◦●สมภารกับไก่วัด●◦|| *แจ้งข่าวหนังสือ* || 5-3-63 หน้า 54 ||
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ◦●สมภารกับไก่วัด●◦|| *แจ้งข่าวหนังสือ* || 5-3-63 หน้า 54 ||  (อ่าน 302394 ครั้ง)

ออฟไลน์ SeaBreeze

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ค่อยๆตะล่อม พี่กรจะหนีไปไหนได้ พยามเข้านะโป้ย :katai2-1: 

ออฟไลน์ aommaboo

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ภาษาสวยมาก ชอบในการบรรยาย ชอบบ สนุก
ตัวละครก็ดี

ปล ชอบคู่โป้ยย5555 สู้เค้านะคะะ

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
ลุงรอดมาได้ทุกวันนี้

เพราะโป๊ยยังใช่ไหมคะ


ถ้าโป๊ยจะเจ้าเล่ห์เบอร์นี้


แล้วลุงจะหลอกง่ายเบอร์นี้


555555



ออฟไลน์ Krajeeqx

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ชอบความเป็นเพื่อนของลุงกับโป้ยมากเลย ถึงโป้ยมันจะกวนตีน ขี้เสือกแค่ไหนแต่ก็เป็นห่วงลุงจริงๆ ตัดภาพมาที่ความรักของนังคือใสกว่าลุงเหลือเกิน เอ็นดู
ส่วนนังน้องลุงนี่จากมุมมองคนอื่นคือน่ารักตลอด นับจากตอนที่ตกเป็นเมียพี่ปูนคราวนั้นรู้สึกว่าพี่ปูนจะหักโหมทำรักมันทุกตอนเลยนะคะ55555  ตอนแรกนี่คิดว่าพี่ปูนจะต้องเป็นฝ่ายตามหึงหวงคุณลุงนะ สรุปกลับกันเฉย แปลว่าคุณลุงนี่รักพี่ปูนเอามากๆ ต่างฝ่ายต่างหลงกัน เหม็นความรักจริงๆ อยากแกล้งให้ร้องไห้ 555

ออฟไลน์ kms

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-14
ชอบพี่กรกะโป้ยที่สุดดดดดดดดดด รอโป้ยตอนหน้าค่ะ

ออฟไลน์ LoveAlone

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
ลุงไม่ต้องกลัวเขินอายหรอก สภาพร่างก็ดูออกแล้ว
แต่ลุงสุขสมไง อย่าไปคิดมากกก 5555

ที่ไม่สุขสม และยังต้องลุ้นตลอดน่ะ คนนั้น โป้ย
น่าสงสารแท้ อยู่ใกล้แต่ทำอะไรไม่ค่อยได้

เฮ้ออ สถานการณ์อึมครึมเป็นบางเวลา
ลุงต้องพูดนะ สะสมไว้อาจพังกันตอนหลัง
ปูนนี่ก็พัวพันหลายคนเหลือเกิน เรื่องเยอะด้วย
แต่ไม่เห็นไรเนาะ ลุงยังไม่ทิ้งไปไหนหรอก

เหนื่อยกับป้าค่ะ จัดเต็มมาก ถึงกับเหวอกันไปเลย

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ P_Methayot

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 108
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-0

ออฟไลน์ kms

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-14

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
อดทนรอตามโป้ยเลย
ครั้งแรก พี่กรคงจะซื่อๆ อายๆ น่าเอ็นดู
 :z1:

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ชอบลุงจังถึงนางจะบ้าๆบอๆแต่นางก็คนจริงนะชอบไม่ชอบอะไรนางบอกตรงๆ หลงรักนางสะแล้วชิ :กอด1:

ออฟไลน์ nutgen

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 351
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
นี่ฉันไปอยู่ไหนมา ทำไมเพิ่งเจอเรื่องนี้
ถึงขั้นอยากหยุดงานมาอ่านต่อจริงๆ
(จริงๆคือนั่งอ่านตั้งแต่ตอนเข้าประชุมตอนบ่ายแล้ว 555+)
กำลังเหนื่อยๆกับงานอยู่เชียว เรื่องนี้ทำให้ยิ้มได้มากเลย
ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนตลกซื่อได้น่ารักแบบลุงจริงๆ รักอะ
ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆให้ได้อ่านค่า คลายเครียดได้เยอะเลย
แต่ตอนนี้ตาเบลอหมดแล้ว ขอไปนอนก่อนนะ
เดี๋ยวพรุ้งนี้จะแอบอ่านต่อ...เอ้ยเลิกงานแล้วจะกลับมาอ่านนะคะ จุ๊บ

รักลุง รักคนเขียน (รู้สึกถึงรังสีจากป๋าปูนไงชอบกล 555+)

ออฟไลน์ ่jujoob22

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
อ่านรวดเดียวจบ ตาโปนสะโหลโต๋เต๋ไปทำงาน เพราะลุงคนเดี้ยวววววว 

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
หายไปนานจังเลยลุง
เมื่อไหร่จะกลับมา :ling3: :ling3:

ออฟไลน์ Faii0518

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
พี่ปูนพาลุงไปเที่ยวไหนทำไมยังไม่กลับมาอีก

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
คิดถึงลุงเมื่อไหร่ลุงจะมาให้กอดสักที :ling1:

ออฟไลน์ SeaBreeze

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
หายไปนาน คิดถึงจังเลย :z3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ oiruop

  • เ รื่ อ ง โ ง่ โ ง่ นี่ ฉ ล า ด นั ก ⊙﹏⊙∥
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 470
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
    • https://www.facebook.com/book.yaoi?fref=ts

ออฟไลน์ พัดลม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
คิดถึงจังเลย หายไปตั้งนาน

ออฟไลน์ pan27

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อยากจะบอกว่าคิดถึงลุงมากๆเลยค่ะ ไรท์ขามาต่อเถอะค่ะ..กราบบบบ   :impress:

ออฟไลน์ SeaBreeze

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ไม่มาต่อนานแล้วค่ัะ คิดถึงเรื่องนี้ :monkeysad:

ออฟไลน์ angelninae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
คิดถึงลุงกับปุริมแล้วค่ะ  :hao5: :mew6:

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
ลุงหายไปนานจัง คิดถึงกลับมาเถอะ :กอด1:

ออฟไลน์ L@DYMELLOW

  • กำลังงงๆ เพราะหาทางลงจาก “คาน” ไม่เจอ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 356
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +826/-4
    • facebook
ตอนที่ 22 _เขาใหญ่บันเทิง_





หน้าจอโทรศัพท์แสดงภาพหลากหลายที่ค้นหาจากเว็บไซต์ท่องเที่ยว รูปทิวทัศน์สวยๆ ทำเอาผมอมยิ้มคึกคัก กดปลายนิ้วเลือกหัวข้อที่เที่ยวแนะนำในหน้าฝน สถานที่สวยๆ บรรยากาศดีๆ ผุดขึ้นมาหลายที่หลายจังหวัด ผมเลื่อนดูด้วยอาการตื่นเต้นพร้อมกับกลิ้งตัวพลิกคว่ำจนไปกระแทกกับกำแพงนิ่มๆ จนเกิดส่งเสียงเบาๆ ในลำคอแล้วตามมาด้วยการขยับเคลื่อน แต่ผมหาได้สนใจไม่เพราะตอนนี้กำลังจดจ่ออยู่กับข้อความและภาพยั่วยวนในมือถือ

ผมไม่ชอบเที่ยวทะเลเท่าไหร่เพราะไปบ่อยเสียยิ่งกว่าบ่อย บรรดาคุณนายเขาชอบใส่ชุดว่ายน้ำสวยๆ ในบรรยากาศหาดทราย สายลมและแสงแดด ดังนั้นถ้าจะต้องเลือกที่ไปด้วยตัวเองจึงมักเป็นโซนภูเขาซะส่วนใหญ่ ซึ่ง...บรรดาคุณผู้ชายเพื่อนรักแต่ล่ะคนก็ไม่ได้ชอบการเที่ยวแบบสมบุกสมบันเท่าไหร่นัก ผมจึงมักพลาดโอกาสไปเที่ยวตามใจ อย่างที่สัญญาไว้ว่าจะพากันไปขึ้นภูกระดึงสักครั้ง ผ่านไป 10 ปี ผมยังได้แต่มองยอดภูแต่ในรูป

เพราะฉะนั้นในครั้งนี้ผมจะได้เที่ยวเขาสมใจเสียที ดังที่พี่ปูนลั่นวาจาไว้แล้วว่าจะให้ผมเป็นคนเลือกสถานที่ แต่ด้วยเวลาอันจำกัดเพียง 3 วัน 2 คืน จะให้ขับรถไกลมากไปก็สงสารเดี๋ยวสารถีจะไม่มีแรงสนุกสนาน ผมเลยพับบรรดายอดภู ยอดดอยในดวงใจเก็บเอาไว้ก่อนแล้วเลือกเฟ้นที่ใกล้ๆ แทน

ปลายนิ้วผมกดเลือกรูปธรรมชาติสวยๆ ขึ้นดูด้วยรอยยิ้ม วาดฝันไปถึงช่วงเวลาที่จะได้ไปอยู่กับความสวยงามแบบนั้น ผมจะสูดอากาศบริสุทธิ์ให้ฉ่ำปอดแล้วถ่ายรูปให้สาแก่ใจไปเลย และที่สำคัญความหล่อเหลาของพี่ปูนมันจะต้องเข้ากับบรรยากาศมากแน่ๆ

“อารมณ์ดีจังนะ”  เสียงทุ้มต่ำติดห้าวแหบเล็กน้อยดังขึ้นข้างตัว ผมละสายตาจากหน้าจอเพื่อหันไปฉีกยิ้มกว้างให้กับกำแพงมีชีวิตที่ปล่อยให้ผมพักพิงมาสักพักแล้ว พี่ปูนนอนตะแคงข้างหนุนหัวกับฝ่ามือ อวดแผงอกตึงแน่นกับจุกนมสีโกโก้ ใบหน้าพราวระยับด้วยรอยยิ้มที่แตะแต้มบนริมฝีปาก ดวงคมเข้มเหลือบมองภาพบนจอมือถือของผมก่อนเอ่ยกระเซ้า  “ทำไมรีบตื่นล่ะ ไหนบ่นว่าเหนื่อย”

“โธ่ กะอีแค่รอบสองรอบ”  ผมยักไหล่แบบไม่ใส่ใจ อวดพละกำลังด้วยน้ำเสียง  “พี่ปูนแก่แล้วก็นอนพักเยอะๆ เถอะ ลุงยังเด็กอยู่”

“แล้วเด็กคนไหนกันที่เอาแต่ร้องบอกคนแก่ว่าไม่ไหวแล้วๆ”  ไม่ว่าเปล่า คนแก่ยังพลิกตัวเล็กน้อยเพื่อวางแขนโอบแผ่นหลังผมแบบแนบสนิทชิดเชื้อ ตามด้วยขบฟันสีขาวสะอาดกับหัวไหล่ผมเบาๆ อย่างหยอกล้อ เรียกเลือดให้ขึ้นมากองอยู่บนหน้าผมชนิดที่ไม่รู้จะแถสีข้างถลอกท่าไหนดี

โอเค! ผมยอมรับอย่างแมนๆ เลยก็ได้ว่าผมร้องจริงตามที่อีกฝ่ายกล่าวอ้าง -- แต่แล้วไงอ่ะ! ก็ตอนนั้นคนมันไม่ไหวแล้วนี่ ผมจะไปเชี่ยวชาญศึกบนเตียงมากกว่าพี่ปูนได้ยังไงกัน ไอ้สองรอบของเขาก็แทบจะกลายเป็นสองเท่าของผมอยู่แล้ว ถ้าไม่ร้องออกไปว่า ‘ไม่ไหว’ จะให้ร้องว่า ‘เอาอีก’ รึไง

“มันเป็นอดีตไปแล้ว คนเราต้องดูที่ปัจจุบัน เข้าใจนะปุริม!”

“เหรอ~ งั้นอีกรอบคงได้สินะ”  พี่ปูนหันไปมองนาฬิกาเร็วๆ แล้วกลับมายิ้มแป้นให้ผม  “ยังพอมีเวลา!”

ผมหมดคำพูดจะเอื้อนเอ่ยจริงๆ อะไรทำให้คนเรามักมากในกามขนาดนี้นะ ผมนึกคิดวิถีชีวิตช่วงนี้ของตัวเองขณะที่ฝ่ามือบนแผ่นหลังลามเลื้อยลงไปในขอบกางเกงขาสั้นเนื้อบางเบา เสียงหัวเราะหึๆ ดังขึ้นทันทีเมื่อสัมผัสไปโดนขอบกางเกงในเส้นเล็กที่ลับหายไปในแก้มก้น ถูกใจพี่แกทุกครั้งแหละที่รู้ว่าผมยอมใส่ชั้นในที่เขาซื้อไว้ให้

ชีวิตผมช่วงนี้วนกลับไปมาแค่สามที่หลักเท่านั้น บ้านตัวเอง ออฟฟิศ ห้องพี่ปูน ไอ้การไปกินข้าว ดูหนังนี่เรียกว่าเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศเท่านั้นเพราะกิจกรรมหลักจริงๆ คือการออกกำลังกายในร่ม ที่ผมเชื่อว่าค่าเฉลี่ยตลอดระยะเวลานับแต่ที่เสียตัวมานั้นน่าจะเกินเกณฑ์กลางไปแล้ว

“นี่ถ้ายังไม่ขัดขืนพี่จะเอาจริงแล้วนะ”  ผมหันไปมองเจ้าของเสียงขบขันแล้วส่ายหน้าให้ด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ ดูท่าพี่แกก็คงไม่ได้กะทำแฮททริคหรอก ไม่งั้นไม่มายั่วครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้แน่

“เก็บแรงไว้ขับรถไปส่งผมเถอะนะ” 

พี่ปูนหัวเราะกับเสียงเอื่อยเฉื่อยไร้อารมณ์ของผม ยื่นปากมาหอมแก้มผมฟอดใหญ่ แล้วเลื่อนสายตามองหน้าจอมือถือผมอย่างสนใจโดยที่ฝ่ามือยังคงลูบคลำก้นผมอย่างออกรส ผมหันกลับมาสนใจสถานที่เที่ยวตามเดิมด้วยชาชินเสียแล้วกับการถูกลวนลาม

“เลือกที่ได้รึยัง?” 

“ไปเขาใหญ่กันนะพี่ปูน ลุงชอบภูเขา”  ผมจิ้มภาพขยายให้เห็นถึงธรรมชาติอันเขียวขจี ปิดเปิดอยู่หลายรูปจนกระทั่งพอใจ จนถึงรูปสุดท้ายอันเป็นความฝันอันสูงสุดที่ผมยื่นให้พี่ปูนดูด้วยความเสียดาย  “เนี่ย~ ลุงนะอยากไปภูกระดึงมากๆ เลยล่ะ นัดกับเพื่อนเป็น 10 ปีแล้วก็ยังแห้วเหมือนเดิม”

“โอ๋ น่าสงสาร”  พี่ปูนว่าขำๆ แล้วทำเนียนหอมแก้มผมอีกรอบ  “ไว้พี่พาไป แต่คงต้องหาวันหยุดยาวกว่านี้”

“จริงดิ!”  ผมมองหน้าพี่ปูนอย่างเหลือเชื่อ คือสภาพโดยรวมของพี่ปูนก็เหมือนกับบรรดาเพื่อนผมนั่นแหละ ดูไม่น่าชอบเที่ยวอะไรที่มันลำบากลำบนเท่าไหร่  “มันไม่ใช่ที่เที่ยวสบายๆ นะ พี่จะชอบเหรอ?”

“พี่เคยไปมาแล้วหรอกน่า”

“ถามจริง!”  เสียงผมนี่สูงปรี๊ดด้วยความสงสัย คนไม่เคยเดินตลาดแต่กลับเคยไปเที่ยวที่ลำบากแบบนั้นเนี่ยนะ

“สมัยเรียนโน่นแหละ เห็นเขาว่าลำบากลำบนนักหนา พอดีว่างก็เลยลองขึ้นไปดู” 

นี่ก็พูดอย่างกับว่าไปเดินเที่ยวสบายๆ ที่สวนหน้าบ้าน ผมแอบมองบนเบาๆ ก่อนจะกลับมาสู่ความอยากรู้อยากเห็นอีกครั้ง  “สวยมั้ย? เดินขึ้นลำบากมากมั้ย? เหนื่อยมากรึเปล่า?”

“ถามขนาดนี้สงสัยอยากจะไปจริงๆ แฮะ”

“มาก!!”  ผมตอบชัดถ้อยชัดคำ แล้วสำทับด้วยการเอนศีรษะลงกับแผ่นอกเป้าหมาย ถูไถอ้อนวอนสุดฤทธิ์  “พาลุงไปนะปุริม~”

ผมไม่เห็นสีหน้าพี่ปูน แต่ถ้าฟังจากเสียงหัวเราะเบาๆ ที่ดังอยู่ ผมว่ามันต้องเจือรอยยิ้มอยู่แน่นอน ผมรู้สึกได้จากริมฝีปากที่ประทับอยู่บนหน้าผากตอนนี้ เพราะมันอบอุ่นมากเชียวล่ะ

“อย่าน่ารักให้มากนัก”  ผมเงยหน้ามองเจ้าของเสียงในที่สุด มันช่างเปล่งประกายจนสายตาผมพร่ามัว แล้วในขณะที่กำลังปรับสายตา ริมฝีปากก็ถูกความอ่อนนุ่มแนบเนาลงมา ย้ำแล้วย้ำอีกราวกับไม่เพียงพอแก่ความต้องการ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาหากอ่อนโยนเป็นที่สุด เล่นเอาหัวใจคนฟังพองโตเป็นลูกโป่งสีหวาน

“...แค่นี้พี่ก็รักลุงจะแย่แล้ว”


ฮึ้ย~ เขินเว้ย!!


.

.

.   
 


งานออกแบบนั้นไม่ได้มีวันหยุดตายตัวตามวันหยุดนักขัตฤกษ์ แต่ขอเพียงตามงานทัน เก็บงานได้เร็ว ก็พอจะถูไถหยุดไปกับคนอื่นเขาได้ อย่างคราวนี้พวกผมก็รีบปั่นงานกันสุดฤทธิ์ ไอ้ที่เรียบร้อยปิดงานได้ก่อนก็เยอะ ไอ้ที่ยังไม่ถึงกำหนดก็กล้อมแกล้มไปก่อน จนในที่สุดพวกเราก็ได้มาอยู่บนรถเพื่อมุ่งหน้าไปยังเขาใหญ่

ที่ผมบอกว่าพวกเรา หมายความว่าไม่ได้มีแค่ ‘เรา’ เท่านั้น

มันช่วยไม่ได้จริงๆ ที่จะมีพวกตัวแถมติดสอยห้อยตามมาด้วย พวกที่จู่ๆ ก็ดันเห็นว่าการเที่ยวเขาก็ดูน่าสนุกดี ประมาณว่าไม่รู้จะไปไหน เฮ้อะ!! ทีผมพยายามชวนมันจะเป็นจะตายทำเป็นหูทวนลม แต่พอได้ยินพี่กรบอกว่าน่าสนใจเท่านั้นแหละ ชิ!!


แต่ผมไม่ได้ว่าพี่กรนะครับ...


ผมหันไปขอโทษพี่กรผ่านแววตา แน่นอนว่าคุณดารานิสัยดีไม่รู้หรอกเพราะกำลังหลับปุ๋ยไม่สนใจทิวทัศน์ใดๆ ทั้งสิ้น ความมาว่าพี่กรเลิกกองละครเกือบเที่ยงคืน แล้วพี่ปูนก็ยืนยันว่าจะออกเดินทางตั้งแต่ตีห้าโดยไม่สนใจความเพลียของเพื่อนแม้แต่น้อย ผมเดาว่าพี่ปูนแกคงหงุดหงิดหน่อยๆ ที่เราไม่ได้ไปกันแค่สองคน

ผมก็โมโหไอ้โป้ยหรอกนะที่ยุพี่กรให้ไปด้วยกัน แต่เมื่อมาคิดดูอีกที ไปด้วยกันหลายคนก็คงสนุกดีไม่น้อย เพราะงั้นผมกับโป้ยเลยวางแผนว่าจะไปกินปิ้งย่างกันบนเขาเคล้าบรรยากาศ ก่อนวันไปพวกผมเลยพากันไปชอปปิ้งที่ตลาดสดกัน เตรียมเนื้อ เตรียมผัก เตรียมอุปกรณ์แคมป์ปิ้งที่หยิบยืมเพื่อนของเสี่ยมาอีกที เพราะงั้นหลังรถของพี่ปูนจึงเพียบพร้อมไปด้วยของกินนานาชนิดอัดกันอยู่ในลังโฟมหนาอัดน้ำแข็งอย่างดี และในกระติกเก็บความเย็นใบใหญ่ยังเปี่ยมไปด้วยน้ำแข็งที่แช่ไวน์คูลเลอร์อีกเป็นโหล

“อีกประมาณ 500 เมตรข้างหน้ามีปั๊มนะพี่ แวะล้างหน้าล้างตากันก่อนเหอะ”  เนวิเกเตอร์โป้ยเสนอแนะ ตามองทางไปด้วย

“โอเค”  พี่ปูนรับคำสั้นๆ

วันนี้สุดที่รักของผมมาในลุคสบายๆ กางเกงขาสั้นสีน้ำตาลกับเสื้อเชิ้ตสีอ่อนเดินเส้นเน้นลวดลายเรียบหรูดูแพง เส้นผมที่เคยเซตเรียบร้อยก็ปล่อยสบายตามธรรมชาติ จนใบหน้าคมเข้มนั้นดูเด็กกว่าอายุจริง แว่นกันแดดก็แสนจะเข้ากั๊นเข้ากัน โดยรวมแล้วเหมือนนายแบบที่หลุดออกมาจากทีวี

ไม่นานนักพี่ปูนก็พารถเข้ามาจอดบริเวณหน้าห้องน้ำในปั๊มขนาดใหญ่ เราสามคนพรูลมหายใจออกมาแทบจะพร้อมกัน บิดตัวกันไปมาแบบไม่ได้นัดหมาย ก่อนจะปลุกคนหลับสบายให้ตื่นขึ้นไปล่างหน้าล้างตา แม้จะยังดูงัวเงียไม่น้อยแต่พี่กรก็ลุกขึ้นนั่งได้สำเร็จ

ผมกับพี่ปูนเดินลงมาท้ายรถเพื่อเปิดหาข้าวของ ในขณะที่พี่ปูนกำลังรื้อกระเป๋าเป้ของผมของมา สองตาผมก็เหลือบไปมองคุณดาราที่กำลังต่อสู้กับเปลือกตาตัวเอง มันจะปกติธรรมดาอย่างที่สุดถ้าไม่มีใครบางคนเข้ามาอยู่ในมุมมองด้วย โป้ยมันเดินลงมาเปิดประตูด้านข้างแล้วโค้งตัวคร่อมเหนือร่างพี่กร ผมถึงกับตะปบมือผัวรักทันทีที่เห็นปลายนิ้วของเพื่อนเกลี่ยเส้นผมให้คุณเจ้านายด้วยความทะนุถนอมแบบที่ผมเองก็ไม่เคยได้รับ

“หยิบของซะลุง”  พี่ปูนพูดเสียงเบา สองตามองผมที่หันรีหันขวางชักชวนให้ดูภาพสุดระทึกแล้วส่ายหน้าอ่อนใจ  “อย่าไปยุ่งเรื่องคนอื่น”

อ้าว? หมายความว่ายังไงอ่ะ ผมยุ่งเรื่องคนอื่นที่ไหนกัน นี่มันเพื่อนโป้ยของลุงชัดๆ หมายความว่าผมมีสิทธิ์สาระแนนะ แต่ผมก็เก็บความขุ่นข้องหมองใจไว้ก่อน รีบหยิบกระเป๋าใบเล็กออกมาจากเป้แล้วเอื้อมปิดหลังรถให้เบาที่สุด จากนั้นก็ทำการลากตัวพี่ปูนไปยังห้องน้ำบริเวณอ่างล้างมือ ผมเปิดกระเป๋าหยิบโฟมล้างหน้าบีบใส่มือพี่ปูนที่ชโลมน้ำบนหน้าเรียบร้อย คุณชายท่านก็นวดๆ ถูๆ ไป ยังดีที่ช่วงเช้ายังไม่ค่อยมีคน

“ลุงอยากรู้อ่ะ”  สิ้นคำผม พี่ปูนหันมามองเล็กน้อยแล้วก้มลงล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดจากก๊อกโดยไม่ตอบคำถาม แต่ผมก็หาได้ยอมแพ้ไม่  “ทำไมบรรยากาศของสองคนนั่นถึงได้ดูสีชมพูพิกลขนาดนั้นอ่ะ แล้วพี่กรก็ไม่เห็นขัดขืนอะไรด้วย”

“พี่แนะนำว่าให้ลุงไปถามเพื่อนเอง”  พี่ปูนตอบเสียงเรียบ มือใหญ่ดึงผ้าขนหนูผืนบางจากไหล่ผมไปซับหน้าเบาๆ แต่นี่ยังไม่เสร็จสิ้นพิธีกรรมนะครับ เพราะยังมีพวกครีมกับเซรั่มที่รอไปปะทินผิวบนรถอีก

“โป้ยไม่บอกลุงหรอก”  ผมค้านเสียงตึงขณะก้าวไปยืนแทนที่แล้วจัดการกับใบหน้าตัวเองบ้าง

“นั่นมันก็เป็นสิทธิของเขา”  พี่ปูนตอบกลับทันที แต่คงเพราะเห็นผมสะบัดหน้าพรืดไปมองทั้งที่คราบลื่นเต็มหน้า น้ำเสียงถึงได้เปลี่ยนเป็นเอาใจขึ้น  “บางทีของอย่างนี้ไปต้องถามแต่ใช้ตาดูก็รู้นะ พี่ว่าช่วงนี้โป้ยก็เปิดเผยขึ้นเยอะ”

ผมเก็บคำพูดของพี่ปูนมาคิดและเลือกที่จะไม่ต่อความยาวสาวความยืดอีก เพราะถ้าพี่ปูนพูดถึงขนาดนี้แล้วล่ะก็ ผมคงมีแต่ต้องพึ่งสายตาของตัวเองเท่านั้น หึ! นับว่าการมาร่วมทริปของไอ้โป้ยครั้งนี้ก็ไม่ทำให้ผมขัดใจมากเท่าไหร่แล้ว

หลังจากทำธุระส่วนตัวกันเสร็จเรียบร้อยและหาอะไรรองท้องรับรองพยาธิที่เต้นระริกอยู่ในท้องแล้วนั้น พวกเราสี่คนก็มุ่งหน้าไปยังที่หมายแรกในการเดินทางครั้งนี้ นั่นคือ ‘วัดเทพพิทักษ์ปุณณาราม’ บนเขาสีเขียวขจีในยามเช้ามีพระพุทธรูปองค์ใหญ่โตสีขาวประดิษฐานอยู่ นักท่องเที่ยวสายทะเลจำเป็นอย่างผมเลยอดตื่นเต้นไม่ได้กับหลวงพ่อขาวที่ใครเขาเรียกกัน สองข้างทางก่อนเข้าตัววัดก็เงียบเป็นธรรมชาติ ขนาดว่ายังอีกหลายกิโลกว่าจะถึงยังเห็นได้ตั้งไกลขนาดนี้

“องค์ใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่มเลยเนอะ”  ผมแทบจะยื่นหน้าเข้าไปติดกระจก ไอ้โป้ยที่เปลี่ยนมาทำหน้าที่คนขับเหลือบสายตามามองผมแว่บหนึ่งก่อนที่มันจะทำเลวทรามโดยการแกล้งเบรกรถกะทันหัน ดีที่พี่ปูนดึงตัวเอาไว้ได้ทันไม่งั้นหน้าผมคงทิ่มกับคอนโซลหน้าไปแล้ว

เชี่ยโป้ย!”  ผมด่าเพื่อนทันทีที่ตั้งตัวได้ พี่กรที่นั่งหน้าคู่กันถึงกับยกมือขึ้นตีขามันที่กำลังหัวเราะสะใจแรงๆ  “ตีมันเยอะๆ เลยพี่กร!”

“เจ็บๆ”  ไอ้โป้ยว่าพลางลูบหน้าตักตัวเอง แต่สีหน้ามึงดูจะมีความสุขไปนะ!

“ถ้าเกิดมีรถตามหลังอยู่จะทำยังไง ทีหลังห้ามเล่นแบบนี้อีก”  พี่กรว่าเสียงเข้ม

“ผมมองอยู่หรอกน่า ถนนโล่งจนลงไปเตะบอลกันได้เลยเนี่ย” 

นี่มึงไม่ได้รู้สึกผิดกับการที่กูเกือบเสียโฉมเลยใช่มั้ยโป้ย สีหน้ามึงมีความสุขมาก ยิ้มหน้าบานมาก แสดงว่าพี่กรตีมึงไม่เจ็บสินะ!


ผลั่ก!


“เชี่ยลุง!!”  ไอ้โป้ยหันมามองผมเร็วๆ คาดโทษผมด้วยสายตาพลางลูบหัวที่โดนผมตบไปสดๆ ร้อนๆ

“สมน้ำหน้า”  พี่กรส่ายหน้าสาแก่ใจ แล้วเมินหน้าออกไปอีกทาง

“อย่าตบหัวคนตอนกำลังขับรถสิ มันอันตรายไม่รู้รึไง”  พี่ปูนที่นั่งข้างผมหันมาตำหนิด้วยสายตาคมกริบ ผมที่กำลังกระหยิ่มใจมีอันต้องหน้าม่อยลงไปในทันที ไอ้โป้ยได้ทีเลยหัวเราะหึๆ ข่ม พี่ปูนเหลือบสายตามองเจ้าของเสียงหัวเราะครู่หนึ่งก่อนจะโน้มตัวมาหาผมแล้วพูดด้วยเสียงนุ่มนวล  “คราวหลังรอให้รถจอดก่อนรู้มั้ย?”


โป้ยเงียบครับ...


หึๆ ฮ่ะๆ หัวเราะทีหลังมันดังกว่ารู้มั้ยมึง! แต่ถ้าเกิดผมทำตามคำแนะนำของพี่ปูนจริง คงเป็นตัวผมเองที่โดนมันเอาคืนหนักกว่าแน่ โป้ยแม่งเรียนมวยมาหลายปี มือตีนหนักฉิบหายอ่ะ


และแล้วเราก็มาถึงวัด โป้ยหาที่จอดรถร่มๆ จากนั้นต่างคนก็ต่างพุ่งออกมาจากรถเพื่อยืดเส้นยืดสาย ผมคว้ากล้องขึ้นถ่ายบรรยากาศที่น่าสนใจก่อนเป็นอันดับแรก ต้นไม้เยอะ คนยังไม่มาก ดูสงบร่มรื่นชื่นใจ

“มึงร้อนมั้ย กราบพระได้รึเปล่า”  ผมรีบแซะไอ้โป้ยที่ยืนมองพระพุทธรูปหน้าทางขึ้นเขาเงียบๆ ปกติพวกผมแทบจะไม่ได้เข้าวัดกันเท่าไหร่ ถนัดสิ่งอบายมุขมากกว่า ส่วนเหตุผลที่เลือกมาวัดนี้ก็เพราะพี่กรรีเควสมา

“ห่านี่ กูกำลังซาบซึ้งกับบรรยากาศแห่งธรรมะอยู่”

“พอๆ ไปไหว้พระกัน”  พี่กรสีหน้าเปื้อนยิ้มแต่ดูจะเหนื่อยอกเหนื่อยใจกับพวกผมไม่น้อย คุณดาราเลยเดินนำเข้าไปนั่งคุกเข่าก่อน ไอ้โป้ยหันมาบีบแก้มผมเร็วๆ ด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะปรี่เข้าไปนั่งข้างๆ

“ไปกัน”  พี่ปูนเดินขึ้นมาตีคู่กับผม ปลายนิ้วอุ่นนุ่มเกลี่ยผิวแก้มที่โดนหยิกเบาๆ แล้วเลื่อนลงมากุมมือผมให้เดินเข้าไปนั่งสมทบ

ถึงจะเป็นเวลาเช้า แต่ก็เป็นช่วงวันหยุดที่นักท่องเที่ยวจะเยอะเป็นพิเศษ เพราะงั้นจึงไม่ได้มีแค่คณะเราเพียงเท่านั้น ผมสังเกตเห็นคนจากบางกลุ่มเหลือบมองมาที่พวกเราบ้าง แต่ดูจากสายตาแล้วนั้น เป้าหมายคงเป็นที่คุณพระรองรูปหล่อเจ้าของฉายาสุภาพชนแห่งปี พี่กรอยู่ในชุดธรรมดามากๆ ถ้าเทียบกับความเรียบหรูดูแพงของแฟนผม แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจกลบรัศมี ภายใต้แว่นกันแดดสีชานั้นก็มิอาจหยุดยั้งออร่าที่พวยพุ่งออกมาได้เลย 

แต่หลังจากจับจ้องของสาธารณะจนพอใจแล้ว เป้าหมายต่อมาคืออีกสองคนที่ดูดีไม่แพ้กัน พี่ปูนกับไอ้โป้ยเรียกได้ว่ากินกันไม่ลง แต่ในฐานะที่ผมเป็นผม ก็ต้องเลือกเข้าข้างแฟนตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ ผมเห็นบางคนแอบถ่ายรูปกลุ่มเราไปด้วย ในเมื่อไม่มีใครว่าอะไร ผมที่ถูกพี่ปูนจับมือเอาไว้ตลอดก็จำต้องเลยตามเลย

หลังจากกราบพระขอพรกันแล้ว งานต่อไปคือเดินขึ้นบันไดที่ซอยถี่ยิบขึ้นไปบนเขา เพื่อนโป้ยกับพี่กรเดินคุยกระหนุงกระหนิงขึ้นไปก่อนแล้ว เหลือผมที่ยังยืนทำใจอยู่โดยมีพี่ปูนรอเป็นเพื่อน ถึงจะคะเนด้วยสายว่าคงไม่ไกลเท่าไหร่ แต่คนที่ปีหนึ่งออกกำลังกายไม่ถึงห้าครั้งอย่างผมก็ท้อใจได้ง่ายๆ เลย

“ภูกระดึงน่ะยิ่งกว่านี้ไม่รู้กี่เท่านะ”  พี่ปูนพูดขึ้นลอยๆ แล้วก็ตัดสินใจลากผมขึ้นไป

พี่กรกับโป้ยหยุดรอพวกผมที่ศาลาพักหลังแรก พอไอ้เพื่อนรักมันเห็นผมเดินหอบขึ้นมาเท่านั้นก็ยิ้มเยาะแบบไม่ปิดบัง ใจนี่อยากโต้เถียงมากแต่ติดที่พูดไม่ออก ใจมันสั่นตุบๆ ดังลั่น นี่ขนาดขึ้นมาได้ไม่เท่าไหร่เองนะ มองลงไปก็ไม่ได้สูงมากมายแต่ผมกลับหอบแล้ว

“พี่จะพาลุงเข้ายิมจริงจังแล้วนะ ห้ามโยเยด้วย”  พี่ปูนว่าเสียงเข้มเมื่อเห็นอาการ แต่ก็รีบหยิบน้ำในกระเป๋าเป้ผมออกมาให้ดื่มแล้วดึงกระเป่าไปสะพายเอง

“ดีพี่ ต้องพามันไปคาดิโอเยอะๆ เอาแต่นั่งทำงานจนปวกเปียกไปหมดแล้ว”  หมาโป้ยรีบเสริม มันน่าเตะให้กลิ้งตกลงไปจริงๆ 

“พี่เห็นด้วยนะ เห็นว่าอยากไปภูกระดึงนี่นา ถ้าไม่ออกกำลังกายเอาไว้จะขึ้นไม่ไหวเอานะ”  พี่กรยังอุตส่าห์สำทับเข้าไปอีก ผมเลยจำต้องพยักหน้าเนือยๆ จำยอมในชะตากรรมต่อจากนี้ของตัวเอง

เมื่อเราขึ้นมาถึงด้านบนเราก็พบกับหลวงพ่อขาวองค์ใหญ่ที่ต้องแหงนคอมอง แม้ทิวทัศน์ที่มองออกไปจะทั่วๆ ไปไม่มีจุดนำสายตาอะไร แต่ผมก็ยกกล้องถ่ายไปหลายต่อหลายภาพ ทุกคนได้เข้ามาเป็นนายแบบให้ผมกันครบถ้วน พี่กรเองก็อนุญาตให้ผมนำรูปลงโซเชียลได้ ผ่อนคลายกันพอใจแล้วก็เดินลงมาอีกทางชนิดไม่ได้แวะพัก

เป้าหมายต่อไปของเราคือร้านอาหารที่ขึ้นชื่อ เป็นหนึ่งในจุดเช็คอินยอดนิยมก็ว่าได้ จังหวะเข้าร้านก็เจอกับนักท่องเที่ยวหลายกลุ่มที่พอเห็นพี่กรก็พุ่งตัวเข้ามาหาเพื่อขอถ่ายรูป โป้ยมันเลยจัดการยืนคุมสถานการณ์เป็นบอดี้การ์ดจำเป็นให้พร้อมกับปล่อยพวกผมไปสั่งอาหารรอไว้ก่อน

พี่ปูนสั่งพวกของว่างไปก่อนสามอย่างกับน้ำสำหรับแต่ละคนอย่างชำนาญในหน้าที่ ส่วนตัวผมก็มัวแต่เดินไปจุดนั้นจุดนี้เพื่อเก็บภาพ กลับมาที่โต๊ะอีกทีก็อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว กำลังเปิดเมนูสั่งจานหลักกันอย่างหิวโหย ลงท้ายเราก็สั่งกันมาหลายอย่างจนเรียกได้ว่าเต็มโต๊ะ นี่ยังไม่รวมของหวานที่ผมตั้งหน้าตั้งตารออยู่อีกนะ

“พริ้ม~ พริ้มเลยนะมึง”  โป้ยแม่งแซว พี่กรเลยอมยิ้มขำเลย

“อร่อยไง หิวด้วย”  ผมว่าพลางยัดพิซซ่าแฮมสดเข้าปากคำใหญ่

“เอาอะไรเพิ่มมั้ย?”  จะมีก็แต่พี่ปูนเนี่ยแหละที่ชอบใจเวลาผมกินได้ แต่เมื่อมองบนโต๊ะที่ยังมีอาหารเหลือนั้นก็ให้ต้องส่ายหน้า แม้ว่าอยากจะลองเมนูอื่นๆ อีก

“ลุงอยากกินเค้ก”  ผมบอก มือคว้าส้อมจิ้มสลัดเข้าปากไปด้วย  “อยากซื้อขนมกลับด้วย ช็อคโกแลตน่ากินโคตรๆ อ่ะ”  เห็นแล้วนึกถึงสองสาวที่บ้าน ถ้าได้มาคงกรี๊ดกันน่าดู

“ไว้ขากลับค่อยแวะอีกทีแล้วกัน ยังไงเราก็วนเวียนอยู่แถวนี้นั่นแหละ”  พี่ปูนว่าพลางขอเมนูจากพนักงานที่เดินปรี่เข้ามาด้วยท่าทีสุขุม แต่ก็เหมือนกับหลายๆ ร้าน ไม่ว่ายังไงเสน่ห์ของหนุ่มๆ โต๊ะนี้ก็ยังดึงดูดสายตาได้เป็นอย่างดี  “มีของหวานแนะนำบ้างมั้ยครับ?”

“มีค่ะ!”  จากนั้นนางก็ร่ายยาวด้วยรอยยิ้ม พี่ปูนถามความเห็นสมาชิกแล้วก็เลือกมาได้ห้าอย่าง ผมนี่ถ่ายรูปซะเปรมไปเลย และไม่ลืมที่จะแอบแว่บไปร้านค้าเพื่อซื้อพวกขนมแห้งๆ เพื่อตุนไว้กินบนเขา

อิ่มท้องกันไปถ้วนหน้าก็ถึงเวลาขึ้นเขากันแล้ว พี่ปูนที่ขับรถชำนาญกว่าใครกลับมาเป็นสารถีอีกครั้งพร้อมกับเนวิเกเตอร์คู่บุญอย่างโป้ย หลังจากเสียค่าผ่านทางแล้ว เราก็แวะกราบไหว้ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ก่อนเพื่อเอาฤกษ์เอาชัย ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยธรรมชาติและทางขึ้นเขาลาดชัน พี่ปูนปิดแอร์เปิดกระจกให้ผมซึมซับบรรยากาศสมใจอยาก

“นี่ถ้านั่งกระบะหลังขึ้นมาจะดีขนาดไหนเนี่ย”  ผมเปรยกับสายลมที่พัดตีหน้า สองข้างทางมีแต่สีเขียวกับสีสันของดอกไม้ ท้องฟ้ากับสายลม อา~

“ถ้างั้นพี่จะไปซื้อกระบะ แล้วพามาใหม่นะ”  พี่ปูนหันมาอมยิ้มให้ผมเร็วๆ แล้วหันกลับไปมองทางต่อ แต่แค่นั้นก็เรียกความหมั่นไส้ได้เยอะละ

“มึงเปย์น้องมันน้อยๆ หน่อยก็ได้มะ?”  ขนาดที่ว่าพี่กรยังต้องออกปาก

“นี่ผมหมั่นไส้ได้มั้ย?”  โป้ยรีบหันไปแขวะ ไอ้พี่ปูนก็ยิ้มๆ ไม่โต้ตอบอะไร ผมคิดว่าพี่แกคงพูดเล่นไปงั้น แต่อีกใจก็หวั่นนิดๆ เหมือนกันว่าจะเอาจริง ยิ่งเป็นบุรุษสายเปย์อยู่ด้วย

ทางบนเขาไม่ได้วกวนน่ากลัวอย่างที่ผมคิด กลับเป็นถนนหนทางเรียบรื่น ตรงไปจุดต่างๆ อย่างง่ายดาย ไม่มีซอกซอยชวนงง ซ้ำยังสะอาดสะอ้านสวยงาม เราขึ้นมาจนถึงจุดพัก ผมรีบจูงมือพี่ปูนปรี่เข้าไปถ่ายรูปกับป้ายเขาใหญ่ที่ตั้งเหนือหน้าผา มองออกไปเห็นเทือกเขาสีเขียว ไม่มีตรงไหนเลยที่มองเห็นสิ่งก่อสร้างจากความทันสมัย หลังจากถ่ายรูปหมู่ด้วยไม้เซลฟี่แล้ว ผมก็ดึงพี่ปูนออกมาถ่ายรูปคู่อยู่หลายภาพ ผลัดกันถ่ายไปก็เยอะ หันไปดูโป้ยกับพี่กรก็ไม่ต่างกัน ถึงจะไม่โอบบ่า โอบเอว แต่บรรยากาศมันอบอุ่นพิกล มันดูมีความขัดเขินแต่ก็สนิทสนมกันแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน


เรื่องนี้มันต้องมีซัมติงแน่นอนครับคุณ!


สูดดมความสดชื่นกันสักพักจนกระทั่งเห็นเจ้าถิ่นวิ่งมาไวไว หลายกลุ่มก็ตกใจวิ่งหนีขึ้นรถกันไปแล้ว ไอ้โป้ยนี่เร็วมาก มันฉุดพี่กรขึ้นรถแน่บทิ้งให้ผมตื่นใจกับฝูงลิงป่าที่ออกตรวจพื้นที่ ...อา~ ช่างเต็มไปด้วยสีสันแห่งธรรมชาติจริงๆ

“จะยืนรอเล่นกับมันเหรอลุง”  พี่ปูนว่าขำๆ แล้วฉุดแขนผมขึ้นรถบ้าง

เราออกเดินทางกันต่อ มุ่งหน้าสู่จุดกางเต็นท์ลำตะคอง ก่อนหน้าที่จะจองเต็นท์ ผมกับโป้ยถกเถียงสถานที่กันอยู่หลายนาทีเพราะมีอีกแห่งชื่อว่าผากล้วยไม้ ซึ่งผมอยากไปนอนที่นี่ แต่ไอ้โป้ยอ่านรีวิวจากเน็ตว่ามีลิง มีกวางเยอะ มันจึงออกปากห้ามในทันทีและมัดมือชกผมโดยการจองที่พักกับอุทยานพร้อมโอนเงินเองเสร็จสรรพ มันให้เหตุผลว่าไม่ชอบลิง แต่เมื่อเข้าไปอ่านรีวิวต่อจากนั้น ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าลานลำตะคองนั้นกวางเยอะและตะกละมาก บางท่านก็ว่าเจอตัวเงินตัวทองขนาดพ่อพันธุ์

ไอ้โป้ยชักจะลังเลอีกรอบ แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยคำพูดของพี่ปูน ‘จะกลัวพวกเดียวกันไปทำไมวะ?’ ไอ้โป้ยนี่กัดฟันแค้นเคืองแทบตายเพราะพี่กรดันร่วมขำไปด้วย

เราขับรถวนหนึ่งรอบก่อนเพื่อสำรวจที่ทาง จนกระทั่งเลือกจอดรถตรงที่ว่างซึ่งไม่ไกลจากอาคารที่ทำการกับห้องน้ำ ไอ้โป้ยชวนผมลงไปหาเต็นท์ว่างกันก่อน เพราะเรามาถึงกันก็เกือบบ่ายแล้ว คนก็เยอะจนดูสับสนวุ่นวาย

“มึงๆ”  ผมกระตุกแขนเพื่อนพลางชี้นิ้วไปยังกลุ่มเต็นท์ที่ตั้งเป็นระเบียบ เดินไปกันจนสุดทางก็เจอเต็นท์ว่างสามหลังที่หันหน้าเข้าหาตลิ่งน้ำที่ไหลลงมาจากฝายกั้นน้ำ บรรยากาศไม่สวยงามเท่าไหร่เพราะผมชะโงกไปดูก็เห็นพวกขยะกระจายเป็นหย่อมๆ แต่ยังพอถูไถด้วยต้นไม้ที่ขึ้นครึ้มพอปิดบังความจริงไปได้บ้าง

“ดูเป็นส่วนตัวดีว่ะ เอาตรงนี้แหละ”  โป้ยตัดสินใจอย่างรวดเร็ว  “มึงรอตรงนี้แหละ จองที่ไว้ก่อน”  ว่าแล้วมันก็รีบกลับไปที่รถซึ่งมองเห็นได้จากจุดที่ผมยืนอยู่ ถือว่าชัยภูมิใช้ได้เลยนะเนี่ย

รออยู่สักพักผมก็เห็นพี่ปูนแบกถือกระเป๋าของพวกเราเดินตรงมา ผมรีบเดินไปช่วยรับกระเป๋ามาวางกระจายไว้ที่เต็นท์สองหลังเพื่อเป็นการจับจอง จากนั้นก็ไปช่วยพี่ปูนขนของที่เหลือลงมาจนครบ

“เรานอนหลังไหนดี”  ผมยืนตัดสินใจ

“หลังไหนเก็บเสียงก็นอนหลังนั้น”  พี่ปูนสบตาผมอย่างมีความนัย ริมฝีปากยกยิ้มดูเจ้าเล่ห์

“ไม่มีเต็นท์ที่เก็บเสียงได้หรอก”  ผมยักคิ้วยึกๆ ส่งให้อย่างรู้ทัน  “มีแต่คนที่กลั้นเสียงได้”

“ชักอยากจะเห็นแล้วสิ”  พี่ปูนยิ้มกริ่มพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้  “จะกลั้นเสียงได้สักกี่น้ำกันนะ”

ทำไมคำที่มันธรรมดาๆ ผู้ชายคนนี้ถึงได้เน้นหนักเสียจนมันไม่ธรรมดาไปได้นะ

ผมส่ายหน้าไปมาขณะดันใบหน้าคนรักออกด้วยฝ่ามือ แต่ไอ้พี่ปูนดันเลียมือผมแล้วหัวเราะกับอาการสะดุ้งของผมซะงั้น  “สกปรกอ่ะ!”


“อะแฮ่มๆๆ”


“ได้ยินเสียงหมาเห่าป่ะพี่”  ผมแสร้งมองหาไปรอบๆ เมื่อได้ยินเสียงน่าหมั่นไส้ของไอ้เพื่อนตัวดี

“พี่กรเคยเห็นหมาสงสัยป่ะ”  ไอ้โป้ยสวนกลับอย่างทันท่วงที พวกผมจ้องหน้ากันฮึ่มๆ เหมือนหมาที่กำลังจะกัดกันยังไงอย่างงั้น พี่กรเลยจำต้องเอาน้ำร้อนมาสาด เอ้ย! เอาไม้มาตี เอ้ย! เอาตัวมายืนขวาง เอ้ย!! กูจะตลกกับตัวเองทำไมวะเนี่ย!

หลังจากจัดเตรียมที่หลับที่นอนกันเรียบร้อยโดยไปเช่าจากที่ทำการ พวกเราก็เตรียมตัวออกเดินทางกันอีกครั้งโดยที่ไม่ลืมเก็บพวกของกินซุกซ่อนเอาไว้ในเต็นท์อย่างดี กันพวกกวางที่เดินอวดโฉมกันแบบไม่แคร์มนุษย์เข้ามาบุกรุกขโมยไป แถมหน้าตาแต่ละตัวนี่กร้านชีวิตมาก


[มีต่อค่ะ]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-12-2018 01:41:17 โดย L@DYMELLOW »

ออฟไลน์ L@DYMELLOW

  • กำลังงงๆ เพราะหาทางลงจาก “คาน” ไม่เจอ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 356
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +826/-4
    • facebook
[ต่อๆ]


ที่แรกของการท่องเที่ยวบนเขาคือน้ำตกเหวสุวัต พวกเราสี่คนเดินฝ่าแดดพุ่งเข้าหาร่มไม้อย่างรวดเร็ว ยังดีที่สองข้างทางเข้าไปนั่นร่มรื่นและไม่ร้อนเลยสักนิด ต้นไม้สูงใหญ่แผ่กิ่งก้านกันแดดได้อย่างมีประสิทธิภาพทำให้สีหน้าของทุกคนดูสดใสร่าเริงได้ไม่ยาก

ผมหยุดแวะถ่านรูปตรงนั้นตรงนี้อย่างมีความสุขโดยไม่โดนบ่นว่าสักคำ ไม่ว่าจะเงยหน้าขึ้นจากกล้องกี่ครั้งก็จะเห็นพี่ปูนยืนรอผมเงียบๆ จนผมพอใจถึงได้จูงมือผมเดินต่อไป ไม่มีสีหน้ารำคาญใจ ไม่มีถ้อยคำเร่งเร้า ทุกคนที่เคยเข้ามาในชีวิตผมล้วนต่างจากผู้ชายคนนี้อย่างสิ้นเชิง ทุกคนมักจะรีบเร่งให้ผมไปยังที่ๆ ตัวเองต้องการ หรือให้เลือกถ่ายภาพพวกเธอจนกว่าจะพึงพอใจ


ไม่มีใครรอผมอย่างใจเย็นแบบนี้สักคน


“ถ้าพี่เบื่อ พี่เดินไปรวมกลุ่มกับพี่กรเลยก็ได้นะ”  ผมบอกอย่างเกรงใจ ขนาดเพื่อนที่ว่าเข้าใจกันยังออกปากเร่งผมบ่อยไป

“พี่มาเที่ยวกับลุง แล้วจะให้พี่ไปเดินกับคนอื่นทำไม”  พี่ปูนชักสีหน้าใส่ผมทันที

“ก็แบบ...ผมถ่ายนั่นนี่ไม่หยุดเลยไง” 

“พี่ไม่เบื่อหรอกน่า พี่ชอบเห็นลุงมีความสุข”  ว่าจบก็คล้องคอผมแล้วก้มหอมแก้มเร็วๆ ผมทั้งเขินแฟนตัวเอง ทั้งอายสายตาของผู้หญิงกลุ่มใหญ่ที่เดินสวนกันอยู่ข้างหน้า แต่ละคนมองมาทางเราแล้วหันหน้าไปอมยิ้มกันแบบสื่อความนัยน์บางอย่าง

“ห้ามรุ่มร่ามข้างนอกนะ”  ผมถองข้อศอกใส่คนตัวต้นเหตุเต็มแรง พี่ปูนก็คงเห็นเหมือนที่ผมเห็นนั่นแหละ เลยทำแค่ส่งเสียงเจ็บปวดแล้วยอมเดินต่อไปด้วยรอยยิ้มเต็มปาก

น้ำตกเหวสุวัตนั้นสามารถมองจากข้างบนได้ ซึ่งนั่นก็ว่าสวยงามแล้วเพราะหน้าฝนนั้นน้ำจะเยอะมากเป็นพิเศษ แต่เมื่อลงมาดูข้างแล้วกลับสวยงามกว่าไม่รู้กี่เท่า กระแสน้ำที่แตกฟองจนเป็นสีขาวร่วงหล่นลงมาจากชั้นหินกระทบผืนน้ำจนเกิดเสียงดนตรีธรรมชาติ ก้อนหินใหญ่น้อยประดับอยู่ทั่วทุกมุมของผืนน้ำกลายเป็นความสวยงามอย่างน่าทึ่ง

ผมลืมเหนื่อยจากการเดินลงบันไดเป็นปลิดทิ้ง กระพริบตามองภาพตรงหน้าด้วยความตราตรึงใจ ในที่สุดผมก็หลุดพ้นจากภาพเก่า ณ.ชายทะเลได้อย่าแท้จริง นี่สิคือสิ่งที่ผมใฝ่ฝัน

“สวยเนอะ”  ผมบอกด้วยอย่างตื่นเต้นพลางกระตุกมือพี่ปูนให้เดินไปข้างหน้า ก้าวเหยียบก้อนหินแต่ละก้อนเพื่อเข้าไปใกล้น้ำตกมากขึ้น นักท่องเที่ยวเยอะพอสมควร เพราะงั้นเราจึงหลงกับคู่พี่กรที่เดินลงมาก่อนหน้า แต่ก็ใช่ว่าผมกับพี่ปูนจะมองหานะเพราะเราก็มัวแต่มองมุมนั้นถ่ายรูปตรงมุมนี้ พากันเดินเลาะไปใต้หน้าผาหามุมสวยๆ ก่อนจะหาจุดพักเอนหลังพิงขอนไม้แห้งขนาดใหญ่เพื่อซึมซับบรรยากาศ

เมื่อถึงเวลาสมควรพวกเราก็เดินกลับขึ้นไป เจอกับไอ้โป้ยกับพี่กรที่นั่งรอแถวทางขึ้นลง เพื่อนผมกำลังเอาหมวกพัดให้พี่กรที่กำลังนั่งอมยิ้มอยู่ข้างๆ ดูแลดีแบบไม่สนคนมองเลยทีเดียว

“บรรยากาศมันชักจะไม่ใช่เจ้านายลูกน้องเข้าไปทุกทีแล้วอ่ะ”  ผมบ่นให้พี่ปูนได้ยินเผื่ออีกฝ่ายจะแย้มพรายอะไรออกมา แต่ที่ได้คือการอมยิ้มแล้วไม่ตอบ เรียกความเซ็งได้ดีจริงๆ


สถานที่ต่อไปยังคงเป็นน้ำตก มีชื่อว่าน้ำตกเหวนรก ที่นี่ต้องเดินเท้าเข้าไปร่วมกิโล แต่สองข้างทางนั้นสวยจนผมแวะถ่ายรูปตลอดทาง อาจเป็นเพราะหน้าฝนที่ทำให้ทุกอย่างดูเขียวขจีไปหมด แม้จะต้องเดินฝ่าแดดร้อนขณะข้ามสะพานไม้ก็ยังรู้สึกรื่นรมย์อารมณ์ดี ขนาดพี่กรที่ดูไม่ค่อยชอบถ่ายรูปยังอดที่จะยกมือถือขึ้นมาเก็บภาพไม่ได้ ผมที่กะอาสาเป็นช่างภาพก็โดนแย่งงานไปโดยบอดี้การ์ดจำเป็น

เสียงนก เสียงลิงดังผสานกับเสียงน้ำตกที่ได้ยินชัดเจนขึ้นทุกที จนกระทั่งถึงทางลงที่สมกับชื่อน้ำตก มันเป็นบันไดปูนขั้นสั้นๆ ที่ชันโคตรๆ ชันจนผมที่ยืนอยู่ข้างบนมองไม่เห็นขั้นบันไดในส่วนถัดไปเลย มั่นใจเลยว่าเป็นการเดินที่ผมต้องหอบแฮ่กแน่

“ไหวมั้ย?”  ตามเดิมครับ พี่ปูนเอากระเป๋าเป้ผมไปสะพายเองรวมถึงกล้องที่ผมไม่มั่นใจว่าจะคล้องเองได้อย่างปลอดภัย

พี่ปูนหยุดรอเป็นระยะขณะที่ผมไม่สามารถแยกจากราวบันไดได้ ทั้งชันทั้งแคบ ก้าวผิดชีวิตผมอาจเปลี่ยนไปนอนโรงพยาบาลได้เลย จนเมื่อภาพของน้ำตกปรากฏเต็มสายตา หยาดน้ำที่กระเซ็นเข้าหาก็พัดความเหนื่อยล้าหายไปในทันที แม้คนจะแน่นขนัดสักแค่ไหนแต่ก็ไม่อาจบดบังความยิ่งใหญ่ของน้ำตกเหวนรกนี้ไปได้เลย มันตั้งสูงตระหง่าน สาดซัดละอองน้ำให้ทั่วบริเวณชุ่มฉ่ำ เสียงน้ำที่ตกกระทบลงมานั้นทั้งทรงพลังและน่าหวาดหวั่น ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง บรรยากาศเหล่านี้ที่หาไม่ได้จากในเมือง คนเรามันต้องหายใจเอาอากาศที่บริสุทธิ์แบบนี้เข้าไปต่างหาก

พอผมกับพี่ปูนลงไปถึงจุดชมวิวก็เห็นโป้ยยืนหลบมุมกับพี่กรอยู่โดยที่มันเอาตัวบังไว้ น้ำที่กระเซ็นมากจากน้ำตกทำเอาตัวมันเปียกซก ทุกบริเวณเปียกชุ่มไปด้วยละอองน้ำ ตะไคร่สีเขียวขึ้นตามพื้นกันอย่างเริงร่า ผมว่าต้นไม้แถวนี้คงมีความสุขมากแน่นอน

การถ่ายรูปเป็นไปอย่างยากลำบากเพราะน้ำมันกระเซ็นมาตลอดเวลา ผมเชื่อแล้วว่าทำไมชื่อมันถึงได้ดูน่ากลัวขนาดนี้ เพราะแรงจากน้ำที่ตกลงมามันทำให้น้ำตกนี้ดูยิ่งใหญ่มาก ถ้ามีใครตกลงไปคงได้ไปเก็บกันที่ปลายน้ำอย่างเดียวล่ะ

เราหามุมถ่ายรูปกันสักพักก็ถึงเวลากลับที่พักกันแล้ว ไม่มีใครคิดว่าจะตัวเปียกกันแบบนี้เลยต่างคนต่างนั่งตัวชื้นกันไป พอมาถึงเต็นท์ก็พากันไปอาบน้ำเพราะกลัวว่าไปตอนค่ำคนคงเยอะจนรอคิวนาน แม้ว่าห้องน้ำจะไม่สกปรกเท่าที่คาด แต่การเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำแคบๆ ก็ทำผมหวิดดับเพราะความลื่นไปเหมือนกัน

พี่กรยังคงฮอตเหมือนเดิม เพราะมีสาวๆ มายืนขอถ่ายรูปกันอยู่หน้าห้องน้ำเล่นเอาผู้ชายหลายคนขัดเขินไปตามกัน ผมปล่อยคุณดาราไว้กับไม้กันหน้าหน้าเหี้ยม แล้วจูงมือพี่ปูนเดินเตาะแตะกันกลับเต็นท์

“เดาว่าดาราไม่ค่อยมานอนกางเต็นท์กันแบบนี้”  ผมว่าขำๆ ขณะนอนมองพี่ปูนบำรุงผิวพรรณ  “ผมเพิ่งจะรู้ว่าดาราไปไหนก็ลำบากเหมือนกัน นี่ขนาดเป็นแค่พระรองนะ”

“กรมันชินแล้ว”

“พี่เขาเข้าวงการได้ไงอ่ะ”

“เดินห้างกันแล้วไปเจอแมวมองประมาณนั้น”  พี่ปูนตอบพลางเปลี่ยนเป้าหมายมายังเนื้อตัวผม คุณชายท่านยกขาผมขึ้นพาดตักแล้วจัดการทาครีมให้อย่างคล่องแคล่ว ตอนแรกๆ ที่โดนทำอย่างนี้ก็อายแทบแย่ แต่พอชินแล้วก็สบายดีเหมือนกัน

“แสดงว่าไปด้วยกันน่ะสิ แล้วพี่ไม่โดนชวนบ้างเหรอ?” 

“ก็ถูกชวนอยู่ แต่พี่ไม่ชอบ”  ผมหลับตาพริ้มฟังพี่ปูนพูดไปเรื่อย พยายามไม่ใส่ใจกับการนวดคลึงขาอ่อนที่ชักจะเข้ามาลึกขึ้นทุกที  “พี่ไม่ชอบถูกชี้นิ้วสั่ง อีกอย่างพี่หาเงินได้เก่งพอที่จะไม่ต้องไปฉีกยิ้มให้ใครดู”


ดูพูดซะ...


“แล้วพี่ทำอะไรมาบ้างอ่ะ”  ผมตะปบมือที่เรื้อยเข้ามาใกล้กางเกงในอย่างแรง พี่ปูนไม่ได้ร้องโอดโอยอะไรเพียงแค่อมยิ้มแล้วกลับมาตั้งใจนวดขาผมเหมือนเดิม

“พี่ศึกษาพวกเล่นหุ้นมาตั้งแต่เด็กแล้ว พอได้มรดกมาก็เลยให้ทนายของปู่ช่วยหาโบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้คอยจัดการ เงินมันก็งอกเงยจากตรงนั้นนั่นแหละ”

“แล้วพ่อกับแม่พี่เสียไปเมื่อไหร่เหรอ?”  สิ้นคำถามผม มือที่นวดคลึงอยู่ถึงกับชะงักนิ่งไป ผมมองใบหน้าพี่ปูนที่ตอนนี้เริ่มจะไม่สู้ดีแล้วให้ใจหาย โถ~ พี่ปูนของผมต้องยังสะเทือนใจมากแน่ๆ

“พวกเขาไม่ได้ตายสักหน่อย หึ...ตอนนี้น่ะนะ”

“อ้าว? แต่พี่เคยบอกว่าพี่ตัวคนเดียวไม่มีญาติพี่น้องนี่” 

“ก็จริงนี่ คนที่ไม่ได้เลี้ยงมายังนับว่าเป็นพ่อแม่ได้อยู่รึ”  ผมเริ่มจับเค้าความเครียดในน้ำเสียงพี่ปูนได้ ผมรีบเปลี่ยนท่าขึ้นนั่ง สองมือคว้าจับมือพี่ปูนมากุมไว้

“ไม่อยากพูดถึงก็ไม่ต้องเล่าอะไรหรอก ลุงไม่น่าถามปุริมเลยขอโทษนะ”

“ไม่มีอะไรให้ต้องขอโทษสักหน่อย ก็แค่เรื่องอดีตไม่น่าจดจำเท่านั้น”

แม้พี่ปูนจะพูดแบบนั้นแต่น้ำเสียงและสีหน้ากลับไม่ได้ปล่อยวางตามไปด้วย คิ้วเข้มยังคงขมวดเป็นปมเด่นชัด ฟันขบแน่นจนกรามขึ้นสันนูนชัดเจน นัยน์ตาดำขวับว่างเปล่านั่นมันช่างไร้ชีวิตจิตใจจนผมนึกโทษตัวเองที่ดันพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา

ผมรับมือไม่ค่อยถูกเมื่อเจอเรื่องราวทำนองนี้ ผมอยากจะปลอบใจ อยากจะพูดอะไรสักอย่างให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้น แต่กลับไม่รู้สึกว่าตัวเองเหมาะสมหรือเปล่า... ครั้งหนึ่งสมัยเด็กผมก็เคยมีเพื่อนที่มีปัญหาเรื่องครอบครัว ผมพูดปลอบใจ แต่ที่ได้กลับมาคือการต่อว่า ‘คนที่ครอบครัวอบอุ่นแบบมึงไม่เข้าใจกูหรอก’ ผมจำประโยคนั้นได้แม่นไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี

และครั้งนี้ผมไม่รู้เลยว่าจะพูดอะไรที่จะทำให้พี่ปูนสบายใจดี

ความเงียบเกิดขึ้นในพื้นที่คับแคบพลอยให้บรรยากาศอึดอัดไปหมด พี่ปูนยังคงไม่มองผม แววตาเขายังเหมือนอยู่ในโลกของตัวเอง มันมืดมิดและอ้างว้างเหมือนในวันนั้นที่เรายืนดูดวงอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นผมก็พอจะเข้าใจต้นตอของความรู้สึกที่พี่ปูนสื่อออกมาแล้ว

ผมตัดสินใจขยับตัวเข้าไปใกล้คนตกอยู่ในภวังค์มากขึ้น ในตอนนี้พี่ปูนรู้สึกตัวแล้วหันมามองผมเป็นที่เรียบร้อย นัยน์ตาสีดำขวับทอประกายวูบไหวประหลาดใจยามที่ผมเคลื่อนตัวขึ้นไปนั่งบนตัก ผมโอบมือรอบคออีกฝ่าย ประทับริมฝีปากลงสองข้างแก้มหนักอย่างไร้คำพูด

“เกิดอะไรขึ้น?”  สีหน้าคนถามคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แต่ความตกใจที่ปรากฏในน้ำเสียงนั้นเล่นเอาผมขบขันไม่น้อย

“ผมแค่หาวิธีปลอบใจ”

“เดี่ยวนี้เขาไม่ปลอบใจกันแค่คำพูดแล้วเหรอ?”  พี่ปูนอมยิ้ม ฝ่ามือเลื่อนมาจับสะโพกผม นวดคลึงเบาๆ อย่างที่ชอบทำ

“ถ้าพี่ไม่ชอบ งั้นผมขอคิดวิธีอื่นก่อนนะ”  ผมเอียงหน้าเล็กน้อยแสร้งทำท่าคิด แต่ถ้าดูจากสีหน้าที่ดีขึ้นหลายเท่าตัวของพี่ปูนแล้ว ผมเดาว่าตัวเองมาถูกทางแล้วนะ

“เราต่อกันไม่ได้ในเต็นท์รู้ใช่มั้ย?”  พี่ปูนเลื่อนริมฝีปากเข้ามาจูบเบาๆ นัยน์ตาสีดำทอประกาบวิบวับ ผมมองตัวเองที่สะท้อนอยู่ในดวงตาคู่นั้นแล้วก็เริ่มสบายใจขึ้น ผมหวังว่าอย่างน้อยการมีอยู่ของผมมันคงช่วยพี่ปูนได้บ้าง

“แล้วถ้าเป็นพรุ่งนี้ล่ะ?”

อา~ ที่รัก”  ผมขำคิกกับเสียงครางอย่างอดกลั้นของพี่ปูน   “รู้จักการอ่อยตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”

“ชอบมั้ย?”

มาก!

เราจูบกันซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกระทั่งเสียงตัวขัดจังหวะดังขึ้นที่ด้านนอก พี่ปูนเดาะลิ้นอย่างขัดใจแต่ก็ยอมปล่อยตัวผมให้เป็นอิสระ อาการหัวเสียนี่ออกมาทางสีหน้าเลยทีเดียว ผมหัวเราะเบาๆ ให้กับความไบโพล่าร์ของคนรัก เดี๋ยวเศร้าซึม เดี๋ยวหื่น นี่ก็เปลี่ยนมาโมโหอีก

“พรุ่งนี้ๆ”  เสียงพึมพำผ่านหน้าผมไป พร้อมกับร่างเจ้าของเสียงที่พุ่งไปรูดซิปเต็นท์ด้วยอารมณ์ขุ่นมัว

ผมตามพี่ปูนออกไปติดๆ ก็เห็นเพื่อนตัวดียักคิ้วหลิ่วตาล้อเลียน  “อะไรของมึง?”

“กูอยากเห็นมึงอ่อยเป็นบุญตาสักทีว่ะ ฮ่ะๆๆ”

“เชี่ยนี่!!”

แอบฟังสินะมึง! เพื่อนเลวบัดซบ! ผมวิ่งไล่เตะไอ้โป้ยด้วยความอาย ถามว่าทำอะไรมันได้มั้ย? ...แค่วิ่งยังไม่ทันมันเลย!!


ขออภัยทุกท่านที่ต้องเห็นไก่กะเหี้ยวิ่งเล่นไปทั่วนะครับ



.

.

.



ผมต้องขอชมตัวเองสักหน่อยว่าคาดเดาปริมาณของกินได้เก่ง เพราะตอนนี้อาหารการกินถูกพวกเราสี่คนฟาดเรียบไม่มีเหลือเหรอ เครื่องดื่มมึนเมาดีกรีต่ำก็ถูกซัดลงคอเหมือนเททิ้งเทขว้างจนหมด ตอนนี้แต่ละคนเลยนั่งเอกเขนกมองหน้ากันไปมาเพราะอิ่มหนำกันเต็มที่

“ลุงปรุงน้ำจิ้มอร่อยมากเลยนะ สมกับที่โป้ยคุยอวดว่าทำกับข้าวอร่อย”  พี่กรเอ่ยปากชมพลางยกมือลูบหน้าท้องตัวเองไปมา มันเสียภาพลักษณ์เทวดาเสียจนผมช้ำใจ  “พี่ไม่ได้กินจนอิ่มตื้อแบบนี้มานานแล้ว”

“ขอบคุณครับ แต่โป้ยมันคงไม่ได้ชมผมแต่เรื่องดีๆ หรอกใช่ป่ะ”  ผมตวัดหันมองหน้าเพื่อนอย่างรู้ดี

“โอ๊ยไอ้ลุง กูนินทามึงเยอะอ่ะ”  ไอ้เพื่อนเชี่ยนี่ก็แมนๆ ยอมรับมาซะงั้น  “มึงคิดว่ากูรู้จักกี่กรมากี่ปีกัน บรรดาวีรกรรมปาหี่ของมึงกูเผาสิ้นไม่มีเหลือหรอก”

“ชั่วร้ายนะมึง! กูยังไม่เคยเล่าเรื่องระยำตำบอนของมึงเลยนะ”  ผมตอกกลับแบบไม่ยอมเสียเปรียบ มันคิดว่าเราเป็นเพื่อนสนิทกันมาแค่ปีสองปีงั้นรึ

“อ้อ... คืออยากจะเผากูบ้างงั้นสิ” 


แน๊~ มีส่งเสียงท้าทาย


ไอ้โป้ยเลิกคิ้ว ยกยิ้มชั่วให้ผมแล้วปรายสายตาไปยังคนข้างๆ ผมในวินาทีต่อมา จู่ๆ ผมก็เริ่มไม่ไว้ใจในสันดานของเพื่อนตัวเอง แต่กว่าที่ผมจะคิดแก้ไขสถานการณ์ ปากของไอ้เพื่อนรักก็เริ่มขยับเปล่งเสียงออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“พี่รู้ป่ะว่าครั้งแรกของมันอ่ะ แค่จิ้มเข้าไปจึ๊กสองจึ๊กก็เขื่อนแตกแล้ว”



ไอ้หะเรี่ย!!!!



“มึงรู้ได้ยังไงวะ!!”  ผมนี่เด้งตัวลุกขึ้นตวาดมันเสียงดังอย่างลืมตัว จนพี่ปูนกระตุกแขนนั่นแหละผมถึงได้รู้สึกตัวว่ากำลังรบกวนคนอื่นรอบๆ ที่พัก  “กูไม่เคยเล่าให้มึงฟัง!”  ผมเบาเสียงลงอย่างจำยอม

“เอ๊า! กูก็มอมเหล้ามึงแล้วถามอ่ะดิ”  ยัง...ยังจะมายักไหล่ทำหน้าเหมือนกล่าวหาว่ากูโง่อีก!!

“โมโหขนาดนี้นี่เรื่องจริงเหรอเนี่ย”  พี่ปูนหันมาถาม สีหน้าขบขันแบบไม่ปิดบัง

“พวกพี่อย่าไปเชื่อมันนะ”  ผมรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน แต่มันคงจะน่าเชื่อว่านี้สักหน่อยถ้าใบหน้าผมมันจะไม่เห่อร้อนแบบนี้ นี่ถ้าหน้าแดงออกไปให้เห็นนี่จบกันเลยนะ คนพวกนี้จะคิดยังไงกับช่วงเวลานกกระจอกไม่ทันกินน้ำแบบนั้นของผม มันเป็นหลุมดำในช่วงวัยแตกหนุ่มของผม แค่ครั้งเดียวเท่านั้นเพราะความตื่นเต้น ผมอุตส่าห์เก็บบาดแผลทางใจนี้เอาไว้ไม่บอกใครแท้ๆ


ไม่สิ! ยังมีคนหนึ่งที่ยืนยันได้ว่าผมไม่ใช่ไก่อ่อนอีกต่อไปแล้ว


“ปุริมเถียงแทนลุงเลย!”  ผมหันไปเข่าแขนผัวรัก พี่ปูนมองหน้าผมแบบคาดไม่ถึง  “ยืนยันมันไปเลยว่าผมไม่ใช่นกกระจอกแบบนั้น”

“ให้พี่ยืนยัน? ถามจริง?”  พี่ปูนแม่งกลั้นขำจนไหล่สั่น จากหูข้างซ้ายที่กระดิกอยู่ก็ได้ยินเสียงขำเบาๆ มาจากสองคนที่เหลือด้วย ดูดิ๊! ภาพพจน์ผู้ชายร่าเริงของผมป่นปี้หมดแล้ว

“พี่ต้องกอบกู้ศักดิ์ศรีแฟนพี่สิ”  ผมยืนยันหนักแน่น

“เอางั้นแน่นะ?”  พี่ปูนทวนความมั่นใจกับผมอีกครั้ง จนเมื่อเห็นผมตอบรับโดยการพยักหน้าเร็วๆ ริมฝีปากของพี่ปูนก็ยกยิ้มขึ้น


...มันเป็นรอยยิ้มคุ้นๆ ที่ชวนเสียสันหลังพิกล


“กูขอบอกตรงนี้เลยนะว่าลุงไม่ใช่ไก่อ่อนแบบนั้นอีกแล้ว”  ผมยืดอกทันทีเมื่อได้ยินคนรักประกาศออกมาเสียงเข้ม  “เพราะเดี๋ยวนี้ลุงแตกเองโดยไม่ต้องชักด้วยซ้ำ!”

“..........”

“..........”


“...เอ่อ...คือ...พี่ขอโทษแทนเพื่อนพี่ด้วยนะลุง”


มีแค่เสียงกระอักกระอวลของพี่กรที่ดังฝ่าความเงียบขึ้นมารบกวนการประมวลความหมายในประโยคของไอ้คนข้างตัว ผมแตกเอง? โดยไม่ชักด้วย? หมายความว่าไงวะ? คือกูยืนแอ่นเฉยๆ แล้วน้ำก็พุ่งพรวดออกมาเองงั้นสิ -- ใครคิดอย่างผมก็มีพ่อเป็นควายแล้ว!!

“เป็นไง...พี่พูดดีมั้ย?”  ยังจะหันมาถามกูอี๊กกก!!

สิ้นคำของพี่ปูนเท่านั้นแหละ เหมือนความรู้สึกที่หยุดชะงักไว้มันระเบิดออกมา ไอ้โป้ยปล่อยเสียงหัวเราะจนท้องคัดท้องแข้ง แทบจะลงไปกลิ้งเกลือกอย่างทนทรมาน ส่วนพี่กรก็กลั้นขำปนสีหน้าสงสารผมแบบไม่ไหวแล้ว อย่า! อย่าทำมาเป็นพระรองแสนดีตอนนี้ ผมเห็นน้ำตาพี่แพรมออกมาด้วย!

ปุริม!!”  ผมตวัดสายตากร้าวมองพี่ปูนอีกครั้ง คนตรงหน้าผมยังคงทำหน้าซื่อตาใสท้าแสงไฟสลัวๆ ได้อย่างหล่อเหลา แต่ผมโกรธ! บอกให้แก้ตัวแทน ไม่ใช่ให้มาเผยความลับ

มึงอดแน่ปุริม!! พรุ่งนี้อดแน่ๆ!!

“โกรธพี่ทำไม? พี่พูดผิดตรงไหน?”  พี่ปูนแม่งขำจนอกกระเพื่อม ผมล่ะอยากจะทุบอกให้มันหยุดหายใจไปเลยจริงๆ  “เถียงสิถ้าพี่พูดไม่จริงน่ะ”

กู-ไม่-เถียง!!

เรื่องจริงทั้งนั้น แล้วจะให้ผมไปเถียงมันให้อับอายเพิ่มขึ้นอีกทำไม โมโหโว้ย~ อายโว้ย~

“ถามจริง มึงรู้สึกดีขนาดนั้นเลยเหรอวะ”  ไอ้โป้ยถามทั้งน้ำตา มันกรีดหยดน้ำที่หางตาทิ้งพลางทรงตัวเองให้นั่งเหมือนเดิม -- ทำไมมึงไม่ขำจนสำลักน้ำลายตายห่าไปเลยล่ะ!

“เออ!!”  ผมกระแทกเสียงใส่ตามสัญชาตญาณ เชี่ย!!! ทำไมผมปากไวอย่างนี้วะ

“ฮะๆๆๆ”

“ไม่เอาสิที่รัก บอกคนอื่นอย่างนี้พี่ก็เขินแย่”

“..........”

เกลียด...ผมเกลียดตัวเองที่ต้องมีเพื่อนกับผัวอย่างนี้ ไหนๆ สวรรค์ก็ปั้นแต่งชะตาชีวิตผมให้ต้องเป็นเมียคนอื่นแล้ว ทำไมถึงไม่หาผัวดีๆ กว่านี้ให้ผมล่ะครับ...



“...พี่...เอ่อ...พี่ขอโทษแทนเพื่อนอีกครั้งแล้วกันนะ”



พี่กรครับ...ถ้าพี่จะกลั้นขำจนไหล่สั่นขนาดนั้น...ไม่ต้องพูดเลยก็ได้ครับพี่






_________________________________________________________________TBC.

ออฟไลน์ L@DYMELLOW

  • กำลังงงๆ เพราะหาทางลงจาก “คาน” ไม่เจอ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 356
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +826/-4
    • facebook
อ่านตอนที่ 22 กันก่อนเน่อออ :katai3:

______________________________________________________________________


ตอนที่ 23 _จะรักกันทั้งที ต้องมีสักขีพยาน





ผมกระพริบตาตื่นขึ้นเพราะเสียงจากรอบข้าง แสงสว่างส่องให้มองเห็นภายในเต็นท์ชัดเจนกว่ากลางคืนที่ต้องพึ่งแสงจากไฟฉาย เสียงเปาะแปะจากหยดน้ำที่ตกกระทบผ้าใบทำให้รู้ว่าฝนกำลังตกปรอยๆ อยู่ด้านนอก ผมรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่หน้าฝนกำลังทำผมชวดโปรแกรมเล่นน้ำที่บ่อน้ำผุด แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยทำให้อากาศเย็นขึ้นมาหน่อย

เมื่อคืนอากาศในเต้นกำลังพอดีแบบที่ไม่จำเป็นต้องห่มผ้า เกือบจะติดร้อนด้วยซ้ำเมื่อเพิ่มการนัวเนียของพี่ปูนที่คอยแต่จะกอดจะหอม ผมทั้งถีบทั้งผลักกว่าจะยอมต่างคนต่างนอนได้ ทำผมอับอายขนาดนั้นแล้วยังมาอ้อน เชอะ! ผมไม่ง่ายนะเว้ย!

“ฝนตกเหรอ?”  ผมเหลียวมองเจ้าของเสียงอู้อี้จากด้านข้าง พี่ปูนกระพริบตามองหลังคาเต็นท์อย่างคนไม่ตื่นเต็มที่ เม็ดฝนตกถี่ขึ้นแต่ก็ยังเบาบางพอที่ชาวเต็นท์เดินไปมาทำกิจกรรมกันได้

“อดเที่ยวแล้วแน่เลย”  ผมโอดครวญทันที ผมขยับเข้าไปใกล้พี่ปูนที่หันมายิ้มให้อย่างเข้าใจ มือใหญ่ดึงร่างผมเข้าไปกระชับกอด  “ยังเที่ยวไม่ทั่วเลย”

“ดีแค่ไหนแล้วที่เมื่อวานอากาศดี”

“ก็จริง”  ผมยอมรับอย่างจำนน  “แต่หน้าฝนเที่ยวไม่สนุกอ่ะ มันเฉอะแฉะ”

“งั้นหน้าหนาวค่อยเที่ยวกันใหม่”

“เราจะไม่เลิกกันก่อนเหรอ?”

ปากเสีย!!” 

ผมยิ้มขันกับน้ำเสียงจริงจังพลางซุกใบหน้าลงกับอกอุ่นๆ  “นี่กะว่ากลับกรุงเทพฯ เมื่อไหร่ก็จะบอกเลิกละ”

“ไม่ให้เลิก”

“พี่ปูนชอบพูดทะลึ่งลุงไม่ชอบ”

“พี่ทะลึ่งกับลุงคนเดียวน่า”

“แล้วหมาล่ะมั้งที่หัวเราะกับเรื่องทะลึ่งของพี่เมื่อคืนอ่ะ”  แหม่~พูดแล้วมันขึ้น!

“นั่นเป็นเรื่องทะลึ่งที่ไหน พูดเรื่องจริงทั้งนั้น”

“งั้นคืนนี้อดแน่ปุริม นอนขัดแตงไปคนเดียวเหอะ”  ผมปล่อยคำขู่ที่ร่ำๆ อยู่ในใจตัวเองตั้งแต่เมื่อคืน แต่ถามว่ามันจะได้ผลมั้ย?... 

“พี่เชื่อว่าลุงไม่รอดมือพี่แน่”  พูดจบก็ยกยิ้มท้าทายมาให้

ผมจ้องตาโต้ตอบอีกฝ่ายได้ไม่นานก็จำต้องเสมองทางอื่นแทน ไม่ไหว...ผมเองก็ไม่มั่นใจตัวเองเหมือนกันว่าจะกระบิดกระบวนจนรอดตัวมาได้รึเปล่า พูดเรื่องขึ้นเตียงทีไรสายตาพี่ปูนแม่งลุกเป็นไฟตลอด

“ไปอาบน้ำแปรงฟันกันเหอะ”  ผมรีบพลิกตัวออกจากวงแขนแข็งแรงทันทีที่ชักจะร้อนๆ หนาวๆ กับสายตาประหนึ่งหมาล่าเหยื่อ

“เปลี่ยนเรื่องเหรอ ไม่แน่จริงนะแบบนี้”

“เออ!”  จะไปตอบอะไรนอกจากนี้ได้ ลูกผู้ชายครับ เราต้องยืดอกยอมรับความจริง!

ผมหันไปรื้อกระเป๋าเตรียมอุปกรณ์อาบน้ำกับเสื้อผลัดเปลี่ยนของตัวเอง ไม่สนใจเสียงขยับตัวของอีกคนที่เคลื่อนที่เข้ามาใกล้ จนกระทั่งพี่ปูนโอบวงแขนรอบตัวผมพร้อมกับฝังหน้าซบไหล่เงียบๆ ถามว่าอึดอัดมั้ย? ก็มีบ้าง พี่แกเล่นตัวใหญ่ตัวโตขนาดนี้ แล้วผู้ชายตัวไม่เล็กสองคนในเต็นท์แคบๆ กับอากาศที่ไม่ได้เย็นสบายก็ทำให้อยากจะผลักอ้อมกอดนี้ออกไปเหมือนกัน

แต่ติดที่ว่าความชอบมันมีมากกว่าเนี่ยสิ

เสื้อผ้าของเราสองคนถูกนำออกมาวางเตรียมไว้ และไม่ลืมหมวกออกมาเพื่อให้พี่ปูนใส่ระหว่างทาง กลัวพ่อกระหม่อมบางจะเป็นหวัดไปอีก รื้อๆ ค้นๆ อีกสักครู่ผมก็พร้อมออกไปทำกิจธุระแล้ว แต่ติดที่คนด้านหลังผมนี่เงียบไปเลย ไม่ใช่ว่าหลับต่อท่านี้นาเฮ้ย

“พี่ปูน?”

“หืม?”

“ไปอาบน้ำกัน”  ผมขยับตัวออกห่างเป็นเชิงเร่ง ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมคลายวงแขนแต่โดยดี

ผมมองใบหน้าที่ยังติดแววง่วงงุนแต่ก็ยังหล่อลืมโลกตรงหน้า สงสัยจะนอนไม่สบายเพราะเมื่อคืนอากาศก็ติดจะร้อนนิดหน่อยด้วย เด็กห้องแอร์อย่างพี่ปูนคงหลับไม่สนิทเท่าไหร่ เห็นแล้วก็สงสารนิดหน่อยล่ะนะ เหมือนผมพาแฟนตัวเองมาลำบากเลย ไว้มาเที่ยวเขาเฉพาะหน้าหนาวคงจะดีกว่า

“ไปกัน”  พี่ปูนขยับตัวไปรูดซิปเต็นท์เพื่อจะก้าวออกไปคนแรก แต่ผมรีบจับข้อมืออีกฝ่ายฉุดให้เข้ามาก่อนจะหยิบหมวกเบสบอลสวมลงปิดศีรษะของคนตัวโตเอาไว้

“ใส่ไว้ จะได้ไม่เป็นหวัด”


“..........”  พี่ปูนมองผมนิ่งระหว่างถูกเกลี่ยผมให้เข้ารูปเข้ารอย เมื่อเสร็จเรียบร้อยเราก็พร้อมจะไปอาบน้ำแปรงฟันกันแล้ว

“..........”

“...ลุง”   พี่ปูนจ้องหน้าผมราวกับคนจมอยู่ในความคิดของตัวเอง แววตาไหวระริกคล้ายมีน้ำคลอจนผมแปลกใจ แค่ใส่หมวกให้นี่มันซึ้งขนาดนั้นเลยเหรอ?

“พี่ปูน?”

คนตรงหน้าขยับริมฝีปากเหมือนอยากจะพูดอะไรออกมา แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นคลี่ยิ้มหวานออกมาแทน อา~ หล่อเหลาจริงพ่อเอ๊ย!

“บางทีพี่ก็อดคิดไม่ได้...”  กระแสเสียงที่เบาราวกับเสียงกระซิบดังออกมาจากริมฝีปากฉาบรอยยิ้ม คนตรงหน้ายังคงจับจ้องผมด้วยแววตาสุขปนเศร้า  “การที่พี่มีความสุขแบบนี้มันเป็นแค่ฝันรึเปล่า”



โธ่~ผัวรัก!



ผมยืดตัวกอดคอพี่ปูนแน่น คิดอยากจะทำตลกโดยการตบสักทีจะได้รู้ว่าไม่ได้ฝัน แต่ในเมื่อเล่นซีนอารมณ์ขนาดนี้แล้วผมจะตลกตึ่งโป๊ะกลลับไปก็ใช่ที่ บางทีผมก็สงสัยเหมือนกันว่าพี่ปูนโตขึ้นมายังไง ไอ้ที่ว่าพ่อกับแม่ไม่ได้เลี้ยงมามันหมายความว่ายังไง? ทำไมชีวิตคนๆ หนึ่งถึงได้มีความมืดหม่นขนาดนี้ ในหัวผมมีแต่คำถาม แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกไปกลับเป็นอีกคำที่หวังว่าคนในอ้อมกอดจะรู้สึกตัวได้ในสักวันว่าทุกวันนี้คือความเป็นจริง

“ลุงรักปุริมนะ”

พี่ปูนกอดตอบผม จูบซอกคอแรงๆ แบบที่คิดว่าคงขึ้นรอยแน่นอน ริมฝีปากพึมพำถ้อยคำด้วยน้ำเสียงอบอุ่นรักใคร่

“...เด็กดีของพี่...”

โอย~ คำนี้มันกระแทกใจผมเสมอ มั่นใจเลยว่าผมยินดีที่จะฟังคำนี้อีกเป็นหมื่นเป็นล้านรอบ มันทำใจเต้นได้มากกว่าคำบอกรักของผมเป็นไหนๆ

“เอ่อ...โทษทีนะ”

เหมือนโดนผู้กำกับสั่งคัท! ผมกับพี่ปูนหยุดโหมดซึ้งแล้วหันไปทางต้นเสียงอย่างพร้อมเพรียง ในทิศทางนั้นที่ทางเข้าออกถูกเปิดกว้าง มีร่างของคนสองคนนั่งยองๆ มองตรงเข้ามา หนึ่งเปี่ยมไปด้วยสีหน้าขออภัย อีกหนึ่งกำลังขบขันกับฉากรักกลางเขาอย่างเต็มที่

 “ไปอาบน้ำกันสักทีมั้ย เลิฟซีนอ่ะไปต่อตอนค่ำก็ได้”   

ผมนี่ถึงกับเข่นเขี้ยวชื่อเพื่อนรอดไรฟันออกมา อายก็อายอ่ะนะ แต่มันจะไม่รู้เหนือรู้ใต้อะไรหน่อยรึไง!

“กูว่าลงจากเขาเร็วหน่อยก็ดี เผื่อฝนตกหนักกว่านี้”  พี่กรชี้แจงด้วยสุ้มเสียงสุภาพ มีการปรายตามามองผมอย่างเกรงใจที่จำต้องมาขัดจังหวะ


มึงควรจะเรียนรู้จากพี่กรบ้างนะไอ้วีรภาพ!!


“ได้ มึงเก็บของขึ้นรถเลยก็ได้”  พี่ปูนผละจากผมไปหยิบกุญแจรถส่งให้เพื่อน พี่กรก็ไม่อยู่รอให้เสียเวลาชวนโป้ยกลับเข้าเต็นท์ตัวเองทันที

“คราวหน้ามากันแค่สองคนนะ”  พี่ปูนหันมาบอก น้ำเสียงจริงจังชนิดที่ผมพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น



.


.


.




หลังลงจากเขาพร้อมกับกาแฟคนละแก้ว เราก็ฝากท้องไว้กับร้านอาหารแถวนั้นก่อนมุ่งหน้าไปยังรีสอร์ทที่พี่ปูนจองเอาไว้ ฝนที่ตกพรำๆ ในคราแรกก็หนักขึ้นในระหว่างกินข้าว เป็นอันว่าผมอดเที่ยวจนกว่าฝนจะหยุดตกแน่แล้ว แต่ก็นับว่าบรรยากาศในรีสอร์ทพอกอบกู้อารมณ์ผมได้บ้าง

“ชอบมั้ย?” 

ผมพยักหน้ารัวๆ กับคนที่เดินจูงมือกันมา ระหว่างทางก็ร่มรื่นแถมที่พักแต่ละหลังยังมีรั้วรอบขอบชิดเป็นส่วนตัว พวกเราได้ห้องแฝดที่มีสระว่ายน้ำในตัว กำแพงก็ไม่ได้ติดกันอย่างที่ผมค่อยคลายใจหน่อยว่าไม่ต้องกลัวอีกห้องจะได้ยินเสียงอะไรกลางดึกบ้าง

พนักงานยกกระเป๋าเราออกมาจากรถกอล์ฟและรับทิปกลับไปอย่างรวดเร็ว พวกเราก็รีบแยกห้องใครห้องมันรอเวลาฝนหยุดตกเพื่อเริ่มวางแผนเที่ยวกันใหม่

โทนห้องเป็นสีขาวรับกับลักษณะห้องที่มีไม้เป็นส่วนประกอบ ให้อารมณ์แบบบาหลีนิดๆ ประตูเป็นกระจกบานไม้ยาวเต็มความกว้างของห้องเพื่อเปิดรับลมได้เต็มที่แบบที่ไม่มีใครมาแอบดูได้ เตียงนอนก็ใหญ่ ห้องน้ำก็กว้างขวางสวยงามน่าปลดทุกข์ ผมเดินสำรวจในห้องพลางถ่ายรูปไปด้วย กลับมาอีกทีก็เห็นพี่ปูนกำลังล็อกห้องพร้อมกับเลื่อนผ้าม่านปิดจนทึบ แล้วเดินไปเปิดแอร์แทนอากาศบริสุทธิ์ด้านนอก

“พี่จะนอนเหรอ?”

“อืม”  คนตัวโตรับคำสั้นๆ พลางเดินตรงเข้ามาหาผมที่ยืนอยู่แถวหน้าห้องน้ำ

ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มน่ารักขณะหยิบกล้องออกจากมือผมไปวางไว้บนโต๊ะ แล้วกลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้งด้วยความรวดเร็ว มือใหญ่ขยับยกเพื่อปลดกระดุมเสื้อผมเงียบๆ

“อะไรเนี่ย”  สัญชาตญาณเริ่มเตือนผมถึงกลิ่นทะแม่งๆ ที่ส่งออกมาจากรอยยิ้มของคนตรงหน้า  “แกะกระดุมทำไม?”

“อาบน้ำกัน”


กูว่าแล้ว!



“ฮื้อ! อาบแล้ว”  ผมเบี่ยงตัวปัดป้องสาบเสื้อที่กำลังจะถูกแยกออกจากกัน แต่พี่ปูนกลับดึงดันยื้อกันไปมาจนผมถูกต้อนมาติดกำแพง

“งั้นเอากัน”  สิ้นคำพูดเท่านั้น สองมือของคุณแฟนที่รักก็แหวกเสื้อผมออกเหมือนแหกกลีบทุเรียน

“ไม่เอาอ่ะ รอกลางคืนดิพี่ปูน”  ผมอยากจะวิ่งหนีสายตาหื่นกระหายที่จับจ้องผิวเนื้อผมเหลือเกิน แต่สองแขนที่กางกั้นตัวผมเอาไว้ก็ยากจะปัดป้องจริงๆ

“ฆ่าเวลาไง ฝนยังตกอยู่” 

“นี่ตัวผมมีค่าแค่นั้นเหรอ”  ผมตีเนียนเสียงเศร้าเข้าใส่

“ไม่เอาอย่าดราม่าสิ”  พี่ปูนยิ้มขำแล้วจัดการก้มลงจูบลาดไหล่ผมเบาๆ ลมหายใจอุ่นๆ เล่นเอาผมขนลุกเกรียว  “ให้พี่นะ...”

ว่าจบก็ช้อนสายตาขึ้นมองผม สีหน้าออดอ้อนเสียจนผมปฏิเสธไม่ถูก พอจับจุดผมถูกก็พัฒนาฝีมือไปไกลมาก เดี๋ยวก็ทำหน้าอ้อน เดี๋ยวก็ทำเสียงอ่อนเสียงหวาน ผมก็ตกม้าตายทุกครั้งไปสิ!

“ขอเตรียมตัวก่อน โอเค๊?”

“เร็วๆ นะ” 

ยิ้มสิ! ยิ้มเข้าไป สมใจแล้วนี่ -- ผมหมุนตัวกลับเข้าห้องน้ำไปอย่างปลงตก ผมเองก็เป็นผู้ชาย เข้าใจว่าเพศผู้นั้นเกิดอารมณ์ง่ายกว่าเพศหญิง แต่ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่ได้คิดอยากจะทำกับแฟนบ่อยขนาดนี้ เดาว่าพี่ปูนเป็นพวกหื่นขึ้นสมองแน่นอน ในหัวมีแต่เรื่องเซ็กส์ใช่มั้ย? หรือผมไปทำให้พี่แกเกิดอารมณ์จังหวะไหน? ตอนขึ้นรถเหรอ? หรือว่าตอนกินข้าวที่เผลอยื่นขาไปแตะโดนกัน หรือว่าสารรูปผมมันยั่วยวนเกินไป

ผมมองเงาร่างตัวเองในกระจก หมุนไปหมุนมาแล้วรีบตัดความคิดสุดท้ายทิ้งไปทันที ถ้าเทียบกับพี่กรที่มีเสน่ห์ หรือพี่ริชที่รูปร่างสะโอดสะอง ไม่ว่าจะดูยังไงผมก็แค่ผู้ชายธรรมดาเท่านั้น แบบนี้ก็ไม่ได้อยู่ที่ตัวผมแล้วล่ะ ต้องมาจากความต้องการส่วนตัวของพี่ปูนนั่นแหละ

เมื่อก่อนก็รู้มาหรอกว่าพี่ปูนมีผู้หญิงติดเยอะแยะมากมาย ขนาดไอ้โป้ยยังเคยบอกเลยว่าพี่ปูนเป็นเสือผู้หญิงดีๆ นี่เอง แล้วพอมาคบกับผมก็ตัดขาดกับหนุ่มสาวในสต็อกมากมายก็คงขาดการระบายไปเยอะสินะ เพราะอย่างนี้เลยทำกับผมบ่อยๆ นี่เอง

ผมพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจกับตัวเอง พลางเริ่มถอดเสื้อผ้าชำระเนื้อตัวอีกรอบอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นก็เตรียมช่องทางอย่างคล่องแคล่วที่แม้แต่ตัวเองยังตกใจ



เอาวะ! ไหนๆ ก็ได้ตำแหน่งเมียเขามาแล้ว จะหื่นจนหูรูดผมเสื่อมก็ให้มันรู้ไป




แกร่ก~



ผมเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยผ้าขนหนูผืนเดียวที่พันช่วงล่างอย่างหมิ่นเหม่ สองเท้าก้าวเชื่องช้าไปยังเตียงนอนสีขาวสะอาดที่พี่ปูนนอนพิงหัวเตียงอยู่อย่างสบายอารมณ์ แผงอกสีขาวแข็งแน่นขยับขึ้นลงตามการหายใจที่คล้ายจะหนักหน่วงขึ้นยามมองมาที่ผม ริมฝีปากเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์ สองตาจับจ้องทุกอิริยาบถยามผมปีนขึ้นเตียงมานั่งข้างๆ

เสียงสายฝนโปรยดังลอดเข้ามาคลอไปกับเสียงโทรทัศน์ที่เปิดดังเบาๆ ผสานกับเสียงหัวใจเต้นตึกตักที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นมายามสบนัยน์ตาสีดำเปล่งประกาย ตรงหน้า

“ฝนตกหนักกว่าเดิมอีก”

“แย่จัง...”  สีหน้าพี่ปูนไม่ได้ใกล้เคียงกับคำพูดแม้แต่น้อย มือใหญ่ลูบไล้ลาดไหล่ผมด้วยปลายนิ้ว คลอเคลียไปตามซอกคอ มันจั๊กจี้จนอดสะดุ้งไม่ได้ แต่อีกฝ่ายกลับอมยิ้มชอบใจพลางขยับปลายนิ้วเย้าหยอกมากขึ้น บดบี้ยอดอกขี้อายที่ยังหลบอยู่ข้างใน

“พี่ชอบตรงนี้รองจากก้นสวยๆ นี่เลย”  เสียงทุ้มหยอกล้อก่อนจะกดริมฝีปากลงกับหน้าอก ตะปบมือขยำบั้นท้ายผมแล้วออกแรงนวดเบาๆ

“อื้อ~”  ผมสะดุ้งเล็กน้อยยามถูกปลายลิ้นไล้เลีย วนเวียนหยอกล่อตุ่มไตขี้อาย กดริมฝีปากครอบครองดูดรั้งเบาๆ สลับหนักหน่วง ผมเจ็บเล็กน้อยแต่เสียงที่ส่งออกไปกลับเป็นเสียงครางเบาๆ

พี่ปูนรั้งตัวผมให้ขึ้นมาคร่อมตักเอาไว้โดยที่ริมฝีปากก็ยังปรนเปรอหน้าอกผมแบบไม่ขาดตกบกพร่อง สองร่างเปลือยเปล่าเสียดสีกันไปมาสร้างความเร่าร้อนที่พุ่งขึ้นแทรกแซงอากาศเย็นฉ่ำ พี่ปูนละจากอกเมื่อภารกิจสำเร็จ ริมฝีปากชุ่มฉ่ำเปลี่ยนมาแนบเนากับกลีบปากผมทันที ขณะที่ปลายนิ้วยังคงบดบี้ตุ่มไตที่เต่งตึงขึ้นมา ดึงรั้งมันจนผมเจ็บสะท้านไปทั้งร่าง แต่ความเจ็บนั้นกลับชักนำให้เจ้าหนอนน้อยตื่นจากการหลับใหล

ปลายลิ้นเกาะเกี่ยวกันจนแทบจะกลายเป็นเนื้อเดียว ระหว่างนั้นฝ่ามือใหญ่ก็เปลี่ยนเป้าหมายมาที่ของรัก สะโพกแน่นหนั่นถูกนวดคลึงไปมา บีบสลับลูบจนผมคิดว่ามันอาจจะเหลวคามือก็เป็นได้ ผมทรุดกายลงนั่งแนบตักกว้าง บดเบียดสะโพกกับแตงกวาพันธุ์ดีทางด้านหลังที่แข็งร้อนแนบชิดร่องก้นอยู่

ผมเองก็เป็นผู้ชาย เวลาร่วมรักกับใครก็ชอบการตอบสนองที่มากกว่าท่อนไม้ การเคลื่อนไหวร่างกาย หรือการกอดก่ายส่งเสียงครวญคราง นั้นคือปฏิกิริยาตอบโต้ที่อีกฝ่ายต้องการ ไม่ใช่เพราะว่ามันจะทำให้เซ็กส์สนุกขึ้นเท่านั้นหรอก แต่ผมคิดว่ามันเป็นการสร้างอารมณ์ความสัมพันธ์ให้ลึกซึ้งขึ้นด้วย ถ้ามีแค่ฝ่ายเดียวที่รู้สึกดีมันจะเป็นการ ‘ร่วมรัก’ ได้ยังไง เพราะงั้น...คนใฝ่รู้อย่างผมจึงศึกษาในจุดนี้อย่างเต็มที่

“อา~ ลุง...ที่รัก”  เสียงครางแหบพร่าดังผสานไปกับลมหายใจหนักหน่วง เรียวแขนผมโอบรอบคอพี่ปูนไว้ยามเคลื่อนตัวเนิบนาบฟูมฟักแตงลูกใหญ่ด้วยหลืบร่อง ที่เจ้าของสวนบีบเค้นหนักๆ จนแตงอุ่นๆ แทบจะจมหายเข้าไป การถูไถแต่ละครั้งช่วยนวดให้จีบร่องนุ่มและผ่อนคลาย ความลื่นฉ่ำจากเจลแทบจะทำให้มันผลุบเข้าไปอย่างง่ายดาย


“ปุริม...อา...” 


“อืม...ลุง...ลุง”


เสียงครางสอดประสานกันเร่งเร้าอารมณ์ให้พุ่งสูงขึ้นเป็นเท่าทวี ผมขบเม้มติ่งหูพี่ปูนเบาๆ ไล้เลียมาตามแนวคาง ขบเม้มเบาๆ เคลื่อนไหวเนิบนาบเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเอื้อมมือลงไปกดหัวแตงให้จมหายเข้าไปในหลุม ผมหลับตาแน่น รับรู้ทุกการขับเคลื่อนในร่างกายได้อย่างชัดเจน ร่างกายของพี่ปูนลุกล้ำเข้ามา ลึกขึ้นทีละนิดๆ กระทั่งมันเติมเต็มอัดแน่นภายในจนอึดอัด

เราสองคนจูบกันหนักหน่วงรอเวลาให้ผมผ่อนคลายสักเล็กน้อย ต่อเมื่อแรงขับนั้นยากจะกักเก็บไว้อีกต่อไป พี่ปูนก็ไม่รีรอที่จะเป็นฝ่ายขับเคลื่อนจนผมทำได้เพียงกระเด้งกระดอนอยู่บนตัก โอบกอด ฝังหน้าลงกับไหล่กว้างแล้วครางเสียงดังออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

“อา~ สุดยอด”  พี่ปูนครางเสียงหนักเมื่อผมกดสะโพกรับแรงกระแทกทันทีที่ตั้งหลักได้ เสียงหอบหายใจดังหนักหน่วง สมกับที่เปรียบกันว่าเป็นกีฬาในร่มจริงๆ ผมชักจะไม่รู้แล้วว่าที่หัวใจเต้นถี่เร็วขนาดนี้เป็นเพราะอาการเหนื่อยหรือว่าความตื่นเต้น

“ที่รักตอดเก่งที่สุดเลย” 

ไอ้เรื่องนี้ผมก็ไม่อยากจะถามหรอกนะว่าเอาไปเปรียบเทียบกับใคร อาจจะเป็นการชมแบบเอาใจ แต่จากสีหน้าและท่าทางของพี่ปูนตอนนี้แล้วก็ต้องยอมรับเลยว่าการฝึกขมิบก้นนี่มันไม่เสียเปล่าจริงๆ

“ดีมั้ย? อา...ลุงเก่งจริงเหรอ?”

“ดี...อ้า...โอว!...ดีโคตรๆ เลย”

รอยยิ้มจุดขึ้นบนริมฝีปาก นี่มันรู้สึกดีพอๆ กับที่ถูกคุณครูชมตอนสอบได้คะแนนดีเลยอ่ะ ผมประคองหน้าพี่ปูนมาจูบปากแรงๆ ขณะกดสะโพกขึ้นลงหนักๆ บดบี้แรงๆ จนพี่ปูนครางไม่หยุดปาก พ่อบอกว่าคนเราอย่าหวงวิชาความรู้เพราะงั้นลีลาอะไรที่ผมเห็นมาจากหนังผมควักเอามาเผื่อแผ่พี่ปูนจนหมด จะบดคลึง จะโยก หรือแม้แต่การบริหารเอวโดยการร่อนวนเป็นเลขแปด

ผมเหนื่อยแรงอีกพักใหญ่กว่าพี่ปูนจะปลดปล่อยออกมา ร่างใหญ่กอดผมแน่นจนเจ็บไปหมดแต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงส่งต่อวิชาความรู้จนถึงหยาดหยดสุดท้าย




นี่ถ้าเป็นการสอบ พี่ปูนต้องให้ A+ แก่ผมอย่างไม่ต้องสงสัย




กลิ่นคาวเจือความหอมหวานคละคลุ้ง เราสองคนระบายลมหายใจอย่างคนสิ้นเรี่ยวแรง แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะจูบริมฝีปากกันอย่างนุ่มนวล เลาะเล็มหยาดเหงื่อที่ไหลซึมตามผิวเนื้อ

“พี่ว่าสองคนนั้นจะได้ยินเสียงเรามั้ย?”

“ช่างหัวพวกมันเถอะน่า”  พี่ปูนพูดอย่างไม่ใส่ใจพลางซบหน้าลงกับอกผมแล้วนวดคลึงแก้มก้นทั้งสองข้างไปด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข

“ฝนเหมือนจะหายตกแล้วนะ”

“ช่างฝนมันเหอะ”

“แต่ผมอยากไปเที่ยวแล้ว...”

“อะไรที่มันมุดเข้าไปแล้วพี่ไม่เอาออกมาง่ายๆ หรอกนะ”  ว่าจบพี่ปูนก็ช้อนข้อพับขาทั้งสองข้างผมขึ้นแล้วเหวี่ยงตัวผมลงนอนหงาย ก่อนทาบทับน้ำหนักของตัวเองลงมาจนผมแทบจะจมหายไปบนที่นอนนุ่ม

ร่างหนาจูบไปตามผิวเนื้อหนักๆ จนเกิดร่องรอยตามมา ริมฝีปากแสนชำนาญเลาะเล็มไปทั่วเนินอกเรียกเสียงครางเบาๆ

“ให้อีกแค่รอบเดียวนะ”  แม้ปากผมจะทำเป็นเสียงเข้ม แต่ร่างกายกลับเริ่มตอบสนองปลายลิ้นกับการดูดดึงของปากอุ่นชื้นแล้ว

แตงกวาขนาดกำลังน่ารักในตัวค่อยๆ กลายร่างเป็นแตงร้านเกรดพิเศษ มันแยกขยายเนื้อนุ่มภายในขยับขยายจนแน่นรัดความใหญ่โตที่เกิดขึ้น ผมสะท้านกอดเจ้าของสวนผู้ช่ำชอง ร่างทั้งร่างสั่นระริกด้วยความรู้สึกร้อนรุ่มที่หวนกลับมาอีกครั้ง


หลังจากจูบแผ่วเบา พิธีกรรมนวดแตงในหลุมก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง



.


.


.




ก็อกๆ


เสียงเคาะกระจกเบาๆ ดังแว่วผ่านเข้ามาในสติสัมปชัญญะที่มีอยู่น้อยนิด แต่ผมเลือกที่จะปล่อยผ่านเพราะกำลังจดจ่ออยู่กับใบหน้าหล่อเหลาของคนรักที่เต็มไปด้วยความปรารถนา พี่ปูนเองก็เหมือนจะได้ยิน เพราะพี่แกขมวดคิ้วเล็กน้อยหากกายท่อนล่างนั้นยังคงโถมอัดบั้นท้ายผมไม่หยุด



ก็อกๆๆ



คราวนี้เสียงเดิมดังถี่ขึ้น เป็นอันแน่นอนว่าใครสักคนกำลังเคาะเรียกพวกผมอยู่ แต่เรากลับยังไม่อาจหยุดสงครามบนเตียงได้ มันกำลังเป็นช่วงรอยต่อสำคัญที่ยากแก่การหยุดยั้ง เหงื่อกาฬโทรมกายเราทั้งคู่ บทรักรุนแรงนั้นแผดเผาเราสองคนจะไม่อยากแยกออกจากกัน แต่กระนั้นผมก็ยังพยายามกลั้นเสียงแห่งความสุขสมของตัวเองโดยการปิดปากเอาไว้

“พี่ปูน...ฝนหยุดตกไปสักพักแล้วพี่”

เสียงโป้ยดังลอดเข้ามาเสียงดังเล่นเอาผมตกใจจนหลุมที่กำลังปลูกแตงอยู่หดรัด พี่ปูนครางซี๊ดเสียงดัง แต่แทนที่จะชะงักงันกลับกระแทกกระทั้งเข้ามาหนักหน่วงกว่าเดิม จนผมกระเด้งกระดอนไปมา

“ปุริม อึกๆ...อื้อ! พอก่อน”  ผมพยายามดันหน้าท้องแกร่งที่แข็งเกร็งเป็นลูกออก

“ช่างหัวมันน่า”  น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ขับเคลื่อนสะโพกสอบอัดเข้าหาร่างผมจนดังป้าบๆ ผมงี้หลุดครางออกมาเสียงดัง พี่ปูนเร่งอัดเต็มสูบ เข้าสุดออกสุดจนผมไม่อาจต้านทานใดๆ ได้ ทำได้เพียงจับหน้าพี่ปูนมาจูบเพื่อเก็บกลืนเสียงคราง

“เอากุญแจรถให้ผมก็พอ โอเค๊”

ไอ้โป้ยยังตื๊อไม่เลิก ไอ้เพื่อนเฮงซวยทำผัวผมหงุดหงิดอย่างแท้จริง มันอัดตูมเข้ามาทีเดียวจนแตงร้านทั้งลูกจมมิดไม่เหลือช่องว่าง ผมอยากจะตะโกนด่ามันแต่ติดที่กำลังอ้าปากค้างเพราะจุกแน่นท้องอยู่ ...มึงคิดบ้างมั้ยปุริมว่าแตงพี่แม่งใหญ่โตขนาดไหน

“รอพี่แป๊บ”  พูดเสร็จมันก็กระชากตัวเองออกจากร่างผมอย่างเร็ว แล้วตะเกียกตะกายไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาพันรอบเอว ผมนอนมองเพดานแน่นิ่งขณะที่หูก็ฟังเสียงพี่ปูนเดินไปมาเพื่อหยิบกุญแจรถ

สภาพผมเรียกว่าอเนจอนาถ แรงแม้แต่จะหุบขาตัวเองยังไม่มีจนใจต้องนอนแยกขาอล่างฉ่างอยู่ท่าเดิม ช่องทางผมโล่งโปร่งเหมือนกับว่าตอนที่ไอ้ผัวเลวชักออกไปเมื่อกี้นั้น มันลากลำไส้ผมออกไปด้วยทั้งยวง...ผมไม่กล้าลุกขึ้นมาดูว่าเป็นจริงตามที่คิดรึเปล่า? ไม่กล้าคลานไปส่องกระจกว่าสภาพหลุมตอนนี้ยับเยินแค่ไหน

เสียงพูดคุยสองสามคำตามมาหลังจากเสียงประตูถูกเลื่อนเปิดออก ผมกลั้นใจเงยหน้าขึ้นมอง เห็นพี่ปูนมุดผ้าม่านโผล่แค่หัวออกไป ไม่กี่วินาทีต่อมาร่างสูงก็จัดการล็อกประตูอีกครั้ง ผมมองพี่ปูนยกยิ้มมองผมขณะปลดผ้าเช็ดตัวออก แตงร้านดุ้นโตเบ่งบานได้สมเกียรติสายพันธุ์อย่างที่สุด



คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกด้วย...



ผมทิ้งศีรษะลงกับที่นอนอีกครั้ง รับฟังเสียงย่างก้าวของอีกฝ่าย เตียงนอนยวบยาบรับน้ำหนักที่อีกคนกดทับลงมา และแล้วผิวเนื้อผมก็ถูกสัมผัส พี่ปูนดันขาผมขึ้นจนชิดอกยังผลให้บั้นท้ายผมลอยหน้าลอยตายั่วยวนแย้มกลีบบานเป็นโพรงรอรับการทำสวนอีกครั้ง

“ต่อนะที่รัก”  พี่ปูนแจกยิ้มหวาน จดจ่อหัวแตงเกลี่ยปากหลุมไปมาก่อนจะอัดตูมเข้ามาอีกครั้ง


ถังขี้ระเบิด...


ใครเป็นคนคิดคำนี้วะ

“อ๊า! อ๊ะๆ ลึกเกินไปแล้ว!!”

พี่ปูนมีเพียงเสียงครางหนักๆ อย่างพึงพอใจขั้นสุด

“เบาหน่อย...อ๊า~ ระ...แรงอีกนิดก็ได้”

บางทีผมก็สับสนตัวเองเหมือนกัน

“เสียวมั้ย...หืม?”

“โคตรๆ อ่ะ อ๊า~”

ผมหลับหูหลับตาครางอย่างคนหมดหนทาง

เอาเท่าที่อยากเลยครับพี่...เท่าที่รู้สึกอยู่ตอนนี้ก็คงประมาณ...ขี้ไม่ต้องเบ่ง


ใครเป็นคนคิดคำนี้อีกวะ?


ถ้าหากเป็นคนเดียวกัน ผมก็อยากจะเจอสักครั้งจริงๆ อยากจะลากมากอดแล้วแชร์ประสบการณ์ให้ฟังว่ารู้สึกเหมือนกันมั้ย? อยากจะถามว่าต่อไปผมต้องพึงผ้าอ้อมผู้ใหญ่จริงหรือเปล่า?


ฮือ~


ขอด่าผัวดังๆ สักทีจะได้มั้ย? ในฐานะคนที่กำลังจะขาดใจตายก็ได้

“มองหน้าแบบนี้หมายความว่าไง”

พี่ปูนจ้องหน้าผมเขม็งก่อนจะยกยิ้มออกมา

“จะยั่วกันใช่มั้ย? ได้เลย!”  มันยิ้มพราวไปทั้งหน้าพลางอัดสะโพกป้าบๆ ให้ผมหัวสั่นหัวคลอนเป็นเป็นตุ๊กตา


อา...หูรูดจ๋าพี่ลาก่อน...



.

.

.


[ต่อจ้า]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-12-2018 01:38:50 โดย L@DYMELLOW »

ออฟไลน์ L@DYMELLOW

  • กำลังงงๆ เพราะหาทางลงจาก “คาน” ไม่เจอ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 356
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +826/-4
    • facebook

“อย่างอนพี่เลยนะ”

มือใหญ่เอื้อมจะมาจับมือผมที่วางอยู่บนตัก แต่ผมเห็นไง! เลยชักมือหนีด้วยท่าทีสะบัดสะบิ้งเล็กน้อย แต่แทนที่จะสำนึกให้ความโกรธของผม ไอ้พี่ปูนแม่งกลับหัวเราะชอบใจแล้วกลับไปตั้งหน้าตั้งตาขับรถต่อ ผมกอดอกมองสองข้างทางที่จะนำไปสู่บ้านตัวเองด้วยความงอนที่เกือบจะพัฒนาไปเป็นความโกรธ


ยิ่งใกล้ถึงบ้านเท่าไหร่ ยิ่งหงุดหงิด


ผมไม่ได้บอกเล่าเนื้อหาข้าม หรือว่าเวลามันเดินเร็วแต่อย่างใด เพียงแต่มันไม่มีอะไรจะให้เล่าต่างหาก!


เมื่อวานหลังจากการทำสวนปลูกแตงกันดุเดือดผ่านพ้นไป เมล็ดพันธุ์มากมายถูกทิ้งให้เสียเปล่าหมดโอกาสสืบลูกผลิตหลาน แต่นั่นยังไม่เท่าหน้าหลุมที่พังยับเยินไม่มีชิ้นดี ผมนอนเหมือนตายชนิดที่เรียกไม่ลุก ปลุกไม่ตื่น กว่าจะลืมตาอีกครั้งก็เที่ยงคืนเกือบตีหนึ่ง ดีที่ได้อาหารที่พี่กรกับโป้ยซื้อมาฝากจากร้านอาหารที่ตั้งใจจะไปกินกัน ผมกับพี่ปูนกินกันจนอิ่มแล้วก็พากันหลับต่อ



ตื่นมาก็ถามตัวเองว่า...กูมาทำอะไรที่นี่??



พี่ปูนดูอารมณ์ดีมาก มากจนผมไม่พอใจ อีกฝ่ายเบิกบานมาก ใบหน้าอิ่มเอิบสดใสขนาดที่ไอ้โป้ยแซวแค่ไหนก็ไม่สะดุ้งสะเทือน ผิดกับผมที่เดินล่องลอย หน้าตาโทรม รอบตาดำคล้ำ ปวดเนื้อปวดตัวไปหมด เจ็บระบมทั้งภายนอกภายใน ผมเลยตัดสินใจงอนพี่ปูนหนึ่งวัน โดยการไม่พูดไม่จาด้วยและยืนยันที่จะกลับมานอนบ้านตัวเอง

แต่ไอ้ที่ยอมมาส่งแต่โดยดีเนี่ยสิที่ทำผมจะปี๊ด

ผมนั่งอมลมจนกระทั่งพี่ปูนพารถคันใหญ่มาจอดถึงหน้าบ้าน ขณะที่พี่ปูนเองก็นั่งอมยิ้มเงียบๆ ไม่พูดอะไร ผมก็กำลังตัดสินว่าจะเล่นตัวแบบไหนดี จะสะบัดหน้าลงรถไปเลยดีมั้ย? หรือจะปั้นหน้าโมโหใส่อีกสักรอบเพราะดูท่าพี่แกจะไม่เข้าใจถึงความจริงจังของผม

ไหนลองคิดสิพัทลุงว่าแฟนคนก่อนๆ ง๊องแง๊งกันแบบไหนบ้าง

อันดับแรกต้องสะบัดหน้าไปมอง พอได้สบตากันก็ต้องสะบัดหน้าหนี ฮึ!! -- โอ๊ะ! แม่ง คอเคล็ด

ต่อมาก็เข้าสู่ช่วงพร่ำรำพัน  “พี่ไม่เคยเข้าใจผมเลย...”  ประโยคเด็ดที่ได้ยินมาทุกครั้งจากทุกคน บางครั้งผมก็สงสัยนะว่าคบหากันไม่กี่อาทิตย์ต้องเข้าใจลึกขนาดไหนวะ

“แล้ว?”

ทำไมพี่ปูนไม่ตอบเหมือนผมอ่ะ? คนปกติเขาต้องง้อแล้วขอโทษก่อนดิวะ หรือไม่ก็ถามไปสิว่าตัวเองทำอะไรผิด แต่นี่เล่นย้อนด้วยคำสั้นๆ แบบกวนโมโหอีกต่างหาก นี่ถ้าไม่หันไปเห็นว่าอมยิ้มอยู่ ผมต้องคิดว่าพี่ปูนกวนตีนอยู่แน่ๆ

ผมเห็นว่าชักจะไม่เป็นไปตามลำดับขั้นตอนที่เคยเจอ ก็จำต้องควักไม้เด็ดออกมาใช้ทันที ผมสะบัดหน้าเบาๆ หนีพี่ปูนอีกครั้ง แล้วตามด้วยการโผใบหน้าเข้าหาคอนโซลรถ


ปึง!


ทำไมหน้าผากไม่พุ่งไปโดนแขนก็ไม่รู้


“หึหึ”  เสียงพี่ปูนหลุดขำออกมาเบาๆ ผมเองก็เจ็บเหมือนกัน แต่บทมันส่งมาให้ต้องรักษาภาพพจน์ จะมานั่งโอดโอยร้องว่าเจ็บหน้าผากไม่ได้ ผมเลยเลือกที่จะนิ่งอยู่ท่าเดิมเพิ่มเติมคือเอาหัวขึ้นไปบนแขน

“เจ็บมั้ยนั่น”  พี่ปูนถามกลั้วหัวเราะ เสียงขยับตัวเล็กน้อยให้ผมพอเดาได้ว่าพี่แกกำลังหันหน้ามาหาผม

“..........”  ผมใช้ความเงียบเข้าสู้สุดตัว

“หลายชั่วโมงแล้วนะ เลิกงอนพี่เถอะ”

“.........” 

“พี่คิดถึงเสียงลุงจะแย่แล้วนะ”

“..........”

“วันนี้ยังไม่ยิ้มให้พี่เลยด้วย”

“..........”

“อย่าโกรธพี่เลยนะ พี่แค่รักลุงมากเท่านั้นเอง”

“.........”



ผมยอมก็ได้...



 “......ลุงเจ็บอ่ะ”

ผมผินหน้าไปมองเจ้าของเสียงอ้อนหวานหู หนุ่มหน้าหล่อแย้มรอยยิ้มมองผมหวานยิ่งกว่าเสียงเสียอีก อย่าหาว่าผมใจง่ายเลยนะ...อันที่จริงผมใจอ่อนตั้งแต่ ‘พี่คิดถึง’ แล้วล่ะ

พี่ปูนดึงตัวผมขึ้นมากอด แนบริมฝีปากกับแก้มเบาๆ ผมงี้กอดตอบ ไซ้แก้มกับแก้มพี่ปูนแบบอ้อนสุดฤทธิ์

“พี่ขอโทษนะทำลุงอดเที่ยวเลย”

“ผมเจ็บตรงนั้นอ่ะ ยังปวดตัวอยู่เลยด้วย”

“โอ๋ๆ แต่เวลาทำกับลุงพี่ห้ามตัวเองลำบากจริงๆ”  พี่ปูนโยกตัวผมไปมาเหมือนปลอบเด็กตัวเล็กๆ  “เที่ยวคราวหน้า พี่สัญญาจะคุมตัวเองให้มากกว่านี้นะ”

“จริงนะ”

“จริงครับ”   

พี่ปูนหอมแก้มผมอีกครั้งแล้วยอมคลายอ้อมกอด นัยน์ตาดำขลับจับจ้องหน้าผากผมเหมือนจะหาร่องรอยแห่งการบาดเจ็บ มันไม่มีหรอกครับเพราะมันไม่ได้แรงมากมาย แต่กระนั้นพี่ปูนก็ยังใช้นิ้วโป้งลูบเบาๆ อบอุ่นเสียจนผมอ่อนยวบไปทั้งใจ

“ตกลงว่าคืนนี้จะนอนไหน?”

“นอนบ้านลุงสิ”  ผมยังคงดื้อดึง ไม่ไหวหรอกครับ ขืนกลับไปนอนที่ห้องพี่ปูนช่วงนี้ ผมคงทนลูกอ้อนพี่แกไม่ไหว มีหวังได้ช่วยกันทำสวนอีกแน่

“พี่อยากให้ลุงไปค้างด้วย ...แต่พี่อดทนไว้ก่อนก็ได้”  ว่าจบก็ทำหน้าหมาหงอยจนน่าสงสาร แต่วินาทีนี้ผมไม่ยอมหลงกลง่ายๆ หรอกครับ

“งั้นลุงไปแล้วนะ”  ด้วยกลัวว่าตัวเองจะใจอ่อนมากไปกว่านี้ ผมรีบเปิดประตูลงจากรถอย่างไวแล้ววิ่งแจ้นไปเปิดประตูหลังเพื่อหยิบกระเป๋า แต่ในขณะที่รื้อๆ ค้นๆ หยิบของฝากที่ซื้อกลับมา จู่ๆ เครื่องยนต์ก็ดับ รถคันใหญ่ไหวเล็กน้อย จากนั้นก็ปรากฏร่างสูงใหญ่เดินมาสมทบผม มือใหญ่หยิบถุงขนมหลายถุงที่ขนซื้อมาถือไว้แล้วยืนรอให้ผมหยิบสัมภาระเสร็จเรียบร้อยถึงได้ปิดหลังรถตามเดิม

ในตอนแรกผมคิดว่าพี่แกจะเดินมาส่งที่ประตู แต่พอผมไขกุญแจเข้าไปแล้วกะจะหันมาบอกลา แต่กลายเป็นว่าคนตัวสูงกลับเบี่ยงตัวเข้าบ้านไปก่อนผมเสียอีก เดือดร้อนให้ผมต้องรีบล็อกประตูแล้วเดินตามเข้าไปติดๆ

“จะเข้ามาทำไมเนี่ย”

“ก็พาลูกเขาไปเที่ยวแล้ว พากลับมาก็ต้องมาบอกมากล่าวสิ”

พูดซะผมดูเป็นคนไม่ดีขึ้นมาเลยนิ! ใจก็ไม่อยากจะปฏิเสธหรอกนะแต่พอหันไปสำรวจรถที่จอดนิ่งอยู่ก็ต้องข่มใจห้ามออกไป

“ป้าอยู่อ่ะปุริม”

“ก็เรื่องของเขาสิ”

“จะไปเรื่องของเขาได้ไง นั่นพี่สาวลุง”

พี่ปูนหยุดยืนมองผมกะทันหัน สายตาหนักแน่นแบบที่ผมเห็นมาเสมอ  “แล้วเราจะคบกันแบบที่พี่กับพี่สาวลุงไม่ต้องเจอหน้ากันไปตลอดอย่างนั้นเหรอ?”

“ลุง...ลุงไม่ได้ว่าอย่างนั้นซะหน่อย”  ผมตอบเสียงอู้อี้ ไม่กล้ามองสีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์จากคนตรงหน้า

ยืนนิ่งกันสักพัก พี่ปูนก็ตัดสินใจจูงมือผมเดินเข้าไปในบ้านทันที ผมเดินตามไปอย่างคนไม่รู้ชะตากรรม กลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์เหมือนครั้งก่อนอีก ผมเป็นน้องป้ามาตลอดชีวิตย่อมรู้ว่าป้าอารมณ์ร้อนแค่ไหน อีกทางหนึ่งก็พี่ปูนที่เป็นเจ้านายกันมาหลายปีซ้ำยังเป็นแฟนกันอีก พี่แกก็ไม่ใช่คนอารมณ์เย็นอย่างที่แสดงออก ซ้ำทั้งคู่ก็ยังมีปากเป็นเครื่องมือทำลายล้างในระดับเสมอภาคกัน

เอาล่ะสิ ผมจะเป็นคนกลางยังไงไม่ให้กระทบกระเทือนใจทั้งคู่ดี

พี่ปูนเปิดประตูบ้านแล้วหยุดรอให้ผมเดินนำเข้าไปก่อน ภายในมีเสียงคนพูดคุยกันเป็นระยะแบบใส่อารมณ์กันสุดๆ เดาได้เลยว่ากำลังดูละครเรื่องโปรดกันอีกแล้ว ผมก็สงสัยว่ามันสนุกแน่รึเปล่า? ทำไมสาวๆ บ้านผมดูไปด่าไปทุกตอน

“เรื่องมันจะไม่เกิดเลยนะเนี่ยถ้านางเอกมันไม่ทำตัวนางเอ๊กนางเอกแบบนี้อ่ะ”

“แม่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องไปหลอกว่าลูกในท้องเป็นของพระรอง”

“นี่ถ้าเป็นเพื่อนป้านะ จะตบให้สติกลับมาเลย”

“แม่ฝากอีกสักเพี๊ยะแล้วกันนะ คิกๆ”

น่าน~ มีการตบตีกันแล้ว นี่ขนาดกับตัวละครในทีวีนะ แต่ถามว่าชินมั้ย? ก็ตอบว่าผมเจอเป็นปกติแต่พี่ปูนที่อยู่ตัวคนเดียวเนี่ยสิ -- ผมหันไปมองคนที่เดินตามมาด้วยแววตากึ่งเกรงใจกึ่งขออภัยกับการดูละครที่ดุเดือดเลือดพล่านของคนในครอบครัว แต่พี่ปูนทำเพียงแค่ยิ้มขันพลางออกแรงรุนหลังผมให้เดินหน้าต่อ

มันเป็นฉากที่นางร้ายตบนางเอกเสียหน้าหันเมื่อผมจูงมือพี่ปูนเดินตรงเข้าไปหา สองสาวอวยนางร้ายเสียเพลิดเพลินแถมยังสนับสนุนให้ตบซ้ำอีกสักหลายที ช่างเป็นผู้หญิงที่นิยมความรุนแรงผิดกับหน้าตาเหลือเกิน

“เอ่อ...แม่”  ผมเอ่ยเรียกอย่างขลาดเขลา แต่ก็ชัดเจนพอที่จะทำให้สองสาวที่นั่งอยู่บนโซฟาเบื้องหน้าโทรทัศน์หันมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

“สวัสดีครับคุณน้า”  พี่ปูนยกมือไหว้คุณดาหลาทั้งข้าวของพะรุงพะรังเต็มสองมือ ก่อนจะก้มศีรษะทักทายป้าเล็กน้อย  “สวัสดีครับคุณปราจีน”

“กลับกันมาเร็วดีจัง”  แม่ผมยิ้มกริ่ม ลุกขึ้นเดินตรงมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มดุจเจ้าบ้านที่แสนดี ผิดกับอีกคนที่กำลังส่งสายตาฟาดฟันมาทางพวกผมเงียบๆ 

“เที่ยวสนุกมั้ยเรา?”  คุณดาหลารับช่วยรับถุงขนมจากมือผมไปถือ แล้วหันไปส่งยิ้มให้กับพี่ปูน  “ขอบคุณที่ช่วยดูแลคุณลุงนะคะ คงไม่ดื้อเกินไปใช่มั้ย?”

“แม่~ลุงไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ”  ผมเขินเล็กน้อยกับการซักถามที่ทำเหมือนผมเป็นเด็กอนุบาล

“จ้า พ่อคนโตแล้ว” 

“ผมซื้อขนมมาฝากคุณน้ากับคุณปราจีนด้วยครับ”  ว่าแล้วชายหนุ่มเจ้าของรอยยิ้มอบอุ่นก็ยื่นถุงในมือข้างหนึ่งชูขึ้นให้เจ้าของบ้านเห็น ตามด้วยอีกข้างที่เยอะกว่าเกือบเท่าตัว  “ส่วนถุงนี้เป็นของฝากให้เพื่อนร่วมงานของคุณน้านะครับ”

ผมกับแม่อ้าปากค้างมองคนตรงหน้าสลับกับถุงสีขาวที่บรรจุขนมมากมาย ตอนแรกผมก็นึกว่าพี่ปูนจะซื้อกลับมาฝากเพื่อนคนอื่น หรือไม่ก็พี่ๆ ที่ออฟฟิศ แต่ใครจะไปคิดว่าผู้ชายคนนี้ก้าวล้ำไปกว่านั้น

“เอ่อ...น้าว่านี่คงเป็นของที่คุณลุงซื้อมาฝากแล้ว”  คุณดาหลายกถุงในมือขึ้นชูให้เห็นบ้าง แต่ปริมาณมันก็น้อยสมกับกำลังทรัพย์ที่ผมมีอ่ะนะ  “อีกอย่างคุณปูนไม่ต้องซื้อฝากเผื่อเพื่อนที่ทำงานของน้าหรอกค่ะ เกรงใจแย่”

“ผมเห็นลุงชมว่าขนมอร่อยไม่ขาดปาก ก็เลยตั้งใจซื้อมาครับ คุณน้าอย่าปฏิเสธเลย” 

น้ำเสียงพี่ปูนนี่เย็นนุ่มสบายหูมาก พูดชัดถ้อยชัดคำ เหมือนจะเนิบนาบแต่ก็เปล่งออกมาด้วยความเร็วปกติ แถมยังรอยยิ้มมัดใจสาวแก่แม่หม้ายที่ติดริมฝีปากนั่นอีก ถึงผมจะรู้ว่าคุณดาหลาแกมีภูมิต้านทานคนหล่อ แต่หัวใจมันก็ต้องตุ้มๆ ต่อมๆ มั่งล่ะวะ ไม่งั้นจะทำสีหน้าเอื้อเอ็นดูปานนั้นได้ไง...

“งั้นน้าขอรับไว้แล้วกัน ขอบใจมากนะคะ” 

“ผมยินดีมากเลยครับ”

ตกสาวเก่งเหลือเกินแฟนผม นี่ถ้าไม่ติดว่าผู้หญิงคนนี้เป็นแม่ตัวเองนะ ผมจะถองศอกเข้าพุงให้จุกเลย

“แล้วส่วนที่ลุงซื้อมาล่ะ มันเยอะไปแล้วอ่ะพี่ปูน”

“งั้นถุงนี้เอาไปฝากพี่ที่ทำงานสิจ๊ะ”  คุณดาหลาเสนอแนะ

“ผมซื้อในส่วนนั้นเอาไว้แล้วครับ”  พี่ปูนตอบรับเสียงเรียบเล่นเอาผมทดท้อใจ ...ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ผมคุยกับพี่แกเรื่องการห้ามใช้เงินสิ้นเปลืองไปรึ

“เอาอย่างนี้มั้ยครับ ถุงนี้ก็ให้คุณปราจีนเอาไปฝากเพื่อนๆ แทน”  พูดจบก็หันหน้าไปทางโซฟาที่ยังคงมีสายตาคมกริบจับจ้องอยู่ ป้ากับพี่ปูนจ้องกันเงียบๆ หลายวินาที  “คุณจีนเห็นว่ายังไงครับ?”

ผมกับคุณดาหลามองกันเลิ่กลั่กเมื่อยังไม่มีคำตอบจากฝ่ายตัวเอง ผมกลัวว่าป้าจะปรี๊ดแตกขึ้นมาอีก เพราะบอกเลยว่าตอนนี้ผมไม่พร้อมใช้วิธีการปลอบใจขั้นสุดกับพี่ปูน

ผมพยายามส่งสายตาอ้อนวอนให้พี่สาว ยังโชคดีที่คำขอผ่านแววตาของผมถูกมองเห็น แต่ป้าก็เลือกที่จะมองพี่ปูนสลับกับผมเงียบๆ ชั่วอึดใจต่อมา เสียงถอนหายใจหนักหน่วงจึงเกิดขึ้น แววตาและสีหน้าของป้าอ่อนลงครึ่งหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด

“...ได้สิ”  คำตอบรับสั้นๆ ที่ทำเอาผมยิ้มแก้มแทบปริ และมันแทบจะฉีกถึงใบหูเมื่อได้ยินคำต่อมา  “ขอบใจ”



รอดแล้วโว้ย!!

หูรูดจ๋าหนูปลอดภัยแล้วลูก



ไม่มีอะไรจะน่ายินดีไปมากกว่านี้แล้ว ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่การที่ป้ายอมลงให้พี่ปูนแบบนี้ก็นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีในการใช้ชีวิตร่วมกัน

“เฮ้อ~ แม่นึกว่าจะวางมวยกันซะแล้ว”  คุณดาหลาบ่นเบาๆ ก่อนพรูลมหายใจออกมา  “นั่งดื่มน้ำดื่มท่าก่อนนะคุณปูน แล้วนี่ทานอะไรกันมารึยัง”

“ยังอ่ะแม่ ลุงหิวจะแย่แล้ว”  ผมนวดท้องตัวเองไปมาพลางเหลือบมองคนข้างๆ ที่ยังมีรอยยิ้มติดในสีหน้า  “พี่ปูนอยู่กินข้าวกันก่อนนะแล้วค่อยกลับ”

“ได้สิ”

“งั้นโทรสั่งเข้ามาเถอะ เดี๋ยวนี้ลุงไม่ค่อยนอนบ้าน ตู้เย็นเลยไม่เหลือของสดให้ทำเลย”

“แม่ก็! -- พี่ปูนอยากกินอะไร?”

“พี่กินได้ทุกอย่าง ตามใจลุงเลย”

“โอเค”  ผมรับถุงในมือพี่ปูนมาถือไว้ แล้วควงแขนคุณดาหลาเข้าไปหาน้ำหาขนมมารองท้องให้พี่ปูนก่อน ตอนแรกผมกะจะหนีบพี่ปูนติดไปด้วย แต่คุณดาหลาแกส่งสัญญาณว่าไม่ต้อง ผมเลยทิ้งพี่ปูนให้ยืนแคว้งคว้างอยู่ที่เดิมด้วยใจกังวล

“ป้าจะว่าอะไรพี่ปูนอีกรึเปล่า? แม่ได้คุยกันบ้างมั้ย?”  ผมกระซิบถาม

“ถ้าจะว่าล่ะก็คงเปิดฉากกันไปแล้วล่ะ ดูไม่ออกรึไงว่าพี่เขาอารมณ์เย็นมากแล้ว”

“มันก็ใช่”

“เข้าใจพี่เขาหน่อยนะ คุณลุงก็รู้ว่าคุณป้าเป็นคนรักพวกพ้อง แต่ไม่มีทางรักไปมากกว่าคุณลุงแน่” 

ผมมองหน้าแม่ที่ลูบหัวเบาๆ ให้ผมคลายกังวล แต่ผมก็ยังอดเป็นห่วงพี่ปูนไม่ได้อยู่ดีจึงตัดสินใจแอบมองเป็นระยะ ผมมองร่างสูงยืนจ้องตากับป้าเงียบๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะลุงขึ้นเดินขึ้น ผมใจเต้นตึกตักด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นป้าเดินเข้ามาประชิดคนตัวสูง เหมือนป้าจะพูดอะไรสองสามคำแล้วคนทั้งคู่ก็พากันเดินออกไปจากสายตา

“แม่! ผมว่าป้าต้องเรียกพี่ปูนไปเคลียร์ตัวต่อตัวแน่เลย”

“คงไม่หรอกน่า คุณป้าเลิกตบตีมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้วนะ”

“..........”  ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมก็ยังกังวลอยู่ดี  “ผมจะตามไปดู!”

“งั้นแม่ไปด้วย!”

ว่าแล้วสองแม่ลูกก็พากันย่องตามสองคนที่ล่วงหน้าไปก่อนติดๆ ผมกับแม่สวมบทเป็นนักสืบจำเป็น ยอบตัวต่ำคอยติดตามไปด้วยฝีเท้าที่เบาที่สุด ผมเห็นพี่ปูนเดินตามป้าออกไปนอกบ้าน พอมองซ้ายมองขวาผ่านหน้าต่างแล้วเห็นทั้งคู่มุ่งหน้าไปทางสวนข้างบ้าน ก็พากันแง้มประตูแทรกตัวออกกันไปบ้าง สุดท้ายก็มายืนแอบตรงมุมอับของกำแพงบ้านที่ใกล้ที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ที่เรียกผมออกมาคงมีเรื่องคุยกับผมสินะ ถ้างั้นก็เชิญพูดออกมาเลยเถอะ” 

ผมกลืนน้ำลายก้อนโตลงคอกับน้ำเสียงเย็นเยียบของพี่ปูน ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ป้าทำหน้าแบบไหนอยู่ แต่ถ้าให้เดาล่ะก็ คงไม่ใช่ใบหน้าเปื้อนยิ้มแน่

“ก็ดี -- คราวก่อนฉันขอโทษที่วู่วามใส่อารมณ์เกินไป แต่ฉันไม่ขอโทษในส่วนที่กล่าวหาคุณหรอกนะ เพราะจากครั้งแรกที่เจอกันคุณดูจะเป็นผู้ชายเฮงซวยจริงๆ”

ผมอยากจะชะโงกหน้าไปดูใจแทบขาด แต่ก็กลัวว่าทั้งคู่จะเห็นซะก่อน

“ผมขอรับคำขอโทษแล้วกัน” น้ำเสียงพี่ปูนไม่บ่งบอกอารมณ์แต่อย่างใด  “และในส่วนที่คุณหาว่าผมเฮงซวย ผมคิดว่าคุณไม่ได้เข้าใจผิดอะไร”

“งั้นแปลว่าเราเข้าใจตรงกันแล้วสินะ”

“ผมคิดว่าเป็นอย่างนั้น”

“ก่อนหน้านี้มีคนแนะนำให้ฉันพาเพื่อนมาเจอคุณพร้อมกับลุง น้องฉันจะได้รู้ว่าคุณเป็นคนไม่ดีแค่ไหน คุณคิดว่าตัวเองกล้าพอรึเปล่า?”
  ป้าพูดต่อ น้ำเสียงท้าทายอย่างเห็นได้ชัด

“หึ คุณคงคิดว่าผมเป็นพวกสองหน้าล่ะสิ -- ต่อให้คุณพาผู้หญิงคนนั้นมาวันนี้ตอนนี้ ผมก็ยังจะปฏิบัติกับหล่อนเหมือนในวันนั้นอยู่ดี ผมก็ไม่อยากทำให้คุณเกลียดผมไปมากกว่านี้หรอกนะ แต่กับคนที่ผมใช้เงินเพื่อซื้อความสุขชั่วครู่ชั่วยามน่ะ ผมไม่มีเกียรติจะให้หรอก”

คุณดาหลาถึงกับร้องอุทานเบาๆ ให้กับตรงไปตรงมาของแฟนผม  “นี่แฟนลูกเป็นคนเจ้าชู้เหรอ?”

ผมยังไม่ตอบคำถามของแม่ เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอธิบายอย่างไรดี ไอ้คำว่าเจ้าชู้ที่แม่เรียกนั้นมันสามารถเรียกแทนตัวตนของพี่ปูนเมื่อก่อนได้หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ โดยส่วนตัวผมนิยามคำว่าเจ้าชู้เอาไว้ว่าเป็นคนที่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว แต่ยังไปสร้างสัมพันธ์กับคนอื่นอีก ซึ่งพี่ปูนนั้นไม่เข้าข่ายแน่นอนเพราะว่าตอนนั้นพี่แกยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน ขณะที่ผมกำลังจะอ้าปากแก้ต่างให้แฟนตัวเองสักเล็กน้อย พี่ปูนก็พูดขึ้นต่อ

“ลุงเห็นนิสัยแย่ๆ ของผมมาเยอะ และเราก็คุยกันรู้เรื่องแล้วว่าจะไม่เอาเรื่องก่อนคบกันมาวุ่นวายใจ ผมเองก็จนปัญญาจะทำให้คุณเชื่อว่าผมเลิกพฤติกรรมแบบนั้นไปแล้ว ยิ่งไม่รู้จะหาข้อพิสูจน์ไหนมาทำให้คุณพอใจด้วย”

จากนั้นคนทั้งคู่ก็เงียบไป ผมร้อนใจจนต้องแอบยื่นหัวออกไปให้พอมองเห็น ไม่ไกลจากที่เราอยู่ พี่ปูนยืนหลังตรงมองหน้าป้าแบบไม่หลบสายตา ไม่ต่างจากหญิงสาวที่ตัวเล็กกว่า ป้ากำลังจับจ้องพี่ปูนไม่ให้คลาดสายตาเช่นเดียวกัน

“ฉันขอถามคุณประโยคเดียว”

แม่สะกิดให้ผมรีบหลบอีกครั้ง จังหวะเดียวกับที่ป้าเอ่ยเสียงเฉียบคม

“คุณรักน้องฉันจริงหรือเปล่า?”

ผมเริ่มอึดอัดทำตัวไม่ถูก ผมไม่รู้ว่าป้าจะถามให้มันได้อะไรขึ้นมา ต่อให้พี่ปูนบอกว่ารักผมแล้วยังกับป้าจะสามารถพิสูจน์ได้ว่ามันจริงอย่างนั้นแหละ


“ผมรักน้องชายคุณ”



เสียงของพี่ปูนดังชัดเจน แต่ละคำที่เปล่งออกมานั้นกระแทกใจผมจนพาให้ใจเต้นแรงขึ้นมา



“พัทลุงคือโลกทั้งใบของผม”



เสียงเดิมย้ำชัดอีกครั้ง



“ผมไม่มีลุงไม่ได้จริงๆ”



..........




บัดซบ~ ผมเขินจนแก้มตึงไปหมดแล้ว



“แก้มแดงเป็นมะเขือเทศแล้วลูกฉัน”  คุณดาหลากระเซ้าแหย่ คีบแก้มผมบิดไปมาด้วยนิ้วเรียวสวย ผมได้แต่ตีมือแม่เบาๆ ด้วยความขัดเขิน แต่สองหูก็รอฟังคำตอบจากป้าที่เงียบไปหลายอึดใจ


“ฉันไม่ได้อคติกับเรื่องที่น้องชายฉันคบผู้ชายหรอกนะ”

ป้าพูดขึ้นในที่สุด

“เพราะฉันก็ไม่คิดว่าคนแบบคุณจะรักใครได้จริง”

ผมเริ่มใจแกว่งเล็กน้อย หากป้าปฏิเสธผมจะอยู่ในฐานนะคนกลางที่น่าลำบากใจทันที เพราะผมไม่เลิกกับพี่ปูนแน่ แต่ก็คงไม่สามารถพาพี่ปูนเข้าบ้านได้อีก

“แต่ฉันจะยอมเชื่อสักครั้ง”



หืม?



เมื่อกี้ผมฟังไม่ผิดใช่มั้ย? พี่สาวผมบอกว่าจะยอมเชื่อพี่ปูน หมายความว่าเส้นทางรักของผมก็จะโรยด้วยกลีบกุหลาบแล้วงั้นสิ ผมรีบหันหน้าไปมองคุณดาหลาเพื่อขอคำยืนยัน

“ดีใจด้วยนะ”  แม่กระซิบบอกผมด้วยรอยยิ้ม

“แต่ฉันจะจับตาดู ถ้าวันไหนที่น้องฉันเริ่มไม่มีความสุข ฉันจะทำให้โลกของคุณถล่มทลายลงมาแน่!”

ผมยิ้มจนแก้มปริ อยากจะโผเข้ากอดพี่และผัวให้สมรัก แต่แม่กลับไม่อินไปกับผม เอาแต่สะกิดยิกๆ อยู่นั่น ผมรำคาญเล็กน้อยๆ เลยหันไปหาเพื่อหาคำตอบ แต่สิ่งที่ได้คือใบหน้าสวยของมารดายิ้มค้าง มองเลยใบหน้าผมไปทางด้านหลัง แล้วพยักพเยิดให้ผมหันกลับไปมอง

“มาทำอะไรกันตรงนี้ไม่ทราบ”  เสียงเข้มๆ ของพี่สาวดังขึ้นใกล้ตัวซะเหลือเกิน ผมค่อยๆ หมุนตัวหันไปเผชิญหน้า แล้วแจกยิ้มแห้งๆ ให้

“เอ่อ...ลุงกับแม่ออกมาสูดอากาศน่ะ...เนอะคุณดา--”



แม่หายไปแล้ว...



เดี๋ยวก๊อนนน!! คุณพยาบาลจะวิ่งหนีไวไปแล้วนะ แล้วทิ้งลูกชายไว้แบบนี้คือใช่แล้วเรอะ! 


“หึ! เหรอยะ!”  ป้าพ่นลมให้ผมหนึ่งที ยักไหล่ให้อีกหนึ่งหน แล้วเดินหน้าเชิดไปเปิดประตูบ้านเข้าไป

เหลือเพียงผมกับพี่ปูนที่เดินออกมาจากมุมกำแพง ตัวตัวสูงดูจะไม่ตกใจที่เห็นผม คงเพราะได้ยินเสียงคุยกันเมื่อกี้ไปแล้ว แต่แววตาล้ำลึกที่มองมานั้นกลับทำให้ผมไม่กล้าสู้หน้า คำบอกรักของพี่ปูนยังดังก้องอยู่ในหู แม้จะเคยได้ยินบ่อยแล้วก็เถอะ แต่ไม่รู้ทำไมครั้งนี้ถึงทำให้ผมทำตัวไม่ถูกได้ขนาดนี้

“ได้ยินตั้งแต่ตอนไหน”  เสียงทุ้มนุ่มหูดังขึ้นพร้อมกับฝ่ามือถูกคนตรงหน้ากอบกุมเอาไว้

“คือ...คือลุงไม่ได้ตั้งใจแอบฟังนะ”

“พี่ไม่ได้ว่า”  พี่ปูนก้าวเข้ามาใกล้ชิดมากขึ้น  “พี่ถามเผื่อตรงไหนที่ลุงมาได้ยินไม่ทัน พี่จะได้บอกให้ลุงฟังอีกครั้ง”

ใบหน้าผมร้อนวูบขึ้นมาอีกครั้ง พี่ปูนขบขันเล็กน้อยขณะใช้มืออีกข้างรั้งแผ่นหลังผมเข้าไปแนบชิด สายตาคมจับจ้องผมได้แบบหวานซึ้งขั้นสุด



“อย่าทิ้งพี่นะ”



คำขอแผ่วเบาแต่หนักแน่นเหลือเกินเมื่อมันสื่อผ่านแววตาออกมาด้วย



“อย่าทิ้งพี่...พี่ไม่มีลุงไม่ได้จริงๆ”



ผมไม่ตอบ แต่เลือกที่จะกอดร่างหนาเอาไว้ ออกแรงรัดแน่นแล้วฝังหน้าลงกับอก ผมไม่รู้ว่าอนาคตของเราจะเป็นแบบไหน คำขอของพี่ปูนมันคล้ายจะเป็นสิ่งที่พันธนาการเราสองคน ในขณะที่ยังรักกันอยู่แบบนี้มันจะหอมหวานมากอย่างที่ผมกำลังรู้สึก แต่ถ้าหาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหมดรักไปแล้ว มันคงจะกลายเป็นถ้อยคำที่บาดลึกจนอาจจะทำให้มองหน้ากันไม่ติดอีกเลยก็ได้



“ผมรักพี่ปูนนะ”



ผมเลือกที่จะบอกรักแทนการให้สัญญา เพราะตราบใดที่เรายังรักกันอยู่ ยังโอบกอดกันเอาไว้แบบนี้ ผมรู้ใจตัวเองดีว่าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปรักใคร

พี่ปูนมีครบทุกอย่าง ทั้งหน้าตา ฐานะ และการงานที่ดี อันที่จริงผมควรจะต้องเป็นฝ่ายถามคำถามนั้นด้วยซ้ำ ‘อย่าทิ้งผมนะ’




เพราะผมดูจะรักพี่มากขึ้นทุกที...ทุกที




รักมากจนตัวเองยังตกใจเลย





_____________________________________________TBC.


หลังจากหายไปชาติเศษก็กลับมาอีกครั้ง
เลยมาทีเดียว 2 ตอนเลย
ค่อยๆ อ่านกันนะ
ขอบคุณที่ยังติดตามกันอยู่นะคะ จุ๊บๆๆ

 :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด