดถึงมันทำไม

“ถ้าตายจะโทรหามึงได้ไหมล่ะ ถามโง่ๆ”
แอบแขวะเพื่อนด้วยความหมั่นไส้ มันก็รู้ว่าปกติผมไม่ชอบเปิดเสียงโทรศัพท์ แล้วยิ่งเวลากลางคืนก็ไม่ค่อยรับสายใครเพราะอ่านหนังสือ แต่ไม่ใช่สำหรับวันนี้ที่ออกไปนั่งกินเหล้ากับไอ้เด็กนั่น คิดแล้วก็ยังสงสัยตัวเองที่ใจง่ายตามมันไปโน่นไปนี่

‘ก็มึงไม่ยอมรับโทรศัพท์อะ’
เสียงว่ากล่าวงอแงของไอ้ฟาทำให้ผมนึกใบหน้าแสนงอนของมันออก จะว่าน่ารักก็ใช่ แต่รู้สึกว่าน่าเตะมากกว่า

“แล้วมีธุระอะไร”

‘คืองี้...’
สรุปว่ามันโทรมาถามเรื่องเรียน เพราะไม่เข้าใจส่วนของเนื้อหาตรงนั้นตรงนี้ ผมก็อธิบายไปเรื่อยตามที่รู้มา

“จะวางแล้วนะ ง่วง”
ผมบอกมันก่อนจะหาวหวอดใส่ ปลายสายบ่นอะไรเสียงงุ้งงิ้งๆ น่ารำคาญจนต้องขยับโทรศัพท์ออกจากหู ทำตัวอย่างกับแม่คนที่สองอย่างไรอย่างนั้น ปวดหัวจริงๆ

‘เดี๋ยวๆ มีเรื่องจะถาม’
มันรั้งด้วยเสียงเร่งรีบเพราะผมเงียบไปนาน จริงๆ จะหลับไม่ใช่จะวางสาย

“อะไรอีก ตาจะปิดแล้ว”

‘มีคนบอกว่ามึงไปกินเหล้ากับไอ้น้องเจ็ท’

“หืม เออ แล้วยังไง”
ผมแอบตกใจที่มันรู้ แต่ก็ไม่ได้กังวลอะไร ใครจะว่ายังไงก็ยังเพราะมันเป็นสิทธิส่วนบุคคล

‘ใจอ่อนกับน้องมันแล้วเหรอจ๊ะ’
พอไอ้ฟารู้ว่าเป็นความจริงก็ออกปากแซว คำถามนี้ผมไม่มีคำตอบให้ตอนนี้เพราะยังสับสนและไม่แน่ใจว่าตัวเองสามารถหลงชอบผู้ชายได้จริงๆ หรือไม่ ขอเวลาทบทวนอะไรบางอย่างสักพักแล้วกัน

“เรื่องของกู”




---------------------------------------------------

พี่ทาวน์ก็แค่สับสนและไม่แน่ใจ อย่าแบนพี่เขาเลยหนา ~

ออฟไลน์ numay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
แข่งครั้งที่ 17




เสียงเครื่องปรับอากาศครางหึ่งๆ ยามใกล้เที่ยงคืนทำให้หนังตาแทบปิดอยู่รอมร่อ ถึงแม้ว่าผมจะพยายามจดจ่อกับหนังสือเรียนมากแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้หาอะไรทำแก้ง่วง โดยไม่ลืมหันไปขออนุญาตอีกคน

"พี่ทาวน์ครับ ผมขอตัวไปหาอะไรทำแก้ง่วงแป๊ปนึงนะ"
ผมหันไปบอกคนในหน้าจอด้วยใบหน้าง่วงงุน หลังจากวีดีโอคอลเฝ้าพี่ทาวน์อ่านหนังสือมาได้เกือบสองชั่วโมงดันเสือกง่วง ควรไปหากาแฟดื่มไหมวะ

'หืม ง่วงก็ไปนอน'
พี่ทาวน์พูดทั้งที่ไม่ได้เงยหน้าจากหนังสือด้วยซ้ำ แต่ผมไม่ถือสาหาความเพราะเป็นคนตื้อจะเฝ้าเขาเอง ไม่โดนด่าก็บุญโขแล้วที่ยุ่งวุ่นวายเวลาส่วนตัวขนาดนี้ นับว่าการจีบก้าวหน้าได้หรือเปล่า

"ไม่ครับ ก็ผมบอกแล้วไงว่าจะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าพี่จะอ่านหนังสือจบ"
ผมยืนยันคำเดิมก่อนลุกขึ้นบิดขี้เกียจ กำลังจะก้าวขาออกไปก็ได้ยินเสียงงึมงำของพี่ทาวน์ดังขึ้น

'ดื้อ'
คนพูดเงยหน้าขึ้นมองเพียงครู่เดียวแล้วกลับไปสนใจหนังสือต่อ ผมเลยได้แต่ย่นจมูกใส่อากาศแล้วบ่นเสียงงุ้งงิ้ง เขาไม่เรียกว่าดื้อสักหน่อย

"เปล่านะครับ แค่อยากอยู่ด้วย"

'ตามใจ'

"งั้นเดี๋ยวผมมานะ"
ผมแทบจะยิ้มแก้มแตกเมื่อได้ยินคำกึ่งอนุญาต ได้นั่งมองหน้าพี่ทาวน์แบบนี้มันรู้สึกดีเหมือนขึ้นสวรรค์ รู้สึกเหมือนตัวเองประสบความสำเร็จในการจีบหนุ่มไปอีกขั้น เชื่อว่าไม่นานเขาคงรู้สึกชอบกันบ้าง แค่นิดเดียวก็ยังดี

จากที่คิดว่าไปหากาแฟดื่มดีไหม สุดท้ายก็ล้มเลิกความคิดเพราะกลัวตาค้างไปทั้งคืน เลยเปลี่ยนเป้าหมายเดินไปที่ห้องนอนเพื่อหยิบเครื่องเล่นเกม Nintendo Switch ที่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้จับติดมือกลับมานั่งที่หน้าจอคอมพิวเตอร์เหมือนเดิม คราวนี้ผมคงไม่ง่วงอีก แต่จะติดลมแทน...

ผมคลี่ยิ้มให้พี่ทาวน์ที่เหลือบตามองเพียงครู่เดียวก่อนจะกลับมาตั้งใจเลือกเล่นเกม Splatoon 2 จะมีการแบ่งทีมการแข่งขันเป็นสองฝ่าย ทีมละสี่คนโดยการสุ่มของระบบ เนื้อเรื่องเน้นการทาสีพื้นที่ในแมพให้ได้มากที่สุด

เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงที่มีแต่เสียงดนตรีในเกมดังคลอประสานกับเครื่องปรับอากาศ ผมยังคงตั้งหน้าตั้งตาเล่น มีบางครั้งที่เหลือบมองพี่ทาวน์ รายนั้นก็สนใจแต่หนังสือ เขาขมวดคิ้วบ้าง มียิ้มบ้าง ดูๆ ไปก็น่ารักดี จะมีใครได้เห็นมุมแบบนี้ไหม นายภาคินอยากหวงเก็บไว้คนเดียวจัง

'ทำอะไร'
คำถามไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยดังขึ้นพร้อมกับด้วยตารีที่มองมา ผมสะดุ้งเพราะเผลอจ้องพี่ทาวน์อยู่ เกือบทำเครื่องเล่นเกมตกจากมือ ถูกจับได้แบบนี้ควรแถยังไงดีวะ จะยอมรับก็รู้สึกอาย

"ละ เล่นเกมครับ กำลังสนุกเลย"
ผมรีบก้มหน้าก้มตาทำเป็นกดจอยเกม หัวใจเต้นแรงเพราะตื่นเต้นกลัวว่าพี่ทาวน์จะโกรธ กวนเวลาอ่านหนังสือไม่พอยังไปนั่งจ้องให้เสียสมาธิอีก

'ติดเกม'
คำพูดลอยๆ ของพี่ทาวน์ทำให้ผมชะงักมือที่กดจอยเกมหลอกๆ เหลือบตามองคนในจอก่อนจะถอนหายใจออกมา ดีแล้วที่เขาไม่ได้ใส่ใจท่าทีแปลกๆ ของนายภาคิน ไม่อย่างนั้นคงโดนหาว่าโรคจิต

"ช่วงนี้นานๆ ครั้งจะเล่นครับ ก่อนจีบพี่ทาวน์ผมติดงอมแงมเลยล่ะ"
ได้ทีก็แอบหยอดพร้อมส่งยิ้มหวานให้ พี่ทาวน์เงยหน้าขึ้นแล้วใช้มือเท้าคางพลางขมวดคิ้วคล้ายคนกำลังสงสัยและต้องการคำอธิบาย ถ้าอยู่ใกล้ๆ ผมคงเอื้อมมือไปดึงแก้มเขาด้วยความมันเขี้ยวแล้ว คนอะไรมุมไหนก็ดูน่ารักไปหมด หรือเพราะนายภาคินหลงนายเมืองเหนือจนถอนตัวไม่ขึ้นกันแน่นะ

'สนุกอะไรขนาดนั้น'
น้ำเสียงติดขำถามกันตรงๆ ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนอริยาบทเป็นการบิดขี้เกียจโดยไม่มีการเก๊ก ถ้าหากไม่ได้เป็นคนสนิทของพี่ทาวน์ จะมีวันเจอมุมสบายแบบนี้หรือเปล่า ปกติหน้านิ่งขรึมอย่างกับโกรธใครอยู่ตลอดเวลา เป็นบุญตาและบุญใจของผมจริงๆ

"ไม่รู้สิครับ มันคลายเครียดดี พี่ลองเล่นดูปะ"
ตอบกลับไปพร้อมกับหันหน้าจอเครื่องเล่นเกมให้อีกคนดูด้วยความตื่นเต้น ถ้าพี่ทาวน์สนใจเราคงมีเรื่องให้คุยกันมากกว่านี้ และบางทีความสัมพันธ์อาจก้าวหน้าได้เร็วขึ้น เพราะทุกวันนี้ไม่ว่าผมจะหยอดคำหวานหรือจีบหนักสักเท่าไหร่ เขาก็ไม่แสดงท่าทีว่าจะชอบกันบ้างเลย คิดแล้วก็ท้อแต่ไม่ยอมถอย

'ไม่ จะอ่านหนังสือต่อแล้ว เบาเสียงเกมมึงหน่อย'
พี่ทาวน์ส่ายหัวแล้วบอกความต้องการของตัวเองก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อ ผมเลยได้แต่ตอบรับเสียงแผ่วแล้วตัดสินใจปิดเครื่องเล่นเกมเปลี่ยนมาจ้องเขาแทน

อยากขอบคุณพี่ทาวน์ที่ยอมให้คนอย่างผมเจ้าไปก้าวก่ายชีวิตประจำวัน อยากขอบคุณที่ไม่แสดงท่าทีรำคาญ ไม่ออกปากไล่เหมือนที่ผ่านๆ มา ตั้งใจจะพูดออกไปหลายรอบแต่สุดท้ายก็ปิดปากเงียบเพราะกลัวเขาอ้วกในความเลี่ยน เป็นแบบนี้ก็มีความสุขดีเนอะ ว่าไหม

ผมเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ ตื่นมาอีกทีก็ตอนแสงแดดแยงตา นาฬิกาบอกเวลาสิบโมงเช้า พอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูว่าสายตัดไปตอนไหนถึงกับตกใจ นี่พี่ทาวน์นอนตอนตีสามเหรอวะ มันจะทรหดอดทนเกินไปแล้ว ขนาดเป็นแค่นักศึกษาแพทย์ ถ้าเป็นหมอคงหนักกว่านี้

"เชี่ยเจ็ท ~ ทำอะไรอยู่วะ"
เสียงเจื้อยแจ้วของไอ้ฟาร์มร้องถามและเข้ามานั่งเบียดข้างๆ มันเพิ่งกลับมาจากออกไปกินข้าวเที่ยงกับเด็กในสต็อกสักคน เพราะโดนสาวเจ้าขู่ว่าจะเอารูปที่จูบกันลงประจานในเฟซบุค จากที่ขัดขืนแทบตายกลายเป็นว่าทั้งยิ้มทั้งประคองเธอขึ้นรถ คงกลัวว่าพี่ฟาจะเห็นเข้าล่ะมั้ง

"เล่นเกม"
ผมตอบกลับไปสั้นๆ แล้วขยับออกห่างเพราะไอ้ฟาร์มมันเกะกะ กำลังถึงจุดพีคของเกมอยู่แล้วเชียว ทำให้เสียสมาธิชะมัด

"กลับมาติดเกมอีกแล้วเหรอมึง"
ไอ้ฟาร์มยังถามต่อแถมยังพยายามยื่นหน้าเข้ามาดูจนปากของผมแทบจูบหัวมันอยู่แล้ว ด้วยความหมั่นไส้เลยใช้คางกระแทกกลางกบาลไปทีหนึ่ง เจ้าตัวร้องโวยวายครู่เดียวก็เงียบไปเพราะโดนไอ้ไธเตะขา

"เออดิ ก็เมื่อวานหยิบมาเล่นแก้ง่วงแล้วมันติดลม"

"ระวังหมาคาบพี่ทาวน์ไปแดกแล้วกัน ไอ้เด็กบ้าเกม"
แทนที่จะเป็นเสียงไอ้ฟาร์มกลับกลายเป็นคนที่นั่งเงียบมาตลอดเอ่ยขึ้นบ้าง ผมละสายตาจากจอทันทีแล้วถลึงตาใส่มัน ถ้าจะพูดขนาดนี้ต่อยกันเลยไหม กูจีบของกูมาตั้งหลายเดือน ถ้าหมาคาบไปก็แย่สิ!

"ปากมึงนี่นะ ขอให้จิณณ์ไม่รัก!"
ผมโต้กลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ ได้ยินเสียงประกาศผลในเกมว่าเป็นฝ่ายแพ้ยิ่งพาลหงุดหงิด แต่พอเห็นใบหน้าไม่สู้ดีของไอ้ไธอารมณ์ก็เย็นลงเยอะ เรื่องของมันกับจิณณ์คงไม่คืบหน้าพอๆ กับป๋าสายเปย์กับพี่ฟา

เดี๋ยวนะ... แล้วไอ้ฟาร์มมันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย เป็นผีหรือไง หายตัวได้ด้วย

"แล้วมึงคิดว่าทุกวันนี้จิณณ์รักกูหรือไง จะแช่งไม่แช่งก็เหมือนกัน"
ไอ้ไธบอกด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ก่อนจะซบหน้าลงกับท่อนแขนที่พาดยาวบนโต๊ะ ดวงตาคมทอดมองมาที่ผม มันทั้งเศร้าและสั่นไหว เรื่องความรักบางครั้งคนนอกก็ช่วยอะไรไม่ได้ ทำแค่ยืนมองอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ก็มากพอแล้ว

"ไธ... มึงกำลังดราม่าใช่ไหม"
ผมถามออกไปตรงๆ แล้ววางเครื่องเล่นเกมในมือลง ที่ถามออกไปไม่ใช่ว่าจะตอกย้ำ แค่ตั้งต้นเพื่อพาเข้าเรื่องที่อยากอยู่ ความสัมพันธ์ระหว่างจิณณ์กับไธมันเดินหน้าหรือยัง เพราะช่วงหลังมานี้ไม่ได้สนใจพวกมันเลย เอาแต่ตามจีบพี่ทาวน์ลูกเดียว

"....."
ไอ้ไธเม้มปากแน่นแล้วปล่อยความเงียบให้โรยตัวระหว่างเรา เสียงพูดคุยของเพื่อนร่วมคณะยังไม่สามารถขจัดความอึมครึมที่เกิดขึ้นได้เลย อย่าหาว่าผมเสือกเรื่องเพื่อน ถึงจะช่วยอะไรไม่ได้ ขอเป็นที่รับฟังให้มันระบายความอัดอั้นบ้างก็ยังดี

"ไม่กล้าบอกจิณณ์ว่ามึงรู้สึกยังไงใช่ไหม"
ผมไล่ต้อนเพื่อนด้วยสิ่งที่ตัวเองคิด และดูเหมือนว่าจะเดาถูกเพราะไอ้ไธถึงกับถอนหายใจเฮือกก่อนจะยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรง ดวงตาคมเหม่อมองท้องฟ้าสดใสไร้เมฆ ซึ่งต่างจากอารมณ์ของมันตอนนี้เหลือเกิน

"จะให้บอกยังไง พอเจอหน้าจิณณ์กูก็ใบ้แดกทุกที กลัวนั่นกลัวนี่ไปหมด"
ไอ้ไธขยี้หัวจนยุ่งเหยิง ดูจากสภาพแล้วคงาองจิตสองใจอยู่ตลอดเวลา หลายครั้งที่มันมีแรงฮึดจะบอกความรู้สึกกับจิณณ์ แต่ก็พังทลายไม่เป็นท่าทุกที ผมว่าผมเข้าใจความคิดนี้นะ ใช้เวลาสะสมความรักไว้ตั้งมาก ถ้าต้องเสียมันไปเพียงเพราะคำพูดคำเดียวคงไม่ดีแน่ๆ

"จะกลัวเชี่ยไรนักหนา ถ้าภายในอาทิตย์นี้มึงยังไม่บอกมันอีก กูจะบอกเอง ตกลงไหม"
แต่ด้วยที่ผมอยากเห็นไอ้ไธสมหวังสักที ถึงแม้ว่าความเป็นไปได้แค่ห้าสิบห้าสิบก็เถอะ บางทีการกลัวอะไรไปก่อนมันบั่นทอนจิตใจเรามากเกินไป จิณณ์อาจจะมองโลกในแง่ดี อย่างเช่นมีคนชอบดีกว่ามีคนเกลียดมั้ง

"เหี้ย! ทำไมต้องเผด็จการแบบวะ"
ไอ้ไธร้องเสียงหลงจนคนอื่นๆ ในลานคณะหันมามองเป็นตาเดียว ผมได้แต่ก้มหัวขอโทษพวกเขาแล้วหันไปทำตาดุใส่เพื่อนที่ดูเหมือนสติจะหลุดลอยออกจากตัวไปแล้ว คราวนี้ขอบอกเลยว่าไม่ได้ขู่ นายภาคินเอาจริงเว้ย

"เพื่อตัวมึง ยืดเยื้อมานานแล้ว น่ารำคาญ"
ผมบอกแล้วเอื้อมมือไปผลักหัวคนขี้ขลาดแรงๆ จนมันร้องโวยวายว่าคอจะหักงั้นงี้ สำออยจริงๆ ก็เห็นอยู่ว่าไม่ได้เป็นอะไรมากมาย มารยาเยอะแยบนี้เอาไปใช้จีบจิณณ์เถอะ มีประโยชน์กว่าเยอะ

"เออๆ แม่ง กูคงปอดแหกมากสินะ"
มันรับคำส่งๆ แล้วงึมงำด่าตัวเอง เชื่อไหมว่าไอ้ไธต้องใบ้แดกเวลาเจอจิณณ์อีกแน่ๆ แต่ไม่เป็นไร ผมจะเป็นกามเทพให้เอง

"ใช่ไง ต้องอย่างกูนี่ มาดแมน กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว"
ผมเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ เพราะตัวเองเป็นคนแรกที่กล้าสารภาพรักก่อนใครเพื่อน แต่ดูเหมือนไอ้ไธจะไม่เห็นด้วยเพราะมันเบ้ปากจนแทบจะล็อก แถมทำท่ารังเกียจกันขนาดนั้น กูไม่ใช่ขี้นะเว้ย เกลียดหน้ามึงจริงๆ

"เหรอครับ เห็นร้องไห้ขี้มูกโป่งไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง"
เสียงแซวจากไอ้ไธทำให้ผมถึงกับหน้าสั่น เอาความจริงมาพูดเล่นมันไม่ขำนะเว้ย ตอนแรกกะจะลุกขึ้นแล้ววางมวยใส่แต่พอเห็นว่าสีหน้าของมันดูดีขึ้นก็เลยยอมๆ ไป อีกอย่างคือไม่อยากโดนคนอื่นรุมกระทืบข้หาเสียงดังรบกวนชาวบ้าน

"พอเถอะ..."
ผมร้องขอด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแล้วซบหน้าลงกับท่อนแขนเป็นการบอกว่ายกธงขาวยอมแพ้ไอ้ไธแล้วจริงๆ จะทำอะไรก็เรื่องของมันเลย เอาที่สบายใจมึงก็พอ

"เออๆ แล้วนี่ไอ้ฟาร์มวิ่งไปไหนของมันวะ"
ไอ้ไธมองไปรอบๆ ลานคณะเหมือนเพิ่งคิดได้ว่าเพื่อนสนิทอีกคนหายตัวไป ผมเลิกคิ้วมองมันแล้วพลางคิดมนใจว่า เพิ่งจะสนใจไอ้ฟาร์มมันหรือไง วิ่งหายไปเกือบสิบนาที ถ้าใครลากไปฆ่าคงตายแล้วมั้ง

"ไปรับไอ้ตังค์มั้ง"
ผมก็เดาไปมั่วๆ เพราะไอ้ตังค์หายตัวไปตั้งแต่เช้าแถมยังไม่ยอมเข้าเรียนอีกด้วย คงมีธุระด่วนที่ไหนสักที่ อย่างเช่นคณะวิศวะ...

"ที่ไหน"

"คณะวิศวะ"
ผมเผลอตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังไปได้ไงวั แม่งเอ้ย โดนไอ้ไธซักฟอกแน่ๆ จิณณ์อุตส่าห์บอกว่าให้เก็บเป็นความลับแท้ๆ เลยเชียว

"ห๊ะ ไอ้ตังค์ไปทำอะไรที่นั่น"
นั่นไง คิดในใจไม่ถึงสิบวิมันก็พรวดพราดถามขึ้นมาแล้ว

"ไปจีบจิณณ์มั้ง"
ผมพยายามเบี่ยงประเด็นแล้วทำเป็นว่าชมนกชมไม้ไม่ยอมสบตากับเพื่อน เพราะเรื่องไอ้ตังค์เป็นแค่ข้อสันนิษฐานของจิณณ์ก็เท่านั้น แต่คันปากอยากบอกต่อว่ะ รู้คนเดียวมันอึดอัด

"ไอ้เจ็ท กูไม่เล่นนะ"
ไอ้ไธกัดฟันกรอดแถมยังส่งสายตาดุมาให้ ผมเองก็ลืมไปว่าเผลอสะกิดแผลสดของมันเลยต้องก้มหัวขอโทษขอโพยแล้วอธิบายเรื่องไอ้ตังค์แบบอ้อมค้อม

"แกล้งแค่นี้ทำเกรี้ยวกราด กูก็ไม่รู้ แต่เหมือนไอ้ตังค์จะมีปัญหากับเด็กวิศวะอีกแล้วมั้ง"
คำว่า 'มั้ง' จะทำให้ทุกประโยคที่พูดลดความจริงจังลงได้เกือบห้าสิบเปอร์เซ็น ผมหวังว่าไอ้ไธมันจะเลิกสงสัย แต่เปล่าเลยมันเข้าประเด็นแบบตรงเป้าไม่มีผิดพลาด กูละอยากโขกหัวกับโต๊ะเหลือเกิน ใครใช้ให้มึงเกิดมาเป็นนักแม่นเดาวะ!

"หือ กับเพื่อนจิณณ์น่ะเหรอ แล้วไอ้ฟาร์มเกี่ยวอะไรกับเขา"
ระบุตัวได้แบบไม่ผิดเพี้ยน แต่ผมเพิ่งคิดได้ว่าคนอย่างไอ้ตังค์เคยมีเรื่องกับใครมี่ไหนนอกจากพวกไอ้เอย สรุปว่ามันไม่แม่นเดาหรอก แค่พูดออกมาตามความเป็นไปได้ ส่วนไอ้ฟาร์มเกี่ยวอะไรน่ะเหรอ งั้นเล่าเลยแล้วกัน จิณณ์... กูขอโทษนะ แต่กูคันปากจริงๆ

"พ่อหวงลูกสาวน่ะ กลัวไอ้เอยลากไอ้ตังค์ไปปล้ำมั้ง เลยต้องไปรับถึงที่"

"ไหนบอกว่าไม่รู้เรื่อง ย้อนแย้งฉิบหายเลยมึง"
ไอ้ไธไม่มีทีท่าตกใจกับคำพูดส่อเสียดของผมแถมยังทำหน้าเบื่อหน่ายใจอีก ใช่สิ กูมันน่าเบื่อนี่ ทั้งๆ ที่หน้าเหมือนจิณณ์ทุกกระเบียดนิ้ว มันยังกล้าทำหน้ารำคาญใส่กูเลย... แม่ง สองมาตรฐานชัดๆ น้อยใจได้ไหม

"ก็จิณณ์มันเล่าไม่เป็นเรื่อง กูจับใจความได้แค่นี้ล่ะ"
ผมก็โทษจิณณ์ไปเรื่อย เพราะยังไม่อยากสรุปเรื่องที่ไอ้เอยทำแบบนี้ว่าเพราะอะไรกันแน่ มันไม่ได้ป่าวประกาศว่าจีบไอ้ตังค์สักหน่อย พูดไปจะเสียหายกันเปล่าๆ

"ตกลงว่าตอนนี้ไอ้ตังค์อยู่กับเอย แต่ไอ้ฟาร์มจะไปเอาตัวมันกลับมาว่างั้น"
ไอ้ไธนี่ก็เดาเรื่องไปเรื่อย แต่แม่งถูกได้ไงวะ แต่ฟาร์มมันแค่คิดว่าเพื่อนไปมีเคลียร์ปัญหากับเด็กวิศวะแบบลูกผู้ชายธรรมดา ที่กล่าวหาว่าเป็นพ่อหวงลูกสาวก็แค่พูดเล่นเฉยๆ

"เออ ทำนองนั้น ทิ้งกระต่ายให้อยู่ถ้ำเสือครึ่งวัน ป่านนี้ไม่เหลือแต่ขนแล้วเหรอวะ"

"พูดไปเรื่อยนะมึง แล้วเราจะรออยู่นี่น่ะเหรอ"

"เออดิ ขี้เกียจไปวุ่นวาย"

"นั่นเพื่อนมึงนะ ไม่ช่วยมันหน่อยล่ะวะ"

"เพื่อนจะมีผัวนี่จำเป็นต้องช่วยอะไรไม่ทราบ"
ผมพูดติดตลกก่อนจะเท้าแขนลงกับเก้าอี้ทั้งสองข้างแล้วแหงนหน้ามองฟ้า ดีนะที่ตรงนี้ปลูกต้นราชพฤกษ์ดอกสีเหลืองเต็มต้นสามารถบังแดดได้ดี เลยทำลมที่พัดมาเย็นสบาย อากาศดีๆ แบบนี้น่าจะชวนพี่ทาวน์ไปวิ่ง แต่ติดที่ว่าเย็นนี้เขาวางแผนไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดแล้ว เสียดายจัง

"สรุปว่าไอ้เอยชอบไอ้ตังค์เหรอ"
ไอ้ไธมันขี้สงสัยตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ผมลุกขึ้นเต็มความสูงแล้วเดินหนีเพื่อจะไปเรียนวิชาต่อไป แต่มันก็ยังคงตามตื๊อจนต้องพูดตัดความรำคาญ

"โอย ไม่รู้เว้ย"

หลังเลิกเรียนผมก็แยกตัวออกมาแล้วพุ่งตรงไปที่หอสมุดคณะแพทย์ทันที เพราะมีใครคนหนึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียว ส่วนพี่ฟามีนัดกับที่บ้าน พี่แฮมไปกินบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่นกับเพื่อนสมัยมัธยม พอถึงที่หมายก็ต้องยิ้มกว้างเมื่อเห็นเขากำลังดูดมอคค่าปั่นอยู่ กินกาแฟตอนนี้แล้วจะนอนตอนไหนครับพี่

ผมทักทายพี่ทาวน์ก่อนจะทิ้งตัวนั่งฝั่งตรงข้ามแล้วรื้อเอางานแบบที่ต้องแก้ไขเพื่อสงในวันพรุ่งนี้ขึ้นมาทำ แต่เผอิญสายตาดันไปสะดุดกับเครื่องเล่นเกมในกระเป๋าเลนเปลี่ยนทิศทาง คลายเครียดสักหน่อยค่อยปั่นงานก็ยังไม่สายหรอกน่า ลงทุนปิดเสียงเพื่อไม่เป็นการรบกวนคนอื่น

"จะทำงานหรือเล่นเกม"
น้ำเสียงดุๆ ที่ถามคำถามเดิมดังขึ้นมาอีกครั้งหลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ผมสะดุ้งแต่ยังไม่ละสายตาออกจากหน้าจอ เพราะตอนนี้กำลังติดพันเล่นเกม ไม่มีให้กดสต็อปด้วยสิ

"ขอแป๊ปนึงครับพี่ทาวน์ เดี๋ยวจะทำต่อแล้ว"

"มึงเดี๋ยวมาสี่รอบแล้ว"
เสียงดุมากยิ่งขึ้นและมาพร้อมกับสันหนังสือที่เคาะมากลางหัว ผมร้องโอ๊ยเพราะมันเจ็บก่อนจะยอมหยุดเล่นเกมแล้วมองคนต้องหน้าด้วยสายตาอ้อนๆ

"โธ่ ก็มันติดลม"
ผมลูบหัวป้อยๆ บรรเทาความเจ็บ แต่พอเจอใบหน้าถมึงทึงของพี่ทาวน์กลับต้องฉีกยิ้มแห้ง รู้ตัวว่าไม่สมควรนั่งเล่นเกมทั้งที่งานค้างตั้งกองอยู่ แต่มันอดใจไม่ได้นี่นา เมื่อเที่ยงก็โดนไอ้ฟาร์มกับไอ้ไธขัดจังหวะ

"เดี๋ยวปลายภาคมึงจะติดเอฟ"

"โหย แรง อย่าแช่งผมแบบนี้"
โดนแช่งด้วยน้ำเสียงไม่ทุกข์ร้อนขนาดนี้ตะให้หน้าด้านถือเครื่องเล่นเกมอยู่ก็คงแปลก ผมจัดการเก็บมันให้พ้นตาแล้วเท้าคางมองหน้าพี่ทาวน์

"ความจริง"
พี่ทาวน์ย้ำคำพูดตัวเองอย่างชัดเจนก่อนจะยักคิ้วกวนส่งให้แล้วยืนมือมาผลักหัวด้วยความหมั่นไส้ แทนที่ผมจะร้องโวยวายกลับยิ้มกริ่ม ขอเข้าข้างตัวเองว่าเขาเป็นห่วงก็แล้วกัน

"ทำงานต่อก็ได้ครับ แม่"
ปลายประโยคแผ่วลงเพราะไม่กล้าพูดเสียงดัง อยู่ๆ ไปเรียกผู้ชายแบบนั้น อีกฝ่ายคงโกรธไม่ก็งงเป็นธรรมดา แต่ความหมายของมันไม่ใช่แม่ผู้ให้กำเนิดหรอกนะ หึหึ

"อะไร"
พี่ทาวน์จ้องหน้าผมเขม็งอย่างเอาเรื่อง แต่ผมไม่นึกกลัวเพราะใจอยากหยอดคนตรงหน้า ขอหน่อยเถอะ อยากได้เขามาเป็นแฟนจะตายอยู่แล้ว

"ก็... แม่ทูนหัวไง"
ผมคลี่ยิ้มปิดท้ายประโยคจนตาหยี แถมยังยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อหวังว่าพี่ทาวน์จะแสดงท่าทางเขินบ้าง แต่คงหวังมากไปเพราะมือเรียวตบเข้ามาที่หัวเต็มๆ แม่ง เอาซะมึนเลย

"อยากตายเหรอ"
พี่ทาวน์พูดเสียงรอดไรฟันแล้วทำท่าจะง้างมือตบลงมาอีกครั้ง ผมรีบผงะถอยหลังก่อนยกมือยอมแพ้แล้วละล่ำละลักแก้ตัวเป็นการใหญ่ ถึงจะรักเขาแต่ก็รักชีวิตมากกว่า ถ้ากลายเป็นข่าวในเพจว่าตายสยองคาห้องสมุดก่อนได้เมีย มันน่าสมเพชเกินไป

"ผม... ละ ล้อเล่นครับ"
หาเสียงตัวเองแทบไม่เจอ แถมหัวใจยังเต้นแรงเพราะกลัวพี่ทาวน์จะไล่ให้ออกไปจากห้องสมุด ก็อุตส่าห์ทิ้งเพื่อนฝูงมาที่นี่ กลับไปด้วยความผิดหวังพวกนี้ล้อจนตายแน่ๆ ผมพยายามส่งสายตาอ้อนวอนให้เขาเพราะดูท่าทางโมโหอยู่ไม่น้อย แต่สุดท้ายก็ได้ยินเสียงถอนหายใจแรงๆ

"ทำงานเงียบๆ ไป"
คำตัดบทก่อนที่เจ้าตัวจะกลับไปสนใจหนังสือทำให้ผมลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วเริ่มลงมือแก้แบบตรงหน้าบ้าง เพิ่งรู้ว่าแค่นั่งด้วยกันเงียบๆ ในแต่ละวันก็ทำให้มีความสุขได้ จะเป็นไรไหมถ้านายภาคินขออยู่ข้างนายเมืองเหนือแบบนี้ตลอดไป หวังสูงไปหรือเปล่านะ

ผ่านไปสองชั่วโมงท้องก็เริ่มประท้วงว่าต้องการอาหาร ผมเหลือบมองพี่ทาวน์ที่ยังคงก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ ไม่มีทีท่าว่าจะหิวหรือง่วงอะไรเลย นับถือความอดทนของเขาจริงๆ

"พี่ทาวน์"
ผมลองส่งเสียงเรียกคนตรงหน้าแล้วสังเกตปฏิกิริยาตอบรับ นานนับครึ่งนาทีเขาถึงเงยหน้าขึ้นพร้อมคำถาม

"มีอะไร"

"ดึกแล้ว... กลับกันเถอะครับ"
ผมบอกก่อนจะมองไปรอบตัวเพื่อชวนอีกคนให้มองตาม คนอื่นๆ ทยอยกลับบ้านไปตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว จะว่าไปบรรยากาศก็เริ่มวังเวงชอบกล ไม่ได้กลัวแต่ก็ไม่อยากเสี่ยง เพราะเรายังอยู่บริเวณคณะแพทย์...

"อืม ก็ได้"

ผมกับพี่ทาวน์เดินมาที่ลานจอดรถท่ามกลางความเงียบ มีเพียงแสงไฟจากหลอดนีออนให้ความสว่าง ไม่รู้จะหาเรื่องอะไรมาคุยในเมื่ออีกคนกำลังกดโทรศัพท์ยิกๆ สงสัยจะคุยธุระกับใครอยู่มั้ง แต่ว่าถ้าปล่อยไปแบบนี้ต่างคนคงต่างแยกย้ายกลับบ้าน ต้องหาวิธีรั้งต่อ แค่สิบนาทีก็ยังดี

"พี่ครับ ไปกินขัาวด้วยกันก่อนไหม"
ผมลองชวนในขณะที่เราเดินมาถึงรถบีเอ็มฯ เปิดประทุน พี่ทาวน์ชะงักมือแล้วเงยหน้าขึ้นมองอยู่ครู่หนึ่งราวกับตัดสินใจก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ

หลังจากฟาดข้าวต้มรอบดึกไปคนละสองถ้วยใหญ่โดยมีพี่ทาวน์เป็นเจ้ามือ ผมโวยวายแทบตายแต่สุดท้ายต้องยอมเพราะประโยคที่ว่า 'กูแก่กว่า ส่วนมึงน่ะเป็นเด็ก กินๆ ไปก็พอ' อยากเถียงเหลือเกินว่าอายุห่างกันแค่ปีเดียวเอง ทำอย่างกับตัวเองแก่ไปได้ แล้วตกลงใครจีบใครกันแน่ ดูสลับการกระทำแปลกๆ งงเว้ย

"ขอบคุณที่มาส่งครับ"
ผมเอ่ยปากเมื่อรถจอดสนิทที่หน้าคอนโด ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว ยังไม่อยากแยกกับพี่ทาวน์เลย แต่จะทำตัวงอแงงี่เง่าก็ใช่เรื่อง เดี๋ยวโดนหาว่าเป็นเด็กน่ารำคาญอีก

"อืม"
พี่ทาวน์พยักหน้าแล้วตอบรับสั้นๆ ดวงตารีจ้องไปด้านหน้าราวกับอยากกลับที่พักเต็มแก่ ทว่าผมกลับแอบลอบมองเขาด้วยความอาลัย ทำไมเวลาในแต่ละวันเดินไวขนาดนี้ ยังไม่เต็มอิ่มกับการอยู่ด้วยกัน ถ้าได้เป็นแฟนเมื่อไหร่จะทำตัวติดเป็นปาท่องโก๋เลยคอยดู

"ผมไปนะ"
ผมเปิดประตูและก้าวลงจากรถ ตัดใจแล้วว่าคืนนี้คงจบด้วยความเงียบและการบอกลาง่ายๆ ฝ่ายเดียว แต่ตอนที่กำลังก้าวขึ้นคอนโดกลับได้ยินเสียงกระจกที่เลื่อนลง

"เดี๋ยว"
น้ำเสียงทุ้มเอ่ยรั้งกันไว้ พี่ทาวน์หันหน้ามาทางนี่แต่ดวงตากลับเสมองไปทางอื่นคล้ายกำลังอายในสิ่งที่กำลังจะพูดต่อ ท่าทางแบบนั้นทำให้หัวใจของผมเริ่มเต้นถี่ขึ้น สมองคิดไปต่างๆ นานา ทั้งด้านดีและไม่ดี

"คะ ครับ"

"ขอบคุณ... ที่อยู่เป็นเพื่อนวันนี้ แล้วก็ฝันดี"

ถ้าในฝันมีพี่ทาวน์ ไอ้เจ็ทคนนี้จะนอนข้ามวันข้ามปีเลยเถอะ!

เมื่อคืนผมหลับไปพร้อมกับรอยยิ้มบนมุมปากเพราะคิดถึงคำพูดทิ้งท้ายของพี่ทาวน์ก่อนจากกัน สมองจำได้ดีแม้กระทั่งน้ำเสียงในเวลานั้น แต่ไม่เห็นฝันดีเลย เจอแต่ความมืดสนิท เช้ามายังโดยจิณณ์ทิ้งหัวอีก เพราะมันตื่นสายไม่ทันทำอาหารเช้า เลยต้อบพึ่งร้านสะดวกซื้อ ได้ไส้กรอกชีสกับขนมปังไส้ทูน่ามากินและนมจืดอีกหนึ่งขวดยักษ์ อิ่มแปร้กันไปตามระเบียบ

งานเขียนแบบที่นั่งแก้ไปเมื่อวานก็ส่งอาจารย์ไปแล้วคะแนนจะออกอาทิตย์หน้าก่อนสอบปลายภาค คราวนี้ผมมั่นใจว่าคงได้เอแน่ๆ เพราะทำตามขั้นตอนทุกอย่าง สเกลไม่มีผิดเพี้ยนถึงแม้ว่าจะแอบเจียดเวลาไปเล่นเกมจนโดนพี่ทาวน์ดุก็เถอะ

ตอนนี้พวกเราทั้งสี่คนนั่งอยู่ที่ลานหน้าคณะศิลปกรรมศาสตร์เพราะเมื่อครู่เพิ่งจบการประชุมงานวันสถาปณามหา'ลัย ปีหนึ่งต้องเข้าร่วมงานเป็นเรื่องปกติ แต่มันดันเป็นวันอาทิตย์นี่สิ ก็เลยเจอเสียงบ่นกระปอดกระแปดของรุ่นไป แต่สุดท้ายรุ่นพี่ผู้แสนใจดีก็เอาของมึนเมามาล่อ สายรหัสใครคนนั้นเลี้ยง เหมือนเป็นค่าปิดปากและตัดความรำคาญ ส่วนนี้ผมขอบายนะ ยังไม่อยากเผชิญหน้ากับพี่เดย์

"เย็นนี้ไปฟิตเนสกันปะวะ ช่วงนี้รู้สึกตัวอืดๆ"
ไอ้ฟาร์มเอ่ยถามพร้อมกับใช้มือตีพุงหยุ่นๆ ของตัวเองในขณะที่ผมกับไอ้ไธกำลังคุยกันเรื่องเกมใหม่ที่จะออกภายในเดือนนี้ ตั้งแต่มันเลิกเปย์ผู้หญิงก็ไม่ค่อยออกกำลังกายเท่าไหร่ เอาแต่ตามส่องพี่ฟาอย่างกับพวกโรคจิต

"เพิ่งรู้ตัวเหรอไอ้ฟาร์ม มึงมีพุงกะทิแล้วเนี่ย"
ผมว่าก่อนจะเอื้อมมือไปหยิกพุงคนที่นั่งอยู่ข้างกันเล่น หุ่นเฟิร์มๆ มีวีเชฟหายไปกับสายลมซะแล้ว แบบนี้พี่ฟาคงไม่สนใจ เพราะปกติมันก็เป็นคนนอกสายตาของเขาอยู่แล้ว

จริงๆ ช่วงนี้มีคนมาจีบพี่ฟาเยอะนะ ทั้งเดือนต่างคณะ ทั้งหลีดมหา'ลัย ไหนจะพวกรุ่นพี่ที่เคยเป็นแฟนเก่าอยากขอรีเทิร์นอีก เสน่ห์แรงจริงๆ เรื่องนี้รู้มาจากพี่ทาวน์ เพราะเคยหลุดปากว่าไอ้ฟาร์มชอบเพื่อนเขา ก็เลยได้ข่าวมาฟรีๆ แต่ผมไม่บอกมันหรอก เดี๋ยวกระอักเลือดตายซะก่อนที่คู่แข่งมหาศาลขนาดนั้น

"โอ้ย ไอ้สัด อย่าดึงพุงกู!"
ไอ้คนขี้โวยวายปัดป่ายมือไปทั่วจนฟาดเข้าที่แขนไอ้ตังค์เต็มๆ แต่แทนที่มันจะเอ่ยปากขอโทษกลับใช้ไหล่กระแทกเพื่อซ้ำอีก สงสารตัวบางๆ ของเพื่อนบ้างเถอะ ไม่รู้กระดูกหักไปกี่ซี่แล้วนั่น กัดฟันกรอดเชียว

"พี่ฟาไม่มองมึงแน่ๆ"
ผมเป็นพวกชอบแกล้งแต่ไม่ได้ตั้งใจจะซ้ำเติมจริงๆ นะ เอาหัวไอ้ไธเป็นประกันเลย

"เจ็ท... เดี๋ยวกูแช่งให้พี่ทาวน์จีบผู้หญิง"
คำขู่ที่มาพร้อมใบหน้าดุๆ ของไอ้ฟาร์มที่นานทีจะได้เห็นทำให้ผมชะงักค้าง อ้าปากพะงาบๆ เพราะเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด พี่ทาวน์มีสิทธิ์โอนอ่อนให้ผู้หญิงได้ทุกเมื่อเพราะเขาก็แค่ผู้ชายธรรมดาทั่วไป รักชอบกับเพศตรงข้ามได้ปกติ




ต่อด้านล่างน้า


ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
"กูจะเอาดินสอแทงคอหอยมึง ไอ้เหี้ย แค่นี้กูก็จีบพี่ทาวน์ยากจะตายห่าแล้ว ขอเถอะ อย่าแช่งอีกเลย เจ็บมามากพอแล้ว"
พอตั้งสติได้ก็ออกปากทั้งด่าทั้งขอร้องเพื่อนในประโยคเดียวกันจนโดนหัวเราะเยาะ ผมถลึงตาใส่พวกมันเรียงตัวยกเว้นไอ้ตังค์ที่นั่งก้มหน้า กูกลัวความเจ็บปวดมันตลกนักหรือไง คนป๊อดไม่มีสิทธิ์สะใจนะเว้ย อย่าให้โต้กลับ เดี๋ยวมีคนหนาวเป็นแถบๆ

"เออๆ แล้วตกลงพวกมึงจะไปฟิตเนสกับกูปะ"
ไอ้ฟาร์มเป็นคนกลั้นเสียงหัวเราะได้คนแรกแล้วถามย้ำสิ่งที่ไม่ได้คำตอบ อยู่ๆ ชวนไปฟิตเนสแบบจวนตัวใครมันจะไป เชื่อดิ ต่างคนต่างมีนัด ผมก็เช่นกัน

"กูขอบาย วันนี้ไอ้พี่แทนจะลากไปแดกเหล้า"
น้ำเสียงไอ้ไธฟังแล้วดี๊ด๊าแปลกๆ จนผมอดขมวดคิ้วไม่ได้ ปกติมันต้องทำหน้าเบื่อ เพราะไม่ชอบไปร้านเหล้ากับพี่แทน เพราะรายนั้นชอบดื่มจนเมาหัวราน้ำเป็นภาระคนอื่นตลอด

"ชวนจิณณ์ไปด้วยสิมึง"
ผมลองถามหยั่งเชิงดู ไม่ได้คิดให้มันหนีบจิณณ์ไปด้วยจริงๆ แต่รอยยิ้มจางๆ ที่ประดับบนใบหน้านั่น... ชัดยิ่งกว่าคำตอบซะอีก หึ ก็ว่าทำไมดูมีความสุขแปลกๆ

"ชวนแล้ว เดี๋ยวไปรับที่หอ"
ไอ้ไธกระตุกยิ้มมุมปาก ดวงตาทอประกายระยิบระยับจนผมรู้สึกหมั่นไส้ เมื่อวานยังดราม่าจะเป็นจะตายว่าจิณณ์ไม่รัก แล้วนี่อะไร ชวนไปกินเหล้า แถมอีกคนก็ไม่ปฏิเสธ ความสัมพันธ์ของสองคนนี้แปลกๆ หรือนายภาคินพลาดอีกแล้ว

"ฮันแน่ อย่าพาจิณณ์ไปมอมเหล้านะเว้ย"
คำแซวจากไอ้ฟาร์มเรียกเลือดบนใบหน้าของไอ้ไธได้เป็นอย่างดี ไม่รู้ว่าโกรธหรือเขินกันแน่ แต่มันยังไม่พอ ผมขอเสริมทัพหน่อยแล้วกัน อยากเห็นเพื่อนหน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศสุก

"ถ้าพี่กูท้องขึ้นมามึงต้องรับผิดชอบนะ"
ประโยคแซวโคตรมโนแต่ได้ผลเกินคาดเพราะไอ้ไธหันมาถลึงตาใส่พร้อมใบหน้าที่แดงแปร๊ด ปากหยักขมุบขมิบเหมือนกำลังด่า หึ เขินแล้วก็น่ารักดีว่ะเพื่อน

"อะ ไอ้สัด ไม่คุยกับมึงแล้ว เปลืองน้ำลาย!"
ด่าด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เสร็จก็ลุกหรือออกไปซะเฉยๆ ผมไม่วายตะโกนตามหลังด้วยความสนุกปาก ได้ทีแซวมันก็ต้องเอาให้สุด

"ด่ากูแต่หน้าแดงเพราะเขิน คนบ้าอะไรวะ!"
พูดจบก็นั่งหัวเราะกับไอ้ฟาร์มสองคนและเป็นเวลาเดียวกับไอ้ไธหันมาแจกนิ้วกลางให้ โอ้โห กูนี่ขำหนักกว่าเก่าเลยครับเพื่อน เสือกสะดุดพื้นหน้าเกือบขมำ คนเขินนี่ต้องทำตัวเปิ่นๆ ทุกคนไหม ถ้ามันไปสะดุดที่ลานเกียร์วิศวะคงได้เมียเร็วขึ้นล่ะมั่ง

"ผมขอตัวนะครับ พอดีเย็นนี้มีธุระ"
เสียงนิ่มๆ ขัดขึ้นมากลางปล้องทำให้ผมเบรกเสียงหัวเราะเหมือนๆ กับไอ้ฟาร์ม เข้าใจว่ามันมีภารกิจดูการ์ตูนทุกเย็น แต่อยากให้ออกกำลังกายบ้าง ที่เป็นอยู่ทุกวันก็ดูเหมือนคนขี้โรค ผอมๆ ซีดๆ

"มึงมีธุระตลอดล่ะไอ้แว่น ดูแต่การ์ตูน"
ไอ้ฟาร์มก็ยังคงงอแงเหมือนทุกครั้ง เพราะไม่ว่าพวกเราจะชวนตังค์ไปไหนช่วงเย็นกลับโดนปฏิเสธตลอด ผมน่ะทำใจแล้ว ไม่อยากบังคับจิตใจใคร

"เปล่าครับ ไม่ได้ดูการ์ตูน"
คำตอบของตังค์ทำให้ผมเลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจ ไม่ต่างจากไอ้ฟาร์มที่กระเด้งตัวไปเบียดเด็กเนิร์ดประจำกลุ่มแล้วมองหน้าด้วยความอยากรู้ ถ้าไม่กลับบ้านไปดูการ์ตูนแล้วมันมีธุระอะไร ร้อยวันพีนปีไม่เคยจะมีอย่างอื่นในชีวิต

"อ้าว เดี๋ยวนี้ไม่ติดการ์ตูนแล้วเหรอวะ"

"คือ..."
ปากบางกำลังจะตอบคำถามแต่ต้องชะงักลงเมื่อได้ยินเสียงแตรรถขึ้น พวกเราหันขวับไปมองทางนั้นทันที ใครวะนั่น

ปี๊นๆ

"มาขึ้นรถ"
พอเสียงมาภาพมาหลังจากกระจกรถเปิด ผมก็ถึงบางอ้อทันที แม่ง... เดี๋ยวนี้คุณเอยลงทุนมารับไอ้ตังค์ถึงที่เลยเหรอวะ มีปัญหาถึงขั้นถอดเสื้อผ้าคุยกันหรือเปล่า กูล่ะอยากตามไปเผือกจริงๆ ถ้าไม่ติดว่ามีนัดซะก่อน

"คะ ครับ คุณเอย"
ไอ้เพื่อนตัวดีก็ขานรับเขาซะเพราะพร้อมกับรีบเหวี่ยงเป้สะพายทันที มองหน้าพวกผมอยู่ครู่หนึ่งก็ผงกหัวเป็นเชิงลาแล้ววิ่งออกไป เหตุการณ์เกิดขึ้นรวดเร็วจนไม่มีใครตั้งสติทัน กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่รถสีชานมเคลื่อนที่

"เฮ้ย... อะไรวะ เมื่อวานกูอุตส่าห์ไปช่วยมันมาจากคณะวิศวะ แต่ไหงวันนี้กลับยอมขึ้นรถไปกับไอ้เอยง่ายๆ งี้อะ"
ไอ้ฟาร์มบ่นกระปอดกระแปดพลางขมวดคิ้วและบุ้ยปากมองตารถเอสยูวีที่เคลื่อนออกไปแล้ว อย่าว่าแต่มันงงเลย ผมก็จับต้นชนปลายไม่ถูกเหมือนกัน ไม่มีใครเข้าใจความคิดของไอ้ตังค์หรอก ที่ยอมง่ายๆ ไม่รู้ว่าชอบไอ้เอยหรือกลัวกันแน่ คาดเดายาก

"ทำใจเหอะ เพื่อนมึงเข้าถึงยาก"
ผมตบบ่ามันเพื่อให้เลิกใส่ใจ ถ้าห่วงไอ้ตังค์มากเกินไป วันๆ คงไม่ต้องทำอะไรกินแล้ว ที่สำคัญมันเป็นผู้ชาย เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นมาคงเอาตัวรอดได้ ศิลปะป้องกันตัวก็เป็นอยู่ นอกจากยอมให้เขาปล้ำ เอ้ย ยอมให้เขาทำร้ายนั่นล่ะ

"เออ แล้วมึงอะว่าไง"
คำถามเดิมย้อนกลับมาอีกแล้ว นึกว่ามันจะลืมซะอีก

"เย็นนี้กูจะไปวิ่งที่สนามมหา'ลัย"
ผมตอบไปตามความจริง ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเหมือนกัน พอมีเวลาว่างเลยอยากไปวิ่งที่สนาม ที่จริงเข้าฟิตเนสคงดีกว่า แต่เผอิญว่านัดคนเอาไว้

"อ้าวเหรอ งั้นกูไปด้วย"
ไอ้ฟาร์มเปลี่ยนแผนทันทีอย่างไม่อิดออด  แต่ผมไม่ได้ชวนมันนะเว้ย ขอใช้เวลาส่วนตัวกับคนที่อยากอยู่ด้วยบ้างได้ปะวะ   จะให้กูพกก้างขวางคอไปเพื่ออะไรเนี่ย

"โน! กูจะไปวิ่งกับพี่ทาวน์แค่สองคน"
ผมพูดจบก็รีบวิ่งออกมาจากตรงนั้นเพราะเชื่อว่าไอ้ฟาร์มต้องด่ากราดแน่ๆ แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเมื่อได้ยินเสียงมันโวยวายไล่หลังมา

"ไอ้ #฿+*^%>?<"

ครั้งนี้ต้องขอโทษจริงๆ ว่ะเพื่อน กว่าจะชวนพี่ทาวน์ไปวิ่งโดยไม่พกลูกสมุนอีกสองคนมาก็แทบตาย ยกเหตุผลสารพัดมาอ้าง แต่สุดท้ายก็โดนจับได้ว่าอยากอยู่ด้วยกันแค่สองคน แล้วนี่ถือเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้เห็นเขาในสภาพเหงื่อท่วมอีก คงเซ็กซี่ไม่เบา โอย แค่คิดก็ฟินไปถึงชาติหน้าแล้วเว้ย



-------------------------------------------

สำหรับตอนนี้ไม่มีอะไรมาก(?) แค่อัพเดทความเคลื่อนไหวของทุกตัวละคร 5555

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
แข่งครั้งที่ 18



ผมรีบบิดฟีโน่คันเก่งไปยังสถานที่นัดหมายกับนักศึกษาแพทย์หน้าหล่อ กว่าจะออกมาจากคอนโดได้ก็เกือบเลยเวลาเพราะโดนจิณณ์เซ้าซี้ถามนั่นนี่ พอไม่ตอบก็แสดงอาการน้อยใจจนน่าหมั่นไส้ สุดท้ายก็เลยยอมแพ้แล้วบอกว่าจะออกไปวิ่งกับพี่ทาวน์ เท่านั้นล่ะ... โดนแซวมาอีกชุดใหญ่

ผมสาวเท้าอย่างเร่งรีบเดินเข้าไปที่หน้าอัฒจันทร์ซึ่งมีร่างสูงที่คุ้นตากำลังยืนเหม่อมองท้องฟ้า ใบหน้าไม่แสดงอาการใดๆ เหมือนอย่างเคย ไม่รู้ว่ากำลังโกรธหรือเปล่า เพราะตอนนี้ก็เลยเวลานัดไปเกือบยี่สิบนาที

"สวัสดีครับพี่ทาวน์"
ผมเอ่ยทักอีกคนด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเพราะรีบจนเกิดอาการหอบ แบบนี้จะวิ่งไหวเหรอวะ ชวนเขามาออกกำลังกายทั้งที อายฉิบหาย

"อืม"
พี่ทาวน์ละสายตาจากท้องฟ้ายามเย็นแล้วมองผมหัวจรดเท้า ดูจากท่าทางคงไม่ได้โกรธอะไรและนั่นทำให้คนมาสายเบาใจอยู่ไม่น้อย

"โห ใส่แจ็กเก็ตด้วย ไม่ร้อนเหรอครับ"
ผมออกปากทักเมื่อสังเกตว่าอีกคนใส่เสื้อคลุมแขนยาวสีเข้ม ด้านล่างเป็นกางเกงขาสั้นกับร้องเท้าผ้าใบดูทะมัดทะแมง ดูแปลกตาอยู่ไม่น้อย ลึกๆ แล้วแค่หวังว่าจะได้เห็นพี่ทาวน์ใส่เสื้อกล้ามสีขาว พอเหงื่อออกแล้วมันก็เปียกแนบเนื้อ โอย ไม่ได้หื่นเลย สาบาน!

"ไม่ กูชอบใส่แบบนี้"
พี่ทาวน์ตอบเสียงเรียบแล้วจ้องมาราวจะจับผิดอะไรบางอย่าง ผมรีบหลบสายตานั่นเนื่องจากเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังแสดงสีหน้ายังไงออกไป ได้แต่ภาวนาในใจไม่ให้เขาอ่านมันออก ไม่อย่างนั้นคงโดนไล่เตะไปทั่วสนามแน่ อยู่ๆ ไปทำท่าทีหื่นกามใส่แบบนั้น

"โอเค งั้นเริ่มวิ่งกันเลยเนอะ"
ผมเฉไฉแล้ววิ่งเยาะๆ อยู่กับที่เป็นการวอร์มร่างกายโดยไม่หันกลับไปสนใจพี่ทาวน์อีก

เราเริ่มออกวิ่งเคียงข้างกันไปช้าๆ ภายใต้ความเงียบสงบ มีสายลมเอื่อยๆ ยามหกโมงเย็นพัดมาเป็นระยะ มีหลายครั้งที่ผมเหลือบมองพี่ทาวน์ ไม่ใช่แค่ใบหน้าแต่ทว่าทั้งร่างกาย เพิ่งเคยเห็นช่วงขาเรียวยาวเป็นครั้งแรก มันขาวและเนียนละเอียดอย่างกับผิวผู้หญิง ขนที่มีกลับเป็นสีอ่อน อยู่ๆ ก็รู้สึกอยากลูบขึ้นมา ฉิบหายแน่ๆ เลยไอ้เจ็ท

ผมสะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆ ออกจากสมองแล้วตั้งสมาธิเพื่อบังคับตัวเองให้มองไปข้างหน้าจนสำเร็จ เชื่อไหมว่าพอจดจ่ออยู่กับการวิ่งแล้วรู้สึกเหนื่อยเป็นบ้า เพราะอัดสปีดจนนำหน้าพี่ทาวน์ไปเกือบร้อยเมตร กลัวว่าอยู่ใกล้กันจะเผลอมองอีก

"กรี๊ด แกๆ ดูสิ นั่นมันเจ็ทนี่นา โอ้ย รอยสักพวกนั้นทำฉันใจสั่นสุดๆ ฮือ"
เสียงกรีดร้องของสาวๆ ที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์ทำให้ผมถึงกับสะดุ้งโหยง ไม่คิดเลยว่าจะมีใครมานั่งกรี๊ดกับรอยสักที่ไม่ได้ตั้งใจโชว์ ก็แค่ใส่เสื้อกล้ามเพราะอากาศมันร้อน อยากวิ่งหนีสายตาโลมเลียของพวกเธออยู่หรอก แต่ต้องรอพี่ทาวน์ ทิ้งห่างกันเกินไปแล้ว

"ใช่ๆ อยากเข้าไปลูบดูสักครั้ง"
ไม่คิดว่าคนฟังอย่างผมจะขนลุกบ้างหรือไงวะ พวกเธอเป็นผู้หญิงนะเว้ย ออกตัวแรงแบบนี้ใช่ว่าหนุ่มๆ มันชอบสักหน่อย บางทีก็น่ากลัวเกินไป

"ลองหกล้มต่อหน้าเขาปะ อ่อยไปเลย"
ผมผ่านหน้าพวกเธอไปเกือบสิบเมตรแล้วแต่ยังได้ยินเสียงคุยไม่ขาดปาก รู้สึกเริ่มร้อนๆ หนาวๆ ชอบกล เพราะเห็นพี่ทาวน์ไล่ตามมาด้านหลังแล้ว แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเขากำลังรูดซิปเสื้อแขนยาวออกแล้วเหวี่ยงมันตรงมาทางนี้ เฮ้ย จะทำอะไรวะนั่น อิจฉาที่สาวๆ กรี๊ดนายภาคินเหรอ

พรึ่บ

"เฮ้ย พี่ทำอะไรเนี่ย ผมมองทางไม่เห็น"
ผมโวยทันทีที่เสื้อตัวหน้าปลิวมาคลุมหัว เท้าหยุดชะงักเมื่อสายตาถูกบดบังจนไม่เห็นวิวทิวทัศน์ใดๆ มือหนากระชากมันออกด้วยความงงด้วย พอดีกับพี่ทาวน์ที่หยุดวิ่งแล้วยืนอยู่ข้างๆ กัน

"ใส่เสื้อซะ"
เขาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงดุ แถมยังส่งสายตาราวกับจะฆ่าแกงกันมาให้ เดี๋ยวก่อนสิ นี่ผมทำอะไรผิดวะ

"ห๊ะ... ทำไมครับ"
ผมถามก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นสูง ใบหน้าแสดงความไม่เข้าใจอย่างชัดเจน ไม่เข้าใจว่าเขาจะถอดเสื้อแล้วขว้างให้ทำไม ทำอย่างกับ... กำลังหวงอย่างนั้นล่ะ เพราะผู้หญิงพวกนั้นเหรอ ใช่หรือเปล่า

"ใส่เข้าไป"
พี่ทาวน์ไม่ยอมอธิบายอะไรเพิ่มแต่กระชากเสื้อของตัวเองแล้วฟาดมันลงบนตัวผมอีกครั้งจนต้องหลับตาปี๋ มันเจ็บนะเว้ย พี่แม่งโมโหอะไรเนี่ย

"ผมงงอะ"
ผมพึมพำเบาๆ อย่างไม่เข้าใจแล้วทำเพียงแค่กางเสื้ออกแล้วคลุมไหล่ไว้เท่านั้น ขายาวขยับเข้าใกล้คนเจ้าอารมณ์เพื่อเค้นเอาคำตอบ แต่เขากลับเงียบและส่งรังสีอำมหิตมาทางสายตาให้เป็นระยะ จริงๆ ก็อยากเข้าข้างตัวเองว่าโดนหวง แต่กลัวหน้าแตกไง หมอไม่รับเย็บด้วยสิ แถมจะกระทืบซ้ำ

"กรี๊ด ~ ฉันอยากเอาหน้าไปซุกรอยสักของเจ็ทจัง"
มาอีกแล้ว ไอ้เสียงกรี๊ดกร๊าดไม่รู้จักเวล่ำเวลาเนี่ย หน้าพี่ทาวน์ก็ยิ่งตึงขึ้นเรื่อยๆ แต่เดี๋ยวนะ มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอที่คนนิ่งขรึมจะมาทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอแบบนี้

"พี่ทาวน์หวงผมเหรอ"
ผมก้มลงกระซิบข้างหูแล้วลอบยิ้มมุมปาก หัวใจกำลังสั่นระรัวเพราะเผลอคาดหวังกับคำตอบที่จะได้รับกลับมา พี่ทาวน์รีบดีดตัวออกห่างแล้วใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจจ้องเขม็ง คราวนี้คงเป็นเพราะคำพูดไม่รู้จักคิดของนายภาคินแน่ๆ

"พูดเรื่องอะไร"
พี่ทาวน์ถามกลับด้วยน้ำเสียงรอดไรฟัน เขาเอื้อมมือมากระตุกคอเสื้อกล้ามอย่างเอาเรื่อง แต่แทนที่สาวๆ พวกนั้นจะตกใจกลัวกลับวี๊ดว้ายร้องเสียงหลงว่า ‘เจ็ททาวน์เขากำลังหึงหวงกันค่า’ ค่าพ่อง กูจะตายคามือเขาอยู่แล้วเนี่ย อย่ามาฟินกันตอนนี้เลย ขอร้องเถอะ

แต่ด้วยความกล้าบ้าบิ่นและไม่รู้ผีห่าซาตานตนใดสั่งการลงมา ทำให้ผมคว้าจับมือเรียวนั่นไว้แล้วพูดบางอย่างที่ทำให้คิ้วสวยของพี่ทาวน์กระตุก ถ้ามันจะฉิบหายก็ปล่อยไป เพราะหน้าแดงๆ ของเขามันกระตุ้นความอยากแกล้ง

"ก็... ที่สาวๆ บนอัฒจันทร์พูดกันไง"

"หลงตัวเอง กูแค่รำคาญเสียงกรี๊ด"
พี่ทาวน์ตอบเสียงเรียบแล้วสะบัดมือออกจากการเกาะกุมจนฟาดเข้าปลายคางผมเต็มๆ หน้าหงายไม่พอยังเผลอหลุดร้องเสียงหลงออกไป ตอนแรกก็ว่าจะหยุดเพียงแค่นี้ แต่เขาดันเบือนหน้าไปทางอื่นทำให้ความอยากรู้ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น นี่นายภาคินกำลังโดนนายเมืองเหนือหวงอยู่จริงๆ ใช่ไหม หัวใจจะระเบิดอยู่แล้ว

"เหรอครับ ไม่หวงผมจริงเหรอ"
ผมถามย้ำแต่คราวนี้ขยับไปตั้งรับอีกสองสามก้าว พี่ทาวน์หันขวับกลับมามองด้วยดวงตาวาวโรจน์ แต่เพียงครู่เดียวก็มีเสียงถอนหายใจหนักๆ หลุดออกมา คล้ายว่ากำลังข่มอารมณ์ที่กำลังรู้สึก

"กูไม่ได้เป็นอะไรกับมึง จะหวงไปทำไม"
พูดทำร้ายจิตใจกันจับก็พาร่างกายของตัวเองเดินผ่านไป แต่คิดเหรอว่าจะยอมปล่อยไปง่ายๆ ผมไม่เชื่อหรอกว่าสิ่งที่เขาทำเป็นเพียงแค่ความรำคาญ

"แล้วถ้าพี่เริ่มชอบผมบ้าง จะหวงก็ไม่แปลกนี่ครับ"
ผมเดินตามเขาไปอย่างไม่ยอมแพ้ เมื่อพูดจบประโยคร่างสูงตรงหน้ากลับหยุดชะงักการเดิน ทำให้คนไม่ทันระวังตัวถึงกับเสยจมูกเข้ากับศีรษะทุย สัด เจ็บจนอยากลงไปดิ้นกับพื้นเลยไอ้เหี้ย

ผมถูจมูกตัวเองเบาๆ เพื่อบรรเทาอาการเจ็บ พี่ทาวน์ไม่หันมาโวยวายหรือแม้แต่จะตอบกลับอะไรทั้งสิ้น เขายืนตัวแข็งทื่ออย่างกับคนโดนสาป หรือว่าจะโกรธจนถึงขีดสุดวะ ควรวิ่งกลับไปทางเก่าหรือเปล่า กลัวพี่ทาวน์สวนหมัดใส่แล้วได้ลงไปนอนกลิ้งสมใจแน่ๆ กูชักกลัวแล้วนะ!

"....."

"พี่... เริ่มชอบผมแล้วใช่ปะ"
ผมตะครุบปากตัวเองทันทีหลังจบประโยค สมองคิดปุ๊ปพูดปั๊ป เหี้ยแล้วไหมล่ะ จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจถามออกไปเลยด้วยซ้ำ ทำไงดีวะ ขาก็ดันแข็งทื่อขยับถอยไม่ได้ หัวใจก็เต้นรัวเพราะลุ้นคำตอบ คราวนี้นายภาคินตายแน่ๆ แบบไม่ต้องสืบเลย กวนตีนเขาเยอะเกินไปแล้วมึง

"เพ้อเจ้อ!"
พี่ทาวน์ตวาดลั่นแล้วออกวิ่งไปในทันที ทิ้งให้ผมได้แต่ยืนอ้าปากพะงาบๆ เพราะคิดว่าเมื่อครู่คงโดนต่อยแน่ แต่เปล่าเลย เขาไม่หันกลับมามองกันด้วยซ้ำ คือตกลงแล้วยังไงอะไรกันแน่ ที่บอกว่าเพ้อเจ้อคือกลบเกลื่อนความเขินหรือไม่ได้ชอบจริงๆ มันไม่ชัดเจนอะ แต่ไม่กล้าเซ้าซี้อีกแล้ว กลัวโดนเตะออกจากชีวิตของเขา

ผมวิ่งกับพี่ทาน์ท่ามกลางความเงียบ ไม่กล้าเอ่ยแม้กระทั่งคำขอโทษใดๆ เพราะดูเหมือนว่าเขาจะไม่พร้อมคุย รอบแล้วรอบเล่าจนครบตามที่ตกลงกันไว้

"เดี๋ยว... ผมเอาเสื้อไปซักให้นะครับ"
ผมทำใจดีสู้เสื้อชวนเขาคุยในขณะที่กำลังเดินไปลานจอดรถ พี่ทาวน์เหลือบมองก่อนจะครางรับในลำคอ ดูท่าทางตอนนี้กลับมาเป็นปกติแล้ว ค่อยโล่งใจหน่อย

"อืม"

"พรุ่งนี้มาวิ่งด้วยกันอีกนะ"
ปากพาซวยอีกรอบ ทำงามหน้าไว้ขนาดนั้นยังกล้าชวนเขามาวิ่งอีก ไม่โดนต่อยก็บุญเท่าไหร่แล้ว ผมขยี้หัวจนยุ่งเหยิงเพราะคิดอะไรไม่ออกเลยตอนนี้ กลัวพี่ทาวน์จะกลับมามึนตึงใจอีก แบบนั้นโคตรแย่เลย

"ถ้าว่าง"
คำตอบสั้นๆ ของเขาทำให้ผมลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก มันเป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่าพี่ทาวน์อารมณ์ปกติ

"ครับ แล้วผมจะรอคำตอบจากพี่นะ"
ผมตอบรับคำแล้วลอบยิ้มบางให้กับแผ่นหลังกว้าง ยอมรับว่าเขาหุ่นดีมาก ถ้าไม่เป็นหมอในอนาคตก็เป็นนายแบบได้สบายๆ ไม่แปลกหรอกที่จะมีสาวๆ ห้อมล้อมอยู่เสมอ คิดไปคิดมาก็รู้สึกปวดใจ เพราะก่อนออกมาจากสนามยังมีผู้หญิงหน้าตาน่ารักเดินเข้ามาขอไลน์ พี่ทาวน์ก็เสือกให้ไปด้วยนะ ฟายเอ้ย กูนี่หน้าชาเลย ไม่มีสิทธิ์ไปห้ามเขาไง ได้แต่ยืนมองเหมือนหมาโดนเจ้านายทิ้ง เจ็บสัดๆ

"เลิกใส่เสื้อกล้ามซะ"
อยู่ๆ คนที่ยืนพิงรถหรูก็เปิดปากพูด ผมที่กำลังกระดกน้ำถึงกับชะงักกึกมองหน้าพี่ทาวน์ด้วยความไม่เข้าใจ ทำไมอยู่ๆ ก็วกเข้าเรื่องนี้อีกแล้ววะ ไม่ใช่โกรธจนไม่อยากพูดหรือไง ก็เล่นโดนนายภาคอนแหย่ไปขนาดนั้น

"หือ มันสบายดีออก"
ผมตอบกลับด้วยท่าทางใสซื่อ รู้ตัวว่าเริ่มกวนส้นตีนอีกแล้ว แต่มันยั้งปากไม่ทันจริงๆ ขอโทษนะครับพี่ทาวน์ จากใจเลย

"ไม่รำคาญเสียงกรี๊ดบ้างหรือไง"
คำพูดเดิมๆ คล้ายเหตุการณ์เดจาวูทำให้ผมพยักหน้ารับง่ายๆ ถึงจะคาดคั้นหาเหตุผลไปมากกว่านั้นคงไม่ได้อะไรกลับว่า เพราะพี่ฟาเคยบอกว่าเพื่อนเขาทั้งปากแข็งและใจแข็ง สักวันเถอะ นายภาคินคนนี้จะทำให้อ่อนไปซะทุกอย่างเลย

"อ๋อ... เข้าใจแล้ว จะทำตามอย่างเคร่งครัดเลยครับ"

"อืม จะกลับแล้ว"
พอได้คำตอบที่น่าพอใจเขาก็หันไปเปิดประตูรถก่อนจะสอดกายเข้าไปประจำที่คนขับ ผมรับรั้งไว้ด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก

"เดี๋ยวครับ"

"อะไร"
พี่ทาวน์หันมาเลิกคิ้วใส่กัน มือของเขาชะงักค้างอยู่ที่ประตู ส่วนผมยืนท้าวมือกับหลังคารถ ฉากโคตรโรแมนติก คล้ายพระเอกกำลังจีบนางเอกใต้แสงไฟนีออนสลัว โอ้โห แต่ถ้ามองรอบๆ ดีๆ วังเวงฉิบหาย

"พี่ทาวน์ไม่อยากทำแบบที่สาวๆ พวกนั้นพูดบ้างเหรอ"
ผมเป็นเชี่ยอะไรเนี่ย ควบคุมสติและปากตัวเองไม่ได้เลยวันนี้ สมองคิดจะพูดอีกเรื่องดันสื่อสารอีกเรื่อง วอนโดนตีนละไอ้สัดเจ็ท พี่ทาวน์ต้องจ้างนักเลงมากระทืบมึงสักวันแน่ๆ แต่จะให้แสดงท่าทางหงอก็เสียฟอร์ม เก๊กๆ ไปก่อนแล้วกัน

"พิศวาสรอยสักมึงน่ะเหรอ"
พี่ทาวน์ถามกลับมาด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย สายตาเต็มไปด้วยประกายวูบวาบ ไม่ใช่เรื่องดีเลย เพราะผมไม่สามารถเดาใจของเขาได้ว่าคิดอะไรอยู่ ร่างกายเริ่มรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ยังไงชอบกล สงสัยเป็นสัญญาณเตือนว่าใกล้หมดลมหายใจแหง

"ก็... ทำนองนั้น อยากซบอะไรอย่างงี้"
ยัง มึงยังไม่หยุดปากพอซวยอีกหรือไง เป็นคนดีๆ ไม่ชอบ เสือกอยากเป็นปุ๋ยให้ต้นมะม่วง โอย สติ!

"อืม... อยาก"
เฮ้ย! เกินคาดไปไกลโขแล้วมึง หูฝาดหรือเปล่าเนี่ย

"จริงเหรอครับ"
ผมถามย้ำด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น หัวใจนะรัวราวจังหวะกลอง พี่ทาวน์ต้องแอบมีใจให้กันแน่ๆ กลับไปต้องอวดไอ้ไธสักหน่อยแล้ว

"ใช่"
พี่ทาวน์ตอบเสียงหนักแน่น เขาลุกขึ้นจนเราเผชิญหน้ากัน ลมหายใจอุ่นร้อนกระทบลงบนแก้มของอีกฝ่าย ใกล้กันมากจนเผลอขยับตัวนิดหน่อยปลายจมูกก็ชนกันแล้ว จูบเลยดีไหมวะ ถ้าโดนต่อยกลับมาก็ยอม

"งั้นผมพร้อมให้พี่ซบแล้วครับ”
ผมคลี่ยิ้มกว้างแล้วยืดอกให้คนตรงหน้าซบได้เต็มที่ พี่ทาวน์เอื้อมมือแตะหลังคอแล้วโน้มตัวลงมากระซิบข้างหู หัวใจเต้นโครมครามอย่างบ้าคลั่ง ให้ตายเถอะ กูกำลังจะได้ขึ้นสวรรค์แล้วแม่งเอ้ย โอ้ยๆๆ ต้องกลับไปอวดไอ้ฟาร์มด้วย

"อยากถีบหน้ามึง ไอ้เด็กเปรต!"
ผมวิ่งหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย สุดท้ายก็โดนพี่ทาวน์ประทับรอยเท้าไว้เต็มก้นทั้งสองข้าง ช้ำกันไปเป็นวันๆ เลยทีเดียว

ผ่านมาเกือบหนึ่งอาทิตย์หลังจากที่ไปวิ่งด้วยกัน ความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ดูเหมือนจะขยับขึ้นไปอีกนิดหน่อย เพราะสังเกตได้ว่าทุกครั้งที่เจอกันพี่ทาวน์เป็นอันต้องยื่นอมยิ้มมาให้ผมทุกทีไป ราวกับตั้งใจซื้อมาฝากแต่ปากแข็งบอกว่าสาวๆ ให้มา ขอไม่เซ้าซี้แล้วกันเพราะเดี๋ยวอดกิน

วันนี้เป็นเช้าวันเสาร์ที่ฝนกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย อากาศเย็นจนอยากซุกตัวอยู่ในผ้านวม แต่เพราะความหิวไม่เคยปรานีใครทำให้ผมต้องลุกจากที่นอนจนได้ ขายาวๆ พาร่างกายสมส่วนออกจากห้องแล้วหยุดอยู่บริเวณหน้าตู้เย็น เปิดประตูหยิบนมออกมาดื่มเรียบร้อยพลางสังเกตคนที่เอาแต่ยืนเหม่ออยู่หน้าเขียงพลาสติก จิณณ์มีอาการแบบนี้มาร่วมอาทิตย์แล้ว เป็นบ้าอะไรของมันเนี่ย

"จิณณ์ วันนี้ทำอะไรกินวะ"
ผมเอ่ยปากถามเมื่อเห็นจิณณ์เอาแต่เหม่อ มือชะงักค้างกลางอากาศมาราวๆ หนึ่งนาทีแล้ว และไม่มีทีท่าว่าจะเริ่มลงมือหั่นผักต่อ เช้านี้กูจะได้กินข้าวไหมวะ สัด ต้มข้าวไว้ก็ไม่ยอมคน ไหม้ติดหม้อพอดี

"....."
มันเงียบสนิท ไม่แม้แต่จะรับรู้การมาถึงของผมเลยสักนิด ขนาดเข้าไปยืนคนข้าวต้มในหม้ออยู่ข้างๆ มันก็ยังเหม่อ ฉิบหาย จิตหลุดไปถึงไหนแล้ววะพี่กู

"จิณณ์... หยิ่งเหรอ"
ผมแกล้งเย้าเผื่อว่ามันจะรู้สึกตัวบ้าง เออว่ะ มันขยับมือมาจับมีดแล้ว เริ่มหั่นผักบุ้งด้วย แต่แม่ง! ไอ้สัด ตามึงมองเชี่ยอะไรอยู่

"ไอ้สัดจิณณ์ เหม่อเหี้ยอะไรเนี่ยมีดจะบาดมือแล้ว!"
ผมตะโกนเสียงดังพร้อมกลับหันหลังวิ่งหนีเพราะกลัวมันตกใจแล้วแทงมีดกระซวกไส้ จิณณ์สะดุ้งเพียงเล็กน้อยก่อนจะหันใบหน้ามึนๆ มาทางด้านหลัง โอย ขวัญเอ้ยขวัญมา แทบช็อกตายแล้วไอ้เจ็ท

"ห๊ะ ทะ โทษทีมึง กูคิดอะไรเพลินๆ"
จิณณ์ละล่ำละลักขอโทษก่อนจะก้มหน้าก้มตาหั่นผักบุ้งต่อ ผมเห็นสภาพแบบนั้นเลยได้แต่ถอนหายใจแล้วแบมือขอมีดเพื่อจัดการอาหารเอง ยังไม่บำรุงร่างกายด้วยเลือดของฝาแฝดหรอก

"อยากมีเก้านิ้วหรือไง"
ผมรับอาวุธมาจากมันแล้วเริ่มทำหน้าที่พ่อครัวแทน แอบเหลือบมองเป็นครั้งคราวว่าจิณณ์มีปฏิกิริยายังไงบ้าง

"ฟาย ไข่กูสิบนิ้วเว้ย"
มันเบิกตากว้างแล้วร้องโวยวายยกใหญ่ แถมเด้งเป้าใส่จนผมได้แต่ส่ายหัวเพราะความเอือม สมงสมองเบลอไปหมดแล้วพี่กู ประมวลผลบ้าอะไรของมันเนี่ย จะบ้าตาย

"กูหมายถึงนิ้วมือ ห่า!"
ผมด่ามันเสียงดังแล้วกระแทกมีดที่ใช้เสร็จลงบนเขียง ไม่ได้รำคาญแต่มันน่าโมโหที่จิณณ์เอาแต่เหม่อมาทั้งอาทิตย์ ถามเรื่องหนึ่งตอบอีกเรื่องหนึ่ง เป็นอะไรก็ไม่ยอมบอก

"อ๋อ... นึกว่าพูดถึงมังกรยักษ์"
มันหัวเราะแห้งๆ ปิดท้ายแล้วสลับที่ไปยืนคนข้าวต้มในหม้อแทน อยากจะบอกเหลือเกินว่าให้มึงเททิ้งแล้วทำใหม่เถอะ เหม็นกลิ่นไหม้คลุ้งไปทั้งครัวแล้ว

"ถามจริง ทำไมช่วงนี้สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว"
ผมปิดแก๊สแล้วแย่งทัพพีในมือของจิณณ์ออกก่อนจะเทคนข้าวต้มที่ก้นหม้อขึ้นมาให้มันดู ทั้งดำทั้งส่งกลิ่นไหม้ จากที่ถลึงตาใส่กลับกลายเป็นหัวเราะแห้งๆ ถ้าปล่อยไว้คนเดียว ไฟคงไหม้ห้องตายห่าพอดี

"ก็... มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย"
มันหลบสายตาแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหาร ดวงตาคมหลุบลงคล้ายกับคนไปทำผิดอะไรมา ผมเหลือบมองครู่เดียวก่อนจะจัดการต้มข้าวใหม่ จากมื้อเช้ากลายเป็นมื้อเที่ยงแน่ๆ

"นี่มึงเครียดจนหน้าแดงเลยเหรอ มีเรื่องอะไรปรึกษากูได้นะ"
ผมถามจากอาการที่สังเกตเห็น ท่าทางของจิณณ์ดูคล้ายมีอะไรในใจ เดี๋ยวหน้าแดงเดี๋ยวหน้าเขียว เหมือนโกรธทีเขินที หรือมีใครที่ไหนมาสารภาพรักกับมันวะ คิดแล้วก็รู้สึกตะหงิดๆ กลัวว่าไอ้ไธจะแดกแห้วอีกครั้ง

"ทำตัวมีประโยชน์ตั้งแต่เมื่อไหร่"
คำถามประชดดังมาจากทางด้านหลังทำให้ผมที่กำลังเทน้ำมันลงในกระทะต้องชะงักมือแล้วหันกลับไปแยกเขี้ยวใส่ จิณณ์พูดอย่างกับน้องชายเป็นพวกไร้ประโยชน์ ทั้งที่จริงๆ แล้วนายภาคินเป็นห่วงมันจะตาย แค่ไม่แสดงออกเอง...

"ดูถูกสัดๆ ก็ตั้งแต่จะมีแฟนเป็นว่าที่หมอนี่ล่ะ"
ผมประชดกลับแล้วยักคิ้วกวนใส่ จิณณ์ถึงกับเบะปากแล้วขว้างกระดาษทิชชู่ใช้แล้วมาทางนี้ ดีหน่อยที่รับได้แม่น ไม่อย่างนั้นมันคงไปนอนลอยคออยู่ในหม้อข้าวต้มแล้ว

"ฝันกลางวันนะน้องกู"

"เออน่า แล้วตกลงมึงคิดเรื่องอะไร"
ผมโบกมือปัดๆ เรื่องของตัวเอง จะฝันกลางวันหรือไม่ก็มีแต่พี่ทาวน์คนเดียวที่ให้คำตอบได้ ตอนนี้อยากรู้เรื่องจิณณ์มากกว่า ตั้งแต่โตมาด้วยกันเกือบยี่สิบปีไม่เคยเห็นมันมีอาการแบบนี้มาก่อนเลย

"คือ... มีคนมาสารภาพรักกับกูว่ะ"
น้ำเสียงอ้อมแอ้มตอบกลับมาทำให้ผมเบิกตาโตแล้วตบมือลงที่เข่าอย่างแรง นั่นปะไร เคยเดาอะไรผิดที่ไหนวะ นี่เพื่อนกูต้องแดกแห้วอีกแล้วใช่ปะ จิณณ์อยู่เฉยๆ ยังมีคนมาสารภาพรัก โธ่เว้ย (อย่าว่าแต่คู่แฝด ตัวเองก็มีคนเข้าหาบ่อยๆ)

"ผู้หญิงที่ไหนอีก"
ผมกดเสียงต่ำแล้วทำเป็นไม่สนใจคำตอบที่จะได้ ลงมือเทกระเทียมสับที่จิณณ์เตรียมไว้ลงในกระทะก่อนจะใส่ผักบุ้งตามลงไป มื้อนี้ถ้ากับข้าวแดกไม่ได้อย่ามาด่าแล้วกัน

"ถ้าเป็นผู้หญิงก็ดีสิวะ"
น้ำเสียงของจิณณ์สั่นเครือจนผมต้องหันไปมอง เมื่อครู่มันบอกว่าอะไรนะ ฟังไม่ค่อยถนัด หูเพี้ยนหรือเปล่าที่แปลความหมายได้ว่าคนที่สารภาพรักไม่ใช่ผู้หญิง แต่...

"ห๊ะ อย่าบอกนะว่า..."



ต่อด้านล่างน้า


ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
"เพื่อนมึงนั่นล่ะ ทำกูปั่นป่วน!"
จิณณ์ตบโต๊ะดังปังแล้วลุกขึ้นตะโกนอัดหน้าผมแบบฝอยน้ำลายเต็มหน้า ทั้งตกใจทั้งขยะแขยงมันเลยเว้ย ตะหลิวเกือบหล่นจากมือ ไอ้ฉิบหาย! คุณธามไธใจกล้าโคตร

"จริงดิ ไอ้ไธสารภาพกับมึงแล้วเหรอวะ!”
ผมถามเสียงดังไม่แพ้กัน ตะหลิวในมือถูกยกชี้หน้าคู่สนทนาด้วยความตื่นเต้น ในที่สุดเพื่อนรักก็กล้ากับเขาสักที ไม่ต้องปากเปียกปากแฉะกรอกหูอีกแล้ว ต่อไปก็เหลือแค่ตัวจิณณ์ว่ารู้สึกยังไง ขอให้ไอ้ไธไม่แดกแห้วเถอะ สงสาร

"หมายความว่ายังไง พูดอย่างกับมึงรู้เรื่องมาตลอด"
จิณณ์ใช้สายตาจับผิดจ้องมาทำให้ผมต้องหันกลับไปสาละวนกับการตักผัดผักบุ้งใส่จาน ไม่คิดโกหกหรอกแต่แค่ไม่กล้าสบตาเฉยๆ

"ก็แหงดิ เพื่อนกูนะเว้ย"
ผมบอกด้วยความภาคภูมิใจแต่เสียงกลับสั่นเล็กน้อยเพราะกลัวปฏิกิริยาตอบกลับของจิณณ์ มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าคนรับฟังเขารู้สึกยังไง ที่ผ่านมาไม่เคยมีผู้ชายคนไหนทำแบบนี้มาก่อนด้วย

"แต่กูแฝดมึงนะ ไม่คิดจะบอกอะไรหน่อยเหรอไง”
จิณณ์พูดเสียงรอดไรฟันและยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้กระโดดข้ามโต๊ะมาฆ่ากันอย่างที่คิดไว้ ผมลอบถอนหายใจก่อนจะยกจานผัดผักบุ้งไปตั้งบนโต๊ะแล้วเท้าแขนทั้งสองข้างลง ใช้สายตาจริงจังมองคู่สนทนา

"เพื่ออะไร บอกให้มึงหนีหน้ามัน หรือบอกให้มึงกระทืบมันเหรอไง"
ผมถามในสิ่งที่คิดว่าคนนิสัยอย่างจิณณ์จะทำเมื่อเจอเรื่องไม่คาดฝัน มันถึงกับเบิกตาโตแล้วเม้มปากแน่นคล้ายคนกำลังสับสน ถ้ามันมีใจให้ไอ้ไธสักนิดคงดีไม่น้อย คนที่รักเราซื่อสัตย์แน่นอน อยากให้พี่และเพื่อนมีความรักที่ดีและมั่นคง นายภาคินคงต้องสถาปนาตัวเองเป็นกามเทพ (ได้ข่าวว่าเรื่องตัวเองยังเอาไม่รอด)

"กู... ไม่รู้ กูไม่ได้รังเกียจพวกรักร่วมเพศนะเว้ย แต่เจอกับตัวแล้วมันแปลกๆ"
จิณณ์พูดติดๆ ขัดๆ แล้วเอาหน้าซุกลงกับฝ่ามือทั้งสองข้าง ไอ้ที่บอกมาน่ะก็รู้อยู่แล้วว่ามันไม่ได้รังเกียจการรักเพศเดียวกัน ไม่อย่างนั้นคงด่าผมไปตั้งแต่สารภาพว่าชอบพี่ทาวน์แล้ว

"ชอบหรือไม่ชอบ ความรู้สึกตอนนี้น่ะ"
ผมถามแล้วลากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามออกก่อนจะทิ้งตัวลงนั่ง อาหารมื้อนี้ก็แดกแค่ข้าวต้มกับผัดผักบุ้งไปแล้วกัน เพราะอยากรู้คำตอบของจิณณ์มากกว่า ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ระดับภูมิภาคได้เลยนะเว้ย ลุ้นจนฉี่จะแตกแล้วเว้ย อยากให้ไอ้ไธมาอยู่ในสถานการณ์นี้ด้วยชะมัด

"ถามบ้าอะไรวะ"

"ชอบไอ้ไธหรือเปล่า"

"มะ มันเป็นผู้ชายนะเว้ย จะชอบเข้าไปได้ไง"
จิณณ์ตอบเสียงตะกุกตะกักแถมยังหูแดงเถือกไปหมด ผมสังเกตเห็นแล้วลอบยิ้มเงียบๆ เอาเถอะ ยังไงมันก็ซึนได้ไม่นานหรอก โดนตะล่อมอีกหน่อยก็คงหลุดปาก หึหึ

"ไม่ต้องคิดแบ่งแยกเรื่องเพศดิวะจิณณ์ เอาความรู้สึกจริงๆ น่ะ"
ผมพูดน้ำเสียงจริงจังและเพิ่มความเคร่งขรึมด้วยการเท้าแขนและใช้หลังมือทั้งสองข้างรองรับปลายคาง มาดอย่างกับนักธุรกิจแต่ความจริงเป็นแค่พวกเจ้าเล่ห์ท่าเยอะ กดดันมันเข้าไป เดี๋ยวก็สติแตกเองล่ะน่า

"ไม่รู้... กูไม่รู้อะไรเลย"
ยังจะปากแข็งอีก แบบนี้นายภาคินไม่ทนแล้วเว้ย

"ปากบอกไม่รู้แต่เสือกยืนเหม่อแล้วหน้าแดงเนี่ยนะ สัดเอ้ย ซึนฉิบหาย"
ผมว่าก่อนจะใช้มือผลักหัวคนตรงข้ามด้วยความหมั่นไส้ กรอกตาไปรอบๆ แสดงอาการเบื่อหน่าย แค่ยอมรับว่าตัวเองหวั่นไหวกับไอ้ไธมันยากนักหรือไงวะ ตอนเสนอหน้าเข้าไปจีบสาวๆ ยังกล้าเลย แปลกคนจริงๆ

"ซึนบ้านพ่อมึงดิ โดนผู้ชายขโมยจูบกลางร้านเหล้าแถมเสือกเผลอตอบโต้กลับ กูก็อายเป็นนะเว้ย!"
จิณณ์ตะโกนอย่างเหลืออด ใบหน้าหล่อแดกก่ำเหมือนลูกมะเขือเทศสุก มันทึ้งหัวตัวเองอย่างบ้าคลั่ง แต่ผมนี่สติหลุดไปไกลได้แต่ถลึงตาอ้าปากพะงาบๆ ฉิบหาย พี่ชายกูเสียจูบให้ไอ้ไธแล้วเหรอวะ โคตรอิจฉา!

"ว่าไงนะ! มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นทำไมกูไม่รู้เรื่องอะ"
ผมลุกพรวดจนเก้าอี้ขูดไปกับพื้นเกิดเสียงดังครืดก่อนจะโน้มตัวเข้าไปจับไหล่จิณณ์แล้วเขย่าอยู่สองสามครั้ง โอย ทำไมพวกมึงแซงหน้ากูไปแบบนี้เนี่ย แค่จับมือพี่ทาวน์ยังทำไม่ได้เลย ฮือ

"โอ้ย สัด! วันๆ มึงเอาแต่เฝ้าพี่ทาวน์ เคยสนใจพี่อย่างกูด้วยหรือไง"
มันสะบัดตัวหนีแล้วผละตัวออกไปไกลจนผมเอื้อมไม่ถึง ใบหน้าบูดเบี้ยวสื่ออารมณ์ทั้งน้อยใจและหงุดหงิด แทนที่ผมจะโกรธต่อเลยทำได้แค่ไหวไหล่ ไม่ยี่หระต่อคำกล่าวหาใดๆ ก็เรื่องจริง เคยได้ยินหรือเปล่าว่า ‘ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก’ ไม่นานมึงได้น้องสะใภ้เป็นว่าที่หมอแน่ๆ ไม่ต้องห่วง

"ช่วงหลังๆ กูก็ขลุกอยู่กับมึงปะวะ ปลายอาทิตย์หน้าเริ่มสอบไฟนอลแล้วไปกวนพี่ทาวน์มาก เดี๋ยวกูจะได้แดกแห้วเข้าจริงๆ”
ผมพูดเสียงกระเง้ากระงอดแล้วกระแทกตัวลงบนพนักเก้าอี้หลายๆ ครั้งเพื่อระบายความงุ่นง่านในใจ ไม่ได้คุย ไม่ได้เจอกันเลย มันก็รู้สึกคิดถึงว่ะ ส่งไลน์ไปให้กำลังใจเขา อีกห้าชั่วโมงให้หลังถึงจะได้สติ๊กเกอร์ตอบกลับมาสักตัว จิตใจทำด้วยอะไรเนี่ย

"จ้า กูดีใจมากเลยที่มึงจะกลับมาเสือกเรื่องกู พ่อน้องรัก"
ไอ้นี่ก็ประชดเก่งจังวะ ติดนิสัยพี่แจมหรือไง นับวันยิ่งทำตัวเป็นเหมือนผู้หญิง เห็นอนาคตรำไรเลยว่าต่อไปต้องอยู่บนแน่ๆ ไม่ใช่ฝ่ายรุกนะ มันออนท็อปต่างหาก...

"หยุดพากูออกนอกเรื่อง ตกลงแล้วมึงคิดยังไงกับเพื่อนกู เอาความจริง อย่าตอแหล"
ผมดึงสติมันกลับมาด้วยความเสือกล้วนๆ อยากรู้ใจจะขาดแล้วว่าไอ้ไธมีหวังหรือเปล่า ถ้าไม่ก็จะได้เคลียร์ให้จบๆ

"มึงเห็นเพื่อนดีกว่าพี่เหรอ"
ดราม่าก็มาวะ... ผมไหวไหล่แล้วโน้มตัวไปใกล้จิณณ์ จะว่าแทบขึ้นไปนั่งบนโต๊ะเลยก็ว่าได้ มันขยับถอยห่างอีกครั้งจนเกือบตกเก้าอี้ ถ้าหัวฟาดไปใครจะรับผิดชอบวะ กูคงโดนที่บ้านยำตีนแน่ๆ

"มันแอบรักมึงมาหลายปีนะจิณณ์ กูจะเข้าข้างก็ไม่แปลก"
ผมเอาความลับของเพื่อนมาขายก็เพื่อตัวมันเอง ระยะเวลาหลายปีอาจจะทำให้จิณณ์ใจอ่อนลงบ้างก็ได้ ก็แค่การคาดเดาเท่านั้น แต่พอเห็นพี่ชายทำหน้าตกใจก็คิดว่าความหวังมีเกินห้าสิบเปอร์เซ็นว่ะ

"เออๆ เข้าใจ... กูแม่ง เอาจริงๆ โคตรเขินเลยว่ะ สัดเอ้ย ที่เหม่อช่วงนี้ก็เพราะคิดถึงปากนุ่มนิ่มของไอ้ไธนั่นล่ะ แม่ง จูบเก่งเป็นบ้า ดูแลเอาใส่ใจก็ดีที่หนึ่ง ยอมรับเลยว่าแอบหวั่น"
จิณณ์พรั่งพรูสิ่งที่อัดอั้นไว้ในใจออกมาจนหมดโดนที่ไม่ยอมมองหน้ากัน แก้มที่เคยกลับไปเป็นสีเนื้อปกติตอนนี้แดงระเรื่อขึ้นมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้ ผมเพิ่งคิดได้ว่าควรหยิบโทรศัพท์มาอัดเสียงคำพูดเมื่อครู่ ถ้าเอาไปเปิดให้ไอ้ไธฟังมันคงดีใจสุดๆ โอ้ย หน้าที่กามเทพกำลังจะสำเร็จใช่ไหม

"ชอบมันแล้วดิ"

"ยะ ยังว่ะ จะรีบไปไหน ให้กูไตร่ตรองมากกว่านี้เถอะ ไม่อยากตัดสินใจผิดพลาดแล้วทำให้ไอ้ไธผิดหวัง"
มีแคร์ความรู้สึกกันด้วย น่าหมั่นไส้จนเผลอเบะปากเลยกู ทำไมพอเป็นเรื่องพี่ทาวน์ถึงไม่มีใครออกปากช่วยกูแบบนี่บ้างวะ แม่ง น่าน้อยใจชะมัด

"แหม เสียงสั่น หน้าแดง เออๆ ยังก็ยัง แต่มึงไม่รังเกียจที่จะให้มันจีบใช่ไหม"
ผมออกปากถามแทนเพื่อนเลยเรื่องนี้ ไม่อยากให้ค้างๆ คาๆ เคลียร์จบจะได้ไปจัดการเรื่องตัวเองต่อ จิณณ์มีท่าทีกระอักกระอวน เหลือบมอง กัดปาก เขย่าขา หันหน้าไปมา นี่ตกลงมึงเป็นบ้าหรือเปล่า ทำไมอาการดูใกล้เคียงชอบกล

"ก็... เออ! จะจีบก็จีบ"
ตะโกนซะเสียงดัง มึงอยากให้ไอ้ไธที่อยู่ชั้นหนึ่งได้ยินเลยใช่ไหมไอ้สัด เดี๋ยวคนข้างห้องก็เอาขี้แมวมาปาใส่หรอก หูดับไปชั่วขณะเลยกู

"เออดี"
ผมแคะหูก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินออกจากห้องครัว ทุกเวลามีค่าต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ แถมวันนี้ไอ้ไธไม่ออกไปไหนด้วย ควรอย่างยิ่งๆ

"เดี๋ยวๆ นั่นมึงจะไปไหนอะเจ็ท"
จิณณ์วิ่งตามออกมาแล้วกางแขนดักหน้าผมเอาไว้ ใบหน้าบ่งบอกถึงความสงสัยสุดขีด คิ้วขมวดจนแทบเป็นปม ตลกดีว่ะ

"ไปบอกไอ้ไธ"

"บอกอะไร"
โอ้ๆ หน้าหงึกแล้วเว้ย

"ให้มันขึ้นมาจีบมึงเดี๋ยวนี้เลย"
ผมตอบแล้วผลักจิณณ์ให้พ้นทางก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้อง ได้ยินเสียงด่าตามหลังแล้วได้แต่หัวเราะชอบใจ มีความสุขจังเว้ย!

"ไอ้สัด ให้เวลากูตั้งหลักบ้างเถอะ!"
มัวแต่ตั้งหลักเดี๋ยวก็อดมีผัวกันพอดีครับฝาแฝด ส่วนผมเตรียมตัวพร้อมจะมีเมียแล้ว หึหึ

ด้วยความคิดถึงพี่ทาวน์อย่างหนัก ผมเลยระบายความรู้สึกนี้ลงในไอจีโยเลือกอัพรูปแผ่นหลังของเขาที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออย่างตั้งใจภายในห้องสมุด ใบหน้าเปื้อนยิ้มยามจรดนิ้วพิมพ์แคปชั่นหวานหยดย้อยพร้อมแท็กไปหา ได้แต่ภาวนาว่าคงไม่โดนด่ากลับมานะ
Phakin_Jet คิดถึงคนในรูปจังเลยครับ ♥
Phokin_Jinn อยากจะแหมไปให้ถึงดาวอังคารจริงๆ เลยเว้ย
RU.Sexyboys หมั่นไส้จังเลยค่า ~
Farmer_xx เพ้อนะมึง คิดถึงก็ไปหาสิว้า
Mr.Fafar คิดถึงก็มาหอสมุดคณะแพทย์ดิวะ หายหัวไปเลยนะมึง เดี๋ยวหมาก็คาบไปแดกหรอก
Phakin_Jet @Farmer_xx @Mr.Fafar โหย พูดง่ายแต่ทำยากนะ ไม่อยากไปรบกวนเวลาอ่านหนังสือว่ะ กลัวโดนหักคะแนนความประพฤติ

ผมตอบคอมเม้นท์ด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ไอ้ฟาร์มกับพี่ฟานี่มันพูดง่ายกันจริงๆ เลยเว้ย เพราะไม่อยากรบกวนเวลาเป็นเงินเป็นทองของนักศึกษาแพทย์นี่สิ กลัวไปทำเขาเสียสมาธิ รู้ตัวเองว่าชอบไปนั่งจ้อง นั่งมอง เดี๋ยวโดนหักแต้มความสัมพันธ์จะแย่เอา กว่าจะเข้าใกล้พี่ทาวน์ได้มากขนาดนี้เสียน้ำตาไปเท่าไหร่แล้ว

ผมกำลังจะวางโทรศัพท์ลงเพราะได้ยินเสียงจิณณ์เรียกให้ไปดวนเกม Pokken Tournament DX ที่เพิ่งออกใหม่เมื่อวานนี้ แต่เสียงแจ้งเตือนกลับดังขึ้นซะก่อนเลยดึงความสนใจกลับมาที่เครื่องมือสื่อสาร

Maungneua_t จะมาหาก็มา อมยิ้มเต็มกระเป๋ากูแล้ว

ผมแหกปากร้องแบบไร้เสียงแล้วกระโดดเหยงๆ ด้วยความดีใจ นี่พี่ทาวน์บอกว่าคิดถึงทางอ้อมใช่ไหม โอ้ย เกมเชี่ยอะไรไม่เล่นแล้วเว้ย จะทำตัวเป็นเด็กขยันไปหอสมุดเดี๋ยวนี้ล่ะ ขอยืมรถจิณณ์ด้วยแล้วกัน!

“ไอ้จิณณ์ กูยืมรถหน่อยนะเว้ย จะไปหาพี่ทาวน์ที่มหา’ลัย!”

“ไอ้เหี้ย ทิ้งกู!”



--------------------------------------------

ความหวังอยู่แค้เอื้อมแล้วน้องเจ็ทเว้ย แต่พี่แกนำหน้าไปไกลโขเลย 5555

ออฟไลน์ numay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
ตอนแรกนึกว่าเจ็ทจะเป็นรับ ที่ไหนได้เจอหมอของขาวไปหน่อย หมอจากมีแฟนหญิงมา ก็ทำใจรับไปเหอะนะ 555

จิณณ์เจ็ทน่ารักดี เป็นพี่น้องที่งอแง เร้าหรือกันดีค่ะ ตีกันบ้าง แต่ห่วงกันดี
ไธก็สักทีเหอะนะ รุกจูบขนาดนั้น อย่าปล่อยทิ้งไว้ค่ะ ต้องตีอีก 5555
ฟาร์มคือจะจีบฟาตอนไหน หรือรอตังค์มีคู่ก่อน
ทาวน์คะ เข้มมาก ปากแข็งมาก ทำเจ็ทเจ็บมาหลายรอบ แต่ชอบตอนนี้ เพราะเริ่มรู้ตัวแล้ว

ชอบเรื่องนี้ตรงที่ เวลาเฟล เวลาเจ็บ ผู้ชายก็เสียน้ำตาได้

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
แข่งครั้งที่ 19




การสอบปลายภาคเริ่มต้นขึ้นด้วยเมื่อปลายอาทิตย์ที่แล้วและกำลังจะจบลงในวันนี้ ผมแทบกระอักเลือดกับวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ ทำไมมันยากอย่างกับไม่เคยเรียนมา บางข้อถึงกับเดาแบบไม่มีจุดหมายปลายทาง เขียนอะไรไดก็เขียนดีกว่าปล่อยให้กระดาษว่างเปล่า

ครั้นหันไปมองไอ้ฟาร์มที่นั่งอยู่ข้างๆ กันถึงกับต้องกลั้นหัวเราะ รายนั้นยู่ปากจนติดจมูกแถมยังเอาปากกาเคาะหัว ท่าทางคงทำข้อสอบไม่ได้ยิ่งกว่าผมซะอีก ดวงตาคมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะถอนหายใจ อีกแค่ยี่สิบนาทีจะหมดเวลาแล้ว แม่งเอ้ย ไม่เคยนั่งจนรากงอกขนาดนี้มาก่อนในชีวิต วิชานี้วิชาแรกเลย

“อีกยี่สิบนาทีจะหมดเวลา นักศึกษาทุกคนกรุณาตรวจทานข้อสอบให้ดีๆ ก่อนส่งด้วย”
เสียงเข้มของอาจารย์คุมสอบดังขึ้นทำให้ได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ ของบรรดานักศึกษาที่ทำข้อสอบไม่ได้เหมือนๆ กัน ผมแทบจะเคี้ยวกระดาษลงท้องเพราะสมองตื้อไปหมด เคาะปากกาลงกับโต๊ะก็แล้ว กระดิกเท้าก็แล้วยังคิดคำตอบข้อสุดท้ายไม่ออก อยากจะบ้าตาย!

ไม่เกินห้านาทีหลังจากเสียงอาจารย์เงียบลง ผมก็ตัดสินใจเก็บอุปกรณ์การสอบใส่กระเป๋าเสื้อนักศึกษาแล้วคว่ำกระดาษคำตอบลงกับโต๊ะ ลุกขึ้นยืนด้วยเสียงที่เบาที่สุด ก่อนเดินออกจากห้องทันสังเกตเห็นไอ้ฟาร์มขยับปากด่า จับใจความได้ประมาณว่า ‘ทิ้งกู ไอ้ห่า’ อยากจะเดินเข้าไปตบหัวสักทีแล้วถามว่า ‘กูอยู่ไปช่วยอะไรมึงได้เหรอ ตัวเองยังเอาไม่รอดเลย ไอ้สัด’

ผมเดินห่อไหล่เข้าไปหาไอ้ไธที่นั่งรออยู่หน้าระเบียงห้องสอบ มันทำเพียงแค่เหลือบตามองแล้วกลับไปสนใจโทรศัพท์ในมือต่อ เดี๋ยวนี้พ่อคุณเขาว่างไม่ได้หรอก ต้องรายงานจิณณ์ตลอดว่าทำอะไร อยู่ที่ไหน กับใคร โอย อิจฉา เริ่มจีบกันทีหลังแต่แซงหน้าไปมากโขคืออะไรวะ เซ็งฉิบหาย

“ไงมึง ออกมาคนแรกเลยนะ”
ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ก่อนจะแอบชะโงกหน้าดูจอโทรศัพท์ ที่เดาเอาไว้ก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเลย เพราะแชทของจิณณ์โชว์หราเต็มสองลูกตา เห็นแบบนั้นก็ได้แต่เบะปากด้วยความหมั่นไส้ คนที่ปากตรงกับใจ อะไรๆ มันก็ง่ายไปซะหมด

“ขี้เสือกว่ะ”
ไอ้ไธพูดเสียงไม่จริงจังนักก่อนจะพิมพ์ตอบอะไรจิณณ์นิดหน่อยแล้วเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าเสื้อ ผมไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ยอมรับว่าขี้เสือก ก็มันเป็นเรื่องของคนสนิทนี่หว่า อยากรู้เป็นธรรมดาอยู่แล้ว

“จะไปไหนต่อปะวะ”
ผมถามเพื่อจะชวนมันเล่นเกมที่ห้อง ไหนๆ วันนี้ก็สอบวิชาสุดท้ายแล้ว คลายเครียดสักหน่อยก็ดี ที่ไม่ชวนกันไปหาอะไรกินฉลองก็เพราะเย็นนี้ไอ้ฟาร์มจะกลับไปจัดกระเป๋าเพื่อกลับบ้านที่ชลบุรี ส่วนตังค์ก็มีราชรถสีชานมมารับ รอว่างๆ ก่อนเถอะ จะเรียกไอ้เอยมาซักฟอกให้ขาวเลย

“มีนัดว่ะ”
มันตอบพร้อมรอยยิ้มหวานๆ หน้าตาเปี่ยมสุขขนาดนี้ไม่ต้องถามต่อเลยว่านัดกับใครที่ไหน ด้วยความหมั่นไส้ผมเลยต่อยแขนไอ้ไธไปทีนึงโทษฐานทำคะแนนแซงหน้าคนอื่น ดูอย่างไอ้ฟาร์มสิ ยังอยู่ที่จุดเริ่มต้นอยู่เลย ไม่รู้เมื่อไหร่มันจะก้าวไปข้างหน้า หรือบางทีสุดท้ายแล้วมันอาจจะถอยหลังออกจากสนาม คงต้องรอลุ้นไปเรื่อยๆ

“หมั่นไส้”
ผมบ่นอุบก่อนจะเหม่อมองท้องฟ้ายามเย็น อีกไม่กี่นาทีก็จะห้าโมงแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้พี่ทาวน์ทำอะไรอยู่ที่ไหน นักศึกษาแพทย์สอบเก็บคะแนนมาตลอดการเรียน ก็ไม่แปลกที่ไฟนอลจะจบก่อนคณะอื่นๆ

“มึงไม่นัดกับพี่ทาวน์เหรอไง”
ไอ้ไธถามก่อนจะพาดแขนลงบนไหล่ของผม ดวงตาที่มองมามีแววหยอกล้อ มันคิดว่าคนอย่างนายภาคินมีชีวิตรักที่ดีนักหรือไงกัน ถามก่อนเถอะว่าอีกคนเงียบหายไปนานแค่ไหนแล้ว นัดอะไรอย่าหวังซะเถอะ

“หึ คุยยังไม่ได้คุยเลยเถอะ ตั้งแต่กูเริ่มสอบพี่เขาไม่ตอบไลน์เลย”
ผมบอกเสียงหงอยแล้วโขกหน้าผากลงกับฝ่ามือตัวเองอย่างคนไร้หนทางเดินต่อ ตั้งแต่เริ่มสอบวันแรกจนวันสุดท้ายพี่ทาวน์ยังไม่เปิดอ่านไลน์ด้วยซ้ำ ไอ้เราก็หน้าด้านส่งข้อความไปหาทุกวัน จนหลังๆ เริ่มกลัวเขารำคาญเลยหยุด แต่สุดท้ายก็เอาแต่กังวลว่าอีกฝ่ายจะไปคุยกับคนอื่นไหม แค่คิดก็จุกจนเจ็บ

“เขาอยากให้มึงตั้งใจสอบไง”

“แต่กูต้องการกำลังใจ”

“มึงหวังอะไรมากมายจากพี่ทาวน์ว่ะ”
ไอ้ไธบอกด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่คำพูด่างทำร้ายจิตใจ มันแปลว่าผมไม่มีหวังในเรื่องพี่ทาวน์เลยใช่ไหม ที่จีบมาหลายเดือนก็คงไม่มีผลสินะ

“นั่นสิ กูคงหวังมากไป”
ผมเอนหัวไปซบไอ้ไธโดยไม่สนใจสายตาคนรอบข้าง จากที่ไม่เคยคิดมากตอนนี้หัวแทบแตก มองโลกในแง่ร้ายตลอดเวลา อาจจะเป็นเพราะความเย็นชาของพี่ทาวน์กอปรกับที่เขาไม่ค่อยแสดงออกและปากแข็ง เหนื่อย ท้อ แต่ขอไม่ถอย คนนี้นายภาคินอยากได้มาครอบครองจริงๆ

“มึงอย่าดราม่า กูหมายถึงพี่เขาไม่ใช่คนละเอียดอ่อนมานั่งให้กำลังใจใครแบบนั้น ไม่ใช่ว่าไม่สนใจมึง”
ไอ้ไธผลักหัวกันเบาๆ คงเพราะหมั่นไส้ที่ผมทำท่าหงอย เพราะคำพูดของมันไง ยังจะมาทำร้ายกันอีก นี่เพื่อนนะไม่ใช่ลูกบอล

“อ้าวเหรอ แต่กูคิดถึงเขาไง”
ผมเด้งตัวออกแล้วทำหน้าเอ๋อใส่มัน ปล่อยให้คิดเป็นตุเป็นตะอยู่ได้ แม่ง อายฉิบหาย

“ตอนนี้ก็ไลน์ไปคุยด้วยซะสิ ไม่ก็โทรไปเลย”
ไอ้บ้านี่ก็พูดง่ายแถมยังทำหน้ากวนใส่อีก ผมได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดู ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ไลน์นิ่งสนิท ไม่มีข้อความตอบกลับหรือแม้แต่อ่านเลยสักนิด พี่ทาวน์กำลังปั่นหัวอยู่เหรอไง นิสัยไม่ดีเลย

“ข้อความอันเก่ายังไม่ตอบกูกลับมาเลยเถอะ ใครจะกล้าทักไปใหม่”

“เรื่องของมึง กูไม่ยุ่งแล้ว”

สุดท้ายก็โดนเพื่อนทิ้งไว้กลางทางเพราะผมกลายเป็นไอ้ป๊อดขึ้นมาซะเฉยๆ ไอ้ไธไปรับจิณณ์ที่คณะ ส่วนไอ้ตังค์ก็มีราชรถมาเกยถึงที่ แถมยังกอดคอแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของแบบออกนอกหน้า นี่กูแพ้ไอ้เอยเหรอวะ มาช้าแต่ความสัมพันธ์แซงคนอื่น เรื่องเชี่ยอะไรเนี่ย

ผมเดินไปที่ลานจอดรถพร้อมๆ กับไอ้ฟาร์มที่คุยโทรศัพท์กับที่บ้าน พรุ่งนี้มันจะกลับชลบุรี ดูท่าทางคงปลงเรื่องพี่ฟาไปแล้ว เพราะรายนั้นหนุ่มๆ ใจกล้าเข้าหาเยอะ ส่วนคนกากก็ได้แต่มองอยู่ห่างๆ จะว่าไปแล้วบางครั้งความรักก็ทำให้คนๆ หนึ่งไม่เป็นตัวของตัวเอง จากที่เคยบ้าบิ่นกลายเป็นขี้อายซะได้ แววแดกแห้วลอยมาแต่ไกลเลยเพื่อน

“เชี่ยเจ็ท พรุ่งนี้อย่าลืมมารับกูด้วยนะเว้ย”
ไอ้ฟาร์มย้ำอีกครั้งหลังจากที่มันวางสายแล้ว ผมพยักหน้ารับแกนๆ แบบขอไปที จะใช้ให้ทำอะไรก็ไม่เกี่ยง เพราะหลังจากวันนี้ไปก็เข้าช่วงปิดเทอม ชีวิตเงียบเหงา ความรักก็ไม่รุ่ง แม่ง อยากบินไปอังกฤษฉิบหาย หนีไปพักใจไกลๆ แต่ติดตรงที่จิณณ์ขี้เกียจ

“ถามจริง ทำไมไม่ขับรถกลับบ้านวะ นั่งรถตู้เพื่ออะไร”
ผมยืนพิงรถไอ้ฟาร์มแล้วถามด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจจริงๆ ว่ามันจะดั้นด้นไปเบียดเสียดคนอื่นเพื่อกลับบ้านทำไม แล้วเดือดร้อนคนอื่นต้องไปส่งถึงคิวอีก

“กูขี้เกียจไง อีกอย่างนั่งรถตู้ประหยัดเงินมากกว่าด้วย”
มันบอกด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มราวกับภาคภูมิใจกับความคิดของตัวเอง ผมได้แต่เบ้ปากมองเพื่อนด้วยความไม่เชื่อถือร้อยวันพันปีเพื่อนคนนี้จะรู้จักคำว่าประหยัด ปกติฟุ่มเฟือย เปย์ให้สาวๆ เป็นว่าเล่น

“กูหูฝาดปะ ป๋าฟาร์มสายเปย์รู้จักคำว่าประหยัดด้วย”
ผมขยับตัวไปกอดไหล่แล้วหรี่ตามองเพื่อจับผิด ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่ามันเปลี่ยนไปขนาดนี้ เรื่องเลิกเปย์สาวก็พอรู้ว่าบ้างเพราะมันไปชอบพี่ฟา แต่เลิกฟุ่มเฟือยเหนือความคาดหมายจริงๆ

“กูเลิกเปย์แล้วเว้ย”
ไอ้ฟาร์มโวยวายเสียงดังจนคนอื่นหันมามองทำให้ผมต้องเบี่ยงตัวหลบออกมาแล้วทิ้งท้ายไว้ว่าพรุ่งนี้จะไปรับที่บ้าน ถ้ายังอยู่ตรงนั้นคงกลายเป็นจุดสนใจได้ไม่ยาก และอีกอย่างคือเห็นแฟนเก่าของจิณณ์แว๊บๆ ด้วย หนีก่อนจะเกิดเรื่องดีกว่า

ผมเดินทอดน่องไปที่ลานจอดรถรวมของมหา’ลัย ชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ เพื่อผ่อนคลายอารมณ์ตึงเครียดเรื่องของใครบางคน แต่ขายาวต้องหยุดชะงักอยู่แถวสนามบาสฯ กลางแจ้งเพราะโทรศัพท์ในกระเป๋ากำลังสั่นรัว

“ฮัลโหลครับพี่ฟา”
ผมกดรับสายแล้วกรอกเสียงลงไปด้วยความประหลาดใจ น้อยครั้งที่พี่ฟาจะโทรหากันแบบนี้ โดยปกติแล้วคุยไลน์กันมากกว่า สงสัยมีธุระด่วนแน่ๆ

‘มึงสอบเสร็จวันไหน’
พี่ฟาถามกลับเสียงเรียบทำให้ผมได้แต่ขวดคิ้วแน่น ความสงสัยเริ่มทวีคูณมากยิ่งขึ้น มีอะไรหรือเปล่าวะ

“วันนี้ครับ มีอะไรหรือเปล่า”
ผมออกเดินอีกครั้งเพื่อไม่ให้เสียเวลาในการกลับไปพัก หลังจากไม่ได้นอนติดต่อกันหลายคืนเนื่องจากทุ่มอ่านหนังสือและคิดมากเรื่องพี่ทาวน์

‘งั้นดีเลย พรุ่งนี้กูวานมึงไปรับไอ้ทาวน์ที่คอนโดให้หน่อยดิ’
พี่ฟาบอกเสียงใสด้วยอารมณ์เบิกบาน แต่ผมได้แต่หยุดชะงักเท้าอีกครั้ง เมื่อครู่เขาพูดว่าอะไรนะ หูเพี้ยนหรือเปล่าเนี่ย หรือกำลังฝัน

“หา รับไปไหน อะไรยังไงครับ”
ผมละล่ำละลักรีบถามจนสำลักน้ำลายไอโขลกใส่โทรศัพท์ โดนพี่ฟาบ่นซะยกใหญ่ก่อนจะยอมตอบคำถาม

‘คืองี้ ไอ้ทาวน์รถเสีย แล้วพรุ่งนี้มีประชุมงานโอเพ่นเฮ้าท์ที่คณะ’

“อ่า... พี่ฟาไม่ว่างเหรอ”

‘แม่ง ง่ายๆ คือกูเปิดโอกาสให้มึงทำคะแนนกับไอ้ทาวน์อะ’
พี่ทาวน์หัวเราะคิกคักตบท้ายราวกับเจอเรื่องสนุกนักหนา และผมเองก็ไม่สามารถหุบยิ้มได้เลยเมื่อรู้ว่าเพื่อนของเขาสนับสนุนขนาดนี้ ก็มีแต่เจ้าตัวนั่นล่ะที่ยังคงนิ่งเฉยไม่แสดงความรู้สึก

“อ้อ... แต่ผมต้องไปรับเพื่อนนี่ดิ มันจะกลับบ้านที่ชลบุรี”
ผมร้องก่อนจะเงียบไปประมาณสิบวินาทีแล้วยกเรื่องที่ต้องไปรับไอ้ฟาร์มที่บ้านบอกพี่ฟาไป ทั้งที่มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย จะฝากไอ้ไธยังได้ แต่ในเมื่อโอกาสช่วยเพื่อนมาอยู่ตรงหน้าแล้ว จะปล่อยให้หลุดมือก็คงไม่ดี

‘เพื่อนคนไหน’
พี่ฟาถามกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ ผมที่เป็นคนคิดแผนเด็ดได้ภายในไม่กี่วินาทียืนอมยิ้มกรุ้มกริ่มจนสาวๆ แถวลานจอดรถถึงกับส่งเสียงกรี๊ด คือ... อย่าเข้าใจผิดว่านายภาคินกำลังล่อเหยื่อสิ ความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้นเลยเว้ย รักเดียวใจเดียวแค่พี่ทาวน์

“ไอ้ฟาร์มครับพี่”
ผมตอบเสียงดังฟังชัดก่อนจะล้วงกระเป๋าหากุญแจรถยนต์ที่อาสาเป็นคนขับมาเมื่อเช้า เย็นนี้จิณณ์ไปกับไอ้ไธกรรมสิทธิ์ในการครอบครองเลยตกมาอยู่ที่นายภาคินแบบเต็มร้อย

‘อ๋อ งั้นเดี๋ยวกูไปส่งมันที่ชลบุรีแล้วกัน’

“เฮ้ย แค่คิวรถตู้ก็พอพี่”
ผมร้องด้วยความตกใจก่อนจะก้มลงเก็บกุญแจรถที่ทำหล่นเพราะอึ้งกับคำพูดของพี่ฟา ต้องใจดีขนาดไหนถึงอาสาขับรถไปส่งไอ้ฟาร์มถึงชลบุรีวะ ระยะทางไม่ได้ใกล้เลย นี่มันโชคสองชั้นชัดๆ แม่ง โคตรน่าอิจฉามันเลยเว้ย ทำไมไม่มีคนช่วยกูบ้างเนี่ย

‘เออน่า กูถือว่าไปเที่ยวทะเลด้วยเลย’
ผมฟังพี่ฟาพูดด้วยความเบลอ มีคนแบบนี้บนโลกด้วยเหรอวะที่ยอมช่วยคนอื่นแต่ลำบากตัวเอง แถมมองโลกในแง่ดีได้ขนาดนั้น สุดยอดว่ะ ถ้าไอ้ฟาร์มจีบเขาตืดคงดีไม่น้อย

“แล้วพี่ไม่เข้าประชุมงานเหรอวะ”

‘ไม่อะ กูอยู่ฝ่ายทำเอกสารแนะนำคณะ ส่วยไอ้ทาวน์นี่เป็นคนเฝ้าซุ้ม คนละหน้าที่กัน’

“อ๋อ งั้นผมฝากไอ้ฟาร์มด้วย แล้วก็... ขอบคุณครับ”
ผมเอ่ยขอบคุณจากใจจริง เพราะถ้าพี่ฟาไม่ยกโอกาสนี้ให้ก็ไม่รู้จะหาเรื่องอะไรโทรไปคุยกับพี่ทาวน์ที่เงียบหายเข้ากลีบเมฆ

‘เออๆ สอยไอ้ทาวน์ให้ได้นะเว้ยว่าที่น้องเขยของพี่’
เขาเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะแล้ววางสายไป ปล่อยให้ผมยิ้มอย่างกับคนบ้ายืนถือกุญแจรถค้างไว้ในมือโดยไม่ทำอะไรต่อ ชอบคำอวยพรเมื่อครู่จนอยากจะโห่ร้องว่าต้องทำให้ได้ แต่เกรงใจคนรอบข้างรวมถึงกลัวอาจารย์ด่า

พี่ก็รีบมาเป็นเพื่อนสะใภ้ของผมสักทีเถอะ สงสารไอ้ฟาร์มมัน ทั้งชีวิตเก่งเรื่องผู้หญิงมาตลอด ดันเสือกมาตายเอาตอนที่ชอบผู้ชาย กากจริงๆ

ผมบึ่งรถกลับคอนโดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ริมฝีปากหยักขยับไปตามเพลงที่เปิดคลอ อารมณ์ดียิ่งกว่าคนถูกหวยรางวัลที่หนึ่งซะอีก เพราะหลังจากวางสายพี่ฟาไปแล้วไม่นานนักก็ได้รับข้อความไลน์ตอบกลับของคนที่กำลังคิดถึงมาตลอดอาทิตย์ว่าเพิ่งซื้อโทรศัพท์ใหม่เนื่องจากเครื่องเก่าดิ่งพื้นชิ้นส่วนกระจาย

นาฬิกาติดผนังบอกเวลาสี่ทุ่ม ผมควรจะอาบน้ำและจัดการตัวเองให้เรียบร้อยพร้อมนอนอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ แต่เปล่าเลยเพราะยังคงนั่งพิมพ์ไลน์ตอบโต้กับพี่ทาวน์มาตั้งแต่หนึ่งทุ่ม มีอะไรมากมายเล่าให้เขาฟัง โดยลืมนึกไปว่าอีกคนจะเบื่อหรือรำคาญความคิดถึงนี้บ้างไหม ก็ได้แต่นั่งกลั้นหายใจเมื่อได้สติว่าเวินเว่อไร้สาระมากเกินไป

แต่ผลตอบรับกลับดีเกินคาดตรงที่ทางนั้นรับฟังและออกความคิดเห็นเป็นบ้างครั้ง ถามไถ่ถึงการสอบของผมว่าทำได้หรือเปล่า จากที่เคยตัดพ้อว่าพี่ทาวน์ไม่สนใจกลับต้องเปลี่ยนความคิดใหม่อย่างกะทันหัน พอโดนใส่ใจเข้าหน่อยมุมปากก็กระตุกยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนเต็มแก้ม ความสุขเอ่อล้นทะลักอย่างที่ไม่เคยเป็น

เกือบตีหนึ่งผมโดนพี่ทาวน์ไล่ให้ไปอาบน้ำเป็นครั้งที่สิบ และถ้าไม่ยอมทำตามสักทีเขาจะไม่ยอมคุยด้วยอีกเลย แล้วไอ้คนที่เป็นรองทุกอย่างจะทำอะไรได้นอกจากกุลีกุจอลงจากเตียงจนหน้าเกือบคะมำเพื่อวิ่งเข้าห้องน้ำชำระร่างกาย กลับออกมาอีกทีก็โดนบอกราตรีสวัสดิ์ซะอย่างนั้น ของอนได้ไหมล่ะ

แสงแดดยามเช้าส่องลอดรอยแยกขอผ้าม่านเข้ามากระทบลงบนเปลือกตาทำให้ผมที่นอนหลับด้วยความเพลียต้องสะลึมสะลือตื่นอย่างช่วยไม่ได้เนื่องจากมีภารกิจต้องไปรับพี่ทาวน์ที่คอนโด ใช้เวลาประมาณห้านาทีในการเรียกสติกลับคืนเข้าร่างแล้วระบายยิ้มออกมาเมื่อคิดถึงคนที่กำลังจะได้เจอกัน

“สวัสดีครับพี่ทาวน์”
ผมเอ่ยทักทายคนที่ยืนรออยู่หน้าคอนโดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หัวใจเต้นระรัวราวกับเพิ่งเจอเขาเป็นครั้งแรก ความคิดถึงกำลังแสดงออกทางสายตาให้พี่ทาวน์รับรู้ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะพยายามไม่สนใจในขณะที่เปิดประตูขึ้นรถ โธ่ เย็นชาไม่เคยเปลี่ยนเลยจริงๆ แต่ก็รักนะ

“แผนสูง”
พี่ทาวน์พูดออกมาสั้นๆ แล้วจ้องหน้าเขม็งอย่างเอาเรื่อง ผมได้แต่เลิกคิ้วขึ้นเพราะไม่เข้าใจ ใครที่ไหนแผนสูงวะ แต่จะว่าไปเขาดูหล่อขึ้น อาจจะเพราะเปลี่ยนสีผมเป็นสีควันบุหรี่ด้วยล่ะมั้ง โคตรเท่เลย

“อะไรนะครับ”
ผมถามย้ำในขณะที่สายตาก็มองสำรวจใบหน้าของเขาไปเรื่อย ทำไมถึงชอบให้คิดถึงอยู่เรื่อยเลยนะ พี่ทาวน์ไม่รู้หรือไงว่ากำลังทำให้คนๆ หนึ่งจะขาดใจตายให้ได้ตอนที่หายตัวไป

“มึงไง แผนสูง”
พี่ทาวน์ขยายความกว้างขึ้นเพียงนิดเดียวก่อนจะเบนหน้าหลบสายตาของผม เขาเอนหลังพิงพนักให้อยู่ในท่วงท่าสบายๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดเพลง

“ผมไม่เข้าใจอะ”
บอกเขาก่อนจะเริ่มออกรถโดยเหลือบมองคนข้างกายเล็กน้อย จริงๆ อยากหยุดเวลาที่เรามองหน้ากันและกันเอาไว้ ยังไม่หายคิดถึงเลย ถ้าถึงมหา’ลัยไว ก็ต้องแยกกันไว แบบนั้นโอกาสที่พี่ฟาให้มาคงเปล่าประโยชน์ แต่จะทำไงได้ ขืนจอดอยู่กับที่คงโดนพี่ทาวน์ฆ่าหมกป่าแน่ๆ

“มึงมารับกู ส่วนไอ้ฟาไปรับฟาร์ม”
ขยายความกว้างขึ้นมาอีกนิดจนผมถึงบางอ้อ ไอ้ที่ว่าแผนสูงคือการที่เผลอหยิบยื่นโอกาสให้กับเพื่อนสนิทใช่ไหม ก็เหตุการณ์มันพอเหมาะพอเจาะจะปล่อยเลยไปก็เสียดาย อีกอย่างคือสงสารไอ้ฟาร์ม มันไม่เคยมีอาการป๊อดกับใครอย่างนี้มาก่อน คงจริงจังมากกับความรักครั้งนี้จริงๆ

“ก็... พี่ฟาวานให้ผมมารับพี่ไง”

“กูรู้ว่าฟาร์มชอบไอ้ฟา”
พี่ทาวน์ไม่ยอมแพ้จริงๆ สินะ ถ้าอย่างนั้นผมยอมเองก็ได้ ถือซะว่าเป็นการเอาใจเขาแล้วกัน มันเกี่ยวกันได้หรือเปล่าวะ

“ครับๆ ยอมแพ้ ถือว่าช่วยเพื่อนให้สมหวังในความรักไง”
ผมพูดเสียงอ่อยเพราะกลัวจะโดนด่า แถมยังไม่กล้าเหลือบตามองพี่ทาวน์ด้วยซ้ำ ดูๆ ไป ในอนาคตนายภาคินคนนี้คงกลัวเมียแน่นอน

“หึ น่ากระทืบทั้งคู่จริงๆ”
พี่ทาวน์หัวเราะเสียงต่ำแถมแสยะยิ้มชวนสยอง ผมถึงกับสะดุ้งเมื่อนิ้วเย็นเฉียบสัมผัสเข้าที่แก้มก่อนจะโดนดึงอย่างแรงจนรู้สึกเจ็บจี๊ด เขาเล่นอะไรเนี่ย แต่โคตรรู้สึกดีที่โดนจับเนื้อต้องตัว ถ้าขอกอดบ้างจะได้ไหมวะ

“โอ้ย อย่าใจร้ายสิครับ”
ผมร้องเสียงหลงแล้วพยายามอ้อนเขาโดยการขยับหัวเพื่อถูไถแก้มเขากับมือเรียว พี่ทาวน์ผละออกอย่างนวดเร็วแล้วถลึงตาใส่อย่างกับโกรธใครมาสักสิบชาติ แทนที่จะดูน่ากลัว กลับกลายเป็นว่าน่ารักน่าแกล้งมากกว่า

“ยอมไปด้วยยังหาว่าใจร้ายอีกหรือไง”
พี่ทาวน์พูดไม่เต็มเสียงแต่ก็แฝงความเย็นชาเหมือนเคย ใบหน้าหล่อหันกลับไปมองถนนอย่างเคย ถ้าตาไม่ฝาดละก็เมื่อครู่คิดว่าผมเห็นเขายิ้มนะ

“ใจดีที่สุดเลย ~”
ผมลากเสียงหวานหยอกล่อคนข้างกายที่พูดประโยคน่ารักๆ เมื่อครู่ออกมา พี่ทาวน์ปากร้ายใจดี แต่บางครั้งก็ปากร้ายใจร้าย เอาแน่เอานอนอะไรไม่ค่อยได้จริงๆ

“อย่ามาประชด”
นั่นไง ชมจากใจจริงยังโดนหาว่าประชด แบบนี้ผมจะจีบพี่ทาวน์ติดเมื่อไหร่วะเนี่ย หรือว่ารวบหัวรวบหางจับปล้ำทำเมียซะหมดเรื่อง พอสมองเริ่มคิดอกุศลสายตาก็ชำเลืองมองการแต่งกายของคนข้างตัวอีกครั้ง กางเกงพอดีเข่าที่เวลานั่งจะร่นขึ้นจนเห็นขาอ่อนขาวๆ ทำให้ต้องกลืนน้ำลายดังเอื๊อกลงคอ รู้สึกตัวร้อนชอบกล แม่ง เสือกมาหื่นเอาตอนนี้มีแต่ตายกับตาย

“ผะ ผมพูดจริงๆ นะ”
ย้ำคำเสียงสั่นแล้วรีบเลยหน้าหนีต้นขาขาวนั่น หัวใจกำลังทำหน้าที่สูบฉีดเลือดอย่างหนัก สมองเริ่มเบลอๆ ภาพที่เห็นเริ่มไปไกลถึงเตียงนอนหลังกว้างที่มีสองร่างเปลือยเปล่ากำลังคลอเคลียกัน โคตรฟินจนต้องเอื้อมมือหยิบกระเป๋าเป้จากด้านหลังมาปิดเป้าไว้ขณะรถติดไฟแดง

ไอ้ฉิบหาย ถ้าพี่ทาวน์รู้ว่าผมคิดอะไรคงลากไปกระทืบให้ตายคาตีนแน่ ยิ่งนานวันอารมณ์เรื่องอย่างว่ายิ่งพุ่งกระฉูดแบบฉุดไม่อยู่จริงๆ มีอยู่หลายครั้งที่แอบช่วยตัวเองแล้วเรียกชื่อเขาออกมา... พอเสร็จกิจก็ได้แต่ร้องขอโทษอยู่ในใจเป็นร้อยครั้ง เคยพยายามเลิกทำเรื่องบัดสีแบบนี้แล้วแต่ทำไม่ได้จริงๆ

ผมโดนพี่ทาวน์มองด้วยสายตาจับผิดมาตลอกทางจนถึงหน้าคณะแพทย์ที่เขาต้องไปประชุมเรื่องงานโอเพ่นเฮ้าส์ที่จะจัดขึ้นเมื่อเปิดเทอมมาถึง ไอ้กระเป๋าที่อยู่บนตักนั่นล่ะเป็นจุดสนใจ มีคนบ้าที่ไหนเอามันมาตั้งเกะกะไว้ตรงนี้บ้าง แต่มันเป็นวิธีเดี๋ยวที่จะปิดบังน้องชายที่ตื่นตัวไว้ได้ ขืนปล่อยให้ชี้หน้าอยู่คงไม่ดีแน่ โดนมองเป็นพวกโรคจิตคงดูไม่จืด

“จะให้ผมมารับกี่โมงครับ”
ผมเอ่ยถามทันทีเมื่อพี่ทาวน์เปิดประตูรถ เขายังไม่ทันหย่อนขาลงพื้นด้วยซ้ำก็ตวัดสายตามองมาทางนี้ มีทั้งแววฉงนและสงสัย

“ว่างนักหรือไง”
คำถามสั้นๆ แต่มาพร้อมกับการที่พี่ทาวน์แลบลิ้นเลียปากหลังพูดจบ ผมตัวแข็งทื่อคิดหาเสียงตัวเองไม่เจอไปประมาณสิบวินาที เมื่อครู่เขาแค่ปากแห้งใช่ไหม คงไม่ได้อ่อยกันหรอก เลิกคิดอกุศลสักทีสิวะ น้องชายแม่งตื่นตัวไม่หยุดเลย กูจะตายแล้ว!

ผมหลับตาลงเพื่อข่มความรู้สึกทั้งหมดก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วระบายออกช้าๆ ยุบหนอ ไม่พองหนอ อดทนไว้แล้วทุกอย่างจะสงบเอง

“สำหรับพี่ทาวน์ ผมว่างเสมอ”
ผมกลั้นใจหยอดเขาไปพร้อมรอยยิ้มหวาน ทั้งที่มือกำลังสั่นเพราะไอ้การข่มใจห่าเหวอะไรนั่นพังทลายลงจนเกลี้ยงเมื่อลืมตาขึ้นแล้วเจอเข้ากับพี่ทาวน์ที่ทำหน้าฉงน โคตรน่าขยี้! ถ้าไม่เกรงใจขนาดตัวและขนาดตีนคงหน้ามือตามัวจับเขาปล้ำไปแล้วจริงๆ

“เลี่ยน”
บอกว่าเลี่ยนแล้วเบะปากใส่ไม่คิดเหรอว่ามันน่ารักมากขนาดทำให้ใจเต้นแรงแทบทะลุออกมาจากอก ใช่ว่าจะได้เห็นพี่ทาวน์แสดงอารมณ์บ่อยๆ ซะที่ไหนกันวะ ชอบ จนอยากให้เขาเป็นแบบนี้กับผมแค่คนเดียว ขอมากเกินไปหรือเปล่านะ

“ก็คนมันจีบอยู่ ไม่รู้หรือไง”
ผมแกล้งพูดเพื่อจะดูปฏิกิริยาของพี่ทาวน์ว่าเป็นยังไงต่อไป ผลที่ได้คือใบหน้าหล่อเบนหนีพร้อมกับที่ขายาวก้าวลงจากรถ ได้ยินเสียงพึมพำเบาๆ จากริมฝีปากบาง

“ไม่รู้ได้ด้วยเหรอ”
ใครสอนให้พูดแบบนี้ครับพี่ทาวน์ สารภาพมาเดี๋ยวนี้นะเว้ย แล้วไอ้ท่าทางหลบตาคืออะไรวะ เขินเหรอ หรือแค่ไม่อยากมองหน้าเพราะผมเสี่ยวแดก ใครก็ได้ช่วยบอกที ว่าตอนนี้คนตรงหน้ารู้สึกยังไง!

“ก็ไม่รู้สิครับ จีบมาตั้งนาน ไม่เห็นพี่จะหวั่นไหวสักที”
ผมพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้แสดงอาการอยากฟัดเขา ทั้งที่อยากจะพุ่งไปคว้าข้อมือขาวแล้วกระชากให้กลับเขารถ ทำมิดีมิร้ายจนหนำใจแล้วค่อยปล่อย แต่ก็ทำได้แค่คิดแล้วนั่งกัดฟันข่มอารมณ์พุ่งพล่าน คงต้องแวะเข้าห้องน้ำจัดการตัวเองจริงๆ จังๆ สักที ไม่ไหวแล้วเว้ย!

“หึ อีกสองชั่วโมง มารับด้วยแล้วกัน”
พี่ทาวน์ระบายยิ้มก่อนจะโบกมือให้แล้วเดินจากไป ผมได้แต่นิ่งค้างเพราะสมองประมวลผลไม่ทัน เมื่อครู่ฟังไม่ผิดใช่ไหม เขาบอกว่าอีกสองชั่วโมงให้มารับตรงนี้ที่เดิมใช่ไหมวะ! ทำไมน่ารักแบบนี้ ไม่เจอกันอาทิตย์เดียวแอบไปอัพสกิลเล่นไสยศาสตร์ป้ายยาเสน่ห์ใส่กูหรือเปล่าวะ ทำไมรู้สึกว่าเจ้าตัวน่ารักขึ้น ยิ้มง่ายขึ้นแถมยังพูดอะไรที่ทำให้หัวใจเต้นรัว

“ได้ครับ!”
กว่าจะเรียกสติกลับเข้าร่าง กว่าจะตอบออกไปร่างของพี่ทาวน์ก็หายเข้าไปในตึกเรียบร้อยแล้ว ผมอยากลงจากรถแล้ววิ่งไปกอดเขาไว้แนบอกที่สุด คนอะไรทำให้มีความสุขได้ขนาดนี้

ผมไม่ได้ไปไหนไกลจากมหา’ลัยเลย เพราะกลัวว่ารถจะติดแล้วกลับมารับพี่ทาวน์ไม่ทันตามที่ได้นัดกันเอาไว้เลยพาตัวเองมานั่งดมกลิ่นกาแฟคั่วบดในคาเฟ่ที่ตกแต่งด้วยโทนสีอบอุ่น อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย บาริสต้าโคตรหล่อเคยเป็นเดือนคณะบริหารมาก่อน ขนาดตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอม สาวๆ ยังทยอยกันเข้ามาสั่งขนมกับเครื่องดื่มอยู่เรื่อย ไม่ค่อยแน่ใจว่าจุดประสงค์คืออยากกินอาหารหรือคนขายกันแน่



ต่อด้านล่างจ้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
พอถึงเวลานัดผมก็ตรงดิ่งไปรับพี่ทาวน์ที่หน้าคณะทันทีพร้อมกับชวนเขาไปกินข้าวต่อ นั่งลุ้นอยู่เกือบนาทีกว่าจะได้รับคำตอบตกลง ดูๆ ไปคงอยากแกล้งกันมากกว่า

“กินอะไรกันดีครับ”
ผมเอ่ยถามคนที่เดินข้างกันมาสักระยะหนึ่ง ก่อนหน้านี้เราชวนกันเข้าร้านเสื้อผ้าและได้ของติดไม้ติดมือมาคนละหลายถุง ตอนนี้เป็นเวลาเกือบบ่ายสองจะเริ่มหิวก็คงไม่แปลก

“แล้วแต่”
โจทย์ยากฉิบหายไอ้แล้วแต่เนี่ย ถ้าเลือกร้านไม่ถูกใจเขาจะโดนด่าไหม

“งั้น... ชาบูดีไหม”
ผมเลียบๆ เคียงๆ ถามเพราะอากาศวันนี้เป็นใจให้กินชาบู ท้องฟ้าครึ้มกับสายฝนโปรยปรายด้านนอก ได้ซดน้ำซุปร้อนๆ คงอุ่นดี พี่ทาวน์คิดอยู่สักพักก่อนพยักหน้าเป็นเชิงตกลง

“ได้ มึงไปจองโต๊ะก่อนแล้วกัน”
เขาบอกก่อนจะพยักพเยิดหน้าเป็นสัญญาณให้ผมเดินไปที่ร้านก่อน ส่วนตัวเองก็หมุนตัวเพื่อกลับทางเก่าที่ผ่านมา

“อ้าว แล้วพี่จะไปไหนครับ”
ผมขมวดคิ้วมองหน้าเขาด้วยความสงสัย อยู่ๆ จะทิ้งกันกลางทางแบบนี้มันแปลกอยู่นะ ถ้าพี่ทาวน์หนีกลับบ้านก่อนไม่ต้องนั่งรอจนรากงอกหรือไง กลายเป็นไอ้เอ๋ออีก

“ธุระ”
คำตอบสั้นๆ ทำให้ผมไม่กล้าถามต่อเพราะมันบ่งบอกในตัวอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องส่วนตัวไม่ควรยุ่ง

“โอเคๆ งั้นผมรอที่ร้านนะ”
ผมตอบรับแล้วคลี่ยิ้มกว้างให้เขา พี่ทาวน์ครางอืมในลำคอแล้วเดินหายไป

ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงพี่ทาวน์ก็กลับมาพร้อมถุงใบใหญ่ ดูจากลักษณะแล้วคงเป็นกล่องอะไรสักอย่าง ดีนะที่ร้านชาบูนี่ไม่ได้กำหนดเวลาการกิน

“โอ้โห ได้อะไรมาครับเนี่ย”
ผมถามไปออกไปด้วยความอยากรู้ทั้งที่มันเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ไม่ได้หวังว่าพี่ทาวน์จะตอบกลับมาหรอก เผื่อฟลุคแค่นั้นเอง

“อยากรู้ก็เปิดดูเอง”
พี่ทาวน์บอกเสียงเรียบแถมยังตั้งถุงไว้บนตักของผมราวกับเชิญชวนให้รับรู้ธุระที่เขาไปทำ แทบจะแหกปากร้องด้วยความดีใจที่คนเย็นชายอมให้วุ่นวายกับเรื่องส่วนตัวแบบนี้ ก็บอกแล้วไงว่านายเมืองเหนือโคตรน่ารัก

“เฮ้ย จะดีเหรอครับ”
ผมแกล้งถามแล้วทำตาโตเหมือนคนตกใจ มือไม้สั่นอย่างกับเจ้าเข้า อยากก้มลงไปแกะสก็อตเทปที่แปะถุงออกจะตายอยู่แล้ว แต่ขอทำฟอร์มหน่อยเถอะ กลัวพี่ทาวน์หาว่าเป็นเด็กขี้เสือก

“กูอนุญาต”
พี่ทาวน์ยักคิ้วให้ก่อนจะเลิกสนใจผมที่มีอาการตื่นเต้น เขาคีบเนื้อใส่หม้อชาบูตามด้วยผักนานาชนิด หน้าตาดูมีความสุขเหลือเกิน

“งั้นไม่เกรงใจแล้วนะครับ”
ผมบอกเป็นเชิงขออนุญาตอีกครั้งแล้วก้มลงแกะสก็อตเทปปิดปากถุงออก สิ่งของที่อยู่ภายในนั้นทำให้ดวงตาคมเบิกกว้างด้วยความตกใจจนต้องรีบเงยหน้ามองคนที่นั่งคีบหมูใส่ปากแบบไม่ทุกข์ร้อน

“เฮ้ย! Nintendo Switch พี่ซื้อมาเล่นเหรอครับ”
ผมร้องถามเสียงดังจนโดนพี่ทาวน์ถลึงตาใส่จนต้องหุบปากฉับเพราะไปรบกวนโต๊ะข้างๆ ก็มันน่าตกใจนี่หว่า ปกติเขาเคยเล่นเกมซะที่ไหน บอกว่าไร้สาระอย่างนั้นอย่างนี้ นี่มันเกินความคาดหมายมาก

“ซื้อมาแดกมั้ง ก็เห็นอยู่ว่าเป็นเครื่องเล่นเกม”
พี่ทาวน์เอื้อมมือมาผลักหัวกันด้วยใบหน้าเบื่อหน่ายก่อนจะกลับไปสนใจหม้อชาบูตามเดิม ไม่ได้แสดงอาการมีพิรุธอย่างที่ผมคิดไว้ เขารู้ตัวไหมว่ากำลังโดนจับผิดอยู่

“ไหนบอกว่าไม่ค่อยชอบเล่นเกมไง”
ผมถามลองเชิงอีกครั้งแล้วเหลือบมองคนที่ทำเป็นเอร็ดอร่อยกับผักต้มนักหนา เขาทำเพียงแค่ชะงักมือครู่เดียวก่อนจะส่งเข้าปากเคี้ยวหงุบหงับจนแก้มตุ่ย อยากฟัดจริงๆ เลย!

“อยากเล่นไม่ได้เหรอไง”
เขาตอบกลับมาโดยไม่มองหน้า ผมเลยได้แต่ขมวดคิ้วจนแทบผูกเป็นปม ผีเข้าเหรอ อยู่ๆ ก็อยากเล่นเกม นี่งงนะเว้ย

“ก็มันแปลกๆ นี่ครับ”
ผมบ่นพึมพำเบาๆ แล้วยกถุงเครื่องเล่นเหมไปตั้งไว้ที่เก้าอี้ข้างตัวก่อนจะเอื้อมมือหยิบตะเกียบเพื่อเริ่มกินบ้างแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อพี่ทาวน์เงยหน้าขึ้นมองแล้วเอ่ยบางอย่างออกมา

“เพราะใครแถวนี้ติดมันนักหนา เลยอยากรู้ว่าเล่นแล้วจะสนุกแค่ไหน”

“.....”
ผมใบ้แดกไปชั่วขณะเพราะกำลังอึ้งในสิ่งที่ได้ยินไปเมื่อครู่ น้ำเสียงของพี่ทาวน์ราบเรียบมากเหมือนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศปกติ แต่แววตาที่มองมานั้นฉายความหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด อาการแบบนี้มันพาลให้คิดว่าเขาเริ่มมีใจให้หรือเปล่า อิจฉาเจ้าเกมนั่นที่ผมมักให้เวลาว่างกับมันทุกครั้งไหม

“ฮันแน่ เริ่มชอบผมแล้วล่ะสิ”
พอผมดึงสติกลับมาได้ก็เริ่มออกปากแซวและถามอย่างตื่นเต้น ใบหน้าและแววตาแสดงความรู้สึกทั้งหมดอย่างไม่ปิดบัง มือใหญ่บีบต้นขาเพราะกำลังลุ้นคำตอบ แม่งเอ้ย ชาบงชาบูไม่แดกมันแล้ว!

“เกี่ยวกันตรงไหน”
พี่ทาวน์ชะงักมือที่ถือตะเกียบแล้วมองหน้าผมนิ่งก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาจนแทบติดลบ ผมเผลอกลั้นหายใจเพราะกลัวว่าสิ่งที่คิดทั้งหมดเป็นแค่การมโนไปเอง รู้สึกหงอยๆ เลยว่ะ โดนแบบนี้เข้าไป

“ก็... พี่สนใจในสิ่งที่ผมชอบ”
ผมพูดเสียงอ่อนแล้วเหลือบสายตามองพี่ทาวน์เพราะไม่กล้าสบตรงๆ เรื่องอื่นความมั่นใจเต็มร้อนเสมอแต่กับเรื่องคนตรงหน้านี่ป๊อดไม่เลิก แต่ก็ดีกว่าไอ้ฟาร์มคนกาก

“ถ้าคิดแบบนั้นแล้วสบายใจก็ทำไป”
เจอคำตอบของเขาเข้าไปผมก็เอาแต่นั่งเงียบแล้วไม่พูดอะไรต่ออีกเลยจนเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงและด้วยความอึดอัดระหว่างกันเลยทำให้ต้องรวบรวมความกล้าเปิดปากคุยกับพี่ทาวน์อีกครั้ง

“พี่ทาวน์...”

“อะไร”

“พี่ชอบผมแล้วใช่ไหมครับ”
ถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจังและไม่ยอมละสายตาจากคนตรงหน้า พี่ทาวน์ทำเพียงเหลือบตามองแล้วก้มลงสนใจแซลมอนในจานต่อ ทำไมเห็นของกินสำคัญกว่าผมตลอดเลยวะ

“คิดเอาเอง”

“ทำไมปากแข็ง”
ผมไม่ได้ตั้งใจจะว่าเขาแค่ต้องการถามว่าทำไมต้องปากแข็งขนาดนี้ ทั้งที่การกระทำของเขาแสดงออกมากกว่าแต่ก่อน ถึงจะไม่ชัดเจนทว่ารับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลง แต่คนๆ นั้นคือนายเมืองเหนืออะไรก็ไม่แน่นอน อาจจะเกิดสิ่งไม่คาดฝันได้ตลอดเวลา กลัวใจพี่ทาวน์เหลือเกิน

“รับไม่ได้ก็เลิกจีบ”
น้ำเสียงเรียบแต่ประโยคช่างทำร้ายจิตใจอย่างน่าเหลือเชื่อ ผมสะดุดลมหายใจไปหนึ่งจังหวะก่อนจะรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ

“ทำไมพูดแบบนี้...”
ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเบาหวิว อารมณ์ดิ่งลงอย่างรวดเร็วจนไม่มีแรงจับตะเกียบ อีกแล้ว เขาทำร้ายกันด้วยคำพูดเย็นชา ตอนที่ทำท่าจะลุกหนีจากเหตุการณ์ตรงหน้าก็โดนมือเรียวคว้าจับชายเสื้อไว้แล้วกระตุกให้นั่งลงที่เดิม

“อย่าดราม่า กูแค่ล้อเล่น เอานี่”
พี่ทาวน์บอกแบบนั้นก่อนจะคับแซลมอนจ่อมาที่ปากของผม แต่ตอนนี้ไม่มีอารมณ์คิดว่ามันเป็นการล้อเล่นแต่อย่างใด อารมณ์มันดิ่งกว่าทุกครั้งที่เคยจริงๆ เสียใจว่ะ แกล้งเล่นแบบนี้ไม่สนุกเลย

“พี่กินเถอะครับ”
ผมผละมือของพี่ทาวน์ออกแล้วเบนหน้าหนีไปอีกทาง อยากให้เขาเลิกล้อเล่นกับความรู้สึกคนอื่นสักที แต่จะเอาสิทธิ์ที่ไหนไปกำหนด ชอบก่อน รู้สึกก่อน จีบก่อน ตามตื๊อก่อน หึ ทำทุกอย่างอยู่ฝ่ายเดียวจริงๆ

“กูง้ออยู่ อย่าลีลา”

ผมอยากจะแหกปากให้ลั่นร้านว่าพี่ทาวน์โคตรขี้โกงไม่น่ามาเรียนหมออย่างทุกวันนี้เลย แค่คำพูดสั้นๆ กลับทำให้ความเสียใจ ความนอยด์ทั้งหลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง มุมปากก็ทรยศเอาแต่ยกยิ้มอย่างไม่น่าให้อภัย ทำไมวะ ทำไมไม่เคยโกรธเขาได้จริงๆ จังๆ สักที คงเป็นเพราะความรักที่มีให้มากขึ้นทุกวันสินะ เมื่อไหร่พี่จะรับมันไปสักที ผมแบกมันคนเดียวไม่ไหวแล้ว

ผมขับรถออกจากห้างสรรพสินค้าในเวลาเกือบห้าโมงเย็นหลังจากที่โดนจิณณ์โทรตามให้กลับคอนโดด่วนเพราะมันจะใช้รถ ด้วยความหงุดหงิดเลยบอกให้ขี่ฟีโน่ไปก่อนก็เลยโดนด่ามาซะหูชา ก็คนกำลังมีความสุข ทำไมชอบขัดอยู่เรื่อย

“ซื้อเกมอะไรมาบ้างครับเนี่ย”
ผมถามเมื่อเห็นว่าคนที่นั่งข้างกันหยิบกล้องใส่การ์ดเกมขึ้นมาดู ลุ้นอยู่เหมือนกันว่าเขาจะเลือกอะไรมาเล่นบ้าง

“เหมือนที่มึงเล่น”
คำตอบนั้นทำให้ผมถึงกับคลี่ยิ้มกว้าง สามารถคิดเข้าข้างตัวเองได้จริงๆ แล้วใช่ไหมว่าตัวเองโดนให้ความสนใจเพิ่มขึ้นมากว่าแต่ก่อน ความสัมพันธ์กำลังคืบหน้า

“โห... โคตรลงทุน รวมๆ แล้ว เสียเงินไปเกือบสี่หมื่นเลยสินะ”
ผมคำนวณคร่าวๆ แล้วราคาเครื่องบวกการ์ดเกมห้าแผ่นประมาณนี่เลย คิดไปคิดมาเล่นเกมก็เสียเงินเยอะว่ะ หันมาเล่นจ้ำจี้กับพี่ทาวน์ประหยัดกว่าไหม...

“นี่... ให้ผมสอนเล่นเกมปะ”
ผมเอ่ยปากเสนอตัวเมื่อคิดแล้วว่าทำแบบนี้อาจจะได้ใกล้ชิดพี่ทาวน์มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

“ศึกษาเองได้”

“แต่ผมสอนให้ พี่จะเล่นเป็นเร็วกว่านะ”
ผมไม่ยอมแพ้หรอกคราวนี้ ยังไงก็ต้องทำให้สำเร็จ

“ตามใจ”

“แต่ผมขอค่าตอบแทนนิดนึงได้ไหม”
พอเขาอนุญาต แผนการขั้นต่อไปก็ผุดขึ้นในสมองทันที ผมไม่สอนเขาฟรีๆ หรอกนะ ของแบบนี้มันต้องมีค่าตอบแทนถึงจะเป็นฝ่ายเสนอตัวเองก็เถอะ

“เจ้าเล่ห์นะมึง อยากได้อะไร”
แทนที่จะปฏิเสธพี่ทาวน์กลับถามความต้องการกลับมา นั่นเลยทำให้ผมแทบนั่งไม่ติดเบาะ ตื่นเต้นจนจะบ้าตายอยู่แล้วเว้ย

“หอมแก้มทีนึง”
ผมพูดเสียงดังฟังชัดแล้วรอคำตอบของพี่ทาวน์ด้วยใจลุ้นระทึก เขาตวัดสายตาจ้องกันอย่างเอาเป็นเอาตายจนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ นานภาคินคบมีโอกาสได้แก่ตายใช่ไหม

“ใครหอมใคร”

“ผม... หอมแก้มพี่ทาวน์”
พูดด้วยความไม่มั่นใจ แต่ความอยากสัมผัสมีมากกว่าความกลัว พี่ทาวน์นิ่งครู่หนึ่งก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปาก

“กูให้จูบเลย”
แถมยักคิ้วใส่ด้วย คนอะไรโคตรใจปล้ำ! ขอแตะปากมัดจำไว้ก่อนได้ไหมวะ

“เฮ้ย จริงอะ จูบได้จริงเหรอวะพี่!”

“จูบได้สิ”

“พี่ต้องรักผมแล้วแน่ๆ”

“จูบตีนน่ะนะ หึหึ”

“พี่มันร้าย!”

ผมจะไม่เชื่อคำพูดเชิญชวนของพี่ทาวน์อีกแล้ว ให้ตายเถอะ!




-----------------------------------------------

มาต่อแล้ว... เห็นความคืบหน้าของทุกคู่ใช่ไหม? 55555
เราจะไม่เร่งรีบ เรื่องนี้ความสัมพันธ์จะเรื่อยๆ แต่มั่นคงน้า

ใครชอบไม่ชอบยังไงช่วยติชมหน่อยน้า เราจะได้รู้ว่าควรปรับปรุงตรงไหนบ้าง

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด