แข่งครั้งที่ 25
นักร้องบนเวทีมองสาวสวยในชุดเดรสสีหวานด้วยใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เขาย่อตัวลงมารับช่อดอกไม้ แต่เธอคนนั้นกลับยื้อไว้ราวกับเล่นเกมเพื่อหาความสนุก พรีมต้องการทำอะไรท่ามกลางสายตาคนนับร้อยแบบนี้
ผมกำมือแน่นจนพี่ฟาที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้แต่ลูบแขนเพื่อเป็นการปลอบประโลม ความรู้สึกตอนนี้ไม่ต่างจากคนที่กำลังจมน้ำและหาทางรอดไม่ได้ เหมือนกับโลกกำลังโคลงเคลงใกล้พังทลายเต็มทน พี่ทาวน์จะทำยังไงกับแฟนเก่าของเขาล่ะ
“ทาวน์คะ...”
เสียงหวานเรียกชื่อเป้าหมายจนทำให้คนควบคุมต้องเบาเสียงดนตรีลงอย่างสอดรู้สอดเห็น ผมเข้าใจว่าใครๆ ก็ต้องอยากเผือกเรื่องของอดีตเดือนมหา’ลัยเป็นธรรมดา ผมรู้สึกว่าเวลาต่อจากนี้ตัวเองต้องได้รับแรงกระทบกระเทือนที่หัวใจอย่างรุนแรงแน่ๆ เพราะลางสังหรณ์ร้องเตือนว่าแฟนเก่าเขามาทวงคืน
“.....”
พี่ทาวน์ไม่ได้ตอบรับแต่จ้องหน้าคู่กรณีเขม็งเหมือนกำลังพยายามอ่านใจ เสียงดนตรียังคงคลอเป็นแบล็คกราวน์ชวนให้บรรยากาศรอบๆ กลายเป็นสีชมพู ผมหายใจติดขัดจนต้องยกมือขึ้นขยำเสื้อตรงอกด้านซ้ายไว้แน่น กลัวเหลือเกินกับเหตุการณ์ต่อไป
“กลับมาคบกันเถอะนะ พรีมรักทาวน์”
ประโยคนั้นทำให้ผู้คนทั้งบริเวณส่งเสียงอื้ออึงทั้งเชียร์ ทั้งโห่ร้อง กรี๊ด ด่าทอ หรือแม้กระทั่งขับไสไล่ส่ง พี่ทาวน์ชะงักไปเหมือนกำลังตกใจที่โดนจู่โจมแบบนั้น ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรอยู่รอฟังคำตอบหรือเดินหนีไปไกลๆ ดี ทำอะไรไม่ถูกเลยว่ะ ทำไมตอนซื้อหวยเดาเลขไม่ถูกเป๊ะแบบนี้บ้างล่ะ คงรวยอื้อไปนานแล้ว
“ไอ้เจ็ท...”
พี่ฟาครางชื่อผมก่อนจะเอื้อมมือเล็กๆ มาแตะไหล่ แต่ไม่รู้ขายาวของผมก้าวออกมาจากบริเวณนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ หูทั้งสองข้างอื้ออึงไม่ยอมรับฟังสิ่งรอบตัว หัวใจกำลังบีบรัดจนเจ็บปวด คำตอบของพี่ทาวน์จะเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่นายภาคินยังไม่พร้อมสำหรับเรื่องนี้
ผมลากสังขารเปลี้ยๆ ของตัวเองมาไกลจนถึงซุ้มขายเครปถอดเสื้อของวิศวะโยธาที่อยู่เกือบถึงประตูหลังมหา’ลัย ทิ้งร่างกายอ่อนล้าลงบนเก้าอี้พลาสติกสีน้ำเงินแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะโดยมีสายตามึนงงจากนายช่างทั้งหลายมองมา ด้วยความสงสัยว่า ‘มึงไปฟัดกับหมาที่ไหนมา สภาพถึงได้เยินขนาดนี้’ กูแค่เดินขยี้หัวมาตลอดทางเถอะ
“เป็นห่าอะไร ขายน้ำจนเพลียเหรอ”
ไอ้เอยที่นั่งอยู่ถัดจากผมถามขึ้นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ เดาเอาว่ามันคงอยู่ในช่วงพักเพราะตอนนี้จิณณ์กำลังขมักเขม้นทำเครปอยู่หน้าเตา ตอนเดินผ่านเห็นลูกค้ายกกล้องขึ้นถ่ายรูปพ่อค้าด้วย น่าจะเก็บเงินเพิ่มคนละสิบบาทนะว่าไหม ดูๆ ไปก็เปลืองตัวฉิบหาย
“ไม่คิดลามกสักวันได้ไหมไอ้เอย”
ขนาดผมขยับปากด่ามันยังเหมือนเสียงคนเพิ่งตื่นนอน แค่หนีคำตอบของพี่ทาวน์มา สภาพกูเยินขนาดนี้เลยเหรอวะ โธ่เว้ย ไอ้กาก ไอ้ป๊อด ถ้าเขาจะกลับไปหาแฟนเก่าก็ทำไปนานแล้วมั้ง คงไม่มานั่งบอกชอบกันอยู่หรอก แต่ก็อดคิดไม่ได้... ถ้าขืนเขาเปลี่ยนใจ กูก็หมาหัวเน่า
“ถามจริง มึงเป็นอะไร มาถึงไม่พูดไม่จา ทำหน้าอย่างกับคนอกหัก”
จึก เสียงมีดแทงทะลุเนื้อตัดขั้วหัวใจ มึงแอบเล่นของปะเนี่ยไอ้เอย กูอยากจะร้องไห้อัดกระปุกใส่ลูกพีชเชื่อมตรงหน้า
“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง”
ผมตอบแล้วใช้มือขยี้ตาลวกๆ เพื่อกลบเกลื่อนหยดน้ำที่รื่นอยู่ตรงขอบตาออก ความกลัวสามารถทำให้มนุษย์แสดงความอ่อนแอออกมาไม่จำกัดว่าจะเป็นเพศอะไร ผู้ชายก็คน ร้องไห้เป็นไม่เห็นแปลก
“เดี๋ยวๆ หลังกลับจากเที่ยวทะเลมึงยังดี๊ด๊าว่าพี่ทาวน์บอกชอบอยู่เลย”
ไอ้เอยถามด้วยความงงก่อนจะเกาหัวแกรกๆ อย่างคนไม่ได้สระผมมาร่วมอาทิตย์ มึงช่วยเกรงใจกระปุกใส่ผลไม้บนโต๊ะหน่อย กลัวขี้รังแคตกใส่
ผมถอนหายใจเฮือกแล้วปิดเปลือกตาลง ภาพเหตุการณ์และเสียงของพรีมยังดังก้องอยู่ในโสตประสาท เธอกล้ามาก ท่ามกลางคนเป็นร้อยขนาดนั้น ทำได้ยังไงกัน เอาความมั่นใจจากที่ไหนมา หรือเพราะว่ารักจนไม่สนใจสิ่งรอบข้างกันนะ
“เมื่อกี้มึงได้ยินเสียงผู้หญิงไหม”
ผมถามเพื่อนพี่ชายทั้งที่ยังหลับตาอยู่ ไม่อยากพบเจอความวุ่นวาย ขอพักสักครู่เถอะนะ
“เชี่ย ดึกดื่นค่อนคืนใครให้พูดเรื่องแบบนี้วะ ขนลุก”
“พ่อง กูหมายถึงเสียงจากเวทีกลางโว้ย”
ถึงกับต้องลืมตาขึ้นมาด่า หัวสมองคนเรียนวิศวะคิดได้แค่นี้หรือไงวะ อยากกระทืบให้ม้ามแตกจริงๆ หงุดหงิด
“ได้ยิน ที่ขอแฟนคืนดีอะนะ”
จึก มีดแทงเขาไปอีกหนึ่งแผล กูตายซ้ำตายซากจนเหนื่อยแล้ว
“เออ”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่มึงจะอกหัก”
“ถามเหมือนคนหูหนวก ไม่ได้ยินเหรอว่าผู้หญิงคนนั้นบอกว่ารักใคร”
ผมเริ่มโมโหที่ไอ้เอยทำเหมือนไม่เข้าใจเรื่องราว อยากจะถีบมันไปแทนที่จิณณ์เหลือเกิน ปรึกษาเหี้ยอะไรไม่เคยได้เลย
“ด่ากูอีก มึงลองเงี่ยหูฟังดิ ขนาดคนร้องเพลงยังได้ยินไม่ชัดเลย แม่ง อยู่ไกลปืนเที่ยงขนาดนี้”
พูดซะบ้านนอก แต่ก็จริงของไอ้เอย ระยะการได้ยินของจุดนี่คงไม่ชัดพอจะได้ยินอะไรชัดเจนอย่างที่ผมประสบมา คิดแล้วก็ปวดใจ
“พรีม... ขอพี่ทาวน์คืนดี”
ผมบอกด้วยเสียงสั่นเครือ ดวงตาคมทอดมองไปเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย ผู้คนมากมายที่เดินผ่านไปผ่านมาไม่ได้ทำให้รู้สึกสนุกเพราะตอนนี้หัวใจปวดหนึบแทบตลอดเวลา
“อะไรนะ!”
เสียงตะโกนจากคนด้านหลังทำให้ผมสะดุ้งเฮือก ความคิดฟุ้งซ่านกระจัดกระจายหายไปในอากาศ อยากจะหันไปด่าให้มันลืมทางกลับบ้านแต่ก็กลัวเป็นภาระตัวเอง
“เสียงดังหาพ่อมึงเหรอไอ้จิณณ์”
ไอ้เอยหันไปด่าเจ้าของเสียงปรอทแตกนั่นด้วยใบหน้ามู่ทู่ มันกระชากแขนจิณณ์ให้ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ด้านข้าง ก่อนจะแย่งเครปเย็นในมือไปแดกหน้าตาเฉย ถ้าให้เดาคงทำให้ผม
“เดี๋ยวกูเอาตีนฟาดปากแตก”
จิณณ์แย่งขนมคืนจากไอ้เอยแล้วยัดใส่อุ้งมือผมที่กำลังสั่นเป็นเจ้าเข้า ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของลูกพีชเชื่อมแล้วน้ำลายแตก แต่ไม่มีกระจิตกระใจจะกลืนมันลงท้อง ตอนนี้นายภาคินเข้าโหมดวิตกกังวลโดยสมบูรณ์แบบแล้ว เกลียดที่ตัวเองกลายเป็นคนคิดมากจัง
“หูย พี่ไม่สู้ครับ”
ไอ้เอยทำท่ากลัวแบบตอแหลก่อนจะลุกไปขายเครปให้ลูกค้าสาวสวยแทนการนั่งเผือก จิณณ์เอื้อมมือคว้าเสื้อช็อปที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ ขึ้นมาคลุมไหล่แล้วจ้องมาที่ผมเพื่อคาดคั้น
“มึงเล่ามาให้หมด”
จบคำสั่งของจิณณ์ ผมก็เล่าทุกอย่างที่ตัวเองเจอมาให้ฟังทั้งหมด สีหน้าของมันบ่งบอกให้รู้ว่าเครียดไม่แพ้กัน
“โธ่ๆ น้องชายกู เลยมานั่งเฉาเป็นมะเขือเหี่ยวที่นี่อะนะ”
มันพูดติดตลกแต่มือที่คอยลูบหัวเป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่าจิณณ์เป็นห่วงผมมากแค่ไหน ถึงจะชอบกัดกัน แดกดัน ดุด่า แต่ทั้งหมดก็มาจากความรักระหว่างพี่น้อง
“มึงเลิกเปรียบเทียบกูแบบเหี้ยๆ สักที”
ผมตวัดสายตามองมันอย่างหงุดหงิด ตอนนี้หลากหลายอารมณ์กำลังตีกันยุ่งเหยิง รู้สึกปวดขมับตุบๆ ร่างกายอยากพักแต่หัวใจกลับตื่นกลัว ป่านนี้พี่ทาวน์กับพรีมจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้
“อยากให้มึงยิ้ม”
พี่ชายคนดีพูดเสียงอ่อนพลางฉีกยิ้มกว้างจนมองไม่เห็นลูกกะตา ผมถอนหายใจแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะเพราะไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี ใครมันจะไปมีอารมณ์ทำแบบนั้นกัน อยากร้องไห้จะตายชัก
“ถ้าคนที่มึงรักกำลังถูกแฟนเก่าขอคืนดี ยิ้มออกเหรอไง กูไม่ใช่คนบ้า”
“มึงมันคนคิดมาก”
“กูเปล่า”
ผมปฏิเสธเสียงแผ่ว รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองเผลอกลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะแคร์และรักพี่ทาวน์มาก ถ้าเสียเขาไปคงทนไม่ไหว
“แล้วมึงจะวิ่งหนีมาทำไมวะ”
เซ้าซี้จังวะ แต่ผมรู้ว่ามันถามในฐานะพี่ชายที่พร้อมให้คำปรึกษากับทุกเรื่อง ขอบคุณและขอโทษที่เผลอขึ้นเสียงไป แต่จะให้พูดกับจิณณ์ตรงๆ ก็อาย ทำแบบนี้ล่ะดีแล้ว
“กูแค่กลัว”
ไม่มีอะไรต้องปิดบังกับคนในครอบครัว
“กลัวอะไร”
“กลัวใจพี่ทาวน์...”
“ทั้งๆ ที่กูบอกว่าชอบมึงน่ะเหรอ”
น้ำเสียงที่คุ้นเคยดังอยู่ไม่ไกล มันแหบพร่า สั่นเครือปนเสียงหอบในเวลาเดียวกัน ผมคิดว่าตัวเองหูฟาดที่คิดว่าเป็นพี่ทาวน์แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นแล้วสายตาปะทะเข้ากับร่างสูงก็ได้แต่ตกตะลึง เขาตามมาถึงที่นี่ได้ยังไงกัน
“พี่...”
ผมครางเรียกคนตรงหน้าได้แค่นั้นเพราะตอนนี้สมองไม่สามารถประมวลผลอะไรได้อีกแล้ว ภาพตรงหน้าชี้ชัดว่าพี่ทาวน์พยายามตามหากันมากขนาดไหน เหงื่อที่ไหลจนเปียกชุ่มบนเสื้อนักศึกษาแขนยาว เสียงหอบหายใจราวกับคนวิ่งแข่งในสนาม ดวงตารีดุที่จ้องมองมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เห็นแบบนี้แล้วหัวใจเต้นแรงเลยว่ะ
“เออ กูเอง ไม่ใช่ผี”
พี่ทาวน์ตอบเสียงฉุนก่อนรับแก้วน้ำเปล่าเย็นๆ จากมือจิณณ์ไปดื่มดับกระหาย ผมลืมวิธีพูดไปชั่วขณะเมื่อเผลอจ้องมองลูกกระเดือกขยับตามจังหวะการกลืน ทำไมถึงได้เป็นคนมีช่วงลำคอยาวและเซ็กซี่ขนาดนี่ว่ะ เฮ้ย กูต้องอยู่โหมดดราม่าไม่ใช่หรือไง สติ!
“มา... มาได้ยังไงครับ”
ผมหลุบตาลงมองมือตัวเองที่ยังกำกรวยเครปเย็นอยู่ ได้แต่สบถในใจว่าทำไมกูไม่วางมันลงหรือทิ้งขนมนี่ไปสักที เพราะอยากกินเหรอ สับสนความรู้สึกฉิบหาย
“ก็ไอ้หมาตัวไหนมันวิ่งออกมาหน้าตาเฉยวะ สัด กูหามึงเกือบทั่วมหา’ลัย”
พี่ทาวน์ตบโต๊ะหลังพูดจบแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจกลิ่นมื้นท์ ดวงตารีจ้องเขม็งอย่างเอาเรื่อง ผมผงะถอยหลังจนเกือบตกเก้าอี้ แต่ดีที่ได้จิณณ์ช่วยประคอง
“ทะ ทำไม...”
ผมถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักพยายามมองใบหน้าของพี่ทาวน์ว่ากำลังแสดงอารมณ์แบบไหน เขาพ่นลมหายใจยาวๆ ก่อนจะคว้าหมับเข้าที่คอเสื้อแล้วออกแรงดึง เฮ้ย ใจเย็นนะพี่
“ไปกับกู”
พี่ทาวน์ออกคำสั่งพร้อมกระตุกเสื้อของผมหนึ่งครั้งเป็นสัญญาณให้ลุกขึ้น
“ผม...”
ผมนั่งนิ่งเพราะกำลังกลัวว่าถ้าอยู่กันสองคนแล้วเขาบอกว่ากลับไปคบกับพรีมขึ้นมาจะต้องทำหน้าแบบไหน ต้องพูดยังไง แสดงความรู้สึกอย่างไร
“ภาคิน”
เชื่อไหมว่าผมขนลุกซู่ทันทีเมื่อได้ยินชื่อจริงจากริมฝีปากสีซีดนั่น ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่พี่ทาวน์จะเรียกกันแบบนี้ ลางสังหรณ์บอกว่าถ้านายภาคินยังดื้อด้านคงตายศพไม่สวยแน่ๆ
“แหล่วๆๆ”
เสียงไอ้เอยกับจิณณ์ที่หนีไปยืนเกาะกลุ่มอยู่ไม่ไกลดังแว่วมา ผมแยกเขี้ยวใส่พวกมันก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เอาวะ มาถึงขั้นนี้แล้วคงไม่มีอะไรต้องเสีย สู้กับความจริงจากปากพี่ทาวน์สักครั้งคงไม่ถึงกับตาย
“ครับ ไปก็ไป”
พี่ทาวน์เปลี่ยนจากดึงคอเสื้อเป็นจับข้อมือของผมแล้วลากเดินไปตามฟุตบาทสู่ลานจอดรถรวมที่เงียบสงบ ไม่มีแม้แต่หมาหรือแมวสักตัว แสงไฟนีออนส่องสว่างพอให้มองเห็นทุกอย่าง แต่การที่ร่มไม้วูบไหวกลับทำให้รู้สึกวังเวงชอบกล ดูๆ ไปเหมาะแก่การหล่อเหยื่อมาฆ่าชะมัด
“วิ่งออกมาไม่เหนื่อยหรือไง”
พี่ทาวน์ผละมือออกไปแล้วทิ้งสะโพกพิงกับรถของตัวเองที่จอดอยู่ กอดอกมองหน้าผมอย่างคาดคั้น บรรยากาศชวนอึดอัดจนอยากหนีจริงๆ เหนื่อยในความหมายของเขาคืออะไร ใจหรือกาย
“ก็... นิดหน่อยครับ”
ผมตอบรวบทั้งความรู้สึกทางกายและจิตใจ
“หึ ทำหน้าเหมือนกับจะตาย”
พี่ทาวน์หัวเราะเสียงต่ำก่อนจะแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีดำสนิทที่ไร้ดาวแต่มีพระจันทร์กลมโตลอยเด่นอยู่บนนั้น ถ้าไม่มีความอึดอัดและกระอักกระอวนระหว่างเราคงเป็นคืนที่โรแมนติกหน้าดู
เขามองพระจันทร์ แต่ผมมองหน้าเขา...
“ผมกลัว...”
ผมตอบเสียงแผ่วราวกระซิบ สายลมอ่อนช่วงเดือนมกราคมชวนให้รู้สึกหนาวจับใจ
“กลัวอะไร”
พี่ทาวน์ละสายตาจากสิ่งสวยงามเบื้องบนมามองใบหน้าซังกะตายของผม เกิดความเงียบระหว่างเราชั่วครู่หนึ่ง ควรบอกสิ่งที่ตัวเองคิดให้เขาฟังจริงๆ น่ะเหรอ
“อย่าเงียบ”
“ผมเป็น... แค่คนที่พี่ชอบ แต่พรีมเป็นแฟนเก่าที่เคยคบมาหลายปี”
“แล้วไง”
น้ำเสียงเรียบเฉยไม่เคยเปลี่ยนทำให้ผมเผลอกลั้นหายใจ ไม่น่าพูดเลยจริงๆ
“ผม...”
พูดไม่ออก นั่นสินะ แล้วยังไงวะ ความสำคัญของใครมากกว่าก็ควรรู้อยู่แก่ใจ ผมเค้นยิ้มอย่างอ่อนแรง ต้องอกหักจริงๆ เหรอ
“กูไม่ได้รักพรีมแล้ว จะให้ย้ำกี่ครั้ง”
อ้าว คดีพลิกเฉย สรุปว่าผมคิดมากโคตรๆ ไปคนเดียวสินะ แต่ดอกไม้ในมือที่เขาถือติดมาด้วยคืออะไรวะ
“แต่พี่รับดอกไม้ของพรีมมา”
ผมมองดอกไม้ในมือของพี่ทาวน์ไม่วางตา จำได้ว่ามันเป็นของพรีมไม่ผิดแน่ๆ
“กูรับตามมารยาทแล้วบอกพรีมไปว่า ‘ผมรับแค่ดอกไม้นะครับ ส่วนความรู้สึกเอากองไว้ตรงนั้นก็พอ’ เข้าใจหรือยัง”
พี่ทาวน์โยนดอกไม้ในมือทิ้งอย่างไม่ใยดีแล้วขยับเข้ามาใกล้จนร่างกายแทบแนบชิดกัน ผมหันหลังด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าอีกคนจะจู่โจมขนาดนี้ หัวใจเต้นตึกตักจนน่ารำคาญ เขายอมพูดอะไรยาวๆ แบบนี้เพราะแคร์กันใช่ไหม
“ผะ ผม...”
ติดอ่างเพราะไม่รู้จะตอบอะไรกลับไปดี มันทั้งโล่งอกและดีใจที่เขายังอยู่กับผมตรงนี้ไม่ได้เดินกลับไปหาใครที่ไหน จากที่เคยหนาวเหน็บไปทั้งหัวใจ ตอนนี้กลับอุ่นด้วยอ้อมกอดจากด้านหลัง พี่ทาวน์กำลังทำในสิ่งเหนือความคาดหมาย
“เป็นแฟนกัน”
ถ้อยคำกระซิบข้างหูช่างแผ่วเบาแต่กลับดังก้องอยู่ในหู ผมสะดุดลมหายใจ ดวงตาเบิกกว้าง ตัวแข็งทื่อ หัวใจเต้นรัวเหมือนจังหวะเพลงร็อก ปลายจมูกที่กดลงบนไหล่ยิ่งย้ำเตือนว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องจริง
“อะ อะไรนะครับ!”
ผมตะโกนถามเสียงสั่นทั้งที่ได้ยินชัดเจน ตอนนี้ทุกอย่างรอบตัวราวกับหยุดนิ่งไปหมด ภาพตรงหน้าเบลอๆ คล้ายดวงตากำลังจะปิดเพราะง่วงนอน หรือกำลังฝันวะ
“หูตึงหรือไง”
เสียงฉุนๆ ดังอยู่ข้างใบหู ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดต้นคอชวนให้รู้สึกวาบหวาม ผมควรทำยังไงกับสถานการณ์แบบนี้ดี อยากแหกปากร้องด้วยความดีใจ อยากหมุนตัวกลับไปกอดพี่ทาวน์ให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ อยากบอกรัก แต่ร่างกายมันสั่นจนควบคุมอะไรไม่ได้เลย
“มะ มันเหมือนผมกำลังฝัน”
ผมพูดด้วยเสียงเพ้อๆ ก่อนจะทาบทับมือลงบนแขนแกร่งที่โอบรอบเอวตัวเอง พี่ทาวน์สะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ผละหนีไปไหน เขาทำเพียงแค่คลายกอดลงไม่ให้อึดอัดก็เท่านั้น
“มึงหลับกลางหาวหรือไง”
คำเหน็บแนมทำให้ผมหลุดหัวเราะเบาๆ จนทำให้พี่ทาวน์ยกกำปั้นทุบลงกลางหลังแล้วผละออกห่าง สายลมเย็นที่พัดผ่านมาทำให้รู้ว่าตัวเองต้องการอ้อมกอดของเขามากแค่ไหน
ถ้าพี่ไม่กอด ผมจะกอดพี่เอง
“ผม... ทำอะไรไม่ถูกแล้วว่ะ”
หมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับคนที่กลับไปยืนกอดอกพิงรถ ส่งสายตาหงุดหงิดมาให้ ไม่เห็นจะน่ากลัวเลยสักนิด เพราะรอบๆ ตัวพวกเราคล้ายกับมีละอองแห่งความรักลอยวนอยู่รอบๆ
“จะเล่นตัวอีกนานไหม กูชักรำคาญแล้วนะ”
ถึงปากจะพูดคำเชือดเฉือนความรู้สึกออกมา แต่ใบหน้าหล่อกลับแดงเหมือนลูกมะเขือเทศ หรือผมเมาอากาศจนภาพที่เห็นเบลอๆ วะ พี่ทาวน์คงไม่ได้เขินใช่ไหม... อ่า น่ารักชะมัด
“พี่ทาวน์อย่าเพิ่งหงุดหงิดสิครับ พูดอีกครั้งหนึ่งนะ นะครับ”
ผมกระพริบตาปริบๆ แล้วเป็นฝ่ายใจกล้าหน้าด้านดึงเขาเข้ามากอดแทน ความอบอุ่นที่กลับมาอีกครั้งทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้น แต่ครั้งนี้มีสองดวงแหนะ จังหวะเดียวกันซะด้วย
พี่ทาวน์ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอก่อนจะเงยหน้าขึ้นเพื่อแยกเขี้ยวใส่ ผมหัวเราะด้วยความเอ็นดูเพราะยักษ์ในอ้อมกอดเขินซะแล้ว เขินมากด้วยล่ะ อย่าคิดว่าที่แอบยิ้มจะไม่มีใครเห็นนะเออ
“สัด... เป็นแฟนกัน”
พี่ทาวน์ด่าแต่ก็ยอมพูดประโยคนั้นออกมาก่อนจะอ้าปากงับเข้าที่ไหล่ของผมเต็มแรงเพื่อเป็นการเอาคืนที่โดนแกล้ง แทนที่นายภาคินจะร้องโอดโอยเพราะเจ็บกลับฉีกยิ้มกว้างเหมือนคนบ้า อ้อมแขนกระชับแน่นขึ้นเพื่อส่งถ่ายความรู้สึกที่มีให้กับเขาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
“ตกลงครับครับ! ผมชนะใจหมอแล้วสินะ”
“เออ”
ในที่สุดก็ทำสำเร็จสักที ผมก้มลงจูบหน้าผากของพี่ทาวน์อย่างแผ่วเบาเพื่อสื่อความหมายว่าจากนี้และต่อไป ‘นายภาคินจะรัก ทะนุถนอม ดูแลและอยู่เคียงข้างนายเมืองเหนือให้ดีที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งสามารถทำเพื่อคนรักได้’
ความรักเนี่ย... หวานเนอะ
เช้านี้ผมตื่นมาด้วยความสดชื่น ไม่มีอาการงัวเงียหรือเดือดร้อนให้จิณณ์ต้องแหกปากปลุก ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่น่าตกใจสำหรับคนที่รู้จักกันมาตลอดชีวิต มันใช้ดวงตาคมมองกันตั้งแต่หัวจรดเท้า จับพลิกหมุนซ้ายหมุนขวาเพื่อหาสาเหตุความผิดปกตินี้ กูแค่มีความสุขสุดๆ แปลกตรงไหนวะพี่ชาย
จิณณ์เลิกสนใจผมแล้วหันกลับไปทำอาหารเช้าอย่างข้าวต้มปลาเก๋าใส่ขิงดับกลิ่นคาว มีไข่เค็มและไข่เยี่ยมม้าอย่างละฟองเป็นเครื่องเคียง ถ้ายำสักหน่อยคงได้รสชาติมากกว่านี้ แต่ขี้เกียจทำว่ะ กินแค่นี้ก็พอแล้ว
“เบาๆ หน่อย ไอ้น้อง”
จิณณ์พูดขึ้นขณะที่ตักข้าวต้มใส่ถ้วยแล้วส่งมาให้ กลิ่นหอมๆ และควันสีขาวตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ ผมสูดลมหายใจก่อนจะทำหน้าฟิน ตักผักชี โรยพริกไทย อร่อยเหาะแน่
“อะไรของมึง”
ผมถามมันกลับในขณะที่คนทุกอย่างในถ้วยให้เข้ากัน ช้อนในมือสังหารไข่เยี่ยวม้าออกเป็นสองซีก ความมันเยิ้มของไข่แดงชวนให้น้ำลายแตกจริงๆ โคตรฟิน
“ยิ้มหน้าบานกว่าถ้วยแล้ว หมั่นไส้”
เสียงล้อเลียนทำให้ผมชะงักมือ เหลือบดวงตามองหน้าจิณณ์ด้วยท่าทางกวนตีนแล้วยักคิ้วให้ อิจฉาล่ะสิ หึหึ
“ก็คนมีความสุข”
ผมจ้วงข้าวต้มใส่ปากหลังจากเป่าจนมันอุ่น สัมผัสนุ่มลิ้นของเนื้อปลากับตัวข้าวที่ต้มจนได้ที่นั้นทำให่รสชาติเหนือคำบรรยายจริงๆ จิณณ์ยังคงมองกันด้วยสายตาล้อเลียน ต้องการอะไรวะ
“จ้าๆ อย่างกับถูกเลือกไปเป็นพระเอกหนัง”
อะไรของมึง
“หนังอะไร”
“GV”
“ไอ้เชี่ย แค่ก ขนลุก ใครจะไปอยากเล่น!”
ผมสำลักข้าวแทบตาย มันก็ยังอุตส่าห์ใจดียื่นแก้วน้ำมาให้ดื่ม ไอ้เหี้ย ไม่น่าเสวนากับคนอย่างมีงเลยให้ตาย เสียบรรยากาศชะมัด กูชอบพี่ทาวน์ ไม่ใช่ผู้ชายคนไหนก็ได้!
“กับพี่ทาวน์ก็ไม่อยากเล่นเหรอวะ”
คำถามที่มาพร้อมประกายแวววาวในดวงตานี่มันอะไรกัน แล้วคนอย่างผมที่รักพี่ทาวน์ยิ่งกว่าตัวเองจะตอบว่ายังไงล่ะ
“อยาก!”
“คิดบ้างก็ได้มั้งมึง”
จิณณ์ถึงกับเบะปากใส่ พอพูดอ้อมก็หาว่ากระแดะ พอพูดตรงก็หาลามก จะเอายังไงกับกูห๊ะ
“คิดมาเกือบปีแล้ว ยังไม่พออีกเหรอ”
ผมตอบหน้าตายก่อนจะแย่งคว้านไข่แดงเค็มมาทั้งลูก จิณณ์ถึงกับถลึงตาใส่ ช่วยไม่ได้นะ ก็กูไม่ชอบไข่ขาวนี่หว่า
“มึงนี่บ้ากามใช้ได้จริงๆ กูก็มีความสุขนะที่น้องได้เมียหรือว่าผัววะ”
มันถามเสียงกลั้วหัวเราะ ผมถึงกับสำลักไข่แดงเค็มที่เพิ่งกินเข้าไป ไอ้บ้านี่ เอาคืนกันหรือไงวะ แสบนักนะมึง
“เมียสิวะ!”
ผมโต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้ถึงจะรู้สึกแสบคอแสบจมูกก็เถอะ ยกน้ำขึ้นดื่มอึกๆ ต่อด้วยความโมโห คิดว่าคนอย่างนายภาคินเหมาะกับการไปนอนครางใต้ร่างคนอื่นหรือไง บอกเลยว่าไม่มีทางเว้ย
“คิดว่าพี่ทาวน์จะยอมให้มึงควบหรือไง”
แล้วมึงคิดว่าพี่ทาวน์เป็นม้าหรือไง ดูแม่งใช้คำสิ เอาซะกูหน้าร้อนเลยไอ้พี่เลว! เพิ่งคบกันได้ไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง ทำไมต้องชวนคิดเรื่องอกุศลด้วยวะ เออ แล้วถ้าพี่ทาวน์ไม่ยอมจริงๆ ล่ะ ควรหาทางแก้ไขยังไง อืม...
“ถ้าแบบนั้นต้องเป่ายิงฉุบ!”
วิธีปัญญาอ่อนที่ช่วยตัดสินทุกเรื่องบนโลกใบนี้ ไม่ได้วัดกันที่ความฉลาด ความแมนหรืออะไรทั้งนั้น เพราะมันใช้ดวงล้วนๆ
“คนดวงซวยอย่างมึงโดนเสยตูดแน่ๆ”
“ตายซะเถอะ!”
ไล่เตะพี่รับอรุณก็เข้าท่าดีเหมือนกัน
วันนี้ผมเดินทางไปมหา’ลัยด้วยฟีโน่คู่ใจเหมือนเดิมเนื่องจากเรียนคนละเวลากับจิณณ์ ส่วนเพื่อนรักอย่างไอ้ไธก็เพิ่งหอบสังขารเปื่อยๆ ติดรถพี่แทนมาจากบ้าน แดกเหล้าแล้วแฮงค์ น่าสงสารจัง
ลานคณะยามใกล้เที่ยงเต็มไปด้วยเด็กหลากหลายชั้นปี เสียงเจี๊ยวจ๊าวอย่างกับตลาดสดเป็นเอกลักษณ์ไม่เคยเปลี่ยน ผมสไลด์ตัวเข้าไปจองที่ว่างเพื่อนั่งคุยเรื่องสัพเพเหระรอเวลากินข้าวเที่ยง
“คุณเจ็ทครับ”
เสียงเนิบนาบของไอ้ตังค์ดังขึ้น แต่ผมไม่ได้สนใจมันนักเพราะกำลังชมนกชมไม้อย่างอารมณ์ดี เมื่อเช้ามีข้อความบอกให้ตั้งใจสอบเก็บคะแนน กำลังใจเปี่ยมมาก แต่ที่ทำไปเมื่อครู่นี่แทบลากเลือด บางข้าจำไม่ได้ว่าเคยเรียนตอนไหนด้วยซ้ำ
“อือ...”
“ลืมกินยาเหรอครับ”
ผมขมวดคิ้วพลางยกมือขึ้นแตะหน้าผาก ตัวไม่ร้อนนี่หว่า เฮ้ย กูไม่ได้ป่วยนะไอ้ตังค์ มึงบ้าปะเนี่ย
“หา ยาอะไรวะ”
เกาหัวประกอบอาการสงสัยขั้นสุด
“ยาระงับประสาทครับ เห็นนั่งเหม่อแล้วก็ยิ้มมาครึ่งชั่วโมงแล้ว”
ผมลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้แล้วพุ่งไปคว้าคอเสื้อนักศึกษาไอ้ตังค์ด้วยอารมณ์เดือดปุดๆ เดี๋ยวนี้พัฒนาสกิลการปากดีฉิบหาย อยากให้มึงกลับไปติดการ์ตูนเหลือเกินจะได้เงียบซะบ้าง
“ไอ้ตังค์... เดี๋ยวนี้เหิมเกริมกล้าด่ากูเหรอ”
ผมกระตุกเสื้อแน่นขึ้นเมื่อเห็นว่าดวงตาใต้กรอบแว่นจ้องเขม็งไม่มีแววกลัวเกรง ที่จริงแค่อยากแกล้งมันก็เท่านั้น แสดงอารมณ์บ้างสิวะ อย่าเอาแต่เฉยชาเหมือนพี่ทาวน์ มึงไม่น่ารักอย่างเขาสักหน่อย
“ผมพูดตามที่เห็นนะครับคุณเจ็ท”
“ไอ้...”
ด่ามันไม่ออกเลยได้แต่ทำปากพะงาบๆ เพราะมันคือความจริง ยิ้มก็หาว่าบ้า ทำตัวยังไงถึงจะเรียกว่าปกติวะเนี่ย
“อย่าไปมีเรื่องกับมันเลย ผัวดุจะตาย”
ไอ้ฟาร์มตีแปะๆ ลงบนแขนของผมทำให้ต้องผละมือออกจากคอเสื้อเด็กเนิร์ดแล้วหันไปขมวดคิ้วใส่มันแทน เมื่อครู่พูดอะไรนะ ผัวใคร ใครมีผัววะ
“ห๊ะ ผัวที่ไหนวะ”
“คุณฟาร์ม ห้ามพูดนะ!”
ไอ้ตังค์พุ่งเข้าไปปิดปากไอ้ฟาร์มที่นั่งอยู่ข้างๆ ทันที โดยไม่สนว่าขนมที่มันถือเมื่อครู่จะหล่นลงพื้นแล้วก็ตาม เดี๋ยวนี้หัดมีความลับเหรอวะ แบบนี้ต้องเค้นคอ!
“กูเป็นคนไม่มีความลับกับเพื่อนว่ะตังค์”
ไอ้ฟาร์มปัดมือเพื่อนออกจากปากแล้วขยับมาเบียดที่เก้าอี้ตัวเดียวกับผมเพื่อหลีกหนี ส่วนไอ้ไธทำหน้าที่ดีโดยเดินไปนั่งคั่นแทนที่ ไอ้ตังค์ชะงักทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ แต่ไม่มีใครสงสารมันหรอก เชื่อเถอะ
“อย่านะ ผมขอร้อง...”
ปากคอสั่น ยกมือขึ้นกุมไว้ที่หน้าอกราวกับขอร้อง ดูเหมือนไอ้ฟาร์มจะการ์ดอ่อนเพราะมันเม้มปากแน่น เฮ้ย อย่าหลงกลมารยาของไอ้เนิร์ดดิ นี่มันปัญหาระดับชาติเลยนะเว้ย
“อายเหรอที่คบกับกู”
ทุกคนหันขวับไปมองทางต้นเสียงที่ไม่รู้เดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ใบหน้าของมันบึ้งตึง รังสีดำทะมึนแผ่อยู่รอบกาย เรื่องนี้ผมจะไม่ยุ่ง พวกมึงเคลียร์กันเอาเอง แต่อยากเสือกว่ะ ไปตกลงคบกันตอนไหน
“คะ คุณเอย”
ผมเบะปากใส่ไอ้ตังค์ทันที พอเป็นคนอื่นละเสียงสั่นเชียวนะมึง กลัวขนาดนั้นเชียว ทำหน้าสำนึกผิดแทบไม่มันเลยสินะ หมั่นไส้ว่ะ
“เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งสร้างดราม่า ตกลงพวกมึงคบกันแล้วเหรอ”
ผมมันพวกความอดทนต่ำเลยถามออกไปขัดจังหวะ ก่อนที่พวกมันจะตีกันใหญ่โต ไอ้ตังค์หันมาถลึงตาใส่
“เออ”
คราวนี้ไอ้ตังค์หันไปจ้องหน้าคู่กรณีอีกคนแทน แต่ไม่ได้ทำท่าทีเกรี้ยวกราดใส่ เหมือนลูกหมากำลังอ้อนเจ้าของมากกว่า สองมาตรฐานชัดๆ
“เมื่อไหร่วะ”
ไอ้ไธถามต่อ
“คืนวันงานโอเพ่นเฮ้าส์”
คืนเดียวกับผมเลยเว้ย สุดยอดๆ หึหึ
“ร้าย ~ บังคับไอ้ตังค์ปะเนี่ย”
คนที่รู้เรื่องอยู่แล้วอย่างไอ้ฟาร์มถามด้วยน้ำเสียงล้อเลียนพลางเอื้อมมือไปตบๆ ที่ไหล่ของไอ้ตังค์เหมือนปลอบใจเลยโดนแยกเขี้ยวใส่กลับมา
“ระดับกู สมยอม โอย อย่าหยิก”
ไอ้เอยร้องเสียงหลงก่อนจะดึงมือที่ประทุษร้ายตัวเองมากอบกุมไว้แน่น คนก่อเหตุก้มหน้าจนคางชิดอก แต่อย่าหวังว่าคนตาดีอย่างผมจะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง ไอ้ตังค์มันเขิน!
“พูดอะไรไม่อายเลยนะครับ”
เสียงมันดุแต่กลับสั่นมาก อยากแกล้งว่ะ แต่ไอ้เอยยืนอยู่ต้องรักษาชีวิตไว้ก่อน เพราะจิณณ์เคยบอกว่ามันเป็นคนขี้หึงมาก
“มึงเขินสินะ หึหึ”
ไอ้เอยใช้ปลายนิ้วแตะคางแฟนสุดที่รัก ออร่าสีชมพูฟุ้งกระจายจนไอ้คนที่นั่งเบะปากอยู่นานถึงกับทำเสียงจิ๊จ๊ะ ไอ้ฟาร์มมันอิจฉาแน่ๆ
“รู้แล้วยังจะถาม”
จ้า รู้ใจกันจังเลย มีมองค้อนด้วยท่าทางน่ารักด้วย หมั่นไส้วุ้ย
“ไปเดทกันดีกว่านะที่รัก”
อ่าวๆ มึงไม่ทะเลาะกันแล้วเหรอวะ มีกอดคอเพิ่มความสนิทสนมด้วย โอย พี่ทาวน์อยู่ที่ไหน ผมคิดถึงเว้ย
ต่อด้านล่างน้า