ตอนที่ 19 _เหรียญย่อมมีสองด้าน_ [ปูน]
ผมชอบเวลาที่หัวใจตัวเองเต้นอย่างกับบ้าคลั่งเวลาที่อยู่ใกล้ใครสักคน และคนนั้นก็ควรค่าที่จะปลดปล่อยความอ่อนแอให้เห็น และสำหรับผมคนๆ นั้นคือพัทลุง...
ไม่มีใครในโลกนิยามลักษณะของความรักได้ถูกต้องหรอก แต่จากที่ผมเป็นอยู่ทุกวันนี้คงบอกได้เพียงว่าตัวเองกำลังมีความรักชนิดหัวปักหัวปำเลยทีเดียว ผมใกล้เคียงกับหนุ่มน้อยช่างฝันเข้าไปทุกขณะ อยากอยู่ใกล้ อยากได้ยินเสียง อยากนอนด้วยกันและทำรักกันทั้งวี่วัน แล้วตื่นขึ้นมาเพื่อมองหน้าอีกฝ่ายเป็นคนแรก
ผมอนุมานว่ามันคือการพร่ำเพ้อในช่วงข้าวใหม่ปลามัน
และถ้าเป็นไปตามที่คนอื่นเขาพูดกัน อาการแบบที่ผมเป็นคงจะค่อยๆ บรรเทาลงเมื่อคบกันไปได้สักระยะ แม้ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันจะไม่ได้แย่เลยก็ตามแต่ผมก็หวังว่าตัวเองจะ ‘ติด’ ลุงน้อยกว่านี้ลงอีกสักหน่อย
ลุงคือ ‘ราคะ’ ที่มีชีวิตสำหรับผม ไม่มีสักครั้งยามเราเปลือยกายแล้วผมจะรู้สึกพอเพียง ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ผมเฝ้าตักตวงความปรารถนา ต่อให้หัวใจผมถูกเติมเต็มจนล้นปรี่แต่ความกระหายอยากมันไม่เคยเพียงพอ และลุงก็มักจะทำให้ผมได้ใจเสมอ ทุกครั้งก็มักจะใช้วงแขนนิ่มนวลโอบรอบคอผมเอาไว้ ร้องบอกว่ามันดีแค่ไหนที่ผมมอบความสุขให้ ริมฝีปากอิ่มอ่อนนุ่มก็เอาแต่พร่ำเรียกชื่อผม แบบที่ผมรู้สึกรักชื่อของตัวเองอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต และเมื่อเสร็จสมก็จะโอบกอดผมไว้แล้วปล่อยให้ผมคลอเคลียจนกว่าจะพอใจ
มันเป็นเซ็กส์ทั่วๆ ไป แต่เซ็กส์ที่ทำให้หัวใจผมอิ่มเอมขนาดนี้ไม่เคยมีมาก่อน
“นายทำฉันขนลุกไปหมด!”
เสียงเหยียดที่เจือสำเนียงต่างประเทศดังขึ้น ผมละสายตาจากแก้วเหล้าในมือที่พาผมจมจ่อมอยู่กับความสุขในหัว ขึ้นมามองจ้าของเสียงที่นั่งเยื้องกันของอีกฝั่งโต๊ะ สาวสวยร่างสูงโปร่งในเดรสสั้นสีแดงสดนั่งไขว่ห้างอวดเรียวขาขาวเนียนพลางลูบท่อนแขนเปลือยเปล่าของตัวเองไปมาเพื่อประกอบคำกล่าวหา
ผมเบือนสายตาหนีแบบไม่ใส่ใจกับอาการเกินจริงของอีกฝ่าย หลังจากทิ้งแผ่นหลังลงกับพนักนุ่ม แก้วเหล้าในมือจึงถูกจรดกับริมฝีปากเพื่อลิ้มรสวิสกี้ชั้นดี ความขมแผ่ซ่านในช่องปากก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นความหวานนุ่มหอมฟุ้งขึ้นจมูก แต่กระนั้นท่าทางเฉยชาของผมก็ไม่อาจพาตัวเองหลุดจากหัวข้อสนทนาได้ รู้อย่างนี้ผมคงเลือกที่จะนอนอยู่บ้าน มากกว่าออกมาตามคำชวนของสองคนนี้
“ดูจากสีหน้าของนาย ฉันเดาได้เลยว่าชีวิตรักคงเป็นไปด้วยดีล่ะสิท่า” เจ้าของเสียงเดิมเอ่ยต่อ หากคราวนี้ปะปนน้ำเสียงขบขันเพิ่มเข้ามา
“มากกว่าที่เธอคิดไว้ซะอีกเจน่า” อีกเสียงกลั้วหัวเราะตอบคำถามแทน ผมหันไปมองเพื่อนสนิทที่นั่งข้างกันด้วยสายตาขุ่นเขียว ซึ่งพันกรมันก็หาใส่ใจไม่ซ้ำยังโต้กลับด้วยรอยยิ้ม “ไม่เอาน่า ก็มึงดูมีความสุขมากจริงๆ นี่หว่า”
“มึงก็ไม่จำเป็นต้องพูดให้คนอื่นฟังรึเปล่า?” ผมแค่นเสียงถามเพื่อน และคนที่โต้ตอบแทนก็เป็นแม่นางแบบสาวสวยฝั่งตรงข้าม
“คิดว่าหน้าแบบนั้นมันจะปกปิดใครได้รึไง”
“หน้าฉันมันเป็นยังไง”
“ก็เหมือนคนโง่ที่มองทุกอย่างเป็นสีชมพูน่ะสิ” เจน่าหัวเราะเยาะ หยิบแก้เครื่องดื่มขึ้นแตะริมฝีปากสีแดงฉ่ำด้วยท่วงท่าน่ามอง ผมสาบานได้เลยว่าไม่มีผู้ชายคนไหนในร้านนี้หรอกที่จะไม่มองเจ้าหล่อน “ฉันล่ะสงสัยจริงๆ ว่าความรักมันดีตรงไหน ความใคร่สิตรงไปตรงมาไม่ต้องคิดให้มากความ”
ผมคิดว่าเจน่าคงเป็นผู้หญิงเพียงไม่กี่คนในโลกหรอกที่ไม่ไขว่คว้าหาสิ่งที่จับต้องไม่ได้อย่างความรัก เท่าที่ผมรู้จักมาเจน่าคือผู้หญิงรักสนุกแต่ไม่ผูกพันตัวจริงเสียงจริง แค่ทำให้คุณเธอพึงพอใจได้ เธอก็พร้อมจะมีสัมพันธ์กับคนนั้นอย่างไม่รู้เบื่อ เหมือนอย่างที่ครั้งหนึ่งผู้ชายคนนั้นเคยเป็นผม
“เธอก็แค่ยังไม่เจอคนที่ชอบน่ะ” กรพูดคล้ายปลอบใจ แต่เจน่าไม่ใช่คนทั่วไปที่จะทำหน้าละห้องกับคำปลอบโยนแล้วบอกว่า ‘ฉันก็หวังว่าจะมีสักวัน’ พันกรน่ะรู้จักเจน่าน้อยเกินไป
“โอ้~ ฉันภาวนาว่าอย่ามีวันนั้นเลย” ว่าแล้วก็ทำมือเป็นลักษณะกางเขนคล้ายจะสวดอ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้า ผมได้แต่ยิ้มขำกับความตรงไปตรงมาของเธอ “ตอนนี้ฉันมีความสุขในสิ่งที่ฉันเป็นนะกร นอกเสียจากว่ายังหาหนุ่มดีๆ มาสนุกกันบนเตียงไม่ได้สักที ที่จริงแล้ว...เมื่อไหร่นายจะลองนอนกับฉันสักคืนล่ะ ให้ตายสิ! ฉันชวนนายหลายครั้งแล้วนะเนี่ย”
พันกรได้แต่หัวเราะแห้งๆ ใช้ปลายเท้าเตะขาผมใต้โต๊ะเพื่อขอความช่วยเหลือ ใจหนึ่งก็อยากจะแกล้งซ้ำอยู่หรอก แต่ก็กลัวเจน่าจะคิดเป็นจริงเป็นจังจนก่อกวนพันกรเข้าให้ ผมเลยจำต้องทำหน้าที่เพื่อนที่ดีช่วยเบี่ยงประเด็นไปทางอื่นแทนอย่างน่าเสียดาย
“ได้ข่าวว่ายอมตกลงเซ็นสัญญาเป็นพรีเซนเตอร์แล้วเหรอ? ไหนว่าจะรันแค่แคทวอล์คไง”
“ถูกผู้ใหญ่กดดันมานิดหน่อยนะสิ เห็นว่ามีบุญคุณกันมา เฮ้อ~ นิสัยคนไทยนี่มันน่าเบื่อจริงๆ” นางแบบสาวยักไหล่ แม้สีหน้าจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่แต่ผมรู้ดีว่าเจ้าหล่อนพยศแค่ไหน ถ้าไม่พอใจเสียอย่างก็จะปฏิเสธจนได้นั่นแหละ แต่นี่แสดงว่าต้องมีการตกลงสักข้อที่น่าดึงดูด
ในฐานะคนพวกเดียวกัน ผมเดาว่าคงไม่พ้นเรื่องเงิน และคงหลายหลักเสียด้วย
“เป็นของแบรนด์อะไรน่ะ ฉันได้ข่าวแค่ว่าเธอกลายเป็นพรีเซนเตอร์ที่ค่าตัวสูงที่สุดตอนนี้” พันกรคงรีบถามด้วยความสนใจ
“เห็นจะจริงล่ะกร ค่าตัวทำฉันตาวาวเลยล่ะ” เจน่าทำตาโตประกอบ ดูจากนัยน์ตาระยิบระยับพวกผมก็พอเดาได้เลยว่าตอนที่เห็นสัญญาเจน่าจะตื่นตาตื่นใจขนาดไหน “ฉันไม่คิดว่า Flora จะทุ่มกับฉันขนาดนี้เหมือนกัน”
ผมชะงักไปเล็กน้อยกับชื่อแบรนด์ที่คุ้นหูเป็นอย่างดี แต่ไม่มีใครสนใจ ผมจึงยกแก้วขึ้นดื่มเพื่อรับฟังข้อมูลต่ออย่างเงียบๆ
“ฟลอร่านี่เป็นแบรนด์เครื่องสำอางในเครือพิบูลย์พัฒน์ใช่มั้ย?” พันกรถามพลางดื่มเหล้าไปด้วย
“น่าใช่นะ บริษัทนี้จับสินค้าหลายประเภทน่าดูฉันจำไม่ค่อยได้หรอก” พรีเซนเตอร์คนใหม่ดูจะไม่ได้แยแสที่มาที่ไปของสินค้าสักเท่าไหร่ “แต่ได้ยินพวกผู้ใหญ่คุยกันว่าเครือนี้กำลังลูกผีลูกคนอยู่ เห็นว่าอยู่ในช่วงเปลี่ยนมือผู้ถือหุ้นหลัก คนที่มาเซ็นสัญญากับฉันเห็นว่าเป็นว่าที่ CEO คนต่อไปนี่แหละ”
“เพราะงั้นถึงได้ทุ่มกับเธอล่ะมั้ง คงอยากจะเริ่มสร้างผลงานก่อนได้รับตำแหน่งไม่อย่างนั้นคงโดนเลื่อยขาเก้าอี้เอาได้”
“จะยังไงก็ช่างเถอะ มันไม่ใช่เรื่องของฉันอยู่แล้ว” เจน่ายักไหล่แล้วกลับไปสนใจกับเครื่องดื่มสีสวยของตัวเองต่อ แต่คนที่ยังไม่ยอมจบกลับเป็นคนที่นั่งข้างๆ ผมเนี่ยแหละ
พันกรมองมาทางผมเหมือนนึกบางเรื่องได้ “ก่อนหน้านี้มีบริษัทไบโอพลาสมาติดต่องานเราไม่ใช่เหรอ?”
“จำไม่ได้” ผมตอบเลี่ยง แม้คำจะห้วนสั้นไปสักนิดแต่ดูว่ากรมันจะไม่ได้สังเกต เพราะพ่อนักแสดงหนุ่มยังคงตีหน้าซื่อถามผมต่อไป
“เฮ้ย? ปกติมึงไม่มีพลาดเรื่องลูกค้ารายใหญ่แบบนี้นะ แบรนด์นี้อยู่ในเครือพิบูลย์พัฒน์เชียวนะเว่ย”
“เหรอ”
“เหรอเชี่ยไรปูน เขาติดต่อกับมึงเองเลยนะ”
“กูปฏิเสธเขาไปแล้ว จบ! เลิกถามนะมึง” ผมคร้านจะเฉไฉเลยตอบออกไปตามตรง แต่กลายเป็นว่ามันกลับสร้างบรรยากาศแปลกๆ ขึ้นมา กรมองผมด้วยหัวคิ้วขมวดมุ่น สีหน้าครุ่นคิดกับคำพูดผมไม่น้อย แม้แต่เจน่ายังอุตส่าห์มองมาที่ผมด้วยความฉงน
“นายปฏิเสธงานเหรอ? ไม่สบายรึเปล่าปูน?”
“ฉันสบายดีเจน่า ขอบใจที่เป็นห่วง” ผมกระแทกเสียงใส่ อารมณ์เริ่มจะกรุ่นขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว ผมหันไปทางพันกรและพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่แตกต่างกัน “ฉันไม่ชอบใจวิธีการติดต่องานก็เลยปฏิเสธไป โอเคมั้ย?”
“...มันเป็นสิทธิ์ของนาย ฉันไม่โต้แย้งหรอก”
ผมมองหน้าเพื่อนสนิท พยายามหาความหมายแฝงในคำพูด แต่เมื่อสีหน้าของพระรองหนุ่มไม่ได้มีนัยยะของการกระทบกระเทียบแต่อย่างใดจึงควรเป็นผมที่ต้องสงบสติตัวเอง ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ทั้งสองคนมองตามขณะผมก้าวออกมาด้านนอกเพื่อเตรียมตัวกลับ
“ฉันเลี้ยงเอง ดื่มกันต่อเถอะ”
“อืม...ขับรถดีๆ ล่ะมึง” พันกรไม่ห้ามหรือทักท้วงใด ด้วยความที่เป็นเพื่อนกันมาหลายปี มันคงจะพอรับมือกับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของผมได้บ้างไม่มากก็น้อย แต่ผมรู้ดีว่าที่ตัวเองกำลังหงุดหงิดอยู่ตอนนี้ไม่ได้เกิดจากเพื่อนเลยสักนิด
“ขอโทษนะมึง” ผมขมุบขมิบปากบอก กรยิ้มน้อยๆ พลางตบหลังผมเบาๆ แบบไม่ถือสาหาความ นั่นทำให้ผมลดความตึงเครียดไปได้บ้าง “ไปนะเจน่า วันหลังค่อยดื่มกันใหม่”
“See you! ไว้แฟนเผลอแล้วเจอกันนะ” ว่าแล้วแม่นางแบบพราวเสน่ห์ก็กระพริบตาหยอกเย้ามาให้ ผมส่ายหัวไปมาแล้วเดินตรงไปจ่ายเงินทั้งหมด
ผมคิดถึงลุงขึ้นมาทันที ถ้ากลับบ้านไปแล้วมีตัวอุ่นๆ ให้กอดจะดีขนาดไหนกันนะ
“มึงเมาแล้วฝ้าย!”
เสียงโวยวายดังไล่หลังผ่านประตูคลับออกมา ผมหันกลับไปมองด้วยความสงสัยจึงทันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังผลักประตูออกมาด้วยท่าทางซวนเซ มือไม้แกว่งปัดป้องการช่วยเหลือของผู้หญิงอีกคนที่ตามมาติดๆ ผมเดาว่าสองคนนี้คงเป็นเพื่อนกันแน่นอน ต่อเมื่อไม่มีอะไรแล้วผมจึงหันหลังกลับเพื่อจะก้าวเดินต่อไปแต่กลับถูกเสียงอ้อแอ้เหนี่ยวรั้งเอาไว้เสียก่อน
“หยุดนะ -- คุณปุริม...หยุด รอ...อึก! รอฝ้ายก่อน”
ผมหันกลับไปอีกครั้ง สองตาจับจ้องคนเมาที่กำลังเดินเป๋าตรงมาพลางนึกเค้าหน้าอีกฝ่ายจากความทรงจำ แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ผมเลยเลิกขุดคุ้ยความจำและปล่อยให้แม่สาวนี่เป็นคนเฉลยจะดีกว่า
“คุณมีธุระกับผมหรือครับ” สิ้นคำถาม อีกฝ่ายก็โผเข้ากอดหมับซุกหน้านองน้ำตากับเสื้อผมจนเปียกชุ่ม ผมพยายามดันไหล่อีกฝ่ายออกด้วยความนุ่มนวลเพราะมีบุคคลที่สามยืนอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นผมคงผลักแม่ขี้เมานี่ออกไปให้พ้นเสื้อราคาแพงตัวนี้แล้ว ผมกับเพื่อนอุตส่าห์เลือกคลับที่ดูมีคลาสและเน้นเรื่องความเป็นส่วนตัวแล้วนะ คิดไม่ถึงว่าจะต้องมาเจอพวกขี้เมาแบบนี้อีก
“ฝ้ายคิดถึงคุณ ฝ้ายไม่อยากเลิกกับคุณ” แม่ขี้เมาโวยวายวนไปมา ไม่ว่าเพื่อนที่ตามมาด้วยจะเข้ามายื้อยุดให้ออกไปสักเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล “มึงปล่อยกู! กูจะอยู่กับคุณปุริม ฮือๆ...ฝ้ายไม่อยากเลิกกับคุณ”
อย่างน้อยผมก็รู้แล้วล่ะว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ลูกค้าหรือผู้ร่วมงาน เพราะนอกจากลุงที่ผมตั้งใจกินแล้วนั้น ผมไม่นิยมกางมุ้งกับบริวารเท่าไหร่ จะเหลือตัวเลือกเดียวคือบรรดาคู่ขาคนก่อนๆ ซึ่งบอกตามตรงว่าผมจำหน้ายัยนี่ไม่ได้เลยจริงๆ
“คุณเมามากแล้วนะครับ รบกวนปล่อยผมด้วย”
“ไม่! ฝ้ายไม่ปล่อย”
“ไอ้ฝ้าย!! มึงเมาเป็นหมาแล้วนะ!” เสียงเพื่อนสาวที่หน้าตาสวยไม่แพ้กันเริ่มแข็งกร้าวขึ้น พลอยให้คนเมาชะงักหันไปมอง ...แต่ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม
“คุณปุริมเป็นแฟนกูนะ”
ผมพยายามสะกดกลั้นอารมณ์รำคาญที่ปะทุขึ้นมาเรื่อยๆ แค่เสื้อราคาแพงที่ทั้งยับทั้งเปื้อนก็พอทนแล้ว ยังจะต้องมายืนฟังแม่สองสาวนี่เถียงกันอีก
“ปล่อยผม” ผมดันไหล่ของสาวขี้เมาแรงขึ้น แต่ในเมื่ออีกฝ่ายยังยื้อยุดพูดไม่รู้เรื่องผมจึงส่งแรงออกไปมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว และมันส่งผลให้อีกฝ่ายเซล้มลงไปกับพื้น
“นี่!! มันจะเกินไปหน่อยมั้ย!” แม่เพื่อนคนสวยตวาดขึ้นด้วยความตกใจ ร่างเพรียวสมส่วนปรี่เข้าไปประคองคนเมาที่เหมือนจะกำลังตกใจให้ยืนขึ้น
ผมไม่ใส่ใจอีกฝ่ายเพราะกำลังง่วนอยู่กับการหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเสื้อที่เปื้อนน้ำตา ผมแทบอยากจะถอดเสื้อเขวี้ยงทิ้งเมื่อพบว่ามันปะปนเมือกเหนียวของน้ำมูกอยู่ด้วย ผมสาบานเลยว่าจะทิ้งไอ้เสื้อตัวนี้ลงขยะแน่นอน! แล้วเมื่อผมตวัดสายตาขึ้นมองสองสาวที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมความโมโหมันก็ยิ่งผุดขึ้น
“คุณพาเพื่อนคุณกลับไปดีกว่า เดี๋ยวจะไปร่ำร้องว่าใครต่อใครเป็นแฟนอีก”
“...คุณชื่อปุริมรึเปล่า?” เพื่อนสาวถามเสียงเข้ม จับจ้องผมราวกับจ้องมองศัตรูอยู่
“ใช่”
“งั้นคุณก็เคยเป็นแฟนเพื่อนฉัน”
“หึหึ ผมจะนับผู้หญิงที่จำหน้าไม่ได้ว่าเป็นแฟนได้ยังไง” ผมพูดเยาะ ปรายสายตามองคนเมาที่น้ำตาคลอหน่วยดูน่าสงสาร “ผมมีแฟนคนเดียวซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ผู้หญิงคนนี้”
“คุณมันเลวจริงๆ” เพื่อนคนเมาบริภาษเสียงเข้ม แต่ผมไม่ได้เก็บเอามาติดเป็นอารมณ์เท่าไหร่ เพราะคนส่วนมากก็มักจะชื่นชมผมแบบนี้อยู่แล้ว “คุณนอนกับเพื่อนฉันแล้วมาบอกว่าจำหน้าไม่ได้เนี่ยนะ ฝ้ายร้องไห้แทบตายตอนคุณส่งข้อความมาบอกเลิก”
“อ๋อ...งั้นเดาว่าเพื่อนคุณคงเป็นคู่ขาของผมมาก่อน”
“ไม่นะ! ฝ้ายไม่ได้เป็นแบบนั้น” คนเมาแย้งเสียงเครือ ส่ายหน้าไปมาจนผมเผ้ายุ่งเหยิง
“ผมไม่เคยนอนกับใครฟรีๆ นะคุณ” ผมไม่สนใจคนแก้ต่าง สองตาหันไปจ้องตอบแววตามาดร้ายของเพื่อนคนเมาที่ยืนกำหมัดแน่น ไม่ต้องเดาเลยว่าถ้าผู้หญิงคนนี้มีความกล้ากว่านี้อีกสักนิด ผมคงถูกคุณเธอเขวี้ยงหวัดเข้าให้แล้ว “ลองถามเพื่อคุณดูรึยังว่าได้อะไรจากผมไปบ้าง เพราะผมจ่ายให้คู่ขาทุกคนมากกว่าที่ผมได้รับเสียอีก”
“แต่ฝ้ายรักคุณนะคะ”
ผมเหยียดยิ้มให้กับคำพูดเดิมๆ ที่มักได้ยินจากคู่นอน ทั้งที่เต็มใจรับข้าวของเงินทองแล้วจะมาหวังอะไรเกินจำเป็นอีก ก็แค่พวกคนที่แลกร่างกายให้กับความฟุ้งเฟ้อ ผมไม่จดจำหน้าคนแบบนี้ให้เสียสมองหรอก
“คุณปุริม...” แม่ขี้เมาผละจากเพื่อนอีกครั้งเพื่อหวังจะเข้าหาผมอีก แต่คราวนี้ร่างบอบบางกลับถูกเพื่อนตัวเองคว้าจับไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่มี “ปล่อยนะจีน...”
“มึงเลิกบ้าเหอะฝ้าย! มึงไม่ได้ยินที่ไอ้หมอนี่พูดเหรอ”
“.........”
“มันพูดเหมือนมึงเป็นผู้หญิงขายบริการเลยนะ มึงเป็นอย่างที่มันพูดเหรอห๊ะ!”
“เปล่านะ...ฝ้ายเปล่า” คนเมาส่ายหน้ารัวเร็ว ก่อนจะคว้าเอวเพื่อนมากอดเพื่อเป็นแหล่งพักพิง ผมนิ่งมองมิตรภาพระหว่างเพื่อนด้วยความรำคาญถึงขีดสุด
“ผมขอตัวล่ะนะ” ไม่ต้องรอคำอนุญาตผมก็หมุนตัวออกเดินจากไปทันที
“ขอให้เป็นเอดส์ตายเถอะ เลวเอ๊ย!” แม่สาวปากจัดอวยพรผมเป็นการส่งท้ายซึ่งผมน้อมรับด้วยการโบกมือไหวๆ ให้ผ่านเบื้องหลัง
คืนนี้มันช่างบันเทิงเสียจริง
.
.
.
“เอาโจ๊กสองชามใส่ทุกอย่างนะครับ” เสียงทุ้มสั่งความกับแม่ค้าร่างท้วมเสียงดังฟังชัด ในขณะที่สายตาก็ซอกแซกไปตามแผงร้านข้างๆ คล้ายอดใจไม่อยู่ ผมเองก็มองกิริยาท่าทางนั้นด้วยรอยยิ้มที่อดไว้ไม่ได้เช่นกัน ลุงดูจะมีความสุขทุกครั้งเมื่อมีเรื่องของกินเข้ามาเกี่ยว
“ใส่ไข่มั้ยหนุ่ม”
“พี่ปูนใส่มั้ย?” ลุงหันมาถามผม แต่แล้วกลับยื่นหน้าเข้ามากระซิบกระซาบสั่งความต่อ “แต่ผมอยากกินไข่กระทะด้วยอ่ะ”
“งั้นไม่ต้องใส่ไข่หรอก แล้วสั่งไข่กระทะเผื่อพี่ด้วย” เมื่อได้คำตอบ ลุงก็บอกปัดแม่ค้าโจ๊กไปก่อนจะเดินลอยตามกลิ่นไปยังร้านข้างๆ เพื่อสั่งไข่กระทะเพิ่มเติม
ผมหาทำเลที่นั่งเพื่อรอลุงเดินกลับมาสมทบ สองตาก็อดไม่ได้ที่จะกวาดมองตลาดสดในยามเช้าตรู่แบบที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน จริงอยู่ที่ผมเป็นคนตื่นเช้าแต่ก็ไม่ได้มาเดินตลาดหาอาหารกินแบบนี้ ยิ่งเป็นตลาดสดที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของผมยิ่งแล้วใหญ่
ความวุ่นวายเกิดขึ้นทั่วไปหมด เสียงตะโกนคุยกัน เสียงจอแจที่จับใจความไม่ได้ดังทั่วไปหมด แล้วยังจะกลิ่นคาวเหม็นเขียวของผักและเนื้อสัตว์อีก นี่ถ้าลุงไม่อยากมากินโดยโน้มน้าวว่ามันอร่อยแค่ไหนล่ะก็ ผมคงไม่ขับรถเฉียดเข้ามาใกล้หรอก แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว... ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปบรรยากาศที่มีลุงยืนมุงรวมกับคนหมู่มากแล้วส่งไปให้กรดู ไม่นานนักข้อความจากเพื่อนสนิทก็เด้งขึ้นมา
[ไปทำอะไรที่แบบนั้น]
[มากินโจ๊กกับไข่กระทะ] คำตอบจากผมเด้งขึ้นไปต่อแถวบนหน้าจอทันที
[ลุงพาไปเหรอวะ]
[กูไม่เคยมาตลาดสดเลย] ผมมองรอบตัวอีกครั้งเพื่อพยายามนึกหาคำที่สามารถอธิบายบรรยากาศในตอนนี้ไว้ได้
[วุ่นวายดีว่ะ]
แล้วกรมันก็ส่งสติ๊กเกอร์หัวเราะมาให้ผมในทันที พันกรรู้ดีพอๆ กับตัวผมนั่นแหละว่าตลาดสดนั้นห่างไกลกับวิถีชีวิตของผมแค่ไหน
[มึงเอาอะไรมั้ย?]
[ของกูไม่อ่ะ แต่ซื้อน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋มาให้หน่อยสิ ถ้ามีนะ]
ผมขมวดคิ้วกับการฝากซื้อที่แปลกพิกล เป็นจังหวะเดียวกับที่ลุงเดินยิ้มหน้าบานมาลงนั่งฝั่งตรงข้าม ผมคลี่ยิ้มให้คนรักก่อนจะเริ่มพิมพ์ตอบโต้กับกรต่อ
[มึงไม่กินน้ำเต้าหู้นี่]
ผมรอคำตอบจากอีกฝ่าย แต่ร่วมนาทีก็ยังมีเพียงข้อความของผมเป็นอันสุดท้ายบนหน้าจอ
“ได้แล้วจ้า”
ผมวางมือถือลงกับโต๊ะทันทีที่ชามโจ๊กกรุ่นควันร้อนถูกวางลงตรงหน้า ผมมองชิ้นเนื้ออวบแน่นหลายอย่างบนข้าวเละๆ สีขาวในชามแล้วให้เกิดความอยากกินขึ้นมา ผักโรยและขิงดูสดมากเสียจนได้กลิ่นหอมๆ ลอยขึ้นมา ผมหยิบช้อนพลางเหลือบสายตาดูลุง รายนั้นหยิบช้อนจ้วงเข้าปากแบบไม่กลัวร้อนไปแล้ว
“ไข่กระทะค่ะ” อาหารอีกอย่างตามมาติดๆ กัน กระทะสีเงินขนาดกะทัดรัดสองใบถูกวางลงตรงกลาง ควันหอมลอยฟุ้งยั่วน้ำลาย สีสันและความหลากหลายของเครื่องในกระทะช่วยกระตุ้นความหิวของผมได้เป็นอย่างดี
ผมหยิบซอสเทลงไปเล็กน้อยก่อนจะลงมือกินไข่เป็นอย่างแรก ความเข้มข้นลอยอวลในปากและมันอร่อยเสียจนผมเผลอเคี้ยวไม่กี่คำก็กลืนลงคอ
“อร่อยใช่ป่ะล่ะ” ลุงอมยิ้ม ยกคิ้วหลิ่งตาเหมือนจะสื่อว่า ‘ผมบอกพี่แล้ว...’
“สมราคาคุย” ผมยอมรับอย่างไร้ข้อกังขา แล้วเปลี่ยนมาตักโจ๊กเข้าปากบ้าง และมันไม่มีการโต้แย้งใดๆ เลยกับการที่ลุงโม้เสียหนักหนาบนรถว่าร้านนี้อร่อยแค่ไหน “ลุงมากินบ่อยเหรอ?”
“ก็บ่อยนะ แต่ส่วนมากซื้อกลับไปให้สองสาวที่บ้านซะมากกว่า ผมขี้เกียจตื่นขึ้นมาทำกับข้าวตอนเช้าน่ะ” ลุงตอบพลางเคี้ยวข้าวจนแก้มตุ่ย กิริยามันไม่เหมาะอยู่หรอก แต่ผมเห็นว่ามันก็น่ารักหรอกนะถึงไม่ได้ติติงอะไร
“แล้วเมื่อไหร่พี่จะได้กินข้าวฝีมือลุงสักทีล่ะ”
“เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละน่า”
ผมหาได้ใส่ใจกับท่าทีไม่แยแสของคนขี้อายไม่แต่ก็ไม่คิดจะซักไซ้ต่อเช่นกัน เราสองคนจึงเริ่มหมกมุ่นกับการกินจนอิ่มหนำชนิดที่แทบจะไม่ได้คุยอะไรกันอีก เมื่อโจ๊กหมดชาม ไข่หมดกระทะ ผมก็แอบลูบหน้าท้องตัวเองเบาๆ นี่คือการกินมื้อเช้าที่สมบูรณ์แบบที่สุดในรอบหลายสิบปีนี้ ปกติแล้วอย่างดีที่สุดของผมมีแค่แซนวิชกับกาแฟเท่านั้น นอกเหนือไปจากนั้นคือการฝากท้องรวมไปกับมื้อเที่ยงทีเดียว
“แถวนี้มีร้านปาท่องโก๋มั้ย?” ผมยังคงไม่ลืมหน้าที่ของเพื่อนที่ดี
“มีพี่ เจ้านี้ก็เด็ดสุด ปาท่องโก๋เขานะกรอบกรุบๆ แต่ไม่อมน้ำมันด้วยล่ะ”
เห็นสีหน้าลุงแล้วผมก็เดาได้เลยว่าร้านปาท่องโก๋นั้นคงมีลุงเป็นลูกค้าเพิ่มอีกหนึ่งคนในวันนี้แน่ๆ
.
.
.
กว่าจะพากันมาถึงบริษัทก็เล่นเอาเลยเวลาเข้างานไปแล้ว ถึงจะไม่มีกฎข้อไหนที่เกี่ยวกับเวลาปฏิบัติงานก็เถอะ แต่ดูว่ากราฟิกดีไซน์ที่นี่จะชอบมาทำงานที่ออฟฟิศมากกว่าทำที่บ้าน แถมยังพากันเข้า-ออกงานตามเวลาทั่วไปเป็นธรรมเนียมแล้วซะอีก เพราะงั้นพ่อไก่ตัวนุ่มของผมจึงวิ่งปรู๊ดออกมาจากรถทันทีชนิดที่ไม่หันมาเหลียวแลกันอีกเลย
ผมหิ้วถุงปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้ผ่านพนักงานที่แสนจะตั้งใจทำงาน ผมหมายถึงพี่เปี๊ยกน่ะนะ ยิ่งมองไปแล้วเห็นสายตาอย่างกับรู้ไปเสียทุกเรื่องของโป้ยแล้วให้เท้ากระตุกยิกๆ จนผมต้องรีบเปิดประตูห้องทำงานของกรเข้าไปเพื่อสงบอารมณ์
“เอร็ดอร่อยจนเข้างานสายเลยนะมึง” เสียงแซวดังขึ้นทันทีที่ผมก้าวเท้าไปยืนเบื้องหน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่ พอกันทั้งพี่ทั้งน้อง! เห็นไอ้ตัวน้องก็อยากจะกระโดดเตะ เห็นไอ้คนพี่ก็อยากจะวางมือบนกะโหลกสักทีแรงๆ
“หุบปากแล้วแดกซะ” ผมวางถุงของฝากลงบนโต๊ะ
“ขอบใจ”
“ทีนี้ก็บอกกูมาซิว่ามึงซื้อมาฝากใคร” ผมลงนั่งบนเก้าอี้ ขยับเนื้อตัวให้สบายพลางรอคำตอบ แต่ก็มีแค่ความเงียบกับสีหน้าอึดอัดใจเท่านั้นที่เพื่อนสนิทส่งมาให้ มันคิดว่าการเงียบจะทำให้ผมไม่ได้คำตอบอะไรเลยงั้นรึไงนะ “ตื๊ดๆ หมดเวลา! กูขอเดาเองแล้วกันนะ...คงซื้อมาฝากพ่อยอดขมองอิ่มของมึงสินะ”
ผมยกยิ้มให้กับทีท่าอึดอัดที่ปะปนความเขินอายของพ่อดาราด้วยความขบขัน “แต่เสียใจด้วยนะเพื่อน เพราะแฟนกูเขาซื้อมาฝากโป้ยเรียบร้อยแล้ว คนเป็นเพื่อนสนิทก็ย่อมรู้ใจกันล่ะนะ”
“...สาบานเลยว่ามึงไม่หึงสักนิด”
“..........”
“เห๊อะ! คนขี้หวงอย่างมึงยังจะกล้ามาแขวะกูอีกนะ”
ตอนนี้ผมอยากจะฟาดมือลงบนหัวเพื่อนจริงๆ แล้วล่ะ
ใช่สิ!! คิดว่าผมต้องอดใจที่จะไม่โยนถุงน้ำเต้าหู้ในมือของลุงทิ้งออกนอกรถแค่ไหน ยิ่งฟังปากอิ่มๆ นั่นจ้อว่าเพื่อนตัวเองชอบกินน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ขนาดไหน ผมล่ะอยากยัดน้ำร้อนๆ ในถุงนั่นเข้าปากคนพูดให้พองไปเลย!
“รู้ดี!!” ผมกระแทกเสียงใส่ และหวังว่าจะตามด้วยคำเหน็บแนมอีกสักหน่อยแต่นับว่าชะตาหูไอ้กรยังดีนักในเช้านี้
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เราหันไปมองผู้มาใหม่ที่เปิดประตูเข้ามา เป็นพี่ริชที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเชิงเป็นงานเป็นการ ริมฝีปากฉาบรอยยิ้มหันไปมองหน้าพ่อดาราขวัญใจก่อนสักเล็กน้อยจึงได้เป็นคิวของผมที่ถูกพิศวาสน้อยลงมา
“มีลูกค้ามาพบคุณปูนครับ ผมให้ไปรอที่ห้องแล้วนะครับ”
“ลูกค้าจากที่ไหนน่ะ” พันกรซักถามด้วยความสงสัย มีไม่บ่อยนักหรอกที่ลูกค้าจะเข้ามาคุยงานเองที่บริษัท
“คุณแก้วกานดา จากพิบูลย์พัฒน์กรุ๊ปครับ”
สีหน้าของพี่ริชกับกรมีแววตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนผมนั้น...ไม่ได้ยินเสียงใดเลยนอกจากคลื่นความโกรธที่เดือดปุดๆ อยู่ในหัว
.
.
.
-----------------------------------------------------------------{มีต่อค่ะ}