= MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งสุดท้าย - P.6 /จบแล้ว/ (12/02/61)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งสุดท้าย - P.6 /จบแล้ว/ (12/02/61)  (อ่าน 65793 ครั้ง)

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
ใจบางแทนเจ็ทไปอี๊กกก :heaven :heaven

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
พี่แกรุกได้สมกับที่อ่อยมานานมาก  คือความพิเศษของแฟนมันเริ่ดมาก!

ออฟไลน์ numay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1

ออฟไลน์ minneemint

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1632
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0
ขอแบบพี่ทาวน์ซักคน สาธุสาธุสาธุ

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
แข่งครั้งที่ 26


วันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้มเหมือนฝนจะตกเลยทำให้อากาศร้อนอบอ้าวมากกว่าปกติ ผมไถลหัวลงกับโต๊ะอย่างหมดแรงเมื่อจบการเรียนวิชาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมของโลก ถึงปีหนึ่งใครๆ ก็บอกว่าสบาย แต่กิจกรรมที่ตามมาเยอะเป็นบ้า แต่ไม่ควรบ่นเพราะเด็กคณะแพทย์รับศึกหนักกว่าเราเยอะ นับถือจริงๆ

“ลุกขึ้น มีนัดกับพี่ทาวน์ไม่ใช่เหรอมึงน่ะ”
เสียงทุ้มๆ ของไอ้ไธดังขึ้นในระยะประชิดเพราะมันโน้มตัวเข้ามาใกล้แถมด้วยการใช้มือสะกิดที่แก้มจนเกรงว่าจะเป็นรอยแดง ถ้ามึงจะรุนแรงแบบนี้ตบกันเลยดีกว่าไหม

“เออ มีนัด แต่พี่ทาวน์เลิกหกโมงนู่น อีกตั้งชั่วโมง”
ผมตอบเสียงอู้อี้แล้วปัดมือไอ้ไธทิ้งเพราะรำคาญ มันหัวเราะก่อนจะพยักหน้ารับรู้แต่ไม่วายเปลี่ยนมาดึงแขนแทน ต้องการอะไรจากคนอย่างกูวะ

“งั้นไปรอพี่ทาวน์ที่ร้านกาแฟไหม”
มันถามเสียงเรียบแต่แววตาเต็มไปด้วยความสุข ถ้าให้เดาคงไม่พ้นเรื่องจิณณ์ ต้องมีอะไรในกอไผ่แน่ๆ และคิดว่าผมสามารถเดาถูก

“มึงนัดจิณณ์ไว้ที่นั่นล่ะสิ”
ผมหรี่ตามองเพื่อนอย่างจับผิดก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากห้องด้วยสภาพเหมือนคนเพิ่งตื่นนอนและไม่นานเกินรอก็ได้รับคำชมพร้อมกับมือใหญ่ที่ขยี้ลงบนหัวจนยุ่งเหยิง

“แสนรู้จังเลยครับเพื่อน”
เสียงกลั้วหัวเราะดังขึ้นตามมาด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างชอบใจ ผมบึนปากใส่มันก่อนจะปัดมือวุ่นวายนั่นออก ไอ้ไธจะรู้ไหมว่าผมไม่ได้สระผมมาสามวันแล้ว

“กูไม่ใช่หมา!”

“งั้นเหรอ แต่ทำไมเวลามึงอยู่กับพี่ทาวน์กูเห็นเพื่อนเป็นหมาทุกทีเลยวะ”
ไอ้ไธขยับเข้ามากระแซะไหล่ก่อนจะพาดแขนยาวกักขังผมไว้ในอ้อมกอด มืออีกข้างจิ้มแก้มกันอย่างหยอกล้อจนได้ยินเสียงกรี๊ดจากพวกสาววาย จิ้นกันให้สุดแล้วหยุดที่ต่างฝ่ายต่างมีแฟนแล้วกันเนอะ แต่อย่าคิดว่าอะไรแบบนั้นหยุดพวกเธอได้เลย ความมโนชนะเลิศเสมอ

“อ้อนแฟนไหมล่ะ”
ผมตอบเสียงทะเล้นแล้วปล่อยให้มันจิ้มแก้มอยู่อย่างนั้นเพราะไม่มีเหตุผลต้องปฏิเสธ เผื่อว่าใครเอารูปไปลงในโซเชี่ยลแล้วพี่ทาวน์เห็นตะได้แสดงอาการหึงหวงกันบ้าง

“เต็มปากเต็มคำเนอะ”
ไอ้ไธยังไม่วายเอ่ยล้อเลียนผละตัวออกห่างเมื่อสาวๆ เริ่มยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเยอะเกินความจำเป็น ช่วงแรกๆ ก็รู้สึกรำคาญแต่ตอนนี้ปลงแล้วว่ะ ใครจะคิดยังไงก็ช่างเพราะตัวเรารู้ความจริงอยู่แก่ใจ

“ขี้อิจฉานะมึงอะ”
หยอกกลับไปพร้อมด้วยการผลักหัวเดือนคณะ ไอ้ไธไหวไหล่ไม่แคร์ก่อนจะล้วงหยิบกุญแจรถขึ้นมาควงเล่น ผมเชื่อว่าใครหลายคนอยากเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้มัน

“แล้วแต่มึงจะคิดเลย ตกลงจะไปด้วยกันไหม”

“ไปดิ จะโง่อยู่รอคนเดียวทำไม”
แล้วผมก็สอดตัวไปเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้มันท่ามกลางสายตาเด็กร่วมคณะที่เอาแต่ชี้ไม้ชี้มือมาทางนี้ ผู้ชายสองคนไปไหนมาไหนด้วยกันเป็นเรื่องที่ควรคิดมากแล้วเหรอวะ ปวดหัวจริงๆ เลย

ผมมาถึงร้านกาแฟหน้ามหา’ลัยในอีกสิบห้านาทีถัดมาเพราะเสียเวลาห้าที่จอดรถ จิณณ์นั่งรออยู่ที่มุมหนึ่งของร้าน เงียบสงบคนไม่ค่อยพลุกพล่านเพราะส่วนใหญ่แล้วมานั่งอ่านหนังสือกันมากกว่า

“จะกินอะไร เดี๋ยวสั่งให้”
จิณณ์เงยหน้าขึ้นถามในขณะที่พวกเรากำลังหน่อนก้นลง ดวงตาคมจับจ้องใบหน้าของไอ้ไธสื่อความหมายอย่างชัดเจน ผมได้แต่เบ้ปากกับความลำเอียงของพี่ชาย แทนที่มันจะเอาใจน้องชายกลับกลายเป็นว่าที่แฟนไปซะได้ มันน่าน้อยใจจริงๆ เลยเว้ย

“อะไรก็ได้ ตามใจจิณณ์”
ไอ้นี่ก็อีกคน น่าหมั่นไส้ไม่แพ้จิณณ์เลย ทำตัวหวานหยดให้คนไร้คู่ ณ เวลานี้ได้แต่ทำหน้าอิจฉา

“งั้นกูสั่งชีสเค้กกับเครปเค้ก เอามากินด้วยกัน น้ำล่ะ เอาอะไรดี”
จัดการเลือกของกินเสร็จสรรพก่อนจะขยับทั้งตัวและเมนูในมือเข้าไปใกล้ไอ้ไธ ใกล้กันชนิดที่ว่าถ้ามันก้มหน้าอีกนิดก็กลายเป็นจูบกระหม่อมแล้ว มึงจะสิงกันที่ไหนก็ได้แต่ไม่ใช่กลางร้านกาแฟแบบนี้!

“คาปูชิโน่เฟรปเป้”

“โอเค”
จิณณ์คลี่ยิ้มกว้างพยักหน้ารับคำก่อนจะลุกขึ้นเพื่อเดินไปสั่งอาหารที่เค้าน์เตอร์ ผมคว้าชายเสื้อช็อปตัวใหม่เอี่ยมไว้ด้วยความเหวอ เอาจริงดิ ไม่สนใจน้องชายตัวเองหน่อยเหรอวะ

“เดี๋ยวๆ มึงจะไม่ถามน้องหน่อยเหรอว่าจะเอาอะไรไหม”
ผมละล่ำละลักพูด ช้อนสายตาฉงนมองหน้าพี่ชายอย่างเอาเรื่อง มือกำชายเสื้อแน่นไม่ยอมปล่อยแน่ๆ ถ้าคำตอบไม่ถูกใจ

“ไม่อะ อยากแดกอะไรก็ไปสั่งเองดิ”
จิณณ์มองด้วยหางตาก่อนจะใช้นิ้วดีดมือดังเป๊าะจนผมต้องปล่อยชายเสื้อถอยมาตั้งหลักอย่างเจ็บปวด ไอ้ไธตัวดีเอาแต่นั่งกลั้นหัวเราะหน้าดำหน้าแดง ถ้าไม่ติดว่ากลัวโดนเตะคงถีบมันตกเก้าอี้ไปแล้ว ไม่รู้มีความสุขอะไรนักหนาเวลาเพื่อนกลายเป็นหมาหัวเน่า

“มึงทำไมสองมาตรฐานแบบนี้อะ”
ผมจ้องตาอย่างไม่ยอมแพ้ กะว่าวันนี้ถ้าจิณณ์ไม่ยอมอ่อนข้อให้จะงอแงไม่เลิก ไม่ใช่เพราะน้อยใจแต่หมั่นไส้ความลำเอียงกับการแสดงออกว่าไอ้ไธเป็นคนพิเศษ

“เออ จะทำไม อยากมีปัญหากับพี่เหรอน้อง”
จิณณ์เคาะข้อนิ้วลงบนหน้าผากกันก่อนจะสะบัดก้นหนีไป ผมได้แต่ชี้มือแล้วอ้าปากพะงาบๆ อึ้งกับการกระทำของฝาแฝด นับวันยิ่งกวนตีนขึ้นเรื่อย ขอให้คนที่ได้มันเป็นแฟนโชคดีมีชัย

“แม่ง...”
เก็บมือกลับมาจิ้มขมับตัวเองด้วยความเซ็งก่อนจะคว้าเมนูมาพลิกหาของที่อยากกิน ในใจยังก่นด่าจิณณ์ว่าแค่น้ำเปล่าก็สั่งมาเผื่อหน่อยไม่ได้เลยใช่ไหม อย่าให้ต้องฟ้องพี่แจมนะว่ามันเห็นผู้ชายดีกว่าน้อง

“เอาน่ามึง”
ตัวต้นเหตุเอื้อมมือมาตบไหล่เพื่อปลอบใจ แต่ผมกลับหันไปค้อนวงใหญ่ใส่มัน ยังทำเหมือนตัวเองไม่รู้เรื่องอีก เดี๋ยวมึงจะโดนแบน!

“อะไร กูโกรธมึงด้วย”
ผมสะบัดแขนมันออกแล้วขยับตัวหนี เปิดเมนูดังพึ่บพั่บจนเกรงว่าจะหลุดเป็นชิ้นๆ ไม่เคยรู้สึกอิจฉาใครมากแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต แต่ลึกๆ ก็ดีใจที่เพื่อนกับพี่หาความสุขในชีวิตรักเจอสักที ถึงแม้ทางข้างหน้าอาจมีอุปสรรครออยู่ก็เถอะ เชื่อว่าทั้งสองคนคงจับมือผ่านมันไปด้วยดี

“กูทำอะไรผิดเนี่ย”
ไอ้ไธหดมือกลับไปเกาหัวแกรกๆ คิ้วขมวดเป็นปมแสดงความสงสัยเต็มขั้น ผมเหลือบมองก่อนจะพับเมนูลง ตัดสินใจแล้วว่ารอไปกินพร้อมพี่ทาวน์เลยแล้วกัน ตอนนี้ขอกระแนะกระแหนเพื่อนรักสักนิดสักหน่อย คันปากว่ะ

“ทำให้พี่กูหลงมึงไง มันเคยปรนนิบัติใครดีแบบนี้ซะที่ไหน”
ผมบอกเสียงเรียบแต่แอบยกยิ้มมุมปากเมื่อไอ้ไธทำตาโตราวกับได้ฟังเรื่องแปลกประหลาด ถึงมันจะรู้จักจิณณ์แต่ไม่ได้แปลว่าเข้าใจจิณณ์ทุกเรื่อง

โดยปกติแล้วจิณณ์เป็นพวกไม่ชอบทำอะไรแทนใคร อย่างเช่นรับอาสาไปสั่งอาหารให้อย่างที่กำลังทำอยู่ มันคือความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่มีแต่คนในครอบครัวและเพื่อนสนิทเท่านั้นที่จะสังเกตเห็น อาการเริ่มรัก อยากดูแล เอาใจใส่ คิดถึงเขาก่อนตัวเอง เรียกว่าเป็นโปรโมชั่นพิเศษสำหรับแฟนก็ว่าได้

“ช่วยไม่ได้นะ คนมันมีดี”
ไอ้ไธยักคิ้วกวนมั่นอกมั่นใจและมั่นหน้าเป็นที่สุด จะออกปากเถียงว่าไม่จริงก็ดูหลอกลวงเลยได้แต่บุ้ยปากใส่มันเพราะทำอะไรไม่ได้

“เหอะ หมั่นไส้ว่ะ”
บ่นงุ้งงิ้งคนเดียวก่อนจะล้วงโทรศัพท์ที่ถูกลืมขึ้นมากดเล่น แจ้งเตือนมากมายจากโลกโซเชี่ยลทำให้ผมกรอกตาอย่างเบื่อหน่าย ถ้ามีสักอันเป็นของพี่ทาวน์คงดี

“พี่ทาวน์ก็ใช่ย่อย ดูแลมึงดีจะตาย”
คิดถึงว่าที่คุณหมออยู่ดีๆ เพื่อนรักก็พูดถึงเขาจนผมชะงักมือที่กำลังไล่ลบแจ้งเตือน ดวงตาคมละจากหน้าจอโทรศัพท์ครู่หนึ่งเพื่อลอบสังเกตคนด้านข้าง ยิ้มกริ่มเชียวนะมึง สนุกที่แกล้งให้กูหน้าแดงได้ล่ะสิ

“อย่าล้อ...”

“ทำไมวะ”
เอียงคอถามได้หน้าเตะมาก คิดว่าน่ารักเหรอวะ

“กูเขินว่ะ ไม่เคยคิดว่าสวัสดิการเป็นแฟนจะดีขนาดนี้”
ถึงจะหมั่นไส้เพื่อนแต่ก็เขินเมื่อคิดถึงการกระทำของพี่ทาวน์ที่เกิดในช่วงหลังจากเลื่อนสถานะอยู่ดี มือเรียวลูบแก้มเบาๆ เพื่อช่วยลดอาการหน้าแดง

“ดีแล้วนี่ สมกับที่มึงเสียน้ำตาไปหลายลิตร”
จึกเลยครับ ยอมรับว่ารู้สึกเสียวแปลบขึ้นมาในใจวูบหนึ่ง จริงอย่างที่ไอ้ไธพูด สิ่งที่ได้รับกลับมาจากพี่ทาวน์มันช่างคุ้มค่าจริงๆ ผมลอบยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อคิดถึงอะไรหลายๆ อย่างที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ เรื่องราวในอดีตจะกลายเป็นบทเรียนอันล้ำค่า จดจำไว้ว่าครั้งหนึ่งตัวเองเคยเพียรพยายามจนประสบความสำเร็จ

“ขี้ประชดจังวะ”
ไม่วายหันไปจิกกัดเพื่อนด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ เราทั้งคู่ได้ผ่านเวลาแห่งความยากลำบากในความรักไปแล้ว ต่อจากนี้ขอให้มีแต่เรื่องราวดีๆ เถอะ

ผมนั่งคุยอะไรเรื่อยเปื่อยกับไอ้ไธและจิณณ์ไมว่าจะเป็นเรื่องเรียน กิจกรรม เกมตัวใหม่ล่าสุด ปิดเทอมใหญ่ที่หลานชายตัวน้อยจะมาเยี่ยมเยียนบรรดาน้าๆ จวบจนเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงคู่รักข้าวใหม่ปลามันที่ยังไม่ได้คบกันก็ขอแยกไปดูหนัง เดินห้างตามประสาคนออกเดท แถมมีทิ้งท้ายว่านายภาคินเป็นก้างชิ้นโต แม่ง มันน่ากระทืบให้ตายทั้งคู่จริงๆ

Rrrrr
เสียงริงโทนดังขึ้นเรียกให้ผมที่กำลังหยิบแก้วน้ำเปล่า(เดินไปสั่งมาเอง) ถึงกับชะงัก ดวงตาคมเบิกกว้างเมื่อเห็นชื่อคนที่โทรเข้ามา หัวใจเต้นตึกตักราวกับหนุ่มน้อยเพิ่งหัดมีความรัก บ้าฉิบหาย ใครรู้เรื่องนี้คงอายเขาตาย

“ฮัลโหลครับ”
ผมกดรับแล้วกรอกเสียงที่พยายามควบคุมความตื่นเต้นเอาไว้ กลัวปลายสายส่งเสียงล้อเลียนมาให้ได้เขินอีกระลอก

‘เลิกเรียนแล้ว มึงอยู่ที่ไหน’
น้ำเสียงเรียบๆ ที่คุ้นเคยทำให้ผมคลี่ยิ้มละมุนออกมา ถึงจะได้ยินมันทุกวันก็ไม่เคยนึกเบื่อเลย อยากฟังไปตลอดชีวิต รู้ว่าน้ำเน่าแต่ชวนทนๆ คนเห่อความรักนิดนึง

“ร้านกาแฟหน้ามหา’ลัยครับ เดี๋ยวผมไปหาที่คณะ”
ผมลุกขึ้นเพื่อจะเรียกวินเข้าคณะแพทย์ แต่เสียงจากปลายสายทำให้ต้องชะงักขาที่กำลังจะก้าว

‘ไม่ต้อง เดี๋ยวกูไปหาเอง’

“แต่พี่ไม่ได้เอารถมานี่ครับวันนี้”
ผมเหลือบมองกุญแจรถในมือที่จิณณ์ทิ้งไว้ให้เพื่อเอาไปเดทกับพี่ทาวน์ จะให้อีกฝ่ายลำบากออกมาหาที่นี่ก็ดูจะเอาแต่ใจไปหน่อยหรือเปล่า

‘ติดรถไอ้แฮมออกไป’
เสียงพี่ทาวน์เริ่มตึงมันคือสัญญาณให้ผมห้ามเถียงแล้วทิ้งตัวนั่งลงที่เดิมอย่างว่าง่าย ถ้าเกิดพลั้งปากไปคงชวดการเดทครั้งนี้แน่

“อ่า งั้นผมรออยู่ที่นี่นะ โต๊ะริมขวาครับ”
ผมบอกตำแหน่งที่นั่งเรียบร้อยก่อนจะกวาดตามองบรรยากาศรอบร้านอีกครั้ง ลูกค้าเริ่มเยอะขึ้น เสียงเริ่มดังขึ้น พวกที่อ่านหนังสืออยู่เมื่อครู่ก็หายไปกันหมดแล้ว ที่สำคัญคือเริ่มตกเป็นเป้าสายตาสาวๆ แถวนี้ ชักอยากจะเดินหนีแล้วสิ

‘อืม ห้านาทีเจอกัน’

ห้านาทีมันช่างนานเหมือนห้าชั่วโมงเพราะหลังจากที่วางสายปุ๊ปก็มีคนเดินยิ้มกระมิดกระเมี้ยนเขามาขอถ่ายรูป ขอให้ทำท่าแบบนั้นแบบนี้จนผมชักออกอาการตึงๆ ไม่ชอบความวุ่นวาย ไม่ชอบการที่ต้องยิ้มให้กล้องโดยการบังคับ ดวงตาคมคอยมองหาพี่ทาวน์อยู่เรื่อยจนในที่สุดเขาก็โผล่มา

“พี่ทาวน์ ทางนี้ครับ”
ผมโบกมือให้กับผู้มาเยือนที่มีสีหน้าอ่อนล้า ข้างกันมีพี่แฮมยืนประกบอยู่ พี่ทาวน์พยักหน้ารับก่อนจะหันไปคุยกับคนข้างกายสองสามประโยคแล้วแยกออกมา

“จะไปกินข้าวกันเลยไหมครับ”
ผมออกปากถามเมื่อพี่ทาวน์เดินมาถึง ดวงตารีมองดูความเสียหายบนโต๊ะครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ารับ

“อืม จ่ายเงินหรือยัง”
ผมแทบดึงเขาเข้ามากอดเพราะรู้ว่าประโยคนี้ถามขึ้นเพื่อจะจ่ายเงินค่าอาหารให้ เขามักบอกเสมอว่ายามมีก็เลี้ยงได้ ตอนไหนไม่มีก็ต่างคนต่างช่วยเหลือตัวเองไป

“เรียบร้อยครับ มีคนเลี้ยง”
ผมคลี่ยิ้มกว้างตอบอย่างอารมณ์ดีเพราะได้ผลาญเงินในส่วนของพี่ชายเกือบประมาณสองร้อยบาท จากตอนแรกจะรอกินพร้อมพี่ทาวน์แต่ตบะแตกตอนได้กลิ่นขนมปังอบชีสร้อนๆ เลยลุกไปสั่งพร้อมกับน้ำเปล่าและโกโก้เฟรปเป้

“ใคร”
พี่ทาวน์จ้องตาเขม็งพลางขมวดคิ้ว ผมแปลกใจกับปฏกิริยาประหลาดนั่น ใช้เวลาคิดทบทวนไม่นานก็ได้คำตอบ

“เสียงแข็งเชียว หึงเหรอครับ”
ยอมรับว่าเดาล้วนๆ คนอย่างพี่ทาวน์จะหึงเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ได้ยังไง แต่ลองแหย่ดูเผื่อเจอแจ็กพอต

“ภาคิน”
เสียงเรียกชื่อจริงทำให้ผมสะดุ้งโหยง เมื่อไหร่ที่คำว่าภาคินหลุดจากปากพี่ทาวน์มันสื่อความหมายได้ว่า ‘ไม่สนุกนะ กูกำลังจริงจัง’ ขืนเล่นต่อมีหวังเป็นหมันไม่รู้ตัว

“โอ๋ๆ ไม่แกล้งแล้วครับ จิณณ์เลี้ยงน่ะ”
ผมว่าเสียงอ่อนก่อนจะส่งสายตาอ้อนไปให้ พี่ทาวน์ถอนหายใจแล้วเบนหน้าหนี คงแพ้ท่าทางลูกหมาของนายภาคินแน่ๆ เพราะมันใช้ได้ผลเสมอ

“อืม ไปเถอะ หิวแล้ว”
คนหิวเดินนำลิ่วๆ ออกจากร้านโดยไม่รอสารถีคนนี้เลยด้วยซ้ำ ปล่อยให้ผมยกยิ้มแล้วรีบวิ่งตามไป

เสียงเครื่องปรับอากาศดังสลับกับเสียงเพลงสากลทำให้บรรยากาศภายในรถไม่เงียบเหงาจนเกินไป ผมเพิ่งวางสายจากแม่ที่โทรมาถามสารทุกข์สุกดิบลูกชายคนเล็กของบ้านและไม่พลาดแซวเรื่องพี่ทาวน์ ต้องแหกปากโวยวายเป็นภาษาฝรั่งเศสที่เคยเรียนตอนมัธยมช่วงที่แอบชอบสาวสายภาษาใส่เธอถึงจะยอมหยุด กลัวเขาได้ยินน่ะ เพราะไม่เคยบอกว่าครอบครัวรับรู้เรื่องที่คบกันแล้ว

“กินอะไรกันดีครับ”
ผมหันไปถามคนข้างตัวที่เอาแต่นั่งไลด์หน้าจอโทรศัพท์ สีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ เดาว่าคงอ่านไลน์กลุ่ม ไม่ก็โดนแจ้งสอบเก็บคะแนนกะทันหัน มีไม่กี่เรื่องที่ทำให้พี่ทาวน์แสดงอารมณ์ออกมาชัดเจน

“แล้วแต่มึง”
ตอบโดยไม่ละสายตา ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ ดังตามมา ผมที่ลอบมองอยู่นานนับนาทีดันคลี่ยิ่ม เวลาพี่ทาวน์แสดงสีหน้าก็ดูน่ารักดี กลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ไปเลย

“โห ตามใจผมบ่อยเดี๋ยวเคยตัวนะ”
ผมแกล้งทำเสียงทะเล้นจนพี่ทาวน์ยอมละสายตาจากหน้าจอสี่เหลี่ยม ปากบางเม้มแน่นก่อนจะคลายออก

“ตามใจแฟนผิดตรงไหน”
เสียงแผ่วแต่กลับได้ยินชัดเจนจนสะท้อนก้องในหัวใจ ผมอยากจะจับเข้ามาฟัดให้น่วม กอดแน่นๆ ให้ร่างหลอมรวมกัน คนอะไรพูดจาน่ารัก แถมหวานหู มันเขี้ยวว่ะ

“พี่ทาวน์แม่ง...”
ผมเผลอเสียงดังจนโดนพี่ทาวน์จ้องเขม็ง แทนที่จะกลัวกลับคลี่ยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ หัวใจทำงานหนัก มือที่จับพวงมาลัยถึงกับสั่น เพิ่งรู้ว่าการควบคุมตัวเองไม่ให้แสดงอาการมันโคตรทรมาน

“ด่ากูเหรอ”

“มันเขี้ยวเว้ย ทำไมน่ารักแบบนี้”
ร่างกายคุมได้แต่ปากเปราะชะมัด

“หึ จะได้ไม่คิดนอกใจ”
ตายรอบที่ร้อยกับคำพูดทำนองนี้ มันไม่หวานแต่ให้ความรู้สึกว่าเป็นที่รัก ความสุขล้นทะลักจนต้องกลั้นยิ้มไว้เพราะกลัวว่าแก้มจะแตกซะก่อน

“ผมไม่ทำแบบนั้นแน่นอน รักพี่ทาวน์จะตาย”
ผมพูดอย่างเอาใจก่อนจะเผลอเอาหัวไปถูไถที่ไหล่อย่างออดอ้อน มีชะงักไปครู่หนึ่งกลัวพี่ทาวน์รำคาญ แต่หน้าด้านทำแล้วก็ทำต่อเถอะ ตัวหอมชะมัดแฟนใครเนี่ย

“ให้มันจริง ออกรถได้แล้ว”
เออว่ะ น้ำมันลดไปเป็นลิตรแล้วมั้ง

ความตามใจแฟนของพี่ทาวน์ทำให้ผมเลือกร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำเพราะไม่อยากทำตัวเป็นพวกฟุ้งเฟ้อ เดททีต้องเลือกแต่อาหารแพงๆ ซึ่งเขาก็ออกปากว่าอยากกินอยู่พอดี ต่อด้วยการเดินเล่นตลาดนัดอีกนิดหน่อยก่อนจะพากันกลับคอนโด

เรื่องที่ทำให้ผมยิ้มหน้าบานตั้งแต่ออกรถจนถึงที่หมายคือพี่ทาวน์ขอค้างด้วยเนื่องจากช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้มีสอบเก็บคะแนน แทบจะโทรไล่จิณณ์ให้นอนกับคนอื่น สรุปว่ามันปลีกตัวไปบ้านไอ้ไธเรียบร้อย อย่าจะแหมให้เสียงแหบจริงๆ เลย สถานะไม่เลื่อนแต่ความสัมพันธ์โคตรก้าวหน้า

“เอาน้ำอะไรดีครับ”
ผมถามเมื่อเห็นว่าพี่ทาวน์ทิ้งตัวลงบนโซฟาเรียบร้อยแล้ว เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะออกปากตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ลาเต้”
ผมเลิกคิ้วสูงเมื่อได้ยินคำตอบ เหลือบไปมองนาฬิกาบนผนังยิ่งไม่สนับสนุน สามทุ่มกับกาแฟ ตาค้างแน่ๆ

“กินกาแฟตอนนี้พี่จะเข้านอนตอนไหนวะ”

“อยาก”
พี่ทาวน์ยืนยันเสียงแข็ง แต่มีหรือนายภาคินจะยอมให้แฟนเสียสุขภาพ

“ไม่เอาครับ เดี๋ยวไม่ได้นอนกันพอดี”
ผมบอกปัดด้วยสีหน้าจริงจัง กลัวว่าเขาจะโกรธแต่ที่ไหนได้กลับยิ้มกริ่มราวถูกใจอะไรบางอย่าง คงภูมิใจในตัวแฟน หึหึ

“งั้นเอานมร้อน”

“ได้ครับ เดี๋ยวผมเอามาให้”
ผมยิ้มรับก่อนจะปลีกตัวมาเตรียมนมร้อนให้เขา พยายามระงับอาการตื่นเต้นยามที่ต้องอยู่กันสองคนในพื้นที่ส่วนตัว กลัวว่าจะเผลอทำตัวรุ่มร่ามไม่เหมาะสม เป็นแฟนกันแล้วก็ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน

“นี่ครับ”
ผมส่งแก้วนมอุ่นให้กับพี่ทาวน์พร้อมกันรอยยิ้มหวานๆ เขารับมันไปโดยไม่มองหน้าสักนิด โธ่ เหงือกแห้งเก้อเลย

“ขอบคุณ”

“พรุ่งนี้มีสอบตั้งแต่เช้าเลยเหรอ”
ผมรู้ว่าเป็นคำถามที่โง่แต่มันก็ดีพอที่จะทำลายความเงียบระหว่างเรา

“อืม เจ็ดโมง”
พี่ทาวน์วางแก้วในมือลงก่อนจะตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่หัวคิ้วขมวดแน่น ผมถึงกับอ้าปากค้าง ไม่เคยเจอนัดสอบเวลาเช้าขนาดนี้ เจ็ดโมงสติยังไม่เต็มร้อยเลย

“ห๊ะ ทำไมเช้าขนาดนั้นอะพี่”

“ช่วงสายอาจารย์ไม่ว่าง”

“อ๋อ...”
แล้วผมก็ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมรอบตัวเรา พี่ทาวน์ดูผ่อนคลายเพราะนั่งจิบนมร้อนสบาย ดวงตารีตดจ้องรายการสารคดีนกเพนกวินที่ผมเปิดทิ้งไว้ สิ่งมีชีวิตตัวกลมๆ กำลังกระโดดไปตามหน้าผาสูงชัน น่ารักน่าขย้ำแต่ไม่เท่ากับคนที่นั่งอยู่ตรงนี้หรอก

“มีอะไร”
พี่ทาวน์ถามขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยแต่ดวงตายังไม่ละจากจอสี่เหลี่ยม ผมสะดุ้งเมื่อได้สติกลับมาหลังจากเผลอจ้องปากเขาอยู่นาน

“หา ปะ เปล่าครับ”
ผมละล่ำละลักตอบก่อนจะเบนสายตาหนีแต่ไม่วายแอบมองเป็นระยะ ริมฝีปากสีชมพูดูอิ่มๆ น่าจูบเป็นบ้า

“โกหก ก็เห็นว่ามองอยู่”
ครั้งนี้พี่ทาวน์ละสายตาออกจากหน้าจอแล้วหันมาจ้องกันอย่างคาดคั้น ผมได้แต่ถดตัวหนีเมื่อสติเริ่มพร่าเลือน อย่าขยับมาใกล้ทั้งๆ ที่ตัวเองจะโดนลวนลามสิวะ

“คือ ปากพี่...”
ผมอ้ำอึ้งชี้มือไปส่งๆ จะโกหกว่ามองเพราะอะไรดีวะ กรอกตารอบทิศยังคิดไม่ออกเลยกู

“.....”
พี่ทาวน์จ้องเขม็งกดดันจนผมได้แต่ก้มหน้าหลบสายตา พอดีกับที่เหลือบไปเห็นแก้วนม

“เลอะคราบนมครับ!”
โกหกคำโตเลยไอ้เจ็ท คราบนมที่ไหนไปติดที่ปากพี่ทาวน์ล่ะ จิบทีละนิดขนาดนั้น

“อืม... เช็ดให้หน่อยสิ กูมองไม่เห็น”
พี่ทาวน์เอื้อมมือคว้าทิชชู่ก่อนจะส่งให้แล้วขยับเข้ามาจนขาแนบชิดกัน ผมสะดุ้งผละออกเล็กน้อยไม่กล้ามองเขา รู้แน่ๆ ว่าโดนจับพิรุธได้เพราะมีเสียงหัวเราะขบขันดังขึ้น แพ้ทางตลอด! ไอ้ภาคิน ไอ้โง่

“คะ ครับ!”
ไหลตามน้ำด้วยการเอื้อมมือสั่นๆ พร้อมกระดาษทิชชู่ง่อยๆ ไปซับรอบริมฝีปากของพี่ทาวน์ หัวใจดันเต้นแรงจนอีกคนขยับมุมปากเป็นรอยยิ้ม โอย จะบ้าตายแล้วเว้ย แฟนขี้แกล้งฉิบหาย

“กลั้นหายใจทำไม”
เสียงทุ้มเอ่ยพร้อมกับปลายนิ้วมือเย็นเฉียบแตะลงบนปลายจมูกของผม ร่างกายเมื่อโดนสัมผัสเลยสะดุ้งโหยงเพราะตกใจ

“ปะ...”
กำลังจะอ้าปากปฏิเสธแต่นิ้วเรียวกลับลากลงมาห้ามไว้ หัวใจจะวายอยู่แล้วคนดี ขืนยังแกล้งกันแบบนี้ผมไม่รับประกันความปลอดภัยของพี่นะเว้ย

“อยากจูบหรือไง”
คำถามตรงไปตรงมาทำให้ผมเผลอสะอึก ดวงคาคมเบิกค้าง ปากอ้าพะงาบๆ คิดจะปฏิเสธแต่พูดไม่ออก อยากรู้ว่าถ้าบิกความจริงผลลัพธ์จะเป็นยังไง โอย ลุ้นนิ่งกว่ารอผลสอบอีกเว้ย

“คือ...”
มองปากพี่ทาวน์แล้วกลืนน้ำลายลงคอ อยากดูดให้มันเจ่อสักครั้ง มันเขี้ยวว่ะ

“จะมองอีกนานไหม จะจูบก็จูบ”

“ดะ ได้ด้วยเหรอครับ!”
ผมตะโกนถามด้วยความลืมตัว ดวงตาจ้องมองปากพี่ทาวน์อย่างหื่นกระหาย ยอมรับว่าตกใจคำเชิญชวนแบบห่ามๆ นั่นอยู่พอตัว แต่ความอยากจูบมีมากกว่าเยอะ

“โง่ พูดไปขนาดนั้นยังจะถาม”
พี่ทาวน์ว่าเสียงฉุนแล้วผละตัวออกคล้ายกับไม่ยอมให้จูบอีก แต่ใครจะจอมในเมื่ออีกฝ่ายอ่อนกันไว้ขนาดนี้ ผมรีบขยับตามไปจนปลายจมูกของเราชนกัน ลมหายใจอุ่นเป่ารดบนแก้มพาลให้หัวใจเต้นรัว

“งั้น... งั้นผมขอจูบนะครับ”
ถามเสียงอ้อนแล้วเลื่อนริมฝีปากเข้าไปใกล้ มันเฉียดกันอย่างผะแผ่วชวนให้หัวใจเต้นรัว ผมมันทั้งขี้ขลาดและตื่นเต้น ก็แค่อยากให้เรื่องราวความรักระหว่างเราค่อยเป็นค่อยไป

“ลีลาเยอะจริง รำคาญ”

ริมฝีปากที่คอยเฝ้ามองทาบทับลงมาตำแหน่งเดียวกันก่อนค่อยๆ บดเบียดลงมาแนบชิดกว่าเดิม ความอุ่นร้อนและนุ่มหยุ่นทำให้หัวใจสั่นราวกับแผ่นดินไหว จังหวะที่ต่างคนต่างขบเม้มยิ่งพาลให้สติเตลิดไปไกล กลิ่นคาวนมคละคลุ้งไปทั่วยามลิ้นร้อนเกี่ยวกวัดกวดต้อนความหวาน

กว่าจะผละออกจากกันก็ตอนที่ลมหายใจขาดห้วง น้ำหยาดใสยืดเป็นสายเชื่อมต่อเรา ช่างน่าอายจนต้องเบือนหน้าหนี

ทำไมกลายเป็นว่าผมถูกพี่ทาวน์จู่โจมก่อนวะ แต่ไม่เสียเที่ยวเพราะสุดท้ายนายภาคินก็เป็นฝ่ายนำสำเร็จ หึหึ จูบหวานๆ จากแฟนมันดีจริงๆ ด้วย

ผมนอนฝันหวานทั้งคืนหลังจากได้รับจูบของคนที่รัก เช้านี้เลยตื่นมาด้วยอารมณ์ที่แจ่มใสพร้อมกับมีแรงในการทำอาหารเช้าอย่างไข่ดาวรูปหัวใจ อุตส่าห์ไปรื้อหาแม่พิมพ์อยู่นานสองนานโดนหาว่าเสี่ยวก็ยอม รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเมื่อนึกถึงเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นระหว่างเรา พูดได้เต็มปากว่าปัจจุบันนี้มีความสุขเหลือเกิน

“ตื่นเช้านะ”
เสียงงัวเงียจากผู้ร่วมเตียงกับผมดังขึ้นที่ด้านหลัง สภาพพี่ทาวน์เรียกได้ว่าเพิ่งตื่นนอนอย่างแท้จริงเพราะผมเผ้ายุ่งเหยิง หน้ามันแต่อยากบอกว่ายังดูดีสมกับเป็นอดีตเดือนมหา’ลัยจริงๆ

“เตรียมอาหารเช้าให้พี่ทาวน์ไงครับ”

“หึ แฟนที่ดีจริงๆ”

“มีรางวัลไหมครับ”
แค่แกล้งแหย่เผื่อได้จริงๆ

“หึ กูขอไปแปรงฟันก่อนเดี๋ยวมาให้รางวัล”

เชื่อไหมว่าผมได้รางวัลเป็นการหอมเหม่งรับอรุณล่ะ แม่ง... พี่ทาวน์จะน่ารักเกินไปแล้ว



-----------------------------------------

มันก็จะอ่อยๆ นิดนึง หัวใจเต้นแรงหน่อยๆ 5555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-11-2017 14:14:39 โดย Ch0cmint »

ออฟไลน์ Somporn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ขอบคุณครับ ติดตามๆ  :mew1:

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
 พี่ทาวน์อ่อยหนักมาก

ออฟไลน์ numay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
งุ้ยยยยยยยย :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
แข่งครั้งที่ 27



วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่มีการเรียนการสอนก่อนจะปิดช่วงสงกรานต์ ผมกำลังยืนขมวดคิ้วอยู่ใต้ตึกคณะมองสายฝนที่กระหน่ำตกลงมา นี่มันเดือนเมษาฯ หน้าร้อนไม่ใช่หรือ อากาศรอบตัวเริ่มมีอุณหภูมิต่ำลงแต่ไม่ได้ทำให้อารมณ์เย็นเลย เพราะมีนัดกับพี่ทาวน์ซึ่งมันจวนถึงเวลาเข้าไปทุกที

“เป็นอะไรมึง ทำหน้าอย่างกับตูด”
น้ำเสียงกวนโอ๊ยดังขึ้นข้างหูทำให้ผมต้องตวัดสายตามองเขม็ง จะขอยืมร่มกางไปคณะแพทย์สักหน่อย มันเสือกใจป๋าให้สาวยืมซะอย่างนั้น อย่าให้ผมต้องฟ้องพี่ฟานะ หงุดหงิดฉิบหาย

“เพราะมึงไง”
ผมมองมันด้วยหางตาก่อนจะพิงหลังเข้ากับผนัง ยิ่งเห็นฝนตกหนักขึ้นอารมณ์ก็ยิ่งดิ่ง เมื่อไหร่จะหยุดให้ชาวบ้านทำมาหาเมียสักทีวะ...

“เรื่องร่มอะเหรอ กูขอโทษ ก็ไม่รู้ว่ามึงจะยืม”
ไอ้ฟาร์มบอกเสียงอ่อย ดวงตาฉายแววขอโทษอย่างจริงใจ แต่ด้วยความหงุดหงิดเลยยังหาเรื่องพาลไม่เลิก

“แล้วมึงไม่ใช้กางไปเอารถหรือไง”
ไอ้ฟาร์มถึงกับสะอึก มันคงคิดไม่ถึงว่าตัวเองก็ต้องใช้ประโยชน์จากร่มที่คนในบ้านยัดเยียดให้พกมา สักแต่ว่าปัดๆ ขี้เกียจหิ้วไปนั่นไปนี่นิสัยเหมือนผมไม่มีผิด จะว่าไปเมื่อเช้าจิณณ์ก็บอกให้หยิบเหมือนกัน แต่ลืม

“กูลืมคิดอะ...”
ทำหน้าหงอยอย่างกับหมาโดนเจ้านายดุ ตลกว่ะ

“เออ ช่างแม่งเถอะ”
ผมปัดไม้ปัดมือเป็นเชิงว่าไม่ได้ใส่ใจจริงๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งยองเพื่อรอฝนหยุด โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าก็ใกล้หมดลมหายใจเพราะเผลอเล่นเกมเยอะไป

“เจ็ท...”
เสียงเรียกดังไม่ไกลหูเท่าไหร่ทำให้รู้ว่าไอ้ฟาร์มก็นั่งยองอยู่ข้างกัน สีหน้าดูขาดความมั่นใจจนผมเผลอแสดงความรำคาญใส่ เชื่อเถอะว่าไม่พ้นเรื่องความรักของคนกาก

“อะไรอีก”
เสียงสะบัดแบบไม่กลัวว่าเพื่อนจะเหวอ ขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่มันจะโอดครวญความขี้คลาดเรื่องพี่ฟาสักทีเถอะ

“หยุดสงกรานต์มึงไปไหนปะ”
คำถามนำร่องมาพร้อมกับประกายในดวงตาแห่งความหวัง ผมเลิกคิ้วขึ้นทำเป็นไม่รู้เรื่องว่าหลังจากนี้จะเจออะไรต่อ คนอย่างไอ้ฟาร์มเดาง่าย ไม่อย่างนั้นพี่ฟาคงไม่รู้ว่ามันชอบหรอก

“ไม่แน่ใจว่ะ ถามทำไม”
ผมไม่มีแพลนที่จะไปไหนช่วงสงกรานต์เพราะเบื่อการเล่นน้ำกลางแดดเปรี้ยงที่ทำให้สภาพร่างกายย่ำแย่ มีปีหนึ่งเคยเป็นไข้จนต้องเข้าโรงพยาบาล หลังจากนั้นก็เข็ดขยาดกับเทศกาลนี้ไปเลย แต่ถ้าพี่ทาวน์ชวนก็ไม่แน่นะ หึหึ

“พี่ฟาชวนกูไปข้าวสาร”
แก่นของเรื่องหลุดจากปากไอ้ฟาร์มเสียงที่เบา ดวงตาหลุบลงต่ำ ใบหน้าแดงระเรื่อแต่มีความกังวลแฝงอยู่ ผมเหลือบมองเพื่อนสนิทด้วยความลิงโลดในใจ แบบนี้ก็แสดงว่าพี่ฟายอมจีบมันก่อนทั้งที่ปากบอกว่าจะไม่ทำหรือเปล่า

“ไปสองคนเหรอ”
ผมถามย้ำกับสิ่งที่ตัวเองคิด แต่เมื่อเห็นไอ้ฟาร์มนั่งห่อตัวบ่นพึมพำกับหัวเข่าก็ได้คำตอบชัดเจนแล้ว โอกาสทองแน่ๆ

“ทำนองนั้นว่ะ”

“ตอบตกลงไปเลยมึง ใช้โอกาสที่พี่ฟาให้ทำคะแนนซะ”
ผมยุมันด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอย่างกับตัวเองมีโอกาสจีบพี่ฟาซะเอง แต่ไอ้เพื่อนตัวดีกลับกัดนิ้วแสดงความกังวลก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ทำตัวเครียดยิ่งกว่าสอบปลายภาคอีกมั้งมึง

“จะดีเหรอวะ กูไม่มั่นใจ”

“ปอดแหกอะไรอีกเนี่ย”
ผมเอื้อมมือไปผลักหัวมัน เริ่มหงุดหงิดอีกครั้ง พลางคิดว่าเพื่อนคนนี้ขัดใจไปซะทุกอย่างจริงๆ

“กลัวจีบไม่ติด”
มันบอกเสียงอ่อยแล้วซุกหน้าลงกับขา ปากสีซีดเม้มเข้าหากันแน่นบ่งบอกว่ากังวลและกลัวจริงๆ ผมส่ายหัวกับความขี้ขลาดของเพื่อนสนิท ความรักก็แบบนี้ สามารถเปลี่ยนคนๆ หนึ่งอย่างง่ายดาย ขนาดกับคนเจ้าชู้ขี้หลี อานุภาพแรงจริงๆ

แต่ในกรณีของไอ้ฟาร์มผมขอยืนยัน นั่งยัน นอนยันเลยว่าไม่มีอะไรให้กลัวหรือกังวล เพราะอีกฝ่ายแทบจะแก้ผ้ารอให้มันเดินเข้าไปปล้ำอยู่แล้ว แม่ง อ่อยขนาดนี้ถ้าเป็นคนอื่นเลื่อนสถานะเป็นผัวเมียนานแล้ว

“โหย ไอ้ควาย พี่ฟาทอดสะพานขนาดนี้มึงยังลังเลอะไรอีก รอให้หมาคาบไปแดกก่อนปะถึงจะกล้า”
อดด่ามันด้วยน้ำเสียงและท่าทางเกรี้ยวกราดไม่ได้จริงๆ ตีมือลงบนต้นแขนมันถี่ๆ พูดย้ำตั้งกี่ครั้งแล้วว่าให้เดินหน้าจีบพี่เขาสักที เรื่องยืดเยื้อจนชาวบ้านออกอาการเบื่อหน่ายแล้วเว้ย

ไอ้ฟาร์มถึงกับทำหน้าแหย ขยับตัวหนีการประทุษร้าย ก้มหัวหงุดไม่ยอมสบตา มีเพื่อนไม่มั่นใจในตัวเองเฉพาะตอนที่เริ่มจริงจังกับใครสักคนมันควรรู้สึกยังไงวะ ทำตัวไม่ถูกเลยกู

“พูดซะกูเห็นภาพเลย เอาวะ คราวนี้เป็นไงเป็นกัน หลังสงกรานต์ไอ้ฟาร์มต้องได้พี่ฟาเป็นเมีย”
มันทำหน้ามุ่งมั่น สายตาแสดงความแน่วแน่อย่างเช่นทุกครั้งที่ได้รับการปลุกความกล้าจากผม แต่ครั้งนี้บรรยากาศรอบตัวไอ้ฟาร์มที่สัมผัสได้แตกต่างออกไป มีความจริงจังแฝงอยู่ในน้ำเสียง เชื่อว่าอีกไม่นานคงสมหวัง แต่ให้ถึงขั้นเป็นผัวเป็นเมียกันโคตรฝันกลางวัน

อย่าข้ามหน้าข้ามตาคู่กู ขอเถอะ ไม่ใช่อะไรหรอก อายเขาน่ะที่ยังไม่มีอะไรคืบหน้ามากกว่านี้ ขนาดจะจูบยังเป็นฝ่ายเริ่มก่อนยากเลย ก็มีนเขินๆ ยังกล้าๆ กลัวๆ ความนิ่งของพี่ทาวน์อยู่ ขืนวันไหนเจ้าตัวอารมณ์เสีย ผมคงโดยต่อยหน้าช้ำ

“แค่แฟนก็ให้รอดก่อนเถอะมึง”
ผมเบ้ปากใส่กับความขี้อวดนั่นก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อไล่ความเมื่อยสะสมจากการนั่งยองมาเกือบสิบนาที สายฝนด้านนอกเริ่มซาแล้วแต่ก็ยังลำบากสำหรับคนป่วยง่ายที่จะฝ่าออกไป

“เชื่อมือป๋าเถอะน่า”
ปล่อยมันหลงตัวเองไปเถอะ ถึงเวลานั้นเมื่อไหร่เราค่อยหัวเราะทีหลัง เอาให้จุกไปถึงลิ้นปี่เลย

ผมตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ที่แบตฯ เหลืออยู่แค่สิบเปอร์เซ็นต์ขึ้นมากดส่งข้อความหาพี่ทาวน์ว่าขอเลื่อนนัด เพราะไม่มีทีท่าว่าฝนจะหยุดตกง่ายๆ ส่วนไอ้ฟาร์มเหมือนจะหลบเข้าโลกส่วนตัวโดนการใส่หูฟัง ฮัมเพลงตามเบาๆ มีความสุขเนอะ

Rrrrr
เสียงริงโทนที่ดังขึ้นดึงสติของผมให้กลับสู่ปัจจุบัน รายชื่อผู้โทรเข้าทำให้หัวใจเต้นแรงอย่างควบคุมไม่อยู่จนต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับอาการตื่นเต้นปนหวาดกลัว

“ครับ พี่ทาวน์”
ผมกรอกเสียงลงไปก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้ามืดครึ้ม แอบตำหนิมันอยู่ในใจว่าทำไมนิสัยเสียแบบนี้ สายฝนเหมือนแกล้งกันในเวลาที่เราต้องการเดินทางไปไหนถึงได้กระหน่ำตกอย่างไม่ลืมหูลืมตา

‘อยู่ไหน’
พี่ทาวน์ก็ยังคงเป็นพี่ทาวน์ น้ำเสียงไม่แสดงอารมณ์ถามกลับมาให้ผมหวั่นใจเล่น

“ผมติดฝนอยู่คณะ ขอโทษนะครับ เลยเวลานัดมาแล้ว”
พูดออกไปพร้อมกับยกมือขึ้นลูบ รู้สึกว่าตัวเองเป็นแฟนที่แย่มาก ผิดนัดเพราะติดฝน เหตุผลโคตรฟังไม่ขึ้นเลยว่ะ

‘อืม ไม่ต้องมาหากูแล้ว’
ผมแทบทรุดลงไปกองกับพื้นเมื่อสิ้นประโยคจากปลายสาย มันหน่วงๆ ในใจเหมือนใครเอาก้อนหินมาผูกถ่วงไว้ ไม่แปลกที่พี่ทาวน์จะโกรธ เพราะตอนนี้เวลาล่วงเลยมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ต้องโทษตัวเองที่มัวแต่คิดว่าจะไปทันนัดเลยไม่ได้บอกเขาล่วงหน้า

“พี่ทาวน์โกรธเหรอ ขอโทษจริงๆ ครับ”
ด้วยความหงุดหงิดตัวเอง ผมเลยทึ้งหัวจนยุ่งเหยิง กัดริมฝีปากจนรู้สึกเจ็บ ไม่น่าเลย เป็นคนขอนัดเขาแท้ๆ สุดท้ายก็ทำพลาด พี่ทาวน์เรียนหนักแต่ยอมรับปากกับเรื่องไร้สาระของผมก็ถือว่าใจดีมากแล้ว

‘หึ ถ้าโกรธกูจะเปลืองค่าโทรศัพท์เพื่ออะไร’
หืม หมายความว่ายังไงวะ ประมวลผลไม่ทัน

“แต่พี่ไม่ให้ผมไปหาแล้ว...”
ผมทวนคำของเขาอีกครั้งเพื่อย้ำว่าตัวเองเข้าใจถูก ยอมรับว่ามันมึนงง แปลความหมายที่เขาจะสื่อไม่ออกจริงๆ ตอนนี้ไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่าใครเรียนหนักกว่ากันแน่ ทำไมสมองนายภาคินถึงเบลอนัก

‘เพราะกูจะไปหามึงแทน’

บึ้ม เสียงหัวใจของผมระเบิดไปแล้วครับ

“อะไรของมึง วางโทรศัพท์ปุ๊ปหน้าบานปั๊ป ขาดยาเหรอ”
ยิ้มได้ไม่ถึงสองวินาทีกลับต้องหุบปากฉับเมื่อได้ยินคำล้อเลียนจากไอ้ฟาร์มที่เหล่มองกันอย่างจับผิด ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มันเลิกฟังเพลงแล้วเงี่ยหูมากเสือกเรื่องผมแทน เกรงใจกูบ้างเถอะครับ จะคุยกับแฟนแค่สองคนไง

“เดี๋ยวกูถีบให้ ไม่แหย่สักวันจะตายไหม”
ผมแยกเขี้ยวขู่ก่อนขยับเข้าไปใกล้เพื่อหวังตบหัวมัน แต่ต้องชะงักมือเมื่อเห็นหน้าจอโทรศัพท์ของไอ้ฟาร์มในระยะประชิด กำลังคุยไลน์กับพี่ฟา สงสัยคราวนี้คงเลิกป๊อดจริงๆ ไว้ว่างเมื่อไหร่จะพาไปเลี้ยงสละโสดแล้วกัน

“โอ๋นะครับ กูแค่ไม่อยากให้เพื่อนเครียด”
มันหมุนข้อมือไปมาเหมือนตอนโอ๋เด็กน้อย ปากก็ทำเสียงอ้อนๆ ให้ดูน่ารัก แต่ผมคิดว่าอยากถีบมากกว่า ทำตัวกวนประสาทเข้าไปทุกวัน

“เครียดเพราะมุกควายๆ ของมึงนี่ล่ะ”

“จ้าๆ ยอมจ้า แล้วตกลงมีเรื่องอะไรดีๆ เหรอ”
มันกระแซะไหล่เข้ามา ทำท่าอยากรู้อยากเห็นจนผมหลุดขำ จะโกรธก็โกรธไม่ลงเพราะรู้ว่าเพื่อนถามไปด้วยความเป็นห่วงจริงๆ

พวกเราไม่ค่อยมีความลับต่อกัน แต่ยกเว้นไอ้ตังค์ไว้คนหนึ่ง รายนั้นชอบทำตัวลับๆ ล่อๆ คล้ายหวาดระแวง แค่โดนดูดคอมึงไม่จำเป็นต้องทำตาขวางใส่พวกกูปะวะ เรื่องปกติของคนเป็นแฟนกันไหม หรือจะแค่เขินอายเฉยๆ อันนี้ต้องดูท่าทางต่อไป

“พี่ทาวน์จะมาหากู”
ผมยิ้มกริ่มหลังพูดจบ ไอ้ฟาร์มเลยเบะปากใส่เพราะความหมั่นไส้ คนไม่มีแฟนก็ขี้อิจฉาเป็นธรรมดานั่นล่ะ

“อยากจะแหม แฟนขับรถมาหาถึงที่”

“อย่าอิจฉาครับเพื่อน”

“รอถึงทีกูบ้าง มึงจะถึงขั้นริษยาเลยล่ะ หึ”

“จะรอนะคะป๋าฟาร์ม”
ผมบอกเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะได้รีบค้อนวงใหญ่จากมัน แกล้งกันไปแกล้งกันมาก็มีความสุขดี ไอ้ไธก็ร่างเริงเลิกเรียนปุ๊ปจิณณ์ขับรถมาเกยถึงที่ แถมด้วยการยื่นแก้วชาเขียวเย็นๆ ให้ ปรนนิบัติพัดวีกันดีเหลือเกิน ส่วนไอ้ตังค์ก็ตามสไตล์ ผัวไปรับไปส่งตลอด

Rrrrr

“ครับพี่ เดี๋ยวผมวิ่งไปขึ้นรถเนอะ”
ผมกดรับแล้วพูดอย่างรู้งาน เพราะสายตาเห็นรถที่คุ้นเคยจอดเทียบหน้าฟุตบาทคณะพอดี มีหลายคนที่ชะเง้อคอมองสอดรู้สอดเห็นว่าเขามารับใคร อยากจะตะโกนว่า ‘กูไง กูไง’ แต่กลัวเป็นข่าวหน้าหนึ่งของมหา’ลัย

‘หยุด กูจะเอาร่มลงไปรับ’
ปลายสายว่าเสียงเข้มจนผมต้องชะงักเท้า เหลือบมองด้านซ้ายด้านขวาก็กลัวว่าใครจะแอบถ่ายรูปเอาไปนินทาได้ ถึงจะเคยเปิดตัวว่าจีบพี่ทาวน์อย่างออกหน้าออกตา แต่การประกาศความสัมพันธ์ให้คนอื่นล่วงรู้ยังนับว่าไม่เหมาะสม เพราะเรื่องความรักควรมีความเป็นส่วนตัว คนไม่เห็นด้วยก็มีเยอะแยะ

“ฝนซาแล้ว ไม่เป็นไรหรอก”
ผมไม่ได้ห่วงหน้าตาตัวเองถ้าจะถูกนินทาว่าร้าย เป็นห่วงความรู้สึกของพี่ทาวน์มากกว่า เป็นเดือนมหา’ลัยที่เคยคบผู้หญิงมานาน อยู่ๆ มีแฟนเป็นผู้ชายคงไม่ชิน

‘มึงเป็นหวัดง่าย อย่าดื้อ’
โดนคำนี้เข้าไปถึงกับหลุดยิ้มออกมา ถึงจะเป็นประโยคที่ใช้น้ำเสียงดุแต่เนื้อความแฝงไม่ด้วยความห่วงใย นิสัยอย่างหนึ่งของพี่ทาวน์ที่ผมรู้คือปากร้ายแต่ใจดี ดูแลคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ ถ้าจำครั้งแรกที่เจอกันได้ นายภาคินก็หลงเสน่ห์เขาตรงนี้ล่ะ

“เป็นห่วงผมล่ะสิ”
ผมถามด้วยน้ำเสียงทะเล้น อยากจะวิ่งไปกอดคนที่อยู่บนรถเหลือเกิน แฟนใครทำไมน่ารัก ชมเป็นร้อยครั้งก็คงไม่พอ

‘อืม ไม่ห่วงแฟนจะให้ห่วงหมาที่ไหน’
ปลายสายตอบกลับอย่างลื่นไหลไม่มีติดขัด กลับเป็นผมเองที่เผลอเข่าอ่อนจนต้องพึ่งผนังเพื่อการทรงตัว พี่ทาวน์โหมดทำลายล้างหัวใจมันน่ากลัวแบบนี้นี่เอง เข้าใจความอิจฉาของพี่ฟาขึ้นไปอีกระดับ

“โอย ใจละลายหมดแล้วครับ”
ผมกำเสื้อแน่นเพราะรู้สึกว่าใจเต้นแรงและกำลังละลานอย่างที่พูด เคยตกหลุมรักใครซ้ำๆ ไหม ตอนนี้นานภาคินกำลังอยู่ในภาวะนั้นอย่างถอนตัวไม่ขึ้น มันตื้นตัน มันหายเหนื่อย

‘หึ เด็กน้อยจริงๆ’
ผมไม่โกรธที่พี่ทาวน์กล่าวหาแบบนั้น เพราะนายภาคินจะยอมเป็นเด็กน้อยของนายเมืองเหนือตลอดไป มีความสุขจังเว้ย

หลังจากไปเดทกันที่ร้านปิ้งย่างสไตล์เกาหลีจบโดยที่รอบนี้ผมเป็นคนจ่าย ต่อด้วยเดินย่อยอาหารในโซนร้านหนังสือ พี่ทาวน์ได้ตำราเกี่ยวกับการแพทย์ ส่วนผมได้การ์ตูนมาสองสามเล่ม ระหว่างทางมีคนมองพวกเราเป็นระยะจนน่ารำคาญ บ้างแอบถ่ายรูป บ้างซุบซิบนินทาต่างๆ นานา เกือบทนไม่ไหวจะเข้าไปถามตรงๆ ว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า แต่ก็โดนห้ามไว้เพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่โต เอาเถอะ ถือซะว่าหมาเห่า

ขากลับคอนโดพี่ทาวน์รับอาสาขับรถทั้งๆ ที่ผมปฏิเสธแทบตาย แต่อาการจามไม่หยุดทำให้ผมต้องเป็นผู้โดยสารอย่างห้ามไม่ได้ บางทีก็เบื่อร่างกายตัวเอง โดนละอองฝนนิดหน่อยก็ป่วย แบบนี้จะดูแลแฟนยังไงไหววะ

“ทำไมวันนี้ลากผมกลับมาคอนโดด้วยล่ะครับ”
ผมถามอย่างมึนๆ เมื่อเรามาถึงคอนโดของพี่ทาวน์ เขาไม่ได้บอกล่วงหน้าว่าจะให้มาค้างด้วย

“จะจองตั๋ว”
เขาตอบสั้นๆ ก่อนจะล้วงคีย์การ์ดขึ้นเปิดประตูและเดินนำเข้าไป จัดการถอดรองเท้าก่อนจะทิ้งตัวนอนแผ่ลงบนโซฟา ท่าทางเด็กๆ นั่นทำให้ผมลอบยิ้ม ชอบความเป็นธรรมชาติไม่ต้องตีหน้าขรึมหรือวางตัวดีต่อหน้าคนอื่น แต่เรื่องที่พี่ทาวน์พูดทิ้งไว้หมายความว่าอะไร

“ตั๋วอะไร ใครจะไปไหนครับ”
ผมวางขนมทึ่ซื้อมาจากซุปเปอร์มาเก็ตลงบนโต๊ะกาแฟแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนพรมหน้าโซฟา ส่วนพี่ทาวน์ยังคงนอนหงายมองเพดานอยู่เหมือนเดิม เดี๋ยวนี้นายภาคินพัฒนากล้าเข้าใกล้แฟนแบบแนบชิดแล้วนะเออ

“กูจะกลับเชียงใหม่”
พี่ทาวน์ผงกหัวขึ้นมาตอบสิ่งที่ผมอยากรู้ก่อนจะพลิกตัวนอนตะแคงแล้วใช้หน้าผากอังกับแผ่นหลัง แนบชิดจนรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร่างกายภายใต้ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ รู้สึกอบอุ่นไปถึงหัวใจ

“อ๋อ...”
ผมครางรัยก่อนจะนึกได้ว่ามหา’ลัยปิดยาวตั้งแต่วันที่สิบเอ็ดถึงสิบเจ็ด พี่ทาวน์จะกลับบ้านคงไม่แปลก ถ้าอย่างนั้นแปลว่าเราต้องห่างกันเป็นอาทิตย์เลยสินะ แย่หน่อยแต่ทนได้แน่นอน

“มึงต้องไปด้วย”
พี่ทาวน์บอกว่าอะไรนะ

“ห๊ะ เดี๋ยวๆ จะให้ผมไปบ้านพี่น่ะเหรอ”
ผมหมุนตัวกลับเพื่อเผชิญหน้ากับเจ้าของห้องที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าผ่อนคลายเหมือนชวนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ ไม่มีความเครียดปะปนเลย หรือว่ากูจะคิดมากไปคนเดียววะ คงไม่ได้พาไปเปิดตัวแน่ๆ

“อืม ปกติก็ลากไอ้แฮมไม่ก็ไอ้ฟากลับไปด้วยประจำ”
พี่ทาวน์กระตุกยิ้มมุมปากคล้ายรับรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรบ้าๆ อยู่ แต่แบบนี้ค่อยโล่งใจหน่อย เพราะเชื่อว่าทางบ้านของเขาคงไม่สนับสนุนให้ลูกชายเป็นเกย์ คิดๆ แล้วก็แอบอิจฉาพี่ฟากับพี่แฮมที่ได้สนิทกับครอบครัวของเขา

“เอ่อ... ทำไมล่ะครับ”
ถึงผมจะโล่งใจว่าเป็นปกติที่เขาจะชวนเพื่อนไปเที่ยวที่บ้านด้วย แต่มันอดข้องใจไม่ได้ ทำไมล่ะ เหงาเหรอ หรือที่บ้านบรรยากาศไม่น่าอภิรมย์

“กลับไปคนเดียวมันน่าเบื่อ”
พี่ทาวน์ตอบแล้วหลับตาลงเพื่อปิดกั้นคำถามต่อไป ถึงแม้ผมจะยังสงสัยแต่ไม่อยากเซ้าซี้เรื่องส่วนตัว เชื่อว่าเขาคงมีเหตุผลมากพอที่ทำแบบนี้ แค่ไปเชียงใหม่กับแฟนไม่เป็นปัญหาหรอก ดีใจด้วยซ้ำที่เขาคิดถึงเราหลังจากที่บรรดาเพื่อนๆ ไม่ว่าง

“อ่า งั้นผมโทรไปขอเงินค่าตั๋วจากแม่ก่อนเนอะ”
ผมก็ยังเป็นเด็กคนหนึ่งที่ยังไม่มีเงินเดือนเป็นของตัวเอง ทำอะไรก็ต้องพึ่งครอบครัวตลอด แต่ไม่ใช่ว่าจะขอตังค์แม่มาฟรีๆ รับทำงานชดใช้แน่นอน

“ไม่ต้อง เดี๋ยวกูออกให้”
พี่ทาวน์เอื้อมมือมาแตะลงบนต้นแขนเพื่อยั้งไม่ให้ผมกดโทรศัพท์หาแม่ ถ้อยคำที่ได้ฟังไปเมื่อครู่ยังวนเวียนอยู่ในหู ไม่ได้โกรธที่เขาจะออกเงินให้ แต่รู้สึกขำมากกว่า เพราะตัวเองเหมือนเด็กป๋าที่กำลังถูกเปย์

“เฮ้ย ไม่ได้ๆ ผมจ่ายเอง”
ผมปฏิเสธพัลวัน โบกไม้โบกมือเป็นเชิงห้ามจ่าย รู้ว่าเขาแค่อยากรับผิดชอบที่ออกคำสั่งให้ไป พี่ทาวน์ถึงกับขมวดคิ้วแน่น เหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายก็เงียบ แต่ไม่นานเกินรอก็มีเสียงเย็นๆ ดังขึ้น

“คนละครึ่งทาง กูออกให้ก่อน มึงค่อยเอาค่าขนมมาผ่อนกูเดือนละนิดก็แล้วกัน ไม่ต้องเดือดร้อนแม่”
พี่ทาวน์พูดสิ่งที่ไต่ตรองออกมาระหว่างที่สบตากันไปด้วย ผมพยักหน้ารับความคิดเห็นนั้น เข้าท่าดี คล้ายกับว่าเราซื้อของเงินผ่อนดอกเบี้ยศูนย์เปอร์เซ็นต์ อัดแน่นด้วยของแถมพิเศษที่เรียกว่าความสุข

“เป็นความคิดที่ดีครับ”
ผมยิ้มแต่พี่ทาวน์กลับก้มหน้าลงต่ำ เดาไม่ออกเลยว่าท่าทางแบบนี้คืออะไร ขอโทษที่โง่จนคิดเองไม่ได้ แต่เชื่อว่าเขาไม่ใจร้ายกับแฟนหรอก

“ขอโทษที่บังคับให้ไป”
เสียงแผ่วจนผมใจหาย ถึงเขาจะบอกว่าบังคับแต่ผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลย เหมือนเขาขอร้องในแบบฉบับคนเย็นชาแค่นั้นเอง

“อย่าคิดแบบนั้น ผมเต็มใจ จริงๆ ก็อยากไปเที่ยวสงกรานต์เชียงใหม่สักครั้งนะ มีโอกาสแล้วด้วย”
ผมพูดปลอบพี่ทาวน์แล้วถือวิสาสะใช้มือลูบหัวคนที่นอนตะแคง เขาปลายสายตามองเล็กน้อยก่อนพยักหน้ารับหงึกหงัก ไม่มีการปัดป้องใดๆ แถมยังมีรอยยิ้มบนมุมปาก เผลอใจสั่นเลยว่ะ หรือนี่จะเป็นโหมดอ้อนแฟน

“สนุกกว่ากรุงเทพฯ กูรับรอง”
สงกรานต์ที่ไหนๆ คงไม่สนุกถ้าไม่มีพี่ทาวน์ไปด้วยกัน ผมไม่พูดให้ฟังหรอก เดี๋ยวจะโดนหาว่าน้ำเน่า แค่นั่งยิ้มคนเดียวก็ใกล้เป็นคนบ้าเต็มทีแล้ว

แต่เอ๊ะ... เพิ่งคิดได้ว่าจองตั๋วเครื่องบินผ่านแอพพลิเคชั่นก็ได้นี่หว่า แล้วพี่ทาวน์จะลากผมกลับมาคอนโดด้วยกันทำไม หรือจริงๆ แล้วอยากให้ค้างที่นี่ โธ่ คุณแฟนแสนซึนเดระของนายภาคิน น่าขย้ำจริงๆ เลย ให้ตายเถอะ

ผมตื่นเช้ามาด้วยสติที่เหลือไม่ถึงครึ่งเพราะเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปเกือบตีสอง อยู่ๆ ก็เกิดอาการตาค้าง สมองพาลคิดแต่เรื่องอกุศล ต้องโทษพี่ทาวน์ที่ใส่เสื้อกล้ามสีขาวตัวบางกับกางเกงบ๊อกเซอร์ แถมยังนั่งทาครีมต่อหน้าต่อตา คล้ายตั้งใจจะยั่วแต่ก็ไม่ใช่ โคตรสับสน

ในตอนที่กำลังจะพลิกตัวไปอีกด้านกลับพบว่ามีอะไรบางอย่างทับอยู่บนหน้าท้อง มันทั้งอุ่นและนุ่มจนปมต้องเปิดเปลือกตาขึ้นมอง ท่อนแขนของพี่ทาวน์กอดรอบเอวสอบของผม จากที่ง่วงๆ กลับหายเป็นปลิดทิ้ง หัวใจทำงานสูบฉีดเลือดแรงตั้งแต่ฟ้าสาง

ผมกลับคอนโดของตัวเองตอนบ่ายเพราะมัวแต่อิดออดไม่อยากกลับ ขอกอดขอซุกพี่ทาวน์อยู่พักใหญ่จนโดนเตะไปหลายที ก็ใครมันปลุกสัญชาตญาณดิบขึ้นมาล่ะวะ รับผิดชอบด้วยสิ โธ่

“เมื่อคืนหายไปไหนมาวะ แล้วเอาชุดใครมาใส่เนี่ย”
คำถามสาดรัวๆ เมื่อประตูห้องปิดลง ผมยังไม่ทันได้ถอดรองเท้าก็เจอพี่ชายตัวดีที่ลากสลิปเปอร์มาริโอ้มายืนกอดอกขวางทาง ใช้สายตาจับผิดมองตั้งแต่หัวยันปลายตีน คือกูก็ไม่ได้หยิบสายเดี่ยวกับกระโปรงสั้นของใครมาใส่ปะวะ รู้ได้ยังไงว่าชุดนี้ของคนอื่น หรือจำกลิ่น... แสนรู้เกินไปแล้วพี่ชาย

“ไปค้างกับพี่ทาวน์มา ชุดนี่ก็ของเขา”
ผมลอบมองปฏิกิริยาของจิณณ์ก่อนจะเดินผ่านมันเพื่อแอบขำ จากใบหน้าโกรธขึงแปรเปลี่ยนเป็นตกใจแค่เสี้ยววินาที คงลืมไปแล้วว่าเมื่อคืนน้องชายไม่ได้รายงานว่าจะค้างกับคนอื่น

“เฮ้ย กูได้น้องสะใภ้แล้วเหรอ”
มันก้าวเท้าฉับตามมาติดๆ ทิ้งตัวนั่งลงข้างผมบนโซฟาจนแทบจะเกยตัก ดวงตาคมเป็นประกายระยิบระยับแฝงความยินดี แต่ขอโทษเพราะไม่เป็นอย่างที่คิด กูหื่นอยู่คนเดียวครับแฝด พี่ทาวน์นอนหลับสบายมากจ้า

“วันๆ มึงคิดแต่เรื่องใต้สะดือหรือไง แค่นอนข้างกันได้ก็บุญกูแล้ว”
ผมด่ามันไปอย่างนั้นเพราะไม่อยากโดนเซ้าซี้มากไปกว่านี้ มึงเข้าใจคำว่าค่อยเป็นค่อยไปไหม ถ้าพวกกูเป็นเกย์กันมาตั้งแต่เกิดคงนอนแก้ผ้าคุยกันตั้งแต่วันแรกๆ ที่ตกลงเป็นแฟนแล้ว คนไม่เคยปุบปับให้ทำคงหายนะมาเยือน

“นอนเฉยๆ จับมือก็ไม่ กอดก็ไม่งั้นเหรอ”
ยัง มึงยังจะถามอีก ให้กูถามเรื่องรอยข่วนบนคอไอ้ไธกลับบ้างไหม อยากรู้มานานแล้วว่าพวกมึงสองคนทำอะไรกัน พออัพเดทสถานะเป็นแฟนกันปุ๊บก็จัดหนักเลยเหรอวะ โธ่เว้ย กูช้าเกินไปอีกแล้วเหรอเนี่ย

“เออ เซ้าซี้จังวะ”

“ไร้น้ำยาจัง”
มึงบ่นพึมพำแต่กูได้ยินนะเว้ย

“เดี๋ยวถีบกระเด็น”
ผมยกเท้าเตรียมจะถีบมันจริงๆ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินหนีเข้าห้องเพื่อรื้อหากระเป๋าใส่เสื้อผ้า อีกสองวันจะต้องเดินทางแล้วขอเตรียมความพร้อมล่วงหน้า เผื่อขาดเหลืออะไรจะได้เพิ่มทันการ

“ก็แค่แหย่เล่นเองน่า แล้วนั่นรื้อกระเป๋าเดินทางออกมาทำไม”
ความสอดรู้สอดเห็นนี่ไม่เข้าใครออกใครจริงๆ เลยว่ะ ถามไม่พอยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนแทบจะจูบกระหม่อมอยู่แล้ว ได้กลิ่นตุๆ จากหัวจิณณ์ด้วย ไอ้เชี่ยนี่ไม่สระผมอีกแล้ว

“จะไปเชียงใหม่กับพี่ทาวน์”
ผมผละหัวจิณณ์ออก ทำจมูกฟุดฟิดเพราะรู้สึกระคาย จะจามก็ไม่จามมันทรมานรู้ไหม กำลังจะเปิดซิปกระเป๋าแต่โดนมันกระชากไหล่ซะก่อน

“เดี๋ยวๆ เปิดตัวลูกเขยเหรอ!”
ตะโกนใส่หน้าเต็มๆ พร้อมน้ำมนตร์อันศักดิ์สิทธิ์กระจายทั่วใบหน้า ผมปัดมือมันทิ้งก่อนจะเบนหนีแล้วจามออกมาเสียงดัง กลิ่นชะอมคลุ้งเลยไอ้นี่ เหม็นฉิบหาย

“บ้า ไม่ใช่เว้ย ก็ไปเป็นเพื่อนเฉยๆ”
ผมบอกเสียงอู้อี้เพราะใช้มือถูปลายจมูกไปด้วย จิณณ์ขมวดคิ้วจนแทบเป็นปมเมื่อได้ยินคำตอบนั่น ขอร้องอย่าเครียดแทนกู

“อ้าวเหรอ แบบนั้นจะไม่อึดอัดเหรอวะ”
รู้ว่ามันถามเพราะความเป็นห่วง แต่เงียบๆ ไว้บ้างก็ได้เว้ย อุตส่าห์ทำใจเลิกคิดถึงข้อนี้ไปแล้ว

“เออน่า กูคงรับมือสถานการณ์แบบนั้นได้ไม่ยากหรอก”
ตอบเพื่อให้กำลังใจตัวเองและไม่อยากให้แฝดเป็นห่วงมากเกินไป ผมไม่รู้หรอกว่าถ้าเจอสถานการณ์จริงๆ แล้วจะเอาตัวรอดได้หรือเปล่าเพราะมันเป็นเรื่องของอนาคต แต่เชื่อว่าพี่ทาวน์คงช่วยให้มันผ่านไปด้วยดี

“เออๆ อย่าทำตัวมีพิรุธจนที่บ้านเขาจับได้แล้วกัน”

“ครับคุณพ่อ กูก็ยังไม่อยากโดนคนที่นั่นกระทืบหรอก”

“ก็มึงล่อลวงลูกเขาให้เป็นเกย์นี่เนอะ”
จิณณ์พูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะทิ้งตัวนอนกลิ้งบนเตียงอย่างอารมณ์ดี ผมที่กำลังรื้อเสื้อผ้าในตู้ถึงกับต้องหันขวับไปค้อนใส่ ปากเลี้ยงหมาไว้กี่ตัวห๊ะ เดี๋ยวขอให้พี่ทาวน์ช่วยผ่าออกให้

“พูดอย่างกับมึงไม่ได้ล่อลวงไอ้ไธ”

“เฮ้ยๆ มันชอบกูก่อนนะ”
มันเด้งตัวขึ้นมาชี้หน้ากันด้วยท่าทางตื่นๆ ผมไหวไหล่เป็นเชิงไม่รับรู้ว่าใครเริ่มก่อนแล้วหันไปยุ่งวุ่นวายกับเสื้อผ้าต่อ เอากางเกงในตัวใหม่ไปดีกว่า

“ไม่คุยกับมึงแล้ว จัดของต่อดีกว่า”

“เชิญเลยจ้าพ่อน้องชาย ขอให้มีความสุขในทริปฮันนีมูน”
ถึงน้ำเสียงมันจะประชดเต็มขั้นแต่รอยยิ้มยินดีก็ปรากฏให้เห็นบนใบหน้าอย่างชัดเจน ทริปฮันนีมูนหน้าร้อนเหรอ ตลกว่ะ แต่ทำไมกูเขินเนี่ย พอเป็นเรื่องพี่ทาวน์ทีไรเสียการทรงตัวประจำเลย แย่ๆ

ผมยัดของจำเป็นเท่าที่คิดออกลงกระเป๋าเรียบร้อย หยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปส่งไปอวดพี่ทาวน์ถึงความกระตือรือร้นของตัวเองว่าอยากไปจริงๆ ข้อความแจ้งว่าอีกฝ่ายอ่านแทบจะทันที ก่อนได้รับคำตอบกลับมาว่า ‘เด็กขี้เห่อ’

ผมคลี่ยิ้มกว้างก่อนจะพิมพ์โต้ว่า ‘ที่ทำไปทั้งหมดก็เพราะความรักผลักดัน’ หลังจากนั้นพี่ทาวน์ก็ส่งสติ๊กเกอร์หมีใส่นวมเตรียมต่อยกลับมาให้ คงเขินกับมุกเสี่ยวๆ แน่เลย ตอนที่กำลังจะเดินผ่านโซฟา หูดันได้ยินเสียงแว่วๆ คล้ายคนกำลังคุยกัน เหลือบสายตามองก็เห็นจิณณ์กำลังวีดีโอคอลกับไอ้ไธอยู่ ขอเสือกนิดนึงนะ อย่าโกรธกันเลย

“ไธ ~”
โอ้โห เสียงหวานจนผมขนลุกซู่เลยว่ะ ถ้าไม่เกรงใจว่ามันจะรู้ตัวคงขยับเข้าไปใกล้กว่านี้ อยากเห็นหน้าจิณณ์ฉิบหาย แต่จากมุมนี้เจอแต่แผ่นหลังล้วนๆ

“ว่าไงครับ”
อีกฝั่งก็ตอบรับเสียงอ่อนไม่แพ้กัน มึงขยันผลิตน้ำตาลกันจังเลยเนอะ

“คืนนี้ขอไปค้างด้วยนะ”
ผมถึงกับตาค้าง เมื่อครู่จิณณ์บอกว่าจะทำอะไรนะ นี่มันอ่อยเกินไปแล้วเว้ย

“ย้ายมาอยู่ด้วยกันเลยไหม”
ไม่ได้! มึงจะพรากฝาแฝดออกจากกันเหรอไอ้ไธ ไอ้เพื่อนทรยศ แล้วกูจะแดกอะไรล่ะ ฮือ ผมอยากโวยวายแทบตายแต่ทำได้แค่ยืนกัดปากน้ำตาตกไหน จิณณ์ห้ามตอบตกลงนะ อย่าใจง่าย มันจับมึงเล่นกีฬาในร่มทั้งวันทั้งคืนแน่ๆ

“ขอเวลาคิดหน่อย”
สงสัยจะปรึกษาผมก่อน ดีใจจัง

“กี่อาทิตย์ดี”

“ครึ่งวันก็พอ”

กูอยากตาย มึงจะเล่นตัวทำห่าอะไรวะจิณณ์ อยากย้ายไปอยู่กับมันก็ตอบตกลงไปเลยไป๊ โกรธแล้ว!




---------------------------------------------

ก็ชวนไปเชียงใหม่แบบที่เคยชวนเพื่อนไป ไม่มีอะไรพิเศษหรอกน่า หึหึ

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
ไธคืบหน้าาาาาา แล้วเจ็ทละ :laugh: :laugh: :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
อร๊ายเชียงใหม่

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
ความอ่อยทำไมไม่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมน้องเจ็ทจะได้ไม่ต้องเทียวหมั่นเพื่อนกับแฝดอยู่แบบนี้ 555

รอดูการขึ้นเหนือครั้งนี้จะเกิดอะไรขึ้น

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
แข่งครั้งที่ 28




กระเป๋าใบโตถูกโยนขึ้นหลังสะพายจนมาถึงที่หมายอย่างสนามบินดอนเมือง ผมและพี่ทาวน์ได้แต่กรอกตามองเหล่าเพื่อนสนิทด้วยความเบื่อหน่าย ไม่รู้ว่าจะยกโขยงมาส่งทำไม แค่ไปเชียงใหม่ไม่กี่วัน ทำอย่างกับไปทัวร์ต่างประเทศเป็นเดือน

“ถามจริง จะมากันทำไมเยอะแยะ”
คนที่เท้าแขนกับกระเป๋าเดินทางเอ่ยปากถามเสียงเรียบ ดวงตารีกวาดมองเพื่อนสองหน่อที่เอาแต่ยิ้มกรุ้มกริ่ม ผมคิดว่าถ้าพี่ทาวน์ได้คำตอบคงอยากพุ่งเข้าไปบีบคอแน่ๆ

“มาส่งเพื่อนไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ไง”
คนตัวเล็กบอกเสียงใสก่อนตบบ่าพี่ทาวน์เป็นเชิงหยอกล้อ ผมเหลือบมองทั้งสองคนสลับกันแล้วได้แต่กลั้นหายใจลุ้นสิ่งที่จะเกิดต่อจากนี้ ก็คำตอบมันวอนโดนตีนเหลือเกิน

“กูไม่แต่งงานกับมันง่ายๆ หรอก”
จึก คล้ายเสียงหัวใจถูกลิ่มแทงนับร้อยครั้ง แค่จะบอกปฏิเสธเพื่อนทำไมต้องทำร้ายกันแบบนี้ด้วยวะพี่ทาวน์ แต่ให้อภัยก็ได้ ในเมื่อวันนี้เขายอมใส่ชุดที่ผมเลือก เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีเขียวมินท์ลายใบไม้เล็กๆ แนวมินิมอลกับกางเกงยีนส์ขาดๆ รองเท้าผ้าใบสีขาวหุ้มข้อ ดูเป็นเด็กกะโปโลดี น่ารัก น่าขย้ำว่ะ

พี่ทาวน์เหลือบสายตามองก่อนจะหัวเราะหึออกมาเมื่อเห็นใบหน้ามู่ทู่ของผม อยากงอนให้ได้อย่างที่คิดไว้แต่สุดท้ายต้องผ่ายแพ้เมื่อฝ่ามืออุ่นทาบลงบนหัวพร้อมออกแรงขยี้เบาๆ มันเป็นการปลอบที่ทำให้รู้สึกใจเต้นแรงทุกครั้ง

“ไม่แต่งแต่จะหนีตามกันก็บอกมาเถอะไอ้ทาวน์”
พี่แฮมพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วใช้สายตากรุ้มกริ่มมองเราทั้งสองคนที่ไม่ได้ผละออกจากกัน พวกขี้เผือกทั้งหลายพนักหน้าเห็นด้วยกันเป็นแถบ ยกเว้นก็แต่ไอ้ตังค์ที่ยืนบิดเขินสามีมันอยู่ จะหอมหัวกันที่ไหนก็ได้แต่ไม่ใช่ตรงนี้เว้ย เกรงใจคนอื่นบ้างไหมพวกมึง

“เรื่องของกูน่า กลับๆ กันไปได้แล้ว”
พี่ทาวน์โบกมือไล่ทุกคนก่อนเลื่อนมือข้างที่ลูบหัวกันลงมากอดไหล่ ผมเผลอยิ้มอย่างลิงโลดเพราะน้อยครั้งที่เขาจะแสดงความเป็นเจ้าของในที่สาธารณะ

“โหย รีบไปฮันนีมูนกันขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
ไอ้ฟาร์มสอดปากเข้ามาทำหน้าใสซื่อไร้เดียงสาจนผมตีนกระตุก เกือบจะเตะมันได้อยู่แล้วแต่โดนพี่ทาวน์รั้งคอเสื้อไว้ โดนส่งสัญญาณทางสายตาว่าอย่าทำอะไรวุ่นวายในสนามบิน

“มึงก็รีบไปจีบไอ้ฟาให้ติดเถอะ หนุ่มๆ มันเยอะนะ”
พี่ทาวน์เอาคืนด้วยคำพูดนิ่มๆ พร้อมรอยยิ้มเคลือบยาพิษ เขาหันมาขยิบตาให้ผมเป็นอันรู้กันว่าจัดการเอาคืนให้เรียบร้อยไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงสักนิด ปัจจุบันนี้เขาแสดงความรู้สึกมากขึ้น พูดมากขึ้น บางครั้งก็แทบทำให้หัวใจวาย ร้ายจริงๆ ผู้ชายคนนี้

ไอ้ฟาร์มถึงกับหันขวับไปมองพี่ฟาที่ยืนถัดจากตัวเองด้วยอาการตกตะลึงทำหน้าราวกับจะร้องไห้ คนตัวเล็กไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธข้อกล่าวหาแต่กลับยกยิ้มมุมปากราวกับว่ามีคนตกหลุมพราง ที่ผมว่าพี่ทาวน์ร้ายขอเปลี่ยนคำพูดแล้วกัน เพราะมีเหนือฟ้ายังมีฟ้า

“พวกกูไปล่ะ”
พี่ทาวน์ทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินนำเข้าเกทไป ผมบอกลาบรรดาเพื่อนและพี่แล้วตามไปติดๆ ได้ยินเสียงอวยพรไล่หลังมาจนเผลอหลุดขำเพราะมันคือการบอกว่า ‘อย่าลืมของฝาก’ หรือ ‘เลื่อนขั้นไวๆ นะพวกมึง’ หรือ ‘เชียงใหม่บรรยากาศดี ห้ามพลาด’ นี่ทุกคนคิดว่าเราไปฮันนีมูนจริงๆ เหรอวะ เฮ้อ

จากกรุงเทพถึงเชียงใหม่ต้องใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมง ผมชอบมองก้อนเมฆปุกปุยบนท้องฟ้าสีคราม แต่วันนี้พี่ทาวน์ขอแลกที่นั่งข้างหน้าต่างแทนเพราะอีกฝั่งเป็นฝรั่งตัวขาวแต่กลิ่นตัวโคตรแรง โอย แสบจมูกสัดๆ ขอยาดมหน่อย มีคนจะเป็นลมครับ!

“อากาศดีไหมมึง”
พี่ทาวน์ถามเสียงเบาปนหัวเราะ ในมือถือขนมที่สายการบินแจกส่งมาตรงหน้าเพื่อป้อนให้ผมกิน ถ้าเป็นเวลาปกติคงยิ้มหน้าบานใจเต้นแรง แต่ตอนนี้ที่กลิ่นเหม็นเขียวตลบอบอวลกลับรู้สึกอยากอ้วกเอาอาหารเช้าออกมา กาแฟสตาบัคเชียวนะเว้ย อย่านะ...

“โห ยังจะถามอีก ผมจะเป็นลมแล้วเนี่ย”
ผมโวยวายแล้วดันขนมกลับไปแถมยัดของตัวเองให้อีกหนึ่งชิ้น หยิบแก้วน้ำส้มกระดกอึกๆ เผื่อจะลดความคลื่นไส้ได้บ้าง พี่ทาวน์กลั้นหัวเราะจนไหล่สั่นอย่างน่าหมั่นไส้ อยากจะกระชากมาจูบทำโทษแต่ติดอยู่ที่คนเยอะและมีหน้ากากอนามัยขวางอยู่

ใช่ พี่ทาวน์ใส่หน้ากากอนามัย แต่ผมไม่ได้ใส่!

“อดทนเพื่อกู ได้ไหม”
คำพูดคล้ายกำลังอ้อนมาพร้อมกับใบหน้าที่ขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ทำให้ผมมือไม้อ่อน จากที่รู้สึกหงุดหงิดเพราะโดนแกล้งกลายเป็นว่ายอมเขาไปซะทุกอย่าง ถามมาแบบนั้นต้องการอะไรวะ โธ่ แฟนนะแฟน เปลี่ยนจากคนเย็นชาเป็นคนเจ้าเล่ห์ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

“ได้เสมอครับ แต่จะดีกว่านี้ถ้าให้ผมย้ายไปนั่งข้างหน้าต่างด้วย”
ผมบอกเสียงจริงจังพร้อมกับยกมือขึ้นถูจมูกอีกครั้ง ถ้าใครเคยเจอสถานการณ์แบบนี้จะเข้าใจได้ดี เพราะเราไม่สามารถลุกหนีไปไหนได้ มีแต่ต้องทนกับทนไปจนถึงเวลาเครื่องแลนดิ้ง

“จะนั่งยังไงล่ะ”
พี่ทาวน์เลิกคิ้วขึ้นแล้วมองด้วยสายตาสงสัย เห็นท่าทางแบบนั่นแล้วผมก็อยากแกล้งเลยคิดคำตอบที่ชวนวาบหวิวน้อยๆ ถ้าไม่หวั่นไหวให้ตบหัวทีนึงเลย

“พี่นั่งตักผมไง”
ขยับหน้าเข้าไปใกล้อีกคนแล้วเผยยิ้มกรุ้มกริ่ม แขนเท้าคร่อมกับหน้าต่างกักตัวไม่ให้หนีไปไหน พี่ทาวน์จ้องกลับก่อนจะผลักมือออกจนผมเสียการทรงตัว เกือบเอาหัวชนอกเขาแต่ดีที่เบรกทัน ไม่อย่างนั้นคงโดนเขาต่อยแก้มช้ำแน่ๆ

“ฝันไปเถอะ กูจะนอนแล้ว”
พี่ทาวน์บอกเสียงแข็งก่อนจะปิดตาลงแล้วหันหน้าหนีไปอีกทางปล่อยให้ผมนั่งฉีกยิ้มกว้างเพราะอารมณ์ดีอยู่คนเดียว ไอ้เรื่องที่เขาจะนั่งตักอาจเป็นได้แค่ฝัน แต่เรื่องที่เขาเขินมันเกิดขึ้นแล้ว แก้มแดงจนน่าหยิก มันเขี้ยวว่ะ

“โธ่ เขินแล้วหนีเหรอ”
ผมแกล้งเย้า เหลือบสายตามองปฏิกิริยาของคนถูกแกล้งในขณะที่กำลังกระดกน้ำส้มคั้นลงคอ ความเปรี้ยวและกลิ่นหอมทำให้ลืมฝรั่งข้างๆ ไปบ้าง แต่เมื่อไหร่ที่ไม่มีสิ่งให้โฟกัส ความหายนะกับโพรงจมูกจะกลับมาอีกครั้ง โธ่ เพิ่งผ่านไปแค่ครึ่งชั่วโมงเอง นานอย่างกับเป็นปี

พี่ทาวน์หันขวับมามองกันด้วยสายตาเอาเรื่องจนคิ้วขมวดยุ่ง นิ้วเรียวชี้หน้าคาดโทษ ผมฉีกยิ้มกว้างสู้อย่างไม่สะทกสะท้านแต่ต้องรีบหุบปากฉับเพราะคำขู่ของเขา มันน่ากลัวเกินจะท้าทายจริงๆ ว่ะ ยอมแล้ว

“ถ้ายังพูดมาก กูจะผลักหัวมึงให้ซุกรักแร้ฝรั่งนั่น”
เหมือนจะได้ยินเสียงหัวเราะ ‘ฮิฮิ’ ของปีศาจดังก้องอยู่ในหัว ผมรีบโบกมือเป็นเชิงยอมแพ้ สู้ไม่ไหวจริงๆ กลิ่นตัวไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะเว้ย จะแบกหน้าไปบอกฝรั่งนั่นว่าตัวเหม็นก็กลัวโดนต่อยหน้าแหก ฮือ จะร้อง แค่นั่งข้างๆ ยังอบอวลขนาดนี้ ขืนเอาหน้าไปซุกรักแร้คงน้ำลายฟูมปาก

สมัยเรียนมัธยมผมมีเพื่อนคนหนึ่งกลิ่นตัวแรงมาก คุณครูชาวต่างชาติที่สอนถึงกับทนไม่ไหว เดินเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยภาษาอังกฤษปนไทยว่า ‘ยูทาพาวเดอร์บ้างนะ กลิ่นตัวแรงมาก’ คือตอนนั้นนั่งอยู่ข้างๆ ยังหน้าชาแทนแล้วมันจะรู้สึกยังไงวะ

“โอย ยอมแพ้จริงๆ ครับ แค่นี้ก็จะตายแล้ว”

เครื่องแลนดิ้งที่สนามบินนานาชาติเชียงใหม่ในเวลาเกือบเที่ยงวัน ยืนรอกระเป๋าตรงสายพานเกือบสิบนาทีก่อนจะพากันเดินออกไปด้านนอกอาคาร พี่ทาวน์โทรบอกให้คนที่บ้านมารับ ซึ่งผมก็พยักหน้าเข้าใจ แต่ใครจะไปคิดไปฝันว่าเขามีคนขับรถวะ แถมใส่ชุดพื้นเมืองเข้าบรรยากาศสงกรานต์สุดๆ

ยี่ห้อรถที่ขับมารับทำให้ผมเกร็งไปทั้งร่าง เผลอนั่งตัวตรงเด่อยู่ข้างๆ พี่ทาวน์ที่เอนหลังพิงเบาะอย่างสบาย ไอ้เชี่ย โรเซอรอยนะเว้ย แม่ง บ้านเขารวยขนาดไหนวะถามจริง ขนาดพี่เขยผมทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังขับแค่ออดี้เลย

“คุณหนูจะแวะที่ไหนก่อนไหมครับ”
เสียงทุ้มของคุณอาคนขับรถวัยสามสิบปลายๆ ดังขึ้นทำให้ผมที่นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยถึงกับสะดุ้ง หางตาเหลือบเห็นพี่ทาวน์กำลังกลั้นขำแล้วนึกหมั่นไส้ แต่ทำอะไรประเจิดประเจ้อตอนนี้ไม่ได้ อย่าให้ถึงที่ลับตาคนนะ หึหึ จะลงโทษให้น่วมเลยคอยดู

“ไม่ครับ ตรงกลับบ้านเลย”
พี่ทาวน์ตอบกลับเสียงเรียบก่อนจะเบนหน้าหนีไปทางอื่น แก้มที่เคยขาวเนียนกลับขึ้นสีชมพูจางๆ ตอนแรกก็ว่าจะไม่พูดถึงคำเรียกเมื่อครู่ แต่เจ้าตัวออกอาการอายขาดนี้ก็ขอหน่อยแล้วกัน

“คุณหนูทาวน์ ~”
ผมลากเสียงล้อเลียนให้ได้ยินกันแค่สองคนเพราะยังนึกเกรงใจคนขับรถอยู่บ้าง ถ้าเขาจับพิรุธได้ว่าเราเป็นมากกว่าเพื่อนกันอาจจะเจอเรื่องไม่คาดฝันอย่างเช่นพ่อตาเอาปืนลูกซองยิงสมองกระจุย

“อยากนอนนอกบ้านหรือไง”
พี่ทาวน์พูดเสียงเย็นก่อนจะหันมองเขม็ง มือข้างหนึ่งง้างกำปั้นค้างไว้กลางอากาศเตรียมลงมือต่อยได้ทุกเมื่อ ผมเบิกตากว้างเพราะช็อกกับสิ่งที่ได้ยินมากกว่า ใครเขาอยากจะนอนกลางดินกินกลางทรายล่ะวะ คนอื่นอุตส่าห์คิดว่ามาฮันนีมูน

“เงียบก็ได้ครับ”
ผมพูดเสียงอ้อมแอ้มก่อนจะแสดงอาการสำรวมโดยการนั่งปิดปากเงียบไปตลอดทางจนถึงที่หมาย อดตะลึงไม่ได้เมื่อภาพตรงหน้าคือบ้านเรือนไทยขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางสวนดอกไม้ บริเวณโดนรอบกว้างขวาง มีบ่อปลาคราฟให้เชยชม โรงจอดรถอัดแน่นจนอยากออกปากยืมขับสักคัน

เท้ายังไม่ทันได้แตะบันไดขั้นสุดท้ายก็ได้ยินเสียงฝีเท้าถี่ๆ ดังมาจากด้านใน ไม่นานนักคุณป้าหน้าตาใจดีก็โผล่ออกมาด้วยรอยยิ้มพร้อมกางแขนเพื่อเป็นสัญญาณให้ ‘คุณหนู’ ของเธอโผเข้าสู่อ้อมกอด ผมได้แต่ลอบยิ้มเมื่อพี่ทาวน์ทำตามอย่างว่าง่าย ดูเป็นเด็กว่าง่ายไปเลย

“คุณหนู ป้ากึ๊ดเติงหาขนาด สะบายดีก่อเจ้า”
เสียงทุ้มหวานสำเนียงภาษาถิ่นเหนือไถ่ถามคุณหนูของเธอด้วยความคิดถึง มือเล็กๆ จับไปตามร่างกายเพื่อตรวจดูว่ามีตรงไหนสึกหลอไปหรือเปล่า ท่าทางแบบนั่นทำให้ผมคิดถึงพ่อกับแม่ขึ้นมาทันที อยากบินไปอ้อนที่อังกฤษจังเลย

“สบายดีครับ ป้านวลล่ะ”
คนถามโดนหอมแก้มไปสองฟอดใหญ่พร้อมกับกอดแน่นๆ อีกครั้งก่อนที่ป้านวลจะผละตัวออกไป พี่ทาวน์คลี่ยิ้มทาวน์คลี่ยิ้มบางเมื่อเธอพยักหน้าอย่างแข็งขัน

“สะบายดีเจ้า ป้าจัดห้องหื้อแล้ว”

“ขอบคุณครับ”
พี่ทาวน์ยกมือไว้ป้านวลอย่างนอบน้อม ถ้าให้เดาคงสนิทกันมากตั้งแต่เด็กจนโต เธอส่ายหน้าแล้วกอบกุมมือเรียวไปจับไว้ คงคิดถึงมากจริงๆ

“โอ๊ะ นี่เพื่อนคุณหนูก่อ”
เธอสะดุดกึกเมื่อเห็นผมที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากพี่ทาวน์ในเวลาต่อมา ดวงตากลมหรี่ลงเหมือนกำลังสำรวจบุคคลแปลกหน้า

“สวัสดีครับป้านวล”
ผมยกมือไหว้พร้อมกับก้มศีรษะลง

“ไม่ใช่ครับ เป็นรุ่นน้องที่สนิทกัน”
พี่ทาวน์ออกปากแทนแล้วหันมายักคิ้วให้เป็นเชิงหยอกล้อ ความจริงแค่บอกว่าเป็นเพื่อนกันก็ได้เพราะไม่มีใครรู้จักผม แต่ที่เขาเลือกพูดแบบนั้นคงคิดถึงความรู้สึกลึกๆ ก็เพราะเราไม่ได้อยู่ในสถานะนั้น

“อ๋อ หล่อขนาด ชื่ออะหยังเจ้า”
ป้านวลผละออกจากคุณหนูคนหล่อของเธอแล้วเดินมาจับตัวผมหมุนแทน อย่างกับแมวมองกำลังสำรวจนายแบบ

“เอ่อ ชื่อเจ็ทครับ”
ผมตอบด้วยความไม่มั่นใจเท่าไหร่ แต่ได้ยินป้านวลพูดคำว่าชื่อเลยคิดว่าใช่ ภาษาเหนือบางครั้งก็ฟังยากเกินไป

“ป้านวลครับ พ่อไปไหน”
เหมือนพี่ทาวน์กำลังช่วยชีวิตผมจากป้านวลที่มีท่าทางจะชอบคนหล่อเป็นพิเศษ เธอชะงักเล็กน้อยก่อนจะเดินกลับไปหาคุณหนูอีกครั้ง ปล่อยให้ผมยืนกลั้นขำเมื่อเห็นสีหน้าเสียดาย

“คุณท่านไปโฮงยาเจ้า เมื่อแลงถึงจะปิ๊ก”
ผมตั้งใจฟังแต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี แต่พี่ทาวน์พยักหน้ารับแล้วเอื้อมมือมาสะกิด พยักพเยิดไปทางบรรดาห้องพักต่างๆ

“ครับ งั้นผมกับเจ็ทของตัวเอาของไปเก็บก่อนนะครับ”

“เจ้า ห้องคุณเจ็ทอยู่ตางซ้ายเน้อ ถัดจากห้องคุณหนู”
ผมและพี่ทาวน์มองหน้ากันก่อนรับคำแล้วลากกระเป๋าไปยังที่หมาย แอบสอดส่องสำรวจไปทั่ว ถ้ามีโปรเจ็คสร้างโมเดลบ้าน จะแอบเอาแบบที่นี่ไปใช้ แต่มีเรื่องที่ทำให้ความคิดสะดุด

“โห แยกห้องนอนด้วยอะ เซ็งเลย”
ผมบ่นกระปอดกระแปดเมื่อคนที่เดินนำหน้าหยุดฝีเท้าที่หน้าห้องหนึ่ง ป้ายสีทองเด่นหราว่ามันคือสถานที่ใช้รับรองแขก อยากนอนห้องเดียวกันกับพี่ทาวน์มากกว่า ไม่ได้คิดอกุศลแต่มันแปลกที่แปลกทางกลัวนอนไม่หลับ...

“หึ นอนด้วยกันแต่โดนพ่อกูกระทืบจะยอมไหมล่ะ”
คำพูดที่มาพร้อมกับรอยยิ้มเย้ยหยันเกือบทำให้ผมปล่อยกระเป๋าร่วงจากมือเพราะหมดแรง เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นตามไรผม รู้สึกเย็นสันหลังวาบทั้งที่อากาศร้อนจนตัวจะแตก เอาจริงดิ พ่อตาโหดขนาดนั้นเลยเหรอวะ

“โหดมาก งั้นผมเอาของไปเก็บก่อนนะครับ”
ผมบ่นพึมพำในประโยคแรกก่อนจะบอกพี่ทาวน์เสียงแผ่ว มาเที่ยวครั้งนี้หวังว่าคงมีชีวิตรอดกลับไปสอบไฟนอลนะ

“อืม เก็บเสร็จก็มาหากู”
หลังจากคำพูดนั้นเราก็แยกย้ายเข้าห้องใครห้องมัน

ผมยืนหมุนซ้ายหมุนขวาเมื่อเห็นสภาพห้องนอน มีเตียงสี่เสาที่ติดผ้าม่านสีครีมรอบด้าน ตู้เสื้อผ้าทำจากไม้สักเหมือนตัวบ้าน ทีวีจอแบนติดผนัง ห้องน้ำในตัว ทุกอย่างดูหรูไปหมดจนรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะสมกับเขา บางทีฐานะก็ทำให้คนเราเกิดข้อเปรียบเทียบและเผลอคิดมากได้

ผมทิ้งตัวลงบนเตียงกว้างแล้วนอนหงายมองเพดาน สูดชมหายใจรับอากาศบริสุทธิ์ของเมืองเชียงใหม่จนเต็มปอด ช่วงเดือนเมษายนที่นี่ร้อนจนน่ากลัว ลองคิดถึงตอนโดนน้ำสาดแล้วแดดเผา ไม่อยากคิดสภาพตัวเองเลยจริงๆ คงป่วยชนิดที่ว่าต้องหยอดน้ำข้าวต้ม

กะเวลาความเป็นส่วนตัวให้พี่ทาวน์ประมาณครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นผมก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจ มองกระเป๋าเป้ใบโตที่ยังวางอยู่ที่เดิม ไม่จำเป็นต้องรื้ออะไรมาจัดให้ยุ่งยาก เพราะใช้เวลาพักที่นี่แค่ห้าวันเท่านั้น ก่อนจะเดินออกจากห้องเพิ่งคิดได้ว่ายังไม่รายงานตัวกับคุณฝาแฝด ป่านนี้คงลากไอ้ไธไปเที่ยวแล้วล่ะมั้ง

ผมส่งไลน์หาทุกคนว่าถึงเชียงใหม่อย่างปลอดภัยแล้ว ได้รับข้อความตอบกลับอย่างเดียวกันเหมือนเตี๊ยมไว้ว่า ‘เจอพ่อตาหรือยัง’ แม่ง รู้สึกเหมือนชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายยังไงชอบกล เพราะไม่รู้ว่าพ่อของพี่ทาวน์จะดุขนาดไหน

กว่าจะไล่ความวิตกกังวลออกไปได้ก็ตอนที่ขายาวหยุดชะงักอยู่หน้าประตูห้องของพี่ทาวน์ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับความตื่นเต้นเพราะจะได้เข้าสู่โลกส่วนตัวของเขาอีกครั้ง มือหนายกขึ้นเคาะส่งสัญญาณสองครั้งก่อนเปล่งเสียงเรียก

“พี่ทาวน์ครับ ผมมาแล้วนะ”
ผมยืนรอรับคำตอบด้วยหัวใจเต้นระรัว มือไม้สั่นจนแทบปล่อยโทรศัพท์ตกพื้น รู้สึกตัวเองคล้ายเด็กวัยใสเพิ่งมีความรักครั้งแรก ตื่นเต้นไปซะทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพี่ทาวน์

“เข้ามาสิ”
เสียงเชิญชวนดังผ่านประตูไม้เนื้อดีทำให้ผมถือวิสาสะเปิดเข้าไป รอยยิ้มบนใบหน้ากลับหุบลงในทันทีเมื่อดวงตาคมปะทะกับภาพตรงหน้า

พี่ทาวน์กำลังยืนมองรูปถ่ายบนบอร์ดสีน้ำตาล แฟนเก่าที่ได้ชื่อว่าคบกันมานานกำลังยิ้มมีความสุขอยู่ตรงนั้น ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ควรรู้สึกแบบไหน และทำหน้าอย่างไร พูดอะไรดี สมองมันตื้อๆ หัวใจปวดหน่วงชอบกล

“อ่า...”
ผมครางเสียงเบา ดวงตาคมจ้องมองแผ่นหลังพี่ทาวน์ด้วยความรู้สึกหลากหลาย สมองกำลังประมวลผลอย่างหนักว่าควรพูดอะไรดี แม่งเอ้ย ทำไมอยู่ๆ ก็ขาดความมั่นใจซะได้ เราคือแฟนคนปัจจุบันที่เขาเลือกไม่ใช่หรือไง สู้สิวะไอ้เจ็ท

“กูกำลังจะแกะทิ้ง ช่วยหน่อยสิ”
เสียงเรียบเอ่ยขึ้นโดยไม่หันมามองทางนี้ มือเรียวกำลังแกะรูปภาพออกจากบอร์ดตามที่บอก ไม่รู้ว่าสีหน้าและความรู้สึกของพี่ทาวน์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง แล้วที่บ้านรู้เรื่องพรีมหรือยัง

“.....”
ผมยืนนิ่งไม่ขยับเพราะมัวแต่คิดเรื่อยเปื่อย แถมประตูห้องก็ยังเปิดค้างอยู่แบบนั้นจนทำให้พี่ทาวน์ละความสนใจจากสิ่งที่ทำแล้วเดินตรงมาทางนี้

“เจ็ท เป็นอะไร”
นานครั้งที่เขาจะเรียกชื่อกันแบบนี้ ผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าพัลวันเป็นการปฏิเสธ แต่มันยิ่งทำให้พี่ทาวน์ขมวดคิ้วแน่น สงสัยโกหกไม่เนียน ต้องไปเรียนมาใหม่แล้วล่ะ

“ปะ เปล่าครับ เมื่อกี้จะให้ผมทำอะไรนะ”
ผมหันซ้ายหันขวาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ พี่ทาวน์ไม่ตอบอะไรก่อนจะเดินไปปิดประตูห้อง แล้วกลับไปยืนที่ปลายเตียงด้วยใบหน้าขึงขัง

“มานั่งนี่”
พี่ทาวน์พยักพเยิดหน้าไปทางปลายเตียงเป็นเชิงว่าให้ผมนั่งตรงนั้น

“หา...”
ผมเอียงคอมองด้วยความสงสัยว่าทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย ก็ไหนบอกจะให้ช่วยแกะรูปพี่ทาวน์กับพรีมออกไม่ใช่หรือไง

“เร็วๆ”
พี่ทาวน์เร่งเสียงขุ่น ดวงตารีฉายแววไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ผมรีบละล่ำละลักตอบรับแล้วเดินเข้าไปหาทันที กลัวโดนเตะก้านคอว่ะ

“เป็นอะไร จะบอกได้หรือยัง”
คำถามเชิงคาดคั้นถูกส่งมาในขณะที่ผมหย่อนก้นลงบนเตียงนุ่ม พี่ทาวน์ยืนค้ำหัวกดดันทางสายตาอีกระลอก จะให้ตอบความจริงที่คิดน่ะเหรอ จะรับได้ไหมครับกับความคิดมากของแฟนคนนี้

“คือ... แค่คิดว่าเมื่อก่อนพี่ทาวน์กับพรีมคงรักกันมาก”
ผมพูดเสียงเบาไม่กล้าสบตาเจ้าของห้อง ได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะรู้สึกได้ถึงแรงยวบข้างตัว พี่ทาวน์ลงข้างๆ กัน แนบชิดจนไม่เหลือช่องว่าง

“อืม ก็ใช่ พรีมเหมือนเป็นทั้งชีวิตของกู”
เขาเริ่มพูดถึงความหลังที่ผมไม่อยากฟัง แต่จะห้ามคงไม่ได้

“อ่า...”

“พรีมแสงสว่าง เป็นรอยยิ้ม เป็นเสียงหัวเราะ”
สรุปเอาง่ายๆ คือพรีมเป็นทุกอย่างของพี่ทาวน์ในช่วงเวลานั้น ผมหลุดขำเพราะสมเพชตัวเองที่เป็นได้แค่คนน่ารำคาญคอยตามตื๊อพี่ทาวน์ตลอดเวลา เขาไล่ก็ยังหน้าด้านจะจีบ แย่เนอะ

“ผม... คงสู้พรีมไม่ได้”
ผมตัดพ้อตัวเองจากความรู้สึกข้างใน น้ำเสียงสั่นระรัวราวกับคนใกล้ร้องไห้ ฝ่ามือกำเข้าหากันแน่นเพราะต้องทำตัวเข้มแข็ง

“คิดมากเรื่องนี้เหรอไง”
พี่ทาวน์ถามอย่างรู้ทัน เขาแตะมือลงบนหัวของผมก่อนออกแรงขยี้ราวกับมันเป็นของเล่นแต่กลับอบอุ่นจนรู้สึกผิดที่คิดอะไรมากมายขนาดนั้น เขายังไม่ได้ว่าอะไรสัดคำนี่ สรุปแล้วทั้งหมดคือความน้อยใจและความกลัวของนายภาคินเอง

“ขอโทษนะครับที่ผมน้อยใจเป็นเด็กๆ”
ผมช้อนตามองคนที่ผละมือออกไป พี่ทาวน์กระตุกรอยยิ้มมุมปากก่อนจะทิ้งตัวลงนอนแผ่ ท่าทางแบบนั้นเดาไม่ออกเลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่

“มึงสู้พรีมไม่ได้จริงๆ นั่นล่ะ”
จุกกว่านี้มีอีกไหม เหมือนหัวใจจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เลยว่ะ ก็คิดไว้อยู่แล้วว่าเป็นผู้ชายคงทำตัวน่ารักอ่อนหวานอย่างที่พี่ทาวน์ต้องการไม่ได้

“.....”
ผมเม้มปากแน่นกลั้นความรู้สึกที่เกิดขึ้น เป็นผู้ชายแต่ร้องไห้ง่ายๆ มันไม่แมนเข้าใจไหม ต่อไปจะดูแลปกป้องพี่ทาวน์ได้ยังไงกัน

“เพราะพรีมเป็นอดีต แต่มึงคือปัจจุบันและอนาคต ไม่จำเป็นต้องแข่งกับใครทั้งนั้น”
ผมแทบจะเผลอกัดปากตัวเองเมื่อได้ยินประโยคถัดมา ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ความกลัวมลายสิ้น ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มอยอุ่นจากพี่ทาวน์ยิ่งทำให้หัวใจเต้นรัว เขากำลังบอกรักหรือเปล่า

“แอบบอกรักผมทางอ้อมเหรอครับ”

“ขี้มโนเนอะ”

“อ้าว หรือว่าพี่ไม่รักผม”
ผมหน้างอเมื่อพี่ทาวน์พูดแบบนั้น คนยิ่งใจเสียกับเรื่องพรีมอยู่ จะบอกว่ารักให้มั่นใจหน่อยไม่ได้เหรอ

“ทำหน้างอนเป็นเด็กไปได้”
พี่ทาวน์ว่าเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะยันตัวลุกขึ้นแล้วเอาคางเกยไหล่ของผมไว้อย่างแนบชิด ตอนนี้ยอมรับว่าอยากหันไปกอดเขาแน่นๆ แต่ต้องข่มใจ ดูสิว่าจะง้อด้วยวิธีไหน

“ผมเปล่านะเว้ย”
เดี๋ยวนี้ผมพัฒนาความปากแข็งตามที่ทาวน์แล้วเหอะ

“รักสิครับ รักน้องเจ็ทนะ คนดีของพี่ทาวน์”
ลมหายใจสะดุดกึกเมื่อได้ยินคำบอกรักแสนหวานที่ข้างหู ผมหันขวับไปมองพี่ทาวน์ด้วยความแปลกใจปนดีใจ ปากฉีกยิ้มกว้างอย่างไม่เคยเป็น โอย จะบ้าตาย!

“พี่จะแกล้งให้ผมหัวใจวายตายใช่ไหมครับ!”
ผมถามรัวจนลิ้นแทบพันกัน รับรู้ได้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ก็ใครใช้ให้พี่ทาวน์แก้มแดงหูแดงตอนนี้ล่ะวะ แถมยังไม่ยอมสบตากันอีก จะเขินได้น่ารักเกินไปแล้ว

“แล้วคิดว่าที่พูดออกไป กูไม่เขินหรือไง”
เสียงแผ่วๆ ที่หลุดจากริมฝีปากสีชมพูทำให้ผมต้องระงับความต้องการของตัวเองอย่างสูง พยายามท่องไว้ว่านี่บ้านของเขา มีคนอยู่เยอะแยะ จะไม่จูบเด็ดขาด

“พี่ทาวน์น่ารักเกินไปแล้วนะครับ”
แต่ผมก็ห้ามตัวเองไม่ได้ที่จะขยับเข้าใกล้จนหน้าผากของเราแตะกัน พี่ทาวน์ช้อนสายตามองก่อนจะพึมพำสิ่งที่ทำให้สติพร่าเลือน

“แต่มึงน่าจูบ”
ไม่สนใจอะไรแล้วเว้ย ขอหน่อยเถอะ!

“ก็จูบสิครับ ผมพร้อม... อืม ~”

ยังไม่ทันจบประโยคริมฝีปากสีสวยก็ทาบทับลงมาในตำแหน่งเดียวกัน คนเริ่มบดคลึงอย่างเชื่องช้าแต่ทว่ามีความยั่วยวนจนทำให้ผมทนไม่ไหว เผลอผละออกก่อนจะขึ้นคร่อมแล้วบรรจงจูบลงไปอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับเต็มไปด้วยความร้อนแรงเมื่อลิ้นร้อนสอดเข้าไปเกี่ยวตวัดหยอกล้อ ดูดกลืนเอาความหอมหวานของลูกอมรสโคล่า

มือหนาเริ่มสอดล้วงเข้าไปด้านในเสื้อเชิ้ตสีเขียวมิ้นท์ สัมผัสได้ถึงกล้ามหน้าท้องแน่นตึงแต่เรียบเนียนจนเผลอไผลอย่างทำมากกว่านั้น พี่ทาวน์ไม่ได้ขัดขืนกลับแอ่นตัวรับการปรนเปรออย่างดี ปากของเราผละออกจากกันเพียงครู่เดียวก่อนจะแนบชิดอีกครั้ง ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นก็มากจากการยินยอมของทั้งสองฝ่าย

ในจังหวะที่ผมกำลังจับชายเสื้อเชิ้ตอยู่นั้นกลับมีเสียงเคาะประตูทำชายห้วงอารมณ์ปรารถนา ความตกใจของพี่ทาวน์ทำให้เขาออกแรงผลักอย่างแรง แล้วคนอย่างนายภาคินที่ไม่ทันตั้งตัวจะไปอยู่ที่ไหนถ้าไม่ใช่พื้น โอย ก้นระบมแล้วครับ เจ็บจนต้องนิ่วหน้าเลยทีเดียว

“คุณหนูเจ้า คุณเจ็ทเจ้า ป้าเตรียมข้าวตอนหื้อแล้ว ออกมากิ๋นเต๊อะ”
เสียงป้านวลดังขึ้นที่นอกประตู ผมหันไปจ้องเขม็งก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ถ้าเกิดเป็นพ่อพี่ทาวน์คงไม่หยุดอยู่ตรงนั้น อาจจะเปิดเข้ามาเลยก็ได้

“ครับป้า เดี๋ยวพวกผมออกไป”
พี่ทาวน์ตอบรับแล้วเข้ามาช่วยพยุงผมให้ลุกขึ้น พวกเรามองหน้ากันก่อนหัวเราะออกมากับความคึกคะนองไม่ดูสถานที่ ต่างคนต่างหน้าแดงก่ำเพราะความเขินอาย

“เอาไว้ปลอดคนเมื่อไหร่เรามาลองทำแบบเมื่อกี้อีกครั้งนะครับ”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อแต่ไม่วานซี๊ดปากเมื่อพี่ทาวน์ขยำมือลงบนก้น เจ็บจนน้ำตาเล็ดเลยเว้ย คนทำต้องรับผิดชอบทายาให้ด้วยนะเออ

“อยากก้นช้ำมากกว่านี้หรือไง”
พี่ทาวน์ตีเข้าที่ก้นผมอย่างหยอกล้อ

“โธ่ อย่าใจร้ายสิครับ”
ผมขยับหัวไปถูไถ่กับลาดไหล่กว้างอย่างออดอ้อน ใครจะไปอยากก้นช้ำเพิ่มล่ะวะ แค่นี้ก็เจ็บจนไม่กล้านั่งแล้ว ขอนอนกินข้าวได้ไหม

“หึ ไปกินข้าวกันเถอะ”
พี่ทาวน์ขยี้หัวผมจนยุ่งเหยิงก่อนจะผละออกไปเปิดแระตูห้อง ยอมรับว่าหิวแต่ยังไม่ยอมแพ้เรื่องนั้นหรอก ยังไงสักวันมันก็ต้องสำเร็จ

“ครับๆ แต่อยากกินพี่ทาวน์มากกว่า ไม่ได้เหรอ”
ขยับเข้าไปกระซิบข้างหูก่อนจะผละตัวออกมาเพื่อเตรียมใจโดนแจกมะเหงก แต่ผิดคาดที่พี่ทาวน์กลับหูแดงแล้วตอบกลับเสียงอ้อมแอ้ม

“กลับกรุงเทพฯ เมื่อไหร่ค่อยว่ากัน”
พี่ทาวน์ก้าวขาฉับๆ เดินห่างออกไปแล้ว ทิ้งให้ผมได้แต่ยืนอึ้งกับคำตอบ ขอเก็บของแล้วลากกันกลับตอนนี้เลยได้ไหววะ โอย นี่เขาเรียกอ่อยใช่ไหม ใช่ไหม!

ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว เราทั้งคู่นั่งอยู่ในศาลากลางสวนดอกกุหลาบ กลิ่นของมันหอมหวนชวนให้ผ่อนคลาย พี่ทาวน์กำลังทำงานส่วนผมเล่นเกมในโทรศัพท์ ตกลงกันเอาไว้ว่าหนึ่งทุ่มจะออกไปหาอะไรกินที่นิมมานซึ่งไม่ห่างจากที่นี่เท่าไหร่

“คุณหนูเจ้า”
เสียงป้านวลทำให้ผมต้องดีดตัวขึ้นนั่งหลังจากที่เอนนอนมาได้พักใหญ่ พี่ทาวน์เงยหน้าขึ้นมองไม่แสดงอารมณ์ราวกับรู้ว่าเธอเรื่องด้วยเหตุผลอะไร”

“ครับ”

“คุณท่านบ่ปิ๊กเฮือนเน้อเจ้า มีประชุมที่กรุงเทพฯ ด่วน”
จบคำบอกเล่าของป้านวลผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะหึจากพี่ทาวน์ บรรยากาศทะมึนอย่างบอกไม่ถูก ถ้าให้เดาสองพ่อลูกคงไม่ญาติดีกันเท่าไหร่

“ครับ ขอบคุณที่มาบอก เดี๋ยวผมกับน้องจะออกไปนิมมาน บอกอามิ่งเตรียมรถให้ด้วยนะครับ”
พี่ทาวน์วางมือจากงานแล้วพับหน้าจอโน้ต

“คุณหนูจะขับเองก่อ”

“ครับ ผมขับเอง”

นั่งรถชมวิวเชียงใหม่ตอนกลางคืนสองต่อสองก็ดูโรแมนติกดีเนอะ




ต่อด้านล่างน้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
เจ้าถิ่นอย่างพี่ทาวน์ลากผมเข้าร้าน ‘ข้าวซอยนิมมาน’ จะขัดว่ากินไม่เป็นก็กลัวว่าคนพามาจะเสียอารมณ์เลยยอมๆ ตามเขาไปอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากได้ชิมก็บอกได้ว่ารสชาติมันอร่อยดี แต่ติดตรงที่เลี่ยนไปหน่อย พอบอกว่าอยากหาอะไรล้างปากก็โดนลากมาต่อที่ร้าน ‘Guu Fusion Roti & Tea’

พี่ทาวน์ไม่พลาดที่จะสั่งกาแฟดื่มตอนสองทุ่มกว่า ส่วนผมสั่งน้ำผลไม้เปรี้ยวๆ กับโรตีทิชชู่วิปครีมฝอยทอง เมนูแปลกแต่อร่อยเพื่อดับความเลี่ยนจากอาหารจานหลัก ต่อจากนี้จะไปเที่ยว Warm Up ปลุกความเป็นวัยรุ่นในตัวให้กระจายออกมา เชื่อไหมว่าไกด์พาเที่ยวอย่างเขาถึงกับหน้าตูม ก็นายภาคินเล่นออกปากขอไปที่นี่ด้วยตัวเอง ก็แค่อยากรู้ว่าผับเชียงบใหม่บรรยากาศเป็นยังไง

“มึงควรกลับไปใส่เสื้อแขนยาว”
พี่ทาวน์พึมพำอะไรอยู่คนเดียวเมื่อเราขับรถมาถึงจุดหมายคือร้าน Warm Up ที่ขึ้นชื่อในเชียงใหม่ ลานด้านนอกอัดแน่นไปด้วยผู้คนที่อยากได้บรรยากาศแบบผ่อนคลาย ส่วนโซนด้านในจะเป็นผับสำหรับขาแดนซ์ ผมเลิกคิ้วในขณะที่มองหน้าเขาอย่างต้องการคำตอบ แต่กลับได้รับค้อนวงใหญ่ เล่นเอาเบลอไปชั่วขณะ นายภาคินทำอะไรผิดวะเนี่ย

“พี่ทาวน์รอผมด้วย”
ผมตะโกนเรียกคนที่ก้าวฉับๆ เข้าไปในร้านแบบไม่รอกัน ระหว่างทางมีคนส่งยิ้มให้จนรู้สึกอึดอัดแปลกๆ แค่ใส่เสื้อกล้ามสีดำ กางเกงยีนส์ขาเดฟขาดๆ กับรองเท้าผ้าใบคอนเวิร์สเอง ประหลาดหรือไงวะ ก็อากาศมันร้อน

“พี่ทาวน์ โกรธอะไรผมหรือเปล่า”
ผมรีบถามเมื่อทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ คนที่แสดงอารมณ์หงุดหงิดออกมาอย่างชัดเจน แต่เขากลับโบกมือปัดๆ เป็นเชิงว่าไม่ได้โกรธอะไรแถมยังเรียกพนักงานเสิร์ฟเพื่อสั่งของมึนเมาอีก

“จะแดกอะไรก็สั่ง”
   น้ำเสียงกระแทกกระทั้นเป็นตัวยืนยันอย่างดีว่าเขากำลังไม่พอใจอะไรบางอย่าง แต่ผมไม่รู้จะง้อยังไงในเมื่อไม่รู้สาเหตุ ก็เลยได้แต่ออกปากสั่งเหล้ากับโซดาและกับแกล้มอีกสองสามอย่างไปแทน คืนนี้มีแววโดนเนรเทศให้ออกไปนอนที่สนามหญ้าหน้าบ้านชัวร์

ผมรับหน้าที่ชงเหล้าให้พี่ทาวน์เป็นการเอาใจ ดูเหมือนอารมณ์ของเขาจะดีขึ้นเมื่อได้ฟังเพลงสบายๆ รับกับบรรยากาศของร้านด้านนอก ถ้าหากว่าสังเกตสักหน่อยจะรับรู้ได้ว่ามีสายตาของผู้หญิงโต๊ะหนึ่งมองมาทางนี้ เป้าหมายอาจจะเป็นคนที่นั่งฮัมเพลงอยู่ เขาดูมีเสน่ห์แม้กระทั่งใส่แว่นสายตาไว้ ถ้ายิ่งถอดออกคงดูดีมากกว่านี้ ควรจะปั้นๆ แฟนให้เป็นก้อนแล้วกลืนลงท้องไปซะดีไหม หวงเว้ย

“พี่ทาวน์...”

“สวัสดีค่ะ”
ผมพูดยังไม่ทันจบแต่มีเสียงหวานๆ พร้อมกับร่างระหงมาปรากฏตัวอยู่ข้างๆ ถ้าจำไม่ผิดคงเป็นสาวจากโต๊ะนั้นแน่นอน แต่เป้าหมายพลาดไปหน่อยว่ะ ตอนนี้พี่ทาวน์เลยหันมาจ้องเขม็งอย่างเอาเรื่อง จะคิดเข้าข้างตัวเองได้ไหมว่าโดนหึง...

“สวัสดีครับ”
ผมตอบกลับอย่างมีมารยาท แอบสำรวจผู้หญิงตรงหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอหุ่นดี ผิวขาว หน้าตาน่ารัก หมวยๆ คล้ายคนจีน ชุดสีใส่ก็โชว์ความเซ็กซ์ซี่จนแทบน้ำลายไหล ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงไม่ปฏิเสธที่จะพูดคุยกันอย่างสนิทสนม พี่ทาวน์เอื้อมมือมาหยิกที่ต้นขาจนเผลอเบ้ปาก นี่เขาหึงจริงๆ ใช่ไหมวะ น่าดีใจจัง ขอแกล้งอีกหน่อยดีกว่า หึหึ

“มากับเพื่อนเหรอคะ”
เธอถามเสียงหวานก่อนจะโน้มตัวลงมาจนเห็นร่องอกได้ชัดเจน รอยยิ้มเป็นมิตรนั้นทำให้คนข้างกายของผมยิ่งหน้าบูด เขาหึงไม่ผิดแน่ๆ แล้วที่ไอ้พึมพำตอนเดินเข้าร้านนั่นอีก นึกว่าตัวเองหูฝาด ที่แท้ก็หวงเนื้อหนังมังสาของแฟนนี่เอง น่ารักชะมัดว่าที่คุณหมอตัวแสบ

“มากับเมียครับ”
ผมไม่ได้เป็นคนตอบเลยนะเว้ย พี่ทาวน์ล้วนๆ แถมยังมีการสอดแขนมาคล้องกันไว้แสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของอย่างออกนอกหน้า แอบตะลึงแต่ก็ดีใจที่เขาแสดงตัวแบบนี้ ไม่ธรรมดาจริงๆ นายเมืองเหนือ ยอมให้ตัวเองเป็นเมียซะด้วย ท่าทางจะหึงแรง

“เอ่อ... ขะ ขอโทษนะคะ”
เธอถึงกับละล่ำละลักเอ่ยคำขอโทษแล้วเดินกลับโต๊ะอย่างรวดเร็ว ผมได้แต่กลั้นหัวเราะจนปวดท้อง กลัวพี่ทาวน์จะตบกบาลเข้าให้ ก็เล่นมองกันตาเขียวปั๊ดขนาดนั้น กลัวแล้วจ้าคนขี้หึง

“เสน่ห์แรงนักเหรอไง”
คำพูดกระแนะกระแหนมาพร้อมกับแรงผลักที่หัว ผมเซเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมคว้ามือพี่ทาวน์ไว้ ตอนนี้ถีบตกเก้าอี้ยังไม่โกรธเลย หัวใจมันพองโตสุดๆ

“หึงผมเหรอ”

“หึ ยังจะให้พูดอีกหรือไง”
โดนสะบัดแขนใส่เต็มๆ มือเกือบฟาดหน้าแหนะ แต่ผมก้ยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับท่าทางโมโหของพี่ทาวน์อยู่ ทำไมมันดูน่ารักแบบนี้วะ

“ก็อยากแน่ใจ”

“ทั้งหึงทั้งหวง พอใจหรือยัง”
ทั้งกระแทกเสียงและแยกเขี้ยวใส่ยังไม่น่ากลัวเลย อยากจับมาจูบชะมัด มันเขี้ยวจังแฟน

“ชื่นใจจังครับ”
ผมเอื้อมมือไปหยิกแก้มพี่ทาวน์อย่างกล้าหาญ เขาไม่ได้ปัดป้องเพราะแค่ทำเสียงฮึดฮัดใส่เท่านั้น

เมาแล้วว่ะ นายภาคินกำลังเมาความรัก ยิ้มทั้งคืนเลยเชียว




-------------------------------------------------

อยากได้พี่ทาวน์เป้นของตัวเองจะผิดไหมหนอ... คนอะไรน่าขยี้จังเลย!
เขามีความคืบหน้านะเออ ถึงจะไม่สำเร็จก็เถอะ -///-

เรื่องภาษาเหนือถ้าเราใช้คำผิดหรือยังไง ขอโทษด้วยน้า ไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
งุ้ยยยยยย ใจบางกับความเมียของนาง  :impress2:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ numay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
แข่งครั้งที่ 29

:: ทาวน์ ::




นาฬิกาบอกเวลาเกือบตีสองแล้วแต่ดวงตารียังคงเพ่งมองเพดานผ่านความมืด ข้างกายมีโทรศัพท์มือถือที่ยังคงมีแจ้งเตือนเข้ามาไม่หยุดหย่อน ฝีมือไอ้พวกตัวป่วนล้วนๆ คุยไลน์กลุ่มอย่างกับคนไม่ได้เจอกันเป็นชาติ แต่มีอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมเผลอขมวดคิ้วคือ ‘เข้าหอกันหรือยัง’ ก็บอกว่าแค่กลับบ้านไง ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องเหรอ

ผมพลิกตัวนอนตะแคงแล้วหยิบโทรศัพท์ไปตั้งไว้บนโต๊ะข้างเตียง ตัวตารีปิดลงเพื่อพาตัวเองเข้าสู่นิทรา แต่ผ่านไปห้านาทีสติสัมปชัญญะก็ยังครบถ้วน จะบอกว่าแปลกที่ก็ใช่เรื่อง บ้านตัวเอง ห้องตัวเอง หรือเป็นเพราะใครบางคนที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ป่านนี้หลับไปหรือยังก็ไม่รู้

คิดย้อนไปถึงเรื่องเมื่อตอนค่ำก็รู้สึกอยากจะฆ่าตัวเองให้ตายๆ ทำไมต้องออกอาการหึงเด็กนั่นขนาดประกาศตัวว่าเป็นเมีย มือเรียวยกขึ้นขยี้หัวระบายความอับอายที่อัดแน่นอยู่ด้านในก่อนจะพบว่าแก้มทั้งสองข้างอุณหภูมิสูงขึ้น ผมชะงักกึก นี่มันแปลกเกินไป คนอย่างนายเมืองเหนือเขินเหรอ บ้าน่า...

มันควรต้องรู้สึกว่าทุเรศสิ้นดีกับสิ่งที่ทำลงไปสิ

ผมสะบัดไล่ความคิดฟุ้งซ่านแล้วลองสงบสติอารมณ์เพื่อหาทางออกให้กับความสับสน บางทีการเป็นคนถูกดูแลอาจจะดีกว่าเป็นฝ่ายดูแลอย่างเช่นที่ผ่านมา เพราะเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้หลุดปากว่าตัวเองเป็นเมีย ตลกชะมัด สมองคงกระทบกระเทือนเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์แน่ๆ

ครืด ครืด

เสียงโทรศัพท์สั่นดึงผมกลับมาสู่โลกความจริง มือเรียวเอื้อมไปหยิบมันขึ้นมาสำรวจว่ามีใครส่งข้อความมาอีกหลังจากลงมือปิดแจ้งเตือนกลุ่มไลน์ของเพื่อนสนิท บนหน้าจอสี่เหลี่ยมปรากฏชื่อของบุคคลที่อยู่ห้องถัดไป มุมปากเผลอกระตุกเป็นรอยยิ้มเล็กๆ เด็กหนอเด็ก ทำตัวแบบนี้คิดว่าน่ารักหรือไง

Phakin
นอนหรือยังครับคุณแฟน ผมนอนไม่หลับ


ใครใช้ให้เรียกผมด้วยคำแบบนั้นกัน ไม่รู้หรือไงว่าปากคลี่ยิ้มกว้างมากแค่ไหน มีแฟนนิสัยเด็กก็ไม่ได้แย่เสมอไป มันอ้อนเก่งดี น่าถีบ หึหึ

ผมฉีกกฎของตัวเองด้วยการพิมพ์ตอบข้อความของเจ็ททั้งที่ปกติถ้าเลยเวลาตีหนึ่งจะไม่ยอมจับโทรศัพท์หากไม่จำเป็น ก็กลับบ้านมาพักผ่อนนี่เนอะ ใช้ชีวิตแบบหย่อนๆ บ้างคงไม่แย่เท่าไหร่

Muangneua
กำลังจะนอน ส่งไลน์มากวนอยู่ได้


อยากแกล้ง ดูสิว่าจะตอบกลับมาแบบไหน

Phakin
เฮ้ย ขอโทษครับ งั้นพี่ไปนอนเถอะ ผมไม่กวนแล้ว


ผมอ่านข้อความจบก็เผลอหัวเราะออกมา คิดไว้ไม่มีผิดว่าต้องแสดงความเกรงใจแน่ๆ ถึงจะเป็นแฟนก็ยังเผลอเกร็งใส่สินะ ทำเป็นเด็กไม่เคยมีความรักไปได้ ตลกจริงๆ

Muangneua
คุยก่อนก็ได้ นอนไม่หลับเพราะแปลกที่หรือไง

Phakin
คงงั้นครับ แต่จริงๆ อยากนอนกอดพี่ทาวน์มากกว่า

ลมหายใจสะดุดไปหนึ่งจังหวะก่อนที่จะรู้สึกว่าเลือดในกายสูบฉีดขึ้นบนใบหน้า ใครมองไอ้เจ็ทเป็นคนหงิมๆ นี่คิดผิดถนัดเลย เจ้าเล่ห์แบบนุ่มนวล ชวนให้ใจสั่นอยู่บ่อยๆ ยอมแพ้เขาเลยจริงๆ

คิดว่าผมควรตอบกลับสถานการณ์แบบนี้ยังไงดี

ไม่รู้ว่าขายาวๆ เดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องถัดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ในมือกำโทรศัพท์ไว้แน่น จะทำยังไงดี แค่โดนไอ้เด็กนั่นหยอดคำหวานใส่เข้าหน่อยก็ใจอ่อนยวบอย่างกับขี้ผึ้งลนไฟ ครั้งนี้เจ็ทเป็นคนเริ่มเลยรู้สึกหวิวขึ้นมา ตื่นเต้นเพื่ออะไรวะ ก็แค่มานอนเป็นเพื่อนเฉยๆ

ในขณะที่กำลังตัดสินใจว่าจะพูดอะไรดีเมื่อเจอหน้าเจ็ท ยังคิดไม่ทันออกทุกอย่างก็ต้องชะงักเมื่อบานประตูไม้เปิดออกมา เขาสะดุ้งไม่ต่างจากผมที่เผลอแสดงอาการลนลาน อยากขุดพื้นหนีออกไปเดี๋ยวนี้เลย อับอายขายขี้หน้าชะมัด ตอนแรกเคยเย็นชากับน้องไว้เยอะ แล้วดูตอนนี้สิ หลงมันหัวปักหัวปำเลยมั้ง

“เอ่อ... พี่ทาวน์มีอะไรหรือเปล่าครับ”
เป็นเจ็ทที่ได้สติกลับมาก่อนแล้วเอ่ยถามผมที่ทำได้เพียงแกล้งตีสีหน้าเรียบเฉยเหมือนปกติทั้งๆ ที่หัวใจเต้นแรงมาก ชนิดที่ว่าถ้ากระเด้งออกมาจากอกได้คงนอนอยู่บนพื้นแล้ว

ผมไม่ได้ตอบคำถามแต่เบี่ยงตัวเดินผ่านเจ็ทเข้าไปในห้อง เด็กน้อยขมวดคิ้วมองด้วยท่าทีสงสัยแต่ก็จอมปิดประตูแล้วตามมาหย่อนก้นลงบนเตียงข้างๆ กัน จะพูดยังไงดีให้มันไม่ได้ใจไปมากกว่านี้วะ ใครที่เป็นแฟนกับเพศเดียวกันต้องคิดหนักทุกคนแบบนี้หรือเปล่า อยากขอคำปรึกษา

“จะจ้องกันทำไม”
ผมถามเสียงขุ่นเมื่อดวงตาคมไม่ยอมละจากใบหน้า ถึงท่าทางของเจ็ทจะดูมึนงง แต่บรรยากาศรอบตัวช่างอันตรายเหลือเกิน เหมือนเสือที่รอตะครุบเหยื่อทีเผลอ

“พี่มาให้ผมกอดเหรอ”
คำถามซื่อๆ แต่กลับทำให้ผมเบิกตากว้าง หัวใจกำลังเต้นผิดจังหวะราวกับเด็กโดนจับได้ว่าแอบกินลูกอม อุตส่าห์ท่องไว้ในใจตลอด ‘มาที่นี่ก็แค่จะนอนเป็นเพื่อน’ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

“คิดอะไร แค่มานอนเป็นเพื่อนในฐานะเจ้าบ้านที่ดี”
ผมบอกสิ่งที่พยายามท่องมาตลอดหลายนาทีที่ผ่านมา ไม่ยอมสบตากับคนข้างตัวเพราะลึกๆ แล้วคงเป็นอย่างเจ็ทได้ถามไว้ ‘นอนกอด’ ก็อยากลองว่ามันจะอุ่นหรืออึดอัดสักแค่ไหน แต่กลัวว่าถ้าเผลอติดใจคงลำบากแน่ๆ กับแฟนคนเก่าไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลย บ้าจริง

“ต้องบอกว่าเป็นแฟนสิครับ”
มันว่าเสียงกลั้วหัวเราะ ใบหน้าหล่อยิ้มกรุ้มกริ่มจนผมอยากเอานิ้วจิ้มตาวาวๆ นั่นซะให้เข็ด ขยันใช้คำว่าแฟนเหลือเกิน ไม่รู้เลยใช่ไหมว่ามันทำให้ใจสั่นแค่ไหน ระวังตัวไว้เถอะ ตอนโดนเอาคืนจะร้องไม่ออก

“อย่าเล่นมุกควายๆ”
ผมยกมือผลักหัวแฟนด้วยความหมั่นไส้ ไม่ได้โมโหแต่ทำไปเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกข้างในที่มันพาลจะยิ้มทุกที มุกควายๆ แต่อานุภาพทำลายล้างช่างสูงเหลือเกิน

“จุกเลยครับ”
เจ็ทโอดโอยเหมือนคนถูกทำร้ายอย่างหนัก แต่ดวงตาคมที่ช้อนมองกลับมีความเจ้าเล่ห์แฝงอยู่ ถ้าไม่รีบตัดบทตอนนี้มันต้องรู้ความลับที่ผมกำลังเขินแน่ๆ แล้วโคมไฟเนี่ยจะเปิดอีกนานไหมวะ

“หุบปากแล้วก็นอนลงไป”
ผมโบกมือไล่ก่อนจะสอดตัวเข้าในผ้าห่มผืนเดียวกัน คืนนี้ต้องนอนด้วยกันก็ว่าห้ามใจยากแล้ว เจอสถานการณ์ต้องตัวติดกันอีก ดูสิว่าใครตบะแข็งกว่ากัน เพราะเรื่องอยากแตะต้องตัวคนที่เรารักมันธรรมดามากจนน่ากลัว

“ครับๆ นอนแล้ว”
เด็กว่านอนสอนง่ายก็ทิ้งตัวลงนอนข้างๆ ในขณะที่ผมปิดเปลือกตาลงเพราะกลัวว่าจะเผลอหันไปมองใบหน้าหล่อนั่น ตาคม จมูกโด่ง คิ้วเข้ม ปากรูปกระจับ สันกรามที่ดูดุดัน... อ่า ชักจะหลงคนที่ชื่อภาคินเข้าทุกวัน ไม่น่าเชื่อเลยว่าตัวเองสามารถรู้สึกกับเพศเดียวกันได้มากขนาดนี้ เขาเรียกแพ้ทางหรือเปล่านะ

ผมนอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ใต้ความมืดและความเงียบที่โรยตัวระหว่างเราสองคน โคมไฟดวงน้อยถูกปิดแล้ว เหลือเพียงแสงจากดวงจันทร์ที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามา บรรยากาศของบ้านสวนดีกว่าคอนโดในกรุงเทพมากโข ถ้าเป็นไปได้ตอนเรียนจบก็อยากมาทำงานที่นี่ แต่ไอ้คนข้างตัวมันจะทำยังไงนะ ช่างเถอะ เรื่องของอนาคตยังอีกยาวไกล เผลอๆ ตอนนั้นอาจเลิกลากันแล้วก็ได้

“พี่ทาวน์ หลับหรือยังครับ”
น้ำเสียงทุ้มถามขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ผมที่แกล้งหลับไปแล้วเลยอยากเนียน เผื่อมันจะหลุดพูดอะไรแปลกๆ ออกมาบ้าง

“.....”
ได้ยินเสียงถอนหายใจจากคนข้างๆ ก็นึกอยากเอื้อมมือไปตบหัวเหลือเกิน เรื่องเยอะจริงๆ เด็กคนนี้ เครียดอะไรอีกล่ะ

“เงียบขนาดนี้แสดงว่าหลับแล้วล่ะสินะ”
ทำเสียงอ่อยแบบนั้นใครมันจะใจร้ายใส่ลงวะ เจ้าเล่ห์นักนะเจ้าเด็กเมื่อวานซืน

“มีอะไร คนจะนอนแล้ว”
ผมแสร้งทำเสียงหงุดหงิดก่อนจะพลิกตัวไปจ้องหน้ามันเขม็ง แต่ไม่นานก็เลื่อนสายตาไปที่ปลายคาง จู่ๆ ก็อยากชิมริมผีปากนั่นอีกครั้ง แต่ไม่อยากเป็นคนเริ่มแล้วนี่หว่า อายตัวเองโคตรๆ

“กอดได้ไหมครับ”
คำถามที่ใช้เสียงออดอ้อนนั้นทำให้ผมเผลอแก้มร้อน ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้สบตากันแต่ลมหายใจอุ่นๆ ที่ตกกระทบนั้นชวนให้ใจหวิว ถ้ากอดแล้วเหตุการณ์เมื่อตอนเที่ยงเกิดขึ้นอีกครั้งคงไม่มีอะไรหยุดได้แล้ว ถามว่าพร้อมสำหรับเรื่องเซ็กไหม ตอบเลยว่ายังไม่มั่นใจ... รอให้คบกันนานกว่านี้หน่อยค่อยว่ากันอีกครั้ง

“ไม่ได้”
ผมตอบเสียงหนักแน่นก่อนจะพลิกตัวนอนหงายเมื่อความอุ่นของลมหายใจทำให้หวั่นไหว ลึกๆ ก็อยากทำเหมือนคนเป็นแฟนทั่วไปปฏิบัติต่อกัน แต่ด้วยความที่เป็นผู้ชายเกิดอารมณ์ง่ายและเรื่องเซ็กซ์มันเป็นพื้นฐานของชีวิต ไม่ควรเสี่ยงอย่างยิ่ง...

“แต่ผมอยากกอดนี่”
เสียงกระเง้ากระงอดพร้อมกับแรงเขย่าบนเตียงทำให้ผมเผลอกลั้นหายใจ ได้แต่ภาวนาให้เจ็ทเป็นเด็กดีขี้เกรงใจเหมือนเดิม เพราะถ้าเขาเริ่มอะไรสักอย่างแล้ว นานเมืองเหนือคงไม่ออกปากห้าม มีแต่จะคล้อยตาม

“ขัดใจเดี๋ยวโดนถีบ”
สถานการณ์อันตรายจนต้องออกปากขู่ไว้ก่อน เจ็บใจตัวเองที่ไม่ยอมแบกหมอนข้างมาด้วย จะเอาอะไรกั้นวะเนี่ย เป็นว่าที่หมอก็มีมุมโง่ได้เหมือนกัน

“โธ่ ร้ายกาจใส่ตลอด”
ไม่ร้ายกาจก็เสร็จมึงไปนานแล้วสิครับแฟน อย่าคิดว่ากูไม่รู้นะเจ็ท จ้องจะปล้ำกันอยู่ตลอดเวลาขนาดนั้น

“นอนๆ ไป ฝันดี”
ผมตัดบทด้วยการออกปากไล่แล้วนอนหันหลังให้ ไม่ได้อ่อยอย่าเข้าใจผิด แค่กลัวว่าตัวเองจะนอนละเมอเป็นฝ่ายกอดเขาแทน

“ฝันดีครับ รักนะ”
เจ็ทยังคงเป็นเด็กดีด้วยการยอมรับคำง่ายๆ แถมท้ายด้วยการบอกรักที่ทำให้ริมฝีปากกระตุกเป็นรอยยิ้ม ขอบคุณที่รักและให้เกียรติกันขนาดนี้ ผมก็รู้สึกไม่ต่างจากมันหรอกแต่ขี้เกียจพูด ง่วงแล้ว

ผ่านไปนานแค่ไหนไม่อาจจะรู้ได้ ลมหายใจอุ่นที่เป่ารดต้นคอช่างรบกวนการนอนเหลือเกิน ในขณะที่พยายามข่มตาหลับกลับสัมผัสได้ถึงความหนักที่เอวสอบ บางอย่างพาดทับลงมาอย่างถือวิสาสะ ผมขอเอาคำชมว่าเด็กดีคืนเถอะ ไอ้เจ็ทมันร้าย สุดท้ายก็กอด

ผมขยับกำลังจะพลิกตัวกลับไปด่า แต่ความอุ่นจากร่างกายกำยำ แผ่นหลังแนบชิดอกแกร่งทำให้ริมฝีปากปิดสนิท ยิ่งโดนกดจูบลงกลางกระหม่อมก็เหมือนเรี่ยวแรงทุกอย่างหดหายไม่สามารถต่อต้านได้ เกลียดตัวเองที่เดี๋ยวนี้ยอมใจอ่อนให้คนที่มีสถานะแฟนเสมอ ต่อไปจะเคยตัวหรือเปล่านะ

“ขอโทษนะครับที่ล่วงเกิน แต่ช่วยตื่นมาด่าผมพรุ่งนี้ทีเดียวแล้วกันเนอะ”
เสียงพึมพำคำขอโทษที่ฟังแล้วให้อารมณ์กล้าๆ กลัวๆ ทำให้ผมต้องเม้มปากกลั้นยิ้มอยู่นาน ไม่ว่าเขาจะเจ้าเล่ห์แค่ไหนก็ยังให้เกียรติและเกรงใจอยู่เสมอ ถือว่าให้รางวัลก็แล้วกัน นอนแบบนี้ก็อุ่นดี

ผมผล็อยหลับไปตอนเกือบตีสาม รู้สึกตัวอีกทียามแสงแดดลอดผ่านรอยแยกของผ้าม่าน กำลังจะขยับกายบิดขี้เกียจแต่ต้องชะงักเมื่อแขนของใครบางคนยังทายทับอยู่บนเอวสอบ เสียงหายใจเข้าออกสม่ำเสมอทำให้รู้ว่าเจ็ทยังอยู่ในห้วงนิทรา คงฝันหวานอยู่แน่ๆ น่าหมั่นไส้ชะมัด

เสียงฝีเท้าด้านนอกทำให้ผมตัดสินใจยกแขนของเจ็ทออกจากลำตัวแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียง พยายามที่จะย่องออกจากห้องแต่กลับโดนมือหนาคว้าเอาไว้จนหงายหลังทับอีกคน เล่นอะไรของมันวะ

“ทำไมรีบตื่นจังครับ”
เจ็ทถามเสียงงัวเงียก่อนสอดแขนรวบกอดรอบเอวสอบไว้แน่นราวกับว่ากลัวผมจะหนีหาย ด้วยความหมั่นไส้เลยฟาดลงบนหลังมือไปทีหนึ่ง นับวันยิ่งออกลาย ใครร้ายกาจกว่ากันนะตอนนี้ หึ

“กลัวโดนด่าหรือไง”
ผมถามกลับด้วยเสียงเรียบทั้งทีมุมปากมีรอยยิ้ม เจ็ทสะดุ้งเฮือก ได้ยินเสียงลำลักลมหายใจเบาๆ ตามมา ตกใจอย่างกับแอบไปขโมยเงินใครมาแล้วโดนจับได้ นิสัยเด็กจริงๆ เลย

“สะ แสดงว่าเมื่อคืนตอนผมกอด พี่ก็ไม่ได้หลับอย่างนั้นเหรอ”
น้ำเสียงตะกุกตะกักพร้อมแรงกอดที่คลายออกทำให้ผมนึกขำ ไอ้เจ็ทคนเจ้าเล่ห์ที่แอบลักหลับคนอื่นหายไปไหนแล้ว เหรือแต่คนกากๆ ที่เป็นแฟนของผม น่ารักจริงๆ เลย ไม่แกล้งก็แล้วกัน

“ใช่”
ผมตอบไปตามตรงก่อนจะหันไปเผชิญหน้า เจ็ทผงะถอยจนเกือบตกเตียง ดวงตาคมฉายแววตื่นตะหนก

“ละ แล้วทำไมถึง... ยอม”
ช้อนตามองกันอย่างกล้าๆ กลัวๆ มือที่เคยเกาะเกี่ยวเอวสอบยกขึ้นลูบหน้าอย่างกังวล ผมชอบท่าทางน่าแกล้งแบบนั้นจนหลงรักมันจนถอนตัวไม่ขึ้น

“ก็... อุ่นดี”
ผมคลี่ยิ้มหวานส่งให้ แม้ข้างในจะอายแทบตาย การพยายามเลิกปากแข็งนี่... ไม่ไหวเลย หน้าร้อนไปหมด เจ็ทที่มองอยู่ถึงกับสูดหายใจเข้าแรงๆ ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรมากหรือเปล่า ตกใจกับคำตอบเหรอ

“ขอฟัดได้ไหม”
คำขอแบบโต้งๆ ทำให้ผมผงะถอยหลัง แต่ไม่ทันมือหนาที่คว้าหลับเข้าที่ต้นแขนออกแรงกระตุกจนใบหน้าของเราอยู่ห่างกันแค่คืบเดียว ปลายจมูกเสียดสีไปมาจนพาลให้หัวใจเต้นระรัว เวลาเช้าแบบนี้ อะไรๆ ใต้กางเกงมันก็ตื่นเป็นธรรมดาของผู้ชายที่มีสุขภาพแข็งแรงอยู่แล้ว เจอของกระตุ้นแบบนี้ควรทำยังไงดีวะ

“อะไรของมึง”
ผมหลุบตาลงมองต่ำ พยายามขืนตัวออกจากอ้อมกอดอุ่นๆ ภายใต้อุณหภูมิต่ำของเครื่องปรับอากาศ แต่การทำแบบนั้นกลับยิ่งยุให้อีกคนรัดแน่นมากขึ้น ชาติที่แล้วมึงเคยเป็นปลาหมึกหรือไง

“ก็พี่ทาวน์อยากทำตัวน่ารักก่อนเอง ผมมันเขี้ยว”
ไม่พูดเปล่าแต่มันอ้าปากงับเข้าที่เอวของผมเต็มๆ จนเผลอง้างมือฟาดเต็มกบาล ได้ยินเสียงร้องโอดโอยแล้วสะใจชะมัด

“ถามจริงเหอะ จ้องจะปล้ำกูวันละกี่รอบ”
ผมใช้มือทั้งสองประคองใบหน้าหล่อเอาไว้พร้อมกับออกแรงขยี้แก้มด้วยความมันเขี้ยว ในตอนที่ปากกระจับยู่ไปมาโคตรตลกเลย

“ให้ตอบจริงๆ เหรอ เขินจัง”
เสียงอู้อี้ถามกลับมา ขนาดแก้มบี้จนจะเละคามือของผมก็ยังส่งสายตากรุ้มกริ่มมาให้ ขอไอ้เจ็ทคนที่น่ารักใสๆ ซื่อๆ เหมือนควายกลับมาได้ไหม หรือจริงๆ แล้วตั้งแต่แรกมันหลอกลวงมาตลอด

“อย่าทำตัวตอแหล ตอบมา”
ผมตบป้าบเข้าที่แก้มหนึ่งครั้งแล้วจ้องเขม็งเพื่อเค้นคำตอบ ไอ้เจ็ทบุ้ยปากเพราะโดนทำร้าย แต่ไม่นานก็คลี่ยิ้มหวานจนน่าขนลุก แล้วไอ้มือปลาหมึกเนี่ยจะลูบแขนคนอื่นทำไม ขนลุกไปทั้งตัวแล้ว

“โหย ก็... วันละหลายรอบ แต่ผมรอพี่สมยอมนะ”
คำพูดคำจาฟังดูดีและผมก็เชื่อว่ามันจะทำแบบนั้นได้ตลอดลอดฝั่ง ให้รางวัลเด็กสักหน่อยก็แล้วกัน

“หึหึ เด็กดี อยากได้รางวัลไหม”

“ไม่อยากได้ครับ แต่อยากให้รางวัลพี่ทาวน์มากกว่า”
แววตาเจ้าเล่ห์ที่คอยหลอกล่อให้ผมติดกับอยู่เสมอส่งตรงมาจนทำให้หัวใจเต้นรัว อยากแสดงความยินดีที่วันนี้มันทำสำเร็จแล้ว ผมยอมทุกอย่างถ้าเป็นเจ็ทที่ขอร้อง แต่อย่าไปบอกมันเชียวล่ะ เดี๋ยวจะเหลิง

“เอาสิ”

จบคำพูดเชิญชวนผมก็ถูกมือหนาประคองท้ายทอยแล้วตามด้วยริมฝีปากอุ่นทาบทับลงมา อยากจะท้วงเรื่องแปรงฟันแต่เกินเลยมาถึงขั้นนี้ก็ช่างแม่งเถอะ แรงดูดดุดและขบเม้มทำให้อุณหภูมิภายในร่างกายสูงขึ้น ต่างคนต่างไม่มีใครยอมแพ้ แลกรสจูบกันอย่างเมามัน เสียงน้ำลายเฉอะแฉะน่าอายทำให้หัวใจเต้นรัว พาลให้ความคิดเตลิดไปมากกว่านั้น

เราผละออกจากกันเพียงชั่วครู่แล้วเคลื่อนตัวเข้าหากันอีกครั้ง มันร้อนแรงขึ้น ยั่วยวนขึ้นและเต็มไปด้วยอารมณ์ปรารถนา มือหนาของอีกคนลูบไล้แผ่นหลังกว้างอย่างเนิบนาบ ผมบีบขยำเสื้อยืดสีขาวตัวบางของเจ็ทไว้แน่นเพื่อระบายความรู้สึกวาบหวามที่ก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีทีท่าว่าจะมอดลงง่ายๆ อ่า... ปล่อยตัวปล่อยใจอีกแล้วนายเมืองเหนือ แย่จริง

ลมหายใจขาดห้วงจนผมต้องทุบอกอีกคนประท้วง เราผละออกจากกันอีกครั้ง ได้ยินเสียงหอบเบาๆ ก็พาลเรียกเลือดให้ขึ้นไปกองบนใบหน้า ไม่กล้าสบตา รสจูบเมื่อครู่มันรุนแรงแทบควบคุมสติไม่อยู่ ถ้าตอนนี้อยู่ที่คอนโดไม่ใช่บ้าน อะไรๆ คงเตลิดมากกว่านี้

“อึก ฉิบหาย ผม...”
น้ำเสียงกระเส่าขาดท่อนจากคนตรงหน้าทำให้ผมต้องช้อนตามองอย่างเลี่ยงไม่ได้ เจ็ทมีท่าทางอึดอัดคงกำลังอดกลั้นสุดความสามารถ

“มีอารมณ์หรือไง”
ผมถามทั้งๆ ที่รู้ จะช่วยยังไงดี

“ครับ...”
เจ็ทตอบเสียงแผ่วก่อนจะเลื่อนมือไปปิดเป้า ใบหน้าหล่อแดงก่ำ มีอะไรฉิบหายไปกว่าการทำให้แฟนมีอารมณ์กับตัวเองได้แล้วมานั่งเขินแบบนี้บ้าง ตอนคบพรีมก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้ แน่แล้วไอ้เมืองเหนือ สัญญาณอันตรายชัดๆ

“ไปห้องน้ำสิ”
ผมชี้นิ้วไปทางห้องน้ำตามสเต็ป ใครมันจะกล้าเสนอตัวชวนทั้งๆ ที่รู้ว่าเสี่ยง

“ไม่ช่วยผมหน่อยเหรอ เบื่อเมียทั้งห้าแล้วอะ อยากมีเมียใหม่”
เจ็ทขยับมาใกล้ก่อนจะถูไถหัวลงบนลาดไหล่อย่างออดอ้อน ผมผละออกด้วยความตกใจปนอึ้ง ไอ้เด็กที่ขี้ขลาด แค่จูบก็ยังไม่กล้ามันหายไปไหนวะ ขอคืนได้ไหม ไม่เอาคนเจ้าเล่ห์แบบนี่แล้ว ตามไม่ทัน

“ถ้ายังล้อเลียนอีก จะบีบให้หน้าเขียวเลย”
ผมว่าเสียงลอดไรฟันแล้วจ้องเป้าเพื่อขู่ เจ็ทผงะถอยหลังก่อนจะลนลานลงจากเตียง มือชี้สะเปะสะปะไปทางห้องน้ำทันที ไอ้เด็กน้อยน่ารักมันกลับมาแล้ว หึหึ ไม่แน่จริงนี่หว่า

“โอย ไม่เอาครับ งะ งั้นผมขอไปห้องน้ำก่อนนะ”
มันพูดจบก็หมุนตัววิ่งเข้าห้องน้ำไปทันที ปล่อยให้ผมนั่งขำและถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่สามารถผ่านพ้นช่วงวิกฤติไปได้ ถ้าบ้านมีความเป็นส่วนตัวมากกว่านี่ไม่ต้องคิดเลยว่าเราจะเลยเถิดไปถึงขั้นไหน

ผมเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์เพื่อจะเช็คว่าใครติดต่อมาบ้าง แต่แล้วต้องชะงักกึกเมื่อหูได้ยินเสียงแว่วออกมาจากห้องน้ำ ขนอ่อนในกายลุกชันอย่างพร้อมเพรียง หัวใจเต้นแรง ใบหน้าร้อนผ่าว ทำไมสถานการณ์มันแย่ลงกว่าเดิมวะ... มีอะไรผิดพลาดไปเหรอ

“อะ อา... พะ พี่ ทาวน์ อืม ~”
เสียงโคตรเร้าอารมณ์ จากที่ผมรู้สึกแค่นิดๆ ตอนนี้รู้สึกว่าน้องชายกำลังอยู่ไม่สุขเข้าให้แล้ว

“สัด...”
จะเรียกชื่อกูทำไมไม่ทราบ... ทำแบบเงียบๆ ไม่ได้หรือไงวะ

“อึก อะ อา ทาวน์ อืม แรงอีก อา สิครับ ซี๊ด”
เลิกกับมันตอนนี้ทันไหม แล้วไอ้คำเรียกชื่อห้วนๆ ทำไมผมต้องเขินแทนที่จะโกรธ มือเรียวยกขึ้นขยี้หัวจนยุ่งเหยิงก่อนทิ้งตัวลงบนหมอนแล้วถูแก้มจนรู้สึกเจ็บ ไม่เคยงุ่นง่านขนาดนี้มาก่อนเลย ให้ตานเถอะ!

“แม่ง... ไอ้เชี่ยเจ็ท!”
ผมตะโกนด่าคนในห้องน้ำก่อนจะหยิบโทรศัพท์แล้วพุ่งออกจากห้องโดยเร็ว ไม่อยากฟังเสียงครางบ้าบอนั่นอีกแล้ว หัวใจยังไม่แข็งแรงพอ

ช่วงสายของวันที่ผมสัญญาว่าจะพาเจ็ทออกไปเล่นน้ำสงกรานต์รอบคูเมืองเชียงใหม่เป็นอันต้องพับเก็บ เนื่องจากฟ้าฝนไม่เป็นใจและประมุขของบ้านกลับมาจากการประชุม บรรยากาศอึมครึมคล้ายกับความรู้สึกของผมตอนนี้เมื่อกระดาษแจ้งผลการเรียนเมื่อเทอมที่แล้วถูกพ่อหยิบขึ้นมา

ดีหน่อยที่เจ็ทแยกตัวไปนั่งเล่นที่ศาลา ไม่อย่างนั้นคงตกใจกับการกระทำของพ่อ

“เกรดวิชานี้หมายความว่ายังไง”
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นจากกระดาษแจ้งผลการเรียน ผมเข้าใจทันทีว่าพ่อหมายถึงอะไร เขาแค่ต้องการคำตอบว่าทำไมเทอมนี้ถึงมีเกรด ‘บีบวก’ โผล่มา

“ตามนั้นครับ”
ผมตอบไปตามนิสัย ไม่มีการอธิบายหรือหว่านล้อมด้วยคำสวยหรู ที่เกรดตกเพราะปัจจัยหลายๆ อย่าง เซเรื่องพรีมก็เป็นหนึ่งเหตุผลในนั้น

“แย่”
คำตอบรับสั้นๆ ของพ่อทำให้ผมถึงกับมือสั่น แค่เกรดบีบวกมันจะตายหรือไง แค่นี้ไม่ได้ทำให้เกียรตินิยมที่เขาอยากได้หลุดลอยไปไหนหรอก

“พ่อ ผมไม่ได้ติดเอฟ”
เขาทำหน้าอย่างกับผมไปทำคนไข้ตายคามือ สายตาดูถูเหยียดหยามนั่นควรใช้กับลูกจริงๆ หรือ เกรดไม่ได้เป็นทุกอย่างของชีวิต แต่รู้ว่ามันสำคัญสำหรับพ่อที่อยากให้ลูกชายเป็นที่หนึ่งในทุกเรื่อง

“แกต้องได้เอทุกตัว”
พ่อพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังคล้ายกับว่าถ้าไม่ได้เอขึ้นมาสักตัวโลกจะแตก ผมแค่คนธรรมดามีสิ่งที่ถนัดและไม่ถนัดปะปนกันไป ที่เลือกเรียนหมอเพราะใจรัก แต่เขาไม่ควรกะเกณฑ์ผลของมันมากขนาดนี้

“ผมไม่ใช่อัจฉริยะ”
ผมพยายามใจเย็นอย่างที่สุด รู้ว่าพ่อหวังดีทุกอย่าง แต่ต้องไม่ใช่การบังคับและเอาแต่ต่อว่าเมื่อเราทำไม่ได้อย่างที่เขาตั้งความหวังไว้ การแบกรับความรู้สึกคนอื่นบางครั้งมันก็หนักเกินไปจนท้อ

“แต่แกเป็นลูกชายของฉัน”
คำนี้วนเวียนอยู่ในสมองนับพันครั้ง ผมเป็นลูกชายผอ.โรงพยาบาลจำได้ขึ้นใจ ถ้ามันยากนักขอลาออกจากตำแหน่งนี้ได้ไหม เพราะความกดดันแบบนี้ การกลับบ้านเลยน่าเบื่อ

“ผมทำได้ขนาดนี้แต่พ่อยังไม่พอใจก็ขอโทษด้วยครับ”
ผมไม่ได้ประชดแต่พูดไปตามความจริง ทุ่มเททุกอย่างเพื่อการเรียน พยายามทำมันให้ดีทุกครั้ง ไม่เคยเกเร ไม่เคยนอกลู่นอกทาง เป็นเด็กดีเสมอ แต่ผลตอบรับของคนเป็นพ่อเห็นลูกสำคัญเทียบเท่าใบเกรดอย่างนั้นเหรอ อยากหนีตามแม่ไปอยู่บนสวรรค์เหลือเกิน

“จะไปไหนก็ไป”
โบกมือไล่อย่างเหลืออด ผมเลยทำได้แค่ยกมือไว้แล้วเดินลงบันไดตรงไปที่ศาลาด้วยอารมณ์ที่เป็นปกติ ชินแล้วกับนิสัยแบบนี้ของคนเป็นพ่อ เอาแต่ใจ คาดหวังสูง ไม่เคยให้กำลังใจในสิ่งที่ทำผิดพลาด และไม่มีใครชนะเขาได้แม้กระทั่งแม่

“เจ็ท ไปเก็บของ”
ผมพูดในขณะที่เดินจนถึงตัวศาลา เจ็ทที่ฉีกยิ้มกว้างเมื่อครู่กลับขมวดคิ้วแน่นราวกับสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นบนบ้าน

“พ่อไล่กู ไปเก็บของเถอะ”
ผมไม่รอช้าให้เจ็ทถามอะไรก็หมุนตัวกลับขึ้นบ้านเพื่อเก็บของ การเยี่ยมเยียนจบลงเท่านี้ หวังว่าผ่านไปสักหนึ่งเดือนเขาจะรับความเป็นคนธรรมดาของนายเมืองเหนือคนนี้ได้ ไม่ผิดที่เขาจะคาดหวัง แต่ถ้ามันมีขอบเขตบ้างก็คงดี




ต่อด้านล่างน้า







CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
ตลอดทางจากบ้านเรือนไทยสู่บ้านจัดสรรโครงการใหญ่ผมปิดปากเงียบมาตลอดทางเพราะไม่สะดวกที่จะเล่าให้คนข้างๆ ฟัง เจ็ทก็ดูเป็นห่วงจนอดนึกสงสารไม่ได้ อยากดึงมันมากอดชาร์ตกำลังใจเหลือเกิน แต่ตอนนี้คงไม่สะดวกในเมื่อลูกพี่ลูกน้องจ้องเราทั้งคู่ตาวาว

“เพื่อนเหรอ”
ชายหนุ่มหน้าหวานในชุดลำลองเอ่ยถามขึ้นอย่างสนใจ เขามองเจ็ทตั้งแต่หัวจรดเท้า ดวงตากลมฉายแววกรุ้มกริ่มจนผมเผลอกัดปากตัวเอง ‘พี่กั้ง’ มันเป็นเกย์

“รุ่นน้อง”
ผมตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของเราทั้งสองคน ยังไม่รู้ว่าพ่อจะรับเรื่องนี้ได้มากแค่ไหนถ้าเกิดไอ้พี่กั้งปากโป้งออกไป

“เหรอ หล่ออะ อยากได้จัง”
กั้งเบียดตัวกระแซะเด็กน้อยด้วยท่าทางกะลิ้มกะเหลี่ยอย่างโจ่งแจ้ง เจ็ทยิ้มแหยเพราะไม่รู้จะทำยังไงดี มาอาศัยเขาอยู่จะออกตัวแรงก็ไม่ได้

“คือผม... มีแฟนแล้วครับ”
ถึงน้ำเสียงจะขาดห้วงไปบ้างแต่ผมสัมผัสได้ถึงความจริงจังในแววตานั่น รู้สึกอยากขอบคุณเจ็ทสักร้อยครั้งที่ทำให้รู้สึกดีเสมอ

“น่าเสียดายจัง แต่พี่ไม่แคร์หรอกน้า”
กั้งคลี่ยิ้มหวานก่อนจะลากนิ้วมือไปตามสันกรามของคนเด็กกว่าด้วยความยั่วเย้า ผมกัดฟันกรอดมองคนทั้งคู่ด้วยอารมณ์คุกรุ่น นายเมืองเหนือไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามกับคนของตัวเอง

“หยุดลวนลามน้องมันสักทีเถอะกั้ง”
ผมว่าเสียงเรียบก่อนจะปัดมือนั่นทิ้งอย่างไม่ใยดี กั้งชะงักไปส่วนเจ็ทถึงกับเบิกตาโตไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

“หวงเหรอ หืม ~”
หมอเด็กเปลี่ยนมาหยอกผมแทนด้วยน้ำเสียงทะเล้น มันต้องรู้แล้วแน่ๆ ว่าอะไรเป็นอะไร ฉลาดเป็นกรดซะอย่างนั้น

“เออ อย่ายุ่ง”
ผมลุกขึ้นแล้วลากเจ็ทให้ออกห่างจากกั้งแล้วแทรกตัวระหว่างทั้งสองคนแทน เกลียดตัวเองจริงๆ ที่แสดงอาการจนโดนจับได้ แฟนทั้งคนใครไม่หวงก็บ้าแล้ว

“แหม บอกว่าเป็นแฟนกันก็จบปะเมือง ปิดบังอยู่ได้”
กั้งพูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะโอบหัวผมไปกอดเหมือนลูกคนหนึ่ง ท่าไม่ติดว่ามาขออาศัยบ้านเขาอยู่จะเขกกะโหลกสักที โทษฐานทำอะไรไม่เคยปรึกษา อายแขกที่มาเยือนหน่อยสิวะ

“กั้งพูดง่ายว่ะ”
ผมบ่นอุบ

“กั้งไม่เอาไปฟ้องอาหรอกไว้ใจได้ ความรักไม่ว่ากับเพศไหนมันก็ดีทั้งนั้น”
กั้งลูบหัวกันเบาๆ เหมือนต้องการปลอบประโลมความกลัวก่อนหน้านี้ให้จางหายไป ผมพยักหน้ารับกับอกบางนั่น

“ขอบคุณที่เข้าใจ”
ผมเอ่ยขอบคุณก่อนผละตัวออกมา ใครว่านั่งกอดท่านั้นมันสบาย เมื่อยคอจะตาย

“แล้วทำไมถึงมาที่นี่”
กั้งถาทด้วยน้ำเสียงจริงจัง เพราะก่อนหน้านี้ผมแค่โทรมาขอค้างด้วยเท่านั้น ไม่ได้บอกเหตุผลเพิ่มเติม

“พ่อไล่น่ะ”
ผมตอบ ไหวไหล่ให้รู้ว่ามันก็แค่เรื่องธรรมดาที่สามารถพบเจอได้ทุกครั้งที่พ่ออารมณ์เสียหรือไม่พอใจอะไรสักอย่างในโลกใบนี้

“อีกแล้วเหรอ”
กั้งเบ้ปากเนื่องจากรู้ดีว่าคุณอาของมันนิสัยเป็นยังไง ขนาดลุงยังเพลียกับพฤติกรรมของพ่อแต่พูดมากไม่ได้ ลูกคนเล็กก็แบบนั้นล่ะ เอาแต่ใจเป็นที่หนึ่ง ย่าบอกมาน่ะนะ

“อืม”

“เรื่องอะไรล่ะคราวนี้”

ผมได้ทีเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทั้งสองคนฟังไปพร้อมๆ กัน ท่าทีของกั้งก็เหมือนทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้แต่สำหรับเจ็ทแล้วมันคงเป็นความแปลกใหม่เพราะเขาดูตกใจเป็นอย่างมาก

เรื่องที่เคยบอกว่าจะเอาเกรดไปแลกรถกับพ่อนั้นโกหกทั้งเพ ก็แค่อยากพูดขำๆ ให้เด็กน้อยฟัง ไอ้บีเอ็มฯ คันใหม่นั่นย่าเป็นคนซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดต่างหาก เขาคนนั้นแค่คำอวยพรยังไม่มีเลย เวลาทั้งหมดก็ให้กับงาน งาน งาน

กั้งหนีไปโรงพยาบาลเพราะมีเคสด่วนเข้ามาปล่อยให้ผมกับเจ็ทนั่งดูหนังรีรันโง่ๆ อยู่ในบ้านจัดสรรหลังใหญ่ มีหมาพันธุ์ปอมเมอเรเนี่ยนคลอเคลียเด็กนั่นไม่ห่าง ขออิจฉาได้ไหมล่ะ เจอกันวันแรกหอมหัวจูบแก้มขนาดนั้น

“พ่อพี่ทาวน์ดุเนอะไข่ตุ๋น”
เจ็ททำเสียงเล็กเสียงน้อยคุยกับเจ้าเปี๊ยกราวกับมันรู้เรื่อง ผมเผลอยิ้มออกมาให้กับความเป็นเด็กนั่น ไม่ได้นึกโกรธที่เขาว่าพ่อเลย เพราะมันคือเรื่องจริง

“ถ้าเขารู้ว่าเรากับพี่ทาวน์เป็นแฟนกันคงบ้านบึ้มแน่ๆ”
ผมเกือบหลุดหัวเราะเสียงดังเมื่อฟังประโยคนั้นจบ ความคิดมากนี่อยู่คู่กับไอ้เจ็ทจริงๆ ถึงพ่อจะเผด็จการเรื่องเรียนมากแค่ไหน เชื่อเถอะว่าเรื่องความรักคงไม่ก้าวก่าย แต่อาจมีข้อแม้หินๆ ให้เราทำตามทั้งคู่ เพื่อลองใจ

“ประสาทหรือไง คุยกับหมา”
ผมถามก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหัวไอ้ไข่ตุ๋นอย่างนึกเอ็นดู ความจริงแล้วอยากเลี้ยงหมาแต่ด้วยข้อจำกัดหลายๆ อย่างเลยทำได้แค่ชมของคนอื่น เจ็ทบุ้ยปากที่โดนกล่าวหา แต่ไม่นานก็แปรเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มเจ้าเล่ห์ที่ขยับเข้ามาขโมยหอมแก้ม เดี๋ยวนี้ชักจะกล้าหาญเกินไปแล้ว

“ถึงเป็นโรคประสาทแต่พี่ทาวน์ก็รักใช่ไหม”
หมาตัวใหญ่ขยับเข้ามาอ้อนด้วยกันกดจูบลงบนซอกคอเร็วๆ ราวกับกลัวว่าผมจะตีนกระตุก ขนอ่อนในกายลุกชั้นเพราะตรงนั้นคือจุดเรียกเลือดได้เป็นอย่างดี เด็กเวรนี่ ทำอะไรชวนใจเต้นตลอด

“ยังไม่เคยพูดแบบนั้นสักคำ”
ผมแสร้งทำเป็นนิ่งพร้อมกับใช้หางตามองอย่างเยาะเย้ย คนมั่นใจในตัวเองถึงกับหน้าเสียแต่ไม่นานก็คลี่นิ้มเจ้าเล่ห์ เป็นอะไรมากไหมมึง อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ จนน่ากลัว

“ผมสัมผัสได้จากดวงของพี่ มันมีความรักอยู่ในนั้น”
คำพูดหวานเลี่ยนและเข้าข้างตัวเองอย่างที่สุดทำให้ผมถึงกับสะดุดลมหายใจ ไม่ใช่เพราะเขินแต่มันตลกจนกลั้นขำไม่ไหว เจ็ทเห็นแบบนั้นก็เบะปากทันที มุกหยอดไม่ผ่านนะไอ้น้อง ไปเรียนมาใหม่

“กูรักไอ้ไข่ตุ๋นต่างหาก”
ผมขโมยเจ้าเปี๊ยกมากอดไว้เองก่อนจะยกมือลูบหัวลูบหางมันอย่างเอ็นดูโดยไม่สนใจหมาตัวใหญ่อีก ได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ อีกไม่นานมีก่อดราม่าแน่ๆ

“โธ่ กับหมาผมก็สู้ไม่ได้เหรอ”
น้ำเสียงกระเง้ากระงอดมาแล้ว ผมลอบยิ้มอย่างผู้ชนะที่เอาคืนไอ้เด็กนี่ได้ เจ้าเล่ห์มาเจ้าเล่ห์ตอบ ไม่มีโกงอย่างแน่นอน

“รู้ตัวก็ดี”
ผมย้ำอีกครั้งก่อนจะโดนอ้อมแขนแกร่งรวบกอดเอาไว้ ลมหายใจอุ่นๆ ปะทะเข้ากับซอกคอพาลทำให้มือไม้อ่อนจนเกือบเผลอปล่อยไอ้ไข่ตุ๋นร่วง ภูมิต้านทานคนชื่อเจ็ทดูเหมือนจะอ่อนลงเรื่อยๆ ในขณะที่มันกล้าหาญมากยิ่งขึ้น อันตรายจริงๆ

“จับปล้ำซะดีไหมหืม แกล้งผมจังเลยเนี่ย”
เสียงกระซิบแหบพร่าสั่นสะท้านความรู้สึกของผมได้อยู่หมัด สัมผัสขบเม้มที่ติ่งหูเกือบทำให้ขาดสติแล้วตอบตกลง แต่เมื่อเห็นดวงตากลมๆ ของไอ้ไข่ตุ๋นก็ต้องหลุดขำออกมา อายหมาบ้างเถอะวะ สงสารมัน

“ไอ้ไข่ตุ๋นยังเด็ก ทำอะไรเกรงใจมันบ้าง”
ผมผละหัวไอ้เจ็ทออกแล้วยักคิ้วกวนๆ ให้มันก่อนอุ้มไอ้ไข่ตุ๋นขึ้นระดับใบหน้าเพื่อล้อเลียนเจ้าเด็กหื่น ได้ยินเสียงฟึดฟัดไม่พอใจก็ได้แต่ลอบยิ้ม นายภาคินโเนขัดใจซะแล้ว

“พี่ทาวน์... ผมอยากร้องไห้!”
ร้องเลย ผมไม่โอ๋หรอกนะ หึหึ สะใจชะมัด



----------------------------------------------------

หวานจนอยากจะเป็นมือที่สามเพราะความหมั่นไส้เลยวุ้ย
เรื่องพ่อของพี่ทาวน์ดราม่าพอกรุบกริบ ไม่มากฮะ ไม่ต้องกังวล
ใครรุกใครรับอย่าไปเครียดน้า ยังไงเขาก็รักกัน ฮึบๆ

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0

ออฟไลน์ about

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ติดตามจ้า  :L2:

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
แข่งครั้งที่ 30



เสียงเปิดหน้ากระดาษดังสลับกับเสียงถอนหายใจมาร่วมสองชั่วโมง ผมเหลือบมองสิ่งมีชีวิตที่ได้ชื่อว่าฝาแฝดแนบหน้าลงกับโต๊ะอย่างหมดแรง เราต่างคนต่างตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือเตรียมสอบปลายภาค อีกแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้นนรกจะมาเยือนแล้ว

ด้านนอกคอนโดวันนี้อากาศเลวร้ายมากถึงมากที่สุด สายฝนกระหน่ำตกจนมองไม่เห็นทัศนวิสัยใดๆ ทั้งฟ้าแลบฟ้าร้องมากันครบ ผมเคาะปากกาไฮไลท์ลงบนหนังสือเมื่อสิ่งที่อ่านอยู่ไม่เข้าหัวเลยสักนิด อยากจะนอนพักแต่ภาระมันค้ำคอ ที่สำคัญคือคิดถึงว่าที่คุณหมอสุดใจ ทุกวันนี้คุยกันแทบนับคำได้จริงๆ

“เจ๊กอย่าเคาะปากกาดิวะ กูไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ”
เสียงฉุนๆ มาพร้อมกับดวงตาคมที่ตวัดมองอย่างเอาเรื่อง ผมไหวไหล่ใส่มันอย่างไม่ใส่ใจ ทำเป็นขยันไปได้ มึงถอนหายใจทุกครั้งที่พลิกหน้ากระดาษคืออะไรวะ แล้วดูมันเรื่องชื่อ เตะให้เดี้ยงซะดีไหมเนี่ย

“เดี๋ยวกูเตะก้านคอดับ เรียกให้มันดีๆ หน่อย”
ผมชี้หน้าคาดโทษมันแล้วยอมวางปากกาไฮไลท์ลงกับโต๊ะก่อนยืดแขนขึ้นบิดไปมาเพื่อไล่ความเมื่อยขบ จิณณ์บุ้ยปากใส่แล้วฟุบหน้าลงกับหนังสือ ดูท่าทางคงอ่านต่อไม่ไหวแล้วมั้ง ควรเรียกให้ไธขึ้นมาให้กำลังใจหรือเปล่า

“มึงกวนตีนก่อน”
มันว่าเสียงอู้อี้เพราะยังนอนซบท่อนแขนตัวเอง ผมไม่เถียงแต่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อเดินไปหาอะไรกินในครัวเพราะนาฬิกาบนผนังบอกเวลาเกือบบ่ายโมงแล้ว อิ่มเมื่อไหร่จะแอบงีบสักนิด ตื่นค่อยโทรไปกวนพี่ทาวน์

“จะกินอะไรไหม เดี๋ยวทำให้”
ผมหันไปถามเมื่อคิดได้ว่าอีกคนก็ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยง จิณณ์ผงกหัวขึ้นมามองก่อนจะส่ายหน้ารัวๆ แล้วชี้นิ้วลงด้านล่าง คืออะไรของมันวะ กูงงจนต้องยกมือเกาท้ายทอยแล้วเนี่ย

“เดี๋ยวไธซื้อมาฝาก”
มันยิ้มหน้าระรื่นเหมือนไม่เคยทำท่าซังกะตายมาก่อน ผมยืนบดฟันด้วยความหมั่นไส้ อย่าให้กูอยู่ใกล้กับแฟนบ้างนะมึง จะเย้ยให้กระอักเลือดกันไปข้างหนึ่งเลย แต่ตอนนี้กลายเป็นคนขี้อิจฉาตาร้อนว่ะ

“ผัวดูแลดีเนอะมึงเนี่ย”
ผมเหน็บแนมพร้อมกรอกตา จิณณ์ลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะแล้วชี้มือสั่นๆ มาทางนี้ ทำหน้าอย่างกับโดนบังคับให้กินนมบูด กูพูดอะไรผิดอีกล่ะ

“อะไร ใครเป็นผัว ยังไม่ได้กันสักหน่อย”
มันบ่นเสียงงุ้งงิ้งแต่ด้วยความที่ห้องเงียบมาเลยได้ยินอย่างชัดเจน ผมถึงกับเบ้ปากแล้วยกนิ้วกลางให้ นึกว่ากูโง่หรือไง ไอ้รอยต่างๆ นานาบนตัวพวกมึงเนี่ยหมาตัวไหนทำหื้ม อยากจะถ่ายรูปเก็บหลักฐานเอามาประจานเหลือเกิน

“โห ยังมีหน้ามาตอแหล รอยดูดรอยข่วนที่คอนี่มึงอย่าบอกว่าเล่นกันนะ”

“ไม่ได้เล่นเว้ย เอาจริง แต่ยังไม่ได้กัน”

“ห๊ะ คือยังไง”
ผมนี่แทบปล่อยลูกตาให้กลิ้งลงพื้น เอาจริง แต่ไม่ได้กันหมายความว่าไงวะ งงในงงฉิบหาย

“จากที่ดูๆ ไอ้ไธรุกใช่ปะ กูก็อยากรับให้นะ แต่ใจไม่กล้า พอมันจะถอดกางเกง ขากูมันก็ไปเองอะ...”
เดาได้เลยว่าเหตุการณ์ต่อจากนั้นคืออะไร จุกจนหน้าเขียวแน่ๆ ไม่ก็หลังหักไปเลย สงสารเพื่อนว่ะ

“มึง... ถีบไอ้ไธเหรอ”
ผมถามย้ำเพื่อความแน่ใจในความคิดตัวเอง จิณณ์พยักหน้าหงึกหงักรับแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ หน้าตาไม่สู้ดีนักจนไม่กล้าหัวเราะใส่เลย ดราม่าไปอีกชีวิต

“เออ กลิ้งตกเตียงจนสะโพกช้ำอะ”
มันบอกเสียงอ่อย สีหน้าสำนึกผิดจนผมอยากเดินเข้าไปปลอบ แต่ช่างมันเถอะ เรื่องแบบนี้ปกติจะตาย

“โหดฉิบหาย”
แต่ไม่วายสงสารเพื่อน กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มแต่โดนถีบตกเตียงหนักกว่ากูโดนขัดจังหวะอีกครับ

“กูกลัวนี่ มันต้องเจ็บมากแน่ๆ”
มันคงหมายถึงครั้งแรกกับผู้ชายใช่ไหมวะ ผมคิดว่าตัวเองน่าจะเดาถูก

“ก็คงเจ็บล่ะมั้ง”
ผมขยับตัวไปพิงกรอบประตูครัวแล้วมองหน้าจิณณ์ สมองคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย วันนี้พี่ทาวน์จะปวดหัวกับหนังสือเล่มหนาๆ ของเขาหรือเปล่านะ

“มึงกับพี่ทาวน์ล่ะ ได้กันยัง”
คำถามอยากรู้อยากเห็นมาพร้อมกับร่างสูงที่พุ่งเข้ามาหา ผมผงะตัวถอยหลังหลบอย่างรวดเร็วก่อนยกขาขึ้นขู่ ขยับอีกนิดกูถีบมึงแน่

“ถามเหมือนพวกกูไวไฟ”
ผมมองมันด้วยหางตาแล้วลดขาลงเมื่ออีกคนยกมือยอมแพ้ มุมปากจิณณ์ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนที่คำสบประมาทจะหลุดออกมา จี๊ดเลย จี๊ดมาก!

“เออ ลืมไป พวกมึงน่ะเต่าค่อยๆ คลาน กว่าจะได้กันคงไม่มีแรงขย่มแล้ว”
เสียงกลั้วหัวเราะดังสนั่นจนผมต้องยกมือฟาดกะโหลกมันไปเต็มๆ ด้วยความหมั่นไส้ เรื่องล้อเลียนคนอื่นล่ะเก่งที่หนึ่ง ทำอย่างกับตัวเองสำเร็จวรยุทธขั้นอรหันต์ไปแล้ว มึงก็เต่าเหมือนกันเถอะ กว่าจะพร้อมคงถือไม้เท้า!

จิณณ์แยกเขี้ยวใส่ผมแต่ไม่กล้าเอาคืน มันถอยห่างออกไปก่อนจะชูนิ้วกลางแทน โธ่ คนป๊อด

“ดูถูกกูนะมึง”

“เออดิ ถูกแล้ว ไม่ผิดแน่ๆ”
มันย้ำคำอีกรอบทำให้ผมขยับเท้าเข้าไปหาเพราะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาจริงๆ จิณณ์รีบถอยออกจากบริเวณครัวจนถึงโซฟาแล้วยกหมอนใบโตขึ้นเป็นเกราะกำบัง

“อยากโดนก้านคอใช่ไหม”
ผมขู่อีกรอบ จริงๆ อยากเตะจิณณ์ให้สลบไปสักครึ่งวันแต่กลัวว่าที่สามีมันมาเอาคืน กูต้องตายคาตีนไอ้ไธแน่ๆ

“ใครจะไปอยากวะ”
มันทำท่าสยองได้น่าหมั่นไส้ผมเลยก้าวขาเข้าไปหาเพื่อแกล้ง แต่ต้องชะงักกึกเมื่อประตูห้องเปิดออก ร่างที่ปรากฏตรงนั้นทำให้ดวงตาคมเบิกกว้าง

“ทะเลาะอะไรกันพวกมึง”
เสียงทุ้มคุ้นหูเอ่ยถามพร้อมกับมองผมสลับกันจิณณ์ ในมือทั้งสองข้างของมันหอบถุงอาหารกลิ่นหอมฉุยเต็มไปหมด เกือบเคลิ้มปล่อยตัวไปแล้วเชียว แม่ง เปิดประตูเข้ามาได้ยังไงวะ หรือแอบเอาคีย์การ์ดไปก๊อปปี้

“เข้ามาได้ไงวะ กูลืมล็อคประตูเหรอ”
ผมถามเผื่อเพราะกลัวหน้าแตก แต่จำได้ว่าเมื่อเช้าหลังกลับมาจากส่งผ้าซักก็ล็อคประตูแล้วนี่หว่า คีย์การ์ดก็อยู่ครบ หรือจะมีหนอนบ่อนไส้...

“กูมีคีย์การ์ด”
มันตอบเสียงเรียบก่อนจะปิดประตูตามหลังแถมด้วยการโชว์พวงกุญแจที่มีตุ๊กตาหมาชิบะอย่างที่จิณณ์ชอบให้ผมดู โอ้โห อยากจะแหมใส่หน้าให้ถึงเชียงใหม่เหลือเกิน ทำไมกูไม่มีของพี่ทาวน์บ้างวะ

“เอามาจากไหน”
คราวนี้ผมหันไปคั้นคำตอบจากจิณณ์ เพราะมีมันอยู่คนเดียวที่จะทำเรื่องแบบนี้ พวกมึงไม่เกรงใจคนอยู่ไกลแฟนแบบกูบ้างเหรอไง!

“แฮ่ กูให้ไอ้ไธเอง”
จิณณ์ส่งยิ้มแหยๆ มาให้ก่อนจะรีบวิ่งไปหลบหลังไอ้ไธ ผมถึงกับกรอกตามองบนให้กับเรื่องนี้ พี่กูหลงเขาวงกตเข้าจริงๆ ก็งานนี้ล่ะวะ ยอมเอาความเป็นส่วนตัวให้คนอื่นแบบนี้ รักจริงหวังถูกฟันชัวร์

“โอ้โห เพิ่งรู้ว่าพี่กูอ่อยแรงขนาดนี้”
ผมหยอกเอินคนที่เอาแต่หลบอยู่ด้านหลังไอ้ไธด้วยความหมั่นไส้ ตอนแรกใครกันที่แสดงออกว่าเกลียดเขาอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วดูปัจจุบันสิ แทบจะห่างกันไม่ได้เลยเว้ย หวานจนน้ำอ้อยยังแพ้ แต่เห็นเพื่อนกับพี่ชายมีความสุขก็สบายใจไปด้วย เรื่องบาดหมางในอดีตจบลงสักที

“บ้า ไม่ได้อ่อยเว้ย ให้ไว้เพื่อความสะดวก”
คนหน้าแดงปฏิเสธเสียงตะกุกตะกักแล้วแย่งถุงอาหารในมือไอ้ไธไปถือเพื่อแก้อาการเขิน ผมกับเพื่อนส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กันอย่างรู้ทัน แกล้งจิณณ์ดีกว่า รับรองสนุกแน่นอน

“สะดวกยังไง อธิบายสิ”
ผมบอกเสียงนิ่งก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟาแล้วมองไปที่จิณณ์อย่างกดดัน ไอ้ไธแอบยิ้มที่เห็นแฟนตัวเองอ้าปากพะงาบๆ เพราะหาคำตอบไม่เจอ ตอนมันโก๊ะๆ ก็น่ารักดี ไม่แปลกที่ใครก็ชอบมัน พ่อเดือนวิศวะ แต่สุดท้ายโดนเดือนสถาปัตย์คาบไปแดกว่ะ

“ก็... มึงกับกูไม่ต้องเสียเวลาเปิดประตูให้ไอ้ไธไง”
เหตุผลโคตรส้นตีน แค่เสียเวลาไปเปิดประตูไม่ถึงนาทีมันจะตายหรือไง แล้วอีกอย่างผมไม่เคยเปิดปากบ่นเรื่องนี้สักครั้ง มึงสอบตกเรื่องการโกหกนะจิณณ์ ไปศึกษามาใหม่เถอะ อายคนอื่นเขา

“ไม่ย้ายไปอยู่ด้วยกันซะเลยล่ะ กูจะได้ยึดห้อง”
ผมพูดขึ้นลอยๆ เป็นการประชดแต่สีหน้าของจิณณ์ที่มีแววกังวลในตอนแรกกลับดูมีประกายแห่งความดีใจผุดขึ้นมา จากหน้ามือเป็นหลังเท้าเชียว หรือนี่คือแผนขออนุญาตย้ายไปอยู่กับผัว เอ้ย แฟนของมันวะ ร้ายนักนายโภคิน เดี๋ยวช่วงปิดเทอมกูจะแฉมึงให้พี่แจมฟังจนหมดเปลือกเลย คอยดูเถอะ

“อย่าท้านะ กูไปจริง”
แหนะ อยากไปก็พูดดีๆ จะเป็นไรวะ ถึงมันย้ายไปอยู่กับไอ้ไธจริงก็แค่เปลี่ยนชั้นหรือเปล่า ไม่ได้เปลี่ยนคอนโดสักหน่อย ผมไม่ห้ามหรอกถ้าสิ่งไหนที่จิณณ์ทำแล้วมีความสุข พร้อมสนับสนุนเสมอ และเชื่อว่าคนอย่างนายธามไธคงไม่ทำให้แฟนเสียใจแน่ๆ

“ไปเหอะ กูเลิกห่วงมึงแล้ว อยากไปมีผัวเป็นตัวเป็นตนก็เชิญเลย”
ผมโบกมือไล่อย่างไม่จริงจังนักก่อนลุกขึ้นบิดขี้เกียจหวังจะได้ยินเสียงโวยวายจากจิณณ์ แต่เปล่าเลย สิ่งมีชีวิตอีกสองคนกลับส่งยิ้มหวานให้กันแถมโผเข้ากอดแบบไม่คิดชีวิต อยากถามจริงๆ ว่าพวกมึงหาโอกาสให้กูไล่มานานแล้วใช่ไหม เห็นแบบนี้แล้วก็ได้แต่เบ้ปากใส่ หมาหัวเน่าเลยสินะไอ้เจ็ท พี่ไม่รัก แฟนไม่มีเวลาให้ ชีวิตน่าสงสารจัง

“งั้นย้ายวันนี้เลยดีไหม”
จ้า ถามกันแบบนี้เอามีดมาปาดคอหอยก้างอย่างกูเถอะ ช่วยเกรงใจว่ามีมนุษย์อีกคนยืนทำหน้าเบี้ยวหน้าบูดอยู่ตรงนี้บ้างสิวะ ไอ้ไธมึงแม่งร้าย คิดจะปล้ำพี่กูแบบไม่ต้องกังวลสินะ

“ไอ้นี่ มึงจะไม่ขัดหน่อยเหรอไง”
ผมท้วงเมื่อทั้งสองคนยืนตกลงกันอย่างจริงจังว่าจะเอายังไงกับชีวิตรักที่กำลังบานสะพรั่งดี ถ้าจิณณ์ท้องได้คิดว่าอนาคตคงมีลูกจนเกินโหลแน่ๆ ไวไฟกันเหลือเกินพ่อคุณทูนหัวของบ่าว

“ไม่ เพราะกูอยากอยู่กับจิณณ์”
คำตอบที่มาพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นนั้นทำให้ผมยกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่ายอมแพ้ พวกมึงจะพากันขึ้นสวรรค์หรือลงนรกก็ตามสบายเลย ขอไม่ยุ่งเกี่ยวใดๆ ทั้งสิ้น

“เชิญๆ ใครจะไปไหนก็ไปเถอะ กูชิวๆ”
ผมว่าอย่างปลงๆ ก่อนจะเดินหนีฉากรักโรแมนติกท่ามกลางกลิ่นอาหารหอมฉุยที่ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้แกะกินกันสักที หยิบขวดน้ำจากตู้เย็นขึ้นกระดกลงคอเพื่อดับกระหายความรุ่มร้อนในอก เรียกง่ายๆ คือ ‘อิจฉา’ นั่นล่ะ

“กินข้าวเสร็จช่วยกูขนของด้วยนะน้องรัก”
น้ำแทบพุ่งออกทางจมูกเมื่อได้ยินคำขอร้องแกมบังคับ ผมเผลอบีบขวดในมือจนมันยับ พี่กูทำไมใจง่ายแบบนี้เนี่ย ปากบอกไม่อ่อยแล้วมึงรีบย้ายไปอยู่กับมันขนาดนี้ โอย จะบ้าตาย!

“นี่มึงจะย้ายเดี๋ยวนี้เลยเหรอ!”

“ใช่จ้า”
ยิ้มหน้าระรื่นเชียว

“จ้าพ่อง!”

ไอ้ไธจัดการแกะอาหารที่ซื้อมาใส่จานให้เรียบร้อย มีทั้งข้าวขาหมูเจ้าเด็ดของโปรดจิณณ์ ก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นต้มยำพิเศษเส้นเล็กของผม ส่วนข้าวผัดปลากระป๋องก็ของมัน ช่างเป็นเพื่อนที่รู้ใจแฟนซะจริงๆ ควรมอบโล่สามีดีเด่นให้ว่ะ

ผมนั่งมองผลของความรักที่กำลังงอกเงยจากการช่วยกันทะนุถนอมของจิณณ์กับไอ้ไธด้วยรอยยิ้ม บางมุมอาจจะดูหวานเลี่ยนจนต้องยี้ใส่ บางมุมอาจจะฮาร์ดคอร์ขึ้นกูมึงจนแทบสะดุ้ง แต่เขาทั้งสองคนก็มีความสุขดี ขอให้เป็นแบบนี้ไปอีกนาน ตายกันไปข้างเลยยิ่งดี

แขกของห้องลงมือเก็บเศษอาหารพร้อมกับล้างจานให้เสร็จสรรพไม่วายคั่นน้ำผลไม้ให้ดื่มล้างปากอีกคนละแก้ว จิณณ์ผู้ตั้งตัวเป็นคุณนายได้แต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่บนโซฟา คงมีความสุขมากที่แฟนมาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ คนมีความรักก็แบบนี้อยากเห็นเขาอยู่ในสายตาตลอดเวลา ส่วนผมคงต้องปล่อยให้พี่ทาวน์มีเวลาส่วนตัวอย่างที่ควรเป็น อย่างเช่นทุกวันนี้ที่ต่างคนต่างอ่านหนังสือมากกว่าคุยกัน ตอนนี้คงติวอยู่ล่ะมั้ง คิดถึงจัง

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดโปรแกรมไลน์แล้วจัดการส่งความคิดถึงที่อัดแน่นลงไปในรูปแบบสติ๊กเกอร์ หวังว่าคนรับคงรู้สึกถึงมันได้โดยง่าย อยากจะพิมพ์ข้อความต่อท้ายสักหน่อยแต่กลับคิดไม่ออก ตอนนี้มีแต่คำถามสิ้นคิดอยู่ในหัว ‘กินข้าวหรือยัง’ หรือ ‘อ่านหนังสือเหนื่อยไหมครับ’ หรือ ‘คิดถึงผมไหม’ ไม่มีอะไรเข้าท่าเลย เฮ้อ

“เจ็ท”
ไอ้ไธเรียกชื่อในขณะที่ผมกำลังนั่งเล่นเกมอยู่บนโซฟา หน้ามันนิ่งแสดงให้เห็นว่ามีเรื่องกลุ้มใจ

“ว่าไง”
ผมวางเครื่องเล่นเกมในมือลงเปลี่ยนมาตั้งใจฟังเพื่อนสนิทแทน

“ออกไปคุยกับกูที่ระเบียงหน่อย”
มันบอกแล้วพยักพเยิดหน้าไปทางระเบียงด้านนอก ผมขมวดคิ้วมองตามอย่างไม่เข้าใจ ฝนยังเทกระหน่ำแบบไม่ลืมหูลืมตาปะวะ แค่เปิดประตูก็เปียกแล้วมึงเอ๊ย

“มึงจะออกไปตากฝนเพื่ออะไรวะ”
ผมถามกลับ มันทำหน้าเหมือนเพิ่งคิดได้ก่อนจะเปลี่ยนสถานที่ใหม่ ชวนคิดลึกมากเพื่อนเอ๋ย

“เออ ลืม ในห้องนอนก็ได้”
ครับเพื่อน เอาซะจิณณ์ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ถึงกับมองตาเขียว กูไม่ได้พิศวาสมันเถอะ แต่ก่อนระแวงไอ้ไธ เดี๋ยวนี้ระแวงน้องตัวเอง เจริญจ้าๆ

“มีอะไร”
ผมถามเมื่อทิ้งตัวลงบนเตียงเรียบร้อยแล้ว ส่วนไอ้ไธยืนพิงผนังอยู่ฝั่งตรงข้าม ดวงตาคมกวาดมองรอบห้องคล้ายกำลังชั่งใจกับสิ่งที่จะพูด คงเหมือนการยื้อเวลาเพื่อไตร่ตรองประโยคให้ดี

“ช่วงนี้มึงได้คุยกับพี่ทาวน์บ้างไหม”
คำถามแรกทำให้ผมแปลกใจ ไอ้ไธไม่ใช่คนที่สนใจเรื่องยิบย่อยแบบนี้

“ก็คุยทุกวันนะ ถามทำไมวะ”
ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่ลอบมองปฏิกิริยาของเพื่อนไปด้วย มันทำหน้ากระอักกระอ่วนก่อนเบนสายตาหนีไปทางอื่น มีอะไรเกิดขึ้นกันแน่

“ไม่ได้ทะเลาะกันใช่ไหม”
ผมเผลอสะดุดลมหายใจเมื่อได้ยินคำถาม เพราะอะไรเพื่อนถึงคิดแบบนั้น อย่าว่าแต่ทะเลาะเลย ผิดใจกันนิดๆ หน่อยๆ ยังไม่เคยมีตั้งแต่เลื่อนสถานะใหม่

“เออดิ ก็แค่ต่างคนต่างเตรียมตัวสอบ เลยคุยกันน้อย”
ตอบไปอย่างที่สมองคิด แต่ในใจกลับรู้ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น ผมรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงระหว่างเราแต่ไม่พูดมันออกมาให้ใครรับรู้ หวังว่าพี่ทาวน์จะไม่ปิดบังหรือมีความลับ

“ถ้ากูบอกอะไรสักอย่างมึงสัญญาได้ไหมว่าจะไม่โวยวาย”
มาแนวนี้จะให้ตอบยังไงวะ พี่ทาวน์มีความลับกับผมจริงๆ สินะ

“จะพยายาม”
ผมตอบเสียงนิ่ง พยายามเตรียมใจกับสิ่งที่กำลังจะได้ยิน ไอ้ไธไม่เคยเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นแน่ๆ

“ตอนกูไปซื้อข้าว... กูเจอพี่ทาวน์กับผู้หญิงคนหนึ่งที่ร้านว่ะ”
หัวใจเหมือนหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม สิ่งที่ผมกลัวมากคือพี่ทาวน์จะเปลี่ยนใจกลับไปชอบผู้หญิง ความเชื่อใจมี แต่อะไรมันก็ไม่แน่นอน อนาคตไม่อาจคาดเดาได้จริงๆ

“แล้วยังไงต่อ”
ผมไม่ด่วนสรุปว่าพี่ทาวน์กำลังนอกใจ เพราะเขายังยกหูโทรมาหาทุกวันไม่ขาดถึงแม้เวลาคุยจะน้อยลงไปทุกที กี่อาทิตย์แล้วที่เป็นแบบนี้กันวะ

“เหมือนเธอจะติดพี่ทาวน์มาก เดินตามทุกฝีก้าว”

“.....”
อืม คิดอะไรไม่ออกเลยว่ะ ควรรู้สึกยังไงดีที่มีผู้หญิงตามเจ๊าะแจ๊ะแฟนตัวเองโดยที่ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย

“เจ็ท... กูขอโทษ มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้”
ไอ้ไธรีบเดินเข้ามาปลอบกันด้วยการตบบ่า ผมส่ายหัวเพราะกำลังสับสน จับต้นชนปลายไม่ถูกกับเรื่องที่ได้ยิน

“กูไม่รู้ว่ะ ช่วงนี้คุยกันไม่ถึงสิบนาทีพี่ทาวน์ก็ขอวางสาย มีเสียงผู้หญิงแทรกเป็นครั้งคราวแต่ก็ช่างแม่งทุกที”
นั่นคือสิ่งที่ผมพยายามมองข้ามตลอดแล้วคิดว่าเขาคงไปติวกับเพื่อนๆ ในคลาสล่ะมั้ง พยายามโลกสวยแต่สุดท้ายแม่งไม่ช่วยอะไรเลย เกิดปัญหาจนได้

“พี่ทาวน์อาจจะกำลังมีปัญหา”

“กูก็ไม่อยากคิดว่าเขานอกใจหรอก แต่มีอะไรก็ควรบอกกันบ้างดิ แบบนี้จะให้คิดยังไงวะ”
ผมก้มหน้า มือหนาขยำกางเกงขาสั้นจนยับเยิน หัวใจเริ่มปวดหนึบเพราะความคิดร้ายๆ ที่กำลังแทรกเข้ามา อยากเข้มแข็งให้มากกว่านี้ แต่ทำไมทำไม่ได้วะ

“ใจเย็นๆ เว้ย ลองถามพี่ฟาไม่ก็พี่แฮมดูไหม”
ไอ้ไธยื่นทางออกให้ แต่ผมกลับปัดมันทิ้งเนื่องจากเป็นเรื่องของคนสองคน ไม่อยากดึงใครเข้ามาเกี่ยวมากกว่านี้

“กูไม่อยากกวนเวลาอ่านหนังสือของเขาด้วยเรื่องส่วนตัว”

“แต่มึงจะแย่เอานะ กว่าจะสอบเสร็จอีกตั้งสองอาทิตย์”

“ไม่เป็นไร กูไหว”
ผมเงยหน้าขึ้นแล้วส่งยิ้มฝืนไปให้เพื่อนเพื่อความสบายใจ มันพยักหน้ารับไม่เซ้าซี้ต่อ

“เจ็ท... ถ้าไม่ไหวก็บอก กูจะไปคุยกับพี่ทาวน์เอง”
ผมส่ายหัวเพื่อปฏิเสธความหวังดีนั่นก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สูดลมหายใจเข้าปอดหนักๆ เพื่อมันช่วยให้สมองผ่อนคลายได้บ้าง พี่ทาวน์นะพี่ทาวน์ กลายเป็นเด็กดื้อแล้วหรือไง อยากจับตีก้นนัก แต่ตอนนี้ไม่มีแรงเลยว่ะ

“ช่างแม่งเถอะ ไปอ่านหนังสือต่อกัน”

ผมยอมแพ้ตัวหนังสือนับร้อยเพราะอ่านต่อไม่ไหว สมองไม่รับรู้ ไม่สั่งการให้เข้าใจอะไรทั้งนั้น เรื่องของพี่ทาวน์ยังคงวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า อยากรู้ความจริงจากปากของเขาแต่ก็ไม่กล้าพอที่จะฟัง คำว่ากลัวช่างมีอิทธิพลยิ่งใหญ่เหลือเกิน

นายภาคินแม่งแย่เนอะ แค่มีผู้หญิงคนหนึ่งมาตามแฟนตัวเองต้อยๆ ก็คิดมาก ควรแก้นิสัยแบบนี้ยังไงดีวะ

“ไปล้างหน้าล้างตาไป วันนี้ไม่ต้องอ่านต่อแล้วมึง”
เสียงแฝดดังขึ้นเหนือหัวพร้อมกับหนังสือที่ถูกปิดลงโดยไม่ถามความเห็นผู้อ่านเลยสักนิด ผมเงยหน้าขึ้นมองพลางขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ อีกสองสามวันก็จะสอบแล้ว พักได้ด้วยเหรอ มีแต่วิชาหินๆ ทั้งนั้น

“กูโอเค”
ผมบอกอย่างรู้ทัน จิณณ์คงเป็นห่วงเรื่องที่ไอ้ไธเล่าให้ฟังเมื่อครู่

“กูเป็นพี่มึงนะ อย่าเถียง”
จิณณ์ว่าเสียงดุก่อนจะดึงผมให้ลุกขึ้นด้วยแรงมหาศาลโดยไม่ทันตั้งตัวเลยเซเกือบชนเข้ากับขอบโต๊ะ

“เออๆ ยอมแพ้”

ผมยอมเดินไปล้างหน้าล้างตาตามที่จิณณ์สั่งแกมขอร้อง มองตัวเองให้กระจกถึงกับหลุดหัวเราะเยาะ นี่เหรอสภาพของคนที่ใครต่างชมว่าดูดี เหมาะแก่การเป็นเดือนคณะอีกคนหนึ่ง อย่างกับซากศพ

Rrrrr

เสียงโทรศัพท์ที่ดังอยู่ในกระเป๋ากางเกงทำให้ผมชะงักมือที่กำลังรองน้ำในอ่าง ผ้าขนหนูถูกหยิบมาเช็ดก่อนจะล้วงหยิบมันขึ้นมาดู ชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอทำให้หัวใจกระตุก ต้นเหตุของความคิดมากทั้งหมดมาเยือนแล้ว ทำยังไงดี

สุดท้ายผมก็ปล่อยให้เสียงริงโทนเงียบไปแล้วยัดมันลงกระเป๋ากางเกงอย่างไม่ใยดีเพราะยังไม่พร้อมจะรับรู้อะไรทั้งสิ้น และกว่าจะจัดการล้างหน้าเรียกสติคืนได้ก็ปาเข้าไปเกือบสิบนาทีจนไอ้ไธต้องเคาะประตูเรียก

เสื้อยืดที่ใส่อยู่เปียกเป็นวงกว้างจนต้องจัดการถอดมันทิ้งแล้วโยนลงตะกร้าอย่างแม่นยำ อุณหภูมิตอนนี้ทำให้ผิวหนังเย็นเฉียบอย่างรวดเร็ว ผมยกแขนขึ้นกอดตัวเองไว้ แต่เผลอคิดถึงพี่ทาวน์ ความอบอุ่นที่เคยได้รับ ต่อจากนี้จะเป็นเหมือนเดิมอยู่ไหมนะ

Rrrrr

อีกครั้งที่เสียงริงโทนดังขึ้นแต่ผมเลือกจะเฉยกับมันแล้วเดินดุ่มๆ ไปหยิบเสื้อในห้องนอนมาเปลี่ยน ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาแล้วหยิบรีโมทมาเปิดทีวีดูคลายเครียดเพราะหนังสือโดนฝาแฝดยึดไปจนหมดเกลี้ยง เหลือไว้ให้แค่ปากกาไฮไลท์

จูราสสิคเวิลด์ภาคล่าสุดกำลังฉายรีรันอยู่ตอนนี้ ผมชอบตอนที่พระเอกฝึกพวกแรพเตอร์จำได้ว่ามีคนเอาฉากนี้ไปล้อเลียนถ่ายภาพกับสัตว์หลายชนิด หมู หมา กา ไก่ ช้าง ฮิปโป หรือแม้แต่โลมา ดูเรื่องนี้แล้วรู้สึกลุ้นระทึกอยู่ตลอดเวลาเพราะกลัวไดโนเสาร์มันใช้สัญชาตญาณของตัวเองมากกว่าจะเชื่อฟังคนสอน

ผมชันเข่าขึ้นเมื่อถึงฉากที่อินโนไมนัส เร็กซ์ต่อสู้กับแรพเตอร์ ลุ้นจนแทบนั่งไม่ติดโซฟา แม่ง หวาดเสียวฉิบหาย ขนาดตัวต่างกันลิบลับแล้วจะเอาชนะได้ยังไงวะนั่น โอย พระเอกหาที่หลบดีๆ สิวะ เดี๋ยวก็ตายหรอก

Rrrrr

เสียงริงโทนดังขึ้นอีกครั้งทำให้กระตุก อารมณ์ที่จะดูหนังหมดลงเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาใกล้พร้อมด้วยคำถามที่ไม่อยากตอบในตอนนี้

“ใครโทรมาวะ ทำไมไม่รับสาย”
จิณณ์ยืนค้ำหัวมองด้วยสายตาไม่เข้าใจว่าทำไมปล่อยให้โทรศัพท์ดังโดยไม่รับมาหลายรอบ ผมอึกอักเอาแต่เงียบ ไม่กล้าสบตา พยายามสนใจแรพเตอร์ตัวน้อยที่กำลังสู้เพื่อช่วยพระเอกอย่างสุดชีวิต มันชื่ออะไรนะ บูลเหรอ ตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่นั่น

“เจ็ท”
เสียงเย็นๆ ของจิณณ์ทำให้ผมต้องยอมแพ้ เพราะรู้ว่าถ้ายังปากแข็งต่อไปอาจจะมีระเบิดลงกลางหัว เวลาเขาโมโหอะไรก็ฉุดไม่อยู่ เคยเจอตอนมันทะเลาะกับพ่อเรื่องสูบบุหรี่ บ้านแทบแตก สมัยมัธยมต้นนายโภคินน่ะร้ายสุดๆ

“พี่ทาวน์”
ผมตอบกลับเสียงเรียบโดยไม่ละสายตาจากทีวี ตอนนี้ยอมรับว่าดูไปก็ไม่รู้เรื่องเพราะสมาธิดันไปจดจ่ออยู่ที่โทรศัพท์ในมือของจิณณ์ มันล่วงไปกองอยู่บนโซฟาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ

“รับๆ ไป แล้วคุยกันให้รู้เรื่อง”
เครื่องสื่อสารถูกยื่นมาแทบกระแทกสันจมูก ผมผงะถอยหลังมองมันเหมือนยาพิษที่หากเข้าใกล้อาจจะตายได้ ถ้าบอกว่ายังไม่พร้อมรับสายคงโดนด่าเปิงแน่ๆ เป็นคนขี้ขลาดก็ลำบากแบบนี้ล่ะ

“กู...”

Rrrrr

โธ่เว้ย ทำไมวันนี้พี่ทาวน์ขยันโทรจังวะ


“รับ กูรำคาญ”
จบคำสั่งของจิณณ์ผมก็รับโทรศัพท์จนได้ ก็เล่นยืนกดดันด้วยหน้าบึ้งตึงขนาดนั้น ขืนขัดใจอาจจะโดนตัดเงินค่าขนมก็ได้

แม่นะแม่ บอกให้โอนแยกบัญชีไง ทำแบบนี้มันหายนะชัดๆ มีครั้งไหนที่สามารถหือกับพี่ชายได้บ้างล่ะ อยากร้องไห้!

“ครับ”
ผมกรอกเสียงนิ่งๆ ลงไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่พอคิดถึงเรื่องที่ไอ้ไธเล่าให้ฟังก็ได้แต่เลยตามเลย

‘โทรไปตั้งหลายสาย ทำไมไม่รับ’
พี่ทาวน์ดูจะเป็นกังวลเรื่องที่ผมไม่ยอมรับสายสักทีเพราะฟังจากน้ำเสียงแล้วมันสั่นแปลกๆ ยอมรับว่าดีใจแต่มันไม่สุด

“อ่านหนังสือครับ”
ผมไม่สามารถควบคุมอารมณ์ให้ปกติได้จริงๆ พยายามแล้วที่จะร่าเริง พยายามปล่อยผ่านไป แต่... ไม่ไหว ทำไมพี่ถึงต้องปิดบังเรื่องผู้หญิงคนนั้นวะ

‘อืม... เป็นอะไรหรือเปล่า’

“เปล่านี่ครับ สบายดีทุกอย่าง”

‘มึงเสียงแข็ง’

“เหรอครับ ผมไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย”
ยอมรับว่าตั้งใจกวนตีน แต่ตอนนี้อะไรก็ตามที่ทำให้เขารีบวางสายได้ก่อนที่ผมจะควบคุมตัวเองไม่ได้ไปมากกว่านี้ ผมอยากถามเรื่องนั้น แต่เพราะอยู่ในช่วงเตรียมตัวสอบเลยอยากปล่อยให้มันผ่านไปก่อน

‘อย่ากวนตีน เป็นอะไรบอกมา’
ปลายสายไม่ยอมแพ้ถึงกับถามเสียงแข็ง ผมสติหลุดจริงๆ แล้วตอนนี้เพราะคิดว่าพี่ทาวน์ไม่รู้จริงๆ เหรอว่าที่เป็นอยู่คืออะไร ว่าที่หมอโง่เหรอ หรือแค่อยากเก็บไว้เป็นความลับ

“เป็นคนโง่มั้งครับ”
ปากพาซวยแต่ผมเลิกสนใจผลลัพธ์มันแล้ว ความน้อยใจ ความเสียใจ ความกลัว ผสมปนเปจนกลั่นตัวเป็นคำพูดประชดประชัน ผมนิสัยแย่รู้ตัวดี

‘ภาคิน’
พี่ทาวน์คงโกรธกันแล้วเลยเรียกชื่อจริงแบบนั้น เอาเถอะ ผมไม่มีอะไรจะเสียแล้ว

“ครับ ถ้าไม่มีอะไรก็แค่นี้นะครับ จะอ่านหนังสือต่อ”

‘เดี๋ยวสิ’
เสียงรั้งของพี่ทาวน์ทำให้ผมใจอ่อนยวบ มันทั้งสั่นทั้งอ้อนวอนราวกับจะขาดใจ ตอนนี้ควรรู้สึกยังไง ดีใจหรือเสียใจ โคตรสับสนเลยว่ะ

“ครับ”

‘กูคิด... ทาวน์คะ อยากกินน้ำปั่นจังเลย’
เสียงหวานๆ ดังแทรกขึ้น ผมแทบขว้างโทรศัพท์ทิ้งเพราะระยะที่ได้ยินแทบเหมือนเธอแนบหน้าคุยแทนอีกคน ใกล้จนเนื้อแนบเนื้อหรือเปล่า พี่ทาวน์ยอมให้คนอื่นตัวติดขนาดนี้เมื่อไหร่กัน

“หึ เสียงอะไรเหรอครับ”
ผมหน้ามืดตามัวละทิ้งคำว่าช่วงสอบไปจนหมดสิ้น หาเรื่องทะเลาะกันตอนนี้มีมันแย่ แต่เสียงนั่นเป็นหลักฐานชั้นดีว่าพี่ทาวน์มีเรื่องปิดบังกันจริงๆ และมันช่วยยืนยันว่าสิ่งที่ไอ้ไธเห็นมาไม่ผิด

‘เสียง... ทีวีน่ะ’
พี่ทาวน์ตอบเสียงเบา คำโกหกนั่นทำให้ผมจุกในอก อยากจะหัวเราะออกมาดังๆ อยากจะแหกปากร้องไห้แบบไม่อายใครแต่ทำไม่ได้เลย สมองมันตื้อไปหมด เขานอกใจเหรอ ทำไมล่ะ ผู้ชายอย่างนายภาคินเป็นแฟนที่ไม่ดีสินะ

“อ้อ ผมเพิ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้พี่เล่นละครด้วยเนอะ เรียกชื่อกันซะชัดเลย”
ผมควรวางสายแล้วจริงๆ

‘เจ็ท...’

“ตอนนี้ผมยังเป็นแฟนพี่อยู่หรือเปล่า”
ความงี่เง่ามันไม่เข้าใครออกใครจริงๆ นะ

‘เป็นสิ ทำไมถามแบบนั้น’

“ถ้าไม่อยากเป็นเมื่อไหร่ก็บอกกันนะครับ”
จบบทสนทนาด้วยประโยคที่ทำให้ผมถึงกับน้ำตาหยด ไม่ได้อยากพูดแบบนั้นแต่อารมณ์มันพาไปล้วนๆ ปิดเครื่องหนีปัญหาเหมือนพวกผู้หญิงอ่อนแอ ยอมรับว่าทำใจไม่ได้ที่โดนโกหกซึ่งๆ หน้าแบบนั้น ทำไมวะ ทำไม มีแต่คำถามอยู่เต็มหัวไปหมด

“เจ็ท มึงเป็นบ้าอะไรเนี่ย ชวนพี่ทาวน์เลิกทำไม!”
เสียงโวยดังมาจากจิณณ์ที่นั่งอยู่ไม่ไกลออกไป ขายาวก้าวเข้ามาด้วยความแตกตื่น ผมฟุบหน้าลงกับเข่าปล่อยให้น้ำตาหยดใสซึมไปกับเนื้อผ้า พี่ทาวน์คงรู้สึกแย่ไม่แพ้กันในตอนนี้

“กูผิดมากเหรอวะที่พูดแบบนั้น เขาโกหกกูนะจิณณ์ ถ้ามันไม่มีอะไรก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น”
ผมไม่รู้ว่าเขาทำอะไร คิดอะไร หรือแม้แต่รู้สึกยังไง พี่ทาวน์เป็นคนเงียบโดยพื้นฐาน ไม่ค่อยปรึกษาปัญหากับใคร ไม่เล่าเรื่องส่วนตัว แล้วยิ่งเป็นแบบนี่จะให้เข้าใจว่ายังไง

“พี่ทาวน์อาจจะอยากแก้ปัญหาด้วยตัวเอง”
ไอ้ไธทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ก่อนลาดไหล่จะโดนบีบเพื่อให้กำลังใจ ผมรู้ว่าทุกคนกำลังเป็นห่วง แต่มันไม่ไหวแล้วจริงๆ ถ้าเมื่อครู่เขาบอกกันตรงๆ คงรู้สึกดีกว่านี้

“กูเป็นคนที่ดูไม่น่าพึ่งพาได้ขนาดนั้นเลยเหรอ เขาถึงต้องรับปัญหาไปแก้คนเดียว”
ผมเป็นแฟนที่พร้อมจะเป็นทุกอย่างให้เขา แต่ทำไมตอนนี้รู้สึกว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันเลย คล้ายๆ ว่าเป็นคนไร้ค่าไม่ดีพอให้พึ่งพา

“เจ็ท...”
จิณณ์เรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ ผมโผเข้ากอดมันหนึ่งครั้งแล้วบอกด้วยน้ำเสียงสั่น




ต่อด้านล่างน้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
“กูขออยู่คนเดียว ถ้ามึงจะไปนอนห้องไอ้ไธก็ฝากล็อคประตูด้วย”

สุดท้ายแล้วคืนนี้ก็ไม่ยอมมีใครก้าวออกจากห้องสักคน จิณณ์ถึงขนาดลงมือทำเมนูแฮมเบิร์กเพื่อเอาใจผม ไอ้ไธช่วยเขียนสรุปเนื้อหาสำคัญวิชาที่จะมีสอบวันจันทร์หน้าทุกคนแสดงความเป็นห่วงอย่างชัดเจน แต่คนนั้นกลับเงียบหายเหมือนไม่มีตัวตน ตอนนี้คงเป็นเวลาคิดทบทวนสิ่งที่ทำลงไปของทั้งสองคน

ผ่านการสอบปลายภาคไปอย่างสวยงามในช่วงสายของวันศุกร์สุดสัปดาห์ เด็กปีหนึ่งของคณะสถาปัตย์ถึงกับส่งเสียงเฮแสดงความดีใจ แต่ยกเว้นผมที่ไม่มีอารมณ์ร่วมกับเขา กี่วันมาแล้วที่ชีวิตอยู่โดยปราศจากสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘แฟน’ ขาดการติดต่อกันอย่างสมบูรณ์ ส่งข้อความไปขอโทษที่ทำเรื่องงี่เง่าวันนั้นแต่ไร้การตอบรับ พี่ทาวน์คงยุ่งกับปัญหาชีวิตและการสอบ หรือไม่ก็ตัดสินใจเป็นโสด

“นี่คนหรือซอมบี้วะ โทรมได้อีก”
เสียงทากไอ้ฟาร์มผ่านหูผมไปโดยง่าย สมองมันงงๆ เบลอๆ จนไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เมื่อครู่พูดถึงด๊อบบี้ในเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์หรือเปล่า ฟังไม่ถนัดเลย

“เงียบๆ น่าไอ้ฟาร์ม”
ไอ้ไธผลักหัวทุยๆ ของเพื่อร่วมกลุ่มอย่างแรงจนผมบ๊อบของไอ้ฟาร์มแตกกระจาย โหดร้ายจัง แบดบอยสัดๆ

“อะไรวะ กูแค่ชวนคุย”
ไอ้ฟาร์มพูดเสียงง้องแง้งก่อนจะค้อนขวับจนคอแทบหัก ผมที่กำลังนอนทับแขนยังเผลอหัวเราะออกมา แต่น้ำตาดันจะไหล ชีวิตรันทดเหลือเกินนานภาคิน แดกยาฆ่าหญ้าดีไหม เฮ้อ ไม่เอาดีกว่า สงสารพ่อแม่

“ไม่ชวนจะดีกว่านี้”

“มึงแม่งใจร้าย”

“เออ ยอมรับ”

ทะเลาะกันเหมือนเด็กๆ เลยว่ะ แต่ฟังแล้วเพลินดี

“กินอะไรมาหรือยัง”
คำถามวนกลับมาที่ผมอีกครั้งหลังจากที่มันสองคนเลิกตีกัน ไอ้ไธเอื้อมมือมาบีบไหล่เพื่อเค้นเอาคำตอบ อยากจะบอกมันเหลือเกินว่าตอนนี้รู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัวคล้ายคนจะป่วย

“ยัง ไม่หิว”
ผมตอบก่อนจะซุกหน้าลงเพื่อเลี่ยงการสบตากับไอ้ไธ ไม่อยากให้รู้ว่ากำลังถูกโกหก เพราะความจริงแล้วหิวจนเลิกหิวไปแล้ว

“แสดงว่ากินข้าวเช้าเลท”
อยากจะยกนิ้วให้ไอ้ตัวเสือกอย่างฟาร์มจริงๆ กูกินข้าวเลทมาเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วมั้งเพื่อน

“เปล่า ยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อคืน”

“คุณเจ็ทครับ มันไม่ดีต่อร่างกายนะ เอาขนมปังทูน่าของผมไปกินก่อนไหม”
ไอ้ตังค์อุตส่าห์ดึงแซนวิชส่วนที่เหลือส่งมาให้ผม สภาพมันเปียกน้ำลายขนาดนั้นกูเกรงใจมาก กลัวเพื่อนไม่อิ่ม

“ไม่เป็นไร มึงกินเถอะ กูไม่หิวจริงๆ”
สาบานว่าไม่ได้รังเกียจน้ำลายเพื่อนจริงๆ

“ทำอย่างกับคนอกหัก”
ผมถึงกับสำลักน้ำลายจนไอโขลก ไม่มีใครปากเสียยิ่งกว่าไอ้ฟาร์มอีกแล้ว แม่ง แช่งกันขนาดนี้มึงเผาพริกเผาเกลือตามด้วยสิ

“ไอ้สัดฟาร์ม กูบอกให้เงียบไง”
ไอ้ไธจัดการเขกกะโหลกคนปากดีให้แทน ไอ้ฟาร์มร้องโวยวายยกใหญ่แต่กลับไม่มีใครสนใจ เหมือนเป็นอากาศธาตุจนสุดท้ายมันต้องยอมแพ้

“เออๆ ไอ้ตังค์เอาสก็อตเทปมาแปะปากกูที”
หันไปคุยกับไอ้ตังค์ ใครก็เดาได้ว่ามันประชด แต่มีคนหนึ่งที่ไม่รู้... จริงจังให้มันได้ทุกเรื่องวะ เพลียจิต

“เอาสีเทาเลยไหมครับ เหนียวดี”
ผมไม่รู้ว่าไอ้ตังค์ซื่อหรือมันแกล้งยั่วประสาทไอ้ป๋ากันแน่ สรหน้าเรียบเฉยจนเดาอะไรไม่ได้ แต่กูสงสัยเหลือเกินว่าเมื่อไหร่แซนวิชมึงจะหมดสักที ตอดอย่างกับปลาหางนกยูง เห็นแล้วอยากแดกแทนแต่เกรงใจขนมปังชุ่มน้ำลาย

“โอย มึงนี่มัน เตะสักทีดีไหมวะ”
ถึงกับง้างมือจะฟาดไอ้ตังค์ แต่รายนั้นเอาชนะด้วยวิธีง่ายๆ แถมไม่ต้องออกแรงอะไรเลย

“ผมฟ้องคุณเอยนะ”
ชื่อผัวมันมีอิทธิพลกับไอ้ฟาร์มจริงๆ หยุดทุกการกระทำแม้แต่ลมหายใจก็เกือบเหมือนกัน ร้ายจริงๆ น้องเนิร์ดของพี่ แอบสะใจเล็กๆ

“แดกๆ เข้าไปบ้าง เดี๋ยวจะตายซะก่อน”
ไอ้ไธไม่รู้ไปเอาไส้กรอกมาจากไหนอยู่ๆ ก็ยัดใส่มือผมแล้วบังคับให้กิน ดวงตาคมจ้องประมาณว่าถ้ามึงไม่จัดการมันจะฆ่าทิ้งซะตอนนี้ คนบงการต้องเป็นจิณณ์ชัวร์

“ไม่เอา”
ผมวางมันลงบนโต๊ะแล้วเบ้ปากใส่ เข้าใจคนที่หิวแต่กินไม่ลงหรือเปล่าวะ

“ดื้อ”
ไอ้ไธบอกเสียงแข็งก่อนจะผลักหัวกัน ผมแยกเขี้ยวใส่แต่ไม่ได้ทำอะไรกลับไป

“เออ มันแดกไม่ลง”

“คิดมากล่ะสิ”
เสียงไอ้ไธอ่อนลงก่อนจะมองกันด้วยสายตาเป็นห่วง ผมพยักหน้ารับ ถอนหายใจด้วยความกังวล ส่งข้อความขอโทษไปทุกวัน ได้ตอบกลับมาแค่ความเงียบ เขาคงไม่อยากคุยกับคนงี่เง่าล่ะมั้ง

“อืม กูไม่รู้จะทำยังไงดี”
ผมยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาเพื่อคลายความเครียด แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรในเมื่อสมองยังคิดวนเวียนเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด ใครผิดหรือใครถูกก็ช่างแม่งเถอะ โคตรคิดถึงพี่ทาวน์เลย รู้ตัวว่านิสัยแย่ที่ไม่ฟังอะไร แต่เขาก็ไม่คิดอธิบายเหมือนกันนี่หว่า

“ใจเย็นๆ กูเชื่อว่าพี่ทาวน์มีเหตุผลที่ต้องโกหกมึง”

“สับสนว่ะ”

“กูเข้าใจดี”
ไอ้ไธตบบ่าเป็นการปลอบ ผมถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะทิ้งหัวลงซบท่อนแขนแบบเดิม แต่เสียงโวยวายของไอ้ฟาร์มทำให้ดวงตาคมเบิกกว้าง

“เฮ้ยๆ พี่ทาวน์มาว่ะ แต่ไม่รู้มีผู้หญิงที่ไหนตามมาด้วย”
ท้ายประโยคนั้นทำให้ผมตัดสินใจหนี ไม่รู้เหตุผลว่าเขาพาเธอมาด้วยทำไมแต่มันไม่พร้อมจะเจอจริงๆ ความเชื่อใจที่มีเริ่มสั่นคลอน กลัวคำตอบที่อยากถาม

“กูจะไปห้องน้ำ”
ผมลุกพรวดขึ้นแต่ไอ้ไธกลับรั้งให้นั่งลงที่เดิม

“มึงนั่งลง จะเอาแต่หนีเพื่ออะไรวะ เป็นอาทิตย์แล้วที่มึงไม่ได้คุยกับเขา”
ผมสะอึกกับผมพูดของไอ้ไธ ความคิดถึงมันมีมากแต่ไม่พอจะลบล้างความสับสนที่โดนโกหก แล้วที่เขาพาเธอมาด้วยต้องการอะไรวะ

“กูไม่พร้อม”
ผมว่าเสียงอ่อนแต่ไม่ขัดขืน แกล้งตายเลยดีไหมวะ

“ตอนนี้จำเป็นต้องพร้อมแล้วว่ะ หน้าพี่ทาวน์อย่างกับจะแดกหัวคนได้”
ผมเผลอเหลือบหางตามองบุคคลที่กำลังเดินใกล้เข้ามา ลมหายใจเริ่มติดขัดรู้สึกปวดหน่วงในอก แม่ง ยิ่งเห็นปลายรองเท้าหนังขัดเงาหยุดอยู่ข้างเก้าอี้ยิ่งอยากมุดดินหนี

“เจ็ท”
เสียงทุ้มที่คิดถึงมาตลอดหนึ่งอาทิตย์เอ่ยเรียกชื่อกัน

“ครับ”
ผมตอบรับก่อนจะช้อนตามองด้วยความกล้าที่มีอยู่น้อยนิด อยากเห็นหน้าให้เต็มๆ ตาว่ายังสบายดี แต่เปล่าเลย ว่าที่คุณหมอมีสภาพใกล้เคียงกับหมีแพนด้า เพิ่งรู้สึกว่าเขาไม่เหมาะที่จะเป็นเดือนมหา’ลัยก็ครั้งนี้ล่ะ โทรมยิ่งกว่าซากซอมบี้ที่ไอ้ฟาร์มด่าอีก

“มาคุยกันหน่อย”
พี่ทาวน์บอกเสียงนิ่งก่อนจะเอื้อมมือมาจับต้นแขน ผมเบนหน้าหนีเพราะไม่สามารถทนแววตาอ้อนวอนนั่นได้ ทำไมวะ ทำไมต้องแพ้เขาตลอด ใจแข็งบ้างไม่ได้หรือไง

“คุยตรงนี้ก็ได้ครับ”
ผมคลี่ยิ้มส่งให้เขาเป็นการบอกว่าคุยตรงนี้สิ ชิวๆ สบายๆ น่า แต่พี่ทาวน์กลับขมวดคิ้วและเริ่มออกแรงบีบต้นแขน

“เรื่องของกูกับมึง”
เขาย้ำชัดเจนว่าไม่อยากคุยตรงนี้ ผมพยักหน้ารับเพราะไม่อยากสร้างความลำบากใจให้เพื่อน แค่นี้พวกมันก็นั่งตัวเกร็งเหมือนก้อนหินแล้ว ตลกก็แต่ไอ้ฟาร์มที่นั่งกลั้นหายใจ อย่าเพิ่งตายนะ กูขี้เกียจไปช่วยงานศพ

“ผู้หญิงคนนี้ด้วยไหมครับ”
ผมถามถึงคนที่ยืนหลบอยู่ด้านหลัง เธอหน้าตาสวย แต่งตัวดีแต่จะเกาะไหล่พี่ทาวน์ทำไมวะ สนิทกันมากหรือไง

“อืม”
พี่ทาวน์พยักหน้ารับก่อนจะเปลี่ยนเป็นดึงข้อมือให้ผมลุกตามโดยไม่สนใจว่าผู้หญิงคนนั้นจะทำหน้าอยากร้องไห้ทากแค่ไหน

หลังตึกสถาปัตย์มีบึงอยู่ ถ้าผมเผลองี่เง่าใส่คงได้ลงไปนอนอืดตายอยู่ในนั้น โธ่ ก็คนมันขี้หึงเข้าใจบ้างสิ

“มีอะไรครับ”
ผมถามเมื่อเรามาถึงที่หมาย พี่ทาวน์หันไปมองผู้หญิงคนนั้นก่อนพยักหน้าเป็นสัญญาณอะไรสักอย่าง

“อธิบายเรื่องทั้งหมดหน่อยสิไอซ์”
ชื่อสวยตามหน้าตาเชียว เธอครางรับก่อนเดินมาใกล้ ผมขยับตัวหนีเพราะไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น

“คือ... เจ็ทอย่าโกรธทาวน์เลยนะ ไอซ์แค่โดนคุณลุงไหว้วานมาให้ป่วนน่ะ เขาอยากให้พวกนายเลิกกันเพราะคิดว่าความรักอย่างนี้มันไม่มั่นคง”
พี่ไอซ์เริ่มอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ผมฟังด้วยน้ำเสียงอึกอัก ใบหน้าสวยหมองลงจนสังเกตได้ เธอคงไม่อยากทำหรือเสียดายที่ต้องบอกความจริงกันแน่ ยอมรับว่าตกใจและเสียใจ ถูกกีดกันเพราะเป็นเพศเดียวกัน... อืม ต้องทำยังไงดีนะ

“ผมโดนพ่อตาเกลียดเข้าแล้วสินะ”
ผมพึงพำอย่างหมดแรงก่อนจะยิ้มเยาะให้กับความดันทุรังจีบพี่ทาวน์ ลูกเขาต้องเป็นแบบนี้ก็ไม่ผิดที่จะเกลียดและอยากให้เลิก แต่ไม่เคยเสียใจที่ทำลงไป ก็เพราะรัก ไม่ได้บังคับพี่ทาวน์ให้มาคบด้วยสักหน่อย เรายินยอมพร้อมใจทั้งสองฝ่าย

“ไม่ใช่แบบนั้น คุณลุงแค่เป็นห่วงทาวน์”
พี่ไอซ์รีบแก้ความเข้าใจผิดให้ ผมถึงกับร้องอ๋อออกมาเบาๆ แล้วพยักหน้ารับ ความเป็นห่วงของพ่อแม่บางครั้งก็น่ากลัวเกินไป

“หึ กลับไปบอกพ่อด้วยนะว่าผมดูแลตัวเองได้ จะมั่นคงหรือไม่มั่นคงมันเป็นเรื่องของเราสองคน ไม่ต้องตัดสินแทน”
พี่ทาวน์สรุปด้วยเสียงนิ่งจนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ เขากับพ่อไม่ลงรอยกันจริงๆ นั่นล่ะ ผมก็ทำได้แค่อยู่ข้างเขาแบบนี้ ไม่กล้าออกความคิดเห็นเพราะไม่รู้ว่าปัญหามันใหญ่มากแค่ไหน พี่ไอซ์ถึงกับเบิกตาโตเมื่อได้ฟังประโยคนั้นจบ ใบหน้าสวยเปลี่ยนไปคล้ายจะร้องไห้

“ทาวน์... ไม่แรงไปหน่อยเหรอ”

“ไอซ์คิดว่าที่พ่อทำกับผมมันเบาหรือไง”
พี่ทาวน์ตอกกลับจนผมได้แต่เงียบแล้วเดินเข้าไปแตะแขนเพื่อเป็นการบอกว่าให้เบาลงหน่อย ดูเหมือนเธอจะตกใจและเคารพคุณลุงมาก

“แต่...”
เธออึกอัก

“กลับไปเถอะ แค่นี้แฟนผมก็โกรธจะแย่แล้ว”
ผมเบิกตาโตเมื่อได้ยินคำเรียกนั้น ไม่คิดว่าพี่ทาวน์จะกล้าบอกใครๆ แล้วไอ้สายตาอ้อนนั่นคืออะไร ต้องการให้นายภาคินรู้สึกยังไงวะ ลากไปปล้ำหลังต้นไม้นั่นดีไหม จากที่โกรธว่าเขาโกหก ตอนนี้อยากขย้ำมากกว่า

“อื้อ ขอโทษทั้งสองคนด้วยนะ”
พี่ไอซ์ก้มหัวขอโทษเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินออกจากบริเวณนี้ ทิ้งให้ความกระอักกระอ่วนโรยตัวระหว่างพวกเรา

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมกลับนะ”
ผมเลือกที่เดินออกมาจากตรงนั้นพร้อมกับพี่ไอซ์ ถึงจะรู้เหตุผลที่เขาปิดบังเรื่องนี้ แต่ลึกๆ ก็โกรธที่โดนมองข้าม มีปัญหาแล้วเลือกเก็บไว้คนเดียวทั้งที่เป็นเรื่องของเรา และรู้สึกแย่จริงๆ ที่ช่วยอะไรไม่ได้

“เดี๋ยว ยังไม่หายโกรธอีกเหรอ”
มือเรียวรั้งไหล่ผมเอาไว้ก่อนจะตามมาด้วยเสียงทุ้มที่ฟังดูแปลกไป เหมือนกำลังอ้อน โอย ใจแข็งเข้าไว้ ขอเคลียร์เรื่องปากแข็งของพี่ทาวน์ก่อนสิวะ

“เปล่าครับ ไม่ได้โกรธ”
ผมตอบโดยไม่หันกลับไปมองเพราะกลัวจะแพ้เขาตั้งแต่ยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ

“แล้วทำไมถึงเย็นชากับพี่”
พี่ทาวน์ผละมือออกทำให้ผมต้องหันกลับไปมองเขาอย่างเต็มตา แทบจะดึงเข้ามากอดปลอบเมื่อเห็นสีหน้าอิดโรยนั่น นี่มันเพราะการสอบหรือเรื่องของเรากันแน่วะ แต่ช่างมันก่อน ขอพูดสิ่งที่ค้างคามาเป็นอาทิตย์

“ตอนนี้ผมเป็นแฟนกับพี่ใช่ไหมครับ”
ผมถามเสียงนิ่งแล้วจ้องดวงตารีนั่นอย่างสื่อความหมาย พี่ทาวน์มองตอบก่อนพยักหน้ารับ

“มีปัญหาอะไรทำไมไม่บอก ผมเป็นคนที่พึ่งพาไม่ได้เลยเหรอ”

“ไม่ใช่แบบนั้น กูแค่อยากจัดการมันด้วยตัวเอง”

“ไม่คิดถึงผมบ้างหรือครับว่าจะรู้สึกยังไงที่โดนพี่ปิดบัง แถมโกหกใส่แบบนั้น”
ผมว่าเสียงอ่อนก่อนจะยกมือขึ้นแตะตรงแก้มขาวอย่างแผ่วเบา ดวงตารีฉายแววสำนึกผิด

“ขอโทษ”
พี่ทาวน์เอ่ยเสียงเรียบก่อนจะเป็นฝ่ายดึงมือผมไปกุมเอาไว้ ที่เขากล้าขนาดนี้เพราะบริเวณโดยรอบไม่มีใคร

“อย่าปิดบังผมอีกนะครับ ขอร้อง”

“อืม จะพยายาม”
พี่ทาวน์ผละตัวออกห่างเมื่อเห็นว่ามีคนตรงมาทางนี้ ไม่ใช่ใครอื่นเลย ไอ้พวกตัวยุ่งชอบเสือกเรื่องชาวบ้านนั่นล่ะ กำลังจะเข้าฉากสวีทอยู่แล้วเชียว เซ็งเว้ย

“ผมขอโทษด้วยที่ชวนเลิกไปวันนั้น โคตรงี่เง่าเลยเนอะ”
ผมเอ่ยขอโทษเสียงอ่อยแถมด้วยการก้มหัวให้ สำนึกผิดจนแทบจมกองน้ำตาตายอยู่แล้ว แต่พี่ทาวน์ก็นิ่งด้วยการไม่อ่านไม่ตอบไลน์

“ไม่หรอก กูผิดเอง”
เขาย้ำว่าตัวเองผิดจนผมได้แต่ส่ายหน้าตอบว่าไม่เป็นไรเพราะตัวเองก็ผิดเหมือนกัน คนหนึ่งอยากแก้ปัญหาด้วยตัวเอง อีกคนหนึ่งอยากช่วยเพราะมันเป็นเรื่องของเรา ถือว่าเป็นบทเรียนที่จะปรับนิสัยเข้าหากันให้ลงตัว

“ถ้าอย่างนั้นต้องให้ผมลงโทษที่พี่เป็นเด็กดื้อ”
ผมได้ทีทำหน้าขึงขังใส่เป็นการแกล้งหยอก แต่ไม่คิดว่าพี่ทาวน์จะยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วตอบกลับมาแบบนั้น

“ยอมครับ”

มาดูกันว่าผมหรือพี่ทาวน์จะตายเพราะบทลงโทษครั้งนี้




---------------------------------------------

พี่ทาวน์เล่นเอาเจ็ทใจบ่ดี นิสัยไม่ดีเลย ทำน้องแบบนี้ได้ไง
ส่วนเจ็ทก็เป็นเด็กขี้กลัวเสมอต้นเสมอปลาย แล้วก็เจ้าเล่ห์เหมือนเดิมจ้า
จะทำโทษพี่เขายังไงก็ไม่รู้ หึหึ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
รอลุ้นบทลงโทษไปอี้กกก :hao6:

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
นี่รอดูบทลงโทษของคนขี้กลัวกับคนอวดเก่ง  ต่อไปมีอะไรต้องคุยกันนะอย่าอวดเก่งคิดเองทำเองคนทำให้คนขี้กลัวมันนอยแดก

ออฟไลน์ numay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1
รอลุ้นกับบทลงโทษ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด