“คุณดาหลาวันนี้พี่ปูนมานอนด้วยนะ” ลุงร้องบอกสองสาวที่นั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์เช่นที่ผมเคยเห็นประจำ หนึ่งในนั้นหันมาแย้มยิ้มพรายเหมือนทุกครั้ง แล้วตอบตกลงโดยไม่ตั้งคำถามใด ผิดกับอีกหนึ่งสาวที่หันมามองผมผ่านหางตาคมๆ
“บ้านช่องมีทำไมถึงไม่กลับ” ปราจีนถามห้วนๆ ถ้าเป็นในยามปกติผมก็พอจะโต้ตอบด้วยความสนุกได้แต่นั่นไม่ใช่วันนี้
คนกลางอย่างพัทลุงเห็นผมเงียบไปจึงตอบคำถามแทน แขนขาวๆ ยกขึ้นมากอดอก ยืดตัวพองลมได้อย่างน่ารักน่าชังที่สุด “ก็เพราะน้องป้าน่ารักไง แฟนเลยทั้งรักทั้งหลง ไม่เห็นหน้าก็นอนไม่หลับ”
ผมเกือบหลุดขำยามเห็นคนเป็นพี่กรอกตาดำด้วยสีหน้าเหม็นเบื่อ “ขอความจริง”
“...พี่ปูนไปดื่มกับเพื่อนมา ลุงเลยไม่อยากให้ขับรถกลับ”
“ก็เท่านั้น” พูดจบก็เลิกให้ความสนใจพวกผมแล้วหันไปดูโทรทัศน์ต่อ
ต้องนับว่าหลังจากการเปิดใจกันครั้งนั้น ปราจีนค่อนข้างจะมีมุมมองต่อผมเปลี่ยนไปหรืออย่างน้อยที่สุดก็เพราะพยายามควบคุมตัวเองให้มองผมในแง่ร้ายน้อยลง ไม่ต้องต้อนรับขับสู้ผมเหมือนกับน้าดาหลาหรอก แค่ไม่มองจิกผมเป็นไก่เหมือนก่อนก็พอแล้ว
“คุณปูนทานข้าวมารึยัง หิวรึเปล่า?” คุณน้าแย้มยิ้มหวานเอ่ยถามอย่างเอื้อเฟื้อ ผมที่ดื่มเหล้ามาเกินครึ่งกระเพาะก็ตั้งใจจะปฏิเสธ แต่คนข้างตัวผมกลับช่วยรบเร้าอีกแรง
“ใช่ๆ กินข้าวก่อนค่อยนอนเหอะ ลุงว่าพี่คงดื่มอย่างเดียวไม่ได้กินอะไรมาหรอก”
ผมทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ แล้วเดินตามแรงฉุดแบบไม่ขอความคิดเห็นไปทางห้องครัว ปล่อยให้สองสาวดูละครต่อไปอย่างออกรส
ถามว่าตอนนี้อยากจะทำอะไรที่สุด... แน่นอนว่าเป็นการคว้าลุงไปกอดแล้วนอนหลับบนที่นอน! ไม่ใช่การนั่งหน้าจานข้าวร้อนๆ พร้อมกับข้าวหอมๆ สามอย่างแบบนี้
“กินเยอะๆ นะพี่ปูน ลุงทำเองทุกจานเลย” ลุงนั่งฝั่งตรงข้าม เท้าคางมองผมแล้วยิ้มจัดหนัก เจออย่างนี้เข้าไปต่อให้กระเดือกข้าวไม่ลงก็ต้องทำการยัดเข้าไปบ้างล่ะ
พัทลุงเป็นคนทำอาหารได้ออกมาหน้าตาบ้านๆ แต่อร่อยมาก น้าดาหลาเคยชื่นชมให้ผมฟังว่า ลูกชายคนดีของเธอนั้นได้รสมือมาจากพ่อแต่พิถีพิถันไม่เท่า ก่อนจะได้มาเป็นคนรักกันผมเคยนั่งพิจารณาลุงอยู่บ้าง ผู้ชายคนนี้มีความสามารถหลายอย่างเสียแต่ว่าไปไม่สุดสักทาง อาจจะเพราะลุงไม่เลือกที่จะมุ่งเน้นไปด้านใดด้านหนึ่งอย่างจริงจัง แต่พอหลังได้มาคบกันผมกลับรู้สึกว่าลุงมีสิ่งหนึ่งที่เลือกจะจริงจังเหมือนกัน นั่นคือการดูแลคนใกล้ตัว
ไม่มีผู้ชายคนไหนหรอกที่ยังจะต้องบอกคนที่บ้านเสมอเวลาไปค้างคืนที่อื่น คอยโทรถามว่ากินข้าวหรือยัง? เสื้อผ้ามีพอใช้หรือเปล่า? คอยห่วงนั่นห่วงนี่ไปหมด ทั้งซักผ้า ทำความสะอาด ล้างรถ รดน้ำต้นไม้ ต่อให้ทำไปบ่นไปแค่ไหนแต่เหล่านี้คือสิ่งที่ลุงทำอย่างตั้งใจเสมอ เวลาลุงรักใคร ลุงจะห่วงใยและใส่ใจเต็มที่ ผมรู้สึกอิจฉาในความโชคดีของผู้หญิงบ้านนี้ ส่วนผม...ผมคงใช้ความโชคดีทั้งชีวิตแลกไปแน่ๆ ถึงได้ลุงมาอยู่ข้างกันแบบนี้
“ยิ้มอะไร?”
ผมส่ายหน้าเล็กน้อยให้กับคำถาม ลุงขมวดคิ้วเล็กน้อยต่อเมื่อผมตักข้าวเข้าปากอีกคำหัวคิ้วก็คลายลง ลุงนั่งมองผมกินเงียบๆ ไม่มีการเล่นมือถือเพื่อฆ่าเวลา ทุกความสนใจของลุงพุ่งตรงมาที่ผม มันอาจจะน่าอึดอัดสำหรับใครหลายคน แต่ผมกลับชอบที่มันเป็นแบบนี้
หลังจากฝืนทานต่อไปอีกสามสี่คำผมจึงรวบช้อนเพื่อจบมื้ออาหาร ข้าวอาจจะไม่พร่องสักเท่าไหร่ แต่ความอร่อยจากกับข้าวทำให้ผมกินเข้าไปไม่น้อย โดยเฉพาะผัดผักรวมที่ถูกกวาดจนหมดเกลี้ยง ชื่นใจคนทำเขาล่ะ...
“มีลูกตาลลอยแก้วด้วยนะ เอามั้ย?”
“ขืนกินต่อ พี่คงได้อ้วกใส่หน้าลุงแน่” ผมบอกเสียงเครียด เท่านี้ก็จุกขึ้นมาถึงคอหอยแล้ว!
“งั้นก็อย่าไปกินมันเลยเนอะ”
ผมอมยิ้มนั่งมองลุงเก็บล้างทำความสะอาดถ้วยชามอย่างมีความสุข จากนั้นเราก็บอกลาสองสาวที่ยังติดตามละครอย่างไม่คลาดสายตาขึ้นไปชั้นบน ห้องนอนของลุงเล็กกว่าห้องนอนของคอนโคฯ ผมเสียอีก แต่ว่าทั่วทุกพื้นที่กลับมีร่องรอยของการใช้ชีวิตอยู่เต็มไปหมด กลิ่นอายเจ้าของห้องอบอวลอยู่ทั่วพลอยให้ผ่อนคลาย ผมนั่งเอกเขนกบนเตียงนอนแคบๆ ปล่อยให้เจ้าบ้านจัดหาชุดนอนและของใช้ไปตามเรื่อง
ระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ลุงมองมาทางผมแวบหนึ่งแล้วหันกลับไปหาเสื้อต่อ ผมหยิบมือถือขึ้นมามองชื่อผู้โทรก่อนจะกดรับสายด้วยความเบื่อหน่ายเล็กน้อย
“ว่าไง”
“ทำไมนายทักทายไร้เยื่อใยอย่างนี้” เสียงเจน่าดังแหลมแข่งกับเสียงเพลงที่แทรกเข้ามา
“อยู่ที่ไหนเนี่ย”
“แดนซ์อยู่น่ะซี่! มันมากเลย นายมาดื่มกับฉันสิ มาเร็วๆ” ฟังจากเสียงผมเดาได้เลยว่าบรรยากาศต้องสนุกมาก เพราะถ้าทำให้เจน่าเมาได้นี่ต้องสุดเหวี่ยงจริงๆ ผมเคยไปเป็นเพื่อนอยู่หนึ่งงานและสัญญากับตัวเองว่าจะไม่หลงกลอีก เพราะงานนั้นเจน่าทั้งเมา ทั้งเต้นกับคนไปทั่ว สุดท้ายก็ลืมผมไว้แล้วหิ้วนายแบบรุ่นน้องไปนอนกกแทน
“เมาให้ตายไปเลยเจน่า เดี๋ยวก็มีคนหิ้วเธอกลับไปเอง” จากหางตาผมเห็นลุงชะงักเล็กน้อย ผมแสร้งทำไม่สนใจขณะที่สองตาคอยจับภาพลุงที่กำลังแอบหันมามองทางผมเป็นระยะ จากภาษากายทำให้ผมพอสรุปได้ว่าลุงยังคงมีความกังวลอยู่ เพราะถ้าหากลุงไม่คิดอะไรจริงๆ คงไม่มานั่งหูผึ่งเงียบๆ แบบนี้แน่
เพื่อความสบายใจผมจึงเปิดลำโพงซะเลย
“พูดเหมือนเห็น! เด็กรุ่นน้องไอแต่ละคนน่ากินมาก” ในสาย เจน่าหัวเราะครึกครื้นมาก แต่ในห้องนั้นลุงสะดุ้งตกใจหันมาจ้องผมตาแป๋ว
“วันนี้ต้องได้แน่ คิกๆ”“งั้นก็ขอให้โชคดี” ผมพูดเสียงเนือยพลางลุกขึ้นเดินไปนั่งซ้อนหลังคนไม่สบายใจ โอบให้อีกฝ่ายพิงตัวแนบลงมา
“แล้วนี่นายจะไม่มาจริงเหรอ ไทป์ของนายเพียบเลยนะ”“ฉันอยู่กับแฟน”
“โอ้!! ฉันมักลืมเสมอว่านายไม่เหมือนเดิมแล้ว”“พูดมาก”
“คิกๆ แล้วเมื่อไหร่จะยอมพาคนรักของนายมาเจอฉันบ้าง ฉันอยากเห็นหน้าคนที่ทำให้นายเลิกเป็นแบดบอย”“ฉันจะวางแล้วนะ” เรื่องตั้งเยอะแยะไม่พูด เปิดปากทีมีอันต้องวกเข้าเรื่องอดีตตลอด
“ตามสบาย วู้ว! มีเด็กหนุ่มยกแก้วเชิญชวนฉันด้วย ไปล่ะ”เจน่าไวเสมอเมื่อมีเรื่องความถูกใจเข้ามาเกี่ยว ผมวางโทรศัพท์ลงข้าวตัวแล้วโอบกอดคนในอ้อมแขนให้แน่นกว่าเดิม
“สบายใจขึ้นรึยัง?” ผมถาม พลางซุกหน้าเข้ากับซอกคอของลุงแล้วจูบเบาๆ
“ผม...ผมขอโทษ” ลุงหน้าตื่นทันทีที่ถูกจับได้ “ผมทำเหมือนอยากรู้มากเลยใช่มั้ย?”
“นั่นหมายความว่าลุงรักพี่ยังไงล่ะ เพราะรักก็เลยหึงไม่ใช่หรือ?”
“ก็ไม่เชิงหึง...คือ...” แล้วเด็กดีอย่างลุงก็พ่นออกมาทุกอย่างทั้งเรื่องที่ปราจีนไปเจอผมนั่งดื่มกับเจน่า และเรื่องที่ไปปรึกษาโป้ย รวมถึงความรู้สึกของตัวเองที่ผมฟังแล้วให้กลั้นยิ้มจนปวดแก้ม
“อย่ายิ้มนะ!” ลุงหันมาทุบผมเป็นการใหญ่ด้วยความเขิน
“พี่รู้ว่าควรจะต้องเสียใจ แต่ทำไมมันดีใจนักก็ไม่รู้” ผมรีบรวบมือลุงมากอดไว้ในท่าเดิม
“...ขอโทษนะ ลุงจะไม่คิดแบบนั้นกับพี่อีก”
“ลุงคิดได้เพราะพี่ให้สิทธิ์นั้นกับลุง” ผมหอมแก้มนิ่มของคนนั่งหงอย ถึงผมจะไม่เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นตน แต่คนส่วนมากมักจะเลือกโวยวายและโยนความผิดใส่อีกคน บางคนโพล่งสิ่งที่คิดออกมาจนทำร้ายจิตใจอีกฝ่าย บ้างก็เก็บเอาไว้ในใจจนเกิดเป็นความระแวง
ลุงเก็บเอาไว้ในใจแต่ไม่เคยแสดงออกถึงความระแวง พอพูดออกมาก็กลับเป็นความรู้สึกผิดที่ตัวเองคิดไปแบบนั้น มันทั้งน่าเอ็นดู น่าสงสาร แล้วก็น่าหงุดหงิดไปพร้อมกัน
“ลุงจะหึงพี่ให้มากกว่านี้ โวยวายใส่ หรือสั่งห้ามพี่ไปเลยก็ได้ พี่ให้สิทธิ์นั้นกับลุงนะ”
คราวนี้เป็นลุงที่หันมามองหน้าผมตาโต “พี่ปูน...ผมไม่ใช่คนแบบนั้น”
“พี่แค่อยากให้รู้ไว้” ผมยิ้มเอ็นดู
“แล้วต่อให้ผมทำแบบนั้นได้จริงเราก็คบกันไม่ยืดหรอก พี่จะเบื่อและผมก็จะเหนื่อยหน่าย” ลุงขมวดคิ้วแน่น คล้ายจินตนาการไปถึงอนาคตที่เป็นเช่นนั้น “เราจะไม่มีความสุข และผมไม่ชอบถ้ามันเป็นแบบนั้น”
“พี่รู้”
“คราวหน้าผมจะถามพี่ตรงๆ”
“พี่ก็จะตอบอย่างไม่ปิดบัง พี่จำคำสัญญาที่ให้กับลุงได้”
เราจูบกันแผ่วเบาด้วยรอยยิ้ม นี่คืออีกหนึ่งข้อดีของลุงที่ผมชอบ ไม่ว่าเราจะทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไรแต่เมื่อเคลียร์กันได้ลุงจะไม่หยิบยกเรื่องเดิมมาพูดซ้ำไปมา
“ว่าแต่วันนี้พี่เป็นยังไงบ้าง”
ผมนิ่งไปเล็กน้อย ลุงหันมามองแล้วหน้าเสียตามคล้ายกลัวว่าตัวเองถามเรื่องที่ไม่ควร ผมส่งยิ้มให้พลางส่ายหน้าบอกให้อีกฝ่ายไม่ต้องกังวล ก่อนจะเริ่มเล่าการพูดคุยสั้นๆ ออกไปด้วยน้ำเสียงที่สบายผิดคาด ผิดกับลุงที่เหมือนจะฮึดฮัดแทนผมอยู่หลายที เสียงถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่าหมดไปและสุดท้ายก็หลงเหลือเพียงอ้อมกอดของลุงที่ทำให้หัวใจผมอ่อนยวบ
“พี่ไม่เป็นไร”
“จะไม่เป็นไรได้ไงกัน” น้ำเสียงนั้นอบอุ่น แต่อ้อมกอดของลุงนั้นอบอุ่นยิ่งกว่า
“มันแค่เป็นเหมือนเดิม เพียงแต่มันไม่เจ็บปวดเหมือนเคยอีกแล้ว” ผมซุกตัวแนบแผ่นอกผอมบาง น้ำเสียงนั้นสบายราบเรียบอย่างที่ใจรู้สึก
“พี่ว่าเขาป่วยเป็นอะไรเหรอ?”
“ไม่รู้สิ แต่ดูจากสภาพคงไม่ใช่เส้นเลือดในสมองแตกแน่”
“แล้วพี่...”
“คนนอกไม่จำเป็นต้องไปรับรู้นี่”
ลุงเงียบไปเล็กน้อย หากอ้อมกอดนั้นยังคงอบอุ่นผสานกับการตบเบาๆ สม่ำเสมอบนแผ่นหลังที่ช่วยให้ความสุขสบายรุกคืบไปทั้งร่างกายจนอยากจะหลับไปซะเดี๋ยวนี้ แต่ทั้งกลิ่นเหล้ากลิ่นบุหรี่มันคงไม่เหมาะที่ลุงจะต้องมานอนดมไปทั้งคืน ผมจำต้องผละจากอ้อมกอดคนรักเพื่อไปอาบน้ำชำระกาย ลุงเตรียมเสื้อนอนกับกางเกงไว้ แต่เสื้อเก่าตัวนิ่มนั้นมันยังคงเล็กเกินไป ผมจึงเลือกใส่เพียงกางเกงขาสั้นยางย้วยๆ ตัวเดียว
เตียงนอนที่กว้างเพียง 3.5 ฟุตนั้นดูเล็กไปถนัดตาเมื่อผู้ชายสองคนนอนด้วยกัน แม้พื้นที่เหลือน้อยจนไม่พอให้ดิ้นได้ แต่ก็ไม่เป็นปัญหาสักนิดเพราะผมชอบที่จะนอนกอดลุงแน่นๆ รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้สะดวกสบายนักหรอก แต่คำดุคำบ่นก็ไม่เคยออกปากให้ได้ยินเช่นกัน ลุงยอมนอนวาดขาก่ายเอวผมไปครึ่งค่อนคืนประจำ มือก็มักจะโอบผมเอาไว้ ลูบหัวตบหลังไปตามเรื่องเหมือนกำลังกล่อมเด็ก
“รักพี่มั้ย?”
“รักสิครับ” ลุงตอบคำถามด้วยน้ำเสียงง่วงงุน ฝ่ามือที่หยุดการทำงานไปสักพักก็กลับมาทำหน้าที่ลูบท้ายทอยไปมาเหมือนเดิม
“รักมากมั้ย?”
“อืม...มากๆ เลย”
ผมซุกหน้าลงกับอกแบนๆ ของลุง แนบหูฟังเสียงหัวใจเต้นกับลมหายใจสม่ำเสมอด้วยรอยยิ้ม ผมไม่รู้หรอกว่าไอ้ ‘มากๆ’ ของลุงนั้นมันมากสักแค่ไหน ผมไม่หวังให้ตัวเองต้องได้เป็นที่หนึ่งด้วยเพราะลุงยังมีครอบครัวที่น่ารัก ผมแค่อยากให้ลุงรักผมจนขาดไม่ได้ ต่อให้ไม่ใช่ที่หนึ่งหรือที่สอง, สาม, สี่ แต่ที่ที่ผมยืนอยู่ต้องไม่ใช่สิ่งที่ลุงสลัดทิ้งได้ง่าย
นั่นล่ะ...ผมอยากจะอยู่ตำแหน่งนั้นไปนานแสนนาน
.
.
.
ก๊อก ก๊อก ก๊อกเสียงเคาะดังขึ้นก่อนที่บานประตูจะเปิดออกโดยพระรองหนุ่มหล่อ ร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตกับกางเกงพอดีตัว ผมละสายตาจากการสนทนากับลูกค้าทางโปรแกรมโซเชียลเพื่อต้อนรับใบหน้าเปื้อนของเพื่อน พันกรเดินมาตรงเข้ามาพร้อมกับแฟ้มงานสองชิ้นในมือ มันวางปุปลงบนโต๊ะผมแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกยาว
“แฟ้มสีดำคือเจ้าที่ยังปิดงานไม่ได้ สั่งแก้งานหลายรอบแล้วแต่ยังสรุปกันไม่ได้”
“ว่าง่ายๆ คือเรื่องมาก” ผมขยายความให้สั้นๆ ลูกค้าประเภทนี้คือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้เลยกับสายงานแบบนี้ มีทั้งพวกแก้งานไม่จบสิ้น เปลี่ยนบรีฟไปมาเหมือนพวกสมองมีปัญหา พวกยกเงิกงานอย่างหน้าด้านๆ พยายามเบี้ยวเงินก็มี แต่ประเภทหลังๆ นั้นคนที่เจอก็จะเป็นพวกฟรีแลนซ์เสียมากกว่า พอมาในรูปบริษัทมันก็จะมีการตกปากรับคำในรูปสัญญาทำให้บิดพลิ้วกันไม่ได้ง่ายๆ
“แฟ้มสีน้ำเงินคือลูกค้าที่นัดเข้าไปคุยนะ”
ผมรับแฟ้มงานมาเปิดดูคร่าว แผ่นกระดาษแต่ละแผ่นมีรายละเอียดงานกับความต้องการคร่าว ชื่อบริษัทกับชื่อคนติดต่อ มีสถานที่นัดพร้อมกับเบอร์โทรชัดเจน ผมดูรายชื่อลูกค้าแล้วเดาะลิ้นเบาๆ พันกรมันหาลูกเก่งเหมือนเคย คราวนี้ได้บริษัทเครื่องสำอางชั้นนำมาซะด้วย ถึงจะต้องไปฟาดฟันกับเจ้าอื่นอีกแต่ผมค่อนข้างแน่ใจว่าฝีปากตัวเองต้องทำให้คว้างานมาได้แน่
“แล้วนี่มึงจะไปกี่โมง?” ผมปิดแฟ้มแล้วหันมาถามเพื่อน พ่อหนุ่มหล่อพระรองขายดีนั้นมีคิวไปถ่ายละครที่ต่างประเทศหนึ่งสัปดาห์มันถึงเอางานมาประเคนให้ผมถึงที่
“เครื่องออกห้าโมงครึ่ง แล้วมึงจะเอาอะไรเพิ่มก็ส่งข้อความไปนะ”
“ยังกะจะมีเวลามาเดินช้อปมากมาย”
“เอาน่า กูแว่บได้” ว่าแล้วมันก็หัวเราะหึหึ แน่นอนว่าผมฝากรายการสั่งซื้อไปหลายอย่าง พวกนาฬิการุ่นลิมิเต็ดที่ยังไม่นำเข้ามาแล้วก็พวกรองเท้ากับหมวกของลุงที่เจ้าตัวเคยชี้ให้ดูรูปแต่ยังไม่มีโอกาสได้ซื้อ ...ก็ติดอยู่เรื่องเงินเท่านั้นล่ะคนนี้ ความอดทนต่อการอยากได้อะไรสักอย่างเป็นเลิศ คุณดาหลาก็เคยเปรยให้ฟังถึงความขี้งกของลูกชายว่าเงินเก็บมีเยอะแยะแต่กลับไม่เคยซื้อความสุขให้ตัวเอง
“แล้วนี่กูต้องเก็บเงินกับลุงหรือกับมึงล่ะ” มันยกยิ้มถามทั้งที่รู้ดี
“ก็ต้องกับกูสิวะ”
“แหม มึงนี่มันพ่อบุญทุ่มจังเว้ย มึงเพิ่งซื้อเป้ราคาเป็นหมื่นให้น้องมันไปไม่ใช่เหรอ เปย์หนักมากนะมึงจนตอนนี้ลุงแทบจะแบรนด์เนมทั้งตัวแล้ว”
ผมยักไหล่ไม่ใส่ใจกับคำเสียดสี “มันไม่เคยขอให้กูซื้อนั่นนี่ให้ แต่กูซื้ออะไรให้มันก็ใส่ทั้งนั้นแหละไม่รู้หรอกว่าราคาเท่าไหร่มั่ง”
“หลงมากไอ้ปูน ทั้งรักทั้งหลงจริงๆ” พันกรส่ายหัวให้กับความหลงเมียขั้นหนักของผม “นี่ถ้าน้องมันอยากได้บ้านได้รถขึ้นมา...”
“กูจะจูงมือมันไปเลือกเลย”
“ป๋าโคตรๆ”
ผมทำเพราะมันเป็นความสุขของผมต่างหาก ถ้าผมคบกับลุงแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็คงไม่มีลูกเต้าให้มาผลาญเงินในอนาคต เมื่อเห็นแน่ๆ แล้วว่ามันมากเกินที่จะใช้กันแค่สองคนไปจนแก่ หาได้เพิ่มเติมเท่าไหร่ผมก็เอามาบำรุงบำเรอเมียไม่ดีกว่าหรือ
“หามาให้ได้แล้วกัน”
“ถ้ามึงไปส่งกูที่สนามบินวันนี้น่ะนะ”
“ต่อรองเก่ง... เออ! กูไปส่งแน่” ผมสำทับก่อนจะโบกมือไล่เพื่อนแล้วกลับไปคุยงานที่ค้างอยู่ต่อ
มันอาจจะเหนื่อยเล็กน้อยที่ต้องขาดผู้ร่วมงานไปเพราะบริษัทนี้กำลังมั่นคงมากขึ้น มีงานหลากหลายเข้ามาพร้อมกับฐานลูกค้าเดิมที่จำนวน ผมคิดว่าคงต้องเปิดรับสมัครงานอีกสักหนึ่งรึสองตำแหน่งเพื่อมาช่วยงานในกรณีแบบนี้ แต่พันกรก็ดูว่าจะรับงานในวงการน้อยลงทุกที ดูจากการรับงานละครปีหนึ่งๆ แค่เรื่องหรือสองเรื่องเท่านั้น จะมีเพียงงานพิธีกรที่ผู้ใหญ่ให้โอกาสทำที่ยังคงทำอยู่สม่ำเสมอและดูจะรุ่งในทางนี้เสียด้วย
พันกรคงอยากเอาตัวเองออกมาจากวงการนี้ทีละเล็กทีละน้อย ผมเองก็ไม่แน่ชัดว่าทำไมแต่ที่รู้คือ ‘โป้ย’ มีส่วนอยากมากในการตัดสินใจเช่นนี้
เพื่อนผมมันรักของมันจนจะเป็นจะตาย คนงี่เง่าน่าสมเพชแบบนั้นในที่สุดก็เริ่มจะกล้าให้ความหวังกับตัวเอง มันคงไม่อยากให้คนที่มันรักต้องมาเป็นขี้ปากชาวบ้านเท่าไหร่หรอก
.
.
.
เกือบอาทิตย์แล้วที่พันกรไม่อยู่
ลุงดูจะเป็นห่วงเพื่อนที่ดูจะหงุดหงิดงุ่นง่านจนผมชักจะรำคาญใจ เดี๋ยวก็ทิ้งผมไปนอนค้างห้องเพื่อน เดี๋ยวก็ชวนกันไปดื่มเหล้า ผมไม่รู้ว่าโป้ยมันไม่ชินหรืออย่างไรที่แฟนมันเป็นคนแบบนี้! การที่ไม่ชอบเล่นโซเชียล ไม่ค่อยตอบข้อความน่ะเป็นเรื่องปกติสำหรับกรมาตั้งนานแล้ว ถ้ามีธุระด่วนก็เป็นอันรู้กันว่าต้องโทรไปหาเท่านั้น
อ้อ...แต่เห็นว่าโทรไปแล้วไม่มีสัญญาณตอบรับนี่นะ
มองอีกมุมผมก็เข้าใจโป้ยอยู่หรอก เพราะถ้าเกิดขึ้นกับตัวเองผมคงจะบินไปหาลุงแล้วถามความให้กระจ่างไปแล้ว ผมเชื่อว่าโป้ยมันก็คงอยากทำแบบนั้นอยู่หรอก แต่ติดตรงที่ว่าถ้าขืนมันทำลงไปคงกลายเป็นข่าวใหญ่แน่
“มาแล้วๆๆ” เสียงร่าเริงของลุงมาพร้อมกับถุงใส่ของกินเต็มสองมือ โดยที่มีผมเดินหิ้วถุงน้ำแข็งกับน้ำอัดลมสองขวดใหญ่ตามมาติดๆ
“มาเลยๆ เตรียมพร้อมแล้ว” พี่ริชเดินผ่านลุงมาหาผมด้วยสีหน้าเริงร่ายิ่งกว่า ส่งมือมารับของทั้งหมดไปถือเอง “ขอบคุณนะครับอุตส่าห์เลี้ยงแท้ๆ ยังต้องออกไปซื้อมาให้อีก”
“พี่ริช! ของผมก็หนักนะ” ผมอมยิ้มกับสีหน้าปึ่งงอนของคนรัก แก้มป่องๆ นิ่มๆ นั่นทำให้คนอยากจะส่งนิ้วไปคีบเล่นเสียงจริง
“พี่เลือกปฏิบัติจ้ะ” ว่าพลางยักไหล่แล้วก็เร่งฝีเท้าตามคนงอนไป
ผมตามเข้าไปหลังสุดเพราะหยุดรับโทรศัพท์จากลูกค้าชั่วครู่ พอเดินเข้ามาที่ห้องอาหารก็ไม่มีที่นั่งเสียแล้ว อาหารอีสานร้านเด็ดในละแวกละลานตาเต็มโต๊ะไปหมด บางอย่างผมไม่เคยกินด้วยซ้ำ บางอย่างลุงก็สั่งเบิ้ลอย่างรู้ดีว่าทุกคนชอบ ทุกคนมองผมเป็นตาเดียวเมื่อเดินเข้าไป
“ทำไมยังไม่กินกัน”
“ก็รอเจ้าภาพมาเปิดงานไงครับ” โป้ยตอบเสียงเนือย แต่ในมือมีน่องไก่ที่แหว่งจากการกัดไปแล้ว
“พี่ปูนมานั่งนี่” ลุงเรียกผม พร้อมเลื่อนที่ว่างที่เว้นไว้ให้ออกให้ผมแทรกตัวลงนั่ง พอมองดีๆ แล้วลุงกับโป้ยนั่งเก้าอี้พลาสติกที่ไม่ได้เข้าพวกกับชุดโต๊ะอาหารอย่างดีเสียเท่าไหร่ “แล้วเก้าอี้พวกนี้?”
“อ๋อ~ พวกผมหุ้นเงินกันซื้อมาครับ เวลาสังสรรค์กันจะได้นั่งกันครบๆ” พี่ริชชี้แจง ผมก็พยักหน้ารับโดยไม่ต่อความอะไร แต่คิดถึงว่ายามรับพนักงานมาเพิ่มห้องอาหารแคบๆ แบบนี้จะเพียงพอหรือไม่
“กินกันเลยครับ” ผมพูดเปิดงาน เพียงเท่านั้นก็ไม่รู้แล้วว่ามือใครเป็นมือใคร จิ้มนั่น ตักนี่ ขวักไขว่กันเหมือนสงครามย่อมๆ มีสุภาพชนหน่อยก็เห็นจะเป็นพี่เปี๊ยกที่ค่อยๆ ตัก ค่อยๆ เคี้ยว ยิ่งคนข้างผมนี่เหมือนองค์ปอบลง กินเร็วจนช้อนกระทบฟันดังกึกทำเอาน้ำส้มตำเลอะมาตามคาง
“ค่อยๆ กินสิ” ผมดึงทิชชู่จากเคาน์เตอร์ข้างหลังมาเช็ดปากให้เด็กตะกละ
“หยิบน้ำให้ลุงหน่อย” สิ้นคำสั่ง ผมก็หันไปหยิบแก้วน้ำอัดลมส่งให้อีกฝ่ายดื่ม เสร็จสรรพก็ยังหันกลับไปวางที่เดิมให้
“พี่ปูนกินหมูย่าง” ลุงก็ทำน่ารักโดยกันตักหมูย่างหอมๆ ให้ผมหลายชิ้นพร้อมกับน้ำจิ้มแจ่วที่ตักวางไว้เล็กน้อยตรงขอบจาน “ข้าวเหนียวมั้ย?” ผมส่ายหัวเป็นเชิงปฏิเสธ ลุงก็เปลี่ยนไปตักตำข้าวโพดคู่กับไข่เค็มหนึ่งซีกมาให้แทน
“พี่อยากกินปลาเผา”
“ได้สิ แถวบ้านมีร้านเมี่ยงปลาเผาอร่อยๆ อยู่ แล้วลุงจะทำต้มยำให้ด้วย”
“ไอ้ลุง…” เสียงเรียบๆ ดังขึ้นจากด้านข้าง ผมหันไปมองโป้ยที่กำลังสะกิดเพื่อนตัวเองให้สนใจ
“มีอะไร เอาน้ำเหรอมึง?”
“เปล่า แค่อยากรู้ว่า...” โป้ยมองลุงแล้วเลยมาทางผมด้วยสายตาเบื่อหน่าย “มึงคิดว่าตอนนี้กินข้าวกันอยู่แค่สองคนเหรอ”
“อ่ะ!!...” ลุงชะงักไปเล็กน้อย กวาดสายตามองคนอื่นรอบโต๊ะเหมือนคนไม่รู้ว่าจะแก้ตัวยังไงดี ผมเห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ “เอ่อ ผมหมายถึงซื้อปลาเผามากินด้วยกันที่ออฟฟิศแล้วผมจะทำต้มยำมาด้วยไง”
ผมมองทุกคนที่พากันก้มหน้ากลั้นยิ้มเงียบๆ หูก็ได้ยินเสียงพี่ริชแซวเบาว่า ‘ไม่ทันแล้วจ้า’ สงสัยความสัมพันธ์ของผมกับลุงก็คงรู้กันทั่วไปแล้ว เพียงแต่ไม่มีใครพูดออกมาเท่านั้นเอง
“พวกพี่อยากกินใช่มั้ย? ใช่หรือเปล่า?” แต่เจ้าตัวเขาดูจะยังยอมรับไม่ได้เลยชักชวนให้คนอื่นคล้อยตามเป็นการใหญ่
“ครับๆ พี่อยากกิน” พี่เปี๊ยกพยักหน้าตามน้ำไปด้วยสีหน้าแบบกึ่งขำกึ่งสงสารรุ่นน้องเต็มที
“จ้า พี่ก็อยากกิน เดี๋ยวหาร้านให้นะว่าที่ไหนอร่อย” พี่ริชอมยิ้มแล้วทำทีหยิบมือถือขึ้นมาเปิดเล่น ผมเดาว่าเขาคงไม่ได้ตั้งใจหาร้านหรอกเพียงแค่อยากแก้เก้อให้น้องก็เท่านั้น เพราะนั่งปัดหน้าจอไปได้สักพักก็เอนหัวชนกับพี่จิ๋ม คิ้วขมวดมุ่นปากก็เริ่มซุบซิบแลกเปลี่ยนข้อสงสัยกัน
“ไม่จริงหรอกค่ะ พี่ว่าข่าวลวง” พี่จิ๋มพูดเสียงเบาแต่มันก็ดังพอให้คนบนโต๊ะได้ยินกัน
“แต่คุณกรไม่เคยมีข่าวกับใครเลยนะพี่” คราวนี้มีชื่อของหัวข้อสนทนาหลุดมาจากปากพี่รีชด้วย เล่นเอาเมียผมหูผึ่งตั้งใจสนอกสนใจทันที
“ข่าวพี่กรเหรอพี่?”
“ใช่ นี่ไง!” พูดจบพี่ริชก็ยื่นมือถือข้ามโต๊ะส่งให้ลุงดูปากก็ยังพูดวิเคราะห์ไปด้วย ผมหันไปมองตามก็เห็นสองเพื่อนซี้เอาหัวติดกันไปอีกคู่ “คุณกรอยู่ในวงการมานานไม่เห็นเคยจะมีข่าวกับใครสักคน ลุงว่าคนนี้ใช่แฟนคุณกรมั้ย?”
“คนนี้ที่เป็นนักแสดงใหม่นี่ ลุงเคยเห็นว่อบไปแว่บมาในละคร” ลุงบอกรายละเอียดได้นิดหน่อย ไอ้ละครที่ว่าก็คงมาจากสองสาวที่บ้าน “แต่พี่สาวลุงบอกว่าถึงจะหน้าตาพอไปวัดได้ แต่เล่นแข็งก็เลยยังไม่ดัง”
“ใช่ค่ะ ป้าก็ว่าอย่างนั้นเหมือนกัน” ป้าจิ๋มรับคำทันท่วงที “เล่นมาหลายเรื่องแล้วนะ แต่ไม่เห็นพัฒนาเลย”
“นี่คงเล่นเรื่องเดียวกับคุณกรแน่ แต่ทำไมถึงได้มีรูปแบบนี้มาก็ไม่รู้”
ปกติแล้วผมไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านหรอกนะ แต่...คราวนี้มันอดใจลำบากจริงๆ
ผมยื่นหน้าเข้าไปร่วมสุมหัวด้วยอีกคน สองตามองข้อความที่ลุงเลื่อนอ่านอย่างช้าๆ บนหน้าจอโทรศัพท์ เนื้อหาดูจะเป็นการอธิบายว่าผู้ชายในภาพเป็นใคร งานในวงการมีอะไรบ้าง แล้วก็คล้ายจะโปรโมทละครที่กำลังเล่นไปในตัว
‘คู่จิ้นคู่ใหม่ปรากฏ!’
‘พักกองสุดหวาน หรือบทบาทจะกลายเป็นการสานสัมพันธ์รัก’
‘การพลิกบทบาทสวมบทชายรักชายครั้งแรกของกร พันกร’จากนั้นลุงก็ปัดนิ้วเลื่อนไปเจอรูปภาพที่ดูเหมือนเป็นการแอบถ่าย ภาพนั้นคุณภาพไม่ละเอียดเท่าไหร่นักแต่ไม่ว่าจะมองยังไงก็เป็นรูปของพันกรถูกชายหนุ่มหนึ่งคนหอมแก้ม รูปต่อมาเป็นรูปที่ทั้งคู่มองหน้ากัน และรูปสุดท้ายเป็นรูปที่พันกรกำลังยีผมอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม
อู้ว~
ผมเหลือบตาไปยังสุดที่รักของคนในรูปแต่กลับพบเพียงสายตาเรียบนิ่ง ผมเกือบจะเชื่อว่าโป้ยมันไม่คิดเชื่ออะไรแบบนี้อยู่แล้วเชียวถ้าไม่ทันได้เห็นกรามที่ขึ้นเหลี่ยมมุมชัดเจนจากการขบฟันจนแน่น
“คุณปูนว่าไงครับ?” พี่ริชหันมาขอความคิดเห็น
“ริช อย่าเกินไป” พี่เปี๊ยกเอ็ดเพื่อนเบาๆ ทำเอาพี่ริชหน้ายู่ลงอย่างขัดใจแต่ก็สงบปากลงไม่ถามเซ้าซี้อะไรอีก แต่เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว ผมซึ่งเป็นเพื่อนของบุคคลในหัวข้อสนทนาจะไม่ชี้แจงอะไรเลยก็จะหาว่าสนิทกันไม่มากพอ
“มันก็แค่รูปถ่ายน่ะครับ” ผมเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ เมื่อเห็นพี่ริชกับป้าจิ๋มพยักหน้าเห็นด้วยจึงพูดต่อว่า “แต่มันก็เป็นหลักฐานอย่างดีพี่ว่ามั้ย?”
“เอ๊ะ?? หมายความว่าไงคะ!!”
ผมเหยียดยิ้มมองคนอยากรู้อยากเห็นแต่ไม่พูดอธิบายอะไรเพิ่มเติม สองสาวต่างบ่นอุบแต่นาทีต่อมาก็เริ่มหันไปคุยเรื่องอื่นกันต่อ ผิดกับบางคนที่โดนผลกระทบจากภาพถ่ายมากกว่าใคร
ครืด!เสียงเก้าอี้ถูกเคลื่อนโดยแรง ทุกสายตาหันไปมองคนบางคนนั้นที่ลุกเดินจากไปเงียบๆ
“พี่ปูน!”
ลุงดุพร้อมกับตีแขนผมเบาๆ ผมแค่ยกยิ้มสมใจ
ใครใช้ให้ไอ้โป้ยชอบปั่นหัวผมกันล่ะ! ------------------------------------------------------------------------------
ย้อนอ่านเลยจ้า ย้อนอ่านเลยจ้า
นานเป็นชาติกว่าจะมาแต่ละตอน
กราบขอโทษนักอ่านงามๆ เลยค่ะ
