= MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งสุดท้าย - P.6 /จบแล้ว/ (12/02/61)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งสุดท้าย - P.6 /จบแล้ว/ (12/02/61)  (อ่าน 65786 ครั้ง)

ออฟไลน์ เสพศิลป์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 277
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
 :ling1: :ling1: :ling1: ดูอิมเมจเจ็ทละแบบ ทำไมเราอยากไห้นางเป็นรับฟะ แบดๆ เหมือนจะร้ายแต่เหมือนหมาขี้อ้อน

อิพี่ทาวนี้นับวันยิ่งน่ากลัว คือเย็นชาดั่งเดิม เพิ่มเติ่มคือความเจ้าเล่ และขี้โกง

ดูกักๆ เจ็ทยังไงไม่รุ้ เหมือนเจ็ทมันก็ไห้ไปเต็มร้อยอะเกินร้อย แต่พี่หมอเหมือนจะขยับความสัมพันนะ แต่ก็ดูกักๆ ดูไม่ไปไหน

 :z6: :z6: :z6: :z6:

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
แข่งครั้งที่ 20



“ทะเล! ~”
เสียงโหวกเหวกโวยวายของบุคคลที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วดังขึ้นในเช้าวันหนึ่ง ผมพ่นลมหายใจด้วยความหงุดหงิดก่อนจะดึงหมอนปิดหู รำคาญความตื่นเต้นของจิณณ์ฉิบหาย ทำอย่างกับเด็กป่าไม่เคยพบเคยเจอทะเล ขอนอนต่ออีกสักสิบยี่สิบนาทีไม่ได้หรือไง และเมื่อดวงตาคมหรี่มองนาฬิกาปลุกก็ได้แต่ขมวดคิ้วพลางสบถชื้อสัตว์เลื้อยคลาน ออกมายาวเหยียด เพิ่งจะตีห้าครึ่ง แม่งเอ้ย! แล้วนี่ก็ยังอยู่ในช่วงปิดเทอม

“โอ้ ทะเลแสนงาม ฟ้าสีครามสดใส ~”
ไอ้สัด คราวนี้มาเป็นเพลงเลย! ผมเด้งตัวขึ้นจากที่นอนแล้วดิ้นพลาดๆ ด้วยอารมณ์ไม่พอใจสุดขีดก่อนจะตะโกนด่าออกไปแบบไม่เกรงใจห้องข้างๆ

“ไอ้เหี้ย คนจะหลับจะนอน หุบปาก!”
ผมหอบหายใจหนักเพราะใช้พลังงานเยอะ รู้สึกเบลอๆ เพราะเมื่อครู่เอาแต่ดิ้นจนลืมสังขารที่ดันนอนเกือบตีสาม สาเหตุมาจากคุยกับพึ่ทาวน์เรื่องเกมเพลินไปหน่อย บอกเทคนิคการเล่นนั่นนี่ให้ แถมยังหยอดเขาจนตัวเองเขินเอง กากจริงๆ เลยกู

เสียงจิณณ์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตามมาด้วยเสียงก๊อกแก๊กคล้ายคนกำลังไขกุญแจ ไม่นานนักประตูห้องก็เปิดออกพร้อมด้วยร่างของคนที่แต่งตัวเต็มยศเพื่อไปทะเล เสื้อกล้ามสีขาวคลุมทับด้วยเสื้อเชิ้ตสีฟ้าสดใส กางเกงสีเหลืองเหนือเข่า ผมมองมันตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วยิ่งหัวเสียมากยิ่งขึ้น มึงเป็นห่าอะไรตั้งแต่ตีห้า เพิ่งออกมาจากป่าหรือไง!

“มองเห็นเรือใบ แล่นอยู่ในทะเล ~”
จิณณ์ร้องเพลงท่อนต่อจากเมื่อครู่ประกอบท่าเต้นส่ายสะโพกโยกย้าย ใบหน้าเปื้อนยิ้มร่าเริงชวนให้รู้สึกคิ้วกระตุก ที่ผมด่ามันไปคือไม่สำนึกเลยใช่ไหม แถมยังคุ้ยหากุญแจห้องเปิดเข้ามากวนตีนกันอีก มึงอยากตายใช่ไหม ได้ๆ กูจัดให้

ฟับ!

ผมขว้างหมอนในมือไปยังเป้าหมายที่เต้นแร้งเต้นกาอยู่หน้าประตูอย่างแม่นยำ ร่างทั้งร่างทรุดลงกับพื้นดังตุบ หน้าตาดูมึนงงราวกับไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เพียงไม่นานมันก็เริ่มเบะปากแล้วร้องโวยวายทันที นี่กูยังไม่ได้คลี่ยิ้มเยาะเพราะความสะใจเลย รีบได้สติไปไหนวะ เซ็งฉิบหาย

“ไอ้เจ็ท ไอ้คนใจร้าย ไอ้คนอกตัญญู ฮึก กูจะฟ้องไอ้ไธให้เตะมึง!”
มันตวาดลั่นห้องแล้วชี้หน้าผมจนมือสั่น ใบหน้างอง้ำอย่างกับโกรธกันมาสิบชาติ แต่อย่าคิดว่าความสำนึกมันจะก่อตัวขึ้นกับกูเลย ไม่มีทาง

“เดี๋ยวนี้มึงเป็นง่อยเหรอ อะไรๆ ก็ไอ้ไธอย่างนั้น ไอ้ไธอย่างนี้ หมั่นไส้”
ผมกรอกตาด้วยความเบื่อหน่าย รู้สึกหงุดหงิดที่ฝาแฝดเอาแต่ติดไอ้ไธแจ ไม่มีวันไหนหยุดพูดชื่อนี้เลยสักครั้ง เป็นเมียเขาแล้วหรือไงวะ

“เป็นง่อยแล้วมีความสุข ดีกว่าคนครบสามสิบสองที่แดกแห้วล่ะวะ”
จิณณ์ลุกขึ้นจากพื้นแล้วแลบลิ้นใส่หลังจบประโยคด้วยท่าทีเหนือกว่า ผมได้แต่นั่งตัวแข็งทื่อ ทำได้แค่อ้าปากพะงาบๆ เพราะสรรหาคำโค้กลับไม่เจอ เหี้ย ใครให้เอาเรื่องจริงมาพูดเล่นแบบนี้

เจ็บ จุก ไอ้ห่า น้ำตาก็มา...

พี่ชายที่แสนดีออกไปเตรียมอาหารตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว เป็นอันว่าผมได้ฤกษ์ลุกจากเคียงไปชำระร่างกายสักที เพราะช่วงเจ็ดโมงครึ่งต้องออกจากคอนโดได้แล้ว กว่าจะถึงชลบุรีก็อีกประมาณสองชั่วโมง ขี้เกียจขับรถฉิบหาย

“จิณณ์ มึงบ้าเหรอ อาทิตย์นี้กูแดกแต่ไข่ม้วนเป็นอาหารเช้าจนเอียนแล้วนะ”
ผมโวยวายทันที่ที่เห็นอาหารในจาน จำได้ว่ากินมันมาตั้งแต่ต้นอาทิตย์ยันท้ายอาทิตย์ หน้ากูจะกลมเป็นไข่แล้วไอ้สัด

จิณณ์หันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่า ‘มึงมีปัญหาเหรอ งั้นก็ทำแดกเองสิ’ ก่อนจะส่งขวดซอสมะเขือเทศและมายองเนสแบบบีบมาให้ จะปฏิเสธก็ไม่ได้เพราะเห็นเวลาแล้วถ้าไม่ยอมกินไข่ม้วนคงหิวไปจนเกือบเที่ยงวัน โอย เอียนจะอ้วก

“วันจันทร์ไข่ปรุงรส อังคารใส่แฮม พุธใส่ไส้กรอก พฤหัสใส่เบคอน ศุกร์ใส่ปูอัด เสาร์ใส่...”

“พอ! วันเสาร์มันพรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอ อย่าบอกนะว่าจะเอาเครื่องทำไข่ม้วนไปด้วย”
ผมตาลีตาเหลือกขัดคำบอกเล่าของจิณณ์ทันทีเมื่อมันร่ายเมนูไข่ม้วนออกมา เหลือบมองเครื่องมือทรงกระบอกสีเขียวก็ได้แต่หวั่นใจ กลัวว่าคณะเดินทางสู่ชลบุรีจะพบเจอเรื่องสยองขวัญเหมือนตัวเอง ไม่ตลกนะเว้ยที่ต้องมานั่งกินเมนูเดิมๆ ซ้ำทุกวัน

“ฮิฮิ ก็กะว่าจะเอาไปอยู่นะ”
จิณณ์หัวเราะเสียงเล็กแล้วคว้าไอ้เครื่องไข่ม้วนมากอดอย่างรักใคร่ก่อนจะวางมันลงในซิงค์ล้างจาน ผมมองการกระทำนั้นแล้วตบหน้าผากอย่างไม่รู้ต้องทำยังไงให้มันเลิกเห่อสักที เกลียดอาการแบบนี้เป็นบ้า

“กูขอเหอะ อย่าทำให้ทริปเที่ยวทะเลล่มเพราะไข่ม้วนของมึงเลย”
ผมยกมือไหว้มันท่วมหัวอย่างขอร้องในขณะที่มันหันกลับมาพอดี คิ้วหนาเลิกขึ้นก่อนเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากจะตามมา นี่มึงแกล้งกูใช่ไหมไอ้ฟาย!

“กินไข่ม้วนแค่นี้ทำเป็นจะตาย ทีกับไข่พี่ทาวน์ล่ะจ้องเอาๆ”
มันพูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะแกล้งสะบัดน้ำจากมือใส่หน้ากัน ผมเอี้ยวตัวหนีจนเกือบตกเก้าอี้ ใจหายใจคว่ำหมด โดนแกล้งตั้งแต่เช้า ชีวิตวันนี้คงรันทดน่าดู

“สัด! สกปรกนะมึง แล้วพูดซะกูดูเป็นคนโรคจิต”
ผมสบถด่าแล้วหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดหนดน้ำที่เปียกตามใบหน้าและตัวก่อนจะมองคาดโทษมันที่เอาแต่ทำหน้ากวนตีน ไม่เคยมีสำนึกเลยสินะคนอย่างมึงเนี่ย

“หรือไม่จริง มึงช่วยตัวเองแล้วเรียกชื่อพี่ทาวน์บ่อยจะตายไป”

“มึงรู้ได้ยังไง!”
ผมถลึงตัวลุกขึ้นตบโต๊ะเสียงดังเพราะตกใจในสิ่งที่จิณณ์พูด เรื่องช่วยตัวเองเป็นความจริงแต่ทำในห้องน้ำที่อยู่ในห้องนอนของตัวเองอีกที แล้วมันไปได้ยินมาจากไหน... โอย มึงเป็นสต็อกเกอร์เหรอครับ ไม่ต้องเรียนแล้วมั้งไอ้วิศวะโยธาเนี่ย ลาออกเถอะ!

“เสียงดังทะลุผนังห้องขนาดนั้น ไม่ได้ยินก็แปลกแล้ว”

“ไม่จริง มึงอย่ามาโกหก!”
ผมพุ่งตัวเข้าไปคว้าคอเสื้อของจิณณ์อย่างรวดเร็วจนอีกฝ่ายตั้งตัวไม่ทัน มันเบะปากราวกับจะร้องไห้แล้วตีลงที่ไหล่นับครั้งไม่ถ้วน มือโคตรหนัก กระดูกจะหักไหมเนี่ย

“ปล่อยกู เสื้อยับ!”
จิณณ์ตะโกนอย่างเดือดดานแล้วรัวมือลงบนหน้าอกของผมจนรู้สึกตุกไปหมดทำให้ต้องปล่อย มันจัดเสื้อของตัวเองด้วยใบหน้าบึ้งตึงแถมยังส่งตาขวางมาทางนี้ เป็นอะไรนักหนากับการแต่งตัววะช่วงนี้ ต้องเนี๊ยบต้องดูดีตลอด กลัวไอ้ไธเปลี่ยนใจหรือไง ได้ข่าวว่ารายนั้นเคยเห็นนายโภคินทั้งตอนหลับน้ำลายยืดและเพิ่งตื่นนอนไปแล้วชัวร์ๆ

“บอกมาว่ามึงรู้ได้ยังไง”
ผมกดเสียงต่ำเพื่อคาดคั้นคนขี้แกล้งก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมแล้วหยิบไข่ม้วนใส่ปูอัดขึ้นมากัดระบายความเครียด ซอสเซิสอะไรไม่จิ้มแล้ว รู้ว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติที่ใครๆ ก็ช่วยตัวเอง แต่การเรียกชื่อพี่ทาวน์ประกอบนี่สิ โคตรน่าอาย แม่ง ถ้าจิณณ์เอาเรื่องนี่ไปเล่าให้เขาฟัง ชาตินี้คงได้เป็นพญานกแน่

“เซ้าซี้จริง ก็วันนั้นเข้าไปหยิบของในห้องมึงแล้วเสือกหูดีได้ยินเสียงครางไง ตอนแรกนึกว่าเปิดหนังเอวีทิ้งไว้ แต่ที่ไหนได้เสียงน้องกูเอง”
มันพูดพร้อมกับหรี่ตามองจนผมต้องเบนหน้าหนี รู้สึกแก้มันร้อนๆ ชอบกล แอร์เสียเหรอ มือก็สั่น สงสัยจะหิวข้าวมาก จะว่าไปไข่ม้วนก็อร่อยเนอะ ยัดเข้าปากแทบติดคอตาย ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะกวนตีนจากจิณณ์ ยิ่งตัวจะระเบิด โอ้ย คราวหน้าถ้าช่วยตัวเองอีกจะร้องเพลงโดเรม่อน!

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเก้าโมงที่ผมต้องทนหลังขดหลังแข็งขับรถเอสยูวีคันเก่าของพี่ทาวน์มีตุ๊กตาหน้ารถเป็นไอ้ตังค์ที่ไม่ยอมเสียสละตัวเองไปกับไอ้เอย อยากจะบอกว่าจุดหมายคือพัทยาไม่ใช่เสม็ด คงไม่เสร็จทุกราย... มั้ง

ผู้โดยสารคันนี้ประกอบไปด้วย ผม ไอ้ตังค์ พี่ทาวน์ พี่ฟา และพี่แฮม ส่วนอีกคันมีไอ้ไธ จิณณ์แล้วก็ไอ้เอย ส่วนป๋าฟาร์มคนดีก็นอนตีพุงรออยู่ที่บ้านเรียบร้อย จองที่พักให้เสร็จสรรพ ช่างเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ อีกอย่างคือรีสอร์ทเป็นกิจการของครอบครัวมัน ฟรี ฟรี แล้วก็ฟรี ~ แต่เสียอย่างเดียวที่คนนั่งด้านข้างนี่ล่ะ ไม่เจริญหูเจริญตาเอาซะเลย เซ็ง

“คุณเจ็ทครับ...”
ไอ้ตังค์ส่งเสียงเรียกขัดจังหวะการฮัมเพลง ผมเลิกคิ้วแล้วหันไปมองเป็นเชิงถามว่ามีอะไร อยากจะบอกว่าช่วงนี้มันเลิกดูการ์ตูนอย่างถาวรเพราะไอ้เอยบังคับให้คุยโทรศัพท์กันทุกเย็นจนถึงเที่ยงคืน วิธีการจีบโคตรฮาร์ดคอร์ นับถือความเผด็จการนี้จริงๆ

“คือ... แวะปั๊มหน่อยได้ไหมครับ ผมปวดฉี่สุดๆ”
มันนิ้มแหยก่อนจะหนีบขาเข้าหากันประกอบคำพูด ท่าทางคงปวดทานานแล้วแต่ไม่กล้าบอก และนั่นทำให้ผมหลุดขำก่อนพยักหน้ารับ พอดีกับที่ด้านหน้ามีปั๊มน้ำมัน คนอื่จะได้หาอะไรใส่ท้อง เพราะได้ยินพี่แฮมบ่นๆ ว่าหิว

“เดี๋ยวผมจะแวะปั๊มนะครับ พอดีไอ้ตังค์ปวดฉี่”
ผมบอกผู้โดยสารเบาะหลังก่อนจะเปิดไฟเลี้ยว ทุกคนสงเสียงครางรับแต่ไอ้ตังค์กลับยกมือปิดหน้า แค่นี้ทำเป็นอาย ตอนโดนไอ้เอยพูดเรื่องลามกใส่ทำตาโต ใสซื่อผิดเวลาแล้วมั้งมึง อย่าให้แฉ!

“กูจะเหมาขนมให้มันเซเว่นเลย”
ความมุ่งมั่นของพี่แฮม

“กูขอกาแฟกับขนมปัง หิว ~”
พี่ฟาคนดียังไม่ได้กินอะไรเพราะตื่นสาย ส่วนพี่ทาวน์นั่งเงียบไม่ยอมพูดอะไรตามสไตล์คนเย็นชา

พอรถจอดสนิทไอ้ตังค์ก็พุ่งลงรถอย่างรวดเร็ว ส่วนด้านหลังประตูก็เปิดออกพร้อมกันตามด้วยร่างของพี่ฟาและพี่แฮมที่ตรงเข้าเซเว่นด้านหน้า พี่ทาวน์ที่นั่งอยู่เบาะกลางไม่มีทีท่าว่าจะขยับไปไหน นั่นถือเป็นโอกาสจีบของผมสินะ โคตรดี ย้ายมานั่งข้างหน้าด้วยกันเถอะ

“พี่ทาวน์ครั...”

“เดี๋ยวมา จะลงไปซื้อน้ำ”
ผมยังพูดไม่ทันจบดีเขาก็เอ่ยขัดขึ้นก่อนจะลงจากรถไป อุตส่าห์นึกว่าอยากใช้เวลาด้วยกันสองต่อสอง แต่เปล่าเลย หนีไปนู่นแล้ว ปล่อยให้นายภาคินทำปากเบะเพราะโดนเบรก

“คุณเจ็ท... ปวดขี้เหรอครับ ลงไปสิ เดี๋ยวผมเฝ้ารถให้”
ไอ้ตังค์ที่กลับมาได้จังหวะพอดีคงเห็นผมกำลังทำหน้างอง้ำเลยคิดว่าปวดขี้ อยากจะถีบมันลงจากรถจริงๆ มารผจญเอ้ย ถ้ายอมไปกับไอ้เอย ตุ๊กตาหน้ารถคันนี้คงเป็นพี่ทาวน์อย่างไม่ต้องสงสัยเลย

“ไม่ขี้ ทำไมมึงไม่ไปกับไอ้เอยวะ”
ผมถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเต็มที่ จนคนฟังถึงกับเบิกตาโตก่อนก้มหน้าก้มตาจนคางแทบชิดอก ถามแค่นี้ถึงกับเงียบเลยเหรอวะ ตอบยากเหรอ ไอ้เอยจะข่มขืนมึงในรถหรือไง

“ตังค์... จะเงียบทำซากอะไรเนี่ย คำถามกูมันยากนักเหรอ”
ใส่ไปอีกดอกเมื่อเห็นท่าทางอึกอักของไอ้เด็กเนิร์ด ลอบสังเกตการแต่งตัวของมันแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว เสื้อคอเต่ากับกางเกงขายาว มึงไม่ร้อนหรือไง นี่ประเทศไทยนะเว้ย ฮีทสโตรกขึ้นมาเดือดร้อนกูอีก

“ยากครับ”
มันตอบอย่างไม่ลังเลแล้วเม้มปากแน่นทำให้ผมต้องถอนหายใจเพราะขี้เกียจเซ้าซี้ต่อ ไอ้ตังค์ไม่ตอบค่อยไปถามไอ้เอยเอาก็ได้ รายนั้นซิปที่ปากเสีย

“โอเค กูยอมแพ้ แต่ว่ามึงจะใส่เสื้อคอเต่าทำไมเนี่ย”
ผมถามก่อนจะใช้นิ้วเกี่ยวคอเสื้อคนข้างๆ ไอ้ตังค์ผวาก่อนจะปัดมือกันทิ้งอย่างแรง ท่าทางผิดปกติแบบนี้คงคิดดีไม่ได้อีกแล้ว

ผมหรี่ตามองเพื่อนสนิทอย่างจับผิดก่อนโน้มตัวเข้าไปใกล้แล้วยกมือขึ้นบีบไหล่เพื่อคาดคั้นหาคำตอบ แต่ครั้นจะเอ่ยปากถามเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นพร้อมคนทั้งสามกลับมาในสภาพหิวถุงพะรุงพะรัง คนที่มากสุดคงเป็นพี่แฮม รองลงมาพี่ฟา ส่วนพี่ทาวน์เล็กสุด ซื้อยาดมมาหรือเปล่าวะ

ผละตัวออกจากไอ้ตังค์ได้ก็เริ่มการเดินทางอีกครั้ง ได้ยินเสียงแกะห่อขนม เสียงเคี้ยวดังมาเป็นระยะ กลิ่นนั่นนี่ตีกันไปหมดจนเริ่มรู้สึกอยากหาอะไรยัดใส่ปากบ้าง จะว่าไปช่วงนี้ผมก็ขาดอมยิ้มมาหลายวันแล้ว คิดถึงว่ะ

“ตังค์ มึงมีลูกอมปะ”
ผมถามแล้วเหลือบตามองคนข้างๆ ที่สะดุ้งโหยงรีบเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์แล้วส่ายหัวรัวเพื่อปฏิเสธ ไม่มีลูกอมก็ไม่ว่าอะไร แต่ทำไมต้องแสดงอาการตกใจแบบนั้น ชักมีพิรุจมากเกินไปแล้วนะมึง

“ขวัญอ่อนซะจริงเพื่อนกู”
ว่ามันขำๆ ก่อนจะกลับไปตั้งใจขับรถต่อ แต่ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงงอแงของพี่ฟาดังมาจากด้านหลัง สงสัยจะแย่งขนมกับพี่ทาวน์ เดี๋ยวนะ... มันใช่เหรอวะ

“ทำไมมึงขี้งกแบบนี้อะ”

“กูซื้อมาอันเดียวไง”

“ให้กู”

“ไม่ได้”

“มึงไม่ชอบกินของหวานนี่”

“อย่ายุ่งน่า”

“ใจร้าย!”
เสียงกระเง้ากระงอดขนาดนี้พี่ฟางอนแน่ๆ ผมได้แต่กลั้นหัวเราะไว้ เพราะถ้าเผลอหลุดออกมาคงไม่วายโดนด่าว่าใจร้ายไปอีกคน ทะเลาะกันอย่างกับเด็กน้อย แต่ชักอยากรู้แล้วว่าพี่ทาวน์ซื้ออะไรมา

“คุยเจ็ทครับ นี่ครับ”
ไอ้ตังค์เรียกชื่อผมก่อนจะยื่นวัตถุทรงกลมบนไม้สีขาวมาให้ อมยิ้มกลิ่นโคล่ามาได้ยังไงวะ เมื่อครู่ก็บอกว่าไม่มีลูกอมไม่ใช่เหรอ หรือมันกวนตีน

“ไหนบอกว่าไม่มีลูกอมไงวะ”
ผมถามพลางขมวดคิ้วเหลือบมองโดยไม่ยอมรับอมยิ้ม ถ้าแกล้งกูมึงตกรถแน่ๆ เรื่องเก่ายังไม่เคลียร์จะสร้างเรื่องใหม่เหรอ

“ไม่ใช่ของผม”
มันตอบแล้วยื่นอมยิ้มมาจ่อถึงปาก ผมผงะถอยหนีเพราะกลัวคนข้างหลังจะเห็นบรรยากาศสีชมพูนี้ ไอ้ตังค์แม่ง ทำบ้าอะไรของมัน

“ของใคร”

“ของคุณทะ...”

“ของกูเอง จะแดกหรือไม่แดก”
คำตอบจากคนด้านหลังทำให้ผมชะงักกึก สุดท้ายเจ้าของตัวจริงก็ยอมเฉลยแล้ว ที่แย่งกับพี่ฟาเมื่อกี้คือไอ้อมยิ้มกลิ่นโคล่าเหรอ ควรจะดีใจไหมวะ โอย ทำไมน่ารักแบบนี้

“แดก เอ้ย กินครับๆ ขอบคุณน้า”
ผมตอบรับอย่างอารมณ์ดีแล้วส่งยิ้มให้คนด้านหลังผ่านกระจกก่อนจะอ้าปากคับอมยิ้มจากมือไอ้ตังค์ ฝ่ายนั้นสะดุ้งเฮือกแล้วหน้าแดงแปร๊ด ท่าทีแปลกๆ คืออะไรวะ หรือว่าไอ้เอยทำมิดีมิร้ายไอ้เนิร์ด เรื่องนี้ต้องมีเงี่ยน เอ้น เงื่อนงำแน่ๆ

“อืม ตั้งใจขับรถไป”
พี่ทาวน์บอกก่อนจะเอื้อมมือมาตบไหล่กันแล้วกลับไปนั่งหลับตาเหมือนเดิม อิจฉาชะมัด อยากนอนบ้างอะ

“มึงแม่ง... ชิ”
เสียงสบถจากพี่ฟาดังขึ้นแล้วเงียบหายไป คงเจ็บใจที่ผมเป็นคนได้กินอมยิ้มแน่ๆ ขอโทษนะครับ แต่ขอหน่อยเถอะความสุขเล็กๆ น้อยๆ เนี่ย

เกือบสิบเอ็ดโมงก็ถึงที่พักซึ่งเป็นพูลวิลล่าสำหรับเข้าพักได้ประมาณแปดคนซึ่งพอดีกับจำนวนของเรา มีสี่ห้องนอนแสดงว่าต้องจับคู่ ปัญหามันเลยเกิดจนต้องมารวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่น ผมอยากนอนกับพี่ทาวน์นะเว้ย ให้ตายเถอะ!

ตอนแรกตกลงกันดิบดีว่าจิณณ์จะนอนกับไอ้ไธ (ไม่ค่อยออกตัวแรงเลยไอ้คู่นี้) ผมกับไอ้ฟาร์ม พี่ทาวน์กับพี่ฟาและพี่แฮม ส่วนห้องสุดท้ายเป็นไอ้เอยกับไอ้ตังค์ ดูลงตัวใช่ไหมล่ะ แต่เปล่าเลย... เหี้ยเอ้ย

“ผมไม่นอนกับคุณเอยเด็ดขาด”
ตัวปัญหาหนึ่งเดียวในทริปพูดเสียงดังฟังชัดก่อนจะเดินมากอดแขนผมไว้แน่น ราวกับยืนยันว่ายังไงก็จะนอนด้วย ทำไมชอบทำให้คนอื่นเข้าใจผิดเรื่องความสัมพันธ์ของเราวะเฮ้ย ช่วยเกรงใจคนกำลังจะนกบ้างสิไอ้สัด อุตส่าห์ทำคะแนนได้ตั้งเยอะแล้ว

ผมทั้งสะบัดทั้งแงะมือไอ้ตังค์ออกแต่ก็เปล่าประโยชน์เพราะมันเกาะแน่นยิ่งกว่าปลิงซะอีก ไหนว่ามา มึงจะเอายังไงกับกูห๊ะ ชวดนอนกับพี่ทาวน์แล้ว ขอนอนกับไอ้ฟาร์มแบบสบายๆ ไม่ได้หรือไง

“จะเอายังไงว่ามา กูหิวข้าวแล้วนะ”
ผมถามไอ้ตุ๊กแกด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ส่วนคนอื่นๆ ทยอยหาที่นั่งพักร่างกายเรียบร้อยก่อนมองมาทางนี้เป็นตาเดียว แอบสังเกตพี่ทาวน์เล็กน้อย แต่ก็ไม่พบอาการอะไร หึงหวงหน่อยก็ได้ถึงไอ้ตังค์จะเป็นเพื่อนก็เถอะ

“ให้คุณฟาร์มไปนอนกับคุณเอย”
คำสั่งกึ่งขอร้องดังขึ้นส่งผลให้คนโดนเอ่ยชื่อถึงกับลุกจากโซฟาทันที ไอ้ฟาร์มเบะปากเหมือนคนจะร้องไห้แล้วเขามาเกาะแขนอีกคน ใครก็ได้บอกกูทีว่าที่มีอยู่คือเพื่อนหรือลูก งอแงกันจังวะ

“เฮ้ย ไม่เอา กูไม่สนิทกับไอ้เอย”
เสียงกระเง้ากระงอดมาพร้อมท่ากระทืบเท้าทำให้ผมอยากกุมขมับเหลือเกิน มึงไม่อายคนอื่นแต่กูโคตรอาย แล้วพี่ฟาจะหัวเราะแล้วทำหน้ากรุ้มกริ่มเพื่ออะไร มีซัมติงรองกับไอ้ฟาเหรอ

“ผมก็ไม่สนิทกับคุณเอย”
ไอ้ตังค์ไม่ยอม มันทำหน้าหงิกอย่างกับจวัก ส่วนไอ้เอยเอาแต่นั่งฟังเงียบๆ ไม่แสดงอาการอะไร แต่ผมรู้ว่ามันเริ่มไม่พอใจเพราะกำหมัดแน่น หายนะกำลังมาเยือนกูสินะ เวร

“ไม่สนิทกับผีน่ะสิ ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด”
ไอ้ฟาร์มเย้าก่อนจะทำเสียงฮึดฮัด โอย ปล่อยกูก่อนเถอะ ทุเรศลูกตาคนอื่นเขา

“ก็คุณเอยบัง... อื้อ!”
ไอ้ตังค์กำลังจะพูดอะไรบ้างอย่างแต่แขนมันอีกข้างโดนกระชากโดยบุคคลที่โดนพาดพิงมาหลายครั้ง ใบหน้าที่มักจะยิ้มแย้มอยู่เสมอบึ้งตึงลงด้วยความหงุดหงิด แต่แววตาเต็มไปด้วยความน้อยใจ ผมว่าเรื่องของผัวเมียอย่าเข้าไปยุ่งดีกว่า

แต่เมื่อครู่เจ็บฉิบหายเพราะไอ้เนิร์ดมันจิกเล็บลงบนแขน เหี้ยเอ้ย ได้เลือดเลยไหมล่ะกู ลงเล่นน้ำคงแสบเป็นบ้า

“รังเกียจกูนักหรือไง นอนด้วยกันแค่นี้จะตายเหรอ”
ไอ้เอยเสียงแข็งแล้วมองคนในอ้อมแขนด้วยแววตาสั่นไหว คนอื่นมองทั้งสองเป็นตาเดียวกันแต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา รางกับกำลังลุ้นว่าเรื่องนี้จะจบยังไง ไอ้ฟาร์มที่ยังเกาะกันอยู่เลยลากให้ผมไปนั่งรวมกลุ่ม พวกคุณๆ นึกว่าดูหนังในโรงอยู่เหรอ ตั้งอกตั้งใจจังวะ

“ปล่อยผมนะคุณเอย”
ไอ้ตังค์มีการดิ้นขัดขืนแต่ไอ้เอยรวบเอวมันไว้แน่นจนหน้าหวานๆ แนบลงไปกับอกแกร่ง ฟินไหมล่ะมึง โปรดแถลงข่าวหลังจากวันนี้ด้วย

ผมพอจะเดาได้รางๆ ถึงสาเหตุของการใส่เสื้อคอเต่านั่น ไอ้ตังค์โดยกระทำชำเราจนเป็นรอยคิสมาร์กแน่ๆ เชื่อเถอะ ไอ้เอยมันร้าย!

“ไม่ปล่อย เดี๋ยวกูขอเคลียร์กับมันเอง พวกพี่ๆ กับพวกมึงก็นอนเหมือนที่ตกลงกันไว้นั่นล่ะ”
มันบอกไอ้ตังค์จบแล้วหันมาบอกพวกเราที่มองหน้ากันเหลอหลาเพื่อกลบเกลื่อนอาการเผือก ดูๆ ไปพี่ทาวน์คงเนียนสุดเพราะเอาแต่นั่งนิ่งไม่เปลี่ยนอารมณ์ คงเป็นข้อดีของคนเจ็นชา

“คุณเอย ไม่เอานะครับ ผมไม่นอน!”

“เงียบน่า!”
เข้าห้องไปแล้ว.... ขอให้โชคดีมีผัว เอ้ย มีชัยกลับมานะเพื่อนรัก

“เอ่อ... แยกย้ายกันเอาของไปเก็บเถอะ จะได้ออกไปหาอะไรกินกัน”
พี่แฮมทะลุกลางปล้องขึ้นมาเพื่อเรียกสติ ทุกคนพยักหน้ารับแล้วหยิบกระเป๋าของตัวเองแยกย้ายไปตามห้องที่ตกลงไว้ตอนแรก ไม่เกินยี่สิบนาทีก็ออกมารวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่นเพื่อออกเดินทางไปยังร้านอาหาร ซีฟู้ดจงเจริญ ~

“มึง... ไอ้ตังค์ปิดปากสนิทเลยว่ะ เคลียร์กันท่าไหนเนี่ย”
เสียงกระซิบของไอ้ฟาร์มที่นั่งแหมะอยู่ทางด้านขวาของผม ถัดไปเป็นพี่ฟา ทางด้านซ้ายมีไอ้ไธแล้วก็จิณณณ์ หึ มึงห่างกันบ้างจะตายไหม หมั่นไส้เว้ย ส่วนฝั่งตรงข้ามมี ไอ้เอย ไอ้ตังค์ พี่ทาวน์ และพี่แฮม

“อาจจะท่าลิงอุ้มแตง”
ไอ้ไธออกความคิดเห็นได้ดี... ก็เหี้ยแล้ว!

“ไอ้สัด นั่นไม่เรียกเคลียร์แล้ว”
ผมที่นั่งตรงกลางระหว่างพวกมันกัดฟันพูดบ้างก่อนจะคลี่ยิ้มให้พี่ทาวน์ที่อยู่ฝังตรงข้าม อยากชวนคุยแต่ตอนนี้มารผจญมันเยอะเหลือเกิน

“เออวะ กูเห็นปากมันเจ่อๆ ด้วยอะ”
ไอ้ฟาร์มมันไม่ยอมแพ้ แถมยังจับๆ ดึงๆ ปากตัวเองเป็นการบอกให้สังเกตของไอ้ฟาร์มบ้าง ก็อยากทำตามอยู่หรอก แต่พี่ทาวน์ที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาอ่านเมนูน่าดูกว่าเยอะ

“เพ้อเจ้อน่า”
ผมบอกปัดๆ เมื่อเห็นท่าทางของไอ้ตังค์ มันจะร้องไห้อยู่รอมร่อแล้ว ช่วยเลิกสุ่มหัวสักทีเถอะ

“จริงๆ นะเว้ย ไม่เชื่อสังเกตดู”
ไอ้ฟาร์มแทบจะเอามือมาจับหน้าผมแต่โดนคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามร่อนเมนูมาให้ซะก่อน ดีนะที่รับไว้ทัน ไม่อย่างนั้นคงลงไปกองที่พื้นทั้งเล่ม

“พวกมึงจะกินอะไร สั่งซะ”
พี่ทาวน์บอกก่อนจะพยักพเยิดหน้าไปทางพนักงานที่ยืนรอรับออเดอร์อยู่ เธอคลี่ยิ้มหวานบิดตัวไปมาแถมทำท่าเขินอาย โธ่... พี่สาวปล่อยพวกผมไปเถอะนะ ไม่อยากจะบอกเลยว่าแดกกันเองยกก๊วน เอ้อ ยกเว้นพี่แฮมไว้คนหนึ่งแล้วกัน รายนั้นรักไม่ยุ่งมุ่งแต่กิน

“ครับๆ แล้วพี่สั่งอะไรไปบ้าง”
ผมถามกลับไปแล้วเอาแต่มองหน้าพี่ทาวน์ เมนูถูกส่งต่อให้ไอ้ฟาร์มเรียบร้อยแล้ว ส่วนไอ้ไธกับจิณณ์น่ะเหรอยกโทรศัพท์ขึ้นมาเซลฟี่กันสองคน ไอ้เชี่ย ไม่ใช่ทริปฮันนีมูน สนใจเพื่อนร่วมโต๊ะหน่อย!

“ปูเผา กุ้งเผา หมึกนึ่งมะนาว ปลาเก๋าสามรส”
แค่ฟังชื่อเมนูจากริมฝีปากบางนั่นก็รู้สึกหิวอยากกินคนสั่ง เฮ้ย อาหารสิวะ ทำไมช่วงนี้หื่นขึ้นสมองขนาดนี้ ไม่รู่ว่าเผลอทำหน้าโรคจิตออกไปหรือเปล่า

“โห... เยอะแล้วนะ”
ผมแกล้งอุทานกลบเกลื่อนความหื่นของตัวเอง ใจยังคืดอยากจะนอนกับพี่ทาวน์อยู่เลย ฮึก ไม่อยากนอนกับไอ้ฟาร์มเลย มันไม่ฟิน!

“ไม่พอหรอก แค่ไอ้แฮมแดกก็หมดแล้ว”
พี่ทาวน์ยักคิ้วกวนแล้วเหล่มองคนด้านข้าง พี่แฮมพยักหน้ารับคำกล่าวหานั่นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ผมทำได้แค่หัวเราะแห้งๆ ลืมไปเลยว่าเอามนุษย์กระเพาะหลุมดำมาด้วย กินเยอะไม่ว่าแต่เงินน่ะจ่ายไหม ไม่อยากล้างจานชดเชยนะครับ

“งั้นผมเอาหอยนางรมสด หอยแครงลวก แล้วก็หอย...”
ผมมองคนสั่งด้วยความทึ่ง ไอ้ป๋าฟาร์ม มึงไปอดอยากหอยมาจากไหนวะ สั่งเอาๆ ท้องเสียขึ้นมากูปล่อยให้จมกองขี้เลยนะ ขี้เกียจพาไปหาหมอ

“พอๆ มึงจะแดกแค่หอยหรือไงไอ้ฟาร์ม”
เป็นไอ้ไธที่เอื้อมมือมาหยิบเมนูออกไปจากมือมัน (ได้ข่าวว่าเมนูที่จิณณ์มรอีกเล่มนะ) แล้วถามเสียงขุ่น เพราะไอ้ฟาร์มแดกหอยทีไรท้องเสียทุกที

“ไม่ๆ จริงๆ กูอยากกินไข่อะ”
บอกว่าอยากกินไข่แล้วเลียปากแบบนั้นหมายความว่ายังไงวะ คิดดีไม่ได้เลยกู แถมไอ้ฟาร์มยังเหลือบมองพี่ฟาอีก มึงอย่าหื่นตอนนี้ ขอร้อง กูหิวข้าว

“เดี๋ยว... ไข่เหี้ยอะไร”
ไอ้ไธถามพลางขมวดคิ้ว สงสัยมันจะคิดอกุศลเหมือนผมแน่ๆ ไข่... พี่ฟา

“กูไม่กินไข่เหี้ย...”
กวนตีนหรือโง่จริง กูชักปวดหัวกับมึงแล้วนะฟาร์ม

“เดี๋ยวกูตบหัวทิ่ม”
ไอ้ไธเจ้าเดิม

“อยากกินไข่เจียวหมูสับ”
คำตอบส้นตีนอะไรเนี่ย คนเข้าอุตส่าห์ลุ้นจนก้นแทบไม่ติดเก้าอี้ เสือกอยากแดกไข่เจียว

“กลับไปแดกที่บ้านไป!”
ผมกับไอ้ไธประสานเสียงตะโกนใส่ไอ้ฟาร์มเต็มๆ ทุกคนได้แต่มองด้วยสายตางุนงงแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา



ต่อด้านล่างจ้า






ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
ไม่เกินครึ่งชั่วโมงอาหารที่สั่งก็มาพร้อมหน้าพร้อมตา ผมเลือกตักเฉพาะของที่ไม่ต้องแกะเปลือกอย่างเช่น ปลาสามรส ส้มตำ กุ้งแช่น้ำปลา หอยนางรมสดๆ เนื้อขาวใส ทั้งที่ตัวเองชอบกินปูกับกุ้งเผา ก็มันขี้เกียจนี่หว่า

“แปลก”
อยู่ๆ จิณณ์ก็หันมามองหน้าผมแล้วพึมพำคำว่าแปลกออกมา คืออะไรวะ

“มีอะไร”
ผมถามมันกลับไปก่อนจะจิ้มกุ้งแช่น้ำปลาใส่ปาก ถ้าได้เบียร์สักหน่อยจะฟินมากกว่านี้ แต่สำหรับตอนเที่ยงวันคงไม่ดีเท่าไหร่ เพราะคงเมาจนจมทะเลยตายซะก่อน

“ไม่กินปูเผากุ้งเผาหรือไงวันนี้”

“ขี้เกียจแกะ มือยังเป็นแผลอยู่เลย”
ผมยื่นนิ้วผ่านหน้าไอ้ไธไปให้พี่ชายดู แผลที่โดนมีดบาดเมื่อสองสามวันก่อนยังไม่สมานกันเนื่องจากมันลึกมาก จะว่าไปก็รู้สึกแสบขึ้นมาเลยว่ะ

“อดแดกไปนะมึง”
จิณณ์พูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วผลักมือกลับ ผมได้แต่จิ๊ปากแล้วนั่งจกส้มตำไข่เค็มมากินต่อ วันนี้ยอมแพ้จริงๆ ถ้าขืนใช้มือแกะปูกับกุ้งคงไม่วายแผลลึกกว่าเดิม แต่พี่ทาวน์กินน่าอร่อยว่ะ จะร้องไห้

“เอาไป กูแกะให้ สงสารมึง”
ไอ้ไธที่นั่งเงียบไปนานตักกุ้งเผาตัวโตที่แกะเปลือกให้เรียบร้อยแล้วมาวางไว้ในจานพี้อมบริการราดน้ำจิ้มซีฟู้ดอีกด้วย ผมแทบจะก้มลงกราบที่ตักของเพื่อนงามๆ น่ารักแบบนี้วางใจให้ดูแลจิณณ์ได้เลย

“ขอบคุณมาก”
ผมเอ่ยขอบคุณพร้อมส่งยิ้มกว้างไปให้เพื่อนแล้วลงมือชำแหละเนื้อขาวนุ่มใส่ปาก ละเลียดความหวานหอมบวกกับน้ำจิ้มรสเด็ด โอย ฟินไปถึงดาวอังคารเลยครับ

จัดการกุ้งเรียบร้อยก็คว้าแก้วน้ำมาดื่ม แต่จังหวะที่กำลังจะวางกลับที่เดิม กล้ามปูเนื้อแน่นๆ ก็ถูกวางลงในจานโดยฝีมือของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ผมได้แต่ชะงักค้างแล้วมองหน้าพี่ทาวน์อย่างอึ้งๆ เอาจริงอะ แกะให้กินจริงๆ เหรอวะ หัวใจเต้นแรงฉิบหาย

“จะกินอะไรก็บอก เดี๋ยวกูแกะให้”
พูดออกมาแบบนั้นแต่ไม่ยอมสบตากันหมายความว่าอะไรครับคุณเมืองเหนือ ทำตัวน่ารักแล้วเขินเหรอ โอย ใจจะพังแล้วพี่ทาวน์ ผมต้องกลั้นยิ้มจนปวดแก้มมากแค่ไหนจะรู้หรือเปล่า อยากเจ็บมือไปนานๆ เลยว่ะถ้าจะได้รับการดูแลแบบนี้

“บริการดีจังครับ”
ผมเอ่ยเย้าเลยได้การจ้องเขม็งตอบกลับมา

“เจ็บมือไม่ใช่หรือไง”

“ครับ... น่ารักว่ะ”
พูดออกไปดังพอให้ทั้งโต๊ะได้ยิน พี่ทาวน์ถึงกับแยกเขี้ยวใส่ ส่วนคนอื่นๆ ยิ้มล้อเลียน บ้างก็ยักคิ้วหลิ่วตา เอาน่า ขอหยอดคำคะแนนบ้างเถอะ

“กินๆ ไป”
คำสั่งเฉียบขาดทำให้ผมพยักหน้ารับแล้วหยิบก้ามปูขึ้นมากัด อืม... เนื้อโคตรหวานเหมือนการกระทำของพี่ทาวน์เลย รักจัง

“แหมๆ โลกนี้สีชมพูจังนะเพื่อน มีแกะปูให้ไอ้เจ็ทด้วย”
คำแซวของพี่ฟาเรียกใบหน้าถมึงทึงของพี่ทาวน์ได้เป็นอย่างดี ขนาดพี่แฮมยังต้องชะงักมือที่กำลังจะแกะหอยแครงเพื่อหยุดฟัง คนอื่นทำท่าไม่สนใจแต่ผมรู้ว่าหูผึ่งเพื่อเผือกอย่างเต็มที่แน่นอน

“เออ แล้วจะทำไมครับ”
คำตอบที่ไร้ซึ่งคำว่าไม่ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นจากจานโดยเร็ว ความสามารถในการเก็บอาการกลั้นยิ้มเท่ากับศูนย์ หัวใจเต้นรัวยิ่งกว่าแผ่นดินไหว มือไม่สั่นไปหมด ขอคิดเข้าข้างตัวเองเถอะว่าได้เข้าไปนั่งในใจพี่ทาวน์แล้ว แต่แค่คนปากแข็งไม่ยอมรับเท่านั้น

“หูย ไม่ปฏิเสธด้วยอะ ฮิ้ว ~”
พี่ฟาแซวพร้อมทำตาเล็กตาน้อยใส่ ที่เขากล้าขนาดนี้เพราะนั่งไกลมือไกลตีนพี่ทาวน์หรอก ทั้งโต๊ะก็หัวเราะคิกคักกับอาการชะงักไปของคนโดนแซว

“จะแดกข้าวหรือแดกตีนกูเลือกเอา”
คราวนี้หุบปากแทบไม่ทันทั้งโต๊ะ ต่างคนต่างทำเป็นเอร็ดอร่อยกับอาหารเหมือนไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เรื่องหนีตายขอให้บอก เก่งกันนักเชียว



------------------------------------------

พี่ทาวน์ก็แค่เห็นใจน้องเจ็ทที่มือเจ็บเอ๊ง ไม่มีอะไรในกอไผ่จริงจริ๊งเชื่อเราเถอะ 55555

ออฟไลน์ numay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
แข่งครั้งที่ 21
:: ทาวน์ ::



พระอาทิตย์ดวงโตกำลังส่องแสงสุดท้ายของวันก่อนมันจะลาลับขอบฟ้าในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เสียงคลื่นกระทบฝั่งคล้ายกับดนตรีบรรเลงที่ไพเราะขับกล่อมให้อารมณ์ผ่อนคลาย ขายาวก้าวเดินไปตามชายหาดสีขาวเคียงข้างกับใครอีกคนที่ไม่ยอมใส่รองเท้า ผมได้แต่มองแล้วถอนหายใจ ถ้าเหยียบโดนเศษแก้วจะสมน้ำหน้าให้เข็ด

บรรยากาศโรแมนติกแบบนี้เกิดขึ้นเพราะฝีมือคนร่วมทริป พวกนั้นไล่ผมกับไอ้เจ็ทให้ออกมาเดินเล่น โดยให้เหตุผลว่าอยู่ไปก็เกะกะการเตรียมปาร์ตี้บาร์บีคิว อยากจะบอกว่ามันโคตรไม่เนียน แต่ช่างเถอะ ไม่ต้องช่วยอะไรก็ดีเหมือนกัน รอกินอย่างเดียว

คนข้างตัวหยุดชะงักดื้อๆ เหม่อมองดวงอาทิตย์ที่เคลื่อนตัวลงต่ำจนส่วนโค้งคล้ายแตะขอบทะเล เท้าเปลือยเปล่าถูกคลื่นซัดจนเปียกชื้น ผมได้แต่มองภาพนั้นนิ่งก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ รู้เพียงแค่ว่าสมองสั่งการให้มุมปากขยับ และตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้วก็ยังสงสัยว่าไอ้เจ็ทมันอินดี้อะไรนักหนาถึงไม่ยอมใส่รองเท้า

“พี่ทาวน์ชอบทะเลไหมครับ”
อยู่ๆ คนข้างตัวก็ออกปากถามโดยสายตายังคงจับจ้องท้องฟ้ายามเย็น ใบหน้าด้านข้างอาบไล้ด้วยแสงสีส้มนวลทำให้ดูมีสเน่ห์มากกว่าปกติ ผมยอมรับอย่างไม่อายเลยว่าไอ้เจ็ทหล่อ แต่จะให้พูดชมตรงๆ ก็อย่าหวังเลย เดี๋ยวมันได้ใจกันไปใหญ่ ใจอ่อนให้แค่นี้ไอ้เด็กบ้าก็ยิ้มปากฉีกแล้ว น่าหมั่นไส้

“ไม่ชอบ”
ผมตอบไปตามความจริงแล้วเลิกมองใบหน้าของมันก่อนที่เจ้าตัวจะจับได้ ลมทะเลทำให้เหนียวตัวเลยไม่ค่อยชอบ แต่นานๆ มาเที่ยวครั้งหนึ่งก็ไม่เป็นไรแถมไอ้เจ็ทยังออดอ้อนแทบตาย บวกกับพวกเพื่อนไซโค ยอมๆ ไปคงไม่มีปัญหา

“อ้าว... ผมขอโทษนะที่ชวนมา”
ไอ้เจ็ททำหน้าหงอยแล้วก้มหัวขอโทษอย่างจริงจังจนผมได้แต่ลอบยิ้ม จะมารู้สึกผิดอะไรตอนนี้วะ ตอนชวนไม่เห็นถามสักคำว่าชอบไม่ชอบ อารมณ์แปรปรวนจริงๆ เลยพวกเด็กศิลป์เนี่ย

“ขอโทษทำไม แค่ไม่ชอบ ไม่ใช่มาไม่ได้”
คำตอบอาจจะงงๆ แต่นั่นคือผมจริงใจที่สุดแล้ว ความจริงปฏิเสธแบบเด็ดขาดก็ได้ แต่เลือกมาทะเลเพราะอะไรหลายๆ อย่าง ไม่อยากนอนแห้งตายอยู่คอนโดในขณะที่เพื่อนหนีเที่ยว แล้วอีกเหตุผลคือรู้สึกว่าอยากใช้เวลากับเจ็ทดูบ้าง เผื่อบางอย่างคงชัดเจนขึ้นมากกว่านี้ สงสารคนรอเหมือนกัน

“ขอบคุณนะครับที่ยอมมาด้วยกัน”

“เพราะเพื่อนบังคับหรอก”
ผมพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่ภายในกลับรู้สึกสนุก แค่อยากแกล้งคนที่ชอบพูดอะไรซึ้งๆ ว่าจะมีปฏิกิริยาแบบไหน เพราะฟังแล้วรู้สึกขนลุกยังไงชอบกล

“โห... เอามีดมาปาดคอผมเลยดีกว่า”
ไอ้เจ็ทเบะปากเหมือนเด็กโดนขัดใจแถมยังส่งตาละห้อยมาให้กัน รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้มันขี้อ้อนมากขึ้นจนผมรู้สึกหวั่นใจ ไม่อยากยอมรับเลยว่ามีความสุขกับการโดนจีบ

“หึ ล้อเล่น ใจเสาะไปได้”
ผมเอื้อมมือไปขยี้เส้นผมสีดำขลับแรงๆ แอบหมั่นไส้ความเสแสร้งแกล้งดราม่าของมัน พอโดนสัมผัสเข้าหน่อยก็เอาแต่ยิ้มกว้างด้วยหน้าตาร่าเริงจากจากเมื่อครู่ลิบลับ ไอ้เจ็ทอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ จนน่าเป็นห่วง สักวันสัญญาว่าจะพาน้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลสวนปรุงที่บ้านแล้วกัน ถ้าเป็นบ้าจะได้เข้ารับการรักษาเลย

“งั้นแสดงว่าพี่ยอมมาเพราะผมชวนเหรอ”
คำถามมาพร้อมน้ำเสียงตื่นเต้นทำให้ผมผงะไปนิดแล้วขยับมือออกจากหัวทุยนั่น เหม่อมองดวงอาทิตย์ด้านหน้าที่หายไปเกือบครึ่งดวงที่ขอบฟ้า เพราะการมองหน้าไอ้เจ็ทตอนนี้มันทำให้หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ เกลียดสายตาที่เต็มไปด้วยความสุข ความหวัง และความรักนั่นจริงๆ

“แล้วแต่จะคิด”
ผมก็ยังคงความเป็นตัวเองด้วยคำตอบที่ไม่เคยชัดเจนและดูเย็นชา ไม่ได้อยากทำร้ายใจใครแต่จะให้พูดอะไรเลี่ยนๆ มันก็กระดากปาก อย่างเช่น ‘ใช่ มาเพราะมึงชวน’ หรือ ‘อยากใช้เวลากับมึง’ ดูเป็นการอ่อยฉิบหาย

“ตลอดเลยพี่ทาวน์ ผมไม่อยากคิดไปเองนะ”
ว่ากันด้วยเสียงกระเง้ากระงอด ตาคมที่จ้องมองมาเต็มไปด้วยประกายความน้อยใจ และก่อนที่เรื่องจะเลยเทิดไปมากกว่านี้ผมควรเลิกแกล้งมันสักที หัดเลิกปากแข็งไปทีละนิดแล้วกัน ขอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนนะ

“งอแงเป็นเด็กไปได้ ก็เพราะ...”
ผมยังพูดไม่ทันจบปลายหางตาก็เห็นเพื่อนร่วมทริปที่ชื่อเอยวิ่งตรงมาทางนี้ ไม่มีท่าว่าจะเบรกแต่อย่างใด อีกนิดเดียวชนแน่ๆ

“ไอ้เจ็ท!”
เสียงตะโกนดังลั่นก่อนที่ร่างกายทั้งสองคนจะปะทะกันอย่างแรงตนล้มกลิ้งไปตามผืนทรายทั้งคู่ ผมมองด้วยความตกใจเพราะจังหวะเมื่อครู่ไม่สามารถคว้าตัวเจ็ทให้หลบทางเอยได้

โครม!

“โอ้ย ไอ้เหี้ยเอย เล่นอะไรของมึงเนี่ย ตัวอย่างกับควาย วิ่งมาชนอยู่ได้”
เจ็ทโวยวายเสียงดังลั่นก่อนจะสำลักน้ำทะเลจนไอโขลก ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยทรายสีขาว ดูเลอะเทอะและน่าสงสาร อยากจะหัวเราะก็ตัวคนที่เจ็บตัวจะโกรธเอา

เอยพยุงตัวลุกขึ้นเป็นคนแรกแล้วปัดเศษทรายออกจากตัว สังเกตเห็นแผลถลอกเล็กน้อยพอให้เลือดซิบ เจ็ทยังคงนั่งแหมะแช่น้ำอยู่ที่เดิม ปล่อยให้คลื่นกระทบตัวเป็นระยะ ริมฝีปากหยักยู่เข้าหากันเมื่อรู้สึกแสบแผล ส่วนผมได้แต่นั่งยองลงข้างๆ แล้วตาสำรวจร่างกายคนตรงหน้าว่ามีอะไรบุบสลายหรือเปล่า

“โทษทีๆ จะเรียกให้มึงหลบนั่นล่ะ แต่ไม่ทัน”
เอยขอโทษขอโพยด้วยใบหน้ารู้สึกผิด แล้วยื่นมือมาตรงหน้าของเจ็ทเพื่อช่วยให้ลุกขึ้นยืน แต่มันกลับเฉยแล้วจ้องหน้าอีกคนอย่างเอาเป็นเอาตาย ผมล่ะอยากตบหัวสักที ไม่รู้จะนั่งแช่น้ำให้ก้นเปียกไปถึงเมื่อไหร่

“สัด วิ่งหนีใครมา”

“ไอ้ตังค์มันโยนกุ้งสดใส่กู สกปรกฉิบหาย”

“ไปทำอะไรให้มันโกรธ”
ไอ้นี่ก็คาดคั้นเหลือเกิน ให้อารมณ์พ่อหวงลูกสาว ตลกดีเหมือนกัน

“แค่จะแอบหอมแก้มเอง”
เอยว่าเสียงอ้อมแอ้มแล้วเบนหน้าหนีไปทางอื่น ไม่รู้ว่าแก้มแดงด้วยหรือเปล่าเพราะตอนนี้ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว ก็เหลือแค่แสงไฟจากหลอดนีออนที่รีสอร์ทส่องมานั่นล่ะ

“สมควร!”
เจ็ทกระแทกเสียงแล้วหันมาทำหน้าอ้อนใส่ผม บ่นว่าเจ็บข้อศอกบ้างหัวเข่าบ้าง สำออยขึ้นมาทันที แต่อย่าหวังว่าจะโอนอ่อนตาม แผลแค่นี้ไกลหัวใจเยอะ

“แม่ง... เห็นติ๋มๆ ใครจะคิดว่าโมโหร้ายวะ”
เอยบ่นงึมงำก่อนจะขยี้เส้นผมสีน้ำตาลแดงจนยุ่งเหยิงมากขึ้นจากปกติที่โดนลมพัดอยู่แล้ว คาดว่ากลับไปต้องใช้หวีสางจนแทบบ้าเลยล่ะ

“เลิกบ่นแล้วช่วยพยุงกูหน่อย”
เจ็ทขยับตัวเพื่อจะลุกขึ้น แต่ดูท่าทางลำบากชอบกล สงสัยจะเคล็ดตามเนื้อตัวเพราะล้มกลิ้งไปขนาดนั้น

“เดี๋ยวกูช่วยอีกคน”
ผมเสนอตัวแล้วดึงแขนข้างหนึ่งของเจ็ทให้พาดบ่า อีกข้างได้เอยช่วยพยุง แต่พอพวกเราออกแรงยกตัวมันขึ้นจากพื้นทราย เสียงร้องโอดโอยก็ดังขึ้นแทบทันที เจ็บหรือสำออยชักไม่แน่ใจแล้วสิ

“โอย เบาๆ”

“สำออย”
ด่าเพราะหมั่นไส้ที่มันเอาหัวมาซบที่บ่าล้วนๆ

“เปล่าๆ ข้อเท้าเหมือนจะแพลง”
ยังมีหน้ามาปฏิเสธแล้วชี้มือชี้ไม้ไปที่ข้อเท้าด้านขวาด้วยใบหน้าเหยเก ผมเลยตัดสินใจผละแขนแกร่งออกแล้วใช้สายตาบังคับให้เจ็ทนั่งลงที่เดิมเพื่อจะขอเช็คข้อเท้า

“ขอดูหน่อย”
ผมนั่งยองลงตรงหน้าแล้วจับข้อเท้าเพื่อลูบๆ คลำๆ แต่เจ็ทกลับทำหน้าเกรงใจแล้วเอาแต่ปฏิเสธว่ามันเป็นของต่ำ ผมเลยบอกว่ามันเป็นหน้าที่ของหมอ อีกคนเลยยอมแต่โดยดี ส่วนเอยก็เปิดแฟลชโทรศัพท์เพื่อให้แสงสว่างแก่เรา

ผลสรุปคือข้อเท้าขวาบวมจริง ส่วนฝ่าเท้าซ้ายโดนก้อนหินบาดเป็นทางยาวจนเลือดซึม เจ็บตัวเพราะคนอื่นแท้ๆ

“ขึ้นมา”
ผมหันหลังให้อีกคนแล้วสั่งเสียงเข้ม สภาพเท้าแบบนั้นให้เดินกลับที่พักเองคงไม่ใช่เรื่องดี แผลโดนหินบาดจะสกปรกเอาได้ ให้ขี่หลังเป็นทางเลิกที่ดีที่สุดแล้ว

ไม่เห็นว่าไอ้เจ็ททำหน้าแบบไหน ช็อกไปแล้วหรือยิ้มจนป่กฉีกเพราะดีใจ แต่เอยถึงกับมือสั่นแล้วมองผมด้วยสายตากรุ้มกริ่ม ถ้าสนิทกันสักหน่อยมันโดนเตะไปแล้ว แค่เห็นใจคนเจ็บ ไม่ได้พิสวาสอะไรเลยจริงๆ แม่ง ยอมรับก็ได้ว่าเป็นห่วงมัน

“ไม่เอาพี่ ผมไม่ขี่หลัง แค่พยุงก็พอ”
ไอ้คนด้านหลังปฏิเสธเสียงรัว ผมเหลือบมองหน้ามันแล้วได้แต่กลั้นขำ ช็อกจนปากคอสั่นไปหมด เบิกตากว้างอย่างกับเอเลี่ยร ตลกว่ะ

“หรือจะให้กูอุ้ม”
ผมยืดตัวขึ้นแล้วกอดอกมองคนดื้อ ไม่ใช่ว่าจะโกรธ แต่อยากเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของมัน เป็นฝ่ายจีบก่อนแต่เสือกป๊อดตอนโดนโต้กลับ แบบนี้เรียกไอ้กากคงได้

“พี่ทาวน์ ผมพอจะเดินได้”
ไอ้เจ็ทเบะปากแล้วมองด้วยสายตาอ้อนวอน พยายามจะเดินทั้งๆ ที่เอยยังพยุงแขนอยู่ สภาพดูไม่ได้เลยว่ะ แบบนี้คงให้ลงเล่นน้ำทะเลพรุ่งนี้ไม่ได้แน่ๆ แผลจะอักเสบเอา

“เดินห่าอะไร อย่าทำอวดเก่ง”
ผมกดดันมันอีกครั้งแล้วหันหลังเพื่อโค้งตัวลงในท่าเตรียมพร้อมอีกครั้ง แต่รอนานแล้วอีกคนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเคลื่อนไหวสักที แบบนี้ต้องใช้ไม้แข็ง

“.....”

“นับหนึ่ง”
ผมเริ่มนับเลขขึ้นมาดื้อๆ โดยไม่หันมองด้านหลัง แต่หางตาเห็นเอยกระทุ้งศอกใส่อีกคนให้รีบๆ ทำอะไรสักอย่าง

“พี่... มันน่าอาย”
เสียงอ้อมแอ้มของไอ้เจ็ททำให้ผมต้องหันไปมองอย่างห้ามไม่ได้ พอเห็นใบหน้ากระอักกระอวนนั่นก็ยิ่งอยากแกล้งมากขึ้น กลัวเสียฟอร์มที่ต้องขี่หลังแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคนที่รุกจีบแบบมันคงไม่ปล่อยโอกาสใกล้ชิดให้หลุดมือหรอก

“นับสอง”

“.....”
เจ็ทยังคงเงียบจนผมแกล้งถอนหายใจหนักๆ ใส่

“อย่าลีลานะมึง โอกาสทองเลยนะเว้ย”
เสียงเอยซุบซิบกับคนที่ยังละล้าละหลังไม่ยอมทำอะไรสักที ท่าทางคนพยุงคงเมื่อยเต็มแก่เพราะน้ำหนักตัวอีกคนไม่ใช่น้อยๆ

“เชี่ย มันไม่แมนนะมึง”
ผมแทบจะสำลักอากาศเมื่อได้ยินเสียงคร่ำครวญของไอ้เจ็ท ที่ไม่ยอมขี่หลังเพราะดูไม่แมนอย่างนั้นเหรอ แม่ง นี่คิดว่าเป็นฝ่ายจีบแล้วจะได้รุกเหรอ ฝันกลางวันแล้วล่ะ ใครจะยอมง่ายๆ

“เวลานี้มึงจะมาคิดเรื่องแมนไม่แมนอีกหรือไงวะ โง่ฉิบหาย”

“นับสาม”
ผมนับต่อโดยไม่เปิดโอกาสให้เจ็ทคิดต่อเพราะรอจนเมื่อยขาและหลังไปหมด แสดงอาการบังคับให้ขี่หลังขนาดนี้ยังกล้าปฏิเสธอีกหรือไง หวังจะให้พูดว่าเป็นห่วงเหรอ อย่าหวังเลย เรื่องนี้เกินความสามารถจริงๆ

“ยอมๆ แล้วครับ ขี่ก็ขี่”
สุดท้ายคนโดนกดดันก็ยอมแพ้อย่างราบคาบ แต่ไม่วายเบะปากตอนเอยช่วยประคองให้ขึ้นหลัง นิสัยอย่างกับเด็กน้อย คิดนั่นคิดนี่ซะวุ่นวาย

ผมปล่อยให้เจ็ทชำระร่างกายแต่งตัวเรียบร้อยก่อนจะจัดแจงทายา นวดข้อเท้า และพันผ้าจนเสร็จ มันเอาแต่พร่ำขอบคุณแล้วยิ้มกริ่มไม่หยุดหย่อนราวกับคนบ้า อดหมั่นไส้ไม่ได้เลยผลักหัวไปทีหนึ่งโทษฐานทำให้นายเมืองเหนือรู้สึกงุ่นง่าน อากาศร้อนๆ ชอบกลทั้งที่เปิดแอร์อุณหภูมิต่ำ

“จะออกไปร่วมวงกับคนอื่นหรือพักอยู่ที่นี่”
เหลือบมองคนที่นั่งบนโซฟาก่อนจะเก็บกล่องปฐมพยาบาลของไอ้แฮมให้เรียบร้อย ไม่อยากมองหน้าหลังจากเผลอทำอะไรหวานๆ ให้มัน เพราะปกติแล้วผมไม่เคยลงทุนปรนิบัตใครขนาดนี้ แม้แต่แฟนเก่าก็ยังไม่ได้สัมผัส แปลกใจตัวเองชะมัด

“ออกไปดีกว่าครับ นอนกลิ้งอยู่คนเดียวน่าเบื่อจะตาย”
น้ำเสียงบ่งบอกถึงความเบื่อโดยไม่ต้องมองหน้าคนตอบ ผมผงกหัวรับคำก่อนจะปลายตามองแล้วเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่ชาร์ตแบตฯ เอาไว้ขึ้นมากด หาทางหลีกเลี่ยงความใกล้ชิดอย่างเต็มที่ เพิ่งมารู้สึกขัดเขินเอาตอนนี้สายไปหรือเปล่าวะกู ขอความเย็นชาคืนได้ไหม ไม่ชอบอาการเงอะงะของตัวเองเลย

“จะให้เรียกคนอื่นมาพยุงหรือรอออกไปพร้อมกัน”
ถามทั้งที่มือสไลด์หน้าจอโทรศัพท์อย่างไร้จุดหมาย เคยเป็นไหมที่รู้สึกว่าโดยใครอีกคนจ้องอยู่ทั้งที่เราไม่เห็นเขา ตอนนี้ผมกำลังตกเป็นเป้าสายตาแน่ๆ

“ออกไปพร้อมพี่ทาวน์ก็ได้ครับ”

“งั้นกูไปอาบน้ำล่ะ”
พอได้รับคำตอบผมก็รีบผละตัวออกจากสถานการณ์น่าอึดอัดทันที เผลอพ่นลมหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเท้าสัมผัสกับพื้นห้องน้ำแล้ว เผลอทำอะไรที่แสดงความใจอ่อนไปตั้งมากมายสำหรับวันนี้ ทั้งซื้ออมยิ้มไปฝาก แกะปูให้ บังคับขี่หลัง ทำแผล ทายา นวดข้อเท้า... ทั้งหมดที่ทำลงไปมันหมายความว่า ‘ชอบ’ แล้วใช่ไหม ไม่เคยไม่แน่ใจอะไรมากขนาดนี้มาก่อนเลยว่ะ

ผมสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านก่อนจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกแล้วพาตัวเองไปยืนใต้ฝักบัวเพื่อชำระร่างกาย กลิ่นหอมอ่อนๆ ของครีมอาบน้ำทำให้ประสาทที่ตึงเครียดผ่อนคลายลง เลิกคิดฟุ้งซ่านแล้วปล่อยอารมณ์ไปตามความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจคงดีกว่า ความรักถ้าใช้สมองมากไปอาจจะพลาดโอกาสดีๆ ไปตลอดชีวิต

“หูย มีพยุงกันมาด้วย น่าอิจฉาจังเลย”
เสียงไอ้ฟาดังขึ้นเมื่อผมและไอ้เจ็ทพยุงกะนออกมาที่หน้าประตูบ้านพัก ทุกสายตาจับจ้องมาที่จุดโฟกัสเดียวด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม อยากจะทิ้งคนขาเดี้ยงแล้วเตะก้านคอพวกนี้คนละทีสองทีให้เลิกล้อ ไม่รู้กันหรือไงว่ามันน่าอายแค่ไหน

“โห... เพิ่งเคยเห็นไอ้ทาวน์บริการคนอื่นดีขนาดนี้”
ไอ้แฮมที่ยังเอื้อมมือไปคีบหมึกย่างบนเตาก็มาร่วมวงล้อเลียนกับชาวบ้านเขาอีก ขอให้มึงแดกแล้วติดคอตาย

“ปากว่างนักหรือไง เห่าอยู่ได้”
ผมพูดเสียงเรียบแล้วชี้หน้าคาดโทษเพื่อนสนิทก่อนจะหันไปถลึงตาใส่ไอ้เด็กปีหนึ่งกวนประสาททั้งหลาย พวกมันกุลีกุจอทำเป็นยุ่งกับอาหารบ้าง แก้วเหล้าบ้าง หรือแม้กระทั่งเศษซากไม้เสียบบาร์บีคิว มึงกินมันเข้าไปหมดนั่นเลยไหมไอ้น้องฟาร์ม กวนส้นตีนกันฉิบหาย

“เงียบก็ได้จ้าคุณเมืองเหนือ”
เสียงไอ้ฟานี่กวนประสาทกว่าใครเพื่อน แถมสีหน้าบ่งบอกว่าไม่กลัวตายทำให้ผมถึงกับตีนสั่น อย่าเผลอนะมึง กูกระทืบฝั่งกลบบนหาดแน่ๆ ไอ้ฟาร์มก็ไม่ช่วยหรอก

ผมวางไอ้เด็กขาเดี้ยงไว้บนเก้าอี้บุนวมตัวยาวก่อนจะแยกออกมานั่งรับลมทะเลที่ปากบอกว่าเกลียดนักหนา ตอนกลางคืนอากาศมันเย็นสบายก็พออนุโลมได้ถึงแม้จะไม่เลิกเหนียวตัวก็ตาม

บนท้องฟ้าปรากฎดวงจันทร์สีเหลืองนวลล้อมรอบด้วยดาวดวงเล็กๆ ที่หาดูได้ยากในเมืองหลวง ความทรงจำค่อยๆ ไหลออกมาตั้งแต่เจอหน้าเจ็ทเป็นครั้งแรก มันเข้ามาในตอนที่ผมเพิ่งเลิกกับแฟนเก่าแบบพอดิบพอดี คอยดูแล ให้กำลังใจ อยู่เคียงข้าง หรือแม้แต่ปกป้อง ทำให้ยิ้มได้เสมอ ไม่เคยถอดใจทั้งที่โดยไล่มาครั้งแล้วครั้งเล่า หยอดเก่ง บางทีก็ขี้อาย ทำตัวเป็นเด็กน้อยแต่ก็ดูน่ารัก แสดงความรู้สึกตรงๆ ชอบก็บอกว่าชอบ ไม่ได้ปากแข็งหรือซึนอะไร น่านับถือความพยายามทั้งหมดนั่นจริงๆ แล้วนายเมืองเหนือควรจะตอบแทนยังไงดี

“เอาหน่อยไหม”
ความเย็นจากแก้วเบียร์ที่แตะลงมาข้างแก้มกับเสียงที่คุ้นเคยทำให้ผมหลุดจากภวังค์ความคิดแล้วเงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือน ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นไอ้แฮมสายแดกนี่เอง

“ก็ดี”
ผมคว้าแก้วเบียร์มากจากมือเพื่อนแล้วกระดกเข้าปากเกือบครึ่งแก้วก่อนที่จานของกินจะถูกส่งมาตรงหน้า

“แดกบาร์บีคิวปะ กูแบ่งให้”
คนชวนดูอารมณ์ดีเหลือเกินเพราะสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ของกินพูนจานขนาดนี้ไม่อ้วนตายให้มันรู้ไป ไม่อยากแย่งหรอกกลัวเพื่อนสุดที่รักกินไม่พอ

“ตามสบายเถอะ”
ผมบอกไปแบบนั้นแต่ก็โดนไอ้แฮมยัดเยียดบาร์บีคิวหมูในจานให้ไม้นึงอยู่ดี โดยให้เหตุผลว่ากระดกเบียร์ตอนท้องว่างจะเมา ก็รู้อยู่แก่ใจดี แต่ด้วยความที่กระเพาะเหล็กและคอแข็งเป็นทุนเดิมอยูาแล้วเลยไม่รู้สึกอะไร

ไอ้แฮมไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เราทั้งคู่ทำเพียงนั่งเคียงข้างกันไปใต้ความเงียบระหว่างเรา จะมีก็แต่เสียงเคาะขวดเป็นจังหวะเสียงร้องโหยหวนของใครสักคนที่ฟังแล้วแทบยากเอาปีนยิงกบาลให้หุบปากสักที ร้องเพลงไม่รู้เรื่องขนาดนั้นมึงควรกลับไปนอน

ผมไม่เคยรู้ว่าเจ็ทดื่มแอลกอฮอล์ไหม คอแข็งหรือเปล่า แต่จากที่ได้ยินเสียงบ่นของมันแล้วก็สรุปได้ว่าคงลอยตัวตามแบบฉบับเด็กสถาปัตย์ที่แดกเหล้าแทนน้ำได้ คนเมาคงเป็นเด็กเนิร์ดประจำกลุ่มที่ตอนนี้เริ่มเลื้อยไปหาเอย รายนั้นแทบจะอุ้มไปปล้ำ ถ้าไม่ติดไอ้พ่อหวงลูกตัวโตนั่น

“นี่...”
ไอ้แฮมที่เงียบไปนานเอ่ยขึ้นก่อนจะกระแซะไหล่เข้าหาเพื่อเป็นการเรียกสติของผมที่เอาแต่มองภาพที่อยู่ข้างตัว

“ว่าไง”
ผมถามกลับไปแล้วเริ่มควงแก้วที่ยังมีน้ำแข็งเหลืออยู่เล่นเพื่อรอว่าเพื่อนจะพูดอะไรต่อ หางตาเหลือบไปเห็นจานว่างเปล่าก็ได้แต่ลอบยิ้ม ถ้าไอ้แฮมไปแข่งกินมารธอนคงได้รางวัลที่หนึ่งแน่ๆ ยอมใจมันเลย

“ถามอะไรอย่างดิ”
เสียงเครียดมาเชียว จะปรึกษาเรื่องเรียนหรือไงวะ

“อืม”
ผมตอบรับก่อนจะกระดกน้ำแข็งใส่ปาก แลล้วเคี้ยวกร๊วมๆ อยากเดินไปเบียร์ขวดใหม่แต่ขี้เกียจลุก จะใช้ไอ้ฟาก็เกรงใจในเมื่อมันตะล่อมเด็กชายฟาร์มอยู่ อีกคนยึกยักไม่กล้าจีบ อีกฝ่ายเลยพุ่งเข้าหาซะเอง เป็นอันจบไปอีกคู่ ไว้รอดูผลแล้วกัน

“มึงคิดยังไงกับไอ้เจ็ทวะ น้องมันก็จีบมานานแล้วนะเว้ย”
คำถามของไอ้แฮมทำให้ผมชะงักไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าคนที่ห่วงแต่เรื่องกินแบบมันจะสนใจชีวิตรักของคนอื่นด้วย แล้วไอ้ที่ใช้สายตากดดันมองแบบนั้นคืออะไร กูไปนั่งทับหน้าแม่มึงเหรอ

“เดือดร้อนแทนมันหรือไง”
ผมมองมันกลับอย่างไม่ยี่หระ แสดงออกถึงความไม่หวั่นไหวทั้งที่ในใจกนด่าเพื่อนสารพัดว่าจะขี้เสือกไปถึงไหน ติดนิสัยไอ้ฟามาหรือไงกัน

“ก็สงสารมันนี่หว่า มึงออกจะเย็นชาขนาดนี้”
มันเบ้ปากก่อนจะเหลือบมองไปที่ไอ้เจ็ทซึ่งกำลังลากตังค์ให้ผละจากอ้อมกอดของเอย ตลกดีว่ะ ชุลมุนวุ่นวายฉิบหาย นั่นวงเหล้าหรือเนสเซอร์รี่เลี้ยงเด็ก เสียงงอแงทะลุออกมาเชียว

“มึงเชียร์มันเหรอ”
ผมดึงความสนใจกลับมาแล้วถามไอ้แฮมด้วยน้ำเสียงสบายๆ รู้แก่ใจดีว่าเพื่อนเชียร์เด็กนั่นมากแค่ไหน ดูแลดีเสียจนเผลอคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงไปแล้วทุกวันนี้ เจ็ทมักจะเอาของกินมาให้เสมอคงถูกใจเขาล่ะ

“ก็นะ น้องมันเป็นคนดี”
มันยักไหล่ราวกับว่าใครๆ ก็รู้เรื่องนี้ดี ซึ่งผมก็ไม่เถียงในความเป็นคนดีของไอ้เจ็ท แม้จะมีสาวๆ ทยอยเข้าไปหา แต่ก็โดนปฏิเสธทุกรายเพราะมีคนที่ชอบแล้ว ความจริงข้อนี้ทำให้ใจเต้นแรงอยู่เหมือนกันนะ เพราะมันเป็นความมั่นคงที่ไม่เคยหาได้จากตัวพรีม

“เออ ดีจนกูไม่อยากดึงมาอยู่ในชีวิต”
ผมวางแก้วลงแล้วเท้าแขนทั้งสองข้างลงบนผืนเสื่อ แหงนหน้ามองฟ้าปล่อยให้สายลมพัดพากลิ่นอายทะเลมาแตะจมูก รับรู้ได้ถึงความเค็มโดยไม่ต้องสัมผัส เจ็ทอาจจะดีเกินไปสำหรับชีวิตนายเมืองเหนือที่ไม่มีอะไรแน่นอน เพราะความเย็นชาของตัวเองอาจจะทำให้เด็กคนนั้นเจ็บปวด หรือแม้แต่หลักเกณฑ์การใช้ชีวิตตามสังคมนิยมของครอบครัว ผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิง

“ทำไมพูดแบบนั้นวะทาวน์ ชีวิตมึงไม่ได้ดาร์กขนาดนั้น”
แฮมพูดถูกว่าชีวิตของผมไม่ได้มืดมนอะไรมากมาย แต่นั่นคือส่วนที่เพื่อนรู้จักเท่านั้น ยังมีอีกหลายอย่างที่ยังเป็นความลับ

“กูชอบผู้หญิงมาตลอดชีวิตนะแฮม กลัวว่าถ้าตกลงคบมันไปแล้วเกิดคิดกลับตัวขึ้นมากะทันหันจะทำยังไง เจ็ทไม่ต้องเจ็บหนักเหรอวะ”
กลับตัวไม่ใช่เพราะใจเปลี่ยน แต่อาจจะเป็นเพราะที่บ้านบังคับให้ต้องทำ ผมไม่อยากให้ความรักกลายเป็นสิ่งทำลายชีวิตใคร อยากให้มันสวยงามอยู่เสมอ รอยยิ้ม ความร่าเริงของเจ็ทมีค่าจนไม่สามารถเอามาเสี่ยงได้จริงๆ

“ทาวน์... มึงเป็นคนที่คิดอะไรรอบคอบที่สุดในกลุ่มแล้วนะเว้ย ก่อนจะลงมือทำอะไร กูเชื่อว่ามึงไตร่ตรองดีที่สุดแล้ว”
แฮมไม่เคยเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวผมเลยสักนิด ความรอบคอบ การไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนคือนิสัยของนายเมืองเหนือ แต่สิ่งที่อยู่เหนือสมองทั้งหมดคือความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าก่อตัวขึ้นตอนไหน จะถอยกลับก็ทำไม่ได้อีกแล้ว ต้องเสี่ยงจริงๆ น่ะเหรอ

“.....”
ผมเงียบเพื่อคิดทบทวนชั่งน้ำหนักระหว่างความเหมาะสมและความรู้สึก สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นนั้นเราควรเลิกสนใจใช่ไหม ที่น่าจะทำตอนนี้คือยอมรับความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเจ็ทสักที ตอบแทนความพยายามหลายเดือนของเขา เรื่องครอบครัวหรือสังคมนิยมคืออนาคตที่ยังมาไม่ถึง ยังมีเวลาอีกมากมายให้เตรียมรับมือกับมัน กว่าจะถึงเวลานั้นควรหาความสุขใส่ตัวเองก่อนสินะ

“ตกลงตอนนี้มึงคิดยังไงกับน้อง”
คำถามเดิมวนกลับมาในตอนที่ผมได้ข้อสรุปให้กับตัวเองว่าหัวใจและความรู้สึกสำคัญกว่าสังคมและครอบครัว ไม่ใช่ว่าละเลย แต่จะทำให้พวกเขายอมรับทางเดินที่เราเลือกให้ได้ ไม่มีต้องลำบากหรือมีอุปสรรคมากมายแค่ไหน มันต้องผ่านไปด้วยดีแน่ๆ เชื่อมั่นใจตัวเองและคนที่อยู่เคียงข้าง

“ก็ดี”
ผมตอบเพียงสั้นๆ เพราะคิดว่าเพื่อนคงเข้าใจในความหมายของมัน แต่ดูเหมือนฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือความกวนตีนส่วนตัวก็ไม่รู้ที่ทำให้ไอ้แฮมขมวดคิ้วฉับ ทำหน้าอย่างกับหมางงจนอยากตบหัวสักที หมั่นไส้

“ขยายความดิ เข้าใจยากฉิบหาย”
มันบ่นกระปอดกระแปดแล้วโบกหัวลงบนไหล่ของผม ท่าทางอย่างกับเป็นคนรอคำตอบซะเอง ขี้เสือกใช่เล่นนะมึงเนี่ย เผลอๆ ยิ่งกว่าไอ้ฟาซะอีก

“แม่ง เป็นพ่อกูหรือไง คาดคั้นจัง”

“จะตอบดีๆ หรือให้กูเรียกไอ้ฟามาบีบมึงอีกคน”

“พอๆ อย่าพาไอ้ปากสว่างนั่นมาเลย”
ผมยกมือขึ้นยอมแพ้ ถ้าไอ้ฟารู้โลกรู้แน่ๆ

“งั้นก็ตอบมา”
ไอ้แฮมจ้องอย่างคาดคั้น ส่วนผมทำได้แค่หลบตาแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แค่คำแสดงความรู้สึกสั้นๆ ทำไมต้องกระอักกระอวนแบบนี้ หัวใจเต้นรัวฉิบหาย จะตายคาหาดไหมล่ะ

“เออ... กูชอบมัน”
ทิ้งช่วงประโยคไปเกือบนาที ในที่สุดก็พูดได้ไอ้ความรู้สึกแปลกๆ ที่เริ่มก่อตัวแบบไม่รู้วันและเวลา เผลอชอบไอ้เด็กบ้านั่นจนถอนตัวไม่ได้ ตกหลุมผู้ชายนี่หาทางขึ้นยากกว่าผู้หญิงอีก

“โอย ดีใจเหมือนโดนสารภาพรักเองเลยว่ะ”
ไอ้แฮมสะดีดสะดิ้งแทบลงไปนอนบนพื้น ใบหน้าเปี่ยมสุขที่ยิ้มกว้างทำให้ผมง้างมือเคาะหน้าผากมนด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะหัวเราะออกมา รู้ว่าเพื่อนดีใจที่นายเมือเหนือยอมเปิดใจอีกครั้ง หลังจากโดนหักอกยับเยิน

“เว่อร์ฉิบหาย... แต่ช่วยเก็บเป็นความลับไว้ก่อนแล้วกัน”
ผมยังไม่บอกความรู้สึกนี้กับไอ้เจ็ทหรอก แค่ชอบกันมันยังไม่พอ รอให้รักเมื่อไหร่จะเป็นฝ่ายเดินเข้าไปสารภาพและขอเป็นแฟนด้วยตัวเอง

ไอ้แฮมลากผมกลับเข้าวงเหล้าด้วยสีหน้าเบิกบานแถมยังเข้าไปตบบ่าเด็กขาเดี้ยงปุๆ โดยไม่พูดอะไร ฝ่ายนั้นก็งงไปสิแต่ยิ้มรับหน้าตาเฉย เดี๋ยวจะลากไปสวนปรุงทั้งคู่



ต่อด้านล่างน้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
“น้องปีหนึ่งจะร้องเพลงให้พี่ปีสองฟังนะครับ ~”
เสียงยานๆ ของไอ้น้องฟาร์มดังขึ้น ดวงตาปรือปรอยฉ่ำเยิ้มบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเริ่มเมาแล้ว ผมได้แต่ส่ายหัวกับความพยายามของมัน นั่งก็ไม่ตรงยังเสือกจะร้องเพลง ถ้าไม่มีไอ้ฟาพยุง ปานนี้คงลงไปนอนกองที่พื้นแล้ว

“นักร้องคือกระผม อึก นายฟาร์ม และมือกีต้าร์กิติมาศักดิ์ขาเดี้ยง อะ อึก นายเจ็ท เชิญรับฟังเลยครับ”
พยายามร่ายยาวจนจบประโยคด้วยเสียงกระท่อนกระแท่น จะไหวไหมเนี่ย ควรพากันไปนอนเหมือนคู่ตังค์กับเอยนะ ปานนี้ฝันเลขเด็ดไปแล้วมั้ง

“คิดอยู่ว่าต้องทนไว้ จะทุกจะทนเท่าไหร่ ความรักก็พาหัวใจไป”
เสียงร้องดังขึ้นจากริมฝีปากบางที่ตอนแรกพูดแทบไม่รู้เรื่อง แต่แปลกเป็นเพลงกลับเพราะจับใจ

“คิดเองว่าต้องทนไว้ แต่ยิ่งทุกข์ยิ่งทนเท่าไหร่ ความรักที่มียิ่งหายไป จะโทษดินจะโทษน้ำ จะโทษเดือนและดาว กับเรื่องราวที่ปวดร้าว ที่เธอมาทำแล้วหนีปาย ~”
ตายตรงท้ายท่อนว่ะ เสียงเมาฉิบหายจนคนดีดกีตาร์ต้องรับหน้าที่ร้องแทน

“ฟ้า ถ้าไม่ส่งมา ให้เธอมีใจ บอกกันซักกคำเป็นไร ว่าเหตุใดต้องมาทำร้ายกัน จากนี้เรื่องราวที่มี ก็ให้ลืมมันไป อย่าจำว่าเคยเป็นใคร ว่ามีใครที่เคยทำร้าย คนอย่างฉัน ~”
เสียงทุ้มเอ่ยคำร้องแผงด้วยความรู้สึกเปี่ยมล้นสื่อออกมาทางสายตา ตัดพ้อ น้อยใจ เสียใจอย่างชัดเจน ผมไม่ได้หลบหนีแต่จ้องกลับไป เพลงโคตรเศร้าเลยแม่ง เพราะเด็กไอ้ฟาคนเดียว เฮ้อ

ปล่อยให้วงเหล้าดำเนินต่อไปอีกครึ่งชั่วโมงก่อนจะสั่งให้ทุกคนแยกย้ายแล้วแบกคนของตัวเองเข้าที่พัก ไธกับจิณณ์ดูมีสติมากที่สุดจึงช่วยแบกไอ้เจ็ทที่เมาสปาย ไอ้ฟาแบกไอ้น้องฟาร์ม ส่วนแฮมกับผมช่วยกันเก็บข้าวของเพื่อไม่เป็นภาระตอนเช้าที่วางแพลนจะไปขับรถเที่ยวเมืองชลบุรี

ผมชะงักเมื่อเปิดประตูห้องนอนของตัวเองแล้วพบร่างของไอ้เด็กขาเดี้ยงนั่งพิงหัวเตียงด้วยสภาพสะลึมสะลือ ความสงสัยพุ่งพล่านว่าสองคนนั่นส่งตัวผิดห้องหรือเปล่าเลยเดินย้อนกลับไปดูอีกห้อง สรุปว่าไอ้ฟากับน้องฟาร์มนอนกรนไปเรียบร้อยแล้ว แม่ง... สรุปว่าที่ตกลงกันไว้เป็นโมฆะสินะ

“กูไปนอนโซฟานะ”
อ้าวไอ้แฮม มีงจะมาทิ้งกูไว้กลางทางแบบนี้ไม่ได้นะ มึงก็เห็นว่าไอ้เจ็ทมันนั่งหลับอยู่ในห้องของเรา

“เดี๋ยว ก็นอนด้วยกันนี่ล่ะ”
ผมดึงชายเสื้อของเพื่อนไว้แน่น เรื่องอะไรจะเสี่ยงอยู่กับเด็กนั่นสองคนในตอนที่รู้หัวใจตัวเองแล้ววะ เกิดเผลอหน้ามืดทำเรื่องบ้าๆ ขึ้นมา ตายกันพอดี

“ไม่อยากเป็น กขค”

“พ่อง กขค เหี้ยอะไร”
ด่าแม่งซะเลย ปากดีนัก

“เผื่อมึงปล้ำน้อง ไม่ก็น้องปล้ำมึงไง”
พูดออกมาด้วยหน้าตาทะเล้นจนผมต้องแยกเขี้ยวใส่ ใครจะทำเรื่องแบบนั้นกับคนเมาวะ แค่ถ้าไอ้เจ็ทคึกปล้ำกูจริงได้ตายคาตีนแน่ๆ

“ไอ้แฮม มึงไม่อยากแก่ตายใช่ไหม”

“กูล้อเล่นน่า นอนสามคนอึดอัด”
มันตบไหล่ผมปุๆ ด้วยสีหน้าปกติ ไม่มีความกวนตีนหรือทะเล้นอีกแล้ว เตียงหกฟุตกับผู้ชายตัวโตสามคน ดูยังไงก็ไม่น่าจะไปกันรอดจริงๆ

“เออๆ ตามใจมึง”
สุดท้ายก็ต้องปล่อยไอ้แฮมไปแล้วกลับเข้าห้องเพื่อจัดการเด็กคอแข็งแต่เสือกเมาสปายรสหวาน

“พี่ทาวน์ใจร้าย”
อยู่ๆ มันก็พูดในขณะที่ผมเริ่มเช็ดตัวให้ กงการอะไรที่ต้องมาปรนนิบัติวะเนี่ย แฟนก็ไม่ใช่ เมียนี่ยิ่งแล้วใหญ่ ห่างไกลสุดๆ

“อะไรของมึงอีก”
ผมถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเมื่ออีกคนถ่ายน้ำหนักตัวมาจนเกือบจะทับกัน ดีหน่อยที่ทรงตัวไว้ได้ ไม่อย่างนั้นคงได้ลงไปนอนจุกบนพื้น

“พี่รู้ไหม... อึก ตอนพี่ทำดีด้วยผมดีใจแทบบ้าแต่ลึกๆ ก็กลัวว่าพี่จะทำแบบนี้กับทุก อึก คน”
พูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักทั้งที่ยังหลับตา ผมเกือบจะดึงมันมากอดอยู่แล้วเชียวถ้าไม่ติดว่าตาคมปิดสนิท

“ละเมอสินะ”
ผมพึมพำกับตัวเองก่อนจะจัดแจงท่าทางให้อีกคนนอนลงบนเตียงแล้วยกกะละมังไปเก็บ กลับมาอีกทีก็ได้ยินไอ้เจ็ทละเมออีกครั้ง

“ฮึก ชอบผมสักนิดไม่ได้เหรอครับ ไม่ต้องรักก็ได้”
น้ำตาหยดใสไหลอาบแก้มนิ่ม ผมหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ แล้วใช้นิ้วเกลี่ยมันออกอย่างแผ่วเบา ทำไมรู้สึกปวดหนึบในใจได้ขนาดนี้วะ

“ผมรักพี่นะ ฮึก”
คำบอกรักที่ออกมาจากริมฝีปากหยักทำให้ผมตะลึง แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นความดีใจ ใครๆ ก็บอกว่าคนละเมอมักพูดความจริงเสมอ

“หึ นอนซะนะเด็กดี”
ผมลูบหัวทุยนั่นด้วยรอยยิ้มก่อนจะโน้มตัวประทับจูบลงบนหน้าผากมนเพื่อกล่อมให้อีกคนจมเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างสงบ

จุ๊บ

หวังว่าจุมพิตนี้จะทำให้มึงเลิกละเมอและฝันดีสักที



- เพลง ฟ้า Tattoo Colour -




---------------------------------------------



พี่ทาวน์เลิกปากแข็ง(กับเพื่อน)แล้วเว้ย 55555555
แต่กับเจ็ทนี่ต้องรอลุ้นกันต่อไป ~

ระวังเบาหวานขึ้นนะ... เราเตือนแล้ว

ออฟไลน์ numay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
แข่งช่วงเทศกาล
ฮาโลวีน



ปลายเดือนตุลาคมที่เดี๋ยวฝนก็ตกเดี๋ยวแดดก็ออกสลับกันไปมาทำให้สภาพร่างกายปรับตามอุณหภูมิไม่ทัน เจ้าเชื้อหวัดเลยสิงสถิตอยู่ในร่างกายได้ไม่ยาก ทั้งไอทั้งจามจนสังคมรอบข้างเริ่มออกอาการรังเกียจ ไอ้ตังค์ยื่นหน้ากากอนามัยมาให้ ไอ้ฟาร์มทำหน้าอย่างกับเพื่อนเป็นวัณโรค ส่วนไอ้ไธเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับโทรศัพท์ มัวแต่คุยกับจิณณ์จนไม่สนใจใครเลย น่าหมั่นไส้สุดๆ

“คุณเจ็ทน่าจะไปหาหมอนะครับ”
คนที่ส่งหน้ากากอนามัยมาให้เอ่ยขึ้นแล้วพยักพเยิดหน้าไปทางโรงพยาบาลของมหา’ลัยใกล้ๆ ตึกคณะแพทย์ ผมมองตามก่อนจะส่ายหัวรัว ไม่ได้อาการหนักขนาดนั้น แล้วอีกอย่างกลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ ก็ไม่น่าพิศมัยเช่นกัน

“แค่เป็นหวัด ไม่นานก็หายแล้ว”
ผมโบกมือไปมาแล้วไอโขลกออกมาอีกชุดใหญ่ ก็แค่แอบกินไส้กรอกทอดแค่สองสามชิ้นเอง คันคอฉิบหายเลยแม่ง หน้ากากอนามัยก็ใส่ไม่ได้ หายใจไม่ออก

“หายที่หน้ามึงอะเจ็ท แดกยาบ้างหรือเปล่าเถอะ”
ไอ้ฟาร์มทำปากยื่นปากยาวก่อนจะยกชีทประวัติศาสตร์ศิลปะฟาดลงบนหัวของผมจนรู้สึกมึนตึ๊บ ไม่สามารถตอบโต้ได้ไปชั่วขณะ อยากด่าให้ลานคณะราบเป็นหน้ากองแต่มันเริ่มพะอืดพะอมแปลกๆ โอย จะอ้วกเว้ย

“สัด”
ด่ามันได้แค่นั้นก่อนจะรีบคุ้ยหายาดมในกระเป๋าเสื้อนักศึกษาขึ้นมาสูดเข้าปอด กลิ่นเมนทอลหอมๆ ช่วยลดอาการมึนได้อย่างดี จนสามารถหันไปแยกเขี้ยวใส่ไอ้ฟาร์มได้แล้ว ท่าทางอาการจะหนักกว่าที่คิด ดีนะที่ไม่เป็นน้ำมูก โสโครกน่าดู

“ไหวปะมึง เห็นทำท่าเหมือนคนท้องมาหลายรอบแล้ว”
ไอ้ไธที่เพิ่งละสายตาจากจอโทรศัพท์หันมาถามด้วยความเป็นห่วงก่อนจะผละหลังมือมาอังหน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิ คิ้วหนาขมวดเข้าหากันจนผมคิดว่าตัวเองไปเหยียบตาปลามันหรือเปล่า

“ไอ้สัดฟาร์มเอาชีทมาฟาดหัวกูนี่”
ผมบอกเสียงง้องแง้งแล้วไถหัวลงกับลาดไหล่กว้างของเพื่อนสนิท ถ้าเปลี่ยนจากมันเป็นพี่ทาวน์ก็คงจะดีกว่านี้ ว่าแต่ตอนนี้คงสอบไม่ก็ผ่าอาจารย์ใหญ่อยู่มั้ง คิดถึงจัง

“กูว่าไม่เกี่ยว มึงตัวร้อนเหมือนจะมีไข้”
ไอ้ไธยกฝ่ามือขึ้นลูบหัวอย่างอ่อนโยนทำให้ผมเคลิ้มจะหลับ แต่เพราะเสียงกรี๊ดกร๊าดของสาวๆ ที่ดังอยู่ไม่ไกลนั้นทำให้หัวคิ้วขมวดเป็นปม รู้สึกหงุดหงิดอยากย้ายที่นั่งชะมัด อยากผงกหัวแล้วถามพวกเธอว่า ‘มดเข้ากางเกงในเหรอครับ ผมช่วยเอาออกปะ’ คือไม่สบายแล้วชอบพาลไง อย่าถือสาเลย

“แดดร้อนไง ตัวเลยร้อนตาม”
ผมเฉไฉไปเรื่อย ไม่อยากไปหาหมอนี่หว่า ไม่ใช่ว่ากลัว แต่รู้ๆ กันอยู่ว่าโรงพยาบาลรัฐฯ คนเยอะ กว่าจะได้ตรวจ คนไข้คงหายดีแล้ว

“ทฤษฎีห่าอะไรของมึงเนี่ย”
ไอ้ไธถามก่อนจะยักไหล่ถี่ๆ จนผมส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ ให้ซบดีๆ ก็ไม่ได้ กวนประสาทฉิบหาย อาการพะอืดพะอมกลับมาอีกครั้ง โอย อยากจะอ้วก

“เออน่า ตอนนี้ย้ายที่นั่งได้ปะวะ รำคาญเสียงกรี๊ด”
ผมไม่ได้ต่อว่าเพื่อนแต่ทำเพียงแค่ผละออกมาแล้วสูดยาดมแรงๆ เพื่อลดอาการวิงเวียน เมื่อสอดส่ายสายตาไปรอบบริเวณลานคณะก็เจอเข้ากับกล้องโทรศัพท์ที่เล็งมาทางนี้ เชื่อว่าอีกไม่นานไอ้เพจเซ็กซี่บอยคงมีรูปคู่พวกเราว่อนเต็มไปหมด พร้อมด้วยแท็ก #เจ็ทไธ #ไธเจ็ท อยากจะคอมเม้นท์ใต้ภาพให้เปลี่ยนเป็น #ไธจิณณ์ เหลือเกิน แต่กลัวโดนหาว่ารักสามเศร้าเราสามคน ห้ามดูถูกแรงมโนของมนุษย์นะเว้ย มันร้ายกาจมาก

“ตรงนี้ร่มที่สุดแล้วนะ เพราะมึงนั่งซบไอ้ไธไง สาวๆ แม่งก็ฟินไปดิ”
ไอ้ฟาร์มบอกเสียงกระเง้ากระงอดแต่หน้าตานี่ล้อเลียนเต็มที่ ป่วยการจะหาอะไรอุดปากหมาๆ ของมัน แซวได้แซวไป ถึงคราวกูบ้างแล้วมึงจะหนาว ระวังได้ขึ้นชื่อว่า ‘คนนก 2017’ ไว้ให้ดี

“ถ้ากูกับไอ้เจ็ทเอากันจริงคงมีลูกตั้งทีมฟุตบอลได้แล้วมั้ง”
นั่นปากมึงเหรอไธ พูดอะไรชวนอ้วกอีกแล้วว่ะ ผมหันไปถลึงตาใส่มันเพราะเมื่อครู่เสียงแม่งดังจนคนทั้งลานได้ยินแล้วมั้ง

“เชี่ยไธ พูดอะไรวะ ขนลุก”
ผมบ่นก่อนจะจามออกมาแรงๆ ส่งผลให้ทั้งโต๊ะเบนหน้าหลบกันพัลวัน หึ รังเกียจกันนักเดี๋ยวพอจามใส่ทีละคนเลยแม่ง ขนาดไอ้ตังค์ยังเบะปาก

“ล้อเล่นน่า ตกลงจะไปหาหมอไหม เดี๋ยวกูไปส่ง”
คำถามเดิมวนกลับมาอีกรอบ แต่คำแถเปลี่ยนไปเรื่อย

“ขี้เกียจไปนั่งรอ คนเยอะจะตาย”
ผมฟุบลงกับโต๊ะแล้วมองไอ้ไธด้วยดวงตาปรือๆ ทำไมรู้สึกเพลียจังวะ อยากนอนแล้วเนี่ย เมื่อไหร่พวกมึงจะทำรายงานเสร็จสักที เอาแต่ชวนคุยกันอยู่ได้

“งั้นคลินิคก็ได้”
ไอ้บ้านี่พยายามจังวะ ไม่ว่าเปล่ายังส่งมือมาลูบหัวลูบหางกันอีก ถ้าเป็นพี่ทาวน์มาพูดแบบนี้ผมคงยอมไปนานแล้ว

“เป็นเมียกูหรือไง บังคับจัง”

“ยอมเป็นเมียวันนึง ถ้ามึงยอมไปหาหมอ”
เอากับมันสิครับ มีการยอมเป็นเมียด้วย กูยอมใจมึงจริงๆ เพื่อน

“ลงทุนโคตรๆ เลยเพื่อนไธ”
ไอ้ฟาร์มแซวก่อนจะทำหน้าทะเล้นในแบบฉบับของมัน ปากพูดแต่มือพิมพ์รายงานก็ดีไป ส่วนผมแรงจะทรงตัวนั่งยังไม่มี

“มึงไม่ช่วยไซโคไอ้เจ็ทก็เงียบปากไป แดกแห้วที่ไอ้ตังค์ซื้อมาก็ได้ รำคาญ”
ไอ้ไธแยกเขี้ยวใส่คนไร้ประโยชน์แล้วชี้ไปที่ถุงแห้วที่ตั้งอยู่กลางโต๊ะ เจ้าของเคี้ยวหงุบหงับเต็มปากอย่างเอร็ดอร่อย ผมไม่ค่อยชอบกินว่ะ เนื้อสัมผัสกับกลิ่นมันแปลกๆ

“ไม่แดก เดี๋ยวนกจากพี่ฟา ไอ้เนิร์ดมึงจะซื้อแห้วมาทำไมเนี่ย ลางไม่ดี”
มึงอยู่เฉยๆ ไม่จีบเขามันก็นกสิวะ ไม่แก้วกับน้องแห้วเลยสักนิด แล้วจะไปว่าไอ้เนิร์ดทำไม มันชอบกินของมันมานานแล้ว เพราะบางทีจะหิ้วทับทิมกรอบมา ยอมใจ

“ซื้อมากินสิครับคุณตังค์ ใครที่ไหนจะเอาแห้วมาซักผ้า”
หน้านิ่งๆ เสียงเรียบๆ แต่ทำให้ไอ้ฟาร์มถึงกับอ้าปากค้าง เห็นมันเนิร์ดแต่ปากอย่างกับกรรไกร ใครอย่าลองดีเลย ยับแน่

“กวนตีน เดี๋ยวปั๊ดต่อยร่วง”
ไอ้ฟาร์มขู่แล้วทำท่าจะต่อยเด็กเนิร์ดจริงๆ แต่คนโดนกระทำกลับนั่งเฉยแถมยังหยิบแห้วใส่ปากเคี้ยวหงุบหงับ กวนตีนไม่มีใครเกิน มากกว่านั้นคือ โน่น ว่าที่สามีมันเดินดุ่มๆ มาทางนี้แล้ว ปัจจุบันนึกว่าไอ้เอยซิ่วจากวิศวะมาเรียน’ถาปัตย์ซะอีก เจอกันโคตรบ่อย

“จะต่อยใครเหรอมึง”
เสียงมาก่อนตัวพร้อมรอยยิ้มเย็นๆ ที่ทำให้ไอ้ฟาร์มถึงกับรีบเก็บมือลง คนแดกแห้วสะดุ้งโหยงแล้วหันมองวิญญาณตามติดอย่างไอ้เอยด้วยท่าทีหวาดกลัว คนหนึ่งจีบคนหนึ่งถอยห่าง จะสมหวังเมื่อไหร่วะ อย่าว่าแต่เพื่อนๆ เลย ตัวผมยังเอาไม่รอด

“ไอ้เอย มาทำอะไรวะ”
ผมถามเมื่อมันเดินมาถึงโต๊ะก่อนจะผลักไหล่ไอ้ฟาร์มที่นั่งข้างสุดสวาทของมันให้หลบไปไกลๆ เผด็จการเป็นนิสัยของเด็กช่างหรือเปล่าเนี่ย ไม่ต่างจากจิณณ์ตอนเอาแต่ใจเลย

“มาแดกแห้ว”
ไอ้เอยตอบก่อนจะมองไอ้ตังค์ที่เอาแต่จับแห้วยัดปากตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย มีสำลักเล็กน้อยจนเดือดร้อนผมต้องส่งน้ำให้มันดื่มตาม

“เดี๋ยวๆ มึงถ่อสังขารจากวิศวะมาถึง ‘ถาปัตย์เพื่อ แค่ก แดกแห้วเนี่ยนะ”
ผมถามแล้วขมวดคิ้วมองอย่างจับผิด มาหาไอ้ตังค์แน่ แต่พูดอ้อมโลกไปอย่างนั้นล่ะ มันไหวไหล่ราวกับไม่แคร์อะไรก่อนจะนั่งลงข้างสุดที่รักแล้วเอื้อมแขนพาดไหล่ สงสารก็แต่เพื่อนตัวน้อยที่เอาแต่อ้าปากพะงาบๆ เพราะไม่รู้จะทำยังไง

“เออ”

“กูว่าไม่ใช่ละ”
เป็นไอ้ฟาร์มเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ มองไอ้เอยสลับกับเด็กเนิร์ดประจำกลุ่มด้วยดวงตาวิบวับ มันเป็นเรื่องสนุกที่ได้ล้อเลียนเพื่อน อันนี้ผมเห็นด้วย เพราะนานๆ ทีไอ้ตังค์จะมีคนมาสนใจ หน้าตาน่ารักแต่เป็นเจ้าพ่อโอตาคุก็ไม่ไหวปะวะ

“แสนรู้”
ไอ้เอยเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะเอื้อมมือไปยีหัวไอ้ฟาร์มที่นั่งอยู่บนเก่าอี้อีกตัวจนผมยุ่งเหยิง คนโดนกระทำแยกเขี้ยวขู่แต่ไม่ได้ปัดป้องอะไร สาวๆ แถวนั้นเลยทำหน้าที่เก็บรูปไปตามระเบียบ ในเพจเซ็กซี่บอยคงเกิดแท็กให้แน่ๆ #เอยฟาร์ม แต่ #ฟาร์มเอย น่าจะไม่มีเพราะเพื่อนผมตัวเล็กกว่า

“สัด กูไม่ใช่กระต่าย”
ไอ้ป๋าบ่นงุ้งงิ้งจนคนทั้งกลุ่มหัวเราะก๊าก แสนรู้มันใช้กับหมาเว้ย มึงมาซะน่ารักเชียว ขนาดไอ้ตังค์ยังลืมอาการเกร็งร่วมขำจนไหล่สั้นไปด้วย

“แบ๊วเหี้ย”
โดนไอ้เอยล้อเข้าหน่อยมันถึงกับสะบัดสะบิ้งแล้วเดินหนีไปหาเพื่อนอีกกลุ่มที่นั่งทำงานใกล้ๆ กัน แล้วเมื่อไหร่งานกลุ่มจะเสร็จสักทีวะเนี่ย อยากกลับไปนอนจะแย่แล้ว ตอนค่ำมีนัดดูหนังกับว่าที่คุณหมอซะด้วย

“ตกลงมาทำไม”
ผมถามอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่ามันไม่ได้มีธุระอะไรกับตัวเอง เพราะวันนี้จิณณ์เป็นลำไส้อักเสบเลยนอนอยู่ที่ห้อง สงสารมันนะ แต่ตัวเองยังเอาไม่รอดเลย ป่วยพร้อมกันนี่เป็นเรื่องแย่จริงๆ

“มาแดกเจ้าของแห้วอะ”
ตอบจบก็โน้มหน้าเข้าไปใกล้จนปลายจมูกเฉียดขาแว่นไอ้เด็กเนิร์ด พ่อกระต่ายตื่นตูมถึงกับออกแรงผลักคนที่ทำรุ่มร่ามใส่ตัวเองเกือบกระเด็นตกเก้าอี้ ดีหน่อยที่ไอ้ฟาร์มมันเอี้ยวตัวมาดึงคอเสื้อไว้ได้ทัน (ฟาร์มนั่งหันหลังให้เอย)

“คุณเอย!”
ทำร้ายว่าที่สามีเสร็จมันก็โวยวายจนคนทั้งลานคณะหันมาให้ความสนใจ ไอ้เอยยิ้มตอบหน้าระรื่นไม่มีแววโกรธไอ้ตังค์เลยสักนิด ไม่เข้าใจว่าไปหลงเสน่ห์มันตรงไหน หรือหุ่นใต้ชุดนักศึกษานั่นแซ่บวะ

“ฮิ้ว ~ ไปๆ ไปแดกกัน เชิญ!”
เสียงไอ้ฟาร์มไม่ใช่อื่นไกล พูดจบยังมีการแท็กมือกับไอ้เอยอีก พวกมึงติดสินบนอะไรกันสารภาพมาซะดีๆ เพราะตอนแรกมันออกอาการหวงไอ้ตังค์เหมือนลูกในไส้กำลังจะไปมีแฟน แต่ตอนนี้เหมือนพ่อตาโดนลูกเขยถวายสินสอดให้มูลค่าสิบล้าน

“ไม่เอาดิคุณฟาร์ม ไม่ห่วงผมแล้วเหรอ!”
ไอ้ตังค์ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่เพื่อนไม่ช่วยตัวเองจากเงื้อมมือปีศาจ ผมกับไอ้ไธได้แต่นั่งเงียบดูสถานการณ์ไปเรื่อยเหมือนชมละครหลังข่าว ก็สนุกดี

“เพื่อนจะได้ผัวเป็นตัวเป็นตน ถ้ากูเข้าไปขวางคงบาปหนักว่ะ คิกๆ”
เออ อันนี้ผมเห็นด้วยกับไอ้ตังค์ว่ะ

หลังจากไอ้ตังค์โดนสุดที่รักมันลากไปปู้ยี่ปู้ยำ ผมก็รับงานส่วนที่เหลือมาทำต่อเพราะจะได้ส่งๆ เสร็จๆ ไปสักที แต่เพิ่งมาเสียใจเอาทีหลังเพราะไอ้ไธใช้แรงควายลากกูไปโรงพยาบาลมหา’ลัยจนได้! เกลียดมึงที่สุดในโลกเลย จะฟ้องจิณณ์

ผมนั่งหน้ามุ่ยอยู่ในรถของพ่อคนที่สอง ในมือกำถุงยาจากโรงพยาบาลเอาไว้แน่น ถ้ากินหมดนี่คงอิ่มแทนข้าวจริงๆ แถมยังโดนหมอดุอีกว่าปล่อยให้ไอคนคอแดงเทือกได้ยังไง ไข้ขึ้นสูงขนาดนี้ ไม่ช็อกตายก็ดีเท่าไหร่แล้ว ที่สำคัญคือเขาเป็นอาจารย์หมอและญาติของพี่ทาวน์ซะด้วย ชีวิตของนายภาคินใกล้จบสิ้นเต็มที

“มึงควรกลับไปนอนพักนะเจ็ท”
ไอ้พ่อบังเกิดเกล้าทำเสียงดุ ขมวดคิ้วยุ่งมองหน้าผมมาราวๆ ห้านาที เพราะก่อนหน้านี้ทะเลาะกันเล็กน้อย แต่มันสำคัญต่อหัวใจ

“กูมีนัดดูหนังกับพี่ทาวน์”
ผมยืนยันเสียงแข็งโดยไม่มองหน้าเพื่อนสนิท กูดื้อเว้ย

“สภาพไข้หวัดใหญ่แดก ตาปรือแบบนี้อะนะ”
มันเอานิ้วมาจิ้มแก้มกันจึกๆ แล้วถามด้วยเสียงสูง ผมรำคาญเลยปัดมือไอ้ไธทิ้งแล้วหันไปไอโขลกใส่หน้า หมั่นไส้ความตอแยจริงๆ

“ไม่อยากผิดนัด”
ผมตอบกลับเสียงแหบก่อนจะหยิบขวดน้ำออกมาจิบ ไอ้ไธที่เพิ่งลดมือลงจากใบหน้าถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดูก็รู้ว่ามันเป็นห่วงกัน แต่เรื่องนี้ก็สำคัญพอตัว

“แต่มึงไม่สบาย”
มันพูดเสียงอ่อยแล้วขยับมือเพื่อแปะลงบนหัวของผม ออกแรงลูบเบาๆ คล้ายกำลังปลอบประโลมทั้งร่างกายและจิตใจ รู้ว่าไม่ควรเอาสุขภาพตัวเองไปเสี่ยงเพราะดูโง่ แต่กว่าจะทำให้พี่ทาวน์ยอมใจอ่อนได้มันยากมากจริงๆ ถ้าพลาดโอกาสนี้อาจทำให้นกก็ได้

“ไธ... กว่ากูจะอ้อนชวนพี่ทาวน์ให้ไปดูหนังด้วยกันได้ แค่ก ใช้เวลาเกือบหนึ่งอาทิตย์เลยนะ”
ยกเหตุผลร้อยแปดมาประโคมใส่เพื่อนรักด้วยดวงตาอ้อนวอน สุดท้ายไอ้ไธก็ได้แต่ส่ายหน้าปลงๆ ก่อนพยักหน้ารับ เป็นอันว่าจบภารกิจดื้อด้านของนายภาคินสักที

“รักจริงหวังแต่งว่างั้น”

“เออดิ แค่กๆ”

“กูล่ะสงสารมึงจริงๆ นัดพี่ทาวน์ที่ไหน กี่โมง”

“ห้าง xxx ตอนสองทุ่ม”

“ดึกขนาดนั้น มึงจะไหวเหรอเจ็ท”
คำถามเดิมที่มีความห่วงใยเพิ่มมากขึ้น ผมคลี่ยิ้มบางให้มันก่อนจะตอบไปตามความจริงเพราะโกหกไปไอ้ไธก็คงไม่เชื่ออยู่ดี เผลอๆ มันโทรไปฟ้องพี่แจมอีก คราวนี้คงหูอื้อไปสักสิบวัน

“ไม่ไหวก็ต้องไหว”

“เออๆ เดี๋ยวกูไปส่งแล้วจะนั่งรอเป็นเพื่อนจนกว่าพี่ทาวน์มา”
มันเอื้อมมือมาขยี้หัวผมจนยุ่งเหยิงก่อนจะผละไปจับพวงมาลัยเพื่อออกรถ

“ขอบใจ”
ผมเอ่ยเสียงแผ่วด้วยรอยยิ้มก่อนจะผิดเปลือกตาที่หนักอึ้งเพราะพิษไข้ลง งีบสักหน่อยคงมีแรงดูหนังล่ะวะ

กว่าจะถึงห้างก็เกือบหนึ่งทุ่มเพราะจราจรติดขัด ไอ้ไธรีบลากผมไปร้านอาหารก่อนเพราะถึงเวลามื้อเย็นที่มียาพ่วงมาด้วย มันจัดการสั่งเมนูสำหรับคนป่วยให้เสร็จสรรพอย่างโจ๊กหมูไข่เยี่ยวม้า ส่วนตัวเองสั่งบะหมี่ต้มยำพิเศษ กูอยากจะพุ่งข้ามโต๊ะไปบีบคอมึงจริงๆ เลย สั่งอะไรไม่สั่งแต่เจาะจงเอาของที่ผมเพิ่งบ่นว่าอยากกิน ส้นตีน!

ผมปรือตาขึ้นสู้กับแสงไฟนีออนที่สาดเข้ามากระทบลูกตา เพดานสีขาวอยู่เบื้องหน้า บรรยากาศรอบๆ ที่คุ้นเคยทำให้หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น จำได้ว่าเมื่อครู่ยังอยู่ห้างนี่ แล้วทำไมตอนนี้มานอนตายอยู่คอนโดวะ!

ผมนวดขมับที่รู้สึกปวดตุบๆ พยายามคิดว่าตัวเองกลับมาที่ห้องได้ยังไง ก็ตอนนั้นนั่งกินโจ๊กอยู่กับไอ้ไธตามด้วยยาหนึ่งกำมือ หลังจากนั้นก็... เหี้ยแล้ว ภาพตัด! นายภาคินหลับกลางร้านอาหาร โอย รู้ถึงไหนอายถึงนั่นจริงๆ แล้วพี่ทาวน์ล่ะ ตอนนี้จะโกรธกันไปหรือยังวะ

ผมดันตัวลุกขึ้นจากเตียงเพื่อจะควานหาโทรศัพท์ที่คาดว่าน่าจะวางอยู่ใกล้ๆ มือ แต่ต้องตกใจเพราะปลายเตียงมีใครคนหนึ่งนั่งอยู่ ใบหน้านิ่งขรึม แว่นกรอบดำ หนังสือ Text Book เล่มหนาปาหัวสลบ พี่ทาวน์!

“เฮ้ย พี่ทาวน์ ทำไมอยู่ที่นี่ แค่กๆๆ”
ผมไอโขลกออกมาหลังจากพูดจบ คอแห้งเป็นผงและเกิดอาการระคายเคืองอย่างแรง เดือดร้อนคนที่ตั้งใจอ่านหนังสือต้องรีบเดินไปรินน้ำใส่แก้วมาให้ถึงที่ ระหว่างที่เขาหายไปก็แอบหยิกแขนตัวเองเพราะกลัวว่าทั้งหมดที่เห็นเป็นแค่ความฝัน พี่ทาวน์เนี่ยนะอยู่ในห้องของนายภาคินสองต่อสอง แถมท่าทางเหมือนมานั่งเฝ้ากันแบบนั้น ใจเต้นแรงฉิบหาย

“กินน้ำก่อน”

“แค่ก ขอบคุณครับ”
ผมรับน้ำมาดื่มด้วยความกระหายจนหมดแก้ว พี่ทาวน์กลับไปนั่งที่เดิมก่อนจะหยิบหนังสือขึ้นอ่านอีกครั้ง ตอนนี้เองเพิ่งสังเกตเห็นว่าเขาใส่เพียงชุดลำลองสบายๆ พร้อมนอน เอาจริงดิ มาเฝ้าไข้กันเหรอ หรือยังไง แล้วไอ้พี่กับพ่อบังเกิดเกล้าหายหัวไปไหน

ด้วยความอยากรู้คำตอบผมเลยหยิบโทรศัพท์ที่นอนนิ่งอยู่บนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมาพิมพ์ไลน์หาทั้งสองคน ไม่นานเกินรอก็มีคำตอบกลับมา

‘ปาร์ตี้วันฮาโลวีนที่ร้าน Addict’

คำตอบโคตรทำร้ายจิตใจคนป่วยเลยว่ะ

“ทำไมไม่กลับมานอนพัก”
อยู่ๆ คนที่เงียบไปนานก็ถามขึ้นทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอโทรศัพท์อย่างช่วยไม่ได้ทั้งที่กำลังเมามันในการด่าเพื่อนกับพี่ชายอยู่

“หา...”
ผมส่งเสียงออกไปแค่นั้นเพราะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก สมองยังคงเบลอๆ ว่าพี่ทาวน์โผล่มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง หรือไอ้ไธเล่าให้ฟังหมดแล้ว

“ไปรอกูที่โรงหนังทำไม”
พี่ทาวน์วางหนังสือลงแล้วถอดแว่นสายตาออก เขาลุกขึ้นก่อนจะเดินมาใกล้ โน้มตัวลงจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ จำเป็นต้องคุยด้วยระยะห่างไม่ถึงฟุตเหรอ

“ก็นัดกันไว้...”
ผมตอบเสียงแผ่วก่อนจะเบือนหน้าหนีเนื่องจากสบตาแล้วใจเต้นแรงเกินไป ไหนจะกลิ่นสบู่อ่อนๆ ที่ชวนให้สติกระเจิงนั่นอีก รู้สึกป่วยหนักกว่าเดิมเป็นสองเท่า ร่างกายร้อนแปลกๆ

“สุขภาพสำคัญกว่า”
ไม่ว่าเปล่าแต่ยกมือขึ้นแตะหน้าผากกันเพื่อวัดอุณหภูมิ ผมสะดุ้งแต่ก็ลอบมองใบหน้าหล่อเหลานั่นไปด้วย เขาเป็นห่วงเราเหรอถึงได้ทำตัวแบบนี้หรือเพราะแค่จิตสำนึกของคนที่เรียนแพทย์เท่านั้นที่ต้องดูแลคนป่วย

“แต่พี่ก็สำคัญ”
นายภาคินจะไม่ยอมแพ้เว้ย

“อย่าดื้อ”
เขาดุก่อนจะผละตัวออกไป ผมได้แต่นั่งเบะปากอยู่บนเตียง ไอ้ไธก็หาว่าดื้อยังมาโดนพี่ทาวน์อีกคน สรุปว่าต้องยอมรับอย่างนั้นเหรอ ไม่เอาหรอก นายภาคินก็แต่งอแงเวลาป่วยเท่านั้นเอง ร่างกายอ่อนแอ จิตใจก็อ่อนแอ เคยได้ยินไหม
“ผมเปล่า”
ปฏิเสธเสียงอ่อยแล้วหลบสายตาคนแก่กว่า รู้ว่าตัวเองดื้ออย่างที่โดนดุจริงๆ แต่เหตุผลคืออยากใช้เวลากับพี่ทาวน์ในตอนที่มีโอกาส เพราะในอนาคตไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าชีวิตรักของผมจะไปทิศทางไหน อาจสมหวังหรือร้องไห้เป็นพญานก

“งั้นกูกลับล่ะ ไม่ชอบดูแลคนดื้อ”
พี่ทาวน์ว่าเสียงเรียบก่อนจะหมุนตัวเพื่อเดินออกไป ผมเงยหน้าพรึ่บแล้วรีบเอ่ยรั้งด้วยใบหน้าตื่นๆ เมื่อครู่เขาบอกว่าจะดูแลกันใช่ไหม

“เฮ้ยๆ ไม่เอาดิครับ อยู่ด้วยกันก่อนนะ”
แทบจะคลานไปกอดเอวอยู่รอมร่อแต่ห้ามตัวเองได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงโดนกระทืบซะก่อน พี่ทาวน์หันมายักคิ้วให้แล้วใช้มือดีดหน้าผากของผมดังป๊อก

“กูไม่หนีมึงไปไหนหรอก ดูหนังไว้ชวนใหม่ก็ได้”
พี่ทาวน์บอกเสียงกลั้วหัวเราะแล้วเลื่อนมือขยี้หัวกันยุ่งเหยิง ผมปล่อยให้เขาทำตามใจชอบด้วยหัวใจที่อิ่มเอม ภายใต้ความเย็นชายังมีความน่ารักแฝงอยู่เสมอ หึหึ

“จะยอมไปด้วยกันเหรอครับ”
ผมถามเมื่อมืออุ่นนั่นผละออกไป ดวงตาคมมองใบหน้าหล่ออย่างคาดหวังในคำตอบ ชวนตอนไหนก็จะยอมไปด้วยกันจริงๆ เหรอวะ มันราวกับคนละคนเมื่ออาทิตย์ที่แล้วที่เอาแต่บ่ายเบี่ยงเลยนะ อย่าหลอกให้ดีใจเล่นได้ไหม

“ถ้าว่าง”
คำตอบแค่นั้นก็ทำให้ผมเหมือนจะหายเป็นปลิดทิ้ง

ผมนอนกลิ้งไถหน้าจอโทรศัพท์ไปเรื่อยเพราะยังไม่อยากนอน ส่วนพี่ทาวน์ก็ปลงไปตั้งนานแล้วเลยนั่งอ่านหนังสือต่ออยู่ข้างๆ กัน แอพพลิเคชั่นไลน์แจ้งเตือนว่ามีคนส่งข้อความมาจนต้องเปิดดูอย่างเลี่ยงไม่ได้ รูปงานปาร์ตี้ฮาโลวีนที่ร้าน Addict ปรากฏสู่สายตานับสิบภาพ แต่ละคนยิ้มแย้มมีความสุข ในมือถือแก้วเหล้า โคตรน่าอิจฉา

“วันนี้ฮาโลวีนเหรอพี่”
ผมละสายตาจากจอสี่เหลี่ยมเพื่อมองใบหน้าด้านข้างของพี่ทาวน์ที่เอาแต่ตั้งใจอ่านหนังสือ เขาจะรู้บ้างหรือเปล่าว่าวันนี้ข้างนอกคอนโดนั่นสนุกมากแค่ไหน

“อืม”
คำตอบสั้นๆ ทำให้ผมถึงกับลอบถอนหายใจ นึกว่าคนเย็นชาแบบพี่ทาวน์จะไม่สนใจเทศกาลอะไรแล้วซะอีก เพราะจากคำบอกเราของพี่ฟานั้น แม้แต่วันสงกรานต์เขายังไม่สนใจเลย

“อดไปปาร์ตี้ฮาโลวีนที่ร้าน Addict เลยเนอะ”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงหงอยๆ เพราะอยากออกไปสนุกกับเพื่อนบ้าง แต่อยู่กับพี่ทาวน์ก็มีความสุขดีนะ อบอุ่นใจ

“ดูสภาพตัวเองหน่อย”
คนข้างๆ ถึงกับปิดหนังสือแล้วยกขึ้นมาเคาะหัวกัน เจ็บจนต้องลูบหัวเพื่อบรรเทา

“โธ่... อย่าดุสิครับ”
ผมบอกเสียงกระเง้ากระงอดก่อนจะเนียนขยับเข้าไปใกล้อีกคนจนไหล่ชนกัน พี่ทาวน์เหลือบมองเล็กน้อยแต่ไม่ได้ว่ากล่าวอะไร แถมยังถอดแว่นวางไว้บนหนังสือเล่มหน้า หันมาสบตาก่อนจะเปล่งคำพูดบางอย่าง

“Trick or Treat”

“หา...”
ผมร้องเสียงหลงเพราะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ทำไมอยู่ๆ ก็ดึงบรรยากาศวันฮาโลวีนกลับมาได้วะ คือกำลังจะอ้อนเว้ย

“ตอบดิ”
พอเห็นผมเงียบพี่ทาวน์ก็รบเร้าเอาคำตอบพลางขมวดคิ้วมองกันอย่างไม่ลดละ บางครั้งเขาก็ดูเหมือนเด็กตัวเล็กๆ ที่ต้องการเพื่อเล่น มุมแบบนี้นายภาคินขอหวงไว้พบเจอคนเดียวได้ไหม

“คือ... ผมงงอะ”
ผมก็ทำตัวเอ๋อตามสไตล์ ยกมือขึ้นเกาท้ายทอยประกอบคำพูดว่าไม่เข้าใจจริงๆ อยากเข้าโหมดออดอ้อนหวานซึ้งแต่ทำไมกลายเป็นเล่นขอขนมวันฮาโลวีนไปได้

“ฮาโลวีนไง เล่น Trick or Treat”
พี่ทาวน์บอกน้ำเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะล้วงอมยิ้มประมาณสามสี่อันขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงขาสั้นที่ใส่อยู่ เขาพกของแบบนี่ไปไหนมาไหนด้วยเหรอ ปกติไม่เห็นชอบกินเลยนี่

“อ๋อ... งั้นผมเลือก Treat”
ตอบกลับไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ใจจริงอยากได้อมยิ้มในมือเขาด้วยนั่นล่ะ ถึงจะไอจนเจ็บคอก็เถอะ เก็บไว้กินวันหลังก็ได้

“หวังจะเอาลูกอมล่ะสิ”
ผมเกลียดคนรู้ทันได้ไหม เอาอมยิ้มมาโบกๆ ล่อแล้วเก็บเข้ากระเป๋าเหมือนเดิมคืออะไรวะ พี่ทาวน์กวนตีน!

“พี่จะไม่ให้เหรอ”
ผมจ้องเขม็งไปที่กระเป๋ากางเกง สาบานว่าไม่ได้มองเป้าจริงๆ นะ

“ไอคอจะแตกยังจะแดกลูกอม”
พี่ทาวน์ดุก่อนจะแจกมะเหงกให้ผมกินแทนลูกอม นี่เขาเห็นหัวเป็นลูกบอลหรือเปล่า เดี๋ยวจับ เดี๋ยวขยี้ เดี๋ยวลูบ เพลินเลยนะครับ

“.....”
ผมนั่งคอตกทำท่าหงอยเหมือนหมาถูกเจ้านายงดขนม เริ่มไอโขลกอีกครั้งจนคนขี้แกล้งต้องช่วยลูบหลัง มันไม่ช่วยให้บรรเทาอาการหรอก แต่คนส่วนมากชอบทำแบบนี้ให้คนอื่น คล้ายๆ กำลังให้ความใส่ใจซึ้งกันและกัน

“แดกยาอมมะแว้งแทนก่อนก็แล้วกัน”
พี่ทาวน์ส่งซองยาอมสมุนไพรมาให้ตรงหน้า ผมเหลือบมองแล้วเบะปาก รสชาติมันต้องไม่อร่อยแน่ๆ แต่พอเห็นแววตาคาดคั้นของเขาก็ทำได้แค่จำยอม ขืนเถียงอีกคืนนี้คงถูกทิ้งให้นอนคนเดียว

“ป้อนหน่อย”
ไม่วายหาเรื่องอ้อนพี่ทาวน์จนได้

“เป็นง่อยเหรอ”
คนโดนอ้อนถึงกลับตวัดซองยาใส่หน้าด้วยความหมั่นไส้ ดีนะที่ผมหลบทันแต่หงายหลังตึงลงบนเตียงก็ไม่ใช่เรื่องตลก นอนจุกอยู่ราวๆ หนึ่งนาทีกว่าจะเปล่งเสียงโต้ตอบได้ อนาถใจกับสภาพตัวเองเหลือเกิน ความทงความเท่ที่อยากโชว์ให้พี่ทาวน์เห็นก็ไม่เหลือชิ้นดีแล้ว

“ยอมครับ”
ผมบอกก่อนจะส่งสายตาอ้อนพี่ทาวน์ที่ตอนนี้ที่โน้มตัวเข้ามาใกล้ ซองยาถูกเปิดออกพร้อมด้วยมือเรียวที่หยิบวัตถุทรงกลมขึ้นมา

“หึ”
เสียงหัวเราะต่ำทำให้ผมขมวดคิ้วก่อนจะต้องเบิกตาโตเมื่อยาสมุนไพรในมือของพี่ทาวน์ค่อยๆ ไล่ไปตามริมฝีปากสีซีดอย่างอ้อยอิ่งราวกับกำลังหยอกล้อให้หัวใจวายตาย ไหนจะรอยยิ้มยั่วยวนของคนที่โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนนั่นอีก เขาคิดจะทำอะไรคนป่วยกันนะ แค่นี้ยังตัวร้อนไม่พออีกหรือไง

“อึก...”
ปลายนิ้วเรียวสอดเข้ามาในปากพร้อมด้วยยาอมสมุนไพร ผมหายใจติดขัดจนแทบสำลักมันออกมา พี่ทาวน์ผละออกไปด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ ปล่อยให้นายภาคินนอนนิ่งมองเพดานเพราะยังอึ้งไม่หาย เมื่อครู่เหมือนถูกสะกดด้วยคาถาเลยว่ะ โอย อยากจะบ้าตาย!

“ถึงกับช็อค น่าสงสารจริงๆ เด็กโง่”
พี่ทาวน์หัวเราะเสียงเล็กเสียงน้อยก่อนจะใช่นิ้วจิ้มแก้มกันด้วยความเอ็นดู ผมได้แต่นอนหน้าร้อนเพราะอายที่ตัวเองเผลอเคลิ้มไปกับสัมผัสหลอกลวงนั่น เมื่อครู่จำได้ว่าตัวเองเลือก Treat นะ ทำไมโดน Trick ล่ะเฮ้ย

“พี่แกล้งผม!”
ผมตะโกนเสียงดังก่อนจะไล่งับนิ้วเจ้าปัญหาที่หยอกเอินกันมาแล้วถึงสองครั้ง แต่คนประสาทสัมผัสไวกลับหลบได้อย่างคล่องแคล่ว ท่าทางของเราตอนนี้ช่างล่อแหลมชวนใจเต้นเหลือเกิน เป็นแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่วะ

ผมคร่อมพี่ทาวน์ในระยะที่หากเผลอโน้มหน้าเข้าไปก็จะกลายเป็นจูบได้ในทันที

“จุ๊ๆ หลอกต่างหาก นี่ฮาโลวีนเชียวนะ”
คนอารมณ์ดีใช้นิ้วชี้แตะบนริมฝีปากของผมแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริง ดวงตารีฉายแววสนุกสนานแบบไม่ปิดบัง นายภาคินยอมแพ้จริงๆ ไม่สามารถตามพี่ทาวน์ได้ทันเลย เขามีความสุขในวันที่แสนน่ากลัวแบบนี้ก็ดีไป

“ร้ายกาจจริงๆ เลย อย่าให้ถึงคราวผมหลอกพี่บ้างนะ”
ผมโน้มตัวเข้าไปกระซิบข้างหู กลิ่นกายหอมๆ ชวนให้ต้องสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ถ้าไม่ติดว่าป่วยจะจับปล้ำให้ ก็ดูพี่ทาวน์ตอนนี้สิ ไม่ผลักไสแถมยังนั่งนิ่งๆ ให้นายภาคินตักตวงความสุขอีก

“จะหลอกอะไรกูล่ะ”
ถามกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ มือเรียววางแปะลงบนลาดไหล่ของผมทั้งสองข้าง อีกนิดเดียวจะกลายเป็นคล้องคออยู่แล้ว ใจเต้นตึกๆ จนปวดหน้าอกไปหมด

“หลอกให้รัก”
ผมแกล้งเป่าลมใส่หูของคนขี้แกล้งเพื่อเอาคืน แต่ผิดคาดที่พี่ทาวน์ยังคงนิ่งแถมมุมปากยังกระตุกเป็นรอยยิ้มหวานๆ ที่นานครั้งจะได้เห็น แทนที่จะรู้สึกดีใจกลับกลายเป็นว่าเริ่มหวาดกลัวคนใต้ร่าง เขาจะมาไม่ไหนอีกวะเนี่ย นายภาคินป่วยอยู่นะพี่

“ก็หลอกสิครับเด็กดี”

น็อกเอ้าท์!

ฝ่ายนายเมืองเหนือชนะไปด้วยสกอร์ 100 ต่อ 0 ครับ ผมจะยอมเป็นเด็กดีของพี่ตลอดไปเลยเว้ย แบบนี้เรียกว่าอ่อยใช่ไหม!

ถึงผมจะไม่ได้ไปเมาหัวราน้ำร่วมงานปาร์ตี้ฮาโลวีนหรือดูหนังสยองขวัญนั่งแทะป๊อปคอร์นในโรงภาพยนตร์ก็ตาม แต่การได้พูดคุย หยอกล้อกับคนที่ตัวเองชอบนั้น มันทำให้มีความสุขกว่าอะไรทั้งหมดจริงๆ

‘Trick or Treat’
ถ้าเลือก Trick ผมจะล่อลวงคุณด้วยหัวใจแล้วหลอกให้รักไปตลอดชีวิต
ถ้าเลือก Treat ผมจะเลี้ยงดูปูเสื่อคุณเป็นอย่างดี ริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมไปตลอดชีวิต

พวกคุณคิดได้หรือยังว่าจะเลือกข้อไหน แต่สำหรับพี่ทาวน์แล้วนั้น ผมยัดเยียดให้เขาทั้งหมดเลยแล้วกัน

สุขสันต์วันฮาโลวีนครับ



------------------------------------------------

กลับมาอัพนิยายแล้วน้า อ่านตอนพิเศษกันไปก่อนเนอะ 5555
เดี๋ยวแข่งครั้งที่ 22 จะตามมาเร็วๆนี้ฮะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
แข่งครั้งที่ 22



ปวดหัว... นั่นคือความรู้สึกแรกหลังจากรู้สึกตัวในเช้าวันต่อมา เมื่อคืนหมาตัวไหนกรอกสปายใส่ปากกูวะแม่ง น็อคคาวงเหล้าเลยไอ้ฉิบหาย จำได้รางๆ ว่าโดนเพื่อนกับพี่ชายห่ามมาส่งถึงบนเตียงแล้วบ่นสารพัด ผมฟังไม่รู้เรื่องหรอกสติสตังหนีลงทะเลเกลี้ยงเลยตอนนั้น

พยายามพยุงตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียงแต่ต้องผงะเมื่อดวงตาเบลอๆ เห็นภาพตรงหน้า นี่กูยังเมาค้างหรือไง ทำไมพี่ทาวน์ถึงมายืนเช็ดผมอยู่หน้าประตูวะ ไม่อยากจะบอกว่าโคตรเซ็กซี่ขยี้ใจ ใส่เสื้อกล้ามสีขาวซะด้วย โอย นายภาคินหัวใจจะวาย

“มองอะไร”
เสียงเย็นๆ ถามขึ้นก่อนที่ภาพในจินตนาการจะขยับเข้ามาใกล้จนรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร่างกาย ผมยังคงคิดว่าตัวเองเมาเลยลองยื่นมือไปจับชายเสื้อยืดนั่นให้เปิดขึ้น อู้หูว ซิกแพคน้อยๆ อยากลูบว่ะ เผลอแลบลิ้นเลียปากไปแล้วด้วย อืม...

เพี๊ยะ!

เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังลั่นจนผมสะดุ้งโหยง นี่มันไม่ใช่อาการเมาค้างเห็นภาพหลอนแล้วไอ้สัด พี่ทาวน์ตัวเป็นๆ เลยเว้ย ดีแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ต่อยหน้าให้ เผลอทำตัวรุ่มร่ามและแสดงสีหน้าหื่นกามไปขนาดนั้น มีแต่คำว่าฉิบหายแปะอยู่บนหัวเลย

“ทำเหี้ยอะไรของมึง”
สัตว์เลื้อยคลานก็มาวะ ตาเขียวปั๊ดเลยแม่งเอ้ย ผมได้แต่ผงกหัวแล้วพึมพำขอโทษชุดใหญ่ ยังอยากมีชีวิตต่อเพื่อเป็นสามีพี่ทาวน์ในอนาคต

“แฮ่... เมาค้างครับ ปวดหัวจัง”
ผมเบี่ยงประเด็นเมื่ออีกคนส่ายหน้าเหนื่อยๆ แล้วทิ้งตัวลงปลายเตียง แผ่นหลังกว้างนั่นน่าซบเป็นบ้า พอย้อนคิดไปถึงเมื่อตอนเย็นวานก็ต้องอมยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ มาเที่ยวทะเลโคตรกำไรชีวิตอะ แต่เดี๋ยวก่อน ทำไมนายพาคินมานอนที่นี่วะ จำได้ว่าห้องตัวเองมองไม่เห็นระเบียงหน้าบ้านนี่หว่า หรือจำผิด

“เดี๋ยวชงกาแฟดำให้กิน”
พี่ทาวน์บอกเสียงเรียบก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อออกไปทำตามที่บอก แต่ผมกลับคลานอย่างทุลักทุเลไปคว้าข้อมือเขาเอาไว้ อยากอ้อนก่อนหายแฮงค์ได้หรือเปล่า

ว่าที่คุณหมอหันกลับมาในสภาพหัวคิ้วขมวด มองข้อมือตัวเองสลับกับหน้าของผมเป็นเชิงถามว่ามีอะไร ดีหน่อยที่เขาไม่ได้ด่า ช่วงนี้รู้สึกอะไรๆ ก็ดูอ่อนลง ทั้งคำพูด การกระทำ อาจจะรวมไปถึงหัวใจ

“อย่าเพิ่งไปเลยครับพี่ทาวน์”
ผมว่าเสียงอ่อนก่อนจะปล่อยเขาให้เป็นอิสระ ดวงตาคมจ้องมองใบหน้าที่หลงใหลมาหลายเดือนด้วยหัวใจที่เต้นรัว เวลาพี่ทาวน์ทำหน้าสงสัยมันน่าหยิกชะมัด

“ทำไม”
เขากอดอกคล้ายกำลังกดดันเพื่อเอาคำตอบ ผมซึ่งยังคงคิดว่าตัวเองยังคงเมาค้างเลยทำสิ่งที่หน้าด้านกว่าปกติ จ้องตา พูดความต้องการออกไปตรงๆ

“อยากอยู่ด้วย”
ช่วงไหนป๊อดก็หัวหดในกระดองสุดๆ ช่วงไหนก็ก็โคตรหน้าด้าน เกลียดตัวเองว่ะ

“หึ นอนด้วยกันทั้งคืนยังไม่พออีกหรือไง”
พี่ทาวน์ผลักหัวกันแล้วยกยิ้มมุมปากที่ทำให้ผมต้องสตั๊นไปเกือบสิบวินาที นอนคงามหมายไหนวะ สมองประมวลผลไม่ทัน แม่ง ขอกาแฟดำด่วนๆ เลยได้ไหม

“ห๊า...”
ผมร้องเสียงหลงแล้วอ้าปากพะงาบๆ กระพริบตาถี่ๆ หัวใจเต้นระรัวเหมือนคนวิ่งหนึ่งกิโลเมตรแบบไม่หยุดพัก จะช็อกตายอยู่แล้วเว้ย

“นอนหลับเฉยๆ มึงจะตกใจอะไร”
พี่ทาวน์ขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะหรี่ตามองอย่างจับผิดว่าผมคิดไปถึงไหนต่อไหน แล้วนายภาคินจะทำอะไรได้นอกจากก้มหน้าหลบตาจนคางชิดอก โคตรอายที่เผลอคิดอกุศลกับเขาไป แต่ลึกๆ ก็อยากให้มันเป็นเรื่องจริงนะ รวบหัวรวบหางจับทำเมียซะ ไม่ต้องจีบให้ยุ่งยาก แต่ทำไมได้ยินเสียงใครสักคนตะโกนว่าฝันกลางวันอยู่ไกลๆ วะ

“แล้วผมมานอนที่นี่ได้ไงอ่า”
เปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็วแต่ไม่วายวนๆ กับการนอนนี่ล่ะ

“ไอ้ฟาร์มกับไอ้ฟากอดคอกันตายในห้องมึงไง”

“อ๋อ...”
นึกว่าพี่ทาวน์พิสวาสลากผมเข้าห้องซะเอง นี่ถ้าตื่นมาแล้วปวดสะโพก กูแหกปากร้องไม่ไว้หน้าใครเลยนะ... ยิ่งกลัวๆ ว่าจะได้เป็นเมียอยู่

“กูไปได้หรือยัง”
คำถามของเขาช่างทำร้ายจิตใจคนแฮงค์ได้อย่างอยู่หมัด ยังไม่ทันได้อ้อนให้หนำใจก็โดนบอกลาซะแล้ว เกิดเป็นผมชีวิตรันทดจริงๆ

“อ่า... รีบเหรอครับ”

“เออ ดูนาฬิกาด้วยว่ามันกี่โมงแล้ว”
พี่ทาวน์พูดจบก็เดินออกไปทันทีโดยไม่รอผมที่กำลังหันซ้ายหันขวาหาอุปกรณ์บอกเวลา จะให้ลุกตามไปก็รู้สึกเวียนหัวจนอยากจะอ้วกเลยทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง หมดสภาพจริงๆ เข็ดแล้วกับสปาย ถ้าใครซื้อมาแดกอีกพ่อจะเผาทิ้ง!

ผมกวาดมือสะเปะสะปะไปตามโต๊ะที่ตั้งอยู่ข้างเตียงแล้วเจอเข้ากับโทรศัพท์มือถือของ... กดดูหน้าจอแล้วได้แต่อึ้ง ไม่ใช่ของตัวเองว่ะ แต่เป็นของพี่ทาวน์ ล็อกสกรีนเป็นรูปหมาป่า โอ้โห บ่งบอกถึงความดุชัดๆ

เดี๋ยวนะ เลขหนึ่งที่นำเลขศูนย์อยู่สามตัวบนหน้าจอโทรศัพท์นี่คือ... ไอ้เหี้ย สิบโมง สายจนตะวันเสยตูดแล้ว!

ผมกุลีกุจอลุกจากเตียงโดยลืมว่าข้อเท้าแพลงทำให้เสียการทรงตัวจนก้นกระแทกพื้น เจ็บจนจุกแถมร้องไม่ออกสักแอะ พี่ทาวน์ที่เปิดประตูกลับเข้ามาพร้อมถ้วยกาแฟในมือถึงกับหัวเราะลั่นกับสภาพน่าอนาถใจ เขาเข้ามาช่วยพยุงและเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ปลายจมูกของนายภาคินแตะลงบนแก้มนุ่มขาวผ่องนั่น เผลอสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดจนได้กลิ่นอาฟเตอร์เชฟ อยากจะบอกว่าผมเมามากกว่าทีแรกซะอีก เมารักน่ะนะ

ได้จิบกาแฟดำที่เข้มจนเปรี้ยวไปสองสามอึกอาการมึนก็เหมือนจะดีขึ้นเลยลากสังขารเปลี้ยๆ เข้าห้องน้ำเพื่อจัดการตัวเอง ด้วยความรีบเกือบล้มหัวฟาดชักโครกตายอีก ข้อเท้าแพลงแถมอีกข้างเป็นแผลโคตรใช้ชีวิตลำบาก แต่ผมเสือกกลัวเหงาเลยดั้นด้นออกไปเที่ยวกับคนอื่นด้วย ตัวถ่วงขนานแท้เลยกู

“พยาบาลส่วนตัวมึงนี่งานดีฉิบหาย”
ไอ้ฟาร์มเข้ามากระซิบกระซาบหลังจากพี่ทาวน์พยุงผมมาส่งที่หน้าประตูแล้วกลับไปเอากุญแจรถที่ลืมหยิบมา วันนี้ได้นั่งตัวเองกลายเป็นตุ๊กตาหน้ารถแทนไอ้ตังค์

“อิจฉากูเหรอฟาร์ม”
ผมพูดเสียงทะเล้นก่อนจะยักคิ้วกวน ถึงจะเจ็บแต่โคตรมีความสุขเลยว่ะ พี่ทาวน์ดูแลแทบจะทุกเวลา ดีหน่อยที่ไม่ได้ถึงขนาดป้อนข้าวป้อนน้ำ ถ้าเป็นอย่างนั้นคงคิดว่าตัวเองง่อยแดก

“อิจฉาก็ควายแล้วเพื่อน เป็นไอ้เดี้ยงขนาดนี้”
มันเบ้ปากใส่ก่อนจะผลักหัวผมเต็มแรงจนเกือบเซล้ม ดีหน่อยที่ไอ้ไธขยับมาจับแขนกันไว้พอดี ไม่อย่างนั้นคงเขียวช้ำไปทั้งตัว เมื่อเช้าก็ก้นกระแทกพื้น ขออย่าน่วมไปกว่านี้เลย

“สัด”
ด่าเสียงรอดไรฟันตามหลังคนที่วิ่งร่าเริงไปหาพี่ฟาด้วยความหมั่นไส้ คู่นี้ก็แปลก ไอ้คนที่ตั้งท่าจะจีบชาวบ้านโคตรป๊อด แต่ไอ้คนที่จะถูกรุกกลับเข้าหาซะเอง ดูๆ ไปโคตรน่าอิจฉา เท่ากับว่าไอ้ฟาร์มไม่ต้องทำอะไรเลย กูเนี่ยพยายามแทบตาย ยังไม่มีความคืบหน้าเลย เฮ้อ

“มานี่ เดี๋ยวกูช่วยพยุง”
ไอ้ไธบอกแล้วดึงแขนผมไปพาดบ่าตัวเองก่อนจะพากันเดินเรื่อยๆ ไปที่ลานจอดรถ ได้ยินเสียงพี่ทาวน์ที่ออกมาจากบ้านพักเป็นคนสุดท้ายกำลัง

“ขอบใจเว้ยไอ้ไธ”

“เออ เมื่อคืนฟินไหมล่ะ ได้ข่าวว่านอนห้องพี่ทาวน์ ขนาดพี่แฮมยังยอมย้ายสังขารเปลี้ยๆ ออกมาตายข้างนอก”

“ฟินห่าอะไร หลับอย่างกับตาย นี่ยังปวดหัวอยู่เลย หมาตัวไหนเอาสปายกรอกปากกูเนี่ย”

“หมาแฝดมึงอะ”

“ไอ้จิณณ์!”

“ว่าไงน้องชาย ฮี่ฮี่”
ฮี่พ่อง เดี๋ยวกูต่อยฟันร่วง

“จะไปไหนกันครับ”

“สวนสัตว์”

“ห๊ะ...”

“เอามึงไปปล่อย หึหึ”

“.....”
กูนี่คิดไม่ออกเลยว่าตัวเองควรเป็นสัตว์อะไรดี ฮึก ควายป่าเหรอ หรือนก ไม่เอานะเว้ย ไม่โอเคทั้งคู่เลย!

นั่งรถจนก้นชาก็มาถึงที่หมายอย่างเจพาร์ค ไม่ต้องถามว่าใครขอทริปนี้มานอกจากไอ้เนิร์ดตังค์ที่คลั่งทั้งอนิเมะและประเทศญี่ปุ่น ผมก็ชอบพวกหนังเอวี เด็ดสุด หูย... แต่อย่าบอกพี่ทาวน์นะ โดนด่าว่าบ้ากามแน่ๆ

“จะตามมาเป็นภาระชาวบ้านทำไมเนี่ย” ไอ้ฟาร์มที่เดินข้างๆ กันส่งเสียงกระแนะกระแหนแถมยังเอาไหล่มาชนจนผมเกือบเซไปชนราวสะพานสีแดง จุดนี้วิวสวยเหมาะแก่การถ่ายรูป แต่ตอนนี้มีอารมณ์อยากถีบเพื่อนให้ตีลังกาตกลงไปข้างล่าง

“ไอ้สัด จะไปไหนก็ไปดิวะ”
ผมแยกเขี้ยวใส่แล้วผลักมันออกไปห่างๆ คนยิ่งเดินไม่ถนัดทำไมชอบแกล้งกันนักวะ แล้วพี่ทาวน์ก็หายไปกับเพื่อนซะเฉยๆ เฮ้อ ว่าจะชวนถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อย

“เดี๋ยวหาว่ากูทิ้งเพื่อนอีก”
มันเบ้ปากใส่ก่อนจะบ่นอะไรงุ้งงิ้งตามประสา ผมไม่ใช่คนไร้เหตุผลขนาดนั้น รู้ว่าตัวเองทำอะไรได้แค่ไหน เข้าใจดีว่าคนอยากมาเที่ยว ใครจะขัดความสุขเพื่อนวะ

“กูไม่ได้งี่เง่าขนาดนั้น”
ผมบอกก่อนจะผลักหัวมันด้วยความหมั่นไส้ ขนาดไอ้ตังค์โดนไอ้เอยลากไปตั้งแต่ลงจากรถยังไม่เป็นปัญหาเลย ทั้งๆ ที่มันน่าเป็นห่วงมากกว่าคนอื่น

“งั้น... ไปนะ อิอิ”
มันบิดตัวไปมาแล้ววิ่งดุ๊กดิ๊กหายไปอีกทางหนึ่งด้วยความร่าเริง ผมได้แต่มองตามไปแล้วหัวเราะออกมา เพื่อนมีความสุขก็ดีแล้ว จะมาเดินตามคนเดี้ยงทำไมล่ะวะ

“อยากเตะก้านคอมันสักที แม่ง”
ผมบ่นแต่ก็ยิ้มออกมา ไอ้ไธที่ยืนอยู่ข้างๆ เลยตบบ่าเป็นเชิงปลอบใจ นี่ก็อีกคน เกาะติดกันอยู่ได้ ทำไมไม่เดินไปกับจิณณ์วะ กำลังทำคะแนนได้ดีอยู่แล้วเชียว ไม่กลัวแดกแห้วหรือไง

“ใจเย็นน่า มันก็หยอกมึงเล่น”

“เออ รู้ แต่หมั่นไส้ไง”

“เจ็บแผลปะวะ ลงน้ำหนักขนาดนั้น”
ไอ้ไธถามก่อนจะมองลงไปที่เท้า ผมทิ้งน้ำหนักลงเท้าด้านที่เป็นแผลโดยที่ไม่สามารถไปยุ่งกับข้างที่แพลงได้ เพราะมันระบม ก่อนออกมาจากบ้านก็โดนพี่ทาวน์บ่นๆ ใส่นิดหน่อยที่ดื้อ ก็ไม่อยากอยู่คนเดียว

“ก็เจ็บนะ แต่ไม่อยากเป็นภาระใคร”
ผมบอกก่อนจะพิงสะโพกกับราวสะพานเพราะไม่รู้จะเดินต่อไปทางไหนดี ต่างคนต่างแยกกันไปมันก็จะเหงาๆ หน่อย

“กูช่วยพยุงได้น่า”
ไอ้ไธทำท่าจะจับแขนให้คล้องคอตัวเองแต่ผมส่ายหน้าเป็นพัลวันแถมยังโบกมือไล่เพื่อนอีกรอบ ก็บอกแล้วไงว่าไม่อยากเป็นภาระใครที่ไหน ถึงมันจะเต็มใจก็เถอะ

“ไม่เอาๆ เกรงใจ มึงไม่ไปเดินกับจิณณ์ล่ะ”
ผมเปลี่ยนเรื่องแล้วมองสิ่งปลูกสร้างสไตล์ญี่ปุ่นจ๋าตรงหน้า ดูๆ ไปมันก็สวยดี ถ้าในอนาคตสร้างบ้านแบบนี้คงคลาสสิคใช่เล่น แบบเรือนไทยก็เข้าท่า แต่มันวังเวงชอบกล

“เว้นระยะห่างบ้าง ตามติดเกินไปจิณณ์คงอึดอัด”
ไอ้ไธบอกก่อนจะคลี่ยิ้มบางประกอบ มันล้วงโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปตรงนั้นทีตรงนี้ทีแล้วจบด้วยผมที่ทำหน้าเหวอ บอหให้ลบก็ไม่ยอมเลยปล่อยไป แต่ถ้ามึงเอารูปกูไปลงจะบอกให้จิณณ์งอนแม่งเลย หมั่นไส้นัก ชอบแกล้งคนไม่มีทางสู้

“ไปเดินเล่นเถอะ เดี๋ยวกูอยู่เป็นเพื่อนไอ้เจ็ทเอง”
เสียงคุ้นเคยดังขึ้นจากทางด้านข้าง ผมกับไอ้ไธหันขวับไปมองพร้อมกัน พี่ทาวน์เดินตรงเข้ามาพร้อมแก้วชาเขียวและชานม โผล่มาแบบนี้เป็นห่วงกันหรือเปล่า แอบดีใจว่ะ

ไอ้ไธหันมองผมสลับกับพี่ทาวน์อย่างลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยอมพยักหน้าก่อนจะรับแก้วชานมมาถือไว้ โคตรมีน้ำใจอะ น่ารักจริงๆ เลย

“เอ่อ... ก็ได้ครับ งั้นผมฝากมันด้วยแล้วกัน”
มันฝากฝังผมไว้กับพี่ทาวน์ก่อนจะเดินออกไปด้วยความมึน ยกมือเกาท้ายทอยอย่างกับคนเป็นเหา ตลกว่ะ

“อ้าว ทิ้งกันเฉย”
ผมพึมพำแล้วมองตามไอ้ไธไปจนลับตา ได้อยู่กับพี่ทาวน์สองคนมันก็ดี แต่รู้สึกเขินแปลกๆ ที่อีกคนหายไปแล้วกลับมาอยู่ข้างกันในตอนนี้ นึกว่าจะแยกกันเดินจนถึงเวลานัดหมายกลับไปที่รถซะอีก

“อยู่กับกูไม่ได้หรือไง”
พี่ทาวน์ถามเสียงเรียบแล้วดันแก้วชาเขียวที่เหลืออยู่มาแตะแก้ม ผมสะดุ้งเฮือกเพราะมันเย็นเจี๊ยบ เผลอลงน้ำหนักเท้าข้างที่แพลงไปเยอะจนต้องนิ่วหน้า เจ็บฉิบหาย กลับถึงที่พักคงโดนว่าที่คุณหมอด่าเอาแน่ๆ

“เปล่าครับ แต่กลัวเป็นภาระพี่น่ะ”
ความเกรงใจเดิมๆ กลับมาอีกครั้ง พี่ทาวน์ที่กำลังผละแก้วชาเขียวออกจากแก้มชะงักมือไปก่อนจะหันมองมาทางนี้ด้วยสายตาเคืองๆ ผมพูดอะไรผิดหรือเปล่าวะ

“หึ เออ ภาระคนอื่นโคตรๆ เลยมึงนะ”
พี่ทาวน์ใช้มือข้างที่ว่างผละหัวกันเบาๆ แล้วยัดแก้วชาเขียวใส่มือผม หน้าตาไม่ได้บ่งบอกว่าหงุดหงิดอะไร แต่แค่คำพูดนั้นของเขาก็ทำให้หน้าชาแล้ว สรุปว่านายภาคินเป็นภาระคนอื่นจริงๆ ใช่ไหม รู้สึกผิดเลยแม่ง

“ขอโทษครับ”
ผมบอกเสียงอ่อยก่อนจะก้มหน้าดูดชาเขียวที่พี่ทาวน์อุตส่าห์ซื้อมาฝาก กัดหลอดจนแทบแตกคาปากเพราะกลัวว่าเขาจะไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้ ต้องช่วยเหลือคนอื่นแล้วไม่ได้ไปเที่ยวอย่างใจนึก

“แต่มึงไม่ใช่ภาระสำหรับกูนะ”
น้ำเสียงทุ้มนั้นทำให้ผมเบิกตากว้างมองคนข้างกายอย่างอึ้งๆ ไม่คิดเลยว่าจะได้ยินคำนี้จากคนปากแข็ง ตอนนี้รู้สึกจะบ้าตายให้ได้ พี่ทาวน์กำลังยื่นความหวังให้ใช่ไหม ประโยคหวานจนรู้สึกน้ำตาลในกระแสเลือดเพิ่มขึ้นเลยว่ะ แล้วรอยยิ้มละมุนที่ส่งมาคืออะไร มันทำให้ใจสั่นไม่รู้หรือไง แรงยิ่งกว่าแผ่นดินไหวซะอีก

ประมาณห้าโมงเย็นเราก็กลับมาถึงที่พักพร้อมกับของจากซุปเปอร์มาร์เก็ตหลายถุง เย็นนี้จะมีปาร์ตี้ริมหาดเพื่อรอเค้าท์ดาวน์เข้าปีใหม่ ผมเห็นไอ้ตังค์รีบวิ่งลงมาจากรถสีชาทันทีโดยไม่สนคนที่ตะโกนเรียกด้านหลัง

“ซื้ออะไรมาเยอะแยะครับคุณฟา”
ไอ้ตังค์ถามก่อนจะเอื้อมมือมาช่วยหิ้วถุงจากพี่ฟา ดวงตาใต้กรอบแว่นมองทุกอย่างด้วยความตื่นเต้น เห็นตัวเล็กๆ แบบมันก็กินเก่งไม่แพ้พี่แฮมเลย สายแดกที่แท้ทรู

“ไอ้ทาวน์จะโชว์ฝีมือทำกับข้าวคืนนี้”
พี่ฟาตอบเสียงกลั้วหัวเราะแล้วยิ้มเยาะคนที่พยุงตัวผมอยู่ เพิ่งรู้ว่าพี่ทาวน์ทำอาหารเป็น ราศีแม่บ้านแม่เรือนจับเชียว

“ตลกแล้วไอ้สัด”
พี่ทาวน์ถลึงตาใส่เพื่อนแล้วยกนิ้วกลางให้ ท่าทางแบบนี้ขอเดาเลยว่าพี่ฟาแม่งประชดประชัดชัวร์

“กูยอมอดตายอะ”
เสียงพี่แฮมยืนยันความคิดของผมได้ดี พี่ทาวน์ทำอาหารไม่เป็น ถ้าทำเป็นช่วงเช้าของทุกวันที่มีเรียนคงไม่ต้องแบกท้องไปหาอะไรกินที่มหา’ลัยหรอก

“โคตรเว่อร์”
พี่ทาวน์ปลายตามองพี่แฮมก่อนจะส่งเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจที่โดนรุม ผมได้แต่กลั้นยิ้มเอาไว้กับท่าทางเด็กๆ ของเขาที่แสดงออกมา

“ล้อเล่นน่า เดี๋ยวกูกับจิณณ์จะช่วยกันทำอาหาร ส่วนพวกมึงๆ ทั้งหลายก็เตรียมเครื่องดื่ม กับแกล้มให้พร้อมแล้วกัน”
พี่ฟาบอกก่อนจะโบกมือไล่พวกผมที่เหลืออยู่เพื่อกระจายไปเตรียมของสำหรับปาร์ตี้คืนนี้ ส่วนผมโดนพี่ทาวน์เอามาหย่อนทิ้งไว้ที่ม้านั่งตัวยาวแล้วเดินออกไปคุยโทรศัพท์กับที่บ้าน ดูท่าทางเครียดๆ ยังไงชอบกล คงเป็นเรื่องที่ไม่ยอมกลับไปฉลองปีใหม่กับครอบครัวล่ะมั้ง

“วงเหล้าสองคืนติดเลยว่ะ”
ไอ้เอยที่นั่งอยู่ข้างผมบ่นพึมพำในขณะที่มือก็เล่นเกมในโทรศัพท์ไปด้วย มันติด ROV ครับ บางทีก็ได้ยินมันเปิดไมค์ด่าเพื่อนร่วมทีม หัวร้อนจนใครก็ไม่กล้ายุ่ง แต่พอไอ้ตังค์จะดูการ์ตูนบ้างกลับห้ามแล้วห้ามอีก เห็นแก่ตัวสุดๆ ผัวจอมเผด็จการในอนาคตชัดๆ สงสารไอ้เนิร์ดล่วงหน้าเลย

“หรือไม่ดีไอ้เอย”
พี่แฮมที่ก้มๆ เงยๆ รื้อของในถุงพลาสติกหันมาถาม ผมเดาว่าเขาคงหาขนมกระแทกปากอยู่แน่ๆ หน้ายุ่งเชียว ได้ยินเสียงพึมพำว่าปลากรอบกูหายไปไหนด้วย

“โคตรดีครับพี่ หึหึ”
ไอ้เอยหัวเราะเสียงต่ำแล้วหันไปมองไอ้ตังค์ด้วยดวงตาแวววาว ผมอยากจะเอาไม้เสียบลูกชิ้นที่ไอ้ไธกำลังกินอยู่จิ้มๆ ให้มันบอดฉิบหาย มึงอย่ามาหื่นใส่เพื่อนกูนะเว้ย ตัวเล็กๆ บางๆ แบบนี้เดี๋ยวเอวหักตายกันพอดี

“หัวเราะบ้าอะไรครับคุณเอย”
ไอ้ตังค์ถามเสียงฉุนก่อนจะขยับตัวหนีไปยืนหลบอยู่ด้านหลังจิณณ์ แต่ฝ่ายนั้นไม่ให้ความร่วมมือเพราะมันหย่อนตัวนั่งเบียดผมซะอย่างนั้น แทบจะเกยตักอยู่แล้ว ไอ้ห่า!

ผมใช้ศอกกระทุ้งจิณณ์ให้ออกไปห่างๆ เพราะเมื่อครู่มันเหวี่ยงขามาแตะโดนข้อเท้าผมเต็มๆ เจ็บจนร้องไม่ออก แต่มันกลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แถมยังเอื้อมมือไปขโมยลูกชิ้นจากปากไอ้ไธอีก ไอ้สัด น้ำจิ้มหกใส่กางเกงสีขาวของกูแล้ว อีกอย่างคืออย่ามาแสดงความรักกันแถวนี้ อิจฉา! ไปรุงรังกันที่อื่นไป๊

“เปล๊า มึงไปซื้อเครื่องดื่มกับกูที่เซเว่นดีกว่า”
ไอ้คู่นี้ก็ยังไม่เลิกวอแวกันสักที อีกคนเข้าหา อีกคนวิ่งหนี ชาตินี้คงสมหวังหรอก รำคาญเว้ย เหม็นความรักด้วย

“ไม่เอา”
ผมกับคนที่เหลือเงียบลงอย่างพร้อมเพียงเพราะอยากเผือกเรื่องของไอ้คู่นี้ว่ามันไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว เพราะเมื่อคืนพากันไปนอนก่อนใครเพื่อน ใครคึกปล้ำใครบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้

“ตังค์ครับ”
เสียงเรียกดุๆ ทำให้ผมหันขวับไปมองไอ้เอยทันที รู้สึกได้ถึงการแผ่รังสีอำมหิตแปลกๆ เหมือนคนที่ถือไพ่เหนือกว่าแล้วบังคับด้วยการเอาความลับระหว่างสองคนมาขู่ อย่าบอกว่าพวกมึงได้เสียกันเรียบร้อยเมื่อคืนนะ กูจะร้องไห้ มาทีหลังอย่าสำเร็จภารกิจก่อนสิวะ

“ฮึย ก็ได้ๆ”
คราวนี้ยอมง่ายจังวะเฮ้ย แถมไม่สะบัดมือที่โดนไอ้เอยจับอีก ผมว่ามันชักจะยังไงๆ แล้วนะคู่นี้ รู้สึกใจคอไม่ดีเลยว่ะ

“กูว่าสองคนนั้นคงได้เสียกันแล้ว”
ฝาแฝดที่เคี้ยวลูกชิ้นตุ่ยๆ หันมาพูดด้วยหน้าตาจริงจังจนผมต้องขมวดคิ้วมอง ไม่จริงมั้ง เมื่อคืนไม่เห็นมีเสียงแปลกประหลาดอะไรเลย แต่เดี๋ยวก่อน... กูเมาหลับนี่หว่า ขนาดพี่ทาวน์นอนข้างๆ ยังไม่รู้เรื่องเลยแม่ง

“ปากมึงนะจิณณ์ เพื่อนกูเป็นพวกหัวโบราณจะตาย”
ผมพยายามช่วยเพื่อนทั้งที่ในใจก็เผลอคิดไม่ต่างจากจิณณ์เลยสักนิด เพราะมีอะไรบางอย่างในตัวไอ้ตังค์บ่งชี้ไปในทิศทางนั้นจริงๆ

“ตามึงบอดเหรอน้องชาย รอยแดงเป็นจ้ำๆ ที่คอเพื่อนมึงนี่คิดว่ายุงกัดหรือไง”
จิณณ์พูดย้ำในสิ่งที่ปรากฏบนตัวไอ้ตังค์ หลักฐานชิ้นโตที่ประทับลงบนคอขาวเนียนนั่นชัดเจนอยู่ในความทรงจำของผม ตอนที่เห็นครั้งแรกสงสัยแทบตายว่ารอยอะไรแต่ไม่กล้าถามเพราะดูท่าทางมันจะหงุดหงิดตั้งแต่เช้า แต่ด้วยความที่ไม่อยากใส่ความเพื่อนเลยปัดๆ ทิ้งไป

“งั้นรอยที่คอมึงก็โดยไอ้ไธดูดอะดิ”
ผมจิ้มนิ้วลงไปที่รอยแดงช้ำม่วงบนคอของจิณณ์ซะเต็มแรง มันสะดุ้งแล้วหันมาถลึงตาใส่อย่างโกรธๆ หน้าดำหน้าแดงไปหมดแล้ว ดีนะที่ไอ้ไธเดินไปหาน้ำกินในบ้าน ไม่อย่างนั้นคงนั่งสำลักลูกชิ้นตายห่าไปแล้ว

“บ้า! ยุงกัดเว้ย”
มันยกมือขึ้นปิดซอกคอด้วยหน้าตาตื่นๆ ยุงอะเมซอนมั้งกัดซะม่วง ตอแหลไม่มีใครเกิน

“จ้า ยุงกัดจนช้ำเลย ถ้ากูเชื่อก็ควายแล้ว”
ผมเหน็บมันก่อนจะเบ้ปาก ไอ้คนตอแหลลุกขึ้นเต็มความสูงแล้วหันมาย่นจมูกใส่

“ไม่คุยกับมึงแล้ว ไร้สาระโคตรๆ”
ด่ากับจบมันก็สะบัดก้นไปช่วยไอ้ไธเตรียมกับแกล้มอีกด้านหนึ่ง ด้วยความหมั่นไส้ผมเลยตะโกนไล่หลังไป

“แหม ไอ้คนมีสาระ!”

“ทะเลาะกันอย่างกับเด็กๆ นะพวกมึง”
พี่ทาวน์ทิ้งตัวลงนั่งข้างกันแล้วยื่นอมยิ้มรสส้มมาให้ ผมรับมาก่อนจะเอ่ยขอบคุณ เดี๋ยวนี้กินมันจนฟันจะผุแล้วครับ

“จิณณ์มันชอบกวนตีนผมอะ”
ผมบอกก่อนจะก้มหน้าก้มตาแกะห่ออมยิ้ม แต่เคยเป็นกันไหมที่ดึงพลาสติกเท่าไหร่มันก็ไม่ออก ทั้งใช้ฟันกัด กระชากก็แล้ว โอย ไม่แดกแม่ง แต่ตอนที่กำลังจะตัดใจพี่ทาวน์ก็เอื้อมมือมาแย่งไปจัดการให้โดยไม่นึกรังเกียจน้ำลายเยิ้มๆ นั่น ทำไมช่วงนี้ชอบทำตัวเหมือนเอาใจกันจังวะ แอบคิดเข้าข้างตัวเองแล้วเนี่ย

หลังจากที่ผมได้รับอมยิ้มคืนกลับมาเราก็นั่งเงียบใส่กัน พี่ทาวน์นั่งกดโทรศัพท์ตอบไลน์คนโน้นคนนี้ไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย แอบเห็นว่ามีสาวๆ ทักมาเพียบ รู้สึกไม่ชอบใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่มีสิทธิ์ในตัวเขา

“มึงไปอาบน้ำไป จะได้ทายาแล้วก็ทำแผลอีก”
อยู่ๆ คนที่นั่งสนใจแต่โทรศัพท์ก็หันมาสั่งกัน ผมได้แต่พยักหน้ารับก่อนจะดึงไม้อมยิ้มที่กัดระบายความเครียดจนเละทิ้งลงในถุงขยะที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ แล้วพยุงตัวเองลุกขึ้น รู้สึกเจ็บแปลบจนต้องยืนนิ่งอยู่สักพัก

“โอเคครับ”
ผมตอบแล้วค่อยๆ ลากสังขารเข้าบ้านพัก เมื่อปลอดคนก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ บางทีก็ดูเหมือนมีความหวังเรื่องพี่ทาวน์แบบสุดๆ แต่บางทีก็เหมือนเรื่องราวระหว่างเราช่างเลือนรางเหลือเกิน เฮ้อ

ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มที่ทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตากันรอบวงเหล้าหน้าบ้านพัก เสียงคลื่นทะเลที่ซัดกระทบฝั่งยามนี้ฟังคล้ายดนตรีขับกล่อมไพเราะ แต่ไม่มีเวลาจะดื่มด่ำบรรยากาศธรรมชาติหรอกเพราะอยู่ๆ ไอ้ฟาร์มก็เคาะขวด ขัดอารมณ์สุนทรีย์ของกูจริงๆ เลย

“นี่ๆ เรามาหาเกมเล่นฆ่าเวลาก่อนจะเค้าท์ดาวน์กันดีกว่า”
ไอ้ฟาร์มเสนอด้วยสีหน้าตื่นเต้น ไม่รู้ว่าคิดเกมอะไรสัปดนอยู่หรือเปล่า ผมได้แต่นั่งฟังเงียบๆ แล้วจิบเบียร์ที่ไอ้ไธส่งมาให้

“จะเล่นอะไรวะ”
เสียงพี่ฟาถามอย่างอยากรู้ ผมนี่อยากจะแหมไปถึงดาวอังคารตอนไอ้ฟาร์มหันไปยิ้มกรุ้มกริ่มใส่คนข้างตัว ที่เมื่อก่อนป๊อด พอเขามาส่งที่บ้านครั้งเดียวกลับระริกระรี้ เกลียดมันจริงๆ

“คิง!”
ชื่อเกมสั้นๆ เรียกให้ทุกคนชะงักการกระทำทั้งหมด เดี๋ยวแม่งต้องมีใครสั่งอะไรแปลกๆ แน่ ครั้งก่อนผมเคยตะโกนบอกรักยางรถยนต์กลางลานจอดรถรวม โคตรอาย

“เล่นยังไงครับ”
ไอ้ตังค์ถามก่อนจะเอนหัวซบไหล่ไอ้เอย ท่าทางอ่อนข้อแบบนี้ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามันคงกรึ่มๆ แล้ว คออ่อนชะมัด


“เรามีกันเก้าคนใช่ปะ คนหนึ่งสละตัวเป็นพระราชาตาแรก ส่วนที่เหลือจับสลากเลขหนึ่งถึงแปด เลขที่เหลือเป็นของคิง”
เกมใช้ดวงล้วนๆ ส่วนผมนี่แต้มบุญหมดไปตั้งแต่ชาติที่แล้ว วันนี้คงซวยเจอคำสั่งเหี้ยๆ อีกตามเคย ทำใจเอาไว้เรียบร้อย

“อืม... แล้วพระราชาเชี่ยๆ ก็ออกคำสั่งให้ทำตามสินะ”
ไอ้ไธกรอกตาด้วยความเบื่อหน่าย เพราะครั้งก่อนมันก็โดนคำสั่งบ้าๆ จากไอ้ฟาร์มเหมือนกัน มีอย่างที่ไหนให้เดินไปขอเบอร์พี่กระเทยร่างยักษ์ที่คณะเกษตรวะ ดีแค่ไหนที่มันเอาตัวรอดกลับมาได้ ไม่ได้ข่มขืนซะก่อน

“เยป... หน้ากูชาเลยไอ้สัด อุตส่าห์จะสละตัวเป็นพระราชาให้ก่อน”
ไอ้ฟาร์มบ่นกระปอดกระแปดก่อนจะทำหน้ามุ่ยจนพี่ฟาที่นั่งอยู่ข้างๆ ยกมือขึ้นขยี้หัวด้วยความเอ็นดู ปลายหางตาเหลือบเห็นพี่ทาวน์ที่กรอกตาใส่การกระทำของเพื่อนตัวเองอย่างเบื่อหน่าย สงสัยจะเหม็นความรักพอๆ กันกับผม ก็เราไม่ลงเอยกันสักทีไงครับเลยต้องพาลอิจฉาคนอื่นแบบนี้

“เชิญครับ กูขอไปหากระดาษมาทำสลากก่อน”
ไอ้ไธลุกออกจากวงเหล้าเพื่อไปหาของที่ต้องการใช้ ส่วนพวกที่เหลือก็กระดกเบียร์ กินกับแกล้มเพื่อรอ มีพูดคุยเรื่องานโอเพ่นเฮ้าท์ที่จะจัดตอนเปิดเทอมนิดหน่อย ผมได้ประจำซุ้มขายอาหารของคณะ ต่างจากพี่ทาวน์ที่ต้องให้ความรู้กับน้องๆ ที่มาชมงาน

ไม่เกินสิบนาทีแก้วที่เต็มไปด้วยสลากเก้าใบก็ถูกส่งไปรอบวงเพื่อหยิบ ส่วนไอ้ฟาร์มที่เป็นคิงโดนสั่งให้นั่งหันหลังเพื่อความยุติธรรม ต่างคนต่างเปิดกระดาษดูตัวเลขที่ได้รับ

“จับสลากครบกันยังวะ จะสั่งแล้วนะเฮ้ย”
ไอ้เชี่ยนี่ก็รีบจังวะ ขอสูดแอลกอฮอล์ยอมใจหน่อยก็ไม่ได้ ทุกคนทำหน้าเอือมระอาก่อนจะกระแทกเสียงตอบพร้อมกัน

“เออ!”
อย่าคิดว่าไอ้ฟาร์มจะรู้สึกแย่กับท่าทีไม่เป็นมิตรของคนในวงเหล้า เพราะตอนนี้มันเสือกยิ้มกรุ้มกริ่มน่ะสิ ผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบชอบกล

“อืม... หนึ่งกับห้าคล้องแขนกันกระดกเบียร์ เจ็ดนั่งตักสองหนึ่งตา เก้ารอด แปดกับสามเต้น T26 ส่วนสี่แดกพริกสองเม็ด หกเป็นพระราชาต่อ อิอิ”
มันสั่งรวดเดียวแล้วมองพวกเราทีละคนด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข ผมแทบอยากกระโดดถีบยอดหน้ามันฉิบหาย ทำไมไอ้เอยต้องมานั่งตักกูด้วยเนี่ย หนักอย่างกับควาย ฮือ แล้วดูไอ้ไธกับพี่ทาวน์สิ คล้องแขนกันกระดกเบียร์อย่างกับคู่รัก อิจฉาสัดๆ แต่ที่ตลกสุดคงเป็นไอ้ตังค์กับพี่แฮมที่ต้องเต้น T26 เพราะใครๆ ก็ต่างยกโทรศัพท์ขึ้นมาอัดวีดีโอ ส่วนสุดที่รักของไอ้ฟาร์มรอดอย่างหวุดหวิดเหมือนนัดกันมา

ทุกคนปฏิบัติตามคำสั่งกันเรียบร้อยก่อนจะหันไปที่ไอ้ฟาร์มเป็นตาเดียวกัน มันคงยังไม่รู้ตัวเองว่ากรรมกำลังตามสนอง

“กูได้เลขอะไรอะ”
มันถามแล้วมองไปรอบวง เดาว่าจิณณ์คงได้เป็นพระราชาต่อแน่ๆ เพราะมันยิ้มเจ้าเล่ห์เหลือเกิน

“สี่!”
คนที่ถือแก้วสลากอย่างไอ้ไธตะโกนเสียงดังลั่นกรอกหู ไอ้พระราชารอบที่แล้วถึงกับตาเหลือก มึงไม่แดกของเผ็ดแต่เสือกสั่งตัวเองแดกพริก ควายล้วนๆ ไม่มีวัวผสมเลย สะใจเว้ย!

“ไอ้ฉิบหาย ซวยสัดๆ”
มันบ่นแต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินไปหยิบพริกมากินทั้งน้ำตานองหน้า เอาเป็นว่าเผ็ดแค่ไหนไม่รู้แต่มันกินน้ำเปล่าตามจนหายเมาอะคิดดู

เราเล่นเกมกันไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาห้าทุ่ม ที่ผ่านมาบางคนก็ยอมแพ้โดนลงโทษไปบ้าง ก็ใครมันจะกล้าวิ่งลงทะเลตามคำสั่งของพระราชาตอนนี้บ้างวะ หนาวตายห่า อีกอย่างที่พีคสุดๆ คือ จะให้ผมเดินไปขอกางเกงในจากสาวบ้านพักข้างๆ ผัวเขาได้กระทืบม้ามแตกไหมล่ะ

“รอบสุดท้ายขอมันๆ”
ไอ้ฟาร์มยังมีหน้าร้องขออีก ทั้งที่ตัวเองโดนปั่นจิ้งหรีด นอนคลุกทราย จูบตีนพี่ฟา ไอ้เอยกัดหู สารเลวทั้งนั้นแต่ละคำสั่ง อย่าถามว่าฝีมือใครบ้าง จำไม่ได้หรอก

“จัดไป”
ใครเป็นคนเห็นดีเห็นงามกับไอ้ฟาร์มเนี่ย ยิ่งดึกคำสั่งยิ่งเลว ไอ้เหี้ยเอ้ย เมื่อครู่ผมโดยให้ก้มหัวจูบทรายอยู่ห้านาที แถมไม่รู้ใครกดท้ายทอยขยี้ลงมาอีก อยากจะรัวคำว่าสัดๆๆ ใส่สักร้อยที แต่กลัวคนทำเป็นพี่ทาวน์ ตานี้เสือกได้ไอ้เอยเป็นพระราชาด้วยความบรรลัยมาเยือนแน่ๆ มันสัปดนกว่าใครเพื่อน




ต่อด้านล่างนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
“กูสั่งล่ะนะ ห้าเจ็ดเก้าถอดเสื้อแดกเหล้ารอเค้าท์ดาวน์”
สัดด๋อย ลมทะเลตอนเดือนธันวาคมเนี่ยนะ ปอดบวมแดกตายห่า แต่รอดไปเพราะไม่ใช่ผม หึหึ

“หนึ่งกับหก... นอนทับแล้วเด้ากันสักสามที”
โอ้โหเหี้ย! คำสั่งอะไรของแม่งเนี่ย ไอ้ตังค์ถึงกับตัวแข็งทื่อเลยไหมล่ะ มันได้เลขหนึ่ง ส่วนคู่กรณีก็พระราชากามๆ นี่ล่ะ ชีวิตสดใสเลยไหมล่ะมึง กูอวยพรล่วงหน้าให้ประตูหลังอยู่รอดปลอดภัยนะเพื่อน

“สามกับสองแดกเส้นทาโร่ปากต่อปาก”
กูอยากจะแหมให้ถึงดาวอังคารจังเลยเมื่อเห็นหน้าไอ้ไธบานอย่างกับกระด้ง ส่วนจิณณ์นี่รีบไปรื้อหาซองทาโร่จากถุงขนมทันที มึงอย่าแรดครับพี่ น้องเจ็ทรับไม่ได้เว้ย แล้วคืออะไรที่เหลือสี่กับแปดไว้รายการสุดท้ายอะ รู้สึกมีลางสังหรณ์แปลกๆ ชอบกล

“สี่กับแปด... ดีพคิส จบ!”
จบบ้านเตี่ยมึงสิไอ้เอย คำสั่งห่าเหวอะไร มึงบอกให้กูไปตายง่ายกว่าไหม อีกคนนั่นพี่ทาวน์นะเว้ย คงได้ดีพดิ่งนรกอะ!

“เหี้ยเอย...”
ผมเรียกมันเสียงสั่น มึงอย่าเพิ่งลุกไปเด้าไอ้ตังค์สิวะ ลงโทษกูก่อน แต่ไอ้เอยยังไม่รู้หรอกว่าตัวเองได้เลขอะไร

“ว่าไงน้องเจ็ท มึงได้เลขอะไร”
มันถามเหมือนจะรู้ว่าผมขอผ่านภารกิจนี้เพราะพี่ฟา ไอ้ฟาร์มและพี่แฮมกำลังถอดเสื้อออก ส่วนจิณณ์กับไอ้ไธแกะซองทาโร่รอพ่อไปตัดริบบิ้นแล้ว

“แปด”
ผมตอบเสียงแผ่ว คนข้างๆ ยังคงนิ่งไร้ปฏิกิริยาตอบรับทั้งที่เขารู้ตัวอยู่แล้วว่าต้องดีพคิสกัน พี่ช่วยแสดงอาการอะไรสักอย่างได้ไหมวะ เงียบแบบนี้ใจคอไม่ดีเลย

“สี่ล่ะ อย่าบอกว่ากูนะ จะอ้วก”
ไอ้เอยทำหน้าขยะแขยงสุดตัว มึงช่วยดูหน้าไอ้ตังค์ด้วยมันจะขาดอากาศหายใจตายอยู่แล้วเพราะความเกร็ง มองคู่กรณีตาค้างแบบนั้นยังไม่รู้ตัวอีก โง่จริง!

“ฟาย! ไม่ใช่เว้ย”
ผมด่ามันเสียงดังลั่นเพราะรู้สึกขนลุกไม่ต่างกัน ถ้าต้องทำท่าเด้าไอ้เอยกูยอมโดนลงโทษเลยเอ้า

“แล้วใคร”
มันถามย้ำอีกครั้งด้วยความหวาดระแวง มองผมสลับกับไอ้ตังค์เป็นระยะ โธ่ พ่อคุณ ถ้ากูได้ดีพคิสกับน้องเนิร์ดนะ ไม่ยอมสละสิทธิ์หรอกเพราะยั่วโมโหไอ้เอยได้ดีนัก สะใจ แต่เพราะไม่ใช่ไงถึงเดือดร้อนอยู่เนี่ย!

“กูเอง”
พี่ทาวน์ชิงตอบเสียงเรียบก่อนจะชูกระดาษที่เขียนเลขสี่เพื่อยืนยันกับทุกคน ผมอยากจะร้องว่าเหี้ยมากเมื่อเห็นสายตากรุ้มกริ่มรอบวงมองมาทางนี้ อย่านะ อย่าพูดอะไรออกมานะเว้ย!

“ฮิ้ว ~ จูบเลยๆๆๆ”
ไอ้สัด! เพิ่งภาวนาในใจอยู่หยกๆ ว่าอย่าเชียร์ สนตีนจริงๆ เลย ให้ตาย

“เดี๋ยวๆๆ ไม่ กูจะขอบทลงโทษ”
ผมลนลานพูดแล้วโบกมือเป็นพัลวัน ทุกคนเงียบกริบเหมือนกำลังตกใจที่ไอ้โง่คนหนึ่งกำลังปล่อยโอกาสทองให้หลุดมือ คืออยากจูบจะตายห่าแล้วแต่กลัวโดนฆ่าไงเว้ย อย่ามองกันด้วยสายตาหยามเหยียดแบบนั้นสิ ฮึก

“ห๊ะ...”
ใครมันร้องเสียงหลงมาวะ เดี๋ยวพ่อจับเชือกเลยนี่!

“ไม่ต้อง มานี่”
พี่ทาวน์กระตุกคอเสื้อของผมเข้าไปใกล้จนปลายจมูกของเราแตะกัน ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนได้แต่กระพริบตาปริบๆ เพราะยังเบลอ

“เฮ้ย พะ พี่ทาวน์ ไม่ต้องทำหรอก เดี๋ยวผมรับบทลงโทษคนเดียวเอง”
ผมรีบผละออกแล้วละล่ำละลักพูดออกมา ไม่กล้าสบตาเขาเพราะหัวใจกำลังเต้นผิดจังหวะ ลมหายใจอุ่นๆ แววตาหวานช่ำเมื่อครู่ กำลังทำให้สติของนายภาคินเตลิด

“แต่กูอยากทำ”
จบประโยคเอาแต่ใจผมก็ถูกจู่โจมด้วยรอมฝีปากเย็นชืด ดวงตาคมเบิกค้างเพราะตกใจอย่างรุนแรง แต่เมื่อตั้งสติได้ก็เคลิ้มตามอย่างง่ายดาย การจูบกลับเริ่มขึ้นเมื่ออุณหภูมิร่างกายเพิ่ม ดีพคิสจนหน้ามืด ตาลาย หูวิ้งหมดเลยกู ตอนผละออกจากกันไม่มีใครยอมมองหน้าใครเลยเถอะ โคตรอาย!

หลังจากที่เลิกเล่นเกมพวกเราก็นั่งดื่มกันต่อจนบางคนล้มพับคาวงเหล้า เหลือที่ประคองสติได้เพียงสี่คนเท่านั้น มีผม พี่ทาวน์ ไอ้ไธและจิณณ์ ก่อนจะมานั่งรับลมทะเลเพื่อรอเค้าท์ดาวน์นั่นก็ต้องช่วยกันลากซากศพไปเก็บในบ้าน เหนื่อยชะมัด แถมเจ็บข้อเท้าเพิ่มด้วย ไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเลย

พี่ทาวน์ที่หายไปเข้าห้องน้ำกลับมาพร้อมอมยิ้มรสโคล่าสองอันในมือ ผมรับไว้หนึ่ง ส่วนอีกหนึ่งเขากินซะเอง

“ทำไมถึงเลือกดีพคิสวะพี่”
อยู่ๆ ผมก็โผลงออกไปในขณะที่อีกคนกำลังพยายามแกะเปลือกอมยิ้ม เขาชะงักมือก่อนจะเงยมองหน้ากันแบบไม่สะทกสะท้าน พี่จะเขินบ้างไม่ได้หรือไง ส่วนนายภาคินเนี่ยฟินตัวจะแตกแล้วเว้ย

“ไม่เห็นจะเป็นไร ผู้ชายเหมือนกัน”
คำตอบของพี่ทาวน์โคตรแถ มันไม่ปกติหรือเปล่าที่ผู้ชายสองคนจะมานั่งจูบกันต่อหน้าเพื่อนนับสิบคน

“เป็นดิ ในเมื่อผมคิดไม่ซื่อกับพี่”
ผมบอกเสียงสั่นแล้วมองใบหน้าด้านข้างของเขาแบบไม่วางตา ตอนนี้อมยิ้มอะไรไม่อยู่ในความคิดแล้ว เพราะกำลังสับสนกับการกระทำไม่มีเหตุผลของพี่ทาวน์ กำลังสนุกเหรอหรือมีใจให้กันแล้ว ขอคำตอบหน่อยได้ไหม

“ช่างมันเถอะ”
เจอคำนี้เข้าไปทำให้ผมหุบปากฉับ ไม่กล้าเซ้าซี้ต่อจริงๆ

ผมกัดไม้อมยิ้มระบายความตึงเครียดจนรู้สึกว่ามันบี้แบน การที่เราทั้งคู่เอาแต่เงียบทำให้อะไรๆ ก็ดูอึดอัดไปซะหมด มีหลายครั้งที่เราต่างคนต่างหันมาสบตากันแต่ไม่มีใครพูดอะไร เหตุการณ์แบบนี่ไม่ดีเลยว่าไหม ค้างคาชะมัด

“อีกห้านาทีจะเข้าปีใหม่แล้ว วางแพลนอะไรไว้บ้าง”
อยู่ๆ พี่ทาวน์ก็ถามขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ดวงตารีจับจ้องฝืนฟ้าสีนิล ผมมองเขาอีกต่อด้วยความรู้สึกที่มากล้น

“ผมเหรอ... คงตั้งใจจีบพี่ให้ติดล่ะมั้ง”
ผมตอบเสียงกลั้วหัวเราะ แต่นั่นคือสิ่งเดียวที่ผมคิดออกจริงๆ เพราะปกติแล้วชีวิตไม่เคยมีแบบแผนมาก่อน

“เอาดีๆ”
พี่ทาวน์หันมาส่งสายตาดุๆ จนผมต้องเม้มปากเพื่อหยุดหัวเราะ ช่วยตลกสักนิดไม่ได้เหรอ พวกเรียนหมอนี่จริงจังทุกคนหรือเปล่านะ

“ก็... ไม่รู้ดิ ผมไม่เคยวางแพลนในชีวิตมาก่อน อยากทำอะไรก็ทำเลยมากกว่า แล้วพี่ล่ะ”
ผมตอบไปตามความจริงแล้วถามเขากลับ พี่ทาวน์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหันมาสบตาแล้วตอบสิ่งวางแพลนสำหรับปีหน้าเอาไว้

“ปรับนิสัยแย่ๆ ของตัวเอง”
ตอบโดยไม่ละสายตาแถมยังรู้สึกเหมือนว่าใบหน้าของพี่ทาวน์ขยับเข้ามาใกล้ ผมคงเมาแล้วล่ะ กะระยะไม่ค่อยถูก

“หือ... ยังไงครับ”
ผมเป็นฝ่ายหลบตาเขาซะเอง พยายามสะบัดไล่ความมึนออกจากหัว แต่กลับพบว่าสติยังครบถ้วน เมื่อครู่พี่ทาวน์ขยับเข้ามาใกล้จริงๆ เหรอวะ

“เดี๋ยวก็รู้เอง”
เขาทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนความเงียบจะเข้ามาแทรกกลางระหว่างเราอีกครั้ง เสียงเข็มนาฬิกาดังติ๊กๆ ชวนปวดประสาทเหลือเกิน ความคิดมากมายกำลังทำให้ผมเป็นบ้า สับสนเรื่องพี่ทาวน์ หาข้อสรุปให้ตัวเองไม่ได้ว่าตอนนี้อะไรเป็นยังไง ควรก้าวต่อหรือพอสักที เขามีใจหรือไม่รู่สึกอะไรทั้งนั้น โอย ปวดหัวเว้ย ช่างแม่งเถอะ ไม่ว่าจะต้องจีบอีกสักกี่ปี นายภาคินคนนี้ไม่ขอยอมแพ้หรอก

ผมเหลือบมองนาฬิกาดิจิตอลของตัวเองแล้วหันไปบอกพี่ทาวน์ทันที อีกไม่นานจะเข้าสู่ปีใหม่แล้ว

“มานับถอยหลังกัน ห้า”
ผมนับในขณะที่พี่ทาวน์หันมาสบตา

“อืม สี่”
เขานับต่อด้วยรอยยิ้มบาง

“สาม”
ใจผมเริ่มสั่น

“สอง”
พี่ทาวน์เม้มปาก

“หนึ่ง”
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะกล่าวคำสวัสดีปีใหม่ ส่วนพี่ทาวน์หลับตาลงและพูดอะไรบางอย่างออกมาพร้อมกัน

“สวัสดีปีใหม่ครับ / กูชอบมึง”

อะไรนะ เสียงพลุโคตรดังเหมือนหัวใจที่เต้นระรัวอยู่ในอกของผมเลย พี่ทาวน์ครับ ช่วยทำ CPR ให้หน่อยได้ไหม ตอนนี้รู้สึกเหมือนจะขาดอากาศตายอยู่แล้ว...




----------------------------------------------

คนอ่านหัวใจวายตามเจ็ทไปหรือยังฮะ...
พี่ทาวน์เขาเลิกปากแข็งแล้วนะเออ ><

ตอนต่อไปยิ่งกว่านี้อีก... มั้ง!

ออฟไลน์ KS.F

  • มือใหม่หัดแต่งนิยาย ช่วยแนะนำด้วยน่า
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 167
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0

ออฟไลน์ numay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1

ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เจ็ทนี่เหมาะเป็นเคะมากกว่านะ 5555 :hao6:

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
แข่งครั้งที่ 23



ตอนนี้หูทั้งสองข้างกำลังอื้ออึงไปหมด ไม่ได้ยินเสียงคลื่นทะเลหรือแม้แต่เสียงจุดพลุฉลองเข้าปีใหม่เลยสักนิด ผมกำลังมึนงงกับสิ่งที่ได้ยินจากปากของพี่ทาวน์เมื่อครึ่งนาทีที่แล้ว

‘กูชอบมึง’

ผมนิ่งเงียบแล้วก้มมองเข่าที่กอดกระชับเอาไว้ด้วยความตกใจปนตื่นเต้น ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายกำลังเต้นตุบๆ อย่างน่ากลัว มือสั่นเหมือนคนลงแดงขาดยามาหลายอาทิตย์ เมื่อครู่หูฝาดไหม หรือว่าเบลอเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์เลยได้ยินสิ่งที่ได้ปรารถนา

“ตายยังมึง”
เสียงจากพี่ทาวน์ทำให้ผมสะดุ้งเฮือก แขนขาเปลี้ยไปหมด คนกำลังรวบรวมความกล้าเพื่อถามให้แน่ใจอีกครั้งว่าเขาพูดอะไรเมื่อครู่ แต่ตอนนี้สติกระเจิงหนีลงทะเลหมดแล้ว ครั้นจะพยุงตัวลุกขึ้นก็พลาดเซล้มคลุกทราย แม่ง หน้าอายกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

พี่ทาวน์เข้ามาช่วยประคองก่อนปัดเศษทรายที่เปื้อนตามข้อศอกและเสื้อผ้าให้ ใบหน้าของเราอยู่ห่างกันแค่คืบเดียวเท่านั้น หัวใจเต้นแรงจนต้องเลื่อนมือขึ้นขยำเสื้อ ผมจะตายแล้วแน่ๆ ยิ่งได้มองในระยะประชิดแบบนี้ยิ่งปอดแหก ต้องทำอะไรก่อนดีวะ สับสนไปหมดแล้ว

“เจ็บหน้าอกหรือไง”
พี่ทาวน์ชะงักมือเมื่อเห็นว่าผมขยำเสื้อตัวเองไว้แน่น คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อไม่ได้รับคำตอบ มีเพียงเสียงคลื่นเท่านั้นที่ดังแทรกระหว่างเราสองคน นายภาคินกำลังจะหมดลมหายใจ ใครก็ได้ช่วยทำ CPR ให้ที

“ปะ เปล่าครับ”
ผมตอบตะกุกตะกักแล้วผละตัวออกห่างจากพี่ทาวน์เพื่อสูดลมหายใจ หลับตาทำสมาธิอยู่เกือบนาที ไม่รู้ว่าอีกคนทำหน้าแบบไหน สงสัยการกระทำบ้าๆ หรือเปล่า แต่ตอนนี้นายภาคินรวบรวมความกล้าได้แล้วเว้ย ฮึบ จะถามแล้วนะ!

“เป็นบ้าอะ...”

“เมื่อกี้พี่พูดว่าอะไรเหรอครับ”
ผมพูดแทรกขึ้นเมื่อพี่ทาวน์กำลังถามอะไรบางอย่าง ดวงตาคมจ้องใบหน้าหล่ออีกฝ่ายด้วยความสั่นไหวในหัวใจ กลัวตัวเองจะหูฝาดว่ะ

“ตอนไหน”
เขาถามเสียงเรียบก่อนจะเบนหน้ามองทะเลยามค่ำคืน สายลมเอื่อยๆ ทำให้บรรยากาศระหว่างเราไม่อึดอัดสักเท่าไหร่ แต่ผมจะตายอยู่แล้ว เพราะรู้สึกตื่นเต้น ลุ้นระทึก วิตกกังวล กลัวสารพัดไปหมด เหมือนคนใกล้บ้าเข้าไปทุกที ควบคุมอารมณ์ไม่ได้เลย

“หลัง คะ เค้าท์ดาวน์”
อยู่ๆ ผมก็เสียงสั่นขึ้นมา ความกล้าเริ่มกระจัดกระจาย หรือไม่ควรถามดีวะ จะย้อนเวลากลับก็ไม่ได้ ต้องทำไงวะ เกาหัวจนแสบหมดแล้วเนี่ย มัวแต่วุ่นวายกับตัวเองโดยไม่ได้สนเลยว่าอีกคนทำหน้าแบบไหน

“หูตึงเหรอ”
คำพูดเรียบๆ ทำให้ผมสะอึก ความมั่นใจในสิ่งที่ได้ยินเพิ่มขึ้น แทบจะเก็บอาการดีใจไม่อยู่ อยากพุ่งเข้าไปกอดพี่ทาวน์ที่เขาเลิกปากแข็ง แต่ขอฟอร์มจัดนิดนึง อยากแกล้ง...

“ไม่ดิครับ แต่ตอนนั้นพี่พูดพร้อมผมแล้วไหนจะเสียงพลุ เสียงคลื่นทะเลอีก”
ผมยกปัญหาสารพัดในการได้ยินขึ้นมาอ้างด้วยใบหน้าเหยเกทั้งที่ข้างในแทบจะแหกปากตะโกนร้องด้วยความดีใจ ในที่สุดความพยายามตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาก็สำเร็จไปอีกขั้นหนึ่ง แต่ลึกๆ กลับมีความกลัวว่าเขาก็แค่อำเล่นเพื่อความสนุกสนาน โอย สับสนฉิบหาย

“ของดีมีครั้งเดียว”
พี่ทาวน์เหลือบตามองแค่ครู่เดียวแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีดาวระยิบระยับ ถ้าดูไม่ผิดรู้สึกว่าแก้มขาวๆ นั้นจะซับสีแดงขึ้น ผมสามารถมั่นใจได้แล้วใช่ไหมว่าเขาชอบกันจริงๆ ไม่ได้หลอกให้ดีใจเล่น

“พี่ทาวน์คนหล่อ อย่าใจร้ายกับน้องสิครับ”
ผมพูดเสียงอ้อนแต่แทบฟังไม่รู้เรื่องเพราะมันสั่นแม้กระทั่งริมฝีปาก มือเรียวถูกยกขึ้นขยำหน้าอกซ้ายอีกครั้ง ดวงตาคมก็คอยเหลือบมองพี่ทาวน์เป็นระยะ เขาคลี่ยิ้มทะเล้นใส่ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำแทงใจดำ

“อยากเป็นน้องกูเหรอ”
เขาถามเสียงเรียบก่อนจะลุกขึ้นแล้วแกล้งปักทรายใส่หน้ากัน ผมยกมือขึ้นบังหน้าตาก่อนจะโวยวายเสียงดังด้วยความตกใจ ใครเขาอยากเป็นน้องพี่กันล่ะวะ จีบขนาดนี้ต้องเป็นผัว ไม่สิ แค่แฟนก่อนเถอะ

“เฮ้ย ไม่ใช่สิพี่ อยากเป็นแฟนครับ!”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นก่อนจะลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลเพราะยังเจ็บเท้า พี่ทาวน์ไม่มีท่าทีจะเข้ามาช่วยสักนิด แต่ไม่เป็นไร เขาคงเขินประโยคเมื่อครู่แน่ๆ ก็เล่นเบือนหน้าหนีขนาดนั้น

“กล้าพูด”
พี่ทาวน์พึมพำแล้วขยับตัวออกห่าง ผมที่เพิ่งทรงตัวยืนได้ถึงกับอ้าปากค้างเมื่อสายตาปะทะเข้ากับรอยยิ้มหวานๆ แถมใบหูของเขายังมีสีแดงจนน่ากลัว

เขายิ้มให้ทะเลนะ ไม่ใช่ผมหรอก

“ก็อยากเป็นจริงๆ นี่ครับ พี่ทาวน์บอกผมหน่อยสิครับ น้า นะๆ”
เห็นท่าทางแบบนั้นก็ไม่ต้องการคำตอบอะไรอีก แต่อยากแกล้งให้พี่ทาวน์เขินมากขึ้น เพราะปกติเห็นทำหน้าขรึมๆ เครียดๆ พอเป็นแบบนี้มันโคตรน่ารักเลย ถ้าไม่กลัวว่าจะโดนถีบคงกระโดดกอดให้หนำใจ ดีใจสุดๆ เลยเว้ย ผมยื่นหน้าเข้าไปก่อนแล้วกระพริบตาปริบๆ เพื่ออ้อน

“มึงเป็นหมาหรือคน อ้อนได้อ้อนดี”
พี่ทาวน์เบ้ปากใส่ก่อนจะใช้มือผลักหัวกันเต็มแรง ผมไม่ทันตั้งตัวเลยเซจนแทบล้ม ซี๊ดปากไปหลายรอบ แต่ดีหน่อยที่คนกระทำยังมีน้ำใจเข้ามาประคอง มันเป็นจังหวะดีที่เผลอสูดลมหายใจเข้าปอดเลยได้รู้ว่าตัวคนข้างๆ โคตรหอม จมูกบานแล้วมั้งกู โอย อยากกดริมฝีปากลงบนต้นคอนั่นสักครั้ง ประทับรอยจองไว้ก่อนได้หรือเปล่านะ

“ยอมเป็นหมาก็ได้ถ้าพี่เห็นว่าดี”
ผมบอกเสียงหวานก่อนจะโน้มหน้าลงสูดกลิ่นหอมจากเขาอีกครั้ง แต่คงลืมตัวไปหน่อยเลยทำให้พี่ทาวน์จับได้เลยหันมาแสยะยิ้มก่อนจะผละตัวออกห่าง ต่อยเข้าที่ต้นแขนแบบเต็มรัก เจ็บเว้ย แต่ก็ยอม ฟินไปยันชาติ

“หึ จะไปนอนแล้ว ง่วง”
พี่ทาวน์ทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะใส่รองเท้าเพื่อกลับเข้าบ้านพักแต่ผมเอื้อมมือรั้งชายเสื้อเอาไว้ซะก่อน ยังแกล้งไม่เต็มอิ่มเลย อย่าเพิ่งหนีสิ

“เดี๋ยวดิครับ ยังไม่บอกผมเลย”
ผมพูดเสียงอ่อยแล้วแกล้งก้มหน้าก้มตามองพื้นทั้งที่เม้มปากกลั้นยิ้มจนรู้สึกระบมไปหมด อยู่ๆ ก็เกิดเดตแอร์ ก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจหนัก หลังจากนี้นายภาคินคงโดนด่าแน่ๆ เล่นมากเกินไป ห่าเอ้ย สำนึกตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว

“มึงจะเซ้าซี้อะไรจากคนปากแข็งอย่างกู”
นั่นไง โดนมาดอกนึงเต็มๆ พร้อมกับที่เขาดึงมือผมออกจากชายเสื้อแถมยังบีบมันซะแน่น พิศวาสหรือพิโรธว่ะ แต่อย่างหลังมีแนวโน้มมากกว่า ตายคาตีนแน่ๆ

“ก็...”
พูดไม่ออก ไม่กล้าเล่นต่อเลยกู มองเท้าเขาสลับกับเท้าตัวเองเหมือนของล้ำค่า เวลานี้ถ้าเผลอสบตากันอาจจะช็อกตายได้

“หึ กูรู้ว่ามึงได้ยิน”
ลามมาจับข้อมือกันแล้วเฮ้ย ผมควรทำยังไงต่อดีวะ สะบัดหนีหรือบีบนม เอ้ย หรือสู้ต่อดี

“ก็... อยากฟังให้ชัดๆ อีกที กลัวหูเพี้ยนอะ”
ผมตอบเสียงอ้อมแอ้ม ไม่กล้าทำเสียงทะเล้นแนวหยอกล้ออีกแล้ว รับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากร่างกายอีกคน อากาศจะเย็นลงหาพระแสงอะไรเนี่ย ไข่หดหมดแล้ว ฮือ

“ถามมากระวังกูเปลี่ยนใจนะ”
พี่ทาวน์พูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วคลายการเกาะกุมออก เปลี่ยนเป็นเดินช้าๆ กลับเข้าที่พักโดยไม่สนใจเลยว่าผมจะทำหน้าตาเหมือนคนจมน้ำตาย ปากอ้าพะงาบๆ แถมยังต้องลากสังขารเดี้ยยงๆ เพื่อไล่ตามอีก

“เฮ้ย ชอบแล้วชอบเลยดิพี่ ห้ามเปลี่ยน!”
ผมตะโกนลั่นเมื่อไม่สามารถเดิมตามอีกคนได้ทันก่อนจะหอบแฮ่กเพราะเสียการทรงตัวแต่คว้ารางบันไดหน้าบ้านพักได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงช้ำไปทั้งตัวแน่ๆ โคตรรำคาญตัวเองเลยแม่ง ทำอะไรก็ไม่สะดวก

“สั่งจังวะ เป็นเมียหรือไง”
พี่ทาวน์ขมวดคิ้วฉับแล้วตวัดสายตามองคล้ายกับไม่พอใจ ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้แล้วดึงแก้มกันแรงๆ

“เป็นผัวครับ”
ผมใกล้กล้าตอบกลับไปก่อนจะโดนตบหัวอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มที่เพิ่งคลี่ออกยกค้างทันที โอย เจ็บฉิบหาย พี่ทาวน์โคตรมือหนัก!

“อยากตายก่อนแก่สินะมึง”
พี่ทาวน์ถามเสียงรอดไรฟันก่อนจะง้างมือเพื่อตบหัวอีกสักที แต่ผมหลับตาปี๋งอตัวอย่างกับกุ้ง คิดว่าเจ็บแน่ๆ แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากเสียงหัวเราะ เขากำลังเอาคืนใช่ไหม

“โธ่ ผมแค่ล้อเล่นเอง”
ผมเปิดตาแค่ข้างเดียวเพื่อดูสถานการณ์ตรงหน้า พี่ทาวน์ส่ายหัวคล้ายกับปลงก่อนจะคลี่ยิ้มสบายๆ ออกมา นายภาคินรอดตายแล้ว

“หึ”

“โคตรดีใจเลยที่พี่ชอบผมแล้ว”
ผมยืดตัวขึ้นแล้วบอกเขาด้วยน้ำเสียงสดใส ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มกว้างแห่งความดีใจ ยิ่งได้มองอีกคนในระยะประชิดหัวใจก็ยิ่งเต้นแรง ความรู้สึกตรงกันมันดีแบบนี้นี่เอง

“กรี๊ดเลยไหมล่ะ”
แทนที่เขาจะเขินอายกลับกลายเป็นว่ายืนกอดอกแล้วยักคิ้วกวน อยากเอื้อมมือไปบีบแก้มเพราะมั่นเขี้ยวเขาเหลือเกินแต่ต้องหักห้ามใจเมื่อตัวเองไม่สามารถวิ่งหนีไปไหนได้ถ้าโดนเอาคืน รอให้หายดีก่อนเถอะ จะลากพี่ทาวน์มากระทำชำเราให้เข็ด

“อยากตะโกนดังๆ เลยว่าพี่ทาวน์ชอบผมแล้ว!”
เอาคืนด้วยการป้องปากตะโกนให้สายลม ทะเล ท้องฟ้า ดวงดาว และอื่นๆ อีกมากมายในที่นี่ได้รับรู้ถึงความสำเร็จด้านความรักของตัวเอง ภูมิใจที่สามารถเอาชนะทุกกฎเกณฑ์ของพี่ทาวน์ได้ ถึงแม้ว่ามันจะยังเพิ่งแค่เริ่มต้น ผมกางแขนออกแล้วยิ้มอย่างมีความสุขแต่กลับโดนอีกคนฟาดเข้าให้ที่สีข้างจนต้องเบ้ปาก ยกมือขึ้นลูบป้อยๆ เอวจะหักหรือเปล่าวะ

“ชู่ เดี๋ยวขวดเบียร์ก็ลอยมาหรอก”
พี่ทาวน์ใช่นิ้วชี้จรดริมฝีปากของผมเพื่อเตือนให้เงียบ แต่แทนที่จะสำนึก นายภาคินกลับคลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิม ถ้าแอบจุ๊บเบาๆ จะโดนต่อยไหมวะ

“เป็นห่วงเหรอครับ”
ผมขยับปากพูดเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาผละนิ้วออก แอบเสียดายอยู่นิดหน่อยที่ไม่ได้แกล้งจุ๊บ แต่ไม่เป็นไร ได้เห็นพี่ทาวน์เบนหน้าหนีก็คุ้มแล้ว ใครว่าคนเย็นชาเขินไม่เป็น ไอ้เจ็ทขอเถียงหัวชนฝาเลย

“หึ กูสงสารตัวเองมากกว่าที่ต้องมาคอยทำแผลให้มึง”
พี่ทาวน์เดินหนีไปจนถึงประตูหน้าบ้านพักโดยที่ผมได้แต่มองตามตาปริบๆ เอาจริงดิ ไม่เป็นห่วงกันสักนิดเลยเหรอ หรือจริงๆ แล้วโรคปากแข็งมันกำเริบ

“น้อยใจอะ ไม่สำคัญพอ”
ผมบ่นเสียงกระเง้ากระงอดก่อนจะยันราวบันไดเพื่อพยุงตัวเดินตามอีกคน จังหวะที่เงยหน้าขึ้นก็พบกับพี่ทาวน์ที่ยืนกอดอกพิงกรอบประตู สายตาที่มองมาบ่งบอกว่าเขาไม่เชื่อสิ่งที่นายภาคินพูดเลยสักนิด โธ่ อุตส่าห์แกล้งดราม่าอยากให้เขาปลอบ

“ตอแหลได้อีก”
โอ้โห เกือบสำลักลมหายใจตายอยู่ตีนบันไดแล้วเนี่ย ไม่รู้ทันสักวันได้ไหมเล่าพี่ทาวน์ แบบนี้อนาคตอยู่สมาคมเกียมัวแน่ๆ เลยกู

ผมนั่งแกว่งเท้าอยู่บนเตียงอย่างสบายใจ ตอนนี้ไม่มีความง่วงเลยแม้แต่นิดเดียวเพราะอยากมองหน้าคนที่เพิ่งสารภาพความรู้สึกไปจนถึงตอนเช้า กลัวว่าถ้านอนหลับแล้วตื่นขึ้นมาจะพบว่าทุกอย่างเป็นแค่ความฝัน ในตอนนี้พี่ทาวน์กำลังเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าอยู่ไม่ไกล เนื่องจากว่าพรุ่งนี้เราต้องเดินทางกลับเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเปิดเทอมในภาคเรียนใหม่

ทุกการเคลื่อนไหวของคนตรงหน้าล้วนแล้วแต่อยู่ในสายตาของผมทั้งสิ้น ไม่ว่าจะพับผ้า เก็บของใช้ส่วนตัวลงกระเป๋า มันดูเป็นธรรมชาติจนเผลออมยิ้มอย่างห้ามไม่ได้ จะมีใครสักกี่คนได้สัมผัสเดือนมหา’ลัยในมุมแบบนี้บ้างนะ

“นี่...”
อยู่ๆ ผมก็ออกปากเรียกคนที่กำลังหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาพาดบ่า เขาหันเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“อะไร”

“เป็นแฟนกันไหมครับ”
ไม่รู้ว่าเอาความกล้าจากที่ไหนถามออกไปแบบนั้น แต่ส่วนลึกของหัวใจสั่งให้ทำแบบนี้ หัวใจเริ่มเต้นแรงอีกครั้งเพราะมันกำลังตื่นเต้นและคาดหวังรอคำตอบ พี่ทาวน์ชะงักกึกก่อนจะหันหลังกลับเพื่อหยิบชุดนอน

“รีบเหรอ”
เขาไม่ตอบแต่กลับถามแทนด้วยน้ำเสียงเรียบไม่สามารถเดาอารมณ์ได้ ผมอยากเห็นหน้าเขาแต่ไม่สามารถลุกออกไปจากตรงนี้ ในเมื่อข้อเท้าบวมมากกว่าเดิมและพี่ทาวน์เพิ่งจัดการใส่ยาให้หมาดๆ ขืนเดินแล้วลื่นล้มคงโดนกระทืบซ้ำแน่ๆ

“ก็ใจเราตรงกันแล้วนี่นา”

“ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม มึงเคยได้ยินไหม”
สุภาษิตก็มาวะ แต่ผมตกภาษาไทยอะ บอกว่าไม่เคยได้ยินจะโดนด่าไหม รอนานๆ มันกลัวว่าพี่ทาวน์จะเปลี่ยนใจนี่สิ

“ผมไม่อยากได้พร้านี่”

“.....”

“แต่ผมอยากได้พี่อะ”

“ไปไกลๆ ตีนกูเลย”
พี่ทาวน์ถึงกับหันมาแยกเขี้ยวแล้วโยนผ้าขนหนูมาใส่กัน แต่อย่าคิดว่าผมหลบทันอย่างพระเอกในละครเพราะตอนนี้มันคลุมหัวอยู่จนมองไม่เห็นอะไรเลย แม่ง นักกีฬาบาสฯ แม่นจริงๆ

“ไม่เอาหรอก เดี๋ยวมันจะไกลหัวใจพี่ไปด้วย”
ผมยังไม่ยอมแพ้เลยหยอดพี่ทาวน์ไปอีกหนึ่งดอกด้วยความคึก จริงๆ แล้วเขาจะให้รอนานแค่ไหนก็ได้ ถึงแอบกลัวการเปลี่ยนแปลง แต่ลึกๆ ก็เชื่อมั่นว่าตัวเองมีดีพอที่จะครอบครองหัวใจใครสักคน

“ไอ้เจ็ท...”
เสียงตึงๆ ของพี่ทาวน์ทำให้ผมต้องรีบดึงผ้าขนหนูออกแล้วโผล่แค่ลูกกะตา ใบหน้าหล่อนั่นเข้าใกล้กันมากกว่าเดิม จนเขาสามารถฟาดมือมาตบกันได้สบายๆ

“.....”
ผมนั่งกระพริบตาปริบๆ ไม่กล้าพูดอะไรเพราะรอดูว่าพี่ทาวน์จะทำอะไรต่อ เขานิ่งอยู่ครู่ใหญ่ก่อนเป็นฝ่ายผละออกไปหย่อนตัวนั่งที่ปลายเตียงแล้วกระชากผ้าขนหนูกลับคืน อ่า... ยังไม่ได้สูดกลิ่นมันเลยนะเว้ย จะรีบเอาคืนไปไหนเนี่ย เสียดายว่ะ

“อยากเดี้ยงไปตลอดชีวิตไหม”
ถามด้วยรอยยิ้มเย็นก่อนจะเคลื่อนตัวมาคร่อมกันให้หวั่นใจเล่น ผมนอนราบไปบนเตียงเพราะสถานการณ์บังคับ นึกว่าคืนนี่ยังไงก็มีใครเสร็จใครแน่ๆ แต่เปล่าเลย แทบจะอุทานว่าไอ้เหี้ยเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือพี่ทาวน์

“เฮ้ย อย่าเล่นโคมไฟ ไม่น่ารักนะครับพี่ทาวน์”
ผมร้องเสียงหลงเมื่อสายตาปะทะเข้ากับโคมไฟเซรามิค ดวงตาคมเบิกกว้างก่อนจะพยายามแตะมือให้พี่ทาวน์วางมันลงที่เดิม ยังไม่อยากเลือดอาบตอนนี้ เท่าที่เป็นอยู่ก็สมเพชตัวเองมากพออยู่แล้ว

“กูไม่น่ารักอยู่แล้ว”
พี่ทาวน์พูดเสียงแข็งก่อนจะกระแทกโคมไฟลงบนหัวจริงๆ แต่มันไม่ได้แรงจนเลือดไหล ก็แค่เจ็บจี๊ดๆ เหมือนมดกัด ทว่าใจฝ่อเหลือเท่าเมล็ดถั่วเขียวซะแล้ว โอย น่ากลัวว่ะ ถ้าเขาเรียนยิงปืนผมคงกลายเป็นเป้าแน่ๆ

“แค่ล้อเล่นเอง พี่ชอบผมจริงปะเนี่ย”
ท้ายประโยคเสียงเบาแทบกระซิบแต่ด้วยระยะห่างไม่ถึงหนึ่งฟุตทำให้พี่ทาวน์ได้ยินอย่างชัดเจน ผมหลบตาเมื่อลมหายใจอุ่นปะทะลงบนแก้ม นั่นหมายถึงเขาขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม นี่จะแกล้งให้หัวใจวายตายเลยใช่ไหมถึงจะพอใจ ถ้านายภาคินไม่กากและเจ็บตัวแบบนี้นายเมืองเหนือได้ลงไปนอนครางบนเตียงตั้งนานแล้วเถอะ

“จะเลิกชอบมึงเดี๋ยวนี้ล่ะ”
พี่ทาวน์เคาะข้อนิ้วลงบนหน้าผากก่อนจะผละตัวออกไปยืนตีหน้ายักษ์อยู่ข้างเตียง ผมลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพราะสถานการณ์กระอักกระอวนผ่านไปแล้ว ตอนนี้เหลือแต่ความกังวล ขู่ว่าจะเลิกชอบแบบนี้ไม่ตลกนะพี่ นายภาคินอ่อนไหว!

“ไม่เอาดิ อย่านะพี่ทาวน์ ผมร้องไห้จริงๆ ด้วย”
ผมขยับตัวขึ้นพิงหัวเตียงแล้วช้อนตามองเขาด้วยใบหน้าอ้อนวอน มือทั้งสองข้างคว้าชายเสื้อพี่ทาวน์แล้วขยำไว้แน่น เกิดมาจะยี่สิบปีไม่เคยทำตัวปัญญาอ่อนแบบนี้มาก่อน แต่เพื่อความรักแล้ว อะไรก็เกิดขึ้นได้

“งอแงเป็นผู้หญิงเลยนะมึง”
พี่ทาวน์ขำตบท้ายก่อนจะยกมือขึ้นมาโยกหัวผมไปมา มันดูอ่อนโยนจนผมเผลอขยับตัวเข้าไปซบที่หน้าท้อง อืม... แข็งฉิบหาย ใต้เสื้อเชิ้ตจะมีหุ่นแบบไหนซ่อนอยู่นะ อยากกระชากจริงๆ ให้ตาย

“ความรักมักทำให้คนเราอ่อนไหว พี่ไม่เคยได้ยินเหรอวะ”
ผมพึมพำเสียงอู้อี้เพราะยังไม่ละใบหน้าไปไหน ก็พี่ทาวน์ไม่ผลักออกนี่หว่า ขอหากำไรให้กับตัวเองสักหน่อยเถอะ ถึงจะได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังอยู่ไม่ไกล แต่นายภาคินหน้าด้านพอ โอย คนบ้าอะไร กลิ่นตัวโคตรหอม

“หึ กูอยากถีบมึงจริงๆ”
หลังจากคำนั้นดังผ่านหู ผมแทบจะตีลังกาหนีไปที่เตียงอีกฝั่งทันที ถ้าแค่พูดคงไม่กลัวขนาดนี้ แต่นี่ตีนกระตุกยิกๆ แล้วครับ ถอยดีกว่า

พี่ทาวน์สะบัดก้นหนีเข้าห้องน้ำไปแล้ว ปล่อยให้ผมกลิ้งอยู่บนเตียงด้วยความร่าเริง ถึงจะง่วงมากแค่ไหนก็ยังหยิบโทรศัพท์มากดเล่นเกมเพื่อฆ่าเวลารออีกคน นี่เป็นครั้งแรกที่นายภาคินมีสติครบถ้วน การได้นอนมองหน้าคนที่เราชอบคงมีความสุขพิลึก ถ้าเมาเป็นหมาอีกคงพลาดโอกาสดีๆ

“ยังไม่นอนอีก”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัวทำให้ผมสะดุ้งเพราะกำลังเล่นเกมผีๆ อยู่ เมื่อสายตาละออกจากหน้าจอโทรศัพท์กระชับต้องอ้าปากค้างเมื่อสภาพพี่ทาวน์ช่างเซ็กซี่ขยี้ใจเหลือเกิน เสื้อกล้ามสีดำขนาดพอดีตัวกับกางเกงสะดอ (พี่ทาวน์เรียกแบบนี้เพราะเป็นคนภาคเหนือ) แขนขาวโคตรน่ากัด กำเดาจะไหลเว้ย

“รอพี่ทาวน์ไงครับ”
ผมบอกแล้วฉีกยิ้มกว้างให้คนที่ยืนเช็ดผมอยู่ใกล้เตียง เขาขมวดคิ้วมองด้วยความไม่เข้าใจ

“เพื่อ”
ถามแล้วชะงักมือ เขาจะรู้ไหมว่าตอนนี้ตัวเองน่าฟัดมากแค่ไหน เส้นผมเปียกๆ นั่น โอย นายภาคินขอเมาแล้วปล้ำเลยได้ไหมวะ การอดทนมันทรมานเหลือเกิน

“รอนอนพร้อมกัน”

“ขนลุก”

“โธ่ พี่ไม่มีความโรแมนติกเลย”
หมดอารมณ์ เลิกๆ ผมผิดเองที่พูดอะไรชวนอ้วก ฮือ

“กูก็เป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก มึงน่าจะรู้ดี”
พี่ทาวน์พูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วทิ้งตัวลงนั่งเช็ดผมที่ปลายเตียง ผมเห็นแบบนั้นแล้วรู้สึกอยากเข้าไปจู่โจมด้านหลังจัง กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสบู่ก็ชวนหลงใหลเหลือเกิน

ผมพยุงตัวลุกขึ้นแล้วค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้อีกคนก่อนจะโน้มตัวกระซิบคำหวานข้างหู ไม่ได้แกล้งเพื่อให้เขิน แต่มันกลั่นกรองมาจากจิตใจส่วนลึก

“รู้ครับ แต่ก็รักนะ”
ผมรักเขาจริงๆ ครับ ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่ตอนไหนเหมือนกัน

“อะไรนะ”
พี่ทาวน์ถามเสียงหลงแถมยังหันมาขมวดคิ้วใส่กันอีก แต่อะไรก็ไม่สะดุดตาเท่าแก้มขาวที่เริ่มซับสีแดงระเรื่อ โคตรน่ารักเลย

“ผมรักพี่ทาวน์ครับ”
ผมย้ำอีกครั้งก่อนจะอ้าแขนเพื่อสวมกอดเขาจากด้านหลังแต่กลับวืดหน้าคะมำลงบนเตียงเพราะพี่ทาวน์ลุกขึ้นไปแล้ว แม่ง หน้าแหกหมอไม่รับเย็บเลยกู อายเว้ย

“กูไปเป่าผมล่ะ มึงนอนได้แล้ว”
เขาบอกเสียงนิ่งโดนไม่หันกลับมามองสภาพน่าอนาถของผมเลยสักนิด แต่ดีแล้วที่เป็นแบบนั้น เพราะไม่อยากหาข้อแก้ตัวในการเอาหน้าลงไปไถกับที่นอน

“ให้ผมช่วยไหม”
ก็ยังมีกะจิตกะใจไปยั่วโมโหเขาเนอะไอ้เจ็ท

“นอนไปเถอะไอ้เดี้ยง!”
จ้า นอนก็ได้จ้า ~

หน้าที่ขับรถกลับกรุงเทพเป็นของพี่ทาวน์ไปโดยปริยายและมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคนคือไอ้ฟาร์มที่ตามมาวอแวพี่ฟาไม่เลิก แต่เจ้าตัวเขาดูจะมีความสุขมาก ส่วนไอ้ตังค์โดนสามีลากไปอีกคันจนได้ สงสารมันนะ แต่ไอ้การที่หน้าแดงใส่คู่กรณีเป็นอาการของคนมีใจชัดๆ หึ ปล่อยแม่งไปเถอะ คิดถึงรอยดูดที่ต้นคอนั่นแล้วรู้สึกตัวเองแพ้ไอ้เอยว่ะ หงุดหงิด!

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้ว เพราะกว่าจะออกจากที่พักก็เย็นย่ำเพราะอยากแวะตลาดนัดตอนค่ำระหว่างกลับ พี่ทาวน์ทยอยส่งทุกคนที่บ้านจนครบ ทำให้เวลานี้เหลือแค่เราสองต่อสองอยู่ด้วยกัน และขณะนี้รถได้จอดนิ่งสนิทอยู่หน้าคอนโดของผมแล้ว ยังไม่อยากลงเลย

“เจ็ท...”
ในขณะที่ผมกำลังตัดใจแล้วง้างที่เปิดประตูออกกลับได้ยินเสียงเรียกชื่อจากข้างตัว

“ครับผม”
ผมขานรับด้วยน้ำเสียงหงอยเพราะคิดว่าอีกคนคงไล่ให้ลงจากรถไปเร็วๆ

“กูค้างด้วยได้ไหม”

“ห๊ะ พี่ทาวน์ถามว่าอะไรนะครับ”
ผมคิดว่าช่วงนี้ตัวเองหูฝาดโคตรบ่อยเลยว่ะเอาจริง เมื่อครู่พี่ทาวน์ถามว่าอะไรนะ

“ค้างด้วยได้ไหม พรุ่งนี้มีประชุมงานโอเพ่นเฮ้าส์แต่เช้า ขี้เกียจตื่นเร็ว”
คราวนี้ชัดเจนได้ยินทั้งสองรูหู ผมเบิกตาค้างเพราะกำลังดีใจแบบสุดเหวี่ยงจนพี่ทาวน์ถึงกับเบนหน้าหนีไปทางอื่น อย่าทำแบบนี้สิ ไม่รู้หรือไงว่าอยากพุ่งเข้าไปกระทำชำเรามากแค่ไหน โอย หัวใจจะพัง

“ดะ ได้ครับ!”
รีบตอบกลับจนโดนค้อนวงใหญ่เลยกู แฮ่


“จิณณ์ อยู่ปะวะ วันนี้พี่ทาวน์จะมาค้างด้วยนะเว้ย”
ผมตะโกนบอกฝาแฝดที่คิดว่าน่าจะกลับมาถึงคอนโดได้สักพักแล้ว แต่ไอ้สภาพห้องที่ปิดไฟมืด ไม่มีเสียงตอบรับแบบนี้มันน่าสงสัยชอบกล หลับไปแล้วหรือยังไง

“พี่ทาวน์นั่งก่อนนะครับ หรือว่าหิวก็เปิดตู้เย็นในครัวได้เลยนะ”
ผมหันไปบอกคนที่เดินตามหลังมาแล้วพยักพเยิดให้เขานั่งที่โซฟากลางห้องนั่งเล่น ดวงตาคมสอดส่ายไปตามมุมต่างๆ แต่กลับไม่เจอจิณณ์ หรือยังไม่กลับ

“อืม โอเค”
พี่ทาวน์ตอบรับแล้วนั่งรอที่โซฟา ผมคลี่ยิ้มให้ทีหนึ่งก่อนจะผละออกมาหาจิณณ์อีกรอบ ในห้องนอนไม่มี ห้องน้ำไม่มี ระเบียบไม่มี หายไปไหนของมันวะเนี่ย

ผมล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงมากดต่อสายถึงพี่ชายสุดที่รัก รอไม่นานนักก็มีเสียงตะกุกตะกักดังขึ้น แอบเป็นห่วงกลัวรถจะชน เพราะสารถีคันนั้นขับรถโคตรไว

‘เจ็ท ~ กูขอโทษ’
เสียงอ่อยมาเชียวมึง

“อะไรของมึงเนี่ย แล้วอยู่ที่ไหน รถน้ำมันหมดกลางทางหรือไง”
ผมมุดเข้าห้องนอนตัวเองก่อนจะเปิดประตูระเบียงเพื่ออกไปคุยโทรศัพท์ด้านนอก คืนนี้อากาศในเมืองหลวงเย็นสบายสมกับเป็นช่วงต้นปี

‘กูอยู่บ้านไอ้เอย คงไม่ได้กลับคอนโดอะคืนนี้’

“ไม่บอกกูพรุ่งนี้เลยล่ะ แล้วเพื่อนกูอยู่ไหน”

‘ไอ้ฟาร์มกับไอ้ตังค์ถึงบ้านแล้ว ส่วนไอ้ไธนั่งแท็กซี่กลับคอนโด’
มันบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ผมกลับสะดุดตรงประโยคสุดท้าย ทำไมไอ้ไธต้องนั่งแท็กซี่กลับคอนโดวะ ดึกดื่นขนาดนี้แล้ว ถ้าเกิดตกลงกันแต่แรกให้มันนั่งรถพี่ทาวน์ก็ได้

“คือเชี่ยอะไรทิ้งเพื่อนกูวะ”
ผมถามไปด้วยความไม่เข้าใจ เสียงตึงๆ เพราะใจก็เป็นห่วงเพื่อนที่ยังไม่ถึงคอนโด โกรธจิณณ์ด้วยที่ทิ้งให้มันนั่งแท็กซี่กลับ ค้างคืนบ้านไอ้เอยด้วยกันจะตายหรือไง แม่ง

‘ไม่ได้ทิ้ง... แต่กูงอนมันอะ’
โอ้โห กูอยากมุดโทรศัพท์แล้วโผล่ไปตบหัวมันอีกฝั่งเหลือเกิน เหตุผลส้นตีนอะไรวะ เป็นเด็กประถมโกรธกับเพื่อนหรือไง

“อะไรนะ งอนบ้าอะไรของมึง”

‘ก็แม่ง... จีบกูอยู่ใช่ปะ แต่ตอบไลน์คนอื่น’

“แค่ตอบไลน์ มึงจะอะไรนักหนา”

‘แต่เขามาจีบมันนะเว้ย’

“กลัวไอ้ไธจะเปลี่ยนใจหรือไง”
จากที่ผมหน้าตึงกลายเป็นยิ้มกริ่มเมื่อรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างที่กำลังก่อตัวในใจจิณณ์ หึหึ มึงอย่ากลบเกลื่อน

‘กูแค่ไม่ชอบปะวะ’
ไม่ชอบอะไรของมึงครับพี่ชาย หึหึ

“มึงอย่ามาซึน ชอบมันแล้วก็บอก”
ผมเป็นคนตรงๆ

‘ใครชอบ ไม่มีอะ มั่ว!’
มันน่ะเป็นคนซึนๆ ปากหมา เอ้ย ปากแข็ง

“งั้นกูยุให้มันคบกับเพื่อนในคณะดีกว่า ยังไงก็แม่งแดกแห้วจากมึงแน่ๆ”
ผมระบายยิ้มอย่างอารมณ์ดีที่หาเรื่องเอาคืนพี่ชายแทนเพื่อนสนิทได้ ละจากระเบียงออกมาเพราะรู่สึกเริ่มปวดข้อเท้าอีกครั้ง การยืนเป็นพระเอกเอ็มวีรับลมไม่เท่เอาซะเลย



ต่อด้านล่างเนอะ


ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
‘ได้ไง! นี่พี่มึงนะเจ็ท ฝาแฝดสุดหล่อเลยนะเว้ย’
ไม่มีการตอบรับหรือปฏิเสธ แต่มันโวยวายจนหูคนฟังแทบแตก แทนที่ผมจะโกรธกลับยิ้มกริ่ม หึหึ ท่าทางแบบนี้ยังไม่ยอมรับอีก ว่าแต่พี่ทาวน์ปากแข็ง มึงก็ไม่ต่างกันเลย

“แล้วไง ก็มึงไม่ชอบมันนี่”

‘ไอ้สัด กูชอบมัน พอใจยัง!’

“บอกมันนู่น บอกกูทำไม”
โคตรพอใจ โอย ไอ้ไธกำลังจะสมหวังแล้วเว้ย ต้องไลน์ไปบอก แล้วให้มันเลี้ยงอาหารญี่ปุ่นมื้อใหญ่ หึ!

‘กูจะกลับไปตบปากมึงเดี๋ยวนี้เลย’
มันบอกเสียงขู่แต่ไม่มีทางที่จะยอมถ่อสังขารกลับมาตอนนี้แน่ๆ แต่ผมตกใจว่ะ ไม่ได้นะ

“ไม่ต้องกลับมา!”
เผลอตะโกนออกไป สายเกินที่จะตะครุบปากตัวเองเลยได้แต่กำหมัดต่อยลงบนเตียงด้วยความหงุดหงิดใจ พลาดฉิบหายแล้วกู

‘อะไรวะ แอบพาใครไปอึ๊บเหรอ’
ไอ้สัด มองน้องมึงเป็นคนยังไงวะ!

“เตี่ยมึงสิ พี่ทาวน์มาค้างด้วยเว้ย”
ไอ้นี่ก็บ้าจี้ไปบอกเขา ตบปากตัวเองสิบที ปฏิบัติ!

‘ว๊าย พัฒนามากอะน้องกู พี่เขาอ่อยมึงแน่ๆ’
ถ้าอ่อยก็ดีสิวะ แม่ง พูดให้กูสติแตกอีกแล้ว

“เกลียดเสียงมึง! เขามีประชุมงานโอเพ่นเฮ้าส์ตอนเช้าเว้ย นี่มันก็จะเที่ยงคืนแล้ว”
ผมอธิบายยาวเหยียดแล้วนั่งหอบหายใจแฮ่กอยู่คนเดียว ไม่อยากให้ใครคิดว่าคนอย่างพี่ทาวน์จะอ่อยคนอื่น เดี๋ยวเสียหายกันพอดี

‘จ้าๆ อย่าปล้ำพี่เขาแล้วกัน กูยังไม่อยากจองศาลาวัด’
เสียงใสจนน่ากระทืบ มึงเคลียร์เรื่องไอ้ไธกับกูก่อนไหมล่ะจิณณ์ มันถึงคอนโดหรือยังไม่รู้

“รักกูมากมั้ง”
ประชดมันกลับ หงุดหงิดเว้ย

‘รักที่สุดในสามโลกแล้ว อิอิ’
ไอ้เหี้ยนี่ไม่สำนึก

“สัด!”
ด่ามันส่งท้ายก่อนจะกดวางสายด้วยอารมณ์คุกรุ่น แต่พอเดินออกมาเห็นพี่ทาวน์นั่งตาปรืออยู่บนโซฟากลับคลี่ยิ้มด้วยความเอ็นดู น่ารักจัง

“พี่ทาวน์ครับ”

“ว่าไง”
เสียงงัวเงียไปอีก แล้วท่าทางตอนขยี้ตาโคตรน่าขย้ำ ฮือ นายภาคินกำลังหลงพี่ทาวน์หัวปักหัวปำแล้ว

“เดี๋ยวพี่นอนห้องผมเนอะ ผมจะไปนอนห้องจิณณ์ คืนนี้มันค้างบ้านไอ้เอย”
ผมจัดแจงเสร็จสรรพเพื่อความสบายของอีกคน อีกอย่างคือปลอดภัยจากความหน้ามืดตาลายของไอ้เจ็ทคนนี้ด้วย

“นอนด้วยกัน จะได้ไม่ต้องลำบาก”
พี่ทาวน์อ้าปากหาวปิดท้ายแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะยืดแขนเพื่อบิดขี้เกียจจนเสื้อเชิ้ตสีพาสเทลของเขาเปิดขึ้น ผมได้แต่กลืนน้ำลายเอื๊อก ขอบกางเกงในเอย วีเชฟเอย กูจะตายแล้วเว้ย จิณณ์กลับมาห้ามหน่อย ฮือ

“ผมมะ ไม่ลำบากหรอก”
หลบสายตาอีกคนที่มองมาแล้วทำเป็นว่าจัดนู่นจัดนี่เข้าที่ ดีหน่อยที่ไม่เผลอไปคว้าไม่กวาดมา ไม่อย่างนั้นต้องโดนจับได้แน่ๆ ว่ากำลังคิดอกุศล

“นอนด้วยกัน”
พี่ทาวน์ย้ำเสียงเข้มก่อนจะเดินเข้ามาประชิด ผมรีบผละออกห่างเพราะหัวใจกำลังเค้นแรง หน้าร้อนวูบวาบจนน่ากลัว

“เอ่อ น่าจะไม่ดีนะครับ”

“ทำไม”

“ผมกลัวเผลอปล้ำพี่อะ”
บอกไปตรงๆ เขาจะได้ยอมปล่อยกันไป แต่เปล่าเลย พี่ทาวน์กลับแสยะยิ้มใส่

“หึ ลองดู กูจะกระทืบให้ม้ามแตกเลย”

สุดท้ายก็ต้องนอนด้วยกัน เลี่ยงไม่ได้จริงๆ ยุบหนอ ไม่พองหนอ

ผมหยิบเสื้อผ้าเข้ามาเปลี่ยนในห้องน้ำเพื่อความสบายใจของตัวเอง แผลที่ฝ่าเท้าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงจนต้องระวังเป็นพิเศษ หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็เปิดประตูออกมาเผชิญโลกกว้างและบุคคลที่นอนตาปรืออยู่บนเตียง แอบเข้าข้างตัวเองได้ไหมว่ารอนอนพร้อมกัน

“จะนอนหรือยังครับ”
ผมเอ่ยถามคนบนเตียงแล้วยืนรอที่สวิตซ์ไฟเพื่อเตรียมปิด พี่ทาวน์พยักหน้าก่อนจะเก็บโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ

“อืม”

“งั้นปิดไฟนะ”
บอกก่อนจะปิดไฟแล้วคลานขึ้นเตียงอีกฝั่ง แสงจากดวงจันทร์ยังพอให้มองภาพต่างๆ ในห้องได้เป็นรูปร่าง พี่ทาวน์ตะแคงข้างแล้วนอนมองกันนิ่ง ผมได้แต่กระพริบตาปริบๆ ให้กับเพดาน โคตรเกร็งเลยเว้ย

“เรื่องเป็นแฟนกันน่ะ...”
อยู่ๆ น้ำเสียงเบาราวกระซิบก็ดังขึ้นเรียกให้สายตาของผมต้องละจากเพดาน พี่ทาวน์ก้มหน้าซุกกับหมอนข้างไปเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ดีนะ หัวใจจะได้สงบลงหน่อย

“ครับ”
ผมขานรับเพราะกลัวความเงียบจะทำให้อึดอัด ตอนนี้สมองคิดอยู่สองเรื่องคือประโยคต่อไปของพี่ทาวน์กับขอกอดเขานอนดีไหม

“พร้อมเมื่อไหร่กูจะขอมึงเอง”
พี่ทาวน์พูดแล้วพลิกตัวหันหลังให้กัน ผมเผลอสะดุดลมหายใจไปหนึ่งจังหวะเพราะทั้งอึ้งทั้งดีใจ โอย อยากจับมาฟัดให้หนำใจจริงๆ รู้ตัวบ้างไหมว่าน่ารักแค่ไหน

“อ่า... จะรอนะครับ!”
ผมตอบเสียงดังจนพี่ทาวน์สะดุ้งแต่ก็ไม่ได้ด่าอะไรกลับมา คงแอบยิ้มอยู่ล่ะมั้ง ขอมโนเองสักนิดเถอะ

“อืม”

“ฝันดีนะครับพี่ทาวน์”
ผมขยับเข้าไปกระซิบข้างหูก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาท่ามกลางความมืด มีความสุขมากจรอยากหยุดช่วงเวลานี่ไว้

“ฝันดี”

หลังจากคำพูดนั้นก็ได้ยินเสียงหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของพี่ทาวน์ ผมยังไม่สามารถหุบยิ้มได้เลย ถึงแม้จะเห็นแค่แผ่นหลังก็เถอะ ไม่ใช่ว่าไม่ง่วงแต่...

ไอ้สัด นอนไม่หลับ หัวใจเต้นแรงมาก

ฟึบ!

เสียงพลิกตัวของอีกคนดังขึ้น ผมที่ไม่ทันระวังเลยเบิกตาด้วยความตกใจเมื่อริมฝีปากนุ่มหยุ่นของพี่ทาวน์แตะลงมาที่ตำแหน่งเดียวกันอย่างพอดิบพอดี อ๊าก กำไรชีวิตที่สุดในรอบเกือบยี่สิบปีที่เกิดมาเลยเว้ย

บึ้ม!

ร่างระเบิดตายไปเลยกู



--------------------------------------------

ช่วงนี้เจ็ทก็จะหน้าบานหน่อยๆ ก็คนมีความสุขอะเนอะ
เมาจูบหวานๆ ของพี่ทาวน์ซะด้วย 555555

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
นี่มันเป็นการเริ่มต้นปีที่ดีมากเลยเน๊อะเจ็ท 5555

ออฟไลน์ numay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1
น่ารักอ่ะ

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
โอยยย สติหายไปพร้อมเจ็ท ฮรื้ออออออออออ :heaven :heaven

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
แข่งครั้งที่ 24



การเปิดเทอมเริ่มมาได้ประมาณหนึ่งอาทิตย์แล้ว งานโอเพ่นเฮ้าส์ของมหา’ลัยจะมีการจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ พวกผมเลยต้องลากสังขารเปลี้ยๆ ออกมาจากห้องเขียนแบบเพื่อช่วยจัดซุ้มขายเครื่องดื่มจำพวก ชา กาแฟ และอิตาเลี่ยนโซดาสีสันสดใส ข้างกันเป็นร้านขายทาโกะยากิของเด็กทันตะฯ สาวๆ เพียบ

“เจ็ท กูวานมึงช่วยไปยกป้ายร้านมาติดหน่อย อยู่ท้ายรถอะ”
ไอ้ชัยเพื่อนในคณะที่เป็นสาวประเภทสองร้องขอให้ช่วยก่อนจะโยนกุญแจรถมาให้ ผมพยักหน้ารับแล้วเดินดุ่มๆ ไปเอาป้ายร้าน อยากรู้เหมือนกันว่ามันตั้งชื่ออะไร เพราะถามไปเกือบสิบรอบก็ไม่ยอมตอบ

“ไอ้เจ็ท จะไปไหนวะ”
ไอ้ไธวิ่งตามมาด้วยสภาพเหงื่อท่วมตัวอย่างกับคนไปกระโดดคลอง ผมหยุดรอมัน ควงกุญแจเล่นไปเรื่อยจนโดนสาวน้อยสาวใหญ่แถวนั้นกรี๊ดใส่ ไม่ได้ตั้งใจทำเท่เว้ย กูแค่หาอะไรทำแก้เบื่อ

“ไปเอาป้ายร้านให้ไอ้ชัย”

“อ๋อ มึงพกพาวเวอร์แบงค์มาปะ”
ไอ้ไธหอบแฮ่กแต่มีแววตามุ่งมั่นส่งมาทางนี้ ผมขมวดคิ้วมองด้วยความแปลกใจ ปกติแล้วมันไม่ค่อยสนว่าโทรศัพท์แบตฯ จะหมดหรือเปล่า แล้ววันนี้คืออะไรยังไงวะ

“เอามา อยู่ในกระเป๋าเป้ที่ไอ้ตังค์”
ผมบอกเพื่อนเสร็จสรรพแล้วลอบสังเกตปฏิกิริยาเงียบๆ มันยิ้มกว้างก่อนจะเอื้อมมือมาตบที่บ่า ดีใจขนาดนั้นเลย หรือไอ้ไธคุยธุระสำคัญกับใครค้างไว้

“เออๆ ยืมหน่อย”

“แบตฯ หมดเหรอ”

“เกือบๆ วีดีโอคอลกับจิณณ์น่ะ”
จากที่เคยขมวดคิ้วทำหน้าหมาสงสัยใส่มัน ตอนนี้ผมเลยเปลี่ยนมาเบ้ปากพร้อมผลักไหล่ไอ้ไธด้วยความหมั่นไส้ หวานซะจริงนะพวกมึง อิจฉาเว้ย ของกูเนี่ยจากวันที่ค้างด้วยกันถึงวันนี้ทุกอย่างปกติสุขมาก ไม่มีกุ๊กกิ๊กอะไรเลย พี่ทาวน์เรียนหนักตั้งแต่เปิดเทอม เข้าแล็บบ่อยยิ่งกว่ายกหูโทรหากันอีก คิดแล้วเศร้าว่ะ

“กูอยากจะแหมให้ถึงเชียงใหม่จริงๆ ครับเพื่อน เดี๋ยวนี้ห่างกันไม่ได้เลยเนอะ มนต์รักทาโร่เหรอมึง”
ผมเอ่ยแซวด้วยความหมั่นไส้ หรี่ตามองด้วยความริษยา มันไหวไหล่แถมด้วยการยักคิ้วกวน เดี๋ยวพ่อไม่ให้ยืมพาวเวอร์แบงค์!

“อย่าให้กูแหมคืนบ้างนะ มึงก็ใช่ย่อย พูดอวดเรื่องพี่ทาวน์สารภาพรักมาร้อยรอบแล้วมั้ง”
ไอ้ไธเอาคืนได้อย่างเจ็บแสบจนรู้สึกร้อนที่พวงแก้ม ยกมือขึ้นถูๆ เพื่อปกปิดความอ่อนไหวที่แสดงออกมา ก็มันดีใจนี่หว่าที่คนเย็นชาแบบนั้นสารภาพความในใจให้ฟัง ไม่ใช่การพิมพ์หรือเขียนบอก

“เว่อร์จริง”
ผมบ่นอุบก่อนจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อคิดถึงจูบที่ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจนั่น อยากสัมผัสอีกสักรอบว่ะ ยังหวานและนุ่มอยู่ในความทรงจำ

“มึงรีบไปเอาป้าย จะได้กลับหอกันสักที”
ไอ้ไธโบกมือไล่ด้วยใบหน้าเอือมระอากับท่าทางสาวน้อยของผมก่อนจะหันหลังกลับไปทางซุ้มขายน้ำที่มีไอ้ตังค์นอนหลับเฝ้ากระเป๋าพวกเราอยู่ ไม่รู้ว่าเมื่อคืนแม่งไปไหนมาถึงได้เพลียขนาดนี้ ถ้าคิดลึกหน่อยคงโดยไอ้เอยล่อยันเช้า... ขอโทษนะเพื่อนที่ยัดเยียดผัวให้มึง

ผมกดรีโมทเปิดท้ายรถเพื่อจะหยิบป้ายร้านแต่กลับชะงักกึกเมื่อเห็นตัวอักษรสีสันสดใสเขียนว่า ‘ผู้ชายขายน้ำ’ ได้แต่ร้องเหี้ยในใจ ถึงมุกจะเก่าแต่ก็กามเหมือนเดิมว่ะ คิดดีไม่ได้เลยจริงๆ แล้วคนขายซุ้มนั้นก็ผู้ชายล้วน คงโดนล้อจนป่นปี้แน่ๆ

ผมหยิบป้ายที่ทำด้วยไม้อัดมาแนบข้างลำตัวโดยให้ชื่อร้านหันเข้าด้านใน รีบเดินดุ่มๆ กลับซุ้มเพราะกลัวคนอื่นเห็น ใครไม่อายก็ช่างมัน แต่กูหน้าบางเถอะ คือมันมีรูปปากคนสีแดงน้ำลายหกประดับอยู่หลังตัวอักษรด้วยไง ไม่ค่อยส่อเลยจริงๆ แม่ง

“ไอ้ชัย มึงเป็นคนตั้งชื่อร้านเหรอ โคตรเหี้ยเลยเนี่ย”
ผมโยนป้ายชื่อให้ไอ้ชัยที่นั่งกดโทรศัพท์อยู่บนพื้นแล้วกอดอกมอง มันเงยหน้าขึ้นจ้องเขม็งก่อนถลึงตาใส่อย่างกับใครไปเหยียบบนหัว

“กรี๊ด ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้เลยนะไอ้เจ็ท กูเปลี่ยนชื่อเป็นกระต่ายแล้วเว้ย เห็นปะ มีหูด้วย”
มันชี้ที่คาดผมหูกระต่ายบนหัวแล้วแยกเขี้ยวใส่ผมที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แบ๊วสัดไม่ดูหนังหน้าและทรงผมมึงเลยเนอะ ไถข้างซะเกรียนหนวดเคราครึ้ม แมนกว่าผู้ชายแท้แถวนี้อีก โหดสัด

“หน้าอย่างมึงอะนะ เหมาะกับหมาในมากกว่า”
ผมเย้าไอ้ชัยเล่นด้วยความสนุกปาก ไม่ได้คิดจะว่าเพื่อนแบบจริงจังอะไร แค่เห็นปฏิกิริยาดีดดิ้นแล้วหมั่นไส้เท่านั้นเอง

“อี...”
มันชี้หน้าปากคอสั่นไปหมด แต่อย่าหวังว่าผมจะเปิดโอกาสให้ด่านะเออ

“หรืออีกัวน่าดีวะไธ”
ผมหันไปถามไอ้ไธที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับโทรศัพท์ มันหันมาขมวดคิ้วใส่เป็นเชิงถามว่าอะไร โธ่ กูล่ะอยากเตะมึงจริงๆ เลย นี่ถ้านินทาระยะเผาขนก็คงไม่รู้ตัวแน่

“ไอ้...”

“หรือว่า...”

“เดี๋ยวกูจูบให้ปากบี้เลย!”
ยกนี้มันชนะเว้ยเฮ้ย ตะโกนอัดหน้ายังพอทนแต่ลุกขึ้นแล้วพุ่งเข้ามาหากันนี่ไม่ไหว ผมวิ่งไปหลบหลังไอ้ไธอย่างไว กลัวโดนจูบจริงๆ จะหลอนเอา

“โธ่ น้องกระต่ายคนสวย พี่ล้อเล่นครับ”
ผมพูดเสียงอ้อนแล้วกระพริบตาอ้อนวอนไอ้ชัย มันกอดอกเชิ่ดหน้าใส่ราวกับจะโกรธกันต่ออีกสักสิบชาติ นี่ง้อแล้วนะเว้ย อย่าเล่นตัวนักดิเพื่อน

“ชิ สายไปแล้วย่ะ”
มาชงมาชิใส่กูแถมด้วยการทำแก้มป่องๆ คล้ายรอให้หอมแก้มง้อ ฝันกลางวันไปเถอะ เดี๋ยวพ่อถีบกระเด็นเลยนี่ ทำอะไรช่วยเห็นแก่หนวดบนหน้ามึงบ้างเถอะนะ กูจะยกมือกราบแล้วเนี่ย

“งอนเป็นตุ๊ดไปได้”
ผมบ่นพึมพำแล้วเดินไปดึงหนวดของเพื่อนคนสวยเล่น มันถลึงตาใส่ก่อนจะตีเพี๊ยะลงบนมือ เจ็บจนร้องซี๊ดเลยกู แรงควายฉิบหาย

“ก็กูเป็นตุ๊ด”
ไอ้ชัยจีบปากจีบคอบอกก่อนจะใช้มือจัดแต่งหนวดเคราให้เข้าที่เข้าทาง ผมเคยเห็นมันเอาเจลจัดแต่งทรงใส่ด้วยนะ

“อ้าวลืม โทษๆ ว่าแต่มึงเปลี่ยนชื่อร้านเหอะ กูว่ามันกาม”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแล้วเดินไปหยิบป้ายชื่อร้านขึ้นมา ไอ้ชัยถึงกับส่ายหน้าพรืดปฏิเสธอย่างแข็งขืน มันหรี่ตาคมๆ มองอย่างล้อเลียน อะไร กูเริ่มเสียงสันหลังแล้วนะ

“มึงน่ะสิกาม คิดลึกไปได้”
มันบอกเสียงกลั้วหัวเราะแล้วแย่งแผ่นป้ายชื่อร้านอันแสนภูมิใจไปยืนลูบๆ คลำๆ เห็นแล้วรู้สึกขนลุกยังไงชอบกล

“ใครๆ ก็คิด กูเชื่อแบบนั้น”
ผมไม่ยอมแพ้ แต่ก็ไม่กล้ายืนใกล้ไอ้ชัยอีก กลัวมันจะเปลี่ยนเป้าหมายมาลวนลามกันแทน มือสากอย่างกับกระดาษทรายเบอร์สิบ ไม่นิ่มนวลเหมือนพี่ทาวน์เลย คิดถึงอีกแล้วว่ะ แย่ๆ

“เออน่า มันเป็นจุดขายไง สาวๆ คงอยากได้น้ำของน้องเจ็ทกันตรึมเลยค่ะ”
มันยิ้มหวานชวนสยองมาให้ก่อนจะเดินนวยนาดไปส่งป้ายให้กับเพื่อนในคณะอีกคนที่ปีนเก้าอี้รออยู่แล้ว ผมตามไปติดๆ เพื่อด่าไอ้ชัย พูดแบบนี้ต่อยกันเลยไหม มึงนี่ตัวกามเลย

“พ่อง ไม่ขายเว้ย”

“จะเก็บไว้ให้เดือนแพทย์เหรอจ๊ะ”
หันหรี่ตามองกูหมายความว่าไงห๊ะ แล้วอะไรคือรู้เรื่องเดือนแพทย์ เกลียดมึงจัง

“จะถูกรีดทิ้งชักโครกล่ะสิไม่ว่า”
ผมบ่นพึมพำ แค่จะกอดเขายังไม่มีปัญญาเลย มาพูดเรื่องน้ำอะไรวะ ห่างไกลสุดๆ

“ไร้น้ำยาจังทูนหัว”
ไอ้ชัยว่าเสียงเยาะเย้ยแล้วยื่นมือมาสะกิดปลายคางกันอย่างหยอกล้อ ผมผงะถอยหลังแล้วถูตำแหน่งนั้นจนรู้สึกแสบไปหมด ถ้ามึงจะโกนหนวดหน่อยคงดีกว่านี้ กลัวเว้ย!

“เดี๋ยวกูต่อยคว่ำ”
เงื้อหมัดขู่เมื่อเห็นว่ามันจะพุ่งเข้ามาลวนลามกันอีกครั้ง ไอ้ชัยชะงักกึกแล้วทำท่าทีฮึดฮัดราวกับเด็กโดนขัดใจ คิดว่าน่ารักเหรอ เหมือนช้างตกมันเลยแม่คุณ

“อย่าทำร้ายผู้หญิงบอบบางนะ!”
อยากจะขากถุยกับสารร่างตรงหน้าเหลือเกิน

“โอ้โห กล้าพูดนะมึง บางมากมั้ง”
ผมมองมันตั้งแต่หัวจรดเท้า ตัวสูงๆ ผิวสีแทน กล้ามเป็นมัด ซิกแพคแน่นมาก หุ่นรุกสุดใจขาดดิ้นแต่ใจเป็นรับร้อยเปอร์เซ็น ไอ้ชัยแยกเขี้ยวขู่กันแง่งๆ เพราะเถียงไม่ออก คงโกรธมากที่วิจารณ์ไปแบบนั้น

“บางกว่าสามชั้นมิลฯ เดียวอะ”
ไม่ใช่เสียงผมนะเว้ย นู่น ไอ้ป๋าฟาร์มที่เพิ่งเดินหล่อเสยผมมาทางนี้สดๆ ร้อนๆ วอนโดนข่มขืนแล้วมึง กูขอจรลีก่อนล่ะ ไม่อยากเซ็กซ์หมู่

ผมแอบย่องหนีกลับมานั่งข้างๆ ไอ้ไธที่เลิกวีดีโอคอลไปแล้ว ส่วนไอ้ตังค์นั่งหน้ามึนอมน้ำลายบูด สภาพควรลากกลับบ้านจริงๆ เดี๋ยวไว้ว่างๆ กูจะโทรเรียกไอ้เอยให้นะ ตอนนี้ขอดูละครสดจากสองคนนั้นก่อน คงสนุกพิลึก

“อีฟาร์ม! มาถึงก็ปากดีเลยนะมึง”
มวยคู่เอกของคณะเริ่มฟาดฟันกันแล้วครับท่านผู้ชม ทุกคนที่อยู่บริเวณที่ต่างทิ้งงานของตัวเองแล้วให้ความสนใจอย่างเต็มที่ แอบอู้เชียวนะพวกมึง

“ไม่ใช่ปากดีอย่างเดียวนะ เอวก็ดี อิอิ”
ไอ้ฟาร์มหัวเราะเสียงใสอย่างอารมณ์ดี คำพูดสองแง่สองง่ามของมันกำลังจะนำพาความบรรลัยมา เชื่อเถอะ คนอย่างไอ้ชัยแผนสูงกว่าเยอะ

“กูไม่เชื่อ มึงต้องพิสูจน์”
นั่นไง เข้าทางพี่แกสิครับ ถ้าไอ้ฟาร์มตกลงนี่ถือว่าชีวิตมันจบเลยนะ เพราะไอ้ชัยไม่ปล่อยผัวไปไหนแน่ๆ กว่าจะตกถึงท้องสักคนต้องกักขังให้ถึงที่สุด

“ว๊าย ไม่เอาค่ะพี่ชัย หนูเป็นตุ๊ดเหมือนกันค่ะ เดี๋ยวฟ้าผ่า”
รับรางวัลออสก้าไปเลยเพื่อน ผมกับพวกในคณะหัวเราะก๊ากแบบไม่อายชาวบ้านข้างเคียง ทั้งสีหน้า น้ำเสียง และท่าทางของไอ้ฟาร์มแม่งโคตรตลก สมจริงเหมือนมันเป็นสาวประเภทสองของแท้ ไอ้ชัยถึงกับเต้นเร่าๆ เมื่อโดนเอาคืนด้วยวิธีนี้ ลุ้นต่อว่าจะงัดไม้ไหนออกมาสู้ สนุกจริงวุ้ย

“อีฟาร์ม ขอให้มึงนกจากคนที่มึงชอบ”
หลังจบคำแช่งของไอ้ชัยผมกับเพื่อนถึงกับนิ่งค้างเพราะสายตาปะทะเข้ากับแก๊งค์ว่าที่คุณหมอที่เพิ่งเดินมาถึงหน้าซุ้มเมื่อครู่นี้ คงทันได้เห็นท่าทางอ่อนช้อยของป๋าฟาร์มแน่ๆ ฉิบหายแล้วมึง ตัวใครตัวมันนะงานนี้

“ไอ้ฟาร์ม...”
พี่ฟาเรียกมันเสียงนิ่ง ใบหน้าไม่แสดงความรู้สึกยินดียินร้าย แต่ไอ้หูกับแก้มแดงก่ำคืออะไรวะ โกรธเหรอนั่น เข้าใจผิดไอ้ฟาร์มหรือเปล่า ผมอยากเข้าไปเผือกแล้วบอกว่ามันแมนแต่ดูสถานการณ์แล้วนั่งหุบปากเงียบๆ คงดีกว่า ยังไม่อยากตาย

“เฮ้ย พะ พี่ฟา คือว่าเมื่อกี้...”
ไอ้ฟาร์มละล่ำละลัก ดวงตาเบิกกว้างเพราะไม่รู้จะแก้ตัวยังไงดี อาการลนลานแบบนี้พบเห็นได้บ่อยจนพวกผมเดาทางออก กับคนที่ชอบใบ้แดกทุกทีสิน่า

“อุบ...”
หืม

“พี่...”
ไอ้ฟาครางได้เท่านั้นก็โดนกลบด้วยเสียงหัวเราะลั่น พี่ฟางอตัวอย่างกับกุ้งต้มสุกเดือดร้อนพี่ทาวน์ต้องคอพยุงตัวเพื่อนเอาไว้ก่อนจะลงไปนอนกลิ้งบนพื้น ขำจนพวกผมยังอายอะ

ปล่อยให้ไอ้ฟาร์มกับพี่ฟาหยอกล้อกันที่มุมหนึ่งส่วนผมก็แยกออกมาทักทายพี่ทาวน์เป็นการส่วนตัว โดยมีสายตาเหน็บแนมเชิงอิจฉาส่งมาจากไอ้ชัยเป็นระยะ รายนั้นเขาเป็นแฟนคลับเดือนมหา’ลัยทุกปีนั่นล่ะ อย่าไปสนใจมัน

“สวัสดีครับพี่ทาวน์”
ผมคลี่ยิ้มหวานหยดส่งให้บุคคลอันเป็นที่รักของตัวเอง หัวใจเต้นตึกตักด้วยความตื่นเต้น ครั้งแรกในรอบเกือบสองอาทิตย์ที่ไม่ได้เจอหน้ากัน อยากขอกอดสักครั้งแต่เกรงใจสถานที่ เอาจริงๆ กลัวโดนเตะก้านคอมากกว่า ข้อหาทำตัวรุ่มร่าม

“อืม”
คำตอบสั้น ตามแบบฉบับของพี่ทาวน์ทำให้ผมรู้สึกเหี่ยวเฉายังไงชอบกล ช่วยมีปฏิกิริยามากกว่าขยับจมูกหายใจได้ไหมครับพี่ ไม่เจอกันหลายวันเลยนะเว้ย

“มาหาผมเหรอครับ”
ผมเป็นคนมีความหวังเสมอ ถึงใครจะมองว่าขี้มโนก็เถอะ

“หึ เปล่า มาส่งไอ้ฟา”
แล้วคนนี้ก็กระทืบมโนของผมให้จมดินได้เสมอเลย แต่ยังไงก็รักนะ

“โห ไม่คิดถึงผมบ้างเหรอ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้คุยกันเลยนะ”
ผมบ่นเสียงกระเง้ากระกอดพร้อมกับกระพริบตาปริบๆ เพื่ออ้อนคนตรงหน้า มันไม่ได้น่ารักน่าเห็นใจหรอก รู้ตัวดี เพราะดูจากสีหน้าพี่ทาวน์ที่ขมวดคิ้วแล้ว คงหน้าถีบให้กระเด็นตกคลองมากกว่า

“จำเป็นต้องคิดถึงด้วยเหรอ”
ธนูดอกแรกปักเข้าที่ไหล่ ดอกที่สองตรงหัวใจเป๊ะ เจ็บจี๊ดเลยไหมล่ะกู โอย

“ชอบกันจริงปะเนี่ย”
ผมถามเสียงน้อยใจก้มหน้าก้มตาเหมือนหมาโดนเจ้าของดุ รู้ทั้งรู้ว่าพี่ทาวน์ปากแข็ง แต่มันอดนอยด์ไม่ได้จริงๆ

“ถามมากจะเลิกชอบ”
พี่ทาวน์ยื่นคำขาดก่อนจะเอื้อมมือมาตบแก้มผมเป็นเชิงหยอกล้อเบาๆ แค่ถูกสัมผัสจากคนที่ชอบ ไอ้อาการงี่เง่าทั้งหลายก็หายเป็นปลิดทิ้ง รู้สึกใจชื้นขึ้นเยอะ

“โอเคๆ ไม่ถามแล้วครับ พี่จะไปไหนต่อหรือเปล่า”
ผมรีบเปลี่ยนท่าทีเพราะกลัวว่าคนตรงหน้าจะเลิกชอบกันขึ้นมาจริงๆ พี่ทาวน์กระตุกยิ้มก่อนจะตอบคำถาม

“แวะกินข้าว กลับคอนโด”

“ผมไปกินข้าวด้วยได้ปะ”
ลองถามดูเผื่อพี่เขาอยากได้เพื่อนกินข้าว

“อืม จะชวนพอดี”
แจ็กพอตแตกว่ะ อยากจะแหกปากตะโกนด้วยความดีใจเว้ย! ก็บอกแล้วว่าพี่ทาวน์น่ารัก

ผมกลับคอนโดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มจนจิณณ์หาว่าบ้า แต่ใครจะสนในเมื่อได้รับความสุขมาเต็มกระบุง อยากจะด่ามันสวนเหมือนกันเพราะจำได้ว่าพี่ชายสุดที่รักก็มีนัดกินข้าวกับไอ้ไธ อย่าให้รู้ว่ามึงแอบเสียตัวก่อนตกลงเป็นแฟนกันนะ พ่อจะฟ้องพี่แจมให้บ่นจนหูชาเลยคอยดูเถอะ

แสงแดดยามเช้าลอดรอยแยกของผ้าม่านเข้ามาทำให้ผมต้องดึงตุ๊กตาหมาซึ่งเป็นของขวัญวันเกิดจากหลานชายตัวแสบขึ้นมาปิดหน้าไว้ ยังไม่อยากตื่นเลยเว้ย เมื่อครู่กำลังฝันว่าจะได้จูบกับพี่ทาวน์อยู่แล้วเชียว

“ไอ้เจ็ทเว้ย ตื่นได้แล้ว!”
กำลังจะเคลิ้มอยู่แล้วเชียว มีมารส่งเสียงขัดจังหวะจนได้

“อือ ขอห้านาที”
ตอบเสียงงัวเงียกลับไปเมื่อรู้สึกได้ว่าวิญญาณตามติดอย่างจิณณ์ยืนอยู่ปลายเตียง คราวหน้ากูจะล็อกกลอนห้องแล้วแม่ง เข้าออกห้องคนอื่นเป็นว่าเล่น

“ไม่ได้เว้ย นี่มันจะเก้าโมงแล้ว”
เสียงโวยวายมาพร้อมแรงเขย่ามหาศาล ผมเบิกตาโพลงเมื่อได้ยินคำแสลงหู กี่โมงแล้วนะ!

“ห๊ะ!”
ผมเด้งตัวขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็วจนตุ๊กตาหมากลิ้งลุนๆ ไปบนพื้นห้อง ฉิบหายแล้วไหมล่ะมึง ไอ้ชัยนัดเก้าโมง มันบอกถ้าไปสายจะบีบไข่ให้หน้าเขียว กูกลัวแล้วจ้า

“ไม่ห๊ะ รีบๆ ไป ‘ขายน้ำ’ มึงได้แล้ว”
พี่กูนี่ยังไงวะ เน้นคำว่าขายน้ำจังเลยเฮ้ย

“กามสัด!”

ผมถึงมหา’ลัยเกือบสิบโมงแต่ดีหน่อยที่ไอ้ชัยมันต้องรีบไปทำธุระให้พวกที่จัดซุ้มแนะนำคณะ รอดจากการโดนบีบไข่แบบหวุดหวิดเลยกู ได้ข่าวว่าไอ้ฟาร์มมาส่ายแค่สองนาทีโดนสำเร็จโทษไปเรียบร้อย นั่งแหกปากร้องไห้ราวๆ สิบนาที น่าสงสารจัง

ผู้คนที่มาชมงานโอเพ่นเฮ้าส์หลั่งไหลเข้ามาอย่างกับหนอน เครื่องดื่มขายดีกว่าพวกอาหารเพราะวันนี้อากาศร้อนอบอ้าวคล้ายฝนจะตก ถือว่าดีเพราะร้านผู้ชายขายน้ำมีรายได้เข้าเยอะ แต่เสียตรงที่ว่าโดนลูกค้าตอดเล็กตอดน้อยจนเนื้อแทบไม่เหลือ เพลียฉิบหายเลยแม่ง

“โอย กูอยากเปลี่ยนตัวผู้เล่น ไม่ไหวแล้วเนี่ย”
ผมบ่นเมื่อยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู มันบอกเวลาห้าโมงเย็นแล้ว ตั้งแต่สิบโมงยันตอนนี้ยังไม่ได้พักเลยเถอะ ไอ้พวกปีหนึ่งคนอื่นๆ หายหัวไปไหนไม่รู้ พอโทรตามแม่งก็บอกว่า ‘จะให้กูไปไล่ลูกค้าเหรอ ดูสารรูปพวกกูหน่อย’ คืออยากเถียงใจจะขาด แต่ต้องยอมรับความจริงว่าเราไม่สามารถเอาโจรฆ่าข่มขืนมาขายน้ำได้จริงๆ ท้อแท้สัด

“เดี๋ยวกะดึกไอ้ชัยส่งคนอื่นมาเปลี่ยน ทนๆ อีกชั่วโมงเดียว”
ไอ้ไธที่ยืนอยู่ข้างกันปลอบใจด้วยเสียงเนือยๆ ในขณะที่มือก็ยังคงชงชาเขียวไม่หยุดเพราะจะเอามาดับกระหายตัวเอง เชื่อไหมว่าข้าวเที่ยงยังต้องแดกที่ซุ้มเลย ขยับตัวไปไหนไม่ได้จริงๆ ดีหน่อยที่ไอ้พวกโจรเอาเสบียงมาส่ง ไม่อย่างนั้นกูจะฟ้องอาจารย์ที่ปรึกษาว่ามันไม่ช่วยงาน!

“จะเคารพธงชาติแล้วนะมึง กูเมื่อยขา”
ผมทุบหน้าขาดังตุบตับ ไม่ใช่ว่าเพื่อนแล้งน้ำใจไม่ขนเก้าอี้มาให้นั่ง แต่ไม่มีเวลาหย่อนก้นเลยต่างหาก เพราะชื่อร้านมึงเลยไอ้ชัย ไอ้สันขวาน หอกหัก!

“บ่นเป็นคนแก่ไปได้ครับคุณเจ็ท”
ไอ้ตังค์พูดเสียงเรียบก่อนจะใช้สายตาเนือยๆ ส่งมาทางนี้ ผมหันขวับไปจ้องเขม็ง มึงอยากตายใช่ไหม

“ยังมีหน้าด่าคนอื่นเนอะมึง นั่งตักน้ำแข็งสบายตายห่า”
ผมจิ้มนิ้วลงบนหน้าผากมนของไอ้ตังค์ด้วยความหมั่นไส้ ทำงานเบากว่าคนอื่น แถมยังนั่งแนบถังน้ำแข็งตลอดเวลา น่าอิจฉาจะตายไป ยังจะมาเหน็บกันอีก

“อยากเกิดมาหล่อเรียกลูกค้าทำไมล่ะครับ”
มันเถียงก่อนจะปัดป่ายมือผมออก ทำหน้ายู่ๆ ย่นจมูก คิดว่าน่ารักตายล่ะ แต่สำหรับไอ้เอยคงใช่ รายนั้นหลงไอ้ตังค์ยิ่งกว่าอะไรดี สเปคโคตรแปลกและแตกต่างจากชาวบ้านเขาจริงๆ

“กูหล่อก็ผิดว่างั้น”
ผมเท้าคางแล้วจ้องหน้าถามมัน

“อื้อ”
ไอ้ตังค์พยักหน้ารับโดยไม่ต้องคิด คือกูหล่อก็ผิด ต้องเอาน้ำกรดมาสาดหน้าให้เสียโฉมไหมถึงจะเป็นคนถูกกับเขาบ้าง ตรรกะมึงป่วยมากไอ้เนิร์ด

ผมเอื้อมมือไปรับชาเขียวเย็นไม่ใส่นมมาจากไอ้ไธแล้วจัดการดื่มไปเกือบครึ่งแก้ว ได้ดับกระหายแล้วสมองแล่นจนคิดหาวิธีเอาคืนไอ้ตังค์ได้ คราวนี้ยิงปืนครั้งเดียวได้นกทั้งฝูงแน่ๆ

“ป่านนี้ไอ้เอยคงโดนสาวรุมไปแล้วมั้ง เห็นว่าวิศวะเปิดซุ้มขายเครปเย็นถอดเสื้อนี่หว่า”
ผมพูดขึ้นลอยๆ แต่ส่งสัญญาณให้ไอ้ไธเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ได้เห็นคนร้อนตัวแน่ๆ ที่บอกว่าวิศวะขายเครปเย็นถอดเสื้อคือเรื่องจริง จิณณ์ไลน์มาบอกว่าใกล้ตายแล้วเพราะทำไปโดนขอถ่ายรูปไป มีบางคนแอบจับแอบลูบก็มี น่าสงสารว่ะ

“เออว่ะ อาหารตาชัดๆ”
ไอ้ไธเป็นลูกคู่ที่ดีด้วยการย้ำคำพูดของผมให้ดูน่าเชื่อถือ พวกเราแสร้งทำเป็นไม่สนใจไอ้ตังค์แต่จริงๆ แล้วแอบลุ้นกันแทบตาย

“จิ๊”
ปฏิกิริยามาแล้วเว้ย ชัดเจนทั้งเสียงทั้งหน้าตาที่มู่ทู่เลย หึหึ

“ไธ มึงได้ยินเสียงอะไรปะ”

“คล้ายๆ เสียงคนกำลังหงุดหงิดว่ะ หึหึ”

“ผมขอไปเข้าห้องน้ำนะครับ!”

“เชิญตามสบายเลยจ้า”
ผมแท็กมือกับไอ้ไธเมื่อคนขี้หงุดหงิดปลีกตัวออกไปแล้ว ท่าทางชัดเจนขนาดนั้นคงไม่ได้ไปห้องน้ำแน่นอน นู่น ซุ้มขายเครปเย็นแถวๆ เวทีกลางคือจุดหมาย

“กูว่าไอ้ตังค์ชอบไอ้เอยชัวร์ๆ”
ผมบอกน้ำเสียงมั่นใจ สุดท้ายไอ้ตังค์ก็แพ้ลูกตื๊อของเด็กวิศวะจนได้ หรือเพราะมันสะดุดลานเกียร์ครั้งนั้นวะ

“อาการชัดเจนขนาดนี้ แน่นอน”
ไอ้ไธช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ผมอีกหนึ่งเสียงก่อนที่เราจะหัวเราะอย่างคนกุมชัยชนะไว้ในมือ

“ไอ้เจ็ท ไอ้ไธ ~ กูกลับมาแล้ว”
เสียงร่าเริงของไอ้คนที่อยู่ๆ ก็หายหัวไปเกือบชั่วโมงดังขึ้น มันมาพร้อมกับรอยยิ้มชวนหมั่นไส้บนใบหน้าเปื้อนเหงื่อ ดูจากสภาพแล้วคงไปเบียดเสียดคนจำนวนมากจากที่ไหนสักแห่งแน่ๆ

“ไปไหนมาวะ”
ผมถามก่อนจะส่งแก้วชาเขียวในมือให้ มันรับไปดูดจนหมดแล้วทิ้งตัวลงนั่งแทนที่ไอ้ตังค์

“เวทีกลาง ไปส่งไอ้บูมร้องเพลงมา”

“ตกลงว่าส่งไอ้บูมเหรอ”
ไอ้ไธถามพลางขมวดคิ้วมุ่น จะว่าไปก่อนหน้านี้บูมปฏิเสธเสียงแข็งเลยนี่หว่า ไม่ยอมขึ้นร้องเพลงท่าเดียวเพราะตื่นคนเยอะ

“เออดิ มันร้องเพลงเพราะสุดในคณะแล้ว”
ไอ้ฟาร์มเทน้ำแข็งใส่ปากแล้วเคี้ยวกร๊วมๆ อย่างสบายใจ หาได้รู้ตัวไม่ว่าผมจะใช้งานมันต่อ

“ก็จริง มึงตักน้ำแข็งแทนไอ้ตังค์เลย มันตายห่าคาห้องน้ำไปแล้วมั้ง”

“ไม่ๆ กูจะลากพวกมึงไปเวทีกลาง”
มันโบกมือพัลวันแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงทันที ผมได้แต่นั่งย่นคิ้ว จะไปเวทีกลางตอนนี้ทำไมวะ งานยังไม่เสร็จเลย ไอ้ชัยยังไม่หิ้วเด็กมาเปลี่ยนกะ

“ไปยังไงไอ้สัด ใครจะขายน้ำ”

“กูโทรเรียกไอ้ชัยแล้ว”
มีการเตรียมพร้อม แบบนี้เวทีกลางต้องมรอะไรเด็ดๆ แน่นอน

“ดูมึงตื่นเต้นจังนะ”

“โอย ใครจะไม่ตื่นเต้นบ้างครับคุณเจ็ท เดือนมหา’ลัยปีที่แล้วจะขึ้นร้องเพลงอะ”
เออว่ะ น่าตื่นเต้นดี คนดังจะร้องเพลง

“อ๋อ”
ผมร้องตอบพลางพยักหน้า

“อืม”
ไอ้ฟาร์มครางรับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แต่เดี๋ยวนะ... เมื่อครู่นี้มันบอกว่าใครจะร้องเพลง

“ห๊ะ! มึงว่าไงนะไอ้ฟาร์ม”
ผมพุ่งเข้าไปเขย่าคอไอ้ฟาร์มด้วยความตื่นเต้น ถ้าประมวลผลไม่พลาด คนๆ นั้นตือพี่ทาวน์ใช่ไหม!

“พี่ทาวน์จะขึ้นร้องเพลงเว้ย แค่ก ปล่อยคอเสื้อกู”
ไอ้ฟาร์มรัวมือตีกันไม่ยั้ง ผมรีบปล่อยแล้ววิ่งออกไปทางเวทีกลางโดยไม่ฟังเสียงโวยวายของใครที่ไล่หลังมา ช้าไม่ได้เดี๋ยวไม่ทันดูของดี

“เฮ้ย รอพวกด้วยสิไอ้เจ็ทเว้ย ชัยเดินไวๆ ไอ้สัด เพื่อนกูไปถึงดาวอังคารแล้ว!”
กูรอมึงอยู่ที่ทางช้างเผือกแล้วกะนนะเพื่อน

เสียงทุ้มขับร้องเพลงจังหวะจะรักของวี วิโอเลตแว่วมากระทบโสตประสาทการได้ยิน ผมที่กำลังวิ่งอยู่ถึงกับสะดุดลมหายใจไปหนึ่งจังหวะ พี่ทาวน์... ทำไมเลือกเพลงนี้ มันโคตรจะหวานละมุนในความรู้สึกคนฟัง

เธอได้ยินเสียงนั้นหรือไม่ ดังมาจากที่ใด ได้ยินหรือเปล่า ฟังออกไหมว่าเสียงอะไร จากที่ไหนใกล้ไกล เสียงดังหรือเบา คงเป็นเสียง ข้างใน หัวใจที่สั่นไหวทุกคราว

ผมแหวกผู้คนที่เนืองแน่นมาจนถึงด้านหน้าของเวทีซึ่งมีพี่ฟายืนรออยู่ก่อนแล้ว ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นใจเหลือเกิน พี่ทาวน์ขยับยิ้มและยักคิ้วข้างหนึ่งมาให้กัน เล่นเอาหัวใจนายภาคินกระตุกวาบเลยว่ะ

เธอได้ยินเหมือนกันหรือไม่ มันคือเสียงเต้นของหัวใจ ทุกๆ ครั้งที่เรานั้นใกล้ เสียงหัวใจของฉันมันบอกว่า

“ไอ้ทาวน์อยากให้มึงตั้งใจฟัง!”
พี่ฟาตะโกนแข่งกับเสียงดนตรี ผมหน้ารับแล้วทำตามทันที ถึงไม่บอกก็ตั้งใจฟังอยู่แล้ว เพราะรู้สึกได้ว่าเขาเลือกเพลงนี้เพื่ออยากร้องให้นายภาคินฟัง

ดีใจ ทุกครั้งที่เจอกัน ดีใจ เมื่อเรานั้นใกล้กัน เชื่อไหม ทุกครั้งที่ได้เจอ มันเป็นความสุขของหัวใจ เมื่อเราได้พบกันเสมอ ใจมันเต้นแรงทุกครั้งที่อยู่ใกล้เธอ

ผมร้องเพลงคลอตามโดยไม่ละสายตาจากใบหน้าหล่อที่จ้องตรงมาทางนี้เช่นกัน อยากบอกว่าหัวใจของนายภาคินก็เต้นแรฃทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ๆ นายเมืองเหนือเหมือนกัน

เธอได้ยินเสียงนั้นหรือไม่ หากได้ยินเมื่อไร ช่วยบอกฉันที หลับตาฟังแล้วคงเข้าใจ ความรู้สึกข้างใน หัวใจที่มี มันคือเสียง ข้างใน หัวใจที่สั่นไหวทุกที

แบบนี้เขาเรียกว่าบอกรักทางอ้อมได้หรือเปล่าครับพี่ทาวน์ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะลอยได้อยู่แล้ว ตอนนี้คล้ายกับว่าโลกทั้งใบมีแค่เราสองคนที่ยืนอยู่ตรงนี้

เธอได้ยินเหมือนกันหรือไม่ มันคือเสียงเต้นของหัวใจ ทุกๆ ครั้งที่เรานั้นใกล้ เสียงหัวใจของฉันมันบอกว่า ดีใจ ทุกครั้งที่เจอกัน ดีใจ เมื่อเรานั้นใกล้กัน เชื่อไหม ทุกครั้งที่ได้เจอ มันเป็นความสุขของหัวใจ เมื่อเราได้พบกันเสมอ ใจมันเต้นแรงทุกครั้งเมื่ออยู่ใกล้เธอ

จะดีอยู่แล้วเชียวถ้าสายตาของผมไม่ได้ปะทะเข้ากับแผ่นหลังบอบบางภายใต้ชุดเดรสสีชมพูอ่อน ผมลอนสวยพลิ้วไหวตามแรงลม พรีม... แฟนเก่าของพี่ทาวน์ที่กำลังยื่นช่อดอกไม้ให้นักร้องบนเวทีด้วยรอยยิ้มหวานจับใจท่ามกลางเสียงฮือฮาของผู้ชมรอบด้าน

ผมควรจะทำอย่างไรกับเหตุการณ์ตรงหน้าดีนะ




------------------------------------

รักของน้องเจ็ทสะดุดก้อนหินเด้อ....
แต่ไม่เจ็บมากหรอก ตอนต่อไปมาลุ้นกันเนอะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
โหยยยยยย....แฟนเก่าเขาแสดงตัว ส่วนไอรเรามันแค่คนที่เขาบอกชอบแต่ไม่มีสถานะ นิ่งไว้ก่อนนะเจ็ท รอดูท่าทีพี่มันก่อน

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ numay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1

ออฟไลน์ Mafiaziip

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

นังพรีมมมมมมม ไม่จบไม่สิ้น  :ling1: :z6:
 
ใจเย็นไว้นะน้องเจ็ท พี่เขาไม่โลเลหรอกลูก

ออฟไลน์ minneemint

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1632
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0
ตอนต่อไปเลยได้ไหม

ออฟไลน์ arakanji

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
สนุกมาก ชอบมาก อ่านรวดเดียวเลยค่ะ 24 ตอน
จะรอตอนต่อไปนะค่ะ ขอเป็นแฟนงานเขียนของคุณด้วยคน
อย่าหายไปไหนนะค่ะ
ขอบคุณที่เขียนเรื่องสนุกๆมาให้อ่านค่ะ^^

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
ชะนีพรีมนี้ตกลงนางจะเอาไงกันแน่ห่ะ !! :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
แข่งครั้งที่ 25



นักร้องบนเวทีมองสาวสวยในชุดเดรสสีหวานด้วยใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เขาย่อตัวลงมารับช่อดอกไม้ แต่เธอคนนั้นกลับยื้อไว้ราวกับเล่นเกมเพื่อหาความสนุก พรีมต้องการทำอะไรท่ามกลางสายตาคนนับร้อยแบบนี้

ผมกำมือแน่นจนพี่ฟาที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้แต่ลูบแขนเพื่อเป็นการปลอบประโลม ความรู้สึกตอนนี้ไม่ต่างจากคนที่กำลังจมน้ำและหาทางรอดไม่ได้ เหมือนกับโลกกำลังโคลงเคลงใกล้พังทลายเต็มทน พี่ทาวน์จะทำยังไงกับแฟนเก่าของเขาล่ะ

“ทาวน์คะ...”
เสียงหวานเรียกชื่อเป้าหมายจนทำให้คนควบคุมต้องเบาเสียงดนตรีลงอย่างสอดรู้สอดเห็น ผมเข้าใจว่าใครๆ ก็ต้องอยากเผือกเรื่องของอดีตเดือนมหา’ลัยเป็นธรรมดา ผมรู้สึกว่าเวลาต่อจากนี้ตัวเองต้องได้รับแรงกระทบกระเทือนที่หัวใจอย่างรุนแรงแน่ๆ เพราะลางสังหรณ์ร้องเตือนว่าแฟนเก่าเขามาทวงคืน

“.....”
พี่ทาวน์ไม่ได้ตอบรับแต่จ้องหน้าคู่กรณีเขม็งเหมือนกำลังพยายามอ่านใจ เสียงดนตรียังคงคลอเป็นแบล็คกราวน์ชวนให้บรรยากาศรอบๆ กลายเป็นสีชมพู ผมหายใจติดขัดจนต้องยกมือขึ้นขยำเสื้อตรงอกด้านซ้ายไว้แน่น กลัวเหลือเกินกับเหตุการณ์ต่อไป

“กลับมาคบกันเถอะนะ พรีมรักทาวน์”

ประโยคนั้นทำให้ผู้คนทั้งบริเวณส่งเสียงอื้ออึงทั้งเชียร์ ทั้งโห่ร้อง กรี๊ด ด่าทอ หรือแม้กระทั่งขับไสไล่ส่ง พี่ทาวน์ชะงักไปเหมือนกำลังตกใจที่โดนจู่โจมแบบนั้น ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรอยู่รอฟังคำตอบหรือเดินหนีไปไกลๆ ดี ทำอะไรไม่ถูกเลยว่ะ ทำไมตอนซื้อหวยเดาเลขไม่ถูกเป๊ะแบบนี้บ้างล่ะ คงรวยอื้อไปนานแล้ว

“ไอ้เจ็ท...”
พี่ฟาครางชื่อผมก่อนจะเอื้อมมือเล็กๆ มาแตะไหล่ แต่ไม่รู้ขายาวของผมก้าวออกมาจากบริเวณนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ หูทั้งสองข้างอื้ออึงไม่ยอมรับฟังสิ่งรอบตัว หัวใจกำลังบีบรัดจนเจ็บปวด คำตอบของพี่ทาวน์จะเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่นายภาคินยังไม่พร้อมสำหรับเรื่องนี้

ผมลากสังขารเปลี้ยๆ ของตัวเองมาไกลจนถึงซุ้มขายเครปถอดเสื้อของวิศวะโยธาที่อยู่เกือบถึงประตูหลังมหา’ลัย ทิ้งร่างกายอ่อนล้าลงบนเก้าอี้พลาสติกสีน้ำเงินแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะโดยมีสายตามึนงงจากนายช่างทั้งหลายมองมา ด้วยความสงสัยว่า ‘มึงไปฟัดกับหมาที่ไหนมา สภาพถึงได้เยินขนาดนี้’ กูแค่เดินขยี้หัวมาตลอดทางเถอะ

“เป็นห่าอะไร ขายน้ำจนเพลียเหรอ”
ไอ้เอยที่นั่งอยู่ถัดจากผมถามขึ้นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ เดาเอาว่ามันคงอยู่ในช่วงพักเพราะตอนนี้จิณณ์กำลังขมักเขม้นทำเครปอยู่หน้าเตา ตอนเดินผ่านเห็นลูกค้ายกกล้องขึ้นถ่ายรูปพ่อค้าด้วย น่าจะเก็บเงินเพิ่มคนละสิบบาทนะว่าไหม ดูๆ ไปก็เปลืองตัวฉิบหาย

“ไม่คิดลามกสักวันได้ไหมไอ้เอย”
ขนาดผมขยับปากด่ามันยังเหมือนเสียงคนเพิ่งตื่นนอน แค่หนีคำตอบของพี่ทาวน์มา สภาพกูเยินขนาดนี้เลยเหรอวะ โธ่เว้ย ไอ้กาก ไอ้ป๊อด ถ้าเขาจะกลับไปหาแฟนเก่าก็ทำไปนานแล้วมั้ง คงไม่มานั่งบอกชอบกันอยู่หรอก แต่ก็อดคิดไม่ได้... ถ้าขืนเขาเปลี่ยนใจ กูก็หมาหัวเน่า

“ถามจริง มึงเป็นอะไร มาถึงไม่พูดไม่จา ทำหน้าอย่างกับคนอกหัก”

จึก เสียงมีดแทงทะลุเนื้อตัดขั้วหัวใจ มึงแอบเล่นของปะเนี่ยไอ้เอย กูอยากจะร้องไห้อัดกระปุกใส่ลูกพีชเชื่อมตรงหน้า

“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง”
ผมตอบแล้วใช้มือขยี้ตาลวกๆ เพื่อกลบเกลื่อนหยดน้ำที่รื่นอยู่ตรงขอบตาออก ความกลัวสามารถทำให้มนุษย์แสดงความอ่อนแอออกมาไม่จำกัดว่าจะเป็นเพศอะไร ผู้ชายก็คน ร้องไห้เป็นไม่เห็นแปลก

“เดี๋ยวๆ หลังกลับจากเที่ยวทะเลมึงยังดี๊ด๊าว่าพี่ทาวน์บอกชอบอยู่เลย”
ไอ้เอยถามด้วยความงงก่อนจะเกาหัวแกรกๆ อย่างคนไม่ได้สระผมมาร่วมอาทิตย์ มึงช่วยเกรงใจกระปุกใส่ผลไม้บนโต๊ะหน่อย กลัวขี้รังแคตกใส่

ผมถอนหายใจเฮือกแล้วปิดเปลือกตาลง ภาพเหตุการณ์และเสียงของพรีมยังดังก้องอยู่ในโสตประสาท เธอกล้ามาก ท่ามกลางคนเป็นร้อยขนาดนั้น ทำได้ยังไงกัน เอาความมั่นใจจากที่ไหนมา หรือเพราะว่ารักจนไม่สนใจสิ่งรอบข้างกันนะ

“เมื่อกี้มึงได้ยินเสียงผู้หญิงไหม”
ผมถามเพื่อนพี่ชายทั้งที่ยังหลับตาอยู่ ไม่อยากพบเจอความวุ่นวาย ขอพักสักครู่เถอะนะ

“เชี่ย ดึกดื่นค่อนคืนใครให้พูดเรื่องแบบนี้วะ ขนลุก”

“พ่อง กูหมายถึงเสียงจากเวทีกลางโว้ย”
ถึงกับต้องลืมตาขึ้นมาด่า หัวสมองคนเรียนวิศวะคิดได้แค่นี้หรือไงวะ อยากกระทืบให้ม้ามแตกจริงๆ หงุดหงิด

“ได้ยิน ที่ขอแฟนคืนดีอะนะ”
จึก มีดแทงเขาไปอีกหนึ่งแผล กูตายซ้ำตายซากจนเหนื่อยแล้ว

“เออ”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่มึงจะอกหัก”

“ถามเหมือนคนหูหนวก ไม่ได้ยินเหรอว่าผู้หญิงคนนั้นบอกว่ารักใคร”
ผมเริ่มโมโหที่ไอ้เอยทำเหมือนไม่เข้าใจเรื่องราว อยากจะถีบมันไปแทนที่จิณณ์เหลือเกิน ปรึกษาเหี้ยอะไรไม่เคยได้เลย

“ด่ากูอีก มึงลองเงี่ยหูฟังดิ ขนาดคนร้องเพลงยังได้ยินไม่ชัดเลย แม่ง อยู่ไกลปืนเที่ยงขนาดนี้”
พูดซะบ้านนอก แต่ก็จริงของไอ้เอย ระยะการได้ยินของจุดนี่คงไม่ชัดพอจะได้ยินอะไรชัดเจนอย่างที่ผมประสบมา คิดแล้วก็ปวดใจ

“พรีม... ขอพี่ทาวน์คืนดี”
ผมบอกด้วยเสียงสั่นเครือ ดวงตาคมทอดมองไปเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย ผู้คนมากมายที่เดินผ่านไปผ่านมาไม่ได้ทำให้รู้สึกสนุกเพราะตอนนี้หัวใจปวดหนึบแทบตลอดเวลา

“อะไรนะ!”
เสียงตะโกนจากคนด้านหลังทำให้ผมสะดุ้งเฮือก ความคิดฟุ้งซ่านกระจัดกระจายหายไปในอากาศ อยากจะหันไปด่าให้มันลืมทางกลับบ้านแต่ก็กลัวเป็นภาระตัวเอง

“เสียงดังหาพ่อมึงเหรอไอ้จิณณ์”
ไอ้เอยหันไปด่าเจ้าของเสียงปรอทแตกนั่นด้วยใบหน้ามู่ทู่ มันกระชากแขนจิณณ์ให้ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ด้านข้าง ก่อนจะแย่งเครปเย็นในมือไปแดกหน้าตาเฉย ถ้าให้เดาคงทำให้ผม

“เดี๋ยวกูเอาตีนฟาดปากแตก”
จิณณ์แย่งขนมคืนจากไอ้เอยแล้วยัดใส่อุ้งมือผมที่กำลังสั่นเป็นเจ้าเข้า ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของลูกพีชเชื่อมแล้วน้ำลายแตก แต่ไม่มีกระจิตกระใจจะกลืนมันลงท้อง ตอนนี้นายภาคินเข้าโหมดวิตกกังวลโดยสมบูรณ์แบบแล้ว เกลียดที่ตัวเองกลายเป็นคนคิดมากจัง

“หูย พี่ไม่สู้ครับ”
ไอ้เอยทำท่ากลัวแบบตอแหลก่อนจะลุกไปขายเครปให้ลูกค้าสาวสวยแทนการนั่งเผือก จิณณ์เอื้อมมือคว้าเสื้อช็อปที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ ขึ้นมาคลุมไหล่แล้วจ้องมาที่ผมเพื่อคาดคั้น

“มึงเล่ามาให้หมด”
จบคำสั่งของจิณณ์ ผมก็เล่าทุกอย่างที่ตัวเองเจอมาให้ฟังทั้งหมด สีหน้าของมันบ่งบอกให้รู้ว่าเครียดไม่แพ้กัน

“โธ่ๆ น้องชายกู เลยมานั่งเฉาเป็นมะเขือเหี่ยวที่นี่อะนะ”
มันพูดติดตลกแต่มือที่คอยลูบหัวเป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่าจิณณ์เป็นห่วงผมมากแค่ไหน ถึงจะชอบกัดกัน แดกดัน ดุด่า แต่ทั้งหมดก็มาจากความรักระหว่างพี่น้อง

“มึงเลิกเปรียบเทียบกูแบบเหี้ยๆ สักที”
ผมตวัดสายตามองมันอย่างหงุดหงิด ตอนนี้หลากหลายอารมณ์กำลังตีกันยุ่งเหยิง รู้สึกปวดขมับตุบๆ ร่างกายอยากพักแต่หัวใจกลับตื่นกลัว ป่านนี้พี่ทาวน์กับพรีมจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้

“อยากให้มึงยิ้ม”
พี่ชายคนดีพูดเสียงอ่อนพลางฉีกยิ้มกว้างจนมองไม่เห็นลูกกะตา ผมถอนหายใจแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะเพราะไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี ใครมันจะไปมีอารมณ์ทำแบบนั้นกัน อยากร้องไห้จะตายชัก

“ถ้าคนที่มึงรักกำลังถูกแฟนเก่าขอคืนดี ยิ้มออกเหรอไง กูไม่ใช่คนบ้า”

“มึงมันคนคิดมาก”

“กูเปล่า”
ผมปฏิเสธเสียงแผ่ว รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองเผลอกลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะแคร์และรักพี่ทาวน์มาก ถ้าเสียเขาไปคงทนไม่ไหว

“แล้วมึงจะวิ่งหนีมาทำไมวะ”
เซ้าซี้จังวะ แต่ผมรู้ว่ามันถามในฐานะพี่ชายที่พร้อมให้คำปรึกษากับทุกเรื่อง ขอบคุณและขอโทษที่เผลอขึ้นเสียงไป แต่จะให้พูดกับจิณณ์ตรงๆ ก็อาย ทำแบบนี้ล่ะดีแล้ว

“กูแค่กลัว”
ไม่มีอะไรต้องปิดบังกับคนในครอบครัว

“กลัวอะไร”

“กลัวใจพี่ทาวน์...”

“ทั้งๆ ที่กูบอกว่าชอบมึงน่ะเหรอ”
น้ำเสียงที่คุ้นเคยดังอยู่ไม่ไกล มันแหบพร่า สั่นเครือปนเสียงหอบในเวลาเดียวกัน ผมคิดว่าตัวเองหูฟาดที่คิดว่าเป็นพี่ทาวน์แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นแล้วสายตาปะทะเข้ากับร่างสูงก็ได้แต่ตกตะลึง เขาตามมาถึงที่นี่ได้ยังไงกัน

“พี่...”
ผมครางเรียกคนตรงหน้าได้แค่นั้นเพราะตอนนี้สมองไม่สามารถประมวลผลอะไรได้อีกแล้ว ภาพตรงหน้าชี้ชัดว่าพี่ทาวน์พยายามตามหากันมากขนาดไหน เหงื่อที่ไหลจนเปียกชุ่มบนเสื้อนักศึกษาแขนยาว เสียงหอบหายใจราวกับคนวิ่งแข่งในสนาม ดวงตารีดุที่จ้องมองมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เห็นแบบนี้แล้วหัวใจเต้นแรงเลยว่ะ

“เออ กูเอง ไม่ใช่ผี”
พี่ทาวน์ตอบเสียงฉุนก่อนรับแก้วน้ำเปล่าเย็นๆ จากมือจิณณ์ไปดื่มดับกระหาย ผมลืมวิธีพูดไปชั่วขณะเมื่อเผลอจ้องมองลูกกระเดือกขยับตามจังหวะการกลืน ทำไมถึงได้เป็นคนมีช่วงลำคอยาวและเซ็กซี่ขนาดนี่ว่ะ เฮ้ย กูต้องอยู่โหมดดราม่าไม่ใช่หรือไง สติ!

“มา... มาได้ยังไงครับ”
ผมหลุบตาลงมองมือตัวเองที่ยังกำกรวยเครปเย็นอยู่ ได้แต่สบถในใจว่าทำไมกูไม่วางมันลงหรือทิ้งขนมนี่ไปสักที เพราะอยากกินเหรอ สับสนความรู้สึกฉิบหาย

“ก็ไอ้หมาตัวไหนมันวิ่งออกมาหน้าตาเฉยวะ สัด กูหามึงเกือบทั่วมหา’ลัย”
พี่ทาวน์ตบโต๊ะหลังพูดจบแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจกลิ่นมื้นท์ ดวงตารีจ้องเขม็งอย่างเอาเรื่อง ผมผงะถอยหลังจนเกือบตกเก้าอี้ แต่ดีที่ได้จิณณ์ช่วยประคอง

“ทะ ทำไม...”
ผมถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักพยายามมองใบหน้าของพี่ทาวน์ว่ากำลังแสดงอารมณ์แบบไหน เขาพ่นลมหายใจยาวๆ ก่อนจะคว้าหมับเข้าที่คอเสื้อแล้วออกแรงดึง เฮ้ย ใจเย็นนะพี่

“ไปกับกู”
พี่ทาวน์ออกคำสั่งพร้อมกระตุกเสื้อของผมหนึ่งครั้งเป็นสัญญาณให้ลุกขึ้น

“ผม...”
ผมนั่งนิ่งเพราะกำลังกลัวว่าถ้าอยู่กันสองคนแล้วเขาบอกว่ากลับไปคบกับพรีมขึ้นมาจะต้องทำหน้าแบบไหน ต้องพูดยังไง แสดงความรู้สึกอย่างไร

“ภาคิน”
เชื่อไหมว่าผมขนลุกซู่ทันทีเมื่อได้ยินชื่อจริงจากริมฝีปากสีซีดนั่น ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่พี่ทาวน์จะเรียกกันแบบนี้ ลางสังหรณ์บอกว่าถ้านายภาคินยังดื้อด้านคงตายศพไม่สวยแน่ๆ

“แหล่วๆๆ”
เสียงไอ้เอยกับจิณณ์ที่หนีไปยืนเกาะกลุ่มอยู่ไม่ไกลดังแว่วมา ผมแยกเขี้ยวใส่พวกมันก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เอาวะ มาถึงขั้นนี้แล้วคงไม่มีอะไรต้องเสีย สู้กับความจริงจากปากพี่ทาวน์สักครั้งคงไม่ถึงกับตาย

“ครับ ไปก็ไป”

พี่ทาวน์เปลี่ยนจากดึงคอเสื้อเป็นจับข้อมือของผมแล้วลากเดินไปตามฟุตบาทสู่ลานจอดรถรวมที่เงียบสงบ ไม่มีแม้แต่หมาหรือแมวสักตัว แสงไฟนีออนส่องสว่างพอให้มองเห็นทุกอย่าง แต่การที่ร่มไม้วูบไหวกลับทำให้รู้สึกวังเวงชอบกล ดูๆ ไปเหมาะแก่การหล่อเหยื่อมาฆ่าชะมัด

“วิ่งออกมาไม่เหนื่อยหรือไง”
พี่ทาวน์ผละมือออกไปแล้วทิ้งสะโพกพิงกับรถของตัวเองที่จอดอยู่ กอดอกมองหน้าผมอย่างคาดคั้น บรรยากาศชวนอึดอัดจนอยากหนีจริงๆ เหนื่อยในความหมายของเขาคืออะไร ใจหรือกาย

“ก็... นิดหน่อยครับ”
ผมตอบรวบทั้งความรู้สึกทางกายและจิตใจ

“หึ ทำหน้าเหมือนกับจะตาย”
พี่ทาวน์หัวเราะเสียงต่ำก่อนจะแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีดำสนิทที่ไร้ดาวแต่มีพระจันทร์กลมโตลอยเด่นอยู่บนนั้น ถ้าไม่มีความอึดอัดและกระอักกระอวนระหว่างเราคงเป็นคืนที่โรแมนติกหน้าดู

เขามองพระจันทร์ แต่ผมมองหน้าเขา...

“ผมกลัว...”
ผมตอบเสียงแผ่วราวกระซิบ สายลมอ่อนช่วงเดือนมกราคมชวนให้รู้สึกหนาวจับใจ

“กลัวอะไร”
พี่ทาวน์ละสายตาจากสิ่งสวยงามเบื้องบนมามองใบหน้าซังกะตายของผม เกิดความเงียบระหว่างเราชั่วครู่หนึ่ง ควรบอกสิ่งที่ตัวเองคิดให้เขาฟังจริงๆ น่ะเหรอ

“อย่าเงียบ”

“ผมเป็น... แค่คนที่พี่ชอบ แต่พรีมเป็นแฟนเก่าที่เคยคบมาหลายปี”

“แล้วไง”
น้ำเสียงเรียบเฉยไม่เคยเปลี่ยนทำให้ผมเผลอกลั้นหายใจ ไม่น่าพูดเลยจริงๆ

“ผม...”
พูดไม่ออก นั่นสินะ แล้วยังไงวะ ความสำคัญของใครมากกว่าก็ควรรู้อยู่แก่ใจ ผมเค้นยิ้มอย่างอ่อนแรง ต้องอกหักจริงๆ เหรอ

“กูไม่ได้รักพรีมแล้ว จะให้ย้ำกี่ครั้ง”
อ้าว คดีพลิกเฉย สรุปว่าผมคิดมากโคตรๆ ไปคนเดียวสินะ แต่ดอกไม้ในมือที่เขาถือติดมาด้วยคืออะไรวะ

“แต่พี่รับดอกไม้ของพรีมมา”
ผมมองดอกไม้ในมือของพี่ทาวน์ไม่วางตา จำได้ว่ามันเป็นของพรีมไม่ผิดแน่ๆ

“กูรับตามมารยาทแล้วบอกพรีมไปว่า ‘ผมรับแค่ดอกไม้นะครับ ส่วนความรู้สึกเอากองไว้ตรงนั้นก็พอ’ เข้าใจหรือยัง”
พี่ทาวน์โยนดอกไม้ในมือทิ้งอย่างไม่ใยดีแล้วขยับเข้ามาใกล้จนร่างกายแทบแนบชิดกัน ผมหันหลังด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าอีกคนจะจู่โจมขนาดนี้ หัวใจเต้นตึกตักจนน่ารำคาญ เขายอมพูดอะไรยาวๆ แบบนี้เพราะแคร์กันใช่ไหม

“ผะ ผม...”
ติดอ่างเพราะไม่รู้จะตอบอะไรกลับไปดี มันทั้งโล่งอกและดีใจที่เขายังอยู่กับผมตรงนี้ไม่ได้เดินกลับไปหาใครที่ไหน จากที่เคยหนาวเหน็บไปทั้งหัวใจ ตอนนี้กลับอุ่นด้วยอ้อมกอดจากด้านหลัง พี่ทาวน์กำลังทำในสิ่งเหนือความคาดหมาย

“เป็นแฟนกัน”
ถ้อยคำกระซิบข้างหูช่างแผ่วเบาแต่กลับดังก้องอยู่ในหู ผมสะดุดลมหายใจ ดวงตาเบิกกว้าง ตัวแข็งทื่อ หัวใจเต้นรัวเหมือนจังหวะเพลงร็อก ปลายจมูกที่กดลงบนไหล่ยิ่งย้ำเตือนว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องจริง

“อะ อะไรนะครับ!”
ผมตะโกนถามเสียงสั่นทั้งที่ได้ยินชัดเจน ตอนนี้ทุกอย่างรอบตัวราวกับหยุดนิ่งไปหมด ภาพตรงหน้าเบลอๆ คล้ายดวงตากำลังจะปิดเพราะง่วงนอน หรือกำลังฝันวะ

“หูตึงหรือไง”
เสียงฉุนๆ ดังอยู่ข้างใบหู ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดต้นคอชวนให้รู้สึกวาบหวาม ผมควรทำยังไงกับสถานการณ์แบบนี้ดี อยากแหกปากร้องด้วยความดีใจ อยากหมุนตัวกลับไปกอดพี่ทาวน์ให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ อยากบอกรัก แต่ร่างกายมันสั่นจนควบคุมอะไรไม่ได้เลย

“มะ มันเหมือนผมกำลังฝัน”
ผมพูดด้วยเสียงเพ้อๆ ก่อนจะทาบทับมือลงบนแขนแกร่งที่โอบรอบเอวตัวเอง พี่ทาวน์สะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ผละหนีไปไหน เขาทำเพียงแค่คลายกอดลงไม่ให้อึดอัดก็เท่านั้น

“มึงหลับกลางหาวหรือไง”
คำเหน็บแนมทำให้ผมหลุดหัวเราะเบาๆ จนทำให้พี่ทาวน์ยกกำปั้นทุบลงกลางหลังแล้วผละออกห่าง สายลมเย็นที่พัดผ่านมาทำให้รู้ว่าตัวเองต้องการอ้อมกอดของเขามากแค่ไหน

ถ้าพี่ไม่กอด ผมจะกอดพี่เอง

“ผม... ทำอะไรไม่ถูกแล้วว่ะ”
หมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับคนที่กลับไปยืนกอดอกพิงรถ ส่งสายตาหงุดหงิดมาให้ ไม่เห็นจะน่ากลัวเลยสักนิด เพราะรอบๆ ตัวพวกเราคล้ายกับมีละอองแห่งความรักลอยวนอยู่รอบๆ

“จะเล่นตัวอีกนานไหม กูชักรำคาญแล้วนะ”
ถึงปากจะพูดคำเชือดเฉือนความรู้สึกออกมา แต่ใบหน้าหล่อกลับแดงเหมือนลูกมะเขือเทศ หรือผมเมาอากาศจนภาพที่เห็นเบลอๆ วะ พี่ทาวน์คงไม่ได้เขินใช่ไหม... อ่า น่ารักชะมัด

“พี่ทาวน์อย่าเพิ่งหงุดหงิดสิครับ พูดอีกครั้งหนึ่งนะ นะครับ”
ผมกระพริบตาปริบๆ แล้วเป็นฝ่ายใจกล้าหน้าด้านดึงเขาเข้ามากอดแทน ความอบอุ่นที่กลับมาอีกครั้งทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้น แต่ครั้งนี้มีสองดวงแหนะ จังหวะเดียวกันซะด้วย

พี่ทาวน์ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอก่อนจะเงยหน้าขึ้นเพื่อแยกเขี้ยวใส่ ผมหัวเราะด้วยความเอ็นดูเพราะยักษ์ในอ้อมกอดเขินซะแล้ว เขินมากด้วยล่ะ อย่าคิดว่าที่แอบยิ้มจะไม่มีใครเห็นนะเออ

“สัด... เป็นแฟนกัน”
พี่ทาวน์ด่าแต่ก็ยอมพูดประโยคนั้นออกมาก่อนจะอ้าปากงับเข้าที่ไหล่ของผมเต็มแรงเพื่อเป็นการเอาคืนที่โดนแกล้ง แทนที่นายภาคินจะร้องโอดโอยเพราะเจ็บกลับฉีกยิ้มกว้างเหมือนคนบ้า อ้อมแขนกระชับแน่นขึ้นเพื่อส่งถ่ายความรู้สึกที่มีให้กับเขาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

“ตกลงครับครับ! ผมชนะใจหมอแล้วสินะ”

“เออ”

ในที่สุดก็ทำสำเร็จสักที ผมก้มลงจูบหน้าผากของพี่ทาวน์อย่างแผ่วเบาเพื่อสื่อความหมายว่าจากนี้และต่อไป ‘นายภาคินจะรัก ทะนุถนอม ดูแลและอยู่เคียงข้างนายเมืองเหนือให้ดีที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งสามารถทำเพื่อคนรักได้’

ความรักเนี่ย... หวานเนอะ

เช้านี้ผมตื่นมาด้วยความสดชื่น ไม่มีอาการงัวเงียหรือเดือดร้อนให้จิณณ์ต้องแหกปากปลุก ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่น่าตกใจสำหรับคนที่รู้จักกันมาตลอดชีวิต มันใช้ดวงตาคมมองกันตั้งแต่หัวจรดเท้า จับพลิกหมุนซ้ายหมุนขวาเพื่อหาสาเหตุความผิดปกตินี้ กูแค่มีความสุขสุดๆ แปลกตรงไหนวะพี่ชาย

จิณณ์เลิกสนใจผมแล้วหันกลับไปทำอาหารเช้าอย่างข้าวต้มปลาเก๋าใส่ขิงดับกลิ่นคาว มีไข่เค็มและไข่เยี่ยมม้าอย่างละฟองเป็นเครื่องเคียง ถ้ายำสักหน่อยคงได้รสชาติมากกว่านี้ แต่ขี้เกียจทำว่ะ กินแค่นี้ก็พอแล้ว

“เบาๆ หน่อย ไอ้น้อง”
จิณณ์พูดขึ้นขณะที่ตักข้าวต้มใส่ถ้วยแล้วส่งมาให้ กลิ่นหอมๆ และควันสีขาวตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ ผมสูดลมหายใจก่อนจะทำหน้าฟิน ตักผักชี โรยพริกไทย อร่อยเหาะแน่

“อะไรของมึง”
ผมถามมันกลับในขณะที่คนทุกอย่างในถ้วยให้เข้ากัน ช้อนในมือสังหารไข่เยี่ยวม้าออกเป็นสองซีก ความมันเยิ้มของไข่แดงชวนให้น้ำลายแตกจริงๆ โคตรฟิน

“ยิ้มหน้าบานกว่าถ้วยแล้ว หมั่นไส้”
เสียงล้อเลียนทำให้ผมชะงักมือ เหลือบดวงตามองหน้าจิณณ์ด้วยท่าทางกวนตีนแล้วยักคิ้วให้ อิจฉาล่ะสิ หึหึ

“ก็คนมีความสุข”
ผมจ้วงข้าวต้มใส่ปากหลังจากเป่าจนมันอุ่น สัมผัสนุ่มลิ้นของเนื้อปลากับตัวข้าวที่ต้มจนได้ที่นั้นทำให่รสชาติเหนือคำบรรยายจริงๆ จิณณ์ยังคงมองกันด้วยสายตาล้อเลียน ต้องการอะไรวะ

“จ้าๆ อย่างกับถูกเลือกไปเป็นพระเอกหนัง”
อะไรของมึง

“หนังอะไร”

“GV”

“ไอ้เชี่ย แค่ก ขนลุก ใครจะไปอยากเล่น!”
ผมสำลักข้าวแทบตาย มันก็ยังอุตส่าห์ใจดียื่นแก้วน้ำมาให้ดื่ม ไอ้เหี้ย ไม่น่าเสวนากับคนอย่างมีงเลยให้ตาย เสียบรรยากาศชะมัด กูชอบพี่ทาวน์ ไม่ใช่ผู้ชายคนไหนก็ได้!


“กับพี่ทาวน์ก็ไม่อยากเล่นเหรอวะ”
คำถามที่มาพร้อมประกายแวววาวในดวงตานี่มันอะไรกัน แล้วคนอย่างผมที่รักพี่ทาวน์ยิ่งกว่าตัวเองจะตอบว่ายังไงล่ะ

“อยาก!”

“คิดบ้างก็ได้มั้งมึง”
จิณณ์ถึงกับเบะปากใส่ พอพูดอ้อมก็หาว่ากระแดะ พอพูดตรงก็หาลามก จะเอายังไงกับกูห๊ะ

“คิดมาเกือบปีแล้ว ยังไม่พออีกเหรอ”
ผมตอบหน้าตายก่อนจะแย่งคว้านไข่แดงเค็มมาทั้งลูก จิณณ์ถึงกับถลึงตาใส่ ช่วยไม่ได้นะ ก็กูไม่ชอบไข่ขาวนี่หว่า

“มึงนี่บ้ากามใช้ได้จริงๆ กูก็มีความสุขนะที่น้องได้เมียหรือว่าผัววะ”
มันถามเสียงกลั้วหัวเราะ ผมถึงกับสำลักไข่แดงเค็มที่เพิ่งกินเข้าไป ไอ้บ้านี่ เอาคืนกันหรือไงวะ แสบนักนะมึง

“เมียสิวะ!”
ผมโต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้ถึงจะรู้สึกแสบคอแสบจมูกก็เถอะ ยกน้ำขึ้นดื่มอึกๆ ต่อด้วยความโมโห คิดว่าคนอย่างนายภาคินเหมาะกับการไปนอนครางใต้ร่างคนอื่นหรือไง บอกเลยว่าไม่มีทางเว้ย

“คิดว่าพี่ทาวน์จะยอมให้มึงควบหรือไง”
แล้วมึงคิดว่าพี่ทาวน์เป็นม้าหรือไง ดูแม่งใช้คำสิ เอาซะกูหน้าร้อนเลยไอ้พี่เลว! เพิ่งคบกันได้ไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง ทำไมต้องชวนคิดเรื่องอกุศลด้วยวะ เออ แล้วถ้าพี่ทาวน์ไม่ยอมจริงๆ ล่ะ ควรหาทางแก้ไขยังไง อืม...

“ถ้าแบบนั้นต้องเป่ายิงฉุบ!”
วิธีปัญญาอ่อนที่ช่วยตัดสินทุกเรื่องบนโลกใบนี้ ไม่ได้วัดกันที่ความฉลาด ความแมนหรืออะไรทั้งนั้น เพราะมันใช้ดวงล้วนๆ

“คนดวงซวยอย่างมึงโดนเสยตูดแน่ๆ”

“ตายซะเถอะ!”
ไล่เตะพี่รับอรุณก็เข้าท่าดีเหมือนกัน

วันนี้ผมเดินทางไปมหา’ลัยด้วยฟีโน่คู่ใจเหมือนเดิมเนื่องจากเรียนคนละเวลากับจิณณ์ ส่วนเพื่อนรักอย่างไอ้ไธก็เพิ่งหอบสังขารเปื่อยๆ ติดรถพี่แทนมาจากบ้าน แดกเหล้าแล้วแฮงค์ น่าสงสารจัง

ลานคณะยามใกล้เที่ยงเต็มไปด้วยเด็กหลากหลายชั้นปี เสียงเจี๊ยวจ๊าวอย่างกับตลาดสดเป็นเอกลักษณ์ไม่เคยเปลี่ยน ผมสไลด์ตัวเข้าไปจองที่ว่างเพื่อนั่งคุยเรื่องสัพเพเหระรอเวลากินข้าวเที่ยง

“คุณเจ็ทครับ”
เสียงเนิบนาบของไอ้ตังค์ดังขึ้น แต่ผมไม่ได้สนใจมันนักเพราะกำลังชมนกชมไม้อย่างอารมณ์ดี เมื่อเช้ามีข้อความบอกให้ตั้งใจสอบเก็บคะแนน กำลังใจเปี่ยมมาก แต่ที่ทำไปเมื่อครู่นี่แทบลากเลือด บางข้าจำไม่ได้ว่าเคยเรียนตอนไหนด้วยซ้ำ

“อือ...”

“ลืมกินยาเหรอครับ”
ผมขมวดคิ้วพลางยกมือขึ้นแตะหน้าผาก ตัวไม่ร้อนนี่หว่า เฮ้ย กูไม่ได้ป่วยนะไอ้ตังค์ มึงบ้าปะเนี่ย

“หา ยาอะไรวะ”
เกาหัวประกอบอาการสงสัยขั้นสุด

“ยาระงับประสาทครับ เห็นนั่งเหม่อแล้วก็ยิ้มมาครึ่งชั่วโมงแล้ว”
ผมลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้แล้วพุ่งไปคว้าคอเสื้อนักศึกษาไอ้ตังค์ด้วยอารมณ์เดือดปุดๆ เดี๋ยวนี้พัฒนาสกิลการปากดีฉิบหาย อยากให้มึงกลับไปติดการ์ตูนเหลือเกินจะได้เงียบซะบ้าง

“ไอ้ตังค์... เดี๋ยวนี้เหิมเกริมกล้าด่ากูเหรอ”
ผมกระตุกเสื้อแน่นขึ้นเมื่อเห็นว่าดวงตาใต้กรอบแว่นจ้องเขม็งไม่มีแววกลัวเกรง ที่จริงแค่อยากแกล้งมันก็เท่านั้น แสดงอารมณ์บ้างสิวะ อย่าเอาแต่เฉยชาเหมือนพี่ทาวน์ มึงไม่น่ารักอย่างเขาสักหน่อย

“ผมพูดตามที่เห็นนะครับคุณเจ็ท”

“ไอ้...”
ด่ามันไม่ออกเลยได้แต่ทำปากพะงาบๆ เพราะมันคือความจริง ยิ้มก็หาว่าบ้า ทำตัวยังไงถึงจะเรียกว่าปกติวะเนี่ย

“อย่าไปมีเรื่องกับมันเลย ผัวดุจะตาย”
ไอ้ฟาร์มตีแปะๆ ลงบนแขนของผมทำให้ต้องผละมือออกจากคอเสื้อเด็กเนิร์ดแล้วหันไปขมวดคิ้วใส่มันแทน เมื่อครู่พูดอะไรนะ ผัวใคร ใครมีผัววะ

“ห๊ะ ผัวที่ไหนวะ”

“คุณฟาร์ม ห้ามพูดนะ!”
ไอ้ตังค์พุ่งเข้าไปปิดปากไอ้ฟาร์มที่นั่งอยู่ข้างๆ ทันที โดยไม่สนว่าขนมที่มันถือเมื่อครู่จะหล่นลงพื้นแล้วก็ตาม เดี๋ยวนี้หัดมีความลับเหรอวะ แบบนี้ต้องเค้นคอ!

“กูเป็นคนไม่มีความลับกับเพื่อนว่ะตังค์”
ไอ้ฟาร์มปัดมือเพื่อนออกจากปากแล้วขยับมาเบียดที่เก้าอี้ตัวเดียวกับผมเพื่อหลีกหนี ส่วนไอ้ไธทำหน้าที่ดีโดยเดินไปนั่งคั่นแทนที่ ไอ้ตังค์ชะงักทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ แต่ไม่มีใครสงสารมันหรอก เชื่อเถอะ

“อย่านะ ผมขอร้อง...”
ปากคอสั่น ยกมือขึ้นกุมไว้ที่หน้าอกราวกับขอร้อง ดูเหมือนไอ้ฟาร์มจะการ์ดอ่อนเพราะมันเม้มปากแน่น เฮ้ย อย่าหลงกลมารยาของไอ้เนิร์ดดิ นี่มันปัญหาระดับชาติเลยนะเว้ย

“อายเหรอที่คบกับกู”
ทุกคนหันขวับไปมองทางต้นเสียงที่ไม่รู้เดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ใบหน้าของมันบึ้งตึง รังสีดำทะมึนแผ่อยู่รอบกาย เรื่องนี้ผมจะไม่ยุ่ง พวกมึงเคลียร์กันเอาเอง แต่อยากเสือกว่ะ ไปตกลงคบกันตอนไหน

“คะ คุณเอย”
ผมเบะปากใส่ไอ้ตังค์ทันที พอเป็นคนอื่นละเสียงสั่นเชียวนะมึง กลัวขนาดนั้นเชียว ทำหน้าสำนึกผิดแทบไม่มันเลยสินะ หมั่นไส้ว่ะ

“เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งสร้างดราม่า ตกลงพวกมึงคบกันแล้วเหรอ”
ผมมันพวกความอดทนต่ำเลยถามออกไปขัดจังหวะ ก่อนที่พวกมันจะตีกันใหญ่โต ไอ้ตังค์หันมาถลึงตาใส่

“เออ”
คราวนี้ไอ้ตังค์หันไปจ้องหน้าคู่กรณีอีกคนแทน แต่ไม่ได้ทำท่าทีเกรี้ยวกราดใส่ เหมือนลูกหมากำลังอ้อนเจ้าของมากกว่า สองมาตรฐานชัดๆ

“เมื่อไหร่วะ”
ไอ้ไธถามต่อ

“คืนวันงานโอเพ่นเฮ้าส์”
คืนเดียวกับผมเลยเว้ย สุดยอดๆ หึหึ

“ร้าย ~ บังคับไอ้ตังค์ปะเนี่ย”
คนที่รู้เรื่องอยู่แล้วอย่างไอ้ฟาร์มถามด้วยน้ำเสียงล้อเลียนพลางเอื้อมมือไปตบๆ ที่ไหล่ของไอ้ตังค์เหมือนปลอบใจเลยโดนแยกเขี้ยวใส่กลับมา

“ระดับกู สมยอม โอย อย่าหยิก”
ไอ้เอยร้องเสียงหลงก่อนจะดึงมือที่ประทุษร้ายตัวเองมากอบกุมไว้แน่น คนก่อเหตุก้มหน้าจนคางชิดอก แต่อย่าหวังว่าคนตาดีอย่างผมจะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง ไอ้ตังค์มันเขิน!

“พูดอะไรไม่อายเลยนะครับ”
เสียงมันดุแต่กลับสั่นมาก อยากแกล้งว่ะ แต่ไอ้เอยยืนอยู่ต้องรักษาชีวิตไว้ก่อน เพราะจิณณ์เคยบอกว่ามันเป็นคนขี้หึงมาก

“มึงเขินสินะ หึหึ”
ไอ้เอยใช้ปลายนิ้วแตะคางแฟนสุดที่รัก ออร่าสีชมพูฟุ้งกระจายจนไอ้คนที่นั่งเบะปากอยู่นานถึงกับทำเสียงจิ๊จ๊ะ ไอ้ฟาร์มมันอิจฉาแน่ๆ

“รู้แล้วยังจะถาม”
จ้า รู้ใจกันจังเลย มีมองค้อนด้วยท่าทางน่ารักด้วย หมั่นไส้วุ้ย

“ไปเดทกันดีกว่านะที่รัก”
อ่าวๆ มึงไม่ทะเลาะกันแล้วเหรอวะ มีกอดคอเพิ่มความสนิทสนมด้วย โอย พี่ทาวน์อยู่ที่ไหน ผมคิดถึงเว้ย



ต่อด้านล่างน้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-11-2017 09:51:17 โดย Ch0cmint »

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
“โอ้โห... ไวไฟฉิบหาย กูกับพี่ฟายังอยู่จุดเริ่มต้นอยู่เลยอะ”
ไอ้ฟาร์มบ่นกระปอดกระแปดขณะนั่งเท้าคางมองคู่รักแปลกประหลาดเดินหยอกล้อกันไปที่รถสีชาเย็น ผมสงสารมันแต่ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะช่วงที่ผ่านมาดูเหมือนพี่ฟาก็ขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น แต่ทางฝั่งเรากลับไม่ทำอะไร เขิน อาย กลัว หรือความเจ้าชู้มันตายไปแล้ว แค่จีบคนที่ชอบจะยากขนาดนั้นเชียว

“พยายามต่อไปนะฟาร์ม กูลอยลำแล้ว”
ผมตบบ่ามันด้วยความเห็นใจแต่ใบหน้ากลับยิ้มระรื่นจนปากจะฉีกถึงหู ยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากจิณณ์กับไอ้ไธ

“เดี๋ยว หมายความว่าไงวะ”
มันหันขวับมามองผมพลางขมวดคิ้วแน่น นิ้วสั่นๆ ชี้หน้าอย่างหาเรื่อง

“กูคบกับพี่ทาวน์แล้วว่ะ”

“เฮ้ย มึงอย่าตลก กูซีเรียสนะ!”
มันลุกขึ้นตบโต๊ะจนคนอื่นๆ หันมองด้วยความสนใจ ผมจึงต้องกระตุกชายเสื้อไอ้ฟาร์มให้นั่งลง มึงไม่อายแต่กูอาย

“กูเป็นพยานได้ มันพูดเรื่องจริง”
ไอ้ไธยืนยันอีกเสียงจนไอ้ฟาร์มถึงกับมือไม้อ่อนกระแทกกับโต๊ะจนน้ำตาคลอ โธ่... เพื่อนรักคนกาก

“ฮึก พวกมึงทิ้งกูไปมีแฟนกันหมดเลย แง”
มันดิ้นพล่านอยู่บนเก้าอี้ พวกผมต่างขยับหนีเพราะไม่อยากอยู่ใกล้คนบ้า ทำตัวอย่างกับเด็กโดนพ่อแม่ทิ้งไปได้ แค่มีแฟนเฉยๆ ยังไม่หนีไปไหนสักหน่อย

“ใจเย็นๆ กูยังโสด”
ไอ้ไธพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแล้วเอื้อมมือไปตบหัวคนบ้าที่ยังแหกปากโยเยไม่หยุด มันชะงักก่อนจะช้อนตามองอย่างมีความหวัง แต่เพียงครู่เดียวกลับจ้องเขม็ง ผีเข้าเหรอมึง

“หึ! เดี๋ยวมึงกับจิณณ์ก็เป็นแฟนกัน กูรู้กูเห็น”
พูดเหมือนมึงเลี้ยงพรายกระซิบ กูชักจะหลอนแล้วนะ บ้านมึงเปิดสำนักหมอผีปะเนี่ย เพราะที่มันสงสัยคือความจริง อีกไม่นานไอ้ไธคงเป็นฝั่งเป็นฝากับจิณณ์แล้ว

“มึงเลี้ยงกุมารทองเหรอไง”
ไอ้ไธยังคงถามติดตลก

“หรือไม่จริง”
ไอ้นี่ก็เบะปากจนน่าเกลียด

“เออ แค่รอวันวาเลนไทน์เฉยๆ”
สุดท้ายไอ้ไธก็ยอมแพ้เฉลยความจริงออกมา ไม่ใช่เพราะมันหรอกที่มานั่งรอวันวาเลนไทน์บ้าบอ คือความอินดี้ของคนเรียนวิศวะนู่น คบกันเมื่อไหร่ก็ความรู้สึกเดิมปะวะ ไม่เข้าใจจริงๆ

“ฮึก... ฮือๆๆๆ”
ไอ้ฟาร์มแหกปากร้องไห้พลางบีบน้ำตาจนพวกผมได้แต่ถอนหายใจกับสภาพคนปัญญาอ่อนตรงหน้า เกินเยียวยาแล้วจริงๆ ถ้าพี่ฟามาเห็นคงได้มีถอดใจถอยกลับไปอยู่ในที่ของตัวเองแน่ๆ ใครอยากจะมีผัวเป็นคนบ้าบ้างล่ะ

“รำคาญเว้ย หยุดร้องไห้สักที”
ผมหัดข้อนิ้วประกอบคำพูดแล้วจ้องหน้ามันเขม็ง ไม่ได้รำคาญแต่อายเพื่อนร่วมโลกนี่ล่ะ มันหุบปากฉับเมื่อสายตาสบกัน คงกลัวว่าจะโดนต่อยจริงๆ สินะ หึหึ

“ก็เสียใจอะ ต่อไปพวกมึงคงทิ้งกู ฮึก”
ยังมีเสียงสะอื้น เดี๋ยวผมจะต่อยมันจริงๆ แล้วนะ

“รู้ตัวก็ดี ถือว่าพวกกูเอาคืนที่เมื่อก่อนมึงเอาแต่ติดหญิงแล้วกัน”
คำพูดของไอ้ไธทำให้ผมพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน เห็นด้วยกับมันที่สุด แต่ก่อนไม่ว่าป๋าฟาร์มจะมีเวลาว่างมากแค่ไหนก็เทให้กับสาวๆ เพื่อนหรือก็แค่หมาหัวเน่า

“.....”
ไอ้ฟาร์มถึงกับหุบปากฉับไมต่อล้อต่อเถียงเหมือนเคยแถมยังค่อยๆ ก้มหน้าลงต่ำเพื่อหลบสายตา พอแบบนี้ทำเป็นสำนึกผิด มันน่าหนีไปกินข้าวกับไอ้ไธแค่สองคนไหมล่ะ

ผมเลิกสนใจไอ้ฟาร์มแล้วหันมาพูดเรื่องเกมที่กำลังเล่นอยู่แทน ตอนนี้ติด Mario Odyssey เป็นเกมแนวผจญภัยฝ่าด่านต่างๆ มีบางฉากที่เป็นมาริโอ้แบบสองมิติที่เราคุ้นเคยในวัยเด็ก กราฟิกมันสวยดี

“ไง พวกมึง”
เสียงหวานๆ ของใครบางคนเอ่ยทักทายขัดจังหวะผมที่กำลังเล่าเรื่องหนังผีที่เพิ่งดูแบบออนไลน์ไปเมื่อหายวันก่อนให้ไอ้ไธฟัง ประเด็นมันอยู่ที่จิณณ์แทบกระโดดขึ้นมานั่งเกยตัก ก็เลยชี้โพรงให้เพื่อนลองทำตามดู นี่ไม่ได้สนับสนุนให้พี่ชายมีผัวเลยนะเออ

“เฮ้ย มาได้ไงพี่ฟา”
และเป็นผมเองที่ทักทายเขากลับด้วยคำถาม ส่วนไอ้ฟาร์มที่มองเขาตาเป็นมันกลับปิดปากเงียบ เจอหน้ากันทีไรใบ้แดกทุกที มึงช่วยเอาความเพ้อพกตอนอยู่กับเพื่อนออกมาใช้บ้างสิวะ

“มาชวนไปกินข้าวน่ะ”
พี่ฟาบอกก่อนจะยักคิ้วจึกๆ มีเหลือบสายตามองไอ้ฟาร์มเล็กน้อยแต่ไม่นานก็เลิกสนใจ ถ้าเป็นผมคงตะครุบเขาไปแล้วล่ะ เดินมายั่วถึงที่ ยืนห่างแค่ไม่ถึงฟุต โอกาสทองชัดๆ

“พวกผมเหรอ”
ไอ้ไธชี้นิ้วกวาดไปทั่ว

“เออ ก็ทุกคนนั่นล่ะน่า”

“นึกว่ามาชวนไอ้ฟาร์มคนเดียวซะอีก”
ผมเย้าพี่ฟาด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ แอบชำเลืองมองเพื่อนสนิทที่แอบยิ้มเงียบๆ คนเดียวแล้วหมั่นไส้ มึงกลายเป็นลูกไก่ขี้กลัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย น่ารำคาญฉิบหาย จะทำอะไรก็ไม่ทำสักที

“พี่ไม่โง่ทอดสะพานให้คนกากหรอกน่า ตกลงจะไปด้วยกันปะ”
พี่ฟาใช้คำพูดแทงลงบนหัวใจไอ้ฟาร์มซะเต็มแรงแถมยังใช้สายตาดูถูกดูแคลนมันอีก เอาแล้วไง มึงจะแดกแห้วก็คราวนี้ล่ะเพื่อน พวกกูก็ไม่รู้จะช่วยยังไง ถึงจะชิ่งไปมีแฟนก็ใช่ว่าเก่งเรื่องความรัก

“อึก”
ถึงขั้นสะอึกเลยเหรอ น่าสงสารจัง

“คือ...”
ผมลังเลเพราะจะให้ไปนั่งกินข้าวกับพี่ฟามันก็ยังไงอยู่ เหมือนเด็กสถาปัตย์จะรุมทำร้ายเด็กแพทย์ยังไงไม่รู้

“ไอ้ทาวน์ก็ไปนะ มันจอดรถรออยู่ตรงนู่น”
พี่ฟาฉีกยิ้มกว้างแล้วชี้ไปที่ริมฟุตบาทที่ผมไม่คิดจะสนใจว่าใครจอดรถอยู่ตรงนั้น แต่พอได้รู้ความจริงร่างกายก็ลุกพรวดขึ้นอย่างอัตโนมัติ หัวใจเต้นแรงราวกับเจอพ่อมดขี้ไม้กวาดผ่านหัวไป

“ไปครับ พวกมึงลุก!”
สวรรค์ทรงโปรด นึกว่าวันนี้จะทำได้แค่คุยโทรศัพท์กันซะแล้ว

“สวัสดีครับพี่ทาวน์”
ผมรีบวิ่งไปที่รถก่อนใครเพื่อนเพราะคิดถึงคนที่แยกจากกันไปเมื่อคืน จะหาว่าเห่อแฟนก็เอาเถอะ ยอมรับหมดนั่นล่ะ ก็คนมันรักมากนี่หว่า ก้มตัวลงฉีกยิ้มให้พี่ทาวน์อย่างเป็นมิตร แทบพุ่งไปกอดด้วยซ้ำแต่ตืดที่ว่ามีประตูกั้นอยู่กับเสียงล้อเลียนจากด้านหลัง

“อืม ขึ้นมานั่งข้างหน้า”
พี่ทาวน์ตบเบาะข้างตัวเองเป็นสัญญาณให้ขึ้นไปนั่ง ผมเลิกคิ้วมองด้วยความงงและตกใจ เอาจริงดิ จะเปลี่ยนตุ๊กตาหน้ารถง่ายๆ แบบนี้พี่ฟาจะแดกหัวกันไหม แย่งที่เขาเนี่ย

“คะ ครับ”
แต่ผมเป็นเด็กดีไงเลยรีบเปิดประตูรถอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาก็โดนมือปริศนาคว้าท่อนแขนเอาไว้ซะก่อน พี่ฟาแผ่รังสีทะมึนออกมาเชียว... เคลียร์กันเอาเองเนอะ นายภาคินไม่เกี่ยว

“อ้าวเฮ้ย แล้วกูอะทาวน์ ทำไมทำงี้อะ”

“รถกู”
พี่ทาวน์บอกหน้าตาเฉยก่อนพยักพเยิดหน้าเพื่อให้ผมขึ้นรถสักที

“เอ้อ ได้แฟนแล้วลืมเพื่อน จำไว้เลยนะมึง!”พี่ฟากระแทกเสียงใส่เพื่อนสนิทด้วยใบหน้ามู่ทู่แถมยังแอบหยิกแขนผมเป็นการเอาคืนอีก เจ็บนะเว้ยเล่นจิกเล็บลงในเนื้ออะ ฮือ

“รกสมอง”
ยัง พี่ทาวน์ยังไม่หยุดยั่วโมโหพี่ฟาสักที ผมต้องพุ่งเข้าไปจูบปิดปากไหมถึงจะเลิกตีกันเป็นเด็กๆ จะไม่ว่าอะไรเลยถ้าคนกลางไม่โดนกระหน่ำตีแขนแบบนี้อะ โอย ช้ำไปทั้งตัวแล้ว

“เชอะ!”
จ้า งอนสะบัดตูดไปนั่งเบียดไอ้ฟาร์มด้านหลังนู่นแล้ว พี่ทาวน์ก็เอาแต่หัวเราะความพังพินาศที่เพิ่งเกิดขึ้น ไม่สงสารผมที่กลายเป็นคนรองรับอารมณ์เพื่อนตัวเองหน่อยหรือไงนะ เป็นแฟนกับเขานี่งานช้างจริงๆ

เสียงเพลงสากลที่เปิดคลอเบาๆ ในรถแทบฟังไม่รู้เรื่องเพราะมีพี่ฟาเปิดโหมดชวนไอ้ฟาร์มคุยเรียบร้อยแล้ว ก็ไหนบอกว่าจะไม่ทอดสะพานให้คนกากไง แล้วนั่นอะไร มือพาดอยู่บนขาเพื่อนผมน่ะ อ่อยเกินไปแล้ว

“พี่ทาวน์ครับ”
ผมเลิกสนใจเรื่องชาวบ้านแล้วหันมาคุยกับแฟนหมาดๆ บ้าง พี่ทาวน์เลิกคิ้วขึ้นก่อนจะครางรับในลำคอเบาๆ ลืมชมไปเลยว่าวันนี้เขาหล่อมาก ใส่แว่นกันแดดสีชาโคตรคูล

“หืม”

“เราจะไปกินอะไรกันเหรอครับ”
เป็นคำถามที่สิ้นคิดมาก แต่ผมยังคงตื่นเต้นกับสถานะใหม่นี่หว่า กล้าเปิดปากคุยโดยไม่เขินก็บุญขนาดไหนแล้ว

“ให้มึงเลือก”
คำตอบของพี่ทาวน์ทำให้ผมมือไม้อ่อน อะไรคือตามใจวะ เป็นแฟนแล้วโปรโมชั่นดีขนาดนี้เลยเหรอ หัวใจเต้นตึกตักจะแย่แล้วจริงๆ

“เอ่อ ผมว่าถามคนอื่นด้วยดีกว่าเนอะ”
กลัวพี่ฟาอาละวาดไง แอบเห็นพี่แกเบะปากใส่ทางกระจกมองหลังด้วย

“ไม่ กูตามใจมึงคนเดียว”
ฉึกๆๆๆ เสียงความน่ารักปักลงในหัวใจ

“อ่า...”
ฉิบหาย ทำไมผมเขินวะ โอย พี่ทาวน์ตอนเป็นแฟนโคตรฟัดเลยแม่ง

“ไอ้นิสัยเทคแคร์แฟนเป็นอย่างดีกลับมาแล้วสินะ”
เสียงพี่ฟาพึมพำด้านหลังทำให้ผมหูผึ่ง แต่ได้ยินไม่ถนัดหรอกเพราะเสียงไอ้ฟาร์มกลบหมดแล้ว จะแหกปากร้องเพื่อ ใครบีบใครมึงหรือไง

“ถ้าอยากแดกข้าวแบบสบายๆ ก็หุบปาก”
พี่ทาวน์พูดลอยๆ แต่พี่ฟากลับเบ้ปากใส่ เฮ้ย ทำไมรู้เรื่องกันอยู่สองคนวะ ผมขอเสือกด้วยได้ไหม อยากรู้

“ชิ”
งอนไปอีกรอบตามระเบียบ เฮ้อ

“นั่งคิดไปแล้วกันจะกินอะไร กูขอแวะเซเว่นก่อน”
พี่ทาวน์บอกก่อนจะจอดหน้าร้านสะดวกซื้อ ผมพยักหน้ารับหงึกหงักแล้วยิ้มส่งเขา

“ได้ครับผม”

“กูอยากจะแหมให้ถึงทางช้างเผือก หมั่นไส้”
เสียงพี่ฟาดังไล่หลังเพื่อนสนิทที่เพิ่งปิดประตูรถไปไม่ถึงสามวินาที ริมฝีปากสีแดงเรื่อเบะแล้วเบะอีก ผมเอี้ยวตัวมองด้วยความสงสัยว่าเขาหมั่นไส้ใคร แต่เจอเข้ากับสายตาแวววับของไอ้ฟาร์มถึงกับกลั้นหัวเราะ จ้องอย่างเดียวเมื่อไหร่จะได้แอ้มล่ะ

“แหมใส่ใครวะพี่”
ผมถามด้วยความใสซื่อ กระพริบตาปริบๆ ตบท้ายแต่กลับโดนพี่ฟาค้อนใส่วงใหญ่ เขายังโกรธที่โดนแย่งที่นั่งเหรอเนี่ย

“มึงไง ยังไม่รู้ตัวอีก”

“ห๊ะ ทำไมอะ”
งงในงงว่ะตอนนี้

“เดี๋ยวมึงก็รู้เองว่าทำไมกูต้องกลายเป็นคนขี้อิจฉาตาร้อน หึ”
พี่ฟาสะบัดหน้าหนีไปแล้ว ผมเลยได้แต่เกาหัวแกรกๆ เพราะไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดเลยสักนิด อะไรที่ทำให้ต้องอิจฉาตาร้อนวะ

“อะไรของเขาวะ งงฉิบหาย”
ผมพึมพำในลำคอแล้วเลิกสนใจพี่ฟา ก่อนจะนั่งฮัมเพลงรอเจ้าของรถไปเรื่อยๆ เพียงไม่ถึงยี่สิบนาทีเขาก็กลับมาพร้อมถุงเซเว่น

“รับไปหน่อย”
พี่ทาวน์ส่งถุงในมือมาให้ก่อนจะสอดตัวเข้ามานั่งประจำที่ ผมยื่นมือไปรับแล้วตั้งไว้บนตัก

“ซื้ออะไรมาเหรอพี่”
ผมชวนคุยเฉยๆ ไม่ได้สอดรู้เรื่องของเขาเลยนะ

“เปิดดูสิ”
พี่ทาวน์บอกแล้วพยักพเยิดให้ผมเปิดถุงดูได้ ตอนที่เห็นของได้ในถึงกับอ้าปากค้าง นี่มันอะไรกันวะ

“เฮ้ย นี่พี่เหมาอมยิ้มมาหมดเซเว่นเลยเหรอ”
อมยิ้มนับสิบแท่งนอนอยู่ก้นถุงปะปนกับขนมขบเคี้ยวสองสามอย่างและน้ำเปล่า ผมมองหน้าพี่ทาวน์ ขมวดคิ้วแน่นด้วยความสงสัย มือก็ลูบๆ คลำๆ ไปเรื่อย อยากกินอะไรหวานๆ จัง ขาดน้ำตาลมาเกือบอาทิตย์แล้ว

“เว่อร์”
โดนผลักหัวไปหนึ่งที แต่ผมกลับไม่รู้สึกหงุดหงิด

“ซื้อมาทำไมเยอะแยะครับเนี่ย”

“ของมึง”
พี่ทาวน์พึมพำอะไรวะ

“ห๊ะ”
ผมร้องเสียงหลงแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าเมื่อครู่พูดอะไร เขาเม้มปากแน่นเหมือนกำลังชั่งใจจนพ่นลมหายใจออกมาก่อนที่คำพูดหวานๆ จะหลุดจากริมฝีปากสีสวย

“ซื้อให้แฟนครับ”

ผมตายแน่ เรียกรถพยาบาลที!

โอ๊ย ผมคลี่ยิ้มจนปากจะฉีก ใบหน้าร้อนวูบ หัวใจกระหน่ำเค้นโครมคราม อยากจับคนข้างๆ มันฟัดให้ช้ำไปทั้งตัว อยากบีบ ฮึ้ย ทำไมเป็นผู้ชายที่น่ารักน่าหมั่นเขี้ยวขนาดนี้วะแฟน

ผมรู้เหตุผลที่พี่ฟาอยากจะแหมให้ถึงทางช้างเผือกแล้วล่ะ พี่ทาวน์แม่ง... เล่นแบบนี้นายภาคินก็หลงหัวปักหัวปำสิครับ ร้ายจริงๆ นายเมืองเหนือ!




------------------------------------------------

เห็นความน่ารักของพี่ทาวน์กันหรือยัง เอ๊ะ หรือ ความยั่วหนอ 55555
ว่าที่หมอเราเป็นพวกดูแลแฟนดีนะเออ หวานจนเจ็ทเขินเลยจ้า

ออฟไลน์ Mafiaziip

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :pig4: :pig4: :pig4:

มันก็จะสำลักความรักหน่อยๆ พี่ทาวน์น่ารักมากอ่ะ พี่คือความดีงามของแฟนจริงๆ  :mew1: :katai2-1:

เอ็นดูฟาร์ม เจอหน้าพี่ฟาเมื่อใดก็ได้แต่เงียบ โอ๊ยยยยยยยย เมื่อไรจะได้ละลูก พี่เขากอ่อยแล้วอ่อยอีก รุกต่อเลยลูก สู้ๆ :hao3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด