◦●สมภารกับไก่วัด●◦|| *แจ้งข่าวหนังสือ* || 5-3-63 หน้า 54 ||
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ◦●สมภารกับไก่วัด●◦|| *แจ้งข่าวหนังสือ* || 5-3-63 หน้า 54 ||  (อ่าน 302413 ครั้ง)

ออฟไลน์ mkianit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
มาแล้ววววววว ดีใจจัง แต่ปุริมนี่อดอยากมาจสกไหนกันคะ

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
คิดว่าจะไม่มาต่อซะแล้ว นี้ขนาดติดเคอร์ฟิลยังหนักขนาดนี้

ออฟไลน์ somberness

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-0
ลุงก็ยังคือลุง
ดูสิหายไปนานพี่ปูนกระหายหนักเชียว  :-[ :-[
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-07-2018 19:22:07 โดย somberness »

ออฟไลน์ A_Narciso

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 879
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
แง๊งง ปุริมไม่อ่อนโยนเลยยย  :m25:

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ดีใจในที่สุดก็มาต่อแล้ว

แต่ไม่รุ้จะสงสารลุงมีสามีหื่นรึจะฟินไปกับลุงดี พี่ปูนร้อนแรงเว่อร์ :jul1:

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
น้องลุงผู้ปรับตัวได้เร็ว 5555

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
อิพี่ปูนหื่นจนน้องลุงต้องหาวิธีเลย ทำใจนะลุงนะตราบใดที่ยังมีพี่ปูนเป็นแฟนคงโดนฟัดจนจมเตียงบ่อยๆแน่

ออฟไลน์ bpyt

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1319
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
5555 ถึงไม่ฟิตพี่ปูนก็ไม่ทิ้งหรอกลุงงง 555

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ L@DYMELLOW

  • กำลังงงๆ เพราะหาทางลงจาก “คาน” ไม่เจอ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 356
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +826/-4
    • facebook
ตอนที่ 19 _เหรียญย่อมมีสองด้าน_ [ปูน]





ผมชอบเวลาที่หัวใจตัวเองเต้นอย่างกับบ้าคลั่งเวลาที่อยู่ใกล้ใครสักคน และคนนั้นก็ควรค่าที่จะปลดปล่อยความอ่อนแอให้เห็น และสำหรับผมคนๆ นั้นคือพัทลุง...


ไม่มีใครในโลกนิยามลักษณะของความรักได้ถูกต้องหรอก แต่จากที่ผมเป็นอยู่ทุกวันนี้คงบอกได้เพียงว่าตัวเองกำลังมีความรักชนิดหัวปักหัวปำเลยทีเดียว ผมใกล้เคียงกับหนุ่มน้อยช่างฝันเข้าไปทุกขณะ อยากอยู่ใกล้ อยากได้ยินเสียง อยากนอนด้วยกันและทำรักกันทั้งวี่วัน แล้วตื่นขึ้นมาเพื่อมองหน้าอีกฝ่ายเป็นคนแรก


ผมอนุมานว่ามันคือการพร่ำเพ้อในช่วงข้าวใหม่ปลามัน


และถ้าเป็นไปตามที่คนอื่นเขาพูดกัน อาการแบบที่ผมเป็นคงจะค่อยๆ บรรเทาลงเมื่อคบกันไปได้สักระยะ แม้ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันจะไม่ได้แย่เลยก็ตามแต่ผมก็หวังว่าตัวเองจะ ‘ติด’ ลุงน้อยกว่านี้ลงอีกสักหน่อย


ลุงคือ ‘ราคะ’ ที่มีชีวิตสำหรับผม ไม่มีสักครั้งยามเราเปลือยกายแล้วผมจะรู้สึกพอเพียง ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ผมเฝ้าตักตวงความปรารถนา ต่อให้หัวใจผมถูกเติมเต็มจนล้นปรี่แต่ความกระหายอยากมันไม่เคยเพียงพอ และลุงก็มักจะทำให้ผมได้ใจเสมอ ทุกครั้งก็มักจะใช้วงแขนนิ่มนวลโอบรอบคอผมเอาไว้ ร้องบอกว่ามันดีแค่ไหนที่ผมมอบความสุขให้ ริมฝีปากอิ่มอ่อนนุ่มก็เอาแต่พร่ำเรียกชื่อผม แบบที่ผมรู้สึกรักชื่อของตัวเองอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต และเมื่อเสร็จสมก็จะโอบกอดผมไว้แล้วปล่อยให้ผมคลอเคลียจนกว่าจะพอใจ


มันเป็นเซ็กส์ทั่วๆ ไป แต่เซ็กส์ที่ทำให้หัวใจผมอิ่มเอมขนาดนี้ไม่เคยมีมาก่อน



“นายทำฉันขนลุกไปหมด!” 



เสียงเหยียดที่เจือสำเนียงต่างประเทศดังขึ้น ผมละสายตาจากแก้วเหล้าในมือที่พาผมจมจ่อมอยู่กับความสุขในหัว ขึ้นมามองจ้าของเสียงที่นั่งเยื้องกันของอีกฝั่งโต๊ะ สาวสวยร่างสูงโปร่งในเดรสสั้นสีแดงสดนั่งไขว่ห้างอวดเรียวขาขาวเนียนพลางลูบท่อนแขนเปลือยเปล่าของตัวเองไปมาเพื่อประกอบคำกล่าวหา


ผมเบือนสายตาหนีแบบไม่ใส่ใจกับอาการเกินจริงของอีกฝ่าย หลังจากทิ้งแผ่นหลังลงกับพนักนุ่ม แก้วเหล้าในมือจึงถูกจรดกับริมฝีปากเพื่อลิ้มรสวิสกี้ชั้นดี ความขมแผ่ซ่านในช่องปากก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นความหวานนุ่มหอมฟุ้งขึ้นจมูก แต่กระนั้นท่าทางเฉยชาของผมก็ไม่อาจพาตัวเองหลุดจากหัวข้อสนทนาได้ รู้อย่างนี้ผมคงเลือกที่จะนอนอยู่บ้าน มากกว่าออกมาตามคำชวนของสองคนนี้


“ดูจากสีหน้าของนาย ฉันเดาได้เลยว่าชีวิตรักคงเป็นไปด้วยดีล่ะสิท่า”  เจ้าของเสียงเดิมเอ่ยต่อ หากคราวนี้ปะปนน้ำเสียงขบขันเพิ่มเข้ามา


“มากกว่าที่เธอคิดไว้ซะอีกเจน่า”  อีกเสียงกลั้วหัวเราะตอบคำถามแทน ผมหันไปมองเพื่อนสนิทที่นั่งข้างกันด้วยสายตาขุ่นเขียว ซึ่งพันกรมันก็หาใส่ใจไม่ซ้ำยังโต้กลับด้วยรอยยิ้ม  “ไม่เอาน่า ก็มึงดูมีความสุขมากจริงๆ นี่หว่า”


“มึงก็ไม่จำเป็นต้องพูดให้คนอื่นฟังรึเปล่า?”  ผมแค่นเสียงถามเพื่อน และคนที่โต้ตอบแทนก็เป็นแม่นางแบบสาวสวยฝั่งตรงข้าม


“คิดว่าหน้าแบบนั้นมันจะปกปิดใครได้รึไง” 


“หน้าฉันมันเป็นยังไง”


“ก็เหมือนคนโง่ที่มองทุกอย่างเป็นสีชมพูน่ะสิ”  เจน่าหัวเราะเยาะ หยิบแก้เครื่องดื่มขึ้นแตะริมฝีปากสีแดงฉ่ำด้วยท่วงท่าน่ามอง ผมสาบานได้เลยว่าไม่มีผู้ชายคนไหนในร้านนี้หรอกที่จะไม่มองเจ้าหล่อน  “ฉันล่ะสงสัยจริงๆ ว่าความรักมันดีตรงไหน ความใคร่สิตรงไปตรงมาไม่ต้องคิดให้มากความ”


ผมคิดว่าเจน่าคงเป็นผู้หญิงเพียงไม่กี่คนในโลกหรอกที่ไม่ไขว่คว้าหาสิ่งที่จับต้องไม่ได้อย่างความรัก เท่าที่ผมรู้จักมาเจน่าคือผู้หญิงรักสนุกแต่ไม่ผูกพันตัวจริงเสียงจริง แค่ทำให้คุณเธอพึงพอใจได้ เธอก็พร้อมจะมีสัมพันธ์กับคนนั้นอย่างไม่รู้เบื่อ เหมือนอย่างที่ครั้งหนึ่งผู้ชายคนนั้นเคยเป็นผม


“เธอก็แค่ยังไม่เจอคนที่ชอบน่ะ”  กรพูดคล้ายปลอบใจ แต่เจน่าไม่ใช่คนทั่วไปที่จะทำหน้าละห้องกับคำปลอบโยนแล้วบอกว่า ‘ฉันก็หวังว่าจะมีสักวัน’ พันกรน่ะรู้จักเจน่าน้อยเกินไป


“โอ้~ ฉันภาวนาว่าอย่ามีวันนั้นเลย”  ว่าแล้วก็ทำมือเป็นลักษณะกางเขนคล้ายจะสวดอ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้า ผมได้แต่ยิ้มขำกับความตรงไปตรงมาของเธอ  “ตอนนี้ฉันมีความสุขในสิ่งที่ฉันเป็นนะกร นอกเสียจากว่ายังหาหนุ่มดีๆ มาสนุกกันบนเตียงไม่ได้สักที ที่จริงแล้ว...เมื่อไหร่นายจะลองนอนกับฉันสักคืนล่ะ ให้ตายสิ! ฉันชวนนายหลายครั้งแล้วนะเนี่ย”


พันกรได้แต่หัวเราะแห้งๆ ใช้ปลายเท้าเตะขาผมใต้โต๊ะเพื่อขอความช่วยเหลือ ใจหนึ่งก็อยากจะแกล้งซ้ำอยู่หรอก แต่ก็กลัวเจน่าจะคิดเป็นจริงเป็นจังจนก่อกวนพันกรเข้าให้ ผมเลยจำต้องทำหน้าที่เพื่อนที่ดีช่วยเบี่ยงประเด็นไปทางอื่นแทนอย่างน่าเสียดาย


“ได้ข่าวว่ายอมตกลงเซ็นสัญญาเป็นพรีเซนเตอร์แล้วเหรอ? ไหนว่าจะรันแค่แคทวอล์คไง”


“ถูกผู้ใหญ่กดดันมานิดหน่อยนะสิ เห็นว่ามีบุญคุณกันมา เฮ้อ~ นิสัยคนไทยนี่มันน่าเบื่อจริงๆ”  นางแบบสาวยักไหล่ แม้สีหน้าจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่แต่ผมรู้ดีว่าเจ้าหล่อนพยศแค่ไหน ถ้าไม่พอใจเสียอย่างก็จะปฏิเสธจนได้นั่นแหละ แต่นี่แสดงว่าต้องมีการตกลงสักข้อที่น่าดึงดูด


ในฐานะคนพวกเดียวกัน ผมเดาว่าคงไม่พ้นเรื่องเงิน และคงหลายหลักเสียด้วย


“เป็นของแบรนด์อะไรน่ะ ฉันได้ข่าวแค่ว่าเธอกลายเป็นพรีเซนเตอร์ที่ค่าตัวสูงที่สุดตอนนี้”  พันกรคงรีบถามด้วยความสนใจ


“เห็นจะจริงล่ะกร ค่าตัวทำฉันตาวาวเลยล่ะ”  เจน่าทำตาโตประกอบ ดูจากนัยน์ตาระยิบระยับพวกผมก็พอเดาได้เลยว่าตอนที่เห็นสัญญาเจน่าจะตื่นตาตื่นใจขนาดไหน  “ฉันไม่คิดว่า Flora จะทุ่มกับฉันขนาดนี้เหมือนกัน”


ผมชะงักไปเล็กน้อยกับชื่อแบรนด์ที่คุ้นหูเป็นอย่างดี แต่ไม่มีใครสนใจ ผมจึงยกแก้วขึ้นดื่มเพื่อรับฟังข้อมูลต่ออย่างเงียบๆ


“ฟลอร่านี่เป็นแบรนด์เครื่องสำอางในเครือพิบูลย์พัฒน์ใช่มั้ย?”  พันกรถามพลางดื่มเหล้าไปด้วย


“น่าใช่นะ บริษัทนี้จับสินค้าหลายประเภทน่าดูฉันจำไม่ค่อยได้หรอก”  พรีเซนเตอร์คนใหม่ดูจะไม่ได้แยแสที่มาที่ไปของสินค้าสักเท่าไหร่  “แต่ได้ยินพวกผู้ใหญ่คุยกันว่าเครือนี้กำลังลูกผีลูกคนอยู่ เห็นว่าอยู่ในช่วงเปลี่ยนมือผู้ถือหุ้นหลัก คนที่มาเซ็นสัญญากับฉันเห็นว่าเป็นว่าที่ CEO คนต่อไปนี่แหละ”


“เพราะงั้นถึงได้ทุ่มกับเธอล่ะมั้ง คงอยากจะเริ่มสร้างผลงานก่อนได้รับตำแหน่งไม่อย่างนั้นคงโดนเลื่อยขาเก้าอี้เอาได้” 


“จะยังไงก็ช่างเถอะ มันไม่ใช่เรื่องของฉันอยู่แล้ว”  เจน่ายักไหล่แล้วกลับไปสนใจกับเครื่องดื่มสีสวยของตัวเองต่อ แต่คนที่ยังไม่ยอมจบกลับเป็นคนที่นั่งข้างๆ ผมเนี่ยแหละ


พันกรมองมาทางผมเหมือนนึกบางเรื่องได้  “ก่อนหน้านี้มีบริษัทไบโอพลาสมาติดต่องานเราไม่ใช่เหรอ?”


“จำไม่ได้”  ผมตอบเลี่ยง แม้คำจะห้วนสั้นไปสักนิดแต่ดูว่ากรมันจะไม่ได้สังเกต เพราะพ่อนักแสดงหนุ่มยังคงตีหน้าซื่อถามผมต่อไป


“เฮ้ย? ปกติมึงไม่มีพลาดเรื่องลูกค้ารายใหญ่แบบนี้นะ แบรนด์นี้อยู่ในเครือพิบูลย์พัฒน์เชียวนะเว่ย”


“เหรอ”


“เหรอเชี่ยไรปูน เขาติดต่อกับมึงเองเลยนะ”


“กูปฏิเสธเขาไปแล้ว จบ! เลิกถามนะมึง”  ผมคร้านจะเฉไฉเลยตอบออกไปตามตรง แต่กลายเป็นว่ามันกลับสร้างบรรยากาศแปลกๆ ขึ้นมา กรมองผมด้วยหัวคิ้วขมวดมุ่น สีหน้าครุ่นคิดกับคำพูดผมไม่น้อย แม้แต่เจน่ายังอุตส่าห์มองมาที่ผมด้วยความฉงน


“นายปฏิเสธงานเหรอ? ไม่สบายรึเปล่าปูน?”


“ฉันสบายดีเจน่า ขอบใจที่เป็นห่วง”  ผมกระแทกเสียงใส่ อารมณ์เริ่มจะกรุ่นขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว ผมหันไปทางพันกรและพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่แตกต่างกัน  “ฉันไม่ชอบใจวิธีการติดต่องานก็เลยปฏิเสธไป โอเคมั้ย?”


“...มันเป็นสิทธิ์ของนาย ฉันไม่โต้แย้งหรอก”


ผมมองหน้าเพื่อนสนิท พยายามหาความหมายแฝงในคำพูด แต่เมื่อสีหน้าของพระรองหนุ่มไม่ได้มีนัยยะของการกระทบกระเทียบแต่อย่างใดจึงควรเป็นผมที่ต้องสงบสติตัวเอง ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ทั้งสองคนมองตามขณะผมก้าวออกมาด้านนอกเพื่อเตรียมตัวกลับ


“ฉันเลี้ยงเอง ดื่มกันต่อเถอะ”


“อืม...ขับรถดีๆ ล่ะมึง”  พันกรไม่ห้ามหรือทักท้วงใด ด้วยความที่เป็นเพื่อนกันมาหลายปี มันคงจะพอรับมือกับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของผมได้บ้างไม่มากก็น้อย แต่ผมรู้ดีว่าที่ตัวเองกำลังหงุดหงิดอยู่ตอนนี้ไม่ได้เกิดจากเพื่อนเลยสักนิด


“ขอโทษนะมึง”  ผมขมุบขมิบปากบอก กรยิ้มน้อยๆ พลางตบหลังผมเบาๆ แบบไม่ถือสาหาความ นั่นทำให้ผมลดความตึงเครียดไปได้บ้าง  “ไปนะเจน่า วันหลังค่อยดื่มกันใหม่”


“See you! ไว้แฟนเผลอแล้วเจอกันนะ”  ว่าแล้วแม่นางแบบพราวเสน่ห์ก็กระพริบตาหยอกเย้ามาให้ ผมส่ายหัวไปมาแล้วเดินตรงไปจ่ายเงินทั้งหมด


ผมคิดถึงลุงขึ้นมาทันที ถ้ากลับบ้านไปแล้วมีตัวอุ่นๆ ให้กอดจะดีขนาดไหนกันนะ


“มึงเมาแล้วฝ้าย!”


เสียงโวยวายดังไล่หลังผ่านประตูคลับออกมา ผมหันกลับไปมองด้วยความสงสัยจึงทันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังผลักประตูออกมาด้วยท่าทางซวนเซ มือไม้แกว่งปัดป้องการช่วยเหลือของผู้หญิงอีกคนที่ตามมาติดๆ ผมเดาว่าสองคนนี้คงเป็นเพื่อนกันแน่นอน ต่อเมื่อไม่มีอะไรแล้วผมจึงหันหลังกลับเพื่อจะก้าวเดินต่อไปแต่กลับถูกเสียงอ้อแอ้เหนี่ยวรั้งเอาไว้เสียก่อน


“หยุดนะ -- คุณปุริม...หยุด รอ...อึก! รอฝ้ายก่อน”


ผมหันกลับไปอีกครั้ง สองตาจับจ้องคนเมาที่กำลังเดินเป๋าตรงมาพลางนึกเค้าหน้าอีกฝ่ายจากความทรงจำ แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ผมเลยเลิกขุดคุ้ยความจำและปล่อยให้แม่สาวนี่เป็นคนเฉลยจะดีกว่า


“คุณมีธุระกับผมหรือครับ”  สิ้นคำถาม อีกฝ่ายก็โผเข้ากอดหมับซุกหน้านองน้ำตากับเสื้อผมจนเปียกชุ่ม ผมพยายามดันไหล่อีกฝ่ายออกด้วยความนุ่มนวลเพราะมีบุคคลที่สามยืนอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นผมคงผลักแม่ขี้เมานี่ออกไปให้พ้นเสื้อราคาแพงตัวนี้แล้ว ผมกับเพื่อนอุตส่าห์เลือกคลับที่ดูมีคลาสและเน้นเรื่องความเป็นส่วนตัวแล้วนะ คิดไม่ถึงว่าจะต้องมาเจอพวกขี้เมาแบบนี้อีก


“ฝ้ายคิดถึงคุณ ฝ้ายไม่อยากเลิกกับคุณ”  แม่ขี้เมาโวยวายวนไปมา ไม่ว่าเพื่อนที่ตามมาด้วยจะเข้ามายื้อยุดให้ออกไปสักเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล  “มึงปล่อยกู! กูจะอยู่กับคุณปุริม ฮือๆ...ฝ้ายไม่อยากเลิกกับคุณ”


อย่างน้อยผมก็รู้แล้วล่ะว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ลูกค้าหรือผู้ร่วมงาน เพราะนอกจากลุงที่ผมตั้งใจกินแล้วนั้น ผมไม่นิยมกางมุ้งกับบริวารเท่าไหร่ จะเหลือตัวเลือกเดียวคือบรรดาคู่ขาคนก่อนๆ ซึ่งบอกตามตรงว่าผมจำหน้ายัยนี่ไม่ได้เลยจริงๆ


“คุณเมามากแล้วนะครับ รบกวนปล่อยผมด้วย”


“ไม่! ฝ้ายไม่ปล่อย”


“ไอ้ฝ้าย!! มึงเมาเป็นหมาแล้วนะ!”  เสียงเพื่อนสาวที่หน้าตาสวยไม่แพ้กันเริ่มแข็งกร้าวขึ้น พลอยให้คนเมาชะงักหันไปมอง ...แต่ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม


“คุณปุริมเป็นแฟนกูนะ” 


ผมพยายามสะกดกลั้นอารมณ์รำคาญที่ปะทุขึ้นมาเรื่อยๆ แค่เสื้อราคาแพงที่ทั้งยับทั้งเปื้อนก็พอทนแล้ว ยังจะต้องมายืนฟังแม่สองสาวนี่เถียงกันอีก


“ปล่อยผม”  ผมดันไหล่ของสาวขี้เมาแรงขึ้น แต่ในเมื่ออีกฝ่ายยังยื้อยุดพูดไม่รู้เรื่องผมจึงส่งแรงออกไปมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว และมันส่งผลให้อีกฝ่ายเซล้มลงไปกับพื้น


“นี่!! มันจะเกินไปหน่อยมั้ย!”  แม่เพื่อนคนสวยตวาดขึ้นด้วยความตกใจ ร่างเพรียวสมส่วนปรี่เข้าไปประคองคนเมาที่เหมือนจะกำลังตกใจให้ยืนขึ้น


ผมไม่ใส่ใจอีกฝ่ายเพราะกำลังง่วนอยู่กับการหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเสื้อที่เปื้อนน้ำตา ผมแทบอยากจะถอดเสื้อเขวี้ยงทิ้งเมื่อพบว่ามันปะปนเมือกเหนียวของน้ำมูกอยู่ด้วย ผมสาบานเลยว่าจะทิ้งไอ้เสื้อตัวนี้ลงขยะแน่นอน! แล้วเมื่อผมตวัดสายตาขึ้นมองสองสาวที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมความโมโหมันก็ยิ่งผุดขึ้น 


“คุณพาเพื่อนคุณกลับไปดีกว่า เดี๋ยวจะไปร่ำร้องว่าใครต่อใครเป็นแฟนอีก”


“...คุณชื่อปุริมรึเปล่า?”  เพื่อนสาวถามเสียงเข้ม จับจ้องผมราวกับจ้องมองศัตรูอยู่


“ใช่”


“งั้นคุณก็เคยเป็นแฟนเพื่อนฉัน”


“หึหึ ผมจะนับผู้หญิงที่จำหน้าไม่ได้ว่าเป็นแฟนได้ยังไง”  ผมพูดเยาะ ปรายสายตามองคนเมาที่น้ำตาคลอหน่วยดูน่าสงสาร  “ผมมีแฟนคนเดียวซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ผู้หญิงคนนี้”


“คุณมันเลวจริงๆ”  เพื่อนคนเมาบริภาษเสียงเข้ม แต่ผมไม่ได้เก็บเอามาติดเป็นอารมณ์เท่าไหร่ เพราะคนส่วนมากก็มักจะชื่นชมผมแบบนี้อยู่แล้ว  “คุณนอนกับเพื่อนฉันแล้วมาบอกว่าจำหน้าไม่ได้เนี่ยนะ ฝ้ายร้องไห้แทบตายตอนคุณส่งข้อความมาบอกเลิก”


“อ๋อ...งั้นเดาว่าเพื่อนคุณคงเป็นคู่ขาของผมมาก่อน”


“ไม่นะ! ฝ้ายไม่ได้เป็นแบบนั้น”  คนเมาแย้งเสียงเครือ ส่ายหน้าไปมาจนผมเผ้ายุ่งเหยิง


“ผมไม่เคยนอนกับใครฟรีๆ นะคุณ”  ผมไม่สนใจคนแก้ต่าง สองตาหันไปจ้องตอบแววตามาดร้ายของเพื่อนคนเมาที่ยืนกำหมัดแน่น ไม่ต้องเดาเลยว่าถ้าผู้หญิงคนนี้มีความกล้ากว่านี้อีกสักนิด ผมคงถูกคุณเธอเขวี้ยงหวัดเข้าให้แล้ว  “ลองถามเพื่อคุณดูรึยังว่าได้อะไรจากผมไปบ้าง เพราะผมจ่ายให้คู่ขาทุกคนมากกว่าที่ผมได้รับเสียอีก”


“แต่ฝ้ายรักคุณนะคะ” 


ผมเหยียดยิ้มให้กับคำพูดเดิมๆ ที่มักได้ยินจากคู่นอน ทั้งที่เต็มใจรับข้าวของเงินทองแล้วจะมาหวังอะไรเกินจำเป็นอีก ก็แค่พวกคนที่แลกร่างกายให้กับความฟุ้งเฟ้อ ผมไม่จดจำหน้าคนแบบนี้ให้เสียสมองหรอก


“คุณปุริม...”  แม่ขี้เมาผละจากเพื่อนอีกครั้งเพื่อหวังจะเข้าหาผมอีก แต่คราวนี้ร่างบอบบางกลับถูกเพื่อนตัวเองคว้าจับไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่มี  “ปล่อยนะจีน...”


“มึงเลิกบ้าเหอะฝ้าย! มึงไม่ได้ยินที่ไอ้หมอนี่พูดเหรอ”


“.........”


“มันพูดเหมือนมึงเป็นผู้หญิงขายบริการเลยนะ มึงเป็นอย่างที่มันพูดเหรอห๊ะ!”


“เปล่านะ...ฝ้ายเปล่า”  คนเมาส่ายหน้ารัวเร็ว ก่อนจะคว้าเอวเพื่อนมากอดเพื่อเป็นแหล่งพักพิง ผมนิ่งมองมิตรภาพระหว่างเพื่อนด้วยความรำคาญถึงขีดสุด


“ผมขอตัวล่ะนะ”  ไม่ต้องรอคำอนุญาตผมก็หมุนตัวออกเดินจากไปทันที


“ขอให้เป็นเอดส์ตายเถอะ เลวเอ๊ย!”  แม่สาวปากจัดอวยพรผมเป็นการส่งท้ายซึ่งผมน้อมรับด้วยการโบกมือไหวๆ ให้ผ่านเบื้องหลัง


คืนนี้มันช่างบันเทิงเสียจริง



.

.

.



 “เอาโจ๊กสองชามใส่ทุกอย่างนะครับ”  เสียงทุ้มสั่งความกับแม่ค้าร่างท้วมเสียงดังฟังชัด ในขณะที่สายตาก็ซอกแซกไปตามแผงร้านข้างๆ คล้ายอดใจไม่อยู่ ผมเองก็มองกิริยาท่าทางนั้นด้วยรอยยิ้มที่อดไว้ไม่ได้เช่นกัน ลุงดูจะมีความสุขทุกครั้งเมื่อมีเรื่องของกินเข้ามาเกี่ยว


“ใส่ไข่มั้ยหนุ่ม”


“พี่ปูนใส่มั้ย?”  ลุงหันมาถามผม แต่แล้วกลับยื่นหน้าเข้ามากระซิบกระซาบสั่งความต่อ  “แต่ผมอยากกินไข่กระทะด้วยอ่ะ”


“งั้นไม่ต้องใส่ไข่หรอก แล้วสั่งไข่กระทะเผื่อพี่ด้วย”  เมื่อได้คำตอบ ลุงก็บอกปัดแม่ค้าโจ๊กไปก่อนจะเดินลอยตามกลิ่นไปยังร้านข้างๆ เพื่อสั่งไข่กระทะเพิ่มเติม


ผมหาทำเลที่นั่งเพื่อรอลุงเดินกลับมาสมทบ สองตาก็อดไม่ได้ที่จะกวาดมองตลาดสดในยามเช้าตรู่แบบที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน จริงอยู่ที่ผมเป็นคนตื่นเช้าแต่ก็ไม่ได้มาเดินตลาดหาอาหารกินแบบนี้ ยิ่งเป็นตลาดสดที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของผมยิ่งแล้วใหญ่


ความวุ่นวายเกิดขึ้นทั่วไปหมด เสียงตะโกนคุยกัน เสียงจอแจที่จับใจความไม่ได้ดังทั่วไปหมด แล้วยังจะกลิ่นคาวเหม็นเขียวของผักและเนื้อสัตว์อีก นี่ถ้าลุงไม่อยากมากินโดยโน้มน้าวว่ามันอร่อยแค่ไหนล่ะก็ ผมคงไม่ขับรถเฉียดเข้ามาใกล้หรอก แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว... ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปบรรยากาศที่มีลุงยืนมุงรวมกับคนหมู่มากแล้วส่งไปให้กรดู ไม่นานนักข้อความจากเพื่อนสนิทก็เด้งขึ้นมา


[ไปทำอะไรที่แบบนั้น]


[มากินโจ๊กกับไข่กระทะ]  คำตอบจากผมเด้งขึ้นไปต่อแถวบนหน้าจอทันที


[ลุงพาไปเหรอวะ]


[กูไม่เคยมาตลาดสดเลย]  ผมมองรอบตัวอีกครั้งเพื่อพยายามนึกหาคำที่สามารถอธิบายบรรยากาศในตอนนี้ไว้ได้


[วุ่นวายดีว่ะ]


แล้วกรมันก็ส่งสติ๊กเกอร์หัวเราะมาให้ผมในทันที พันกรรู้ดีพอๆ กับตัวผมนั่นแหละว่าตลาดสดนั้นห่างไกลกับวิถีชีวิตของผมแค่ไหน


[มึงเอาอะไรมั้ย?]


[ของกูไม่อ่ะ แต่ซื้อน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋มาให้หน่อยสิ ถ้ามีนะ]


ผมขมวดคิ้วกับการฝากซื้อที่แปลกพิกล เป็นจังหวะเดียวกับที่ลุงเดินยิ้มหน้าบานมาลงนั่งฝั่งตรงข้าม ผมคลี่ยิ้มให้คนรักก่อนจะเริ่มพิมพ์ตอบโต้กับกรต่อ


[มึงไม่กินน้ำเต้าหู้นี่]


ผมรอคำตอบจากอีกฝ่าย แต่ร่วมนาทีก็ยังมีเพียงข้อความของผมเป็นอันสุดท้ายบนหน้าจอ


“ได้แล้วจ้า” 


ผมวางมือถือลงกับโต๊ะทันทีที่ชามโจ๊กกรุ่นควันร้อนถูกวางลงตรงหน้า ผมมองชิ้นเนื้ออวบแน่นหลายอย่างบนข้าวเละๆ สีขาวในชามแล้วให้เกิดความอยากกินขึ้นมา ผักโรยและขิงดูสดมากเสียจนได้กลิ่นหอมๆ ลอยขึ้นมา ผมหยิบช้อนพลางเหลือบสายตาดูลุง รายนั้นหยิบช้อนจ้วงเข้าปากแบบไม่กลัวร้อนไปแล้ว


“ไข่กระทะค่ะ”  อาหารอีกอย่างตามมาติดๆ กัน กระทะสีเงินขนาดกะทัดรัดสองใบถูกวางลงตรงกลาง ควันหอมลอยฟุ้งยั่วน้ำลาย สีสันและความหลากหลายของเครื่องในกระทะช่วยกระตุ้นความหิวของผมได้เป็นอย่างดี


ผมหยิบซอสเทลงไปเล็กน้อยก่อนจะลงมือกินไข่เป็นอย่างแรก ความเข้มข้นลอยอวลในปากและมันอร่อยเสียจนผมเผลอเคี้ยวไม่กี่คำก็กลืนลงคอ


“อร่อยใช่ป่ะล่ะ”  ลุงอมยิ้ม ยกคิ้วหลิ่งตาเหมือนจะสื่อว่า ‘ผมบอกพี่แล้ว...’


“สมราคาคุย”  ผมยอมรับอย่างไร้ข้อกังขา แล้วเปลี่ยนมาตักโจ๊กเข้าปากบ้าง และมันไม่มีการโต้แย้งใดๆ เลยกับการที่ลุงโม้เสียหนักหนาบนรถว่าร้านนี้อร่อยแค่ไหน  “ลุงมากินบ่อยเหรอ?”


“ก็บ่อยนะ แต่ส่วนมากซื้อกลับไปให้สองสาวที่บ้านซะมากกว่า ผมขี้เกียจตื่นขึ้นมาทำกับข้าวตอนเช้าน่ะ”  ลุงตอบพลางเคี้ยวข้าวจนแก้มตุ่ย กิริยามันไม่เหมาะอยู่หรอก แต่ผมเห็นว่ามันก็น่ารักหรอกนะถึงไม่ได้ติติงอะไร


“แล้วเมื่อไหร่พี่จะได้กินข้าวฝีมือลุงสักทีล่ะ”


“เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละน่า” 


ผมหาได้ใส่ใจกับท่าทีไม่แยแสของคนขี้อายไม่แต่ก็ไม่คิดจะซักไซ้ต่อเช่นกัน เราสองคนจึงเริ่มหมกมุ่นกับการกินจนอิ่มหนำชนิดที่แทบจะไม่ได้คุยอะไรกันอีก เมื่อโจ๊กหมดชาม ไข่หมดกระทะ ผมก็แอบลูบหน้าท้องตัวเองเบาๆ นี่คือการกินมื้อเช้าที่สมบูรณ์แบบที่สุดในรอบหลายสิบปีนี้ ปกติแล้วอย่างดีที่สุดของผมมีแค่แซนวิชกับกาแฟเท่านั้น นอกเหนือไปจากนั้นคือการฝากท้องรวมไปกับมื้อเที่ยงทีเดียว


“แถวนี้มีร้านปาท่องโก๋มั้ย?”  ผมยังคงไม่ลืมหน้าที่ของเพื่อนที่ดี


“มีพี่ เจ้านี้ก็เด็ดสุด ปาท่องโก๋เขานะกรอบกรุบๆ แต่ไม่อมน้ำมันด้วยล่ะ” 


เห็นสีหน้าลุงแล้วผมก็เดาได้เลยว่าร้านปาท่องโก๋นั้นคงมีลุงเป็นลูกค้าเพิ่มอีกหนึ่งคนในวันนี้แน่ๆ


.

.

.


กว่าจะพากันมาถึงบริษัทก็เล่นเอาเลยเวลาเข้างานไปแล้ว ถึงจะไม่มีกฎข้อไหนที่เกี่ยวกับเวลาปฏิบัติงานก็เถอะ แต่ดูว่ากราฟิกดีไซน์ที่นี่จะชอบมาทำงานที่ออฟฟิศมากกว่าทำที่บ้าน แถมยังพากันเข้า-ออกงานตามเวลาทั่วไปเป็นธรรมเนียมแล้วซะอีก เพราะงั้นพ่อไก่ตัวนุ่มของผมจึงวิ่งปรู๊ดออกมาจากรถทันทีชนิดที่ไม่หันมาเหลียวแลกันอีกเลย


ผมหิ้วถุงปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้ผ่านพนักงานที่แสนจะตั้งใจทำงาน ผมหมายถึงพี่เปี๊ยกน่ะนะ ยิ่งมองไปแล้วเห็นสายตาอย่างกับรู้ไปเสียทุกเรื่องของโป้ยแล้วให้เท้ากระตุกยิกๆ จนผมต้องรีบเปิดประตูห้องทำงานของกรเข้าไปเพื่อสงบอารมณ์


“เอร็ดอร่อยจนเข้างานสายเลยนะมึง”  เสียงแซวดังขึ้นทันทีที่ผมก้าวเท้าไปยืนเบื้องหน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่ พอกันทั้งพี่ทั้งน้อง! เห็นไอ้ตัวน้องก็อยากจะกระโดดเตะ เห็นไอ้คนพี่ก็อยากจะวางมือบนกะโหลกสักทีแรงๆ


“หุบปากแล้วแดกซะ”  ผมวางถุงของฝากลงบนโต๊ะ


“ขอบใจ”


“ทีนี้ก็บอกกูมาซิว่ามึงซื้อมาฝากใคร”  ผมลงนั่งบนเก้าอี้ ขยับเนื้อตัวให้สบายพลางรอคำตอบ แต่ก็มีแค่ความเงียบกับสีหน้าอึดอัดใจเท่านั้นที่เพื่อนสนิทส่งมาให้ มันคิดว่าการเงียบจะทำให้ผมไม่ได้คำตอบอะไรเลยงั้นรึไงนะ  “ตื๊ดๆ หมดเวลา! กูขอเดาเองแล้วกันนะ...คงซื้อมาฝากพ่อยอดขมองอิ่มของมึงสินะ”


ผมยกยิ้มให้กับทีท่าอึดอัดที่ปะปนความเขินอายของพ่อดาราด้วยความขบขัน  “แต่เสียใจด้วยนะเพื่อน เพราะแฟนกูเขาซื้อมาฝากโป้ยเรียบร้อยแล้ว คนเป็นเพื่อนสนิทก็ย่อมรู้ใจกันล่ะนะ”


“...สาบานเลยว่ามึงไม่หึงสักนิด” 


“..........”


“เห๊อะ! คนขี้หวงอย่างมึงยังจะกล้ามาแขวะกูอีกนะ”


ตอนนี้ผมอยากจะฟาดมือลงบนหัวเพื่อนจริงๆ แล้วล่ะ


ใช่สิ!! คิดว่าผมต้องอดใจที่จะไม่โยนถุงน้ำเต้าหู้ในมือของลุงทิ้งออกนอกรถแค่ไหน ยิ่งฟังปากอิ่มๆ นั่นจ้อว่าเพื่อนตัวเองชอบกินน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ขนาดไหน ผมล่ะอยากยัดน้ำร้อนๆ ในถุงนั่นเข้าปากคนพูดให้พองไปเลย!


“รู้ดี!!”  ผมกระแทกเสียงใส่ และหวังว่าจะตามด้วยคำเหน็บแนมอีกสักหน่อยแต่นับว่าชะตาหูไอ้กรยังดีนักในเช้านี้


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


เราหันไปมองผู้มาใหม่ที่เปิดประตูเข้ามา เป็นพี่ริชที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเชิงเป็นงานเป็นการ ริมฝีปากฉาบรอยยิ้มหันไปมองหน้าพ่อดาราขวัญใจก่อนสักเล็กน้อยจึงได้เป็นคิวของผมที่ถูกพิศวาสน้อยลงมา


“มีลูกค้ามาพบคุณปูนครับ ผมให้ไปรอที่ห้องแล้วนะครับ”


“ลูกค้าจากที่ไหนน่ะ”  พันกรซักถามด้วยความสงสัย มีไม่บ่อยนักหรอกที่ลูกค้าจะเข้ามาคุยงานเองที่บริษัท


“คุณแก้วกานดา จากพิบูลย์พัฒน์กรุ๊ปครับ”


สีหน้าของพี่ริชกับกรมีแววตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนผมนั้น...ไม่ได้ยินเสียงใดเลยนอกจากคลื่นความโกรธที่เดือดปุดๆ อยู่ในหัว

 
.

.

.




-----------------------------------------------------------------{มีต่อค่ะ}

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ L@DYMELLOW

  • กำลังงงๆ เพราะหาทางลงจาก “คาน” ไม่เจอ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 356
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +826/-4
    • facebook
.

.

.


ผมเปิดประตูห้องทำงานส่วนตัวเข้าไปด้วยท่าทีสงบ อากาศเย็นเข้าปะทะร่างวูบแต่ไม่อาจลดความเดือดพล่านจากเลือดในกายได้ สองตาผมจับภาพผู้หญิงที่นั่งด้วยท่วงท่าสง่าบนอาร์มแชร์ติดกำแพงอีกด้านของโต๊ะทำงาน แผ่นหลังหยัดตรง สีหน้าเรียบนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ถัดมาเป็นผู้ชายที่ครอบครองเก้าอี้ตัวสุดท้ายของชุดรับแขกเอาไว้ ใบหน้าที่ถูกประดับด้วยกรอบแว่นนั้น แค่เห็นผมก็คันไม้คันมือจะแย่


เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานถูกผมลากหันออกมาเพื่อเผชิญกับแขกที่ไม่ควรเสนอหน้ามาอยู่ตรงนี้ ผมทิ้งตัวนั่งลงด้วยความเดือดดาลที่ใกล้จะทะลักออกมาจากกรอบหน้ากากเต็มที


“สวัสดีครับคุณปุริม”  คุณเลขาวิชัยทักทายด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ดังเช่นทุกครั้งที่เจอ ซึ่งผมก็ทำแค่ปรายสายตามองเหมือนเช่นทุกครั้ง เพราะตอนนี้ความสนใจของผมมันตกไปอยู่ที่คุณผู้หญิงของบ้านพิบูลย์พัฒน์ที่ไม่คิดว่าชาตินี้จะต้องมาเจอกันอีก


แม้จะมีอายุพอสมควรแล้ว แต่ความสวยก็ยังเด่นชัดอยู่บนใบหน้าที่ถูกตกแต่งสีสันอย่างดี เสื้อผ้าหน้าผมล้วนถูกคัดสันอย่างดีให้เหมาะกับตำแหน่งคุณนายพันล้าน ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากคนที่อยู่ในความทรงจำสักเท่าไหร่ ยังคงภาพลักษณ์ของแม่เสือในคราบของละมั่งที่พร้อมจะกระชากคอหอยของทุกคนที่กล้ายุ่มย่ามกับลูกชายตัวน้อย


“ลูกชายคุณไปไหนซะล่ะ ผมว่าเคยบอกผ่านไปแล้วนะว่าไม่ต้องการเห็นหน้าพวกคุณคนใดคนหนึ่งอีก”


“น้ามาเองโดยไม่ได้บอกนนท์ก่อน”  น้ำเสียงใสกระจ่างมีแววไม่มั่นใจเล็กน้อย แต่ก็ยังควบคุมท่าทีของตัวเองได้อย่างดี  “น้าอยากจะมาคุยกับปูนด้วยตัวเองสักครั้ง”


“..........”


“ปูนโตขึ้นมากเลยนะจ๊ะ เค้าโครงหล่อเหลาเหมือนคุณพ่อไม่มีผิด คุณคริตบ่นน้อยใจบ่อยๆ ที่ตานนท์เหมือนน้ามากกว่า เขาอยากให้ลูกชายได้ใบหน้าของเขาไปบ้าง ถ้าคุณคริตเห็นปูนตอนนี้คงปลื้มน่าดู”


“..........”


ผมคิดว่าเรื่องราวในอดีตทุกอย่างมันกลายเป็นสะเก็ดแผลไปแล้ว แต่ไม่ว่าจะถูกสะกิดแกะออกมาสักกี่ครั้งผมก็ยังเจ็บแสบเพราะมันอยู่ร่ำไป ผมหวังให้มันหายเจ็บ ยอมให้มันเปลี่ยนเป็นรอยแผลเป็นยังดีกว่าเสียกว่า


“ถ้าคุณคริตออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่ พวกเราค่อยนัด --“


“คุณเพ้อเจ้อพอรึยัง”  ผมขัดขึ้นกลางประโยคที่ชักจะออกนอกความเป็นจริงไปไกล  “อย่าทำเหมือนพวกคุณกับผมจากกันด้วยดีทั้งที่รู้ว่ามันไม่ใช่ ไม่ต้องมาบอกเรื่องราวห่าเหวอะไรให้ผมฟังทั้งนั้น หึ! คุณไม่รู้สึกกระดากปากบ้างหรือที่พูดออกมาทั้งหมดน่ะ”


ผมเหยียดยิ้มเหี้ยมลึกให้กับสีหน้าละอายใจที่ฉาบใบหน้าสะสวย สองตาที่เคยมีความมั่นใจบัดนี้หลุบต่ำเอาแต่จ้องมือตัวเองบนตัก แต่ไม่นานนักที่ร่างนั้นเรียกความเข้มแข็งกลับเข้าตัวอีกครั้ง และเมื่อหันไปพยักหน้าให้กับเลขาที่นั่งข้างๆ ก็เปลี่ยนมาจับจ้องผมราวกับตัวเองเป็นคู่สนทนา


“คุณแก้วต้องการให้คุณเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของคุณชานนท์ครับ”  เป็นเลขาวิชัยที่เข้าเรื่องที่ต้องการ  “จะขอเรียนตามตรงว่าตอนนี้สถานะของคุณชานนท์อยู่ในจุดที่ไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไหร่ การจะขึ้นเป็น CEO แทนคุณชาคริตนั้นสามารถทำได้โดยส่งผ่านหุ้นในมือ แต่เกรงว่าจะไม่อาจรักษาความศรัทธาจากผู้ถือหุ้นเอาไว้ได้ คุณคงทราบว่าคุณชานนท์นั้นยังใหม่กับการบริหาร ถึงแม้จะมีวิสัยทัศน์ที่ดีแต่ถ้าไม่สามารถรอดพ้นบรรดาเสือแก่ทั้งหลายไปได้ก็ไม่ต่างอะไรจากแกะที่จะโดนขย้ำ”


“หึหึ ไข่ในหินมันก็จะต้องมีชีวิตประมาณนี้นั่นแหละ”  ผมอดที่จะหันกลับไปเสียดสีคนเป็นแม่ไม่ได้  “ต้องทำใจหน่อยล่ะครับคุณผู้หญิง ลูกคุณคงจะถูกกัดเหวอะหวะไปบ้าง ทำใจเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยนะครับ”


“เราไม่ได้เลี้ยงนนท์เหมือนไข่ในหิน!”


“หืม? เหรอครับ...”  ผมยิ้มเยาะให้กับท่าทางดุจแม่นกกางปีกปกป้องลูกชายคนเดียว  “แล้วคุณเลี้ยงมาแบบไหนกันถึงได้อ่อนปวกเปียกถึงขนาดตำแหน่งที่ควรจะเป็นของตัวยังกลัวจะรักษาไว้ไม่ได้ โลกของนักธุรกิจที่พูดกันด้วยเงินน่ะมันน่ากลัวนะครับคุณนาย เพราะถ้าอีกฝ่ายให้ผลประโยชน์มากกว่าแค่นิดเดียวก็สามารถหักหลังกันได้ง่ายๆ เลยนะ”


“เพราะฉะนั้นเราถึงต้องการคุณยังไงล่ะครับ”    ผมหันไปมองเลขาหน้าแว่นอีกครั้ง สีหน้าคล้ายกับว่าอยากจะให้ผมเลิกกัดเจ้านายตัวเองเต็มที  “คุณเป็นที่ปรึกษาอิสระที่นับว่ามีชื่อเสียงไม่น้อย ผมตรวจสอบมาแล้วว่าลูกค้าส่วนใหญ่ที่ดำเนินการตามแผนที่คุณวางเอาไว้ล้วนเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งสิ้น อีกทั้งคุณยังได้เป็นวิทยากรรับเชิญให้กับมหาวิทยาลัยบ่อยๆ ด้วยมันสมองและอายุที่ยังน้อยของคุณ ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณถึงเนื้อหอมนัก”


“ฉันควรจะต้องทำหน้าเขินอายด้วยมั้ย?”  ผมว่าประชด


“ผมคิดว่าตัวเองคงไม่อยากเห็นเท่าไหร่”  ผมเกลียดไอ้เจ้าเลขาคนนี้จริงๆ


บรรยากาศเงียบกริบราวกับว่าจะให้เวลาผมในการคิดตัดสินใจ ส่วนตัวแล้วผมไม่คิดว่าตัวเองเป็นที่ปรึกษาที่เก่งกาจอะไร แต่ผมก็ไม่เคยล้มเหลวในงานที่ตัวเองทำ แต่ว่างานแบบนี้มันทั้งเหนื่อยและน่าปวดหัวผมถึงได้เว้นจากมันมาสักพักหนึ่งแล้ว ที่น่าสนใจคือผมยังไม่เคยร่วมงานกับบริษัทที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อน มันน่าสนใจชนิดที่อยากจะตอบตกลงออกไป ถ้าไม่ติดที่ว่า... 


“เสียใจนะ ฉันไม่อยากจะร่วมงานใดๆ กับคนพวกนี้”  ผมลุกขึ้นยืน ผายมือไปทางประตูเพื่อบอกให้แขกทั้งสองได้รู้ว่าหมดเวลาพูดคุยกันแล้ว


“ผมเข้าใจครับว่าคุณต้องการเวลาตัดสินใจที่มากกว่านี้ อีกสองสัปดาห์ผมจะมาพบคุณใหม่”  เดาว่าไม่มีกิริยาหยาบคายใดที่จะกระทบกระเทือนผู้ชายคนนี้ได้เลยสินะ ผมถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด ก่อนจะถลึงตาไล่อีกฝ่ายเงียบๆ อีกครั้ง


“คุณออกไปรอฉันข้างนอกก่อนนะ”  เมื่อได้รับคำสั่งจากเจ้านาย ไอ้เจ้าแว่นจึงเดินออกไปอย่างว่าง่ายปล่อยให้ทั้งห้องเกิดบรรยากาศอึมครึมระหว่างผมกับผู้หญิงคนนี้ทันที


“ต้องการอะไรมิทราบ”  ผมเป็นฝ่ายเปิดการสนทนาก่อนเพื่อที่จะได้จบเรื่องจบราวกันไปเสียที หากเป็นอีกฝ่ายที่ยังคงอึกอักอยู่ชั่วครู่กว่าที่จะเริ่มมีความกล้าสบตากับผมอีกครั้ง


“ฉันอยากขอโทษ”  ผมแค่นหัวเราะในทันที แต่อีกฝ่ายยังคงพูดต่อแม้ว่าความมั่นใจจะน้อยลงไปเต็มที  “ไม่ใช่เพราะว่าฉันต้องการความช่วยเหลือจากเธอ แต่เป็นเพราะฉันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ พ่อของเธอ...คุณคริตรู้ดีว่าที่ทำกับเธอนั้นมันไม่ยุติธรรมเอาซะเลย ฉันไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าที่เขาเริ่มคิดได้เป็นเพราะโรคภัยของตัวเอง อาการคุณพ่อเธอเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ แล้วเขาก็เอาแต่คิดเรื่องที่ทำไม่ดีกับเธอไว้”


ผมรับฟังด้วยท่าทีเรียบเฉย ผิดกับความรู้สึกภายในที่เข้าใกล้การระเบิดเต็มที ตอนนี้ผมอยากจะจับผู้หญิงคนนี้โยนออกไปให้พ้นจากพื้นที่ของผม สาปส่งให้เธอไปอยู่ในที่ๆ เธอควรอยู่ ไม่ใช่มาพูดพล่ามรำลึกความหลังบัดซบตรงนี้!


“ฉันเข้าใจถ้าเธอจะไม่รับปากเรื่องงาน แต่ฉันอยากจะขอสักครั้ง...เธอช่วยไปพบคุณคริตได้มั้ย? เขาอยากจะคุยกับเธอก่อนที่อะไรมันจะสายไป คุณพ่อเธอเขา--“


“ทุกอย่างเกินกว่าที่จะเรียกว่าสายไปแล้วล่ะ!”  เป็นอีกครั้งที่ผมขัดการบรรยายความของเธอ สองเท้าผมก้าวเข้าไปใกล้ผู้หญิงตรงหน้ามากขึ้น ความกรุ่นโกรธทะลักทลายออกมาทางสีหน้าจนคนตรงหน้าผงะ


“แต่ว่า...”


“เลิกเล่นละครเป็นคนดีสักทีเถอะ ทั้งคุณแล้วก็ผัวของคุณนั่นแหละ”  เสียงตะคอกจากผมดังกลบทุกอย่าง คุณผู้หญิงคนสวยหน้าตาตื่นถอยหลังห่างไปอย่างระวัง  “ตลอดเวลาที่ผ่านมาคืออะไร ถ้าวันนี้พวกคุณไม่เห็นว่าผมพอจะมีประโยชน์บ้าง คุณจะเดินเข้ามาหาแล้วพูดจาดีกับผมอย่างนี้เหรอ ไปหลอกควายสักตัวเถอะ!!”


ผมเริ่มรับรู้ว่าเสียงตัวเองนั้นดังลอดออกไปนอกห้องแล้ว จากหางตาผมสังเกตเห็นว่าไอ้แว่นพร้อมที่จะเปิดประตูเข้ามาดึงตัวเจ้านายมันไปทุกเมื่อ และไหนจะพนักงานที่เริ่มให้ความสนใจกันมากขึ้นอีก แต่ผมห้ามตัวเองไม่ได้...


“จากนี้ไม่ต้องเสนอหน้ามาให้ผมเห็นอีก แต่ครั้งต่อไปที่เราจะได้เจอกันคือคืนงานศพของผัวคุณ ผมจะเตรียมดอกไม้ช่อใหญ่ไปแสดงความยินดี”



เพียะ!!



สิ้นคำพูดของผมคือเสียงกระทบจากฝ่ามือ ซีกหน้าเจ็บร้าวจนผมต้องขบกรามแน่น ผมหันหน้าที่ถูกแรงปะทะส่งไปให้กลับมามองเจ้าของรอยมือ สีหน้าของเธอดูจะตกใจไม่น้อยที่กระทำการอุกอาจแบบนี้ แต่แววตาแดงก่ำนั้นกลับบ่งบอกได้ว่าเธอก็ถึงที่สุดแห่งความอดทนแล้วเช่นกัน


“เขาเป็นพ่อของเธอนะ...”  แม้ปลายเสียงจะสั่น แต่เธอก็ยังส่งเสียงดังเข้าสู้  “เธอ...เธอไม่ควรจะแช่งชักพ่อของตัวเองแบบนี้”


“แล้วยังไง...”  หัวใจผมเต้นรัว เลือดสูบฉีดแล่นพล่านไปทั่วร่าง สองตาผมจับจ้องผู้หญิงตรงหน้าเขม็ง สองเท้าย่างสามขุมเข้าไปใกล้อย่างคุกคาม ยิ่งเห็นแววหวาดกลัวในสีหน้าของอีกฝ่ายผมก็อยากจะตอบแทนคืนให้หนักกว่าซีกแก้มที่กำลังเจ็บปวดอยู่ตอนนี้


“ตอบมาสิ...ฉันถามว่าแล้วยังไง!!


สิ้นเสียงตะโกนจากผม ไอ้เจ้าเลขาก็เปิดประตูปราดเข้ามาดึงเจ้านายมันให้ออกไปจากรัศมีอันตราย เช่นเดียวกับที่กรปรี่เข้ามาทึ้งแขนผมให้ถอยหลังออกไป แต่ผมก็ยังขืนตัวเพื่อก้าวเข้าหาผู้หญิงคนนั้นเหมือนมันเป็นเหยื่อที่ต้องจัดการ 


“ตอบมาสิโว้ย!! ฉันอยากจะให้มันตายวันนี้พรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำแล้วมันจะทำไม”


“คุณปุริมครับ...ใจเย็นลงเถอะครับ”  ไอ้เลขาก้าวเข้ามายืนเบื้องหน้าปกป้องเจ้านายแบบไม่กลัว แต่จากนัยน์ตาระริกไหวที่จ้องตอบกลับมาก็พอให้ผมรู้ได้ว่าอย่างน้อยมันก็ยังพอมีความกลัวอยู่ในอารมณ์เหมือนกัน แต่ในเมื่อมันกล้าปกป้องนังผู้หญิงคนนั้น มันก็ต้องเตรียมใจที่จะโดนลูกหลงด้วยเหมือนกัน


ผมเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นผู้ชายตรงหน้า แต่กรก็ไม่ยอมให้ผมทำแบบนั้นง่ายๆ มันพยายามดึงทึ้งตัวผมเอาไว้สุดแรง  “ไอ้ปูนใจเย็นสิวะ”


ผมสะบัดตัวหนีมือเพื่ออย่างแรงจนอีกฝ่ายต้านไว้ไม่อยู่ ผมหลุดออกจากการควบคุม แต่ในขณะที่เสี้ยวลึกดำมืดในตัวนั้นกำลังดีใจที่จะได้ระบายโทสะ บางสิ่งบางอย่างกลับยื้อยุดผมเอาไว้อีกครั้ง


พี่ปูน...


ผมมองใบหน้าเจ้าของเสียง ผมไม่รู้ว่าลุงรอดสายตาผมเข้ามาประชิดตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ตอนนี้ลุงคืนคนเดียวที่รั้งแขนผมไปกอดจนแน่น เกาะเกี่ยวฝ่ามือผมไว้ด้วยฝ่ามืออุ่นๆ กอบกุมแน่นเสียจนความร้อนนั้นถ่ายทอดถึงกัน ดวงตากลมนั้นไหวระริกด้วยความหวาดหวั่นหากไร้ซึ่งความกลัว ลุงส่ายหน้าไปมาคล้ายจะบอกให้ผมหยุดการกระทำทั้งหมด ฝ่ามือที่กุมกันแน่นขึ้นก็คล้ายกับจะปลอบประโลมผมให้สงบจิตใจ


“...พวกคุณไปซะ”  ผมกุมมือลุงแน่นขึ้น ผมรู้ว่าลุงคงเจ็บเป็นแน่ แต่มันเหมือนกับว่าผมจะสามารถไล่ความโกรธออกไปได้ 


“ขอโทษทุกท่านในความไม่สงบนะครับ”  ไอ้เลขาโค้งหัวเล็กน้อยให้กับทุกคนที่ยืนมุงอยู่ด้วยความระทึก จากนั้นจึงมองมาที่ผมคล้ายจะพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายมันก็เลือกที่จะก้มหัวให้เงียบๆ แล้วพยุงเจ้านายมันออกไป


ทุกอย่างคืนสู่สภาวะปกติ จะมีก็เพียงความเงียบเท่านั้นที่ทุกคนแสดงออกมา ผมหมุนตัวหันหลังเพื่อหลีกหนีทุกสายตาอยากรู้ และกรคงพอเดาท่าทางของผมออก


“เอาล่ะหมดเรื่องแล้ว กลับไปทำงานใครงานมันได้”  กรส่งเสียงดังพร้อมกับปรบมือกระตุ้นทุกคน เสียงฝีเท้าเริ่มแตกกระจายกันไกลออกไปจนกระทั่งรอบตัวเหลือเพียงความเงียบที่แท้จริง เมื่อผมหันกลับไปอีกครั้งก็พบว่ากรกำลังดึงมู่ลี่ปิดหน้าต่างทั้งหมดเพื่อกันสายตาคนอื่น


“มึงอยากเล่ามั้ย?”  กรเอ่ยถามขึ้นหลังจากสบตาผมนิ่งๆ ไม่มีความอยากรู้อยากเห็น ไม่มีการกล่าวโทษหรือว่าคาดคั้นใดในน้ำเสียง แต่เหมือนทุกครั้งที่เกิดปัญหากับผม กรรู้ว่าผมเปิดใจได้แค่ไหน และมันก็รู้จักรอให้ผมเป็นฝ่ายพูดออกมาอย่างเต็มใจ


“ไว้ก่อนนะ”  ผมพยายามแค่นรอยยิ้มตอบ


“กูจะรอฟัง”  กรพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนเบนสายตามองคนข้างตัวผม  “ลุงอยู่กับปูนมันก่อนนะ พี่จะล็อกประตูให้จะได้ไม่มีใครมารบกวน”


กรจากไปอย่างรวดเร็วเหลือเพียงผมกับลุงที่ยังยืนชิดกันอยู่กลางห้อง เมื่อความโมโหแบบหน้ามืดตามัวมันบรรเทาเบาบางลง เหตุผลและสามัญสำนึกมันก็เริ่มจะกลับเข้าสู่สมอง ผมไม่ควรที่จะปล่อยให้ความมืดในใจเป็นฝ่ายชนะเลย ผมไม่ควรทำให้ลุงรู้สึกว่าผมไร้ความสามารถในการควบคุมตนเอง เพราะคนแบบนั้นทั้งไม่น่าอยู่ใกล้และไม่น่าพึ่งพิง...ผมไม่ต้องการให้ลุงถอยห่างออกไป


“ผมว่าพี่ควรนั่งลงสักหน่อยนะ”  ลุงพูดขึ้นมาในที่สุด ฝ่ามืออุ่นจับจูงผมไปนั่งลงที่อาร์มแชร์แล้วถือวิสาสะนั่งตักผมทันทีโดยไม่เกรงว่าผมจะหนักหรือไม่ แต่ก่อนที่จะได้ทักท้วงอะไร วงแขวนที่ผมรักหนักหนาพลันโอบรอบคอผมไว้ ซุกศีรษะซบลงซอกคอ กอดกระชับแลกความอุ่นระหว่างผิวกาย


“...ลุง”  ผมกอดตอบลุงทันทีที่ตั้งสติได้ ความหนาวเหน็บที่เผชิญพลันมลายหายไปด้วยกองไฟอบอุ่นตรงหน้า ผมเชื่อแล้วว่าลุงเป็นแสงสว่างของผมจริงๆ ทั้งอบอุ่นแล้วก็อ่อนโยน


ผมไม่รู้ว่าเรากอดกันเงียบๆ มานานเท่าไหร่ ไม่สนด้วยว่าสองขาเริ่มประท้วงกับน้ำหนักตัวที่ถูกทับลงมาเต็มที่ ผมแค่อยากถูกกอดไว้แบบนี้นานๆ มันช่างหอมหวานและอบอุ่นจนผมไม่อยากจะลืมตาขึ้นมาอีกเลย


“หนักรึยัง”


“...หนักแล้ว แต่พี่อยากอยู่แบบนี้ก่อน”  ลุงหัวเราะเล็กน้อยกับคำตอบ


“แต่เราอยู่ท่านี้กันมานานแล้วนะ”  ผมอมยิ้มเมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยดวงตากลมโตน่ารักใคร่  “และผมต้องขอบอกเลยว่า มื้อเที่ยงผมคงต้องนั่งทำงานอย่างขยันขันแข็งและออกไปกินข้าวกับพี่ไม่ได้”


“แย่จัง”


“แต่มื้อเย็นผมอยากกินก๋วยเตี๋ยวเรือล่ะ”


“ได้ตามที่ต้องการครับ”


ลุงฉีกยิ้มกว้างจนตาปิด เรื่องกินนั้นเรื่องใหญ่สำหรับเขาเลยจริงๆ และสีหน้านั้นก็น่ารักเกินกว่าจะห้ามใจไหว ผมยื่นหน้าหอมแก้มลุงฟอดใหญ่ แล้วตามด้วยจูบหวานๆ ที่ทำเอาลิ้นผมแทบละลาย


“...ลุง”


“หืม?”


ผมมองใบหน้าที่ไรซึ่งความกังวลใดๆ แม้ว่าจะดีใจที่ลุงไม่มีทีท่าขยาดกับการกระทำของผม แต่แบบนี้มันก็ปกติเกินไปจนผิดธรรมชาติ ความอยากรู้อยากเห็นมันเป็นธรรมดาของมนุษย์โลกอยู่แล้ว ถึงผมจะไม่มีทางตอบอะไรออกไปตอนนี้ก็ตาม แต่ลุงไม่คิดที่จะเอ่ยถามอะไรสักหน่อยหรือ?


“อยากถามอะไรพี่มั้ย?”  ท่าทางแสนจะปกติของลุงมันทำเอาผมสงสัยจนเงียบไว้ไม่ได้จริงๆ


“อยากดิ”  ลุงตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย  “แต่ถามไปแล้วพี่จะบอกเหรอ?”


ผมนิ่งคิด...ถ้าเป็นลุง ถ้าลุงต้องการที่จะรับรู้จริงๆ ล่ะก็ ถึงผมจะไม่อยากพูดถึง แต่...   “พี่จะเล่า ถ้าลุงต้องการ” 


ลุงถอนหายใจยาวเหยียด ส่ายหน้าน้อยๆ เป็นการปฏิเสธความอึดอัดที่ผมกำลังเผชิญ


“ผมน่ะอยากรู้เรื่องพี่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้...”  พ่อไก่ตัวอุ่นเอนหัวลงซบไหล่ผมตามเดิม  “พี่ดูเจ็บปวดเกินกว่าจะเล่าทุกอย่างออกมา และถ้าความอยากรู้ของผมมันจะทำให้พี่ทรมานล่ะก็...ผมไม่อยากรู้ก็ได้”


ด้วยความรักที่ผมมีให้ ลุงมีสิทธิที่จะคาดคั้นเอาคำตอบจากผมได้มากกว่าใคร แต่ผมซึ้งใจเหลือเกินที่ลุงเข้าใจผมมากพอที่จะไม่ทำให้ผมต้องสะกิดแผลออกด้วยตัวเองในตอนนี้


“แต่ผมจะรอนะ รู้ใช่มั้ย? เมื่อไหร่ก็ตามที่พี่พร้อม”


“อืม...”  ผมกอดลุงแน่น หัวใจมันทั้งจุก ทั้งอบอุ่นเสียจนไม่รู้จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดอย่างไร 


“อ้อ...อีกเรื่องที่อาจทำให้พี่เสียใจ”  ลุงผละใบหน้าออกมาจ้องผมตาแป๋ว  “วันนี้งดการมีเพศสัมพันธ์นะ”



เวร! เรื่องนี้ทำผมเสียใจจริงๆ



“ทำไมล่ะ? พี่ไม่ทำรุนแรงหรอก สัญญาเลย”


“จิ๊ๆ!! พี่นี่ไม่เข้าใจความลำบากของผมเลยนะ”  ลุงส่ายหน้าอย่างขัดเคือง ก่อนจะเริ่มพูดด้วยสีหน้าจริงจัง  “พี่เคยรู้บ้างรึเปล่าว่าการทำตรงนั้นบ่อยๆ อ่ะมันจะทำให้หลวม”




พระเจ้า...ผมเกือบกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่แหนะ




“แล้วพอผมแก่ตัวไปมันก็จะเป็นปัญหา พี่รู้เปล่าว่าโรคหูรูดเสื่อมน่ะมันจะทำให้ผมกลั้นอะไรต่อมิอะไรไว้ไม่ได้เลย ผมไม่อยากใส่แพมเพิร์สอ่ะ”


“นี่ลุงจริงจังหรือเอาฮาเนี่ย”


“หน้าผมเหมือนล้อเล่นเหรอ!”  ว่าแล้วพ่อยอดขมองอิ่มของผมก็ฟาดมือเพี๊ยะลงกับไหล่ซะเสียงดัง ผมเจ็บจนนิ่วหน้าแต่ก็ต้องรับฟังความจริงจังของเมียต่อ  “เขาบอกว่าให้เว้นช่วงบ้าง ห้ามให้ตรงนั้นทำบ่อยๆ แล้วเขาก็บอกให้ฝึกขมิบเรื่อยๆ หูรูดมันจะได้กระชับและพี่จะได้รักผมแบบมีความสุขเหมือนตอนได้กันครั้งแรกไง นี่ผมก็พยายามฝึกอยู่นะ มันไม่ชินเอาซะเลย!”




อา...ผมว่าผมรักเด็กคนนี้ชิบเป๋งเลยว่ะ!!



“แฮ่ม...แล้วเขาที่ว่าน่ะใคร”  ผมพยายามกลั้นรอยยิ้มของตัวเองเอาไว้ แม้ใจอยากจะฟัดกอดลุงมันซะตรงนี้


“ไม่รู้อ่ะ ลุงอ่านตามกระทู้”


จากคนที่ประกาศปาวๆ ว่าไม่อยากมาอยู่ตำแหน่งเมีย แต่มาตอนนี้กลับพยายามศึกษาในสิ่งที่ตัวเองเกลียด แม้แต่เรื่องเล็กน้อยที่มันไม่จำเป็นก็ยังเอาเก็บมาคิดเพื่อผม นี่ถ้าไม่รู้ว่าผัวตัวเองบ้ากามแล้วล่ะก็ทำไม่ได้แบบนี้หรอกนะ


“งั้นวันนี้เราไปกินก๋วยเตี๋ยวเรือ แล้วไปดูหนังกันต่อดีมั้ย?”


“ความคิดดีอ่ะปุริม”  ลุงยิ้มหวานสมใจ


“แล้วก็ไปเดินซื้อของกันนิดหน่อยก่อนกลับบ้าน”


“จัดไป”


“แต่วันมะรืนต้องยอมพี่นะ”  ลุงสีหน้าคิดหนักขึ้นมาทันที  “โอเค๊?”


“โอเคก็ได้”


แม้เสียงตอบจะฝืนใจไปนิด แต่ให้ถึงเวลานั้นก่อนเถอะ...ลุงจะได้พูดแต่คำว่า ‘เอาอีกๆ’




-------------------------------------------------TBC....


ตอนที่ 20 กำหนดคลอดสัปดาห์หน้านะก่าก๊ะ
 :pig4: :katai4: :pig4:

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ ciaiwpot

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1098
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
ลุงไม่รู้จะสงสารหรือขำดี

ออฟไลน์ เก้าแต้ม

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1290
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-3
รู้สึกหน่วงตอนอ่านความหม่นมืดในอารมณ์ของปุริมที่ถูกกระตุ้จากอดีตที่ยังมีตัวตน แต่พออ่านเวลาที่ปุริมกับลุงอยู่ด้วยกันนี่บรรยากาศสดใสจนยิ้มได้ ดีใจกับปุริมที่มาเจอลุง :mew1:

ออฟไลน์ เก้าแต้ม

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1290
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-3
รู้สึกหน่วงตอนอ่านความหม่นมืดในอารมณ์ของปุริมที่ถูกกระตุ้จากอดีตที่ยังมีตัวตน แต่พออ่านเวลาที่ปุริมกับลุงอยู่ด้วยกันนี่บรรยากาศสดใสจนยิ้มได้ ดีใจกับปุริมที่มาเจอลุง :mew1:

ออฟไลน์ nekko

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +422/-4
หลากหลายอารมณ์มากกับปุริมตอนนี้  :mew5: โชคดีที่มีน้องลุงอยู่ด้วย :กอด1:

 :pig4: :L1: :กอด1:

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
เริ่มต้นดูหวานๆ แหววๆ พอมาตอนกลางก็เครียดแทนพี่ปูน
แต่ที่ไหนได้ น้องลุงของเราเอาพี่ปูนอยู่หมัด นี่น้าาาาา
พี่ปูนไม่หลงหัวปักหัวปำได้ไง
 :hao6: :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
โห ปฏิกิริยาตอบโต้ของพี่ปูนกับคนอื่น ๆ นี่น่ากลัวซะไม่มี
ทั้งโลกคงยอมให้ลุงคนเดียว

ออฟไลน์ Krajeeqx

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
พี่ปูนโหมดอยู่กับลุงนี่แตกต่างกับตอนอยู่กับคนอื่นโคตรๆ
เหม็นความรักเหลือเกินค่ะคุณขา

ออฟไลน์ onlyplease

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
ไม่มีใครดี100% หรอก แต่เรามักเลือกคนที่ดีกับเราเป็นพิเศษ แม้ว่าเขาจะร้ายกับคนอื่น เพราะคงไม่มีใครร้าย ถ้าไม่โดนทำร้ายก่อน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ taku_kimu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0

โอ๊ยย ลุ๊งงงง ทำไมน่ารัก  :mew1:

ออฟไลน์ พัดลม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2

ออฟไลน์ aorpp

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1274
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +250/-3
สงสารพี่ปูนจัง ชีวิตตอนเด็กพี่ปูนคงจะรันทดหดหู่มาก พี่ถึงพีคได้เบอร์นี้ ดีใจที่ตอนนี้พี่ปูนมีลุงอยู่ข้างๆ

ออฟไลน์ PPYK287

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ฮือ ตอนนี้อ่านแล้วหน่วงมาก สงสารปุริม ถ้าลองคิดในมุมมองของพี่ปูนจะรู้เลยว่ามันแย่แค่ไหนที่แต่ก่อนโดนเมิน ไม่เอาใจใส่แต่พอตัวเองป่วยใกล้ตายแล้วมาสำนึกได้อะไรแบบนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นพ่อลูกกันด้วยเพราะด้วยความสัมพันธ์นี้แหละยิ่งทำให้พี่ปูนมันฝังใจ คิดดูว่าแต่ไม่เคยสนใจใยดีตอนนี้มาร่ำร้องอยากเจออยากขอโทษ คือสำหรับพี่ปูนมันสายไปแล้วจริงๆ อ่ะ คนมันเคยเจ็บมาแล้วจนแค้นจนฝังใจ อยู่ๆ จะไปให้อภัยปุบปับแบบนี้ไม่ได้หรอก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเขาเคยดูแลอะไรมาบ้าง พี่มันผ่านจุดนั้นมาด้วยขาของตัวเองยิ่งไม่มีอะไรให้ไปสำนึกบุญคุณของพ่อเข้าไปใหญ่ แล้วยิ่งภรรยาใหม่พ่อตัวเองมาพูดแบบนั้นอีก ไม่แปลกที่พี่ปูนมันจะไม่ช่วย เพราะดูยังไงก็ไม่ใช่เรื่องของต้วเองอยู่แล้ว
เฮ้อ เครียด แต่เจอน้องลุงเข้าไปก็หายเครียดแล้ว นอกจากน้องจะเป็นฮีลลิ่งส่วนของปุริมแล้วก็ยังเซฟโซนของเราด้วย อยากถามน้องลุงว่าชีวิตนี้นอกจากเครียดเรื่องจะเป็นเมียปุริมแล้วหนูเคยเครียดอะไรอีกมั้ยคะลูก   :hao3:

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
หน่วงไปกับคุณปูนด้วย ดีนะที่มีน้องลุงสายฮีล ฮือออ แบ่งน้องลุงให้เราได้ไหมอ่ะคุณปูน?

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
นังคุณหญิงนี่หน้าด้านนะ  :angry2:

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
แต่ปุริมไม่ควรแช่งพ่อตัวเองถึงขั้นจะหอบพวงหรีดไปงานศพพ่อนะ

ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1389
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
สงสารพี่ปูน :ling3: :ling3:ลุงกอดพี่ปูนแน่นๆเลยนะ :mew2:

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ลุงคือยาวิเศษของพี่ปูน

ออฟไลน์ masochism2018

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 428
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
ลุงน่ารักที่สุดเลย พี่ปูนโชคดีมากที่มีลุง  :L2:

ต้องอ่านทีละนิดๆ กลัวจบ 5555555555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด